☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6  (อ่าน 31870 ครั้ง)

ออฟไลน์ heyguy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
เดี๋ยวนะ!!!! นี่อ่านไปแค่อินโทร…ก็รู้สึกว่าน้ำตามาแน่ กำทิชชูแน่นมาก

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.
ต อ น ที่ 4 :  ดิ น แ ด น


ชายหนุ่มสองคนที่จัดว่าดูดีมากในสไตล์ที่ต่างกัน คนหนึ่งสูงใหญ่ผมยาวหยักศกดูเซอร์ทว่ามีเสน่ห์ที่ดวงตาและใบหน้าหล่อคม  ส่วนอีกคนนั้นเพียงแค่ชื่อชนม์แดนยังไม่อยากจะจดจำด้วยซ้ำ

ดินแดน.. ไอ้ลูกเมียน้อย

เคยเจอผ่านตาไม่กี่ครั้งในงานเดินแบบนาฬิกาของป๋าซึ่งไม่รู้ว่าไปทำไม แต่ที่จำได้แม่นเพราะเคยมีรูปข่าวซุบซิบว่าดินแดนอาจเป็นลูกนอกสมรสของป๋า ในตอนนั้นคุณแม่ก็รีบติดต่อไปหามันเพื่อห้ามไม่ให้เปิดเผยเรื่องที่มีสายเลือดเดียวกัน

ปกติไม่เคยต้องปะทะกันเพราะต่างคนต่างเลี่ยง แต่วันนี้มันมาทำอะไรที่นี่!

“เออว่ะ เมาจนเสี้ยนจนเห็นตัวผู้สวยซะงั้น ทำเป็นว่าไอ้บั๊คกับไอ้จ้าว เฮ้อ ไอ้ดินเอ้ย”  หนุ่มมาดเซอร์ส่งเสียงปรามเพื่อนพลางลากหลังคอของคนที่เมาจนยืนแทบไม่ตรงให้ถอยออกจากตรงนั้นแต่อีกฝ่ายเอาแต่ชี้ไปยังเวทีที่ตอนนี้มีคู่เดินฟินาเล่อยู่บนนั้น

ชนม์แดนเดินดิ่งเข้าไปในระยะที่พอจะได้ยินเสียงพูดคุยเพราะทั้งสองคนกำลังส่งเสียงดังจนต้องเร่งฝีเท้าเพื่อรีบไปจัดการ

“ไม่เอาเว้ย กูไม่ไป กูจะไปหานางฟ้าของกู แม่ของลูกนั่นแม่ของลูก!” เสียงโวยวายของไอ้ลูกเมียน้อยทำให้เส้นประสาทของร่างบางแทบจะขาดผึง

ในขณะที่คนเมามายกำลังจะหันไปตอบโต้กับเพื่อนแต่กลับชะงักค้างเพราะมองเห็นชนม์แดนที่ตอนนี้อยู่ในระยะไม่เกินสามเมตร

“มาที่นี่ทำไม!” ร่างเล็กตะคอกใส่ไม่ดังนักพร้อมกับสายตาที่แสดงความเกลียดชังอย่างเปิดเผย ส่วนอีกฝ่ายดูเหมือนจะรู้จักชนม์แดนเป็นอย่างดีแต่ทีท่ากลับเป็นการยียวนกวนประสาทเสียมากกว่า

“ก็มาดูไงว่างานนี้ของใครรร งานนี้ใครหญ่ายยย” ร่างสูงที่ยับย้วยเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ลากเสียงล้อเลียน คนฟังยิ่งเดือดขึ้นเพราะขัดหูขัดตาขัดใจกับคนตรงหน้า เรียวขาเล็กก้าวเข้าไปประจันหน้าอย่างไม่เกรงกลัว

“ออกไปซะ! ฉันไม่ต้องการให้แกอยู่ในงานของฉัน ไอ้ลูก..”

“อ๊ะๆๆ ถ้าพูดคำนั้นออกมา พี่ได้เห็นนรกแน่” ใบหน้าหล่อยื่นเข้ามาใกล้จนร่างเล็กผงะหนีเพื่อรักษาระยะห่างแต่ดวงตายังคงจ้องเขม็งด้วยความไม่พอใจ

ดินแดนใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มมองพี่ชายต่างแม่ในชุดสูทสวยเท่แบบทันสมัย ดวงตาเรียวรีที่กรีดทับด้วยอายไลน์เนอร์ส่งให้ดูดุคมมีเสน่ห์มากกว่าที่เคยเจอจนสะดุดตาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น

“ไปเหอะไอ้ดิน เดี๋ยวเดือดร้อนถึงป๋ามึง” ชายหนุ่มมาดเซอร์ปรามเพื่อน

ก็ยังดีที่นิสัยไม่ได้เลวร้ายเหมือนกัน อันที่จริงไม่ควรมาคบกับคนแบบนี้ด้วยซ้ำ

“โห่ยย กูยังสนุกอยู่เลย” คนเมาเดินเข้าหาร่างบางที่ทำเป็นยืดคอสู้แต่ขากลับก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ กลิ่นแอลกอฮอล์โชยเข้าจมูกเมื่อใบหน้าหล่อที่เยิ้มไปด้วยความเมาเข้ามาใกล้ “ถ้าไม่มีใครอยู่แล้วผมเมาเบอร์นี้ อยู่ด้วยกันสองคนผมจะ..”

“จะทำไม!” ชนม์แดนตวาดใส่ทันที สายตากรุ้มกริ่มที่ละเลียดมองตั้งแต่หัวจรดเท้าทำให้ไม่อาจคิดในแง่ดีได้ว่าอีกฝ่ายจะพูดในสิ่งที่เป็นมงคล

“จะ.. จับทำเมีย”

ผั่วะ!

ใบหน้าหล่อสะบัดไปด้านข้างทันทีเมื่อเจอตบแบบไม่แบมือ ดูก็รู้ว่าเจ็บมากเพราะเห็นมือเล็กแค่นี้แต่เชื่อเถอะว่าใส่สุดแรงเท่าที่มี

“ขอการ์ดตรงนี้ห้าคนครับ!” ชนม์แดนกดปุ่มที่เฮดโฟนขอความช่วยเหลือ ดวงตาคู่สวยแดงก่ำด้วยโทสะ 

โกรธจนสั่นไปทั้งตัว เกลียดแค้นชิงชังในเรื่องเดิมๆ และยังมารับรู้ความต่ำทรามในตอนนี้อีก  จะไม่ให้โมโหได้อย่างไรในเมื่อแววตาที่พูดออกมาว่าจะจับทำเมียนั้นมีความเสน่หา ราคะ ความใคร่อยู่ในที ไม่ใช่แค่พูดพร่อยไปเรื่อยเพราะความเมาแน่ๆ เพราะอินเนอร์จากเขาทำให้คนฟังขนลุกไปทั้งร่าง

ถึงจะไม่นับมันเป็นพี่น้องแต่ยังไงก็สายเลือดเดียวกัน จะมาทำรุ่มร่ามพูดจาน่ารังเกียจแบบนี้ได้ยังไง เลวที่สุด!

“ไอ้ดินไปเหอะ อย่าทำเรื่องสิวะ กูเจ็ทแล็กอยู่สู้ไม่เต็มร้อย” หนุ่มมาดเซอร์ยื้อแขนเพื่อนไว้ก่อนจะหันมาทางชนม์แดนที่ยังยืนกำหมัดแน่นเหมือนอยากจะซัดอีกสักที  “ที่คุณตบมัน ผมเห็นด้วยว่าสมควรโดนแต่มันเมามากอย่าถือสาเลยครับ ผมอยากให้คุณลืมไปเลยน่าจะดีกับคุณมากกว่าเพราะมันเมาขนาดคุมสติไม่อยู่แบบนี้ไม่มีทางจำอะไรได้หรอก ขอโทษด้วยสำหรับคืนนี้” 

น้ำเสียงคุมโทนสุภาพขัดกับภาพลักษณ์ที่มี ชนม์แดนนึกชื่นชมอีกฝ่ายอยู่ในใจและรับฟังด้วยอาการนิ่งสงบแต่ยังคงเชิดหน้าและไม่ตอบรับใดๆ

จากนั้นร่างสูงใหญ่ก็ลากคอเสื้อคนเมาออกไปและคงออกแรงมากกว่าเดิมจนคนที่ยังดิ้นดึงดันจะกลับมาอีกต้องเดินตามอย่างเสียไม่ได้

จังหวะนี้บอดี้การ์ดหกคนก็เข้ามาสมทบ ชนม์แดนจึงบอกให้คุมทางเข้าเอาไว้ไม่ให้ใครเข้ามาป่วนได้อีก 

“ขอเชิญสวีทดอทขึ้นเวทีด้วยครับผม” เสียงประกาศเรียกจากพิธีกรเรียกความสนใจของร่างบางออกจากประตู ความรู้สึกติดค้างในใจเพราะสายตาของดินแดนถูกสลัดออกและก้าวเดินไปยังความสำเร็จในคืนนี้



ดีไซน์เนอร์เจ้าของแบรนด์อมยิ้มบางๆ รับเสียงปรบมือและเดินออกไปตามทางเดินแห่งความสำเร็จซึ่งถูกขนาบซ้ายขวาด้วยคู่เดินแบบฟินนาเล่ตามมาด้วยเหล่านายแบบและนางแบบในสังกัดอีกหลายชีวิต  และเมื่อเดินมาสุดทางมือหนาของนายแบบลูกครึ่งที่ยืนด้านข้างก็คว้าจับมือน้อยไว้แล้วประสานเข้ามาก่อนจะชูขึ้นสูงรวมถึงนางแบบที่ยืนอยู่อีกด้านก็ทำเช่นกัน

ถึงกับยิ้มค้างเพราะความร้อนรุมตรงฝ่ามือ เทียบขนาดแล้วต่างกันมากจนมือน้อยจมมิดอยู่ภายใต้มือใหญ่แข็งแรง  สกายกระชับฝ่ามือและเขย่าเล็กน้อยเพื่อตอบรับเสียงจากรอบด้าน  ดวงหน้าสวยหันมองใบหน้าด้านข้างที่ไม่ได้มองมาด้วยซ้ำ สีหน้าที่เคยนิ่งขรึมของเขาเปลี่ยนเป็นยิ้มในสีหน้าฉายความยินดีไปยังผู้ชมที่ปรบมือลั่น

แสดงเก่งจริงนะไอ้เด็กนิสัยเสีย

โลกของวงการบันเทิงทุกแขนงมักเป็นเช่นนี้ เบื้องหน้าสวยงามแต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังนั้นฟาดฟันกันขนาดไหน




หลังจากดีไซเนอร์คนเก่งจัดการสั่งเก็บงานทุกอย่างแล้วเสร็จก็นึกได้ว่ายังมีห่วงอยู่อีกหนึ่งเรื่อง

“กลับพร้อมรถตู้นะ ไม่ต้องไปเอง” ชนม์แดนเดินเข้าไปสั่งคนที่นั่งเช็ดล้างเครื่องสำอางอยู่หน้ากระจกที่กั้นไว้เป็นแบบส่วนตัวสำหรับสกายเป็นพิเศษ  น้ำสียงเย็นเยียบทำให้คนฟังปรายตามองเยียบเย็นไม่แพ้กัน  ใบหน้าหล่อใสเพียงแค่หันมาแล้วมองเฉยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ

ชนม์แดนได้แต่ยืนทำหน้านิ่งข่มอีกฝ่ายคล้ายจะอยากเอาชนะ  ต่อเมื่อบอลลูนเข้ามารายงานว่าเผ่าพงศ์ถามหา ร่างบางจึงพยักหน้ารับรู้และเลขาคนเก่งก็ล่าถอยออกไปก่อนเพราะสังเกตเห็นรังสีพิฆาตของทั้งคู่

ในที่สุดร่างบางเองก็ยอมรามือ หันหลังเดินหนีทว่าก็หยุดแล้วหันกลับไปจึงเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงมองมา 

“...วันนี้ ทำได้ดีมาก ขอบใจ” พูดรัวๆ เชิดหน้ามองไปด้านข้างไม่ยอมสบตาอีกฝ่ายด้วยซ้ำ แต่คนฟังเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยจากนั้นก็ยิ้มอยู่ในสีหน้าคุมโทนนิ่งได้อย่างพอเหมาะ

สกายหล่อจนแทบจะละลาย ดวงตาคู่สวยราวกับจะสะกดทุกสิ่งให้นิ่งงันแล้วดูดเข้าไปในโลกของเขาเสียทุกครั้งไป

แค่ได้เห็นใบหน้าที่เปลี่ยนอารมณ์ไปเพียงนิด หัวใจดวงน้อยก็เต้นผิดจังหวะ

บ้าแล้วชนม์แดน!  ใจเต้นแรงเพราะเด็กอวดดีนี่น่ะเหรอ ไม่ใช่หรอกคิดไปเองทั้งนั้น ลบๆๆๆๆ



ในที่สุดก็เดินออกมาจนได้ คนหน้าสวยหายใจเข้าลึกๆ เพื่อปรับอารมณ์ ต่อเมื่อออกมาเจอคนรักที่หอบดอกไม้ช่อโตยืนยิ้มรออยู่ก็ทำให้อารมณ์เริ่มเป็นปกติ

“ยินดีด้วยครับคนเก่งของเฮีย” ใบหน้าหล่อเข้มเผยรอยยิ้มดูดีจนต้องยิ้มกว้างตอบรับ

“ขอบคุณครับ” มือเรียวหอบช่อดอกไม้ที่ใหญ่จนแทบจะบังมิดหน้า “ใช้ดอกไม้ไปกี่สวนครับเนี่ย”

“กี่สวนก็ไม่เกี่ยง อยากเอาทั้งโลกมาวางแทบเท้าดอทด้วยซ้ำ”

ดวงหน้าสวยขึ้นสีเรื่ออย่างน่ามอง รอยยิ้มเขินน่ารักฉายขึ้นจนอีกฝ่ายมองจ้องด้วยความหลงใหล  ไม่ต่างจากอีกคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องแต่งตัว 

สกายมองรอยยิ้มเจ้าของโมเดลลิ่งของตนอยู่ครู่หนึ่ง ในใจลึกๆ นึกชื่นชมในความเก่งและขยันมานานแล้ว ทว่าไม่ค่อยได้เห็นมุมสดใสเช่นนี้ แต่นิสัยและสิ่งที่อีกฝ่ายทำกับตนนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้จริงๆ  ร่างสูงส่ายหัวกับความรู้สึกดีวูบหนึ่งที่ได้เห็นรอยยิ้มนั้นก่อนจะปรับให้เป็นความมึนตึงเช่นเดิมจากนั้นจึงเดินเลี่ยงไปขึ้นรถตู้ที่จอดรออยู่หน้าโรงแรม



“ขึ้นไปบนห้องเลยนะ เดี๋ยวเฮียนวดให้” เผ่าพงศ์กระซิบแล้วรวบช่อดอกไม้มาถือไว้เอง

“เฮียขึ้นไปก่อนก็ได้ครับ ขอดอทเอาเครื่องเพชรไปฝากเซฟโรงแรมก่อนเดี๋ยวจะตามขึ้นไป”

“เรื่องเพชรเฮียจัดการให้คนเอากลับบริษัทแล้ว เหลือชุดฟินาเล่ที่สกายใส่เอาไว้ให้ดอทแต่ต้องรอพรุ่งนี้ถึงจะได้”

“โหหห ใจดีสปอร์ท สายเปย์สุด” ชนม์แดนยิ้มล้อ

“เฮียชอบจังเวลาที่ดอทอารมณ์ดี” มือหนาคล้องเอวบางเดินไปตามทาง 

“ก็คอลเล็กชั่นวันนี้ทุกเซ็ตโดนจองไม่มีเหลือ แถมยังมีเจ้าประจำซื้อแบบไปผลิตเองอีกหลายเจ้า ดอทนี่ตัวแทบจะลอยแล้วตอนนี้”

“เฮียดีใจด้วยนะ แฟนเฮียเก่งที่สุดเลยครับ”

ชนม์แดนย่นหน้าขัดเขินไม่ค่อยถนัดเรื่องยิ้มสักเท่าไหร่จึงรู้สึกแปลกๆ เวลาที่อยู่ในช่วงอารมณ์เช่นนี้  เผ่าพงศ์เองก็มองคนรักไม่วางตา รู้สึกดีที่ได้เห็นความสำเร็จและความสุขของอีกฝ่าย จากนั้นทั้งคู่ก็ฉลองความสำเร็จด้วยค่ำคืนอันเร่าร้อนยาวนานจนถึงเช้า

ความสุขอีกหนึ่งอย่างที่ชนม์แดนไม่ได้บอกคนรักก็คือ.. วันนี้อีกฝ่ายไม่ได้พูดถึงสกาย ไม่แม้แต่จะมองหาด้วยซ้ำ ซึ่งแบบนี้มันดีกับใจจริงๆ



ช่วงบ่ายของวันหลังจากสั่งอาหารมาทานและอาบน้ำแต่งตัวกันเรียบร้อยแล้ว

“นี่ไง ตามสัญญา”  สร้อยทับทิมล้อมเพชรเม็ดงามถูกสวมลงบนลำคอระหงส์

“ว้าว สวย” มือเรียวลูบไปตามลวดลายของสร้อยเพชรที่ออกแบบได้สวยหรูแปลกตา “แต่ไม่เอาก็ได้นะเฮีย ดอทไม่ค่อยใส่เครื่องประดับอยู่แล้ว”

“ไม่ใส่ก็เก็บเอาไว้เป็นทรัพย์สิน เก็บไว้เถอะเฮียอยากให้” ทั้งคู่สบตากันผ่านบานกระจกที่สะท้อนให้เห็นภาพคนตัวเล็กที่แต่งตัวด้วยเสื้อเชิ๊ตสีครีมตัวสั้นคลุมทับด้วยสูทเข้ารูป ดวงหน้าสวยดูสดใส ทรงผมที่ถูกเซ็ตเสยขึ้นโชว์หน้าผากดูน่ามอง

“งั้นก็ขอบคุณนะครับ” ศีรษะเล็กเงยขึ้นมองคนรักแล้วยิ้มบางๆ ก่อนหันกลับไปมองที่กระจก

สร้อยเพชรเส้นนี้เคยอยู่บนคอของสกายซึ่งมันดูเข้ากับเขามากกว่า นึกเล่นๆ ว่าถ้าเอาสร้อยนี้ไปให้เขา รับรองต้องมองมาเหยียดๆ แล้วปาสร้อยลงถังขยะหาว่าจะเอาไปล่อซื้อเขาให้เฮียแน่ๆ

หึ..เจ้าเด็กอวดดี




“งั้นก็แยกกันตรงนี้เลยนะ เฮียต้องเข้าบริษัท ดอทมีนัดกับป๋าใช่ไหม”

“ครับ เมื่อเช้าโทรมาบอกมีเรื่องด่วนไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ใจจริงไม่อยากคุยแบบเจอหน้าหรอกกลัวทะเลาะกันอีก”

“มีอะไรก็โทรหาเฮียนะ อย่าเก็บไปร้องไห้คนเดียว”

“เห็นดอทเป็นพวกเก็บกดหรือไง”

“ยิ่งกว่าเก็บกดอีกเราน่ะ หัดระบาย หัดพูดออกมาบ้างก็ได้”

งั้นถ้าดอทบอกว่าอย่านอกใจไม่ว่าดอทจะไปอยู่กับเฮียหรือไม่ก็ตาม โดยเฉพาะกับสกาย  แบบนี้เฮียจะยอมทำตามหรือเปล่านะ

จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้พูด คนคิดมากรู้สึกเหมือนมันเป็นการบังคับ ถ้าหากอีกฝ่ายอยากทำให้จริงๆ ทำไมไม่ทำเอง ไม่เห็นต้องให้ขอ เรื่องซื่อสัตย์มันเป็นเรื่องปกติของคนที่รักกันไม่ใช่เหรอ




เมื่อแยกกับเผ่าพงศ์แล้ว ร่างเล็กลงมารอที่ห้องทำงานของผู้เป็นพ่อซึ่งอยู่ชั้นสามของโรงแรม ห้องทำงานใหญ่พอๆ กับห้องสูทแถมยังตกแต่งหรูหราสวยงาม

รสนิยมดีแบบนี้ไม่รู้ทำไมป๋าถึงไปคว้าสาวชาวบ้านจนๆ มาเป็นเมียน้อยจนทำให้ครอบครัวแตกแยก


“มาแล้วเหรอ” ร่างสูงใหญ่ของเจ้าสัวแดนสรวงเปิดประตูเข้ามา เมื่อเห็นลูกชายจึงตรงมานั่งโซฟาฝั่งตรงข้าม ชนม์แดนทำเพียงพยักหน้าตอบรับด้วยใบหน้าเรียบนิ่งอย่างคนที่เตรียมพร้อมรับทุกสถานการณ์

เจ้าสัวกับดินแดนมีรูปร่างสูงใหญ่และดูดีมากไม่ต่างกัน  ถึงหน้าตาของดินแดนจะค่อนไปทางแม่แต่โดยรวมแล้วก็ได้ยีนส์เด่นมาไม่น้อย ขนาดว่าอายุเลยเลขห้าไปแล้วยังดูดีได้ขนาดนี้ ยิ่งช่วงหลังชอบมาค้างที่โรงแรมไม่ค่อยได้กลับบ้านซึ่งคงหนีไม่พ้นเรื่องมีผู้หญิงใหม่

ชนม์แดนไม่ได้รู้สึกอะไรกับตรงนั้นเพราะเลยวัยขาดความอบอุ่นมานานแล้ว ทว่าความรู้สึกที่ว่าพ่อรักลูกเมียน้อยมากกว่านั้นยังคงฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกเพราะพวกเขามีลักษณะคล้ายกัน หล่อแมนเหมือนกัน ความคิดไปในทางเดียวกัน ไม่เหมือนตนที่ผิดแผกไปจากสองคนนั้นโดยสิ้นเชิง จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ไม่อยากพบเห็นผู้เป็นพ่อให้ต้องสะเทือนใจ

“อะไรครับ ที่ว่าเรื่องด่วน” ไม่อยากประจันหน้ากันนานๆ ถึงแม้คนเป็นพ่อนั้นลดความจู้จี้และจับผิดลงตั้งแต่ครั้งก่อนที่ทะเลาะกันหนัก แต่เพื่อความปลอดภัยจึงคิดว่าควรหลีกเลี่ยงการปะทะน่าจะดีกว่า

“งานการกุศลประมูลนาฬิการุ่นลิมิเต็ดที่มีแค่สองเรือนในโลก ตอนแรกที่ประชุมจ้างออแกไนซ์และเตรียมงานไว้แล้วแต่รู้สึกจะมีปัญหาหลายเรื่องจนถอนตัวออกไป”  คนเป็นพ่อเกริ่นและรอดูปฏิกิริยาลูกชาย

“ครับ”

“ป๋าอยากให้แกรับช่วงต่อ”

รู้สึกช็อคเหมือนปลายประสาทมันชา ลูกชายที่ไม่เคยได้รับโอกาสจากบิดาแต่วันนี้ได้รับโอกาสและความไว้วางใจ

แต่ก็นั่นแหละ ชนม์แดนไม่ใช่คนแรกที่เขานึกถึงเสียหน่อย

“ถ้าเจ้าเดิมไม่ถอนตัวก็คงมองไม่เห็นหัวดอท” อดไม่ได้ที่จะประชดประชัน สายตาและสีหน้าบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าดื้อรั้นและไม่ยอมลงให้ง่ายๆ

“ตอนแรกฉันก็เสนอที่ประชุมไปแล้ว” สรรพนามเริ่มเปลี่ยนไปเพราะการตอบสนองของลูกชาย “แต่เขากลัวว่าแกจะไม่รับเพราะ..” คนเป็นพ่อเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่อยากพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่  “นั่นแหละ แต่มาถึงตรงนี้แล้วก็อยากให้แกลองทำ”

“........” ชนม์แดนไม่ได้ตอบในทันที

“งานนี้ใหญ่มากและสำคัญมากๆ ฉันเชิญดีลเลอร์ทั้งในไทยและต่างประเทศมาร่วมประมูล เป็นงานใหญ่ระดับประเทศและไม่ควรมีอะไรผิดพลาดแม้แต่อย่างเดียว แต่ถ้าแกคิดว่าไม่มีความสามารถฉันก็จะให้คนอื่น”

บรรยากาศการสนทนาเป็นไปในทางที่ค่อนข้างแย่ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคู่รับรู้คลื่นอารมณ์ของอีกฝ่ายได้ดีว่ามันกำลังจะพังในไม่ช้านี้

เจ้าสัวแดนสรวงมองลูกชายคนโตแล้วถอนหายใจทิ้งอย่างปลงตก

“ถ้างั้น..”

“สามล้าน” ชนม์แดนเอ่ยตัดบทจนอีกฝ่ายย่นคิ้วรอฟัง “ขอค่าจ้างสามล้านครับ จ่ายเงินสดวันนี้เพราะงานมันกระชั้นมากต้องใช้เงินเยอะ”

ผู้เป็นพ่อคิดคำนวณในใจเพียงชั่วพริบตาก็หยิบสมุดเช็คออกมาเซ็นให้แบบไม่ยี่หระ เขายื่นเช็คเงินสดให้ลูกชายแล้วเอ่ยขึ้น

“แต่งานต้องเป๊ะ ทุกอย่างต้องดีเลิศอย่าให้ขายหน้าเพราะงานนี้ฉันเปิดตัวเป็นฮับฝั่งเอเชียด้วย”

“......” ชนม์แดนไม่ตอบแต่เชิดหน้าขึ้นเพราะรู้สึกเหมือนว่าบิดาไม่เชื่อในฝีมือ

เจ้าสัวถอนหายใจอีกครั้งกับแววตาดื้อรั้น แต่ที่ให้ราคาสูงขนาดนี้เพราะอยากช่วยซัพพอร์ทประกอบกับงานมันกระชั้นชิดจริงๆ จึงคิดว่าเงินน่าจะช่วยเปิดทางให้อีกฝ่ายสามารถทำงานได้คล่องขึ้น  อีกอย่างก็เชื่อมั่นว่าลูกชายจะทำได้ดีไม่แพ้งานเมื่อคืน ในใจนึกอยากชมเชยออกไปบ้างแต่แล้วปากกลับพูดออกไปว่า

“อย่าทำให้ฉันขายหน้าล่ะ”

“รอดูฝีมือดอทก็แล้วกัน” ทั้งที่ในใจรู้ว่าการดีลงานครั้งนี้ง่ายดายและได้ราคาสูงมากแต่ทิฐิมันค้ำคอ คำขอบคุณที่อยู่ลึกๆ ในซอกความรู้สึกจึงไม่ได้เปิดเผยออกมา

ก็ปากหนักทั้งพ่อและลูก ขิงก็ราข่าก็แรงไม่มีใครกล้าที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องก่อนซึ่งแน่นอนว่าความสัมพันธ์ยังไม่มีความคืบหน้าเช่นเดิม




งานที่จะจัดขึ้นในอีกสี่วันเป็นระยะเวลาที่หฤโหดจริงๆ กระชั้นชิดแทบจะเรียกได้ว่าไฟเผาก้นแถมออแกไนซ์เจ้าเดิมยังไม่ทิ้งอะไรเอาไว้ให้สานต่อจึงต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด ดีที่ว่าสถานที่เป็นโรงแรมของบิดาจึงตัดปัญหาเรื่องนี้ออกไปได้แต่จากที่คำนวณคร่าวๆ ว่างานที่เหลือน่าจะผ่านไปได้แต่กลับเจอเข้ากับโจทย์ที่ต้องแก้แบบงานชนงาน

“พี่บอลลูนคอนเฟิร์มนายแบบนางแบบจากโมฯ ลูกกอล์ฟหรือยังครับ” นายแบบและนางแบบในสังกัดติดงานอื่นหลายคน ขนาดว่าแคนเซิ่ลงานเล็กๆ ไปหลายเจ้าแล้วแต่ก็ยังขาด

“คอนเฟิร์มแล้วสี่คนค่ะนอกนั้นติดงาน พี่เลยดีลไปที่โมฯ คุณปริม นางคอนเฟิร์มลูกชายมาสามลูกสาวสอง ตอนนี้ก็ครบแล้วค่ะ”

ค่อยโล่งใจที่ได้ยิน ตอนนี้นายแบบนางแบบก็ครบแล้ว ยังเหลือพวกดอกไม้ที่ดูเหมือนเจ้าประจำติดงานอื่น

“คุณแวนหาเจ้าอื่นไปแทนงานนั้นได้ไหมครับ งานนี้ดอทอยากมั่นใจว่าไม่มีอะไรพลาดจริงๆ งานใหญ่แบบนี้ท้าทายฝีมือแล้วก็ยังเป็นผลงานมาสเตอร์พีชได้เลยนะครับ รับรองว่าชื่อร้านคุณแวนจะพรวดขึ้นมาอยู่อันดับต้นๆ แน่นอน ส่วนค่าเหนื่อยดอทให้เพิ่มสามเท่าเลยเพราะเหลือเวลาแค่สามวันไม่รวมวันงาน” การหว่านล้อมเริ่มขึ้นและจบลงด้วยการที่อีกฝ่ายตอบตกลง

อย่างน้อยคนที่คุยงานกันได้โดยไม่ติดว่านิสัยส่วนตัวของเขาจะเป็นอย่างไร คนที่เคารพความสามารถของชนม์แดนมากกว่าขี้ปากชาวบ้านก็ยังมีอยู่

การประสานงานแบบลุ้นระทึกแทบจะทุกจุดค่อนข้างสูบพลังงานของชนม์แดนไปมากจนหลับลึกถึงเช้า ร่างเล็กเข้าออฟฟิศด้วยความสะโหลสะเหลเพราะกว่าจะนอนก็ตีสามเข้าไปแล้ว  ยังดีที่ประชุมจัดเซ็ตเสื้อผ้าที่จะขึ้นเดินในงานประมูลเริ่มในช่วงสายไม่อย่างนั้นร่างคงพังแน่ๆ

“งานนี้เป็นงานที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เราเคยจัดมา เป็นงานการกุศลที่รวมมหาเศรษฐีระดับหมื่นล้านพันล้านเพราะฉะนั้นต้องไม่มีอะไรผิดพลาดแม้แต่อย่างเดียว และด้วยความไฮโซของงาน ดอทจะใช้แบรนด์ DOZZ ของเราซึ่งเป็นสูทหรูควบคู่กับสวีทดอทคอลเล็กชั่น Hi Sweet ที่เราวางแผนจะเปิดตัวในคราวหน้าแต่ตอนนี้คงต้องงัดออกมาใช้ในงานนี้ ซึ่งโชคดีมากที่เหลือแค่ไม่กี่แบบที่ยังตัดเย็บไม่เสร็จ เพราะฉะนั้นจะต้องเก็บแบบให้ทันก่อนวันพรุ่งนี้ที่นายแบบและนางแบบจะมาฟิตติ้งนะครับ”

ผู้เข้าประชุมทุกคนต่างตอบรับอย่างแข็งขัน ยังดีที่ลูกน้องทำงานเก่ง หัวหน้าจึงลดความกดดันลงไปได้บ้าง

“ยังไงก็ฝากทุกคนด้วยนะครับ ถ้าทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เราวางแผนไว้ โบนัสปีนี้ไม่ต่ำกว่าสามเท่าแน่นอน”

“กรี๊ดด เริ่สค่า” บรรดาลูกน้องเพศที่สามต่างแท็กมือส่งเสียงกรี๊ดอย่างดีใจและตอบรับอย่างมีความสุข ทุกคนดูมุ่งมั่นจนผู้ที่อยู่หัวโต๊ะพึงพอใจ


“ถ้าไม่มีคำถามเพิ่มเติมแล้ว ก็แยกย้ายได้เลยครับ”  เมื่อจ่ายงานให้กับทุกคนแล้ว  ชนม์แดนจึงกล่าวปิดประชุม  จนทุกคนต่างพากันทยอยออกไปเหลือแค่มือขวาที่ทำหน้าไม่ค่อยสู้ดี

“มีอะไรครับพี่บอลลูน”

“คือ.. คุณปริมไลน์มาบอกว่าลูกชายสองคนที่คอนเฟิร์มไว้เกิดอุบัติเหตุมาไม่ได้แล้วค่ะ เหลือแค่ชายหนึ่งหญิงสอง”

“จิ๊.. เหลืออีกแค่สองวันจะไปหาที่ไหนทัน” ใบหน้าสวยขึ้นริ้วตรงหน้าผากเมื่อต้องคิดหนักว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร

“ลองดูโมฯ หญิงแย้มดูไหมคะ” บอลลูนเสนอ

“ของหญิงแย้มไม่น่าจะได้ครับ เห็นว่าติดงานป้าตู”

“ถ้าเป็นนายแบบโนเนมล่ะคะ แบบไม่มีสังกัด”

“ไม่มั่นใจคุณภาพน่ะสิครับ นิสัยการทำงานเป็นไงก็ไม่รู้  อืม..ถ้างั้นดอทจะแคนเซิ่ลงานของสกายจะได้เหลือแค่คนเดียวที่ต้องหา”

“เอาแบบนั้นเหรอคะ”

“อืม คงต้องยอมจ่ายค่าผิดสัญญาแล้วค่อยส่งของไปขอโทษเขาทีหลัง” เมื่อตัดสินใจได้แล้วจึงโทรหาลูกค้าทันที โชคยังดีที่ทางนั้นเสนอจะเลื่อนงานออกไปโดยไม่ต้องยกเลิกสัญญาเพียงแค่ต้องจ่ายค่ามัดจำสถานที่แทนก็เป็นอันว่าผ่านไปได้ด้วยดี

ตอนนี้ก็เหลือแค่หานายแบบดีๆ อีกหนึ่งคน จะไปหาที่ไหนได้นะ



ต่อ..



ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.


ร่างเล็กนั่งครุ่นคิดอย่างหนักในร้านกาแฟใกล้ออฟฟิศ  แต่ในจังหวะที่กำลังคิดอยู่นั้นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ เส้นผมหยักศก โครงหน้าคุ้นตาก็เดินผ่านไป

ผู้ชายคนนั้น!

ชนม์แดนวิ่งออกจากร้านเพื่อหวังจะตามให้ทันแต่ด้วยความที่โต๊ะอยู่ในสุดจึงต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะออกมาจากร้านได้

“หายไปไหนแล้วนะ เดินเร็วอะไรขนาดนั้นโธ่เอ้ย” ความหวังที่จะได้นายแบบหน้าใหม่พังทลายเพราะวิ่งตามไม่ทัน  ผู้ชายคนนี้เขาจำได้ว่าเป็นใครเพราะรูปร่างหน้าตายูนีกมากๆ ถ้าเอามาปั้นต้องขึ้นเป็นเบอร์ต้นๆ ของวงการนายแบบได้แน่

เพื่อนของไอ้ลูกเมียน้อย..

“โทรให้ป๋าขอเบอร์มาจากไอ้ลูกเมียน้อยก็น่าจะได้” คิดได้แล้วจึงกดโทรออก

“ว่าไงดอท” เสียงปลายสายดูซอฟท์กว่าครั้งไหนๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าป๋าเปลี่ยนไป ตั้งแต่สรรพนามที่หลุดแทนตัวเองว่าป๋า ถึงแม้จะครั้งเดียวแต่ดูเหมือนทั้งสายตาและโอกาสที่มอบให้ก็ทำให้หัวใจที่แห้งผากกลับมาชุ่มชื่นกว่าเดิมอยู่ไม่น้อย

“พอดีว่านายแบบขาดหนึ่งคนครับ ดอทอยากให้ช่วยติดต่อดินแดน..”

“อ้าวเหรอ แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะเจ้าดินมันเคยมาเดินนาฬิกาให้ป๋าสองสามหน มันก็เดินได้ดีอยู่นะยังไงลองโทรทาบทามเอาเองเดี๋ยวป๋าส่งเบอร์ไปให้” เจ้าสัวนึกยินดีที่พี่น้องอาจจะได้สานสัมพันธ์กันในครั้งนี้

“เรื่องดีๆ ก็นึกถึงแต่ลูกเมียน้อยเหรอครับ คนที่เก่งสำหรับป๋ามีแค่ไอ้เด็กนั่นเหรอ” อยากตีปากตัวเองที่พูดออกไป แต่อดไม่ได้จริงๆ น้ำเสียงที่เหมือนจะอวดว่าลูกรักเก่งกาจจนแสดงความภูมิใจแบบออกนอกหน้า บอกตามตรงว่าอิจฉาและเจ็บหัวใจแปลบๆ

“ความคิดแกมันคับแคบตาดอท ถ้างั้นฉันจะไม่ยุ่งด้วยแล้ว เดี๋ยวจะส่งเบอร์เจ้าดินไปให้แล้วจะทำยังไงก็ตามใจ อย่าให้งานฉันเสียก็แล้วกัน”  พูดจบก็กดวางสายแล้วหลับตาข่มอารมณ์

ไม่ว่านานแค่ไหนแกก็ไม่เคยเปลี่ยนเลยตาดอท หัวรั้น ไม่มีเหตุผลเหมือนแม่ไม่มีผิด!

ร่างเล็กยืนครุ่นคิดว่าควรทำอย่างไร กดดูเบอร์โทรที่คนเป็นพ่อส่งมาให้ทางข้อความแล้วลังเลอย่างหนัก

ย้อนนึกถึงใบหน้าเมามายที่มองมาด้วยสายตาแบบนั้นกับคำพูดว่าจะจับทำเมีย  ฮึ่ย เกลียด..


แต่ในเมื่อมันเป็นงานในความรับผิดชอบ แล้วถ้างานนี้ออกมาสมบูรณ์แบบอย่างที่แพลนไว้ ป๋าอาจจะมองตนในทางที่ดีมากขึ้นก็ได้ อยากให้ป๋าพูดถึงตนด้วยน้ำเสียงแบบเมื่อกี้นี้บ้างอย่างน้อยตนก็เป็นลูกคนหนึ่งเหมือนกัน 

มือน้อยกำโทรศัพท์แน่นเพื่อปลุกกำลังใจจากนั้นจึงกดเบอร์ใหม่ที่เพิ่งเคยเห็นครั้งแรก

“ครับ” ลักษณะการรับโทรศัพท์เหมือนจะรู้ล่วงหน้าว่าเป็นใคร บางทีไอ้ลูกเมียน้อยอาจจะมีเบอร์โทรของตนก็เป็นได้

“......”  คนปากหนักยังไม่พูดอะไรออกไป อีกฝ่ายก็เหมือนจะถือสายรอซึ่งตอนนี้แน่ใจแล้วว่าทางนั้นรู้ว่าเป็นเบอร์โทรของตนแน่นอน  “วันมะรืนจะมีงานเดินแบบประมูลนาฬิกาของป๋า ฉันอยากให้เธอมาช่วยเดิน”

ใบหน้าเชิดขึ้นพร้อมกับลำคอแข็งๆ ทั้งๆ ที่ทางนั้นมองไม่เห็นด้วยซ้ำแต่อินเนอร์มันแบบนี้ก็ต้องแบบนี้แหละ  แล้วเรื่องที่จะให้ชวนเพื่อนก็ล้มเลิกแล้วเพราะไหนๆ ก็ไหนๆ ดินแดนเคยเดินแบบมาก่อนจึงคิดว่าคงดีกว่าถ้าไม่ต้องฝึกตั้งแต่เริ่มต้น

“แล้วมันเกี่ยวกับพี่ยังไงถึงได้โทรมาเอง” น้ำเสียงโทนต่ำกังวานทว่าเจือปนความกวนอยู่ในที  ไม่เคยได้ยินเสียงชัดๆ แบบนี้มาก่อนทำให้ลมหายใจเริ่มติดขัดเล็กน้อยด้วยทั้งฉุนและประหม่า

“ฉันเป็นคนจัดงานและจัดหานายแบบแต่นายแบบสองคนโดนรถชนก็เลยหาคนไม่ทัน” เสียงที่ติดจะเหวี่ยงแน่นอนว่าอีกฝ่ายต้องรับรู้ได้แน่ พยายามจะพูดธรรมดาแต่นึกถึงคำพูดจาบจ้วงในวันนั้นแล้วกลายเป็นกระฟัดกระเฟียดใส่ก็คิดว่าไม่ได้เกินไปแต่อย่างใด

“คนอื่นไม่มีแล้ว?” คำถามแบบกวนๆ ถูกส่งมาเริ่มทำให้ชนม์แดนหมดความอดทน

นี่ถ้าไม่จำเป็นให้ตายก็ไม่โทรหรอกนะ

“ถ้ามีจะโทรมาหรือไง” คำตอบห้วนขึ้นเพราะตอนนี้ไม่คิดว่าอยากคุยด้วยอีก

“ขอคิดดูก่อน” เมื่อทางนั้นตอบแบบไม่ยี่หระก็ถึงกับหมดความอดทน

“....ตามใจ” พูดจบแล้วตัดสายทันที

เกลียดที่สุดไอ้ลูกเมียน้อย!!


ในขณะที่กำลังจ้องโทรศัพท์ราวกับเป็นหน้าของคนที่เกลียด สายเข้าของผู้เป็นแม่ก็ดังขึ้นจึงต้องรีบกดรับ

“ครับคุณแม่”

“ป๋าของลูกโทรมาบอกว่าจะเอาไอ้ลูกเมียน้อยมันมาเดินงานเหรอลูก ทำไมเลือกมันล่ะ”

“ครับ หาคนไม่ได้แล้วจริงๆ งานมันกระชั้นชิดเกินไป”

“แล้วโทรหรือยัง มันตอบรับไหม”

“โทรแล้วครับแต่มันบอกว่าจะขอคิดดูก่อน”

“งั้นเอาแบบนี้ เดี๋ยวแม่จะโทรไปกดดันให้อีกทาง แค่นี้ก่อนนะ”

“ด..เดี๋ยวครับ..” ไม่ทันพูดจบปลายสายก็กดวาง “โธ่คุณแม่ เดี๋ยวก็โดนมันกวนประสาทอีกคนหรอก” 



ร่างเล็กกลับเข้าออฟฟิศเพื่อจัดการชุดที่ต้องใช้เดินแบบไปเรื่อยๆ ยังคงกลุ้มใจเรื่องนายแบบที่ยังขาดอยู่แต่ยังคิดในแง่ดีว่าคงไม่เป็นไรถ้าไม่ได้จริงๆ ก็จะหมุนเอาที่มีอยู่ขึ้นอีกรอบ อาจจะทุลักทุเลแต่ก็ไม่มีทางเลือก

แต่ช่วงบ่ายแก่ๆ ก็ได้รับข่าวดีจากผู้เป็นแม่ว่าดินแดนได้ตอบรับจะมาเดินแบบให้  เฮ้อ โล่งอก

พรุ่งนี้ก็ต้องลองชุด ส่วนมะรืนเป็นวันจัดงาน ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดีด้วยเถอะ เพี้ยงง


แต่ยังไม่ทันไร ร่างอวบของบอลลูนก็วิ่งลนลานเข้ามารายงาน

“คุณดอทคะ มีเรื่องด่วน คือ.. น้องสกายจะเทงานงานวันนี้สองงานเลยค่ะ นางบอกมีธุระด่วน” 

“อะไรนะ! สกายเนี่ยเหรอเบี้ยวงาน?”  ปกติสกายไม่มีปัญหาเรื่องขาดลาหรือสายเลยแต่ครั้งนี้มันเรื่องอะไรถึงได้เป็นแบบนี้

“ใช่ค่ะ นางโทรแจ้งลูกค้าเองแล้วก็ไลน์มาบอก  พี่โทรถามลูกค้าแล้วเขาค่อนข้างหัวเสียค่ะ พี่เลยบอกว่าจะให้คุณดอทโทรไปอีกรอบ”

“สองงานรวดเลย” ถึงกับเข่าอ่อนเพราะต้องจ่ายค่าผิดสัญญา แถมยังเสียเครดิตอีกด้วย

มือเรียวหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาสกายทันที

“ทำไมเบี้ยวงาน เธอไม่เคยทำตัวแบบนี้เลยนะ” ฉะใส่ทันทีเมื่อสกายรับสาย

“ผมมีธุระด่วน”

“แล้วทำไมไม่แจ้งฉันโดยตรง” เรื่องอะไรก็ไม่แย่เท่าการไม่บอกกล่าวมาทางต้นสังกัดเพื่อจะได้แก้ปัญหาให้ รู้สึกโมโหที่สกายทำแบบนี้  “ถ้าไม่มาเธอจะต้องรับผิดชอบเรื่องค่าผิดสัญญาฉันจะหักเงินเดือน 50% ไปจนกว่าจะครบ จะให้เป็นแบบนั้นเหรอ”

บอลลูนเบิกตาโตกับสิ่งที่ได้ยิน หักตั้งครึ่งของเงินเดือนแล้วสกายจะอยู่รอดได้อย่างไร

“ก็เอาตามนั้น ยังไงผมก็ไปไม่ได้”

เฮ้ออ อยากจะบ้า

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ พรุ่งนี้สิบโมงเข้ามาลองชุดด้วย มะรืนมีงานใหญ่เดี๋ยวจะให้พี่บอลลูนส่งรายละเอียดไปให้”

“ผมอาจจะ..”

“ไม่ได้! งานนี้สำคัญมาก ไม่ว่าจะยังไงเธอต้องมา ฉันไม่อยากหักเงินน้อยนิดของเธอหรืออะไรก็ตามที่จะทำให้เธอตกต่ำกว่าที่เป็นอยู่ ขอแค่รับผิดชอบงานและทำตามที่ฉันบอก เราจะได้ไม่ต้องขัดแย้งกันไปมากกว่านี้!” ใจคอไม่ดีที่สกายจะเทงานของป๋า อุตส่าห์ยกเลิกงานจ้างเดิมเพื่อให้มาเดินงานนี้ ตั้งใจจะให้เดินฟินาเล่แต่จะต้องมาหาคนเดินใหม่เพิ่มอีกคงอกแตกตายแน่

“งั้นคงไปสายหน่อย”

ร่างเล็กทรุดลงนั่งอย่างโล่งอกเมื่อได้ยิน

“อย่าให้สายมากก็แล้วกัน แค่นี้นะ” พูดจบก็วางสายทันที

ยังไม่ทันไรก็เจอเรื่องยุ่งๆ หวังว่างานจริงจะไม่มีอะไรต้องปวดหัวอีกนะ



รุ่งเช้าของอีกวัน คุณรุ่งฤดีติดตามลูกชายมาที่ห้องเสื้อด้วยเหตุผลที่ว่าจะรับหน้าไอ้ลูกเมียน้อยเอง เธอทั้งโทร ทั้งส่งข้อความไปกดดันอีกฝ่ายอย่างหนัก เรียกแบบหยาบหน่อยก็คือจิกเอาตาย

ซึ่งมันได้ผล ก่อนเวลานัด ดินแดนพารูปร่างสมส่วนพร้อมกับใบหน้าหล่อแบบแบ้ดบอยด้วยลักษณะการเดิน การพูด หรือแม้แต่การแต่งตัว เขาดูไม่ใช่ผู้ชายที่ห่วงหล่อแต่หล่อมาจากแอตติจูดข้างใน ถ้าไม่ใช้อคติตัดสิน ดินแดนคือความเพอร์เฟ็ค คือตัวพ่อ คือไร้ที่ติจริงๆ  เทียบกับสกายที่หล่อใสมีเสน่ห์ดึงดูด สองคนนี้หล่อแบบสูสีคนละสไตล์ ถ้ายืนหันหลังชนกันแล้วให้สาวๆ เลือกว่าจะมองหน้าใครก็คงคิดกันหนักน่าดูกว่าจะเลือกได้

“เพิ่งมาเหรอ นี่ขนาดเมจเซสไปบอกก่อนยังมาเกือบสาย”  คุณรุ่งฤดีเปิดวอร์ด้วยการตำหนิผู้ที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจว่าไม่ได้สายเพราะตอนนี้เพิ่งเก้าโมงสี่สิบส่วนเวลานัดคือสิบโมงซึ่งเขามาก่อนเวลาค่อนข้างเยอะ อันที่จริงมาเร็วที่สุดแล้วในบรรดานายแบบนางแบบที่นัดมาด้วยซ้ำ

“เช้ากว่านี้ก็ตักบาตรกันได้เลยล่ะครับ”  ร่างสูงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วไหวไหล่อย่างกวนๆ

พูดจบก็เดินดิ่งเข้าไปหาชนม์แดนที่นั่งอ่านแฟ้มอยู่ที่โต๊ะทำงาน  “ลองชุดที่ไหนพี่ดอท” คำเรียกที่ดูสนิทสนมสร้างความขุ่นใจให้คนที่นั่งอยู่

ร่างบางเงยหน้ามองอย่างเย็นชาแล้วเบือนสายตาไปยังห้องลองเสื้อที่อยู่ถัดไปเป็นสัญญาณให้รู้ว่าถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องมาพูดคุยกัน

ดินแดนมองตามสายตาไปแล้วเลิกคิ้วกวน ๆ ก่อนจะพยักหน้าหงึก ๆ เดินไปที่ห้องนั้น

ท่าทางกวนประสาทชะมัด!


“เห็นความไร้มารยาทของมันไหมลูก ต่ำเหมือนแม่มันนั่นแหละ นี่ถ้าลูกไม่บอกว่าหานายแบบไม่ได้จริงๆ แม่จะไม่ยอมให้มันมาอยู่ใกล้ลูกหรอกนะ” หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาบ่นกับลูกชายหลังจากดินแดนคล้อยหลังไป

“ดอทคงเลี่ยงๆ ที่จะไม่คุยไม่งั้นเส้นเลือดในสมองแตกแน่ เมื่อวานสกายก็เทงานไปสองงาน เฮ้อ มีแต่เรื่องปวดหัว”

“เออเด็กสกายนั่นก็อีกคน เห็นยายแจนบอกตลอดว่าโทรไปก็ไม่รับสาย จะพูดเรื่องพ่อที่เป็นอัมพาตก็ไม่ยอมรับรู้รับฟังอะไรเลยปล่อยให้แจนมันดูแลอยู่คนเดียว เฮ้อ เป็นลูกที่แย่จริงๆ”

ขนาดพ่อแท้ๆ ยังทำได้ขนาดนี้ สกายนี่เป็นคนยังไงกันแน่นะ

“ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว คุณแม่กลับไปพักเถอะครับ” 

“งั้นอย่าโหมงานหนักมากนะลูก พักผ่อนบ้าง ถ้ามีอะไรก็โทรหาแม่นะ” 

“ขอบคุณครับคุณแม่” เมื่อผู้เป็นแม่หายห่วงจึงลากลับตามที่ลูกชายบอก   

ชนม์แดนหันไปยังอีกห้องที่กั้นด้วยกระจกใส ร่างสูงกำลังพูดคุยกับลูกน้องของตนอย่างอารมณ์ดี รอยยิ้มของเขาสดใสจนรู้สึกหมั่นไส้เมื่อนึกเปรียบเทียบกับคืนนั้นที่เมาจนพูดอะไรชั่วๆ ออกมา

แต่ดูเหมือนจะจำไม่ได้จริงว่ามันพูดอะไรเอาไว้  คงเป็นอย่างที่เพื่อนของมันพูดนั่นแหละว่าเมาขนาดนั้นตื่นมามันคงจำอะไรไม่ได้ แต่จะให้ฝ่ายนื้ลืมจะเป็นไปได้ยังไงก็ในเมื่อภาพมันติดตาไปแล้ว



ดีไซเนอร์คนเก่งทำงานไปอีกพักใหญ่  หนุ่มลูกครึ่งหน้าหล่อก็เดินเข้ามา  เขามาหยุดยืนหน้าโต๊ะเพื่อบอกเป็นนัยว่ามาแล้ว  ร่างเล็กเงยขึ้นมองแล้วเริ่มประกาศสงครามทันที

“ถ้ามีเหตุผลที่ดีกว่าคำว่าธุระด่วนก็ควรพูดออกมา บางทีฉันอาจจะใจดีไม่หักเงินเธอก็ได้”

“ไม่จำเป็นครับ” ใบหน้าเย็นชาและความหมายของคำตอบทำให้คนที่กำลังคิดหาข้ออ้างดีๆ ที่จะไม่ใจร้ายต้องเปลี่ยนเป็นหัวร้อนขึ้นมาจนได้

“จองหอง!” ชนม์แดนเริ่มเหลืออด “จะลำพองไปถึงเมื่อไหร่ ยิ่งทำตัวแบบนี้ฉันก็ยิ่ง..” จะพูดว่าเกลียดก็ไม่เต็มปากเพราะคนที่ทำให้เกลียดจริงๆ เข้าไปลองเสื้อก่อนหน้านี้แล้ว

“คุณจะคิดกับผมยังไงมันก็สิทธิ์ของคุณ ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดกับคุณดีนักหรอกก็ถือว่าเจ๊ากัน” ใบหน้านิ่งหยิ่งดูร้ายลึกขึ้นเมื่อเขาจ้องเขม็งมาแบบนี้

“ก็ได้! ถ้าคิดจะประกาศสงคราม แล้วจะได้เห็นว่าฉันร้ายได้ขนาดไหน”

ร่างเล็กยืนขึ้นเท้าโต๊ะจ้องมองร่างสูงด้วยความขุ่นเคือง ปกติก็ไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว ยิ่งบกพร่องในหน้าที่ก็ยิ่งไปกันใหญ่ ฝ่ายหนึ่งต้องการได้ยินคำขอโทษและท่าทีที่อ่อนลงเมื่อทำผิดแต่กลับถูกโต้กลับด้วยความอวดดี  ส่วนอีกฝ่ายกลับรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกตำหนิและขู่หักเงินแทนที่จะไถ่ถามแสดงความห่วงใยบ้าง ในเมื่อเผยด้านร้ายมาก่อนก็อย่าหวังว่าจะเห็นด้านดีจากเขา

“ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าที่คุณร้ายอยู่ทุกวันนี้มันแค่สร้างภาพ เพราะความจริงคือร้ายกว่าที่เห็นซึ่งก็ไม่ได้เกินคาดตรงไหน” ร่างสูงทิ้งสายตามองเหยียดแล้วเดินไปที่ห้องลองชุด

ร่างเล็กกำหมัดแน่นอยากจะตามไปตบให้เลือดกบปากแต่ต้องยั้งตัวเองไว้ จะร้ายไปตามการยั่วโมโหของเด็กเมื่อวานซืนไม่ได้

ศึกนอกศึกในเต็มไปหมด แต่ต้องอดทนให้งานนี้ผ่านไปด้วยดี เงินที่ได้หักค่าใช้จ่ายแล้วน่าจะเหลืออย่างต่ำเกือบสองล้านซึ่งมันช่วยย่นเวลาการเป็นอิสระได้ค่อนข้างมาก

คอยดูนะ ถ้าปลดปล่อยตัวเองจากป๋าได้เมื่อไหร่จะไล่ไปให้หมดทุกคนเลย!



ชนม์แดนนั่งหลับตาข่มอารมณ์อยู่สักพัก หญิงวัยสี่สิบต้นๆ ก็เดินเข้ามาในออฟฟิศแล้วเอ่ยทักทาย

“สวัสดีค่ะคุณดอท”

“อ้าว สวัสดีครับน้าแจน มาหาสกายเหรอครับ” ร่างเล็กลุกขึ้นแล้วยกมือไหว้ เธอเป็นญาติห่างๆ ทางฝั่งแม่แถมยังเป็นแม่เลี้ยงของสกายด้วย

“ใช่ค่ะ อยู่หรือเปล่าถ้าไม่อยู่เดี๋ยวน้านั่งรอ”

“อยู่ครับเดี๋ยวดอทพาไปหา”



“ชุดนั้นกูเลือกก่อน กูลองก่อน”  เสียงของดินแดนดังแว่วเมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องลองเสื้อ

“แล้วมาบอกผมทำไม” สกายตอกกลับ

“คนมาทีหลังก็ต้องได้ของที่ไม่มีใครเอา” ดินแดนมองเหยียดส่วนสกายดูเหมือนไม่ค่อยพอใจ

“ขนาดของที่มีคนเอาอยู่ก่อนแล้วก็ยังถูกคนมาทีหลังเอาไปหน้าตาเฉย”  สกายพูดถูกในความคิดของชนม์แดนแต่ก็ไม่ยอมรับหรอกว่าเห็นด้วย 

ตอนนี้รู้สึกสมน้ำหน้าไอ้ลูกเมียน้อย สองคนนี้ไม่ลงรอยกันสินะ ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องรับศึกสองด้าน ให้ตีกันเองแบบนี้แหละสนุกดี

“สกาย น้าแจนมาหา”  ชนม์แดนสั่นระฆังหมดยกสำหรับคู่ชกดินแดนและสกาย

สกายปรายตามองเพียงครู่เดียวสีหน้าก็เปลี่ยนจากนิ่งเงียบเป็นเคร่งเครียดขึ้นทันที

“ผมเพิ่งโอนตังค์ให้เมื่ออาทิตย์ก่อน”  ร่างสูงใช้คำพูดห้วนๆ พร้อมกับสีหน้าติดจะรำคาญเมื่อผู้เป็นแม่เลี้ยงไปหยุดอยู่ใกล้ ๆ

พูดกับผู้ใหญ่แบบนี้เหรอ อย่างน้อยควรให้เกียรติบ้างเพราะน้าแจนก็ดูแลพ่อที่ป่วยเป็นอัมพาตให้ ทำตัวแบบนี้แย่เอามากๆ

“น้าก็ไม่ได้จะมาทวงเงินอะไรสักหน่อย  ก็แค่เป็นห่วงเห็นว่าเมื่อวานเบี้ยวงาน  ไม่สบายรึเปล่าลูก” เธอถามอย่างเป็นห่วงเป็นใยและพยายามจะจับแขนของสกายแต่ร่างสูงเบี่ยงตัวเอาเสื้อไปเก็บเสียอย่างนั้น

สงสัยคุณแม่เล่าให้น้าแจนฟังแน่ๆ เรื่องที่สกายเกเร เฮ้อ ไม่น่าบอกคุณแม่เลยแฮะ

“ผมอธิบายกับคุณดอทไปแล้ว  ถ้าไม่มีอะไรก็ขอตัวนะครับ”  พูดจบก็เดินเลาะด้านหลังดินแดนออกไปจากห้องทันที

“หยิ่งยโสโอหังไม่เคยเปลี่ยน”  ชนม์แดนมองตามแล้วส่ายหัว อดตำหนิไม่ได้กับกิริยาแบบนั้น

“อย่าว่าน้องเลยคุณดอท  น้องยังเด็ก  นี่ถ้ามีแม่อยู่อบรมก็คงไม่เป็นแบบนี้”  เรื่องนี้ก็น่าเห็นใจอยู่ไม่น้อย สกายเป็นลูกเมียหลวงที่เป็นคนต่างชาติก็เสียไปตั้งแต่เริ่มเข้าวัยรุ่น มาเทียบดูแล้วชนม์แดนคิดว่าตนเองยังโชคดีกว่าเด็กคนนี้อยู่มากนัก

แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เด็กนิสัยเสียนั่นก็ไม่ควรทำตัวกระด้างกระเดื่องกับทุกคนแบบนี้ บางทีอาจจะได้นิสัยเสียๆ มาจากแม่

“ยังจะพูดดีกับเขาอีกน้าแจน  ที่เมียหลวงแหม่มตาน้ำข้าวมันไม่ยอมให้สามีไปหาแล้วยังใส่ร้ายสารพัดยังไม่ช้ำใจพอใช่ไหมเนี่ย”  ชนม์แดนเหนื่อยหน่ายกับความจองหองของสกาย การคิดไปในแง่ลบมันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เพราะตัวตนของสกายแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเป็นพวกไร้การอบรม

“เรามาทีหลังนี่คะ เป็นเมียน้อยแบบไม่ตั้งใจด้วยซ้ำ แต่ก็ช่างมันเถอะค่ะ เขาก็เสียไปแล้วส่วนคุณพจน์ก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็อโหสิกรรมกันไปค่ะ  ส่วนน้องสกายเขาคงเหนื่อยและรำคาญที่ต้องส่งเงินให้น้านั่นแหละ  นี่ถ้าไม่ต้องดูแลคุณพจน์ น้าก็คงจะออกไปทำงานหาเงินเอง ไม่ต้องรบกวนน้องสกายหรอกค่ะ”

“ก็พ่อเขานี่ครับ แค่ไม่ต้องดูแลเองก็ต้องขอบคุณน้าแจนด้วยซ้ำ ถ้ายังไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายก็เกินไปแล้วล่ะ  น้าแจนก็อย่าโอ๋ให้มากเลยครับ ยิ่งทำดีด้วยก็ยิ่งผยองอย่างที่เห็นเนี่ยแหละ” ร่างเล็กให้ความเห็น

“ไม่ได้หรอกค่ะ ยังไงก็ลูกของคนที่น้ารัก ยิ่งต้องอาศัยเงินของน้องมาจุนเจือครอบครัวก็ยิ่งต้องดีด้วยอีกหลายเท่า”

“นี่ถ้าเมียน้อยคนอื่นเป็นเหมือนน้าแจนหมด คุณแม่ก็คงไม่ทุกข์ใจขนาดนี้หรอก”  ชนม์แดนจงใจเหลือบมองดินแดนเพราะเห็นว่ายืนเสียมารยาทฟังคนอื่นคุยกัน 

“มันก็ต้องดูว่า  เมียหลวงเป็นยังไงด้วยนะครับ  ถ้าเมียหลวงมีเมตตาและมีวิจารณญาณสามารถแยกดำแยกขาวแยกดีแยกชั่วได้ก็น่าจะมองเห็นว่ายังมีเมียน้อยที่นิสัยดีอยู่  บางทีอาจดีกว่าเมียหลวงก็ได้นะ”  ดินแดนโต้กลับแล้วยิ้มปลอมๆ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องทิ้งให้ร่างเล็กมองตามด้วยความร้อนรุ่มที่บังอาจมาด่ากระทบไปถึงแม่ตน

ไอ้ลูกเมียน้อย ไอ้นิสัยเสีย ไอ้ปากเลว!


.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.


ขอโทษที่อัพล่าช้าเพราะติดงานสำคัญค่ะ เดี๋ยวชดเชยให้ตอนหน้ามาเร็วๆ ละกันเนาะ
ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ
  :mew1:
 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
โอ้ยยย พี่ดินของน้องงงงงปากพี่ยังแรงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนจริงๆ อ่านตอนนี้แล้วแทบอยากจะกลับไปอ่านคู่จิ้นฯควบคู่กันไปเลยจริงๆ ตอนนี้พี่ดินยังไม่หลงสกายสินะคะ ว่าแต่เพื่อนพี่ดินนี่ใครหว่าทำไมเรานึกไม่ออกแต่เห็นแววว่าจะมาเป็นหนึ่งในพระเอกของพี่ดอทนะเนี่ย

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.
ต อ น ที่ 5 :  ภ า ว ะ บี บ คั้ น



แล้ววันจัดงานก็มาถึง ชนม์แดนไปถึงสถานที่จัดงานตั้งแต่เช้าตรู่ ตรวจดูองค์ประกอบทุกอย่างจนได้มาตรฐานในระดับที่น่าพอใจแล้วก็ถึงเวลาซ้อมรันธรูพอดี  การซ้อมไม่มีอะไรยุ่งยาก ทุกคนเป็นมืออาชีพกันอยู่แล้ว จะมีก็แค่ดินแดนที่ต้องซักซ้อมความเข้าใจกันอยู่สักพักก่อนขึ้นซ้อมซึ่งแน่นอนว่าคนที่ให้ข้อมูลกับดินแดนไม่ใช่ชนม์แดนอย่างแน่นอน

“น้องดินเด่นมากเลยนะคะคุณดอท นี่ขนาดใส่ชุดธรรมดา” บอลลูนกล่าวชมชายหนุ่มในชุดลำลองที่กำลังเดินซ้อมบนแคทวอล์คโดยไม่รู้เลยว่าคนๆ นั้นเป็นน้องชายต่างมารดาของนายจ้างตน

ชนม์แดนทำแค่เพียงมองนิ่งไปบนเวทีด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก จากนั้นเหลือบมองคนพูดเหมือนจะเตือนว่าอย่าพูดถึงผู้ชายคนนี้ให้ได้ยินอีกแล้วก็เดินแยกไป

“อ้าว พูดถึงน้องสกายก็เคือง นี่พูดถึงน้องดินก็ไม่ได้เหรอ โธ่คุณดอท ใจคอจะเหม็นหนุ่มหล่อๆ ทั้งประเทศเลยหรือไงเนี่ย” เลขาร่างอวบบ่นตามหลังร่างบางที่เดินแยกไปดูการซ้อมในอีกมุม

ก็ไม่เถียงหรอกว่าหล่อมาก แต่ความเกลียดชังทำให้ไม่อยากมองให้เสียสายตาด้วยซ้ำ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะงานคงไม่ต้องชักศึกเข้าบ้านแบบนี้หรอก



เมื่อมาถึงช่วงเวลาการจัดงาน แขกเหรื่อเริ่มมาลงทะเบียน เจ้าสัวแดนสรวงและภรรยาเดินเข้างานพร้อมกันประหนึ่งว่ายังปรองดองรักใคร่กันเป็นอย่างดี  ภาพที่ชนม์แดนเห็นผู้เป็นพ่อหยิบแก้วเครื่องดื่มให้ภรรยาทำให้ต้องเบือนหน้าหนีอย่างเหนื่อยหน่าย

การแสดงทั้งนั้น..

แต่โชคยังดีที่วันนี้งานดำเนินเรื่อยไปอย่างราบรื่น แขกระดับVVIPมาร่วมงานมากมายและแข่งกันโชว์เพชรโชว์นาฬิกาเป็นว่าเล่น  ชนม์แดนคอยเดินเช็คและคอนโทรลงานด้วยความละเอียดรอบคอบให้มากที่สุดเพื่อป้องกันปัญหา


“เดี๋ยวรอบฟินาเล่เปลี่ยนให้สกายเดินคู่กับเจ้าดินมันนะ” เจ้าสัวตามตัวลูกชายคนโตให้เข้าไปรับคำสั่ง

“แต่..”

“นาฬิกามันเป็นแบบผู้ชายทั้งคู่น่ะ ถ้าผู้หญิงใส่ก็ได้แต่ถ้าเป็นผู้ชายใส่จะดูเท่กว่า เอาตามนี้ก็แล้วกัน”

“ป๋าก็รู้ว่าดอทแคร์เรื่องที่ป๋ารักมันมากกว่า แต่ป๋าก็ไม่เคยระวังที่จะไม่ทำร้ายดอท ไม่เคยเลย” ดวงตาเรียวรีร้อนผ่าว จ้องมองผู้เป็นพ่อด้วยความน้อยใจ

“อย่าให้อคติมันบังตามากนักตาดอท ฉันแค่อยากให้งานออกมาดีที่สุด พวกดีลเลอร์เขาก็แนะนำมาแบบนี้ทั้งนั้น”

“ถ้าเป็นมัน ยังไงก็ดีที่สุดในสายตาป๋าอยู่แล้ว” พูดจบแล้วเดินหนีไปทิ้งให้คนเป็นพ่อถอนหายใจอย่างระอา

ชนม์แดนสั่งการเลขาร่างอวบให้ไปแจ้งความต้องการของลูกค้าให้นายแบบได้รับทราบ รวมถึงนางแบบที่ถูกถอดจากรอบฟินาเล่ก็ทำท่าทางไม่ค่อยสู้ดีแต่เมื่อถูกเสนอค่าตัวเพิ่มขึ้นจึงไม่ได้มีปัญหาอะไร

“อย่าให้มันกระทบงานนะ ไม่งั้นเจอดีแน่ไอ้ลูกเมียน้อย” ร่างบางบ่นกับตัวเองเมื่อมองขึ้นไปบนเวทีแล้วเห็นดินแดนแกล้งขัดขาสกายตรงเชิงบันได 

และไม่ใช่แค่จุดนี้เพราะตั้งแต่รอบซ้อมจนมาถึงรอบเดินจริง คนที่เจ้าตัวเกลียดนักเกลียดหนาก็ทำตัวให้กังวลอยู่เรื่อยๆ ทั้งเรื่องแกล้งสกาย แกล้งทำเสื้อสูทสีดำของสกายเลอะเทอะ ถึงจะจับไม่ได้คาหนังคาเขาแต่ชนม์แดนมั่นใจว่าเขาเป็นตัวการแน่ๆ แต่เพราะไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่และบอลลูนก็แก้ปัญหาได้จึงปล่อยเลยตามเลย


การเดินแบบดำเนินไปเรื่อยๆ จนถึงรอบฟินาเล่  นายแบบสุดหล่อรูปร่างสมส่วนสองคนต่างสไตล์เดินออกมาในชุดเปลือยท่อนบน ส่วนท่อนล่างสวมเพียงชั้นในซึ่งถูกปกปิดไว้อย่างหมิ่นเหม่ด้วยนาฬิกาข้อมือขนาดใหญ่หลายเรือนนำมาร้อยกับสายคาดเอวหนังสีน้ำตาลรอบเอว   

สกายและดินแดนขึ้นบันไดคนละฝั่งและมาหยุดโพสตรงกลางฉากหลัง  เสียงปรบมือดังเกรียวกราวเมื่อเห็นคอสตูมและกล้ามแน่น ๆ ของทั้งคู่  การเดินแบบรอบฟินาเล่ดูเหมือนจะผ่านไปด้วยดีแต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็อุบัติขึ้น  เมื่อสายคาดเอวของสกายที่อาจจะมัดไว้ไม่แน่นพอรวมกับน้ำหนักของนาฬิกาหลายเรือนจึงทำให้ต้านทานแรงดึงดูดไม่ไหวจึงหลุดร่วงจากเอวลงมากองกับพื้นเผยให้เห็นชั้นในแนบเนื้อสีดำที่รัดรึงส่วนนูนเด่นแบบจะตา

สกายแสดงความตกใจอยู่เพียงชั่วพริบตาแต่ด้วยสปิริตที่น่าชื่นชม ร่างหนาก็เดินต่อไปจนสุดทางแล้วยืนโพสหล่อโดยไม่ได้สนใจเสียงฮือฮาหวีดหวิวรอบด้านแต่อย่างใด

“กรี๊ดดดดด วู้ววว” เสียงกรี๊ดดังขึ้นอีกระรอกเมื่อดินแดนตัดสินใจกระชากสายคาดเอวออกอีกคนแล้วเดินไปยืนโพสคู่กัน กลายเป็นว่าบนเวทีตอนนี้มีสองนายแบบที่สวมเพียงชั้นในตัวเดียวและโพสท่าอวดนาฬิกาเรือนหรูซึ่งกลับกลายเป็นความผิดพลาดที่ได้แต้มเพราะเสียงชัตเตอร์ดังระรัวไปรอบทิศ

และที่น่ามองไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าตอนนี้สองนายแบบจะสนุกที่ได้ข่มกันด้วยท่าโพสสุดสยิวด้วยการดึงขอบกางเกงในลงคนละด้านและโพสท่าจบในแบบนั้นเรียกเสียงฮือฮากรี๊ดกร๊าดไปทั่วงาน



“เฮ้ออออ นึกว่าจะแย่แล้ว” ร่างเล็กทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างโล่งอกเมื่องานในคืนนี้จบลงไปด้วยดีและตอนนี้ทั้งเจ้าภาพและแขกเหรื่อเริ่มทยอยกลับกันแล้ว

“เหนื่อยแย่เลยคุณดอท” บอลลูนกรีดกรายเข้ามานวดไหล่บางเบาๆ

“ขอบคุณมากสำหรับวันนี้นะครับ ยังไงช่วยเก็บงานที่เหลือให้หน่อยเดี๋ยวดอทค่อยลงมาเช็คอีกที”

“ไม่มีปัญหาค่ะ คุณดอทขึ้นไปพักได้เลย” มือขวายิ้มให้แล้วดันร่างบางให้ลุกขึ้นเพื่อกลับไปพักผ่อนยังห้องพักส่วนตัวที่ผู้เป็นพ่อเปิดห้องสวีทไว้ให้อีกครั้ง

แต่เมื่อหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกมาจากงานกลับพบว่าตอนนี้นักข่าวกลุ่มใหญ่กำลังสัมภาษณ์สองนายแบบอยู่ด้านนอก  ร่างบางรีบเข้าไปขอตัวทั้งคู่ออกจากกลุ่มนักข่าวด้วยอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก

“อยู่ดีดีทำไมให้สัมภาษณ์  รู้ไหมว่ามันเสียหายกับโมฯ ของฉันแค่ไหน”  ชนม์แดนเอาเรื่องทันทีเมื่อพาสองนายแบบเข้ามาในห้องพักส่วนตัว  “ทุกทีฉันให้เธอสัมภาษณ์หนังสือ สัมภาษณ์พิเศษ ทำไมถึงไม่รับ  รู้ไหมว่าเขาสู้ราคาเท่ากับเดินแฟชั่นวีคเลยนะ”

การออกสื่อเป็นสิ่งที่ชนม์แดนบังคับสกายทั้งทางตรงและทางอ้อมแต่ไม่เคยสำเร็จ สิ่งที่สำคัญมากกว่าเม็ดเงินที่จะได้รับคือชื่อเสียงของสกายที่จะก้าวกระโดดจากนายแบบอันดับต้นๆ ต่อยอดไปในงานอื่นได้อีกมากมายซึ่งที่ผ่านมาเจ้าตัวก็ดื้อหัวชนฝาแต่กลับมาให้สัมภาษณ์เรื่อยเปื่อยแบบนี้มันไม่ถูกที่ถูกเวลา

สกายเพียงนั่งฟังด้วยใบหน้านิ่งสนิทเหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น 

“แค่นี้ใช่ไหมงั้นผมกลับละนะ  ผมรีบ”  ว่าแล้วก็ลุกเดินออกไปทันที

“ฉันถามก็ตอบก่อนสิสกาย! อย่าหยิ่งให้มันมากนัก อย่าคิดว่าฉันไม่กล้าพักงานเธอนะ”  มือเรียวตบโต๊ะอย่างฉุนเฉียว ส่วนสกายหันขวับมาพร้อมแววตาลุกโชนอย่างเหลืออด

ร่างสูงเดินเข้าหาแล้วเท้ามือสองข้างลงกับโต๊ะ ลักษณะยืนค้ำหัวประจันหน้าอย่างท้าทาย 

“คุณดอทไม่พักงานผมหรอกเพราะคุณจะขาดรายได้วันละหลายหมื่น แต่ผมไม่สะเทือนหรอกนะ ถึงเราจะแบ่งครึ่งรายได้กัน แต่อีกครึ่งที่ผมได้ เมียน้อยของพ่อก็มายึดไปหมด  ที่ผมได้ใช้ทุกวันนี้ก็แค่เศษเงินเดือนตามที่สัญญาระบุก็แค่นั้น  และคุณก็ควรขอบคุณที่ผมลืมโทรศัพท์ถึงได้กลับมาช่วยไม่ให้นักข่าวขุดคุ้ยถึงความสัมพันธ์ของน้องชายต่างแม่ที่คุณปิดนักปิดหนาไม่ให้หลุดออกไปในวงสังคม  อ้อ!!!..” เหมือนนึกอะไรขึ้นได้อีกประเด็นจึงหันไปมองจ้องดินแดนด้วยสายตาขุ่นๆ “ลูกเมียน้อยหรือลูกเมียหลวงก็คนเหมือนกันนั่นแหละ  ดีได้เลวได้พอ ๆ กัน  อย่าตัดสินแค่เพียงฉาบฉวยเพราะมันแสดงให้เห็นความไม่ฉลาดชัดเจนเกินไป!”   

เมื่อพูดจบก็เดินออกไปจากห้องทันที ทิ้งให้ร่างเล็กยืนเรียบเรียงความหมาย ส่วนอีกคนที่โดนหางเลขไปด้วยก็ทำหน้างุนงงเหมือนยังมึนกับลูกหลงอยู่

“ไม่ต้องห่วงนะ ผมยังไม่ได้บอกนักข่าวหรอกว่าเรามีสายเลือดเดียวกัน  อย่าว่าแต่พี่ไม่อยากเป็นพี่เลย ผมเองก็ไม่อยากเป็นน้องพี่เหมือนกัน อ้อ! แล้วก็อย่าลืมขอบคุณสกายด้วยนะที่มันช่วยปิดความลับสำคัญให้ แค่คำว่า ‘ขอบคุณ’ คงพูดเป็นมั้ง  มารยาทที่ดีน่ะทำไม่ยากหรอก หัด ๆ ไว้บ้าง” พูดจบก็รีบออกไปทันที

“อ..ไอ้ชั่ว!!” ชนม์แดนด่าตามหลังแต่ไม่ทันการณ์เพราะประตูได้ปิดลงแล้ว “แล้วใครจะรู้ว่าที่ไปให้สัมฯ เพราะจะช่วยปิดเรื่องดินแดน แต่ไม่ว่ายังไงพวกแกมีสิทธิ์อะไรมาว่าใส่หน้าแล้วหนีไปแบบนี้นะ! ฮึ้ยยยย เกลียดดดดด!!”



ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ..

เหมือนเป็นกรรมเก่าเพราะสินค้าต่างๆ พากันติดต่อเข้ามาเพื่อขอตัวสกายและดินแดนไปร่วมงาน  ผลจากงานเดินแบบวันนั้นทำให้ข่าวคู่จิ้นของคู่นี้ดังไปทั่วประเทศ ความจริงสกายมีชื่อเสียงอยู่แล้วและข่าวของดินแดนที่ถูกสงสัยว่าเป็นลูกนอกสมรสของเจ้าสัวก็ทำให้สื่อพากันรุมจ้อง จึงไม่แปลกที่ทั้งคู่จะถูกจับจ้องและจับจิ้นไปพร้อมกัน


“ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับไอ้บ้านั่น ให้ตายสิเกลียดมันๆๆๆ” ชนม์แดนปรึกษากับตัวเองอย่างหนักเมื่อต้องชั่งใจว่าจะโทรหาดินแดนดีหรือไม่ ซึ่งมันจะไม่ยากเลยถ้ามีแค่ตัวเงินเพียงอย่างเดียวเข้ามาเกี่ยวข้อง

“แต่ถ้าไม่กันสกายออกไป เฮียคงกดดันไม่เลิกแน่”  นึกถึงข้อเสนอของเผ่าพงศ์ที่จะจ้างสกายไปถ่ายแบบเครื่องเพชรคอลเล็กชั่นใหม่ที่ต่างประเทศ การเอางานมาอ้างทำให้ชนม์แดนปฏิเสธลำบากแต่จะให้ตามไปเฝ้าก็ตึงมือเกินไปจึงได้แต่ขอผลัดผ่อนการให้คำตอบไปก่อนซึ่งคงเลื่อนไปได้อีกไม่นาน

นาทีนี้ต้องเลือกระหว่างความสบายใจและสกายเด็กนิสัยเสียซึ่งอย่างหลังไม่ได้น่าเลือกเลยถ้าเทียบกับความหยิ่งผยองที่เจ้าตัวแสดงออกมา แต่ในที่สุดเหตุผลที่สำคัญกว่าก็ชนะ

“ครับ” เสียงรับโทรศัพท์แบบเดิมแล้วเงียบไปเหมือนครั้งก่อนไม่ผิดเพี้ยน ชนม์แดนพยายามเก็บกลั้นความรู้สึกแย่ๆ แค่ได้ยินเสียงเพียงพยางค์เดียวจากปลายสายก็ทำให้เลือดในกายเริ่มเดือดขึ้นทุกที

“พรุ่งนี้ว่างไหม จะให้เข้ามาดูสัญญาของสินค้าเครื่องหนังแบรนด์ดังจากฝรั่งเศส เขาอยากได้สกายกับ..เธอเป็นงานคู่ ถ้าคนใดคนหนึ่งไม่โอเคเขาก็ไม่จ้าง”  หลับหูหลับตาพูดไปให้จบๆ

“ที่ให้สัมฯ ไปว่าจะรับงานคู่แค่สกาย อันนั้นผมแค่พูดเล่นๆ เองนะ ไม่ได้จะรับจริง พี่ปฏิเสธไปเลย” ดินแดนเล่นตัว

“ไม่ได้นะ!” ชนม์แดนโพล่งออกไป ใจคอไม่ดีที่จะต้องปล่อยให้สกายไปไกลแบบนั้นเพราะเผ่าพงศ์ไม่น่าไว้ใจเลย “ถ..“ถือว่าฉันขอร้องก็แล้วกัน” 

นึกโกรธตัวเองที่ต้องลดตัวลงไปขอร้องคนที่เกลียดแต่ถ้าไม่ทำ สกายคงไม่รอดแน่แถมจิตใจของตนก็คงจะแย่ตามไปด้วย ทั้งรู้สึกผิดและรู้สึกหึงหวง มันปะปนกันไปหมดไม่สามารถจะทนเห็นเนื้อไปเข้าปากเสือแบบนั้นได้

“ผมหูฝาดไปหรือเปล่าน้า” ปลายสายส่งสำเนียงกวนประสาทซึ่งร่างบางรู้เต็มอกแต่ก็ต้องทนเก็บกลั้นอารมณ์ไว้

“งานนี้เขาให้หกหลักทั้งสองคนแล้วก็มีงานต่อเนื่องหลายอย่างซึ่งเขายอมสู้ค่าตัวสองเท่าของเรทมาตรฐานนายแบบเบอร์ต้นๆ อย่างสกาย ฉันว่าเธอไม่ควรปฏิเสธ”

“ขนาดผมยังได้ตั้งเยอะ แล้วพี่ล่ะได้เท่าไหร่”

“ก็ไม่น้อย” ชนม์แดนตอบสั้นๆ ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงมาก อยากคิดอะไรก็ให้คิดไป

“นั่นสินะ ไม่งั้นคงไม่ลงทุนง้อผมหรอก” ดินแดนพูดไปตามที่คิด “งั้นตกลง เห็นแก่พี่ชายคนเดียวที่โทรมาขอร้องนะเนี่ย”

ร่างเล็กกำโทรศัพท์ไว้แน่น อยากด่าแรงๆ แต่คิดได้แค่คำว่า ไอ้ลูกเมียน้อย!!

“พรุ่งนี้ประมาณสี่โมงเย็นมาที่ช็อปก็แล้วกัน”

“ได้ขอรับนายท่าน” ทั้งคำพูดทั้งน้ำเสียงมันยั่วยุโทสะดีๆ นี่เอง “อ้อ นี่เห็นว่าเป็นงานคู่สกายนะ ไม่งั้นผมก็ไม่ทำ”

“มันเรื่องของเธอ” พูดจบก็วางสายทันที ความรู้สึกโกรธเกลียดยิ่งเพิ่มทวีเมื่อถูกกวนใส่ไม่เลิก


นานทีเดียวที่ชนม์แดนพยายามปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ มือน้อยกดโทรออกอีกครั้งเพื่อแจ้งข่าวกับสกาย

“พรุ่งนี้เลิกเรียนแล้วเข้าออฟฟิตมาเซ็นสัญญาด้วย”

“ครับ”  แล้วเด็กไร้มารยาทก็วางสายไป

“เฮ้ออออ เจอแต่คนกวนโมโห อ้ากกกกกก เบื่อๆๆๆ” เป็นความฝืนใจอย่างที่สุดในการทำงานกับคนที่ไม่ชอบหน้า ร่างบางเฝ้ารอวันที่จะได้เป็นอิสระจากอะไรก็แล้วแต่ที่คอยกดทับอยู่

สัญญาของสกายเหลืออีกแค่เจ็ดเดือน คงจะดีถ้ามันลดลงเร็วๆ และพร้อมกันนี้ก็อยากให้เงินครบห้าสิบล้านไปด้วย พอจบสองเรื่องนี้ชีวิตก็จะไปต่อในแบบที่อยากให้เป็นเสียที



สกายมาถึงตอนบ่ายสามโมง ร่างสูงเพิ่งเลิกเรียนจึงเข้ามาในชุดนักศึกษา เขาแต่งตัวเรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็หล่อแบบไม่มีที่ติ ทั้งๆ ที่หน้าสดไร้เครื่องสำอางแต่ก็ไม่ได้สั่นคลอนเสน่ห์ของเขาได้เลย  สกายนั่งฟังข้อเสนอในสัญญานิ่งๆ เหมือนที่ผ่านมาแต่เมื่อได้ยินข้อแม้สุดท้ายหัวคิ้วก็ขมวดขึ้น

“งานนี้ลูกค้าต้องการเธอกับดินแดนเป็นคู่เท่านั้น และไม่ต้องปฏิเสธเพราะเธอไม่มีสิทธิ์ ส่วนดินแดนก็ตกลงจะเข้ามาดูสัญญาวันนี้ ถ้ามีอะไรข้องใจก็รอเคลียร์กับทางนั้นเอาเอง”  ชนม์แดนมัดมือชกจนถูกอีกฝ่ายจ้องราวกับเป็นศัตรู

ร่างสูงหยิบสัญญาไปอ่านโดยละเอียด ดูเหมือนตั้งแต่รู้ตัวว่าเคยเซ็นสัญญาแบบเสียเปรียบก็จะรอบคอบขึ้น เขาจรดปากกาลงบนสัญญาในเวลาต่อมาแล้วลุกขึ้นเต็มความสูง

“หวังว่าเงินจะทำให้คุณมีความสุขในชีวิตขึ้นบ้างนะ” สกายเดินออกจากห้องไปทิ้งให้อีกคนจมอยู่กับความคิด

มันไม่เคยทำให้ฉันมีความสุข กลับกัน มันเป็นความทุกข์สุดแสนสาหัสเลยก็ว่าได้


ผ่านไปพักใหญ่ดินแดนก็เดินเข้ามา เขายืนมองอีกฝ่ายที่กำลังสร้างแบบเสื้อผ้าบนกระดาษแผ่นบาง ร่างเล็กขึ้นไปนั่งเอียงๆ บนโต๊ะขนาดใหญ่และก้มลงบรรจงลากเส้นไปตามแบบด้วยความตั้งใจ ถ้าตัดอคติออกไปก็คงต้องบอกว่าน่ามองไม่น้อย

ร่างสูงไล่สายตามองตั้งแต่ปลายนิ้วที่บรรจงขีดเขียน เรียวแขนที่ถูกปกปิดด้วยเสื้อสูทลำลองเข้ารูป แววตาดูมุ่งมั่นเจือความสุขอยู่ในทีอาจจะเป็นเพราะกำลังทำในสิ่งที่รัก ดวงหน้าขาวที่ดูนิ่งสงบไม่เกรี้ยวกราดและเย่อหยิ่งเหมือนที่เคย ช่วงอกช่วงเอวที่ไม่เหมือนชายหนุ่ม สะโพกที่ผายออกลงมาถึงเรียวขาเล็กๆ สั้นๆ พอเหมาะพอดีกับรูปร่าง ทั้งหมดนั้นดึงดูดให้เผลอมองอยู่นาน

“อ้าวน้องดิน” เสียงทักทายจากบอลลูนทำให้ร่างเพรียวหันไปมองและสบเข้ากับสายตาแปลกๆ ที่ร่างสูงเปลี่ยนเป็นปกติเมื่อได้สติ “มาทำไมเหรอคะ อย่าบอกว่ามาเซ็นสัญญาเข้าโมฯ ตามคู่จิ้นนะ ถ้าเป็นแบบนั้นพี่จะกรี๊ดตรงนี้เลย”

“ถูกครึ่งเดียว” ดินแดนตอบพร้อมกับรอยยิ้มเท่ๆ ตามสไตล์

“เอ้ ถูกครึ่งแรกหรือครึ่งหลังน้า” สาวประเภทสองเอ่ยถามพลางนำตัวอย่างผ้าหลายเล่มไปวางบนโต๊ะทำงานของชนมด์แดนที่ตั้งอยู่อีกด้านของห้อง  ส่วนร่างเล็กก็ลงจากโต๊ะใหญ่แล้วเดินตามไปนั่งประจำที่

“ครึ่งแรกสิครับ แหม่”

“ยังไงก็รอกรี๊ดอยู่นะคะ อิๆ” บอลลูนขยิบตาให้แล้วเดินออกจากห้องไป  จากนั้นร่างสูงก็เดินมานั่งตรงข้ามกับคนหน้าบึ้ง

เมื่อกี้ยังดูดีอยู่เลย พอแบบนี้ก็กลับมาเป็นนางมารซะอีกแล้ว

“อ่านสัญญา ถ้าโอเคก็เซ็น” มือเรียวดันแฟ้มสัญญาที่มีลายเซ็นของสกายไปให้ จากนั้นก็หยิบตัวอย่างผ้าเปิดดูโดยไม่สนใจจะอธิบายอะไรเพิ่มเติม

ดินแดนถอนหายใจเบาๆ ระอาในความชนม์แดนของพี่ชายแล้วหยิบแฟ้มมาเปิดอ่าน  ข้อสัญญาละเอียดชัดเจนมากนึกชื่นชมอีกฝ่ายว่าทำงานได้รอบคอบเป็นมืออาชีพ แต่ที่เคยได้ยินว่าทำสัญญาเอาเปรียบสกาย นั่นคงตั้งใจที่จะทำแบบนั้นไม่ใช่เพราะความผิดพลาดแน่ๆ

“เรียบร้อย” ดินแดนเซ็นชื่อลงไปและดันแฟ้มคืน ร่างเล็กตรวจดูอีกครั้งแล้วเซ็นชื่อลงไปในคู่สัญญาทั้งสามชุดจากนั้นก็ยื่นไปให้ดินแดนหนึ่งชุดเป็นอันว่าเสร็จเรียบร้อย

“งานแรกพรุ่งนี้หกโมงเย็น มันด่วนหน่อยเพราะที่จริงเขาแพลนงานไว้แล้วแต่นายแบบคนเดิมยกเลิกสัญญาไปแต่เขาให้เราเลือกได้ว่าจะเลื่อนออกไปหรือเปล่าซึ่งตารางงานของสกายว่างก็เลยตอบตกลง  เดี๋ยวจะส่งรายละเอียดไปให้ในไลน์ มีอะไรไลน์มาถามไม่ต้องโทร” พูดจบก็ลุกไปที่โต๊ะใหญ่แล้วสร้างแบบต่อโดยไม่สนใจร่างสูงที่นั่งเด๋ออยู่ที่เดิม

สกายว่างแต่กูว่างหรือเปล่า มึงช่วยปรึกษากูหน่อยเว้ย!

“เฮ้อ” เมื่อไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อะไรเพราะตอนนี้ร่างบางเข้าทรงอยู่กับงานตรงหน้าไปเรียบร้อยแล้ว ดินแดนลุกออกจากเก้าอี้แล้วล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางสบายๆ ขณะที่เดินผ่านก็พูดขึ้นลอยๆ “ทิฐิแรงอย่างพี่ ผมงงมากนะว่าเหตุผลอะไรที่ยอมลดตัวลงมาคอนแท็กกับผม เงินนี่มันมีอำนาจละลายทุกอย่างได้จริงๆ สินะ”

อยากคิดอะไรก็คิดกันไปเถอะ เอาที่สบายใจกันเลย



งานแรกของดินแดนและสกายผ่านไปได้ด้วยดี ชนม์แดนได้ฟังคำชมจากลูกค้าแล้วรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหลายเปราะ ที่จริงหนักใจเรื่องที่ทั้งคู่ไม่ค่อยลงรอยกันแล้วจะทำให้งานเสีย ไม่ว่าจะขุ่นเคืองในเรื่องส่วนตัวกับทั้งคู่แต่เกี่ยวกับงานแล้วคนจริงจังอย่างชนม์แดนไม่คิดจะให้มันผิดพลาดแม้แต่อย่างเดียว

“เสาร์นี้มาค้างบ้านเฮียไหม หรือถ้าไม่อยากไปบ้านก็ไปเซฟเฮาส์เฮียก็ได้” เผ่าพงศ์ชักชวนผ่านทางโทรศัพท์เพราะไม่ได้เจอกันหลายวัน ขนาดงานใหญ่ของเจ้าสัวก็ยังไม่ได้ไปเพราะติดงาน

“เฮียก็รู้ว่าดอทไม่ชอบเซฟเฮาส์เฮีย ไปครั้งแรกแล้วก็ไม่อยากไปอีก”

“งั้นก็ที่อื่น ที่ไหนก็ได้ที่ดอทอยากไป”

“เอาไว้..” คนใจแข็งกำลังจะปฏิเสธแต่ถูกขัดขึ้นจากปลายสาย

“ถ้าดอทไม่มาคุม เฮียไม่รับรองความปลอดภัยของเด็กในสังกัดดอทนะ วันเสาร์นี้สกายมีเดินแบบของเพชรไทย อย่าลืมล่ะ”

หลังจากที่ชนม์แดนมีข้ออ้างในการปฏิเสธงานต่างประเทศที่เผ่าพงศ์เคยทาบทามสกายแต่ก็ยังมีงานในประเทศที่เคยคุยกันไว้นานแล้วซึ่งยังไม่ได้บอกสกายเพราะช่วงหลังดูเหมือนเขาจะค่อนข้างแอนตี้เผ่าพงศ์มากขึ้นทุกที

“ไม่ต้องมาขู่เลย เฮียอย่าเล่นนอกรอบนะไม่งั้นดอทจะโกรธเฮียจริงๆ ด้วย”

“ก็อยากให้ดอทมานอนกับเฮีย” เสียงหงอยๆ ของอีกฝ่ายทำให้คนดื้อเริ่มใจอ่อน

“ก็ได้ครับ ยังไงค่อยนัดกันนะ”


หลังจากวางสายแล้วจึงโทรหาสกายเพื่อให้เข้ามารับบรีฟและเซ็นสัญญา ความรู้สึกที่แท้จริงนั้นไม่อยากส่งงานของเพชรไทยให้สกายเลยเพราะขี้เกียจถูกมองด้วยสายตาที่..

“เพชรไทย?” นี่ไงสายตาที่ไม่อยากเห็น แค่ได้ยินคำว่าเพชรไทยใบหน้าที่นิ่งอยู่แล้วก็เขม็งเกรียวขึ้นทุกที

“อืม วันเสาร์นี้ เดินแบบ” มือเรียวดันสัญญาว่าจ้างไปให้ ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรืองานใหญ่ ชนม์แดนจะจับเด็กในสังกัดเซ็นสัญญาว่าจ้างทุกงานเพื่อป้องกันการผิดพลาด

ร่างสูงนิ่งมองคู่สัญญากับใบหน้าสวยสลับกันเหมือนเป็นการประท้วงแต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแค่นั่งมองเฉยๆ ไม่ได้มีปฏิกิริยาจึงจำใจหยิบสัญญามาอ่านแล้วเซ็นลงไปอย่างจำยอมแล้วอีกฝ่ายก็เซ็นและเก็บคู่สัญญาของสกายเอาไว้ในแฟ้มส่วนตัวซึ่งชนม์แดนจะจัดการเรื่องเอกสารของสกายทุกอย่างโดยที่เจ้าตัวไม่ต้องมาสนใจเรื่องหยุมหยิมอะไรเลยแค่ทำงานให้เสร็จก็พอ

“หวังว่าจะไม่ต้องถูกยัดเยียดงานสบายรายได้ดีให้อีกหรอกนะ” สีหน้าและน้ำเสียงแสดงความเย็นชาออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“เรื่องนั้นมันขึ้นอยู่กับเธอ ฉันไม่เกี่ยวและจะไม่เข้าไปเกี่ยว”

“ขอให้จริง” ว่าแล้วก็ลุกออกไปเงียบๆ ทิ้งให้คนคิดมากนั่งกัดผนังปากตัวเองแก้หงุดหงิดเพราะเบื่อกับเรื่องทำนองนี้เต็มทน


นั่งเซ็งอยู่เพียงครู่ร่างเล็กก็เดินออกจากตึกไปร้านกาแฟเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ขณะที่เดินทอดอารมณ์พลันเห็นรถคันหนึ่งซึ่งมีผู้ชายสองคนที่คุ้นตาอยู่ในนั้น

“ลูกเมียน้อยกับสกาย.. มาด้วยกันเหรอ” ยืนมองจนลับตาแล้วครุ่นคิด ที่ว่าไม่ลงรอยกันน่าจะไม่ใช่แล้ว ในใจดวงน้อยมีหลากหลายความรู้สึกปะปน ทั้งหงุดหงิดที่ดินแดนมายุ่งกับสกาย ไม่รู้ทำไมถึงมีความรู้สึกนี้แต่มันก็น้อยกว่าอีกความรู้สึกนั่นคือโล่งใจที่สกายได้มีเพื่อนบ้างและคิดว่าคนแบบดินแดนคงจะปกป้องเด็กนั่นให้รอดพ้นจากเผ่าพงศ์ได้

แบบนี้มันอาจจะดีกับทุกฝ่าย..


แต่เรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อถึงวันงานเดินแบบของบริษัทเพชรไทย ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นและก็ล่มในตอนจบเพราะคนเพียงคนเดียว

ดินแดน..

“พวกลูกน้องเฮียนี่จ้างมาเปลืองเงินเปล่าๆ” ร่างเล็กทำแผลให้คนรักหลังจากที่เสียท่าทั้งในงานและนอกรอบซึ่งขนาดว่าขนบอดี้การ์ดไปเป็นฝูงเพื่อจัดการคนเพียงคนเดียวแต่กลับถูกอัดซะน่วมทั้งเจ้านายและลูกน้อง

“ไอ้การ์ดบริษัทนี้อย่าหวังจะจ้างอีก แล้วเฮียก็ไม่รู้ว่าไอ้ดินนั่นจะมีฝีมือขนาดนั้นด้วย”

“เฮียก็เข้ายิมเข้าฟิตเนสบ้างสิจะได้ดูแลตัวเองได้ ดูพุงก็ออก กล้ามก็หายหมดโดนยำมาขนาดนี้ไม่ใช่เพราะมันเก่งอย่างเดียวแต่เพราะเฮียไม่ฟิตด้วยแหละ” ชนม์แดนบ่น 

“รักเฮียน้อยลงหรือเปล่าล่ะที่เฮียพุงพลุ้ยอะ” ร่างหนาอ้อน

“ไม่น้อยลงหรอกครับ มันไม่เกี่ยวกัน ดอทก็แค่เป็นห่วง”

“เมียเฮียนี่น่ารักตลอด”

“แล้วพวกมือขวามือซ้ายไปไหนหมดล่ะครับ ทำไมเหลือแค่การ์ดจากในงาน” มันน่าแปลกที่คนสนิทหายไป

“อ..อ๋อ พวกนั้นเหรอ คือ..เฮียให้ไปจัดการเรื่องงานอื่นนิดหน่อย”

มือเรียวหยุดแต้มยาบนลำคอแล้วเงยขึ้นสบตากับคนรัก การตอบคำถามแบบอึกอักของเขาทำให้ปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้วในตอนนี้

“เตรียมการอะไรเกี่ยวกับสกายหรือเปล่า”

“ไม่ๆ แต่.. เฮ้อ” เผ่าพงศ์ถอนหายใจออกมาเมื่อจนแต้ม “เฮียแค่วางแผนจะพาสกายไปขังไว้ที่เซฟเฮาส์ให้มันกลัวเล่นๆ เพราะอดหมั่นไส้ไม่ได้แต่เฮียไม่ได้จะไปทำอะไรมันคืนนี้หรอกเพราะเฮียรู้ว่าดอทจะมา ดอทก็รู้ว่าเฮียไม่เคยผิดนัดดอทเลยนะ”

“ไม่ได้นะเฮีย! ถ้าสกายไม่ยอมเองดอทก็ไม่ยอมนะ แล้วถ้าต้องขึ้นโรงขึ้นศาลจะทำยังไง”

“เฮียขอโทษ แต่เรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลไม่ใช่เฮียหรอกแต่เป็นไอ้ดินแดน..น้องชายของดอท เฮียจะฟ้องมันที่พังงานเฮียจนเสียหาย นี่ยังดีที่เกิดเรื่องตอนใกล้จบงาน พวกแขกวีไอพีก็เหลือไม่กี่คนไม่งั้นเฮียจะฆ่ามันแน่”

ไม่แปลกที่เผ่าพงศ์จะรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของคนรักเพราะที่ผ่านมาชนม์แดนเล่าให้ฟังโดยตลอด ซึ่งดินแดนก็ได้กลายเป็นศัตรูของเผ่าพงศ์ทั้งเรื่องของคนรักและเรื่องของคนที่ต้องการไปเรียบร้อยแล้ว

“ดอทไม่นับมันเป็นน้อง ดอทเกลียดมัน” ดวงตาเรียวรีเขม็งเกรียวขึ้นเมื่อได้ยินคำว่าน้องชาย

“ถ้างั้นดอทก็ต้องช่วยเฮีย เราควรจบเรื่องสกายได้แล้ว” สีหน้าของเผ่าพงศ์ดูจริงจังมุ่งมั่นกับเรื่องนี้มาก มากจนอีกฝ่ายสะท้อนใจ “เมื่อกี้ที่ไอ้ดินแดนมันปกป้องสกาย มันยอมสู้กับบอดี้การ์ดหลายคนโดยไม่ยอมให้สกายเข้ามายุ่งเกี่ยว เฮียมั่นใจว่าไอ้ดินต้องมีใจให้สกายแน่ๆ และถ้าเฮียแย่งสกายมาได้ คนที่ดอทเกลียดก็จะได้รับความทุกข์ทรมานอย่างที่ดอทเคยผ่านมา แล้วพอเฮียปราบพยศสกายได้แล้ว เฮียก็จะหยุดทุกอย่าง เฮียจะเป็นคนดีของดอท เราจะได้เริ่มต้นความรักของเราแบบจริงจังซะที”

“......”

ชนม์แดนรู้สึกสับสนอย่างหนัก ความต้องการของเผ่าพงศ์ดูเหมือนจะเป็นเพียงความอยากเอาชนะซึ่งถ้าให้เขาสมใจในเรื่องนี้ได้ เรื่องงี่เง่าพวกนี้คงจะจบ

“ไอ้ดินแดน! เฮียจะทำให้มันรู้ซึ้งว่าไม่ควรมาแข่งกับเฮีย”

บางที ถ้าให้เฮียได้สกายไปซะ พอถึงวันนั้นเฮียอาจจะเขี่ยสกายทิ้งไปเลยหรืออาจจะติดใจแล้วเลิกกับดอทไปเอง แบบนั้นอาจจะทำให้ทุกอย่างมันถูกปลดล็อคไปทางใดทางหนึ่งก็ได้นะ


ต่อ..

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9


เหตุการณ์บาดหมางในครั้งนี้ผ่านไปได้โดยไม่ถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลเพราะเจ้าสัวแดนสรวงช่วยเจรจาให้ เผ่าพงศ์เห็นแก่ที่เป็นบิดาของคนรักจึงยอมรามือไปก่อนแต่ก็มีข้อแม้ว่าดินแดนต้องไม่ก่อปัญหาให้อีก

ซึ่งการล่าถอยในครั้งนี้เป็นเพียงคลื่นใต้น้ำที่รอวันก่อตัวเป็นคลื่นสึนามิเท่านั้น

ชนม์แดนเองยังไม่ได้ตัดสินใจในเรื่องที่คนรักขอ แต่ความตั้งใจที่เคยจะปกป้องสกายไม่ให้ตกไปอยู่ในมือเผ่าพงศ์นั้นกลับกลายเป็นสองจิตสองใจแล้วในตอนนี้


คิดสิชนม์แดน..จะเอายังไงดี

ขอยื้อไว้อีกหน่อย ไหนๆ ก็ปกป้องมาตั้งนาน

ไอ้ลูกเมียน้อยนั่น ไม่มีวันที่จะเลิกเกลียดมันได้หรอก แต่ถ้าจะก้าวผ่านเรื่องหนักใจนี้ไปได้ก็ต้องอาศัยมันเป็นตัวช่วย

ชนม์แดนตัดสินใจส่งข้อความผ่านไลน์ไปหาดินแดนเมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วว่ายังมีอีกหนึ่งวิธีที่อาจจะแก้ปัญหานี้ไปได้จะต้องทำรายได้จากสกายและดินแดนให้ได้มากที่สุด!

sweetyDOTcom :  เข้ามาที่ช็อป คุยงานสองทุ่ม

DumDinDan :  ครับ

ไม่ว่าจะโทรศัพท์หรือคุยผ่านแอพไลน์ ดินแดนก็ยังตอบรับเหมือนเดิม บางทีอยากจะคิดว่าเป็นความสุภาพแต่ด้วยอคติและนิสัยของเจ้าตัวก็ทำให้หัวเสียมากกว่าจะคิดแบบนั้นได้



เมื่อถึงเวลานัด ร่างสูงเดินดิ่งเข้ามาและนั่งลง เขาหยิบแฟ้มสัญญาไปเปิดพลิกไปมาเพียงไม่กี่วินาทีก็วางลงทำหน้ากวนๆ

“ผมไม่รับ” ท่าทางของดินแดนมันเร่งเร้าโทสะของร่างเล็กอย่างมาก ยิ่งตอบปฏิเสธออกมาทั้งๆ ที่แค่เปิดดูสัญญาจ้างแค่ผ่านๆ ก็ยิ่งทำให้หงุดหงิด

“ทำไมถึงจะไม่รับงาน!  ค่าตัวระดับนี้สูงกว่าดาราตัวพ่ออีกนะ!” 

“ช่วงนี้ท้องผูกบ่อยก็เลยหงุดหงิด ไม่อยากเจอหน้าใคร”  มือหนาดันแฟ้มคืนกลับมาแถมยังแคะเล็บทำเป็นไม่สนใจ

“เธอต้องการอะไร” ดูก็รู้ว่ากำลังเล่นเกมซึ่งแน่นอนว่าเกมนี้ดินแดนถือไพ่เหนือกว่า

“เปล่านี่!”  ร่างสูงยักไหล่จ้องกลับมาเหมือนจะก่อกวนอารมณ์ให้คุกกรุ่นมากขึ้น   ยิ่งเผชิญหน้าก็ยิ่งเกลียดแต่มันช่วยไม่ได้ที่จะต้องอดทน

“จิ๊!!” ร่างเล็กจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด “อย่ามาทำฟอร์ม ถ้าเธอไม่ต้องการข้อแลกเปลี่ยนก็คงปฏิเสธทางไลน์แล้วไม่ใช่เหรอ อย่าคิดว่าฉันรู้ไม่ทัน”   

ดินแดนยิ้มอย่างพอใจ ถึงจะไม่ชอบขี้หน้าแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าพี่ชายของเขามีไหวพริบไม่น้อยเลยทีเดียว

“ผมขอดูสัญญาของสกายก่อนแล้วจะบอกว่าต้องการอะไร”   

“จะดูทำไม!”  ชนม์แดนหน้าตึงขึ้นทันทีเพราะเดาได้ตอนนี้เองว่าอีกฝ่ายวางแผนอะไรไว้

จะช่วยสกายให้หลุดจากสัญญาสินะ..แต่มันไม่ง่ายนักหรอก ถ้าฉันได้ไม่คุ้มเสีย มันจะไม่มีทางเป็นจริงตามที่แกหวังได้หรอกไอ้ลูกเมียน้อย

“ผมขอดูก่อนแล้วจะบอกข้อต่อรองของผม แต่ถ้าไม่ได้ก็โอเคนะ ผมไม่ได้บังคับ”  ว่าแล้วก็ทำท่าจะลุกจากเก้าอี้จนมือเรียวของอีกฝ่ายตบลงบนโต๊ะ

“เดี๋ยว!” 

ร่างสูงหันกลับมา ส่วนชนม์แดนกัดฟันกำหมัดแน่นก่อนจะลุกไปไขตู้เซฟที่อยู่ด้านหลัง  ไม่นานนักสัญญาของสกายก็อยู่ในมือของดินแดน

การต่อว่าต่อขานเรื่องสัญญาไม่เป็นธรรมเริ่มขึ้นเมื่อได้อ่านสัญญาจนละเอียดครบทุกหน้า ดินแดนค่อนข้างหัวเสียและชนม์แดนก็ตอบกลับไปตามหน้าเสื่อจนกระทั่งร่างสูงเสนอให้ลดเวลาในสัญญาลงสามเดือนเพื่อแลกกับการรับงานคู่ในครั้งนี้ แต่ถูกปฏิเสธและตกลงกันได้ที่การลดสัญญาของสกายลงจากเจ็ดเดือนเหลือเพียงหกเดือน

++++++++++++++++++++++++++++

กระแสความนิยมของดินสกายเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ งานคู่หลั่งไหลเข้ามาให้ชนม์แดนพิจารณาไม่ขาดสาย ร่างเล็กกำลังคิดว่าก่อนที่สัญญาของสกายจะหมดอาจได้เงินครบตามที่ตั้งใจไว้แน่นอน

“โปรเจ็คซีรีส์ ดินสกาย” นิ้วเรียวเคาะลงบนโต๊ะ นึกตรึกตรองว่าควรตอบรับหรือปฏิเสธงานใหญ่ขนาดนี้เพราะปกติสกายไม่รับงานนอกเหนือที่ระบุไว้ในสัญญาอยู่แล้ว แถมยังมีดินแดนเป็นตัวแปรถ้าเขาจะรับงานคงต้องขอแลกกับการลดเวลาในสัญญาลงแน่นอน

ก็ไม่แย่..
ถ้าสกายถูกดินแดนประกบจนพ้นจากมือเฮีย ก็ไม่น่าจะมีอะไรให้หนักใจอีก

แล้วก็เป็นดังที่คาดไว้ ดินแดนเข้ามาต่อรองแทนสกายและชนม์แดนก็ตัดสินใจลดเวลาของสัญญาจากหกเดือนเหลือเพียงสี่เดือนโดยสัญญาจะครอบคลุมโปรเจ็กต์ซีรีส์ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการโปรโมท การสัมภาษณ์ งานอีเว้นต์ และต้องเล่นเลิฟซีนอีกด้วย

“พอถ่ายซีรีส์จบก็น่าจะพอดีกับทีสัญญาหมดลงแถมตอนนั้นสกายก็คงมีชื่อเสียงโด่งดังในวงการแสดง มันครบหมดแล้วที่ตั้งใจไว้แต่แรก หวังว่าจะไม่มีเรื่องเกิดขึ้นหรอกนะ” ชนม์แดนพูดกับตัวเองหลังจากมองสัญญาที่เหลืออีกเพียงสี่เดือนของสกาย 

แต่หลังจากนั้นอีกไม่นาน ต้นเหตุของความเลวร้ายอีกหนึ่งเรื่องในชีวิตของชนม์แดนก็เกิดขึ้นเมื่อได้รับสายจากเผ่าพงศ์

“ดอทเหรอ”

“ครับ” ร่างเล็กตอบกลับ รู้สึกงงเล็กน้อยว่าทำไมถึงถามแบบนั้นทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แล้วว่านี่เป็นเบอร์ของตน  คำถามแบบนี้เหมือนอยากให้คนที่อยู่ด้วยรู้ว่ากำลังโทรหาใคร

“เฮียอยากจ้างงานพิเศษสกายหน่อย งานถ่ายแบบของเพชรไทย ขอสกายคนเดียวนะ อ้อ แต่อาจจะมีนายแบบน้องใหม่เพิ่มอีกคน เดี๋ยวไว้ติดต่อได้แล้วค่อยว่ากัน”

“นายแบบใหม่?”

“ อืม แค่นี้นะครับ”

“ค..ครับ..” ชนม์แดนวางโทรศัพท์พร้อมกับความงุนงง ปกติเวลาจะเรียกใช้งานสกาย เผ่าพงศ์จะส่งรายละเอียดของงานมาก่อน แต่อยู่ๆ โทรมาแล้วรวบรัดตัดความแบบนี้มันดูแปลกๆ

เฮียมีแผนแน่ๆ แต่เฮียจะทำไม่สำเร็จหรอกถ้าดอทไม่ช่วย

++++++++++++++++++++++++++++


หลังจากดินแดนและสกายเข้าพบลูกค้าและทำการแคสบทนำของซีรีส์ผ่านแล้ว ทั้งคู่จึงเข้ามาเซ็นสัญญากับชนม์แดนจนเสร็จสิ้น  ร่างเล็กมองหน้าสกายแล้วครุ่นคิดหนัก

“สกายออกไปก่อน ฉันมีเรื่องคุยกับดินแดน”  สกายมองหน้าคนพูดเล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้องไป

“สนใจมาเซ็นสัญญากันใหม่ทั้งคู่ไหม”  ชนม์แดนเสนอการต่อสัญญาใหม่ซึ่งแน่นอนว่าดินแดนงงเป็นไก่ตาแตก

ความรู้สึกเสียดายเด็กที่ปั้นมากับมือ ทำงานดีมีวินัยและมีแววว่าจะโด่งดังมากกว่านี้อีกหลายเท่า หากต่อสัญญาอีกครั้งจะไม่ทำสัญญาเอาเปรียบเขาอีก เรื่องของสกายกับแม่เลี้ยงก็ให้เขาไปจัดการเอาเอง แต่ถ้าจะให้สกายอยู่ต่อ ดินแดนก็คงต้องพ่วงมาด้วยเพราะจะได้ใช้เขากันท่าเผ่าพงศ์

และอีกหนึ่งเหตุผลที่สำคัญมากก็คือ หากสกายหลุดออกไปจากสังกัด เผ่าพงศ์อาจเข้าถึงเขาได้ง่ายกว่าเดิม บางทีก็สับสนใจตัวเอง ไม่รู้ว่าทำอย่างไรถึงจะดีที่สุด ความคิดมันก็ตีรวนอย่างหนักจนไม่เป็นตัวของตัวเอง

 “ไม่ดีกว่าครับ เบื่อจะต้องทนเห็นหน้ากัน” สีหน้าท้าทายอยู่ในทีจนร่างเล็กชักสีหน้าอย่างไม่พอใจแต่แล้วก็ปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ

“สัญญาใหม่ของสกายจะมีแน่นอน ฉันจะใช้ทุกวิถีทางทำให้สกายเซ็นใหม่ให้ได้”  หน้าสวยเชิดหยิ่ง ที่พูดแบบนี้เพราะหมั่นไส้ในคำพูดและท่าทางของดินแดน “ถ้าเธอไม่อยากให้สัญญาออกมาไม่โอเค เธอก็ควรเข้ามาดูแล ฉันบอกได้แค่นี้แหละ ออกไปได้” 

พูดจบแล้วหยิบงานมาตรวจเช็คโดยไม่สนใจดินแดนอีกจนกระทั่งเขาถอนหายใจใส่แล้วปึงปังเดินจากไป

ที่เสนอไปก็เป็นแค่การทาบทาม หากเขาสองคนไม่สนใจจะต่อสัญญาก็จะปล่อยไปอยู่แล้ว

ดีซะอีกจะได้ไม่ต้องเจอกัน!

++++++++++++++++++++++++++++


ผ่านไปหลายสัปดาห์ การเวิร์คช็อปซีรีส์ของดินแดนและสกายจบลงซึ่งในวันนี้เป็นวันที่จะต้องเซ็นสัญญากับทั้งคู่ ชนม์แดนแต่งตัวตั้งแต่เช้า ความคาดหวังที่จะได้ปลดปล่อยตัวเองมันเบ่งบานจนคิดว่าวันนี้อาจจะเป็นวันแห่งการเริ่มต้นใหม่

แต่แล้วความเบ่งบานกลับโรยราลงในเวลาต่อมา..

“ลูกรู้เรื่องเมียน้อยคนใหม่ของป๋าหรือยัง แม่ได้ข่าวว่าป๋าซื้อบ้านให้นังนั่น” ผู้เป็นแม่ดักรออยู่ที่เชิงบันได สีหน้าเศร้าสร้อยราวกับจะหมดเรี่ยวแรงลงในไม่ช้า

รู้อยู่เต็มอกว่าตลอดเวลาที่บิดาแยกออกไปอยู่ข้างนอกนั้น อย่างไรเสียต้องมีเล็กมีน้อยแน่ๆ แต่ไม่คิดว่าจะจริงจังถึงขนาดซื้อบ้านให้แถมข่าวยังมาเข้าหูของมารดาได้อีก จุดนี้ค่อนข้างกระทบใจของชนม์แดนอยู่พอสมควร

“คุณแม่ทำใจดีๆ นะครับ”

“แม่เหมือนคนโง่..” หญิงวัยกลางคนทว่ายังดูอ่อนวัยอาจเพราะเครื่องประทินผิวคุณภาพดีทว่าภายในหัวใจกลับแห้งเหี่ยวมากกว่าอายุจริงหลายต่อหลายเท่า

“คุณแม่..” ได้แต่ประคองให้ไปนั่งด้วยกันที่โซฟา ส่งเสียงประโลมปลอบได้เพียงเรียกขานแต่ไม่สามารถคิดประโยคดีๆ ออกมาได้เลย

“แม่รู้ว่าป๋าจะไม่กลับมารักแม่ได้อีก แต่แม่ก็ยังรอ” เธอทอดสายตามองเหม่อ หยาดน้ำที่เอ่อคลอเริ่มไหลล้นออกจากตา  “ถ้าอีเมียน้อยนั่นไม่เข้ามาในครอบครัวของเรา ใจแม่ก็คงไม่แตกสลายและต้องทะเลาะกับป๋าทุกวันจนในที่สุดครอบครัวก็แตกสลาย”

ความเศร้าเคล้าความแค้นที่สุมอกของมารดา เหมือนแรงผลักดันให้ความชิงชังประทุขึ้นอีกครั้ง

“ป๋าใจร้ายกับแม่ ใจร้ายกับเราสองคนก็เพราะไอ้อีพวกนั้น” หยาดน้ำตาไหลทะลักออกมาด้วยความอัดอั้น “แม่มีดอทคนเดียวนะลูก เหลือแค่ดอทคนเดียว ดอทอย่าทิ้งแม่ไปนะอย่าทิ้งไปเหมือนที่ป๋าทิ้งแม่ ถ้าไม่มีลูกสักคนแม่คงฆ่าตัวตายไปแล้ว แม่ไม่อยากอยู่แล้ว” เสียงร่ำไห้ปริ่มจะขาดใจของผู้เป็นแม่ดังก้องอยู่ในโสตประสาท

“ดอทไม่ทิ้งคุณแม่หรอกครับ ดอทรักคุณแม่ที่สุดอย่าพูดว่าจะฆ่าตัวตายอีกเพราะดอทก็เหลือคุณแม่แค่คนเดียว อย่าคิดสั้น อย่าทิ้งดอทนะครับ” น้ำตาของชนม์แดนไหลล้นออกมาด้วยความสงสารจับใจ ได้แต่ร้องไห้กอดกันอย่างน่าเวทนา

ผ่านไปไม่นาน ทั้งคู่เริ่มปรับอารมณ์ได้ ต่างฝ่ายต่างเช็ดน้ำตาให้กัน

ในจังหวะนี้เองที่เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าดังขึ้น ร่างเล็กคิดว่าจะยังไม่รับเพราะไม่อยากทิ้งมารดาไปในภาวะการณ์เช่นนี้ ทว่าความคิดชั่วร้ายได้ผุดขึ้นมา

“คุณแม่ทำใจดีๆ นะครับ ดอทจะสะสางเรื่องนี้เอง คนที่มันทำกับเรา มันต้องได้รับผลกรรมบ้าง”

“ดอทจะทำอะไรลูก”

“แค่ความเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ ที่จะส่งคืนไปให้พวกมันบ้าง เท่านั้นล่ะครับ” ใบหน้าสวยแสดงความชิงชังและผละออกไปเพื่อรับโทรศัพท์

คนเป็นแม่รู้สึกใจหายที่ได้เห็นแววตาน่ากลัวของลูกชาย เป็นครั้งแรกที่นึกรู้ว่าอาจได้เพาะเมล็ดแห่งความเกลียดชังไว้ให้ลูกมากมายเกินไปซึ่งที่ผ่านมาลูกคนนี้ไม่เคยมีความสุข ถึงจะไม่ได้ห้ามรสนิยมทางเพศของลูกแต่การคบหากับเผ่าพงศ์ไม่ได้ทำให้ผู้เป็นแม่พอใจนักแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรไปได้มากกว่าคอยเฝ้ามองอยู่ห่างๆ

หวังว่าลูกจะไม่ทำอะไรที่จะมีภัยมาถึงตัวนะตาดอท


“เฮียมีอะไรครับโทรมาแต่เช้าเลย” 

“ดอทจำได้ไหมที่เฮียบอกว่าจะขอสกายไปเดินงานพิเศษ วันนี้เฮียได้ตัวนายแบบหน้าใหม่คนนั้นแล้วนะ เหลือแต่ทางดอทที่จะเคลียคิวสกายให้เฮีย”

ร่างเล็กนิ่งคิด เดาได้เลยว่างานพิเศษของเขาไม่ใช่งานจริงๆ แต่น่าจะเป็นเรื่องของสกาย

“ที่เฮียเคยสัญญากับดอทเรื่องสกาย เฮียยังจำได้หรือเปล่า”

“อ..อะไรครับ เฮียแค่”

“ไม่ต้องปิดบังอีกแล้วครับ ดอทอยู่กับเฮียมาตั้งกี่ปี ทำไมจะไม่รู้ว่าเฮียคิดอะไร”

“แล้วดอทจะไม่ห้ามเหมือนทุกทีเหรอ” เผ่าพงศ์ถามอย่างมีความหวังมากขึ้น

“ถ้าเฮียสัญญาว่าจะไม่ขืนใจ สกายต้องยินยอมเอง ดอทก็จะช่วยเฮีย แต่มีข้อแม้ว่าต้องให้เงินสกายอย่างสมน้ำสมเนื้อ อย่างน้อยเขาจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น”

“ได้สิเฮียสัญญา ดอทก็รู้อยู่แล้วว่าเฮียไม่เคยขืนใจใคร แล้วเรื่องเงินเฮียจะให้สิบล้าน ให้ดอทเก็บไว้ห้าล้านแล้วแบ่งให้สกายอีกห้าล้าน มันจะดีทั้งตัวดอทและตัวสกายเองนะ”

ก่อนหน้านั้นเคยยื่นข้อเสนอว่าถ้าสกายยอมตกลงก็จะให้เงินหนึ่งล้านบาทเพื่อแบ่งกันคนละครึ่งแต่ครั้งนี้กล้าสู้ราคาคงอยากเอาชนะทั้งสกายและดินแดน เผ่าพงศ์เป็นคนที่ไม่ยอมเสียหน้า อยากได้ก็ต้องได้และหากมีใครมาเหยียบจมูกก็มีแต่จะแค้นไม่ยอมรามือ

“หวังว่าเฮียจะรักษาสัญญา”

“แน่นอนครับ ถ้าดอทช่วยไม่ว่าครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เฮียจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว เฮียจะมีดอทคนเดียว เฮียสาบาน”

“อย่าสาบานเลยครับ แค่ทำตามสัญญาก็พอ”


หัวจิตหัวใจในตอนนี้เต้นไม่เป็นส่ำ ตัดสินใจไปแล้วแต่อีกความรู้สึกมันนึกกลัว กลัวความผิด กลัวบาป กลัวผิดแผนจนเรื่องบานปลาย

แต่มาถึงขนาดนี้ฉันจะไม่ยอมถอยอีกแล้ว





ในช่วงบ่าย ชนม์แดนให้พนักงานทั้งหมดกลับก่อนเวลาเพื่อจะได้ไม่มีพยานรู้เห็นเหตุการณ์  พอถึงเวลาสกายและดินแดนก็เข้ามาเซ็นสัญญาโดยไม่ได้นึกระแวงระวังเลยว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับภัยเงียบในตอนนี้

เห็นหน้าดินแดนหัวคิ้วก็ขมวดชนกันทันที ไม่มีครั้งไหนเลยที่จะทำใจได้ แต่กับสกายนั้นต่างไป ชนม์แดนมองใบหน้าหล่อใสในหลากหลายความรู้สึก ทั้งขัดเคือง เห็นใจ สงสารและรู้สึกผิด พยายามหักลบผลดีผลเสียอย่างหนักแต่แล้วผลก็ออกมาอย่างเดิม

มันต้องดีแน่ถ้าเฮียจบเรื่องสกายก็คงเลิกทำตัวเสเพล ส่วนสกายก็จะมีเงินไว้ตั้งตัว สัญญาก็สิ้นสุดพอดีไม่ต้องมาทนเหม็นหน้ากันอีก ส่วนดินแดนก็จะได้รับความเจ็บปวดอย่างที่แม่ของมันเคยทำกับคุณแม่ไว้  เงินห้าล้านของเฮียก็จะทำให้เงินในบัญชีครบห้าสิบล้าน หลังจากนี้จะอโหสิกรรมต่อทุกชีวิตแล้วเริ่มต้นใหม่กับคุณแม่และเฮีย ส่วนป๋าจะไปมีใครที่ไหนก็เชิญ ดอทไม่จำเป็นต้องมีป๋าในชีวิตก็ได้!

