เพ้อ บทที่ 41 บ้านผีสิง
"ขอบคุณมากนะอิน วันนี้เหนื่อยหน่อยนะ"
"ไม่เป็นไรครับ ผมสนุกมากเลย"
ในวันนี้ในช่วงบ่าย หลังจากที่เรียนเสร็จในช่วงเช้า ผมก็ต้องรีบอย่างมากที่จะมาถ่ายโฆษณาเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งถึงมันจะเล็กน้อย แต่ก็ได้ประสบการณ์ และเงินเหมือนกัน
"เอออิน ได้ยินข่าวหรือยัง ตอนนี้มีคัดเลือกนักแสดงเรื่องใหม่นะ จะคัดอาทิตย์หน้า ถ้าสนใจก็อย่าพลาดนะ พี่ว่าน่าจะเหมาะกับเรา" ผมที่ได้ยินพี่ในกองแนะนำก็ตาตื่นทันที ผมไม่พลาดแน่ที่จะไต่ขึ้นไปให้สูงกว่านี้
"เป็นแนวไหนเหรอครับ"
"เนื้อเรื่องไม่แน่ใจ แต่เป็นแนวชายรักชายแหละ แนวนี้กำลังขายดี แฟนคลับเยอะ" ผมยิ้มให้กับคำแนะนำนั้น
"ครับ ขอบคุณมากนะครับ ไม่งั้นผมไม่รู้แน่"
"ไม่รู้ก็ดีแล้ว พี่ไม่อยากให้อินเล่นแนวนั้นเลย" ผมสะดุ้งตัวน้อยๆ เมื่อมีคนมากระซิบข้างหู และก็ไม่ต้องเดา เป็นพี่เปอร์ที่ชอบทำอะไรแบบนี้
"พี่ทำอะไรน่ะ ตกใจหมด" ผมก้มหัวขอโทษพวกพี่ๆ ในกองและขอตัวกลับ ลากพี่เปอร์ออกมาจากตรงนั้น
"อย่าโผล่มาแบบนี้สิครับ ถ้าพวกเขาคิดว่าเราเป็นอะไรกันจะทำยังไง" ผมเผลอพูดออกไป และนั่นก็ทำให้พี่เปอร์หน้าเจื่อนลงทันที
"พี่รู้ ขอโทษนะ" ใบหน้ารู้สึกผิดนั้นทำให้ผมใจอ่อนยวบ
"ไม่ยกโทษ" ผมพูดและทำเป็นเดินหนีพลางเหลือบมองคนที่เดินตาม "นอกจากว่า พี่ต้องพาผมไปเที่ยว" ผมหันกลับมามองคนหน้าหงอยด้วยรอยยิ้ม และไม่นาน พี่เปอร์ก็เริ่มยิ้มออกมาเหมือนกัน
และในตอนนี้ผมก็มายืนอยู่ในที่ที่หนึ่ง มันเป็นสถานที่ที่ดูธรรมดาเหลือเกิน แต่ก็เป็นที่แรก ที่ผมนึกถึงเสมอ
"อิน ทำไมไม่ไปหาที่นั่งกินข้าวดีๆ กันล่ะ" คนที่เดินตามผมพูดถามด้วยความสงสัย แต่ก็ยังคงเดินตามอย่างไม่ลดละ คอยตามใจเวลาที่ผมอยากได้อะไร
"ผมไม่ได้มานี่สักพักแล้ว เลยอยากมาเดินเล่นน่ะ" ผมพูดและหันไปทำตาใสๆ "ไม่ได้เหรอ" พอโดนเข้าไปแบบนี้ พี่เปอร์ก็ไม่เคยพูดอะไรออก หึหึ
"งั้นถ้าเหนื่อยก็บอกพี่นะ เดี๋ยวพี่เอารถมารับใกล้ๆ"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวพวกเรา..."
~~~~
เสียงเพลงเพลงหนึ่งค่อยๆ ดังขึ้น ทำให้สิ่งที่ผมกำลังจะพูดสูญหายไป ขาของผมเริ่มก้าวออกไป ตามจังหวะดนตรีที่บรรเลง
เสียงนี้ เป็นเสียงที่ผมคุ้นเคยดี ไม่คิดว่าวันนี้จะได้เจอ เพราะตั้งแต่ครั้งนั้น ครั้งที่ผมได้มาที่นี่กับคนคนนั้น ผมก็ไม่เคยมาที่นี่อีก และไม่คิดว่าจะเจอนักดนตรีคนโปรด คนเดิมนี้อีกแล้ว
ในที่สุดผมก็ได้มายืนอยู่ที่ด้านหน้าสุด มองดูคนที่กำลังเล่นกีตาร์ตัวสวยสีดำ ที่มีลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ เสียงร้องของเขา กลับมาเหมือนเก่าแล้ว มันดังนุ่มทุ้มกังวาน ทำให้ผู้คนที่ได้ฟังอิ่มเอมใจ
ครั้งหนึ่ง ผมเคยคิดว่าเขา อาจจะเป็นพี่หมอก...
แต่ว่าเมื่อผมเคยมาที่นี่กับเขา และพบว่านักดนตรีที่สวมหน้ากากนี้เป็นอีกคน ผมก็ไม่สงสัยอะไรอีกแล้ว มีแต่ความเสียดายเล็กๆ ในใจ
"อิน อยู่นี่เอง"
"เพลงเพราะมากเลยนะครับ" ผมพูดด้วยรอยยิ้มและเริ่มรู้สึกถึงมือมือหนึ่งที่กุมมือผมเอาไว้
"ถ้าอินชอบ พี่ให้เขาไปเล่นที่บ้านให้เอาไหม" พี่เปอร์ที่มายืนอยู่ข้างๆ ก้มลงกระซิบที่ข้างหูของผม
"จริงเหรอ" ดวงตาของผมเป็นประกาย
"เพื่ออิน พี่ให้ได้ทุกอย่าง" ไม่เพียงแค่พูดเท่านั้น ความรู้สึกอุ่นนุ่ม แตะแนบลงที่ข้างแก้ม ผมตาโตขึ้นเล็กๆ และมองพี่เปอร์ที่ทำหน้าอมยิ้มอย่างได้ใจ
แต่แล้วดนตรีและเสียงเพลงที่กำลังบรรเลงก็เงียบลง ผมหยุดสนใจคนที่ฉวยโอกาสตรงหน้า และมองนักดนตรีหมาป่าที่วางกีตาร์ลง ทั้งๆ ที่เพลงยังไม่จบ
ผู้คนรอบด้านล้วนงงงวยแต่ก็เริ่มกระจายกันเดินออกไป ราวกับการแสดงตรงหน้าได้จบลงแล้ว ผมมองแผ่นหลังของนักดนตรีคนนั้น ที่ค่อยๆ เดินออกไปเช่นกัน ราวกับเขา ไม่อยากที่จะแสดงมันอีกต่อไป
ในอีกสองวันถัดมา วันนี้เป็นวันที่ทำให้ผมตื่นเต้นเหลือเกิน ผมออกจากบ้านแต่เช้า เดินซื้อหาของขวัญที่จะทำให้พี่เปอร์ประหลาดใจ และในที่สุดผมก็เจอถุงมือคู่หนึ่ง ที่น่าจะดูเหมาะกับพี่เขาที่ชอบขี่รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ แต่จริงๆ แล้ว ของขวัญที่พี่เปอร์อยากได้ ผมรู้ดีแก่ใจ และก็แอบเตรียมไว้ด้วยเหมือนกัน ผมมันหน้าไม่อายจริงๆ
"หน้าแดงขนาดนี้ เตรียมของขวัญอะไรไว้เหรอ" ราวกับถูกจับได้ ผมแทบเข่าอ่อนที่ถูกทักเข้าที่ด้านหลัง
"รู้ได้ไงว่าผมอยู่ที่นี่" ผมตาโตมองพี่เปอร์และรีบซ่อนกล่องของขวัญที่เป็นถุงมือไว้
พี่เปอร์ในวันนี้อยู่ในชุดที่ต้องบอกว่าเท่สุดๆ ดูจากสายตาคนแถวนี้ที่มองจนแทบจะเหลียวหลัง ห้างสรรพสินค้าที่ผู้คนมากมาย ก็ไม่มีใครเด่นเท่าพี่เขาอีกแล้ว
เสื้อยืดสีเทาด้านในคลุมด้วยเสื้อหนังตัวใหญ่ ขายาวๆ ที่เข้ากับกางเกงยีนสีเข้ม และรองเท้าหนังที่ดูจะใส่ยากเหลือเกิน
"วันนี้ไม่แต่งหล่อไปเหรอ" ผมพูดแซวคนหล่อที่เหมือนหลงตัวเองอยู่เนืองๆ
"มาเดท จะไม่หล่อได้ไง" ผมหัวเราะเหอะๆ ออกมาและเดินหนีคนหน้าไม่อาย แต่ทว่าวันนี้ก็ถือเป็นวันที่ผมอารมณ์ดีมากๆ
พวกเราแวะกินอาหารญี่ปุ่นร้านหรูเป็นมื้อกลางวัน ผมพยายามแย่งจ่ายทุกอย่างเท่าที่เป็นไปได้ เพราะผมอยากที่จะเลี้ยงพี่เขาบ้าง แต่นั่นก็ไม่เคยทำได้เลยจริงๆ สักที
และเมื่อช่วงบ่ายมีเวลาว่าง ผมที่ไม่รู้จะไปไหนก็ให้พี่เปอร์เป็นคนตัดสินใจ
และพวกเราก็จบลงที่สวนสนุกแห่งหนึ่ง ดีที่วันนี้พี่เปอร์เอารถยนต์มา ทำให้ผมไม่ต้องลุ้นหัวใจจะวายไปกับบิ๊กไบค์คันใหญ่นั่น
"เพิ่งรู้ว่ามีสวนสนุกที่นี่ด้วย"
"ที่นี่เก่าแล้ว พี่ไม่ได้มาสักสิบปีได้แล้ว" พวกเราพากันเดินเข้าไปที่ช่องจำหน่ายบัตร และแน่นอน ผมก็ไม่ได้จ่ายอีกตามเคย
ภายในสวนสนุกถึงแม้จะเก่า แต่ก็กว้างขวางมาก ดีที่วันนี้ไม่ได้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ผู้คนเลยมีไม่มากนัก
พวกเราเดินไปเรื่อยๆ และสะดุดตากับรถไฟเหาะอันใหญ่ ผมสนใจทันทีและพยายามจะลากพี่เปอร์ไปขึ้น ซึ่งพี่เขาก็ตามใจผมทุกอย่าง แต่ดูเหมือนสีหน้าของพี่เขาจะเริ่มซีดขึ้นทุกทีที่รถไฟไต่สูงขึ้นไป
"พี่ไม่เป็นไรนะ!" ผมมองพี่เปอร์ที่ส่งยิ้มหวาน แต่เมื่อรถไฟค่อยๆ พุ่งต่ำลง เสียงโหวกเหวกโวยวายก็มาจากพี่เขาดังกว่าใครเพื่อน
"ทำไมไม่บอกว่าพี่ไม่อยากเล่น" เมื่อลงมาที่พื้นแล้ว ผมก็ซื้อน้ำให้พี่เขาที่ดูจะไม่ไหว
"อย่าไปบอกใครนะ พี่อายเขา" ผมพยายามกลั้นหัวเราะด้วยความสงสาร แต่ก็อดขำไม่ได้จริงๆ
"ไป ไปเล่นกันต่อนะ" ผมดึงแขนพี่เปอร์ให้ลุกขึ้นและลากให้พี่เขาเข้าไปเล่นในที่ต่อไป ผมไม่ได้ใจร้ายมากขนาดที่จะให้เล่นเครื่องเล่นหวาดเสียวต่อ แต่ที่นี่ก็แค่บ้านผีสิงนั่นเอง
"อินไม่กลัวเหรอ" พี่เปอร์ถาม ซึ่งแน่นอนว่าผมส่ายหัวไปมาทันที
"โธ่ สวรรค์" พี่เปอร์บ่นอิดออดด้วยสีหน้าผิดหวัง แต่ว่านะไอ้ที่ผมส่ายหัวน่ะ ไม่ใช่ว่าผมไม่กลัว แต่ผมไม่รู้ต่างหาก
ภายในก็เป็นอย่างที่ผมคาดเดาได้ มีทางเดินเล็กๆ และมืดสลัวนำเราให้เข้าไปสู่ใจกลาง ผมรู้สึกโล่งใจเล็กๆ ที่เหล่าภูติผีนั้นเป็นเพียงของประดับที่ตกแต่งอยู่ด้านข้าง เสียงเอฟเฟ็คดังสนั่นเป็นช่วงๆ ทำให้ผมตกใจเล็กน้อย
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ผมกลัวแต่อย่างใด แต่ว่าความมืดและแคบแบบนี้ ก็ทำเอาผมอกสั่นขวัญแขวนไม่น้อย
"กอดแขนพี่เลยก็ได้" คนที่เริ่มรู้ว่าผมกลัวก็ได้ทีเสนอสิ่งเหล่านี้ให้ แต่ก็นะ นานๆ ทีถ้าแค่นี้จะยอมก็ได้ ผมกอดแขนคนข้างๆ ทันทีอย่างจงใจ นี่ก็เป็นช่วงเวลาๆ ดีๆ ของเราสองคนเหมือนกัน
กรี๊ดดดด~
เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ผมตกใจ เสียงฝีเท้าที่ดูรีบเร่งดังขึ้นและดูเหมือนจะใกล้เข้ามา และในช่วงนาทีนั้น ผมรู้สึกว่าผมถูกชนอย่างแรงจนล้มลงไปข้างๆ และพี่เปอร์ก็เหมือนจะถูกชนไปอีกทางเช่นกัน
ผมหกล้มและพยายามที่จะลุก แต่ตรงนี้ก็มืดเกินไปจนผมต้องค่อยๆ เกาะแกะผนังใกล้ๆ เพื่อลุกขึ้นมา และก็ยังดีที่โชคเข้าข้าง มือมือหนึ่งดึงแขนผมให้ลุกขึ้น พี่เปอร์ก็ไม่ได้หลงไปไกลนี่เอง
"เจ็บแฮะ" ผมบ่นเบาๆ และก้มลงปัดเข่าตัวเองในความมืด มือข้างหนึ่งประสานกับมือใหญ่ของคนข้างๆ ไว้
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนนี้ สิ่งที่อยากทำที่สุดก็คือออกไปจากตรงนี้ ออกไปจากบ้านผีสิงนี่
"รีบออกไปกันเถอะ" ผมพูดเบาๆ และประสานมือคนข้างๆ ไว้แน่น
ผมเดินอย่างระมัดระวัง สายตามองที่เท้าของตัวเองเท่านั้น และดูเหมือนพี่เปอร์ก็คิดเช่นกัน พี่เขาเดินก้าวเท้าไวตามผม แต่ก็คอยฉุดดึงไม่ให้ผมล้มลงไป
บางเส้นทางที่มีคนพยายามเดินผ่านเราไป พี่เขาก็คอยกันผม ปกป้องผม ไม่ให้ถูกชนจนล้มอีก เดินไปเดินมาไม่รู้ทำไมตัวผมถึงรู้สึกร้อนแปลกๆ ทั้งเขินทั้งรู้สึกดี ไม่รู้ว่าพี่เขาจะแสนดีขนาดนี้
"ตรงนั้นทางออกแล้ว" ผมรู้สึกดีใจที่เห็นแสงสว่างรำไรอยู่ตรงหน้า ผมเริ่มก้าวเท้าเร็วขึ้นและคิดแต่จะพุ่งออกไปท่าเดียว แต่เมื่อใกล้จะออกประตูแล้วนั้น ผมก็รู้สึกว่ามือที่เกาะกุมกันไว้ค่อยๆ คลายออก หลังของผมถูกผลักเบาๆ ให้หลุดพ้นจากความมืดออกไป
ผมรู้สึกมึนงงที่มีแค่ตัวผมที่ออกมาด้านนอก ผมรีบหันหลังกลับไป แต่ก็ไม่พบใครที่ตามออกมา ทำไมล่ะ ทำไมพี่เปอร์ถึง...
"อิน อยู่นี่เอง พี่ตามหาซะทั่ว" ผมชะงักเมื่อมองเห็นพี่เปอร์วิ่งเข้ามาหา แต่ว่าไม่ใช่จากทางออกของบ้านผีสิง ราวกับพี่เขาออกมารอด้านนอกนานแล้ว
ผมนิ่งอึ้งไม่รู้จะพูดอะไร รีบหันหลังกลับไปมองทางออกบ้านผีสิงอีกครั้ง
"ผม หลงทาง" ผมพูดตะกุกตะกัก รู้สึกเริ่มอับอายเมื่อคิดว่าตลอดเส้นทาง ผมเดินจับมือและกอดใครก็ไม่รู้ไปหลายที
"พี่เปอร์ พี่ว่าในนั้นจะมีพนักงานคอยช่วยคนที่เข้าไปอยู่ไหม" ผมถามพี่เปอร์เบาๆ ด้วยสีหน้าที่ไม่แน่ใจ
"ก็ต้องมีสิ พี่ก็มีคนพาออกมา" ผมถอนหายใจเล็กๆ แบบนี้นี่เอง
แต่ว่า...พนักงานคนนั้น มีกลิ่นที่ผมรู้สึกคุ้นเคยเหลือเกิน