☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6  (อ่าน 31856 ครั้ง)

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
เก็บกระทู้ไว้  -------โมดุฯ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------

***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

***************************************************************************************
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




สารบัญ
P R O L O G U E  :  ช น ม์ แ ด น   ►   I N T R O  :  อ นุ ช า
ต อ น ที่ 1 :  เ ผ่ า พ ง ศ์ 1-1   ►   ต อ น ที่ 2 : เ ผ่ า พ ง ศ์ 1-2   
ต อ น ที่ 3 : ส ก า ย   ►   ต อ น ที่ 4 : ดิ น แ ด น
ต อ น ที่ 5 : ภ า ว ะ บี บ คั้ น   ►   ต อ น ที่ 6 : ภ า ว ะ ฟื้ น ตั ว
ต อ น ที่ 7 : ภ า ว ะ ฟุ้ ง ซ่ า น   ►   ต อ น ที่ 8 : อ นุ ว ร ร ต
ต อ น ที่ 9 : ภ า ว ะ ซึ ม เ ศ ร้ า   ►   ต อ น ที่ 10 : ห ม อ ป ร ะ ส า ท
ต อ น ที่ 11 : ภ า ว ะ ห วั่ น ไ ห ว   ►   ต อ น ที่ 12 :  ภ า ว ะ บ อ บ ช้ำ
ต อ น ที่ 13 : ภ า ว ะ ตื่ น ต า   ►   ต อ น ที่ 14 :  ภ า ว ะ ตื่ น ใ จ


.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

P R O L O G U E  :  ช น ม์ แ ด น




ชนม์ แปลว่า การเกิด หรือ ก่อเกิด

แดน คือ อาณาจักร ขอบเขต เขตแดน

ชนม์แดน..จึงหมายถึงการเกิดขึ้นของอาณาเขต

อาณาเขตที่อัดแน่นไปด้วยความทุกข์และความเกลียดชัง

หากความสุขเป็นดั่งท้องทะเล  หัวใจของชนม์แดนก็เปรียบเสมือนเกาะร้างที่ไร้ผืนทราย

ถึงแม้จะมีทะเลความสุขคอยโอบล้อมไว้ทุกด้าน ทว่ากลับไร้ผืนทรายไว้คอยดูดซับความสุขเหล่านั้นเข้ามาในหัวใจ



หรือบางที ชนม์แดน อาจจะแปลว่า

ค ว า ม ถื อ ดี

ค ว า ม เ ย่ อ ห ยิ่ ง

ค ว า ม ใ จ แ ข็ ง

ค ว า ม เ ห็ น แ ก่ ตั ว

อี โ ก้ สู ง

ไ ร้ ชี วิ  ต ชี ว า

เ ส พ ติ ด ค ว า ม ทุ ก ข์

แ ล ะ นิ สั ย เ สี ย ๆ อี ก ห ล า ย อ ย่ า ง


ผู้คนส่วนมากมักเก็บซ่อนความรู้สึกด้านลบไว้ภายใต้ใบหน้าเปื้อนยิ้ม

แต่สำหรับชนม์แดนกลับต้องซ่อนรอยยิ้มไว้ภายใต้ใบหน้าสวยที่เชิดหยิ่ง

ซ่อนความสุขไว้ภายใต้ความชิงชัง  ซ่อนความดีไว้ภายใต้ทิฐิ

และเก็บซ่อนความรักไว้ภายใต้ความหวาดกลัว

เพราะหากรักแล้วต้องเจ็บ..ก็เลือกที่จะ..ไม่รัก

เพราะหากรักแล้วต้องรอ..ก็เลือกที่จะ..หนี

เพราะหากรักแล้วต้องเลือก..ก็เลือกที่จะ..ไม่รัก


รักนั้นพูดง่ายทว่าเข้าใจยาก

กับบางคน..ถึงแม้จะทุ่มเทจนสุดตัวให้ได้ความรักมาจากเขาแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า

กับอีกคน..ถึงแม้จะรู้สึกอยู่เสมอว่าไม่ได้รักแต่กลับติดอยู่ในกับดักของตนเอง

กับคนเก่า..ถึงแม้จะถวิลหาแต่กลับต้องหักห้ามใจ

กับคนใหม่..ถึงแม้จะขีดเส้นกั้นของความสัมพันธ์เอาไว้แต่กลับเป็นฝ่ายที่อยากก้าวข้ามไปเสียเอง

กับคนที่ชอบ..ถึงแม้จะหลีกเลี่ยงแต่กลับอยากเอาชนะ

กับคนที่เกลียด..ถึงแม้จะมีศีลธรรมคอยค้ำคอแต่กลับต้องการได้เป็นคนสำคัญ


กับคำว่ารัก..ถึงแม้จะคิดเสมอว่าเป็นสิ่งไกลตัวแต่กลับวนเวียนอยู่ใกล้ๆ

กับหัวใจที่ซับซ้อน..ถึงแม้จะอยากปิดตายสักเท่าใดแต่กลับเผลอใจให้คำว่ารักเข้ามาทำร้ายทำลายตนเอง



.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.





คำเตือน : นิยายเรื่องนี้เรท 25++

ไม่เหมาะกับเยาวชน

ไม่เหมาะกับผู้ที่เคร่งครัดในศีลธรรม

ไม่เหมาะกับผู้ที่รักเดียวใจเดียว

ไม่เหมาะกับสายฮา

ไม่เหมาะที่จะอ่านในที่สาธารณะเพราะหากคนข้างๆ มาแอบอ่าน เขาอาจจะมองคุณด้วยสายตาแปลกๆ

ที่จริงก็มีอีก แต่พอเถอะถ้าเตือนมากกว่านี้คงเหลือคนอ่านแค่คนเดียวคือคนแต่ง = =;;



นิยายเรื่องนี้ดราม่าตอนต้นเรื่อง พอช่วงกลางก็เริ่มดราม่า และตอนใกล้จบก็ดราม่าอีก

แต่เดี๋ยวก่อน..ในความมาม่ามีสอดแทรกโรแมนติก อิโรติก อยู่หลายกระติก

หากอ่านแล้วชอบขอรางวัลเป็นคอมเมนต์สั้นๆ สักตอนละหนึ่งดอก

แต่ถ้าหากอ่านแล้วไม่โดนใจให้คิดว่าได้ฆ่าเวลาก็ยังดี



ฝากแฮชแท็ก #รู้เท่าไม่ถึงรัก ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ

มาพูดคุยเม้าส์มอยซอยเก้าด้วยกัน

ปล. ติชมได้เต็มที่ค่ะแต่ขอละเว้นถ้อยคำรุนแรง
นักเขียนใจบางมากอยากขอความเห็นใจ  :mew2:

ด้วยความขอบคุณจาก..นิยายหมายเลข 9 :bye2:



สุดท้าย..

รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก  เจ้าของเดียวกันกับ..

คู่จิ้นของผมเป็นผู้ชาย และ เด็กน้อยออทิสติกกับหนุ่มอาร์ทติสขี้โมโห

ข่อมค่าาาา

 :mew1:
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2019 19:51:33 โดย BaoBao »

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :hao5: เตรียมผ้าเช็ดหน้าพร้อมโปรดจงมา

ออฟไลน์ psyfer

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ ดาวพุธ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอติดตามเลยค้าบบบบ คุณพี่ดอทของหนู งืออออ
 :monkeysad:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
พี่ดอทคนแซ่บจะกลับมาแล้วววว อ่านค้างไว้ตั้งแต่ตอนโน้นนนก็ลุ้นอยู่ว่าใครจะเป็นตัวจริงของพี่ดอท แต่อ่านจากบทนำแล้วน่าจะมีเข้าชิงหลายคนอยู่ รอๆๆ

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
เตรียมทิชชู่รอค่ะ :hao5:

ออฟไลน์ chadcharin

  • ชอบแนวเคะแมน เมะแมน ปะทะกันหูยฟิน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
หืมมมม รอๆๆๆ อย่าม่ามากนะไรท์ใจคอไม่ดี

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

I N T R O  :  อ นุ ช า




“น้องครับ น้องๆ ..ใช่ครับน้องนั่นแหละ”

“.....” 

“สนใจเข้าชมรมบาสไหม พี่เป็นประธานชมรม ชื่อเวย์นะ”

“ไม่ครับ”

เกิดเดธแอร์ขึ้นระหว่างการสนทนา..

ประธานชมรมบาสอึ้งไปเล็กน้อย ก็เด็กใหม่เล่นตอบแบบไม่คิดเลย แถมยังทำหน้าเรียบนิ่งติดจะดุๆ 

ประเมินเอาจากลักษณะการพูดก็พอจะเดาได้ว่าคงมาเจอประเภทหนุ่มน้อยน่ารักที่ไม่เหมาะจะเป็นนักกีฬาแต่อย่างใด 

ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหา รูปร่างหน้าตานิสัยแบบไหนก็เล่นกีฬาได้เหมือนกัน  และการหาเด็กใหม่เพิ่มสำคัญกว่าเพราะปีนี้เขาเรียนชั้นมัธยมปีที่ 6 แล้ว อีกแค่ปีเดียวที่จะได้ทำประโยชน์กับชมรม

เมื่อเห็นว่ารุ่นพี่ไม่มีอะไรจะพูดต่อ ร่างบางก็เดินจากไปดื้อๆ

ดูหยิ่ง ดูไม่เป็นมิตร ดูเข้าถึงยาก แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้หยาบคาย..

“เดี๋ยวครับน้อง  เอาโบรชัวร์ไปดูก่อน เล่นบาสไม่เป็นพี่สอนได้นะ หรือจะ..”

“.....” ดวงตารีเล็กตวัดมองรุ่นพี่แสดงอาการให้รู้อย่างชัดเจนว่า..ไม่

“โอเค..” มือหนายกขึ้นลูบสันกรามแก้เก้อ

นี่พี่เวย์ไง พี่เวย์หนุ่มป๊อบของโรงเรียนเลยนะ วันนี้ก้าวขาออกจากบ้านผิดข้างหรือหล่อน้อยลงวะ ทำไมถูกเมินขนาดนี้

“ม.1! ห้องไหนครับเดี๋ยวพักเที่ยงพี่แวะไปหา”  เมื่อเด็กใหม่เดินผ่านไปไม่กี่ก้าว รุ่นพี่ก็เรียกไว้อีกครั้ง

“.....” ร่างเล็กหยุดกึกแล้วหันไปมองด้วยสีหน้านิ่งหยิ่งดังเดิมที่เพิ่มเติมคือสายตาที่ดุขึ้นสิบระดับ  แต่ยังคงใช้ความเงียบเป็นคำตอบ

คนอะไรตื้อชะมัดยาด ไม่เห็นหรือไงว่าหน้าแบบนี้ หุ่นแบบนี้จะไปแข่งอะไรกับเขาได้

“ว่าไงครับ อยู่ห้องไหน หืม?”

“...ห้องสองครับ” ถึงจะไม่อยากตอบแต่ยังไงคงไม่ดีแน่ที่จะสร้างศัตรูตั้งแต่วันแรกที่เปิดเรียน โดยเฉพาะศัตรูที่น่าจะเป็นตัวพ่อของโรงเรียนนี้

“โอเคครับ เดี๋ยวเจอกันนะ” ใบหน้าหล่อเผยรอยยิ้มใจดีขึ้นอีกครั้งแต่ก็เป็นได้แค่ยิ้มเก้อเพราะอีกฝ่ายไม่ยิ้มตอบ 

ถูกเมินเป็นรอบที่ 2 ภายในไม่ถึง 5 นาที ไอ้เวย์เอ้ย ที่ผ่านมาคงใช้แต้มบุญหมดไปแล้วล่ะมั้ง

ประธานชมรมบาสมองตามร่างเล็กที่เดินจากไปแบบงงๆ

หน้าตาดีขนาดนั้นแต่ทำไมดูเศร้าดูเครียดนัก แบบนี้ต้องชวนมาเล่นกีฬา!




“พี่เวย์คิดไงไปชวนเด็กนั่นอะ ดูหยิ่งๆ ลูกคุณหนูไงไม่รู้” เทม เด็กรุ่นน้อง ม.4 เอ่ยถามหลังจากประธานชมรมของเขากลับเข้ากลุ่ม

“ลูกคุณหนูแล้วมันยังไง เขาไม่ได้ทำอะไรให้ใครเดือดร้อนสักหน่อย”  มือหนาสาละวนอยู่กับการนำใบสมัครหลายใบที่น้องใหม่กรอกแล้วเข้าแฟ้ม

ปีนี้มือขึ้นมากเพราะแค่วันแรกก็ชวนเข้าชมรมได้แล้วแปดคน  ส่วนใหญ่แค่คุยไม่กี่คำก็ตอบรับแบบไม่ต้องเสียเหงื่อด้วยซ้ำ

จะมีก็แต่..

“แค่เหม็นอะ เหม็นแบบไม่มีเหตุผล” เทมเบ้ปากเมื่อนึกถึงตอนเดินเข้าโรงเรียนแล้วเผลอไปเดินชนเด็กนั่น ขนาดรีบบอกขอโทษแต่ยังโดนมองดุๆ แถมยังถอนหายใจใส่อีก  ไม่ให้เหม็นได้ยังไง คนอะไรหน้าตาก็ดีแต่นิสัยโคตรแย่

“เพราะมีคนแบบมึงไง โลกนี้ถึงไม่น่าอยู่ เอะอะก็เหม็นกันเขม่นกันเพื่อ?  อะเอาใบสมัครพวกนี้ไปเตรียมประชุมทีมได้แล้ว” ร่างสูงจัดการแฟ้มเสร็จก็ดันไปให้รุ่นน้อง

“พี่เวย์ก็คนดีตล้อด พระเอ๊กพระเอก”

“ไอ้เวย์มันก็แค่พระเอกจอมปลอม” เตชินท์ เพื่อนสนิทและควบตำแหน่งรองประธานชมรมแทรกตัวเข้ามากลางวงสนทนา

“ปลอมยังไงอะพี่เต”

“ข้างนอกสุกใส ข้างในหื่นกาม ฮ่าๆๆ”

“ห้ะ! พี่เวย์เนี่ยนะหื่นกาม?” เทนประหลาดใจจนอ้าปากค้าง ก็จากที่เคยเห็นตั้งแต่เข้าชมรมมาสองปี ประธานชมรมของเขานั้นแทบจะเรียกได้ว่าเทวดาบนดิน  เรียนเก่ง กีฬาแกร่ง กิจกรรมก็เด่น  หน้าตาดี รูปร่างยิ่งเป๊ะ นิสัยก็ดี สุภาพ ใจเย็น อัธยาศัยเป็นเลิศ แถมไม่มีข่าวเจ้าชู้เพลย์บอยให้ระคายหู

“ไร้สาระไอ้เต  มึงก็อย่าไปฟังมันมากเทม ไปเตรียมประชุมได้แล้วเดี๋ยวให้กลับไปนั่งสำรองเลยนี่” คำขู่ได้ผล รุ่นน้องนิ่วหน้ารีบคว้าแฟ้มใบสมัครไปกอดไว้ทันที

“โหยเอะอะขู่ เพิ่งได้เป็นตัวจริงแค่สองนัดเองพี่เวย์ ไปก็ได้โด่” เทนบ่นไปตามเรื่องแล้วออกจากกลุ่มไป

“ปากมึงนี่นะไอ้เต เดี๋ยวเด็กมันเอาไปพูดกูเสียหายหมด” หลังจากไล่เทมไปแล้ว ประธานชมรมก็หันมาเอาเรื่องเพื่อนรักทันที

“ก็เสียซะมั่งเหอะค้าบพี่ค้าบ ทุกวันนี้ทั้งรุ่นน้องรุ่นเพื่อนรุ่นพี่ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์จะยกน้ำแดงน้ำเขียวมาถวายบูชามึงอยู่ละ  พี่เวย์ดีอย่างนั้น เพอร์เฟ็คอย่างนี้ กรี๊ดพี่เวย์!  หมั่นไส้สัด ไม่มีใครรู้อย่างที่กูรู้หรอก” ใครจะไปนึกว่าดีเลิศทุกด้านอย่างเพื่อนของเขานี่แหละที่เคยมีประวัติสาวรุ่นพี่ขึ้นครูให้พร้อมกันสองคน

“เรื่องนั้นมันตั้งแต่ม.1 แล้วไหม มึงจะรื้อฟื้นหาพระแสงหอกหักอะไร”  ไม่อยากคิดถึงอดีต ก็ตอนนั้นเพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม วัยรุ่นมันก็คึกคะนองไปตามฮอร์โมนที่พลุ่งพล่านแต่วุฒิภาวะยังน้อยเลยไม่มีสติยับยั้งชั่งใจ ตอนนี้โตแล้วนิ่งแล้ว ถึงคิดหื่นก็ไม่ตื่นเต้น..ออกนอกหน้า เก็บอาการได้หมดชีวิตสดใส

“ฮ่าๆๆ ได้รู้ว่ามึงมีจุดด่างดำในชีวิตบ้าง กูก็เป็นสุขใจ” เตชินท์หัวเราะเสียงดังเมื่อนึกถึงครั้งเดียวครั้งนั้นที่เพื่อนเคยสร้างวีรกรรมไว้

“มึงมันโรคจิต” ผลักหัวเพื่อนอย่างเหนื่อยหน่าย “ไปเข้าประชุมกัน วันนี้มึงโซโล่จนจบเลยนะ กูจะนั่งตรวจใบสมัคร”

“ได้ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน!” เตชินท์ตะเบ๊ะแล้วเดินสวนสนามนำเพื่อนไปยังห้องประชุมอย่างอารมณ์ดี



ตอนพักเที่ยงหลังกินข้าวเสร็จ ประธานชมรมคนขยันก็ออกล่าเหยื่อ

“ห้องสอง..ห้องสอง.. อยู่นั่นไง หาที่โรงอาหารก็ไม่เจอ มานั่งคนเดียวแบบนี้คงยังไม่มีเพื่อนไปกินข้าว”  ยืนมองร่างบางที่นั่งเหม่อมองออกไปนอกห้องแล้วนึกเห็นใจ

“อ่ะ ค่าจ้าง”

ร่างเล็กสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะมองหน้าคนพูดสลับกับโคอะลามาร์ชกล่องใหญ่ที่ถูกวางไว้บนโต๊ะ

“......?” การใช้ใบหน้านิ่งหยิ่งที่ขมวดคิ้วเป็นคำถามหรือคำตอบเป็นคาเร็กเตอร์ที่ค่อนข้างแปลกในสังคมเดี๋ยวนี้ที่เด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่มักจะโหวกเหวกโวยวายช่างจ้อหรือไม่ก็คิกขุคิวท์ตี้คาวาอี้ไปตามกระแส

“ค่าจ้างไง” ร่างสูงถือวิสาสะดึงเก้าอี้จากโต๊ะด้านหน้ามานั่งตรงข้าม

“จ้าง?”

“ซื้อเวลาน้องไงครับ ขอขายของแค่ 5 นาที”

“.....” ใบหน้าสวยหงิกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแสดงความไม่ชอบใจ โดยเฉพาะสายตาที่ตวัดมองออกนอกหน้าต่างในทันที  เพราะแบบนี้ไงถึงยังไม่มีเพื่อนสักคน

“น้องชื่ออะไรนะ เออว่าแต่จำชื่อพี่ได้หรือเปล่า”

สรุปจะเอาคำตอบไหนก่อน ถามรัวซะขนาดนี้

“........”

“พี่ชื่อ?” เมื่อได้รับคำตอบเป็นความเงียบ ร่างสูงจึงถามย้ำอีกครั้ง  ประกายในดวงตารีเล็กนั้นเปล่งแสงระยิบเมื่อกำลังรอลุ้นคำตอบ

“ว..เวย์”

รอยยิ้มกว้างคลี่ออกอย่างง่ายดายเพียงแค่มีคนจำชื่อเขาได้

พี่คนนี้แค่ใจดีเกินไป หรือ มีแผนร้ายอะไรกันแน่

ก็ไม่แปลกที่ร่างบางจะคิดด้านลบ เพราะไม่เคยมีใครมาชวนพูดคุยด้วยนานขนาดนี้ อย่างมากแค่ครึ่งนาทีก็สลายตัวไปหมดแล้ว

“แล้วน้องชื่อ?”

เอาอีกแล้ว ทำไมต้องทำหน้าเหมือนคุยกับเด็กอนุบาล เหมือนหลอกล่อเด็กให้ตอบคำถามอะไรแบบนั้น

“ดอท” คำตอบแบบสงวนปากสงวนคำพร้อมกับใบหน้ากึ่งงงกึ่งระแวง ยิ่งทำให้อีกฝ่ายอยากชวนคุยเรื่อยๆ เพื่อละลายพฤติกรรม

“ดอทเหรอ ชื่อแปลกดี  ดอทคอม อะไรแนวๆ นั้นหรือเปล่า”

“อืม” ศีรษะเล็กผงกน้อยๆ ตอบแบบให้จบๆ ไป

“อ่ะนี่ ใบสมัคร” กระดาษ A4 ถูกวางไว้ตรงหน้าพร้อมกับปากกาหนึ่งด้าม

“ใบสมัคร?”

“เข้าชมรมบาสกับพี่ไง”

“.....” ก็ยังไม่เห็นว่าจะขายของอะไรที่ว่ามาเมื่อกี้สักหน่อย อยู่ๆ ก็จะให้เซ็น แต่ถึงจะขายยังไงก็ไม่เซ็นอยู่ดี

“เซ็นก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้”

“แบบนี้ก็ได้เหรอ?” ชนม์แดนอดไม่ได้ที่จะแย้งกลับ

รอยยิ้มจุดขึ้นบนใบหน้าหล่อใสยิ่งทำให้เห็นว่าเขาดูดีมากแค่ไหน

ดีใจอะไรของเขา

“ได้สิ อ่ะ เขียนแค่ชื่อกับเซ็นตรงนี้ก็พอ เดี๋ยวข้อมูลอื่นพี่ไปขอจากอาจารย์เอา”  คงสนิทกับอาจารย์มากสินะ ถึงได้ขออะไรแบบนี้ได้

“ไม่ครับ”

“ทำไมล่ะ อ๋อ พี่ยังไม่ได้ขายของใช่ไหม”

“ยังไงก็ไม่เข้าครับ” ใบหน้าสวยบึ้งตึงขึ้นอีกระดับ เบือนหน้าหนีพร้อมกับถอนหายใจแรงให้เห็นกันจะๆ ว่ารำคาญเต็มทน

“โอเคๆ พี่ยอมแพ้” ร่างสูงลุกขึ้นจากที่นั่ง

เฮ้ออ โล่งอก

“แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มาใหม่นะ ..ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ตามหาเอง”  รุ่นพี่จอมตื้อรวบรัดตัดตอนเมื่อเห็นใบหน้าสวยง้ำขึ้นเหมือนจะบอกว่าถึงมาก็ไม่เจอหรอก

อะไรของพี่คนนี้ ชอบเอาชนะหรือไงนะ เฮ้อ ขี้เกียจคุย


หลังจากวันนั้น ประธานชมรมบาสคนขยันก็แวะเวียนมาขายของแทบจะทุกวัน  ถึงเขาจะเปลี่ยนใจไม่ขอให้เป็นนักบาสแล้วแต่ก็ยังคงหว่านล้อมให้ทำงานฝ่ายอื่น ขอแค่ให้สมัครเข้าทีมแค่นั้นก็พอ

แต่คนอย่างชนม์แดนก็ตอบกลับแค่คำว่าไม่และความเงียบเท่านั้นแหละ




ต่อ..

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
ต่อ..


ผ่านไปสองเดือน จากที่เคยตอบปฏิเสธด้วยความเงียบกลับไม่เพียงพอเพราะไม่เห็นว่ารุ่นพี่จะรู้สึกรู้สาอะไรกับกระแสจิตด้านลบ ยังคงตามมาชวนคุยแล้ววกเข้าเรื่องชมรมอยู่ทุกครั้งที่มีโอกาส  ทำให้เดี๋ยวนี้ต้องคอยหนีหัวซุกหัวซุน ต้องคอยมองว่าเขาจะมาทางไหนแล้วรีบชิ่ง  หนีพ้นบ้างไม่พ้นบ้างเพราะอันที่จริงเขาก็ไม่ได้มีเวลานานนักหรอก แค่ช่วงเช้าก่อนเข้าเรียน ช่วงพักเที่ยง หรือไม่ก็ช่วงพักเบรกซึ่งไม่ได้ยาวนานนัก ส่วนตอนเย็นนั้นหายห่วง พอออดเลิกเรียนดังปุ๊บ ชนม์แดนก็อาศัยฝูงชนแทรกตัวไปขึ้นรถของที่บ้านที่โทรให้มารับตรงจุดตรงเวลาทุกวัน


วันนี้มีงานนิทรรศการศิลปะและดนตรีของรุ่นพี่มอปลาย  โรงเรียนจึงงดการเรียนการสอนในภาคบ่ายเพื่อให้นักเรียนไปร่วมกิจกรรม  ขณะที่ชนม์แดนแอบใช้ทางลัดหลังตึกเพื่อไปส่งงานอาจารย์ เสียงเรียกคุ้นหูก็ดังขึ้น

“น้องครับ ดอท..”  ชนม์แดนหดคอลงทันทีราวกับว่าการทำแบบนี้จะทำให้ตัวจะเล็กลงจนไม่มีใครมองเห็น  เรียวขาเล็กรีบสับหนีให้เร็วขึ้นเพื่อจะได้ไม่ต้องคุยกับเขา

“ถ้าน้องไม่หยุดพี่จะเรียกแขกให้นะครับ”

เรียกแขก? อะไรของเขา?


♫♬ ♭ ♪ ♩ ♪ ~ ~
‘Cause I wanna wrap you up
Wanna kiss your lips
I wanna make you feel wanted
And I wanna call you mine
Wanna hold your hand forever
Never let you forget it
Yeah, I wanna make you feel wanted

As good as you make me feel
I wanna make you feel better
Better than your fairy tales
Better than your best dreams
You’re more than everything I need
You’re all I ever wanted ~
All I ever wanted ~


เสียงตีคอร์ดของกีตาร์โปร่งดังไล่หลังมาติดๆ   ขายาวๆ ของเขาก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็เข้าใกล้เป้าหมายได้แล้ว  จากนั้นเสียงร้องก็ดังขึ้นเป็นเพลงสากล ซึ่งไม่ปฏิเสธว่าเขาร้องเพราะดี แต่จะมาดีดกีตาร์แล้วร้องเพลงเดินตามแบบนี้ไม่ได้!

ร่างบางหันรีหันขวางเหลียวมองรอบตัวรวมทั้งบนตึกเพราะกลัวว่าจะมีใครเห็น ยังดีที่ตอนนี้คงไปรวมตัวร่วมงานที่หน้าโรงเรียนกันหมด นี่ถ้ามีใครรู้ว่าประธานชมรมบาสสุดหล่อ คนดังของโรงเรียนมาเดินตามแบบนี้ จากที่มีคนเกลียดครึ่งโรงเรียนก็คงเพิ่มขึ้นเป็นทั้งโรงเรียนแน่

“พอแล้วครับ!! ผมคุยด้วยก็ได้! หยุดร้องเพลงได้แล้ว” มือเรียวไล่ตะปบนิ้วแกร่งที่ดีดกีตาร์ให้หยุดเล่น

“พี่ชื่ออะไรนะ” ร่างสูงหยุดดีดกีตาร์แล้วยิ้มในสีหน้าเพื่อรอฟัง

“พี่..เวย์” ก็ต้องยอม เพราะถ้าปล่อยให้ร้องต่อไปพวกแฟนคลับของพี่หล่อนี่ต้องแห่กันมารุมตบในไม่ช้านี้แน่

“สรุปว่าใครจะหยุดแล้วคุยกับพี่นะ” 

“ผมไง”

“น้องเหรอ?”

“อือ” ชนม์แดนพยักหน้างงๆ

“น้องเหรอครับ?”

“ค..ครับ”

“ก็ใครล่ะครับ?”

“ก็ผมไง”

“น้องเหรอครับ?”

“ครับ น..น้องเองครับ”

ในที่สุดเขาก็ได้คำตอบที่ตรงใจ รอยยิ้มกว้างเผยขึ้นทันที ในแววตาที่มีประกายระยิบระยับราวกับผืนน้ำที่สะท้อนแสงอาทิตย์ยามบ่ายช่างสวยงาม ดูเจิดจ้าทว่าแสบตาจนต้องเบือนหน้าหนี

ต้องดีใจอะไรขนาดนั้นล่ะ เฮ้อ

“ทำไมดอทหนีพี่ล่ะ”

“ไม่ได้หนี..เฮ้ออ หนีก็ได้ครับ” ไม่อยากโกหก

ที่ไม่ชอบพูดคุยกับใครเพราะสิ่งที่อยู่ในใจมันเป็นแบบนี้ พอต้องพูดออกมาก็ไม่มีใครชอบฟัง จึงจำเป็นต้องเงียบไว้

“แล้วทำไมต้องหนีล่ะครับ” น้ำเสียงสุภาพเมื่อรวมกับยิ้มในสีหน้าดูแล้วไม่เหมือนต้องการคาดคั้นหรือโกรธเคืองจึงทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น

“ไม่อยากเข้าชมรมครับ” ดวงหน้าสวยเบือนหนีเหมือนจะเป็นการงอนมากกว่าเครียดหยิ่งอย่างที่เคยเห็น

“ใครไม่อยากเข้าชมรม”

“ผม.. ดอท..”

“น้องเหรอครับ?”

ถึงกับต้องกลอกตาแล้วถอนหายใจใส่ซึ่งไม่ได้มีผลอะไรกับคนที่ยืนจ้องอยู่เลยแม้แต่น้อย

“หืม?” พอลุ้นจะเอาคำตอบก็ใช้สายตาแบบเดิมอีก ไม่ใช่เด็กอนุบาลนะไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นใส่หรอก

“ครับ น้องไม่อยากเข้าชมรม” เหมือนถูกสะกดจิตให้ต้องพูดตามที่เขาอยากได้ยิน

พี่คนนี้ชอบบังคับแบบไม่เหมือนการบังคับ แต่ในเชิงปฏิบัติก็คือบังคับนั่นแหละ โอ้ยงง คือเขาจะบังคับแบบสุภาพคอยตะล่อมให้ไปในทางที่เขาอยากให้เราไป แถมยังดื้อตาใสอีกด้วย

“แล้วทำไมถึงไม่อยากเข้าล่ะครับ ถ้าไม่อยากเข้าถึงขนาดนั้นน้องน่าจะบอกว่าเพราะอะไร ไม่ใช่เอาแต่เงียบหรือหนีปัญหาแบบนี้นะ”

“.....” ดวงตาคู่สวยสบมองอีกฝ่ายเขม็งเพราะไม่ค่อยชอบนักเวลาถูกตำหนิ แต่แล้วก็ต้องค่อยๆ หลุบสายตาลงเพราะพ่ายแพ้ให้กับความฮิตเลอร์ในร่างคุณชายพุฒิพัฒน์ของร่างสูง

ตาก็ตี่พอๆ กันแต่ทำไมเวลาจ้องแล้วดูน่าเกรงใจแบบนั้น เฮ้อ พูดก็พูดวะชนม์แดนจะได้หมดเรื่องค้างคาใจกันไปเลย

“ว่าไงครับ?” ร่างสูงแตะดันแผ่นหลังเบาๆ เพื่อชี้นำให้ไปนั่งใต้ร่มไม้ใหญ่ที่มีม้าหินอ่อนตั้งอยู่

ก็คงต้องยอมเดินไป ไม่งั้นเดี๋ยวก็ลุกมาดีดกีตาร์ร้องเพลงอีก  ไม่อยากจะชมนักหรอกแต่เวลาที่เขาทำแบบนั้นแล้วดูดีจริงๆ   


เมื่อนั่งตรงข้ามกันแบบนี้ก็หนีไม่พ้นต้องเผชิญหน้า หนุ่มน้อยหมดสิทธิ์ที่จะหลีกหนีได้อีกจึงตัดสินใจพูดออกไป

“เฮ้อ.. ก็เห็นไหมล่ะครับ แขนก็แค่นี้ ขาก็แค่นี้ ที่เห็นว่าดูสูงมันแค่หลอกตา ผมคง..” พอใช้สรรพนามผิดหูก็ถูกเลิกคิ้วใส่จนต้องเปลี่ยนจนเขาพอใจ  “น..น้องคงไม่สูงไปกว่านี้อีกแล้วจะไปเล่นกีฬาอะไรได้  แล้วอีกอย่าง ไม่ชอบกิจกรรมที่ต้องเจอคนเยอะๆ คะแนนความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์เป็นศูนย์ เรียกว่าติดลบยังได้ แล้วก็ไม่ต้องบอกให้พยายามนะครับเพราะไม่เห็นความจำเป็นว่าจะต้องทำแบบนั้น  อะไรฝืนใจก็ไม่อยากทำและไม่ทำเด็ดขาด สรุปคือ ไม่ชอบและจะไม่เข้าชมรมครับ”

“หึๆๆ” เสียงหัวเราะในลำคอไม่น่าหมั่นไส้เท่ากับแสงระยิบระยับในดวงตาคล้ายกำลังล้อเลียน

“ขำอะไรครับ”

“ขำคนพูดน้อย แต่พอต้องพูดแล้วฟังแทบไม่ทัน”

ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้น รู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน

เมื่อกี้ก็พูดเยอะจริงๆ เยอะกว่าที่พูดมาทั้งเดือนด้วยซ้ำมั้ง

“......” พอหมดเรื่องที่จะพูด เด็กจอมหยิ่งก็นิ่งไปอีก

“แล้วทำไมไม่พูดตั้งแต่แรก”

“.....” พอตั้งท่าจะเงียบใส่ นิ้วเรียวก็แกล้งเกากีตาร์เล่น  “ก็.. ไม่อยากคุยด้วย ไม่ชอบคุยกับคนอื่น”

ประธานชมรมบาสพินิจมองร่างเล็กที่นั่งตัวตรงคอตั้งและเชิดหน้าอยู่เสมอ จะมีก็แต่บางครั้งที่เถียงไม่ออกหรือรำคาญหนักๆ ถึงจะหลุบตาลงบ้าง หรือไม่ก็จะตวัดสายตาหนีแล้วถอนหายใจใส่ให้เห็นไปเลยว่ากำลังไล่แขกแต่ก็ไม่เคยที่จะลดอาการเชิดๆ หยิ่งๆ ลงไม่ว่าจะอารมณ์ไหนก็ตาม   ทุกคำที่พูดออกมาถึงจะไม่รื่นหูนักแต่ไม่มีการประดิดประดอย แค่พูดอย่างที่คิดหรือไม่ก็เงียบไปเลย มีแค่สองอย่างที่เด็กคนนี้จะทำ

“นี่ใครครับ” การชี้นิ้วเข้าหาตัวแล้วส่งสายตาแบบใจดีแล้วรอฟังคำตอบของร่างสูงทำให้ใบหน้าสวยง้ำขึ้น

ก็ชอบทำหน้าเหมือนสอนเด็กอนุบาลอีกแล้วไง จะให้บอกในใจกี่ทีว่าไม่ใช่เด็ก ไม่ใช่เด็ก!

“...พี่เวย์”  จำเป็นต้องตอบ  แค่เขาขยับกีตาร์นิดเดียวก็ต้องรีบตอบแล้ว

“แล้วพี่เวย์..ใช่คนอื่นเหรอครับ?”

“......”

“พี่เวย์เป็นคนอื่นเหรอครับ?”

“ม..ไม่ครับ” ยอมรับว่าที่เคยระแวงผู้ชายคนนี้ว่าจะมีแผนร้าย มันค่อยๆ หายไปจากความรู้สึก สองเดือนที่ผ่านมาค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่าสิ่งที่เขาทำไม่ได้เสแสร้ง แค่มีความมุ่งมั่นไปเสียทุกเรื่องก็เท่านั้น

ที่รู้ได้เพราะที่ผ่านมาต้องคอยมองอยู่ตลอดว่าเขาทำอะไรอยู่ตรงไหนจะได้หนีทัน และพอเป็นแบบนั้นจึงได้เห็นว่ารุ่นพี่ม.6 คนนี้นอกจากหล่อและเก่ง ก็ยังใจดีกับทุกคน ไม่ว่าจะรุ่นน้อง รุ่นพี่ เพื่อนๆ อาจารย์ ไปจนถึงแม่บ้านหรือภารโรงที่เห็นอยู่บ่อยครั้งว่าเขาช่วยยกถังน้ำขึ้นตึกให้  อุ้มคนที่เป็นลมไปห้องพยาบาลก็บ่อย การที่เห็นร่างสูงรีบอาสาเข้าช่วยเหลือในทันทีไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ทำให้รู้สึกสะท้อนในใจเบาๆ ว่าผู้ชายคนนี้ช่างแตกต่างกับตนราวฟ้ากับเหว

“งั้นต่อไปนี้ มีอะไรก็คุยกันนะครับ ไม่ต้องกังวลว่าพี่จะไม่ชอบในสิ่งที่ดอทพูด.. พี่รับได้..พี่..ชอบ..โอเคนะ”

“......!?” ไม่ใช่แค่การเว้นวรรคแปลกๆ ของเขา แต่เพราะรอยยิ้มที่เดาไม่ออกว่าคิดอะไรต่างหากทำให้ชนม์แดนต้องขมวดคิ้ว

“ผม..เอ่อ น้องไปส่งการบ้านก่อนนะครับ” 

ถึงจะไม่ได้อึดอัดเหมือนอย่างเคยแต่ต้องมาพูดคุยกับคนอื่นสองต่อสองแบบนี้มันไม่ค่อยชิน ทางที่ดีก็คือห่างๆ กันไว้จะดีกว่า




วันเวลาผ่านไปค่อนข้างเร็วเพราะตอนนี้มีเพื่อนสนิทแล้ว  ‘เนม’ เป็นนักเรียนใหม่ที่ย้ายมาปลายเทอม 1  ห้องทั้งห้องมีเก้าอี้ข้างชนม์แดนว่างอยู่แค่ตัวเดียวจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมานั่งด้วยกัน

หลังจากที่ได้ฝึกพูดคุยกับรุ่นพี่จอมตื๊อจนเริ่มหายจากอาการปากหนักไปบ้างแล้ว หนุ่มน้อยก็พอจะรู้วิธีลดออร่าไม่เป็นมิตรลงไปได้บ้าง และมันก็เพียงพอให้เนมไม่หนีหายไปเหมือนคนอื่นๆ


จนมาถึงวันนี้ก็เสร็จสิ้นการสอบมิดเทอมของเทอมที่ 2 ไปแล้ว เหลืออีกเพียงสองเดือน รุ่นพี่ชั้นมัธยมปีที่ 6 ก็จะจบการศึกษา

ประธานชมรมคนเก่งยังคงวนเวียนอยู่ใกล้รุ่นน้องหน้าสวยที่ตอนนี้อาจจะเริ่มพูดคุยกันได้นานขึ้นแต่ก็ยังสลัดบุคลิกนิ่งเงียบเก็บกดไม่หลุดแบบถาวร หากไม่ใช่พี่เวย์และเนม ชนม์แดนก็ไม่คิดจะสุงสิงกับคนอื่น

“ไอ้เวย์.. กูถามจริงๆ ว่ามึงชอบน้องดอทอะไรนั่นเหรอวะ”  เตชินท์ตัดสินใจถามเพราะอาการเผือกเป็นพิษกำเริบหนักถึงระยะสุดท้ายจึงไม่สามารถเก็บงำได้อีกต่อไป

“หือ?” ร่างสูงขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกประหลาดใจเหมือนได้เห็นดาวพลูโตอยู่ตรงหน้า “ชอบของมึงหมายถึงอะไรวะ”

“จิ๊..” เตชินท์จิ๊ปากอย่างขัดใจ “หมายถึงแบบผัวเมียอะ

“เชี่ยเต!?” เสียงสบถด่าฟังดูเพี้ยนสูงเล็กน้อย “พูดอะไรของมึงวะ น้องเขาจะเสียหาย”

“ชัดเลย”

“อะไรชัด”

“ก็มึงชอบน้องนั่นแบบผัวเมีย”

“เอ้าไอ้นี่! บอกว่าน้องเขาจะเสียหายถ้าใครได้ยินมันไม่ดี”

“ก็นี่ไง ห่วงเขาก่อนจะห่วงตัวมึงเองอีก ทำไมมึงไม่ด่ากูว่า ‘เฮ้ย กูไม่ได้ชอบผู้ชายไอ้สัด!’ อะไรแบบนี้วะ”

ถึงกับต้องหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่แล้วคิดตาม

เออใช่..

ทำไมไม่รู้สึกโมโหที่ถูกหาว่าชอบผู้ชาย แล้วทำไมถึงได้ห่วงอีกคนมากกว่าตัวเอง แล้วที่คอยไปวนๆ เวียนๆ เป็นสัมภเวสีขอส่วนบุญจากน้องมันอีกล่ะ ขนม นม เนย ไม่เคยให้ขาด ติดไม้ติดมือไปฝากตลอด เฮ้ย สายเปย์ด้วย!

เทียบกับที่ทำให้คนอื่นก็แค่เป็นนิสัย ทำไปตามโอกาส แต่ที่ทำให้ดอทมันค่อนข้างเป็นประจำ เหมือนเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งที่จะต้องตามหาน้องมันไปแล้วทุกวันนี้

“เฮ้ย.. หรือกูจะชอบน้องมันจริงๆ วะ”

“เออ เอาเข้าไป หน้าหล่อเบอร์นี้ ดีกรีประธานชมรมบาสอีก แต่เสือกตกม้าตายเรื่องหัวใจตัวเอง กูนี่งึด!”

“นี่กูซีเรียสนะไอ้เต ช่วยกูคิดหน่อยว่าจะทำไง”

“มึงก็แค่ลองเปิดคลิปเกย์ดู ถ้าเกิดมึงมีอารมณ์ตามก็แฮปปี้เบิร์ดเดย์ล่ะค้าบบ ไอ้คุณเวย์”

“อย่าทำเป็นเล่นสัด เอาดีๆ กูเครียดละเนี่ย”

“กลับบ้านนอนเอาตีนก่ายหน้าผากแล้วลองทบทวนดีๆ ว่ามึงคิดยังไงกับน้องนั่นกันแน่ หรือไม่ก็ไปขอจูบสักจ๊วบสองจ๊วบ ถ้ามึงไม่อ้วกคือมึงชอบน้องมัน”

ไอ้เชี่ยเต..
ถึงกูจะกล้าขอ แต่น้องมันจะให้หรือไงวะ!




“ขนงานกลับไปทำที่บ้านอีกแล้วเหรอดอท” เนมเอ่ยถาม

“อืม อาจารย์บอกว่างานเร่ง ต้องใช้พรุ่งนี้ก่อนเก้าโมงเช้า”

“ให้ช่วยไหม”

“ไม่เป็นไร คืนนี้แกต้องไปเฝ้ายายที่โรงพยาบาลนี่ ไม่ต้องห่วงหรอกเราเก่ง”

“จ้าๆ เก่งมากเรื่องงานแฟชั่นเนี่ย ยังไงก็อย่าลืมกินข้าวนะแก กลางวันก็ไม่ทันได้กิน”

“โอเค ไปละนะ”




“ทำไมดอทต้องมาทานข้าวกับคนพวกนี้ด้วยล่ะครับคุณแม่ วันนี้ดอทมีงานต้องทำส่งอาจารย์นะครับ”

“ก็ป๋าของลูกน่ะสิ รับปากดีลเลอร์จากอังกฤษว่าจะพาครอบครัวมาทานอาหารด้วยกันถ้าเขามาเที่ยวไทยแบบไพรเวท เห็นบอกว่าถ้าเราสองคนไม่มาก็คงต้องพาอีเมียน้อยกับลูกมันมา หึ แม่ไม่ยอมให้มันออกหน้าออกตาหรอก ไม่มีทาง”

ก็ใช่ว่าเราสองคนมาแล้วป๋าจะดีใจเพราะคงอยากพาพวกนั้นออกงานใจจะขาด ใครๆ ก็รู้ว่าป๋ารักไอ้ลูกเมียน้อยนั่นอย่างกับอะไรดี

ดูอย่างวันนี้สิ หลังจากแนะนำว่าลูกกับเมียชื่ออะไร จากนั้นก็ไม่หันมาคุยด้วยอีกแม้แต่คำเดียว

เฮ้อ พอคิดเรื่องป๋าทีไร ต่อมรับรสพังทุกที

มือเรียวรวบช้อนไว้กลางจานทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แตะอาหารเลยสักคำ ก็ใครจะกินลงในเมื่อถูกจ้องมองจากคนแปลกหน้าด้วยสายตาแบบนั้น

ป๋าคงเล่าอะไรให้พวกนั้นฟัง อาจจะเล่าว่ามีลูกรักชื่อดินแดนถึงจะเป็นลูกคนเล็กแต่รักมากที่สุด ส่วนอีกคนที่ชื่อชนม์แดนที่เป็นแค่เลือดที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิด 

หึ..ความจริงถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากเกิดมานักหรอก แต่มันเลือกไม่ได้ก็ต้องอยู่ไปวันๆ รกหูรกตาป๋าไปจนกว่าจะตายนั่นแหละ





“คุณสอนลูกยังไงผมไม่เข้าใจ” ทันทีที่กลับมาถึงบ้าน ผู้เป็นสามีก็ต่อว่าภรรยาอย่างหัวเสีย

“จะว่าลูกเรื่องอะไรอีก”

“ผมก็หวังให้ไปช่วยกันรับแขกบ้านแขกเมือง นึกว่าจะพูดคุยกับลูกๆ เด็กๆ รุ่นราวคราวเดียวกันบ้าง แต่นี่อะไร นั่งเงียบเป็นรูปปั้น ยิ้มสักแอะผมยังไม่เห็นจากมันเลย”

มัน?

หึ..ก็ตามนั้นแหละ ถ้าป๋าจะเรียกจิกมากกว่านี้ก็ไม่เห็นจะเป็นไรในเมื่อไม่เคยรักไม่เคยใส่ใจอยู่แล้ว

“ดอทไปทำงานส่งอาจารย์นะครับคุณแม่” 

“เห็นไหม! นี่ขนาดว่ามันต่อหน้าก็ยังไม่สะทกสะท้าน จองหองอวดดีขึ้นทุกวัน!”

รอยยิ้มเหยียดแสยะขึ้นที่มุมปากอย่างช่วยไม่ได้ ก็ที่เป็นแบบทุกวันนี้มันเพราะใครกันล่ะ ไม่ใช่เพราะเห็นป๋ากับคุณแม่ทะเลาะกันไม่เว้นแต่ละวันเหรอ ไม่ใช่เพราะป๋าไม่เคยมาสนใจใยดีเหรอ ไม่ใช่ว่าเพราะเห็นว่าป๋ารักลูกเมียน้อยนั่นมากแค่ไหนเหรอ

แต่ช่างเถอะ..

ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร

ถ้ามันจะแย่กว่านี้แล้วจะทำอะไรได้

ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่มันเป็นก็แล้วกัน




“โหดอท ทำไมสภาพเป็นงั้นวะ อย่าบอกนะว่าแกไม่ได้นอนทั้งคืน” เนมรีบเข้ามาช่วยหอบข้าวของเต็มไม้เต็มมือเข้าไปส่งให้อาจารย์

“กว่าจะได้เริ่มทำก็ห้าทุ่ม เพิ่งเสร็จตอนหกโมงนี่แหละแก” ชนม์แดนหอบสังขารอิดโรยไปถึงและส่งงานสำเร็จจนได้


“อ้าว ออดเข้าแล้วไม่ทันกินข้าวว่ะ หิวไส้จะขาด” มือเรียวลูบท้องอย่างนึกเสียดายที่ทำเวลาไม่ทัน

“อย่าบอกว่าตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ได้กินนะ”

“อืม กินไม่ลง กะว่าจะมากินโรงอาหารเช้านี้แต่ช่างมัน เดี๋ยวพักเที่ยงค่อยจัดหนัก”

“ไหวแน่นะ ไม่ไหวก็ไปซื้อนมซื้อขนมกินก่อน เดี๋ยวฉันเข้าสายเป็นเพื่อนแกเอง”

“วิชาคณิตเข้าสายไม่ได้เดี๋ยวโดนให้ทำโจทย์หน้ากระดาน สภาพแบบนี้ขืนออกไปมีหวังเข่าทรุดไปก่อน”

“เออๆ ตามใจงั้นก็รีบไปเรียนกัน”

แต่พอเข้าเรียนได้แค่สองวิชา ร่างบางก็ทนไม่ไหวจึงลาเรียนเพื่อไปพักที่ห้องพยาบาล

“ฝากจดการบ้านหน่อยนะแก เดี๋ยวถ้าดีขึ้นแล้วจะรีบมา”

“สภาพแบบนี้แกไม่ดีขึ้นแน่ นอนยาวถึงเย็นเลยเหอะ” เนมเก็บกระเป๋าให้ “เดี๋ยวเราไปส่ง”

“ไม่ต้องหรอกแก เดี๋ยวอาจารย์ก็เข้าแล้ว เราไปเองได้”  แล้วร่างอิดโรยก็ล่องลอยไปถึงตึกพยาบาลจนได้

อาจารย์ห้องพยาบาลตรวจอาการแล้วจ่ายยามาหลายเม็ดเพราะอาการเพียบทั้งมีไข้ทั้งปวดท้องกระเพาะและง่วงที่สุดแล้วในชีวิต 




“อ้าวเนม ทำไมเพิ่งมากินข้าวตอนนี้ แล้วดอทไปไหนแล้ว”

“เนมเพิ่งเอาขนมปังไปให้ดอทที่ห้องพยาบาลแต่เห็นนางนอนหลับสนิทก็เลยออกมากินข้าวแล้วเดี๋ยวค่อยไปดูอีกที”

“ดอทไม่สบายเหรอ งั้นเดี๋ยวพี่ไปดูหน่อยละกันนะ”

“ยังไงฝากดูไว้ก่อนนะพี่เวย์ ช่วงบ่ายอาจารย์ห้องพยาบาลติดประชุมด่วน นี่เนมก็กะว่าจะโดดคาบบ่ายไปเฝ้านางแทนอาจารย์อยู่พอดี”

“งั้นไม่เป็นไร เนมไปเรียนเถอะ คาบบ่ายพี่ว่างเดี๋ยวพี่ไปเฝ้าเองครับ”

“โอเคๆ วิชานี้คะแนนเนมไม่ค่อยดีด้วย ไปเอาคะแนนจิตพิสัยมาตุนไว้อุ่นใจกว่า ฝากดอทด้วยนะครับ”

“ไม่ต้องห่วงนะ พี่จะรอจนกว่าอาจารย์จะมา”



แล้วร่างสูงก็แทบจะวาร์ปไปตึกพยาบาลทันทีด้วยความเป็นห่วง เมื่อวานก็ทักไปแล้วนะว่าหน้าซีดๆ อุตส่าห์กำชับให้ดูแลตัวเอง ยังไม่ทันไรก็ได้เรื่องเลย

พอมาถึงก็เข้าไปทักทายอาจารย์พยาบาลที่สนิทสนมกันดีเพราะพาคนป่วยมาให้รักษาบ่อยๆ จะเข้าห้องพยาบาลต้องผ่านห้องพักอาจารย์พยาบาลแล้วถึงจะเจอห้องพักที่เรียงรายอยู่สามห้อง อยู่ตรงนี้มองเข้าไปไม่เห็นว่าอยู่ห้องไหนเพราะมีม่านบังอยู่หน้าประตูไว้

“อ้าวอนุชา มาเยี่ยมชนม์แดนเหรอลูก”

“ครับอาจารย์ เห็นน้องบอกว่าอาจารย์ติดประชุมเหรอครับ”

“ใช่ๆ นี่อาจารย์ก็ยังห่วงอยู่ว่าจะทำยังไงกับชนม์แดน กลัวตื่นขึ้นมาแล้วอาการยังไม่ดีจนหกล้มหกลุกแล้วจะไปกันใหญ่”

“งั้นอาจารย์ไปประชุมเถอะครับเดี๋ยวผมเฝ้าให้จนกว่าอาจารย์จะมา ช่วงบ่ายคาบว่างยาวเลยครับ”

“อืมใช่ ใกล้จะจบแล้ววิชาเรียนก็คงไม่มีอะไรมาก ได้ยินว่าสอบโควตาวิศวกรรมโยธาได้แล้วด้วย เก่งจังนะเรา”

“โชคดีมากกว่าครับอาจารย์ แต่ถึงเข้าได้ ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเรียนไหวหรือเปล่า คงต้องฮึดเยอะๆ”

“ถ่อมตัวตลอดเลยนะ ยังไงอาจารย์จะเอาใจช่วยก็แล้วกัน เอาล่ะเดี๋ยวไปประชุมแล้วนะ ฝากทางนี้ด้วย”

“ครับไม่ต้องเป็นห่วง”



เมื่อประตูหน้าห้องปิดสนิทลง ร่างสูงก็เข้าไปดูคนป่วย  ร่างเล็กนอนตะแคงคุดคู้อยู่ที่ห้องท้ายสุด ใบหน้าซีดเซียวจากที่ขาวจนเผือกแต่ตอนนี้คือไม่มีสีเลือดบนหน้าเลยแม้แต่น้อย

“หน้าเหลืออยู่นิดเดียว ไม่ถึงครึ่งฝ่ามือเลยเนี่ย ตัวก็อุ่นๆ ดูสิปล่อยให้ตัวเองป่วยขนาดนี้ได้ยังไง เฮ้อ เด็กดื้อ” มือหนาลูบไรผมเล่นอย่างนึกเอ็นดู

คนป่วยเมื่อถูกรบกวนก็พลิกตัวนอนหงาย เผยอปากขึ้นเล็กน้อยราวกับจะเชิญชวน

‘หรือไม่ก็ไปขอจูบสักจ๊วบสองจ๊วบ ถ้ามึงไม่อ้วกคือมึงชอบน้องมัน’

เสียงเตชินท์แว่วขึ้นมาในหัว

บ้าสิไอ้เต จูบบ้าจูบบออะไรของมึง กูไม่ได้ชอบ..

?????

ร่างบางเผยอปากพูดอะไรออกมาเบาๆ อนุชาพยายามตั้งใจฟังแต่ไม่สามารถจับใจความได้จึงขยับหน้าเข้าไปใกล้ขึ้น ต่อเมื่อได้ยินชัดเจนก็ถึงกับยิ้มออก

แน่นอนว่าคนป่วยหลับสนิทเพราะอาการป่วยและฤทธิ์ยาโดยไม่ได้มีสติรู้ตัวแต่อย่างใด และคนอย่างดอทไม่ใช่ประเภทที่จะมาเล่นละครให้ดูน่าสงสารหรือสร้างซีนอ่อยเรี่ยราดอะไรเทือกนั้น

น่ารักจังครับดอท..

ร่างสูงหลุดยิ้มละมุนออกมา ละเลียดมองพินิจพิเคราะห์ร่างบางตั้งแต่ปลายเส้นผมไปจนถึงปลายเท้าแล้วมองกลับมาจดจ่อที่ดวงหน้าสวยซึ่งปกติจะเชิดหยิ่งจนบางทีก็น่าหมั่นไส้ในความดื้อ แต่ตอนนี้เหมือนแมวเชื่องๆ ตัวหนึ่งเท่านั้นเอง

‘มองได้ไม่เบื่อเลย’ เขาบอกับตัวเอง

นานทีเดียวที่อนุชานั่งเฝ้าคนป่วยที่หลับใหลยาวนาน นานพอที่จะรู้ใจตัวเอง และในระหว่างนั้นมีอะไรเกิดขึ้นหลายอย่างซึ่งทำให้ชายหนุ่มมั่นใจแล้วว่าดันชอบเด็กดื้อคนนี้เข้าเสียแล้ว รวมถึงค่อนข้างมั่นใจด้วยว่าอีกฝ่ายเองก็มีใจเช่นกัน

“เยส!”

ร่างสูงเดินออกมาจากห้องพยาบาลแล้วฮุคหมัดอย่างสะใจหลังจากอาจารย์กลับมาแล้ว

ถ้าดอทจะน่ารักขนาดนี้ พี่ก็ต้องจีบแล้วเถอะ!




.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.


อินโทรยังยาวขนาดนี้ เนื้อเรื่องนี่ไม่ต้องสงสัยว่าคงน้ำท่วมทุ่งมีผักบุ้งสองกำ ><

ขอบคุณเสียงตอบรับจากนักอ่านด้วยนะคะ เห็นแล้วมีกำลังใจขึ้นเยอะเลย

เรื่องนี้นายเอกน่าหมั่นไส้มากอะ ตรรกะความคิดอะไรก็เพี้ยนไปหมด

คนแบบนี้ถ้าเจอคนดีๆ ก็ดีไป แต่ถ้าเจอคนร้ายๆ ก็.. เฮ้อออ


ฝากติดตามเรื่องนี้ไปเรื่อยๆนะคะ ขอบคุณค่าาาา :mew1:



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
พี่ดอททททท เปิดเรื่องมาด้วยผู้ชายคนที่ 1 ของพี่แต่พี่ดอทตอนเด็กทำไมถึงได้น่ารักจังเลยละคะ ไม่เห็นร้ายเหมือนตอนโตเลยอ่าแต่ไม่ว่าจะรีไรท์หรือฉบับเดิม ก็ยังเกลียดพ่อพี่ดอทอยู่ดี ที่ทำให้พี่ดอทมีปมก็เพราะพ่อนี่แหละ

ปล.อยากจะกด + เป็ดให้นะคะแต่ระบบเล้ามันรวนๆเลยกดไม่ขึ้น ขอโทษน้าา เป็นกำลังใจให้นายน้อย รอตอนต่อไปจ้าา

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9

.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ต อ น ที่ 1 :  เ ผ่ า พ ง ศ์ 1-1



ดวงอาทิตย์ใกล้ลับของฟ้าเวลาโพล้เพล้ในตึกเรียนหลังเก่าของโรงเรียนรัฐบาลชื่อดังซึ่งเป็นที่ร่ำลือโดยทั่วไปว่าเข้ายากและต้องมีเงินจริงๆ ถึงจะเข้าได้  บรรยากาศแม้จะเงียบไปสักนิดทว่าเสียงพูดคุยของเพื่อนรักสามารถทำลายความวังเวงได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะหัวข้อสนทนาที่เกี่ยวกับชายหนุ่มที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นานนี้
 
“แกไม่คิดจะสนใจพี่เวย์จริงๆ เหรอดอท” คำถามของ ‘นัทดนัย’ หรือ ‘เนม’ เพื่อนร่วมชั้นเรียนมัธยมทำให้ ‘ชนม์แดน’ เงยหน้าขึ้นจากแบบเสื้อที่กำลังดราฟ

ชนม์แดน.. เด็กหนุ่มผู้ที่มีใบหน้าสวยราวกับเด็กสาว รูปร่างโปร่งบางทว่ามีทรวดทรงด้วยช่วงเอวคอดและสะโพกผาย ดวงตาเรียวรีประดับด้วยขนตายาวหนาน่ามอง ปลายจมูกที่เชิดขึ้นเล็กน้อยบ่งบอกเป็นนัยว่าทั้งเย่อหยิ่งและดื้อรั้นประกอบกับริมฝีปากบางสีสดที่ตัดกับผิวขาวจัดจนเกือบจะเผือกเสียด้วยซ้ำ นั่นทำให้เด็กหนุ่มไม่ต้องป่าวประกาศเพศสภาพของเขาออกไปตรงๆ เพราะผู้ที่พบเห็นคงจะตัดสินไปแล้วว่าหากไม่ใช่ทอมก็คงเป็นชายรักชาย

“ว่าไงแก” เนมถามย้ำ

คำตอบของเด็กหนุ่มยังคงเป็นความเงียบพร้อมกับเปลือกตาที่กระพริบปริบๆ ด้วยยังไม่เคยคิดเรื่องอะไรแบบนี้ในหัว  ตอนนี้เรียนแค่ชั้นมัธยมปีที่ 3 และปัญหาส่วนตัวที่มีก็ทำให้ปวดหัวจนไม่มีแก่จิตแก่ใจจะคิดเรื่องอื่นโดยเฉพาะเรื่องความรัก

ทว่าในใจลึกๆ ชนม์แดนกำลังหวาดกลัวเสียมากกว่า กลัวว่าความรักของตนจะต้องมีสภาพเหมือนที่ป๋าทำกับคุณแม่ซึ่งตอนนี้ทั้งสองท่านก็แทบจะเรียกได้ว่าเป็นศัตรูกันแบบถาวรแล้ว

พี่เวย์..

ชนม์แดนนึกถึงชายหนุ่มเจ้าของความสูง 194 เซนติเมตร รูปร่างดีมากจนถูกแมวมองมาทาบทามให้เข้าวงการบันเทิงอยู่บ่อยครั้งแต่เจ้าตัวฝักใฝ่เรื่องกีฬามากกว่า  ด้วยผิวที่ขาวและหน้าตาหล่อตี๋ทำให้ถูกมองว่าอาจจะเป็นลูกผู้ดีมีฐานะ ทว่าเขากลับเป็นเพียงลูกชายของอาจารย์สอนคณิตศาสตร์ระดับชั้นมัธยมธรรมดาๆ แถมยังไม่ใช่ประเภทเจ้าสำอางเพราะชื่นชอบการขี่มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ สวมหมวกกันน็อคและเสื้อหนังเท่ๆ นั่นเป็นภาพจำที่พบเห็นอยู่เสมอๆ

“ถามทีไรก็เงียบตลอด แกไม่เสียดายเหรอวะ พี่เวย์ทั้งหล่อทั้งแสนดี ตามดูแลแกตั้งแต่พี่แกอยู่ ม.6 จนตอนนี้นางออกไปเข้ามหาลัยฯ ปี 2 แล้วก็ยังตามเฝ้าแกอยู่เลย” เนมยังคงเซ้าซี้

ชนม์แดนจำเป็นต้องนิ่งคิดตามอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้

‘อนุชา’ หรือ ‘เวย์’  ที่เคยเป็นรุ่นพี่ชั้นมัธยมปีที่ 6  ผู้ซึ่งทั้งหล่อและเก่งด้านกิจกรรมของโรงเรียน เป็นที่ชื่นชอบชื่นชมของนักเรียนทั้งหญิงและชาย รวมถึงบรรดาอาจารย์น้อยใหญ่ไปจนถึงผู้อำนวยการโรงเรียน และยังเป็นคนมุ่งมั่นที่สามารถชนะใจจนสามารถเข้ามาเป็นพี่ชายที่สนิทมากที่สุดเท่าที่เคยคบมา

พี่เวย์แสนดีก็จริง ยิ่งความหล่อนี่ไม่ต้องสืบ แต่เขาไม่รวยและตอนนี้คงไม่เหมาะที่จะคิดเรื่องมีแฟน

ความหวาดหวั่นก่อตัวขึ้นทุกครั้งเมื่อเริ่มนึกถึงการเริ่มคบหากับใครสักคน มันเป็นปมที่เกิดจากผู้ให้กำเนิดนั่นคือความหวาดกลัวว่าถ้าหากมีแฟนแล้วอาจจะถูกทำร้ายอย่างที่ผู้เป็นบิดากระทำต่อมารดา

“ตามฉันมาตั้งแต่ ม.1 นั่นแหละที่น่ากลัว” นี่คือข้ออ้างที่เด็กหนุ่มพอจะคิดได้ “แสดงว่าพี่เวย์ชอบเด็ก แล้วอีกหน่อยพอฉันแก่แล้วก็จะโดนทิ้ง ไม่เอาด้วยหรอก” ถึงจะไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงแต่มันก็น่าคิดนะ

ชนม์แดนเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่เพียบพร้อมไปด้วยทรัพย์สมบัติ แต่ขาดแคลนอย่างหนักเรื่องความรักความเข้าใจจึงไม่แปลกที่เด็กหนุ่มจะขาดศรัทธาในตัวของมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความรัก

“เหตุผลแกสุดห่วย” เนมบ่น “งั้น..ถ้าแกไม่สนจริงๆ ฉันขอได้ปะวะ อยากดามใจพี่แกมาตั้งนานแล้วสงสารว่ะ”

เด็กหนุ่มได้ยินแล้วถึงกับติดนิ่งไปหลายวินาทีเพื่อทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา

ครั้งแรกที่ได้เจอพี่เวย์คือตอน ม.1 ซึ่งตอนนั้นเขาเป็นประธานชมรมบาสเก็ตบอลจึงมาชวนให้เข้าชมรมเพราะเห็นว่าหน่วยก้านดีน่าจะสูงได้อีก แต่จากตอนนั้นก็สูงได้แค่ 160 เซ็นฯ และรู้ตัวดีว่าไม่เหมาะกับกีฬาที่ใช้แรงถึงขนาดนั้นจึงต้องปฏิเสธไป แต่แทนที่พี่แกจะเลิกล้มความตั้งใจทว่ากลับมาตามต้อยๆ ตั้งแต่นั้นและข้ออ้างของเขาก็คืออยากให้เป็นผู้จัดการทีมก็ยังดี

แต่การเข้าหาของพี่เวย์ไม่ได้เหมือนการมาหาสมาชิกเข้าชมรมเพราะมาแต่ละครั้งก็จะมีขนมของกินของฝากติดมือมาด้วยเสมอ ก่อนจบ ม.6  พี่เวย์มาขอเป็นแฟนแต่บอกปฏิเสธไป ทว่าคนดื้ออย่างเขาก็ไม่ได้เลิกล้มความตั้งใจไปง่ายๆ เมื่อขึ้นมหาลัยแล้วก็ยังตามมาหามาดูแลช่วยเหลือตลอดจนถึงตอนนี้ก็สามปีแล้วที่ได้รู้จักกัน

ชนม์แดนทบทวนคำขอของเพื่อนรักอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้าตกลง

“อืม ได้สิ”  ตอบรับไปแบบนั้นเพราะไม่เห็นว่าความสัมพันธ์ของตนกับอนุชาจะพัฒนาไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่

ทว่าภายหลังที่ได้ตอบออกไป ในใจกลับป่วนแปลกเพราะรู้สึกถึงความสั่นไหวในอกข้างซ้าย มันอาจจะเป็นความเสียดายแบบหวงก้างก็ได้ แต่ในเมื่อตนไม่เอาก็ไม่ควรรั้งเขาไว้ และเนมก็เป็นคนดี เขาสองคนน่าจะเหมาะกัน

“คุยอะไรกันอยู่เหรอ” เสียงทุ้มนุ่มในแบบสุภาพดังขึ้นขัดบทสนทนาจนทั้งสองคนต้องหันไปมอง 

ผู้ชายสูงขาวหน้าตี๋มีเคราบางๆ ตามสมัยนิยมช่วยขับให้ใบหน้าดูโดดเด่นขึ้น เขาอยู่ในชุดนักศึกษามหาวิทยาลัย พับแขนปล่อยชายเสื้อออกนอกกางเกงสแลคสีดำกับรองเท้าหนังสีดำขลับดูลำลองแบบเท่ๆ  ชนม์แดนแอบนึกเล่นๆ ว่าหากเขาไปจีบใครก็คงติดทุกราย..แต่คงต้องยกเว้นตน

“คุยเรื่องงานครับ”  เด็กหนุ่มตอบเลี่ยง “พี่เวย์เลิกเรียนแล้วเหรอ” ถามไถ่ไปตามมารยาทและเริ่มคิดว่าการทำแบบนี้มันเหมือนเป็นการให้ความหวังที่ทำให้เขาไม่ตัดใจจากตนเสียที

“เลิกตั้งแต่บ่ายสามแล้วครับ ก็รอมาหาตอนน้องเลิกเรียนนี่แหละ” ตั้งแต่เมื่อไรก็จำไม่ได้ที่รุ่นพี่คนนี้เรียกตนว่าน้อง และเหมือนชี้นำแกมบังคับให้เด็กหนุ่มขานแทนตัวเองว่าน้องกับเขา ซึ่งมันก็รู้สึกแปลกๆ ในตอนแรกแต่เมื่อใช้ไปเรื่อยๆ ก็เริ่มชินและพูดในแบบนี้กันมาจนติดปาก

ตามปกติเวลาเลิกเรียนคือสี่โมงเย็นแต่ชนม์แดนจะมาทำงานพิเศษให้อาจารย์ต่อเพื่อเป็นประสบการณ์ในงานที่ตนให้ความสนใจโดยได้ชวนเนมมาช่วยด้วยอีกคน

ดีไซเนอร์ อาชีพที่เด็กหนุ่มคิดว่าจะทำมันได้ดีและต้องดีมากแน่ๆ

“พี่ซื้อข้าวกับขนมมาฝากจะได้ไม่ต้องออกไปกินหน้าโรงเรียน” มือหนาวางถุงอาหารสี่ห้าถุงไว้บนโต๊ะ “ไม่ต้องทวงน่า มีของเนมด้วยแน่นอน” เขาหันไปส่ายนิ้วชี้ใส่เนมที่กำลังจะอ้าปากทวง

“พี่เวย์นี่สุดยอดของความน่ารัก ใครไม่เอานี่ควรไปหาหญ้ากินแทนข้าวนะ” เนมแซะเพื่อนรักอย่างจงใจจนอีกฝ่ายต้องถลึงตาปราม

“บางคนเขาอาจจะยังไม่พร้อมก็ได้ครับเนม แต่พี่รอเก่งนะ พี่รอมาสามปีแล้วและจะรอต่อไป สามสิบปีก็รอได้” แววตาจริงใจของชายหนุ่มที่ส่งตรงไปยังชนม์แดนทำให้เจ้าตัวต้องรีบหลบวูบเพราะไม่อยากให้ความหวังเขาอีก

“งั้นน้องขอทำงานต่อนะครับเดี๋ยวจะไม่เสร็จ” ชนม์แดนเอ่ยตัดบทแล้วทำทีเป็นยุ่งกับงานทิ้งให้อนุชาหน้าหงอยและต้องคุยกับเนมเหมือนอย่างเคย

++++++++++++++++++++++++++++++ 


หลังจากวันนั้นชนม์แดนต้องคอยเป็นพ่อสื่อให้อนุชาและเนมอยู่เรื่อยๆ โดยการปฏิเสธที่จะออกไปดูหนังเที่ยวห้างกับเพื่อนรักแต่จะยุให้อนุชาช่วยพาเนมไปแทนโดยอ้างว่าเพื่อนน่าสงสารอย่างนั้นอย่างนี้ซึ่งชายหนุ่มก็ค่อนข้างลำบากใจอย่างเห็นได้ชัดทว่าขัดชนม์แดนไม่ได้ 

เย็นวันนี้ก็เช่นกันที่ทั้งสองต้องไปซื้อของขวัญวันเกิดให้แม่ของเนม  ชนม์แดนจึงต้องทำงานพิเศษเพียงคนเดียวและเดินกลับคนเดียว

จะว่าไป..มันก็รู้สึกเหงาๆ เหมือนกันนะ

“โอ๊ย!” ในขณะที่เดินเหม่อไปตามทางเดินมุ่งสู่หน้าตึกเรียนใหญ่เพื่อรอรถจากที่บ้านมารับแต่ชนม์แดนก็ชนเข้ากับใครคนหนึ่งซึ่งตัวสูงผิวเข้มและน่าจะเป็นรุ่นพี่ ม.5 หรือ ม.6

แทนที่จะช่วยร่างเล็กที่กระเด็นถอยหลังไปสองสามก้าวแต่เขากลับเดินต่อและมาหยุดตรงหน้า  ชนม์แดนก้มหน้าเบี่ยงซ้ายเขาก็เบี่ยงซ้าย พอเบี่ยงขวาเขาก็เบี่ยงขวา เหมือนทั้งสองกำลังจะหลบไปอีกทางให้กันแต่ก็ใจตรงกันถึงสี่ห้าครั้งจนร่างสูงหมดความอดทน มือหนาตะปบไหล่บางไว้ทั้งสองข้างแล้วบีบหนักหน่วง

“เงยหน้าขึ้นมา!” ร่างสูงสั่งเสียงขุ่น

เป็นคำสั่งที่มีพลังกังวานจนชนม์แดนต้องเงยหน้าในทันที  ลมหายใจแทบจะขาดห้วงเมื่อเจอเข้ากับดวงตาคมที่ส่งผ่านความเกรี้ยวกราดออกมาอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อได้สบตากันตรงๆ แบบนี้ ร่างสูงชะงักไปครู่หนึ่งแต่แล้วก็พูดด้วยเสียงดุดันออกมา

“มัวแต่ก้มหน้าก้มตาแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าใครอยู่ตรงหน้า คราวหลังถ้าเห็นฉันแล้วหลบให้เร็ว ฉันไม่ชอบเสียเวลา” พูดจบเขาก็เหวี่ยงตัวชนม์แดนไปด้านข้างแล้วเดินไปทันที

คนอะไรไร้มารยาท!

หนุ่มน้อยตำหนิเขาในใจ 

เมื่อมองตามร่างสูงต่อไปก็ต้องเผลอกลืนน้ำลายลงคออย่างช่วยไม่ได้  ภาพที่เห็นคือเขายืนอยู่ระหว่างทางเดินเชื่อมไปอีกตึกและกอดกับนักเรียนหญิงม.ปลายคนหนึ่ง ทว่าไม่ได้ยืนเฉยๆ แต่เขาจูบกันอย่างประเจิดประเจ้อโดยไม่กลัวว่าครูหรือใครจะมาเห็น

แต่ที่ทำให้ร่างเล็กแข็งทื่อก็คือ ในระหว่างที่เขาจูบผู้หญิงคนนั้นใบหน้าคมดุกลับผินมามองด้วยสายตาราวกับราชสีห์ที่กำลังจ้องเหยื่อ

ร่างกายของเด็กหนุ่มชาวาบกับภาพที่เห็น ตอนนี้หกโมงกว่า ดวงอาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้าทอแสงสีแสดสะท้อนใบหน้าคมกริบที่จ้องมาอย่างไม่ลดละ

ตึกตัก

ตึกตัก

ตึกตัก

เสียงหัวใจชนม์แดนเต้นผิดจังหวะจนต้องกุมหน้าอกไว้

ปิ๊บๆ

ร่างเล็กสะดุ้งทันทีเมื่อได้ยินเสียงบีบแตรและเมื่อหันไปมองจึงเห็นว่ารถของที่บ้านจอดรออยู่ พอหันกลับไปมองทางผู้ชายคนนั้นอีกครั้งเขาก็หายไปแล้ว

เอื้อก!

กลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกหลากหลาย ขุ่นเคืองที่เขาเสียมารยาท กระดากอายที่ได้เห็นคนจูบกันต่อหน้าต่อตา และที่น่าโมโหก็คือ ร่างบางอดที่จะรู้สึกหวั่นไหวกับสายตาของเขาไม่ได้

บ้าจริง ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะชนม์แดน..


“คุณหนูยืนทำอะไรอยู่ครับ น้าเวชขับรถวนอยู่สองรอบแล้วยังเห็นยืนอยู่ที่เดิมก็เลยบีบแตรเรียก” นายเวชคนขับรถเอ่ยถาม 

“อ..อ๋อ รอเพื่อนอยู่ครับ นัดไว้แต่ไม่มาซะที ดอทว่าจะไปส่งเขาน่ะ” จำเป็นต้องโกหกคำโตไม่งั้นนายเวชคงจะสงสัย

“งั้นเรากลับกันเลยดีไหมครับ”

“เอ่อ ครับ กลับเลยก็ได้”

แต่เมื่อคิดถึงบ้านแล้วจิตใจห่อเหี่ยว ที่นั่นไม่ใช่ที่สำหรับตนเลยแต่ยังไงก็ต้องกลับไปอยู่ดี



++++++++++++++++++++++++ 

“กลับค่ำอีกแล้วนะตาดอท”  ‘แดนสรวง’ เจ้าสัวใหญ่ผู้แทนจำหน่ายนาฬิกายี่ห้อหรูที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เขาเอ่ยตำหนิขณะที่ลูกชายเพิ่งก้าวเข้าบ้านยังไม่ทันได้ถอดรองเท้าด้วยซ้ำ

“ผมทำงานให้อาจารย์อยู่ครับ” ชนม์แดนตอบแล้วรีบถอดรองเท้าเพื่อเดินเลี่ยงขึ้นบ้าน ไม่อยากปะทะด้วย

“งานอะไรของแกนักหนา แทนที่จะออกกำลังกายซะบ้างจะได้แข็งแรง ดูซิตัวผอมเป็นกุ้งแห้ง อ้อนแอ้นอย่างกับตุ๊ด”   ผู้เป็นพ่อเดินตามมาบ่นกรอกหู

ผู้ฟังถึงกับหน้าชา กัดริมฝีปากข่มใจไม่ให้หันไปเถียง  ก็รู้ตัวอยู่แล้วว่าเป็นจริงๆ ถึงจะไม่ได้แต่งหญิงทำท่าทางกรีดกรายหรือแต่งหน้าทาปากแต่จะให้เถียงยังไงเพราะรู้อยู่เต็มอก  เข้าใจรสนิยมของตัวเองตั้งแต่อยู่ชั้นประถมว่าไม่ได้ชอบผู้หญิงและคลั่งไคล้ในงานแฟชั่น ชอบวาดรูปเสื้อผ้าทั้งหญิงทั้งชายมาตั้งแต่นั้น

“ดุลูกทำไมนักหนา!” ‘คุณรุ่งฤดี’ ภรรยาตามกฎหมายของเจ้าสัวส่งเสียงติดจะไม่พอใจที่ได้ยินสามีตำหนิลูกชายหัวแก้วหัวแหวน  “ทีไอ้ลูกเมียน้อยทำไมไม่ไปดุไปว่ามันบ้าง วันๆ ไม่ทำอะไรชวนเพื่อนข้างบ้านออกไปเล่นจนค่ำจนมืดทุกวัน”   

“เด็กผู้ชายเขาก็เล่นแบบนั้นแหละไม่ใช่อยู่คนเดียวหงิมๆ วาดรูปเสื้อผ้าบ้าบออะไรนั่นน่ะ” ผู้เป็นสามีเริ่มเสียงดังขึ้น

“อีเมียน้อยกับไอ้ลูกเมียน้อยมันดีทุกอย่างนั่นแหละ! ทำอะไรก็ถูกใจคุณ ฉันกับตาดอททำอะไรก็ขัดหูขัดตาไปซะหมด ทำไมไม่ให้มันขึ้นมาอยู่บ้านใหญ่นี่ซะเลยล่ะจะได้สมใจคุณ!” ฝ่ายหญิงเริ่มขึ้นเสียงบ้าง

ชนม์แดนเบื่อหน่ายกับสถานการณ์เช่นนี้ เบื่อที่จะต้องฟังผู้ใหญ่ทะเลาะกัน เบื่อที่จะได้ยินคำว่าไอ้ลูกเมียน้อย

เกลียด! เกลียดไอ้อีพวกนั้น!

เกลียดพวกมันที่มาแย่งความรักจากป๋า เกลียดที่ป๋ามองลูกคนนี้เหมือนขยะขึ้นทุกวัน!

“เขาอยู่ของเขาดีดีไม่เคยเรียกร้องอะไร คุณหยุดระรานเขาเสียที บ้านนี้ใครจะอยากอยู่ ขนาดพี่ก้อยยังจะย้ายออกเดือนหน้านี้แล้ว” เจ้าสัวพูดถึงน้องสาวชื่อก้อยและหลานสาวที่ชื่อเกด  ทั้งสองคนนั้นคุณรุ่งฤดีพูดกรอกหูลูกชายเสมอว่าเป็นคนไม่ดี 

‘ป้าก้อยยักยอกเงินของบริษัทจนตอนนี้ซื้อบ้านหลังใหญ่และกำลังจะย้ายออกไปแล้วแถมยังเป็นพวกบ้านเมียน้อยนั่นอีกด้วย’ นั่นคือที่ชนม์แดนเข้าใจ

“ก็โกงไปได้เท่าไรแล้วล่ะ ซื้อบ้านซื้อช่องได้เลยไม่ใช่เหรอ”  ผู้เป็นภรรยาพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน “นี่ถ้าคุณตรวจสอบทรัพย์สินพี่ก้อยอย่างที่ฉันแนะนำคุณก็จะได้เห็นว่าเงินเข้าเงินออกก้อนใหญ่ๆ ทั้งนั้น”

“คุณหยุดพูดถึงพี่ก้อยแบบนั้นเสียที! เงินพวกนั้นเป็นเงินที่เขาขายหุ้นและเงินมรดกเก่าแก่ของพ่อกับแม่ของผม  บ้านใหม่ที่เขาจะไปอยู่ก็แค่บ้านเช่า เงินที่ผมจะให้ไปตั้งตัวเขาก็ไม่เอาทั้งๆ ที่บริษัทนี้พี่ก้อยก็เริ่มก่อตั้งมาพร้อมกันทุลักทุเลมาด้วยกันตั้งแต่แรก ก็มีแต่คุณนั่นแหละที่ชอบป้ายสีจนเขาอยู่ไม่ได้!”

“ก็มีแต่ฉันกับลูกที่คุณไม่เคยเข้าข้าง!! งั้นก็ตามใจคุณเถอะ อยากยกใครให้เป็นนางฟ้านางสวรรค์ก็เชิญ ฉันเบื่อจะยุ่งด้วยแล้ว!!” ฝ่ายภรรยาแทบจะเก็บกลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่ เธอพูดด้วยน้ำสียงสั่นเครือก่อนจะเดินดิ่งขึ้นบ้านเข้าห้องปิดประตูเงียบทันที 

ชนม์แดนกำลังจะตามขึ้นไปก็ถูกผู้เป็นพ่อทิ้งระเบิดลูกสุดท้ายไว้ให้เสียฉิบ

“อย่าเป็นอย่างแม่แกนะดอท มองโลกมองคนอื่นในแง่ดีซะบ้าง ไม่งั้นแกเองนั่นแหละที่จะไม่มีความสุข”  พูดจบก็ออกจากบ้านไปทันที

เด็กน้อยมองตามแล้วเจ็บปวดที่หัวใจหนึบๆ เพราะทางที่ผู้เป็นพ่อเดินไปคือบ้านเล็กซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกเมียน้อยพวกนั้น

หึ! ดอทคงมองใครในแง่ดีไม่ได้หรอก โดยเฉพาะป๋า..


+++++++++++++++++++++++++++++++++++

“เป็นอะไรแก เหม่อแต่เช้าเลย” เนมเอ่ยทักเพื่อนรักขณะที่กำลังทานอาหารเช้าอยู่ที่โรงอาหาร

“เปล่าหรอกแล้วแกล่ะ เมื่อวานกับพี่เวย์เป็นไงมั่ง” ชนม์แดนวางช้อนลงบนจานข้าว รู้สึกอิ่มขึ้นมาเมื่อพูดถึงอนุชา

ภายในใจนั้นสับสนอย่างหนักตั้งแต่เห็นคนจูบกันเมื่อวาน เด็กหนุ่มเริ่มกังวลว่าอนุชาจูบกับเนมไปแล้วหรือยัง ทว่าเรื่องที่แจ่มชัดในความรู้สึกมากกว่านั้นคือคือดวงตาคู่นั้นของผู้ชายนิสัยเสียคนนั้นที่มองมาที่ตน

“ก็ดีแหละ” เนมยิ้มเขินๆ ทำเอาชนม์แดนจุกอกจนต้องกินน้ำ  “ตอนดูหนังฉันแอบจับมือพี่เวย์ เขาสะดุ้งนิดๆ แต่ก็ปล่อยให้ฉันจับจนหนังจบเลยนะ แกว่าฉันพอจะมีหวังมั้ย”

แค่กๆๆ  ชนม์แดนสำลักน้ำออกมาจนหน้าดำหน้าแดง 

“อะไรแก กินน้ำแค่นี้ก็ให้สำลัก” เนมหยิบทิชชูส่งให้ “แต่ก็เสียดายว่ะ พี่เวย์ไม่ทำอะไรต่อเลยแค่จับมือกลับก็ไม่ทำ”  หน้าตาเพื่อนรักสลดลงเล็กน้อยแต่ก็สดใสขึ้นอีกครั้ง “แต่ฉันจะสู้ อย่างน้อยตอนนี้ก็มีความหวังมากขึ้นละ แกช่วยเป็นพ่อสื่อให้อีกนะ ให้ฉันสมหวังกับพี่เวย์แล้วฉันจะรักแกเพิ่มขึ้นอีกร้อยเท่าเลย” 

ชนม์แดนยิ้มให้บางๆ พยักหน้าตอบรับไป  เนมเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่ตนมีและเป็นเพื่อนที่ดีมากๆ เรื่องแค่นี้ทำไมจะช่วยไม่ได้ล่ะ

แต่แล้วร่างเล็กก็รู้สึกถึงออร่าบางอย่างที่กำลังคุกคามเข้ามา  เงาะทะมึนของรุ่นพี่คนเมื่อวานเดินดิ่งเข้ามาเรื่อยๆ เขาจ้องมาไม่วางตา ในมือถือจานข้าวและแก้วน้ำ ด้านหลังมีผู้หญิงคนใหม่ตามมาและมาหยุดอยู่ตรงข้างโต๊ะที่ชนม์แดนกำลังนั่ง

“ขยับไปนั่งกับเพื่อนนาย ฉันจะนั่งตรงนี้” เขาสั่งเนม และเมื่อฝ่ายถูกสั่งหันมองจึงได้แต่ทำหน้าถอดสีก่อนจะรีบย้ายทันที

“เราไปกันเถอะ” ชนม์แดนชวนก่อนที่เพื่อนจะเข้ามานั่ง

“นั่งอยู่ตรงนั้นแหละทั้งสองคน” ร่างสูงส่งสายตาดุไปให้เนม

ทั้งน้ำเสียงและสายตาดุดันทำให้เนมไม่สามารถปฏิเสธได้ ขาเล็กๆ ก้าวเข้ามานั่งข้างเพื่อนอย่างงงๆ

“นั่งสิ” เขาชวนผู้หญิงคนนั้นนั่งแต่ดูเหมือนว่าเธอจะกล้าๆ กลัวๆ

“ด..เดี๋ยว พี่ชมพู่..”

“ชมพู่ทำไม” ร่างสูงหันไปทำเสียงเขียว “ฉันบอกให้นั่งก็นั่งอย่าเรื่องมาก” แล้วผู้หญิงคนนั้นก็นั่งลงทันที

‘ผู้ชายคนนี้ชอบสั่งหรือไงนะ สั่งทุกคนให้ทำตามตลอดเลย น่าหมั่นไส้’  ชนม์แดนคิดในใจและทำเมินเฉยไม่ใส่ใจ

รุ่นพี่ชายหญิงตรงหน้ากินข้าวด้วยกันเหมือนปกติ แต่ฝ่ายชายใช้มือเพียงข้างเดียวตักข้าว ส่วนฝ่ายหญิงก้มหน้างุดๆ ทำหน้าแดงคอยเหลือบมองคนที่นั่งข้างๆ เป็นระยะอย่างเขินอาย  ชนม์แดนเห็นแล้วนึกสงสัยจึงแกล้งทำกระเป๋าตังค์หล่นเพื่อก้มมอง

แล้วก็จริงอย่างที่คิด! มือหนาที่ซุกเข้าไปใต้กระโปรงขยับเลื่อนไปมาอยู่ในนั้น

น่าเกลียดที่สุด!  เด็กหนุ่มเงยขึ้นมาจ้องตาร่างสูงเขม็งพลางต่อว่าอีกฝ่ายในใจ  ‘ทำไมถึงได้ทำเรื่องน่าอายแบบนี้ในโรงเรียนได้นะ’

แต่แทนที่เขาจะรู้สึกรู้สา ทว่ากลับจ้องชนม์แดนกลับด้วยแววตาเหมือนจ้องมองเหยื่อเช่นเดิม  รอยยิ้มเหยียดเพียงเล็กน้อยนั่นทำให้ใบหน้าหล่อคมเข้มดูมีเสน่ห์ ลมหายใจของชนม์แดนติดขัดขึ้น ร่างกายนิ่งค้างราวกับถูกสาปให้เป็นหิน

ร่างบางได้แต่นั่งจ้องตากับอีกฝ่ายจนได้ยินเสียงเพื่อนเรียก

“แกๆ ไปกันเถอะ”  หันมองรอบตัว ตอนนี้รุ่นพี่คนนั้นกับผู้หญิงของเขาหายไปแล้ว ส่วนเนมก็ทำท่าเหมือนเจอผีหลอก

“แกรู้จักไหมเนม”  เอ่ยถามพลางกัดฟันข่มความรู้สึกเหม็นขี้หน้าไปพร้อมกับความหวั่นไหวที่มี

“พี่เผ่า..นางอยู่ ม.6 เพิ่งย้ายมาเมื่อต้นเทอม” เนมอธิบาย

“แล้วรู้จักได้ไง”  ระหว่างสนทนาก็เก็บถ้วยจานและแก้วน้ำทั้งของตนและของคนบ้ากามและคู่ขานั่นด้วย
กินแล้วไม่เก็บนิสัยเสีย!

“ใครไม่รู้จักพี่เผ่าบ้างล่ะแก ทั้งฮอตทั้งแบ้ดทั้งรวยซะขนาดนั้น”  เนมสาธยายสรรพคุณออกมาราวกับนั่นเป็นสิ่งที่ดีแล้ว

“แกสนใจเขาหรือไง”   

“เรื่องอะไรจะสน พี่เวย์ดีกว่าเป็นไหนๆ ฉันไม่โง่เลือกคนที่ไม่มีวันรักเราคนเดียวมาเป็นแฟนหรอก”
เหมือนโดนด่าว่าโง่ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายไม่ได้ระบุชื่อ  คำพูดของเพื่อนเริ่มสะกิดใจจนเด็กหนุ่มต้องทบทวนความรู้สึก

ทำไมถึงไม่รู้สึกหวั่นไหวกับพี่เวย์เหมือนที่เป็นกับผู้ชายที่ชื่อเผ่านี่นะ จะมีก็แต่เริ่มหวงก้างขึ้นมาบ้างหลังจากตกลงเป็นพ่อสื่อให้เนมเท่านั้นเอง

บ้าที่สุดเลยชนม์แดน!


+++++++++++++++++++++++++


หลังจากเลิกเรียนและมาทำงานพิเศษอย่างเคย อนุชาถือขนมนมเนยมาฝากเช่นทุกวันแต่วันนี้เนมต้องรีบกลับไปฉลองวันเกิดแม่จึงต้องกลับไปก่อน

“อ้าว เนมไปไหนล่ะ”

พอมาถึงก็ถามหาเนม น่าหมั่นไส้

“ทำไมไม่โทรถามเองล่ะครับ” ชนม์แดนตอบนิ่งๆ ไม่ได้ขัดขวางอะไรถ้าจะคบกันแต่ก็ไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว

อยากคบก็ไปคบกันเองไกลๆ เถอะ

“หืม งอนอะไรหรือเปล่าเนี่ย” อนุชาวางข้าวของแล้วมานั่งตรงข้าม เอียงหน้ามองตามชนม์แดนที่หันไปทำนั่นทำนี่ด้วยใบหน้าตึงๆ

“เปล่านี่ครับ แค่กำลังตั้งใจทำงาน”  ดวงตาคู่สวยเหลือบมองร่างสูงแว้บหนึ่งแต่พอเห็นแววตาเป็นประกายของเขาก็ทำให้ต้องหลบวูบไปทำงานต่อ

“เริ่มจะมีความหวังขึ้นมาบ้างแล้วสิ”  ชายหนุ่มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แต่ชนม์แดนไม่อยากสนใจ

ความหวังเกี่ยวกับเนมน่ะเหรอ มีความหวังตั้งแต่ยังไม่ต้องหวังแล้วเพราะเนมมันเครซี่พี่ซะขนาดนั้น


ชนม์แดนไม่ได้สนทนาต่อแค่ทำงานไปตามเรื่องจนตอนนี้หกโมงนิดๆ และมีสายเข้าจากนายเวชคนขับรถ

“ครับน้าเวช ตอนนี้ยังไม่เสร็จเลย น้าเวชรอก่อนนะครับ” ชนม์แดนกดรับโทรศัพท์

“จะเสร็จกี่โมงเหรอครับ”

“น่าจะเกือบๆ สองทุ่มครับ วันนี้อาจารย์ทิ้งงานไว้ให้เยอะและเนมก็ไม่มาด้วยเลยช้าไปหน่อย”

“ถ้าอย่างนั้นขอน้าเวชไปรับคุณท่านไปส่งที่งานเลี้ยงก่อนนะครับ คุณแม่คุณหนูโทรมาบอกว่ารถตู้สตาร์ทไม่ติด เดี๋ยวจะรีบกลับมารับนะครับ”

“ได้ครับ เดี๋ยวดอทเสร็จแล้วจะออกไปรอที่เดิมครับ” ชนม์แดนตอบและวางสายเมื่อจบการสนทนา

น้าเวชเป็นคนขับรถของคุณแม่และไม่แปรพรรคไปเข้ากับฝ่ายอื่น แถมยังนิสัยดีและตามใจเสมอจึงรู้สึกสบายใจเวลาอยู่กับคนขับรถมากกว่าป๋าเสียอีก

“งานเยอะเหรอ ให้พี่ช่วยไหม”  อนุชาเอ่ยปากในที่สุดหลังจากเงียบและแอบมองชนม์แดนมานานสองนาน

“ไม่ต้องหรอกครับ งานแบบนี้ไม่เหมาะกับ เอ่อ..” ร่างเล็กชะงักไป จะบอกว่าไม่เหมาะกับผู้ชาย  ตนเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกันจึงกระดากๆ ที่จะต้องพูด

“ไม่เหมาะกับผู้ชายเหรอ” ชายหนุ่มยิ้มล้อ “พี่ทำเป็นนะ มาดูไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทำเป็นหมดแล้วล่ะ” เขาบอก

ชนม์แดนไม่ได้ตอบและปล่อยให้อีกฝ่ายกุลีกุจอมาช่วยนั่นช่วยนี่และเขาก็ทำเป็นจริงๆ อย่างที่คุยโวไว้

“เรียนโยธาทำไมทำพวกนี้ได้ด้วยล่ะครับ”

“มันก็มีพวกวิชาเขียนแบบอะไรงี้ด้วยนะ แค่ดราฟแบบแล้วตัดตามทำไมจะทำไมได้”  ร่างสูงยิ้มให้ ดูเป็นธรรมชาติและน่ามองจนเผลอจ้องอยู่สักพักก่อนจะนึกขึ้นได้แล้วรีบกลับมาสนใจงานตรงหน้า

อนุชายิ้มดีใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงช่วยกันจนงานเสร็จก่อนเวลาที่บอกนายเวชไปเกือบสองชั่วโมง ครั้นจะโทรไปตามก็กลัวว่านายเวชจะยังอยู่กับบิดา ชนม์แดนจึงคิดว่าจะนั่งรอไปเรื่อยๆ คงดีกว่า

“พี่ว่าพี่ไปส่งดีกว่านะ กว่าคนขับรถของน้องจะมาก็น่าจะสองสามทุ่ม”  ชายหนุ่มเดินตามมาส่งเพราะตอนนี้เริ่มมืดแล้ว ทั่วโรงเรียนมีไฟส่องสว่างหลายจุดแต่ไม่ได้เยอะมาก ยิ่งทางเดินจากตึกเล็กนี้ยิ่งค่อนข้างจะสลัว

“ไม่ดีหรอกครับเดี๋ยวน้าเวชเป็นห่วง”

“ถ้าถึงบ้านแล้วค่อยโทรบอกสิ เขาจะได้ไม่ต้องไปรอที่โรงเรียนแต่ถ้าน้องจะรอพี่ก็จะรอเป็นเพื่อน” อนุชาบอกอย่างใจดี

ชนม์แดนนิ่งคิดสักพักจึงเห็นว่าถึงจะอยู่หรือกลับอีกฝ่ายก็ต้องอยู่ด้วยอยู่ดี  ถ้าอย่างนั้นให้ไปส่งจะได้กลับไปพักผ่อนน่าจะดีกว่ามารอโดยไม่รู้ชะตากรรมแบบนี้

“งั้นก็ได้ครับ พี่เวย์ช่วยไปส่งที่บ้านหน่อยนะ” ชนม์แดนยิ้มให้บางๆ จะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่จะได้อยู่ด้วยกันตามลำพังในสถานที่ที่ไม่ใช่โรงเรียน

อนุชาเผยยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่ปิดบัง สีหน้าของเขาดูดีใจจนออกนอกหน้าและเด็กหนุ่มก็รู้สึกเขินเล็กๆ จนต้องรีบเดินนำไปก่อน  แต่ร่างสูงก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็ตามทัน

“นี่ดอท..พี่ลืมบอกว่ารถพี่เป็นมอเตอร์ไซค์นะ” ร่างสูงค่อนข้างเป็นกังวลในเรื่องของพาหนะที่อาจจะไม่เหมาะกับลูกชายเจ้าสัวแดนสรวง มหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเมืองไทย

“รู้จักกันมาตั้งกี่ปีแล้วครับ พี่เวย์เคยมีรถอื่นนอกจากมอร์เตอร์ไซค์คันเก่งด้วยเหรอ” ชนม์แดนแกล้งกวนเขาเล่น

“เอ่อ นั่นสิ ฮ่าๆๆ แต่น้องนั่งได้แน่นะ ถ้าไม่ได้พี่จะโบกแท็กซี่แล้วนั่งไปเป็นเพื่อน”

พี่เวย์ก็แสนดีตลอดทำไมถึงไม่หวั่นไหวกับเขาเสียทีนะ

“ได้สิครับ น้องก็ผู้ชายนะถึงจะไม่ใช่แนวลุยๆ แต่ซ้อนมอร์เตอร์ไซค์แค่นี้ทำไมจะทำไม่ได้” ชนม์แดนคิดในใจว่าขนาดผู้หญิงอ่อนแอก็ยังซ้อนได้ ไม่เห็นต้องสปอยล์กันขนาดนี้



ต่อ..

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-04-2018 22:47:32 โดย fiction no.9 »

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9


เมื่อเดินมาถึงรถที่จอดอยู่หลังตึก อนุชาหยิบหมวกกันน็อคสวมไว้เองลวกๆ แล้วเปิดเบาะเพื่อหยิบหมวกกันน็อคอีกใบให้อีกฝ่าย จังหวะนั้นเอง รถมินิคูเปอร์คันสวยขับผ่านแล้วเปิดกระจกลงมองมาที่ชนม์แดน

!!!!!??
อีตาเผ่านิสัยแย่คนนั้นนี่ แล้วเขามองด้วยสายตาดุๆ แบบนั้นทำไมกัน

เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ามองไปทางอื่น อนุชาก็ทำท่าจะหันไปมองตาม ร่างบางจึงรีบจับหมวกกันน็อคในมือหนามาสวมทันทีแล้วมองเขาอ้อนๆ

“ใส่ให้หน่อยสิครับ น้องไม่รู้วิธีใส่” เมื่อถูกอ้อนอย่างที่ไม่เคยมาก่อน อนุชานิ่งช็อคไปชั่วขณะจากนั้นก็ยิ้มหวานออกมา

“ได้สิ สวมเข้าไปแบบนี้นะ แล้วดันตัวล็อคนี่เข้าไประวังจะหนีบคางด้วย” มือหนาจัดการได้คล่องแคล่วและกระตือรือร้น

ขอโทษนะครับพี่เวย์ที่ทำเหมือนให้ความหวัง น้องแค่ไม่อยากให้พี่เห็นผู้ชายคนนั้นและหวังว่าผู้ชายคนนั้นคงไม่เห็นหน้าพี่เวย์นะ

ชนม์แดนพยายามทบทวนความรู้สึกแต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าทำไมจึงไม่อยากให้เขาทั้งสองคนเห็นหน้ากัน


เมื่อสวมหมวกเสร็จแล้ว อนุชาคร่อมรถและรอให้ชนม์แดนขึ้นไปนั่ง ร่างเล็กขึ้นไปอย่างเก้ๆ กังๆ จนมือหนาต้องคอยประคอง  ตลอดช่วงระยะเวลาขลุกขลักนี้ รถมินิคูเปอร์ก็ยังไม่เคลื่อนไปไหน คนขับยังคงจ้องมองมาเช่นเดิม ทว่าในตอนนี้รู้สึกถึงออร่าสีดำทะมึนอยู่รอบตัวเขา

น่ากลัวจัง..

ดวงตาคมดุจ้องตามร่างของชนม์แดนจนรถเลี้ยวออกไปจนลับสายตา 

เฮ้อ เหมือนอยู่ในห้วงอวกาศที่ไม่มีอากาศหายใจ

เด็กหนุ่มลอบพ่นลมหายใจอย่างโล่งอก พยายามคิดหาเหตุผลว่าทำไมรุ่นพี่ที่ชื่อเผ่าถึงต้องจ้องมองตนขนาดนั้น

เกลียดมากหรือไง ก็แค่เดินขวางทางแค่นั้นเอง ทำไมเจ้าคิดเจ้าแค้นนักนะ



“คิดอะไรอยู่ครับ” เสียงของอนุชาดังขึ้นแข่งกับเสียงอากาศที่แหวกผ่านใบหน้าของทั้งคู่ ปลุกชนม์แดนให้หลุดออกจากภวังค์ความคิด

“เปล่านี่ครับ”

“เห็นเงียบไป นั่งไม่สบายเหรอ” ร่างหนาขยับไปข้างหน้าเพื่อให้ชนม์แดนได้นั่งสบายขึ้นแต่มันกลับทำให้ร่างเล็กไถลไปข้างหน้ามากกว่าเดิมจนตอนนี้ตัวติดกันจนคนซ้อนถึงกับต้องแขม่วพุง

“พี่เวย์อย่าดีกับน้องนักเลย” เด็กน้อยไม่ได้ขยับออกแต่ซบหน้าลงไปตรงแผ่นหลังแกร่ง

“น้องว่าอะไรนะ พี่ไม่ได้ยินเลยครับ” อนุชาถามแข่งกับเสียงลมและเสียงเครื่องยนต์

“เปล่าครับ แค่หนาวน่ะ” พูดปดออกไปแต่แล้วก็รู้ตัวว่าไม่น่าพูดแบบนั้นเพราะมือหนาเอื้อมมาควานหามือน้อยแล้วดึงไปกอดเอวเขาไว้แทบจะในทันทีถึงกับตกใจจนตัวแข็งทื่อ

“กอดพี่ไว้นะจะได้อุ่นขึ้น”

อุ่นครับ อุ่นมากเลย แต่มันหมดเวลาของน้องแล้ว เนมชอบพี่เวย์มากและน้องไม่อยากทำให้เพื่อนเสียใจ 

ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่มือกลับไม่ทำตามความคิด ชนม์แดนยังคงกอดเขาอยู่อย่างนั้นไม่ขยับเขยื้อน

ขอแค่วันนี้นะเนม ขอกอดพี่เวย์ครั้งแรกและครั้งเดียวเป็นการส่งท้าย รับรองว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก


ชนม์แดนกอดพี่ร่างหนาอยู่นานมาก รู้สึกว่าถึงบ้านช้ากว่าเดิมหลายเท่าเพราะอีกฝ่ายขี่อ้อมไปไหนต่อไหนซึ่งเจ้าตัวก็ปล่อยให้เขาขี่ไป ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าถ้าลงจากรถนี้แล้วอาจจะไม่ได้อยู่กับเขาแบบนี้อีกนานแสนนาน

“อยากเปลี่ยนถังน้ำมันให้ใหญ่กว่านี้จะได้ขี่ไปได้ทั่วโลกไม่ต้องลง” อนุชาจอดรถแล้วนั่งคร่อมไว้ก่อนจะถอดหมวกออกเมื่อในที่สุดก็ถึงหน้าบ้านเด็กน้อยของเขา

ร่างเล็กลงจากรถแล้วถอดหมวกคืนเจ้าของ มือหนารับหมวกโดยตั้งใจรวบมือน้อยเอาไว้ครู่หนึ่งพร้อมกับส่งสายตาแห่งความเสียดายอย่างไม่มีปิดบัง

ใบหน้าสวยอุ่นร้อนจนต้องหลบตา ค่อยๆ ดึงมือออกมาช้าๆ แล้วเสเปลี่ยนเรื่อง

“ถ้าขี่ไปทั่วโลกก้นคงแหลกซะก่อนล่ะครับ”

อนุชาหัวเราะเบาๆ แล้วลงมากึ่งนั่งกึ่งพิงรถมอเตอร์ไชค์คันเก่ง เขามองชนม์แดนอย่างนึกเอ็นดูในรอยยิ้มบางๆ ซึ่งไม่บ่อยนักที่จะได้เห็น  วันนี้เขารู้สึกว่าเด็กน้อยใจอ่อนลงกว่าเดิมเยอะมากจนคิดว่าความหวังมีมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า

“พี่ดีใจนะที่น้องให้พี่มาส่ง” เสียงของชายหนุ่มนุ่มไพเราะ ดวงตาฉาดฉายความหวังอย่างเต็มเปี่ยมจนอีกฝ่ายเห็นแล้วถึงกับเกลียดตัวเองที่ไปให้ความหวังเขาแบบนี้

“พี่เวย์อย่าดีกับน้องมากนักเลย” ชนม์แดนพูดออกมาจนได้  “เนม..”

“พี่ชอบน้องไม่ได้ชอบเนม ถึงที่สุดแล้วถ้าน้องไม่ตอบรับ พี่ก็ไม่สามารถชอบเนมได้หรอก เลิกจับคู่ให้พี่ซะทีนะครับ ถ้าเห็นใจพี่บ้างพี่ก็ขอแค่นี้” ดวงตารีของชายหนุ่มสะท้อนความเจ็บปวดออกมาจนหัวใจของคนฟังสั่นสะเทือน

“โธ่พี่เวย์”

ชนม์แดนมองใบหน้าขาวสะอาดตาด้วยความรู้สึกผิด เผลอเอื้อมมือไปจับแขนของเขาเพื่อหวังปลอบใจแต่กลายเป็นว่าเขาจับมือน้อยเอาไว้แล้วดึงเข้าไปใกล้

ความสูงที่ต่างกันมากจนอนุชาต้องก้มตัวลงแทบจะเก้าสิบองศาเพื่อให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกัน เขาจ้องมองชนม์แดนด้วยดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกดี อบอุ่นจนสะกดให้ต้องติดนิ่งมองอย่างเผลอตัว

พี่เวย์ดูดีจัง..

ร่างบางหายใจติดขัด นิ่งค้างรอว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร เผลอคิดว่าอาจจะถูกจูบเพราะความใกล้ของปลายจมูกที่ห่างเพียงไม่ถึงสิบเซ็นฯ


“เข้าบ้านเถอะครับ” ในที่สุดอนุชาก็ตัดใจไม่ฉวยโอกาส เขาวางมือลงบนศีรษะน้อยแล้วโยกเบาๆ

ตรงนี้เป็นหน้าบ้านของน้อง พี่จะไม่ทำให้น้องมีปัญหากับครอบครัวเพราะถึงดอทไม่เคยเล่าแต่พี่เดาได้จากอะไรหลายๆ อย่างที่ดอทแสดงออกมา วันหลังต้องมีโอกาสอยู่ด้วยกันอีกแน่ๆ และพี่ค่อยทำตามใจตัวเองในวันนั้นก็แล้วกัน

เด็กหนุ่มหายใจเข้าปอดหนักๆ หลังจากที่กลั้นไว้อยู่นาน จะว่าเสียดายก็กระดากใจที่จะคิดแบบนั้น

“ค..ครับ ขอบคุณมากที่มาส่ง” ชนม์แดนไหว้อีกฝ่ายแต่แล้วรถที่น้าเวชขับก็ผ่านเข้ามาแล้วจอดคาอยู่หน้าบ้าน

เจ้าสัวแดนสรวงเปิดกระจกมองลูกชายสลับกับอนุชาแล้วปิดกระจกด้วยใบหน้าถมึงทึง ชนม์แดนกัดริมฝีปากอย่างเจ็บปวดกับสายตาตำหนิติเตียนนั้น ไม่ว่าจะเมื่อไดหรือเรื่องอะไร ตนก็ไม่เคยทำถูกเลยในสายตาของผู้เป็นพ่อ

“ดอท..” ขณะที่ร่างเล็กกำลังจะวิ่งเข้าบ้าน อนุชาก็เรียกไว้ด้วยเสียงที่อบอุ่น “ไม่ว่าจะเกิดอะไร น้องนึกถึงพี่นะครับ”

“ขอบคุณครับพี่เวย์” ชนม์แดนพยักหน้าให้หงอยๆ แล้วรีบวิ่งเพื่อเข้าบ้านก่อนจะได้ไม่ต้องปะทะกัน  พอเข้าห้องได้ก็รีบอาบน้ำและตั้งใจจะเข้านอนแต่แล้วก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันของพ่อและแม่

“ต่อไปไม่ต้องให้ผมไปด้วยนะถ้าคุณจะทำแบบนี้” เสียงผู้เป็นพ่อค่อนข้างขุ่นเคือง  ชนม์แดนเงี่ยหูฟังแนบประตูให้มากขึ้นเพื่อรอฟังข้อพิพาท

“ฉันทำอะไร? บริจาคให้การกุศลน่ะเหรอที่ทำให้คุณไม่พอใจ” ฝ่ายภรรยาถามกลับ

“เงินตั้งสองล้าน ถ้าคุณจะบริจาคทำไมไม่ใช้เงินของคุณเอง ทำไมใช้ชื่อใช้เงินของบริษัท”  เจ้าสัวเริ่มเสียงดังขึ้นทุกที

“เงินของบริษัทก็เงินของคุณ เงินของคุณฉันก็มีสิทธิ์ใช้ แล้วอีกอย่าง ทีคุณเอาไปให้อีพวกเมียน้อยพวกนั้นถลุงยังไม่เห็นเป็นไร แล้วจะมาอะไรกับเงินอีแค่สองล้านที่ฉันหวังดีทำเพื่อชื่อเสียงของบริษัท”

“ชื่อเสียงของบริษัทต้องมาจากสินค้าและบริการไม่ใช่การเอาหน้าบริจาคเงินเป็นบ้าเป็นบอแบบนี้ แล้วอีกอย่างบริษัทของเราก็มีการบริจาคเพื่อสังคมเป็นประจำอยู่แล้วคุณไม่ต้องมายุ่งเรื่องงานของผมจะได้ไหม!” ดูเหมือนว่าผู้เป็นสามีเริ่มจะเดือดดาลเพราะเสียงดังจนเรียกได้ว่าตะโกน

“ทำไมต้องขึ้นเสียงดังแบบนี้ด้วยเดี๋ยวตาดอทก็ตื่นมาได้ยินหรอก” ฝ่ายภรรยาก็เสียงดังไม่แพ้กัน

“ลูกคุณก็อีกคน อ้างว่าทำงานช่วยอาจารย์ แล้วคุณเห็นไหมว่ามีผู้ชายมาส่งถึงหน้าบ้าน ผมไม่ไว้ใจให้มันคบกับเด็กแว้นแบบนั้น เดี๋ยวจะพาเสียคนกันพอดี”

ถึงตรงนี้ชนม์แดนก็เดินหนีไปขึ้นเตียงใช้หมอปิดหูเพราะไม่อยากได้ยินอะไรอีก

หัวใจเจ็บปวดเมื่อรับรู้ว่าบิดาไม่เคยมองตนในด้านดีแม้แต่นิดเดียว  ที่ผ่านมาก็ตั้งใจเรียนมาตลอดถึงผลการเรียนจะไม่ได้ดีเด่นแต่ก็ไม่เคยให้ต่ำกว่า 3.00  มุ่งมั่นทำในสิ่งที่ชอบทำงานพิเศษรับอาสาทำงานช่วยอาจารย์กลับถูกมองเป็นแค่ข้ออ้าง เพื่อนฝูงก็ไม่คบมากมาย มีแค่เนมคนเดียวที่นานๆ จะไปดูหนังกินข้าวกันบ้าง ก็เพิ่งจะมีครั้งนี้ที่ให้รุ่นพี่มาส่งแต่กลับโดนเหมารวมว่าทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นลูกเลว

นี่มันยุติธรรมแล้วหรือไง!


ชนม์แดนนอนร้องไห้จนหลับไป นี่ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกไปจากวันก่อนๆ เพราะพ่อและแม่ทะเลาะกันแทบทุกวัน ส่วนข้อพิพาทส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นเรื่องของพวกเมียน้อยและผู้เป็นพ่อก็จะออกโรงปกป้องฝ่ายนั้นอยู่เสมอ  ทว่าพอเป็นเรื่องของตนกลับถูกตำหนิต่อว่าไม่เว้นแต่ละวัน

รุ่งเช้า เด็กหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นในวันหยุด ได้แต่ภาวนาให้วันนี้อยู่รอดปลอดภัยไร้เรื่องกวนใจเหมือนทุกวันที่ผ่านมา

ทว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์คงหลงลืมที่จะหันมาสนใจคำอธิฐานของเขา

Name : เมื่อวานแกให้พี่เวย์ไปส่งที่บ้านเหรอ

เนมไลน์มาแต่เช้าและถามเรื่องเมื่อวาน โดยไม่รู้ว่าได้ข่าวมาจากไหน

sweetyDOTcom : ใครบอกแกเหรอ
Name : ฉันโทรหาพี่เวย์จะชวนไปเที่ยวแต่พี่เวย์บอกว่าเมื่อวานแกอาจโดนที่บ้านดุ อยากให้ฉันไปดูแล ฉันก็เลยถามเรื่องราว
sweetyDOTcom : เมื่อวานมันมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ
Name : ถึงมีเรื่องอะไรแต่ทำไมแกต้องอ่อยพี่เวย์ให้กลับไปมีหวังด้วยวะ ไหนบอกว่าไม่เอาแล้วแต่ที่แกทำมันคืออะไร
sweetyDOTcom : เฮ้ยเนม แกอย่าเข้าใจผิดสิ
Name : ฉันเข้าใจผิดมาตลอดแหละ เข้าใจผิดคิดว่าแกจะจริงใจแต่ที่ไหนได้ก็หวงก้าง ปากบอกไม่เอาแต่พอลับหลังแกก็ทำให้เขาตัดใจจากแกไม่ได้  พี่เวย์บอกว่าไม่ได้ชอบฉันแต่ชอบแกคนเดียว บอกให้ฉันตัดใจด้วย แกทำแบบนี้คิดว่าถูกแล้วเหรอดอท ฉันดีกับแกมากแค่ไหนแต่แกหักหลังฉันแบบนี้น่ะเหรอ
sweetyDOTcom : ฟังก่อนได้ปะวะ เรื่องมันไม่ใช่อย่างที่แกคิดนะ
Name : ช่างเหอะ ช่วงนี้เราห่างๆ กันก่อนดีกว่า รอให้ฉันทำใจได้แล้วเราค่อยมาคุยกันใหม่ บอกตรงๆ ว่าโคตรเสียใจเลยว่ะ แต่ฉันก็รักแกมากนะ บางทีถ้าเวลาผ่านไปฉันอาจจะดีขึ้น ยังไงก็ดูแลตัวเองนะ
sweetyDOTcom : ฟังก่อนได้มั้ยแก
sweetyDOTcom : เนมแกอ่านไลน์ก่อน
sweetyDOTcom : เนม
sweetyDOTcom : ฉันขอโทษที่ทำให้แกผิดหวังแต่อยากบอกว่าฉันไม่ได้ตั้งใจจะหักหลังแก ถ้าวันไหนที่แกพร้อมจะรับฟังก็ตอบกลับมานะ ฉันรักแกนะเนม

เนมไม่เปิดอ่านข้อความเลย ชนม์แดนเสียเพื่อนไปแล้วเพราะผู้ชาย แต่ก็ยังหวังลึกๆ ว่าเพื่อนรักจะกลับมาเข้าใจได้ในสักวันหนึ่ง 

ทั้งๆ ที่เป็นวันเสาร์ปกติเด็กหนุ่มจะไม่ออกไปไหนแต่วันนี้รู้สึกเซ็งมากจนแต่งตัวเตรียมออกจากบ้าน แต่ยังไม่ทันจะออกไปไหน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“คุณหนูคะ คุณผู้หญิงให้ไปพบที่ห้องค่ะ” หลังรับฟังจากแม่บ้าน ชนม์แดนจึงเดินไปยังห้องของมารดาทันที



“มาแล้วเหรอตาดอท”  ผู้เป็นแม่หันมาทำตาแดงก่ำ

“มีอะไรครับคุณแม่” เด็กหนุ่มเดินเข้าไปจับมือท่านแน่น

“ป๋าแกไม่รักพวกเราเลย แกอย่าทิ้งแม่ อย่าไปเป็นพวกป๋าพวกนังเมียน้อยพวกนั้นนะ” ผู้เป็นแม่มองลูกชายด้วยน้ำตานองหน้า

“ดอทไม่ไปเป็นพวกนั้นหรอกครับ ดอทเกลียดพวกนั้นจะตาย” 

“พวกนั้นมันจะเอาทุกอย่างไปจากเรา มันแย่งป๋าไป และป๋าก็ยกทุกอย่างให้ลูกมันจนหมด”

ร่างบางขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยิน “ป๋ายกอะไรให้มันเหรอครับ”

“ก็ทุกอย่าง ทั้งบริษัทและที่ดินและบ้านนี้ด้วย” คำตอบของผู้เป็นแม่ทำให้ชนม์แดนแทบล้มทั้งยืน กลางหน้าอกแสบร้อนและจุกขึ้นจนหายใจไม่ออก

“คุณแม่แน่ใจเหรอครับ” 

“นี่ไง ถ้าไม่เชื่อแกก็ดูพินัยกรรมนี่สิ” คุณรุ่งฤดีหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีลายมือของเจ้าสัวแดนสรวง ข้อความทั้งหมดคือรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์สินทั้งหมดโดยมีชื่อของดินแดน อยู่เพียงแค่ชื่อเดียว

!!!!??

“ทำไม..” ชนม์แดนถามได้เพียงแค่นั้น น้ำตาก็ทะลักออกมาอย่างสุดจะกลั้น

กระดาษแผ่นนั้นหลุดร่วงลงจากมือน้อยพร้อมกับเรียวขาที่ก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ จนหลังชนประตู ส่วนผู้เป็นแม่ก็เอาแต่ร้องไห้เนื้อตัวสั่นเทา ทว่าในตอนนี้ชนม์แดนกลับไม่มีเรี่ยวแรงและพลังเหลือพอที่จะไปปลอบใจท่าน

เด็กหนุ่มรีบเปิดประตูออกมาจากห้องและวิ่งลงบันไดอย่างเร็วที่สุดและทันทีที่ถึงบันไดขั้นสุดท้ายก็เจอกับผู้เป็นบิดาที่ยืนดักรออยู่พอดี ชนม์แดนมองเขาด้วยดวงตาวาวโรจน์ รีบเช็ดน้ำตาออกเพื่อปกปิดความอ่อนแอ

ในเมื่อป๋าไม่รัก ดอทก็จะไม่รักป๋าเหมือนกัน!

“เมื่อวานนี้ใครมาส่ง” เจ้าสัวซึ่งยังไม่รู้ว่าแม่ลูกได้ไปเจอเข้ากับพินัยกรรมที่ตนได้ร่างเอาไว้

“รุ่นพี่ครับ” ตอบห้วนๆ ดวงตาเขม็งเกรียวจ้องเขาอย่างไม่เกรงกลัว

“ลูกเต้าเหล่าใครนิสัยเป็นยังไงแล้วซ้อนรถมอเตอร์ไซค์แบบนั้นมันอันตรายไม่รู้เหรอ”

“ป๋ารู้แค่ว่าพี่เขาเป็นคนดีก็พอ” ชนม์แดนตอบแบบรวบรัด รู้สึกอึดอัดที่ต้องมาสนทนากันอยู่แบบนี้

“เลือกคบคนหน่อยก็ดีนะ อย่าเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับเรื่องอันตราย ฉันขี้เกียจมานั่งเก็บกวาดเรื่องยุ่งๆ”

เก็บกวาดเรื่องยุ่ง!!

คำๆ นี้เป็นดั่งฟางเส้นสุดท้ายเกินกว่าที่หัวจิตหัวใจของเด็กหนุ่มจะรับได้ไหว

เส้นสติขาดผึงในทันทีที่ได้ยิน หยาดน้ำที่สะกดกลั้นไว้ได้พังทลายเอ่อล้นออกมาพร้อมกับแรงโทสะที่ไม่สามารถยับยั้งได้อีกต่อไป

“เรื่องยุ่งๆ ที่ป๋าว่ามันหมายถึงอะไรล่ะ!” ดวงตาคู่สวยอาบไปด้วยน้ำตาทว่ายังฝืนเขม็งมองผู้เป็นพ่ออย่างเดือดดาลรวมถึงน้ำเสียงที่กระโชกใส่อย่างท้าทาย

ผู้เป็นพ่อได้เห็นสายตาของลูกที่ฉาดฉายความแข็งข้อดื้อรั้นออกมาอย่างชัดเจน เขามองลูกชายตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ก็เพศแกคืออะไรล่ะ จะหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิงแบบนี้จะให้ป๋าไว้ใจอะไรได้”

ถึงจะเป็นเพศอะไรแต่ดอทก็รักดีไม่เคยทำตัวเกเร แต่ถ้ามันไม่พอก็แล้วแต่ป๋าเถอะ!

“ดอทเป็นเกย์ครับ ดอทเป็นเกย์ ป๋าได้ยินไหมว่าดอทเป็นเกย์!!” ชนม์แดนตะโกนใส่หน้าบิดาเสียงดังลั่น 

เจ้าสัวแดนสรวงเบิกตาขึ้นด้วยไม่นึกว่าจะถูกลูกในไส้ตะคอกใส่ขนาดนี้ บัดนี้เขาได้ถูกความโกรธครอบงำจนใบหน้าขึ้นสีแดงจัดกำหมัดแน่นจนชนม์แดนคิดว่าอีกไม่นานคงจะถูกผู้เป็นพ่อตบเป็นแน่แท้แต่กระนั้นเด็กหัวรั้นก็ยังไม่หยุดปะทะโทสะแต่อย่างใด

“แล้วป๋าก็ไม่ต้องห่วงเรื่องผัวของดอทว่าจะเป็นคนไม่ดีเพราะดอทจะหาให้ดีกว่าป๋าเป็นร้อยเท่า! จะหาที่รักเดียวใจเดียวไม่ไปมั่วกับใครเหมือนที่ป๋าทำหรอก!!!”

เพี๊ยะ!!!

ใบหน้าสวยสะบัดไปด้านข้างอย่างแรงเพราะถูกฝ่ามือหนาซัดเข้าไปเต็มใบ

รู้สึกเจ็บจนชาไปทั้งตัวทว่านั่นก็ยังน้อยกว่าหัวใจที่ตอนนี้มันไร้ความรู้สึกราวกับได้แหลกสลายไปเสียแล้ว

ชนม์แดนกำหมัดแน่น น้ำตาไหลทะลักออกมาด้วยความเจ็บปวด ยิ่งเห็นผู้เป็นพ่อยืนนิ่งไม่คิดจะเข้ามาปลอบยิ่งทำให้ความเสียใจพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดที่จะทานทนได้

“ดอทเกลียดป๋า!!!”

ตะโกนใส่หน้าผู้เป็นพ่อพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพราก หลับหูหลับตาวิ่งออกจากตรงนั้นทันที


แต่เมื่อออกมาที่ประตูหน้ากลับเห็นไอ้ลูกเมียน้อยยืนแอบอยู่ตรงนั้น  เด็กชายอายุสิบขวบทำท่าทางตกตะลึงที่ถูกจับได้ว่ารู้เห็นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทุกอย่าง  ชนม์แดนถลึงตามองน้องชายต่างมารดาด้วยความเกลียดแค้นชิงชัง จ้องมองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

ฉันเกลียดแก!!

ด้วยลุแก่โทสะ ร่างบางหันกลับไปมองบิดาซึ่งเดินออกไปจากจุดที่ทะเลากันไปแล้วและคงไม่มารู้เห็นแน่กับสิ่งที่เขากำลังจะทำ 

“มานี่!!” เด็กหนุ่มลากแขนเด็กชายตัวเล็กอายุอ่อนกว่าห้าปีไปที่สระบัวหลังบ้านทันที

“อ๊า..ย..อย่า!!” เสียงร้องของเด็กน้อยไม่ทันจะจบประโยค ร่างก็ถูกผลักลงไปในสระบัวเสียแล้ว

หึ.. สมน้ำหน้า!

น้ำในนั้นไม่ลึกหรอกชนม์แดนรู้ดี แค่อยากแกล้งไม่ให้มันขึ้นมา แกล้งมันอย่างที่เคยแกล้งเอากระเป๋ามันไปทิ้งถังขยะ เจาะลูกฟุตบอลมันจนรั่ว ทุบรถจักรยานของมันจนพัง และวันนี้ก็จะแกล้งให้มันร้องไห้และทุกข์ทรมานเหมือนกับที่ตนถูกพ่อทำร้ายในวันนี้

“ฮืออ หนาว..” เด็กชายร้องไห้พยายามจะปีนขึ้นมาบนฝั่ง

ตู้ม!!

พอร่างเล็กปีนขึ้นมาชนม์แดนก็ผลักให้ตกลงไปอีกพร้อมกับมองจ้องด้วยความเกลียดชัง

“ฉันเกลียดแก! เกลียด!!”

“ฮืออ พ..พี่ดอท” เสียงเรียกอันสั่นเครือจากเด็กน้อยไม่ได้ทำให้ผู้ที่ยืนอยู่บนฝั่งใจอ่อนลงแม้แต่น้อย

“ใครเป็นพี่แก! ฉันไม่มีน้อง และไม่มีวันนับญาติกับแกหรอกไอ้ลูกเมียน้อย!!!” ชนม์แดนตะโกนจนสุดเสียง ยิ่งเกลียดก็ยิ่งรู้สึกเกลียดมากขึ้นเป็นทวีคูณราวกับไส้เดือนกิ้งกือก็ไม่ปาน

“ฮืออๆๆ” มันได้แต่ร้องไห้และพยายามอยู่หลายครั้งที่จะปีนขึ้นมาอีก แต่ก็ถูกทั้งผลักทั้งถีบลงไปอย่างเดิม



นานเกือบยี่สิบนาทีที่เด็กชายอยู่ในน้ำจนปากเริ่มม่วง และโทสะของชนม์แดนก็เริ่มจะเบาบางลงแล้วในตอนนี้

ใจเริ่มเสียเพราะร่างเล็กไม่ยอมปีนขึ้นมาได้เแต่ยืนสั่นงันงกอยู่ที่เดิม  ชนม์แดนจึงวิ่งไปหาการเกด ลูกสาวของป้าก้อยที่อยู่ทางปีกซ้ายของบ้านใหญ่แล้วบอกข่าวว่าน้องรักของเธออยู่ในสระบัว

จากนั้นก็รีบขึ้นไปเก็บของใส่กระเป๋าแล้ววิ่งหนีออกจากบ้านทันที

มันจะตายไหมนะ..

ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเริ่มกลับคืนสู่สติ แต่เมื่อคิดว่าตอนนี้คนอื่นก็รู้ข่าวแล้วจึงคิดเข้าข้างตัวเองไปตามเรื่อง

ไอ้ลูกเมียน้อยนั่นคงไม่ตายหรอก พวกมันหนังหนา หน้าหนา ไร้ยางอายที่มาแย่งป๋า พวกมันปล้นความสุขไปจนหมด เกลียดมัน  เกลียดที่สุดเลย!!!!



“ไปไหนดี เนมก็ยังโกรธอยู่แล้วจะไปไหนได้ล่ะ” ชนม์แดนเดินออกมาตามทางคิดว่าจะไปโบกแท็กซี่แถวปากซอย

“ไลน์หาพี่เวย์ดีไหมนะ แต่ถ้าเนมรู้ก็จะโกรธขึ้นมาอีกน่ะสิ”

ปิ๊บๆ

เสียงแตรรถดังขึ้นในระยะประชิดจนต้องรีบหันไปดูเพราะกลัวจะเป็นรถของที่บ้านแต่กลับต้องตกใจเพราะมันเป็นรถมินิคูเปอร์คันเดิมของรุ่นพี่ ม.6 ที่ชื่อเผ่า

‘เผ่าพงศ์’ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับอนุชาแต่ย้ายที่เรียนบ่อยครั้งจนตอนนี้ก็ยังเรียนไม่จบมัธยมปลาย  เขาเป็นลูกชายคนเดียวของไฮโซตระกูลดัง พ่อแม่ตามใจมากจนมีนิสัยไม่ยอมคนแถมยังมีรูปร่างหน้าตาดี คมเข้มแบบชายไทยถึงจะมีเชื้อสายจีนแต่ได้ยีนส์เด่นมาจากพ่อที่เป็นคนไทยแท้ประกอบกับความเจ้าชู้จึงไม่แปลกที่เขาจะถูกเรียกว่าคาสโนว่าตั้งแต่อายุเพียงเท่านี้

“ขึ้นรถ” เผ่าพงศ์ลดกระจกลงแล้วสั่งด้วยสีหน้าราบเรียบแต่กลับถูกมองเมินและเดินหนี

ทำไมต้องขึ้นรถไปกับคนน่ากลัวแบบนั้นด้วยล่ะ ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี

ชนม์แดนเบ้ปากและรีบสับขาให้เร็วขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูรถและเสียงวิ่งตามมา

“ฉันไม่ชอบพูดหลายรอบ บอกให้ขึ้นรถ!” ร่างสูงวิ่งมาขวางไว้จนได้

เด็กหนุ่มเงยหน้ามองจ้องอย่างไม่เกรงกลัว

“ถ้าคิดว่าผมจะกลัว คุณคิดผิด และตอนนี้ผมก็อารมณ์ไม่ดีมากด้วย! เพราะฉะนั้นอย่ามายุ่ง!!”  ร่างเล็กตวาดใส่อย่างเหลืออด ดูเขาจะช็อคไปนิดๆ กับปฏิกิริยาของชนม์แดนแต่แล้วก็ยื่นมือมาใกล้หน้าจนต้องถอยหลังหนี “จ..จะทำอะไร!” ถามออกไปแล้วมองอย่างหวาดระแวง

แถวนี้ไม่ได้เปลี่ยวอะไรนักถ้าวิ่งไปอีกนิดก็เป็นร้านค้าแล้ว  อย่าทำอะไรบ้าๆ นะไม่อย่างนั้นจะวิ่งแบบไม่คิดชีวิตเลย

“เจ็บไหม” เขาพยายามจะแตะลงมาบนแก้มที่ถูกตบและถามด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป

ชนม์แดนยืนลังเลมองเขาด้วยอาการงงๆ แต่แล้วก็ปัดมือเขาออกก่อนที่มันจะมาโดนแก้ม

“อย่ายุ่ง” พูดแล้วก็หันหลังเดินหนีอีกครั้งแต่แล้วก็ถูกจับข้อมือไว้อีก “เอ๊ะ! พูดภาษาคนไม่เข้าใจเหรอ บอกว่าอย่ามายุ่ง!” ชนม์แดนตวาดอีกครั้งและทำให้เขากลับมาสู่โหมดนิสัยเสียอย่างเดิม

“กลัวเหรอ” เผ่าพงศ์แสยะยิ้มท้าทาย

“กลัวอะไร” ชนม์แดนถามกลับทันที

“กลัวจะหลงฉันเหมือนคนอื่นๆ” 

“ผมจะบอกให้นะ ถึงคุณจะหล่อแต่ก็น้อยกว่าคนที่มาจีบผม ถึงคุณจะรวยแต่ผมก็รวยไม่แพ้บ้านคุณหรอก และคุณก็นิสัยเสียจนผมคิดว่าไม่มีวันหลงคุณแน่นอน”

“งั้นก็พนันกันไหมล่ะ” ร่างสูงเลิกคิ้วท้าทาย

“พนันอะไร”

“ถ้าจ้องตากันเกินห้านาทีแล้วนายไม่หวั่นไหว ฉันจะยอมเป็นเบ้ให้สามวัน แต่ถ้านายหวั่นไหวฉันจะจูบนายหนึ่งที”

พนันบ้าบออะไรแบบนี้ ใครจะไปเล่นด้วย!

“ประสาท” ชนม์แดนด่าแล้วเดินหนี

“สรุปว่ากลัวแพ้สินะ” เผ่าพงศ์ตะโกนไล่หลัง เขายืนกอดอกมองชนม์แดนด้วยสายตาท้าทาย

“ไม่กลัว!”  ร่างเล็กหันกลับไปตะโกนใส่

ทำไมฉันจะต้องดิ้นไปตามที่นายปั่นหัวด้วย ไม่มีวันหรอก!

“หรือว่ากลัวพ่อดุ”

“......”
คำพูดของเผ่าพงศ์คำนี้กระทบใจอันบอบช้ำจนน้ำตารื้นขึ้นทันที  ชนม์แดนกัดฟันจ้องเขานิ่งครู่ใหญ่ จากนั้นจึงตัดสินใจเดินไปขึ้นรถแล้วปิดประตูเสียงดังลั่น

“ที่ผ่านมาทำดีแล้วไม่เคยได้ดี วันนี้ดอทจะเสี่ยงไปทำไม่ดีบ้าง บางทีป๋าอาจจะพอใจก็ได้”  น้ำตาที่ไหลลงมาถูกมือบางปาดทิ้งทันที 

ดอทจะไม่เสียน้ำตาให้ป๋าอีก ไม่อีกแล้ว!

ถึงรู้ว่าการขึ้นมานั่งบนรถคันนี้มันเสี่ยงแค่ไหนแต่ชนม์แดนจะขอลองดู ถ้าชีวิตจากนี้ไปจะดีหรือไม่ดีก็จะวัดดวงให้มันรู้ไปว่าจะมีอะไรเลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่ได้อีก

ถ้าเกิดโชคร้ายขึ้นมา ป๋าจงรู้ไว้ว่าทุกอย่างมันคือความผิดของป๋า ของป๋าคนเดียว!!!


“แวะไปเซฟเฮ้าส์ของฉันนะ ดูเหมือนว่านายจะไม่มีที่ไป” เผ่าพงศ์เหลือบมองชนม์แดนด้วยสายตาที่ไม่น่าไว้ใจนัก

“บอกไว้ก่อนว่าถ้าทำมิดีมิร้ายกับผม คุณไม่รอดคุกแน่ คุณแม่จะต้องตามหาผมและจะจัดการคุณถึงที่สุดแน่นอน” ชนม์แดนขู่

“เก่งจริงนะตัวแค่นี้” เขายิ้มล้อ

ชนม์แดนนั่งหน้ามุ่ยต่ออย่างรำคาญลูกตาแต่กลับเผลอคิดถึงอนุชาขึ้นมาเสียดื้อๆ

พี่จะรู้ไหมว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องทะเลาะกับป๋าและเพื่อนสนิท แต่น้องไม่โกรธหรอกนะเพราะพี่เวย์ดีกับน้องที่สุดแล้ว คนผิดคือน้องมากกว่าที่ยังไงก็ไม่ดีในสายตาป๋าได้เลย

แล้วนายล่ะ นายจะดีได้ถึงครึ่งที่พี่เวย์ดีกับฉันไหม

เผ่าพงศ์..




.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ผู้ชายคนที่ 2 ของนุ้งดอทไม่รู้จะดีร้ายเยี่ยงใด
ฝากเป็นกำลังใจให้ชนม์แดนแฟนใครดีด้วยน้าา
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ

ปล. ไอเลิฟยูเรน ตามติดใกล้ชิดตลอดเลย จุ๊บๆ


ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
 :m22: เข้ามาส่องค่ะ ติดตามเลยค่ะ แต่เราจิตใจไม่ค่อยแข็งแรง

 ขออย่าม่ามากนะคะ ฮือ  :monkeysad:

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
แรงกันทุกคน คุณแม่ก็เอาแต่เป่าหูลูก คุณป๋าก็ไม่ฟังอะไร แล้วถ้าเรื่องพินัยกรรมคือของจริงนี่แย่อ่ะ ส่วนดอทนี่เข้าใจว่าเก็บกด แต่เอาไปลงกับน้องแบบนั้นมันไม่โอเคเลย (ดูท่าน้องเด็กคนนั้นจะไม่รู้เรื่องอะไรด้วย) และอิตาเผ่านี่อะไรยังไง แต่ดูจากที่ถามเรื่องรอยตบ คงไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรมั้ง  :hao5:

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
มันจะปวดตับมากมั้ย5555 อ่านแนะนำนิยายช่วงแรกดราม่า ช่วงกลางดราม่า ตอบจบก็ดราม่า อะไรกันตับคงไม่พังใช่มั้ย

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ต อ น ที่ 2 :  เ ผ่ า พ ง ศ์ 1-2




“ลงสิ”  ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงก็มาถึงตึกห้าชั้นขนาดไม่ใหญ่มากนัก ตั้งอยู่ในชุมชนที่มีรถราค่อนข้างน้อย บ้านเรือนแถวนี้ก็บางตาเหมือนเป็นที่ที่ไม่เจริญจนสร้างตึกแล้วเจ๊งอะไรเทือกนั้น

ชนม์แดนเดินลงจากรถและขึ้นลิฟท์ไปชั้นห้าพร้อมกับเผ่าพงศ์ ในใจเริ่มตุ๊มๆ ต่อมๆ ทั้งกลัวทั้งหิวแถมยังปวดหัวตุบๆ เนื่องจากผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก


“กินอะไรเดี๋ยวจะทำให้” ร่างสูงถามเมื่อเข้ามาในห้องกว้างที่มีเฟอร์นิเจอร์ครบครัน

ชนม์แดนทำหน้าเหมือนไม่เชื่อจนอีกฝ่ายเปิดตู้เย็นทั้งสองประตูออกอว้างเผยให้เห็นอาหารแช่แข็งและผลิตภัณฑ์แบบ UHT เต็มตู้ไปหมด 

“ที่บอกจะทำให้คือจะอุ่นแล้วแกะใส่ชามให้” เผ่าพงศ์ยักไหล่ ดูเหมือนเขาจะผ่อนคลายขึ้นกว่าทุกครั้งที่เคยเจอ

เด็กหนุ่มเดินไปหาแล้วเลือกหยิบสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าของโปรดส่งให้เขา

“เอานี่ นี่ แล้วก็นี่ด้วย” หยิบโยเกิร์ตและน้ำผลไม้ส่งให้รัวๆ จนเขารับแทบไม่ทัน

ร่างสูงเขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะส่งโยเกิร์ตและผลไม้กลับคืนให้  “อันนี้เอาไปกินเลย กินรอไปก่อน ส่วนอันนี้ต้องอุ่นหลายนาที”   

“คุณอยู่คนเดียวเหรอ” ชนม์แดนเดินไปนั่งโซฟารับแขกตรงมุมห้อง มือเรียวเปิดฝาโยเกิร์ตพลางกวาดตามองไปรอบๆ   ดูเหมือนชั้นอื่นๆ ไม่น่าจะมีคนอยู่อาศัย อันที่จริง ไม่มีรถสักคันตรงที่จอดรถชั้นแรกด้วยซ้ำ

“ตึกนี้แม่ฉันยกให้เป็นของขวัญที่จะจบ ม.6 ที่โรงเรียนนายโดยไม่ต้องย้ายที่อีก”

ของขวัญบ้าอะไรให้ก่อนที่จะทำได้สำเร็จ  เลี้ยงกันแบบนี้สินะถึงได้นิสัยเสีย 

“แล้วไม่กลัวเหรอ เพิ่งจะอยู่ ม.6 แต่ขับรถเองแถมยังมีที่อยู่เองแบบนี้อะ” ชนม์แดนเริ่มซัก ปากก็อ้ากินโยเกิร์ตรัวๆ และแน่นอนว่าทุกการกระทำอยู่ในสายตาของเผ่าพงศ์หมดแล้ว

“ต้องกลัวอะไร ที่นี่เคยเป็นบ้านเก่าของฉันมาก่อน แค่ครอบครัวย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ที่ใหญ่กว่านี้แถมยังอยู่ใจกลางเมืองด้วย ที่นี่ก็เลยไม่มีคนอยู่แล้วฉันก็เลยขอมาอยู่เอง เวลาที่..” เขาเว้นระยะไว้ทำให้ร่างบางต้องรอฟัง

“เวลาอะไร” 

“เวลาที่เบื่อๆ” เผ่าพงศ์ตอบแบบผ่านๆ ทั้งๆ ที่คำตอบจริงๆ อาจจะไม่ใช่คำตอบนี้

การสนทนายุติลงเมื่อเสียงเตาอบไมโครเวฟเรียกเตือน  ร่างสูงยกสปาเก็ตตี้มาเสริฟ ไม่น่าเชื่อว่าแบ้ดบอยอย่างเขาจะทำอะไรให้คนอื่นเป็น 


เมื่ออาหารมาอยู่ตรงหน้า ความคิดทั้งหมดก็หยุดลง ชนม์แดนลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อยเพราะตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้อง

“เลอะหมดแล้ว” มือหนายื่นมาเช็ดครีมซอสที่เปื้อนอยู่มุมปากไปดูดกินหน้าตาเฉย “นายนี่หลายบุคลิกดีนะ เหมือนจะเรียบร้อยแต่ก็สายไฝว้ ดูเหมือนจะหัวอ่อนแต่ก็ขี้ยั่วะ ดูเหมือนจะสวยหวานแต่ก็เท่ๆ โหดๆ ดูเหมือนจะไม่โก๊ะแต่ตลกดีนะ”

ความรู้สึกของชนม์แดนตอนนี้เหมือนกำลังถูกมองเป็นเด็กกะโปโลที่มีขี้มูกเปื้อนแก้ม

“คุณก็เหมือนจะนิสัยเสียแต่ก็โคตรแย่ เหมือนจะหล่อแต่ก็ขี้เหร่เหมือนกันแหละ” เบะปากใส่ปิดท้ายแล้วกินต่อไปไม่สนใจที่อีกฝ่ายทำหน้าเหลืออดอยู่ตรงหน้า

แต่เมื่อกำลังดูดเส้นเข้าปากกลับถูกเผ่าพงศ์ยื่นหน้าเข้ามางับเอาปลายอีกด้านของเส้นสปาเก็ตตี้แล้วดูดเข้าปากไป

“อ๊ะ!!” ชนม์แดนตกใจจนผงะ หัวใจเต้นตึกตักเมื่อถูกแย่งเส้นออกจากปากไปหน้าตาเฉย “ทำบ้าอะไรของคุณ!” 

“ฉันก็หิวเหมือนกัน”  ร่างสูงว่าแล้วแย้งส้อมไปตักเส้นเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ

“ผมจะกลับละ” ชนม์แดนลุกขึ้นแล้วทำท่าจะเดินไปที่ประตู 

“ห้องนี้ต้องใช้กุญแจไขถึงจะออกไปได้” มือหนาชูลูกกุญแจให้ดูแล้วหย่อนลงกระเป๋ากางเกง  เด็กหนุ่มเบิกตาค้างแล้ววิ่งไปเปิดประตูแต่มันเป็นอย่างที่เขาว่าคือเปิดไม่ได้

“เปิดเดี๋ยวนี้นะ บอกให้เปิด!” ชนม์แดนตะโกนใส่ รู้สึกตกใจและกลัวขึ้นมาเสียดื้อๆ

“มากินต่อเร็ว ฉันไม่ทำอะไรหรอกถ้านายไม่ยอมน่ะ” พูดเหมือนเป็นเรื่องปกติที่จะขังคนไว้โดยไม่ให้เขาตื่นเต้นตกใจ “กินให้อิ่มแล้วทำเรื่องที่ฉันท้านายเมื่อกี้ให้จบ จบแล้วก็กลับ ไม่มีการผิดคำพูด รับประกันได้เลย” ว่าแล้วก็ตักกินสปาเก็ตตี้ของชนม์แดนเข้าปากอย่างใจเย็น

ร่างบางคิดแล้วคิดอีกก็จำใจกลับไปนั่งกินต่อ ยังไงก็ติดกับเข้ามาแล้วนี่ จะออกไปก็คงต้องใช้สติกันหน่อยล่ะ

“อ่ะ กินซะ” เขาตักเส้นยื่นมาตรงหน้าแล้วจ่อไว้อย่างนั้น “เร็วสิจะได้กลับเร็วๆ” เมื่อถูกเร่งปนขู่จึงต้องอ้าปากงับอย่างจำใจ

เผ่าพงศ์ตักอาหารป้อนให้อีกหลายคำสลับกับกินเอง มันทำให้ชนม์แดนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเพราะการกินช้อนเดียวกันมันก็เหมือนจูบทางอ้อมซึ่งเด็กหนุ่มยังไม่เคยแม้แต่จับมือใครด้วยซ้ำ

บ้าเหรอชนม์แดน จนนาซ่าค้นพบจักรวาลใหม่แล้วยังจะติงต๊องคิดเรื่องจูบทางอ้อมอยู่อีก ลบๆๆ

ศีรษะเล็กสะบัดสองสามทีไล่ความคิดประหลาดๆ แล้วตั้งอกตั้งใจกินอาหารต่อไป



เมื่อกินเสร็จ เจ้าของห้องก็เก็บขยะและกวาดเช็ดจนสะอาด ชนม์แดนมองการกระทำของเขาอย่างไม่เข้าใจ บางทีก็ดูร้าย บางทีก็ใจดี

จะมาไม้ไหนกันแน่นะ..



“มาเริ่มกันเลย” เผ่าพงศ์ว่าแล้วดึงชนม์แดนไปนั่งที่เก้าอี้ลากไปที่ข้างเตียง ส่วนตัวเขานั่งบนเตียงโดยหันหน้าเข้าหากัน “มองตากันเก้าเกม ถ้านายหวั่นไหวนายก็แพ้” เขาบอกกติกา

“ไอ้หวั่นไหวของคุณมันคืออะไรล่ะ มันไม่เป็นรูปธรรมแล้วจะวัดกันชัดเจนได้ยังไง” ชนม์แดนเถียง

“หวั่นไหวก็คือกระพริบตา ใครกระพริบตาก่อนแพ้ เล่นแล้วนับแต้ม ใครถึงห้าแต้มก่อนก็ชนะ”

ร่างบางถึงกับเงิบไปเลย พูดซะน่ากลัวแต่ที่จริงมันคือแข่งจ้องตาธรรมดาๆ  เมื่อเข้าใจกติกาแล้วจึงกลอกตาก่อนจะตอบรับอย่างเสียไม่ได้

“มาๆ จะได้จบๆ ซะที” ว่าแล้วก็ตั้งท่าเอาจริงเอาจัง ซ้อมกระพริบตาแล้วหลับตารอที่จะเริ่มเกม


ทั้งคู่เริ่มมองตากันไปเรื่อยๆ ใช้เวลาแต่ละรอบก็นานทีเดียวเพราะชนม์แดนไม่ยอมง่ายๆ และตอนนี้ร่างบางก็กำลังนำอยู่ที่ 3:2 

ไม่ให้เสียชื่อคุณหนูจอมหยิ่งหรอก เรื่องสู้ตาใครจะสู้ชนม์แดนล่ะ ไม่ใช่จะคุยนะ อันนี้เก่งจริงๆ


แต่เมื่อมาถึงรอบที่หกก็เริ่มมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นเพราะแววตาของอีกฝ่ายเริ่มเปลี่ยนไป จากธรรมดาที่ดูคมเข้มอยากเอาชนะเปลี่ยนเป็นสายตาของราชสีห์จ้องมองเหยื่อเหมือนตอนนั้นที่เขาจูบคนอื่นแล้วมองมาที่ตน

ชนม์แดนกลืนน้ำลายลงคอเผลอกระพริบตาจนแพ้ไปในรอบนี้ 

“สามต่อสาม” เขาขานแต้ม “ชนะอีกแค่สองเกมนะ  ฉันชนะรวดให้ดู”

“อย่าฝันเถอะ” ชนม์แดนโต้กลับ  “ผมนำมาตั้งนานอีกแค่สองเกมทำไมจะทำไม่ได้”

แล้วทั้งคู่ก็เริ่มจ้องกันอีกครั้งและครั้งนี้สายตาของอีกฝ่ายก็ยังทำให้ชนม์แดนใจสั่น รู้สึกหวั่นไหวเหมือนครั้งแรกที่ได้มอง ช่างน่ากลัวทว่ามีเสน่ห์ดึงดูดแบบแปลกๆ

ผู้ชายนิสัยเสีย เปลี่ยนแฟนไม่ซ้ำหน้า ถ้าคิดจะปราบเขาจะเป็นไปได้ไหมนะ

“สี่ต่อสาม” เขาขานแต้มออกมาทำให้ชนม์แดนไม่พอใจ

“ผมยังไม่ทันกระพริบตาเลย”

“นายกระพริบแล้ว” เขาเถียง

และชนม์แดนก็ไม่อยากจะเถียงอีกเพราะก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน 

คิดฟุ้งซ่านไปแล้วนะชนม์แดน ตั้งสติสิ อย่าไปหลงกลเขา



การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป ในขณะที่กำลังจ้องมองแววตาคู่คมนั้นก็ดูเหมือนว่าเขากำลังขยับเข้ามาใกล้ทว่าชนม์แดนกลับไม่ถอยหนี  ลมหายใจของเด็กหนุ่มเริ่มแรงขึ้น ถึงตอนนี้จะเผลอกระพริบตาไปแล้วแต่เขากลับไม่ขานคะแนนออกมาแต่ยังคงจ้องอยู่แบบนั้นจนหัวใจเริ่มสั่นกระตุก

จากดวงตาที่ทรงเสน่ห์ลึกลับค่อยๆ ทอแสงอ่อนโยนขึ้นจนรู้สึกหวั่นไหว

“ฉันจูบได้ไหม” คำขอซื่อๆ ทำเอาใจเต้นระรัวแบบไม่เคยเป็นมาก่อน

จะตอบอะไรดีล่ะ ตอบว่าไม่ได้เหรอ หรือจะลองตอบว่าได้..

“อืออ!?”

ในขณะที่กำลังคิดตัดสินใจทว่าร่างสูงกลับไม่รอ เขายัดเยียดกลีบปากเข้ามาพร้อมกับมือหนาที่เลื้อยเข้าโอบกอดอย่างคล่องมือ

ไม่นะ จูบแรก!!!!!!

มือเรียวดันร่างหนาสุดแรงและเมื่อรู้ว่าไม่เป็นผลก็เริ่มทุบ หยิก และข่วน ประเคนไปทุกกระบวนท่ารวมถึงพยายามยกเท้าขึ้นถีบ ทว่ามันไม่ง่ายแค่เขาล็อคขาหนีบเอาไว้ก็เลยต้องกลายร่างเป็นตุ๊กตายางหมดทางสู้

“อือ อืออ” เผลอส่งเสียงออกมาเมื่อริมฝีปากถูกดูดดุนหนักขึ้น ทั้งตกใจและหวั่นไหวโดยเฉพาะเมื่อถูกประคองท้ายทอยแล้วดึงเข้าไปจนเก้าอี้เลื่อนไปชิดติดเตียง กลายเป็นว่าร่างบางบดเบียดอยู่กลางหว่างขาของเขาในตอนนี้

“อือออ” เรียวลิ้นอุ่นชื้นเริ่มสอดแทรกเข้ามาทักทายไปทั่วอย่างไม่เร่งร้อน ร่างชนม์แดนอ่อนระทวยไปหมด มือไม้ปัดป่ายแบบไม่มีแรงจนในที่สุดก็ถูกเขาอุ้มขึ้นมานั่งข้างกันบนเตียง

“อยู่ด้วยกันนะคืนนี้” คำขอของเขาทำให้เลือดในร่างแทบแข็งตัว

มันแปลว่าอะไรกันนะ ตอนนี้หูอื้อตาลายไปหมด แทบจะปะติดปะต่ออะไรไม่ได้เลย

ชนม์แดนอายุแค่ 15 แถมยังไม่เคยรักใคร อย่าว่าแต่จูบเลยแค่หอมแก้มก็ยังไม่เคย แต่นี่ถูกจูบแถมยังถูกชวนให้นอนด้วย แล้วเด็กน้อยจะทำอย่างไรดี


ในที่สุด ร่างบางก็ส่ายศีรษะช้าๆ มองอีกฝ่ายด้วยสติที่มีไม่ถึง 50%

“ถ้าจะปฏิเสธด้วยหน้าตาแบบนี้นายตอบว่า ‘ทำผมเถอะ’ ดีกว่านะ” เผ่าพงศ์ยิ้มเอ็นดูแล้วลูบไล้ไปตามผิวหน้าเรียบเนียน

ต้องหยุดตัวเองให้ได้นะชนม์แดน ต้องหยุดไม่อย่างนั้นแย่แน่

Rrrrrrrrrrrrrrrr

เสียงเพลงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของชนม์แดนดังขึ้นปลุกสติให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว

ขอบคุณสวรรค์ ระฆังช่วยชีวิต!

ชนม์แดนรีบผละออกมาจากร่างสูงแล้ววิ่งไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมากดรับสาย ทั้งที่ยังไม่ทันได้ดูด้วยซ้ำว่าใครโทรมา

“ฮัลโหล”

“อยู่ที่ไหน!” เสียงผู้เป็นพ่อตวาดดังลั่นจนต้องดึงมือถือออกห่างจากหู “กลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยนะ! เรามีเรื่องต้องชำระความกัน!!”

ใบหน้าสวยแสยะยิ้มให้กับความเกรี้ยวกราดที่ได้รับ เด็กหนุ่มไม่ตอบคำถามและรอฟังว่าพ่อจะพูดอะไรออกมาอีก

“ทำไมแกใจดำอำมหิตแบบนี้ตาดอท! เจ้าดินมันเพิ่งสิบขวบแถมยังเป็นไข้แกยังผลักมันลงสระได้อีก นี่กะจะฆ่าน้องหรือไง!”

หึ..ที่แท้ก็เป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องไอ้ลูกเมียน้อย

 “แล้วมันตายหรือเปล่าล่ะ” ถามไปในใจก็เผลอลุ้น ลึกๆ แล้วไม่ได้อยากให้มันตายแค่อยากให้รู้ว่ามันถูกเกลียดมากแค่ไหนจะได้พากันออกไปจากบ้านเสียที

“ก็ยังดีที่น้องมันไม่ตาย ไม่งั้นแกก็ไม่พ้นคุกเพราะฆ่าน้องตัวเอง!”

จิตใจเมื่อถูกความริษยาเข้าครอบงำมักมองไม่เห็นถึงความผิดชอบชั่วดีใดใดและจะปักใจคิดอยู่เสมอว่าเป็นผู้ถูกกระทำอยู่เพียงฝ่ายเดียว

“มันไม่ใช่น้องของดอท!” ชนม์แดนตะโกนกลับไปบ้าง ดวงตาร้อนผ่าวราวกับจะหลุดออกจากเบ้า “ดอทไม่มีน้อง ไม่เคยมีและจะไม่มีไปจนวันตาย!”

“นี่ยังไม่สำนึกอีกเหรอ! เกือบฆ่าคนตายแล้วยังไม่สำนึกอีก! ทำไมแกร้ายกาจได้ขนาดนี้ นี่ยังอยากเป็นลูกฉันอยู่ไหม!!!” เจ้าสัวตะเบ็งเสียงดังลั่นเหมือนยิ่งตอกย้ำความรู้สึกว่าถูกเกลียดชังมากขึ้นไปอีก

ดวงตาคู่สวยแสบร้อนหนักจนหยาดน้ำพรั่งพรูออกมามากมาย หัวใจที่แตกละเอียดกลับถูกฝ่าเท้าเหยียบย่ำจนไม่มีชิ้นดี

“ถ้าป๋าไม่อยากให้เป็น! ดอทก็จะไม่เป็น! ต่อไปนี้ป๋าไม่มีลูกเลวๆ อย่างดอท เชิญไปโอ๋ไอ้ลูกเมียน้อยนั่นเถอะอย่ามายุ่งกับดอท!!!” ตะโกนสุดเสียงและปาโทรศัพท์ทิ้งจนมันแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย  “ฮืออออออออ” ร่างเล็กทรุดลงพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ปริ่มจะขาดใจเพราะความลำเอียงของผู้เป็นพ่อ

เกลียด เกลียดทุกคนเลย เกลียด!!!



ชนม์แดนกองอยู่กับพื้นร้องไห้โฮจนเนื้อตัวสั่นเทาราวกับลูกนกตกจากรังจนเมื่อมีใครคนหนึ่งเข้ามาโอบกอดจึงได้โผเข้ากอดไว้แน่น

“ถ้าไม่มีที่ไปก็อยู่ด้วยกันที่นี่แหละ” เผ่าพงศ์บอกด้วยเสียงอ่อนโยน

ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งสะอื้นไห้ เด็กหนุ่มซุกตัวเข้ากับอกแกร่งพลางปล่อยน้ำตาให้รินไหลจนเสื้อของอีกฝ่ายเปียกปอนไปหมด

“ร้องออกมาซะให้พอ ถ้าหายเศร้าแล้วเฮียจะทำให้ดอทมีความสุขนะ” ปลอบประโลมพรมจูบไปทั่วศีรษะหลังได้เห็นเหตุการณ์ต่อหน้า

ทั้งรอยมือบนแก้มใส ดวงตารีที่บวมฉ่ำ ปลายจมูกแดงแถมยังเสียงพูดแปร่งๆ เพราะผ่านการร้องไห้ ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของเผ่าพงศ์ตั้งแต่เขาชวนร่างบางขึ้นรถ  ก่อนหน้าก็คิดไว้ว่าอยากเห็นตอนร้องไห้หนักๆ อยากรู้ว่าหยิ่งขนาดนี้เวลาเสียใจจะเป็นยังไงแต่พอได้เห็นกับตาถึงได้รู้ว่าชนม์แดนเหมาะกับใบหน้าเชิดหยิ่งมากกว่าเป็นไหนๆ


หัวใจดวงน้อยกระตุกเต้นผิดจังหวะอีกครั้งเมื่อได้ยินสรรพนามที่อีกฝ่ายใช้เรียกตน โดยเฉพาะชื่อเล่นที่ออกมาจากปากของเขาเป็นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมหัวใจที่แหลกละเอียด

ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องเพียงเล็กน้อยทว่าในสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ น้ำแค่เพียงหยดก็สามารถชุบชีวิตของคนด้อยค่าให้ฟื้นคืนขึ้นมาได้

“ดอท..อยู่ที่นี่ตลอดไปได้ไหม ฮึกก ฮืออๆๆ” ชนม์แดนเองก็เปลี่ยนคำเรียกตัวเองเช่นกัน ในเวลานี้แค่อยากให้ใครสักคนมาเข้าใจและได้เป็นคนที่มีตัวตนสำหรับเขาก็เพียงพอ

“เท่าที่ดอทจะต้องการเฮียเลยครับ” แววตาที่เคยดุดันแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นเอ็นดู ซึ่งร่างบางโหยหาจากผู้เป็นพ่อมาตลอดชีวิต อย่าว่าแต่ความเอ็นดู แม้แต่รอยยิ้มก็ยังไม่เคยได้รับ 

เด็กน้อยเงยหน้ามองร่างหนาด้วยความรู้สึกตื้นตัน หัวใจสั่นไหวรุนแรงไปกับสรรพนามที่เขาแทนตัวเองและทุกคำพูดของคนตรงหน้า อย่างน้อยมีคนๆ นี้ที่ต้องการ

อย่างน้อยก็ยังมี..

“จูบดอทที..นะครับ” ร่างบางส่งสายตาอ้อนวอนอีก 

ดวงตาคู่สวยที่หยาดเยิ้มไปด้วยหยดน้ำตาเป็นภาพที่กระตุ้นความสงสารให้ประทุขึ้นได้ไม่ยาก 

ทุกความน้อยใจที่อัดแน่นในอกจนไต่ระดับไปถึงความเสียใจถึงขีดสุดขับดันให้หัวใจดวงน้อยกระสันที่จะกระโจนลงไปในห้วงเหวลึก ไม่สนอีกแล้วว่าอันตรายคืออะไร ความรู้สึกที่มีในตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่า..เตลิดไปจนกู่ไม่กลับ

เผ่าพงศ์ยิ้มรับกับสิ่งที่ได้ยิน ใบหน้าหล่อเหลาคมคายค่อยๆ เคลื่อนต่ำลงบรรจงมอบจุมพิตให้กับอีกฝ่ายแผ่วเบา  ในชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะยอมโอนอ่อนไปกับความทุกข์ร้อนของผู้อื่น แต่ในครั้งนี้ขอยอมสยบให้กับร่างอันสั่นเทาตรงหน้า เจ้าของใบหน้าสวยที่เคยเย่อหยิ่ง เจ้าของจิตใจที่เคยเด็ดเดี่ยวดื้อรั้นทว่าในตอนนี้กลับมีบาดแผลฉกรรจ์จนเจ็บหนักแทบจะไม่เป็นผู้เป็นคน

ร่างสูงไล้ริมฝีปากขึ้นจูบซับรอยน้ำตาซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่ไม่มีทีท่าว่ามันจะแห้งเหือด เขาจึงปล่อยให้มันไหลอยู่เช่นนั้นเพราะอันที่จริงแล้วปฏิเสธไม่ได้เลยว่าช่างเป็นภาพที่งดงามจนแทบลืมหายใจ  กลีบปากหยักลึกเคลื่อนกลับมาจุมพิตริมฝีปากบางอีกครั้ง ดูดดุนแทะเล็มแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆ แทรกเรียวลิ้นเข้าไปกลืนกินความหวานจนเกินกว่าจะต้านทาน



“อ..อาห์”  ชนม์แดนได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายช่วงชิมลิ้มรสผิวกายได้ตามอำเภอใจ กลีบปากสีซีดคอยดูดดุนขบเม้มไปทั่วและในที่สุดมือหนาก็ดึงเสื้อเชิ้ตเข้ารูปตัวบางให้หลุดออกอย่างง่ายดาย จากนั้นยอดอกเม็ดเล็กก็ถูกปลุกปั่นด้วยเรียวลิ้นจนมันแข็งเป็นไตอย่างห้ามไม่ได้  “อ้ะ.. อาห์ อาาห์”


“สีชมพูไปทั้งตัวเลย” ดวงตาคู่คมจ้องมองอย่างหื่นกระหายไปทั่วร่างกายบอบบาง  มือหนาค่อยๆ ดึงกางเกงตัวน้อยนั้นออกแล้วยิ้มอย่างพอใจ  “ตรงนี้ก็สีชมพู” เขาไล้นิ้วไปตามความยาวกลางลำตัวของอีกฝ่าย จากที่มันหลับใหลก็ตื่นขึ้นสู้มือของเขาอย่างน่าอาย

นิ้วแข็งแกร่งคอยขยับเคล้าคลึงส่วนที่แข็งขืนนั้นอย่างหนักหน่วง ไม่ได้รู้สึกเจ็บทว่ามันช่างซ่านเสียวจนเกินกว่าจะทนไหว 

“ดอทชอบหรือเปล่า” ทุกๆ ประโยคจากร่างสูงแสดงออกถึงความอ่อนโยนแต่การกระทำนั้นแฝงเร้นไปด้วยความจาบจ้วงหยาบโลน  ยิ่งเห็นความขัดแย้งของผู้กระทำมากขึ้นเท่าไร แรงกำหนัดของร่างบางก็ยิ่งสูงขึ้นมากเท่านั้น

วินาทีนี้ชนม์แดนแทบจะไม่มีสติสัมปชัญญะเหลืออยู่เลย  ภายหลังจากถูกความเสียใจถาโถมเข้าใส่จนความทุกข์พีคสูงเสียดเพดานแต่ในเวลาต่อมากลับได้รับการปรนเปรอปรนนิบัติอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน  ความรู้สึกที่ถูกสวิงไปมาในเวลาไล่เลี่ยกันเช่นนี้ทำให้ระดับเคมีในสมองเริ่มขาดความสมดุล จิตใจกระเจิดกระเจิงผลักดันให้ร่างกายเร่าร้อนด้วยแรงกำหนัดจนถึงขีดสุด


“ไปที่เตียงนะครับ” เผ่าพงศ์อุ้มร่างน้อยขึ้นไปวางลงบนเตียงที่สปริงตัวค่อนข้างดีและเมื่อเขาตามขึ้นมามันก็ยิ่งเด้งขึ้นลงมากขึ้น  เขาคร่อมร่างบางไว้แล้วก้มลงไล้เลียไปตามริมฝีปากจนผู้อยู่ใต้ร่างต้องเผยอกลีบปากขึ้นให้เขาสอดลิ้นเข้ามา

“อ๊ะ!” หลุดเสียงครางเบาๆ เมื่อเขาขบกัดกลีบปากล่างแล้วดึงออกไปเล็กน้อย “อืออ..เจ็บ..” ส่งเสียงบ่นทว่ากลับเป็นเหมือนการเชื้อเชิญ

“อยากกัดให้หลุดออกมาเป็นชิ้นๆ” เขาส่งสายตาหื่นกระหาย มองโลมเลียและลูบไล้ไปทั่วจนเจ้าของร่างบิดเร่าด้วยแรงอารมณ์

“อยากกัดก็กัดสิครับ” ชนม์แดนตอบรับไร้ซึ่งความเขินอายใดใด ไม่มีความคิดอะไรอยู่ในหัวนอกจากอยากให้เขาพาไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่โลกแห่งความจริง  “อ๊ะ! อือ อาห์..”  เมื่อได้รับคำอนุญาต ร่างสูงจึงขบกัดสร้างรอยไปทั่วยังผลให้ผู้ถูกกระทำส่งเสียงครางระรัว

“เด็ดอย่างที่คิดไว้จริงๆ” ร่างหนาเอ่ยปากเมื่อพลิกร่างเล็กให้คว่ำลงก่อนจะขบกัดไปตามแผ่นหลังและบั้นเอวจนชนม์แดนครางรับและเลี้อยตัวไปตามแรงปรารถนา

“อาห์ อือออ อ้า.. อาห์”

รับรู้ถึงความเปียกชื้นบริเวณบั้นท้ายเป็นทางยาวเนื่องจากเขาไล้เลียไปทั่วจนรู้สึกเสียวซ่านสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

“อ๊ะ อาาาห์”  เกิดเสียงน่าอายขึ้นทุกครั้งที่ถูกเขาสัมผัส “อึ่ก.. อ่าห์”  ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้นแล้วหรี่ลงพร้อมกับครวญครางเมื่อถูกขบกัดบั้นท้ายและดูดดุนหนักหน่วงจนเกิดเสียงดังน่าเกลียดแต่มันกลับเพิ่มอารมณ์ให้ร่างบางมากยิ่งขึ้น

มือหนาดึงรั้งสะโพกผายให้โก่งขึ้นจากนั้นก็ควานหาความเป็นชายที่ไม่ใหญ่โตนักของร่างบางแล้วชักนำจนมันพ่นของเหลวออกมาในเวลาไม่นาน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะรอท่าอยู่ก่อนแล้วเพราะเมื่อสารคัดหลั่งลื่นหนืดพ้นออกจากร่างกายมันก็ถูกละเลงความฉ่ำแฉะไปทั่วบั้นท้ายจากนั้นก็ฟาดอย่างแรง

เพี้ยะ!

“อ๊า!!” ชนม์แดนร้องเสียงดัง อันที่จริงไม่ได้เจ็บนักแต่เป็นอาการสะดุ้งเพราะเสียงมันค่อนข้างหยาบโลนและเฉอะฉ่ำไปหมดจนทั้งอายและตื่นเต้นระคนปนเป

“ร้องดังๆ เลยครับ อยากร้องดังแค่ไหนก็ร้อง” น้ำเสียงบ่งบอกความพึงพอใจกับผลงานของตัวเอง มือหนาถูกฟาดลงมาอีกหลายครั้งจนเริ่มขึ้นรอยมือไปทั่ว

“อ๊า.. อ๊า.. อ๊าห์.. อาห์.. อื้อ อ้าห์”  บั้นเอวคอดสวยโยกย้ายตอบรับแรงมือของอีกฝ่ายพร้อมกับเสียงครางกระเส่าอย่างถึงใจ

เมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างทรมานจนพึงพอใจแล้ว ร่างสูงก็เปลี่ยนจากฟาดเป็นการลูบละเลงไปทั่วก่อนจะแบะอ้าบั้นท้ายกลมกลึงออกแล้วลูบช่องทางคับแคบนั้นแผ่วเบา

“ยังซิงอยู่เลย” นิ้วซุกซนพยายามชอนไชเข้าสู่ร่องหลืบที่ยังคับแน่น

“อ..อย่า..ฮ..เฮีย..” เสียงเรียกชื่อแผ่วๆ เพราะทั้งกลัวและเขินอายทว่าไม่ได้ขยับหนีหรือขัดขืนแต่อย่างใด

“เฮียจะทำเบาๆ นะ” เสียงทุ้มนุ่มให้คำรับรองจนร่างบางเริ่มผ่อนคลาย “ดอทอย่าเกร็งนะ ปล่อยตัวไปตามความรู้สึก ถ้าเจ็บก็ร้องดังๆ”  รับรู้สึกถึงความเย็นวาบและลื่นหนืดอยู่ตรงช่องทาง กลิ่นหอมเย็นโชยแตะจมูกซึ่งเดาเอาว่าน่าจะเป็นตัวช่วยให้การทำรักครั้งนี้ไม่ยากจนเกินไป 

“อ๊า อึ่ก.. อึก.. อื้ออ” ร่างสวยได้แต่หลับตาปล่อยความรู้สึกไปกับปลายนิ้วที่ไล้ไปมาแต่ไม่นึกว่าจะต้องสะดุ้งและร้องครางด้วยทั้งเจ็บและซ่านเสียวแค่เพียงเรียวนิ้วแกร่งชำแรกผ่าน

เผ่าพงศ์นอนลงและแทรกศีรษะเข้ามาจากด้านล่างจนใบหน้าจดจ่ออยู่ตรงตำแหน่งใจกลางความเป็นชายจากนั้นก็กดสะโพกผายลงเพื่อลิ้มลองความสดใหม่ และการกระทำเหล่านี้ไม่ได้ทำให้นิ้วแกร่งหลุดออกไปจากช่องทางอุ่นร้อนแม้แต่น้อย

“อ้า อืออ อือ” ทุกอย่างเป็นครั้งแรก มันแปลกใหม่ ตื่นเต้นและหฤหรรษ์จนจิตใจกระเจิดกระเจิง

“อึ่ก อ้า อื้อ อึก อื้อ” ทั้งเจ็บตรงส่วนท้ายที่มีสิ่งแปลกปลอมเพิ่มจำนวนขึ้นปะปนกับความเสียวซ่านเพราะการปรนเปรอด้วยเรียวลิ้นช่ำชอง “ฮ..เฮีย เฮีย” ชนม์แดนเรียกเสียงปร่า

ไม่นานนักการสอดใส่นิ้วแกร่งของเขาก็ไหลลื่นขึ้น ชนม์แดนเริ่มปรับตัวได้และรู้สึกถึงความซ่านสยิวจนต้องขยับสะโพกตามการชักนำ


“ดอทเก่งจัง” เขาเอ่ยชม “เรียกเฮียอีกสิ เสียงดอทหวานที่สุดเลยรู้ไหม” ในตอนนี้เขากำลังคุกเข่าอยู่ตรงบั้นท้ายมองดูนิ้วของตัวเองเข้าออกในร่างที่บิดเร่าด้วยแรงปรารถนา ถ้าเป็นตอนปกติชนม์แดนคงกระดากอายจนทนไม่ไหว แต่ในห้วงอารมณ์เช่นนี้กลับรู้สึกท้าทายและตื่นเต้นไปกับคำชมและการกระทำที่หยาบโลน

“..เ ฮี ย อ้าาห์” เผ่าพงศ์แกล้งชักนำนิ้วให้เร็วขึ้นจนต้องร้องลั่น

“อย่างนั้นแหละ ร้องดังๆ เฮียชอบ” เสียงเขาฟังดูหื่นกระหายมากขึ้นทุกที “อยากหรือยัง”

“อือออ” ชนม์แดนครางรับแทนคำตอบ อยู่ดีดีก็ถามอะไรแบบนี้จะให้พูดออกมาได้ยังไง

“เฮียถามว่าอยากหรือยังครับ” นิ้วแกร่งชักนำรัวเร็วทุกครั้งที่เขาเร่งจะเอาคำตอบ

“อ..อยา ก..ครับ” ชนม์แดนตอบออกไปอย่างน่าอาย

“งั้นก็ขอสิ” เขาบอก

“อื้ออ ๆ” เมื่อไม่ตอบก็ถูกกัดลงไปที่บั้นท้ายและเร่งความเร็วเข้าออกเพิ่มขึ้นอีก “อ..เ อา  เ อา ดอท เถอะครับ” ร่างบางร้องขอออกไปจนได้

ทำไมยิ่งพูดยิ่งมีอารมณ์มากขึ้นทุกที ใบหน้าร้อนผ่าวไปหมดแถมยังรู้สึกถึงปริมาณความเปียกแฉะตรงส่วนปลายและช่องทางด้านหลังมากขึ้น

“อย่าเกร็งนะ ปล่อยอารมณ์ปล่อยใจไปด้วยกันแล้วเฮียจะพาดอทไปให้ถึงสวรรค์”  ร่างหนาพลิกตัวชนม์แดนให้นอนหงายแล้วก้มลมกระซิบที่ข้างหู เมื่อร่างบางพยักหน้าตอบรับเขาก็เริ่มขบกัดลำคอระหงส์พร้อมกับดันความเป็นชายของเขาเข้าไป

“อึกกก!!” ชนม์แดนเริ่มอึดอัดและกัดฟันแน่นแต่อีกฝ่ายก็ไม่ปล่อยให้ต้องเจ็บปวดมากเกินไปเพราะมือหนาที่คล่องแคล่วชักนำท่อนรักให้พร้อมรับการสอดใส่ “อา อื้ออ” ในที่สุดก็เริ่มไหลลื่นขึ้น

“เก่งจัง” เขาชมพร้อมกับโยกตัวเบาๆ เป็นจังหวะ “เสียวไหม”  คำถามที่น่าอายถูกถามออกมาเรื่อยๆ ชนม์แดนเองก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้างส่วนใหญ่ก็ได้แต่ร้องครางไปตามอารมณ์



จากนั้นอีกพักใหญ่เขาก็เร่งจังหวะเร็วขึ้น เร็วขึ้น และเร็วขึ้นอีกจนในที่สุดก็ถึงปลายทาง

อาหห์ ที่เขาว่าการทำรักคือได้ขึ้นสวรรค์ มันเป็นแบบนี้นี่เอง 



แทบจะขาดใจตายเสียให้ได้  เผ่าพงศ์ทิ้งตัวลงทับร่างบางแล้วหายใจกระหืดกระหอบ

“สุดยอด..” คำชมมากมายที่เขาเคยพร่ำบอกมาก่อนหน้า เด็กหนุ่มก็ยังไม่รู้สึกเขินเท่ากับคำนี้

ชนม์แดนได้แต่เอียงหน้าไปอีกทางแล้วหลับตาหนีความกระดากอายเนื่องจากนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า  และนั่นเป็นครั้งแรกกับประสบการณ์มีเซ็กส์ และอีกครั้งในตอนกลางคืนซึ่งไม่ได้โหดน้อยกว่าครั้งแรกเลย ครั้งที่ 3 ในตอนค่ำของอีกวัน ครั้งที่ 4 คือรุ่งสางของวันที่สามและปิดท้ายด้วยครั้งที่ 5 ก่อนออกจากตึกนั้น




“แน่ใจนะว่าอยากจะกลับ” ร่างสูงกอดตระกรองร่างน้อยไว้ไม่ห่าง ถามซ้ำเป็นรอบที่ร้อยเห็นจะได้

“เดี๋ยวคุณแม่จะเป็นห่วงครับ” ร่างบางตอบแล้วหลบตาพยายามขยับหนีการสัมผัสเพราะร่างกายมักจะสนองตอบรับเขาไปโดยไม่รู้ตัว


ในคืนแรกนั้น ชนม์แดนใช้โทรศัพท์ของเผ่าพงศ์โทรหามารดาแล้วบอกว่าจะไปนอนบ้านเพื่อน กำชับผู้เป็นแม่ว่าไม่ต้องเป็นห่วงเพราะจะกลับบ้านแน่นอนแต่ขอเวลาทำใจสักพัก ซึ่งคุณรุ่งฤดีเองก็เห็นว่าเป็นทางที่ดีกว่าจะให้ลูกชายกลับมารองรับความฉุนเฉียวของสามีที่จนป่านนี้ก็ยังไม่หายโกรธ

“ถ้าเฮียเรียก ดอทจะมาหาเฮียอีกไหม” เผ่าพงศ์ถามพร้อมกับส่งสายตาแห่งความหวัง

“ดอทก็ยังไม่รู้เลย เอาไว้ถ้าถึงเวลาแล้วค่อยว่ากันนะครับ”  เด็กหนุ่มนิ่งคิดแล้วตอบเขาไปตามความรู้สึกจริงๆ ว่าแล้วก็ก้าวขึ้นรถแบบไร้เรียวแรง  ร่างกายถูกใช้งานไปเยอะจนแทบจะไม่เหลือพลังงาน สามวันสามคืนกับ 5 ครั้งแต่ไม่รู้กี่รอบที่เสร็จสมเพราะนับแทบไม่ทันเลย




เผ่าพงศ์ขับรถค่อนข้างเร็วและไม่นานก็ถึงบ้าน ชนม์แดนยังนั่งอยู่ในรถ มองประตูรั้วด้วยจิตใจห่อเหี่ยว ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากกลับมาเหยียบที่นี่ หากไม่ห่วงผู้เป็นแม่ก็คงเตลิดไปไหนต่อไหนตามใจอยากแล้ว



ต่อ..


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-04-2018 22:02:20 โดย fiction no.9 »

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
“ถ้ายังไม่อยากกลับก็ไปอยู่กับเฮีย” มือหนากระชับมือน้อยไว้แน่น เขาเองก็ยังไม่อยากห่างจากร่างนี้เพราะสังหรณ์ในใจว่าอาจจะเจอกันยากขึ้น ไม่ใช่เพราะอุปสรรคอื่นใดทว่าเป็นจิตใจที่เด็ดเดี่ยวเย็นชาของอีกฝ่ายเสียมากกว่า

กระต่ายน้อยที่น่าสงสารของเฮีย..

ร่างสูงมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน  เขานึกชอบใจในบุคลิกที่ค่อนข้างซับซ้อนน่าค้นหา รูปร่างแบบบางผิวขาวจัดจนแทบจะซีดเผือกทว่าเมื่อถูกกระตุ้นไม่ว่าจะทางวาจาหรือการกระทำก็เป็นผลให้แทบจะทุกตารางนิ้วบนเรือนร่างขึ้นสีเรื่อให้เห็นจะๆ ตา    ใบหน้าสวยเด่นแต่กลับดูเย่อหยิ่งเครียดขรึมไร้ชีวิตชีวาปะปนไปกับความเย็นชาด่ำลึกราวกับเสพติดความเศร้าซึ่งนั่นสามารถดึงดูดความเห็นใจได้อย่างง่ายดายเมื่อเปลี่ยนเป็นใบหน้าเปื้อนรอยน้ำตา  ดวงตาคู่สวยแม้จะเล็กรี ทว่ากลับฉาดฉายความต้องการได้ชัดเจน ทั้งชอบ ไม่ชอบ โกรธ เกลียด หรือในช่วงเวลาที่มีความต้องการอย่างมากล้นนั่นทำให้เขายิ่งรู้สึกหวงแหนร่างนี้มากยิ่งขึ้น 



“ดอทหนีมานานแล้วครับ ถึงเวลาที่ต้องสู้ด้วยตัวเองซะที” ริมฝีปากบางเผยยิ้มออกมาพยายามสื่อสารให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าไม่ต้องเป็นห่วง

“ดอทมีเฮียเสมอนะ ตราบเท่าที่ดอทยังต้องการ เฮียจะอยู่ข้างดอทไม่ทิ้งไปไหนแน่นอน”  เผ่าพงศ์บอกออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง

“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มมองใบหน้าหล่อคมที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังอาลัยอาวรณ์และห่วงใยตน ต่างจากก่อนหน้าราวฟ้ากับเหว

ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตนะครับ



ชนม์แดนตัดใจลงจากรถ เดินเข้าบ้านและอยู่รอเผชิญหน้ากับเจ้าสัวแดนสรวงที่สั่งคนรับใช้ให้กำชับลูกชายอยู่รอการชำระความทันทีที่กลับมาถึงบ้าน


“มาแล้วเหรอไอ้ตัวดี” ผู้เป็นพ่อชี้หน้าทันทีที่พบลูกชายยืนรออยู่ด้วยสีหน้าอวดดี “ฉันจะตัดเงินค่าขนมแกสองเดือนเพื่อทำโทษ”

“ครับ” ชนม์แดนตอบรับคำเพียงแค่นั้นแล้วเดินขึ้นบ้านทันที สร้างความงุนงงให้กับผู้เป็นบิดาที่อ้าปากค้างมองตามร่างน้อยที่ดูเหมือนจะอิดโรยแทบจะเดินไม่ไหวจนต้องปล่อยให้ไปพักเสียก่อน

ไม่อยากได้หรอกเงินของป๋าน่ะ ดอทจะหาเงินด้วยตัวเองไม่พึ่งป๋าแม้แต่บาทเดียว!




วิธีต่อสู้ของชนม์แดนก็คือยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง และในสองเดือนนี้เด็กหนุ่มก็ทำได้ด้วยการของานพิเศษที่ได้เงินจากอาจารย์โดยท่านก็เมตตาส่งไปทำงานที่ห้องเสื้อของเพื่อนซึ่งได้เงินมาทดแทนค่าขนมค่าข้าวในแต่ละวัน รวมถึงเฮียเผ่าที่โอนเงินมาให้เสมอเดือนละสามสี่พันก็เหลือค้างในบัญชีแบบสบายๆ


เมื่อนึกถึงเผ่าพงศ์ เด็กหนุ่มก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะดีกับตนมากมาย ดีจนลืมไปเลยว่าเขาเคยร้ายกาจขนาดไหน แต่ในสถานการณ์อึมครึมในชีวิตกลับทำให้เหนื่อยหน่ายเกินกว่าที่จะตอบรับการนัดพบของเขา นั่นทำให้ทั้งคู่ไม่ได้ทำรักกันอีกนับตั้งแต่ครั้งนั้น


“คืนนี้ดอทมานอนกับเฮียนะ เฮียคิดถึงจัง”  เขาโทรมาอ้อนแบบนี้เสมอแต่ก็ถูกปฏิเสธไปทุกครั้ง

“ถึงไม่มีดอทเฮียก็ไปกับคนอื่นอยู่แล้วนี่ครับ” ชนม์แดนบอกไปด้วยเสียงแผ่วเบา ทำไมจะไม่รู้ว่าเผ่าพงศ์ไม่เคยหยุดมีคนนั้นคนนี้ ทั้งชายและหญิงไม่เคยซ้ำหน้า

“พวกนั้นก็เป็นได้แค่ทางผ่าน แต่กับดอทมันไม่เหมือนกันนะ เฮียคิดถึงดอทแค่คนเดียวถ้าดอทมาอยู่ด้วยเฮียจะหยุดทุกอย่างจะเลิกกับทุกคนเลยนะเฮียสัญญา” เขาพร่ำหว่านล้อมจนชนม์แดนแทบจะใจอ่อน

แต่ไม่ได้หรอกเฮีย ในชีวิตดอทยังมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความสุขนั่นก็คือ การทำให้ป๋าได้รู้ว่า..เงินของป๋าไม่ได้มีความจำเป็นสำหรับดอทแม้แต่น้อยและถึงแม้ว่าป๋าจะไม่ดูดำดูดีลูกคนนี้เลยแต่ดอทจะรวย จะประสบความสำเร็จด้วยตัวเองให้ได้ ดอทจะพิสูจน์ให้ป๋าได้เห็น!!

“เอาไว้ดอทว่างแล้วจะโทรหานะครับ แค่นี้ก่อนนะ ดอทมีงานล้นมือเลย” พูดจบชนม์แดนก็ตัดสายไปดื้อๆ

เผ่าพงศ์โทรมาอีกหลายครั้งแต่คนใจแข็งก็ไม่ได้รับเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายจะดื้อดึงแบบนี้ในตอนแรกๆ แต่พอสักพักเขาก็ถอดใจแล้วหายไปพักใหญ่จากนั้นก็จะโทรมาตื้ออีก เป็นอย่างนี้จนเด็กหนุ่มจับทางได้แล้ว



วันนี้เลิกงานพิเศษค่อนข้างช้าเพราะจะมีงานเดินแฟชั่นของห้องเสื้อในวันพรุ่งนี้ กว่าจะช่วยจัดเซ็ตเสื้อผ้าได้ครบก็ทำเอาร่างน้อยถึงกับหมดแรง

ชนม์แดนเดินออกมาจากห้องเสื้อเพื่อไปยังจุดนัดพบกับนายเวชคนขับรถตรงหลังตึก แต่พอเดินเลี้ยวเข้าซอยก็เจอเข้ากับมอเตอร์ไซค์คันใหญ่จอดอยู่ในระยะสายตาและก่อนที่จะไหวตัวทัน ร่างสูงที่คุ้นเคยก็ปราดเข้ามาประชิดทันที

“พี่นึกว่าชาตินี้จะไม่เจอกันแล้ว”

“พ..พี่เวย์!!”

หัวใจเต้นระส่ำเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาได้ชัดถนัดตา เลือดในกายอุ่นขึ้นเพียงเพราะได้เจอเขาอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปนานร่วมสองเดือน  ชนม์แดนเบิกตามองร่างสูงที่ค่อนข้างซูบโทรมกว่าที่เคยเห็นอยู่ครู่หนึ่งแต่แล้วก็รีบหลบตาวูบด้วยความรู้สึกผิดและกระดากอายในความประพฤติของตน

“ทำไมหลบหน้าพี่ล่ะครับ เบอร์โทรก็เปลี่ยน ไลน์ก็ไม่อ่าน ไปที่บ้านก็ไม่เคยเจอ พอเลิกเรียนก็รีบขึ้นรถของที่บ้านแล้วมาทำงานเลย นี่ถ้าพี่ไม่หน้าด้านสะกดรอยตอนน้องออกจากโรงเรียนก็ไม่รู้หรอกว่าน้องมาทำงานที่นี่”  คำถามที่พรั่งพรูออกมายืดยาวเพราะความอัดอั้น

อนุชาเฝ้าคิดหาเหตุผลอยู่ทุกขณะจิตว่าเหตุใดคนที่เขาคิดว่าน่าจะใจอ่อนยอมเปิดใจให้เขาแล้วกลับมาหลบหน้าหายไปจากชีวิต ทั้งห่วง ทั้งไม่เข้าใจ และน้อยใจเสียใจระคนปนเปจนไม่เป็นอันกินอันนอน

“ค..คือ คือช่วงนี้ต้องทำงานเยอะครับ นี่น้าเวชก็รอนานแล้ว น้องไปก่อนนะ” ชนม์แดนเดินเลี่ยงและพยายามจะออกห่างจากอนุชาให้เร็วที่สุด

ไม่กล้าสู้หน้าพี่เวย์เลยครับ ร่างกายน้องมันสกปรกเกินไปไม่คู่ควรกับคนดีๆ อย่างพี่เวย์หรอก

“เดี๋ยวสิดอท” มือแกร่งคว้าจับต้นแขนเล็กไว้ได้แล้วดึงเข้าหาตัว

!!!!!!??

ร่างบางสะท้านเฮือกทันทีที่ปะทะเข้ากับอกแกร่ง รู้สึกถึงคลื่นความถี่ที่สั่นสะเทือนอยู่ในกระแสเลือดจนแทบจะระทวยทรุดลงตรงนั้น

“ป..ป ล่ อย..ครับ” เสียงที่ขาดห้วงเกิดจากความผิดปกติภายในร่างกายโดยเฉพาะความร้อนรุมตรงที่มือหนาสัมผัสอยู่

“ทำไมน้องตัวสั่นแบบนี้ล่ะครับ ไม่สบายเหรอ” ยิ่งอนุชาก้มเข้ามาใกล้มากแค่ไหน ร่างน้อยก็ยิ่งมีปฏิกิริยามากขึ้นเท่านั้น

“น้ อง ม..ไม่ ไ ด้ เป็นอะไร..” ยิ่งนานเสียงก็ยิ่งกระท่อนกระแทนพร้อมกับลมหายใจขาดห้วงเป็นพักๆ

“น้องไปโรงพยาบาลเถอะ แบบนี้ไม่ปกติแล้วนะ!” มือหนาที่พยายามลูบแขนลูบไหล่เพื่อปลุกปลอบยิ่งทำให้อาการผิดปกติประทุมากยิ่งขึ้น

ป..เป็นอะไร!? ร่างกายบ้านี่เป็นอะไรกันแน่ถึงได้มีความต้องการมากถึงขนาดนี้!


ชนม์แดนรวบรวมกำลังที่มีทั้งหมดผลักหน้าอกอนุชาออกจากตัว

“เลิกยุ่งกับผมเสียที! ตอนนี้ผมมีแฟนแล้วและอยากให้มีแค่แฟนคนเดียวที่มาแตะต้องตัวผมได้  พี่เวย์ตัดใจซะเถอะอย่ามากวนใจผมอีกเลย” สรรพนามที่เปลี่ยนไปพร้อมกับคำร้ายกาจที่พรั่งพรูใส่หน้าอีกฝ่ายทำให้รู้สึกเสียใจมากว่าครั้งไหนๆ เสียใจที่ต้องทำให้คนดีดีเสียความรู้สึก เสียใจที่จากนี้ไปคงเสียผู้ชายคนนี้ไปตลอดกาล

“น้อง!?..ดอท..” ร่างสูงแทบจะล้มทั้งยืน มือหนาหลุดออกจากร่างบางและตกลงข้างตัวหลังจากประมวลผลประโยคก่อนหน้าของอีกฝ่ายจนเข้าใจอย่างถี่ถ้วน

“ลาก่อนครับพี่เวย์” ชนม์แดนเดินผ่านเขามาอย่างไม่มีเยื่อใย ไม่หันหลังกลับไปมองว่าสภาพของอนุชาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร

สองเท้านี้ที่ก้าวไปข้างหน้าแล้วจะไม่มีวันถอยหลังกลับอย่างเด็ดขาด

ลืมน้องเถอะนะพี่เวย์ น้องไม่คู่ควรกับคนดีอย่างพี่หรอกครับ




กว่าที่ร่างกายจะปรับตัวให้กลับมาปกติได้ดังเดิมก็เกือบจะถึงบ้าน ระหว่างทางแวะร้านสะดวกซื้อแล้วดื่มนมอุ่นๆ และอาหารเบาๆ พอให้ท้องไม่โหวงจึงเริ่มหายใจได้เป็นปกติ

“ครบกำหนดที่แกจะได้ค่าขนมเหมือนเดิมแล้ว อยากจะได้เพิ่มจากเดิมไหม”  เจ้าสัวแดนสรวงมาดักรอเจอลูกชายและบอกข่าว หวังไว้ว่าคงทำให้เจ้าเด็กหัวดื้อมันอ่อนลงมาบ้าง

ตั้งแต่เรื่องครั้งนั้นชนม์แดนก็แทบไม่อยู่ให้ที่บ้านเจอตัว เงินก็ไม่ขอแม้แต่คุณรุ่งฤดีเองที่พยายามจะให้เงินแต่ลูกชายก็ไม่ยอมรับ

“ไม่ต้องครับ” ชนม์แดนตอบด้วยสีหน้านิ่งขรึมเย็นชา  ในใจนึกสมเพชตัวเองว่าหากนี่คือการง้อของผู้เป็นพ่อ มันช่างเป็นการง้อที่ฉาบฉวยเกินกว่าจะทำใจรับได้

เงินเหรอ..

นอกจากเงิน ป๋าก็ไม่เคยให้อะไรอีก ความอบอุ่น ความห่วงใย ความใส่ใจ โดยเฉพาะความรักนั้นอย่าได้หวัง

“งั้นก็เอาเท่าเดิม”  ผู้เป็นพ่อสรุป

“ไม่ใช่ครับ คำว่า ‘ไม่ต้อง’ ของดอทหมายถึง..จากนี้ไปป๋าไม่ต้องให้ค่าขนมรวมถึงค่าเทอมและค่าอื่นๆ ด้วย” ชนม์แดนบอกอย่างมาดมั่น เชิดหน้ามองอีกฝ่ายด้วยแววตาแข็งกร้าว

“นี่แกคิดว่าปีกกล้าขาแข็งแล้วเหรอตาดอท” เจ้าสัวเริ่มเสียงดังขึ้น

“เปล่าครับ ดอทแค่อยากให้ป๋ารู้ว่าดอทสามารถยืนได้ด้วยตัวเองไม่ต้องพึ่งเงินป๋าให้อยู่รอด ดอทจะพิสูจน์ให้ป๋าเห็นว่าลูกที่ป๋าไม่เคยชื่นชมจะประสบความสำเร็จในชีวิตให้ได้” ดวงตาเรียวรีเบิกขึ้นจ้องเขม็งอย่างไม่เกรงกลัว

“หึ..ไอ้ประสบความสำเร็จของแกน่ะ เอาอะไรวัดล่ะ” ผู้เป็นพ่อทำสีหน้าดูถูก นึกเคืองใจในความจองหองของผู้เป็นลูก

ถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจ มีอะไรแม่ก็ประเคนเข้าข้างทุกอย่างถึงได้จองหองพองขนขนาดนี้ แม้แต่ครั้งก่อนที่เกือบฆ่าเจ้าดินน้องชายของตัวเองตายก็ยังไม่เคยมีสำนึกอะไรแม้แต่น้อย คุณรุ่งฤดี! คุณเลี้ยงลูกผมให้เป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน!

“ห้าสิบล้าน!” ชนม์แดนตอบอย่างฉะฉาน “ดอทจะเก็บเงินห้าสิบล้านให้ป๋าดู แล้วถ้าถึงวันนั้น ป๋าก็เตรียมคำชมไว้ให้ดอทบ้าง ขอแค่ครั้งเดียวในชีวิตที่ดอทจะได้รับคำชมจากป๋า ดอทขอแค่นี้” แล้วร่างบางก็เดินเลี่ยงขึ้นบ้านก่อนจะปล่อยน้ำตาให้ไหลนองหลังจากพ้นมาจากผู้เป็นพ่อแล้ว

แม้หัวใจจะบีบรัดอย่างหนักจนขาแทบไม่มีแรงก้าวเดินที่คนเป็นพ่อไม่มีแม้แต่คำทัดทานหรือคำใดคำหนึ่งให้รู้ว่าที่ผ่านมาพ่อก็แอบชื่นชมลูกอยู่ในใจหรืออะไรเทือกนี้

แต่ช่างเถอะ..ลูกที่พ่อไม่รักคนนี้จะทำตามที่พูดไปให้ได้ จะเอาคำชมจากป๋าไม่ว่าเขาจะเต็มใจให้หรือไม่ สักวันป๋าจะต้องมองเห็นว่าดอทก็เป็นลูกคนหนึ่งเหมือนกัน



13 ปีผ่านไป เด็กหนุ่มเติบโตขึ้นในแบบที่ตนยึดมั่นจนประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจด้วยวัยเพียง 28 คิดอยู่เสมอว่าเส้นทางที่ก้าวเดินนั้นดีที่สุดแล้วเท่าที่จะทำได้  ทิฐิที่ค้ำคอไม่ได้ทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้นแต่มันเป็นดั่งขุมพลังงานใหญ่ที่ช่วยหล่อเลี้ยงให้ยังหยัดยืนและผ่านพ้นไปได้ในแต่ละวัน

ถึงแม้ว่าภรรยาน้อยของเจ้าสัวแดนสรวงจะเสียชีวิตไปแล้วเกือบสิบปีและลูกชายของเธอก็ขอย้ายออกไปอยู่ตามลำพังตั้งแต่เข้าเรียนชั้นมัธยม ทว่าความสัมพันธ์ของครอบครัวที่แตกร้าวไปแล้วก็ไม่สามารถเชื่อมประสานได้ดังเดิม

แต่สิ่งที่ทำให้เจ็บปวดไม่ใช่แค่เรื่องของครอบครัวเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เมื่อคนที่ชนม์แดนรับเข้ามาให้อยู่ในฐานะคนรักกลับทำให้โลกสีเทากลายเป็นสีกระดำกระด่างเพราะความเจ้าอารมณ์ของเขา


เพี้ยะ!!

ร่างบอบบางกระเด็นลงไปกองบนเตียงทันทีที่เผ่าพงศ์สะบัดหลังมือฟาดลงมาเต็มหน้า

“เฮีย! หยุด! เฮีย!!” พยายามเรียกสติสัมปชัญญะให้กลับเข้าร่างของอีกฝ่าย “เฮีย!!! นี่ดอทนะเฮีย!!”  ร้องบอกอีกครั้งเพื่อเตือนสติเมื่อเห็นว่าปีศาจในร่างของเผ่าพงศ์กำลังตามมาคร่อมแล้วเงื้อมือขึ้นจะซ้ำอีก

"เฮีย.. ตั้งสติหน่อย" หยาดน้ำตาแห่งความเจ็บปวดเริ่มรินไหล  นานแค่ไหนแล้วที่พยายามร้องเรียกจนคอแทบจะพังจนไม่อยากจะดิ้นรนอีกต่อไป ปล่อยให้เขาทารุณเสียให้พอใจก็คงจะสาสมแล้ว อย่างหนักสุดก็แค่ตาย ชีวิตนี้ก็ใช่ว่าจะมีความสุขสักหน่อย ตายไปเสียน่าจะดีกว่า

แต่แล้วร่างสูงก็เริ่มชะงักและนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มได้สติกลับมาเป็นเผ่าพงศ์ผู้แสนดีคนเดิม

“!!!!?...ด..ดอท!!”

ร่างหนารีบประคองผู้เป็นที่รักขึ้น และเมื่อเห็นว่ามีเลือดซึมออกมาตรงมุมปากจึงพยายามจะตรวจดูบาดแผลแต่มือหนาก็ถูกปัดทิ้งเพราะอีกฝ่ายยังปรับความรู้สึกไม่ได้

เป็นอีกครั้งที่ถูกทำร้าย..

ครั้งนี้ก็เจ็ดครั้งแล้วในระยะเวลา 13 ปี   มันไม่ควรจะเกิน 3 ครั้งด้วยซ้ำเพราะคาดโทษเอาไว้ตั้งแต่ที่มันเกิดขึ้นในครั้งแรก ทว่าก็ใจอ่อนยอมให้อภัยมาถึงครั้งนี้  ที่อดทนมาตลอดก็เพราะความดี ระยะเวลาที่คบกันและความเสมอต้นเสมอปลาย แต่เหตุผลสำคัญที่สุดก็เพื่อจะได้ตัดปัญหาเรื่องรักครั้งใหม่ ไม่อยากเริ่มต้นกับใครอีกแค่อยากอยู่ไปเรื่อยๆ แบบนี้จนกว่าจะเก็บเงินครบ..ห้าสิบล้าน

“เฮียขอโทษครับเฮียลืมตัวสติหลุด ดอทอภัยให้เฮียนะ”

“กี่ครั้งแล้วเฮีย! กี่ครั้งที่ทำแบบนี้กับดอท  จะให้ดอทอภัยอีกสักกี่ครั้งเฮียถึงจะเลิกทำแบบนี้!!” น้ำตาร่วงลงอาบแก้มเนียน หมดเรี่ยวแรงหมดความหวังว่าชีวิตที่เคยคิดว่าจะดีแต่ก็ต้องมากลายเป็นแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า

“ขอโทษ เฮียขอโทษ เฮียหน้ามืดไปหน่อยแต่ดอทก็รู้เวลาเฮียโมโหแล้วอารมณ์รุนแรง ดอทไม่น่าเข้ามาหาเฮียเลยนี่ครับ” สีหน้าของเขาถึงแม้จะเห็นได้ชัดว่ารู้สึกผิดแต่คำพูดก็ยังเหมือนเป็นการผลักความผิดไปให้ผู้ถูกกระทำอยู่ดี

“อารมณ์ของเฮีย เฮียก็ต้องควบคุมเองสิ ดอทผิดเหรอที่เป็นห่วง ลูกน้องเฮียมันมาตามดอท บอกว่าเฮียอาละวาดใส่ทุกคนแถมยังปาแก้วปาข้าวของทั่วห้องไปหมด แล้วดูที่เท้าเฮียนั่นน่ะมีแต่เลือด แบบนี้จะไม่ให้ดอทเป็นห่วงจนต้องเข้ามาห้ามเหรอ!”  พูดไปด้วยเสียงอันสั่นเครือพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลเป็นสาย ริมฝีปากบางสั่นระริกด้วยความเสียใจและผิดหวังในตัวคนรัก

“เฮียรู้ว่าดอทห่วง เฮียไม่ได้โทษว่าดอทผิดที่เข้ามา แค่ไม่อยากให้ดอทเข้ามาตอนที่เฮียอารมณ์ไม่ดีจะได้ไม่โดนลูกหลง” ร่างหนาพยายามจะเข้าโอบกอดทว่าอีกฝ่ายก็ยังผลักไสไม่ยินยอม

“ความห่วงใยมันไม่ควรถูกห้ามนะเฮีย แต่ความไม่มีเหตุผล ความไร้สติต่างหากที่ควรห้าม” 

“เฮียเข้าใจแล้วครับ จะไม่ให้เกิดแบบนี้อีกแล้ว”  ร่างสูงเข้าโอบรัดแต่ก็ถูกดันออกอีกครั้ง

“ครั้งที่แล้วเฮียก็พูดแบบนี้ ขนาดทำให้ดอทเข้าโรงพยาบาลเพราะกระดูกแขนร้าวแต่เฮียก็ยังทำอีก” ชนม์แดนเดินหนีเพราะนึกถึงความผิดหลายๆ ครั้งแล้วเจ็บจุกขึ้นมาเมื่อคิดว่าน่าจะเลิกกันไปตั้งแต่นานแล้วด้วยซ้ำ

“ครั้งนี้เข็ดแล้วจริงๆ ดอทจะให้เฮียทำยังไงก็ได้ เฮียยอมทุกอย่าง ยกโทษให้เฮียเถอะนะ” ร่างสูงรีบเดินไปขวางแล้วคุกเข่าลงกับพื้นกอดรวบเรียวขาทั้งสองข้างเอาไว้ไม่ให้เดินหนีได้อีก  เขาซบหน้าลงบนหน้าท้องแบนราบแล้วนิ่งงันเหมือนรอรับการลงโทษแต่โดยดี


ความเงียบโรยตัวครอบงำคนทั้งคู่เอาไว้ บรรยากาศกดดันหนักเพราะความผิดที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ทำให้ทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำต่างเจ็บช้ำกันไปคนละแบบ  ฝ่ายหนึ่งนึกโมโหและคาดโทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุให้คนที่ตนรักต้องเจ็บตัวอีกทั้งยังหวาดหวั่นว่าจะถูกชำระโทษด้วยการเสียคนรักไป   อีกฝ่ายนั้นเหนื่อยหน่ายและเจ็บปวดทรมานทั้งร่างกายและจิตใจจนอยากจะหนีไปให้ไกล ไกลจนไม่ต้องมีใครหาเจอ

ชนม์แดนได้แต่หันหน้าหนีไม่อยากมอง รู้สึกผิดหวังจนหมดศรัทธาเลยก็ว่าได้เมื่อนึกย้อนไปเคยถูกตบตีหนักถึงขนาดสลบไปเลยด้วยซ้ำ

ดอทควรทำยังไงกับเฮียดี..


นานทีเดียวที่หลับตาครุ่นคิดว่าจะตัดสินใจอย่างไร ต่อเมื่อลืมตาแล้วก้มมองลงไปเห็นฝ่าเท้าของเขาแดงฉานไปด้วยเลือดจึงค่อยๆ ดึงร่างสูงขึ้นมา

ในทีแรกเผ่าพงศ์ไม่ยอมขยับจนร่างบางออกแรงดึงมากขึ้นเขาจึงยอมเดินไปที่เตียง

“จะทำแผลให้” มือเรียวดันร่างสูงให้นั่งลงบนเตียงแล้วเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลจากตู้เก็บของ

“ดอทยกโทษให้เฮียแล้วใช่ไหม” ในดวงตาคู่คมสะท้อนความความหวังและความเสียใจอย่างสุดซึ้ง เห็นแบบนี้แล้วยิ่งเจ็บ

“ดอทไม่รู้นะว่ามันเป็นการยกโทษหรือเป็นการเพิ่มโทษกันแน่ เพราะถ้ามันเกิดขึ้นอีก ดอทจะไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียวแต่จะเดินออกไปจากชีวิตเฮีย ไปให้ไกลจนเฮียตามหาไม่เจอ”

“ครับๆ เฮียรับรอง ไม่ทำแล้ว” ร่างหนาจะโผเข้าไปกอดแต่ถูกกล่องปฐมพยาบาลกันไว้จนต้องเอนตัวกลับไป

ชนม์แดนลงไปนั่งบนพื้นแล้วยกปลายเท้าที่เปรอะไปด้วยเลือดของเขาขึ้นมาแล้วเริ่มทำแผล

“แล้วครั้งนี้โมโหอะไรเหรอครับ เรื่องงานหรือเรื่อง..” อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองหน้าคนรักด้วยสายตาว่างเปล่า “หรือเรื่องอื่น”

โดยปกติชนม์แดนไม่ใช่คนพูดมากอยู่แล้ว ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่พอใจก็แทบไม่พูดอะไรเลยจึงทำให้อีกฝ่ายค่อนข้างเกรงใจอยู่พอสมควร จะมีก็แต่เรื่องงานเท่านั้นที่ร่างบางจะค่อนข้างจู้จี้และเฉียบขาด

“เอ่อ..” สีหน้าของเผ่าพงศ์ดูอึดอัดจนอีกฝ่ายต้องพูดแทรก

“เรื่องสกายเหรอครับ”

“ค..คือ..จะว่าใช่ก็ใช่นะ แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว” ร่างสูงลอบชำเลืองด้วยความเกรงใจที่จะต้องพูดเรื่องเด็กที่เขากำลังหมายตา “เมื่อช่วงบ่ายเฮียเจอสกายที่ล็อบบี้โรงแรมที่มันไปเดินแบบงานคุณอมรา เฮียทักทายมันดีๆ แล้วชวนกินข้าวแต่มันก็ปฏิเสธ แถมยังหักหน้าเฮียต่อหน้าคุณอมราอีก”

“แล้วไงครับ”

ผู้ถามไม่ได้เงยหน้ามองแต่จัดการกับแผลที่ค่อนข้างลึกเนื่องจากเหยียบเศษแก้วแต่ไม่ยอมดึงออกจนมันฝังลึกเข้าไปในเนื้อและมีเลือดไหลซึมออกมาไม่หยุด

“เฮียก็เลยหงุดหงิด พอมาถึงนี่ก็เลยให้พวกลูกน้อง.. เอ่อ.. พา..คู่ขาเก่ามาหา” เขาหยุดเล่าไปครู่หนึ่ง คิดว่าคงอยากเช็คสถานการณ์ แต่เมื่อเห็นว่าชนม์แดนไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรจึงเล่าต่อ “แต่ยัยนั่นดันปากเสีย เฮียก็เลยไล่ตะเพิดมันออกไป”

“เธอว่าไงล่ะครับ เฮียถึงได้โกรธขนาดขาดสติ”

“ก็มันประชดใส่เฮีย บอกว่าถ้ามีใครเอาเฮีย เฮียก็คงไม่เรียกมันมา”

ถึงตรงนี้ ใบหน้าสวยจึงเงยหน้าขึ้นจ้องมองเขาก่อนจะถามออกไป “แค่นี้ก็โกรธเหรอครับ”

“ดอทไม่เข้าใจหรอก เรื่องนี้มันเป็นปมในใจเฮียนะ”

“เฮียหมายถึงดอทที่ไม่มาอยู่กับเฮีย หรืออันที่จริง ดอทว่าเฮียคงเฮิร์ตจากสกายมากกว่า” ว่าแล้วก็ทำแผลต่อ ไม่อยากให้เขาได้เห็นแววตาว่ามันสั่นสะเทือนอย่างไม่ปกติ

ระยะเวลาที่คบกันไม่ใช่เดือนสองเดือนแต่มันมากกว่าสิบปี  ได้รับรู้มาตลอดว่าอีกฝ่ายมีใครต่อใครอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ใช้วิธีอดทนเพราะการที่รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาเป็นแบบนี้ การจะขอให้เขาเปลี่ยนนั่นคงเป็นไปได้ยากจึงคิดว่าเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียดีกว่า

“เฮียจะไม่โกหกดอทนะว่ามันเป็นทั้งสองความรู้สึก แต่กับดอทมันมากกว่า มากๆ” เผ่าพงศ์เอื้อมมือไปจับต้นแขนจนอีกฝ่ายต้องเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง “เฮียรักดอทนะ อยากให้ดอทมาอยู่ด้วย”

“มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ อย่างน้อยก็คงไม่ใช่เร็วๆ นี้” หนุ่มหน้าสวยลุกขึ้นเมื่อทำแผลให้เขาเสร็จแล้ว “งั้นดอทกลับเลยนะครับ” 

“อยู่กับเฮียก่อนสิ คืนนี้ค้างกับเฮียนะ นะครับ” ทั้งน้ำเสียงทั้งแววตา ดูเหมือนกับว่าถ้าร่างบางไม่อยู่กับเขาคืนนี้ เขาก็จะอาละวาดอีกแน่ๆ  ชนม์แดนจึงพยักหน้าตอบรับไปเนือยๆ  “งั้นเราไปนอนบ้านเฮียนะ  ไปบ่อยๆ พวกนั้นจะได้รู้ว่าดอทคือตัวจริงของเฮีย”

เผ่าพงศ์แสดงสีหน้าราวกับเด็กน้อยได้ขนมทำให้อีกฝ่ายไม่อาจปฏิเสธออกไป

เฮียรักดอทมากและอาจจะมากกว่าที่ดอทรักเฮียก็ได้ แต่มันมีเหตุผลหลายอย่างที่ไม่อาจยกใจให้เฮียได้ทั้งหมด อย่างน้อยก็ต้องเผื่อไว้ครึ่งใจเพราะกลัวความเจ็บปวด..

ดอทจะไม่ยอมเป็นเหมือนคุณแม่ที่รักป๋าจนล้นใจ ไม่ยอมเป็นคนที่ต้องรอ ไม่ยอมเสียใจครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่อย่างเดียวดาย

ไม่มีทาง..




ชนม์แดนเคยมาที่บ้านของเผ่าพงศ์ครั้งนี้เป็นครั้งที่ห้า ซึ่งไม่มีครั้งไหนเลยที่ประทับใจรวมถึงครั้งนี้ด้วย

“ดอทไม่ต้องไปสนใจตั่วอี๊นะ ปากไม่ดีไม่มีหูรูด” ร่างสูงรีบเข้ามาช่วยแต่งชุดนอนทันทีที่คนรักอาบน้ำเสร็จ

เขาพูดถึงป้าที่คอยใส่ไฟเป่าหูคุณปู่ตอนที่ทั้งคู่นั่งรับประทานอาหารค่ำพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว โดยที่ป้าของเขาพูดประมาณว่าจะหวังให้หลานอย่างเผ่าพงศ์สืบสกุลคงไม่ได้แล้วเพราะกลายเป็นพวกวิปริตผิดเพศ พูดเหมือนกับว่าชนม์แดนเป็นคนชักจูงหลานของเธอให้กลายเป็นชายรักชายซึ่งก็ได้แต่เงียบและทานอาหารไปโดยไม่ได้โต้เถียงใดๆ

“ดอทฟังไม่ออกหรอกครับ คนบ้านเฮียพูดภาษาไทยไม่ชัดสักคน”

“ฮ่าๆๆๆ” ร่างสูงหัวเราะเสียงดังแล้วประคองร่างเล็กไปที่เตียงนอน “เฮียโชคดีที่สุดเลยรู้ไหมที่มีดอทเป็นแฟน”

ชนม์แดนไม่ได้ตอบแต่มองเขานิ่ง ไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรด้วยซ้ำ

“ยังเจ็บอยู่ไหม” มือหนาเอื้อมมาจับที่แก้มซ้ายขวาซึ่งตอนนี้มันเริ่มตึงๆ และผนังปากด้านในบวมขึ้นมาค่อนข้างมาก

“ไม่เจ็บเท่าที่ใจหรอกครับ” บอกไปด้วยสีหน้าเรียบๆ ปกติก็โกรธง่ายหายเร็วอยู่แล้ว แค่อยากตอกย้ำให้เขารู้ว่าไม่ควรทำอีก

“โธ่ดอท เฮียขอโทษนะครับ ให้เฮียไถ่โทษนะ ดอทจะเอาอะไรบอกมา เฮียจะหามาให้”

ในเมื่อดอททิ้งเฮียไม่ได้ ก็คงต้องทำใจละนะ

“ถ้างั้น..งานเดินแบบปลายปี ดอทขอเครื่องเพชรที่สวยที่สุด ดีที่สุดของเฮียมาเดินแบบนะครับ แล้วก็ห้ามปฏิเสธด้วย” รอยยิ้มอ้อนตามด้วยสายตาคาดโทษทำให้อีกฝ่ายหลุดยิ้มแล้วโยกศีรษะเล็กเบาๆ

“ก็เป็นซะอย่างนี้ ไม่เคยจะเอาอะไรจากเฮียนอกจากยืมเครื่องเพชรหรือมากสุดก็ให้ช่วยร่วมหุ้นในโมเดลลิ่ง ถามจริงๆ ว่าดอทจะหาเงินเองทำไมในเมื่อเฮียมีเป็นหมื่นล้าน จะให้ดอทมากกว่าห้าสิบล้านที่ดอทสัญญากับป๋าของดอทก็ยังได้”

หนุ่มหน้าสวยได้แต่ยิ้มเย้ยความเจ็บแปลบในหัวใจ

“มันคงจะสะใจกว่าถ้าดอทเอาบัญชีเงินฝากห้าสิบล้านที่ดอทหามาได้ด้วยตัวเองไปให้ป๋าดู”

“ดอทเจ็บช้ำจากป๋ามานานแค่ไหนแล้ว แต่เฮียก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ย้ายออกมาอยู่กับเฮียให้รู้แล้วรู้รอดจะได้ไม่ต้องเจอหน้าเขาให้เจ็บปวด”

“แล้วทิ้งคุณแม่ให้ร้องไห้คนเดียวน่ะเหรอครับ ดอทไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก” ร่างบางบอกพร้อมกับกลืนก้อนสีดำลงคอก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “เฮียไปอาบน้ำได้แล้ว ระวังแผลเปียกด้วยนะ”

“ดอทไม่อาบให้เหรอ”

“ไม่ครับ คืนนี้ทำโทษ ห้ามเฮียทำอะไรดอทเด็ดขาด ไปอาบน้ำครับ ไปปป” ว่าแล้วก็เข็นร่างหนาไปเข้าห้องน้ำจนได้




ต่อโพสต์ล่าง..อีกนิดหน่อย ใส่ไม่พอจริงๆ ขอโทษด้วยค่ะ



ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
ระหว่างที่รอก็จัดการตารางงานของเด็กในโมเดลลิ่งซึ่งตอนนี้งานค่อนข้างเยอะเพราะเด็กแต่ละคนคัดมาอย่างดี  พรวิเศษอย่างหนึ่งที่ชนม์แดนรู้สึกขอบคุณสวรรค์นั่นก็คือดวงตาอันเฉียบคม มองใคร ปั้นใครไม่เคยพลาด ทุกคนเป็นที่ต้องการทั้งนายแบบและนางแบบ  ส่วนห้องเสื้อก็ไปได้เรื่อยๆ ไม่ได้โด่งดังเป็นพลุแตกเพราะตนเองไม่ชอบออกสังคมแต่ก็จะมีพวกไฮโซหรือดารามาอุดหนุนไม่ขาดเนื่องด้วยดีไซน์เสื้อผ้าได้เรียบหรูดูดีจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว

“สกาย..”  เปรยชื่อเด็กในสังกัดคนนี้ขึ้นมาเพราะพรุ่งนี้เขามีงานตั้งห้างาน ไม่รู้ว่าจะไหวหรือเปล่าเพราะงานด่วนเข้ามาจนรับแทบไม่ทัน แต่จะปฏิเสธงานไหนไม่ได้เลยเพราะเป็นเจ้าประจำของสกายทั้งนั้น ถ้าปฏิเสธไป เขาจะให้โอกาสคนอื่นและอาจเจอเพชรเม็ดงามจนไม่กลับมาเรียกหาสกายอีกซึ่งคงไม่ดีแน่ที่จะเป็นแบบนั้น

อย่างน้อยต้องปั้นสกายให้ดังที่สุดให้ได้ อยากให้ดังจนเข้าไปในวงการแสดงและเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศด้วยซ้ำ
เพราะอะไรน่ะเหรอ..


“คิดอะไรอยู่ หืม” เผ่าพงศ์แต่งชุดนอนเสร็จก็มายืนซ้อนด้านหลัง

“ดูคิวให้เด็กๆ อยู่ครับ” มือเรียวรีบปิดไอแพดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของอีกฝ่าย

“พรุ่งนี้สกายมีงานของเฮียด้วยนะ” ดวงตาคมส่องประกายวิบวับเมื่อพูดถึงเด็กในสังกัดของชนม์แดน

“..ครับ” ร่างบางลอบถอนหายใจแล้วพาเขาไปที่เตียง “นอนกันเถอะ”

“เฮียพูดจริงๆ นะดอท ถ้าเฮียได้สกายอีกแค่คนเดียว เฮียจะหยุดจริงๆ ถึงดอทจะไม่มาอยู่ด้วยแต่เฮียก็จะหยุดให้เองเลย”

คู่อื่นเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่คู่ของเผ่าพงศ์และชนม์แดนนั้นต่างออกไป  นานมาแล้วที่ชนม์แดนไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของเผ่าพงศ์จนทำให้เกิดความย่ามใจที่จะเล่าหรือพูดถึงคู่ขาออกมาอย่างลืมตัว

ใบหน้าสวยเผยยิ้มขมๆ ข่มความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้อย่างแนบเนียน

“ดอทก็ไม่ได้ห้ามนี่ครับ ก็แล้วแต่ความสามารถของเฮียเลย”

“ดอทไม่ห้าม แต่กันท่าเฮียนะ” ดูเหมือนว่าเขาจะรู้แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความลับอยู่แล้ว

“ไม่ได้กันท่าครับ ดอทแค่อยากให้เฮียเล่นตามกติกา ถ้าเฮียจีบติดเอง ดอทก็ไม่ก้าวก่าย แต่เฮียจ้องจะนอกเกมอันนี้ไม่โอเค” ว่าแล้วก็หนีขึ้นเตียงไปนอนซุกใต้ผ้าห่ม

“นอกเกมยังไง ก็แค่เลิกงานแล้วจะชวนไปดื่มต่อแค่นั้นเองนะ” ร่างหนาตามขึ้นมากอดนัวเนียจนร่างบางเริ่มสั่นสะท้าน

อาการแพ้สัมผัสยังคงเกิดขึ้นเป็นอยู่และวนกลับมาใหม่ แต่ชนม์แดนไม่เคยเปิดโอกาสให้ใครมาสัมผัสอยู่แล้วจึงไม่มีปัญหา แต่เรื่องที่มีอารมณ์ทางเพศรุนแรงและบ่อยครั้งก็ยังหาทางที่จะจัดการอะไรไม่ได้ อย่างดีที่สุดก็ใช้วิธีช่วยตัวเองซึ่งใครๆ ก็ทำแบบนี้ทั้งนั้น ไม่ได้แปลกสำหรับเพศชายอยู่แล้ว

“ไม่คุยเรื่องนี้แล้วครับ ดอทง่วงนอน พรุ่งนี้มีงานเยอะมาก” ว่าแล้วก็หันหลังให้ไม่อยากคุยเรื่องสกายอีก จะบอกว่าทำใจได้มันก็ไม่เชิง ไม่ได้ใจแข็งขนาดนั้น

ดอทก็เป็นคนนะ มีเลือดเนื้อ มีหัวใจ แฟนเอ่ยขอเด็กในสังกัดตรงๆ แบบนี้ทำไมจะไม่รู้สึก

“งั้นเฮียกล่อมนอนนะครับ”

แล้วการกล่อมนอนของเผ่าพงศ์ก็เกิดขึ้นและยาวนานจนเกือบรุ่งสาง

รู้อยู่แล้วว่ามาค้างด้วยขนาดนี้ไม่มีทางที่จะรอดมือคนหื่นไปได้ ซึ่งมาคิดดูก็ดีเหมือนกันที่ได้ปลดปล่อยเสียบ้าง แต่มันไม่ใช่แค่นั้นนี่สิ เช้าวันรุ่งขึ้นก่อนจะออกไปทำงานก็ถูกจัดให้อีกชุดใหญ่จนเดินแทบไม่ตรงทาง นี่เป็นสาเหตุที่ต้องพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด



“หยุดงานเถอะวันนี้ นะครับ นะดอทนะ” ขนาดมาส่งจนจะถึงหน้าห้องเสื้อแล้วแต่เผ่าพงศ์ก็ยังอ้อนไม่หยุด

“เฮียไม่รู้จักลิมิตเลยอะ บอกว่าวันนี้งานเยอะเฮียก็ไม่ฟัง”

“ก็ถึงได้บอกว่าให้หยุดงาน บอกพวกพนักงานให้จัดการแทนสิ นะๆ เฮียอยากอยู่กับดอทนานๆ” มือหนารั้งต้นแขนไว้เมื่อร่างบางทำท่าจะออกจากรถ

“ไม่ครับ วันนี้งานเยอะมาก งานใหญ่ทั้งนั้นเลยดอทต้องคุมเอง” ว่าแล้วก็แกะมือปลาหมึกออก “อย่าดื้อนะครับ เดี๋ยวไว้ค่อยเจอกันตอนค่ำ”

“แฟนเฮียนี่ใจแข็งไม่เคยเปลี่ยน โอเคๆ งั้นเจอกันที่งานนะ เฮียไปละ” ในที่สุดก็ยอมรามือ

“ขับรถดีดีนะครับ”

“เฮียรักดอทนะ” คำว่ารักของเผ่าพงศ์ที่มีให้ชนม์แดนนั้นมากมายเหลือเฟือพอให้ใช้ไปถึงชาติหน้า แต่ในคำว่ารักนั้นกลับพบเจอตำหนิมากมายหลายจุดซึ่งมันเป็นเรื่องกวนใจชนม์แดนมาตลอด

“ดอทก็รักเฮียครับ”  คำว่ารักที่ออกจากปาก เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าเป็นรักแบบไหน

รัก..มันต้องไม่มีเหตุผลสิ

แต่เวลาถามตัวเองว่าทำไมถึงรักเฮีย เหตุผลต่างๆ มันถึงพรั่งพรูออกมาราวกับจะสะกดจิตตัวเองว่าต้องรัก

แต่ก็ช่างเถอะ ปล่อยเบลอเรื่องเฮียไปก่อนเพราะมีเรื่องอื่นสำคัญกว่าให้ทำ


สกาย..

ฉันจะทำยังไงกับนายดีนะ




.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.


เฮียเผ่าเป็นคนรักที่เหมือนพ่อแม่รังแกฉัน
บทจะดีก็อุ้มโอ๋สปอยล์จนเกินเบอร์
แต่บทขาดสติก็ทำร้ายความรู้สึกแบบไม่เหลือชิ้นดี

แต่ทั้งนี้ทั้งนี้..ดอท..เลือกเอง

ขอบคุณบวกเป็ดและคอมเม้นท์ฮับ น่ารักที่สุด จ๊วบบบบ

 :mew1:

ออฟไลน์ chadcharin

  • ชอบแนวเคะแมน เมะแมน ปะทะกันหูยฟิน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
:m22: เข้ามาส่องค่ะ ติดตามเลยค่ะ แต่เราจิตใจไม่ค่อยแข็งแรง

 ขออย่าม่ามากนะคะ ฮือ  :monkeysad:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
นี่กลัวใจมากว่าอิตาเผ่าพงศ์จะเป็นพระเอกของพี่ดอทเพราะอยู่กันมานานเหลือเกินกลัวจะหนีกันไม่พ้นจริงๆ แต่เราก็ยังไม่ถอดใจหรอก ถ้าไม่นับพี่ดินน่าจะเหลืออีกสักคนนึงใช่มั้ยนายน้อยที่จะเข้ามา ขอคนดีๆให้พี่ดอทเถอะ แค่นี้ก็สงสารมากแล้ว

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
อิเฮียยยยยยยยย (เสียงสูง)  :katai1:
ดอททนอยู่กันได้ไงเป็นสิบกว่าปี
นอนกับคนอื่น ทำร้ายร่างกาย แถมพูดถึงคู่ขาคนอื่นต่อหน้าอีก โอยยย อย่าให้อิเฮียมันเป็นพระเอกเลยค่ะ รับไม่ได้ :hao5:

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ต อ น ที่ 3 :  ส ก า ย



เฮ้อออ
“ร่างจะพังอยู่แล้ว” บ่นกับตัวเองแล้วพยุงร่างสโลสเลเข้าออฟฟิศ

ตึกสำนักงานให้เช่าซึ่งห้องเสื้อของชนม์แดนมีพื้นที่ค่อนข้างมาก  ด้านหน้าเป็นช็อปเสื้อผ้าแบรนด์สวีทดอทสำหรับเสื้อผ้าแฟชั่นเรียบหรูผสมความหวานหรือเปรี้ยวก็แล้วแต่คอเล็กชั่น และแบรนด์ DOZZ ซึ่งเป็นพวกชุดสูทสุดหรูทั้งหญิงและชาย  ถัดมาจัดเป็นห้องออกแบบตัดเย็บซึ่งเป็นห้องทำงานหลักที่มีลูกน้องคนสนิทอีกสองคนส่วนอีกสองคนส่วนมากจะอยู่ที่ห้องเสื้อเสียมากกว่า   โซนถัดไปก็เป็นพื้นที่สำหรับโมเดลลิ่งที่มีห้องประชุมเล็กๆ ติดกับห้องเก็บและลองเสื้อผ้าสำหรับนายแบบและนางแบบ

“สวัสดีค่าคุณดอท เช้านี้มีประชุมโมฯ นะคะ” สาวประเภทสองชื่อบอลลูนซึ่งเป็นเลขาควบตำแหน่งผู้ช่วยดูแลโมเดลลิ่งเอ่ยทักทายด้วยจริตตุ๊งติ๊งตามรสนิยม

“ขอกาแฟแก้วนึงก่อนนะ แล้วเตรียมเอกสารให้ดอทเช็คก่อนประชุมด้วย”

“เอกสารวางบนโต๊ะค่ะ พี่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว” เธอขยิบตาให้แล้วเดินไปยังมุมห้องครัวเล็กๆ เพื่อชงกาแฟ

ร่างบางไม่ได้พูดอะไรอีก รีบเปิดแฟ้มเอกสารสำหรับการเข้าประชุมเช้านี้ไปเรื่อยๆ เมื่อกาแฟมาเสิร์ฟก็จิบกาแฟไปเรื่อยๆ จนตรวจสอบเสร็จ

“มีแก้แค่ของสกาย เพิ่มงานด่วนไปด้วยตามข้อมูลที่แทรกไว้” มือเรียวดันแฟ้มคืนให้พี่บอลลูนที่ยืนรออยู่

“เพิ่มงานเหรอคะ แต่วันนี้มีตั้ง 4 งานแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าวิ่งห้างานพี่บอลลูนว่า..”

“ตามนี้แหละครับ ดอทไปรอที่ห้องประชุมนะ”  ว่าแล้วก็ลุกออกไปไม่คิดจะรับฟังคำท้วงติงใดๆ อีก

ทำไมจะไม่รู้ว่าวิ่ง 5 งานมันจะเหนื่อยขนาดไหน  แต่จะทำยังไงได้ล่ะในเมื่อมันเป็นไฟท์บังคับ




ในห้องประชุม สกายมารออยู่ก่อนแล้ว เด็กหนุ่มอายุเพียงแค่ 20 ปีแต่ดูโตกว่าวัยเพราะใบหน้าที่เคร่งเครียดไร้รอยยิ้ม ความสูงที่โดดเด่น และเครื่องหน้าที่หล่อเหลาในแบบตะวันตก ทำให้สกายก้าวขึ้นมาเป็นนายแบบชื่อดังในเวลาแค่เพียงไม่กี่ปี

แต่นั่นมันยังไม่พอหรอก นายดังได้กว่านี้อีกถ้าเขาไม่ดื้อจนเกินไป


“จะไม่ยกมือไหว้หรือทักทายกันหน่อยหรือไง” จิกจ้องร่างสูงที่นั่งอยู่อย่างไม่พอใจ   กับเด็กในสังกัดคนอื่นๆ ชนม์แดนไม่ค่อยจู้จี้แต่กับสกายนั้นต่างไป

เขามีประวัติที่ไม่ค่อยจะดีนักจากคำบอกเล่าของน้าแจนซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ทางฝั่งของคุณแม่ทำให้รู้สึกอคติกับเขาอยู่มากพอสมควร เมื่อรวมเข้ากับความประพฤติของเจ้าตัว  มันก็ไม่ยากที่ทั้งคู่จะงัดข้อกันอยู่ในทีซึ่งฝ่ายชนะก็ไม่ใช่ใคร ในเมื่อฝ่ายนายจ้างนั้นถือไพ่เหนือกว่าจึงเป็นผู้ที่ทำให้เขาต้องพ่ายแพ้ไปเสียส่วนใหญ่

“ไม่ได้ระบุในสัญญา” คำตอบเชือดเฉือนกับใบหน้าไร้ความรู้สึกทำให้อารมณ์ของร่างเล็กเดือดขึ้นได้ไม่ยาก

แต่พอตั้งท่าจะตอกกลับก็ต้องระงับไว้เนื่องจากเด็กในสังกัดคนอื่นๆ กำลังทยอยเข้ามาและตามด้วยบอลลูนที่นำแฟ้มการประชุมมาให้  หนุ่มหน้าสวยเปิดดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้ถูกแทรกเข้าไปในเอกสารของสกายแล้วจึงพยักหน้าให้นำไปแจก

“วันนี้ขอเน้นย้ำภาพรวมของโมเดลลิ่งสวีทดอทอีกครั้งนะ ผมอยากให้พวกคุณทำงานอย่างมืออาชีพไม่ใช่เช้าชามเย็นชามรวมถึงมารยาทการทำงาน ผมไม่สนว่านิสัยส่วนตัวของพวกคุณเป็นยังไงแต่พอก้าวเท้าเข้าเซ็ตงานปุ๊บ คุณต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นมืออาชีพและมีมารยาท อย่าลืมทำการบ้านและถ้าใครถูกลูกค้าคอมเพลนเรื่องกิริยามารยาทและความไม่มืออาชีพก็อาจโดนดองได้ เข้าใจตรงกันนะ”

“ครับ/ค่ะ” เด็กในสังกัดตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน โดยส่วนใหญ่เด็กๆ ไม่ค่อยมีปัญหาเพราะงานที่นี่ส่วนใหญ่อยู่ในระดับมาตรฐานและรายได้ค่อนข้างงาม

“เอาล่ะ งั้นมาเริ่มบรีฟงานตลอดอาทิตย์นี้ โดยเริ่มจากเพรียวกับส้มที่งานส่วนใหญ่เป็นดูโอ้นะ”

เจ้าของโมเดลลิ่งเริ่มการประชุมเล็กๆ ที่จะมีขึ้นทุกเช้าวันเสาร์เนื่องจากไม่ค่อยรับงานที่ชนตารางเรียนของเด็กในสังกัดถ้าไม่จำเป็นจริงๆ

ผ่านไปประมาณยี่สิบนาทีก็บรีฟงานเด็กทุกคนจนครบ เมื่อใครเสร็จก่อนก็จะออกไปก่อนจนเหลือคนสุดท้ายคือสกาย

“งานของเธอค่อนข้างสำคัญทุกงาน โดยเริ่มจาก..” กำลังจะเริ่มบรีฟงานให้สกายแต่เขาพูดขัดขึ้น

“งานวันนี้มีเพิ่มขึ้นมา ทำไม?” คำพูดและคำถามสั้นๆ และสายตาเหยียดหยิ่งทำให้ชนม์แดนตวัดสายตามองเขาอย่างไม่พอใจ

“งานก็คืองาน มีงานก็ทำงาน ไม่มีคำตอบว่าทำไม หรืออย่างไรทั้งนั้น”

“คุณก็รู้ว่าผมมีสี่งานวันนี้ ดูช่วงว่างมันแทบไม่มีเวลาแม้แต่จะกินข้าว แล้วจะอัดงานที่ห้ามาแบบนี้คิดว่าไม่เอาเปรียบผมเกินไปหน่อยเหรอ” น้ำเสียงของเขาไม่ได้กระโชกโฮกฮาก แต่สายตาดั่งจะแทงทะลุตัดขั้วหัวใจนี่สิที่ร้ายกาจ

“เธอจะปฏิเสธก็ได้ แต่ต้องจ่ายค่าผิดสัญญาเป็นสองเท่า งานนี้ฉันรับให้เธอสี่หมื่น เธอก็แค่จะถูกหักเงินรายเดือนไปกี่เดือนล่ะถึงจะครบแปดหมื่น ฉันหารไม่เก่งเสียด้วย”  คนเจ้าเล่ห์แกล้งทำเป็นคำนวณให้เขาเห็น

ดวงหน้าหล่อใสถมึงทึงขึ้นแต่ก็ไม่ได้มากไปกว่าใบหน้าปกติของเขาสักเท่าไหร่ แล้วในที่สุดก็ตอบรับอย่างจำยอม

“บรีฟงานต่อเถอะ” เขามักเป็นแบบนี้เสมอ ถ้ารู้ว่าจะไม่ชนะ ก็มักจะล่าถอยไปอย่างง่ายดาย

บางทีชนม์แดนก็อยากให้เขาระเบิดอะไรในใจออกมาบ้างให้ได้เห็นว่าเนื้อแท้หรือความคิดอ่านนั้นเป็นอย่างไรเพราะนิสัยการทำงานของสกายนั้นดีเยี่ยมในระดับที่ตนไม่คิดว่าคนที่เก่งและมีวินัยดีขนาดนี้จะเป็นคนนิสัยแย่ๆ ที่มาจากครอบครัวแย่ๆ เหมือนที่น้าแจนบอกเล่ามาแต่อย่างใด

แต่ในเมื่อสะดวกใจที่จะงัดข้อมาแบบนี้ มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะถูกร้ายใส่

“งานแรกของวันนี้คือสิบโมงเช้า หวังว่าจะเตรียมตัวมาแล้วนะ”

ไม่ได้ยินเสียงตอบรับใดๆ เขาทำแค่เพียงไหวไหล่เพียงเล็กน้อย ถ้าไม่จิกจ้องก็แทบไม่เห็นปฏิกิริยาด้วยซ้ำ ร่างเล็กกัดฟันถอนหายใจแล้วพูดต่อ

“งานนี้แค่ถ่ายแบบในสตู ลูกค้าต้องการความเซ็กซี่ร้อนแรงแต่ฉันย้ำไปแล้วว่าห้ามเปลือยตั้งแต่ช่วงเอวลงไปซึ่งเขาก็จำใจตอบรับมา เธอปฏิเสธได้เลยถ้าเขากล่อมให้ถอด ถ้ายังไม่ยอมให้เขาโทรหาฉันได้ตลอดเวลา”

สกายนั่งมองและฟังอย่างตั้งใจ ในเวลางานดูเหมือนเขาจะลดทิฐิต่างๆ และฟังโดยไร้อคติซึ่งตรงนี้ทำให้ชนม์แดนค่อนข้างนิยมชมชอบเขามากพอสมควร


“งานสุดท้าย เป็นงานของเพชรไทย ถ่ายในสตูกับเครื่องเพชรและนางแบบ ลูกค้าต้องการอารมณ์ความหลงไหลเครซี่ของชายหนุ่มที่เปรียบผู้หญิงกับเพชรที่เลอค่า ฉันคงไม่ต้องบอกรายละเอียดมากนะเพราะเธอเก่งแนวนี้อยู่แล้ว” วูบหนึ่งแววตาของเขามีแสงวับวาวเมื่อได้ยินว่าท้ายประโยคเป็นลักษณะของคำชมเชย “เอ่อ.. แล้วเสร็จงาน ฉันจะติดรถตู้กลับบ้านด้วย เธอต้องกลับรถตู้เท่านั้น เข้าใจไหม”

“หึ..” เขาพ่นลมหายใจออกมาแล้วยิ้มเหยียด “คิดจะขายผม ไม่ง่ายหรอก”  พูดแค่นั้นก็ลุกออกจากห้องประชุมไปทันที ไม่มีการร่ำลาหรือไถ่ถามว่าบรีฟเสร็จแล้วหรืออย่างไร

“ไอ้เด็กนี่!” ถลึงตาตามหลังแต่ร่างสูงก็พ้นประตูออกไปแล้ว

“คุณดอทจะหักเงินน้องสกายจริงเหรอคะ”  บอลลูนที่นังฟังมาตั้งแต่ต้นลุกขึ้นเก็บแก้วน้ำพลางเอ่ยถามอย่างหวาดๆ 

“ก็ในสัญญาเขียนไว้” บอกไปห้วนๆ ไม่คิดว่ามันจะเป็นไรเพราะตนไม่ใช่คนผิด

“แต่คุณดอทก็รู้ว่าน้องสกายได้แค่เดือนละแปดพันนะคะ รายได้เกือบครึ่งแสน บางเดือนก็สองสามแสนด้วยซ้ำ แต่ทุกเดือนน้องสกายก็เซ็นโอนให้คุณแจนหมด” เลขาทำหน้าลำบากใจ

ชนม์แดนรู้เต็มอกว่าพนักงานทุกคนของที่นี่เข้าข้างสกาย โดยเฉพาะป๋าที่ยื่นมือเข้ามาทุกทีเวลาสกายถูกทำโทษ และเมื่อรู้แบบนี้ใจหนึ่งก็หมั่นไส้มากขึ้น แต่อีกใจก็คิดว่าดีแล้วที่เขาจะมีพรรคพวกบ้าง อย่างน้อยเวลาถูกทำโทษอะไรไปก็จะได้มั่นใจว่าเขาจะไม่จนตรอก

“ก็ในสัญญาระบุไว้อย่างนั้น”

“แล้วทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะคะ สัญญา เอ่อ มัน.. มันไม่ยุติธรรม” ในที่สุดบอลลูนก็พูดออกมาจนได้

ใช่..
สัญญามันไม่ยุติธรรม เพราะในสัญญา สกายจะได้เพียงแค่เงินเดือนๆ เดือนละ 8,000 บาท ส่วนรายได้จากการทำงานทั้งหมดถูกแบ่งเป็น 50% สำหรับโมเดลลิ่งซึ่งชนม์แดนจะปันส่วนไปให้เผ่าพงศ์ตามหุ้นที่เขาลงทุนมา และอีก 50% นั้นเป็นชื่อของน้าแจนแม่เลี้ยงของสกายซึ่งเป็นผู้รับเงินแทน   ซึ่งอันที่จริงเจ้าตัวรู้อยู่เต็มอกว่าแบบนี้มันไม่ถูกและถ้าสกายฟ้องร้องขึ้นมาจริงๆ เขาก็จะชนะเนื่องจากเธอไม่ได้ถูกแต่งตั้งตามกฎหมายให้เป็นผู้ดูแลสกาย  แต่ตนจะทำอะไรได้ ในเมื่อฝ่ายหนึ่งก็ญาติผู้ใหญ่และหล่อนก็อ้างว่าต้องนำไปใช้ดูแลพ่อของสกายที่ทุพพลภาพอยู่ และอีกฝ่ายก็ทำตัวไม่ได้น่ารักน่าช่วยเหลืออะไรเลย

สัญญานี้เริ่มมาตั้งแต่สกายอายุ 16 ตอนนั้นเขาอาจจะยังไม่มีความรู้มากนักแต่เมื่อโตขึ้นจนถึงตอนนี้เขาคงรู้แล้วว่าถูกเอาเปรียบจึงมีปฏิกิริยาต่อต้านมากขึ้นแต่ที่ไม่ได้ฟ้องร้องให้เป็นเรื่องใหญ่เพราะคงไม่อยากให้เรื่องกระทบไปถึงพ่อของเขา

ถ้ายอมอ่อนข้อให้สักนิด บางทีฉันอาจจะใจดีกับนายมากกว่านี้ก็ได้ไอ้เด็กหัวรั้น

“ถ้าจะทำงานที่นี่ต่อ หวังว่าพี่คงจะรู้ว่าเจ้านายเป็นใคร” พูดจบก็เดินออกจากห้องประชุมทันที
ไม่อยากถกเถียงเรื่องของสกายไม่ว่าจะในหัวข้อใดหรือกับใครทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าเกลียดจนไม่อยากพูดถึงแต่ลึกๆ มันรู้สึกผิดจนไม่อยากรับรู้ต่างหาก





วันนี้งานค่อนข้างรัดตัว เจ้าของโมเดลลิ่งคนเก่งต้องวิ่งไปดูแลนางแบบที่มีปัญหาเรื่องที่เธออวบขึ้นจนใส่เสื้อผ้าไม่ได้จึงต้องไปจัดการแก้ไขด้วยตัวเอง

คับไปแค่หนึ่งครึ่งแต่แก้กันไม่ได้ เป็นสไตล์ลิสประเภทไหนกัน

จากนั้นก็ต้องรีบกลับมาที่ห้องเสื้อเพราะนัดลูกค้าเจ้าประจำไว้เนื่องจากเธอต้องการชุดคอลเลกชั่นหน้าหนาวเพื่อไปท่องเที่ยวต่างประเทศ

รายนี้สั่งทีล็อตใหญ่จึงคุยกันค่อนข้างยาวนานและเกินเวลาอาหารกลางวัน  เมื่อเช้าก็ได้กาแฟแค่แก้วเดียวจนตอนนี้บ่ายสามโมงแล้วแต่ยังต้องแก้แบบเสื้อให้นิตยาสารที่จะต้องใช้ในวันพรุ่งนี้



กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบทุ่มกอปรกับเมื่อวานที่ถูกทำร้ายรวมถึงกิจกรรมบนเตียงทั้งคืนจึงไม่แปลกที่ร่างเล็กจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรงก่อนจะหลับตาพักและหลับไปในทันที

“คุณดอทคะ กินข้าวก่อนเถอะเดี๋ยวปวดท้องอีก”

ชนม์แดนพยักหน้าทั้งที่หลับตาอยู่ก่อนจะใช้เวลาพักหนึ่งสะบัดหัวไล่ความง่วงงุนออกไป

“ตอนนี้กี่โมง”

“สี่ทุ่มค่ะ พี่จะกลับก็ไม่กล้า จะปลุกก็สงสารเพราะไม่เคยเห็นคุณดอทดูเพลียขนาดนี้มาก่อน”

“สี่ทุ่ม!” ร่างเล็กเด้งตัวขึ้นมาทันที “โทรเรียกรถตู้ให้ดอทที ต้องรีบไปแล้ว”

“กินอะไรก่อนเถอะคุณดอท ทั้งวันได้แค่กาแฟกับน้ำเปล่า”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวดอทไปกินที่บ้านได้”

มือเรียวรีบเก็บของใส่กระเป๋าแล้วสะพายขึ้นพาดอก ก่อนก้าวออกจากห้องก็หยุดแล้วหันไปหามือขวาของตน

“พรุ่งนี้มาทำงานหลังเที่ยงก็ได้ ส่วนของวันนี้เดี๋ยวดอทจะใส่โอทีให้ตอนสิ้นเดือน” พูดออกไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ปกติก็ไม่ใช่คนที่แสดงอารมณ์ออกมาอยู่แล้ว และไม่แคร์ด้วยว่าใครจะเข้าใจหรือเปล่า

“พักบ้างนะคะ” บอลลูนยิ้มด้วยความเอ็นดู ส่วนอีกฝ่ายก็แค่พยักหน้าให้

รอบตัวมีแค่ไม่กี่คนที่ดูเหมือนจะไม่ถือสานิสัยแย่ๆ ของตน หนึ่งในนั้นก็บอลลูนนี่แหละ เสียอย่างเดียวที่ชอบเข้าข้างสกายอยู่เรื่อยจนทำให้หงุดหงิดเสมอ

มีแต่คนรักได้ยังไงเด็กหัวแข็งแบบนั้น..




วันนี้สั่งคนขับให้รับส่งสกายทั้งวันห้ามให้เขาขับรถเองเพราะงานเยอะแบบนี้ต้องเซฟทั้งเวลาและร่างกาย จากนั้นพอส่งสกายที่งานสุดท้ายเสร็จก็ให้รีบมารับตนเพื่อไปรับสกายกลับด้วยตัวเอง

“รีบเลยนะเดี๋ยวไม่ทันสกาย”  ร่างบางสั่งคนขับแล้วเอนหลังพิงเบาะอย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะต่อสายไปหาคนรัก 

“เฮียกำลังจะโทรหาพอดี ทำไมดอทมาช้าล่ะ” เผ่าพงศ์รับสายแทบจะในทันที

“ถ่ายกันเสร็จแล้วเหรอครับ”

“เสร็จแล้ว สกายกำลังรออยู่ที่ล็อบบี้” เสียงจากปลายสายค่อนข้างใส น่าจะอารมณ์ดีที่ได้อยู่ใกล้สกาย

“อีกสักสิบห้านาทีดอทก็ถึงแล้ว เฮียอย่าไปยุ่งกับสกายมากนะเดี๋ยวเด็กมันจะหงุดหงิดแล้วหนีกลับเอง”

“พูดอย่างกับเฮียเป็นตัวร้ายงั้นแหละ แต่เอาเถอะวันนี้จะไม่ขัดใจดอทถือว่าไถ่โทษก็แล้วกัน”

“ได้แบบนั้นก็ดีครับ เดี๋ยวเจอกันนะ”

ชนม์แดนยิ้มให้โทรศัพท์มือถือก่อนจะเก็บลงกระเป๋า

เวลาเฮียทำผิดก็จะแสนดีแบบนี้ไปอีกพักใหญ่ บางทีดอทควรคิดเรื่องที่จะตกลงปลงใจกับเฮียไว้บ้าง อดโทษตัวเองไม่ได้ว่าอาจเป็นเพราะดอทเองที่ไม่จริงจัง เฮียถึงยังเกเรอยู่แบบนี้



ไม่กี่อึดใจก็มาถึงหน้าโรงแรม ร่างเล็กลงจากรถเพื่อเข้าไปเองเพราะไม่ค่อยชอบโทรคุยกับสกาย สาเหตุก็เนื่องจากขี้เกียจฟังคำพูดเย็นชาและเดธแอร์ระหว่างการสนทนา

“มาได้ซะที” สกายเดินสวนไปขึ้นรถตู้และเหลือบมองเจ้าของโมเดลลิ่งของตนอย่างไม่เป็นมิตร

“เฮียบอกมันแล้วให้รอในล็อบบี้ก็จะเดินออกอยู่นั่นแหละ” เผ่าพงศ์เดินตามออกมาด้วยท่าทางหงุดหงิดและมีชายชุดดำสามคนตามมาห่างๆ

พอจะรู้แล้วว่าทำไมหน้าสกายถึงได้บูดเป็นตูดลิงแบบนั้น 

“บอกคนของเฮียไปไกลๆ”  ดวงตารีจ้องนิ่งไปยังร่างทั้งสามที่ทำท่าจะเดินอ้อมไปยังรถตู้  เผ่าพงศ์แค่หันไปมองแล้วสะบัดมือไล่เบาๆ พวกนั้นก็พร้อมใจกันเดินกลับเข้าไปในล็อบบี้ทันที

เฮ้อออ ถ้ามาไม่ทันจะเป็นยังไงนะ..

“ไหนเฮียรับปากว่าจะไม่ยุ่งกับสกายไง นี่คงไปวอแวละสิเด็กมันถึงได้หนีออกมา”

“อ้าวทำไมมาโทษเฮียล่ะ เฮียไม่ได้ไปยุ่งเลยนะแค่ชวนคุยเรื่องงานวันนี้เฉยๆ แล้วความจริงเฮียก็เป็นลูกค้านะ จะพูดคุยเรื่องงานกับลูกจ้างไม่ได้หรือไง”

“เฮ้อ เฮียนี่ล่ะก็”  ร่างบางส่ายหน้าอยากจะต่อว่าไปบ้างแต่แล้วก็ขี้เกียจจะเถียงด้วย “งั้นดอทกลับเลยนะครับ”

“ยังไม่หายคิดถึงเลยนะ” ร่างหนาเดินเข้ามาจะโอบเอวแต่คนรักรีบคว้ามือเขาไว้เสียก่อน

“อย่าเลยนี่มันหน้าโรงแรมนะครับ แล้วอีกอย่างดอทก็เพลียมากๆ อยากกลับไปพัก สกายก็รอในรถแล้วด้วย”

“โธ่ แล้วทำไมไม่มาเร็วๆ กว่านี้ล่ะ” เผ่าพงศ์ทำหน้าบูด “แทนที่จะได้กินข้าวเย็นด้วยกัน”

“ไม่ใช่ว่าดีใจเหรอครับที่ดอทไม่มากันท่าเฮียดูสกายถ่ายงานน่ะ” อดไม่ได้ก็ค้อนให้เบาๆ

“ไม่ต้องมาดักคอเลย ที่จริงแค่มีดอทเฮียก็ไม่อยากมีใครแล้ว”

ได้ฟังแล้วก็ใจชื้นขึ้นนิดหน่อย

“เอาไว้ค่อยคุยกันนะครับ”  คนตัวบางมองอ้อน คงต้องใช้ไม้นี้แล้วล่ะ “เมื่อกี้เพลียจนนั่งหลับที่ทำงาน คิดดูว่าน่าสงสารแค่ไหน”

สีหน้าเผ่าพงศ์เปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกขึ้นในทันที

“อ้าวแล้วก็ไม่บอก งั้นกลับเลย รีบกลับไปพักผ่อน ถึงบ้านแล้วโทรบอกเฮียด้วยนะ”

“ครับผม” ยิ้มหวานแล้วโบกมือให้ก่อนอีกฝ่ายจะยิ้มหล่อกลับมา

เวลาเฮียยิ้มแล้วดูดีมาก ดอทชอบเวลาเฮียยิ้มนะแต่นิสัยเฮียเป็นคนจริงจังและขี้หงุดหงิดจึงไม่ค่อยเห็นรอยยิ้มเท่าไหร่ ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้าดอทเท่านั้นที่จะเผยรอยยิ้มออกมามากขึ้น

เอาไว้เก็บเงินครบห้าสิบล้านแล้ว ดอทจะคิดเรื่องไปอยู่กับเฮียนะครับ เหลืออีกไม่เท่าไหร่แล้ว น่าจะไม่เกินกลางปีหน้านี้แหละที่มันจะครบตามที่ตั้งใจ



ต่อ..


ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
เมื่อขึ้นมาบนรถเห็นสกายนั่งหลับตาอยู่เก้าอี้แถวแรกเบาะในสุด ร่างเล็กจึงนั่งตรงเบาะใกล้ประตูเพราะขี้เกียจมุดเข้าไป

“คุณไม่คิดเหรอว่าผมต้องรีบกลับไปพักผ่อน” เมื่อประตูอัตโนมัติเลื่อนปิด สกายก็ลืมตาขึ้น เขาหันมามองด้วยสายตาเยียบเย็น ห้างานติดในวันนี้ทำให้แทบจะกระดิกนิ้วไม่ไหว

ช่างเป็นเด็กที่ไม่น่ารักเลยสักนิด เสียดายหน้าตาและเสน่ห์เพราะดวงตาเขาสีสวยดูน่าหลงใหล  บ่อยครั้งที่เผลอมองอย่างนึกทึ่งเวลาที่เขาจ้องมาตอนตั้งใจฟังบรีฟงาน

ร่างเล็กตัดสินใจไม่ตอบโต้เพราะขี้เกียจต่อความกับเขาแต่เปลี่ยนเรื่องเป็นการบรีฟงานต่อจากเมื่อเช้า

“เอาเอกสารงานที่บรีฟค้างไว้เมื่อเช้าขึ้นมาดู”

สีหน้าสกายดูจะหงุดหงิดเล็กน้อย ขอย้ำว่านิดเดียวจริงๆ  สกายเป็นคนเก็บความรู้สึกเก่งมากจนบางทีเห็นแล้วก็รู้สึกหงุดหงิด   เขาเปิดเป้ประจำตัวแล้วหยิบเอกสารสำหรับงานอาทิตย์นี้ขึ้นมาดูโดยไม่ท้วงติงอะไร

“พรุ่งนี้มีแค่ถ่ายแบบงานเดียวแต่ต้องไปถ่ายอยุธยา เธอต้องออกให้ทันรถตู้หกโมงเช้าเพราะฉันจะให้รถตู้ของเราไปส่งและรอรับกลับ เสร็จงานแล้วจะได้ออกมาเลยไม่ต้องรอรถกองให้เสียเวลา อย่าลืมซันบล็อกด้วยเพราะถ่ายเอาท์ดอร์ทั้งวันเวลาเธอโดนแดดแรงๆ แล้วตัวจะแดงเดี๋ยวถ่ายเซ็ตหลังๆ ไม่ได้  ส่วนเรื่องลิมิตอื่นของเธอฉันใส่รายละเอียดในสัญญาว่าจ้างไว้ทุกอย่างแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องตามใจใคร ถ้าทางนั้นไม่ยอมก็ให้เขาโทรมา”

ไม่มีทีท่าว่าจะหัวเสียอะไรอีก หนุ่มลูกครึ่งมองตามเอกสารแล้วจดรายละเอียดเอาไว้ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาฟังต่อ

“หนึ่งทุ่มวันจันทร์มีงานเดินแบบเสื้อผ้าแบรนด์ดีเซล สไตล์ก็คล้ายปีกลายแต่ครั้งนี้เขาให้เธอลองเดินฟินาเล่ ถ้าทำได้ดีอาจจะมีงานของดีเซลเยอะขึ้น พยายามพรีเซ้นต์ตามเอกลักษณ์ของแบรนด์และชุดที่ใส่ ที่จริงเธอเหมาะกับสไตล์เรียบหรูมากกว่าแต่ฉันคิดว่าอันนี้ก็น่าจะแมสกับเธอได้ ยังไงก็ลองดู”

เป็นเช่นเดิมคือไม่มีอาการตอบรับอะไรทั้งนั้น แค่โคลงหัวเล็กน้อยประมาณว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไร

อยากจะวีนอะไรออกไปบ้างแต่ช่างเถอะ ขาดไปแค่การตอบรับเท่านั้นเพราะยังเห็นว่าเขาจดและจ้องฟ้งอย่างตั้งใจ ซึ่งทุกงานที่เขาทำก็แทบไม่มีที่ติ  เรื่องงานเดินแบบถ่ายแบบถ้าไม่เอาอคติมาปะปนก็เรียกได้ว่าสกายบอร์นทูบีจริงๆ  เหลือแค่ผลักดันให้รับงานทีวีและสัมภาษณ์บ้างจะได้เป็นที่รู้จักมากขึ้น

จากนั้นก็บรีฟงานต่อจนเสร็จ สกายเก็บเอกสารเข้ากระเป๋าแล้วนั่งทำหน้าเฉยเมยต่อไป

ชนม์แดนเองก็ไม่มีธุระกงการอะไรกับเขาแล้วจึงนั่งเล่นไอแพดเช็คงานไปตามเรื่อง แต่แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้นจึงหยิบมากดรับสาย

“ครับ”

“ถึงบ้านรึยัง” เผ่าพงศ์อยู่ทางปลายสาย

“ยังเลยครับ รถติดมากข้างหน้าคงมีอุบัติเหตุ ตรงนี้มันไม่มีซอยให้ลัดไปด้วยครับ น่าจะต้องรอจนกว่าจะหลุดไปได้”

“แต่ส่งสกายแล้วใช่ไหม”

ร่างเล็กนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อคนรักถามถึงสกาย อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเจ้าตัวที่กำลังหันมาจ้องด้วยใบหน้าเครียดขรึมอยู่พอดี คงรู้ว่าตนคุยกับใคร

“ยังครับ” ตอบไปสั้นๆ

“งั้นไม่เป็นไร นึกว่าส่งสกายแล้วเพราะเฮียแวะมาดื่มที่ร้านเพื่อนใกล้บ้านดอท เลยว่าจะชวนดอทแวะมาหน่อย”

“ไม่ดีกว่าครับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกมาก คงไม่ไหวแล้ว”

“โอเคๆ งั้นถ้าถึงบ้านค่อยโทรบอกเฮียนะ”

“ครับ” ตอบรับแล้วก็วางสาย


“ผมถามจริงๆ คุณได้ค่าพ่อเล้าจากคุณเผ่าพงศ์เท่าไหร่ เขาหาโอกาสเข้าถึงตัวผมได้ง่ายก็เพราะมีคุณคอยปูทาง แล้วนี่อะไรอีก โทรมาบอกให้พาผมไปส่งให้เขาถึงที่งั้นสิ”

ชนมแดนตวัดสายตาจ้องเขาอย่างไม่พอใจ  คิดเองเออเองแบบนี้ก็ได้เหรอ

“ก็แล้วแต่จะคิด” ไม่รู้จะพูดอะไร ในใจลึกๆ ตนไม่อยากรับรู้เรื่องของเผ่าพงศ์กับสกายเลยด้วยซ้ำ

“แค่เอาเปรียบในสัญญายังไม่พอหรือไง”

ยิ่งไม่พูดก็ยิ่งไม่จบ คงหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วล่ะ

“ฉันไม่ขอพูดถึงเรื่องสัญญาเพราะมันกลับไปแก้อะไรไม่ได้ แต่เรื่องคุณเผ่า ทำไมเธอไม่ลองคบหากับคนอื่นไว้บ้าง เปิดใจพูดคุยหรือมองคนอื่นในแง่ดีบ้าง ไม่ใช่แค่กับคุณเผ่า ฉันหมายถึงคนในวงการนายแบบนางแบบ หรือแม้แต่กับฉันเองที่เธอควรจะทำตัวให้เป็นมิตรกว่านี้”

“เป็นมิตรเหรอ” หนุ่มหล่อแค่นเสียงใส่ “กับคุณที่เอาเปรียบผมอย่างหน้าไม่อายที่หลอกให้ผมเซ็นสัญญาทาส หรือกับคู่ขาของคุณที่คอยจ้องแต่จะเคลมผมเนี่ยนะที่ควรเป็นมิตรด้วย เก็บคำแนะนำของคุณไว้ใช้กับชีวิตคุณเองเถอะ เพราะคุณก็ไม่ได้ต่างจากผมหรอก  อันที่จริงผมเองยังมีเพื่อนแท้ที่มหาวิทยาลัยหลายคนแต่เท่าที่ดู คุณนั่นแหละที่ไม่มีใคร ผมเคยสงสัยนะว่าคุณเองก็หน้าตาดี ทำงานเก่ง แต่ทำไมชอบอยู่คนเดียว ก็เพิ่งเข้าใจว่าพวกศีลเสมอกันเท่านั้นแหละที่คบกันได้”

เจ็บ..

อึ้งจนพูดไม่ออก

น้ำตาก็พาลจะไหลเสียให้ได้

สกายไม่ค่อยพูดหรอก แต่พอพูดออกมาก็มีแต่คำหนักๆ ฟังแทบไม่ได้

มันก็จริงที่เขาพูด เผ่าพงศ์ไม่ใช่คนดีแต่ก็มีแต่เขาที่ไม่เคยทิ้งไป  เพื่อนก็ไม่มีเพราะเข็ดกับเรื่องของเนม พ่อก็ไม่รัก ญาติพี่น้องก็ย้ายออกจากบ้านไปหมด ขนาดไอ้ลูกเมียน้อย พอแม่มันตายก็ยังย้ายออกไปและมีชีวิตที่อิสระ มีความสุข มีเพื่อนมากมาย

ไม่ยุติธรรม..

“ฉันมีความสุขในแบบนี้” ดวงหน้าสวยเชิดขึ้นทำคอแข็งโต้เถียงออกไป “เธอเองก็สะกดคำว่าความสุขให้ได้ก่อนเถอะแล้วค่อยมาทำเก่งกับฉัน”

ทำไมจะไม่รู้ว่าสกายแทบไม่มีความสุข ชนม์แดนเห็นในดวงตาของเขาที่อมทุกข์ไว้มากมาย และถ้าไม่ถึงที่สุดตนก็ไม่อยากไปแตะปมใครหรอก แต่เขาวอนหาเรื่องเอง

สกายชะงักนิ่งไปหลังจากที่ถูกแทงใจดำ คนใจร้ายแค่มองเหยียดแล้วหลับตาหันหน้าไปอีกทาง  แต่ขนาดว่าปิดเปลือกตาไว้แบบนี้แล้ว หยาดน้ำยังปริ่มล้นออกมาได้อีก 

อย่าร้องนะ ร้องไห้ไม่ได้นะชนม์แดน เข้มแข็งไว้ พิสูจน์ตัวเองกับป๋าให้ได้แล้วจากนั้นก็จะถึงเวลาออกไปใช้ชีวิตอิสระ ชีวิตที่เป็นของตัวเองจริงๆ

วันนั้นใกล้จะมาถึงแล้ว อดทนอีกนิดสิ


ตั้งแต่นั้นก็ดูเหมือนคนทั้งคู่ได้ตายจากกัน สกายหันหน้าออกไปมองนอกกระจก ชนม์แดนเองก็นิ่งเงียบแทบจะไม่ได้ยินเสียงหายใจ  ร่างบางรู้ดีว่าเขาไม่ได้หลับเพราะยังได้ยินเสียงถอนหายใจเป็นระยะจากการที่รถแทบจะไม่ขยับไปข้างหน้า ส่วนตนเองก็แค่หลับตาไว้เฉยๆ ไม่ได้หลับเช่นกัน

ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดเช่นนี้ การทำเสียงใดๆ ของแต่ละฝ่ายจะทำให้อีกฝ่ายได้ยินอย่างถนัดชัดเจน 

ซึ่งชนม์แดนเองไม่คิดว่า..
โครกกก~~
ท้องบ้านี่! ดันร้องขึ้นมาได้!

“คุณตดเหรอ”

!!!!
ร่างเล็กเด้งตัวขึ้นแล้วหันไปถลึงตาใส่ “ฉันแค่ท้องร้อง!”

ร่างสูงไหวไหล่ก่อนจะเอนหลังพิงเบาะต่อไป

ไอ้เด็กนิสัยแย่! เมื่อไหร่จะถึงคอนโดซะทีนะ เหม็นขี้หน้า อึดอัดชะมัด!

“รถติดแบบนี้คงอีกนาน ลงไปหาอะไรกินซะ” เด็กหนุ่มลูกครึ่งเปรยเบาๆ โดยไม่หันมามอง

“เรื่องของฉัน” บอกไปแค่นั้นแล้วหันหน้าหนี

“เสียงท้องร้องดังขนาดนี้คงไม่ใช่แค่อดมื้อเย็นมาละสิ”

คนดื้อรั้นไม่ได้ตอบคำใด ไม่อยากจะเสวนาด้วยหรอก

“เปิดประตูให้หน่อยครับลุง” สกายบอกคนขับแล้วเมื่อประตูเปิดเขาก็เดินลงจากรถ เบียดขาเรียวเล็กออกไปโดยไม่สนใจมารยาท

ไอ้เด็กไร้การอบรม!

ว่าแต่จะไปไหนนะ แต่ก็ช่างเถอะ ตอนนี้เขาพ้นจากเฮียมาได้แล้วจะไปไหนก็เรื่องของนาย กลับบ้านเองก็แล้วกัน



ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที รถขยับออกจากที่เดิมไปอีกสองร้อยเมตร ชนม์แดนไม่ได้มองหาสกายอีกแต่นั่งเอนหลังนวดท้องตัวเองเพราะมันเริ่มปวดหนักขึ้น

ก๊อกๆ

เสียงเคาะกระจกและเมื่อมองออกไปก็เห็นร่างสูงของสกาย คนขับจึงเปิดประตูให้

ตุ๊บ~

ระหว่างที่เดินเบียดผ่านเข้าไปนั่งยังตำแหน่งเดิม มือหนาก็ปล่อยทิ้งถุงของกินลงบนตักคนที่นั่งอยู่

เบอร์เกอร์อบร้อนๆ กับขนมครัวซองไส้สังขยา พร้อมด้วยชาเขียวแช่เย็นอีกหนึ่งขวด ที่คงไปซื้อมาจากมินิมาร์ท

ส่วนตัวเขาเองมีโยเกิร์ตและน้ำเปล่า

ร่างเล็กมองอย่างลังเล จะว่าแปลกก็แปลกแต่ไม่อยากเปลืองคำพูดจึงแกะของกินไปช้าๆ ทำเหมือนว่าไม่หิว แต่อันที่จริงคือที่สุดของที่สุด นี่ถ้าไม่ห่วงภาพลักษณ์คงจะยัดเข้าปากให้หมดก้อน


ตอนนี้ใกล้ถึงคอนโดของสกายแล้ว  ชนม์แดนรีบเก็บขยะที่กินหมดยัดใส่ถุงอย่างเรียบร้อยเพื่อเตรียมขยับให้เขาลง

รถตู้ขับเข้าไปจอดด้านในแล้วประตูก็เปิดออก  สกายก็ลงไปเงียบๆ แต่ในขณะที่เขากำลังจะเดินไป คนที่นั่งข้างประตูก็เรียกไว้

“เดี๋ยว”  รีบล้วงหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์ออกมาห้าร้อยบาทแล้วยื่นไปให้เขา “ฉันไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร แล้วคราวหลังก็ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของฉันอีก”

สายตาของสกายตวัดมองอย่างไม่พอใจ และมันก็ทำให้ลำคอของคนดื้อรั้นแข็งขึ้นเพราะไม่พอใจปฏิกิริยาเขาเช่นกัน

“ถ้าพี่บอลลูนไม่โทรมาเมื่อกี้เพื่อฝากให้ดูคุณเพราะไม่ได้กินข้าวทั้งวัน ผมก็ไม่อยากเสียเวลาหรอก”

พี่บอลลูนนี่นะ ไม่น่าไปบอกเด็กมันเลย ยิ่งไม่ค่อยอยากปะทะกันอยู่ด้วย

“ช่างเถอะ รับเงินไปเร็วๆ สิ เสียเวลา” เห็นสกายยังยืนนิ่งไม่รับเงินไป มือเล็กจึงเขย่าเร่งให้รีบรับ

แต่เหมือนมือไม่ค่อยมีแรงกอปรกับมีลมพัดมาวูบหนึ่ง แบงค์ห้าร้อยจึงหลุดออกจากมือร่วงลงไปตรงอยู่ใกล้ๆ เท้าของเขา

แย่แล้ว..สถานการณ์แบบนี้ ควรทำยังไง..

หนุ่มหน้าสวยกังวลใจอยู่เพียงเสี้ยววินาทีแต่พอเห็นว่าสกายมองเงินที่หล่นอยู่สลับหน้าตนอย่างไม่ค่อยพอใจนักก็รู้สึกคอแข็งขึ้นมาอีกรอบ

ไม่รู้เป็นอะไร ไม่ชอบเวลาที่ถูกคนอื่นไม่พอใจ ไม่ชอบเลยจริงๆ

“ถือว่าฉันจ่ายคืนไปแล้วนะ  ปิดประตูได้แล้ว”  ประโยคหลังหันไปสั่งคนขับรถ

ในขณะที่ประตูค่อยๆ เลื่อนปิด คนรั้นเองก็ได้แต่นั่งคอแข็งทำเป็นไม่สนใจ 

“คุณเป็นหนี้ผมไม่รู้เท่าไหร่ หนี้ที่คุณชดใช้ยังไงก็ไม่หมดหรอก”

ได้ยินเสียงของสกายก่อนที่ประตูจะปิดสนิท ขณะที่รถเริ่มออกตัวจึงค่อยๆ เหลือบมองและหันไปมองเต็มตาเมื่อมั่นใจว่าเขาหันหลังเดินเข้าไปในคอนโดแล้ว

เงินก็ไม่เก็บไป   หยิ่งไม่เข้าเรื่อง!

ก็เพราะเป็นหนี้ถึงอยากทำให้นายโด่งดังที่สุดในอาชีพนี้ พอหมดสัญญาห้าปีกับฉันไปแล้วก็จะมีรายได้มหาศาลมาชดเชยเวลาที่เสียไป มันอาจจะแทนกันไม่ได้แต่เชื่อเถอะว่านี่เป็นทางที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันจะคิดได้แล้ว


ชนม์แดนทิ้งเรื่องสกายออกจากหัวเพราะตอนนี้เริ่มง่วงและงีบหลับไปจนถึงบ้าน 

“คุณหนูครับ คุณหนูถึงบ้านแล้วครับ”  เสียงนายเวชคนขับรถยืนเรียกอยู่ตรงประตู

ร่างเล็กค่อยๆ ขยับลุกขึ้นส่ายหัวเล็กน้อยไล่ความง่วงงุน

“คราวหลังโทรบอกน้าเวชให้ไปรับดีกว่า ไม่ต้องรอกลับกับรถตู้ก็ได้นะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ดอทแค่ต้องเช็คงานก่อนกลับเท่านั้นเอง”  คุณหนูตัวน้อยในสายตานายเวชอธิบายขณะที่ลงจากรถ

“งานอะไรนักหนาครับ ถ้าไม่สำคัญก็ให้คนอื่นทำแทนเถอะ คุณหนูน่าจะดูแลสุขภาพบ้าง”

น้าเวชก็ขี้บ่นตลอด แต่ไม่อยากขัดแกเพราะรู้ว่าแกเป็นห่วง

“งั้นน้าเวชไปบอกแม่ครัวให้ทำข้าวต้มกุ้งชามใหญ่ๆ ให้ดอทหน่อยได้ไหมครับ จะได้สุขภาพดี อ้วนท้วนสมบูรณ์” ร่างเล็กยิ้มบางๆ ไปให้เป็นวิธีที่จะทำให้โดนบ่นน้อยลง

“ได้ครับๆ เอาชามใหญ่ๆ เลยนะครับ” ใบหน้าที่ง้ำงอของฝ่ายผู้ใหญ่สดใสขึ้นทันทีแค่รู้ว่าคุณหนูของเขาอยากกินข้าวเยอะๆ จากนั้นก็รีบวิ่งไปทางหลังบ้านเพราะแม่ครัวคงเข้าห้องนอนไปแล้ว

งานนี้สำคัญมากๆ ครับน้าเวช ไม่มีใครทำได้ดีเท่าดอทหรอก



หลังจากทานข้าวต้มชามใหญ่ไปครึ่งชาม ที่เหลือก็แอบเอาไปทิ้งในชักโครก ก็รู้ว่าทำแบบนี้ไม่ดีแต่ไม่อยากให้นายเวชและคนในบ้านสบายใจจึงต้องทำ 

จากนั้นก็ขึ้นบ้านจัดการถอดเสื้อผ้าเตรียมตัวอาบน้ำ  ขณะที่กำลังเปิดน้ำฝักบัวชะล้างคราบเหงื่อไคลตั้งแต่หัวจรดเท้า   ร่างบางหันมองกระจกบานใหญ่ที่สะท้อนภาพของตัวเอง โดยเฉพาะมันยังสะท้อนให้เห็นถึงด้านหลังเนื่องจากมีกระจกอีกบานติดอยู่ด้านตรงข้าม

ชนม์แดนสั่งติดกระจกไว้แบบนี้เพื่อจะได้มองดูตัวเองได้อย่างรอบด้าน ด้านหน้าเป็นอย่างไร ด้านหลังเป็นอย่างไร เจ้าตัวรู้จักทุกซอกทุกมุมบนร่างกายตัวเอง

ร่างกายที่โปร่งบาง ผิวขาวซีดเหมือนกระดาษ ยิ่งรวมกับใบหน้าเชิดหยิ่งถือตัวด้วยแล้ว ก็กลายเป็นคนที่เข้าหายากเข้าไปใหญ่   ต่อเมื่อหัวใจสูบฉีดเลือดหนักๆ เท่านั้นจึงจะแดงเรื่อขึ้นทั้งหน้าและลามไปทั้งตัว 

ความสูงแค่ร้อยหกสิบเอ็ดซึ่งถือว่าเตี้ยสำหรับมาตรฐานชายไทย  ใบหน้าที่ตกกระประปรายเมื่อถูกน้ำชะล้างเช่นนี้ยิ่งเผยให้เห็นรอยตกกระมากขึ้น  ผมสีดำยาวประบ่าซึ่งปกติจะถูกเซ็ตเสยขึ้นทั้งหมดแบบ Wet hair look  เจ้าตัวชอบผมทรงนี้เพราะลักษณะงานที่ต้องก้มๆ เงยๆ ทำให้ไม่ต้องห่วงเรื่องการตกลงมาของเส้นผมและไม่ชอบตัดผมสั้นเพราะตัดแล้วทำให้นึกถึงตัวเองสมัยเรียนมัธยม

และพอนึกถึงช่วงนั้น ภาพของรุ่นพี่สุดหล่อและเพื่อนรักก็มักโผล่มาเรียกความเศร้าได้ทุกครั้งไป

ใบหน้าที่แทบไม่เปลี่ยนไปเลย อาจเป็นเพราะไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
“หน้าตาแบบนี้เหรอที่สมควรอยู่อย่างโดดเดี่ยว หาความสุขไม่เจอ”  ชนม์แดนเปรยออกมาขณะที่มองใบหน้าของตน  อดไม่ได้ที่จะพร่ำตัดพ้อโชคชะตา

ดวงตาเรียวรี หางตายกขึ้นทำให้ยิ่งดูหยิ่ง ขี้แมลงวันสองจุดตรงหางตาที่หลายคนเคยทักว่าดูแปลกดี จมูกเล็กโด่งรั้นและริมฝีปากบางสีกลีบกุหลาบ โดยรวมแล้วถ้าจะบอกว่าสวยก็ไม่เกินไปนัก ยิ่งไว้ผมยาวแบบนี้ก็ยิ่งคล้ายผู้หญิงไปกันใหญ่ แต่ส่วนใหญ่คนชอบทักว่าเป็นแนวเวิร์คกิ้งวูเมนมากกว่า

การแต่งตัวเน้นกระชับสัดส่วน ทั้งด้านบนด้านล่าง หรืออาจเป็นเสื้อผ้าสไตล์เก๋ๆ ที่ออกแบบเอง ชอบโชว์เรียวขาแต่ส่วนใหญ่จะปิดแขนเพราะไม่ชอบสีซีดๆ ของแขนตัวเองนัก

นิสัยหยิ่งๆ ไม่กรีดกราย ไม่สดใส ไม่ค่อยเป็นมิตร และดุมากกับคนไม่คุ้นเคย  และนี่คงเป็นจุดบกพร่องที่ทำให้ไม่ค่อยมีใครเข้ามาในชีวิต

ช่างเถอะ ขนาดพ่อแท้ๆ ยังไม่รักเลยแล้วจะไปหวังให้ใครมารักล่ะ


คนรั้นรีบอาบน้ำและเข้านอน ก่อนปิดโทรศัพท์ก็ไม่ลืมโทรไปรายงานเผ่าพงศ์ว่ากลับถึงบ้านแล้ว

ถึงเสียงอีกฝ่ายจะเมาแอ๋แต่ก็รับสายเร็วและพูดจาน่ารัก  เวลาไม่โกรธก็จะน่ารักมากๆ  ไม่อยากให้เขาขาดสติอีกเลยไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรเพราะตนเองก็ใกล้จะหมดความอดทนแล้วจริงๆ


++++++++++++++++++++




ตั้งแต่วันนั้น สกายก็เหมือนจะแข็งข้อมากขึ้น ทว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรตราบเท่าที่เขายังตั้งใจทำงาน อีกอย่างก็คือทั้งคู่ยังไม่มีอะไรที่จะต้องปะทะกันมากกว่าที่เป็นอยู่

“คืนนี้ดอทของเฮียเท่จัง” เผ่าพงศ์โอบเอวคอดแล้วสูดดมไปตามซอกคอ

“อือ พอก่อนครับเดี๋ยวต้องไปงานแล้ว” 

งานแฟชั่นโชว์ปลายปีจัดขึ้นที่โรงแรมของเจ้าสัวแดนสรวงผู้เป็นบิดา  เป็นการเดินแบบคอลเลคชั่นใหม่ของแบรนด์สวีทดอท ซึ่งชนม์แดนทุ่มเทให้งานนี้สุดตัวเพราะเป็นทั้งการโปรโมทแบรนด์และโมเดลลิ่งไปในตัวเนื่องจากตอนนี้เด็กในสังกัดมีด้วยกันถึงยี่สิบสี่คน

“เฮียจะไม่ไปคุมเครื่องเพชรเองจริงๆ เหรอ” ร่างเล็กมองอ้อนเพราะคืนนี้คนรักให้ยืมเพชรมาโชว์ตามที่สัญญาไว้ในคราวก่อน

“เดี๋ยวเฮียส่งคนไปช่วยเซฟความเรียบร้อยแล้วจะตามไปดึกๆ”

“ทำไมต้องนัดคืนนี้ด้วยก็ไม่รู้” คนขี้กังวลยู่ปากงอนๆ ปกติไม่ค่อยทำแบบนี้เพราะจะนิ่งมากกว่าแต่เป็นเพราะเครื่องเพชรมีราคาค่อนข้างสูงจึงไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด

“วันนี้อ้อนจังเลย” มือหนาบีบปากจนยู่ไปมา “แต่คุณมิเชลมาได้แค่สองวัน พรุ่งนี้เช้าจะกลับสวิสฯ ไฟลท์เช้า เฮียก็เลยต้องคุยงานคืนนี้”

ถึงจะรู้ว่าคุณมิเชลเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของบริษัทเพชรไทย แต่ก็แอบหวั่นลึกๆ ว่าคงไม่ใช่หนึ่งในคอลเลคชั่นของเชา  เผ่าพงศ์ถึงแม้จะไม่ได้หล่อจัดจ้านแต่เขาก็ดูดีมากจนตำแหน่งคาสโนว่าอยู่คู่กับเขามาถึงตอนนี้ที่อายุก็เลยเลขสามไปแล้วนิดๆ

“งั้นถ้าดึกก็ไม่ต้องมาก็ได้ครับ งานดอทคงเลิกประมาณเที่ยงคืนแล้วก็คงจะพักผ่อนเลย”

“เรื่องอะไรจะไม่มา นานๆ ทีดอทจะออกมาอยู่โรงแรมแบบนี้ เฮียไม่มีทางพลาดหรอกแค่ไม่รู้ว่าจะมาก่อนงานเลิกไหมแค่นั้นเอง”

“ไม่รู้เลยนะครับว่าเป้าหมายคืออะไร” ร่างบางมองค้อน

“ฮ่าๆๆ ก็อยากอยู่กับเมียนี่ครับ เมียชอบเล่นตัวไม่ค่อยอยู่กับผัวเลย”  เผ่าพงศ์ประคองคนรักไปที่ประตู “เฮียไปนะ อยู่นานเดี๋ยวทนไม่ไหวจะจัดอีกรอบ” ชนม์แดนย่นหน้าด้วยความขัดเขินแล้วเดินไปส่งที่หน้าห้อง 

คืนนี้เหมาห้องจัดงานขนาดใหญ่และห้องสวีทห้องนี้ของโรงแรมแกรนด์เอราวัณไว้เพื่อพักผ่อนและเปลี่ยนเสื้อผ้าจะได้ไม่ต้องวิ่งรอกไปกลับที่บ้าน  ไม่แน่ว่าคืนนี้เจ้าสัวแดนสรวงอาจจะแวะมาดูงานของลูกชายเพราะโรงแรมนี้เป็นของเขาและในปัจจุบันเขาได้มาพักในโรงแรมของตนเองบ่อยๆ เพราะเบื่อที่ต้องทะเลาะกับภรรยา  ซึ่งเรื่องนี้มันก็นานมากแล้วและชนม์แดนก็โตพอที่จะไม่โหยหาความอบอุ่นอีกเพียงแต่ความตั้งใจที่จะได้รับการยอมรับยังคงมีอยู่และมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะทำมันให้สำเร็จให้จงได้

การที่ต้องใช้โรงแรมของบิดาเพราะโรงแรมที่จองไว้ในตอนแรกเกิดแคนเซิลกะทันหันเนื่องจากมีคดีฆาตรกรรมและต้องปิดโรงแรมชั่วคราวเพื่อตรวจสอบ  เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งอาทิตย์ซึ่งไม่สามารถหาห้องจัดงานใหม่ได้ทันจึงต้องอ่อนข้อโทรไปขอความช่วยเหลือ ซึ่งคนเป็นพ่อก็ดูเหมือนจะดีใจอยู่ในทีและให้ข้อเสนอที่น่าสนใจเป็นการเซฟค่าใช้จ่ายโดยให้ช่วยโปรโมทโรงแรมให้อย่างน้อยสามเดือนโดยจ่ายในราคา 50% และแถมห้องสวีทให้ด้วย

ก็อยากคิดเหมือนกันว่าเป็นความช่วยเหลือแต่คงไม่ใช่หรอก ป๋าคงคิดว่าเป็นผลประโยชน์ทางธุรกิจมากกว่า 



ตอนนี้ยืนอยู่หน้ากระจกเพื่อจัดชุดสูทลายทางสีขาวสลับดำพร้อมกับหมวกสุดเท่เข้าชุดกัน แต่งหน้าบางๆ เน้นขอบตาสีดำ ลงทินท์ที่ริมฝีปากเบาๆ จึงดูแปลกตาไปกว่าปกติ

แขกเหรื่อมางานค่อนข้างหนาตาเพราะได้แรงโปรโมทจากแฟนเพจของเพชรไทยและโรงแรมแกรนด์เอราวัณที่เหมือนจะโปรโมทหนักกว่าแฟนเพจของแบรนด์สวีทดอทเสียด้วยซ้ำ

เพชรคอลเลคชั่นนี้เป็นของปีหน้าซึ่งจะว่าไปค่อนข้างโชคดีที่ได้เผ่าพงศ์ช่วยส่งเสริมเพราะการจะได้เพชรสวยๆ มาเดินแบบเสื้อผ้าไม่ใช่เรื่องง่ายแต่เขาก็ยกคอลเลคชั่นใหม่มาทั้งเซ็ตแถมยังไม่ต้องจ่ายสักบาท  ลูกค้าเพชรจากบริษัทเพชรไทยกระเป๋าหนักๆ ทั้งนั้นและวันนี้คงมากันเยอะแน่ หวังว่าเสื้อผ้าวันนี้จะถูกสั่งจองหมดทุกตัว




งานแฟชั่นโชว์ที่ลงมือออแกไนซ์เองทุกขั้นตอนของชนม์แดนผ่านไปได้อย่างราบรื่นจนกระทั่ง

“เพชรที่จะใช้เดินชุดฟินาเล่หายไปค่ะ จะทำยังไงดีคะคุณดอท”  บอลลูนวิ่งหน้าตาตื่นมากระซิบนายจ้างตอนที่กำลังชมการเดินแบบ

“หายได้ยังไง! หาทั่วแล้วหรือยังครับ!” หัวใจหล่นหายไปถึงตาตุ่มกับสิ่งที่ได้ยิน

“ตอนนี้ค้นทั้งห้องเก็บเครื่องเพชรและห้องแต่งตัวค่ะ บอดี้การ์ดคุณเผ่าพงษ์สแตนด์บายอยู่รอบห้องแต่งตัวเพราะพี่ไปแจ้งไว้เบื้องต้นว่าห้ามใครเข้าออกเด็ดขาด

“โอเคงั้นตอนนี้แจ้งหน่วยรักษาความปลอดภัยให้ค้นตัวคนที่จะออกจากงานอย่างละเอียดหรือห้ามเขาออกจากงานจนกว่าจะเจอเครื่องเพชร แต่ถ้ายังหาไม่เจอค่อยประกาศขอค้นตัวคนที่อยู่ในงานอีกที”  เมื่อเลขาเข้าใจคำสั่งจึงรีบรับคำแล้วเข้าไปจัดการด้านหลังทันที

ชนม์แดนรีบสั่งงานผ่านเครื่องสื่อสารจากเฮดเซ็ตของตัวเองแล้วเดินไปกำชับหัวหน้าบอดี้การ์ดของเผ่าพงศ์อีกครั้งเพื่อความรอบคอบ  จากนั้นจึงไปกระซิบพิธีกรให้ยื้อเวลาไว้ถ้าหากถึงโชว์ฟินาเล่


กว่าจะเจอเครื่องเพชรก็เกือบตีหนึ่ง ที่แท้เครื่องเพชรนั้นถูกนางแบบที่ผิดหวังเพราะโดนเปลี่ยนตัวฟินาเล่เอาไปซ่อนในกระเป๋าของชนม์แดนเองซึ่งก็สมควรที่จะไม่มีใครหาเจอเพราะคงไม่มีใครคิดว่าเจ้าตัวจะขโมยของตัวเอง แต่พอขู่ว่าตำรวจกำลังจะมาเธอจึงแอบมาสารภาพกับตนเป็นการส่วนตัว

เอาเป็นว่าค่อยจัดการต้นตอของเรื่องทีหลัง  ส่วนคืนนี้ขอให้หมดเรื่องปวดหัวแค่ตรงนี้ก็พอ

“ต้องขออภัยทุกท่านในเหตุขัดข้องดังกล่าวด้วยนะคะ เครื่องเพชรชุดที่จะให้นายแบบนางแบบใส่ในการเดินฟินาเล่เกิดหายไปจึงต้องขอความร่วมมือทุกท่านให้อยู่ในงานนานไปสักหน่อยและในตอนนี้ก็พบเครื่องเพชรนั้นแล้ว ณ เวลาต่อจากนี้ ขอเชิญทุกท่านรับชมความตระการตาของชุดฟินาเล่กันได้เลยค่ะ”

หลังสิ้นเสียงพิธีกร เสียงเพลงรอบฟินาเล่ก็ดังขึ้น  ดีไซเนอร์เจ้าของแบรนด์สวีทดอทนั่งไม่ติดเพราะลุ้นหนักมากจึงต้องยืนคุมอยู่ใกล้เวทีและกวาดตามองไปทั่วงาน ตอนนี้สกายเดินออกมาในชุดที่คล้ายยุคกรีกโรมันซึ่งเจ้าตัวตั้งใจออกแบบให้มันดูพริ้วไหวเซ็กซี่และขณะเดียวกันก็ดูสง่าบริสุทธิ์และดึงดูด โดยชุดนี้จะใส่ได้ทั้งชายและหญิงเพราะหากเพิ่มกางเกงสกินนี่เข้าไปอีกชิ้นก็สามารถใส่ในชีวิตประจำวันได้ 

สกายถ่ายทอดเอกลักษณ์ของชุดได้เป็นอย่างดี เขาดูมีเสน่ห์ สวย ซึ้ง และดูหวานด้วยมงกุฎดอกไม้บนศีรษะแถมยังมีทับทิมล้อมเพชรอยู่บนคอส่งให้ดูโก้หรูขึ้นได้ในทันที

หล่อและเก่งขนาดนี้ถ้านายทำตัวน่ารักอีกสักหน่อยก็คงดี

ชนม์แดนมองตามร่างสูงของสกายที่เคียงคู่ไปกับนางแบบตัวท็อปไปจนสุดแคทวอล์ค  กวาดตามองผู้ชมว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง แต่แล้วก็สะดุดเข้ากับผู้ชายสองคนที่ยื้อยุดกันอยู่บริเวณเก้าอี้แถวสุดท้าย

นั่นมัน..ไอ้ลูกเมียน้อย!



.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ฝากแท็ก #รู้เท่าไม่ถึงรัก ในทวิตเตอร์ด้วยจ้า
ใครเคยอ่านคู่จิ้นของผมเป็นผู้ชายคงคุ้นเคยกับน้องสกายดี ตอนหน้าดินแดนก็จะตามมาค่ะ

ปล. สำหรับคนที่ใจบางไม่แข็งแรงกับดราม่าบอกเลยว่าไม่ม่าขนาดนั้นน้า
เรื่องนี้มันจะแค่หน่วงๆ เพราะพี่ดอทนางเป็นมนุษย์คิดมาก ชอบมโนเรื่องร้ายๆ
เรื่องร้ายสุดของนางก็มีแค่ตอนเด็กแล้วจะมีตอนกลางเรื่องอีกช่วงเดียว นอกนั้นก็จะอึนๆ ตามประสาคนดื้อแค่นั้นเอง

ขอบคุณคอมเมนต์นะคะ มีความสุขที่ได้อ่านเม้นจัง
  :pig4:
 :mew1:


ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ฮิ้ววววว เวลคัมพี่ดินตอนหน้าเด้อ ห่างหายจากคู่จิ้นไปนานก็ลืมไปเลยว่าสกายก็ร้ายใช่เล่น แต่ก็น่าสงสารอยู่ ส่วนอิตาเผ่าพงศ์นี่เมื่อไหร่จะปล่อยพี่ดอทสักทีนะ พี่ดอทต้องเจอคนดีๆได้แล้วสิ

ออฟไลน์ psyfer

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ้ะ ก็ว่าคุ้นกะสกายมาจากไหน
พี่ดินนี่เอง

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
เพิ่งได้มาอ่านค่ะ  สงสารพี่เวย์ ขอให้ปลายทางโชคดี

ส่วนตัวเป็นคนแพ้ดราม่าค่ะ

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
พี่ดินมาแล้ว :katai2-1:

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
เห็นพล็อตแล้วน่าสนใจถึงขั้นต้องไปตามเรื่อง Best Couple มาลองอ่านเลยครับ โดยภาพรวม ผมประทับใจกับเรื่องนี้เลยทีเดียวนะครับ ถึงแม้ว่าตอนแรกเจอคำโปรยของผู้แต่งบอกไปว่าให้คอมเมนท์เบาๆ ไอ้เราก็ไม่รู้จะเขียนยังไงให้เบา (หัวเราะ) แต่พอได้ไปอ่านเรื่องเก่า แล้วก็เข้าใจเลยว่าโทนเรื่องแบบนี้สิ ถึงจะขยายความปมและจุดที่ทิ้งไว้ในเรื่องเก่าได้ดี

อันดับแรก มาพูดเรื่องความหลากหลาย จุดนี้ผมขอชม คุณฟิคชันเขียน Best Couple ซึ่งเป็นแนวคอเมดี้ออกมาได้ดีมากครับ ทีนี้พอมาเห็นเรื่องนี้ซึ่งจะแปลงมาเป็นดราม่าโดยอยู่ในจักรวาลเดียวกัน มันก็เป็นอะไรที่น่าสนใจพอสมควร อีกทั้งตอนผมอ่าน Best Couple นี่หลายๆตัวละครก็ค่อนข้างมีปมทิ้งไว้เยอะเลย มีสิ่งที่หยิบมาเล่นได้เยอะแยะ การเอาจุดหรือปมตรงนั้นมาขยายความต่อในเรื่องนี้ซึ่งเป็นโทนดราม่า โดยโฟกัสกับชีวิตของตัวละครเอกที่เราเห็นผ่านๆ อย่างดอท ก็เป็นอะไรที่ผมคิดว่าดีและน่าประทับใจทีเดียว อีกทั้งโทนเรื่องที่เปลี่ยนไป จะทำให้เราเห็นมุมมองของจักรวาลเดียวกัน ผ่านสีสันและความรู้สึกใหม่ๆด้วย

อันดับที่สอง มาพูดเรื่องนิสัยตัวละครครับ มีหลายตัวละครที่ผมต้องพูดถึงมากๆเลย

     เอาตัวละครแรกก่อน - ดอท ชนม์แดน : เป็นตัวละครที่เรียลและมีมิติมากๆ ทุกอย่างของเขาเป็นส่วนประกอบของความสมจริงและพล็อตพื้นหลังอันแน่นปั้ก การกระทำทุกอย่างมีมิติ มีความคิดที่ชัดเจนอยู่ในใจแต่ไม่ได้แสดงออกมาผ่านการกระทำ ผมว่าดอทเป็นตัวละครที่ทำให้เราเห็นเลยว่ากฎ Action = Reaction เป็นอะไรที่เป็นความจริง ยิ่งเราเห็นว่าพ่อของดอทไปสนใจเมียน้อยและครอบครัวมากกว่าขนาดไหน เราจะเห็นความชิงชังและความเกลียดชังจากตัวดอทมากขึ้นเท่านั้น โชคยังดีหน่อยที่แม่ของดอทยังไม่ได้ร้ายขนาดคุณแจนของสกาย ผมว่าอีนังคุณแจนนี่เลวกว่าแม่ดอทเยอะนะครับ สำหรับแม่ดอท มันอาจจะเพราะว่าฝั่งดินทำให้ลูกชายของเธอไม่เป็นผู้เป็นคน ผมว่าแม่ดอทก็ใจเย็นมากแล้วนะ ไม่ทำอะไรฉีกหน้าสามี ยอมตามทุกอย่าง ถ้ารวยจริงระดับหมื่นล้าน เงินบริจาคนิดๆหน่อยๆทำไมทำไม่ได้? ก็ไม่ได้ทำบ่อยด้วยนี่นา ดูเธอไม่ค่อยสนใจสามี แต่สนใจเรื่องเงินที่อาจจะถูกยักยอกออกไปได้ เพราะกลัวลูกชายจะไม่ได้รับอะไร แถมพอสามีดันเอาแต่ไปขลุกอยู่กับพวกนั้นโดยมีอคติ ก็เลยทำให้ไม่มีเวลาอบรมลูกชายของเธอ ไม่มีเวลาที่จะมาได้อยู่กับลูก ผมนับถือแม่ดอทในแง่ที่ว่าเป็นตัวละครที่ทุ่มเทเพื่อลูกชายมากนะครับ อาจจะมีอคติทำให้มองอะไรผิดๆไปบ้าง แต่ก็ยังมี sense of judgement ที่ทำให้ไม่ได้แบบผิดศีลธรรมหรือมองผิดไปมากขนาดนั้น ไม่ถึงขั้นแบบยัยคุณแจนของสกาย ถ้าแม่ของดอทไม่ดี ไม่มีทางที่เนื้อแท้ของดอทจะเป็นเด็กดีขนาดนี้แน่

     ซึ่งเอาจริงๆ ดอทก็แค่อยากได้ความรักจากพ่อ การยอมรับ มันเลยทำให้เขาทะเยอทะยาน ประกอบกับสภาพร่างกายดอทไม่ค่อยดีเท่าไหร่อยู่แล้ว เจอแบบนี้ไปก็ยิ่งทำให้เขาเปราะบางเข้าไปอีก

     ผมมองว่าตัวละครคุณ ‘ป๋า’ นี่แย่มากเลยนะครับ ในเรื่อง Best Couple นี่ยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่อยู่แล้ว ถ้าเปิดไปดูหน้า 45 ของเรื่อง Best Couple ตอนที่ 22 จะเห็นเลยครับว่าพ่อของดอทคุยกับดินยังไง แล้วมาเทียบกับการคุยกับดอท ผมคิดว่านี่สื่ออะไรชัดเจนมากๆเลยนะครับ แดนสรวงมีท่าทีเป็นมิตร รักลูกชายอย่างดินแดนมาก ล้อเล่นได้กับลูกชายว่าจิ้นกับนายแบบ หาสะใภ้ผู้ชายเข้าบ้านได้ แต่ด่าดอทซะไม่เป็นเพศมนุษย์ ด่าว่าหญิงไม่ใช่ชายไม่เชิง เอะอะพอลูกโกรธก็คิดว่าใช้เงินฟาดหัวได้ นิสัยพรรค์นี้ผมรับไม่ได้นะครับ หรือตอนที่งานที่ดอทมีปัญหา แดนสรวงก็บอกว่า เรื่องของมัน ให้ไปแก้ปัญหาเอาเอง แต่พอดินจะไปช่วย โอ๋ทันทีว่าถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องทำ ไม่เป็นไร ปล่อยให้ดอทเดือดร้อนของมันไป นี่คือระบบการคิดของมนุษย์ที่เป็นพ่อแท้ๆของลูกชายที่มาก่อนและถูกต้องตามกฎหมายงั้นหรือครับ?

     ที่พีคมากไปอีกคือ พินัยกรรม เขียนแบบนั้นออกมาได้ยังไง ต่อให้รักยังไงก็ไม่ควรทำให้ฝั่งผู้หญิงที่ถือทะเบียนสมรสเสื่อมเสียเกียรติ และเป็นการแสดงออกว่าไม่ได้ใส่ใจอะไรลูกชายอย่างดอทเลยด้วย ผมว่าคุณแดนสรวงนี่เป็นคน ‘ไร้ความรับผิดชอบ’ ครับ โดยปกติการแต่งงานจดทะเบียนสมรส ไม่ว่าคุณจะรักหรือไม่รัก พันธะสัญญาคือคุณต้องรับผิดชอบคู่ชีวิต ให้เกียรติและเกื้อกูลกัน ถ้ามีลูก คุณต้องรับผิดชอบเลี้ยงเด็กและสร้างเด็กขึ้นมาให้เป็นคนดีและให้เขาไม่ขาดความรักจากพ่อและแม่ ต่อให้พ่อกับแม่จะไม่ได้รักกัน นี่คือจิตสำนึกปกติที่คุณต้องมี ไม่ใช่พอคุณมีอนุภรรยา ก็ไปให้ความสนใจพวกนั้นมากกว่าเพราะคิดว่า กูสบายใจกว่าที่อยู่กับพวกนั้น เฮ้ จิตสำนึก ความรับผิดชอบ มีบ้างไหม? ตอนแต่งงานจดทะเบียนทำไมไม่คิด

     ดอทจะใจพังก็ไม่แปลกครับ ในช่วงอายุอดีต ก็โดนพ่อดุด่าสาดเสียเทเสีย ไม่เคยยอมรับ แถมยังเขียนพินัยกรรมยกทุกอย่างให้ครอบครัวเมียน้อยด้วยอคติความรัก ในช่วงอายุปัจจุบันก็ยังไม่วาบ สกายจะโดนหักเงิน ป๋าก็ไปเคลียร์ให้ แถมยังเห็นดินอยู่กับสกายก็ยิ้มร่า อคติความรักตรงกันข้ามกับดอทที่เป็นลูกแท้ๆเสียอีก พอดินไปพังงานคุณเผ่าพงศ์ ป๋าก็ยอมไปเคลียร์ให้อีก ทั้งๆที่ดอทเสียชื่อจัดงานไปขนาดไหน น้องจะหัวใจพังก็เพราะอย่างนี้แหละครับ แต่ต่อให้ใจพัง ก็จะยังเห็นว่าเนื้อแท้ของดอทเป็นคนดีมาก เพราะแม่ของดอทอบรมมาดี อาจจะหยิ่งหน่อย แต่นั่นก็เพราะสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่เขาไม่เคยมีเพื่อนเลย และมีแต่คนกดดัน ดุด่า มีแค่แม่ที่เป็นที่พึ่งให้กับดอท

     ผมล่ะอยากให้มีฉากที่พอมีปัญหาแล้วแดนสรวงเสนอจะช่วยแก้ปัญหาแบบเดียวกับดินแดน ดอทกลับหนีไปพึ่งคนอื่นแทน ในเวลาที่เขาอยากให้ลูกชายกลับมาพักพิงเขาที่สุด ลูกชายกลับเลือกอกคนอื่นเป็นที่พึ่งมากกว่า ฉากนั้นน่าจะบีบจิตใจให้แดนสรวงรู้ได้ว่าไอ้ความสัมพันธ์ที่พังลงน่ะ มันเป็นเพราะตัวเองเสือกไสไล่ส่งลูกชายตัวเองออกไปจากอกตั้งแต่ในอดีตแล้ว ฉากนั้นน่าจะทำให้ดินแดนและแดนสรวงคิดได้หรือตาสว่างมองโลกแห่งความจริงเป็นสักทีน่ะนะครับ


ตัวละครต่อมาที่ผมค่อนข้างไม่ชอบในเรื่องนี้ ซึ่งมีผลตกค้างมาจากพฤติกรรมในเรื่อง Best Couple ก็คือ ดินแดน - หน้าที่ 56 ของเรื่อง Best Couple เขียนไว้ชัดเจนว่าดินไม่เข้าใจที่ดอททะเยอทะยานสร้างฐานะ แน่นอนว่าดินไม่เข้าใจ ก็เพราะว่าเขาได้รับความรักจากพ่อมาเต็มเปี่ยม แต่ดอทไม่เคยได้

คนที่ใช้ชีวิตตามสบาย เอาแต่ต่อยตีเก็บแต้มไปทั่ว หาแต่เพื่อนแนวเดียวกัน พยายามจะทำเรื่องของตัวเอง ถึงจะบอกว่าอยากจะไต่เต้าเอง แต่พ่อก็แอบไปดีลงานให้อยู่เบื้องหลัง (ตามปากคำบั๊ค) เปิดร้านเองแล้วก็ทำเรื่องเอาแต่ใจ พอมีปัญหาก็แก้ปัญหาแบบที่กูอยากจะแก้ (มอมเหล้าแบล็คเมล์) หรือไม่ก็ให้พ่อมาแก้ให้ มันจะไปน่าชื่นชมมากกว่า คนที่ทะเยอทะยานจะให้พ่อยอมรับ สร้างฐานะด้วยตัวเองเหมือนกัน แต่ไม่มีใครอยู่ข้างๆเลย ไม่มีเพื่อน พ่อก็ไม่ได้ให้ความรัก ที่บ้านไม่ได้จะตามแก้ปัญหาให้ถ้ามีปัญหา ได้ยังไงครับ?

พอดินรู้เรื่องสัญญาของสกาย มองว่าดอทเลวดันไปคบกับเผ่าพงศ์ รู้รึเปล่าล่ะว่าสาเหตุจริงๆมันมาจากอะไร? ที่ดอทไปตกอยู่กับเล่ห์ของคนนั้นก็เพราะว่าตัวเองสายตาไม่ยาวไกลพอเองต่างหาก ผมคิดว่าแม่ของดินแดนเป็นคนละเอียดอ่อนนะครับ เธอค่อนข้างเข้าใจว่าทำไมดอทถึงรู้สึกอย่างนั้น แต่เธอไม่รู้หรอกว่าความจริงสภาพแวดล้อมมันแย่กว่าที่เธอคิดเยอะ การเอาแต่ปลอบลูกตัวเองให้ไม่แค้น มันไม่ได้ช่วยอะไรดอทเท่าไหร่หรอกครับ ยิ่งทำให้ดินแดนเย็นชาและไม่คิดจะมองเรื่องของดอทให้ลึกๆด้วยซ้ำ ตราบใดที่ไม่เคยมองให้สาเหตุลึกๆของมนุษย์ มันก็จะเป็นคนที่สักๆแต่เห็นแก่ตัวและเห็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอยู่อย่างนี้เอง นี่ยังไม่นับเรื่องการไป ‘พังงานเดินแบบ’ของดอท ด้วยสาเหตุที่ว่าตัวเองชอบสกายเท่านั้น นี่มันค่อนข้างไร้สาระครับ คุณเผ่าจะดีหรือไม่ดี การไปแอบพังงานคนอื่น (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานพี่ชาย) โดยใช้เส้นพ่อตัวเองเอาบัตรดีลเลอร์ที่มักจะเข้าข้างตัวเองมากกว่าพี่ชายอยู่แล้ว นี่มันสันดานตัวร้ายละครครับ แถมพอจะให้ถอนแจ้งความไม่เอาเรื่องถึงศาล ดินก็ยังไม่ยอมจบ ยังจะหาแผนมาให้มันเป็นเรื่องต่ออีก นี่มันไม่ใช่วิสัยคนน่าคบครับ

ก็สมกับเป็นลูกอนุภรรยาที่ได้รับความรักดีล่ะครับ ได้รับความรักมาเยอะ เลยใช้ชีวิตง่ายจนเหลิงไม่เคยคิดถึงปัญหาของการกระทำคนอื่น แล้วก็พาลไปเกลียดคนอื่น


มีตัวละครนึงที่ผมคิดว่าน่าสนใจ และคิดว่าคล้ายกับดอทในหลายกรณี นั่นคือสกาย สกายกับดอทคล้ายกันมากนะครับ ในแง่ที่ว่าเดิมเชิดชูบูชาพ่อเหมือนกัน ในเคสของทั้งคู่เหมือนกันคือ พ่อกลับไปโอ๋ไปรัก ไปให้เวลากับฝั่งเมียน้อยมากกว่า แถมไม่เคยใส่ใจ อคติเข้าข้างลูกเมียน้อยจนชัดเจน ที่น่าสงสารคือ สกายมีเบบี้แบล็งให้ได้จดจำว่าเขามีช่วงเวลาที่พ่อกับแม่รักเขา แต่ดอทไม่มีอะไรแบบนั้นเลย สกายมีเพื่อน แต่ดอทไม่มี นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมค่อนข้างโน้มเอียงไปทางดอทนะ ผมคิดว่าผมอยากเป็นเพื่อนกับเขา คนที่โดดเดี่ยวเกินไปในชีวิต มันไม่มีอะไรดีนักหรอกครับ จะเลวร้ายมันต้องมีเหตุผล ถ้าเลวร้ายแต่เหตุผลนั้นมันฟังขึ้น ก็มาค่อยๆแก้กัน ไม่ใช่เอะอะก็สวนกลับแบบไม่คิดเหมือนดิน เพราะลอจิกของคนที่ได้รับความรักมาตลอด จะมา apply ชุ่ยๆเข้ากับคนที่ไม่เคยได้รับความรับและอยากแสวงหาไม่ได้ สกายกับดอทหยิ่งยโสเหมือนกัน และดอทเองก็น่าจะเข้าใจสกายในระดับนึงด้วยซ้ำ แต่ด้วยทิฐิว่าไม่ยอมอ่อนให้ไม่งั้นจะถูกเอาเปรียบ ก็เลยทำให้ทั้งสองคนเหมือนมีดสั้นเล่มเดียวกัน แต่หันคมดาบเข้าหากัน แต่ที่จะหันด้ามมีดครับ ถ้ามีดสั้นสองเล่มหันคมหากัน มีแต่จะพังพินาศ แต่ถ้าหันด้ามเข้าหากัน มันจะกลายเป็นดาบสองปลาย ศาสตราวุธร้ายแรงที่ประมาทไม่ได้

ผมว่าคุณแดนสรวงน่าจะไปเจอพ่อสกายแล้วได้คุยกันนะครับ จะได้เห็นว่าแท้จริงแล้วปัญหามันเกิดจากตัวเอง การที่คุณมองอะไรที่ไม่ชัดเจน (พ่อสกายมองว่าเมียหลวงไม่รัก ทั้งๆที่เมียหลวงทำอะไรให้ลับๆตั้งหลายอย่าง) ทำอะไรลำเอียง (แดนสรวงเอาแต่เปย์ทุกอย่างช่วยเหลือทุกอย่างให้ดิน ยอมรับกระทั่งลูกจะมีแฟนเป็นผู้ชาย แต่กับดอทนี่ด่าสาดเสียเทเสียยังกับด่าของเสียเน่าเหม็น พ่อสกายก็เอาแต่หลงเมียน้อยไม่ต่างกันจนทำให้มองว่าสกายทำผิด ยังดีที่พอเกิดปัญหา สกายก็ยังไม่ยอมทิ้งพ่อไปไหน พ่อของสกายก็คงเริ่มคิดได้)

จากตอนพิเศษหน้า 68 จะเห็นว่าดอทกับสกายตอนที่ใจพัง เจอใครก็พร้อมจะยอมรับมันเหมือนๆกัน โชคดีที่สกายเจอข้าวจ้าว แต่ดอทกลับเจอเผ่าพงศ์ เลยทำให้เรื่องมันแตกต่างไป อีกทั้งฐานะที่บ้านของดอทดีกว่าด้วย ทิฐิของคุณแดนสรวงที่ไม่เคยมองว่าตัวเองผิดคงยิ่งมีมากตามตัว (เขียนพินัยกรรมแบบนี้ผมรับไม่ได้จริงๆอะ)


เรื่องที่สามคือเรื่องของการเขียน และสิ่งที่ผมคิดว่าเราน่าจะได้เห็น เรื่องการเขียนของคุณฟิคชันนี่ผมไม่มีอะไรติเลยนะครับ สะกดถูก บรรยายได้เหมาะสมกับโทนเรื่อง พล็อตแน่นมาก (ผมชอบการขยายปมมาก และคุณทำได้ดีครับ!) การกระทำตัวละครสมเหตุสมผลมากและมีน้ำหนัก (ดังนั้นตัวละครที่ทำตัวเอาแต่ใจมากอย่างดิน ผมเลยไม่ค่อยชอบ)

ถามว่าผมคาดหวังจะเห็นอะไร ผมคิดว่าเราจะได้เห็นการขยายปม เราจะเห็นใจของดอทและความดรามาที่น่าจะทำให้เราเห็นว่าน้องพยายามขนาดไหน เห็นอีกมุมของอีเวนท์ต่างๆที่เกิดในเรื่องของ Best Couple ทั้งเรื่องของจุดประสงค์แท้จริงในการรับงานให้สกาย ซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกว่าสกายนี่ยังวุฒิภาวะค่อนข้างเด็ก มองอะไรไม่เห็นลึกซึ้ง ต่อให้ติดสัญญาทาส แต่ถามว่าจำเป็นไหมที่ดอทต้องมานั่งปั้นและป้อนมากให้สกายเด่นดังขนาดนี้ เพราะสุดท้ายแล้วพอน้องหลุดสัญญาทาส ก็คงไม่ต่อสัญญากับโมเดลลิ่งของดอทอยู่ดี สู้เขาไปป้อนงานและฟีดงานดีๆ ปั้นนายแบบกับคนที่อยู่ในสังกัดและพร้อมจะจงรักภักดีกับดอท อยู่กับดอทต่อ ไม่ดีกว่าหรือไง?

หรืออีเวนท์ที่ต้องเดินแบบงานนาฬิกา และอีเวนท์เดินแบบเครื่องหนัง ซึ่งการที่ทั้งสองคนนั้นมองว่าดอทหิวเงิน และทั้งสองอีเวนท์นั้นดอทต้องขอร้องให้ทำเสียด้วย ตรงนี้ทำผมฉุนกึกเลยนะครับ ทำไมดอทต้องขอร้องดินในหลายๆงานขนาดนั้น? คุณเผ่ารวยพอๆกับพ่อของดอทด้วยซ้ำ อิทธิพลก็มี ขอให้เขาช่วยเรื่องการแก้ปัญหาสิ จะไปแคร์มันทำไม ในเมื่อมันไม่เคยคิดจะมองเราดีอยู่แล้ว จะเอาศักดิ์ศรีที่มีไปก้มหน้าขอร้องเพื่อให้ได้เงินเปอร์เซ็นต์มาเก็บให้ครบ 50 ล้าน เนี่ยนะ เป็นผมผมไม่ทำอะ หรือแม้กระทั่ง พอดอทยอมขอร้องให้รับงานให้พวกนั้น เห็นรึเปล่าว่าพวกนั้นก็วางแผนมาบีบดอทอยู่ดี แสดงให้เห็นว่าพวกนั้นไม่เคยมองหรือใส่ใจตัวชนม์แดนเลยแม้แต่นิด แล้วจะไปทำดีกับพวกมันทำไม (ถึงการทำให้สัญญาหมดลงสามเดือน ดอทจะไม่ได้รู้สึกแย่อะไรเท่าไหร่ เพราะว่าลึกๆของตัวดอท เขาเป็นคนดีนะครับ คิดถึงคนอื่น แต่เขาก็มีสถานการณ์ที่ต้องแก้ไข และเขาก็ไม่มีเพื่อน...)

จะเห็นว่าไม่มีใครเห็นทะลุผ่านสิ่งที่ดอทต้องเผชิญสักคน ชีวิตจริงมันก็คล้ายๆนี้นะครับ คนที่ไม่มีวุฒิภาวะมันก็จะเป็นอย่างนี้ มองอะไรไม่ลึก ไม่ว่าจะสกาย หรือดินแดน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าถ้าเรามีมุมมองที่มองกลับ ก็จะเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้น ตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล สุขุมรอบคอบขึ้น นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมมักชอบเชียร์มวยรอง เพราะในชีวิตจริง (ซึ่งนิยายสร้างโดยเบสบนความสมจริง) มวยรองต้องมีพล็อตหรือมุมมองที่มองจากมุมเค้าแล้วให้เราเห็นหลายๆอย่าง ซึ่งจะมีผลต่อวิจารณญาณของตัวเราครับ

ผมสงสัยอยู่นิดนึง เผ่าพงศ์นี่มาแนวตัวเอกเท่ๆจริงหรือครับเนี่ย พอผมอ่านเจอฉากที่สู้กับดินแล้วแพ้หมอบแต้จนจุกนี่ผมเฟลเลยอะ หรือว่าอายุเลยเลขสามแล้วลืมเข้าฟิตเนสล่ะนั่น (หัวเราะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-04-2018 22:52:38 โดย Grey Twilight »

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
เป็นการอ่านคอมเมนท์ที่ทั้งชื่นใจและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน  อ่านไปก็ลุ้นไปว่าจะโดนด่าตอนไหน (ฮา)
ขอบคุณสำหรับความเห็นนะคะ อ่านทุกคำและคิดตามทุกประโยค
อยากบอกว่าดีใจที่มีคนอ่านนิยายแล้ววิเคราะห์ตามได้ทะลุปรุโปร่งอย่างกับมานั่งในใจคนเขียน

ก่อนอื่นนายน้อยขอแทนตัวเองว่านายน้อยนะคะ จะขออธิบายและสปอยล์เบาๆ กับเรื่องที่คุณGrey Twilight  ตั้งข้อสังเกตไว้ค่ะ

1. คุณแดนสรวง ขอเท้าความเล็กน้อยว่านายน้อยเคยอ่านบทความหนึ่งที่กล่าวถึงความรักของมนุษย์ที่ไม่สามารถเท่ากันได้ แม้แต่ความรักของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด  บทความบรรยายว่าไม่มีทางที่พ่อแม่จะรักลูกเท่ากัน อย่างน้อยความกังวล ความห่วงใย ความใส่ใจ หรืออื่นๆ จะเป็นตัวแปรให้พ่อแม่ปฏิบัติต่อลูกอย่างไม่เท่าเทียมในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเสมอ   ถึงตรงนี้จึงเป็นที่มาของการกระทำของคุณแดนสรวงว่าทำไมจึงมีความลำเอียง ซึ่งปมที่ผลักดันให้เกิดความลำเอียงจะถูกคลี่คลายในเนื้อเรื่องต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณจะได้เห็นความสำนึกผิดบาปและน้ำตาแห่งความเสียใจในฝั่งของบิดาแน่นอน

2. ดินแดน  มนุษย์ลั้ลลาไม่สนสี่สนแปดไม่แคร์โลกว่าจะหมุนทวนเข็มนาฬิกาหรือหมุนรอบดวงอาทิตย์อย่างไรทั้งนั้นเพราะคิดเสมอว่าจักรวาลหมุนรอบตัวเขาเอง  การเป็นแฟนกับสกายไม่ได้ทำให้รู้สำนึกว่าการใช้ชีวิตของตนหรือแม้แต่การวางแผนแก้ปัญหาต่างๆ(โคตร)ล้ำเส้นคนอื่นอยู่มากเพราะถึงสกายจะเป็นมนุษย์เสาหินแต่จิตใจแมนเกินร้อยซึ่งต่างกับดอทที่ค่อนข้างอ่อนไหวเปราะบาง  ในอนาคตดินแดนจะได้รับรู้แน่นอนว่าความดำมืดของหลุมดำเป็นอย่างไร

3. สกาย เป็นอย่างที่คุณGrey Twilight วิเคราะห์ไว้ทุกอย่างจริงๆ ปูมหลังที่คล้ายกันของสกาย-ดอททำให้ทั้งคู่ต่างเข้าใจกันอยู่ลึกๆ แต่ด้วยเหตุผลต่างๆ ที่แต่ละฝ่ายต้องเผชิญก็กลายเป็นว่าต่างคนต่างสร้างกำแพงในใจขึ้นมาจนได้  คงต้องรอดูว่าบาดแผลจะสมานได้ด้วยเหตุการณ์ใด

4. ดอท เป็นตัวละครที่นายน้อยรักมากๆ ไม่รู้ทำไมถึงรักก็บอกไม่ถูกเพราะอันที่จริงเรื่องนี้ไม่หวือหวาไม่ฮาไม่มีมุก และดำเนินเรื่องเรื่อยๆ เอื่อยๆ อาจจะทำให้คนอ่านรู้สึกเบื่อหน่าย แต่ในชีวิตของคนๆ หนึ่งกว่าจะเจอกับสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง บางทีก็ต้องก้าวผ่านอะไรมากมายจนบางทีก็ถอดใจไปแล้วด้วยซ้ำ ชีวิตที่เหมือนจะดีแต่ก็ไม่ดี เหมือนจะดีแต่ก็ดีไม่สุด จุดหักเหเกิดขึ้นช่วงกลางเรื่องและชีวิตเริ่มเปลี่ยนเมื่อมึคนเข้ามาทำให้ดอทหลุดออกจากฟิลเตอร์หมองมัวที่ตัวเองสร้างขึ้น พอถึงตอนนั้นนางจะเป็นคนที่น่ารักน่าแกล้งที่สุดไม่แพ้เคะใดในจักรวาล (ขออวยลูกรักนิดนึง) แต่ก็นั่นแหละ ไม่รู้ว่าคนที่เสพติดความทุกข์อย่างดอทจะยอมรับความสุขมาไว้กับตัวหรือไม่ คงต้องรอลุ้นค่ะ
 
อันที่จริงได้แต่งเรื่องนี้จบไปนานแล้วแต่พอส่งสำนักพิมพ์ก็โดนตีกลับเพราะมันเรทไป (ฮา) แต่ก็ยังอยากอัพค่ะ อยากให้คนอ่านได้เห็นมุมของคนเลวในเรื่องนั้น กลายมาเป็นคนที่น่า(มอบความ)รักในเรื่องนี้ บางทีอาจจะมีคนรักพี่ดอทเหมือนที่นายน้อยรักก็ได้ ><


ปล. ถ้าอัพจนจบก็อยากอ่านวิเคราะห์ยาวๆ อีกสักครั้งนะคะ  ถึงตอนนั้นความชอบอาจจะลดลงแล้วแต่ก็ยังอยากอ่านความเห็นในการดำเนินเรื่อง การคลายปม หรือจุดที่ไม่ชอบอยู่ดีว่าเป็นอย่างไร

ท้ายนี้ก็ขอบคุณมากๆ ที่ตั้งใจคอมเมนท์อย่างละเอียด ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
:pig4:




เห็นพล็อตแล้วน่าสนใจถึงขั้นต้องไปตามเรื่อง Best Couple มาลองอ่านเลยครับ โดยภาพรวม ผมประทับใจกับเรื่องนี้เลยทีเดียวนะครับ ถึงแม้ว่าตอนแรกเจอคำโปรยของผู้แต่งบอกไปว่าให้คอมเมนท์เบาๆ ไอ้เราก็ไม่รู้จะเขียนยังไงให้เบา (หัวเราะ) แต่พอได้ไปอ่านเรื่องเก่า แล้วก็เข้าใจเลยว่าโทนเรื่องแบบนี้สิ ถึงจะขยายความปมและจุดที่ทิ้งไว้ในเรื่องเก่าได้ดี

อันดับแรก มาพูดเรื่องความหลากหลาย จุดนี้ผมขอชม คุณฟิคชันเขียน Best Couple ซึ่งเป็นแนวคอเมดี้ออกมาได้ดีมากครับ ทีนี้พอมาเห็นเรื่องนี้ซึ่งจะแปลงมาเป็นดราม่าโดยอยู่ในจักรวาลเดียวกัน มันก็เป็นอะไรที่น่าสนใจพอสมควร อีกทั้งตอนผมอ่าน Best Couple นี่หลายๆตัวละครก็ค่อนข้างมีปมทิ้งไว้เยอะเลย มีสิ่งที่หยิบมาเล่นได้เยอะแยะ การเอาจุดหรือปมตรงนั้นมาขยายความต่อในเรื่องนี้ซึ่งเป็นโทนดราม่า โดยโฟกัสกับชีวิตของตัวละครเอกที่เราเห็นผ่านๆ อย่างดอท ก็เป็นอะไรที่ผมคิดว่าดีและน่าประทับใจทีเดียว อีกทั้งโทนเรื่องที่เปลี่ยนไป จะทำให้เราเห็นมุมมองของจักรวาลเดียวกัน ผ่านสีสันและความรู้สึกใหม่ๆด้วย

อันดับที่สอง มาพูดเรื่องนิสัยตัวละครครับ มีหลายตัวละครที่ผมต้องพูดถึงมากๆเลย

     เอาตัวละครแรกก่อน - ดอท ชนม์แดน : เป็นตัวละครที่เรียลและมีมิติมากๆ ทุกอย่างของเขาเป็นส่วนประกอบของความสมจริงและพล็อตพื้นหลังอันแน่นปั้ก การกระทำทุกอย่างมีมิติ มีความคิดที่ชัดเจนอยู่ในใจแต่ไม่ได้แสดงออกมาผ่านการกระทำ ผมว่าดอทเป็นตัวละครที่ทำให้เราเห็นเลยว่ากฎ Action = Reaction เป็นอะไรที่เป็นความจริง ยิ่งเราเห็นว่าพ่อของดอทไปสนใจเมียน้อยและครอบครัวมากกว่าขนาดไหน เราจะเห็นความชิงชังและความเกลียดชังจากตัวดอทมากขึ้นเท่านั้น โชคยังดีหน่อยที่แม่ของดอทยังไม่ได้ร้ายขนาดคุณแจนของสกาย ผมว่าอีนังคุณแจนนี่เลวกว่าแม่ดอทเยอะนะครับ สำหรับแม่ดอท มันอาจจะเพราะว่าฝั่งดินทำให้ลูกชายของเธอไม่เป็นผู้เป็นคน ผมว่าแม่ดอทก็ใจเย็นมากแล้วนะ ไม่ทำอะไรฉีกหน้าสามี ยอมตามทุกอย่าง ถ้ารวยจริงระดับหมื่นล้าน เงินบริจาคนิดๆหน่อยๆทำไมทำไม่ได้? ก็ไม่ได้ทำบ่อยด้วยนี่นา ดูเธอไม่ค่อยสนใจสามี แต่สนใจเรื่องเงินที่อาจจะถูกยักยอกออกไปได้ เพราะกลัวลูกชายจะไม่ได้รับอะไร แถมพอสามีดันเอาแต่ไปขลุกอยู่กับพวกนั้นโดยมีอคติ ก็เลยทำให้ไม่มีเวลาอบรมลูกชายของเธอ ไม่มีเวลาที่จะมาได้อยู่กับลูก ผมนับถือแม่ดอทในแง่ที่ว่าเป็นตัวละครที่ทุ่มเทเพื่อลูกชายมากนะครับ อาจจะมีอคติทำให้มองอะไรผิดๆไปบ้าง แต่ก็ยังมี sense of judgement ที่ทำให้ไม่ได้แบบผิดศีลธรรมหรือมองผิดไปมากขนาดนั้น ไม่ถึงขั้นแบบยัยคุณแจนของสกาย ถ้าแม่ของดอทไม่ดี ไม่มีทางที่เนื้อแท้ของดอทจะเป็นเด็กดีขนาดนี้แน่

     ซึ่งเอาจริงๆ ดอทก็แค่อยากได้ความรักจากพ่อ การยอมรับ มันเลยทำให้เขาทะเยอทะยาน ประกอบกับสภาพร่างกายดอทไม่ค่อยดีเท่าไหร่อยู่แล้ว เจอแบบนี้ไปก็ยิ่งทำให้เขาเปราะบางเข้าไปอีก

     ผมมองว่าตัวละครคุณ ‘ป๋า’ นี่แย่มากเลยนะครับ ในเรื่อง Best Couple นี่ยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่อยู่แล้ว ถ้าเปิดไปดูหน้า 45 ของเรื่อง Best Couple ตอนที่ 22 จะเห็นเลยครับว่าพ่อของดอทคุยกับดินยังไง แล้วมาเทียบกับการคุยกับดอท ผมคิดว่านี่สื่ออะไรชัดเจนมากๆเลยนะครับ แดนสรวงมีท่าทีเป็นมิตร รักลูกชายอย่างดินแดนมาก ล้อเล่นได้กับลูกชายว่าจิ้นกับนายแบบ หาสะใภ้ผู้ชายเข้าบ้านได้ แต่ด่าดอทซะไม่เป็นเพศมนุษย์ ด่าว่าหญิงไม่ใช่ชายไม่เชิง เอะอะพอลูกโกรธก็คิดว่าใช้เงินฟาดหัวได้ นิสัยพรรค์นี้ผมรับไม่ได้นะครับ หรือตอนที่งานที่ดอทมีปัญหา แดนสรวงก็บอกว่า เรื่องของมัน ให้ไปแก้ปัญหาเอาเอง แต่พอดินจะไปช่วย โอ๋ทันทีว่าถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องทำ ไม่เป็นไร ปล่อยให้ดอทเดือดร้อนของมันไป นี่คือระบบการคิดของมนุษย์ที่เป็นพ่อแท้ๆของลูกชายที่มาก่อนและถูกต้องตามกฎหมายงั้นหรือครับ?

     ที่พีคมากไปอีกคือ พินัยกรรม เขียนแบบนั้นออกมาได้ยังไง ต่อให้รักยังไงก็ไม่ควรทำให้ฝั่งผู้หญิงที่ถือทะเบียนสมรสเสื่อมเสียเกียรติ และเป็นการแสดงออกว่าไม่ได้ใส่ใจอะไรลูกชายอย่างดอทเลยด้วย ผมว่าคุณแดนสรวงนี่เป็นคน ‘ไร้ความรับผิดชอบ’ ครับ โดยปกติการแต่งงานจดทะเบียนสมรส ไม่ว่าคุณจะรักหรือไม่รัก พันธะสัญญาคือคุณต้องรับผิดชอบคู่ชีวิต ให้เกียรติและเกื้อกูลกัน ถ้ามีลูก คุณต้องรับผิดชอบเลี้ยงเด็กและสร้างเด็กขึ้นมาให้เป็นคนดีและให้เขาไม่ขาดความรักจากพ่อและแม่ ต่อให้พ่อกับแม่จะไม่ได้รักกัน นี่คือจิตสำนึกปกติที่คุณต้องมี ไม่ใช่พอคุณมีอนุภรรยา ก็ไปให้ความสนใจพวกนั้นมากกว่าเพราะคิดว่า กูสบายใจกว่าที่อยู่กับพวกนั้น เฮ้ จิตสำนึก ความรับผิดชอบ มีบ้างไหม? ตอนแต่งงานจดทะเบียนทำไมไม่คิด

     ดอทจะใจพังก็ไม่แปลกครับ ในช่วงอายุอดีต ก็โดนพ่อดุด่าสาดเสียเทเสีย ไม่เคยยอมรับ แถมยังเขียนพินัยกรรมยกทุกอย่างให้ครอบครัวเมียน้อยด้วยอคติความรัก ในช่วงอายุปัจจุบันก็ยังไม่วาบ สกายจะโดนหักเงิน ป๋าก็ไปเคลียร์ให้ แถมยังเห็นดินอยู่กับสกายก็ยิ้มร่า อคติความรักตรงกันข้ามกับดอทที่เป็นลูกแท้ๆเสียอีก พอดินไปพังงานคุณเผ่าพงศ์ ป๋าก็ยอมไปเคลียร์ให้อีก ทั้งๆที่ดอทเสียชื่อจัดงานไปขนาดไหน น้องจะหัวใจพังก็เพราะอย่างนี้แหละครับ แต่ต่อให้ใจพัง ก็จะยังเห็นว่าเนื้อแท้ของดอทเป็นคนดีมาก เพราะแม่ของดอทอบรมมาดี อาจจะหยิ่งหน่อย แต่นั่นก็เพราะสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่เขาไม่เคยมีเพื่อนเลย และมีแต่คนกดดัน ดุด่า มีแค่แม่ที่เป็นที่พึ่งให้กับดอท

     ผมล่ะอยากให้มีฉากที่พอมีปัญหาแล้วแดนสรวงเสนอจะช่วยแก้ปัญหาแบบเดียวกับดินแดน ดอทกลับหนีไปพึ่งคนอื่นแทน ในเวลาที่เขาอยากให้ลูกชายกลับมาพักพิงเขาที่สุด ลูกชายกลับเลือกอกคนอื่นเป็นที่พึ่งมากกว่า ฉากนั้นน่าจะบีบจิตใจให้แดนสรวงรู้ได้ว่าไอ้ความสัมพันธ์ที่พังลงน่ะ มันเป็นเพราะตัวเองเสือกไสไล่ส่งลูกชายตัวเองออกไปจากอกตั้งแต่ในอดีตแล้ว ฉากนั้นน่าจะทำให้ดินแดนและแดนสรวงคิดได้หรือตาสว่างมองโลกแห่งความจริงเป็นสักทีน่ะนะครับ


ตัวละครต่อมาที่ผมค่อนข้างไม่ชอบในเรื่องนี้ ซึ่งมีผลตกค้างมาจากพฤติกรรมในเรื่อง Best Couple ก็คือ ดินแดน - หน้าที่ 56 ของเรื่อง Best Couple เขียนไว้ชัดเจนว่าดินไม่เข้าใจที่ดอททะเยอทะยานสร้างฐานะ แน่นอนว่าดินไม่เข้าใจ ก็เพราะว่าเขาได้รับความรักจากพ่อมาเต็มเปี่ยม แต่ดอทไม่เคยได้

คนที่ใช้ชีวิตตามสบาย เอาแต่ต่อยตีเก็บแต้มไปทั่ว หาแต่เพื่อนแนวเดียวกัน พยายามจะทำเรื่องของตัวเอง ถึงจะบอกว่าอยากจะไต่เต้าเอง แต่พ่อก็แอบไปดีลงานให้อยู่เบื้องหลัง (ตามปากคำบั๊ค) เปิดร้านเองแล้วก็ทำเรื่องเอาแต่ใจ พอมีปัญหาก็แก้ปัญหาแบบที่กูอยากจะแก้ (มอมเหล้าแบล็คเมล์) หรือไม่ก็ให้พ่อมาแก้ให้ มันจะไปน่าชื่นชมมากกว่า คนที่ทะเยอทะยานจะให้พ่อยอมรับ สร้างฐานะด้วยตัวเองเหมือนกัน แต่ไม่มีใครอยู่ข้างๆเลย ไม่มีเพื่อน พ่อก็ไม่ได้ให้ความรัก ที่บ้านไม่ได้จะตามแก้ปัญหาให้ถ้ามีปัญหา ได้ยังไงครับ?

พอดินรู้เรื่องสัญญาของสกาย มองว่าดอทเลวดันไปคบกับเผ่าพงศ์ รู้รึเปล่าล่ะว่าสาเหตุจริงๆมันมาจากอะไร? ที่ดอทไปตกอยู่กับเล่ห์ของคนนั้นก็เพราะว่าตัวเองสายตาไม่ยาวไกลพอเองต่างหาก ผมคิดว่าแม่ของดินแดนเป็นคนละเอียดอ่อนนะครับ เธอค่อนข้างเข้าใจว่าทำไมดอทถึงรู้สึกอย่างนั้น แต่เธอไม่รู้หรอกว่าความจริงสภาพแวดล้อมมันแย่กว่าที่เธอคิดเยอะ การเอาแต่ปลอบลูกตัวเองให้ไม่แค้น มันไม่ได้ช่วยอะไรดอทเท่าไหร่หรอกครับ ยิ่งทำให้ดินแดนเย็นชาและไม่คิดจะมองเรื่องของดอทให้ลึกๆด้วยซ้ำ ตราบใดที่ไม่เคยมองให้สาเหตุลึกๆของมนุษย์ มันก็จะเป็นคนที่สักๆแต่เห็นแก่ตัวและเห็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอยู่อย่างนี้เอง นี่ยังไม่นับเรื่องการไป ‘พังงานเดินแบบ’ของดอท ด้วยสาเหตุที่ว่าตัวเองชอบสกายเท่านั้น นี่มันค่อนข้างไร้สาระครับ คุณเผ่าจะดีหรือไม่ดี การไปแอบพังงานคนอื่น (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานพี่ชาย) โดยใช้เส้นพ่อตัวเองเอาบัตรดีลเลอร์ที่มักจะเข้าข้างตัวเองมากกว่าพี่ชายอยู่แล้ว นี่มันสันดานตัวร้ายละครครับ แถมพอจะให้ถอนแจ้งความไม่เอาเรื่องถึงศาล ดินก็ยังไม่ยอมจบ ยังจะหาแผนมาให้มันเป็นเรื่องต่ออีก นี่มันไม่ใช่วิสัยคนน่าคบครับ

ก็สมกับเป็นลูกอนุภรรยาที่ได้รับความรักดีล่ะครับ ได้รับความรักมาเยอะ เลยใช้ชีวิตง่ายจนเหลิงไม่เคยคิดถึงปัญหาของการกระทำคนอื่น แล้วก็พาลไปเกลียดคนอื่น


มีตัวละครนึงที่ผมคิดว่าน่าสนใจ และคิดว่าคล้ายกับดอทในหลายกรณี นั่นคือสกาย สกายกับดอทคล้ายกันมากนะครับ ในแง่ที่ว่าเดิมเชิดชูบูชาพ่อเหมือนกัน ในเคสของทั้งคู่เหมือนกันคือ พ่อกลับไปโอ๋ไปรัก ไปให้เวลากับฝั่งเมียน้อยมากกว่า แถมไม่เคยใส่ใจ อคติเข้าข้างลูกเมียน้อยจนชัดเจน ที่น่าสงสารคือ สกายมีเบบี้แบล็งให้ได้จดจำว่าเขามีช่วงเวลาที่พ่อกับแม่รักเขา แต่ดอทไม่มีอะไรแบบนั้นเลย สกายมีเพื่อน แต่ดอทไม่มี นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมค่อนข้างโน้มเอียงไปทางดอทนะ ผมคิดว่าผมอยากเป็นเพื่อนกับเขา คนที่โดดเดี่ยวเกินไปในชีวิต มันไม่มีอะไรดีนักหรอกครับ จะเลวร้ายมันต้องมีเหตุผล ถ้าเลวร้ายแต่เหตุผลนั้นมันฟังขึ้น ก็มาค่อยๆแก้กัน ไม่ใช่เอะอะก็สวนกลับแบบไม่คิดเหมือนดิน เพราะลอจิกของคนที่ได้รับความรักมาตลอด จะมา apply ชุ่ยๆเข้ากับคนที่ไม่เคยได้รับความรับและอยากแสวงหาไม่ได้ สกายกับดอทหยิ่งยโสเหมือนกัน และดอทเองก็น่าจะเข้าใจสกายในระดับนึงด้วยซ้ำ แต่ด้วยทิฐิว่าไม่ยอมอ่อนให้ไม่งั้นจะถูกเอาเปรียบ ก็เลยทำให้ทั้งสองคนเหมือนมีดสั้นเล่มเดียวกัน แต่หันคมดาบเข้าหากัน แต่ที่จะหันด้ามมีดครับ ถ้ามีดสั้นสองเล่มหันคมหากัน มีแต่จะพังพินาศ แต่ถ้าหันด้ามเข้าหากัน มันจะกลายเป็นดาบสองปลาย ศาสตราวุธร้ายแรงที่ประมาทไม่ได้

ผมว่าคุณแดนสรวงน่าจะไปเจอพ่อสกายแล้วได้คุยกันนะครับ จะได้เห็นว่าแท้จริงแล้วปัญหามันเกิดจากตัวเอง การที่คุณมองอะไรที่ไม่ชัดเจน (พ่อสกายมองว่าเมียหลวงไม่รัก ทั้งๆที่เมียหลวงทำอะไรให้ลับๆตั้งหลายอย่าง) ทำอะไรลำเอียง (แดนสรวงเอาแต่เปย์ทุกอย่างช่วยเหลือทุกอย่างให้ดิน ยอมรับกระทั่งลูกจะมีแฟนเป็นผู้ชาย แต่กับดอทนี่ด่าสาดเสียเทเสียยังกับด่าของเสียเน่าเหม็น พ่อสกายก็เอาแต่หลงเมียน้อยไม่ต่างกันจนทำให้มองว่าสกายทำผิด ยังดีที่พอเกิดปัญหา สกายก็ยังไม่ยอมทิ้งพ่อไปไหน พ่อของสกายก็คงเริ่มคิดได้)

จากตอนพิเศษหน้า 68 จะเห็นว่าดอทกับสกายตอนที่ใจพัง เจอใครก็พร้อมจะยอมรับมันเหมือนๆกัน โชคดีที่สกายเจอข้าวจ้าว แต่ดอทกลับเจอเผ่าพงศ์ เลยทำให้เรื่องมันแตกต่างไป อีกทั้งฐานะที่บ้านของดอทดีกว่าด้วย ทิฐิของคุณแดนสรวงที่ไม่เคยมองว่าตัวเองผิดคงยิ่งมีมากตามตัว (เขียนพินัยกรรมแบบนี้ผมรับไม่ได้จริงๆอะ)


เรื่องที่สามคือเรื่องของการเขียน และสิ่งที่ผมคิดว่าเราน่าจะได้เห็น เรื่องการเขียนของคุณฟิคชันนี่ผมไม่มีอะไรติเลยนะครับ สะกดถูก บรรยายได้เหมาะสมกับโทนเรื่อง พล็อตแน่นมาก (ผมชอบการขยายปมมาก และคุณทำได้ดีครับ!) การกระทำตัวละครสมเหตุสมผลมากและมีน้ำหนัก (ดังนั้นตัวละครที่ทำตัวเอาแต่ใจมากอย่างดิน ผมเลยไม่ค่อยชอบ)

ถามว่าผมคาดหวังจะเห็นอะไร ผมคิดว่าเราจะได้เห็นการขยายปม เราจะเห็นใจของดอทและความดรามาที่น่าจะทำให้เราเห็นว่าน้องพยายามขนาดไหน เห็นอีกมุมของอีเวนท์ต่างๆที่เกิดในเรื่องของ Best Couple ทั้งเรื่องของจุดประสงค์แท้จริงในการรับงานให้สกาย ซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกว่าสกายนี่ยังวุฒิภาวะค่อนข้างเด็ก มองอะไรไม่เห็นลึกซึ้ง ต่อให้ติดสัญญาทาส แต่ถามว่าจำเป็นไหมที่ดอทต้องมานั่งปั้นและป้อนมากให้สกายเด่นดังขนาดนี้ เพราะสุดท้ายแล้วพอน้องหลุดสัญญาทาส ก็คงไม่ต่อสัญญากับโมเดลลิ่งของดอทอยู่ดี สู้เขาไปป้อนงานและฟีดงานดีๆ ปั้นนายแบบกับคนที่อยู่ในสังกัดและพร้อมจะจงรักภักดีกับดอท อยู่กับดอทต่อ ไม่ดีกว่าหรือไง?

หรืออีเวนท์ที่ต้องเดินแบบงานนาฬิกา และอีเวนท์เดินแบบเครื่องหนัง ซึ่งการที่ทั้งสองคนนั้นมองว่าดอทหิวเงิน และทั้งสองอีเวนท์นั้นดอทต้องขอร้องให้ทำเสียด้วย ตรงนี้ทำผมฉุนกึกเลยนะครับ ทำไมดอทต้องขอร้องดินในหลายๆงานขนาดนั้น? คุณเผ่ารวยพอๆกับพ่อของดอทด้วยซ้ำ อิทธิพลก็มี ขอให้เขาช่วยเรื่องการแก้ปัญหาสิ จะไปแคร์มันทำไม ในเมื่อมันไม่เคยคิดจะมองเราดีอยู่แล้ว จะเอาศักดิ์ศรีที่มีไปก้มหน้าขอร้องเพื่อให้ได้เงินเปอร์เซ็นต์มาเก็บให้ครบ 50 ล้าน เนี่ยนะ เป็นผมผมไม่ทำอะ หรือแม้กระทั่ง พอดอทยอมขอร้องให้รับงานให้พวกนั้น เห็นรึเปล่าว่าพวกนั้นก็วางแผนมาบีบดอทอยู่ดี แสดงให้เห็นว่าพวกนั้นไม่เคยมองหรือใส่ใจตัวชนม์แดนเลยแม้แต่นิด แล้วจะไปทำดีกับพวกมันทำไม (ถึงการทำให้สัญญาหมดลงสามเดือน ดอทจะไม่ได้รู้สึกแย่อะไรเท่าไหร่ เพราะว่าลึกๆของตัวดอท เขาเป็นคนดีนะครับ คิดถึงคนอื่น แต่เขาก็มีสถานการณ์ที่ต้องแก้ไข และเขาก็ไม่มีเพื่อน...)

จะเห็นว่าไม่มีใครเห็นทะลุผ่านสิ่งที่ดอทต้องเผชิญสักคน ชีวิตจริงมันก็คล้ายๆนี้นะครับ คนที่ไม่มีวุฒิภาวะมันก็จะเป็นอย่างนี้ มองอะไรไม่ลึก ไม่ว่าจะสกาย หรือดินแดน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าถ้าเรามีมุมมองที่มองกลับ ก็จะเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้น ตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล สุขุมรอบคอบขึ้น นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมมักชอบเชียร์มวยรอง เพราะในชีวิตจริง (ซึ่งนิยายสร้างโดยเบสบนความสมจริง) มวยรองต้องมีพล็อตหรือมุมมองที่มองจากมุมเค้าแล้วให้เราเห็นหลายๆอย่าง ซึ่งจะมีผลต่อวิจารณญาณของตัวเราครับ

ผมสงสัยอยู่นิดนึง เผ่าพงศ์นี่มาแนวตัวเอกเท่ๆจริงหรือครับเนี่ย พอผมอ่านเจอฉากที่สู้กับดินแล้วแพ้หมอบแต้จนจุกนี่ผมเฟลเลยอะ หรือว่าอายุเลยเลขสามแล้วลืมเข้าฟิตเนสล่ะนั่น (หัวเราะ)

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด