บทที่ 13 เจ็บแล้วไม่จำ(2)"มึงกลายเป็นคนขี้เสือกตั้งแต่เมื่อไหร่?"
"แล้วมึงกลายเป็นคนไม่เห็นหัวเพื่อนตั้งแต่เมื่อไหร่วะ? กูรักและเป็นห่วงมึงนะ"
"......." บอลยังคงเป็นเพื่อนในกลุ่มที่คายัครักและสนิทมากที่สุด เพราะอย่างนี้ คายัคถึงไม่อยากทะเลาะกับบอล เขาตั้งใจตัดปัญหาด้วยการเดินผ่านหน้าเพื่อนไป แต่ทันใดนั้น...
"ที่กูตามมึงมา เพราะอาทัชโทรหากูบอกเขาไม่สบาย มึงไปเยี่ยมเขาได้ไหม?"
ใจกระตุกที่ได้ยินแบบนั้น เขาเงียบไปอยู่นานถึงตอบ
"ทำไมต้องไป เขาไม่ได้สำคัญอะไรกับกู"
"ไอ้ยัคนี่มึงจะเหี้ยไปแล้วนะ มึงลืมช่วงเวลาสิบกว่าปีที่อาทัชดูแลมึงได้ไงวะ? ห้ะ?"
ทนไม่ไหวที่ทุกคนเอาแต่เรียกร้องให้คายัคต้องเป็นฝ่ายทำตามไปซะทั้งหมด เด็กหนุ่มหันไปกระชากคอเสื้อเพื่อนจนคอขึ้นเป็นรอยแดง
"มึงไม่ใช่พ่อ ไม่ต้องมาสอน"
"แล้วถ้าแคนขอร้องด้วยคนล่ะ ได้ไหมครับคายัค"
คายัคชะงัก ผ่อนแรงที่ยึดคอเสื้อเพื่อน หันไปหาแคนที่ยืนปากสั่นพลางน้ำตาคลอ เขาปล่อยมือออกแล้วเดินไปหาแคน
"......."
สำหรับเพื่อนในกลุ่ม เขาเถียงกลับได้ทุกคน ยกเว้นแคนคนเดียว แคนที่เป็นเหมือนเทวดาประจำกลุ่ม น่ารักและนุ่มนวลจนเขาต้องใจอ่อนให้แคนทุกครั้ง
"คะ...แคนกลัวคายัคคนนี้!"
เด็กหนุ่มเดินเข้าไปเช็คน้ำตาคนตัวเล็กให้หมดไปจากใบหน้า
"เราขอโทษนะแคน แต่เราไม่พร้อมไปเจอจริงๆ"
"ถ้าให้โทรหาล่ะได้ไหม?"
"ขอเป็นแคนคุยกับเขาแล้วเปิดลำโพงแล้วกัน เราจะนั่งฟังเงียบๆ" คายัคต่อรอง
"ก็ได้" แคนเดินนำทั้งสองไปหาที่นั่ง จากนั้น เด็กหนุ่มจึงกดโทรหาอาทัช
"สวัสดีครับ อาทัชนี่แคนนะครับ"
[สวัสดีครับแคน แค่กๆ...]
"เอ่อ...คายัครู้แล้วนะครับว่าอาทัชไม่สบาย คายัคบอกว่า..." ดูเหมือนปลายสายจะตื่นเต้นจัด เพียงได้ยินแค่ว่า คายัครับรู้ ในขณะที่แคนยังพูดไม่จบประโยค
[คายัคจะมาหาอาใช่ไหมแคน มากี่โมงเหรอครับ? อาจะได้ทำข้าวเย็นรอไว้]
เสียงแหบแห้งพยายามเค้นออกมาจากลำคอ แม้ไม่สบายแต่ยังมีแก่ใจจะทำอาหารให้คนที่ไม่เคยไปเหยียบที่นั้นนานหลายเดือน
ทันทีที่ได้ยิน คายัคใจกระตุก หน่วงหนึบแปลกๆ รีบเบือนหน้านี้ไปอีกทาง
แคนผู้อ่อนไหว ไม่สามารถคุยต่อได้เพราะหลุดร้องไห้อย่างสงสารอาทัชจึงส่งให้บอลรับช่วงต่อ
"ฮัลโหลนี่บอลเองนะครับอาทัช พอดีแคนโดนครูเรียกครับ ส่วนคายัคติดงานน่าจะไปไม่ได้ อาทัชไหวไหมครับ? ถ้าไม่ไหวผมไปเฝ้าไข้ให้ก็ได้นะครับ"
[.....]
บอลบอกปลายสายพลางมองคายัคนั่งนิ่งจึงชูนิ้วกลางใส่อย่างไม่พอใจ
"ฮัลโหลอาทัชครับ"
[ขอบคุณนะครับบอล อาไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก กินยาแล้วพักก็คงหาย]
"แน่นะครับ"
[ครับ ขอบคุณบอลและแคนมากนะที่เป็นห่วงอา ฝากบอกคายัคให้ดูแลตัวเองด้วย]
"ครับ"
หลังจากที่วางสาย บอลว่าพลางถลึงตาใส่
"มึงเห็นรึยังไอ้ยัค? มึงจะใจร้ายไปไหนวะ?"
"......"
"กูรู้นะว่าอามึงผิด แต่การที่มึงจะจงเกลียด จงชังขนาดนี้กูว่าแม่งก็เกินไปว่ะ"
"......"
"เรากลับกันเถอะแคน พูดกับมันไปก็เปล่าประโยชน์ ปล่อยให้แม่งอยู่คนเดียวอย่างนี้แหละ"
บอลลุกพรวดพร้อมจูงมือแคนให้กลับไปหาพวกติ๊กที่นั่งรออยู่ ฟากแคนสะบัดมือออกจากการกอบกุมแล้วเดินไปกอดคายัคที่นั่งก้มหน้าเงียบ
"ถ้าคายัคยังมีหัวใจ แคนขอร้องกลับไปหาอาทัชหน่อยนะครับ ฮึกฮืออ..."
เอ่ยประโยคสุดท้ายให้เพื่อนได้ตระหนัก ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้คายัคนั่งด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน...
ปากบอกว่า ต้องตัดใจให้ได้...
บอกอย่างนี้ทุกครั้ง แต่ทำไม่ได้สักครั้ง...
และแล้ว เด็กหนุ่มได้เดินทางมาถึงร้านกาแฟ Intouch Cafe' ในเวลาสามทุ่มกว่า
"ฮู่วววว์" พ่นลมออกมาจากปาก หลังจากที่สองเท้าก้าวลงจากรถแท็กซี่
ทั้งๆที่คายัคอาบน้ำ เตรียมเข้านอนแล้ว แต่กลับข่มตาหลับไม่ได้ เพราะเอาแต่ห่วงพะวงถึงคนไม่สบาย สุดท้าย เด็กหนุ่มถึงเด้งตัวลุกจากเตียงเพื่อออกมาหาคนที่เป็นต้นเหตุให้เขาตาสว่างแบบนี้
วันเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ไม่น่าเชื่อว่า เกือบปีแล้วที่คายัคไม่ได้กลับมาเหยียบบ้านหลังนี้
สถานที่คุ้นเคยตั้งแต่ยังเด็ก แต่พอกลับมารอบนี้ คายัครู้สึกใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก
กุญแจบ้านที่พกติดตัวไม่เคยเอาออกจากกระเป๋าสตางค์ได้ถูกใช้การอีกครั้ง เขาไขกุญแจ ก่อนจะผลักประตูกระจกใสเข้าไป
ตั้งแต่เล็กจนโต คายัคไม่เคยเห็นอาทัชป่วยเลยสักครั้ง พอตอนที่ได้ยินบอลบอก ยังนึกแปลกใจจึงต้องมาดูด้วยตาตัวเอง
เด็กหนุ่มเดินย่องเบาขึ้นชั้นสอง แต่แล้วสองเท้าต้องหยุดชะงักกึก เมื่อเห็นแสงไฟนวลตาลอดผ่านออกมาจากประตูห้องนอนที่เปิดแง้ม
มือเกาะไปตามผนัง ก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปดูอย่างกลัวว่าจะมีคนอื่นอยู่ในห้อง พอรู้ว่าไม่มีใคร จึงเดินก้าวยาวๆไปหาอาทัชที่นอนซมอยู่บนเตียง
แสงสว่างจากโคมไฟหัวเตียงพอให้เห็นเงาสลัวของคนอายุมากกว่า
ค่อยๆทิ้งตัวลงนั่งที่พื้นชิดริมเตียง มองอาทัชที่ดูโทรมลงถนัดตา ริมฝีปากแห้งแตก ใบหน้าไม่สดใสเหมือนก่อน
คายัคกวาดตามองรอบห้องอย่างพินิจพิจารณา เพียงได้กลับบ้านเก่า ความทรงจำเดิมๆ ก็แย่งกันผุดเข้ามาให้เด็กหนุ่มได้หวนระลึกนึกถึงอีกครั้ง
นานเท่าไหร่แล้วที่คายัคไม่ได้นอนห้องนี้
หลากหลายความทรงจำอันงดงามถูกบรรจุอยู่ใน
ห้องนอนของเราสองคน ห้องที่ไม่เล็ก ไม่ใหญ่ แต่อัดแน่นด้วยความสุขเต็มอัตรา
ห้องที่จุด้วยความรัก ยามที่ทั้งสองร่วมรักกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย เชื่อมต่อความผูกพันให้กันทุกวินาทีไม่เคยขาด
มองเตียงกว้างที่แผ่กระจายไปด้วยความอบอุ่นยามที่เราสองคนเคยตระกองกอด กกกันบนเตียง หยอกล้อ พลางหัวเราะลั่นห้องกันอย่างมีความสุข
ดวงตาที่แข็งกร้าว บัดนี้ กลับอ่อนลง เมื่อเขาวกสายตากลับมามองผู้ชายที่นอนอยู่ตรงหน้า
ผู้ชายที่คายัครัก
ไม่มีวันไหน ไม่คิดถึง
คายัคคิดถึงผู้ชายคนนี้มาตลอด ระยะเวลาเกือบปีที่คายัคออกมาอยู่ตัวคนเดียว มันยิ่งตอกย้ำความโดดเดี่ยว อ้างว้าง และเหงาจับใจ
แต่พอได้กลับมา ความรู้สึกที่กล่าวไปทั้งหมดกลับสลายหายไปในพริบตา รอยยิ้มทรงเสน่ห์ค่อยๆเผยบนใบหน้าหล่อเหลา
คายัคดึงมืออาทัชที่วางอยู่ข้างลำตัวยกขึ้นมาจูบประทับลงตรงกลางฝ่ามือ เขาอยากให้อาทัชได้รับรู้จึงตรึงความรู้สึกนี้ไว้ให้นานที่สุด
จุมพิตที่ถูกแช่ค้างไว้อุ่นขึ้นจนรู้สึกได้ ไม่นานที่คายัคละริมฝีปาก และเอียงหน้าตัวเองซบฝ่ามืออาทัช
น้ำตาไหลกับสัมผัสที่คายัคเองก็โหยหามาตลอด เขาหลับตาพลางบีบกระชับมืออาทัชเป็นระยะๆ รอยยิ้มมุมปากผุดขึ้นอีกครั้ง เมื่อได้รับความอบอุ่นจากฝ่ามือของคนที่เขารัก มันทำให้คายัครู้สึกว่าเขาไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป
เด็กหนุ่มลืมตา แล้วหันหน้าไปจุมพิตตรงกลางฝ่ามืออาทัชอีกครั้ง คายัควางมืออาทัชลงตรงที่เดิม
"ที่อาทัชบอกว่ารักผม มันเป็นเรื่องจริงใช่ไหมครับ?"
ถามคนหลับใหลที่รู้อยู่แล้วว่าคงไม่ได้คำตอบ
เด็กหนุ่มยืดตัวและก้มลงไปจูบริมฝีปากที่แห้งผากอย่างไม่นึกรังเกียจ
ริมฝีปากนุ่มหยุ่นแตะลงบนกลีบปากบางอีกฝ่าย คายัคขบเม้มริมฝีปากล่างอาทัชช้าๆ แต่คายัครีบผละเมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนเป่ารดรวมถึงอุณหภูมิในร่างกายที่ต่างกัน
"ทำไมอาทัชตัวร้อนขนาดนี้"
ใช้ปลายนิ้วเช็ดหยดน้ำตาตัวเองบนใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างเบามือและโน้มตัวลงไปกอดกระชับด้วยความหวังว่าร่างกายตัวเองที่เย็นกว่าน่าจะช่วยลดอุณหภูมิจากตัวอีกฝ่ายได้
"อาทัช ตื่นเถอะครับ" กระซิบบอกเสียงแผ่วพร้อมจุมพิตเบาๆที่ติ่งหู
"อื้มมมมม" มองคนส่งเสียงครางในลำคอ
"อาทัชครับ อาทัช"
"ใครน่ะ? คายัคเหรอ?"เสียงแหบพร่าเล็ดลอดจากริมฝีปากช่างแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน เปลือกตาหนักอึ้งราวกับมีลูกตุ้มมาถ่วงไว้ คนอายุมากกว่าได้แต่ทำหน้าเหยเก บิดตัวไปมาเหมือนคนไม่สบายตัว
"ใช่ครับ ผมเอง อาทัชลุกไหวไหม? เดี๋ยวผมพาไปหาหมอนะ"
เด็กหนุ่มใจเต้นแรงกว่าเก่าอย่างกลัวว่าอาทัชจะเป็นอะไรไป สอดมือเข้าใต้เอวเพื่ออุ้มพยุงคนไม่สบายให้ลุกขึ้นนั่ง
แต่จังหวะนั้น...
ติ้งต่อง ติ้งต่องง
สะดุ้งสุดตัว เมื่อได้ยินเสียงคนกดกริ่งหน้าบ้าน
"ใครมา? อาทัชครับ รอผมแปปนึงนะ ทนอีกนิดนะครับ"
สองแขนแข็งแกร่งค่อยๆประคองและวางร่างสูงให้นอนดังเดิม ก่อนจะก้มลงจุมพิตลงบนกลางหน้าผาก เลื่อนไล้มาหอมแก้มข้างซ้ายอย่างเติมเต็มกำลังใจให้อีกฝ่ายอย่าป่วยไปมากกว่านี้
คายัครีบวิ่งลนลานเพื่อลงไปเปิดประตู แต่พอเห็นคนด้านนอกถึงรู้ว่าเป็นใครที่มาหา คายัคกำมือแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ก่อนจะวิ่งไปหลบใต้เคาน์เตอร์
เสียงกดกริ่งยังดังอยู่อย่างนั้น แต่คายัคไม่คิดลุกไปเปิด เขานั่งกอดเข่าตัวเองสองมือประสานกันแน่นและข่มอารมณ์ให้นิ่งไว้
สักพักใหญ่ๆ ถึงเห็นเสียงตึงตังแถวบันได
"...โอ้ย..."
เสียงร้องหลุดออกมาด้วยความเจ็บ คายัครีบชะโงกไปดูอย่างตกใจที่เห็นอาทัชล้มลงไปกองกับพื้น จากนั้น เขาได้ยินเสียงคนเขย่าประตูกระจกด้านหน้าสุดแรงราวกับจะให้มันหลุดออกมาให้ได้
อยากจะออกไปช่วย แต่ก็เสียใจที่เห็นว่าใครมา
เบือนหน้าหนี เมื่อเห็นอาทัชค่อยๆคลานแล้วลุกขึ้นยืนไปยังตรงหน้าประตู จากนั้น เขาได้ยินเสียงภูภูมิที่เปล่งออกมาด้วยท่าทีตกใจที่เห็นอาทัชล้ม ไม่นานนัก เสียงสนทนาของทั้งคู่ก็เงียบหายไป เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนและออกมามองตรงประตูกระจกใสที่ไร้คนยืนอยู่
ความรู้สึกเจ็บจี๊ดๆแล่นเข้ามาในหัวใจ
แล้วไง สุดท้าย คายัคก็โง่เองที่
เจ็บแล้วไม่จำ ไหนว่าเลิกกันแล้ว
"หึ! นี่กูกำลังคาดหวังอะไรอยู่วะ"
พึมพำลำพังอย่างเจ็บปวด ไม่คิดว่า น้ำตาความสุขก่อนหน้า จะบิดเบือนกลายเป็นหยดน้ำตาแห่งความเสียใจในวินาทีต่อมา
ในขณะเดียวกัน บนรถของภูภูมิ มีร่างซีดเซียวนอนขดตัวเป็นกุ้งอยู่บนที่นั่งข้างคนขับ ภูภูมิลดแอร์ คว้าเสื้อสูทของตัวเองมาคลุมตัวให้คนตัวร้อนจัด
"ผมขอโทษนะครับที่ต้องรบกวนภูมิ"
"ยอมโทรมาหาผม เพราะกลัวตัวเองจะตายก่อน เจอไอ้เด็กนั้นหรือไง?"
"......." พอพูดถึงคายัค อินทัชก็น้ำตารื้น
ยอมรับว่าน้อยใจที่คายัคก็รู้ว่าอินทัชไม่สบายแต่กลับใจร้ายไม่ยอมมาหากัน
และน่าอายแค่ไหน ที่คาดหวังอยากให้คายัคมามากจนเก็บเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะ ถ้าไม่ได้ยินเสียงกริ่ง อินทัชก็คงไม่ตื่นจากฝัน
"เฮ้อ! แล้วดูซิ อยู่คนเดียว พอป่วยก็ไม่มีใครรู้ ถ้าอินไม่โทรบอกผม แล้วนี่หลานคุณรู้ไหมว่าคุณไม่สบาย?"
"...." อินทัชเงียบ
"เงียบอย่างนี้ แสดงว่ารู้?...แล้วไอ้เด็กบ้านั้นก็ไม่คิดจะสนใจใยดี มาหาอินเลยหรือไง?"
"ทำไมคุณดีกับผมทั้งๆที่ผมร้าย!" อินทัชตั้งใจเปลี่ยนเรื่อง เพื่อไม่ต้องการให้ภูภูมิว่าคายัคได้อีก
"เปลี่ยนเรื่องเลยนะ เฮ้อ...แตะต้องเด็กนั่นไม่ได้เลยรึไง? นี่ผมก็งงตัวเองเหมือนกัน ทำไมต้องช่วย รออินหายก่อนแล้วกัน ผมจะเอาคืนให้หนักเลย อินทัช"
"ถ้าผมหายดี ผมจะยอมมีเซ็กซ์กับภูมิเป็นการตอบแทนนะ" ประโยคนั้น ไม่ได้ทำให้ภูมิรู้สึกดีสักนิด
"ตอนเป็นแฟนไม่เคยให้ ทีอย่างนี้ จะให้ผมมีเซ็กซ์ด้วย คุณดูถูกผมมากเลยนะอินทัช ถ้าจะให้เพราะแค่รู้สึกผิด ผมไปซื้อกินยังจะดีซะกว่า"
ไม่คิดว่าภูภูมิจะเป็นคนดีขนาดนี้ อินทัชรู้สึกบาปในบัดดลที่ดันทำร้ายหัวใจภูภูมิอย่างไม่น่าให้อภัย
อินทัชรวบรวมแรงที่มียื่นมือไปลูบแก้มภูภูมิ
"ผมอยากรักคุณนะ แต่ภูมิมาช้าไป ผมรักใครไม่ได้อีกแล้วนอกจากเขา"
โคตรเจ็บเลยเถอะที่อินทัชพูดตรงๆแบบนั้น แต่ทำไงได้ ชีวิตมันก็เป็นเช่นนั้นเอง
โกรธไม่ลง เมื่อหันไปเห็นคนป่วยปล่อยโฮ
เวลานี้ จะพูดให้เจ็บช้ำน้ำใจก็ดูจะเป็นคนเลวไปสักหน่อย เพราะอินทัชเองก็อยู่ในช่วงเวลาที่ร่างกายและใจอ่อนแออย่างหนัก
หากดุด่าว่ากล่าวอะไรไปจะกลายเป็นน้อยใจเอาได้ง่ายๆ ภูมิได้แต่ลอบถอนหายใจ ดึงมืออินทัชออกจากใบหน้าแล้วเปลี่ยนมาวางมืออินทัชไว้บนตักตัวเองแทน
"อินหลับเถอะ ถึงโรงพยาบาลแล้วผมจะปลุก"
ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ภูมิพยายามเห็นอกเห็นใจ และเป็นคนดีที่สุดเท่าที่เป็นได้ เขาจะดูแลอินทัชเป็นครั้งสุดท้าย เพราะหลังจากนี้ ชีวิตภูมิเองก็คงต้องก้าวต่อไป...
ภูมิถอนหายใจยาวพลางยิ้มให้กับตัวเองอย่างคนมองโลกในแง่ดีว่า
เราต้องสูญเสียสิ่งหนึ่งไป เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งหนึ่งเสมอ
บางที การสูญเสียอินทัช อาจทำให้ภูมิได้รับสิ่งใหม่ๆที่ดีมากกว่านี้ก็เป็นได้...
ภูภูมิเชื่ออย่างนั้น...
............................................
1. สรุปแล้ว เรื่องนี้ ภูภูมิเป็นพระเอกจ้า 555+ เฮ้ย! เดี๋ยวๆๆๆ
.
2. คุณอาาาาาาาาาาาคะ? คุณอาไม่ได้ฝันค่ะ น้องเขามาหาจริงๆ ป้าดดโธ่!
.
3. คายัค หนูก็มีมุมละมุน โรแมนติกอยู่นะ
.
4. รู้สึกดีใจทุกครั้งที่ได้อ่านคอมเมนท์ ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยเสนอมุมมอง และสละเวลามาเขียนยาวๆก็มี อ่านไปมันก็แอบตื้นตันไปอะนะ ^^ นี่ก็เลยมีแรงฮึดลงนิยายเลยค่ะ
.
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
rinyriny