" หลงละเมอเพ้อรัก " [YAOI][#47 ความรักของครอบครัว][END](25/6/63)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: " หลงละเมอเพ้อรัก " [YAOI][#47 ความรักของครอบครัว][END](25/6/63)  (อ่าน 49231 ครั้ง)

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
จะยังไงกัน รอตอนต่อไปแล้วกัน อิอิ

ออฟไลน์ Gloomy Sunday

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-3
    • Fanpage : Gloomy Sunday Tk.
เพ้อ บทที่ 41 บ้านผีสิง


"ขอบคุณมากนะอิน วันนี้เหนื่อยหน่อยนะ"

 "ไม่เป็นไรครับ ผมสนุกมากเลย"

 ในวันนี้ในช่วงบ่าย หลังจากที่เรียนเสร็จในช่วงเช้า ผมก็ต้องรีบอย่างมากที่จะมาถ่ายโฆษณาเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งถึงมันจะเล็กน้อย แต่ก็ได้ประสบการณ์ และเงินเหมือนกัน

 "เอออิน ได้ยินข่าวหรือยัง ตอนนี้มีคัดเลือกนักแสดงเรื่องใหม่นะ จะคัดอาทิตย์หน้า ถ้าสนใจก็อย่าพลาดนะ พี่ว่าน่าจะเหมาะกับเรา" ผมที่ได้ยินพี่ในกองแนะนำก็ตาตื่นทันที ผมไม่พลาดแน่ที่จะไต่ขึ้นไปให้สูงกว่านี้

 "เป็นแนวไหนเหรอครับ"

 "เนื้อเรื่องไม่แน่ใจ แต่เป็นแนวชายรักชายแหละ แนวนี้กำลังขายดี แฟนคลับเยอะ" ผมยิ้มให้กับคำแนะนำนั้น

 "ครับ ขอบคุณมากนะครับ ไม่งั้นผมไม่รู้แน่"

 "ไม่รู้ก็ดีแล้ว พี่ไม่อยากให้อินเล่นแนวนั้นเลย" ผมสะดุ้งตัวน้อยๆ เมื่อมีคนมากระซิบข้างหู และก็ไม่ต้องเดา เป็นพี่เปอร์ที่ชอบทำอะไรแบบนี้

 "พี่ทำอะไรน่ะ ตกใจหมด" ผมก้มหัวขอโทษพวกพี่ๆ ในกองและขอตัวกลับ ลากพี่เปอร์ออกมาจากตรงนั้น

 "อย่าโผล่มาแบบนี้สิครับ ถ้าพวกเขาคิดว่าเราเป็นอะไรกันจะทำยังไง" ผมเผลอพูดออกไป และนั่นก็ทำให้พี่เปอร์หน้าเจื่อนลงทันที

 "พี่รู้ ขอโทษนะ" ใบหน้ารู้สึกผิดนั้นทำให้ผมใจอ่อนยวบ

 "ไม่ยกโทษ" ผมพูดและทำเป็นเดินหนีพลางเหลือบมองคนที่เดินตาม "นอกจากว่า พี่ต้องพาผมไปเที่ยว" ผมหันกลับมามองคนหน้าหงอยด้วยรอยยิ้ม และไม่นาน พี่เปอร์ก็เริ่มยิ้มออกมาเหมือนกัน

 และในตอนนี้ผมก็มายืนอยู่ในที่ที่หนึ่ง มันเป็นสถานที่ที่ดูธรรมดาเหลือเกิน แต่ก็เป็นที่แรก ที่ผมนึกถึงเสมอ

 "อิน ทำไมไม่ไปหาที่นั่งกินข้าวดีๆ กันล่ะ" คนที่เดินตามผมพูดถามด้วยความสงสัย แต่ก็ยังคงเดินตามอย่างไม่ลดละ คอยตามใจเวลาที่ผมอยากได้อะไร

 "ผมไม่ได้มานี่สักพักแล้ว เลยอยากมาเดินเล่นน่ะ" ผมพูดและหันไปทำตาใสๆ "ไม่ได้เหรอ" พอโดนเข้าไปแบบนี้ พี่เปอร์ก็ไม่เคยพูดอะไรออก หึหึ

 "งั้นถ้าเหนื่อยก็บอกพี่นะ เดี๋ยวพี่เอารถมารับใกล้ๆ"

 "ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวพวกเรา..."

 ~~~~

 เสียงเพลงเพลงหนึ่งค่อยๆ ดังขึ้น ทำให้สิ่งที่ผมกำลังจะพูดสูญหายไป ขาของผมเริ่มก้าวออกไป ตามจังหวะดนตรีที่บรรเลง

 เสียงนี้ เป็นเสียงที่ผมคุ้นเคยดี ไม่คิดว่าวันนี้จะได้เจอ เพราะตั้งแต่ครั้งนั้น ครั้งที่ผมได้มาที่นี่กับคนคนนั้น ผมก็ไม่เคยมาที่นี่อีก และไม่คิดว่าจะเจอนักดนตรีคนโปรด คนเดิมนี้อีกแล้ว

 ในที่สุดผมก็ได้มายืนอยู่ที่ด้านหน้าสุด มองดูคนที่กำลังเล่นกีตาร์ตัวสวยสีดำ ที่มีลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ เสียงร้องของเขา กลับมาเหมือนเก่าแล้ว มันดังนุ่มทุ้มกังวาน ทำให้ผู้คนที่ได้ฟังอิ่มเอมใจ

 ครั้งหนึ่ง ผมเคยคิดว่าเขา อาจจะเป็นพี่หมอก...

 แต่ว่าเมื่อผมเคยมาที่นี่กับเขา และพบว่านักดนตรีที่สวมหน้ากากนี้เป็นอีกคน ผมก็ไม่สงสัยอะไรอีกแล้ว มีแต่ความเสียดายเล็กๆ ในใจ

 "อิน อยู่นี่เอง"

 "เพลงเพราะมากเลยนะครับ" ผมพูดด้วยรอยยิ้มและเริ่มรู้สึกถึงมือมือหนึ่งที่กุมมือผมเอาไว้

 "ถ้าอินชอบ พี่ให้เขาไปเล่นที่บ้านให้เอาไหม" พี่เปอร์ที่มายืนอยู่ข้างๆ ก้มลงกระซิบที่ข้างหูของผม

 "จริงเหรอ" ดวงตาของผมเป็นประกาย

 "เพื่ออิน พี่ให้ได้ทุกอย่าง" ไม่เพียงแค่พูดเท่านั้น ความรู้สึกอุ่นนุ่ม แตะแนบลงที่ข้างแก้ม ผมตาโตขึ้นเล็กๆ และมองพี่เปอร์ที่ทำหน้าอมยิ้มอย่างได้ใจ

 แต่แล้วดนตรีและเสียงเพลงที่กำลังบรรเลงก็เงียบลง ผมหยุดสนใจคนที่ฉวยโอกาสตรงหน้า และมองนักดนตรีหมาป่าที่วางกีตาร์ลง ทั้งๆ ที่เพลงยังไม่จบ

 ผู้คนรอบด้านล้วนงงงวยแต่ก็เริ่มกระจายกันเดินออกไป ราวกับการแสดงตรงหน้าได้จบลงแล้ว ผมมองแผ่นหลังของนักดนตรีคนนั้น ที่ค่อยๆ เดินออกไปเช่นกัน ราวกับเขา ไม่อยากที่จะแสดงมันอีกต่อไป



 ในอีกสองวันถัดมา วันนี้เป็นวันที่ทำให้ผมตื่นเต้นเหลือเกิน ผมออกจากบ้านแต่เช้า เดินซื้อหาของขวัญที่จะทำให้พี่เปอร์ประหลาดใจ และในที่สุดผมก็เจอถุงมือคู่หนึ่ง ที่น่าจะดูเหมาะกับพี่เขาที่ชอบขี่รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ แต่จริงๆ แล้ว ของขวัญที่พี่เปอร์อยากได้ ผมรู้ดีแก่ใจ และก็แอบเตรียมไว้ด้วยเหมือนกัน ผมมันหน้าไม่อายจริงๆ

 "หน้าแดงขนาดนี้ เตรียมของขวัญอะไรไว้เหรอ" ราวกับถูกจับได้ ผมแทบเข่าอ่อนที่ถูกทักเข้าที่ด้านหลัง

"รู้ได้ไงว่าผมอยู่ที่นี่" ผมตาโตมองพี่เปอร์และรีบซ่อนกล่องของขวัญที่เป็นถุงมือไว้

 พี่เปอร์ในวันนี้อยู่ในชุดที่ต้องบอกว่าเท่สุดๆ ดูจากสายตาคนแถวนี้ที่มองจนแทบจะเหลียวหลัง ห้างสรรพสินค้าที่ผู้คนมากมาย ก็ไม่มีใครเด่นเท่าพี่เขาอีกแล้ว

 เสื้อยืดสีเทาด้านในคลุมด้วยเสื้อหนังตัวใหญ่ ขายาวๆ ที่เข้ากับกางเกงยีนสีเข้ม และรองเท้าหนังที่ดูจะใส่ยากเหลือเกิน

 "วันนี้ไม่แต่งหล่อไปเหรอ" ผมพูดแซวคนหล่อที่เหมือนหลงตัวเองอยู่เนืองๆ

 "มาเดท จะไม่หล่อได้ไง" ผมหัวเราะเหอะๆ ออกมาและเดินหนีคนหน้าไม่อาย แต่ทว่าวันนี้ก็ถือเป็นวันที่ผมอารมณ์ดีมากๆ

 พวกเราแวะกินอาหารญี่ปุ่นร้านหรูเป็นมื้อกลางวัน ผมพยายามแย่งจ่ายทุกอย่างเท่าที่เป็นไปได้ เพราะผมอยากที่จะเลี้ยงพี่เขาบ้าง แต่นั่นก็ไม่เคยทำได้เลยจริงๆ สักที

 และเมื่อช่วงบ่ายมีเวลาว่าง ผมที่ไม่รู้จะไปไหนก็ให้พี่เปอร์เป็นคนตัดสินใจ

 และพวกเราก็จบลงที่สวนสนุกแห่งหนึ่ง ดีที่วันนี้พี่เปอร์เอารถยนต์มา ทำให้ผมไม่ต้องลุ้นหัวใจจะวายไปกับบิ๊กไบค์คันใหญ่นั่น

 "เพิ่งรู้ว่ามีสวนสนุกที่นี่ด้วย"

 "ที่นี่เก่าแล้ว พี่ไม่ได้มาสักสิบปีได้แล้ว" พวกเราพากันเดินเข้าไปที่ช่องจำหน่ายบัตร และแน่นอน ผมก็ไม่ได้จ่ายอีกตามเคย

 ภายในสวนสนุกถึงแม้จะเก่า แต่ก็กว้างขวางมาก ดีที่วันนี้ไม่ได้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ผู้คนเลยมีไม่มากนัก

 พวกเราเดินไปเรื่อยๆ และสะดุดตากับรถไฟเหาะอันใหญ่ ผมสนใจทันทีและพยายามจะลากพี่เปอร์ไปขึ้น ซึ่งพี่เขาก็ตามใจผมทุกอย่าง แต่ดูเหมือนสีหน้าของพี่เขาจะเริ่มซีดขึ้นทุกทีที่รถไฟไต่สูงขึ้นไป

 "พี่ไม่เป็นไรนะ!" ผมมองพี่เปอร์ที่ส่งยิ้มหวาน แต่เมื่อรถไฟค่อยๆ พุ่งต่ำลง เสียงโหวกเหวกโวยวายก็มาจากพี่เขาดังกว่าใครเพื่อน

 "ทำไมไม่บอกว่าพี่ไม่อยากเล่น" เมื่อลงมาที่พื้นแล้ว ผมก็ซื้อน้ำให้พี่เขาที่ดูจะไม่ไหว

 "อย่าไปบอกใครนะ พี่อายเขา" ผมพยายามกลั้นหัวเราะด้วยความสงสาร แต่ก็อดขำไม่ได้จริงๆ

 "ไป ไปเล่นกันต่อนะ" ผมดึงแขนพี่เปอร์ให้ลุกขึ้นและลากให้พี่เขาเข้าไปเล่นในที่ต่อไป ผมไม่ได้ใจร้ายมากขนาดที่จะให้เล่นเครื่องเล่นหวาดเสียวต่อ แต่ที่นี่ก็แค่บ้านผีสิงนั่นเอง

 "อินไม่กลัวเหรอ" พี่เปอร์ถาม ซึ่งแน่นอนว่าผมส่ายหัวไปมาทันที

 "โธ่ สวรรค์" พี่เปอร์บ่นอิดออดด้วยสีหน้าผิดหวัง แต่ว่านะไอ้ที่ผมส่ายหัวน่ะ ไม่ใช่ว่าผมไม่กลัว แต่ผมไม่รู้ต่างหาก

 ภายในก็เป็นอย่างที่ผมคาดเดาได้ มีทางเดินเล็กๆ และมืดสลัวนำเราให้เข้าไปสู่ใจกลาง ผมรู้สึกโล่งใจเล็กๆ ที่เหล่าภูติผีนั้นเป็นเพียงของประดับที่ตกแต่งอยู่ด้านข้าง เสียงเอฟเฟ็คดังสนั่นเป็นช่วงๆ ทำให้ผมตกใจเล็กน้อย

 สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ผมกลัวแต่อย่างใด แต่ว่าความมืดและแคบแบบนี้ ก็ทำเอาผมอกสั่นขวัญแขวนไม่น้อย

 "กอดแขนพี่เลยก็ได้" คนที่เริ่มรู้ว่าผมกลัวก็ได้ทีเสนอสิ่งเหล่านี้ให้ แต่ก็นะ นานๆ ทีถ้าแค่นี้จะยอมก็ได้ ผมกอดแขนคนข้างๆ ทันทีอย่างจงใจ นี่ก็เป็นช่วงเวลาๆ ดีๆ ของเราสองคนเหมือนกัน

 กรี๊ดดดด~

 เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ผมตกใจ เสียงฝีเท้าที่ดูรีบเร่งดังขึ้นและดูเหมือนจะใกล้เข้ามา และในช่วงนาทีนั้น ผมรู้สึกว่าผมถูกชนอย่างแรงจนล้มลงไปข้างๆ และพี่เปอร์ก็เหมือนจะถูกชนไปอีกทางเช่นกัน

 ผมหกล้มและพยายามที่จะลุก แต่ตรงนี้ก็มืดเกินไปจนผมต้องค่อยๆ เกาะแกะผนังใกล้ๆ เพื่อลุกขึ้นมา และก็ยังดีที่โชคเข้าข้าง มือมือหนึ่งดึงแขนผมให้ลุกขึ้น พี่เปอร์ก็ไม่ได้หลงไปไกลนี่เอง

 "เจ็บแฮะ" ผมบ่นเบาๆ และก้มลงปัดเข่าตัวเองในความมืด มือข้างหนึ่งประสานกับมือใหญ่ของคนข้างๆ ไว้

 ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนนี้ สิ่งที่อยากทำที่สุดก็คือออกไปจากตรงนี้ ออกไปจากบ้านผีสิงนี่

 "รีบออกไปกันเถอะ" ผมพูดเบาๆ และประสานมือคนข้างๆ ไว้แน่น

 ผมเดินอย่างระมัดระวัง สายตามองที่เท้าของตัวเองเท่านั้น และดูเหมือนพี่เปอร์ก็คิดเช่นกัน พี่เขาเดินก้าวเท้าไวตามผม แต่ก็คอยฉุดดึงไม่ให้ผมล้มลงไป

 บางเส้นทางที่มีคนพยายามเดินผ่านเราไป พี่เขาก็คอยกันผม ปกป้องผม ไม่ให้ถูกชนจนล้มอีก เดินไปเดินมาไม่รู้ทำไมตัวผมถึงรู้สึกร้อนแปลกๆ ทั้งเขินทั้งรู้สึกดี ไม่รู้ว่าพี่เขาจะแสนดีขนาดนี้

 "ตรงนั้นทางออกแล้ว" ผมรู้สึกดีใจที่เห็นแสงสว่างรำไรอยู่ตรงหน้า ผมเริ่มก้าวเท้าเร็วขึ้นและคิดแต่จะพุ่งออกไปท่าเดียว แต่เมื่อใกล้จะออกประตูแล้วนั้น ผมก็รู้สึกว่ามือที่เกาะกุมกันไว้ค่อยๆ คลายออก หลังของผมถูกผลักเบาๆ ให้หลุดพ้นจากความมืดออกไป

ผมรู้สึกมึนงงที่มีแค่ตัวผมที่ออกมาด้านนอก ผมรีบหันหลังกลับไป แต่ก็ไม่พบใครที่ตามออกมา ทำไมล่ะ ทำไมพี่เปอร์ถึง...

 "อิน อยู่นี่เอง พี่ตามหาซะทั่ว" ผมชะงักเมื่อมองเห็นพี่เปอร์วิ่งเข้ามาหา แต่ว่าไม่ใช่จากทางออกของบ้านผีสิง ราวกับพี่เขาออกมารอด้านนอกนานแล้ว

 ผมนิ่งอึ้งไม่รู้จะพูดอะไร รีบหันหลังกลับไปมองทางออกบ้านผีสิงอีกครั้ง

 "ผม หลงทาง" ผมพูดตะกุกตะกัก รู้สึกเริ่มอับอายเมื่อคิดว่าตลอดเส้นทาง ผมเดินจับมือและกอดใครก็ไม่รู้ไปหลายที

 "พี่เปอร์ พี่ว่าในนั้นจะมีพนักงานคอยช่วยคนที่เข้าไปอยู่ไหม" ผมถามพี่เปอร์เบาๆ ด้วยสีหน้าที่ไม่แน่ใจ

 "ก็ต้องมีสิ พี่ก็มีคนพาออกมา" ผมถอนหายใจเล็กๆ แบบนี้นี่เอง

 แต่ว่า...พนักงานคนนั้น มีกลิ่นที่ผมรู้สึกคุ้นเคยเหลือเกิน

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เมื่อไรจะถึงบทเฉลยว่า  นักดนตรีหน้ากากหมาป่า คนดูแลอินขณะที่หลงทางในบ้านผีสิง คือ อิพี่หมอก นะ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จำได้ยัง ว่ากลิ่นใคร  :hao3:

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
อินเอ้ยยยย แสดงว่ายังไม่ลืม
ถ้าเป็นอย่างนี้เปอร์จะน่าสงสารนะ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ไม่รู้จะสงสารใครดี

ออฟไลน์ Gloomy Sunday

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-3
    • Fanpage : Gloomy Sunday Tk.
เพ้อ บทที่ 42 สิ่งที่ตั้งใจมอบให้


หลังหลุดจากบ้านผีสิง พวกเราก็มานั่งเล่นในโซนขายอาหาร ซื้อของมานั่งกินเล่นกัน บรรยากาศที่นี่นั้นก็ดีเหลือเกิน มีต้นไม้มากมายกว่าที่คิด ทำให้ดูร่มรื่นและอากาศถ่ายเท เหมาะจะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจมาก

 "อินนั่งเล่นอยู่ตรงนี้ก่อนนะ พี่ขอตัวไปห้องน้ำหน่อย"

 "ครับ" ผมตอบรับพี่เปอร์ที่ดูหงุดหงิดเล็กๆ

 ตั้งแต่ที่ออกมาจากบ้านผีสิง พี่เปอร์ก็ดูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เหมือนกำลังกังวลหรือคิดอะไรในใจ ซึ่งเมื่อพี่เขาไม่บอกผม ผมก็ไม่รู้ว่าควรจะถามดีไหม

 เวลาผ่านไปสักพัก ผมชะเง้อคอรอพี่เปอร์ที่ยังไม่กลับมาด้วยความสงสัย ถ้าเป็นแบบนี้ ผมไปเดินเล่นแถวๆ นี้ก่อนดีกว่า ว่าแล้วก็กดมือถือส่งข้อความสั้นๆ ไปให้พี่เขา ว่าผมจะเดินไปที่ตึกใหญ่ใกล้ๆ นี่ก่อน แล้วค่อยให้พี่เปอร์เดินตามมา

 ตึกใหญ่ที่ผมบอกพี่เปอร์ก็คือพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงสัตว์ต่างๆ ผมเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ อ่านป้ายข้อมูลและดูหน้าตาของสัตว์เหล่านั้น ผมจะเดินอ้อยอิ่งเล็กน้อยถ้าสัตว์พวกนั้นเป็นสัตว์เล็กๆ น่ารัก หรือหมาป่าตัวใหญ่ ซึ่งผมชอบมากจริงๆ

 ความเงียบสงบทำให้ตาของผมเริ่มหรี่ปรือทั้งๆ ที่ยังคงเดินอยู่ ผมมองเห็นคู่รักใกล้ๆ ที่กำลังชี้ชวนกันให้ดูปลาตัวใหญ่ที่กำลังแหวกว่าย ผมเดินมาไกล มาจนจะสุดพิพิธภัณฑ์แล้ว แต่ว่าทำไมพี่เปอร์ยังไม่มาอีกนะ

 "เมื่อกี้เหมือนเห็นดาราด้วยนะ"

 "ใช่เหรอ"

 "คิดว่าน่าจะใช่"

 ผมสะดุ้งเล็กน้อยกับคำพูดนั้น แต่พวกเขาก็ไม่ได้หันมามองผม แบบนี้คงไม่ใช่ผมหรอก แหม ยังไม่ทันดังเลยจะเป็นผมได้ไง แต่ว่า ใครกันนะ ที่พวกเขาพูดถึง

 ผมเหลือบตามองคู่รักคู่นั้น ที่กำลังเดินดูเหล่าตู้ปลาใกล้ๆ ทางเดินบริเวณนี้ก็คงมีเพียงแค่ผมกับพวกเขาเท่านั้น ผมว่าผมควรจะออกไปได้แล้ว...

 เท้าของผมหยุดชะงักเมื่อกำลังจะก้าวหาทางออก หางตาของผมเหมือนกับเห็นคนคนหนึ่งเดินผ่านไป ผมรีบเดินตามสิ่งที่ผมเห็น แต่ว่าก็กลับพบเพียงทางเดินที่ว่างเปล่าเท่านั้น

 "อิน" เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ผมละสายตาออกจากทางเดินตรงหน้า ผมมองพี่เปอร์ที่กำลังหอบน้อยๆ และส่งสายตารู้สึกผิดมาให้ผม

 "พี่ขอโทษนะ พอดีพี่ติดคุยธุระ เลยหายไปนานเลย"

 "ไม่เป็นไรครับ เรากลับกันเถอะ" ผมยิ้มบอกพี่เปอร์ว่าผมไม่เป็นไร และพากันเดินออกไปจากพิพิธภัณฑ์

 แต่ถึงอย่างนั้น ภายในใจก็ยังคงคิดไม่ตกกับภาพที่เห็นเมื่อกี้ คงจะเป็นคนที่ดูคล้ายละมั้ง เพราะผมไม่ได้เห็นเขานานแล้ว

 "อิน เราไปนั่งรถไฟเล่นกัน" ผมมองคนข้างๆ ที่กำลังจูงมือผมไปยังอีกทิศทางหนึ่ง

 "พี่ยังไม่เข็ดอีกเหรอ" ผมถามพลางเริ่มยิ้มได้

 "ไม่ใช่อันนั้น" พี่เปอร์ส่ายหัวและพาผมมาอีกที่ รถไฟที่พี่เปอร์พูดถึงนั้นก็คือรถไฟจริงๆ แต่มันเป็นรถไฟเล็กๆ ที่วิ่งผ่านทั่วสวนสนุก มีไว้ให้นั่งเล่นชมวิวสองข้างทางเท่านั้น

 "โธ่ นึกว่าจะแน่"

 "เอาเถอะ พี่ยอมแพ้" ในเมื่อแกล้งไปก็เท่านั้น ผมนั่งลงที่บนเก้าอี้เล็กๆ ที่หันหน้าชนกัน ในตู้รถไฟก็คับแคบเหลือเกิน พอพี่เปอร์นั่งอยู่ตรงข้ามผม ก็แทบจะเข่าเกยกันทีเดียว

 "บรรยากาศดีเนอะ" พี่เปอร์พูดพลางส่งยิ้มหวาน ผมหลบสายตาพลางมองไปยังวิวด้านนอก รถไฟทั้งขบวนเริ่มแล่นออกไปช้าๆ ช้าแบบที่ว่า เดินตามก็ยังทัน

 "ใกล้จะมืดแล้ว" ผมพูดและรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กๆ ทั้งเขินสายตาที่ถูกมองมา แล้วก็ตอนนี้ ผมคิดว่าเป็นเวลาที่เหมาะทีเดียว

 "พี่เปอร์" ผมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายข้างของผม และนำกล่องของขวัญสีเงินที่มีริบบิ้นสีแดงออกมา

 "สุขสันต์วันเกิดนะครับ" ผมยื่นของขวัญนั้นให้คนตรงหน้า  สบตาตรงๆ ให้บอกถึงความตั้งใจ

 "ว้าว ขอบคุณนะ" คนตรงหน้ารับของขวัญนั้นไว้ และรีบแกะออกทันที

 "เอ่อ พี่จะเอาไปแกะที่บ้านก็ได้..."

 "แกะตรงนี้แหละ ของขวัญชิ้นแรกจากอิน พี่รอไม่ไหวหรอก" พอฟังมาถึงตรงนี้ ผมก็รู้สึกผิดมากมาย ผมมองพี่เปอร์ที่เหมือนเด็กน้อย พี่เขากำลังแกะของขวัญเหมือนดีใจจริงๆ ที่ได้รับมัน

 "โห เท่มาก อันเก่าของพี่มันขาดพอดี" ผมอมยิ้มมองพี่เปอร์สวมถุงมือสีดำที่ผมซื้อให้ รู้สึกเขินเหมือนกันแฮะ

 "ขอโทษนะครับ ถ้ามันเป็นแค่ของเล็กน้อย" ผมพูดด้วยรอยยิ้มเจื่อน

 "ไม่เลย พี่ดีใจมาก ขอบคุณนะอิน พี่จะเก็บรักษาอย่างดีเลย" ผมหัวใจเต้นตึกตัก ผมจะบอกพี่เปอร์ดีไหมนะ ว่าความจริงแล้ว ผมยังมีของขวัญอีกชิ้นที่จะให้พี่เขา

 "คือ..." ผมอึกอัก บีบมือตัวเองไปมาด้วยความประหม่า จะบ้าหรือไงกัน ใครเขาจะพูดเรื่องแบบนั้นออกมาเฉยๆ ล่ะ

 บรรยากาศรอบตัวก็เหมือนเป็นใจให้ ตอนนี้สองข้างทางมีแต่สวนหย่อมและอีกฟากก็มีแต่ต้นไม้ ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ตกไปแล้ว ทำให้บางช่วงมืดบางช่วงสว่างด้วยแสงไฟ

ผมยังคงประหม่า มองหลบสายตาที่เป็นประกายของคนตรงหน้า พวกเราใกล้ชิดกันมากเหลือเกิน และไม่รู้ทำไม เหมือนยิ่งนั่งรถไฟนี้มาไกลเท่าไหร่ ผมก็ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงมากขึ้นเท่านั้น

 "อิน" เสียงเรียกนี้เหมือนเป็นสัญญาณบางอย่างที่บอกว่ากำลังจะเริ่ม ผมละสายตาจากพื้น สบเข้ากับดวงตาคมของคนตรงหน้า รอยยิ้มที่ผมมองเห็นเสมอ กำลังขยับเข้ามาใกล้

 ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงจะหลบและผลักคนตรงหน้าออกไป แต่ว่าตอนนี้ ผมจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว ผมบอกตัวเองว่าผมจะเปิดใจ และนี่ก็เป็นขั้นแรกของทั้งหมดเท่านั้นเอง

 สัมผัสที่อบอุ่นเริ่มแผ่ซ่านตราตรึงที่ริมฝีปาก นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราแนบประสานกันอย่างลึกซึ้ง เมื่อไม่มีการดื้อดึงขัดขืน คนตรงหน้าจึงรีบฉวยโอกาสนั้น กดริมฝีปากเข้ามามากขึ้น เอียงใบหน้าให้ตัวเองลุกล้ำเข้ามาได้มากกว่าเดิม

 รอยแยกที่เคยปิดสนิท เริ่มถูกลุกล้ำด้วยลิ้นอุ่นที่ดูจะกระตือรือร้นมากกว่าที่คาด จากสัมผัสเนิบนาบ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นแรงดึงดูดที่ราวกับถูกขย้ำ ลมหายใจแปรปรวนจนแทบจะอยากผละออกไป แต่ว่าเมื่อเป็นแบบนั้น คนตรงหน้าก็ราวกับจะพันธนาการไว้ ไม่ยอมพราก ไม่ยอมจาก จนผมต้องทุบอกประท้วงบอกว่าพอได้แล้ว

 "พี่จะฆ่าผมหรือไง" ผมพูดออกไปทันทีเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระ พยายามหายใจเข้าปอดให้ได้มากที่สุด เหมือนคนกำลังจะจมน้ำตาย

 แต่ที่น่าประหลาดใจกว่านั้น ก็คือคนตรงหน้าที่กำลังยิ้มออกมาอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกกลัวแปลกๆ แต่รอยยิ้มนั้นก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นการหัวเราะเบาๆ

 "ขอโทษ" คำขอโทษนั้นดูไม่จริงใจนัก "ปากอินหวานจัง"

 ผมเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ เหมือนคนคนนี้จะบ้าไปแล้ว

 "ขออีกทีได้ไหม" ไม่พูดเปล่า พี่เปอร์ยื่นหน้าเข้ามาและจับล็อกแก้มผมพร้อมจะโจมตีอีก

 "แม่ครับ! รถไฟ!" เหมือนสภาพแวดล้อมจะช่วยผมเอาไว้ ตอนนี้รถไฟค่อยๆ แล่นเข้าไปในที่ที่มีคนอยู่ ทำให้ผมหลุดพ้นจากการปล้นจูบไปจนได้

 "พวกเรากลับกันเถอะ" ผมโล่งใจที่ในที่สุดก็ลงจากรถไฟ ผมเดินตามพี่เปอร์ที่ดูจะเดินรวดเร็วขึ้น กระตือรือร้นที่จะกลับมากกว่าปกติ

 เมื่อพวกเราขึ้นรถกันแล้ว ก็เริ่มออกเดินทางเพื่อจะไปที่ไหนสักแห่ง ในตอนแรก ผมก็คิดว่าพี่เปอร์จะพาผมไปส่งที่บ้าน แต่พอนั่งไปสักพัก ก็เพิ่งรู้ว่าเส้นทางไม่ใช่อย่างที่คิด

 "เราจะไปไหนกันเหรอครับ" ผมถามพี่เปอร์ที่กำลังขับรถฮัมเพลงสบายใจ

 "อินอยากไปไหนล่ะ"

 "ตอนนี้ก็เริ่มค่ำแล้ว แม่คงรอผม..." แต่เมื่อไม่ทันจะพูดจบ ผมเหลือบมองดูพี่เปอร์ที่ชักสีหน้าเล็กๆ แต่ก็กลับมายิ้มแย้มอย่างรวดเร็ว

 "พี่ขอโทษนะ พี่รู้ว่ายังไงอินก็ยังไม่หายกลัวพี่ พี่เข้าใจดี" การตัดพ้อทำนองนี้ เป็นนิสัยปกติของพี่เปอร์ที่กำลังน้อยใจ ผมอมยิ้มเล็กๆ อย่างเข้าใจดี เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ผมรู้ว่าพี่เขาหวังอะไร แต่ผมก็แค่ อยากจะเซอร์ไพรส์พี่เขา ผมยังไม่อยากให้เขารู้ว่าผมจะไปหาพี่เขาอีกทีคืนนี้

 "ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ ผมไม่ได้กลัว แต่ว่าผมไม่ได้บอกแม่ว่าคืนนี้จะค้างที่อื่น"

 "โทรไปสิ ยืมโทรศัพท์พี่ก็ได้" ผมมองโทรศัพท์ของพี่เปอร์ที่ถูกยื่นมาให้จริงๆ ทำยังไงล่ะอินทีนี้

 "งั้น ก็ได้ครับ" ผมเหลือบมองดูพี่เปอร์ที่ถึงแม้จะมองไปข้างหน้า แต่ก็ปกปิดความตื่นเต้นไม่ได้

 ผมค่อยๆ กดเบอร์โทรศัพท์ของแม่และโทรออก ในหัวใจของผมเต้นรัวไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย เสียงสัญญาณรอสายยังคงดังอยู่ เมื่อผมโทรและรอจนสายตัดไป

 "แม่ไม่รับสาย" ผมพูดเบาๆ และเหลือบมองพี่เปอร์ ผมไม่รู้ว่าพี่เขาจะหงุดหงิดไหม

 "โทรอีกสิ โทรจนกว่าจะรับ" ที่จริงแล้ว ผมนั้นรู้ดีว่าปลายสายยากที่จะรับ ผมจงใจใช้เบอร์ของพี่เปอร์โทรเข้าไป ผมรู้ดีว่าแม่จะไม่รับสายแปลกๆ จนกว่าสายนั้นจะโทรเข้าไปสักสามสาย ผมคอยบอกแม่ไว้แบบนั้น เพราะแม่แก่แล้ว ชอบมีพวกหลอกลวงมากมายไว้ใจไม่ได้

 และในที่สุด ผมก็โทรไปอีกสองสามครั้ง และโชคดีเหลือเกินว่าแม่ไม่ได้รับจริงๆ

 "ขอโทษนะครับ แต่ผมกลับดีกว่า" ผมพูดเมื่อกดวางสายสุดท้ายและคืนโทรศัพท์ให้พี่เปอร์ไป

 สีหน้าของพี่เปอร์ดูเย็นชาสลับกับถอนหายใจถี่ แต่ถึงยังนั้นก็ยังไม่ยอมพูดอะไร พี่เขาคงโกรธผมมากๆ แต่ว่าไม่เป็นไร เอาไว้ผมแอบไปหาพี่เขาตอนดึกๆ แล้วขอโทษก็แล้วกัน

 เมื่อมาถึงหน้าบ้านแล้ว ผมยังคงไม่ได้ลงจากรถ แต่มองพี่เปอร์ที่ยังคงนิ่งเงียบ น่าสงสารเหมือนกันนะที่ต้องทำแบบนี้ หรือว่าจะให้อะไรเล็กๆ น้อยๆ ดี

"ขอบคุณนะครับที่มาส่ง" ผมพูดออกไป แต่พี่เปอร์ก็ยังคงไม่ตอบสนองผม แบบนี้งอนหนักแน่ๆ

"พี่เปอร์ มองผมหน่อย" ผมทำน้ำเสียงออดอ้อน ซึ่งพี่เปอร์ก็เริ่มคิ้วกระตุกเล็กๆ เหมือนพยายามอดใจไม่ให้ใจอ่อน

 และเมื่อเป็นแบบนั้น ผมมองไปที่หน้ารถ และพบว่าทางสะดวกดี ผมเรียกพี่เปอร์อีกครั้งเบาๆ และก็ดูเหมือนจะเข้าทาง ครั้งสุดท้ายนี้พี่เขายอมหันมาจนได้ และเมื่อเป็นแบบนั้น ผมก็ยื่นหน้าเข้าไปขโมยจูบอย่างรวดเร็ว ไม่ให้พี่เขาได้ตั้งตัว

 "แล้วเจอกันครับ" ผมใช้ความไวรีบลงจากรถ ก่อนที่คนขับจะตะครุบผมไว้ได้ทัน ผมรีบวิ่งแจ้นกลับเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว และแอบมองพี่เปอร์ที่ยังคงนั่งมึนอยู่บนรถ เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น แบบนี้ก็น่ารักดีเหมือนกันนะ

 "ฟู่วว เอาล่ะ รอสัก 5 ทุ่มละกัน" ผมเงยหน้ามองพระจันทร์บนท้องฟ้า เดินไปนั่งรอเวลาที่ในสวนมืดๆ

 ในใจของผมยังคงมีความลังเลเล็กน้อย แต่ว่าผมก็สงสารพี่เปอร์ที่ต้องรอคอยผมมานานเหลือเกิน ไม่ใช่ว่าในใจของผมไม่มีพี่เขา ความดี และความใส่ใจนั้นผมรับรู้ได้ และมันทำให้ผมได้ตัดสินใจ

 การมีคนที่รักเราแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น ไม่รู้สึกว่าตัวเองอ้างว้าง พวกเราสองคนเข้ากันได้ดี พี่เปอร์ก็เป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่ง จะมีความต้องการแบบนั้น มันก็ไม่ได้ผิดอะไร ขอเพียงแค่ พี่เขารักผมจริงๆ และจริงใจกับผมเหมือนที่ผ่านมา

 ผมต้องการแค่นี้ ถ้าพี่ทำได้ ผมก็จะมอบหัวใจทั้งดวงนี้ ให้พี่ได้เก็บรักษาต่อไป

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
อิเปอร์ต้องโป๊ะแน่ๆงานนี้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ให้ป้านั่งรอเป็นเพื่อนไหม หนูอิน   :katai3:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ต้องมีสักคนแหละที่ถูกเซอร์ไพรส์

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
ไม่ใช่ไปหาเปอร์แล้วเด็กเปอร์เต็มห้องเลยนะ

ออฟไลน์ Pawana

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ผมเป็นเด็กข้างบ้านพี่เปอร์. วันเกิดพี่เปอร์ต้องอยู่กะผมดิ. ก็ผมรักพี่เปอร์ก็ผมสำคัญอะ ถ้าไม่สำคัญตามพี่มาทีไรพี่ก็มาทุกที
เซอร์ไพรส.  แบบนี้ปะคะ. แฮ่ะๆ เดาๆ

ออฟไลน์ Gloomy Sunday

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-3
    • Fanpage : Gloomy Sunday Tk.
เพ้อ บทที่ 43 ครั้งแล้ว ครั้งเล่า


หลังจากบอกแม่ว่าจะไปนอนค้างบ้านเพื่อน ผมก็โบกแท็กซี่ที่หน้าบ้านและนั่งรถต่อไปด้วยใจที่ตื่นเต้นอยู่ในอก

 ความจริงแล้ว ผมไม่เคยไปคอนโดของพี่เปอร์เลย ไม่เคยเลยสักครั้ง แต่ว่าเมื่อประมาณเดือนก่อน ผมได้มีโอกาสเจอกับพี่คนหนึ่งในมหา'ลัย ผมจำได้ว่าพี่เขาเคยเดินคู่กับพี่เปอร์บ่อยๆ ผมจึงลองถามดู และก็โชคดีมาก ที่พี่เขารู้ที่อยู่ของพี่เปอร์ ทำให้ผมมีโอกาสได้ไปเซอร์ไพรส์พี่เขาในวันนี้

 แต่เมื่อนั่งมาสักพักผมก็เริ่มวิตกกังวลอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา ถ้าหากว่าพี่เขายังไม่กลับล่ะ ถ้าพี่เขาไม่ได้อยู่ที่ห้อง แต่ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนเนื่องในวันเกิด

 เฮ้อ พอคิดได้แบบนี้ก็อยากจะเขกกะโหลกตัวเอง สายบันเทิงแบบพี่เปอร์มีหวังกลับเช้าล่ะมั้ง สงสัยจะมาเสียเที่ยวซะแล้วไหมอิน

 เมื่อคิดไปคิดมารถก็จอดลงพอดี ผมลงจากรถแท็กซี่ และแหงนหน้ามองดูคอนโดหรูหราตรงหน้า คอนโดแห่งนี้เป็นตึกสูง มีรถรามากมายจอดเป็นระเบียบอยู่ด้านหน้า และพอกวาดตาไปมาก็บังเอิญเจอเข้าพอดีกับรถสปอร์ตคันหรู คันที่ผมจำได้ดีว่าเป็นของพี่เปอร์

 ด้วยความดีใจที่คิดว่าไม่ได้มาเสียเที่ยว แผนต่อไปของผมนั้นก็คือการหาซื้อเค้กที่ไม่ต้องหรูหราอลังการอะไรนักหอบหิ้วขึ้นไปด้วย ถ้าไปตัวเปล่ามันจะดูจงใจเกินไป

 ผมหน้าแดงน้อยๆ ขณะถือถุงที่มีเค้กกล่องเล็กๆ ไว้ในมือ ตอนนี้พร้อมแล้วที่จะขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นเกือบบนสุด ดีนะที่เพื่อนพี่เปอร์คนนั้นบอกละเอียดมาก ถ้าให้ต้องมาตามหาทีละชั้นก็คงจะเช้ากันพอดี

 และไม่นานนัก ในที่สุดผมก็ออกมาจากลิฟต์เมื่อถึงจุดหมาย ผมเลี้ยวซ้ายและเดินไปที่เกือบสุดทางเดิน ไปยังห้องที่เป็นหมายเลขของพี่เปอร์

 มือผมในตอนนี้ยังคงกำถุงหิ้วไว้แน่น พร้อมๆ กับกระชับกระเป๋าสะพายบนไหล่ไว้ ยืนทำใจที่จะเคาะประตู จะทำหน้ายังไงดีนะ จะพูดว่ายังไงดี พี่เปอร์จะทำหน้าแบบไหนกันนะถ้าได้เห็นผม พอคิดแบบนั้นก็เกือบหลุดขำออกมา คงจะเป็นอะไรที่ช็อคมากสำหรับพี่เขาแน่ๆ

 เมื่อคิดว่าทำใจนานเกินไปแล้ว ผมก็เริ่มที่จะขยับตัวก้าวไปข้างหน้าให้ใกล้ประตูมากขึ้น ผมเงยหน้ามองประตูไม้ขัดเงาสีดำบานใหญ่ เอาล่ะ ผมทำได้ ก็แค่เคาะประตู และรอให้แฟนของผมออกมา

 ผมยิ้มและยื่นมือออกไป เตรียมพร้อมที่จะเคาะเรียกคนที่อยู่ในห้อง แต่ว่าเมื่อยิ่งเข้าใกล้ประตูมากขึ้นเท่าไหร่

 เสียงที่ดังอยู่ภายในนั้น ก็ทำให้มือที่ยกค้าง ค้างเอาไว้แบบนั้น...

 "พี่เปอร์ อึกก มันเจ็บนะ จะโมโห..อะไรนักหนา" ผมยืนอยู่ตรงนั้น รอยยิ้มที่เคยมีเริ่มจางหาย เสียงที่ได้ยินในห้อง ไม่ใช่เสียงของพี่เปอร์ที่ผมรู้จัก แต่เป็นเสียงของผู้ชายอีกคนหนึ่ง เป็นเสียงที่เล็กกว่า เหมือนว่าผมก็เคยได้ยินมาก่อน

 "หุบปาก! ทำหน้าที่ของมึงไป ใครให้มึงพูดมาก!!"

 "ก็เมื่อไหร่ อ๊ะ พี่จะเลิกโง่สักที พี่อินรัก..แต่พี่หมอก"

 "กูบอกว่าให้มึงเงียบ!!"

 "โอ๊ยย มันเจ็บนะพี่ ฮึก ทำไม ทำไมล่ะ ผมมาก่อนแท้ๆ" ผมหัวใจสั่นสะท้าน ข้าวของที่อยู่ในมือค่อยๆ ร่วงหล่นลงบนพื้น

 "อีกนิดเดียว อีกแค่นิดเดียว อินก็จะเป็นของกู และเมื่อถึงตอนนั้น มึงก็ไสหัวไป ได้ยินไหม!!" เสียงครวญครางผสมกับเสียงร้องไห้

 ทำไม เพราะอะไร ผมถึงต้องเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้อีก...

 "ก็แล้วยังไง ถ้าพี่อินไม่...ยอมให้พี่ทำ..พี่ก็ต้องมาลงกับผม..อยู่ดี..พี่..มันมักมาก!"

 เพี๊ยะ!

 เสียงฝ่ามือที่กระทบกับใบหน้าแรงมากซะจนทำให้ผมสะดุ้งเฮือก ความโหดร้ายที่ชายหนุ่มนั้นได้รับ มันทำให้ผมสั่นด้วยความกลัวและความโกรธ

 ผมใช้แรงที่มีอยู่ทั้งหมด เปิดประตูสีดำตรงหน้าเข้าไป และก็โชคดีเหลือเกินที่ประตูนั้น ดูเหมือนจะไม่ได้ถูกล็อกเอาไว้

 และเมื่อประตูเปิดออก ภาพตรงหน้าก็ทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนีทันที หยาดน้ำตาเล็กๆ ไหลออกจากดวงตา ความเจ็บปวดของการถูกหลอกก็ยังคงมีรสชาติเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้น้ำตาที่ไหลออกมา ก็แค่เพียงความโกรธเท่านั้น

 "อ..อิน อิน" ผมกำมือแน่นเบือนหน้าหนีคนที่แทบจะล้มลุกคลุกคลานเข้ามาหา ฟันกรามขบกันแน่น ตัวสั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 "ไม่อิน พี่...ฟังพี่ ฟังพี่ก่อน" ผมสลัดข้อมือที่ถูกจับไว้ของตัวเอง ผมขยะแขยงที่ถูกสัมผัสจากคนที่น่ารังเกียจ

 "พี่ขอโทษอิน พี่รักอิน พี่รักอินจริงๆ" คำพูดเหล่านั้นทำให้ผมหันมามอง แววตาของผมมีแต่ความผิดหวัง ผมอยากสำรอกกับคำพูดว่ารักนั้น

 "พวกเรา หายกันแล้วนะ" ผมพูดและแกะมือที่กำแน่นของพี่เปอร์ออกอีก "ผมกับพี่หมอก ก็เคยทำอะไรแบบนี้เหมือนกัน" คำพูดของผมทำให้พี่เปอร์ถึงกับหลั่งน้ำตา

 "เพราะงั้นแล้ว พวกเรา..." ผมปรายตามองมิว คนที่ผมเคยคิดว่าเป็นเพื่อน แต่คนพวกนี้ก็หลอกผม และทำร้ายผมเสมอมา

 "เลิกกันได้สักที"

 สิ้นสุดคำพูดของผม นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมตัดสินใจ มันจบแล้ว และนี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว จากนี้ไป ทั้งตัวและหัวใจของผมเป็นอิสระ พอคิดย้อนกลับไปก็น่าขำเหลือเกิน คนอย่างผม คนที่คิดอยากจะพักพิงหัวใจไว้กับใครสักคน สุดท้ายแล้ว ก็วนลูบมาพบแต่ความผิดหวัง

 ไม่มีหยาดน้ำตาอีกแล้ว ไม่มีสีหน้าที่บอกว่าโศกเศร้าหรือกำลังเสียใจ ผมหัวเราะ ให้กับโชคชะตาของผม หัวเราะให้กับความละเมอเพ้อฝัน โลกแห่งความเป็นจริงมันโหดร้าย และวันนี้ ผมได้รับรู้มันทั้งหมดแล้ว



 แทบไม่ต้องเดาสิ่งที่จะเกิดในวันต่อๆ ไป แต่ว่ามันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว ผมไม่ฟัง ไม่หยุดที่จะก้าวไปข้างหน้า ไม่ว่าพี่เปอร์จะพยายามพูดอะไร จะขอร้องผมแค่ไหน ทุกสิ่งที่ผมได้เห็น นั่นมันเพียงพอแล้ว ที่จะตัดขาด

 เป็นเวลาประมาณเกือบเดือน ที่ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้และถอยห่างออกไป ในหัวใจของผมในตอนนี้ ราวกับถูกปิดผนึกแน่นหนาเอาไว้ ผมเลิกคิดเกี่ยวกับความรัก และมุ่งหน้าต่อไปสู่ความฝันในอาชีพนักแสดง

 และในที่สุด โอกาสที่จะได้พิสูจน์ตัวเองก็ถูกเพิ่มเข้ามา ผมได้รับข่าว ผลของผู้ที่จะมารับบทนำในละครเรื่องหนึ่ง และในครั้งนี้ ผมได้ถูกรับเลือก

 ผมที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย ในที่สุดก็จะได้ทิ้งสิ่งเก่าๆ เหล่านั้น และกลายเป็นคนใหม่ ผมทุ่มเท ฝึกฝน สลัดทิ้งภาพลักษณ์เก่าๆ ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

 "เปิดกล้องวันแรก ไม่ต้องตื่นเต้นเกินไปนะ"

 ก็เป็นไปอย่างที่ผู้กำกับบอก ผมไม่ได้ตื่นเต้นกับสิ่งรอบตัวจนเกินไป เพราะผมรู้ว่าผมทำอะไรได้ ผมมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม และทำมันให้ดีก็เท่านั้น

 "ครับผม"

 "เราดูเปลี่ยนไปนะ พี่จำได้ว่าตอนอินแสดงเรื่องก่อนหน้านี้ไม่ได้หล่อขนาดนี้ นายเอกจะหล่อเกินหน้าพระเอกไม่ได้น้า"

 "ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ" พี่ในกองพูดล้อเล่นกับผม ซึ่งผมก็ได้แต่ยิ้มอย่างนอบน้อม รอเวลาที่พระเอกจะมาและแต่งหน้าทำผมเตรียมตัว ซึ่งวันนี้ซีนแรกจะเป็นซีนสำคัญซะด้วย แต่ว่าทำไมเขาถึงมาช้าจังนะ

 "คือ พี่ครับ พี่กรณ์ยังไม่มาเหรอ"

 ผมที่แต่งหน้าทำผมจนเสร็จก็ไม่เห็นพระเอกสักทีก็เริ่มที่จะร้อนใจ เพราะว่าก่อนที่จะถ่ายจริง ผมอยากที่จะซ้อมกับพี่เขาซะหน่อย พระเอกของผมในเรื่องนี้ เป็นนักแสดงใหม่เหมือนกับผม ซึ่งผมได้เจอเขาครั้งหนึ่งตอนที่มาแคสติ้ง ทั้งหล่อสูงและใจดี รู้สึกโชคดีจริงๆ ที่ได้คนที่คุยง่ายมาเล่นคู่ด้วย

 "อ้าวน้องอิน ยังไม่มีคนบอกเหรอคะ" ทุกคนที่กำลังทำงานอยู่ใกล้ๆ ต่างหน้าตาตื่นกับคำถามของผม

 "เมื่อวานน้องกรณ์ประสบอุบัติเหตุ ขาหักในเฝือก ดูน่าสงสารเชียวค่ะ"

 "นั่นสิ จะถ่ายละครพรุ่งนี้แล้วแท้ๆ ดันมาเกิดเรื่องแบบนี้ซะได้" ผมถึงกับหัวใจเต้นผิดจังหวะที่ได้ยินแบบนั้น

 "นี่มันเรื่องใหญ่ไม่ใช่เหรอครับ แล้วพี่เขาจะมาไหวเหรอ" ผมลุกลี้ลุกลนอยู่บนเก้าอี้ แล้วแบบนี้ จะถ่ายกันได้ยังไงกันล่ะ

 "น้องอินใจเย็นๆ คร่า เพราะว่าพวกเราหาคนมาแทนได้แล้ว" พอฟังมาถึงตอนนี้ผมก็ค่อยๆ ถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ว่าการหาคนมาแสดงแทนได้ในเวลาอันฉิวเฉียดแบบนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีเหลือเกิน

 "โชคดีจังเลยครับ ผมนึกว่าจะต้องยกเลิกซะแล้ว"

 "นั่นสิคะ ตอนแรกทุกคนก็คิดอย่างนั้น แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้คนนี้แทน" ผมเลิกคิ้วมองพี่ๆ ที่ดูกรี๊ดกร๊าดวี๊ดว๊าย ดูตื่นเต้นกับพระเอกที่มาแทนคนเดิม

 "เป็นคนดังเหรอครับ"

 "ดังสิคะ เล่นเป็นพระเอกมาหลายเรื่องแล้ว" พอได้ยินแบบนั้นผมก็รู้สึกตื่นเต้น เอาล่ะอิน โชคดีชะมัด แสดงนำเรื่องแรกก็ประกบคู่กับผู้มากประสบการณ์ซะแล้ว

 "หล่อมากกก ขาวมากก อย่างกับจุติลงมาจากสวรรค์" ผมมองเหล่าช่างแต่งหน้าร่างล่ำหัวใจสาวน้อย ที่ยิ่งพูดถึงพระเอกคนนี้ ก็ยิ่งกรี๊ดกร๊าดกันยกใหญ่ คงจะหล่อมากๆ เลยสินะ

 "แล้วสรุปว่า เขาคือใคร..." แต่แล้วคำถามของผมก็ถูกกลืนลงไป หัวใจที่ดูเหมือนตายไปแล้วของผม เริ่มเต้นรัวจนแทบสำลัก

 ผมรีบหันกลับไปยังหน้ากระจกตามเดิม กุมมือตัวเองไว้แน่นและเผลอจิกลงไปจนเป็นริ้ว ไม่จริง ไม่นะ ทำไมถึง...

 แต่ถึงแม้หัวใจจะตื่นตระหนกจนแทบทนไม่ไหว แต่สีหน้าของผมก็เริ่มราบเรียบตามที่ฝืนบังคับไว้ ผมจะไม่หวั่นไหว ผมจะไม่อ่อนแออีกแล้ว พี่ไม่มีอิทธิพลใดๆ กับผมอีกแล้ว

"ขอโทษที่มาสาย" ผมเหลือบมองคนคุ้นตาที่ก้มหัวให้บรรดาเหล่าทีมงาน พี่หมอกยังคงเป็นเหมือนเก่า สีหน้าราบเรียบคาดเดาความรู้สึกยาก สายตาพวกเราประสานกันเพียงเสี้ยววินาที ผ่านกระจกบานใหญ่ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น

 "นั่ง นั่งเลยค่ะ" พี่หมอกนั่งลงอย่างว่าง่ายบนเก้าอี้ข้างๆ ผม ไม่มีคำพูดอะไรมากกว่านั้น ไม่มีการทักทายราวกับไม่ได้รู้จักกัน

 ผมอมยิ้มเล็กๆ ด้วยความรู้สึกโล่งใจ ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ ที่พี่เป็นแบบนี้ พวกเราไม่ได้มีสิ่งใดต่อกันอีกแล้ว ไม่มีความรักที่แท้จริงมาตั้งแต่แรกแล้ว

 ขอบคุณพี่จริงๆ ที่ได้สอนให้ผม เติบโตขึ้นขนาดนี้

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เอาแล้วไง ใจหนูอินเป็นไงบ้างนะ  :hao5:

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
ประสบการณ์ทำให้เติบโตจริงๆ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ดีแล้วที่สลัดพี่เปอร์ออกไปได้ 

กะแล้วว่าอีนังมิวต้องมีซัมธิงกับพี่เปอร์

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
น้องใจแข็งแล้ว พี่หมอกน่าจะเจองานยากแล้ว

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Tassanee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอลมากติดตามค่ะรอตอนต่อไป

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
กลับตัวก็ไม่ได้
จะไปก็ไปไม่ถึง

..มัวแต่รั้งดึงกันอยู่อย่างนี้..
หุหุ

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ Gloomy Sunday

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-3
    • Fanpage : Gloomy Sunday Tk.
เพ้อ บทที่ 44 คำว่า'รัก'ที่แท้จริง


เมื่อแต่งหน้าแต่งตัวเตรียมพร้อมแล้ว ผมก็เริ่มที่จะอ่านบททบทวนอีกครั้ง ซึ่งพี่หมอกก็ไม่ได้ต่างจากผม พวกเรานั่งอยู่เงียบๆ ข้างๆ กัน ไม่มีคำถาม ไม่มีสายตาที่จะสื่อถ้อยคำใด แต่ว่าแบบนี้ มันอึดอัดเหลือเกิน ถ้ายังไงพวกเราก็ต้องทำงานร่วมกัน อย่างน้อย พวกเราก็ควรคุยกัน

 "จะลอง ต่อบทกันดูไหมครับ" ผมพูดขึ้นฝ่าความเงียบ สีหน้าเป็นธรรมชาติ น้ำเสียงก็เป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น

 "ไม่จำเป็น" คนพูดไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ ผมรู้สึกราวกับถูกตีหัว เป็นคนที่กวนประสาทเหมือนเดิมจริงๆ

 "ก็แล้วแต่นะ เพราะยังไงผมก็ไม่พลาดอยู่แล้ว" ผมพูดเหมือนพูดกับตัวเอง และหันเก้าอี้ไปให้ห่างจากคนไม่น่าคบ คนนิสัยเสีย เป็นคนยังไงก็ยังคงเป็นแบบนั้น น่าโมโหชะมัด

 "ได้เวลาแล้วค่ะ เซ็ตฉากพร้อมแล้ว" เมื่อได้ยินแบบนั้น ทั้งผมและพี่หมอกก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เตรียมตัวที่จะเริ่มถ่าย

 ทุกย่างก้าวที่เดินไปข้างหน้า ในหัวใจของผมสั่นไหวราวกับมีลมพายุ ไม่ว่าจะรักษาสีหน้าสักแค่ไหน แต่ความจริงที่ผมกำลังเผชิญนี้ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่ถูกลบล้างไป

 ผมเคยมีความฝัน ความฝันที่ผมเฝ้าแต่อธิษฐาน ให้ผมได้มีโอกาสนั้นสักครั้ง และวันนี้ความฝันของผมก็กลับกลายเป็นจริงขึ้นมาแล้ว มันเป็นเรื่องน่าตลกเหลือเกิน ผมไม่เคยคิดเลยว่า วันนี้จะมาถึงจริงๆ วันที่ผมได้แสดงคู่กับคนที่เคยเป็นโลกทั้งใบของผม คนที่ผมเคยรักหมดหัวใจ

 พวกเรามายืนกันที่ริมสระน้ำขนาดใหญ่ ในสวนที่สวยงามแห่งหนึ่ง ถึงแม้ว่าสถานที่จะสวยงามมาก แต่ว่าบทในวันนี้กลับตรงกันข้าม

 "เตรียมพร้อมนะครับนักแสดง" ผู้กำกับและทุกคนล้อมรอบเตรียมตัวให้สัญญาณ ผมทำสมาธิ เตรียมอารมณ์ให้เข้ากับบทที่ต้องขัดแย้ง ไอ้ฉากทะเลาะกันน่ะ ของถนัดนัก เพราะจริงๆ ผมก็พี่หมอก ครั้งสุดท้ายที่พวกเราจากกัน ก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว

 "3 2 1 แอคชั่น!"

 "ที่ลากผมมาที่นี่ ก็เพราะเรื่องนั้นใช่ไหม" สีหน้าของผมในตอนนี้คงหม่นหมองเศร้าสร้อย ผมหมดอาลัยตายอยาก เพราะว่าชายคนรักตรงหน้ากำลังนอกใจผม บทอะไรมันจะส่งขนาดนี้

 "พูดสิ พูดมาว่าพี่มีคนใหม่ พูดสิว่าพี่ไม่ได้ต้องการผมอีกแล้ว" เสียงของผมสั่นเครือ แต่น้ำตาก็ยังไม่ไหล ยังไม่ใช่ตอนนี้ ต้องรอจังหวะที่จะกระชากอารมณ์กว่านี้

 แต่เมื่อสายตาของผมประสานเข้ากับคนตรงหน้า ผมก็ต้องเกือบหลุดขมวดคิ้วน้อยๆ ด้วยความประหลาดใจ ผมไม่ได้จำบทผิดหน้าใช่ไหม เพราะว่าฉากนี้ ฉากที่ควรมีแต่สีหน้าโศกเศร้า แต่ว่าทำไม พี่หมอกถึง...

 "สบายดีไหม" ผมหลุดขมวดคิ้วจริงจัง ผู้กำกับเริ่มมองบทในมือด้วยสีหน้าสงสัยเช่นกัน

 "ยังคิดถึงพี่อยู่ไหม" ผมนิ่งชะงัก ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไป นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมพี่ถึง...

 "พี่คิดถึงอิน...พี่รักอิน"

 ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน น้ำตาสายหนึ่งไหลออกมาช้าๆ นี่ผม...กำลังฝันไปงั้นเหรอ

 "ขอโทษ ที่เพิ่งมาพูดตอนนี้ ตอนที่สายไปแล้ว" ผมพูดอะไรไม่ออก มองดูพี่หมอกที่ค่อยๆ ถอยหลัง และเดินออกไป

 ท่ามกลางความมึนงงของกองถ่ายที่นักแสดงนำกลับเล่นนอกบท ผมมองพี่หมอกที่เดินไปหาผู้กำกับ พูดอะไรสักอย่างและก้มลงเป็นเชิงขอโทษอย่างนอบน้อม และเดินจากไป



 "อ้าวอิน เป็นยังไงบ้างลูก ถ่ายวันแรกสนุกไหม" ในช่วงเย็นของวันนั้น ผมค่อยๆ เดินกลับมาช้าๆ ด้วยหัวใจที่ยังคงสับสน สิ่งที่ผมได้ยินมา มันเกินกว่าที่ผมจะรับไหว ผมไม่เข้าใจ ว่าถ้าหากสิ่งที่พี่หมอกพูดนั้นมันเป็นเรื่องจริง แล้วทำไม ทำไมพี่ถึงทิ้งผมไป

 "อิน" ผมหมดเรี่ยวแรง ปล่อยตัวเดินอย่างอ่อนล้าและกอดแม่เอาไว้ ผมไม่ได้ร้องไห้อีกแล้ว ผมเพียงแค่เหมือนกับคนที่ไร้วิญญาณ ทุกอย่างมันเหมือนกับไม่ได้เกิดขึ้นจริง

 "เรื่องคุณหมอกใช่ไหม" ราวกับถูกปลุกให้ตื่น ผมค่อยๆ คลายอ้อมแขนที่กอดแม่ไว้ มองหน้าแม่ ผมได้ยินไม่ผิดไปใช่ไหม

 "ทำไม แม่ถึง..." ผมแทบจะเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดเลย นี่มันเรื่องอะไรกัน

 "หลังจากวันเกิดอินไม่นาน คุณหมอกเขามาหาแม่" แม่ไม่ได้มองหน้าผม เหมือนกับกำลังขุ่นเคืองใจ ในสิ่งที่กำลังเล่าออกไป

 "เขามาสารภาพ เขาบอกว่าเขาทำผิดต่อลูก เขาบอกว่าเขากับอิน กำลังคบกัน" ผมพูดอะไรไม่ออก ความกลัวในหัวใจทำให้ผมรีบคุกเข่าต่อหน้าแม่

 "แม่ดูเป็นคนใจแคบขนาดนั้นเลยเหรอ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทำไมอินต้องปิดบังแม่" แม่เริ่มร้องไห้ เหมือนกับอดทนเอาไว้นาน และวันนี้ก็ได้เวลาที่จะเปิดเผย

 เสียงสะอื้นของแม่ทำให้หัวใจของผมเจ็บปวด ก็เพราะว่าผมจะต้องทำให้แม่เป็นแบบนี้ไง ผมถึงไม่กล้า เพราะผมกลัวว่าผมจะทำให้แม่เสียใจ

 "ผมขอโทษ อินขอโทษแม่" ผมละล่ำละลักบอกแม่ เสียใจที่ความกลัวของตัวเองกลับทำให้ทุกๆ อย่างพังลงไป

 "ตลอดเวลาแม่รอคอยเสมอ ว่าสักวันลูกของแม่จะเปิดใจ แม่เพียงแค่หวัง ว่าแม่จะเป็นแม่ที่ดี ทำให้ลูกสบายใจได้"

"ไม่ใช่นะแม่ ไม่ใช่อย่างนั้น อินไม่ได้คิดแบบนั้น" ผมลุกขึ้นมาจากพื้นกอดแม่ที่ดูเสียใจเอาไว้ ผมไม่คิดเลยว่า การปิดบังของผม จะทำให้คนที่รู้ความจริงอยู่แล้ว ต้องทุกข์ตรมแค่ไหน

 "ผมแค่กลัว กลัวว่าแม่จะผิดหวัง ผมเป็นลูกชายคนเดียว อินไม่อยากให้แม่เสียใจ"

 "คิดไปเองทั้งนั้น แม่เคยบอกแล้วไง ว่าไม่ว่าอินจะเป็นยังไง แม่ก็ไม่เคยผิดหวังในตัวอิน" น้ำเสียงที่ดุเล็กๆ ของแม่ทำให้ผมสบายใจขึ้น

 "อินขอโทษนะแม่ ขอโทษจริงๆ" ผมซบหน้าลงกับไหล่แม่ พร่ำแต่บอกคำว่าขอโทษ เพื่อให้แม่ยกโทษให้ "แม่ไม่โกรธอินใช่ไหม"

 "มีสักครั้งเหรอ ที่แม่โกรธอิน" หัวใจของผมราวกับถูกปลดปล่อย ผมกอดแม่แน่น ขอบคุณจริงๆ ที่ได้เกิดมาเป็นลูกของแม่ ในโลกนี้ไม่มีใครที่ผมรักและรักผมเท่าแม่อีกแล้ว

 "ขอโทษนะครับ อินจะไม่เป็นแบบนี้อีก" แม่ลูบหัวผม ความอบอุ่นจากมือแม่นั้น ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น ดูเหมือนแม่ไม่ได้โกรธผมจริงๆ แต่แค่น้อยใจเท่านั้น ที่ผมเก็บเงียบไม่ยอมบอกอะไรเลย

 "มีคนที่ต้องขอโทษ นอกจากแม่อีกไม่ใช่เหรอ" ผมขมวดคิ้วเล็กๆ กับคำพูดนั้นของแม่

 "ทั้งหมดที่คุณหมอกเขาทำ ก็เพราะต้องการปกป้องลูก"

 "ปกป้องผม" ผมทวนคำคำนั้น พี่หมอกน่ะเหรอ นี่มันเรื่องอะไรกัน "พี่เขา บอกอะไรกับแม่กันแน่"

 "เป็นเพราะคุณหมี่ ที่บีบให้เขาออกห่างจากลูก แต่เพราะทิฐิของเขาเอง เขาถึงมาสารภาพกับแม่ เขาคิดว่าการที่แม่รู้จากเขา น่าจะดีกว่ารู้จากคุณหมี่ และแม่ก็ตัดสินใจไม่พูดอะไร รอให้อินเป็นคนบอกแม่เอง แต่ว่าแม่ก็ต้องผิดหวังเรื่องนี้" แม่พูดและยิ้มเศร้า

 "ผมขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ" ผมพูดขอโทษแม่อีกครั้ง ผมมันโง่นัก ผมทำให้ทั้งแม่ทั้งพี่หมอกต้องผิดหวัง ต้องรอคอยอย่างเปล่าประโยชน์

 พี่หมอกก็แค่เลือกทางที่จะดีต่อผมที่สุด เลือกทางที่ผมจะได้ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องหวาดระแวง เลือกที่จะทิ้งผมไว้ข้างหลัง และด้วยคำพูดที่ผมพูดกับพี่นั้น คำพูดที่ทำร้ายจิตใจพี่ พี่ก็คงยอมแพ้เรื่องของผมแล้ว

 "เรื่องคุณหมี่ อย่าคิดอะไรมากมายเลย คุณหมี่เขาก็เป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เด็ก เขาแค่ต้องการเอาชนะลูกเท่านั้น"

 "แต่ว่า ถ้าอินมีปัญหากับเขา ต่อไปแม่ก็อาจจะเดือดร้อน..."

 "ทำตามที่อินต้องการ ไม่ว่าจะผลเป็นยังไง แม่ไม่เคยกลัว ทำสิ่งที่ลูกมีความสุข แม่ก็จะมีความสุข" ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็คุกเข่า และกราบลงที่เท้าของแม่ กราบผู้ที่มีพระคุณที่สุดในชีวิต



 หลังจากที่ปรับความเข้าใจกับแม่ แทบไม่ต้องเดาว่าจุดหมายที่ผมมุ่งต่อไปคือที่ใด ผมรีบเรียกแท็กซี่และตรงดิ่งไปยังคอนโดของพี่หมอก

 เพียงเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงนั้น ในที่สุด ผมก็ได้มายืนอยู่ตรงหน้าประตูบานเดิม และไม่รอช้าที่จะเปิดประตูออกไป ซึ่งก็โชคดีมากอีกแล้ว ที่ประตูไม่ได้ปิดล็อกไว้

 แสงไฟในห้องไม่ได้เปิดที่ตรงทางเดินไว้ ผมเร่งฝีเท้า เดินเข้าไปที่โถงส่วนกลางที่เป็นห้องนั้งเล่น แต่ว่าเมื่อยิ่งเดินเข้าไปลึกนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องก็เริ่มทำให้ผมหวาดวิตกในใจ

 กล่องลังกระดาษที่วางไว้อย่างระเกะระกะ ชั้นวางของที่ข้าวของหลายชิ้นนั้นได้หายไปแล้ว และที่ตรงสุดทางเดินนั้น มีโซฟาที่มีข้าวของและเสื้อผ้ากองพับอยู่ด้านบน

 "ใครน่ะ" เสียงที่ได้ยินทำให้หัวใจเต้นระรัว โชคดีเหลือเกินที่ผมมาทันเวลา

 "พี่หมอก..." แต่เมื่อหันไปตามเสียงนั้น รอยยิ้มที่ผุดอยู่บนใบหน้าก็ค่อยๆ จางลง ถึงแม้ว่าจะคล้ายกัน แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมนั้นกลับมีรอยยิ้มจางๆ ที่ดูไม่เหมือนพี่หมอกเลยสักนิด

 "เพื่อนของหมอก?" คนตรงหน้าเลิกคิ้วถาม

 "ครับ แล้วพี่หมอก..." ผมมองตามคนที่นั่งลงเก็บของบนพื้นใส่กล่องลังใบใหญ่ รู้สึกกลัว คำตอบที่จะได้รับจับใจ

 "ไปแล้ว" คนตอบคำถามคัดเลือกและโยนข้าวของอย่างส่งๆ เหมือนไม่ได้ใส่ใจที่จะเก็บกวาดขนาดนั้น

 "ไปแล้ว..." ผมเข่าอ่อนลง รู้สึกไร้เรี่ยวแรง

 "เป็นอะไรไป มีเรื่องอะไรให้ช่วยไหม" มือเรียวยาวถูกยื่นมาให้ ผมมองตามมือนั้นแต่ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมาเอง

 "พี่เป็นพี่ชายของพี่หมอกใช่ไหม"

 "ใช่ แล้วนาย เป็นเพื่อนของหมอกแน่เหรอ" พี่ชายพี่หมอกเลิกคิ้วถาม ถึงจะดูแปลกๆ แต่ก็ถือว่ามีไมตรีอยู่บ้าง

 "ที่พี่บอกว่าไปแล้ว ผมถามได้ไหม ว่าไปไหน" ผมที่ไม่ได้ใส่ใจตอบคำถามของพี่ชายพี่หมอก จึงทำให้พี่เขาชักสีหน้าเล็กน้อย

 "บอกไม่ได้"

 "ทำไมถึงไม่ได้ละครับ" ผมที่ลืมตัวก็ถลาไปเกาะเสื้อพี่เขาไว้ "พี่ครับ พี่ช่วยผมหน่อยได้ไหม ผมมีเรื่องอยากบอกพี่หมอกจริงๆ" ผมอ้อนวอนขอร้อง

 "นี่เป็นความต้องการของหมอก" เป็นเพียงคำพูดสั้นๆ แต่ความหมายของมันก็ทำให้ผมเจ็บปวด พี่คงต้องการจะลืมผมไปจริงๆ ใช่ไหม พี่ต้องการให้พวกเราขาดจากกันจริงๆ ใช่ไหม

 "ถ้าไม่มีอะไรก็กลับไป หรือจะช่วยเก็บของหน่อยก็ไม่ว่ากัน" ผมยืนอึ้งอยู่แบบนั้นเป็นพัก ไม่รู้จะทำยังไง ผมมั่นใจว่าพี่ชายของพี่หมอกคนนี้ คงไม่มีทางบอกผมแน่

 ผมค่อยๆ นั่งลงมองดูข้าวของของพี่หมอกที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น

 นาฬิกาเรือนนั้น ผมเคยเห็นมันอยู่บนหัวเตียงของพี่หมอก มันมักจะส่งเสียงดังจนพี่หมอกหัวเสียตอนตื่นเสมอ

 แจกันดอกไม้ใบนั้น เป็นแจกันที่มักจะว่างเปล่า แต่ไม่รู้ทำไม พี่ก็ยังคงวางมันไว้อยู่บนนั้น

 และ...ไดอารี่เล่มนั้น

 ผมรีบขยับไปข้างหน้าและหยิบคว้าหนังสือไดอารี่เล่มใหญ่ไว้ ผมรีบเปิดมันไปในหน้าที่ผมคิดว่า อาจจะมีข้อความอะไร ที่พี่ทิ้งเอาไว้



 26 ตุลาคม 20xx

 ผมเคยคิด ว่าผมอาจจะไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของคุณแม่

 ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมเฝ้าแต่ถามว่า คำว่ารักที่คุณแม่บอกผม คืออะไร

 ผมไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยรู้เลยว่า ถ้าหากว่ารักแล้ว ทำไม พวกเราถึงต้องพรากจากกัน

 แต่ว่าวันนี้ ผมได้รู้แล้ว ผมเข้าใจ ในสิ่งที่คุณแม่ต้องการบอกผม

 ถ้าหากว่าการจากไปนั้น ถ้าหากว่าทำแบบนั้นแล้ว คนที่เรารัก บางที คงจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้

 แต่ว่า แม่ครับ ทำไมมันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน แต่ว่านี่ก็เพราะว่ารักใช่ไหม ผมทำถูกแล้วใช่ไหม



 ผมน้ำตาไหลออกมาด้วยความเจ็บปวดใจ ทำไมนะ ทำไมพี่ถึงได้ยอมแพ้ไปง่ายๆ แบบนี้ พี่กำลังกลัวอะไร ทำไมการที่เราได้อยู่ด้วยกัน มันถึงจะเป็นเรื่องที่ไม่ดี พี่กลัวว่าจะเสียผมไปด้วยใช่ไหม พี่ถึงตัดผมออกไป ก่อนที่ผมจะจากพี่ไปเอง เหมือนอย่างที่คุณแม่พี่เคยทำ

 ผมพลิกหน้ากระดาษ มองดูข้อความต่างๆ ที่พี่หมอกทิ้งเอาไว้ พี่หมอกเป็นคนที่ไม่ชอบแสดงออกในด้านที่อ่อนแอ พี่มีความเข้มแข็ง แต่ก็เพียงเปลือกนอกเท่านั้น บางทีภายในจิตใจของพี่ ความกลัวและความวิตกกังวลอาจจะมีมากกว่าผมก็ได้ พวกเรานั้นช่างเหมาะสมกัน บางทีอาจจะเกิดมาเพื่อกันก็ได้

 กริ๊กๆ

 แต่เมื่อพลิกหนังสือไดอารี่เล่มใหญ่ไปมานั้น สิ่งสิ่งหนึ่งที่ส่องประกายก็กลิ้งหล่นลงที่บนพื้น ผมมองตามสิ่งนั้นที่หล่นไม่ไกลนัก และเอื้อมมือไปเพื่อหยิบมันขึ้นมา มันเป็นของขวัญ มันเป็นของที่ผมจำได้ดี

 "นั่น เอามันมานี่" ทันทีที่ผมหยิบมันขึ้นมามองดู พี่ชายของพี่หมอกก็แย่งมันไปอย่างรวดเร็ว ผมตกใจกับปฏิกิริยานั้น และมองดูพี่ชายพี่หมอกถอนหายใจเหมือนกำลังโล่งใจ

 "หาตั้งนาน ขอบใจมากนะ ไปได้สักที" พี่ชายพี่หมอกนำมันขึ้นมาส่องใต้แสงไฟ ใบหน้าดีใจนั้นไม่ได้ทำให้ผมยิ้มตามไปด้วย ผมอยากได้มัน ถึงแม้ว่าผมจะคืนมันให้กับพี่หมอกไปแล้ว

 "อะไร ทำไมเหรอ" บางทีรังสีแห่งความเศร้าของผมคงจะแผ่ออกมามากเกินไป ผมมองแหวนวงนั้นด้วยความอาลัยอาวรณ์สุดขีด จนทำให้พี่ชายพี่หมอกเริ่มสงสัย

 "แหวนนั่น เคยเป็นของผม" ผมพูดเบาๆ ด้วยแววตาเศร้าสร้อย แต่ว่าเมื่อพูดออกไปแบบนั้น พี่ชายพี่หมอกก็กลับทำหน้าตื่นตกใจและหัวเราะออกมาอย่างไม่ปิดบัง

 "เดี๋ยวๆๆ เมื่อกี้ว่าไงนะ นี่นาย เข้าใจอะไรผิดแล้วมั้ง" พี่ชายพี่หมอกยังคงไม่หยุดหัวเราะ แต่เมื่อเห็นว่าผมยังคงมีสีหน้าจริงจัง พี่เขาก็เริ่มที่จะอึ้งอีกครั้ง

 "บ้าน่า ไม่จริงน่ะ" พี่ชายพี่หมอกเดินเข้ามาใกล้ผม และเชยคางผมมองดูใบหน้าใกล้ๆ

 "หมอกให้นายจริงๆ เหรอ" ผมพยักหน้าน้อยๆ เพื่อเป็นการยืนยัน

 "แบบนี้นี่เอง" พี่ชายของพี่หมอกผุดยิ้มประหลาดและมองแหวนในมืออีกครั้ง "นายชื่ออะไร"

 "อินครับ" ผมตอบคำถามนั้นทันที

 "อินงั้นเหรอ แล้วนายรู้ไหมว่า แหวนวงนี้สำคัญยังไง" พี่ชายพี่หมอกปล่อยคางผม พลางมองดูแหวนในมือ

 "มันเป็นของสำคัญของพี่หมอก..." ผมตอบสิ่งที่ผมคิดว่าผมรู้ ผมมั่นใจว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแน่นอน

 "มันเป็นแหวนแต่งงานของคุณแม่"

 คำพูดของพี่ชายพี่หมอกทำให้ผมได้แต่อึ้งตกใจ มันเป็น แบบนี้นี่เอง ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองเคยงี่เง่าแค่ไหนกับเรื่องแหวนนั่น

 "ตั้งแต่วันที่คุณแม่ทิ้งพวกเราไป ก็มีแค่เพียงสิ่งนี้ ที่ท่านทิ้งเอาไว้" พี่ชายของพี่หมอกพูดด้วยใบหน้าเศร้าๆ พลางเดินไปรอบๆ

 "หมอกไม่เคยออกห่างจากมัน ตั้งแต่ตอนเด็กๆ หมอนั่นคิดว่า ถ้าหากยังมีสิ่งนี้อยู่ บางทีคุณแม่ บางทีท่านคงจะกลับมา" เมื่อพูดมาถึงตอนนี้ พี่ชายพี่หมอกก็หันมาจ้องมองผม

 "อิน นายคงเป็นคนที่สำคัญมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ตอนนี้หมอกก็เลือกแล้ว ว่าจะตัดนายออกไป" คำพูดนั้นเหมือนดั่งมีดที่กรีดลึกเข้าไปในรอยแผล ผมเริ่มรู้สึกว่าจะยืนไม่ไหว ผมต้องทำยังไง ผมถึงจะรู้ว่าพี่อยู่ที่ไหน

 "ตัดใจเถอะ เพราะอะไรที่หมอนั่นตัดสินใจไปแล้ว ต่อให้ตาย ก็ไม่เปลี่ยนใจหรอก" หลังจากคำพูดนั้น ผมก็ถูกทิ้งไว้กับซากความทรงจำเดิมๆ

 พี่ชายพี่หมอก ค่อยๆ เดินจากไป และออกไปจากห้อง ทิ้งไว้ให้ผม อยู่แต่เพียงลำพัง

ออฟไลน์ Shonteen

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เหตุเกิดเพราะการไม่พูดจาปรับความเข้าใจกัน  ต่างคนต่างคิดเองเออเองกันทั้งหมด

เพราะคำคำเดียวคือ "ทิฐิ" เฮ้อ

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6
เอาให้ตายกันไปเลยข้างนึง ระหว่างคนเขียนกับคนอ่าน

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เศร้าใจจริง ๆ เลยเรา  :ling1: :hao5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด