⛵____ร.เรือ ร.รัก ร.ฤกษ์____⛵ [อัพตอนพิเศษ 2] ร.รุก ร.รับ ร.รูม 06.05.19| P.9
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ⛵____ร.เรือ ร.รัก ร.ฤกษ์____⛵ [อัพตอนพิเศษ 2] ร.รุก ร.รับ ร.รูม 06.05.19| P.9  (อ่าน 71715 ครั้ง)

ออฟไลน์ miwmiwzaa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อ่านรวดเดียวจบ ขอบคุณ​มาก​นะ​คะ

ออฟไลน์ sackyjung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :z3: :z3:ติดตามอย่างต่อเนื่องเลยค่ะ

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43

ออฟไลน์ junlifelove

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พี่เรือห่ามเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ สนุกมากๆเลยค่ะ
 :mew1:

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
อ่านไปลุ้นไป พี่เรือเอ้ย

ออฟไลน์ nijikii

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
อ่านจบแล้ว
ต้องยอมรับว่าวิธีการบรรยาย
ให้ความรู้สึกแปลกใหม่มากค่ะ
แม้จะเป็นเหตุการณ์เดียวกัน
แต่พอมาจากมุมมองของพี่เรือกับน้องธาร
มันเห็นความต่างได้ชัด สัมผัสได้ว่าความรู้สึกมันต่างกันจริงๆ
ไม่เหมือนเรื่องอื่นที่แม้จะเล่าแบบสลับกันแบบนี้ แต่เราว่ามันน่าเบื่อ เหมือนอ่านซ้ำไปซ้ำมา
แต่เรื่องนี้อ่านแล้วสนุก ครบรส ครบเครื่อง
ชอบมากค่ะ

ออฟไลน์ sira_nann

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
 :pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆค่ะ

ออฟไลน์ mareeyah

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ tong_pub

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 356
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-5
จบแล้ว

นิยายเรื่องนี้ภาษาดีมากค่ะ เหมือนอ่านนิยายแปลเลย
การเดินเรื่องเข้าใจได้ ตัวละครมีไม่กี่ตัวแต่อ่านไหลลื่นมาก ไม่ขัดอะไรเลย และที่ทำให้แปลกใจสุดๆคือ 1 ตอนมี1บรรทัด
เราไม่เคยอ่านนิยายแบบตอนสั้นที่สุดแบบนี้มาก่อน ทำเอาอึ้งไปเหมือนกัน
แต่ขอบคุณมากที่สร้างสรรค์นิยายดีๆมาให้อ่านกันค่ะ

ปล.เห็นบอกว่ามีสนพ.ติดต่อมา ขอบอกเลยว่าเรื่องนี้สมควรตีพิมพ์จริงๆ และคิดไปถึงการทำซีรีส์เลยยค่ะ มันดีมากจริงๆ และแม้ยอดเมนต์ไม่ได้ถล่มทลาย แต่นิยายนี้คุณภาพมากๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ เจ้าอ้วงงง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อุ่ย ตอน4มาเฟี้ยวจริงๆค่ะ 555555  :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
ชอบบบ เรื่องนี้มากค่ะ พระเอกผีบ้ามากกก  :hao7: เขียนได้สนุกไหลลื่น อ่านง่าย
ชอบการเปรียบเปรยที่ทำให้เห็นภาพ ในทุกๆซีนอารมณ์
จนเราอินคอยลุ้นตามตลอด เป็นกำลังใจให้คุณนักเขียนนะคะ
ปล. รอสเปฯ พี่เรือสำราญทอดสมออยู่น้าา  :impress2:

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
หมายเหตุ: แนะนำว่าเพื่อความฟินที่ต่อเนื่อง
ควรอ่านตอนพิเศษ 2 ตอนจากในเล่มก่อนนะคะ > <
เพราะว่าจะมีเนื้อหาบางส่วนที่คาบเกี่ยวมายังตอน NC นี้ค่า
เพื่อที่จะได้เข้าใจทุกอย่างอย่างคอมพลีตที่สุดเลยค่ะ :D

ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ


กระสุนนัดพิเศษ
ร.รุก ร.รับ ร.เรือ



[สายธาร]

ตอนอยู่ท่าเรือยังดูอากาศแจ่มใสดี แต่หลังจากเราล่องเรือกันออกมาสักพักคลื่นลมกลับแรงขึ้นอย่างน่าประหลาด แสงแดดหายไป เมฆฝนก่อตัวทะมึน ลมพัดแรงคล้ายจะผลักไสเราให้ล่องลอยไปไกลจนกู่ไม่กลับ

“นี่เราออกมาไกลแค่ไหนเหรอ” ผมถาม

“ไม่รู้ดิ” เรือใบตอบสบายๆ

“กลับกันดีมั้ย”

“ผมมึงปลิวขนาดนี้ กูจัดทรงให้ไม่ถูกเลยว่ะ” เขาพูดพลางใช้มือเสยเส้นผมของผมไปมา ซึ่งผมก็ไม่ว่าอะไร “เหม่งเปิดเลยมึง”

“ผมพี่ก็ปลิว” ผมมองหน้าเขา แล้วเอี้ยวตัวไปมองใบเรือที่หุบอยู่ “พี่ได้ทอดสมอรึเปล่า”

“ไม่ นี่มันเขตน้ำลึก”

“เอ้า แล้วเรากำลังจะไปไหนอะ”

“กูไม่รู้”

“พี่ เอาดีๆ…”

เรือใบหยุดใช้มือแทนหวีอย่างที่ชอบทำ เปลี่ยนมาเป็นพาดแขนไว้ที่ไหล่ผม และทอดสายตามองออกไปไกลๆ “ปล่อยให้มันลอยไป”

นี่ฟังดูน่ากลัวรึเปล่า

เรือลำนี้คือเรือใบติดเครื่องยนตร์หรือเรือคาตามารันขนาดรองรับผู้โดยสารได้สิบห้าคน ลำเดียวกับที่เขาขับพาผมกับเดอะแก๊งไปทัวร์เกาะไม้ท่อน แต่วันนี้มีแค่เราสองคน อ้อ แล้วก็สปีดโบ๊ตที่ตอนนี้ตัวสั่นเทาอยู่ในอ้อมแขนผมด้วย เรือกำลังล่องไปอย่างไร้จุดหมาย และกำลังเริ่มโคลงเคลงขึ้นทีละน้อยเพราะคลื่นที่กระเพื่อมมากระแทกตัวเรือ

จากที่แค่จะขับเรือออกมากินลมเล่น แต่ตอนนี้ราวกับว่าเราหลุดเข้ามาอยู่ในอีกโลกหนึ่งที่มีแค่เรา เมฆสีเทา และความกว้างใหญ่ไพศาล

สายฟ้าแลบแปล๊บ ตามด้วยเสียงร้องครืนอยู่ไกลๆ สปีดโบ๊ตถึงกับครางหงิงๆ

“พี่ กลับเหอะ”

“มึงลองตะโกนดิ๊”

“ตะโกนทำไม”

“เออ ลอง หันไปทางฝั่งแล้วตะโกน”

“ตะโกนว่าไร”

“สักอย่าง”

ผมทอดสายตาไปที่ฝั่งซึ่งดูเหมือนจะอยู่ไกลเกินไป แล้วก็ตะโกนดังๆ “พี่เรือใบคนกาก!”

“กูกากเหรอ”

“ก็บางเรื่องอะ”

“เช่น?”

“กินเผ็ดไม่ได้”

“แต่มีหลายเรื่องที่กูไม่กากนะ”

“เช่น?”

“เดี๋ยวมึงก็จะรู้”

ยิ้มเจ้าเล่ห์ คือไรวะ

“อยากกินท่อนแยม!” จู่ๆ เขาก็ตะโกนบ้าง “คิดว่ามีคนได้ยินมั้ย”

“ไกลขนาดนี้ คงไม่อะ”

“ดี”

ดี?

ดีอะไร

ทำไมเริ่มน่ากลัวแล้ว

“สปีดโบ๊ตมันกลัวเสียงพี่อะ ฝนจะตกแล้วด้วย กลับๆ”

“ไอ้ปีด ถ้ามีปัญหามาก เดี๋ยวกูโยนให้ฉลามแดกนะ”

“มันนิ่งด้วย...นี่พี่พูดภาษาหมาได้เหรอ”

“นี่หลอกด่ากูใช่มั้ย”

“ก็มันนิ่งจริง ดูดิ”

“เดี๋ยวกูโยนให้ฉลามแดกทั้งคู่”

ผมเชิดหน้าขึ้น “กล้าเหรอ”

“ให้ฉลามแดกขามึงสักข้างแล้วค่อยช่วยขึ้นมา มึงจะได้นั่งรถเข็นไปตลอดชีวิตและยืนเยี่ยวไม่ได้”

“ฟังดูโรคจิต”

“มึงจะได้ไม่มีขาเดินหนีกูไปไหนอีก”

“...” อันนี้ฟังดูยังไงไม่รู้สิ “ทำไมคิดว่าผมจะเดินหนีพี่ไปไหนอีกล่ะ”

“วันดีคืนดีเกิดอารมณ์ติสแตกขึ้นมา เดี๋ยวก็อยากเล่นซ่อนหากับกูอีก”

“ไม่หรอก”

“ป้องกันไว้ก่อนดีกว่า”

ฟึ่บ!

“เฮ้ยๆๆ” เขาผลักไหล่ผมจนหัวคะมำ หัวใจผมหล่นวูบลงไปในทะเลตรงหน้าแต่แล้วเขาก็กระชากตัวผมกลับ “พี่เล่นไรเนี่ย สปีดโบ๊ตเกือบร่วงเลย”

“หึๆ”

“โรคจิต”

“เออ”

เขากลับมาพาดแขนบนต้นคอผมอีก สายตาก็กลับไปมองที่ขอบฟ้าอีกแล้ว ท่าทีนิ่งๆ คล้ายกับว่าเมฆสีเทาพวกนั้นดึงดูดเขาให้จมดิ่งลงไปในหลุมบ่อความคิดสักอย่าง

ผมหันมองเมฆทะมึนนั้นด้วย และนึกถึงหลุมดำกลวงเปล่าที่เคยขยายกว้างอยู่ในอกผม ตอนนี้มันหายไปแล้ว หายไปเพราะ...เรือใบคนนี้ เมฆสีเทาเลยไม่ดึงดูดผม

นี่เราสลับบทบาทกันแล้วเหรอ

ผมกลายเป็นคนที่เลิกจมดิ่งกับแง่มุมความคิดแล้ว

ส่วนเขาก็เปลี่ยนเป็นคนซึมลึกชอบครุ่นคิดเหมือนผมเมื่อก่อน

“คิดอะไรอยู่” ผมถาม

“มึงไม่อยากรู้หรอก”

“ผมอยากรู้ดิ ถึงได้ถาม”

“คิดว่า จะปล้ำมึงท่าไหนก่อนดี”

“ไม่ใช่แล้ว”

“จะเริ่มจากขี่ม้าส่งเมีย หรือเรือสำราญโต้คลื่นดี”

“พี่! พอเลย ทุเรศ”

“ไหนบอกอยากรู้”

“ไม่อยากรู้ละ ลงไปห้องเคบินดีกว่า เดี๋ยวสปีดโบ๊ตไม่สบาย…” ผมหันหลังก้าวออกจากกราบเรือ แต่เรือใบยังยืนอยู่ที่เดิม “พี่ไม่ไปเหรอ ฝนจะตกแล้ว”

เขาหันมาฉีกยิ้ม “ท่าเรือเข้าอู่ก็ดีนะ”

เขาเอาคำบ้าๆ บอๆ พวกนี้มากลบเกลื่อนความคิดซึมลึกสักอย่างแค่นั้นแหละ ผมไม่พูดอะไรอีก แค่ยู่จมูกใส่เขา แล้วพาสปีดโบ๊ตเข้าไปในห้องเคบิน เคบินเรือลำนี้ทั้งกว้างขวางและหรูหรา ส่วนรับรองผู้โดยสารมีโซฟาแบบ Built In พร้อมกับโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ที่ปรับความสูงได้ ถัดไปอีกหน่อยเป็นห้องนอนขนาดใหญ่ที่มีฟูกหนานุ่ม สองคนนอนเหยียดตัวได้สบายๆ

ผมเข้ามาในห้องนอน นั่งลงบนเตียงและลูบหัวสปีดโบ๊ตเล่น ปกติมันจะออกแนวป่วนๆ แต่พออยู่ในเรือมันกลายเป็นหมาหงอยไปเลย ครั้งก่อนยิ่งอาการหนักกว่านี้อีก ผมลองปล่อยมันลงกับพื้น คงเพราะพื้นที่โคลงเคลงนิดๆ เลยทำให้มันร้องหงิงและเข้ามาคลอเคลียขาผมทันที

“งั้นก็ขึ้นมา นอนบนนี้เลย”

ผมอุ้มมันไว้ในอ้อมแขนพาทิ้งตัวลงนอน แต่ศีรษะโดนอะไรสักอย่างที่วางอยู่ข้างหมอน ทำให้ต้องลุกขึ้นนั่งอีก

นี่มัน…

อารมณ์หลากหลายค่อยๆ ก่อตัวขึ้นบริเวณท้องน้อย ทั้งตื่นเต้น สั่นไหว และอาจจะมีเศษเสี้ยวความหวาดกลัวเล็กๆ แทรกเจืออยู่

เขาไม่ได้เปลี่ยนเป็นคนคิดซึมลึกอะไรหรอก แต่คิดทุเรศอย่างที่ปากพูดนั่นแหละ

สปีดโบ๊ตเข้ามาดมๆ จะทำท่าจะแทะของที่ว่า ผมเลยอุ้มมันลงไปที่พื้น ส่วนตัวเองก็ทิ้งตัวนอนกดหน้ากับหมอนพลางหายใจ

เรือโคลงเคลงมากขึ้น

เสียงเปาะแปะบ่งบอกว่าฝนลงเม็ดแล้ว หรืออาจจะเป็นเสียงความคิดฟุ้งซ่านที่ระเบิดต่อเนื่องอยู่ในหัวก็ได้

เมาเรือแน่ๆ

“ทำไร” เสียงเรือใบดังแทรกเม็ดฝน ผมสะดุ้งลุกขึ้นมาเอาหมอนปิดไอ้ของพวกนั้นไว้โดยอัตโนมัติ หายใจลึกๆ ทีนึงก่อนจะหันไปมองเขา เรือใบอยู่ที่ประตู อยู่ในท่ากอดอกและเอาไหล่พิงกรอบประตูไว้ เส้นผมเขาเปียกชื้นเล็กน้อย หยดน้ำเกาะพราวบริเวณไรผม รวมถึงเสื้อยืดสีเทาเข้มที่สวมอยู่ก็เปียกจนบริเวณไหล่แนบติดกับผิว

ขนาดตัวผมไม่ได้เปียกฝนยังรู้สึกหนาวๆ แต่ดูเขาสบายมาก ปากคอไม่สั่นสักนิด แถมยังยิ้มมุมปากอีก

“ฝนตกแล้วเหรอ”

“ใช่” ดวงตาเป็นประกายวูบ แล้วเขาก็ผละจากประตูเข้ามานั่งบนเตียง

“เอ่อ...ฝนตกแล้ว งั้นเรารีบกลับเหอะ”

เรือใบไม่ตอบ เขาหยิบหมอนที่วางปกปิดของพวกนั้นอยู่ขึ้น รอยยิ้มที่อยู่แค่มุมปากคลี่กางออกราวกับว่าไม่ใช่ตัวเขาเองที่เอามันมาวางไว้ที่นี่ “กูไม่รู้มึงชอบแบบไหน เลยเหมาแม่งมาหมด”

“ไม่หนาวเหรอ” ผมพูดไปอีกเรื่อง

“มึงชอบแบบไหน”

“สปีด เป็นไรรึเปล่า”

“สายธาร” เรือใบวางมือข้างแก้มผมและออกแรงเบาๆ ให้ใบหน้าผมหันไปมองสิ่งที่อยู่บนเตียง “มึงชอบถุงยางแบบไหน”

ต้องพูดตรงขนาดนี้เลยเหรอ!

ใช่ มันคือถุงยางสารพัดแบบ กับเจลหลอดใหญ่

“ทำไมเยอะขนาดนี้”

“เหลือดีกว่าขาด เลือกดิ”

“ไม่ชอบสักแบบ”

“งั้นเดี๋ยวกูสุ่ม”

เขาว่าพลางควานมือละเลงถุงยางให้คละกัน ขณะที่สายตาคมกริบมองหน้าผมอยู่ นี่ถุงยางหรือสอยดาวงานกาชาดกันแน่!

“กะ...กลับกันดีกว่า คลื่นแรงเดี๋ยวเรือก็ล่มหรอก กลับฝั่งไม่ได้ทำไง”

“เรือกลับฝั่งได้แล้วตั้งแต่เจอมึง แล้วก็ไม่ต้องห่วง เรือไม่ล่มง่ายๆ หรอก” นี่ไม่ใช่น้ำเสียงเรือใบที่ผมเคยได้ยิน ไม่ใช่แววตาแบบที่เคยเห็น ขณะที่ผมยังงๆ อยู่นั้น น้ำเสียงเขาก็อ่อนนุ่มแผ่วเบาลงอีกระดับ “มานี่มา”

ตัวผมถูกดึงเข้าไป พร้อมกับตัวเขาที่โน้มเข้ามา

แล้วเรือใบก็นิ่งครู่หนึ่ง…

ไม่ใช่ด้วยความลังเล แต่คล้ายทอดเวลาอีกนิดเพื่อให้ผมเตรียมใจ ใบหน้าคมคายของเขาอยู่ใกล้มากจนดูเลือนราง และนั่นก็ทำให้ผมทำตัวไม่ถูกเหมือนเพิ่งตระหนักว่าเผลอเข้าใกล้งานศิลปะชิ้นเอกมากเกินไป สายตาผมโฟกัสจุดไหนชัดๆ ไม่ได้เลย แต่ก็ยังพอบอกได้ว่า ปอยผมเปียกชื้นปรกลงมาอยู่ที่หางคิ้ว ผิวหน้าดูใสสว่าง ลมหายใจแผ่วเบาบ่งบอกว่าอารมณ์เขามั่นคง อาจจะไม่ต่างจากตอนเหนี่ยวไกปืนเลยก็ได้

และเมื่อมองเข้าไปในดวงตาคม ผมก็เห็นตัวเองฝังลึกอยู่ในนั้น

ภาพตรงหน้าเลือนรางลงกว่าเดิมเมื่อใบหน้าเขาขยับเข้ามาอีก ปลายจมูกคมสันเกลี่ยไล้ร่องแก้มผม เปลือกตาผมปิดลงโดยอัตโนมัติ จากนั้นริมฝีปากเย็นๆ เพราะน้ำฝนก็ประกบกับริมฝีปากสั่นๆ ของผม แต่ลิ้นของเขาไม่ได้เย็นด้วย มันร้อน ราวกับว่ามีถ่านแดงคุกรุ่นอยู่ภายในร่างกาย

จูบของเรือใบ…

นี่คือสัมผัสที่ผมหลีกเลี่ยงมาตลอด

ไม่สิ

คือสัมผัสที่ผมโหยหามาตลอดมากกว่า

เรือโคลงเพราะคลื่นลูกใหญ่ซัดมา ตัวผมถึงกับเอนไปข้างหลัง ริมฝีปากเราผละจากกันชั่วครู่ ร่างกายผมอาศัยจังหวะนั้นสูดลมเข้าปอดได้เฮือกสั้นๆ และเป็นจังหวะเดียวกันที่มือเขากดหน้าอกผมให้ตัวนอนราบลง ก่อนที่ริมฝีปากจะโน้มตามมาประกบต่อ

เขาดูช่ำชองมาก ริมฝีปากผมตอบรับอย่างเก้ๆ กังๆ และคล้ายกับกว่าตัวเองลืมวิธีหายใจไปแล้ว เหมือนกำลังจมน้ำ ผมสั่งให้ตัวเองสูดหายใจเข้าถี่ๆ ซึ่งร่างกายก็ยอมตาม แต่ก็ยังรู้สึกหายใจไม่ออกอยู่ดี จูบของเขากำลังจะฆ่าผม มันทั้งดุดัน ตรงไปตรงมา และราวกับดูดกลืนชีวิตผมไปด้วย

ผมกำลังจะตาย

แต่เขาก็ยังไม่ผ่อนปรนลง…

“อื้อ”

“อือ”

เรือใบทำเสียงในลำคอตอบ เขาทรมานผมต่อช่วงสั้นๆ ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากไปด้านข้าง ผมหันหน้าไปอีกทางพร้อมกับสูดหายใจ รู้สึกเหมือนเพิ่งโผล่พ้นจากน้ำมาได้ แต่แล้วก็รู้สึกเบาโหวงเหวงไม่ต่างจากถูกฉุดให้ล่องลอยไปในอากาศ เมื่อริมฝีปากที่ร้ายกาจของเขาเริ่มขยับจากมุมปากไล่ลงมาบริเวณต้นคอ

“พี่…”

“อือฮึ”

“หยุดก่อน อายสปีดโบ๊ต”

“มันเป็นหมา ไม่รู้เรื่องหรอก”

“มันรู้…”

เรือใบผละตัวออกไปอยู่ในท่านั่ง ใจผมสั่นหวิว ไม่แน่ใจว่าเป็นความโล่งอกหรือกลัวเขาจะหยุดไปจริงๆ “ไอ้ปีด” เขาหันไปพูดกับมันที่ยืนเอียงคอมองมาที่เราอยู่ “ไปคอยที่มุมห้อง เข้าใจมั้ย ไป” แทนที่จะทำตาม มันกลับกระดิกหางขยับมาข่วนข้างเตียงทำท่าอยากขึ้นมาหาเรา

“เห็นมั้ย มันไม่รู้เรื่อง” เขาใช้มือจับคอเสื้อยืดด้านหลังและดึงออกทางศีรษะรวดเดียว ขยำมันลวกๆ เป็นก้อนปาส่งๆ ไปทางสปีดโบ๊ต ซึ่งมันก็งับไปฟัดเล่นทันที ผมหันกลับมาอีกทีก็ได้เห็นร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า แผงอกเขาดูกว้าง หน้าท้องมีซิกซ์แพ็กส์ รวมถึงร่องวีเชฟที่โค้งหายลงไปใต้ขอบกางเกง

แล้วเขาก็โน้มตัวลงมาอีก

“เดี๋ยว พี่…”

แต่ริมฝีปากประกบปิดกั้นเสียงผมไว้ คราวนี้จูบของเขาซับซ้อนกว่าเดิม บางจังหวะอ้อยอิ่งเนิ่นนาน บางจังหวะรุกเร้าหยอกเย้าแรงๆ

คลื่นซัดมาอีกลูกจนผมต้องกอดรวบลำตัวเปลือยเปล่าของเขาไว้แน่น เขากอดผมไว้เช่นกัน พอเรือโคลงเคลงน้อยลงริมฝีปากเขาก็ทำงานต่อ ค่อยๆ สำรวจจากแก้มผมไปที่ขมับ ใบหู ลงมาที่ต้นคอ และเคลื่อนไล้ไปที่ต้นคออีกฝั่ง

เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายผมสั่นไหว

สติหลุดลอยไป

มารู้ตัวชัดๆ อีกทีเมื่อเสื้อผ้าถูกถอดออกจนหมด เมื่อคุณต้องเปลือยเปล่าอยู่ต่อหน้าใครสักคน ความกลัวจะแล่นเข้าเกาะกุมคุณแน่นอน อย่างน้อยก็วูบหนึ่ง เขาจะรู้จักตัวตนของคุณทุกซอกทุกมุม เขาจะก้าวเข้ามาในโลกส่วนตัวมุมที่ลึกที่สุดของคุณ และคุณจะไม่เหลือที่ว่างให้หลบซ่อนอีก

ผมกลัว…

แต่ริมฝีปากและมือของเขาเคลื่อนไหวอย่างเชี่ยวชาญเกินไป เกินกว่าจะต่อต้านหรือขัดขืน เรามาไกลเกินไปแล้ว ร่างกายผมอ่อนปวกเปียกไม่ต่างจากตุ๊กตาที่เขาจะทำอะไรก็ได้

“พี่…”

“หืม”

“อย่า…”

“ไม่ทันแล้ว”

“อย่าทิ้งผม”

เรือใบหยุดชะงัก

เขาคงไม่คาดคิดว่าผมจะพูดคำนั้น ตัวผมเองก็ไม่คิดเหมือนกัน เป็นคำที่ผลักดันให้ผมพลิกตัวตะแคงและเบือนหน้าไปด้านข้าง เรือใบเบี่ยงตัวมานอนอยู่ด้านหลังผม แขนเขาโอบรอบเอวดึงตัวเข้ามาชิด ท่อนแขนอีกข้างค้ำอยู่ข้างศีรษะผม

ใบหน้าของเขาจ่ออยู่ใกล้ๆ ข้างแก้มผม

ผมไม่ได้มองตาเขา แต่รู้สึกได้ว่า ต่อให้จ้องตรงๆ ก็คงเป็นแววตาที่อ่านยาก แล้วมือข้างที่โอบเอวผมอยู่ก็เลื่อนขึ้นมา...ใช้นิ้วลูบเบาๆ ตรงแผลที่ข้างขมับของผม

รอยแผลจากกระสุนปืนที่ถากขมับไปอย่างฉิวเฉียด

แค่แผลเล็กๆ และหายดีแล้ว แต่พอสัมผัสก็ยังเจ็บแปลบอยู่ลึกๆ

“มึงจำวันนั้นได้มั้ย”

“อือ…”

“กูโง่เองที่เข้าไปแย่งปืนมัน จนมันทำปืนลั่นข้ามไหล่กูไป”

“...”

“ข้างหลังกูเงียบมาก” เขาเว้นจังหวะคล้ายกับพยายามควบคุมน้ำเสียง “จนกูนึกว่ามึงทิ้งกูไปแล้ว”

“...”

“มึงยังอยากตายอยู่มั้ย”

“ไม่แล้ว”

เขานิ่งไป ก่อนจะโน้มลงมาจูบที่รอยแผลนั้น ราวกับอยากจะให้มันเลือนหายไป “ถึงอยากกูก็ไม่ยอมหรอก” จากนั้นริมฝีปากก็เลื่อนจากรอยแผลมาประกบปากผมอีกครั้ง

อย่าทิ้งผม ผมขอแค่นี้

เขาไม่พูดตอบ แต่สัมผัสนี้ก็เป็นคำตอบในตัวมันเองแล้ว

บางอย่างในโลกส่วนตัวของผมแตกสลายคล้ายกับฝุ่น อาจเป็นเศษซากความรู้สึกหม่นเศร้าที่ซุกซ่อนอยู่สักที่ หรืออาจเป็นเปลือกบางๆ เก่าเขลอะที่ผมสร้างขึ้นไว้ปกป้องตัวเอง แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเปลือยเปล่า ไม่เหลือที่ให้หลบซ่อนอีก และเรือใบก็กำลังก้าวเข้ามาในโลกใบนี้แล้ว

ข้างนอกฝนตกแรงขึ้น ลมพัดอื้ออึง คลื่นซัดมาเป็นระลอกถี่จนตัวเรือโคลงไปมา

แต่ผมไม่กลัว

เขากอดรวบด้านหลัง ริมฝีปากที่ช่ำชองกลับมาขยับไล้เลื่อนอยู่บริเวณซอกคอผม คราวนี้ผมพลิกตัวไปตอบรับริมฝีปากของเขา

เราไม่ได้สื่อสารกันด้วยถ้อยคำอีก แค่ปล่อยให้ร่างกายมันพูดคุยกัน

ในที่สุดเรือใบก็เปลือยเปล่าไม่ต่างกัน แม้ไม่ได้มอง แต่ผมรู้ว่าถุงยางกับเจลที่เขาเตรียมมาถูกนำมาใช้แล้วด้วยมือที่นุ่มนวลของเขา ผมพยายามผ่อนคลายขณะที่สัมผัสจากเขาชวนให้บิดเกร็ง ในภาวะนั้นเหมือนกับว่าร่างกายของเราสองคนกำลังดิ้นรนเพื่อจะหลอมรวมเข้าด้วยกัน ทั้งความร้อนและความปรารถนาเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดที่เราต่างรู้ว่าพร้อมแล้ว แต่เขายังรั้งรออยู่ โดยที่จูบเร่งเร้าขึ้นทุกขณะเหมือนจงใจยั่วเย้าผม แต่ก็คล้ายวอนขออยู่ในที

“พี่…” ในที่สุดผมก็พูดขึ้น

“อือฮึ”

“มะ...ไม่ไหวแล้ว”

“กูก็ไม่ไหว”

เรือใบขยับตัวเล็กน้อย แล้วเขาก็ก้าวเข้ามาถึงจุดที่ลึกที่สุดในโลกส่วนตัวของผม…

ลมหายใจของเราทั้งคู่หยุดนิ่ง

โลกภายในของผมสงบนิ่ง สงัดเสียจนไม่ได้ยินเสียงคลื่นลมข้างนอก ได้ยินแค่เพียงเสียงลมหายใจห้วงสั้นๆ ของเรือใบตอนที่เขาซบหน้าลงมาตรงซอกคอผม ก่อนเขาจะเงียบนิ่งไปเช่นกัน

เป็นความเงียบงันก่อนพายุใหญ่จะโหมมา

ถึงอย่างไรเราก็ฝังตัวอยู่ในโลกเงียบนั้นไม่ได้นาน ร่างกายต้องการอากาศ และเราสองคนก็สูดลมเข้าเบาๆ แทบจะในจังหวะเดียวกันอย่างประหลาด

“กูทำมึงเจ็บหรือเปล่า” เขากระซิบถาม

“ไม่เคย” ผมไม่ได้หมายถึงตอนนี้ แต่รวมความถึงทุกสิ่งทุกอย่าง และเขาก็รู้

ไม่หรอก กูทำมึงเจ็บ
 เขาคงอยากจะพูดทำนองนั้น แต่แม้ไม่พูด อ้อมกอดที่กระชับเข้ามา รวมถึงลมหายใจที่เป่ารดต้นคอผมก็สื่อความได้เป็นอย่างดี มันเป็นลมหายใจของความรู้สึกผิดมากกว่าความเสน่หา

ความเงียบโอบล้อมเข้ามาอีก

เราต่างผ่อนคลายลงเล็กน้อย

ผมค่อยๆ เลื่อนมือจากแผ่นหลังของเขาขึ้นมาที่ต้นคอ ไล้มาประคองใบหน้าเขาดึงเข้ามาจูบ คราวนี้จูบของเขาอ่อนโยนอย่างเหลือเชื่อ ทั้งอ้อยอิ่ง เนิ่นนาน ทว่ากลับทำให้ความต้องการของผมโหมกระพือขึ้น

“พี่…”

“กูรู้”

ไม่มองหน้าตรงๆ ก็รู้ว่าเขากำลังยิ้มมุมปาก แต่เขาก็ยังไม่ตอบสนองสิ่งที่บอกว่ารู้ ริมฝีปากเขายังขบเล็มต้นคอผมอยู่ ราวกับจงใจทรมานผมไปเรื่อยๆ จนกว่าผมจะเอ่ยปากขอ

“พี่เรือ ผม…”

“อือ”

คลื่นลูกใหญ่ซัดเข้าหาตัวเรืออีกครั้ง แล้วเขาก็ยกตัวขึ้นและเริ่มเคลื่อนไหว อาจไม่ใช่ว่าเขาจงใจทรมานผม แต่เขากำลังรอคลื่นลูกนี้อยู่มากกว่า เพราะหลังจากนั้นเรือใบลำนี้ก็เคลื่อนไหวสอดคล้องไปกับจังหวะของเรือใบคนที่กอดผมอยู่ จนผมแทบแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร รับรู้เพียงว่าโลกทั้งใบแกว่งไหวไปมา

นี่ไม่ใช่จังหวะที่จะรับมือได้ง่ายๆ

ราวกับว่าคลื่นลมส่งพลังมาให้เรือใบ ผ่านทางใบเรือ เตียง และสิ่งของทุกชิ้นในนี้ แล้วเรือใบก็ส่งทอดพลังนั้นผ่านร่างกายของเขามาให้ผม พลังมหาศาลจนผมต้องเม้มปากสกัดกั้นเสียงไว้

จังหวะเริ่มไม่สอดคล้องกับธรรมชาติแล้ว แต่ดูจะสอดคล้องกับเสียงลมหายใจขาดห้วงของผมมากกว่า ผมสัมผัสได้ถึงเรือใบคนที่ผมรู้จัก คือ แข็งแกร่ง ดิบๆ และไม่ยอมคน แต่บางขณะก็สัมผัสได้ถึงเรือใบในแบบที่อ่อนโยนอย่างน่าประหลาด

แต่ส่วนมากออกไปทางหัวรั้นไม่ยอมคนมากกว่า เหมือนว่าเขากำลังเคลื่อนไหวร่างกายเยาะเย้ยคลื่นทะเล

สัมผัสของเขา

จังหวะที่เร่งเร้าของเขา…

มันทำให้โลกของผมเริ่มปริร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ ราวจะแตกเป็นเสี่ยง

ตอนนี้โลกภายนอก คลื่นอ่อนแรงลงแล้ว ทำให้เรือใบลำที่เราโดยสารมาแค่โคลงเคลงเบาๆ แต่โลกภายใน เรือใบของผมกลับเป็นตรงกันข้าม…ทั้งมั่นคง มุ่งมั่น และไม่ผ่อนปรน

ไม่ไหวแล้ว

“พี่เรือใบ...”

“สายธาร...”

ผมเรียกชื่อเขา

เขาเรียกชื่อผม

เหมือนว่าเรากำลังร้องเรียกกันท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำ และเราต่างไม่พูดอะไรอีก คงเพราะไม่มีคำไหนจะแทนความหมายได้ ไม่มีคำไหนงดงามพอที่จะเอ่ยออกมาในช่วงเวลานี้

ผมกอดรวบตัวเขาไว้ โอบประคองแผ่นหลังกว้างๆ ที่คอยปกป้องผมมาตลอดตั้งวินาทีแรกที่พบหน้ากัน จากนั้นก็หลับตากลั้นลมหายใจ รอจนกระทั่งพายุอันเนิ่นนานผ่านพ้นไป…

ในที่สุดเรือใบของผมก็ซบหน้าลงมากอดผมไว้นิ่ง

ขณะที่เรือใบของเรายังโคลงไหวเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางความกว้างใหญ่ของทะเล



_____________________________

แอ๊ก ;-; สวัสดีค่ะทุกคน แง
ไม่เคยเขียนฉากแนวนี้มาก่อนเลยค่ะ ;-; เป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ค่ะ ไม่รู้ว่าจะชอบกันมั้ย แง
คือด้นๆ ไปมั่วๆ เลยค่ะ ไม่กล้าลงดีเทลอะไรเยอะมาก แหงะ ฮือ ศัพท์เศิพมั่วไปหมด XD ฮื่อ อ๊อก~
แรกเริ่มเดิมทีตั้งใจให้พี่เรือมาแบบดุๆ แต่ไปๆ มาๆ เหมือนตัวละครเขาเป็นไปเอง
เลยออกมาเป็นแบบนี้ค่ะ *ลูบหน้า* ทำไมเป็นพี่เรือที่แบบ ฮื่อ ฟหกด่าสง อ่อนโยนแบบดุนิดๆ แทน แง

ขอบคุณนะคะ เดี๋ยวเอาอีกตอนมาลงให้อ่านอีกนะคะ สนองตัวเอง สนองทุกคนไปด้วยกัน ❤
อ่านแล้วเป็นยังไงแชร์ให้ฟังได้นะคะ ขอบคุณมากเลยค่ะ

คิดถึงทุกคนนะคะ รักมากๆ เลย
ขอบคุณที่ให้โอกาสกันนะคะ ;__;
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-12-2018 22:20:10 โดย นางร้าย »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
โอ้ยพี่เรือ โคลงเคลงอยู่กลางทะเล :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ aisen

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
ตอนที่รอคอยต่อจากเล่ม หวานๆในแบบของเขาหละพี่เรือน้องธาร

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
โอ้ยยยย พี่เรือใบเจ้าสำราญ เล่นเอาเรือโคลงเคลงโต้คลื่นจนใจสั่นไหว~  :jul1:

ขอบคุณนะคะ สมกับที่คิดถึงและรอคอย ชอบบบบ

ออฟไลน์ บีเวอร์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ มนุษย์บิน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 407
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
กรี๊ดดดดดดดดฉากโล้เรือนี้มันสุดมากกกกนึกว่าจะไม่มีตอนพิเศษซะแล้ววขอบคุณมากจ้าาาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mellowshroom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 976
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
ดี เนื้อเรื่องสนุก ภาษาดี

น้องธารก็ดี อิพี่เรือก็ดี  o13

ออฟไลน์ Tin Tin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
สวัสดีค่ะทุกคน
เผลอหายไปนานเลย
ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ ช่วงที่ผ่านมามีหลายอย่างเกิดขึ้น
เพิ่งจัดระเบียบชีวิตอันแสนหรรษาจนลงตัวค่ะ :D
คิดถึงมากๆ เลยนะคะ
คิดว่าวันนี้น่าจะเป็นวันดีๆ สำหรับลงตอนพิเศษตอนสุดท้ายนี้

ขอบคุณที่ล่องเรือด้วยกันมาจนถึงวันนี้นะคะ
มันมีความหมายมากมายจริงๆ ค่ะ
ขอให้ตอนพิเศษสุดท้ายนี้ทำให้มีความสุขมากๆ นะคะ :)


หมายเหตุ: แนะนำว่าเพื่อความฟินที่ต่อเนื่อง
ควรอ่านตอนพิเศษ 2 ตอนจากในเล่มก่อนนะคะ > <
เพราะว่าจะมีเนื้อหาบางส่วนที่คาบเกี่ยวมายังตอน NC นี้ค่า
เพื่อที่จะได้เข้าใจทุกอย่างอย่างคอมพลีตที่สุดเลยค่ะ :D

ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ


กระสุนนัดพิเศษ
ร.รุก ร.รับ ร.รูม

[เรือใบ]

“อ้าว ทำไมพูดแมวๆ งี้ล่ะ...เออ งั้นก็ไว้ค่อยคุย” ผมกดตัดสาย แล้วห้ามตัวเองไม่ให้ปามือถือลงพื้น “แม่ง!”

“พี่ ใจเย็น” สายธารที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ พูด

“เหี้ย”

“มีวันไหนมั้ยที่พี่ไม่ด่า”

“กวนประสาท”

“หมายถึงผมหรือคนในสาย”

ผมทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ ความนุ่มของเก้าอี้ผู้บริหารพยายามปลอบโยนตูดผม แต่เหมือนจะไม่ได้ผล นี่คือโรงแรมสุดอลังการของป๊า ซึ่งผมไม่รู้ว่าจะแกว่งตีนหาเสี้ยนยอมพาตัวเองมาช่วยป๊าบริหารทำไม ถ้าไม่มีสายธารอยู่ตรงนี้ด้วยผมคงชิ่งไปแล้ว

“ทุกคนกวนประสาทกูหมด ยกเว้นมึงนี่แหละ”

“จริงดิ”

“ไอ้คนพวกนี้เป็นเทวดามาเกิดเหรอวะ เรื่องมากชิบหาย”

“มานี่มา” สายธารลุกขึ้นเดินอ้อมมาอยู่ข้างหลังผม พร้อมกับวางมือบนบ่าเบาๆ “นั่งนิ่งๆ เดี๋ยวผมนวดให้ ออฟฟิศซินโดรมแล้วมั้งพี่”

“เออ ออฟฟิศซินเดอเรลล่าไรนี่แม่งแดกกูทั้งตัวแล้วมั้ง ออกไปยืดเส้นยืดสายกันดีกว่า”

“ไปไหน ยังไม่เลิกงานเลย”

“งานห่านี่ไม่มีเวลาเลิกจริงๆ หรอก ไปเหอะ”

ผมลากสายธารออกจากออฟฟิศที่โรงแรม พาขับรถเลาะริมหาดไปช้าๆ การจราจรบนถนนของภูเก็ตเป็นมิตรกว่าในกรุงเทพฯ เยอะ เลยไม่ต้องรีบร้อน ระหว่างทางสายธารไม่พูดหรือถามอะไร เกือบจะดูเหมือนว่าเขาจมลงไปอยู่ในโลกส่วนตัวเหมือนช่วงที่เพิ่งรู้จักกัน แต่ดูจากรอยยิ้ม ผมเดาว่าเป็นโลกที่น่าอยู่กว่าเมื่อก่อน

โลกที่ตอนนี้ผมเข้าถึงแล้ว

เราไม่มีความลับต่อกัน แต่บางจังหวะก็มีระยะห่างที่พอเหมาะพอดี อย่างเช่นตอนนี้ เวลาเขานั่งเงียบๆ ผมชอบแอบเหลือบมองและเงี่ยหูฟัง ซึ่งในหัวผมก็มักจะได้ยินเสียงเขาพูดอะไรสักอย่างเสมอ

สิ่งหนึ่งในตัวสายธารที่ผมชอบก็คือ เขาทำให้ผมยิ้มได้ โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย

“พี่ยิ้มไร” สายธารถามขึ้น เมื่อก่อนเขาชอบเงียบไปนานๆ และเป็นผมที่มักจะถาม แต่เดี๋ยวนี้เวลาอยู่กันเงียบๆ เขามักจะเป็นฝ่ายถามก่อนมากกว่า

“อยากยิ้มก็ยิ้ม ทำไม กูมีปาก ยิ้มไม่ได้เหรอ”

“คิดไรอยู่ล่ะ”

“ให้เดา”

“คิดลามกอะดิ”

“รู้ใจ”

“หยุดเลย”

“ฮ่าๆ แล้วมึงล่ะ เงียบๆ คิดอะไร”

“ไม่ได้คิดอะไรทุเรศๆ เหมือนพี่ละกัน”

“ก็อะไรล่ะ”

“ก็...” สายธารเบือนหน้าไปมองนอกรถ “คิดถึงวันแรกที่เราเจอกัน”

ผมเหลือบมองเขา “คิดว่าไงมั่ง”

“เปล่า แค่คิดถึงเฉยๆ” ไม่รู้เจอกันได้ไง ผมได้ยินเสียงเขาพูดในหัว ก่อนเขาจะพูดต่อว่า “ไม่รู้ว่าพี่ไปเจอผมได้ไง แปลกดี”

“อืม”

“ขอบคุณนะ”

“อะไร”

เขาหันมามองผม “ที่ช่วยผม”

ผมหันไปมองทาง ไม่รู้จะพูดอะไรตอบ และเป็นจังหวะที่ต้องเลี้ยวรถเข้าคอนโดอันเป็นจุดหมายปลายทางพอดี สายธารคงกำลังจะถามผม แต่มีสายจากเจ๊ผู้จัดการฝ่ายการตลาดที่โรงแรมโทรเข้าเครื่องผมซะก่อน ผมส่งโทรศัพท์ให้สายธารเป็นคนคุยแทนในฐานะผู้ช่วย เขาเป็นคนหัวไว เรียนรู้งานเร็ว แถมยังรับมือกับปัญหาจุกจิกได้ดีกว่าผมเยอะ ถ้าว่ากันตามสายงาน ทุกคนก็ควรคุยกับสายธารก่อนอยู่แล้ว แต่บางคนยังชอบข้ามหัวเขาต่อสายตรงถึงผมตลอด โดยเฉพาะเจ๊การตลาดนี่แหละ

ผมขับรถขึ้นตัวตึกไปจอดที่ลานจอด เดินนำเขาไปที่ลิฟต์ พอเข้าไปในลิฟต์ได้ก็กดชั้นยี่สิบ ระหว่างนี้สายธารยังคุยโทรศัพท์อยู่ตลอด จากที่ฟังผ่านๆ ก็ปัญหาขี้หมูขี้หมาแบบเดิมนั่นแหละ

จนกระทั่งเราเดินออกจากลิฟต์

“ครับ...ได้ครับพี่ ขอบคุณที่แจ้งนะครับ...ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะแจ้งคุณเรือใบให้...สวัสดีครับ”

“อย่าเพิ่งแจ้งอะไรกูตอนนี้นะ ขี้เกียจฟังเรื่องงาน” ผมพูดดักทันทีที่เขากดวางสาย สายธารส่งมือถือคืนให้ผมและเดินตามหลังติดๆ

“เรามาหาใครเหรอ เพื่อนพี่หรือว่าลูกค้า”

“มาหาเรา”

“ฮะ?”

ผมนำมาเขามาหยุดที่หน้าห้องหนึ่ง “ไม่รู้จะอธิบายยังไง ดูเองละกัน” ว่าแล้วก็แตะคีย์การ์ดเปิดประตู

“...” สายธารนิ่งอึ้งหลังจากก้าวเข้ามาในห้อง ผมปิดประตูตามหลัง ก้าวมายืนข้างเขา “เหมือนคอนโดพี่ที่กรุงเทพฯ เลย”

“เกือบเหมือน”

ขนาดของห้องนี้เล็กกว่าที่กรุงเทพฯ หน่อย แต่แบบแปลนและการตกแต่งเหมือนกันจนเกือบเป๊ะ ทั้งโต๊ะ ตู้ เตียง ห้องนอน ห้องน้ำ หรือแม้แต่ระเบียง

“พี่ยกโซฟาตัวนี้มาจากกรุงเทพฯ เลยเหรอ”

“คนละตัว แต่รุ่นและสีเดียวกัน”

“เหมือนมาก” สายธารพูดพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาสีเทาเข้ม

“จะเหมือนกว่านี้อีก ถ้ามึงอ้วกใส่”

“บ้าดิ”

“หึ” ผมถอดเสื้อตัวนอกออกพาดบนพนักพิงโซฟา และจะนั่งลงข้างเขา

“พี่อย่าวางเสื้องั้นดิ ยับหมด มาผมเอาไปแขวน”

สายธารคว้าเสื้อผมเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า ผมมองตามหลังเขา แล้วไปหยิบเบียร์ในตู้เย็นสองกระป๋องกลับมานั่งที่โซฟา ห้องเพิ่งตกแต่งเสร็จไม่นาน เฟอร์นิเจอร์ยังมีกลิ่นของใหม่อยู่ด้วยซ้ำ แต่ผมกลับรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายเก่าๆ ระหว่างเรา มันอบอวลอยู่ทั่วไปหมด

“เหมือนจริงๆ นะเนี่ย” สายธารกลับมานั่งลงข้างผม “อะไร มีเบียร์ด้วย”

“อือ เอาดิ”

“ยังท้องว่างอยู่นะ แต่ก็เอาเถอะ”

ผมกระดกเบียร์นำเขาไปก่อนแล้วเล็กน้อย พอสายธารเปิดยกขึ้นจิบบ้าง เราก็เงียบกันไปอีก ต่างคนต่างดื่มด่ำบรรยากาศเก่าๆ ที่เคล้าอยู่ในรสขมของเบียร์

“ทำไมพี่แต่งห้องเหมือนเดิมเป๊ะขนาดนี้อะ”

“ก็มึงไม่ยอมไปอยู่กรุงเทพฯ กูเลยต้องเอาสิ่งที่อยู่กรุงเทพฯ มาหามึง”

“...”

“ทำให้เหมือนทุกอย่าง ต่างแค่ว่า ต่อจากนี้มึงจะไม่ได้นอนที่โซฟา”

“ฮะ?”

ผมชอบมองเขานอนอยู่บนโซฟานะ แต่ตอนนี้ชอบให้เขานอนที่เตียงด้วยกันมากกว่า

“กูทำห้องนี้ให้มึง”

“บ้าเหรอพี่ นี่คอนโดทั้งห้อง จะมายกให้ผมได้ไง”

“งั้นก็เป็นห้องกู แต่ให้มึงมาอยู่ด้วย”

“ทำไมผมต้องมา”

“สวัสดิการพนักงาน อยู่ใกล้ที่ทำงาน ไม่ต้องเดินทางไกล”

“แบบนี้ก็ได้เหรอ ไม่เอาอะ นี่มัน...มากเกินไปแล้ว”

“มึงเป็นผู้ช่วยกู ก็ต้องมาอยู่ช่วยกู”

“ฮะ!?”

“ช่วยเอาเสื้อไปแขวน ล้างจาน ทำอาหาร เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้กู”

เขายิ้ม “พี่ไม่มีมือเหรอ”

ผมยิ้มบ้าง “งั้นกูจะมีผู้ช่วยไว้ทำไมล่ะ”

“ผม...ต้องคุยกับแม่ก่อน”

“กูคุยเอง”

“พี่ อย่ามัดมือชกงี้ดิ”

“งั้นมัดมือทำอย่างอื่น”

“พี่!”

ผมหัวเราะพลางตบไหล่เขา “ท้องว่างใช่มั้ย งั้นมึงนั่งเฉยๆ”

“พี่จะทำไร”

“นั่งเฉยๆ ไม่ต้องลุกมาบอกอะไรกู”

ผมไปที่ตู้เย็นอีกครั้ง เอาขนมปัง แยม ไข่ และของที่จำเป็นต้องใช้มาที่ครัว พับแขนเสื้อขึ้นมาถึงศอกแบบลวกๆ แล้วลงมือทำท่อนแยมทอด โดยมีสายธารชะเง้อมองอยู่ตลอดเวลา สักพักก็เสร็จเรียบร้อย ผมตักใส่จานแล้วยกมาวางที่โต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา ที่ผ่านมาเคยทำได้ดูน่ากินกว่านี้นะ แต่จานนี้ก็ถือว่าพอทน

“เฮ้ย พี่ทำเป็นเหรอ”

“กูหัดทำตอนมึงไม่อยู่”

“...”

“ลองกินดิ”

สายธารนั่งเฉย เขาก้มหน้าลงนิดๆ มองกระป๋องเบียร์ในมือตัวเอง “ผมขอโทษ”

“เรื่องไร”

“ที่หนีพี่มา”

ผมก้มหน้าลงมองกระป๋องเบียร์ของตัวเองบ้าง “เรื่องขี้หมา ยังไงกูก็ตามหามึงเจออยู่แล้ว แต่ก็ดีที่มึงหลบหน้ากูมาอยู่นี่ ทำให้กูรู้ว่ากูต้องการอะไร”

เราหันมองหน้ากัน

สายธารยิ้ม ก่อนจะหยิบท่อนแยมใส่ปากเคี้ยวด้วยสีหน้านิ่งๆ ผมแอบลุ้นอยู่เงียบๆ จนกระทั่งเขาพูด “สงสัยผมต้องมาช่วยพี่ทำกับข้าวจริงๆ”

“แดกๆ ไปเถอะ”

“ฮ่าๆ ล้อเล่นน่า”

“พรุ่งนี้มึงย้ายของเข้ามาอยู่เลยละกัน”

“เร็วไป”

“กูรอนานแล้ว”

“เอาแต่ใจ”

“ไม่อยากให้เอาแต่ใจ มึงก็เอาใจกูเยอะๆ”

“ไม่คุยด้วยละ ผมไปดูห้องดีกว่า” ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นไปเดินสำรวจ ส่วนผมหันมาหยิบท่อนแยมกินแกล้มเบียร์ ตาไม่ได้มอง แต่หูยังฟังเสียงเขาพูดถึงข้าวของชิ้นโน้นชิ้นนี้อย่างตื่นเต้น ทั้งที่ตอนอยู่กรุงเทพฯ เขาไม่ตื่นเต้นกับอะไรเลย แทบจะใช้ชีวิตอยู่แค่โซฟาเท่านั้น

เสียงเขาเงียบไปแล้ว

ผมกระดกเบียร์อึกหนึ่งแล้ววางมันไว้ที่โต๊ะ จากนั้นก็ลุกไปหาเขาที่ห้องนอน “สายธาร…” แวบแรกผมคิดว่าเขาอยู่ในห้องน้ำ แต่แวบต่อมาสัญชาตญาณบอกว่าเขานอนราบกับพื้นแอบอยู่ตรงข้างเตียงนั่นแหละ ผมแกล้งตามน้ำทำเป็นไม่รู้ และหันหลังทำท่าจะเดินออกจากห้อง

ฟึ่บ!

เขาโผล่จากที่ซ่อนมารวบกอดผมจากด้านหลัง

“แก้ท่านี้ยังไง”

“ไม่แก้”

“เอ้า ไหนว่าจะสอนไง”

“ไม่แก้ ให้มึงกอดกูไปเรื่อยๆ แบบนี้แหละ”

“งั้นไม่กอดละ”

“เออๆ สอนก็ได้ กอดแน่นๆ” สายธารกอดตัวผมอีกครั้ง โดยรวบแขนทั้งสองข้างผมให้แนบตัวไว้ด้วย “แบบนี้ถ้าดิ้นหรือโยกตัวยังไงก็ไม่หลุด วิธีแก้ก็ง่ายๆ...ย่อตัวลงพร้อมกับกางศอกทั้งสองข้างออกนิดๆ แบบนี้ เห็นมั้ย แขนคนที่กอดคลายนิดนึงแล้ว ทีนี้ก็แค่ขยับขาขวามาอยู่หลังขาซ้ายของคนกอด ใช้มือจับต้นขาสองข้าง แล้วก็หมุนตัวไปทางขวาเทแม่ง แบบนี้”

ผมไม่ได้เทสายธารให้ล้มคว่ำไปจริงๆ แค่ออกแรงท่าจับหมุนตัวนิดๆ พอให้เห็นภาพ แต่ตัวเขาเองก็ถึงกับเสียหลัก จนต้องกอดรั้งคอผมไว้เพื่อไม่ให้ล้ม

“ดูง่ายอะ ขอลองบ้างดิ”

“ได้”

ผมเปลี่ยนไปกอดด้านหลังเขาแทนบ้าง พออยู่ในท่านี้ผมก็ห้ามตัวเองไม่อยู่ ต้องหอมซอกคอสักฟอด

“เฮ้ย ไรของพี่เนี่ย” รางวัลที่ผมได้ตอบแทนก็คือ ศอก กระตุกใส่หน้าท้องหนึ่งที

“หึ”

“พี่เอาดีๆ ต้องทำไงนะ ขอทวนสั้นๆ อีกที”

“ย่อตัวพร้อมกับกางศอก สอดขามาข้างหลัง หมุนตัวเทไปทางขวา”

“โอเค”

สายธารย่อตัวและกางศอก จุดนี้ทำได้ดีมาก แต่พอเขาจะสอดขามาข้างหลัง ผมก็ชักขาซ้ายตัวเองหลบไปด้านหลังเหมือนกัน พร้อมกับปล่อยอ้อมแขน แล้วเปลี่ยนมารวบตัวเขากอดจากด้านหน้าแทน แน่นอนว่าต้องหอมซอกคออีกฟอด

“ขี้โกง”

“ฮ่าๆ มึงช้าไง”

“ไม่เล่นละ ไปดูอย่างอื่นดีกว่า”

คราวนี้เขาดิ้นหลุดจากอ้อมแขนไปได้ง่ายๆ เพราะผมไม่ได้ฝืน ตอนอยู่คอนโดที่กรุงเทพฯ ด้วยกัน เขาเคยบอกว่าผมกักขังเขาไว้ในห้องไม่ให้ออกไปไหน ตอนนี้ผมเลยปฏิญาณกับตัวเองว่าจะไม่ทำอะไรให้เขารู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว แม้แต่อ้อมกอดหลวมๆ ที่เขาไม่เต็มใจก็จะไม่ทำ เขาอยากทำอะไร อยากใช้ชีวิตแบบไหน ได้ทั้งนั้น

ขอแค่ยังอยู่ด้วยกันก็พอ

ผมตามสายธารออกไปที่ห้องโถง เขานั่งชันเขาอยู่กับพื้นที่ระเบียงโดยมีกระป๋องเบียร์วางอยู่ข้างๆ ผมหยิบเบียร์ของตัวเองออกไปนั่งด้วย

ใกล้มืดแล้ว ดวงอาทิตย์กำลังติสต์แตกระบายสีส้มที่ขอบฟ้า

สายธารอาจกำลังครุ่นคิดบางอย่าง หรืออาจไม่ได้คิดอะไรเลย แต่แสงสุดท้ายของวันกำลังดึงดูดเขา ผมเลยไม่พูดอะไร แค่จิบเบียร์และมองภาพนั้นไปพร้อมกับเขา

“สวยดีนะ” สายธารพูด

“ไม่เห็นดวงอาทิตย์” ว่ากันตามตรง มุมนี้วิวไม่ดีเท่าไหร่ แถมยังมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ที่อยู่หลังตึกหลังนั้นด้วย

“ไม่เห็น แต่ก็รู้ว่าอยู่ตรงนั้น”

“อืม”

คำพูดคำจา สงสัยต้องเอาหนังสือแนวกึ่งๆ ปรัชญาที่เขาอ่านค้างอยู่ไปซ่อนซะบ้าง

“แต่เดี๋ยวมันก็จะไม่อยู่แล้ว” กูเอาบ้างดิ คมว่ะ

“มันก็ยังอยู่ข้างนอกนั่นไม่ใช่เหรอ ในจักรวาลน่ะ”

สายธาร มึงจะเอาใช่ปะ

“เออ แต่แม่งก็ไม่อยู่ตลอดไป เดี๋ยวก็แตก”

“อือ” เขาเงียบไปสักอึดใจ ก่อนจะเอนศีรษะมาซบที่ไหล่ผม “เหมือนพี่ที่อยู่กับผมตลอดไปไม่ได้”

ชิบหาย อย่าดึงเข้าดราม่าดิวะ

ผมโอบไหล่เขา “กูอยู่นี่ จะอยู่นานจนมึงเบื่อเลย นานจนมึงแก่ลุกขี้เยี่ยวเองไม่ไหว”

“งั้นพี่คงลุกไม่ไหวก่อนผม”

“หึ ไว้รอดู”

ผมหันไปซุกจมูกสูดกลิ่นเบาๆ ที่เรือนผมของเขา ทำงานมาทั้งวันแต่ยังมีกลิ่นแชมพูติดค้างอยู่ แล้วพอหันไปมองวิวอีกครั้งความรู้สึกผมก็เปลี่ยนไป “อืม สวยดี”

อันที่จริงภาพดวงอาทิตย์ลับของฟ้ามักจะดูน่าหดหู่สำหรับผม ตอนอยู่คอนโดที่กรุงเทพฯ ผมเคยชอบออกไปว่ายน้ำตอนเย็น ช่วงเวลาที่กลางวันและกลางคืนทำสงครามห้ำหั่นกันจนเกิดเป็นรอยแผลสีส้มช้ำๆ ปริยาวที่ขอบฟ้า มีครั้งหนึ่งผมดำน้ำลงไปนานจนเกือบจะขาดใจ พอโผล่เหนือผิวน้ำอีกครั้งด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้ายเสี้ยวแสงสีส้มก็ลับหายจากขอบฟ้าไปพอดี

นั่นอาจเป็นสัญญาณบางอย่าง…

เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กๆ ที่ผมยังเดารูปร่างของมันไม่ออก รู้แค่ว่ามันพิเศษ ผมเลยถือเอาดื้อๆ ว่าจะกลายเป็นคนใหม่ เป็นเรือใบที่สมบูรณ์แบบ แต่มันไม่จริง ลึกๆ แล้วผมยังรู้สึกเว้าแหว่ง เป็นเรือใบที่ลอยเคว้งคว้างไร้จุดหมาย

จนกระทั่งตอนนี้ที่ได้นั่งดูแสงสุดท้ายของวันพร้อมกับสายธาร ผมถึงได้รู้สึก...สมบูรณ์แบบ ความเว้าแหว่งหายไปเหมือนมีจิ๊กซอว์อีกชิ้นเข้ามาเติมให้ภาพนี้มันเต็ม

“ดวงอาทิตย์เข้านอนแล้ว” ผมพูดหลังจากแสงสุดท้ายหายลับไป

“พี่พูดไรงี้ก็เป็นด้วย”

“พูดงี้ คือยังไง”

“ฟังดูปรัชญานะ”

“ติดเชื้อมึงอะดิ เข้าไปข้างในดีกว่า มืดแล้ว” เรากลับเข้ามานั่งที่โซฟาในห้อง ต่างคนต่างเปิดเบียร์กระป๋องใหม่ให้ตัวเอง “ดูหนังมะ”

“ไม่ได้เอาคอมมานะ”

“ทีวีข้างหน้ามึงนี่ไง คงมีช่องหนังสักช่องแหละ”

มีช่องหนังอยู่จริง และหนังที่เอามาออกอากาศอยู่ตอนนี้ก็ดูเก่ามาก เป็นแนวสายลับสักเรื่องที่ผมไม่เคยดู แต่ไม่เป็นไร ผมแค่อยากให้บรรยากาศเก่าๆ โอบล้อมเราไว้ มีแสงวูบวาบจากหน้าจอ นั่งตัวติดกัน พาดแขนไว้บนบ่าเขาแบบนี้ แล้วก็จิบเบียร์ไปเรื่อยๆ

หนังน่าเบื่อจนผมจะเคลิ้มหลับ มารู้สึกตัวชัดๆ อีกทีก็ตอนที่มีอะไรวุ่นวายกับปากผม

จูบของสายธาร

“ลักหลับกูเหรอ”

“อือฮึ”

“มานี่เลย”

“อยู่เฉยๆ” เขากดหน้าอกผมพร้อมกับขึ้นมานั่งคร่อมบนตัก ตอนนี้มืดแล้ว ไฟในห้องไม่ได้เปิด มีแค่แสงวูบวาบจากหนังแอ๊คชั่นในทีวี

“ทำไมกูต้องเฉย”

“เดี๋ยวผู้ช่วยจัดการเอง”

“กูเป็นเจ้านาย” ผมปัดแขนเขาออกและใช้มืออีกข้างโน้มคอเขาเข้ามาจูบ สายธารตอบสนองอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะถอนริมฝีปาก ปัดแขนผมออกบ้างและกดไว้แน่นกว่าเดิม จากนั้นก็ซุกจมูกมาคลอเคลียอยู่ใกล้ใบหูผม

“เจ้านายอยู่เฉยๆ ครับ”

ถ้าเสียงมึงจะแหบพร่าขนาดนี้

อืม…

“ก็ได้ กูจะเฉย ดูว่าผู้ช่วยอย่างมึงจะเป็นงานรึเปล่า”

ผมเอนหลังพิงพนักโซฟา ปล่อยแขนทั้งสองข้างลงข้างตัว ปล่อยให้เด็กเมื่อนวานซืนทำอะไรก็ตามอย่างที่ใจอยาก ริมฝีปากที่กระซิบพูดกับผมเมื่อกี้เริ่มขบเม้มเบาๆ เริ่มจากใต้ใบหู ซอกคอ ไล้เลื้อยมาที่ริมฝีปากผม พอผมจะจูบตอบ เขากลับขยับหนีไปวุ่นวายกับซอกคออีกฝั่งแทน

ไอ้เด็กนี่มันร้าย

นี่คือสายธารเวอร์ชั่นไหนวะ ถ้าไม่เมาก็คงเกือบๆ แน่ ลมหายใจเขากรุ่นกลิ่นเบียร์ ตัวก็ร้อนผ่าวจนผมรู้สึกได้แม้ไม่ได้สัมผัส ริมฝีปากเขาเริ่มขยับลงไปสำรวจแถวๆ แผงอกผมแล้ว พร้อมกับมือที่ปลดกระดุมผมไปด้วย ผมเลยใช้มือข้างหนึ่งสอดมาปลดกระดุมเสื้อให้เขาด้วย

สายธารจิ๊ปากไม่พอใจ

“เห็นมึงร้อน”

เขาหัวเราะ “ผมกำลังทำงานอยู่ อย่ากวน”

“งั้นก็ตั้งใจทำงานให้มันดีกว่านี้ดิ๊ กูไม่รู้สึกอะไรเลย”

“ปากดีไปเหอะพี่เรือสำราญ”

“หึ”

กระดุมเสื้อเชิ้ตผมหลุดทุกเม็ดแล้ว ขณะที่ผมยังพยายามแอบปลดกระดุมเม็ดรองสุดท้ายให้เขา สายธารขยับจูบต่ำลงไปอีก มือผมเลยเอื้อมไม่ค่อยถึงกระดุมเม็ดนั้น ผมเลยช่างมัน เปลี่ยนมาสอดมือลูบแผ่นหลังเขาแทน แต่ตัวเขาก็ยังขยับต่ำลงไปอีกเพื่อถอดกางเกงตัวนอกให้ผม ผมไม่ว่าอะไร และนั่นเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ริมฝีปากเขาผละจากร่างกายผม

พอกางเกงตัวนอกถูกสลัดทิ้งไป เขาก็กลับมากดจูบที่หน้าท้องอีก มีทั้งหนัก ทั้งเบา ทั้งนุ่มนวล…พอเขาขบเม้มไล่ไปตามแนววีเชฟและดึงขอบกางเกงบ็อกเซอร์ลงต่ำเล็กน้อย ผมก็มั่นใจแล้วว่าเขาคิดจะทำอะไร

หนังแอ๊คชั่นน่าจะดำเนินมาถึงกลางเรื่องแล้ว ฟังจากเสียงปืนเสียงระเบิดที่ดังเป็นชุด แสงสีวูบวาบไปถึงเพดาน ผมมองแสงจางๆ ที่เปลี่ยนเฉดไปมาพลางเตรียมใจรับสิ่งที่กำลังจะเกิด

แต่มันกลับไม่เกิดขึ้น

สายธารแค่พ่นลมหายใจร้อนๆ ผ่านกางเกงใกล้จุดอ่อนไหวของผม ก่อนจะจูบลงไปที่ต้นขา ไล่ย้อนกลับขึ้นมาเฉียดๆ จุดนั้น แล้วเถลไถลขึ้นมาถึงหน้าท้อง

“สายธาร”

“หือ?”

“มึงเล่นงี้ใช่มะ ได้”



---- ต่อด้านล่าง ----
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-05-2019 21:58:17 โดย นางร้าย »

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
“เดี๋ยวๆ”

ฟึ่บ!

ผมรวบตัวเขาจับพลิกและดันให้ตัวติดพนักพิงแทนผม จากนั้นก็กดจูบหนักๆ ที่ซอกคอเขา

“อะ...อื้อ ไหนบอกจะอยู่เฉยๆ”

“มึงทำงานไม่ได้เรื่องไง ต้องให้เจ้านายสอน”

“เดี๋ยว”

ไม่เดี๋ยวแล้ว

ผมประกบริมฝีปากเขาเพื่อไม่ให้พูดอะไรอีก พร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างประคองใบหน้าไว้ จะเรียกว่ากึ่งล็อกศีรษะไว้กับที่ก็ไม่ผิด เพราะตอนนี้เขาดิ้นหนีหรือเบี่ยงหน้าหลบไปไหนไม่ได้แล้ว

ทีแรกสายธารยังส่งเสียงอู้อี้พยายามประท้วง แต่ไม่ทันไรร่างกายก็ต่อต้านไม่ไหว ลิ้นของเราราวกับจะทำสงครามกัน ผลัดกันรุกผลักกันรับ ท่ามกลางรสขมของเบียร์และรสหวานจากแยมสตรอว์เบอร์รี่ที่ผสานกันอยู่ในปาก

เอาเข้าจริง จูบของสายธารยังค่อนข้างใสซื่อและมีลูกเล่นไม่กี่แบบ ทุกครั้งที่เขาหือขึ้นมา ผมจะโต้กลับไปทันที ทั้งหนัก ทั้งเบา รวมถึงขบเม้มทอดจังหวะ

ให้มันรู้ซะบ้างว่าผู้ใหญ่เขาจูบกันยังไง

อย่างที่บอก สายธารเป็นคนหัวไว เขาพยายามก็อปปี้การจูบของผมและใช้มันโต้กลับมา แต่ผมแกล้งถอนริมฝีปากออก ก่อนจะเปลี่ยนไปซุกไซร้ที่ซอกคอเขาแทน ทำไมตัวหอมจังวะ ทนไม่ไหวจนต้องเม้มริมฝีปากดูดแรงๆ ตรงจุดที่คิดว่าปกเสื้อเชิ้ตจะปิดร่องรอยได้มิดหลังจากผูกเนกไท

“พะ...พี่”

“อือฮึ”

“เบาๆ เดี๋ยวเป็นรอย”

“เบามานานแล้ว”

หรือปกเสื้ออาจจะไม่มิดก็ได้ ช่างแม่ง

ผมเลื่อนศีรษะต่ำลงมากดจูบอีกรอบ แล้วค่อยๆ เลื้อยลงมาเรื่อยๆ เสื้อเชิ้ตของสายธารยังอยู่เพราะเหลือกระดุมอีกสองเม็ดที่ยังไม่ได้ปลด รำคาญ กระชากแม่งให้กระดุมหลุดเลยละกัน

“เสื้อผม...”

“เออ”

“เสื้อขาดใช่มั้ย ตรงไหน”

“ตัวนี้ไม่สวย ไว้ค่อยซื้อใหม่”

“แต่…”

พูดมาก ต้องปิดปากด้วยจูบอีก ผมเริ่มจับทางมาได้สักพักแล้วว่าสายธารเป็นคนชอบจูบมาก ไม่ทันไรเขาก็จะเคลิ้ม บางครั้งถึงกับตัวไร้เรี่ยวแรงคล้ายหลุดเข้าไปในอีกโลกหนึ่ง ผมเลยอาศัยจังหวะนี้ถอดเสื้อของเขา ตามด้วยปลดเข็มขัดและถอดกางเกง

สายธารเปลือยเปล่าทั้งตัวแล้ว ขณะที่ผมยังสวมกางเกงบ็อกเซอร์อยู่

เขาคว้าเอาหมอนมากอดบังร่างกายตัวเองไว้ ส่วนผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอยู่ตรงหน้าเขาโดยมีแสงจากทีวีสาดวูบวาบอยู่ข้างหลัง พระเอกน่าจะบุกไปที่รังโจรแล้ว ระเบิดลูกหนึ่งดังตูมสนั่น แสงสีส้มสาดอาบร่างเราทั้งคู่ แล้วอ่อนจางลงเป็นแสงเฉดสีฟ้าอ่อน

สายธารมองผม

ผมยิ้มให้เขา หยิบกระป๋องเบียร์บนโต๊ะเตี้ยๆ ด้านข้างขึ้นกระดก “มึงเริ่มเองนะ” ว่าแล้วก็ก้าวยาวๆ ไปที่ห้องนอน เปิดลิ้นชักหัวเตียงคว้าเอาถุงยางกับเจลโดยไม่มอง ตั้งแต่มีสายธารในชีวิต ผมตระหนักแล้วว่าของพวกนี้ก็ไม่ต่างจากปืน ควรเก็บไว้ใกล้ตัวตลอดเวลา เดี๋ยววันหลังต้องซ่อนไว้หลังโซฟาด้วยดีกว่า

ผมรีบกลับออกไป วางของไว้ที่โต๊ะแบบส่งๆ ก่อนจะนั่งข้างเขาและรวบตัวเข้ามากอด

แน่นอนว่าต้องสานต่อด้วยจูบ

จูบแบบผู้ใหญ่

จูบแบบสายลับที่แฝงตัวไปตามสถานบันเทิงและผ่านความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน

จูบแบบที่ผมรู้ว่าเขาไม่มีทางปฏิเสธ

ไม่ถึงนาทีร่างเขาก็อ่อนระทวยไปอีก คราวนี้ผมผ่อนแรงจูบลง เป็นนุ่มนวล ทอดจังหวะเนิ่นนาน สลับกับผละริมฝีปากมาไล้ซุกซนอยู่แถวๆ ต้นคอเขา ทำให้เขาส่งเสียงต่ำๆ ผมชอบให้เขาครางเคลิ้มและล่องลอยแบบนี้ ผมทำแบบนี้ได้ทั้งวัน…

แต่แล้วจู่ๆ เขาก็หายใจเข้าเฮือกหนึ่ง จับตัวผมพลิกให้พิงพนักโซฟาเหมือนตอนแรก จะขัดขืนก็ไม่ยาก แต่ผมเลือกที่จะโอนอ่อนตาม

“พี่ต้องโดนซะบ้าง”

เสียงมึงนี่ไม่เป็นผู้เป็นคนแล้วนะ ยังจะปากดี

แต่ผมก็อยู่เฉยๆ

สายธารเวอร์ชั่นห้าวจูบผมช่วงสั้นๆ แล้วเลื้อยต่ำลงไป เขาถอดบ็อกเซอร์ผมออก ทำท่าจะใช้ปากกับจุดนั้นแต่เลี่ยงไปคลอเคลียกับวีเชฟ และใช้มือนวดเฟ้นแทน ผมรู้ว่านี่เป็นลูกไม้ตื้นของเขา ซึ่งก็ยอมรับว่ามันชวนให้ใจสั่นยิ่งกว่าใช้ปากกับตรงนั้นจริงๆ ซะอีก

แต่แค่นี้ไม่เป็นปัญหา มันก็เหมือนเวลาตกอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน เช่น ต้องดวลปืนกับคนร้าย สิ่งที่ต้องทำคือปรับลมหายใจให้ยาวขึ้น ตั้งสติ เคลียร์หัวให้โล่ง หรือถ้ามันไม่ยอมโล่งก็หันไปโฟกัสอะไรสักอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกัน

ผมหันไปมองท่อนแยมในจาน...ไม่ โฟกัสอย่างอื่นดีกว่า

โน้มตัวไปหยิบเบียร์มากระดกชิลล์ๆ ละกัน ตอนนี้เริ่มรู้สึกกรึ่มๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอลล์ ซึ่งมันก็ช่วยได้เยอะ อารมณ์ที่ปะทุขึ้นมาผมควบคุมได้แล้ว

“พี่...ไม่ไหว”

อะไรไม่ไหววะ ไม่ใช่กูเหรอที่เป็นคนโดนกระทำอยู่

สายธารหยิบถุงยางกับเจลบนโต๊ะมาจัดการให้ผมเสร็จสรรพ จากนั้นก็คืบตัวขึ้นมาอยู่ในท่าคร่อมตัวผมไว้ แย่งกระป๋องเบียร์จากมือผมไปยกดื่มส่วนที่เหลือนิดหน่อยจนหมดกระป๋อง ทิ้งกระป๋องลงที่พื้น แล้วสานต่ออารมณ์ด้วยจูบอีกครั้ง

จูบแบบเด็กที่กำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่

“ผมไม่ไหว” เขาพูดเสียงกระเส่าหลังจากถอนริมฝีปากออก

“หึ” ผมพาดแขนข้างหนึ่งไว้บนพนักโซฟาสบายๆ ใช้แขนอีกข้างโอบตัวเขาไว้หลวมๆ ขณะที่สายธารกอดรั้งคอผมไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง แสงโทนขาวสว่างวาบจากจอทีวีอาบใบหน้าซีกหนึ่งของสายธาร ภาพนี้กระตุ้นความจำผมให้นึกถึงวันแรกที่เจอกัน ตอนที่ผมลอบมองสำรวจใบหน้าเขาผ่านกระจกภายใต้แสงไฟสลัวๆ ที่ปั๊มน้ำมัน

ตอนนี้ใบหน้ากระจ่างใสที่ว่าอยู่ใกล้ผมมาก แต่ไม่ใช่สีหน้าของคนอมทุกข์แล้ว หน้าเขาดูเคลิ้มฝัน สันจมูกโด่งดูรับกับรูปปากที่เผยอน้อยๆ ทรงผมของเขาที่ผมมักจะจัดให้บ่อยๆ ตอนนี้ดูยุ่งกว่าเวลาปกติซะอีก แต่เป็นครั้งแรกที่ผมไม่อยากจัดปอยไหนให้ผิดไปจากที่เป็นอยู่ ทุกอย่างดูลงตัวดีแล้ว ราวกับผลงานศิลปะที่ไม่ควรมีใครแตะต้อง

แต่ให้ตายเถอะ ผมอยากแตะต้องเขา และต้องเป็นผมคนเดียวเท่านั้นที่จะได้สัมผัสเขาในแบบนี้

เราจูบกันอีก โดยที่มือฉ่ำเจลของผมจัดการช่วงล่างเขาอยู่ ส่วนมืออีกข้างก็ยกขึ้นมาทาบข้างแก้มเขาเบาๆ ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยผิวบริเวณนั้น ก่อนจะเลื่อนมือไปที่ต้นคอ สอดนิ้วเข้าไปในเรือนผมของเขา

สายธารครางอือ จับข้อมือผมผลักออกให้พ้นตัว ร่างกายเราคล้ายกับจะจัดระเบียบตัวมันเองจนอยู่ในท่าทางที่พร้อม หลังจากนั้น...เขาก็ค่อยๆ ทิ้งน้ำหนักตัวลงมา

ผมหลับตาลง

ใจแวบนึกไปถึงคลื่นลมในทะเล

ความอบอุ่นจากภายในร่างกายสายธารผสานเข้ากับความเย็นจากเจล เปรียบเหมือนกระแสน้ำอุ่นและเย็นไหลเวียนมาปะทะกัน

ร่างกายเราหยุดนิ่ง ผมลืมตาขึ้น มองสบตาเขาท่ามกลางความมืดสลัวและแสงวับวาบ ยังมีเสียงพระเอกกับตัวร้ายโต้คารมกัน แต่ผมฟังไม่รู้เรื่อง คล้ายกับว่ามีมวลอากาศห่อหุ้มเราสองคนไว้จนเสียงต่างๆ ซึมแทรกเข้ามาได้ไม่เต็มที่ หลังจากนิ่งอยู่สักพักเราก็ค้นพบวิธีหายใจอีกครั้ง ก่อนที่จะปลอบประโลมกันด้วยจูบที่แผ่วเบาที่สุด

จูบของคนสองคนที่ผ่านความเป็นความตายกันมา

จูบที่ทำให้ผมรู้สึกว่า เราจูงมือกันย่องเงียบกริบเข้าไปในโลกส่วนตัวด้วยกัน พอเราต่างผละริมฝีปากออก สายธารก็เริ่มขยับตัวช้าๆ พลางฝังหน้าเข้ากับซอกคอของผม ซึ่งเปรียบเสมือนเราได้ออกเดินทางลึกเข้าไปในโลกใบนี้ด้วยกัน และสำหรับผมมันดูลึกลับน่าค้นหามากขึ้นเรื่อยๆ

ไอ้โอมพูดถูก มันไม่มีเส้นบ้าบออะไรขวางกั้นให้เราก้าวข้ามไปเพื่อจะรู้สึกกับใครสักคนหรอก เหมือนตอนเรามองทะเล เราจะเห็นเส้นขอบฟ้าเป็นแนวชัดเจน ต่อให้ล่องเรือไปสุดขอบโลกเราก็ไม่มีทางจะได้ก้าวข้ามหรือแม้แต่แตะต้องเส้นนั้น เพราะเส้นขอบฟ้ามันไม่มีอยู่จริง

“สายธาร”

“อะ...อื้อ”

“กูรักมึง”

เขาชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็สอดมือทั้งสองข้างกอดรอบตัวผม ซบหน้าลงกับไหล่พูดด้วยเสียงสั่นๆ “ผมก็รักพี่”

ผมใช้แขนทั้งสองข้างกอดเขาไว้ในลักษณะเดียวกัน แล้วร่างกายเราก็หยุดนิ่งไปอีก ไม่มีคำพูดใดต่อ ไม่มีส่วนใดเคลื่อนไหว มีแค่มือที่ต่างลูบแผ่นหลังกันแผ่วเบา

“อย่าร้อง” ในที่สุดผมก็พูดหลังจากสัมผัสได้ว่ามีน้ำอุ่นหยดลงที่ไหล่

“ฮื่อ”

“มานี่”

ผมยกตัวเขาขึ้น ค่อยๆ โอบประคองเบี่ยงไปด้านข้างให้นอนตามแนวยาวของโซฟา ข้อดีของโซฟาตัวนี้คือกว้างและยาวพอให้สองคนนอนทาบกันได้โดยไม่อึดอัด ผมขยับช่วงล่างเพื่อให้เราเชื่อมต่อกันไว้ เพื่อให้ความรู้สึกอบอุ่นและอะไรก็ตามที่ผุดขึ้นจากเมื่อครู่ยังคงโอบอุ้มเรา จากนั้นก็ใช้นิ้วโป้งปาดน้ำตาออกจากแก้มให้เขา ตามด้วยจูบเบาๆ ตรงหางตา แต่เหมือนว่าจะเป็นการเรียกน้ำตาให้ไหลออกมาอีก

ผมเลยปล่อยให้มันไหล เปลี่ยนเป็นพรมจูบทั่วใบหน้า แล้วจัดทรงผมให้เขาแทน

แรงสะอื้นของสายธารสะเทือนเข้ามาถึงในอกผม มันกระตุ้นให้ความรู้สึกหลากหลายระเบิดออก ตอนนี้ผมเองก็ประคองตัวได้ยาก จนต้องซบหน้าลงไปที่ข้างศีรษะเขาและกอดเขาไว้นิ่งๆ

วันแรกที่รวบตัวเขาลงข้างถังขยะผมก็ทาบตัวเขาไว้คล้ายๆ แบบนี้

วันที่รวบตัวเขาหลบกระสุนที่บ้านร้าง ก็คล้ายๆ แบบนี้

แต่ไม่มีวันไหนเหมือนวันนี้ ขณะนี้ ราวกับว่าเรานอนซบราบลงกับพื้นด้วยกันเพื่อหลบลูกระเบิดที่ปลิวมาอย่างกับพายุ ซึ่งจะว่าไปก็ใช่ มันคือพายุทางอารมณ์ที่ฮือโหมอยู่ภายในตัวเรา จนเราทำอะไรไม่ได้นอกจากกอดกันไว้…

จนกระทั่งพายุนั้นเริ่มซาลง

ผมยกศีรษะขึ้น ใช้มือปาดน้ำตาให้เขาและจูบหางตาอีกครั้ง คราวนี้น้ำตาไม่ไหลออกมาอีก แต่มีรอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นมาที่มุมปากแทน ผมจูบที่รอยยิ้มนั้น แล้วขยับเลื่อนมาประกบปากกับเขา

พายุอารมณ์ลูกเล็กๆ ในอีกแบบหนึ่งก่อตัวขึ้น ขณะที่จูบผมก็เริ่มขยับตัวช่วงล่างไปด้วย แล้วเราก็เริ่มเดินทางต่อในโลกลึกลับของเราอีกครั้ง

เริ่มจากช้าๆ

เปลี่ยนเป็นสม่ำเสมอ

ผมยกตัวขึ้นมาอยู่ในท่านั่งคุกเข่าซึ่งเป็นองศาที่ถนัดมากขึ้น จากจังหวะสม่ำเสมอ เลยเปลี่ยนเป็นได้ทั้งช้าและเร็วสลับกัน

“อะ...อื้อ...พี่”

“อือ”

คล้ายว่าเขาพูดยาวกว่านั้น ผมเองก็รู้สึกอยากพูดตอบเขา แต่พูดได้ไม่เป็นคำ แล้วเราต่างก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ช่วงเวลาของคำพูด

ปล่อยให้ร่างกายพูดคุยกันดีกว่า

มือผมประคองเอวเขาไว้ ส่วนมือของสายธารจับแขนใกล้ๆ ข้อศอกผม บางจังหวะมีจิกเล็บด้วย แต่มันเป็นความเจ็บปวดที่ดี รู้สึกดีที่ให้เขาฝากรอยแผลเล็กๆ ไว้บนร่างกาย แม้ว่าหลังจากนี้มันจะเลือนหายไปก็ตาม

ในโลกลึกลับของเรา เราน่าจะวิ่งกันมาได้ครึ่งทางแล้ว ผมชะลอฝีเท้าลง ก่อนจะโน้มตัวลงไปจูบเขาเพื่อบอกให้รู้ว่าเราควรหยุดพักกันสักครู่ พักกันด้วยจูบที่อ้อยอิ่ง เนิ่นนาน...

เมื่อพักพอแล้วก็ยังไม่มีคำพูดสักคำ มีแต่ภาษากายล้วนๆ โดยผมผละตัวออกช้าๆ โอบประคองให้เขาลุกนั่ง สายธารเปลี่ยนมาอยู่ในท่าคุกเข่าตามแนวยาวของโซฟาก่อนจะซบหน้าลงกับเบาะอ่อนนุ่ม ผมขยับเบี่ยงตัวเล็กน้อยมาอยู่ข้างหลังเขา คุกเข่าข้างหนึ่งไว้บนเบาะ ปล่อยขาอีกข้างยืนบนพื้นห้อง

แล้วเราก็ออกเดินทางกันต่อ

ผมพาเขากึ่งวิ่งกึ่งเดินสลับกัน โดยที่รู้สึกว่าเมฆฝนกำลังตั้งเค้าไล่หลังมาอย่างรวดเร็ว ลมหายใจของเราขาดห้วง มวลอากาศที่คล้ายกับห่อหุ้มเราไว้ก่อนหน้านี้แตกสลายไปแล้ว หูผมได้ยินเสียงจากทีวีชัดขึ้น แสงวูบวาบที่สาดมาดูราวกับสายฟ้าจากพายุ

ผมพักหายใจอีกรอบ โน้มตัวลงไปกอดเขาพร้อมกับซุกหน้าลงที่ซอกคอ สายธารครางเสียงต่ำและพยักหน้าน้อยๆ เราเข้าใจกันโดยไม่พูด

ผมขบเม้มซอกคอใต้ใบหูของเขา ค่อยๆ ไล้เรื่อยมาที่ท้ายทอย จนถึงแผ่นหลัง

จากนั้นก็จูงมือเขาออกวิ่ง

วิ่ง

วิ่ง

วิ่งไปสุดแรง…

ในที่สุดเมฆทะมึนนั้นก็ไล่ทันเราและเทเม็ดฝนมาอย่างหนัก ผมกับสายธารหอบหายใจ แล้วทรุดลงด้วยกันตรงไหนสักแห่งในโลกที่ลึกลับของเรา มันเป็นบริเวณที่โล่งกว้าง เวิ้งว้าง ไม่มีสิ่งใดบดบังหยาดน้ำจากท้องฟ้า เราสองคนที่วิ่งมาจนหมดแรงแล้วเลยทำได้แค่นอนกอดกันอยู่ที่ตรงนั้นและเปียกปอนไปด้วยกัน

เราทั้งคู่ยังคงไม่มีคำพูด มีเพียงอ้อมกอดอุ่นๆ และลูบหลังปลอบประโลมกันไปมา ในระหว่างที่รอให้เม็ดฝนแห่งอารมณ์ซึ่งกำลังพร่างพรมลงมานั้นค่อยๆ สร่างซา

และจางไป…



____________________

ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนจบนี้นะคะ
นิยายเรื่องนี้จะสมบูรณ์ไม่ได้เลยถ้าขาดทุกคนค่ะ :D
ขอบคุณจากก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ นะคะ

ทางนี้ได้นำรายได้ส่วนหนึ่งจากหนังสือ ร.เรือ ร.รัก ร.ฤกษ์
ไปบริจาคให้กับโครงการสมทบทุนซื้อเครื่องมือแพทย์ เพื่อสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 4,500 บาทค่ะ :D
(สามารถกดดูข้อมูลการบริจาคได้ที่ลิงก์นี้เลยค่า >> https://www.img.in.th/images/8f797c5e4eef408c4a08cfc070659c95.jpg )

นักอ่านทุกคนมีส่วนร่วมทำบุญช่วยเหลือโรงพยาบาลด้วยกันทุกคนเลย <3
ขอให้มีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้นในชีวิตนะคะ

สำหรับใครที่สนใจตัวเล่ม สามารถหาซื้อนิยายได้ทางร้านหนังสือทั่วไป และทางออนไลน์ค่า

ต่อไปนี้ไปเจอกันที่นิยายเรื่องใหม่ สายเฮฮา สาระไม่มีนะคะ อิๆ
ชื่อว่า ณ Touch ค่า :) >> https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68642.msg3899224#msg3899224

สุดท้ายนี้...
บอกความรู้สึกหรือแชร์ความคิดเห็นสำหรับพี่เรือใบได้ตลอดเลยนะคะ
เวลาได้อ่านคอมเมนต์แล้วหัวใจพองโต ยิ้มแก้มจะแตก มีความสุขมากตลอดเลยค่ะ
ดีใจจริงๆ ที่เรือใบพาให้เราได้มารู้จักกัน
ตั้งแต่วันแรกที่เขียนนิยายเรื่องนี้จนถึงวันนี้
มีแต่เรื่องราวที่น่าจดจำเต็มไปหมดเลย

ขอบคุณจริงๆ นะคะ : ) <3
รักมากที่สุดเลย *กอดเอาไว้*

นางร้าย 06.05.19


ออฟไลน์ 15magnitude

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ซึ้งมาก จะร้องไห้ตามน้อง

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
อุดหนุนเล่มแล้วนะครับ ช้าไปนิดไม่ว่ากันนะครับคุณนางร้ายยย 555  :katai3:
ปล.ตอนพิเศษ 2 ตอนล่าสุดนี่ อ่าน NC แต่ทำไมเหมือนกำลังเสพงานศิลปะก็ไม่รู้  :hao6: (เป็น NC ที่บรรยายได้งดงามที่สุดตั้งแต่เคยอ่าน NC เรื่องไหนๆมาเลย  o13 o13 o13)

รอเรื่องต่อๆไปของคุณนางร้ายอย่างใจจดจ่อ :n1:

ออฟไลน์ hoihak

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1

ออฟไลน์ NongJesZa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
fcป๋าเรือสำราญครับ 5555555 สายธารน้องของพี่ 55555 น่ารักมาก ชอบมากด้วย รักเลยแหละ ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆสนุกๆแบบนี้นะครับผม รัก :กอด1:

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด