☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6  (อ่าน 31890 ครั้ง)

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เฮ้ออออ บอกได้คำเดียวว่าเหนื่อยใจทำไมพี่ดอทถึงทำร้ายตัวเองได้มากขนาดนี้ รู้ว่าเสียใจแต่พี่ควรมีสติให้มากกว่านี้นะ ทรมานตัวเองไม่ช่วยอะไรเลยจริงๆ แล้วนี่ก็มาเรื่องป๋าอีก ถ้าป๋าเป็นอะไรไปอีกพี่ดอทต้องโทษตัวเองอีกแน่ๆเมื่อไหร่ชีวิตจะดีมีความสุขสักทีคะ ตอนท้ายคนที่ปิดปากนี่คิดว่าเป็นพี่ดินนะ ขอให้ใช่ด้วยเถอะ

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ต อ น ที่  20  :  ภ า ว ะ ฟื้ น ฟู


“ชู่ววว” เสียงจากคนที่ล็อคตัวอยู่ด้านหลัง เขาพยายามปรามให้เงียบเมื่อผมร้องอู้อี้และดิ้นไม่หยุด “ชู่วว ผมเอง”

น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้หัวใจของผมอุ่นวาบเหมือนโลกที่เคยดับแสงสว่างจ้าแค่เพียงคำว่า ‘ผมเอง’ ที่เขาพูดขึ้น

เมื่อผมเริ่มนิ่ง วงแขนล่ำจึงคลายออก

“ดิน.. ดิน ฮึก.. ดิน..” หมุนตัวกลับไปมองหน้าเขาชัดๆ ก่อนจะโผเข้ากอดเต็มรักด้วยความโล่งใจถึงขีดสุด

แขนยาวๆ ของดินแดนโอบกอดผมไว้แนบแน่นราวกับรู้ว่าอ้อมกอดของเขาจะฟื้นฟูสภาพจิตใจที่พังทลายให้ทุเลาลง มือหนาทำหน้าที่ลูบบีบหนักตรงท้ายทอยเพื่อให้ผ่อนคลาย

ดินแดนเงียบขรึมไม่เหมือนในเวลาปกติที่จะพูดหรือปลอบ เขาใช้ปากจูบซับบนศีรษะแทนการส่งเสียง แรงโอบรัดแน่นขึ้นทุกครั้งที่เขาเอียงหน้ามองลงมาเห็นสภาพที่อ่อนเพลียและบอบช้ำ

ผมร้องไห้อยู่กับอกของดินแดนครู่หนึ่งจนเมื่ออารมณ์นิ่งขึ้นจึงนึกได้ว่าสิ่งสำคัญในตอนนี้คือช่วยป๋าให้ปลอดภัย

“ดิน.. ดินต้องไปช่วยป๋า ป๋าโดนจับไว้ที่ห้องนอนใหญ่บนชั้นสอง มีผู้ชายหนึ่งคน กับผู้หญิงคนใหม่ของป๋าอีกหนึ่งคน” ผมบอกทั้งน้ำหูน้ำตานองหน้าทำให้มือหนาต้องช่วยปาดเช็ดมันออกเป็นการใหญ่

“ผมรู้..” สีหน้าของผมคงแทนคำถามได้อย่างดี ดินแดนจึงอธิบายต่อ “ผมแอบซ่อนกล้องไว้หน้าห้องป๋า เมื่อตอนสายโทรหาแล้วป๋าปิดเครื่องก็เลยเช็คคลิปย้อนหลังดู พอรู้เรื่องผมก็รีบบึ่งรถมาจากกองถ่าย นี่ยังเสียดายที่เมื่อเช้าไม่เทคิวเพราะสังหรณ์แปลกๆ ก่อนออกจากบ้าน ไม่งั้นพี่คง..”

ดินแดนขบกรามแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน

“อุตส่าห์แพลนไว้จะจัดการหลังวันเกิดป๋า กะว่าจะเฉดหัวพวกมันโดยไม่ให้ป๋าระแคะระคาย ให้มันหนีไปเองแล้วค่อยเล่าให้ป๋าฟังทีหลังแต่พวกมันดันลงมือซะก่อน”

ตลอดเวลาที่สนทนากัน ดินแดนไม่ละสายตาออกจากใบหน้าของผม มือของเขาซับแตะลงบนรอยช้ำ แม้กระทั่งดวงตาที่ลึกโหลก็พยายามนวดคลึงให้อย่างเบามือ เหมือนเป็นการรับรู้ความเจ็บปวดของผมและปลอบขวัญโดยไม่ต้องพูดถึงมันให้รู้สึกปวดใจ

“ต้นเหตุเพราะฉันทำให้ป๋าโกรธ ป๋าก็เลยพาลใส่มัน” ผมสารภาพความผิดออกไป

“อย่าคิดแบบนั้นสิ พี่นี่ชอบเอาตัวเองไปผูกติดกับปัญหาของคนอื่น นิสัยเสีย”

“เจอหน้าก็ด่า” ผมทำหน้างอ

“ก็ความชนม์แดนของพี่มันน่าฟาด” ดินแดนลูบแก้มเบาๆ แล้วเปลี่ยนเรื่อง “พี่แอบอยู่ตรงนี้นะเดี๋ยวผมจะเข้าไปช่วยป๋า ไม่ว่ายังไงห้ามเข้าไปในบ้านเด็ดขาด”

“อืม” ผมพยักหน้ารับ


ดินแดนมองซ้ายมองขวาก่อนจะสาวเท้าเข้าไปในบ้าน พอเขาลับตาก็อดไม่ได้ที่จะย่องตามไปสอดแนม

ตรงข้างประตูเป็นบานกระจกใสทำให้มองเข้าไปเห็นทุกอย่าง ผมนั่งหมอบลงเพื่อให้ยากต่อการมองเห็น ขายาวๆ ก้าวขึ้นบันไดทีละสองขั้น มองรอบด้านอย่างระแวดระวังดูเหมือนพวกสายลับในหนังไม่มีผิด รองเท้าหุ้มข้อสีน้ำตาลเข้ากับกางเกงยีนส์เท่ๆ เสื้อยืดสีขาวคลุมทับด้วยแจ็คเก็ตสีน้ำตาลแบรนด์ดังเข้ากับบุคลิกและท่าเดินกร่างๆ ของเขา  เด็กคนนี้มีตัวตนชัดเจนและรู้จักตัวเองดีมาก แต่งตัวเป็น พูดเป็น คิดเป็น ถึงจะชอบโชว์ความสติเสียแต่จริงๆ เขาฉลาดและมีแอททิจูดที่ดีมากจนน่าอิจฉา

เผลอมองเพลินจนไม่รู้เลยว่าดินแดนหันมาชี้นิ้วใส่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมย่นหน้ากลับไปเพราะเขาทำตาดุแล้วปัดมือไล่ให้กลับไปหลบอยู่มุมเดิม

“ไปก็ได้” พูดเบาๆ แล้วค่อยๆ คลานถอยหลังกลับไปที่เดิมแต่ดันพลาดไปชนแจกันลายครามล้มลงจนแตกไปหลายเสี่ยง “โธ่เอ้ย ซุ่มซ่ามจริงชนม์แดน ดีนะที่พวกนั้นอยู่บนห้องไม่อย่างนั้นต้องได้ยินแน่”


ผ่านไปครู่หนึ่ง ใจมันรุ่มร้อนอยากรู้ความเป็นไป ผมย่องออกจากที่ซ่อนอีกครั้งเพื่อไปแอบดู ทุกอย่างเงียบเชียบจนน่าเป็นห่วง ดินจะพลาดไหมนะ

“อยู่นี่เอง!”

“อ๊ะ! ปล่อย! ปล่อยสิ!” ไอ้คนชื่อเต้มันย่องมาข้างหลังแล้วจับตัวไว้ได้ แรงของผมมีไม่พอที่จะขัดขืนได้เลย

“ดีนะที่กูหิวแล้วลงมาหาอะไรกิน ได้ยินเสียงแจกันแตกเลยลองเดินดูรอบบ้าน มึงรอใครอยู่บอกมา!” ดูท่าว่ามันจะยังไม่เจอนายดิน “อุตส่าห์ปล่อยให้หนีไม่หนี นี่คงแจ้งตำรวจล่ะสิ”

“ถ้ารู้แล้วก็รีบหนีไปสิ” สมอ้างไปตามน้ำ กะว่ามันจะกลัว

“ตำรวจไทยเนี่ยนะ ถ้าอยากให้มาวันนี้มึงต้องแจ้งเมื่อวานโว้ย เอามึงไปขู่ให้ไอ้แก่เซ็นเช็คก่อนแล้วค่อยหนีก็ยังทัน ไป! เดินไป!”



“เฮ้ย!” เมื่อถึงหน้าห้อง ไอ้คนชื่อเต้เปิดประตูแล้วเห็นดินแดนกำลังมัดมือศมล มันรีบล็อคตัวผมไว้ก่อนจะล้วงมีดขึ้นมาจี้ที่คอ “ปล่อยเมียกูไม่งั้นไอ้นี่โดนเสียบคอหอยแน่!”

“โธ่เว้ย!” เสียงสบถขึ้นพร้อมกันทั้งดินแดนและป๋าที่ตอนนี้ถูกแก้มัดทั้งมือและเท้าแล้ว

“น่าจะพาพี่แกไปที่ปลอดภัยก่อน” ป๋าหันไปบอกดินแดน

“โทษครับป๋า ผมประมาทไปหน่อย คิดว่ามันอยู่ในห้องกันทั้งสองคน” ดินทำเสียงเครียดไปพร้อมกับแก้มัดให้นางงูพิษ

“ที่จริงป๋าก็ไม่น่ายอม เห็นมันโวยวายหิวข้าว ป๋าเห็นว่าดอทไปสักพักแล้วก็เลยยอมให้มันออกไป จิ๊ ผิดพลาดไปหมด” ป๋าจิ๊ปากอย่างขัดใจ

“มัดมันเลยมล ไอ้นี่ใช่ไหมที่ชื่อดินแดน”

“ใช่พี่เต้ ไอ้นี่แหละ”

“ถ้าไม่อยากให้ไอ้หน้าสวยนี่ตาย มึงนั่งคุกเข่าเลยไอ้ดินแดน กูไม่ได้ขู่!”

“ย..อย่ายอมมันนะดิน..”

“หุบปาก!” มันทิ่มมีดเข้ามาถึงเนื้อจนมีเลือดซิบออกมา ผมเหยียดเกร็งทันทีเพราะกลัวมากจนไม่กล้ากระดิกตัว

“กูยอมก็ได้!” ดินแดนตะโกนเสียงดัง “ห้ามทำพี่กูอีก ไม่งั้นกูจะฆ่ามึงแน่”

สีหน้าของดินแดนตอนนี้น่ากลัวราวกับปีศาจ ดวงตาคู่คมจ้องเขม็งมีเส้นเลือดขึ้นที่ตาขาวจนเห็นได้ชัด

“ฮ่าๆๆ ฆ่ากูเหรอ ถ้ามึงทำได้ก็ลองดู” ไอ้เต้หัวเราะลั่น “มลมัดแน่นๆ ที่ขาด้วย เสร็จแล้วไปมัดไอ้แก่แล้วมาคุมไอ้นี่ไว้เดี๋ยวพี่จะมัดให้แน่นอีกที”


และแล้ว ทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือดินแดนโดนไปด้วย  ที่จริงตอนนี้ผมกับป๋าโดนมัดแค่มือ เท้าของเราเป็นอิสระ คงเพราะพวกมันคิดว่าเราสองคนไม่มีพิษสงอะไรละมั้ง มีแค่นายดินที่โดนมัดทั้งมือทั้งเท้าแถมโดนซ้อมหนักอยู่ในตอนนี้

“ไหนที่ว่าจะฆ่ากู!” ไอ้เต้ต่อยดินแดนหลายหมัด แต่ร่างสูงไม่สะเทือนสักนิด ยังคงนั่งคุกเข่าจ้องหน้ามันอย่างนั้น “มองหน้าเหรอ! นี่ไง มองเหรอ!” มันถีบหน้าอกคนไม่มีทางสู้อย่างแรงจนล้มลงไปกองที่พื้น

“ดิน!” ป๋าเรียกเสียงหลงเพราะเห็นสภาพของลูกชายคนเล็ก ไอ้เต้ยังตามไปจะกระทืบซ้ำจนผมทนไม่ไหว

“อย่าทำดิน! อย่าทำคนไม่มีทางสู้!” ผมตะโกนห้าม

“คุ้นๆ เหมือนที่ผมเคยทำกับเฮียเลยว่ะ เวรกรรมนี่มันไฮสปีดฉิบหาย” ดินแดนอ้าปากขยับกรามหลายทีก่อนจะเลียเลือดที่ซึมมุมปาก

“พูดเหี้ยไรไม่รู้เรื่อง!” ไอ้เต้เตะซ้ำเข้าที่ด้านหลังอย่างแรงตอนที่นายดินไม่ทันตั้งตัว

“ดิน! ดินเจ็บไหม ฮือๆๆ” ผมก้าวเข้าไปพยายามจะช่วย

“อย่า! อย่าเข้ามาพี่ดอท ถ้าพี่เจ็บตัวอีกแม้แต่นิดเดียวผมต้องติดคุกแน่!”

ทำไมถึงบอกว่าจะติดคุกล่ะ ไม่เห็นเข้าใจเลย..

“ห่วงตัวมึงเองก่อนเถอะ นี่แน่ะ เก่งนักเหรอมึง!” ไอ้คนชั่วมันเตะดินแดนเหมือนเป็นกระสอบทราย แต่ดินไม่ร้องสักแอะ ดูเหมือนพยายามยกช่วงขากันไว้เพราะน่าจะเป็นจุดที่เจ็บน้อยที่สุด

“เอามันหนักๆ เลยพี่เต้ รำคาญมันมาตั้งนานแล้ว”  จากนั้นนายดินก็โดนทั้งเตะทั้งถีบอีกหลายทีจนคนเตะหอบแฮ่ก

“ขอพักกินน้ำแป๊บ หิวข้าวด้วยเนี่ย เมื่อกี้ก็ไม่ทันได้กิน” แล้วมันก็เดินไปที่โต๊ะเพื่อรินน้ำดื่ม

“ป๋าครับ” ดินแดนเงยหน้าขึ้นมองป๋า ทั้งๆ ที่ยังนอนเกลือกอยู่กับพื้นแต่สีหน้าของเขาไม่เหมือนคนที่ตกเป็นรองเลยแม้แต่น้อย

ป๋าพยักหน้าตอบจากนั้นก็เอาตัวมาบังผมไว้ทั้งตัวจนต้องชะโงกหัวออกไปดูสถานการณ์ แล้วก็ต้องตะลึงเมื่อร่างสูงที่นอนกองอยู่กับพื้นใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาทีบิดข้อเท้าไปมาจนเชือกเริ่มหลวม

“เฮ้ย! ไอ้เหี้ยนี่!” ไอ้เต้หันมาเห็นก็คว้าเก้าอี้ข้างตัวขึ้นเตรียมฟาดใส่ เป็นจังหวะเดียวกับที่เชือกยานพอที่ดินแดนจะกระชากเท้าออกจากกันจนเชือกหลุด 

“ดิน!!” ผมร้องสุดเสียง

โครม!!

เก้าอี้ที่ถูกทุ่มลงเฉียดตัวดินแดนไปแค่เส้นยาแดงผ่าแปดเพราะเขากลิ้งหลบได้ทัน จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วแล้วถีบสวนเข้าไปตรงสีข้างจนไอ้เต้เสียหลักเซไปหลายก้าว

“ระวังนะพี่เต้!” เสียงนางงูพิษตะโกนเตือนคู่ของมันเพราะดินแดนเดินเข้าหาแล้วง้างเท้าแต่พอสิ้นเสียงเตือนเท้าของดินแดนก็ฟาดเข้าใส่ก้านคอของไอ้เต้เสียแล้ว

“อั่ก!” มันล้มลงแต่ก็ยังมีสติพอที่จะล้วงมีดออกมาจากกระเป๋าอีกครั้ง “เข้ามาสิ มือก็โดนมัดแบบนั้นกูไม่กลัวมึงหรอก!” มันกวัดแกว่งมีดใส่พลางกระเถิบถอยหลังเพื่อตั้งหลักและในที่สุดมันก็ลุกขึ้นได้

“กระจอกอย่างมึง กูใช้ตีนข้างเดียวก็พอแล้ว” สีหน้าดินแดนเหมือนฆาตกรโรคจิต เขาเดินเข้าหาคนที่ถือมีดโดยไม่เกรงกลัว

“ระวังนะดิน ระวัง!” เห็นมันกวัดแกว่งมีดก็เสียวไส้แทนจึงร้องเตือนเพราะกลัวว่าเขาจะบาดเจ็บ

“ระวังมันตายเหรอพี่” เห็นจากด้านข้างว่าดินแดนแสยะยิ้มเหี้ยมใส่คู่ต่อสู้ เป็นความเท่ที่ไม่รู้จะบรรยายยังไงเพราะอินเนอร์กับความหล่อความเท่ไปด้วยกันได้อย่างลงตัว ถ้าบอกว่าถ่ายหนังก็เชื่อ

แค่พริบตาเดียวเท้าของดินแดนก็ตวัดใส่ข้อมือจนมีดปลิวตกไปไกล สีหน้าของไอ้เต้เหมือนโดนผีหลอก มันหันมองรอบข้างเพื่อหาอาวุธพร้อมกับถอยหนีไปจนหลังติดกำแพง

“ทำกูเจ็บ.. กูยังไม่โกรธเท่าทำพ่อกู” ดินแดนเอ่ยเสียงเหี้ยม “ทำพ่อกู ก็ยังไม่โมโหเท่าที่มึงทำพี่กูแบบนี้!!” จบประโยค ผมมองไม่ทันว่าไอ้เต้มันโดนอะไรบ้าง ทั้งๆ ที่ถูกมัดมือไพล่หลังแต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคแม้แต่นิด เท้าสะบัดไวมากและใช้เท้าขวาเพียงข้างเดียวอย่างที่เขาว่าจริงๆ

“พี่เต้!” นางงูพิษเห็นท่าไม่ดี มันหยิบเชิงเทียนอันเดิมที่ใช้ฟาดป๋าเดินเข้าไปเพื่อช่วยคู่ขา

“ดินระวัง!” ผมร้องบอกแต่ช้าไป

“กรี๊ด” ป๋าเข้าไปขัดขาของนางคนชั่วจนมันล้มลง

“เจ๋งมากครับป๋า” ดินแดนหันมาขยิบตาให้ป๋าที่เดินกลับมาบังผมไว้อย่างเดิม อะไรจะเท่ขนาดนี้ทั้งป๋าทั้งนายดิน

รู้สึกเหมือนเป็นนางเอกละครที่มีพระเอกมาช่วย  ไม่สิ ลบๆๆ กำลังหน้าสิ่วหน้าขวานแต่คิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย

“อยู่ไม่ได้แล้วโว้ยย”  ไอ้เต้อาศัยจังหวะที่นายดินเผลอวิ่งไปทางประตู “โอ้ยย” มันร้องลั่นเพราะถูกขัดขาไว้

ดินแดนเป็นคนที่ปฏิกิริยาไวทายาทจริงๆ ขนาดไม่ได้มองก็ยังแหย่เท้าไปยังองศาที่พอดิบพอดีจนไอ้เต้หน้าไถลไปกับพื้น  พอเห็นว่านายดินกำลังจะตามไปซ้ำ มันก็รีบหนีไปหลบหลังนางงูพิษที่เพิ่งยักแย่ยักยันลุกขึ้นมาได้เดี๋ยวนั้นเอง

“ช่วยไม่ได้ว่ะมล” ในวินาทีที่ดินแดนกำลังจะเข้าไปถึงตัว ไอ้คนชั่วมันผลักเมียตัวเองใส่ดินแดนแล้วอาศัยจังหวะนี้หนีออกจากห้องไป

“โอ๊ยพี่เต้!” ร่างอุ้ยอ้ายกระแทกใส่ดินแดน ดีที่นายดินรับไว้ได้แต่ก็น่าจะเจ็บพอควรจึงค่อยๆ ทรุดตัวล้มลง

“ตัวใครตัวมันเถอะวะ!”

“พี่เต้! แล้วลูกมึงนี่ล่ะ! ไอ้ผัวเลว ไอ้ผัวเฮงซวย!! โอ๊ะ.. โอย..” นางงูพิษร่ำร้องตะโกนด่าทอไอ้เต้ที่ตอนนี้หนีไปไม่เห็นแม้แต่เงา จากนั้นก็เริ่มหน้าเสียนั่งกุมท้องแล้วส่งเสียงโอดครวญ

ดินแดนไม่มีทีท่าว่าจะตามไปแต่เดินไปเก็บมีด เขาย่อตัวลงแล้วใช้มือที่ถูกมัดไพล่หลังควานจับด้ามมีดไว้ได้ก่อนจะค่อยๆ เฉือนเชือกจนขาด  เหมือนดูหนังจริงๆ นะ ถ้าไม่รู้ประวัติคงคิดว่านายดินเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบหรือสายลับอะไรเทือกนั้น

“ป๋าโอเคไหมครับ” ร่างสูงเดินมาพร้อมกับมีดและตัดเชือกให้เราสองคนพ่อลูก

“ไม่เป็นไรมาก ดูพี่แกก่อนเถอะ”

“ดูหน้าพี่ดิ ผมนี่อยากจะฆ่ามันจริงๆ” ร่างสูงมองหน้าผมด้วยสีหน้าไม่ดีนัก ดูเขาจะสะเทือนอารมณ์เป็นอย่างมากผิดจากก่อนหน้านี้ที่ได้เจอกันที่หน้าบ้าน

“เมื่อกี้ไม่เห็นซีเรียส” ผมแกล้งแหย่ ไม่อยากให้คิดมาก

“เก็บอาการอะรู้จักปะ ผมไม่อยากให้พี่กลัว” ว่าแล้วก็พยุงผมไปนั่งโซฟาก่อนจะหันไปหานางผู้หญิงชั่วที่ตอนนี้กำลังคลานหนี

“ดิน..เลือด!” ผมชี้ไปบนพื้น

“เลือดตกขนาดนั้นอยู่นี่แหละรอรถพยาบาล”  ดินแดนหยิบโทรศัพท์กดเรียกรถพยาบาล บอกข้อมูลคนเจ็บสามคนและรายละเอียดของอาการอย่างครบถ้วน

แต่ดูเหมือนนางคนชั่วจะไม่ฟัง ยังคงกระเสือกกระสนไปต่อจนพื้นเลอะคราบเลือดเป็นทาง

“ถ้าไม่อยากเสียลูกก็อย่ารั้น อยู่นิ่งๆ” เสียงของดินแดนไม่ได้กระโชกโฮกฮากแต่ก็ไม่ได้อ่อนโยน เขาแยกความแค้นและคุณธรรมออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด เห็นแล้วทึ่งมากเพราะถ้าเป็นผมต่อให้สงสารก็จะทำท่าทางเหยียดใส่อย่างแน่นอน

จะว่าไป ผมนี่ก็ตัวร้ายไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ

“ใครจะสนลูกที่พ่อมันทิ้งแม่มันไปแบบนี้วะ เก็บไว้ก็เสนียดเปล่าๆ”

“ป๋าจะจัดการเองหรือยกให้ผม” ดินแดนหันมาคุยกับป๋า

“จัดการไปเถอะ หน้ามันป๋ายังไม่อยากมอง” โอเค มีเพื่อนร้ายแล้ว แบบนี้ค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย

ศมลยังคงคืบคลานต่อไปอย่างน่าสังเวช ดูเหมือนจะไม่ห่วงเด็กในท้องจริงๆ อย่างที่พูดไว้

“เออ งั้นก็คลานไปตายเอาดาบหน้าเลย เผลอๆ จะตกเลือดตายตามลูกด้วยซ้ำ” ดินแดนขู่ ซึ่งผมคิดว่ามีเปอร์เซ็นต์สูงที่จะเป็นไปได้เพราะตอนนี้เลือดนองเลอะขาจนแดงเถือกผลจากการล้มหลายรอบในวันนี้

“ถ้าอยู่ก็โดนตำรวจจับ ใครจะอยู่วะ!” ยัง.. ยังไม่สำนึก

“ถามจริงเหอะ รูปร่างหน้าตาก็ดี ทำไมไม่เลือกคนดีวะ ป๋าทั้งรวยทั้งดีด้วยขนาดนี้ทั้งชีวิตก็หาไม่ได้แล้วเหอะ ออกจากคุกแล้วก็กลับตัวกลับใจนะ อยู่ให้ห่างคนเลวแล้วทำตัวเองให้ดีขึ้นจะได้เจอคนดีๆ ไม่งั้นชีวิตก็จะเจอแต่เรื่องร้ายแบบนี้ไปตลอด ถึงวันนี้จะไม่เสียใจที่เสียลูกแต่ถ้าวันข้างหน้าอยากมีขึ้นมาแต่มีไม่ได้แล้วจะมานึกเสียใจมันก็ไม่ทันไง เพราะฉะนั้นจะทำอะไรก็คิดให้ดีหน่อย”  ดินแดนเดินไปอุ้มนางงูพิษไปนอนที่เตียง คำพูดเหมือนเป็นแค่การตักเตือนไม่ได้มีอารมณ์ร่วมไม่ว่าจะบวกหรือลบ ไม่ใช่แค่ผมที่อึ้งแต่คนที่ถูกอุ้มก็อึ้งไปเช่นกันแถมยังสงบเสงี่ยมนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม่ดื้อด้านอีกต่อไป

ร่างสูงเดินเข้าห้องน้ำแล้วกลับมาพร้อมผ้าขนหนู เขาใช้ผืนเล็กที่ชุ่มน้ำเช็ดเลือดที่เลอะปลีน่องและเท้าของเธอออกก่อนจะใช้ผืนใหญ่คลุมช่วงล่างให้ จากนั้นก็เข้าห้องน้ำอีกครั้งเพื่อล้างมือ

เป็นภาพที่น่าทึ่งอีกภาพของดินแดน ผมไม่เคยเห็นคนที่เหมือนกับหลุดออกมาจากนิยายแบบนี้ในชีวิตจริงเลยสักครั้ง  ถึงจะไม่ใช่คนสุภาพแต่การกระทำอ่อนโยนผสมความกร้าวแกร่งอยู่ในที บอกไม่ถูกแต่มันพอเหมาะพอดีกับเหตุการณ์จนอดไม่ได้ที่จะยิ้มอยู่ในหัวใจเป็นครั้งแรกตั้งแต่เฮียเผ่าเสียที่ผมรู้สึกว่าหัวใจได้ยิ้มแบบนี้

“ถ้าทนไม่ไหวพี่กรี๊ดก็ได้นะ ผมชินแล้วกับความเท่ของตัวเอง”

เหมือนกำลังฟังดนตรีอย่างเพลิดเพลินแต่จู่ๆ แผ่นเสียงก็ตกร่องเมื่อคนที่ผมนึกชื่นชมเดินเข้ามายืนจ้องหน้าแล้วยักคิ้วชมตัวเองหน้าตาเฉย

เสียอรรถรสหมดเลยนายดิน นิสัยอะไรแบบนี้ก็ไม่รู้

“เด็กบ้า” ผมเบ้ปากเล็กน้อยแล้วนั่งซบพนักพิงเพราะตอนนี้เริ่มหมดแรง

ดินแดนยิ้มทะเล้นแล้วเดินเข้ามานั่งบนพนักวางแขน หยิบทิชชูซับเลือดที่ซึมอยู่บริเวณลำคอให้ซึ่งผมก็ไม่ได้ต่อต้านอะไรเพราะแค่กระพริบตายังเหนื่อยแล้วในตอนนี้

“แผลลึกไหมเจ้าดิน” ป๋ามองอย่างเป็นห่วง”

“ยังดีที่ไม่ลึกครับ ไม่งั้นผมคงฆ่าไอ้ห่านั่นแล้วโดนจับติดคุกแน่ๆ” อ๋อ ที่เมื่อกี้เขาบอกว่าถ้าผมเจ็บตัวอีกแม้แต่นิดเดียวเขาจะต้องติดคุก หมายถึงแบบนี้เอง เด็กบ้านี่มันเท่จริงๆ ให้ตายเถอะ

“รถพยาบาลยังไม่มาเหรอเจ้าดิน ป๋าว่าพาพี่แกไปส่งโรงพยาบาลก่อนเถอะ”

ขณะที่ดินแดนกำลังตัดสินใจ เสียงไซเรนก็ดังแว่วอยู่ไกลๆ เรียกรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อของเขาขึ้น

“มาแล้วครับ เดี๋ยวผมมานะ”  ว่าแล้วก็วิ่งออกจากห้องไปสักพักใหญ่ แล้วกลับมาพร้อมบุรุษพยาบาล

จากนั้นทุกอย่างก็ดำเนินไปตามขั้นตอนของการช่วยเหลือและคนแรกที่ถูกนำตัวไปก็คือคนที่นอนร้องไห้อยู่บนเตียงอย่างโดดเดี่ยวไร้การเหลียวแลจากป๋าแม้แต่นิดเดียว

++++++++++++++++++++++



ผมตื่นขึ้นในช่วงบ่ายของอีกวัน เป็นการหลับที่ยาวนานมากเป็นครั้งแรกในรอบสองเดือน   

“ป๋าครับ..” ผมเรียกพ่อบังเกิดเกล้าที่นั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง

“ตื่นแล้วเหรอลูก”

“น่าจะพัก ป๋าก็เจ็บหนักเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

“ป๋านอนไปแล้ว พอดีตื่นแล้วเดินมาหาดอทได้สักชั่วโมงนี่เอง”

“แล้วคุณแม่ไม่มาเหรอครับ” ผมหันมองทั่วห้องแล้วไม่เจอ

“มาสิ ก็เพิ่งกลับไปตอนป๋าเข้ามานี่แหละ เห็นบอกว่าจะไปเตรียมชุดมานอนเฝ้า”

“โดนคุณแม่ซ้ำเติมหรือเปล่าครับ”

“เขาไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ก็ยังไม่มองหน้าป๋าเหมือนเดิมนั่นแหละ” ป๋าบอกปลงๆ

“แสดงว่าคุณแม่ใจอ่อนแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นป๋าคงโดนแดกดันแน่”

“อะแฮ่มๆ” ดินแดนตัวป่วนโผล่เข้าประตูมา “คุยอะไรกันกระหนุงกระหนิงครับสองแดน”

“คุยเรื่องแม่ใหญ่แกนั่นแหละ ตาดอทบอกว่าที่ป๋าไม่โดนแดกดันเพราะแม่เขาใจอ่อนแล้วแต่ป๋าคิดว่าเขาคงไม่อยากมาเสวนามากกว่า”

“แม่ใหญ่น่าจะลอยตัวอยู่เหนือปัญหาของป๋าแล้วละครับ นางคงไม่อยากรับรู้ ไม่อยากพูดเยอะ เจ็บเหงือก ฟันปลอมมันทิ่ม คึๆๆ”

“เดี๋ยวเถอะนายดิน” ผมปราม “เล่นไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง มิน่าคุณแม่ถึงยังไม่ยอมญาติดีด้วยซะที”

“แหม่ ก็แม่ใหญ่น่าแกล้ง ที่จริงก็เหมือนพี่นั่นแหละ ชอบทำหน้าบูดๆ เชิดๆ หยิ่งๆ แต่พอแหย่เข้าหน่อยก็หัวร้อน จมูกแดงหูแดง เหมือนในการ์ตูนเลยอะ มีกาน้ำเดือดอยู่บนหัว ปรี๊ดๆๆ ไรงี้ แกล้งแล้วเพลิดเพลินดี”

“นิสัยเสีย” ผมโวยใส่

“พอแล้วเจ้าดิน พี่แกยังไม่หายดี” ป๋าดุเข้าให้ สมน้ำหน้า

“คร้าบๆ พอก็ได้” ว่าแล้วก็มานั่งข้างเตียงอีกฝั่งตรงข้ามกับป๋า

“ว่าแต่ ทำไมหน้าโทรมแบบนั้นล่ะ” ผมทักเมื่อเห็นหน้าของดินแดนไม่เกลี้ยงเกลาอย่างเดิม “รอยช้ำพวกนั้นอีก น่าจะให้หมอตรวจดูหน่อยนะ เจ็บมากไหมน่ะ”

“ไม่เป็นไร้ แผลแค่นี้สิวๆ  แต่เรื่องหน้าโทรมเพราะยังไม่ได้นอนเฉยๆ ตั้งแต่ส่งป๋ากับพี่ถึงมือหมอ ผมก็ไปจัดการบ้านป๋า เก็บรวบรวมหลักฐานส่งตำรวจ แล้วก็ตามไล่ล่าไอ้เหี้ยเต้นั่น ตอนนี้จับมันส่งตำรวจเรียบร้อยโรงเรียนไอ้ดินละ”

“ถามจริงๆ อีกทีนะ เธอเป็นพวกสายลับอะไรแบบนี้หรือเปล่าอะ” ผมคาดคั้น

“ฮ่าๆๆ ก็บอกว่าไม่ใช่ไง” ดินแดนหัวเราะลั่น “ผมไม่ได้ทำคนเดียว แต่เพื่อนคนเดิมที่ชื่อกระทิงคอยช่วย แต่คราวนี้ช้าหน่อยเพราะมันไม่ได้อยู่ไทย กว่าจะติดต่อกันได้แล้วมีเวลาแกะรอยให้ก็เล่นเอาข้ามวัน ที่จริงถ้าไอ้ทิงมันอยู่ใกล้ๆ ผมจับไอ้เต้ได้ตั้งแต่สองชั่วโมงแรกแล้ว”

“ฉันก็ยังระแวงเพื่อนเธออยู่ดี คนไหนเหรอฉันเคยเห็นหรือเปล่า”

“ไม่แน่ใจนะ ที่หัวฟูๆ ตัวสูงๆ ล่ำๆ หน้าคมๆ พี่เคยเห็นป่าว”

“อ๋อคนนั้นเหรอ ที่มากับเธองานแฟชั่นโชว์ที่โรงแรมป๋า เคยเห็นสิ”

“ห้ะ!? งานเดินแบบอะไร ผมไปตอนไหน”

ดูน้องชายผีบ้าคนนี้สิ เมาขนาดจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไปไหนยังไง แล้วที่พูดจาแบบนั้นก็คงไม่อยู่ในความทรงจำอะไรเลยอย่างนั้นสินะ น่าตีจริงๆ

“นานแล้วช่างมันเถอะ ที่จริงฉันยังเคยวิ่งตามเขาจะทาบทามมาเป็นนายแบบงานประมูลนาฬิกาให้ป๋าอยู่เลย แต่คลาดกันก็เลยโทรไปขอเบอร์เธอจากป๋ากะว่าจะขอเบอร์เพื่อนเธออีกที”

“อ้าว! / อ้าว!” สองเสียงประสานกันทันที

“สรุปไม่ได้จะให้เจ้าดินมันไปเดินให้หรอกเหรอ” ป๋าทำหน้างง

“เปล่าครับ เกลียดขนาดนั้นดอทไม่อยากลดตัวไปเกลือกกลั้วหรอก”

“โหๆๆๆ ขึ้นเลยเนี่ย แค่ไม่ใช่คนที่เธอเลือกก็ว่าเฟลแล้ว แต่ยังมาบอกว่าเกลียดไม่อยากเกลือกกลั้วอีก  ผมจะโกรธพี่สิบวัน คอยดู”

ผมแค่นั่งเฉยๆ ไม่ได้พูดอะไร แค่นึกกระหยิ่มอยู่ในใจที่แกล้งเขาได้

“ดูดิป๋า พี่ดอทไม่ง้อด้วยอะ เออก็ได้ โกรธสิบวันจริงๆ คอยดู” ว่าแล้วก็ทำหน้างอใส่แล้วสะบัดตูดเดินออกจากห้องไป

“ลูกก็ไปแกล้งน้อง” ป๋าบ่น

“เป็นการลงโทษที่ว่าดอทกับคุณแม่ครับ” ถึงจะนึกแปลกใจที่เขาไปง่ายๆ แต่ก็ช่างเถอะ ผมเองก็ยังไม่อยากคุยอะไรเยอะ  “ว่าแต่ ทำไมป๋าดูไม่ค่อยดีเลยครับ ถ้ายังไม่โอเคก็กลับไปนอนพักดีกว่า ดอทอยู่คนเดียวได้”

“แค่เครียดๆ เหนื่อยๆ” ป๋าถอนหายใจ

“มีอะไรบอกดอทได้นะครับ”

“ดอทเพิ่งเจอเรื่องไม่ดีมาติดๆ กัน ร่างกายก็ยังไม่ดี หัวใจก็ยังไม่แข็งแรง ไม่ต้องห่วงเรื่องป๋าหรอก พักให้ดีขึ้นก่อนดีกว่า”

“ไม่เป็นไรครับ ดอทดีขึ้นมาบ้างแล้ว อยากช่วยแบ่งความทุกข์ของป๋าบ้าง อาจช่วยอะไรไม่ได้แต่ดอทจะช่วยฟังนะครับ” ผมเอื้อมมือไปจับมือป๋าแล้วบีบแน่น

อันที่จริงผมลืมเรื่องเฮียเผ่าไปตั้งแต่เจอเหตุการณ์ที่บ้านของป๋า ความตกใจ ความตื่นเต้น และความกลัวทำให้ลืมเรื่องเศร้าไปหมด  จากที่เคยคิดฆ่าตัวตายแต่พอตกอยู่ในสถานการณ์ความเป็นความตายจริงๆ กลับกลัวตายจนสั่นไปทั้งตัว ได้เห็นเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับป๋าก็นึกเห็นใจและอยากช่วยจนความทุกข์ของตัวเองคลายลงไปบ้างแล้ว

“พูดอย่างไม่อายเลยนะ ตอนนี้ป๋าหมดความมั่นใจ หมดกำลังใจ แล้วก็เหนื่อยมากเลยลูก อยากเออร์ลี่รีไทร์แต่ก็ติดที่ไม่มีใครสานต่อกิจการ บอกตามตรงป๋าเสียดายถ้าจะต้องโอนหรือให้ใครมาเทคโอเวอร์”

“ดอทขอโทษนะครับ ธุรกิจใหญ่ขนาดนั้นมันไม่เหมาะกับดอทเท่าไหร่เลย”

“ไม่เป็นไรลูก ป๋าไม่ได้บังคับ ดอทอยากรู้ป๋าก็เลยเล่าให้ฟัง ป๋าแค่อยากแชร์เรื่องของป๋าให้ดอทได้รู้บ้าง เราจะได้เป็นพ่อลูกที่สนิทใจกันจริงๆ สักที”

“ขอบคุณนะครับ” ผมยิ้มบางๆ แต่ในใจกลับแอบรู้สึกผิดเพราะถึงป๋าจะแชร์เรื่องของป๋าแต่ผมกลับไม่ได้อยากแชร์เรื่องของผมสักเท่าไหร่

“แล้วหนุ่มๆ ของลูกล่ะเป็นยังไงกันบ้าง นี่ก็เห็นคุณรุ่งเขาพูดถึงหมอวรรตอยู่หลายที แล้วอีกคนล่ะได้ข่าวบ้างหรือเปล่า”

“ไม่เลยครับ พี่เวย์ก็คงเป็นคนดีเหมือนเดิม ไม่ล้ำเส้น เล่นตามกติกา รอเวลาเหมาะสม นั่นแหละครับพี่เวย์”

หากเป็นคนอื่นอาจมีน้อยใจที่พี่เวย์ไม่เคยโผล่มาให้เห็นแม้แต่โทรศัพท์ก็ไม่มีเพราะอันที่จริงเราไม่เคยมีเบอร์โทรศัพท์ของกันและกัน ก่อนหน้านี้ติดต่อผ่านเฮียเผ่าและหมอวรรตซึ่งถ้าให้เดา พี่เวย์น่าจะไม่ขอเบอร์ของผมจากหมอวรรตแน่เพราะคงไม่อยากเสียมารยาท หากเขาจะติดต่อต้องเป็นผมที่เป็นคนให้เบอร์เขาด้วยตัวเอง  แต่ผมกลับนึกชอบใจที่เขาเด็ดเดี่ยวได้ถึงขนาดนี้ สิบหกปีที่เขารอนั่นเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าเขามั่นคงและมีความอดทนมากแค่ไหน คนแบบผมที่ค่อนข้างเอาแต่ใจอาจเหมาะกับพี่เวย์ที่จะปักหลักไม่โอนเอนส่ายไปส่ายมาตามที่ผมโยกคลอนอารมณ์ของเขา  แต่ก็นั่นแหละ ผมเองในตอนนี้คงไม่มีแก่ใจจะสานสัมพันธ์กับใคร อย่างน้อยก็ไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่

“แล้วอีกอย่าง เรื่องเฮียเผ่าก็หนักหนาจนดอทไม่อยากมีใครเข้ามาอีกเลยครับ ดอทไม่อยากมีความรู้สึกสูญเสียแบบนั้นอีกแล้ว”

“อย่างที่ป๋าบอก จากตายมันเศร้าแต่จากเป็นมันทรมานมากกว่า แต่ก็ให้เวลารักษาใจดอทเถอะนะ เรื่องของอนาคตก็ให้มันเป็นไปตามอย่างที่มันจะเป็น แค่ดอทไม่กลับไปขังตัวเองอย่างเดิมป๋าก็จะดีใจที่สุดแล้ว”

“คงไม่ทำแบบนั้นแล้วครับ ดอทสงสารคุณแม่ ที่ยอมออกมาได้ก็เพราะคุณแม่ไม่ไหวแล้วจริงๆ”

“ดีแล้วลูก ดูแลแม่เขาแทนป๋าด้วย” สีหน้าป๋าสลดลงจนน่าสงสาร เดี๋ยวนี้พูดอะไรนิดหน่อยตาก็แดงเหมือนจะร้องไห้ทุกครั้งไป

“ป๋า..ยังรักคุณแม่อยู่หรือเปล่าครับ”

ป๋าถอนหายใจเบาๆ แล้วทอดสายตาผ่านบานกระจกหน้าต่าง ห้องวีไอพีโรงพยาบาลเอกชนอันดันต้นๆ ของกรุงเทพก็แน่ละที่วิวด้านนอกจะน่ามองทว่าอารมณ์ของป๋ากลับไม่ได้สอดคล้องกับวิวด้านนอกเท่าใดนัก

“รักสิ.. ป๋ารักใครแล้วเลิกรักยาก กับคุณรุ่ง..ป๋าทั้งรักทั้งรู้สึกผิด ยิ่งไปคว้าผู้หญิงเลวๆ มาเป็นคู่เหมือนหักหน้าเขาซ้ำสอง ทั้งที่ยังไม่ได้หย่ากันก็ยิ่งรู้สึกผิดไปใหญ่ ตอนที่เขารู้ว่าผู้หญิงคนนั้นตั้งท้อง เขาโกรธจนจะฟ้องหย่า ป๋ายังจำหน้าเขาในตอนนั้นได้เลยว่ามันทั้งเศร้าทั้งผิดหวังเหมือนหัวใจแหลกสลายอีกครั้งก็ว่าได้”

“ไม่อยากลองง้อดูหน่อยเหรอครับ คุณแม่อาจจะใจอ่อนก็ได้” ผมลองถามดู

“ป๋าอยากแก้ตัวแต่มันคงเป็นไปไม่ได้ ป๋ารู้ดีว่าแม่ของลูกใจแข็งมากแค่ไหน ไม่มีทางเลยที่จะเข้าหน้าเขาติด พอรู้แบบนี้ก็นึกท้อเพราะป๋าก็ไม่อยากมีคนใหม่แล้วก็ต้องแก่ตายไปแบบตัวคนเดียว น่าสังเวชกับจุดจบของตัวเองเหมือนกัน”

“โธ่ป๋าครับ” ผมบีบมือป๋าแน่นขึ้น 


ต่อ..

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
“ป๋าอยากกลับบ้านเรา อยากอยู่กับดอทกับแม่ของดอท อาจไม่ใช่ในฐานะสามีแต่ป๋าก็ยังอยากอยู่ใกล้ๆ เผื่อได้ช่วยดูแลชดเชยความผิดของป๋า”

“เดี๋ยวดอทจะช่วยพูดอีกแรงนะครับ” ไม่มั่นใจนักแต่ก็จะพยายาม

“ไม่ต้องกดดันนะลูก แค่ลองดูถ้าไม่ได้ผลก็ไม่เป็นไร ค่อยๆ ให้เวลาช่วยก็แล้วกัน”

“ครับ” ผมยิ้มให้กำลังใจ “ป๋าไปพักดีกว่าครับ เผื่อค่ำๆ จะได้มาอีกทีอาจเจอคุณแม่ ได้ทำคะแนนสักหน่อยก็น่าจะดีนะครับ”

“แล้วลูกจะอยู่คนเดียวยังไง”

“ดอทไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วครับ ได้นอนไปขนาดนั้นถ้าไม่ดีขึ้นก็แย่แล้ว”

“คิดซะว่าชดเชยที่ไม่ค่อยได้นอนก็แล้วกัน” ป๋ายืนขึ้นแล้วอ้าแขน ผมจึงขยับเข้าไปในอ้อมกอด “ป๋ารักดอทนะ อย่าลืมนึกถึงป๋าบ้างเวลาที่ดอทรู้สึกไม่ดี ให้ป๋าได้ทำหน้าที่ของป๋าบ้างนะลูก อยากได้อะไร จะเอาดาวเอาเดือน ป๋าจะไม่ขัดใจลูกอีกแล้ว”

“ขอบคุณนะครับ ดอทรักป๋าที่สุดเลย” กลายเป็นว่ามีคนสปอยล์เพิ่มขึ้นมาอีกคน เฮ้อ ออร่าภาระของผมนี่มันรุนแรงจริงๆ

พอป๋าเดินกลับไปห้องของตัวเอง ผมจึงออกจากห้องบ้าง อยากยืดเส้นยืดสายเพราะรู้สึกเมื่อยขบจากการนอนเป็นเวลานาน  เดินเข็นเสาน้ำเกลือออกมาจนถึงเคาน์เตอร์ของวอร์ด ถัดไปเป็นมุมรับแขกเห็นตำรวจสองนายกับดินแดนนั่งคุยกันอยู่จึงเดินไปแอบที่ช่องบันไดหนีไฟเพราะอยากรู้ว่าคุยอะไรกัน

“แน่ใจนะครับว่าจะไม่แจ้งความคดีต้มตุ๋น ถ้าไม่มีเจ้าทุกข์ก็อาจต้องปล่อยเพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอนะครับ”

“ครับ คุณแดนสรวงให้ตำรวจจัดการไปตามสมควรได้เลย ท่านไม่อยากยุ่งครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดำเนินคดีไปตามกฎหมายโดยที่เจ้าทุกข์ไม่แจ้งความเอาผิดกับนางสาวศมล แต่กับนายเตชิน คุณดินแดนแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายและกักขังหน่วงเหนี่ยว กับพยายามฆ่าสามข้อหานะครับ”

“ครับ”

“ถ้าคุณชนม์แดนดีขึ้นแล้ว จะขอเชิญไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจ รบกวนโทรแจ้งด้วยนะครับ”

“ได้ครับ”

เมื่อตำรวจไปแล้ว ผมยังยืนหลบอยู่ตรงมุมนั้นเพื่อปะติดปะต่อเรื่องราว สงสัยป๋าจะปล่อยนางงูพิษนั่น ถึงจะน่าเจ็บใจแต่ถ้าป๋าตัดสินใจแล้วก็ช่างเถอะ ไม่ใช่เรื่องของผม

“มาสอบถามอาการคนป่วยห้อง 4013 ครับ ผมเป็นคนดูแลค่าใช้จ่ายของห้องนี้ชื่อดินแดนครับ”

“อ๋อจำได้ค่ะ” พยาบาลยิ้มเขิน คงไม่ต้องบอกว่าทำไมจำได้ก็เจ้าตัวโดดเด่นซะขนาดนั้น “ห้อง 4013 นางสาวศมล สุขพลมี นะคะ”

“ใช่ครับ”

“ผลการขูดมดลูกไม่มีปัญหาอะไร ช่วงนี้ต้องนอนนิ่งๆ แค่ยังอ่อนเพลียและซึมเศร้า อาจต้องดูแลสภาพจิตใจอย่างใกล้ชิด ไม่ทราบคุณดินแดนเป็นคุณพ่อหรือเปล่าคะ”

“เปล่าครับ”

“อ๋อค่ะ เห็นไม่มีใครมาเยี่ยมก็เลยสงสาร ถ้ายังไงคุณเข้าไปคุยกับคนไข้บ้างจะทำให้อาการดีขึ้นนะคะ”

“ครับ”

จากนั้นดินแดนก็เดินไปที่ห้อง 4013 ผมเดินตามไปห่างๆ แล้วแอบดูตรงช่องกระจก มองเข้าไปเห็นดินแดนยืนอยู่ปลายเตียงแต่มองไม่เห็นนางงูพิษนั่น

“พักที่นี่จนกว่าจะหาย ป๋าจะจ่ายค่ารักษาให้ทั้งหมด” ได้ยินเสียงนายดินแว่วๆ แต่ไม่ชัดจึงแนบหูเข้ากับบานประตู

“.......” ไม่มีเสียงตอบกลับ

“อย่าคิดมากเรื่องลูก เด็กเขาอาจจะรู้ว่าเวลานี้ยังไม่เหมาะที่จะมาเกิด รีบหาย รีบกลับตัว แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ วันข้างหน้าเขาจะกลับมาอีก” 

“...ป..ป๋า... เจ้าสัว เป็นยังไงบ้าง”

“ป๋าดีขึ้นแล้ว”

“แล้ว.. ท่านให้อภัยฉันหรือเปล่า”

“ไม่” ดินแดนตอบชัดเจน “แต่ไม่ได้แจ้งความแค่ให้ตำรวจสอบปากคำ ไม่มีพยานหลักฐานก็คงไม่ติดคุก”

“.....”

“ป๋าจะให้เงินเอาไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่อย่าเดินเส้นทางเดิมเพราะเงินก้อนนี้ท่านให้ชดเชยที่ท่านมีส่วนทำให้เธอแท้งลูก และมันจะมีประโยชน์ถ้าเอาไปสร้างอนาคตตัวเอง”

“ฝ..ฝากขอบคุณเจ้าสัวด้วยนะ”

“ไม่รับฝากดีกว่า ป๋าคงไม่อยากได้ยิน” นายแดนนี่เด็ดขาดดีจริงๆ ได้คือได้ ไม่ได้คือตัดจบ ปิดจ๊อบไม่ต้องยืดเยื้อ

“งั้นก็ไม่เป็นไร..เอ่อ ด..เดี๋ยว ..ขอบคุณนะ”

“ผมเหรอ?” ดินแดนถามกลับ

“อืม ขอบคุณที่ไม่ซ้ำเติม และไม่เกลียดจน..”

“จนไม่ยอมช่วยน่ะเหรอ”

“อืม”

“บอกตรงๆ นะ พอเห็นหน้าคุณผมนี่อยากตบให้หน้าแหก ไม่ใช่ที่ทำกับป๋าเพราะเรื่องนั้นป๋าก็มีส่วนผิดที่ดูคนไม่เป็น แต่ที่โมโหเพราะเรื่องพี่ดอท เห็นสภาพเขาแบบนั้นยังทำร้ายได้ลงคอ คือถ้าไม่เหี้ยจริงๆ คงทำไม่ได้อะ”

“...ฝ..ฝากขอโทษ”

“อันนี้ก็ไม่รับฝาก พี่ดอทไม่ใช่คนที่จะให้อภัยใครง่ายๆ”

“ถ้าไม่บอกว่าเป็นพี่น้องกัน ฉันจะนึกว่า..”

“นึกว่า?”

“นึกว่าเป็นคนรัก”

ดินแดนเงียบไปชั่วขณะ ดูเขาจะงงหรืออาจจะแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่คงไม่ได้ใจเต้นผิดจังหวะแบบที่ผมเป็นในตอนนี้  ผมแนบหูแน่นขึ้นเพราะไม่ได้ยินเสียงตอบของดินแดนจนเกิดเสียงดังขึ้นตรงประตู

ตายแล้ว..

รีบขยับออกมาเล็กน้อยแล้วแอบชะเง้อดูที่ช่องกระจก เห็นดินแดนเพิ่งจะหันกลับไปแต่ไม่น่าจะทันเห็นผมหรอก คิดว่าอย่างนั้นนะ

“ก็ไม่เถียง” ดินแดนพูดขึ้น “คนที่รักพี่ดอทมีเยอะและผมก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่เขาไม่ได้ต้องการความรักจากคนอื่นในตอนนี้หรอก คงอีกนานกว่าจะลืมคนรักที่เขาคิดว่ามีแค่คนเดียวในโลกแล้วปล่อยคนอื่นให้รอเขาไปเรื่อยๆ นั่นแหละ”

ไปพูดเรื่องแบบนี้ให้นางงูพิษนั่นฟังได้ยังไง  ผมมองค้อนใส่ประตูแล้วค่อยๆ ลากเสาน้ำเกลือออกจากตรงนั้นมุ่งตรงไปยังห้องของตัวเอง




“โอย.. เดินแค่นี้ก็เหนื่อย คงต้องพักอีกเยอะ” ถึงกับต้องบ่นเมื่อมาถึงเตียงหลายนาทีแล้วแต่ยังนั่งหอบไม่หยุด

ชีวิตวนเวียนอยู่กับโรงพยาบาลมากี่รอบแล้วนะ เจ็บเพราะเฮียหลายรอบแต่ที่หนักถึงขนาดต้องแอดมิดก็สองรอบ ตอนไปช่วยสกายก็แผลใหญ่แต่ยังดีที่แค่ทำแผลแล้วกลับบ้าน ตอนติดป่ากับพี่เวย์ แล้วก็มารอบนี้ เฮ้อ คนอื่นเขาเป็นแบบนี้กันบ้างหรือเปล่า

นั่งคิดทบทวนสิ่งที่ดินแดนพูดแล้วน้ำตาคลอ มันก็จริงที่เฮียเผ่ารักผมมากซึ่งเขาไม่ใช่คนเดียวในโลกนี้ที่รักผม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยากที่จะไม่รู้สึกอะไร

เฮียครับ ดอทคิดถึงเฮียจัง..



วันรุ่งขึ้นผมขอกลับบ้าน เบื่อโรงพยาบาลแล้วและเกรงใจคุณแม่ด้วยเพราะท่านมาคุม.. หมายถึงมาเฝ้าแทบจะ 24 ชั่วโมง

“ป๋ายังไม่ได้กลับ หมอให้อยู่ดูอาการต่ออีกสองวัน” ผมไปเยี่ยมป๋าขณะที่รอเคลียร์ค่าใช้จ่าย

“แล้วทำไมถึงเดินไปห้องดอทล่ะครับ”

“ที่จริงป๋าแค่ยังไม่อยากกลับบ้าน” สีหน้าของป๋าดูไม่สดใส อาจจะเป็นเพราะไม่รู้จะกลับไปตรงไหนมากกว่า

“ดอท..” พูดไม่ออก อยากช่วยแต่ไม่รู้จะช่วยยังไง เมื่อคืนลองเกริ่นกับคุณแม่ว่าผมอยากให้ลองคุยกัน แค่นั้นคุณแม่ก็ปิดประตูใส่ด้วยการบอกว่า ‘ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับดอท แม่ทำใจคุยได้ แต่ถ้าไม่ใช่ แม่ว่าอยู่กันคนละโลกจะดีกว่า’

“ไม่ต้องห่วงป๋านะ ขอเวลาอีกหน่อย คิดว่าคงจะวางมือจากธุรกิจนั่นแหละแต่ก่อนหน้านั้นก็ต้องจัดการอะไรๆ อีกเยอะ ยังไงก็ต้องรอให้สภาพจิตใจพร้อมกว่านี้ ก็น่าจะอีกพักใหญ่” ตอนนี้ใจป๋าคงพังไปหมดแล้ว กำลังใจไม่มีเหลือแถมยังไม่มีที่ไป

“ป๋าอยากให้ดอททำงานแทนหรือเปล่าครับ” ผมตัดสินใจถาม

ป๋าเงียบไปแล้วมองผมด้วยแววตาหม่นหมอง “ถ้าดอทเต็มใจ ป๋าจะมีความสุขมากแต่ป๋ารู้ว่าดอทไม่อยากทำ ไม่เป็นไรหรอกลูก มันก็แค่ของนอกกาย”

“แล้วถ้าเป็นดินแดนล่ะครับ”

“ไอ้เสือนั่นมันรักอิสระ อาจจะยากกว่าขอให้ดอทมาทำด้วยซ้ำ” ป๋ายิ้มขื่น “แล้วอีกอย่าง ป๋าก็ละอายใจที่เป็นต้นเหตุให้เจ้าดินมันต้องออกไปสู้ชีวิตลำพังแบบนั้น มันอยู่มาได้ถึงขนาดนี้และมีความสุขกับชีวิตแล้วป๋าจะเห็นแก่ตัวไปแย่งเอาชีวิตมันมาได้ยังไง อีกอย่างก็เคยเกริ่นถามไปครั้งหนึ่งแล้วว่าอยากมาทำไหมแต่เจ้าดินมันส่ายหัวดิกไม่ยอมแม้แต่จะลองด้วยซ้ำ”

นั่นสินะ ดินแดนมีตัวตนและจุดยืนชัดเจนขนาดนั้น เป็นไปได้ยากกว่าผมด้วยซ้ำ

“ยังไงดอทจะลองถามน้องดูก่อนนะครับ”

“ถ้าดอทอยากลองดูก็ได้แต่จำไว้ว่าถึงป๋าจะอยากให้ลูกๆ สืบทอดธุรกิจแต่ไม่ได้มากไปกว่าอยากเห็นความสุขของลูกหรอก”

++++++++++++++++++++++



ตอนนี้ผมกลับถึงบ้านแล้ว คุณแม่บอกว่าหมอวรรตขอมารับแต่ผมปฏิเสธไป ตอนนี้ยังไม่อยากให้ใครมายุ่งวุ่นวาย ถึงจะเลิกฟูมฟายแต่อารมณ์ยังไม่เสถียรขนาดนั้น

และเรื่องที่กวนใจผมมากที่สุดในตอนนี้ก็คือเรื่องของป๋า

ถ้าดินแดนยอมสืบทอดธุรกิจต่อจากป๋า ผมก็จะแบ่งตารางงานไปช่วยเขาด้วย ซึ่งอันดับแรกต้องกล่อมให้เขาตกลงเสียก่อนซึ่งมันไม่ง่ายเลย คนแบบนั้นควรต้องพูดแนวไหนดีนะ เขาจะยอมให้กับอะไรบ้าง

ใช่แล้ว! สกายไง คนที่ชนะคนแบบดินแดนก็มีแต่สกายคนเดียวเท่านั้น

ผมกดโทรออกหาสกายทันที จะว่าไปตั้งแต่ไม่ได้จัดคิวงานให้ก็ไม่ได้โทร ไม่ได้ไลน์หาเลย

“ค..ครับ?” สกายรับสายด้วยเสียงที่ตกประหม่า เหมือนไม่อยากเชื่อว่าผมจะโทรหา

“ว่างไหม ฉันมีเรื่องอยากปรึกษา”

“คุณดอท.. ดีขึ้นแล้วเหรอครับ”

“อืม ก็..” พูดไม่ออก จะบอกว่าดีได้ยังไงในเมื่อข้างในมันยังพังอยู่แบบนี้

“ผมเอาใจช่วยอยู่นะครับ” สกายคงจะเดาคำตอบได้จึงให้กำลังใจกลับมา

“อืม..ขอบใจนะ”

“ครับ”

“ว่าแต่ดินแดน..อยู่แถวนั้นหรือเปล่า”

“0829829XXX”

“บอกเบอร์ทำไม?”

“ก็คุณอยากคุยกับดินแดน” ทำไมต้องทำเสียงขุ่น

เฮ้อ จะรับมือยังไงกับเด็กคนนี้ดี จะตีจะดุเหมือนที่ทำกับดินแดนก็ไม่ได้เพราะเขาไม่ได้ล้นขนาดนั้น แค่กวนแบบขวานผ่าซากแต่ก็คือกวนนะ ไม่น่าจะน้อยด้วย

“ที่ถามถึงเพราะถ้าเขาอยู่ ฉันจะยังไม่คุย”

“อ๋อ ไม่อยู่ครับ” เสียงของสกายกลับมาเป็นปกติ

ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่าสกายเปลี่ยนไป เมื่อก่อนจับแทบไม่ได้ว่าเขาคิดหรือรู้สึกยังไงบ้าง หรือจะเป็นเพราะตอนนี้เราไม่ได้เกลียดกันแล้ว เขาก็เลยไม่เก็บอาการ

“คือ..เธอจะว่ายังไงถ้าดินแดนเปลี่ยนชีวิตตัวเองมารับช่วงธุรกิจต่อจากป๋า”

“ไม่ว่ายังไงครับ” อืม ถามคำตอบคำ ไม่อยากรู้เลยหรือไงว่าฉันอยากสื่ออะไร คุยกับสกายแล้วอึดอัดชะมัด

“เธอไม่ว่าจริงๆ หรือแค่ยังไม่แน่ใจว่าจะว่าหรือเปล่า หรือแค่รอให้มันเกิดขึ้นก่อนแล้วค่อยว่า”

“คุณดอทครับ” แทนที่จะตอบคำถามแต่กลับเรียกชื่อผมขึ้นมาเสียอย่างนั้น เล่นเอาตกใจ

“อ..อืม ว่าไง?”

“คุณพูดในสิ่งที่คุณอยากให้ผมทำเลยก็ได้ เหมือนเมือก่อนตอนที่คุณบรีฟงาน ผมชอบแบบนั้น”

ชอบ? คนอย่างสกายมีอารมณ์ร่วมกับสิ่งรอบกายด้วยเหรอเนี่ย

“ชอบตอนที่เราเกลียดกันอะนะ” ผมแกล้งหยอกกลับไปเป็นการช่วยละลายพฤติกรรม

“ไม่ใช่ครับ ตอนนั้นเกลียดจริงแต่ก็ยังชอบบางอย่าง แยกเป็นส่วนๆ”

“อืม ดินแดนน่าจะตั้งฉายาเธอว่า ‘ขวานฟ้า’ มากกว่า ‘หน้านิ่ง’ นะ ขวานผ่าซากรวมกับชื่อสกายก็จะเป็นขวานฟ้า เด็กอะไรไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย”

“อยู่กับผมที่ไม่มีอารมณ์ขัน คุณดอทก็จะกลายเป็นคนอารมณ์ขันแทนก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอครับ”

จะว่าอย่างนั้นมันก็ใช่นะ แต่.. จะไปอยู่กับเธอทำไม แค่คุยเรื่องสำคัญก็พอแล้ว

“ไม่น่าจะดีในระยะยาวนะ ฉันคงขี้เกียจหามุกมาทำให้เธอหัวเราะแบบที่ดินแดนทำ”

“ถ้าขี้เกียจก็แค่เป็นตัวของตัวเอง ผมชอบแบบนั้น”

ชอบ? อีกแล้ว?

ใครเขาพูดอะไรแบบนี้กันบ่อยๆ

“อ..เอ้อใช่ เรื่องที่จะปรึกษา คือว่าตอนนี้ป๋าบ่นว่าเหนื่อยมากอยากวางมือจากบริษัท ฉันก็ไม่ใช่แนวทำธุรกิจเต็มตัวได้ขนาดนั้นถ้าให้ช่วยบางงานก็พอไหว แต่ถ้าเป็นดินแดนคงเหมาะมากเพราะเขาเก่งรอบตัวแล้วก็เข้าสังคมเก่ง เธอคิดว่าดินจะยอมหรือเปล่าถ้าฉันจะขอให้เขามาสานต่อธุรกิจของป๋า”

“ไม่น่าจะยอมนะครับ”

“โห มีกำลังใจขึ้นเยอะเลย” ผมประชด

“ฮ่าๆ”

สกายหัวเราะ!?

ถึงจะเบาๆ แต่เป็นครั้งแรกที่ได้ยิน หวังว่าไม่ใช่หัวเราะประชดหรอกนะ

“คุณไม่ต้องหามุกจริงๆ นะ  คุณแค่เป็นตัวของตัวเอง ผมก็นึกเอ็นดูและอารมณ์ดีแล้ว”

เอ็นดู?

“เป็นเด็กเป็นเล็กจะมาบอกว่าเอ็นดูผู้ใหญ่เนี่ยนะ”

“ครับ” ตอบแบบนี้แล้วจะไปต่อยังไงล่ะ

“ช่างเถอะ สรุป คือดินไม่ยอมแน่ๆ ใช่หรือเปล่า”

“ผมแค่คาดเดาเพราะดินแดนเป็นคนรักอิสระมาก แต่ถ้ามีเหตุผลบวกกับข้อต่อรองดีๆ เขาอาจจะยอม”

เหตุผลน่ะมีอยู่แล้วเพราะเรื่องของป๋าที่เหนื่อยและอยากพักก็น่าจะมีน้ำหนักอยู่มาก แต่..

“ข้อต่อรอง? อย่างเช่นอะไรบ้าง”

“ลองบอกเขาว่าถ้าเขายอมเปลี่ยนชีวิตตัวเองไปสานต่องานธุรกิจ คุณดอทจะยอมกลับไปใช้ชีวิตของตัวเองอย่างปกติอีกครั้ง จะปล่อยให้เรื่องของคุณเผ่าอยู่ในความทรงจำดีๆ แล้วก้าวไปข้างหน้า จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเพื่อทดแทนชีวิตของคุณเผ่าที่ยกให้คุณทั้งชีวิต”

รู้สึกได้ถึงก้อนสะอื้นจุกขึ้นที่ลำคอเพราะสิ่งที่สกายแนะนำ ไม่ใช่แค่แทงใจดำแต่ความหมายมันมากกว่านั้น เหมือนเขาจะบอกเป็นนัยว่าคนที่รักผมอย่างดินแดนพร้อมสละตัวตนเพื่อแลกกับที่ผมจะก้าวต่อในชีวิต

หรือก็คือ ถ้าผมยังจมปลักอยู่กับความทุกข์เหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้ เรื่องก็ไม่ได้จบแค่ความเจ็บปวดของผม แต่คนรอบข้างก็เจ็บปวดจนเขาสามารถจะแลกอะไรก็ได้เพื่อให้ผมมีความสุข

หรือว่ามันจะถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องมูฟออน..

“เรากลับไปเกลียดกันอย่างเดิมดีกว่าไหมสกาย”

“ฮ่าๆๆ ไม่ดีมั้งครับ” หัวเราะอีกแล้ว? ก็ดีนะที่ทำให้คนอื่นหัวเราะบ้าง เริ่มเข้าใจดินแดนขึ้นมาแล้วว่าทำไมถึงได้บ้าๆ ล้นๆ แบบนั้น การได้รู้ว่าคนอื่นยิ้มได้เพราะเรา สมองเราก็ผ่อนคลายไปด้วยเช่นกัน

“ผมอยากให้คุณรับมือกับความเครียดด้วยอารมณ์ขันแบบที่คุณทำกับผมเมื่อกี้นะ และผมก็รู้ว่าคุณเข้าใจเหตุผลของมัน”

นี่ไง เด็กคนนี้ดักทางเก่งจริงๆ ฉลาด ทันคน ไม่ใช่ธรรมดาจริงๆ

“อืม จะพยายาม” ผมรับคำสั้นๆ “แล้วเธอล่ะ ถ้าดินแดนเปลี่ยนชีวิต เธอจะโอเคหรือเปล่า”

“ผมกับดินแดน ไม่ได้ให้น้ำหนักตรงที่ใครทำอะไร แต่ในทุกสิ่งที่ทำ เราจะเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น มันคือความเข้าใจครับ เพราะฉะนั้นไม่ว่าอีกคนจะตัดสินใจยังไง อีกคนก็จะหาที่อยู่เหมาะๆ สำหรับความเข้าใจได้เสมอ คุณไม่ต้องห่วง”

ไม่ใช่แค่คำอธิบายเพราะมันยังเป็นคำสอนกลายๆ ได้ด้วย ยิ่งเรื่องเถียงนี่ไม่ต้องคิดเลย สกายไม่ใช่คนที่จะลงลึกเรื่องรายละเอียด เขาจะไม่พูดว่าเขาจะทำยังไงแต่มักพูดกว้างๆ ครอบคลุมแก่นของสิ่งที่จะพูดไว้ทั้งหมดโดยไม่มีช่องโหว่

“โรแมนติกขนาดนี้ เริ่มอิจฉาเธอสองคนแล้วนะ”

“จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเราก็ได้นี่ครับ”

WHAT!?

“ถ้าเป็นมุก ขอบอกว่าไม่ผ่าน” ผมตอบกลับ “โอเคงั้นเรื่องนี้เดี๋ยวฉันจะลองคุยกับดินแดนดู”

“ครับ” 

“ตอนแรกว่าจะให้เธอเจรจาช่วยหน่อย ที่ไหนได้ กลายเป็นต้องคุยเองแล้วให้ข้อแลกเปลี่ยนเองไปอีก”

“ถึงผมช่วยพูด ดินแดนก็ไม่ยอมหรอกครับ”

“ทำไมล่ะ”

“เพราะเขารู้ว่าผมไม่ได้ต้องการหรือไม่ต้องการด้วยตัวเอง ถึงดินแดนจะบ้าๆ บอๆ แต่เขาฉลาด อะไรที่สำคัญ เขาจะให้ความสำคัญแต่อะไรที่ไม่สำคัญ เขาก็จะปล่อยผ่าน”

“อ๋อ จะบอกว่าเรื่องของป๋าไม่ได้สำคัญกับเธอถึงขนาดที่ดินแดนจะให้ความสำคัญ อะไรแบบนี้ใช่หรือเปล่า”

“ครับ แต่ถ้าผมขอร้องเรื่องพ่อของผม ดินแดนจะไม่ยอมปล่อยผ่าน”

“อืม เริ่มเข้าใจแล้ว”

ที่ว่าเข้าใจ ไม่ใช่เรื่องที่เขาอธิบาย แต่เข้าใจคำว่า ‘เข้าใจ’ ของสกายและดินแดน สองคนนี้ถึงบุคลิกจะต่างกันแบบคนละขั้วแต่ทั้งคู่เข้าใจกันลึกซึ้งจนผมเริ่มรู้สึกว่าอยากมีคนที่เข้าใจผมจริงๆ แบบนี้สักคนขึ้นมาบ้างแล้ว

“ครับ” สกายตอบรับสั้นๆ

“ขอบใจนะ งั้นไม่กวนแล้ว”

“คุณดอทครับ”

“หืม?”

“ดีใจนะครับที่คุณโทรมา”

“ห..หา?”

“ผมดีใจที่คุณดอทโทรมา” ก็ยังย้ำคำเดิม “จะดีใจมากถ้าโทรมาบ่อยๆ”

“อ..อืม” ไม่รู้จะพูดอะไร โทรบ่อย? โทรทำไม? โทรเรื่องอะไร? ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญใครจะโทร?

“ผมรอนะครับ”

รอ?

ถ้าไม่ติดว่าสกายเป็นแฟนของดินแดน ผมคงนึกว่าเขาจีบ

“อ..อืม ค..แค่นี้นะ”

“ครับ”

+++++++++++++++++++++++++


วันถัดมาก็ไปให้ปากคำที่โรงพัก ผมจัดเต็มบอกทุกรายละเอียดที่ได้เจอและถูกกระทำ แถมแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกายกับศมลไปหนึ่งข้อหา  ส่วนไอ้เต้นั่นมันโดนหลายข้อหาและคงไม่มีปัญหาสู้คดีด้วยเพราะกำลังโดนเจ้าหนี้พนันตามตัวอยู่  นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงมาเกาะป๋า

“พี่นี่สุดจริงๆ” ดินแดนคอยพยุงลงจากสถานนีตำรวจ ร่างกายของผมยังอ่อนเพลียก็จริงแต่ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นแต่ทุกคนคอยประคบประหงมเหมือนผมเป็นโรคร้ายอย่างนั้นแหละ

อันที่จริงเรานัดแนะกันก่อนเข้าไปให้ปากคำว่าป๋าไม่แจ้งความกับศมล ให้ผมเล่าแค่คร่าวๆ ก็พอ

“เรื่อง?” ผมทำหน้ามึนไม่รู้ไม่ชี้

“อาฆาตเก่ง แค้นข้ามภพข้ามชาติ นี่ขนาดรู้ว่าเขาแท้งนะ”

“ถ้าไม่ชอบไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องมายุ่ง” ว่าแล้วก็แกะมือเขาออกแล้วเดินเอง

“เอ้า ผมพูดเล่น” ดินแดนหัวเราะแล้วรีบเข้ามาพยุงอีกครั้ง “พี่ทำอะไรผมก็เห็นด้วยทั้งนั้นแหละ หายงอนนะเดี๋ยวพาไปกินไอติม”

“ไม่ใช่เด็ก” หันไปทำตาเขียวใส่ ไม่ชอบเลยเวลาถูกต่อว่า

“ครับๆ ไม่เด็กก็ไม่เด็ก” ดินแดนพาขึ้นรถแล้วขับไปส่งที่บ้าน “ทำไมถึงแจ้งความล่ะ ปกติพี่ไม่ชอบยุ่งกับตำรวจไม่ใช่เหรอ ขนาดเรื่องเฮีย..”  ดินแดนชะงักไปเมื่อนึกได้ว่าอาจจะสะกิดแผลของผม

“อืม ไม่ชอบ” ผมตอบเสียงเบา แค่ได้ยินคำว่าเฮียก็ใจแกว่ง “แต่อยากเอาคืนบ้าง ที่มันต้องเสียลูกไปก็ดีแล้ว เด็กเกิดมากับพ่อแม่แบบนั้นคงน่าสงสาร แล้วอีกหน่อยมันก็ลืม แต่สิ่งที่มันทำเหมือนทำลายบั้นปลายชีวิตของป๋า ดับไฟในตัวป๋าจนมอดไปหมด แถมยังได้เงินไปตั้งต้นชีวิตใหม่ คิดแล้วมันไม่ยุติธรรม”

“แต่ข้อหาทำร้ายร่างกายมันก็แค่ถูกปรับ”

“แค่นั้นก็แค่นั้น ฉันแค่อยากเตือนว่าฉันไม่ได้ใจดีเหมือนคนอื่น”

“ก็ใจดีนั่นแหละน่า” ดินแดนยิ้มเอ็นดู “ถ้าพี่ร้ายจริงคงแจ้งข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวและข่มขู่กรรโชกทรัพย์หรือพยายามฆ่าก็ยังได้ ถ้าแบบนั้นคงไม่ใช่แค่โดนปรับ”

“ไม่ได้ใจดีนะ แค่คิดแล้วว่าแบบนั้นมันจะได้ไม่คุ้มเสีย” ผมอธิบาย “เพราะถ้าข้อหาหนักก็ต้องขึ้นศาล แล้วมันก็ต้องเอาเงินที่ป๋าให้ไปประกันตัวสู้คดีจนเงินหมด ความตั้งใจของป๋าก็จะสูญเปล่า ก็แค่นั้น”

“ผมละชอบใจพี่จริงๆ” มือหนายื่นมาหยิกแก้ม “ตัวร้ายที่น่ารัก”

ผมแค่หันไปค้อนเพราะไม่อยากคุยอะไรมาก  ถ้าไม่ติดว่าป๋ารู้สึกไม่ดีที่ทำให้นางงูพิษแท้งลูก ผมจะไม่ยอมปล่อยไว้แน่ 

+++++++++++++++++++++++



หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ถึงจะกลับมาอยู่บ้านแต่ยังหมกตัวอยู่ในห้องทว่าครั้งนี้ไม่ได้ปิดล็อคประตูและยอมให้คุณแม่เข้ามาดูแลได้ตามที่ท่านต้องการ  การกินการนอนยังคงไม่ปกติเพราะพออยู่คนเดียวทีไรก็เผลอร้องไห้ทุกครั้ง

ตอนนี้กำลังพยายามที่จะอยู่ให้ได้ กินให้อิ่ม นอนให้หลับ แต่มันยากจนบางทีก็นึกท้อจนต้องย้ายกล่องของเฮียไปเก็บไว้ในตู้เพราะคงอีกนานกว่าจะทำใจเปิดดูได้

ผมเป็นคนขี้ขลาด ถ้ารู้ว่าจะมีอะไรมากระทบใจก็จะ skip ข้ามไปก่อนเพื่ออยู่ในเซฟโซน  ขนาดรูปหน้าจอโทรศัพท์มือถือก็ยังเปลี่ยนเป็นสีดำ ไม่กล้าเฉียดไปใกล้เฮีย แต่ก็ไม่เคยคิดออกห่าง  น่าจะคล้ายกับการล่ามโซ่ตัวเอง โซ่ที่มองไม่เห็นแต่รับรู้ได้ว่ามันมีอยู่



วันเวลาผ่านไป เข้าสู่ร้อยวันของเฮียอย่างเชื่องช้ากว่าจะผ่านไปแต่ละวันยังคงยากเย็น ผมยังอยู่ในเซฟโซน พิธีอะไรเกี่ยวกับเฮียผมไม่เคยไปแม้แต่ครั้งเดียว ถึงจะรู้สึกผิดอยู่ในใจลึกๆ แต่ผมทำใจไม่ได้ถ้าต้องรับรู้ว่าเฮียจากไปแล้วจริงๆ  บางทีก็ยังคิดเหมือนเดิมคืออยากตื่นขึ้นมาแล้วพบว่ามันเป็นแค่ฝันร้าย

“ผมเข้าไปหาได้ไหมพี่” ดินแดนโทรมาขอก่อนเพราะผมบอกทุกคนไปว่างดเยี่ยมถ้าไม่ได้รับอนุญาต

“มีอะไรคุยทางนี้ก็ได้” ผมบอกเสียงเนือยๆ เพราะรู้สึกเพลีย

“ผมเพิ่งกลับจาก..งานเฮีย อยากเข้าไปกอดพี่” 

ถึงตรงนี้ก็ได้แต่ให้ความเงียบแทนคำพูดเพราะน้ำตาหยดไหลเป็นทาง 

“พี่ดอท..” ดินแดนเรียกเสียงอ่อน “นานขนาดนี้พี่ยัง..”

“เข้ามาสิ ฉันมีเรื่องจะคุยพอดี”

“ด..ได้เหรอ! แน่นะพี่!”

“อืม”

“ไม่เกินชั่วโมงถึงเลยที่รัก ผมจะรีบให้สุดชีวิต”

“ดิน..”

“ครับ?”

“อย่าขับรถเร็ว ฉันคงไม่อยากอยู่แล้วถ้าต้องเสียใครไปอีก”

“โธ่พี่ดอท อยากกอดซะตอนนี้แล้วอะ แต่จะอดทนนะ จะไม่ขับเร็ว จะปลอดภัยไปหาพี่นะครับ”

“อืม”

ผมวางโทรศัพท์พร้อมกับน้ำตาที่ไหลเป็นสาย  มันไม่ง่ายจริงๆ ที่จะหลุดออกจากความสูญเสียครั้งนี้ไปได้  แต่ยังไงก็ต้องพยายาม สำคัญที่สุดก็คือคุณแม่ ผมต้องทำให้ได้

เฮียครับ.. ช่วยดอทด้วยนะ เฮียเป็นกำลังใจให้ดอทนะครับ


ต่อ..

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
“มาค่ำๆ มืดๆ ไม่รู้จักเวล่ำเวลา อย่าคุยนานนักล่ะเดี๋ยวจะเลยเวลานอน” เสียงคุณแม่แข็งกระด้างแบบนี้คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุยกับดินแดน

“คร้าบบ เที่ยงคืนปุ๊บกลับปั๊บเลยครับผม”

“นี่! ไอ้ลูก.. ฮึ่ม!!”

ปวดหัวจริงๆ กับความกวนของนายดิน เมื่อไหร่จะลงให้คุณแม่เสียทีก็ไม่รู้

ตอนนี้ใกล้จะหนึ่งทุ่ม ผมอาบน้ำอาบท่าอยู่ในชุดนอนแล้วแต่ก็สวมชุดคลุมเอาไว้รอคุยกับดินแดนก่อนแล้วค่อยนอน

เมื่อประตูเปิด ร่างสูงก้าวเข้ามา เขาปิดประตูแล้วล็อคแน่นหนาทำให้ต้องเอ่ยถาม

“ล็อคทำไมเดี๋ยวคุณแม่ก็บ่น” ผมนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง กำลังจะลุกไปเปิดล็อคแต่ร่างสูงก็ปราดเข้ามากดไหล่ให้นั่งอยู่ที่เดิม จากนั้นเขาก็นั่งลงใกล้ๆ

“ถ้าแม่ใหญ่เข้ามาเห็นเราสองคน รับรองไม่ใช่แค่บ่นแต่จะด่าตะเพิดผมมากกว่า” งงปนเหวอไปชั่วขณะเพราะคำพูดกำกวมของดินแดน  “อะน่ะ คิดลึกอะดิ”

“ใครคิดอะไร” ผมทุบแขนล่ำไปหนึ่งทีไม่ใช่แค่เรื่องล้อเลียนแต่ไอ้เด็กบ้ามันถอดเสื้อแจ็คเก็ตโยนไปพาดบนโต๊ะหัวเตียงแล้วล้มตัวมานอนหนุนตักผมหน้าตาเฉย

“พี่นี่มือหนัก” ดินแดนบ่นแต่ก็คว้ามือผมไปแนบแก้ม “แต่หอม”

“อย่าเยอะ” คราวนี้ไม่ตีอย่างเดียวแต่ผลักให้ร่วงตกเตียงไปเลย

“ตะกี้พูดเสียงสั่นซะน่าสงสาร มาตอนนี้อย่างกับมารร้าย” หันมาค้อนแต่ก็ยังนั่งจุมปุ๊กอยู่ที่พื้นไม่ยอมขยับ

“ไหนบอกจะมากอด นี่รอตั้งชั่วโมงครึ่ง” ขยับไปนั่งหย่อนขาอยู่ข้างเตียง แกล้งใช้เท้าแกว่งไปโดนแขนคนที่นั่งอยู่เบาๆ

“ก็ใครสั่งไว้ให้ขับช้าๆ ใจผมถึงตั้งแต่สามนาทีแรกแล้วเหอะ” ร่างสูงลุกขึ้นมานั่งข้างๆ หันหน้าเข้าหาก่อนจะอ้าแขนออก  “มาให้กอดหน่อยครับ”

แพ้สายตาของดินแดนเวลาเข้าโหมดอ่อนโยน เขาไม่ได้จู่โจมเข้ามาแต่จ้องรอให้ผมเข้าไปกอด เราสื่อสารกันผ่านดวงตา เหมือนว่าเขากำลังเล่าเรื่องที่ได้พบเห็นในงานของเฮียวันนี้โดยไม่ต้องเอ่ยคำใด

ริมฝีปากของผมเริ่มสั่น รู้สึกถึงน้ำอุ่นๆ กำลังคลออยู่เต็มหน่วยตา ไม่ใช่แค่ผมแต่ดินแดนก็กัดกรามข่มอารมณ์ไว้เช่นกัน

“จ..เจอ..เฮียไหม” เมื่อทนต่อความโศกเศร้าไม่ไหวผมจึงโผเข้าหาอ้อมกอดนั้น น้ำตาเหมือนสั่งได้ แค่พูดคำว่าเฮียก็ร่วงเผาะจนนองหน้า

อดไม่ได้ที่จะฝันลมๆ แล้งๆ ว่าที่จริงเฮียยังอยู่บนโลกใบนี้ไม่ได้จากไปไหน  ผมร้องไห้ตัวสั่นเทิ้มเมื่อให้คำตอบกับตัวเองว่าดินแดนไม่ได้เจอเฮีย เฮียไม่ได้อยู่กับเราอีกแล้ว..

“โธ่พี่ดอท” ลำแขนแกร่งรวบกอดพลางลูบหลังปลอบใจ “ผมจะช่วยพี่ยังไงได้บ้าง”

“ฮึก..ฮือออ  ฮือๆๆๆ”

นานทีเดียวที่ผมซุกหน้ากับอกของดินแดน ไม่ได้มีอารมณ์ในเชิงชู้สาวมีแค่ความอบอุ่นที่ได้รับจากเขา ความพิเศษของน้องชายคนนี้ก็คือความเงียบ เวลาที่เขาเงียบ มันเหมือนกับว่าเขาได้ร่ายมนตร์อะไรบางอย่างไว้แทนคำพูด มันอบอวลไปด้วยไออุ่นและความหมายที่แสนวิเศษ

“ดิน..” ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นเมื่อเริ่มนิ่งขึ้น

“ครับ” ดินแดนเช็ดคราบน้ำตาแล้วจุมพิตลงบนหน้าผาก 

คงเป็นอะไรแบบนี้ที่ทำให้เขาต้องล็อคห้องเพราะกลัวว่าคุณแม่จะมาเห็น และแน่นอนว่าท่านจะไม่เข้าใจเราสองคนแน่ๆ เพราะความจริงแล้วผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมต้องสกินชิปกันถึงขนาดนี้

“คำถามเมื่อกี้ ลองถามอีกครั้งสิ” ผมเริ่มเกริ่น

“คำถาม? อันไหน”

“ประโยคสุดท้ายที่เธอพูด”

“ผม..จะช่วยพี่ยังไงได้บ้าง? อันนี้เหรอ”

“อืม”

“ครับ ผมจะช่วยพี่ยังไงได้บ้าง?” สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์

“ถ้าบอกว่ามีวิธีที่จะช่วยได้ เธอจะทำไหม”

“ก็ลองว่ามา” ดินแดนยักไหล่ สีหน้าจริงจัง

“ตอนนี้ป๋ากลับไปพักที่โรงแรม”

“ครับ”

“แต่ป๋าได้บอกไหมเรื่องที่อยากวางมือจากธุรกิจ”

“ก็พอจะดูออกว่าป๋าซึมๆ ไม่มีค่อยกำลังใจจะทำอะไร ที่สำคัญดูแก่ขึ้นเป็นสิบปี นี่ผมก็ยังคิดอยู่ว่าจะช่วยป๋ายังไง”

“ช่วยป๋าและช่วยฉันได้ด้วย แค่เธอ..”

“ผม..?” ใบหน้าหล่อเลิกคิ้วรอลุ้นคำต่อไป

“แค่เธอ.. เข้าไปบริหารกิจการแทนป๋า”

“........”  คิ้วที่เลิกขึ้นขมวดลงมาแค่ข้างเดียวเหมือนเป็นเรื่องประหลาดที่สุดที่เขาไม่เคยนึกมาก่อนว่าจะได้ยิน  มือหนายกขึ้นปิดปากก่อนจะถูนิ้วไปมาบนริมฝีปากของตัวเอง

ดินแดนเก็ทเร็วมากในสิ่งที่ผมต้องการสื่อ เขาไม่ถามกลับไม่ทำเป็นเล่นเหมือนเคย คงรู้ว่าเป็นเรื่องจริงจังในระดับที่สูงมาก

“ฉันจะแลกด้วยการกลับออกไปใช้ชีวิตอีกครั้ง จะพยายามมีความสุข และจะอยู่ข้างๆ ช่วยเธอไปด้วย เราจะช่วยกันดูแลงานของป๋า เธอจะยอมรับข้อเสนอของฉันหรือเปล่า”

“.........” เห็นได้ชัดว่าดินแดนค่อนข้างเครียด เขาหรี่ตาจ้องผมนิ่งในแบบที่ไม่เคยเห็นอารมณ์นี้มาก่อน 

เริ่มใจเสียเพราะคิดว่าคงไม่สำเร็จ ผมรู้ว่าเป็นคำขอที่มากเกินไป ถ้าเขาจะไม่ตอบรับผมก็จะไม่โกรธแม้แต่นิดเดียว


“ดิน..” เมื่อให้เวลาคิดอยู่นานแต่ไม่มีการตอบรับ ผมจึงเอื้อมมือไปจับต้นขาของเขาเบาๆ เพื่อกระตุ้นเตือน

ดินแดนหลับตาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเสยผมแล้วลืมตาขึ้นมองผมนิ่งอีกครั้ง

“ข้อแรกเลยนะ..” เขาเริ่มพูดและผมก็ตั้งใจฟังอย่างที่สุด หัวใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ลุ้นว่าเขาจะตอบรับหรือปฏิเสธ “เวลาที่พี่เรียกชื่อผมแค่คำเดียวแล้วมองอ้อนแบบนี้ บอกตามตรงว่าผมคิดว่ะ”

“คิด?”

“คิดหื่นอะ”

เพี้ยะ!

“ซี๊ด.. แสบ” ก็สมควรจะแสบเพราะฟาดไปที่สันกรามแบบให้เฉียดๆ เพื่อความเจ็บๆ แสบๆ คันๆ

“อย่าลามปามให้มากนัก ถ้าฉันโกรธขึ้นมาเธอนั่นแหละจะเดือดร้อน”

“พูดจริงก็หาว่าลาม ไม่ดูตัวเองมั่งว่าเวลาเรียกแบบนี้แล้วมันน่าแค่ไหน”

“บ่นอะไร เดี๋ยวเถอะ!” เห็นกัดฟันพูดอะไรงุบงิบแต่จับใจความไม่ได้ก็ฟาดเข้าให้อีกทีแต่คราวนี้เขารับไว้ได้ “ปล่อย”

“แค่นี้ต้องดุ ก็ปล่อยแล้วนี่ไง” ยังมาค้อนใส่อีก ไอ้เด็กนี่มันน่าตีจริงๆ

“จะเอายังไงก็ว่ามา” เริ่มหงุดหงิดแล้วนะ เปลี่ยนโหมดไปมาจนงงไปหมดแล้ว

“ไอ้คำว่าพยายามมีความสุขของพี่มันกว้างไป ผมขอแบบที่มันเห็นภาพชัดกว่านี้หน่อย” ค่อยยังชั่วที่ตอนนี้กลับเข้าโหมดจริงจังอีกครั้ง

“ก็น่าจะหมายถึง.. ออกไปทำอะไรที่ต้องทำ ทำอะไรที่เคยชอบ กินอะไรที่อยากกิน ไปเที่ยว ไปพบผู้คน แล้วก็ไม่ปิดกั้นตัวเอง ถึงมันจะทำยากและฉันไม่อยากทำ แต่ถ้าเธอยอมแลก ฉันก็จะยอมทำ”

“เอาจริง ถ้าผมไม่ยอม พี่จะจมอยู่ในห้องนี้ไปตลอดเลยเหรอ”

“บอกตรงๆ ว่าไม่แน่ใจแต่คิดว่าคงอีกนาน น่าจะนานมากด้วย แต่ถ้าอยู่แบบนี้ทำให้คนอื่นไม่มีความสุข ฉันอาจจะเก็บกระเป๋าไปอยู่ต่างประเทศ ถึงจะขลุกอยู่กับตัวเองแต่ก็จะไม่มีใครรู้เห็น แบบนั้นคงสบายใจกว่า”

“นี่แหละที่ผมกลัว” ดินแดนถอนหายใจอีกครั้ง

“ที่จริงเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับฉันโดยตรง ถ้าเธอปฏิเสธคนที่ต้องทำใจมากที่สุดก็คือป๋า แต่ที่ฉันมาต่อรองกับเธอเพราะเห็นว่าจะได้ช่วยป๋าและมีข้ออ้างพาตัวเองออกจากเซฟโซน..  เซฟโซนที่เป็นเหมือนแดนเจอร์โซนสำหรับคนที่รักฉัน”

“พูดได้ดี” ดินแดนพูดด้วยสีหน้าเหมือนหมั่นไส้ติดหมัด “คิดเองปะวิธีนี้?”

ผมเริ่มมีความหวังเพราะหน้าเขาผ่อนคลายขึ้น ไม่ซีเรียสเหมือนเมื่อกี้นี้แล้ว

“ถ้าบอกว่ามีกุนซือแนะนำ เธอเดาว่าเป็นใคร”

“หึ..” ยิ้มเหยียดเหมือนรู้ว่าเป็นใคร “ดักทางผมได้ขนาดนี้ไม่มีใครหรอก”

“ป๋าเหรอ” ผมแกล้งถาม

“ถ้าป๋ารู้วิธีนี้คงมาพูดเองแล้ว”

“ก็แล้วใครล่ะ ฉันอยากรู้ว่าเธอรู้จริงหรือแกล้งทำเป็นฉลาดไปวันๆ”

“จะมีใคร้.. ก็มีแค่ไอ้หน้านิ่ง” หน้าดินแดนตอนที่พูดถึงคนรักเหมือนพวกพี้กัญชา ดูเคลิ้มดูหลงดูเหมือนจะตกหลุมรักไปอีกหลุมต่อหน้าต่อตาผม

“ทำไมถึงคิดว่าเป็นสกาย”

“ไม่มีใครกล้าถามผมหรอกว่าจะยอมทิ้งชีวิตอิสระไปรับงานต่อจากป๋าหรือเปล่าเพราะคนถามรู้อยู่แก่ใจว่าเปอร์เซ็นต์เป็นศูนย์  และที่สำคัญ ไม่มีใครรู้หรอกว่าพี่สำคัญกับผมมากขนาดนั้นแม้แต่ตัวพี่เองก็ไม่รู้และพี่จะไม่มีทางมั่นหน้าเอาข้อต่อรองแบบนี้มาคุยกับผมแน่ เพราะฉะนั้นคนที่รู้ก็มีแค่คนเดียวคือสกายไอ้หน้านิ่งของผม”

“หมายถึง สกายรู้ว่าฉันสำคัญกับเธอมากขนาดนี้งั้นเหรอ”

“ครับ” การตอบรับทันทีของดินแดนทำให้ผมใจเต้นแปลกๆ รู้สึกดีใจที่ได้เป็นคนสำคัญถึงขนาดเขารู้กันทั้งสองคน

“ได้ยังไงล่ะ ก็เราเคยเกลียดกัน” ผมก้มหน้าหลบสายตาเพราะซึ้งใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว ไม่อยากให้คิดว่าขี้แย

“ไม่ได้บอกไปแล้วเหรอว่าเพราะเคยเกลียดถึงไม่ยอมกลับไปเกลียดอีก แล้วแม่ผมก็สั่งไว้ให้ดูแลพี่ให้ดี”

“แม่เธอ.. ทำไมดีแบบนี้ล่ะ” นึกเสียใจจริงๆ ที่ไม่ได้ทำความรู้จัก เสียดายโอกาสดีๆ แบบนั้น

“แม่บอกว่าแม่เป็นคนผิดเอง แม่เป็นต้นเหตุของเรื่องทุกอย่าง แม่หนีความรับผิดชอบไม่ได้ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไรก็ตาม  และคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือพี่ดอท อย่างผมถึงจะโดนแม่ใหญ่กับพี่เกลียด แต่ผมมีแม่และมีป๋า อาจจะน้อยเนื้อต่ำใจบ้างแต่ลึกๆ ผมรู้ว่าผมมีครบ แต่กับพี่มันไม่ใช่  แม่ก็เลยย้ำตลอดให้ผมดีกับพี่ ชดเชยความผิดแทนแม่ด้วย”

“แม่เธอเป็นคนดีมากเลยนะ” ผมยิ้มบาง “อยากย้อนเวลา ฉันจะไม่ด่า ไม่เกลียด ไม่ปล่อยลมรถจักรยาน ไม่เจาะลูกฟุตบอล ไม่ผลักเธอ..”

“ชู่วว”  นิ้วอุ่นๆ แปะลงมาบนกลีบปากเพื่อยับยั้งเรื่องร้ายแรงที่ผมเคยทำ   “ถ้าพูดอีกจะ..”

“จะอะไร” ผมทำหน้าดุเพราะคำพูดแบบนี้เขาเคยพูดแล้วในตอนนั้นและมันไม่น่าฟัง

“จะไม่ยอมรับข้อเสนอของพี่ที่จะให้ผมทำงานแทนป๋า”

“หมายความว่า!” รู้สึกว่าได้เบิกตาโตที่สุดในชีวิตก็ตอนนี้

“อืม” รอยยิ้มเท่ของดินแดนทำให้ผมใจเต้นเพราะทั้งดีใจและหมั่นไส้อยู่ในที

“จริงนะ ห้ามเปลี่ยนใจนะ”

“อืมม” ดินแดนลากเสียงเมื่อถูกผมเขย่าแขนรัวๆ เพื่อจะเอาคำตอบ “แต่มีข้อแม้”

“อะไรบ้าง ว่ามาเลย”

“ขอผมเคลียร์ชีวิตหนึ่งปี แต่ภายในหนึ่งปีก็จะเรียนรู้งานไปด้วย กิจการไหนสำคัญผมจะคีพไว้ แต่ถ้าอันไหนไม่โอเคผมจะเท และสำคัญที่สุด ถ้าพี่จะช่วยผม พี่ต้องแบ่งเวลาไปทำงานที่พี่รักด้วย แต่ห้ามทำงานหนักเกินไป ถ้าผมบอกให้พักก็ต้องพัก ห้ามเถียง ห้ามดื้อ ห้ามเกเรเด็ดขาด ตกลงไหมครับคุณชนม์แดน”

“อื้ม” ผมพยักหน้ารัวๆ ข้อแม้อะไรก็ยอมทั้งนั้น  วันนี้ได้ยิ้มกว้างเป็นครั้งแรกในรอบสามเดือน ยิ้มทั้งใบหน้าและหัวใจ มันบอกไม่ถูกว่าดีใจอะไรมากกว่ากัน ระหว่างได้ช่วยป๋าหรือได้รู้ว่าผมสำคัญกับดินแดนมากขนาดไหน

“ดิน..”

“เตือนก็ไม่ฟังนะ” ทำปากขมุบขมิบอะไรไม่รู้อีกแล้ว คนกำลังดีใจก็จะมาทำลายบรรยากาศ

“ขอบคุณนะ” ผมจับมือหนามากุมไว้

“แค่อยากให้พี่มีความสุขซะที”

“ขอเวลาอีกนิด แล้วจะทำตามที่พูด”

“แน่ะ ลับลวงพลางมาอีกละ ทำไมไม่ทำเลยล่ะ พรุ่งนี้ก็ออกไปใช้ชีวิตได้แล้ว”

“ทีเธอยังต้องเคลียร์ชีวิตตั้งหนึ่งปี ฉันก็ขอเวลาฮึบอีกหน่อยไม่ได้หรือไง น้า~”  ใช้ลูกอ้อนด้วยการกอดรวบแขนของเขาไว้แล้วเงยหน้ากระพริบตาใส่

“ใจเหลวไปหมดแล้วไอ้ดินเอ้ย” หันหน้าหนีไปบ่นอะไรไม่รู้อยู่คนเดียว

“ดิน.. นะๆๆ น้า~”

ร่างสูงแค่หันมามองแล้วยิ้มในสีหน้า มองอยู่อย่างนั้นจนเริ่มเขิน

“ถ้าให้หอมแก้มจะยอมก็ได้” แล้วเขาก็ต่อรอง ผมปล่อยแขนทันทีแล้วกัดปากขบคิด

“ก็ได้ ถือว่าเป็นรางวัลสำหรับการเสียสละ” ผมยืดตัวขึ้นตรงแล้วรอคอย

ดินแดนจับไหล่ผมให้หันหน้าเข้าหากัน มือหนาประคองใบหน้าให้เงยขึ้นอย่างอ่อนโยนก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนปลายจมูกเข้าหา

ร่างของผมเริ่มสั่นเมื่อเสี้ยวหนึ่งของความรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังจะจูบปากจึงผินหน้าหนีเล็กน้อยเพื่อความปลอดภัย ทันได้เห็นแสงระยิบในแววตาและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จากนั้นจมูกโด่งก็ไล้ลงบนผิวแก้ม

เสียงสูดลมหายใจเข้าลึกเนิ่นนาน สัมผัสต่อเนื่องมาจากกลีบปากหยักลึกที่แตะลงมาแนบแน่น บดเบียดล้ำลึกจนเริ่มสะท้าน หายไปนานแล้วกับอาการนี้ นึกว่าจะไม่กลับมาแต่เพิ่งรู้ว่าไม่ได้หายไปไหนเพียงแต่รอโอกาสที่จะกำเริบ

“ดิน..” แตะหน้าอกแกร่งเพื่อเตือนว่าถึงเวลาพอได้แล้ว

เสียงสูดหายใจหนักลึกดังขึ้นอีกครั้งก่อนจะบดกลีบปากเข้ามาแน่นอีกจนแก้มโย้ จากนั้นจึงผละออก

“ฮื้ม”  เขามองหน้าแล้วถอนหายใจ

“หน้าเบี้ยวหมด” ผมบ่นพลางหลบตา เบื่อตัวเองที่ชอบเผลอเกิดอาการกับนายดิน รู้ว่าไม่สมควรแต่ห้ามตัวเองไม่เคยได้ “กลับไปได้แล้ว อยากพักผ่อน”

“ใครจะกลับ ผมบอกแม่ใหญ่แล้วว่าเที่ยงคืน”

“จะบ้าเหรอ อันนั้นเธอแค่กวนคุณแม่”

“เปล๊า ผมพูดจริง” ว่าแล้วก็กระโดดขึ้นเตียง นอนเท้าแขนแล้วตบที่นอนเรียก “มานี่ นอนได้แล้ว”

“ไม่” ยืนกอดอกมองกดดันให้เขาลงจากเตียงแต่ไม่เป็นผล

“แค่หอมแก้ม ไม่คิดว่ามันน้อยไปหน่อยหรือไงกับเรื่องที่ผมต้องแลก ชีวิตผมทั้งชีวิตนะพี่” ทำไมต้องดราม่าด้วยเนี่ย

“แต่เธอยอมตกลงแล้วนี่ จะมาพูดโน่นพูดนี่ทำไมอีก”

“ก็แค่อยากอ้อน พี่จะโอ๋ผมหน่อยไม่ได้เหรอ” ทำหน้าหงอยแบบนั้นทำไมล่ะ ใจเสียหมด “แค่ขออยู่ด้วยจนกว่าแม่ใหญ่จะมาไล่ นะครับ”

“ไม่ต้องมาทำเสียงทำหน้าแบบนั้น ฉันไม่ใช่เด็กในสังกัดเธอนะ” ทำหน้าดุใส่แล้วหันหลังเดินไปอีกทาง

“โอเคๆ งั้นผมไปก็ได้ พี่ไม่ต้องหนีไปไหนหรอก” เสียงหงอยเชียวนะ

“ไม่ได้จะหนี แค่จะไปแปรงฟัน รออยู่นั่นแหละ” พอผมพูดจบก็ได้เห็นสีหน้าดีใจของเขา

“เยส!” รอยยิ้มกว้างคลี่ขึ้นจนเต็มหน้า

“เด็กติงต๊อง”


ใช้เวลาไม่นานก็กลับมาที่เตียงอีกครั้ง ตอนนี้ใกล้สามทุ่มแล้ว ผมถอดชุดคลุมแขวนไว้บนราวตะขอเหลือแค่ชุดนอนแบบผ่าหน้าเนื้อผ้านุ่มลื่นสีขาวมุก ดินแดนที่กำลังนอนเล่นโทรศัพท์หันมามองแล้วนิ่งไป

โป๊ก!

“โอ๊ย สัด!” โทรศัพท์ในมือหล่นใส่คางจนเขาผุดลุกนั่งอย่างหัวเสีย

“ง่วงก็กลับไปนอนจะมาทรมานตัวเองอยู่นี่ทำไม” ผมส่ายหัวแล้วขึ้นเตียงดึงผ้าห่มเตรียมนอน

“ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเล้ยย” เสียงบ่นงุ้งงิ้งแต่ผมไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าเขาบ่นที่ทำโทรศัพท์ตกใส่ตัวเอง

“เดี๋ยวนี้พยายามนอนเร็ว แต่ยังไงก็ไม่หลับไม่ลง” ดินแดนช่วยห่มผ้าให้ถึงหน้าอก ผมนอนมองเพดานอย่างที่เคยทำในทุกๆ วัน

“นอนไม่หลับก็หันมาทางนี้” เขานอนลงอีกครั้งแล้วเอื้อมมือมาเกี่ยวแขนจนผมตะแคงเข้าหา เรานอนมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง

“ถ้าเราไม่เกลียดกันตอนเด็ก ฉันคงมีเธอเป็นเพื่อนเล่น เราคงได้นอนด้วยกันแบบนี้บ่อยๆ”

ดินแดนแค่ยิ้มรับแล้วเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าออกให้

“ขอบคุณนะ ขอบคุณที่ใส่ใจและให้ความสำคัญกับฉันมากขนาดนี้ เจ้าน้องชาย” ผมเอื้อมมือไปบีบแก้มเขาเบาๆ อยากทำตัวเหมือนเป็นพี่ชายอย่างที่ควรจะทำมาตั้งนานแล้ว

ดินแดนกดมือผมไว้กับแก้มของเขาแล้วยิ้มอ่อนโยนก่อนจะดึงไปจุ๊บเบาๆ จนผมต้องดึงกลับมา

“ผมอยากใส่ใจพี่มากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่ระหว่างเรามันมีเส้นนี้คอยกั้นอยู่” เขาใช้นิ้วขีดเส้นลงบนพื้นที่ตรงกลางระหว่างเราเป็นแนวยาวตั้งแต่ช่วงลำคอลงไปจนถึงเอว “เส้นศีลธรรม”

“แล้ว?” ไม่ค่อยเข้าใจที่เขาจะสื่อ

“มันเกะกะ” สีหน้าของดินแดนเหมือนไม่ได้ยี่หระกับไอ้เส้นที่ว่านี้ แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจที่เขาพูดอยู่ดี “นานมาแล้วที่ผมไม่เคยคิดว่าพี่เป็นพี่ เมื่อก่อนเกลียดมากจนไม่นับญาติ ซึ่งมาตอนนี้ก็ไม่สนไม่แคร์ แต่ปัญหาก็คือพี่แคร์ ซึ่งผมก็เคารพจุดยืนของพี่ เพราะฉะนั้น ผมจะอยู่ในเขตของผมตรงนี้และจะไม่ข้ามไป”

“อืม ก็ดีแล้ว” ผมยังทำหน้างง ไม่เข้าใจว่าจะพูดขึ้นมาทำไม ในเมื่อเขาก็ไม่เคยมาก้าวก่ายชีวิตผมมากเกินไปอยู่แล้ว

“หน้าพี่นี่มัน..”

“อะไรอีกล่ะ”

“งุ่ยๆ อะไรไม่รู้ของพี่อะ ทำผมใจบาง” ศัพท์วัยรุ่นนี่ยอมรับว่าเข้าไม่ถึง หลายคำที่ดินแดนชอบพูดแล้วผมไม่เข้าใจแต่ก็ไม่อยากถามเดี๋ยวจะโดนล้อว่าแก่

“เด็กสมัยนี้เข้าถึงยาก”

“ถ้าคนแก่อยากเข้าถึงก็ข้ามเส้นมาสิ เดี๋ยวผมสอนให้” สายตาวิบวับกับรอยยิ้มร้ายๆ ยอมรับว่ามันดูดีมากแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมาทำแบบนี้กับผม

“พูดเล่นพูดจริงอะไรไม่รู้ปนกันไปหมด” ผมส่งสายตาตำหนิ “อย่าพูดอะไรแบบนี้สิมันไม่ดี ใครได้ยินเขาจะเข้าใจผิด โดยเฉพาะสกาย”

“ฮ่าๆๆ ไอ้นั่นอะตัวดีเลย” ดินแดนหัวเราะร่า

“ตัวดียังไง”

“ช่างเหอะ พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ เอาเป็นว่า.. นอนซะ ผมขออยู่เป็นเพื่อนจนกว่าแม่ใหญ่จะมาไล่ หรือจนกว่าพี่จะหลับ”

ผมไม่ได้ต่อคำเอาความอะไรอีก ถึงจะรู้สึกงงๆ กับคำพูดแต่ไม่น่ามีประโยชน์อะไรที่จะคุยต่อ ดินแดนเข้าโหมดกวนแบบนี้คุยไปก็เท่านั้น

“นอนละนะ” ผมพลิกตัวนอนหงายแล้วปิดเปลือกตาลง จะว่าโล่งก็โล่ง แต่ก็ยังมีหม่นๆ ในใจ

จากไปหนึ่งร้อยวันแล้วนะครับ เฮียอยู่บนสวรรค์หรืออยู่ใกล้ๆ แถวนี้กันนะ..

ผ่านไปครู่หนึ่ง ผมรู้สึกว่ามันเงียบผิดปกติจึงหันไปมองดินแดนเพราะกลัวว่าเขาจะทำอะไรแปลกๆ

“อ้าว หลับไปซะแล้ว” อดขำไม่ได้กับความเด็กน้อย “ขับรถมาไกลคงเพลียสินะ” ตะแคงเข้าหาแล้วลูบศีรษะเขาหลายที  “ให้นอนจนกว่าคุณแม่จะมาเรียกก็แล้วกัน เจ้าน้องชายสุดหล่อ”

หล่อแบ้ด หล่อแบบไม่ต้องปรุงแต่งอะไรเลย เหมือนเกิดมาเพื่อหล่อเพื่อเท่ แต่สิ่งที่เขาได้ใจผมไม่ใช่ความหล่อแต่เป็นความฉลาด ความเก่ง และความดี ภูมิใจที่มีน้องชายทั้งหล่อและครบเครื่องขนาดนี้

“ฝันดีนะ” ขยับหน้าเข้าไปจูบหน้าผากดินแดนเบาๆ จากนั้นก็กลับมานอนมองเพดานอยู่สักพักแล้วเริ่มม่อยหลับอย่างรวดเร็ว คงเป็นผลจากการนอนน้อยสินะ

แต่ก็ดีเหมือนกัน พอรู้ว่ามีคนอยู่ใกล้ๆ ก็รู้สึกอุ่นใจไม่คิดฟุ้งซ่าน โดยเฉพาะหัวใจคงได้รับการฟื้นฟูจากการตอบรับข้อแลกเปลี่ยนของดินแดน บางทีเขาอาจจะเป็นคนสำคัญสำหรับชีวิตผมมากกว่าที่ผมคิด

เฮียครับ ดอทมีน้องชายที่ดีมากๆ เฮียไม่ต้องเป็นห่วงนะ ดินแดนรับปากเฮียแล้วว่าเขาจะดูแลดอทและดอทเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่ผิดสัญญา

ดอทจะมีความสุขอย่างที่เฮียสั่งไว้ บ้านของเราจะต้องออกมาสวยถูกใจเราสองคนแน่นอน ดอทสัญญา



“น่ารักปุ๊กปิ๊กอะไรของพี่ก็ไม่รู้ ชอบทำหยิ่ง ทำเป็นเมินใส่ นี่ถ้าไม่หลับก็คงไม่รู้ว่าพี่โคตรจะคาวาอี้คิตตี้โคอะล่าขนาดนี้”  ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น ผมได้ยินเสียงลางๆ  “กะว่าจะไม่ข้ามเส้นแต่พี่ก็ข้ามมาอ้อยซะงั้น เอาเป็นว่าขอข้ามไปหาเล็กน้อยพอกรุบกริบ แบบนี้ละกันนะ” 

รู้สึกถึงไออุ่นที่เพิ่มขึ้นจนหัวใจเริ่มเต้นแรง ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะทำยังไงดีนะ เพิ่งจะเข้าใจกันได้แท้ๆ

ตอนนี้ร่างสูงเข้ามาเบียดชิดจนแก้มแนบแก้ม ในขณะที่กำลังจะฝืนตื่นลืมตาขึ้นมาจัดการ เสียงประหลาดก็ดังขึ้น

แชะ~  แชะ~  แชะ~

แชะๆๆๆๆๆ

ถ่ายรูป!?

ถึงกับเหวอแต่ยังคงหลับตาอยู่อย่างนั้น  โธ่เอ๊ย อยากจะบ้ากับเด็กบ๊องนี่จริงๆ

ผมปล่อยให้เขาแอบถ่ายต่อไปเพราะไม่อยากต้องตื่นมาต่อปากต่อคำและอีกอย่างก็ง่วงมากจนคอพับคออ่อนจริงๆ ไม่ได้แอคติ้งแต่อย่างใด

“สุดยอด” ดินแดนผละออกไปและเดาว่าเขากำลังเช็ครูป “ถ้าเห็นรูปพวกนี้ไอ้หน้านิ่งต้องคลั่งแน่นอน กรั่กๆๆ”

“ฝันดีนะคนแก่” อยากจะตื่นไปทุบสักทีแต่ก็ถูกจุ๊บหน้าผากเสียก่อน “ทำใจฮึบให้ได้เร็วๆ โลกสดใสรอพี่ดอทอยู่นะ”

จากนั้นแขนทั้งสองข้างก็ถูกจับสอดเข้าใต้ผ้าห่มอย่างเรียบร้อยก่อนจะฝากรอยจูบเบาๆ ที่หน้าผากอีกครั้ง เสียงปิดสวิตช์ไฟและเสียงประตูเปิดและปิดลง

ถ่ายรูปไปอวดแฟนเนี่ยนะ..เจ้าเด็กพวกนี้ก็ตลกดีเหมือนกันแฮะ



.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

พอพี่ดอทมีเรื่องให้ต้องคิดก็ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจไปจากเรื่องเฮียเผ่าได้บ้าง
ผ่านมาเกินครึ่งเรื่องแล้วก็อยากเตือนอีกครั้งสำหรับนิยายเรื่องนี้นะคะ
คำเตือน : นิยายเรื่องนี้เรท 25++ ไม่เหมาะกับเยาวชน  ไม่เหมาะกับผู้ที่เคร่งครัดในศีลธรรม  ไม่เหมาะกับผู้ที่รักเดียวใจเดียว
ถ้าไม่ใช่แนว ล่าถอยไปตอนนี้ยังทันค่ะ

มีคนเม้นต์ให้เยอะเลย ดีใจจัง

psyfer : ชีวิตแค่โดนทำร้าย~~

nonlapan :  พี่หมอมาตอนหน้าจ้าา ตอนนี้ให้น้องชายโซโล่หล่อๆ ไปก่อน

Duangjai  :  ถ้านางงูพิษมันไม่แท้งซะก่อนก็คงโดนพี่ดอทเล่นงานหนัก เสียดายจริงๆ ไม่ได้เห็นคนสวยตอนร้าย

Janemera  :  ช่วงนี้ดินแดนเขาเป็นดาราดัง เวลามีน้อยเลยไม่ลุยเหมือนเมื่อก่อน อิๆ

19th  :  ชีวิตนางยุ่งเหยิงมาก เหมือนโดนสาป ฮือออ แต่จากนี้ก็คงจะเริ่มฮึบ เริ่มมีเรื่องดีๆ เข้ามาบ้าง  แล้วถ้าเลือกคนที่เหมาะกับตัวเองได้ ชีวิตก็จะแฮปปี้ไม่ต้องเจอเรื่องร้ายอีก

mild-dy  :  ขอบคุณที่แวะมาค้าบบ

aisen  :  พี่ดอทตัวนิดเดียวต้องเจออะไรเยอะแยะ สงสารที่สุด

PuppyPp  :  ขอบคุณนะคะ เป็นกำลังใจที่ดีมากกกก ฝากติดตามต่อไปเรื่อยๆ อย่าทิ้งกันน้าา

TachibanaRain  :  พี่ดอทเหมือนคนที่ไร้หลักยึดเกาะ เสียเฮียเผ่าไปในแบบที่ไม่คาดคิดชีวิตก็เลยหลุดลอย การจะดึงให้คนที่เหมือนจะมีพร้อมแต่กลับขาดต้นทุนทางจิตใจให้กลับมายืนอยู่ได้คงต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉพาะต้องกู้ความศรัทธาในตัวเองให้ได้ เรื่องของดินแดนช่วยได้เยอะแต่ด้วยสถานะทางสายเลือด ดินก็ยังไม่ใช่หลักให้พี่ดอทยึดเกาะได้อยู่ดี ก็ต้องให้เวลาคนสวยอยู่ในศาลาคนเศร้าไปอีกนิด  ตอนหน้าอาจจะดีขึ้น จุ๊บๆ



ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
พี่ดินมาซะให้หายคิดถึงเลยมาโซโล่คนเดียวเดี่ยวๆ เรือ #ดินดอท อย่างเราก็เลยต้องจับไม้พายพายกันต่อไป แต่จะพายไปต่อเรือ #ดินดอทสกาย นะ ฮ่าๆๆ

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เห็นน้องดอทมูฟออน มีความสุขแล้วเราก็แฮปปี้ :heaven :heaven

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
ไอ้คู่ฟ้าดินนี่มันยังไงๆ อยู่นะ.อยากรู้จริงๆ ว่าวางแผนอะไรไว้ในหัวบ้าง

ออฟไลน์ Piima

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
งุ้ยยยย งงใจกับเจ้าหญิงดอทตอนนี้จริงๆ มันดีตรงที่ดินแดนยังมีลูกบ้าและเก่งพอตัว
ความเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสามารถจัดการเอาชีวิตให้รอดเจ้าหญิงเราเป็นศูนย์จริงๆ
(เพราะงั้นน่าจะคิดได้ว่าไม่ควรจะเข้าไปแอบดูว่าดินจะไปช่วยป๋ายังไง หากว่าพวกมันมีหลายคนล่ะทีนี้  :katai1: )
แต่ก็นะ ช่วงระยะทำใจของเจ้าหญิงสิ้นสุดซะที รอว่าใครที่จะมาช่วยเจ้าหญิงของเราได้จริงๆซะที
ส่งจุ๊บ นายน้อย ค่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
คิดไปคิดมา ดินเนี่ยะเหมาะกับดอทที่สุดแล้ว ติดแต่ว่าเส้นเกะกะนี่ละนะ ใจอยากให้ข้ามเส้นมากๆ
ไม่รุ้สิ แต่กับพี่เวย์เหมือนมันนานจนมันจางไปหมดแล้ว(คิดเอาเองไม่เกี่ยวกับดอท)
ส่วรกับหมอวรรตก็ลังเลนิดหน่อย แต่ตอนนี้ดินมาวินสุด แต่สะดุดตรงสกายนี่แหล่ะตกลงรักกันมั้ย

ออฟไลน์ psyfer

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :katai1:ฮู้ยยยยยยย ดินดอทๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ reverofjs

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ขึ้นเรือ ดิน สกาย ดอท ค่ะ!!!
เริ่มออกเดินทางได้เลยยยย  :katai2-1:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
ขนาดเรายังเศร้าเรื่องเฮียจนตอนนี้
เข้าใจพี่ดอทมากจริงๆ

พึ่งจะครึ่งเรื่องเท่านั้น
เหมือนต่อไปจะเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของพี่ดอทแล้ว

เป็นกำลังใจให้ทุกคนต่อไป

ปล.ว่าแต่กระทิงเพื่อนดินแดนนี่มีเรื่องเป็นของตัวเองไหมคะ ชอบชื่อนางมาก
ขนาดชื่อยังดุขนาดนี้ แอร๊ ❤

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
น้องกำลังจะเดินต่อไปได้แล่ง ขอให้พ่อแม่เข้าใจกันไวๆนะ ครอบครัวจะได้เป็นครอบครัวซะที  :mew1:

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ต อ น ที่  21  :  ภ า ว ะ ไ ห ล ย้ อ น


sweetyDOTcom :  ดอทส่งแผนงานไปทางอีเมล พี่บอลลูนช่วยกระจายงานให้ด้วยครับ

sweetyDOTcom :  จากนี้ดอทจะสั่งงานผ่านไลน์ไปก่อน ก็จะทยอยเอาคอลเล็กชั่นที่ยังไม่ได้ขายออกมาเดือนละครั้ง

sweetyDOTcom :  ส่วนแบบใหม่ๆ ดอทก็จะทำไปเรื่อยๆ แล้วส่งให้ตัดเย็บตัวอย่างก่อนส่งให้ลูกค้าเลือก

sweetyDOTcom :  ช่วงนี้จะเน้นส่งแค่เจ้าประจำไม่ต้องออกไปเสนอแบบ งานก็จะไม่เยอะ ค่อยๆ ทำกันไป

sweetyDOTcom :  ถึงงานน้อยแต่ดอทให้เงินเดือนพนักงานเท่าเดิมนะครับ ถือเป็นช่วงรีแลกซ์ไปก็แล้วกัน 

sweetyDOTcom :  ถ้ายังไงก็ส่งรายชื่อพนักงานที่เหลือและสรุปงานมาให้ดอทอาทิตย์ละสองครั้งก็น่าจะพอ

BALLOON :  ได้ค่ะๆๆๆ     Read

BALLOON :  พี่บอลลูนดีใจที่สุดเลยค่ะ เดี๋ยวจะรีบจัดการเรียกรวมพลแล้วสรุปให้นะคะ   Read

sweetyDOTcom :  ครับ

BALLOON :  Sticker love love   Read





Dr.WRRT :  เมื่อไหร่จะให้เข้าไปหา   Read

Dr.WRRT :  แบบนี้ล็อคประตูเหมือเดิมยังจะดีกว่าอีก       Read

Dr.WRRT :  ไม่รู้สึกอ่อนเพลียอยากได้ยาบำรุงเพิ่มเลยเหรอคุณ      Read

Dr.WRRT :  ต้องถามเรื่องของคุณผ่านทางคุณแม่จนอายตัวเองแล้วนะ       Read

Dr.WRRT :  เออ ไม่ตอบก็ไม่ตอบ จำไว้เลย       Read


Dr.WRRT :  วันนี้ผมเข้าไปหาได้ยัง       Read

sweetyDOTcom :  ยัง

Dr.WRRT :  เยส แค่ตอบก็ยังดี    Read


Dr.WRRT :  วันนี้ผมเข้าไปนะ       Read

sweetyDOTcom :  ยังไม่พร้อม

Dr.WRRT :   ก็ได้ ยังไงก็กินข้าวเยอะๆ ด้วยนะ   Read


Dr.WRRT :  เข้าไปนะ       Read

sweetyDOTcom :  Sticker    NO

Dr.WRRT :   เฮ้อ คิดถึง   Read

Dr.WRRT :   Sticker แมวร้องไห้   Read


sweetyDOTcom :  ผมขอเบอร์ติดต่อคุณเวย์หน่อยสิ จะเริ่มสั่งงานผ่านไลน์ไปก่อน

Dr.WRRT :  ผมช็อคเลยเนี่ย      Read

Dr.WRRT :  จะว่าดีใจก็ดีใจนะ    Read

Dr.WRRT :  แต่แทนที่จะทักทายพูดเรื่องอื่นก่อนสักหน่อย อยู่ๆ ขอเบอร์คนอื่นแบบนี้ก็ร้ายเกิ๊น    Read

sweetyDOTcom :  ตกลงจะบ่นหรือจะคุย

Dr.WRRT :  คุยสิๆ เข้าไปคุยที่บ้านได้ไหมอะ   Read

sweetyDOTcom :  ยังไม่เจอดีกว่า ผมยังไม่อยากเจอใคร

Dr.WRRT :  อืม ไม่เป็นไร แค่ตอบแบบนี้ก็หายห่วงไปเยอะแล้ว   Read

sweetyDOTcom :  ขอบคุณนะที่เข้าใจ

Dr.WRRT :  ไม่เข้าใจก็ต้องเข้าใจ ผมไม่มีทางเลือก    Read

sweetyDOTcom :  จากนี้ไปขอโฟกัสแค่เรื่องงานนะ

sweetyDOTcom :  หวังว่าคุณจะเข้าใจและพยายามไม่นอกเรื่อง

sweetyDOTcom :  ไม่งั้นผมอาจจะตัดปัญหาด้วยการเปลี่ยนทีมผู้รับเหมา

Dr.WRRT :  เอางั้นก็ได้ แค่เห็นคุณออกมาจากหลุมดำก็โอเคแล้ว   Read

sweetyDOTcom :  เริ่มจากขอเบอร์คุณเวย์

Dr.WRRT :  08102299XX      Read

sweetyDOTcom :  ขอบคุณนะ

sweetyDOTcom :  เดี๋ยวแอดกรุ๊ปไลน์ก็แล้วกันจะได้คุยทีเดียว ช่วยเกริ่นให้ผมด้วยนะจะได้ไม่ต้องอธิบายหลายรอบ

Dr.WRRT :  Sticker OK   Read




sweetyDOTcom :  สวัสดีครับ  คุณวรรตได้บอกหรือยังว่าผมจะติดต่อผ่านไลน์เรื่องงาน

SuperWay :   ครับ บอกแล้ว    Read

sweetyDOTcom :  ถ้าอย่างนั้นขอดึงเข้ากรุ๊ปเลยนะครับ


รออยู่นานพี่เวย์ก็ไม่ตอบรับ  ผมก็เลยดึงเข้ากรุ๊ปไลน์แล้วสั่งงาน ผลคือเขาเข้ามาส่งสติ๊กเกอร์ ‘รับทราบ’  แล้วหายไปสองวัน โผล่มาอีกทีก็ส่งแบบงานมาให้

“ทำไมถึงไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมือง คนอื่นเขาเป็นห่วงอยากคุยทุกคนแต่พี่เวย์ทำไมเงียบจนคันหัวใจยิบๆ” ผมนั่งมองข้อความสนทนาส่วนตัวของเราสองคน 

‘ครับ บอกแล้ว’  แค่เนี้ยนะ..

ไม่อยากถามเลยหรือไงว่าเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง หรืออะไรก็ได้

“ช่างเถอะ แบบนี้ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องลำบากใจที่จะคุย”




DumDinDan :  พี่ดอท  วันนี้ว่างอะ เข้าไปหาได้ป่าว   Read

sweetyDOTcom :  Sticker    NO

DumDinDan :  ไรอะ คราวก่อนนึกว่าจะดีแล้ว   Read

sweetyDOTcom :  อยากโฟกัสเรื่องงาน ถ้าไม่มีเรื่องด่วนอย่าเข้ามาดีกว่า

DumDinDan :  ก็ได้ๆ ยังไงก็ตอบไลน์นะไม่งั้นบุกถึงห้อง   Read

DumDinDan :  เนี่ย ก็ไม่ตอบอีกละ

DumDinDan :  ดื้อโคตรอะ

DumDinDan :  ไม่อ่านด้วย! เออ จำไว้

DumDinDan :  มีพี่กับเขาคนนึงก็ใจดำ ใจแข็ง

DumDinDan :  ชิ ไม่ง้อก็ได้

DumDinDan :  โกรธสิบปีอย่ามาดีสิบชาติ!



ผ่านเดือนที่หกไปอย่างเชื่องช้า ผมแทบจะไม่ออกจากห้องและไม่มีใครกล้ามาหา  สั่งงานผ่านไลน์ทั้งงานห้องเสื้อและงานสร้างบ้านของเฮีย  ส่วนพี่เวย์กับหมอวรรต เราสามคนเหมือนจะอยู่ในสภาวะล้างไพ่  ไม่มีใครกล้าพูดอะไรถึงเรื่องความสัมพันธ์เพราะผมสั่งงานแล้วจบ คุยเป็นทางการ ซึ่งหมอวรรตก็ยอมทำตาม ส่วนพี่เวย์ก็หายห่วงเพราะเขาแสดงทีท่ามาก่อนแล้วว่าจะไม่ล้ำเส้น

“ไม่อยากมาดูหน้าไซต์หน่อยเหรอคุณ” หมอวรรตโทรมาแจ้งว่าพี่เวย์กำลังจะเริ่มดำเนินการล้อมรั้วใหม่และปรับพื้นที่

“ไม่เป็นไรครับ รอไปตอนลงเสาเข็มทีเดียว ระหว่างนี้พวกคุณถ่ายรูปรายงานผ่านไลน์มาเลย ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอทำงานต่อนะครับ” แล้วผมก็ตัดสายทันที

อยากโฟกัสแค่เรื่องงาน ยังไม่อยากคิดเรื่องอื่น ถึงแม้เฮียจะสั่งเสียให้มีความสุขแต่ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าจะมีความสุขได้กับอะไร 

“ห้องเสื้อพี่เดี๋ยวสกายมันก็ยึดหรอก เห็นเข้าไปช่วยฟิตติ้งจนพี่ๆ ในนั้นจะให้มันเป็นคนดูแลแล้วนะ” ดินแดนโทรมาแล้วอ้อนขอให้ไปไหนมาไหนบ้าง อย่าอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน

“บอกแล้วว่าถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญอย่าโทร เดี๋ยวคราวหน้าไม่รับแล้วนะ”

“เฮ้ย ไม่ได้สิ เรื่องสำคัญก็มี”

“อะไรก็รีบพูดมา”

“วันเกิดผมเดือนหน้า อีกแค่ 12 วันเองนะ พี่มาด้วยได้ไหมอะ”

“ขอให้ของขวัญอย่างเดียวดีกว่า ยังไม่อยากเจอคนเยอะๆ”

“ครึ่งปีกว่าแล้วนะพี่”

“ก็ดีขึ้นมากแล้วแต่ยังกลัวอยู่ว่าจะทรุดถ้ารีบก้าวเร็วไป” ผมตอบแล้วนิ่งคิดถึงเฮีย

หัวใจยังโหวงเหวงเวลาคิดถึง กล่องของเฮียก็ยังไม่กล้าเปิดดู แต่ได้ลองพยายามยกออกมาแล้วแต่พอแง้มฝาเจอกรอบรูปคู่ก็ต้องรีบปิด แค่นั้นน้ำตาก็ทะลักออกมาไม่หยุด ต้องทำใจอีกตั้งนานกว่าจะกลับมานิ่งได้

“ก็ให้ผมเข้าไปหาสิ หรือให้ใครก็ได้ พี่ต้องมีเพื่อนคุยบ่อยๆ ถึงจะดีขึ้น” 

เฮียจะมาเยี่ยมดอทบ้างไหมนะ ที่ทำบุญแผ่ส่วนกุศลไปให้เฮียจะได้รับหรือเปล่า 

“ป๋าบอกว่าแม่ใหญ่ฟ้องว่าพี่เปิดแต่เพลงเศร้า แบบนั้นไม่ช่วยฮีลนะ มันจะยิ่งตอกย้ำให้ยิ่งเจ็บ”

หรือที่ผ่านมาเฮียจะไม่ได้รับ อาจจะต้องทำบุญแบบคนจีนหรือเปล่า

“พี่ดอท ฟังอยู่หรือเปล่า”

ดอทขอโทษนะครับที่ไม่ได้ไปงานเฮียเลย พิธีแบบจีนดอทก็ทำไม่เป็น มิน่าล่ะ เฮียถึงไม่มาเข้าฝันดอทบ้าง

“พี่ดอท.. พี่ดอทหลุดไปไหนแล้วพี่ดอท”

เฮียจะคิดถึงดอทเหมือนที่ดอทคิดถึงเฮียหรือเปล่า

“พี่ดอทครับ พี่!”  เสียงดินแดนค่อนข้างดังจนผมสะดุ้ง มานึกได้ว่าเผลอคิดถึงเฮียอีกแล้วจึงรีบตอบกลับ

“เสียงดังอะไรล่ะ เบาๆ ก็ได้”

“ถ้าพี่ไม่ดีขึ้น ผมจะเข้าไปหาจริงๆ นะ”

“ฉันดีขึ้นแล้ว แค่บางทีมันเผลอไปบ้างแค่นั้นเอง” ปกติไม่ค่อยหลุดตอนคุยกับคนอื่นเพราะไม่อยากให้มีใครเป็นกังวล แต่ครั้งนี้เผลอตัวไปหน่อย  “หิวข้าวแล้วอะ เธอมีอะไรอีกไหม”

“เฮ้อ.. ไม่มีครับ”

“งั้นวางแล้วนะ เดี๋ยวของขวัญจะส่งไปให้”

“วันเกิดปีนี้คงห่วยที่สุดเท่าที่เคยเกิดมา”  เสียงหงอยเชียว นี่ผมใจดำกับน้องมากไปหรือเปล่า

“งั้น.. เดี๋ยวจะอัดคลิปส่งไปให้ จะร้องเพลงด้วย โอเคไหม”  อยากให้ดินสบายใจขึ้น อย่างน้อยวันเกิดของเขาจะได้ไม่กร่อยจนเกินไป

“จริงนะ”

“อืม จะอัดคลิปยาวๆ จนเธอเบื่อดูเลย”

“ไม่มีทางเบื่ออะ” เสียงดินแดนสดใสขึ้น

“งั้นวันเกิดรอรับคลิปนะ ส่วนของขวัญก็ไม่ซื้อละ ดีจะได้ไม่เปลืองตังค์”

“พี่มีค่ามากกว่าของที่เงินซื้อได้ ถ้าไม่ติดไอ้เส้นเกะกะ ผมไม่ปล่อยพี่ไว้แบบนี้หรอก”

“อืม ฉันรู้ว่าเธอหวังดี จะพยายามดีขึ้นๆๆๆ ที่จริงอีกสองเดือนก็ได้ฤกษ์ลงเสาเอก ยังไงก็ไฟท์บังคับต้องออกไปอยู่แล้ว”

“เออจริงด้วย เห็นป๋าพูดถึงอยู่เหมือนกันตอนที่สอนงานให้ผม”

“จริงสิ เธอเรียนรู้งานไปถึงไหนแล้ว ยากไหม พอจะทำได้หรือเปล่า”

“ยากสิ สโคปงานกว้างกว่าทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน  ป๋าทำได้ยังไงคนเดียว โคตรเก่ง” ดินแดนทำเสียงงอแง ไม่ค่อยได้เห็นเขาในโหมดนี้ สงสัยจะเป็นงานที่ไม่ชอบก็เลยคิดว่ามันยาก “เรียนงานไปได้ก็ยังไม่ถึงไหนเพราะติดคิวถ่ายซีรีส์ภาคสองอีกสามเดือน อาจจะสี่หรือห้าด้วยซ้ำเพราะยกกองไปหลายรอบ”

“ทำไมถึงยกกองบ่อย” ผมถามอย่างสงสัย

“พระเอกเยินเก่ง รอบก่อนก็หน้าแหก เทคิวเกือบเจ็ดวัน  รอบล่าสุดคือโดนเด็กเก่าเมาแล้วถอดรองเท้าตบ ดีไม่เย็บ”

“ทำไมไม่ระวังตัวเอง” เด็กนี่ชอบใช้ชีวิตเสี่ยงอยู่เรื่อย

“ผมไม่ได้ตั้งตัว มัวแต่คุยโทรศัพท์อยู่หน้าร้าน เด็กมันเข้ามาข้างหลังก็นึกว่าจะเข้ามาคุย ที่ไหนได้มันฟาดเอาๆ ส้นเข็มด้วยดีนะไม่เจาะหน้า”

“ต่อไปก็ระวังหน่อย”

“คร้าบบบ”

“แล้วที่บอกหน้าแหกนั่นเรื่องคราวก่อนที่บ้านป๋าน่ะเหรอ ก็นานแล้วนะ”

“ก็จะเรื่องไหนล่ะ ตอนนั้นเพิ่งเปิดกล้องของภาคสอง  ภาคแรกก็สามสี่รอบที่หน้าเยิน  ภาคสองเพิ่งเปิดกล้องก็แหกฤกษ์เบิกชัยอีก โดนด่าหูแทบไหม้”

“ใครด่า สกายหรือเปล่า”

“พวกพี่ผู้จัดกับผู้กำกับ  ส่วนไอ้นั่นพอรู้ว่าเจ็บเพราะช่วยพี่มันก็ชมผมยกใหญ่ เอาใจกว่าปกติด้วยซ้ำ”

“สกายน่ารักขึ้นนะ เขาคุยกับฉันได้หลายคำไม่เหมือนเมื่อก่อน”

“สกายมันสงสารพี่  มันบอกว่าเมื่อก่อนมันน่าจะมองพี่ในแง่ดีบ้างเพราะอาจจะช่วยอะไรพี่ได้หรือไม่ก็ไม่ทำให้พี่รู้สึกแย่กับเรื่องของมันอีกเรื่อง”

“แค่สกายเข้าใจและไม่โกรธที่ฉันเคยทำเรื่องเลวๆ กับเขา แค่นี้ฉันก็ขอบคุณมากแล้ว”

“ชมกันผ่านหูผมไปมา ไอ้นั่นก็ถามถึงพี่วันไม่รู้กี่รอบ ทำไมไม่โทรคุยกันเองล่ะ”

“ไม่มีอะไรคุยจะโทรทำไม แต่ถ้าสกายมีอะไรอยากให้ฉันช่วยก็ให้โทรมาได้นะ นี่ยังไม่ได้ตอบแทนเรื่องที่เขาช่วยคิดวิธีให้เธอทำงานแทนป๋าเลย”

“เดี๋ยวบอกให้ แต่ไอ้นั่นคงไม่กล้าโทรหรอก”

“ทำไม เขายังกลัวฉันอยู่เหรอ”

“ฮ่าๆๆ กลัวอะไร คนอย่างมันเคยกลัวใครที่ไหน”

“อืมใช่ เมื่อก่อนไม่ได้กลัว แต่เกลียดต่างหาก  แล้วสรุปทำไมสกายไม่กล้าโทรล่ะ”

“ข.ไข่”

“คืออะไร” ผมถามกลับ

“เป็นอักษรย่อ ไปคิดเอาเอง”

“ขำเหรอ”

“ผิด”

“แล้วมันคืออะไร”

“ไปคิดเอง” ดินแดนเล่นตัว

“ข.ไข่ อะไรได้บ้างล่ะ ขู่ เข็น ขิง ข่า ขูด ข่วน”

“เออ เอาเข้าไป ดีละเอาเก็บไปคิดช่วงจิตตกจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน”

“หงึ.. ไม่เอานะดิน เฉลยมาไม่งั้นมันคาใจ”

“ฮ่าๆๆๆ ทำเสียงงุ่ยๆ แบบนี้น่ารักเกินเบอร์ไปแล้วนะชนม์แดน”

“อย่านอกเรื่องสิ ข.ไข่ คืออะไร บอกมานะ”

“ไม่บอก  ไหนบอกว่าหิว ไปกินข้าวเลยไป แค่นี้นะครับคนสวย”

“จะงอนสิบวัน” ผมขู่

“ฮ่าๆๆ ตามสบาย จุ๊บๆ”

แล้วสายก็ตัดไป  ข.ไข่  คืออะไร?

โอ๊ย คิดไม่ออก!


+++++++++++++++++++++++++




วันนี้จะมีพิธีลงเสาเอก  ผมแต่งตัวออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่เพราะฤกษ์ 9.09 น.

“น้าเวชอยากให้มีพิธีลงเสาเอกทุกวันเลยครับคุณหนู”

แทบจะหลุดขำเมื่อได้ยินที่น้าเวชพูด

“ใครจะไปทำพิธีแบบนั้นทุกวันล่ะครับ” ผมตอบแล้วมองที่กระจกมองหลังเห็นแกยิ้มเอ็นดู “เดี๋ยวนี้ได้เจอคุณพยาบาลคนงามบ้างหรือเปล่าครับ”

“โธ่คุณหนู ถามแบบนี้น้าเวชก็เขินแย่สิครับ” น้าเวชายิ้มเขินจนหูแดง

เดี๋ยวนะ..

เขิน?

ข.ไข่  จะเป็นเขินได้หรือเปล่า 

ไม่ใช่หรอก ไม่น่าใกล้เคียงด้วยซ้ำ



“ค..คุณ คุณหนู  โธ่ เมื่อกี้ยังสดใสอยู่เลย” เมื่อน้าเวชขับรถมาในบริเวณที่ดินของเฮียก็เริ่มใจแกว่ง พอจอดรถแล้วผมยังนั่งนิ่งเพราะกำลังเข้าสู่ภวังค์ความคิดถึง

“ขอเวลาทำใจหน่อยนะครับ น้าเวชลงไปรับหน้าหมอวรรตก่อนเดี๋ยวดอทตามไป ยังไงจะไม่ให้เลยฤกษ์ครับ”

ก่อนหน้านี้คิดว่าทำใจได้ค่อนข้างมากแต่ที่จริงยังไม่มากพอ ยิ่งเข้ามาในที่ๆ เฮียเคยมาแบบนี้ก็ยิ่งไปกันใหญ่  มองเห็นเฮียเดินอยู่มุมนั้นมุมนี้ ขับรถไปตรงนั้น หยุดดูตรงนี้ ทุกตารางเมตรมีเฮียอยู่เต็มไปหมด

ภาพเก่าๆ ไหลย้อนผ่านสายตาแต่สะเทือนไปถึงหัวใจ พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลในวันสำคัญแบบนี้

“พี่ดอท..” ดินแดนเปิดประตูเข้ามานั่งข้างๆ สีหน้าของเขาค่อนข้างเป็นกังวล “ไหวไหมพี่ ถ้าไม่ไหวให้ป๋าทำพิธีแทนก็ได้นะ”

“ไหวสิ แค่กรดไหลย้อนนิดหน่อยไม่เป็นไรมากหรอก”

อยากทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เฮียคงดีใจที่ผมตั้งใจและทุ่มเทให้บ้านของเรา



และแล้วพิธีสำคัญก็ผ่านพ้นไป  ผมแทบไม่ได้คุยกับใครนอกจากอาจารย์นักโหราศาตร์ที่คุณแม่แนะนำมา เขาบอกให้ทำอะไรก็ทำไปตามนั้นไม่ได้หือได้อือใดๆ  สกาย พี่เวย์ และหมอวรรต มากันพรั่งพร้อมแต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาคุยเพราะคงเห็นอาการตายซากของผม  มีแค่ป๋ากับดินแดนที่คอยเดินประกบซึ่งทั้งคู่ก็ไม่กล้าปริปากคำใดเพราะคงรู้ว่าถ้าพูดอะไรออกมาน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในดวงตาของผมต้องไหลบ่าจนทำให้เสียฤกษ์อย่างแน่นอน


“ส่งตาดอทถึงบ้านแล้วโทรรายงานด้วยนะนายเวช”  ป๋าสั่งความ

“ครับคุณท่าน”

“วันนี้ลูกเก่งที่สุดเลยครับ” ป๋ากอดแน่นแล้วเปิดประตูรถให้ ผมจึงไหว้ลาแล้วขึ้นไปนั่งจากนั้นป๋าจึงปิดประตู

ดินแดนเคาะกระจกเรียกจึงกดกระจกลงเพราะเห็นหน้าน้องชายหงอยและอ้อนหงิงๆ คงอยากคุยบ้าง พอเห็นว่าจะได้คุยก็ทำหน้าดีใจใหญ่

“ลืมขอบคุณคลิปวันเกิด ทุกวันนี้ผมก็ยังดูอยู่เลยเวลาคิดถึง” เขาโผล่หน้าเข้ามาในรถแล้วยิ้มเผล่  ดูเหมือนจะรู้ว่าไม่ควรพูดอะไรหรือให้กำลังใจใดๆ ในตอนนี้

“อืม เบิ๊ดเดย์ย้อนหลัง  แล้วเจอกันนะ” ผมตบแก้มเขาเบาๆ สองทีแล้วยิ้มให้

“ม๊วฟๆ” ดินแดนส่งจูบแล้วยิ้มน่ารักก่อนจะมุดหัวออกไป

ผมยกมือลาป๋าและดินแดนอีกครั้ง จากนั้นน้าเวชจึงออกรถ ได้แต่นั่งจมจ่อมอยู่กับความรู้สึกคิดถึงเฮีย คิดถึงจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวจึงปล่อยให้มันหลั่งไหลอีกครั้ง


“เฮ้อ สงสารตาดอท”  เจ้าสัวแดนสรวงมองตามท้ายรถที่ลูกชายคนโตนั่งไปจนลับตา

“สงสารตัวเองด้วยก็ดีคร้าบ ดูหน้าดูตา ดูผมหงอกเต็มเลยป๋า” ดินแดนอดไม่ได้ที่จะแสดงความห่วงใยผ่านสายตา

“กลับจากนี่ป๋าก็ว่าจะเข้าร้านทำผมอยู่เหมือนกัน”

“ผมห่วงป๋านะครับ ถึงไม่ค่อยได้พูดแต่อยากให้รู้ว่าผมเป็นห่วงมาก”

“อืม แกคงเหนื่อยใจสินะเจ้าดิน ทั้งพ่อทั้งพี่ อาการแย่ไปตามๆ กัน” ผู้เป็นพ่อกอดไหล่ลูกชายแล้วกระชับแน่น

“ก็กังวลไปหมดล่ะครับ ได้แต่คิดหาวิธีช่วยอยู่ตลอด แต่กับป๋าผมไม่ค่อยร้อนใจเพราะรู้ว่าจิตใจมั่นคงพอที่จะไม่ทำอะไรแปลกๆ 
แต่พี่ดอทนี่สิ ผมเดาไม่เคยถูกเลยว่านางจะเซไปทางไหน พี่ดอทเป็นคนแรกเลยนะที่ผมจัดการไม่ได้”

“นั่นน่ะสิ” ผู้เป็นพ่อฟังแล้วก็อดหนักใจตามไม่ได้

“ดูอย่างเรื่องเฮียเถอะ ผมก็คิดว่าพี่ดอทจะฮึดออกไปงานศพแล้วช่วยงานจนนาทีสุดท้ายจนเป็นลมไปอะไรแบบนั้น แต่ไม่เลย นางเททุกสิ่ง หมกตัวอยู่ในห้องเป็นเดือนๆ ที่เขียนโน้ตบอกแม่ใหญ่ว่าจะดูแลตัวเองนั่นนี่แต่ความจริงคือไม่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากดูแลตัวเองนะแต่นางไม่รู้ว่านางทำไม่ได้ไง  แล้วเรื่องป๋าอีก อยู่ดีๆ ก็วีนใส่ว่าเรื่องร้ายๆ ที่เกิดกับนางเป็นความผิดของป๋า แต่พอคิดได้ก็บุกไปหาเพราะอยากจะขอโทษทั้งๆ ที่ร่างจะพังมิพังแหล่ ผมงงใจพี่ดอทจนหัวปั่นไปหมด  บุคลิกและการตัดสินใจของเขาแปลกมาก เหมือนจะเข้มแข็งแต่ความจริงคืออ่อนจนเหลว แต่บางทีคิดว่าเหลวแต่กลับแข็งกว่าหินซะอีก แถมยังเป็นคนฝังใจกับทุกเรื่องไม่ว่าจะดีจะร้ายก็เอายัดไว้ในใจซะหมด” 

ความกังวลใจของดินแดนเกี่ยวกับพี่ชายค่อนข้างมีอิทธิพลกับชีวิตเขาเป็นอย่างมาก เมื่อมีโอกาสก็จะระบายออกเสียทุกครั้ง โดยมากจะระบายกับคนรักอย่างสกายแต่ครั้งนี้มีโอกาสจึงระบายเอากับผู้เป็นพ่อ

“พี่แกเป็นคนฝังใจ ลืมอะไรยากจริงๆ”

“ยากไม่ยากก็ดูสองหนุ่มที่รอเสียบโน่นสิครับ หงอยเป็นหมาเหงาเลย” ดินแดนบุ้ยใบ้ไปทางวิศวกรหนุ่มหล่อกับนายแพทย์อนาคตไกลที่ยืนปรึกษาเรื่องงานกันด้วยสีหน้าหม่นหมอง

“ถ้ารอได้ก็ดี สักวันตาดอทก็ต้องมีคนดูแล แต่ถ้ารอไม่ไหวก็โทษพวกเขาไม่ได้คงต้องปล่อยไปตามบุญตามกรรม” เจ้าสัวแดนสรวงพูดอย่างนึกปลง

“ผมขอแยกไปถ่ายแบบที่สตูเลยนะ โทรบอกรถตู้มารับแล้ว” สกายเดินเข้ามาสมทบ

“อ้าวแล้วกูอะ” ดินแดนหันไปท้วง

“คุณอยู่เป็นเพื่อนท่านเจ้าสัวดีกว่า นานๆ จะได้เจอกัน”

“บอกให้เรียกป๋าเหมือนเจ้าดินมัน เจ้าเด็กนี่ดื้อซะจริง” เจ้าสัวแดนสรวงตำหนิ

“เอ่อ.. ขอโทษครับ..ป๋า” สกายรู้สึกประหม่าจนต้องเปลี่ยนเรื่องหันไปพูดกับดินแดนที่ยืนยิ้มล้ออยู่ใกล้ๆ “ถ่ายแบบเสร็จจะไปถ่ายซ่อมซีรีส์อีกสองซีนคงเสร็จค่ำๆ ถ้ายังไงผมจะโทรบอกก็แล้วกันนะ”

“เออๆ เอางั้นก็ได้ เดี๋ยวผมไปส่งร้านทำผมดีกว่าครับป๋า” ดินแดนสรุป

“อืมก็ดีเหมือนกัน แล้วเดี๋ยวเสร็จป๋าจะพาไปแนะนำกับดีลเลอร์สักสามสี่เจ้า”

“โหยป๋าครับ ขอฝึกงานเอกสารไปก่อนนะ ภาษาผมยังกากไม่ใช่คำที่ใช้พูดแบบเป็นทางการเดี๋ยวป๋าอายเขาแย่”

“ก็อุตส่าห์สมัครคอร์สเรียนภาษาสำหรับผู้บริหารให้ก็ไปๆ หยุดๆ ถ้าแกไม่เอาเรื่องแบบนี้ป๋าว่าให้คนอื่นมาเทคโอเวอร์กิจการดีกว่าไหมเจ้าดิน”

“ไม่ได้สิครับ ผมรับปากพี่ดอทไว้แล้วถ้าทำไม่ได้นี่หมดหล่อเลยนะ”

“มันไม่ใช่ง่ายๆ นะเจ้าดิน ถ้าไม่ทุ่มเทจริงๆ อาจจะพังหมด ป๋าไม่อยากให้แกแบกรับความกดดันขนาดนั้น”

“ก็ผมขอเวลาหนึ่งปีไงครับ ขอเคลียร์คิวถ่ายละคร เคลียร์ร้านเคลียร์ชีวิตส่วนตัวก่อน”

“มันจะช้าไปหรือเปล่า”

“ผมรู้ว่าป๋าอยากให้ผมเก่งเร็วๆ แต่ที่บอกจะฝึกงานไปด้วยผมขอฝึกแค่งานเอกสารไปก่อน หรือถ้าป๋าไม่ไหวก็แต่งตั้งรักษาการณ์แทนแล้วให้ผมไปเรียนงานกับเขาก็ได้ นะป๋านะ” ดินแดนไม่ใช่คนที่ตามน้ำไปกับอะไรก็ได้ ถ้าไหวก็คือไหวแต่ถ้าไม่ไหว เขาก็ไม่เคยรีรอที่จะพูดออกมา

“เอาแบบนั้นก็ได้ ขอโทษทีที่ป๋าใจร้อนไปหน่อย” ผู้เป็นพ่อตบไหล่ลูกชายเมื่อคิดได้ว่าตนอาจจะเร่งรัดเกินไป

“ไม่เป็นไรครับผมเข้าใจ ส่วนเรื่องภาษาเดี๋ยวผมเรียนลัดกับสกายก็ได้ เรียนแบบตัวติดกัน เอ้ยตัวต่อตัวน่าจะเข้าใจเร็วกว่า ใช่ไหมน้องหน้านิ่ง” อยู่ๆ ดินแดนก็หันไปแขวะคนรักเสียอย่างนั้น  “วันนี้เมื่อยคอไหมวะ หันมองเครื่องบินจนคอแทบเคล็ดแต่ไม่เห็นกล้าทัก กาก”

“เรื่องของผม  แล้วที่จะให้สอนอิ๊งผมขอบายนะ ให้สอนคุณสอนลิงยังง่ายกว่าอีก หรือถ้าจะให้ผมสอนจริงๆ คุณก็ต้องจ่ายค่าเหนื่อยด้วยการเป็นตามใจผมทุกอย่างจนกว่าคุณจะถอดใจเลิกเรียนไปเอง” สกายยักคิ้วข้างเดียวใส่คนรัก “งั้นผมไปก่อนนะครับท่าน สวัสดีครับ” 

“อ้าวไอ้นี่ กวนตีนแล้วชิ่งอีกละ”

“เออไอ้เด็กนี่มันเอาเรื่องดี ป๋าชอบ”

“ป๋าก็งี้ทุกทีอะ ลูกโดนรังแกก็ไม่เคยช่วย”

“ก็แกไปแหย่เขาก่อน แล้วเครื่องบินอะไร เล่าให้ป๋าฟังบ้างสิ”

“เป็นความลับครับ สกายมันไม่ให้บอกใคร”


+++++++++++++++++++++++++++




หลังจากวันลงเสาเอก ผมก็ช็อตไปอีกเป็นเดือน ถามว่าติดต่อเรื่องงานเรื่องบ้านได้หรือเปล่าก็ยังได้อยู่แต่รู้เลยว่าข้างในมันพังทลายลงอีกครั้ง

นั่งฟังแต่เพลงเศร้าเคล้าไปกับหยาดหยดแห่งความอาวรณ์  ความคิดถึงที่วิ่งวนทวนเข็มนาฬิกา สวนทางกับเวลาทว่าไม่เคยย้อนกลับมาเจอเรื่องเดิมได้อีกในจุดเดิม

ลมอ่อนพัดโชยมา น้ำตาก็ไหลริน เหลือเพียงกลิ่นหัวใจ คลุ้งไปกับความเหงา
รักยังไม่จางไป ตรึงติดชิดดวงใจ ยังหอมรัญจวนชวนให้ฝัน

เจ้าดอกไม้ซ่อนกลิ่น หอมบาดลึกเกินใคร หอมเกินหักห้ามใจ ทุกคราวต้องหวั่นไหว
ร้อยเก็บเจ้ามาลัย ทัดเธอไว้ในใจ เพื่อคงกลิ่นหอมไว้อย่างนั้น

คงไว้ได้แค่กลิ่นที่ไม่เคยเลือนลา ยังหอมดังวันเก่ายามเมื่อลมโชยมา
ทิ้งไว้เพียงอดีตที่ไม่เคยหวนมา ซ่อนเธอไว้ในใจ

แต่ละคำแต่ละท่อนกรีดแทงลงสู่ใจกลางของความรู้สึก หลับตายังโหยหา ลืมตาไม่คลายไป กลิ่นของเฮียยังติดตรึงประสาทสัมผัส กลิ่นของความรัก กลิ่นของความคิดถึง



ต่อ..

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
คืนวันผ่านล่วงเลย 10 เดือนแล้วที่เฮียจากไป เวลาช่วยได้เยอะมาก ไม่ใช่เลิกคิดถึงเพียงแต่เวลาที่คิดถึงไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดมากเท่าเดิมอีก  เริ่มขยับขาก้าวออกไปใช้ชีวิตเสียที จะขังเฮียไว้ในความรู้สึกเจ็บปวดแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว 

ตั้งใจว่าจะกลับมาทำงานที่ตัวเองรักเหมือนเดิมแต่ก็จะไม่หักโหมเกินไปเพราะบอกตามตรงว่าไม่รู้จะหาเงินไปทำไมเยอะแยะ ส่วนเรื่องชื่อเสียงก็ไม่เห็นจำเป็นเพราะอันที่จริงผมเป็นคนสันโดษไม่ได้ชอบเข้าสังคมอยู่แล้วด้วยซ้ำ แค่อยากทำในสิ่งที่ตัวเองรักไปเรื่อยๆ ทำเสื้อผ้าไปเรื่อยๆ แค่นั้นก็พอ

วันนี้เริ่มออกจากบ้านมาที่ห้องเสื้อ ยังไม่ได้บอกใครว่าจะกลับมาเริ่มงาน และตามคาดเมื่อดันประตูเข้ามาในออฟฟิศ.. 

ตุ๊บ~

เสียงคอลเล็กชั่นผ้าไหมร่วงลงจากมือพี่บอลลูน

เคร้ง~ ก๊อก~ ตุ๊บๆๆ

กล่องเครื่องเขียน กล่องคุกกี้ บอลบริหารมือ พากันร่วงหล่นออกจากมือพนักงานที่กระจัดกระขายอยู่ตามตำแหน่งของตัวเองกันพร้อมหน้า

“ทำอย่างกับเห็นผี” ผมเก๊กหนังหน้าไม่ให้หลุดขำกับท่าทางเหวอๆ ของพวกเขา จากนั้นก็ตรงไปนั่งประจำที่โต๊ะทำงาน

“ค.. คะ คุณ คุณ..”

“นังเผื่อน แกจะติดอ่างทำไม สติๆ ส..สะ สะ สวัส ดะ ดะ ดี..”

“สวัสดีค่ะคุณดอท” พี่บอลลูนผลักร่างสาวสองทั้งสองนางให้หลีกทางแล้วเดินมาหา  ผู้ช่วยมือขวาน้ำตาคลอเข้ามาหยุดหน้าโต๊ะ จากนั้นคนอื่นๆ ก็ตามมายืนเรียงแถวหน้ากระดาน

“ยินดีต้อนรับกลับมาค่ะ” พี่บอลลูนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“ฮือๆๆๆๆๆๆ ฮื้ออออออออ” เสียงร้องไห้ประสานขึ้นเป็นเสียงเดียวเมื่อน้ำตาของพี่บอลลูนหยดไหลพร้อมกับรอยยิ้ม “คุณดอทกลับมาแล้ว ฮื้อออ ฮือๆๆๆ”

“ร้องไห้กันทำไม ไปเตรียมประชุมต้นสัปดาห์สิครับ ทุกวันจันทร์สิบโมงครึ่ง ลืมไปหมดแล้วเหรอ”  ผมเริ่มแสบจมูกจึงจำเป็นต้องไล่พวกนี้ไปไม่งั้นน้ำตาแตกต่อหน้าพนักงานแล้วจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

“โหคุณดอทอะ ให้เวลาซึ้งหน่อยก็ไม่ได้ ฮือๆๆ” สาวสองชื่อเพื่อนกระเง้ากระงอดใส่ผมอย่างที่ไม่ค่อยกล้าทำมาก่อน

“เอ๊ะนั่งเผื่อน แกจะหาเรื่องให้หมู่เหล่าทำไมเดี๋ยวคุณดอทก็อารมณ์เสียจนได้”

“ดอทไม่อารมณ์เสียหรอก รีบไปเตรียมตัวประชุมเถอะ” ผมบอกเสียงเรียบ ที่จริงชอบแอบขำลูกน้องของตัวเองอยู่บ่อยๆ แต่รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะมันไม่เข้ากับหน้าผมก็เลยไม่ค่อยได้เปิดเผยกับพวกเขาว่าผมชอบเวลาที่พวกเขาทำงานด้วยความสุขและผ่อนคลายความเครียดด้วยการจิกกัดกันเอง


แล้วการประชุมครั้งแรกในรอบเกือบปีก็จบลงก่อนเที่ยงเล็กน้อย ผมจึงให้พี่บอลลูนพาพวกเด็กๆ ไปเลี้ยงมื้อใหญ่ในห้าง  แต่ผมไม่ได้ไปด้วยเพราะอยากเริ่มทำงานเสียที

จะว่าไปตอนที่อยู่ในห้องนอนคนเดียวเงียบๆ ก็ได้งานมาเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นคอลเล็กชั่นที่แตกต่างจากผลงานเดิมๆ อย่างสิ้นเชิงเพราะปกติงานของผมจะออกแนวเรียบหรูและใช้สีพาสเทล แดง ขาว และเอิร์ธโทน  แต่งานชิ้นใหม่ผมตั้งใจใช้สีดำเป็นพื้นและใช้สีเทาเข้มจากผ้าที่มีความเงาวาวมาคาดผ่านสีดำเป็นกิมมิก เปรียบเสมือนตัวแทนแห่งความเจ็บปวด ความเศร้า ความหม่น แต่ในความหม่นนั้นยังมีความสวยงามแฝงอยู่  ซึ่งพอเอาคอลเล็กชั่นนี้เข้าไปเปิดเผยในที่ประชุม ทีมของผมก็ชอบอกชอบใจกันยกใหญ่ ยกให้เป็นผลงานมาชเตอร์พีชของผมเลยทีเดียว

คอลเล็กชั่นนี้ผมให้ชื่อว่า.. BEAUTY IN THE DARKNESS..ลึกลงสู่ใจกลางแห่งความมืดหม่น คุณจะพบว่าความสวยงามกำลังต่อสู้เพื่ออวดเงาของตัวมันเอง

การสูญเสียเฮียเผ่าเป็นที่สุดของความมืดหม่นในชีวิตทว่าในความเศร้านั้น ผมได้พบเจอความสวยงามอันน่าทึ่ง เฮียหยุดเวลาของเราสองคนไว้ที่ความเสียสละซึ่งมันเป็นความทรงจำที่สุดแสนงดงาม อาจจะดีกว่าที่เราต้องเลิกกัน ทะเลาะกัน เกลียดกันจนต้องเลิกรากันไป แบบนั้นคงจะน่าเศร้ากว่านี้มาก

ประโยคที่ว่า.. จากเป็นทรมานกว่าจากตาย คงหมายถึงแบบนี้สินะ


++++++++++++++++++++++++



วันครบรอบหนึ่งปี  ผมขังตัวเองอยู่ในห้องอีกครั้ง ไม่เคยติดต่อไปหาคนที่บ้านเฮียเพราะเฮียเคยพูดไว้ตอนที่ยังมีชีวิตว่าคนตระกูลเฮียไม่น่าคบ ถ้าไม่มีเฮียก็ไม่ต้องไปนับญาติกับใคร

ในที่สุดก็ตัดสินใจหยิบกล่องของเฮียออกมา ด้านบนสุดมีกรอบรูปตั้งโต๊ะเป็นภาพเราสองคนในงานรับรางวัลนักธุรกิจไฟแรงแต่เป็นคนละรูปกับที่ผมถ่าย รู้สึกว่าภาพนี้จะเป็นกล้องจากเจ้าของงาน เฮียเคยบอกว่าชอบผมในวันนั้นมากเพราะดูอารมณ์ดีและตื่นเต้นกับรางวัลมากกว่าเฮียเสียอีก 

ชิ้นต่อมาเป็นปฏิทินรูปของผมที่เฮียสั่งทำให้เป็นของขวัญครบรอบสิบปีโดยสั่งทำเป็นคู่ ให้ผมหนึ่งอันและเฮียเก็บไว้หนึ่งอัน  มีรูปคู่แค่ด้านหลังเพียงรูปเดียวเพราะเฮียบอกว่าอยากเห็นผมมากกว่าเห็นตัวเอง

อย่าถามถึงน้ำตาเพราะมันไหลนองตั้งแต่หยิบกรอบรูปขึ้นมากอดแล้วด้วยซ้ำ

ผมเปิดปฏิทินไปทีละหน้า  มีลายมือของเฮียเขียนเรื่องสำคัญของเราไว้ในปฏิทิน วันที่เราอยู่ด้วยกัน วันที่ไปทะเล วันเกิดของผม  วันที่ผมให้ของขวัญเฮีย  วันที่เฮียเผลอลงมือจนผมเข้าโรงพยาบาล และอีกหลายเหตุการณ์ที่ได้เขียนไว้ 

“มิน่าล่ะถึงได้จำวันสำคัญได้ ก็เล่นจดไว้แบบนี้นี่เอง” ผมยิ้มทั้งน้ำตาแล้วพลิกแต่ละหน้าช้าๆ ซึมซับความอ่อนโยนของเฮียที่ปกติเฮียไม่ใช่คนที่มีนิสัยละเอียดอ่อนแบบนี้

ผ่านของในกล่องไปเพียงแค่สองชิ้น ความรู้สึกของผมก็เริ่มจะไม่ไหวจึงรีบเก็บของลงกล่องแล้วปิดไว้อย่างเดิม

“เอาไว้ถ้าบ้านเสร็จแล้วดอทจะเอาของทั้งหมดไปเก็บไว้ที่บ้านเรา ถึงตอนนั้นดอทคงแข็งแรงพอที่จะดูของทั้งหมดโดยไม่พังไปก่อนแบบนี้นะครับ” ผมบอกลากล่องของเฮียแล้วปิดตู้ลงกลอน 


ใช้เวลาอีกเป็นเดือนกว่าสมองจะกลับมาโล่งอีกครั้ง  ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมยังคงสั่งงานเรื่องบ้านเฮียเผ่าผ่านทางกรุ๊ปไลน์ การก่อสร้างเป็นไปอย่างล่าช้าเนื่องจากผมไม่ได้เร่งรีบตรวจงานซึ่งแน่ล่ะว่าผู้รับเหมาคงจะหัวเสียอยู่ไม่น้อย แต่ผมก็ใช้เงินแก้ปัญหา จ่ายค่าเสียเวลาโดยการโอนไปและบังคับให้รับไว้เพราะไม่อยากมีปัญหาถูกฟ้องในภายหลัง

สิ่งหนึ่งที่ไม่โฟกัสเรื่องบ้านมากเกินไปเพราะชอบลืมตัวเผลอคิดถึงเฮียจนดิ่งไปอีก นั่นคือเหตุผลที่เวลาจะเข้าไปจับงานนี้ถึงต้องบิลด์ให้อารมณ์นิ่งมากที่สุดซึ่งได้บอกเหตุผลนี้กับไลน์กลุ่มไป หมอวรรตตอบรับทราบและให้กำลังใจในทันที ส่วนพี่เวย์ตอบแค่คำว่า ‘ครับ’

“แบบนี้เหมือนกลับไปเป็นพี่เวย์คนใจร้ายอีกแล้วหรือเปล่านะ”

ไม่ให้คิดแบบนี้ได้ยังไงในเมื่อที่ผ่านมาหมอวรรตยังมีแอบโทรมาโดยใช้ข้ออ้างเรื่องงานบังหน้าซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร

ส่วนพี่เวย์..

ผมกดเข้าไปดูข้อความสนทนาส่วนตัวของพี่เวย์ในแอพไลน์ซึ่งมันหยุดไว้เพียงแค่ประโยคเดียวไม่มีเพิ่มเติมสิ่งใดขึ้นมาเลย  ในวันที่ลงเสาเอกผมไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ตรงไหน เห็นแค่หมอวรรตที่คอยเดินเข้ามาอยู่ในรัศมีการมองเห็นพยายามส่งสายตาห่วงใยมาให้

แต่พี่เวย์ไม่โทร ไม่แชทข้อความส่วนตัว ไม่ปรากฏตัวต่อหน้าผมในวันลงเสาเอก ทั้งๆ ที่เราไม่ได้เจอกันเกือบปี


“ส...สวัสดีครับ”  พี่เวย์รับสายทันทีที่ผมโทรเข้า น้ำเสียงเหมือนไม่อยากเชื่อว่าผมจะโทรหาและนั่นทำให้ผมรู้สึกกระหยิ่มขึ้นมาหลังจากที่รู้สึกต่ำต้อยมานาน

“วันอาทิตย์นี้ผมอยากเข้าไปตรวจหน้างาน ประมาณสิบโมงเช้าสะดวกทั้งสองคนไหมครับ” ผมขอนัดดูงานในวันอาทิตย์เพราะเพิ่งกลับเข้าไปทำงานห้องเสื้อจึงไม่อยากหยุดให้งานชะงักไปอีก

“.....” พี่เวย์ไม่ตอบ ไม่รู้ว่าได้ยินหรือเปล่า

“ได้ยินไหมครับ ฮัลโหลๆ” 

“..เอ่อ ครับ ด..ได้ยินครับ”  เสียงพี่เวย์ค่อนข้างตื่น กว่าจะตอบรับก็เกือบกดวางสายไปแล้ว

“..ครับ งั้นสะดวกใช่ไหมหรืออยากเลื่อนเวลาก็ได้นะครับ”  ผมถามกลับ บางทีเขาอาจจะอยากพักผ่อน

“สะดวกครับ เจอกันวันอาทิตย์นี้สิบโมง..ครับ” เขาดึงจังหวะไว้เหมือนไม่อยากให้การสนทนาจบลง

“โอเคครับ งั้นแค่นี้ก่อนนะ”

“...ครับ” พี่เวย์ทิ้งคำสุดท้ายไว้ด้วยเสียงแผ่วๆ

ผลหลุดยิ้มออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นวุ่นวายใจของพี่เวย์  หวังว่าจะไม่รู้นะว่าผมตั้งใจโทรหา

แปลกจัง แค่คิดว่าความรู้สึกของพี่เวย์ยังไม่ได้เปลี่ยนไป ผมก็รู้สึกดีขึ้นมาแล้ว..

แต่จะพยายามนิ่งไม่สานสัมพันธ์เพิ่มไปกว่านี้เพราะตอนที่เสียไปมันเจ็บปวดแทบจะตายเสียให้ได้เลย  ผมคงเหมาะที่จะอยู่คนเดียวมากกว่า


ทว่าในคืนนี้ ผมกลับมีความผิดปกติด้านอารมณ์และร่างกายหนักขึ้น  รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านอยากระบายออก

น้ำเสียงที่ไม่ได้ยินมานานของพี่เวย์ส่งผลต่อสภาวะทางอารมณ์ได้อย่างมากมายจนจิตใจไม่สงบ

“อ่ะ.. อา อาห์..” น่าอายจริงๆ ที่เผลอจินตนาการถึงพี่เวย์ 

ร่างกายของผมกลับมามีความต้องการหลังจากที่ดินแดนมาหาและหอมแก้มยาวๆ ในครั้งนั้น  อาการสะท้านที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยนั้นก่อให้เกิดความต้องการมากขึ้นจนต้องกลับมาช่วยตัวเอง ถึงจะไม่บ่อยแต่ก็เพิ่มขึ้นทุกที จากเดือนละสองครั้ง เป็นอาทิตย์ละครั้ง โดยเฉพาะวันนี้ที่มีอารมณ์มากๆ แบบต้องทำต่อเนื่องกันถึงสองรอบ

ซึ่งมันก็ยังไม่พอ..

ปฏิเสธความต้องการของตัวเองไม่ได้เลยว่าช่วยด้านหน้ามันไม่ถึงใจ อย่างเมื่อครู่ที่จินตนาการถึงพี่เวย์ ผมไม่ได้แค่นึกหน้าเฉยๆ แต่เผลอคิดว่าเขากำลังสอดใส่เข้ามาทางด้านหลัง

แต่การจะช่วยตัวเองทางด้านหลังมันยากไป มันน่าอายเกินกว่าที่จะทำเองซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกว่ายังขาด อดคิดไม่ได้ว่าถ้ามีคนมาช่วยก็คงดีจนบางทีอยากยกหูโทรหาใครก็ได้ให้เขารีบมา

“ชนม์แดนๆๆๆ อะไรของแกเนี่ยตั้งสองรอบ บ้าบอที่สุดเลย!”

พอเสร็จแล้วก็มานั่งนอยด์กับความนิสัยไม่ดีของตัวเอง ตั้งแต่เฮียเสียไปก็แทบไม่เกิดอารมณ์อยากได้อยากมีอะไรอีก เคยคิดว่ามันหายไปก็ดีแล้วจะได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ แต่เจอกามไหลย้อนแบบนี้มันก็อดเซ็งไม่ได้ คงต้องพยายามควบคุมตัวเองอีกแล้ว เบื่อๆๆๆ ทำไมถึงได้เป็นคนแบบนี้นะ!


+++++++++++++++++++++++++++




รุ่งเช้าวันอาทิตย์ ผมตั้งโต๊ะสำรับหน้าบ้านเพื่อตักบาตรกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เฮีย ทำแล้วรู้สึกสบายใจและหวังว่าเฮียจะรับรู้ความคิดถึงของผม

“ไปไหนลูก” คุณแม่ทักเมื่อผมเดินลงมาจากห้องด้วยชุดลำลอง เสื้อยืดเข้ารูปสีดำคลุมด้วยเชิ๊ตสีขาวพับแขนตัวสั้นและกางเกงสีครีม “ใส่สีอื่นนอกจากสีดำแบบนี้ค่อยดูสดใสขึ้นหน่อย”

“ไปดูงานที่ไซต์ก่อสร้างครับคุณแม่ ต้องไปดูบ้างเดี๋ยวผิดแบบแล้วต้องแก้จะวุ่นวายไปกันใหญ่” ผมบอกแล้วนั่งทานข้าวเช้าพร้อมกับคุณแม่   

“ถ้าเสร็จแล้วจะย้ายไปอยู่ที่นั่นจริงเหรอลูก” เสียงคุณแม่แผ่วลงจนผมต้องจับมือมากุมไว้

“ดอทจะกลับบ้านบ่อยๆ นะครับ” ผมปลอบ

“อุตส่าห์ได้กินข้าวด้วยกันทุกวันแล้ว อยู่ๆ ก็จะทิ้งแม่ไป” เห็นสีหน้าของคุณแม่แล้วรู้สึกกลุ้มใจเรื่องนี้เหมือนกัน ไม่รู้จะทำยังไงถึงจะแก้ปัญหานี้ได้ 

“เอาไว้ดอทจะลองคิดดูอีกทีว่าจะทำยังไงนะครับ คุณแม่อย่าคิดมากนะ ดอทไม่ทิ้งให้คุณแม่เหงาอยู่คนเดียวหรอก ทานข้าวนะครับ ยิ้มๆ” พอคุณแม่ยิ้มออก  จากนั้นผมก็ทานข้าวจนอิ่มแล้วให้น้าเวชไปส่งที่ไซต์งาน



ตั้งแต่เริ่มไปทำงาน น้าเวชก็ไปรับไปส่งทุกวันแต่ไม่กล้าพูดอะไรเพราะผมยังเหม่อไปนอกรถและหน้าตาก็ยังไม่พร้อมจะรับแขก
และวันนี้ เพียงแค่ขับรถเข้ามาในบริเวณที่ดินของเฮีย น้ำตาก็เอ่อคลอ หัวใจมันวูบโหวงจนต้องหยิกตัวเองเพื่อเตือนไม่ให้จมดิ่ง
เฮียจ๋า เป็นกำลังใจให้ดอทนะ ดอทจะเข้มแข็งกว่านี้ให้ได้..

“คุณหนูครับ..” เสียงน้าเวชปลุกผมออกจากภวังค์หลังจากนั่งนิ่งอยู่ในรถนานพอสมควร

ผมสูดหายใจเข้าลึกแล้วบอกด้วยเสียงแหบแห้ง “ทนหน่อยนะครับน้าเวช ดอทรู้ว่าคนที่รักดอททุกคนรู้สึกทุกข์ใจที่เห็นดอทเป็นแบบนี้ ถึงตอนนี้จะยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ดอทจะพยายามครับ”

“โธ่คุณหนู แค่นี้ก็เก่งมากแล้วครับ แล้วก็ไม่ต้องคิดมากเรื่องน้าเวชหรอกแค่ได้เห็นคุณหนูออกจากบ้านไปทำงานก็ดีใจมากแล้ว ต่อไปคุณหนูต้องกลับมายิ้มและหัวเราะได้อีกแน่นอนครับ”
ผมพยักหน้าแล้วฝืนยิ้มบางๆ ลงจากรถเดินเข้าไปตรวจดูในเขตก่อสร้าง ตอนนี้ขึ้นเสาและวางโครงสร้างหลักเสร็จแล้ว  กวาดตามองโดยรอบเห็นคนงานเพียงแค่สี่ห้าคนไม่รวมสองคนที่กำลังเดินดิ่งมาจากต้นฉำฉาใหญ่


ใช้เวลาสักพักที่พวกเขาเดินจากตรงนั้นระยะทางประมาณ 200 เมตร ถ้านั่งรถก็แป๊บเดียวแต่ถ้าเดินก็เรียกเหงื่อได้เลยทีเดียว

“......” เมื่อมาถึง พวกเขานิ่งเงียบแค่มองหน้าผมคล้ายกับจะสำรวจตรวจสอบว่ามีอะไรบุบสลายไปตรงไหนบ้าง
บรรยากาศระหว่างเราค่อนข้างซับซ้อนระหว่างคิดถึงแต่ก็รู้ว่าคิดถึงไม่ได้ และเจ็บปวดซึ่งรู้ดีว่ามันเกิดจากความสัมพันธ์ที่ไม่มีทางจะสมหวัง

ความเงียบและความสับสนปนเปของความรู้สึกที่หลากหลายทำให้น้ำตาของผมเริ่มเอ่อขึ้นจนต้องรีบหันหลังและปาดเช็ดมันออกอย่างรวดเร็วก่อนจะทำทีเป็นเดินตรวจงานเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยของอารมณ์ 

“ทำไมคนงานน้อยจังครับ” ผมถามในสิ่งที่รู้อยู่แล้วโดยไม่ได้หันกลับไป

“คนงานส่วนใหญ่หยุดแต่พวกที่มาวันนี้ได้ค่าจ้างสองเท่าเพราะผมอยากให้การก่อสร้างเสร็จให้เร็วที่สุด” พี่เวย์เดินตามมาเทียบทางด้านขวา

“คุณผอมไปนะ..” หมอวรรตเดินขึ้นมาขนาบทางด้านซ้ายและพูดในเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับงานแม้แต่น้อย

“..ครับ” ผมไม่ได้หันกลับไปแต่ตอบรับไปแค่สั้นๆ “แล้วต่อจากนี้จะทำอะไรต่อ มุงหลังคาใช่ไหมครับ”

“ยังครับ อาทิตย์นี้จะจัดการเรื่องปลวก ฉีดพ่นน้ำยาให้ทั่วแล้ววางท่อทดสอบอัดน้ำยาเสร็จแล้วถึงจะขึ้นมุงหลังคาครับ” พี่เวย์ตอบอย่างเอาการเอางาน

“กินข้าวเยอะๆ หน่อยสิ ก้นหายหมดแล้วนะ แล้วทรงผมอะไรของคุณ ยาวไม่เท่ากันแบบนี้ก็ได้เหรอ” หมอประสาทเริ่มจะทำให้ประสาทผมเสียอีกครั้ง

พูดถึงเส้นผม ตั้งแต่หมอวรรตตัดให้ครั้งก่อนผมก็ไม่เคยตัดอีกเลยจนทำให้ความยาวในตอนนี้ระต้นคอแล้ว วันนี้ก็แค่เซ็ตลวกๆ ไม่ให้มันกระเซอะกระเซิงมากนัก

ผมหยุดเดินแล้วหันไปจ้องหน้าเขา ลืมเรื่องเศร้าไปชั่วขณะ “ถ้าคุณไม่ตั้งใจทำงาน ผมจะให้คนอื่นมาทำแทนนะครับ”

นายแพทย์หนุ่มหน้าหงอยลงแต่แล้วก็เถียงกลับมา “เจ้าของที่นี่เขาอยากให้พี่เวย์กับผมทำงานให้เสร็จ คุณไม่มีสิทธ์ไล่ผมออก แล้วอีกอย่างตรงนี้ไม่ใช่งานในส่วนของผม แต่ถ้าคุณไปถามเรื่องสวนตรงโน้น ผมค่อยตั้งใจทำงาน”

หน้าผมตึงขึ้นเมื่อเถียงเขาไม่ออก “งั้นก็ไปดูตรงนั้น ถ้างานไม่ดีผมจะสั่งคุณรื้อให้หมด” ว่าแล้วก็เดินดิ่งไปยังสวนฉำฉาทันที

พูดถึงในส่วนงานออกแบบและก่อสร้าง ระหว่างที่ผมทำใจเรื่องเฮียอยู่ พี่เวย์จะเขียนแบบส่งและแก้งานได้อย่างรวดเร็วแถมงานดีกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก  ยิ่งมาเห็นการทำงานที่ไซต์จริงแบบนี้ยิ่งรู้เลยว่าพี่เวย์ควบคุมดูแลการก่อสร้างได้เนี้ยบมาก มิน่าเฮียถึงไว้ใจให้ทำโครงการใหญ่ๆ มาก่อนและยังดึงให้มาทำที่นี่ด้วย  ส่วนหมอวรรตก็งานดีจนเหลือเชื่อ ผมแทบไม่ต้องแก้อะไรเลย เพียงแต่สโคปงานของเขาน้อยกว่าพี่เวย์หลายเท่า ทำให้งานอาจง่ายกว่าค่อนข้างมาก

ระยะทางที่เดินไปค่อนข้างไกล พี่เวย์พยายามบอกให้นั่งรถแต่ผมคิดว่าเดินไปจะดีกว่า  และก็คิดถูกที่เดินมาเพราะพอเข้าโซนสวน บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยน  ลมเย็นๆ เริ่มพัดเข้าปะทะใบหน้า กลิ่นดินกลิ่นสดชื่นโชยเข้าโสตประสาททำให้รู้สึกผ่อนคลาย
เมื่อเห็นว่าอาการของผมเริ่มดีขึ้น หมอวรรตจึงได้เข้ามานำเสนอผลงานของตนเอง

“ผมเริ่มทำในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งปลูกสร้าง เวลาคุณมาตรวจงานจะได้มาพักผ่อนที่นี่ได้นานๆ” สายตาของเขาที่จ้องมาดูลึกซึ้งจนผมต้องรีบเบือนหน้าหนี

“ถ้าตรวจงานเสร็จผมก็ไม่มีธุระอะไรที่ต้องอยู่ต่อ” ผมบอกอย่างไร้เยื่อใยแล้วเดินดูไปเรื่อยๆ

ตอนนี้ปูหญ้านวลน้อยใต้ร่มฉำฉาและวางหินทางเดิน ด้านข้างมีการนำหินก้อนใหญ่ๆ ซ้อนทับกันขึ้นคล้ายกับชั้นน้ำตกและขุดพื้นเป็นแอ่งเชื่อมต่อกับร่องลำธารไหลวนอยู่ในรัศมีของร่มฉำฉา มีสะพานเล็กๆ สี่ทิศเพื่อให้ข้ามไปพบกับความบันเทิงต่างสไตล์  สะพานทิศเหนือมีชิงช้าที่มีลักษณะเหมือนเถาวัลย์พันเกี่ยวกันและพอเข้าไปดูถึงได้เห็นว่าเป็นของจริง เป็นเถาวัลย์ที่เป็นธรรมชาติโยงลงมาจากกิ่งใหญ่ของต้นฉำฉา มันสานกันเป็นที่นั่งได้อย่างเหมาะเจาะ  สะพานทิศตะวันออกมีเปลแขวนที่มีลักษณะเป็นทรงกลมขนาดใหญ่ให้คนนอนเหยียดยาวได้ถึงสองคน   ส่วนตะวันตกเป็นส่วนต่อเนื่องจากทางเดินมาจากตึกหน้าจะมีโต๊ะสนามตั้งอยู่สี่โต๊ะ และสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกหลายสิบโต๊ะในส่วนรอบนอกร่มฉำฉา  และทิศใต้เป็นซุ้มเล็กๆ ลักษณะเหมือนบาร์ มีเคาน์เตอร์สำหรับเสิร์ฟเครื่องดื่ม ด้านในมีเครื่องชงกาแฟ ตู้แช่ ตู้เก็บขนมนมเนย และอุปกรณ์สำหรับกินดื่มแบบเบาๆ  มันเหมาะมากที่จะมาอยู่เล่นตรงนี้เพื่อพักผ่อนหย่อนใจ

“อยากเปลี่ยนใจไหมครับ” พี่เวย์ทักขึ้นหลังจากผมนิ่งอึ้งไปนานเพราะเดินดูรอบบริเวณแล้วชอบไปหมด  ไม่สิ ต้องบอกว่ารักเลย  นี่ขนาดยังไม่เสร็จสมบูรณ์ยังดีขนาดนี้แล้วถ้าเสร็จมิต้องลืมบ้านลืมช่องมาอยู่ที่นี่ถาวรเลยเหรอ

“เปลี่ยนใจเรื่องอะไรเหรอครับ” ผมหันไปถาม และได้สบตาในระยะใกล้  ใบหน้าพี่เวย์คล้ำขึ้นเพราะคงต้องอยู่กลางแจ้งคุมงานทั้งวัน แต่แบบนี้ก็ดูดีไปอีกแบบ

“ก็ที่บอกว่าตรวจงานเสร็จแล้วก็ไม่อยากอยู่ต่อ” พี่เวย์ยิ้มบางๆ “พี่เขียนตรงนี้สุดฝีมือเลยนะ แล้วนายวรรตก็เขียนแบบเพิ่มเติมและทำออกมาได้เกินกว่าที่พี่คิดไว้ซะอีก”

คำว่าพี่ที่ออกจากปากของพี่เวย์ทำให้ใจผมเต้นตึกตัก อยู่ดีดีทำไมเรียกตัวเองว่าพี่แบบนี้ล่ะ ก็เราเป็นทางการกันมาตั้งนานแล้วนะ

“ค..คือ  ก็ ก็สวยมากนะ แต่.. คือ..” ผมกระพริบตาถี่ๆ นึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรแถมยังรู้สึกประหม่าที่พี่เวย์เรียกตัวเองว่าพี่ นี่ถ้าเขาเรียกผมว่า..

“น้องโกหกไม่เก่งหรอกครับ ไม่ต้องพยายามโกหกก็ได้”  นั่นไง! เรียกผมว่าน้องจนได้!!

“เอาเข้าไป” หมอวรรตพูดขึ้นเบรกบรรยากาศแปลกๆ “นี่มันโซนผมนะพี่เวย์ พี่เล่นรายงานอยู่คนเดียวเดี๋ยวผมก็โดนไล่ออกกันพอดีที่ไม่มีผลงาน”

“ตะกี้ฉันก็โฆษณาให้แล้วไงว่านายทำได้ดีกว่าที่ฉันคิด” พี่เวย์เถียง

“แต่ผมอยากพูดเอง” หมอวรรตยังไม่ยอมลงให้ “ถอยไปเลย ผมจะบรรยายเอง”

พี่เวย์ส่ายหัวแล้วหลีกทางให้หมอวรรตเข้ามาหาแต่ผมชิงพูดขึ้นก่อน 

“ผมโอเคทุกอย่าง แค่ช่วยเอาเปลวงกลมนั่นออกไปเพราะไม่คิดอยากจะนอนเล่นกลางแจ้งแบบนี้หรอก วันนี้พอแค่นี้ผมขอกลับก่อน ขอบคุณนะครับ”

อันที่จริงผมก็ชอบเปลนี้นะ มันน่านอนมากแต่ผมแค่หาเรื่องติงานเขาเท่านั้นเอง แล้วจากนั้นก็ตัดบทขอกลับทันที ไม่อยากฟังหมอวรรตพูดและเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับสองคนนี้จนทำตัวไม่ค่อยถูก

“ได้ไงล่ะ” หมอวรรตโวยขึ้น “เปลนี่ผมสั่งทำแบบซุปเปอร์สเปเชียลเลยนะ คุณต้องลองไปนอนดูก่อนแล้วจะชอบ”
พอพูดจบ แขนผมก็ถูกดึงไปทันที  “น..นี่! คุณ ปล่อยผมนะ!”

“ลองนอนดูๆ”  กึ่งจูงกึ่งลากแล้วผลักผมให้ลงไปนอนบนเปลแต่ด้วยความที่เปลมันโยกแกว่งไม่มั่นคง ผมจึงเผลอดึงแขนเขาไว้เพื่อรักษาสมดุลของร่างกายจนเขาล้มทับลงมาบนตัวผมและทำให้เปลเริ่มแกว่งไกวแรงขึ้นเนื่องจากน้ำหนักตัวของเราสองคนที่โถมเข้ามา

“นี่คุณ! ลุกเดี๋ยวนี้!!” พยายามดันเขาขึ้นแล้วตะเกียกตะกายลุกออกจากเปลแต่ยิ่งดิ้นเปลก็ยิ่งแกว่งแรงจนทรงตัวไม่ถนัด

“คุณก็หยุดดิ้นก่อนสิ” หมอวรรตบ่นแล้วพยายามทรงตัวจนในที่สุดก็ออกไปได้ครึ่งตัวแล้ว ส่วนผมก็ลุกขึ้นนั่งได้แล้วเช่นกัน

“มาฉันช่วย” พี่เวย์เข้ามาดึงหมอวรรตให้ลุกออกไปได้สำเร็จ แต่ตัวพี่เวย์ที่ยืนอยู่ในรัศมีการแกว่งไกวจึงถูกชนหน้าแข้งจนเสียหลักล้มลงมาชนกับผมที่กำลังจะลุกออกไปให้ล้มลงอีกรอบ

“เอ๊ย!!” พี่เวย์ร้องด้วยความตกใจและพยายามจะล้มแบบไม่ทับตัวผมแต่ยิ่งเลี่ยงเหมือนยิ่งเร่ง การทรงตัวบนฐานที่ไม่มั่นคงและน้ำหนักตัวของพวกเราทำให้ผลมันออกมาตรงข้ามไปเสียหมด

ร่างของผมถูกคร่อมทับไว้เป็นครั้งที่สอง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!!

ถามว่าถูกทับแล้วโกรธไหมก็ยอมรับว่าหัวเสียมากเพราะเหตุการณ์มันชุลมุนวุ่นวายไปหมด แต่ครั้งแรกที่หมอวรรตทับผมยังมีแรงขัดขืน แต่ครั้งนี้เป็นพี่เวย์ผมกลับไม่กล้าโวยวายเพราะเกรงใจ 

และแล้วเราก็เผลอสบตากันในระยะประชิด ดวงตาคู่สวยยังคงใสเป็นประกายน่ามอง ผิวที่เข้มขึ้นมองใกล้ๆ แบบนี้ดูแมนขึ้นอีกร้อยเท่า ปลายจมูกโด่งที่เฉียดอยู่ใกล้ทำให้แอบกลัวว่าตาผมจะเหล่หรือเปล่าเพราะดันเผลอมองปลายจมูกของเขานานเกินไป
หัวใจกระตุกผิดจังหวะ เผลอนึกถึงตอนที่ช่วยตัวเองแล้วสะท้านวูบขึ้นเมื่อตอนนี้ภาพของพี่เวย์ในตอนนี้ทับซ้อนกับภาพที่ผมจินตนาการไว้

“น้องเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นดึงความสนใจของผมให้ออกมาจากใบหน้าหล่อเหลา

“ม..ไม่ครับ พี่เวย์ลุกขึ้นเถอะ” ผมบอกอย่างเกรงใจ จะให้ไล่เหมือนหมอวรรตได้ยังไงในเมื่อเป็นเหตุสุดวิสัย ที่จริงผมน่าจะถามเขาด้วยซ้ำว่าขาเจ็บหรือเปล่าที่โดนเปลชน

ใบหน้าหล่อคลี่ยิ้มขึ้นเมื่อได้ยินผมเรียกพี่เหมือนเดิม ร่างสูงลุกออกจากเปลแล้วจับสายโซ่ที่โยงเปลให้หยุดแกว่ง

“ลุกมาช้าๆ นะครับ” พี่เวย์ยื่นมือมาให้

ผมมองมือเขาอย่างชั่งใจอยู่ครู่ก็ยื่นมือไปจับไว้แล้วลุกออกมาจากเปล แต่พอตั้งตัวได้ถนัดก็อยากจะล้มลงไปนอนอีกครั้งเพื่อหลีกหนีแววตาตัดพ้อรุนแรงของผู้ชายอีกคนที่ยืนขบกรามอยู่ไม่ห่าง

“ผมกลับก่อนนะ ที่นี่คงไม่มีงานสำหรับผมแล้วจริงๆ” พูดจบหมอวรรตก็เดินหนีไปทันที 

หัวใจของผมหล่นวูบลงถึงตาตุ่มเพราะภาพแผ่นหลังที่กำลังห่างออกไปทุกที

ผมกับพี่เวย์ยืนมองตามหมอวรรตไปจนเขาขับรถเก่าๆ คันเดิมออกไป  เราสองคนนิ่งเงียบไม่มีใครพูดอะไรออกมา

ทำไมต้องรู้สึกผิด ทำไมรู้สึกใจหาย ผมต้องทำยังไงกับสถานการณ์แบบนี้ดี


“ต่อไปไม่ต้องเรียกผมว่าน้องดีกว่านะครับ เพราะเฮียคงไม่ชอบ” ผมบอกพี่เวย์เมื่อเราอยู่ในความเงียบมาสักระยะ ใช้เฮียเป็นข้ออ้างคงจะดีที่สุดแล้ว

แค่คิดถึงเฮียก็เจ็บปวดมากพออยู่แล้ว ไม่อยากต้องมาเสียใจกับเรื่องของพี่เวย์กับหมอวรรตอีก และที่สำคัญ ถ้าผมมีคนอื่น เฮียอาจไม่ชอบใจก็ได้

“น้อ..” พี่เวย์พยายามจะเรียกแต่ผมวิ่งหนีออกมาทันที


ขอโทษนะครับพี่เวย์ ขอโทษนะหมอวรรต แต่ยังไงก็ไม่สามารถตอบรับน้ำใจของทั้งสองคนได้จริงๆ

ผมนั่งมองเหม่อออกไปนอกรถตลอดทาง พอถึงบ้านก็รีบเข้าไปในเซฟโซน

“เฮียโกรธไหมครับ ดอทห้ามความรู้สึกที่มีต่อสองคนนั้นไม่ได้เลย ยิ่งเป็นแบบนี้ก็ยิ่งรู้สึกผิด เฮียช่วยบอกหน่อยว่าดอทควรจะทำยังไงดี”


.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

หายไปนานมีใครคิดถึงพี่ดอทบ้างมั้ยคะ
เดี๋ยวตอนหน้าอัพให้เร็วๆ น่าจะไม่เกินสามวันค่ะ

ปล. รอบนี้ของดตอบเม้นต์นะคะ
เมาส์เสีย มันเด้งขึ้นเด้งลง ตาลายหมดแหล่วว

 :mew2: :pig4:

ออฟไลน์ angelninae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ดีใจที่มาต่อนะคะ วันนี้เพิ่งนึกถึงเรื่องนี้เลย บังเอิญจัง  :mew3:

ออฟไลน์ angelninae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เศร้า สงสารทุกคน
ขอให้เฮียมาเข้าฝันดอทที
ดอทจะได้ก้าวต่อไป

ป.ล.เราคาใจว่าจะมี3p ระหว่างดินxสกายxดอท รึเปล่าคะ กรี้ดมากกกก คือแอบพายเรือนี้อยู่นะคะ55

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :ling2: :ling2: :ling2:อยากเก็บเธอเอาไว้ทั้งสองคนนนนนนนน :ling3: :ling3:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
หายไปนานเลยนายน้อย กอดดด

กลับมาตอนใหม่พร้อมความเหนื่อยใจ เหนื่อยที่จะเข็นจะดันจะลุ้นแล้ว ก็ถ้าดอทอยากจะจมจ่อมกับความเศร้าความสูญเสียต่อไปก็แล้วแต่ดอทเถอะ พี่เวย์กับหมอวรรตก็ไม่ต้องพยายามแล้วทำไปก็เสียเวลาเปล่าๆ กลับไปใช้ชีวิตตัวเองกันเถอะค่ะก็ปล่อยดอทไว้แบบนั้นแหละ

ออฟไลน์ aisen

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
ดอทต้องเดินหน้าไปอย่าหยุดกับความเศร้า หาทางเดินของตนเองให้เจอ เฮียคงไม่อยากให้ดอททุกข์

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
จะยังไงเนี่ยะ ไม่เลือกทั้งคู่แต่จะทำได้มั้ย เลือกทั้งคู่ไปเลยเถอะ
รักเฮียคิดถึงเฮียก็เข้าใจแต่ก็นะ

ออฟไลน์ วันหนึ่ง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เลือกทั้งคู่ ไม่ได้หรอ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-12-2018 11:11:54 โดย วันหนึ่ง »

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
 :ling3: ระยะทำใจของเจ้าหญิงนานและน่ากลัวจริง นี่คิดเองเลยนะว่าหากได้แต่งกับเฮียเผ่าจริง โรคที่เป็นอยู่จะหายไปจริงเหรอ

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
นิยายเรื่องนี้อ่านรวดเดียวเลยค่ะ​ จะบอกว่าดราม่ามันก็บอกไม่ถูกแต่แค่บางตอนอ่านแล้วน้ำตาไหลไม่รู้​ตัวเลย​ จริงๆ​ดอทก็เสียใจ​มาเยอะถ้าจะมีคนรัก​พร้อมกันทีเดียวสอง​ เพราะดอทก็มีใจให้ทั้งคู่​ ก็ไม่ผิดนะ​ ตอนเด็กๆขาดมาเยอะ​ มีคนมาช่วยเติมเต็ม​ก็เป็นเรื่องดีค่ะ​ รอให้ดอทใจอ่อนกับสองหนุ่ม​ ตอนนี้เริ่มพอเห็นทางบ้างแล้ว

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
……


คงต้อง3Pแล้วละ. รักพี่เสียดายน้อง แล้วทั้งน้องและพี่ต่างก็รักดอทด้วยกันทั้งคู่

เฮียเองคงอยากให้ดอทมีคนดูแลอย่างจริงจังจริงใจเหมือนกันนะ

อย่าเก็บตัวอยู่เลย. ออกมาเจอฟ้าเจอฝนเจอแดดได้แล้วน้าาาา


……


 :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:



ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ต อ น ที่  22  :  ภ า ว ะ ชุ่ ม ฉ่ำ



สองสัปดาห์ผ่านไป ผมยังใช้ชีวิตปกติ ตื่นเช้าตักบาตรหน้าบ้านบ้าง สายๆ ออกไปทำงานและกลับบ้านประมาณหกโมงเย็น  ไปฟิตเนสบ้าง ว่ายน้ำบ้าง  ทานอาหารฝีมือคุณแม่เสียเป็นส่วนใหญ่  และเมื่อวนมาถึงคืนวันเสาร์อีกครั้ง ผมก็เริ่มกระวนกระวาย

sweetyDOTcom :  พรุ่งนี้ผมจะเข้าไปดูงานนะครับ ทั้งสองคนสะดวกคุยพร้อมกันตอนกี่โมง
ผมเข้ากรุ๊ปไลน์เพื่อนัดเวลาดูงาน ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ เพราะหลังจากวันนั้นหมอวรรตก็หายเงียบ ครึ่งเดือนแล้วที่ไม่ส่งงานไม่ทักไลน์ไม่อ่านไลน์ส่วนตัวที่ผมแกล้งออร์เดอร์งานไปให้ และมันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด

SuperWay :  นายวรรตขอถอนตัวแล้วครับ ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่รับโทรศัพท์แค่ส่งไลน์มาบอกให้ผมดูแลจัดการเองทั้งหมด แต่ที่ผมยังไม่บอกเพราะคิดว่าเขาอาจจะเปลี่ยนใจกลับมาเอง

ใจหาย..

ถึงกับนิ่งช็อคไปเลย อยากถามอยากเคี่ยวเข็ญพี่เวย์ให้ไปลากคอเขากลับมาทำงานต่อแต่ผมคิดว่าคงไม่สมควร

sweetyDOTcom :  งั้นคุณสะดวกกี่โมงครับ
ผมตัดใจคุยงานต่อเพราะคงไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว ถ้าหมอวรรตไม่อยากทำ ใครจะบังคับเขาได้ล่ะ

SuperWay :  ผมอยู่ที่ไซต์ตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงหกโมงเย็น     Read

sweetyDOTcom :  งั้นสิบโมงเช้าวันอาทิตย์นะครับ

SuperWay :  โอเคครับ   Read


หลังจากพี่เวย์ตอบรับ ผมก็โยนโทรศัพท์มือถือลงบนเตียง รู้สึกเซ็งขึ้นมาตงิดๆ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ
แต่อยู่ๆ หน้าจอก็โชว์ข้อความของพี่เวย์ขึ้นอีกครั้ง  ผมกดดูจึงเห็นว่าไม่ใช่ในแชทกรุ๊ปไลน์แต่เป็นห้องแชทส่วนตัว

SuperWay :  วันอาทิตย์เราไปทานข้าวเที่ยงกันดีไหม   Read
อะไรคือชวนทานข้าว!?  แล้วยังแอบมาชวนส่วนตัวซะอีก พี่เวย์ทำผมวุ่นวายใจอีกแล้ว

sweetyDOTcom :  ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่สะดวกใจ

SuperWay :  งั้นพี่เวย์จะเรียกว่าน้องเหมือนเดิมนะ
ก็คุยไปแล้วนี่ว่าไม่ให้เรียกน้อง เขาก็น่าจะเข้าใจแล้วว่าผมปฏิเสธที่จะสานสัมพันธ์ แล้วทำไมถึงได้ดื้อแบบนี้

sweetyDOTcom :  อย่าทำให้ผมลำบากใจสิครับ

SuperWay :  งั้นก็ตกลงไปทานข้าวด้วยกัน ผมจะคุยงานไม่คุยเรื่องอื่น รับรองได้
พี่เวย์จะมาไม้ไหน อยู่ดีดีทำไมขี้ตื้อขึ้นมาได้ล่ะ ไม่ทานข้าวด้วยก็ขู่จะเรียกน้องเนี่ยนะ อะไรของเขากัน

ผมกลอกตาเป็นเลขแปดใส่โทรศัพท์ จะปฏิเสธอีกก็ดูน่าเกลียด ถ้าเขาต้องการคุยงานและไม่ได้คิดอย่างอื่นแล้วผมดันเล่นตัวก็จะดูงี่เง่าเกินไป 

sweetyDOTcom :  ร้านไหนครับ

SuperWay :  มาถึงไซต์แล้วผมพาไปดีกว่า ขอตัวไปทำธุระก่อนนะครับ
พี่เวย์ตัดบทซะแบบนี้แล้วผมจะทำยังไงล่ะ  มีแต่คนเอาแต่ใจตัวเอง โลกนี้ทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันนะ

และแล้ววันอาทิตย์ผมก็มาถึงไซต์งาน ตอนนี้มุงหลังคาเสร็จเรียบร้อยทั้งออฟฟิศด้านหน้าและตัวบ้านตรงด้านหลัง 

“น้าเวชกลับไปก่อนได้เลยนะครับ เดี๋ยวถ้าจะกลับแล้วดอทจะโทรเรียก” ผมบอกและรอให้น้าเวชขับรถลับตาไปก่อนแล้วค่อยเดินเข้าไปหาพี่เวย์ที่คุมงานอยู่ด้านในของออฟฟิศ

เหมือนกำลังจะทำความผิดแต่หลอกตัวเองว่าแค่มาคุยงาน ชนม์แดนๆๆ ทำไมถึงไม่ปฏิเสธเขาไปนะ ทำไมต้องตามใจเขาด้วย!
ผมคุยเรื่องการก่อสร้างแล้วเดินดูความคืบหน้าไปเรื่อยๆ มองไปที่ต้นฉำฉาแล้วใจหายเบาๆ ที่มันยังคงค้างคาอยู่เท่าเดิมไม่มีอะไรเพิ่มใหม่ 

จากนั้นประมาณสิบเอ็ดโมง พี่เวย์ก็ชวนออกไปทานข้าวซึ่งผมก็แค่ยิ้มแห้งๆ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร
“ลืมบอกว่าไปรถมอเตอร์ไซต์นะครับ นั่งได้ไหม” คำพูดสุภาพกับท่าทางนิ่งๆ ดูเหมือนเป็นประโยคคำถามธรรมดา แต่ผมคิดว่าเขาแค่กวนตีน

“ไปไหนครับ” ผมไม่ตอบแต่ถามกลับไป

“ขึ้นรถเลยดีกว่าครับเดี๋ยวผมพาไป” เขายื่นหมวกกันน๊อกมาให้แล้วขึ้นคร่อมรถคู่ใจใส่หมวกเสร็จก็สตาร์ทรถรอให้ผมขึ้น และผมก็ขึ้นไปนั่งซ้อนตามคำสั่งในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา

พี่เวย์เหมือนมีเวทย์มนตร์ เหมือนตัวเขามีรังสีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมจังงัง งงงวย รู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่เหยื่อโง่ๆ ที่โดนต้อนได้ง่ายดายจนเกินไป   


“ร้อนหน่อยนะ หลบหลังก็ได้ถ้ากลัวแดด” เขาหันมาบอกขณะที่จอดติดไฟแดง

ใครจะไปหลบหลังแค่นั่งโดยพยายามไม่ให้ไถลไปโดนตัวก็ยากแสนจะยาก ถ้าต้องหลบก็เสียสมาธิในการทรงตัวหมด

เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้ทำตาม พี่เวย์ก็แค่หันกลับไปและไม่พูดอะไรอีก พอสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวก็ออกรถต่อไป

เอี๊ยด!!

“อ๊ะ!?” ตัวผมไถลไปข้างหน้ากระแทกเข้ากับหลังพี่เวย์อย่างแรงเมื่อเขาเบรกกะทันหัน “เกิดอะไรขึ้น!” ผมถามอย่างตกใจแล้วชะโงกดูทาง 

“เด็กข้ามถนนครับ พี่นึกว่าเขาจะไม่ข้ามเพราะไฟทางข้ามฝั่งเรายังเขียวอยู่” พี่เวย์บอกและผมก็เห็นเด็กนักเรียนคนหนึ่งทำหน้าซีดก้มหัวขอโทษพี่เวย์แล้วรีบวิ่งข้ามถนนไป

“ระวังหน่อยนะครับ”

ร่างสูงพยักหน้ารับคำ “น้องเกาะดีดีนะ คราวหลังไม่พาซ้อนมอเตอร์ไซค์แล้ว นั่งรถยนต์เอาดีกว่า” พี่เวย์ดึงมือผมไปเกาะสะโพกเขาแล้วหันมาทำหน้ารู้สึกผิด

รู้สึกร้อนรุมขึ้นตรงบริเวณผิวเนื้อที่ฝ่ามือพี่เวย์เกาะกุม ผมรู้ว่าเขาแค่เป็นห่วงแต่ไม่รู้หรือไงว่าทำแบบนี้มันไม่เหมาะ ทำแบบนี้ผมใจคอไม่ดีเลย

“ผมว่า..” กำลังจะปฏิเสธแต่พี่เวย์ก็แทรกขึ้น

“รีบไปดีกว่า จับแน่นๆ นะครับ”  เขาเหยียบเกียร์แล้วออกรถทันที

นี่รู้ใช่ไหมว่าผมจะเข้าโหมดดาร์ก รู้ใช่ไหมว่าผมจะใช้การ์ดเฮียมากันท่า เฮ้อ เอาไว้คุยงานเสร็จแล้วผมจะพูดกับเขาให้เด็ดขาด  ความสัมพันธ์ของเราต้องเป็นแค่นายจ้างกับลูกจ้างเท่านั้น


พี่เวย์ขี่รถช้าลงกว่าเดิมอาจเพราะกลัวเกิดอุบัติเหตุ เขาขี่ผ่านโรงเรียนเก่าของเราตอนเรียนมัธยมแล้วชี้ให้ดูตึกที่เขาชอบไปเฝ้าผมทำงานพิเศษ

“ผ่านตึกนี้ทีไรอยากย้อนเวลากลับไปทุกที”

“ย้อนเวลาไปทำไมเหรอครับ” ผมถามด้วยความอยากรู้

พี่เวย์ไม่ตอบแต่ขี่รถเลี้ยวเข้าซอยเยื้องกับโรงเรียน เข้ามาอีกห้านาทีก็เลี้ยวอีกครั้งเข้าไปในหมู่บ้านจัดสรร  หมู่บ้านนี้ค่อนข้างสงบ หน้าหมู่บ้านมียามนั่งหลับอยู่หนึ่งคนและพี่เวย์ขี่ผ่านเข้าไปโดยที่ยามคนนั้นไม่ตื่นขึ้นมาชำเลืองมองแม้แต่นิดเดียว

อืม.. น่าอยู่สุดๆ



ในที่สุดพี่เวย์ก็หยุดรถดับเครื่องเมื่อเลี้ยวเข้ามาในซอยสุดท้าย บ้านหลังในสุดซ้ายมือ 

“ที่ไหนครับ” ผมลงจากรถแล้วถอดหมวกคืนให้อย่างงงๆ

“บ้านผมเอง” ร่างสูงก้าวขาลงจากรถ ถอดหมวกแล้วสะบัดหัวสองที ทรงผมก็กลับเข้าทรงซึ่งเป็นอะไรที่เท่ไม่เสื่อมคลาย

“บ้านคุณ.. แล้วพาผมมาทำไมครับ” ผมย่นคิ้วอย่างเป็นกังวล ชักไม่เข้าท่าแฮะ

“ทานข้าวกลางวันไง คุณรับปากจะทานด้วยกันนี่ครับ” พี่เวย์ไขกุญแจประตูรั้วแล้วเปิดอ้าไว้ “เข้ามาสิ ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก บ้านตรงข้ามเป็นตำรวจ ถ้าเกิดอะไรขึ้นคุณก็ร้องเสียงดังๆ ได้เลย”

น่าเชื่อถือไหมเนี่ย ขนาดยามยังหลับแล้วตำรวจจะหลับด้วยหรือเปล่า

ผมยืนชั่งใจอยู่พักหนึ่ง แต่พี่เวย์เป็นสุภาพบุรุษมาตลอดน่าจะเชื่อถือได้ ขนาดในป่ายังไม่ทำอะไร นับประสาอะไรกับที่บ้านล่ะ 

ตัดสินใจเดินตามเข้าไปในบ้าน เมื่อเห็นว่าผมเข้ามาเขาก็ยิ้มพรายด้วยความดีใจรีบเข็นรถเข้าบ้านแล้วปิดประตูรั้ว หลังจากนั้นก็เปิดประตูเข้าบ้านอย่างอารมณ์ดี

“บ้านเล็กๆ นะครับ อาจจะอึดอัดหน่อยแต่อบอุ่นนะ” โฆษณาอย่างกับเป็นนายหน้างั้นแหละ

“ผมแค่มาทานข้าวครับไม่ได้อยากจะซื้อบ้าน” ดักคอเขาไปในขณะที่มองไปรอบๆ

บ้านหลังนี้เป็นบ้านเดี่ยวสองชั้น พื้นที่ค่อนข้างน้อยแต่ถูกจัดแจงให้เป็นสัดส่วนอย่างลงตัว  มีทั้งสนามหญ้าและโต๊ะสนามใต้ต้นมะม่วงใหญ่  แถมมีบ้านต้นไม้ที่มีสะพานลื่นโดยฐานรองเป็นกระบะทราย ปลูกต้นไม้โปร่งตาไว้โดยรอบทำให้โล่งสบายตาและดูกว้างขึ้นทั้งๆ ที่บริเวณทั้งหมดไม่น่าจะไม่เกิน 120 ตารางวา
พี่เวย์กลั้นยิ้มแล้วพาเข้าไปนั่งรอที่ห้องรับแขก

“บ้านนี้ไม่ขายแต่ถ้าชอบก็มาอยู่ฟรีได้เลย แถมวิศวกรหนุ่มโสดกับลูกติดอีกหนึ่งคน” 
รู้สึกใจเต้นแปลกๆ พี่เวย์ชักจะพูดมากผิดฟอร์มปกติ นี่สินะที่เขาว่าเสือมันชอบซ่อนเขี้ยวเล็บ

“แล้วไหนละครับอาหารกลางวันที่ว่า หรือผมต้องเป็นคนไปทำในครัว” ผมประชด

“สิบคะแนนสำหรับคุณชนม์แดน นี่ครับรางวัลของคนที่ตอบถูก”  ผ้ากันเปื้อนลายสตรอเบอร์รี่สีชมพูอ่อนถูกส่งมาให้

“นี่มันไม่ตลกเลยนะครับ” พูดด้วยเสียงติดจะไม่พอใจ   

“ขอโทษทีครับ ผมต้องใส่ให้ใช่ไหม แหม บอกดีดีก็ได้ไม่เห็นต้องโกรธเลย”  ร่างสูงก้าวเข้ามาพร้อมคลี่ผ้ากันเปื้อนออกเตรียมจะสวมให้

“ย..หยุดอยู่ตรงนั้นเลยครับ เอามานี่เดี๋ยวผมจะใส่เอง”  แล้วผมก็หยิบผ้ากันเปื้อนมาใส่ลวกๆ โดยไม่สนใจจะมัดเชือกด้านหลัง

“ผมทำกับข้าวไม่เป็นหรอก ถ้ากินไม่ได้ก็อย่ามาบ่นแล้วกัน” ว่าแล้วก็เดินตึงๆ ไปเปิดประตูที่อยู่ทางด้านซ้าย 

“นั่นห้องน้ำครับ” พี่เวย์บอกเสียงใส

ผมแอบค้อนใส่ร่างสูงแบบไม่เต็มตานัก “แล้วทำไมไม่ยอมบอกก่อน”

“ไม่เอาสิครับอย่าหัวร้อน เดี๋ยวผมพาไปดีกว่านะ” เจ้าของบ้านเดินนำไปประตูขวาสุด  “ของสดอยู่ในตู้เย็น เอาออกมาทำได้เลยเดี๋ยวผมจะไปเตรียมงานที่เราต้องคุยหลังกินข้าวเสร็จ”  พูดง่ายๆ แค่นั้นแล้วปิดประตูออกไปจากห้องครัวทันที

นี่มันอะไรกันเนี่ย!

ต่อไปนี้จะไม่หลวมตัวเชื่อใจพี่เวย์อีกเด็ดขาด คนอะไรก็ไม่รู้ทำตัวเหมือนนิสัยดีแต่ที่จริงดีแล้วเพิ่งจะไม่ดีหรือไม่ดีมาก่อนแล้วเพิ่งมาเสียก็ไม่รู้ โอ้ย ทำไมคิดอะไรวกวนแบบนี้นะชนม์แดน บ้าบอที่สุดเลย

“ทำอะไรดีล่ะ มีไข่ไก่ หมูบด เนื้อไก่ เต้าหู้ไข่ ไส้กรอก ผักกาดขาว คะน้า แล้วก็แครอท  โอ้ย ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง” ผมมองวัตถุดิบที่หยิบออกมาจากตู้เย็นด้วยความเคร่งเครียด “ไข่เจียวกับแกงจืดก็แล้วกัน”

ตั้งกระทะ ใส่น้ำมัน เปิดแก้ส “เอ๊ะ เปิดยังไงเนี่ย”  เมื่อพยายามแล้วแต่ก็เปิดไม่ติด ผมจึงเดินออกไปที่ห้องรับแขกเพื่อบอกพี่เวย์ให้มาเปิดแก้สให้

แต่พอเห็นเขากำลังตั้งใจเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คก็เลยไม่กล้าเรียก  หน้าพี่เวย์ตอนตั้งใจทำอะไรสักอย่างนี่ดูดีชะมัด จมูกโด่งที่คดปลายเล็กน้อย สีหน้าจริงจัง  คิ้วเข้มๆ พอขมวดชนกันแบบนี้แล้วมีเสน่ห์จนเผลอยืนมอง

“ทำกับข้าวเสร็จแล้วเหรอครับ” พี่เวย์หันมาตั้งแต่ตอนไหน นี่ผมยืนเหม่ออยู่ตรงนี้นานแล้วหรือแค่แป๊บเดียว

“ส..เสร็จ เอ้ยยังครับ คือ..ผมเปิดแก้สไม่เป็น” ถึงกับสะดุ้งแล้วติดอ่างขึ้นมาทันที

พี่เวย์ยิ้มเอ็นดูแล้วเดินเข้ามาหา “เดี๋ยวผมสอน มานี่สิ”  เขาดันหลังเบาๆ เพื่อดันให้ไปยืนหน้าเตา  “เปิดหัวแก้สตรงนี้ก่อนนะ แล้วจับตรงนี้กดลงไปตรงๆ แล้วบิดเร็วๆ” เขาสาธิตแล้วมันก็ติดอย่างง่ายดาย

“ลองดูสิ” 

“ไม่เห็นได้เลยครับ” ผมลองทำสองรอบแต่ไม่ติดจึงทำหน้ามุ่ยหันไปฟ้อง

พี่เวย์เข้ามายืนซ้อนด้านหลังแล้วจับมือผมไปลองทำ “แบบนี้นะ จับ..กด..บิด” 

ถึงกับสะท้านสั่นเมื่อรู้สึกร้อนรุมตรงหลังมือ โดยเฉพาะเสียงพูดข้างหูที่เหมือนจงใจให้แปลได้แบบสองแง่สองง่าม

“ข..ขอบคุณครับ คุณไปทำงานต่อเถอะ” ผมกระเถิบหนีออกห่างทันที  ส่วนพี่เวย์เพียงแค่ยิ้มพรายแล้วพยักหน้า

“ถ้าสงสัยอะไรก็ไปถามได้นะครับ” ร่างสูงเปิดแก้สทิ้งไว้ให้แล้วพูดด้วยสีหน้าราบเรียบดูสุภาพแล้วก็ออกจากห้องไป

พี่เวย์นี่ยังไงนะ ตกลงเป็นคนยังไงกันแน่ ผมงงไปหมดแล้ว


ผมเริ่มตั้งใจทำไข่เจียวจนเสร็จ ต่อไปก็ต้มน้ำทำแกงจืด ใส่ซุปก้อนแล้วหย่อนหมูที่หมักซอสกับพริกไทยลงไป พอเห็นมันสุกก็ใส่แครอทและผักกาดขาวที่หั่นแล้วลงไป 

“มันต้องมีอะไรอีกนะ ใส่แค่นี้มันดูจืดๆ ยังไงก็ไม่รู้” เมื่อปรุงรสแล้วชิม ซึ่งมันก็เข้าท่าแล้วนะแต่หน้าตายังไม่โอเค  “ผักชี! ใช่ๆ ต้องใส่ผักสีเขียว!” และใบอะไรสักอย่างที่เหมือนผักชีแต่ใบใหญ่ๆ จึงลองหาในตู้เย็นก็เจออย่างที่คิด มันทำให้เริ่มสนุกเมื่อคิดออกและได้ลงมือทำ


“กับข้าวเสร็จแล้ว” ผมออกไปเรียกพี่เวย์ด้วยสีหน้าภาคภูมิใจเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ทำกับข้าวด้วยตัวเอง 
พี่เวย์พับจอคอมพิวเตอร์เคลียโต๊ะรับแขกจนโล่งแล้วเดินเข้ามาหา

“เดี๋ยวผมช่วยยก คุณเตรียมน้ำตามไปนะ น้ำแข็งอยู่ในช่องฟรีซ ส่วนน้ำดื่มก็อยู่ข้างตู้เย็น”

ผมรีบเติมน้ำแข็งใส่แก้วแล้วหยิบขวดน้ำไปที่โต๊ะโซฟารับแขก พี่เวย์ขยับโต๊ะออกห่างจากโซฟาเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้กว้างขึ้นแต่โต๊ะมันก็เล็กเกินไปอยู่ดี

“ทำไมไม่ทานที่โต๊ะทานข้าวล่ะครับ”

“ตรงนี้มันนั่งสบายดี” พี่เวย์บอกแล้วขยับพื้นที่ให้ผมวางแก้วกับขวดน้ำ  “นั่งสิ เรามาชิมกันว่าจะตายหรือเปล่า” เขายิ้มออกมาแล้วใช้ช้อนตักน้ำซุปเข้าปาก 

ผมค้อนขวับแต่ก็มองตามแล้วลุ้นระทึก พอเห็นว่าเงียบไปก็รู้สึกไม่ค่อยดี

“เป็นไงบ้าง มันไม่โอเคเหรอครับ”

พี่เวย์นิ่งคิดเล็กน้อยแล้วยิ้มออกมา “อร่อย” 

พอได้ยินผมก็ยิ้มออกทันที “จริงเหรอครับ อร่อยจริงเหรอ” ผมถามย้ำ

พี่เวย์ตักน้ำซุปขึ้นเป่าแล้วยื่นมาตรงหน้า “อร่อยจริงๆ ไม่เชื่อชิมสิ” 

ผมลืมตัวมัวแต่ตื่นเต้นกับการทำอาหารครั้งแรกก็เลยลองชิมน้ำซุปที่เขาป้อน  แต่พอรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นว่ากินอาหารช้อนเดียวกับเขาไปซะแล้ว

“ไม่อร่อยเหรอ ทำหน้าแปลกๆ” ร่างสูงทักแล้วดันจานข้าวมาให้

“ก็พอใช้ได้ครับ” ผมตอบกลางๆ แล้วเริ่มตักอาหารมาใส่ข้าวเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต 

“ไข่เจียวข้างในมันไม่ค่อยสุกนะแต่ตรงที่สุกก็อร่อยดี” พี่เวย์ชิมแล้ววิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา แค่รู้ว่ารสชาติมันใช้ได้ถึงจะยังไม่สุกก็ดีใจแล้ว

“ครั้งหน้าคงต้องรอนานอีกหน่อยครับ”  ผมบอกเสียงใส ไม่เคยรู้ว่าการทำอาหารจะสนุกและรู้สึกดีแบบนี้

พี่เวย์มองผมแล้วยิ้มบางๆ “คุณเหมาะกับรอยยิ้มนะ คุณเผ่าก็คงคิดเหมือนกัน”   

หน้าผมหุบลงทันทีที่ได้ยินชื่อเฮีย ถ้าเฮียยังมีชีวิตอยู่แล้วรู้ว่ามาอยู่กับพี่เวย์สองคนที่นี่ เฮียต้องฆ่าเราแน่

“พูดยังไม่ทันขาดคำก็หยุดยิ้มซะแล้ว คุณนี่มันดื้อจริงๆ” พี่เวย์บ่นแล้วหันมาคุยด้วยสีหน้าจริงจัง “ความสุขของคุณคือสิ่งที่คุณเผ่าต้องการ  และตอนนี้เขาไม่ได้อยู่บนโลกแล้ว ไม่ได้อยู่ในภพเดียวกับเรา ถ้าคุณมัวแต่เปรียบเทียบว่าถ้าเขายังอยู่ ถ้าเขายังไม่ตายแล้วจะรู้สึกยังไงอยู่แบบนี้  คุณก็จะทำในสิ่งที่เขาเกลียดไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว”

“เฮียเกลียดอะไร” ผมถามทันที  เขาจะมารู้ใจเฮียไปมากกว่าผมได้ยังไงกัน

“เกลียด..ที่คุณไม่มีความสุข” พี่เวย์ตอบทันทีเช่นกัน “เขาจะไม่มีความสุขเลยถ้ารู้ว่าคุณเป็นทุกข์เพราะเขา  ตอนนี้เหมือนคุณเอาคุณเผ่ามาเป็นโล่ป้องกันความสุขไม่ให้เข้าหาตัวคุณซึ่งผมว่าคุณเผ่าต้องเกลียดแน่ๆ ที่คุณทำกับคนที่เขารักแบบนี้”

ใช้เฮียเป็นโล่ป้องกันความสุข..

ผมกำลังทำแบบนั้นเหรอ?

“แต่ถ้าสิ่งที่ผมคิดมันถูกล่ะ ถ้าความจริงแล้วเฮียก็อยากให้ผมทำแบบนี้ล่ะ” ผมยังไม่ยอมรับเพราะเรื่องแบบนี้มันพิสูจน์ไม่ได้นี่

“ก็แสดงว่าเขาไม่ได้รักคุณจริง” พี่เวย์ตอบด้วยท่าทางนิ่งขรึมราวกับคุณครูที่สอนเรื่องเดิมมานานมากแล้วแต่นักเรียนก็ไม่เข้าใจเสียที  “คุณอย่าดูถูกน้ำใจของคุณเผ่าสิ เขารักคุณมากถึงขนาดเอาชีวิตปกป้องคุณไว้ แล้วคุณคิดว่าคนที่รักคุณขนาดนั้นจะเห็นแก่ตัวจนอยากเห็นคุณต้องทุกข์เพราะเขาไปจนตายอย่างนั้นเหรอ “

ผมนิ่งคิดแล้วเริ่มเห็นไปในทางเดียวกับที่พี่เวย์พูด เฮียอยากเห็นผมมีความสุขและถ้าการมีคนรักใหม่จะทำให้ผมมีความสุข เฮียก็คงจะยินดีด้วยแน่

“อย่าหลอกตัวเองอีกเลยนะ  อย่าทำร้ายตัวเองด้วยตัวเองอีกเลยครับ”  พี่เวย์ทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ให้ผมได้ทบทวนแล้วเขาก็นิ่งรอ

คงต้องทิ้งความทุกข์ออกไปจริงๆ สินะ มีหลายเหตุผลที่กำลังผลักดันให้ผมต้องเปลี่ยนทั้งความคิดและการกระทำซึ่งดูเหมือนว่าจะต้องทำแบบฉับพลันทันทีเสียด้วย  คุณแม่กับป๋าที่คอยเฝ้าดู  หมอวรรตที่รอให้ตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรกับเขา พี่เวย์ที่อดทนมาเนิ่นนานได้ขนาดนี้  โดยเฉพาะสัญญาที่ให้ไว้กับดินแดน น้องชายต่างสายเลือดที่รักชีวิตอิสระ เขาอุตส่าห์ตัดสินใจละทิ้งชีวิตของเขาเพื่อแลกกับความสุขของผมขนาดนั้น

เฮีย..ดอทขออนุญาตนะครับ

“กินข้าวต่อเถอะครับ ผมไม่อยากคุยเรื่องนี้แล้ว”  ในตอนนี้ตัดสินใจแล้วที่จะทำตามความตั้งใจของเฮีย ผมจะมีความสุขให้ได้แต่มันจะออกมาในรูปแบบไหนก็คงต้องดูกันอีกที

เพราะความสุขจากความรักอาจจะยากไปนิด ถึงเฮียจะอนุญาตแต่จะให้เลือกใครล่ะ ถ้าเลือกพี่เวย์แล้วหมอวรรตจะเป็นยังไง และยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ที่จะเลือกหมอวรรต ผมทำร้ายพี่เวย์อีกไม่ได้แล้วจริงๆ  และที่สำคัญ..ทันทีที่เลือก พี่น้องจะต้องทะเลาะกันอย่างแน่นอน

พี่เวย์ถอนหายใจแล้วหันไปกินข้าวต่อเงียบๆ ผมรู้ว่าเขาคงเหนื่อยหน่ายกับการรอคอยและคงคิดจะถอดใจซึ่งมันอาจจะดีแล้ว  มันดีแล้วที่เป็นแบบนี้

คงดีแล้วจริงๆ


“กับข้าวฝีมือตัวเองไม่อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอครับ” พี่เวย์ทักขึ้นเมื่อเห็นผมเขี่ยข้าวในจานโดยไม่ยอมตักเข้าปากเสียที

“ป..เปล่าครับ แค่คิดว่าอาหารมันจืดไป” ผมตอบไปส่งๆ

“งั้น..ลองอันนี้ เดี๋ยวไปหยิบมาให้” เขาหายเข้าไปในครัวครู่หนึ่งแล้วกลับมาพร้อมกระปุกน้ำพริกนรก “ลองดูนะ เจ้านี้อร่อย” ว่าแล้วก็ตักใส่ข้าวให้

ผมมองน้ำพริกสีแดงในจานข้าวตัวเองแล้วกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ดูท่าว่ามันจะเผ็ดมากเพราะสีแดงจัดจนน่ากลัว

“ข..ขอบคุณครับ” เห็นหน้าพี่เวย์ที่ลุ้นให้ผมกินแล้วคงต้องตอบรับไปตามมารยาทตักข้าวคลุกน้ำพริกนรกใส่ปากด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ

“เป็นไงอร่อยใช่ไหม” พี่เวย์ถามด้วยสีหน้าลุ้นหนัก ถ้าบอกว่าเขาเป็นเจ้าของแบรนด์มาขายเองก็คงเชื่อ
น้ำตาผมรื้นขึ้น และจับแขนหนาเขย่าแทนคำตอบ

“อั๋งอะอะ” อมข้าวไว้ในปากโดยไม่กล้าเปิดปากพูดออกมาเพราะถ้าอ้าปากแล้วของที่อยู่ในนั้นต้องพุ่งออกมาหมดแน่ๆ

“เป็นอะไร เอาอะไร อั๋ง? อ๋อ จะคายเหรอ ถังขยะใช่ไหม” พี่เวย์เดาออกในที่สุดแล้วเอื้อมหยิบถังขยะใบเล็กมายื่นให้

“ฮื้ออ เผ็ด! เผ็ดๆๆ” ผมยกน้ำของตัวเองดื่มจนหมดแก้วแล้วเคี้ยวน้ำแข็งในแก้วเพื่อลดความแสบร้อนในช่องปาก

“อ้าว กินเผ็ดไม่ได้เหรอ พี่ขอโทษ เห็นเมื่อก่อนชอบสั่งอาหารแซ่บๆ” ร่างสูงทำหน้าตื่นรีบดึงกระดาษทิชชูส่งให้แล้วโบกมือพัดเพื่อช่วยให้เย็นขึ้นแต่มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย

ไม่อยากบอกเลยว่าเนมเป็นคนออร์เดอร์เวลาพี่เวย์ถามว่าจะกินอะไร และพอพี่เวย์ซื้อมาเนมก็กินคนเดียวทุกที 

“ผ..ผมกินน้ำนี่นะ” ผมชี้ไปที่แก้วน้ำของเขาแล้วยกดื่มหมดแก้วโดยไม่รอคำอนุญาต กินน้ำแข็งของเขาจนเหลือก้อนสุดท้ายแล้วก็ยังไม่หายเผ็ด

“ไม่หายเผ็ดเลย แฮ่กๆๆ” แลบลิ้นออกมาแล้วใช้มือพัดรัวๆ “ขอ.. ขอหมดเลยนะครับ” พูดจบก็เอื้อมมือคว้าแก้วแต่จู่ๆ ก็มีแสงวับวาวออกมาจากดวงตาคู่นั้น

มือหนาคว้าแก้วตัดหน้าผมไปยกดื่มน้ำแข็งในแก้วเข้าปากหน้าตาเฉย

“ใจร้าย! ไปเอาใหม่ก็ได้” ไม่สนแล้วจะพี่เวย์หรือใคร อารมณ์นี้ใครมาขวางคือพ่นไฟใส่ไม่มีเว้น

“ไม่ได้บอกว่าจะไม่ให้ซะหน่อย พี่แค่จะป้อน” ร่างสูงปราดเข้ามาคล้องเอวพาไปนั่งที่โซฟา เขาดันน้ำแข็งก้อนใหญ่ออกมาคาบไว้พร้อมกับเลิกคิ้วเชิญชวน

ถึงกับอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้เห็น สีหน้าที่ดูเจ้าเล่ห์นั้นเซ็กซี่เหลือเกินสำหรับผม หัวใจเต้นกระตุกหนักหน่วงจนเผลอลืมความเผ็ดไปชั่วขณะ

เผ็ดกว่าน้ำพริกนรกก็พี่เวย์นี่แหละ..

“อ๊ะ!?” ผมร้องด้วยความตกใจเมื่อถูกประชิดตัวและนั่นทำให้น้ำแข็งที่อยู่ในปากของพี่เวย์ถูกป้อนเข้ามาในปากของผมได้อย่างง่ายดาย

ร่างกายนิ่งค้างแข็งทื่อขนลุกชันไปทั้งตัว พี่เวย์ล็อคตัวผมไว้อย่างแน่นหนาแล้วใช้ลิ้นกลั้วน้ำแข็งให้มันกลิ้งไปมาในปาก  ทั้งเผ็ดร้อนยะเยือกเย็นระคนวาบหวาม

จากที่เกร็งอยู่ก็เริ่มอ่อนระทวยไปตามแรงอารมณ์ น้ำแข็งเริ่มเล็กลงแล้วแต่พี่เวย์ยังคงปรนจูบอย่างต่อเนื่องและค่อยๆ โถมตัวลงมาจนแผ่นหลังสัมผัสกับพื้นเบาะสีเทาเข้มในที่สุด

“อืออ” ผมครางเสียงแผ่ว ไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อสู้แม้แต่น้อย ร่างกายเป็นทาสพี่เวย์ มันยอมศิโรราบไม่อาจขัดขืนผู้ชายคนนี้ได้เลย

น้ำแข็งเจ้ากรรมหมดลงไปแล้วทว่าร่างสูงยังคงไม่หยุดที่จะรุกราน  ถึงจะยังไม่หายเผ็ดและหาจังหวะเอียงหน้าหลบแล้วอ้าปากหายใจเอาลมเย็นๆ เข้าช่วย  แต่เย็นได้ไม่เท่าไหร่ก็โดนประกบริมฝีปากร้อนรุมบดเบียดอีกครั้งจนต้องเริ่มผลักเบาๆ เพื่อดึงสติให้หยุดการกระทำ 

ร่างสูงหยุดให้จริงๆ จนผมนึกโล่งใจ ทว่าแค่เสี้ยววินาทีเขาก็ก้มลงฝังจมูกลงมาที่ซอกคอจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว

“พ..พี่เวย์!?” พยายามรวบรวมความกล้าเปล่งเสียงให้ดังขึ้น พี่เวย์เงยหน้าจ้องตาเป็นมัน ดึงมือสองข้างของผมขึ้นไปเหนือหัวแล้วรวบข้อมือทั้งสองไว้ด้วยมือหนาเพียงข้างเดียวแล้วก้มลงอีกครั้ง

“พี่รอนานมากแล้วคนดี พี่ทนคิดถึงน้องอีกต่อไปไม่ได้แล้ว” พูดพลางซุกไซ้ไปตามซอกคอ  “ไม่ว่ายังไง วันนี้น้องจะต้องเป็นของพี่”

!!!!!

หัวใจเต้นกระตุกรัวเร็วกับคำประกาศชัดถ้อยชัดคำ ลมหายใจอุ่นร้อนที่กระทบผิวบริเวณใบหูเร่งให้ความร้อนพุ่งขึ้นจนวูบวาบไปทั้งตัว

“ถ..ถ้าไม่..หยุด ผม..จะร้อง..ให้คน..ช่วย” กว่าจะพูดออกมาได้แต่ละคำแสนยากลำบาก พี่เวย์ไม่หยุดโลมเลียทั่วลำคอและใบหูของผมแม้แต่วินาทีเดียว

แต่เมื่อได้ยินคำขู่ ร่างสูงชะงักอยู่ครู่แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองจ้องผมด้วยสีหน้าเรียบนิ่งที่ซ่อนความหื่นไว้แทบจะไม่มิด

“ก็ร้องสิครับ ร้องดังๆ ก็ได้”

ผมมองเขม็งพยายามควบคุมอารมณ์ที่เริ่มเตลิดไปไกล เขาคงคิดว่าผมไม่กล้าละสิ ถึงจะกริ่งเกรงออร่าที่ข่มผมอยู่แต่เพื่อเอาตัวให้รอดก็ต้องฝืนตัวเอง

“ช..ช่วยด้วย!! คุณตำรวจ..ช่วยด้วย!!  ช่วยด้วยยยยยยย ช่วยผมด้วย!!!” ร้องตะโกนสุดเสียง ทว่าคนที่อยู่เหนือร่างกลับมองแล้วยิ้มในสีหน้า “ทำไมถึงยังไม่ปล่อย! เดี๋ยวคนก็มาช่วยผมแล้วนะ”

“ไม่มีใครมาหรอก” 

“ทำไมถึงไม่มา ก็คุณบอกเองว่าบ้านตรงข้ามเป็นตำรวจ”

“ก็ใช่ พี่เขาเป็นตำรวจ” พี่เวย์เลิกคิ้วตอบรับ

“ก็ถ้าเขาเป็นตำรวจ ทำไมเขาจะไม่มาช่วยประชาชนที่ร้องขอความช่วยเหลือล่ะ”

“พี่บอกว่าเขาเป็นตำรวจ..แต่ไม่ได้บอกนี่ว่าเขาอยู่บ้าน”

!!!!!?

“พี่เวย์!!” ผมโวยขึ้นทันทีที่ได้ยินคำตอบ พยายามจะดึงมือที่ถูกรวบไว้เหนือหัวลงมาเพื่อทุบเขาสักทีสองทีแต่ก็ไม่สำเร็จ

“ก็พี่เวย์รักน้อง” สีหน้าไม่สะทกสะท้านกับน้ำคำบอกรัก ดูช่างเอาแต่ใจ

“เกี่ยวอะไรกับที่ต้องมาโกหกด้วย!” พยายามจะดิ้นหนีแต่ถูกคร่อมทับไว้แน่นหนา มือข้างที่ว่างของเขาไล้เกลี่ยไปตามผิวหน้าและลำคอ

“ก็อยากจะทำให้น้องรักพี่เวย์ซะทีไงครับ” ดวงตาคู่สวยดูลึกซึ้งจนต้องลอบกลืนน้ำลาย คำพูดของพี่เวย์เพราะทุกคำ นุ่มละมุนทั้งรูปประโยคและความหมาย

“ผม..” พยายามหาคำคัดค้านแต่ก็นึกไม่ออก ร่างกายยังคงวูบวาบทว่าผมเริ่มจะชินกับมันจนสามารถดึงสติไว้ได้บางส่วน

“เรียกตัวเองว่าน้องเหมือนเดิมสิ นะครับคนดี  น้องจะใจร้ายกับพี่ไปถึงไหน” เขาทำหน้าอ้อน

แพ้ทาง..

ผมแพ้พี่เวย์ทุกทาง ไม่ว่าจะโหมดสุภาพ โหมดนิ่ง โหมดร้าย โหมดหื่น ยิ่งโหมดอ้อนแบบนี้ยิ่งทำให้ใจผมอ่อนระทวยไปหมด

“ก็พี่เวย์อย่ารังแกน้องสิครับ ไหนบอกว่ารัก ทำไมไม่รอให้น้องพร้อมก่อนล่ะ” พยายามปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอเพื่อต่อลองเจรจา  หวังว่าพี่เวย์จะกลับเข้าโหมดสุภาพบุรุษเหมือนเดิมได้ซะทีนะ

“จำได้ไหมที่เมื่อกี้ผ่านโรงเรียนเก่า พี่ชี้ให้ดูตึกที่น้องไปทำงานพิเศษให้อาจารย์” พี่เวย์เฉไฉเปลี่ยนเรื่อง

“จำได้ครับ พี่เวย์..บอกว่าอยากย้อนเวลา”

“อยากรู้ไหมว่าพี่จะย้อนเวลาทำไม” 

ผมส่ายหัวมองเขาอย่างงุนงง “ไม่รู้สิครับ”

“พี่อยากย้อนเวลากลับไปปล้ำน้องครับ”

!!!!!?


ต่อ..

ออฟไลน์ fiction no.9

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-4
    • แฟนเพจ : นิยายหมายเลข9
“ตรงมุมตึกที่เราต้องเดินผ่านเพื่อไปตึกหน้ามันทั้งมืดและลับตาคน พี่ผ่านตรงนั้นทุกครั้งก็คิดไม่ดีกับน้องทุกครั้ง อยากจับปล้ำซะให้รู้แล้วรู้รอดแต่เสียดายที่ไม่ได้ทำ”

“พี่เวย์ไม่ใช่คนร้ายกาจแบบนั้นสักหน่อย” ผมขมวดคิ้วทำหน้ามุ่ยใส่เขาทันที ไม่เชื่อหรอก พี่เวย์ไม่ใช่คนแบบนั้น

ใบหน้าหล่อเหลาเหยียดรอยยิ้มร้ายกาจ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นมุมนี้ หล่อแบบอลังการ ถึงรู้ว่าอันตรายแต่น่าหลงใหลเป็นบ้า

“คนดีอย่างพี่ไม่ใช่คนที่คิดดีนะ พี่แค่ควบคุมความคิดเลวๆ ไว้ได้เท่านั้นเอง”

ผมเคยคิดว่าผมหลงเสน่ห์พี่เวย์เพราะความดีความสุภาพมาตลอด เพิ่งมารู้ตอนนี้ว่าเสน่ห์ร้ายๆ ของเขาน่าหลงใหลยิ่งกว่า เอาเป็นว่าพี่เวย์โหมดไหนผมก็แพ้หมดทุกทาง

“ควบคุมไว้ได้ก็ดีแล้วนี่ครับ ครั้งนี้ก็คุมได้เหมือนกันใช่ไหม” ผมมองอ้อนพยายามจะหลุดออกไปจากเงื้อมมือมาร ทว่าปฏิเสธไม่ได้เลยว่าลมหายใจไม่เป็นปกติแถมยังมีไอความร้อนวูบวาบไปทั่วร่าง

ร่างสูงหรี่ตาจ้องผมจนใจคอสั่นไปหมด “ก็นี่แหละที่พี่จะบอก  พี่ย้อนเวลาไปปล้ำน้องไม่ได้ก็จริง แต่พี่สร้างช่วงเวลาใหม่ๆ เพื่อปล้ำน้องได้ และจากนี้จะไม่มีการควบคุมอะไรทั้งนั้นนะครับ..ว่าที่เมีย”

ตึกๆๆๆๆๆๆๆๆ

หัวใจบ้านี่ก็ยังไงนะ พี่เวย์ร้ายใส่แบบนี้ยังไปหวั่นไหวอยู่ได้ เขาจะปล้ำอยู่แล้วเนี่ย รีบตั้งสติแล้วหาวิธีเอาตัวรอดได้ไหม!!
“พี่เวย์ทำน้องสับสน”

“เรื่องอะไรล่ะครับ อะงั้นพี่ให้เวลาเคลียร์ใจสองนาที แค่สองนาทีนะ” มีการย้ำกติกาจนต้องยื่นปากใส่

“ก็พี่เวย์ชอบหายไป หายไปจนบางที..”

พูดยังไม่ทันจบก็ได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยน “จนบางทีน้องสงสัยว่าพี่ยังเหมือนเดิมหรือเปล่าเหรอครับ”

“อ..อืม” ผมพยักหน้า “งั้นแสดงว่าพี่เวย์ตั้งใจเหรอครับที่จะหายไป”

“ตั้งใจครับ แต่ไม่ใช่เพื่อเช็คเรตติ้งอย่างที่น้องคิด”

“ไม่ได้คิดแบบนั้นซะหน่อย” ผมปด ที่จริงแล้วสงสัยจริงๆ ว่าอาจเป็นการเช็คเรตติ้ง

“พี่ให้เกียรติคุณเผ่า” พี่เวย์เข้าโหมดจริงจัง “ยิ่งรู้ว่าเขารักน้องมากขนาดนั้น พี่ถึงได้เข้าใจว่าที่พี่รอมาจนถึงตอนนี้มันยังน้อยนักถ้าเทียบกับเรื่องที่คุณเผ่าเสียสละ เพราะฉะนั้นที่พี่หายไปก็เพื่อเว้นระยะไว้ให้น้องระลึกถึงเขาอย่างเต็มที่” สีหน้าพี่เวย์แสดงออกถึงความเคารพเมื่อพูดถึงเฮียเผ่าซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกเบาใจเพราะคิดว่าถ้าเฮียรับรู้ก็คงยอมรับหัวใจดีๆ ของพี่เวย์เช่นกัน

“แล้วทำไมอยู่ดีๆ ถึงกลับเข้ามาล่ะครับ แถมยัง..รุกซะขนาดนี้..”

พี่เวย์อมยิ้มนิดๆ เมื่อฟังคำถามจบ “เพราะพี่เห็นแล้วว่าน้องพร้อมแล้ว”

“เห็นยังไงครับ น้องบอกตอนไหน” ผมถามกลับด้วยความไม่พอใจเล็กๆ ไม่เคยบอกใครนะ ถึงจะพร้อมก็ไม่บอกหรอก

“ไม่ได้บอกแต่ส่งซิกส์มา” พี่เวย์ยิ้มล้อ “วันที่น้องโทรหาพี่นั่นแหละ”

“โทรหา? ตอนนั้นน้องแค่คุยเรื่องงานนี่ครับ” อดจะมุ่ยหน้าใส่ไม่ได้เพราะโดนรู้ทัน

“คุยในกรุ๊ปไลน์ก็ได้ไม่เห็นต้องโทรนี่นา มีเหตุผลที่ฟังขึ้นอยู่แค่สองอย่างคือ..ถ้าไม่อยากได้ยินเสียงพี่ก็เพื่อเช็คว่าพี่ยังเหมือนเดิมหรือเปลี่ยนไปแล้ว”

ทำไมเป็นคนฉลาดได้ขนาดนี้นะ แบบนี้ไม่โอเคเลย

“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง” ผมยังคงตะแบงต่อไป จับไม่ได้คาหนังคาเขาก็ไม่ยอมรับหรอก

“แล้วยังมีตอนที่พี่ล้มทับบนเปล” พี่เวย์คงขี้เกียจจะไล่บี้จึงละทิ้งประเด็นเก่าไปเสียเฉยๆ “สายตาและสีหน้าของน้อง ไม่มีตรงไหนปฏิเสธได้เลยว่าน้องไม่คิดถึงพี่”

“....” ไม่อยากเถียงอะไรอีก เพราะเถียงไปก็อายปาก ผมคิดถึงพี่เวย์จริงๆ

“แล้วยังมีเมื่อกี้ที่ตัวสั่นตอนที่สอนเปิดแก้ส ตอนที่ยืนมองพี่อยู่ที่ประตูห้องครัว ตอนที่เผลอคิดตามที่พี่พูดเรื่องคุณเผ่า แล้วยังตอนนี้..ที่หน้าอมชมพู หายใจแรงๆ ที่สำคัญ..ดอทน้อยก็ตื่นแล้วด้วย”

“งื่อ พี่เวย์!”

อยากจะบ้าๆๆๆๆ เคืองพี่เวย์ที่เอาแต่ยิ้มล้อและโมโหตัวเองที่ทำให้เขาจับได้

“หมดเวลาสองนาทีแล้วครับ” อยู่ๆ ก็เตือนเรื่องเวลา ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าเปลี่ยนเป็นโหมดจิ้งจอกสีขาวอีกครั้ง

“น..น้องเจ็บ ปล่อยมือก่อนสิครับ” ผมรีบบอกออกไปก่อนที่หน้าเขาจะซุกลงมาตรงซอกคอ

พี่เวย์เงยหน้า มองไปที่มือทั้งสองข้างของผมแล้วหรี่ตาจ้องมานิ่งๆ “พี่ไม่ได้ทำน้องเจ็บ น้องก็รู้”

ผมหลุบตาลงทันทีที่ถูกจับได้ อันที่จริงก็ไม่ได้เจ็บหรอกเพราะพี่เวย์ไม่ได้บีบแน่นอะไรแต่ผมไม่กล้าดิ้นเองต่างหาก

“......”

“ถ้าน้องดิ้นก็หลุด แล้วทำไมไม่ดิ้นล่ะครับ” ร่างสูงส่งเสียงนุ่มจนแทบละลายไปกับน้ำเสียงละมุนนั้น
ผมหลบตาไม่กล้าสู้ “ก..ก็น้อง..กลัวพี่เวย์โกรธ”

พี่เวย์ยิ้มเอ็นดูแล้วหอมแก้มผมฟอดใหญ่ “ก็รักพี่ซะขนาดนี้ แล้วทำไมถึงไม่ตามใจตัวเองซะที” 

ใบหน้าเห่อร้อนลามไปทั่วร่าง หัวใจก็เต้นระรัวกับสิ่งที่ได้ยินรวมถึงสีหน้าและแววตาสุดลึกล้ำตรงหน้า  ทำไมผมจะไม่อยากตามใจตัวเอง แต่มันมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ไม่กล้าบอก  จะบอกได้ยังไงว่าผมเคยจูบและหวั่นไหวให้กับหมอวรรต น้องชายแท้ๆ ของเขาเอง

ผมจะทำยังไงกับความสับสนในหัวใจตอนนี้ดี

“อยู่กับพี่คิดถึงแต่พี่ได้ไหมครับ” สายตาตัดพ้อและคาดหวังถูกส่งมากดดัน “พี่รอมานาน รอนานกว่าใครๆ รอจนพี่เริ่มเกลียดตัวเองว่าทำไมถึงต้องโง่รออยู่อย่างนี้ น้องสะใจหรือเปล่าที่เห็นไอ้โง่คนนี้งมงายรอแต่น้อง  บางทีก็คิดว่าน้องเกลียดพี่หรืออาจจะอยากเห็นพี่..”

“พอแล้วครับ” ผมรีบตัดบทเพื่อหยุดยั้งคำพูดต่างๆ ที่กำลังพรั่งพรูออกมา

“ถ้าน้องไม่รักพี่ ก็แค่บอกว่าไม่รัก พี่จะไปให้ไกลที่สุด..” เจ็บจนน้ำตาแทบทะลักแค่เพียงได้รู้ว่าพี่เวย์คิดที่จะไป

“น้องรักพี่เวย์” โพล่งคำรักพร้อมกับน้ำตาที่รินไหล “น้องไม่ได้สะใจ ไม่ได้เกลียด น้องรักครับ ได้ยินไหมครับว่ารักพี่เวย์ น้องรักพี่เวย์ครับ”

พร่ำคำว่ารักออกมาหลายคำเพราะหัวใจมันเจ็บปวดเมื่อเห็นเขาเจ็บ ตลอดเวลาพี่เวย์รออย่างใจเย็น ไม่เคยทำให้ต้องหนักใจกับการรอคอยของเขาแม้แต่น้อย แถมยังไม่เคยใช้วิธีทวงความยุติธรรมใดๆ มาก่อน ถึงวันนี้คงทนไม่ไหวอีกแล้วจึงพรั่งพรูความอัดอั้นออกมา

ทั้งสงสาร เห็นใจ และรู้สึกผิดที่ทำให้คนดีๆ อย่างพี่เวย์ต้องทนมาตลอด

“อย่าร้องไห้สิครับ พี่ขอโทษที่กดดันน้อง” พี่เวย์เช็ดน้ำตาให้อย่างนุ่มนวล “พี่รู้ว่าน้องรัก ตอนติดป่าน้องก็เคยบอกรักพี่แล้ว แต่น้องไม่ยอมก้าวออกมาแสดงความรักของน้องซะที” 

แสดงความรัก..

เหมือนเดิมอีกแล้วสินะ เมื่อก่อนที่อยู่กับเฮียก็ไม่ยอมแสดงความรักออกมาอย่างเต็มที่จนมีส่วนทำให้เรื่องมันสลับซับซ้อนและในที่สุดก็เสียเฮียไป

แต่ครั้งนี้ผมจะไม่ยอมเสียพี่เวย์ไปอีก ไม่อีกแล้ว..

“ไม่ว่ายังไง วันนี้น้องก็ต้องโดนปล้ำใช่ไหมครับ” ผมถามด้วยสีหน้าที่ปั้นยาก พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้

พี่เวย์ยิ้มเอ็นดูอีกครั้งแล้วปล่อยมือของผมให้เป็นอิสระ “รังเกียจพี่ไหมล่ะครับ”

“ม..ไม่ครับ” ผมทำทีเป็นจับนวดข้อมือของตัวเองแก้เขิน

“งั้นจะสมยอมหรือโดนปล้ำ น้องเลือกเอาเลย” นิ้วแกร่งไล้เกลี่ยไรผมเล่นแล้วก้มลงจูบหน้าผากเบาๆ   

“แล้วมันไม่เหมือนกันหรือไง เลือกอะไรก็โดนรังแกเหมือนกันนั่นแหละ” 

“ไม่เหมือนนะ” พี่เวย์ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้าสมยอมก็แปลว่าน้องยอมเอง แต่ถ้าโดนปล้ำก็จะได้หลอกตัวเองต่อไปได้ว่ามีอะไรกับพี่เพราะโดนปล้ำ”

พี่เวย์เป็นปีศาจจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ ภายใต้ความสุภาพแสนดีแต่ซ่อนเขี้ยวเล็บแหลมคมที่สามารถกระชากได้แม้กระทั่งวิญญาณให้ออกจากร่างใช่เพียงแค่ฉีกเนื้อหนังมังสา

“ถ้าเลือกโดนปล้ำนี่ต้องทำยังไงล่ะครับ ต้องต่อสู้ดิ้นรนทำร้ายจิกข่วนพี่เวย์หรือไง” ผมประชดออกไปเพราะเขาก็รู้ว่าผมไม่กล้าแม้แต่จะดิ้นหนีด้วยซ้ำ

ร่างสูงยังไม่ตอบในทันทีแต่ยืดตัวขึ้นแล้วถอดเสื้อเชิ้ตตัวนอกพาดไว้ที่พนักพิงโซฟา จากนั้นจึงถอดเสื้อกล้ามสีดำของเขาออกมา ปลดเข็มขัดและปลดกระดุมกางเกงยีนส์ตัวสวยก่อนจะหรี่ตามองผม 

“ก็แค่จะทำแบบนี้”  มือไวดุจปีศาจ เผลอใจเพียงครู่เดียวข้อมือทั้งสองข้างของผมก็ถูกรวบไว้รวมกันอยู่เหนือศีรษะ เสื้อกล้ามสีดำถูกนำมาพันรอบข้อมือไว้แล้วจากนั้นเขาก็ดึงเข็มขัดออกจากเอวแล้วรัดทับไว้บนเสื้อกล้ามอีกที

ตึกๆๆๆๆ

หัวใจเริ่มเต้นรัวอีกครั้ง  ร่างสูงตั้งใจจะพันธนาการผมเอาไว้ แต่ภายใต้พันธนาการนั้นถูกห่อหุ้มไว้ไม่ให้บาดเจ็บ เป็นความดุดันที่อ่อนโยนได้อย่างคาดไม่ถึง

แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ประกายตาวับวาวที่ฉายขึ้นครั้งใหม่ทำให้แทบลืมหายใจ

“และก็ทำแบบนี้” มือหนากระชากสาบเสื้อจนกระดุมขาดกระเด็นออกจากตัว เขาถลกถอดเสื้อขึ้นไปจนสุดแขนทว่ามันติดพันธนาการซึ่งนั่นเป็นความตั้งใจของเขาที่จะนำปลายเสื้อทั้งสองฝั่งไปผูกโยงไว้กับโต๊ะตัวใหญ่ข้างโซฟา

ร่างกายแทบจะหลอมละลาย ใบหน้าร้อนวูบวาบเพราะไม่นึกว่าพี่เวย์จะร้อนแรงได้ถึงขนาดนี้ แต่ที่น่าขัดใจก็คือผมกลับรอคอยว่าเขาจะทำอะไรต่อไปจากนี้

“หน้าน้องเวลาตื่นเต้นมันเร้าใจจนพี่แทบคลั่ง”

เผลอผ่อนลมหายใจออกทางริมฝีปาก ทำให้มันเผยออ้าคล้ายจะเชิญชวน

“ตอนนี้อาการน้องเป็นยังไง อยากรู้ไหม” 

“อืออ..”

“สามคำ” พี่เวย์เหยียดยิ้มแสนเซ็กซี่ “เลื้อย บด ยั่ว”

พูดจบจุมพิตเร่าร้องก็ถูกป้อนถึงปากในทันทีจนร่างแทบลุกไหม้ ไม่เหลือความสุภาพอะไรอีกแล้ว ทั้งมือและปากของพี่เวย์รุกไล้ผิวเนื้ออย่างบ้าคลั่ง  ทั้งดูดดุนกัดแทะไปตามลำคอและเนินอก กางเกงทุกตัวของผมถูกปลดออกพร้อมกันในคราวเดียวทว่าไม่ได้ระคายถูกผิวเนื้อให้ต้องมีรอยขีดข่วนใดใด   

“อื้ออ อึกก อืออ อื้ออ พ..พี่ อื้ออ พี่.. อ๊ะ อื้อออ” ผมครางเสียงกระเส่าเมื่อขาถูกแยกออก ข้างหนึ่งพาดบนพนักพิงส่วนอีกข้างห้อยลงบนพื้นและเขาขยับร่างลงไปขบกัดดูดดุนต้นขาด้านในซึ่งไวต่อความรู้สึก 

ไม่มีความปราณีใดๆ จากพี่เวย์ ทุกครั้งที่ผมหุบขาเข้ามาชิดกันเพราะเสียวสะท้านเกินกว่าจะทนไหว เขาก็จะอ้ามันให้กว้างขึ้นแล้วละเลงลิ้นต่อไปจนหลุดเสียงร้องครางไม่เป็นศัพท์

“อ๊ะ!! อาห์ อาาา ส..เ  สี ย ว” เผลอพูดคำบ้าบอออกไปเพราะถูกกัดต้นขาอยู่ดีดีก็กลายเป็นช่องทางด้านหลังถูกไล้เลียอย่างสนุกปาก “อื้ออ พ..พี่..เวย์  อ๊า อาา อาห์ ส..”

“พูดว่าอะไรนะครับ” ใบหน้าหื่นกระหายเงยขึ้นมาพร้อมกับฉกลิ้นไปที่ช่องทางด้านหลัง ผมมองใบหน้าสุดเซ็กซี่เกินคำบรรยายแล้วใจจะพังเสียให้ได้  พี่เวย์ในตอนนี้ราวกับคนละคน เหมือนเป็นร่างอวตารที่ไร้ซึ่งความคล้ายคลึงกับร่างเดิมโดยสิ้นเชิง 

“พี่ถามว่า น้องพูดอะไรครับ” เขากดเสียงต่ำแล้วดูดดุนความนุ่มหยุ่นของลูกผู้ชายเพื่อบังคับให้ผมพูดออกมา

“อ๊า ส..สะ ...เสียว  เสียวครับ” จำเป็นต้องรีบตอบไม่อย่างนั้นต้องขาดใจตายแน่ๆ

“เซ็กซี่จัง” เอ่ยปากชมแล้วครอบครองส่วนแข็งขืนของผมเข้าปากอย่างไม่มีทีท่าจะรังเกียจ  ก็แน่ละสิ ขนาดด้านหลังยังใช้ปากได้อย่างไม่สะทกสะท้าน

เมื่อก่อนตอนที่ยังเมินเขาอยู่เคยคิดเล่นๆ ว่าถ้ามีเซ็กส์กันก็คงจืดชืดเพราะพี่เวย์ดูสุภาพไม่มีวี่แววว่าจะร้ายกาจแบบนี้  เพิ่งมารู้ว่านอกจากจะไม่จืดชืดแล้วยังฮอตแบบอลังการงานลีลา ผมนี่ดูคนไม่เก่งเลยจริงๆ

“อ๊ะ อื้ออ ซี๊ดด อืออ” ผมร้องครางเมื่อถูกชักนำแรงขึ้น แรงดูดดุนก็เพิ่มขึ้นจนแทบจะทนไม่ไหว ด้วยความที่มือถูกผูกโยงไว้แบบนี้ การจะบิดกายส่ายตัวเพื่อลดทอนความกระสันจึงทำได้ยากและมันส่งผลให้ความซ่านเสียวเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

พี่เวย์ใช้ทั้งปากและลิ้นปรนเปรอให้อย่างถึงใจ แค่เพียงไม่นานผมก็แอ่นสะโพกขึ้นถี่รัวพร้อมกับหนีบขาบิดรัดตัวเขาไว้เมื่อถึงจุดไคลแม็กส์

วิศวกรหนุ่มหล่อยังคงละเลงลิ้นตรงส่วนปลายและปล่อยให้ผมหนีบรัดตัวเขาไว้สักพัก  และเมื่อร่างกายเริ่มผ่อนคลายจึงปล่อยให้เขาเป็นอิสระแล้วนอนระทวยหายใจรวยรินมองพี่เวย์ยืนขึ้นเต็มความสูง

มือหนาปลดกางเกงของตัวเองลงทำให้ตอนนี้เปลือยเปล่าอยู่เบื้องหน้า กล้ามเนื้อสวยงาม ใบหน้าหล่อเหลารวมเข้ากับความสูงที่พอๆ กับสกายและดินแดนทำให้พี่เวย์ดูเหมือนนายแบบมากกว่าวิศวกรเสียอีก  ยิ่งส่วนกลางที่ขยายตัวอวดขนาดที่เกินมาตรฐานชายไทยนั้นยิ่งคิดว่าเขาไม่ควรเป็นแค่คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวให้เสียเปล่า น่าจะจับไปเป็นพอร์นสตาร์เสียให้รู้แล้วรู้รอด

“จุ๊ๆๆ” ดวงตาคู่สวยหรี่มองแล้วจุ๊ปากก่อนจะโถมตัวเข้ามา “ร้อนแรงกว่าที่พี่คิดไว้ตั้งเยอะ”

แรงสูดลมหายใจหนักหน่วงเมื่อจมูกโด่งแตะลงบนพวงแก้มแล้วลากเรื่อยไปถึงใบหูทำให้ร่างของผมสะท้านสั่นขึ้นมาอีกระรอก

ใครควรจะเป็นคนพูดประโยคนี้กันแน่..

“น้องเห็นใบตรวจเลือดพี่แล้วใช่ไหมว่าคลีน” อยู่ๆ ก็ถามขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแต่ผมก็พยักหน้าตอบรับด้วยสติไม่เต็มร้อย

“งั้นพี่ขอ..สด..นะครับ”

!!!!!!

ร่างกายแทบจะระเบิดเป็นจุล ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจแต่โดนจัดหนักรุกหนักถึงขนาดขอสด

ผมไปไม่เป็นเลยตอนนี้..

“งืออ” ได้แต่ส่ายหน้าแทนคำตอบ พยายามหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ เพื่อตั้งสติ

“ไม่ท้องหรอก นะครับ..” เขามองอ้อนราวกับจะรู้ว่าผมแพ้โหมดอ้อนแบบนี้เป็นที่สุด แต่แพ้ก็ส่วนแพ้เพราะตอนนี้หมั่นไส้ขึ้นมาติดหมัด

“ก็ไม่ได้ห่วงว่าจะท้อง” ผมมองเคืองทว่าปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหัวใจเต้นหนักมาก ก็จะให้ตอบว่าอะไรล่ะ ‘ก็ได้ครับ’ แบบนี้เหรอ มันน่าอายนะ

“งั้นเอาแบบนี้นะ ถ้าน้องไม่ตกลงให้จับหน้าพี่ แต่ถ้าตกลงก็ไม่ต้องจับ” ดูเหมือนจะเป็นความเอื้อเฟื้อแต่ไม่เลย เขาเป็นจอมวายร้าย

“ใช้เท้าจับได้ไหมล่ะครับ” ผมว่าให้อย่างเคืองๆ  ก็รู้อยู่ว่ามือผมถูกมัดแล้วจะให้เอาอะไรจับหน้าเขาล่ะ

“ฮ่าๆๆ” พี่เวย์หัวเราะเสียงใสแล้วกัดปากผมดึงออกไปจนต้องร้องซี้ด “เดี๋ยวจะโดนจัดหนัก” เขาขู่แล้วก้มลงดูดริมฝีปากผมอีกครั้ง อยากเถียงใจจะขาดว่าตอนนี้ก็ไม่ได้เบาสักนิด

“พี่ไม่เคยทำกับผู้ชายเลยนะ” เขาจูบแก้ม สันกรามแล้วเริ่มจูบซุกไซ้ไปตามซอกคอ พูดคุยราวกับอยู่บนโต๊ะอาหาร  “รอที่จะทำกับน้องแค่คนเดียว พี่รอน้องนานมาก นานมากจริงๆ” ผมหอบหายใจถี่หนักหลับตาฟังที่เขาพูด “น้องเคยคิดถึงเรื่องบนเตียงกับพี่เวย์บ้างไหมครับ เคยจินตนาการหรือเปล่าว่าทำรักกับพี่แล้วเป็นยังไง” 

อยากบอกว่าในจินตนาการของน้อง ไม่ได้ครึ่งความร้อนแรงของพี่เวย์เลยครับ..

ในสมองตอนนี้มึนงง ทั้งสะท้านเสียวเพราะถูกคลอเคลียดูดดุนแถมพ่นลมหายใจหืดหาดอยู่ใกล้หู โดยเฉพาะนิ้วมือคล่องแคล่วก็ชักนำเข้าออกอยู่ตรงช่องทางด้านหลังไปเรื่อยๆ

เอ๊ะ!  นี่ผมไม่รู้ตัวเลยว่าเขาทำมันเมื่อไหร่ และกว่าจะไหวตัวทัน

“อ๊า!!” ร่างกระตุกเกร็งเมื่อถูกแกนกายใหญ่โตสอดใส่เข้ามา  ไม่ได้กระแทกกระทั้นแต่ดันเข้ามาได้ไม่ยากเย็นนักเพราะของเหลวที่หลั่งเมื่อครู่ช่วยหล่อลื่นได้เป็นอย่างดี

“อาาาห์” ร่างสูงเงยหน้าปล่อยเสียงครางต่ำในลำคอด้วยความพึงพอใจ “น้องมีอารมณ์มากขนาดนี้เป็นปกติเหรอครับ” หน้าเขาเสียวซ่านแม้จะยังไม่ได้โยกตัวขยับขึ้นลงแต่อย่างใด

พี่เวย์เลี่ยงที่จะใช้คำที่มีความหมายไม่ดีซึ่งพอใช้ประโยคนี้มันก็ละมุนขึ้น ทั้งๆ ที่ความหมายก็คือ ผมมีอารมณ์กับคนอื่นแบบนี้ไหม หรือถ้าให้ชัดกว่านั้น เวลามีเซ็กส์กับเฮีย ผมตอดรัดรุนแรงและชุ่มฉ่ำขนาดนี้หรือเปล่า

คำตอบคือไม่..

ถามว่าทำรักกับเฮียผมมีความสุขไหม ก็บอกเลยว่ามาก มากจนล้นทะลักไม่ต่างกัน แต่ร่างกายของผมตอบสนองเป็นพิเศษกับสัมผัสของพี่เวย์ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมแต่มันเป็นไปเอง ผมตื่นเต้นไปหมดกับการเคลื่อนไหวของเขา เหมือนกับว่าร่างกายถูกเขาจับจองไว้ตั้งแต่ชาติปางก่อนเพราะแม้แต่กระพริบตาผมก็ยังคิดว่าเขาเซ็กซี่จนวูบวาบขึ้นมาได้

แต่เรื่องอะไรจะตอบ มันไม่เข้าท่าที่จะเปรียบเทียบเรื่องแบบนี้ให้ใครฟัง กับเฮียก็สุขล้น กับพี่เวย์ก็ซ่านกระสันหนักหน่วง ต่างกรรมต่างวาระแต่เป็นความรู้สึกที่ดีทั้งสองแบบ

“รักน้องไหมครับพี่เวย์” ผมเสเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากตอบคำถาม

เขาเริ่มขยับร่างกายช้าๆ เป็นจังหวะ “รักที่สุดเลยครับ”

ได้ยินแล้วสุขล้นในหัวใจ ผมรักพี่เวย์ ไม่ว่าระหว่างเราจะใช้เวลาเนิ่นนานแค่ไหนกว่าจะมีวันนี้ แต่ผมไม่เคยไม่คิดถึงเขา พี่เวย์ติดอยู่ในมโนความคิดของผมเสมอมา

เราสองคนประสานสายตาสื่อสารความรักต่อกัน “น้อง..ก็รักพี่เวย์ครับ”

รอยยิ้มละมุนฉายขึ้นบนใบหน้าสุดแสนเซ็กซี่ของเขา “แค่นี้ก็คุ้มที่พี่เฝ้ารอ คุ้มกว่าด้วยซ้ำ”

จากนั้นร่างสูงก็โยกกายแรงขึ้นทุกทีจนในที่สุดก็กระตุกเกร็งฉีดพ่นของเหลวใส่ร่างของผม เขาคำรามในลำคอราวกับจะประกาศให้รู้ว่าได้เป็นเจ้าของผมโดยสมบูรณ์แล้วทั้งกายและใจ 

“พี่แกะให้นะครับ” ก็ยังดีที่ไม่นานเกินไป ไม่งั้นแขนผมคงชาไปหมดแน่ 

พี่เวย์ยังคงคาท่อนรักไว้ในตัวผมและแค่เอื้อมมือเขาก็แกะชายเสื้อออกจากโต๊ะและแกะเข็มขัดกับเสื้อกล้ามออกอย่างง่ายดาย ก็ใช่สิ ตัวยาวแขนยาว แถมส่วนที่คาอยู่ในตัวผมก็ยาวขนาดนี้ เฮ้อ ดีที่ว่าเสร็จไปก่อนไม่งั้นผมคงแย่

แต่มันไม่ใช่แบบนั้น!

“เปลี่ยนท่าหน่อยนะ พี่เวย์แค่กลัวน้องจะปวดแขน” เขาดึงร่างออกแล้วอุ้มผมลงมายืนที่พื้นให้หันหน้าเข้าหาโซฟาแล้วโน้มตัวยันแขนไว้ตรงพนักพิง ด้วยความที่ยังไม่เข้าใจเหตุการณ์ทำให้ผมไม่ทันที่จะห้ามหรือยับยั้งอะไรไว้ได้

“อ๊ะ..!?”  สะดุ้งเฮือกแล้วเอี้ยวตัวไปมองเมื่อถูกแกนกายสอดแทรกเข้ามาอีกครั้งและคราวนี้มันลึกล้ำมากกว่าเดิมจนถึงกับร้องไม่เป็นคำ “อาห์ อื้ออ อา อาห์”

“ครางเก่งจังเลยครับ” ริมฝีปากสวยขยับงับใบหูผมพร้อมกับชื่นชมเสียงปร่า

ท่านี้มันไม่โอเคเลย ตัวผมที่โน้มลงจนต้องเท้าศอกคร่อมพนักพิงจึงไม่สามารถขัดขืนอะไรได้  ส่วนพี่เวย์ที่ความสูงเกินมาตรฐานจึงค่อนข้างสะดวกที่เขาจะเสยจะงัดจะกดหรือควงเล่นเอาตามแต่ใจเขาจะปรารถนา ซึ่งทั้งหมดนั้นมันขับดันความซ่านกระสันให้พุ่งทะลุปรอท ทำได้แค่เขย่งปลายเท้าในช่วงที่พีคเกินไปสลับกับการแอ่นบั้นท้ายให้เขากระแทกกระทั้นได้อย่างถนัดถนี่

ยิ่งลึกล้ำก็ยิ่งเสียวสะท้านจนต้องจิกข่วนโซฟาจนมันแทบจะขาด  แถมมือไม้ของร่างสูงก็เป็นอิสระจะบีบจะเคล้นจะล้วงควักอะไรก็ง่ายดายไปหมด  ยังไม่รวมใบหน้าที่ซุกไซ้เข้ามาที่ซอกคอและใบหูนี่อีก

ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดใจตาย..

“พ..พี่..เว ย์ อื้ออ อาา พี่  พี่เวย์ น้อง..จะขาด..ใจ  อื้ออ”  ผมร้องขอความเห็นใจเพราะตอนนี้เขาชักนำแกนกายของผมไปพร้อมกับกระแทกเข้าใส่จนร่างสะท้าน  “บ.. แบบนี้..อ๊าา ม..ไม่ ไม่..ไ  ห ว”   

“ไม่ไหวก็เสร็จก่อนก็ได้นี่ครับ” เขาลดความเร็วลงแล้วจูบเบาๆ ตรงหลังคอ

“งื้อออ..” ผมร้องประท้วง

“หือ? ทำเสียงแบบนี้ งอนพี่เหรอครับ”

“ก็..ถ..ถึงไปแล้วนี่ครับ..อีกรอบนี่ไม่ไหวแล้ว..นะครับ” ดูเหมือนพี่เวย์จะตั้งใจงัดแทงให้มันโดนจุดกระสันแถมยังกระตุ้นหลายทางขนาดนั้นไม่ให้ถึงเร็วได้ยังไงล่ะ

“อ้าว ถึงไปตอนไหน ทำไมพี่ไม่รู้” ใช่สิ ตัวจะรู้อะไรก็เล่นซุกหน้าอยู่ไม่ห่างจากคอและใบหูเลยนี่นา ไม่รู้ชอบอะไรนักหนา ดมๆ จูบๆ แทะๆ เลียๆ อยู่นั่นแหละ น้ำลายเต็มคอไปหมดแล้ว

“อุตส่าจะช่วยให้เสร็จพร้อมกัน  อย่าให้พี่เสียความตั้งใจเลยนะครับ” ดูความตั้งใจของพี่แกสิ  เป็นความตั้งใจที่น่าหยิกที่สุดเลย

“.......”

“ตกลงตามนี้นะครับ” เมื่อเห็นผมไม่ตอบ พี่เวย์ก็ทึกทักเอาว่าผมตกลง
ได้แต่หลับตาปี๋ย่นหน้าด้วยความจำใจ ก็กลายเป็นเหยื่อแบบนี้จะไปถกเถียงอะไรเขาได้ ของกลางก็อยู่ในมือเขาและถูกขยำกำรูดเล่นราวกับเป็นของตัวเอง 

และเมื่อเห็นว่าผมไม่โต้แย้งเขาก็เริ่มโยกย้ายสะโพกจากเบาก็เริ่มแรงขึ้น แรงขึ้นสลับกับชะลอแล้วเน้นจังหวะให้หนักคาดว่าเพราะยังไม่อยากปลดปล่อย

ปล่อยซะทีเถอะครับพี่เวย์ น้องอั้นไว้ไม่ไหวแล้วนะ..

ผมอยากจะบอกเขาแบบนี้เพราะถ้าผมไม่อั้นแล้วเสร็จไปก่อนก็คาดว่าอาจจะมีรอบที่สี่ที่ห้าตามมาเพราะร่างกายถูกกระตุ้นไปซะหมดทุกทาง

“อ่ะ อ่า อ๊าส์ อาาห์” ร่างสูงเร่งความเร็วขึ้นทั้งสะโพกและมือเมื่อแน่ใจแล้วว่าเขาจะปล่อยผมจึงปลดปล่อยออกมาแบบทะลักทะลายเนื่องจากอั้นมานานมากแล้ว

ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านและหอบหายใจรุนแรงราวกับวิ่งรอบสนามเป็นร้อยรอบ  ชีวิตไม่เคยมีคำว่าธรรมดา หลังจากไม่โดนมานานแสนนานจนจำความรู้สึกถึงสวรรค์แทบไม่ได้แต่พอโดนขึ้นมาก็เบอร์ใหญ่ไฟท่วมถึงขนาดขาอ่อนทรุดลงบนโซฟาอย่างหมดแรง

“ชู่ววว ชู่ววว” พี่เวย์พลิกตัวอุ้มขึ้นแล้วปลอบเมื่อเห็นอาการของผม “ขึ้นไปพักบนห้องนะครับ” น้ำเสียงแหบแห้งและหอบหายใจหนักๆ 

ตอนนี้ร่างสูงพร่างพราวไปด้วยหยาดเหงื่อดูเซ็กซี่เหมือนนายแบบที่ทาน้ำมันถ่ายรูปขึ้นปกนิตยสาร  เห็นแล้วก็หน้าร้อนขึ้นมาเมื่อนึกถึงว่าตอนนี้ผมเป็นของเขาแล้ว

“อย่าทำหน้าแดงแบบนี้สิครับ เดี๋ยวก็โดนพี่จัดอีกหรอก” เขาอุ้มขึ้นบ้านแล้วหยุดยืนหน้าห้องจนผมต้องช่วยหมุนลูกบิดเปิดประตู

“อยากไปล้างก่อน” ผมอ้อนเสียงหอบเหนื่อย

“พี่ล้างให้นะ” ว่าแล้วก็พาเข้าไปวางในอ่างอาบน้ำแล้วยืนมองทำหน้ากรุ่มกริ่ม “อีกรอบน้องจะไหวไหมนะ อยู่ในอ่างแบบนี้น่ากินจัง”

โอ้ยยย  นี่ใช่พี่เวย์ตัวจริงไหมเนี่ย หรือเป็นคนอื่นปลอมตัวมา ทำไมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้  ฮืออ ผมจะเฉามือตายก่อนได้กลับบ้านหรือเปล่าวันนี้

“น้องจะตายแล้วครับ” ผมทำหน้าเบ้ “พอก่อนนะ เดี๋ยวพี่เวย์ก็ต้องกลับเข้าไปที่ไซต์งานไม่ใช่เหรอ” เอางานมาอ้าง  เพราะถ้าเป็นเฮียเผ่า งานต้องมาก่อน

“ใช่จริงด้วย” พี่เวย์พูดแค่นั้นแล้วรีบอาบน้ำให้ผมและช่วยเอาของเหลวออกจากด้านหลังให้  ทำไมรู้สึกเขินจนไม่กล้ามองหน้า ไม่รู้ทำไมความรู้สึกของผมที่มีต่อพี่เวย์ถึงได้รุนแรงไปเสียทุกการกระทำแบบนี้นะ

และเมื่อทำความสะอาดให้จนเสร็จเขาก็บอกให้รอในอ่างแล้วอาบน้ำสระผมให้ตัวเองอย่างรวดเร็ว ไม่อยากมองแต่เผลอปุ๊บสายตาก็เบนไปหาปั๊บ คือพี่เวย์ดูดีมาก แค่อาบน้ำสระผมทำไมต้องดูดีดูเซ็กซี่ขนาดนั้น

“มองขนาดนี้พี่ก็เขินนะครับ” พูดให้ได้อายจบแล้วก็อุ้มผมออกมาวางที่เตียงตามด้วยการเช็ดตัวเช็ดผมจนหมาดโดยที่เขาทำทุกอย่างนี้ด้วยร่างกายเปลือยเปล่าและหยาดน้ำเกาะพราวไปทั้งตัว

“พี่เวย์..เช็ดตัวเองก่อนเถอะครับ น้องทำเองได้” ผมบอกเป็นครั้งที่สิบเพราะไม่อยากเห็นเขาเปลือยอยู่แบบนี้ จั๊กเดียมหัวใจจนไม่รู้จะวางสายตาไว้ตรงไหนเพราะมองมากๆ เดี๋ยวก็โดนแซวเอาอีก

“งั้นเดี๋ยวพี่หาเสื้อให้แป๊บ” เขาว่าแล้วเดินไปเปิดตู้หยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวของตัวเองมาให้ “ใส่นี่นะ เห็นเขาว่าใส่แค่นี้แล้วเดินอยู่ในห้องนอนมันน่าฟัดกว่าถอดเสื้อผ้าซะอีก”

อะไรนะ!!

ผมฟังผิดไปหรือพี่เวย์พูดผิด  นี่คือเหตุผลที่หยิบเสื้อตัวนี้มาให้เหรอ แล้วเขาคิดว่าถ้าผมรู้เหตุผลนี้แล้วจะกล้าใส่อีกหรือไง

“หรือจะไม่ใส่อะไรเลยก็ยิ่งดีนะครับ ไม่ต้องเสียเวลาถอด” เสียงนุ่มละมุนกับสีหน้าอ่อนโยนแบบนั้นหลอกผมไม่ได้อีกต่อไปแล้ว 

พี่เวย์เป็นจอมวายร้ายที่แฝงกายอยู่ในมาดสุภาพบุรุษ!


ต่อ..

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด