☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6  (อ่าน 31844 ครั้ง)

ออฟไลน์ ดาวโจร500

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
คือที่ดอทเลือกทางผิด อิเนมก็มีส่วนผิดอิดอกกกกกทิ้งเพื่อนในวันที่เพื่อนไม่มีใครเพราะผู้ชาย!!!!!!! แล้วบอกว่ารักเพื่อนอิชั่ว เขาไม่เอามันก็ทษว่าเป็นความผิดเพื่อน ไปไกลๆไป ดอทไม่กล้าไปหาเวย์เพราะรู้สึกผิดด้วยปะ ดันไปเจอไอ้เหี้ยเผาอีก ถ้าเวย์กับอินังสารเลวเนมได้กันจริงนี่คือดอทเจ็บฟรีอะ โดนกระทำสุด

รักหนูนะดอทใครว่าหนูเหลวแหลกยังไงพี่ก็ว่ามันไม่ใช่ความผิดหนู ความผิดอิดอกเนมเกลียดจบนะ

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อยากให้ดอทมีความสุขจริงๆสักที :katai1: :katai1: :hao5:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
นอกจาก #ดินดอท แล้วก็เชียร์คุณหมอนี่แหละค่ะก็หวังว่าคุณหมอคงจะเป็นคนดีจริงๆไม่มีอะไรพีคๆมาทำให้น้องดอทต้องช้ำใจอีกนะคะ เรายิ่งระแวงที่ดอทบอกคุ้นๆคุณหมออยู่ด้วยสิ

ปล.ส่งพี่เวย์มาแล้วทำไมต้องส่งเนมมาด้วย สงสารดอทเข้าใจความอึดอัดที่ดอทเป็นเลย เป็นเราคงเดินออกจากร้านตั้งแต่แรกๆอะ และไม่รู้ทำไมถึงคิดว่าที่เผ่าทิ้งดอทไว้ที่ร้านเพราะลองใจเพราะน่าจะรู้ว่าเวย์เป็นใคร

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
เชียร์#ดินดอท ได้มะ555555

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1

โห๊ะ!!!!!!! นี่ความฮ๊อตของดอทมันระอุ ขึ้นเรื่อยๆเลยวุ้ย  o18

 :impress2:  จะให้คู่กับใครก็ได้แต่อยากเห็นว่าดอทต้องมีความสุขจริงๆสักที

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.
ต อ น ที่ 10 :  ห ม อ ป ร ะ ส า ท


รุ่งเช้า เฮียเผ่าโทรมาทันทีที่ผมเปิดเครื่อง

“เมื่อวานทำไมติดต่อไม่ได้ งานก็ไม่ไปทำ เฮียโทรหาจนมือจะหงิก เลยโทรไปที่บ้านเห็นบอกว่าออกไปกับน้าเวชก็เลยเบาใจหน่อย” เขากรอกเสียงติดจะหงุดหงิดใส่ผม

“เมื่อวานออกไปทำแผลแล้วแบตหมดไม่รู้ตัวกลับถึงบ้านก็นอนเลยครับ เพิ่งตื่นมาตอนเช้านี่แหละ” ผมปด

“คราวหลังเอาเพาเวอร์แบงค์ไปด้วยจะได้ไม่ขาดการติดต่อ รู้ไหมว่าเฮียเป็นห่วง” เฮียใส่เป็นชุดและมันก็ทำให้ผมรู้สึกผิด

“ขอโทษครับ คราวหลังดอทจะรอบคอบกว่านี้นะ” ผมทำเสียงอ้อนนิดหน่อยเฮียจะได้ใจอ่อน

“อืม” เขาตอบเสียงนุ่มขึ้น “วันนี้ไปทำงานกี่โมงเดี๋ยวเฮียไปรับ เพราะช่วงบ่ายนัดพี่เวย์ไว้คุยกันเรื่องบ้านต่อ”

ตายละสิ เมื่อวานทั้งวันลืมเรื่องพี่เวย์ไปซะสนิท วันนี้ต้องเจอกันอีกแล้วเหรอ

“เดี๋ยวดอทให้น้าเวชไปส่งดีกว่าครับ” ฉุกใจคิดไปถึงตอนเย็นที่ต้องไปทำแผลแล้วรีบปฏิเสธ ถ้าให้เฮียรับส่งก็คงจะพาไปทำแผลที่โรงพยาบาล ถ้าเป็นแบบนั้นหมอประสาทได้ไลน์มาวีนยาวเป็นหางว่าวแน่ๆ “ช่วงเย็นก็ต้องแวะทำแผลด้วย เผื่อเฮียมีธุระจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”

“เอางั้นก็ได้ แต่ที่จริงเฮียคิดถึงน่ะ อยากนอนกอดเมีย” เสียงหื่นๆ แบบนี้ทำเอาใจสั่น อันที่จริงผมก็คิดถึงนะ เฮียทำให้มีความสุขทุกครั้ง เสียแต่ว่าเวลาอยู่ด้วยกันทีไรเฮียจะชอบต่อยาวๆ จนร่างจะพัง

“งั้นเป็นวันเสาร์นี้ก็ได้ครับ วันอาทิตย์จะได้ไม่เสียงาน” ผมบอกอย่างอารมณ์ดี พอได้นอนเต็มอิ่มแล้วมันสดชื่นไม่หงุดหงิดง่าย

“น่ารักจัง งั้นเดี๋ยวนัดเวลาพี่เวย์อีกทีแล้วเฮียจะโทรบอกนะ” เฮียสดใสขึ้นทันที

“ครับผม” ตอบกลับไปแล้ววางสายพร้อมรอยยิ้ม  เฮียน่ารักเวลาโดนตามใจแต่ก็น่ากลัวถ้าเกิดมีใครขัดใจเข้า

เฮ้อ ไม่อยากโดนกระทำแบบนั้นอีกแล้ว เฮียต้องเป็นคนดีของดอทให้ได้นะ



วันนี้มาทำงานด้วยความกระปรี้กระเปร่า ไม่ถึงกับดีมากแต่ถือว่าดีกว่าปกติจนกระทั่งเจ้าน้องตัวแสบมันมากวน

“ไหนนน ขอดูแผลหน่อย” มาถึงก็รี่เข้ามาเปิดแผลดูอย่างกับเป็นหมอ “ใส่กางเกงขาสั้นแบบนี้ก็น่ารักดีนะ แต่เนื้อผ้ามันก็แข็งเกินไปอยู่ดี คราวหลังเปลี่ยนเป็นแบบที่ผ้านิ่มๆ เปิดง่ายๆ กว่านี้สิ”  ทำขนาดนี้แล้วยังหาช่องบ่นได้อีก นี่เป็นน้องหรือเป็นป๋ากันแน่นะ “ว่าแต่.. วันนี้ดูหน้าตาสดชื่น เหงือกแดง ตาใส รูจมูกบาน ผ่านน” มือหนาเอื้อมมาจับประคองหน้าแล้วแหกตาแหกเหงือกดูอย่างกับผมเป็นของเล่น 

“อย่าเยอะๆ” ผมจับมือซุกซนของเขาไว้ “ถ้าไม่หยุดจะหักมือเดี๋ยวนี้แหละ”

ไม่พูดเปล่าแต่หักมือเขาพร้อมกับทำหน้าโหด เจ้าดินไม่สนใจแต่กลับทำหน้าประหลาดใจ

“อาการพี่ดีขึ้นนะ”

ผมเอียงหน้ามองเพราะงงนิดหน่อยแต่ก็นึกขึ้นได้ จริงสิ รู้สึกวูบวาบแค่เพียงแผ่วๆ แทบจะเผลอลืมไปด้วยซ้ำว่าถูกสัมผัส 

“หายแล้วมั้ง”  อ้อมแอ้มตอบไปทั้งๆ ที่เราสองคนยังไม่เคยพูดคุยกันถึงเรื่องอาการของผมอย่างจริงจัง

คิดว่าที่อาการดีขึ้นก็น่าจะเป็นเพราะดินแดนมาทำแบบนี้สม่ำเสมอ ถ้าเห็นว่าเกิดอาการจะกระซิบเตือนให้ควบคุมสติและบอกช้าๆ ว่าเขาเป็นน้องชาย เขาทำแบบนี้เป็นประจำจนเดี๋ยวนี้รู้สึกคุ้นชิ้นสัมผัสจากเขาที่แตกต่างออกไปจากสัมผัสของผู้ชายคนอื่น.. นิดหน่อย

“ดีแล้วล่ะ พี่ต้องใจแข็งไว้นะ ถ้าจะมีอารมณ์ต้องมีเพราะอยากมี ไม่ใช่มีเพราะเผลอตัว”  ร่างสูงยืนขึ้นเต็มความสูงแล้วเดินไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“อืม”

“ป๋าโทรหาพี่มั่งปะ” ดินแดนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แบบสบายๆ ไขว่ห้างแบบกร่างๆ ตามสไตล์ห้าวๆ ของเขา เห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้ที่มีน้องชายเท่ได้ขนาดนี้  ยิ่งสายตาตอนที่เขาจ้องรอฟังคำตอบ นี่ถ้าไม่ใช่น้องชายผมคงจะหลงเขาเอาง่ายๆ เชียวล่ะ

“ไม่ได้โทรนะ แต่ช่วงนี้ปิดเครื่องบ่อย ป๋าอาจโทรตอนปิดเครื่องก็ได้”

“งั้นพรุ่งนี้เราไปหาป๋ากัน ไปเที่ยวบ้านใหม่ป๋า” ดินแดนชวนพลางทำหน้าเหมือนพยายามให้กำลังใจ

ผมนิ่งไปเล็กน้อยแต่แล้วก็พยักหน้า “ไปก็ไป”

“ไม่เป็นไรนะพี่” มือหนาเอื้อมมาลูบแขนทำเอาขนลุกขึ้นมาแต่ก็พยายามปล่อยผ่านเพราะประโยคต่อมาของเขา “เราเป็นครอบครัว ถึงไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่เราก็คือครอบครัวกันไปจนวันตาย”

ดวงตาคู่คมทอประกายอ่อนโยนจนรู้สึกถึงลำคอที่ตีบตันไปพร้อมกับหยาดน้ำก็รื้นขึ้นมา

“อื้ม ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ ตอนนี้มีเรื่องอื่นให้คิดหลายเรื่อง เรื่องป๋านี่สิวๆ” ผมยิ้มออกมาในที่สุด  แค่ป๋ามีความสุข ผมก็โอเค

“ดีใจที่พี่ยิ้มได้กับเรื่องของป๋า” เขายิ้มให้แล้วบีบแขนอีกทีก่อนจะปล่อยมือออกไป

“สกายไปไหนถึงไม่มาด้วย” ผมเปลี่ยนเรื่องจะได้ไม่อยู่ในโหมดซึ้งนานเกินไป

“มีถ่ายไง เดี๋ยวนี้ไม่ดูคิวให้น้องใภ้เลยน้า”

“ก็มีเธอดูให้อยู่แล้วนี่ แล้วอีกอย่างช่วงนี้กองถ่ายเขาแจ้งคิวโดยตรงอยู่แล้ว ส่วนพวกถ่ายแบบก็อีกตั้งเดือนหน้า แล้วงานเดินก็ไม่รับให้ช่วงนี้เดี๋ยวสกายจะเหนื่อยเกิน”

“แซวเล่นแค่นี้ต้องจริงจัง” ดินแดนเบ้ปากใส่ “แต่ที่จริงเดี๋ยวนี้พี่ทำตัวน่ารักขึ้นนะ เหมือนนางฟ้าเลย”

“นางฟ้าหรือซาตานก็ไม่รู้” ผมบ่นกับตัวเอง

จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองนิสัยไม่ดีหลายอย่าง ยิ่งเรื่องของพี่เวย์ยิ่งทำให้ดาวน์ลงเรื่อยๆ ทั้งอิจฉาเนม ทั้งหวั่นไหวกับพี่เวย์ กลายเป็นนอกใจเฮียไปหลายแว้บ ถึงจะไม่ได้นอกกายแต่ก็ไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย

“ซาตานบ้างก็ได้ ลุยๆ ไปเลยชีวิตมันสั้นนะ เลือกอะไรก็เลือกที่มันเหมาะกับตัวเอง อย่ามัวแต่คิดถึงคนอื่นให้มาก” น้องชายสุดหล่อบอกแล้วยืนขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ “ไปละนะ พรุ่งนี้จะไลน์บอกอีกทีว่ากี่โมง” 

“อืม ขับรถดีดี” ผมโบกมือลาแล้วก้มหน้าทำงานต่อ


สักพักเฮียก็โทรมาบอกให้ไปเจอกันที่ร้านกาแฟตอนบ่ายสอง  ผมถอนหายใจแล้วโทรบอกน้าเวชให้มารับและเดินทางไปก่อนเวลานัดเล็กน้อย

เข้าไปสั่งกาแฟแล้วหาที่นั่งมุมสงบเพราะไม่อยากคุยรบกวนคนอื่น นั่งรอแล้วรออีก บ่ายสองครึ่งก็ไม่เห็นใครมาจึงโทรหาเฮีย

“ทำไมยังไม่มาครับ ดอทรอครึ่งชั่วโมงแล้วนะ” ผมส่งเสียงติดดุๆ ไปตามสาย

“อ้าวดอท เฮียไลน์เปลี่ยนเวลาเป็นบ่ายสามครับ โธ่ งั้นรออีกหน่อยนะ อีกยี่สิบนาทีเฮียก็คงถึง”

“โอเคครับ”

พอเปิดเช็คในแอพไลน์ก็เห็นว่าเฮียบอกเลื่อนเวลาจริงๆ  คงเป็นเพราะเปิดระบบสั่นไว้เลยไม่ทันได้มอง จากนั้นผมก็นั่งรออย่างเซ็งๆ รู้งี้เอางานมาทำด้วยก็ดีหรอก

“มาเร็วจังนะครับ”

ถึงกับสะดุ้งทันทีเมื่อมีคนมาพูดอยู่ด้านหลัง

พี่เวย์..

จะบอกดีไหมว่านัดผิดเวลา แต่ก็ช่างเถอะไม่อยากคุยอะไรหลายคำจึงได้แต่พยักหน้าทักทายตามมารยาท

“ผมทำการบ้านมาเบื้องต้นแล้วนะ ลองดูแบบคร่าวๆ ก่อนครับ” พูดซะห่างเหินเลย ทีกับเนมพี่อย่างนั้นอย่างนี้ แหวะ

ผมรับแบบบ้านมาดู  ดูไม่ค่อยออกแต่ก็น่าจะสวยดี  ด้านหน้าเป็นออฟฟิต ห้องเสื้อ ห้องแต่งตัวขนาดใหญ่ มีห้องประชุมขนาดกะทัดรัดและที่ถูกใจก็คือห้องทำงานของผมที่หันไปทางต้นฉำฉา ใต้ต้นฉำฉามีโต๊ะสนามและผูกชิงช้าลงมา ไว้เป็นที่นั่งจิบกาแฟหรือจัดงานกลางแจ้งได้ดีทีเดียว  มีทางเดินเชื่อมต่อยาวไปถึงด้านหลังที่ใช้ปลูกบ้านชั้นเดียวเล่นระดับมีพื้นที่ใช้สอยทันสมัยดูเรียบง่ายแต่หรูหรา

ตรงใจไปหมดเลย..

ทั้งๆ ที่วันก่อนไม่ได้บอกอะไรมากแต่พี่เวย์ทำออกมาได้ถูกสเป๊คจนแทบไม่ต้องแก้

“อยากเพิ่มเติมตรงไหนไหมครับ” เสียงทุ้มนุ้มเรียกให้ผมเงยหน้ามอง ใบหน้าหล่อเหลาที่นิ่งงันรอคำตอบทำเอาจิตใจหวั่นไหวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“ถ..ถ้าตัดต้นฉำฉาออกไป คุณอยากจะเติมอะไรลงไปตรงนั้นให้ผม” มันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการหรอกแต่เป็นสิ่งที่ผมอยากรู้

พี่เวย์มองดูในแบบแค่เสี้ยววินาทีแล้วตอบออกมา

“ปลูกต้นใหม่ทดแทนครับ ต้นไม้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบ้าน ถึงตัดขาดแล้วแต่ผมก็อยากให้ปลูกขึ้นมาใหม่ ปลูกกันใหม่อีกครั้ง”

หัวใจของผมสั่นไหว สายตาคู่นั่นเหมือนต้องการพุ่งกระแสจิตทะลุเข้ามาในความรู้สึก ประโยคที่เหมือนจะสื่อสารนัยแฝงเร้นทำเอาหน้าเห่อร้อนขึ้นมาเสียดื้อๆ 

แต่แค่ไม่กี่วินาที ผมก็ปรับอารมณ์ให้สงบขึ้นเพราะบางทีอาจจะคิดไปเองฝ่ายเดียว เขาคงหมายถึงเรื่องบ้านกับต้นไม้จริงๆ ไม่ได้มีนัยสื่อมาถึงเรื่องของเราหรอกเพราะเขาก็มีครอบครัวที่สมบูรณ์อยู่แล้ว

“คุยกันถึงไหนแล้ว”

ใจหายใจคว่ำรอบที่เท่าไหร่แล้วของวันนี้เมื่อเฮียเผ่าเข้าแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้วนั่งลงข้างๆ พร้อมด้วยการโอบไหล่แล้วมองหน้ารอคำตอบ

“.....”

“คุยเรื่องจะตัดหรือไม่ตัดต้นฉำฉาครับ” พี่เวย์ตอบแทนเมื่อเห็นว่าผมยังคิดคำตอบไม่ออก

“ตัดไปเลยก็ได้นะ เดี๋ยวลมฝนมาหนักๆ กิ่งหรือต้นมันอาจจะโค่นใส่บ้านเอา”

เฮียนี่ก็คิดอะไรไม่ตรงใจดอทเลย จะตัดได้ยังไงมันสวยออกขนาดนั้น

“เมื่อวานผมไปคำนวณขนาดความสูงดูแล้วครับ ถ้าเราเว้นระยะห่างจากตัวอาคารให้พอดีเวลามันโค่นลงมาก็ไม่โดนสิ่งปลูกสร้างแต่ก็อาจต้องซ่อมแซมทางเดินเชื่อมต่อบางส่วน ซึ่งการเว้นระยะก็ไม่ได้ทำให้เสียพื้นที่ไปเปล่าๆ ผมลองจัดเป็นสวนสวยวางโต๊ะสนามและทำน้ำตกไหลวนรอบๆ ไว้เป็นพื้นที่รับแขกจิบกาแฟหรือเอาไว้จัดงานกลางแจ้งได้ทั้งกลางวันกลางคืนครับ” พี่เวย์ฉลาดและรอบคอบมาก ทำการบ้านมาตรงจุดและรวดเร็วด้วย

เก่งจังเลยแฮะ ตอนเขาเรียนมหาวิทยาลัยก็ไม่เคยถามเรื่องของเขาเลยว่าเรียนเก่งไม่เก่งหรือมีปัญหาอะไรยังไง ครอบครัวมีกี่คนและบ้านอยู่ที่ไหนก็ไม่เคยรู้ ผมนี่มันเป็นคนยังไงกันนะ เย็นชากับเขาขนาดนี้ได้ยังไงกัน ถึงไม่ชอบแต่อย่างน้อยก็ควรถามไถ่ไมตรีไว้บ้างสิ

โธ่โอ้ย เกลียดตัวเอง

“ว่าไงครับ ดอทโอเคมั้ย” เฮียเผ่าทำหน้าพึงพอใจกับคำตอบของพี่เวย์

“เท่าที่ฟังดูก็ดีทีเดียวครับแต่ผมอยากปลูกต้นไม้เยอะๆ ยังไงลองจัดสวนแล้วขยายแบบเฉพาะโซนนี้ให้ผมดูหน่อยนะครับ” ผมหันไปบอกพี่เวย์

“เรื่องภูมิทัศน์เดี๋ยวจะให้คนเขียนแบบอีกคนมารับบรีฟนะครับ วันนี้ก็ยังไม่ว่างมาถ้ายังไงขอนัดคุณดอทอีกที ขอแค่ครึ่งชั่วโมงก็น่าจะเสร็จ”

เมื่อบรีฟแบบกันได้ในสโคปที่พึงพอใจแล้วเฮียกับพี่เวย์ก็คุยกันเรื่องอื่นๆ ผมจึงขอตัวกลับก่อนเพราะทำตัวไม่ถูกเวลาอยู่ต่อหน้ากันทั้งสามคน ก็เฮียชอบโอบชอบจับมือไว้ เวลาถูกสัมผัสผมก็มีอาการเบาๆ ถึงแม้จะควบคุมได้บ้างแล้วแต่ก็ยังต้องฝึกอีกเยอะ  และที่สำคัญพี่เวย์ชอบปรายตามาทางนี้ตอนเฮียเผลอ แต่สายตาที่มองมาไม่ได้มีเยื่อใยอะไรเลย แค่มองเหมือนเคืองๆ เหมือนเป็นคนอื่น ยิ่งเห็นยิ่งหงุดหงิดจนไม่อยากอยู่

sweetyDOTcom :  คลินิกเปิดกี่โมง
Dr.WRRT :  หกโมงแต่จะมาก่อนก็ได้
sweetyDOTcom :  งั้นเดี๋ยวเข้าไป
Dr.WRRT :  OK

ผมทักหาหมอประสาทประมาณสี่โมงครึ่งเพราะวันนี้คงไม่เข้าไปทำงานต่อ ครั้นจะไปออกกำลังกายก็กลัวแผลฉีกอีกรอบ เลยคิดว่าอยากมาทำแผลซะให้เสร็จๆ

“น้าเวชรอก่อนนะครับถ้าครึ่งชั่วโมงไม่ออกมาค่อยตามเข้าไป” ผมบอกไว้และน้าเวชก็ตอบรับ


เดินเข้ามาไม่เจอใครเพราะคงยังไม่ถึงเวลาเริ่มงาน เดินเข้าไปที่ห้องตรวจเดิมก็ไม่มีใครอยู่ ผมจึงถือวิสาสะขึ้นไปนั่งรอบนเตียง

“ช้าจัง”

รอนานแล้วแต่ไม่เห็นมาสักที ผมจึงขึ้นไปนอนเล่นเพลินๆ บนเตียงตรวจ ห้องนี้มันเล็กดีนะ ไม่มีอะไรให้มองมากนักก็เลยไม่มีเรื่องให้ต้องคิดเยอะ  และพอนอนไปสักพักก็หลับไปซะเฉยๆ

“อ้าวหลับเฉยเลย หึ้ ตัวภาระ แต่ทำไปทำมาก็กลายเป็นภาระหัวใจ เฮ้อ ไอ้วรรตเอ้ย อยู่ดีดีไม่ว่าดี แล้วดูสิ ทำเป็นกลัวนั่นกลัวนี่ แต่พอได้หลับก็หลับเป็นตาย ขนาดบ่นอยู่ใกล้แค่นี้ยังไม่ตื่น.. งั้นเดี๋ยวตื่นแล้วค่อยทำแผลให้นะ”


เสียงบ่นงุ้งงิ้งๆ ที่ดังอยู่ข้างหู ผมจับใจความไม่ได้หรอกเหมือนเป็นเสียงในฝันมากกว่า แต่เสียงนี้ฟังแล้วก็เพลินดีนะ รู้สึกปลอดภัยจนหลับได้อีกนานเลย



ตื่นมาอีกทีเพราะได้ยินเสียงคนคุยกัน ผมรีบยกนาฬิกาขึ้นดูก็เห็นว่าจะสามทุ่ม โธ่เอ้ย หลับไปอีกแล้ว นี่ผมจะบ้าหรือไงนะมาหลับที่นี่ทำไม  บ้านมีเตียงใหญ่ๆ นุ่มๆ ทำไมไม่กลับไปนอน

“อ้าวตื่นแล้วเหรอ คนไข้ผมหมดพอดีเลย” หมอประสาทเข้ามาพอดี เขาเดินไปหยิบอุปกรณ์ทำแผลแล้วกลับมา

“ทำไมไม่ปลุกล่ะ ให้นอนช่วงเย็นแบบนี้ก็ปวดหัวกันพอดี แล้วคืนนี้จะนอนตาค้างมั้ย” ยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วถลกกางเกงขึ้นอย่างรู้งาน

“ตอนแรกก็ว่าจะปลุกแต่ไม่ว่างเลย วันนี้คนไข้เยอะ” เขาว่าแล้วเริ่มทำแผลเหมือนเดิม และอาการก็ดีขึ้นถึงจะมีสั่นบ้างแต่คิดว่าลดลงมากกว่าทุกครั้ง

จะว่าไปตอนที่ทำแผลที่โรงพยาบาลก็ไม่เป็นนะ หรือจะเป็นเพราะพยาบาลทำให้ พอเป็นผู้หญิงผมเลยไม่มีอาการ  คิดไปยิ่งเกลียดตัวเอง ไวต่อสัมผัสแค่ผู้ชายเท่านั้นเหรอ งื้ออ โรคบ้าอะไรเนี่ย 

“คนไข้เยอะหรือคุณชวนคุยเยอะ” ผมแซว “ปกติเห็นหมอคนอื่นเค้าหวงเวลากันจะตาย ตรวจคนไข้อย่างกับอาบน้ำเย็นตอนหน้าหนาว”

“คุณก็เปรียบซะ” เขายิ้มขำ

รอยยิ้มแบบนี้ดูคุ้นๆ แฮะ 

“คุณลองยิ้มแบบตะกี้อีกทีนึงสิ”

“ถ้าไม่ขำใครจะไปยิ้มได้ถ้าให้ทำเฉยๆ มันก็แค่แยกเขี้ยวยิงฟันเท่านั้นแหละ หรือว่าคุณทำได้”  เขาย่นคิ้วทำหน้างง

“ไม่ยิ้มก็ไม่ยิ้ม” ผมเบ้ปากใส่  “ทำแผลเสร็จแล้วใช่ปะ งั้นกลับเลยนะ”

“ยังไม่สี่ทุ่มเลย” อยู่ดีดีก็ทำให้งงอีกละ “ทำหน้างงทำไม ก็ปกติคุณกลับสี่ทุ่ม วันนี้เพิ่งจะสามทุ่มยังเหลือเวลาอีกตั้งนาน”

“แล้วไง” ผมถามกลับ ยังไม่หายงงแม้แต่นิดเดียว

“ก็รอให้ถึงสี่ทุ่มแล้วค่อยกลับสิ”

เขาทำให้ผมแปลกใจอีกแล้วนะ ทำไมต้องอยากให้อยู่ถึงสี่ทุ่ม หรือเขาคิดอะไรกับผม 

“มานี่สิ” แต่แล้วเขาก็กระตุกแขนเสื้อให้ตามออกไปแล้วแอบดูคนสองคนกำลังคุยกันกระหนุงกระหนิงอยู่หน้าคลินิก “เห็นยัง” เขาถามแล้วดึงแขนเสื้อผมกลับไปห้องตรวจเดิม

“อือ” ผมตอบพลางทำหน้าอึ้งๆ 

น้าเวชกับพนักงานพยาบาลที่ชื่อพี่งามกำลังจีบกันเหรอ นี่มันหนึ่งในเรื่องมหัศจรรย์ของโลกเลยนะ ปกติน้าเวชไม่เคยสนใจใครเลย แม่ครัวหรือคนงานในบ้านแกไม่เคยยุ่งเกี่ยว แต่มาถูกใจผู้ช่วยพยาบาล โอ้ย รสนิยมดีจริง

“อยู่ต่ออีกหน่อยให้เขาได้ทำความรู้จักกัน ทำให้คนรักกันกุศลแรงนะคุณ จะได้มีคู่ดีดี” เขาอธิบาย

“นี่เป็นหมอจริงป่าวเนี่ย เรียนวิทยาศาสตร์ทำไมเชื่อเรื่องอะไรแบบนี้”

“จริงๆ มันก็วิทยาศาสตร์นะ เพราะเราทำให้เขามีความสุข ใจเราก็เลยเป็นสุขไปด้วยเพราะรู้สึกว่าเราได้ทำความดี แล้วพอใจเราเป็นสุขร่างกายก็จะหลั่งสารเคมีที่ดีต่อสุขภาพไปเลี้ยงส่วนต่างๆ และสมอง พอสมองดีก็จะฉลาดคิด ฉลาดเลือกอะไรๆ ที่เหมาะกับตัวเอง พอเลือกได้เหมาะก็จะมีปัญหาชีวิตคู่น้อยกว่าเลือกแบบไม่เหมาะ เนี่ย มันก็ใช้วิทยาศาสตร์อธิบายได้” ผมฟังเขาสาธยายแล้วยกนิ้วโป้งให้ “ทฤษฎีเยี่ยมใช่มะ”  เขาถามทำหน้าภูมิใจในตัวเอง

“แถเก่งที่หนึ่ง” ผมทำหน้าล้อเลียน

หน้าเขาคว่ำลงทันทีแล้วเดินเข้ามาเอาเรื่อง

“กล้าว่าคุณหมอเกียรตินิยมว่าแถทฤษฎีงั้นเหรอ” นิ้วโป้งของผมถูกกำไว้แล้วบิดไปแบบฝืนธรรมชาติ “ต้องโดนดัดนิสัยบ้างแล้ว”

“โอ้ยคุณ เดี๋ยวนิ้วหัก อย่าาาา ฮ..ฮ่า ฮ่าๆ จะบ้าหรือไงหยุดนะ คุณปล่อย ฮ่า ฮ่าๆๆ” ค่อยๆ หลุดหัวเราะออกมากับท่าทางเหมือนเอาจริงของเขาแถมยังต้องพยายามบิดแขนตามเพื่อให้เจ็บน้อยลงจนตัวโก่งตัวงอไปอีก

แต่เสียงร้องห้ามไม่ได้มีผลอะไรหมอประสาท เขายังคงตั้งใจจะหักนิ้วผมอย่างเอาเป็นเอาตายและหลุดขำออกมาเป็นบางครั้ง กลายเป็นสงครามย่อมๆ ทำให้ต้องหลุดหัวเราะออกมาหลายครั้งทีเดียว


แต่แล้วเมื่อเล่นจนเหนื่อยต่างคนต่างก็หยุดโดยไม่ได้นัดหมาย เราสองคนมองหน้ากันโดยที่ยังจับนิ้วค้างไว้แบบนั้น

“หัวเราะบ่อยๆ สิ เสียงหัวเราะของคุณสดใสมากนะ” ค่อนข้างอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน ผมค่อยๆ ดึงมือกลับมาแล้วปั้นหน้าให้ปกติ

“ก็ปกติไม่ค่อยมีเรื่องให้ขำ” ทำทีเป็นมองโปสเตอร์อนาโตมี่ที่ข้างผนังราวกับว่าจะเตรียมตัวไปสอบหมอ แต่ความจริงก็เพื่อกลบเกลื่อนเลือดลมที่สูบฉีดแบบไม่ปกติในร่างเท่านั้นเอง

“งั้นก็มารักษาโรคขำยากที่นี่บ่อยๆ เดี๋ยวหมอจ่ายยาให้ รับรองไม่เลี้ยงไข้ คิดราคาขำละหนึ่งมื้อ” เขาบอกแล้วเดินไปนั่งพิงเก้าอี้แล้วเลิกคิ้วขึ้นรอคำตอบ  “ว่าไง มื้อเล็กๆ ก็ได้ รวยก็รวยอย่าขี้งกเลยน่า”

“ชอบพูดเองเออเอง” ผมบ่น

“แล้วจะตกลงไหม”

“ตกลงก็ได้ ผมเชื่อว่าคงเลี้ยงคุณแค่ปีละครั้งสองครั้งแค่นั้นแหละเพราะผมคงไม่ขำบ่อยนักหรอก” ค่อนข้างมั่นใจกับเส้นขำที่ลึกสุดกู่ของตัวเอง

“เป็นคนเส้นลึกว่างั้น”

“มากกก”

“งั้น.. ขอมื้อแรกวันนี้ก่อนเลย ไปกินข้าวกัน” ว่าแล้วก็ลุกมาดึงแขนเสื้อชวนออกจากคลินิก

“อะไรของคุณเนี่ย ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง” ถึงจะบ่นแต่ก็เดินตามเขาไปเพราะไม่รู้จะหาข้ออ้างไหนมาปฏิเสธ ยังไงก็ต้องติดแหงกอยู่ที่นี่ สู้ไปฆ่าเวลาที่อื่นก็น่าจะดีกว่า

“น้าเวชครับ ขอพาคุณหนูของน้าเวชจะไปหาอะไรกินแถวนี้ น้ากับพี่งามอยากได้อะไรไหมครับ” หมอประสาทถามน้าเวชราวกับรู้จักกันมาเป็นสิบๆ ปี

“ไม่หรอกครับคุณหมอ น้าเพิ่งทานข้าวมันไก่ฝีมือน้องงามเมื่อกี้”  อุ๊ยๆๆ มีเปลี่ยนสรรพนามเป็นน้องงามซะด้วย ง่าา น่าเอ็นดูจัง

“โอเคครับงั้นเดี๋ยวผมมานะ” พอพูดกับน้าเวชเสร็จเขาก็ลากแขนเสื้อผมไปที่รถ

“คันนี้อีกแล้ว” 

“นี่แหละคลาสสิค” เขาบอกแล้วดันหลังเข้าไปในรถบุโรทั่งคันเก่า

ทันทีที่มือของเขาทาบลงมาบนแผ่นหลัง ร่างกายผมก็เกิดปฏิกิริยาทันที

วาบ~

ผมหยุดชะงักแล้วกลั้นลมหายใจ  นึกว่าดีขึ้นแล้วซะอีก เมื่อกี้ตอนเล่นกันผมยังไม่วูบวาบมากขนาดนี้เลย แล้วทำไมถึงรู้สึกขึ้นมาปุบปับแบบนี้นะ

“มันต้องใช้เวลา” ไม่รู้เขาพูดถึงเรื่องอะไรแต่ผมหันไปมองนิ่งๆ หรือหมอประสาทจะรู้หรือที่จริงเขาพูดเรื่องอื่นแล้วมันมาพ้องกับเรื่องที่ผมคิด “ขึ้นรถเร็ว ผมหิว” 

ผมพยักหน้าแล้วขึ้นไปนั่งบนรถแล้วตั้งสติ ไม่นานนักก็สงบขึ้นเพราะดูเหมือนอีกฝ่ายไม่ได้เพิ่มการกระตุ้นใดๆ    ใช้เวลาไม่นานก็ขับมาถึงตลาดนัดที่คนเริ่มซาแล้ว


“ที่นี่เหรอ” ผมถามแล้วมองไปโดยรอบ เห็นบ่อยๆ ว่าชอบมีตลาดแบกะดินแบบนี้แล้วก็มีคนเดินกันยั้วเยี้ยแต่ก็ไม่กล้ามาเดิน

“ที่นี่แหละ ถ้าเลือกดีดีของอร่อยเพียบ” เขาทำสีหน้ามั่นใจ

แต่ผมไม่มั่นใจเลยแฮะ ปกติก็ธาตุอ่อน กินอะไรเผ็ดหรือแสลงก็เสาะท้องปวดท้องอยู่บ่อยๆ  แต่เห็นท่าทางเขาแบบนี้แล้วก็สงสาร

“อืม ลองดูละกัน..”

ร่างสูงยิ้มพอใจแล้วเดินนำไปซื้ออาหารหลายอย่าง ทั้งลูกชิ้นนึ่ง ทาโกะยากิ ข้าวมันปิ้ง ข้าวโพดคลุกเนย น้ำหวานและอาหารทานเล่นอีกหลายอย่างมาเต็มไปหมด


“จะกินหมดไหมคุณ” ผมมองถุงหิ้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบถุงในมือเขาแล้วไม่อยากคิดว่าใครจะกิน

“นานๆ ได้กินของฟรี ต้องจัดหนักจัดเต็ม” ดูทำหน้าเข้า จริงจังอะไรกับของฟรีขนาดนั้น

ผมส่ายหน้าแล้วเดินไปที่รถ “ไปกินที่คลินิกเหรอ”

เขาไม่ตอบแต่วิ่งไปไขกุญแจเปิดรถอย่างทุลักทุเล รู้สึกผิดที่ไม่ได้ช่วยถือแต่เขาแย่งผมไปถือเองซะหมด แรกๆ เขาก็ชอบขัดใจแต่นานเข้าก็เผลอมาตามใจผมอยู่ดี ออร่าความเป็นภาระของผมมันแรงนักหรือไงก็ไม่รู้

หมอประสาทขับรถไปเรื่อยๆ ไม่ไกลจากคลินิกมากนัก มีสวนสาธารณะเล็กๆ ที่ค่อนข้างทรุดโทรมแต่ไม่ถึงกับรกร้าง   เขาพาผมไปนั่งริมตลิ่งแล้ววางข้าวของไว้บนพื้น

“มันจะสกปรกนะคุณ” 

“มันมีถุงรองอยู่ไม่สกปรกหรอก มานั่งนี่เร็ว” มือหนาตบลงบนพื้นที่ข้างตัวซึ่งผมก็ไม่ปฏิเสธ  เดินไปนั่งอย่างเป็นธรรมชาติไม่ได้รู้สึกเขินอายหรืออึดอัด

แปลกนะ ปกติผมเข้ากับคนยาก ไม่มีเพื่อนฝูงเลยเพราะไม่ชอบเข้าสังคม แต่กับหมอประสาทนี่กลับรู้สึกสนิทใจได้ง่ายๆ  อาจมีเหม็นขี้หน้าตอนแรกๆ แต่พอคุ้นเคยก็คิดว่าเขาก็ไม่น่าใช่คนเลวร้ายอะไรหรอกมั้ง

เรานั่งกินอาหารหมดเป็นอย่างๆ หมดถุงนี้ก็หยิบอีกถุงมากิน กินปนกันมั่วไปหมด เดี๋ยวคาวเดี๋ยวหวาน เปลี่ยนกันเลือกว่าจะหยิบถุงไหน มันสนุกดี เพลินไปกินไปเล่นไปคุยไปจนทุกอย่างหมดเกลี้ยงทุกถุง

“หมดแล้วอะคุณ” ผมบอกเขาอย่างไม่อยากเชื่อส่วนเขาก็เก็บซากทั้งหมดนั้นไปทิ้งถังขยะ

“ก็หมดน่ะสิ คุณเล่นกินเอาๆ กินซะจนเลอะปากไปหมดแล้วนั่นน่ะ” เขาชี้มั่วๆ ก่อนจะนั่งลงที่เดิม

“ตรงไหน” ผมเช็ดไปเรื่อยแล้วถาม

“ซ้ายอีก” หมอประสาทบอกตำแหน่งและผมก็เลื่อนมือตาม “ซ้ายนิด ขวานี๊ด เออๆ นั่นแหละ”

ผมหยิบผักชีออกมาจากแก้ม “อี๋ ผักชีด้วยอะ ฮ่าๆๆๆ” ปาใส่เขาแก้เขินแล้วหัวเราะเสียงดังเพราะความอับอาย

“ซกม๊กว่ะคุณ” เขาหลบผักชีที่ผมปาใส่ซึ่งมันไม่ได้โดนซักนิด ทำเป็นเวอร์ไปได้

“ไม่สน” ผมเชิดหน้าขึ้น “หน้าตาดีมีผักชีก็ไม่ผิด”

“หูยย มั่นหน้า” เขาแซว  “ขอเปลี่ยนเป็น หน้าตาไม่ดีต้องใส่ผักชีโรยหน้า ฮ่าๆๆๆ”

ผมทำหน้าเหยียดหยามใส่เพราะมุกของเขามันแป้กที่สุด

“ไม่เห็นขำซักกะนิด”

หมอประสาทหยุดแล้วหรี่ตามองอย่างไม่พอใจ


ต่อ..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-08-2018 23:03:41 โดย fiction no.9 »

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
“ไม่ขำเหรอออ” แล้วเขาก็พุ่งตัวเข้ามาทันทีโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

“ฮ่าๆๆ คุณพอแล้วฮ่าๆๆ มันเปื้อนนะ อ้าก พอแล้วพื้นมันเปื้อน ฮ่าๆๆๆ” เขาจั๊กจี้ข้างเอวผมจนต้องดิ้นหนีไปมาไม่ว่าจะบอกยังไงเขาก็ไม่ยอมฟังจนผมต้องนอนลงไปบนพื้นกลิ้งคลุกขี้ฝุ่นไปทั้งตัว “คุณพอก่อน แฮ่กๆๆ ไม่ไหวแล้ว งือออ ใจจะขาด พลีสสส”

ทุบอกเขารัวๆ แล้วร้องขอความเห็นใจ เมื่อเห็นว่าผมไม่ไหวจริงๆ ร่างหนาที่คร่อมอยู่ด้านบนจึงค่อยๆ หยุดลง

“คราวหลังจะกล้าว่ามุกผมไม่ขำอีกไหม”

“ก็ไม่ขำจริงๆ อะ” เชิดหน้าใส่แต่คราวนี้เขาไม่ทำอะไรแต่ก้มมองผมนิ่ง ผมเองก็มองเขานิ่งเช่นกัน

หน้าแบบนี้คลับคล้ายคลับคา.. เหมือนใครกันนะ

ผมเผลอยกมือจับใบหน้า เขาเองก็ไม่ได้หลบเลี่ยงปล่อยให้ผมสัมผัส

“ผมรู้สึกคุ้นหน้าคุณจัง” ผมพูดออกมาและทำให้เขานิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนจะพลิกตัวลงนอนข้างๆ

“เฮ้อออออ นอมินี นอมินี” เขาบ่น

“นอมินีอะไรของคุณ” ผมยังนอนอยู่อย่างนั้นแค่เอียงหน้าไปถาม

เขามองตรงขึ้นไปบนฟ้าแล้วตอบ “ช่างเหอะ ของแบบนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป เร่งมากไปจะเสียการ”

“ประสาท” ผมบ่นเพราะไม่เข้าใจความติสแตกของเขาแต่แล้วก็นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง “เออนี่ คุณชื่ออะไรนะ”

หมอประสาทเอียงหน้ามามองแล้วขมวดคิ้ว “นี่ยังไม่รู้ชื่อผมเหรอ วันแรกก็บอกทั้งชื่อทั้งนามสกุล”

“ชื่อกับนามสกุลยาวๆ มันจำง่ายนักนี่ แล้วชื่อในไลน์ก็อ่านออกที่ไหน ด๊อกเตอร์ดับเบิ้ลยูอาร์อาร์ที หมอรือรทงี้เหรอ” ผมเดามั่ว

“พ่อแม่ที่ไหนจะตั้งชื่อลูกว่ารือรท เฮ้อ คุณนี่ไม่แนวเลย” เขาบ่น “ลองเทียบจากพยัญชนะภาษาไทยตรงๆ เลยนะ W คือ?”

“ว.แหวน” ผมตอบ

“Rล่ะ”

“ร.เรือ”

“Rอีกตัว”

“ร.เรือ”

“Tคือ”

“ท.ทหาร ต.เต่า ก็ได้”

“รวมกันซิ” เขาบอกใบ้

“วอ รอ รอ ทอ วรรท หรือ วรรต! วรรตใช่ไหม” ผมบอกอย่างตื่นเต้น เอื้อมมือไปเขย่าแขนเขารัวๆ

“ต้องตบมือให้ดาวปะ” เขาสอดแขนใต้ท้ายทอยตัวเองแล้วหันมาทำหน้ากวนอารมณ์ “ว่าแต่.. ปกติคุณเรียกผมว่าอะไรล่ะถ้ายังไม่รู้ชื่อแบบนี้”

“ก็..ไม่ได้เรียก” ผมปด แต่อาจจะไม่เนียนเพราะไม่คิดว่าเขาจะถามเลยเผลอทำตาล่อกแล่กไปนิดหน่อย

“อย่ามาสตรอ บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าคุณเรียกผมว่าอะไร” เขายันตัวขึ้นมองแบบกดดัน

“หมอ” ผมตอบแล้วหลบตา

“หมอเฉยๆ เหรอ” 

“หมอ.. ประสาท” สองคำสุดท้ายผมกัดฟันพูดเบาๆ

“อีกทีแบบดังๆ ซิ”

“หมอประสาท!” ผมเปล่งเสียงดังขึ้นฟ้าแล้วลุกขึ้นวิ่งทันที

ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งตามก็ยิ่งเร่งจังหวะการสับขา ฮืออ ถ้าโดนจับได้ต้องน่วมแน่ๆ

“คุณวิ่งช้าๆ เดี๋ยวแผลฉีก” เขาตะโกนไล่หลัง

“ไม่เอาเดี๋ยวคุณลงโทษ”

“ไม่ลงโทษก็ได้ สัญญาๆ หยุดวิ่งก่อน”

เมื่อเขาสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ ผมจึงหยุดฝีเท้าลง

“ห้ามผิดสัญญานะ แฮ่กๆๆ” ยืนตรงไม่ไหวต้องก้มตัวเพราะเสียดท้อง

ร่างสูงย่างเข้ามาเรื่อยๆ แล้วก็มายืนหอบอยู่ใกล้ๆ

“ไม่มี.. แฮ่กๆๆ” หมอประสาทพยายามจะพูดแต่ก็หอบแฮ่กไม่แพ้กัน แต่สักพักก็พูดออกมาได้ “ไม่มี..สัจจะในหมู่หมอหล่อๆ”

กว่าจะรู้ตัว เขาก็พุ่งเข้ามารวบตัวไว้ยกขึ้นอุ้มพาดบ่า

“คุณ!! เลือดลงหัวหมดแล้ว ปล่อยเดี๋ยวนี้นะคนผิดสัญญา” โวยวายแต่ก็อดขำไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่ายิ่งขำเขาก็ยิ่งไม่ปล่อย

“หมอประสาทเหรอ นี่ไง หมอประสาท!” เขาหมุนตัวกลับไปกลับมาหลายรอบมากจนผมรู้สึกวิงเวียนขึ้นมาจริงๆ

“อ้วกใส่ไม่รู้ด้วยนะ” ผมขู่แต่เขาก็ยังไม่ปล่อยโดยพาเดินไปที่รถทั้งอย่างนั้นจนถึงแล้ววางลงให้ยืนพิงรถไว้ “โอยย เวียนหัว” ผมหลับตากุมขมับทั้งสองข้าง แล้วขาก็อ่อนจนทรุดลง

“เฮ้ยคุณ!” เขารวบตัวผมไว้ทันที

“แค่เวียนหัว ขอเวลาแป๊บ” ผมบอกแล้วนั่งยองกุมขมับไว้

หมอประสาทผละออกไปไขกุแจรถแล้วค่อยๆ พาเข้าไปนอนเหยียดยาวที่เบาะหลัง

“อ๊ะ!” เพราะพื้นที่มันแคบทำให้ไม่ถนัดเขาจึงเสียหลักโถมตัวลงมาทับไว้ทั้งตัว

ผมลืมตาขึ้นก็เห็นหน้าเขาจ่ออยู่ อย่าพูดถึงอาการแพ้สัมผัสเพราะตอนนี้เวียนหัวจนตาลายแถมยังทำให้เห็นใบหน้าของเขาเป็นคนอีกคน

“..พี่เวย์”

ได้ยินเสียงกัดฟันกรอดแล้วร่างสูงใหญ่ก็ค่อยๆ ขยับออกจากรถไป

“กลับเลยนะ คุณก็นอนข้างหลังนั่นแหละ หลับไปเลยก็ได้” เขาขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับแล้วหันมาบอก

“โอเค” ผมตอบไปแต่ไม่ได้ลืมตาเพราะตอนนี้เวียนหัวมากจริงๆ ส่วนหมอประสาทก็ขับรถไปอย่างเงียบเชียบไม่ได้ชวนคุยอีก



ไม่นานนักรถก็จอดสนิท และผมก็ฟื้นคืนชีพแล้ว

“กลับเลยละกันนะ” ผมบอกระหว่างเดินไปที่หน้าคลินิกด้วยกัน

“อือ” เขาตอบรับสั้นๆ ดูซึมกว่าเมื่อกี้พอสมควร

“วันนี้สนุกมาก ขอบคุณนะ” ผมต่อยต้นแขนเขาเบาๆ แล้วเขาก็ยักคิ้วรับเงียบๆ “ไปละ”

ยกมือบอกลาแล้วเดินไปหาน้าเวชที่เตรียมรถไว้พร้อมแล้วเพราะพี่งามน่าจะกลับไปแล้ว

“เนื้อตัวมอมแมมเลยครับคุณหนู ไปเที่ยวเล่นที่ไหนกันมา” น้าเวชถาม

“คุณหนูของน้าเวชเรียกผมว่าหมอประสาทก็เลยโดนทำโทษครับ” เขาเดินเข้ามาสมทบแล้วฟ้องหน้าตาเฉย

“อ้าวคุณหนู ไปเรียกคุณหมอแบบนั้นได้ยังไงไม่น่ารักเลยนะครับ” โธ่น้าเวช ปกติไม่เคยว่าผมเลยนะ แต่วันนี้กลับไปเข้าข้างคนอื่น

“เค้าก็ทำโทษไปแล้วนี่ครับ ถามคุณหมอคนดีของน้าเวชสิว่าทำโทษอะไรดอทบ้าง เส้นเลือดในสมองเกือบจะแตก” ผมฟ้องบ้าง

“โถ่ถัง ทำโทษอะไรแบบนั้นครับคุณหมอ อันตรายนะ สองคนนี้เล่นอะไรเป็นเด็กเลย” แล้วก็โดนบ่นทั้งคู่

ผมแอบแลบลิ้นใส่เขา ส่วนเขาก็ชูกำปั้นกลับมา

“ไปเลยครับ กลับบ้านไปอาบน้ำอาบท่าจะได้พักผ่อน” น้าเวชห้ามทัพ “ครั้งหน้าคุณหมออย่าทำโทษคุณหนูแรงสิครับ คุณแกตัวนิดเดียวสงสารแก” น้าเวชหันไปดุคุณหมอของแกอีกรอบ  ผมเห็นอย่างนั้นก็ได้ใจแลบลิ้นทำหน้าล้อเลียนเขาเป็นการใหญ่

“หันไปดูคุณหนูตัวเล็กน่าสงสารของน้าเวชสิครับ ทะเล้นขนาดนั้นไม่ได้น่าสงสารซักนิด” แล้วน้าเวชก็หันมาดูผมตามที่เขาบอก แต่ผมรีบปรับสีหน้าเป็นหงอยๆ น่าสงสาร “ฮึ้ยย เปลี่ยนหน้าได้ในหนึ่งวิ” เขาทำท่าหมั่นไส้ขั้นสุด “ฝากไว้ก่อนนะ ถ้าคราวหน้ามานอนหลับที่นี่อีกทีจะเอาเมจิกเขียนให้เต็มหน้าเลยคอยดู” 

“น้าเวชดูสิ” ผมแกล้งทำหน้าเศร้าแล้วฟ้องน้าเวชให้ดูความเจ้าคิดเจ้าแค้น

“โอ้ย พอกันทั้งคู่ละครับ น้าเวชขึ้นรถดีกว่าไม่อยากยุ่งด้วยแล้ว” ว่าแล้วแกก็เดินขึ้นรถไป

ผมกับนายหมอวรรตขำใส่กันแล้ว ยกมือขึ้นแท็กกันกลางอากาศเพราะแกล้งน้าเวชให้ปวดหัวได้

“อย่าลืมกินยา” ร่างสูงยิ้มกว้างแล้วพูดกำชับเมื่อผมทำท่าจะเดินตามน้าเวชขึ้นรถ

“อืม”   


พอนั่งอยู่ในรถแล้วมองไปเห็นเขายังอยู่ที่เดิม ร่างสูงยืนมองผมจนลับตา ผมเองก็มองเขาจนลับตาเช่นกัน

“คุณหนูดูผ่อนคลายขึ้นเวลาได้อยู่กับคุณหมอวรรตนะครับ” น้าเวชบอก

“เหรอครับ” ผมถามไปอย่างนั้น ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าผมลืมไปหมดทุกความเครียดที่มีเมื่ออยู่ใกล้เขา

“น้าเวชดีใจที่เห็นคุณหนูยิ้มได้”

ฟังแล้วได้แต่จมจ่อมอยู่กับความคิด จริงสินะ ผมไม่เคยหัวเราะแบบวันนี้เลยตั้งแต่จำความได้ นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ



เมื่อถึงบ้านก็รีบอาบน้ำเข้านอน  ไม่ลืมถ่ายรูปแบบเดิมให้เขาดูอีก

sweetyDOTcom :  อักเสบแน่เลย ปวดแผลตุบๆ

Dr.WRRT :  ก็วิ่งซะขนาดนั้น แต่กินยาให้ครบมื้อไม่อักเสบหรอก

sweetyDOTcom :  คร้าบคุณหมอ..ป  ร   ะ  ส   า   ท

Dr.WRRT :  เดี๋ยวจะโดน

sweetyDOTcom :  กลัว?

Dr.WRRT : หึๆ

Dr.WRRT : พรุ่งนี้มามั้ย

sweetyDOTcom :  พรุ่งนี้ไปกับน้องชาย ไม่รู้กลับกี่โมง ขอดูก่อนนะ

Dr.WRRT :  จะเปิดรอถึงสี่ทุ่ม

เห็นข้อความนี้แล้วรู้สึกแปลกๆ อุ่นๆ ในใจผสมกับหวิวไหวนิดๆ

sweetyDOTcom :  ถ้าไปแสดงว่าน้าเวชขอร้อง

Dr.WRRT :  เอาที่สบายใจ

sweetyDOTcom :  นอนละ

Dr.WRRT :  Good Night!

sweetyDOTcom :  GOODNIGHT

++++++++++++++++++++++ 

วันนี้ตื่นแต่เช้าตรู่เพราะเมื่อคืนเหนื่อยจนเพลียแล้วหลับแทบจะในทันที ทำให้เช้านี้สดชื่นมากเป็นพิเศษ

“น้าเวชครับ ดอทอยากไปวัด ช่วยไปส่งให้หน่อยนะครับ” ผมเดินไปหาน้าเวชที่ห้องครัวด้านหลัง แกกำลังกินข้าวอยู่ก็รีบลุกกุลีกุจอจะไปเตรียมรถ ผมจึงสั่งไปอีกหนึ่งเรื่อง “แต่ต้องกินข้าวให้อิ่มก่อนนี่เป็นคำสั่ง” ผมมองขู่แกจนแกนั่งลงกินข้าวต่ออย่างเสียไม่ได้

ระหว่างนั้นก็ไปสั่งอาหารใส่ปิ่นโตเพื่อนำไปถวายพระ เสร็จแล้วก็เดินไปหน้าบ้าน พอดีกับน้าเวชที่จอดรถมาเทียบ

“วันนี้ตื่นเช้าจังครับ” น้าเวชทักทันทีเมื่อขึ้นมานั่งบทรถ

“เมื่อคืนทั้งอิ่มทั้งเพลียจนคอพับหลับไปเลยละครับ” ผมตอบไปยิ้มไปเพราะนึกถึงสิ่งที่ทำเมื่อคืนแล้วมันตลก กินอาหารเยอะขนาดนั้นหมดในพริบตาแถมยังไม่ปวดท้องเลยด้วย เป็นเรื่องประหลาดที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยเพราะปกติกินนิดเดียวก็อืดท้องแล้ว

“ดีจังนะครับ น้าเวชอยากเห็นคุณหนูสดใสแบบนี้ทุกวัน” ผมมองไปยังกระจกมองหลังเห็นน้าแกยิ้มดีใจของแกอยู่คนเดียว

“น้าเวชยังเหมือนเดิมเลยนะครับ น่ารักยังไงก็ยังน่ารักอย่างนั้น ใจดีกับดอทเสมอเลย” ผมบอกพร้อมกับน้ำตาที่รื้นขึ้น  เบื่อตัวเองที่ขี้แย ถ้าเรื่องซึ้งๆ นี่ร้องง่ายตลอด

“เห็นคุณหนูมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก คุณหนูน่ะน่ารักไม่เคยดื้อเลย เป็นที่รักของทุกคนโดยเฉพาะคุณท่านทั้งรักเอ็นดูอุ้มชูไม่เคยห่าง จน.. เอ่อ..” น้าเวชหยุดพูดเหมือนกับว่านึกขึ้นได้ว่าไม่ควรพูด

“เล่าเรื่องเมื่อก่อนให้ดอทฟังหน่อยสิครับน้าเวช ดอทอยากรู้ว่าก่อนที่จะจำความได้ ครอบครัวมันแตกแยกแบบนี้เลยหรือเปล่า” ที่ผ่านมาผมไม่เคยอยากฟัง ไม่เคยอยากให้เรื่องราวของป๋ามากระทบจิตใจจึงไม่ชอบฟังอะไรที่เกี่ยวกับป๋า

“คุณหนูแน่ใจนะครับ” น้าเวชลังเล

“ตอนนี้ดีกับป๋าแล้ว ตอนเย็นตาดินก็จะมารับไปบ้านใหม่ป๋า น้าเวชว่าดอทดีขึ้นหรือยังล่ะ” ผมส่งเสียงแจ้วๆ จนน้าเวชสบายใจขึ้นจนเริ่มเล่าให้ผมฟัง

“งั้นก็ได้ครับ.. เมื่อก่อนตอนคุณท่านยังไม่แต่งงานกับนายหญิง   คุณท่านเคยไปมาหาสู่กับครอบครัวคุณภาวดี คุณแม่ของคุณดินมาก่อน เพราะเคยช่วยเหลือจุนเจือบ้านนั้นด้วยความมีมิตรไมตรีต่อกันและเกิดตกหลุมรักกัน”

ฟังถึงตรงนี้ก็ต้องขมวดคิ้วคิดตามอย่างหนัก นี่ผมพลาดข้อมูลสำคัญแบบนี้ไปได้ยังไงกัน  ป๋ารักกับแม่ของดินแดนมาก่อนที่จะแต่งงานกับคุณแม่ นี่มันคดีพลิกเลยนะ

“ล..แล้วยังไงต่อครับ” ผมถามด้วยเสียงที่เริ่มสั่น

“แต่คุณปู่คุณย่าของคุณหนูท่านอยากให้คุณท่านแต่งงานกับคนที่มีฐานะเท่าเทียมกันธุรกิจจะได้เติบโต  นายหญิงเลยถูกสู่ขอให้มาแต่งงานกับคุณท่านและคุณท่านเองก็รักนายหญิงในเวลาต่อมา แค่เพียงครึ่งปีก็มีคุณหนูออกมาสร้างความสุขให้คนในบ้าน ทุกคนรักและเอ็นดูคุณหนูกันมากเพราะคุณหนูช่างอ้อนและหน้าตาน่าเอ็นดู คุณท่านคอยอุ้มคอยโอ๋ไม่เคยห่าง”  น้าเวชเล่าไปเหลือบมองกระจกไปเพราะคงกลัวว่าผมจะเครียด

“เล่าต่อเถอะครับ” ผมฝืนยิ้มบางๆ

“..แต่แล้วอีกสี่ปีให้หลัง คุณท่านก็สารภาพความจริงกับนายหญิงว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาได้เลี้ยงดูภรรยาอีกคนไว้และตอนนี้เธอกำลังตั้งท้องอ่อนๆ นายหญิงเป็นลมไปเลยหลังจากที่ได้ฟัง เธอน่าสงสารมากในเวลานั้น ทั้งร้องไห้อย่างหนักจนใบหน้าซูบโทรมประกอบกับทานข้าวปลาไม่ลงจนเรียกได้ว่าแทบจะไม่เป็นผู้เป็นคน  แต่เพื่อความถูกต้อง คุณท่านต้องตัดสินใจพาคุณแม่ของคุณดินเข้ามาอยู่ที่บ้านเล็กเพราะเธอไร้ซึ่งที่พึ่งพิงจากครอบครัวเดิมแล้วเนื่องจากล้มหายตายจากกันไปหมด”

น้ำตาผมไหลลงมาทันที ถ้ารู้เรื่องเร็วกว่านี้ความเกลียดชังของผมอาจจะไม่รุนแรงจนถึงขั้นทำลายอนาคตตัวเองลงก็ได้  และที่สำคัญคงไม่ร้ายกับป๋าให้กลายเป็นบาปจนต้องรับกรรมเป็นทุกข์อย่างทุกวันนี้

“แล้วคุณแม่ล่ะครับ ท่านเป็นยังไงในตอนนั้น” ผมปาดเช็ดน้ำตาแล้วกลั้นใจถามต่อ

“นายหญิงไม่ได้ร้องไห้ไม่ฟูมฟายอีก แต่ประกาศอย่างชัดเจนว่าให้ทุกคนเลือกข้าง ถ้าจะเข้าทางบ้านเล็กก็ไม่ต้องมาทำงานบ้านใหญ่ ถ้าจะอยู่บ้านใหญ่ก็ห้ามไปยุ่งกับบ้านเล็ก ส่วนคุณหนูก็ถูกให้แยกกับคุณท่าน ห้ามคุณท่านเข้าใกล้คุณหนูอีก  ซึ่งคุณท่านก็เคร่งเครียดอย่างหนัก ทางหนึ่งก็รักมาก่อนและตั้งครรภ์ขึ้นมา ส่วนอีกทางก็รักและรู้ดีว่าได้ทำร้ายให้เจ็บช้ำแถมมีลูกน้อยที่คุณท่านทั้งรักทั้งหลงแทบจะเรียกว่าไม่เคยให้คุณหนูอยู่ห่าง”

“แล้วน้าก้อยล่ะครับ ตอนนั้นผมไม่ค่อยใส่ใจเพราะดูเหมือนพวกน้าก้อยจะไปเข้าข้างทางดินแดน”  ผมถามต่อ

“คุณก้อยเธอใจดีครับ เธอรักหลานทั้งคู่ไม่ได้แบ่งแยก  เธออุ้มโอ๋คุณหนู เห่อจนขยายรูปติดห้องเยอะกว่ารูปคุณหนูเกดที่เป็นลูกแท้ๆ ซะอีกเพราะเธอชอบเด็กผู้ชาย แต่พอคุณดินคลอดคุณก้อยเธอก็ไปมาหาสู่ช่วยเลี้ยงหลานด้วยอีกคน พอนายหญิงรู้ก็กลายเป็นผิดใจกันไป ห้ามคุณก้อยกับคุณหนูเกดมายุ่งกับคุณหนู  และจากนั้นก็กลายเป็นห้ำหั่นกันจนเธอพาคุณหนูเกดย้ายออกไปเพราะคุณก้อยเธอไม่ชอบมีเรื่องมีราวทุ่มเถียงกับใคร แล้วจากนั้นก็อย่างที่คุณหนูเห็นนั่นแหละครับ”

มหากาพย์ความรักของครอบครัวผมช่างซับซ้อนยิ่งกว่าละคร เรื่องนี้มันลักลั่นเกินกว่าจะหาต้นตอว่าใครผิดใครถูก  แต่ในเมื่อมันผ่านมาแล้วและตอนนี้ผมก็เข้าใจทุกอย่างชัดเจนจนถึงขนาดนี้แล้ว ก็คงต้องเดินหน้ากันต่อไป คุณแม่เองก็เป็นเหยื่อของความรักเช่นกัน จากนี้คงต้องเยียวยาหัวใจของท่านให้มากกว่านี้

ส่วนป๋าก็คงไม่น่าห่วงเพราะมีอีกครอบครัวซึ่งหวังว่าจะไปได้สวยและไม่ซ้ำรอยเดิมอีก

ผมนั่งนิ่งมองออกไปนอกกระจก คิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อย แต่ที่ดีใจคือทุกสิ่งที่ผมคิดคือเรื่องที่ดีไม่มีความเคียดแค้นและอคติใดใดกับใครเลยแม้แต่คนเดียว

เป็นคนดีได้แล้วสินะชนม์แดน น่ารักจริงๆ


“น้าขอแวะรับเพื่อนร่วมทางหน่อยนะครับคุณหนู” กำลังคิดอะไรเพลินๆ น้าเวชก็พูดขึ้น

“ใครเหรอครับ” พร้อมกับคำถาม น้าเวชหักเลี้ยวไปตามทางที่ค่อนข้างคุ้นตา  “แหม..ร้ายนักนะครับ นี่รับใต้โต๊ะเขามาเท่าไหร่ถึงได้แปรพรรคไปเป็นคนของเขาแบบนี้น่ะ”

“โธ่ ไม่ใช่แบบนั้นนะครับคุณหนู คุณหมอแกก็แค่เป็นห่วงกลัวว่าคุณหนูจะไปเล่นกีฬาอะไรจนแผลฉีกอีกก็เลยให้น้าเวชรายงานว่าคุณหนูจะไปไหนบ้างแค่นั้นเอง”  เมื่อรถจอดเทียบหน้าคลินิก ชายหนุ่มร่างสูงผิวขาวหน้าตาเกาหลีสไตล์ ดูเด็กมากถ้าเทียบกับอายุจริงที่แก่กว่าผมตั้งสองปี เขาเปิดประตูด้านข้างคนขับแล้วขึ้นไปนั่ง

“คุณหมอนั่งเบาะด้านหลังดีกว่าครับสบายกว่า” น้าเวชรีบบอก

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ใช่ลูกคุณหนูเจ้ายศเจ้าอย่างอะไร” เปิดปากมาก็ได้ยินเสียงเห่าเลยนะ

“น้าเวชจอดรถหน่อยครับ” น้าเวชหยุดรถตามที่บอกจากนั้นผมจึงลงจากรถไปเปิดประตูฝั่งคนขับแล้วให้น้าเวชออกมานั่งด้านหลัง  “วันนี้ลูกคุณหนูจะขับรถให้น้าเวชนั่งเองครับ คนปากเสียจะได้รู้ว่าลูกคุณหนูที่ไม่เจ้ายศเจ้าอย่างก็มีอยู่ในโลกนี้” ผมทำคอแข็งใส่อย่างหมั่นไส้ ส่วนเขาก็เบะปากเหมือนไม่เชื่อ

เอี๊ยดดดดดดด

ผมออกรถอย่างแรงและเหยียบคันเร่งแทบจะมิดไมล์

“คุณหนูครับอย่าขับเร็วขนาดนี้มันอันตรายนะครับ โอ้ย คุณหนู น้าเวชใจหายใจคว่ำหมดแล้วนะครับ” ผมหักเลี้ยวแบบกะทันหันจนน้าเวชร้องเสียงหลง

“คึกคะนองอย่างกับเด็กวัยรุ่น” แทนที่จะกลัวแต่เขาทำท่าเหมือนชิวๆ แถมยังแซะผมซะอีก “จะไปทำบุญทำทานแทนที่จะใจเย็นๆ เฮ้อ พวกบัวใต้ตม”

ผมหยุดรถทันที เถียงไม่ออกและไม่อยากเถียงแล้ว ปากผมสู้เขาไม่ได้หรอก ก็มีแต่น้ำตานี่แหละ

“.....” ได้แต่ก้มหน้าซบพวงมาลัย “ทำอะไรก็ผิดไปหมด ไม่เคยมีใครเห็นความดีเลย”

“ธ..โธ่คุณหนูของน้าเวช คุณหมออย่าแกล้งคุณหนูแบบนี้สิครับ เมื่อกี้แกก็เพิ่งร้องไห้ไปหยกๆ เพราะได้ฟังเรื่องของที่บ้าน นี่คงคิดมากที่คุณหมอว่าแกแน่เลย” น้าเวชดุคุณหมอคนดีของแก

“อ้าว ร้องไห้มาเหรอครับ ผมไม่รู้” เสียงเขาอ่อยลง “นี่คุณ.. ผมขอโทษนะ ผมแค่แซวเล่นเฉยๆ ปกติก็เห็นคุณเถียงฉอดๆ เวลาคุณเถียงมันตลกดีก็เลยชอบแหย่ ไม่คิดว่าจะน้อยใจจนร้องไห้นี่นา ดีกันเถอะนะ ผมขอโทษ นะนะ” เขาก้มหน้ามาส่องดูแต่ผมก็เบี่ยงหน้าหนี

“ลงไปเลย” ผมสั่งโดยไม่เงยหน้าขึ้น  “ลงจากรถไปได้แล้ว”

“คุณ..” เขาพยายามจะวิงวอน

“คุณหนูครับ คือ..” น้าเวชแทรกขึ้น

“ถ้าน้าเวชจะเข้าข้างเขาอีก ดอทจะไม่คุยกับน้าเวชตลอดชีวิตเลย” 

“ค..ครับๆ ช่วยตัวเองนะครับคุณหมอ น้าเวชไม่ยุ่งด้วยแล้วละ” น้าเวชเสียงจ๋อย

“คุณยกโทษให้ผมเถอะนะ จะให้ไถ่โทษด้วยอะไรก็ยอม”

“ลงไป” ผมยังยืนยันคำเดิมโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองเขา

“เฮ้อ ปากหนอปาก ไอ้วรรตเอ้ย” ได้ยินเสียงเขาบ่นแล้วก็เปิดประตูรถออกไป

เมื่อมั่นใจว่าเขาปิดประตูแล้วจึงรีบเงยหน้าขึ้นมาล็อครถอย่างรวดเร็วแล้วเปิดแง้มกระจกฝั่งซ้ายลงเล็กน้อย

“ปากดีนักต้องโดนแบบนี้แหละ ทางไปวัดอีกแค่นิดเดียว เดินไปนะครับคุณหมอปากปีจอ” แล้วผมก็แลบลิ้นใส่เขาอย่างสะใจ

“นี่คุณ!!” หมอประสาทชี้หน้าแต่ผมไม่สนหรอกเพราะขับรถออกรถมาทันที

“ฮ่าๆๆ สมน้ำหน้า” ผมหัวเราะสะใจเมื่อมองเขาในกระจกหลังแล้วเห็นเขาเตะหญ้าเตะลมอย่างหงุดหงิด “รู้ฤทธิ์ลูกคุณหนูน้อยไปซะแล้ว แบร่”

กำลังสะใจอยู่เพลินๆ แต่แล้วก็รู้สึกถึงออร่าบางอย่างทางด้านหลัง

“คุณหนูนะคุณหนู ทำไมเกเรใส่คุณหมอแบบนี้ครับไม่น่ารักเลยนะ” น้าเวชทำหน้าดุ

หน้าผมซีดลงทันที “ก็แหม น้าเวชก็ได้ยิน เขาชอบแกล้งดอทแรงๆ แบบนี้ตลอดเลย” ผมแก้ตัว

“คุณหมอแกหวังดีนะครับ แกคงคิดว่ามีแต่คนเอาอกเอาใจคุณหนูทำให้คุณหนูไม่เข้มแข็งแกก็เลยอยากให้คุณหนูแข็งแกร่งขึ้น แล้วแกก็ทำสำเร็จ คุณหนูไม่ได้โกรธที่แกว่ากระทบกระเทียบแต่เถียงกลับหรือแก้เผ็ดคืนไป  น้าเวชว่าแกเก่งนะครับที่ทำให้คุณหนูมีชีวิตชีวาได้ขนาดนี้”

ผมคิดตามแล้วยิ้มในสีหน้า นั่นสินะ เมื่อก่อนถ้าใครมาว่าอะไรก็จะโมโหเป็นเรื่องใหญ่หรือเก็บไปคิดมากจนเครียดไปหลายวัน  แต่เดี๋ยวนี้คิดอะไรแค่แป๊บเดียวก็ลืมได้แล้ว นายนี่ก็เก่งเหมือนกันนะคุณหมอประสาท

“เข้าใจแล้วครับ” ผมตอบน้าเวช “แต่ครั้งนี้ทำโทษไปแล้วก็เอาให้สุด เดี๋ยวเขาก็ตามไปที่วัดเองละครับใกล้แค่นี้เอง” ผมบอกแล้วขับรถต่ออย่างอารมณ์ดี เรื่องอะไรจะรับขึ้นรถมาอีก อยากให้น้าเวชมาสอดแนมผมดีนัก สมน้ำหน้า

“โธ่ถัง” น้าเวชบ่นแค่นั้นก็หันหลังมองคุณหมอของแกสายตาละห้อย เห็นแล้วอดขำไม่ได้

เดินเร็วๆ นะ จะได้ทำบุญด้วยกัน


“แฮ่กๆๆ เหนื่อยๆ” ร่างสูงเดินลากขาเข้ามาหาที่ศาลาริมน้ำในวัดเล็กๆ ที่ผมเคยมากับคุณแม่

“อ่ะ กินซะ” ผมยื่นขวดน้ำไปให้และเขาก็ยื่นมือมาจับแต่มือเขาใหญ่เลยรวบไว้ทั้งมือทั้งขวด

เหมือนโดนไฟช็อตแปร๊บๆ มันไม่ได้วูบวาบร่างกายสะท้านเหมือนที่เคยเกิดอาการเวลาถูกสัมผัสแต่มันเป็นอีกแบบที่แปลกออกไป เหมือนใจกระตุกกึกแล้วก็หยุดไปเมื่อเขาดึงขวดออกไปดื่ม

“แสบ..” เขาคำรามออกมาในลำคอพร้อมกับยังหอบหายใจอยู่

“โดนอะไรมาเป็นแผลเหรอ” รู้สึกใจเสียรีบก้มมองไปทั่วตัวเขา ตอนเดินมาหกล้มหรือเหยียบเศษแก้วอะไรหรือเปล่า

“ผมหมายถึงคุณนั่นแหละ แสบนัก” เขาแยกเขี้ยวใส่

ได้ยินแล้วโล่งอกแต่ก็อดขำออกมาไม่ได้

“ก็ปากคุณน่ะ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกันแล้ว มารยาทแย่ที่สุด” นึกถึงประโยคแรกที่เขาพูดกับผมแล้วโมโหไม่หาย นิสัยแย่ๆๆๆ

“ก็เห็นคุณยักแย่ยักยันอยู่บนลู่วิ่งตั้งนานแล้ว ขนาดแผลฉีกจนเลือดซึมแล้วยังไม่ยอมลงมาอีก ผมกลัวคุณจะแย่ไปซะก่อนก็เลยอยากให้เลิกเล่น” เขาบอกเหตุผล

“เหตุผลก็ดีอยู่หรอก แต่วิธีการห่วยสุด” ผมทำหน้ายี้ “คราวหลังบอกดีดีก็ได้ไม่ต้องกวนโมโหหรอก”

“คนอย่างคุณเนี่ยนะถ้าไปบอกแล้วจะเชื่อ  คุณลองนึกภาพตามนะถ้าผมเข้าไปบอกคุณว่า.. คุณครับผมว่าคุณเลิกวิ่งเถอะแผลคุณเริ่มฉีกแล้วนะ..  อ๋อ ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวก่อนก็ได้”  เขาบีบเสียงล้อเลียน “หรือไม่ก็อาจจะมองตาดุๆ แบบด่าในใจแล้วเชิดหน้าใส่ว่ามึงมายุ่งอะไรด้วย”

“คุณก็เวอร์” ผมหลุดขำ  “ผมดูร้ายขนาดนั้นหรือไง”

“ขนาดนั้นแหละ” เขาตอบกลับ “ดูตานี่ หางตาชี้ขึ้นแบบนี้  ขี้แมลงวันสองเม็ดที่หางตานี่อีก จมูกรั้นซะขนาดนี้” เขาใช้นิ้วจิ้มไปตามตำแหน่งที่เขาพูดบนหน้าผม  “แล้วก็ปากบางเฉียบนี่ก็ดื้อสุดๆ เลยล่ะ” เขาจิ้มนิ้วลงมาบนริมฝีปาก ผมนิ่งค้างไปทันทีเพราะหัวใจมันกระตุกกึกกึกอีกครั้ง เหมือนโลกหยุดหมุน ผมกับเขาไม่มีใครขยับ

จนกระทั่งน้าเวชเรียก

“คุณหมอมาแล้วเหรอครับ งั้นขึ้นไปถวายภัตราหารกันครับเดี๋ยวจะเลยเพล” 


แล้วผมกับเขาก็ขึ้นไปถวายภัตราหารและฟังสวดจนจบ  เราสองคนลงมากรวดน้ำใต้โคนต้นไม้ใหญ่และน้าเวชรับอาสาเอาขวดน้ำขึ้นไปเก็บให้

“ไปไหนต่อ” เขาถามขณะที่เดินไปที่รถ

“เลยไปทำงานที่ออฟฟิตเพราะเดี๋ยวเย็นๆ จะไปบ้านป๋ากับน้องชาย” ผมบอก

“ถ้าไงก็แวะทำแผลก่อนกลับบ้านด้วยนะ”

“ไม่รู้จะเสร็จกี่โมงกลัวจะดึก ถ้าเกินสี่ทุ่มจะออกมาเปิดหรือเปล่าล่ะ” ผมแกล้งถาม ไม่ได้หวังผลอะไรแค่ถามเล่นๆ

“กี่โมงก็เปิดได้” เขาพูดเหมือนกับมันเป็นเรื่องปกติแต่ทำไมผมรู้สึกหน้าร้อนๆ

“ตีสองเลยไหมล่ะ” แกล้งพูดไปกลบเกลื่อนความผิดปกติของตัวเอง

“มาตีสองก็ค้างเลยนะ”

!!!?

ยิ่งพูดยิ่งไปกันใหญ่..

“น..น้าเวชครับ เย็นนี้อยู่รอที่คลินิกหมอวรรตเลยนะครับ ถ้าจะกลับแล้วดอทจะโทรบอก” ผมทำลายบรรยากาศแปลกๆ ระหว่างเราด้วยการหันไปเรียกน้าเวชและแกก็วิ่งมาหาจากระยะทางหลายเมตร

 “ไม่ให้น้าเวชไปส่งเหรอครับ” น้าเวชถามอย่างเป็นห่วง

“ไม่ต้องห่วงครับ ดินแดนจะมารับแล้วไปด้วยกัน อยู่กับคนบ้าแบบนั้นไม่มีใครกล้ามายุ่งหรอก” ผมแกล้งแซะน้องชายทั้งๆ ที่เขาไม่ได้อยู่ด้วย

“คุณหนูก็ไปว่าแก คุณดินแกจิตใจดีนะครับ เห็นห่ามๆ แบบนั้นแต่แกแอบมาฝากดูแลคุณหนูบ่อยๆ แกกลัวคุณหนูโดนคนอื่นหลอก” น้าเวชบอก

ผมเบ้ปากเมื่อนึกถึงเจ้าน้องชายตัวดี นี่คงตั้งป้อมกีดกันเฮียเผ่าล่ะสิ

“ใครเป็นพี่ใครเป็นน้องกันแน่เนี่ย”


จากนั้นพวกเราขึ้นรถแล้วน้าเวชก็ขับไปส่งหมอวรรตที่คลินิก

“ขอบคุณครับน้าเวช” ร่างสูงไหว้น้าเวชจนแกรับไหว้แทบไม่ทัน

“โอ้ยคุณหมอ อย่าไหว้น้าแบบนี้สิครับ เดี๋ยวเหาจะกินหัว” น้าเวชแกเจียมเนื้อเจียมตัว เวลาผมไหว้แกก็จะทำตัวไม่ถูกแบบนี้ตลอด

“ขนาดลูกคุณหนูสูงศักด์เขายังนับถือน้าเวชแบบญาติผู้ใหญ่ แล้วผมคนธรรมดาจะไม่ไหว้ได้ยังไงครับ” ก็ยังไม่วายแซะผมจนได้

“พูดไม่เข้าหูอีกแล้วนะ เดี๋ยวก็ไม่มาซะเลย”

เขาขมวดคิ้วแล้วเดินมาหาก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาในรถ ทำหน้าเอาเรื่อง

“ขู่อะไรก็ขู่ไปแต่อย่าขู่ว่าจะไม่มา ไม่ชอบ” พูดจบก็ดึงตัวออกไป ทิ้งให้ผมหน้าร้อนผ่าวและหัวใจกระตุกกึกๆ

ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ขนาดยิ้มยังไม่รู้จะยิ้มยังไง ได้แต่กระพริบตาปริบๆ จนเขาลับตา

เป็นโรคใหม่หรือไงเนี่ย โรคเก่ากำลังจะหายก็มีอาการใหม่ขึ้นมาอีกแล้ว


.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

หมอประสาทจะพิชิตใจคนสวยได้ไหมน้าาาา
แต่ที่เห็นก็มีหวั่นไหวหนักเอาการอยู่
เป็นแบบนี้แล้วเรือคู่อื่น สู้ไม่สู้  :hao3:

ช่วงตอบคำถามทางบ้าน..

kunt :  เดี๋ยวช่วงท้ายเรื่องจะค่อยๆ กระจ่างขึ้นว่าทำไมหนุ่มพวกนี้ถึงโผล่เข้ามาค่ะ อิๆ

melody.19 :  ชิปเรือลำเดียวกัน จับมือค่าาาา ปล. เรือบาปของเราจะล่มไหมนะ ฮือออ

ดาวโจร500 :  ตรวจพบคูมมี้ตาหนูดอท 1 อัตรา งานปกป้อมคูมลูกก็มา น่ารักกก

Janemera  :   มีเรื่องอีกเยอะ ทั้งสุขทั้งทุกข์เคล้าไปฮับ เส้นทางยังอีกไกล ซู่วๆ

TachibanaRain  :  เรือ #วรรตดอท วันนี้เปรียบได้กับไททานิก อู้ฟู่หรูหราหมาเห่าจริงๆ หวังว่าลูกเรือจะชอบใจนะ

darinsaya  :  มาลงเรือบาปด้วยกัลลลลล

dekying kukkig  :  พี่ดอทยังฮอทได้กว่านี้อีกค้าบบบ รรรรรรรรรรรอดูวววว

รอบนี้คอมเม้นต์หนาตามาก รู้สึกสดชื่นพาวเวอร์อัพปรี๊ดๆ เลยค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ เลิฟๆ

:mew1:

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อย่าให้เฮียเผ่ารู้เรื่องละกันนนนน เหยียบให้มิดเลยนะ :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ต อ น ที่  1 1  :  ภ า ว ะ ห วั่ น ไ ห ว




วันนี้ทั้งวันจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พยายามคิดเรื่องอาการแปลกๆ ของตนเอง จะว่าโรคเดิมก็ไม่น่าใช่ หรือจะตกหลุมรักหมอประสาทก็ไม่แน่ใจอีกเพราะไม่เคยมีโมเมนท์โดนจีบและอินเลิฟแบบปกติเลยสักครั้ง รอบพี่เวย์ก็ไม่ได้ชอบเขากลับ จะมีก็เกือบๆ ตอนที่เขาไปส่งบ้านซึ่งนั่นก็เป็นแค่ครั้งเดียวแบบเริ่มต้นยังไม่มั่นใจว่าใช่หรือไม่ใช่ด้วยซ้ำ กับเฮียก็ยิ่งร้าย ตกกระไดพลอยโจนมาถึงทุกวันนี้แบบเบลอๆ

“เฮ้ออออออ ลบๆๆๆ ทำงานๆๆๆๆ”  พยายามปัดความคิดบ้าบอของตัวเองออกไปแล้วลงมือจัดการงานต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็นการมอบหมายกระจายงานเพราะช่วงนี้อยากพักสมองเพื่อเริ่มใหม่อย่างเต็มที่ตอนห้องเสื้อใหม่เสร็จพร้อมเข้าอยู่


วันนี้ทานอาหารกลางวันได้มากเป็นพิเศษ ช่วงนี้ได้นอนเต็มอิ่มจึงส่งผลให้ร่างกายดีขึ้น ภาวะทางอารมณ์ก็ดีตามไปด้วย 

“ทานยาเยอะจังค่ะคุณดอท ป่วยเหรอ” พี่บอลลูนทักเมื่อเห็นผมแกะยาที่หมอประสาทจ่ายไว้ให้

“แค่ยาแก้อักเสบ กับ ยา..” พลิกดูซองแล้วว่างเปล่า มันมียาอีกสองตัวที่ไม่ได้เขียนรายละเอียดกำกับไว้ เพิ่งจะรู้ตัวว่ากินยาไม่ได้อ่านฉลากมาตั้งนาน หมอประสาทบอกให้กินก็กินตามนั้นเลยไม่ได้สนใจอยากรู้ว่ายาอะไร

“เปลี่ยนหมอเหรอคะ ถุงยาไม่คุ้นเลย”

“ก..ก็ประมาณนั้น” รีบกินรีบเก็บอย่างรวดเร็วไม่อยากให้เป็นประเด็นอะไรกับใครทั้งนั้น “เดี๋ยววันนี้จะออกเร็วหน่อย ฝากทางนี้ด้วยนะครับ”

“ได้ค่ะไม่มีปัญหา” พี่บอลลูนยิ้มรับแล้วเดินโยกย้ายไปประจำที่

ว่าแต่.. ยาอะไรกันแน่ที่หมอประสาทจ่ายให้ มาคิดดูแล้ว วันแรกที่เจอกันเขาก็ฉีดยาให้ด้วยแต่วันนั้นร่างกายและอารมณ์มันพีคจนไม่คิดอยากต่อต้าน

ช่างเถอะ ใกล้เวลานัดที่ดินแดนจะมารับแล้ว โทรบอกเฮียไว้ก่อนดีกว่าจะได้ไม่โทรมาตอนที่อยู่กับนายดิน

“ครับดอท” เฮียเผ่ารับสายแทบจะในทันที เฮียจะน่ารักเรื่องนี้เสมอ ไม่ว่าจะโทรกี่โมงก็จะรับเร็วแบบนี้ตลอด

“วันนี้ดอทจะไปบ้านป๋าอาจจะกลับดึก ไม่ต้องห่วงนะครับ” ผมบอกเสียงสดใส

“เดี๋ยวนี้คิวแน่นตลอดคงลืมเฮียไปแล้วมั้ง” เขาบ่น

“ลืมอะไร เฮียก็ไม่ว่างเหอะ สองสามวันนี้เงียบๆ ไปนะ ไม่ได้มีกิ๊กใช่ไหม” ผมดักคอเพราะช่วงนี้เฮียดูมีลับลมคมนัยอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกระแวงอยู่ลึกๆ แต่ก็พยายามคิดว่าเป็นเพราะเมื่อก่อนไม่ได้โฟกัสเฮียมากเท่าตอนนี้จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเห็นความผิดปกติ  หวังว่าจะใช่อย่างที่คิดนะ

“ไม่มีหรอก จะมีได้ไงก็เฮียสัญญาแล้ว” เฮียยืนยัน “ช่วงนี้มีเรื่องให้เครียดนิดหน่อย แต่คิดถึงดอทตลอดเลยนะ”

“ดอทก็คิดถึงเฮียครับ เดี๋ยววันเสาร์ก็เจอกันแล้ว” ผมบอกอย่างอารมณ์ดี

“เออ.. เฮียจะบอกว่าเสาร์อาทิตย์นี้เฮียต้องออกต่างจังหวัด ยังอยู่ด้วยกันไม่ได้นะ” เฮียทำเสียงเครียด

“อ้าวเหรอครับ” ผมตอบเสียงอ่อย รู้สึกเฟลเบาๆ ไหนบอกว่าคิดถึง

“ขอโทษนะ เฮียจำเป็นต้องไปจริงๆ อย่าน้อยใจนะครับ” เสียงเฮียค่อนข้างเป็นกังวลจนน่าสงสาร ก็ช่างเถอะ งานก็ต้องมาก่อนอยู่แล้ว

“ไม่น้อยใจหรอกครับ เฮียไปทำงานเถอะ  แต่อย่ามาบ่นว่าดอทไม่มีเวลาให้เฮียนะเพราะดอทมีแล้วแต่เฮียไม่มีเอง”

“โอเคครับเดี๋ยวเสาร์หน้านัดกันใหม่ เฮียจะคิดบัญชีทั้งต้นทั้งดอกทบไปหลายๆ รอบเลย”

“แก่แล้วเบาๆ หน่อยก็ได้ครับ” ผมบอกเขินๆ คิดถึงบทรักของเฮียแล้ววูบวาบขึ้นมาเบาๆ อยู่เหมือนกัน

“ถ้าอยู่ใกล้ๆ จะจับฟัดให้หายปากดี”

“กลัวจัง” ผมแกล้งทำเสียงสั่น

“เดี๋ยวนี้ดอทอารมณ์ดีกับเฮียมากขึ้นนะรู้ตัวไหม น่ารักจังเลยครับ”

“ก็ดอทดีใจที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน” ผมบอกไปตามที่คิด ส่วนหนึ่งผมก็คิดว่าอาจจะมีความสุขกับเฮียได้ แค่เฮียทำตามสัญญาผมก็คงโอเคกับเฮียแล้ว

“เฮียจะทำทุกอย่างให้เราได้อยู่ด้วยกันนะ เฮียสัญญา”

“เฮียสู้ๆ” ส่งเสียงเชียร์ไปให้อย่างอารมณ์ดีเมื่อได้ยินคำสัญญาหนักแน่นของเขา

“ฮ่าๆๆ วันนี้เมียน่ารัก” เขาชม “เออ พรุ่งนี้ช่วงบ่ายเฮียจะไปรับนะ นัดคุยกับผู้รับเหมา คราวนี้เฮียจะกำชับให้คนเขียนแบบอีกคนมาให้ได้ไม่งั้นงานไม่เดินซะที”

“ได้ครับผม”

“รักนะครับ” เฮียบอกรักเสียงนุ่ม

“รักเหมือนกันครับ บายๆ” 

คุยกับเฮียมากขึ้นเยอะเลย เดี๋ยวนี้สุขภาพจิตผมดีขึ้นจนผิดหูผิดตาจริงๆ นะเนี่ย สบายใจจัง



ผ่านไปอีกสักพัก เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น

“ว่าไง” ผมรับสาย

“พร้อมยังคร้าบ เดี๋ยวจะเข้าไปรับ” ดินแดนบอกเสียงใส

“เสร็จแล้วคร้าบ มาได้เลย” ผมตอบกลับอย่างอารมณ์ดี

“โอเค”

เมื่อวางสายแล้วจึงเก็บมือถือและของอื่นๆ เข้ากระเป๋า เช็คดูว่าครบถ้วนแล้วกำลังจะเดินออกไปรอหน้าตึก

“มาแล่ววว!!”  ตัวป่วนโผล่เข้าประตูมา

“เธอจะบ้าหรือไง อยู่นี่แล้วจะโทรทำไมให้เปลืองตังค์” 

“มันเป็นสตาวล์” เขาออกเสียงซะน่าหมั่นไส้

ผมส่ายหัวกับความเยอะของเขาแต่ก็ขี้เกียจจะต่อปากต่อคำ “ไปกันได้แล้วเดี๋ยวป๋ารอ”

“มาดูแผลก่อน” ว่าแล้วก็ดันตัวให้นั่งลงบนเก้าอี้ใกล้ตัว เข้ามาคุกเข่าเปิดกางเกงขึ้นและดูแผลเหมือนอย่างเคย “ดีขึ้นเยอะเดี๋ยวก็หายแล้วเนาะ” เขาเงยหน้าขึ้นมายิ้มเอาใจ

“ฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้วนะ ไม่ต้องมาแกล้งปลอบแกล้งโอ๋ให้มากนักหรอก” ถึงจะบอกว่าไม่ต้องทำ แต่ผมอบอุ่นใจทุกครั้งที่น้องชายคนนี้คอยใส่ใจและดูแลอย่างดี

“แต่ก็เสียดายเหมือนกันนะ” เขาบ่นแล้วยืนขึ้นส่งมือมาให้เพื่อฉุดให้ลุก

“เสียดายอะไร” ผมถามพลางจัดระเบียบเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะเงยหน้ามองดินแดนที่จ้องด้วยสีหน้าติดจะงอแง

“เดี๋ยวนี้จับๆ แตะๆ แล้วหน้าไม่ค่อยแดงอดดูของดีเลย” ว่าแล้วก็ดึงมือขึ้นไปแล้วถูคางสากลงมาบนหลังมือเบาๆ เหมือนหมาอ้อนเจ้าของ

เพี๊ยะ!!

ตีมือเขาแล้วดึงมือกลับ พยายามควบคุมอารมณ์ที่มันเริ่มแปรปรวนขึ้นมาอีกครั้ง

“เด็กบ้านี่  ฉันดีขึ้นก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอจะอยากให้เป็นทำไม มันไม่สนุกเลยนะ” ผมค้อนให้เพราะไม่อยากสับสนกับสัมผัสของเขาอีก

“ก็ไม่ได้อยากให้เป็น แต่แค่เสียดาย ก็มันน่ามอง” เขายิ้มล้อ

“เธอนี่มันกวนประสาทจริงๆ ไม่อยากคุยด้วยแล้ว” แล้วผมก็เดินหนีออกมาก่อนที่จะสับสนไปมากกว่านี้  สายตาของดินแดนตอนที่มีประกายวิบวับมันน่ามองน้อยที่ไหนล่ะ


“เออดิน ช่วยแวะที่โรงพยาบาลให้ก่อนนะ อยากไปเช็คข้อมูลอะไรนิดหน่อยไม่น่าจะนานหรอก”

“Yes! MADAM!” ดินแดนรับคำเสียงดัง

“เธอนี่มัน” ค้อนใส่อีกทีแล้วหันหน้าหนี ชอบกวนอยู่เรื่อยเลย


ไม่นานนักก็มาถึงโรงพยาบาล ผมเดินนำเข้าไปในตึกและตรงดิ่งไปยังห้องจ่ายยา

“ไปไหนอะ”

“เอายามาเช็ค ได้ยามาจากคลินิกแต่เขาไม่ได้เขียนว่ายาอะไร” ผมหยิบถุงยาในกระเป๋าออกมาเตรียมไว้แล้วชูให้เขาดู

“ห้ะ!” ดินแดนทำหน้าตกใจแล้วเปลี่ยนเป็นกุมท้องตัวเอง “โอ๊ะ! โอ๊ยย ปวดท้อง โอยย เดินไม่ไหว”

“อ้าว! ไหนปวดยังไง ไปนั่งตรงนี้ก่อนนะ” ผมประคองเขาให้นั่งลงแล้วหันมองรอบด้านเพื่อจะขอความช่วยเหลือ

“โอยย สงสัยกระเพาะนะ ตั้งแต่เมื่อคืนก็ไม่ได้กินข้าวมัวแต่เคลียร์งานจะได้รีบมารับพี่ไง”

“โธ่ดิน นี่มันบ่ายสองแล้วนะ ทำไมไม่หาอะไรรองท้อง” ผมลูบหลังอย่างเป็นห่วง “งั้นเราไปทานข้าวที่ฟู้ดคอร์ทของโรงพยาบาลก่อนแล้วถ้าไม่ดีขึ้นค่อยรอคิวตรวจ”

“อืม งั้นพี่พาผมไปหน่อยนะ โอยยย” ดูสิ เดินแทบไม่ไหวอยู่แล้ว น่าสงสารจริง

“ถ้าเดินไม่ไหวเดี๋ยวฉันไปขอรถเข็นให้ดีรึเปล่า”

“ไม่ๆ พอได้อยู่ ขอกอดพี่ไว้ก็พอ” ว่าแล้วก็วาดแขนมาโอบไหล่เพื่อถ่ายน้ำหนักมา ความจริงก็ไม่ได้หนักหรอกแต่ดินแดนเดินเซก็เลยเสียหลักไปบ่อยๆ จนร่างกายแนบชิดกันแทบจะรวมร่าง

ใจสั่นอยู่เหมือนกันแต่ความเป็นห่วงมีมากกว่าจึงรีบพาไปให้เร็วที่สุด


“เป็นไง ดีขึ้นไหม”

หลังจากสั่งข้าวต้มหมูมาให้และดินแดนกินจหมดถ้วยไปแล้ว และดูสีหน้าเขาก็ดีขึ้น

“ดีขึ้นนิดนึง” สีหน้าที่ดีขึ้นเปลี่ยนเป็นซึมลงเมื่อถูกไถ่ถาม

“อ่ะ นี่ยาลดกรด” ผมยื่นยาประจำตัวไปให้ ไม่ใช่ยาจริงจังอะไรแค่ลดกรดเคลือบแผลที่ขายทั่วไปแต่พกติดตัวไว้ตลอดเพราะปวดท้องบ่อยๆ

“ยานี่อร่อยดีนะ” เขาหยิบไปฉีกซองแล้วดูดกินจนหมด “ได้ผลดีด้วย ดูดิหายปวดละเนี่ย”

“บ้าสิ ไม่ใช่ยาวิเศษจะหายเร็วไรขนาดนั้น” รู้สึกแปลกๆ เหมือนเขาไม่ได้ปวดจริง หรือว่าจะคิดมากไป

“มันเย็นวาบๆ รู้สึกดี” เขาดื่มน้ำแล้วหยิบชามจะยกไปเก็บ

“เดี๋ยวฉันทำให้” รีบยกชามกับแก้วไปเก็บที่มุมเรียบร้อยก็เดินกลับมาหาร่างสูงที่ยืนรออยู่ “ไว้วันหลังค่อยไปบ้านป๋าดีไหม”

“ไม่อะ” เขายกมือขึ้นรอให้ผมเดินเข้าไปช่วยประคองในท่าเดิมที่เดินมา ไหนบอกหายแล้วยังจะมาอ้อนอะไรอีก “นานๆ จะได้เดทกับพี่”

“เยอะอีกละนะ” ถึงจะโดนหยิกแต่ตัวป่วนก็ไม่ได้สำนึก เขาหัวเราะเบาๆ แล้วพาเดินไปยังแผนกตรวจเลือดของโรงพยาบาล


“มานี่ทำไม” ผมถาม

“มาเอาผลตรวจเลือด ว่าจะมาเอากับสกายแต่ไหนๆ ก็มาแล้ว”  ว่าแล้วก็เข้าไปติดต่อที่เคาน์เตอร์ก่อนจะหันมาหา “ขอบัตรประชาชนหน่อยดิ”

“เอาไปทำไม” ถึงจะถามแต่ผมก็เปิดกระเป๋าแล้วหยิบให้เพราะเขาแบมือรอ

“ตรวจเลือดไง”

“ตรวจเลือด? ตรวจทำไม ฉันเพิ่งตรวจร่างกายไปเมื่อต้นปี”

“ไหนๆ ก็มาแล้ว” พูดจบก็หันไปติดต่อ เจ้ากี้เจ้าการนำผมไปตรงนั้นตรงนี้แล้วในที่สุดก็ได้เจาะเลือดจนเสร็จ

ทำไมขัดขืนอะไรไม่ได้เลย ดินแดนไม่ได้บังคับแต่เขากุลีกุจอทำซะจนเกรงใจไม่อยากขัด

“ที่จริงรอฟังผลวันนี้เลยก็ได้ แต่เสียเวลาเราไปหาป๋าดีกว่าเนาะ” ว่าแล้วก็โอบไหล่พาผมกลับไปขึ้นรถก่อนจะยื่นซองเอกสารมาให้ “ดูให้หน่อยผลเป็นยังไง”

ผมเปิดดูผลตรวจทั้งสองแผ่นแล้วหันไปบอกผล

“Anti-HIV เป็น negative อื่นๆ ก็เคลียร์ ไม่มีอะไรผิดปกติทั้งคู่”

“อืม” ดินแดนหันมายักคิ้วนิดๆ

“อยู่ๆ มาตรวจทำไมอะ”

“ตรวจประจำปี แค่นั้น” เขาตอบด้วยท่าทางปกติ

“อ้าว แล้วทีฉันตรวจแล้วทำไมให้ตรวจอีกล่ะ”

“ก็.. ก็จะได้ชัวร์ไง พี่เกดบอกว่าผลเลือดถ้าจะให้ชัวร์ต้องตรวจซ้ำหลัง 12 สัปดาห์อีกรอบ”

“ฉันไม่ได้มั่วซะหน่อยทำไมต้องตรวจซ้ำ เฮียก็ไม่ใช่..” อืม จะบอกว่าเฮียไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงก็พูดได้ไม่เต็มปาก ดีเหมือนกันถ้าผลเลือดปลอดภัยจริงๆ ก็จะได้สบายใจว่าเฮียป้องกันดีแล้ว

“เข้าใจแล้วนะ” มือหนาโปะลงมาบนศีรษะแล้วโยกเบาๆ รู้สึกอบอุ่นในหัวใจขึ้นมาทั้งๆ ที่ควรจะเคืองที่เขาลามปาม

บางทีผมก็คิดว่าช่วงนี้อ่อนไหวเกินไปหรือเปล่า



ทางไปบ้านป๋าค่อนข้างไกลกว่าจะถึงก็เกือบสี่โมงแต่บ้านดูดีมาก หลังไม่ใหญ่เท่าบ้านเราแต่ก็มีเนื้อที่กว้างขวางน่าอยู่มีต้นไม้เยอะร่มรื่นมากๆ  ดินแดนเล่าว่าผู้หญิงคนใหม่ขอบ้านทันทีเพราะตั้งท้องอยู่จึงไม่สะดวกที่จะอยู่โรงแรมของป๋า

“มาแล้วเหรอสองพี่น้อง” ป๋าเดินออกมารอรับเมื่อเราจอดรถเรียบร้อย

“สวัสดีครับป๋า” เราสองคนยกมือไหว้พร้อมกันพูดพร้อมกันแบบเป๊ะๆ เหมือนนัดกันมา

“พอญาติดีกันแล้วก็เหมือนคู่หูกันเลยนะ” ป๋าอ้าแขนรอให้เราสองคนเข้าไปหาและกอดหมับทันที “อืม มีเรื่องแกสองคนนี่แหละที่ทำให้ป๋ามีกำลังใจ”

“พูดเหมือนเรื่องอื่นไม่โอเคอย่างนั้นแหละครับ” ผมถามเมื่อป๋าปล่อยเราสองคนออกจากอ้อมกอด

“เฮ้อ.. ไม่มีไรหรอก ปะเข้าบ้านกัน วันนี้ป๋าโชว์ฝีมือทำกับข้าวนะ ใครบ่นโดนแน่”

“อ้าว ซะงั้นน่ะ” ดินแดนประท้วง “แล้วแฟนใหม่ป๋าไม่อยู่เหรอ”

“ก็อยู่นะ..” ดูป๋าอ้ำอึ้งเมื่อพูดถึงผู้หญิงคนใหม่ “เดี๋ยวก็คงลงมา” ว่าแล้วก็เดินนำไปที่ห้องรับแขก “เดี๋ยวป๋าไปเอาน้ำกับขนมมาให้ รอตรงนี้นะ”

“เดี๋ยวดอทไปช่วยครับ”

“ไม่ต้องๆ นั่งรอเลยอย่าดื้อ”

“นั่นสิ อย่าดื้อมานั่งนี่” ดินแดนดึงแขนให้ไปนั่งใกล้ๆ จากนั้นป๋าก็เดินหายไป

“พี่ว่าแปลกๆ ไหม” ดินแดนเอนตัวเข้ามากระซิบกระซาบ

“อะไรแปลก”

“เมียใหม่ป๋าไง หน้าป๋าไม่โอเคตอนพูดถึง”

“อืม ก็ว่างั้นเหมือนกัน”

“ที่ผมชวนพี่มาเพราะอยากเจอนี่แหละ เคยเห็นแว้บๆ ระยะไกลแต่รู้สึกตงิดๆ เลยอยากมาดูว่าเป็นคนยังไงกันแน่”

“ตงิดยังไงเหรอ” ผมถามอย่างสนใจ

“ก็ตอนป๋าเล่าว่าไม่ได้โอนบ้านให้เป็นชื่อทางนี้เพราะกลัวแม่ใหญ่จะโมโห เมียใหม่ป๋าหายไปสามวันสามคืนติดต่อไม่ได้ กว่าจะง้อสำเร็จก็วันที่สี่ที่นางโทรกลับมาเองแล้วยอมอ่อนข้อมาอยู่ที่นี่ไปก่อนแล้วถ้าป๋าไม่ยกบ้านให้นางกับลูกตอนคลอด  นางก็จะพาลูกกลับไปอยู่บ้านตัวเอง”

“แล้วทำไมไม่เล่าในรถ มาพูดในบ้านเขาเดี๋ยวเขาก็ได้ยินหรอก” ผมกระซิบ

“ก็ยังไม่แน่ใจไง แต่เห็นอาการป๋าเมื่อกี้แล้วคันปาก” สายเมาส์มอยสินะนายดิน

“มาแล้ว” ป๋าส่งเสียงพร้อมกับยกถาดน้ำหวานและขนมมาให้

“ยกเองทำไมคะป๋า ทำไมไม่เรียกคนใช้” เสียงหวานๆ ของหญิงสาววัยน่าจะไล่เลี่ยกับผม เดินเยื้องย่างมาในชุดแซกแขนกุดยาวกรอมเท้าผ้าพลิ้วสีพาสเทล ชุดนี้น่าจะแพงเอาเรื่องอยู่นะ ไม่ใช่น่าใช่แบรนด์ไทยด้วย

แต่ที่ขัดหูคือ เธอเรียกป๋าว่าป๋าเหมือนที่ผมกับดินแดนเรียก ซึ่งมันค่อนข้างกวนใจอยู่เหมือนกัน

“งานแค่นี้เองจะไปเรียกใครทำไม” ป๋าตอบแล้วนำถาดมาวางก่อนจะแนะนำให้รู้จัก “นี่ศมล ภรรยาของป๋า”

“สวัสดีครับ” นายดินยกมือไหว้ ผมจึงต้องไหว้ด้วย

“อายุเท่าดอทนะ ไม่ต้องไหว้หรอก” ป๋าบอก

“ไม่เป็นไรนี่คะ ยังไงตามศักดิ์ มลก็เป็นแม่อยู่แล้ว ไหว้ได้เลยนะมลไม่ถือหรอก”

เขามีแต่ไม่ต้องไหว้ ไม่ถือ  อันนี้ให้ไหว้ ไม่ถือ ฟังดูพิลึกซึ่งผมเองก็ไม่ใช่คนเก็บอารมณ์เก่งอยู่แล้วด้วย ก็เผลอชักสีหน้าใส่ให้เห็นเลยทีเดียว

“เอ้อ ไหนมาดูซิ ขนมนี่อร่อยไหมน้า” ดินแดนทำลายบรรยากาศเคร่งเครียดด้วยการหยิบขนมใส่ปากแล้วหยิบอีกชิ้นมาป้อนให้ ผมชะงักเล็กน้อยแต่ก็อ้าปากกินขนมที่เขาป้อนเพราะใจจริงก็ไม่อยากจะให้เกิดเรื่องเกิดราวอะไรอยู่แล้ว 

“ลองชิมน้ำหวานดู ป๋าหัดชงเองเลยนะ” ป๋าปรับอารมณ์แล้วดันแก้วมาให้เราสองคนก่อนจะยกอีกแก้วยื่นให้ผู้หญิงคนใหม่ “แก้วนี้หวานน้อย เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์”

“มลบอกกี่ครั้งแล้วให้เติมน้ำแข็งเยอะๆ เฮ้อ” เธอทำหน้าเบื่อหน่าย

“งั้นเดี๋ยวป๋าไปเติมให้ อย่าทำหน้างอสิเดี๋ยวลูกหน้างอตามแม่นะ” 

“โอเคค่ะ คราวหลังอย่าลืมนะคะ อ้อ ชงใหม่เลยดีกว่าแก้วนี้คงจืดแล้ว” กว่าคุณเธอจะหายงอนแล้วตอบป๋า น้ำในแก้วของผมก็หมดเกลี้ยง ไม่ได้กระหายอะไรหรอกแค่ดื่มดับความคิดด้านลบ

“อืม ได้สิรอแป๊บนึงนะ” ป๋าตอบรับด้วยสีหน้าเจื่อนๆ แล้วเดินออกจากห้องไป


เริ่มไม่โอเคกับผู้หญิงคนนี้มากขึ้นทุกที แต่พยายามสงบใจเอาไว้เพื่อป๋า ประวัติศาสตร์จะต้องไม่ซ้ำรอยเดิม

“ป๋าพูดถึงลูกชายสองคนตลอดแต่เห็นใกล้ๆ แบบนี้น่าจะเป็นลูกชายหนึ่ง ลูกสาวไม่แท้หนึ่งมากกว่า แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวในท้องนี้ก็จะเป็นลูกสาวจริงๆ ให้ป๋าเอง” น้ำเสียงที่พูดออกไปในทางเย้ยหยันมากกว่าชื่นชม

นั่นปากเหรอ!?

หรือรถสูบส้วมเข้าไปชนกันในนั้น?

และแล้วความอดทนอันน้อยนิดของผมก็ถึงจุดสิ้นสุด

“ถ้าพูดเพราะเห็นว่าสวยขนาดให้คิดว่าเป็นผู้หญิงแล้วนึกชื่นชมก็ขอบคุณ แต่ถ้าพูดเพราะไม่มีมารยาทก็คิดว่าคุณคงต้องไปเรียนรู้มารยาทใหม่นะถ้าไม่อยากส่งต่อมารยาทแย่ๆ ให้ลูกที่กำลังจะคลอด”

“หมายความว่ายังไง” ผู้หญิงของป๋าชักสีหน้าใส่

“ก็หมายความอย่างที่พูด ถ้าสติปัญญาของคุณดีได้ครึ่งหนึ่งของหน้าตาก็น่าจะคิดออก”

“อย่าคิดว่าด่าแบบผู้ดีแล้วฉันจะเจ็บ เสียใจไม่สะเทือนหรอก”

ทำหน้าแบบนั้นบอกตามตรงว่าน่าตบมาก แต่ยังไงผมก็เป็นผู้ชายจึงต้องระงับอารมณ์เอาไว้ อีกอย่างนิสัยจริงๆ ไม่ใช่สายบุกอยู่แล้วก็ทำแค่เชิดคอหน้านิ่งมองเหยียดซึ่งเป็นท่าไม้ตายท่าเดียวที่ผมทำได้แต่ส่วนมากก็มักได้ผล เพราะท่านี้แหละที่ทำให้คนเกลียดมาแล้วนักต่อนักแล้ว

“ก็ไม่ได้หวังว่าคุณจะสะเทือนหรอก แค่มาเป็นเมียน้อยป๋าก็คิดว่าหน้าคงหนากว่าพื้นรองเท้าของผมด้วยซ้ำ” ถึงตรงนี้ เธอมีอาการหัวร้อนขึ้นแต่ก็ยังเก็บอาการได้

“เมียน้อยแล้วยังไง ฉันแย่งป๋ามาได้ทั้งตัวทั้งใจก็แล้วกัน”

“แย่งมาแค่นั้นจะพอเหรอ? ถามจริง?  คุณเคยออกงานสังคมกับป๋ากี่ครั้ง ได้ลงรูปคู่ในข่าวธุรกิจหรือได้สัมภาษณ์คู่ในนิตยสารบ้างหรือเปล่า ทะเบียนสมรสเคยได้สัมผัสไหมว่ากลิ่นมันเป็นยังไง กะอีแค่ป๋ามาอยู่ด้วยอย่าคิดว่าจะพอ วันไหนป๋าเบื่อแล้วไปมีคนอื่นก็เตรียมตัวหัวเน่าไว้เลยนะ”

ถึงตรงนี้ลืมดินแดนไปเลยว่าเขามีปฏิกิริยายังไงกับการโต้เถียงกันซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาจะหันไปสนใจเขาอยู่ดีเพราะยัยผู้หญิงนั่นกำลังเต้นเร่าๆ ดวงตาลุกเหมือนจะยิงแสงใส่ผมเสียให้ได้

“นั่งอยู่ในบ้านใครให้มันรู้บ้างนะ!”

“บ้านใครผมไม่รู้  รู้แต่ว่าไม่ใช่ชื่อของคุณ”

“นี่!”

“มีอะไรกันเด็กๆ”

ผู้หญิงของป๋าทำท่าจะลุกมาหา ทว่าป๋าเดินกลับเข้ามาซะก่อน แต่ขอโทษเถอะ ถึงป๋าจะไม่เข้ามา ดินแดนก็ยืนขวางไว้แล้วด้วยซ้ำ ปฏิกิริยาของเขารวดเร็วมาก เขามีสัญชาตญาณนักสู้เต็มตัวและมันดูเท่มากจนนึกทึ่งตั้งแต่ครั้งก่อนตอนไปช่วยสกาย

ป๋าเดินไปนั่งที่เดิมแล้วยื่นแก้วน้ำหวานที่มีน้ำแข็งเต็มแก้วไปให้ผู้หญิงคนนั้นก่อนจะมองเราสองคนด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ดูก็รู้ว่าถามไปอย่างนั้นเองเพื่อจะได้ไม่เกิดการต่อประเด็นไปอีก   

“เห้อออ เมื่อยจัง ขับรถมาตั้งชั่วโมงขอไปเดินยืดเส้นยืดสายดูรอบๆ บ้านนะป๋า” จอมมายาทำเป็นบิดตัวไปมาแสดงได้อย่างแนบเนียน

“ได้สิ เดี๋ยวป๋าไปด้วย มลจะไปด้วยไหม” ป๋าหันไปถามแล้วรับแก้วน้ำหวานที่จิบไปแค่เล็กน้อยไปวางบนถาด ที่จริงอย่าพูดว่าจิบเลย แค่เอาริมฝีปากแตะขอบแก้วแค่นั้น

“ไม่ค่ะ มลอยากพัก แต่ป๋าพาขึ้นบ้านหน่อยสิ” เธอออดอ้อนออกนอกหน้าจนดูน่าเกลียดที่มาทำแบบนี้ต่อหน้าคนที่เพิ่งเจอกันไม่กี่นาที ถ้าไม่อายผมก็น่าจะอายนายดินบ้าง

แต่ที่จริง..

ผมเห็นเธอปรายตามองดินแดนแบบแปลกๆ เหมือนอ่อยเหยื่อยังไงชอบกล

หรือผมจะอคติไปเอง..

“งั้นเราสองคนไปเดินกันเองก่อนเดี๋ยวป๋าจะตามไปนะ” จากนั้นป๋าก็พายัยนั่นขึ้นบ้าน ได้ยินเสียงป๋าบ่นเบาๆ ว่าให้ย้ายลงมานอนห้องข้างล่างจะได้ไม่ต้องเดินขึ้นบันไดแต่ผู้หญิงคนนั้นเถียงว่าจะให้นอนชั้นล่างเหมือนคนใช้ได้ยังไง

เอ่อ..

ตรรกะอะไรของนาง นี่ป๋าเลือกยังไงถึงได้คนแบบนี้ 

สองครั้งแล้วนะที่ได้ยินคำว่าคนใช้  คุณแม่ว่าเจ้ายศเจ้าอย่างยังไม่เคยเรียกใครว่าคนใช้สักครั้ง จะโดนดุด้วยซ้ำถ้าพูดไม่ดีกับคนทีมาช่วยทำงานให้ แล้วผู้หญิงคนนี้สูงส่งมาจากไหน ท่าทางก็เหมือนพวกตลาดล่างเสียด้วยซ้ำ ไม่ใช่จะดูถูกแต่จากคำพูดและกิริยาอาการมันฟ้องกำพืดจริงๆ

หรือจะเป็นเพราะนิสัยคิดลบของผมเองที่ทำให้รู้สึกไม่ดีอีกแล้ว



ต่อ..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-08-2018 14:30:12 โดย fiction no.9 »

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
“เฮ้อออออออออออออ” ผมถอนหายใจยาวเมื่อเดินมาหลังบ้านแล้วเจอสวนดอกไม้สวยงาม รู้สึกอึดอัดกับความคิดของตัวเองแถมนายดินที่ปกติเป็นคนพูดมากแต่กลับเดินตามมาเงียบๆ ไม่พูดอะไรซักคำ

“สบายใจขึ้นยัง” เขาเดินขึ้นมาเทียบ

“ก็ไม่ได้ไม่สบายใจตรงไหนนี่” เดินมาอีกไม่กี่ก้าว ผมก็หยุดแล้วนั่งลงบนขอนไม้ใหญ่ที่อยู่ริมบ่อปลาคราฟ

“ออร่านางมารออกซะขนาดนั้นยังจะปากแข็ง” ร่างสูงยืนล้วงกระเป๋ามองปลาว่ายไปมาด้วยสีหน้าเหมือนรู้ทัน

“เฮ้อ ฉันทิ้งนิสัยเดิมไม่ได้หรือไงก็ไม่รู้ อุตส่าห์จะทำใจให้ญาติดีกับผู้หญิงของป๋าแต่ก็ทำไม่ได้อีกแล้วอะ” ในที่สุดก็ต้องสารภาพเพราะคงปิดบังคนรู้มากไม่ได้อีก

ร่างสูงหันมายิ้มหล่อแล้วก้มลงหยิบหินเล็กๆ มายื่นให้  “ลองปาลงน้ำสิ”

“หืม?” ผมเลิกคิ้วแต่ก็รับหินก้อนนั้นแล้วปาลงน้ำ

“ความรู้สึกแย่ๆ ก็ปาออกไปเหมือนหินก้อนนั้นให้มันจมลงน้ำ ดีกว่าเก็บไว้ให้มันจมลงในใจเรา” ดินแดนเดินมานั่งใกล้ๆ “เป็นอย่างที่พี่เป็นนั่นแหละ ใครดีด้วยก็ดี ใครไม่ดีก็ไม่ต้องฝืน”

“แล้วมันจะต่างอะไรกับเมื่อก่อนล่ะ ที่สุดแล้วก็ร้ายๆ แรงๆ เหมือนเดิม  EQไม่มีพัฒนาเลย” ผมตัดพ้อตัวเองกลายๆ

“ต่างสิ ต่างมาก” ดินแดนหันมาจับไหล่สองข้างให้ยืดขึ้นเพราะตอนนี้ไหล่ห่อจนไม่เหลือมาดอะไรอีก “เมื่อก่อนพี่ร้ายเพราะฟังเรื่องราวจากแม่ใหญ่แต่พี่ไม่เคยคิดอยากพิสูจน์ว่าเรื่องที่ได้ฟังมันจริงหรือไม่จริง พี่ไม่เคยคิดอยากเข้ามาสัมผัสว่าผมกับแม่นิสัยเป็นยังไงแต่ก็ตัดสินใจเกลียดไปแล้ว  แต่ครั้งนี้พี่ยอมลดอีโก้ลงแล้วมาพิสูจน์ด้วยตัวเองซึ่งมันคนละเรื่องเลยกับเมื่อก่อน   EQพี่พัฒนาไปเยอะแล้วครับอย่าคิดมาก”

“แต่คนดีๆ ก็ควรเก็บอารมณ์ได้ไม่ใช่เหรอ” ผมช้อนตามองอ้อนน้องชายเพราะดินแดนในโหมดนี้ละมุนจนอบอุ่นไปทั้งใจ

“ใครบอกพี่” มือหนาละจากไหล่มาเชยคาง “เป็นคนดีก็ต้องฉลาดด้วย ใครร้ายมาจะให้ดีกลับเหรอ ไม่เข้าท่าหรอก”

“แทนที่จะสอนให้ใจเย็น กลับมาสอนให้ร้ายขึ้นซะงั้นแหละ” ผมยิ้มขำแต่แล้วกลับถูกนิ้วแกร่งลูบเบาๆ ที่ริมฝีปาก

“ก็ถ้าร้ายแล้วยิ้มได้แบบนี้ แรงๆ ร้ายๆ ไปโลด”

“สรุปเธออนุญาตให้ร้ายได้นะ” ผมดันมือเขาออกเบาๆ เพราะอาการเริ่มไม่ค่อยดี

“เต็มที่เลย ไม่ว่าพี่จะดีหรือจะร้าย ผมก็อยู่ข้างพี่” รอยยิ้มของดินแดนดูจริงใจและอบอุ่น ผมเคยเกลียดเขาได้ยังไงกันนะ

“แล้วเธอล่ะ คิดยังไงกับผู้หญิงคนนั้น”

“คิดว่า.. เขาอยากจะกินผมอะ”

“หืออ? นึกว่าฉันคิดอยู่คนเดียว”

“เซ้นส์ดีเหมือนกันนะคุณชนม์แดน”  ดินแดนโอบแล้วเขย่าไหล่เบาๆ “ผู้หญิงแบบนี้ต้องเจอแบบผม หึๆ”

“อย่าไปทำอะไรเขานะ คนท้องคนไส้”

“ผมไม่ได้จะใช้กำลังหรอกน่า แต่ดูจากนิสัย ลูกในท้องจะใช่ลูกป๋ารึเปล่าหรือจริงๆ จะท้องจริงไหมงี้ดีกว่า ดีแล้วที่ป๋าไม่โอนบ้านให้ เดี๋ยวเด็กคลอดก็รู้อะว่าอะไรเป็นอะไร หรือบางที..”

“บางที?” ผมลุ้นรอฟัง

“บางที.. ไม่บอก”

“อะไรอ่า บอกมาเลยอย่าทำให้อยากแล้วจากไปแบบนี้นะ”

“ฮ่าๆๆ เห็นทำตัวหยิ่งๆ แต่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านด้วยเหรอเรา” ร่างสูงก้มลงมาส่งสายตาวิบวับล้อเลียนโดยที่ใบหน้าอยู่ใกล้แค่คืบ

“เดี๋ยวจะโดน” ดันหน้าเขาออกห่างแล้วลุกไปยืนดูปลาว่ายไปว่ายมา

“ตอนเขินโคตรน่ารักอะ เวลาโดนแกล้งก็ดูเหมือนพี่จะรู้สึกอะไรมากกว่าพี่น้อง แต่เอาเถอะ ผมมีหน้าที่ต้องทน”

“พูดบ้าอะไรของเธอ ฟังยากเลอะเทอะ”

“มาอยู่ตรงนี้เอง ป๋าเรียกถึงไม่ได้ยิน” ป๋าเข้ามาแทรกความรู้สึกปั่นป่วนในอารมณ์ได้ทันเวลาพอดี

“ป๋าก็จังหวะดีเกิ๊น” ดินแดนบ่นแล้วยิ้มร้าย เห็นแล้วต้องกัดฟันข่มความรู้สึกหมั่นไส้ปนสับสน

“ดอทหิวแล้วครับ ไปทานข้าวกันเถอะ” วิ่งเข้าไปคล้องแขนป๋าเพื่อให้พาหนีจากนายดินที่ท่าทางไม่น่าไว้ใจขึ้นทุกที

“ไปสิ ป๋าให้เด็กมันตั้งโต๊ะแล้ว” ป๋าพาเดินไป

หันไปมองดินแดนที่เดินตามมาห่างๆ เขายิ้มแล้วส่ายหัวเบาๆ เหมือนเห็นผมเป็นเด็กไม่รู้ประสีประสาอย่างนั้นแหละ



เราสามคนทานข้าวเย็นด้วยกันโดยไม่มีผู้หญิงคนใหม่มาขวางหูขวางตา ป๋าบอกว่าเธอบ่นเพลียเลยขอพัก ก็ดีแล้วที่ไม่มาไม่งั้นจะเกิดสงครามให้ป๋าปวดหัว

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารของเราสามคนเป็นไปด้วยความชื่นมื่น  ป๋าหน้าบานตลอดเวลาและพูดอวดความเก่งกาจของผมให้ดินแดนฟังไม่ขาดปากว่าเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ ภูมิใจที่ผมทำในสิ่งที่รักจนประสบความสำเร็จ  ซึ่งก็ได้แต่เขินแล้วเปลี่ยนเรื่องอยู่บ่อยๆ

ตลอดมื้ออาหารดินแดนตักกับข้าวให้ป๋า ส่วนป๋าตักกับข้าวให้ผม และผมก็ตักกับข้าวให้นายดิน 

“เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืนนะจะได้ไม่ปวดท้องอีก” ผมยิ้มให้น้องชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยมีป๋านั่งหัวโต๊ะ

“ใส่ใจเก่ง เอาใจเก่ง น่ารักเก่ง”  ดินแดนทำเสียงล้อจนผมต้องทำหน้าดุ “เอ้าๆ ดุเก่ง ขู่เก่ง ดูดิป๋าพี่ดอททำหน้าเหมือนตัวนากโดนแย่งปลาอะ น่ากลัวสุดๆ”

“ตีเก่งด้วย อยากลองไหม” ชูกำปั้นใส่แต่เขานั่งตรงข้ามจึงได้แต่ส่งสายตาคาดโทษไป

“แกก็ชอบแกล้งพี่เจ้าดิน” ป๋าหันไปดุเขา ผมจึงได้ทียักคิ้วสมน้ำหน้าไป “แล้วเดี๋ยวพี่โกรธอย่ามาขอให้ป๋าช่วยง้อให้นะ พี่แกยิ่ง.. งอนเก่ง น้อยใจเก่ง งอแงเก่ง..”

“งื้ออ ป๋าอะ แกล้งดอทอีกคนแล้ว” ผมทำหน้างอน โดนรุมสองแบบนี้ไม่โอเคเลยนะ

“ฮ่าๆๆ ก็แกมันน่าแกล้งนี่ตาดอท” ป๋าหัวเราะร่วน “เอาล่ะๆ ป๋าไม่แกล้งแล้ว กินข้าวเยอะๆ จะได้อ้วนกว่านี้อีกหน่อย”

“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มรับผัดผักรวมกับกุ้งตัวโตที่ป๋าตักให้

อาหารวันนี้ถึงจะเป็นอาหารธรรมดาๆ ไม่ได้หรูหราเพราะป๋าลงมือเข้าครัวเอง แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันอร่อยจนไม่อยากอิ่ม อยากให้คุณแม่มาอยู่ในบรรยากาศแบบนี้บ้าง คุณแม่คงจะมีความสุขมากกว่านี้


เมื่อใช้เวลาร่วมกันพอสมควรแล้ว พวกเราก็ลากลับ

“เราโอเคนะตาดอท” ป๋าเดินออกมาส่งแล้วโอบไหล่ผมไว้เหมือนกลัวว่าผมจะนอยด์

“โอเคสิครับ เดี๋ยวนี้เป็นนิวดอทนะ” ผมยิ้มกว้างให้ป๋าดู

“ป๋าดีใจมากนะที่เราเข้าใจกันได้ ที่ผ่านมาป๋าเป็นคนผิดเอง ป๋าขอโทษนะลูก” น้ำตารื้นขึ้นบนดวงตาคู่คมของป๋า เรื่องของผมคงสะเทือนใจป๋ามาก ตลอดเวลาป๋าคงไม่มีความสุขเลย เราทั้งหมดไม่มีใครมีความสุขแค่เพียงเพราะความรู้สึกยึดติดกับความรักที่มากเกินไป

“ไม่ต้องขอโทษแล้วนะครับ ดอทเข้าใจป๋าหมดแล้ว ดอทต่างหากที่ต้องขอโทษ ดอทรักป๋านะ” ผมกอดป๋าอีกครั้งแน่นๆ และผละออกมา

“ถ้าน้องคลอด ดอทจะรักน้องจะมาเลี้ยงน้องช่วยป๋าหรือเปล่า” ป๋าถามอย่างไม่มั่นใจนัก

ผมเม้มปากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง หน้าของป๋าก็หงอยลงเรื่อยๆ

“ถ้าน้องไม่อึใส่ ดอทก็จะรักน้องครับ” ผมแกล้งแหย่แล้วป๋าก็หัวเราะออกมาเสียงดัง

“แหมๆๆ รักกันมีความสุขกันจังเลยน้า สองแดน” ดินแดนขับรถออกมาจากโรงรถแล้วมาจอดเทียบข้างๆ

“แกก็แดนเหมือนกันแหละเจ้าดิน” ป๋าสวนเข้าให้

“งั้นเราไปตั้งคณะตลกไหมป๋า คณะสามแดน ฮ่าๆๆ” แล้วเราก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน

“แล้วน้องจะแดนด้วยไหมครับ” ผมถามถึงชื่อน้องคนต่อไป

“ถ้าเป็นผู้หญิงป๋าจะให้ชื่อ แดนสนธยา ถ้าเป็นผู้ชายจะชื่อ แดนมหัศจรรย์” ป๋าพูดติดตลก

“ตลกละป๋า ไม่ต้องคุมโทนขนาดนั้นก็ได้ แยกไปเป็นสรวงนั่นสรวงนี่มั่งเหอะ” ชื่อป๋าคือแดนสรวง ความคิดนายดินก็เข้าท่าดีนะ ใช้คำว่า สรวงเป็นเจนเนอร์เรชั่นใหม่

“ทำแฝดชายหญิงเลยครับจะได้ตั้งทีเดียว” ผมเสนอ

“จะเลี้ยงไหวไหมล่ะ” ป๋าท้วง

“เลี้ยงไม่ไหวเดี๋ยวให้ลูกใภ้มาช่วยเลี้ยงให้” ดินแดนเสนอ

“จริงด้วยครับป๋า ไม่ต้องกลัวว่าจะเลี้ยงไม่ไหวเพราะถ้ากำราบคนอย่างนายดินได้ไม่ว่าใครในโลกนี้สกายก็คงชนะหมดล่ะ” ผมแซว

“นั่นสินะ” ป๋าเห็นด้วย

“โหยย รุมกันเฉยเลย มาขึ้นรถได้แล้ว เดี๋ยวอยู่คนเดียวไม่มีพวกก่อนเถอะจะแกล้งให้เข็ดเลย” ดินแดนคาดโทษ

จากนั้นผมก็ไหว้ลาป๋าแล้วกอดแน่นๆ อีกครั้ง ป๋าเองก็กอดผมแน่นและหอมขมับอีกหนึ่งที เป็นสัมผัสที่อบอุ่นจนคิดว่าคงตราตรึงในความรู้สึกไปอีกนานแสนนาน


“แวะไปส่งที่ทำงานนะ ขอทำงานอีกนิดแล้วค่อยกลับ” ผมพยายามเลี่ยงการโกหกเพราะไม่อยากบอกความจริงว่าสี่ทุ่มครึ่งแล้วแต่ยังจะไปทำแผลที่คลินิกหมอวรรตอยู่อีก

“หืมม ไหนบอกช่วงนี้งานน้อย” ดินแดนเริ่มซัก

“ก..ก็ไม่เยอะหรอกแต่มันก็มีเรื่องที่ต้องทำแต่ลืมทำไง” พยายามแถไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะแนบเนียนหรือเปล่า

“หืมมม เสียงตะกุกตะกัก” ดวงตาเจ้าเล่ห์หรี่มองผมอย่างจับผิด

“หาเรื่อง”

“ทำตัวเหมือนแอบมีกิ๊ก” ดินแดนยังคงคาดคั้น

“บ้าเหรอ!” เผลอปฏิเสธเสียงดังลั่นจนเหมือนร้อนตัวจึงพยายามควบคุมน้ำเสียง “มีกิ๊กอะไร ถ้าเธอไม่เชื่อเดี๋ยวจะให้น้าเวชมารอก่อนเลยก็ได้” ผมบ่นแล้วกดโทรศัพท์หาน้าเวชเพื่อแก้ไขสถานการณ์  “น้าเวชครับ มารอรับดอทที่ออฟฟิศหน่อยนะ มาเร็วๆ นะครับ เจ้าดินมันหาเรื่องดอทอยู่เนี่ย” ผมกำชับ พอน้าเวชรับคำก็วางสายแล้วหันไปหาดินแดน “พอใจยัง”

“พอใจเหรอ อืมๆ พอผมเห็นน้าเวชแล้วจะได้ไม่ต้องสงสัยว่าพี่แอบไปมีกิ๊ก งี้เนาะ” ดินแดนเบ้ปากทำเหมือนรู้ทัน “ที่จริงน้าเวชอาจเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดก็ได้ใครจะไปรู้”

“เธอนี่มันขวางโลกซะจริงนะ ไม่คุยด้วยแล้ว” ผมหันหน้าหนีไปอีกทางเพราะเถียงไปก็มีแต่จะเข้าตัว

ดินแดนไม่ได้พูดอะไรต่อแต่ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอหึหึไปตลอดทาง

กวนประสาทชะมัด!



เมื่อดินแดนขับรถจากไปแล้ว ผมก็เผ่นขึ้นรถน้าเวชทันที

“กลับบ้านเลยหรือเปล่าครับคุณหนู” น้าเวชถาม

“เอ่อ.. คือ วันนี้ดอทยังไม่ได้ล้างแผลเลยครับ” ผมอ้าง

“งั้นไปคลินิกหาหมอวรรตก่อนนะครับ เมื่อกี้น้าออกมาเห็นแกยังนั่งเขียนงานอะไรอยู่เลย บอกว่าจะอยู่รอคุณหนูด้วย”

ได้ยินแบบนี้แล้วแอบยิ้มออกมาทันที 

“ที่จริงไปโรงพยาบาลน่าจะดีกว่า เกรงใจหมอวรรต” แกล้งพูดไปอย่างนั้นน้าเวชจะได้ไม่คิดว่าผมอยากไป

“ไปหาหมอวรรตเถอะครับ เห็นแกนั่งมองนาฬิกาทุกห้านาที น้าว่าน่าจะเป็นห่วงคุณหนูนั่นแหละ ไปให้แกเห็นให้แกล้างแผลหน่อยแกจะได้วางใจ”

“เอางั้นก็ได้ครับ นี่เห็นแก่น้าเวชนะเนี่ย” ผมบอกแล้วแอบหันไปยิ้มกริ่มกับวิวข้างทาง

ดูแลดีแบบนี้เดี๋ยวจะจ้างให้เป็นหมอประจำตัวก็ได้


ไม่นานนักก็มาถึง ไฟหน้าคลินิกยังไม่ได้ปิดแต่ด้านในค่อนข้างมืด

“น้าเวชจะรออยู่ในรถนะครับ”  น้าเวชบอก

“ครับ ดอทไปไม่นานหรอก”


จากนั้นก็เดินเข้าไป เห็นประตูเปิดอยู่จึงผลักเข้าไปเลย ค่อยๆ เดินคลำทางไปเพราะมันมืด มีแค่ไฟด้านในสุดที่เป็นห้องน้ำอยู่ดวงเดียว

“จะเปิดไฟไว้หน่อยก็ไม่ได้ ไม่รู้เคยมีใครทนพิษบาดแผลไม่ไหวแล้วเดธคาคลินิกมั่งรึเปล่าก็ไม่รู้” ผมบ่น 

ผลุ่บบบ!!

เดินผ่านเค้าน์เตอร์มาไม่ทันไรก็มีเสียงดังอยู่ด้านหลัง ผมจึงรีบวิ่งเข้าไปที่ห้องตรวจสามแบบไม่คิดชีวิตทันที  แต่พอเข้าไปแล้วไม่เห็นใครก็ยิ่งวังเวง

“ไปไหนของเค้านะ ฮือออ” ผมย่ำเท้าอยู่กับที่รัวๆ เพื่อคิดว่าควรทำยังไง

“แฮร่~”

“อ้ากกกกกกกกก!!!” อยู่ๆ ก็มีเสียงแฮร่ดังอยู่ข้างหลัง พอหันไปก็เจอเงาสูงใหญ่อยู่ตรงนั้นจึงร้องลั่นแล้วตั้งใจจะวิ่งสุดชีวิตแต่แล้วก็โดนรวบตัวไว้

“ฮ่าๆๆๆ ผมเองๆ” ไอ้ผีหัวเราะร่า

“ปล่อย!!!!!” ผมร้องและดิ้นพล่านไม่สนใจจะรับฟังอะไรทั้งนั้น

“ผมเองๆ ฮ่าๆๆ ชู่วๆๆ ฮ่าๆๆ” เขารวบตัวผมแล้วลากกึ่งอุ้มกลับเข้าไปในห้อง  “นี่ไง ผมเอง” ได้ยินเสียงกดสวิสต์ไฟแป้กแล้วทุกอย่างก็สว่างขึ้น

ตาที่หลับปี๋จึงค่อยๆ ลืมขึ้น หรี่มองว่าใช่คนหรือผีกันแน่

“คุณ! ฮือออ ไอ้หมอบ้า ไอ้คนบ้า ไอ้ผีบ้า!!” รัวหมัดทุบเขาแบบไม่นับ น้ำตาก็ทะลักออกมาแบบทั้งกลัวทั้งโกรธ

“โอ้ยๆๆ คุณ มือหนัก คุณ โอ๊ยย” เขาพยายามหลบแต่ก็ไม่ทันเพราะผมรัวแบบไม่สนใจว่าจะโดนตรงไหน

“ขนหัวผมลุกซู่เลยไอ้หมอผีบ้า!!!” ยังคงทุบเขาอยู่แบบนั้นจนเขารวบมือผมไว้ได้

“โอ๋ๆๆๆ ขอโทษๆ ไม่นึกว่าจะกลัวขนาดนี้” ถึงจะขอโทษแต่เสียงก็ยังเหมือนกลั้นหัวเราะ

“ฉี่ผมเล็ดออกมาด้วยอะ บ้าบอที่สุดเลย” 

“ฮ่าๆๆ หน้าตาก็ดีแต่ฉี่เล็ด” เขาล้อ

“ยังไม่สำนึกอีก” ผมถลึงตาใส่ “นิสัยไม่ดี” ผมทำหน้างอนั่งยองลงไปกอดเข่าตัวเองไว้แน่น บอกตรงๆ ว่ากลัวผีแบบขึ้นสมอง

“โอยยน่าสงสาร” เขานั่งตามแล้วกอดเข้ามาจากด้านหลัง “ขอโทษน้า ต่อไปไม่แกล้งหลอกผีแล้ว นะครับนะ” เขากอดปลอบแล้วโยกตัวไปมาเหมือนกล่อมเด็ก สักพักผมก็รู้สึกหัวใจกระตุกและวูบวาบไปพร้อมกัน

ทั้งอาการของโรคเก่าและโรคใหม่ผสมผสาน ลมหายใจเริ่มขาดห้วง

“..น..เหน็บกิน ลุกเถอะ” พยายามควบคุมสติและในที่สุดก็ทำได้

เขาปล่อยแล้วพยุงตัวให้ลุกขึ้นจากนั้นก็อุ้มไปนั่งบนเตียงตรวจ

“อุ้มทำไมเล่า” ผมบ่น พยายามควบคุมอารมณ์อยู่นะ

“ก็คุณบอกเหน็บกิน ผมก็อุ้มสิ ขี้เกียจรอให้ย่องๆ กว่าจะไปถึงเตียงก็เช้าพอดี” มันใช่ข้ออ้างมั้ยน่ะ

“ผมจะลงโทษคุณสถานหนักกับสิ่งที่คุณทำวันนี้” ผมคาดโทษ

“น้อมรับทุกสถานเลยเจ้านาย นี่รู้สึกผิดจริงๆ นะ ไม่คิดว่าคุณจะกลัวขนาดนี้ ไหนดูซิฉี่เล็ดจริงรึเปล่า” เขาก้มลงพยายามจะดูเป้ากางเกงของผม

เพี๊ยะ!!

ผมตบลงหลังเขาเต็มๆ จนร้องลั่น

“โอ๊ยคุณ มือหนักเป็นบ้าเลย” เขาบ่น “ไหนดูซิ มือก็เล็กแค่นี้ทำไมเวลาตบแล้วถึงหนักนักล่ะ” เขาดึงมือผมไปจับแล้วพลิกไปมา

ตัวผมสะท้านสั่น เริ่มมีอาการผิดปกติมากขึ้นทุกทีจนต้องรีบดึงมือกลับ  “ท..ทำแผลได้แล้ว น้าเวชรออยู่ข้างนอก”

“คร้าบๆ” เขาตอบรับแล้วเริ่มทำแผล

ตลอดเวลาผมหลับตาหันหน้าหนี ดูเหมือนเขาจะทำแผลช้ากว่าเดิมจนใกล้จะทนไม่ไหว

“นอนไหม” เขากระซิบแต่ผมส่ายหน้า “งั้นทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” เริ่มแปะผ้าก๊อซและปิดเทปทับลงไป “เรียบร้อย ลืมตาได้”

ผมลืมตาขึ้นเห็นเขายิ้มเหนื่อยๆ ทำแผลแค่นี้ทำไมต้องเหงื่อออกขนาดนั้นนะ แต่ยังไม่ทันจะได้ถามอะไร เสียงเรียกเข้าแปลกหูก็ดังขึ้น “รับโทรศัพท์แป๊บนึงนะ อย่าเพิ่งไปไหนนะ” เขากำชับ

จากนั้นก็ได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์แว่วๆ แต่ไม่รู้ว่าคุยกับใคร

“ฮัลโหล..ใกล้เสร็จแล้วน่าแต่ขอส่งแค่แบบไปก่อนนะผมยังไม่ไปได้ไหม...ทำไมไม่ได้ล่ะผมยังเคลียร์งานไม่เสร็จ...โอเคๆ งั้นก็ได้  อืมๆ ไม่เบี้ยว  โอเคแล้วเจอกัน......เฮ้อ เอาไงดีวะ รวบรัดเลยไหม โอ้ยไม่ได้เดี๋ยวโดนโกรธ”
 
เขาคุยโทรศัพท์สักพักก็กลับมา อาการของผมตอนนี้ก็เริ่มเป็นปกติแล้ว 

“ผมขอกลับก่อนนะ ดึกแล้วคุณจะได้พัก” ผมลงจากเตียงตรวจแล้วบอกเขา

“งั้นเดี๋ยวไปส่ง” ผมพยักหน้าจากนั้นเขาก็กดปิดสวิชต์ไฟเฉพาะที่ห้องตรวจ แว้บหนึ่งผมเห็นใบหน้าเขาตอนไฟดับรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาจึงเดินเข้าไปหา

“คุณอยู่นิ่งๆ นะ” ผมจ้องเขานิ่งแล้วเอื้อมมือไปกดสวิสต์ไฟ ปิดเปิดอยู่หลายครั้ง “..ใครกันนะ เหมือนใคร” ผมมองหน้าเขาแล้วครุ่นคิดอย่างหนัก แต่แล้วก็ถูกเขาจับมือเอาไว้แล้วเปิดไฟขึ้น

“ขอแค่หนึ่งนาที” ใบหน้าของเขาดูเจ็บปวด  “แค่หนึ่งนาทีที่คุณจะไม่มองผมเป็นคนอื่น” แววตาเขาสะท้อนความรู้สึกอึดอัดออกมาอย่างเห็นได้ชัด

ผมนิ่งอึ้งไป ไม่รู้ว่าทำอะไรผิดแต่ต้องทำแน่ไม่งั้นเขาไม่เป็นแบบนี้หรอก

“ผมไม่ได้มองคุณให้เป็นคนอื่นนะ” ผมบอกเสียงแผ่ว

“งั้นบอกหน่อยว่าคุณเคยเห็นหัวไอ้หมอจนๆ คนธรรมดาคนนี้บ้างไหม อาจจะไม่เคยมีอดีตร่วมกับคุณมากเท่าคนอื่นแต่ความจริงใจก็ไม่แพ้ใครหรอก ไอ้หมอวรรตคนนี้ คุณเคยจดจำผมได้บ้างไหม” เขาพรั่งพรูออกมาจนผมตกใจ

อยู่ดีดีก็เป็นอะไรขึ้นมา ดราม่าขนาดนี้ใส่ผมทำไมกันล่ะ

“หมอวรรต..” ผมเรียกเขา  “หมอวรรต..”  ผมเรียกซ้ำอีก  “หมอวรรต..”  มองตาเขาแล้วเรียกชื่อซ้ำอยู่อย่างนั้น ส่งความรู้สึกจริงใจไปให้

ผมไม่เคยมองว่าเขาจนหรือกระจอกอะไร ไม่เคยเอาเขาไปเปรียบเทียบกับใคร ผมมีความสุขดวยซ้ำที่อยู่กับเขา คนที่ชื่อวรรต หมอประสาทที่ทำให้ผมยิ้มและหัวเราะได้เต็มหน้า แล้วทำไมผมจะจำชื่อเขาไม่ได้ล่ะ

“..หมอวรรต” ผมเรียกเขาอีกครั้ง จะเรียกจนกว่าแววตาของเขาจะเปลี่ยนไปเป็นเหมือนเดิม

“เรียกผมอีกทีสิ” เขาขยับเข้ามาใกล้

“..หมอวรรต อุ๊บ!!!”  ร่างสูงโฉบเข้ามาจูบทันที ผมชะงักค้าง เรี่ยวแรงหดหาย ร่างกายเกิดอาการสั่นสะท้านและหัวใจกระตุกผิดจังหวะ

“อื้อๆๆ” เมื่อได้สติจึงดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดของเขา พยายามดันตัวเขาออกแต่ก็ไม่สำเร็จ ริมฝีปากถูกเสียดสีอย่างหนัก เขาบดบี้ลงมาพยายามจะสอดลิ้นแต่ผมก็พยายามหันหนี


แล้วในที่สุดก็ผลักเขาออกได้

“จูบทำไม! เราเป็นเพื่อนกันนะ!” ผมหอบหายใจพลางลูบต้นแขนของตนเองเพื่อลดอาการครั่นเนื้อครั่นตัว

“เป็นเพื่อนแล้วจูบไม่ได้เหรอ!” เขากัดฟันทำหน้าหงุดหงิดแล้วจับเข้าไปจูบใหม่อีกครั้ง

“อื้อ!!” นี่มันบ้าอะไรกัน!

เพื่อนที่ไหนเขาจูบกันจะบ้าเหรอ!

ผมใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักออกแต่ไม่สำเร็จ ร่างกายมันวูบวาบหนักขึ้นทุกที ผมต้องทำยังไงเรื่องนี้ถึงจะยุติลงได้นะ

“ด..เดี๋ยว คุณ..เดี๋ยว” พยายามเบี่ยงหน้าหลบแล้วกล่อมเขา และดูเหมือนครั้งนี้เขาจะรับฟังและดึงหน้ากลับไปแต่ก็ยังคงกอดร่างผมแน่นไม่ให้ขยับ

“อะไร” ยังมีหน้ามาทำเสียงไม่พอใจ ผมต่างหากที่ต้องโกรธ

“ย..หยุด..เถอะ” ผมพยายามควบคุมลมหายใจแล้วบอกออกไป

“ไม่หยุด ไม่หยุดจนกว่าคุณจะเลิกดิ้นนั่นแหละ” แล้วเขาก็ก้มหน้าเข้ามาหาอีกครั้ง ผมจ้องเขม็งหวังจะปรามให้เขาได้สติและหยุดการกระทำ

ร่างสูงชะงักมองเล็กน้อย แค่เล็กน้อยเท่านั้น

“ไม่รู้ไม่สนอะไรทั้งนั้น”

“อื้อออ อื้ออออ” พูดเอาแต่ใจแบบนั้นแล้วฉกวูบลงมาระดมจูบผมอีกครั้ง

“..หยุดดิ้นแล้วจูบผม” เขาจูบไปพูดไป

“อื้อๆ” ผมพยายายามส่ายหน้าพร้อมกับต่อยหลังเขาเพื่อบอกปฏิเสธ

“..จูบผมที” เสียงเขาอ่อนลงจนหัวใจผมหล่นวูบ “จูบไอ้คนชื่อวรรตคนนี้”  เขาพูดชิดริมฝีปาก ดวงตาหม่นแสงไม่สดใสอย่างเคย

ถึงจะรู้สึกเห็นใจแต่แบบนี้มันไม่ถูก  ผมค่อยๆ หยุดดิ้นแล้วเงยหน้ามอง

“กับใครผมก็จูบไม่ได้...ผมมีแฟนแล้ว”

“ผมรู้” สีหน้าเขาหม่นลงอีก

เขารู้เหรอ รู้ได้ยังไงกัน?

“ก็คุณสวยขนาดนี้จะโสดได้ยังไง”

ปลายจมูกของเขาคลอเคลียไปตามสันจมูก นุ่มนวลและแผ่วเบาจนหัวใจกระตุกหนักขึ้น  แต่อาการสั่นสะท้านเริ่มทุเลาลง

แปลกที่อาการเดิมไม่รุนแรง ขนาดใกล้ชิดกันแบบนี้แต่ผมสามารถควบคุมลมหายใจได้ มีเพียงแค่ความรู้สึกที่มีต่อเขาเท่านั้นที่ชัดเจน แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเพราะผสมปนเปไปหมด ทั้งเห็นใจ เข้าใจ และอาจจะ..มีใจ

“ผมไม่อยากรู้สึกผิดกับคนรัก” ผมบอกเสียงอ้อนเพราะไม่อยากหักหาญน้ำใจ

เขามองผมครู่หนึ่งแล้วยอมแพ้ในที่สุด “ก็ได้”

“อย่าทำแบบนี้อีกนะ ผมขอร้อง” เมื่อได้เป็นอิสระผมก็มองเขานิ่ง

“อืม” เขาหลุบตาลงแล้วพูดกับผมโดยไม่มองตา

ได้แต่มองเขาอย่างเอ็นดู เขารู้สึกพิเศษกับผม ไม่รู้หรอกว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ทว่าในตอนนี้เขากำลังเจ็บปวดเพราะผม  ส่วนผมเองก็อาจจะมีใจกับเขาอยู่บ้างแต่พยายามไม่คิดเยอะเพราะผมมีเฮียเผ่าจึงไม่สามารถตอบรับความรู้สึกของเขาได้

“อย่าคิดมาก” ผมลูบไหล่หนาเบาๆ เพื่อให้เขาสบายใจ

“คุณไม่โกรธเหรอ” เขาเงยหน้าขึ้นมองผมทันที

“ถ้าจะโกรธคุณ ผมก็ต้องโกรธตัวเองด้วยที่ไม่ชัดเจน ขอโทษที่ทำให้คิดไปไกลกว่าคำว่าเพื่อน แต่หวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก” ผมยิ้มให้บางๆ “กลับก่อนนะ”

“งั้นเดี๋ยวไปส่ง” เขาบอกเสียงเบา

“อืม” แล้วเราสองคนเดินออกมาจากห้องตรวจพร้อมกับความเงียบ

และก่อนที่จะถึงเคาน์เตอร์ด้านหน้า มือผมก็ถูกดึงไว้

“จะมาที่นี่อีกไหม” ดวงตาคู่สวยจ้องมองมาอย่างมีความหวัง

ผมนิ่งคิดแล้วบอกเขาไปตามความจริง

“ผมก็ยังไม่แน่ใจ ไม่อยากทำร้ายคุณอีก ไม่อยากทำร้ายคนรักของผมด้วย”

“งั้น..”

เขาพูดค้างไว้แค่นั้นก่อนจะประชิดตัวเขามาอย่างรวดเร็วแล้วประกบปากทันที ผมที่ไม่ทันตั้งตัวได้แต่อ้าปากค้างจนทำให้เขาสอดลิ้นเข้ามาอย่างง่ายดาย เขาดูดกลืนริมฝีปากผมหนักหน่วงทว่านุ่มนวล ตั้งใจไม่ให้ผมเจ็บแต่ไม่ปล่อยให้ปฏิเสธได้อีก

ผิวเนื้อที่ถูกสัมผัสร้อนวูบวาบขึ้นอีกครั้ง ร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งตัว ลมหายใจหอบถี่กระชั้นขึ้นอย่างไม่อาจห้าม ครั้งนี้เหมือนเขาเอาจริง และผมเองก็เหนื่อยแล้วจะจะต่อต้าน

“อืออ” ผมเริ่มอ่อนแรงและหมดความอดทนกับความเอาแต่ใจ “อืออ” เลิกดิ้นรนและปล่อยให้เขากอดจูบตามใจเพียงแต่ไม่ได้ตอบรับอะไรมากมาย

แต่ไม่นับตอนที่เผลอตัวตวัดลิ้นตอบรับเขาเป็นบางครั้งนะ อันนั้นมันเป็นเอฟเฟคจากอาการโดยปกติของผมอยู่แล้วที่จะตอบรับการเล้าโลมอย่างง่ายดาย

ไม่นานนักผมก็เริ่มอ่อนแรง และทุบหลังเขาเพื่อให้สัญญาณว่าควรพอได้แล้ว ซึ่งเขาก็ไม่ได้ดื้อด้านมากนักและปล่อยผมในที่สุด

“..จูบทำไมอีก ก็บอกเหตุผลไปแล้ว แฮ่กๆๆ” ผมหอบหายใจปรับอารมณ์ให้เป็นปกติอย่างยากลำบาก บอกตามตรงว่าค่อนข้างหวั่นไหวไปกับสัมผัสของเขามากจนรู้สึกหงุดหงิดตัวเอง

หน้าหมอประสาทไม่ได้มีความสำนึกอะไรเลยและตอบออกมาแบบน่าฆ่าที่สุด

“เผื่อคุณไม่มาอีก คงเสียดายแย่ถ้าไม่ได้จูบ”

ได้ยินแล้วโมโหปรี๊ดในทันที

“คุณนี่มัน..หึ้ยยย!!” ผมเงื้อหมัดขึ้นจะตบหน้าเขาแต่เห็นหน้าหล่อที่ย่นหน้าเตรียมพร้อมรับแรงมือก็เลิกล้มความตั้งใจ “ดื้อที่สุดเลย!”

ต่อว่าเขาอีกครั้งแล้ววิ่งออกจากคลินิกทันทีไม่ทันได้ยินเสียงพึมพำจากด้านหลัง

“ถ้าโดนตบจริงก็คุ้มอยู่ดีวะ..แต่ก็ไม่โดน น่าจะพอมีลุ้นแฮะ”

ขณะที่น้าเวชออกรถผมหันกลับเข้าไปเห็นเขาอยู่ที่หน้าคลินิกยืนไขว้ขาเท้าศอกกับกรอบประตูแบบสบายใจ แต่ที่ทำให้หน้าร้อนวูบขึ้นทันทีก็เพราะเขากัดปากล่างแล้วลูบบริเวณนั้นด้วยนิ้วหัวแม่มือพร้อมกับยิ้มในสีหน้าแสดงความพึงพอใจ

คนบ้าอะไรแบบนี้กันนะ!!

แต่ที่น่าหงุดหงิดก็ตรงหัวใจของผมเองที่เต้นไม่เป็นส่ำ หวั่นไหวกับหมอประสาทแล้วหรือไงนะ..

   
“ทะเลาะกับคุณหมอเหรอครับ” น้าเวชถามขึ้นคงเพราะเห็นผมนั่งเงียบมาตลอดทาง

“ก..ก็นิดหน่อยครับ คุณหมอของน้าเวชดื้อมาก”

“น้าว่าแกคงมีเหตุผลที่ดื้อนะครับ แกเป็นคนเก่งและฉลาด น้าว่าถ้าแกจะทำอะไรลงไปแต่ละอย่าง แกคงคิดคำนวณดีแล้วล่ะ” น้าเวชก็เข้าข้างเขาอยู่ดี

คิดคำนวณแล้วว่าจะจูบเพราะผมอาจจะไม่กลับไปหาอีกเนี่ยนะ เหตุผลเอาแต่ใจตัวเองน่ะสิไม่ว่า




พอกลับถึงบ้านก็เช็คตารางงานอีกครั้ง พรุ่งนี้ช่วงบ่ายมีนัดกับเฮียและพี่เวย์ นี่ชีวิตผมจะสงบสุขสักวันได้ไหมนะ

ครืด ~~
Dr.WRRT :  โกรธยังไงก็อย่าลืมกินยา

ผมถอนหายใจเมื่อเห็นข้อความผ่านหน้าจอมือถือ  ชีวิตนี้จะเจอเรื่องธรรมดาๆ ที่ไม่ต้องหวือหวาวุ่นวายบ้างได้ไหม ถ้าพรุ่งนี้เจอเฮียแล้วเฮียจะจับได้หรือเปล่าว่าผมโดนคนอื่นจูบ

“โอ๊ยยย ชนม์แดนๆๆ โลกนี้มันอยู่ยากเกินไปแล้วนะ!”


.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

รอบนี้มีความเห็นหนึ่งเดียวเองง่ะ..

Janemera : ที่ผ่านมาดอทกันตัวเองออกจากผู้คนเพื่อตัดปัญหาเรื่องอาการที่เป็นอยู่ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนหมอวรรตจะตั้งใจฝ่ากำแพงเข้ามาก็เลยเป็นอย่างที่เห็น  ส่วนเผ่าพงศ์โดยปกติไว้ใจดอทมาก มากจนเกินไปด้วยซ้ำ เมียสวยขนาดนี้ปล่อยให้หลงหูหลงตาได้ยังไง ชิ


ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ทุกความเห็นมีคุณค่าและเป็นกำลังใจที่ดีมากๆ ของนายน้อยเลยค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เรากลับมาแล้วนายน้อยยยยยยย แงงงงง ขอโทษด้วยที่หายไปไม่ค่อยจะว่างเลย มาตอนนี้ก็ได้อ่านสองตอนรวดไปเลยแถมมีประเด็นใหม่ให้คิดอีก
ประเด็นแรก ก็เรื่องยาที่หมอให้ดอทกิน นี่คิดว่าหมอกับพี่ดินน่าจะร่วมมืออะไรกันนะคงแอบรักษาอาการดอทกันแบบเงียบๆโดยจ่ายยาให้แบบที่ดอทไม่รู้ ไม่งั้นพี่ดินแกไม่เล่นใหญ่ตกใจตอนที่รู้ว่าดอทจะเอายามาเช็คหรอก
ประเด็นสอง หมอวรรตคือคนที่ออกแบบอีกคนที่ไม่ได้มาพบกับดอทกับเฮียเผ่าสักทีใช่มั้ย แล้วหมอวรรตกับพี่เวย์นี่ละมีความสัมพันธ์อะไรกันรึเปล่า ทำไมถึงหน้าคล้ายเป็นพี่น้องกันหรือแฝดคล้ายรึเปล่าเราเห็นหมอวรรตบอกว่า 'นอมินีๆ' ซึ่งมันหมายถึงตัวแทน แต่มันเป็นตัวแทนในแง่ไหนละหรือสมัยเรียนหมอวรรตเคยปลอมตัวเป็นพี่เวย์เพื่อเข้าหาดอทเหรอ ถ้าใช่จะทำแบบนั้นทำไมอะ ไม่ว่าจะแบบไหนเราว่าหมอวรรตต้องเคยมีตัวตนกับดอทในสมัยเรียนนี่แหละแต่อาจไม่เด่นจนดอทลืมไป
ประเด็นสาม เฮียเผ่ากำลังทำอะไรจะนอกใจหรือวางแผนเซอร์ไพรส์ดอท ซึ่งจริงๆถ้าลบความเจ้าชู้ออกไปเฮียเผ่าก็เป็นคนนึงที่น่าเชียร์นะ แต่ที่มันเชียร์ไม่สุดก็ตรงที่นิสัยที่คลุมเครือของเฮียแกนี่แหละ ยิ่งตอนนี้มีหมอมาทำคะแนนเฮียก็เลยยิ่งดูดรอปไป เผลอๆนักอ่านก็อยากเชียร์ให้เลิกกับดอทเร็วๆด้วยซ้ำมั้งเนี่ย
ประเด็นสี่ ถ้ามันยากนักที่จะให้พี่ดอทลงเอยกับใครก็จัด 4p ไปเลยค่ะนายน้อย ฮ่าๆๆๆ

ปล.แอบสงสารป๋า เมียน้อยคนนี้คงนิสัยแย่สุดละมั้งแต่ก็เพราะป๋าทำตัวเองไม่รู้จักพอนี่แหละเลยต้องมากลายเป็นพ่อบ้านโดนเมียจิกอยู่แบบนี้
ปล.2 ตอนนี้ #ดินดอท คัมแบ็คนาจา ยังไงสายค้ำคอร์มันก็น่าฟินกว่าจริงๆนั่นแหละ หุหุ  :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ลุ้นๆๆๆไม่รุ้จะจิ้นกับใครดี อยู่กับใครก็เคมีดีไปหมด
กับเฮียเนี่ยะ ถึจะเลวร้ายไปบ้าง แถมนิสัยเจ้าชู้เอาไม่เลือกของเฮียเนี่ยะ แต่คบกันมานานขนาดนี้ ส่วนดีๆของเฮียก็คงมีอยู่แหล่ะ ไม่พูดถึงส่วนของดอทจะอยากเลิกรึไม่อยากนะ คือเฮียแกฟันแล้วทิ้งก็ได้ไงตามความแบดที่สั่งสมมา แต่ก็ไม่ทำ เฮียคงรักดอทแหล่ะแต่มันมากขนาดไหนหยุดได้รึป่าวต้องดูยาวๆไป
ส่วนดินนี่แอบจิ้นนิดหน่อย แต่นะมีสกายอยู่แล้วก็ตัดออกละกัน คิดว่าดินคงพยายามรักษาพี่แหล่ะ มีแผนอะไรกับหมอวรรตแน่ๆ
ส่วนหมอวรรตนี่ เดาไม่ออกว่าจะเป็นใครในอดีต แต่คงต้องเคยเจอดอทมาก่อนแน่ๆ อยากลุ้นนะ แต่ยังลุ้นกับเฮียมากกว่าหน่อยนึง
ส่วนพี่เวย์นี่ไม่รุ้จะยังไงดี แต่คิดว่าเฮียคงตั้งใจให้เจอกันละนะ แอบคิดลึกๆว่าพี่เวย์คงยังมีใจ กับเนมนี่อาจจะไม่ใช่อย่างที่ดอทคิด

แต่ มันจะกี่เส้ากันละเนี่ยะ เลือกข้างไม่ถูกเลย

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เฮียเผ่าดูมีความลับอ่ะะ น้องไว้ใจขนาดนี้แล้วเฮียอย่าทำอะไรไม่ดีนะ แล้วเหมือนดินแดนจะไม่อยากให้ดอทรู้ว่ายาอะไรด้วย หรือวางแผนกะหมอ ทุกคนดูมีความลับไปหม๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด  แต่ไม่ว่าอย่างไรเราขอปัก #ทีมชายชู้ค่าาาาาา :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
ถ้าว่ากันจริงๆ ผมเชียร์คุณเผ่าพงศ์นะครับ เพราะว่าถึงจะดูลึกลับแล้วก็เอาแต่ใจไปบ้าง แต่เฮียเผ่าก็เป็นคนเดียวนะครับที่อดทนกับดอทมาตลอด ใจกว้างแล้วก็ยอมดอทหลายๆอย่าง ถึงจะเริ่มต้นด้วยการล่อลวงตอนดอทเสียใจก็เถอะครับ (หัวเราะ) แต่ตั้งแต่ตอนเด็กจนถึงปัจจุบัน เผ่าพงศ์ก็เป็นคนเดียวที่ยืนอยู่ข้างๆดอท เวลาที่ดอทไม่มีใคร และไม่ว่าดอทจะทำอะไรที่ต่อให้คนอื่นจะด่าว่าหรือนินทาลับหลังร้ายกาจขนาดไหน ไม่ว่าดอทจะเป็นยังไงในสายตาคนอื่น เผ่าพงศ์ก็ยังเป็นคนที่มีเวลาให้ เป็นคนที่พร้อมจะปลอบประโลมและอ่อนโยนและดูแลดอท ใจเค้าให้มาเต็มร้อย อันนี้ผมโอเคกับเผ่าพงศ์มากๆ ขนาดดอทไปช่วยดินแดนตอนที่บ้าบิ่นจะไปช่วยสกาย เป็นกองหน้าแถมยังยื้อยุดจนสกายหนีไปได้ แถมเล่นซะเผ่าพงศ์ต้องโดนตำรวจสอบนู่นนี่ เค้ายังไม่โกรธดอทเลยสักนิด มีแค่น้อยใจนิดๆหน่อยๆ อันนี้ผมว่าเฮ้ย ใจคุณแมนมากอะ รักใครรักจริง (ตามเส้นพล็อตของอีกเรื่องนี่ ดินแดนกับสกายทำเผ่าพงศ์เยอะมากนะครับ เป็นผมนี่ผมหงุดหงิดปนหัวร้อนเลยล่ะ ยังกับแมลงสาบไม่รู้จักโต มันน่าสั่งสอนนัก มารยาทสังคมนี่ไม่มี)

ปัญหาคือ ด้วยนิสัยเพลย์บอย เจ้าชู้ แล้วก็ทำธุรกิจสีเทาปนมืดของเผ่าพงศ์ ทำให้บางครั้งลักษณะนิสัยของเค้าจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เช่น พอโดนจี้จุดแล้วอารมณ์ร้ายบังตา หน้ามืดเกรี้ยวกราดจนใช้กำลัง อันนี้เป็นนิสัยที่อันตรายมากนะครับ คือคนอยู่ด้วยแล้วมันอันตรายอะ ซึ่งในเคสเผ่าพงศ์ เค้ารักและชอบดอทมาก แต่พอจี้จุดก็มองไม่เห็นเหมือนกัน แสดงว่าการควบคุมตัวเองในสภาวะสติหลุดยังน้อยอยู่ (แต่ไม่ได้สื่อว่าเค้าไม่รัก หรือนิสัยไม่ดีนะครับ) แล้วก็เรื่องเจ้าชู้ แต่เรื่องนี้ผมว่ามันก็เฉยๆอะ อาจจะเพราะผมเป็นผู้ชายด้วยมั้ง (หัวเราะ) เลยมีไบแอสเรื่องความเจ้าชู้ คือถ้าเผ่างศ์ไม่ได้เจ้าชู้ถึงขั้นหาไปเรื่อยแล้วก็ยกนู่นนี่นั่นให้แบบเจ้าสัวแดนสรวง อันนี้ผมโอเคนะ เพราะถามว่าดอทจะไปไล่ตามจิกทุกคนเลยเหรอ มันคงไม่ใช่นิสัยเขามั้ง (แต่ถ้าดอทลองทำขึ้นมาสักครั้งนี่ หูยยย น่าจะแซบเวอร์พริกสิบเม็ดครับ เฮียเผ่าคงตกตะลึง ปนภาคภูมิใจในความหึงของแฟน ฮะๆ) แต่ผมก็เข้าใจมุมมองของดอทนะ เพราะว่าถ้าจะแต่งงานกัน ถ้าจะรักกันจริงๆให้เป็นเรื่องเป็นราว เรื่องแบบนี้มันสร้างความร้าวฉานให้ความสัมพันธ์ ถ้าเฮียหยุดได้ มันก็จะทำให้ชีวิตรักเราราบรื่นขึ้น

ผมชอบที่เผ่าพงศ์ของดอทแต่งงานนะครับ คือโคตรใจอะ ต้องยกนิ้วให้ครับ เผ่าพงศ์คงรู้ตัวดีว่าเค้ารักดอทอย่างจริงจัง แต่นิสัยส่วนตัวของเขามันแก้ยากไง ถ้าไม่มีคนมาช่วยคุม ช่วยหวาน หรือถืออะไรที่เป็นกรอบหลักที่จะทำให้เขาไม่เถลไถล ถ้าดอทแต่งงานกับเขา เขาก็จะมีตัวโฟกัสมากขึ้น ได้รู้ว่าชีวิตของเราทั้งสองคนมันผูกกันไว้แล้วนะ ซึ่งตรงนี้ผมชอบแนวคิดของเฮียเผ่านะ

สำหรับตอนที่ผ่านๆมา ผมไม่ค่อยชอบตระกูลพี่เวย์อะ ไม่รู้สิ ยิ่งคนน้องมาสมคบคิดกับดินแดนโดยที่ไม่บอกอะไรดอทด้วย ผมยิ่งรู้สึกไม่ชอบ คือจะทำอะไรก็บอกมา ดอทรู้สภาพตัวเองอยู่แล้ว เค้าไม่อยากให้คนอื่นรู้แหละ แต่ถ้าจะแก้กันด้วยยาหรือเทคอะไรก็อธิบายบ้าง ไม่ใช่ตีเนียน ดินแดนก็เหมือนกัน ไม่ใช่เอะอะอะไรแอบทำเงียบๆไม่บอกใคร เพราะคิดว่าแผนข้านี่แหละเลิศล้ำที่สุด นิสัยแบบนี้ไงมันถึงสร้างปัญหา เพราะคนอื่นเค้าไม่ชอบครับ ไม่มีใครชอบที่คุณแอบทำอะไรเกี่ยวกับคนๆนั้น แล้วคนๆนั้นยืนบื้อให้เชิดวิ่งเล่นเป็นหุ่นกระบอก (No one wanted to be played) ถ้าดอทรู้เรื่องขึ้นมาจริงๆนี่ เค้าคงผิดหวังและเสียความรู้สึกกับทั้งสองคน ซึ่งมันก็สมควรแล้วด้วยครับ (ผมรอดูฉากรู้ความจริงอยู่นะครับ)

นิสัยดอทนี่ผมชอบมาก เป็นตัวนางที่มีมิติและสมจริงดีมากเลยครับ ฉลาด ทันคน เอาแต่ใจหน่อยๆ เป็นคนดีมีศีลธรรม มีความอดทนมุ่งมั่นสูง เมื่อเจอคนที่รับไม่ได้จริงๆ ถ้าจะเหวี่ยงและร้ายกลับ ก็ทำอย่างมีมารยาทและดูดี ไม่ร้านตลาด สามารถทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวซะบ้างว่านิสัยคุณมันไร้มารยาทและทรามขนาดไหน ผมประทับใจหลายฉากนะครับ
- ฉากที่พอมีคนทักว่าเฮ้ยคุณเทคยาอะไร แล้วดอทสะกิดใจว่ามันไม่เขียนบอกด้วย เลยจะเอาไปเทสต์ นี่ถือว่าใช้ได้เลยนะครับ มีไหวพริบ ไม่โง่ ฉลาด ไม่ไว้ใจคนง่ายๆและระวังตัว ส่วนฉากเหยียดอนุภรรยานิสัยทรามของเจ้าสัวแดนสรวงนี่ก็ถือว่าโอเคเลย ดูดี ไม่ได้จิกเหมือนนางร้ายละครช่องเจ็ด (นี่ขนาดเมียน้อยพ่อที่ไม่ได้อะไรมากนะครับ นี่ถ้าดอทลองแสดงบทหึงเฮียให้ดูบ้าง นี่คงแซ่บเวอร์ รอติดตามแบบชิดขอบจอเลยครับ ฮะๆ)
- ส่วนอีกฉากที่ผมนับถือมากในนิสัยของดอท คือฉากที่หมอมันแอบมาปล้นจูบลวนลาม คือสเตตัสมันมาเป็นเพื่อนก่อนไงครับ แล้วเอาจริงๆหมอวรรษนี่ให้อารมณ์เพื่อนสนิทด้วยนะครับ ผมเชียร์ให้หมอเป็นเพื่อนสนิทดอทนะ เพราะคุณเนม...ก็ท่าทางจะไม่ได้เป็นคนดีจริงๆ เอาแต่ใจแล้วก็ไม่ค่อยฟังคนอื่น โวยวายไปก่อน แบบนี้เป็นเพื่อนสนิทดอทจะพาดอทประสาทเสียไปด้วยครับ พาลจะกลายเป็นคนนิสัยแย่ๆของสังคมไปซะเปล่า

คนแบบดอทควรได้เพื่อนสนิทเป็นคนดี มองโลกในแง่บวก ให้ลองมองจากมุมคนอื่นบ้าง เพราะในชีวิตจริง มีไม่กี่คนหรอกที่จะกวนประสาทกันไปๆมาๆแล้วเราตลกขำๆ ผ่อนคลาย ไม่ได้ถือเป็นอารมณ์ ส่วนมากก็จะเป็นเพื่อนสนิทกันครับ แล้วมันก็จะทำให้ดอทอารมณ์ดี สนุกกับชีวิต สามารถต่อสู้มรสุมปัญหาชีวิตได้จากคำปรึกษาของเพื่อน

ทีนี้ฉากหมอปล้นจูบผมชอบอะไร? ผมชอบที่ดอทมีความมั่นคงในตัวคนรักครับ เค้ารับปากเผ่าพงศ์จะแต่งงานแล้ว เค้าไม่ควรมาทำอะไรแบบนี้ มันทำให้ดอทรู้สึกแย่และบอกกับหมอวรรษตรงๆว่าอย่าทำ ถ้าไม่อยากให้เค้าเกลียดหรือรู้สึกผิดกับคนรัก มาตรวัดศีลธรรมในตัวดอทมีความเที่ยงตรงและไม่หย่อนคล้อย แม้จะมีความใกล้ชิดมาทำให้หวั่นไหว ผมชอบตรงนี้ มันมีไม่เยอะนะครับที่เราเอาชนะความต้องการได้ด้วยความมีศีลธรรมและกฏระเบียบในของสังคม ถึงช่วงท้ายๆตอนที่ 11 มันจะดูยินยอมไปหน่อย ซึ่งตรงนั้นผมก็ไม่ค่อยชอบนะครับ ดอทหลีกจากพี่เวย์มาได้ตั้งนาน มีความแน่วแน่ แล้วทำไมมาหย่อนกับอีตาหมอนี่ล่ะ ทั้งๆที่ปิดบังเรื่องยาด้วยซ้ำ แอบทำอย่างงี้ ผมไม่ประทับใจเลยอะครับ

ส่วนเรื่องเจ้าสัว เดี๋ยวก็ได้รู้ครับว่าผู้หญิงที่นิสัยดีๆน่ะ มันหายากขนาดไหน ได้ภรรยาที่เหมาะสม ชาญฉลาด มีมารยาทและชาติตระกูลดีอย่างแม่ดอท แล้วคุณก็ยังไม่หยุด เดี๋ยวก็จะรู้ว่าผู้หญิงแบบนี้มันหาได้ยาก ยิ่งคุณไปทำจนเค้าเกลียด ก็เป็นเรื่องปกติที่เค้าจะปกป้องลูกของเค้า ว่าควรจะได้สิ่งต่างๆมากกว่าบรรดาอนุภรรยาหรือสายเลือดที่มันไม่ชอบด้วยกฏหมาย เพราะจากมุมมองของเขา การที่เจ้าสัวไม่รักษาระเบียบหรือกฏของสังคม แล้วจะมาให้ว่าแบ่งเท่าๆกันโดยใช้กฏตัวเอง อย่างนี้มันไม่ถูกต้องครับ

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ต อ น ที่  12  :  ภ า ว ะ บ อ บ ช้ำ


วันรุ่งขึ้นผมตื่นสายโด่งเพราะเมื่อคืนนอนไม่หลับ แต่ก็ช่างเถอะ ถือเป็นช่วงรีแล็กซ์ก่อนเปิดออฟฟิศใหม่

“อีกสิบนาทีเฮียเข้าไปรับนะ” เสียงผ่านเครื่องมือสื่อสารจากเฮียเผ่า

“เร็วจัง” เข็มนาฬิกาชี้ให้เห็นว่าเพิ่งจะสิบโมงครึ่งจึงแย้งไปเล็กน้อย

“เฮียจะพาดอทไปที่ๆ หนึ่งแล้วไปหาอะไรกินกัน ไม่ได้กินข้าวด้วยกันนานแล้ว”

“หืม ไปไหนเหรอครับ” เรื่องทานข้าวยังไม่ตื่นเต้นเท่าสถานที่ๆ เฮียจะพาไป

“เอาไว้ค่อยบอกตอนไปถึงนะ” เฮียพูดแบบมีลับลมคมใน “แต่ช่วงเย็นเฮียต้องไปต่างจังหวัดแล้วนะ”

“อืมนั่นสิ ว่าแต่ทำไมไปหลายวันจัง ดอทนึกว่าแค่เสาร์อาทิตย์” ใจหายเบาๆ เพราะปกติเฮียไม่ไปไหนนานๆ

“เผื่อกลับมาทันอึ๊บดอท” เขาทำเสียงหื่นจนผมขนลุก

“ไม่คุยด้วยแล้ว รีบมารับนะครับ” ผมตัดบทแล้วรีบวางสาย

กลัวเฮียจับได้จัง..


เฮียมารับตรงเวลาเป็นครั้งที่สองในรอบปีและพาไปที่ว่าการอำเภอ

“มาอำเภอทำไมเหรอครับ อย่าบอกว่าจะพามาจดทะเบียนสมรส” ผมถามติดตลกและก็โดนเฮียบีบจมูกด้วยความหมั่นไส้

“เดี๋ยวนี้แก่แดดนักนะ เสียดายไม่มีเวลา ไม่งั้นดอทจมเตียงแน่” สายตาเฮียทำให้รู้สึกวูบวาบขึ้นมาเพราะค่อนข้างเซนต์ซิทีฟกับสัมผัสของเฮีย จะว่าแพ้ทางก็ได้ของมันเคยมือกันอยู่

“แล้วเรามาอำเภอทำไมเหรอครับ” 

“ตามมาสิ” เฮียจูงมือผมไปสำนักงานที่ดิน


“เฮียมาโอนที่ดินให้ดอท” พอขึ้นไปแล้วเฮียก็เฉลยออกมา

“ที่ดิน ยังไงครับ!?” ผมเบิกตาโตเพราะไม่เคยระแคะระคายเรื่องนี้

“ที่ดินที่จะทำบ้านของเราไง เฮียอยากให้ดอทมั่นใจว่าที่เฮียทำทุกอย่างเพื่อดอทได้และเฮียจะทำทุกอย่างให้เราได้อยู่ด้วยกัน” เขามองหน้าผมด้วยแววตาที่สะท้อนความรักใคร่เอ็นดูอย่างล้นปริ่ม

“เฮีย..” พูดได้แค่นั้นแล้วน้ำตาก็รื้นขึ้นเพราะความซาบซึ้งใจ “ให้เป็นชื่อเราสองคนดีกว่า”

เฮียส่ายหน้า “เฮียอยากให้ดอท ที่จริงมันเล็กน้อยด้วยซ้ำเพราะที่เฮียมีมันมากมายกว่านี้หลายเท่า แต่พวกบริษัทอะไรๆ มันเป็นของกงสี เฮียไม่อยากให้ดอทต้องไปปะทะกับพวกนั้น  ถือซะว่านี่เป็นของขวัญที่ดอทให้โอกาสเฮียก็แล้วกันนะ รับไว้เถอะ นะครับ” เฮียเกลี้ยกล่อมพลางกอบกุมมือไว้แน่น ผมจึงกระชับมือกลับไป

“ขอบคุณนะครับ เฮียดีกับดอทมาตลอดเลย ดอทรักเฮียนะ” น้ำตาผมไหลลงมาอาบแก้ม รู้สึกซาบซึ้งจนกลั้นไว้ไม่ไหว

เฮียเผ่ายิ้มอ่อนโยนแล้วช่วยเช็ดน้ำตาให้ก่อนจะพาไปดำเนินการอย่างที่ตั้งใจ


ไม่นานนักการโอนที่ดินก็เสร็จโดยไม่ต้องรอคิว ที่เมืองไทยถ้าคุณมีเงินคุณก็จะเซฟเวลาได้ค่อนข้างมาก ผมไม่แปลกใจว่าทำไมคนจนถึงรวยช้า เพราะเขาไม่สามารถทำอะไรโดยใช้ทางลัดได้เลย

เราสองคนทานอาหารกลางวันด้วยความชื่นมื่น ไม่ใช่เพราะได้ที่ดิน แต่เพราะความเข้าอกเข้าใจที่มากขึ้น เฮียไม่ค่อยเอาแต่ใจตัวเองเหมือนเมื่อก่อน แต่ยังเหลืออยู่หนึ่งเรื่องที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอม

“เฮียไม่รู้ว่าดอทไปบ้านป๋ากับไอ้ดินแดนนั่น ไม่งั้นเฮียจะไปส่งเองดีกว่า”  ผมอยากตบปากตัวเองที่เผลอเล่าเรื่องเมื่อวานและเฮียก็รู้จนได้ว่าดินแดนไปด้วย

“โธ่เฮีย ตาดินก็น้องดอท จะไปด้วยกันก็ไม่เห็นเป็นไรเลย”

“เฮียไม่อยากให้ดอทนับญาติกับมัน ที่เฮียต้องเกือบติดคุกก็เพราะมัน นี่ถ้าไม่ได้ผู้หลักผู้ใหญ่ที่รู้จักกันช่วยวิ่งเต้นป่านนี้ไม่ต้องไปนอนในคุกแล้วเหรอ ถ้าดอทรักเฮียก็อย่าไปยุ่งอะไรกับมันนะ เฮียเกลียดมัน”

ผมลูบหลังให้เขาเย็นลง  นี่ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้วยังโมโหเรื่องนี้ไม่หาย คงต้องให้เวลาเฮียอีกสักพัก

“โอเคครับ ถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่ยุ่ง” ผมบอกเพื่อให้เขาสบายใจ

“ดีแล้วไม่ต้องไปยุ่งกับมัน เฮียไม่ชอบปากมัน ปากหมา” เฮียด่าแล้วดื่มน้ำจนหมดแก้วคล้ายกับจะดับความร้อนในร่างกาย  สงสัยจะเกลียดมาก

เฮ้อ แล้วผมจะทำให้สองคนนี้ญาติดีกันได้ไหมเนี่ย หนักใจจัง



เมื่อทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วเฮียก็พามาที่ร้านกาแฟที่เดิม พอเราสองคนมาถึง พี่เวย์ก็นั่งรออยู่ก่อนแล้ว มาก่อนเวลาตลอดเลยนะ ขยันเกินมนุษมนาน่าหมั่นไส้

“อีกคนยังไม่มาเหรอ” เฮียน่าจะเริ่มหงุดหงิดเมื่อไม่เห็นอีกคน

“กำลังมาครับ เดี๋ยวคงถึง” สีหน้าพี่เวย์ดูกังวลเพราะคงรู้ว่าเฮียเริ่มไม่พอใจ

“งั้นเดี๋ยวขอไปสั่งกาแฟก่อนนะครับ ดอทเอาเหมือนเดิมใช่มั้ย” เฮียเผ่าถาม

“ครับ อย่าลืมวิปนะ” ผมบอก

“ไม่ลืมหรอกครับ ชอบอะไรก็ชอบเหมือนเดิมตลอด ดอทน่ะเรื่องน้อยที่สุดในโลกแล้วนะ” เฮียจับคางผมส่ายแล้วยิ้มบางๆ

หะหะ

รู้สึกเกร็งเบาๆ เพราะเหมือนมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องอยู่


“รักกันมากสินะครับ” พี่เวย์ถามเมื่อเฮียเผ่าเดินออกไปจากรัศมีการได้ยิน

จะว่ายังไงดี คือ.. มันเป็นคำถามที่เหมือนถามเฉยๆ แต่ก็เหมือนจะประชดด้วย แล้วเขาถามเฉยๆ หรือประชดกันล่ะ

“ก็น่าจะน้อยกว่าคุณกับเนมมั้งครับเพราะคู่ผมยังไม่มีลูก” โอ้ยย อยากตบปากตัวเอง อยู่ดีดีไปแซะเขาทำไมเนี่ย!

พี่เวย์เลิกคิ้วขึ้นจ้องมาเหมือนกับว่าผมพูดอะไรที่เข้าใจยาก

“งั้นเหรอครับ” เขาพูดเสียงเรียบจากนั้นก็หยิบนามบัตรขึ้นมาวางไว้ตรงหน้าผม “เนมฝากมาให้ครับ คุยกับเพื่อนบ้างก็ดีนะ” เขาพูดเหมือนตำหนิ

“ขอบคุณที่แนะนำครับ” ผมหยิบนามบัตรเข้ากระเป๋า รู้สึกคอแข็งๆ เวลาคุยกับพี่เวย์ ไม่รู้จะเชิดคอเก๊กหน้าทำไมนักหนา ทำตัวให้เป็นธรรมชาติน่ะเป็นไหมชนม์แดน อย่าเยอะสิอย่าเยอะ

“ได้แล้วเครื่องดื่มเด็กประถม” เฮียเผ่าวางแก้วลาเต้ลงบนโต๊ะ

ผมหันไปย่นหน้าใส่ “ก็กินได้แค่แบบนี้นี่นา” ว่าแล้วก็ดูดกาแฟเข้าปากแก้กระหาย

“ครั้งที่แล้วเห็นกินเอสเปรสโซ่ได้ไม่ใช่เหรอครับ หรือผมเข้าใจผิด” พี่เวย์ถามขึ้น

แค่ก! แค่กๆๆๆๆ

ผมสำลักออกมาทันที  นึกถึงครั้งก่อนที่กินกาแฟของพี่เวย์แล้วโมโหตัวเอง ก็มันขมซะขนาดนั้นผมดูดเข้าปากไปได้ยังไงก็ไม่รู้ แล้วดูเขาทำหน้าสิ ทำเป็นถามหน้าซื่อตาใสราวกับเทพบุตรแต่ที่จริงซาตานชัดๆ

“หืม กินได้ด้วยเหรอ” เฮียเผ่านั่งลงแล้วมองผมอย่างแปลกใจ

“ม..ไม่ใช่ซะหน่อย คุณเวย์คงเข้าใจผิดไปเองมั้งครับ” ผมมองพี่เวย์ด้วยสีหน้าตำหนิ

“ผมแค่ล้อเล่นน่ะ แฟนคุณเผ่าดุเหมือนกันนะครับ” พี่เวย์ยิ้มให้เฮีย

“ดุครับ ดุแบบนิ่มๆ ไม่เคยใส่อารมณ์หรือขึ้นเสียงหรอกแต่แค่มองนิ่งๆ ตาดุๆ แค่นั้นผมก็หงอแล้วล่ะ” เฮียโอบไหล่ผมแล้วหัวเราะเบาๆ

“อิจฉาแทนเลยครับ มีแฟนน่ารักมาก” พี่เวย์พูดอะไรออกมา

ผมนี่กลั้นหายใจแทบไม่ทัน

“แฟนคุณเวย์ก็น่ารักนะครับเฮีย  เป็นเพื่อนสมัยเรียนของดอทด้วยนะ” ผมหันไปบอกเฮีย

“เอ๊ะ มีแฟนเมื่อไหร่เหรอครับ ก็คราวก่อน..”

“เรื่องของผมไม่สำคัญหรอกครับ มาคุยเรื่องงานดีกว่าเดี๋ยวคุณเผ่าจะเดินทางล่าช้า” พี่เวย์ตัดบท

“เอางั้นก็ได้ครับจะได้สร้างเสร็จเร็วๆ อยู่กันคนละบ้านมานานเกินไปแล้ว อยากลงหลักปักฐานเป็นเรื่องเป็นราวซะที” เฮียมองผมด้วยสายตาหวานเชื่อม

ผมเองก็อดยิ้มให้เฮียไม่ได้ เฮียไม่เคยอายที่จะบอกใครว่าจริงจังกับผม แต่ก็นั่นแหละ บอกใครๆ ว่ามีผมแต่ก็ไม่หยุดคบคนอื่นไปด้วยซะที

หันไปมองพี่เวย์ เห็นสายตาที่ส่งมา เหมือนตำหนิ เหมือนไม่พอใจ หรือบางทีผมอาจจะคิดไปเองก็ได้

“ห้องนอนผมอยากได้แบบกว้างๆ” เฮียเริ่มบอกสเป๊คงาน “มีมุมนั้นมุมนี้หลากหลายจะได้อยู่ในห้องได้ทั้งวันไม่เบื่อ  อ้อ ขอติดกระจกตรงโซนเตียงนอนเยอะๆ เลยนะครับ ผมอยากเห็นทุกมุมของดอท”

!!!!!??

ฮืออออออ ทำไมเฮียต้องบรรยายอะไรแบบนี้ด้วยยยย  ดูพี่เวย์ทำหน้าสิ อารมณ์ไหนไม่รู้แต่เส้นเลือดที่ขมับทำไมดูปูดๆ แบบนั้น หรือผมจะคิดไปเองอีกแล้ว

ขณะที่กำลังกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่นั้น ได้มีร่างหนึ่งก้าวเข้ามาหยุดยืนที่ข้างโต๊ะ

“สวัสดีครับ ขอโทษทีผมเคลียร์งานติดพันไปหน่อย”   

เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง วิญญาณก็แทบจะหลุดออกจากร่าง..

ชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว หน้าตาดูดีแบบหนุ่มเกาหลีเทรนด์นิยม เหมือนหมอประสาทมาก  แต่ไม่น่าใช่หรอก โลกมันต้องไม่กลมขนาดนี้สิ

“อ้าวมาแล้วเหรอ” พี่เวย์ทัก “นึกว่าต้องไปลากออกจากคลินิกซะอีก” 

หน้าเหมือนหมอประสาท แถมยังมีคลินิกด้วย ฮืออ เหลืออย่างเดียวคือชื่อ อย่านะ อย่าชื่อวรรตเด็ดขาดนะ!

“นี่วรรตครับ น้องชายผมเอง วรรตถนัดงานภูมิทัศน์ครับ รับรองฝีมือเนี้ยบหาตัวจับยาก”

WHAT!!?

ไม่ใช่ WHAT แต่เป็น WRRT!!

ชื่อวรรตจริงด้วย!! ตายๆๆๆๆๆ ชนม์แดนนายตายแน่!

ตรงนี้มีเฮียซึ่งเป็นคนรักนั่งอยู่ข้างๆ  ตรงข้ามคือพี่เวย์เป็นคนที่เคยมาจีบแต่ผมไม่เอาแต่ก็หงุดหงิดใจทุกครั้งที่คิดว่าทำไมไม่เอา แล้วยังมีหมอวรรตคนพี่เพิ่งจูบกันไปเมื่อคืน แถมยังเป็นน้องของพี่เวย์อีก

งานนี้แกล้งตายยังไม่พอ ต้องระเบิดฆ่าตัวตายจะเหมาะกว่า ศพจะได้เละเป็นชิ้นๆ ไม่ต้องสืบว่าเป็นใคร

“ฝากตัวด้วยนะครับ งานไม่ดีบอกแก้ได้เลยไม่ต้องเกรงใจ” หมอวรรตบอกเฮียเผ่า แล้วหันมามองผม

ชิ้ง~~

เหมือนมีซาวด์เอฟเฟคดังขึ้นเมื่อสายตาของเราสบกัน  ในวินาทีนั้นผมเผลอกัดปากตัวเองเมื่อนึกถึงจูบเมื่อคืน

“ยินดีครับ” เฮียบอกแล้วหันมาหาผม  “ดอทเป็นอะไร ทำหน้าเหมือนเห็นจานบิน”

เห็นจานบินยังไม่ช็อคเท่านี้เลยครับ ฮืออออ

“..ข..ขอ..ดอทไปห้องน้ำนะครับ เดี๋ยวมา” ผมว่าแล้วไม่รอการอนุญาตแต่ลุกขึ้นมาทันที

มิน่าถึงได้คุ้นหน้าหมอวรรต มันไม่เหมือนซะทีเดียวแต่คลับคล้ายคลับคลา  ไม่คิดว่าจะเป็นพี่น้องกัน แถมยังมารับงานด้วยกันให้กับว่าที่สามีในอนาคตของผมเสียอีก  โอ้ยยย เกลียดความกลมของโลกใบนี้!!



“ดอทเป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงเฮียมาเคาะเรียกหน้าห้องน้ำ  ผมอยู่ในนี้เกินสิบนาทีแล้วและคงต้องออกไปเสียที

“ท้องเสียนิดหน่อยครับ ตอนนี้โอเคแล้ว” ออกมาล้างไม้ล้างมือไม่กล้าเงยหน้าสบตาเฮียเลยตอนนี้

“มีไข้ไหม หน้าซีดๆ กลับก่อนก็ได้นะ” เฮียยื่นมือมาอังที่หน้าผาก

“ม..ไม่เป็นไรครับ ดอทดีขึ้นมากแล้ว” ผมยิ้มเจื่อน

“งั้นคุยๆ แล้วรีบกลับเนาะ เดี๋ยวเฮียไปส่งที่บ้าน”

“ครับ” ผมรับคำแล้วเราก็เดินออกมาจากห้องน้ำ

หลังจากนั้นผมพยายามควบคุมสติและทุกอย่างก็เสร็จในเวลาบ่ายสามครึ่ง

“เนมบอกจะแวะมา คุณดอทสะดวกรอไหมครับ” พี่เวย์ถามเมื่อพวกเราเก็บของเรียบร้อยเตรียมจะกลับ

“ค..คือ..” ผมอึกอัก

“ถ้าไม่ไหวก็กลับไปพักดีกว่านะ เฮียเป็นห่วง” เฮียเผ่าเอื้อมมือมาจับเนื้อจับตัวผมทั้งแก้มทั้งคอทั้งหน้าผากจนอดเหลือบมองสายตาสองคู่ที่นั่งฝั่งตรงข้ามไม่ได้

ชิ้ง~

ชิ้ง~

เสียงดังออกมาจากดวงตาทั้งสี่ดวง ฮืออ หรือผมคิดไปเองเป็นรอบที่ร้อย

“เอ่อ..” ผมยังลังเล อยากคุยกับเนมแต่ไม่อยากอยู่กับผู้ชายสองคนนี้  จะไปไหนก็ไปเลยไป๊

“แต่ถ้าไหวก็อยู่ได้ นานๆ จะเจอเพื่อน เฮียก็อยากให้ดอทคบเพื่อนคบฝูงบ้างเหมือนกัน ชอบเครียดอะไรอยู่คนเดียวมันไม่ดีหรอก”

แหะๆ

ถ้าเฮียรู้ว่าช่วงนี้ไปเที่ยวเล่นกับอีตาหมอประสาททุกวันแล้วเฮียจะฆ่าใครก่อนนะ ผมหรืออีตานั่นที่นั่งทำหน้าเหมือนคนท้องผูก

“ก็ได้ครับ” ผมตอบรับ

“งั้นดอทจะให้เฮียรอไหม” เฮียเผ่าถาม

“เฮียไปเตรียมตัวเดินทางดีกว่า เดี๋ยวดอทให้น้าเวชมารับก็ได้ครับ”

“งั้นถึงบ้านแล้วโทรมานะ” เฮียลูบหัวเบาๆ “ขอชื่นใจหน่อยเผื่อไม่เจอหลายวัน”

ตัวผมนิ่งค้าง ทำไมเฮียต้องมาหวานเอาตอนนี้ ต่อหน้าผู้ชายสองคนนี้!

แต่เพื่อเฮียที่เป็นคนรักตัวจริงซึ่งผมกำลังจะอยู่กินด้วย ผมต้องแคร์เฮียมากกว่าคนอื่นๆ สิถึงจะถูก

ผมเอียงแก้มซ้าย แล้วเฮียก็ยิ้มแล้วจุ๊บแก้มซ้าย แล้วผมก็ป่องแก้มขวานิดหน่อย

“มีแถมให้ด้วย” เฮียยิ้มล้อแล้วก้มลงมาจุ๊บแก้มขวาอีกที

เหมือนมีออร่าสีดำทะมึนก่อตัวอยู่ด้านตรงข้าม ผมพยายามไม่มองไปทานนั้นจะได้ไม่กดดันจนเกินไป

“ถ้างั้นผมขอตัวก่อนครับไว้เรานัดกันใหม่ มีอะไรโทรคุยกับดอทได้เลย” เฮียหันไปบอกพี่เวย์กับหมอวรรตแล้วยื่นมือไปจับกับทั้งสองคน

เมื่อจับมือลากันแล้ว เฮียก็ออกไป ทิ้งผมให้เผชิญหน้ากับสองพี่น้องตัว ว.

“น..เนม เนมจะมากี่โมงครับ” ถามปากคอสั่น ไม่รู้จะมองใครก่อนดี

“อีกประมาณครึ่งชั่วโมงเพราะต้องไปรับเรย์เรย์ก่อน” พี่เวย์ตอบเสียงเย็น

“กาแฟร้านนี้โคตรหวานเลยเนาะพี่เวย์เนาะ” เอาแล้วๆ นั่งปิดปากอยู่อย่างเดิมโลกก็สงบสุขดี พอเปิดเท่านั้นแหละ ก้นผมก็ร้อนเหมือนกำลังโดนไฟเผา “กินกาแฟแล้วมีกับแก้ม เอ้ย แกล้มซะด้วย น่าอิจฉา”

ผมพรูลมหายใจออกมาพยายามเก็บกลั้นอารมณ์เพราะน้ำเสียงของหมอประสาทที่ฟังจากภูกระดึงยังรู้ว่าประชด

“พูดน้อยๆ หน่อยเถอะนายน่ะ” พี่เวย์ช่วยเบรกไว้ให้ เย้ พี่เวย์คนดีที่หนึ่ง “คนที่นั่งคุยเสียงมันไม่ดังเท่าคนที่นอนคุยหรอก ฉันเคยมาแล้ว นั่งคุยอยู่ตั้งสามสี่ปี เขานอนคุยแป๊บเดียวคว้าได้ทั้งหัวทั้งหางกินกลางไปจนหมดตัว”

เจ็บ..

จุก..

แรงปะทะจากคำพูดของพี่เวย์รุนแรงจนตั้งตัวไม่ติด

ขอเอาคำชมคืนนะ ทำไมพี่เวย์กลายเป็นคนแบบนี้ไปได้!

ผมกัดฟันพยายามอดทน พี่เวย์เคยเป็นสุภาพบุรุษมากแต่กล้าพูดออกมาลักษณะนี้ได้คงเกลียดจนเข้ากระดูกดำไปแล้ว  แต่มันก็สมควรเพราะผมมันน่ารังเกียจ ความจริงที่เขาทำมันเบาไปด้วยซ้ำ ถ้าเขาจะด่าแรงกว่านี้เขาก็มีสิทธิ์

มีสิทธิ์ด่าตั้งแต่วันนั้นที่ผมไล่เขาด้วยซ้ำไป คนเลวๆ ก็สมควรที่จะถูกกระทำแล้ว สมควรแล้ว..

ได้แต่ก้มหน้ามองขอบโต๊ะกัดฟันข่มความเจ็บปวด

แต่แล้วผมก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ คำพูดของพี่เวย์แรงมาก โดยเฉพาะเป็นพี่เวย์พูดมันก็แรงขึ้นอีกเป็นเท่าทวีคูณ

“..ข..ขอไปห้องน้ำก่อนนะครับ” แล้วผมก็ลุกออกมาทันที


“พี่พูดแรงไปแล้วนะ”

“ก็เขาตั้งใจเย้ยฉัน อ้อนแฟนซะขนาดนั้นตั้งใจจะข่มกันชัดๆ”

“ก็ไม่เห็นต้องพูดแรงขนาดนั้นเลย เขาแคร์พี่เวย์กว่าใครทั้งหมดเห็นไหมน้ำตาไหลจนได้”

“เขาจะแคร์ฉันทำไม ไม่เคยแคร์หรอก แล้วนายอย่ามาพูดดี นายนั่นแหละเป็นคนเริ่มก่อน”




ผมนั่งร้องไห้อยู่ในห้องน้ำ ไม่อยากออกไปแล้ว ไม่อยากเจอพวกเขา ผมไม่กล้าไปสู้หน้าใครอีก  แม้แต่เนมก็ไม่อยากเจอแล้ว

“ดอท อยู่ในนี้หรือเปล่า” เสียงเนมเรียก “แกเป็นอะไรไหมเห็นสองหนุ่มเขาบอกมาเข้าห้องน้ำตั้งนานแล้วแต่ไม่ออกไปซะที” 

ผมไม่ออกไปได้ไหมนะ ไม่อยากเจอใครเลย..

“ออกมาเถอะแก ฉันคิดถึงแกนะ เราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกก็ได้ ออกมาคุยกันหน่อย” เนมเกลี้ยกล่อม

ผมตัดสินใจเปิดประตูออกมา ทั้งๆ ที่พยายามฮึบแล้ว เช็ดน้ำตาแห้งแล้ว และตั้งใจจะไม่ร้องอีก แต่พอเห็นเนมยืนอยู่หน้าประตู ผมก็ทนไม่ไหวโผเข้ากอดมันทันที

“ฮืออๆๆ”  ผมร้องไห้โฮออกมาแบบไม่อาย

“ฮึกๆ ฮึก ฮึกๆ” พอเริ่มร้องแล้วมันก็หยุดไม่ได้ ผมสะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น

“โธ่แก ฉันช่วยอะไรแกได้บ้างไหม” เนมลูบหลังปลอบ

ยิ่งได้เห็นสีหน้าเห็นอกเห็นใจจากเพื่อนเก่าก็ยิ่งสะเทือนใจ เหตุการณ์ในอดีตมันฉายชัดขึ้นเป็นภาพและสิ่งที่เก็บกลั้นอยู่ข้างในก็ได้เวลาระเบิดออกมา

“ฮึก..แกนั่นแหละ ฮึก..เพราะแกนั่นแหละเนม เพราะแกคนเดียว แกคนเดียว! ฮึกๆ ฮืออ” 

“เออๆ ด่ามา มีอะไรพูดออกมาให้หมด เลิกเป็นคนเก็บกดได้แล้ว” เนมยื่นทิชชูให้เช็ดน้ำตาน้ำมูกที่ไหลทะลักออกมาไม่ขาด

จะพูดได้เหรอเนม พูดได้เหรอว่าแคร์คำพูดของแฟนแกมากถึงขนาดบ่อน้ำตาแตก พูดได้เหรอว่าไปจูบกับผู้ชายคนอื่น ทั้งๆ ที่กำลังสร้างเรือนหอจะลงหลักปักฐานกับผู้ชายอีกคน  สิ่งที่ฉันคิดและทำมันแย่มันเลวร้ายเกินกว่าจะบอกใครได้

ที่พูดได้ก็แค่เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเรา

“ฮึก.. แกทิ้งฉันเพราะผู้ชาย แกเป็นต้นเหตุให้ฉันก้าวผิดทาง ฮึก เพราะแกคนเดียว เนมเพราะแกคนเดียว!” ทั้งๆ ที่กอดร่างของเนมไว้แน่นแต่ผมกลับกล่าวโทษเนมออกมาเต็มปากเต็มคำ

“เออ ยอมรับ” เนมกอดปลอบแล้วทุบหลังเบาๆ “ขอโทษเว้ย ขอโทษจริงๆ”

“ฮือๆๆ ฮืออออ” ได้ยินคำขอโทษก็ยิ่งปล่อยโฮออกมายกใหญ่  เนมก็คือเนมคนเดิม กล้าพูดในสิ่งที่อยากพูดได้เสมอ ไม่เหมือนผมที่ชอบอมพะนำ คิดอย่างแต่กลับทำอีกอย่าง ผมนี่มันโง่เง่าเกินไปจริงๆ

“ฉันอยากขอโทษมาตั้งนานแล้วนะดอท ฉันมันงี่เง่า จะว่าเลวก็ได้อะ แต่ตอนนั้นมีเรื่องให้เครียดหลายอย่าง ทั้งเรื่องย้ายบ้านกะทันหัน ต้องย้ายไปเรียนต่างประเทศ แถมยังไปประเทศที่ไม่เจริญ แบบย้ายไปไม่ดีอะ เงินก็จำกัดจำเขี่ย ชีวิตกำลังจะดิ่งลงเหวอะแกเข้าใจปะ แล้วยังมาเจอเรื่องพี่เวย์ก็เลยพาลมาลงที่แก”

“ฮือๆๆๆ” ผมเอาแต่ร้องไห้ ได้ฟังเรื่องของมันก็ยิ่งเสียใจ เพื่อนเดือดร้อนแต่ผมกลับไม่เคยรับรู้อะไรเลย

“ถ้าไม่หายโกรธแกจะตบฉันก็ได้เว้ยดอท รับรองไม่สู้แต่อยากให้แกรับคำขอโทษฉันหน่อย ฉันรู้สึกผิดกับแกจริงๆ ขอโทษ ขอโทษนะแก” เนมพูดเสียงสั่นเครือแต่ไม่มีน้ำตา 

เป็นปกติของเนมอยู่แล้วที่จะไม่ร้องไห้กับเรื่องอะไรง่ายๆ ซึ่งผมเองนับถือนิสัยของมันมากเพราะตัวผมเองไม่สามารถทำแบบที่มันทำได้เลย

“ขอ ฮึก กอด..ก็พอ ฮึกๆ” ผมได้แต่ซุกหน้าบนไหล่มันแล้วรวบกอดไว้แน่น

“ขอบใจเว้ย ฉันรักแกนะดอท” เนมกระชับกอดกลับมาเป็นอันรู้กันว่าเรื่องของเราสองคนเคลียร์ใจกันไปแล้ว

แต่ที่น้ำตายังไม่หยุดไหลเพราะเสียงแดกดันของพี่เวย์ยังคงก้องอยู่ในหู



ต่อ..


ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
“เป็นไงมั่ง” พี่เวย์ตามเข้ามาในห้องน้ำ ได้ยินเสียงแล้วยิ่งเจ็บจนต้องรวบกอดเนมแน่นขึ้น น้ำตาไหลก็ยิ่งไหลหนักขึ้นอีก

“กู่ไม่กลับเลยพี่เวย์ ร้องไห้หนักมากกกกก” เนมรายงานพลางลูบหลังปลุกปลอบ

“เดี๋ยวพี่คุยเอง เนมออกไปก่อน” พี่เวย์บอก

อย่าไปนะเนม อยู่กับฉัน อย่าไปนะ ผมกอดเนมแน่นขึ้นจนเนมร้องออกมา

“แกๆ ปล่อยก่อนฉันหายใจไม่ออก” มันพยายามลูบหลังเพื่อให้ผมผ่อนคลายขึ้นก่อนจะดันตัวผมออก “มีอะไรก็เคลียร์กัน แกต้องหัดพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาบ้าง อยากด่าก็ด่าเหมือนที่แกด่าฉันเมื่อกี้ไง อย่าไปคิดถึงคนอื่นให้มาก คิดถึงตัวเองเยอะๆ นะดอท”

ก็อยากทำแบบนั้นแต่มันทำไม่ได้ไง 

“ฮึก ไม่เอาไม่คุย ไม่อยาก ฮึก คุย ฮือๆๆ” ผมสะอื้นมองหน้าเนมแล้วส่ายหัวดิก

เนมไม่ฟังที่ผมบอกแต่มันแกะมือผมออกแล้วเดินออกไป “ฝากด้วยนะพี่เวย์” 

พอเนมออกไป ผมก็เดินตาม ก้มหน้าก้มตาไม่อยากมองหรอก เกลียดมากก็ไม่ต้องมายุ่งสิ

“ตามมา” ไม่อารัมภบทอะไรเลย จู่ๆ พี่เวย์ก็ดึงแขนผมให้ออกทางหลังร้าน 

ผมขืนตัวแต่เขาก็ลากไปไม่สนใจอะไรเลย ยิ่งเขามีเป้เอกสารแถมยังต้องลากผมอีกมันก็ทุลักทุเลจนคนหันมามอง “ไม่ ไม่ ฮึก ไม่ไป ฮึกๆ” ผมพยายามกลั้นสะอื้นให้ได้แต่มันก็ยากจริงๆ

พี่เวย์หันมามองหน้าดุๆ แววตาไม่เหมือนผู้ชายอบอุ่นที่ผมเคยรู้จัก น่ากลัวและมีอำนาจ  เขามองเขม็งจนผมไม่กล้าขัดขืน จากนั้นก็ดึงให้เดินตามอีกครั้ง

“ขึ้นรถ” เขาคร่อมมอเตอร์ไซค์แล้วเอาเป้ของตัวเองคล้องแฮนด์รถสองข้างไว้ก่อนจะยื่นหมวกกันน็อกให้

ผมส่ายหน้าแล้วยืนนิ่ง

“รถมอเตอร์ไซค์แบบนี้คุณก็เคยนั่งแล้วไม่ใช่เหรอ คันนี้ยังใหม่และแพงกว่าเดิมด้วยซ้ำ นี่จำไม่ได้หรือไม่มีค่าให้จดจำ” เขาต่อว่าอีกครั้งและทำให้น้ำตานองหน้าหนักขึ้นอีก 

ที่จริงคำพูดไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นแต่อาจด้วยความที่เป็นพี่เวย์จึงกระทบกระเทือนความรู้สึกได้อย่างสาหัส

ไม่อยากฟังคำเสียดสีจากพี่เวย์อีกแล้วจึงหันหลังเดินหนี แต่ยังไม่ได้ก้าวไปถึงไหนก็ถูกกระชากให้หันกลับไปแล้วอุ้มขึ้นไปนั่งพาดอยู่ด้านหน้าแล้วพี่เวย์ก็นั่งคร่อมอยู่ด้านหลัง เขาดันหมวกกันน๊อกใส่ลงมาบนหัวผมลวกๆ แล้วทำท่าจะออกรถผมจึงรีบวาดขาอีกข้างเพื่อคร่อมขี่บนเบาะดีๆ ไม่อย่างนั้นอาจจะตกรถเอาง่ายๆ

แล้วรถก็พุ่งออกไปด้วยความเร็ว

!!!??

บ้าบออะไรกันอีก! เหมือนนางกากีโดนคนนั้นลากไปคนนี้ลากมา

และนี่ก็ไม่ใช่ลากเฉยๆ แต่นั่งเด๋ออยู่ด้านหน้าถูกพี่เวย์เบียดเข้ามาจนแทบจะรวมร่างได้

“ก้มลงไป” เขาดันด้านหลังหมวกกันน็อกของผมลง และผมก็ทำตามอย่างว่าง่าย

ไม่ให้ว่าง่ายได้ยังไงก็ขี่ซะ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นี่มอเตอร์ไซค์นะ แล้วผมนั่งหน้า มันน่ากลัวแค่ไหนไม่มีใครรู้หรอกถ้าไม่มาลองเอง

ผมลุ้นทุกโค้งที่ผ่านมา หลับตาทุกครั้งที่แซงคันอื่น พ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกช้างด้วย!!!

อันตรายเกินไปแล้วนะ!!

แต่พี่เวย์ก็ขี่ได้คล่องมาก ดูเหมือนเป็นหนึ่งเดียวอย่างไรอย่างนั้น

จากหวาดเสียวเริ่มชินขึ้นมา..นิดหน่อย จากนั้นก็พยายามหลับตาไปตลอดทาง

ขี่มาได้ยี่สิบนาทีแล้ว พี่เวย์เลี้ยวเข้าปั๊มเพื่อเติมน้ำมัน

“คุณจะนั่งข้างหน้าเหมือนเดิมหรือจะย้ายไปนั่งข้างหลัง”

“ข้างหลัง” ผมตอบทันที ตอนนี้นั่งไหนก็ได้แต่ต้องไม่ใช่ที่เดิม บอกตามตรงว่าทั้งเจ็บไข่ทั้งเมื่อยหลังทั้งหวาดเสียว กลัวจนหายเสียใจ น้ำตาก็แห้งเหือดไปแล้วด้วยซ้ำ

พี่เวย์ขยับไปด้านหลังเพื่อให้ผมลง เขาจับข้อมือผมไว้ไม่ปล่อย คงกลัวว่าจะหนี 

หึ จ้างให้ก็ไม่หนีเพราะถ้าโดนจับได้อีกก็ต้องถูกจับไปนั่งข้างหน้าแบบนั้นอีกแน่ ให้ตายก็ไม่ยอมหรอก

ตอนนี้กำลังรอพนักงานมาเติมน้ำมัน ฝาถังอยู่ด้านหน้าเขาจึงนั่งคร่อมรอได้ แต่อยู่ๆ เสียงมือถือของพี่เวยก็ดัง เขาหยิบออกมาดูแล้วถอนหายใจ

“เอามือถือมา” แทนที่จะไปคุยโทรศัพท์ของตัวเองแต่กลับแบมือขอโทรศัพท์ผม

ตอนแรกก็จะไม่ให้แต่เห็นสายตาดุๆ ของเขาแล้วจำใจเปิดกระเป๋าคาดอกควักมือถือไปให้อย่างง่ายดาย 

นี่ผมโดนป้ายยาเสน่ห์หรือเปล่า ทำไมกับพี่เวย์แล้วกลายเป็นลูกเจี๊ยบที่ไร้ทางสู้แบบนี้

“คุณอยู่ตรงนี้ เติมน้ำมันเต็มถังแล้วจ่ายตังค์ให้ด้วย” เขายัดแบงค์ห้าร้อยใส่มือผมแล้วเดินห่างออกไปแต่สายตาไม่ยอมหลุดโฟกัสที่พุ่งตรงมาทางนี้

เวรกรรมอะไรของนายนะชนม์แดน เจอเคสยากตลอด นี่ถ้าเขียนนิยายต้องยาวหลายตอนแน่ๆ



“ฮัลโหลว่าไง”

“พี่หลอกให้ผมพาเรย์เรย์ไปซื้อขนมแล้วพี่แอบพาดอทออกไปเนี่ยนะ”

“ก็เขาร้องไห้”

“ร้องไห้ก็ปลอบในร้านสิ จะพาออกทำไม”

“ทีนายยังแอบเจอกับเขา ฉันบอกนายแล้วว่ารอให้เขาเลิกกับแฟนแล้วค่อยเข้าไปยุ่ง นายก็ไม่เคยเชื่อ”

“แล้วพี่ล่ะ ตอนนี้ไม่ยุ่งเหรอ พาดอทกลับบ้านเลยนะอย่าพาไปไหน”

“ฉันจะพาไปไหนก็เรื่องของฉัน นายดูแลเรย์เรย์ให้ดีเถอะ ลูกคิดถึงจะแย่อยู่แล้ว”

“พี่เวย์อย่าขี้โกงดิ”

“ฉันไม่ล่วงเกินเขาหรอก ไม่เคยทำ แล้วจะไม่ทำด้วย แค่นี้นะ”





พอคุยโทรศัพท์เสร็จร่างสูงจึงเดินกลับมา พูดกันตามตรงถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ท่าเดินพี่เวย์เท่มากๆ วันนี้ใส่กางเกงยีนส์ขาดเข่า แล้วช่วงขาที่ยาวแบบนั้นใส่ยีนส์แล้วเท่เป็นบ้า

“สามร้อยแปดสิบบาทครับ” หน้าก็หล่อ หล่อแบบมองทั้งวันก็ไม่เบื่อ “คุณครับ สามร้อยแปดสิบครับ”

“นี่คุณ พนักงานเขารอเงินอยู่นะ” พี่เวย์มายืนอยู่ใกล้ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมเลิ่กลั่กมองพี่เวย์แล้วหันไปมองพนักงาน

“ข..ขอโทษทีครับ” ยิ้มแหยๆ แล้วยื่นเงินให้

“เหม่อเป็นอาชีพหรือไง” เขาแซะแล้วขึ้นคร่อมรถทันที “คุณอยากจะกินอะไรหรือเปล่า”

หึ อารมณ์แบบนี้ใครมันจะไปห่วงกินอยู่ได้ล่ะ



“ซื้อเยอะขนาดนี้ลืมไปหรือเปล่าว่าไม่ใช่รถยนต์นะ” พี่เวย์ทำหน้าดุ

เออใช่ ทั้งของกินทั้งขนมและน้ำรวมแล้วก็ตั้งหกถุง จะเอาไปไว้ไหนดีล่ะ 

“เดี๋ยวผมถือเอง” ได้แต่เชิดหน้าใส่ไม่อยากให้มาว่าเอาอีก

ก็จะให้ทำยังไง  เขาจะพาไปไหนก็ไม่รู้ ถ้าที่ๆ จะไปมันไม่มีของกินก็แย่สิ ก็ผมต้องกินยาแล้วเป็นโรคกระเพาะด้วย ถ้ามันกำเริบขึ้นมาใครจะปวด ก็ผมนี่แหละที่ปวดอยู่คนเดียว บางทีปวดจนเป็นไข้ก็มี

“เดี๋ยวผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ผมยื่นถุงขนมเพื่อฝากให้เขาถือ

“รอก่อน จะไปด้วย” เขาเปิดเป้ของตัวเองแล้วยัดถุงใส่ได้แค่สามถุง อีกสามถุงก็ต้องแขวนไว้ที่แฮนด์รถ

ทำอย่างกับผมเป็นนักโทษอย่างนั้นแหละ นี่ถ้าไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เคลียร์กันและขอโทษขอโพยให้เป็นเรื่องเป็นราวก็คงจะวิ่งไปขอความช่วยเหลือพนักงานปั๊มแล้ว

ผ่านไปสักพัก ธุระทั้งหนักทั้งเบาจึงเสร็จสรรพ ก็ต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อนเพราะไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นยังไง 

“นาน” ออกมาจากห้องน้ำเจอพี่เวย์ทำหน้าเย็นชาแล้วพูดใส่หน้าแค่หนึ่งคำซึ่งไม่ได้กระแทกเสียงหรือดุตวาดใดๆ

แต่ไม่ว่าจะน้ำเสียงแบบไหน คำยาวหรือคำสั้น ทั้งหมดที่ออกจากปากพี่เวย์ ทำไมรู้สึกเจ็บปวดเสมือนถูกมือของเขาพุ่งเข้ามาบีบหัวใจอย่างรุนแรง

ผมมองร่างสูงด้วยแววตาตัดพ้อขั้นสุด

ก็คนจะถ่ายหนักมันห้ามกันได้เหรอ แค่นี้ก็ต้องประณามกันด้วยหรือไง

“อ้าว เบะทำไมเนี่ย ผมพูดแค่นี้เอง” เขาทำหน้าตกใจ

ไม่ได้เบะเสียหน่อยแค่พยายามกลั้นน้ำตาต่างหาก ก็เพราะรู้ไงว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็เลยต้องพยายามหยุดเอาไว้

ผมไม่ตอบแต่สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินสวนออกเพื่อกลับไปที่รถแต่สายตาพลันเหลือบไปเห็นรถออดี้สีดำที่ดูคุ้นตา 

!!!!!!

ผมหยุดกึกเพราะกลัวจะเป็นเฮียเผ่า ถ้าเขาเห็นว่ามากับพี่เวย์ต้องฆ่าเราตายทั้งคู่แน่

“มีอะไร” พี่เวย์ตามมาแล้วหยุดอยู่ด้านหลัง

“เหมือนรถเฮียเผ่า” ผมบอกโดยไม่ละสายตาออกจากรถคันนั้น

ตรงนี้เป็นมุมลับตาพอสมควร มองไปเห็นข้างนอกชัดเจนแต่ด้านนอกมองเข้ามาจะถูกพุ่มไม้บดบัง

ขนหัวลุกเกรียวเมื่อคนที่เดินออกมาจากรถคือเฮียเผ่า

ตายแน่ชนม์แดน..

!!!!!!!

แต่ขนทั้งตัวลุกพรึบขึ้นพร้อมกันเพราะมีอีกคนเดินลงจากรถวิ่งตามเฮียเผ่าตรงไปที่ประตูร้านมินิมาร์ท

ผู้หญิง..

ดวงตาที่รีเล็กอยู่แล้วหรี่ลงเพื่อโฟกัสภาพให้ชัดขึ้น บอกตัวเองว่าอาจจะตาฝาดไปเอง

แต่ทว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สีผิวเข้ม หุ่นล่ำหนา ชุดที่ใส่ ทรงผม และท่าเดิน

หัวใจผมเต้นถี่หนัก ดวงตาร้อนผ่าว และเหมือนแข้งขาอ่อนแรง

“เฮ้ย คุณ!” พี่เวย์รับตัวผมไว้เมื่อผมทรุดลงไปเพราะเข่าอ่อน

“เฮีย..” ผมเปล่งเสียงออกมาด้วยความรู้สึกที่ยากเกินบรรยาย

พี่เวย์ประคองไปนั่งหลบอยู่มุมหนึ่งเพื่อรอดู ไม่นานนักเฮียเผ่าก็เดินออกมาก่อนพร้อมถุงสองสามถุง  จากนั้นผู้หญิงที่มาด้วยก็วิ่งตามมาเกาะแขนเฮียแล้วเดินไปที่รถ

ยกมือขึ้นทาบอกข้างซ้ายเพราะมันบีบรัดจนอึดอัด

ดวงตาแสบร้อนและหยดน้ำเริ่มไหลลงมาแทบจะในทันที

นี่มันอะไรกัน..


รถเฮียเผ่าออกจากปั้มไปนานแล้ว แต่ผมยังนั่งอยู่ที่เดิมกับความเงียบ..

วันนี้มันวันโลกาวินาศอะไรกัน

“ขอโทรศัพท์หน่อยครับ” ผมปาดเช็ดน้ำตาแล้วดึงสติ สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด

พี่เวย์ที่นั่งอยู่ด้วยกัน มองผมอยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นโทรศัพท์ที่เขายึดไปมาให้ ผมจึงกดโทรออกทันที

“ว่าไงครับดอท”

“เฮียถึงไหนแล้วครับ” พยายามปรับเสียงให้ปกติ

“ออกมาได้นิดเดียวเอง ดอทถึงบ้านแล้วเหรอ” เขาถามเสียงปกติเช่นกัน

“ยังครับ แค่คิดถึงน่ะ” ผมปด

“อืมๆ”  ผมแสยะยิ้มออกมา ปกติถ้าผมบอกว่าคิดถึง เฮียจะตอบกลับทันทีว่าคิดถึงเหมือนกัน แต่นี่ตอบแค่..อืม

“เฮียบอกรักดอทหน่อยสิ”

“มีอะไรเหรอวันนี้ดูไม่ค่อยดีเลย ยังไงดอทกลับบ้านแล้วพักผ่อนซะถ้าเฮียกลับกรุงเทพแล้วจะโทรหานะครับ เป็นห่วงนะ เดี๋ยวเฮียขับรถก่อน บายครับ”  ตัดบทแล้ววางสายไปเลย

ผมปิดเปลือกตา ปล่อยโทรศัพท์ให้ร่วงลงบนโต๊ะแล้วฟุบหน้าตามลงไป

เฮียเผ่า..

สัญญาที่ให้ไว้ไม่มีความหมาย..

ทำไมเฮียทำแบบนี้ล่ะ ถ้าจะหยุดไม่ได้แล้วมาสัญญาทำไม

และที่ยิ่งร้ายคือมาทำเหมือนว่ารักนักรักหนาทำไม..

ผมปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา ไม่ได้สะอึกสะอื้นแต่ร้องไห้เงียบๆ ร้องจนคิดว่าน้ำคงใกล้จะหมดตัว

ปกติก็รู้อยู่แล้วว่าเฮียเจ้าชู้และมีคนอื่นตลอดแต่ผมทำใจยอมรับสภาพจึงไม่เจ็บอะไรมาก   แต่พอเฮียขอโอกาสและสัญญาหนักแน่น ผมจึงคิดว่าที่ผ่านมาอาจเป็นผมเองที่เล่นตัวทำให้เฮียไม่หยุดเสียที

แล้วดูวันนี้สิ เขาพาผู้หญิงคนอื่นไปเที่ยวต่างจังหวัด  ทิ้งผมให้อยู่กับฝันลมๆ แล้งๆ ที่เขาเอามาล่อ

ผมนี่มันอ่อนหัดจริงๆ

“พาผมไปที พาไปที่ไหนก็ได้ พาผมไปหน่อย” ผมเงยหน้ามองพี่เวย์ทั้งน้ำตา ไม่สนใจจะเช็ดมันออก ไม่แคร์ว่าหน้าจะเละแค่ไหน ทรงผมจะเป็นยังไง อยากไปไกลๆ อยากนอนร้องไห้ให้สะใจกับความโง่

พี่เวย์ไม่พูดอะไร เขาพยุงให้ลุกขึ้นแล้วเดินนำออกไปก่อน  ผมเดินตามไปเหมือนซากศพที่ไร้วิญญาณ  ใส่หมวกกันน็อก ขึ้นรถ นั่งไป นั่งไปเรื่อยๆ ยืดตัวขึ้นให้ลมตีหน้า เย็นดีนะแต่เย็นไม่พอให้ใจหายร้อนหรอก

ร้อนแบบนี้อยากนอนแช่น้ำจัง..


เหมือนพี่เวย์จะรู้ใจ เขาขี่รถมาไกลมากเกือบสองชั่วโมงจนก้นชา และพาผมเข้าไปยังน้ำตกแห่งหนึ่ง ไม่ทันได้มองว่าชื่ออะไร รู้แต่ว่าคนแทบไม่มีและเดินเข้าไปลึกมากกว่าจะเห็นน้ำตก ผมเห็นพี่เวย์สะพายเป้ที่มีถุงขนมสามถุงขึ้นหลังส่วนของที่เหลือก็ทิ้งไว้ที่รถ ส่วนผมก็ติดไปแค่กระเป๋าคาดอกประจำตัวเท่านั้น

“ผมลงน้ำได้ไหม” ยืนมองน้ำที่ร่วงหล่นเป็นสายจากชั้นหิน ละอองฟองขาวสะอาดตาน่าเอาตัวไปรองรับให้มันตกลงมาใส่หัวเผื่อจะได้ล้างความโง่ออกไปบ้าง

“คุณไม่ได้เอาชุดมาเปลี่ยนนะ” 

“ไม่เป็นไร ผมเป็นผู้ชาย” พูดแค่นั้นผมก็ถอดกระเป๋าใบเก่งออกจากตัว ถอดเสื้อเชิ้ตสีเทาพับแขนออก เหลือแต่เสื้อกล้ามสีขาวเข้ารูป ถอดกางเกงขาสั้นแค่เข่าออกเหลือแค่ชั้นในแบบ Boxer briefs ยี่ห้อหรูสีม่วงขอบขาว  ดึงผ้าก๊อซที่แปะแผลต้นขาออกแล้วโยนไว้แถวๆ นั้นอย่างไร้จิตวิญญาณ

“น..นี่คุณ..” เหมือนพี่เวย์อยากจะห้ามแต่ผมโดดลงน้ำเสียแล้ว

เย็นจัง..

ผมเดินลุยน้ำตรงไปยังน้ำตก มุดเข้าไปใต้นั้นให้น้ำตกลงมาชโลมร่างกาย เหมือนเครื่องนวดเลยนะ สบายกว่าสปาอีก ผมนั่งอยู่อย่างนั้นเพราะมันเพลินดี  นั่งหลับตาไม่ได้คิดอะไรแค่นั่งฟังเสียงมวลน้ำที่หล่นลงจากที่สูงกระทบชั้นหินกลบเสียงรอบด้านได้ดี

ทว่าไม่ได้ทำให้เสียงร่ำร้องภายในหัวใจเงียบงันลงได้เลย

วันนี้บอบช้ำจนแทบจะแตกสลาย

คำว่าเจ็บเจียนตายเกิดขึ้นกับผมครั้งแรกตอนโดนป๋าตบ และครั้งนี้ที่ถูกเฮียทรยศหักหลัง

ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเจ็บปวดเพราะเฮียได้ถึงขนาดนี้

ที่เคยคิดว่าไม่ได้รักเฮียเผ่ามากสักเท่าไหร่คงเป็นแค่ความเขลาของผมเอง

“คุณ คุณขึ้นได้แล้ว ผมกลัวน้ำป่าจะมา” พี่เวย์เดินอ้อมมายืนบนโขดหินที่ใกล้ที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้

“ขออีกแป๊บ” ผมเงยหน้ามองแล้วตะโกนบอกทั้งๆ ที่ได้ยินไม่ชัดทุกคำด้วยซ้ำแต่เดาเอาว่าคงมาตามให้ขึ้นจากน้ำ

ตอนนี้พี่เวย์คงไม่รู้หรอกว่าผมร้องไห้เพราะถูกสายน้ำตกลงมาทำลายหลักฐานหมดแล้ว เพราะฉะนั้นถึงร้องหนักแค่ไหนก็ไม่มีใครรู้

“ถ้างั้นผมจะไปเก็บของให้ เดี๋ยวคุณขึ้นตามผมไปเร็วๆ นะ” เขาตะโกนกลับมาซึ่งผมก็ทำเป็นพยักหน้าส่งๆ ไปอย่างนั้น

ไม่ขึ้นหรอก ยังไม่อยากขึ้นจากตรงนี้  ที่ๆ เหมือนได้ซ่อนตัว ซ่อนน้ำตา ซ่อนอารมณ์ให้เสียงน้ำตกฝังกลบให้มลายหายไป

“..คุ..ณ ! ขึ้ น มา เร็  ว!” เหมือนได้ยินเสียงแว่วๆ แต่เสียงน้ำดังขึ้นมากกว่าเดิมเสียจนผมจับใจความไม่ได้ “คุ..ณ น้ำ..ป่า!!!!”

เอ๊ะ ทำไมสีของน้ำมันแดงแบบนี้ล่ะ

แต่กว่าจะรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร น้ำจากด้านบนก็โถมลงมาห่าใหญ่มากจนตัวผมจมดิ่งไปตามแรงดูดของน้ำ

“เฮือก!! อึก!! อึก..!!” ผมกลืนน้ำเข้าปากไปหลายอึกแต่เมื่อมีจังหวะผลุบขึ้นมาผิวน้ำจึงพยายามตะเกียกตะกายว่ายกลับฝั่งแต่สุดความสามารถจริงๆ

อย่าว่าแต่ว่ายแค่จะโผล่หัวให้พ้นขึ้นมาจากน้ำยังทำได้ยากเพราะแรงของมวลน้ำมันมหาศาลจนตอนนี้ทัศนะวิสัยติดลบ เพิ่งจะรู้จักความน่ากลัวของคำว่า ‘น้ำป่า’ ก็วันนี้เอง


ร่างกายถูกพัดไปตามกระแสน้ำไม่สามารถบังคับทิศทางอะไรได้เลย ท่อนซุงขนาดใหญ่พุ่งเฉียดร่างผมไปด้วยความแรง นี่ถ้ามันกระทบตัวแม้เพียงนิดก็คงจมหายจบชีวิตลงไปแล้ว ได้แต่ปล่อยให้ตัวเองหมุนวนไปเรื่อยอย่างไม่มีรูปแบบ

คงจบเท่านี้สินะ..

ชีวิตที่กำลังจะเริ่มเป็นของตัวเองก็คงได้แค่เพียงเท่านี้

แต่ก็ดีเหมือนกัน บางทีอาจจะดีกว่ากลับไปสู่โลกแห่งความจริงที่บัดซบก็ได้

บอบช้ำจนถึงขนาดนี้ ถ้าเป็นโรคภัยก็คงระยะสุดท้าย

ถึงคราวต้องนับถอยหลังแล้วสินะ..


.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ด่าพี่เวย์เบาๆ นิดนึงนะคะ พี่เวย์เป็นเหนือเมนของนายน้อย เป็นมากกว่ารัก  ฮือออ

ปล.เนมเป็นเพื่อนที่จริงใจมาก ชอบก็บอกชอบ ไม่ชอบคือชัดเจน เรื่องที่ทะเลาะกันในอดีต ถ้าเนมไม่ย้ายไปต่างประเทศก็คงจะดีกับดอทในอีกไม่กี่วันหลังจากนั้น 

บางทีเรื่องที่เกิดกับดอท อาจจะเป็นเพราะฟ้าลิขิต และดอทเองก็ยินยอมถูกลิขิตโดยที่ไม่ลองต่อสุู้ด้วยสติ

ชีวิตจริงก็เช่นกัน.. คนเรา จะยอมให้โชคชะตาพาไปลงเหวไม่ได้ หากรู้ว่าก้าวลงต้องเจอเหว เราต้องก้าวขึ้นสิถึงจะรอด
แต่ก็นั่นแหละ อารมณ์ ณ ขณะนั้น มันก็ยากที่จะฝืนทำตัวเข้มแข็ง หลายคนจึงตกเป็นเหยื่อของโชคชะตาที่ให้ช้อยส์มาแค่เพียง มีสติ และ ไม่มีสติ แค่นั้นเอง


ช่วงตอบคำถามทางบ้าน..

TachibanaRain : เรนนนนนน ห้ามขาด ห้ามลา ห้ามสายอีกนะ หายไปนานใจไม่ดีเรยยย ฮือออออ

songte : สวีทดอทกินกับอะไรก็อร่อยเนาะ ช่วยลุ้นช่วยเชียร์ต่อไปด้วยน้าาา ลุ้นๆ สรุปแล้วหวยจะออกที่ใคร คริๆ

กาแฟมั้ยฮะจ้าว : ขอบคุณที่แวะมาฮับ มาบ่อยๆ น้าาา

Janemera : เฮียเผ่าออกลายแล้วอ่าาา แบบนี้ #ทีมชายชู้ ว่าไงดี

Grey Twilight : นานๆ มาทีแต่ยาวสะใจมากกกก ขอบคุณนะคะ   ขออธิบายที่ดอทเริ่มคล้อยตามจูบของหมอวรรตในช่วงหลังนิดนึง ส่วนหลักเป็นเพราะอาการผิดปกติของดอทเองแต่เจ้าตัวก็ขัดขืนจนเหนื่อยแล้ว พอโดนซ้ำอีก ซ้ำอีก ก็ต้านไม่ไหว ซึ่งมีส่วนเสริมขึ้นมาอีกอย่างคือความสนิทใจกับหมอวรรตในแบบที่ไม่เคยได้ให้ใจกับใครแบบนี้มาก่อนก็เลยออกมาเป็นอย่างที่เห็นค่ะ


ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
แงงงงพี่ดอทของน้องงงงน่าสงสารจริงๆเลย อิเฮียเผ่านี่กะแล้วเชียวว่าต้องไม่เลิกเจ้าชู้แน่ๆ ขอกระโดดถีบแทนพี่ดอทหน่อยเถอะ  :z6: :z6: :z6: ส่วนพี่เวย์นี่ก็รู้ว่าเจ็บนะคะแต่มานั่งพูดจาส่อเสียดแซะเขานี่ก็ไม่ค่อยจะแมนสักเท่าไหร่นะจ๊ะพี่จ๋า กับหมอวรรตก็เหมือนจะรู้เห็นเป็นใจกันเหลือเกินนะตกลงทั้งะี่ทั้งน้องคือชอบพี่ดอทเหรอ แต่เรย์เรย์ที่พี่เวย์บอกว่าลูกล่ะ ลูกใคร? ลูกหมอวรรต? แต่ไม่ว่าจะยังไงตัดเฮียเผ่าออกไปแล้วเริ่มความสัมพันธ์แบบ 3P เวย์ดอทวรรตก็ได้นะคะนายน้อย หุหุ  :hao3:

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คนเจ้าชู้มันไว้ใจไม่ได้!! :angry2: :m31: แล้วน้องดอทจะรอดมั้ยยยฮือออออออออยากมุดเข้าไปช่วยแล้วกอดน้องไว้แน่นๆๆๆ :hao5: :hao5: :hao5: #ทีมชายชู้อยู่ในช่วงพิจารณาพฤติกรรม...>.......>...........

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
มันจะเลยคำว่าฟ้าลิขิต กลายเป็นวิบากกรรมแทนแล้วนะ (555) โซซัดโซเซเหลือเกิน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
จะอิรุงตุงนังอะไรเยอะแยะ ปวดหัวกับดอทเหลือเกิน
จริงๆก็ไม่คิดว่าคนเขียนจะให้เฮียเป็นะระเอกอยู่แล้ว แต่ดูจากความจริงจังความเปย์ของเฮีย  แล้วมาเปิดว่าพาสาวมากกนี่มันไม่ใช่อ่ะ แต่ทางเดียวที่ดอทจะทิ้งเฮียได้ก็ทางนี้ละมั้ง
ส่วนพี่เวย์กีบหมอวรรตนี่ไม่รุ้จะพูดยังไง จู่ๆะน้องมาชอบคนเดียวกันมันใช่มั้ยอ่ะ

ออฟไลน์ Justccwpo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มสนุกม่กๆๆเดาไม่ออกเลยว่าดอทจะคู่ใครแต่เชียพี่เวย์ละกันท

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
ขอลงเรือบาป 3p พี่น้องตระกูลวอ นายน้อยเราเริ่มพายเรือแล้วนะ   :katai2-1:  ว่าแต่เรื่องเฮียตอนนี้  :beat:  :beat: อุตส่าห์นึกดีใจว่าเฮียจะกลับใจได้

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ต อ น ที่  13  :  ภ า ว ะ ตื่ น ต า


อึก!

พี่เวย์..

อึก อ่อก อึ่ก!

อึก!

เฮือก!!!

ดวงตาเบิกโพลงขึ้นทันทีเมื่อทนความทรมานต่อไปไม่ไหว  ผมหอบหายใจถี่หนัก เหงื่อชื้นไปหมดทั้งตัว พยายามลืมตามองจึงได้รู้ว่าตอนนี้นอนอยู่บนพื้นที่ปูด้วยใบไม้แห้งมากมาย

“โอยย” ถึงกับต้องกุมศีรษะไว้เพราะปวดจนแทบจะระเบิด

ความเจ็บปวดแล่นริ้วไปทั่วสรรพางค์กาย แต่ที่ทรมานจนแทบทนไม่ไหวคือตรงโพรงจมูกและกะโหลกศีรษะ พยายามยันกายขึ้นแล้วหันมองไปโดยรอบ สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาทำให้อยากจะผุดลุกขึ้นในทันที

“อย่าเพิ่งขยับ หัวคุณแตกและเขียวช้ำไปทั้งตัว” เสียงของคนหนึ่งลอยมา ซึ่งผมยังไม่รู้ว่าเป็นใคร ตอนนี้ประสาทสัมผัสยังทำงานไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์

แต่พอเขามาคุกเข่าอยู่ด้านข้างก็ได้รู้ว่าเป็น “พี่..เวย์!” 

“คุณหัวแตกแต่แผลไม่ใหญ่หรอก ผมราดน้ำสะอาดแล้วห้ามเลือดแต่ไม่ได้ฆ่าเชื้อไม่รู้จะอักเสบติดเชื้อหรือเปล่า” ดูหน้าเขาเป็นกังวล

“ข..ขอบคุณ” ผมพูดห้วนๆ ก็อุตส่าห์เรียกพี่เวย์แล้วแท้ๆ แต่เขากลับพูดคุณพูดผมอยู่ได้ คนอะไรไม่รู้แค้นฝังหุ่นไม่รู้จักการให้อภัย

“ดีว่าของในกระเป๋าคุณมีพวกยาแก้ปวดกับยาแก้อักเสบไม่งั้นแย่แน่ ลุกไหวไหมจะได้กินยา” เขายื่นมือมาจะประคองแต่ด้วยทิฐิผมก็ยักแย่ยักยันลุกขึ้นเอง

รับยามากรอกเข้าปากตามด้วยน้ำขวดใหญ่ที่ซื้อจากปั๊ม

ขนของทันด้วยเหรอ?

แต่เรื่องอื่นขอเบรกไว้ก่อนเพราะตอนนี้นอกจากปวดระบมไปทั้งตัวยังรู้สึกเย็นวาบๆ ตรงช่วงล่าง

“เสื้อผ้าผมอยู่ไหน!?”  ผมดึงเสื้อเชิ้ตที่ห่มไว้เมื่อครู่มาคลุมช่วงขาเปลือยเปล่าเอาไว้  เคราะห์ดีที่ช่วงบนมีเสื้อกล้ามติดตัวไว้ก่อนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องหดขาขึ้นมาแล้วหนีบไว้เพราะมีเพียงชั้นในตัวเดิมที่ใส่เล่นน้ำซึ่งมันรัดรูปและเห็นส่วนเว้าส่วนนูนไปถึงไหนต่อไหน  ไม่รู้ว่าใส่แค่นี้ลงน้ำได้ยังไงตอนนั้นสติมีไม่พอจะอายอะไรเลย

“ก็ของมันเปียกหมดทุกอย่าง มีแต่ที่คุณใส่อยู่ที่ผมเอามาย่างให้ก็เลยพอใช้ใส่กันหนาวไปก่อนได้” เขาว่าแล้วชี้ไปที่กองไฟ ส่วนรอบๆ นั้นมีข้าวของตากเรียงราย วางบ้างแขวนบ้างอยู่เต็มไปหมด

ฉากภายนอกฉาบไว้ด้วยความมืดมิด เสียงหริ่งเรไรดังแว่วแล้วเงียบไปก่อนจะสดับฟังได้ชัดอีกครั้งเป็นเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง

“แล้วทำไมของคุณมีใส่” ผมชี้ไปที่ตัวของเขาซึ่งมีบ็อกเซอร์สีดำกับเสื้อกล้ามเท่ๆ สีดำห่อหุ้มร่างกาย

“ก็เหมือนที่คุณใส่อยู่นั่นแหละ ของผมมีแค่สองชิ้น น้อยกว่าคุณด้วยซ้ำ” เขาอธิบายซึ่งผมก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ย่างกางเกงตัวนอกให้ด้วย

“กางเกงคุณมันหนา ย่างไม่ไหว” เหมือนเขาจะรู้ว่าผมบ่นอยู่ในใจ “ยีนส์ของผมก็เหมือนกันแต่พรุ่งนี้คงแห้ง” 

แต่เดี๋ยวนะ..

“ตะกี้คุณบอกว่าต้องย่างถึงจะแห้ง!?”

“ใช่”

“...ละ แล้ว..ตัวนี้คุณทำยังไง” ผมจิ้มลงบนสะโพกของตัวเอง มองเขาอย่างเหลือกลาน

“ก็ถอดออกมาย่าง” เขาพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

ถอดออกมาย่าง!!?

“ล..แล้วคุณ..เห็น” ผมทำหน้าเหวอพยายามคิดคำที่จะถามเพื่อไม่ให้ได้อาย

“สถานการณ์แบบนั้นผมไม่มีแก่ใจมาคิดแอบดูของคุณหรอก ช่วยคุณก็ต้องช่วย ของก็ต้องแบก ไฟก็ต้องก่อ เสื้อผ้าคุณก็ต้องเอาออกให้เร็วเพราะกลัวปอดจะบวม แถมยังต้องทำแผลแล้วก็ย่างเสื้อผ้าให้อีก  กว่าจะออกมาเป็นอย่างที่เห็น ผมนี่เหมือนคนบ้าไม่มีผิด”

ที่จริงก็สมควรแล้วนี่ อยากลักพาตัวผมมาดีนัก

“อ..อืม” ก็คงต้องยอมให้เพราะอันที่จริงผมมีส่วนผิดอยู่มากที่ไม่ยอมขึ้นจากน้ำ “ล..แล้วคุณก่อไฟยังไง ใช้หินมาต่อยกันเหรอ” หันไปรอบๆ มองหาต้นกำเนิดของกองไฟ หรืออาจจะเหลาไม้แล้วปั่นๆ เอาเหมือนในหนัง

“ดูหนังเยอะไปนะ” เขาว่าแทงใจดำจนต้องมุ่ยหน้า คำพูดพี่เวย์แรงทุกช็อตสะเทือนใจทุกคำ

อันที่จริงถ้าเปลี่ยนเป็นหมอวรรตพูดประโยคเดียวกัน มันจะกลายเป็นขำๆ เสียมากกว่า หรือถ้าไม่ขำผมก็คงจะแว้ดกลับไป แต่พอเป็นพี่เวย์พูด ก็ได้แต่ก้มหน้าซ่อนความเจ็บปวด

“ใช้ไฟแช็คนี่” เขาชูไฟแช็คให้ดูจึงเงยหน้าขึ้น “แต่กว่าจะใช้ได้ก็รอตั้งนานเพราะมันเปียกน้ำ”

อ้าว มีไฟแช็คก็ไม่บอก นึกว่าเก่งจนสร้างสะเก็ดไฟได้

“แล้วเอาของติดมาด้วยเยอะแยะได้ยังไง ผมจำได้แค่ว่าคุณอยู่บนฝั่ง แล้วยังไงต่อ” ผมถามต่อและขยับตัวเขาหากองไฟใกล้ขึ้นเพราะเริ่มหนาว

จะว่าไปบรรยากาศก็น่ากลัวมากทีเดียว ถึงโซนนี้จะอยู่ใต้ชะง่อนผาที่มีซอกให้หลบลึกเข้ามาประมาณ 3-4 เมตรแต่มันไม่ใช่ลักษณะของถ้ำ ถ้าหากมีสัตวป่าหรืออะไรย่องเข้ามาทางด้านข้างก็คงมองไม่เห็น  แถมด้านนอกก็มืดตื๋อแบบนั้นยิ่งไม่น่าไว้วางใจ ผีในป่าน่าจะเฮี้ยนกว่าผีในเมืองแน่ๆ 

เทวดา เจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าที่เจ้าทางที่ปกปักษ์รักษาที่แห่งนี้ ขอได้โปรดช่วยปกป้องเราสองคนให้พ้นจากอันตรายทั้งหลาย อย่าให้ผีสางที่ไหนมาหลอกมาหลอนและได้โปรดอภัยให้พวกเราถ้าหากเผลอทำผิดอะไรไปนะครับ สาธุ..

“ทำปากขมุบขมิบอะไรของคุณ” พี่เวย์พยายามเพ่งมองเพราะแสงจากกองไฟนั้นค่อนข้างวูบวาบ ลมด้านนอกพัดเขามาเป็นระรอกจนบางครั้งถึงกับขนลุกเลยทีเดียว

“เปล่า” ผมมองเคืองใส่เพราะเขามาขัดจังหวะการส่งกระแสจิตถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากท่านไม่ได้รับสาส์นแล้วเกิดอันตรายอะไรขึ้น ผมจะโทษเขาจริงๆ

“.....” พี่เวย์ยังคงมองแบบไม่ไว้ใจ เหมือนเขาจะคอยเช็คว่าอาการผมแปลกไปหรือเปล่า อาจจะเห็นว่าหัวกระแทกแล้วสมองจะกระทบกระเทือนละมั้ง

“ผมปกติดี เล่าเรื่องหลังจากที่โดนน้ำป่าให้ฟังเถอะ”

“อืม ก็ตอนไปตามคุณให้ขึ้นจากน้ำตก ผมคิดไว้อยู่แล้วว่าอาจจะมีน้ำป่าเพราะเสียงน้ำมันดังผิดปกติกว่าทุกทีแล้วที่นี่ก็มีประวัติน้ำป่าหลายครั้ง แต่วันนี้ไม่มีเค้าเมฆฝนหรือสัญญาณเตือนอะไรก็เลยไม่นึกว่าจะมาเร็วขนาดนั้น” เขาอธิบาย

ผมแค่พยักหน้ารับรู้ มองเห็นความกังวลปะปนกับความรู้สึกผิดที่ฉายออกมาจากแววตาคู่สวยของพี่เวย์ เขาคงนึกโทษตัวเองอยู่ไม่น้อยที่เป็นต้นเหตุให้เราต้องมาประสบชะตากรรมเช่นนี้

“พอไปตามแล้วคุณไม่ขึ้นผมเลยรีบยัดรองเท้าเสื้อผ้าของคุณลงเป้แล้วแบกขึ้นหลัง กำลังเอากระเป๋าคุณคาดไว้ที่ตัวเตรียมพาคุณเผ่นกลับรถให้เร็วที่สุด แต่พอจะเดินไปเรียกให้ขึ้น เสียงมวลน้ำมหาศาลก็ดังกลบเสียงผมไปหมดและพริบตาเดียวมันก็ไหลบ่า  รู้ตัวอีกทีคุณก็โดนน้ำซัดดำผุดดำว่ายแล้วหายไป  ผมเองก็ถูกน้ำพัดไปเหมือนกันแต่โชคดีที่อยู่ริมฝั่งน้ำไม่แรงมากแต่ด้วยสัมภาระมันหนักก็เลยควบคุมร่างกายได้ยาก  ผ่านไปสักพักเป้ไปเกี่ยวติดอยู่กับกิ่งไม้ใหญ่ทำให้พอได้มีเวลาพักหายใจหายคอ  ลองมองหาและพยายามตะโกนเรียกคุณ ไม่นานก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาผมเลยขยับตัวออกจากกิ่งไม้แล้วพุ่งตัวไปหาพาคุณขึ้นฝั่งจนได้”

เขาบรรยายเหมือนภาพในละคร ผมฟังแล้วก็ยังไม่อยากเชื่อ แต่ที่รอดอยู่ตอนนี้ก็คงต้องให้เครดิตว่าพี่เวย์ได้ช่วยชีวิตผมเอาไว้

“ที่จริงก็โชคช่วยไว้เยอะ” พี่เวย์พูดต่อ “ผมถูกพัดมาไกลกว่าเพราะคุณอยู่ตรงโซนที่น้ำมันวน ถ้าคุณลอยนำไปก่อนผมก็คงช่วยไม่ทัน แล้วเคราะห์ดีมากที่ผมรวบตัวคุณไว้ได้ก่อนที่จะหมดแรง ซึ่งก็ทำได้แค่นั้นเพราะพาว่ายกลับเข้าฝั่งไม่ไหว บุญยังดีที่น้ำพัดเราสองคนไปติดอยู่กับต้นไม้ที่มันเอนพาดลงมาคล้ายเป็นสะพาน ผมก็เลยพาคุณค่อยๆ เกาะมันไต่ขึ้นฝั่ง”

ถึงจะเป็นโชคช่วยแต่แค่นี้ก็เก่งแล้ว

“ขอบคุณนะ แต่ที่จริงไม่น่าช่วยผมขึ้นมาหรอก” พอปลอดภัยแล้วเรื่องเศร้าก็เข้ามาในหัว

คนเรานี่แปลกนะ ตอนยังมีชีวิตอยู่ก็คิดสารพัดเรื่อง แต่ตอนใกล้ตายแม้แต่เรียกให้คนช่วยยังพูดแทบไม่ออก ในตอนนั้นมีแค่น้ำ น้ำ และน้ำ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาไม่ทันสักรูป บุพการีก็ไม่มีแว้บเข้ามาแม้แต่คนเดียว มีแค่ความหวาดกลัว ในหัวมีแต่ว่าจบแล้ว คงจบแค่นี้แล้ว

ความจำเลือนรางเริ่มประติดปะต่อขึ้นมาเป็นภาพ ผมเริ่มจำได้ว่าหลังจากยอมแพ้แล้วเริ่มนับถอยหลังให้กับชีวิต อะไรเกิดขึ้นบ้าง

“คุณ!!”

ผมได้ยินเสียงพี่เวย์!!

เสียงพี่เวย์ได้ปลุกความอยากมีชีวิตของผมขึ้นมาอีกครั้ง อย่างน้อยก่อนจะดับสูญ ผมอยากคืนดีกับเขา อยากให้เขากลับมาเป็นพี่เวย์คนดีคนเดิม  ถึงแม้ไม่ได้เป็นอะไรกันแต่ผมก็ยังอยากให้เขาเอ็นดูผมเหมือนในอดีต

“อึก! พ..พี่ อึก เฮือก!! พี่เวย์!!!!”  เป็นเสียงสุดท้ายที่รวบรวมพลังทั้งหมดตะโกนออกมาเพราะหลังจากนั้นร่างก็ถูกดูดกลืนให้ลอยขึ้นและผลุบลงอยู่แบบนี้อีกนับครั้งไม่ถ้วน

และก่อนที่สติจะเลือนหาย ผมก็ได้เห็นใบหน้าของคนที่ผมฝันถึงบ่อยๆ “..พี่เวย์”


 “ไม่มีใครในโลกนี้ที่สมควรตายหรอก” พี่เวย์พูดขึ้นคงเห็นว่าผมนิ่งไป “นอนซะอย่าคิดฟุ้งซ่าน พรุ่งนี้ค่อยมาดูแผลอีกที เพราะแผลที่ขาก็เหมือนจะบวมนิดๆ”

สรุปคือได้แผลเต็มตัวไปหมด นี่ยังไม่รวมแผลที่หัวใจ แถมยังรอดตายจากน้ำป่าไหลหลากได้อีก คงต้องเรียกว่าเดนตายสินะ

ผมพยายามข่มตานอนแต่กว่าจะหลับได้ก็คงเป็นช่วงที่ยาออกฤทธิ์ นอนๆ ไปก็รู้สึกหนาวเหน็บ กระสับกระส่ายอยู่นานจนรู้สึกอุ่นขึ้น จากนั้นก็หลับต่อได้จนถึงเช้า




เสียงนกไพรร้องดังปลุกให้ลืมตาตื่น..

แต่ที่จริงไม่ใช่หรอก เพราะผมได้กลิ่นอาหารต่างหาก 

“ลุกไหวหรือเปล่าจะได้ไปล้างหน้าล้างตาก่อนแล้วค่อยมากิน” พี่เวย์กำลังจัดการกับมาม่าคัพที่ดูไม่น่าไว้วางใจ เขาหันมาจ้องรอเอาคำตอบ

ให้ตายเถอะ ขนาดว่าติดป่าแบบนี้พี่เวย์ยังดูดีจนอดอิจฉาไม่ได้   ผมรีบลูบเส้นผมที่ชี้โด่เด่ ปาดๆ เช็ดๆ ใบหน้าเพราะเดาได้เลยว่าใบหน้าตอนตื่นนอนของตัวเองมันดูไม่จืดแค่ไหน

“ลุกไม่ไหว ขอนั่งกินเอาแรงแล้วค่อยไป” ร่างกายปวดร้าวระบมไปทั่วทั้งตัว “ว่าแต่..คุณต้มน้ำยังไง” มันน่าสงสัยเพราะไม่เห็นอุปกรณ์หุงต้มแม้แต่อย่างเดียว

พี่เวย์หันมามองประมาณว่า นึกแล้วว่าต้องถาม “ไม่ได้ต้ม ใช้น้ำดื่มธรรมดาใส่”

“อ้าว ไม่ต้มแล้วจะชงมาม่าสุกเหรอ” ผมพยายามชะโงกดู

“เดี๋ยวมันก็อืดน้ำนุ่มขึ้นแต่คงไม่อร่อยหรอกเพราะคงจะเย็นชืด” ว่าแล้วก็ตักเส้นที่ดูกระด้างในคัพของตัวเองเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ

“ถ้ากินแบบนั้นก็กินแบบดิบๆ ไม่ดีกว่าเหรอ”

“ก็แล้วแต่” เขาตอบสั้นๆ แล้วหยิบมาม่าคัพที่ยังไม่ได้แกะมาวางไว้ตรงหน้าให้

เย็นชา..

“เอาขนมปังมาดีกว่า” ผมชี้ไปที่ถุงสเบียงเพราะรู้ว่ามีอะไรบ้างซื้อเองกับมือ 

พี่เวย์ยักไหล่แล้วยื่นให้ทั้งถุง  “ดีนะที่มีน้ำมาสองขวดใหญ่ ไม่งั้นเราแย่แน่เพราะแถวนี้ไม่มีผลไม้อะไรให้เก็บกินเลย”

รู้สึกเหมือนได้ทำสิ่งที่มีคุณค่าต่อมนุษยชาติ ผมยืดตัวแล้วพูดอย่างภูมิใจ

“น่าจะขอโทษผมนะที่เมื่อวานคุณว่าผมซื้อเยอะ” ว่าแล้วก็ทำหน้าเชิดขึ้นแต่ถูกเขามองเหมือนกับว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นไร้สาระเต็มที

“ถ้าผมไม่แบกมาด้วย ถ้าผมสละมันตอนที่เราจะจมแหล่ไม่จมแหล่ ถ้าผมไม่เอาออกมาผึ่งให้แห้ง ถึงคุณจะซื้อมาทั้งร้านพวกเราก็ไม่ได้กินหรอก”

คนเย็นชา ชอบทวงบุญคุณ ไม่มีจิตวิทยาในการคบหาเพื่อนมนุษย์!

“ใจร้าย..” พึมพำเบาๆ ไม่กล้าให้เขาได้ยินพลางฉีกซองขนมปัง

อร่อยแฮะ ปกติรสชาติก็กลางๆ แต่พอมากินในสถานการณ์แบบนี้แล้วอร่อยจัง

“วันนี้ผมจะเดินสำรวจตามลำธารขึ้นไป ถึงน้ำจะยังไม่ลดมากแต่ถ้าเดินเลียบขึ้นไปเรื่อยๆ ก็คงถึงตรงที่เดิมได้”

“แล้วผมล่ะ ไม่เอานะผมไม่อยากอยู่คนเดียว”

“ก็คุณยังไม่ไหว แล้วถ้าจะรอให้คุณไหว อาหารและน้ำของเราก็จะหมดเสียก่อน”

ผมนี่มันตัวภาระจริงๆ เขาพูดมาขนาดนี้ก็คงต้องปล่อยให้เขาไป ได้แต่ทำหน้าจ๋อยแล้วพูดอ้อมแอ้มอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว

“ก็ถ้าคุณไปแล้วไม่กลับมา ผมจะทำยังไง”

เขาเงียบไปสักพัก ผมไม่รู้ว่าเขาทำหน้ายังไงเพราะตอนนี้นั่งจ๋องกอดเข่าเจ่าจุกก้มดูพื้นแล้วเขี่ยดินเล่น

“งั้นผมจะรอคุณหนึ่งวัน ถ้าพรุ่งนี้แล้วยังไม่ดีขึ้นผมจะไปคนเดียว” เขาบอกเสียงเรียบ

“จริงนะ” ผมเงยหน้าขึ้นทันที  รอยยิ้มคลี่ออกในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ได้แค่เพราะพี่เวย์ตามใจ

ร่างสูงหลบตาหันหลังให้แล้วกินมาม่าต่อโดยไม่สนใจผมอีก

ชิ ถึงไม่ใจร้ายแต่ก็ยังเย็นชาอยู่ดี..




เมื่อกินอาหารเช้าเสร็จ ผมจึงลากสังขารออกไปจากที่พักแล้วทำธุรส่วนตัว รู้สึกแย่ที่ไม่มีห้องน้ำแต่อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่  เมื่อเสร็จธุระจึงกลับมากินยากินน้ำ  เห็นยาแล้วนึกถึงเจ้าของ ป่านนี้คงวีนใส่ไลน์เป็นร้อยข้อความแล้วเพราะคงคิดว่าผมไม่ตอบ ไม่รู้ว่าป่านนี้จะรู้หรือยังว่าผมถูกพี่ชายเขาลักพาตัวมา บางทีอาจจะโทรมาแล้วก็ได้

“โทรศัพท์ผมล่ะ”

เขาไม่ตอบแต่บุ้ยปากไปบนหินที่มีชิ้นส่วนของโทรศัพท์กระจัดกระจายเต็มไปหมด

“ต้องรอให้มันแห้งสนิทแล้วลองเปิดดู แต่ผมว่าไม่น่าจะมีสัญญาณ แค่แอบหวังว่าทีมค้นหาอาจใช้ดาวเทียมหาตำแหน่งได้”

“ผมขอโทษนะ” ผมบอกเสียงอ่อย “เพราะผมคุณถึงต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้” ที่จริงเขาไม่น่าจะมาช่วยผมเลยจริงๆ ชีวิตของผมในตอนนี้ก็ไม่มีอะไรให้ห่วงแล้ว ทุกคนในครอบครัวก็มีความสุขดี อยู่กันได้โดยไม่ต้องมีผม ส่วนตัวผมเองเมื่อหมดความหวังจากเฮียเผ่าแล้วก็ไม่รู้จะอยู่ไปเพื่อใครเหมือนกัน

เขามองผมนิ่ง มองเหมือนกับว่าผมพูดอะไรที่มันไม่มีประโยชน์

“ถ้ารู้สึกผิดก็ฟื้นตัวให้ได้เร็วๆ พรุ่งนี้จะได้หาทางกลับบ้านกัน” 

ก็ยังเย็นชาอยู่ดี พี่เวย์คนเดิมของน้องหายไปไหนนะ..


แต่แล้วเขาก็หันมามองและเข้ามาใกล้ ในตอนแรกที่เห็นอย่างนั้น หัวใจก็เต้นตึกตัก นึกว่า..

“ขอดูแผลหน่อย”

โธ่ ก็นึกว่า..

ไม่สิ ไม่ได้นึก ไม่ได้นึกอะไรซะหน่อย รู้อยู่แล้วละว่าเขาจะมาดูแผล!

ผมยื่นขาออกไปแต่พอเห็นสภาพช่วงล่างของตัวเองก็หดขากลับแล้วชันเข่าขึ้นเพื่อปิดบังกางเกงชั้นใน

“ผมไม่ได้สนใจอะไรตรงนั้นหรอกน่า เหยียดขาออกมา” เขาบอกอย่างหงุดหงิด

“เอากางเกงมาก่อนดีกว่า ใส่แบบนี้แล้วมันเย็นๆ” ผมบอก

“ก็ยังไม่แห้งหรอก ของผมก็ยังไม่แห้ง ถ้าเอามาใส่จะเพิ่มความเสี่ยงที่จะไม่ได้ไปกับผมพรุ่งนี้ คุณเลือกเอา” เขาทำหน้าติดจะดุๆ

ผมคิดตามแล้วยอมแพ้กับเหตุผลจึงค่อยๆ เหยียดขาข้างขวาออกไปให้เขาดูแค่ข้างเดียว 

มือหนาแตะพลิกซ้ายขวา ก่อนจะกดไปรอบๆ

ตึกๆๆๆๆๆ

แค่นี้หัวใจก็เต้นแรงแล้วเหรอ ไม่ได้กระตุกเหมือนที่เป็นกับหมอประสาท นอกจากจะวูบวาบและสะท้านแต่หัวใจยังเต้นแรงมากๆ เหมือนไปวิ่งมาราธอนมาสิบกิโล

“ไม่น่าจะอักเสบแล้วนะเพราะกินยาคุมไว้แต่เดิม แต่ก็ต้องระวังอย่าให้แผลเปียกเพราะเราไม่มีอุปกรณ์ล้างแผล” ร่างสูงมองด้วยสายตานิ่งๆ ดูเหมือนจะไม่รู้สึกอะไรกับอาการแปลกๆ ของผม  “ไหนดูที่หัวหน่อย” เขาพูดต่อแล้วเงยหน้าขึ้นเกลี่ยเปิดเส้นผมที่ปรกหน้าขึ้นเพราะแผลอยู่บริเวณหน้าผากด้านซ้าย 

ยิ่งเขาขยับหน้าเข้ามาใกล้ หัวใจผมก็ยิ่งเต้นรัว ไม่มีเรี่ยวแรงพอจะโต้ตอบอะไรแม้แต่น้อย

“รู้สึกเวียนหัวหรืออยากอาเจียนอะไรไหม” เขาถามต่อ  ผมได้แต่ส่ายหน้า ไม่กล้ามองเขา “เมื่อวานผมใช้แค่น้ำสะอาดล้างแผลให้ หวังว่ามันจะไม่ติดเชื้อเพราะแผลเล็กมากแต่ก็ไว้ใจอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ออกจากป่านี่เร็วๆ คุณกับผมแย่แน่”

ก็รู้แล้วจะย้ำทำไมนักหนา รู้แล้วว่าเป็นตัวภาระ รู้แล้วว่าต้องรีบหาย รู้แล้วว่าแย่แน่ๆ ถ้าไม่รีบออกไป รู้หมดทุกอย่างแต่มันเร่งอะไรได้ไหมล่ะ!

เสียงเกรี้ยวกราดที่อยู่ในใจกู่ก้องจนอยากจะพูดใส่หน้าไปตรงๆ

“ผมขอโทษ” แต่ก็พูดได้แค่นี้ ทำอะไรไม่เคยได้เลย เป็นตัวภาระของทุกคน ผมมันคนไร้ประโยชน์

“เอะอะก็ขอโทษ” เสียงเขาอ่อนลงจนผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง แววตาเขาเหมือนจะอ่อนแสงลงไม่แข็งกระด้างเหมือนก่อนหน้านี้  “อย่าใช้มันพร่ำเพรื่อนักเพราะความผิดบางอย่างถึงจะขอโทษเป็นหมื่นครั้งก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร”

เจ็บ..

ใช่สินะ คำขอโทษของผมก็แค่ลมปากที่พ่นออกมาจากคนนิสัยแย่ๆ  เขาคงเกลียดผมมาก มากจนไม่สามารถมองผมในด้านดีได้อีกแล้ว

“ที่ผมขอโทษเพราะผมรู้สึกผิด ไม่ได้ขอโทษเพื่อหวังการให้อภัย ถ้าพูดออกไปแล้วคุณไม่พอใจก็ต้องขอโทษอยู่ดี แต่ผมจะไม่หยุดพูดมันเพียงแค่เพราะคุณไม่ชอบฟังหรอก เพราะคนอย่างผมมีปัญญาทำได้แค่นี้แหละ” พูดจบก็ก้มหน้าลงเพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล ผมจะไม่ร้องไห้ ไม่ร้องหรอก

“มีสิ” พี่เวย์ถอนหายใจเบาๆ “ยังมีสิ่งที่คุณทำได้นอกจากคำขอโทษ” ผมเงยหน้าขึ้นเห็นเขามองผมเหมือนจะใจอ่อนแต่แล้วแค่เพียงกระพริบตา แววตานั้นก็กลับแข็งกร้าวขึ้นอีก “นอนไง นอนเยอะๆ แล้วอย่าไปคิดอะไรให้มาก ตื่นขึ้นมาแล้วกินข้าวกินยา แล้วก็นอนๆๆ พรุ่งนี้จะได้หายซะที”  พูดจบก็เดินออกไปจากบริเวณที่พัก

เผลอคิดไปว่าคงจะดีกันได้แล้วแท้ๆ แต่ในความจริงนั้นไม่ได้ใกล้เคียงเลยสักนิด



รู้สึกเหนื่อย..  เหนื่อยที่ต้องต่อสู้กับความคิดของตัวเอง ไม่เคยคิดอะไรถูก สิ่งที่ผมคิดมันผิดไปหมด และสิ่งที่ผมเลือกก็ไม่เคยถูกเลยเช่นกัน

ผมนอนลงอีกครั้งเพราะคงไม่มีอะไรดีกว่านี้ เนื้อตัวฟกช้ำ ปวดเมื่อย หัวแตก ยังดีที่แผลเก่าไม่ได้แย่ลงไปกว่าเดิม  ทั้งหมดนี้ทำให้ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอจนหลับไปและตื่นขึ้นมาอีกครั้งช่วงบ่าย


ต่อ..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-09-2018 10:51:10 โดย fiction no.9 »

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9


พี่เวย์ไปไหนนะ..

เดินออกไปตั้งแต่ช่วงสายๆ ยังไม่กลับมาอีกเหรอ

เอ๊ะ.. หรือเขาจะไปหาทางกลับบ้านคนเดียว โธ่ ไหนรับปากแล้วว่าจะรอ  แล้วถ้าเขาไม่กลับมาผมจะทำยังไงล่ะ

เมื่อคิดได้แบบนั้นจึงค่อยๆ พยุงร่างขึ้นและเดินไปหยิบกางเกงมาใส่ เฮ้อ ได้ใส่กางเกงเสียทีค่อยรู้สึกสบายใจหน่อย  ผมสวมรองเท้าหนังกลับสีน้ำตาลคู่โปรดแล้วเดินดูรอบๆ

“ลองเดินหาแถวนี้ดูอาจจะเจอก็ได้นะ” คิดแล้วก็ค่อยๆ เดินไปช้าๆ แถวนี้เป็นป่าที่ค่อนข้างโปร่งและต้นไม้ต้นไม่ใหญ่มากนัก คงจะไม่ใช่ป่าลึกอะไร อีกอย่างไม่ได้รกและมีทางเดินที่ค่อนข้างโล่งไม่น่าจะมีสัตว์ร้ายตัวโตๆ โผล่มาหรอก แต่ถ้าพวกงูตะขาบอะไรแบบนี้ก็น่าจะมีอยู่นะ

พูดถึงสัตว์ร้าย ไม่ใช่ว่าพี่เวย์ไปเจอสัตว์อะไรเข้าแล้วกำลังลำบากอยู่กลางทางหรอกนะ

คิดแบบนี้แล้วเริ่มกังวลหนักขึ้น ผมลองเดินหาทว่าไม่กล้าไปไกลเพราะจะคอยมองกลับไปให้เห็นต้นไม้ใหญ่บนชะง่อนผาบนที่พักของเราไว้ ถ้ามันใกล้จะลับตาผมก็เดินกลับเข้ามาในรัศมีเพื่อความปลอดภัย

แต่แล้วพลันเหลือบเห็นร่างหนึ่งที่คุ้นตานอนคว่ำแน่นิ่งอยู่ เขาสวมกางเกงยีนส์สีซีดตัวเดิมแต่ตอนนี้มันขมุกขมัวเปื้อนเปรอะไปด้วยเศษกิ่งไม้ใบไม้และฝุ่นผง 

พี่เวย์!!!

ผมวิ่งไปหาเขาทันที  ลืมไปหมดสิ้นถึงอาการเจ็บปวดระบมทั่วร่างกาย คิดอย่างเดียวคือต้องไปให้ถึงตัวเขาอย่างรวดเร็วที่สุด อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะพี่เวย์!

“พี่เวย์ ทำใจดีดีไว้ครับ พี่เวย์” เมื่อชาร์ตเข้าถึงร่างสูงได้ ผมก็พยายามพลิกตัวเขาขึ้นมาแต่ก็ทำไม่ได้ง่ายๆ เหมือนแขนเขาจะติดอยู่ใต้ขอนไม้ใหญ่ที่มีโพรงอะไรบางอย่างอยู่ด้านล่าง

“โอ๊ะ!” เขาร้องครางเหมือนพยายามดึงแขนออกมาแต่ดึงไม่ได้ ได้ยินแล้วใจคอไม่ดีเลย ผมกลัวเขาตาย อย่าตายนะพี่เวย์!

“ให้น้องช่วยนะ พี่เวย์ทำใจดีดีนะ” ผมพร่ำบอกตลอดเวลาเพราะกลัวเขาจะทนพิษบาดแผลไม่ไหว

“ค..คุณ” เขายังคว่ำตัวอยู่แต่พยายามเรียกผม  “คุณ..เดี๋ยว..”

“แข็งใจหน่อยนะครับ เดี๋ยวน้องจะช่วยพี่เวย์เอง” ผมรวบกอดลำตัวของเขาไว้อย่างแน่นหนาแล้วออกแรงดึงเพื่อให้แขนหลุดออกมาด้วยแรงทั้งหมดที่มี

พี่เวย์อย่าเป็นอะไรนะ อย่าตายนะพี่เวย์!

“น..น้อง..ฟังก่อน” เมื่อเห็นว่าผมไม่มีสติพอจะฟังอะไร อยู่ๆ เขาก็เปลี่ยนสรรพนามไปเสียเฉยๆ

ผมนิ่งค้างชะงักกึก มือที่รวบกอดร่างหนาคลายออกทันที

น้ำเสียงและคำที่เรียกผมเมื่อครู่นี้..

“ยังไม่ต้องช่วยอะไร แค่อยู่นิ่งๆ” เขาบอกและผมก็ไม่กล้าขัด อีกอย่างก็ยังช็อคกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่นี้จึงได้แต่นั่งกระพริบตาปริบๆ หัวใจเต้นแรงอย่างไม่มีสติ  “โอ๊ะ! อ่ะ อึ๊บ..” เขายังนอนคว่ำอยู่แต่หัวไหล่ขยับยึกยักพลางร้องอะไรในลำคออยู่ตลอดเวลา

ตัวอะไรกินมือเขาอยู่หรือไง แล้วทำไมไม่ให้ผมช่วยล่ะ

“ฮึบ! ได้แล้ว!” เขาร้องออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ ดึงแขนออกมาอย่างง่ายดาย

อ้าว ไม่ได้แขนติดจนดึงไม่ออกหรอกเหรอ 

“กระต่าย!?” ผมร้องออกมาเมื่อเห็นสัตว์ขนปุยตัวโตส่ายขาดุ๊กดิ๊กเพื่อหวังเอาตัวรอดจากมือหนาที่จับขยุ้มหลังคอมันอยู่

“กระต่าย” พี่เวย์ทวนคำ “อาหารเย็น” เขาบอกเสียงเรียบ

“ล..แล้วเมื่อกี้ ไม่ได้โดนกินมือเหรอครับ” คำถามโง่ๆ ถูกส่งออกไป รู้สึกหน้าแตกแบบละเอียดยิบไม่มีเหลือชิ้นดี

“แค่ไล่กระต่ายแล้วมันหนีเข้าโพรงก็เลยรีบล้วงมือตะปบหลังมัน แต่ขอนไม้นี่ขวางไว้ก็เลยดึงตัวมันไม่ถนัด ตะกี้คุณมาดึงตัวผมจนมันเกือบหลุดมือไป แล้วถ้ามันหลุดไปได้ตอนนั้นแหละที่ผมจะโดนมันกินมือ” เขาทำสีหน้าเรียบเฉยแถมยังตำหนิผมซะอีก 

ก็ใครจะไปรู้เห็นนอนคว่ำแน่นิ่งขนาดนั้นเป็นใครก็ต้องคิดว่าใกล้ตายทั้งนั้นแหละ

หน้าผมจ๋อยลงแต่ก็เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเพราะคำที่เขาใช้พูดกับผม ทำไมไม่เรียกว่าน้องเหมือนเมื่อกี้นี้ล่ะ หรือผมแค่หูฝาดไปเอง 

“งั้นขอโทษก็แล้วกัน” ผมบอกอย่างเสียไม่ได้แล้วลากสังขารกลับที่พักคนเดียว

คนอุตส่าห์เป็นห่วงแต่กลับโดนต่อว่า แล้วคุณๆ ผมๆ นั่นคืออะไร เมื่อไหร่จะเลิกเรียกแบบนี้เสียที มันอึดอัดไม่รู้หรือไง




เดินกลับด้วยความเร็วที่น้อยนิดเพราะตอนนี้เริ่มกลับมารู้สึกตัวแล้วว่าสังขารบอบช้ำขนาดไหน ทว่าขายาวๆ ของพี่เวย์กลับก้าวฉับๆ แซงไปโดยไม่หันมาดูดำดูดีผมแม้แต่น้อย แต่พอใกล้จะถึงที่พักกลับเดินแยกไปอีกทาง

“นี่คุณ จะไปไหนอะ” ผมตะโกนถาม

“เอาเจ้านี่ไปเชือดใกล้ๆ ลำธารจะได้ล้างให้สะอาดก่อนเอามาย่าง” เขาหันกลับมาตอบ

!!!!!

“ไม่ได้นะ!” ผมร้องห้ามแล้ววิ่งกระย่องกระแย่งเข้าไปหา

“ทำไม?”

“ก็มันน่าสงสาร ดูสิดิ้นใหญ่เลย ปล่อยมันไปเถอะ”  พยายามยื้อแย่งเจ้ากระต่ายน่าสงสารออกจากมือหนาแต่เขาก็ขยับหนี

“สงสารมันแต่เราจะอดตายถ้าอาหารที่เหลือน้อยนิดหมดก่อนที่จะมีคนมาช่วย” เขาบอกพร้อมกับใบหน้าที่เหนื่อยหน่าย

ผมก็เข้าใจในเหตุผลแต่ยังไงก็สงสารอยู่ดีนั่นแหละ พยายามคิดหาวิธีช่วยยืดชีวิตมัน และแล้วก็คิดออกจึงรีบบอกเขา

“เอาแบบนี้ เราขังมันไว้ก่อน แล้วถ้าอาหารหมดเมื่อไหร่คุณจะทำยังไงก็แล้วแต่คุณ นะคุณนะ อาหารของเราก็ยังพอมี อย่าเพิ่งกินมันเลย” ผมส่งสายตาอ้อนวอนไปให้ ทำหน้าให้น่าสงสารที่สุดเท่าที่จะทำได้

เขามองอยู่ครู่จึงถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย

“ถ้ามันหนีไปได้ผมจะกินคุณ” เขาว่าใส่หน้าแล้วเดินอาดๆ กลับที่พักทันที

คนใจร้าย..


พี่เวย์ยัดเจ้ากระต่ายใส่กระเป๋าเป้ของตัวเองแล้วรูดชิปปิดทั้งสองฝั่งแต่ให้เหลือช่องว่างไว้เล็กน้อย ไม่ลืมที่จะใช้เชือกมัดระหว่างห่วงซิบทั้งสองฝั่งเพื่อไม่ให้มันมุดตัวออกมา ผมเห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้ อย่างน้อยพี่เวย์ก็ไม่ได้ดื้อรั้นจนเกินไปนัก

ผมรีบเข้าไปส่องดูเจ้ากระต่ายที่ตอนนี้มันโผล่จมูกออกมาขยับฟุดฟิดตรงช่องซิปดูน่ารักน่าชัง

“ขอบคุณนะ”

“ถ้าออกจากป่าได้คุณเอากระเป๋าไปซักให้ด้วยนะเพราะมันขี้ใส่กระเป๋าผมแน่” เขาว่าแล้วเดินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก

ผมยิ้มตามร่างสูงโดยไม่รู้สาเหตุ เมื่อก่อนพี่เวย์ใจดีและอ่อนโยน ถึงจะหล่อแต่ผมก็ได้เห็นแค่ไม่กี่โมเมนต์ของเขา ทว่าตอนนี้ได้เห็นแบบดาร์กๆ บ้างก็แปลกตาดีเหมือนกัน

ดูมีเสน่ห์..


ว่าแต่.. ตามเขาไปดีกว่าเพราะถ้าไปนานเดี๋ยวจะทำให้ผมห่วงอีก พอคิดได้แบบนั้นจึงเดินสะกดรอยตามไปห่างๆ ดูเหมือนเขาจะไม่รู้ตัว และเดินไปเรื่อยๆ จนถึงลำธาร  ผมแอบอยู่หลังต้นไม้ขนาดสามคนโอบ ตรงด้านหลังมีหลุมโคลนบ่อใหญ่คงเพราะน้ำเพิ่งลดลงจึงเหลือทิ้งไว้แค่โคลนเละๆ

สีของน้ำในลำธารไม่ขุ่นแล้วและลดระดับลงจนเห็นตลิ่ง  หวนนึกถึงวันก่อนแล้วหลอนขึ้นมาทันที น้ำป่าน่ากลัวมากเพราะเราไม่รู้หรอกว่ามันจะถล่มทลายลงมาเมื่อไหร่

กำลังคิดอะไรเพลินๆ รู้ตัวอีกทีร่ายกายก็แข็งค้างเพราะภาพเบื้องหน้าคือพี่เวย์ยืนบนโขดหินใหญ่ ถอดเสื้อยืดตัวนอกออกตามด้วยเสื้อกล้ามตัวใน โยนมันทิ้งไว้ข้างเท้า  ตอนนี้น้ำลายถูกลืนลงคอเมื่อกางเกงยีนส์ตัวสวยของร่างสูงถูกปลดลงแล้วก้าวออกไปข้างหน้าทิ้งให้มันกองเป็นเลขแปดอยู่แบบนั้น

ตายแล้ว!

ผมยกมือขึ้นปิดตาแต่อดไม่ได้ที่จะแยกนิ้วออกเล็กน้อยเพื่อดูภาพต่อเนื่อง  นิ้วแกร่งเกี่ยวบ็อกเซอร์สีดำลงพร้อมกับกางเกงชั้นในสีดำ

เฮือก!

ทำตัวไม่ถูก.. เพราะตอนนี้เขายืนเด่นบนโขดหินด้วยร่างกายเปลือยเปล่า แผ่นหลังกว้างเชื่อมต่อกับช่วงเอวที่เว้าคอดสมส่วน โดยเฉพาะบั้นท้ายที่เห็นชัดเจนว่ามีกล้ามเนื้อแน่นขนัดไล่ลงไปถึงต้นขาและปลีน่องที่ดูแข็งแรงเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ

เอื้อก!

ผมกลืนน้ำลายหลายอึกจนเริ่มรู้สึกว่าได้กลายเป็นคนโรคจิตที่ชอบถ้ำมองผู้ชายไปแล้ว  แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าภาพตรงหน้านั้นสวยงามราวกับภาพวาด

เขาหยิบกางเกงชั้นในสีดำโยนลงน้ำแล้วกระโดดตามลงไปจนน้ำแตกกระจาย  เห็นเขาขยี้ซักอยู่สักพักก็บิดแล้วเดินขึ้นมาด้านบนอีกครั้ง

เฮือก!!

เอื้อก!!

คราวนี้หันหน้ามา ก็ต้องเห็นด้านหน้าสิ!

ผมรีบปิดตาแบบมิดชิด ไม่ได้แง้มช่องไว้แอบดูอีกเพราะด้านหน้ามันน่าหวาดเสียวเกินไปที่จะแอบดู

ไม่ได้ยินเสียงกระโดดลงน้ำ โดดลงไปสิจะได้เปิดตา

แต่แล้วก็ยังไม่เห็นได้ยินอะไรจนคิดว่าเขาอาจจะเดินลงไปเงียบๆ ก็ได้ 

“อ๊ะ!!?” เมื่อลืมตาก็ต้องผงะและก้าวถอยหลังจนเหยียบลงไปในหลุมโคลนทำให้เสียหลักเพราะร่างสูงมายืนประจันอยู่ตรงหน้า

“ระวัง!” เขาร้องเตือนก่อนจะรวบตัวไว้แล้วดึงขึ้นจากบ่อโคลนเฉอะแฉะ

ตึกๆๆๆๆๆๆ

ตึกๆๆๆๆๆๆๆๆ

หัวใจจะวายเพราะตอนนี้ร่างกายแนบอยู่กับอกเปลือยเปล่า และแน่นอนว่าด้านล่างก็ต้องเปลือยด้วย

ฮืออออ ทำไงดีๆๆๆ ผมอยู่แบบนี้ไม่ได้นะ ผมจะเป็นลม!


“ค..คุณ ป..ปล่อย..ผ  ม” บอกออกไปด้วยเสียงที่ขาดหายไม่เป็นคำ

เขาปล่อยมือทันทีแต่ในขณะที่ร่างกายเราสองคนกำลังจะแยกออกจากกัน ผมก็นึกขึ้นได้ว่าช่วงล่างของเขาเปลือยอยู่จึงรวบกอดเขาไว้อีกครั้ง

“มะ..ไม่ อย่าปล่อย!” ผมร้องห้าม

“อะไรของคุณ เดี๋ยวให้ปล่อยเดี๋ยวไม่ให้ปล่อย” พี่เวย์ถามพลางยกแขนสองข้างขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้กอดผมไว้แล้ว

“ก..ก็ ก็คุณโป๊อยู่” ผมกลั้นใจตอบออกไป พยายามสู้รบกับเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นระรัวแถมยังสั่นสะท้านจนแทบยืนไม่อยู่

“ก็โป๊” เขายอมรับ

“ก็ใช่ไง คุณโป๊อยู่แล้วถ้าเรายืนห่างกันผมก็ต้องเห็นอะไรๆ ของคุณน่ะสิ” ผมตอบและยังไม่ปล่อยตัวเขาแถมยังกอดแน่นขึ้นทุกครั้งที่เขาพยายามจะขยับ

“เมื่อกี้ที่คุณแอบดูทำไมไม่อาย ก็น่าจะเห็นหมดแล้วไม่ใช่เหรอ” ถามออกมาได้ไม่เห็นแก่หน้าร้อนผ่าวของผมแม้แต่น้อย จิตใจทำด้วยอะไรกัน

“ผมไม่ได้แอบดูนะ แล้วก็ไม่ได้เห็นหมดด้วยแค่เห็นก้นมากสุด” ผมโพล่งออกไปแล้วนึกขึ้นได้จึงรีบปล่อยมือมาตะครุบปิดปากตัวเองไว้

เงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาเห็นรอยยิ้มในสีหน้าคล้ายกำลังล้อเลียนอยู่จึงผลักเขาออก แต่เมื่อเขาถอยหลังไปก็ได้เห็น

“ก็ใส่กางเกงในอยู่นี่” ผมชี้

“ก็ใช่ไง” ร่างสูงตอบด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่ดูกวนอวัยวะเบื้องต่ำอยู่ในที

“แล้วทำไมถึงไม่บอก ปล่อยให้ผมกอดอยู่ได้”

“ก็คุณไม่ได้ถาม อยู่ๆ ก็คิดเองเออเอง ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดหรือแค่อยากแต๊ะอั๋งผมกันแน่”

บอกตามตรงว่าทำหน้าไม่ถูก ไม่เคยรู้ว่าพี่เวย์เป็นคนกวนโมโหได้อย่างน่าตี ไม่เคยเห็นว่าเวลาเขาทำหน้ายียวนแบบเก๊กๆ แล้วมันทั้งหล่อและน่าหมั่นไส้ที่สุดในโลก

“บ้าที่สุดเลย ใครจะไปอยากแต๊ะอั๋งคุณ” ผมเดินหนีแต่รองเท้าที่เลอะโคลนก็ไม่เป็นใจ มันหลุดออกจากเท้าหน้าตาเฉย

“ไปล้างเท้าก่อนป่ะ” เขาบอก

ผมมองค้อนเบาๆ แล้วก้มหยิบรองเท้าที่เลอะโคลนก่อนจะเดินกระเผกไปอย่างยากลำบากเพราะพื้นมีแต่กิ่งไม้แห้งและหนาม

“อ๊ะ!!” เผลอร้องด้วยความตกใจเพราะจู่ๆ ตัวก็ลอยขึ้น

“กว่าคุณจะเดินไปถึงเราคงได้นอนแถวนี้แน่” พี่เวย์บอกด้วยเสียงขุ่นๆ  คงคิดว่าผมทำตัวเป็นภาระอีกแล้วสินะ

ผมสงบปากสงบคำ ไม่ใช่เพราะนอยด์แต่เป็นเพราะ..

ตึกๆๆๆๆๆๆๆๆ

หัวใจบ้า! เต้นรัวอยู่ได้ เวลาใกล้พี่เวย์แล้วทำไมชอบเต้นอึกทึกออกนอกหน้าแบบนี้นะ หน้าไม่อายเลยจริงๆ


แต่ละก้าวของพี่เวย์ช่างมั่นคงและเชื่องช้า หรือว่าเขาอยากอยู่กับผมนานๆ

“หนักเกินไปนะคุณน่ะ”

โธ่เอ้ย ที่เดินช้าเพราะผมหนักอย่างนั้นเหรอ หึ้ย คนบ้า


ร่างสูงวางผมลงตรงก้อนหินเล็กที่หยั่งเท้าลงไปก็ถึงธารน้ำ  เขาหยิบรองเท้าในมือผมไปแล้วรีบเดินลงน้ำอย่างรวดเร็ว  เร็วผิดปกติ

“ทำอะไรน่ะ” ผมร้องถาม

“ล้าง” เขาตอบสั้นๆ ยังคงหันหลังให้โดยไม่สนใจจะหันหน้ามาคุยกันดีดี ดูแปลกๆ เหมือนกำลังปิดบังอะไรอยู่

และมันมีจุดที่น่าสงสัย  อะไรบางอย่าง..

“โอ๊ย!!!” ผมร้องเสียงดังลั่น เขาจึงรีบหันกลับมาและเดินลุยน้ำมาหาอย่างรวดเร็ว

“คุณเป็นอะไร!” น้ำเสียงของเขาค่อนข้างตื่นเต้น

“อ่า.. ยุงน่ะ ยุงกัด” ผมตอบพลางหลุบตามองต่ำ

“อ..อืม” พี่เวย์ตอบแค่นั้นก็รีบหันหลังจากไปทันที

อืมเหรอ  ผมก็อืม.. เหมือนกัน


เมื่อพี่เวย์ล้างรองเท้าเสร็จก็เอามาวางไว้บนโขดหิน ผมจึงยื่นเท้าไปหา

“ไม่ต้องล้างเท้าให้ผมนะ ผมล้างเสร็จแล้ว”  เขาก้มมองเท้าของผมแล้วทำหน้านิ่ง

“ก็ไม่ได้คิดจะล้างให้อยู่แล้ว” พูดจบก็เดินทวนน้ำขึ้นไปเล็กน้อยแล้วแหวกว่ายเล่นอย่างสบายใจ

เช๊อะ คนขี้เก๊ก เดี๋ยวจะทำให้เลิกเก๊กให้ได้เลยคอยดู

“คุณ..” ผมเรียก 

พี่เวย์หยุดแหวกว่ายแล้วหันมามอง ไม่ได้ตอบอะไรแค่มองเฉยๆ 

“อยากลงน้ำบ้าง คุณช่วยหน่อยสิ” ส่งเสียงติดจะอ้อนนิดๆ

“ไม่ได้ เดี๋ยวแผลเปียก”

“ก็แค่ระวังอย่าให้โดนหัว”

“ที่หัวไม่โดนก็โดนขาอยู่ดี ผมไม่ยอมให้คุณเสี่ยงหรอกขี้เกียจดูแล”  ดูคำพูดคำจา เย็นชาที่สุด

“แผลที่ขามันแห้งแล้วล่ะ นะคุณ ผมเหนียวตัวอยากอาบน้ำมั่ง” ผมอ้อนอีก

“งั้นเช็ดตัวก็พอ” เขาเดินไปที่ข้าวของวางอยู่แล้วเขย่งหยิบเสื้อกล้ามสีดำของเขาเอาไปชุบน้ำแล้วเอามายื่นให้

“คุณเช็ดให้หน่อยไม่ได้เหรอ ผมทำเองไม่ถนัด” ผมมองเขาอ้อนๆ ดูอีกฝ่ายจะแปลกใจแต่ก็ไม่หลุดออกจากมาดนิ่ง

“ผมไม่จำเป็นต้องตามใจคุณขนาดนั้น ถ้าไม่ทำเองก็เรื่องของคุณ” แล้วเขาก็วางเสื้อกล้ามไว้ข้างผมก่อนจะเดินไปแหวกว่ายต่อโดยไม่หันมาสนใจอีก

ใจแข็งนักนะ..

ผมเริ่มถอดเสื้อออก ถอดทั้งเสื้อเชิ้ตตัวสั้นด้านนอกและเสื้อกล้ามเข้ารูปด้านใน วันนี้ร้อนจนเหงื่อโทรมแถมตอนที่วิ่งหาพี่เวย์เมื่อกี้ยังทำให้เหนียวตัวจนแทบจะทนไม่ไหว  จัดการกดเสื้อของเขาลงไปแกว่งในน้ำอีกครั้งแล้วบิดพอหมาดจากนั้นก็เริ่มลูบไล้ไปตามเนื้อตัว

เช็ดแขน.. อาา เย็นดีจัง

ตรงซอกคอก็ต้องเช็ด  ไล่ลงมาถึงหน้าอกเช็ดไปตามเนินเล็กๆ ที่มียอดสีชมพูเม็ดเล็ก เมื่อถูกผ้าเย็นๆ ลูบไล้มันก็แข็งเป็นไตขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

ผมก้มลงแกว่งเสื้อในลำธารอีกครั้งพร้อมกับเหลือบตามองหาพี่เวย์  เอ๊ะ ทำไมไม่ว่ายน้ำแล้วมายืนมองผมอย่างนั้นล่ะ อ๋อ น่าจะบังเอิญสินะเพราะพอเห็นว่าผมมองเขาก็รีบหันหนีไปทันที

อืม.. แค่บังเอิญ


ผมเช็ดซ้ำอยู่สามรอบเพื่อจะได้แน่ใจว่าสะอาดแล้วจริงๆ แต่ปัญหาอยู่ที่ช่วงล่าง จะทำยังไงดีนะ..

มองซ้ายมองขวาเห็นว่าร่างสูงกำลังว่ายน้ำอยู่จึงคิดว่าเขาไม่น่าจะเห็นหรอก คิดว่างั้นนะ..

ถอดออกก็แล้วกัน  ถอดกางเกงด้านนอกออกไปแล้ว  อืม ด้านในก็คงต้องถอดเพราะอยากสะอาดให้ทั่วทั้งตัว

จังหวะนี้เหมือนมีซาวด์แซกโซโฟนเป่าคลอไปตามการขยับร่างกายของผม

ถึงเวลาแล้วที่จะค่อยๆ เกี่ยวคล้องขอบกางเกงชั้นในลงไป แต่แล้วก็คามือไว้แค่นั้นเมื่อทบทวนดูแล้วว่า ถ้าเปลือยทั้งตัวแล้วเขาเกิดหันมาจะทำยังไงนะ..

“ผมขึ้นแล้วนะ!” อยู่ๆ พี่เวย์ก็เดินฟึดฟัดขึ้นไปบนโขดหิน หันหลังให้แล้วสะบัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้าที่กองอยู่ก่อนจะใส่มันอย่างรวดเร็ว  “เสร็จเมื่อไหร่ก็เรียกด้วย ผมจะรออยู่ตรงนั้น” ว่าแล้วก็วิ่งจู้ดไปเลย

ทำหูแดงแล้วรีบชิ่งไปแบบนี้ ดูไม่เหมือนพี่เวย์คนเย็นชาเลยน้า


เมื่อหมดตัวปัญหา ก็ได้โอกาสที่ผมจะถอดออกทั้งหมดแล้วเดินลงไปในน้ำ ตรงที่ผมอยู่ไม่ลึกหรอกมันสูงแค่ครึ่งเข่า ผมนั่งลงไปพยายามไม่ให้โดนแผลแล้วชำระล้างไปทั่วใช้เสื้อเขาช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวจนสะอาดเอี่ยมอ่อง

อ๊าาส์ สบายตัวแล้ว

หลังจากนั้นจึงรีบใส่เสื้อผ้า สะบัดๆ ให้ฝุ่นผงหลุดออกแล้วใส่มันเข้าไป ตอนนี้แสงเริ่มน้อยลงแล้ว ถ้าช้ากว่านี้คงมืดจนเดินกลับไม่ได้  ตอนแรกคิดว่าจะเรียกเขาแต่ก็เปลี่ยนใจ ผมจำทางได้และน่าจะเจอเขายืนรอยู่ระหว่างทางนั่นแหละ ถึงจะขี้เก๊กแต่ก็ยังเป็นห่วงผมอยู่มาก ดูก็รู้

เมื่อยันตัวขึ้นไปบนโขดหินแล้วใส่รองเท้าที่ข้างหนึ่งเปียกข้างหนึ่งแห้งขึ้นไปบนฝั่ง เดินลัดไปตามทางใหม่ที่มันไม่ค่อยมีหนาม เดินไปอีกนิดจะทะลุออกไปตรงทางโล่งแต่ตรงนี้มีต้นหญ้าขึ้นสูงต้องผ่านไปเร็วๆ ไม่งั้นอาจมีแมลงมากัด

“อ..ฮืมห์” ร่างกายนิ่งค้างเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆ และเมื่อค่อยๆ โผล่หน้าไปดูก็เห็นร่างสูงกำลังขยับมือปลุกปล้ำกับความเป็นชายของตัวเองอยู่   “อ่ะ อาาาห์”  พริบตานั้นเขาครางต่ำแล้วมีของเหลวพุ่งออกมาอย่างแรงราวกับปืนฉีดน้ำ

ตึกๆๆๆๆๆๆ

หัวใจเต้นรัวไปพร้อมกับใบหน้าที่แดงซ่าน ขนลุกไปทั้งตัวและรู้สึกวูบวาบจนเข่าแทบอ่อน

อลังการมาก..



.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

เงาแค้นพี่เวย์อ่านตอนนี้คงเผาพริกเผาเกลือแช่งนายน้อยแน่ กระซิกๆ

ดอทและพี่เวย์มีอดีตที่สวยงามมากถ้าเทียบกับเรื่องอื่นๆ ในชีวิตของดอท

พี่เวย์เป็นความทรงจำดีๆ ที่ดอทยึดติดมาตลอด

ทุกครั้งที่ดอทถูกทำร้ายไม่ว่าจะที่ร่างกายหรือจิตใจ

ดอทมักโทษตัวเองไปถึงเรื่องพี่เวย์เสมอ

เรื่องของสองคนนี้จะลงเอยยังไง ยังไม่แน่ว่าคือคู่กันเพราะนอกป่ายังมีคนรออยู่หลายคน เหอๆๆ


เม้าส์มอยกับทางบ้าน

TachibanaRain :  ขอผมแซะหน่อย ผมเจ็บมาเย้อะะะะะ //เสียงพี่เวย์ 555555555  ปล. อันนี้ก็อะไรไม่รู้กับ3P บอกแล้วว่าแต่งไม่เปนนนนนนน

Janemera  :  ตอนนี้ชายชู้ก็ยังคงมีพฤติกรรมเย็นชา คงต้องโดนควบคุมความประพฤติต่อไปเนาะ

kunt  :  ไม่อยากสปอล์ยเลยว่ายังมีวิบากกรรมอีกเยอะะะะ  T__T

songte  :  เฮียเผ่ามีดีที่รักดอท แต่บางครั้งแค่รักคงยังไม่พอ..

Justccwpo :  ขอแท็กมือแรงๆ หนึ่งทีสำหรับทีม #เวย์ดอท นายน้อยนี่เชียร์พี่เวย์ตั้งแต่อินโทรละเนี่ย 555555

dekying kukkig  :  ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะที่คนเคยเลวจะกลับมาดีได้แค่พลิกฝ่ามือ เงามืดในอดีตมันคงไม่ยอมง่ายๆ // แอบไปเจาะเรือ3P ให้รั่ว 55555


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-09-2018 10:53:21 โดย fiction no.9 »

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
สงสารดอทน่ะ  คงอยาก...555  เมื่อไหร่จะได้มีความสุขสักทีน้าาาา

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ้ยยยยยยยยยยมีแต่เสือมีแต่ตะเข้ :katai1: :hao4: :hao5: :katai1:น้องดอทออกมาลูกกกกกก ออกมาาาาาาาาา ผชมันไว้ใจไม่ล่ายยยยยยยยยยย :hao7: :o12: #ทีมชายชู้ขอทำการพิจารณารอบสอง #ทีมดอทกินกับอะไรก็อร่อย :hao7:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ก็ยังไม่เข้าใจพี่เวย์อยู่ดี เอาจริงๆตอนนั้นถ้าเราจำไม่ผิดดอทก็ผลักพี่เวย์ออกไปแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ว่าคบซ้อนแบบดอทกับพี่เวย์แล้วดอทหนีไปมีเฮียเผ่าสักหน่อย ณ ตอนนั้นถึงมันจะใช่แต่ถ้าเวลาและโอากาสมันไม่ใช่ก็คือไม่ใช่นะพี่เวย์ พี่เวย์ควรเข้าใจตรงจุดนี้ด้วยสิไม่ใช่มาโทษดอทซะหมดแบบนี้ อ่านไปถึงจะมีบางโมเม้นท์ที่ชวนยิ้มแต่มันก็น่าหงุดหงิดกับพฤติกรรมของพี่เวย์อยู่ดีแหละ เล่นตัวมากนักจะเชียร์ #วรรตดอท แทนแล้วนะ

ปล.มาอ่านแล้วเด้อนายน้อย รู้สึกสวยมากนักเขียนไปตาม ฮ่าๆๆๆ

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ตกลงยังไงๆ พี่เวย์ เก๊กอยู่นั่นแหล่ะ
แต่หมอวรรตก้น่าลุ้นอ่ะ โอ้ย เลือกข้างไม่ถูก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด