เพ้อ บทที่ 36 คน...ที่ไม่ใช่
ช่วงเวลาที่เราฝันดีนั้น แม้ว่ามันจะไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่ช่วงเวลาเหล่านั้นก็ทำให้เรามีความสุขเหลือเกิน แม้หากเราสะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้ว และพบว่ามันก็เป็นเพียงแค่ความฝัน แต่จะยังไงก็ตาม รอยยิ้มก็ยังคงไม่ได้จางหายไป
"ฝันดีเหรอลูก ตื่นมาก็หน้าบานเชียว" เสียงของแม่ทักผมทันทีเมื่อเข้ามาปัดกวาดเช็ดถูดูแลความสะอาด
ฝัน...งั้นเหรอ ผมรู้สึกหัวใจโหวงเหวงลึกๆ หรือว่าทั้งหมดนี้ สิ่งดีๆ ที่ผ่านมา มันก็แค่ความฝันกันนะ
Trrr Trrr
เสียงสั่นเบาๆ บนโต๊ะเล็กๆ ข้างเตียง ทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิด ผมยิ้มให้แม่ และเอื้อมมือไปหยิบของส่วนตัวนั้นขึ้นมา และรอยยิ้มที่มีความสุขของผมนั้น ก็มีแต่จะเพิ่มขึ้น เมื่อเห็นข้อความ ข้อความหนึ่ง
[อย่าทำตัวงี่เง่ากังวลเกินเหตุ มั่นใจในตัวเอง เสร็จแล้วโทรมา]
"รีบลุกขึ้นเตรียมตัวสิลูก วันนี้มีแคสงานไม่ใช่เหรอ" ผมยังคงยิ้มให้กับข้อความกำลังใจจากคนที่รัก ทุกอย่างมันไม่ใช่ความฝันอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าพวกเรานั้น พี่หมอกนั้น ดีกับผมเหลือเกิน
"ครับ อวยพรผมหน่อยสิ" ผมละสายตาจากมือถือมากอดเอวแม่ที่เดินผ่านเตียงเอาไว้
"ทำทุกอย่างเท่าที่อินทำได้ และทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง อินของแม่ก็เก่งที่สุดอยู่แล้ว" ผมยิ้มหน้าบานกับคำอวยพรที่ไม่กดดันนั้น
"นี่ล่ะที่อยากได้ยิน" ผมลุกขึ้นและหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่ ได้กำลังใจดีๆ จากคนที่สำคัญที่สุดทั้งสองคนแบบนี้ ไม่ว่าอะไรผมก็ทำได้ทั้งนั้น เชื่อมือได้เลย
ในวันนี้ จิตใจของผมตั้งมั่นอยู่กับการแสดงความสามารถของตัวเอง ผมต้องขอบคุณพี่บีผู้จัดการพี่หมอกมากๆ ที่พี่เขาแนะนำเรื่องการเฟ้นหานักแสดงที่กำลังเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีคุณสมบัติได้เข้ามาทดสอบ ว่าตัวเองจะเหมาะกับบทบาทนั้นๆ หรือไม่
"อิน เยี่ยมมากเลย ผู้กำกับแทบจะอ้าปากค้างไปแล้วนะ" หลังจากทดสอบสวมบทบาทหนึ่งในละคร ผมก็ได้รับคำชมจากทุกคน และพี่บีที่ช่วยงานที่นี่ด้วย
"ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ขอบคุณที่แนะนำผมมานะ" ผมยกมือไหว้พี่เขาทันทีที่เข้ามาใกล้ และแอบเหลือบมองรอบๆ เพื่อมองหาคนสำคัญของผม
"หมอกไม่มาหรอก ติดถ่ายแบบน่ะ" ผมชะงักเล็กๆ และส่ายหน้าปฏิเสธทันที
"ไม่ใช่ครับ" ผมยิ้มแห้ง
"พี่รู้น่ะ ว่าเราสนิทกับหมอก เดี๋ยวนี้เจ้าหมอกดูทำตัวดีขึ้นมาก สงสัยเพราะอยู่ใกล้เราละมั้ง พี่นี่ต้องขอบคุณจริงๆ"
"เมื่อก่อน พี่หมอกทำตัวไม่ดีเหรอครับ" คำพูดของพี่บีทำให้ผมสนใจอยากรู้ ทุกเรื่องของพี่หมอก ผมสนใจมากจริงๆ
"แหม เดาไม่ออกเหรอจ๊ะ หมอกน่ะ สุดๆ ไปเลย ทั้งปากร้าย ทั้งชอบทิ้งงาน วันๆ กกแต่สาวๆ เคยสนใจอะไรจริงๆ ที่ไหนล่ะ" เหมือนกับได้ระบาย พี่บีก็ใส่เอา ใส่เอาเลยทีเดียว แต่ไม่รู้ทำไม ผมยังคงส่งยิ้มเล็กๆ ออกมาได้
"พี่ก็เคยกิ๊กกับพี่หมอกไม่ใช่เหรอ" ผมไม่รู้ว่าควรพูดไหม แต่ก็อยากรู้อีกนั่นแหละ
"เหอะ ไปเชื่อคำที่เจ้าเปอร์พูดสินะ ไม่เลย ไม่ใช่เลย พี่เห็นหมอกเป็นเหมือนน้องชายเท่านั้นแหละ แต่จะว่ายังไงดี เด็กหน้าตาแบบหมอกใครเห็นก็มีหวั่นไหวบ้างแหละ" พี่บีพูดต่อพลางหัวเราะชอบใจ
"เอาล่ะ ผลเป็นยังไงเดี๋ยวทางทีมงานจะติดต่อไปนะ พี่เป็นกำลังใจให้ ขอให้ได้สักบทเนอะ เพราะอินเก่งมากๆ"
"ครับ ขอบคุณครับ"
เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ผมรีบขอตัวแยกจากทุกๆ คนและปฏิเสธที่จะติดรถพี่บีที่ต้องการไปส่งด้วยความเกรงใจ
ไม่รู้ผมคิดมากไปหรือเปล่านะ แต่เมื่อผมเดินไปเรื่อยๆ เพื่อออกจากสถานที่จัดงานที่เป็นห้างสรรพสินค้า ก็พบว่ามีคนหลายคนเหมือนกำลังจับตามองผมอยู่
อาจเป็นเพราะว่าตอนที่ทดสอบบทนั้นมีพวกแฟนๆ ของนิยายมากันเยอะละมั้ง และผมก็อาจจะไปเข้าตาคนหลายคนเข้า ทำเอารู้สึกประหม่าไปเลย
"พี่อินนน" ผมชะงักเล็กน้อยที่มีคนมาดักหน้าผม เป็นกลุ่มสาวๆ ที่ดูแล้วน่าจะอยู่มัธยมปลาย
"ครับ" ผมรู้สึกดีใจเล็กๆ ที่หลายคนยังจำผมได้ แต่ก็แน่ล่ะ เพิ่งจะออกจากงานมานี่นา
"ขอได้ไหมคะ" ความที่คนเยอะมากๆ ทำให้ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกับคำพูดนั้น
"ขออะไรเหรอ"
"ป้ายน่ะค่ะ ป้ายชื่อพี่" ผมมองตามมือของพวกเธอที่ชี้มาที่อกผม และทันทีที่นึกขึ้นได้ อ๋อ แบบนี้นี่เอง
"ป้ายชื่อนี่น่ะเหรอ" ผมลืมไปว่าป้ายชื่อยังคล้องคอผมอยู่ อาจจะเพราะแบบนี้หรือเปล่าถึงรู้ว่าผมชื่ออะไร
"เมื่อกี้ดูพี่แสดงแล้วหนูชอบมากเลยค่ะ พี่เหมาะมากๆ เลย อยากให้พี่เป็นพระเอกจังเลยค่ะ"
"เนอะๆ หล่อมากๆ เลย" พวกสาวๆ ดวงตาเป็นประกายและเริ่มคุยกันเอง แต่คำชมเหล่านั้นก็ทำเอาผมหัวใจพองโต
"พวกเราเชียร์พี่นะคะ แต่ว่าขอป้ายชื่อพี่แล้วก็เซ็นชื่อให้พวกหนูได้ไหมคะ" จริงๆ ใจผมก็อยากจะเก็บไว้อยู่นะ แต่พอโดนลูกอ้อนขนาดนี้ก็เริ่มจะใจอ่อน
"อื้อ ได้สิ" ผมค่อยๆ ถอดป้ายที่อยู่ที่คอผมออกมา และรับปากกาจากสาวๆ เพื่อเซ็นชื่อลงไปบนนั้น เขินจังเลยนะ ผมเริ่มมือสั่นน้อยๆ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนขอลายเซ็นเลยล่ะ พี่หมอกก็คงจะรู้สึกแบบนี้ใช่ไหมนะ เวลาที่มีคนเข้ามาสนใจ
"เอาล่ะ เสร็จ..."
"ว่าไงพ่อคนดัง" ผมชะงักและมองป้ายชื่อในมือที่ถูกดึง ไม่ใช่สิ ต้องเรียกได้ว่ากระชากไป จากคนที่ไม่คิดว่าจะเจอตอนนี้
"ว้าย พี่หมอกนี่แก"
"หล่อมากกกก"
พวกสาวๆ ที่ตอนแรกสนใจผมนั้น ตอนนี้จิตใจกระเจิดกระเจิงกับผู้ชายตรงหน้า ผู้ชายที่มีผมสีน้ำตาลอ่อนขับกับผิวขาวสว่างจ้า กางเกงสแลคสีแดงกับเสื้อเชิ๊ตสีอ่อนช่างทำให้คนคนนี้แทบเหมือนเทวดาเดินดิน กลิ่นน้ำหอม สีหน้าแววตาที่ฉายแววรำคาญใจ ทำให้ยิ่งดูดีมากขึ้นไปอีก
"ไม่ใช่ว่าพี่ไม่ว่างเหรอ" ผมควบคุมสีหน้าตัวเองไม่ให้ดูดีใจเกินไป เงยหน้าคุยกับพี่หมอกด้วยดวงตาใสซื่อ
"บอกให้โทรมาไง" เสียงจิ๊ปากไม่พอใจดังขึ้นเบาๆ พี่หมอกเหลือบตามองพวกสาวๆ อย่างไม่ใส่ใจในเสียงกรี๊ดเล็กๆ ที่ดังขึ้นเป็นระยะ
"พวกพี่เป็นเพื่อนกันเหรอคะ"
"พี่หมอกจะแสดงละครเรื่องใหม่อีกไหมคะ"
ผมยิ้มเล็กๆ กับเหล่าแฟนคลับพี่หมอกที่เริ่มจับกลุ่มกันเข้ามา ความรู้สึกที่โดนเป็นที่สนใจผมเพิ่งจะรับรู้ และเริ่มรู้สึกว่าผมไม่ควรอยู่ตรงนี้หรือเปล่านะ
ความคิดและความกังวลใจนั้นเด่นชัดบนใบหน้าของผม ทำให้เท้าของผมเริ่มก้าวออกมาโดยอัตโนมัติ แต่ว่าเมื่อรู้สึกถึงแรงจับที่ข้อมือ ผมก็พบว่าตัวเองถูกดึงเข้าไปอีกครั้ง พี่หมอก ไม่ยอมที่จะปล่อยมือจากผม
"พวกพี่สนิทกันมากๆ เลยใช่ไหมคะ"
"น่ารักเนอะ"
"คือ..." ผมเริ่มอึกอักเมื่อสายตาพวกสาวๆ มองพวกเราด้วยแววตาเป็นประกาย ผมไม่อยากให้มีข่าวลือแปลกๆ ออกมา เพราะมันอาจส่งผลกับชื่อเสียงพี่หมอกได้
"อยากให้เล่นละครคู่กันจังเลยค่ะ พวกพี่เหมาะสมกันมากๆ เลย" แต่คำพูดหนึ่งที่ผมได้ยินก็ทำเอาผมหัวใจพองโต เหมาะสมกันงั้นเหรอ อยากให้พวกเรา ได้เล่นละครคู่กันงั้นเหรอ รู้ไหม ว่านั่นน่ะ คือความฝันสูงสุดของผม
"ขอบคุณนะ" ผมมองเด็กสาวคนนั้นและส่งยิ้มหวาน
"ขอบคุณนะครับ ขอตัวก่อน" พี่หมอกก้มตัวขอทางอย่างสุภาพ และพาผมออกมาจากวงล้อมนั้น
พวกเรานั่งกันอยู่ในรถที่กำลังแล่นออกไปช้าๆ คำพูดของแฟนคลับคนนั้น ยังคงติดตรึงอยู่ในใจผม จะดีแค่ไหนกันนะ ถ้าสักวันผมจะได้เล่นละครที่ผมรัก และเคียงคู่กับคนที่ผมหลงรัก ผมค่อยๆ หันไปมองพี่หมอก ผมไม่รู้เลยว่า พี่จะคิดเหมือนกันกับผมบ้างไหม ในหัวใจของพี่ มีผมอยู่จริงๆ หรือเปล่านะ ผมไม่กล้าถามพี่ ว่าพี่รู้สึกยังไงกับผมกันแน่
ผมกลัวคำตอบนั้น ถึงแม้ว่าวันนี้เราจะอยู่เคียงข้างกัน แต่ว่าพี่ก็ไม่เคยบอกผมสักที ว่าผมเป็นอะไรสำหรับพี่กันแน่ ไม่เคยบอกผมสักที ว่าพี่รักผม เหมือนกับที่ผมรักพี่หรือเปล่า
"พี่หมอก" ผมส่งเสียงเรียกพี่หมอกด้วยหัวใจที่สั่นไหว ผมอยากรู้ ผมอยากได้คำตอบชัดๆ จากปากของพี่
"หืม" พี่หมอกขมวดคิ้วเล็กๆ เหลือบมองผมด้วยสีหน้าสงสัย
"คือว่า..." ผมอึกอัก หัวใจที่เต้นอย่างราบรื่นเริ่มเร่งจังหวะมากขึ้น ลิ้นของผมเริ่มรู้สึกขยับไม่ได้ดั่งใจ
"พี่...คือ..พวกเรา เอ่อ" พี่หมอกจอดรถติดไฟแดง และหันมาหาผมเหมือนรอคอยคำถาม
"อะไร"
"ที่พี่...บอกว่าจะบอกผม" ผมนึกขึ้นได้ว่าผมเคยถามพี่หมอกคล้ายๆ จะครั้งหนึ่งแล้ว ผมจ้องมองพี่หมอกด้วยหัวใจเต้นโครมคราม วันนี้พี่จะบอกผมไหมนะ
พี่หมอกดูเหมือนกำลังใช้ความคิด และจ้องหน้าผมอยู่เช่นกัน พวกเราอยู่ในความเงียบ ผมรอคอยกับคำตอบนั้น
ปี้นนน~
เสียงแตรจากด้านหลังทำให้พี่หมอกละสายตาและเริ่มขับรถออกไปอีกครั้ง ผมรู้สึกเสียดายเล็กๆ แต่ก็รู้ว่าเวลาตอนนี้คงไม่เหมาะเท่าไหร่ เอาเป็นว่า ผมรอนะ ผมรอพี่บอกอยู่นะครับ พี่หมอก
ท้องฟ้าในยามนี้เริ่มเปลี่ยนจากสีฟ้า เป็นสีส้มจากดวงตะวันที่ใกล้ลับตาไป พี่หมอกขับรถต่อไปอีกเล็กน้อยและจอดรถลงที่ริมทางแห่งหนึ่ง ผมเริ่มมองไปรอบๆ ตัวและเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองได้มาอยู่ที่ไหน
"ลงมาสิ" พี่หมอกลงจากรถและเดินอ้อมมาเปิดประตูให้ผม หัวใจที่คล้ายจะสงบแล้ว ก็กลับมาเต้นเร็วอีกครั้ง
"ที่นี่..." ผมลงจากรถ และมองพี่หมอกที่ทำหน้าเรียบเฉย
"เดินเล่นสักพัก แล้วค่อยกลับละกัน" พี่หมอกพูดและเดินนำหน้าผมไป ผมมองแผ่นหลังกว้างของพี่หมอก และมองเหล่าร้านลวงเล็กๆ ที่อยู่เต็มสองฝั่งทางเท้า
ใช่แล้วล่ะ ที่นี่คือตลาดนัดริมแม่น้ำ ที่ที่ผมเคยมาบ่อยๆ และแน่นอน ว่าผมไม่เคยพลาดที่แห่งหนึ่ง ทุกครั้งที่ผมมาที่นี่
ผมมองคนที่เดินนำหน้า ด้วยสมองที่เริ่มทำงานหนักและสับสน สองข้างทางร้านรวงต่างๆ ดูพร่าเลือนในความคิดและความรู้สึก
ในหัวใจ ในส่วนลึกของจิตวิณญาณของผมนั้น ผมรู้ดีว่าตัวเองคิดอะไร และหวังอะไร
ผมหวังว่า หมาป่านักดนตรีคนนั้น ถ้าหากว่า...คนคนนั้น คือพี่หมอก...
แม้มันจะเป็นความคิดที่ดูเพ้อฝันเหลือเกิน แต่ผมก็หวัง ผมหวังไว้เสมอว่า พี่คือคนคนนั้น...
แต่แล้ว ความหวังและความฝันก็ราวกับสลายลง เมื่อเสียงดนตรีที่เริ่มบรรเลงขึ้น ลอยผ่านมาตามสายลม
สองเท้าที่ก้าวเดินนั้น ตอนนี้หยุดอยู่กับที่ ผมมองดูแผ่นหลังของคนข้างหน้าที่ตอนนี้หยุดเคลื่อนไหว และหันมาจ้องมองผม ด้วยดวงตาที่ไม่ได้แสดงอาการใด
"เป็นอะไร" พี่หมอกเดินกลับมาและจับที่แขนผมไว้ เหมือนกลัวผมจะล้มลงไป
ไม่ใช่...งั้นเหรอ
ไม่ใช่พี่จริงๆ สินะ...
"เปล่าครับ" ผมยิ้มออกมาเล็กๆ ถึงจะน่าผิดหวัง แต่สิ่งสำคัญก็คือ พี่หมอกอยู่เคียงข้างผมตอนนี้
ผมเริ่มก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ให้มือของพวกเราค่อยๆ ประสานกัน พวกเราเดินฝ่าฝูงชนที่กำลังห้อมล้อมคนคนหนึ่งไว้ หัวใจของผมเริ่มเต้นแรงและสั่นไหวทุกย่างก้าวที่ก้าวเข้าไป และได้มายืนอยู่ที่ด้านหน้า คนคนนั้น คนที่ผมเคย...
ผมมองดูผู้ชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ถึงแม้ว่าคนคนนั้นจะยังคงเหมือนเดิม เขาแต่งตัวด้วยชุดสีดำทั้งชุด บนศีรษะของเขา สวมหน้ากากหมาป่าที่ดูสง่าสงาม มีแววตาแหลมคมของนักล่า กีตาร์สีดำที่มีลวดลายแปลกตามีมนต์เสน่ห์
แต่ว่า ทำไมกันนะ ผมรู้สึก ว่ามีอะไรสักอย่างที่แตกต่าง...