“ขอฉันคุยกับดินแดนต่อ เธอออกไปรอที่รถก่อน” ชนม์แดนตัดสินใจดำเนินการตามแผน

ใช้เวลาไปประมาณหนึ่งกับการตกลงเรื่องสัญญาต่อเนื่องของซีรีส์ซึ่งดินแดนต่อรองขอลดสัญญาลง 1 เดือน  เรื่องที่สองคืองานโฆษณาสามชิ้นที่เป็นแบรนด์ดังซึ่งได้ราคาค่อนข้างสูงและถูกเสนอให้ลดสัญญาลงอีก 2 เดือนเต็มๆ 

“สุดท้าย เรื่องต่อสัญญาของเธอกับสกาย” ข้อเสนอที่เคยล้มเลิกไปแล้วถูกนำขึ้นมาใช้เพื่อถ่วงเวลาให้ลูกน้องเผ่าพงศ์พาตัวสกายไปให้เจ้านาย

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต่อ” ดินแดนชักสีหน้า

“ฟังข้อเสนอก่อนสิ” ชนม์แดนพยายามชักแม่น้ำทั้งห้า พูดวนไปวนมาใช้เวลาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้จนในที่สุดดินแดนจึงเริ่มไม่พอใจ

“ผมว่าพี่พูดไม่รู้เรื่องแล้วนะ”

“ก็เธอคิดดูสิว่าสัญญาของสกายตอนนี้เหลือแค่เดือนกว่าๆ ถ้าฉันไม่ทำอะไรซักอย่าง บริษัทฉันก็แย่สิ”  พยายามอ้างไปแบบข้างๆ คูๆ โน้มน้าวให้ดินแดนอยู่ให้นานอยู่สุดซึ่งผ่านไปมากกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วในตอนนี้

Rrrrrrr Rrrrrrrr
“ว่าไงมึง” ดินแดนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายแล้วพูดคุยต่อหน้าชนม์แดน “มีดิ ทำไมเหรอ”

แต่แล้วร่างเล็กก็เริ่มใจเสียเมื่อเห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายเริ่มขมวดมุ่นและเหลือบมองมาที่ตนจึงทำเป็นหยิบนั่นจับนี่เพื่อไม่ให้เป็นพิรุธ 

“เดี๋ยวมึงรอแป๊บนะ กูขอโทรถามมันก่อน” ดินแดนวางสายแล้วกดเบอร์ใหม่อยู่หลายรอบแต่ดูเหมือนปลายสายจะไม่รับ

ร่างสูงเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ เข้าด้วยกัน
ข้าวจ้าวไปถ่ายสารคดีแต่บั๊คไม่สามารถติดต่อได้แถมยังอ้างว่าไปถ่ายกับสกาย
ส่วนสกายก็ไม่รับโทรศัพท์ทั้งๆ ที่เพิ่งออกจากห้องไปไม่นาน
ชนม์แดนชวนคุยเรื่องเดิม ทั้งที่ปกติแค่ใช้อากาศร่วมกันก็ยังรังเกียจแต่กลับคุยวนซ้ำๆ แบบไม่มีเหตุผล..

“ไอ้เผ่าพงศ์!” ดินแดนตะโกนแล้วหันมาทำตาขวางใส่ร่างเล็กที่ถึงกับสะดุ้งทั้งตัว “พี่รู้เห็นกับมันใช่ไหม!” เสียงดังจนใบหน้าสวยเริ่มเริ่มถอดสี

“ฉ..ฉันไม่รู้” ตอบไปปากคอสั่น ความรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปในวันนั้น วันที่ทะเลาะกับผู้เป็นพ่อจนผลักดินแดนตกลงไปในสระบัว

“โกหก!  พี่บอกมานะว่าไอ้เผ่ามันเอาสกายกับไอ้จ้าวไปที่ไหน!” ดินแดนส่งเสียงดังจนร่างเล็กต้องย่นหน้าหดคอ  หัวใจเส้นระส่ำทั้งโกรธและเกลียดแถมยังกลัวความผิดจนสติแทบจะแตกแล้วในตอนนี้

“ฉันไม่ผิดนะ! ที่ทำไปเพราะอยากให้สกายมีเงินมีทองกับเขาบ้าง! ถ้าสกายมันไม่หยิ่งเกินไปก็คงสบายไปนานแล้ว ไม่ต้องมาทำงานงกๆ แบบนี้หรอก” กลั้นใจเชิดใบหน้าขึ้นทำใจกล้าสู้เสือ

“มีเงินมีทอง!” ดินแดนทวนคำ  “พี่หมายถึงอะไร ตอบสิ!! หมายถึงอะไรวะ!!”

“แกไม่มีสิทธิ์มาขึ้นเสียงกับฉันนะไอ้ลูกเมียน้อย!” ชนม์แดนตะโกนใส่บ้างและผรุสวาทคำหยาบคายและแทงใจดำของอีกฝ่ายออกไปต่อหน้าต่อตาจนร่างสูงลุกขึ้นอย่างฉุนเฉียว

“วันนี้กูมีสิทธิ์แน่! สิทธิ์ของผัวสกายและสิทธิ์ของพี่ไอ้จ้าว ถ้ามึงไม่บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าไอ้เผ่าพงศ์เอาสองคนนั้นไปไว้ไหน กูฆ่ามึงแน่ไอ้เหี้ย!!!”

ใบหน้าเหมือนยักษ์เหมือนมารของดินแดนในตอนนี้ทำให้คนใจบางน้ำตาแตกออกมาทันที

“ไอ้บ้า! ไอ้คนเลว! ฉันไม่บอกหรอก ไม่บอกๆๆๆ” มือเล็กหยิบข้าวของปาใส่ร่างสูงที่ย่างสามขุมเข้ามาใกล้  “อย่ามาจับฉันนะ! ปล่อย!! ไอ้ลูกเมียน้อย ปล่อย!!!” 

ดวงตาคมวาวโรจน์พร้อมกับมือหนาทีบีบต้นแขนเล็กสุดแรง

“ฟังนะ ถ้าไม่อยากเห็นปีศาจที่อยู่ในตัวผม พี่ต้องบอกมาเดี๋ยวนี้!” เขากัดฟันถลึงตาจ้องหน้าราวจะกินเลือดกินเนื้อ

ความเกลียดชัง ความเสียใจ และความกลัว ไม่ใช่แค่กลัวคนตรงหน้าแต่กลัวในความผิด ไม่อยากยอมรับว่าสิ่งที่ตนตัดสินใจทำลงไปเป็นเรื่องผิด

ไม่อยากเป็นคนผิด ไม่อยากให้ใครตราหน้า

ฉันไม่ผิด!!! พวกแกต่างหากที่เข้ามาแย่งป๋า พวกแกมันเลว!!!



.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

สกายจะพลาดท่าหรือเปล่า ดินแดนจะฆ่าพี่ดอทมั้ย
ตอนหน้าได้รู้กัน ปิ้วๆ

 :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-06-2018 22:43:30 โดย fiction no.9 »

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
อ๊ากกกกค้างงงงงง  :katai1: ทำไมพี่ดอททำแบบนี้ พี่ดอทเชื่อไอ่เผ่าได้ยังไงว่ามันจะไม่บังคับสกายน่ะ ไอ่เผ่าก็เล้วเลวคิดถึงแต่ตัวเองพี่ดอทควรเลิกไปได้แล้ว พี่ดินไปช่วยสกายกับนังจ้าวให้ได้เด้อ

ปล.ตอนนี้เนื้อเรื่องไม่ได้คาบเกี่ยวกับคู่จิ้นฯใช่ไหมคะนายน้อย

ออฟไลน์ chadcharin

  • ชอบแนวเคะแมน เมะแมน ปะทะกันหูยฟิน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
 :mew1:นี่คือจุดเริ่มต้นคู่สกานดินแดนชอบคู่นี้มากกกกดด
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.


ร่างเล็กนั่งครุ่นคิดอย่างหนักในร้านกาแฟใกล้ออฟฟิศ  แต่ในจังหวะที่กำลังคิดอยู่นั้นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ เส้นผมหยักศก โครงหน้าคุ้นตาก็เดินผ่านไป

ผู้ชายคนนั้น!

ชนม์แดนวิ่งออกจากร้านเพื่อหวังจะตามให้ทันแต่ด้วยความที่โต๊ะอยู่ในสุดจึงต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะออกมาจากร้านได้

“หายไปไหนแล้วนะ เดินเร็วอะไรขนาดนั้นโธ่เอ้ย” ความหวังที่จะได้นายแบบหน้าใหม่พังทลายเพราะวิ่งตามไม่ทัน  ผู้ชายคนนี้เขาจำได้ว่าเป็นใครเพราะรูปร่างหน้าตายูนีกมากๆ ถ้าเอามาปั้นต้องขึ้นเป็นเบอร์ต้นๆ ของวงการนายแบบได้แน่

เพื่อนของไอ้ลูกเมียน้อย..

“โทรให้ป๋าขอเบอร์มาจากไอ้ลูกเมียน้อยก็น่าจะได้” คิดได้แล้วจึงกดโทรออก

“ว่าไงดอท” เสียงปลายสายดูซอฟท์กว่าครั้งไหนๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าป๋าเปลี่ยนไป ตั้งแต่สรรพนามที่หลุดแทนตัวเองว่าป๋า ถึงแม้จะครั้งเดียวแต่ดูเหมือนทั้งสายตาและโอกาสที่มอบให้ก็ทำให้หัวใจที่แห้งผากกลับมาชุ่มชื่นกว่าเดิมอยู่ไม่น้อย

“พอดีว่านายแบบขาดหนึ่งคนครับ ดอทอยากให้ช่วยติดต่อดินแดน..”

“อ้าวเหรอ แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะเจ้าดินมันเคยมาเดินนาฬิกาให้ป๋าสองสามหน มันก็เดินได้ดีอยู่นะยังไงลองโทรทาบทามเอาเองเดี๋ยวป๋าส่งเบอร์ไปให้” เจ้าสัวนึกยินดีที่พี่น้องอาจจะได้สานสัมพันธ์กันในครั้งนี้

“เรื่องดีๆ ก็นึกถึงแต่ลูกเมียน้อยเหรอครับ คนที่เก่งสำหรับป๋ามีแค่ไอ้เด็กนั่นเหรอ” อยากตีปากตัวเองที่พูดออกไป แต่อดไม่ได้จริงๆ น้ำเสียงที่เหมือนจะอวดว่าลูกรักเก่งกาจจนแสดงความภูมิใจแบบออกนอกหน้า บอกตามตรงว่าอิจฉาและเจ็บหัวใจแปลบๆ

“ความคิดแกมันคับแคบตาดอท ถ้างั้นฉันจะไม่ยุ่งด้วยแล้ว เดี๋ยวจะส่งเบอร์เจ้าดินไปให้แล้วจะทำยังไงก็ตามใจ อย่าให้งานฉันเสียก็แล้วกัน”  พูดจบก็กดวางสายแล้วหลับตาข่มอารมณ์

ไม่ว่านานแค่ไหนแกก็ไม่เคยเปลี่ยนเลยตาดอท หัวรั้น ไม่มีเหตุผลเหมือนแม่ไม่มีผิด!

ร่างเล็กยืนครุ่นคิดว่าควรทำอย่างไร กดดูเบอร์โทรที่คนเป็นพ่อส่งมาให้ทางข้อความแล้วลังเลอย่างหนัก

ย้อนนึกถึงใบหน้าเมามายที่มองมาด้วยสายตาแบบนั้นกับคำพูดว่าจะจับทำเมีย  ฮึ่ย เกลียด..


แต่ในเมื่อมันเป็นงานในความรับผิดชอบ แล้วถ้างานนี้ออกมาสมบูรณ์แบบอย่างที่แพลนไว้ ป๋าอาจจะมองตนในทางที่ดีมากขึ้นก็ได้ อยากให้ป๋าพูดถึงตนด้วยน้ำเสียงแบบเมื่อกี้นี้บ้างอย่างน้อยตนก็เป็นลูกคนหนึ่งเหมือนกัน 

มือน้อยกำโทรศัพท์แน่นเพื่อปลุกกำลังใจจากนั้นจึงกดเบอร์ใหม่ที่เพิ่งเคยเห็นครั้งแรก

“ครับ” ลักษณะการรับโทรศัพท์เหมือนจะรู้ล่วงหน้าว่าเป็นใคร บางทีไอ้ลูกเมียน้อยอาจจะมีเบอร์โทรของตนก็เป็นได้

“......”  คนปากหนักยังไม่พูดอะไรออกไป อีกฝ่ายก็เหมือนจะถือสายรอซึ่งตอนนี้แน่ใจแล้วว่าทางนั้นรู้ว่าเป็นเบอร์โทรของตนแน่นอน  “วันมะรืนจะมีงานเดินแบบประมูลนาฬิกาของป๋า ฉันอยากให้เธอมาช่วยเดิน”

ใบหน้าเชิดขึ้นพร้อมกับลำคอแข็งๆ ทั้งๆ ที่ทางนั้นมองไม่เห็นด้วยซ้ำแต่อินเนอร์มันแบบนี้ก็ต้องแบบนี้แหละ  แล้วเรื่องที่จะให้ชวนเพื่อนก็ล้มเลิกแล้วเพราะไหนๆ ก็ไหนๆ ดินแดนเคยเดินแบบมาก่อนจึงคิดว่าคงดีกว่าถ้าไม่ต้องฝึกตั้งแต่เริ่มต้น

“แล้วมันเกี่ยวกับพี่ยังไงถึงได้โทรมาเอง” น้ำเสียงโทนต่ำกังวานทว่าเจือปนความกวนอยู่ในที  ไม่เคยได้ยินเสียงชัดๆ แบบนี้มาก่อนทำให้ลมหายใจเริ่มติดขัดเล็กน้อยด้วยทั้งฉุนและประหม่า

“ฉันเป็นคนจัดงานและจัดหานายแบบแต่นายแบบสองคนโดนรถชนก็เลยหาคนไม่ทัน” เสียงที่ติดจะเหวี่ยงแน่นอนว่าอีกฝ่ายต้องรับรู้ได้แน่ พยายามจะพูดธรรมดาแต่นึกถึงคำพูดจาบจ้วงในวันนั้นแล้วกลายเป็นกระฟัดกระเฟียดใส่ก็คิดว่าไม่ได้เกินไปแต่อย่างใด

“คนอื่นไม่มีแล้ว?” คำถามแบบกวนๆ ถูกส่งมาเริ่มทำให้ชนม์แดนหมดความอดทน

นี่ถ้าไม่จำเป็นให้ตายก็ไม่โทรหรอกนะ

“ถ้ามีจะโทรมาหรือไง” คำตอบห้วนขึ้นเพราะตอนนี้ไม่คิดว่าอยากคุยด้วยอีก

“ขอคิดดูก่อน” เมื่อทางนั้นตอบแบบไม่ยี่หระก็ถึงกับหมดความอดทน

“....ตามใจ” พูดจบแล้วตัดสายทันที

เกลียดที่สุดไอ้ลูกเมียน้อย!!


ในขณะที่กำลังจ้องโทรศัพท์ราวกับเป็นหน้าของคนที่เกลียด สายเข้าของผู้เป็นแม่ก็ดังขึ้นจึงต้องรีบกดรับ

“ครับคุณแม่”

“ป๋าของลูกโทรมาบอกว่าจะเอาไอ้ลูกเมียน้อยมันมาเดินงานเหรอลูก ทำไมเลือกมันล่ะ”

“ครับ หาคนไม่ได้แล้วจริงๆ งานมันกระชั้นชิดเกินไป”

“แล้วโทรหรือยัง มันตอบรับไหม”

“โทรแล้วครับแต่มันบอกว่าจะขอคิดดูก่อน”

“งั้นเอาแบบนี้ เดี๋ยวแม่จะโทรไปกดดันให้อีกทาง แค่นี้ก่อนนะ”

“ด..เดี๋ยวครับ..” ไม่ทันพูดจบปลายสายก็กดวาง “โธ่คุณแม่ เดี๋ยวก็โดนมันกวนประสาทอีกคนหรอก” 



ร่างเล็กกลับเข้าออฟฟิศเพื่อจัดการชุดที่ต้องใช้เดินแบบไปเรื่อยๆ ยังคงกลุ้มใจเรื่องนายแบบที่ยังขาดอยู่แต่ยังคิดในแง่ดีว่าคงไม่เป็นไรถ้าไม่ได้จริงๆ ก็จะหมุนเอาที่มีอยู่ขึ้นอีกรอบ อาจจะทุลักทุเลแต่ก็ไม่มีทางเลือก

แต่ช่วงบ่ายแก่ๆ ก็ได้รับข่าวดีจากผู้เป็นแม่ว่าดินแดนได้ตอบรับจะมาเดินแบบให้  เฮ้อ โล่งอก

พรุ่งนี้ก็ต้องลองชุด ส่วนมะรืนเป็นวันจัดงาน ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดีด้วยเถอะ เพี้ยงง


แต่ยังไม่ทันไร ร่างอวบของบอลลูนก็วิ่งลนลานเข้ามารายงาน

“คุณดอทคะ มีเรื่องด่วน คือ.. น้องสกายจะเทงานงานวันนี้สองงานเลยค่ะ นางบอกมีธุระด่วน” 

“อะไรนะ! สกายเนี่ยเหรอเบี้ยวงาน?”  ปกติสกายไม่มีปัญหาเรื่องขาดลาหรือสายเลยแต่ครั้งนี้มันเรื่องอะไรถึงได้เป็นแบบนี้

“ใช่ค่ะ นางโทรแจ้งลูกค้าเองแล้วก็ไลน์มาบอก  พี่โทรถามลูกค้าแล้วเขาค่อนข้างหัวเสียค่ะ พี่เลยบอกว่าจะให้คุณดอทโทรไปอีกรอบ”

“สองงานรวดเลย” ถึงกับเข่าอ่อนเพราะต้องจ่ายค่าผิดสัญญา แถมยังเสียเครดิตอีกด้วย

มือเรียวหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาสกายทันที

“ทำไมเบี้ยวงาน เธอไม่เคยทำตัวแบบนี้เลยนะ” ฉะใส่ทันทีเมื่อสกายรับสาย

“ผมมีธุระด่วน”

“แล้วทำไมไม่แจ้งฉันโดยตรง” เรื่องอะไรก็ไม่แย่เท่าการไม่บอกกล่าวมาทางต้นสังกัดเพื่อจะได้แก้ปัญหาให้ รู้สึกโมโหที่สกายทำแบบนี้  “ถ้าไม่มาเธอจะต้องรับผิดชอบเรื่องค่าผิดสัญญาฉันจะหักเงินเดือน 50% ไปจนกว่าจะครบ จะให้เป็นแบบนั้นเหรอ”

บอลลูนเบิกตาโตกับสิ่งที่ได้ยิน หักตั้งครึ่งของเงินเดือนแล้วสกายจะอยู่รอดได้อย่างไร

“ก็เอาตามนั้น ยังไงผมก็ไปไม่ได้”

เฮ้ออ อยากจะบ้า

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ พรุ่งนี้สิบโมงเข้ามาลองชุดด้วย มะรืนมีงานใหญ่เดี๋ยวจะให้พี่บอลลูนส่งรายละเอียดไปให้”

“ผมอาจจะ..”

“ไม่ได้! งานนี้สำคัญมาก ไม่ว่าจะยังไงเธอต้องมา ฉันไม่อยากหักเงินน้อยนิดของเธอหรืออะไรก็ตามที่จะทำให้เธอตกต่ำกว่าที่เป็นอยู่ ขอแค่รับผิดชอบงานและทำตามที่ฉันบอก เราจะได้ไม่ต้องขัดแย้งกันไปมากกว่านี้!” ใจคอไม่ดีที่สกายจะเทงานของป๋า อุตส่าห์ยกเลิกงานจ้างเดิมเพื่อให้มาเดินงานนี้ ตั้งใจจะให้เดินฟินาเล่แต่จะต้องมาหาคนเดินใหม่เพิ่มอีกคงอกแตกตายแน่

“งั้นคงไปสายหน่อย”

ร่างเล็กทรุดลงนั่งอย่างโล่งอกเมื่อได้ยิน

“อย่าให้สายมากก็แล้วกัน แค่นี้นะ” พูดจบก็วางสายทันที

ยังไม่ทันไรก็เจอเรื่องยุ่งๆ หวังว่างานจริงจะไม่มีอะไรต้องปวดหัวอีกนะ



รุ่งเช้าของอีกวัน คุณรุ่งฤดีติดตามลูกชายมาที่ห้องเสื้อด้วยเหตุผลที่ว่าจะรับหน้าไอ้ลูกเมียน้อยเอง เธอทั้งโทร ทั้งส่งข้อความไปกดดันอีกฝ่ายอย่างหนัก เรียกแบบหยาบหน่อยก็คือจิกเอาตาย

ซึ่งมันได้ผล ก่อนเวลานัด ดินแดนพารูปร่างสมส่วนพร้อมกับใบหน้าหล่อแบบแบ้ดบอยด้วยลักษณะการเดิน การพูด หรือแม้แต่การแต่งตัว เขาดูไม่ใช่ผู้ชายที่ห่วงหล่อแต่หล่อมาจากแอตติจูดข้างใน ถ้าไม่ใช้อคติตัดสิน ดินแดนคือความเพอร์เฟ็ค คือตัวพ่อ คือไร้ที่ติจริงๆ  เทียบกับสกายที่หล่อใสมีเสน่ห์ดึงดูด สองคนนี้หล่อแบบสูสีคนละสไตล์ ถ้ายืนหันหลังชนกันแล้วให้สาวๆ เลือกว่าจะมองหน้าใครก็คงคิดกันหนักน่าดูกว่าจะเลือกได้

“เพิ่งมาเหรอ นี่ขนาดเมจเซสไปบอกก่อนยังมาเกือบสาย”  คุณรุ่งฤดีเปิดวอร์ด้วยการตำหนิผู้ที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจว่าไม่ได้สายเพราะตอนนี้เพิ่งเก้าโมงสี่สิบส่วนเวลานัดคือสิบโมงซึ่งเขามาก่อนเวลาค่อนข้างเยอะ อันที่จริงมาเร็วที่สุดแล้วในบรรดานายแบบนางแบบที่นัดมาด้วยซ้ำ

“เช้ากว่านี้ก็ตักบาตรกันได้เลยล่ะครับ”  ร่างสูงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วไหวไหล่อย่างกวนๆ

พูดจบก็เดินดิ่งเข้าไปหาชนม์แดนที่นั่งอ่านแฟ้มอยู่ที่โต๊ะทำงาน  “ลองชุดที่ไหนพี่ดอท” คำเรียกที่ดูสนิทสนมสร้างความขุ่นใจให้คนที่นั่งอยู่

ร่างบางเงยหน้ามองอย่างเย็นชาแล้วเบือนสายตาไปยังห้องลองเสื้อที่อยู่ถัดไปเป็นสัญญาณให้รู้ว่าถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องมาพูดคุยกัน

ดินแดนมองตามสายตาไปแล้วเลิกคิ้วกวน ๆ ก่อนจะพยักหน้าหงึก ๆ เดินไปที่ห้องนั้น

ท่าทางกวนประสาทชะมัด!


“เห็นความไร้มารยาทของมันไหมลูก ต่ำเหมือนแม่มันนั่นแหละ นี่ถ้าลูกไม่บอกว่าหานายแบบไม่ได้จริงๆ แม่จะไม่ยอมให้มันมาอยู่ใกล้ลูกหรอกนะ” หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาบ่นกับลูกชายหลังจากดินแดนคล้อยหลังไป

“ดอทคงเลี่ยงๆ ที่จะไม่คุยไม่งั้นเส้นเลือดในสมองแตกแน่ เมื่อวานสกายก็เทงานไปสองงาน เฮ้อ มีแต่เรื่องปวดหัว”

“เออเด็กสกายนั่นก็อีกคน เห็นยายแจนบอกตลอดว่าโทรไปก็ไม่รับสาย จะพูดเรื่องพ่อที่เป็นอัมพาตก็ไม่ยอมรับรู้รับฟังอะไรเลยปล่อยให้แจนมันดูแลอยู่คนเดียว เฮ้อ เป็นลูกที่แย่จริงๆ”

ขนาดพ่อแท้ๆ ยังทำได้ขนาดนี้ สกายนี่เป็นคนยังไงกันแน่นะ

“ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว คุณแม่กลับไปพักเถอะครับ” 

“งั้นอย่าโหมงานหนักมากนะลูก พักผ่อนบ้าง ถ้ามีอะไรก็โทรหาแม่นะ” 

“ขอบคุณครับคุณแม่” เมื่อผู้เป็นแม่หายห่วงจึงลากลับตามที่ลูกชายบอก   

ชนม์แดนหันไปยังอีกห้องที่กั้นด้วยกระจกใส ร่างสูงกำลังพูดคุยกับลูกน้องของตนอย่างอารมณ์ดี รอยยิ้มของเขาสดใสจนรู้สึกหมั่นไส้เมื่อนึกเปรียบเทียบกับคืนนั้นที่เมาจนพูดอะไรชั่วๆ ออกมา

แต่ดูเหมือนจะจำไม่ได้จริงว่ามันพูดอะไรเอาไว้  คงเป็นอย่างที่เพื่อนของมันพูดนั่นแหละว่าเมาขนาดนั้นตื่นมามันคงจำอะไรไม่ได้ แต่จะให้ฝ่ายนื้ลืมจะเป็นไปได้ยังไงก็ในเมื่อภาพมันติดตาไปแล้ว



ดีไซเนอร์คนเก่งทำงานไปอีกพักใหญ่  หนุ่มลูกครึ่งหน้าหล่อก็เดินเข้ามา  เขามาหยุดยืนหน้าโต๊ะเพื่อบอกเป็นนัยว่ามาแล้ว  ร่างเล็กเงยขึ้นมองแล้วเริ่มประกาศสงครามทันที

“ถ้ามีเหตุผลที่ดีกว่าคำว่าธุระด่วนก็ควรพูดออกมา บางทีฉันอาจจะใจดีไม่หักเงินเธอก็ได้”

“ไม่จำเป็นครับ” ใบหน้าเย็นชาและความหมายของคำตอบทำให้คนที่กำลังคิดหาข้ออ้างดีๆ ที่จะไม่ใจร้ายต้องเปลี่ยนเป็นหัวร้อนขึ้นมาจนได้

“จองหอง!” ชนม์แดนเริ่มเหลืออด “จะลำพองไปถึงเมื่อไหร่ ยิ่งทำตัวแบบนี้ฉันก็ยิ่ง..” จะพูดว่าเกลียดก็ไม่เต็มปากเพราะคนที่ทำให้เกลียดจริงๆ เข้าไปลองเสื้อก่อนหน้านี้แล้ว

“คุณจะคิดกับผมยังไงมันก็สิทธิ์ของคุณ ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดกับคุณดีนักหรอกก็ถือว่าเจ๊ากัน” ใบหน้านิ่งหยิ่งดูร้ายลึกขึ้นเมื่อเขาจ้องเขม็งมาแบบนี้

“ก็ได้! ถ้าคิดจะประกาศสงคราม แล้วจะได้เห็นว่าฉันร้ายได้ขนาดไหน”

ร่างเล็กยืนขึ้นเท้าโต๊ะจ้องมองร่างสูงด้วยความขุ่นเคือง ปกติก็ไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว ยิ่งบกพร่องในหน้าที่ก็ยิ่งไปกันใหญ่ ฝ่ายหนึ่งต้องการได้ยินคำขอโทษและท่าทีที่อ่อนลงเมื่อทำผิดแต่กลับถูกโต้กลับด้วยความอวดดี  ส่วนอีกฝ่ายกลับรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกตำหนิและขู่หักเงินแทนที่จะไถ่ถามแสดงความห่วงใยบ้าง ในเมื่อเผยด้านร้ายมาก่อนก็อย่าหวังว่าจะเห็นด้านดีจากเขา

“ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าที่คุณร้ายอยู่ทุกวันนี้มันแค่สร้างภาพ เพราะความจริงคือร้ายกว่าที่เห็นซึ่งก็ไม่ได้เกินคาดตรงไหน” ร่างสูงทิ้งสายตามองเหยียดแล้วเดินไปที่ห้องลองชุด

ร่างเล็กกำหมัดแน่นอยากจะตามไปตบให้เลือดกบปากแต่ต้องยั้งตัวเองไว้ จะร้ายไปตามการยั่วโมโหของเด็กเมื่อวานซืนไม่ได้

ศึกนอกศึกในเต็มไปหมด แต่ต้องอดทนให้งานนี้ผ่านไปด้วยดี เงินที่ได้หักค่าใช้จ่ายแล้วน่าจะเหลืออย่างต่ำเกือบสองล้านซึ่งมันช่วยย่นเวลาการเป็นอิสระได้ค่อนข้างมาก

คอยดูนะ ถ้าปลดปล่อยตัวเองจากป๋าได้เมื่อไหร่จะไล่ไปให้หมดทุกคนเลย!



ชนม์แดนนั่งหลับตาข่มอารมณ์อยู่สักพัก หญิงวัยสี่สิบต้นๆ ก็เดินเข้ามาในออฟฟิศแล้วเอ่ยทักทาย

“สวัสดีค่ะคุณดอท”

“อ้าว สวัสดีครับน้าแจน มาหาสกายเหรอครับ” ร่างเล็กลุกขึ้นแล้วยกมือไหว้ เธอเป็นญาติห่างๆ ทางฝั่งแม่แถมยังเป็นแม่เลี้ยงของสกายด้วย

“ใช่ค่ะ อยู่หรือเปล่าถ้าไม่อยู่เดี๋ยวน้านั่งรอ”

“อยู่ครับเดี๋ยวดอทพาไปหา”



“ชุดนั้นกูเลือกก่อน กูลองก่อน”  เสียงของดินแดนดังแว่วเมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องลองเสื้อ

“แล้วมาบอกผมทำไม” สกายตอกกลับ

“คนมาทีหลังก็ต้องได้ของที่ไม่มีใครเอา” ดินแดนมองเหยียดส่วนสกายดูเหมือนไม่ค่อยพอใจ

“ขนาดของที่มีคนเอาอยู่ก่อนแล้วก็ยังถูกคนมาทีหลังเอาไปหน้าตาเฉย”  สกายพูดถูกในความคิดของชนม์แดนแต่ก็ไม่ยอมรับหรอกว่าเห็นด้วย 

ตอนนี้รู้สึกสมน้ำหน้าไอ้ลูกเมียน้อย สองคนนี้ไม่ลงรอยกันสินะ ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องรับศึกสองด้าน ให้ตีกันเองแบบนี้แหละสนุกดี

“สกาย น้าแจนมาหา”  ชนม์แดนสั่นระฆังหมดยกสำหรับคู่ชกดินแดนและสกาย

สกายปรายตามองเพียงครู่เดียวสีหน้าก็เปลี่ยนจากนิ่งเงียบเป็นเคร่งเครียดขึ้นทันที

“ผมเพิ่งโอนตังค์ให้เมื่ออาทิตย์ก่อน”  ร่างสูงใช้คำพูดห้วนๆ พร้อมกับสีหน้าติดจะรำคาญเมื่อผู้เป็นแม่เลี้ยงไปหยุดอยู่ใกล้ ๆ

พูดกับผู้ใหญ่แบบนี้เหรอ อย่างน้อยควรให้เกียรติบ้างเพราะน้าแจนก็ดูแลพ่อที่ป่วยเป็นอัมพาตให้ ทำตัวแบบนี้แย่เอามากๆ

“น้าก็ไม่ได้จะมาทวงเงินอะไรสักหน่อย  ก็แค่เป็นห่วงเห็นว่าเมื่อวานเบี้ยวงาน  ไม่สบายรึเปล่าลูก” เธอถามอย่างเป็นห่วงเป็นใยและพยายามจะจับแขนของสกายแต่ร่างสูงเบี่ยงตัวเอาเสื้อไปเก็บเสียอย่างนั้น

สงสัยคุณแม่เล่าให้น้าแจนฟังแน่ๆ เรื่องที่สกายเกเร เฮ้อ ไม่น่าบอกคุณแม่เลยแฮะ

“ผมอธิบายกับคุณดอทไปแล้ว  ถ้าไม่มีอะไรก็ขอตัวนะครับ”  พูดจบก็เดินเลาะด้านหลังดินแดนออกไปจากห้องทันที

“หยิ่งยโสโอหังไม่เคยเปลี่ยน”  ชนม์แดนมองตามแล้วส่ายหัว อดตำหนิไม่ได้กับกิริยาแบบนั้น

“อย่าว่าน้องเลยคุณดอท  น้องยังเด็ก  นี่ถ้ามีแม่อยู่อบรมก็คงไม่เป็นแบบนี้”  เรื่องนี้ก็น่าเห็นใจอยู่ไม่น้อย สกายเป็นลูกเมียหลวงที่เป็นคนต่างชาติก็เสียไปตั้งแต่เริ่มเข้าวัยรุ่น มาเทียบดูแล้วชนม์แดนคิดว่าตนเองยังโชคดีกว่าเด็กคนนี้อยู่มากนัก

แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เด็กนิสัยเสียนั่นก็ไม่ควรทำตัวกระด้างกระเดื่องกับทุกคนแบบนี้ บางทีอาจจะได้นิสัยเสียๆ มาจากแม่

“ยังจะพูดดีกับเขาอีกน้าแจน  ที่เมียหลวงแหม่มตาน้ำข้าวมันไม่ยอมให้สามีไปหาแล้วยังใส่ร้ายสารพัดยังไม่ช้ำใจพอใช่ไหมเนี่ย”  ชนม์แดนเหนื่อยหน่ายกับความจองหองของสกาย การคิดไปในแง่ลบมันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เพราะตัวตนของสกายแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเป็นพวกไร้การอบรม

“เรามาทีหลังนี่คะ เป็นเมียน้อยแบบไม่ตั้งใจด้วยซ้ำ แต่ก็ช่างมันเถอะค่ะ เขาก็เสียไปแล้วส่วนคุณพจน์ก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็อโหสิกรรมกันไปค่ะ  ส่วนน้องสกายเขาคงเหนื่อยและรำคาญที่ต้องส่งเงินให้น้านั่นแหละ  นี่ถ้าไม่ต้องดูแลคุณพจน์ น้าก็คงจะออกไปทำงานหาเงินเอง ไม่ต้องรบกวนน้องสกายหรอกค่ะ”

“ก็พ่อเขานี่ครับ แค่ไม่ต้องดูแลเองก็ต้องขอบคุณน้าแจนด้วยซ้ำ ถ้ายังไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายก็เกินไปแล้วล่ะ  น้าแจนก็อย่าโอ๋ให้มากเลยครับ ยิ่งทำดีด้วยก็ยิ่งผยองอย่างที่เห็นเนี่ยแหละ” ร่างเล็กให้ความเห็น

“ไม่ได้หรอกค่ะ ยังไงก็ลูกของคนที่น้ารัก ยิ่งต้องอาศัยเงินของน้องมาจุนเจือครอบครัวก็ยิ่งต้องดีด้วยอีกหลายเท่า”

“นี่ถ้าเมียน้อยคนอื่นเป็นเหมือนน้าแจนหมด คุณแม่ก็คงไม่ทุกข์ใจขนาดนี้หรอก”  ชนม์แดนจงใจเหลือบมองดินแดนเพราะเห็นว่ายืนเสียมารยาทฟังคนอื่นคุยกัน 

“มันก็ต้องดูว่า  เมียหลวงเป็นยังไงด้วยนะครับ  ถ้าเมียหลวงมีเมตตาและมีวิจารณญาณสามารถแยกดำแยกขาวแยกดีแยกชั่วได้ก็น่าจะมองเห็นว่ายังมีเมียน้อยที่นิสัยดีอยู่  บางทีอาจดีกว่าเมียหลวงก็ได้นะ”  ดินแดนโต้กลับแล้วยิ้มปลอมๆ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องทิ้งให้ร่างเล็กมองตามด้วยความร้อนรุ่มที่บังอาจมาด่ากระทบไปถึงแม่ตน

ไอ้ลูกเมียน้อย ไอ้นิสัยเสีย ไอ้ปากเลว!


.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.


ขอโทษที่อัพล่าช้าเพราะติดงานสำคัญค่ะ เดี๋ยวชดเชยให้ตอนหน้ามาเร็วๆ ละกันเนาะ
ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ
  :mew1:
 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
ไม่ต้องไปกลัวครับดอท! อีพวกนั้นมันไม่เคยต้องรับรู้ความเสียใจอย่างเราสักครั้ง ก็ช่างหัวมัน! ไอ้คนที่ไม่เคยมองห่าอะไรเลยนอกจากความต้องการของตัวเอง ไม่เคยแคร์ความรู้สึกคนอื่น สักๆแต่ใช้กำลัง ใช้อารมณ์ ก็ให้มันรับรู้ซะบ้างว่าโลกมันไม่ได้หมุนไปรอบตัวคุณ!

ไม่ต้องไปกลัวผิดบาปครับ มันไม่ใช่ความผิดชั่วร้ายขนาดนั้น ไอ้พวกที่ไม่เคยมองโลกแบบเห็นความจริงต่างหากที่เอาแต่คิดว่าทุกอย่างจะสวยหรู คนที่ไม่เคยมองว่าคนอื่นจะเสียใจจากการกระทำของตัวเองขนาดไหน คนที่ไม่เคยมองว่าการเอาแต่ใจของตัวเองมันสร้างปัญหาให้คนอื่นตามแก้ตามล้างขนาดไหนมาตั้งแต่แรก มันจะไปยอมรับอะไรกับความผิดของตัวเองที่มองไม่เห็นล่ะครับ พออะไรไม่เข้าท่าหน่อยก็เอะอะโวยวายไปทั่ว ทั้งๆที่ทางเลือกนี้ สำหรับคนที่ไม่เคยชอบขี้หน้าดอท อย่างดินแดน สกาย ถ้าเห็นผลลัพธ์ออกมา ก็น่าจะชอบใจแท้ๆ ถามว่าที่ชนม์แดนต้องทำแบบนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าการกระทำของทุกคนไปบีบดอทเอง ไล่ต้อนหมาจนสุดกระดานแล้วคิดว่าการที่มันกัดกลับมาคือเรื่องผิด? ตรรกะวิบัติไปหน่อยละมังครับ ดินแดนก็เอาแต่ใจ ไม่เคยคิดจะมองความรู้สึกคนอื่น มองแต่ความรู้สึกคนที่กูอยากจะแคร์ สกายก็หยิ่งผยองเหลือเกินกับอีแค่สัญญาทาสอดีต ไม่เคยมองพฤติกรรมอื่นๆและผลลัพธ์ที่ตัวเองได้เลย

ถ้าเผ่าพงศ์จะไม่รักษาสัญญา นั่นคือเพราะเฮียผิดคำพูดกับเราเอง เป็นความผิดที่เผ่าพงศ์ไม่ซื่อตรงกับเรา ไม่ใช่ปัญหาว่าตรรกะดอทผิด โอเคแหละครับ ดอททำไปด้วยอารมณ์ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมว่าแย่อะไรนะ ถ้าทุกคนแฟร์ๆ ถ้าสกายไม่ยอมก็แค่เผ่าพงศ์เอาเงินให้ชนม์แดนคนเดียวครึ่งนึง (ค่าเปิดทาง) ก็แค่นั้น

แต่ไอ้คนที่กล้ามาบีบคอ โวยวาย ขู่ฆ่าดอทนี่แหละ ทำตัวได้สถุลมาก ถ้าผมเป็นเพื่อนดอทนี่ เอาปืนจ่อหัวจับไปกดน้ำสักสามรอบแล้วนะครับ เผื่อจะได้สติคืนมามองเห็นสถานการณ์ชีวิตของคนอื่นบ้าง!

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ขมวดคิ้วทุกตอน ทีมดอทค่ะ ขอให้เจอคนดีๆ เอาพี่เวย์กลับมาทีค่าาาา  :ling3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
โอโห ได้มาอ่านมุมของเรื่องราว  บีบอารมณ์สุดๆ

เป็นวัยเด็กที่มากับการฝังใจจากการที่แค่อยากได้ความรักจากผู้เป็นพ่อ มันเจ็บปวดจริงๆนะ
อ่านมาถึงตรงนี้ต้องบอกว่า คนเป็นพ่อไม่มีความยุติธรรมให้ลูกเลยความรวดร้าวในใจเป็นปมมาจากพ่อทั้งสิ้น
ถ้าจะบอกว่าไม่รักเมียแล้วแต่ไม่ควรไปลงที่เด็กที่ยังไงก็คือลูกขนาดนี้
อยากรู้ปมของคุณแดนสรวงว่าทำไมเหมือนกันนะนี่

ออฟไลน์ chadcharin

  • ชอบแนวเคะแมน เมะแมน ปะทะกันหูยฟิน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
อ้ากกกกก ค้างงงง กำลังลุ้น ดินแดนสกาย สกายดินแดนเชียร์คู่นี้

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.
ต อ น ที่ 6 :  ภ า ว ะ ฟื้ น ตั ว

“เลว! ไอ้ชั่ว.. ฮึก.. ไอ้คนเลว เลว!” คำด่าทอปนเสียงสะอื้น ร่างเล็กสะบัดตัวอย่างแรงเพื่อให้หลุดพ้นแต่ยิ่งดิ้นมือหนาก็ยิ่งบีบแรงขึ้นอีก “ไอ้ลูกเมียน้อย!! ฮึกกก พวกแกมาแย่งป๋าไป พวกแกทำให้ป๋าไม่รักฉัน  ฉันเกลียดพวกแก!! ฮืออ ปล่อย!!”

พยายามสุดกำลังที่จะแกะมือและดิ้นรนแต่ไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะปล่อย ดินแดนร้อนใจอย่างมากในตอนนี้เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของสกายและข้าวจ้าว 

“เรื่องนั้นช่างมัน! บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าไอ้เผ่าพงศ์หลอกไอ้จ้าวกับสกายไปที่ไหน ตอบ!!” ท่อนแขนเล็กแทบจะแหลกคามือเสียให้ได้ อีกทั้งยังเขย่าตัวอย่างแรงเพื่อให้ได้สติแล้วตอบคำถาม

แต่ยิ่งเกรี้ยวกราด ร่างเล็กก็ยิ่งแรงกลับ ทั้งหาทางทุบสีข้างของอีกฝ่ายและสะบัดตัวสุดแรงจนเส้นผมที่เซ็ตไว้เริ่มตกลงมาปิดหน้า น้ำตาก็เริ่มหลั่งไหลด้วยความคับแค้นใจที่ต่อสู้อะไรไม่ได้เลย

“ทำไมป๋าต้องรักพวกแก!! ทำไมป๋าต้องเกลียดฉัน!! ฮึก ฮืออ” ร่างเล็กเริ่มทรุดลงจนมือหนาต้องออกแรงต้านและประชิดตัวให้ใกล้ขึ้นเพื่อไม่ให้ร่วงลงกองกับพื้น “ฮืออ เกลียด เกลียดที่สุด!!!”

ความอัดอั้นเริ่มพรั่งพรูออกมาไม่ขาด ร่างกายที่ถูกสัมผัสแนบชิดเริ่มมีปฏิกิริยาทั้งๆ ที่สะเทือนใจถึงขนาดนี้แต่กลับเกิดห้วงอารมณ์เช่นนี้ขึ้นมาได้  แรงบีบที่ต้นแขนไม่มีทีท่าว่าจะคลายลงจนตอนนี้รู้ตัวแล้วว่าหมดทางจะต่อสู้

สู้ไม่เคยได้ ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ไม่เคยสู้ได้เลย

“เกลียด.. เลว.. พวกแกมันเลว..”

สติสัมปชัญญะของชนม์แดนแตกซ่านไปแล้ว ดวงตาเรียวรีที่จดจ้องใบหน้าของดินแดนพล่าเลือนไปด้วยหยาดน้ำอีกทั้งยังมองเหม่อแบบไร้จุดหมายราวกับจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้าเป็นใคร

ดินแดนมองคนตรงหน้าอย่างงุนงง ยิ่งใช้ไม้แข็งอีกฝ่ายก็ยิ่งเตลิด แถมอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับอีกฝ่ายก็ทำให้เริ่มกังวล  เขาค่อยๆ หายใจเข้าลึกและพยายามตั้งสติ 

ปกติชนม์แดนมีนิสัยเย่อหยิ่งไว้ตัวทว่าตอนนี้กลับร้องไห้สะอึกสะอื้นพร่ำบ่นแต่เรื่องในอดีต ดวงตาเลื่อนลอยที่มีน้ำตาหลั่งไหลพร่างพรูไม่ขาดสาย ร่างกายสั่นสะท้านแถมผิวกายนอกร่มผ้ายังขึ้นสีระเรื่อวูบวาบไปทุกตารางนิ้ว

เห็นแล้วรู้สึกแปลกๆ

ทั้งโกรธทั้งร้อนใจ แต่มันก็มีความเห็นใจแว้บเข้ามา จะว่าสงสารก็มีส่วนแต่มันมีความรู้สึกลึกๆ บางอย่างที่ไม่ใช่แค่ความสงสารเกิดขึ้นซึ่งยังบอกไม่ถูกว่าเป็นอะไร

“ไปคุยกันในรถนะ” ร่างสูงตัดสินใจปล่อยต้นแขนแล้วหยิบกระเป๋าของอีกฝ่ายขึ้นสะพายก่อนจะประคองให้เดินออกไปเพราะถ้าหากยังทู่ซี้คาดคั้นอยู่แบบนี้ก็เสียเวลาเปล่า

แต่มันไม่ได้ง่ายนักเพราะร่างเล็กดื้อดึงขืนตัวไม่ยอมเดินจนต้องออกแรงลากถูลู่ถูกังกว่าจะปิดล็อคออฟฟิศได้ก็เล่นเอาเหนื่อย

“เกลียด.. เลว ไอ้คนเลว อึก ฮึก เกลียด ฮึก เกลียด..”  ตลอดทางได้ยินแค่คำว่าเกลียดและเลวปนเสียงสะอื้นไม่ขาดปาก ร่างน้อยยังคงสั่นสะท้านไปพร้อมกับกระตุกด้วยแรงสะอื้นและดูเหมือนจะหมดแรงดิ้นรนแล้วจึงได้แต่เดินไปตามการประคองแกมบังคับของอีกฝ่ายที่อาศัยช่วงนี้ถือวิสาสะใช้โทรศัพท์ของชนม์แดนกดโทรออกไปยังเบอร์ที่บันทึกในชื่อ ‘เฮียเผ่า’ 

“ขอโทษค่ะ พอดีคุณเผ่าพงศ์กำลังเข้าประชุมสำคัญ น่าจะอีกสองสามชั่วโมง รบกวนโทรมาใหม่นะคะ”

เสียงจากปลายสายทำให้ดินแดนรู้สึกโล่งใจอย่างมากที่ตอนนี้ตัวการยังไม่ว่างไปทำชั่วกับคนรักแต่หากช้าไปก็จะไม่ทันการ ฉะนั้นก่อนอื่นคงต้องจัดการร่างเล็กที่อาการไม่ค่อยสู้ดีเป็นอันดับแรกถึงจะรู้จุดหมายที่ต้องมุ่งหน้าไป

“ไม่เป็นไรครับ อีกไม่นานก็คงได้เจอกันแล้ว” ร่างสูงตอบไปแบบนั้นเพราะจองเวรเอาไว้แล้วและคงต้องได้ปะทะกันแน่ในไม่ช้านี้

หลังจากวางสายก็เดินมาถึงรถพอดี ชนม์แดนยังคงบ่นเพ้อ ขังตัวเองไว้ในโลกส่วนตัวพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสาย 

ดินแดนรู้สึกงุนงงไปกับเหตุการณ์ที่เกิด ไม่อยากเชื่อว่าชีวิตจะต้องมาพบเจอแต่คนจิตไม่ปกติ ทั้งสกายที่มีบาดแผลฝังลึกจนต้องลงทุนลงแรงไปมากมายเพื่อช่วยเหลือ ส่วนชนม์แดนก็เก็บกดจนหลอนไปกับความเกลียดชังในอดีต 

นี่กูต้องไปเรียนเป็นจิตแพทย์ไหมวะจะได้เอามารักษาพวกมัน


ร่างสูงพยายามใจเย็นเพราะรู้ว่าถ้ายิ่งโมโหอีกฝ่ายจะยิ่งสติแตก  เมื่อพาชนม์แดนขึ้นมานั่งบนรถ เอนเบาะให้เล็กน้อยแล้วคาดเข็มขัดให้เพื่อพร้อมออกรถได้ทันที  ตอนนี้คนสติแตกไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งเร้ารอบกายเพราะดูเหมือนจะจมจ่อมอยู่กับความเศร้าที่ระเบิดขึ้นราวกับภูเขาไฟและกำลังไหลออกมาจากหัวใจราวกับลาวาก็ไม่ปาน

ทำไมป๋าถึงไม่รัก.. ดอทไม่ใช่ลูกป๋าหรือไง
เพราะพวกมันเข้ามา มาแย่งความรักจากป๋าไป
ถ้าไม่มีพวกมัน ป๋าจะรักดอทใช่หรือเปล่า
เกลียดพวกมัน..
เกลียด..


“ฮึก.. ฮึกฮึก ฮือออ ฮือๆๆ”  ร่างเล็กหันหน้ามองเหม่อออกไปนอกรถดูเหมือนต้องการอยู่ในโลกมืดมิดเพียงลำพัง  ดินแดนตัดสินใจแตะไหล่บางเพียงเบาๆ แต่ก็ทำให้ร่างนั้นสะดุ้งเฮือกขึ้นมาได้

“ทำไมถึงคิดว่าป๋าไม่รักพี่” 

ใบหน้าสวยที่บวมแดงหันมองคนถามช้าๆ ด้วยแววตารวดร้าวอย่างที่ดินแดนเคยได้เห็นมาแล้วในวัยเด็ก เขายังจดจำใบหน้าและดวงตาแบบนี้ได้ดี  ถ้าหากว่าหลังจากนั้นไม่ถูกผลักตกน้ำจนเกือบตาย บางทีเขาอาจทำความเข้าใจกับอีกฝ่ายในตอนนั้นได้มากขึ้น

“ป๋า...ยกสมบัติทั้งหมดให้พวกแก” เสียงพูดสั่นเครือพร้อมกับดวงตาที่มีหยาดน้ำไหลนอง อาการเหมือนยังอยู่ในภวังค์และบ่นเพ้อเลื่อนลอย “ป๋าไม่เคยชมฉันสักครั้ง ไม่เคยจ่ายค่าเทอม ค่ากิน ค่าอยู่ ไม่ว่าค่าอะไรเกี่ยวกับฉัน ป๋าก็ไม่เคยมาช่วยซัพพอร์ทชีวิตฉัน  ฉันต้องเรียนและทำงานอย่างหนักมาตลอด ป๋าไม่เคยดูดำดูดี ไม่เคยเห็นด้วยกับสิ่งที่ฉันทำ ป๋าเกลียดฉันก็เพราะแก” ยิ่งเล่าน้ำเสียงก็ยิ่งเกรี้ยวกราดขึ้นทุกที ดวงตาที่เคยหม่นเหม่อเริ่มโฟกัสไปยังความเกลียดชังคนตรงหน้ามากขึ้น “ฉันเกลียด!! เกลียดๆๆ พวกแกคือมารร้ายที่ทำลายชีวิตฉันพังพินาศ ไอ้พวกคนเลว พวกเมียน้อย!!”

เพี๊ยะ!!!

เพี้ยะ! เพี้ยะ!เพี้ยะ!เพี้ยะ! เพี้ยะ!

มือเรียวฟาดลงบนใบหน้าของดินแดนฉาดใหญ่แถมด้วยอาฟเตอร์ช็อคอีกหลายทีแต่ร่างสูงกัดฟันปล่อยให้อีกฝ่ายได้ระบายความเคียดแค้นออกมา เขาหวังว่ามันจะละลายน้ำแข็งที่เกาะอยู่รอบหัวใจของคนตรงหน้าออกได้บ้างเพื่อจะได้ลองฝ่าเข้าไปรื้อค้นปัญหาที่อยู่ภายในนั้นว่ามันคืออะไรกันแน่

บางที คงถึงเวลาแล้วที่จะสะสางปัญหาที่ราคาราซังมานานจนถึงตอนนี้

เพี้ยะ! เพี้ยะ!เพี้ยะ!เพี้ยะ! เพี้ยะ!

นับครั้งไม่ถ้วนสำหรับการระบายอารมณ์ จากตบเป็นทุบ จากทุบแล้วข่วน หยิก ตี มีทุกรูปแบบไม่เลือกพื้นที่ด้วยว่าจะเป็นตรงไหน ทั้งหน้า ลำคอ หรือลำตัว แต่ร่างสูงไม่สะทกสะท้าน ไม่ใช่ไม่เจ็บแต่ระอาเต็มทนกับความเกลียดชังของคนในครอบครัวจึงอยากจะคลี่คลายเรื่องนี้เสียที

ถือซะว่าใช้หนี้แทนแม่ที่มีส่วนทำให้เกิดความบาดหมางในครอบครัวของป๋า แถมยังมีเรื่องของสกายและข้าวจ้าวเข้ามาเกี่ยวข้อง งานนี้เจ็บแค่ไหนก็ต้องทน

แม่พูดเสมอว่าแม่เป็นคนผิด แม่พูดตลอดให้ผมอภัยแม่ใหญ่กับพี่ดอท แม่พูดทุกวันจนถึงวันสุดท้ายที่แม่ตายว่าผมจะต้องปกป้องครอบครัว และวันนี้ผมจะพยายามให้ถึงที่สุด แม่ให้พรผมนะแม่ ให้ผมทำสำเร็จ ทำในสิ่งที่แม่ต้องการ


เพี๊ยะ! ตุบ! ตุบ! ตุบ..

ยิ่งร้องไห้และตีไปพร้อมกันยิ่งทำให้อ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนในที่สุดมือน้อยก็ขยำและเขย่าอกเสื้อของอีกฝ่ายแล้วร้องไห้จนตัวโยน

“ฮืออๆๆ เกลียดพวกแก ฮึก..ฮืออออ”

ดินแดนก้มมองอย่างเวทนา อารมณ์ของร่างเล็กเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเหมือนคนเสียสติก็ไม่ปาน แต่ถึงกระนั้นคำด่าทอก็ไม่ได้ร้ายแรงหยาบคายเกินไปนัก อย่างน้อยชนม์แดนก็ได้รับการอบรมจากแม่ใหญ่ให้เป็นผู้ดีแทบจะทุกกระเบียดนิ้ว จะว่าไปหากเป็นเมียหลวงของบ้านอื่น แม่กับตนอาจถูกทำร้ายร่างกาย หรือวางแผนฆ่าไปแล้ว ซึ่งเหตุผลนี้ทำให้ดินแดนไม่ได้ตอบโต้ความเกลียดชังของบ้านใหญ่แบบร้ายกาจนัก แค่กวนตีนกวนอารมณ์ไปเล่นๆ ส่วนใหญ่ก็จะเกรงใจและเงียบปากไปเองเสียด้วยซ้ำ

ยิ่งในตอนนี้ที่ได้เห็นความทุกข์ความโศกเศร้าราวกับโลกนี้มีเพียงแค่ตัวคนเดียวของชนม์แดนต่อหน้าต่อตา ความตั้งใจที่จะสะสางปัญหาครอบครัวจึงโล่งสะดวกยิ่งขึ้นเพราะหัวใจที่เคยเย็นชาเริ่มละลายด้วยความสงสารเห็นใจ

ดินแดนจับข้อมือทั้งสองไว้แล้วค่อยๆ ดึงมันออกจากอกเสื้อ ดวงหน้าสวยเงยขึ้นพยายามจะรั้งข้อมือให้หลุดออกจึงเป็นโอกาสให้ร่างสูงได้มองสบไปยังดวงตาบวมที่ฉ่ำแฉะไปด้วยหยาดน้ำมากมาย มันไหลล้นออกมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

“ฟังผมให้ดีดีนะ เรื่องแรกที่พี่ต้องรู้ก็คือ ป๋ายังไม่ได้ยกสมบัติให้ใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นแม่ใหญ่ พี่ หรือผม”

“ไม่จริง! อย่ามาโกหกในเมื่อฉันเห็นพินัยกรรมที่มีลายมือป๋า ฉันจำลายมือนั้นได้!”  ชนม์แดนกระชากข้อมืออย่างแรงเพื่อต่อต้านข้อมูลจากอีกฝ่ายแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าตกใจและเคลือบแคลงสงสัยอยู่ในที

ดินแดนนึกแปลกใจที่ได้ยินเพราะจากที่บิดาเคยบอก คือยังไม่ได้ตัดสินใจยกให้ใครเป็นเรื่องเป็นราว ถ้าเป็นอะไรไปในตอนนี้ก็แค่หารสามไปตามส่วน 

“ผมว่าอาจมีการเข้าใจผิดนะเพราะป๋าเคยบอกว่ายังไม่ได้เขียนพินัยกรรม ป๋ารออะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคืออะไร”

“คุณแม่เอามาให้ดูกับตา ป๋าเขียนว่าจะยกบริษัทและหุ้นทั้งหมดให้พวกแก ส่วนบ้านก็ให้อยู่ด้วยกันห้ามขาย” ดวงตาเรียวรียังคงวาวโรจน์ไม่ยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพยายามบอกเล่า

ดินแดนขมวดคิ้วนิ่งคิดทบทวน ยิ่งฟังก็ยิ่งงงเพราะที่ผ่านมาบิดาไม่เคยพูดโกหกซึ่งคงไม่มีทางอื่นที่จะพิสูจน์เรื่องนี้ได้นอกจากถามเอาความจากเจ้าตัว

มือหนาควานหาโทรศัพท์และกดโทรออกทันที

“ชู่วว” เขาใช้นิ้วแตะกลีบปากสีสวยเอาไว้เมื่อเห็นว่าชนม์แดนกำลังจะส่งเสียงออกมา ร่างเล็กนิ่งเกร็งอยู่กับที่เหมือนผีจีนที่ถูกยันต์แปะหน้าผาก  จากนั้นดินแดนจึงกดสปีคเกอร์ให้ได้ยินพร้อมกัน

“ว่าไงไอ้เสือ นึกว่าดังแล้วจะลืมป๋าซะแล้ว” เจ้าสัวแดนสรวงรับโทรศัพท์อย่างอารมณ์ดีจนชนม์แดนได้ยินเสียงถึงกับหน้าคว่ำ

“หวัดดีครับป๋า พอดีมีเรื่องซีเรียสอยากจะถาม ป๋าสะดวกคุยไหม” ดินแดนตอบกลับ ส่วนร่างบางที่ถูกปิดริมฝีปากไว้ก็ขยับหนีสัมผัสจนเมื่ออีกฝ่ายแน่ใจว่าพี่ชายจะไม่ส่งเสียงจึงลดมือลง

“อืมได้สิ ว่ามาเลย” ผู้เป็นพ่อตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น

“คือ.. เรื่องพินัยกรรม ผมถามได้ไหมครับ”  ร่างสูงอ้ำอึ้งเล็กน้อยเพราะไม่รู้จะถามแบบไหนถึงจะดูไม่น่าเกลียด

“พินัยกรรมเหรอ คิดยังไงถึงถามเรื่องนี้ล่ะ ปกติแกไม่เคยอยากยุ่งเรื่องพวกนี้นี่นา”

“พอดีมีคนเคยเห็นพินัยกรรมยกสมบัติให้แม่กับผมโดยเป็นลายมือป๋าด้วย ผมจำได้ว่าป๋าเคยบอกว่ายังไม่ได้เซ็นก็เลยอยากถามความจริงน่ะครับ”

ดินแดนพยายามสรุปย่อเพื่อไม่ให้ปลายสายพุ่งประเด็นไปที่พี่ชายเพราะคิดว่าคงไม่ดีแน่หากจะมีคำเล็กคำน้อยของผู้เป็นพ่อไปกระทบใจคนหัวร้อนที่ตอนนี้เริ่มนิ่งแล้วให้กลับมาสติแตกขึ้นอีกครั้ง

“ไม่เคยนะ ป๋ายังไม่ได้เซ็นสักฉบับ จะมีก็แต่ของตาดอทที่ป๋าเซ็นไว้แล้ว”  เจ้าสัวนึกทวบทวนแล้วตอบอย่างชัดเจน

ดินแดนมองหน้าพี่ชายที่ตอนนี้มีสีหน้างุนงงพลางบุ้ยปากไปที่โทรศัพท์เหมือนอยากจะให้ถามว่าอะไรที่เซ็นไว้แล้ว

“เอ่อ.. ผมถามได้ไหมป๋าว่าที่เซ็นให้พี่ดอทคืออะไรเหรอครับ”

“ได้สิ นี่ก็ว่าจะบอกแกอยู่เหมือนกันเพราะกลัวว่าแกจะน้อยใจที่ป๋าให้พี่ก่อน รอแป๊บนึงนะ” ได้ยินเสียงเปิดลิ้นชักแล้วเงียบไปสักครู่ “ได้ละๆ คือป๋ามีที่ดินตรงรัชดาอยู่สิบกว่าไร่ ตอนแรกจะเก็บไว้ขยายบริษัทแต่สืบรู้มาว่าดอทใกล้จะทำตามที่สัญญากับป๋าได้แล้วก็เลยจะยกที่ดินตรงนี้สร้างเป็นห้องเสื้อหรืออะไรก็ได้ที่เขาต้องการให้เป็นรางวัล แต่แกไม่ต้องน้อยใจนะ ป๋ากำลังคิดอยู่ว่าจะหาอะไรให้แก”

“โธ่ป๋า ผมบอกแล้วไม่ขอรับมรดกจากป๋าแม้แต่อย่างเดียว ผมยังยืนยันคำเดิมนะ” ดินแดนตอบในทันทีซึ่งเมื่อหันมองคนข้างๆ ก็ได้เห็นน้ำตารื้นขึ้นมาอีก

 “ถึงแกไม่อยากได้แต่ป๋าก็ต้องให้ มันเป็นสิทธิ์ที่แกควรได้รับ เคยคิดว่าจะให้ดูแลบริษัทร่วมกันแต่กลัวดอทจะไม่ชอบบริหารสายนี้ ก็เลยอยากถามความสมัครใจก่อน อันที่จริงป๋าอยากให้แกดูแลดอทเขานะ ถึงพี่จะยังไม่เข้าใจแกในตอนนี้แต่วันหนึ่งมันต้องเข้าใจเมื่อทิฐิถูกทำลายแล้วนั่นแหละ”

ในสมองของชนม์แดนค่อนข้างสับสน ยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ยังไม่อยากยอมรับว่าที่ผ่านมามันคือความเข้าใจผิดแบบที่ไม่น่าเป็นไปได้

“แต่ผมก็ยังสงสัยเรื่องพินัยกรรมอยู่ดีครับ” ดินแดนมองคนข้างๆ เหมือนจะเดาใจถูกว่าคนหัวรั้นไม่มีทางเชื่ออะไรง่ายๆ

“อืมนั่นสิ มันยังไงกันนะ” ผู้เป็นพ่อคิดทบทวนอย่างหนักจนในที่สุดก็อุทานขึ้น “เอ๊ะ! ป๋าจำได้แล้ว  ป๋าเคยเขียนพินัยกรรมฉบับร่างไว้  ตอนนั้นรู้สึกปวดหัวกับทัศนคติของตาดอทกับแม่เขาที่แรงขึ้นทุกวันจนถึงขั้นป้าก้อยต้องย้ายหนี  ป๋าห่วงว่าถ้าไม่มีป๋าสักคนแล้วแกกับแม่แกจะอยู่ยังไง ก็เลยจะเขียนให้มรดกเป็นของแกกับแม่ไปก่อนจนกว่าแกจะบรรลุนิติภาวะ แล้วบ้านก็ห้ามขายและให้อยู่ด้วยกันทุกคน แต่คิดไปคิดมาก็ล้มเลิกไปเพราะดูไม่ยุติธรรมกับดอท กลัวมันจะคิดว่าป๋าไม่รักมากขึ้นไปอีก”

ถึงตรงนี้ร่างบางก็เริ่มกระตุกจากแรงสะอื้นแต่ยังคงปิดปากไว้ไม่ให้เสียงเล็ดรอดออกมา หยาดน้ำตาเริ่มไหลลงอาบแก้มเนื้อตัวสั่นเทา

“ป๋าครับ บอกผมหน่อยว่าป๋ารักใครมากกว่ากันระหว่างพี่ดอทกับผม” ดินแดนไม่ปล่อยทิ้งโอกาสในการทำลายกำแพงความเกลียดชังที่ชนม์แดนสร้างเอาไว้

“วันนี้มาแปลก เกิดอะไรขึ้นกับเสือโดดเดี่ยว ปกติไม่เคยสนใจอยากรู้เรื่องครอบครัว วันนี้ผีเข้าหรือผีออกล่ะ”  คนเป็นพ่อถามแต่กลับไม่รอคำตอบ “อืมม ถ้าให้บอกว่ารักใครมากกว่าป๋าตอบได้เลยว่ารักเท่าๆ กัน แต่ถ้าถามว่าห่วงใครมากกว่าก็ต้องตอบว่าห่วงเจ้าดอทมันมากกว่าแก พี่แกมันเจ้าคิดเจ้าแค้น ได้ข้อมูลอะไรจากแม่เขาก็ชอบเก็บเอาไปคิดมาก ป๋าห่วงกับสิ่งที่เขาเลือก กลัวจะเลือกอะไรผิดๆ ให้ชีวิต อย่างทุกวันนี้ที่ไปคว้าเผ่าพงศ์มาเป็นแฟน ป๋าก็คิดว่าดอทมันประชดป๋านะ เจ็บปวดทุกครั้งกับเรื่องนี้ เห็นหน้าเผ่าพงศ์ทีไรป๋าก็รู้สึกผิดทุกที”

“แล้วป๋าโกรธเรื่องที่พี่ดอทเป็นเกย์ไหม ตอนนั้นผมจำได้ว่าป๋าตบหน้าพี่ดอท”  คำว่าขยี้ยังน้อยไปถ้าเทียบกับสิ่งที่ดินแดนกำลังทำ ผู้ชายเจ้าแผนการใฝ่ฝันมานานว่าอยากเอาชนะชนม์แดนให้ได้ในสักวัน

และชัยชนะที่ดินแดนต้องการมากที่สุดก็คือ..ชนะใจ และมันจะต้องเกิดขึ้นในวันนี้

“เฮ้อ เรื่องตอนนั้นเป็นเรื่องที่ป๋าเสียใจมากนะ บอกตรงๆ ป๋าก็ช็อคไปเหมือนกันที่มันบอกว่าเป็นเกย์ แต่ที่ป๋าตบไม่ใช่เพราะมันบอกว่าเป็นเกย์เพราะจะเป็นเพศไหนยังไงก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขอยู่ดีซึ่งก็คงต้องใช้เวลาทำใจหน่อย  แต่ที่ตบวันนั้นเพราะมันบอกว่าจะหาผู้ชายที่ดีกว่าป๋ามาเป็นแฟน ผู้ชายที่รักเดียวใจเดียวไม่มั่วไปเรื่อย ป๋าได้ยินแล้วลืมตัวตบมันไปเต็มแรง มาคิดได้ว่าทำเกินกว่าเหตุก็ตอนที่รู้ว่าแกโดนผลักตกน้ำนั่นแหละ ครั้งนั้นคงทำให้ความเกลียดชังที่เจ้าดอทมีเพิ่มขึ้นจนทำเรื่องแบบนั้นกับแกลงไปได้ ป๋าก็เลยทำโทษแค่ตัดเงินค่าขนมสองเดือนเพราะรู้ว่ายังไงแม่เขาก็ต้องให้อยู่แล้วจึงคิดว่าทำโทษแบบนี้ก็ไม่น่าจะรุนแรงอะไร แต่พอครบกำหนดมันกลับบอกว่าจะไม่รับเงินจากป๋าอีกแถมยังบอกว่าจะหาเงินให้ได้ห้าสิบล้านเพื่อให้ป๋ายอมรับ”

“เรื่องนี้ผมไม่เคยรู้เลยนะ แล้วป๋ายอมเหรอครับ”  ข้อมูลเชิงลึกที่ดินแดนไม่เคยรู้ก็ค่อยๆ เผยออกมาในวันนี้

มิน่าถึงได้งกเงินจนทำเรื่องผิดๆ ลงไป เฮ้อ พี่ดอทเอ้ย   

“ตอนแรกก็คิดว่าดอทมันคงขู่เล่นๆ แต่ที่ไหนได้ พอโอนเงินให้มันก็ถอนมาคืน พอผ่านไปนานเข้าป๋าก็อยากจะดูว่ามันจะทำได้จริงไหม จนมาสัญญาท้าทายป๋าว่าจะสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยลำแข้งตัวเองกลายเป็นเรื่องจริงจัง ป๋าก็เลยไม่กล้าส่งเสียอะไรให้อีกเพราะกลัวว่ามันจะคิดว่าป๋าดูถูกความสามารถแล้วขัดใจตีอกชกตัวขึ้นมา  ก็ได้แต่แอบเช็ครายรับรายจ่ายมันตลอดและก็รู้ว่าทำได้จริงๆ แต่ก็ด้วยวิธีที่ไม่เหมาะนัก ซึ่งตรงนี้ป๋าก็ไม่มีหน้าไปขัดขวางหรอก ได้แต่ช่วยเหลือเด็กสกายนั่นแบบอ้อมๆ เพราะที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ต้นเหตุก็มาจากตัวป๋าเอง”

“ป๋ารู้ทุกเรื่องของพี่ดอทเลยนะครับ แสดงว่าที่ผ่านมาก็ไม่ได้ละเลยชีวิตพี่ดอทใช่ไหม”  ดินแดนยังคงขยี้ต่อไม่หยุด ซึ่งร่างบางที่ตอนนี้ยังคงปิดปากร้องไห้ไม่หยุดเช่นกัน

“ลูกทั้งคน ใครจะทิ้งขว้างได้ลงคอ ป๋าไม่เคยมีความสุขเลยนะที่ทำให้ครอบครัวต้องแตกสลาย ยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าล้มเหลวที่แยกแยะไม่เป็น โกรธแม่แต่ไปลงที่ลูก ตาดอทมันรับแรงกดดันตลอดเพราะป๋าหัวเสียจากแม่ของเขา พอโตขึ้นก็กลายเป็นตรรกะผิดเพี้ยนไปขนาดนี้   ป๋าทำได้แค่ตามดูตลอดก็เหมือนอย่างที่ตามดูแกนั่นแหละ อย่างที่บอกไปว่าตอนนี้ดอทมันก็เก็บเงินใกล้ครบตามสัญญาแล้ว ป๋ามีข้ออ้างจะทำอะไรเพื่อมันได้แล้ว เฮ้อ  ที่ผ่านมาก็อยากชดเชยให้มาตลอดแต่ตัวดอทเองที่ไม่เคยเปิดโอกาสให้ป๋าเลย ยิ่งมีแม่เข้าข้างก็ยิ่งไปกันใหญ่ คุยกันแต่ละทีก็ไม่ได้นาน ดอทมันอคติ ป๋าเองก็ไม่อยากฟังที่มันคิดลบกับแกก็เลยกลายเป็นเพิ่มความไม่พอใจต่อกันมากไปอีก” คนเป็นพ่อระบายออกมาแทบจะไม่หายใจ  “เฮ้อ.. ได้บอกใครออกไปบ้างก็สบายใจดีเหมือนกันนะ คนแก่บ่นซะยาวเลย สรุปจะบอกได้รึยังว่าถามไปทำไม”

“แค่อยากรู้ครับ แต่ป๋าบอกรักพี่ดอทให้ผมฟังหน่อยสิ” ดินแดนยังคงเซ้าซี้ ส่วนร่างเล็กนั้นปิดปากไว้แน่นเพราะกลัวจะหลุดเสียงสะอื้นออกมา “ผมจะอัดเสียงไปให้มันฟัง จะได้รู้ซะทีว่าป๋าทั้งรักทั้งห่วง”

“เอางั้นเหรอ” คนเป็นพ่อลังเล กลัวจะกลายเป็นโมโหเสียมากกว่าที่ได้ยินผ่านดินแดน

“เชื่อหัวไอ้ดินเถอะป๋า” ดินแดนให้คำรับรอง

“งั้นก็ได้..คือ.. ป๋ารักดอทนะลูก รักมากเป็นห่วงมากที่สุดในชีวิต”  น้ำเสียงที่สั่นเครือของผู้เป็นพ่อพุ่งตรงเข้าไปในหัวใจดวงน้อยที่สั่นไหวรุนแรงแทบจะคิดว่าอยู่ในความฝัน “ป๋ารักดอทไม่ได้น้อยไปกว่าใคร ไม่เคยมีแม้แต่วินาทีเดียวที่ดอทจะด้อยค่าในสายตาของป๋าแต่ที่ผ่านมามันอาจจะมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้นระหว่างเราทำให้เราพ่อลูกต้องหมางใจกัน แต่ไม่ว่ายังไง ป๋าก็ยังรักและเป็นห่วงดอทเสมอนะลูก  ส่วนแกเจ้าดิน ป๋าก็รักแกนะ รักลูกของป๋าทุกคน ไม่ว่าดอทมันจะเคยทำอะไรไว้ก็อย่าไปถือโทษโกรธพี่แกเลย ป๋าอยากให้แกดูแลพี่แทนป๋า ถ้าเมื่อไหร่แกกับตาดอทเข้าอกเข้าใจกันได้ วันนั้นคงเป็นวันที่ป๋านอนตายตาหลับ เรื่องนี้คือเรื่องเดียวที่ป๋าห่วง จะทำพินัยกรรมก็ไม่รู้จะทำแบบไหน ได้แต่รอให้แกสองคนเข้าใจกัน ป๋าจะได้ถามความสมัครใจว่าใครอยากเข้ามาช่วยเข้ามาทำตรงไหนได้บ้าง ป๋าเองก็แก่แล้ว มีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ไหนก็ไม่รู้ ความฝันของป๋าคือความสุขของพวกแกสองคนนะ”

“ฮึก..” เสียงสะอื้นของร่างเล็กหลุดออกมาจนได้ “ป๋า..ฮืออๆๆ” ชนม์แดนส่งเสียงเรียกพร้อมกับเสียงร้องไห้โฮ หยิบเอาโทรศัพท์จากมือดินแดนไปถือไว้เองด้วยมืออันสั่นเทา

ความรู้สึกตอนนี้เหมือนได้ถูกปลดปล่อยออกจากกรงขังที่มืดมิดและเหน็บหนาว  แน่นอนว่ายังมีอีกหลายความขุ่นเคืองทว่าปมใหญ่หลวงที่สุดคือความรู้สึกว่าพ่อไม่รัก  เหมือนใจที่เคยคับแน่นได้ถูกขยายออกให้มีพื้นที่เพียงพอที่จะซึมซับสิ่งอื่นนอกเหนือจากสิ่งที่คิดเองประมวลผลด้วยตนเองมาตลอด

‘ไม่รัก’ แค่คำๆ นี้ที่เป็นเหมือนตัวถ่วงของชีวิต มันบั่นทอนกำลังใจเป็นที่สุด  แต่ในวันนี้ที่ได้ยินคำว่า ‘ป๋ารักดอท’ จากผู้เป็นพ่อแบบจริงใจ แถมยังบอกโดยไม่รู้ว่าตนได้ฟังอยู่ บอกรักตนให้ลูกอีกคนที่เคยคิดว่าเป็นลูกรักฟังด้วยซ้ำ แบบนี้จะไม่เชื่อได้อย่างไรว่าสิ่งที่ได้ยินคือความจริง

และเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว แค่คำว่ารักจากพ่อ แค่นี้จริงๆ


“ดอท! ดอทอยู่กับเจ้าดินมันเหรอ” เจ้าสัวละล่ำละลักถาม

“ป๋า.. ฮือออ ดอทขอโทษ ขอโทษที่เข้าใจผิด ฮึก ขอโทษที่ทำให้ป๋าทุกข์ใจกับเรื่องของดอท ขอโทษนะครับ” น้ำตาไหลพรากพร้อมกับร่างกายที่สั่นเทิ้มไม่หยุด

“ไม่ใช่ความผิดของดอทหรอก ป๋าผิดเอง ป๋าขอโทษเรื่องที่ผ่านมา ป๋ารักดอทนะ รักมากๆ ดอทเข้าใจป๋าใช่ไหมลูก”

“ครับ ดอทเข้าใจแล้ว ฮึกก”  ยิ่งได้ยินคำว่ารักมากเท่าไรหัวใจที่แห้งผากก็ฟื้นตัวชุ่มชื่นมากขึ้นเท่านั้น
เพิ่งเข้าใจตัวเองในวันนี้ว่าที่ผ่านมาไม่ได้แคร์เรื่องอื่นใดเลยนอกจากความรู้สึกของผู้เป็นพ่อที่มีต่อตน ต่อให้เขามีบ้านเล็กบ้านใหญ่อีกกี่บ้านก็ไม่สนทั้งนั้น หรือจะมีลูกอีกกี่คนก็ไม่ทำให้ใจพังได้อีก


“เข้าใจกันก็ดีแล้ว มาหาป๋าตอนนี้ได้ไหม มีเรื่องมากมายที่ป๋าอยากบอก อยากกอดทั้งสองคนเลยลูก” เหมือนตอนนี้ผู้เป็นพ่อจะร้องไห้เพราะเสียงนั้นสั่นเครือไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าลูกชาย

ดินแดนค่อยๆ แกะโทรศัพท์ออกจากมือเรียวแล้วตอบกลับไป

“ตอนนี้ยังไปหาไม่ได้ครับป๋า เอาไว้ผมจะพาพี่ดอทไปส่งให้ถึงที่ ไว้โทรนัดเวลากันอีกทีนะครับ ตอนนี้มีเรื่องใหญ่รออยู่ แค่นี้ก่อน สวัสดีครับ จุ๊บๆ”   

ดินแดนวางสายทันทีก่อนที่คนเป็นพ่อจะทันได้ถามอะไรเพราะเสียเวลาไปมากแล้ว เขาไม่อยากให้มันนานเกินไปเพราะคนสองคนที่เขารักกำลังตกอยู่ในอันตราย

มือหนาดึงกระดาษทิชชูซับน้ำตาน้ำมูกให้ร่างเล็กแล้วลูบเส้นผมเสยขึ้นไปด้านหลังก่อนจะเชยคางมนให้มองสบสายตา

“ผมกลับไปแก้ไขอดีตที่แม่เข้าไปเป็นส่วนเกินของชีวิตครอบครัวพี่ไม่ได้ แต่ผมขอยืนยันว่าเราแม่ลูกไม่เคยคิดแย่งชิงป๋าหรือสมบัติอะไรแม้แต่ชิ้นเดียวมาจากพี่  ถามว่ายังโกรธไหมที่พี่เคยทำกับผมสารพัดก็คงบอกว่ามันไม่เคยลบลืมไปจากใจแต่ถ้าถามว่าเกลียดไหมก็บอกได้เลยว่าไม่ได้เกลียดแล้ว จนถึงตอนนี้ที่ได้รู้ว่าพี่ก็มีเรื่องทุกข์ใจไม่ต่างกับผม บอกเลยว่าผมเข้าใจและพร้อมอภัยให้พี่ อยู่ที่พี่แล้วนะว่าจะให้อภัยเราแม่ลูกได้ไหม อยากให้เราสองคนพี่น้องปรับความเข้าใจกันหรือเปล่า”

ดวงตาบวมช้ำปริ่มน้ำตาขึ้นอีกครั้ง ลูกแก้วสีนิลสั่นระริกด้วยความสับสน ผิวหน้าที่เคยขาวผ่องซับสีเลือดมานานจนตอนนี้บวมแดงดูน่าสงสารจนร่างหนาต้องก้มลงจุมพิตหน้าผากเนียนเพื่อปลอบใจ  จะเป็นเพราะอารมณ์ที่ไม่พร้อมจะผลักไสหรืออะไรก็แล้วแต่ ร่างเล็กปล่อยให้น้องชายถือวิสาสะขโมยจูบหน้าผากแบบไม่ได้ปัดป้อง เปลือกตาบางปิดลงยังคงสับสนกับเรื่องราวที่เพิ่งได้รับรู้ ไม่นานนักเขาก็ผละออก

เปลือกตาบางเปิดขึ้นสบมองกับดวงตาคู่คมที่สะท้อนให้เห็นใบหน้าของตนอยู่ในนั้น

“ดีกัน..นะ”  ดินแดนยิ้มในสีหน้าพร้อมกับคำถามสั้นๆ ทว่าตอบได้ยากยิ่ง


ต่อ..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-06-2018 17:44:42 โดย fiction no.9 »

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9

ตอนนี้ในสมองเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ชัดเจนขึ้น แต่ความดื้อรั้นและทิฐิที่มีมานานจนเคยชินมันก็ยากที่จะให้ปลดเปลื้องออกไปในทันทีทันใด

ทว่ารอยจูบบนหน้าผาก ดวงตาคู่คมที่ฉาดฉายความจริงใจ อบอุ่น และอ่อนโยนจนเกินกว่าจะหักหาญตอบปฏิเสธออกไปในทันทีอย่างที่ใจคิดได้  ร่างบางจ้องมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาสั่นระริก

เคยคิดว่า ‘การไม่ยอมแพ้’ คือหนทางสู่ชัยชนะ..

แต่บางครั้ง ‘การยอมแพ้’ อาจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

เพราะได้ตระหนักแล้วว่ามันรังแต่จะทำให้เสียเวลาชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์


“..อืม”  ในที่สุดก็ตอบรับออกมาเบาๆ

มันเป็นการยากที่จะละความเคียดแค้นที่แบกไว้มานานกว่าสิบปีทิ้งไป ความรู้สึกเสียหน้าต่อสู้ห้ำปั่นกับเหตุและผลจนในที่สุดอย่างหลังก็ชนะไปแค่เส้นยาแดงผ่าแปด  ความจริงมันยังมีตะกอนแห่งความชิงชังหลงเหลืออยู่ไม่น้อยแต่ความรู้สึกผิดต่อสกายเป็นดั่งแสงเทียนเล่มเล็กจิ๋วในถ้ำมืดมิด ถึงแม้จะอ่อนแสงทว่าสว่างพอจะที่จะส่องนำไปในทางที่ถูกที่ควร

ดินแดนยิ้มบางๆ มองพี่ชายอย่างนึกเอ็นดู ขนาดยอมดีกันแล้วก็ยังขี้ดื้อทำคอแข็งเหมือนจะบอกเป็นนัยๆ ว่า ‘ถ้าง้อขนาดนี้ จะดีให้ก็ได้’ อะไรแบบนั้น

ขอบคุณนะแม่ แม่อยู่บนสวรรค์กำลังมองลงมาใช่ไหม กำลังยิ้มมองดูความสำเร็จของผมใช่หรือเปล่า ผมทำได้แล้วนะ พี่ดอทยอมใจอ่อนแล้วครับ

ถ้าตัดเรื่องที่เคยเข้าใจผิดกันทิ้งไป ดินแดนคิดว่าพี่ชายเป็นคนที่เพียบพร้อมทั้งร่างกายและความสามารถ  เขานึกฉุนขึ้นมาเมื่อคิดว่าคนเพอร์เฟคอย่างชนม์แดนน่าจะเสียคนเพราะไอ้คนเหี้ยสารเลวคนนั้น!

“คราวนี้บอกผมได้หรือยังว่าไอ้เผ่าพงศ์มันเอาไอ้จ้าวกับสกายไปไว้ไหน” มือหนาละออกจากใบหน้าสวย ไม่เคยคิดว่าจะมีพี่ชายสวยได้ขนาดนี้

“เฮียบอกว่าจะพาไปถ่ายแบบที่เซฟเฮาส์ ใช้เป็นสตูส่วนตัวเพราะไม่อยากให้ใครมารบกวน  แต่ช่วงบ่ายเฮียติดประชุมสำคัญ ตอนนี้พวกนั้นก็ยังปลอดภัยอีกหลายชั่วโมงแหละเพราะถ้าเฮียยังไม่ได้ ใครก็ห้ามยุ่งกับเด็กของเฮีย”  เมื่อได้ยินแบบนี้ คนฟังก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง

“แล้วพี่ก็เชื่อเหรอ” น้ำเสียงในเชิงตำหนิทำให้ใบหน้าสวยง้ำขึ้นเหมือนจะร้องไห้อีกครั้ง “โทษๆ”  มือหนายื่นมาลูบแก้มเนียนเบาๆ “พี่ก็รู้ว่ามันหวังอะไรกับสกายแล้วพี่ยังจะส่งน้องไปให้มันอีก ไม่สงสารมันเหรอ มันทั้งเรียนทั้งทำงานให้พี่มากี่ปี นอกจากเรื่องหยิ่งแล้วมันทำอะไรที่พี่คิดว่ามันเป็นคนไม่ดีมั่ง”

อันที่จริงค่อนข้างเชื่อมั่นว่าคนรักไม่ใช่คนที่จะใช้กำลังหักหาญข่มขืนใครเพราะเขาเองมีทั้งเงินและรูปร่างหน้าตาจึงไม่ใช่เรื่องยากหากต้องการใครสักคน แต่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าสกายอาจจะทำให้เผ่าพงศ์โมโหขึ้นมาแล้วถ้าเขาควบคุมอารมณ์ไม่ได้ อันตรายก็จะเกิดขึ้น

“ก็เพราะเห็นว่าสกายเป็นคนดีไงถึงได้อยากช่วย เฮียสัญญาว่าจะโอนให้สิบล้านให้แบ่งกันคนละครึ่งถ้าเฮียได้นอนด้วยแค่ครั้งเดียว ถ้าสกายได้ห้าล้านก็เอาไปตั้งตัว เสียครั้งเดียวแล้วทุกอย่างก็จบ ฉันเองก็ไม่อยากให้สัญญานี้มันยืดเยื้อนักหรอกแต่ฉันก็ไม่มีทางเลือกมากนักแค่อยากให้ได้เงินใช้แต่มันก็เล่นตัวมาตลอดไม่เคยยอมรับเงื่อนไขของเฮียเผ่าเลยซักครั้ง” ตอนนี้กลับมาคอแข็งหน้าง้ำงออย่างขัดใจ รู้สึกหงุดหงิดที่ถูกต่อว่าเพราะไม่ชอบถูกจับผิด ไม่ชอบเลยจริงๆ

“เฮ้อ พี่ดอทเอ้ย” ดินแดนโยกศีรษะเล็กอย่างหมดคำจะพูด ส่วนคนดื้อก็ปัดแขนของอีกฝ่ายทิ้ง หันหน้าหนีทำปากยื่นอย่างขัดใจ “แต่มันมีอีกใช่ไหม เงื่อนไขที่ไอ้เผ่าพงศ์อยากได้สกาย” มือหนาจับไหล่บางให้หันมาสบตาอีกครั้งพร้อมกับจ้องนิ่งเพื่อเอาคำตอบ

“ก..ก็ เฮียบอกจะเลิกเจ้าชู้ทุกอย่าง เลิกมีเล็กมีน้อย เขาขอสกายอีกแค่คนเดียวก็จะหยุด” ดวงตาคู่สวยช้อนมองและหลุบลงคงเพราะละอายแก่ใจในสิ่งที่ทำ

“พี่กับเผ่าพงศ์เป็นแฟนกันใช่ไหม” ถึงจะเดาได้แต่อยากรู้จากปากว่าความสัมพันธ์ของเผ่าพงศ์และพี่ชายเป็นอะไรกันแน่

“..อ..อืม” 

“พี่รักมันมากก็เลยคิดว่าข้อเสนอที่มันให้มาจะทำให้มันหยุดอยู่กับพี่คนเดียวแถมยังได้ช่วยสกายให้สบายขึ้นด้วย  แบบนี้ใช่ไหม”  มือหนาประกบไปที่ข้างแก้มเนียนเพื่อล็อคไว้ไม่ให้หลบสายตา  “บอกผมหน่อยว่าไม่มีแม้แต่เสี้ยวเดียวที่พี่คิดว่าแบบนี้มันไม่ถูก”

ริมฝีปากบางเริ่มสั่นระริก รู้อยู่เต็มอกว่าเรื่องที่ทำมันร้ายกาจขนาดไหน

“ฉันรู้ว่าแบบนี้มันผิด แต่มันก็ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ตอนนี้แล้ว ถึงฉันจะไม่ได้รักเฮียถึงขนาดนั้นแต่การที่เขาจะมีอะไรกับคนอื่นเป็นคนสุดท้ายก็ทำให้ฉันคิดว่ามันวินวินทั้งฉันและสกายก็เท่านั้นเอง แล้วอีกอย่างเฮียรับปากแล้วว่าจะไม่บังคับข่มขู่ถ้าสกายไม่ยอม”

เมื่อถูกล็อคให้อยู่กับที่ ดวงตาคู่สวยก็ไม่อาจหลบหนีไปตำแหน่งอื่นได้ และในระยะประชิดเช่นนี้ก็ไม่แปลกที่ดินแดนจะได้เห็นว่าดวงตาคู่นี้งดงามและน่าค้นหามากแค่ไหน ทว่าที่ทำให้รู้สึกแปลกก็คือ ร่างกายนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายนั้นสั่นสะท้านขึ้นทุกครั้งเมื่อถูกสัมผัส

“พี่รู้ตัวไหมว่าตัวเองน่ะสวยมากนะ” ดวงตาคู่คมกวาดมองไปทั่วใบหน้าเนียน “สวยจนผมคิดว่าถ้าพี่ไม่ใช่พี่ชาย ผมคงปล้ำพี่ไปแล้ว”

ได้ยินคำพูดในลักษณะเดิมจากปากของคนที่เป็นน้องชายอีกครั้งทำให้ร่างเล็กเริ่มปั่นป่วนจนใบหน้าขึ้นสีจัดร่างกายสั่นสะท้าน  ดินแดนยิ้มในสีหน้าที่คำพูดเพียงเท่านี้ก็ทำให้เลือดลมสูบฉีดไปทั่วตัว ช่างเป็นคนที่ร่างกายไวต่อความรู้สึกจริงๆ แต่เขาไม่รู้หรอกว่าเขาเคยพูดประโยคนี้มาแล้วและมันก็ยังติดค้างในความรู้สึกของคนที่จำได้จนเกิดเป็นรีแอคชั่นแบบที่เป็นในตอนนี้

“พี่มีดีทั้งรูปร่างหน้าตาและความสามารถ ถ้าพี่รักใครและอยากให้ใครรัก คนๆ นั้นไม่มีทางไม่รักแน่นอน และผมก็มั่นใจว่าไอ้เผ่านั่นมันรักพี่แต่ด้วยสันดานเหี้ยของมัน แม้แต่ความรักก็ไม่สามารถหยุดมันไม่ให้ทำเหี้ยได้ ถ้าพี่ไม่ตัดใจแล้วหาคนใหม่ พี่จะยังต้องเจ็บเพราะมันไปจนกว่าจะเลิกกัน พี่เข้าใจที่ผมพูดไหม”

น้ำในดวงตาเรียวรีเริ่มปริ่มขึ้นอีกครั้ง  ชนม์แดนรู้มาตลอดแต่ความรักมันไม่เข้าใครออกใคร ถ้าไม่ถึงที่สุดไม่มีใครถอดใจหรอก อย่างน้อยก็ยังอยากอดทนให้ถึงที่สุด

“เอาล่ะ” มือหนาปลดปล่อยใบหน้าสวยอีกครั้ง “เรื่องของพี่ผมจะไม่ก้าวก่าย ถ้าพี่ตัดใจได้เมื่อไหร่ก็คงพ้นกรรมเมื่อนั่นแหละ แต่ตอนนี้พี่บอกทางไปสตูของมันก่อน ช่วยคนสองคนไม่ให้มีบาดแผลเหมือนที่เราสองคนเคยเป็น นะครับ”

จะอะไรก็ตาม แต่ชนม์แดนไม่เคยคิดทำร้ายสกาย ตรงกันข้ามกลับรู้สึกหลากหลายกับเด็กคนนั้นในแบบที่บางทีก็ยังโกรธตัวเองที่เผลอหวั่นไหวไปกับดวงตาทรงเสน่ห์นั่น

คนตัวเล็กมองน้องชายต่างมารดาด้วยความรู้สึกผิดและอ้อนอยู่ในทีจากนั้นจึงพยักหน้าตกลง 

ดินแดนเพิ่งได้เห็นมุมอ่อนโยนของพี่ชาย ท่าทางเย่อหยิ่งถือดีหายไปเหลือแค่ความน่าเอ็นดูแบบนี้สิถึงจะเข้ากับหน้าสวยๆ


เมื่อเข้าใจกันดีแล้วทั้งคู่จึงเร่งรีบไปยังที่หมาย  ใช้เวลาไม่นานในการเดินทาง เมื่อมาถึงแต่เห็นว่ามีคนเฝ้าอยู่หน้าประตูจึงขับรถอ้อมไปเข้าทางด้านหลังของตึกซึ่งเป็นป่าไมยราบสลับกับไม้เลื้อยเกาะเกี่ยวรกหูรกตาดูน่ากลัว โดยรวมรอบด้านเป็นสถานที่ที่ไม่เหมาะแก่การพักอาศัยเพราะห่างไกลชุมชนแถมยังค่อนข้างเปลี่ยว

ตอนแรกที่คิดไว้คือจะรอจนกว่าเผ่าพงศ์เลิกประชุมแล้วให้ชนม์แดนเจรจาเพื่อยุติเรื่องราวแต่ดินแดนกลัวว่าลูกน้องของเผ่าพงศ์จะฝ่าฝืนคำสั่งเจ้านายจนทำร้ายเหยื่อจึงสรุปกันว่าจะเข้าไปช่วยเหยื่อออกมาเงียบๆ แล้วค่อยให้ชนม์แดนไปคุยกับเผ่าพงศ์นอกรอบเอาเอง

“เนี่ยนะที่เรียกว่าเซฟเฮาส์ สตูส่วนตัว” ดินแดนหันมาประชดใส่ร่างบางที่ถูกจับข้อมือให้เดินตามมาติดๆ “แบบนี้เรียกซ่องเถื่อนมากกว่า”

ร่างเล็กขืนตัวในทันทีจนอีกฝ่ายต้องหยุดเดินแล้วหันมามองเต็มตัว

“แล้วเธอมาแขวะฉันทำไม ก็เฮียเผ่าเขาเรียกแบบนี้จะให้ฉันเรียกอะไรล่ะ” ชนม์แดนทำหน้าหงิกงอ ไม่ชอบที่ถูกประชดประชันหรือตำหนิติเตียน

ไม่ชอบเป็นคนผิด ไม่ชอบ

“โอเคๆ ผมขอโทษ ไม่ว่าแล้วคร้าบบ” มือหนายกขึ้นหยิกแก้มเนียนเบาๆ ทำให้ใบหน้าสวยขึ้นสีและสะท้านสั่นทว่าพยายามเก็บกลั้นอาการอย่างหนัก

ชนม์แดนปัดมือน้องชายออก พยายามข่มความรู้สึกไม่ให้คิดเตลิดไปไกล ท่องไว้ตลอดทางที่ถูกจับข้อมือเดินมาว่านี่คือน้องซึ่งมันยากมากที่จะไม่รู้สึกเพราะเอาเข้าจริง ยิ่งอยู่ใกล้ ดินแดนก็ยิ่งดึงดูด ยิ่งเขาชอบสกินชิป ร่างกายที่อ่อนไหวก็ยิ่งมีปฏิกิริยา แต่จะให้สะบัดปัดป้องหรือบอกอะไรออกไปก็ไม่กล้า มันคงดูแย่ถ้าเขารู้ว่าร่างกายนี้ช่างไร้ศีลธรรมถึงขนาดสั่นไหวไปกับสัมผัสของผู้ที่มีสายเลือดเดียวกัน

ส่วนดินแดนนั้นกลับนึกขำที่ตอนนี้มีคนให้ต้องเอาใจเพิ่มขึ้นมาอีกคน  พี่ชายคนนี้ก็แปลก ตอนเกลียดกันทำท่ายโสจนหมั่นไส้แทบไม่อยากมองหน้า พอตอนดีกันก็อ้อนและอ่อนไหวซะจนอยากยกขึ้นหิ้งไปอีกคน

โชคชะตาไอ้ดินไม่เคยเป็นต่อใครเลยเหรอวะ ต้องเป็นเบี้ยล่างให้บรรดานายฟ้านายสวรรค์ทุกองค์เลยทีเดียว!



“เดี๋ยวผมปีนเข้าไปเอง พี่รออยู่ตรงนี้ก่อน” เมื่อเดินหาจุดที่เหมาะ ตรงนี้มีเนินดินให้ปีนข้ามกำแพงได้

“ไม่เอา ฉันกลัว” มือเรียวดึงชายเสื้อของดินแดนไว้

ร่างสูงมองสำรวจไปโดยรอบแล้วเห็นด้วยว่าไม่ควรปล่อยคนตัวเล็กไว้เพียงลำพังจึงตัดสินใจจะพาพี่ชายไปด้วย

“งั้นก็เหยียบเนินดินตรงนี้แล้วเกาะขอบกำแพงดึงตัวขึ้นไปนะ”

ขาเรียวเล็กภายใต้กางเกงสีเขียวปนเทาอ่อนๆ เหยียบขึ้นไปบนเนินดินแล้วกระย่องกระแย่งกระโดดจับขอบกำแพงไว้ได้แค่มือข้างเดียวแต่แล้วก็ปล่อย

ดินแดนมองอย่างเหนื่อยใจที่พาเคะเต็มรูปแบบมาเล่นบทบู๊ซึ่งไม่ได้เหมาะกันเลยแม้แต่น้อย

“งั้นพี่เหยียบไหล่ผมขึ้นละกัน อะ”  เขายันกำแพงแล้วขยับเข้าไปชิดเพื่อใช้แทนบันไดขึ้นไปจนอีกฝ่ายสามารถขึ้นไปนั่งบนขอบกำแพงได้สำเร็จ “เห็นตัวบางๆ ก็หนักเหมือนกันว่ะ”

“เห็นแบบนี้ก็ผู้ชายนะ” ชนม์แดนค้อนใส่จนอีกฝ่ายอดขำไม่ได้

“จ้าๆ ผู้ช้ายผู้ชาย ถ้าไม่มีไอ้นั่นก็ประกวดมีสทีนไทยแลนด์ได้ละ” ร่างสูงทำท่าจะปีนขึ้นแต่ถูกขาเรียวแกว่งเสยจนเกือบโดนหน้าถ้าหลบไม่ทัน “เฮ้ย ทำอะไรเนี่ย ตีนพี่เกือบโดนหน้าผมแล้วนะ”

“แค่อยากเตะหมาในปากเธอซักตัวสองตัว เสียดายที่ไม่โดน” ร่างเล็กเบะปากกเชิดหน้ามองอย่างท้าทาย

“เดี๋ยวพ่อจับหมกป่าไมยราบซะเลย” ว่าแล้วก็ดึงตัวขึ้นมายืนบนกำแพงแล้วกระโดดลงไปอีกฝั่งก่อนจะอ้าแขนเพื่อรอรับอีกคนที่ค่อยๆ กลับตัวหันมาอีกฝั่งได้อย่างทุลักทุเล

ร่างบางลังเลเล็กน้อยแต่พอเห็นว่าดินแดนตั้งท่ารออย่างมั่นคงจึงตัดสินใจกระโดดลงไปหา

“อึ่ก! อืม หนักจริงๆ นะ” ร่างสูงบ่นเพราะตอนนี้ถูกทับเนื่องจากเสียหลักหงายเก๋งไม่เป็นท่า

“อ่อนหัด”  ชนม์แดนเหน็บเจ็บๆ ลุกขึ้นปัดเศษฝุ่นออกจากตัวแล้วเดินนำไป

ดินแดนมองตามแผ่นหลังเล็กนั้นไปแล้วส่ายหัว

ทั้งๆ ที่ตัวเองหลับตาปี๋ซะขนาดนั้นยังทำมาเป็นข่มคนอื่น เฮ้อ ไอ้พี่ดอทเอ้ย


คล้อยหลังแค่ไม่กี่ก้าว ดินแดนวิ่งตามมาคว้าข้อมือของพี่ชายให้วิ่งตามไปหลบหลังพุ่มไม้ เพียงครู่เดียวก็มีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำแว่นตาดำเดินมาหยุดมองซ้ายมองขวาแล้วคุยกัน

“เสียงนกเสียงหนูมั้งพี่ ลึกลับขนาดนี้คงไม่มีใครมาตามหาหรอก ที่ผ่านมากี่รายๆ ก็ไม่เคยรอดมือเจ้านาย คราวนี้ควงสองก็คงไม่รอดเหมือนกัน ไม่รู้ว่าคราวนี้นายจะใจดีให้พวกเราต่อเหมือนคราวก่อนมั้ย นึกแล้วเปรี้ยวปากว่ะ ไอ้คนนึงนี่หล่อกว่าพระเอกหนังอีก น่าลองสุดๆ”

“กูก็ลุ้นอยู่เหมือนกัน หล่อขนาดนั้นถ้าได้ลองคงเหมือนขึ้นสวรรค์” แล้วสมุนทั้งสองคนก็หัวเราะใส่กันอย่างอารมณ์ดี

ใบหน้าของดินแดนเขม็งเกรียวขึ้นและทำท่าจะพุ่งตัวออกไปแต่ถูกรั้งเอาไว้ด้วยมือเล็กๆ เสียก่อน

“ใจเย็นหน่อยได้ไหม แทนที่จะช่วยได้ก็จะโดนจับไปอีกคน” ชนม์แดนกระซิบเสียงดุ “เหยื่อที่เฮียให้ลูกน้องใช้ต่อ เป็นพวกที่สมัครใจเองเพราะเฮียจะจ้างด้วยเงินถ้าไม่ยอมก็ไม่โดนหรอก ส่วนไอ้พวกนี้เป็นพวกที่ถูกจ้างแบบเฉพาะกิจ ปกติจะมีแค่สองคนที่ตามประกบ แสดงว่าครั้งนี้เฮียเผ่าเตรียมตั้งรับอย่างดีเพราะคงกลัวเธอจะมาป่วน”

ดินแดนข่มตาพยายามตั้งสติให้เย็นลงจนชายชุดดำทั้งสองคนเดินจากไป

“ไปเถอะพี่ ผมกลัวคนของผมเป็นอะไรไป”

ชนม์แดนพยักหน้าแล้วดึงร่างสูงไปอีกทางที่ดูจะปลอดภัยกว่าทางนั้น ทั้งคู่ลัดเลาะไปตามทางลัดเพื่อขึ้นบนตึก ร่างเล็กมองไปรอบๆ ไม่เห็นรถของเผ่าพงศ์ซึ่งแบบนี้มันดีที่สุดที่จะไม่ต้องปะทะกันโดยตรง 

“ชั้นห้าเลยนะพี่” ดินแดนบ่นเมื่ออีกฝ่ายพาเดินขึ้นบันไดแทนที่จะขึ้นลิฟท์

“ก็ชั้นห้าน่ะสิ ดีกว่าขึ้นลิฟท์ให้มันจับได้ก็แล้วกัน”   

ดินแดนจำเป็นต้องยอมลงให้กับความดุของอีกฝ่าย เป็นคนดุที่มีใบหน้าสวย และเป็นคนตัวเล็กที่มีออร่าข่มคนรอบข้างได้อย่างไม่น่าเชื่อ


เมื่อขึ้นมาที่ชั้นห้า ทั้งชั้นมีเพียงห้องขนาดใหญ่เพียงห้องเดียวที่ตั้งอยู่ตรงกลาง มีกำแพงสี่ทิศล้อมรอบและมีประตูเข้าออกแค่บานเดียว ส่วนบริเวณรอบด้านจะเป็นพื้นที่โล่งทั้งหมด 

พอได้เห็นประตูเจ้ากรรมบานนี้หน้าก็ร้อนขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“พี่มีกุญแจไหม” ดินแดนถาม

“ไม่มีหรอก เคยขึ้นมาครั้งสองครั้งตดอนคบกันใหม่ๆ” ร่างเล็กหลบตา

“เสียซิงที่นี่เหรอ” ดินแดนใช้ไหล่กระแทกร่างเล็กเป็นเชิงแซว

“สามวันสามคืนไม่ได้ออกจากห้อง นึกถึงวันนั้นแล้วยังใจสั่นอยู่เลย” ใบหน้าสวยขึ้นสีระเรื่อ

“ใจสั่นนี่คือดีหรือแย่ล่ะ” 

“มันก็พูดยากนะ ถามว่าดีไหม ก็ดีจนลืมไม่ได้” ชนม์แดนลังเลเล็กน้อยแต่ก็พูดต่อ “ต้องทนอยู่ทุกวันนี้ ถึงไม่รู้ว่ามันคุ้มไหมแต่ก็ไม่คิดว่าจะมีใครทำให้ได้เท่าเฮียเผ่าและไม่อยากเปลี่ยนหรือมั่วไปเรื่อย แต่ถามว่าอยากให้มันเกิดขึ้นไหม ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงไม่ทำแน่”

รู้สึกโล่งใจที่ได้บอกเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครได้ฟังบ้าง อาจจะดีกันได้ไม่กี่ชั่วโมงแต่ด้วยออร่าของดินแดน พอเขาเลิกกวนและดูเหมือนจะยอมตามใจทุกอย่างก็ทำให้รู้สึกสนิทใจมากขึ้นเป็นลำดับ

ดินแดนกลืนน้ำลายลงคอแล้วนิ่งไปเหมือนกำลังจินตนาการว่าเผ่าพงศ์ทำอะไรให้ชนม์แดนถึงได้ติดใจจนถอนตัวไม่ขึ้น 

“ผมลองทำให้พี่ไหมเผื่อจะได้รู้ว่าผู้ชายเก่งๆ มีอยู่เกลื่อนโลก”
เพี๊ยะ!
ไหล่หนาถูกตีเต็มแรง

“พูดจาเรื่อยเปื่อย” ถึงจะต่อว่าแต่ใบหน้าสวยขึ้นสีแดงลามไปจนถึงใบหู

“น่ารักว่ะ” ดินแดนหยิกแก้มสีตำลึงสุกอย่างนึกเอ็นดู “เขินจนหูแดง ฮ่าๆๆ”

เพี๊ยะ!
โดนตีไปอีกรอบตามระเบียบ

“หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ยังจะเล่นอยู่ได้” ชนม์แดนปรามเสียงดุ

“ก็พี่บอกว่ารถมันไม่อยู่ก็ไม่ต้องรีบมากก็ได้” ร่างสูงลูบไหล่ตัวเองเพราะรู้สึกเจ็บเบาๆ มือเล็กแค่นั้นไม่ใช่ตีแล้วจะไม่เจ็บ กลับกันคือมือหนักเอาเรื่องเลยทีเดียว “งั้นเอาไงดี เข้าไปเคาะหรือพังเข้าไป”

“เคาะไปก็เท่านั้น ถ้าจะพังคงต้องใช้ระเบิด ห้องนี้ต้องมีกุญแจถึงจะเปิดได้ทั้งจากด้านในและด้านนอก ถ้าคนในนั้นมีกุญแจก็คงหนีออกไปแล้วล่ะ”   

“งั้นเราทำไงดี” ดินแดนมองไปรอบๆ พยายามหาหนทางที่ดีที่สุด

“รอจนกว่าเฮียจะมาแล้วบุกเข้าไปตอนกำลังไขกุญแจ” ชนม์แดนสรุป ตอนแรกคิดจะไม่ปะทะแต่ลืมนึกถึงประตูบานนี้ที่ตนเคยเสียท่ามาแล้วในครั้งนั้นก็เพราะออกไม่ได้นี่แหละ

“งั้นผมขอลองขึ้นไปดูบนดาดฟ้านะ พี่เฝ้าอยู่ตรงนี้ถ้าได้ยินเสียงลิฟท์ขึ้นมาก็รีบแอบหลังห้องไปก่อน”

“ระวังตัวนะ” ร่างเล็กเตือน ร่างสูงพยักแล้วรีบวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้า

“เฮ้อ.. ทำไมเรื่องมันบานปลายถึงขนาดนี้นะ” ร่างเล็กบ่นกับตัวเองแล้วมองไปที่ห้องเจ้าปัญหา หวังว่าเผ่าพงศ์คงเข้าใจที่ตนต้องทำแบบนี้เพราะถ้าเสี่ยงเจรจา ความเสียเปรียบจะตกอยู่ที่ดินแดนทันทีเพราะบุกเดี่ยวเข้ามาถ้าหากเผ่าพงศ์ยอมรับฟังแต่โดยดีก็คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่ยอมขึ้นมาก็คงจะสั่งลูกน้องให้รุมจัดการซึ่งเหตุการณ์มันจะแย่ขึ้นไปอีก

ขอโทษนะเฮีย ดอทไม่มีทางเลือกจริงๆ


“มันมาแล้วพี่ ดูท่าจะหลายคนนะ” ดินแดนวิ่งลงมารายงาน

“เป็นไงเป็นกัน เฮียเผ่าคงไม่ทำอะไรฉันหรอก” ใบหน้าสวยถอดสีเล็กน้อยแล้วหายใจเข้าลึกเพื่อให้กำลังใจตัวเอง

ทั้งคู่พยักหน้าให้กันแล้วไปหลบอยู่ที่เชิงบันไดรอจนลิฟท์เปิดและสองร่างก้าวออกมา 

“ลงไปคุมเชิงอยู่ข้างล่าง กูไม่ไว้ใจไอ้ห่าดินนั่น” เผ่าพงศ์สั่งจบ ลูกน้องก็ผลุบหายเข้าไปในลิฟท์ทันที

“ไปพี่” ดินแดนเอ่ยชวน แล้วพากันย่องขึ้นไปช้าๆ เมื่อเห็นว่าเผ่าพงศ์ไขกุญแจเรียบร้อยแล้วจึงวิ่งเข้าชาร์ตเต็มแรงจนร่างเขากระเด็นไปหลายเมตร 

ชนม์แดนยืนอึ้งกับภาพที่เห็น ไม่คิดว่าจะรุนแรงถึงขั้นนี้  ดินแดนเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับปีศาจ เมื่อเห็นว่าเผ่าพงศ์ล้มลงก็วิ่งเข้าไปซ้ำอีกหลายหมัดจนสะบักสะบอม 

“พอ! พอแล้ว! อย่าทำเฮีย!” เมื่อได้สติ ร่างเล็กรีบเข้าไปกระชากแขนน้องชายเอาไว้ จากนั้นจึงใช้ตัวบังร่างคนรักที่กำลังพยุงตัวลุกขึ้นมา “ทำไมต้องทำรุนแรงแบบนี้ บ้าที่สุดเลย!” น้ำตาเอ่อคลอดวงตาคู่สวยเพราะรู้สึกเสียใจที่เป็นต้นเหตุให้คนรักถูกทำร้ายแบบนี้

“ขอโทษทีผมลืมตัวไปหน่อย” ดินแดนบอกเสียงอ่อยแล้วลูบหลังพี่ชายเบาๆ “งั้นขอมัดก็แล้วกันนะ เบื่อหนังไทยที่ชอบปล่อยให้คนร้ายลุกมาสู้ได้อีก รำคาญ” ว่าแล้วก็ลากเผ่าพงศ์ที่กำลังมึนหมัดเข้าไปในห้อง

ชนม์แดนหน้าซีดเผือด ไม่กล้าห้ามเพราะถ้าไม่มัดแล้วเผ่าพงศ์เกิดสู้ขึ้นมาก็คงจะโดนอัดเอาอีก ครั้งก่อนมีลูกน้องช่วยตั้งหลายคนแต่ยังสะบักสะบอมขนาดนั้น คราวนี้ตัวต่อตัวมีหวังเละเป็นโจ๊กแน่ๆ

ร่างเล็กตามเข้าห้องแล้วล็อคด้วยกุญแจที่ยังคาอยู่ที่ประตูก่อนจะหย่อนลงประเป๋ากางเกงอย่างรอบคอบ

เผ่าพงศ์ได้แต่สะบัดหน้าไล่ความมึนงง เขายังจับต้นชนปลายยังไม่ถูกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กว่าจะได้สติก็ถูกมัดมือมัดเท้าไว้อย่างแน่นหนา

“ไอ้ดินแดน!” เสียงเรียกเกรี้ยวกราดของเผ่าพงศ์ทำให้ชนม์แดนสะดุ้งและมองอย่างรู้สึกผิด

แต่ดินแดนกลับไม่สนใจเพราะตอนนี้มีสองร่างที่สลบสไลไม่ได้สติรออยู่

“พี่ดอทเอาผ้าชุบน้ำให้หน่อยครับ” ร่างสูงรีบเข้าไปช้อนร่างเด็กหนุ่มคนหนึ่งขึ้นแล้วตบหน้าเบาๆ เมื่อเห็นว่าไม่รู้สึกตัวแน่ๆ ก็วางลงแล้วไปดูสกายที่ดูเหมือนจะสะลึมสะลืออยู่แต่ยังไม่ลืมตา

“สกายๆ มึงโอเคไหม” ดินแดนยกร่างสกายให้ลุกนั่งพิงหัวเตียง

“ดอทหักหลังเฮียทำไม” เผ่าพงศ์ตัดพ้อเมื่อเห็นคนรักนำผ้าชุบน้ำไปให้ดินแดน

“ด..ดอท ดอทไม่ได้หักหลังนะเฮีย ดอทไม่เคยขัดถ้าเฮียต้องการสกายแต่ดอทอยากให้สกายยินยอมเองไม่ใช่การมอมยาอะไรแบบนี้” ร่างเล็กเข้าไปใกล้อย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะมีเปอร์เซ็นต์สูงที่คนรักอาจจะหัวร้อนจนถูกทำร้ายเอาได้

“แค่กๆๆ” สกายสำลักน้ำที่ดินแดนป้อนแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น

“ผมอยู่ไหน” 

“มึงโดนลักพาตัวมา” ดินแดนตอบแล้วเช็ดหน้าเช็ดตาให้อีก สกายส่ายหัวพยายามทบทวนความจำ

“ผมจำได้แล้ว ลุงคนขับรถตู้บอกว่าคุณดอทให้ไปถ่ายงานด่วนแล้วพอขึ้นรถตู้ก็มีคนอยู่ข้างหลังเอาผ้ามาโปะจมูกแล้วผมก็หลับๆ ตื่นๆ รู้สึกว่าถูกหามขึ้นลิฟท์แต่จำไม่ได้เลยว่าที่ไหนยังไงบ้าง อ๊ะ แล้วนั่นไอ้จ้าวนี่”  สกายคลานไปหาเด็กหนุ่มที่นอนสลบไสลอยู่กลางเตียง  “จ้าว ข้าวจ้าว ไอ้จ้าวมึงฟื้นสิจ้าว” 


“มึงไม่ต้องเวอร์ขนาดนั้นได้ปะ มันแค่สลบไม่ได้ตาย” ดินแดนเหล่มองร่างที่ไม่ได้สติแล้วเดินเข้าไปใกล้ “เชี่ยนี่ก็ไม่ฟื้นซะที กูบอกไอ้บั๊คแล้วนะว่าห้ามมึงรับงานอะไรแต่ไอ้ห่าขี้ดื้อนี่ต้องโกหกผัวมันว่ามาทำงานให้มหาลัยแน่ กูรู้นะไอ้กาก มึงตื่นมาฟังกูด่าเดี๋ยวนี้เลยนะ!”  ปากก็บ่นไปแล้วจบด้วยการถีบขาคนสลบ

“นี่คุณ!” สกายฟาดขาดินแดนแล้วเอาตัวบังไว้ “มันสลบอยู่จะทำมันทำไมเนี่ย”

“ก็มันสลบอยู่น่ะสิถึงได้ทำ ถ้ามันตื่นกูจะกล้าไหม” ดินแดนก็คือดินแดน เขากวนประสาทแถมยังดูกวนมากขึ้นในตอนนี้เพราะน่าจะหึงสกายกับเด็กที่ชื่อข้าวจ้าว

“ฮ่าๆๆๆ” อยู่ดีดีก็มีเสียงหัวเราะขัดขึ้น ทุกคนจึงหันไปมองต้นเสียงที่กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่าๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ”

“ญาติมึงเสียเหรอ” ดินแดนทำหน้าเอาเรื่อง


ต่อ..

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
“ฮ่าๆๆๆๆ” เผ่าพงศ์ยังคงหัวเราะต่อเนื่องโดยมีชนม์แดนเก้ๆ กังๆ อยู่ใกล้ๆ คิดว่าจะทำอย่างไรดี

แต่พอดินแดนเดินอาดๆ เข้ามาแล้วง้างมือขึ้นเท่านั้นแหละ

เพี๊ยะ!!

“บอกว่าอย่าทำเฮีย!”  คนเป็นน้องนิ่วหน้าเพราะถูกตบหลังดังเพี๊ยะ ร่างสูงหันมาจะเอาเรื่องพี่ชายแต่พอเห็นหน้าดุๆ ก็กลายเป็นไม่กล้าหือขึ้นมา

“นี่น้องนะ” เขาทำหน้างอ  ในเมื่อเอาเรื่องไม่ได้ก็เปลี่ยนเป็นทวงสิทธิ์สายเลือด “เพิ่งจะดีกันเมื่อกี้เองนะ แทนที่จะเข้าข้างน้องนุ่งมั่ง” มือหนาลากแขนเล็กให้ออกห่างจากเผ่าพงศ์ 

“ก็เธอชอบใช้กำลัง” 

“โอเคๆ ไม่ใช้กำลังก็ได้แต่ไม่ต้องไปใกล้มันนะ อย่างน้อยก็ในระหว่างที่อยู่ต่อหน้าผม” ดินแดนกดไหล่บางลงเพื่อบังคับให้นั่งที่เตียง  “แล้วมึงอะ มึงหัวเราะทำไม” 

“กูเพิ่งรู้ว่าพวกมึงแม่งมั่วกว่าที่กูคิดไว้ซะอีก” เผ่าพงศ์ยิ้มเยาะ

“มั่วยังไง” ดินแดนเท้าสะเอวมองอย่างเอาเรื่อง 

“ตอนแรกนึกว่ามึงกับไอ้เด็กนั่นเป็นชู้กันแค่สองคน ที่ไหนได้ สกายก็เป็นชู้กับมันกลายเป็นสามคนผัวเมีย ฮ่าๆๆๆ”

“พูดภาษามนุษย์กับเขาเป็นไหม หรือนิสัยเหี้ยจนลามมาที่คำพูดด้วย โอ๊ย!” จำเป็นต้องร้องเพราะถูกหยิกแขน “ก็มันกวนตีนผมอะ”

“มึงกับไอ้เด็กนั่นจูบกันในลิฟท์  ส่วนสกายก็มีใจให้มันและคงมีอะไรมากกว่าที่เห็นแน่” 

จากนั้นบรรยากาศของการช่วยเหลือก็กระอักกระอ่วนเพราะรักสามเส้า แต่คนอย่างดินแดนถึงจะหึงก็หึงแบบกวนประสาท เขาไม่ได้พูดออกมาว่าหึงแต่แสดงออกแบบยั่วโมโหเสียมากกว่า

ผ่านไปไม่นานเด็กหนุ่มที่นอนสลบไสลก็ตื่นขึ้น

“ที่นี่ที่ไหนอะ” ข้าวจ้าวมองไปรอบๆ เริ่มจำหน้าคนนั้นคนนี้ได้ “อ้าวไอ้กาย พี่ดิน แล้วก็พี่คนสวยนั่นมาทำอะไร อ้าวนั่น มีคิงคองโดนมัดอยู่ตรงนั้นด้วย เฮ้ย! บอกว่าจะพามาถ่ายแบบ ทำไมกลายเป็นถ่ายหนังวะ เฮ้ย! นี่หนังอะไรมีเตียงด้วย พวกมึงพากูมาถ่ายหนังเอ็กส์เหรอ ไม่นะ! กูยังไม่ได้แว๊กส์ขนตูดเลย โอ้วม่ายยย จะถ่ายAVทั้งทีก็บอกให้กูประทินผิวก่อนเซ่ หลอกมาถ่ายแบบนี้ได้ไง มึงคิดว่ากูจะอายคนอื่นมั้ยถ้าภาพออกไปว่ากูมีขนมีสิวเพียบขนาดนี้น่ะ”

ผั่วะ!!

“โอ๊ยไอ้ห่าพี่ดิน! มึงตบหัวกูทำไมเนี่ย!!” เด็กประหลาดร้องลั่น

คงต้องเรียกว่าเด็กประหลาดเพราะชนม์แดนไม่เคยเจอใครที่ดูล้นและเกรียนได้ถึงขนาดนี้ สถานการณ์ไม่ปกติแถมตัวเองยังสลบเพิ่งฟื้นแทนที่จะกลัวแต่กลับห่วงกลัวคนจะเห็นว่ามีขน

เด็กคนนี้มาจากดาวดวงไหนกัน?

“ขอจัดซักทีเน้นๆ มึงนี่มันเรื้อนไม่รู้เวล่ำเวลา โดนหลอกมาขนาดนี้ โดนโปะยาสลบขนาดนี้ยังมีหน้ามาคิดฟุ้งซ่านกลัวคนเห็นขนตูด มึงนี่มันมนุษย์โลกไหนห้ะ!” ดินแดนโยนผ้าขนหนูใส่หน้า

“มึงไหวมั้ยจ้าว” สกายรีบถลาเข้าไปลูบหลังลูบไหล่ดูห่วงใยเกินกว่าคำว่าเพื่อน

“กูโดนหลอกมาทำมิดีมิร้ายเหรอวะ” ข้าวจ้าวหันไปถามสกาย

“ใช่ ไอ้ที่โดนมัดอยู่นั่นน่ะที่หลอกพวกเรามา แล้วตอนนี้ก็ต้องรีบหนีด้วย” สกายส่งเสียงอบอุ่นห่วงใย

ชนม์แดนมองอย่างนึกทึ่ง ไม่เคยเห็นสกายในบุคลิกแบบนี้มาก่อน เด็กข้าวจ้าวคงเป็นคนสำคัญมากๆ ถึงได้ละลายน้ำแข็งในใจของสกายลงได้ แต่ที่น่าขำคือดินแดนที่ทำหน้าบูดหน้าบึ้งมองดูสองคนห่วงใยกัน

“ฟื้นแล้วก็รีบไปกันเถอะ” ชนม์แดนตัดสินใจเอ่ยขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาคนรัก คุกเข่าลงตรงหน้าด้วยความรู้สึกผิดและเป็นห่วง “ดอทขอโทษนะเฮีย เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ อดทนอีกนิดนะเดี๋ยวเด็กพวกนี้ไปแล้วดอทจะแก้มัดให้” มือเรียวลูบปลอบไปตามใบหน้าสีเข้มด้วยความอ่อนโยนแต่เผ่าพงศ์กลับหันหนี

“พี่ดอทไปด้วยกันกับพวกเราดีกว่า ตอนนี้มันกำลังโมโหพอดีพอร้ายเดี๋ยวโดนมันทำร้ายเอา” ดินแดนบอก

ใบหน้าสวยซีดไปเล็กน้อยแล้วอ้อมแอ้มเหมือนจะตัดพ้อกับคนตรงหน้า

“ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรนี่”

“นี่มึงตบตีพี่กูเหรอ ห้ะ ไอ้หน้าดำ!” ดินแดนชี้หน้าเดินอาดๆ เข้ามาแต่ถูกพี่ชายลุกขึ้นขวางไว้ทั้งตัวแต่คราวนี้เขาไม่ยอมอย่างเคย มือหนาจับไหล่บางให้หันไปหาเผ่าพงศ์แล้วเข่นเขี้ยวใส่ “มึงดูหน้าพี่กูสิ น่ารักขนาดนี้ ตัวบางขนาดนี้มึงยังลงมือลงไม้ได้ลงคออีกเหรอ เชี่ยเอ้ย!!” พยายามจะเข้าไปอัดให้หายแค้นแต่ชนม์แดนรีบหันกลับมากอดเอาไว้แน่น

“พอแล้วดิน ใจเย็นๆ ก่อน”  ร่างเล็กพยายามกล่อม จะไม่ยอมให้คนรักถูกทำร้ายอีกแล้ว “งั้นเดี๋ยวฉันจะไปกับพวกเธอก็แล้วกันจะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง”

ดินแดนหอบหายใจหนักๆ พยายามข่มอารมณ์โกรธเกลียดที่มีต่อเผ่าพงศ์เอาไว้เพราะเห็นแก่อ้อมกอดแรกของพี่ชาย ถึงจะได้มาเพราะต้องการปกป้องคนเลวแต่มันก็คือสัมผัสแรกที่เขาได้รับ

“งั้นให้เวลาร่ำลาหนึ่งนาที” เขาดึงแขนเล็กออกจากเอวแล้วพลิกร่างบางให้หันไปหาเผ่าพงศ์อีกครั้ง

“ถ้าหมดเรื่องนี้แล้วเราค่อยมาคุยกันเรื่องของเราอีกทีนะครับ”  ชนม์แดนพยายามจะเดินเข้าไปหาแต่ถูกมือหนารั้งแขนไว้ไม่ให้เข้าไปใกล้มากเกินไป

“ถ้ารักคนอื่นมากกว่า เราก็ไม่จำเป็นต้องคุยกันอีก” น้ำเสียงตัดพ้อและแววตารวดร้าวส่งผลให้ก้อนสะอื้นจุกขึ้นที่กลางอก  ใบหน้าสวยสลดลง น้ำตาเริ่มปริ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“ดอททำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อเฮียนะ ถ้าปล่อยให้เฮียทำอะไรเด็กสองคนนั้นจริงๆ ต้องโดนเอาเรื่องเอาราวใหญ่โตแน่ เลิกล้มความตั้งใจนี้เถอะ เฮียจะทิ้งดอทก็ได้แต่อย่าทำอะไรแบบนี้อีกเลย นะครับ” ชนม์แดนเกลี้ยกล้อมแต่อีกฝ่ายกัดฟันแน่นสะบัดหน้าหนี

“ไปเถอะพี่ บัวใต้ตมอย่างมันไม่รู้สำนึกผิดบาปอะไรหรอก” ดินแดนชักชวนและพยายามพาร่างเล็กให้เดินออกจากห้อง แต่กว่าจะสำเร็จก็ต้องรออยู่หลายอึดใจ 

“กูเอาคืนพวกมึงแน่!” เผ่าพงศ์ขู่อาฆาต และนี่เป็นเหมือนเชื้อเพลิงที่สาดกระเซ็นลงไปในไฟที่ใกล้มอด

ดินแดนดันร่างเล็กออกไปแล้วพุ่งเข้าไปถีบแข้งเตะขาเผ่าพงศ์รัวๆ

“เอาคืนเหรอมึง นี่แน่ะๆ นี่ๆ โอ๊ย!!” กำลังเตะเพลินๆ ก็โดนบิดสีข้างจนต้องร้องลั่น “ผมเจ็บนะพี่ดอท” เปิดเสื้อขึ้นดูก็เห็นเป็นรอยแดง “พรุ่งนี้ผมจะฟ้องป๋า” โดนคาดโทษแต่ชนม์แดนกลับตีหน้ายักษ์ใส่

“ชอบรังแกคนไม่มีทางสู้นัก โดนซะบ้างจะได้รู้ว่าเจ็บยังไง” ใบหน้าสวยขู่ฟ่อๆ  “ยังจะทำหน้าทะเล้นอีก ไปได้แล้ว”  มือบางคว้าข้อมือของน้องชายให้เดินตาม

“แต่เอาจริงนะ ผมว่าตบมันให้สลบก่อนดีมั้ยจะได้ไม่ตามมาขวาง” ดินแดนยืนลังเลอยู่หน้าประตู

“ยังจะดื้ออีก รีบไปได้แล้ว”

“ไอ้จ้าวพาเพื่อนมึงตามมาสิ” ดินแดนหันไปสั่งเด็กข้าวจ้าวแต่ไม่เอ่ยชื่อสกาย  ชนม์แดนแอบส่ายหัวกับสงครามประสาทแบบติงต๊องของเขา

“ทำไมไม่บอกกันเองวะ” คนกลางอย่างข้าวจ้าวถึงกับบ่นอุบ แต่ไม่มีใครสนใจจะตอบ

“พวกมึงหนีไม่พ้นหรอก” กำลังจะพ้นออกจากประตู เผ่าพงศ์ก็ตะโกนตามหลัง

ด้วยความเร็วประดุจปีศาจ ดินแดนปราดเข้าไปหยิบผ้าขนหนูเปียกชื้นที่ผ่านการใช้งานแล้วเอาไปยัดปากเผ่าพงศ์

“ปากมากจริงนะมึง แดกขี้ไคลไอ้จ้าวซะ!”

เพี๊ยะ!

“อย่าทำเฮีย” 

“ถามจริงเหอะ พี่แกล้งแฝงตัวเข้ามาเป็นพวกแล้วหลอกทำร้ายผมปะเนี่ย” เขาบีบมือเล็กแล้วทำท่าจะบิดแบบฝืนธรรมชาติ “ตีมากๆ เดี๋ยวก็หักมือซะเลย”

ตั้งแต่การสวมกอดจนถึงการจับมือในตอนนี้ ดินแดนเริ่มผิดสังเกตมากขึ้นกับร่างกายที่สั่นสะท้านของชนม์แดน

พี่ดอทเป็นอะไร?


“ก็ลองดูสิ” ใบหน้าสวยเชิดขึ้นท้าทายและแกล้งเนียนดึงมือออกมา

“เห็นแก่หน้าสวยๆ จะยอมให้อีกรอบ ถ้าตีผมเพราะปกป้องไอ้เลวนี่อีกทีนะ ผมจะ..จะ”

“จะอะไร” ร่างเล็กขู่ฟ่อ “คราวนี้ถ้าตอบเหมือนคราวก่อนจะโดนต่อยปากแน่”

“คราวก่อน? คราวไหน?” ดินแดนเอียงหน้าถามอย่างไม่เข้าใจ

“ไม่มีอะไรหรอก ตกลงเธอจะทำอะไรฉัน” ชนม์แดนบอกปัด รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเลยในตอนนี้

“จะ..จะฟ้องป๋า” 

ร่างเล็กเบ้ปากใส่ แต่ลึกๆ ก็โล่งใจที่ดูเหมือนว่าดินแดนจะไม่ระแคะระคายหรือจดจำอะไรในคืนนั้นได้ ก็ดีเหมือนกันถ้าเขารู้ว่าขู่จะปล้ำพี่ชายตัวเองอาจจะรู้สึกผิดก็ได้



จากนั้นทุกคนก็ย่องตามกันลงมาทางบันไดจนถึงชั้นสอง  แต่ยังไม่ทันไรเสียงสัญญาณกันขโมยของตึกก็ดังขึ้น

“ฉิบหายแล้ว มีสัญญาณกันขโมยอยู่ในห้องแน่ เห็นมั้ยบอกให้ตบมันสลบก่อนออกมาก็ไม่เชื่อ” ดินแดนหันไปโวยใส่พี่ชาย

“มัวแต่บ่นอยู่ได้ รีบวิ่งเถอะก่อนที่จะโดนจับได้”

“ตามมาเร็วๆ เห็นอะไรเป็นอาวุธได้ก็หยิบเลย แล้วก็ระวังด้วยเผื่อพวกมันมีปืน” ดินแดนนำทางพรรคพวกย่องออกมาจากทางเดิมแต่ไม่ทันการณ์เพราะลูกน้องเผ่าพงศ์ตามมาเจอเข้าจนได้

“เฮ้ยนั่น! จับให้หมดทุกคนเลย แล้วพวกมึงสามคนขึ้นไปดูนาย เร็ว!”

“วู้ๆๆ”  ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนก ส่วนดินแดนก็กำลังใช้ความคิด สายตาทุกคู่ก็ต้องหันไปตามเสียงแปลกประหลาดจากเด็กข้าวจ้าวที่ทำท่าทำเสียงเลียนแบบบรูซลี

“มึงน่ะตายตัวแรกเลยไอ้จ้าว” ดินแดนเดินเข้าไปสับท้ายทอยของเด็กประหลาดด้วยท่าทางหมั่นไส้ และเมื่อห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะเถียงจึงสั่งเฉียบขาด  “มึงมีหน้าที่แค่หลบให้ดีอย่าเกะกะกูก็พอ  สกายพาสองคนนี้ไปก่อน พยายามอย่าปะทะกับใคร เดี๋ยวกูตามไป”

สกายพยักหน้าทำตามอย่างว่าง่าย ปกติที่ดูเป็นไม้เบื่อไม้เมากับดินแดนแต่พอเข้าโหมดจริงจังแบบนี้ ทั้งคู่ก็ดูจะเข้าขาและเข้าใจกันได้ดีทีเดียว 

“ไปครับ” สกายหันมาทางชนม์แดนแล้วดันหลังข้าวจ้าวพร้อมกับออกวิ่ง


“จะไปไหน อยู่สู้กับกูก่อน” ได้ยินเสียงดินแดนสกัดลูกน้องของเผ่าพงศ์ไว้ เขาโดดเข้าวขวางไว้ทั้งตัว

“ไอ้ห่านี่ที่อัดนายคราวก่อนไงพี่สิงห์”

“งั้นเอามันให้หมอบเลย แต่อย่าให้ตายนะเก็บไว้ให้นายแก้แค้นอีกที” 

ได้ยินแค่นั้นก็เริ่มใจเสียเพราะเป็นห่วงน้องชาย กำลังพะว้าพะวงและหยุดวิ่งแต่ถูกสกายรุนหลังให้เดินหน้าต่อ

“ดินแดนไม่ใช่แค่ปีศาจ แต่ปีศาจเรียกเขาว่าพ่อ คุณไม่ต้องห่วง เขาเอาตัวรอดได้แน่นอน”  ทั้งน้ำเสียงและใบหน้าที่ดูเชื่อมั่นของสกายยามนี้ช่างน่ามอง แววตาที่เคยเศร้าลึกโดดเดี่ยวดูมีความหวังและศรัทธาอยู่ในนั้นซึ่งชนม์แดนได้เห็นเช่นนี้แล้วถึงกับยิ้มในสีหน้าด้วยความโล่งใจ

ฉันดีใจที่เห็นเธอได้พบเจอกับแหล่งพลังงานแห่งความสุขเสียที และฉันก็เชื่ออย่างที่เธอเชื่อว่าดินแดนจะเอาตัวรอดแถมยังจะช่วยพวกเธอให้รอดไปได้แน่นอน



ทางด้านดินแดนที่ตอนนี้จัดการสองคนเสร็จไปแล้ว แต่ได้ยินเสียงหลายฝีเท้าวิ่งกรูใกล้เข้ามาจึงต้องรีบเผ่น

“มันไปทางนั้นแล้ว พวกมึงรีบตามไป”

“นายกำลังลงมานะพี่สิงห์” ลูกน้องคนหนึ่งรายงาน “นายสั่งให้ระวังคุณดอทด้วย”

“เออๆ งั้นพวกมึงระวังคุณดอทด้วยอย่าให้โดนลูกหลง ส่วนกูจะรอนายอยู่ตรงนี้ แล้วอย่าให้พวกมันหนีไปได้นะ” 

ดินแดนหันไปมองแว้บหนึ่ง เห็นได้ว่าไม่ต่ำว่า 7 คนจึงสับขาเร็วกว่านรก  พอวิ่งมาใกล้ถึงกำแพงก็ได้เห็นสกายกำลังใช้ไม้ฟาดสมุนคนหนึ่งอยู่ ส่วนข้าวจ้าวกำลังช่วยชนม์แดนไม่ให้โดนจับตัวด้วยการ..

ใช้ไม้กระทุ้งตูดคู่ต่อสู้..

ถึงจะขำแต่ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานก็ต้องสงบใจไว้ ข้าวจ้าวถึงจะสู้ไม่เป็นแต่ว่องไวและฉลาดเป็นกรดจึงเอาตัวรอดได้ไม่ยาก

“สกายระวัง!” ดินแดนร้องเตือนเมื่ออยู่ๆ มีหนึ่งคนโผล่เข้ามาทางด้านหลังของสกาย เมื่อสกายได้ยินก็หันมองแล้วหลบไม้ได้อย่างหวุดหวิด

ดินแดนพุ่งเข้าไปทันทีและกระโดดเข่าลอยใส่จนล้มลง แต่ไม่จบแค่นั้น เขาตามกระทืบซ้ำจนศัตรูสลบไป

“โทษฐานที่คิดจะทำร้ายเมียกู!” เขาถุยน้ำลายลงพื้นเมื่อรู้สึกว่าเลือดเต็มปาก ดูจากใบหน้าแล้วคงโดนมาพอสมควร

“เมียอะไร?” สกายทำปากขมุบขมิบมองแรงใส่ดินแดน ซึ่งอีกฝ่ายแค่ทำท่ากวนๆ แถมยังยิ้มขำที่คับขันขนาดนี้แล้วยังมัวแต่ห่วงเรื่องโพซิชั่นกันอีก



ระหว่างที่ปีนข้ามกำแพงและวิ่งหนีออกมาก็เกิดการปะทะคารมขึ้น ทั้งคู่ดินแดนสกาย คู่ดินแดนข้าวจ้าว  จนชนม์แดนคิดในใจว่าเด็กพวกนี้น่ะเหรอที่ตนคิดลบด้วย ไร้สาระกันขนาดนี้อย่าว่าแต่คิดลบเลย คิดธรรมดายังไม่ได้เพราะไม่มีใครปกติสักคน

ปัง! ปัง!

เสียงปืนดังขึ้นสองนัด ทุกคนหันไปมองด้านหลังยังไม่เห็นใครตามมาจึงคิดว่าน่าจะเป็นการยิงขู่

“เอาไงดีพี่ มันมีปืนด้วยว่ะ” ข้าวจ้าวถาม

ดินแดนมองรอบตัวเพื่อประเมินสถานการณ์แล้วบอกแผนการ

“อีกประมาณห้าร้อยเมตรจะถึงรถ ใครไม่ไหวก็ไปหลบตรงนั้นเดี๋ยวกูจะ.. เฮ้ย พี่ดอท! พี่โดนอะไร!?”



.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

นิยายหนึ่งตอนต้องยาวขนาดนี้มั้ยยยย
ไม่รู้ล่ะ ยาวก็ต้องทนอ่านกันไปแบบนี้เนาะ
คิดซะว่าพลาดแล้วที่เข้ามาอ่าน 5555
ว่าแต่เจ้าดินมันตกใจอะไร พี่ดอทเป็นอะไรอีก ใครเดาใกล้เคียงที่สุดเอาพี่ดอทไปเลยค่ะ  :impress2:
ขอบคุณสำหรับการติดตามและคอมเม้นต์ด้วย น่ารักที่สุด  :mew1:

ปล. สปอลย์นิสนุงว่าเจ้าสัวแดนสรวงยังมีวิบากกรรมรออยู่อีกในภายหน้า
ใครแช่งนางอยู่เตรียมสงสารได้เลย หึหึหึ



ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เป็นพี่น้องกันจำเป็นต้องส่อแววหวานกันขนาดนี้เลยเหรอคะ ถ้าไม่เกรงใจสกายจะชูป้าย #ดินดอท แล้วเนี่ย ส่วนนังจ้าวนั้นไม่เจอกันนานความเรื้อนก็ยังไม่จางหายไปไหนเลยนะ วงวารพี่บั๊คมีเมียแบบนี้

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ดอททโดนลูกหลงหรออออออ :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
เห็นด้วยกับคุณทาจิบาน่าครับ ผมอ่านตอนนี้แล้วก็ยกป้าย #ดินดอท เหมือนกันครับ (หัวเราะ) คือโมเมนต์ให้มากฮะ เหมือนแม่แมวขู่ฟ่อๆกับหนุ่มเลือดร้อนที่ชีวิตโคตรจะไม่เคยมองคนอื่นหรืออะไรเลยนอกจากตัวเอง ถ้ามีดอทมาดึงให้รู้จักมองในมุมคนอื่นบ้าง ก็น่าจะทำให้ไม่ทำอะไรล้ำเส้นหรือล่วงเกินชีวิตคนอื่นตามใจตัวเองไปมากเหมือนเดิมนะครับเนี่ย ผมเริ่มเห็นแววมุ้งมิ้งที่คุณนายน้อยบอกว่าดอทจะเป็นเคะที่น่ารักมากๆมาแล้วลางๆนะครับ (หัวเราะ)

ผมตงิดๆกับอาการของดอทตั้งแต่ตอนแรกๆมาแล้ว ดอทมีอาการ Hysteretic Arousal รึเปล่าครับ? ปกติคนที่มีอาการแบบนี้คือจะถูกกระตุ้นด้วยสัมผัสจากเพศตรงข้ามได้ง่ายกว่าปกติ เกิดอารมณ์ปลุกเร้าทางเพศจากการสัมผัสได้ง่าย ทำให้ดูเผินๆเหมือนจะเป็นคนหื่นตลอดเวลา แต่ปกติอาการนี้มันเกิดจาก sensitivity ที่แรงเกินไปของระบบประสาทกับความไม่สมดุลของฮอร์โมนนะครับ ซึ่งพิจารณาจากร่างกายดอทหรือความสวยที่มากเกินปกติแล้วก็คงจะเป็นไปได้พอสมควร แล้วเห็นเรื่องมาแบบนี้ ผมเองก็ดันคิดไปถึงว่า ถ้าดอทไปเมาๆหรือยังไงดินดันไปเลยเถิดกับดอทเข้าด้วยความอยากรู้เรื่องอาการร่างกาย (ซึ่งก็มีนัยยะในเรื่องเยอะเหมือนกันนะครับว่าดินประหลาดใจกับหลายๆเรื่องที่ดอทแอบเก็บไว้มากขึ้น นี่เป็นสัญญาณที่ดี เพราะว่าจะทำให้คาแรกเตอร์ของดอทมีมิติมากขึ้น) เราน่าจะเห็นอะไรที่มุ้งมิ้งเหมือนกันนะครับ แต่อาจจะต้องให้ดินทำให้ดอทมีทัศนคติต่อเขาที่ดีกว่านี้ขึ้นก่อน ซึ่งก็ต้องมาจากการปรับปรุงตัวเองของดินด้วย มันเป็นอีเวนท์ที่ถ้าเกิดก็น่าสนใจดูมากเหมือนกัน เพราะดินแดนเองก็ดูเหมือนจะห่ามๆ ลึกๆก็ดูเหมือนจะไม่มายด์เรื่องบนเตียงกับใครด้วย (อย่างเรื่องที่แล้วก็ถ้าจะทำกับข้าวจ้าว ก็ทำได้เหมือนกัน)

ตอนแรกผมอ่าน เกือบจะคอมเมนท์อยู่แล้วเชียวว่า ทำไมรายการเจาะใจของเจ้าสัวแดนสรวงมันง่ายยังงี้ฟะ! ยังไม่ทันจะบีบอารมณ์เท่าไหร่เลย มาระบาย น้ำเสียงเครือ 2 ประโยค มันจะดีกันเลยเรอะ!? เฮ้ย เรื่องของเรื่องคือคุณนอกใจนะเว้ย อย่ามากลับคำนู่นนี่นั่น รักลูกน่ะผมโอเค แต่มองไม่เห็นเหรอว่าเพราะคุณทิ้งๆขว้างๆลูกตั้งแต่ตอนเด็ก ไปเห่อดินแดนกับภรรยาน้อย ดอททำอะไรก็ไม่พอใจเพราะว่าคุณไม่ชอบแม่เขา ทำให้ดอทมีแต่แม่คอยเลี้ยงดู ถ้าเป็นอย่างนี้ลูกชายก็ต้องรักแม่มากอยู่แล้วครับ ทีนี้ถ้าคุณทำผิดแล้วไปทำให้แม่เขาทุกข์ใจ ดอทเองก็ต้องยิ่งไม่พอใจคุณเข้าไปอีกสิ แต่พอเห็นคุณนายน้อยบอก โอเค วิบากกรรมยังไม่จบ ผมนี่โอเคเลยครับ รออ่านต่ออย่างเงียบๆ (หัวเราะ)

ฉากที่ดอทพยายามจะให้อภัยตัวเองแล้วแก้ปมเรื่องพ่อไม่รัก บรรยายออกมาได้ดีเลยนะครับ ตรงฉากอารมณ์ของดอทนี่ดีใช้ได้เลย แต่ผมยังไม่อินเท่าไหร่ เพราะว่าฉากเจ้าสัวเคลียร์ปมมาเร็วจนดูง่ายเกินไป ติดจะไม่เมคเซนส์นิดหน่อยและไม่บีบอารมณ์ เดี๋ยวต้องรอดูต่อไปฮะ

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.
ต อ น ที่ 7 :  ภ า ว ะ ฟุ้ ง ซ่ า น



ดินแดนเห็นร่างเล็กกำลังก้มมองต้นขาและทันทีที่เขามองตามก็ได้เห็นเห็นเลือดแดงฉานซึมออกมาจากกางเกง

“โดนอะไรมาพี่!” เขาถลาเข้ามาประคองให้นั่งลงแล้วพยายามถลกกางเกงขึ้นแต่แผลอยู่บริเวณต้นขาและมีรอยขาดเป็นทางยาวจึงตัดสินใจฉีกกางเกงออกแทน

ผิวขาวจัดตัดกับสีแดงของเลือดทำให้ดินแดนมองตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจึงได้สติ ส่วนอีกสองคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างก็มองเหตุการณ์ด้วยความเป็นห่วง

“ขาว เอ้ย แดงเถือกไปหมดเลยพี่ โดนเมื่อไหร่แล้วเนี่ย” ดินแดนฉีกเสื้อด้านในของตัวเองออกเพื่อพันแผลห้ามเลือดไว้ก่อน 

“โดนกิ่งไม้มันเกี่ยวตอนวิ่งเมื่อกี้ นึกว่าไม่เป็นไรมากแต่วิ่งๆ ไปขาก็เริ่มชาเลยก้มดูถึงได้รู้ว่าเลือดออกเยอะ” ใบหน้าสวยซีดเซียวมีเหงื่อออกเต็มหน้า

“พี่ไปต่อไหวปะ แผลลึกและยาวน่าดูเลย ขี่หลังผมดีไหม” เมื่อห้ามเลือดแล้วจึงใช้หลังมือซับเหงื่อให้พี่ชาย

“ไม่ต้องหรอก ยังพอไหว” 

“นี่ๆ” อยู่ๆ ข้าวจ้าวก็เดินมาสะกิดไหล่ของดินแดน

“อะไร”

“พี่คนสวยนี่ใครอะ” เด็กประหลาดชี้มายังร่างเล็กที่นั่งหอบหายใจถี่ๆ

“พี่ชายกูเอง”

“พี่ชายจริงอะ”

“ก็จริงไง ถามทำไมวะ”

ข้าวจ้าวชะโงกหน้ากระซิบกับดินแดนซึ่งไม่ควรจะเรียกกระซิบเพราะขนาดสกายที่ยืนคุมเชิงอยู่ห่างๆ ก็ยังได้ยิน

“ถ้าไม่บอกว่าเป็นพี่ชาย ผมนึกว่าพี่กำลังจีบพี่เขานะ งุงิกันเหมือนแฟนเลยอะ จริงไหมไอ้กาย” คนถูกถามนิ่งอึ้งไปและไม่สามารถให้คำตอบอะไรให้ได้

คำพูดของข้าวจ้าวทำให้ใบหน้าสวยขึ้นสีเล็กน้อย รู้สึกประดักประเดิดที่ได้ยินอะไรแบบนี้

“จีบเชี่ยไรของมึง พี่ชายคนละแม่ ไปกันได้ละเดี๋ยวไอ้เหี้ยพวกนั้นตามทัน”  ดูเหมือนดินแดนจะบริสุทธิ์ใจในการกระทำของตัวเองเพราะเขาไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย ธรรมชาติของเขาคงเป็นคนที่ชอบสกินชิพแบบนี้ถือเป็นเรื่องปกติ

แต่กับร่างเล็กที่ถูกสัมผัสใกล้ชิดขนาดนี้กลับรู้สึกไม่ปกติเลยแม้แต่ครั้งเดียว

บุญบาปจริงๆ ชนม์แดนๆๆๆ ทำไมร่างกายมันบ้าบอแบบนี้นะ!

และยิ่งเหมือนฟ้ากลั่นแกล้งให้ต้องติดแหงกอยู่กับสัมผัสเดิมๆ อาการเดิมๆ เพราะดินแดนคอยประกบร่างเล็กเพื่อสังเกตอาการเพราะเลือดไหลซึมออกมาไม่หยุดทั้งๆ ที่ห้ามเลือดไว้เบื้องต้นแล้ว

“พี่ดอทพักก่อนเถอะเดี๋ยวจะแย่” เขาดึงแขนเล็กไว้แล้วหันไปสั่งความกับอีกสองคน “สกายไอ้จ้าวพวกมึงวิ่งไปก่อนเลยเดี๋ยวกูตามไป”

สกายลังเลเล็กน้อยแต่เขาก็พยักหน้าแล้วคว้าแขนข้าวจ้าววิ่งนำออกไป

“วิ่งก็วิ่งอย่างเดียวสิ มึงจะจับแขนทำไมวะ!!” ดินแดนตะโกนไล่หลังซึ่งสกายไม่ได้สนใจอะไรเลย

“เป็นแฟนกันจริงเหรอ กับสกาย” ในที่สุดชนม์แดนก็เอ่ยถาม ถึงจะค่อนข้างแน่ใจแต่ก็อยากรู้ว่าลึกซึ้งกันประมาณไหนแล้ว

“อืม” เขาตอบแล้วพาร่างเล็กไปหลบหลังต้นไม้ใหญ่ “แต่ไม่รู้จะเป็นได้อีกนานไหม มันไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมในการคบกับผมเท่าไหร่หรอก”

“แล้วเด็กที่ชื่อจ้าวนั่นเป็นมือที่สามเหมือนที่เฮียเผ่าบอกจริงเหรอ” ชนม์แดนทรุดนั่งลงอย่างยากลำบากก่อนจะหันมาถามต่อโดยพยายามเบี่ยงความรู้สึกของตัวเองออกจากไอร้อนรุมของมือน้องชาย

“จะว่าใช่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียวนะ แต่ก็มีส่วนอยู่บ้าง” 

“แล้วเป็นของฝั่งเธอหรือฝั่งสกายล่ะ อ่ะ!” ชนม์แดนกัดฟันเมื่ออีกฝ่ายลองเปิดแผลดูอีกครั้งก่อนจะฉีกเสื้อออกมาพันเพิ่มอีกแล้วกดไว้

ดินแดนก็อธิบายความสัมพันธ์อันซับซ้อนและต้นเหตุของเรื่องในวันนี้นั่นก็คือ เผ่าพงศ์บังเอิญไปรู้เห็นความสัมพันธ์ไม่ปกติของดินแดนกับข้าวจ้าวจึงคิดอยากจะเอาคืนดินแดนที่เคยทำเขาไว้อย่างเจ็บแสบที่งานเดินแบบเพชรในครั้งก่อน

“หาโอกาสคุยกับสกายซะ ถึงจะดูหยิ่งและจองหองไปหน่อยแต่ถ้ามองอย่างไม่อคติเธอจะรู้ว่าสกายมีใจให้เธอมากกว่าเด็กคนนั้นซะอีก” ชนม์แดนสรุปในที่สุด

“พี่คิดงั้นเหรอ” ดวงตาคู่คมเป็นประกายขึ้นทันที

“ฉลาดให้มันถูกที่ถูกทางหน่อย เรื่องบางเรื่องอย่าคิดเอาเองถึงเธอจะฉลาดแต่ก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าภายในใจของอีกคนมันซับซ้อนแค่ไหน” ชนม์แดนกลอกตามองน้องชายอย่างระอา

“จริงๆ ก็คิดไว้ว่าคืนนี้จะเคลียร์กับมันแต่ก็มาเจอเรื่องงี่เง่านี่ก่อน”

“ขอโทษแทนเฮียด้วย แล้วก็ขอโทษที่เป็นคนหลอกให้เธอคลาดกับสกาย ฉันไม่คิดว่าจะมีเด็กจ้าวโผล่มาอีกคนและสองจิตสองใจมาตลอดว่าแบบนี้มันไม่ถูกจริงๆ” ใบหน้าสวยสลดลงเมื่อพูดถึงความผิดที่ตัวเองก่อ

มือหนาจับเส้นผมยาวเคลียไหล่ที่ลู่ตกลงมาปิดหน้าให้เสยขึ้นไปตามทรงที่เซ็ตไว้แต่เดิมแล้วลูบไหล่เบาๆ จนร่างบางสะท้านขึ้นอีกครั้ง

“ที่ผ่านมาก็ให้ผ่านไปเถอะพี่ เรามาเริ่มกันใหม่ ผมเข้าใจพี่แล้วว่าเนื้อแท้ไม่ใช่คนเลวอะไร เรื่องที่ยังเป็นปมอยู่เดี๋ยวเราค่อยหาทางแก้ไปทีละเปราะ รู้ไหมว่าผมดีใจนะที่มีพี่ชายจริงๆ กับเขาซะที ไม่ใช่มีแค่ในนามเหมือนที่ผ่านมา” 

อาจจะเป็นด้วยระยะเวลาที่มันยาวนานจนรู้สึกเหนื่อยล้าหมดแรงที่จะเชิดคออีกต่อไป เบื่อเหลือเกินจริงๆ ที่จะจมอยู่กับความเกลียดชังแบบเดิม อีกทั้งคนตรงหน้าก็สลัดทิฐิแล้วอ้าแขนรอรับอยู่ก่อน จึงไม่ยากเลยที่จะกระโดดลงจากกำแพงสูงที่เคยสร้างไว้ในใจ

“ฉันก็ดีใจที่มีน้องชายเก่งๆ อย่างเธอ” ดวงตาคู่สวยช้อนขึ้นมองมีหยาดน้ำรื้นขึ้นจากนั้นก็หยีลงเพราะรอยยิ้มที่แย้มขึ้นอย่างน่ารัก เป็นยิ้มทั้งน้ำตาที่ดูงดงามจนดินแดนรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

ร่างสูงจับมือบางมากุมไว้และถูกกระชับมือตอบ ทั้งคู่ยิ้มให้กันแล้วสวมกอดกันด้วยความเข้าใจ

นี่เป็นกอดแรกของกันและกันอย่างเป็นทางการ


ปัง! ปัง!

สองพี่น้องสะดุ้งผละออกจากกันเมื่อได้ยินเสียงปืนดังอยู่ไม่ห่าง ดินแดนหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาต้นเสียงเตรียมระวังภัย กำลังจะบอกพี่ชายให้ซ่อนอยู่นิ่งๆ แล้วตนจะออกไปดูลาดเลาแต่อยู่ๆ เสียงเผ่าพงศ์ก็ดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่ซ่อน

“มึงออกมาเดี๋ยวนี้ไอ้ดินแดนถ้าไม่อยากให้เมียกับกิ๊กมึงตายโหงด้วยปืนในมือกู”  น้ำเสียงดูเป็นต่อจนดินแดนต้องกลืนน้ำลายคงคอฝืดๆ

และคำตอบของสิ่งที่เขาสังหรณ์ก็ปรากฏออกมาเมื่อข้าวจ้าวกับสกายค่อยๆ เดินกลับมาทางเดิมแต่ที่ทำให้ปวดขมับตุบๆ ก็คือทั้งสองคนยกสองมือขืนเหนือศีรษะคล้ายกับกำลังถูกบังคับโดยคนที่อยู่ด้านหลัง

“กูให้เวลามึงสิบวินาที ถ้าไม่ออกมากูจะยิงทีละคน และถ้ามึงออกมา มึงเลือกเลยว่าจะช่วยคนไหนก่อน ไอ้คนที่ตายมันจะได้รู้ว่ามันไม่สำคัญกับมึง ฮ่าๆๆๆ” 

“ผัวพี่เหี้ยโคตรๆ” ดินแดนหันมากระซิบจนเกือบถูกอีกฝ่ายเงื้อมือขึ้นจะตีแต่แล้วก็นึกแผนดีๆ ขึ้นมาได้

“เอาฉันเป็นตัวประกันสิ เผื่อจะแก้สถานการณ์ได้”

สิบ..

เก้า..

เผ่าพงศ์เริ่มนับถอยหลัง

“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวผมจะเข้าชาร์ตมันจากด้านหลัง พี่รออยู่นี่นะ” ดินแดนไม่รอให้ร่างเล็กตอบอะไร เขาไม่ได้หน้าตัวเมียถึงขนาดจะเอาพี่ชายไปเสี่ยงอะไรแบบนั้นมันไม่คูล 

ร่างสูงย่องอ้อมไปด้านหลังของสกายและข้าวจ้าวเพื่อมองหาตัวต้นเรื่อง


ชนม์แดนอยากจะเอ่ยเตือนให้ระวังตัวและระวังเฮียด้วยแต่ไม่ทัน ใจคอไม่ดีเลยกับสถานการณ์แบบนี้  ค่อยๆ ย่องตามดินแดนไปห่างๆ เผื่อจะได้หาจังหวะเข้าไปขวางเฮียไว้แล้วให้พวกเด็กๆ หนีไปน่าจะดีกว่า 

แปด..

เจ็ด..

หก..

ห้า..

เสียงนับยังคงดังไม่หยุด ชนม์แดนภาวนาขอให้อย่ามีใครเป็นอะไรเลย ห่วงพวกเด็กๆ และห่วงคนรักว่าจะถูกจับถูกดำเนินคดี

ปัง!!

ไอ้จ้าว!!!

เสียปืนดังขึ้นพร้อมกับเสียงตะโกนของดินแดน  เป็นข้าวจ้าวที่ล้มลงและแน่นิ่งไปต่อหน้าต่อตา 

จากนั้นเหตุการณ์แห่งความเป็นความตายดำเนินเรื่อยไปจนในที่สุดชนม์แดนจึงได้สติหลังจากมองตะลึงไปกับการสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่าและสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็รวดเร็วเกินกว่าที่จะตัดสินใจทำอะไรได้ถูก  ร่างเล็กกัดฟันลากสังขารเข้าไปในช่วงเวลาวิกฤติที่สุด

“หยุดเถอะเฮีย!! ถ้าเฮียไม่หยุดก็ฆ่าดอทซะอีกคนสิ!!” ชนม์แดนกระเผกเข้าหาเผ่าพงศ์พร้อมกับน้ำตาที่ไหลพราก  “ดินแดนเป็นน้องของดอท ทุกคนไม่มีใครควรต้องตายเลยนะเฮีย เชื่อดอทเถอะอย่าฆ่าใครอีกเลย ฮืออ”

 รู้สึกสะเทือนใจอย่างถึงที่สุดในตอนนี้ และรู้สึกโทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องทั้งหมด

เผ่าพงศ์เบิกตากับถาพที่เห็น ต้นขาเล็กนั้นถูกพันด้วยเสื้อดำที่ชุ่มไปด้วยของเหลวสีแดงซึ่งกำลังไหลลงเลอะผิวเนื้อและกางเกงสีอ่อน  เขาเดินเข้าหาร่างเล็กด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“เฮียไปฆ่าพวกมันเมื่อไหร่กัน”

“ก็เด็กที่ชื่อจ้าวนั่นไง ตายแล้วหรือยังก็ไม่รู้ถึงได้นิ่งไปซะขนาดนั้น” ชนม์แดนชี้ไปที่..

อ้าว!? ข้าวจ้าวไปไหนแล้ว??

“ตายบ้าตายบออะไรกัน เฮียไม่ได้ยิงมันซะหน่อย เฮียยิงขึ้นฟ้านู่น” เผ่าพงศ์ชี้นิ้วเฉียงขึ้นไปบนอากาศ

ชนม์แดนขมวดคิ้วมุ่นอย่างงุนงง จากนั้นก็เกิดการถกเถียงกันโฉ้งเฉ้งเหมือนเป็นละครซิทคอมเบาสมองเรื่องหนึ่ง ไม่นานนักการต่อว่าต่อขานกันก็จบลงเพราะเสียงโวยวายของชนม์แดน

“นี่มันอะไรกันแน่ ดอทงงไปหมดแล้วนะ!”

“ถามไอ้ห่านั่นเอาเองเดี๋ยวตำรวจจะมาแล้ว ดอทจะไปกับเฮียไหม” เผ่าพงศ์ชวนและจ้องมองบาดแผล ใจจริงอยากจะอุ้มไปโรงพยาบาลซะตอนนี้แต่อาจจะยากสำหรับเขาเพราะตำรวจคงไม่ยอมแน่ “เจ็บมากหรือเปล่าครับ”  เขาคุกเข่าลงตรวจดูด้วยสีหน้าเป็นกังวลอย่างหนัก

ร่างเล็กสั่นสะท้านเมื่อถูกสัมผัส ไม่ว่ามือใครก็ไม่เคยแยกแยะ คอยจะปั่นป่วนฟุ้งซ่านไม่ว่าสถานการณ์แบบไหนก็มีผลกับอาการบ้าๆ นี่ไปหมด

“ย..ยังไม่ไปครับ ขอเคลียร์อะไรๆ แถวนี้ก่อน เฮียหนีไปก่อนเถอะแล้วดอทจะโทรหาทีหลัง” ชนม์แดนกัดฟันตอบปฏิเสธ

“งั้นต้องรีบทำแผลด้วยนะ อ้อ แล้วถ้าตำรวจถามก็ไม่ต้องรับว่าดอทรู้เห็นเรื่องที่เฮียทำ รับปากสิ” มือหนากระชับไหล่บางแล้วนิ่งรอคำตอบ

“ครับ ดอทจะทำตามที่เฮียบอก”

“งั้นเฮียไปละนะ” เผ่าพงศ์ยิ้มพอใจแล้วกอดคนรักอย่างอาลัยอาวอนก่อนจะวิ่งหนีไป 

เห็นแววตาของเฮียแล้วรู้เลยว่าเสียใจ ขอโทษนะเฮีย ดอทขอโทษจริงๆ


เมื่อเผ่าพงศ์ลับตาไปแล้ว ร่างเล็กจึงนึกขึ้นได้ว่ายังมีคนนิสัยไม่ดีที่ยังลอยนวลอยู่อีกหนึ่งคน จึงตะโกนชื่อเขาออกมา เป็นจังหวะเดียวกับที่สกายตะโกนออกมาเช่นกัน

“ดินแดน!!” เจ้าของชื่อนั่งยิ้มแห้งๆ มองคนนั้นทีคนนี้ที

“คือ..เรื่องมันยาวน่ะ” เขาเริ่มแก้ตัว “แต่ขอเวลาแป๊บนะ  ไอ้จ้าว! ไอ้เชี่ยจ้าวมึงออกมา!” เขาเรียกหาข้าวจ้าวเสียงดังลั่นแล้วไม่นานนักเด็กประหลาดก็โผล่ออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ ยิ้มแห้งๆ มาแต่ไกล

ไอ้เด็กสองคนนี้คงมาจากดาวดวงเดียวกันแน่ๆ ทั้งนิสัยใจคอและความล้นความเกรียนแถมยังจอมมายาซะอีก เฮ้ออ เสียน้ำตาไปตั้งเยอะเพื่ออะไรกันเนี่ย!


หลังจากนั้นดินแดนก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นรวมถึงความช่วยเหลือจากเพื่อนที่ชื่อกระทิง มีอะไรให้ตื่นเต้นเยอะแยะไปหมดและดูเหมือนว่าแผนการร้ายแรงที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ทำให้เกิดเรื่องดีๆ ขึ้นหลายอย่าง  อาทิ ชนม์แดนและดินแดนได้ปรับความเข้าใจกันและเป็นฝ่ายน้องชายที่เห่อพี่จนแทบจะอุ้มเดินไปไหนมาไหน   

ได้รู้จักกับเด็กประหลาดชื่อข้าวจ้าวแฟนของบั๊คซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของดินแดนเป็นครั้งแรก คนไร้มนุษยสัมพันธ์ขั้นติดลบอย่างชนม์แดนรู้สึกทึ่งในความทะเล้นกวนเกรียนของเด็กหนุ่มจากวีรกรรมที่ได้ผจญร่วมกันมา และนึกอิจฉาความมีชีวิตชีวาของเด็กหนุ่มจนนึกอยากทำได้แบบนั้นบ้าง

ความสัมพันธ์ของดินแดนและสกายยังคงคลุมเครือว่าใครอยู่โพซิชั่นไหน ซึ่งจุดนี้ชนม์แดนค่อนข้างคาใจอยู่พอสมควร   ส่วนรักสามเส้าระหว่าง ดินแดน สกาย และข้าวจ้าว เป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากเกินกว่าที่จะเข้าใจแต่ก็พอจะเดาได้ลางๆ ว่ามันคือความผูกพันและความรักแบบจริงใจของคนทั้งสามคนซึ่งก็เป็นเรื่องราวที่น่ารักปนตลกร้ายที่ชนม์แดนสังเกตเห็นว่าสกายนั้นมีใจให้ดินแดนมากกว่าที่ดินแดนคาดคิดไว้

เหตุการณ์ต่อจากนั้น บั๊คแฟนของข้าวจ้าวพาตำรวจตามมาจับลูกน้องที่หนีไม่ทันแล้วพาไปดำเนินคดีที่สถานีตำรวจ ส่วนเผ่าพงศ์เข้ามอบตัวและใช้หลักทรัพย์และตำแหน่งของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติซึ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่เขารู้จักช่วยประกันตัวออกมาต่อสู้คดี  ซึ่งดูแล้วก็คงจะหลุดได้ไม่ยากเพราะเจ้าทุกข์แค่ให้ดำเนินการไปตามกระบวนการ


“คุณแม่กลับก่อนก็ได้ครับ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่” ร่างเล็กที่อยู่ในชุดของโรงพยาบาลยิ้มอ้อนผู้เป็นแม่ที่มาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่ได้รู้ข่าว

“ไม่อยากให้แม่นอนเฝ้าเหรอลูก” เธอซึมลงเมื่อนึกถึงสามีที่มาเคาะประตูเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วแต่เธอก็ไล่ตะเพิดไปเพื่อไม่ให้มายุ่งกับลูกชาย

“ถ้าคุณแม่มานอนเฝ้า ดอทก็ไม่ได้ทานข้าวฝีมือคุณแม่น่ะสิ อาหารโรงพยาบาลไม่อร่อยนี่นา” ชนม์แดนทำหน้าอ้อน

“ไม่ใช่ว่าอยากให้ใครเข้ามาแทนแม่เหรอ” รู้สึกสะเทือนในอารมณ์เมื่อรู้สึกว่าลูกไม่ต้องการ

“โธ่คุณแม่ครับ ดอทแค่อยากให้คุณแม่พักเต็มที่ แล้วก็อยากทานอาหารอร่อยๆ แค่นั้นเอง” ตีหน้าเศร้าอ้อนเพิ่มไปอีก

“จ้ะๆ งั้นแม่อยู่อีกพักหนึ่งแล้วค่อยกลับก็แล้วกัน” เธอบอกแล้วปลอกผลไม้ใส่จานให้ลูกชาย

“กระต่ายแอปเปิ้ลของคุณแม่อร่อยที่ซู้ดดดด” ลูกชายขี้ประจบหยิบแอปเปิ้ลรูปกระต่ายเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย

ฝีมือทำอาหารและแกะสลักผลไม้ของคุณรุ่งฤดีนั้นถือว่าหาตัวจับยาก เธอโตขึ้นมาในครอบครัวที่ดีพร้อม รูปร่างหน้าตาดี การศึกษาดี ต้นตระกูลเป็นผู้ดีเก่าเป็นคนในรั้วในวังซึ่งเธอก็ได้ร่ำเรียนวิชางานครัวมาไม่น้อยเลย

ถ้าตัดเรื่องอคติที่เกี่ยวกับเจ้าสัวออกไป เธอคือผู้หญิงที่โปรไฟล์ระดับพรีเมี่ยมเลยก็ว่าได้ และเพราะความเพียบพร้อมนี้จึงสร้างบาดแผลในใจให้เธออย่างมากในวันที่สามีพาเมียอีกคนพร้อมลูกในท้องเข้ามาเลี้ยงดูในเขตรั้วเดียวกัน

มันเป็นความอัปยศอย่างถึงที่สุดเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมีได้ หากเรื่องนี้จะโทษว่าใครผิด เธอขอโทษทุกคนโดยเฉพาะผู้หญิงหน้าด้านคนนั้น


“ยังเจ็บแผลหรือเปล่าลูก” เมื่อเห็นว่าลูกชายกินอิ่มและตาปรือแล้ว คุณรุ่งฤดีจึงเตรียมตัวกลับ

“ตอนนี้ไม่ค่อยปวดแล้วครับ ยาคงออกฤทธิ์อยู่”

“งั้นพรุ่งนี้แม่จะทำกับข้าวอร่อยๆ มาให้นะ พักผ่อนเยอะๆ อย่าให้ใครมากวนล่ะ บอกไปเลยว่าอยากพัก”

“ครับคุณแม่” ร่างเล็กรับคำเพื่อให้แม่สบายใจ




“ป๋าครับ คุณแม่ไปแล้ว ป๋ายังอยากมาหาดอทหรือเปล่าครับ”  ชนม์แดนกดโทรศัพท์หาผู้เป็นบิดาหลังจากมารดาคล้อยหลังไปสิบกว่านาที

“ไปสิ เดี๋ยวป๋าขึ้นไป ป๋านั่งรอที่ร้านกาแฟในตึกนี้แหละ”

“ครับป๋า” ตอบรับแล้วกดวางโทรศัพท์ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ ใจจริงก็ลุ้นว่าคนเป็นพ่ออาจจะกลับไปแล้วเพราะผ่านมาตั้งสามชั่วโมง ปกติเจ้าสัวไม่ใช่คนที่จะเสียเวลารออะไรที่ไม่มีความสำคัญแต่ครั้งนี้ทำให้คนคิดมากยิ้มออกมาได้


“ดอท..” เมื่อเปิดประตูเข้ามา เจ้าสัวก็รีบเข้าไปหาลูกชาย

“ป๋า..”

มันเป็นความตื้นตันจนยากจะหาคำใดมาพูดเอ่ย ทั้งคู่แค่ยิ้มบางๆ มองกันและกันด้วยความรู้สึกโล่งใจที่หลุดพ้นจากความอึดอัดที่มีให้กันมานาน

“เจ็บไหมลูก” คนเป็นพ่อเอ่ยถามพร้อมกับน้ำตาที่รื้นขึ้น  ในใจอยากจะกอดลูกใจแทบขาดแต่ด้วยความละอายใจ เขากลัวว่าลูกชายจะยังมีความเกลียดชังหลงเหลืออยู่จึงพยายามเก็บงำความต้องการเอาไว้

“คุณหมอฉีดยาให้เลยไม่ค่อยเจ็บครับ แต่ถ้าหมดฤทธิ์ยาก็น่าจะปวด”

“ป๋าขอโทษนะ” หยาดน้ำเอ่อล้นออกมาเมื่อเห็นสภาพของลูก

รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนนั่งแทบไม่ติด หลังจากดินแดนโทรมาบอกก็รีบมาทันทีแต่เจอกับภรรยาที่หน้าห้องและถูกไล่ตะเพิดพร้อมกับการกล่าวโทษว่าที่ลูกต้องเจอแบบนี้ก็เพราะตน

ซึ่งมันเป็นความจริง และมันเจ็บปวดจนแทบไม่กล้าสู้หน้า

ชนม์แดนได้แต่เงียบและมองดู ไม่เคยเห็นเจ้าสัวอ่อนแอขนาดนี้มาก่อน

“ถ้าป๋าดีกับดอทมากกว่านี้ ดอทคงไม่ไปคว้าเผ่าพงษ์มาเป็นแฟนและไม่ต้องเจอกับเรื่องแย่ๆ ทุกอย่างมันเป็นเพราะป๋าทั้งหมด ป๋าเป็นหัวหน้าครอบครัวแต่จัดการปัญหาได้ไม่เอาไหน ทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่และดูเหมือนมันจะเลวร้ายกว่าเดิมด้วยซ้ำ รู้หรือยังว่าแม่ของลูกจะฟ้องหย่าป๋าแล้วนะ”

“ฟ้องหย่า!? คุณแม่ไม่เห็นบอกดอทเลยนี่ครับ แล้วที่จริงป๋าก็เคยขอหย่าแต่คุณแม่ไม่ยอมแล้วจู่ๆ ..หรือว่า.. เป็นเพราะเรื่องที่ป๋าจะมีลูก..”

“อืม คงเป็นเรื่องนั้น” เจ้าสัวคอตกและดึงเก้าอี้มานั่งข้างเตียง “ตอนแรกป๋าคิดว่าหมดรักต่อกันแล้วก็หย่ากันให้หมดเรื่อง แต่พอเอาเข้าจริง ป๋าก็ได้รู้ว่าป๋าไม่เคยเกลียดแม่ของลูกและยังรอให้เขามาเข้าใจ  ที่ผ่านมามันเป็นแค่ความรู้สึกผิดหวังของป๋ามากกว่า ป๋ามันเห็นแก่ตัวที่หวังจะให้เขายอมรับทุกอย่าง อยากให้เขาเป็นเมียที่รับอะไรได้ง่ายๆ”

ชนม์แดนนิ่งฟังโดยไม่ได้ให้ความเห็นอะไรออกไป จะว่าเข้าใจป๋าก็เข้าใจแต่เรื่องนี้ตนก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบและเอาเข้าจริงก็อดที่จะโทษบิดาไม่ได้ที่ทำให้เรื่องมันยุ่งเหยิงแบบนี้

“ดอทถามได้ไหมครับ.. ว่าป๋ามีลูกกับผู้หญิงคนอื่นจริงหรือเปล่า”

ผู้เป็นพ่อเงยหน้ามองลูกด้วยความรู้สึกเจ็บปวด รู้สึกละอายและหวาดหวั่นว่าลูกจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมและลงเอยด้วยความไม่เข้าใจกันอีกครั้ง

“ป๋า..”

ผู้หญิงนั่นท้องจริงๆ สินะ

“แน่ใจเหรอครับว่าเป็นลูกป๋า” ชนม์แดนพอจะเดาออกจากท่าทีของบิดา ถึงจะสะเทือนอยู่บ้างแต่เพราะได้เรียนรู้มามากจึงทำให้หัวใจดวงนี้แกร่งขึ้นพอที่จะรับมือกับเรื่องราวอย่างคนที่เป็นผู้ใหญ่เขาทำกัน

อยากทำได้แบบดินแดนบ้าง เด็กคนนั้นละทิ้งทิฐิออกไปได้ก่อนทั้งๆ ที่ตนเป็นผู้ถูกกระทำมาตลอดจนเกือบตายด้วยซ้ำ ฉันจะไม่ยอมแพ้นายเด็ดขาด..ดินแดน

“ป๋าให้เขาคุมกำเนิดไว้แล้วแต่อยู่ๆ เขาก็ท้อง ซึ่งป๋าก็ทิ้งความรับผิดชอบไม่ได้”

“แล้วป๋าเคยตรวจร่างกายบ้างหรือเปล่าครับว่าป๋ามีลูกได้อีกจริงหรือเปล่า”

“หลังจากรู้ว่าเขาท้อง ป๋าก็แอบไปตรวจร่างกายตัวเองเพื่อความแน่ใจเหมือนกัน แต่ผลก็ออกมาปกติไม่ได้เป็นหมันและเชื้อก็ยังแข็งแรงดี”

“งั้น.. ถ้าดอทขอให้ตรวจดีเอ็นเอตอนเด็กคลอด ป๋าจะขัดข้องหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าดอทจะดื้อดึงอะไรแต่ถ้าจะรับว่าใครเป็นน้องจริงๆ ดอทก็อยากแน่ใจว่าเขาเป็นสายเลือดเดียวกันไม่ใช่ย้อมแมวเป็นลูกใครที่ไหนก็ไม่รู้”

“รับ..เป็นน้อง?” เจ้าสัวทวนคำแบบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“ครับ”

“ดอท” รอยยิ้มของผู้เป็นพ่อคลี่ขึ้นเมื่อแน่ใจแล้วว่าลูกชายยอมรับเรื่องนี้ได้ “ได้สิ แค่ดอทยอมรับ ป๋าจะทำทุกอย่างให้ดอทสบายใจ”

“งั้นก็เลิกทำหน้าเศร้าได้แล้วครับ กว่าเราจะเข้าใจกันได้ดอทก็ต้องจมอยู่กับความทุกข์มานานมากแล้ว ต่อไปนี้ดอทจะพยายามเข้าใจอะไรให้ง่ายขึ้น ชีวิตจะได้ไม่ยากเหมือนที่ผ่านมา”

“ขอบใจนะลูก” เจ้าสัวลุกขึ้นคว้าตัวลูกชายเข้ามากอดไว้แน่น “ที่ผ่านมาป๋าผิดเอง ป๋าน่าจะอ่อนโยนกับดอทมากกว่านี้ แต่ป๋าสัญญาว่าจากนี้จะเลิกเอาเรื่องของแม่มาปะปนกับเรื่องของดอทนะ ป๋าขอโทษนะลูก ยกโทษให้ป๋า ยกโทษให้ความไม่เอาไหนของป๋านะ”

น้ำตาแห่งความสำนึกผิดหลั่งไหลออกมามากมาย เป็นอีกครั้งหลังจากที่เสียแม่ของดินแดนไปก็มีครั้งนี้ที่ลูกผู้ชายซึ่งยืนหยัดมาด้วยความลำแข้งอย่างเจ้าสัวแดนสรวงต้องสะเทือนอารมณ์จนสะกดกลั้นไว้ไม่ไหว

“อย่าร้องไห้สิครับ ดอทโอ๋ใครไม่เก่งนะ” มือเล็กตบลงที่ไหล่ของผู้เป็นพ่อหลายทีเป็นการปลอบ

เจ้าสัวดันตัวลูกชายออกแล้วเอียงหน้ามองก่อนจะปาดน้ำตาให้ ส่วนมือเรียวก็เอื้อมซับหยดน้ำที่แก้มให้ผู้เป็นพ่อเช่นกัน

“แกก็ร้องเหมือนกันไม่ใช่เหรอ มาว่าแต่ป๋า”

ทั้งคู่หัวเราะขำเบาๆ ในความขี้แยของอีกฝ่าย แต่แล้วเจ้าสัวก็ค่อยๆ หุบยิ้มลง

“เรื่องของแม่ ดอทอยากให้ป๋าทำยังไง”

“เรื่องนี้ดอทขอคุยกับคุณแม่อีกทีแล้วค่อยบอกป๋านะครับ ดอทคิดว่าคุณแม่ยังรักป๋าอยู่นะไม่งั้นคงไม่โกรธขนาดนี้ ที่ผ่านมาก็น่าจะรอให้ป๋ายอมก่อนแต่พอรู้เรื่องที่ผู้หญิงของป๋าท้องก็เลยตัดใจเด็ดขาดแต่ถึงขั้นฟ้องหย่ายังไงป๋าก็เตรียมรับมือไว้นะครับ ดอทอาจจะช่วยอะไรมากไม่ได้”

“อืม ป๋าเข้าใจ ป๋ามันโง่เองที่คิดไม่ได้ ถ้าป๋าใช้ไม้อ่อนตั้งแต่แรกเรื่องก็คงไม่บานปลายแบบนี้ ครอบครัวคงจะไม่..”

“ดอทจะไม่บอกป๋าหรอกนะครับว่าอย่ารู้สึกผิดเพราะในใจจริงๆ ดอทก็ยังเคืองไม่หายหรอก  แต่ป๋าแค่รู้สึกผิดในใจอยู่คนเดียวก็พอไม่ต้องเอามาแบ่งให้ดอทรู้เพราะจากนี้ไปป๋ามีหน้าที่ทำให้ดอทมีความสุข เข้าใจไหมครับ”

“หืม? เป็นคนแบบนี้เหรอเรา” เจ้าสัวมองลูกชายอย่างหมั่นเขี้ยว “ที่ผ่านมาก็นึกว่าเป็นแค่เด็กเก็บกดเจ้าคิดเจ้าแค้น ที่ไหนได้เป็นเด็กเจ้าเล่ห์ด้วยเหรอ”

“ไม่รู้ล่ะ ป๋าต้องไถ่โทษ” เชิดหน้าอย่างคนเป็นต่อจนถูกผู้เป็นพ่อขยี้เส้นผมจนยุ่งเหยิง

“ครับๆ ป๋าจะไถ่โทษให้จะตามใจลูกชายป๋าทุกอย่างไม่ขัดใจอีกแล้ว พอใจไหม”

“พอใจมากครับ” ร่างเล็กยิ้มตาหยีก่อนจะตอบรับอ้อมกอดจากผู้เป็นพ่ออีกครั้งแต่คราวนี้เจ้าสัวลูบหลังเน้นๆ แสดงความรักและดีใจไปพร้อมกัน

“ตัวสั่นจัง หนาวเหรอลูกเดี๋ยวป๋าเพิ่มแอร์ให้นะ” คนเป็นพ่อไม่เอะใจกับอาการแปลกๆ ของลูกชาย พาซื่อคิดว่าเพราะหนาวไปเสียอย่างนั้น

“หนาวๆ ร้อนๆ อาจจะเป็นไข้มั้งครับ” ชนม์แดนตอบเลี่ยง

“อืม งั้นก็นอนพักสักหน่อย แผลอาจจะระบมมีไข้เดี๋ยวป๋าอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าเจ้าดินจะมา” ว่าแล้วก็ประคองลูกชายให้นอนลงแล้วนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง

เฮ้อ จะบ้าตายกับไอ้โรคบ้านี่  กอดป๋าก็ไม่ได้หรือไง นี่พ่อนะจะสั่นทำไม บ้าบอที่สุด!




ต่อ..

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
กว่าดินแดนจะมาก็ค่ำเพราะต้องไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจ ร่างสูงเดินนำเข้ามาตามด้วยสกายที่ยกมือไหว้เจ้าสัวอย่างนอบน้อม

“คราวหลังถ้ามีเรื่องมีราวกันแบบนี้แกต้องรีบบอกป๋านะ เห็นไหมว่าทำพี่เจ็บ” เจ้าสัวตำหนิดินแดน

“ขอโทษครับป๋า ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเลยเถิดถึงขนาดนี้” ดินแดนเข้าไปกอดบิดาที่ยังดูดีทั้งหน้าตาและรูปร่าง

สกายมองอย่างนึกทึ่งที่เขายังดูดีขนาดนี้ทั้งๆ ที่อายุเลยเลขห้าไปแล้ว นึกใจในว่าเพราะแบบนี้ทั้งคนพี่และคนน้องได้หน้าตาดีกันทั้งคู่

“อย่าไปโทษดินเลยครับป๋า ดอทเองแหละที่ไม่ระวัง” ชนม์แดนออกรับแทน “และอีกอย่างก็เป็นดอทเองที่มีส่วนทำให้เรื่องมัน..”

“พอๆๆ” มือหนาของดินแดนแตะลงบนกลีบปากสีสวยทันทีจนคนที่ยืนมองอยู่ห่างๆ ต้องเบือนสายตาหนีภาพนั้น “โทษตัวเองอยู่นั่นแหละ พี่นี่มันชอบเสพติดความทุกข์เป็นอาชีพหรือไง”

มือบางดันแขนดินแดนออกเพราะสัมผัสของเขากำลังทำให้ร่างกายไม่ปกติอีกครั้ง

“ใครจะชอบเสพติดความเจ้าเล่ห์เหมือนเธอกันล่ะ ถามจริงๆ เถอะว่าในหัวน่ะมีเรื่องปกติธรรมดาอะไรกับเขาบ้างไหม คิดนั่นคิดนี่เจ้าแผนการตลอดเวลา ระวังเถอะสักวันจะโดนแผนตัวเองเล่นงาน”

คนเป็นพ่อได้ยินถึงกับหัวเราะชอบใจ บรรยากาศโดยรวมถือว่าดีมากแต่สกายกลับรู้สึกคันยิบๆ เวลาที่เห็นดินแดนสัมผัสพี่ชาย

“ไม่ต้องสักวันหรอก โดนมาแล้ว” ดินแดนหันไปมองสกาย “ใช่ไหมสกาย” สีหน้าคนพูดดูเหมือนจะคาดโทษโดยที่คนฟังก็ได้แต่มองแล้วหลุดยิ้มออกมา

เจอแบบดินแดนเข้าไป มาดนิ่งๆ ของสกายก็หลุดเอาได้ง่ายๆ เหมือนกัน

“อยู่พร้อมหน้ากันแบบนี้ก็ดีแล้ว ไหนบอกมาซิว่าเราสองคนเป็นแค่คู่จิ้นหรือคบหากันจริงๆ จังๆ”  เจ้าสัวเอ่ยถามตรงๆ จนคนที่ถูกถามถึงกับอึ้ง

ดินแดนยังไม่ตอบในทันที เหมือนกำลังคิดคำนวณว่าควรตอบว่าอะไรดี แต่เป็นสกายที่ตอบออกไปอย่างฉะฉาน

“เรากำลังคบกันอยู่ครับ ขอโทษที่อาจเป็นการคบหาที่ทำให้ท่านผิดหวัง ขอโทษอย่างมากขนาดท่านได้ช่วยเหลือผมหลายครั้งแต่ผมกลับทำในสิ่งที่เหมือนเนรคุณ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังยืนยันที่จะคบกับดินแดนต่อไปและรับรองว่าจะดูแลให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ครับ” สกายพูดจบ ดินแดนก็อ้าปากค้างมองคนพูดเหมือนยังไม่อยากเชื่อ

“พูดอย่างกับว่ามึงเป็นชายหนุ่มรากหญ้ามาสู่ขอลูกสาวบ้านคหะบดีงั้นแหละไอ้หน้านิ่ง กูสิต้องเป็นคนพูด!” ดินแดนโวยวายแต่ดูเหมือนเจ้าสัวจะไม่ได้สนใจเพราะตอนนี้ดวงตาคมกริบจ้องลึกไปที่สกายราวกับกำลังสแกนส่วนสกายเองก็ไม่หลบสายตาเช่นกัน

ชนม์แดนมองเหตุการณ์ด้วยความรู้สึกหลากหลาย ตื่นเต้น ขำ ยินดี แต่ก็มีเคืองนิดๆ ไม่รู้เคืองเรื่องอะไรเหมือนกัน จะว่าหวงก็ใกล้เคียง

ว่าแต่.. หวงใครล่ะ แบบพี่หวงน้อง หรือแบบเจ้านายหวงลูกน้อง หรือที่จริงไม่ใช่ทั้งสองอย่าง เฮ้อ เพ้อเจ้ออะไรเนี่ยชนม์แดน!

“อืม จะว่าไปก็รู้แล้วล่ะ” อยู่ๆ เจ้าสัวก็พูดขึ้น  “ป๋าให้คนตามสืบตลอดว่าลูกป๋าแต่ละคนคบอะไรกับใครอยู่ยังไงและน่าห่วงมากหรือน้อยแค่ไหน และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมป๋าถึงได้ห่วงดอทมากเพราะสกายดูไว้ใจได้มากกว่าเผ่าพงศ์ที่ถึงแม้จะเป็นคู่ค้าทางธุรกิจของป๋าแต่ก็ชอบทำเรื่องที่ทำให้ลูกป๋าเสียใจตลอด”

“โหป๋า นี่สตอล์คลูกๆ ขนาดนี้ได้ไงเนี่ย แล้วต่อไปเวลาผมกุ๊กกิ๊กกันไม่ต้องคอยหลอนเหรอว่าจะมีคนของป๋าถ้ำมองอยู่อะ” ดินแดนอยู่กับพ่อแล้วเหมือนเด็กวัยรุ่นตัวเล็กๆ ที่ง้องแง้งงอแงและน่าเอ็นดู

“แกก็พูดเกินไป ป๋าให้คนตามดูแค่ว่าทำอะไรที่ไหน ไม่ได้ให้เข้าไปดูถึงในห้องในหับซะหน่อย ไม่ได้อยากรู้นักหรอกว่าเสียท่าไปแล้วกี่ครั้งๆ น่ะ” ป๋าพูดติดตลกแต่ดินแดนคงไม่ตลกด้วย

“พูดแบบนี้รู้อะไรมาบอกมานะ ผมไม่ยอมนะป๋า” ดินแดนงอแง

“ฮ่าๆๆ ป๋าก็แค่พูดดักทางเดาสุ่มไปเรื่อย หรือว่าแกเสียท่าจริงถึงได้ร้อนตัวขนาดนี้น่ะ”

“ตลอดชีวิตนี้ผมจะชนะป๋าได้สักครั้งมั้ยเนี่ย!” ดินแดนค้อน “ว่าแต่ ป๋าไม่โกรธเหรอที่พวกผมพี่น้อง เอ่อ.. คงไม่มีใคร.. มีหลานให้ป๋าอุ้มได้อะ”

“อืม จะว่าโกรธก็ไม่โกรธหรอกแต่ก็เสียดายนะ ทรัพย์สมบัติมากมายแต่จะไม่มีใครสืบทอด งั้นแบบนี้ ป๋าขอมีลูกอีกคนจะเป็นอะไรไหมล่ะ”

“ป๋า..พี่ดอท..”  ดินแดนเรียกผู้เป็นพ่อแล้วมองพี่ชายทันทีเพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุนองเลือดขึ้นมาอีก

ชนม์แดนแกล้งตีหน้าเศร้ากะจะแกล้งน้องชายแต่ที่ไหนได้กลับเป็นการแกล้งตัวเองไปเสียฉิบเพราะถูกดินแดนโผเข้ากอดเต็มรัก

“พี่ดอทอย่าคิดมากนะ อย่าโกรธป๋านะเดี๋ยวผมจัดการป๋าให้” ไม่กอดเปล่าแต่ยังตบหลังปุๆ เพื่อให้กำลังใจเสียอีก

“อื้ออ ปล่อยก่อน” ชนม์แดนรวบรวมกำลังดันน้องชายออกไปจนสำเร็จ “ฉันรู้เรื่องก่อนเธออีก”

“ห้ะ ได้ไง” ดินแดนมองผู้เป็นพ่อแล้วหันกลับมามองพี่ชาย “แล้วพี่ยอมเหรอ”

“ก็เธอยอมไหมล่ะ” ชนม์แดนย้อนถาม

“ผมเหรอ อืม ยอมได้ ยอมก็ได้ถ้าเป็นความสุขของป๋าผมก็โอเค” ร่างสูงหันไปมองบิดาที่ยิ้มบางๆ มองลูกชายทั้งสองคนสลับกัน

“งั้นฉันก็ยอม”

ดินแดนยิ้มเต็มใบหน้า ส่วนชนม์แดนก็ยิ้มตอบ จากนั้นทั้งคู่ก็ยิ้มให้ผู้เป็นพ่อ

‘คุณดอทยิ้มสวยมากจริงๆ’  สกายคิดในใจ ‘ดูดีน่าทะนุถนอมซะจนผมรู้สึกว่าตัวเองอาจไม่ใช่แบบที่ดินแดนต้องการ’

อาจไม่มีใครสังเกตเห็นความหวาดหวั่นในดวงตาคู่สวยของสกาย ทว่าคนที่ถูกมองกลับรับรู้มันได้และกำลังคิดว่าจะช่วยเด็กน่าสงสารคนนี้ได้ยังไง

+++++++++++++++++++++++++++++


คืนนี้เจ้าสัวแดนสรวงอยู่เฝ้าลูกชายและรีบกลับในตอนเช้าเมื่อชนม์แดนบอกว่าภรรยาของเขากำลังจะเข้ามา หลังจากนั้นไม่นานผู้เป็นแม่ก็เข้ามาลูบหลังลูบไหล่แล้วตระเตรียมอาหารเช้าให้จนอิ่มหนำสำราญใจ

“คุณแม่ครับ” ชมน์แดนรวบรวมความกล้าเพื่อถามไถ่เรื่องฟ้องหย่า “คุณแม่จะฟ้องหย่าป๋าเหรอครับ”

คุณรุ่งฤดีชะงักไปเล็กน้อยแต่แล้วก็ปอกผลไม้ต่อด้วยสีหน้าเยียบเย็น

“อืม ป๋าแกแอบเข้ามาหาล่ะสิ ดีกันแล้วหรือไงกับป๋าน่ะ”

“ครับ ก็เข้าใจป๋ามากขึ้น”

“ก็ใช่สิ แม่มันหัวเดียวกระเทียมลีบแล้ว” เธอเร่งปอกผลไม้แล้วเก็บของทำท่าเหมือนจะรีบกลับ

“อย่าน้อยใจสิครับ ยังไงดอทก็อยู่ข้างคุณแม่นะ” ชนม์แดนเอื้อมมือคว้าแขนผู้เป็นแม่ไว้ “แค่เล่าให้ดอทฟังหน่อยว่าทำไมถึงต้องฟ้องหย่า แล้วต่อไปมันจะเป็นยังไง”

“แม่จะฟ้องเพื่อไม่ให้ป๋าของลูกเอาทรัพย์สมบัติที่เป็นสิทธิ์ของลูกไปเผื่อแผ่ให้คนอื่น แล้วไม่ต้องมาห้ามแม่เพราะแม่ส่งเรื่องให้ทนายหมดแล้ว มีหลักฐานว่าเขานอกใจทุกอย่าง”

“ดอทไม่ห้ามหรอกครับ แต่ถ้าเหตุผลมีแค่นั้น ดอทว่าเรามีทางแก้ที่ดีกว่าฟ้องหย่า คุณแม่คิดว่ายังไงครับ”

“ทางไหนล่ะ แม่ไม่เห็นทางไหนจะดีกว่านี้แล้ว”

“ดอทจะไปคุยกับป๋า ขอให้ป๋ายกมรดกให้ดอททั้งหมด แบบนี้คุณแม่จะยอมหรือเปล่า”

“หึ เขาคงยอมหรอก”

“ถ้าไม่ยอม คุณแม่ค่อยฟ้องหย่า แต่ถ้ายอม เราก็จบเรื่องนี้ได้โดยที่ไม่ต้องเป็นขี้ปากชาวบ้าน ดีกว่าไหมครับ”

คุณรุ่งฤดีนิ่งคิดแล้วในที่สุดก็จำใจตอบรับ

“ถ้ามันเป็นไปได้ แม่ก็จะยอม”

ชนม์แดนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่แล้วความหนักใจในเรื่องใหม่ก็ตามมา

ถึงป๋าจะยอม แต่ดินแดนจะยอมไหมนะ

+++++++++++++++++++++++++++

ในช่วงบ่าย ชนม์แดนขอออกจากโรงพยาบาลแล้วมุ่งตรงไปยังห้องเสื้อเพื่อสะสางงานที่คั่งค้างจนถูกมารดาดุที่ไม่ยอมกลับบ้านพร้อมกันแต่คนดื้อก็ยังยืนยันที่จะไป หนึ่งในเป้าหมายคือเจรจาเรื่องสำคัญ

“ฮัลโหลคนสวย” เสียงรับโทรศัพท์กวนๆ จากปลายสายทำให้หน้าหงิกทันทีที่ได้ยิน

“เดี๋ยวเหอะ พูดไม่เข้าหูเดี๋ยวจะวางละนะ”

“โอ๋ๆ ไม่กวนแล้วครับ พี่มีไร” ดินแดนถาม

“มีเรื่องสำคัญจะปรึกษา คุยเรื่องซีรีส์เสร็จแล้วเข้ามาหาหน่อยสิ”

“มีเรื่องอะไรพูดมาเลย ผมไม่เข้าไปหรอก”

“อ้าว” ชนม์แดนทำหน้างอ อุตส่าห์คิดว่าน้องชายอาจจะอยากมาเยี่ยมแต่กลายเป็นแบบนี้ซึ่งก็ต้องปรับอารมณ์ให้นิ่งขึ้นถึงในใจจะงอนอยู่ก็ตาม “จะขอร้องเรื่องพินัยกรรมหน่อย”

“ครับ ว่ามาสิ” ถึงแม้ปกติดินแดนจะไร้สาระแต่เขามักจะปรับท่าทีได้เร็วตามสถานการณ์

“คือ.. คุณแม่จะฟ้องหย่าป๋าเพราะกลัวป๋าจะยกสมบัติให้ลูกคนใหม่ ฉันก็เลย..”

เรื่องสำคัญแบบนี้อยากคุยกันต่อหน้ามากกว่าแต่ในเมื่อเขาไม่อยากมาจึงจำเป็นต้องหาคำอะไรที่มันจะไม่ทำให้ดูเหมือนเป็นคนโลภอยากครอบครองสมบัติของป๋าแค่เพียงคนเดียว

“อ๋อ พี่จะให้ป๋ายกมรดกให้พี่ทั้งหมด แม่ใหญ่จะได้สบายใจแล้วไม่ฟ้องหย่างี้ปะ ได้สิ No problem”

ถึงกับอึ้งไปเมื่อดินแดนพูดเหมือนกับจะยกอมยิ้มให้ ทั้งน้ำเสียงและคำพูดที่ไม่ได้มีอาการแปลกใจหรือประชดประชัดใดๆ

“ท..ทำไม เธอ..”

“โอ้ยอย่าคิดมาก ผมไม่อยากได้สมบัติอะไรของป๋าสักชิ้น เอางี้นะ เดี๋ยวผมเซ็นเอกสารสละสิทธิ์ไม่เรียกร้องแม้แต่บาทเดียวให้เลย”

“จ..จริงเหรอ คือ ที่จริงฉันไม่ได้จะฮุบไว้หมดแค่อยากให้คุณแม่สบายใจไปก่อนจนกว่าเด็กจะคลอด พอตรวจดีเอ็นเอแล้วเป็นลูกป๋าจริงๆ ฉันจะให้ป๋าทำพินัยกรรมใหม่”

“เรื่องนั้นพวกพี่จัดการเลย ผมเซ็นไม่รับมรดกให้พี่แล้วจบ ดินจะไม่ยุ่ง เคนะ” พูดง่ายๆ แบบนั้นแล้วทำเหมือนจะวางหู ไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าเขาจะไม่ยี่หระกับทรัพย์สินเงินทองได้ถึงขนาดนี้

“ดินเดี๋ยวสิ..”

“เรื่องนี้จบแล้ว ผมเข้าใจและโอเคทุกอย่าง พี่ไม่ต้องพูดถึงอีกนะ  ส่วนเรื่องอื่นเดี๋ยวค่อยคุย รอสกายแจกลายเซ็นแป๊บไม่เกินครึ่งชั่วโมงจะเข้าไปหา”

“อ้าว ไหนบอกจะไม่มา”

“ไม่เข้าไปคุยเรื่องสำคัญที่พี่อยากให้เข้าไปคุย แต่จะไปเพราะอยากไปเยี่ยม แค่นั้น”

“เธอนี่” ชนม์แดนมึนงงไปหมดกับลีลาของน้องชาย แล้วที่งอนไปเมื่อกี้เพื่ออะไรกัน

เฮ้อ กวนประสาทจริงๆ นายดิน

“รออยู่ที่โรงบาลนั่นแหละเดี๋ยวเจอกัน”

“อยู่ที่ห้องเสื้อแล้ว”

“อะไรนะ!? ออกจากโรงพยาบาลแล้ว?” ดินแดนโพล่งขึ้นเสียงดัง “รออยู่นั่นแหละนิ่งๆ เดี๋ยวโดนเลยชนม์แดน” 

คาดโทษจบเขาก็กดวางสายทันที กลายเป็นว่ามีผู้ปกครองเพิ่มขึ้นอีกคนไปจนได้

++++++++++++++++++++++++++++++


“ทำไมถึงไม่นอนโรงบาลอีกสักคืนล่ะ ออกมาทำงานทำไมเนี่ย” ดินแดนบ่นทันทีที่เข้ามาเห็นพี่ชายกำลังนั่งตรวจงาน ส่วนสกายก็เดินตามเข้ามาอีกคน

“แค่ขาถลอกจะนอนทำไมเยอะแยะ งานเต็มโต๊ะเลยไม่เห็นเหรอ เออนี่ สัญญาของสกายที่ฉันแก้ให้” มือเรียวหยิบแฟ้มสัญญาของสกายส่งให้

“ขอยุติสัญญาเหรอ” ดินแดนอ่านจบแล้วส่งให้สกายก่อนจะหันไปทางพี่ชายด้วยสีหน้างงงวย

“อืม จากนี้ไปเธอก็เป็นอิสระแล้วนะสกาย” ร่างเล็กหันมองชายหนุ่มลูกครึ่งแล้วยิ้มให้จนสกายนิ่งงันกับภาพรอยยิ้มโดยตรงที่ไม่เคยได้รับมาก่อน

คุณดอท ดูดีมากจริงๆ

“แบบนี้น้าแจนจะยอมเหรอ” ดินแดนถามทันที

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ฉันจะจ่ายค่ายกเลิกสัญญาให้ทั้งน้าแจนและสกายด้วย” ชนม์แดนตอบด้วยท่าทีสบายๆ

“จ่ายให้แค่ทางนั้นเถอะครับไม่ต้องจ่ายให้ผม แค่คุณดอทยกเลิกสัญญาให้ก็ดีมากแล้ว” สกายบอก

“ไม่ได้หรอก ฉันต้องจ่ายตามสัญญาไม่งั้นเดี๋ยวมีปัญหาตามมาอีก” ชนม์แดนตัดบท “พอละ ไม่ต้องเถียง ยอมรับตามที่ฉันบอก เอาตามนี้”

เมื่อเห็นแววตาจริงจังของร่างเล็ก สกายจึงทำได้แค่พยักหน้ารับแบบงงๆ

“แล้วสัญญากับลูกค้าที่เซ็นไปแล้วล่ะ” ดินแดนถามต่อ

“ก็ให้เป็นไปตามนั้น พวกเธอก็รับรายได้เต็มจำนวนไปเลย ส่วนสกายจะแบ่งไปให้น้าแจนดูแลพ่อเท่าไหร่ก็แล้วแต่” ชนม์แดนอธิบาย

“ช็อคไปเลย ฮ่าๆๆ” ดินแดนหัวเราะใส่หนุ่มลูกครึ่งที่ได้แต่ยืนอึ้ง “ดีใจด้วยนะมึง ต่อไปนี้จะรวยแล้ว” เขายิ้มอย่างยินดีก่อนจะหันมาจับมือพี่ชายเอาไว้ “ขอบคุณนะพี่ แต่รายได้ของผมจะแบ่งให้บริษัทพี่ 30% เป็นสัญญาใจนะไม่เซ็นให้หรอกเผื่อวันนึงต้องไปขอลูกชายบ้านไหนมาแต่งจะได้มีเงินพอ” ว่าแล้วก็เหลือบมองสกาย

“เอาที่เธอสบายใจเถอะ เออนี่ น้าแจนฝากมาให้ บอกว่าอยากให้สกายไปงานวันจบของน้องสไมล์พรุ่งนี้น่ะ ดูเหมือนจะได้รางวัลคุณแม่ดีเด่นงานนี้ด้วย เธอจะไปไหม” ชนม์แดนส่งสูจิบัตรให้สกาย เจ้าตัวทำท่าจะปฏิเสธแต่ดินแดนคว้าเอาไปก่อน

“ไปดิ เดี๋ยวกูไปส่ง” ดินแดนยักคิ้ว

“คุณจะไปก็ไปคนเดียวเถอะ ผมไม่ไป” สกายตอบแล้วก็หันหน้าหนี  ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนั้นเลยจริงๆ

“เอาไว้ค่อยคุยกันทีหลังละกัน” ดินแดนตัดบทแล้วเดินอ้อมเข้ามาด้านใน  เขาหมุนเก้าอี้ทำงานของพี่ชายให้หันไปหาแล้วนั่งลงพยายามจะดูแผลที่ขา “ทำไมใส่กางเกงขายาวล่ะ พี่ต้องให้แผลได้หายใจนะไม่งั้นมันจะอับแล้วเป็นหนอง”

“ไม่เป็นอะไรแล้วน่า แผลมันเล็กนิดเดียว”

มือหนาที่ปะป่ายอยู่บริเวณหน้าขาเพราะพยายามจะดึงขากางเกงขึ้นแต่ทำไม่ได้จนมือเรียวต้องคว้าไว้   ยื้อกันไปมาจนหัวชนกัน

“โอ๊ย!” ดินแดนจับหน้าผากตัวเองแต่แล้วพอเห็นอีกฝ่ายกุมหน้าผากเหมือนกันก็ตกใจรีบจับมือบางออกแล้วเป่าให้  “เจ็บไหมพี่ ดูดิแดงเลยอะ” มือของเขาลูบรอยแดงบนหน้าผากเนียนด้วยความเป็นห่วง

“ผมออกไปรอข้างนอกนะ” สกายโพล่งขึ้นแล้วออกจากห้องไปทันทีปล่อยให้พี่น้องสองคนหันมองตามแบบงงๆ


“เดี๋ยวนี้มันเป็นอะไรก็ไม่รู้อะพี่ เหมือนมีอะไรในใจแต่ผมก็ไม่รู้ว่าอะไร หรือว่ามันจะเบื่อผมหรือมันมีคนอื่นวะ” ดินแดนถอนหายใจ ใบหน้าค่อนข้างตึงเครียดพอสมควร

“ไม่ได้มีใครหรอก ก็แค่หึง” ชนม์แดนตอบแล้วยิ้มล้อ

“หึงใคร” ดินแดนถามขึ้นทันที

“หึงฉันไง” ร่างบางตอบเพราะเป็นเรื่องที่สังเกตมาสักพักแล้ว

“ไอ้หน้านิ่งเนี่ยนะหึงผมกับพี่” ร่างสูงขมวดคิ้วใส่พี่ชายอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“ใช่ แต่จะว่าไป ไม่ใช่แค่เธอกับฉันหรอก เขาหึงทุกคนที่เข้าใกล้เธอนั่นแหละ ยิ่งเด็กจ้าวนั่นก็ยิ่งหึง” ร่างเล็กเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างสบายๆ 

“ใช่เหรอ ผมคิดว่ามันหึงไอ้จ้าวมากกว่านะ”

“อ่อนหัด” ชนม์แดนได้ทีข่มอีกฝ่ายบ้าง “ถ้าสกายหึงข้าวจ้าวก็คงมีปฏิกิริยาแล้วตอนที่บั๊คกอดกับจ้าวน่ะ เธอมัวแต่ดูอะไรอยู่ถึงไม่รู้ว่าแฟนตัวเองลืมรักเก่าได้แล้ว”

“จริงดิ ทำไมผมคิดมาตลอดว่ามันหึงไอ้จ้าวใส่ผมก็เลยแกล้งเมินมันเพราะผมก็หึงมันเหมือนกัน” ดินแดนพยายามคิดวิเคระาห์  “แต่จะว่าไป ถ้ามันหึงเรื่องไอ้จ้าวจริงๆ ก็ไม่แปลกเท่าไร แต่หึงพี่ดอทนี่สิแปลก พี่เป็นพี่ชายแท้ๆ ของผมนะ ถึงจะคนละแม่แต่เราเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันอะ มันไม่น่าจะหึงได้เลย”

“ของแบบนี้มันไม่เกี่ยวกับสายเลือดหรอก มันเกี่ยวกับสันดานเธอมากกว่า” 

“โหย แรงว่ะ” ดินแดนโวย “แล้วสันดานผมมันเสียมากหรือไงถึงหึงได้แม้กระทั่งพี่น้องเนี่ย”

“มาก” ชนม์แดนขำเบาๆ “จริงๆ ก็ไม่อยากจะพูดให้ได้หน้าได้ตาอะไรนะ แต่คงต้องบอกความจริงว่าเธอน่ะมีเสน่ห์มากไม่ว่ากับเพศไหนวัยไหนก็สามารถหลงเธอเอาได้ง่ายๆ เพราะเธอดูหล่อแบบแบ้ดๆ เท่ๆ แต่นิสัยที่เป็นกันเอง เข้ากับคนอื่นได้ง่ายแถมยังชอบดูแลคนอื่นเพราะใจดีเกินไปจนอาจทำให้คนอื่นหวั่นไหว ทุกอย่างที่เธอเป็นมันทำให้สกายรู้สึกว่าตัวเขาเองคงไม่ได้มีความพิเศษไปกว่าคนอื่น”

ร่างสูงนิ่งคิดแล้วก้มลงจับมือบางพร้อมกับส่งสายตากรุ้มกริ่ม

“แล้วพี่หวั่นไหวบ้างปะ”

เพี๊ยะ!

“แล้วก็นี่อีก” ชนม์แดนตีมือที่จับมือตนไว้จนเขาต้องปล่อยมือออก “มือไวซะขนาดนี้ อย่าว่าแต่พี่ชายเลย ถึงจะเป็นป๋า เขาก็อาจจะหึงขึ้นมาก็ได้ อันที่จริงฉันว่ามันน่าจะเป็นความรู้สึกหวงสัมผัสมากกว่า สกายขาดความอบอุ่นมานาน พอมีเธอเข้าไปดูแลเขาก็รู้สึกหวงกลัวว่าจะเสียสัมผัสของเธอให้คนอื่น”

“แล้วผมต้องทำไง จะไม่ให้ดูแลพี่ได้ไงล่ะ แบบนั้นก็ฝืนความรู้สึกไปหน่อยนะ ก็ผมมันคนดี” ดินแดนทำสีหน้าเป็นกังวลส่วนชนม์แดนถอนหายใจเพราะรู้สึกอึดอัดกับเรื่องนี้มากพอสมควร

“อะไรที่มันเป็นปัญหา เธอก็แค่ลดๆ ลงหน่อย สำหรับคนอื่นถึงจะไม่ได้รับความใจดีของเธอเขาก็ไม่รู้สึกเสียใจอะไรมากหรอก แต่คนของเธอเองนั่นแหละที่รับความรู้สึกแย่ไปเต็มๆ” ร่างเล็กบอกเสียงอบอุ่น “ฉันรู้สึกดีนะที่เธอมาดูแลห่วงใยหลังจากไม่มีคนในครอบครัวทำให้แบบนี้มาตั้งแต่จำความได้ แต่ถ้ามันจะทำให้เธอกับสกายมีปัญหาก็อยากให้เธอเว้นระยะห่างออกไปบ้าง ให้เกียรติคนที่เราคบอยู่เป็นหนึ่งในหน้าที่ของคนรัก เธอเข้าใจที่ฉันพูดมั้ย”

“ผมเข้าใจก็ได้” ดินแดนเม้มปากพยักหน้ารับแบบจำใจ “งั้นจากนี้ไปถึงผมจะไม่ได้ดูแลอะไรพี่มากมายแต่อยากให้รู้ว่าเป็นห่วงนะ รักมากนะครับ”

ร่างสูงเงยหน้ามองสื่อสารความจริงใจให้รับรู้ ส่วนคนฟังได้แต่เก็บกลั้นอารมณ์แล้วพยักหน้าตอบรับ 

ทั้งคู่มองจ้องกันด้วยความเข้าอกเข้าใจ ไม่นานนักน้ำตาก็เริ่มปริ่มขึ้นในดวงตาคู่สวยของชนม์แดน มือหนาเอื้อมมาปาดเช็ดน้ำตาให้แล้วจูบแก้มพี่ชายเบาๆ

“ขอเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะทำแบบนี้” เขาลูบแก้มเนียนแผ่วเบาราวกับเป็นอัญมณีล้ำค่า “จริงๆ ผมรู้สึกว่าพี่เหมือนน้องสาวมากกว่า ยิ่งได้รู้ว่าคบกับใครก็ยิ่งเป็นห่วง  ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เลิกกับมันซะและถ้าไม่อยากให้ผมเป็นห่วง พี่ก็มีความสุขซะทีไม่งั้นผมคงทนไม่ได้ที่จะไม่ดูแลพี่”

“รู้แล้วละน่า อย่าขี้บ่นมากนักเลย” ชนม์แดนตัดบทแล้วดันมือหนาออกเพราะตอนนี้เลือดเริ่มแล่นริ้วไปตามไออุ่นจากมือของอีกฝ่าย “ไปได้แล้วเดี๋ยวสกายรอนาน”

ดวงตาเรียวรีหรี่แสงลงเหมือนครั้งนี้จะเป็นการลาจากกับครอบครัวที่พลัดพรากกันมานานแต่ก็จำใจต้องจากกันอีกครั้ง

“งั้น..ขอหอมอีกทีแล้วจะไป” ดินแดนยังงอแง “เร็วดิอย่าเล่นตัว แก้มพี่ที่จริงผมจะหอมเมื่อไหร่ก็ได้เพราะผมเป็นน้องชาย  แต่ไอ้คนอื่นอะ ถ้ามันนิสัยไม่ดีก็ไม่ควรได้หอมหรอก”

“พอแล้วๆ เลิกบ่นซะที” ชนม์แดนส่ายหน้าให้กับความดื้อแต่แล้วก็ป่องแก้มให้ ดินแดนยิ้มแป้นเหมือนเด็กได้ของเล่น เขาหอมแก้มเนียนเสียงดังฟอดจนร่างเล็กสั่นสะท้านไม่หยุด

“ผมกลับมาเซ็นสัญญา”

!!!!!?

พี่น้องทั้งสองคนผละออกจากกันทันที  ดินแดนทำหน้าเหมือนโดนผีหลอก ส่วนชนม์แดนอ้าปากค้างเหมือนคนหายใจไม่ออก

“อ่ะ เอ่อ คะคือ คือว่าเรา เรา..” ดินแดนตอบไม่เป็นภาษา

“สัญญาอยู่ไหนครับคุณดอท” สกายไม่สนใจแต่เดินเข้าหน้าโต๊ะ

“เอ่อ.. ยะอยู่ อยู่นี่ เซ็นสามฉบับนะ มีของน้าแจนด้วย” มือเรียวยื่นแฟ้มให้

สกายลงมือเซ็นสัญญาครบทุกฉบับแล้วยกมือไหว้ลาชนม์แดนจนฝ่ายที่ถูกไหว้นิ่งอึ้งตะลึงงัน เป็นครั้งแรกที่สกายยกมือไหว้แบบนี้ มันก็จะงงๆ ปนเอ๋อๆ หน่อย

“ผมไปรอที่รถนะ ไม่ต้องรีบก็ได้ผมโอเคแล้ว”

“พี่ว่า สกายเห็นเมื่อกี้ไหม” ดินแดนหันมาหาร่างเล็กที่ยังคงอึ้งไม่หาย ได้แต่กระพริบตาปริบๆ

“ถ้าเห็นน่าจะโกรธมากกว่านะ เธอนั่นแหละมาวอแวกับฉันมากไป”

“ไม่หรอก พี่ไม่ได้ยินเหรอว่ามันบอกว่ามันโอเคแล้ว ผมรู้จักมันดีถ้ามันไม่โอเค มันจะไม่พูดว่าโอเคหรอก”

“ขนาดเขาหึงเธอยังไม่รู้เลย มาทำปากดี” ชนม์แดนเบ้ปาก

“ฮ่าๆๆ วันนี้มีความสุขจริงโว้ยย” อยู่ๆ ร่างสูงก็ยืนขึ้นแล้วบิดตัวไปมาอย่างอารมณ์ดี “เมียเข้าใจแล้ว แถมยังได้หอมแก้มพี่อีก เฮ้ออ ชีวิตดี๊ดี”

“เด็กบ้า” ชนม์แดนรีบหันเก้าอี้กลับไปทำงานอย่างเดิมก่อนที่จะถูกเข้าถึงตัวได้อีก รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลยเวลาดินแดนจู่โจมแบบนี้

“ไปละนะ แล้วจะมาใหม่ อ้อ อย่าใส่กางเกงยาว แล้วก็ไม่ต้องมาทำงานละนะ หยุดไปเลย”

“รู้แล้วๆ ไปได้ละ” ชนม์แดนโบกมือไล่แล้วทำทีเป็นสนอกสนใจงานตรงหน้าจนอีกฝ่ายเดินออกจากห้องไป

เฮ้อ เมื่อไหร่จะปรับตัวกับสัมผัสของดินแดนได้นะ เป็นแบบนี้ไม่โอเคเลย แล้วคนฉลาดอย่างเขาไม่น่าจะไม่รู้เพราะทุกครั้งที่เกิดอาการเขาจะลอบมองสำรวจไปทั่วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

หวังว่าเขาจะปล่อยเลยผ่านไปไม่สนใจมันมากนัก ไม่อยากให้ใครต้องมาเป็นกังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย


หลังจากดินแดนกับสกายกลับไปได้สักพัก ชนม์แดนจึงกดโทรศัพท์หาผู้เป็นพ่อและบอกเล่าเรื่องที่ตั้งใจ  เจ้าสัวรับฟังและไม่ขัดข้องก่อนจะวางสายไป 

ตอนนี้ก็เหลือแค่รอพินัยกรรมแล้วเอาไปให้คุณแม่ จากนั้นทุกอย่างก็จบ

นั่งคิดคำนวณทุกอย่างไว้เป็นขั้นเป็นตอน ไม่นานนักเสียงเรียกเข้าจากเผ่าพงศ์ก็ดังขึ้น ชนม์แดนรีบรับสายเพราะอยากรู้ความเป็นไปของคดีความ

“เฮียอยู่ไหนครับ”

“เฮียคุยกับผู้ใหญ่เรื่องคดี วันนี้คงดึกอยากไปหาดอทแต่คงต้องเป็นพรุ่งนี้”

“ไม่เป็นไรครับ แล้วทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือเปล่า ตั้งแต่ไลน์มาบอกว่าได้ประกันตัวก็เงียบไปเลย ดอทก็ไม่กล้าโทรไป”

“ก็เรียบร้อยดีไม่น่ามีปัญหาอะไร ทางผู้ใหญ่เขาช่วยได้ ว่าแต่ดอทเถอะ แผลเป็นไงมั่งแล้วทำไมไม่นอนโรงพยาบาลสักสามสี่คืนจะรีบออกมาทำไม”

“แผลแค่นี้เองครับ ไม่ได้หนักหนาอะไรซะหน่อย”

“ไม่หนักอะไร เท่าที่เห็นเฮียว่าน่าจะลึกอยู่นะ แล้วต้องไปล้างแผลเมื่อไหร่เดี๋ยวเฮียไปส่ง”

“พรุ่งนี้ช่วงเย็นๆ สัปดาห์แรกคุณหมอให้ล้างแผลบ่อยๆ เพราะไม่รู้ว่าโดนอะไรแน่กลัวว่าจะติดเชื้อครับ”

“อืม งั้นพรุ่งนี้เฮียไปรับนะ”

“ครับ”

ด้วยน้ำเสียงที่ดูจะเครียดขรึมกว่าปกติ ชนม์แดนเดาว่าคนรักน่าจะยังน้อยใจที่ถูกหักหลังเพียงแต่ไม่ได้ใส่อารมณ์มากนัก ร่างบางนั่งครุ่นคิดถึงความสัมพันธ์ของตนกับเผ่าพงศ์แล้วถอนหายใจออกมาในที่สุด

จากนี้ไปคงต้องจริงจังไปสักทาง อายุก็ไม่น้อยแล้วและจุดมุ่งหมายห้าสิบล้านก็คงไม่สำคัญอีกต่อไป คงเหลือแค่เรื่องของความรักที่ยังต้องหาทางออก




ต่อ..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-07-2018 09:44:31 โดย fiction no.9 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
เมื่อกลับถึงบ้านในช่วงเย็น นั่งทานอาหารกับมารดาแล้วเดินขึ้นห้องราวกับไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆ เหมือนที่ทำมาทั้งวันพราะไม่อยากให้ใครต้องมาเป็นห่วง

“ซี้ดด เจ็บจัง” ผลของการไม่พักทำให้เกิดอาการระบมแต่คนดื้อก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก หลังจากเช็ดตัวเปลี่ยนชุดก็เข้านอนตามปกติ  “เหมือนผ่านไปเป็นปีทั้งๆ ที่ไปนอนโรงพยาบาลแค่คืนเดียว”

ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกไม่สดชื่นทั้งๆ ที่ชีวิตช่วงนี้ก็ลงตัวเกือบทุกอย่างแล้ว หรือเป็นเพราะเรื่องของเผ่าพงศ์ที่ยังลูกผีลูกคนและมันก็เป็นเรื่องใหญ่เสียด้วยเพราะที่ผ่านมาเกินครึ่งหนึ่งของชีวิตที่มีคนๆ นี้อยู่เคียงข้างมาตลอด

กว่าจะนอนได้ก็เกือบเช้า มันเหมือนเป็นความเคยชินไปเสียแล้วที่จะขบคิดเรื่องกวนใจจนเสียเวลานอนไปทั้งคืน  บางทีอาจจะจริงอย่างที่ดินแดนเคยบอกว่าเสพติดความทุกข์



ในช่วงสาย ชนม์แดนแต่งตัวออกไปทำงานโดยรีบหอมแก้มมารดาแล้วรีบชิ่งเพราะถูกบ่นไม่หยุดในมื้ออาหาร วันนี้มีข่าวตื่นเต้นที่คุณรุ่งฤดีโทรบอกลูกชายเกี่ยวกับแม่เลี้ยงของสกายและมันทำให้คนที่ปกติไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นต้องกดโทรหาน้องชายเป็นการด่วนเพื่อเรียกให้มาเล่าต่อหน้าแบบสดๆ

“มีไรพี่” ดินแดนเข้ามานั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานแล้วหมุนเล่นเหมือนเด็ก ส่วนสกายขยับเก้าอี้ไปไกลคนรักแล้วส่ายหน้าระอาในพฤติกรรม

“เรื่องน้าแจน เล่าเหตุการณ์ให้ฟังหน่อย เห็นป๋าบอกว่าน้าแจนโดนเล่นงานที่โรงเรียนสไมล์เหรอ”

“ก็ประมาณนั้น” เขายักคิ้ว

“ฝีมือเธอล่ะสิ”

แล้วดินแดนก็เล่ารายละเอียดให้ฟังทั้งหมด ชนม์แดนแทบไม่อยากเชื่อว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น 

“ไม่น่าเชื่อเลยนะ” ร่างเล็กทำหน้าแหยงๆ “มิน่าถึงได้มากล่อมให้ฉันทำสัญญาโหดแบบนั้นกับสกาย ตอนนั้นเขาก็ใส่ไฟสารพัดว่าแม่ของสกายมาราวีจะทำร้ายบ้างจะลักพาตัวลูกเขาบ้าง บอกว่าสกายชอบทำร้ายน้องๆ เอารูปที่ลูกชายหัวแตกมาให้ดู และถ้าไม่ทำสัญญาแบบนั้นพ่อของเธอก็จะไม่มีค่าใช้จ่ายมาดูแล ไอ้ฉันก็เชื่อเป็นตุเป็นตะ โง่จริงอะไรจริง” 

สกายยิ้มฝืนๆ เพราะคงไม่อยากรื้อฟื้นปมในใจ

“ขอโทษนะที่ผ่านมาฉันทำร้ายกับเธอมาตลอดเลย”   

“ไม่เป็นไรครับ คุณก็ถูกหลอกเหมือนกัน” สกายยิ้มในสีหน้าเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้น

“ไม่ต้องเรียกคุณหรอก เรียกพี่เหมือนที่ดินเรียกก็ได้จะได้รู้สึกเป็นกันเองมากขึ้น” ใบหน้าสวยคลี่ยิ้มขึ้นอย่างใจดี

“แหมมมม ตัวเองพูดจาเป็นกันเองมากนักนี่ ฉันๆ เธอๆ อย่างกับนางพญาคุยกับพ่อค้าขายปลาในตลาด” ดินแดนผู้มีสกิลในการกระแนะกระแหนเทียบเท่ากับนางร้ายในละคร ไม่ใช่แค่แซะแต่ยังเบ้ปากใส่อีกด้วย   

“ก็ยังดีกว่าพูดมึงกูอย่างเธอไหมล่ะ” ชนม์แดนหันไปค้อนน้องชายก่อนจะมองสกาย “มีอะไรที่ฉันชดเชยให้เธอได้บ้างไหม”

“ไม่หรอกครับ แค่ยกเลิกสัญญาแต่ยังดูแลคิวให้แบบนี้ก็ดีมากแล้ว” สกายยิ้มอีกครั้งเป็นยิ้มที่จริงใจและมีเสน่ห์มากในความคิดของชนม์แดน

“หวังว่าพวกนั้นจะไม่มายุ่งกับเธออีกนะ” 

เมื่อเห็นว่าพี่ชายกำลังเป็นกังวล ดินแดนจึงอธิบายเพิ่มเติมให้ได้รู้ว่าจากนี้ไปคนพวกนั้นหมดโอกาสที่จะมาทำร้ายสกายได้อีก

“เธอนี่มันเจสันบอด์นปลอมตัวมารึเปล่าเนี่ย” ร่างบางทำหน้าขยาดหลังได้ฟังจนจบ

“เจสงเจสันอะไร นู่นไอ้กระทิงนู่นที่มันเก่ง ผมแค่บอกแผนและขั้นตอนหลักๆ ไปให้แค่นั้นแต่มันก็จัดการทุกอย่างได้แบบผมยังอึ้ง” ดินแดนยักไหล่

“มีเพื่อนน่ากลัวแบบนี้ระวังตำรวจหรือพวกที่หวังไม่ดีจะมากวนเธอนะ” คนขี้กังวลก็เป็นคนขี้กังวลวันยังค่ำ

“คงไม่มีใครสาวถึงมันหรอกเพราะเอาจริงๆ ถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่ติดต่อไม่ไปหา แล้วอีกอย่างมันมีเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับการป้องกันตัวอย่างดี ผมว่าไม่น่าห่วงหรอก ส่วนผมก็พลเมืองดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ใครจะมากวนได้ล่ะครับคุณชนม์แดน”

“ขอให้มันจริงเถอะ” ชนม์แดนเบ้ปากใส่

“เออ แล้วแผลพี่เป็นยัง..ไง” ดินแดนชะงักกึกเมื่อลุกขึ้นทำท่าจะเดินไปหาพี่ชายแต่คงนึกขึ้นได้ว่าสกายนั่งอยู่ด้วย เขาจึงหันมองคนรักแล้วยิ้มแห้งๆ แล้วก็ทำท่าจะนั่งลงอย่างเดิม  “ดีขึ้นแล้วใช่ปะ”

“ไปดูแผลให้คุณดอทเถอะ ผมโอเค” สกายยิ้มในสีหน้า

“ไม่ดีกว่า กูจะอยู่ตรงนี้ อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ก็ได้” เขาดูลังเลมองสกายอย่างระแวงระวัง

“ไปเถอะ ผมอยากให้มันเป็นอย่างเดิม อะไรที่ทำดีอยู่แล้วอย่าเปลี่ยนเพื่อผมเลย ผมต่างหากที่ต้องเปลี่ยนทัศนะคติของตัวเองบ้าง” ว่าแล้วสกายก็ลุกขึ้นดันตัวคนรักเข้ามาด้านใน

“แน่ใจนะ” 

“อืม” 

“เมียใจดีจัง” ดินแดนฉีกยิ้มกว้างแล้วก็รีบเข้าไปหาพี่ชายอย่างรวดเร็วแต่เมื่อหมุนเก้าอี้มาหากลับต้องหุบยิ้มแล้วรีบคุกเข่าลง “บอกว่าอย่าใส่กางเกงขายาว ทำไมดื้อแบบนี้เนี่ย”   

“ก็จะให้ใส่กางเกงขาสั้นมาทำงานหรือไงเล่า บ้าบอ” ร่างเล็กพยายามยื้อขาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายดึงไป

“ก็ไม่ต้องมาก็ได้ไง พักบ้างอะไรบ้าง ไปเลยกลับไปพักเดี๋ยวผมไปส่ง” ดินแดนพยายามดึงแขนเล็กให้ลุกขึ้นแต่อีกฝ่ายขืนตัวไว้

“ไม่เอายังไม่ไป”

“ไปสิจะไปส่ง” ดินแดนทำท่าไม่ยอม

“มีนัดไปตรวจที่โรงพยาบาล”

“งั้นยิ่งดีเลย เดี๋ยวผมไปส่งเอง” อาการกระกระอักกระอ่วนของชนม์แดน ถูกสังเกตเห็นจนได้ “หืม มีไรปิดบัง บอกมา”

“เฮียจะมารับ” ร่างบางอ้อมแอ้มตอบพลางหลบสายตา

“มันไม่ได้โดนจับเข้าคุกเหรอเนี่ย หึ้ย ไอ้ห่านี่เป็นแมงสาบหรือไงถึงได้รอดตลอดๆ” ดินแดนขมวดคิ้วอย่างหัวเสีย

“ตำรวจเขาให้ประกันตัว” ชนม์แดนตอบเสียงเบา

“ไม่น่าให้มันประกันตัวนะ คนแบบนี้ต้องจับติดคุกซะให้เข็ด”

“คุณ” สกายเรียกเหมือนจะปราม

“ก็จริงนี่” ดินแดนเถียง

“คุณ” สกายปรามครั้งที่สอง แล้วพยักเพยิดมาที่ร่างเล็กซึ่งทำหน้าไม่ถูกเพราะทางหนึ่งก็น้องอีกทางหนึ่งก็แฟน

“เออๆ ไม่พูดแล้วก็ได้  แต่เจอกันแล้วไปส่งโรงบาลอย่างเดียวนะ ห้ามไปไหนต่อ ช่วงนี้งด งดทุกกิจกรรม ห้ามดื้อด้วย”  ดินแดนสั่งเสียงเฉียบ

“รู้แล้วน่า สั่งเป็นป๋าเลย” 

เมื่อเห็นพี่ชายทำหน้างอ ดินแดนจึงถอนหายใจแล้วขยับเข้าไปใกล้ ดึงมือบางมากุมไว้แล้วลูบไปมา

“ไม่สั่งได้ยังไง ดูหน้าสิเหลือแค่สองนิ้ว พี่ควรดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้นะ ป๋าบอกว่าเมื่อก่อนก็ทำแต่งานกว่าจะกลับก็ดึกดื่น เลิกทำได้แล้วงานน่ะ ไม่มีตังค์ก็ขอป๋าสิอย่าหักโหมอีกเลย”

“งานที่ทำอยู่เนี่ย ฉันทำเพราะรักที่จะทำ ไม่ได้มีใครบังคับซะหน่อย เอาน่า ฉันอยู่รอดมาจนถึงอายุปูนนี้ด้วยตัวคนเดียว แสดงว่าก็เก่งพอตัวอยู่เหมือนกัน เธอไม่ต้องห่วงมากนักหรอก”

มือหนาเอื้อมไปประคองต้นคอแล้วบีบลูบเบาๆ จนร่างบางเริ่มสั่นสะท้าน ไม่อยากมีอาการแบบนี้เลยแต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ

“มันเหมือนกันที่ไหนล่ะ ที่ผ่านมาเรามีเรื่องเข้าใจผิดกันก็เลยห่างเหินแต่ตอนนี้รักกันแล้วจะให้ผมทำเป็นว่าไม่รักไม่ห่วงไม่ได้หรอก อย่าดื้ออีกเลยนะ”

ใบหน้านวลขึ้นสีระเรื่ออีกครั้งที่ถูกสัมผัส ร่างกายก็สะท้านสั่น ดวงหน้าสวยฝืนยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะส่งสองมือเรียวไปบีบหน้าของน้องชายจนบู้บี้

“ขี้บ่นๆๆ เข้าใจแล้วเลิกบ่นได้แล้ว เดี๋ยวจะพักสักสองวันให้แผลแห้งแล้วค่อยกลับมา เวลามาทำงานก็จะใส่เกงเลตอนเธอมาตรวจจะได้ดูแผลได้สะดวกขึ้น พอใจไหมเจ้านาย”

“พอใจครับลูกน้อง” ดินแดนจับรวบสองมือบางไว้แล้วจุมพิตลงไปเบาๆ จนผิวขาวซับสีเลือดขึ้นเต็มใบหน้า ลมหายใจดูเหมือนติดขัดจนอยากจะแกล้งตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด

“..ไปได้แล้ว ฉ..ฉันจะนั่งเคลียร์งานสั่งงานทิ้งไว้ให้ลูกน้องก่อน ไปสิ เร็วๆ” ร่างเล็กดันตัวดินแดนให้ออกห่างให้เร็วที่สุด

ดินแดนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วกอดอกก้มมองพี่ชายด้วยใบหน้าทะเล้น

“ให้หอมก่อนแล้วจะไป”

“ไม่เอา” ร่างบางปฏิเสธทันทีแล้วหันมองสกายเหมือนจะขอความช่วยเหลือ

สกายไม่พูดอะไรได้แต่มองทั้งสองคนด้วยความรู้สึกประหลาดๆ

แต่เมื่อดินแดนเห็นว่าเหยื่อกำลังมองสกายก็เหมือนคิดอะไรขึ้นได้จึงเดินไปจูงมือคนรักเข้ามาหาร่างบางที่นั่งมองตามด้วยความสงสัย

“หอมกันคนละข้าง กูข้างซ้าย มึงข้างขวา หอมเลยแก้มพี่กูนุ้มนุ่มห้อมหอม”  มือหนาดันหลังสกายที่ยืนทื่อทำตัวไม่ถูกให้ขยับเข้าใกล้ ส่วนคนที่นั่งอยู่ถึงกับเกร็งจนไม่กล้ากระดุกกระดิก

“ม..ไม่ ไม่เอาดีกว่า” สกายพยายามจะเดินออกไปแต่ถูกจับตัวไว้แล้วดันให้นั่งลงข้างตัวของชนม์แดน

“ป่องแก้มสิพี่ ป่องสองข้างเลยไม่งั้นไม่กลับนะ” ดินแดนกดดันพี่ชายด้วยการนั่งขนาบอีกข้างแล้วรวบแขนเล็กไม่ให้ยกขึ้นมาขัดขวาง

“ฮื่อ!” ร่างบางส่ายหัวแรงๆ หันมองคนที่นั่งซ้ายขวาสลับกัน ทำหน้าเหมือนจะบอกว่ายังไงก็ไม่ยอมแน่ๆ

“เร็วววว” ดินแดนเร่ง “ไม่งั้นก็ไม่กลับจะนั่งกันอยู่งี้แหละ”

ขาเรียวเขย่าไปมาเหมือนเด็กถูกขัดใจแต่แล้วก็หลับตาปี๋  “อ๊ะ จะหอมก็รีบหอม เร็วๆ” 

ถ้าไม่ยอมคงต้องถูกกดดันอยู่แบบนี้ แค่ดินแดนคนเดียวก็จะบ้าอยู่แล้ว ยิ่งมีสกายมาอีกคนยิ่งฟุ้งซ่านไปกันใหญ่ กลิ่นของสกายมันปั่นป่วนหัวใจหนักหน่วงเหลือเกิน

“ป่องแจ้มด้วย ชอบหอมแจ้มป่องๆ” นิ้วแกร่งจิ้มลงไปบนแก้มสีเรื่อ

“ไม่ๆๆ อย่าเรื่องเยอะเดี๋ยวฉันเปลี่ยนใจนะ” ชนม์แดนหันไปดุ

“โหยขี้ดื้อ งั้นก็ได้ หอมแบบนี้ก็ได้” เมื่อดินแดนตอบรับ ร่างบางก็หลับตาลงอีกครั้ง

ดวงตาคมสบมองคนรักและพยักเพยิดให้หอมแก้มพี่ชายตน  สกายที่ยังคงสับสนแต่วูบหนึ่งรับรู้ถึงความอ่อนโยนที่ส่งผ่านมาทางสายตาแพรวพราวของเขา  ถึงจะยังไม่เข้าใจแต่ก็เชื่อในตัวดินแดน เชื่อในสมองและหัวใจดีดีของเขาอย่างเต็มเปี่ยม

“หอมนานๆ เลยนะ” ดินแดนย้ำและนั่นก็ทำให้ร่างเล็กต้องย่นหน้าขัดใจทว่ายังคงหลับตาปี๋อยู่เหมือนเดิมเพราะไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้

หนุ่มหล่อทั้งสองคนประกบริมฝีปากไปที่แก้มเนียนพร้อมกัน กดแนบสูดลมหายใจเข้าลึกยาวนาน

ฟอดดดด

มือบางกำหมัดเกร็งไปทั้งตัว  ร่างกายสะท้านวูบวาบ ลมหายใจถี่หนัก และเลือดในร่างสูบฉีดปั่นป่วนจนอยากจะฉีกเสื้อผ้าตัวเองออกไปให้พ้นจากตัว

ดินแดนช่วยแกะมือเล็กที่กำแน่นให้คลายออกแล้วนวดเฟ้นเบาๆ

“หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ” ดินแดนกระซิบ “นี่ผมเอง น้องชายของพี่ และนั่นก็น้องสะใภ้  เราสองคนรักพี่ดอทนะ พวกเราคือครอบครัวเดียวกันนะครับ”  เขาประสานมือกระชับแล้วปล่อย พูดให้สติและทำอย่างนี้ซ้ำๆ จนในที่สุดเปลือกตาบางก็ค่อยๆ เปิดขึ้น

ชนม์แดนหันมองหน้าสกายแล้วหันไปมองน้องชายที่จ้องมาด้วยสายตาแห่งความห่วงใย พยายามรวบรวมสติขจัดความฟุ้งซ่านในหัวให้หลุดออก ถึงมันจะไม่ได้หมดไปในคราวเดียวแต่ก็พอรับมือได้แล้วในตอนนี้

“..รู้แล้วละน่า ไปได้แล้ว” เสียงพูดยังคงแหบปร่าแต่พยายามบังคับให้เป็นปกติ

“ไปละ” ดินแดนยิ้มตาหยีให้พี่ชายอีกครั้งแล้วหันไปชวนสกาย “ไปกันเถอะ”

สกายข่มความรู้สึกบางอย่างที่ประทุขึ้นในร่างกายทว่ามันไม่ง่าย ฟิโรโมนจากชนม์แดนรุนแรงจนสัญชาตญาณฝ่ายรุกของเขามันกระเจิดกระเจิงไปใหญ่โต  แต่อาศัยเวลาไม่นานเขาก็พยักหน้าแล้วลุกขึ้นยกมือไหว้ชนม์แดนก่อนจะออกจากห้องตามดินแดนไป

โอยยย เกือบจะตายแล้วชนม์แดนนนน  สั่นจนเหมือนจะเป็นไข้ นายดินต้องรู้แน่ๆ ว่าอาการไม่ปกติถึงได้ทำแบบนั้นแต่ดีแล้วที่เขาไม่ได้พูดมันออกมาตรงๆ

จะว่าไปก็น่ารักเหมือนกันนะเจ้าน้องชาย

ดินแดน..

ตั้งแต่เธอทำลายกำแพงเข้ามาชีวิตฉันก็เปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือ

ความหม่นเศร้าในวัยเยาว์ที่ไม่คิดว่าจะสลายไปได้ก็พลันสลายไปแทบไม่เหลือ  นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ร่วมหัวจมท้ายกับเด็กหนุ่มสามคนในวันนั้นแล้วอดที่จะขำไม่ได้ มันทั้งตื่นเต้นแปลกใหม่ราวกับป็นการผจญภัยแต่จะให้ไปลุยอะไรแบบนั้นอีกก็คงไม่เอาแน่

ชนม์แดนคิดว่าทั้งหมดนั้นคงเป็นเหตุการณ์สุดท้ายก่อนที่จะเริ่มใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและราบเรียบไปจนวันตาย ทว่ามันไม่ใช่เลย เรื่องราวหลังจากนี้ต่างหากที่จะเป็นเสมือนการได้ย้อนกลับไปใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่นอีกครั้ง

ซึ่งมันจะเป็นไปในรูปแบบไหน คนหัวรั้นจะใช้โอกาสที่เกิดขึ้นนี้เลือกในสิ่งที่ถูกต้องได้หรือไม่ คงมีแต่สวรรค์ที่ล่วงรู้..



.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

หายไปนานชดเชยให้ยาวๆ เลยค่ะ :hao5:
ตอนหน้าจะอัพเร็วๆ สัญญา ><


ปล. แอบตอบคอมเม้นท์ตรงนี้น้าา

TachibanaRain :  ชูป้าย #ดินดอท ด้วยคน 55555 ยิ่งตอนที่ 7 โมเม้นท์เยอะมากกกก แต่งไปเขินไป งุ้ยยย //ลัทธิออลดินจงเจริญ เย้

Janemera  :  เจ็บคราวนี้คุ้มมาก ชีวิตนางกำลังจะเปลี่ยนแร้ววววว อิๆ

Grey Twilight  :  เม้นท์ยาวสะใจอีกแว้ววววว -/\-  ปมพ่อไม่รักที่มันคลี่คลายได้ในครั้งนี้นอกเหนือจากความจริงที่ได้รับรู้จากปากเจ้าสัวก็ยังมีตัวกระตุ้นสำคัญ(มาก)คือความรู้สึกผิดกับสกายและดินแดนยอมลงให้ก่อน พี่ดอทนางเป็นคนหัวรั้นและไม่ชอบการถูกขัดใจ อันที่จริงถ้าดินยอมลงให้ตั้งแต่แรกๆ รับรองได้พี่ชายแสนสวยไว้ขิงชาวบ้านเขาตั้งนานแล้วแหละ  ส่วนเจ้าสัวแดนสรวงก็ยังต้องเจอปัญหาจากการกระทำของตัวเองไปอีกจนกว่าทุกอย่างจะจบ
  :mew1:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-07-2018 09:42:59 โดย fiction no.9 »

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
คิดว่าใครมาเห็นพี่ดินกับพี่ดอทก็ต้องคิดทั้งนั้นแหละว่าแฟนกันก็ถ้าพี่จะละมุนขนาดนี้ สายค้ำคอร์แบบเราถึงกับใจสั่นอยากจะอ่านเวอร์โลกคู่ขนาน #ดินดอท มันซะเดี๋ยวนี้เลยจริงๆ จบไปกับปมเรื่องครอบครัวแล้วก็เหลือปมอาการของพี่ดอทนี่แหละ พี่ดอทเป็นอะไรเพราะดูเหมือนจะมีปฏิกิริยากับการสัมผัสมากๆ

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9

.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.
ต อ น ที่ 8 :  อ นุ ว ร ร ต



“คิดอะไรอยู่เหรอ หืม” ผมหลุดออกจากภวังค์เมื่อร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาถึงเก้าอี้ทำงาน

เฮียเผ่าบอกว่าจะมารับหลังหกโมงแต่ไม่คิดว่าจะมาถึงเอาสี่ทุ่ม 

ผมเงยหน้ามองผู้ชายในชุดสูทสีกรมท่า ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มที่ตอนนี้ก้มลงมาจูบแก้มเบาๆ

กลิ่นน้ำหอม..

จำเป็นต้องหลับตาลงและข่มความรู้สึกเอาไว้  เฮียคงหยุดไม่ได้เรื่องนอกใจ ที่มาช้าก็คงมัวแต่ไปยุ่งกับคนอื่นสินะ

“มาช้าจังครับ ดอทรอตั้งนานป่านนี้คุณหมอกลับบ้านไปแล้วมั้ง” ผมลุกขึ้นหยิบกระเป๋าสะพายเฉียงไหล่เตรียมออกจากห้องทำงาน

“ก็มีเรื่องต้องเคลียร์หลายเรื่อง ส่วนเรื่องหมอถ้ากลับไปแล้วก็เรียกมาใหม่ เฮียจะเรียกให้เอง” เฮียก็เป็นแบบนี้อยู่เรื่อย ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่

“แค่ทำแผลให้พยาบาลทำก็ได้ครับ ไม่ต้องเรียกใครมาให้เอิกเริกหรอก” ผมบอกแล้วเปิดประตูขึ้นรถที่จอดรถไว้หน้าตึก เฮียเผ่าไม่เคยสนป้ายห้ามจอดใดๆ อยากจอดก็จอด อยากฝ่าไฟเหลืองไฟแดงก็แค่พูดว่าถ้าโดนตำรวจก็จ่ายค่าปรับไปซึ่งผมก็ได้แต่ชินกับการกระทำแบบนี้

“วันนี้อารมณ์ไม่ดีเหรอดอท คุยกับเฮียแทบไม่มองหน้า เฮียต่างหากที่ต้องโกรธที่ดอทหักหลังจนเฮียต้องเข้าปิ้งโดนตำรวจลากไปสอบปากคำตั้งหลายชั่วโมง นี่ดีเท่าไหร่แล้วที่เฮียไม่ซัดทอดว่าดอทก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด” ร่างสูงเข้ามานั่งในรถออดี้คันหรูแล้วหันมาบ่นยืดยาว

ตอนแรกก็อารมณ์ดีอยู่นะ แต่เฮียเองที่มาช้าแถมยังพกน้ำหอมกลิ่นไม่คุ้นมาฝากก็เลยนอยด์ขึ้นมา

“ก็แล้วทำไมไม่ซัดทอดล่ะครับ ดอททำผิดก็พร้อมรับผิดอยู่แล้วแต่เฮียเองที่บอกว่าไม่ต้องให้การเรื่องที่ช่วยถ่วงเวลาให้”

“ใครจะอยากให้แฟนไปเข้าคุกเข้าตารางล่ะ ก็มีแต่ดอทนั่นแหละที่ทำกับเฮีย” เขาตัดพ้ออย่างหนัก

“ดอทห้ามเฮียแล้วนะแต่เฮียไม่ฟัง” 

“ก็เฮียไม่ได้จะขืนใจอยู่แล้วแค่พาตัวไปแล้วกล่อมให้มันยอมแต่จุดประสงค์จริงๆ ก็แค่อยากแกล้งไอ้ดินแดนให้มันอกแตกตายแค่นั้นแหละ”

ผมนิ่งเงียบ ไม่รู้จะเชื่อเฮียได้ไหม ถ้าผมไม่พาดินแดนเข้าไปช่วยเด็กพวกนั้นจะเป็นยังไงหรืออาจจะไม่เป็นก็ได้ อันนี้เดาทางเฮียไม่ถูกจริงๆ

“ดอทก็เจอกับตัวแล้วไม่ใช่เหรอว่าเฮียไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรขนาดนั้น กับดอทเองเฮียก็ไม่เคยบังคับนะ”

“ไม่บังคับหรอกแต่เฮียล่อลวง” ผมแย้ง “ตอนนั้นดอทยังเด็กมากก็เลยไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมเฮีย”

“แต่เฮียก็ตกหลุมรักดอทเหมือนกันนี่ รักมากด้วยนะครับเด็กดี” เขาดึงมือไปจูบจนร่างกายสะท้านน้อยๆ อย่างไม่อาจห้าม

“ไปคอนโดแล้วค่อยหาหมอดีไหม” เฮียเผ่าเริ่มกล่อม 

“เฮีย” ผมปรามเสียงต่ำ

“ก็ได้ๆ งั้นหาหมอแล้วไปคอนโด”

“ออกรถเถอะครับเดี๋ยวจะดึกกว่านี้” ผมไม่ตอบคำถามแต่เร่งให้ออกรถ เฮียก็อะไรไม่รู้ นี่ถ้ายอมทุกครั้งที่เฮียขอผมคงไม่ต้องเห็นเดือนเห็นตะวันทั้งปีแน่



ระหว่างทางที่ขับรถ มีบอดี้การ์ดของเฮียตามมาห่างๆ ปกติเวลาเฮียไปไหนจะมีบอดี้การ์ดอย่างน้อยสองคนเสมอ แต่ถ้าอยู่ด้วยกัน เฮียจะสั่งให้อยู่ห่างเพราะรู้ว่าผมไม่ชอบให้มีใครมาอยู่ใกล้และค่อนข้างหงุดหงิดเวลาพวกเขามองผม

วันนี้แผลก็ยังไม่แห้งยังมีบวมแดงทั่วบริเวณ เวลานั่งใหม่ๆ จะเสียดสีกับกางเกงจนต้องร้องซี้ด พูดถึงเรื่องกางเกงก็คิดถึงเจ้าน้องชายจอมแสบ ชอบบ่นเรื่องที่ใส่กางเกงขายาวอยู่เรื่อย ขี้บ่นสุดๆ

ครืดด~

DumDinDan :  งดนะ งดๆๆๆๆๆ

โทรศัพท์สั่นเตือนและเมื่อแอบดูผ่านหน้าจอก็เห็นข้อความของดินแดนเด้งขึ้นมา เพิ่งคิดถึงอยู่แหม่บๆ ก็โผล่มาทันทีเลยนะเด็กบ้า

“ดูมือถือแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไร หืม” เฮียเผ่าโผล่มาจนตกใจรีบเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าเพราะไม่อยากให้เฮียรู้ว่าติดต่อกับดินแดนบ่อยๆ  สองคนนี้เกลียดกันมากจนคนกลางอย่างผมรู้สึกลำบากใจ

“เปล่าครับ แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย” 

“คิดถึงคนอื่นหรือเปล่าเรา มีกิ๊กเหรอเดี๋ยวนี้” เขาทำหน้าดุ

“ดอทเนี่ยนะมีกิ๊ก คำถามนี้ดอทต่างหากที่ต้องถามเฮีย แต่ไม่ใช่สิ ดอทต้องถามว่าเฮียมีกิ๊กกี่คนมากกว่า” ผมค้อนให้แล้วหันหน้าหนี

“ไม่คุยเรื่องนี้ละ เฮียได้ยามาแล้วเดี๋ยวถึงคอนโดจะจัดให้กินนะ” เขาเปลี่ยนเรื่องและชูถุงยาที่ไปรับมาให้ผมดู “ไปกันเถอะ”  ร่างสูงประคองให้ลุกขึ้น เดินต้อนหน้าต้อนหลังจะช่วยแต่ผมบอกว่าจะเดินเองก็เลยทำหน้างอขึ้นมาอีก “เฮียก็แค่เป็นห่วง ที่จริงขอรถเข็นจากพยาบาลก็ได้ หรือที่จริงให้เฮียอุ้มก็ได้”

“ตอนเฮียไม่อยู่ดอทก็เดินเองไม่เห็นต้องมีใครอุ้มเลย”

“โอเคๆ ดอทเก่งเฮียรู้” แล้วเขาก็ใช้ไม้ตายทำเป็นตัดพ้ออีก  “ดอทอยู่ได้โดยไม่ต้องมีเฮีย แต่ดอทคิดบ้างไหมว่าเฮียอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีดอท” ดวงตาคมหม่นวูบลง เขาเริ่มพูดแบบนี้บ่อยขึ้นในช่วงหลัง

“แต่เฮียก็ยังมีเล็กมีน้อยตลอดจะให้ดอทวางใจเฮียได้ยังไงล่ะครับ” ผมเริ่มอ่อนลงและหยุดรอให้เขาพยุงไปขึ้นรถ 

เฮียเผ่าเงียบไปจนเราขึ้นมานั่งบนรถ เขาเตรียมจะออกตัวแต่แล้วกลับหันมากุมมือผมไว้

“ดอท”

“ครับ”

“แต่งงานกันนะ”

ได้ยินแล้วถึงกับอึ้งไปเลย สีหน้าเฮียเผ่าจริงจังและเว้าวอนมากจนใจสั่นไหว เขาดึงมือของผมไปกุมไว้แล้วกระชับแน่น

“ไปอยู่ด้วยกันนะ จากนี้ไปเฮียเลิกหมดแล้วไม่ยกเว้นสกายหรือใครหน้าไหนทั้งนั้น เฮียจะมีดอทคนเดียวจะไม่ยุ่งกับใครและจะไม่ลงมือลงไม้กับดอทด้วย”

“เดี๋ยวเฮียโมโหอะไรก็พาลมาตีดอทอีก” ผมดึงมือออกเมื่อคิดได้ เวลาคุยเรื่องสำคัญจะพยายามไม่ให้เขาใช้วิธีสัมผัสเพื่อโน้มน้าวใจไม่งั้นก็เสียเปรียบอยู่เรื่อย   

“ไม่ทำแล้วเฮียสัญญา ไปอยู่ด้วยกันแต่งงานกับเฮียไปทำให้เฮียเป็นคนที่ดีขึ้น ไปดัดนิสัยเฮียหน่อยนะ นะครับ”

ผมจะทำให้เฮียเป็นคนที่ดีขึ้นได้ไหมนะ

มันถึงเวลาแล้วหรือยังที่ผมจะเริ่มชีวิตที่เป็นของตัวเองเสียที ความดีของเฮียก็มีไม่น้อย และที่สุดคือเฮียไม่เคยทิ้งไปไหน เฮียอยู่เคียงข้างมาตลอดและตอนนี้เขากำลังขอที่จะเคียงข้างอย่างถูกต้องและหยุดชีวิตไว้ที่ผม

ลองคิดทบทวนดู เหตุผลที่เฮียยังเกเรมาตลอดอาจเป็นเพราะผมยังไม่เปิดใจให้เต็มร้อย ถ้าหากดอทไม่กั๊ก เฮียอาจจะดีขึ้นก็ได้ใครจะไปรู้

อาการบ้าๆ ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็เป็นอีกอย่างที่ทำให้กังวล ถ้ามีแฟนใหม่เขาอาจจะรับไม่ได้และต้องเลิกกัน แต่ถ้าแต่งงานอยู่กินกับเฮียเป็นเรื่องเป็นราวก็จะไม่มีใครกล้าเข้ามาวุ่นวายถูกเนื้อถูกตัวได้อีก

“งั้น..ก็ลองดูครับ แต่เฮียอย่าผิดสัญญานะ”

“จริงเหรอ! ดอทพูดจริงนะ” เขายิ้มกว้างแล้วคว้าตัวเข้าไปกอดไว้แน่น “เฮียดีใจมาก มากที่สุดเลยครับ”

กลิ่นน้ำหอมแปลกๆ ที่ไม่คุ้นเคยฟุ้งขึ้นจมูก

ให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ดอทจะเงียบปากไว้ แต่ถ้ามีอีกดอทจะทวงสัญญาในวันนี้และจะตัดเฮียแน่นอน

“จริงครับ แต่เฮียห้ามผิดสัญญา”

“รับรองไม่ผิดสัญญา เฮียทำได้แน่ ขอบคุณนะดอท เฮียรักดอทที่สุดในโลกเลยครับ” แก้มผมถูกหอมไม่หยุด เฮียดีใจมากถึงขนาดน้ำตารื้น เห็นแบบนี้แล้วก็อดที่จะน้ำตาคลอไม่ได้

เฮียรักจริง ดอทมั่นใจ แต่เรื่องที่สัญญาไว้ ดอทจะให้เวลาพิสูจน์นะครับ

การตัดสินใจไปอยู่กับเฮียเผ่าคือการวัดใจครั้งสุดท้ายที่ต้องเสี่ยง


อีกหลายวันต่อมา เฮียหายหน้าไปเพราะยุ่งอยู่กับการจัดการเรื่องดูที่ทางสำหรับปลูกเรือนหอของเรา เขาว่างั้นนะ ครึ่งหนึ่งก็เชื่อแต่อีกครึ่งก็คิดระแวง ใจผมไม่นิ่งเลยยิ่งรู้ว่าอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะให้โอกาสเฮียก็ยิ่งลุ้นหนักว่าเขาจะทำได้หรือเปล่า

เวลาคนเราตั้งความหวังมันก็จะมีความกังวลเกิดขึ้นซึ่งผมรับมือกับมันไม่เก่งเอาเสียเลย 

ระหว่างนี้ป๋าได้นำพินัยกรรมมาให้ ผู้รับมรดกมีผมแค่คนเดียวโดยทำก็อปปี้ไว้สองฉบับ เก็บไว้ที่ทนายของป๋าหนึ่งฉบับ อีกหนึ่งฉบับผมนำมาให้คุณแม่ซึ่งมีนัยสำคัญว่าหากจะเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในพินัยกรรมหลังจากนี้จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ที่ถือพินัยกรรมด้วยไม่อย่างนั้นพินัยกรรมฉบับอื่นจะถือเป็นโมฆะ

แต่จะบอกว่าทุกอย่างเป็นของผมก็ไม่ใช่ซะทีเดียวเพราะมีบ้านเล็กรวมกับที่ดินตรงนั้นที่ป๋ายกให้ดินแดน ป๋าบอกว่าถึงดินแดนจะไม่อยากรับแต่มันคือสิ่งที่เขาต้องได้รับ บ้านหลังนั้นคือความทรงจำทั้งของป๋าและนายดิน ซึ่งผมก็เห็นด้วยและยอมรับแต่โดยดี

“นี่ครับ พินัยกรรมของป๋า กับเอกสารสละสิทธิ์ในมรดกที่ดินแดนเซ็นให้” ผมยื่นแฟ้มให้คุณแม่

“ไอ้ลูกเมียน้อยนั่น มันไม่เอามรดกจริงๆ เหรอ  หุ้นของป๋าเป็นพันล้าน ที่ดินอีกไม่รู้กี่ร้อยไร่ บ้านตากอากาศริมทะเลก็หลายแห่ง ไหนจะโรงแรมและสปารีสอร์ทอีกตั้งเยอะ  ลูกแน่ใจนะว่ามันจะเอาแค่บ้านเล็ก”

“ตอนแรกดินแดนจะไม่เอาอะไรเลยครับ แต่ป๋าบอกว่าอย่างน้อยที่ดินและบ้านหลังนั้นเขาควรเก็บไว้”

“หึ คงจะอยากเอาหน้ากับป๋าอยากสร้างภาพเป็นคนดีเหมือนแม่มัน”

โธ่คุณแม่..

ได้แต่มองอย่างสะท้อนใจไม่กล้าจะแก้ต่างอะไรให้มากนัก คุณแม่จมอยู่กับความคิดแบบนี้มานานแล้วและผมมองไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะไปดึงดันอธิบาย

“ที่จริงบ้านเล็กแม่ก็ไม่อยากให้มันหรอกแต่เอาเถอะ ยังไงมันก็มีเลือดป๋าอยู่ตั้งครึ่งก็จะยอมให้แค่นี้ก็แล้วกัน ส่วนไอ้ลูกเมียน้อยอีกคน อย่าหวังว่ามันจะได้อะไร คอยดูนะถ้ารู้ว่าป๋ายึกยักยกอะไรให้มัน แม่จะฟ้องหย่าจริงๆ”

ได้แต่มองแล้วถอนหายใจ คุณแม่ทิฐิแรงมากจนไม่รู้จะแทรกเหตุผลเข้าไปตรงไหนได้ 

แต่ที่จริงมันก็เป็นความผิดของป๋า ก็คงต้องให้ป๋ารับกรรมไปก็แล้วกัน


วันนี้กลับบ้านเร็วเพราะรู้สึกเพลีย อาบน้ำสระผมแล้วตั้งใจจะนอนเอาแรงสักงีบเพราะที่ผ่านมาแทบไม่ได้นอน  แต่จนแล้วจนรอดไม่ว่าจะกลางคืนหรือกลางวันก็ไม่สามารถข่มใจให้สงบได้

เฮียจะผิดสัญญาหรือเปล่านะ..

จะสลัดพวกกิ๊กเล็กกิ๊กน้อยไปได้หรือยัง

เฮ้ออ ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ไม่เคยต้องมาพะวงเรื่องของเฮียเลยแต่ครั้งนี้มันรบกวนจิตใจจริงๆ  นิสัยเสียของผมคือเวลาที่โฟกัสอะไรก็ไม่สามารถปล่อยวางมันได้ถ้าไม่มีอะไรมาเบี่ยงความสนใจก็จะพุ่งความคิดไปตรงนั้นตลอดเวลา

กลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงจนเบื่อ  รู้สึกหนักเนื้อหนักตัวอยากออกกำลังกายและเวลาก็พอดิบพอดีจึงตัดสินใจขับรถไปฟิตเนสเผื่อได้ออกแรงแล้วจะหลับลงได้

DumDinDan :  คนสวยอยู่ไหน

ดินแดนไลน์มาแบบกวนประสาทเหมือนเดิม เขาเกรียนจนโดนตีไม่รู้กี่รอบแต่ก็ยังไม่ลดละเลิก 
ผมแกล้งไม่ตอบจะได้รู้ว่างอนอยู่

DumDinDan :  ไม่แกล้งก็ได้ งั้นพี่ดอทสุดหล่ออยู่ไหนค้าบบบ

sweetyDOTcom : มาฟิตเนสแถวบ้านนี่แหละ

DumDinDan :  ไปเล่นได้ไงเมื่อวานผมดูแผลยังไม่แห้งสนิทเลย

sweetyDOTcom : อยากให้เหงื่อออกบ้าง ไม่เป็นไรหรอกจะเล่นเบาๆ

DumDinDan :  แน่นะ

sweetyDOTcom : ครับผม

DumDinDan :  งั้นเดี๋ยวพี่เตรียมรับของขวัญนะจะส่งไปให้

sweetyDOTcom : ของขวัญสำหรับอะไร

ถามไปแต่เขาไม่ตอบแต่ข้อความขึ้นว่าอ่านแล้ว  สงสัยยุ่งอยู่มั้งเดี๋ยวถ้าว่างก็ตอบมาเองนั่นแหละ

ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าแล้วยัดทุกอย่างใส่ล็อกเกอร์ไว้ ส่องกระจกดูหน้าสดของตัวเองแล้วนึกขำกับหน้าตาจืดๆ ดูหยิ่งๆ เส้นผมที่ไม่ได้เซ็ตขึ้นแบบนี้ดูยาวกว่าตอนที่เซ็ตเล็กน้อยคงถึงเวลาต้องไปเล็มออกสักหน่อย เมื่อเช็คความเรียบของเสื้อผ้าแล้วจากนั้นก็มัดผมจุกขึ้นกลางหัวเพื่อไม่ให้มันตกลงมาคลุมหน้าแล้วจึงเริ่มออกไปวอร์มร่างกายแบบเบาๆ

ส่วนใหญ่จะเล่นส่วนบนเพราะไม่อยากทรมานแผลจนผ่านไปสักพักใหญ่เหงื่อก็เริ่มซึมและคิดว่าจะวิ่งอีกแค่สิบนาทีแล้วค่อยกลับ

วันนี้คนเยอะพอสมควรทำให้เครื่องออกกำลังกายหลายชนิดมีคนเล่นเต็มหมด เหลือลู่วิ่งแค่เครื่องเดียวตรงด้านในสุดห่างไกลชาวบ้านแต่ก็ยิ่งดี ผมชอบอยู่สงบๆ  เมื่อขึ้นไปก็กดสตาร์ทลู่วิ่งในระดับที่เบาสุดแค่ให้พอได้เคลื่อนไหว  แต่นานแล้วที่ไม่ได้ออกกำลังกายเลย นี่ขนาดทำทุกอย่างเบาๆ ยังรู้สึกเหนื่อยแถมยังเริ่มปวดตุบๆ ที่แผลขึ้นมาซะแล้ว

“โอยย นึกว่าหายแล้วซะอีก” ผมหยุดเครื่องแล้วเปิดแผลดู ที่จริงมันใกล้ปิดสนิทแล้วแต่ตอนนี้เหมือนจะฉีกออกอีกเพราะมีเลือดไหลซึมออกมา

“ถ้าไม่วิ่งแล้วก็ออกไปสิคุณ ยืนกั๊กที่แบบนี้มันเสียเวลาคนอื่น”

“ผมเหรอ?” ชี้นิ้วเข้าหาตัวเพราะหันซ้ายขวาแล้วไม่มีเครื่องไหนว่างเลยและผู้ชายที่ส่งเสียงเมื่อกี้ก็กำลังมองมาที่ผม

“คนอื่นมั้ง คนอื่นที่เขาวิ่งอยู่ตลอด มีแต่คุณที่หยุดแล้วหยุดอีก ถ้าไม่อยากวิ่งจะมาวิ่งทำไม”

ถึงกับต้องขมวดคิ้วเป็นปม ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีมาก สูงขาวหน้าไปทางเกาหลีแถมยังดูมีการศึกษาแต่ทำไมไร้น้ำใจและมารยาทเสียขนาดนี้นะ

“ผมก็เสียเงินเหมือนกัน ถ้าผมจะยืนอยู่บนลู่เฉยๆ มันก็สิทธิ์ของผม” พูดแล้วยืนอยู่บนเครื่องวิ่งมองหน้าเขาอย่างท้าทาย

เขาเลิกคิ้วอย่างอวดดีแถมยังมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า เสียมารยาท!

“คิดว่าเงินคุณมันมีค่ามากเลยสิ คนรวยก็งี้แหละ เที่ยวอวดอภิสิทธิ์ใส่คนอื่นไปทั่ว”

เอ๊ะ นายคนนี้ท่าจะประสาท ผมแค่บอกว่าผมเสียเงินเข้ามาก็มีสิทธิ์เล่นหรือไม่เล่นเหมือนกันแต่เขาดันตีความไปแบบนี้ซะได้

“อยากคิดยังไงก็เรื่องของคุณ ถ้าเป็นคนจนมันชอกช้ำนักก็ขยันทำมาหากินจะได้รวยขึ้นมาบ้างจะได้อวดอภิสิทธิ์กับเขาได้โดยไม่ต้องไปอิจฉาคนอื่น” ว่าใส่หน้าเขาแล้วเดินเชิดออกมาจากตรงนั้นทันที นี่ถ้าไม่เจ็บแผลจะยืนกั๊กที่ให้ไอ้บ้านั่นอกแตกตายไปเลย


“โอยย ทำไมปวดแบบนี้นะ” หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็มานั่งพักตรงด้านหน้าเพื่อเปิดแผลดูอีกครั้ง เลือดยังไหลไม่หยุดไหลจนต้องใช้ทิชชูซับและแผลก็บวมแดงขึ้นจนเห็นได้ชัด “ไปให้หมอดูหน่อยท่าจะดี” ผมตัดสินใจได้ก็ลุกขึ้นตั้งใจจะเดินออกไปที่รถแต่กลับชนเข้ากับผู้ชายคนเดิมจนเสียหลักและถูกเขารัดตัวไว้เพราะกำลังจะล้ม

ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ มือหนาที่โอบรัดเอวแน่นเกินไปจนหายใจติดขัด มืออีกข้างของเขาที่ประคองหัวไหล่ก็พยายามขยับให้จับถนัดขึ้นจึงเหมือนเป็นการลูบไล้จนสะท้านวูบวาบมากกว่าเดิม  เรานิ่งค้างมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง หัวใจผมเริ่มหวิวไหวร่างกายมันนิสัยไม่ดีเลย

ดินแดนสอนให้หายใจลึกๆ แล้วตั้งสติ เขาฉลาดและช่างสังเกตจนในที่สุดก็คงรู้ว่าร่างกายของผมผิดปกติและพยายามช่วย ถึงจะไม่พูดออกมาตรงๆ แต่รับรู้ได้ว่าเขาเป็นกังวลกับเรื่องนี้มากและผมจะไม่ทำตัวให้เขาเป็นห่วงเกินไป เรื่องแค่นี้ต้องควบคุมให้ได้

พยายามกลั้นใจกัดฟันแล้วดันตัวเขาออกได้ในที่สุด

“เดินดีดีหน่อยคุณ อย่าอ่อยให้มันมากนัก” เขาว่าทันทีที่ผละออกจากกัน

อ่อย!?

“นี่คุณจะบ้าเหรอ คนเพิ่งเจอหน้ากันก็มาพูดจาร้ายๆ ตลอด ชาติก่อนผมไปเผาบ้านคุณมาหรือไง” ทนไม่ไหวกับนิสัยของเขาจนต้องว่าให้เจ็บซะบ้าง ปกติไม่อยากต่อปากต่อคำกับใครแต่ผู้ชายคนนี้เกินไปจริงๆ

“จะไปหาหมอไม่ใช่เหรอก็รีบไปสิ” อยู่ดีดีก็พูดออกมาแบบนั้น “ไปเร็วๆ เดี๋ยวเลือดก็ออกหมดตัวหรอก” ว่าแล้วก็ดึงมือผมให้ตามเขาไป

“นี่! นี่คุณปล่อยผมนะ!” พยายามจะขืนตัวแต่เขาก็จับแน่นไม่ปล่อย ตอนนี้ทั้งเจ็บที่แผลแถมยังไม่เข้าใจผู้ชายคนนี้และที่ร้ายสุดคือเริ่มรู้สึกร้อนรุมตรงข้อมือลามขึ้นมาถึงร่างกายส่วนอื่น

“คุณอยู่นิ่งๆ ได้ไหมเลือดไหลเป็นทางหมดแล้วนะ” อยู่ๆ เขาก็หยุดเดินแล้วหันมาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบขึ้น

“ค..คุณ ก็ หยุดลาก.. ผมซะที  ผมจะได้รีบไป..โรงพยาบาล” บอกเสียงขาดๆ หายๆ พยายามแกะมือเขาออก

“ไม่ต้องรังเกียจผมขนาดนั้นหรอก” เขาปล่อยมือ “แต่คุณต้องให้ผมไปส่ง” 

“ทำไม..ผมต้อง..ให้คุณไปส่งด้วยล่ะ” ผมหอบหายใจพยายามตั้งสติให้นิ่ง

“ถ้าขับไปเองคุณจะขับไม่ไหวเพราะขาขวาต้องออกแรงเหยียบคันเร่ง เลือดจะไหลเยอะขึ้น หรือถ้ารอให้ใครมารับก็จะช้าเกินไป ทางที่ดีคุณให้ผมไปส่งคลินิกใกล้ๆ ห้ามเลือดให้หยุดไหลก่อนแล้วค่อยไปโรงพยาบาลเองก็ได้” 

“ผ..ผม” ผมอึกอักเพราะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนอื่นเลย

“ถ้าไม่เดินไปขึ้นรถเอง ผมจะอุ้มคุณแล้วนะ” เขาทำท่าหงุดหงิด
“ตกลงๆ แต่คุณห้ามมาแตะต้องตัวผมอีกนะ” ผมลังเลอยู่เล็กน้อยจึงได้ตกลงใจ ไม่อยากให้เขามาสัมผัสตัวได้อีก

“อยากจับนักนี่” เขาเบ้ปาก

หึ้ย ไอ้บ้านี่มันยังไงนะ กวนประสาทซะจริง

“ไปขึ้นรถซะที ผมมีเรื่องต้องทำอีกเยอะ” ว่าแล้วก็เดินนำผมไปที่รถของเขา

อยากจะด่าว่าถ้าบีซี่นักก็ไสหัวไปเลยก็ได้ ไม่มีใครง้อเขาไว้สักหน่อย

แต่แล้วผมก็ขึ้นมาบนรถของเขาอย่างเสียไม่ได้ รถเก๋งเก่ารุ่นพระเจ้าเหา กระจกปิดไม่ได้ แอร์ไม่มี วิทยุไม่ดัง แถมที่ปัดน้ำฝนก็มีข้างเดียว

“รุ่นนี้พิเศษ ดังทุกอย่างยกเว้นแตรกับวิทยุ” เขาอวด “ทนๆ หน่อยก็แล้วกัน นั่งรถเก่าคงไม่เสียศักด์ศรีมากเท่าไหร่หรอกมั้ง” คำพูดคำจาไม่น่าฟังแม้แต่คำเดียว

หงุดหงิดจนต้องหันไปมองด้วยสีหน้ายากจะบรรยาย นี่ผมต้องนั่งรถคันนี้กับคนแบบนี้จริงๆ เหรอ

แต่เดชะบุญ มีคลินิกเล็กๆ อยู่ใกล้แค่ไม่กี่กิโลเมตร เขาแวะจอดแล้วให้ผมเข้าไปก่อน

“เดินเข้าไปก่อนนะ เดี๋ยวผมเอารถไปจอดแล้วจะตามเข้าไป”

ไม่ต้องตามเข้ามาได้ยิ่งดี!


เดินเข้ามาในคลินิกแล้วมองไปรอบๆ ที่นี่เป็นคลินิกเล็กๆ อยู่ในตึกพาณิชย์สามชั้นครึ่ง 2 คูหา  ด้านล่างแบ่งเป็นโซนคนไข้ที่มีเก้าอี้นั่งรอสี่ห้าแถว ถัดไปเป็นเคาน์เตอร์ด้านหลังเป็นตู้ยาเรียงราย ส่วนด้านในเป็นห้องตรวจเล็กๆ เรียงติดกันไปสามห้อง ส่วนด้านในสุดเป็นห้องน้ำ

“สวัสดีค่ะ ขอบัตรประชาชนด้วยค่ะ” พนักงานพยาบาลประจำเคาน์เตอร์เอ่ยทัก ผมจึงยื่นบัตรให้เธอ “เป็นอะไรมาคะ”

“มาทำแผลห้ามเลือดครับ”

“ขอดูแผลนิดนึง อ่า ต้นขาขวาที่เดียวนะคะ” 

“ครับ”

“มีอาการอื่นหรือเปล่าคะ”

“ไม่มีครับ” ถึงแม้ตอนนี้จะยังสั่นไม่หายก็เถอะแต่ใครจะกล้าบอกว่ามีอาการบ้าบอแบบนี้ตอนที่ถูกเนื้อต้องตัวผู้ชาย

“งั้นเข้าไปรอห้องตรวจสามเลยนะคะ” เธอผายมือไปด้านในสุดแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร


เดินเข้าไปนั่งรอในห้องตรวจสุดท้าย  ในนี้มีแค่เตียงตรวจ โต๊ะเล็กๆ และเก้าอี้สองตัวสำหรับหมอและคนไข้  ไม่นานนักพนักงานก็เข็นสเตชั่นอุปกรณ์ทำแผลมาที่ห้อง

จะว่าไปก็น่ารักมุมิดีเหมือนกันนะ เพิ่งเคยเห็นแบบนี้ ปกติก็ไปโรงพยาบาลใหญ่ๆ ตลอด หวังว่าหมอจะใจดีนะ

“คนไข้อยู่ด้านในนะคะคุณหมอ ทำแผลที่ต้นขาขวาค่ะ”

“ขอบคุณครับ” ได้ยินเสียงหมอแล้วต้องย่นคิ้วแปลกใจ เสียงคุ้นซะจนหลอน

และเมื่อคุณหมอในเสื้อกาวน์สีขาวเดินเข้ามาผมก็ต้องร้องออกมาเสียงดัง

“คุณ!!” 

ไอ้บ้าเมื่อกี้กลายเป็นคุณหมอได้ไง  นี่เขาไปขโมยเสื้อกาวน์กับสเต๊ทฯ มาคล้องคอทำเท่หรือเปล่า!

“จะอ้าปากค้างอีกนานไหม ขึ้นไปนั่งบนเตียงสิเร็วๆ” เขาเร่ง

ผมได้แต่ใบ้กินค่อยๆ เปล่งเสียงถามออกมาได้ทีละคำ

“คุณ..” เขาเลิกคิ้วรอฟัง “..เป็น..หมอเหรอ” ถามออกไปแบบโง่ๆ ทั้งๆ ที่ก็เดาได้ว่าเขาเป็นหมอ

“ตอนเข้ามาไม่อ่านเหรอใบประกอบโรคศิลป์น่ะ นายแพทย์อนุวรรต วิญญูนุกูล แพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกียรตินิยมอันดับสอง เฉพาะทางด้าน Emergency medicine”  มีการเก๊กหนังเลิกคิ้วเหมือนข่มกลายๆ

“อ..อะ อ๋อ อืม” ผมพยักหน้าแบบงงๆ แล้วเดินไปนั่งบนเตียงจากนั้นดึงกางเกงที่สั้นแค่เข่าขึ้นมาให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้



ต่อ..


ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
เขาเริ่มจากใส่ถุงมือแล้วเดินมาเปิดผ้าก็อซออกอย่างเบามือ หยิบก้านสำลีชุบแอลกอล์ฮอล์เช็ดเลือดที่ไหลเป็นทางลงไปถึงหน้าแข้งและบริเวณใกล้เคียง ยิ่งถูกสัมผัสยิ่งรู้สึกผิดปกติ นี่ขนาดไม่ได้ใช้มือเช็ด แต่มันเห็นๆ อยู่ว่าเขาทั้งหล่อและเป็นผู้ชายที่ดูดีไปทุกกระเบียดนิ้ว ยิ่งอยู่ในชุดกาวน์และกำลังเคร่งขรึมอยู่ในวิชาชีพเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้ร่างกายมีปฏิกิริยา

ผมพยายามกัดฟันข่มความรู้สึกบ้าบอที่เริ่มก่อตัวขึ้น แค่เช็ดเลือด.. แค่เช็ดเลือด.. 

“แผลยังไม่หายดีแต่ไปวิ่งได้ยังไง ดูสิมันเปิดอ้าออกมาอีกแล้วแถมยังระบมด้วย” เขาเปลี่ยนก้านสำลีแล้วเช็ดไปรอบแผลอย่างเบามือ

“ทำไมต้องเสียงดังด้วยล่ะ เบาๆ ก็ได้” ผมเอ็ด

“เลือกเอาว่าจะให้ทำแผลเบาๆ หรือพูดเบาๆ ผมให้เลือกได้อย่างเดียว” อยากจะเอาแอลกอล์ฮอล์บีบใส่ปากนัก ทำไมถึงได้กวนประสาทขนาดนี้นะ

“ทำแผลเบาๆ” ผมตอบแล้วหันหนี ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงแล้ว เบื่อ!

“อ๊ะ!” ต้องรีบหันไปมองเมื่อเขาใช้ก้านสำลีชุบน้ำเกลือแล้วเช็ดตรงบาดแผลจนรู้สึกเจ็บขึ้นมา “ไหนบอกว่าจะทำแผลเบาๆ” ผมตำหนิ

“ก็กางเกงคุณมันดึงขึ้นได้แค่นี้ ผมมองไม่เห็นแผลด้านในก็เลยกดแรง ถ้าอยากให้ผมเห็นชัดๆ คุณก็ถอดกางเกงดีกว่า” เขาว่า

“ไม่ต้องหรอก งั้นจะทำเจ็บแค่ไหนก็ทำเถอะ” กระแทกเสียงเล็กน้อยเพราะพยายามรั้งขอบกางเกงขึ้นสุดแรงแล้วแต่มันก็ได้แค่นี้

“งั้นขอสอดมือเข้าไปใต้กางเกงนะมันจะได้ไม่เลื่อนลงมาบัง”  เขาถามแล้วหยุดรอคำตอบจนผมพยักหน้าจึงใช้มือสอดผ่านขากางเกงแล้วทาบมือไว้ที่โคนขา

ลมหายใจเริ่มผิดปกติมากขึ้น มันเหมือนกับมีลูกไฟวิ่งวนอยู่โดยรอบบริเวณที่เขาสัมผัส  รู้สึกร้อนๆ รุมๆ มากขึ้นทุกที 

“อ่ะ!” เผลอหลุดเสียงออกมาเมื่อรู้สึกเจ็บแต่ที่มากกว่านั้นคือความรู้สึกสั่นสะท้าน ผมหันหน้าหนีและหลับตาลง แอบผ่อนลมหายใจที่ติดขัดเพื่อไม่ให้เขาจับสังเกตได้ 

“คุณนอนลงดีกว่าเดี๋ยวจะหล่นจากเตียง” เขาค่อยๆ จับไหล่แล้วดันให้นอนลง ผมไม่ได้ขัดขืนเพราะตอนนี้สติมีไม่พอจะทำอะไรแถมมีพนักงานอยู่ข้างนอก และที่สำคัญจรรยาบรรณ์แพทย์ก็น่าจะค้ำคอไว้บ้างนั่นแหละ

การทำแผลของเขาเนิ่นนานเกินไป มือที่ถูไถไปตามหน้าขาก็เหมือนจะตั้งใจให้มันเสียดสีแม้จะผ่านถุงมือยางแต่มันก็มีไอความร้อนผ่านออกมาได้อยู่ดี   ผมหายใจหนักขึ้น รู้สึกอึดอัดจนต้องเผยอปากเพื่อช่วยหายใจ

อาการคราวนี้หนักหนามากจริงๆ อารมณ์มันต่อเนื่องมาตั้งแต่กอดกับเขาที่ฟิตเนสเรื่อยมาจนถึงตอนนี้ แถมยังปวดแผลตุบๆ แต่มันก็ปะปนกับเสียวแปลบๆ เวลาที่เขาเช็ดล้างบาดแผล

“ฉีดยาหน่อยนะจะได้ผ่อนคลายขึ้น” ได้ยินชัดเจนแต่ผมกลับไม่ปฏิเสธออกไป

ยาเหรอ? ฉีดยาอะไรผมแค่มาทำแผลนะ

สักพักแขนของผมก็ถูกเข็มเล็กๆ ทิ่มเข้ามาจนสะดุ้งและลืมตาขึ้นมอง

“เจ็บ..”

“ชู่วว เจ็บนิดเดียวแค่มดกัด”  ดูเหมือนจะนิสัยดีขึ้นกว่าเดิมแล้วผมจึงพยักหน้าแล้วยิ้มให้บางๆ

ระหว่างนี้เขาก็สาละวนอยู่กับการทำแผล ส่วนผมก็นอนมองหน้าเขาไปเพลินๆ

ก็หล่อดี..

มองไปมองมารู้สึกเหมือนกำลังนอนอยู่ในเปลญวน แกว่งไกวแสนสบายแล้วจึงค่อยๆ หลับตาลง

“นอนพักซะเดี๋ยวก็ดีขึ้น” 

น้ำเสียงอบอุ่นฟังดูคุ้นเคยเหมือน  “..พี่เวย์” 

ผมปรือตาขึ้นมองใบหน้าขาวใสที่อยู่ใกล้  มองเขาด้วยความคิดถึงและความรู้สึกผิดอัดแน่นอยู่ในหัวใจ

“น้องขอโทษ ขอโทษนะครับพี่เวย์..”

บอกเขาไปแบบนั้นแต่เขาไม่ตอบกลับ ทำแค่มองจ้องมานิ่งๆ คล้ายกำลังต้องมนตร์สะกด

หัวใจของผมเต้นระรัวสวนทางกับสติที่ค่อยๆ วูบเลือนไปเรื่อยๆ

และก่อนที่ความรู้สึกจะดับไป ริมฝีปากก็ถูกกระกบจูบลงมาอย่างอ่อนหวาน

“อือ..”

พ..พี่เวย์เหรอครับ

พี่เวย์..

ผมตอบรับเรียวลิ้นที่ละเลียดเข้ามาอย่างเต็มใจ คิดถึงจัง น้องคิดถึงพี่เวย์มากเลยครับ

จะว่าไปมันเหมือนความฝันเสียมากกว่าเพราะในความเป็นจริงผมไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดถึง ผมเป็นแฟนเฮียเผ่า เฮียเองก็รักผมมาก เรากำลังจะแต่งงานและย้ายไปอยู่ด้วยกัน  ที่สำคัญเส้นทางชีวิตของผมกับพี่เวย์คงไม่มีวันมาบรรจบพบเจอกันได้แน่นอน

ในขณะที่กำลังอยู่ในห้วงแห่งฝัน จุมพิตของพี่เวย์ยังคงสร้างความวาบหวามได้อย่างต่อเนื่อง แต่แล้วเสียงหญิงสาวก็ดังขึ้น

“อุ๊ย!.. ค..คุณหมอ ทำอะไรคะ!?”

“!!!!..เอ่อคือ..เขา เขาเป็นแฟนผมน่ะครับพี่งาม”

“!? แต่เขาเป็น..ผู้ชาย? จูบ? อ..อ๋อ ค่ะๆ มิน่าเมื่อกี้ถึงทะเลาะกันเสียงดัง เอ่อ ค..คือมีคนไข้ที่ห้องตรวจหนึ่ง
นะคะ”

“ค..ครับ เดี๋ยวผมไป”   

‘โธ่เอ้ย! ไม่เหลือแล้ว หมดกันจรรยาบรรณแพทย์กู!’

+++++++++++++++++++++++++++++++


ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกทีในห้องเดิม กับหมอคนเดิมที่ตอนนี้เขาหลับฟุบอยู่ที่โต๊ะตรวจ

“ค..คุณ” ผมเรียกเขาด้วยเสียงแหบแห้ง

“ตื่นได้ซะที” พอเงยหน้าลืมตาขึ้นมาได้ก็พูดไม่เข้าหูทันที

“..ขอ..น้ำ” ผมบอก

“เรื่องเยอะเรื่องแยะ เมียก็ไม่ใช่แต่ต้องมาคอยเอาอกเอาใจ น่าเบื่อ” บ่นแล้วก็เดินหายออกไปและกลับมาพร้อมน้ำหนึ่งขวดกับแก้วหนึ่งใบก่อนจะรินให้อย่างเสียไม่ได้เพราะผมนั่งนิ่งไม่ยอมรับทั้งสองสิ่งเพื่อรอให้เขาริน

ที่จริงจะรินเองก็ได้แต่อยากแก้เผ็ดบ้าง คนอะไรไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษแม้แต่นิดเดียว

“ทำไมผมหลับไปได้ล่ะ” ผมตั้งคำถาม ปกติไม่ใช่คนขี้เซา แต่พอนึกทบทวนไปได้สักหน่อยก็รีบก้มดูตรงแขน “คุณฉีดยาอะไรให้ผม! แล้วคุณทำอะไรผมหรือเปล่า!” รีบตรวจสอบเนื้อตัวเสื้อผ้าแต่ก็ปกติดีทุกอย่าง แผลก็ทำใหม่เรียบร้อยและไม่รู้สึกเจ็บมากเท่าเมื่อกี้แล้ว

“เออเอาเข้าไป โปรดสัตว์ได้บาปไอ้วรรตเอ้ย ทำไมต้องมาเจอลูกคุณหนูเอาแต่ใจขี้วีนขี้เหวี่ยงแถมยังชอบมโนแบบนี้วะ สงสัยต้องไปทำบุญปล่อยนกปล่อยปลาซะบ้างชีวิตจะได้พบเจอแต่สิ่งดีดี”

รู้สึกโกรธจี๊ดขึ้นมาทันที

“มันจะมากเกินไปแล้วนะ!” ผมยันตัวลงจากเตียงหวังจะไปต่อยปากเลวๆ นั่นแต่แล้วเมื่อเท้าแตะพื้นร่างผมก็ทรุดลงจนไอ้คนปากเสียต้องรีบพุ่งตัวมารับไว้

“เป็นภาระ!” เขาพูดใส่หน้าเมื่อประคองผมขึ้น “ทำตัวเป็นภาระได้ตลอดเวลา ถามจริงเหอะคุณอายุเท่าไหร่แล้ว สามขวบ หรือสองขวบ ทำตัวให้คนอื่นเขาต้องมาคอยดูแลอะไรแบบนี้แล้วมันรู้สึกดีเหรอ หรือพ่อแม่ไม่รัก หรือโดนเก็บมาจากถังขยะ”

เพี๊ยะ!!

ทั้งๆ ที่ร่างกายผมถูกสัมผัสก็น่าจะรู้สึกวูบวาบตามที่เคยเป็นแต่พอได้ยินคำพูดของเขาความรู้สึกพวกนั้นก็มลายหายไปเหลือแต่ความโมโห

ผมตบเขาแบบไม่แบมือ ตบเต็มแรงแถมยังผลักเขาซ้ำอีก

“แล้วใครขอให้คุณมายุ่ง!” จากนั้นผมก็โซซัดโซเซออกมาจากคลินิกบ้านั่นทันที พยายามแข็งใจไม่ให้เดินกระเผกจะได้ไม่ดูเป็นภาระอย่างที่เขาพูด

น้ำตาผมรื้นขึ้นแต่ก็รีบเช็ดออกอย่างรวดเร็วไม่ให้มันได้หล่นร่วงลงบนสถานที่บ้าๆ แห่งนี้

เจ็บใจ..

โมโห..

โมโหที่สุด! เป็นภาระเหรอ คนอย่างชนม์แดนเนี่ยนะเป็นภาระ ตั้งแต่เด็กจนโตก็ดูแลตัวเองมาตลอด หาเงินเรียนเองจนจบและทำห้องเสื้อด้วยความสามารถของตัวเองทั้งนั้น ผมไม่ใช่ภาระของใคร!

“ขึ้นรถ” เขาขับรถตามแล้วตะโกนสั่ง

ตอนนี้เดินเลยมาจากหน้าคลินิกแล้วยืนรอแท็กซี่แต่ไม่มีผ่านมาแม้แต่คันเดียว

ผมเมินเขาไม่อยากสนใจ ไม่อยากมองหน้าด้วยซ้ำ เขาจึงจอดรถแล้วเดินลงมา

“ไปขึ้นรถแถวนี้มันเปลี่ยว ตอนนี้สี่ทุ่มแล้วถ้าคุณโดนลากไปข่มขืนผมก็จะมีผีมาขี่ไหล่ไปตลอดชาติซึ่งผมไม่มีทางยอมให้มันเกิดขึ้น”

เคยคิดว่าดินแดนมันกวนประสาทมากที่สุดในโลกแล้วแต่ไอ้บ้านี่กวนยิ่งกว่า แถมยังใจร้ายด้วย

ไม่ชอบคนใจร้าย เกลียด

ผมไม่พูดแต่เดินหนีทว่าเขาก็วิ่งตาม ดูเหมือนกำลังจะคว้าจับแขนไว้แต่เขาก็เปลี่ยนใจวิ่งมาดักหน้า

“ผมพูดจริงๆ นะ คุณไม่กลัวถูกข่มขืนเหรอ” เขาขู่แต่ผมเชิดหน้าหันมองไปทางอื่น “หรือว่าชอบ” จำเป็นต้องกลอกตากลับไปมองเขาเมื่อสิ่งที่เขาพูดมันร้ายกาจจนต้องเงื้อมือตบไปอีกที  “อ๊ะๆ กินผมได้รอบเดียวแค่นั้นแหละ” เขารับข้อมือผมไว้ได้อย่างง่ายดาย “เมื่อกี้ยังเจ็บไม่หายนึกว่าจะแบมือตบแปะแค่คันๆ ที่ไหนได้ใส่ลงมาทั้งกำปั้นจนหน้าชา มือหนักใช่เล่นนะเรา”

ผมหันหลังกลับ ในเมื่อไปข้างหน้าแล้วเจอเขาก็เดินกลับไปทางเดิมก็แล้วกัน

“ผมขอโทษก็ได้อะ!” เขาตะโกนบอก ผมจึงหยุดก้าวขาและรอฟัง “ขึ้นรถเถอะเดี๋ยวผมไปส่งที่ฟิตเนสแล้วคุณก็ขับกลับเอง อย่าเดินอยู่แบบนี้เลยมันอันตราย”

ก็ค่อยฟังเหมือนคนปกติเขาพูดหน่อย  ผมไม่ได้หันกลับไปตอบอะไรแต่เดินไปเปิดประตูรถบุโรทั่งของเขาแล้วขึ้นไปนั่ง  ไม่นานนักเขาก็ขึ้นมาและออกรถ

“เฮ้อ..” ได้ยินเขาถอนหายใจและเหมือนกำลังจะพูดอะไรออกมาอีกแต่ผมรีบขัดขึ้น

“ถ้าคุณพูดออกมาอีกแค่คำเดียวไม่ว่าดีหรือร้าย ผมจะโดดลงจากรถ ไม่สนด้วยว่าจะตายหรือเจ็บหนักขอแค่ไม่ต้องได้ยินเสียงคุณก็พอ”

เห็นเขาทำปากเขาขมุบขมิบแต่ขี้เกียจจะสนใจเพราะอย่างน้อยมันก็ไม่มีเสียง  ผมเอนหลังพิงเบาะอย่างเหนื่อยล้าและหันหน้าออกนอกกระจกมองข้างทางอย่างเลื่อนลอย

วันนี้รู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ ยังดีที่ได้นอนไปเมื่อกี้หลายชั่วโมง แต่จะว่าไปไม่ได้นอนหลับสนิทและยาวนานติดต่อกันแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ ถึงจะเจอคนประสาทแลกกับได้พักเต็มที่ก็ถือว่าไม่ขาดทุน

แต่ถ้าจะให้ดี ขอไม่เจอแบบนี้อีกไปตลอดชาติก็แล้วกัน..


เมื่อถึงหน้าฟิตเนสผมก็ลงจากรถแล้วเดินไปที่รถของตัวเองทันที เขาขับตามช้าๆ และเมื่อเห็นผมสตาร์รถก็ตะโกนบอก

“หมดภาระซะที หวังว่าจะไม่ได้เจอกันอีกนะคุณภาระ”  แล้วรถเก่าของเขาก็เร่งเครื่องเสียงดังจนควันเสียฟุ้งกระจายจากนั้นก็ขับออกไป

“ไอ้คนประสาท!!” ผมด่าตามหลังออกมาอย่างที่ไม่เคยด่าใครในอารมณ์นี้มาก่อน  มันน่าโมโหจริงๆ น่าโมโหที่สุด!!


กลับถึงบ้านแล้วเปิดดูโทรศัพท์ มีไลน์จากเฮีย จากดิน จากป๋า และคุณแม่ ส่งมาถามว่าทำไมไม่ตอบไลน์แต่มีการตอบกลับว่ากำลังนวดสปาอยู่ ไม่ต้องห่วงถ้าถึงบ้านแล้วจะไลน์บอกอีกที

ผมไม่ได้เป็นคนพิมพ์ตอบนี่นา แล้วทำไม..

“ไอ้หมอประสาทนั่น! เสียมารยาทที่สุด!” ตอบไลน์แทนคนอื่นได้ยังไง นิสัยเสีย!

แต่แล้วผมก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเพราะมีไลน์เด้งขึ้นมาในชื่อที่ไม่คุ้นเคย

Dr.WRRT :  ถึงบ้านยังเนี่ย หรือมัวไปเถลไถลที่ไหนอีก

ชื่อด้อกเตอร์ดับเบิ้ลยูอาร์อาร์ที  ใครกัน?

sweetyDOTcom :  คุณเป็นใคร

Dr.WRRT :  หมอที่ช่วยชีวิตคุณเมื่อกี้ไง ลืมบุญคุณคนแบบนี้นิสัยไม่ดีนะ อุตส่าห์ช่วยไว้เงินทองก็ไม่ได้ซักบาท ค่ายาค่าตรวจค่าทำแผลก็ไม่ได้ เสียค่าน้ำมันรถเทียวไปเทียวมาอีกตั้งหลายลิตร คำขอบคุณก็ยังไม่มี ถ้าคิดว่าผมจะไม่ทวงบุญคุณละก็ คุณคิดผิดแล้วล่ะ

ให้มันได้อย่างนี้สิ! มาแอดไลน์โดนพละการแล้วยังไลน์มาทวงบุญคุณอีก ไอ้คนแบบนี้มันน่าฆ่านัก

sweetyDOTcom :  ผมจะบล็อกคุณ

Dr.WRRT :  บล็อกสิ ถ้าบล็อกผมจะเอารูปที่แอบถ่ายเมื่อกี้แชร์ให้ว่อนเน็ตเลย

!!?? รูปแอบถ่าย!!

sweetyDOTcom :  คุณถ่ายรูปอะไรบอกมาเดี๋ยวนี้นะ

Dr.WRRT :  ถ้าคุณบล็อกรับรองได้เห็นเองกับตาแน่ บอกมาว่าคุณถึงบ้านรึยัง

ผมล้มลงนอนอย่างหมดท่าทุบหมัดลงกับเตียงด้วยความหงุดหงิด ดันไปเสียท่าหมอชั่วนั่นได้ยังไง ทำไมผมโง่แบบนี้นะ

sweetyDOTcom :  ถึงแล้ว

ในเมื่อสถานการณ์ยังตกเป็นรอง ผมจะทำตามมันไปก่อนแต่ถ้าสั่งอะไรที่สุ่มเสี่ยงผมก็จะแจ้งตำรวจทันที

Dr.WRRT :  ถ่ายห้องมาให้ดูหน่อย ถ่ายให้เห็นแผลที่ผมทำเมื่อกี้นี้ด้วยจะได้รู้ว่าไม่ได้เอารูปเก่ามาหลอก

sweetyDOTcom :  [Image]

ผมยกขาขึ้นแล้วถ่ายตั้งแต่โคนขาขึ้นไปจนเห็นปลายเท้าและเพดานจากนั้นกดส่งไปให้โดยไม่ได้พิมพ์อะไร

Dr.WRRT :  ตั้งใจส่งตีนให้สินะ

เขารู้ทันแล้วส่งข้อความตามมาอีก

Dr.WRRT :  ยาอยู่ในกระเป๋า กินตามที่เขียนไว้แล้วพรุ่งนี้เช้าเปิดแผลแล้วถ่ายมาให้ดูด้วย

Dr.WRRT :  แล้วก็ห้ามบล็อกไม่งั้นรูปแอบถ่ายของคุณผมจะไม่เก็บไว้ดูคนเดียวแน่นอน

บ้าๆๆๆๆ บ้าที่สุด!! ไอ้หมอบ้าไอ้หมอประสาท นึกว่าจะไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีกแต่ก็ตามมารังควานจนได้ โอ๊ย น่าโมโหที่สุด!!


หลังจากนั้นผมก็ไล่ตอบไลน์บอกทุกคนว่าถึงบ้านแล้ว ส่วนนายดินถามมาว่าได้ของขวัญหรือยัง พอไปถามพวกแม่บ้านก็บอกว่ามีของส่งมาแต่ไม่ระบุชื่อ ผมตามไปดูที่ห้องรับแขกเห็นดอกไม้ช่อใหญ่

‘อยากให้พี่มีความสุขนะ’  ผมยิ้มเมื่ออ่านข้อความในการ์ดจบ

เด็กบ้า..

สกายโชคร้ายมาตลอดชีวิตแต่เขาจะลืมโชคร้ายทั้งหมดได้แน่เพราะมีน้องชายของผมอยู่ข้างๆ ก็เหลือแต่ผมนั่นแหละที่ตอนนี้ยังลูกผีลูกคน หวังว่าเฮียเผ่าจะกลับตัวกลับใจได้จริงๆ นะ

++++++++++++++++++++



เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นขึ้นมาเพราะไลน์เด้งถี่จนต้องหยิบมาอ่าน

Dr.WRRT :  บอกให้ถ่ายรูปให้ดู ทำไมไม่ถ่าย

Dr.WRRT :  คุณอยากจะลองดีกับผมเหรอ

Dr.WRRT :  อ่านไลน์ๆๆๆ

Dr.WRRT :  อ่านๆๆๆ

Dr.WRRT :  ทำอะไรอยู่ทำไมไม่อ่านซะที

Dr.WRRT :  อยากลองดีใช่มั้ย

โอ้ย ผมจะบ้าตาย อ่านจบก็รีบยกขาขึ้นแล้วถ่ายรูปให้เขาซะจะได้จบเรื่อง

sweetyDOTcom :  [Image]

Dr.WRRT :  ทำไมช้า

sweetyDOTcom :  พึ่งตื่น

Dr.WRRT :  ถ่ายหน้ามาซิ พึ่งตื่นจริงมั้ย

นี่มันบ้าอะไรกัน แล้วผมก็บ้าจี้ส่งให้เขาซะอีก

sweetyDOTcom :  [Image]

Dr.WRRT :  555555555 ตอนตื่นขี้เหร่

มันก็แน่ละ ตอนตื่นใครจะมาดูดีอยู่ได้ล่ะ ลูกกะตานี่ก็เล็กอยู่แล้ว หลังตื่นนอนจะบวมจนปิดแทบมองไม่เห็น ทรงผมก็ยาวระต้นคอเวลาไม่เซ็ทไม่หวีมันก็ยุ่งเหยิง หน้าบวมปากบวม แถมยังมีกระด้วยเพราะผิวขาวจนเห็นรอยชัดเจน แรกๆ ก็ไปจี้ออกแต่ช่วงหลังก็ไม่สนใจมันละ ทาเซรั่ม โลชั่น ซันบล็อค แล้วทาแป้งเด็กทับก็อยู่ได้ทั้งวัน

sweetyDOTcom :  พอใจแล้วใช่มั้ยผมจะนอนต่อ

Dr.WRRT :  ตื่นมากินข้าวกินยา นี่มันสิบโมงแล้ว

sweetyDOTcom :  ผมง่วง

ขนาดนอนที่คลินิกตั้งหลายชั่วโมงแต่ยังรู้สึกง่วงจนนอนยาวจนถึงเช้า ซึ่งมันก็ดีแล้วเพราะนานทีจะได้พักผ่อนเต็มที่

Dr.WRRT :  ไม่ได้ ตื่นมากินข้าวกินยาให้ตรงเวลา เดี๋ยวนี้!

ที่สุดก็ต้องจำใจตื่นมาล้างหน้าล้างตา ยังไม่อาบน้ำเพราะคิดว่าเดี๋ยวจะนอนต่อ วันนี้ไม่อยากไปไหนเพราะเป็นวันอาทิตย์ถ้าไปทำงานเดี๋ยวไอ้น้องขี้บ่นมันจะมาบ่นใส่หูอีก

Dr.WRRT :  ถ่ายอาหารเช้ามา

ผมกลอกตาแล้วถ่ายรูปข้าวต้มกุ้งให้เขาดู

Dr.WRRT :  ถ่ายยาด้วยเหลือกี่เม็ด

มันจะเหลือกี่เม็ดล่ะ เพิ่งกินไปเม็ดเดียวเมื่อคืน ตอนนี้ก็เหลือเท่าเดิมนั่นแหละ แต่ผมก็ถ่ายไปจะได้จบๆ

แต่ขณะเดียวกันเฮียเผ่าก็โทรเข้าและบอกให้แต่งตัวรอเพื่อจะพาไปดูที่ดินสำหรับปลูกเรือนหอและพบกับสถาปนิกผู้รับเหมา ผมรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที บ้านของเรากำลังจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว

sweetyDOTcom :  ตั้งแต่เที่ยงผมไม่ว่างนะจะออกไปทำธุระ

ผมไลน์บอกไอ้หมอประสาทไว้ก่อนเพราะถ้าอยู่กับเฮียแล้วผมไม่อยากคุยกับใคร เฮียขี้หึงแบบสุดๆ

Dr.WRRT :  เอายาไปกินด้วย แล้วถ้าเสร็จธุระก็มาล้างแผลเปลี่ยนผ้าก๊อซเดี๋ยวจะอักเสบ

sweetyDOTcom :  ผมจะไปล้างที่โรงพยาบาล

Dr.WRRT :  ไม่ได้

เขาตอบแค่นั้นแล้วหายไป ผมได้แต่กลอกตากับความเอาแต่ใจของเขาแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก


เฮียเผ่ามารับเลทไปเกือบชั่วโมง ยังดีที่ไม่มีกลิ่นแปลกปลอมไม่งั้นคงทำให้นอยด์ขึ้นมาได้

“ที่นี่เหรอเฮีย แถวนี้ที่ดินแพงมากเลยนะ” ผมลงจากรถไปสำรวจพื้นที่ว่างเปล่าประมาณ 4 ไร่ มีต้นฉำฉาอยู่ตรงกลางแผ่ร่มเงากว้างใหญ่ไพศาล

“ดอทจะได้ทำห้องเสื้อที่นี่เลย ขยายให้ใหญ่กว่าที่เก่า แล้วแต่จะออกแบบเลยนะ เฮียให้ดอทจัดการเองได้หมด” เฮียยิ้มใจดี

วันนี้รู้สึกดีขึ้นกว่าหลายวันที่ผ่านมาคงเพราะได้เห็นที่เฮียทำให้เป็นรูปธรรมกอรปกับได้พักผ่อนเต็มที่จึงสดชื่นอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

ผมยิ้มหวานให้แล้วเข้าไปกอดขอบคุณ

“ดอทรักเฮียจัง”

“เฮียก็รักดอทครับ รักมากนะ” เขากอดแล้วลูบหลังเบาๆ จนรู้สึกวูบวาบจึงดันตัวออกแล้วเดินขึ้นไปบนรถ

“ขับเข้าไปดูตรงต้นฉำฉาหน่อยสิครับ สวยจังเลยถ้าไม่ตัดได้ไหมเฮีย มันจะเกะกะหรือเปล่า” ผมชี้

“ไปสิ” เฮียขับรถพาเข้าไปตามที่ผมขอ “ไม่ตัดก็ได้แต่มันอยู่ตรงกลางกลัวจะเสียพื้นที่เปล่าๆ”

“ไม่หรอก เดี๋ยวดอทค่อยคิดว่าจะทำยังไงถึงจะดี” ผมมองไปที่ต้นไม้ใหญ่อย่างนึกสนุก มีอะไรให้ทำอีกเยอะเลย

“ตามใจดอทครับ เฮียขอรออยู่กับดอทอย่างเดียวเลย” เขาป้อนคำหวานจนต้องมองด้วยความซาบซึ้ง

“อย่าผิดสัญญากับดอทนะครับ ถ้าไม่นับสองเรื่องที่เฮียสัญญาไว้ เฮียก็เป็นคนที่น่ารักที่สุดในชีวิตดอท ทำให้ดอทเป็นคนที่โชคดีเพราะเฮียให้ได้นะ” ผมเอื้อมมือไปจับมือเขาแล้วบีบเบาๆ

“รับทราบครับ” เขากระชับมือกลับมา เรามองตากันด้วยความเข้าใจ


ลองเดินสำรวจรอบต้นฉำฉา มันแผ่กิ่งก้านกว้างขวางกินพื้นที่เยอะพอสมควร

“เดี๋ยวผู้รับเหมาจะมาแล้วนะ” เฮียเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงแล้วเดินมาโอบไหล่

“ครับ หวังว่าจะเก่งนะ”

“เก่งสิ คนนี้เคยสร้างโรงงานให้เฮีย ฝีมือเจ๋งราคาถูก รับประกันได้”

“ดีจัง แล้วสถาปนิกล่ะครับ”

“ก็คนเดียวกันนั่นแหละแต่เขาจะออกแบบกันสองคนแต่วันนี้อีกคนที่ติดธุระมาไม่ได้”

“ไม่น่ามีปัญหา เดี๋ยวเขาก็คงไปบรีฟกันเอง” ผมบอกอย่างไม่ติดใจ


ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงรถดังใกล้เข้ามา เฮียเผ่าเดินไปหาต้นเสียงสองสามก้าวเพื่อรอต้อนรับแต่ผมกลับหยุดยืนอยู่ที่เดิม

ภาพที่เห็นตอนนี้คือรถมอเตอร์ไซค์แบบที่พี่เวย์ชอบแต่ดูเหมือนจะใหญ่และใหม่กว่า หมวกกันน๊อคสีคล้ายและท่าทางการขับขี่ที่คุ้นตา

ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก

คงไม่ใช่หรอก..

ไม่มีความบังเอิญขนาดนั้นหรอกน่า..

ตึกๆๆๆๆ

ยิ่งรถคันนั้นเข้ามาใกล้ หัวใจก็เต้นรัวขึ้นทุกที ขอให้ไม่ใช่เถอะนะ

!!!!!!???

แทบจะช็อคตายอยู่ตรงนี้..

เมื่อเขาถอดหมวกและสะบัดผมเล็กน้อย เส้นผมสีดำขลับก็ปลิวเข้าทรงทันที ผู้ชายผิวขาวในชุดเท่ๆ เสื้อเชิ้ตผ้ายีนส์แขนยาวแบบลุยๆ กางเกงยีนส์สีซีดแบรนด์ดังกับเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีน้ำตาลเข้มช่างดูทะมัดทะแมง ใบหน้าขาวขึ้นริ้วสีเพราะอากาศร้อน ความสูงที่โดดเด่น ขนาดเฮียเผ่าว่าสูงแล้วแต่เมื่อยืนใกล้กันแบบนี้กลับอยู่แค่ระดับใบหู  น่าจะสูงพอๆ กับสกายและดินแดน แต่เขาหล่อแบบจีนๆ สมาร์ทและสะอาดสะอ้าน ดวงตารีเล็กแต่มีประกายระยิบระยับ โดยเฉพาะรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนนั้น

ไม่เปลี่ยนไปเลย..

“ขอโทษที่ช้าครับเคลียร์งานไม่ทันจริงๆ”

พี่เวย์..



.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ใครรอพี่เวย์อยู่ก็สมใจแล้วนะ นางมาแล้วจ้าาาา
แต่คุณหมอเข้ามาอีกคนนี่สิ ยังไงดีล่ะ
แล้วคนสวยจะเลือกใคร คนไหนกันแน่ที่เป็นพระเอก
อ้าว แล้ว 7 ตอนที่ผ่านมาล่ะ ไม่ใช่พระเอกเหรอ?
มีคนบ่นว่านายน้อยล่มเรือด้วย 55555 แต่อย่าเพิ่งถอดใจอาจมีคดีพลิก
เส้นทางรักของพี่ดอทเพิ่งจะเริ่มต้นเองนะ ที่ผ่านมาเป็นแค่อินโทรยาวๆ
จากนี้ไปต่างหากคือของจริง

มาถึงตรงนี้คงต้องขอโทษคนอ่านด้วย ขิงอะไรไว้ไม่เคยทำได้
เคลมว่าจะดราม่าก็ม่าไม่สุด บอกจะเรทสูงจนป่านนี้ก็ยังไม่มี
ตอนท้ายเรื่องก็อาจจะไม่ถูกใจกับบทสรุปก็คงต้องขอโทษไว้ล่วงหน้า
เอาเป็นว่า ช่วยลุ้นกันหน่อย เบื่อนักพักอ่านแล้วมาตามต่อ
ฝากอยู่เป็นเพื่อนกันไปเรื่อยๆ จนจบเลยนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ 
:mew1:



ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ตอนอ่านถึงที่พี่ดอททักคุณหมอว่าพี่เวย์นี่เราก็อึ้งแล้วนะว่าทำไมพี่เวย์คนอ่อนโยนถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้ แต่พอมาตอนท้ายที่เป็นพี่เวย์จริงๆนี่ถึงกับอ้าปากค้าง เริ่มสับสนแล้วตกลงคุณหมอกัยพี่เวย์นี่คนละคนกันใช่มั้ยหรือยังไง หรือเป็นญาติพี่เวย์ โอ้ยงง นี่อุตส่าห์คิดไปแล้วนะว่าคุณหมอเป็นผู้ใหม่ที่มีตำแหน่งเป็นว่าที่พระเอกแน่ๆ แต่พอพี่เวย์มาปั๊บเริ่มลังเลแล้ว รักเก่าจะรีเทิร์นรึเปล่าเนี่ยไม่รู้จะเชียร์ใครดีเลย

ออฟไลน์ ดาวโจร500

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
ใครก็ได้แต่ไม่เอาไอ้เผ่า สิ่งที่ดราม่าสุดในเรื่องคือไอ้เผ่านี่แหละ พี่ดอทควรได้ชิมผู้คนอื่นบ้าง

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.
ต อ น ที่ 9 :  ภ า ว ะ ซึ ม เ ศ ร้ า



“ไม่เป็นไรครับ เราก็เพิ่งมาถึง” มือหนาของเฮียยื่นออกไปรอ “ยินดีที่จะได้ร่วมงานกันอีกครั้ง”

มือเรียวของพี่เวย์ยื่นออกมาจับอย่างเต็มใจ “ขอบคุณที่ให้โอกาสอีกครั้งนะครับ”

แล้วเฮียเผ่าก็หันมาทางนี้..

“มานี่สิ รู้จักพี่เวย์ช่างรับเหมาบ้านของเรา” เฮียยื่นมือมาและผมก็จับมันเอาไว้ ก้มหน้าก้มตาค่อยๆ ก้าวเดินเผื่อจะมีฟ้าผ่าลงมาทำให้เราต้องรีบวิ่งขึ้นรถขับหนีไปบ้านใครบ้านมันแล้วจะได้ไม่ต้องเจอหน้ากันอีก

“นี่น้องดอทครับ แฟนของผม”

!!!!!!?

ทันทีที่ขาสั้นๆ ของผมก้าวขึ้นมาเทียบเคียงเฮียเผ่า การแนะนำอย่างเป็นทางการก็เกิดขึ้น

ปั้นหน้ายากเป็นยังไงวันนี้ถึงได้รู้  ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ทำปากยังไงจะอ้าหรือหุบ จมูกจะบานหรือเปล่า ดวงตาควรเบิกขึ้นหรือหรี่ให้เล็กที่สุด ทรงผมเป๊ะหรือยังนะ แล้วต้องยิ้มหรือทำเฉยๆ ถึงจะเข้าท่า

“ดอท.. ดอทครับ” เฮียเผ่าเขย่าตัวผมเบาๆ “เป็นอะไรไป หรือว่ารู้จักพี่เวย์เหรอ” เฮียเลิกคิ้วถาม

“ป..เปล่าครับ ไม่รู้จักหรอก” จะบอกว่ารู้จักได้ยังไง ถ้ารู้ว่าเป็นคนเดียวกับที่ไปส่งผมที่บ้านและเฮียก็ขับรถตามไปจนถึงบ้าน คงได้ซัดกันจนได้เลือดแน่

เหมือนจะเห็นพี่เวย์ชักสีหน้าแต่ก็เพียงแค่เสี้ยววินาทีจากนั้นก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ..คุณดอท เห็นคุณเผ่าพูดถึงบ่อยๆ ได้เจอกันซะที” มือสวยๆ ของพี่เวย์ยื่นออกมารอเพื่อให้ผมจับมือด้วย

มองใบหน้าหล่อสลับกับมือของเขาแล้วกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ หัวใจก็เต้นระส่ำจนกลัวว่าเฮียจะได้ยิน

เอาไงดี ไม่จับก็จะมีพิรุธแถมยังดูเสียมารยาท  งั้นก็ต้องจับมือทักทายตามมารยาทสินะ

“ไหว้ดีกว่าครับดอท พี่เวย์แก่กว่าเฮียปีหนึ่งนะ และน่าจะแก่กว่าดอทห้าหกปีน่าจะได้”  กำลังจะยื่นมือไปจับแต่เฮียดึงแขนไว้ก่อน

เฮ้อ โล่งอกไปที ขอบคุณนะเฮียที่ทำให้ไม่ต้องโดนตัวพี่เวย์ แต่คิดว่าเฮียน่าจะหวงและกลัวผมเกิดอาการมากกว่า

“สวัสดีครับ” ผมไหว้เขาแล้วก้มหน้างุด

“สงสัยจะร้อนนะ หน้าแดงไปหมดเลย” เฮียทักขึ้นเมื่อเห็นผมเหงื่อตกจนยกแขนเสื้อขึ้นซับไปทั่วหน้า “ยังไงรีบคุยกันเบื้องต้นแล้วย้ายไปร้านกาแฟแถวนี้น่าจะดีกว่า สงสารกระต่ายน้อยขี้ร้อน”

โธ่เฮียย ทำไมใช้คำพูดอะไรแบบนี้ให้มันดูน่าหมั่นไส้ ดูพี่เวย์บ้างว่าทำหน้ายากไปถึงไหนแล้ว แยกเขี้ยวแบบนั้นเขาไม่เรียกยิ้มไง แถมยังชำเลืองมองมาทางนี้ด้วยสายตาไม่เป็นมิตรอีก

รู้สึกอัดอั้น กดดันจนอยากแกล้งตาย..



แล้วการพูดคุยที่น่าอึดอัดก็ดำเนินเรื่อยไปจนย้ายไปถึงร้านกาแฟแล้วเหงื่อก็ยังไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย ผมไม่กล้าสบตาพี่เวย์ ไม่กล้าพูดอะไรมากจนทำให้สาระสำคัญในการบรีฟไม่ครบถ้วนสักที

นอกจากความละอายใจที่เคยไม่รับรักทั้งๆ ที่เขาตามดูแลมาตั้งหลายปีแถมยังไล่เขาอย่างไม่มีเยื่อใย ยังมีเรื่องความประหม่ากับลุคที่ดูโตขึ้นและดูดีขึ้นของเขาอีกด้วย

“ยังเหลืออีกเยอะเลยที่ต้องคุย ดอทจะคุยให้เสร็จวันนี้หรือจะนัดพี่เวย์คุยวันอื่น” เฮียเกริ่นขึ้นเมื่อตอนนี้สี่โมงเย็นแล้วแต่ยังไม่ถึงไหน

“คุยให้จบเลยดีกว่าครับจะได้ไม่เสียเวลา” ผมไม่อยากนัดใหม่ ไม่อยากทำใจใหม่อีก

“งั้นเอางี้ เดี๋ยวเฮียจะเข้าบริษัทแป๊บนึง ต้องไปเคลียร์เรื่องสำคัญ ดอทกับพี่เวย์คุยกันไปก่อนแล้วเฮียค่อยกลับมาดู” 

ตายแล้ว!!!?

“โอเคไหมพี่เวย์” เฮียหันไปถามพี่เวย์ที่ค่อนข้างจะอึ้งๆ อยู่เหมือนกัน

“..อ่า ครับ ยังไงก็ได้”

“ดอทอยากได้ยังไงแบบไหนบอกพี่เวย์ไปเลยนะจะได้ไม่ต้องแก้กันเยอะในตอนหลัง” เฮียจับไหล่แล้วบีบเบาๆ “เดี๋ยวเฮียมา”
................
................
................

เกิดสภาวะเดธแอร์กระจายตัวโดยรอบ เฮียไปตั้งแต่ห้านาทีที่แล้วแต่ผมยังไม่กล้าพูดสักแอะ ส่วนพี่เวย์ก็ก้มหน้าก้มตาจดเขียนอะไรไม่รู้ใส่ในบันทึกตั้งนานสองนาน มองเห็นแต่คิ้วสวยกับจมูกโด่งเป็นสันที่คดเล็กน้อยน่าจะเป็นเพราะเล่นบาสแล้วโดนกระแทก ตอนที่โดนใหม่ๆ ยังมาบ่นให้ฟังอยู่เลยว่าเจ็บมากเลือดกำเดาไหลแต่ตอนนั้นยังไม่เห็นชัดแบบนี้  ทว่าปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายิ่งมันคดก็ยิ่งดูเท่ขึ้นไปอีก

เอ่อ..นี่ผมเป็นบ้าอะไรถึงได้มานั่งมองผู้ชายแล้วชมนั่นชมนี่ไปเรื่อยเปื่อยแบบนี้ บ้าไปแล้วชนม์แดน หน้าไม่อายเลย

ไม่รู้จะทำอะไรจึงหยิบแก้วเครื่องดื่มของตัวเองมาดูดแก้เก้อ

“ตรงต้นฉำฉาถ้าจะไม่ตัดก็ไม่ควรก่อสร้างที่อยู่อาศัยบริเวณนั้นนะครับเพราะถ้ากิ่งมันหักลงมาจะเกิดอันตรายได้”

“แค่กๆๆๆ”

อยู่ๆ ก็พูดออกมาตอนคนกำลังกลืนน้ำ ผมสำลักจนไอหน้าดำหน้าแดง หยิบทิชชูมาเช็ดแทบไม่ทัน

“มีน้ำมูกติดอยู่ที่แก้มด้วยครับ”

!!!!?

น้ำมูก!!? โอ้ย น่าอายจริง!

ผมรีบเช็ดไปทั่วหน้าเพราะไม่รู้ว่าแก้มข้างไหน รู้สึกอายขายขี้หน้าที่สุดตั้งแต่เกิดมา

“อ๋อเศษทิชชูน่ะ ผมนึกว่าน้ำมูก” พี่เวย์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ สบายๆ เหมือนกับว่าเป็นเรื่องปกติที่คนไม่รู้จัก ไม่สิ คนที่เคยมีซัมติงกันมาก่อนแล้วห่างเหินกันไปจนเพิ่งได้พบหน้าจะพูดกันแบบนี้

หน้าผมร้อนผ่าว รู้สึกว่าตัวเองทำตัวงี่เง่าจนน่าเขกหัว

“คราวหลังไม่ต้องทักก็ได้ครับ”  ผมหยิบแก้วกาแฟมาดูดอีกครั้งแก้หงุดหงิด

“จะไม่ให้ทักจริงเหรอครับ” พี่เวย์เลิกคิ้วสงสัย ส่วนผมก็เชิดหน้าแล้วดูดกาแฟต่อ  “แต่นั่น แก้วกาแฟของผมนะ ถ้าทักแล้วคุณดอทไม่พอใจก็ขอโทษด้วย”

!!!!??

อะไรนะ!! แก้วของเขาเหรอ!

ผมยกแก้วขึ้นดูแล้วมองไปบนโต๊ะ โอ้ย แก้วพี่เวย์จริงๆ ด้วยเพราะแก้วผมมีวิปครีมส่วนของเขาไม่มี ฮืออออ ชนม์แดนคนโง่ทำไมถึงทำตัวโก๊ะกังต่อหน้าพี่เวย์แบบนี้ล่ะ 

“..ขอโทษครับเดี๋ยวผมไปซื้อให้ใหม่”

ขณะที่กำลังจะลุกจากโต๊ะ มือสวยของพี่เวย์ก็คว้าแก้วของเขากลับไป 

“ไม่เป็นไรครับ ผมชอบแก้วเดิม” แต่ที่ทำให้ต้องมองจนตาค้างก็คือ เขาดูดกาแฟแก้วนั้นเข้าไป หลอดเดียวกันกับพี่ผมดูดเมื่อกี้

ตึกๆๆๆๆๆๆๆๆ

หัวใจเต้นระรัวได้แต่กระพริบตาปริบๆ นั่งมองปากเขาที่ดูดกาแฟแล้วกลืนน้ำลายลงคอ

“อยากกินของผมเหรอ” เขาทำหน้าซื่อยื่นแก้วของตัวเองมาให้

“หะ! ห้ะ? ม..ไม่ เปล่า ไม่ใช่ เอ่อ..ไม่ได้อยากกินครับ” ผมลนลานหาคำมาตอบแบบมั่วซั่ว “ข..ขอ ขอตัวไปห้องน้ำนะครับ”  แล้วผมก็เผ่นออกมาจากตรงนั้นทันที

โอ้ยๆๆๆ ควบคุมอารมณ์ไม่ได้เลย ทำไงดีๆๆ ชนม์แดนๆๆๆ ตั้งสติหน่อย พี่เวย์ไม่ได้สัมผัสจับต้องอะไรตัวแกเลยนะเว้ย แค่นั่งหล่อนั่งตรงข้ามกันเฉยๆ ทำไมเกิดอาการบ้าๆ บอๆ อย่างกับว่าเขามาถูกเนื้อต้องตัวแบบนี้ล่ะ เลิกตื่นเต้นเลิกคิดเยอะได้แล้ว หายใจลึกๆๆๆ


เมื่อตั้งสติได้ประมาณหนึ่งแล้ว ผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำ  ทำใจอย่างหนักเพื่อพร้อมประจันหน้ากับพี่เวย์

“ปาป๊าๆ”

ผมยืนตัวแข็งทื่อเมื่อมองไปตอนนี้เห็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ป้อมๆ อายุประมาณสองสามขวบวิ่งไปหาพี่เวย์แล้วเรียกปาป๊า

ลูกพี่เวย์!!?
 
รู้สึกช็อคและเสียหน้าเบาๆ ที่เขาเปลี่ยนไปชอบผู้หญิง ลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่แล้วกัดฟันเดินเข้าไปนั่งที่เดิม

“ลูกชายเหรอครับ” อยากเขกหัวตัวเองไปยุ่งอะไรกับเขา จะลูกใครก็เรื่องของเขาไง ทำไมต้องอยากรู้

“ใช่ครับ เรย์เรย์สวัสดีคุณอาสิครับ” ชื่อเรย์ด้วย คล้องกับเวย์เลย ลูกชายน่ารักขนาดนี้แม่คงสวยน่าดูเลยสินะ

“คูมอาที่ไหนฮับปาป๊า นี่พี่”  เป็นเด็กน่ารักพูดจาดี “ซาหวับดีคับพิฉาว” แต่ก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อคำทักทายเป็นแบบนี้แถมพี่เวย์ยังหลุดขำออกมาเบาๆ

“ไม่ใช่พี่สาวครับ พี่ชายต่างหาก ถึงจะสวยแต่ก็เป็นพี่ชายครับ” เกือบจะดีแล้วครับพี่เวย์ แต่ที่บอกว่าสวยคืออะไร ไปบอกเด็กแบบนั้นได้ยังไงกันเล่า

“ฉวยเท่าคูมแม่เยย ใซ่พี่ซายจริงหยอ” เด็กน้อยดึงแขนพี่เวย์ออกแล้วตะเกียกตะกายลงจากตักพ่อเดินมาจิ้มนิ้วตรงต้นแขนของผม “นี่ๆ เยย์เยย์ขอดูซ้างน้อยหน่อยฉิ มีซ้างน้อยเหมือนเยย์เยย์ใซ่ป่าว”

!!! -///////////-

สถานการณ์แบบนี้ผมควรทำยังไงดี แกล้งตายหรือตายจริงไปเลย  ฮือออ

“เรย์เรย์กลับมานี่ ไปขอดูของคนอื่นแบบนี้มันไม่สุภาพนะครับ” หลังจากทำตาแป๋วขอดูของผมแล้วโดนพ่อดุ เรย์เรย์ก็วิ่งกลับไป 

“แย้วปาป๊าไม่อยากดูหยอ”

หืม? ทำไมเรย์เรย์ถามแบบนั้น!? อะไรกันเนี่ย ยิ่งคุยก็ยิ่งไปกันใหญ่

“ถึงปาป๊าอยากดูพี่เขาก็ไม่ให้ดูหรอกครับ แฟนพี่เขาหวง”  พี่เวย์บอกลูกชาย

เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ ทำไมไม่ปลูกต้นไม้เยอะๆ ทำไมทิ้งขยะลงแม่น้ำลำคลอง ทำไมตัดไม้ทำลายป่า รู้ไหมว่าโลกมันร้อนขนาดอยู่ในห้องแอร์แต่เหงื่อเปียกโชกไปทั้งตัว หน้าก็แทบจะไหม้อยู่แล้วนะ!

แต่ยังไม่ทันที่สมองจะได้พัก ความวัวยังไม่ทันหายความควายก็ก้าวเข้ามา

“หาที่จอดรถไม่ได้เลยพี่เวย์ รถเยอะมาก” ผู้ชายหน้าตาดี ผิวพรรณผุดผ่อง แต่งตัวเนี้ยบขนาดนี้ ดูก็รู้ว่าเพศสภาพเดียวกับผม “หวัดดีดอท จำฉันได้ไหม”

!!!!??

“..เนม?” ผมเปล่งเสียงออกมาแทบจะเรียกได้ว่ากระซิบ

กับเนม ตั้งแต่ทะเลาะกันเพราะพี่เวย์ครั้งนั้น เนมก็ย้ายโรงเรียนโดยไม่บอกไม่กล่าว เบอร์ก็เปลี่ยน ไลน์ก็เปลี่ยน และไม่มีใครรู้เลยว่าเนมหายไปไหน และจากนั้นผมก็ไม่คิดจะคบกับใครเป็นเพื่อนอีกเพราะรู้สึกเฟลจนร้องไห้ไปหลายวัน

“ดีใจที่แกยังจำฉันได้นะ” รอยยิ้มจริงใจของเนมปรากฏขึ้น แต่ผมนี่สิ ยิ้มไม่ออกเลย “ทำหน้าแบบนั้นทำไม เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ช่างมันเถอะ ฉันก็เสียใจที่งี่เง่ากับแก อยากจะขอโทษแต่ต้องย้ายไปต่างประเทศกะทันหันและก็ยุ่งมากเลยไม่ได้ติดต่อ ขอโทษด้วยนะ”

น้ำตาจะไหล..

ทั้งดีใจ ตื้นตันใจ ปนเจ็บแปลบๆ ว่าเนมกลายเป็นแฟนพี่เวย์ได้ยังไง มันอึ้งมันอึนไปหมดไม่รู้จะรู้สึกยังไงดี

วันนี้หัวใจทำงานหนักจนผมวิงเวียนไปหมดแล้ว ไม่ต้องแกล้งตายก็ได้เพราะถ้ามีอีกแค่เหตุการณ์เดียวที่ทำให้ช็อค ผมได้ตายจริงๆ แน่

“งั้นพี่ไปสั่งกาแฟให้นะ เหมือนเดิมใช่ไหม” พี่เวย์ลุกขึ้นเต็มความสูงจนต้องแหงนคอตั้งบ่ามองเขา

“ถูกใจใช่เลย” เนมตอบอย่างอารมณ์ดี

“เยย์เยย์ไปต้วยฮับ” เด็กน้อยจูงมือพ่อเดินไปอย่างร่าเริง

จี๊ดๆ ที่หัวใจเบาๆ รู้ใจกันขนาดนี้คงคบกันมานานแล้วสิ คบกันจนมีลูกเลยเหรอ

ว่าแต่..ใครท้องล่ะหรือใช้วิธีอุ้มบุญ แต่จะวิธีไหนเขาก็มีลูกด้วยกันและรักกันมาจนถึงวันนี้ เฮ้อ แทนที่จะดีใจกับเพื่อนที่ในที่สุดก็สมหวังแต่กลับห่อเหี่ยวแบบนี้ นิสัยไม่ดีเลยนะชนม์แดน

“แกสบายดีไหมดอท” เนมนั่งลงข้างๆ

“อืม ก็ดีนะ” บอกตรงๆ ว่ายิ้มได้ไม่เต็มหน้า ผมมันนิสัยเสียถ้าใจไม่ยิ้มแล้วจะยิ้มไม่ออก มันเฟคไม่ค่อยเป็น

“พี่เวย์บอกแกจะสร้างเรือนหอเหรอยินดีด้วยนะ แล้วแฟนแกเป็นใครอะ จ้างพี่เวย์ได้นี่คงต้องรวยน่าดู” เนมถามต่อ

“..เฮียเผ่า” ผมตอบเรียบๆ

“อะไรนะ! พี่เผ่าที่แบ้ดๆ แฟนเยอะๆ น่ะเหรอ” เนมดูตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน

“อืม” ผมพยักหน้า

“แล้วตอนนี้เขาเลิกมีเล็กมีน้อยยังแก บอกตรงๆ ว่าพี่เผ่านี่น่ากลัวเกินไปนะ แกไม่ชอบคนเจ้าชู้แล้วทำไมถึงคบกับเขาจนจะลงหลักปักฐานแบบนี้วะ” เนมก็ยังเหมือนเดิม เป็นคนตรงเสมอ คิดยังไงก็บอกอย่างนั้นไม่เคยเฟค

“มันมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะน่ะแก แต่เขาสัญญาว่าถ้าฉันตกลงปลงใจจะอยู่ด้วยกันเขาจะไม่ทำอะไรให้เสียใจ”

“งั้นก็ดี แต่ยังไงก็ตามหน่อยนะ อย่าไว้ใจเกินไป” เนมแนะนำ

“ก็คิดไว้เหมือนกันว่าจะตามดูสักพัก ถ้าเขาทำได้ก็จะได้อยู่กันยืดๆ” ผมว่าอย่างที่ตั้งใจ

จังหวะนั้นพี่เวย์กับลูกชายก็กลับมาแล้ววางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะให้เนม

“ขอบคุณครับ น่ารักที่สุดเลย” เนมยิ้มอ้อน

“เพื่อคนสำคัญ น้อยกว่านี้ไม่ได้หรอก” พี่เวย์หยอด

เหมือนมีใครมาต้มน้ำอยู่ในหัว รู้สึกเดือดทั้งที่ควรจะยินดี ก็หน้าพี่เวย์ที่นิ่งเฉยมาตลอดระหว่างที่เราอยู่ต่อหน้ากันแต่พอเจอเนมก็ยิ้มได้ขึ้นมาเลย

น้อยใจเหรอ?

มีสิทธิ์ที่ไหนล่ะ ก็ไม่เอาเขาเองแล้วจะมีหน้ามาน้อยใจอะไร

“เดี๋ยวเนมพาเรย์เรย์กลับบ้านก่อนนะ พี่คงอยู่อีกพักใหญ่” พี่เวย์บอกด้วยเสียงอบอุ่น

“แต่วันนี้พี่เวย์ต้อง..” เนมพูดได้แค่นั้นแต่ก็ถูกพี่เวย์ขัดขึ้น

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเรื่องนั้นพี่จัดการเอง”

“ถ้าไม่สะดวกเรานัดกันวันหลังก็ได้ครับ ผมเองก็มีนัดต้องทำแผลเหมือนกัน”

ช่วงเย็นเป็นเวลาของครอบครัวที่เขาต้องอยู่ด้วยกันสินะ ผมไม่อยากเป็นตัวขัดขวางหรอก

และไม่รอให้ใครปฏิเสธ ผมรีบหยิบกระเป๋าแล้วลุกขึ้นทันที

“ฉันกลับก่อนนะเนม เอาไว้คุยกันนะ” บอกเนมแล้วเดินออกมาจากร้านนั้นอย่างรวดเร็ว

ให้อยู่อีกแค่นาทีเดียวคงอกแตกตายแน่ๆ
 


เดินไปโบกรถแท็กซี่ที่หน้าร้านด้วยความรู้สึกเหมือนถูกสิบล้อพุ่งชน ระหว่างทางที่นั่งอยู่ในรถน้ำตาก็ไหลออกมาเองโดยไม่มีสาเหตุ

อาการคล้ายคนอกหัก แต่ก็ไม่แน่ใจหรอกนะเพราะผมเองก็ไม่เคยอยู่ในภาวะแบบนั้น

ไม่ใช่แค่ใจเสียแต่เจ็บใจตัวเองมากๆ จนแว้บหนึ่งรู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามความคิด ปะปนไปกับความอิจฉาทุกคนบนโลกนี้จนในหัวมันร้อนรุ่มไปหมดเพราะในระหว่างที่ชีวิตของผมจมปรักอยู่กับความทุกข์มาสิบกว่าปี แต่ชีวิตอื่นๆ ดำเนินไปอย่างมีความสุข มีครอบครัวสมบูรณ์พร้อมหน้า

มันยุติธรรมแล้วหรือไง!

แต่จะโทษใครล่ะ..

ก็ต้องวนกลับมาโทษตัวเอง

หึ.. คนขี้แพ้ก็คือคนขี้แพ้วันยังค่ำ

“เอ่อ.. ถึงแล้วครับ” คนขับแท็กซี่เอ่ยเตือนเมื่อรถจอดอยู่นานแล้วแต่ผมไม่ยอมลง

“อ่า ขอโทษทีครับ”  รีบปาดเช็ดน้ำตาที่เพิ่งจะรู้ว่าไหลออกมาเยอะขนาดนี้ ตั้งแต่ออกรถก็น่าจะครึ่งชั่วโมงที่จมดิ่งอยู่กับความคิดงี่เง่าของตัวเอง

แต่ก็ช่างเถอะ ร้องแค่นี้คงสาสมแก่ความโง่แล้ว


ต่อ..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-07-2018 11:02:38 โดย fiction no.9 »

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
ผมจ่ายเงินตามมิเตอร์ก่อนจะลงจากรถเข้าไปในโรงพยาบาลเพื่อทำแผล


ไม่นานนักก็เสร็จแล้วตรงกลับบ้านทันที  ไลน์บอกเฮียเผ่าว่ากลับถึงบ้านแล้ว ส่วนเรื่องบรีฟแบบบ้านก็บอกให้เฮียนัดใหม่แล้วค่อยว่ากัน แต่เมื่อล้มตัวจะนอนในตอนสองทุ่ม เสียงไลน์ก็เตือนขึ้นมา

Dr.WRRT :  ทำไมยังไม่มา คลินิกผมไม่ได้เปิดโต้รุ่งนะ

อีหมอประสาท.. นี่อย่าบอกนะว่าเขาคิดว่าผมจะไปทำแผลกับเขาจริงๆ

sweetyDOTcom :  ผมไปทำแผลที่โรงพยาบาลมาแล้ว

Dr.WRRT :  มาทำแผลใหม่เดี๋ยวนี้เลย

sweetyDOTcom :  เอ๊ะคุณ ผมบอกว่าผมทำแล้ว

พิมพ์ตอบไปแล้วผมก็ส่งรูปให้ดูว่าแผลถูกแปะผ้าก๊อซใหม่เรียบร้อยแล้ว

Dr.WRRT :  ให้เวลา 30นาที ถ้าผมไม่เห็นคุณที่นี่ เตรียมตัวเป็นข่าวได้เลย

sweetyDOTcom :  วันนี้ผมไม่พร้อมจะปะทะอะไรกับใคร ขอผมอยู่คนเดียวเถอะ

ผมแทบจะจิ้มตัวอักษรไม่ถูกเพราะน้ำตามันเอ่อขึ้นมาทำให้หน้าจอเบลอไปหมด

Dr.WRRT :  กินยาก่อนนอนด้วย

Dr.WRRT :  ถ่ายรูปมาด้วยว่าอยู่บ้านและกินยาแล้ว

ก็ยังดีที่ยังมีใครที่ผมจะพูดกับเขาได้แบบตรงๆ ไม่ต้องเก็บน้ำคำอะไรกับคนๆ นี้ 

ไม่ใช่แค่ถ่ายรูปตามที่เขาบอกแต่ถ่ายเป็นวีดีโอเริ่มตั้งแต่เปิดกางเกงขึ้นให้เห็นแผลแล้วเอามือถือไปตั้งไว้เพื่อให้เห็นว่าหยิบยาบนโต๊ะกินและดื่มน้ำตาม จากนั้นก็ส่งให้เขาดู

Dr.WRRT :  ตื่นมาแล้วชงชาร้อนนะ เอาช้อนที่ใช้คนชามาประคบตาไว้สลับไปมาทั้งสองข้าง ระวังมันร้อนเกินด้วยล่ะ

คงสังเกตเห็นว่าผมตาบวม ถึงจะเป็นคนประสาทๆ แต่ก็ใจดีเหมือนกันนะ


หมดเรื่องแล้วจึงปิดโทรศัพท์ เบื่อจะพูดคุยกับใคร เบื่อจะตอบโต้อะไร เบื่อที่จะรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง  เรื่องของพี่เวย์มันกัดกร่อนความรู้สึกของผมได้มากมายเหลือเกิน

คนที่เคยเมินแต่ตอนนี้เขาทั้งดูดีและมีครอบครัวที่อบอุ่น มีลูกน่ารักพูดเก่ง แต่ถ้าจะบอกว่าเสียดายอะไรมากที่สุดก็คงต้องบอกว่าเสียดายความดีของเขามากกว่า   

ความจริงแล้วผมไม่ใช่คนที่ชอบอะไรโลดโผนตื่นเต้นมากนัก ถ้าตอนนั้นเลือกพี่เวย์ ป่านนี้คงมีชีวิตสุชสงบ อยู่กันเงียบๆ มีความสุขตามประสา

ไม่ใช่ว่าไม่รักเฮียเผ่า แต่ผมไม่มั่นใจเลยว่าเราสองคนจะอยู่กันรอดไปถึงเมื่อไหร่

กลัวจริงๆ ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางร้ายๆ ขึ้นมาอีก ผมไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงเอาซะเลย..



หลังจากตื่นนอนก็ลองชงชาแล้วเอาช้อนชามาประคบอย่างที่หมอประสาทบอก มันก็ช่วยได้นิดหน่อยแต่ตาเล็กๆ นี่มันดูไม่ออกหรอกว่าบวมมากหรือบวมน้อย รู้แค่ว่ามันตุ่ยๆ แดงๆ

Dr.WRRT :  กินข้าว กินยา ตอนเย็นมาทำแผลที่คลินิกผม อย่าเบี้ยวไม่งั้นเราได้เห็นดีกัน

ผมกลอกตาใส่ข้อความของหมอประสาท จะอะไรนักหนากับแผลของผม หรือเขามีแผนอะไรอีก จะฉีดยาแล้วแอบถ่ายคลิปหรือเปล่านะ แล้วถ้าไม่ไปจะมีรูปอะไรหลุดออกมาล่ะในเมื่อวันนั้นก็ตรวจดูทั่วตัวแล้วไม่เห็นมีอะไรบุบสลาย แถมเสื้อผ้าก็ไม่ได้ถูกปลดออกจากตัวด้วยซ้ำ 

แต่ในความรู้สึกลึกๆ ไม่ได้รู้สึกว่ากลัวตาหมอนั่นแต่กลับคุ้นเคยอยู่ลึกๆ เป็นเพราะอะไรกันนะ

“ไม่ไปทำงานเหรอลูก” คุณแม่ทักขึ้นเพราะตอนนี้บ่ายโมงแล้วแต่ผมยังอยู่บ้าน ปกติออกไปทำงานไม่เกินสิบโมง

“ช่วงนี้ห้องเสื้อไม่มีอะไรเลยให้พี่บอลลูนดูแลไปก่อน ส่วนโมเดลลิ่งดอทก็ยกเลิกสัญญาไปหมดแล้วครับ เดี๋ยวรออะไรๆ เข้าที่เข้าทางแล้วค่อยหาเด็กใหม่อีกที” ผมขยับเก้าอี้ให้คุณแม่เพื่อนั่งทานข้าวกลางวันด้วยกัน

“มีปัญหาอะไรรึเปล่า ดูลูกเครียดๆ นะ”  คุณแม่หันมาสบตา

“มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะครับ แต่ตอนนี้โอเคขึ้นแล้ว” ผมบอกแล้วจับมือท่านไว้ “คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงดอทนะครับ ดอทดูแลตัวเองได้”

“ถ้างั้นแม่ก็เบาใจ อ่ะ กินข้าวเยอะๆ ดูสิตัวผอมเป็นกุ้งแห้งแล้ว” คุณแม่ตักอาหารใส่จานให้แล้วเราก็ทานไปคุยกันไปโดยไม่มีเรื่องของป๋ามาทำให้ผมต้องชิ่งหนีอีก

คิดว่าคุณแม่น่าจะรู้ว่าผมไม่อยากได้ยินคุณแม่ด่าป๋าให้ฟัง และช่วงนี้สุขภาพจิตของท่านก็ดีขึ้นมากตั้งแต่ป๋าทำพินัยกรรมยกมรดกให้รวมถึงดินแดนเซ็นสละสิทธิ์จนไม่ขี้วีนขี้เหวี่ยงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อยากจะคิดเข้าข้างดินแดนอยู่หน่อยๆ ว่าคุณแม่ลดความอคติกับดินแดนลงไปได้บ้างดูจากที่เคยแอบถามว่าซีรีส์ของดินแดนจะออกช่องไหน



ช่วงเย็นผมออกจากบ้านเพื่อไปคลินิกหมอประสาทเพราะไม่อยากเห็นเขาไลน์มาวีนอีกแต่ก็เซฟตัวเองด้วยการให้น้าเวชไปส่ง

“ถ้าดอทหายไปเกินครึ่งชั่วโมงน้าเวชเข้าไปตามเลยนะครับ” ผมกำชับอีกครั้ง

“ถ้าคุณหนูไม่ไว้ใจคลินิกน่ากลัวนี่ น้าว่าย้ายไปโรงพยาบาลดีกว่านะครับ” น้าเวชเสนอ

“ไม่เป็นไรครับ ดอทแค่อยากกันไว้เฉยๆ”

จากนั้นผมก็เข้าไปในคลินิก เจอกับพี่พนักงานพยาบาลคนเดิม เขาเห็นผมแล้วยิ้มแปลกๆ เหมือนกรุ้มกริ่มๆ ยังไงก็ไม่รู้

“คุณหมอรออยู่ห้องตรวจสามห้องเดิมนะคะ” เธอพูดพร้อมกับยิ้มเหมือนจะเขินๆ

“เอ่อ.. ขอบคุณครับ”

เออดีแฮะไม่ต้องรอคิว แต่จะว่าไปคนไข้ก็ไม่มีซักกะคน หรือผมจะมาเร็วไปเพราะตอนนี้เพิ่งจะห้าโมงเย็น

“นั่งสิคุณ” เขาเรียกให้นั่งเพราะผมยืนอยู่หน้าห้องดูเขาก้มเขียนอะไรบนโต๊ะมาสักพัก

คุ้นจังแฮะ..

แต่เมื่อเขาทักจึงเข้าไปนั่งที่เก้าอี้แล้วเพ่งมองเขาอีกครั้ง

“ผมหล่อขึ้นหรือไง” เขาเงยหน้าขึ้นถาม

“ขี้เหร่ขึ้นมากกว่า” อดไม่ได้ที่จะแซะออกไป ถึงจะหล่อจริงก็เถอะ

“ขึ้นเตียงแล้วเปิดเลย” อยู่ๆ ก็พูดออกมาแบบสองแง่สองง่าม ผมจึงมองหน้าเขาแบบดุๆ “ผมหมายถึงขึ้นไปนั่งบนเตียงแล้วเปิดกางเกงขึ้นจะได้ทำแผล” เขาอธิบาย ผมจึงขึ้นไปนั่งตามที่เขาบอกแล้วดึงกางเกงขึ้นมาให้เขาจะได้ไม่ต้องมาจับตัว

มือเรียวดึงผ้าก็อซปิดแผลอันเดิมออกแล้วเช็ดแอลกอล์ฮอล์ไปรอบๆ จากนั้นก็เช็ดแผลด้วยน้ำเกลือ ผมกลั้นหายใจไว้ตลอดเพื่อไม่ให้คิดฟุ้งซ่านและมันก็ผ่านไปอย่างง่ายดายและรวดเร็ว

“แผลดีขึ้นแล้วนะ แต่อย่าเพิ่งมั่นหน้าไปออกกำลังกายอะไรอีกล่ะ”

“พูดจาดีดีกับเขาเป็นไหมเนี่ย พูดคำกัดคำอยู่ได้”

“ก็ขึ้นอยู่กับคนนะ”

“นี่คุณหมายความว่ายังไง ผมมันไม่ดีตรงไหนถึงจะพูดดีดีกับผมไม่ได้ ห้ะ!” รู้สึกเลือดขึ้นหน้าจนอยากตบไม่แบอีกสักรอบ

“ผมยังไม่ได้พูดเลยนะว่าคุณไม่ดี”

“ก็คุณพูดกับผมไม่ดีมันหมายความว่าไงล่ะ”

“คุณคิดไปเองรึเปล่า” ทำหน้าเหมือนกับว่าที่ผ่านมาผมอคติไปเองทั้งที่จริงมันไม่ใช่เลย แต่ก็ไม่อยากจะเถียงด้วยแล้ว

“เสร็จแล้วใช่ไหมงั้นผมกลับล่ะนะ” ไม่รอคำตอบ ผมก้าวเท้าลงจากเตียงทันที

“ขึ้นไปบนเตียงแล้วนอนลง” อยู่ๆ เขาก็สั่งออกมา

“อะไรนะ”

“ขึ้นไปแล้วนอนลง.. นอนลงไปบนเตียง” เขาบอกแล้วเดินเข้ามาใกล้จนผมต้องก้าวถอยหลังจนไปชิดติดเตียง

“คุณจะบ้าหรือไง ผมทำแผลเสร็จแล้วจะให้ผมนอนทำไมอีก”

“พักผ่อน”

“ผมจะกลับไปพักที่บ้าน” พยายามแขม่วพุงทำตัวเล็กลีบเพื่อไม่ให้เขามาแตะต้องตัว

“อย่าให้ต้องพูดมาก จะขึ้นไปนอนดีดีหรือจะให้อุ้ม”

“นี่มันบ้าอะไรกัน ผมมีญาติขับรถมาส่งนะแล้วก็สั่งเขาว่าถ้าเกินครึ่งชั่วโมงแล้วผมยังไม่ออกไปให้เขาเข้ามาตามได้เลย” ผมเริ่มขึ้นเสียง

“อีกตั้งยี่สิบนาที ขึ้นไปนอนเดี๋ยวนี้เลย เร็วๆ” เขาไม่ได้ตกใจอะไรแต่ยกนาฬิกาขึ้นดู

เมื่อเห็นผมจะเดินหนีเขาก็พูดขึ้นอีก

“ผมไม่อยากจับตัวคุณนะ ขึ้นไปเองดีดีเถอะ ลึกๆ แล้วคุณก็รู้ดีว่าที่นี่ปลอดภัย”  เขาบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นจนผมต้องคิดหนัก

ขึ้นหรือไม่ขึ้นดีนะ..

“อ๊ะ!!??” ตัวผมถูกอุ้มขึ้นไปนั่งบนเตียงแล้วเขาก็ถอยออกไปโดยเร็ว 

“นอนลงไปดีดีแล้วหลับตา ผมเอาเกียรติของแพทย์เป็นประกันว่าคุณจะปลอดภัยตลอดเวลาที่อยู่ในห้องนี้” เขายืนยันหนักแน่น

หมอประสาทมองมาด้วยสีหน้าจริงจังและน่าเชื่อถือจนไม่กล้าบอกปฏิเสธออกไปอีก ออร่าบางอย่างของเขาทำให้ต้องยอมนอนลงแล้วหลับตา  หรือผมจะยอมคนง่ายไปหรือเปล่านะ

“พยายามหลับเองนะ ผมไม่อยากฉีดยาอีก ขี้เกียจรอ” เขาบอกแล้วได้ยินเสียงไปนั่งที่เก้าอี้

ครุ่นคิดในใจว่าทำไมต้องฉีดยาก็ผมไม่ได้เป็นอะไร แล้วถ้าขี้เกียจรอจะให้ผมนอนเพื่อ?

“คุณหมอคะคนไข้ห้องตรวจสองค่ะ” พนักงานเคาน์เตอร์มาตาม

“ครับ” เขาตอบรับสั้นๆ และหันมาสั่งความ “นอนหลับไปเลยนะ เดี๋ยวญาติคุณมาเรียกแล้วค่อยกลับ”

จากนั้นเขาก็หายไป  ได้ยินเสียงแว่วๆ เสียงเขาตรวจคนไข้ พูดเพราะ เป็นกันเอง และตรวจวินิจฉัยได้น่าเชื่อถือดี  แต่ที่น่าแปลกคือตรวจแต่ละรายนี่นานมาก ทั้งคนไข้ชวนคุย และเขาชวนคุยซะเอง ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับโรค การป้องกัน การรักษา หรือแม้แต่เรื่องดินฟ้าอากาศ เรื่องการเมือง หรือเรื่องของเล่น การ์ตูนก็ขุดขึ้นมาคุย

“คุณหมอคะ คนไข้ห้องตรวจหนึ่งรอนานแล้วค่ะ นี่ขนาดโทรนัดเวลาให้คนละตั้งสิบห้านาที คุณหมอยังคุยเกิน คราวหน้างามจะนัดเป็นคนละครึ่งชั่วโมงแล้วนะคะ” ผมเผลอยิ้มขำ สมน้ำหน้าคุณหมอที่โดนพนักงานดุ

จากนั้นก็ฟังเสียงต่อไปเพลินๆ จนกระทั่งหลับไป


“คุณหนูของน้าหลับไปแล้วล่ะครับ น้าคุยกับผมรอดีกว่า”

“เอ่อ.. งั้น.. ผมขอไปดูแกหน่อยนะครับว่าหลับสนิทไหม ถ้าไม่สนิทอยากขอปลุกแกไปนอนที่บ้านดีกว่า”

“ไม่ไว้ใจสินะครับ งั้นตามมาเลย  นี่ไงครับ กรนขนาดนี้คงยิ่งกว่าหลับสนิทนะผมว่า”

“โอ.. หลับสนิทจริงๆ ด้วย งั้นปล่อยให้แกหลับเถอะครับ ช่วงนี้ตาบวมๆ ใต้ตาดำหน้าก็ซีดเซียวเหมือนคนอดหลับอดนอน น่าสงสารแกครับ”

“งั้นคุยกันห้องตรวจข้างๆ นี่แหละใกล้ดี น้าจะได้อุ่นใจ”

“ครับๆ ขอบคุณนะครับคุณหมอ”

“พี่งามเคลียร์คิวตรวจให้ผมหน่อยนะครับ คืนนี้คงไม่รับคนไข้เพิ่มแต่ถ้ามีที่นัดล่วงหน้าก็ให้เข้าห้องตรวจหนึ่ง”

“ได้ค่ะ งั้นกาแฟด้วยไหมคะดูท่าว่าจะคุยยาว”

“ได้ก็ดีครับ สองที่เลยนะ”

“ของผมขอกาแฟดำนะครับ ขอบคุณครับคุณงาม”



“อือออ” ผมบิดขี้เกียจแก้เมื่อยแล้วลืมตามองไปรอบๆ “ห้องตรวจเหรอ!?” ถึงกับต้องลุกขึ้นมานั่งทันที

“ตื่นแล้วเหรอครับคุณหนู” น้าเวชโผล่เข้ามาทันทีเหมือนอยู่ใกล้ๆ แถวนี้

“กี่โมงแล้วครับน้าเวช” ผมขยี้ตาไล่ความง่วงงุน

“สี่ทุ่มครับ คุณหนูหลับสนิทจนน้าเวชไม่กล้าปลุกเลย”  น้าเวชทำหน้าจ๋อยเพราะกลัวผมดุ

“ไม่เป็นไรครับ งั้นเรากลับกันเถอะ” ไม่กล้าดุแกหรอก น้าเวชเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ และแกก็หวังดีกับผมมาก ถ้าแกเห็นว่าดีก็คิดว่ามันคงดีกับผมแล้วละ

“ผมพาคุณหนูกลับก่อนนะครับคุณหมอ ขอบคุณมากจริงๆ ที่อยู่รอจนป่านนี้” น้าเวชแวะบอกหมอประสาทที่ห้องตรวจข้างๆ

“พรุ่งนี้พามาอีกนะครับ ต้องล้างแผลทุกวัน ไม่งั้นเดี๋ยวกลับมาอักเสบได้อีก ถ้ายิ่งติดเชื้อแล้วอาจต้องตัดขาเลยนะครับ”  ตาหมอบ้า ทำไมไปบอกน้าเวชแบบนั้นล่ะ คราวนี้น้าเวชต้องจ้ำจี้จ้ำไชให้ผมล้างแผลทุกวันแน่ และโดยเฉพาะคงอยากมาที่นี่เพราะดูเหมือนสองคนนี้สนิทกันเกินปกติ

“ได้ครับๆ ผมจะพามาที่นี่แหละ คุณหมอใจดีและคุณหนูจะได้พักผ่อนอย่างสบายใจด้วย” น้าเวชก็เออออไปกับเขา

อีตาหมอประสาทไปทำอิท่าไหนถึงได้เอาน้าเวชไปเป็นพวกได้เนี่ย โอย ปวดหัว

“กลับกันเถอะครับ ดอทง่วงจัง” ผมชวนและน้าเวชก็รีบบึ่งไปเตรียมรถทันที

“ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องอาบน้ำจะได้นอนต่อเลย อาบแล้วเดี๋ยวตาจะสว่าง” จากนั้นเขาก็เขียนอะไรยุกยิกในบิลแล้วส่งให้

“ค่ารักษาครั้งละ 300 บาท สองวัน 600 บาท และบวกวันละ 300 ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครบสามพันแล้วเอาไปบริจาคให้มูลนิธิคนตาบอดด้วยกัน” ผมอ่านรายละเอียดในบิลแล้วขมวดคิ้ว  “ผมไม่เข้าใจ” บอกเขาไปตามที่รู้สึก ก็ผมไม่เข้าใจจริงๆ

“ตกภาษาไทยเหรอ”  นี่ไง พอเปิดปากก็เป็นลมเน่าออกมา ทีคุยกับคนอื่นนี่เหมือนเทพบุตร “ไม่เข้าใจก็เก็บไปอ่านจนกว่าจะเข้าใจ ไปได้ละ ผมจะปิดคลินิก” 

ไล่กันซึ่งๆ หน้าแบบนี้เลยเหรอ! ผมมองเหวี่ยงเขาแล้วเดินตึงๆ ออกไปขึ้นรถที่น้าเวชขับมาจอดรอหน้าประตู

หมอประสาทก็คือหมอประสาทวันยังค่ำนั่นแหละ!



เมื่อกลับถึงบ้านแล้วกำลังจะอาบน้ำแต่พอนึกถึงอีหมอประสาทก็เปลี่ยนใจแล้วใส่ชุดนอนขึ้นเตียงเลย  หยิบโทรศัพท์จะปิดเครื่องชาร์ทแต่เห็นมันปิดอยู่ก่อนแล้วก็นึกถึงหมอประสาทขึ้นมาทันที   มีแค่คนเดียวที่มารยาทน้อยนิดได้ขนาดนี้  ผมเปิดมันขึ้นอีกครั้งไม่สนใจจะตอบไลน์คนอื่นแต่ยกขาขึ้นถ่ายรูปแผลจนไปถึงปลายเท้าและเพดาน ส่งไปให้เพียงคนเดียว

sweetyDOTcom :  [Image]

Dr.WRRT :  Good

ฝั่งนั้นตอบมาสั้นๆ ผมจึงแลบลิ้นใส่หน้าจอแล้วปิดเครื่องชาร์ทก่อนจะหลับตาและหลับไปแทบจะในทันที ถือเป็นคืนแรกที่นอนได้โดยไม่มีเรื่องยุ่งให้ปวดใจ

หวังว่าพรุ่งนี้จะไม่มีเรื่องพีคๆ เข้ามาอีกหรอกนะ



.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ใครทีมไหนติดแฮชแท็กเชียร์กันเลยน้าาา
นายน้อยทีม #ดินดอท  5555555555
ตอนนี้สั้นหน่อย แค่ห้าพันกว่าตัวอักษรแต่ใส่ในโพสต์เดียวไม่ได้ งงจัง
ขอบคุณทุกการติดตามนะคะ
:mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-07-2018 12:46:00 โดย fiction no.9 »

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
เป็นเรื่องที่อ่านไปก็งงๆ ไปพร้อมกับตัวละคร เอ้า ไอ้นี้โผล่มางี้ก็ได้เหรอ เอ้า มาทำงี้กับเราก็ได้เหรอ เอ้ออออ เกิดเป็นดอทนี่ก็อยากจะ... จริงๆ  5555

ออฟไลน์ melody.19

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
อ่านรวดเดียวถึงตอนปัจจุบัน อยากบอกนักเขียนว่า ขอบคุณมากๆ
สนุกมากๆดำเนินเรื่องกระชับดี อ่านแล้วไม่มีคำว่าเบื่อเลย เดาทางไม่ถูก
ดอทจะคู่กับใคร เอาจริงๆตอนแรกนึกว่าคู่สกาย พออ่านไปเรื่อยๆเอ้าไม่ใช่5555555
ก็ขอให้ได้คู่ดีๆไม่ทำร้ายจิตใจดอทก็พอ สงสารดอทง่ะ อยากรู้ว่าอาการของดอทคืออะไร
เวลาโดนสกินชิปแล้วทำไมมีอารมณ์ทุกครั้ง ชอบดินแดนอ่านิสัยกวนๆดี ตอนนี้กลายเป็นรักพี่ชายมาก
ใจจริงๆก็แอบเชียร์ พี่น้องไรงี้555555555555555 แต่เรื่องที่เจออนุชาล่าสุดแอบช็อคอยู่
คุณหมอชื่อก็แอบคล้าย อนุชา เป็นญาติกันหรือเปล่า

#ดินดอท
#สกายดอท


อิอิ ขอบคุณจ้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-07-2018 19:53:36 โดย melody.19 »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด