พิมพ์หน้านี้ - ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: fiction no.9 ที่ 15-04-2018 10:25:09

หัวข้อ: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 15-04-2018 10:25:09
เก็บกระทู้ไว้  -------โมดุฯ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------

***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0)

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com (http://www.thaiboyslove.com)  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

***************************************************************************************
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




สารบัญ
P R O L O G U E  :  ช น ม์ แ ด น (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66914.0)   ►   I N T R O  :  อ นุ ช า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66914.msg3818298#msg3818298)
 ต อ น ที่ 1 :  เ ผ่ า พ ง ศ์ 1-1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66914.msg3819950#msg3819950)   ►   ต อ น ที่ 2 : เ ผ่ า พ ง ศ์ 1-2 (http://ตอนที่ 1 : เผ่าพงศ์ 1-2)   
ต อ น ที่ 3 : ส ก า ย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66914.msg3823005#msg3823005)   ►   ต อ น ที่ 4 : ดิ น แ ด น
 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66914.msg3833729#msg3833729)ต อ น ที่ 5 : ภ า ว ะ บี บ คั้ น (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66914.msg3840709#msg3840709)   ►   ต อ น ที่ 6 : ภ า ว ะ ฟื้ น ตั ว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66914.msg3847855#msg3847855)
ต อ น ที่ 7 : ภ า ว ะ ฟุ้ ง ซ่ า น (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66914.msg3861408#msg3861408)   ►   ต อ น ที่ 8 : อ นุ ว ร ร ต (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66914.msg3862295#msg3862295)
ต อ น ที่ 9 : ภ า ว ะ ซึ ม เ ศ ร้ า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66914.msg3865264#msg3865264)   ►   ต อ น ที่ 10 : ห ม อ ป ร ะ ส า ท (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66914.msg3869682#msg3869682)
ต อ น ที่ 11 : ภ า ว ะ ห วั่ น ไ ห ว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66914.msg3875639#msg3875639)   ►   ต อ น ที่ 12 :  ภ า ว ะ บ อ บ ช้ำ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66914.msg3877404#msg3877404)
ต อ น ที่ 13 : ภ า ว ะ ตื่ น ต า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66914.msg3881356#msg3881356)   ►   ต อ น ที่ 14 :  ภ า ว ะ ตื่ น ใ จ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66914.msg3884885#msg3884885)


.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

P R O L O G U E  :  ช น ม์ แ ด น




ชนม์ แปลว่า การเกิด หรือ ก่อเกิด

แดน คือ อาณาจักร ขอบเขต เขตแดน

ชนม์แดน..จึงหมายถึงการเกิดขึ้นของอาณาเขต

อาณาเขตที่อัดแน่นไปด้วยความทุกข์และความเกลียดชัง

หากความสุขเป็นดั่งท้องทะเล  หัวใจของชนม์แดนก็เปรียบเสมือนเกาะร้างที่ไร้ผืนทราย

ถึงแม้จะมีทะเลความสุขคอยโอบล้อมไว้ทุกด้าน ทว่ากลับไร้ผืนทรายไว้คอยดูดซับความสุขเหล่านั้นเข้ามาในหัวใจ



หรือบางที ชนม์แดน อาจจะแปลว่า

ค ว า ม ถื อ ดี

ค ว า ม เ ย่ อ ห ยิ่ ง

ค ว า ม ใ จ แ ข็ ง

ค ว า ม เ ห็ น แ ก่ ตั ว

อี โ ก้ สู ง

ไ ร้ ชี วิ  ต ชี ว า

เ ส พ ติ ด ค ว า ม ทุ ก ข์

แ ล ะ นิ สั ย เ สี ย ๆ อี ก ห ล า ย อ ย่ า ง


ผู้คนส่วนมากมักเก็บซ่อนความรู้สึกด้านลบไว้ภายใต้ใบหน้าเปื้อนยิ้ม

แต่สำหรับชนม์แดนกลับต้องซ่อนรอยยิ้มไว้ภายใต้ใบหน้าสวยที่เชิดหยิ่ง

ซ่อนความสุขไว้ภายใต้ความชิงชัง  ซ่อนความดีไว้ภายใต้ทิฐิ

และเก็บซ่อนความรักไว้ภายใต้ความหวาดกลัว

เพราะหากรักแล้วต้องเจ็บ..ก็เลือกที่จะ..ไม่รัก

เพราะหากรักแล้วต้องรอ..ก็เลือกที่จะ..หนี

เพราะหากรักแล้วต้องเลือก..ก็เลือกที่จะ..ไม่รัก


รักนั้นพูดง่ายทว่าเข้าใจยาก

กับบางคน..ถึงแม้จะทุ่มเทจนสุดตัวให้ได้ความรักมาจากเขาแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า

กับอีกคน..ถึงแม้จะรู้สึกอยู่เสมอว่าไม่ได้รักแต่กลับติดอยู่ในกับดักของตนเอง

กับคนเก่า..ถึงแม้จะถวิลหาแต่กลับต้องหักห้ามใจ

กับคนใหม่..ถึงแม้จะขีดเส้นกั้นของความสัมพันธ์เอาไว้แต่กลับเป็นฝ่ายที่อยากก้าวข้ามไปเสียเอง

กับคนที่ชอบ..ถึงแม้จะหลีกเลี่ยงแต่กลับอยากเอาชนะ

กับคนที่เกลียด..ถึงแม้จะมีศีลธรรมคอยค้ำคอแต่กลับต้องการได้เป็นคนสำคัญ


กับคำว่ารัก..ถึงแม้จะคิดเสมอว่าเป็นสิ่งไกลตัวแต่กลับวนเวียนอยู่ใกล้ๆ

กับหัวใจที่ซับซ้อน..ถึงแม้จะอยากปิดตายสักเท่าใดแต่กลับเผลอใจให้คำว่ารักเข้ามาทำร้ายทำลายตนเอง



.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.





คำเตือน : นิยายเรื่องนี้เรท 25++

ไม่เหมาะกับเยาวชน

ไม่เหมาะกับผู้ที่เคร่งครัดในศีลธรรม

ไม่เหมาะกับผู้ที่รักเดียวใจเดียว

ไม่เหมาะกับสายฮา

ไม่เหมาะที่จะอ่านในที่สาธารณะเพราะหากคนข้างๆ มาแอบอ่าน เขาอาจจะมองคุณด้วยสายตาแปลกๆ

ที่จริงก็มีอีก แต่พอเถอะถ้าเตือนมากกว่านี้คงเหลือคนอ่านแค่คนเดียวคือคนแต่ง = =;;



นิยายเรื่องนี้ดราม่าตอนต้นเรื่อง พอช่วงกลางก็เริ่มดราม่า และตอนใกล้จบก็ดราม่าอีก

แต่เดี๋ยวก่อน..ในความมาม่ามีสอดแทรกโรแมนติก อิโรติก อยู่หลายกระติก

หากอ่านแล้วชอบขอรางวัลเป็นคอมเมนต์สั้นๆ สักตอนละหนึ่งดอก

แต่ถ้าหากอ่านแล้วไม่โดนใจให้คิดว่าได้ฆ่าเวลาก็ยังดี



ฝากแฮชแท็ก #รู้เท่าไม่ถึงรัก ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ

มาพูดคุยเม้าส์มอยซอยเก้าด้วยกัน

ปล. ติชมได้เต็มที่ค่ะแต่ขอละเว้นถ้อยคำรุนแรง
นักเขียนใจบางมากอยากขอความเห็นใจ  :mew2:

ด้วยความขอบคุณจาก..นิยายหมายเลข 9 (https://www.facebook.com/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%82-9-1404932149738259/) :bye2:



สุดท้าย..

รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก  เจ้าของเดียวกันกับ..

คู่จิ้นของผมเป็นผู้ชาย (https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41857.0) และ เด็กน้อยออทิสติกกับหนุ่มอาร์ทติสขี้โมโห (https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40670.0)

ข่อมค่าาาา

 :mew1:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ PROLOGUE : ชนม์แดน 《15/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 15-04-2018 11:21:26
 :hao5: เตรียมผ้าเช็ดหน้าพร้อมโปรดจงมา
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ PROLOGUE : ชนม์แดน 《15/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: psyfer ที่ 15-04-2018 11:22:54
ตั้งตารอ...
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ PROLOGUE : ชนม์แดน 《15/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวพุธ ที่ 15-04-2018 13:01:49
รอติดตามเลยค้าบบบบ คุณพี่ดอทของหนู งืออออ
 :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ PROLOGUE : ชนม์แดน 《15/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 15-04-2018 13:34:34
พี่ดอทคนแซ่บจะกลับมาแล้วววว อ่านค้างไว้ตั้งแต่ตอนโน้นนนก็ลุ้นอยู่ว่าใครจะเป็นตัวจริงของพี่ดอท แต่อ่านจากบทนำแล้วน่าจะมีเข้าชิงหลายคนอยู่ รอๆๆ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ PROLOGUE : ชนม์แดน 《15/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 15-04-2018 20:06:28
เตรียมทิชชู่รอค่ะ :hao5:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ PROLOGUE : ชนม์แดน 《15/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: chadcharin ที่ 16-04-2018 08:57:19
หืมมมม รอๆๆๆ อย่าม่ามากนะไรท์ใจคอไม่ดี
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ PROLOGUE : ชนม์แดน 《15/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 16-04-2018 09:58:33
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ I N T R O : อ นุ ช า 《15/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 16-04-2018 10:58:49
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

I N T R O  :  อ นุ ช า




“น้องครับ น้องๆ ..ใช่ครับน้องนั่นแหละ”

“.....” 

“สนใจเข้าชมรมบาสไหม พี่เป็นประธานชมรม ชื่อเวย์นะ”

“ไม่ครับ”

เกิดเดธแอร์ขึ้นระหว่างการสนทนา..

ประธานชมรมบาสอึ้งไปเล็กน้อย ก็เด็กใหม่เล่นตอบแบบไม่คิดเลย แถมยังทำหน้าเรียบนิ่งติดจะดุๆ 

ประเมินเอาจากลักษณะการพูดก็พอจะเดาได้ว่าคงมาเจอประเภทหนุ่มน้อยน่ารักที่ไม่เหมาะจะเป็นนักกีฬาแต่อย่างใด 

ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหา รูปร่างหน้าตานิสัยแบบไหนก็เล่นกีฬาได้เหมือนกัน  และการหาเด็กใหม่เพิ่มสำคัญกว่าเพราะปีนี้เขาเรียนชั้นมัธยมปีที่ 6 แล้ว อีกแค่ปีเดียวที่จะได้ทำประโยชน์กับชมรม

เมื่อเห็นว่ารุ่นพี่ไม่มีอะไรจะพูดต่อ ร่างบางก็เดินจากไปดื้อๆ

ดูหยิ่ง ดูไม่เป็นมิตร ดูเข้าถึงยาก แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้หยาบคาย..

“เดี๋ยวครับน้อง  เอาโบรชัวร์ไปดูก่อน เล่นบาสไม่เป็นพี่สอนได้นะ หรือจะ..”

“.....” ดวงตารีเล็กตวัดมองรุ่นพี่แสดงอาการให้รู้อย่างชัดเจนว่า..ไม่

“โอเค..” มือหนายกขึ้นลูบสันกรามแก้เก้อ

นี่พี่เวย์ไง พี่เวย์หนุ่มป๊อบของโรงเรียนเลยนะ วันนี้ก้าวขาออกจากบ้านผิดข้างหรือหล่อน้อยลงวะ ทำไมถูกเมินขนาดนี้

“ม.1! ห้องไหนครับเดี๋ยวพักเที่ยงพี่แวะไปหา”  เมื่อเด็กใหม่เดินผ่านไปไม่กี่ก้าว รุ่นพี่ก็เรียกไว้อีกครั้ง

“.....” ร่างเล็กหยุดกึกแล้วหันไปมองด้วยสีหน้านิ่งหยิ่งดังเดิมที่เพิ่มเติมคือสายตาที่ดุขึ้นสิบระดับ  แต่ยังคงใช้ความเงียบเป็นคำตอบ

คนอะไรตื้อชะมัดยาด ไม่เห็นหรือไงว่าหน้าแบบนี้ หุ่นแบบนี้จะไปแข่งอะไรกับเขาได้

“ว่าไงครับ อยู่ห้องไหน หืม?”

“...ห้องสองครับ” ถึงจะไม่อยากตอบแต่ยังไงคงไม่ดีแน่ที่จะสร้างศัตรูตั้งแต่วันแรกที่เปิดเรียน โดยเฉพาะศัตรูที่น่าจะเป็นตัวพ่อของโรงเรียนนี้

“โอเคครับ เดี๋ยวเจอกันนะ” ใบหน้าหล่อเผยรอยยิ้มใจดีขึ้นอีกครั้งแต่ก็เป็นได้แค่ยิ้มเก้อเพราะอีกฝ่ายไม่ยิ้มตอบ 

ถูกเมินเป็นรอบที่ 2 ภายในไม่ถึง 5 นาที ไอ้เวย์เอ้ย ที่ผ่านมาคงใช้แต้มบุญหมดไปแล้วล่ะมั้ง

ประธานชมรมบาสมองตามร่างเล็กที่เดินจากไปแบบงงๆ

หน้าตาดีขนาดนั้นแต่ทำไมดูเศร้าดูเครียดนัก แบบนี้ต้องชวนมาเล่นกีฬา!




“พี่เวย์คิดไงไปชวนเด็กนั่นอะ ดูหยิ่งๆ ลูกคุณหนูไงไม่รู้” เทม เด็กรุ่นน้อง ม.4 เอ่ยถามหลังจากประธานชมรมของเขากลับเข้ากลุ่ม

“ลูกคุณหนูแล้วมันยังไง เขาไม่ได้ทำอะไรให้ใครเดือดร้อนสักหน่อย”  มือหนาสาละวนอยู่กับการนำใบสมัครหลายใบที่น้องใหม่กรอกแล้วเข้าแฟ้ม

ปีนี้มือขึ้นมากเพราะแค่วันแรกก็ชวนเข้าชมรมได้แล้วแปดคน  ส่วนใหญ่แค่คุยไม่กี่คำก็ตอบรับแบบไม่ต้องเสียเหงื่อด้วยซ้ำ

จะมีก็แต่..

“แค่เหม็นอะ เหม็นแบบไม่มีเหตุผล” เทมเบ้ปากเมื่อนึกถึงตอนเดินเข้าโรงเรียนแล้วเผลอไปเดินชนเด็กนั่น ขนาดรีบบอกขอโทษแต่ยังโดนมองดุๆ แถมยังถอนหายใจใส่อีก  ไม่ให้เหม็นได้ยังไง คนอะไรหน้าตาก็ดีแต่นิสัยโคตรแย่

“เพราะมีคนแบบมึงไง โลกนี้ถึงไม่น่าอยู่ เอะอะก็เหม็นกันเขม่นกันเพื่อ?  อะเอาใบสมัครพวกนี้ไปเตรียมประชุมทีมได้แล้ว” ร่างสูงจัดการแฟ้มเสร็จก็ดันไปให้รุ่นน้อง

“พี่เวย์ก็คนดีตล้อด พระเอ๊กพระเอก”

“ไอ้เวย์มันก็แค่พระเอกจอมปลอม” เตชินท์ เพื่อนสนิทและควบตำแหน่งรองประธานชมรมแทรกตัวเข้ามากลางวงสนทนา

“ปลอมยังไงอะพี่เต”

“ข้างนอกสุกใส ข้างในหื่นกาม ฮ่าๆๆ”

“ห้ะ! พี่เวย์เนี่ยนะหื่นกาม?” เทนประหลาดใจจนอ้าปากค้าง ก็จากที่เคยเห็นตั้งแต่เข้าชมรมมาสองปี ประธานชมรมของเขานั้นแทบจะเรียกได้ว่าเทวดาบนดิน  เรียนเก่ง กีฬาแกร่ง กิจกรรมก็เด่น  หน้าตาดี รูปร่างยิ่งเป๊ะ นิสัยก็ดี สุภาพ ใจเย็น อัธยาศัยเป็นเลิศ แถมไม่มีข่าวเจ้าชู้เพลย์บอยให้ระคายหู

“ไร้สาระไอ้เต  มึงก็อย่าไปฟังมันมากเทม ไปเตรียมประชุมได้แล้วเดี๋ยวให้กลับไปนั่งสำรองเลยนี่” คำขู่ได้ผล รุ่นน้องนิ่วหน้ารีบคว้าแฟ้มใบสมัครไปกอดไว้ทันที

“โหยเอะอะขู่ เพิ่งได้เป็นตัวจริงแค่สองนัดเองพี่เวย์ ไปก็ได้โด่” เทนบ่นไปตามเรื่องแล้วออกจากกลุ่มไป

“ปากมึงนี่นะไอ้เต เดี๋ยวเด็กมันเอาไปพูดกูเสียหายหมด” หลังจากไล่เทมไปแล้ว ประธานชมรมก็หันมาเอาเรื่องเพื่อนรักทันที

“ก็เสียซะมั่งเหอะค้าบพี่ค้าบ ทุกวันนี้ทั้งรุ่นน้องรุ่นเพื่อนรุ่นพี่ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์จะยกน้ำแดงน้ำเขียวมาถวายบูชามึงอยู่ละ  พี่เวย์ดีอย่างนั้น เพอร์เฟ็คอย่างนี้ กรี๊ดพี่เวย์!  หมั่นไส้สัด ไม่มีใครรู้อย่างที่กูรู้หรอก” ใครจะไปนึกว่าดีเลิศทุกด้านอย่างเพื่อนของเขานี่แหละที่เคยมีประวัติสาวรุ่นพี่ขึ้นครูให้พร้อมกันสองคน

“เรื่องนั้นมันตั้งแต่ม.1 แล้วไหม มึงจะรื้อฟื้นหาพระแสงหอกหักอะไร”  ไม่อยากคิดถึงอดีต ก็ตอนนั้นเพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม วัยรุ่นมันก็คึกคะนองไปตามฮอร์โมนที่พลุ่งพล่านแต่วุฒิภาวะยังน้อยเลยไม่มีสติยับยั้งชั่งใจ ตอนนี้โตแล้วนิ่งแล้ว ถึงคิดหื่นก็ไม่ตื่นเต้น..ออกนอกหน้า เก็บอาการได้หมดชีวิตสดใส

“ฮ่าๆๆ ได้รู้ว่ามึงมีจุดด่างดำในชีวิตบ้าง กูก็เป็นสุขใจ” เตชินท์หัวเราะเสียงดังเมื่อนึกถึงครั้งเดียวครั้งนั้นที่เพื่อนเคยสร้างวีรกรรมไว้

“มึงมันโรคจิต” ผลักหัวเพื่อนอย่างเหนื่อยหน่าย “ไปเข้าประชุมกัน วันนี้มึงโซโล่จนจบเลยนะ กูจะนั่งตรวจใบสมัคร”

“ได้ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน!” เตชินท์ตะเบ๊ะแล้วเดินสวนสนามนำเพื่อนไปยังห้องประชุมอย่างอารมณ์ดี



ตอนพักเที่ยงหลังกินข้าวเสร็จ ประธานชมรมคนขยันก็ออกล่าเหยื่อ

“ห้องสอง..ห้องสอง.. อยู่นั่นไง หาที่โรงอาหารก็ไม่เจอ มานั่งคนเดียวแบบนี้คงยังไม่มีเพื่อนไปกินข้าว”  ยืนมองร่างบางที่นั่งเหม่อมองออกไปนอกห้องแล้วนึกเห็นใจ

“อ่ะ ค่าจ้าง”

ร่างเล็กสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะมองหน้าคนพูดสลับกับโคอะลามาร์ชกล่องใหญ่ที่ถูกวางไว้บนโต๊ะ

“......?” การใช้ใบหน้านิ่งหยิ่งที่ขมวดคิ้วเป็นคำถามหรือคำตอบเป็นคาเร็กเตอร์ที่ค่อนข้างแปลกในสังคมเดี๋ยวนี้ที่เด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่มักจะโหวกเหวกโวยวายช่างจ้อหรือไม่ก็คิกขุคิวท์ตี้คาวาอี้ไปตามกระแส

“ค่าจ้างไง” ร่างสูงถือวิสาสะดึงเก้าอี้จากโต๊ะด้านหน้ามานั่งตรงข้าม

“จ้าง?”

“ซื้อเวลาน้องไงครับ ขอขายของแค่ 5 นาที”

“.....” ใบหน้าสวยหงิกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแสดงความไม่ชอบใจ โดยเฉพาะสายตาที่ตวัดมองออกนอกหน้าต่างในทันที  เพราะแบบนี้ไงถึงยังไม่มีเพื่อนสักคน

“น้องชื่ออะไรนะ เออว่าแต่จำชื่อพี่ได้หรือเปล่า”

สรุปจะเอาคำตอบไหนก่อน ถามรัวซะขนาดนี้

“........”

“พี่ชื่อ?” เมื่อได้รับคำตอบเป็นความเงียบ ร่างสูงจึงถามย้ำอีกครั้ง  ประกายในดวงตารีเล็กนั้นเปล่งแสงระยิบเมื่อกำลังรอลุ้นคำตอบ

“ว..เวย์”

รอยยิ้มกว้างคลี่ออกอย่างง่ายดายเพียงแค่มีคนจำชื่อเขาได้

พี่คนนี้แค่ใจดีเกินไป หรือ มีแผนร้ายอะไรกันแน่

ก็ไม่แปลกที่ร่างบางจะคิดด้านลบ เพราะไม่เคยมีใครมาชวนพูดคุยด้วยนานขนาดนี้ อย่างมากแค่ครึ่งนาทีก็สลายตัวไปหมดแล้ว

“แล้วน้องชื่อ?”

เอาอีกแล้ว ทำไมต้องทำหน้าเหมือนคุยกับเด็กอนุบาล เหมือนหลอกล่อเด็กให้ตอบคำถามอะไรแบบนั้น

“ดอท” คำตอบแบบสงวนปากสงวนคำพร้อมกับใบหน้ากึ่งงงกึ่งระแวง ยิ่งทำให้อีกฝ่ายอยากชวนคุยเรื่อยๆ เพื่อละลายพฤติกรรม

“ดอทเหรอ ชื่อแปลกดี  ดอทคอม อะไรแนวๆ นั้นหรือเปล่า”

“อืม” ศีรษะเล็กผงกน้อยๆ ตอบแบบให้จบๆ ไป

“อ่ะนี่ ใบสมัคร” กระดาษ A4 ถูกวางไว้ตรงหน้าพร้อมกับปากกาหนึ่งด้าม

“ใบสมัคร?”

“เข้าชมรมบาสกับพี่ไง”

“.....” ก็ยังไม่เห็นว่าจะขายของอะไรที่ว่ามาเมื่อกี้สักหน่อย อยู่ๆ ก็จะให้เซ็น แต่ถึงจะขายยังไงก็ไม่เซ็นอยู่ดี

“เซ็นก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้”

“แบบนี้ก็ได้เหรอ?” ชนม์แดนอดไม่ได้ที่จะแย้งกลับ

รอยยิ้มจุดขึ้นบนใบหน้าหล่อใสยิ่งทำให้เห็นว่าเขาดูดีมากแค่ไหน

ดีใจอะไรของเขา

“ได้สิ อ่ะ เขียนแค่ชื่อกับเซ็นตรงนี้ก็พอ เดี๋ยวข้อมูลอื่นพี่ไปขอจากอาจารย์เอา”  คงสนิทกับอาจารย์มากสินะ ถึงได้ขออะไรแบบนี้ได้

“ไม่ครับ”

“ทำไมล่ะ อ๋อ พี่ยังไม่ได้ขายของใช่ไหม”

“ยังไงก็ไม่เข้าครับ” ใบหน้าสวยบึ้งตึงขึ้นอีกระดับ เบือนหน้าหนีพร้อมกับถอนหายใจแรงให้เห็นกันจะๆ ว่ารำคาญเต็มทน

“โอเคๆ พี่ยอมแพ้” ร่างสูงลุกขึ้นจากที่นั่ง

เฮ้ออ โล่งอก

“แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มาใหม่นะ ..ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ตามหาเอง”  รุ่นพี่จอมตื้อรวบรัดตัดตอนเมื่อเห็นใบหน้าสวยง้ำขึ้นเหมือนจะบอกว่าถึงมาก็ไม่เจอหรอก

อะไรของพี่คนนี้ ชอบเอาชนะหรือไงนะ เฮ้อ ขี้เกียจคุย


หลังจากวันนั้น ประธานชมรมบาสคนขยันก็แวะเวียนมาขายของแทบจะทุกวัน  ถึงเขาจะเปลี่ยนใจไม่ขอให้เป็นนักบาสแล้วแต่ก็ยังคงหว่านล้อมให้ทำงานฝ่ายอื่น ขอแค่ให้สมัครเข้าทีมแค่นั้นก็พอ

แต่คนอย่างชนม์แดนก็ตอบกลับแค่คำว่าไม่และความเงียบเท่านั้นแหละ




ต่อ..
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ I N T R O : อ นุ ช า 《15/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 16-04-2018 20:25:27
ต่อ..


ผ่านไปสองเดือน จากที่เคยตอบปฏิเสธด้วยความเงียบกลับไม่เพียงพอเพราะไม่เห็นว่ารุ่นพี่จะรู้สึกรู้สาอะไรกับกระแสจิตด้านลบ ยังคงตามมาชวนคุยแล้ววกเข้าเรื่องชมรมอยู่ทุกครั้งที่มีโอกาส  ทำให้เดี๋ยวนี้ต้องคอยหนีหัวซุกหัวซุน ต้องคอยมองว่าเขาจะมาทางไหนแล้วรีบชิ่ง  หนีพ้นบ้างไม่พ้นบ้างเพราะอันที่จริงเขาก็ไม่ได้มีเวลานานนักหรอก แค่ช่วงเช้าก่อนเข้าเรียน ช่วงพักเที่ยง หรือไม่ก็ช่วงพักเบรกซึ่งไม่ได้ยาวนานนัก ส่วนตอนเย็นนั้นหายห่วง พอออดเลิกเรียนดังปุ๊บ ชนม์แดนก็อาศัยฝูงชนแทรกตัวไปขึ้นรถของที่บ้านที่โทรให้มารับตรงจุดตรงเวลาทุกวัน


วันนี้มีงานนิทรรศการศิลปะและดนตรีของรุ่นพี่มอปลาย  โรงเรียนจึงงดการเรียนการสอนในภาคบ่ายเพื่อให้นักเรียนไปร่วมกิจกรรม  ขณะที่ชนม์แดนแอบใช้ทางลัดหลังตึกเพื่อไปส่งงานอาจารย์ เสียงเรียกคุ้นหูก็ดังขึ้น

“น้องครับ ดอท..”  ชนม์แดนหดคอลงทันทีราวกับว่าการทำแบบนี้จะทำให้ตัวจะเล็กลงจนไม่มีใครมองเห็น  เรียวขาเล็กรีบสับหนีให้เร็วขึ้นเพื่อจะได้ไม่ต้องคุยกับเขา

“ถ้าน้องไม่หยุดพี่จะเรียกแขกให้นะครับ”

เรียกแขก? อะไรของเขา?


♫♬ ♭ ♪ ♩ ♪ ~ ~
‘Cause I wanna wrap you up
Wanna kiss your lips
I wanna make you feel wanted
And I wanna call you mine
Wanna hold your hand forever
Never let you forget it
Yeah, I wanna make you feel wanted

As good as you make me feel
I wanna make you feel better
Better than your fairy tales
Better than your best dreams
You’re more than everything I need
You’re all I ever wanted ~
All I ever wanted ~


เสียงตีคอร์ดของกีตาร์โปร่งดังไล่หลังมาติดๆ   ขายาวๆ ของเขาก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็เข้าใกล้เป้าหมายได้แล้ว  จากนั้นเสียงร้องก็ดังขึ้นเป็นเพลงสากล ซึ่งไม่ปฏิเสธว่าเขาร้องเพราะดี แต่จะมาดีดกีตาร์แล้วร้องเพลงเดินตามแบบนี้ไม่ได้!

ร่างบางหันรีหันขวางเหลียวมองรอบตัวรวมทั้งบนตึกเพราะกลัวว่าจะมีใครเห็น ยังดีที่ตอนนี้คงไปรวมตัวร่วมงานที่หน้าโรงเรียนกันหมด นี่ถ้ามีใครรู้ว่าประธานชมรมบาสสุดหล่อ คนดังของโรงเรียนมาเดินตามแบบนี้ จากที่มีคนเกลียดครึ่งโรงเรียนก็คงเพิ่มขึ้นเป็นทั้งโรงเรียนแน่

“พอแล้วครับ!! ผมคุยด้วยก็ได้! หยุดร้องเพลงได้แล้ว” มือเรียวไล่ตะปบนิ้วแกร่งที่ดีดกีตาร์ให้หยุดเล่น

“พี่ชื่ออะไรนะ” ร่างสูงหยุดดีดกีตาร์แล้วยิ้มในสีหน้าเพื่อรอฟัง

“พี่..เวย์” ก็ต้องยอม เพราะถ้าปล่อยให้ร้องต่อไปพวกแฟนคลับของพี่หล่อนี่ต้องแห่กันมารุมตบในไม่ช้านี้แน่

“สรุปว่าใครจะหยุดแล้วคุยกับพี่นะ” 

“ผมไง”

“น้องเหรอ?”

“อือ” ชนม์แดนพยักหน้างงๆ

“น้องเหรอครับ?”

“ค..ครับ”

“ก็ใครล่ะครับ?”

“ก็ผมไง”

“น้องเหรอครับ?”

“ครับ น..น้องเองครับ”

ในที่สุดเขาก็ได้คำตอบที่ตรงใจ รอยยิ้มกว้างเผยขึ้นทันที ในแววตาที่มีประกายระยิบระยับราวกับผืนน้ำที่สะท้อนแสงอาทิตย์ยามบ่ายช่างสวยงาม ดูเจิดจ้าทว่าแสบตาจนต้องเบือนหน้าหนี

ต้องดีใจอะไรขนาดนั้นล่ะ เฮ้อ

“ทำไมดอทหนีพี่ล่ะ”

“ไม่ได้หนี..เฮ้ออ หนีก็ได้ครับ” ไม่อยากโกหก

ที่ไม่ชอบพูดคุยกับใครเพราะสิ่งที่อยู่ในใจมันเป็นแบบนี้ พอต้องพูดออกมาก็ไม่มีใครชอบฟัง จึงจำเป็นต้องเงียบไว้

“แล้วทำไมต้องหนีล่ะครับ” น้ำเสียงสุภาพเมื่อรวมกับยิ้มในสีหน้าดูแล้วไม่เหมือนต้องการคาดคั้นหรือโกรธเคืองจึงทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น

“ไม่อยากเข้าชมรมครับ” ดวงหน้าสวยเบือนหนีเหมือนจะเป็นการงอนมากกว่าเครียดหยิ่งอย่างที่เคยเห็น

“ใครไม่อยากเข้าชมรม”

“ผม.. ดอท..”

“น้องเหรอครับ?”

ถึงกับต้องกลอกตาแล้วถอนหายใจใส่ซึ่งไม่ได้มีผลอะไรกับคนที่ยืนจ้องอยู่เลยแม้แต่น้อย

“หืม?” พอลุ้นจะเอาคำตอบก็ใช้สายตาแบบเดิมอีก ไม่ใช่เด็กอนุบาลนะไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นใส่หรอก

“ครับ น้องไม่อยากเข้าชมรม” เหมือนถูกสะกดจิตให้ต้องพูดตามที่เขาอยากได้ยิน

พี่คนนี้ชอบบังคับแบบไม่เหมือนการบังคับ แต่ในเชิงปฏิบัติก็คือบังคับนั่นแหละ โอ้ยงง คือเขาจะบังคับแบบสุภาพคอยตะล่อมให้ไปในทางที่เขาอยากให้เราไป แถมยังดื้อตาใสอีกด้วย

“แล้วทำไมถึงไม่อยากเข้าล่ะครับ ถ้าไม่อยากเข้าถึงขนาดนั้นน้องน่าจะบอกว่าเพราะอะไร ไม่ใช่เอาแต่เงียบหรือหนีปัญหาแบบนี้นะ”

“.....” ดวงตาคู่สวยสบมองอีกฝ่ายเขม็งเพราะไม่ค่อยชอบนักเวลาถูกตำหนิ แต่แล้วก็ต้องค่อยๆ หลุบสายตาลงเพราะพ่ายแพ้ให้กับความฮิตเลอร์ในร่างคุณชายพุฒิพัฒน์ของร่างสูง

ตาก็ตี่พอๆ กันแต่ทำไมเวลาจ้องแล้วดูน่าเกรงใจแบบนั้น เฮ้อ พูดก็พูดวะชนม์แดนจะได้หมดเรื่องค้างคาใจกันไปเลย

“ว่าไงครับ?” ร่างสูงแตะดันแผ่นหลังเบาๆ เพื่อชี้นำให้ไปนั่งใต้ร่มไม้ใหญ่ที่มีม้าหินอ่อนตั้งอยู่

ก็คงต้องยอมเดินไป ไม่งั้นเดี๋ยวก็ลุกมาดีดกีตาร์ร้องเพลงอีก  ไม่อยากจะชมนักหรอกแต่เวลาที่เขาทำแบบนั้นแล้วดูดีจริงๆ   


เมื่อนั่งตรงข้ามกันแบบนี้ก็หนีไม่พ้นต้องเผชิญหน้า หนุ่มน้อยหมดสิทธิ์ที่จะหลีกหนีได้อีกจึงตัดสินใจพูดออกไป

“เฮ้อ.. ก็เห็นไหมล่ะครับ แขนก็แค่นี้ ขาก็แค่นี้ ที่เห็นว่าดูสูงมันแค่หลอกตา ผมคง..” พอใช้สรรพนามผิดหูก็ถูกเลิกคิ้วใส่จนต้องเปลี่ยนจนเขาพอใจ  “น..น้องคงไม่สูงไปกว่านี้อีกแล้วจะไปเล่นกีฬาอะไรได้  แล้วอีกอย่าง ไม่ชอบกิจกรรมที่ต้องเจอคนเยอะๆ คะแนนความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์เป็นศูนย์ เรียกว่าติดลบยังได้ แล้วก็ไม่ต้องบอกให้พยายามนะครับเพราะไม่เห็นความจำเป็นว่าจะต้องทำแบบนั้น  อะไรฝืนใจก็ไม่อยากทำและไม่ทำเด็ดขาด สรุปคือ ไม่ชอบและจะไม่เข้าชมรมครับ”

“หึๆๆ” เสียงหัวเราะในลำคอไม่น่าหมั่นไส้เท่ากับแสงระยิบระยับในดวงตาคล้ายกำลังล้อเลียน

“ขำอะไรครับ”

“ขำคนพูดน้อย แต่พอต้องพูดแล้วฟังแทบไม่ทัน”

ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้น รู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน

เมื่อกี้ก็พูดเยอะจริงๆ เยอะกว่าที่พูดมาทั้งเดือนด้วยซ้ำมั้ง

“......” พอหมดเรื่องที่จะพูด เด็กจอมหยิ่งก็นิ่งไปอีก

“แล้วทำไมไม่พูดตั้งแต่แรก”

“.....” พอตั้งท่าจะเงียบใส่ นิ้วเรียวก็แกล้งเกากีตาร์เล่น  “ก็.. ไม่อยากคุยด้วย ไม่ชอบคุยกับคนอื่น”

ประธานชมรมบาสพินิจมองร่างเล็กที่นั่งตัวตรงคอตั้งและเชิดหน้าอยู่เสมอ จะมีก็แต่บางครั้งที่เถียงไม่ออกหรือรำคาญหนักๆ ถึงจะหลุบตาลงบ้าง หรือไม่ก็จะตวัดสายตาหนีแล้วถอนหายใจใส่ให้เห็นไปเลยว่ากำลังไล่แขกแต่ก็ไม่เคยที่จะลดอาการเชิดๆ หยิ่งๆ ลงไม่ว่าจะอารมณ์ไหนก็ตาม   ทุกคำที่พูดออกมาถึงจะไม่รื่นหูนักแต่ไม่มีการประดิดประดอย แค่พูดอย่างที่คิดหรือไม่ก็เงียบไปเลย มีแค่สองอย่างที่เด็กคนนี้จะทำ

“นี่ใครครับ” การชี้นิ้วเข้าหาตัวแล้วส่งสายตาแบบใจดีแล้วรอฟังคำตอบของร่างสูงทำให้ใบหน้าสวยง้ำขึ้น

ก็ชอบทำหน้าเหมือนสอนเด็กอนุบาลอีกแล้วไง จะให้บอกในใจกี่ทีว่าไม่ใช่เด็ก ไม่ใช่เด็ก!

“...พี่เวย์”  จำเป็นต้องตอบ  แค่เขาขยับกีตาร์นิดเดียวก็ต้องรีบตอบแล้ว

“แล้วพี่เวย์..ใช่คนอื่นเหรอครับ?”

“......”

“พี่เวย์เป็นคนอื่นเหรอครับ?”

“ม..ไม่ครับ” ยอมรับว่าที่เคยระแวงผู้ชายคนนี้ว่าจะมีแผนร้าย มันค่อยๆ หายไปจากความรู้สึก สองเดือนที่ผ่านมาค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่าสิ่งที่เขาทำไม่ได้เสแสร้ง แค่มีความมุ่งมั่นไปเสียทุกเรื่องก็เท่านั้น

ที่รู้ได้เพราะที่ผ่านมาต้องคอยมองอยู่ตลอดว่าเขาทำอะไรอยู่ตรงไหนจะได้หนีทัน และพอเป็นแบบนั้นจึงได้เห็นว่ารุ่นพี่ม.6 คนนี้นอกจากหล่อและเก่ง ก็ยังใจดีกับทุกคน ไม่ว่าจะรุ่นน้อง รุ่นพี่ เพื่อนๆ อาจารย์ ไปจนถึงแม่บ้านหรือภารโรงที่เห็นอยู่บ่อยครั้งว่าเขาช่วยยกถังน้ำขึ้นตึกให้  อุ้มคนที่เป็นลมไปห้องพยาบาลก็บ่อย การที่เห็นร่างสูงรีบอาสาเข้าช่วยเหลือในทันทีไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ทำให้รู้สึกสะท้อนในใจเบาๆ ว่าผู้ชายคนนี้ช่างแตกต่างกับตนราวฟ้ากับเหว

“งั้นต่อไปนี้ มีอะไรก็คุยกันนะครับ ไม่ต้องกังวลว่าพี่จะไม่ชอบในสิ่งที่ดอทพูด.. พี่รับได้..พี่..ชอบ..โอเคนะ”

“......!?” ไม่ใช่แค่การเว้นวรรคแปลกๆ ของเขา แต่เพราะรอยยิ้มที่เดาไม่ออกว่าคิดอะไรต่างหากทำให้ชนม์แดนต้องขมวดคิ้ว

“ผม..เอ่อ น้องไปส่งการบ้านก่อนนะครับ” 

ถึงจะไม่ได้อึดอัดเหมือนอย่างเคยแต่ต้องมาพูดคุยกับคนอื่นสองต่อสองแบบนี้มันไม่ค่อยชิน ทางที่ดีก็คือห่างๆ กันไว้จะดีกว่า




วันเวลาผ่านไปค่อนข้างเร็วเพราะตอนนี้มีเพื่อนสนิทแล้ว  ‘เนม’ เป็นนักเรียนใหม่ที่ย้ายมาปลายเทอม 1  ห้องทั้งห้องมีเก้าอี้ข้างชนม์แดนว่างอยู่แค่ตัวเดียวจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมานั่งด้วยกัน

หลังจากที่ได้ฝึกพูดคุยกับรุ่นพี่จอมตื๊อจนเริ่มหายจากอาการปากหนักไปบ้างแล้ว หนุ่มน้อยก็พอจะรู้วิธีลดออร่าไม่เป็นมิตรลงไปได้บ้าง และมันก็เพียงพอให้เนมไม่หนีหายไปเหมือนคนอื่นๆ


จนมาถึงวันนี้ก็เสร็จสิ้นการสอบมิดเทอมของเทอมที่ 2 ไปแล้ว เหลืออีกเพียงสองเดือน รุ่นพี่ชั้นมัธยมปีที่ 6 ก็จะจบการศึกษา

ประธานชมรมคนเก่งยังคงวนเวียนอยู่ใกล้รุ่นน้องหน้าสวยที่ตอนนี้อาจจะเริ่มพูดคุยกันได้นานขึ้นแต่ก็ยังสลัดบุคลิกนิ่งเงียบเก็บกดไม่หลุดแบบถาวร หากไม่ใช่พี่เวย์และเนม ชนม์แดนก็ไม่คิดจะสุงสิงกับคนอื่น

“ไอ้เวย์.. กูถามจริงๆ ว่ามึงชอบน้องดอทอะไรนั่นเหรอวะ”  เตชินท์ตัดสินใจถามเพราะอาการเผือกเป็นพิษกำเริบหนักถึงระยะสุดท้ายจึงไม่สามารถเก็บงำได้อีกต่อไป

“หือ?” ร่างสูงขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกประหลาดใจเหมือนได้เห็นดาวพลูโตอยู่ตรงหน้า “ชอบของมึงหมายถึงอะไรวะ”

“จิ๊..” เตชินท์จิ๊ปากอย่างขัดใจ “หมายถึงแบบผัวเมียอะ

“เชี่ยเต!?” เสียงสบถด่าฟังดูเพี้ยนสูงเล็กน้อย “พูดอะไรของมึงวะ น้องเขาจะเสียหาย”

“ชัดเลย”

“อะไรชัด”

“ก็มึงชอบน้องนั่นแบบผัวเมีย”

“เอ้าไอ้นี่! บอกว่าน้องเขาจะเสียหายถ้าใครได้ยินมันไม่ดี”

“ก็นี่ไง ห่วงเขาก่อนจะห่วงตัวมึงเองอีก ทำไมมึงไม่ด่ากูว่า ‘เฮ้ย กูไม่ได้ชอบผู้ชายไอ้สัด!’ อะไรแบบนี้วะ”

ถึงกับต้องหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่แล้วคิดตาม

เออใช่..

ทำไมไม่รู้สึกโมโหที่ถูกหาว่าชอบผู้ชาย แล้วทำไมถึงได้ห่วงอีกคนมากกว่าตัวเอง แล้วที่คอยไปวนๆ เวียนๆ เป็นสัมภเวสีขอส่วนบุญจากน้องมันอีกล่ะ ขนม นม เนย ไม่เคยให้ขาด ติดไม้ติดมือไปฝากตลอด เฮ้ย สายเปย์ด้วย!

เทียบกับที่ทำให้คนอื่นก็แค่เป็นนิสัย ทำไปตามโอกาส แต่ที่ทำให้ดอทมันค่อนข้างเป็นประจำ เหมือนเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งที่จะต้องตามหาน้องมันไปแล้วทุกวันนี้

“เฮ้ย.. หรือกูจะชอบน้องมันจริงๆ วะ”

“เออ เอาเข้าไป หน้าหล่อเบอร์นี้ ดีกรีประธานชมรมบาสอีก แต่เสือกตกม้าตายเรื่องหัวใจตัวเอง กูนี่งึด!”

“นี่กูซีเรียสนะไอ้เต ช่วยกูคิดหน่อยว่าจะทำไง”

“มึงก็แค่ลองเปิดคลิปเกย์ดู ถ้าเกิดมึงมีอารมณ์ตามก็แฮปปี้เบิร์ดเดย์ล่ะค้าบบ ไอ้คุณเวย์”

“อย่าทำเป็นเล่นสัด เอาดีๆ กูเครียดละเนี่ย”

“กลับบ้านนอนเอาตีนก่ายหน้าผากแล้วลองทบทวนดีๆ ว่ามึงคิดยังไงกับน้องนั่นกันแน่ หรือไม่ก็ไปขอจูบสักจ๊วบสองจ๊วบ ถ้ามึงไม่อ้วกคือมึงชอบน้องมัน”

ไอ้เชี่ยเต..
ถึงกูจะกล้าขอ แต่น้องมันจะให้หรือไงวะ!




“ขนงานกลับไปทำที่บ้านอีกแล้วเหรอดอท” เนมเอ่ยถาม

“อืม อาจารย์บอกว่างานเร่ง ต้องใช้พรุ่งนี้ก่อนเก้าโมงเช้า”

“ให้ช่วยไหม”

“ไม่เป็นไร คืนนี้แกต้องไปเฝ้ายายที่โรงพยาบาลนี่ ไม่ต้องห่วงหรอกเราเก่ง”

“จ้าๆ เก่งมากเรื่องงานแฟชั่นเนี่ย ยังไงก็อย่าลืมกินข้าวนะแก กลางวันก็ไม่ทันได้กิน”

“โอเค ไปละนะ”




“ทำไมดอทต้องมาทานข้าวกับคนพวกนี้ด้วยล่ะครับคุณแม่ วันนี้ดอทมีงานต้องทำส่งอาจารย์นะครับ”

“ก็ป๋าของลูกน่ะสิ รับปากดีลเลอร์จากอังกฤษว่าจะพาครอบครัวมาทานอาหารด้วยกันถ้าเขามาเที่ยวไทยแบบไพรเวท เห็นบอกว่าถ้าเราสองคนไม่มาก็คงต้องพาอีเมียน้อยกับลูกมันมา หึ แม่ไม่ยอมให้มันออกหน้าออกตาหรอก ไม่มีทาง”

ก็ใช่ว่าเราสองคนมาแล้วป๋าจะดีใจเพราะคงอยากพาพวกนั้นออกงานใจจะขาด ใครๆ ก็รู้ว่าป๋ารักไอ้ลูกเมียน้อยนั่นอย่างกับอะไรดี

ดูอย่างวันนี้สิ หลังจากแนะนำว่าลูกกับเมียชื่ออะไร จากนั้นก็ไม่หันมาคุยด้วยอีกแม้แต่คำเดียว

เฮ้อ พอคิดเรื่องป๋าทีไร ต่อมรับรสพังทุกที

มือเรียวรวบช้อนไว้กลางจานทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แตะอาหารเลยสักคำ ก็ใครจะกินลงในเมื่อถูกจ้องมองจากคนแปลกหน้าด้วยสายตาแบบนั้น

ป๋าคงเล่าอะไรให้พวกนั้นฟัง อาจจะเล่าว่ามีลูกรักชื่อดินแดนถึงจะเป็นลูกคนเล็กแต่รักมากที่สุด ส่วนอีกคนที่ชื่อชนม์แดนที่เป็นแค่เลือดที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิด 

หึ..ความจริงถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากเกิดมานักหรอก แต่มันเลือกไม่ได้ก็ต้องอยู่ไปวันๆ รกหูรกตาป๋าไปจนกว่าจะตายนั่นแหละ





“คุณสอนลูกยังไงผมไม่เข้าใจ” ทันทีที่กลับมาถึงบ้าน ผู้เป็นสามีก็ต่อว่าภรรยาอย่างหัวเสีย

“จะว่าลูกเรื่องอะไรอีก”

“ผมก็หวังให้ไปช่วยกันรับแขกบ้านแขกเมือง นึกว่าจะพูดคุยกับลูกๆ เด็กๆ รุ่นราวคราวเดียวกันบ้าง แต่นี่อะไร นั่งเงียบเป็นรูปปั้น ยิ้มสักแอะผมยังไม่เห็นจากมันเลย”

มัน?

หึ..ก็ตามนั้นแหละ ถ้าป๋าจะเรียกจิกมากกว่านี้ก็ไม่เห็นจะเป็นไรในเมื่อไม่เคยรักไม่เคยใส่ใจอยู่แล้ว

“ดอทไปทำงานส่งอาจารย์นะครับคุณแม่” 

“เห็นไหม! นี่ขนาดว่ามันต่อหน้าก็ยังไม่สะทกสะท้าน จองหองอวดดีขึ้นทุกวัน!”

รอยยิ้มเหยียดแสยะขึ้นที่มุมปากอย่างช่วยไม่ได้ ก็ที่เป็นแบบทุกวันนี้มันเพราะใครกันล่ะ ไม่ใช่เพราะเห็นป๋ากับคุณแม่ทะเลาะกันไม่เว้นแต่ละวันเหรอ ไม่ใช่เพราะป๋าไม่เคยมาสนใจใยดีเหรอ ไม่ใช่ว่าเพราะเห็นว่าป๋ารักลูกเมียน้อยนั่นมากแค่ไหนเหรอ

แต่ช่างเถอะ..

ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร

ถ้ามันจะแย่กว่านี้แล้วจะทำอะไรได้

ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่มันเป็นก็แล้วกัน




“โหดอท ทำไมสภาพเป็นงั้นวะ อย่าบอกนะว่าแกไม่ได้นอนทั้งคืน” เนมรีบเข้ามาช่วยหอบข้าวของเต็มไม้เต็มมือเข้าไปส่งให้อาจารย์

“กว่าจะได้เริ่มทำก็ห้าทุ่ม เพิ่งเสร็จตอนหกโมงนี่แหละแก” ชนม์แดนหอบสังขารอิดโรยไปถึงและส่งงานสำเร็จจนได้


“อ้าว ออดเข้าแล้วไม่ทันกินข้าวว่ะ หิวไส้จะขาด” มือเรียวลูบท้องอย่างนึกเสียดายที่ทำเวลาไม่ทัน

“อย่าบอกว่าตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ได้กินนะ”

“อืม กินไม่ลง กะว่าจะมากินโรงอาหารเช้านี้แต่ช่างมัน เดี๋ยวพักเที่ยงค่อยจัดหนัก”

“ไหวแน่นะ ไม่ไหวก็ไปซื้อนมซื้อขนมกินก่อน เดี๋ยวฉันเข้าสายเป็นเพื่อนแกเอง”

“วิชาคณิตเข้าสายไม่ได้เดี๋ยวโดนให้ทำโจทย์หน้ากระดาน สภาพแบบนี้ขืนออกไปมีหวังเข่าทรุดไปก่อน”

“เออๆ ตามใจงั้นก็รีบไปเรียนกัน”

แต่พอเข้าเรียนได้แค่สองวิชา ร่างบางก็ทนไม่ไหวจึงลาเรียนเพื่อไปพักที่ห้องพยาบาล

“ฝากจดการบ้านหน่อยนะแก เดี๋ยวถ้าดีขึ้นแล้วจะรีบมา”

“สภาพแบบนี้แกไม่ดีขึ้นแน่ นอนยาวถึงเย็นเลยเหอะ” เนมเก็บกระเป๋าให้ “เดี๋ยวเราไปส่ง”

“ไม่ต้องหรอกแก เดี๋ยวอาจารย์ก็เข้าแล้ว เราไปเองได้”  แล้วร่างอิดโรยก็ล่องลอยไปถึงตึกพยาบาลจนได้

อาจารย์ห้องพยาบาลตรวจอาการแล้วจ่ายยามาหลายเม็ดเพราะอาการเพียบทั้งมีไข้ทั้งปวดท้องกระเพาะและง่วงที่สุดแล้วในชีวิต 




“อ้าวเนม ทำไมเพิ่งมากินข้าวตอนนี้ แล้วดอทไปไหนแล้ว”

“เนมเพิ่งเอาขนมปังไปให้ดอทที่ห้องพยาบาลแต่เห็นนางนอนหลับสนิทก็เลยออกมากินข้าวแล้วเดี๋ยวค่อยไปดูอีกที”

“ดอทไม่สบายเหรอ งั้นเดี๋ยวพี่ไปดูหน่อยละกันนะ”

“ยังไงฝากดูไว้ก่อนนะพี่เวย์ ช่วงบ่ายอาจารย์ห้องพยาบาลติดประชุมด่วน นี่เนมก็กะว่าจะโดดคาบบ่ายไปเฝ้านางแทนอาจารย์อยู่พอดี”

“งั้นไม่เป็นไร เนมไปเรียนเถอะ คาบบ่ายพี่ว่างเดี๋ยวพี่ไปเฝ้าเองครับ”

“โอเคๆ วิชานี้คะแนนเนมไม่ค่อยดีด้วย ไปเอาคะแนนจิตพิสัยมาตุนไว้อุ่นใจกว่า ฝากดอทด้วยนะครับ”

“ไม่ต้องห่วงนะ พี่จะรอจนกว่าอาจารย์จะมา”



แล้วร่างสูงก็แทบจะวาร์ปไปตึกพยาบาลทันทีด้วยความเป็นห่วง เมื่อวานก็ทักไปแล้วนะว่าหน้าซีดๆ อุตส่าห์กำชับให้ดูแลตัวเอง ยังไม่ทันไรก็ได้เรื่องเลย

พอมาถึงก็เข้าไปทักทายอาจารย์พยาบาลที่สนิทสนมกันดีเพราะพาคนป่วยมาให้รักษาบ่อยๆ จะเข้าห้องพยาบาลต้องผ่านห้องพักอาจารย์พยาบาลแล้วถึงจะเจอห้องพักที่เรียงรายอยู่สามห้อง อยู่ตรงนี้มองเข้าไปไม่เห็นว่าอยู่ห้องไหนเพราะมีม่านบังอยู่หน้าประตูไว้

“อ้าวอนุชา มาเยี่ยมชนม์แดนเหรอลูก”

“ครับอาจารย์ เห็นน้องบอกว่าอาจารย์ติดประชุมเหรอครับ”

“ใช่ๆ นี่อาจารย์ก็ยังห่วงอยู่ว่าจะทำยังไงกับชนม์แดน กลัวตื่นขึ้นมาแล้วอาการยังไม่ดีจนหกล้มหกลุกแล้วจะไปกันใหญ่”

“งั้นอาจารย์ไปประชุมเถอะครับเดี๋ยวผมเฝ้าให้จนกว่าอาจารย์จะมา ช่วงบ่ายคาบว่างยาวเลยครับ”

“อืมใช่ ใกล้จะจบแล้ววิชาเรียนก็คงไม่มีอะไรมาก ได้ยินว่าสอบโควตาวิศวกรรมโยธาได้แล้วด้วย เก่งจังนะเรา”

“โชคดีมากกว่าครับอาจารย์ แต่ถึงเข้าได้ ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเรียนไหวหรือเปล่า คงต้องฮึดเยอะๆ”

“ถ่อมตัวตลอดเลยนะ ยังไงอาจารย์จะเอาใจช่วยก็แล้วกัน เอาล่ะเดี๋ยวไปประชุมแล้วนะ ฝากทางนี้ด้วย”

“ครับไม่ต้องเป็นห่วง”



เมื่อประตูหน้าห้องปิดสนิทลง ร่างสูงก็เข้าไปดูคนป่วย  ร่างเล็กนอนตะแคงคุดคู้อยู่ที่ห้องท้ายสุด ใบหน้าซีดเซียวจากที่ขาวจนเผือกแต่ตอนนี้คือไม่มีสีเลือดบนหน้าเลยแม้แต่น้อย

“หน้าเหลืออยู่นิดเดียว ไม่ถึงครึ่งฝ่ามือเลยเนี่ย ตัวก็อุ่นๆ ดูสิปล่อยให้ตัวเองป่วยขนาดนี้ได้ยังไง เฮ้อ เด็กดื้อ” มือหนาลูบไรผมเล่นอย่างนึกเอ็นดู

คนป่วยเมื่อถูกรบกวนก็พลิกตัวนอนหงาย เผยอปากขึ้นเล็กน้อยราวกับจะเชิญชวน

‘หรือไม่ก็ไปขอจูบสักจ๊วบสองจ๊วบ ถ้ามึงไม่อ้วกคือมึงชอบน้องมัน’

เสียงเตชินท์แว่วขึ้นมาในหัว

บ้าสิไอ้เต จูบบ้าจูบบออะไรของมึง กูไม่ได้ชอบ..

?????

ร่างบางเผยอปากพูดอะไรออกมาเบาๆ อนุชาพยายามตั้งใจฟังแต่ไม่สามารถจับใจความได้จึงขยับหน้าเข้าไปใกล้ขึ้น ต่อเมื่อได้ยินชัดเจนก็ถึงกับยิ้มออก

แน่นอนว่าคนป่วยหลับสนิทเพราะอาการป่วยและฤทธิ์ยาโดยไม่ได้มีสติรู้ตัวแต่อย่างใด และคนอย่างดอทไม่ใช่ประเภทที่จะมาเล่นละครให้ดูน่าสงสารหรือสร้างซีนอ่อยเรี่ยราดอะไรเทือกนั้น

น่ารักจังครับดอท..

ร่างสูงหลุดยิ้มละมุนออกมา ละเลียดมองพินิจพิเคราะห์ร่างบางตั้งแต่ปลายเส้นผมไปจนถึงปลายเท้าแล้วมองกลับมาจดจ่อที่ดวงหน้าสวยซึ่งปกติจะเชิดหยิ่งจนบางทีก็น่าหมั่นไส้ในความดื้อ แต่ตอนนี้เหมือนแมวเชื่องๆ ตัวหนึ่งเท่านั้นเอง

‘มองได้ไม่เบื่อเลย’ เขาบอกับตัวเอง

นานทีเดียวที่อนุชานั่งเฝ้าคนป่วยที่หลับใหลยาวนาน นานพอที่จะรู้ใจตัวเอง และในระหว่างนั้นมีอะไรเกิดขึ้นหลายอย่างซึ่งทำให้ชายหนุ่มมั่นใจแล้วว่าดันชอบเด็กดื้อคนนี้เข้าเสียแล้ว รวมถึงค่อนข้างมั่นใจด้วยว่าอีกฝ่ายเองก็มีใจเช่นกัน

“เยส!”

ร่างสูงเดินออกมาจากห้องพยาบาลแล้วฮุคหมัดอย่างสะใจหลังจากอาจารย์กลับมาแล้ว

ถ้าดอทจะน่ารักขนาดนี้ พี่ก็ต้องจีบแล้วเถอะ!




.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.


อินโทรยังยาวขนาดนี้ เนื้อเรื่องนี่ไม่ต้องสงสัยว่าคงน้ำท่วมทุ่งมีผักบุ้งสองกำ ><

ขอบคุณเสียงตอบรับจากนักอ่านด้วยนะคะ เห็นแล้วมีกำลังใจขึ้นเยอะเลย

เรื่องนี้นายเอกน่าหมั่นไส้มากอะ ตรรกะความคิดอะไรก็เพี้ยนไปหมด

คนแบบนี้ถ้าเจอคนดีๆ ก็ดีไป แต่ถ้าเจอคนร้ายๆ ก็.. เฮ้อออ


ฝากติดตามเรื่องนี้ไปเรื่อยๆนะคะ ขอบคุณค่าาาา :mew1:

หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ I N T R O : อ นุ ช า 《16/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 18-04-2018 17:11:27
พี่ดอททททท เปิดเรื่องมาด้วยผู้ชายคนที่ 1 ของพี่แต่พี่ดอทตอนเด็กทำไมถึงได้น่ารักจังเลยละคะ ไม่เห็นร้ายเหมือนตอนโตเลยอ่าแต่ไม่ว่าจะรีไรท์หรือฉบับเดิม ก็ยังเกลียดพ่อพี่ดอทอยู่ดี ที่ทำให้พี่ดอทมีปมก็เพราะพ่อนี่แหละ

ปล.อยากจะกด + เป็ดให้นะคะแต่ระบบเล้ามันรวนๆเลยกดไม่ขึ้น ขอโทษน้าา เป็นกำลังใจให้นายน้อย รอตอนต่อไปจ้าา
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 1 : เผ่าพงศ์ 《16/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 19-04-2018 22:14:51

.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ต อ น ที่ 1 :  เ ผ่ า พ ง ศ์ 1-1



ดวงอาทิตย์ใกล้ลับของฟ้าเวลาโพล้เพล้ในตึกเรียนหลังเก่าของโรงเรียนรัฐบาลชื่อดังซึ่งเป็นที่ร่ำลือโดยทั่วไปว่าเข้ายากและต้องมีเงินจริงๆ ถึงจะเข้าได้  บรรยากาศแม้จะเงียบไปสักนิดทว่าเสียงพูดคุยของเพื่อนรักสามารถทำลายความวังเวงได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะหัวข้อสนทนาที่เกี่ยวกับชายหนุ่มที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นานนี้
 
“แกไม่คิดจะสนใจพี่เวย์จริงๆ เหรอดอท” คำถามของ ‘นัทดนัย’ หรือ ‘เนม’ เพื่อนร่วมชั้นเรียนมัธยมทำให้ ‘ชนม์แดน’ เงยหน้าขึ้นจากแบบเสื้อที่กำลังดราฟ

ชนม์แดน.. เด็กหนุ่มผู้ที่มีใบหน้าสวยราวกับเด็กสาว รูปร่างโปร่งบางทว่ามีทรวดทรงด้วยช่วงเอวคอดและสะโพกผาย ดวงตาเรียวรีประดับด้วยขนตายาวหนาน่ามอง ปลายจมูกที่เชิดขึ้นเล็กน้อยบ่งบอกเป็นนัยว่าทั้งเย่อหยิ่งและดื้อรั้นประกอบกับริมฝีปากบางสีสดที่ตัดกับผิวขาวจัดจนเกือบจะเผือกเสียด้วยซ้ำ นั่นทำให้เด็กหนุ่มไม่ต้องป่าวประกาศเพศสภาพของเขาออกไปตรงๆ เพราะผู้ที่พบเห็นคงจะตัดสินไปแล้วว่าหากไม่ใช่ทอมก็คงเป็นชายรักชาย

“ว่าไงแก” เนมถามย้ำ

คำตอบของเด็กหนุ่มยังคงเป็นความเงียบพร้อมกับเปลือกตาที่กระพริบปริบๆ ด้วยยังไม่เคยคิดเรื่องอะไรแบบนี้ในหัว  ตอนนี้เรียนแค่ชั้นมัธยมปีที่ 3 และปัญหาส่วนตัวที่มีก็ทำให้ปวดหัวจนไม่มีแก่จิตแก่ใจจะคิดเรื่องอื่นโดยเฉพาะเรื่องความรัก

ทว่าในใจลึกๆ ชนม์แดนกำลังหวาดกลัวเสียมากกว่า กลัวว่าความรักของตนจะต้องมีสภาพเหมือนที่ป๋าทำกับคุณแม่ซึ่งตอนนี้ทั้งสองท่านก็แทบจะเรียกได้ว่าเป็นศัตรูกันแบบถาวรแล้ว

พี่เวย์..

ชนม์แดนนึกถึงชายหนุ่มเจ้าของความสูง 194 เซนติเมตร รูปร่างดีมากจนถูกแมวมองมาทาบทามให้เข้าวงการบันเทิงอยู่บ่อยครั้งแต่เจ้าตัวฝักใฝ่เรื่องกีฬามากกว่า  ด้วยผิวที่ขาวและหน้าตาหล่อตี๋ทำให้ถูกมองว่าอาจจะเป็นลูกผู้ดีมีฐานะ ทว่าเขากลับเป็นเพียงลูกชายของอาจารย์สอนคณิตศาสตร์ระดับชั้นมัธยมธรรมดาๆ แถมยังไม่ใช่ประเภทเจ้าสำอางเพราะชื่นชอบการขี่มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ สวมหมวกกันน็อคและเสื้อหนังเท่ๆ นั่นเป็นภาพจำที่พบเห็นอยู่เสมอๆ

“ถามทีไรก็เงียบตลอด แกไม่เสียดายเหรอวะ พี่เวย์ทั้งหล่อทั้งแสนดี ตามดูแลแกตั้งแต่พี่แกอยู่ ม.6 จนตอนนี้นางออกไปเข้ามหาลัยฯ ปี 2 แล้วก็ยังตามเฝ้าแกอยู่เลย” เนมยังคงเซ้าซี้

ชนม์แดนจำเป็นต้องนิ่งคิดตามอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้

‘อนุชา’ หรือ ‘เวย์’  ที่เคยเป็นรุ่นพี่ชั้นมัธยมปีที่ 6  ผู้ซึ่งทั้งหล่อและเก่งด้านกิจกรรมของโรงเรียน เป็นที่ชื่นชอบชื่นชมของนักเรียนทั้งหญิงและชาย รวมถึงบรรดาอาจารย์น้อยใหญ่ไปจนถึงผู้อำนวยการโรงเรียน และยังเป็นคนมุ่งมั่นที่สามารถชนะใจจนสามารถเข้ามาเป็นพี่ชายที่สนิทมากที่สุดเท่าที่เคยคบมา

พี่เวย์แสนดีก็จริง ยิ่งความหล่อนี่ไม่ต้องสืบ แต่เขาไม่รวยและตอนนี้คงไม่เหมาะที่จะคิดเรื่องมีแฟน

ความหวาดหวั่นก่อตัวขึ้นทุกครั้งเมื่อเริ่มนึกถึงการเริ่มคบหากับใครสักคน มันเป็นปมที่เกิดจากผู้ให้กำเนิดนั่นคือความหวาดกลัวว่าถ้าหากมีแฟนแล้วอาจจะถูกทำร้ายอย่างที่ผู้เป็นบิดากระทำต่อมารดา

“ตามฉันมาตั้งแต่ ม.1 นั่นแหละที่น่ากลัว” นี่คือข้ออ้างที่เด็กหนุ่มพอจะคิดได้ “แสดงว่าพี่เวย์ชอบเด็ก แล้วอีกหน่อยพอฉันแก่แล้วก็จะโดนทิ้ง ไม่เอาด้วยหรอก” ถึงจะไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงแต่มันก็น่าคิดนะ

ชนม์แดนเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่เพียบพร้อมไปด้วยทรัพย์สมบัติ แต่ขาดแคลนอย่างหนักเรื่องความรักความเข้าใจจึงไม่แปลกที่เด็กหนุ่มจะขาดศรัทธาในตัวของมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความรัก

“เหตุผลแกสุดห่วย” เนมบ่น “งั้น..ถ้าแกไม่สนจริงๆ ฉันขอได้ปะวะ อยากดามใจพี่แกมาตั้งนานแล้วสงสารว่ะ”

เด็กหนุ่มได้ยินแล้วถึงกับติดนิ่งไปหลายวินาทีเพื่อทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา

ครั้งแรกที่ได้เจอพี่เวย์คือตอน ม.1 ซึ่งตอนนั้นเขาเป็นประธานชมรมบาสเก็ตบอลจึงมาชวนให้เข้าชมรมเพราะเห็นว่าหน่วยก้านดีน่าจะสูงได้อีก แต่จากตอนนั้นก็สูงได้แค่ 160 เซ็นฯ และรู้ตัวดีว่าไม่เหมาะกับกีฬาที่ใช้แรงถึงขนาดนั้นจึงต้องปฏิเสธไป แต่แทนที่พี่แกจะเลิกล้มความตั้งใจทว่ากลับมาตามต้อยๆ ตั้งแต่นั้นและข้ออ้างของเขาก็คืออยากให้เป็นผู้จัดการทีมก็ยังดี

แต่การเข้าหาของพี่เวย์ไม่ได้เหมือนการมาหาสมาชิกเข้าชมรมเพราะมาแต่ละครั้งก็จะมีขนมของกินของฝากติดมือมาด้วยเสมอ ก่อนจบ ม.6  พี่เวย์มาขอเป็นแฟนแต่บอกปฏิเสธไป ทว่าคนดื้ออย่างเขาก็ไม่ได้เลิกล้มความตั้งใจไปง่ายๆ เมื่อขึ้นมหาลัยแล้วก็ยังตามมาหามาดูแลช่วยเหลือตลอดจนถึงตอนนี้ก็สามปีแล้วที่ได้รู้จักกัน

ชนม์แดนทบทวนคำขอของเพื่อนรักอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้าตกลง

“อืม ได้สิ”  ตอบรับไปแบบนั้นเพราะไม่เห็นว่าความสัมพันธ์ของตนกับอนุชาจะพัฒนาไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่

ทว่าภายหลังที่ได้ตอบออกไป ในใจกลับป่วนแปลกเพราะรู้สึกถึงความสั่นไหวในอกข้างซ้าย มันอาจจะเป็นความเสียดายแบบหวงก้างก็ได้ แต่ในเมื่อตนไม่เอาก็ไม่ควรรั้งเขาไว้ และเนมก็เป็นคนดี เขาสองคนน่าจะเหมาะกัน

“คุยอะไรกันอยู่เหรอ” เสียงทุ้มนุ่มในแบบสุภาพดังขึ้นขัดบทสนทนาจนทั้งสองคนต้องหันไปมอง 

ผู้ชายสูงขาวหน้าตี๋มีเคราบางๆ ตามสมัยนิยมช่วยขับให้ใบหน้าดูโดดเด่นขึ้น เขาอยู่ในชุดนักศึกษามหาวิทยาลัย พับแขนปล่อยชายเสื้อออกนอกกางเกงสแลคสีดำกับรองเท้าหนังสีดำขลับดูลำลองแบบเท่ๆ  ชนม์แดนแอบนึกเล่นๆ ว่าหากเขาไปจีบใครก็คงติดทุกราย..แต่คงต้องยกเว้นตน

“คุยเรื่องงานครับ”  เด็กหนุ่มตอบเลี่ยง “พี่เวย์เลิกเรียนแล้วเหรอ” ถามไถ่ไปตามมารยาทและเริ่มคิดว่าการทำแบบนี้มันเหมือนเป็นการให้ความหวังที่ทำให้เขาไม่ตัดใจจากตนเสียที

“เลิกตั้งแต่บ่ายสามแล้วครับ ก็รอมาหาตอนน้องเลิกเรียนนี่แหละ” ตั้งแต่เมื่อไรก็จำไม่ได้ที่รุ่นพี่คนนี้เรียกตนว่าน้อง และเหมือนชี้นำแกมบังคับให้เด็กหนุ่มขานแทนตัวเองว่าน้องกับเขา ซึ่งมันก็รู้สึกแปลกๆ ในตอนแรกแต่เมื่อใช้ไปเรื่อยๆ ก็เริ่มชินและพูดในแบบนี้กันมาจนติดปาก

ตามปกติเวลาเลิกเรียนคือสี่โมงเย็นแต่ชนม์แดนจะมาทำงานพิเศษให้อาจารย์ต่อเพื่อเป็นประสบการณ์ในงานที่ตนให้ความสนใจโดยได้ชวนเนมมาช่วยด้วยอีกคน

ดีไซเนอร์ อาชีพที่เด็กหนุ่มคิดว่าจะทำมันได้ดีและต้องดีมากแน่ๆ

“พี่ซื้อข้าวกับขนมมาฝากจะได้ไม่ต้องออกไปกินหน้าโรงเรียน” มือหนาวางถุงอาหารสี่ห้าถุงไว้บนโต๊ะ “ไม่ต้องทวงน่า มีของเนมด้วยแน่นอน” เขาหันไปส่ายนิ้วชี้ใส่เนมที่กำลังจะอ้าปากทวง

“พี่เวย์นี่สุดยอดของความน่ารัก ใครไม่เอานี่ควรไปหาหญ้ากินแทนข้าวนะ” เนมแซะเพื่อนรักอย่างจงใจจนอีกฝ่ายต้องถลึงตาปราม

“บางคนเขาอาจจะยังไม่พร้อมก็ได้ครับเนม แต่พี่รอเก่งนะ พี่รอมาสามปีแล้วและจะรอต่อไป สามสิบปีก็รอได้” แววตาจริงใจของชายหนุ่มที่ส่งตรงไปยังชนม์แดนทำให้เจ้าตัวต้องรีบหลบวูบเพราะไม่อยากให้ความหวังเขาอีก

“งั้นน้องขอทำงานต่อนะครับเดี๋ยวจะไม่เสร็จ” ชนม์แดนเอ่ยตัดบทแล้วทำทีเป็นยุ่งกับงานทิ้งให้อนุชาหน้าหงอยและต้องคุยกับเนมเหมือนอย่างเคย

++++++++++++++++++++++++++++++ 


หลังจากวันนั้นชนม์แดนต้องคอยเป็นพ่อสื่อให้อนุชาและเนมอยู่เรื่อยๆ โดยการปฏิเสธที่จะออกไปดูหนังเที่ยวห้างกับเพื่อนรักแต่จะยุให้อนุชาช่วยพาเนมไปแทนโดยอ้างว่าเพื่อนน่าสงสารอย่างนั้นอย่างนี้ซึ่งชายหนุ่มก็ค่อนข้างลำบากใจอย่างเห็นได้ชัดทว่าขัดชนม์แดนไม่ได้ 

เย็นวันนี้ก็เช่นกันที่ทั้งสองต้องไปซื้อของขวัญวันเกิดให้แม่ของเนม  ชนม์แดนจึงต้องทำงานพิเศษเพียงคนเดียวและเดินกลับคนเดียว

จะว่าไป..มันก็รู้สึกเหงาๆ เหมือนกันนะ

“โอ๊ย!” ในขณะที่เดินเหม่อไปตามทางเดินมุ่งสู่หน้าตึกเรียนใหญ่เพื่อรอรถจากที่บ้านมารับแต่ชนม์แดนก็ชนเข้ากับใครคนหนึ่งซึ่งตัวสูงผิวเข้มและน่าจะเป็นรุ่นพี่ ม.5 หรือ ม.6

แทนที่จะช่วยร่างเล็กที่กระเด็นถอยหลังไปสองสามก้าวแต่เขากลับเดินต่อและมาหยุดตรงหน้า  ชนม์แดนก้มหน้าเบี่ยงซ้ายเขาก็เบี่ยงซ้าย พอเบี่ยงขวาเขาก็เบี่ยงขวา เหมือนทั้งสองกำลังจะหลบไปอีกทางให้กันแต่ก็ใจตรงกันถึงสี่ห้าครั้งจนร่างสูงหมดความอดทน มือหนาตะปบไหล่บางไว้ทั้งสองข้างแล้วบีบหนักหน่วง

“เงยหน้าขึ้นมา!” ร่างสูงสั่งเสียงขุ่น

เป็นคำสั่งที่มีพลังกังวานจนชนม์แดนต้องเงยหน้าในทันที  ลมหายใจแทบจะขาดห้วงเมื่อเจอเข้ากับดวงตาคมที่ส่งผ่านความเกรี้ยวกราดออกมาอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อได้สบตากันตรงๆ แบบนี้ ร่างสูงชะงักไปครู่หนึ่งแต่แล้วก็พูดด้วยเสียงดุดันออกมา

“มัวแต่ก้มหน้าก้มตาแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าใครอยู่ตรงหน้า คราวหลังถ้าเห็นฉันแล้วหลบให้เร็ว ฉันไม่ชอบเสียเวลา” พูดจบเขาก็เหวี่ยงตัวชนม์แดนไปด้านข้างแล้วเดินไปทันที

คนอะไรไร้มารยาท!

หนุ่มน้อยตำหนิเขาในใจ 

เมื่อมองตามร่างสูงต่อไปก็ต้องเผลอกลืนน้ำลายลงคออย่างช่วยไม่ได้  ภาพที่เห็นคือเขายืนอยู่ระหว่างทางเดินเชื่อมไปอีกตึกและกอดกับนักเรียนหญิงม.ปลายคนหนึ่ง ทว่าไม่ได้ยืนเฉยๆ แต่เขาจูบกันอย่างประเจิดประเจ้อโดยไม่กลัวว่าครูหรือใครจะมาเห็น

แต่ที่ทำให้ร่างเล็กแข็งทื่อก็คือ ในระหว่างที่เขาจูบผู้หญิงคนนั้นใบหน้าคมดุกลับผินมามองด้วยสายตาราวกับราชสีห์ที่กำลังจ้องเหยื่อ

ร่างกายของเด็กหนุ่มชาวาบกับภาพที่เห็น ตอนนี้หกโมงกว่า ดวงอาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้าทอแสงสีแสดสะท้อนใบหน้าคมกริบที่จ้องมาอย่างไม่ลดละ

ตึกตัก

ตึกตัก

ตึกตัก

เสียงหัวใจชนม์แดนเต้นผิดจังหวะจนต้องกุมหน้าอกไว้

ปิ๊บๆ

ร่างเล็กสะดุ้งทันทีเมื่อได้ยินเสียงบีบแตรและเมื่อหันไปมองจึงเห็นว่ารถของที่บ้านจอดรออยู่ พอหันกลับไปมองทางผู้ชายคนนั้นอีกครั้งเขาก็หายไปแล้ว

เอื้อก!

กลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกหลากหลาย ขุ่นเคืองที่เขาเสียมารยาท กระดากอายที่ได้เห็นคนจูบกันต่อหน้าต่อตา และที่น่าโมโหก็คือ ร่างบางอดที่จะรู้สึกหวั่นไหวกับสายตาของเขาไม่ได้

บ้าจริง ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะชนม์แดน..


“คุณหนูยืนทำอะไรอยู่ครับ น้าเวชขับรถวนอยู่สองรอบแล้วยังเห็นยืนอยู่ที่เดิมก็เลยบีบแตรเรียก” นายเวชคนขับรถเอ่ยถาม 

“อ..อ๋อ รอเพื่อนอยู่ครับ นัดไว้แต่ไม่มาซะที ดอทว่าจะไปส่งเขาน่ะ” จำเป็นต้องโกหกคำโตไม่งั้นนายเวชคงจะสงสัย

“งั้นเรากลับกันเลยดีไหมครับ”

“เอ่อ ครับ กลับเลยก็ได้”

แต่เมื่อคิดถึงบ้านแล้วจิตใจห่อเหี่ยว ที่นั่นไม่ใช่ที่สำหรับตนเลยแต่ยังไงก็ต้องกลับไปอยู่ดี



++++++++++++++++++++++++ 

“กลับค่ำอีกแล้วนะตาดอท”  ‘แดนสรวง’ เจ้าสัวใหญ่ผู้แทนจำหน่ายนาฬิกายี่ห้อหรูที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เขาเอ่ยตำหนิขณะที่ลูกชายเพิ่งก้าวเข้าบ้านยังไม่ทันได้ถอดรองเท้าด้วยซ้ำ

“ผมทำงานให้อาจารย์อยู่ครับ” ชนม์แดนตอบแล้วรีบถอดรองเท้าเพื่อเดินเลี่ยงขึ้นบ้าน ไม่อยากปะทะด้วย

“งานอะไรของแกนักหนา แทนที่จะออกกำลังกายซะบ้างจะได้แข็งแรง ดูซิตัวผอมเป็นกุ้งแห้ง อ้อนแอ้นอย่างกับตุ๊ด”   ผู้เป็นพ่อเดินตามมาบ่นกรอกหู

ผู้ฟังถึงกับหน้าชา กัดริมฝีปากข่มใจไม่ให้หันไปเถียง  ก็รู้ตัวอยู่แล้วว่าเป็นจริงๆ ถึงจะไม่ได้แต่งหญิงทำท่าทางกรีดกรายหรือแต่งหน้าทาปากแต่จะให้เถียงยังไงเพราะรู้อยู่เต็มอก  เข้าใจรสนิยมของตัวเองตั้งแต่อยู่ชั้นประถมว่าไม่ได้ชอบผู้หญิงและคลั่งไคล้ในงานแฟชั่น ชอบวาดรูปเสื้อผ้าทั้งหญิงทั้งชายมาตั้งแต่นั้น

“ดุลูกทำไมนักหนา!” ‘คุณรุ่งฤดี’ ภรรยาตามกฎหมายของเจ้าสัวส่งเสียงติดจะไม่พอใจที่ได้ยินสามีตำหนิลูกชายหัวแก้วหัวแหวน  “ทีไอ้ลูกเมียน้อยทำไมไม่ไปดุไปว่ามันบ้าง วันๆ ไม่ทำอะไรชวนเพื่อนข้างบ้านออกไปเล่นจนค่ำจนมืดทุกวัน”   

“เด็กผู้ชายเขาก็เล่นแบบนั้นแหละไม่ใช่อยู่คนเดียวหงิมๆ วาดรูปเสื้อผ้าบ้าบออะไรนั่นน่ะ” ผู้เป็นสามีเริ่มเสียงดังขึ้น

“อีเมียน้อยกับไอ้ลูกเมียน้อยมันดีทุกอย่างนั่นแหละ! ทำอะไรก็ถูกใจคุณ ฉันกับตาดอททำอะไรก็ขัดหูขัดตาไปซะหมด ทำไมไม่ให้มันขึ้นมาอยู่บ้านใหญ่นี่ซะเลยล่ะจะได้สมใจคุณ!” ฝ่ายหญิงเริ่มขึ้นเสียงบ้าง

ชนม์แดนเบื่อหน่ายกับสถานการณ์เช่นนี้ เบื่อที่จะต้องฟังผู้ใหญ่ทะเลาะกัน เบื่อที่จะได้ยินคำว่าไอ้ลูกเมียน้อย

เกลียด! เกลียดไอ้อีพวกนั้น!

เกลียดพวกมันที่มาแย่งความรักจากป๋า เกลียดที่ป๋ามองลูกคนนี้เหมือนขยะขึ้นทุกวัน!

“เขาอยู่ของเขาดีดีไม่เคยเรียกร้องอะไร คุณหยุดระรานเขาเสียที บ้านนี้ใครจะอยากอยู่ ขนาดพี่ก้อยยังจะย้ายออกเดือนหน้านี้แล้ว” เจ้าสัวพูดถึงน้องสาวชื่อก้อยและหลานสาวที่ชื่อเกด  ทั้งสองคนนั้นคุณรุ่งฤดีพูดกรอกหูลูกชายเสมอว่าเป็นคนไม่ดี 

‘ป้าก้อยยักยอกเงินของบริษัทจนตอนนี้ซื้อบ้านหลังใหญ่และกำลังจะย้ายออกไปแล้วแถมยังเป็นพวกบ้านเมียน้อยนั่นอีกด้วย’ นั่นคือที่ชนม์แดนเข้าใจ

“ก็โกงไปได้เท่าไรแล้วล่ะ ซื้อบ้านซื้อช่องได้เลยไม่ใช่เหรอ”  ผู้เป็นภรรยาพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน “นี่ถ้าคุณตรวจสอบทรัพย์สินพี่ก้อยอย่างที่ฉันแนะนำคุณก็จะได้เห็นว่าเงินเข้าเงินออกก้อนใหญ่ๆ ทั้งนั้น”

“คุณหยุดพูดถึงพี่ก้อยแบบนั้นเสียที! เงินพวกนั้นเป็นเงินที่เขาขายหุ้นและเงินมรดกเก่าแก่ของพ่อกับแม่ของผม  บ้านใหม่ที่เขาจะไปอยู่ก็แค่บ้านเช่า เงินที่ผมจะให้ไปตั้งตัวเขาก็ไม่เอาทั้งๆ ที่บริษัทนี้พี่ก้อยก็เริ่มก่อตั้งมาพร้อมกันทุลักทุเลมาด้วยกันตั้งแต่แรก ก็มีแต่คุณนั่นแหละที่ชอบป้ายสีจนเขาอยู่ไม่ได้!”

“ก็มีแต่ฉันกับลูกที่คุณไม่เคยเข้าข้าง!! งั้นก็ตามใจคุณเถอะ อยากยกใครให้เป็นนางฟ้านางสวรรค์ก็เชิญ ฉันเบื่อจะยุ่งด้วยแล้ว!!” ฝ่ายภรรยาแทบจะเก็บกลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่ เธอพูดด้วยน้ำสียงสั่นเครือก่อนจะเดินดิ่งขึ้นบ้านเข้าห้องปิดประตูเงียบทันที 

ชนม์แดนกำลังจะตามขึ้นไปก็ถูกผู้เป็นพ่อทิ้งระเบิดลูกสุดท้ายไว้ให้เสียฉิบ

“อย่าเป็นอย่างแม่แกนะดอท มองโลกมองคนอื่นในแง่ดีซะบ้าง ไม่งั้นแกเองนั่นแหละที่จะไม่มีความสุข”  พูดจบก็ออกจากบ้านไปทันที

เด็กน้อยมองตามแล้วเจ็บปวดที่หัวใจหนึบๆ เพราะทางที่ผู้เป็นพ่อเดินไปคือบ้านเล็กซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกเมียน้อยพวกนั้น

หึ! ดอทคงมองใครในแง่ดีไม่ได้หรอก โดยเฉพาะป๋า..


+++++++++++++++++++++++++++++++++++

“เป็นอะไรแก เหม่อแต่เช้าเลย” เนมเอ่ยทักเพื่อนรักขณะที่กำลังทานอาหารเช้าอยู่ที่โรงอาหาร

“เปล่าหรอกแล้วแกล่ะ เมื่อวานกับพี่เวย์เป็นไงมั่ง” ชนม์แดนวางช้อนลงบนจานข้าว รู้สึกอิ่มขึ้นมาเมื่อพูดถึงอนุชา

ภายในใจนั้นสับสนอย่างหนักตั้งแต่เห็นคนจูบกันเมื่อวาน เด็กหนุ่มเริ่มกังวลว่าอนุชาจูบกับเนมไปแล้วหรือยัง ทว่าเรื่องที่แจ่มชัดในความรู้สึกมากกว่านั้นคือคือดวงตาคู่นั้นของผู้ชายนิสัยเสียคนนั้นที่มองมาที่ตน

“ก็ดีแหละ” เนมยิ้มเขินๆ ทำเอาชนม์แดนจุกอกจนต้องกินน้ำ  “ตอนดูหนังฉันแอบจับมือพี่เวย์ เขาสะดุ้งนิดๆ แต่ก็ปล่อยให้ฉันจับจนหนังจบเลยนะ แกว่าฉันพอจะมีหวังมั้ย”

แค่กๆๆ  ชนม์แดนสำลักน้ำออกมาจนหน้าดำหน้าแดง 

“อะไรแก กินน้ำแค่นี้ก็ให้สำลัก” เนมหยิบทิชชูส่งให้ “แต่ก็เสียดายว่ะ พี่เวย์ไม่ทำอะไรต่อเลยแค่จับมือกลับก็ไม่ทำ”  หน้าตาเพื่อนรักสลดลงเล็กน้อยแต่ก็สดใสขึ้นอีกครั้ง “แต่ฉันจะสู้ อย่างน้อยตอนนี้ก็มีความหวังมากขึ้นละ แกช่วยเป็นพ่อสื่อให้อีกนะ ให้ฉันสมหวังกับพี่เวย์แล้วฉันจะรักแกเพิ่มขึ้นอีกร้อยเท่าเลย” 

ชนม์แดนยิ้มให้บางๆ พยักหน้าตอบรับไป  เนมเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่ตนมีและเป็นเพื่อนที่ดีมากๆ เรื่องแค่นี้ทำไมจะช่วยไม่ได้ล่ะ

แต่แล้วร่างเล็กก็รู้สึกถึงออร่าบางอย่างที่กำลังคุกคามเข้ามา  เงาะทะมึนของรุ่นพี่คนเมื่อวานเดินดิ่งเข้ามาเรื่อยๆ เขาจ้องมาไม่วางตา ในมือถือจานข้าวและแก้วน้ำ ด้านหลังมีผู้หญิงคนใหม่ตามมาและมาหยุดอยู่ตรงข้างโต๊ะที่ชนม์แดนกำลังนั่ง

“ขยับไปนั่งกับเพื่อนนาย ฉันจะนั่งตรงนี้” เขาสั่งเนม และเมื่อฝ่ายถูกสั่งหันมองจึงได้แต่ทำหน้าถอดสีก่อนจะรีบย้ายทันที

“เราไปกันเถอะ” ชนม์แดนชวนก่อนที่เพื่อนจะเข้ามานั่ง

“นั่งอยู่ตรงนั้นแหละทั้งสองคน” ร่างสูงส่งสายตาดุไปให้เนม

ทั้งน้ำเสียงและสายตาดุดันทำให้เนมไม่สามารถปฏิเสธได้ ขาเล็กๆ ก้าวเข้ามานั่งข้างเพื่อนอย่างงงๆ

“นั่งสิ” เขาชวนผู้หญิงคนนั้นนั่งแต่ดูเหมือนว่าเธอจะกล้าๆ กลัวๆ

“ด..เดี๋ยว พี่ชมพู่..”

“ชมพู่ทำไม” ร่างสูงหันไปทำเสียงเขียว “ฉันบอกให้นั่งก็นั่งอย่าเรื่องมาก” แล้วผู้หญิงคนนั้นก็นั่งลงทันที

‘ผู้ชายคนนี้ชอบสั่งหรือไงนะ สั่งทุกคนให้ทำตามตลอดเลย น่าหมั่นไส้’  ชนม์แดนคิดในใจและทำเมินเฉยไม่ใส่ใจ

รุ่นพี่ชายหญิงตรงหน้ากินข้าวด้วยกันเหมือนปกติ แต่ฝ่ายชายใช้มือเพียงข้างเดียวตักข้าว ส่วนฝ่ายหญิงก้มหน้างุดๆ ทำหน้าแดงคอยเหลือบมองคนที่นั่งข้างๆ เป็นระยะอย่างเขินอาย  ชนม์แดนเห็นแล้วนึกสงสัยจึงแกล้งทำกระเป๋าตังค์หล่นเพื่อก้มมอง

แล้วก็จริงอย่างที่คิด! มือหนาที่ซุกเข้าไปใต้กระโปรงขยับเลื่อนไปมาอยู่ในนั้น

น่าเกลียดที่สุด!  เด็กหนุ่มเงยขึ้นมาจ้องตาร่างสูงเขม็งพลางต่อว่าอีกฝ่ายในใจ  ‘ทำไมถึงได้ทำเรื่องน่าอายแบบนี้ในโรงเรียนได้นะ’

แต่แทนที่เขาจะรู้สึกรู้สา ทว่ากลับจ้องชนม์แดนกลับด้วยแววตาเหมือนจ้องมองเหยื่อเช่นเดิม  รอยยิ้มเหยียดเพียงเล็กน้อยนั่นทำให้ใบหน้าหล่อคมเข้มดูมีเสน่ห์ ลมหายใจของชนม์แดนติดขัดขึ้น ร่างกายนิ่งค้างราวกับถูกสาปให้เป็นหิน

ร่างบางได้แต่นั่งจ้องตากับอีกฝ่ายจนได้ยินเสียงเพื่อนเรียก

“แกๆ ไปกันเถอะ”  หันมองรอบตัว ตอนนี้รุ่นพี่คนนั้นกับผู้หญิงของเขาหายไปแล้ว ส่วนเนมก็ทำท่าเหมือนเจอผีหลอก

“แกรู้จักไหมเนม”  เอ่ยถามพลางกัดฟันข่มความรู้สึกเหม็นขี้หน้าไปพร้อมกับความหวั่นไหวที่มี

“พี่เผ่า..นางอยู่ ม.6 เพิ่งย้ายมาเมื่อต้นเทอม” เนมอธิบาย

“แล้วรู้จักได้ไง”  ระหว่างสนทนาก็เก็บถ้วยจานและแก้วน้ำทั้งของตนและของคนบ้ากามและคู่ขานั่นด้วย
กินแล้วไม่เก็บนิสัยเสีย!

“ใครไม่รู้จักพี่เผ่าบ้างล่ะแก ทั้งฮอตทั้งแบ้ดทั้งรวยซะขนาดนั้น”  เนมสาธยายสรรพคุณออกมาราวกับนั่นเป็นสิ่งที่ดีแล้ว

“แกสนใจเขาหรือไง”   

“เรื่องอะไรจะสน พี่เวย์ดีกว่าเป็นไหนๆ ฉันไม่โง่เลือกคนที่ไม่มีวันรักเราคนเดียวมาเป็นแฟนหรอก”
เหมือนโดนด่าว่าโง่ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายไม่ได้ระบุชื่อ  คำพูดของเพื่อนเริ่มสะกิดใจจนเด็กหนุ่มต้องทบทวนความรู้สึก

ทำไมถึงไม่รู้สึกหวั่นไหวกับพี่เวย์เหมือนที่เป็นกับผู้ชายที่ชื่อเผ่านี่นะ จะมีก็แต่เริ่มหวงก้างขึ้นมาบ้างหลังจากตกลงเป็นพ่อสื่อให้เนมเท่านั้นเอง

บ้าที่สุดเลยชนม์แดน!


+++++++++++++++++++++++++


หลังจากเลิกเรียนและมาทำงานพิเศษอย่างเคย อนุชาถือขนมนมเนยมาฝากเช่นทุกวันแต่วันนี้เนมต้องรีบกลับไปฉลองวันเกิดแม่จึงต้องกลับไปก่อน

“อ้าว เนมไปไหนล่ะ”

พอมาถึงก็ถามหาเนม น่าหมั่นไส้

“ทำไมไม่โทรถามเองล่ะครับ” ชนม์แดนตอบนิ่งๆ ไม่ได้ขัดขวางอะไรถ้าจะคบกันแต่ก็ไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว

อยากคบก็ไปคบกันเองไกลๆ เถอะ

“หืม งอนอะไรหรือเปล่าเนี่ย” อนุชาวางข้าวของแล้วมานั่งตรงข้าม เอียงหน้ามองตามชนม์แดนที่หันไปทำนั่นทำนี่ด้วยใบหน้าตึงๆ

“เปล่านี่ครับ แค่กำลังตั้งใจทำงาน”  ดวงตาคู่สวยเหลือบมองร่างสูงแว้บหนึ่งแต่พอเห็นแววตาเป็นประกายของเขาก็ทำให้ต้องหลบวูบไปทำงานต่อ

“เริ่มจะมีความหวังขึ้นมาบ้างแล้วสิ”  ชายหนุ่มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แต่ชนม์แดนไม่อยากสนใจ

ความหวังเกี่ยวกับเนมน่ะเหรอ มีความหวังตั้งแต่ยังไม่ต้องหวังแล้วเพราะเนมมันเครซี่พี่ซะขนาดนั้น


ชนม์แดนไม่ได้สนทนาต่อแค่ทำงานไปตามเรื่องจนตอนนี้หกโมงนิดๆ และมีสายเข้าจากนายเวชคนขับรถ

“ครับน้าเวช ตอนนี้ยังไม่เสร็จเลย น้าเวชรอก่อนนะครับ” ชนม์แดนกดรับโทรศัพท์

“จะเสร็จกี่โมงเหรอครับ”

“น่าจะเกือบๆ สองทุ่มครับ วันนี้อาจารย์ทิ้งงานไว้ให้เยอะและเนมก็ไม่มาด้วยเลยช้าไปหน่อย”

“ถ้าอย่างนั้นขอน้าเวชไปรับคุณท่านไปส่งที่งานเลี้ยงก่อนนะครับ คุณแม่คุณหนูโทรมาบอกว่ารถตู้สตาร์ทไม่ติด เดี๋ยวจะรีบกลับมารับนะครับ”

“ได้ครับ เดี๋ยวดอทเสร็จแล้วจะออกไปรอที่เดิมครับ” ชนม์แดนตอบและวางสายเมื่อจบการสนทนา

น้าเวชเป็นคนขับรถของคุณแม่และไม่แปรพรรคไปเข้ากับฝ่ายอื่น แถมยังนิสัยดีและตามใจเสมอจึงรู้สึกสบายใจเวลาอยู่กับคนขับรถมากกว่าป๋าเสียอีก

“งานเยอะเหรอ ให้พี่ช่วยไหม”  อนุชาเอ่ยปากในที่สุดหลังจากเงียบและแอบมองชนม์แดนมานานสองนาน

“ไม่ต้องหรอกครับ งานแบบนี้ไม่เหมาะกับ เอ่อ..” ร่างเล็กชะงักไป จะบอกว่าไม่เหมาะกับผู้ชาย  ตนเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกันจึงกระดากๆ ที่จะต้องพูด

“ไม่เหมาะกับผู้ชายเหรอ” ชายหนุ่มยิ้มล้อ “พี่ทำเป็นนะ มาดูไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทำเป็นหมดแล้วล่ะ” เขาบอก

ชนม์แดนไม่ได้ตอบและปล่อยให้อีกฝ่ายกุลีกุจอมาช่วยนั่นช่วยนี่และเขาก็ทำเป็นจริงๆ อย่างที่คุยโวไว้

“เรียนโยธาทำไมทำพวกนี้ได้ด้วยล่ะครับ”

“มันก็มีพวกวิชาเขียนแบบอะไรงี้ด้วยนะ แค่ดราฟแบบแล้วตัดตามทำไมจะทำไมได้”  ร่างสูงยิ้มให้ ดูเป็นธรรมชาติและน่ามองจนเผลอจ้องอยู่สักพักก่อนจะนึกขึ้นได้แล้วรีบกลับมาสนใจงานตรงหน้า

อนุชายิ้มดีใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงช่วยกันจนงานเสร็จก่อนเวลาที่บอกนายเวชไปเกือบสองชั่วโมง ครั้นจะโทรไปตามก็กลัวว่านายเวชจะยังอยู่กับบิดา ชนม์แดนจึงคิดว่าจะนั่งรอไปเรื่อยๆ คงดีกว่า

“พี่ว่าพี่ไปส่งดีกว่านะ กว่าคนขับรถของน้องจะมาก็น่าจะสองสามทุ่ม”  ชายหนุ่มเดินตามมาส่งเพราะตอนนี้เริ่มมืดแล้ว ทั่วโรงเรียนมีไฟส่องสว่างหลายจุดแต่ไม่ได้เยอะมาก ยิ่งทางเดินจากตึกเล็กนี้ยิ่งค่อนข้างจะสลัว

“ไม่ดีหรอกครับเดี๋ยวน้าเวชเป็นห่วง”

“ถ้าถึงบ้านแล้วค่อยโทรบอกสิ เขาจะได้ไม่ต้องไปรอที่โรงเรียนแต่ถ้าน้องจะรอพี่ก็จะรอเป็นเพื่อน” อนุชาบอกอย่างใจดี

ชนม์แดนนิ่งคิดสักพักจึงเห็นว่าถึงจะอยู่หรือกลับอีกฝ่ายก็ต้องอยู่ด้วยอยู่ดี  ถ้าอย่างนั้นให้ไปส่งจะได้กลับไปพักผ่อนน่าจะดีกว่ามารอโดยไม่รู้ชะตากรรมแบบนี้

“งั้นก็ได้ครับ พี่เวย์ช่วยไปส่งที่บ้านหน่อยนะ” ชนม์แดนยิ้มให้บางๆ จะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่จะได้อยู่ด้วยกันตามลำพังในสถานที่ที่ไม่ใช่โรงเรียน

อนุชาเผยยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่ปิดบัง สีหน้าของเขาดูดีใจจนออกนอกหน้าและเด็กหนุ่มก็รู้สึกเขินเล็กๆ จนต้องรีบเดินนำไปก่อน  แต่ร่างสูงก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็ตามทัน

“นี่ดอท..พี่ลืมบอกว่ารถพี่เป็นมอเตอร์ไซค์นะ” ร่างสูงค่อนข้างเป็นกังวลในเรื่องของพาหนะที่อาจจะไม่เหมาะกับลูกชายเจ้าสัวแดนสรวง มหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเมืองไทย

“รู้จักกันมาตั้งกี่ปีแล้วครับ พี่เวย์เคยมีรถอื่นนอกจากมอร์เตอร์ไซค์คันเก่งด้วยเหรอ” ชนม์แดนแกล้งกวนเขาเล่น

“เอ่อ นั่นสิ ฮ่าๆๆ แต่น้องนั่งได้แน่นะ ถ้าไม่ได้พี่จะโบกแท็กซี่แล้วนั่งไปเป็นเพื่อน”

พี่เวย์ก็แสนดีตลอดทำไมถึงไม่หวั่นไหวกับเขาเสียทีนะ

“ได้สิครับ น้องก็ผู้ชายนะถึงจะไม่ใช่แนวลุยๆ แต่ซ้อนมอร์เตอร์ไซค์แค่นี้ทำไมจะทำไม่ได้” ชนม์แดนคิดในใจว่าขนาดผู้หญิงอ่อนแอก็ยังซ้อนได้ ไม่เห็นต้องสปอยล์กันขนาดนี้



ต่อ..

หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 1 : เผ่าพงศ์ 1-1 《19/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 19-04-2018 22:40:13


เมื่อเดินมาถึงรถที่จอดอยู่หลังตึก อนุชาหยิบหมวกกันน็อคสวมไว้เองลวกๆ แล้วเปิดเบาะเพื่อหยิบหมวกกันน็อคอีกใบให้อีกฝ่าย จังหวะนั้นเอง รถมินิคูเปอร์คันสวยขับผ่านแล้วเปิดกระจกลงมองมาที่ชนม์แดน

!!!!!??
อีตาเผ่านิสัยแย่คนนั้นนี่ แล้วเขามองด้วยสายตาดุๆ แบบนั้นทำไมกัน

เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ามองไปทางอื่น อนุชาก็ทำท่าจะหันไปมองตาม ร่างบางจึงรีบจับหมวกกันน็อคในมือหนามาสวมทันทีแล้วมองเขาอ้อนๆ

“ใส่ให้หน่อยสิครับ น้องไม่รู้วิธีใส่” เมื่อถูกอ้อนอย่างที่ไม่เคยมาก่อน อนุชานิ่งช็อคไปชั่วขณะจากนั้นก็ยิ้มหวานออกมา

“ได้สิ สวมเข้าไปแบบนี้นะ แล้วดันตัวล็อคนี่เข้าไประวังจะหนีบคางด้วย” มือหนาจัดการได้คล่องแคล่วและกระตือรือร้น

ขอโทษนะครับพี่เวย์ที่ทำเหมือนให้ความหวัง น้องแค่ไม่อยากให้พี่เห็นผู้ชายคนนั้นและหวังว่าผู้ชายคนนั้นคงไม่เห็นหน้าพี่เวย์นะ

ชนม์แดนพยายามทบทวนความรู้สึกแต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าทำไมจึงไม่อยากให้เขาทั้งสองคนเห็นหน้ากัน


เมื่อสวมหมวกเสร็จแล้ว อนุชาคร่อมรถและรอให้ชนม์แดนขึ้นไปนั่ง ร่างเล็กขึ้นไปอย่างเก้ๆ กังๆ จนมือหนาต้องคอยประคอง  ตลอดช่วงระยะเวลาขลุกขลักนี้ รถมินิคูเปอร์ก็ยังไม่เคลื่อนไปไหน คนขับยังคงจ้องมองมาเช่นเดิม ทว่าในตอนนี้รู้สึกถึงออร่าสีดำทะมึนอยู่รอบตัวเขา

น่ากลัวจัง..

ดวงตาคมดุจ้องตามร่างของชนม์แดนจนรถเลี้ยวออกไปจนลับสายตา 

เฮ้อ เหมือนอยู่ในห้วงอวกาศที่ไม่มีอากาศหายใจ

เด็กหนุ่มลอบพ่นลมหายใจอย่างโล่งอก พยายามคิดหาเหตุผลว่าทำไมรุ่นพี่ที่ชื่อเผ่าถึงต้องจ้องมองตนขนาดนั้น

เกลียดมากหรือไง ก็แค่เดินขวางทางแค่นั้นเอง ทำไมเจ้าคิดเจ้าแค้นนักนะ



“คิดอะไรอยู่ครับ” เสียงของอนุชาดังขึ้นแข่งกับเสียงอากาศที่แหวกผ่านใบหน้าของทั้งคู่ ปลุกชนม์แดนให้หลุดออกจากภวังค์ความคิด

“เปล่านี่ครับ”

“เห็นเงียบไป นั่งไม่สบายเหรอ” ร่างหนาขยับไปข้างหน้าเพื่อให้ชนม์แดนได้นั่งสบายขึ้นแต่มันกลับทำให้ร่างเล็กไถลไปข้างหน้ามากกว่าเดิมจนตอนนี้ตัวติดกันจนคนซ้อนถึงกับต้องแขม่วพุง

“พี่เวย์อย่าดีกับน้องนักเลย” เด็กน้อยไม่ได้ขยับออกแต่ซบหน้าลงไปตรงแผ่นหลังแกร่ง

“น้องว่าอะไรนะ พี่ไม่ได้ยินเลยครับ” อนุชาถามแข่งกับเสียงลมและเสียงเครื่องยนต์

“เปล่าครับ แค่หนาวน่ะ” พูดปดออกไปแต่แล้วก็รู้ตัวว่าไม่น่าพูดแบบนั้นเพราะมือหนาเอื้อมมาควานหามือน้อยแล้วดึงไปกอดเอวเขาไว้แทบจะในทันทีถึงกับตกใจจนตัวแข็งทื่อ

“กอดพี่ไว้นะจะได้อุ่นขึ้น”

อุ่นครับ อุ่นมากเลย แต่มันหมดเวลาของน้องแล้ว เนมชอบพี่เวย์มากและน้องไม่อยากทำให้เพื่อนเสียใจ 

ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่มือกลับไม่ทำตามความคิด ชนม์แดนยังคงกอดเขาอยู่อย่างนั้นไม่ขยับเขยื้อน

ขอแค่วันนี้นะเนม ขอกอดพี่เวย์ครั้งแรกและครั้งเดียวเป็นการส่งท้าย รับรองว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก


ชนม์แดนกอดพี่ร่างหนาอยู่นานมาก รู้สึกว่าถึงบ้านช้ากว่าเดิมหลายเท่าเพราะอีกฝ่ายขี่อ้อมไปไหนต่อไหนซึ่งเจ้าตัวก็ปล่อยให้เขาขี่ไป ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าถ้าลงจากรถนี้แล้วอาจจะไม่ได้อยู่กับเขาแบบนี้อีกนานแสนนาน

“อยากเปลี่ยนถังน้ำมันให้ใหญ่กว่านี้จะได้ขี่ไปได้ทั่วโลกไม่ต้องลง” อนุชาจอดรถแล้วนั่งคร่อมไว้ก่อนจะถอดหมวกออกเมื่อในที่สุดก็ถึงหน้าบ้านเด็กน้อยของเขา

ร่างเล็กลงจากรถแล้วถอดหมวกคืนเจ้าของ มือหนารับหมวกโดยตั้งใจรวบมือน้อยเอาไว้ครู่หนึ่งพร้อมกับส่งสายตาแห่งความเสียดายอย่างไม่มีปิดบัง

ใบหน้าสวยอุ่นร้อนจนต้องหลบตา ค่อยๆ ดึงมือออกมาช้าๆ แล้วเสเปลี่ยนเรื่อง

“ถ้าขี่ไปทั่วโลกก้นคงแหลกซะก่อนล่ะครับ”

อนุชาหัวเราะเบาๆ แล้วลงมากึ่งนั่งกึ่งพิงรถมอเตอร์ไชค์คันเก่ง เขามองชนม์แดนอย่างนึกเอ็นดูในรอยยิ้มบางๆ ซึ่งไม่บ่อยนักที่จะได้เห็น  วันนี้เขารู้สึกว่าเด็กน้อยใจอ่อนลงกว่าเดิมเยอะมากจนคิดว่าความหวังมีมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า

“พี่ดีใจนะที่น้องให้พี่มาส่ง” เสียงของชายหนุ่มนุ่มไพเราะ ดวงตาฉาดฉายความหวังอย่างเต็มเปี่ยมจนอีกฝ่ายเห็นแล้วถึงกับเกลียดตัวเองที่ไปให้ความหวังเขาแบบนี้

“พี่เวย์อย่าดีกับน้องมากนักเลย” ชนม์แดนพูดออกมาจนได้  “เนม..”

“พี่ชอบน้องไม่ได้ชอบเนม ถึงที่สุดแล้วถ้าน้องไม่ตอบรับ พี่ก็ไม่สามารถชอบเนมได้หรอก เลิกจับคู่ให้พี่ซะทีนะครับ ถ้าเห็นใจพี่บ้างพี่ก็ขอแค่นี้” ดวงตารีของชายหนุ่มสะท้อนความเจ็บปวดออกมาจนหัวใจของคนฟังสั่นสะเทือน

“โธ่พี่เวย์”

ชนม์แดนมองใบหน้าขาวสะอาดตาด้วยความรู้สึกผิด เผลอเอื้อมมือไปจับแขนของเขาเพื่อหวังปลอบใจแต่กลายเป็นว่าเขาจับมือน้อยเอาไว้แล้วดึงเข้าไปใกล้

ความสูงที่ต่างกันมากจนอนุชาต้องก้มตัวลงแทบจะเก้าสิบองศาเพื่อให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกัน เขาจ้องมองชนม์แดนด้วยดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกดี อบอุ่นจนสะกดให้ต้องติดนิ่งมองอย่างเผลอตัว

พี่เวย์ดูดีจัง..

ร่างบางหายใจติดขัด นิ่งค้างรอว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร เผลอคิดว่าอาจจะถูกจูบเพราะความใกล้ของปลายจมูกที่ห่างเพียงไม่ถึงสิบเซ็นฯ


“เข้าบ้านเถอะครับ” ในที่สุดอนุชาก็ตัดใจไม่ฉวยโอกาส เขาวางมือลงบนศีรษะน้อยแล้วโยกเบาๆ

ตรงนี้เป็นหน้าบ้านของน้อง พี่จะไม่ทำให้น้องมีปัญหากับครอบครัวเพราะถึงดอทไม่เคยเล่าแต่พี่เดาได้จากอะไรหลายๆ อย่างที่ดอทแสดงออกมา วันหลังต้องมีโอกาสอยู่ด้วยกันอีกแน่ๆ และพี่ค่อยทำตามใจตัวเองในวันนั้นก็แล้วกัน

เด็กหนุ่มหายใจเข้าปอดหนักๆ หลังจากที่กลั้นไว้อยู่นาน จะว่าเสียดายก็กระดากใจที่จะคิดแบบนั้น

“ค..ครับ ขอบคุณมากที่มาส่ง” ชนม์แดนไหว้อีกฝ่ายแต่แล้วรถที่น้าเวชขับก็ผ่านเข้ามาแล้วจอดคาอยู่หน้าบ้าน

เจ้าสัวแดนสรวงเปิดกระจกมองลูกชายสลับกับอนุชาแล้วปิดกระจกด้วยใบหน้าถมึงทึง ชนม์แดนกัดริมฝีปากอย่างเจ็บปวดกับสายตาตำหนิติเตียนนั้น ไม่ว่าจะเมื่อไดหรือเรื่องอะไร ตนก็ไม่เคยทำถูกเลยในสายตาของผู้เป็นพ่อ

“ดอท..” ขณะที่ร่างเล็กกำลังจะวิ่งเข้าบ้าน อนุชาก็เรียกไว้ด้วยเสียงที่อบอุ่น “ไม่ว่าจะเกิดอะไร น้องนึกถึงพี่นะครับ”

“ขอบคุณครับพี่เวย์” ชนม์แดนพยักหน้าให้หงอยๆ แล้วรีบวิ่งเพื่อเข้าบ้านก่อนจะได้ไม่ต้องปะทะกัน  พอเข้าห้องได้ก็รีบอาบน้ำและตั้งใจจะเข้านอนแต่แล้วก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันของพ่อและแม่

“ต่อไปไม่ต้องให้ผมไปด้วยนะถ้าคุณจะทำแบบนี้” เสียงผู้เป็นพ่อค่อนข้างขุ่นเคือง  ชนม์แดนเงี่ยหูฟังแนบประตูให้มากขึ้นเพื่อรอฟังข้อพิพาท

“ฉันทำอะไร? บริจาคให้การกุศลน่ะเหรอที่ทำให้คุณไม่พอใจ” ฝ่ายภรรยาถามกลับ

“เงินตั้งสองล้าน ถ้าคุณจะบริจาคทำไมไม่ใช้เงินของคุณเอง ทำไมใช้ชื่อใช้เงินของบริษัท”  เจ้าสัวเริ่มเสียงดังขึ้นทุกที

“เงินของบริษัทก็เงินของคุณ เงินของคุณฉันก็มีสิทธิ์ใช้ แล้วอีกอย่าง ทีคุณเอาไปให้อีพวกเมียน้อยพวกนั้นถลุงยังไม่เห็นเป็นไร แล้วจะมาอะไรกับเงินอีแค่สองล้านที่ฉันหวังดีทำเพื่อชื่อเสียงของบริษัท”

“ชื่อเสียงของบริษัทต้องมาจากสินค้าและบริการไม่ใช่การเอาหน้าบริจาคเงินเป็นบ้าเป็นบอแบบนี้ แล้วอีกอย่างบริษัทของเราก็มีการบริจาคเพื่อสังคมเป็นประจำอยู่แล้วคุณไม่ต้องมายุ่งเรื่องงานของผมจะได้ไหม!” ดูเหมือนว่าผู้เป็นสามีเริ่มจะเดือดดาลเพราะเสียงดังจนเรียกได้ว่าตะโกน

“ทำไมต้องขึ้นเสียงดังแบบนี้ด้วยเดี๋ยวตาดอทก็ตื่นมาได้ยินหรอก” ฝ่ายภรรยาก็เสียงดังไม่แพ้กัน

“ลูกคุณก็อีกคน อ้างว่าทำงานช่วยอาจารย์ แล้วคุณเห็นไหมว่ามีผู้ชายมาส่งถึงหน้าบ้าน ผมไม่ไว้ใจให้มันคบกับเด็กแว้นแบบนั้น เดี๋ยวจะพาเสียคนกันพอดี”

ถึงตรงนี้ชนม์แดนก็เดินหนีไปขึ้นเตียงใช้หมอปิดหูเพราะไม่อยากได้ยินอะไรอีก

หัวใจเจ็บปวดเมื่อรับรู้ว่าบิดาไม่เคยมองตนในด้านดีแม้แต่นิดเดียว  ที่ผ่านมาก็ตั้งใจเรียนมาตลอดถึงผลการเรียนจะไม่ได้ดีเด่นแต่ก็ไม่เคยให้ต่ำกว่า 3.00  มุ่งมั่นทำในสิ่งที่ชอบทำงานพิเศษรับอาสาทำงานช่วยอาจารย์กลับถูกมองเป็นแค่ข้ออ้าง เพื่อนฝูงก็ไม่คบมากมาย มีแค่เนมคนเดียวที่นานๆ จะไปดูหนังกินข้าวกันบ้าง ก็เพิ่งจะมีครั้งนี้ที่ให้รุ่นพี่มาส่งแต่กลับโดนเหมารวมว่าทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นลูกเลว

นี่มันยุติธรรมแล้วหรือไง!


ชนม์แดนนอนร้องไห้จนหลับไป นี่ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกไปจากวันก่อนๆ เพราะพ่อและแม่ทะเลาะกันแทบทุกวัน ส่วนข้อพิพาทส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นเรื่องของพวกเมียน้อยและผู้เป็นพ่อก็จะออกโรงปกป้องฝ่ายนั้นอยู่เสมอ  ทว่าพอเป็นเรื่องของตนกลับถูกตำหนิต่อว่าไม่เว้นแต่ละวัน

รุ่งเช้า เด็กหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นในวันหยุด ได้แต่ภาวนาให้วันนี้อยู่รอดปลอดภัยไร้เรื่องกวนใจเหมือนทุกวันที่ผ่านมา

ทว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์คงหลงลืมที่จะหันมาสนใจคำอธิฐานของเขา

Name : เมื่อวานแกให้พี่เวย์ไปส่งที่บ้านเหรอ

เนมไลน์มาแต่เช้าและถามเรื่องเมื่อวาน โดยไม่รู้ว่าได้ข่าวมาจากไหน

sweetyDOTcom : ใครบอกแกเหรอ
Name : ฉันโทรหาพี่เวย์จะชวนไปเที่ยวแต่พี่เวย์บอกว่าเมื่อวานแกอาจโดนที่บ้านดุ อยากให้ฉันไปดูแล ฉันก็เลยถามเรื่องราว
sweetyDOTcom : เมื่อวานมันมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ
Name : ถึงมีเรื่องอะไรแต่ทำไมแกต้องอ่อยพี่เวย์ให้กลับไปมีหวังด้วยวะ ไหนบอกว่าไม่เอาแล้วแต่ที่แกทำมันคืออะไร
sweetyDOTcom : เฮ้ยเนม แกอย่าเข้าใจผิดสิ
Name : ฉันเข้าใจผิดมาตลอดแหละ เข้าใจผิดคิดว่าแกจะจริงใจแต่ที่ไหนได้ก็หวงก้าง ปากบอกไม่เอาแต่พอลับหลังแกก็ทำให้เขาตัดใจจากแกไม่ได้  พี่เวย์บอกว่าไม่ได้ชอบฉันแต่ชอบแกคนเดียว บอกให้ฉันตัดใจด้วย แกทำแบบนี้คิดว่าถูกแล้วเหรอดอท ฉันดีกับแกมากแค่ไหนแต่แกหักหลังฉันแบบนี้น่ะเหรอ
sweetyDOTcom : ฟังก่อนได้ปะวะ เรื่องมันไม่ใช่อย่างที่แกคิดนะ
Name : ช่างเหอะ ช่วงนี้เราห่างๆ กันก่อนดีกว่า รอให้ฉันทำใจได้แล้วเราค่อยมาคุยกันใหม่ บอกตรงๆ ว่าโคตรเสียใจเลยว่ะ แต่ฉันก็รักแกมากนะ บางทีถ้าเวลาผ่านไปฉันอาจจะดีขึ้น ยังไงก็ดูแลตัวเองนะ
sweetyDOTcom : ฟังก่อนได้มั้ยแก
sweetyDOTcom : เนมแกอ่านไลน์ก่อน
sweetyDOTcom : เนม
sweetyDOTcom : ฉันขอโทษที่ทำให้แกผิดหวังแต่อยากบอกว่าฉันไม่ได้ตั้งใจจะหักหลังแก ถ้าวันไหนที่แกพร้อมจะรับฟังก็ตอบกลับมานะ ฉันรักแกนะเนม

เนมไม่เปิดอ่านข้อความเลย ชนม์แดนเสียเพื่อนไปแล้วเพราะผู้ชาย แต่ก็ยังหวังลึกๆ ว่าเพื่อนรักจะกลับมาเข้าใจได้ในสักวันหนึ่ง 

ทั้งๆ ที่เป็นวันเสาร์ปกติเด็กหนุ่มจะไม่ออกไปไหนแต่วันนี้รู้สึกเซ็งมากจนแต่งตัวเตรียมออกจากบ้าน แต่ยังไม่ทันจะออกไปไหน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“คุณหนูคะ คุณผู้หญิงให้ไปพบที่ห้องค่ะ” หลังรับฟังจากแม่บ้าน ชนม์แดนจึงเดินไปยังห้องของมารดาทันที



“มาแล้วเหรอตาดอท”  ผู้เป็นแม่หันมาทำตาแดงก่ำ

“มีอะไรครับคุณแม่” เด็กหนุ่มเดินเข้าไปจับมือท่านแน่น

“ป๋าแกไม่รักพวกเราเลย แกอย่าทิ้งแม่ อย่าไปเป็นพวกป๋าพวกนังเมียน้อยพวกนั้นนะ” ผู้เป็นแม่มองลูกชายด้วยน้ำตานองหน้า

“ดอทไม่ไปเป็นพวกนั้นหรอกครับ ดอทเกลียดพวกนั้นจะตาย” 

“พวกนั้นมันจะเอาทุกอย่างไปจากเรา มันแย่งป๋าไป และป๋าก็ยกทุกอย่างให้ลูกมันจนหมด”

ร่างบางขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยิน “ป๋ายกอะไรให้มันเหรอครับ”

“ก็ทุกอย่าง ทั้งบริษัทและที่ดินและบ้านนี้ด้วย” คำตอบของผู้เป็นแม่ทำให้ชนม์แดนแทบล้มทั้งยืน กลางหน้าอกแสบร้อนและจุกขึ้นจนหายใจไม่ออก

“คุณแม่แน่ใจเหรอครับ” 

“นี่ไง ถ้าไม่เชื่อแกก็ดูพินัยกรรมนี่สิ” คุณรุ่งฤดีหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีลายมือของเจ้าสัวแดนสรวง ข้อความทั้งหมดคือรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์สินทั้งหมดโดยมีชื่อของดินแดน อยู่เพียงแค่ชื่อเดียว

!!!!??

“ทำไม..” ชนม์แดนถามได้เพียงแค่นั้น น้ำตาก็ทะลักออกมาอย่างสุดจะกลั้น

กระดาษแผ่นนั้นหลุดร่วงลงจากมือน้อยพร้อมกับเรียวขาที่ก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ จนหลังชนประตู ส่วนผู้เป็นแม่ก็เอาแต่ร้องไห้เนื้อตัวสั่นเทา ทว่าในตอนนี้ชนม์แดนกลับไม่มีเรี่ยวแรงและพลังเหลือพอที่จะไปปลอบใจท่าน

เด็กหนุ่มรีบเปิดประตูออกมาจากห้องและวิ่งลงบันไดอย่างเร็วที่สุดและทันทีที่ถึงบันไดขั้นสุดท้ายก็เจอกับผู้เป็นบิดาที่ยืนดักรออยู่พอดี ชนม์แดนมองเขาด้วยดวงตาวาวโรจน์ รีบเช็ดน้ำตาออกเพื่อปกปิดความอ่อนแอ

ในเมื่อป๋าไม่รัก ดอทก็จะไม่รักป๋าเหมือนกัน!

“เมื่อวานนี้ใครมาส่ง” เจ้าสัวซึ่งยังไม่รู้ว่าแม่ลูกได้ไปเจอเข้ากับพินัยกรรมที่ตนได้ร่างเอาไว้

“รุ่นพี่ครับ” ตอบห้วนๆ ดวงตาเขม็งเกรียวจ้องเขาอย่างไม่เกรงกลัว

“ลูกเต้าเหล่าใครนิสัยเป็นยังไงแล้วซ้อนรถมอเตอร์ไซค์แบบนั้นมันอันตรายไม่รู้เหรอ”

“ป๋ารู้แค่ว่าพี่เขาเป็นคนดีก็พอ” ชนม์แดนตอบแบบรวบรัด รู้สึกอึดอัดที่ต้องมาสนทนากันอยู่แบบนี้

“เลือกคบคนหน่อยก็ดีนะ อย่าเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับเรื่องอันตราย ฉันขี้เกียจมานั่งเก็บกวาดเรื่องยุ่งๆ”

เก็บกวาดเรื่องยุ่ง!!

คำๆ นี้เป็นดั่งฟางเส้นสุดท้ายเกินกว่าที่หัวจิตหัวใจของเด็กหนุ่มจะรับได้ไหว

เส้นสติขาดผึงในทันทีที่ได้ยิน หยาดน้ำที่สะกดกลั้นไว้ได้พังทลายเอ่อล้นออกมาพร้อมกับแรงโทสะที่ไม่สามารถยับยั้งได้อีกต่อไป

“เรื่องยุ่งๆ ที่ป๋าว่ามันหมายถึงอะไรล่ะ!” ดวงตาคู่สวยอาบไปด้วยน้ำตาทว่ายังฝืนเขม็งมองผู้เป็นพ่ออย่างเดือดดาลรวมถึงน้ำเสียงที่กระโชกใส่อย่างท้าทาย

ผู้เป็นพ่อได้เห็นสายตาของลูกที่ฉาดฉายความแข็งข้อดื้อรั้นออกมาอย่างชัดเจน เขามองลูกชายตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ก็เพศแกคืออะไรล่ะ จะหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิงแบบนี้จะให้ป๋าไว้ใจอะไรได้”

ถึงจะเป็นเพศอะไรแต่ดอทก็รักดีไม่เคยทำตัวเกเร แต่ถ้ามันไม่พอก็แล้วแต่ป๋าเถอะ!

“ดอทเป็นเกย์ครับ ดอทเป็นเกย์ ป๋าได้ยินไหมว่าดอทเป็นเกย์!!” ชนม์แดนตะโกนใส่หน้าบิดาเสียงดังลั่น 

เจ้าสัวแดนสรวงเบิกตาขึ้นด้วยไม่นึกว่าจะถูกลูกในไส้ตะคอกใส่ขนาดนี้ บัดนี้เขาได้ถูกความโกรธครอบงำจนใบหน้าขึ้นสีแดงจัดกำหมัดแน่นจนชนม์แดนคิดว่าอีกไม่นานคงจะถูกผู้เป็นพ่อตบเป็นแน่แท้แต่กระนั้นเด็กหัวรั้นก็ยังไม่หยุดปะทะโทสะแต่อย่างใด

“แล้วป๋าก็ไม่ต้องห่วงเรื่องผัวของดอทว่าจะเป็นคนไม่ดีเพราะดอทจะหาให้ดีกว่าป๋าเป็นร้อยเท่า! จะหาที่รักเดียวใจเดียวไม่ไปมั่วกับใครเหมือนที่ป๋าทำหรอก!!!”

เพี๊ยะ!!!

ใบหน้าสวยสะบัดไปด้านข้างอย่างแรงเพราะถูกฝ่ามือหนาซัดเข้าไปเต็มใบ

รู้สึกเจ็บจนชาไปทั้งตัวทว่านั่นก็ยังน้อยกว่าหัวใจที่ตอนนี้มันไร้ความรู้สึกราวกับได้แหลกสลายไปเสียแล้ว

ชนม์แดนกำหมัดแน่น น้ำตาไหลทะลักออกมาด้วยความเจ็บปวด ยิ่งเห็นผู้เป็นพ่อยืนนิ่งไม่คิดจะเข้ามาปลอบยิ่งทำให้ความเสียใจพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดที่จะทานทนได้

“ดอทเกลียดป๋า!!!”

ตะโกนใส่หน้าผู้เป็นพ่อพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพราก หลับหูหลับตาวิ่งออกจากตรงนั้นทันที


แต่เมื่อออกมาที่ประตูหน้ากลับเห็นไอ้ลูกเมียน้อยยืนแอบอยู่ตรงนั้น  เด็กชายอายุสิบขวบทำท่าทางตกตะลึงที่ถูกจับได้ว่ารู้เห็นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทุกอย่าง  ชนม์แดนถลึงตามองน้องชายต่างมารดาด้วยความเกลียดแค้นชิงชัง จ้องมองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

ฉันเกลียดแก!!

ด้วยลุแก่โทสะ ร่างบางหันกลับไปมองบิดาซึ่งเดินออกไปจากจุดที่ทะเลากันไปแล้วและคงไม่มารู้เห็นแน่กับสิ่งที่เขากำลังจะทำ 

“มานี่!!” เด็กหนุ่มลากแขนเด็กชายตัวเล็กอายุอ่อนกว่าห้าปีไปที่สระบัวหลังบ้านทันที

“อ๊า..ย..อย่า!!” เสียงร้องของเด็กน้อยไม่ทันจะจบประโยค ร่างก็ถูกผลักลงไปในสระบัวเสียแล้ว

หึ.. สมน้ำหน้า!

น้ำในนั้นไม่ลึกหรอกชนม์แดนรู้ดี แค่อยากแกล้งไม่ให้มันขึ้นมา แกล้งมันอย่างที่เคยแกล้งเอากระเป๋ามันไปทิ้งถังขยะ เจาะลูกฟุตบอลมันจนรั่ว ทุบรถจักรยานของมันจนพัง และวันนี้ก็จะแกล้งให้มันร้องไห้และทุกข์ทรมานเหมือนกับที่ตนถูกพ่อทำร้ายในวันนี้

“ฮืออ หนาว..” เด็กชายร้องไห้พยายามจะปีนขึ้นมาบนฝั่ง

ตู้ม!!

พอร่างเล็กปีนขึ้นมาชนม์แดนก็ผลักให้ตกลงไปอีกพร้อมกับมองจ้องด้วยความเกลียดชัง

“ฉันเกลียดแก! เกลียด!!”

“ฮืออ พ..พี่ดอท” เสียงเรียกอันสั่นเครือจากเด็กน้อยไม่ได้ทำให้ผู้ที่ยืนอยู่บนฝั่งใจอ่อนลงแม้แต่น้อย

“ใครเป็นพี่แก! ฉันไม่มีน้อง และไม่มีวันนับญาติกับแกหรอกไอ้ลูกเมียน้อย!!!” ชนม์แดนตะโกนจนสุดเสียง ยิ่งเกลียดก็ยิ่งรู้สึกเกลียดมากขึ้นเป็นทวีคูณราวกับไส้เดือนกิ้งกือก็ไม่ปาน

“ฮืออๆๆ” มันได้แต่ร้องไห้และพยายามอยู่หลายครั้งที่จะปีนขึ้นมาอีก แต่ก็ถูกทั้งผลักทั้งถีบลงไปอย่างเดิม



นานเกือบยี่สิบนาทีที่เด็กชายอยู่ในน้ำจนปากเริ่มม่วง และโทสะของชนม์แดนก็เริ่มจะเบาบางลงแล้วในตอนนี้

ใจเริ่มเสียเพราะร่างเล็กไม่ยอมปีนขึ้นมาได้เแต่ยืนสั่นงันงกอยู่ที่เดิม  ชนม์แดนจึงวิ่งไปหาการเกด ลูกสาวของป้าก้อยที่อยู่ทางปีกซ้ายของบ้านใหญ่แล้วบอกข่าวว่าน้องรักของเธออยู่ในสระบัว

จากนั้นก็รีบขึ้นไปเก็บของใส่กระเป๋าแล้ววิ่งหนีออกจากบ้านทันที

มันจะตายไหมนะ..

ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเริ่มกลับคืนสู่สติ แต่เมื่อคิดว่าตอนนี้คนอื่นก็รู้ข่าวแล้วจึงคิดเข้าข้างตัวเองไปตามเรื่อง

ไอ้ลูกเมียน้อยนั่นคงไม่ตายหรอก พวกมันหนังหนา หน้าหนา ไร้ยางอายที่มาแย่งป๋า พวกมันปล้นความสุขไปจนหมด เกลียดมัน  เกลียดที่สุดเลย!!!!



“ไปไหนดี เนมก็ยังโกรธอยู่แล้วจะไปไหนได้ล่ะ” ชนม์แดนเดินออกมาตามทางคิดว่าจะไปโบกแท็กซี่แถวปากซอย

“ไลน์หาพี่เวย์ดีไหมนะ แต่ถ้าเนมรู้ก็จะโกรธขึ้นมาอีกน่ะสิ”

ปิ๊บๆ

เสียงแตรรถดังขึ้นในระยะประชิดจนต้องรีบหันไปดูเพราะกลัวจะเป็นรถของที่บ้านแต่กลับต้องตกใจเพราะมันเป็นรถมินิคูเปอร์คันเดิมของรุ่นพี่ ม.6 ที่ชื่อเผ่า

‘เผ่าพงศ์’ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับอนุชาแต่ย้ายที่เรียนบ่อยครั้งจนตอนนี้ก็ยังเรียนไม่จบมัธยมปลาย  เขาเป็นลูกชายคนเดียวของไฮโซตระกูลดัง พ่อแม่ตามใจมากจนมีนิสัยไม่ยอมคนแถมยังมีรูปร่างหน้าตาดี คมเข้มแบบชายไทยถึงจะมีเชื้อสายจีนแต่ได้ยีนส์เด่นมาจากพ่อที่เป็นคนไทยแท้ประกอบกับความเจ้าชู้จึงไม่แปลกที่เขาจะถูกเรียกว่าคาสโนว่าตั้งแต่อายุเพียงเท่านี้

“ขึ้นรถ” เผ่าพงศ์ลดกระจกลงแล้วสั่งด้วยสีหน้าราบเรียบแต่กลับถูกมองเมินและเดินหนี

ทำไมต้องขึ้นรถไปกับคนน่ากลัวแบบนั้นด้วยล่ะ ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี

ชนม์แดนเบ้ปากและรีบสับขาให้เร็วขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูรถและเสียงวิ่งตามมา

“ฉันไม่ชอบพูดหลายรอบ บอกให้ขึ้นรถ!” ร่างสูงวิ่งมาขวางไว้จนได้

เด็กหนุ่มเงยหน้ามองจ้องอย่างไม่เกรงกลัว

“ถ้าคิดว่าผมจะกลัว คุณคิดผิด และตอนนี้ผมก็อารมณ์ไม่ดีมากด้วย! เพราะฉะนั้นอย่ามายุ่ง!!”  ร่างเล็กตวาดใส่อย่างเหลืออด ดูเขาจะช็อคไปนิดๆ กับปฏิกิริยาของชนม์แดนแต่แล้วก็ยื่นมือมาใกล้หน้าจนต้องถอยหลังหนี “จ..จะทำอะไร!” ถามออกไปแล้วมองอย่างหวาดระแวง

แถวนี้ไม่ได้เปลี่ยวอะไรนักถ้าวิ่งไปอีกนิดก็เป็นร้านค้าแล้ว  อย่าทำอะไรบ้าๆ นะไม่อย่างนั้นจะวิ่งแบบไม่คิดชีวิตเลย

“เจ็บไหม” เขาพยายามจะแตะลงมาบนแก้มที่ถูกตบและถามด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป

ชนม์แดนยืนลังเลมองเขาด้วยอาการงงๆ แต่แล้วก็ปัดมือเขาออกก่อนที่มันจะมาโดนแก้ม

“อย่ายุ่ง” พูดแล้วก็หันหลังเดินหนีอีกครั้งแต่แล้วก็ถูกจับข้อมือไว้อีก “เอ๊ะ! พูดภาษาคนไม่เข้าใจเหรอ บอกว่าอย่ามายุ่ง!” ชนม์แดนตวาดอีกครั้งและทำให้เขากลับมาสู่โหมดนิสัยเสียอย่างเดิม

“กลัวเหรอ” เผ่าพงศ์แสยะยิ้มท้าทาย

“กลัวอะไร” ชนม์แดนถามกลับทันที

“กลัวจะหลงฉันเหมือนคนอื่นๆ” 

“ผมจะบอกให้นะ ถึงคุณจะหล่อแต่ก็น้อยกว่าคนที่มาจีบผม ถึงคุณจะรวยแต่ผมก็รวยไม่แพ้บ้านคุณหรอก และคุณก็นิสัยเสียจนผมคิดว่าไม่มีวันหลงคุณแน่นอน”

“งั้นก็พนันกันไหมล่ะ” ร่างสูงเลิกคิ้วท้าทาย

“พนันอะไร”

“ถ้าจ้องตากันเกินห้านาทีแล้วนายไม่หวั่นไหว ฉันจะยอมเป็นเบ้ให้สามวัน แต่ถ้านายหวั่นไหวฉันจะจูบนายหนึ่งที”

พนันบ้าบออะไรแบบนี้ ใครจะไปเล่นด้วย!

“ประสาท” ชนม์แดนด่าแล้วเดินหนี

“สรุปว่ากลัวแพ้สินะ” เผ่าพงศ์ตะโกนไล่หลัง เขายืนกอดอกมองชนม์แดนด้วยสายตาท้าทาย

“ไม่กลัว!”  ร่างเล็กหันกลับไปตะโกนใส่

ทำไมฉันจะต้องดิ้นไปตามที่นายปั่นหัวด้วย ไม่มีวันหรอก!

“หรือว่ากลัวพ่อดุ”

“......”
คำพูดของเผ่าพงศ์คำนี้กระทบใจอันบอบช้ำจนน้ำตารื้นขึ้นทันที  ชนม์แดนกัดฟันจ้องเขานิ่งครู่ใหญ่ จากนั้นจึงตัดสินใจเดินไปขึ้นรถแล้วปิดประตูเสียงดังลั่น

“ที่ผ่านมาทำดีแล้วไม่เคยได้ดี วันนี้ดอทจะเสี่ยงไปทำไม่ดีบ้าง บางทีป๋าอาจจะพอใจก็ได้”  น้ำตาที่ไหลลงมาถูกมือบางปาดทิ้งทันที 

ดอทจะไม่เสียน้ำตาให้ป๋าอีก ไม่อีกแล้ว!

ถึงรู้ว่าการขึ้นมานั่งบนรถคันนี้มันเสี่ยงแค่ไหนแต่ชนม์แดนจะขอลองดู ถ้าชีวิตจากนี้ไปจะดีหรือไม่ดีก็จะวัดดวงให้มันรู้ไปว่าจะมีอะไรเลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่ได้อีก

ถ้าเกิดโชคร้ายขึ้นมา ป๋าจงรู้ไว้ว่าทุกอย่างมันคือความผิดของป๋า ของป๋าคนเดียว!!!


“แวะไปเซฟเฮ้าส์ของฉันนะ ดูเหมือนว่านายจะไม่มีที่ไป” เผ่าพงศ์เหลือบมองชนม์แดนด้วยสายตาที่ไม่น่าไว้ใจนัก

“บอกไว้ก่อนว่าถ้าทำมิดีมิร้ายกับผม คุณไม่รอดคุกแน่ คุณแม่จะต้องตามหาผมและจะจัดการคุณถึงที่สุดแน่นอน” ชนม์แดนขู่

“เก่งจริงนะตัวแค่นี้” เขายิ้มล้อ

ชนม์แดนนั่งหน้ามุ่ยต่ออย่างรำคาญลูกตาแต่กลับเผลอคิดถึงอนุชาขึ้นมาเสียดื้อๆ

พี่จะรู้ไหมว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องทะเลาะกับป๋าและเพื่อนสนิท แต่น้องไม่โกรธหรอกนะเพราะพี่เวย์ดีกับน้องที่สุดแล้ว คนผิดคือน้องมากกว่าที่ยังไงก็ไม่ดีในสายตาป๋าได้เลย

แล้วนายล่ะ นายจะดีได้ถึงครึ่งที่พี่เวย์ดีกับฉันไหม

เผ่าพงศ์..




.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ผู้ชายคนที่ 2 ของนุ้งดอทไม่รู้จะดีร้ายเยี่ยงใด
ฝากเป็นกำลังใจให้ชนม์แดนแฟนใครดีด้วยน้าา
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ

ปล. ไอเลิฟยูเรน ตามติดใกล้ชิดตลอดเลย จุ๊บๆ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 1 : เผ่าพงศ์ 1-1 《19/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 20-04-2018 02:06:50
 :m22: เข้ามาส่องค่ะ ติดตามเลยค่ะ แต่เราจิตใจไม่ค่อยแข็งแรง

 ขออย่าม่ามากนะคะ ฮือ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 1 : เผ่าพงศ์ 1-1 《19/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 20-04-2018 09:33:42
แรงกันทุกคน คุณแม่ก็เอาแต่เป่าหูลูก คุณป๋าก็ไม่ฟังอะไร แล้วถ้าเรื่องพินัยกรรมคือของจริงนี่แย่อ่ะ ส่วนดอทนี่เข้าใจว่าเก็บกด แต่เอาไปลงกับน้องแบบนั้นมันไม่โอเคเลย (ดูท่าน้องเด็กคนนั้นจะไม่รู้เรื่องอะไรด้วย) และอิตาเผ่านี่อะไรยังไง แต่ดูจากที่ถามเรื่องรอยตบ คงไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรมั้ง  :hao5:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 1 : เผ่าพงศ์ 1-1 《19/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 20-04-2018 11:37:58
มันจะปวดตับมากมั้ย5555 อ่านแนะนำนิยายช่วงแรกดราม่า ช่วงกลางดราม่า ตอบจบก็ดราม่า อะไรกันตับคงไม่พังใช่มั้ย
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 2 : เผ่าพงศ์ 1-2 《21/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 21-04-2018 21:46:12
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ต อ น ที่ 2 :  เ ผ่ า พ ง ศ์ 1-2




“ลงสิ”  ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงก็มาถึงตึกห้าชั้นขนาดไม่ใหญ่มากนัก ตั้งอยู่ในชุมชนที่มีรถราค่อนข้างน้อย บ้านเรือนแถวนี้ก็บางตาเหมือนเป็นที่ที่ไม่เจริญจนสร้างตึกแล้วเจ๊งอะไรเทือกนั้น

ชนม์แดนเดินลงจากรถและขึ้นลิฟท์ไปชั้นห้าพร้อมกับเผ่าพงศ์ ในใจเริ่มตุ๊มๆ ต่อมๆ ทั้งกลัวทั้งหิวแถมยังปวดหัวตุบๆ เนื่องจากผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก


“กินอะไรเดี๋ยวจะทำให้” ร่างสูงถามเมื่อเข้ามาในห้องกว้างที่มีเฟอร์นิเจอร์ครบครัน

ชนม์แดนทำหน้าเหมือนไม่เชื่อจนอีกฝ่ายเปิดตู้เย็นทั้งสองประตูออกอว้างเผยให้เห็นอาหารแช่แข็งและผลิตภัณฑ์แบบ UHT เต็มตู้ไปหมด 

“ที่บอกจะทำให้คือจะอุ่นแล้วแกะใส่ชามให้” เผ่าพงศ์ยักไหล่ ดูเหมือนเขาจะผ่อนคลายขึ้นกว่าทุกครั้งที่เคยเจอ

เด็กหนุ่มเดินไปหาแล้วเลือกหยิบสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าของโปรดส่งให้เขา

“เอานี่ นี่ แล้วก็นี่ด้วย” หยิบโยเกิร์ตและน้ำผลไม้ส่งให้รัวๆ จนเขารับแทบไม่ทัน

ร่างสูงเขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะส่งโยเกิร์ตและผลไม้กลับคืนให้  “อันนี้เอาไปกินเลย กินรอไปก่อน ส่วนอันนี้ต้องอุ่นหลายนาที”   

“คุณอยู่คนเดียวเหรอ” ชนม์แดนเดินไปนั่งโซฟารับแขกตรงมุมห้อง มือเรียวเปิดฝาโยเกิร์ตพลางกวาดตามองไปรอบๆ   ดูเหมือนชั้นอื่นๆ ไม่น่าจะมีคนอยู่อาศัย อันที่จริง ไม่มีรถสักคันตรงที่จอดรถชั้นแรกด้วยซ้ำ

“ตึกนี้แม่ฉันยกให้เป็นของขวัญที่จะจบ ม.6 ที่โรงเรียนนายโดยไม่ต้องย้ายที่อีก”

ของขวัญบ้าอะไรให้ก่อนที่จะทำได้สำเร็จ  เลี้ยงกันแบบนี้สินะถึงได้นิสัยเสีย 

“แล้วไม่กลัวเหรอ เพิ่งจะอยู่ ม.6 แต่ขับรถเองแถมยังมีที่อยู่เองแบบนี้อะ” ชนม์แดนเริ่มซัก ปากก็อ้ากินโยเกิร์ตรัวๆ และแน่นอนว่าทุกการกระทำอยู่ในสายตาของเผ่าพงศ์หมดแล้ว

“ต้องกลัวอะไร ที่นี่เคยเป็นบ้านเก่าของฉันมาก่อน แค่ครอบครัวย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ที่ใหญ่กว่านี้แถมยังอยู่ใจกลางเมืองด้วย ที่นี่ก็เลยไม่มีคนอยู่แล้วฉันก็เลยขอมาอยู่เอง เวลาที่..” เขาเว้นระยะไว้ทำให้ร่างบางต้องรอฟัง

“เวลาอะไร” 

“เวลาที่เบื่อๆ” เผ่าพงศ์ตอบแบบผ่านๆ ทั้งๆ ที่คำตอบจริงๆ อาจจะไม่ใช่คำตอบนี้

การสนทนายุติลงเมื่อเสียงเตาอบไมโครเวฟเรียกเตือน  ร่างสูงยกสปาเก็ตตี้มาเสริฟ ไม่น่าเชื่อว่าแบ้ดบอยอย่างเขาจะทำอะไรให้คนอื่นเป็น 


เมื่ออาหารมาอยู่ตรงหน้า ความคิดทั้งหมดก็หยุดลง ชนม์แดนลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อยเพราะตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้อง

“เลอะหมดแล้ว” มือหนายื่นมาเช็ดครีมซอสที่เปื้อนอยู่มุมปากไปดูดกินหน้าตาเฉย “นายนี่หลายบุคลิกดีนะ เหมือนจะเรียบร้อยแต่ก็สายไฝว้ ดูเหมือนจะหัวอ่อนแต่ก็ขี้ยั่วะ ดูเหมือนจะสวยหวานแต่ก็เท่ๆ โหดๆ ดูเหมือนจะไม่โก๊ะแต่ตลกดีนะ”

ความรู้สึกของชนม์แดนตอนนี้เหมือนกำลังถูกมองเป็นเด็กกะโปโลที่มีขี้มูกเปื้อนแก้ม

“คุณก็เหมือนจะนิสัยเสียแต่ก็โคตรแย่ เหมือนจะหล่อแต่ก็ขี้เหร่เหมือนกันแหละ” เบะปากใส่ปิดท้ายแล้วกินต่อไปไม่สนใจที่อีกฝ่ายทำหน้าเหลืออดอยู่ตรงหน้า

แต่เมื่อกำลังดูดเส้นเข้าปากกลับถูกเผ่าพงศ์ยื่นหน้าเข้ามางับเอาปลายอีกด้านของเส้นสปาเก็ตตี้แล้วดูดเข้าปากไป

“อ๊ะ!!” ชนม์แดนตกใจจนผงะ หัวใจเต้นตึกตักเมื่อถูกแย่งเส้นออกจากปากไปหน้าตาเฉย “ทำบ้าอะไรของคุณ!” 

“ฉันก็หิวเหมือนกัน”  ร่างสูงว่าแล้วแย้งส้อมไปตักเส้นเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ

“ผมจะกลับละ” ชนม์แดนลุกขึ้นแล้วทำท่าจะเดินไปที่ประตู 

“ห้องนี้ต้องใช้กุญแจไขถึงจะออกไปได้” มือหนาชูลูกกุญแจให้ดูแล้วหย่อนลงกระเป๋ากางเกง  เด็กหนุ่มเบิกตาค้างแล้ววิ่งไปเปิดประตูแต่มันเป็นอย่างที่เขาว่าคือเปิดไม่ได้

“เปิดเดี๋ยวนี้นะ บอกให้เปิด!” ชนม์แดนตะโกนใส่ รู้สึกตกใจและกลัวขึ้นมาเสียดื้อๆ

“มากินต่อเร็ว ฉันไม่ทำอะไรหรอกถ้านายไม่ยอมน่ะ” พูดเหมือนเป็นเรื่องปกติที่จะขังคนไว้โดยไม่ให้เขาตื่นเต้นตกใจ “กินให้อิ่มแล้วทำเรื่องที่ฉันท้านายเมื่อกี้ให้จบ จบแล้วก็กลับ ไม่มีการผิดคำพูด รับประกันได้เลย” ว่าแล้วก็ตักกินสปาเก็ตตี้ของชนม์แดนเข้าปากอย่างใจเย็น

ร่างบางคิดแล้วคิดอีกก็จำใจกลับไปนั่งกินต่อ ยังไงก็ติดกับเข้ามาแล้วนี่ จะออกไปก็คงต้องใช้สติกันหน่อยล่ะ

“อ่ะ กินซะ” เขาตักเส้นยื่นมาตรงหน้าแล้วจ่อไว้อย่างนั้น “เร็วสิจะได้กลับเร็วๆ” เมื่อถูกเร่งปนขู่จึงต้องอ้าปากงับอย่างจำใจ

เผ่าพงศ์ตักอาหารป้อนให้อีกหลายคำสลับกับกินเอง มันทำให้ชนม์แดนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเพราะการกินช้อนเดียวกันมันก็เหมือนจูบทางอ้อมซึ่งเด็กหนุ่มยังไม่เคยแม้แต่จับมือใครด้วยซ้ำ

บ้าเหรอชนม์แดน จนนาซ่าค้นพบจักรวาลใหม่แล้วยังจะติงต๊องคิดเรื่องจูบทางอ้อมอยู่อีก ลบๆๆ

ศีรษะเล็กสะบัดสองสามทีไล่ความคิดประหลาดๆ แล้วตั้งอกตั้งใจกินอาหารต่อไป



เมื่อกินเสร็จ เจ้าของห้องก็เก็บขยะและกวาดเช็ดจนสะอาด ชนม์แดนมองการกระทำของเขาอย่างไม่เข้าใจ บางทีก็ดูร้าย บางทีก็ใจดี

จะมาไม้ไหนกันแน่นะ..



“มาเริ่มกันเลย” เผ่าพงศ์ว่าแล้วดึงชนม์แดนไปนั่งที่เก้าอี้ลากไปที่ข้างเตียง ส่วนตัวเขานั่งบนเตียงโดยหันหน้าเข้าหากัน “มองตากันเก้าเกม ถ้านายหวั่นไหวนายก็แพ้” เขาบอกกติกา

“ไอ้หวั่นไหวของคุณมันคืออะไรล่ะ มันไม่เป็นรูปธรรมแล้วจะวัดกันชัดเจนได้ยังไง” ชนม์แดนเถียง

“หวั่นไหวก็คือกระพริบตา ใครกระพริบตาก่อนแพ้ เล่นแล้วนับแต้ม ใครถึงห้าแต้มก่อนก็ชนะ”

ร่างบางถึงกับเงิบไปเลย พูดซะน่ากลัวแต่ที่จริงมันคือแข่งจ้องตาธรรมดาๆ  เมื่อเข้าใจกติกาแล้วจึงกลอกตาก่อนจะตอบรับอย่างเสียไม่ได้

“มาๆ จะได้จบๆ ซะที” ว่าแล้วก็ตั้งท่าเอาจริงเอาจัง ซ้อมกระพริบตาแล้วหลับตารอที่จะเริ่มเกม


ทั้งคู่เริ่มมองตากันไปเรื่อยๆ ใช้เวลาแต่ละรอบก็นานทีเดียวเพราะชนม์แดนไม่ยอมง่ายๆ และตอนนี้ร่างบางก็กำลังนำอยู่ที่ 3:2 

ไม่ให้เสียชื่อคุณหนูจอมหยิ่งหรอก เรื่องสู้ตาใครจะสู้ชนม์แดนล่ะ ไม่ใช่จะคุยนะ อันนี้เก่งจริงๆ


แต่เมื่อมาถึงรอบที่หกก็เริ่มมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นเพราะแววตาของอีกฝ่ายเริ่มเปลี่ยนไป จากธรรมดาที่ดูคมเข้มอยากเอาชนะเปลี่ยนเป็นสายตาของราชสีห์จ้องมองเหยื่อเหมือนตอนนั้นที่เขาจูบคนอื่นแล้วมองมาที่ตน

ชนม์แดนกลืนน้ำลายลงคอเผลอกระพริบตาจนแพ้ไปในรอบนี้ 

“สามต่อสาม” เขาขานแต้ม “ชนะอีกแค่สองเกมนะ  ฉันชนะรวดให้ดู”

“อย่าฝันเถอะ” ชนม์แดนโต้กลับ  “ผมนำมาตั้งนานอีกแค่สองเกมทำไมจะทำไม่ได้”

แล้วทั้งคู่ก็เริ่มจ้องกันอีกครั้งและครั้งนี้สายตาของอีกฝ่ายก็ยังทำให้ชนม์แดนใจสั่น รู้สึกหวั่นไหวเหมือนครั้งแรกที่ได้มอง ช่างน่ากลัวทว่ามีเสน่ห์ดึงดูดแบบแปลกๆ

ผู้ชายนิสัยเสีย เปลี่ยนแฟนไม่ซ้ำหน้า ถ้าคิดจะปราบเขาจะเป็นไปได้ไหมนะ

“สี่ต่อสาม” เขาขานแต้มออกมาทำให้ชนม์แดนไม่พอใจ

“ผมยังไม่ทันกระพริบตาเลย”

“นายกระพริบแล้ว” เขาเถียง

และชนม์แดนก็ไม่อยากจะเถียงอีกเพราะก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน 

คิดฟุ้งซ่านไปแล้วนะชนม์แดน ตั้งสติสิ อย่าไปหลงกลเขา



การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป ในขณะที่กำลังจ้องมองแววตาคู่คมนั้นก็ดูเหมือนว่าเขากำลังขยับเข้ามาใกล้ทว่าชนม์แดนกลับไม่ถอยหนี  ลมหายใจของเด็กหนุ่มเริ่มแรงขึ้น ถึงตอนนี้จะเผลอกระพริบตาไปแล้วแต่เขากลับไม่ขานคะแนนออกมาแต่ยังคงจ้องอยู่แบบนั้นจนหัวใจเริ่มสั่นกระตุก

จากดวงตาที่ทรงเสน่ห์ลึกลับค่อยๆ ทอแสงอ่อนโยนขึ้นจนรู้สึกหวั่นไหว

“ฉันจูบได้ไหม” คำขอซื่อๆ ทำเอาใจเต้นระรัวแบบไม่เคยเป็นมาก่อน

จะตอบอะไรดีล่ะ ตอบว่าไม่ได้เหรอ หรือจะลองตอบว่าได้..

“อืออ!?”

ในขณะที่กำลังคิดตัดสินใจทว่าร่างสูงกลับไม่รอ เขายัดเยียดกลีบปากเข้ามาพร้อมกับมือหนาที่เลื้อยเข้าโอบกอดอย่างคล่องมือ

ไม่นะ จูบแรก!!!!!!

มือเรียวดันร่างหนาสุดแรงและเมื่อรู้ว่าไม่เป็นผลก็เริ่มทุบ หยิก และข่วน ประเคนไปทุกกระบวนท่ารวมถึงพยายามยกเท้าขึ้นถีบ ทว่ามันไม่ง่ายแค่เขาล็อคขาหนีบเอาไว้ก็เลยต้องกลายร่างเป็นตุ๊กตายางหมดทางสู้

“อือ อืออ” เผลอส่งเสียงออกมาเมื่อริมฝีปากถูกดูดดุนหนักขึ้น ทั้งตกใจและหวั่นไหวโดยเฉพาะเมื่อถูกประคองท้ายทอยแล้วดึงเข้าไปจนเก้าอี้เลื่อนไปชิดติดเตียง กลายเป็นว่าร่างบางบดเบียดอยู่กลางหว่างขาของเขาในตอนนี้

“อือออ” เรียวลิ้นอุ่นชื้นเริ่มสอดแทรกเข้ามาทักทายไปทั่วอย่างไม่เร่งร้อน ร่างชนม์แดนอ่อนระทวยไปหมด มือไม้ปัดป่ายแบบไม่มีแรงจนในที่สุดก็ถูกเขาอุ้มขึ้นมานั่งข้างกันบนเตียง

“อยู่ด้วยกันนะคืนนี้” คำขอของเขาทำให้เลือดในร่างแทบแข็งตัว

มันแปลว่าอะไรกันนะ ตอนนี้หูอื้อตาลายไปหมด แทบจะปะติดปะต่ออะไรไม่ได้เลย

ชนม์แดนอายุแค่ 15 แถมยังไม่เคยรักใคร อย่าว่าแต่จูบเลยแค่หอมแก้มก็ยังไม่เคย แต่นี่ถูกจูบแถมยังถูกชวนให้นอนด้วย แล้วเด็กน้อยจะทำอย่างไรดี


ในที่สุด ร่างบางก็ส่ายศีรษะช้าๆ มองอีกฝ่ายด้วยสติที่มีไม่ถึง 50%

“ถ้าจะปฏิเสธด้วยหน้าตาแบบนี้นายตอบว่า ‘ทำผมเถอะ’ ดีกว่านะ” เผ่าพงศ์ยิ้มเอ็นดูแล้วลูบไล้ไปตามผิวหน้าเรียบเนียน

ต้องหยุดตัวเองให้ได้นะชนม์แดน ต้องหยุดไม่อย่างนั้นแย่แน่

Rrrrrrrrrrrrrrrr

เสียงเพลงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของชนม์แดนดังขึ้นปลุกสติให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว

ขอบคุณสวรรค์ ระฆังช่วยชีวิต!

ชนม์แดนรีบผละออกมาจากร่างสูงแล้ววิ่งไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมากดรับสาย ทั้งที่ยังไม่ทันได้ดูด้วยซ้ำว่าใครโทรมา

“ฮัลโหล”

“อยู่ที่ไหน!” เสียงผู้เป็นพ่อตวาดดังลั่นจนต้องดึงมือถือออกห่างจากหู “กลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยนะ! เรามีเรื่องต้องชำระความกัน!!”

ใบหน้าสวยแสยะยิ้มให้กับความเกรี้ยวกราดที่ได้รับ เด็กหนุ่มไม่ตอบคำถามและรอฟังว่าพ่อจะพูดอะไรออกมาอีก

“ทำไมแกใจดำอำมหิตแบบนี้ตาดอท! เจ้าดินมันเพิ่งสิบขวบแถมยังเป็นไข้แกยังผลักมันลงสระได้อีก นี่กะจะฆ่าน้องหรือไง!”

หึ..ที่แท้ก็เป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องไอ้ลูกเมียน้อย

 “แล้วมันตายหรือเปล่าล่ะ” ถามไปในใจก็เผลอลุ้น ลึกๆ แล้วไม่ได้อยากให้มันตายแค่อยากให้รู้ว่ามันถูกเกลียดมากแค่ไหนจะได้พากันออกไปจากบ้านเสียที

“ก็ยังดีที่น้องมันไม่ตาย ไม่งั้นแกก็ไม่พ้นคุกเพราะฆ่าน้องตัวเอง!”

จิตใจเมื่อถูกความริษยาเข้าครอบงำมักมองไม่เห็นถึงความผิดชอบชั่วดีใดใดและจะปักใจคิดอยู่เสมอว่าเป็นผู้ถูกกระทำอยู่เพียงฝ่ายเดียว

“มันไม่ใช่น้องของดอท!” ชนม์แดนตะโกนกลับไปบ้าง ดวงตาร้อนผ่าวราวกับจะหลุดออกจากเบ้า “ดอทไม่มีน้อง ไม่เคยมีและจะไม่มีไปจนวันตาย!”

“นี่ยังไม่สำนึกอีกเหรอ! เกือบฆ่าคนตายแล้วยังไม่สำนึกอีก! ทำไมแกร้ายกาจได้ขนาดนี้ นี่ยังอยากเป็นลูกฉันอยู่ไหม!!!” เจ้าสัวตะเบ็งเสียงดังลั่นเหมือนยิ่งตอกย้ำความรู้สึกว่าถูกเกลียดชังมากขึ้นไปอีก

ดวงตาคู่สวยแสบร้อนหนักจนหยาดน้ำพรั่งพรูออกมามากมาย หัวใจที่แตกละเอียดกลับถูกฝ่าเท้าเหยียบย่ำจนไม่มีชิ้นดี

“ถ้าป๋าไม่อยากให้เป็น! ดอทก็จะไม่เป็น! ต่อไปนี้ป๋าไม่มีลูกเลวๆ อย่างดอท เชิญไปโอ๋ไอ้ลูกเมียน้อยนั่นเถอะอย่ามายุ่งกับดอท!!!” ตะโกนสุดเสียงและปาโทรศัพท์ทิ้งจนมันแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย  “ฮืออออออออ” ร่างเล็กทรุดลงพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ปริ่มจะขาดใจเพราะความลำเอียงของผู้เป็นพ่อ

เกลียด เกลียดทุกคนเลย เกลียด!!!



ชนม์แดนกองอยู่กับพื้นร้องไห้โฮจนเนื้อตัวสั่นเทาราวกับลูกนกตกจากรังจนเมื่อมีใครคนหนึ่งเข้ามาโอบกอดจึงได้โผเข้ากอดไว้แน่น

“ถ้าไม่มีที่ไปก็อยู่ด้วยกันที่นี่แหละ” เผ่าพงศ์บอกด้วยเสียงอ่อนโยน

ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งสะอื้นไห้ เด็กหนุ่มซุกตัวเข้ากับอกแกร่งพลางปล่อยน้ำตาให้รินไหลจนเสื้อของอีกฝ่ายเปียกปอนไปหมด

“ร้องออกมาซะให้พอ ถ้าหายเศร้าแล้วเฮียจะทำให้ดอทมีความสุขนะ” ปลอบประโลมพรมจูบไปทั่วศีรษะหลังได้เห็นเหตุการณ์ต่อหน้า

ทั้งรอยมือบนแก้มใส ดวงตารีที่บวมฉ่ำ ปลายจมูกแดงแถมยังเสียงพูดแปร่งๆ เพราะผ่านการร้องไห้ ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของเผ่าพงศ์ตั้งแต่เขาชวนร่างบางขึ้นรถ  ก่อนหน้าก็คิดไว้ว่าอยากเห็นตอนร้องไห้หนักๆ อยากรู้ว่าหยิ่งขนาดนี้เวลาเสียใจจะเป็นยังไงแต่พอได้เห็นกับตาถึงได้รู้ว่าชนม์แดนเหมาะกับใบหน้าเชิดหยิ่งมากกว่าเป็นไหนๆ


หัวใจดวงน้อยกระตุกเต้นผิดจังหวะอีกครั้งเมื่อได้ยินสรรพนามที่อีกฝ่ายใช้เรียกตน โดยเฉพาะชื่อเล่นที่ออกมาจากปากของเขาเป็นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมหัวใจที่แหลกละเอียด

ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องเพียงเล็กน้อยทว่าในสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ น้ำแค่เพียงหยดก็สามารถชุบชีวิตของคนด้อยค่าให้ฟื้นคืนขึ้นมาได้

“ดอท..อยู่ที่นี่ตลอดไปได้ไหม ฮึกก ฮืออๆๆ” ชนม์แดนเองก็เปลี่ยนคำเรียกตัวเองเช่นกัน ในเวลานี้แค่อยากให้ใครสักคนมาเข้าใจและได้เป็นคนที่มีตัวตนสำหรับเขาก็เพียงพอ

“เท่าที่ดอทจะต้องการเฮียเลยครับ” แววตาที่เคยดุดันแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นเอ็นดู ซึ่งร่างบางโหยหาจากผู้เป็นพ่อมาตลอดชีวิต อย่าว่าแต่ความเอ็นดู แม้แต่รอยยิ้มก็ยังไม่เคยได้รับ 

เด็กน้อยเงยหน้ามองร่างหนาด้วยความรู้สึกตื้นตัน หัวใจสั่นไหวรุนแรงไปกับสรรพนามที่เขาแทนตัวเองและทุกคำพูดของคนตรงหน้า อย่างน้อยมีคนๆ นี้ที่ต้องการ

อย่างน้อยก็ยังมี..

“จูบดอทที..นะครับ” ร่างบางส่งสายตาอ้อนวอนอีก 

ดวงตาคู่สวยที่หยาดเยิ้มไปด้วยหยดน้ำตาเป็นภาพที่กระตุ้นความสงสารให้ประทุขึ้นได้ไม่ยาก 

ทุกความน้อยใจที่อัดแน่นในอกจนไต่ระดับไปถึงความเสียใจถึงขีดสุดขับดันให้หัวใจดวงน้อยกระสันที่จะกระโจนลงไปในห้วงเหวลึก ไม่สนอีกแล้วว่าอันตรายคืออะไร ความรู้สึกที่มีในตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่า..เตลิดไปจนกู่ไม่กลับ

เผ่าพงศ์ยิ้มรับกับสิ่งที่ได้ยิน ใบหน้าหล่อเหลาคมคายค่อยๆ เคลื่อนต่ำลงบรรจงมอบจุมพิตให้กับอีกฝ่ายแผ่วเบา  ในชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะยอมโอนอ่อนไปกับความทุกข์ร้อนของผู้อื่น แต่ในครั้งนี้ขอยอมสยบให้กับร่างอันสั่นเทาตรงหน้า เจ้าของใบหน้าสวยที่เคยเย่อหยิ่ง เจ้าของจิตใจที่เคยเด็ดเดี่ยวดื้อรั้นทว่าในตอนนี้กลับมีบาดแผลฉกรรจ์จนเจ็บหนักแทบจะไม่เป็นผู้เป็นคน

ร่างสูงไล้ริมฝีปากขึ้นจูบซับรอยน้ำตาซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่ไม่มีทีท่าว่ามันจะแห้งเหือด เขาจึงปล่อยให้มันไหลอยู่เช่นนั้นเพราะอันที่จริงแล้วปฏิเสธไม่ได้เลยว่าช่างเป็นภาพที่งดงามจนแทบลืมหายใจ  กลีบปากหยักลึกเคลื่อนกลับมาจุมพิตริมฝีปากบางอีกครั้ง ดูดดุนแทะเล็มแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆ แทรกเรียวลิ้นเข้าไปกลืนกินความหวานจนเกินกว่าจะต้านทาน



“อ..อาห์”  ชนม์แดนได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายช่วงชิมลิ้มรสผิวกายได้ตามอำเภอใจ กลีบปากสีซีดคอยดูดดุนขบเม้มไปทั่วและในที่สุดมือหนาก็ดึงเสื้อเชิ้ตเข้ารูปตัวบางให้หลุดออกอย่างง่ายดาย จากนั้นยอดอกเม็ดเล็กก็ถูกปลุกปั่นด้วยเรียวลิ้นจนมันแข็งเป็นไตอย่างห้ามไม่ได้  “อ้ะ.. อาห์ อาาห์”


“สีชมพูไปทั้งตัวเลย” ดวงตาคู่คมจ้องมองอย่างหื่นกระหายไปทั่วร่างกายบอบบาง  มือหนาค่อยๆ ดึงกางเกงตัวน้อยนั้นออกแล้วยิ้มอย่างพอใจ  “ตรงนี้ก็สีชมพู” เขาไล้นิ้วไปตามความยาวกลางลำตัวของอีกฝ่าย จากที่มันหลับใหลก็ตื่นขึ้นสู้มือของเขาอย่างน่าอาย

นิ้วแข็งแกร่งคอยขยับเคล้าคลึงส่วนที่แข็งขืนนั้นอย่างหนักหน่วง ไม่ได้รู้สึกเจ็บทว่ามันช่างซ่านเสียวจนเกินกว่าจะทนไหว 

“ดอทชอบหรือเปล่า” ทุกๆ ประโยคจากร่างสูงแสดงออกถึงความอ่อนโยนแต่การกระทำนั้นแฝงเร้นไปด้วยความจาบจ้วงหยาบโลน  ยิ่งเห็นความขัดแย้งของผู้กระทำมากขึ้นเท่าไร แรงกำหนัดของร่างบางก็ยิ่งสูงขึ้นมากเท่านั้น

วินาทีนี้ชนม์แดนแทบจะไม่มีสติสัมปชัญญะเหลืออยู่เลย  ภายหลังจากถูกความเสียใจถาโถมเข้าใส่จนความทุกข์พีคสูงเสียดเพดานแต่ในเวลาต่อมากลับได้รับการปรนเปรอปรนนิบัติอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน  ความรู้สึกที่ถูกสวิงไปมาในเวลาไล่เลี่ยกันเช่นนี้ทำให้ระดับเคมีในสมองเริ่มขาดความสมดุล จิตใจกระเจิดกระเจิงผลักดันให้ร่างกายเร่าร้อนด้วยแรงกำหนัดจนถึงขีดสุด


“ไปที่เตียงนะครับ” เผ่าพงศ์อุ้มร่างน้อยขึ้นไปวางลงบนเตียงที่สปริงตัวค่อนข้างดีและเมื่อเขาตามขึ้นมามันก็ยิ่งเด้งขึ้นลงมากขึ้น  เขาคร่อมร่างบางไว้แล้วก้มลงไล้เลียไปตามริมฝีปากจนผู้อยู่ใต้ร่างต้องเผยอกลีบปากขึ้นให้เขาสอดลิ้นเข้ามา

“อ๊ะ!” หลุดเสียงครางเบาๆ เมื่อเขาขบกัดกลีบปากล่างแล้วดึงออกไปเล็กน้อย “อืออ..เจ็บ..” ส่งเสียงบ่นทว่ากลับเป็นเหมือนการเชื้อเชิญ

“อยากกัดให้หลุดออกมาเป็นชิ้นๆ” เขาส่งสายตาหื่นกระหาย มองโลมเลียและลูบไล้ไปทั่วจนเจ้าของร่างบิดเร่าด้วยแรงอารมณ์

“อยากกัดก็กัดสิครับ” ชนม์แดนตอบรับไร้ซึ่งความเขินอายใดใด ไม่มีความคิดอะไรอยู่ในหัวนอกจากอยากให้เขาพาไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่โลกแห่งความจริง  “อ๊ะ! อือ อาห์..”  เมื่อได้รับคำอนุญาต ร่างสูงจึงขบกัดสร้างรอยไปทั่วยังผลให้ผู้ถูกกระทำส่งเสียงครางระรัว

“เด็ดอย่างที่คิดไว้จริงๆ” ร่างหนาเอ่ยปากเมื่อพลิกร่างเล็กให้คว่ำลงก่อนจะขบกัดไปตามแผ่นหลังและบั้นเอวจนชนม์แดนครางรับและเลี้อยตัวไปตามแรงปรารถนา

“อาห์ อือออ อ้า.. อาห์”

รับรู้ถึงความเปียกชื้นบริเวณบั้นท้ายเป็นทางยาวเนื่องจากเขาไล้เลียไปทั่วจนรู้สึกเสียวซ่านสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

“อ๊ะ อาาาห์”  เกิดเสียงน่าอายขึ้นทุกครั้งที่ถูกเขาสัมผัส “อึ่ก.. อ่าห์”  ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้นแล้วหรี่ลงพร้อมกับครวญครางเมื่อถูกขบกัดบั้นท้ายและดูดดุนหนักหน่วงจนเกิดเสียงดังน่าเกลียดแต่มันกลับเพิ่มอารมณ์ให้ร่างบางมากยิ่งขึ้น

มือหนาดึงรั้งสะโพกผายให้โก่งขึ้นจากนั้นก็ควานหาความเป็นชายที่ไม่ใหญ่โตนักของร่างบางแล้วชักนำจนมันพ่นของเหลวออกมาในเวลาไม่นาน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะรอท่าอยู่ก่อนแล้วเพราะเมื่อสารคัดหลั่งลื่นหนืดพ้นออกจากร่างกายมันก็ถูกละเลงความฉ่ำแฉะไปทั่วบั้นท้ายจากนั้นก็ฟาดอย่างแรง

เพี้ยะ!

“อ๊า!!” ชนม์แดนร้องเสียงดัง อันที่จริงไม่ได้เจ็บนักแต่เป็นอาการสะดุ้งเพราะเสียงมันค่อนข้างหยาบโลนและเฉอะฉ่ำไปหมดจนทั้งอายและตื่นเต้นระคนปนเป

“ร้องดังๆ เลยครับ อยากร้องดังแค่ไหนก็ร้อง” น้ำเสียงบ่งบอกความพึงพอใจกับผลงานของตัวเอง มือหนาถูกฟาดลงมาอีกหลายครั้งจนเริ่มขึ้นรอยมือไปทั่ว

“อ๊า.. อ๊า.. อ๊าห์.. อาห์.. อื้อ อ้าห์”  บั้นเอวคอดสวยโยกย้ายตอบรับแรงมือของอีกฝ่ายพร้อมกับเสียงครางกระเส่าอย่างถึงใจ

เมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างทรมานจนพึงพอใจแล้ว ร่างสูงก็เปลี่ยนจากฟาดเป็นการลูบละเลงไปทั่วก่อนจะแบะอ้าบั้นท้ายกลมกลึงออกแล้วลูบช่องทางคับแคบนั้นแผ่วเบา

“ยังซิงอยู่เลย” นิ้วซุกซนพยายามชอนไชเข้าสู่ร่องหลืบที่ยังคับแน่น

“อ..อย่า..ฮ..เฮีย..” เสียงเรียกชื่อแผ่วๆ เพราะทั้งกลัวและเขินอายทว่าไม่ได้ขยับหนีหรือขัดขืนแต่อย่างใด

“เฮียจะทำเบาๆ นะ” เสียงทุ้มนุ่มให้คำรับรองจนร่างบางเริ่มผ่อนคลาย “ดอทอย่าเกร็งนะ ปล่อยตัวไปตามความรู้สึก ถ้าเจ็บก็ร้องดังๆ”  รับรู้สึกถึงความเย็นวาบและลื่นหนืดอยู่ตรงช่องทาง กลิ่นหอมเย็นโชยแตะจมูกซึ่งเดาเอาว่าน่าจะเป็นตัวช่วยให้การทำรักครั้งนี้ไม่ยากจนเกินไป 

“อ๊า อึ่ก.. อึก.. อื้ออ” ร่างสวยได้แต่หลับตาปล่อยความรู้สึกไปกับปลายนิ้วที่ไล้ไปมาแต่ไม่นึกว่าจะต้องสะดุ้งและร้องครางด้วยทั้งเจ็บและซ่านเสียวแค่เพียงเรียวนิ้วแกร่งชำแรกผ่าน

เผ่าพงศ์นอนลงและแทรกศีรษะเข้ามาจากด้านล่างจนใบหน้าจดจ่ออยู่ตรงตำแหน่งใจกลางความเป็นชายจากนั้นก็กดสะโพกผายลงเพื่อลิ้มลองความสดใหม่ และการกระทำเหล่านี้ไม่ได้ทำให้นิ้วแกร่งหลุดออกไปจากช่องทางอุ่นร้อนแม้แต่น้อย

“อ้า อืออ อือ” ทุกอย่างเป็นครั้งแรก มันแปลกใหม่ ตื่นเต้นและหฤหรรษ์จนจิตใจกระเจิดกระเจิง

“อึ่ก อ้า อื้อ อึก อื้อ” ทั้งเจ็บตรงส่วนท้ายที่มีสิ่งแปลกปลอมเพิ่มจำนวนขึ้นปะปนกับความเสียวซ่านเพราะการปรนเปรอด้วยเรียวลิ้นช่ำชอง “ฮ..เฮีย เฮีย” ชนม์แดนเรียกเสียงปร่า

ไม่นานนักการสอดใส่นิ้วแกร่งของเขาก็ไหลลื่นขึ้น ชนม์แดนเริ่มปรับตัวได้และรู้สึกถึงความซ่านสยิวจนต้องขยับสะโพกตามการชักนำ


“ดอทเก่งจัง” เขาเอ่ยชม “เรียกเฮียอีกสิ เสียงดอทหวานที่สุดเลยรู้ไหม” ในตอนนี้เขากำลังคุกเข่าอยู่ตรงบั้นท้ายมองดูนิ้วของตัวเองเข้าออกในร่างที่บิดเร่าด้วยแรงปรารถนา ถ้าเป็นตอนปกติชนม์แดนคงกระดากอายจนทนไม่ไหว แต่ในห้วงอารมณ์เช่นนี้กลับรู้สึกท้าทายและตื่นเต้นไปกับคำชมและการกระทำที่หยาบโลน

“..เ ฮี ย อ้าาห์” เผ่าพงศ์แกล้งชักนำนิ้วให้เร็วขึ้นจนต้องร้องลั่น

“อย่างนั้นแหละ ร้องดังๆ เฮียชอบ” เสียงเขาฟังดูหื่นกระหายมากขึ้นทุกที “อยากหรือยัง”

“อือออ” ชนม์แดนครางรับแทนคำตอบ อยู่ดีดีก็ถามอะไรแบบนี้จะให้พูดออกมาได้ยังไง

“เฮียถามว่าอยากหรือยังครับ” นิ้วแกร่งชักนำรัวเร็วทุกครั้งที่เขาเร่งจะเอาคำตอบ

“อ..อยา ก..ครับ” ชนม์แดนตอบออกไปอย่างน่าอาย

“งั้นก็ขอสิ” เขาบอก

“อื้ออ ๆ” เมื่อไม่ตอบก็ถูกกัดลงไปที่บั้นท้ายและเร่งความเร็วเข้าออกเพิ่มขึ้นอีก “อ..เ อา  เ อา ดอท เถอะครับ” ร่างบางร้องขอออกไปจนได้

ทำไมยิ่งพูดยิ่งมีอารมณ์มากขึ้นทุกที ใบหน้าร้อนผ่าวไปหมดแถมยังรู้สึกถึงปริมาณความเปียกแฉะตรงส่วนปลายและช่องทางด้านหลังมากขึ้น

“อย่าเกร็งนะ ปล่อยอารมณ์ปล่อยใจไปด้วยกันแล้วเฮียจะพาดอทไปให้ถึงสวรรค์”  ร่างหนาพลิกตัวชนม์แดนให้นอนหงายแล้วก้มลมกระซิบที่ข้างหู เมื่อร่างบางพยักหน้าตอบรับเขาก็เริ่มขบกัดลำคอระหงส์พร้อมกับดันความเป็นชายของเขาเข้าไป

“อึกกก!!” ชนม์แดนเริ่มอึดอัดและกัดฟันแน่นแต่อีกฝ่ายก็ไม่ปล่อยให้ต้องเจ็บปวดมากเกินไปเพราะมือหนาที่คล่องแคล่วชักนำท่อนรักให้พร้อมรับการสอดใส่ “อา อื้ออ” ในที่สุดก็เริ่มไหลลื่นขึ้น

“เก่งจัง” เขาชมพร้อมกับโยกตัวเบาๆ เป็นจังหวะ “เสียวไหม”  คำถามที่น่าอายถูกถามออกมาเรื่อยๆ ชนม์แดนเองก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้างส่วนใหญ่ก็ได้แต่ร้องครางไปตามอารมณ์



จากนั้นอีกพักใหญ่เขาก็เร่งจังหวะเร็วขึ้น เร็วขึ้น และเร็วขึ้นอีกจนในที่สุดก็ถึงปลายทาง

อาหห์ ที่เขาว่าการทำรักคือได้ขึ้นสวรรค์ มันเป็นแบบนี้นี่เอง 



แทบจะขาดใจตายเสียให้ได้  เผ่าพงศ์ทิ้งตัวลงทับร่างบางแล้วหายใจกระหืดกระหอบ

“สุดยอด..” คำชมมากมายที่เขาเคยพร่ำบอกมาก่อนหน้า เด็กหนุ่มก็ยังไม่รู้สึกเขินเท่ากับคำนี้

ชนม์แดนได้แต่เอียงหน้าไปอีกทางแล้วหลับตาหนีความกระดากอายเนื่องจากนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า  และนั่นเป็นครั้งแรกกับประสบการณ์มีเซ็กส์ และอีกครั้งในตอนกลางคืนซึ่งไม่ได้โหดน้อยกว่าครั้งแรกเลย ครั้งที่ 3 ในตอนค่ำของอีกวัน ครั้งที่ 4 คือรุ่งสางของวันที่สามและปิดท้ายด้วยครั้งที่ 5 ก่อนออกจากตึกนั้น




“แน่ใจนะว่าอยากจะกลับ” ร่างสูงกอดตระกรองร่างน้อยไว้ไม่ห่าง ถามซ้ำเป็นรอบที่ร้อยเห็นจะได้

“เดี๋ยวคุณแม่จะเป็นห่วงครับ” ร่างบางตอบแล้วหลบตาพยายามขยับหนีการสัมผัสเพราะร่างกายมักจะสนองตอบรับเขาไปโดยไม่รู้ตัว


ในคืนแรกนั้น ชนม์แดนใช้โทรศัพท์ของเผ่าพงศ์โทรหามารดาแล้วบอกว่าจะไปนอนบ้านเพื่อน กำชับผู้เป็นแม่ว่าไม่ต้องเป็นห่วงเพราะจะกลับบ้านแน่นอนแต่ขอเวลาทำใจสักพัก ซึ่งคุณรุ่งฤดีเองก็เห็นว่าเป็นทางที่ดีกว่าจะให้ลูกชายกลับมารองรับความฉุนเฉียวของสามีที่จนป่านนี้ก็ยังไม่หายโกรธ

“ถ้าเฮียเรียก ดอทจะมาหาเฮียอีกไหม” เผ่าพงศ์ถามพร้อมกับส่งสายตาแห่งความหวัง

“ดอทก็ยังไม่รู้เลย เอาไว้ถ้าถึงเวลาแล้วค่อยว่ากันนะครับ”  เด็กหนุ่มนิ่งคิดแล้วตอบเขาไปตามความรู้สึกจริงๆ ว่าแล้วก็ก้าวขึ้นรถแบบไร้เรียวแรง  ร่างกายถูกใช้งานไปเยอะจนแทบจะไม่เหลือพลังงาน สามวันสามคืนกับ 5 ครั้งแต่ไม่รู้กี่รอบที่เสร็จสมเพราะนับแทบไม่ทันเลย




เผ่าพงศ์ขับรถค่อนข้างเร็วและไม่นานก็ถึงบ้าน ชนม์แดนยังนั่งอยู่ในรถ มองประตูรั้วด้วยจิตใจห่อเหี่ยว ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากกลับมาเหยียบที่นี่ หากไม่ห่วงผู้เป็นแม่ก็คงเตลิดไปไหนต่อไหนตามใจอยากแล้ว



ต่อ..


หัวข้อ: ► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 2 : เผ่าพงศ์ 1-2 《21/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 21-04-2018 22:17:14
“ถ้ายังไม่อยากกลับก็ไปอยู่กับเฮีย” มือหนากระชับมือน้อยไว้แน่น เขาเองก็ยังไม่อยากห่างจากร่างนี้เพราะสังหรณ์ในใจว่าอาจจะเจอกันยากขึ้น ไม่ใช่เพราะอุปสรรคอื่นใดทว่าเป็นจิตใจที่เด็ดเดี่ยวเย็นชาของอีกฝ่ายเสียมากกว่า

กระต่ายน้อยที่น่าสงสารของเฮีย..

ร่างสูงมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน  เขานึกชอบใจในบุคลิกที่ค่อนข้างซับซ้อนน่าค้นหา รูปร่างแบบบางผิวขาวจัดจนแทบจะซีดเผือกทว่าเมื่อถูกกระตุ้นไม่ว่าจะทางวาจาหรือการกระทำก็เป็นผลให้แทบจะทุกตารางนิ้วบนเรือนร่างขึ้นสีเรื่อให้เห็นจะๆ ตา    ใบหน้าสวยเด่นแต่กลับดูเย่อหยิ่งเครียดขรึมไร้ชีวิตชีวาปะปนไปกับความเย็นชาด่ำลึกราวกับเสพติดความเศร้าซึ่งนั่นสามารถดึงดูดความเห็นใจได้อย่างง่ายดายเมื่อเปลี่ยนเป็นใบหน้าเปื้อนรอยน้ำตา  ดวงตาคู่สวยแม้จะเล็กรี ทว่ากลับฉาดฉายความต้องการได้ชัดเจน ทั้งชอบ ไม่ชอบ โกรธ เกลียด หรือในช่วงเวลาที่มีความต้องการอย่างมากล้นนั่นทำให้เขายิ่งรู้สึกหวงแหนร่างนี้มากยิ่งขึ้น 



“ดอทหนีมานานแล้วครับ ถึงเวลาที่ต้องสู้ด้วยตัวเองซะที” ริมฝีปากบางเผยยิ้มออกมาพยายามสื่อสารให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าไม่ต้องเป็นห่วง

“ดอทมีเฮียเสมอนะ ตราบเท่าที่ดอทยังต้องการ เฮียจะอยู่ข้างดอทไม่ทิ้งไปไหนแน่นอน”  เผ่าพงศ์บอกออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง

“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มมองใบหน้าหล่อคมที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังอาลัยอาวรณ์และห่วงใยตน ต่างจากก่อนหน้าราวฟ้ากับเหว

ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตนะครับ



ชนม์แดนตัดใจลงจากรถ เดินเข้าบ้านและอยู่รอเผชิญหน้ากับเจ้าสัวแดนสรวงที่สั่งคนรับใช้ให้กำชับลูกชายอยู่รอการชำระความทันทีที่กลับมาถึงบ้าน


“มาแล้วเหรอไอ้ตัวดี” ผู้เป็นพ่อชี้หน้าทันทีที่พบลูกชายยืนรออยู่ด้วยสีหน้าอวดดี “ฉันจะตัดเงินค่าขนมแกสองเดือนเพื่อทำโทษ”

“ครับ” ชนม์แดนตอบรับคำเพียงแค่นั้นแล้วเดินขึ้นบ้านทันที สร้างความงุนงงให้กับผู้เป็นบิดาที่อ้าปากค้างมองตามร่างน้อยที่ดูเหมือนจะอิดโรยแทบจะเดินไม่ไหวจนต้องปล่อยให้ไปพักเสียก่อน

ไม่อยากได้หรอกเงินของป๋าน่ะ ดอทจะหาเงินด้วยตัวเองไม่พึ่งป๋าแม้แต่บาทเดียว!




วิธีต่อสู้ของชนม์แดนก็คือยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง และในสองเดือนนี้เด็กหนุ่มก็ทำได้ด้วยการของานพิเศษที่ได้เงินจากอาจารย์โดยท่านก็เมตตาส่งไปทำงานที่ห้องเสื้อของเพื่อนซึ่งได้เงินมาทดแทนค่าขนมค่าข้าวในแต่ละวัน รวมถึงเฮียเผ่าที่โอนเงินมาให้เสมอเดือนละสามสี่พันก็เหลือค้างในบัญชีแบบสบายๆ


เมื่อนึกถึงเผ่าพงศ์ เด็กหนุ่มก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะดีกับตนมากมาย ดีจนลืมไปเลยว่าเขาเคยร้ายกาจขนาดไหน แต่ในสถานการณ์อึมครึมในชีวิตกลับทำให้เหนื่อยหน่ายเกินกว่าที่จะตอบรับการนัดพบของเขา นั่นทำให้ทั้งคู่ไม่ได้ทำรักกันอีกนับตั้งแต่ครั้งนั้น


“คืนนี้ดอทมานอนกับเฮียนะ เฮียคิดถึงจัง”  เขาโทรมาอ้อนแบบนี้เสมอแต่ก็ถูกปฏิเสธไปทุกครั้ง

“ถึงไม่มีดอทเฮียก็ไปกับคนอื่นอยู่แล้วนี่ครับ” ชนม์แดนบอกไปด้วยเสียงแผ่วเบา ทำไมจะไม่รู้ว่าเผ่าพงศ์ไม่เคยหยุดมีคนนั้นคนนี้ ทั้งชายและหญิงไม่เคยซ้ำหน้า

“พวกนั้นก็เป็นได้แค่ทางผ่าน แต่กับดอทมันไม่เหมือนกันนะ เฮียคิดถึงดอทแค่คนเดียวถ้าดอทมาอยู่ด้วยเฮียจะหยุดทุกอย่างจะเลิกกับทุกคนเลยนะเฮียสัญญา” เขาพร่ำหว่านล้อมจนชนม์แดนแทบจะใจอ่อน

แต่ไม่ได้หรอกเฮีย ในชีวิตดอทยังมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความสุขนั่นก็คือ การทำให้ป๋าได้รู้ว่า..เงินของป๋าไม่ได้มีความจำเป็นสำหรับดอทแม้แต่น้อยและถึงแม้ว่าป๋าจะไม่ดูดำดูดีลูกคนนี้เลยแต่ดอทจะรวย จะประสบความสำเร็จด้วยตัวเองให้ได้ ดอทจะพิสูจน์ให้ป๋าได้เห็น!!

“เอาไว้ดอทว่างแล้วจะโทรหานะครับ แค่นี้ก่อนนะ ดอทมีงานล้นมือเลย” พูดจบชนม์แดนก็ตัดสายไปดื้อๆ

เผ่าพงศ์โทรมาอีกหลายครั้งแต่คนใจแข็งก็ไม่ได้รับเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายจะดื้อดึงแบบนี้ในตอนแรกๆ แต่พอสักพักเขาก็ถอดใจแล้วหายไปพักใหญ่จากนั้นก็จะโทรมาตื้ออีก เป็นอย่างนี้จนเด็กหนุ่มจับทางได้แล้ว



วันนี้เลิกงานพิเศษค่อนข้างช้าเพราะจะมีงานเดินแฟชั่นของห้องเสื้อในวันพรุ่งนี้ กว่าจะช่วยจัดเซ็ตเสื้อผ้าได้ครบก็ทำเอาร่างน้อยถึงกับหมดแรง

ชนม์แดนเดินออกมาจากห้องเสื้อเพื่อไปยังจุดนัดพบกับนายเวชคนขับรถตรงหลังตึก แต่พอเดินเลี้ยวเข้าซอยก็เจอเข้ากับมอเตอร์ไซค์คันใหญ่จอดอยู่ในระยะสายตาและก่อนที่จะไหวตัวทัน ร่างสูงที่คุ้นเคยก็ปราดเข้ามาประชิดทันที

“พี่นึกว่าชาตินี้จะไม่เจอกันแล้ว”

“พ..พี่เวย์!!”

หัวใจเต้นระส่ำเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาได้ชัดถนัดตา เลือดในกายอุ่นขึ้นเพียงเพราะได้เจอเขาอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปนานร่วมสองเดือน  ชนม์แดนเบิกตามองร่างสูงที่ค่อนข้างซูบโทรมกว่าที่เคยเห็นอยู่ครู่หนึ่งแต่แล้วก็รีบหลบตาวูบด้วยความรู้สึกผิดและกระดากอายในความประพฤติของตน

“ทำไมหลบหน้าพี่ล่ะครับ เบอร์โทรก็เปลี่ยน ไลน์ก็ไม่อ่าน ไปที่บ้านก็ไม่เคยเจอ พอเลิกเรียนก็รีบขึ้นรถของที่บ้านแล้วมาทำงานเลย นี่ถ้าพี่ไม่หน้าด้านสะกดรอยตอนน้องออกจากโรงเรียนก็ไม่รู้หรอกว่าน้องมาทำงานที่นี่”  คำถามที่พรั่งพรูออกมายืดยาวเพราะความอัดอั้น

อนุชาเฝ้าคิดหาเหตุผลอยู่ทุกขณะจิตว่าเหตุใดคนที่เขาคิดว่าน่าจะใจอ่อนยอมเปิดใจให้เขาแล้วกลับมาหลบหน้าหายไปจากชีวิต ทั้งห่วง ทั้งไม่เข้าใจ และน้อยใจเสียใจระคนปนเปจนไม่เป็นอันกินอันนอน

“ค..คือ คือช่วงนี้ต้องทำงานเยอะครับ นี่น้าเวชก็รอนานแล้ว น้องไปก่อนนะ” ชนม์แดนเดินเลี่ยงและพยายามจะออกห่างจากอนุชาให้เร็วที่สุด

ไม่กล้าสู้หน้าพี่เวย์เลยครับ ร่างกายน้องมันสกปรกเกินไปไม่คู่ควรกับคนดีๆ อย่างพี่เวย์หรอก

“เดี๋ยวสิดอท” มือแกร่งคว้าจับต้นแขนเล็กไว้ได้แล้วดึงเข้าหาตัว

!!!!!!??

ร่างบางสะท้านเฮือกทันทีที่ปะทะเข้ากับอกแกร่ง รู้สึกถึงคลื่นความถี่ที่สั่นสะเทือนอยู่ในกระแสเลือดจนแทบจะระทวยทรุดลงตรงนั้น

“ป..ป ล่ อย..ครับ” เสียงที่ขาดห้วงเกิดจากความผิดปกติภายในร่างกายโดยเฉพาะความร้อนรุมตรงที่มือหนาสัมผัสอยู่

“ทำไมน้องตัวสั่นแบบนี้ล่ะครับ ไม่สบายเหรอ” ยิ่งอนุชาก้มเข้ามาใกล้มากแค่ไหน ร่างน้อยก็ยิ่งมีปฏิกิริยามากขึ้นเท่านั้น

“น้ อง ม..ไม่ ไ ด้ เป็นอะไร..” ยิ่งนานเสียงก็ยิ่งกระท่อนกระแทนพร้อมกับลมหายใจขาดห้วงเป็นพักๆ

“น้องไปโรงพยาบาลเถอะ แบบนี้ไม่ปกติแล้วนะ!” มือหนาที่พยายามลูบแขนลูบไหล่เพื่อปลุกปลอบยิ่งทำให้อาการผิดปกติประทุมากยิ่งขึ้น

ป..เป็นอะไร!? ร่างกายบ้านี่เป็นอะไรกันแน่ถึงได้มีความต้องการมากถึงขนาดนี้!


ชนม์แดนรวบรวมกำลังที่มีทั้งหมดผลักหน้าอกอนุชาออกจากตัว

“เลิกยุ่งกับผมเสียที! ตอนนี้ผมมีแฟนแล้วและอยากให้มีแค่แฟนคนเดียวที่มาแตะต้องตัวผมได้  พี่เวย์ตัดใจซะเถอะอย่ามากวนใจผมอีกเลย” สรรพนามที่เปลี่ยนไปพร้อมกับคำร้ายกาจที่พรั่งพรูใส่หน้าอีกฝ่ายทำให้รู้สึกเสียใจมากว่าครั้งไหนๆ เสียใจที่ต้องทำให้คนดีดีเสียความรู้สึก เสียใจที่จากนี้ไปคงเสียผู้ชายคนนี้ไปตลอดกาล

“น้อง!?..ดอท..” ร่างสูงแทบจะล้มทั้งยืน มือหนาหลุดออกจากร่างบางและตกลงข้างตัวหลังจากประมวลผลประโยคก่อนหน้าของอีกฝ่ายจนเข้าใจอย่างถี่ถ้วน

“ลาก่อนครับพี่เวย์” ชนม์แดนเดินผ่านเขามาอย่างไม่มีเยื่อใย ไม่หันหลังกลับไปมองว่าสภาพของอนุชาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร

สองเท้านี้ที่ก้าวไปข้างหน้าแล้วจะไม่มีวันถอยหลังกลับอย่างเด็ดขาด

ลืมน้องเถอะนะพี่เวย์ น้องไม่คู่ควรกับคนดีอย่างพี่หรอกครับ




กว่าที่ร่างกายจะปรับตัวให้กลับมาปกติได้ดังเดิมก็เกือบจะถึงบ้าน ระหว่างทางแวะร้านสะดวกซื้อแล้วดื่มนมอุ่นๆ และอาหารเบาๆ พอให้ท้องไม่โหวงจึงเริ่มหายใจได้เป็นปกติ

“ครบกำหนดที่แกจะได้ค่าขนมเหมือนเดิมแล้ว อยากจะได้เพิ่มจากเดิมไหม”  เจ้าสัวแดนสรวงมาดักรอเจอลูกชายและบอกข่าว หวังไว้ว่าคงทำให้เจ้าเด็กหัวดื้อมันอ่อนลงมาบ้าง

ตั้งแต่เรื่องครั้งนั้นชนม์แดนก็แทบไม่อยู่ให้ที่บ้านเจอตัว เงินก็ไม่ขอแม้แต่คุณรุ่งฤดีเองที่พยายามจะให้เงินแต่ลูกชายก็ไม่ยอมรับ

“ไม่ต้องครับ” ชนม์แดนตอบด้วยสีหน้านิ่งขรึมเย็นชา  ในใจนึกสมเพชตัวเองว่าหากนี่คือการง้อของผู้เป็นพ่อ มันช่างเป็นการง้อที่ฉาบฉวยเกินกว่าจะทำใจรับได้

เงินเหรอ..

นอกจากเงิน ป๋าก็ไม่เคยให้อะไรอีก ความอบอุ่น ความห่วงใย ความใส่ใจ โดยเฉพาะความรักนั้นอย่าได้หวัง

“งั้นก็เอาเท่าเดิม”  ผู้เป็นพ่อสรุป

“ไม่ใช่ครับ คำว่า ‘ไม่ต้อง’ ของดอทหมายถึง..จากนี้ไปป๋าไม่ต้องให้ค่าขนมรวมถึงค่าเทอมและค่าอื่นๆ ด้วย” ชนม์แดนบอกอย่างมาดมั่น เชิดหน้ามองอีกฝ่ายด้วยแววตาแข็งกร้าว

“นี่แกคิดว่าปีกกล้าขาแข็งแล้วเหรอตาดอท” เจ้าสัวเริ่มเสียงดังขึ้น

“เปล่าครับ ดอทแค่อยากให้ป๋ารู้ว่าดอทสามารถยืนได้ด้วยตัวเองไม่ต้องพึ่งเงินป๋าให้อยู่รอด ดอทจะพิสูจน์ให้ป๋าเห็นว่าลูกที่ป๋าไม่เคยชื่นชมจะประสบความสำเร็จในชีวิตให้ได้” ดวงตาเรียวรีเบิกขึ้นจ้องเขม็งอย่างไม่เกรงกลัว

“หึ..ไอ้ประสบความสำเร็จของแกน่ะ เอาอะไรวัดล่ะ” ผู้เป็นพ่อทำสีหน้าดูถูก นึกเคืองใจในความจองหองของผู้เป็นลูก

ถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจ มีอะไรแม่ก็ประเคนเข้าข้างทุกอย่างถึงได้จองหองพองขนขนาดนี้ แม้แต่ครั้งก่อนที่เกือบฆ่าเจ้าดินน้องชายของตัวเองตายก็ยังไม่เคยมีสำนึกอะไรแม้แต่น้อย คุณรุ่งฤดี! คุณเลี้ยงลูกผมให้เป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน!

“ห้าสิบล้าน!” ชนม์แดนตอบอย่างฉะฉาน “ดอทจะเก็บเงินห้าสิบล้านให้ป๋าดู แล้วถ้าถึงวันนั้น ป๋าก็เตรียมคำชมไว้ให้ดอทบ้าง ขอแค่ครั้งเดียวในชีวิตที่ดอทจะได้รับคำชมจากป๋า ดอทขอแค่นี้” แล้วร่างบางก็เดินเลี่ยงขึ้นบ้านก่อนจะปล่อยน้ำตาให้ไหลนองหลังจากพ้นมาจากผู้เป็นพ่อแล้ว

แม้หัวใจจะบีบรัดอย่างหนักจนขาแทบไม่มีแรงก้าวเดินที่คนเป็นพ่อไม่มีแม้แต่คำทัดทานหรือคำใดคำหนึ่งให้รู้ว่าที่ผ่านมาพ่อก็แอบชื่นชมลูกอยู่ในใจหรืออะไรเทือกนี้

แต่ช่างเถอะ..ลูกที่พ่อไม่รักคนนี้จะทำตามที่พูดไปให้ได้ จะเอาคำชมจากป๋าไม่ว่าเขาจะเต็มใจให้หรือไม่ สักวันป๋าจะต้องมองเห็นว่าดอทก็เป็นลูกคนหนึ่งเหมือนกัน



13 ปีผ่านไป เด็กหนุ่มเติบโตขึ้นในแบบที่ตนยึดมั่นจนประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจด้วยวัยเพียง 28 คิดอยู่เสมอว่าเส้นทางที่ก้าวเดินนั้นดีที่สุดแล้วเท่าที่จะทำได้  ทิฐิที่ค้ำคอไม่ได้ทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้นแต่มันเป็นดั่งขุมพลังงานใหญ่ที่ช่วยหล่อเลี้ยงให้ยังหยัดยืนและผ่านพ้นไปได้ในแต่ละวัน

ถึงแม้ว่าภรรยาน้อยของเจ้าสัวแดนสรวงจะเสียชีวิตไปแล้วเกือบสิบปีและลูกชายของเธอก็ขอย้ายออกไปอยู่ตามลำพังตั้งแต่เข้าเรียนชั้นมัธยม ทว่าความสัมพันธ์ของครอบครัวที่แตกร้าวไปแล้วก็ไม่สามารถเชื่อมประสานได้ดังเดิม

แต่สิ่งที่ทำให้เจ็บปวดไม่ใช่แค่เรื่องของครอบครัวเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เมื่อคนที่ชนม์แดนรับเข้ามาให้อยู่ในฐานะคนรักกลับทำให้โลกสีเทากลายเป็นสีกระดำกระด่างเพราะความเจ้าอารมณ์ของเขา


เพี้ยะ!!

ร่างบอบบางกระเด็นลงไปกองบนเตียงทันทีที่เผ่าพงศ์สะบัดหลังมือฟาดลงมาเต็มหน้า

“เฮีย! หยุด! เฮีย!!” พยายามเรียกสติสัมปชัญญะให้กลับเข้าร่างของอีกฝ่าย “เฮีย!!! นี่ดอทนะเฮีย!!”  ร้องบอกอีกครั้งเพื่อเตือนสติเมื่อเห็นว่าปีศาจในร่างของเผ่าพงศ์กำลังตามมาคร่อมแล้วเงื้อมือขึ้นจะซ้ำอีก

"เฮีย.. ตั้งสติหน่อย" หยาดน้ำตาแห่งความเจ็บปวดเริ่มรินไหล  นานแค่ไหนแล้วที่พยายามร้องเรียกจนคอแทบจะพังจนไม่อยากจะดิ้นรนอีกต่อไป ปล่อยให้เขาทารุณเสียให้พอใจก็คงจะสาสมแล้ว อย่างหนักสุดก็แค่ตาย ชีวิตนี้ก็ใช่ว่าจะมีความสุขสักหน่อย ตายไปเสียน่าจะดีกว่า

แต่แล้วร่างสูงก็เริ่มชะงักและนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มได้สติกลับมาเป็นเผ่าพงศ์ผู้แสนดีคนเดิม

“!!!!?...ด..ดอท!!”

ร่างหนารีบประคองผู้เป็นที่รักขึ้น และเมื่อเห็นว่ามีเลือดซึมออกมาตรงมุมปากจึงพยายามจะตรวจดูบาดแผลแต่มือหนาก็ถูกปัดทิ้งเพราะอีกฝ่ายยังปรับความรู้สึกไม่ได้

เป็นอีกครั้งที่ถูกทำร้าย..

ครั้งนี้ก็เจ็ดครั้งแล้วในระยะเวลา 13 ปี   มันไม่ควรจะเกิน 3 ครั้งด้วยซ้ำเพราะคาดโทษเอาไว้ตั้งแต่ที่มันเกิดขึ้นในครั้งแรก ทว่าก็ใจอ่อนยอมให้อภัยมาถึงครั้งนี้  ที่อดทนมาตลอดก็เพราะความดี ระยะเวลาที่คบกันและความเสมอต้นเสมอปลาย แต่เหตุผลสำคัญที่สุดก็เพื่อจะได้ตัดปัญหาเรื่องรักครั้งใหม่ ไม่อยากเริ่มต้นกับใครอีกแค่อยากอยู่ไปเรื่อยๆ แบบนี้จนกว่าจะเก็บเงินครบ..ห้าสิบล้าน

“เฮียขอโทษครับเฮียลืมตัวสติหลุด ดอทอภัยให้เฮียนะ”

“กี่ครั้งแล้วเฮีย! กี่ครั้งที่ทำแบบนี้กับดอท  จะให้ดอทอภัยอีกสักกี่ครั้งเฮียถึงจะเลิกทำแบบนี้!!” น้ำตาร่วงลงอาบแก้มเนียน หมดเรี่ยวแรงหมดความหวังว่าชีวิตที่เคยคิดว่าจะดีแต่ก็ต้องมากลายเป็นแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า

“ขอโทษ เฮียขอโทษ เฮียหน้ามืดไปหน่อยแต่ดอทก็รู้เวลาเฮียโมโหแล้วอารมณ์รุนแรง ดอทไม่น่าเข้ามาหาเฮียเลยนี่ครับ” สีหน้าของเขาถึงแม้จะเห็นได้ชัดว่ารู้สึกผิดแต่คำพูดก็ยังเหมือนเป็นการผลักความผิดไปให้ผู้ถูกกระทำอยู่ดี

“อารมณ์ของเฮีย เฮียก็ต้องควบคุมเองสิ ดอทผิดเหรอที่เป็นห่วง ลูกน้องเฮียมันมาตามดอท บอกว่าเฮียอาละวาดใส่ทุกคนแถมยังปาแก้วปาข้าวของทั่วห้องไปหมด แล้วดูที่เท้าเฮียนั่นน่ะมีแต่เลือด แบบนี้จะไม่ให้ดอทเป็นห่วงจนต้องเข้ามาห้ามเหรอ!”  พูดไปด้วยเสียงอันสั่นเครือพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลเป็นสาย ริมฝีปากบางสั่นระริกด้วยความเสียใจและผิดหวังในตัวคนรัก

“เฮียรู้ว่าดอทห่วง เฮียไม่ได้โทษว่าดอทผิดที่เข้ามา แค่ไม่อยากให้ดอทเข้ามาตอนที่เฮียอารมณ์ไม่ดีจะได้ไม่โดนลูกหลง” ร่างหนาพยายามจะเข้าโอบกอดทว่าอีกฝ่ายก็ยังผลักไสไม่ยินยอม

“ความห่วงใยมันไม่ควรถูกห้ามนะเฮีย แต่ความไม่มีเหตุผล ความไร้สติต่างหากที่ควรห้าม” 

“เฮียเข้าใจแล้วครับ จะไม่ให้เกิดแบบนี้อีกแล้ว”  ร่างสูงเข้าโอบรัดแต่ก็ถูกดันออกอีกครั้ง

“ครั้งที่แล้วเฮียก็พูดแบบนี้ ขนาดทำให้ดอทเข้าโรงพยาบาลเพราะกระดูกแขนร้าวแต่เฮียก็ยังทำอีก” ชนม์แดนเดินหนีเพราะนึกถึงความผิดหลายๆ ครั้งแล้วเจ็บจุกขึ้นมาเมื่อคิดว่าน่าจะเลิกกันไปตั้งแต่นานแล้วด้วยซ้ำ

“ครั้งนี้เข็ดแล้วจริงๆ ดอทจะให้เฮียทำยังไงก็ได้ เฮียยอมทุกอย่าง ยกโทษให้เฮียเถอะนะ” ร่างสูงรีบเดินไปขวางแล้วคุกเข่าลงกับพื้นกอดรวบเรียวขาทั้งสองข้างเอาไว้ไม่ให้เดินหนีได้อีก  เขาซบหน้าลงบนหน้าท้องแบนราบแล้วนิ่งงันเหมือนรอรับการลงโทษแต่โดยดี


ความเงียบโรยตัวครอบงำคนทั้งคู่เอาไว้ บรรยากาศกดดันหนักเพราะความผิดที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ทำให้ทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำต่างเจ็บช้ำกันไปคนละแบบ  ฝ่ายหนึ่งนึกโมโหและคาดโทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุให้คนที่ตนรักต้องเจ็บตัวอีกทั้งยังหวาดหวั่นว่าจะถูกชำระโทษด้วยการเสียคนรักไป   อีกฝ่ายนั้นเหนื่อยหน่ายและเจ็บปวดทรมานทั้งร่างกายและจิตใจจนอยากจะหนีไปให้ไกล ไกลจนไม่ต้องมีใครหาเจอ

ชนม์แดนได้แต่หันหน้าหนีไม่อยากมอง รู้สึกผิดหวังจนหมดศรัทธาเลยก็ว่าได้เมื่อนึกย้อนไปเคยถูกตบตีหนักถึงขนาดสลบไปเลยด้วยซ้ำ

ดอทควรทำยังไงกับเฮียดี..


นานทีเดียวที่หลับตาครุ่นคิดว่าจะตัดสินใจอย่างไร ต่อเมื่อลืมตาแล้วก้มมองลงไปเห็นฝ่าเท้าของเขาแดงฉานไปด้วยเลือดจึงค่อยๆ ดึงร่างสูงขึ้นมา

ในทีแรกเผ่าพงศ์ไม่ยอมขยับจนร่างบางออกแรงดึงมากขึ้นเขาจึงยอมเดินไปที่เตียง

“จะทำแผลให้” มือเรียวดันร่างสูงให้นั่งลงบนเตียงแล้วเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลจากตู้เก็บของ

“ดอทยกโทษให้เฮียแล้วใช่ไหม” ในดวงตาคู่คมสะท้อนความความหวังและความเสียใจอย่างสุดซึ้ง เห็นแบบนี้แล้วยิ่งเจ็บ

“ดอทไม่รู้นะว่ามันเป็นการยกโทษหรือเป็นการเพิ่มโทษกันแน่ เพราะถ้ามันเกิดขึ้นอีก ดอทจะไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียวแต่จะเดินออกไปจากชีวิตเฮีย ไปให้ไกลจนเฮียตามหาไม่เจอ”

“ครับๆ เฮียรับรอง ไม่ทำแล้ว” ร่างหนาจะโผเข้าไปกอดแต่ถูกกล่องปฐมพยาบาลกันไว้จนต้องเอนตัวกลับไป

ชนม์แดนลงไปนั่งบนพื้นแล้วยกปลายเท้าที่เปรอะไปด้วยเลือดของเขาขึ้นมาแล้วเริ่มทำแผล

“แล้วครั้งนี้โมโหอะไรเหรอครับ เรื่องงานหรือเรื่อง..” อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองหน้าคนรักด้วยสายตาว่างเปล่า “หรือเรื่องอื่น”

โดยปกติชนม์แดนไม่ใช่คนพูดมากอยู่แล้ว ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่พอใจก็แทบไม่พูดอะไรเลยจึงทำให้อีกฝ่ายค่อนข้างเกรงใจอยู่พอสมควร จะมีก็แต่เรื่องงานเท่านั้นที่ร่างบางจะค่อนข้างจู้จี้และเฉียบขาด

“เอ่อ..” สีหน้าของเผ่าพงศ์ดูอึดอัดจนอีกฝ่ายต้องพูดแทรก

“เรื่องสกายเหรอครับ”

“ค..คือ..จะว่าใช่ก็ใช่นะ แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว” ร่างสูงลอบชำเลืองด้วยความเกรงใจที่จะต้องพูดเรื่องเด็กที่เขากำลังหมายตา “เมื่อช่วงบ่ายเฮียเจอสกายที่ล็อบบี้โรงแรมที่มันไปเดินแบบงานคุณอมรา เฮียทักทายมันดีๆ แล้วชวนกินข้าวแต่มันก็ปฏิเสธ แถมยังหักหน้าเฮียต่อหน้าคุณอมราอีก”

“แล้วไงครับ”

ผู้ถามไม่ได้เงยหน้ามองแต่จัดการกับแผลที่ค่อนข้างลึกเนื่องจากเหยียบเศษแก้วแต่ไม่ยอมดึงออกจนมันฝังลึกเข้าไปในเนื้อและมีเลือดไหลซึมออกมาไม่หยุด

“เฮียก็เลยหงุดหงิด พอมาถึงนี่ก็เลยให้พวกลูกน้อง.. เอ่อ.. พา..คู่ขาเก่ามาหา” เขาหยุดเล่าไปครู่หนึ่ง คิดว่าคงอยากเช็คสถานการณ์ แต่เมื่อเห็นว่าชนม์แดนไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรจึงเล่าต่อ “แต่ยัยนั่นดันปากเสีย เฮียก็เลยไล่ตะเพิดมันออกไป”

“เธอว่าไงล่ะครับ เฮียถึงได้โกรธขนาดขาดสติ”

“ก็มันประชดใส่เฮีย บอกว่าถ้ามีใครเอาเฮีย เฮียก็คงไม่เรียกมันมา”

ถึงตรงนี้ ใบหน้าสวยจึงเงยหน้าขึ้นจ้องมองเขาก่อนจะถามออกไป “แค่นี้ก็โกรธเหรอครับ”

“ดอทไม่เข้าใจหรอก เรื่องนี้มันเป็นปมในใจเฮียนะ”

“เฮียหมายถึงดอทที่ไม่มาอยู่กับเฮีย หรืออันที่จริง ดอทว่าเฮียคงเฮิร์ตจากสกายมากกว่า” ว่าแล้วก็ทำแผลต่อ ไม่อยากให้เขาได้เห็นแววตาว่ามันสั่นสะเทือนอย่างไม่ปกติ

ระยะเวลาที่คบกันไม่ใช่เดือนสองเดือนแต่มันมากกว่าสิบปี  ได้รับรู้มาตลอดว่าอีกฝ่ายมีใครต่อใครอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ใช้วิธีอดทนเพราะการที่รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาเป็นแบบนี้ การจะขอให้เขาเปลี่ยนนั่นคงเป็นไปได้ยากจึงคิดว่าเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียดีกว่า

“เฮียจะไม่โกหกดอทนะว่ามันเป็นทั้งสองความรู้สึก แต่กับดอทมันมากกว่า มากๆ” เผ่าพงศ์เอื้อมมือไปจับต้นแขนจนอีกฝ่ายต้องเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง “เฮียรักดอทนะ อยากให้ดอทมาอยู่ด้วย”

“มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ อย่างน้อยก็คงไม่ใช่เร็วๆ นี้” หนุ่มหน้าสวยลุกขึ้นเมื่อทำแผลให้เขาเสร็จแล้ว “งั้นดอทกลับเลยนะครับ” 

“อยู่กับเฮียก่อนสิ คืนนี้ค้างกับเฮียนะ นะครับ” ทั้งน้ำเสียงทั้งแววตา ดูเหมือนกับว่าถ้าร่างบางไม่อยู่กับเขาคืนนี้ เขาก็จะอาละวาดอีกแน่ๆ  ชนม์แดนจึงพยักหน้าตอบรับไปเนือยๆ  “งั้นเราไปนอนบ้านเฮียนะ  ไปบ่อยๆ พวกนั้นจะได้รู้ว่าดอทคือตัวจริงของเฮีย”

เผ่าพงศ์แสดงสีหน้าราวกับเด็กน้อยได้ขนมทำให้อีกฝ่ายไม่อาจปฏิเสธออกไป

เฮียรักดอทมากและอาจจะมากกว่าที่ดอทรักเฮียก็ได้ แต่มันมีเหตุผลหลายอย่างที่ไม่อาจยกใจให้เฮียได้ทั้งหมด อย่างน้อยก็ต้องเผื่อไว้ครึ่งใจเพราะกลัวความเจ็บปวด..

ดอทจะไม่ยอมเป็นเหมือนคุณแม่ที่รักป๋าจนล้นใจ ไม่ยอมเป็นคนที่ต้องรอ ไม่ยอมเสียใจครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่อย่างเดียวดาย

ไม่มีทาง..




ชนม์แดนเคยมาที่บ้านของเผ่าพงศ์ครั้งนี้เป็นครั้งที่ห้า ซึ่งไม่มีครั้งไหนเลยที่ประทับใจรวมถึงครั้งนี้ด้วย

“ดอทไม่ต้องไปสนใจตั่วอี๊นะ ปากไม่ดีไม่มีหูรูด” ร่างสูงรีบเข้ามาช่วยแต่งชุดนอนทันทีที่คนรักอาบน้ำเสร็จ

เขาพูดถึงป้าที่คอยใส่ไฟเป่าหูคุณปู่ตอนที่ทั้งคู่นั่งรับประทานอาหารค่ำพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว โดยที่ป้าของเขาพูดประมาณว่าจะหวังให้หลานอย่างเผ่าพงศ์สืบสกุลคงไม่ได้แล้วเพราะกลายเป็นพวกวิปริตผิดเพศ พูดเหมือนกับว่าชนม์แดนเป็นคนชักจูงหลานของเธอให้กลายเป็นชายรักชายซึ่งก็ได้แต่เงียบและทานอาหารไปโดยไม่ได้โต้เถียงใดๆ

“ดอทฟังไม่ออกหรอกครับ คนบ้านเฮียพูดภาษาไทยไม่ชัดสักคน”

“ฮ่าๆๆๆ” ร่างสูงหัวเราะเสียงดังแล้วประคองร่างเล็กไปที่เตียงนอน “เฮียโชคดีที่สุดเลยรู้ไหมที่มีดอทเป็นแฟน”

ชนม์แดนไม่ได้ตอบแต่มองเขานิ่ง ไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรด้วยซ้ำ

“ยังเจ็บอยู่ไหม” มือหนาเอื้อมมาจับที่แก้มซ้ายขวาซึ่งตอนนี้มันเริ่มตึงๆ และผนังปากด้านในบวมขึ้นมาค่อนข้างมาก

“ไม่เจ็บเท่าที่ใจหรอกครับ” บอกไปด้วยสีหน้าเรียบๆ ปกติก็โกรธง่ายหายเร็วอยู่แล้ว แค่อยากตอกย้ำให้เขารู้ว่าไม่ควรทำอีก

“โธ่ดอท เฮียขอโทษนะครับ ให้เฮียไถ่โทษนะ ดอทจะเอาอะไรบอกมา เฮียจะหามาให้”

ในเมื่อดอททิ้งเฮียไม่ได้ ก็คงต้องทำใจละนะ

“ถ้างั้น..งานเดินแบบปลายปี ดอทขอเครื่องเพชรที่สวยที่สุด ดีที่สุดของเฮียมาเดินแบบนะครับ แล้วก็ห้ามปฏิเสธด้วย” รอยยิ้มอ้อนตามด้วยสายตาคาดโทษทำให้อีกฝ่ายหลุดยิ้มแล้วโยกศีรษะเล็กเบาๆ

“ก็เป็นซะอย่างนี้ ไม่เคยจะเอาอะไรจากเฮียนอกจากยืมเครื่องเพชรหรือมากสุดก็ให้ช่วยร่วมหุ้นในโมเดลลิ่ง ถามจริงๆ ว่าดอทจะหาเงินเองทำไมในเมื่อเฮียมีเป็นหมื่นล้าน จะให้ดอทมากกว่าห้าสิบล้านที่ดอทสัญญากับป๋าของดอทก็ยังได้”

หนุ่มหน้าสวยได้แต่ยิ้มเย้ยความเจ็บแปลบในหัวใจ

“มันคงจะสะใจกว่าถ้าดอทเอาบัญชีเงินฝากห้าสิบล้านที่ดอทหามาได้ด้วยตัวเองไปให้ป๋าดู”

“ดอทเจ็บช้ำจากป๋ามานานแค่ไหนแล้ว แต่เฮียก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ย้ายออกมาอยู่กับเฮียให้รู้แล้วรู้รอดจะได้ไม่ต้องเจอหน้าเขาให้เจ็บปวด”

“แล้วทิ้งคุณแม่ให้ร้องไห้คนเดียวน่ะเหรอครับ ดอทไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก” ร่างบางบอกพร้อมกับกลืนก้อนสีดำลงคอก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “เฮียไปอาบน้ำได้แล้ว ระวังแผลเปียกด้วยนะ”

“ดอทไม่อาบให้เหรอ”

“ไม่ครับ คืนนี้ทำโทษ ห้ามเฮียทำอะไรดอทเด็ดขาด ไปอาบน้ำครับ ไปปป” ว่าแล้วก็เข็นร่างหนาไปเข้าห้องน้ำจนได้




ต่อโพสต์ล่าง..อีกนิดหน่อย ใส่ไม่พอจริงๆ ขอโทษด้วยค่ะ

หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 2 : เผ่าพงศ์ 1-2 《21/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 21-04-2018 22:20:21
ระหว่างที่รอก็จัดการตารางงานของเด็กในโมเดลลิ่งซึ่งตอนนี้งานค่อนข้างเยอะเพราะเด็กแต่ละคนคัดมาอย่างดี  พรวิเศษอย่างหนึ่งที่ชนม์แดนรู้สึกขอบคุณสวรรค์นั่นก็คือดวงตาอันเฉียบคม มองใคร ปั้นใครไม่เคยพลาด ทุกคนเป็นที่ต้องการทั้งนายแบบและนางแบบ  ส่วนห้องเสื้อก็ไปได้เรื่อยๆ ไม่ได้โด่งดังเป็นพลุแตกเพราะตนเองไม่ชอบออกสังคมแต่ก็จะมีพวกไฮโซหรือดารามาอุดหนุนไม่ขาดเนื่องด้วยดีไซน์เสื้อผ้าได้เรียบหรูดูดีจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว

“สกาย..”  เปรยชื่อเด็กในสังกัดคนนี้ขึ้นมาเพราะพรุ่งนี้เขามีงานตั้งห้างาน ไม่รู้ว่าจะไหวหรือเปล่าเพราะงานด่วนเข้ามาจนรับแทบไม่ทัน แต่จะปฏิเสธงานไหนไม่ได้เลยเพราะเป็นเจ้าประจำของสกายทั้งนั้น ถ้าปฏิเสธไป เขาจะให้โอกาสคนอื่นและอาจเจอเพชรเม็ดงามจนไม่กลับมาเรียกหาสกายอีกซึ่งคงไม่ดีแน่ที่จะเป็นแบบนั้น

อย่างน้อยต้องปั้นสกายให้ดังที่สุดให้ได้ อยากให้ดังจนเข้าไปในวงการแสดงและเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศด้วยซ้ำ
เพราะอะไรน่ะเหรอ..


“คิดอะไรอยู่ หืม” เผ่าพงศ์แต่งชุดนอนเสร็จก็มายืนซ้อนด้านหลัง

“ดูคิวให้เด็กๆ อยู่ครับ” มือเรียวรีบปิดไอแพดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของอีกฝ่าย

“พรุ่งนี้สกายมีงานของเฮียด้วยนะ” ดวงตาคมส่องประกายวิบวับเมื่อพูดถึงเด็กในสังกัดของชนม์แดน

“..ครับ” ร่างบางลอบถอนหายใจแล้วพาเขาไปที่เตียง “นอนกันเถอะ”

“เฮียพูดจริงๆ นะดอท ถ้าเฮียได้สกายอีกแค่คนเดียว เฮียจะหยุดจริงๆ ถึงดอทจะไม่มาอยู่ด้วยแต่เฮียก็จะหยุดให้เองเลย”

คู่อื่นเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่คู่ของเผ่าพงศ์และชนม์แดนนั้นต่างออกไป  นานมาแล้วที่ชนม์แดนไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของเผ่าพงศ์จนทำให้เกิดความย่ามใจที่จะเล่าหรือพูดถึงคู่ขาออกมาอย่างลืมตัว

ใบหน้าสวยเผยยิ้มขมๆ ข่มความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้อย่างแนบเนียน

“ดอทก็ไม่ได้ห้ามนี่ครับ ก็แล้วแต่ความสามารถของเฮียเลย”

“ดอทไม่ห้าม แต่กันท่าเฮียนะ” ดูเหมือนว่าเขาจะรู้แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความลับอยู่แล้ว

“ไม่ได้กันท่าครับ ดอทแค่อยากให้เฮียเล่นตามกติกา ถ้าเฮียจีบติดเอง ดอทก็ไม่ก้าวก่าย แต่เฮียจ้องจะนอกเกมอันนี้ไม่โอเค” ว่าแล้วก็หนีขึ้นเตียงไปนอนซุกใต้ผ้าห่ม

“นอกเกมยังไง ก็แค่เลิกงานแล้วจะชวนไปดื่มต่อแค่นั้นเองนะ” ร่างหนาตามขึ้นมากอดนัวเนียจนร่างบางเริ่มสั่นสะท้าน

อาการแพ้สัมผัสยังคงเกิดขึ้นเป็นอยู่และวนกลับมาใหม่ แต่ชนม์แดนไม่เคยเปิดโอกาสให้ใครมาสัมผัสอยู่แล้วจึงไม่มีปัญหา แต่เรื่องที่มีอารมณ์ทางเพศรุนแรงและบ่อยครั้งก็ยังหาทางที่จะจัดการอะไรไม่ได้ อย่างดีที่สุดก็ใช้วิธีช่วยตัวเองซึ่งใครๆ ก็ทำแบบนี้ทั้งนั้น ไม่ได้แปลกสำหรับเพศชายอยู่แล้ว

“ไม่คุยเรื่องนี้แล้วครับ ดอทง่วงนอน พรุ่งนี้มีงานเยอะมาก” ว่าแล้วก็หันหลังให้ไม่อยากคุยเรื่องสกายอีก จะบอกว่าทำใจได้มันก็ไม่เชิง ไม่ได้ใจแข็งขนาดนั้น

ดอทก็เป็นคนนะ มีเลือดเนื้อ มีหัวใจ แฟนเอ่ยขอเด็กในสังกัดตรงๆ แบบนี้ทำไมจะไม่รู้สึก

“งั้นเฮียกล่อมนอนนะครับ”

แล้วการกล่อมนอนของเผ่าพงศ์ก็เกิดขึ้นและยาวนานจนเกือบรุ่งสาง

รู้อยู่แล้วว่ามาค้างด้วยขนาดนี้ไม่มีทางที่จะรอดมือคนหื่นไปได้ ซึ่งมาคิดดูก็ดีเหมือนกันที่ได้ปลดปล่อยเสียบ้าง แต่มันไม่ใช่แค่นั้นนี่สิ เช้าวันรุ่งขึ้นก่อนจะออกไปทำงานก็ถูกจัดให้อีกชุดใหญ่จนเดินแทบไม่ตรงทาง นี่เป็นสาเหตุที่ต้องพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด



“หยุดงานเถอะวันนี้ นะครับ นะดอทนะ” ขนาดมาส่งจนจะถึงหน้าห้องเสื้อแล้วแต่เผ่าพงศ์ก็ยังอ้อนไม่หยุด

“เฮียไม่รู้จักลิมิตเลยอะ บอกว่าวันนี้งานเยอะเฮียก็ไม่ฟัง”

“ก็ถึงได้บอกว่าให้หยุดงาน บอกพวกพนักงานให้จัดการแทนสิ นะๆ เฮียอยากอยู่กับดอทนานๆ” มือหนารั้งต้นแขนไว้เมื่อร่างบางทำท่าจะออกจากรถ

“ไม่ครับ วันนี้งานเยอะมาก งานใหญ่ทั้งนั้นเลยดอทต้องคุมเอง” ว่าแล้วก็แกะมือปลาหมึกออก “อย่าดื้อนะครับ เดี๋ยวไว้ค่อยเจอกันตอนค่ำ”

“แฟนเฮียนี่ใจแข็งไม่เคยเปลี่ยน โอเคๆ งั้นเจอกันที่งานนะ เฮียไปละ” ในที่สุดก็ยอมรามือ

“ขับรถดีดีนะครับ”

“เฮียรักดอทนะ” คำว่ารักของเผ่าพงศ์ที่มีให้ชนม์แดนนั้นมากมายเหลือเฟือพอให้ใช้ไปถึงชาติหน้า แต่ในคำว่ารักนั้นกลับพบเจอตำหนิมากมายหลายจุดซึ่งมันเป็นเรื่องกวนใจชนม์แดนมาตลอด

“ดอทก็รักเฮียครับ”  คำว่ารักที่ออกจากปาก เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าเป็นรักแบบไหน

รัก..มันต้องไม่มีเหตุผลสิ

แต่เวลาถามตัวเองว่าทำไมถึงรักเฮีย เหตุผลต่างๆ มันถึงพรั่งพรูออกมาราวกับจะสะกดจิตตัวเองว่าต้องรัก

แต่ก็ช่างเถอะ ปล่อยเบลอเรื่องเฮียไปก่อนเพราะมีเรื่องอื่นสำคัญกว่าให้ทำ


สกาย..

ฉันจะทำยังไงกับนายดีนะ




.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.


เฮียเผ่าเป็นคนรักที่เหมือนพ่อแม่รังแกฉัน
บทจะดีก็อุ้มโอ๋สปอยล์จนเกินเบอร์
แต่บทขาดสติก็ทำร้ายความรู้สึกแบบไม่เหลือชิ้นดี

แต่ทั้งนี้ทั้งนี้..ดอท..เลือกเอง

ขอบคุณบวกเป็ดและคอมเม้นท์ฮับ น่ารักที่สุด จ๊วบบบบ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 1 : เผ่าพงศ์ 1-1 《19/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: chadcharin ที่ 23-04-2018 23:07:32
:m22: เข้ามาส่องค่ะ ติดตามเลยค่ะ แต่เราจิตใจไม่ค่อยแข็งแรง

 ขออย่าม่ามากนะคะ ฮือ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 2 : เผ่าพงศ์ 1-2 《21/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 24-04-2018 10:49:46
นี่กลัวใจมากว่าอิตาเผ่าพงศ์จะเป็นพระเอกของพี่ดอทเพราะอยู่กันมานานเหลือเกินกลัวจะหนีกันไม่พ้นจริงๆ แต่เราก็ยังไม่ถอดใจหรอก ถ้าไม่นับพี่ดินน่าจะเหลืออีกสักคนนึงใช่มั้ยนายน้อยที่จะเข้ามา ขอคนดีๆให้พี่ดอทเถอะ แค่นี้ก็สงสารมากแล้ว
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 2 : เผ่าพงศ์ 1-2 《21/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 24-04-2018 16:53:38
อิเฮียยยยยยยยย (เสียงสูง)  :katai1:
ดอททนอยู่กันได้ไงเป็นสิบกว่าปี
นอนกับคนอื่น ทำร้ายร่างกาย แถมพูดถึงคู่ขาคนอื่นต่อหน้าอีก โอยยย อย่าให้อิเฮียมันเป็นพระเอกเลยค่ะ รับไม่ได้ :hao5:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 3 : สกาย 《26/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 26-04-2018 20:41:10
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ต อ น ที่ 3 :  ส ก า ย



เฮ้อออ
“ร่างจะพังอยู่แล้ว” บ่นกับตัวเองแล้วพยุงร่างสโลสเลเข้าออฟฟิศ

ตึกสำนักงานให้เช่าซึ่งห้องเสื้อของชนม์แดนมีพื้นที่ค่อนข้างมาก  ด้านหน้าเป็นช็อปเสื้อผ้าแบรนด์สวีทดอทสำหรับเสื้อผ้าแฟชั่นเรียบหรูผสมความหวานหรือเปรี้ยวก็แล้วแต่คอเล็กชั่น และแบรนด์ DOZZ ซึ่งเป็นพวกชุดสูทสุดหรูทั้งหญิงและชาย  ถัดมาจัดเป็นห้องออกแบบตัดเย็บซึ่งเป็นห้องทำงานหลักที่มีลูกน้องคนสนิทอีกสองคนส่วนอีกสองคนส่วนมากจะอยู่ที่ห้องเสื้อเสียมากกว่า   โซนถัดไปก็เป็นพื้นที่สำหรับโมเดลลิ่งที่มีห้องประชุมเล็กๆ ติดกับห้องเก็บและลองเสื้อผ้าสำหรับนายแบบและนางแบบ

“สวัสดีค่าคุณดอท เช้านี้มีประชุมโมฯ นะคะ” สาวประเภทสองชื่อบอลลูนซึ่งเป็นเลขาควบตำแหน่งผู้ช่วยดูแลโมเดลลิ่งเอ่ยทักทายด้วยจริตตุ๊งติ๊งตามรสนิยม

“ขอกาแฟแก้วนึงก่อนนะ แล้วเตรียมเอกสารให้ดอทเช็คก่อนประชุมด้วย”

“เอกสารวางบนโต๊ะค่ะ พี่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว” เธอขยิบตาให้แล้วเดินไปยังมุมห้องครัวเล็กๆ เพื่อชงกาแฟ

ร่างบางไม่ได้พูดอะไรอีก รีบเปิดแฟ้มเอกสารสำหรับการเข้าประชุมเช้านี้ไปเรื่อยๆ เมื่อกาแฟมาเสิร์ฟก็จิบกาแฟไปเรื่อยๆ จนตรวจสอบเสร็จ

“มีแก้แค่ของสกาย เพิ่มงานด่วนไปด้วยตามข้อมูลที่แทรกไว้” มือเรียวดันแฟ้มคืนให้พี่บอลลูนที่ยืนรออยู่

“เพิ่มงานเหรอคะ แต่วันนี้มีตั้ง 4 งานแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าวิ่งห้างานพี่บอลลูนว่า..”

“ตามนี้แหละครับ ดอทไปรอที่ห้องประชุมนะ”  ว่าแล้วก็ลุกออกไปไม่คิดจะรับฟังคำท้วงติงใดๆ อีก

ทำไมจะไม่รู้ว่าวิ่ง 5 งานมันจะเหนื่อยขนาดไหน  แต่จะทำยังไงได้ล่ะในเมื่อมันเป็นไฟท์บังคับ




ในห้องประชุม สกายมารออยู่ก่อนแล้ว เด็กหนุ่มอายุเพียงแค่ 20 ปีแต่ดูโตกว่าวัยเพราะใบหน้าที่เคร่งเครียดไร้รอยยิ้ม ความสูงที่โดดเด่น และเครื่องหน้าที่หล่อเหลาในแบบตะวันตก ทำให้สกายก้าวขึ้นมาเป็นนายแบบชื่อดังในเวลาแค่เพียงไม่กี่ปี

แต่นั่นมันยังไม่พอหรอก นายดังได้กว่านี้อีกถ้าเขาไม่ดื้อจนเกินไป


“จะไม่ยกมือไหว้หรือทักทายกันหน่อยหรือไง” จิกจ้องร่างสูงที่นั่งอยู่อย่างไม่พอใจ   กับเด็กในสังกัดคนอื่นๆ ชนม์แดนไม่ค่อยจู้จี้แต่กับสกายนั้นต่างไป

เขามีประวัติที่ไม่ค่อยจะดีนักจากคำบอกเล่าของน้าแจนซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ทางฝั่งของคุณแม่ทำให้รู้สึกอคติกับเขาอยู่มากพอสมควร เมื่อรวมเข้ากับความประพฤติของเจ้าตัว  มันก็ไม่ยากที่ทั้งคู่จะงัดข้อกันอยู่ในทีซึ่งฝ่ายชนะก็ไม่ใช่ใคร ในเมื่อฝ่ายนายจ้างนั้นถือไพ่เหนือกว่าจึงเป็นผู้ที่ทำให้เขาต้องพ่ายแพ้ไปเสียส่วนใหญ่

“ไม่ได้ระบุในสัญญา” คำตอบเชือดเฉือนกับใบหน้าไร้ความรู้สึกทำให้อารมณ์ของร่างเล็กเดือดขึ้นได้ไม่ยาก

แต่พอตั้งท่าจะตอกกลับก็ต้องระงับไว้เนื่องจากเด็กในสังกัดคนอื่นๆ กำลังทยอยเข้ามาและตามด้วยบอลลูนที่นำแฟ้มการประชุมมาให้  หนุ่มหน้าสวยเปิดดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้ถูกแทรกเข้าไปในเอกสารของสกายแล้วจึงพยักหน้าให้นำไปแจก

“วันนี้ขอเน้นย้ำภาพรวมของโมเดลลิ่งสวีทดอทอีกครั้งนะ ผมอยากให้พวกคุณทำงานอย่างมืออาชีพไม่ใช่เช้าชามเย็นชามรวมถึงมารยาทการทำงาน ผมไม่สนว่านิสัยส่วนตัวของพวกคุณเป็นยังไงแต่พอก้าวเท้าเข้าเซ็ตงานปุ๊บ คุณต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นมืออาชีพและมีมารยาท อย่าลืมทำการบ้านและถ้าใครถูกลูกค้าคอมเพลนเรื่องกิริยามารยาทและความไม่มืออาชีพก็อาจโดนดองได้ เข้าใจตรงกันนะ”

“ครับ/ค่ะ” เด็กในสังกัดตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน โดยส่วนใหญ่เด็กๆ ไม่ค่อยมีปัญหาเพราะงานที่นี่ส่วนใหญ่อยู่ในระดับมาตรฐานและรายได้ค่อนข้างงาม

“เอาล่ะ งั้นมาเริ่มบรีฟงานตลอดอาทิตย์นี้ โดยเริ่มจากเพรียวกับส้มที่งานส่วนใหญ่เป็นดูโอ้นะ”

เจ้าของโมเดลลิ่งเริ่มการประชุมเล็กๆ ที่จะมีขึ้นทุกเช้าวันเสาร์เนื่องจากไม่ค่อยรับงานที่ชนตารางเรียนของเด็กในสังกัดถ้าไม่จำเป็นจริงๆ

ผ่านไปประมาณยี่สิบนาทีก็บรีฟงานเด็กทุกคนจนครบ เมื่อใครเสร็จก่อนก็จะออกไปก่อนจนเหลือคนสุดท้ายคือสกาย

“งานของเธอค่อนข้างสำคัญทุกงาน โดยเริ่มจาก..” กำลังจะเริ่มบรีฟงานให้สกายแต่เขาพูดขัดขึ้น

“งานวันนี้มีเพิ่มขึ้นมา ทำไม?” คำพูดและคำถามสั้นๆ และสายตาเหยียดหยิ่งทำให้ชนม์แดนตวัดสายตามองเขาอย่างไม่พอใจ

“งานก็คืองาน มีงานก็ทำงาน ไม่มีคำตอบว่าทำไม หรืออย่างไรทั้งนั้น”

“คุณก็รู้ว่าผมมีสี่งานวันนี้ ดูช่วงว่างมันแทบไม่มีเวลาแม้แต่จะกินข้าว แล้วจะอัดงานที่ห้ามาแบบนี้คิดว่าไม่เอาเปรียบผมเกินไปหน่อยเหรอ” น้ำเสียงของเขาไม่ได้กระโชกโฮกฮาก แต่สายตาดั่งจะแทงทะลุตัดขั้วหัวใจนี่สิที่ร้ายกาจ

“เธอจะปฏิเสธก็ได้ แต่ต้องจ่ายค่าผิดสัญญาเป็นสองเท่า งานนี้ฉันรับให้เธอสี่หมื่น เธอก็แค่จะถูกหักเงินรายเดือนไปกี่เดือนล่ะถึงจะครบแปดหมื่น ฉันหารไม่เก่งเสียด้วย”  คนเจ้าเล่ห์แกล้งทำเป็นคำนวณให้เขาเห็น

ดวงหน้าหล่อใสถมึงทึงขึ้นแต่ก็ไม่ได้มากไปกว่าใบหน้าปกติของเขาสักเท่าไหร่ แล้วในที่สุดก็ตอบรับอย่างจำยอม

“บรีฟงานต่อเถอะ” เขามักเป็นแบบนี้เสมอ ถ้ารู้ว่าจะไม่ชนะ ก็มักจะล่าถอยไปอย่างง่ายดาย

บางทีชนม์แดนก็อยากให้เขาระเบิดอะไรในใจออกมาบ้างให้ได้เห็นว่าเนื้อแท้หรือความคิดอ่านนั้นเป็นอย่างไรเพราะนิสัยการทำงานของสกายนั้นดีเยี่ยมในระดับที่ตนไม่คิดว่าคนที่เก่งและมีวินัยดีขนาดนี้จะเป็นคนนิสัยแย่ๆ ที่มาจากครอบครัวแย่ๆ เหมือนที่น้าแจนบอกเล่ามาแต่อย่างใด

แต่ในเมื่อสะดวกใจที่จะงัดข้อมาแบบนี้ มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะถูกร้ายใส่

“งานแรกของวันนี้คือสิบโมงเช้า หวังว่าจะเตรียมตัวมาแล้วนะ”

ไม่ได้ยินเสียงตอบรับใดๆ เขาทำแค่เพียงไหวไหล่เพียงเล็กน้อย ถ้าไม่จิกจ้องก็แทบไม่เห็นปฏิกิริยาด้วยซ้ำ ร่างเล็กกัดฟันถอนหายใจแล้วพูดต่อ

“งานนี้แค่ถ่ายแบบในสตู ลูกค้าต้องการความเซ็กซี่ร้อนแรงแต่ฉันย้ำไปแล้วว่าห้ามเปลือยตั้งแต่ช่วงเอวลงไปซึ่งเขาก็จำใจตอบรับมา เธอปฏิเสธได้เลยถ้าเขากล่อมให้ถอด ถ้ายังไม่ยอมให้เขาโทรหาฉันได้ตลอดเวลา”

สกายนั่งมองและฟังอย่างตั้งใจ ในเวลางานดูเหมือนเขาจะลดทิฐิต่างๆ และฟังโดยไร้อคติซึ่งตรงนี้ทำให้ชนม์แดนค่อนข้างนิยมชมชอบเขามากพอสมควร


“งานสุดท้าย เป็นงานของเพชรไทย ถ่ายในสตูกับเครื่องเพชรและนางแบบ ลูกค้าต้องการอารมณ์ความหลงไหลเครซี่ของชายหนุ่มที่เปรียบผู้หญิงกับเพชรที่เลอค่า ฉันคงไม่ต้องบอกรายละเอียดมากนะเพราะเธอเก่งแนวนี้อยู่แล้ว” วูบหนึ่งแววตาของเขามีแสงวับวาวเมื่อได้ยินว่าท้ายประโยคเป็นลักษณะของคำชมเชย “เอ่อ.. แล้วเสร็จงาน ฉันจะติดรถตู้กลับบ้านด้วย เธอต้องกลับรถตู้เท่านั้น เข้าใจไหม”

“หึ..” เขาพ่นลมหายใจออกมาแล้วยิ้มเหยียด “คิดจะขายผม ไม่ง่ายหรอก”  พูดแค่นั้นก็ลุกออกจากห้องประชุมไปทันที ไม่มีการร่ำลาหรือไถ่ถามว่าบรีฟเสร็จแล้วหรืออย่างไร

“ไอ้เด็กนี่!” ถลึงตาตามหลังแต่ร่างสูงก็พ้นประตูออกไปแล้ว

“คุณดอทจะหักเงินน้องสกายจริงเหรอคะ”  บอลลูนที่นังฟังมาตั้งแต่ต้นลุกขึ้นเก็บแก้วน้ำพลางเอ่ยถามอย่างหวาดๆ 

“ก็ในสัญญาเขียนไว้” บอกไปห้วนๆ ไม่คิดว่ามันจะเป็นไรเพราะตนไม่ใช่คนผิด

“แต่คุณดอทก็รู้ว่าน้องสกายได้แค่เดือนละแปดพันนะคะ รายได้เกือบครึ่งแสน บางเดือนก็สองสามแสนด้วยซ้ำ แต่ทุกเดือนน้องสกายก็เซ็นโอนให้คุณแจนหมด” เลขาทำหน้าลำบากใจ

ชนม์แดนรู้เต็มอกว่าพนักงานทุกคนของที่นี่เข้าข้างสกาย โดยเฉพาะป๋าที่ยื่นมือเข้ามาทุกทีเวลาสกายถูกทำโทษ และเมื่อรู้แบบนี้ใจหนึ่งก็หมั่นไส้มากขึ้น แต่อีกใจก็คิดว่าดีแล้วที่เขาจะมีพรรคพวกบ้าง อย่างน้อยเวลาถูกทำโทษอะไรไปก็จะได้มั่นใจว่าเขาจะไม่จนตรอก

“ก็ในสัญญาระบุไว้อย่างนั้น”

“แล้วทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะคะ สัญญา เอ่อ มัน.. มันไม่ยุติธรรม” ในที่สุดบอลลูนก็พูดออกมาจนได้

ใช่..
สัญญามันไม่ยุติธรรม เพราะในสัญญา สกายจะได้เพียงแค่เงินเดือนๆ เดือนละ 8,000 บาท ส่วนรายได้จากการทำงานทั้งหมดถูกแบ่งเป็น 50% สำหรับโมเดลลิ่งซึ่งชนม์แดนจะปันส่วนไปให้เผ่าพงศ์ตามหุ้นที่เขาลงทุนมา และอีก 50% นั้นเป็นชื่อของน้าแจนแม่เลี้ยงของสกายซึ่งเป็นผู้รับเงินแทน   ซึ่งอันที่จริงเจ้าตัวรู้อยู่เต็มอกว่าแบบนี้มันไม่ถูกและถ้าสกายฟ้องร้องขึ้นมาจริงๆ เขาก็จะชนะเนื่องจากเธอไม่ได้ถูกแต่งตั้งตามกฎหมายให้เป็นผู้ดูแลสกาย  แต่ตนจะทำอะไรได้ ในเมื่อฝ่ายหนึ่งก็ญาติผู้ใหญ่และหล่อนก็อ้างว่าต้องนำไปใช้ดูแลพ่อของสกายที่ทุพพลภาพอยู่ และอีกฝ่ายก็ทำตัวไม่ได้น่ารักน่าช่วยเหลืออะไรเลย

สัญญานี้เริ่มมาตั้งแต่สกายอายุ 16 ตอนนั้นเขาอาจจะยังไม่มีความรู้มากนักแต่เมื่อโตขึ้นจนถึงตอนนี้เขาคงรู้แล้วว่าถูกเอาเปรียบจึงมีปฏิกิริยาต่อต้านมากขึ้นแต่ที่ไม่ได้ฟ้องร้องให้เป็นเรื่องใหญ่เพราะคงไม่อยากให้เรื่องกระทบไปถึงพ่อของเขา

ถ้ายอมอ่อนข้อให้สักนิด บางทีฉันอาจจะใจดีกับนายมากกว่านี้ก็ได้ไอ้เด็กหัวรั้น

“ถ้าจะทำงานที่นี่ต่อ หวังว่าพี่คงจะรู้ว่าเจ้านายเป็นใคร” พูดจบก็เดินออกจากห้องประชุมทันที
ไม่อยากถกเถียงเรื่องของสกายไม่ว่าจะในหัวข้อใดหรือกับใครทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าเกลียดจนไม่อยากพูดถึงแต่ลึกๆ มันรู้สึกผิดจนไม่อยากรับรู้ต่างหาก





วันนี้งานค่อนข้างรัดตัว เจ้าของโมเดลลิ่งคนเก่งต้องวิ่งไปดูแลนางแบบที่มีปัญหาเรื่องที่เธออวบขึ้นจนใส่เสื้อผ้าไม่ได้จึงต้องไปจัดการแก้ไขด้วยตัวเอง

คับไปแค่หนึ่งครึ่งแต่แก้กันไม่ได้ เป็นสไตล์ลิสประเภทไหนกัน

จากนั้นก็ต้องรีบกลับมาที่ห้องเสื้อเพราะนัดลูกค้าเจ้าประจำไว้เนื่องจากเธอต้องการชุดคอลเลกชั่นหน้าหนาวเพื่อไปท่องเที่ยวต่างประเทศ

รายนี้สั่งทีล็อตใหญ่จึงคุยกันค่อนข้างยาวนานและเกินเวลาอาหารกลางวัน  เมื่อเช้าก็ได้กาแฟแค่แก้วเดียวจนตอนนี้บ่ายสามโมงแล้วแต่ยังต้องแก้แบบเสื้อให้นิตยาสารที่จะต้องใช้ในวันพรุ่งนี้



กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบทุ่มกอปรกับเมื่อวานที่ถูกทำร้ายรวมถึงกิจกรรมบนเตียงทั้งคืนจึงไม่แปลกที่ร่างเล็กจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรงก่อนจะหลับตาพักและหลับไปในทันที

“คุณดอทคะ กินข้าวก่อนเถอะเดี๋ยวปวดท้องอีก”

ชนม์แดนพยักหน้าทั้งที่หลับตาอยู่ก่อนจะใช้เวลาพักหนึ่งสะบัดหัวไล่ความง่วงงุนออกไป

“ตอนนี้กี่โมง”

“สี่ทุ่มค่ะ พี่จะกลับก็ไม่กล้า จะปลุกก็สงสารเพราะไม่เคยเห็นคุณดอทดูเพลียขนาดนี้มาก่อน”

“สี่ทุ่ม!” ร่างเล็กเด้งตัวขึ้นมาทันที “โทรเรียกรถตู้ให้ดอทที ต้องรีบไปแล้ว”

“กินอะไรก่อนเถอะคุณดอท ทั้งวันได้แค่กาแฟกับน้ำเปล่า”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวดอทไปกินที่บ้านได้”

มือเรียวรีบเก็บของใส่กระเป๋าแล้วสะพายขึ้นพาดอก ก่อนก้าวออกจากห้องก็หยุดแล้วหันไปหามือขวาของตน

“พรุ่งนี้มาทำงานหลังเที่ยงก็ได้ ส่วนของวันนี้เดี๋ยวดอทจะใส่โอทีให้ตอนสิ้นเดือน” พูดออกไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ปกติก็ไม่ใช่คนที่แสดงอารมณ์ออกมาอยู่แล้ว และไม่แคร์ด้วยว่าใครจะเข้าใจหรือเปล่า

“พักบ้างนะคะ” บอลลูนยิ้มด้วยความเอ็นดู ส่วนอีกฝ่ายก็แค่พยักหน้าให้

รอบตัวมีแค่ไม่กี่คนที่ดูเหมือนจะไม่ถือสานิสัยแย่ๆ ของตน หนึ่งในนั้นก็บอลลูนนี่แหละ เสียอย่างเดียวที่ชอบเข้าข้างสกายอยู่เรื่อยจนทำให้หงุดหงิดเสมอ

มีแต่คนรักได้ยังไงเด็กหัวแข็งแบบนั้น..




วันนี้สั่งคนขับให้รับส่งสกายทั้งวันห้ามให้เขาขับรถเองเพราะงานเยอะแบบนี้ต้องเซฟทั้งเวลาและร่างกาย จากนั้นพอส่งสกายที่งานสุดท้ายเสร็จก็ให้รีบมารับตนเพื่อไปรับสกายกลับด้วยตัวเอง

“รีบเลยนะเดี๋ยวไม่ทันสกาย”  ร่างบางสั่งคนขับแล้วเอนหลังพิงเบาะอย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะต่อสายไปหาคนรัก 

“เฮียกำลังจะโทรหาพอดี ทำไมดอทมาช้าล่ะ” เผ่าพงศ์รับสายแทบจะในทันที

“ถ่ายกันเสร็จแล้วเหรอครับ”

“เสร็จแล้ว สกายกำลังรออยู่ที่ล็อบบี้” เสียงจากปลายสายค่อนข้างใส น่าจะอารมณ์ดีที่ได้อยู่ใกล้สกาย

“อีกสักสิบห้านาทีดอทก็ถึงแล้ว เฮียอย่าไปยุ่งกับสกายมากนะเดี๋ยวเด็กมันจะหงุดหงิดแล้วหนีกลับเอง”

“พูดอย่างกับเฮียเป็นตัวร้ายงั้นแหละ แต่เอาเถอะวันนี้จะไม่ขัดใจดอทถือว่าไถ่โทษก็แล้วกัน”

“ได้แบบนั้นก็ดีครับ เดี๋ยวเจอกันนะ”

ชนม์แดนยิ้มให้โทรศัพท์มือถือก่อนจะเก็บลงกระเป๋า

เวลาเฮียทำผิดก็จะแสนดีแบบนี้ไปอีกพักใหญ่ บางทีดอทควรคิดเรื่องที่จะตกลงปลงใจกับเฮียไว้บ้าง อดโทษตัวเองไม่ได้ว่าอาจเป็นเพราะดอทเองที่ไม่จริงจัง เฮียถึงยังเกเรอยู่แบบนี้



ไม่กี่อึดใจก็มาถึงหน้าโรงแรม ร่างเล็กลงจากรถเพื่อเข้าไปเองเพราะไม่ค่อยชอบโทรคุยกับสกาย สาเหตุก็เนื่องจากขี้เกียจฟังคำพูดเย็นชาและเดธแอร์ระหว่างการสนทนา

“มาได้ซะที” สกายเดินสวนไปขึ้นรถตู้และเหลือบมองเจ้าของโมเดลลิ่งของตนอย่างไม่เป็นมิตร

“เฮียบอกมันแล้วให้รอในล็อบบี้ก็จะเดินออกอยู่นั่นแหละ” เผ่าพงศ์เดินตามออกมาด้วยท่าทางหงุดหงิดและมีชายชุดดำสามคนตามมาห่างๆ

พอจะรู้แล้วว่าทำไมหน้าสกายถึงได้บูดเป็นตูดลิงแบบนั้น 

“บอกคนของเฮียไปไกลๆ”  ดวงตารีจ้องนิ่งไปยังร่างทั้งสามที่ทำท่าจะเดินอ้อมไปยังรถตู้  เผ่าพงศ์แค่หันไปมองแล้วสะบัดมือไล่เบาๆ พวกนั้นก็พร้อมใจกันเดินกลับเข้าไปในล็อบบี้ทันที

เฮ้อออ ถ้ามาไม่ทันจะเป็นยังไงนะ..

“ไหนเฮียรับปากว่าจะไม่ยุ่งกับสกายไง นี่คงไปวอแวละสิเด็กมันถึงได้หนีออกมา”

“อ้าวทำไมมาโทษเฮียล่ะ เฮียไม่ได้ไปยุ่งเลยนะแค่ชวนคุยเรื่องงานวันนี้เฉยๆ แล้วความจริงเฮียก็เป็นลูกค้านะ จะพูดคุยเรื่องงานกับลูกจ้างไม่ได้หรือไง”

“เฮ้อ เฮียนี่ล่ะก็”  ร่างบางส่ายหน้าอยากจะต่อว่าไปบ้างแต่แล้วก็ขี้เกียจจะเถียงด้วย “งั้นดอทกลับเลยนะครับ”

“ยังไม่หายคิดถึงเลยนะ” ร่างหนาเดินเข้ามาจะโอบเอวแต่คนรักรีบคว้ามือเขาไว้เสียก่อน

“อย่าเลยนี่มันหน้าโรงแรมนะครับ แล้วอีกอย่างดอทก็เพลียมากๆ อยากกลับไปพัก สกายก็รอในรถแล้วด้วย”

“โธ่ แล้วทำไมไม่มาเร็วๆ กว่านี้ล่ะ” เผ่าพงศ์ทำหน้าบูด “แทนที่จะได้กินข้าวเย็นด้วยกัน”

“ไม่ใช่ว่าดีใจเหรอครับที่ดอทไม่มากันท่าเฮียดูสกายถ่ายงานน่ะ” อดไม่ได้ก็ค้อนให้เบาๆ

“ไม่ต้องมาดักคอเลย ที่จริงแค่มีดอทเฮียก็ไม่อยากมีใครแล้ว”

ได้ฟังแล้วก็ใจชื้นขึ้นนิดหน่อย

“เอาไว้ค่อยคุยกันนะครับ”  คนตัวบางมองอ้อน คงต้องใช้ไม้นี้แล้วล่ะ “เมื่อกี้เพลียจนนั่งหลับที่ทำงาน คิดดูว่าน่าสงสารแค่ไหน”

สีหน้าเผ่าพงศ์เปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกขึ้นในทันที

“อ้าวแล้วก็ไม่บอก งั้นกลับเลย รีบกลับไปพักผ่อน ถึงบ้านแล้วโทรบอกเฮียด้วยนะ”

“ครับผม” ยิ้มหวานแล้วโบกมือให้ก่อนอีกฝ่ายจะยิ้มหล่อกลับมา

เวลาเฮียยิ้มแล้วดูดีมาก ดอทชอบเวลาเฮียยิ้มนะแต่นิสัยเฮียเป็นคนจริงจังและขี้หงุดหงิดจึงไม่ค่อยเห็นรอยยิ้มเท่าไหร่ ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้าดอทเท่านั้นที่จะเผยรอยยิ้มออกมามากขึ้น

เอาไว้เก็บเงินครบห้าสิบล้านแล้ว ดอทจะคิดเรื่องไปอยู่กับเฮียนะครับ เหลืออีกไม่เท่าไหร่แล้ว น่าจะไม่เกินกลางปีหน้านี้แหละที่มันจะครบตามที่ตั้งใจ



ต่อ..

หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 3 : สกาย 《26/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 26-04-2018 21:22:10
เมื่อขึ้นมาบนรถเห็นสกายนั่งหลับตาอยู่เก้าอี้แถวแรกเบาะในสุด ร่างเล็กจึงนั่งตรงเบาะใกล้ประตูเพราะขี้เกียจมุดเข้าไป

“คุณไม่คิดเหรอว่าผมต้องรีบกลับไปพักผ่อน” เมื่อประตูอัตโนมัติเลื่อนปิด สกายก็ลืมตาขึ้น เขาหันมามองด้วยสายตาเยียบเย็น ห้างานติดในวันนี้ทำให้แทบจะกระดิกนิ้วไม่ไหว

ช่างเป็นเด็กที่ไม่น่ารักเลยสักนิด เสียดายหน้าตาและเสน่ห์เพราะดวงตาเขาสีสวยดูน่าหลงใหล  บ่อยครั้งที่เผลอมองอย่างนึกทึ่งเวลาที่เขาจ้องมาตอนตั้งใจฟังบรีฟงาน

ร่างเล็กตัดสินใจไม่ตอบโต้เพราะขี้เกียจต่อความกับเขาแต่เปลี่ยนเรื่องเป็นการบรีฟงานต่อจากเมื่อเช้า

“เอาเอกสารงานที่บรีฟค้างไว้เมื่อเช้าขึ้นมาดู”

สีหน้าสกายดูจะหงุดหงิดเล็กน้อย ขอย้ำว่านิดเดียวจริงๆ  สกายเป็นคนเก็บความรู้สึกเก่งมากจนบางทีเห็นแล้วก็รู้สึกหงุดหงิด   เขาเปิดเป้ประจำตัวแล้วหยิบเอกสารสำหรับงานอาทิตย์นี้ขึ้นมาดูโดยไม่ท้วงติงอะไร

“พรุ่งนี้มีแค่ถ่ายแบบงานเดียวแต่ต้องไปถ่ายอยุธยา เธอต้องออกให้ทันรถตู้หกโมงเช้าเพราะฉันจะให้รถตู้ของเราไปส่งและรอรับกลับ เสร็จงานแล้วจะได้ออกมาเลยไม่ต้องรอรถกองให้เสียเวลา อย่าลืมซันบล็อกด้วยเพราะถ่ายเอาท์ดอร์ทั้งวันเวลาเธอโดนแดดแรงๆ แล้วตัวจะแดงเดี๋ยวถ่ายเซ็ตหลังๆ ไม่ได้  ส่วนเรื่องลิมิตอื่นของเธอฉันใส่รายละเอียดในสัญญาว่าจ้างไว้ทุกอย่างแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องตามใจใคร ถ้าทางนั้นไม่ยอมก็ให้เขาโทรมา”

ไม่มีทีท่าว่าจะหัวเสียอะไรอีก หนุ่มลูกครึ่งมองตามเอกสารแล้วจดรายละเอียดเอาไว้ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาฟังต่อ

“หนึ่งทุ่มวันจันทร์มีงานเดินแบบเสื้อผ้าแบรนด์ดีเซล สไตล์ก็คล้ายปีกลายแต่ครั้งนี้เขาให้เธอลองเดินฟินาเล่ ถ้าทำได้ดีอาจจะมีงานของดีเซลเยอะขึ้น พยายามพรีเซ้นต์ตามเอกลักษณ์ของแบรนด์และชุดที่ใส่ ที่จริงเธอเหมาะกับสไตล์เรียบหรูมากกว่าแต่ฉันคิดว่าอันนี้ก็น่าจะแมสกับเธอได้ ยังไงก็ลองดู”

เป็นเช่นเดิมคือไม่มีอาการตอบรับอะไรทั้งนั้น แค่โคลงหัวเล็กน้อยประมาณว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไร

อยากจะวีนอะไรออกไปบ้างแต่ช่างเถอะ ขาดไปแค่การตอบรับเท่านั้นเพราะยังเห็นว่าเขาจดและจ้องฟ้งอย่างตั้งใจ ซึ่งทุกงานที่เขาทำก็แทบไม่มีที่ติ  เรื่องงานเดินแบบถ่ายแบบถ้าไม่เอาอคติมาปะปนก็เรียกได้ว่าสกายบอร์นทูบีจริงๆ  เหลือแค่ผลักดันให้รับงานทีวีและสัมภาษณ์บ้างจะได้เป็นที่รู้จักมากขึ้น

จากนั้นก็บรีฟงานต่อจนเสร็จ สกายเก็บเอกสารเข้ากระเป๋าแล้วนั่งทำหน้าเฉยเมยต่อไป

ชนม์แดนเองก็ไม่มีธุระกงการอะไรกับเขาแล้วจึงนั่งเล่นไอแพดเช็คงานไปตามเรื่อง แต่แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้นจึงหยิบมากดรับสาย

“ครับ”

“ถึงบ้านรึยัง” เผ่าพงศ์อยู่ทางปลายสาย

“ยังเลยครับ รถติดมากข้างหน้าคงมีอุบัติเหตุ ตรงนี้มันไม่มีซอยให้ลัดไปด้วยครับ น่าจะต้องรอจนกว่าจะหลุดไปได้”

“แต่ส่งสกายแล้วใช่ไหม”

ร่างเล็กนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อคนรักถามถึงสกาย อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเจ้าตัวที่กำลังหันมาจ้องด้วยใบหน้าเครียดขรึมอยู่พอดี คงรู้ว่าตนคุยกับใคร

“ยังครับ” ตอบไปสั้นๆ

“งั้นไม่เป็นไร นึกว่าส่งสกายแล้วเพราะเฮียแวะมาดื่มที่ร้านเพื่อนใกล้บ้านดอท เลยว่าจะชวนดอทแวะมาหน่อย”

“ไม่ดีกว่าครับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกมาก คงไม่ไหวแล้ว”

“โอเคๆ งั้นถ้าถึงบ้านค่อยโทรบอกเฮียนะ”

“ครับ” ตอบรับแล้วก็วางสาย


“ผมถามจริงๆ คุณได้ค่าพ่อเล้าจากคุณเผ่าพงศ์เท่าไหร่ เขาหาโอกาสเข้าถึงตัวผมได้ง่ายก็เพราะมีคุณคอยปูทาง แล้วนี่อะไรอีก โทรมาบอกให้พาผมไปส่งให้เขาถึงที่งั้นสิ”

ชนมแดนตวัดสายตาจ้องเขาอย่างไม่พอใจ  คิดเองเออเองแบบนี้ก็ได้เหรอ

“ก็แล้วแต่จะคิด” ไม่รู้จะพูดอะไร ในใจลึกๆ ตนไม่อยากรับรู้เรื่องของเผ่าพงศ์กับสกายเลยด้วยซ้ำ

“แค่เอาเปรียบในสัญญายังไม่พอหรือไง”

ยิ่งไม่พูดก็ยิ่งไม่จบ คงหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วล่ะ

“ฉันไม่ขอพูดถึงเรื่องสัญญาเพราะมันกลับไปแก้อะไรไม่ได้ แต่เรื่องคุณเผ่า ทำไมเธอไม่ลองคบหากับคนอื่นไว้บ้าง เปิดใจพูดคุยหรือมองคนอื่นในแง่ดีบ้าง ไม่ใช่แค่กับคุณเผ่า ฉันหมายถึงคนในวงการนายแบบนางแบบ หรือแม้แต่กับฉันเองที่เธอควรจะทำตัวให้เป็นมิตรกว่านี้”

“เป็นมิตรเหรอ” หนุ่มหล่อแค่นเสียงใส่ “กับคุณที่เอาเปรียบผมอย่างหน้าไม่อายที่หลอกให้ผมเซ็นสัญญาทาส หรือกับคู่ขาของคุณที่คอยจ้องแต่จะเคลมผมเนี่ยนะที่ควรเป็นมิตรด้วย เก็บคำแนะนำของคุณไว้ใช้กับชีวิตคุณเองเถอะ เพราะคุณก็ไม่ได้ต่างจากผมหรอก  อันที่จริงผมเองยังมีเพื่อนแท้ที่มหาวิทยาลัยหลายคนแต่เท่าที่ดู คุณนั่นแหละที่ไม่มีใคร ผมเคยสงสัยนะว่าคุณเองก็หน้าตาดี ทำงานเก่ง แต่ทำไมชอบอยู่คนเดียว ก็เพิ่งเข้าใจว่าพวกศีลเสมอกันเท่านั้นแหละที่คบกันได้”

เจ็บ..

อึ้งจนพูดไม่ออก

น้ำตาก็พาลจะไหลเสียให้ได้

สกายไม่ค่อยพูดหรอก แต่พอพูดออกมาก็มีแต่คำหนักๆ ฟังแทบไม่ได้

มันก็จริงที่เขาพูด เผ่าพงศ์ไม่ใช่คนดีแต่ก็มีแต่เขาที่ไม่เคยทิ้งไป  เพื่อนก็ไม่มีเพราะเข็ดกับเรื่องของเนม พ่อก็ไม่รัก ญาติพี่น้องก็ย้ายออกจากบ้านไปหมด ขนาดไอ้ลูกเมียน้อย พอแม่มันตายก็ยังย้ายออกไปและมีชีวิตที่อิสระ มีความสุข มีเพื่อนมากมาย

ไม่ยุติธรรม..

“ฉันมีความสุขในแบบนี้” ดวงหน้าสวยเชิดขึ้นทำคอแข็งโต้เถียงออกไป “เธอเองก็สะกดคำว่าความสุขให้ได้ก่อนเถอะแล้วค่อยมาทำเก่งกับฉัน”

ทำไมจะไม่รู้ว่าสกายแทบไม่มีความสุข ชนม์แดนเห็นในดวงตาของเขาที่อมทุกข์ไว้มากมาย และถ้าไม่ถึงที่สุดตนก็ไม่อยากไปแตะปมใครหรอก แต่เขาวอนหาเรื่องเอง

สกายชะงักนิ่งไปหลังจากที่ถูกแทงใจดำ คนใจร้ายแค่มองเหยียดแล้วหลับตาหันหน้าไปอีกทาง  แต่ขนาดว่าปิดเปลือกตาไว้แบบนี้แล้ว หยาดน้ำยังปริ่มล้นออกมาได้อีก 

อย่าร้องนะ ร้องไห้ไม่ได้นะชนม์แดน เข้มแข็งไว้ พิสูจน์ตัวเองกับป๋าให้ได้แล้วจากนั้นก็จะถึงเวลาออกไปใช้ชีวิตอิสระ ชีวิตที่เป็นของตัวเองจริงๆ

วันนั้นใกล้จะมาถึงแล้ว อดทนอีกนิดสิ


ตั้งแต่นั้นก็ดูเหมือนคนทั้งคู่ได้ตายจากกัน สกายหันหน้าออกไปมองนอกกระจก ชนม์แดนเองก็นิ่งเงียบแทบจะไม่ได้ยินเสียงหายใจ  ร่างบางรู้ดีว่าเขาไม่ได้หลับเพราะยังได้ยินเสียงถอนหายใจเป็นระยะจากการที่รถแทบจะไม่ขยับไปข้างหน้า ส่วนตนเองก็แค่หลับตาไว้เฉยๆ ไม่ได้หลับเช่นกัน

ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดเช่นนี้ การทำเสียงใดๆ ของแต่ละฝ่ายจะทำให้อีกฝ่ายได้ยินอย่างถนัดชัดเจน 

ซึ่งชนม์แดนเองไม่คิดว่า..
โครกกก~~
ท้องบ้านี่! ดันร้องขึ้นมาได้!

“คุณตดเหรอ”

!!!!
ร่างเล็กเด้งตัวขึ้นแล้วหันไปถลึงตาใส่ “ฉันแค่ท้องร้อง!”

ร่างสูงไหวไหล่ก่อนจะเอนหลังพิงเบาะต่อไป

ไอ้เด็กนิสัยแย่! เมื่อไหร่จะถึงคอนโดซะทีนะ เหม็นขี้หน้า อึดอัดชะมัด!

“รถติดแบบนี้คงอีกนาน ลงไปหาอะไรกินซะ” เด็กหนุ่มลูกครึ่งเปรยเบาๆ โดยไม่หันมามอง

“เรื่องของฉัน” บอกไปแค่นั้นแล้วหันหน้าหนี

“เสียงท้องร้องดังขนาดนี้คงไม่ใช่แค่อดมื้อเย็นมาละสิ”

คนดื้อรั้นไม่ได้ตอบคำใด ไม่อยากจะเสวนาด้วยหรอก

“เปิดประตูให้หน่อยครับลุง” สกายบอกคนขับแล้วเมื่อประตูเปิดเขาก็เดินลงจากรถ เบียดขาเรียวเล็กออกไปโดยไม่สนใจมารยาท

ไอ้เด็กไร้การอบรม!

ว่าแต่จะไปไหนนะ แต่ก็ช่างเถอะ ตอนนี้เขาพ้นจากเฮียมาได้แล้วจะไปไหนก็เรื่องของนาย กลับบ้านเองก็แล้วกัน



ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที รถขยับออกจากที่เดิมไปอีกสองร้อยเมตร ชนม์แดนไม่ได้มองหาสกายอีกแต่นั่งเอนหลังนวดท้องตัวเองเพราะมันเริ่มปวดหนักขึ้น

ก๊อกๆ

เสียงเคาะกระจกและเมื่อมองออกไปก็เห็นร่างสูงของสกาย คนขับจึงเปิดประตูให้

ตุ๊บ~

ระหว่างที่เดินเบียดผ่านเข้าไปนั่งยังตำแหน่งเดิม มือหนาก็ปล่อยทิ้งถุงของกินลงบนตักคนที่นั่งอยู่

เบอร์เกอร์อบร้อนๆ กับขนมครัวซองไส้สังขยา พร้อมด้วยชาเขียวแช่เย็นอีกหนึ่งขวด ที่คงไปซื้อมาจากมินิมาร์ท

ส่วนตัวเขาเองมีโยเกิร์ตและน้ำเปล่า

ร่างเล็กมองอย่างลังเล จะว่าแปลกก็แปลกแต่ไม่อยากเปลืองคำพูดจึงแกะของกินไปช้าๆ ทำเหมือนว่าไม่หิว แต่อันที่จริงคือที่สุดของที่สุด นี่ถ้าไม่ห่วงภาพลักษณ์คงจะยัดเข้าปากให้หมดก้อน


ตอนนี้ใกล้ถึงคอนโดของสกายแล้ว  ชนม์แดนรีบเก็บขยะที่กินหมดยัดใส่ถุงอย่างเรียบร้อยเพื่อเตรียมขยับให้เขาลง

รถตู้ขับเข้าไปจอดด้านในแล้วประตูก็เปิดออก  สกายก็ลงไปเงียบๆ แต่ในขณะที่เขากำลังจะเดินไป คนที่นั่งข้างประตูก็เรียกไว้

“เดี๋ยว”  รีบล้วงหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์ออกมาห้าร้อยบาทแล้วยื่นไปให้เขา “ฉันไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร แล้วคราวหลังก็ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของฉันอีก”

สายตาของสกายตวัดมองอย่างไม่พอใจ และมันก็ทำให้ลำคอของคนดื้อรั้นแข็งขึ้นเพราะไม่พอใจปฏิกิริยาเขาเช่นกัน

“ถ้าพี่บอลลูนไม่โทรมาเมื่อกี้เพื่อฝากให้ดูคุณเพราะไม่ได้กินข้าวทั้งวัน ผมก็ไม่อยากเสียเวลาหรอก”

พี่บอลลูนนี่นะ ไม่น่าไปบอกเด็กมันเลย ยิ่งไม่ค่อยอยากปะทะกันอยู่ด้วย

“ช่างเถอะ รับเงินไปเร็วๆ สิ เสียเวลา” เห็นสกายยังยืนนิ่งไม่รับเงินไป มือเล็กจึงเขย่าเร่งให้รีบรับ

แต่เหมือนมือไม่ค่อยมีแรงกอปรกับมีลมพัดมาวูบหนึ่ง แบงค์ห้าร้อยจึงหลุดออกจากมือร่วงลงไปตรงอยู่ใกล้ๆ เท้าของเขา

แย่แล้ว..สถานการณ์แบบนี้ ควรทำยังไง..

หนุ่มหน้าสวยกังวลใจอยู่เพียงเสี้ยววินาทีแต่พอเห็นว่าสกายมองเงินที่หล่นอยู่สลับหน้าตนอย่างไม่ค่อยพอใจนักก็รู้สึกคอแข็งขึ้นมาอีกรอบ

ไม่รู้เป็นอะไร ไม่ชอบเวลาที่ถูกคนอื่นไม่พอใจ ไม่ชอบเลยจริงๆ

“ถือว่าฉันจ่ายคืนไปแล้วนะ  ปิดประตูได้แล้ว”  ประโยคหลังหันไปสั่งคนขับรถ

ในขณะที่ประตูค่อยๆ เลื่อนปิด คนรั้นเองก็ได้แต่นั่งคอแข็งทำเป็นไม่สนใจ 

“คุณเป็นหนี้ผมไม่รู้เท่าไหร่ หนี้ที่คุณชดใช้ยังไงก็ไม่หมดหรอก”

ได้ยินเสียงของสกายก่อนที่ประตูจะปิดสนิท ขณะที่รถเริ่มออกตัวจึงค่อยๆ เหลือบมองและหันไปมองเต็มตาเมื่อมั่นใจว่าเขาหันหลังเดินเข้าไปในคอนโดแล้ว

เงินก็ไม่เก็บไป   หยิ่งไม่เข้าเรื่อง!

ก็เพราะเป็นหนี้ถึงอยากทำให้นายโด่งดังที่สุดในอาชีพนี้ พอหมดสัญญาห้าปีกับฉันไปแล้วก็จะมีรายได้มหาศาลมาชดเชยเวลาที่เสียไป มันอาจจะแทนกันไม่ได้แต่เชื่อเถอะว่านี่เป็นทางที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันจะคิดได้แล้ว


ชนม์แดนทิ้งเรื่องสกายออกจากหัวเพราะตอนนี้เริ่มง่วงและงีบหลับไปจนถึงบ้าน 

“คุณหนูครับ คุณหนูถึงบ้านแล้วครับ”  เสียงนายเวชคนขับรถยืนเรียกอยู่ตรงประตู

ร่างเล็กค่อยๆ ขยับลุกขึ้นส่ายหัวเล็กน้อยไล่ความง่วงงุน

“คราวหลังโทรบอกน้าเวชให้ไปรับดีกว่า ไม่ต้องรอกลับกับรถตู้ก็ได้นะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ดอทแค่ต้องเช็คงานก่อนกลับเท่านั้นเอง”  คุณหนูตัวน้อยในสายตานายเวชอธิบายขณะที่ลงจากรถ

“งานอะไรนักหนาครับ ถ้าไม่สำคัญก็ให้คนอื่นทำแทนเถอะ คุณหนูน่าจะดูแลสุขภาพบ้าง”

น้าเวชก็ขี้บ่นตลอด แต่ไม่อยากขัดแกเพราะรู้ว่าแกเป็นห่วง

“งั้นน้าเวชไปบอกแม่ครัวให้ทำข้าวต้มกุ้งชามใหญ่ๆ ให้ดอทหน่อยได้ไหมครับ จะได้สุขภาพดี อ้วนท้วนสมบูรณ์” ร่างเล็กยิ้มบางๆ ไปให้เป็นวิธีที่จะทำให้โดนบ่นน้อยลง

“ได้ครับๆ เอาชามใหญ่ๆ เลยนะครับ” ใบหน้าที่ง้ำงอของฝ่ายผู้ใหญ่สดใสขึ้นทันทีแค่รู้ว่าคุณหนูของเขาอยากกินข้าวเยอะๆ จากนั้นก็รีบวิ่งไปทางหลังบ้านเพราะแม่ครัวคงเข้าห้องนอนไปแล้ว

งานนี้สำคัญมากๆ ครับน้าเวช ไม่มีใครทำได้ดีเท่าดอทหรอก



หลังจากทานข้าวต้มชามใหญ่ไปครึ่งชาม ที่เหลือก็แอบเอาไปทิ้งในชักโครก ก็รู้ว่าทำแบบนี้ไม่ดีแต่ไม่อยากให้นายเวชและคนในบ้านสบายใจจึงต้องทำ 

จากนั้นก็ขึ้นบ้านจัดการถอดเสื้อผ้าเตรียมตัวอาบน้ำ  ขณะที่กำลังเปิดน้ำฝักบัวชะล้างคราบเหงื่อไคลตั้งแต่หัวจรดเท้า   ร่างบางหันมองกระจกบานใหญ่ที่สะท้อนภาพของตัวเอง โดยเฉพาะมันยังสะท้อนให้เห็นถึงด้านหลังเนื่องจากมีกระจกอีกบานติดอยู่ด้านตรงข้าม

ชนม์แดนสั่งติดกระจกไว้แบบนี้เพื่อจะได้มองดูตัวเองได้อย่างรอบด้าน ด้านหน้าเป็นอย่างไร ด้านหลังเป็นอย่างไร เจ้าตัวรู้จักทุกซอกทุกมุมบนร่างกายตัวเอง

ร่างกายที่โปร่งบาง ผิวขาวซีดเหมือนกระดาษ ยิ่งรวมกับใบหน้าเชิดหยิ่งถือตัวด้วยแล้ว ก็กลายเป็นคนที่เข้าหายากเข้าไปใหญ่   ต่อเมื่อหัวใจสูบฉีดเลือดหนักๆ เท่านั้นจึงจะแดงเรื่อขึ้นทั้งหน้าและลามไปทั้งตัว 

ความสูงแค่ร้อยหกสิบเอ็ดซึ่งถือว่าเตี้ยสำหรับมาตรฐานชายไทย  ใบหน้าที่ตกกระประปรายเมื่อถูกน้ำชะล้างเช่นนี้ยิ่งเผยให้เห็นรอยตกกระมากขึ้น  ผมสีดำยาวประบ่าซึ่งปกติจะถูกเซ็ตเสยขึ้นทั้งหมดแบบ Wet hair look  เจ้าตัวชอบผมทรงนี้เพราะลักษณะงานที่ต้องก้มๆ เงยๆ ทำให้ไม่ต้องห่วงเรื่องการตกลงมาของเส้นผมและไม่ชอบตัดผมสั้นเพราะตัดแล้วทำให้นึกถึงตัวเองสมัยเรียนมัธยม

และพอนึกถึงช่วงนั้น ภาพของรุ่นพี่สุดหล่อและเพื่อนรักก็มักโผล่มาเรียกความเศร้าได้ทุกครั้งไป

ใบหน้าที่แทบไม่เปลี่ยนไปเลย อาจเป็นเพราะไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
“หน้าตาแบบนี้เหรอที่สมควรอยู่อย่างโดดเดี่ยว หาความสุขไม่เจอ”  ชนม์แดนเปรยออกมาขณะที่มองใบหน้าของตน  อดไม่ได้ที่จะพร่ำตัดพ้อโชคชะตา

ดวงตาเรียวรี หางตายกขึ้นทำให้ยิ่งดูหยิ่ง ขี้แมลงวันสองจุดตรงหางตาที่หลายคนเคยทักว่าดูแปลกดี จมูกเล็กโด่งรั้นและริมฝีปากบางสีกลีบกุหลาบ โดยรวมแล้วถ้าจะบอกว่าสวยก็ไม่เกินไปนัก ยิ่งไว้ผมยาวแบบนี้ก็ยิ่งคล้ายผู้หญิงไปกันใหญ่ แต่ส่วนใหญ่คนชอบทักว่าเป็นแนวเวิร์คกิ้งวูเมนมากกว่า

การแต่งตัวเน้นกระชับสัดส่วน ทั้งด้านบนด้านล่าง หรืออาจเป็นเสื้อผ้าสไตล์เก๋ๆ ที่ออกแบบเอง ชอบโชว์เรียวขาแต่ส่วนใหญ่จะปิดแขนเพราะไม่ชอบสีซีดๆ ของแขนตัวเองนัก

นิสัยหยิ่งๆ ไม่กรีดกราย ไม่สดใส ไม่ค่อยเป็นมิตร และดุมากกับคนไม่คุ้นเคย  และนี่คงเป็นจุดบกพร่องที่ทำให้ไม่ค่อยมีใครเข้ามาในชีวิต

ช่างเถอะ ขนาดพ่อแท้ๆ ยังไม่รักเลยแล้วจะไปหวังให้ใครมารักล่ะ


คนรั้นรีบอาบน้ำและเข้านอน ก่อนปิดโทรศัพท์ก็ไม่ลืมโทรไปรายงานเผ่าพงศ์ว่ากลับถึงบ้านแล้ว

ถึงเสียงอีกฝ่ายจะเมาแอ๋แต่ก็รับสายเร็วและพูดจาน่ารัก  เวลาไม่โกรธก็จะน่ารักมากๆ  ไม่อยากให้เขาขาดสติอีกเลยไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรเพราะตนเองก็ใกล้จะหมดความอดทนแล้วจริงๆ


++++++++++++++++++++




ตั้งแต่วันนั้น สกายก็เหมือนจะแข็งข้อมากขึ้น ทว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรตราบเท่าที่เขายังตั้งใจทำงาน อีกอย่างก็คือทั้งคู่ยังไม่มีอะไรที่จะต้องปะทะกันมากกว่าที่เป็นอยู่

“คืนนี้ดอทของเฮียเท่จัง” เผ่าพงศ์โอบเอวคอดแล้วสูดดมไปตามซอกคอ

“อือ พอก่อนครับเดี๋ยวต้องไปงานแล้ว” 

งานแฟชั่นโชว์ปลายปีจัดขึ้นที่โรงแรมของเจ้าสัวแดนสรวงผู้เป็นบิดา  เป็นการเดินแบบคอลเลคชั่นใหม่ของแบรนด์สวีทดอท ซึ่งชนม์แดนทุ่มเทให้งานนี้สุดตัวเพราะเป็นทั้งการโปรโมทแบรนด์และโมเดลลิ่งไปในตัวเนื่องจากตอนนี้เด็กในสังกัดมีด้วยกันถึงยี่สิบสี่คน

“เฮียจะไม่ไปคุมเครื่องเพชรเองจริงๆ เหรอ” ร่างเล็กมองอ้อนเพราะคืนนี้คนรักให้ยืมเพชรมาโชว์ตามที่สัญญาไว้ในคราวก่อน

“เดี๋ยวเฮียส่งคนไปช่วยเซฟความเรียบร้อยแล้วจะตามไปดึกๆ”

“ทำไมต้องนัดคืนนี้ด้วยก็ไม่รู้” คนขี้กังวลยู่ปากงอนๆ ปกติไม่ค่อยทำแบบนี้เพราะจะนิ่งมากกว่าแต่เป็นเพราะเครื่องเพชรมีราคาค่อนข้างสูงจึงไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด

“วันนี้อ้อนจังเลย” มือหนาบีบปากจนยู่ไปมา “แต่คุณมิเชลมาได้แค่สองวัน พรุ่งนี้เช้าจะกลับสวิสฯ ไฟลท์เช้า เฮียก็เลยต้องคุยงานคืนนี้”

ถึงจะรู้ว่าคุณมิเชลเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของบริษัทเพชรไทย แต่ก็แอบหวั่นลึกๆ ว่าคงไม่ใช่หนึ่งในคอลเลคชั่นของเชา  เผ่าพงศ์ถึงแม้จะไม่ได้หล่อจัดจ้านแต่เขาก็ดูดีมากจนตำแหน่งคาสโนว่าอยู่คู่กับเขามาถึงตอนนี้ที่อายุก็เลยเลขสามไปแล้วนิดๆ

“งั้นถ้าดึกก็ไม่ต้องมาก็ได้ครับ งานดอทคงเลิกประมาณเที่ยงคืนแล้วก็คงจะพักผ่อนเลย”

“เรื่องอะไรจะไม่มา นานๆ ทีดอทจะออกมาอยู่โรงแรมแบบนี้ เฮียไม่มีทางพลาดหรอกแค่ไม่รู้ว่าจะมาก่อนงานเลิกไหมแค่นั้นเอง”

“ไม่รู้เลยนะครับว่าเป้าหมายคืออะไร” ร่างบางมองค้อน

“ฮ่าๆๆ ก็อยากอยู่กับเมียนี่ครับ เมียชอบเล่นตัวไม่ค่อยอยู่กับผัวเลย”  เผ่าพงศ์ประคองคนรักไปที่ประตู “เฮียไปนะ อยู่นานเดี๋ยวทนไม่ไหวจะจัดอีกรอบ” ชนม์แดนย่นหน้าด้วยความขัดเขินแล้วเดินไปส่งที่หน้าห้อง 

คืนนี้เหมาห้องจัดงานขนาดใหญ่และห้องสวีทห้องนี้ของโรงแรมแกรนด์เอราวัณไว้เพื่อพักผ่อนและเปลี่ยนเสื้อผ้าจะได้ไม่ต้องวิ่งรอกไปกลับที่บ้าน  ไม่แน่ว่าคืนนี้เจ้าสัวแดนสรวงอาจจะแวะมาดูงานของลูกชายเพราะโรงแรมนี้เป็นของเขาและในปัจจุบันเขาได้มาพักในโรงแรมของตนเองบ่อยๆ เพราะเบื่อที่ต้องทะเลาะกับภรรยา  ซึ่งเรื่องนี้มันก็นานมากแล้วและชนม์แดนก็โตพอที่จะไม่โหยหาความอบอุ่นอีกเพียงแต่ความตั้งใจที่จะได้รับการยอมรับยังคงมีอยู่และมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะทำมันให้สำเร็จให้จงได้

การที่ต้องใช้โรงแรมของบิดาเพราะโรงแรมที่จองไว้ในตอนแรกเกิดแคนเซิลกะทันหันเนื่องจากมีคดีฆาตรกรรมและต้องปิดโรงแรมชั่วคราวเพื่อตรวจสอบ  เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งอาทิตย์ซึ่งไม่สามารถหาห้องจัดงานใหม่ได้ทันจึงต้องอ่อนข้อโทรไปขอความช่วยเหลือ ซึ่งคนเป็นพ่อก็ดูเหมือนจะดีใจอยู่ในทีและให้ข้อเสนอที่น่าสนใจเป็นการเซฟค่าใช้จ่ายโดยให้ช่วยโปรโมทโรงแรมให้อย่างน้อยสามเดือนโดยจ่ายในราคา 50% และแถมห้องสวีทให้ด้วย

ก็อยากคิดเหมือนกันว่าเป็นความช่วยเหลือแต่คงไม่ใช่หรอก ป๋าคงคิดว่าเป็นผลประโยชน์ทางธุรกิจมากกว่า 



ตอนนี้ยืนอยู่หน้ากระจกเพื่อจัดชุดสูทลายทางสีขาวสลับดำพร้อมกับหมวกสุดเท่เข้าชุดกัน แต่งหน้าบางๆ เน้นขอบตาสีดำ ลงทินท์ที่ริมฝีปากเบาๆ จึงดูแปลกตาไปกว่าปกติ

แขกเหรื่อมางานค่อนข้างหนาตาเพราะได้แรงโปรโมทจากแฟนเพจของเพชรไทยและโรงแรมแกรนด์เอราวัณที่เหมือนจะโปรโมทหนักกว่าแฟนเพจของแบรนด์สวีทดอทเสียด้วยซ้ำ

เพชรคอลเลคชั่นนี้เป็นของปีหน้าซึ่งจะว่าไปค่อนข้างโชคดีที่ได้เผ่าพงศ์ช่วยส่งเสริมเพราะการจะได้เพชรสวยๆ มาเดินแบบเสื้อผ้าไม่ใช่เรื่องง่ายแต่เขาก็ยกคอลเลคชั่นใหม่มาทั้งเซ็ตแถมยังไม่ต้องจ่ายสักบาท  ลูกค้าเพชรจากบริษัทเพชรไทยกระเป๋าหนักๆ ทั้งนั้นและวันนี้คงมากันเยอะแน่ หวังว่าเสื้อผ้าวันนี้จะถูกสั่งจองหมดทุกตัว




งานแฟชั่นโชว์ที่ลงมือออแกไนซ์เองทุกขั้นตอนของชนม์แดนผ่านไปได้อย่างราบรื่นจนกระทั่ง

“เพชรที่จะใช้เดินชุดฟินาเล่หายไปค่ะ จะทำยังไงดีคะคุณดอท”  บอลลูนวิ่งหน้าตาตื่นมากระซิบนายจ้างตอนที่กำลังชมการเดินแบบ

“หายได้ยังไง! หาทั่วแล้วหรือยังครับ!” หัวใจหล่นหายไปถึงตาตุ่มกับสิ่งที่ได้ยิน

“ตอนนี้ค้นทั้งห้องเก็บเครื่องเพชรและห้องแต่งตัวค่ะ บอดี้การ์ดคุณเผ่าพงษ์สแตนด์บายอยู่รอบห้องแต่งตัวเพราะพี่ไปแจ้งไว้เบื้องต้นว่าห้ามใครเข้าออกเด็ดขาด

“โอเคงั้นตอนนี้แจ้งหน่วยรักษาความปลอดภัยให้ค้นตัวคนที่จะออกจากงานอย่างละเอียดหรือห้ามเขาออกจากงานจนกว่าจะเจอเครื่องเพชร แต่ถ้ายังหาไม่เจอค่อยประกาศขอค้นตัวคนที่อยู่ในงานอีกที”  เมื่อเลขาเข้าใจคำสั่งจึงรีบรับคำแล้วเข้าไปจัดการด้านหลังทันที

ชนม์แดนรีบสั่งงานผ่านเครื่องสื่อสารจากเฮดเซ็ตของตัวเองแล้วเดินไปกำชับหัวหน้าบอดี้การ์ดของเผ่าพงศ์อีกครั้งเพื่อความรอบคอบ  จากนั้นจึงไปกระซิบพิธีกรให้ยื้อเวลาไว้ถ้าหากถึงโชว์ฟินาเล่


กว่าจะเจอเครื่องเพชรก็เกือบตีหนึ่ง ที่แท้เครื่องเพชรนั้นถูกนางแบบที่ผิดหวังเพราะโดนเปลี่ยนตัวฟินาเล่เอาไปซ่อนในกระเป๋าของชนม์แดนเองซึ่งก็สมควรที่จะไม่มีใครหาเจอเพราะคงไม่มีใครคิดว่าเจ้าตัวจะขโมยของตัวเอง แต่พอขู่ว่าตำรวจกำลังจะมาเธอจึงแอบมาสารภาพกับตนเป็นการส่วนตัว

เอาเป็นว่าค่อยจัดการต้นตอของเรื่องทีหลัง  ส่วนคืนนี้ขอให้หมดเรื่องปวดหัวแค่ตรงนี้ก็พอ

“ต้องขออภัยทุกท่านในเหตุขัดข้องดังกล่าวด้วยนะคะ เครื่องเพชรชุดที่จะให้นายแบบนางแบบใส่ในการเดินฟินาเล่เกิดหายไปจึงต้องขอความร่วมมือทุกท่านให้อยู่ในงานนานไปสักหน่อยและในตอนนี้ก็พบเครื่องเพชรนั้นแล้ว ณ เวลาต่อจากนี้ ขอเชิญทุกท่านรับชมความตระการตาของชุดฟินาเล่กันได้เลยค่ะ”

หลังสิ้นเสียงพิธีกร เสียงเพลงรอบฟินาเล่ก็ดังขึ้น  ดีไซเนอร์เจ้าของแบรนด์สวีทดอทนั่งไม่ติดเพราะลุ้นหนักมากจึงต้องยืนคุมอยู่ใกล้เวทีและกวาดตามองไปทั่วงาน ตอนนี้สกายเดินออกมาในชุดที่คล้ายยุคกรีกโรมันซึ่งเจ้าตัวตั้งใจออกแบบให้มันดูพริ้วไหวเซ็กซี่และขณะเดียวกันก็ดูสง่าบริสุทธิ์และดึงดูด โดยชุดนี้จะใส่ได้ทั้งชายและหญิงเพราะหากเพิ่มกางเกงสกินนี่เข้าไปอีกชิ้นก็สามารถใส่ในชีวิตประจำวันได้ 

สกายถ่ายทอดเอกลักษณ์ของชุดได้เป็นอย่างดี เขาดูมีเสน่ห์ สวย ซึ้ง และดูหวานด้วยมงกุฎดอกไม้บนศีรษะแถมยังมีทับทิมล้อมเพชรอยู่บนคอส่งให้ดูโก้หรูขึ้นได้ในทันที

หล่อและเก่งขนาดนี้ถ้านายทำตัวน่ารักอีกสักหน่อยก็คงดี

ชนม์แดนมองตามร่างสูงของสกายที่เคียงคู่ไปกับนางแบบตัวท็อปไปจนสุดแคทวอล์ค  กวาดตามองผู้ชมว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง แต่แล้วก็สะดุดเข้ากับผู้ชายสองคนที่ยื้อยุดกันอยู่บริเวณเก้าอี้แถวสุดท้าย

นั่นมัน..ไอ้ลูกเมียน้อย!



.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ฝากแท็ก #รู้เท่าไม่ถึงรัก ในทวิตเตอร์ด้วยจ้า
ใครเคยอ่านคู่จิ้นของผมเป็นผู้ชายคงคุ้นเคยกับน้องสกายดี ตอนหน้าดินแดนก็จะตามมาค่ะ

ปล. สำหรับคนที่ใจบางไม่แข็งแรงกับดราม่าบอกเลยว่าไม่ม่าขนาดนั้นน้า
เรื่องนี้มันจะแค่หน่วงๆ เพราะพี่ดอทนางเป็นมนุษย์คิดมาก ชอบมโนเรื่องร้ายๆ
เรื่องร้ายสุดของนางก็มีแค่ตอนเด็กแล้วจะมีตอนกลางเรื่องอีกช่วงเดียว นอกนั้นก็จะอึนๆ ตามประสาคนดื้อแค่นั้นเอง

ขอบคุณคอมเมนต์นะคะ มีความสุขที่ได้อ่านเม้นจัง  :pig4:
 :mew1:

หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 3 : สกาย 《26/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 26-04-2018 22:18:07
ฮิ้ววววว เวลคัมพี่ดินตอนหน้าเด้อ ห่างหายจากคู่จิ้นไปนานก็ลืมไปเลยว่าสกายก็ร้ายใช่เล่น แต่ก็น่าสงสารอยู่ ส่วนอิตาเผ่าพงศ์นี่เมื่อไหร่จะปล่อยพี่ดอทสักทีนะ พี่ดอทต้องเจอคนดีๆได้แล้วสิ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 3 : สกาย 《26/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: psyfer ที่ 26-04-2018 23:13:15
โอ้ะ ก็ว่าคุ้นกะสกายมาจากไหน
พี่ดินนี่เอง
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 3 : สกาย 《26/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 27-04-2018 08:21:20
เพิ่งได้มาอ่านค่ะ  สงสารพี่เวย์ ขอให้ปลายทางโชคดี

ส่วนตัวเป็นคนแพ้ดราม่าค่ะ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 3 : สกาย 《26/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 27-04-2018 11:41:27
พี่ดินมาแล้ว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 3 : สกาย 《26/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 27-04-2018 23:29:51
เห็นพล็อตแล้วน่าสนใจถึงขั้นต้องไปตามเรื่อง Best Couple มาลองอ่านเลยครับ โดยภาพรวม ผมประทับใจกับเรื่องนี้เลยทีเดียวนะครับ ถึงแม้ว่าตอนแรกเจอคำโปรยของผู้แต่งบอกไปว่าให้คอมเมนท์เบาๆ ไอ้เราก็ไม่รู้จะเขียนยังไงให้เบา (หัวเราะ) แต่พอได้ไปอ่านเรื่องเก่า แล้วก็เข้าใจเลยว่าโทนเรื่องแบบนี้สิ ถึงจะขยายความปมและจุดที่ทิ้งไว้ในเรื่องเก่าได้ดี

อันดับแรก มาพูดเรื่องความหลากหลาย จุดนี้ผมขอชม คุณฟิคชันเขียน Best Couple ซึ่งเป็นแนวคอเมดี้ออกมาได้ดีมากครับ ทีนี้พอมาเห็นเรื่องนี้ซึ่งจะแปลงมาเป็นดราม่าโดยอยู่ในจักรวาลเดียวกัน มันก็เป็นอะไรที่น่าสนใจพอสมควร อีกทั้งตอนผมอ่าน Best Couple นี่หลายๆตัวละครก็ค่อนข้างมีปมทิ้งไว้เยอะเลย มีสิ่งที่หยิบมาเล่นได้เยอะแยะ การเอาจุดหรือปมตรงนั้นมาขยายความต่อในเรื่องนี้ซึ่งเป็นโทนดราม่า โดยโฟกัสกับชีวิตของตัวละครเอกที่เราเห็นผ่านๆ อย่างดอท ก็เป็นอะไรที่ผมคิดว่าดีและน่าประทับใจทีเดียว อีกทั้งโทนเรื่องที่เปลี่ยนไป จะทำให้เราเห็นมุมมองของจักรวาลเดียวกัน ผ่านสีสันและความรู้สึกใหม่ๆด้วย

อันดับที่สอง มาพูดเรื่องนิสัยตัวละครครับ มีหลายตัวละครที่ผมต้องพูดถึงมากๆเลย

     เอาตัวละครแรกก่อน - ดอท ชนม์แดน : เป็นตัวละครที่เรียลและมีมิติมากๆ ทุกอย่างของเขาเป็นส่วนประกอบของความสมจริงและพล็อตพื้นหลังอันแน่นปั้ก การกระทำทุกอย่างมีมิติ มีความคิดที่ชัดเจนอยู่ในใจแต่ไม่ได้แสดงออกมาผ่านการกระทำ ผมว่าดอทเป็นตัวละครที่ทำให้เราเห็นเลยว่ากฎ Action = Reaction เป็นอะไรที่เป็นความจริง ยิ่งเราเห็นว่าพ่อของดอทไปสนใจเมียน้อยและครอบครัวมากกว่าขนาดไหน เราจะเห็นความชิงชังและความเกลียดชังจากตัวดอทมากขึ้นเท่านั้น โชคยังดีหน่อยที่แม่ของดอทยังไม่ได้ร้ายขนาดคุณแจนของสกาย ผมว่าอีนังคุณแจนนี่เลวกว่าแม่ดอทเยอะนะครับ สำหรับแม่ดอท มันอาจจะเพราะว่าฝั่งดินทำให้ลูกชายของเธอไม่เป็นผู้เป็นคน ผมว่าแม่ดอทก็ใจเย็นมากแล้วนะ ไม่ทำอะไรฉีกหน้าสามี ยอมตามทุกอย่าง ถ้ารวยจริงระดับหมื่นล้าน เงินบริจาคนิดๆหน่อยๆทำไมทำไม่ได้? ก็ไม่ได้ทำบ่อยด้วยนี่นา ดูเธอไม่ค่อยสนใจสามี แต่สนใจเรื่องเงินที่อาจจะถูกยักยอกออกไปได้ เพราะกลัวลูกชายจะไม่ได้รับอะไร แถมพอสามีดันเอาแต่ไปขลุกอยู่กับพวกนั้นโดยมีอคติ ก็เลยทำให้ไม่มีเวลาอบรมลูกชายของเธอ ไม่มีเวลาที่จะมาได้อยู่กับลูก ผมนับถือแม่ดอทในแง่ที่ว่าเป็นตัวละครที่ทุ่มเทเพื่อลูกชายมากนะครับ อาจจะมีอคติทำให้มองอะไรผิดๆไปบ้าง แต่ก็ยังมี sense of judgement ที่ทำให้ไม่ได้แบบผิดศีลธรรมหรือมองผิดไปมากขนาดนั้น ไม่ถึงขั้นแบบยัยคุณแจนของสกาย ถ้าแม่ของดอทไม่ดี ไม่มีทางที่เนื้อแท้ของดอทจะเป็นเด็กดีขนาดนี้แน่

     ซึ่งเอาจริงๆ ดอทก็แค่อยากได้ความรักจากพ่อ การยอมรับ มันเลยทำให้เขาทะเยอทะยาน ประกอบกับสภาพร่างกายดอทไม่ค่อยดีเท่าไหร่อยู่แล้ว เจอแบบนี้ไปก็ยิ่งทำให้เขาเปราะบางเข้าไปอีก

     ผมมองว่าตัวละครคุณ ‘ป๋า’ นี่แย่มากเลยนะครับ ในเรื่อง Best Couple นี่ยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่อยู่แล้ว ถ้าเปิดไปดูหน้า 45 ของเรื่อง Best Couple ตอนที่ 22 จะเห็นเลยครับว่าพ่อของดอทคุยกับดินยังไง แล้วมาเทียบกับการคุยกับดอท ผมคิดว่านี่สื่ออะไรชัดเจนมากๆเลยนะครับ แดนสรวงมีท่าทีเป็นมิตร รักลูกชายอย่างดินแดนมาก ล้อเล่นได้กับลูกชายว่าจิ้นกับนายแบบ หาสะใภ้ผู้ชายเข้าบ้านได้ แต่ด่าดอทซะไม่เป็นเพศมนุษย์ ด่าว่าหญิงไม่ใช่ชายไม่เชิง เอะอะพอลูกโกรธก็คิดว่าใช้เงินฟาดหัวได้ นิสัยพรรค์นี้ผมรับไม่ได้นะครับ หรือตอนที่งานที่ดอทมีปัญหา แดนสรวงก็บอกว่า เรื่องของมัน ให้ไปแก้ปัญหาเอาเอง แต่พอดินจะไปช่วย โอ๋ทันทีว่าถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องทำ ไม่เป็นไร ปล่อยให้ดอทเดือดร้อนของมันไป นี่คือระบบการคิดของมนุษย์ที่เป็นพ่อแท้ๆของลูกชายที่มาก่อนและถูกต้องตามกฎหมายงั้นหรือครับ?

     ที่พีคมากไปอีกคือ พินัยกรรม เขียนแบบนั้นออกมาได้ยังไง ต่อให้รักยังไงก็ไม่ควรทำให้ฝั่งผู้หญิงที่ถือทะเบียนสมรสเสื่อมเสียเกียรติ และเป็นการแสดงออกว่าไม่ได้ใส่ใจอะไรลูกชายอย่างดอทเลยด้วย ผมว่าคุณแดนสรวงนี่เป็นคน ‘ไร้ความรับผิดชอบ’ ครับ โดยปกติการแต่งงานจดทะเบียนสมรส ไม่ว่าคุณจะรักหรือไม่รัก พันธะสัญญาคือคุณต้องรับผิดชอบคู่ชีวิต ให้เกียรติและเกื้อกูลกัน ถ้ามีลูก คุณต้องรับผิดชอบเลี้ยงเด็กและสร้างเด็กขึ้นมาให้เป็นคนดีและให้เขาไม่ขาดความรักจากพ่อและแม่ ต่อให้พ่อกับแม่จะไม่ได้รักกัน นี่คือจิตสำนึกปกติที่คุณต้องมี ไม่ใช่พอคุณมีอนุภรรยา ก็ไปให้ความสนใจพวกนั้นมากกว่าเพราะคิดว่า กูสบายใจกว่าที่อยู่กับพวกนั้น เฮ้ จิตสำนึก ความรับผิดชอบ มีบ้างไหม? ตอนแต่งงานจดทะเบียนทำไมไม่คิด

     ดอทจะใจพังก็ไม่แปลกครับ ในช่วงอายุอดีต ก็โดนพ่อดุด่าสาดเสียเทเสีย ไม่เคยยอมรับ แถมยังเขียนพินัยกรรมยกทุกอย่างให้ครอบครัวเมียน้อยด้วยอคติความรัก ในช่วงอายุปัจจุบันก็ยังไม่วาบ สกายจะโดนหักเงิน ป๋าก็ไปเคลียร์ให้ แถมยังเห็นดินอยู่กับสกายก็ยิ้มร่า อคติความรักตรงกันข้ามกับดอทที่เป็นลูกแท้ๆเสียอีก พอดินไปพังงานคุณเผ่าพงศ์ ป๋าก็ยอมไปเคลียร์ให้อีก ทั้งๆที่ดอทเสียชื่อจัดงานไปขนาดไหน น้องจะหัวใจพังก็เพราะอย่างนี้แหละครับ แต่ต่อให้ใจพัง ก็จะยังเห็นว่าเนื้อแท้ของดอทเป็นคนดีมาก เพราะแม่ของดอทอบรมมาดี อาจจะหยิ่งหน่อย แต่นั่นก็เพราะสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่เขาไม่เคยมีเพื่อนเลย และมีแต่คนกดดัน ดุด่า มีแค่แม่ที่เป็นที่พึ่งให้กับดอท

     ผมล่ะอยากให้มีฉากที่พอมีปัญหาแล้วแดนสรวงเสนอจะช่วยแก้ปัญหาแบบเดียวกับดินแดน ดอทกลับหนีไปพึ่งคนอื่นแทน ในเวลาที่เขาอยากให้ลูกชายกลับมาพักพิงเขาที่สุด ลูกชายกลับเลือกอกคนอื่นเป็นที่พึ่งมากกว่า ฉากนั้นน่าจะบีบจิตใจให้แดนสรวงรู้ได้ว่าไอ้ความสัมพันธ์ที่พังลงน่ะ มันเป็นเพราะตัวเองเสือกไสไล่ส่งลูกชายตัวเองออกไปจากอกตั้งแต่ในอดีตแล้ว ฉากนั้นน่าจะทำให้ดินแดนและแดนสรวงคิดได้หรือตาสว่างมองโลกแห่งความจริงเป็นสักทีน่ะนะครับ


ตัวละครต่อมาที่ผมค่อนข้างไม่ชอบในเรื่องนี้ ซึ่งมีผลตกค้างมาจากพฤติกรรมในเรื่อง Best Couple ก็คือ ดินแดน - หน้าที่ 56 ของเรื่อง Best Couple เขียนไว้ชัดเจนว่าดินไม่เข้าใจที่ดอททะเยอทะยานสร้างฐานะ แน่นอนว่าดินไม่เข้าใจ ก็เพราะว่าเขาได้รับความรักจากพ่อมาเต็มเปี่ยม แต่ดอทไม่เคยได้

คนที่ใช้ชีวิตตามสบาย เอาแต่ต่อยตีเก็บแต้มไปทั่ว หาแต่เพื่อนแนวเดียวกัน พยายามจะทำเรื่องของตัวเอง ถึงจะบอกว่าอยากจะไต่เต้าเอง แต่พ่อก็แอบไปดีลงานให้อยู่เบื้องหลัง (ตามปากคำบั๊ค) เปิดร้านเองแล้วก็ทำเรื่องเอาแต่ใจ พอมีปัญหาก็แก้ปัญหาแบบที่กูอยากจะแก้ (มอมเหล้าแบล็คเมล์) หรือไม่ก็ให้พ่อมาแก้ให้ มันจะไปน่าชื่นชมมากกว่า คนที่ทะเยอทะยานจะให้พ่อยอมรับ สร้างฐานะด้วยตัวเองเหมือนกัน แต่ไม่มีใครอยู่ข้างๆเลย ไม่มีเพื่อน พ่อก็ไม่ได้ให้ความรัก ที่บ้านไม่ได้จะตามแก้ปัญหาให้ถ้ามีปัญหา ได้ยังไงครับ?

พอดินรู้เรื่องสัญญาของสกาย มองว่าดอทเลวดันไปคบกับเผ่าพงศ์ รู้รึเปล่าล่ะว่าสาเหตุจริงๆมันมาจากอะไร? ที่ดอทไปตกอยู่กับเล่ห์ของคนนั้นก็เพราะว่าตัวเองสายตาไม่ยาวไกลพอเองต่างหาก ผมคิดว่าแม่ของดินแดนเป็นคนละเอียดอ่อนนะครับ เธอค่อนข้างเข้าใจว่าทำไมดอทถึงรู้สึกอย่างนั้น แต่เธอไม่รู้หรอกว่าความจริงสภาพแวดล้อมมันแย่กว่าที่เธอคิดเยอะ การเอาแต่ปลอบลูกตัวเองให้ไม่แค้น มันไม่ได้ช่วยอะไรดอทเท่าไหร่หรอกครับ ยิ่งทำให้ดินแดนเย็นชาและไม่คิดจะมองเรื่องของดอทให้ลึกๆด้วยซ้ำ ตราบใดที่ไม่เคยมองให้สาเหตุลึกๆของมนุษย์ มันก็จะเป็นคนที่สักๆแต่เห็นแก่ตัวและเห็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอยู่อย่างนี้เอง นี่ยังไม่นับเรื่องการไป ‘พังงานเดินแบบ’ของดอท ด้วยสาเหตุที่ว่าตัวเองชอบสกายเท่านั้น นี่มันค่อนข้างไร้สาระครับ คุณเผ่าจะดีหรือไม่ดี การไปแอบพังงานคนอื่น (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานพี่ชาย) โดยใช้เส้นพ่อตัวเองเอาบัตรดีลเลอร์ที่มักจะเข้าข้างตัวเองมากกว่าพี่ชายอยู่แล้ว นี่มันสันดานตัวร้ายละครครับ แถมพอจะให้ถอนแจ้งความไม่เอาเรื่องถึงศาล ดินก็ยังไม่ยอมจบ ยังจะหาแผนมาให้มันเป็นเรื่องต่ออีก นี่มันไม่ใช่วิสัยคนน่าคบครับ

ก็สมกับเป็นลูกอนุภรรยาที่ได้รับความรักดีล่ะครับ ได้รับความรักมาเยอะ เลยใช้ชีวิตง่ายจนเหลิงไม่เคยคิดถึงปัญหาของการกระทำคนอื่น แล้วก็พาลไปเกลียดคนอื่น


มีตัวละครนึงที่ผมคิดว่าน่าสนใจ และคิดว่าคล้ายกับดอทในหลายกรณี นั่นคือสกาย สกายกับดอทคล้ายกันมากนะครับ ในแง่ที่ว่าเดิมเชิดชูบูชาพ่อเหมือนกัน ในเคสของทั้งคู่เหมือนกันคือ พ่อกลับไปโอ๋ไปรัก ไปให้เวลากับฝั่งเมียน้อยมากกว่า แถมไม่เคยใส่ใจ อคติเข้าข้างลูกเมียน้อยจนชัดเจน ที่น่าสงสารคือ สกายมีเบบี้แบล็งให้ได้จดจำว่าเขามีช่วงเวลาที่พ่อกับแม่รักเขา แต่ดอทไม่มีอะไรแบบนั้นเลย สกายมีเพื่อน แต่ดอทไม่มี นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมค่อนข้างโน้มเอียงไปทางดอทนะ ผมคิดว่าผมอยากเป็นเพื่อนกับเขา คนที่โดดเดี่ยวเกินไปในชีวิต มันไม่มีอะไรดีนักหรอกครับ จะเลวร้ายมันต้องมีเหตุผล ถ้าเลวร้ายแต่เหตุผลนั้นมันฟังขึ้น ก็มาค่อยๆแก้กัน ไม่ใช่เอะอะก็สวนกลับแบบไม่คิดเหมือนดิน เพราะลอจิกของคนที่ได้รับความรักมาตลอด จะมา apply ชุ่ยๆเข้ากับคนที่ไม่เคยได้รับความรับและอยากแสวงหาไม่ได้ สกายกับดอทหยิ่งยโสเหมือนกัน และดอทเองก็น่าจะเข้าใจสกายในระดับนึงด้วยซ้ำ แต่ด้วยทิฐิว่าไม่ยอมอ่อนให้ไม่งั้นจะถูกเอาเปรียบ ก็เลยทำให้ทั้งสองคนเหมือนมีดสั้นเล่มเดียวกัน แต่หันคมดาบเข้าหากัน แต่ที่จะหันด้ามมีดครับ ถ้ามีดสั้นสองเล่มหันคมหากัน มีแต่จะพังพินาศ แต่ถ้าหันด้ามเข้าหากัน มันจะกลายเป็นดาบสองปลาย ศาสตราวุธร้ายแรงที่ประมาทไม่ได้

ผมว่าคุณแดนสรวงน่าจะไปเจอพ่อสกายแล้วได้คุยกันนะครับ จะได้เห็นว่าแท้จริงแล้วปัญหามันเกิดจากตัวเอง การที่คุณมองอะไรที่ไม่ชัดเจน (พ่อสกายมองว่าเมียหลวงไม่รัก ทั้งๆที่เมียหลวงทำอะไรให้ลับๆตั้งหลายอย่าง) ทำอะไรลำเอียง (แดนสรวงเอาแต่เปย์ทุกอย่างช่วยเหลือทุกอย่างให้ดิน ยอมรับกระทั่งลูกจะมีแฟนเป็นผู้ชาย แต่กับดอทนี่ด่าสาดเสียเทเสียยังกับด่าของเสียเน่าเหม็น พ่อสกายก็เอาแต่หลงเมียน้อยไม่ต่างกันจนทำให้มองว่าสกายทำผิด ยังดีที่พอเกิดปัญหา สกายก็ยังไม่ยอมทิ้งพ่อไปไหน พ่อของสกายก็คงเริ่มคิดได้)

จากตอนพิเศษหน้า 68 จะเห็นว่าดอทกับสกายตอนที่ใจพัง เจอใครก็พร้อมจะยอมรับมันเหมือนๆกัน โชคดีที่สกายเจอข้าวจ้าว แต่ดอทกลับเจอเผ่าพงศ์ เลยทำให้เรื่องมันแตกต่างไป อีกทั้งฐานะที่บ้านของดอทดีกว่าด้วย ทิฐิของคุณแดนสรวงที่ไม่เคยมองว่าตัวเองผิดคงยิ่งมีมากตามตัว (เขียนพินัยกรรมแบบนี้ผมรับไม่ได้จริงๆอะ)


เรื่องที่สามคือเรื่องของการเขียน และสิ่งที่ผมคิดว่าเราน่าจะได้เห็น เรื่องการเขียนของคุณฟิคชันนี่ผมไม่มีอะไรติเลยนะครับ สะกดถูก บรรยายได้เหมาะสมกับโทนเรื่อง พล็อตแน่นมาก (ผมชอบการขยายปมมาก และคุณทำได้ดีครับ!) การกระทำตัวละครสมเหตุสมผลมากและมีน้ำหนัก (ดังนั้นตัวละครที่ทำตัวเอาแต่ใจมากอย่างดิน ผมเลยไม่ค่อยชอบ)

ถามว่าผมคาดหวังจะเห็นอะไร ผมคิดว่าเราจะได้เห็นการขยายปม เราจะเห็นใจของดอทและความดรามาที่น่าจะทำให้เราเห็นว่าน้องพยายามขนาดไหน เห็นอีกมุมของอีเวนท์ต่างๆที่เกิดในเรื่องของ Best Couple ทั้งเรื่องของจุดประสงค์แท้จริงในการรับงานให้สกาย ซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกว่าสกายนี่ยังวุฒิภาวะค่อนข้างเด็ก มองอะไรไม่เห็นลึกซึ้ง ต่อให้ติดสัญญาทาส แต่ถามว่าจำเป็นไหมที่ดอทต้องมานั่งปั้นและป้อนมากให้สกายเด่นดังขนาดนี้ เพราะสุดท้ายแล้วพอน้องหลุดสัญญาทาส ก็คงไม่ต่อสัญญากับโมเดลลิ่งของดอทอยู่ดี สู้เขาไปป้อนงานและฟีดงานดีๆ ปั้นนายแบบกับคนที่อยู่ในสังกัดและพร้อมจะจงรักภักดีกับดอท อยู่กับดอทต่อ ไม่ดีกว่าหรือไง?

หรืออีเวนท์ที่ต้องเดินแบบงานนาฬิกา และอีเวนท์เดินแบบเครื่องหนัง ซึ่งการที่ทั้งสองคนนั้นมองว่าดอทหิวเงิน และทั้งสองอีเวนท์นั้นดอทต้องขอร้องให้ทำเสียด้วย ตรงนี้ทำผมฉุนกึกเลยนะครับ ทำไมดอทต้องขอร้องดินในหลายๆงานขนาดนั้น? คุณเผ่ารวยพอๆกับพ่อของดอทด้วยซ้ำ อิทธิพลก็มี ขอให้เขาช่วยเรื่องการแก้ปัญหาสิ จะไปแคร์มันทำไม ในเมื่อมันไม่เคยคิดจะมองเราดีอยู่แล้ว จะเอาศักดิ์ศรีที่มีไปก้มหน้าขอร้องเพื่อให้ได้เงินเปอร์เซ็นต์มาเก็บให้ครบ 50 ล้าน เนี่ยนะ เป็นผมผมไม่ทำอะ หรือแม้กระทั่ง พอดอทยอมขอร้องให้รับงานให้พวกนั้น เห็นรึเปล่าว่าพวกนั้นก็วางแผนมาบีบดอทอยู่ดี แสดงให้เห็นว่าพวกนั้นไม่เคยมองหรือใส่ใจตัวชนม์แดนเลยแม้แต่นิด แล้วจะไปทำดีกับพวกมันทำไม (ถึงการทำให้สัญญาหมดลงสามเดือน ดอทจะไม่ได้รู้สึกแย่อะไรเท่าไหร่ เพราะว่าลึกๆของตัวดอท เขาเป็นคนดีนะครับ คิดถึงคนอื่น แต่เขาก็มีสถานการณ์ที่ต้องแก้ไข และเขาก็ไม่มีเพื่อน...)

จะเห็นว่าไม่มีใครเห็นทะลุผ่านสิ่งที่ดอทต้องเผชิญสักคน ชีวิตจริงมันก็คล้ายๆนี้นะครับ คนที่ไม่มีวุฒิภาวะมันก็จะเป็นอย่างนี้ มองอะไรไม่ลึก ไม่ว่าจะสกาย หรือดินแดน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าถ้าเรามีมุมมองที่มองกลับ ก็จะเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้น ตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล สุขุมรอบคอบขึ้น นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมมักชอบเชียร์มวยรอง เพราะในชีวิตจริง (ซึ่งนิยายสร้างโดยเบสบนความสมจริง) มวยรองต้องมีพล็อตหรือมุมมองที่มองจากมุมเค้าแล้วให้เราเห็นหลายๆอย่าง ซึ่งจะมีผลต่อวิจารณญาณของตัวเราครับ

ผมสงสัยอยู่นิดนึง เผ่าพงศ์นี่มาแนวตัวเอกเท่ๆจริงหรือครับเนี่ย พอผมอ่านเจอฉากที่สู้กับดินแล้วแพ้หมอบแต้จนจุกนี่ผมเฟลเลยอะ หรือว่าอายุเลยเลขสามแล้วลืมเข้าฟิตเนสล่ะนั่น (หัวเราะ)
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 3 : สกาย 《26/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 30-04-2018 15:50:45
เป็นการอ่านคอมเมนท์ที่ทั้งชื่นใจและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน  อ่านไปก็ลุ้นไปว่าจะโดนด่าตอนไหน (ฮา)
ขอบคุณสำหรับความเห็นนะคะ อ่านทุกคำและคิดตามทุกประโยค
อยากบอกว่าดีใจที่มีคนอ่านนิยายแล้ววิเคราะห์ตามได้ทะลุปรุโปร่งอย่างกับมานั่งในใจคนเขียน

ก่อนอื่นนายน้อยขอแทนตัวเองว่านายน้อยนะคะ จะขออธิบายและสปอยล์เบาๆ กับเรื่องที่คุณGrey Twilight  ตั้งข้อสังเกตไว้ค่ะ

1. คุณแดนสรวง ขอเท้าความเล็กน้อยว่านายน้อยเคยอ่านบทความหนึ่งที่กล่าวถึงความรักของมนุษย์ที่ไม่สามารถเท่ากันได้ แม้แต่ความรักของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด  บทความบรรยายว่าไม่มีทางที่พ่อแม่จะรักลูกเท่ากัน อย่างน้อยความกังวล ความห่วงใย ความใส่ใจ หรืออื่นๆ จะเป็นตัวแปรให้พ่อแม่ปฏิบัติต่อลูกอย่างไม่เท่าเทียมในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเสมอ   ถึงตรงนี้จึงเป็นที่มาของการกระทำของคุณแดนสรวงว่าทำไมจึงมีความลำเอียง ซึ่งปมที่ผลักดันให้เกิดความลำเอียงจะถูกคลี่คลายในเนื้อเรื่องต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณจะได้เห็นความสำนึกผิดบาปและน้ำตาแห่งความเสียใจในฝั่งของบิดาแน่นอน

2. ดินแดน  มนุษย์ลั้ลลาไม่สนสี่สนแปดไม่แคร์โลกว่าจะหมุนทวนเข็มนาฬิกาหรือหมุนรอบดวงอาทิตย์อย่างไรทั้งนั้นเพราะคิดเสมอว่าจักรวาลหมุนรอบตัวเขาเอง  การเป็นแฟนกับสกายไม่ได้ทำให้รู้สำนึกว่าการใช้ชีวิตของตนหรือแม้แต่การวางแผนแก้ปัญหาต่างๆ(โคตร)ล้ำเส้นคนอื่นอยู่มากเพราะถึงสกายจะเป็นมนุษย์เสาหินแต่จิตใจแมนเกินร้อยซึ่งต่างกับดอทที่ค่อนข้างอ่อนไหวเปราะบาง  ในอนาคตดินแดนจะได้รับรู้แน่นอนว่าความดำมืดของหลุมดำเป็นอย่างไร

3. สกาย เป็นอย่างที่คุณGrey Twilight วิเคราะห์ไว้ทุกอย่างจริงๆ ปูมหลังที่คล้ายกันของสกาย-ดอททำให้ทั้งคู่ต่างเข้าใจกันอยู่ลึกๆ แต่ด้วยเหตุผลต่างๆ ที่แต่ละฝ่ายต้องเผชิญก็กลายเป็นว่าต่างคนต่างสร้างกำแพงในใจขึ้นมาจนได้  คงต้องรอดูว่าบาดแผลจะสมานได้ด้วยเหตุการณ์ใด

4. ดอท เป็นตัวละครที่นายน้อยรักมากๆ ไม่รู้ทำไมถึงรักก็บอกไม่ถูกเพราะอันที่จริงเรื่องนี้ไม่หวือหวาไม่ฮาไม่มีมุก และดำเนินเรื่องเรื่อยๆ เอื่อยๆ อาจจะทำให้คนอ่านรู้สึกเบื่อหน่าย แต่ในชีวิตของคนๆ หนึ่งกว่าจะเจอกับสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง บางทีก็ต้องก้าวผ่านอะไรมากมายจนบางทีก็ถอดใจไปแล้วด้วยซ้ำ ชีวิตที่เหมือนจะดีแต่ก็ไม่ดี เหมือนจะดีแต่ก็ดีไม่สุด จุดหักเหเกิดขึ้นช่วงกลางเรื่องและชีวิตเริ่มเปลี่ยนเมื่อมึคนเข้ามาทำให้ดอทหลุดออกจากฟิลเตอร์หมองมัวที่ตัวเองสร้างขึ้น พอถึงตอนนั้นนางจะเป็นคนที่น่ารักน่าแกล้งที่สุดไม่แพ้เคะใดในจักรวาล (ขออวยลูกรักนิดนึง) แต่ก็นั่นแหละ ไม่รู้ว่าคนที่เสพติดความทุกข์อย่างดอทจะยอมรับความสุขมาไว้กับตัวหรือไม่ คงต้องรอลุ้นค่ะ
 
อันที่จริงได้แต่งเรื่องนี้จบไปนานแล้วแต่พอส่งสำนักพิมพ์ก็โดนตีกลับเพราะมันเรทไป (ฮา) แต่ก็ยังอยากอัพค่ะ อยากให้คนอ่านได้เห็นมุมของคนเลวในเรื่องนั้น กลายมาเป็นคนที่น่า(มอบความ)รักในเรื่องนี้ บางทีอาจจะมีคนรักพี่ดอทเหมือนที่นายน้อยรักก็ได้ ><


ปล. ถ้าอัพจนจบก็อยากอ่านวิเคราะห์ยาวๆ อีกสักครั้งนะคะ  ถึงตอนนั้นความชอบอาจจะลดลงแล้วแต่ก็ยังอยากอ่านความเห็นในการดำเนินเรื่อง การคลายปม หรือจุดที่ไม่ชอบอยู่ดีว่าเป็นอย่างไร

ท้ายนี้ก็ขอบคุณมากๆ ที่ตั้งใจคอมเมนท์อย่างละเอียด ขอบคุณอีกครั้งค่ะ  :pig4:




เห็นพล็อตแล้วน่าสนใจถึงขั้นต้องไปตามเรื่อง Best Couple มาลองอ่านเลยครับ โดยภาพรวม ผมประทับใจกับเรื่องนี้เลยทีเดียวนะครับ ถึงแม้ว่าตอนแรกเจอคำโปรยของผู้แต่งบอกไปว่าให้คอมเมนท์เบาๆ ไอ้เราก็ไม่รู้จะเขียนยังไงให้เบา (หัวเราะ) แต่พอได้ไปอ่านเรื่องเก่า แล้วก็เข้าใจเลยว่าโทนเรื่องแบบนี้สิ ถึงจะขยายความปมและจุดที่ทิ้งไว้ในเรื่องเก่าได้ดี

อันดับแรก มาพูดเรื่องความหลากหลาย จุดนี้ผมขอชม คุณฟิคชันเขียน Best Couple ซึ่งเป็นแนวคอเมดี้ออกมาได้ดีมากครับ ทีนี้พอมาเห็นเรื่องนี้ซึ่งจะแปลงมาเป็นดราม่าโดยอยู่ในจักรวาลเดียวกัน มันก็เป็นอะไรที่น่าสนใจพอสมควร อีกทั้งตอนผมอ่าน Best Couple นี่หลายๆตัวละครก็ค่อนข้างมีปมทิ้งไว้เยอะเลย มีสิ่งที่หยิบมาเล่นได้เยอะแยะ การเอาจุดหรือปมตรงนั้นมาขยายความต่อในเรื่องนี้ซึ่งเป็นโทนดราม่า โดยโฟกัสกับชีวิตของตัวละครเอกที่เราเห็นผ่านๆ อย่างดอท ก็เป็นอะไรที่ผมคิดว่าดีและน่าประทับใจทีเดียว อีกทั้งโทนเรื่องที่เปลี่ยนไป จะทำให้เราเห็นมุมมองของจักรวาลเดียวกัน ผ่านสีสันและความรู้สึกใหม่ๆด้วย

อันดับที่สอง มาพูดเรื่องนิสัยตัวละครครับ มีหลายตัวละครที่ผมต้องพูดถึงมากๆเลย

     เอาตัวละครแรกก่อน - ดอท ชนม์แดน : เป็นตัวละครที่เรียลและมีมิติมากๆ ทุกอย่างของเขาเป็นส่วนประกอบของความสมจริงและพล็อตพื้นหลังอันแน่นปั้ก การกระทำทุกอย่างมีมิติ มีความคิดที่ชัดเจนอยู่ในใจแต่ไม่ได้แสดงออกมาผ่านการกระทำ ผมว่าดอทเป็นตัวละครที่ทำให้เราเห็นเลยว่ากฎ Action = Reaction เป็นอะไรที่เป็นความจริง ยิ่งเราเห็นว่าพ่อของดอทไปสนใจเมียน้อยและครอบครัวมากกว่าขนาดไหน เราจะเห็นความชิงชังและความเกลียดชังจากตัวดอทมากขึ้นเท่านั้น โชคยังดีหน่อยที่แม่ของดอทยังไม่ได้ร้ายขนาดคุณแจนของสกาย ผมว่าอีนังคุณแจนนี่เลวกว่าแม่ดอทเยอะนะครับ สำหรับแม่ดอท มันอาจจะเพราะว่าฝั่งดินทำให้ลูกชายของเธอไม่เป็นผู้เป็นคน ผมว่าแม่ดอทก็ใจเย็นมากแล้วนะ ไม่ทำอะไรฉีกหน้าสามี ยอมตามทุกอย่าง ถ้ารวยจริงระดับหมื่นล้าน เงินบริจาคนิดๆหน่อยๆทำไมทำไม่ได้? ก็ไม่ได้ทำบ่อยด้วยนี่นา ดูเธอไม่ค่อยสนใจสามี แต่สนใจเรื่องเงินที่อาจจะถูกยักยอกออกไปได้ เพราะกลัวลูกชายจะไม่ได้รับอะไร แถมพอสามีดันเอาแต่ไปขลุกอยู่กับพวกนั้นโดยมีอคติ ก็เลยทำให้ไม่มีเวลาอบรมลูกชายของเธอ ไม่มีเวลาที่จะมาได้อยู่กับลูก ผมนับถือแม่ดอทในแง่ที่ว่าเป็นตัวละครที่ทุ่มเทเพื่อลูกชายมากนะครับ อาจจะมีอคติทำให้มองอะไรผิดๆไปบ้าง แต่ก็ยังมี sense of judgement ที่ทำให้ไม่ได้แบบผิดศีลธรรมหรือมองผิดไปมากขนาดนั้น ไม่ถึงขั้นแบบยัยคุณแจนของสกาย ถ้าแม่ของดอทไม่ดี ไม่มีทางที่เนื้อแท้ของดอทจะเป็นเด็กดีขนาดนี้แน่

     ซึ่งเอาจริงๆ ดอทก็แค่อยากได้ความรักจากพ่อ การยอมรับ มันเลยทำให้เขาทะเยอทะยาน ประกอบกับสภาพร่างกายดอทไม่ค่อยดีเท่าไหร่อยู่แล้ว เจอแบบนี้ไปก็ยิ่งทำให้เขาเปราะบางเข้าไปอีก

     ผมมองว่าตัวละครคุณ ‘ป๋า’ นี่แย่มากเลยนะครับ ในเรื่อง Best Couple นี่ยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่อยู่แล้ว ถ้าเปิดไปดูหน้า 45 ของเรื่อง Best Couple ตอนที่ 22 จะเห็นเลยครับว่าพ่อของดอทคุยกับดินยังไง แล้วมาเทียบกับการคุยกับดอท ผมคิดว่านี่สื่ออะไรชัดเจนมากๆเลยนะครับ แดนสรวงมีท่าทีเป็นมิตร รักลูกชายอย่างดินแดนมาก ล้อเล่นได้กับลูกชายว่าจิ้นกับนายแบบ หาสะใภ้ผู้ชายเข้าบ้านได้ แต่ด่าดอทซะไม่เป็นเพศมนุษย์ ด่าว่าหญิงไม่ใช่ชายไม่เชิง เอะอะพอลูกโกรธก็คิดว่าใช้เงินฟาดหัวได้ นิสัยพรรค์นี้ผมรับไม่ได้นะครับ หรือตอนที่งานที่ดอทมีปัญหา แดนสรวงก็บอกว่า เรื่องของมัน ให้ไปแก้ปัญหาเอาเอง แต่พอดินจะไปช่วย โอ๋ทันทีว่าถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องทำ ไม่เป็นไร ปล่อยให้ดอทเดือดร้อนของมันไป นี่คือระบบการคิดของมนุษย์ที่เป็นพ่อแท้ๆของลูกชายที่มาก่อนและถูกต้องตามกฎหมายงั้นหรือครับ?

     ที่พีคมากไปอีกคือ พินัยกรรม เขียนแบบนั้นออกมาได้ยังไง ต่อให้รักยังไงก็ไม่ควรทำให้ฝั่งผู้หญิงที่ถือทะเบียนสมรสเสื่อมเสียเกียรติ และเป็นการแสดงออกว่าไม่ได้ใส่ใจอะไรลูกชายอย่างดอทเลยด้วย ผมว่าคุณแดนสรวงนี่เป็นคน ‘ไร้ความรับผิดชอบ’ ครับ โดยปกติการแต่งงานจดทะเบียนสมรส ไม่ว่าคุณจะรักหรือไม่รัก พันธะสัญญาคือคุณต้องรับผิดชอบคู่ชีวิต ให้เกียรติและเกื้อกูลกัน ถ้ามีลูก คุณต้องรับผิดชอบเลี้ยงเด็กและสร้างเด็กขึ้นมาให้เป็นคนดีและให้เขาไม่ขาดความรักจากพ่อและแม่ ต่อให้พ่อกับแม่จะไม่ได้รักกัน นี่คือจิตสำนึกปกติที่คุณต้องมี ไม่ใช่พอคุณมีอนุภรรยา ก็ไปให้ความสนใจพวกนั้นมากกว่าเพราะคิดว่า กูสบายใจกว่าที่อยู่กับพวกนั้น เฮ้ จิตสำนึก ความรับผิดชอบ มีบ้างไหม? ตอนแต่งงานจดทะเบียนทำไมไม่คิด

     ดอทจะใจพังก็ไม่แปลกครับ ในช่วงอายุอดีต ก็โดนพ่อดุด่าสาดเสียเทเสีย ไม่เคยยอมรับ แถมยังเขียนพินัยกรรมยกทุกอย่างให้ครอบครัวเมียน้อยด้วยอคติความรัก ในช่วงอายุปัจจุบันก็ยังไม่วาบ สกายจะโดนหักเงิน ป๋าก็ไปเคลียร์ให้ แถมยังเห็นดินอยู่กับสกายก็ยิ้มร่า อคติความรักตรงกันข้ามกับดอทที่เป็นลูกแท้ๆเสียอีก พอดินไปพังงานคุณเผ่าพงศ์ ป๋าก็ยอมไปเคลียร์ให้อีก ทั้งๆที่ดอทเสียชื่อจัดงานไปขนาดไหน น้องจะหัวใจพังก็เพราะอย่างนี้แหละครับ แต่ต่อให้ใจพัง ก็จะยังเห็นว่าเนื้อแท้ของดอทเป็นคนดีมาก เพราะแม่ของดอทอบรมมาดี อาจจะหยิ่งหน่อย แต่นั่นก็เพราะสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่เขาไม่เคยมีเพื่อนเลย และมีแต่คนกดดัน ดุด่า มีแค่แม่ที่เป็นที่พึ่งให้กับดอท

     ผมล่ะอยากให้มีฉากที่พอมีปัญหาแล้วแดนสรวงเสนอจะช่วยแก้ปัญหาแบบเดียวกับดินแดน ดอทกลับหนีไปพึ่งคนอื่นแทน ในเวลาที่เขาอยากให้ลูกชายกลับมาพักพิงเขาที่สุด ลูกชายกลับเลือกอกคนอื่นเป็นที่พึ่งมากกว่า ฉากนั้นน่าจะบีบจิตใจให้แดนสรวงรู้ได้ว่าไอ้ความสัมพันธ์ที่พังลงน่ะ มันเป็นเพราะตัวเองเสือกไสไล่ส่งลูกชายตัวเองออกไปจากอกตั้งแต่ในอดีตแล้ว ฉากนั้นน่าจะทำให้ดินแดนและแดนสรวงคิดได้หรือตาสว่างมองโลกแห่งความจริงเป็นสักทีน่ะนะครับ


ตัวละครต่อมาที่ผมค่อนข้างไม่ชอบในเรื่องนี้ ซึ่งมีผลตกค้างมาจากพฤติกรรมในเรื่อง Best Couple ก็คือ ดินแดน - หน้าที่ 56 ของเรื่อง Best Couple เขียนไว้ชัดเจนว่าดินไม่เข้าใจที่ดอททะเยอทะยานสร้างฐานะ แน่นอนว่าดินไม่เข้าใจ ก็เพราะว่าเขาได้รับความรักจากพ่อมาเต็มเปี่ยม แต่ดอทไม่เคยได้

คนที่ใช้ชีวิตตามสบาย เอาแต่ต่อยตีเก็บแต้มไปทั่ว หาแต่เพื่อนแนวเดียวกัน พยายามจะทำเรื่องของตัวเอง ถึงจะบอกว่าอยากจะไต่เต้าเอง แต่พ่อก็แอบไปดีลงานให้อยู่เบื้องหลัง (ตามปากคำบั๊ค) เปิดร้านเองแล้วก็ทำเรื่องเอาแต่ใจ พอมีปัญหาก็แก้ปัญหาแบบที่กูอยากจะแก้ (มอมเหล้าแบล็คเมล์) หรือไม่ก็ให้พ่อมาแก้ให้ มันจะไปน่าชื่นชมมากกว่า คนที่ทะเยอทะยานจะให้พ่อยอมรับ สร้างฐานะด้วยตัวเองเหมือนกัน แต่ไม่มีใครอยู่ข้างๆเลย ไม่มีเพื่อน พ่อก็ไม่ได้ให้ความรัก ที่บ้านไม่ได้จะตามแก้ปัญหาให้ถ้ามีปัญหา ได้ยังไงครับ?

พอดินรู้เรื่องสัญญาของสกาย มองว่าดอทเลวดันไปคบกับเผ่าพงศ์ รู้รึเปล่าล่ะว่าสาเหตุจริงๆมันมาจากอะไร? ที่ดอทไปตกอยู่กับเล่ห์ของคนนั้นก็เพราะว่าตัวเองสายตาไม่ยาวไกลพอเองต่างหาก ผมคิดว่าแม่ของดินแดนเป็นคนละเอียดอ่อนนะครับ เธอค่อนข้างเข้าใจว่าทำไมดอทถึงรู้สึกอย่างนั้น แต่เธอไม่รู้หรอกว่าความจริงสภาพแวดล้อมมันแย่กว่าที่เธอคิดเยอะ การเอาแต่ปลอบลูกตัวเองให้ไม่แค้น มันไม่ได้ช่วยอะไรดอทเท่าไหร่หรอกครับ ยิ่งทำให้ดินแดนเย็นชาและไม่คิดจะมองเรื่องของดอทให้ลึกๆด้วยซ้ำ ตราบใดที่ไม่เคยมองให้สาเหตุลึกๆของมนุษย์ มันก็จะเป็นคนที่สักๆแต่เห็นแก่ตัวและเห็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอยู่อย่างนี้เอง นี่ยังไม่นับเรื่องการไป ‘พังงานเดินแบบ’ของดอท ด้วยสาเหตุที่ว่าตัวเองชอบสกายเท่านั้น นี่มันค่อนข้างไร้สาระครับ คุณเผ่าจะดีหรือไม่ดี การไปแอบพังงานคนอื่น (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานพี่ชาย) โดยใช้เส้นพ่อตัวเองเอาบัตรดีลเลอร์ที่มักจะเข้าข้างตัวเองมากกว่าพี่ชายอยู่แล้ว นี่มันสันดานตัวร้ายละครครับ แถมพอจะให้ถอนแจ้งความไม่เอาเรื่องถึงศาล ดินก็ยังไม่ยอมจบ ยังจะหาแผนมาให้มันเป็นเรื่องต่ออีก นี่มันไม่ใช่วิสัยคนน่าคบครับ

ก็สมกับเป็นลูกอนุภรรยาที่ได้รับความรักดีล่ะครับ ได้รับความรักมาเยอะ เลยใช้ชีวิตง่ายจนเหลิงไม่เคยคิดถึงปัญหาของการกระทำคนอื่น แล้วก็พาลไปเกลียดคนอื่น


มีตัวละครนึงที่ผมคิดว่าน่าสนใจ และคิดว่าคล้ายกับดอทในหลายกรณี นั่นคือสกาย สกายกับดอทคล้ายกันมากนะครับ ในแง่ที่ว่าเดิมเชิดชูบูชาพ่อเหมือนกัน ในเคสของทั้งคู่เหมือนกันคือ พ่อกลับไปโอ๋ไปรัก ไปให้เวลากับฝั่งเมียน้อยมากกว่า แถมไม่เคยใส่ใจ อคติเข้าข้างลูกเมียน้อยจนชัดเจน ที่น่าสงสารคือ สกายมีเบบี้แบล็งให้ได้จดจำว่าเขามีช่วงเวลาที่พ่อกับแม่รักเขา แต่ดอทไม่มีอะไรแบบนั้นเลย สกายมีเพื่อน แต่ดอทไม่มี นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมค่อนข้างโน้มเอียงไปทางดอทนะ ผมคิดว่าผมอยากเป็นเพื่อนกับเขา คนที่โดดเดี่ยวเกินไปในชีวิต มันไม่มีอะไรดีนักหรอกครับ จะเลวร้ายมันต้องมีเหตุผล ถ้าเลวร้ายแต่เหตุผลนั้นมันฟังขึ้น ก็มาค่อยๆแก้กัน ไม่ใช่เอะอะก็สวนกลับแบบไม่คิดเหมือนดิน เพราะลอจิกของคนที่ได้รับความรักมาตลอด จะมา apply ชุ่ยๆเข้ากับคนที่ไม่เคยได้รับความรับและอยากแสวงหาไม่ได้ สกายกับดอทหยิ่งยโสเหมือนกัน และดอทเองก็น่าจะเข้าใจสกายในระดับนึงด้วยซ้ำ แต่ด้วยทิฐิว่าไม่ยอมอ่อนให้ไม่งั้นจะถูกเอาเปรียบ ก็เลยทำให้ทั้งสองคนเหมือนมีดสั้นเล่มเดียวกัน แต่หันคมดาบเข้าหากัน แต่ที่จะหันด้ามมีดครับ ถ้ามีดสั้นสองเล่มหันคมหากัน มีแต่จะพังพินาศ แต่ถ้าหันด้ามเข้าหากัน มันจะกลายเป็นดาบสองปลาย ศาสตราวุธร้ายแรงที่ประมาทไม่ได้

ผมว่าคุณแดนสรวงน่าจะไปเจอพ่อสกายแล้วได้คุยกันนะครับ จะได้เห็นว่าแท้จริงแล้วปัญหามันเกิดจากตัวเอง การที่คุณมองอะไรที่ไม่ชัดเจน (พ่อสกายมองว่าเมียหลวงไม่รัก ทั้งๆที่เมียหลวงทำอะไรให้ลับๆตั้งหลายอย่าง) ทำอะไรลำเอียง (แดนสรวงเอาแต่เปย์ทุกอย่างช่วยเหลือทุกอย่างให้ดิน ยอมรับกระทั่งลูกจะมีแฟนเป็นผู้ชาย แต่กับดอทนี่ด่าสาดเสียเทเสียยังกับด่าของเสียเน่าเหม็น พ่อสกายก็เอาแต่หลงเมียน้อยไม่ต่างกันจนทำให้มองว่าสกายทำผิด ยังดีที่พอเกิดปัญหา สกายก็ยังไม่ยอมทิ้งพ่อไปไหน พ่อของสกายก็คงเริ่มคิดได้)

จากตอนพิเศษหน้า 68 จะเห็นว่าดอทกับสกายตอนที่ใจพัง เจอใครก็พร้อมจะยอมรับมันเหมือนๆกัน โชคดีที่สกายเจอข้าวจ้าว แต่ดอทกลับเจอเผ่าพงศ์ เลยทำให้เรื่องมันแตกต่างไป อีกทั้งฐานะที่บ้านของดอทดีกว่าด้วย ทิฐิของคุณแดนสรวงที่ไม่เคยมองว่าตัวเองผิดคงยิ่งมีมากตามตัว (เขียนพินัยกรรมแบบนี้ผมรับไม่ได้จริงๆอะ)


เรื่องที่สามคือเรื่องของการเขียน และสิ่งที่ผมคิดว่าเราน่าจะได้เห็น เรื่องการเขียนของคุณฟิคชันนี่ผมไม่มีอะไรติเลยนะครับ สะกดถูก บรรยายได้เหมาะสมกับโทนเรื่อง พล็อตแน่นมาก (ผมชอบการขยายปมมาก และคุณทำได้ดีครับ!) การกระทำตัวละครสมเหตุสมผลมากและมีน้ำหนัก (ดังนั้นตัวละครที่ทำตัวเอาแต่ใจมากอย่างดิน ผมเลยไม่ค่อยชอบ)

ถามว่าผมคาดหวังจะเห็นอะไร ผมคิดว่าเราจะได้เห็นการขยายปม เราจะเห็นใจของดอทและความดรามาที่น่าจะทำให้เราเห็นว่าน้องพยายามขนาดไหน เห็นอีกมุมของอีเวนท์ต่างๆที่เกิดในเรื่องของ Best Couple ทั้งเรื่องของจุดประสงค์แท้จริงในการรับงานให้สกาย ซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกว่าสกายนี่ยังวุฒิภาวะค่อนข้างเด็ก มองอะไรไม่เห็นลึกซึ้ง ต่อให้ติดสัญญาทาส แต่ถามว่าจำเป็นไหมที่ดอทต้องมานั่งปั้นและป้อนมากให้สกายเด่นดังขนาดนี้ เพราะสุดท้ายแล้วพอน้องหลุดสัญญาทาส ก็คงไม่ต่อสัญญากับโมเดลลิ่งของดอทอยู่ดี สู้เขาไปป้อนงานและฟีดงานดีๆ ปั้นนายแบบกับคนที่อยู่ในสังกัดและพร้อมจะจงรักภักดีกับดอท อยู่กับดอทต่อ ไม่ดีกว่าหรือไง?

หรืออีเวนท์ที่ต้องเดินแบบงานนาฬิกา และอีเวนท์เดินแบบเครื่องหนัง ซึ่งการที่ทั้งสองคนนั้นมองว่าดอทหิวเงิน และทั้งสองอีเวนท์นั้นดอทต้องขอร้องให้ทำเสียด้วย ตรงนี้ทำผมฉุนกึกเลยนะครับ ทำไมดอทต้องขอร้องดินในหลายๆงานขนาดนั้น? คุณเผ่ารวยพอๆกับพ่อของดอทด้วยซ้ำ อิทธิพลก็มี ขอให้เขาช่วยเรื่องการแก้ปัญหาสิ จะไปแคร์มันทำไม ในเมื่อมันไม่เคยคิดจะมองเราดีอยู่แล้ว จะเอาศักดิ์ศรีที่มีไปก้มหน้าขอร้องเพื่อให้ได้เงินเปอร์เซ็นต์มาเก็บให้ครบ 50 ล้าน เนี่ยนะ เป็นผมผมไม่ทำอะ หรือแม้กระทั่ง พอดอทยอมขอร้องให้รับงานให้พวกนั้น เห็นรึเปล่าว่าพวกนั้นก็วางแผนมาบีบดอทอยู่ดี แสดงให้เห็นว่าพวกนั้นไม่เคยมองหรือใส่ใจตัวชนม์แดนเลยแม้แต่นิด แล้วจะไปทำดีกับพวกมันทำไม (ถึงการทำให้สัญญาหมดลงสามเดือน ดอทจะไม่ได้รู้สึกแย่อะไรเท่าไหร่ เพราะว่าลึกๆของตัวดอท เขาเป็นคนดีนะครับ คิดถึงคนอื่น แต่เขาก็มีสถานการณ์ที่ต้องแก้ไข และเขาก็ไม่มีเพื่อน...)

จะเห็นว่าไม่มีใครเห็นทะลุผ่านสิ่งที่ดอทต้องเผชิญสักคน ชีวิตจริงมันก็คล้ายๆนี้นะครับ คนที่ไม่มีวุฒิภาวะมันก็จะเป็นอย่างนี้ มองอะไรไม่ลึก ไม่ว่าจะสกาย หรือดินแดน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าถ้าเรามีมุมมองที่มองกลับ ก็จะเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้น ตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล สุขุมรอบคอบขึ้น นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมมักชอบเชียร์มวยรอง เพราะในชีวิตจริง (ซึ่งนิยายสร้างโดยเบสบนความสมจริง) มวยรองต้องมีพล็อตหรือมุมมองที่มองจากมุมเค้าแล้วให้เราเห็นหลายๆอย่าง ซึ่งจะมีผลต่อวิจารณญาณของตัวเราครับ

ผมสงสัยอยู่นิดนึง เผ่าพงศ์นี่มาแนวตัวเอกเท่ๆจริงหรือครับเนี่ย พอผมอ่านเจอฉากที่สู้กับดินแล้วแพ้หมอบแต้จนจุกนี่ผมเฟลเลยอะ หรือว่าอายุเลยเลขสามแล้วลืมเข้าฟิตเนสล่ะนั่น (หัวเราะ)
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 3 : สกาย 《26/04/2018》 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: heyguy ที่ 18-05-2018 18:51:58
เดี๋ยวนะ!!!! นี่อ่านไปแค่อินโทร…ก็รู้สึกว่าน้ำตามาแน่ กำทิชชูแน่นมาก
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 4 : ดินแดน 《20/05/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 20-05-2018 08:50:22
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.
ต อ น ที่ 4 :  ดิ น แ ด น


ชายหนุ่มสองคนที่จัดว่าดูดีมากในสไตล์ที่ต่างกัน คนหนึ่งสูงใหญ่ผมยาวหยักศกดูเซอร์ทว่ามีเสน่ห์ที่ดวงตาและใบหน้าหล่อคม  ส่วนอีกคนนั้นเพียงแค่ชื่อชนม์แดนยังไม่อยากจะจดจำด้วยซ้ำ

ดินแดน.. ไอ้ลูกเมียน้อย

เคยเจอผ่านตาไม่กี่ครั้งในงานเดินแบบนาฬิกาของป๋าซึ่งไม่รู้ว่าไปทำไม แต่ที่จำได้แม่นเพราะเคยมีรูปข่าวซุบซิบว่าดินแดนอาจเป็นลูกนอกสมรสของป๋า ในตอนนั้นคุณแม่ก็รีบติดต่อไปหามันเพื่อห้ามไม่ให้เปิดเผยเรื่องที่มีสายเลือดเดียวกัน

ปกติไม่เคยต้องปะทะกันเพราะต่างคนต่างเลี่ยง แต่วันนี้มันมาทำอะไรที่นี่!

“เออว่ะ เมาจนเสี้ยนจนเห็นตัวผู้สวยซะงั้น ทำเป็นว่าไอ้บั๊คกับไอ้จ้าว เฮ้อ ไอ้ดินเอ้ย”  หนุ่มมาดเซอร์ส่งเสียงปรามเพื่อนพลางลากหลังคอของคนที่เมาจนยืนแทบไม่ตรงให้ถอยออกจากตรงนั้นแต่อีกฝ่ายเอาแต่ชี้ไปยังเวทีที่ตอนนี้มีคู่เดินฟินาเล่อยู่บนนั้น

ชนม์แดนเดินดิ่งเข้าไปในระยะที่พอจะได้ยินเสียงพูดคุยเพราะทั้งสองคนกำลังส่งเสียงดังจนต้องเร่งฝีเท้าเพื่อรีบไปจัดการ

“ไม่เอาเว้ย กูไม่ไป กูจะไปหานางฟ้าของกู แม่ของลูกนั่นแม่ของลูก!” เสียงโวยวายของไอ้ลูกเมียน้อยทำให้เส้นประสาทของร่างบางแทบจะขาดผึง

ในขณะที่คนเมามายกำลังจะหันไปตอบโต้กับเพื่อนแต่กลับชะงักค้างเพราะมองเห็นชนม์แดนที่ตอนนี้อยู่ในระยะไม่เกินสามเมตร

“มาที่นี่ทำไม!” ร่างเล็กตะคอกใส่ไม่ดังนักพร้อมกับสายตาที่แสดงความเกลียดชังอย่างเปิดเผย ส่วนอีกฝ่ายดูเหมือนจะรู้จักชนม์แดนเป็นอย่างดีแต่ทีท่ากลับเป็นการยียวนกวนประสาทเสียมากกว่า

“ก็มาดูไงว่างานนี้ของใครรร งานนี้ใครหญ่ายยย” ร่างสูงที่ยับย้วยเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ลากเสียงล้อเลียน คนฟังยิ่งเดือดขึ้นเพราะขัดหูขัดตาขัดใจกับคนตรงหน้า เรียวขาเล็กก้าวเข้าไปประจันหน้าอย่างไม่เกรงกลัว

“ออกไปซะ! ฉันไม่ต้องการให้แกอยู่ในงานของฉัน ไอ้ลูก..”

“อ๊ะๆๆ ถ้าพูดคำนั้นออกมา พี่ได้เห็นนรกแน่” ใบหน้าหล่อยื่นเข้ามาใกล้จนร่างเล็กผงะหนีเพื่อรักษาระยะห่างแต่ดวงตายังคงจ้องเขม็งด้วยความไม่พอใจ

ดินแดนใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มมองพี่ชายต่างแม่ในชุดสูทสวยเท่แบบทันสมัย ดวงตาเรียวรีที่กรีดทับด้วยอายไลน์เนอร์ส่งให้ดูดุคมมีเสน่ห์มากกว่าที่เคยเจอจนสะดุดตาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น

“ไปเหอะไอ้ดิน เดี๋ยวเดือดร้อนถึงป๋ามึง” ชายหนุ่มมาดเซอร์ปรามเพื่อน

ก็ยังดีที่นิสัยไม่ได้เลวร้ายเหมือนกัน อันที่จริงไม่ควรมาคบกับคนแบบนี้ด้วยซ้ำ

“โห่ยย กูยังสนุกอยู่เลย” คนเมาเดินเข้าหาร่างบางที่ทำเป็นยืดคอสู้แต่ขากลับก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ กลิ่นแอลกอฮอล์โชยเข้าจมูกเมื่อใบหน้าหล่อที่เยิ้มไปด้วยความเมาเข้ามาใกล้ “ถ้าไม่มีใครอยู่แล้วผมเมาเบอร์นี้ อยู่ด้วยกันสองคนผมจะ..”

“จะทำไม!” ชนม์แดนตวาดใส่ทันที สายตากรุ้มกริ่มที่ละเลียดมองตั้งแต่หัวจรดเท้าทำให้ไม่อาจคิดในแง่ดีได้ว่าอีกฝ่ายจะพูดในสิ่งที่เป็นมงคล

“จะ.. จับทำเมีย”

ผั่วะ!

ใบหน้าหล่อสะบัดไปด้านข้างทันทีเมื่อเจอตบแบบไม่แบมือ ดูก็รู้ว่าเจ็บมากเพราะเห็นมือเล็กแค่นี้แต่เชื่อเถอะว่าใส่สุดแรงเท่าที่มี

“ขอการ์ดตรงนี้ห้าคนครับ!” ชนม์แดนกดปุ่มที่เฮดโฟนขอความช่วยเหลือ ดวงตาคู่สวยแดงก่ำด้วยโทสะ 

โกรธจนสั่นไปทั้งตัว เกลียดแค้นชิงชังในเรื่องเดิมๆ และยังมารับรู้ความต่ำทรามในตอนนี้อีก  จะไม่ให้โมโหได้อย่างไรในเมื่อแววตาที่พูดออกมาว่าจะจับทำเมียนั้นมีความเสน่หา ราคะ ความใคร่อยู่ในที ไม่ใช่แค่พูดพร่อยไปเรื่อยเพราะความเมาแน่ๆ เพราะอินเนอร์จากเขาทำให้คนฟังขนลุกไปทั้งร่าง

ถึงจะไม่นับมันเป็นพี่น้องแต่ยังไงก็สายเลือดเดียวกัน จะมาทำรุ่มร่ามพูดจาน่ารังเกียจแบบนี้ได้ยังไง เลวที่สุด!

“ไอ้ดินไปเหอะ อย่าทำเรื่องสิวะ กูเจ็ทแล็กอยู่สู้ไม่เต็มร้อย” หนุ่มมาดเซอร์ยื้อแขนเพื่อนไว้ก่อนจะหันมาทางชนม์แดนที่ยังยืนกำหมัดแน่นเหมือนอยากจะซัดอีกสักที  “ที่คุณตบมัน ผมเห็นด้วยว่าสมควรโดนแต่มันเมามากอย่าถือสาเลยครับ ผมอยากให้คุณลืมไปเลยน่าจะดีกับคุณมากกว่าเพราะมันเมาขนาดคุมสติไม่อยู่แบบนี้ไม่มีทางจำอะไรได้หรอก ขอโทษด้วยสำหรับคืนนี้” 

น้ำเสียงคุมโทนสุภาพขัดกับภาพลักษณ์ที่มี ชนม์แดนนึกชื่นชมอีกฝ่ายอยู่ในใจและรับฟังด้วยอาการนิ่งสงบแต่ยังคงเชิดหน้าและไม่ตอบรับใดๆ

จากนั้นร่างสูงใหญ่ก็ลากคอเสื้อคนเมาออกไปและคงออกแรงมากกว่าเดิมจนคนที่ยังดิ้นดึงดันจะกลับมาอีกต้องเดินตามอย่างเสียไม่ได้

จังหวะนี้บอดี้การ์ดหกคนก็เข้ามาสมทบ ชนม์แดนจึงบอกให้คุมทางเข้าเอาไว้ไม่ให้ใครเข้ามาป่วนได้อีก 

“ขอเชิญสวีทดอทขึ้นเวทีด้วยครับผม” เสียงประกาศเรียกจากพิธีกรเรียกความสนใจของร่างบางออกจากประตู ความรู้สึกติดค้างในใจเพราะสายตาของดินแดนถูกสลัดออกและก้าวเดินไปยังความสำเร็จในคืนนี้



ดีไซน์เนอร์เจ้าของแบรนด์อมยิ้มบางๆ รับเสียงปรบมือและเดินออกไปตามทางเดินแห่งความสำเร็จซึ่งถูกขนาบซ้ายขวาด้วยคู่เดินแบบฟินนาเล่ตามมาด้วยเหล่านายแบบและนางแบบในสังกัดอีกหลายชีวิต  และเมื่อเดินมาสุดทางมือหนาของนายแบบลูกครึ่งที่ยืนด้านข้างก็คว้าจับมือน้อยไว้แล้วประสานเข้ามาก่อนจะชูขึ้นสูงรวมถึงนางแบบที่ยืนอยู่อีกด้านก็ทำเช่นกัน

ถึงกับยิ้มค้างเพราะความร้อนรุมตรงฝ่ามือ เทียบขนาดแล้วต่างกันมากจนมือน้อยจมมิดอยู่ภายใต้มือใหญ่แข็งแรง  สกายกระชับฝ่ามือและเขย่าเล็กน้อยเพื่อตอบรับเสียงจากรอบด้าน  ดวงหน้าสวยหันมองใบหน้าด้านข้างที่ไม่ได้มองมาด้วยซ้ำ สีหน้าที่เคยนิ่งขรึมของเขาเปลี่ยนเป็นยิ้มในสีหน้าฉายความยินดีไปยังผู้ชมที่ปรบมือลั่น

แสดงเก่งจริงนะไอ้เด็กนิสัยเสีย

โลกของวงการบันเทิงทุกแขนงมักเป็นเช่นนี้ เบื้องหน้าสวยงามแต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังนั้นฟาดฟันกันขนาดไหน




หลังจากดีไซเนอร์คนเก่งจัดการสั่งเก็บงานทุกอย่างแล้วเสร็จก็นึกได้ว่ายังมีห่วงอยู่อีกหนึ่งเรื่อง

“กลับพร้อมรถตู้นะ ไม่ต้องไปเอง” ชนม์แดนเดินเข้าไปสั่งคนที่นั่งเช็ดล้างเครื่องสำอางอยู่หน้ากระจกที่กั้นไว้เป็นแบบส่วนตัวสำหรับสกายเป็นพิเศษ  น้ำสียงเย็นเยียบทำให้คนฟังปรายตามองเยียบเย็นไม่แพ้กัน  ใบหน้าหล่อใสเพียงแค่หันมาแล้วมองเฉยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ

ชนม์แดนได้แต่ยืนทำหน้านิ่งข่มอีกฝ่ายคล้ายจะอยากเอาชนะ  ต่อเมื่อบอลลูนเข้ามารายงานว่าเผ่าพงศ์ถามหา ร่างบางจึงพยักหน้ารับรู้และเลขาคนเก่งก็ล่าถอยออกไปก่อนเพราะสังเกตเห็นรังสีพิฆาตของทั้งคู่

ในที่สุดร่างบางเองก็ยอมรามือ หันหลังเดินหนีทว่าก็หยุดแล้วหันกลับไปจึงเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงมองมา 

“...วันนี้ ทำได้ดีมาก ขอบใจ” พูดรัวๆ เชิดหน้ามองไปด้านข้างไม่ยอมสบตาอีกฝ่ายด้วยซ้ำ แต่คนฟังเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยจากนั้นก็ยิ้มอยู่ในสีหน้าคุมโทนนิ่งได้อย่างพอเหมาะ

สกายหล่อจนแทบจะละลาย ดวงตาคู่สวยราวกับจะสะกดทุกสิ่งให้นิ่งงันแล้วดูดเข้าไปในโลกของเขาเสียทุกครั้งไป

แค่ได้เห็นใบหน้าที่เปลี่ยนอารมณ์ไปเพียงนิด หัวใจดวงน้อยก็เต้นผิดจังหวะ

บ้าแล้วชนม์แดน!  ใจเต้นแรงเพราะเด็กอวดดีนี่น่ะเหรอ ไม่ใช่หรอกคิดไปเองทั้งนั้น ลบๆๆๆๆ



ในที่สุดก็เดินออกมาจนได้ คนหน้าสวยหายใจเข้าลึกๆ เพื่อปรับอารมณ์ ต่อเมื่อออกมาเจอคนรักที่หอบดอกไม้ช่อโตยืนยิ้มรออยู่ก็ทำให้อารมณ์เริ่มเป็นปกติ

“ยินดีด้วยครับคนเก่งของเฮีย” ใบหน้าหล่อเข้มเผยรอยยิ้มดูดีจนต้องยิ้มกว้างตอบรับ

“ขอบคุณครับ” มือเรียวหอบช่อดอกไม้ที่ใหญ่จนแทบจะบังมิดหน้า “ใช้ดอกไม้ไปกี่สวนครับเนี่ย”

“กี่สวนก็ไม่เกี่ยง อยากเอาทั้งโลกมาวางแทบเท้าดอทด้วยซ้ำ”

ดวงหน้าสวยขึ้นสีเรื่ออย่างน่ามอง รอยยิ้มเขินน่ารักฉายขึ้นจนอีกฝ่ายมองจ้องด้วยความหลงใหล  ไม่ต่างจากอีกคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องแต่งตัว 

สกายมองรอยยิ้มเจ้าของโมเดลลิ่งของตนอยู่ครู่หนึ่ง ในใจลึกๆ นึกชื่นชมในความเก่งและขยันมานานแล้ว ทว่าไม่ค่อยได้เห็นมุมสดใสเช่นนี้ แต่นิสัยและสิ่งที่อีกฝ่ายทำกับตนนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้จริงๆ  ร่างสูงส่ายหัวกับความรู้สึกดีวูบหนึ่งที่ได้เห็นรอยยิ้มนั้นก่อนจะปรับให้เป็นความมึนตึงเช่นเดิมจากนั้นจึงเดินเลี่ยงไปขึ้นรถตู้ที่จอดรออยู่หน้าโรงแรม



“ขึ้นไปบนห้องเลยนะ เดี๋ยวเฮียนวดให้” เผ่าพงศ์กระซิบแล้วรวบช่อดอกไม้มาถือไว้เอง

“เฮียขึ้นไปก่อนก็ได้ครับ ขอดอทเอาเครื่องเพชรไปฝากเซฟโรงแรมก่อนเดี๋ยวจะตามขึ้นไป”

“เรื่องเพชรเฮียจัดการให้คนเอากลับบริษัทแล้ว เหลือชุดฟินาเล่ที่สกายใส่เอาไว้ให้ดอทแต่ต้องรอพรุ่งนี้ถึงจะได้”

“โหหห ใจดีสปอร์ท สายเปย์สุด” ชนม์แดนยิ้มล้อ

“เฮียชอบจังเวลาที่ดอทอารมณ์ดี” มือหนาคล้องเอวบางเดินไปตามทาง 

“ก็คอลเล็กชั่นวันนี้ทุกเซ็ตโดนจองไม่มีเหลือ แถมยังมีเจ้าประจำซื้อแบบไปผลิตเองอีกหลายเจ้า ดอทนี่ตัวแทบจะลอยแล้วตอนนี้”

“เฮียดีใจด้วยนะ แฟนเฮียเก่งที่สุดเลยครับ”

ชนม์แดนย่นหน้าขัดเขินไม่ค่อยถนัดเรื่องยิ้มสักเท่าไหร่จึงรู้สึกแปลกๆ เวลาที่อยู่ในช่วงอารมณ์เช่นนี้  เผ่าพงศ์เองก็มองคนรักไม่วางตา รู้สึกดีที่ได้เห็นความสำเร็จและความสุขของอีกฝ่าย จากนั้นทั้งคู่ก็ฉลองความสำเร็จด้วยค่ำคืนอันเร่าร้อนยาวนานจนถึงเช้า

ความสุขอีกหนึ่งอย่างที่ชนม์แดนไม่ได้บอกคนรักก็คือ.. วันนี้อีกฝ่ายไม่ได้พูดถึงสกาย ไม่แม้แต่จะมองหาด้วยซ้ำ ซึ่งแบบนี้มันดีกับใจจริงๆ



ช่วงบ่ายของวันหลังจากสั่งอาหารมาทานและอาบน้ำแต่งตัวกันเรียบร้อยแล้ว

“นี่ไง ตามสัญญา”  สร้อยทับทิมล้อมเพชรเม็ดงามถูกสวมลงบนลำคอระหงส์

“ว้าว สวย” มือเรียวลูบไปตามลวดลายของสร้อยเพชรที่ออกแบบได้สวยหรูแปลกตา “แต่ไม่เอาก็ได้นะเฮีย ดอทไม่ค่อยใส่เครื่องประดับอยู่แล้ว”

“ไม่ใส่ก็เก็บเอาไว้เป็นทรัพย์สิน เก็บไว้เถอะเฮียอยากให้” ทั้งคู่สบตากันผ่านบานกระจกที่สะท้อนให้เห็นภาพคนตัวเล็กที่แต่งตัวด้วยเสื้อเชิ๊ตสีครีมตัวสั้นคลุมทับด้วยสูทเข้ารูป ดวงหน้าสวยดูสดใส ทรงผมที่ถูกเซ็ตเสยขึ้นโชว์หน้าผากดูน่ามอง

“งั้นก็ขอบคุณนะครับ” ศีรษะเล็กเงยขึ้นมองคนรักแล้วยิ้มบางๆ ก่อนหันกลับไปมองที่กระจก

สร้อยเพชรเส้นนี้เคยอยู่บนคอของสกายซึ่งมันดูเข้ากับเขามากกว่า นึกเล่นๆ ว่าถ้าเอาสร้อยนี้ไปให้เขา รับรองต้องมองมาเหยียดๆ แล้วปาสร้อยลงถังขยะหาว่าจะเอาไปล่อซื้อเขาให้เฮียแน่ๆ

หึ..เจ้าเด็กอวดดี




“งั้นก็แยกกันตรงนี้เลยนะ เฮียต้องเข้าบริษัท ดอทมีนัดกับป๋าใช่ไหม”

“ครับ เมื่อเช้าโทรมาบอกมีเรื่องด่วนไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ใจจริงไม่อยากคุยแบบเจอหน้าหรอกกลัวทะเลาะกันอีก”

“มีอะไรก็โทรหาเฮียนะ อย่าเก็บไปร้องไห้คนเดียว”

“เห็นดอทเป็นพวกเก็บกดหรือไง”

“ยิ่งกว่าเก็บกดอีกเราน่ะ หัดระบาย หัดพูดออกมาบ้างก็ได้”

งั้นถ้าดอทบอกว่าอย่านอกใจไม่ว่าดอทจะไปอยู่กับเฮียหรือไม่ก็ตาม โดยเฉพาะกับสกาย  แบบนี้เฮียจะยอมทำตามหรือเปล่านะ

จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้พูด คนคิดมากรู้สึกเหมือนมันเป็นการบังคับ ถ้าหากอีกฝ่ายอยากทำให้จริงๆ ทำไมไม่ทำเอง ไม่เห็นต้องให้ขอ เรื่องซื่อสัตย์มันเป็นเรื่องปกติของคนที่รักกันไม่ใช่เหรอ




เมื่อแยกกับเผ่าพงศ์แล้ว ร่างเล็กลงมารอที่ห้องทำงานของผู้เป็นพ่อซึ่งอยู่ชั้นสามของโรงแรม ห้องทำงานใหญ่พอๆ กับห้องสูทแถมยังตกแต่งหรูหราสวยงาม

รสนิยมดีแบบนี้ไม่รู้ทำไมป๋าถึงไปคว้าสาวชาวบ้านจนๆ มาเป็นเมียน้อยจนทำให้ครอบครัวแตกแยก


“มาแล้วเหรอ” ร่างสูงใหญ่ของเจ้าสัวแดนสรวงเปิดประตูเข้ามา เมื่อเห็นลูกชายจึงตรงมานั่งโซฟาฝั่งตรงข้าม ชนม์แดนทำเพียงพยักหน้าตอบรับด้วยใบหน้าเรียบนิ่งอย่างคนที่เตรียมพร้อมรับทุกสถานการณ์

เจ้าสัวกับดินแดนมีรูปร่างสูงใหญ่และดูดีมากไม่ต่างกัน  ถึงหน้าตาของดินแดนจะค่อนไปทางแม่แต่โดยรวมแล้วก็ได้ยีนส์เด่นมาไม่น้อย ขนาดว่าอายุเลยเลขห้าไปแล้วยังดูดีได้ขนาดนี้ ยิ่งช่วงหลังชอบมาค้างที่โรงแรมไม่ค่อยได้กลับบ้านซึ่งคงหนีไม่พ้นเรื่องมีผู้หญิงใหม่

ชนม์แดนไม่ได้รู้สึกอะไรกับตรงนั้นเพราะเลยวัยขาดความอบอุ่นมานานแล้ว ทว่าความรู้สึกที่ว่าพ่อรักลูกเมียน้อยมากกว่านั้นยังคงฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกเพราะพวกเขามีลักษณะคล้ายกัน หล่อแมนเหมือนกัน ความคิดไปในทางเดียวกัน ไม่เหมือนตนที่ผิดแผกไปจากสองคนนั้นโดยสิ้นเชิง จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ไม่อยากพบเห็นผู้เป็นพ่อให้ต้องสะเทือนใจ

“อะไรครับ ที่ว่าเรื่องด่วน” ไม่อยากประจันหน้ากันนานๆ ถึงแม้คนเป็นพ่อนั้นลดความจู้จี้และจับผิดลงตั้งแต่ครั้งก่อนที่ทะเลาะกันหนัก แต่เพื่อความปลอดภัยจึงคิดว่าควรหลีกเลี่ยงการปะทะน่าจะดีกว่า

“งานการกุศลประมูลนาฬิการุ่นลิมิเต็ดที่มีแค่สองเรือนในโลก ตอนแรกที่ประชุมจ้างออแกไนซ์และเตรียมงานไว้แล้วแต่รู้สึกจะมีปัญหาหลายเรื่องจนถอนตัวออกไป”  คนเป็นพ่อเกริ่นและรอดูปฏิกิริยาลูกชาย

“ครับ”

“ป๋าอยากให้แกรับช่วงต่อ”

รู้สึกช็อคเหมือนปลายประสาทมันชา ลูกชายที่ไม่เคยได้รับโอกาสจากบิดาแต่วันนี้ได้รับโอกาสและความไว้วางใจ

แต่ก็นั่นแหละ ชนม์แดนไม่ใช่คนแรกที่เขานึกถึงเสียหน่อย

“ถ้าเจ้าเดิมไม่ถอนตัวก็คงมองไม่เห็นหัวดอท” อดไม่ได้ที่จะประชดประชัน สายตาและสีหน้าบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าดื้อรั้นและไม่ยอมลงให้ง่ายๆ

“ตอนแรกฉันก็เสนอที่ประชุมไปแล้ว” สรรพนามเริ่มเปลี่ยนไปเพราะการตอบสนองของลูกชาย “แต่เขากลัวว่าแกจะไม่รับเพราะ..” คนเป็นพ่อเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่อยากพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่  “นั่นแหละ แต่มาถึงตรงนี้แล้วก็อยากให้แกลองทำ”

“........” ชนม์แดนไม่ได้ตอบในทันที

“งานนี้ใหญ่มากและสำคัญมากๆ ฉันเชิญดีลเลอร์ทั้งในไทยและต่างประเทศมาร่วมประมูล เป็นงานใหญ่ระดับประเทศและไม่ควรมีอะไรผิดพลาดแม้แต่อย่างเดียว แต่ถ้าแกคิดว่าไม่มีความสามารถฉันก็จะให้คนอื่น”

บรรยากาศการสนทนาเป็นไปในทางที่ค่อนข้างแย่ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคู่รับรู้คลื่นอารมณ์ของอีกฝ่ายได้ดีว่ามันกำลังจะพังในไม่ช้านี้

เจ้าสัวแดนสรวงมองลูกชายคนโตแล้วถอนหายใจทิ้งอย่างปลงตก

“ถ้างั้น..”

“สามล้าน” ชนม์แดนเอ่ยตัดบทจนอีกฝ่ายย่นคิ้วรอฟัง “ขอค่าจ้างสามล้านครับ จ่ายเงินสดวันนี้เพราะงานมันกระชั้นมากต้องใช้เงินเยอะ”

ผู้เป็นพ่อคิดคำนวณในใจเพียงชั่วพริบตาก็หยิบสมุดเช็คออกมาเซ็นให้แบบไม่ยี่หระ เขายื่นเช็คเงินสดให้ลูกชายแล้วเอ่ยขึ้น

“แต่งานต้องเป๊ะ ทุกอย่างต้องดีเลิศอย่าให้ขายหน้าเพราะงานนี้ฉันเปิดตัวเป็นฮับฝั่งเอเชียด้วย”

“......” ชนม์แดนไม่ตอบแต่เชิดหน้าขึ้นเพราะรู้สึกเหมือนว่าบิดาไม่เชื่อในฝีมือ

เจ้าสัวถอนหายใจอีกครั้งกับแววตาดื้อรั้น แต่ที่ให้ราคาสูงขนาดนี้เพราะอยากช่วยซัพพอร์ทประกอบกับงานมันกระชั้นชิดจริงๆ จึงคิดว่าเงินน่าจะช่วยเปิดทางให้อีกฝ่ายสามารถทำงานได้คล่องขึ้น  อีกอย่างก็เชื่อมั่นว่าลูกชายจะทำได้ดีไม่แพ้งานเมื่อคืน ในใจนึกอยากชมเชยออกไปบ้างแต่แล้วปากกลับพูดออกไปว่า

“อย่าทำให้ฉันขายหน้าล่ะ”

“รอดูฝีมือดอทก็แล้วกัน” ทั้งที่ในใจรู้ว่าการดีลงานครั้งนี้ง่ายดายและได้ราคาสูงมากแต่ทิฐิมันค้ำคอ คำขอบคุณที่อยู่ลึกๆ ในซอกความรู้สึกจึงไม่ได้เปิดเผยออกมา

ก็ปากหนักทั้งพ่อและลูก ขิงก็ราข่าก็แรงไม่มีใครกล้าที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องก่อนซึ่งแน่นอนว่าความสัมพันธ์ยังไม่มีความคืบหน้าเช่นเดิม




งานที่จะจัดขึ้นในอีกสี่วันเป็นระยะเวลาที่หฤโหดจริงๆ กระชั้นชิดแทบจะเรียกได้ว่าไฟเผาก้นแถมออแกไนซ์เจ้าเดิมยังไม่ทิ้งอะไรเอาไว้ให้สานต่อจึงต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด ดีที่ว่าสถานที่เป็นโรงแรมของบิดาจึงตัดปัญหาเรื่องนี้ออกไปได้แต่จากที่คำนวณคร่าวๆ ว่างานที่เหลือน่าจะผ่านไปได้แต่กลับเจอเข้ากับโจทย์ที่ต้องแก้แบบงานชนงาน

“พี่บอลลูนคอนเฟิร์มนายแบบนางแบบจากโมฯ ลูกกอล์ฟหรือยังครับ” นายแบบและนางแบบในสังกัดติดงานอื่นหลายคน ขนาดว่าแคนเซิ่ลงานเล็กๆ ไปหลายเจ้าแล้วแต่ก็ยังขาด

“คอนเฟิร์มแล้วสี่คนค่ะนอกนั้นติดงาน พี่เลยดีลไปที่โมฯ คุณปริม นางคอนเฟิร์มลูกชายมาสามลูกสาวสอง ตอนนี้ก็ครบแล้วค่ะ”

ค่อยโล่งใจที่ได้ยิน ตอนนี้นายแบบนางแบบก็ครบแล้ว ยังเหลือพวกดอกไม้ที่ดูเหมือนเจ้าประจำติดงานอื่น

“คุณแวนหาเจ้าอื่นไปแทนงานนั้นได้ไหมครับ งานนี้ดอทอยากมั่นใจว่าไม่มีอะไรพลาดจริงๆ งานใหญ่แบบนี้ท้าทายฝีมือแล้วก็ยังเป็นผลงานมาสเตอร์พีชได้เลยนะครับ รับรองว่าชื่อร้านคุณแวนจะพรวดขึ้นมาอยู่อันดับต้นๆ แน่นอน ส่วนค่าเหนื่อยดอทให้เพิ่มสามเท่าเลยเพราะเหลือเวลาแค่สามวันไม่รวมวันงาน” การหว่านล้อมเริ่มขึ้นและจบลงด้วยการที่อีกฝ่ายตอบตกลง

อย่างน้อยคนที่คุยงานกันได้โดยไม่ติดว่านิสัยส่วนตัวของเขาจะเป็นอย่างไร คนที่เคารพความสามารถของชนม์แดนมากกว่าขี้ปากชาวบ้านก็ยังมีอยู่

การประสานงานแบบลุ้นระทึกแทบจะทุกจุดค่อนข้างสูบพลังงานของชนม์แดนไปมากจนหลับลึกถึงเช้า ร่างเล็กเข้าออฟฟิศด้วยความสะโหลสะเหลเพราะกว่าจะนอนก็ตีสามเข้าไปแล้ว  ยังดีที่ประชุมจัดเซ็ตเสื้อผ้าที่จะขึ้นเดินในงานประมูลเริ่มในช่วงสายไม่อย่างนั้นร่างคงพังแน่ๆ

“งานนี้เป็นงานที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เราเคยจัดมา เป็นงานการกุศลที่รวมมหาเศรษฐีระดับหมื่นล้านพันล้านเพราะฉะนั้นต้องไม่มีอะไรผิดพลาดแม้แต่อย่างเดียว และด้วยความไฮโซของงาน ดอทจะใช้แบรนด์ DOZZ ของเราซึ่งเป็นสูทหรูควบคู่กับสวีทดอทคอลเล็กชั่น Hi Sweet ที่เราวางแผนจะเปิดตัวในคราวหน้าแต่ตอนนี้คงต้องงัดออกมาใช้ในงานนี้ ซึ่งโชคดีมากที่เหลือแค่ไม่กี่แบบที่ยังตัดเย็บไม่เสร็จ เพราะฉะนั้นจะต้องเก็บแบบให้ทันก่อนวันพรุ่งนี้ที่นายแบบและนางแบบจะมาฟิตติ้งนะครับ”

ผู้เข้าประชุมทุกคนต่างตอบรับอย่างแข็งขัน ยังดีที่ลูกน้องทำงานเก่ง หัวหน้าจึงลดความกดดันลงไปได้บ้าง

“ยังไงก็ฝากทุกคนด้วยนะครับ ถ้าทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เราวางแผนไว้ โบนัสปีนี้ไม่ต่ำกว่าสามเท่าแน่นอน”

“กรี๊ดด เริ่สค่า” บรรดาลูกน้องเพศที่สามต่างแท็กมือส่งเสียงกรี๊ดอย่างดีใจและตอบรับอย่างมีความสุข ทุกคนดูมุ่งมั่นจนผู้ที่อยู่หัวโต๊ะพึงพอใจ


“ถ้าไม่มีคำถามเพิ่มเติมแล้ว ก็แยกย้ายได้เลยครับ”  เมื่อจ่ายงานให้กับทุกคนแล้ว  ชนม์แดนจึงกล่าวปิดประชุม  จนทุกคนต่างพากันทยอยออกไปเหลือแค่มือขวาที่ทำหน้าไม่ค่อยสู้ดี

“มีอะไรครับพี่บอลลูน”

“คือ.. คุณปริมไลน์มาบอกว่าลูกชายสองคนที่คอนเฟิร์มไว้เกิดอุบัติเหตุมาไม่ได้แล้วค่ะ เหลือแค่ชายหนึ่งหญิงสอง”

“จิ๊.. เหลืออีกแค่สองวันจะไปหาที่ไหนทัน” ใบหน้าสวยขึ้นริ้วตรงหน้าผากเมื่อต้องคิดหนักว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร

“ลองดูโมฯ หญิงแย้มดูไหมคะ” บอลลูนเสนอ

“ของหญิงแย้มไม่น่าจะได้ครับ เห็นว่าติดงานป้าตู”

“ถ้าเป็นนายแบบโนเนมล่ะคะ แบบไม่มีสังกัด”

“ไม่มั่นใจคุณภาพน่ะสิครับ นิสัยการทำงานเป็นไงก็ไม่รู้  อืม..ถ้างั้นดอทจะแคนเซิ่ลงานของสกายจะได้เหลือแค่คนเดียวที่ต้องหา”

“เอาแบบนั้นเหรอคะ”

“อืม คงต้องยอมจ่ายค่าผิดสัญญาแล้วค่อยส่งของไปขอโทษเขาทีหลัง” เมื่อตัดสินใจได้แล้วจึงโทรหาลูกค้าทันที โชคยังดีที่ทางนั้นเสนอจะเลื่อนงานออกไปโดยไม่ต้องยกเลิกสัญญาเพียงแค่ต้องจ่ายค่ามัดจำสถานที่แทนก็เป็นอันว่าผ่านไปได้ด้วยดี

ตอนนี้ก็เหลือแค่หานายแบบดีๆ อีกหนึ่งคน จะไปหาที่ไหนได้นะ



ต่อ..


หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 4 : ดินแดน 《20/05/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 20-05-2018 08:58:43
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.


ร่างเล็กนั่งครุ่นคิดอย่างหนักในร้านกาแฟใกล้ออฟฟิศ  แต่ในจังหวะที่กำลังคิดอยู่นั้นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ เส้นผมหยักศก โครงหน้าคุ้นตาก็เดินผ่านไป

ผู้ชายคนนั้น!

ชนม์แดนวิ่งออกจากร้านเพื่อหวังจะตามให้ทันแต่ด้วยความที่โต๊ะอยู่ในสุดจึงต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะออกมาจากร้านได้

“หายไปไหนแล้วนะ เดินเร็วอะไรขนาดนั้นโธ่เอ้ย” ความหวังที่จะได้นายแบบหน้าใหม่พังทลายเพราะวิ่งตามไม่ทัน  ผู้ชายคนนี้เขาจำได้ว่าเป็นใครเพราะรูปร่างหน้าตายูนีกมากๆ ถ้าเอามาปั้นต้องขึ้นเป็นเบอร์ต้นๆ ของวงการนายแบบได้แน่

เพื่อนของไอ้ลูกเมียน้อย..

“โทรให้ป๋าขอเบอร์มาจากไอ้ลูกเมียน้อยก็น่าจะได้” คิดได้แล้วจึงกดโทรออก

“ว่าไงดอท” เสียงปลายสายดูซอฟท์กว่าครั้งไหนๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าป๋าเปลี่ยนไป ตั้งแต่สรรพนามที่หลุดแทนตัวเองว่าป๋า ถึงแม้จะครั้งเดียวแต่ดูเหมือนทั้งสายตาและโอกาสที่มอบให้ก็ทำให้หัวใจที่แห้งผากกลับมาชุ่มชื่นกว่าเดิมอยู่ไม่น้อย

“พอดีว่านายแบบขาดหนึ่งคนครับ ดอทอยากให้ช่วยติดต่อดินแดน..”

“อ้าวเหรอ แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะเจ้าดินมันเคยมาเดินนาฬิกาให้ป๋าสองสามหน มันก็เดินได้ดีอยู่นะยังไงลองโทรทาบทามเอาเองเดี๋ยวป๋าส่งเบอร์ไปให้” เจ้าสัวนึกยินดีที่พี่น้องอาจจะได้สานสัมพันธ์กันในครั้งนี้

“เรื่องดีๆ ก็นึกถึงแต่ลูกเมียน้อยเหรอครับ คนที่เก่งสำหรับป๋ามีแค่ไอ้เด็กนั่นเหรอ” อยากตีปากตัวเองที่พูดออกไป แต่อดไม่ได้จริงๆ น้ำเสียงที่เหมือนจะอวดว่าลูกรักเก่งกาจจนแสดงความภูมิใจแบบออกนอกหน้า บอกตามตรงว่าอิจฉาและเจ็บหัวใจแปลบๆ

“ความคิดแกมันคับแคบตาดอท ถ้างั้นฉันจะไม่ยุ่งด้วยแล้ว เดี๋ยวจะส่งเบอร์เจ้าดินไปให้แล้วจะทำยังไงก็ตามใจ อย่าให้งานฉันเสียก็แล้วกัน”  พูดจบก็กดวางสายแล้วหลับตาข่มอารมณ์

ไม่ว่านานแค่ไหนแกก็ไม่เคยเปลี่ยนเลยตาดอท หัวรั้น ไม่มีเหตุผลเหมือนแม่ไม่มีผิด!

ร่างเล็กยืนครุ่นคิดว่าควรทำอย่างไร กดดูเบอร์โทรที่คนเป็นพ่อส่งมาให้ทางข้อความแล้วลังเลอย่างหนัก

ย้อนนึกถึงใบหน้าเมามายที่มองมาด้วยสายตาแบบนั้นกับคำพูดว่าจะจับทำเมีย  ฮึ่ย เกลียด..


แต่ในเมื่อมันเป็นงานในความรับผิดชอบ แล้วถ้างานนี้ออกมาสมบูรณ์แบบอย่างที่แพลนไว้ ป๋าอาจจะมองตนในทางที่ดีมากขึ้นก็ได้ อยากให้ป๋าพูดถึงตนด้วยน้ำเสียงแบบเมื่อกี้นี้บ้างอย่างน้อยตนก็เป็นลูกคนหนึ่งเหมือนกัน 

มือน้อยกำโทรศัพท์แน่นเพื่อปลุกกำลังใจจากนั้นจึงกดเบอร์ใหม่ที่เพิ่งเคยเห็นครั้งแรก

“ครับ” ลักษณะการรับโทรศัพท์เหมือนจะรู้ล่วงหน้าว่าเป็นใคร บางทีไอ้ลูกเมียน้อยอาจจะมีเบอร์โทรของตนก็เป็นได้

“......”  คนปากหนักยังไม่พูดอะไรออกไป อีกฝ่ายก็เหมือนจะถือสายรอซึ่งตอนนี้แน่ใจแล้วว่าทางนั้นรู้ว่าเป็นเบอร์โทรของตนแน่นอน  “วันมะรืนจะมีงานเดินแบบประมูลนาฬิกาของป๋า ฉันอยากให้เธอมาช่วยเดิน”

ใบหน้าเชิดขึ้นพร้อมกับลำคอแข็งๆ ทั้งๆ ที่ทางนั้นมองไม่เห็นด้วยซ้ำแต่อินเนอร์มันแบบนี้ก็ต้องแบบนี้แหละ  แล้วเรื่องที่จะให้ชวนเพื่อนก็ล้มเลิกแล้วเพราะไหนๆ ก็ไหนๆ ดินแดนเคยเดินแบบมาก่อนจึงคิดว่าคงดีกว่าถ้าไม่ต้องฝึกตั้งแต่เริ่มต้น

“แล้วมันเกี่ยวกับพี่ยังไงถึงได้โทรมาเอง” น้ำเสียงโทนต่ำกังวานทว่าเจือปนความกวนอยู่ในที  ไม่เคยได้ยินเสียงชัดๆ แบบนี้มาก่อนทำให้ลมหายใจเริ่มติดขัดเล็กน้อยด้วยทั้งฉุนและประหม่า

“ฉันเป็นคนจัดงานและจัดหานายแบบแต่นายแบบสองคนโดนรถชนก็เลยหาคนไม่ทัน” เสียงที่ติดจะเหวี่ยงแน่นอนว่าอีกฝ่ายต้องรับรู้ได้แน่ พยายามจะพูดธรรมดาแต่นึกถึงคำพูดจาบจ้วงในวันนั้นแล้วกลายเป็นกระฟัดกระเฟียดใส่ก็คิดว่าไม่ได้เกินไปแต่อย่างใด

“คนอื่นไม่มีแล้ว?” คำถามแบบกวนๆ ถูกส่งมาเริ่มทำให้ชนม์แดนหมดความอดทน

นี่ถ้าไม่จำเป็นให้ตายก็ไม่โทรหรอกนะ

“ถ้ามีจะโทรมาหรือไง” คำตอบห้วนขึ้นเพราะตอนนี้ไม่คิดว่าอยากคุยด้วยอีก

“ขอคิดดูก่อน” เมื่อทางนั้นตอบแบบไม่ยี่หระก็ถึงกับหมดความอดทน

“....ตามใจ” พูดจบแล้วตัดสายทันที

เกลียดที่สุดไอ้ลูกเมียน้อย!!


ในขณะที่กำลังจ้องโทรศัพท์ราวกับเป็นหน้าของคนที่เกลียด สายเข้าของผู้เป็นแม่ก็ดังขึ้นจึงต้องรีบกดรับ

“ครับคุณแม่”

“ป๋าของลูกโทรมาบอกว่าจะเอาไอ้ลูกเมียน้อยมันมาเดินงานเหรอลูก ทำไมเลือกมันล่ะ”

“ครับ หาคนไม่ได้แล้วจริงๆ งานมันกระชั้นชิดเกินไป”

“แล้วโทรหรือยัง มันตอบรับไหม”

“โทรแล้วครับแต่มันบอกว่าจะขอคิดดูก่อน”

“งั้นเอาแบบนี้ เดี๋ยวแม่จะโทรไปกดดันให้อีกทาง แค่นี้ก่อนนะ”

“ด..เดี๋ยวครับ..” ไม่ทันพูดจบปลายสายก็กดวาง “โธ่คุณแม่ เดี๋ยวก็โดนมันกวนประสาทอีกคนหรอก” 



ร่างเล็กกลับเข้าออฟฟิศเพื่อจัดการชุดที่ต้องใช้เดินแบบไปเรื่อยๆ ยังคงกลุ้มใจเรื่องนายแบบที่ยังขาดอยู่แต่ยังคิดในแง่ดีว่าคงไม่เป็นไรถ้าไม่ได้จริงๆ ก็จะหมุนเอาที่มีอยู่ขึ้นอีกรอบ อาจจะทุลักทุเลแต่ก็ไม่มีทางเลือก

แต่ช่วงบ่ายแก่ๆ ก็ได้รับข่าวดีจากผู้เป็นแม่ว่าดินแดนได้ตอบรับจะมาเดินแบบให้  เฮ้อ โล่งอก

พรุ่งนี้ก็ต้องลองชุด ส่วนมะรืนเป็นวันจัดงาน ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดีด้วยเถอะ เพี้ยงง


แต่ยังไม่ทันไร ร่างอวบของบอลลูนก็วิ่งลนลานเข้ามารายงาน

“คุณดอทคะ มีเรื่องด่วน คือ.. น้องสกายจะเทงานงานวันนี้สองงานเลยค่ะ นางบอกมีธุระด่วน” 

“อะไรนะ! สกายเนี่ยเหรอเบี้ยวงาน?”  ปกติสกายไม่มีปัญหาเรื่องขาดลาหรือสายเลยแต่ครั้งนี้มันเรื่องอะไรถึงได้เป็นแบบนี้

“ใช่ค่ะ นางโทรแจ้งลูกค้าเองแล้วก็ไลน์มาบอก  พี่โทรถามลูกค้าแล้วเขาค่อนข้างหัวเสียค่ะ พี่เลยบอกว่าจะให้คุณดอทโทรไปอีกรอบ”

“สองงานรวดเลย” ถึงกับเข่าอ่อนเพราะต้องจ่ายค่าผิดสัญญา แถมยังเสียเครดิตอีกด้วย

มือเรียวหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาสกายทันที

“ทำไมเบี้ยวงาน เธอไม่เคยทำตัวแบบนี้เลยนะ” ฉะใส่ทันทีเมื่อสกายรับสาย

“ผมมีธุระด่วน”

“แล้วทำไมไม่แจ้งฉันโดยตรง” เรื่องอะไรก็ไม่แย่เท่าการไม่บอกกล่าวมาทางต้นสังกัดเพื่อจะได้แก้ปัญหาให้ รู้สึกโมโหที่สกายทำแบบนี้  “ถ้าไม่มาเธอจะต้องรับผิดชอบเรื่องค่าผิดสัญญาฉันจะหักเงินเดือน 50% ไปจนกว่าจะครบ จะให้เป็นแบบนั้นเหรอ”

บอลลูนเบิกตาโตกับสิ่งที่ได้ยิน หักตั้งครึ่งของเงินเดือนแล้วสกายจะอยู่รอดได้อย่างไร

“ก็เอาตามนั้น ยังไงผมก็ไปไม่ได้”

เฮ้ออ อยากจะบ้า

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ พรุ่งนี้สิบโมงเข้ามาลองชุดด้วย มะรืนมีงานใหญ่เดี๋ยวจะให้พี่บอลลูนส่งรายละเอียดไปให้”

“ผมอาจจะ..”

“ไม่ได้! งานนี้สำคัญมาก ไม่ว่าจะยังไงเธอต้องมา ฉันไม่อยากหักเงินน้อยนิดของเธอหรืออะไรก็ตามที่จะทำให้เธอตกต่ำกว่าที่เป็นอยู่ ขอแค่รับผิดชอบงานและทำตามที่ฉันบอก เราจะได้ไม่ต้องขัดแย้งกันไปมากกว่านี้!” ใจคอไม่ดีที่สกายจะเทงานของป๋า อุตส่าห์ยกเลิกงานจ้างเดิมเพื่อให้มาเดินงานนี้ ตั้งใจจะให้เดินฟินาเล่แต่จะต้องมาหาคนเดินใหม่เพิ่มอีกคงอกแตกตายแน่

“งั้นคงไปสายหน่อย”

ร่างเล็กทรุดลงนั่งอย่างโล่งอกเมื่อได้ยิน

“อย่าให้สายมากก็แล้วกัน แค่นี้นะ” พูดจบก็วางสายทันที

ยังไม่ทันไรก็เจอเรื่องยุ่งๆ หวังว่างานจริงจะไม่มีอะไรต้องปวดหัวอีกนะ



รุ่งเช้าของอีกวัน คุณรุ่งฤดีติดตามลูกชายมาที่ห้องเสื้อด้วยเหตุผลที่ว่าจะรับหน้าไอ้ลูกเมียน้อยเอง เธอทั้งโทร ทั้งส่งข้อความไปกดดันอีกฝ่ายอย่างหนัก เรียกแบบหยาบหน่อยก็คือจิกเอาตาย

ซึ่งมันได้ผล ก่อนเวลานัด ดินแดนพารูปร่างสมส่วนพร้อมกับใบหน้าหล่อแบบแบ้ดบอยด้วยลักษณะการเดิน การพูด หรือแม้แต่การแต่งตัว เขาดูไม่ใช่ผู้ชายที่ห่วงหล่อแต่หล่อมาจากแอตติจูดข้างใน ถ้าไม่ใช้อคติตัดสิน ดินแดนคือความเพอร์เฟ็ค คือตัวพ่อ คือไร้ที่ติจริงๆ  เทียบกับสกายที่หล่อใสมีเสน่ห์ดึงดูด สองคนนี้หล่อแบบสูสีคนละสไตล์ ถ้ายืนหันหลังชนกันแล้วให้สาวๆ เลือกว่าจะมองหน้าใครก็คงคิดกันหนักน่าดูกว่าจะเลือกได้

“เพิ่งมาเหรอ นี่ขนาดเมจเซสไปบอกก่อนยังมาเกือบสาย”  คุณรุ่งฤดีเปิดวอร์ด้วยการตำหนิผู้ที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจว่าไม่ได้สายเพราะตอนนี้เพิ่งเก้าโมงสี่สิบส่วนเวลานัดคือสิบโมงซึ่งเขามาก่อนเวลาค่อนข้างเยอะ อันที่จริงมาเร็วที่สุดแล้วในบรรดานายแบบนางแบบที่นัดมาด้วยซ้ำ

“เช้ากว่านี้ก็ตักบาตรกันได้เลยล่ะครับ”  ร่างสูงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วไหวไหล่อย่างกวนๆ

พูดจบก็เดินดิ่งเข้าไปหาชนม์แดนที่นั่งอ่านแฟ้มอยู่ที่โต๊ะทำงาน  “ลองชุดที่ไหนพี่ดอท” คำเรียกที่ดูสนิทสนมสร้างความขุ่นใจให้คนที่นั่งอยู่

ร่างบางเงยหน้ามองอย่างเย็นชาแล้วเบือนสายตาไปยังห้องลองเสื้อที่อยู่ถัดไปเป็นสัญญาณให้รู้ว่าถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องมาพูดคุยกัน

ดินแดนมองตามสายตาไปแล้วเลิกคิ้วกวน ๆ ก่อนจะพยักหน้าหงึก ๆ เดินไปที่ห้องนั้น

ท่าทางกวนประสาทชะมัด!


“เห็นความไร้มารยาทของมันไหมลูก ต่ำเหมือนแม่มันนั่นแหละ นี่ถ้าลูกไม่บอกว่าหานายแบบไม่ได้จริงๆ แม่จะไม่ยอมให้มันมาอยู่ใกล้ลูกหรอกนะ” หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาบ่นกับลูกชายหลังจากดินแดนคล้อยหลังไป

“ดอทคงเลี่ยงๆ ที่จะไม่คุยไม่งั้นเส้นเลือดในสมองแตกแน่ เมื่อวานสกายก็เทงานไปสองงาน เฮ้อ มีแต่เรื่องปวดหัว”

“เออเด็กสกายนั่นก็อีกคน เห็นยายแจนบอกตลอดว่าโทรไปก็ไม่รับสาย จะพูดเรื่องพ่อที่เป็นอัมพาตก็ไม่ยอมรับรู้รับฟังอะไรเลยปล่อยให้แจนมันดูแลอยู่คนเดียว เฮ้อ เป็นลูกที่แย่จริงๆ”

ขนาดพ่อแท้ๆ ยังทำได้ขนาดนี้ สกายนี่เป็นคนยังไงกันแน่นะ

“ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว คุณแม่กลับไปพักเถอะครับ” 

“งั้นอย่าโหมงานหนักมากนะลูก พักผ่อนบ้าง ถ้ามีอะไรก็โทรหาแม่นะ” 

“ขอบคุณครับคุณแม่” เมื่อผู้เป็นแม่หายห่วงจึงลากลับตามที่ลูกชายบอก   

ชนม์แดนหันไปยังอีกห้องที่กั้นด้วยกระจกใส ร่างสูงกำลังพูดคุยกับลูกน้องของตนอย่างอารมณ์ดี รอยยิ้มของเขาสดใสจนรู้สึกหมั่นไส้เมื่อนึกเปรียบเทียบกับคืนนั้นที่เมาจนพูดอะไรชั่วๆ ออกมา

แต่ดูเหมือนจะจำไม่ได้จริงว่ามันพูดอะไรเอาไว้  คงเป็นอย่างที่เพื่อนของมันพูดนั่นแหละว่าเมาขนาดนั้นตื่นมามันคงจำอะไรไม่ได้ แต่จะให้ฝ่ายนื้ลืมจะเป็นไปได้ยังไงก็ในเมื่อภาพมันติดตาไปแล้ว



ดีไซเนอร์คนเก่งทำงานไปอีกพักใหญ่  หนุ่มลูกครึ่งหน้าหล่อก็เดินเข้ามา  เขามาหยุดยืนหน้าโต๊ะเพื่อบอกเป็นนัยว่ามาแล้ว  ร่างเล็กเงยขึ้นมองแล้วเริ่มประกาศสงครามทันที

“ถ้ามีเหตุผลที่ดีกว่าคำว่าธุระด่วนก็ควรพูดออกมา บางทีฉันอาจจะใจดีไม่หักเงินเธอก็ได้”

“ไม่จำเป็นครับ” ใบหน้าเย็นชาและความหมายของคำตอบทำให้คนที่กำลังคิดหาข้ออ้างดีๆ ที่จะไม่ใจร้ายต้องเปลี่ยนเป็นหัวร้อนขึ้นมาจนได้

“จองหอง!” ชนม์แดนเริ่มเหลืออด “จะลำพองไปถึงเมื่อไหร่ ยิ่งทำตัวแบบนี้ฉันก็ยิ่ง..” จะพูดว่าเกลียดก็ไม่เต็มปากเพราะคนที่ทำให้เกลียดจริงๆ เข้าไปลองเสื้อก่อนหน้านี้แล้ว

“คุณจะคิดกับผมยังไงมันก็สิทธิ์ของคุณ ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดกับคุณดีนักหรอกก็ถือว่าเจ๊ากัน” ใบหน้านิ่งหยิ่งดูร้ายลึกขึ้นเมื่อเขาจ้องเขม็งมาแบบนี้

“ก็ได้! ถ้าคิดจะประกาศสงคราม แล้วจะได้เห็นว่าฉันร้ายได้ขนาดไหน”

ร่างเล็กยืนขึ้นเท้าโต๊ะจ้องมองร่างสูงด้วยความขุ่นเคือง ปกติก็ไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว ยิ่งบกพร่องในหน้าที่ก็ยิ่งไปกันใหญ่ ฝ่ายหนึ่งต้องการได้ยินคำขอโทษและท่าทีที่อ่อนลงเมื่อทำผิดแต่กลับถูกโต้กลับด้วยความอวดดี  ส่วนอีกฝ่ายกลับรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกตำหนิและขู่หักเงินแทนที่จะไถ่ถามแสดงความห่วงใยบ้าง ในเมื่อเผยด้านร้ายมาก่อนก็อย่าหวังว่าจะเห็นด้านดีจากเขา

“ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าที่คุณร้ายอยู่ทุกวันนี้มันแค่สร้างภาพ เพราะความจริงคือร้ายกว่าที่เห็นซึ่งก็ไม่ได้เกินคาดตรงไหน” ร่างสูงทิ้งสายตามองเหยียดแล้วเดินไปที่ห้องลองชุด

ร่างเล็กกำหมัดแน่นอยากจะตามไปตบให้เลือดกบปากแต่ต้องยั้งตัวเองไว้ จะร้ายไปตามการยั่วโมโหของเด็กเมื่อวานซืนไม่ได้

ศึกนอกศึกในเต็มไปหมด แต่ต้องอดทนให้งานนี้ผ่านไปด้วยดี เงินที่ได้หักค่าใช้จ่ายแล้วน่าจะเหลืออย่างต่ำเกือบสองล้านซึ่งมันช่วยย่นเวลาการเป็นอิสระได้ค่อนข้างมาก

คอยดูนะ ถ้าปลดปล่อยตัวเองจากป๋าได้เมื่อไหร่จะไล่ไปให้หมดทุกคนเลย!



ชนม์แดนนั่งหลับตาข่มอารมณ์อยู่สักพัก หญิงวัยสี่สิบต้นๆ ก็เดินเข้ามาในออฟฟิศแล้วเอ่ยทักทาย

“สวัสดีค่ะคุณดอท”

“อ้าว สวัสดีครับน้าแจน มาหาสกายเหรอครับ” ร่างเล็กลุกขึ้นแล้วยกมือไหว้ เธอเป็นญาติห่างๆ ทางฝั่งแม่แถมยังเป็นแม่เลี้ยงของสกายด้วย

“ใช่ค่ะ อยู่หรือเปล่าถ้าไม่อยู่เดี๋ยวน้านั่งรอ”

“อยู่ครับเดี๋ยวดอทพาไปหา”



“ชุดนั้นกูเลือกก่อน กูลองก่อน”  เสียงของดินแดนดังแว่วเมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องลองเสื้อ

“แล้วมาบอกผมทำไม” สกายตอกกลับ

“คนมาทีหลังก็ต้องได้ของที่ไม่มีใครเอา” ดินแดนมองเหยียดส่วนสกายดูเหมือนไม่ค่อยพอใจ

“ขนาดของที่มีคนเอาอยู่ก่อนแล้วก็ยังถูกคนมาทีหลังเอาไปหน้าตาเฉย”  สกายพูดถูกในความคิดของชนม์แดนแต่ก็ไม่ยอมรับหรอกว่าเห็นด้วย 

ตอนนี้รู้สึกสมน้ำหน้าไอ้ลูกเมียน้อย สองคนนี้ไม่ลงรอยกันสินะ ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องรับศึกสองด้าน ให้ตีกันเองแบบนี้แหละสนุกดี

“สกาย น้าแจนมาหา”  ชนม์แดนสั่นระฆังหมดยกสำหรับคู่ชกดินแดนและสกาย

สกายปรายตามองเพียงครู่เดียวสีหน้าก็เปลี่ยนจากนิ่งเงียบเป็นเคร่งเครียดขึ้นทันที

“ผมเพิ่งโอนตังค์ให้เมื่ออาทิตย์ก่อน”  ร่างสูงใช้คำพูดห้วนๆ พร้อมกับสีหน้าติดจะรำคาญเมื่อผู้เป็นแม่เลี้ยงไปหยุดอยู่ใกล้ ๆ

พูดกับผู้ใหญ่แบบนี้เหรอ อย่างน้อยควรให้เกียรติบ้างเพราะน้าแจนก็ดูแลพ่อที่ป่วยเป็นอัมพาตให้ ทำตัวแบบนี้แย่เอามากๆ

“น้าก็ไม่ได้จะมาทวงเงินอะไรสักหน่อย  ก็แค่เป็นห่วงเห็นว่าเมื่อวานเบี้ยวงาน  ไม่สบายรึเปล่าลูก” เธอถามอย่างเป็นห่วงเป็นใยและพยายามจะจับแขนของสกายแต่ร่างสูงเบี่ยงตัวเอาเสื้อไปเก็บเสียอย่างนั้น

สงสัยคุณแม่เล่าให้น้าแจนฟังแน่ๆ เรื่องที่สกายเกเร เฮ้อ ไม่น่าบอกคุณแม่เลยแฮะ

“ผมอธิบายกับคุณดอทไปแล้ว  ถ้าไม่มีอะไรก็ขอตัวนะครับ”  พูดจบก็เดินเลาะด้านหลังดินแดนออกไปจากห้องทันที

“หยิ่งยโสโอหังไม่เคยเปลี่ยน”  ชนม์แดนมองตามแล้วส่ายหัว อดตำหนิไม่ได้กับกิริยาแบบนั้น

“อย่าว่าน้องเลยคุณดอท  น้องยังเด็ก  นี่ถ้ามีแม่อยู่อบรมก็คงไม่เป็นแบบนี้”  เรื่องนี้ก็น่าเห็นใจอยู่ไม่น้อย สกายเป็นลูกเมียหลวงที่เป็นคนต่างชาติก็เสียไปตั้งแต่เริ่มเข้าวัยรุ่น มาเทียบดูแล้วชนม์แดนคิดว่าตนเองยังโชคดีกว่าเด็กคนนี้อยู่มากนัก

แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เด็กนิสัยเสียนั่นก็ไม่ควรทำตัวกระด้างกระเดื่องกับทุกคนแบบนี้ บางทีอาจจะได้นิสัยเสียๆ มาจากแม่

“ยังจะพูดดีกับเขาอีกน้าแจน  ที่เมียหลวงแหม่มตาน้ำข้าวมันไม่ยอมให้สามีไปหาแล้วยังใส่ร้ายสารพัดยังไม่ช้ำใจพอใช่ไหมเนี่ย”  ชนม์แดนเหนื่อยหน่ายกับความจองหองของสกาย การคิดไปในแง่ลบมันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เพราะตัวตนของสกายแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเป็นพวกไร้การอบรม

“เรามาทีหลังนี่คะ เป็นเมียน้อยแบบไม่ตั้งใจด้วยซ้ำ แต่ก็ช่างมันเถอะค่ะ เขาก็เสียไปแล้วส่วนคุณพจน์ก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็อโหสิกรรมกันไปค่ะ  ส่วนน้องสกายเขาคงเหนื่อยและรำคาญที่ต้องส่งเงินให้น้านั่นแหละ  นี่ถ้าไม่ต้องดูแลคุณพจน์ น้าก็คงจะออกไปทำงานหาเงินเอง ไม่ต้องรบกวนน้องสกายหรอกค่ะ”

“ก็พ่อเขานี่ครับ แค่ไม่ต้องดูแลเองก็ต้องขอบคุณน้าแจนด้วยซ้ำ ถ้ายังไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายก็เกินไปแล้วล่ะ  น้าแจนก็อย่าโอ๋ให้มากเลยครับ ยิ่งทำดีด้วยก็ยิ่งผยองอย่างที่เห็นเนี่ยแหละ” ร่างเล็กให้ความเห็น

“ไม่ได้หรอกค่ะ ยังไงก็ลูกของคนที่น้ารัก ยิ่งต้องอาศัยเงินของน้องมาจุนเจือครอบครัวก็ยิ่งต้องดีด้วยอีกหลายเท่า”

“นี่ถ้าเมียน้อยคนอื่นเป็นเหมือนน้าแจนหมด คุณแม่ก็คงไม่ทุกข์ใจขนาดนี้หรอก”  ชนม์แดนจงใจเหลือบมองดินแดนเพราะเห็นว่ายืนเสียมารยาทฟังคนอื่นคุยกัน 

“มันก็ต้องดูว่า  เมียหลวงเป็นยังไงด้วยนะครับ  ถ้าเมียหลวงมีเมตตาและมีวิจารณญาณสามารถแยกดำแยกขาวแยกดีแยกชั่วได้ก็น่าจะมองเห็นว่ายังมีเมียน้อยที่นิสัยดีอยู่  บางทีอาจดีกว่าเมียหลวงก็ได้นะ”  ดินแดนโต้กลับแล้วยิ้มปลอมๆ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องทิ้งให้ร่างเล็กมองตามด้วยความร้อนรุ่มที่บังอาจมาด่ากระทบไปถึงแม่ตน

ไอ้ลูกเมียน้อย ไอ้นิสัยเสีย ไอ้ปากเลว!


.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.


ขอโทษที่อัพล่าช้าเพราะติดงานสำคัญค่ะ เดี๋ยวชดเชยให้ตอนหน้ามาเร็วๆ ละกันเนาะ
ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ  :mew1:
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 4 : ดินแดน 《20/05/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 20-05-2018 13:00:25
โอ้ยยย พี่ดินของน้องงงงงปากพี่ยังแรงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนจริงๆ อ่านตอนนี้แล้วแทบอยากจะกลับไปอ่านคู่จิ้นฯควบคู่กันไปเลยจริงๆ ตอนนี้พี่ดินยังไม่หลงสกายสินะคะ ว่าแต่เพื่อนพี่ดินนี่ใครหว่าทำไมเรานึกไม่ออกแต่เห็นแววว่าจะมาเป็นหนึ่งในพระเอกของพี่ดอทนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 5 : ภาวะบีบคั้น 《3/06/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 03-06-2018 20:10:13
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.
ต อ น ที่ 5 :  ภ า ว ะ บี บ คั้ น



แล้ววันจัดงานก็มาถึง ชนม์แดนไปถึงสถานที่จัดงานตั้งแต่เช้าตรู่ ตรวจดูองค์ประกอบทุกอย่างจนได้มาตรฐานในระดับที่น่าพอใจแล้วก็ถึงเวลาซ้อมรันธรูพอดี  การซ้อมไม่มีอะไรยุ่งยาก ทุกคนเป็นมืออาชีพกันอยู่แล้ว จะมีก็แค่ดินแดนที่ต้องซักซ้อมความเข้าใจกันอยู่สักพักก่อนขึ้นซ้อมซึ่งแน่นอนว่าคนที่ให้ข้อมูลกับดินแดนไม่ใช่ชนม์แดนอย่างแน่นอน

“น้องดินเด่นมากเลยนะคะคุณดอท นี่ขนาดใส่ชุดธรรมดา” บอลลูนกล่าวชมชายหนุ่มในชุดลำลองที่กำลังเดินซ้อมบนแคทวอล์คโดยไม่รู้เลยว่าคนๆ นั้นเป็นน้องชายต่างมารดาของนายจ้างตน

ชนม์แดนทำแค่เพียงมองนิ่งไปบนเวทีด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก จากนั้นเหลือบมองคนพูดเหมือนจะเตือนว่าอย่าพูดถึงผู้ชายคนนี้ให้ได้ยินอีกแล้วก็เดินแยกไป

“อ้าว พูดถึงน้องสกายก็เคือง นี่พูดถึงน้องดินก็ไม่ได้เหรอ โธ่คุณดอท ใจคอจะเหม็นหนุ่มหล่อๆ ทั้งประเทศเลยหรือไงเนี่ย” เลขาร่างอวบบ่นตามหลังร่างบางที่เดินแยกไปดูการซ้อมในอีกมุม

ก็ไม่เถียงหรอกว่าหล่อมาก แต่ความเกลียดชังทำให้ไม่อยากมองให้เสียสายตาด้วยซ้ำ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะงานคงไม่ต้องชักศึกเข้าบ้านแบบนี้หรอก



เมื่อมาถึงช่วงเวลาการจัดงาน แขกเหรื่อเริ่มมาลงทะเบียน เจ้าสัวแดนสรวงและภรรยาเดินเข้างานพร้อมกันประหนึ่งว่ายังปรองดองรักใคร่กันเป็นอย่างดี  ภาพที่ชนม์แดนเห็นผู้เป็นพ่อหยิบแก้วเครื่องดื่มให้ภรรยาทำให้ต้องเบือนหน้าหนีอย่างเหนื่อยหน่าย

การแสดงทั้งนั้น..

แต่โชคยังดีที่วันนี้งานดำเนินเรื่อยไปอย่างราบรื่น แขกระดับVVIPมาร่วมงานมากมายและแข่งกันโชว์เพชรโชว์นาฬิกาเป็นว่าเล่น  ชนม์แดนคอยเดินเช็คและคอนโทรลงานด้วยความละเอียดรอบคอบให้มากที่สุดเพื่อป้องกันปัญหา


“เดี๋ยวรอบฟินาเล่เปลี่ยนให้สกายเดินคู่กับเจ้าดินมันนะ” เจ้าสัวตามตัวลูกชายคนโตให้เข้าไปรับคำสั่ง

“แต่..”

“นาฬิกามันเป็นแบบผู้ชายทั้งคู่น่ะ ถ้าผู้หญิงใส่ก็ได้แต่ถ้าเป็นผู้ชายใส่จะดูเท่กว่า เอาตามนี้ก็แล้วกัน”

“ป๋าก็รู้ว่าดอทแคร์เรื่องที่ป๋ารักมันมากกว่า แต่ป๋าก็ไม่เคยระวังที่จะไม่ทำร้ายดอท ไม่เคยเลย” ดวงตาเรียวรีร้อนผ่าว จ้องมองผู้เป็นพ่อด้วยความน้อยใจ

“อย่าให้อคติมันบังตามากนักตาดอท ฉันแค่อยากให้งานออกมาดีที่สุด พวกดีลเลอร์เขาก็แนะนำมาแบบนี้ทั้งนั้น”

“ถ้าเป็นมัน ยังไงก็ดีที่สุดในสายตาป๋าอยู่แล้ว” พูดจบแล้วเดินหนีไปทิ้งให้คนเป็นพ่อถอนหายใจอย่างระอา

ชนม์แดนสั่งการเลขาร่างอวบให้ไปแจ้งความต้องการของลูกค้าให้นายแบบได้รับทราบ รวมถึงนางแบบที่ถูกถอดจากรอบฟินาเล่ก็ทำท่าทางไม่ค่อยสู้ดีแต่เมื่อถูกเสนอค่าตัวเพิ่มขึ้นจึงไม่ได้มีปัญหาอะไร

“อย่าให้มันกระทบงานนะ ไม่งั้นเจอดีแน่ไอ้ลูกเมียน้อย” ร่างบางบ่นกับตัวเองเมื่อมองขึ้นไปบนเวทีแล้วเห็นดินแดนแกล้งขัดขาสกายตรงเชิงบันได 

และไม่ใช่แค่จุดนี้เพราะตั้งแต่รอบซ้อมจนมาถึงรอบเดินจริง คนที่เจ้าตัวเกลียดนักเกลียดหนาก็ทำตัวให้กังวลอยู่เรื่อยๆ ทั้งเรื่องแกล้งสกาย แกล้งทำเสื้อสูทสีดำของสกายเลอะเทอะ ถึงจะจับไม่ได้คาหนังคาเขาแต่ชนม์แดนมั่นใจว่าเขาเป็นตัวการแน่ๆ แต่เพราะไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่และบอลลูนก็แก้ปัญหาได้จึงปล่อยเลยตามเลย


การเดินแบบดำเนินไปเรื่อยๆ จนถึงรอบฟินาเล่  นายแบบสุดหล่อรูปร่างสมส่วนสองคนต่างสไตล์เดินออกมาในชุดเปลือยท่อนบน ส่วนท่อนล่างสวมเพียงชั้นในซึ่งถูกปกปิดไว้อย่างหมิ่นเหม่ด้วยนาฬิกาข้อมือขนาดใหญ่หลายเรือนนำมาร้อยกับสายคาดเอวหนังสีน้ำตาลรอบเอว   

สกายและดินแดนขึ้นบันไดคนละฝั่งและมาหยุดโพสตรงกลางฉากหลัง  เสียงปรบมือดังเกรียวกราวเมื่อเห็นคอสตูมและกล้ามแน่น ๆ ของทั้งคู่  การเดินแบบรอบฟินาเล่ดูเหมือนจะผ่านไปด้วยดีแต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็อุบัติขึ้น  เมื่อสายคาดเอวของสกายที่อาจจะมัดไว้ไม่แน่นพอรวมกับน้ำหนักของนาฬิกาหลายเรือนจึงทำให้ต้านทานแรงดึงดูดไม่ไหวจึงหลุดร่วงจากเอวลงมากองกับพื้นเผยให้เห็นชั้นในแนบเนื้อสีดำที่รัดรึงส่วนนูนเด่นแบบจะตา

สกายแสดงความตกใจอยู่เพียงชั่วพริบตาแต่ด้วยสปิริตที่น่าชื่นชม ร่างหนาก็เดินต่อไปจนสุดทางแล้วยืนโพสหล่อโดยไม่ได้สนใจเสียงฮือฮาหวีดหวิวรอบด้านแต่อย่างใด

“กรี๊ดดดดด วู้ววว” เสียงกรี๊ดดังขึ้นอีกระรอกเมื่อดินแดนตัดสินใจกระชากสายคาดเอวออกอีกคนแล้วเดินไปยืนโพสคู่กัน กลายเป็นว่าบนเวทีตอนนี้มีสองนายแบบที่สวมเพียงชั้นในตัวเดียวและโพสท่าอวดนาฬิกาเรือนหรูซึ่งกลับกลายเป็นความผิดพลาดที่ได้แต้มเพราะเสียงชัตเตอร์ดังระรัวไปรอบทิศ

และที่น่ามองไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าตอนนี้สองนายแบบจะสนุกที่ได้ข่มกันด้วยท่าโพสสุดสยิวด้วยการดึงขอบกางเกงในลงคนละด้านและโพสท่าจบในแบบนั้นเรียกเสียงฮือฮากรี๊ดกร๊าดไปทั่วงาน



“เฮ้ออออ นึกว่าจะแย่แล้ว” ร่างเล็กทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างโล่งอกเมื่องานในคืนนี้จบลงไปด้วยดีและตอนนี้ทั้งเจ้าภาพและแขกเหรื่อเริ่มทยอยกลับกันแล้ว

“เหนื่อยแย่เลยคุณดอท” บอลลูนกรีดกรายเข้ามานวดไหล่บางเบาๆ

“ขอบคุณมากสำหรับวันนี้นะครับ ยังไงช่วยเก็บงานที่เหลือให้หน่อยเดี๋ยวดอทค่อยลงมาเช็คอีกที”

“ไม่มีปัญหาค่ะ คุณดอทขึ้นไปพักได้เลย” มือขวายิ้มให้แล้วดันร่างบางให้ลุกขึ้นเพื่อกลับไปพักผ่อนยังห้องพักส่วนตัวที่ผู้เป็นพ่อเปิดห้องสวีทไว้ให้อีกครั้ง

แต่เมื่อหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกมาจากงานกลับพบว่าตอนนี้นักข่าวกลุ่มใหญ่กำลังสัมภาษณ์สองนายแบบอยู่ด้านนอก  ร่างบางรีบเข้าไปขอตัวทั้งคู่ออกจากกลุ่มนักข่าวด้วยอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก

“อยู่ดีดีทำไมให้สัมภาษณ์  รู้ไหมว่ามันเสียหายกับโมฯ ของฉันแค่ไหน”  ชนม์แดนเอาเรื่องทันทีเมื่อพาสองนายแบบเข้ามาในห้องพักส่วนตัว  “ทุกทีฉันให้เธอสัมภาษณ์หนังสือ สัมภาษณ์พิเศษ ทำไมถึงไม่รับ  รู้ไหมว่าเขาสู้ราคาเท่ากับเดินแฟชั่นวีคเลยนะ”

การออกสื่อเป็นสิ่งที่ชนม์แดนบังคับสกายทั้งทางตรงและทางอ้อมแต่ไม่เคยสำเร็จ สิ่งที่สำคัญมากกว่าเม็ดเงินที่จะได้รับคือชื่อเสียงของสกายที่จะก้าวกระโดดจากนายแบบอันดับต้นๆ ต่อยอดไปในงานอื่นได้อีกมากมายซึ่งที่ผ่านมาเจ้าตัวก็ดื้อหัวชนฝาแต่กลับมาให้สัมภาษณ์เรื่อยเปื่อยแบบนี้มันไม่ถูกที่ถูกเวลา

สกายเพียงนั่งฟังด้วยใบหน้านิ่งสนิทเหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น 

“แค่นี้ใช่ไหมงั้นผมกลับละนะ  ผมรีบ”  ว่าแล้วก็ลุกเดินออกไปทันที

“ฉันถามก็ตอบก่อนสิสกาย! อย่าหยิ่งให้มันมากนัก อย่าคิดว่าฉันไม่กล้าพักงานเธอนะ”  มือเรียวตบโต๊ะอย่างฉุนเฉียว ส่วนสกายหันขวับมาพร้อมแววตาลุกโชนอย่างเหลืออด

ร่างสูงเดินเข้าหาแล้วเท้ามือสองข้างลงกับโต๊ะ ลักษณะยืนค้ำหัวประจันหน้าอย่างท้าทาย 

“คุณดอทไม่พักงานผมหรอกเพราะคุณจะขาดรายได้วันละหลายหมื่น แต่ผมไม่สะเทือนหรอกนะ ถึงเราจะแบ่งครึ่งรายได้กัน แต่อีกครึ่งที่ผมได้ เมียน้อยของพ่อก็มายึดไปหมด  ที่ผมได้ใช้ทุกวันนี้ก็แค่เศษเงินเดือนตามที่สัญญาระบุก็แค่นั้น  และคุณก็ควรขอบคุณที่ผมลืมโทรศัพท์ถึงได้กลับมาช่วยไม่ให้นักข่าวขุดคุ้ยถึงความสัมพันธ์ของน้องชายต่างแม่ที่คุณปิดนักปิดหนาไม่ให้หลุดออกไปในวงสังคม  อ้อ!!!..” เหมือนนึกอะไรขึ้นได้อีกประเด็นจึงหันไปมองจ้องดินแดนด้วยสายตาขุ่นๆ “ลูกเมียน้อยหรือลูกเมียหลวงก็คนเหมือนกันนั่นแหละ  ดีได้เลวได้พอ ๆ กัน  อย่าตัดสินแค่เพียงฉาบฉวยเพราะมันแสดงให้เห็นความไม่ฉลาดชัดเจนเกินไป!”   

เมื่อพูดจบก็เดินออกไปจากห้องทันที ทิ้งให้ร่างเล็กยืนเรียบเรียงความหมาย ส่วนอีกคนที่โดนหางเลขไปด้วยก็ทำหน้างุนงงเหมือนยังมึนกับลูกหลงอยู่

“ไม่ต้องห่วงนะ ผมยังไม่ได้บอกนักข่าวหรอกว่าเรามีสายเลือดเดียวกัน  อย่าว่าแต่พี่ไม่อยากเป็นพี่เลย ผมเองก็ไม่อยากเป็นน้องพี่เหมือนกัน อ้อ! แล้วก็อย่าลืมขอบคุณสกายด้วยนะที่มันช่วยปิดความลับสำคัญให้ แค่คำว่า ‘ขอบคุณ’ คงพูดเป็นมั้ง  มารยาทที่ดีน่ะทำไม่ยากหรอก หัด ๆ ไว้บ้าง” พูดจบก็รีบออกไปทันที

“อ..ไอ้ชั่ว!!” ชนม์แดนด่าตามหลังแต่ไม่ทันการณ์เพราะประตูได้ปิดลงแล้ว “แล้วใครจะรู้ว่าที่ไปให้สัมฯ เพราะจะช่วยปิดเรื่องดินแดน แต่ไม่ว่ายังไงพวกแกมีสิทธิ์อะไรมาว่าใส่หน้าแล้วหนีไปแบบนี้นะ! ฮึ้ยยยย เกลียดดดดด!!”



ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ..

เหมือนเป็นกรรมเก่าเพราะสินค้าต่างๆ พากันติดต่อเข้ามาเพื่อขอตัวสกายและดินแดนไปร่วมงาน  ผลจากงานเดินแบบวันนั้นทำให้ข่าวคู่จิ้นของคู่นี้ดังไปทั่วประเทศ ความจริงสกายมีชื่อเสียงอยู่แล้วและข่าวของดินแดนที่ถูกสงสัยว่าเป็นลูกนอกสมรสของเจ้าสัวก็ทำให้สื่อพากันรุมจ้อง จึงไม่แปลกที่ทั้งคู่จะถูกจับจ้องและจับจิ้นไปพร้อมกัน


“ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับไอ้บ้านั่น ให้ตายสิเกลียดมันๆๆๆ” ชนม์แดนปรึกษากับตัวเองอย่างหนักเมื่อต้องชั่งใจว่าจะโทรหาดินแดนดีหรือไม่ ซึ่งมันจะไม่ยากเลยถ้ามีแค่ตัวเงินเพียงอย่างเดียวเข้ามาเกี่ยวข้อง

“แต่ถ้าไม่กันสกายออกไป เฮียคงกดดันไม่เลิกแน่”  นึกถึงข้อเสนอของเผ่าพงศ์ที่จะจ้างสกายไปถ่ายแบบเครื่องเพชรคอลเล็กชั่นใหม่ที่ต่างประเทศ การเอางานมาอ้างทำให้ชนม์แดนปฏิเสธลำบากแต่จะให้ตามไปเฝ้าก็ตึงมือเกินไปจึงได้แต่ขอผลัดผ่อนการให้คำตอบไปก่อนซึ่งคงเลื่อนไปได้อีกไม่นาน

นาทีนี้ต้องเลือกระหว่างความสบายใจและสกายเด็กนิสัยเสียซึ่งอย่างหลังไม่ได้น่าเลือกเลยถ้าเทียบกับความหยิ่งผยองที่เจ้าตัวแสดงออกมา แต่ในที่สุดเหตุผลที่สำคัญกว่าก็ชนะ

“ครับ” เสียงรับโทรศัพท์แบบเดิมแล้วเงียบไปเหมือนครั้งก่อนไม่ผิดเพี้ยน ชนม์แดนพยายามเก็บกลั้นความรู้สึกแย่ๆ แค่ได้ยินเสียงเพียงพยางค์เดียวจากปลายสายก็ทำให้เลือดในกายเริ่มเดือดขึ้นทุกที

“พรุ่งนี้ว่างไหม จะให้เข้ามาดูสัญญาของสินค้าเครื่องหนังแบรนด์ดังจากฝรั่งเศส เขาอยากได้สกายกับ..เธอเป็นงานคู่ ถ้าคนใดคนหนึ่งไม่โอเคเขาก็ไม่จ้าง”  หลับหูหลับตาพูดไปให้จบๆ

“ที่ให้สัมฯ ไปว่าจะรับงานคู่แค่สกาย อันนั้นผมแค่พูดเล่นๆ เองนะ ไม่ได้จะรับจริง พี่ปฏิเสธไปเลย” ดินแดนเล่นตัว

“ไม่ได้นะ!” ชนม์แดนโพล่งออกไป ใจคอไม่ดีที่จะต้องปล่อยให้สกายไปไกลแบบนั้นเพราะเผ่าพงศ์ไม่น่าไว้ใจเลย “ถ..“ถือว่าฉันขอร้องก็แล้วกัน” 

นึกโกรธตัวเองที่ต้องลดตัวลงไปขอร้องคนที่เกลียดแต่ถ้าไม่ทำ สกายคงไม่รอดแน่แถมจิตใจของตนก็คงจะแย่ตามไปด้วย ทั้งรู้สึกผิดและรู้สึกหึงหวง มันปะปนกันไปหมดไม่สามารถจะทนเห็นเนื้อไปเข้าปากเสือแบบนั้นได้

“ผมหูฝาดไปหรือเปล่าน้า” ปลายสายส่งสำเนียงกวนประสาทซึ่งร่างบางรู้เต็มอกแต่ก็ต้องทนเก็บกลั้นอารมณ์ไว้

“งานนี้เขาให้หกหลักทั้งสองคนแล้วก็มีงานต่อเนื่องหลายอย่างซึ่งเขายอมสู้ค่าตัวสองเท่าของเรทมาตรฐานนายแบบเบอร์ต้นๆ อย่างสกาย ฉันว่าเธอไม่ควรปฏิเสธ”

“ขนาดผมยังได้ตั้งเยอะ แล้วพี่ล่ะได้เท่าไหร่”

“ก็ไม่น้อย” ชนม์แดนตอบสั้นๆ ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงมาก อยากคิดอะไรก็ให้คิดไป

“นั่นสินะ ไม่งั้นคงไม่ลงทุนง้อผมหรอก” ดินแดนพูดไปตามที่คิด “งั้นตกลง เห็นแก่พี่ชายคนเดียวที่โทรมาขอร้องนะเนี่ย”

ร่างเล็กกำโทรศัพท์ไว้แน่น อยากด่าแรงๆ แต่คิดได้แค่คำว่า ไอ้ลูกเมียน้อย!!

“พรุ่งนี้ประมาณสี่โมงเย็นมาที่ช็อปก็แล้วกัน”

“ได้ขอรับนายท่าน” ทั้งคำพูดทั้งน้ำเสียงมันยั่วยุโทสะดีๆ นี่เอง “อ้อ นี่เห็นว่าเป็นงานคู่สกายนะ ไม่งั้นผมก็ไม่ทำ”

“มันเรื่องของเธอ” พูดจบก็วางสายทันที ความรู้สึกโกรธเกลียดยิ่งเพิ่มทวีเมื่อถูกกวนใส่ไม่เลิก


นานทีเดียวที่ชนม์แดนพยายามปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ มือน้อยกดโทรออกอีกครั้งเพื่อแจ้งข่าวกับสกาย

“พรุ่งนี้เลิกเรียนแล้วเข้าออฟฟิตมาเซ็นสัญญาด้วย”

“ครับ”  แล้วเด็กไร้มารยาทก็วางสายไป

“เฮ้ออออ เจอแต่คนกวนโมโห อ้ากกกกกก เบื่อๆๆๆ” เป็นความฝืนใจอย่างที่สุดในการทำงานกับคนที่ไม่ชอบหน้า ร่างบางเฝ้ารอวันที่จะได้เป็นอิสระจากอะไรก็แล้วแต่ที่คอยกดทับอยู่

สัญญาของสกายเหลืออีกแค่เจ็ดเดือน คงจะดีถ้ามันลดลงเร็วๆ และพร้อมกันนี้ก็อยากให้เงินครบห้าสิบล้านไปด้วย พอจบสองเรื่องนี้ชีวิตก็จะไปต่อในแบบที่อยากให้เป็นเสียที



สกายมาถึงตอนบ่ายสามโมง ร่างสูงเพิ่งเลิกเรียนจึงเข้ามาในชุดนักศึกษา เขาแต่งตัวเรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็หล่อแบบไม่มีที่ติ ทั้งๆ ที่หน้าสดไร้เครื่องสำอางแต่ก็ไม่ได้สั่นคลอนเสน่ห์ของเขาได้เลย  สกายนั่งฟังข้อเสนอในสัญญานิ่งๆ เหมือนที่ผ่านมาแต่เมื่อได้ยินข้อแม้สุดท้ายหัวคิ้วก็ขมวดขึ้น

“งานนี้ลูกค้าต้องการเธอกับดินแดนเป็นคู่เท่านั้น และไม่ต้องปฏิเสธเพราะเธอไม่มีสิทธิ์ ส่วนดินแดนก็ตกลงจะเข้ามาดูสัญญาวันนี้ ถ้ามีอะไรข้องใจก็รอเคลียร์กับทางนั้นเอาเอง”  ชนม์แดนมัดมือชกจนถูกอีกฝ่ายจ้องราวกับเป็นศัตรู

ร่างสูงหยิบสัญญาไปอ่านโดยละเอียด ดูเหมือนตั้งแต่รู้ตัวว่าเคยเซ็นสัญญาแบบเสียเปรียบก็จะรอบคอบขึ้น เขาจรดปากกาลงบนสัญญาในเวลาต่อมาแล้วลุกขึ้นเต็มความสูง

“หวังว่าเงินจะทำให้คุณมีความสุขในชีวิตขึ้นบ้างนะ” สกายเดินออกจากห้องไปทิ้งให้อีกคนจมอยู่กับความคิด

มันไม่เคยทำให้ฉันมีความสุข กลับกัน มันเป็นความทุกข์สุดแสนสาหัสเลยก็ว่าได้


ผ่านไปพักใหญ่ดินแดนก็เดินเข้ามา เขายืนมองอีกฝ่ายที่กำลังสร้างแบบเสื้อผ้าบนกระดาษแผ่นบาง ร่างเล็กขึ้นไปนั่งเอียงๆ บนโต๊ะขนาดใหญ่และก้มลงบรรจงลากเส้นไปตามแบบด้วยความตั้งใจ ถ้าตัดอคติออกไปก็คงต้องบอกว่าน่ามองไม่น้อย

ร่างสูงไล่สายตามองตั้งแต่ปลายนิ้วที่บรรจงขีดเขียน เรียวแขนที่ถูกปกปิดด้วยเสื้อสูทลำลองเข้ารูป แววตาดูมุ่งมั่นเจือความสุขอยู่ในทีอาจจะเป็นเพราะกำลังทำในสิ่งที่รัก ดวงหน้าขาวที่ดูนิ่งสงบไม่เกรี้ยวกราดและเย่อหยิ่งเหมือนที่เคย ช่วงอกช่วงเอวที่ไม่เหมือนชายหนุ่ม สะโพกที่ผายออกลงมาถึงเรียวขาเล็กๆ สั้นๆ พอเหมาะพอดีกับรูปร่าง ทั้งหมดนั้นดึงดูดให้เผลอมองอยู่นาน

“อ้าวน้องดิน” เสียงทักทายจากบอลลูนทำให้ร่างเพรียวหันไปมองและสบเข้ากับสายตาแปลกๆ ที่ร่างสูงเปลี่ยนเป็นปกติเมื่อได้สติ “มาทำไมเหรอคะ อย่าบอกว่ามาเซ็นสัญญาเข้าโมฯ ตามคู่จิ้นนะ ถ้าเป็นแบบนั้นพี่จะกรี๊ดตรงนี้เลย”

“ถูกครึ่งเดียว” ดินแดนตอบพร้อมกับรอยยิ้มเท่ๆ ตามสไตล์

“เอ้ ถูกครึ่งแรกหรือครึ่งหลังน้า” สาวประเภทสองเอ่ยถามพลางนำตัวอย่างผ้าหลายเล่มไปวางบนโต๊ะทำงานของชนมด์แดนที่ตั้งอยู่อีกด้านของห้อง  ส่วนร่างเล็กก็ลงจากโต๊ะใหญ่แล้วเดินตามไปนั่งประจำที่

“ครึ่งแรกสิครับ แหม่”

“ยังไงก็รอกรี๊ดอยู่นะคะ อิๆ” บอลลูนขยิบตาให้แล้วเดินออกจากห้องไป  จากนั้นร่างสูงก็เดินมานั่งตรงข้ามกับคนหน้าบึ้ง

เมื่อกี้ยังดูดีอยู่เลย พอแบบนี้ก็กลับมาเป็นนางมารซะอีกแล้ว

“อ่านสัญญา ถ้าโอเคก็เซ็น” มือเรียวดันแฟ้มสัญญาที่มีลายเซ็นของสกายไปให้ จากนั้นก็หยิบตัวอย่างผ้าเปิดดูโดยไม่สนใจจะอธิบายอะไรเพิ่มเติม

ดินแดนถอนหายใจเบาๆ ระอาในความชนม์แดนของพี่ชายแล้วหยิบแฟ้มมาเปิดอ่าน  ข้อสัญญาละเอียดชัดเจนมากนึกชื่นชมอีกฝ่ายว่าทำงานได้รอบคอบเป็นมืออาชีพ แต่ที่เคยได้ยินว่าทำสัญญาเอาเปรียบสกาย นั่นคงตั้งใจที่จะทำแบบนั้นไม่ใช่เพราะความผิดพลาดแน่ๆ

“เรียบร้อย” ดินแดนเซ็นชื่อลงไปและดันแฟ้มคืน ร่างเล็กตรวจดูอีกครั้งแล้วเซ็นชื่อลงไปในคู่สัญญาทั้งสามชุดจากนั้นก็ยื่นไปให้ดินแดนหนึ่งชุดเป็นอันว่าเสร็จเรียบร้อย

“งานแรกพรุ่งนี้หกโมงเย็น มันด่วนหน่อยเพราะที่จริงเขาแพลนงานไว้แล้วแต่นายแบบคนเดิมยกเลิกสัญญาไปแต่เขาให้เราเลือกได้ว่าจะเลื่อนออกไปหรือเปล่าซึ่งตารางงานของสกายว่างก็เลยตอบตกลง  เดี๋ยวจะส่งรายละเอียดไปให้ในไลน์ มีอะไรไลน์มาถามไม่ต้องโทร” พูดจบก็ลุกไปที่โต๊ะใหญ่แล้วสร้างแบบต่อโดยไม่สนใจร่างสูงที่นั่งเด๋ออยู่ที่เดิม

สกายว่างแต่กูว่างหรือเปล่า มึงช่วยปรึกษากูหน่อยเว้ย!

“เฮ้อ” เมื่อไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อะไรเพราะตอนนี้ร่างบางเข้าทรงอยู่กับงานตรงหน้าไปเรียบร้อยแล้ว ดินแดนลุกออกจากเก้าอี้แล้วล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางสบายๆ ขณะที่เดินผ่านก็พูดขึ้นลอยๆ “ทิฐิแรงอย่างพี่ ผมงงมากนะว่าเหตุผลอะไรที่ยอมลดตัวลงมาคอนแท็กกับผม เงินนี่มันมีอำนาจละลายทุกอย่างได้จริงๆ สินะ”

อยากคิดอะไรก็คิดกันไปเถอะ เอาที่สบายใจกันเลย



งานแรกของดินแดนและสกายผ่านไปได้ด้วยดี ชนม์แดนได้ฟังคำชมจากลูกค้าแล้วรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหลายเปราะ ที่จริงหนักใจเรื่องที่ทั้งคู่ไม่ค่อยลงรอยกันแล้วจะทำให้งานเสีย ไม่ว่าจะขุ่นเคืองในเรื่องส่วนตัวกับทั้งคู่แต่เกี่ยวกับงานแล้วคนจริงจังอย่างชนม์แดนไม่คิดจะให้มันผิดพลาดแม้แต่อย่างเดียว

“เสาร์นี้มาค้างบ้านเฮียไหม หรือถ้าไม่อยากไปบ้านก็ไปเซฟเฮาส์เฮียก็ได้” เผ่าพงศ์ชักชวนผ่านทางโทรศัพท์เพราะไม่ได้เจอกันหลายวัน ขนาดงานใหญ่ของเจ้าสัวก็ยังไม่ได้ไปเพราะติดงาน

“เฮียก็รู้ว่าดอทไม่ชอบเซฟเฮาส์เฮีย ไปครั้งแรกแล้วก็ไม่อยากไปอีก”

“งั้นก็ที่อื่น ที่ไหนก็ได้ที่ดอทอยากไป”

“เอาไว้..” คนใจแข็งกำลังจะปฏิเสธแต่ถูกขัดขึ้นจากปลายสาย

“ถ้าดอทไม่มาคุม เฮียไม่รับรองความปลอดภัยของเด็กในสังกัดดอทนะ วันเสาร์นี้สกายมีเดินแบบของเพชรไทย อย่าลืมล่ะ”

หลังจากที่ชนม์แดนมีข้ออ้างในการปฏิเสธงานต่างประเทศที่เผ่าพงศ์เคยทาบทามสกายแต่ก็ยังมีงานในประเทศที่เคยคุยกันไว้นานแล้วซึ่งยังไม่ได้บอกสกายเพราะช่วงหลังดูเหมือนเขาจะค่อนข้างแอนตี้เผ่าพงศ์มากขึ้นทุกที

“ไม่ต้องมาขู่เลย เฮียอย่าเล่นนอกรอบนะไม่งั้นดอทจะโกรธเฮียจริงๆ ด้วย”

“ก็อยากให้ดอทมานอนกับเฮีย” เสียงหงอยๆ ของอีกฝ่ายทำให้คนดื้อเริ่มใจอ่อน

“ก็ได้ครับ ยังไงค่อยนัดกันนะ”


หลังจากวางสายแล้วจึงโทรหาสกายเพื่อให้เข้ามารับบรีฟและเซ็นสัญญา ความรู้สึกที่แท้จริงนั้นไม่อยากส่งงานของเพชรไทยให้สกายเลยเพราะขี้เกียจถูกมองด้วยสายตาที่..

“เพชรไทย?” นี่ไงสายตาที่ไม่อยากเห็น แค่ได้ยินคำว่าเพชรไทยใบหน้าที่นิ่งอยู่แล้วก็เขม็งเกรียวขึ้นทุกที

“อืม วันเสาร์นี้ เดินแบบ” มือเรียวดันสัญญาว่าจ้างไปให้ ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรืองานใหญ่ ชนม์แดนจะจับเด็กในสังกัดเซ็นสัญญาว่าจ้างทุกงานเพื่อป้องกันการผิดพลาด

ร่างสูงนิ่งมองคู่สัญญากับใบหน้าสวยสลับกันเหมือนเป็นการประท้วงแต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแค่นั่งมองเฉยๆ ไม่ได้มีปฏิกิริยาจึงจำใจหยิบสัญญามาอ่านแล้วเซ็นลงไปอย่างจำยอมแล้วอีกฝ่ายก็เซ็นและเก็บคู่สัญญาของสกายเอาไว้ในแฟ้มส่วนตัวซึ่งชนม์แดนจะจัดการเรื่องเอกสารของสกายทุกอย่างโดยที่เจ้าตัวไม่ต้องมาสนใจเรื่องหยุมหยิมอะไรเลยแค่ทำงานให้เสร็จก็พอ

“หวังว่าจะไม่ต้องถูกยัดเยียดงานสบายรายได้ดีให้อีกหรอกนะ” สีหน้าและน้ำเสียงแสดงความเย็นชาออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“เรื่องนั้นมันขึ้นอยู่กับเธอ ฉันไม่เกี่ยวและจะไม่เข้าไปเกี่ยว”

“ขอให้จริง” ว่าแล้วก็ลุกออกไปเงียบๆ ทิ้งให้คนคิดมากนั่งกัดผนังปากตัวเองแก้หงุดหงิดเพราะเบื่อกับเรื่องทำนองนี้เต็มทน


นั่งเซ็งอยู่เพียงครู่ร่างเล็กก็เดินออกจากตึกไปร้านกาแฟเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ขณะที่เดินทอดอารมณ์พลันเห็นรถคันหนึ่งซึ่งมีผู้ชายสองคนที่คุ้นตาอยู่ในนั้น

“ลูกเมียน้อยกับสกาย.. มาด้วยกันเหรอ” ยืนมองจนลับตาแล้วครุ่นคิด ที่ว่าไม่ลงรอยกันน่าจะไม่ใช่แล้ว ในใจดวงน้อยมีหลากหลายความรู้สึกปะปน ทั้งหงุดหงิดที่ดินแดนมายุ่งกับสกาย ไม่รู้ทำไมถึงมีความรู้สึกนี้แต่มันก็น้อยกว่าอีกความรู้สึกนั่นคือโล่งใจที่สกายได้มีเพื่อนบ้างและคิดว่าคนแบบดินแดนคงจะปกป้องเด็กนั่นให้รอดพ้นจากเผ่าพงศ์ได้

แบบนี้มันอาจจะดีกับทุกฝ่าย..


แต่เรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อถึงวันงานเดินแบบของบริษัทเพชรไทย ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นและก็ล่มในตอนจบเพราะคนเพียงคนเดียว

ดินแดน..

“พวกลูกน้องเฮียนี่จ้างมาเปลืองเงินเปล่าๆ” ร่างเล็กทำแผลให้คนรักหลังจากที่เสียท่าทั้งในงานและนอกรอบซึ่งขนาดว่าขนบอดี้การ์ดไปเป็นฝูงเพื่อจัดการคนเพียงคนเดียวแต่กลับถูกอัดซะน่วมทั้งเจ้านายและลูกน้อง

“ไอ้การ์ดบริษัทนี้อย่าหวังจะจ้างอีก แล้วเฮียก็ไม่รู้ว่าไอ้ดินนั่นจะมีฝีมือขนาดนั้นด้วย”

“เฮียก็เข้ายิมเข้าฟิตเนสบ้างสิจะได้ดูแลตัวเองได้ ดูพุงก็ออก กล้ามก็หายหมดโดนยำมาขนาดนี้ไม่ใช่เพราะมันเก่งอย่างเดียวแต่เพราะเฮียไม่ฟิตด้วยแหละ” ชนม์แดนบ่น 

“รักเฮียน้อยลงหรือเปล่าล่ะที่เฮียพุงพลุ้ยอะ” ร่างหนาอ้อน

“ไม่น้อยลงหรอกครับ มันไม่เกี่ยวกัน ดอทก็แค่เป็นห่วง”

“เมียเฮียนี่น่ารักตลอด”

“แล้วพวกมือขวามือซ้ายไปไหนหมดล่ะครับ ทำไมเหลือแค่การ์ดจากในงาน” มันน่าแปลกที่คนสนิทหายไป

“อ..อ๋อ พวกนั้นเหรอ คือ..เฮียให้ไปจัดการเรื่องงานอื่นนิดหน่อย”

มือเรียวหยุดแต้มยาบนลำคอแล้วเงยขึ้นสบตากับคนรัก การตอบคำถามแบบอึกอักของเขาทำให้ปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้วในตอนนี้

“เตรียมการอะไรเกี่ยวกับสกายหรือเปล่า”

“ไม่ๆ แต่.. เฮ้อ” เผ่าพงศ์ถอนหายใจออกมาเมื่อจนแต้ม “เฮียแค่วางแผนจะพาสกายไปขังไว้ที่เซฟเฮาส์ให้มันกลัวเล่นๆ เพราะอดหมั่นไส้ไม่ได้แต่เฮียไม่ได้จะไปทำอะไรมันคืนนี้หรอกเพราะเฮียรู้ว่าดอทจะมา ดอทก็รู้ว่าเฮียไม่เคยผิดนัดดอทเลยนะ”

“ไม่ได้นะเฮีย! ถ้าสกายไม่ยอมเองดอทก็ไม่ยอมนะ แล้วถ้าต้องขึ้นโรงขึ้นศาลจะทำยังไง”

“เฮียขอโทษ แต่เรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลไม่ใช่เฮียหรอกแต่เป็นไอ้ดินแดน..น้องชายของดอท เฮียจะฟ้องมันที่พังงานเฮียจนเสียหาย นี่ยังดีที่เกิดเรื่องตอนใกล้จบงาน พวกแขกวีไอพีก็เหลือไม่กี่คนไม่งั้นเฮียจะฆ่ามันแน่”

ไม่แปลกที่เผ่าพงศ์จะรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของคนรักเพราะที่ผ่านมาชนม์แดนเล่าให้ฟังโดยตลอด ซึ่งดินแดนก็ได้กลายเป็นศัตรูของเผ่าพงศ์ทั้งเรื่องของคนรักและเรื่องของคนที่ต้องการไปเรียบร้อยแล้ว

“ดอทไม่นับมันเป็นน้อง ดอทเกลียดมัน” ดวงตาเรียวรีเขม็งเกรียวขึ้นเมื่อได้ยินคำว่าน้องชาย

“ถ้างั้นดอทก็ต้องช่วยเฮีย เราควรจบเรื่องสกายได้แล้ว” สีหน้าของเผ่าพงศ์ดูจริงจังมุ่งมั่นกับเรื่องนี้มาก มากจนอีกฝ่ายสะท้อนใจ “เมื่อกี้ที่ไอ้ดินแดนมันปกป้องสกาย มันยอมสู้กับบอดี้การ์ดหลายคนโดยไม่ยอมให้สกายเข้ามายุ่งเกี่ยว เฮียมั่นใจว่าไอ้ดินต้องมีใจให้สกายแน่ๆ และถ้าเฮียแย่งสกายมาได้ คนที่ดอทเกลียดก็จะได้รับความทุกข์ทรมานอย่างที่ดอทเคยผ่านมา แล้วพอเฮียปราบพยศสกายได้แล้ว เฮียก็จะหยุดทุกอย่าง เฮียจะเป็นคนดีของดอท เราจะได้เริ่มต้นความรักของเราแบบจริงจังซะที”

“......”

ชนม์แดนรู้สึกสับสนอย่างหนัก ความต้องการของเผ่าพงศ์ดูเหมือนจะเป็นเพียงความอยากเอาชนะซึ่งถ้าให้เขาสมใจในเรื่องนี้ได้ เรื่องงี่เง่าพวกนี้คงจะจบ

“ไอ้ดินแดน! เฮียจะทำให้มันรู้ซึ้งว่าไม่ควรมาแข่งกับเฮีย”

บางที ถ้าให้เฮียได้สกายไปซะ พอถึงวันนั้นเฮียอาจจะเขี่ยสกายทิ้งไปเลยหรืออาจจะติดใจแล้วเลิกกับดอทไปเอง แบบนั้นอาจจะทำให้ทุกอย่างมันถูกปลดล็อคไปทางใดทางหนึ่งก็ได้นะ


ต่อ..
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 5 : ภาวะบีบคั้น 《3/06/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 03-06-2018 20:33:10


เหตุการณ์บาดหมางในครั้งนี้ผ่านไปได้โดยไม่ถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลเพราะเจ้าสัวแดนสรวงช่วยเจรจาให้ เผ่าพงศ์เห็นแก่ที่เป็นบิดาของคนรักจึงยอมรามือไปก่อนแต่ก็มีข้อแม้ว่าดินแดนต้องไม่ก่อปัญหาให้อีก

ซึ่งการล่าถอยในครั้งนี้เป็นเพียงคลื่นใต้น้ำที่รอวันก่อตัวเป็นคลื่นสึนามิเท่านั้น

ชนม์แดนเองยังไม่ได้ตัดสินใจในเรื่องที่คนรักขอ แต่ความตั้งใจที่เคยจะปกป้องสกายไม่ให้ตกไปอยู่ในมือเผ่าพงศ์นั้นกลับกลายเป็นสองจิตสองใจแล้วในตอนนี้


คิดสิชนม์แดน..จะเอายังไงดี

ขอยื้อไว้อีกหน่อย ไหนๆ ก็ปกป้องมาตั้งนาน

ไอ้ลูกเมียน้อยนั่น ไม่มีวันที่จะเลิกเกลียดมันได้หรอก แต่ถ้าจะก้าวผ่านเรื่องหนักใจนี้ไปได้ก็ต้องอาศัยมันเป็นตัวช่วย

ชนม์แดนตัดสินใจส่งข้อความผ่านไลน์ไปหาดินแดนเมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วว่ายังมีอีกหนึ่งวิธีที่อาจจะแก้ปัญหานี้ไปได้จะต้องทำรายได้จากสกายและดินแดนให้ได้มากที่สุด!

sweetyDOTcom :  เข้ามาที่ช็อป คุยงานสองทุ่ม

DumDinDan :  ครับ

ไม่ว่าจะโทรศัพท์หรือคุยผ่านแอพไลน์ ดินแดนก็ยังตอบรับเหมือนเดิม บางทีอยากจะคิดว่าเป็นความสุภาพแต่ด้วยอคติและนิสัยของเจ้าตัวก็ทำให้หัวเสียมากกว่าจะคิดแบบนั้นได้



เมื่อถึงเวลานัด ร่างสูงเดินดิ่งเข้ามาและนั่งลง เขาหยิบแฟ้มสัญญาไปเปิดพลิกไปมาเพียงไม่กี่วินาทีก็วางลงทำหน้ากวนๆ

“ผมไม่รับ” ท่าทางของดินแดนมันเร่งเร้าโทสะของร่างเล็กอย่างมาก ยิ่งตอบปฏิเสธออกมาทั้งๆ ที่แค่เปิดดูสัญญาจ้างแค่ผ่านๆ ก็ยิ่งทำให้หงุดหงิด

“ทำไมถึงจะไม่รับงาน!  ค่าตัวระดับนี้สูงกว่าดาราตัวพ่ออีกนะ!” 

“ช่วงนี้ท้องผูกบ่อยก็เลยหงุดหงิด ไม่อยากเจอหน้าใคร”  มือหนาดันแฟ้มคืนกลับมาแถมยังแคะเล็บทำเป็นไม่สนใจ

“เธอต้องการอะไร” ดูก็รู้ว่ากำลังเล่นเกมซึ่งแน่นอนว่าเกมนี้ดินแดนถือไพ่เหนือกว่า

“เปล่านี่!”  ร่างสูงยักไหล่จ้องกลับมาเหมือนจะก่อกวนอารมณ์ให้คุกกรุ่นมากขึ้น   ยิ่งเผชิญหน้าก็ยิ่งเกลียดแต่มันช่วยไม่ได้ที่จะต้องอดทน

“จิ๊!!” ร่างเล็กจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด “อย่ามาทำฟอร์ม ถ้าเธอไม่ต้องการข้อแลกเปลี่ยนก็คงปฏิเสธทางไลน์แล้วไม่ใช่เหรอ อย่าคิดว่าฉันรู้ไม่ทัน”   

ดินแดนยิ้มอย่างพอใจ ถึงจะไม่ชอบขี้หน้าแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าพี่ชายของเขามีไหวพริบไม่น้อยเลยทีเดียว

“ผมขอดูสัญญาของสกายก่อนแล้วจะบอกว่าต้องการอะไร”   

“จะดูทำไม!”  ชนม์แดนหน้าตึงขึ้นทันทีเพราะเดาได้ตอนนี้เองว่าอีกฝ่ายวางแผนอะไรไว้

จะช่วยสกายให้หลุดจากสัญญาสินะ..แต่มันไม่ง่ายนักหรอก ถ้าฉันได้ไม่คุ้มเสีย มันจะไม่มีทางเป็นจริงตามที่แกหวังได้หรอกไอ้ลูกเมียน้อย

“ผมขอดูก่อนแล้วจะบอกข้อต่อรองของผม แต่ถ้าไม่ได้ก็โอเคนะ ผมไม่ได้บังคับ”  ว่าแล้วก็ทำท่าจะลุกจากเก้าอี้จนมือเรียวของอีกฝ่ายตบลงบนโต๊ะ

“เดี๋ยว!” 

ร่างสูงหันกลับมา ส่วนชนม์แดนกัดฟันกำหมัดแน่นก่อนจะลุกไปไขตู้เซฟที่อยู่ด้านหลัง  ไม่นานนักสัญญาของสกายก็อยู่ในมือของดินแดน

การต่อว่าต่อขานเรื่องสัญญาไม่เป็นธรรมเริ่มขึ้นเมื่อได้อ่านสัญญาจนละเอียดครบทุกหน้า ดินแดนค่อนข้างหัวเสียและชนม์แดนก็ตอบกลับไปตามหน้าเสื่อจนกระทั่งร่างสูงเสนอให้ลดเวลาในสัญญาลงสามเดือนเพื่อแลกกับการรับงานคู่ในครั้งนี้ แต่ถูกปฏิเสธและตกลงกันได้ที่การลดสัญญาของสกายลงจากเจ็ดเดือนเหลือเพียงหกเดือน

++++++++++++++++++++++++++++

กระแสความนิยมของดินสกายเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ งานคู่หลั่งไหลเข้ามาให้ชนม์แดนพิจารณาไม่ขาดสาย ร่างเล็กกำลังคิดว่าก่อนที่สัญญาของสกายจะหมดอาจได้เงินครบตามที่ตั้งใจไว้แน่นอน

“โปรเจ็คซีรีส์ ดินสกาย” นิ้วเรียวเคาะลงบนโต๊ะ นึกตรึกตรองว่าควรตอบรับหรือปฏิเสธงานใหญ่ขนาดนี้เพราะปกติสกายไม่รับงานนอกเหนือที่ระบุไว้ในสัญญาอยู่แล้ว แถมยังมีดินแดนเป็นตัวแปรถ้าเขาจะรับงานคงต้องขอแลกกับการลดเวลาในสัญญาลงแน่นอน

ก็ไม่แย่..
ถ้าสกายถูกดินแดนประกบจนพ้นจากมือเฮีย ก็ไม่น่าจะมีอะไรให้หนักใจอีก

แล้วก็เป็นดังที่คาดไว้ ดินแดนเข้ามาต่อรองแทนสกายและชนม์แดนก็ตัดสินใจลดเวลาของสัญญาจากหกเดือนเหลือเพียงสี่เดือนโดยสัญญาจะครอบคลุมโปรเจ็กต์ซีรีส์ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการโปรโมท การสัมภาษณ์ งานอีเว้นต์ และต้องเล่นเลิฟซีนอีกด้วย

“พอถ่ายซีรีส์จบก็น่าจะพอดีกับทีสัญญาหมดลงแถมตอนนั้นสกายก็คงมีชื่อเสียงโด่งดังในวงการแสดง มันครบหมดแล้วที่ตั้งใจไว้แต่แรก หวังว่าจะไม่มีเรื่องเกิดขึ้นหรอกนะ” ชนม์แดนพูดกับตัวเองหลังจากมองสัญญาที่เหลืออีกเพียงสี่เดือนของสกาย 

แต่หลังจากนั้นอีกไม่นาน ต้นเหตุของความเลวร้ายอีกหนึ่งเรื่องในชีวิตของชนม์แดนก็เกิดขึ้นเมื่อได้รับสายจากเผ่าพงศ์

“ดอทเหรอ”

“ครับ” ร่างเล็กตอบกลับ รู้สึกงงเล็กน้อยว่าทำไมถึงถามแบบนั้นทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แล้วว่านี่เป็นเบอร์ของตน  คำถามแบบนี้เหมือนอยากให้คนที่อยู่ด้วยรู้ว่ากำลังโทรหาใคร

“เฮียอยากจ้างงานพิเศษสกายหน่อย งานถ่ายแบบของเพชรไทย ขอสกายคนเดียวนะ อ้อ แต่อาจจะมีนายแบบน้องใหม่เพิ่มอีกคน เดี๋ยวไว้ติดต่อได้แล้วค่อยว่ากัน”

“นายแบบใหม่?”

“ อืม แค่นี้นะครับ”

“ค..ครับ..” ชนม์แดนวางโทรศัพท์พร้อมกับความงุนงง ปกติเวลาจะเรียกใช้งานสกาย เผ่าพงศ์จะส่งรายละเอียดของงานมาก่อน แต่อยู่ๆ โทรมาแล้วรวบรัดตัดความแบบนี้มันดูแปลกๆ

เฮียมีแผนแน่ๆ แต่เฮียจะทำไม่สำเร็จหรอกถ้าดอทไม่ช่วย

++++++++++++++++++++++++++++


หลังจากดินแดนและสกายเข้าพบลูกค้าและทำการแคสบทนำของซีรีส์ผ่านแล้ว ทั้งคู่จึงเข้ามาเซ็นสัญญากับชนม์แดนจนเสร็จสิ้น  ร่างเล็กมองหน้าสกายแล้วครุ่นคิดหนัก

“สกายออกไปก่อน ฉันมีเรื่องคุยกับดินแดน”  สกายมองหน้าคนพูดเล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้องไป

“สนใจมาเซ็นสัญญากันใหม่ทั้งคู่ไหม”  ชนม์แดนเสนอการต่อสัญญาใหม่ซึ่งแน่นอนว่าดินแดนงงเป็นไก่ตาแตก

ความรู้สึกเสียดายเด็กที่ปั้นมากับมือ ทำงานดีมีวินัยและมีแววว่าจะโด่งดังมากกว่านี้อีกหลายเท่า หากต่อสัญญาอีกครั้งจะไม่ทำสัญญาเอาเปรียบเขาอีก เรื่องของสกายกับแม่เลี้ยงก็ให้เขาไปจัดการเอาเอง แต่ถ้าจะให้สกายอยู่ต่อ ดินแดนก็คงต้องพ่วงมาด้วยเพราะจะได้ใช้เขากันท่าเผ่าพงศ์

และอีกหนึ่งเหตุผลที่สำคัญมากก็คือ หากสกายหลุดออกไปจากสังกัด เผ่าพงศ์อาจเข้าถึงเขาได้ง่ายกว่าเดิม บางทีก็สับสนใจตัวเอง ไม่รู้ว่าทำอย่างไรถึงจะดีที่สุด ความคิดมันก็ตีรวนอย่างหนักจนไม่เป็นตัวของตัวเอง

 “ไม่ดีกว่าครับ เบื่อจะต้องทนเห็นหน้ากัน” สีหน้าท้าทายอยู่ในทีจนร่างเล็กชักสีหน้าอย่างไม่พอใจแต่แล้วก็ปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ

“สัญญาใหม่ของสกายจะมีแน่นอน ฉันจะใช้ทุกวิถีทางทำให้สกายเซ็นใหม่ให้ได้”  หน้าสวยเชิดหยิ่ง ที่พูดแบบนี้เพราะหมั่นไส้ในคำพูดและท่าทางของดินแดน “ถ้าเธอไม่อยากให้สัญญาออกมาไม่โอเค เธอก็ควรเข้ามาดูแล ฉันบอกได้แค่นี้แหละ ออกไปได้” 

พูดจบแล้วหยิบงานมาตรวจเช็คโดยไม่สนใจดินแดนอีกจนกระทั่งเขาถอนหายใจใส่แล้วปึงปังเดินจากไป

ที่เสนอไปก็เป็นแค่การทาบทาม หากเขาสองคนไม่สนใจจะต่อสัญญาก็จะปล่อยไปอยู่แล้ว

ดีซะอีกจะได้ไม่ต้องเจอกัน!

++++++++++++++++++++++++++++


ผ่านไปหลายสัปดาห์ การเวิร์คช็อปซีรีส์ของดินแดนและสกายจบลงซึ่งในวันนี้เป็นวันที่จะต้องเซ็นสัญญากับทั้งคู่ ชนม์แดนแต่งตัวตั้งแต่เช้า ความคาดหวังที่จะได้ปลดปล่อยตัวเองมันเบ่งบานจนคิดว่าวันนี้อาจจะเป็นวันแห่งการเริ่มต้นใหม่

แต่แล้วความเบ่งบานกลับโรยราลงในเวลาต่อมา..

“ลูกรู้เรื่องเมียน้อยคนใหม่ของป๋าหรือยัง แม่ได้ข่าวว่าป๋าซื้อบ้านให้นังนั่น” ผู้เป็นแม่ดักรออยู่ที่เชิงบันได สีหน้าเศร้าสร้อยราวกับจะหมดเรี่ยวแรงลงในไม่ช้า

รู้อยู่เต็มอกว่าตลอดเวลาที่บิดาแยกออกไปอยู่ข้างนอกนั้น อย่างไรเสียต้องมีเล็กมีน้อยแน่ๆ แต่ไม่คิดว่าจะจริงจังถึงขนาดซื้อบ้านให้แถมข่าวยังมาเข้าหูของมารดาได้อีก จุดนี้ค่อนข้างกระทบใจของชนม์แดนอยู่พอสมควร

“คุณแม่ทำใจดีๆ นะครับ”

“แม่เหมือนคนโง่..” หญิงวัยกลางคนทว่ายังดูอ่อนวัยอาจเพราะเครื่องประทินผิวคุณภาพดีทว่าภายในหัวใจกลับแห้งเหี่ยวมากกว่าอายุจริงหลายต่อหลายเท่า

“คุณแม่..” ได้แต่ประคองให้ไปนั่งด้วยกันที่โซฟา ส่งเสียงประโลมปลอบได้เพียงเรียกขานแต่ไม่สามารถคิดประโยคดีๆ ออกมาได้เลย

“แม่รู้ว่าป๋าจะไม่กลับมารักแม่ได้อีก แต่แม่ก็ยังรอ” เธอทอดสายตามองเหม่อ หยาดน้ำที่เอ่อคลอเริ่มไหลล้นออกจากตา  “ถ้าอีเมียน้อยนั่นไม่เข้ามาในครอบครัวของเรา ใจแม่ก็คงไม่แตกสลายและต้องทะเลาะกับป๋าทุกวันจนในที่สุดครอบครัวก็แตกสลาย”

ความเศร้าเคล้าความแค้นที่สุมอกของมารดา เหมือนแรงผลักดันให้ความชิงชังประทุขึ้นอีกครั้ง

“ป๋าใจร้ายกับแม่ ใจร้ายกับเราสองคนก็เพราะไอ้อีพวกนั้น” หยาดน้ำตาไหลทะลักออกมาด้วยความอัดอั้น “แม่มีดอทคนเดียวนะลูก เหลือแค่ดอทคนเดียว ดอทอย่าทิ้งแม่ไปนะอย่าทิ้งไปเหมือนที่ป๋าทิ้งแม่ ถ้าไม่มีลูกสักคนแม่คงฆ่าตัวตายไปแล้ว แม่ไม่อยากอยู่แล้ว” เสียงร่ำไห้ปริ่มจะขาดใจของผู้เป็นแม่ดังก้องอยู่ในโสตประสาท

“ดอทไม่ทิ้งคุณแม่หรอกครับ ดอทรักคุณแม่ที่สุดอย่าพูดว่าจะฆ่าตัวตายอีกเพราะดอทก็เหลือคุณแม่แค่คนเดียว อย่าคิดสั้น อย่าทิ้งดอทนะครับ” น้ำตาของชนม์แดนไหลล้นออกมาด้วยความสงสารจับใจ ได้แต่ร้องไห้กอดกันอย่างน่าเวทนา

ผ่านไปไม่นาน ทั้งคู่เริ่มปรับอารมณ์ได้ ต่างฝ่ายต่างเช็ดน้ำตาให้กัน

ในจังหวะนี้เองที่เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าดังขึ้น ร่างเล็กคิดว่าจะยังไม่รับเพราะไม่อยากทิ้งมารดาไปในภาวะการณ์เช่นนี้ ทว่าความคิดชั่วร้ายได้ผุดขึ้นมา

“คุณแม่ทำใจดีๆ นะครับ ดอทจะสะสางเรื่องนี้เอง คนที่มันทำกับเรา มันต้องได้รับผลกรรมบ้าง”

“ดอทจะทำอะไรลูก”

“แค่ความเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ ที่จะส่งคืนไปให้พวกมันบ้าง เท่านั้นล่ะครับ” ใบหน้าสวยแสดงความชิงชังและผละออกไปเพื่อรับโทรศัพท์

คนเป็นแม่รู้สึกใจหายที่ได้เห็นแววตาน่ากลัวของลูกชาย เป็นครั้งแรกที่นึกรู้ว่าอาจได้เพาะเมล็ดแห่งความเกลียดชังไว้ให้ลูกมากมายเกินไปซึ่งที่ผ่านมาลูกคนนี้ไม่เคยมีความสุข ถึงจะไม่ได้ห้ามรสนิยมทางเพศของลูกแต่การคบหากับเผ่าพงศ์ไม่ได้ทำให้ผู้เป็นแม่พอใจนักแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรไปได้มากกว่าคอยเฝ้ามองอยู่ห่างๆ

หวังว่าลูกจะไม่ทำอะไรที่จะมีภัยมาถึงตัวนะตาดอท


“เฮียมีอะไรครับโทรมาแต่เช้าเลย” 

“ดอทจำได้ไหมที่เฮียบอกว่าจะขอสกายไปเดินงานพิเศษ วันนี้เฮียได้ตัวนายแบบหน้าใหม่คนนั้นแล้วนะ เหลือแต่ทางดอทที่จะเคลียคิวสกายให้เฮีย”

ร่างเล็กนิ่งคิด เดาได้เลยว่างานพิเศษของเขาไม่ใช่งานจริงๆ แต่น่าจะเป็นเรื่องของสกาย

“ที่เฮียเคยสัญญากับดอทเรื่องสกาย เฮียยังจำได้หรือเปล่า”

“อ..อะไรครับ เฮียแค่”

“ไม่ต้องปิดบังอีกแล้วครับ ดอทอยู่กับเฮียมาตั้งกี่ปี ทำไมจะไม่รู้ว่าเฮียคิดอะไร”

“แล้วดอทจะไม่ห้ามเหมือนทุกทีเหรอ” เผ่าพงศ์ถามอย่างมีความหวังมากขึ้น

“ถ้าเฮียสัญญาว่าจะไม่ขืนใจ สกายต้องยินยอมเอง ดอทก็จะช่วยเฮีย แต่มีข้อแม้ว่าต้องให้เงินสกายอย่างสมน้ำสมเนื้อ อย่างน้อยเขาจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น”

“ได้สิเฮียสัญญา ดอทก็รู้อยู่แล้วว่าเฮียไม่เคยขืนใจใคร แล้วเรื่องเงินเฮียจะให้สิบล้าน ให้ดอทเก็บไว้ห้าล้านแล้วแบ่งให้สกายอีกห้าล้าน มันจะดีทั้งตัวดอทและตัวสกายเองนะ”

ก่อนหน้านั้นเคยยื่นข้อเสนอว่าถ้าสกายยอมตกลงก็จะให้เงินหนึ่งล้านบาทเพื่อแบ่งกันคนละครึ่งแต่ครั้งนี้กล้าสู้ราคาคงอยากเอาชนะทั้งสกายและดินแดน เผ่าพงศ์เป็นคนที่ไม่ยอมเสียหน้า อยากได้ก็ต้องได้และหากมีใครมาเหยียบจมูกก็มีแต่จะแค้นไม่ยอมรามือ

“หวังว่าเฮียจะรักษาสัญญา”

“แน่นอนครับ ถ้าดอทช่วยไม่ว่าครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เฮียจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว เฮียจะมีดอทคนเดียว เฮียสาบาน”

“อย่าสาบานเลยครับ แค่ทำตามสัญญาก็พอ”


หัวจิตหัวใจในตอนนี้เต้นไม่เป็นส่ำ ตัดสินใจไปแล้วแต่อีกความรู้สึกมันนึกกลัว กลัวความผิด กลัวบาป กลัวผิดแผนจนเรื่องบานปลาย

แต่มาถึงขนาดนี้ฉันจะไม่ยอมถอยอีกแล้ว





ในช่วงบ่าย ชนม์แดนให้พนักงานทั้งหมดกลับก่อนเวลาเพื่อจะได้ไม่มีพยานรู้เห็นเหตุการณ์  พอถึงเวลาสกายและดินแดนก็เข้ามาเซ็นสัญญาโดยไม่ได้นึกระแวงระวังเลยว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับภัยเงียบในตอนนี้

เห็นหน้าดินแดนหัวคิ้วก็ขมวดชนกันทันที ไม่มีครั้งไหนเลยที่จะทำใจได้ แต่กับสกายนั้นต่างไป ชนม์แดนมองใบหน้าหล่อใสในหลากหลายความรู้สึก ทั้งขัดเคือง เห็นใจ สงสารและรู้สึกผิด พยายามหักลบผลดีผลเสียอย่างหนักแต่แล้วผลก็ออกมาอย่างเดิม

มันต้องดีแน่ถ้าเฮียจบเรื่องสกายก็คงเลิกทำตัวเสเพล ส่วนสกายก็จะมีเงินไว้ตั้งตัว สัญญาก็สิ้นสุดพอดีไม่ต้องมาทนเหม็นหน้ากันอีก ส่วนดินแดนก็จะได้รับความเจ็บปวดอย่างที่แม่ของมันเคยทำกับคุณแม่ไว้  เงินห้าล้านของเฮียก็จะทำให้เงินในบัญชีครบห้าสิบล้าน หลังจากนี้จะอโหสิกรรมต่อทุกชีวิตแล้วเริ่มต้นใหม่กับคุณแม่และเฮีย ส่วนป๋าจะไปมีใครที่ไหนก็เชิญ ดอทไม่จำเป็นต้องมีป๋าในชีวิตก็ได้!

“ขอฉันคุยกับดินแดนต่อ เธอออกไปรอที่รถก่อน” ชนม์แดนตัดสินใจดำเนินการตามแผน

ใช้เวลาไปประมาณหนึ่งกับการตกลงเรื่องสัญญาต่อเนื่องของซีรีส์ซึ่งดินแดนต่อรองขอลดสัญญาลง 1 เดือน  เรื่องที่สองคืองานโฆษณาสามชิ้นที่เป็นแบรนด์ดังซึ่งได้ราคาค่อนข้างสูงและถูกเสนอให้ลดสัญญาลงอีก 2 เดือนเต็มๆ 

“สุดท้าย เรื่องต่อสัญญาของเธอกับสกาย” ข้อเสนอที่เคยล้มเลิกไปแล้วถูกนำขึ้นมาใช้เพื่อถ่วงเวลาให้ลูกน้องเผ่าพงศ์พาตัวสกายไปให้เจ้านาย

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต่อ” ดินแดนชักสีหน้า

“ฟังข้อเสนอก่อนสิ” ชนม์แดนพยายามชักแม่น้ำทั้งห้า พูดวนไปวนมาใช้เวลาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้จนในที่สุดดินแดนจึงเริ่มไม่พอใจ

“ผมว่าพี่พูดไม่รู้เรื่องแล้วนะ”

“ก็เธอคิดดูสิว่าสัญญาของสกายตอนนี้เหลือแค่เดือนกว่าๆ ถ้าฉันไม่ทำอะไรซักอย่าง บริษัทฉันก็แย่สิ”  พยายามอ้างไปแบบข้างๆ คูๆ โน้มน้าวให้ดินแดนอยู่ให้นานอยู่สุดซึ่งผ่านไปมากกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วในตอนนี้

Rrrrrrr Rrrrrrrr
“ว่าไงมึง” ดินแดนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายแล้วพูดคุยต่อหน้าชนม์แดน “มีดิ ทำไมเหรอ”

แต่แล้วร่างเล็กก็เริ่มใจเสียเมื่อเห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายเริ่มขมวดมุ่นและเหลือบมองมาที่ตนจึงทำเป็นหยิบนั่นจับนี่เพื่อไม่ให้เป็นพิรุธ 

“เดี๋ยวมึงรอแป๊บนะ กูขอโทรถามมันก่อน” ดินแดนวางสายแล้วกดเบอร์ใหม่อยู่หลายรอบแต่ดูเหมือนปลายสายจะไม่รับ

ร่างสูงเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ เข้าด้วยกัน
ข้าวจ้าวไปถ่ายสารคดีแต่บั๊คไม่สามารถติดต่อได้แถมยังอ้างว่าไปถ่ายกับสกาย
ส่วนสกายก็ไม่รับโทรศัพท์ทั้งๆ ที่เพิ่งออกจากห้องไปไม่นาน
ชนม์แดนชวนคุยเรื่องเดิม ทั้งที่ปกติแค่ใช้อากาศร่วมกันก็ยังรังเกียจแต่กลับคุยวนซ้ำๆ แบบไม่มีเหตุผล..

“ไอ้เผ่าพงศ์!” ดินแดนตะโกนแล้วหันมาทำตาขวางใส่ร่างเล็กที่ถึงกับสะดุ้งทั้งตัว “พี่รู้เห็นกับมันใช่ไหม!” เสียงดังจนใบหน้าสวยเริ่มเริ่มถอดสี

“ฉ..ฉันไม่รู้” ตอบไปปากคอสั่น ความรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปในวันนั้น วันที่ทะเลาะกับผู้เป็นพ่อจนผลักดินแดนตกลงไปในสระบัว

“โกหก!  พี่บอกมานะว่าไอ้เผ่ามันเอาสกายกับไอ้จ้าวไปที่ไหน!” ดินแดนส่งเสียงดังจนร่างเล็กต้องย่นหน้าหดคอ  หัวใจเส้นระส่ำทั้งโกรธและเกลียดแถมยังกลัวความผิดจนสติแทบจะแตกแล้วในตอนนี้

“ฉันไม่ผิดนะ! ที่ทำไปเพราะอยากให้สกายมีเงินมีทองกับเขาบ้าง! ถ้าสกายมันไม่หยิ่งเกินไปก็คงสบายไปนานแล้ว ไม่ต้องมาทำงานงกๆ แบบนี้หรอก” กลั้นใจเชิดใบหน้าขึ้นทำใจกล้าสู้เสือ

“มีเงินมีทอง!” ดินแดนทวนคำ  “พี่หมายถึงอะไร ตอบสิ!! หมายถึงอะไรวะ!!”

“แกไม่มีสิทธิ์มาขึ้นเสียงกับฉันนะไอ้ลูกเมียน้อย!” ชนม์แดนตะโกนใส่บ้างและผรุสวาทคำหยาบคายและแทงใจดำของอีกฝ่ายออกไปต่อหน้าต่อตาจนร่างสูงลุกขึ้นอย่างฉุนเฉียว

“วันนี้กูมีสิทธิ์แน่! สิทธิ์ของผัวสกายและสิทธิ์ของพี่ไอ้จ้าว ถ้ามึงไม่บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าไอ้เผ่าพงศ์เอาสองคนนั้นไปไว้ไหน กูฆ่ามึงแน่ไอ้เหี้ย!!!”

ใบหน้าเหมือนยักษ์เหมือนมารของดินแดนในตอนนี้ทำให้คนใจบางน้ำตาแตกออกมาทันที

“ไอ้บ้า! ไอ้คนเลว! ฉันไม่บอกหรอก ไม่บอกๆๆๆ” มือเล็กหยิบข้าวของปาใส่ร่างสูงที่ย่างสามขุมเข้ามาใกล้  “อย่ามาจับฉันนะ! ปล่อย!! ไอ้ลูกเมียน้อย ปล่อย!!!” 

ดวงตาคมวาวโรจน์พร้อมกับมือหนาทีบีบต้นแขนเล็กสุดแรง

“ฟังนะ ถ้าไม่อยากเห็นปีศาจที่อยู่ในตัวผม พี่ต้องบอกมาเดี๋ยวนี้!” เขากัดฟันถลึงตาจ้องหน้าราวจะกินเลือดกินเนื้อ

ความเกลียดชัง ความเสียใจ และความกลัว ไม่ใช่แค่กลัวคนตรงหน้าแต่กลัวในความผิด ไม่อยากยอมรับว่าสิ่งที่ตนตัดสินใจทำลงไปเป็นเรื่องผิด

ไม่อยากเป็นคนผิด ไม่อยากให้ใครตราหน้า

ฉันไม่ผิด!!! พวกแกต่างหากที่เข้ามาแย่งป๋า พวกแกมันเลว!!!



.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

สกายจะพลาดท่าหรือเปล่า ดินแดนจะฆ่าพี่ดอทมั้ย
ตอนหน้าได้รู้กัน ปิ้วๆ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 5 : ภาวะบีบคั้น 《3/06/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 03-06-2018 23:43:12
อ๊ากกกกค้างงงงงง  :katai1: ทำไมพี่ดอททำแบบนี้ พี่ดอทเชื่อไอ่เผ่าได้ยังไงว่ามันจะไม่บังคับสกายน่ะ ไอ่เผ่าก็เล้วเลวคิดถึงแต่ตัวเองพี่ดอทควรเลิกไปได้แล้ว พี่ดินไปช่วยสกายกับนังจ้าวให้ได้เด้อ

ปล.ตอนนี้เนื้อเรื่องไม่ได้คาบเกี่ยวกับคู่จิ้นฯใช่ไหมคะนายน้อย
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 4 : ดินแดน 《20/05/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: chadcharin ที่ 06-06-2018 22:24:57
 :mew1:นี่คือจุดเริ่มต้นคู่สกานดินแดนชอบคู่นี้มากกกกดด
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.


ร่างเล็กนั่งครุ่นคิดอย่างหนักในร้านกาแฟใกล้ออฟฟิศ  แต่ในจังหวะที่กำลังคิดอยู่นั้นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ เส้นผมหยักศก โครงหน้าคุ้นตาก็เดินผ่านไป

ผู้ชายคนนั้น!

ชนม์แดนวิ่งออกจากร้านเพื่อหวังจะตามให้ทันแต่ด้วยความที่โต๊ะอยู่ในสุดจึงต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะออกมาจากร้านได้

“หายไปไหนแล้วนะ เดินเร็วอะไรขนาดนั้นโธ่เอ้ย” ความหวังที่จะได้นายแบบหน้าใหม่พังทลายเพราะวิ่งตามไม่ทัน  ผู้ชายคนนี้เขาจำได้ว่าเป็นใครเพราะรูปร่างหน้าตายูนีกมากๆ ถ้าเอามาปั้นต้องขึ้นเป็นเบอร์ต้นๆ ของวงการนายแบบได้แน่

เพื่อนของไอ้ลูกเมียน้อย..

“โทรให้ป๋าขอเบอร์มาจากไอ้ลูกเมียน้อยก็น่าจะได้” คิดได้แล้วจึงกดโทรออก

“ว่าไงดอท” เสียงปลายสายดูซอฟท์กว่าครั้งไหนๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าป๋าเปลี่ยนไป ตั้งแต่สรรพนามที่หลุดแทนตัวเองว่าป๋า ถึงแม้จะครั้งเดียวแต่ดูเหมือนทั้งสายตาและโอกาสที่มอบให้ก็ทำให้หัวใจที่แห้งผากกลับมาชุ่มชื่นกว่าเดิมอยู่ไม่น้อย

“พอดีว่านายแบบขาดหนึ่งคนครับ ดอทอยากให้ช่วยติดต่อดินแดน..”

“อ้าวเหรอ แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะเจ้าดินมันเคยมาเดินนาฬิกาให้ป๋าสองสามหน มันก็เดินได้ดีอยู่นะยังไงลองโทรทาบทามเอาเองเดี๋ยวป๋าส่งเบอร์ไปให้” เจ้าสัวนึกยินดีที่พี่น้องอาจจะได้สานสัมพันธ์กันในครั้งนี้

“เรื่องดีๆ ก็นึกถึงแต่ลูกเมียน้อยเหรอครับ คนที่เก่งสำหรับป๋ามีแค่ไอ้เด็กนั่นเหรอ” อยากตีปากตัวเองที่พูดออกไป แต่อดไม่ได้จริงๆ น้ำเสียงที่เหมือนจะอวดว่าลูกรักเก่งกาจจนแสดงความภูมิใจแบบออกนอกหน้า บอกตามตรงว่าอิจฉาและเจ็บหัวใจแปลบๆ

“ความคิดแกมันคับแคบตาดอท ถ้างั้นฉันจะไม่ยุ่งด้วยแล้ว เดี๋ยวจะส่งเบอร์เจ้าดินไปให้แล้วจะทำยังไงก็ตามใจ อย่าให้งานฉันเสียก็แล้วกัน”  พูดจบก็กดวางสายแล้วหลับตาข่มอารมณ์

ไม่ว่านานแค่ไหนแกก็ไม่เคยเปลี่ยนเลยตาดอท หัวรั้น ไม่มีเหตุผลเหมือนแม่ไม่มีผิด!

ร่างเล็กยืนครุ่นคิดว่าควรทำอย่างไร กดดูเบอร์โทรที่คนเป็นพ่อส่งมาให้ทางข้อความแล้วลังเลอย่างหนัก

ย้อนนึกถึงใบหน้าเมามายที่มองมาด้วยสายตาแบบนั้นกับคำพูดว่าจะจับทำเมีย  ฮึ่ย เกลียด..


แต่ในเมื่อมันเป็นงานในความรับผิดชอบ แล้วถ้างานนี้ออกมาสมบูรณ์แบบอย่างที่แพลนไว้ ป๋าอาจจะมองตนในทางที่ดีมากขึ้นก็ได้ อยากให้ป๋าพูดถึงตนด้วยน้ำเสียงแบบเมื่อกี้นี้บ้างอย่างน้อยตนก็เป็นลูกคนหนึ่งเหมือนกัน 

มือน้อยกำโทรศัพท์แน่นเพื่อปลุกกำลังใจจากนั้นจึงกดเบอร์ใหม่ที่เพิ่งเคยเห็นครั้งแรก

“ครับ” ลักษณะการรับโทรศัพท์เหมือนจะรู้ล่วงหน้าว่าเป็นใคร บางทีไอ้ลูกเมียน้อยอาจจะมีเบอร์โทรของตนก็เป็นได้

“......”  คนปากหนักยังไม่พูดอะไรออกไป อีกฝ่ายก็เหมือนจะถือสายรอซึ่งตอนนี้แน่ใจแล้วว่าทางนั้นรู้ว่าเป็นเบอร์โทรของตนแน่นอน  “วันมะรืนจะมีงานเดินแบบประมูลนาฬิกาของป๋า ฉันอยากให้เธอมาช่วยเดิน”

ใบหน้าเชิดขึ้นพร้อมกับลำคอแข็งๆ ทั้งๆ ที่ทางนั้นมองไม่เห็นด้วยซ้ำแต่อินเนอร์มันแบบนี้ก็ต้องแบบนี้แหละ  แล้วเรื่องที่จะให้ชวนเพื่อนก็ล้มเลิกแล้วเพราะไหนๆ ก็ไหนๆ ดินแดนเคยเดินแบบมาก่อนจึงคิดว่าคงดีกว่าถ้าไม่ต้องฝึกตั้งแต่เริ่มต้น

“แล้วมันเกี่ยวกับพี่ยังไงถึงได้โทรมาเอง” น้ำเสียงโทนต่ำกังวานทว่าเจือปนความกวนอยู่ในที  ไม่เคยได้ยินเสียงชัดๆ แบบนี้มาก่อนทำให้ลมหายใจเริ่มติดขัดเล็กน้อยด้วยทั้งฉุนและประหม่า

“ฉันเป็นคนจัดงานและจัดหานายแบบแต่นายแบบสองคนโดนรถชนก็เลยหาคนไม่ทัน” เสียงที่ติดจะเหวี่ยงแน่นอนว่าอีกฝ่ายต้องรับรู้ได้แน่ พยายามจะพูดธรรมดาแต่นึกถึงคำพูดจาบจ้วงในวันนั้นแล้วกลายเป็นกระฟัดกระเฟียดใส่ก็คิดว่าไม่ได้เกินไปแต่อย่างใด

“คนอื่นไม่มีแล้ว?” คำถามแบบกวนๆ ถูกส่งมาเริ่มทำให้ชนม์แดนหมดความอดทน

นี่ถ้าไม่จำเป็นให้ตายก็ไม่โทรหรอกนะ

“ถ้ามีจะโทรมาหรือไง” คำตอบห้วนขึ้นเพราะตอนนี้ไม่คิดว่าอยากคุยด้วยอีก

“ขอคิดดูก่อน” เมื่อทางนั้นตอบแบบไม่ยี่หระก็ถึงกับหมดความอดทน

“....ตามใจ” พูดจบแล้วตัดสายทันที

เกลียดที่สุดไอ้ลูกเมียน้อย!!


ในขณะที่กำลังจ้องโทรศัพท์ราวกับเป็นหน้าของคนที่เกลียด สายเข้าของผู้เป็นแม่ก็ดังขึ้นจึงต้องรีบกดรับ

“ครับคุณแม่”

“ป๋าของลูกโทรมาบอกว่าจะเอาไอ้ลูกเมียน้อยมันมาเดินงานเหรอลูก ทำไมเลือกมันล่ะ”

“ครับ หาคนไม่ได้แล้วจริงๆ งานมันกระชั้นชิดเกินไป”

“แล้วโทรหรือยัง มันตอบรับไหม”

“โทรแล้วครับแต่มันบอกว่าจะขอคิดดูก่อน”

“งั้นเอาแบบนี้ เดี๋ยวแม่จะโทรไปกดดันให้อีกทาง แค่นี้ก่อนนะ”

“ด..เดี๋ยวครับ..” ไม่ทันพูดจบปลายสายก็กดวาง “โธ่คุณแม่ เดี๋ยวก็โดนมันกวนประสาทอีกคนหรอก” 



ร่างเล็กกลับเข้าออฟฟิศเพื่อจัดการชุดที่ต้องใช้เดินแบบไปเรื่อยๆ ยังคงกลุ้มใจเรื่องนายแบบที่ยังขาดอยู่แต่ยังคิดในแง่ดีว่าคงไม่เป็นไรถ้าไม่ได้จริงๆ ก็จะหมุนเอาที่มีอยู่ขึ้นอีกรอบ อาจจะทุลักทุเลแต่ก็ไม่มีทางเลือก

แต่ช่วงบ่ายแก่ๆ ก็ได้รับข่าวดีจากผู้เป็นแม่ว่าดินแดนได้ตอบรับจะมาเดินแบบให้  เฮ้อ โล่งอก

พรุ่งนี้ก็ต้องลองชุด ส่วนมะรืนเป็นวันจัดงาน ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดีด้วยเถอะ เพี้ยงง


แต่ยังไม่ทันไร ร่างอวบของบอลลูนก็วิ่งลนลานเข้ามารายงาน

“คุณดอทคะ มีเรื่องด่วน คือ.. น้องสกายจะเทงานงานวันนี้สองงานเลยค่ะ นางบอกมีธุระด่วน” 

“อะไรนะ! สกายเนี่ยเหรอเบี้ยวงาน?”  ปกติสกายไม่มีปัญหาเรื่องขาดลาหรือสายเลยแต่ครั้งนี้มันเรื่องอะไรถึงได้เป็นแบบนี้

“ใช่ค่ะ นางโทรแจ้งลูกค้าเองแล้วก็ไลน์มาบอก  พี่โทรถามลูกค้าแล้วเขาค่อนข้างหัวเสียค่ะ พี่เลยบอกว่าจะให้คุณดอทโทรไปอีกรอบ”

“สองงานรวดเลย” ถึงกับเข่าอ่อนเพราะต้องจ่ายค่าผิดสัญญา แถมยังเสียเครดิตอีกด้วย

มือเรียวหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาสกายทันที

“ทำไมเบี้ยวงาน เธอไม่เคยทำตัวแบบนี้เลยนะ” ฉะใส่ทันทีเมื่อสกายรับสาย

“ผมมีธุระด่วน”

“แล้วทำไมไม่แจ้งฉันโดยตรง” เรื่องอะไรก็ไม่แย่เท่าการไม่บอกกล่าวมาทางต้นสังกัดเพื่อจะได้แก้ปัญหาให้ รู้สึกโมโหที่สกายทำแบบนี้  “ถ้าไม่มาเธอจะต้องรับผิดชอบเรื่องค่าผิดสัญญาฉันจะหักเงินเดือน 50% ไปจนกว่าจะครบ จะให้เป็นแบบนั้นเหรอ”

บอลลูนเบิกตาโตกับสิ่งที่ได้ยิน หักตั้งครึ่งของเงินเดือนแล้วสกายจะอยู่รอดได้อย่างไร

“ก็เอาตามนั้น ยังไงผมก็ไปไม่ได้”

เฮ้ออ อยากจะบ้า

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ พรุ่งนี้สิบโมงเข้ามาลองชุดด้วย มะรืนมีงานใหญ่เดี๋ยวจะให้พี่บอลลูนส่งรายละเอียดไปให้”

“ผมอาจจะ..”

“ไม่ได้! งานนี้สำคัญมาก ไม่ว่าจะยังไงเธอต้องมา ฉันไม่อยากหักเงินน้อยนิดของเธอหรืออะไรก็ตามที่จะทำให้เธอตกต่ำกว่าที่เป็นอยู่ ขอแค่รับผิดชอบงานและทำตามที่ฉันบอก เราจะได้ไม่ต้องขัดแย้งกันไปมากกว่านี้!” ใจคอไม่ดีที่สกายจะเทงานของป๋า อุตส่าห์ยกเลิกงานจ้างเดิมเพื่อให้มาเดินงานนี้ ตั้งใจจะให้เดินฟินาเล่แต่จะต้องมาหาคนเดินใหม่เพิ่มอีกคงอกแตกตายแน่

“งั้นคงไปสายหน่อย”

ร่างเล็กทรุดลงนั่งอย่างโล่งอกเมื่อได้ยิน

“อย่าให้สายมากก็แล้วกัน แค่นี้นะ” พูดจบก็วางสายทันที

ยังไม่ทันไรก็เจอเรื่องยุ่งๆ หวังว่างานจริงจะไม่มีอะไรต้องปวดหัวอีกนะ



รุ่งเช้าของอีกวัน คุณรุ่งฤดีติดตามลูกชายมาที่ห้องเสื้อด้วยเหตุผลที่ว่าจะรับหน้าไอ้ลูกเมียน้อยเอง เธอทั้งโทร ทั้งส่งข้อความไปกดดันอีกฝ่ายอย่างหนัก เรียกแบบหยาบหน่อยก็คือจิกเอาตาย

ซึ่งมันได้ผล ก่อนเวลานัด ดินแดนพารูปร่างสมส่วนพร้อมกับใบหน้าหล่อแบบแบ้ดบอยด้วยลักษณะการเดิน การพูด หรือแม้แต่การแต่งตัว เขาดูไม่ใช่ผู้ชายที่ห่วงหล่อแต่หล่อมาจากแอตติจูดข้างใน ถ้าไม่ใช้อคติตัดสิน ดินแดนคือความเพอร์เฟ็ค คือตัวพ่อ คือไร้ที่ติจริงๆ  เทียบกับสกายที่หล่อใสมีเสน่ห์ดึงดูด สองคนนี้หล่อแบบสูสีคนละสไตล์ ถ้ายืนหันหลังชนกันแล้วให้สาวๆ เลือกว่าจะมองหน้าใครก็คงคิดกันหนักน่าดูกว่าจะเลือกได้

“เพิ่งมาเหรอ นี่ขนาดเมจเซสไปบอกก่อนยังมาเกือบสาย”  คุณรุ่งฤดีเปิดวอร์ด้วยการตำหนิผู้ที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจว่าไม่ได้สายเพราะตอนนี้เพิ่งเก้าโมงสี่สิบส่วนเวลานัดคือสิบโมงซึ่งเขามาก่อนเวลาค่อนข้างเยอะ อันที่จริงมาเร็วที่สุดแล้วในบรรดานายแบบนางแบบที่นัดมาด้วยซ้ำ

“เช้ากว่านี้ก็ตักบาตรกันได้เลยล่ะครับ”  ร่างสูงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วไหวไหล่อย่างกวนๆ

พูดจบก็เดินดิ่งเข้าไปหาชนม์แดนที่นั่งอ่านแฟ้มอยู่ที่โต๊ะทำงาน  “ลองชุดที่ไหนพี่ดอท” คำเรียกที่ดูสนิทสนมสร้างความขุ่นใจให้คนที่นั่งอยู่

ร่างบางเงยหน้ามองอย่างเย็นชาแล้วเบือนสายตาไปยังห้องลองเสื้อที่อยู่ถัดไปเป็นสัญญาณให้รู้ว่าถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องมาพูดคุยกัน

ดินแดนมองตามสายตาไปแล้วเลิกคิ้วกวน ๆ ก่อนจะพยักหน้าหงึก ๆ เดินไปที่ห้องนั้น

ท่าทางกวนประสาทชะมัด!


“เห็นความไร้มารยาทของมันไหมลูก ต่ำเหมือนแม่มันนั่นแหละ นี่ถ้าลูกไม่บอกว่าหานายแบบไม่ได้จริงๆ แม่จะไม่ยอมให้มันมาอยู่ใกล้ลูกหรอกนะ” หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาบ่นกับลูกชายหลังจากดินแดนคล้อยหลังไป

“ดอทคงเลี่ยงๆ ที่จะไม่คุยไม่งั้นเส้นเลือดในสมองแตกแน่ เมื่อวานสกายก็เทงานไปสองงาน เฮ้อ มีแต่เรื่องปวดหัว”

“เออเด็กสกายนั่นก็อีกคน เห็นยายแจนบอกตลอดว่าโทรไปก็ไม่รับสาย จะพูดเรื่องพ่อที่เป็นอัมพาตก็ไม่ยอมรับรู้รับฟังอะไรเลยปล่อยให้แจนมันดูแลอยู่คนเดียว เฮ้อ เป็นลูกที่แย่จริงๆ”

ขนาดพ่อแท้ๆ ยังทำได้ขนาดนี้ สกายนี่เป็นคนยังไงกันแน่นะ

“ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว คุณแม่กลับไปพักเถอะครับ” 

“งั้นอย่าโหมงานหนักมากนะลูก พักผ่อนบ้าง ถ้ามีอะไรก็โทรหาแม่นะ” 

“ขอบคุณครับคุณแม่” เมื่อผู้เป็นแม่หายห่วงจึงลากลับตามที่ลูกชายบอก   

ชนม์แดนหันไปยังอีกห้องที่กั้นด้วยกระจกใส ร่างสูงกำลังพูดคุยกับลูกน้องของตนอย่างอารมณ์ดี รอยยิ้มของเขาสดใสจนรู้สึกหมั่นไส้เมื่อนึกเปรียบเทียบกับคืนนั้นที่เมาจนพูดอะไรชั่วๆ ออกมา

แต่ดูเหมือนจะจำไม่ได้จริงว่ามันพูดอะไรเอาไว้  คงเป็นอย่างที่เพื่อนของมันพูดนั่นแหละว่าเมาขนาดนั้นตื่นมามันคงจำอะไรไม่ได้ แต่จะให้ฝ่ายนื้ลืมจะเป็นไปได้ยังไงก็ในเมื่อภาพมันติดตาไปแล้ว



ดีไซเนอร์คนเก่งทำงานไปอีกพักใหญ่  หนุ่มลูกครึ่งหน้าหล่อก็เดินเข้ามา  เขามาหยุดยืนหน้าโต๊ะเพื่อบอกเป็นนัยว่ามาแล้ว  ร่างเล็กเงยขึ้นมองแล้วเริ่มประกาศสงครามทันที

“ถ้ามีเหตุผลที่ดีกว่าคำว่าธุระด่วนก็ควรพูดออกมา บางทีฉันอาจจะใจดีไม่หักเงินเธอก็ได้”

“ไม่จำเป็นครับ” ใบหน้าเย็นชาและความหมายของคำตอบทำให้คนที่กำลังคิดหาข้ออ้างดีๆ ที่จะไม่ใจร้ายต้องเปลี่ยนเป็นหัวร้อนขึ้นมาจนได้

“จองหอง!” ชนม์แดนเริ่มเหลืออด “จะลำพองไปถึงเมื่อไหร่ ยิ่งทำตัวแบบนี้ฉันก็ยิ่ง..” จะพูดว่าเกลียดก็ไม่เต็มปากเพราะคนที่ทำให้เกลียดจริงๆ เข้าไปลองเสื้อก่อนหน้านี้แล้ว

“คุณจะคิดกับผมยังไงมันก็สิทธิ์ของคุณ ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดกับคุณดีนักหรอกก็ถือว่าเจ๊ากัน” ใบหน้านิ่งหยิ่งดูร้ายลึกขึ้นเมื่อเขาจ้องเขม็งมาแบบนี้

“ก็ได้! ถ้าคิดจะประกาศสงคราม แล้วจะได้เห็นว่าฉันร้ายได้ขนาดไหน”

ร่างเล็กยืนขึ้นเท้าโต๊ะจ้องมองร่างสูงด้วยความขุ่นเคือง ปกติก็ไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว ยิ่งบกพร่องในหน้าที่ก็ยิ่งไปกันใหญ่ ฝ่ายหนึ่งต้องการได้ยินคำขอโทษและท่าทีที่อ่อนลงเมื่อทำผิดแต่กลับถูกโต้กลับด้วยความอวดดี  ส่วนอีกฝ่ายกลับรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกตำหนิและขู่หักเงินแทนที่จะไถ่ถามแสดงความห่วงใยบ้าง ในเมื่อเผยด้านร้ายมาก่อนก็อย่าหวังว่าจะเห็นด้านดีจากเขา

“ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าที่คุณร้ายอยู่ทุกวันนี้มันแค่สร้างภาพ เพราะความจริงคือร้ายกว่าที่เห็นซึ่งก็ไม่ได้เกินคาดตรงไหน” ร่างสูงทิ้งสายตามองเหยียดแล้วเดินไปที่ห้องลองชุด

ร่างเล็กกำหมัดแน่นอยากจะตามไปตบให้เลือดกบปากแต่ต้องยั้งตัวเองไว้ จะร้ายไปตามการยั่วโมโหของเด็กเมื่อวานซืนไม่ได้

ศึกนอกศึกในเต็มไปหมด แต่ต้องอดทนให้งานนี้ผ่านไปด้วยดี เงินที่ได้หักค่าใช้จ่ายแล้วน่าจะเหลืออย่างต่ำเกือบสองล้านซึ่งมันช่วยย่นเวลาการเป็นอิสระได้ค่อนข้างมาก

คอยดูนะ ถ้าปลดปล่อยตัวเองจากป๋าได้เมื่อไหร่จะไล่ไปให้หมดทุกคนเลย!



ชนม์แดนนั่งหลับตาข่มอารมณ์อยู่สักพัก หญิงวัยสี่สิบต้นๆ ก็เดินเข้ามาในออฟฟิศแล้วเอ่ยทักทาย

“สวัสดีค่ะคุณดอท”

“อ้าว สวัสดีครับน้าแจน มาหาสกายเหรอครับ” ร่างเล็กลุกขึ้นแล้วยกมือไหว้ เธอเป็นญาติห่างๆ ทางฝั่งแม่แถมยังเป็นแม่เลี้ยงของสกายด้วย

“ใช่ค่ะ อยู่หรือเปล่าถ้าไม่อยู่เดี๋ยวน้านั่งรอ”

“อยู่ครับเดี๋ยวดอทพาไปหา”



“ชุดนั้นกูเลือกก่อน กูลองก่อน”  เสียงของดินแดนดังแว่วเมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องลองเสื้อ

“แล้วมาบอกผมทำไม” สกายตอกกลับ

“คนมาทีหลังก็ต้องได้ของที่ไม่มีใครเอา” ดินแดนมองเหยียดส่วนสกายดูเหมือนไม่ค่อยพอใจ

“ขนาดของที่มีคนเอาอยู่ก่อนแล้วก็ยังถูกคนมาทีหลังเอาไปหน้าตาเฉย”  สกายพูดถูกในความคิดของชนม์แดนแต่ก็ไม่ยอมรับหรอกว่าเห็นด้วย 

ตอนนี้รู้สึกสมน้ำหน้าไอ้ลูกเมียน้อย สองคนนี้ไม่ลงรอยกันสินะ ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องรับศึกสองด้าน ให้ตีกันเองแบบนี้แหละสนุกดี

“สกาย น้าแจนมาหา”  ชนม์แดนสั่นระฆังหมดยกสำหรับคู่ชกดินแดนและสกาย

สกายปรายตามองเพียงครู่เดียวสีหน้าก็เปลี่ยนจากนิ่งเงียบเป็นเคร่งเครียดขึ้นทันที

“ผมเพิ่งโอนตังค์ให้เมื่ออาทิตย์ก่อน”  ร่างสูงใช้คำพูดห้วนๆ พร้อมกับสีหน้าติดจะรำคาญเมื่อผู้เป็นแม่เลี้ยงไปหยุดอยู่ใกล้ ๆ

พูดกับผู้ใหญ่แบบนี้เหรอ อย่างน้อยควรให้เกียรติบ้างเพราะน้าแจนก็ดูแลพ่อที่ป่วยเป็นอัมพาตให้ ทำตัวแบบนี้แย่เอามากๆ

“น้าก็ไม่ได้จะมาทวงเงินอะไรสักหน่อย  ก็แค่เป็นห่วงเห็นว่าเมื่อวานเบี้ยวงาน  ไม่สบายรึเปล่าลูก” เธอถามอย่างเป็นห่วงเป็นใยและพยายามจะจับแขนของสกายแต่ร่างสูงเบี่ยงตัวเอาเสื้อไปเก็บเสียอย่างนั้น

สงสัยคุณแม่เล่าให้น้าแจนฟังแน่ๆ เรื่องที่สกายเกเร เฮ้อ ไม่น่าบอกคุณแม่เลยแฮะ

“ผมอธิบายกับคุณดอทไปแล้ว  ถ้าไม่มีอะไรก็ขอตัวนะครับ”  พูดจบก็เดินเลาะด้านหลังดินแดนออกไปจากห้องทันที

“หยิ่งยโสโอหังไม่เคยเปลี่ยน”  ชนม์แดนมองตามแล้วส่ายหัว อดตำหนิไม่ได้กับกิริยาแบบนั้น

“อย่าว่าน้องเลยคุณดอท  น้องยังเด็ก  นี่ถ้ามีแม่อยู่อบรมก็คงไม่เป็นแบบนี้”  เรื่องนี้ก็น่าเห็นใจอยู่ไม่น้อย สกายเป็นลูกเมียหลวงที่เป็นคนต่างชาติก็เสียไปตั้งแต่เริ่มเข้าวัยรุ่น มาเทียบดูแล้วชนม์แดนคิดว่าตนเองยังโชคดีกว่าเด็กคนนี้อยู่มากนัก

แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เด็กนิสัยเสียนั่นก็ไม่ควรทำตัวกระด้างกระเดื่องกับทุกคนแบบนี้ บางทีอาจจะได้นิสัยเสียๆ มาจากแม่

“ยังจะพูดดีกับเขาอีกน้าแจน  ที่เมียหลวงแหม่มตาน้ำข้าวมันไม่ยอมให้สามีไปหาแล้วยังใส่ร้ายสารพัดยังไม่ช้ำใจพอใช่ไหมเนี่ย”  ชนม์แดนเหนื่อยหน่ายกับความจองหองของสกาย การคิดไปในแง่ลบมันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เพราะตัวตนของสกายแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเป็นพวกไร้การอบรม

“เรามาทีหลังนี่คะ เป็นเมียน้อยแบบไม่ตั้งใจด้วยซ้ำ แต่ก็ช่างมันเถอะค่ะ เขาก็เสียไปแล้วส่วนคุณพจน์ก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็อโหสิกรรมกันไปค่ะ  ส่วนน้องสกายเขาคงเหนื่อยและรำคาญที่ต้องส่งเงินให้น้านั่นแหละ  นี่ถ้าไม่ต้องดูแลคุณพจน์ น้าก็คงจะออกไปทำงานหาเงินเอง ไม่ต้องรบกวนน้องสกายหรอกค่ะ”

“ก็พ่อเขานี่ครับ แค่ไม่ต้องดูแลเองก็ต้องขอบคุณน้าแจนด้วยซ้ำ ถ้ายังไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายก็เกินไปแล้วล่ะ  น้าแจนก็อย่าโอ๋ให้มากเลยครับ ยิ่งทำดีด้วยก็ยิ่งผยองอย่างที่เห็นเนี่ยแหละ” ร่างเล็กให้ความเห็น

“ไม่ได้หรอกค่ะ ยังไงก็ลูกของคนที่น้ารัก ยิ่งต้องอาศัยเงินของน้องมาจุนเจือครอบครัวก็ยิ่งต้องดีด้วยอีกหลายเท่า”

“นี่ถ้าเมียน้อยคนอื่นเป็นเหมือนน้าแจนหมด คุณแม่ก็คงไม่ทุกข์ใจขนาดนี้หรอก”  ชนม์แดนจงใจเหลือบมองดินแดนเพราะเห็นว่ายืนเสียมารยาทฟังคนอื่นคุยกัน 

“มันก็ต้องดูว่า  เมียหลวงเป็นยังไงด้วยนะครับ  ถ้าเมียหลวงมีเมตตาและมีวิจารณญาณสามารถแยกดำแยกขาวแยกดีแยกชั่วได้ก็น่าจะมองเห็นว่ายังมีเมียน้อยที่นิสัยดีอยู่  บางทีอาจดีกว่าเมียหลวงก็ได้นะ”  ดินแดนโต้กลับแล้วยิ้มปลอมๆ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องทิ้งให้ร่างเล็กมองตามด้วยความร้อนรุ่มที่บังอาจมาด่ากระทบไปถึงแม่ตน

ไอ้ลูกเมียน้อย ไอ้นิสัยเสีย ไอ้ปากเลว!


.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.


ขอโทษที่อัพล่าช้าเพราะติดงานสำคัญค่ะ เดี๋ยวชดเชยให้ตอนหน้ามาเร็วๆ ละกันเนาะ
ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ  :mew1:
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 5 : ภาวะบีบคั้น 《3/06/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 07-06-2018 15:20:33
ไม่ต้องไปกลัวครับดอท! อีพวกนั้นมันไม่เคยต้องรับรู้ความเสียใจอย่างเราสักครั้ง ก็ช่างหัวมัน! ไอ้คนที่ไม่เคยมองห่าอะไรเลยนอกจากความต้องการของตัวเอง ไม่เคยแคร์ความรู้สึกคนอื่น สักๆแต่ใช้กำลัง ใช้อารมณ์ ก็ให้มันรับรู้ซะบ้างว่าโลกมันไม่ได้หมุนไปรอบตัวคุณ!

ไม่ต้องไปกลัวผิดบาปครับ มันไม่ใช่ความผิดชั่วร้ายขนาดนั้น ไอ้พวกที่ไม่เคยมองโลกแบบเห็นความจริงต่างหากที่เอาแต่คิดว่าทุกอย่างจะสวยหรู คนที่ไม่เคยมองว่าคนอื่นจะเสียใจจากการกระทำของตัวเองขนาดไหน คนที่ไม่เคยมองว่าการเอาแต่ใจของตัวเองมันสร้างปัญหาให้คนอื่นตามแก้ตามล้างขนาดไหนมาตั้งแต่แรก มันจะไปยอมรับอะไรกับความผิดของตัวเองที่มองไม่เห็นล่ะครับ พออะไรไม่เข้าท่าหน่อยก็เอะอะโวยวายไปทั่ว ทั้งๆที่ทางเลือกนี้ สำหรับคนที่ไม่เคยชอบขี้หน้าดอท อย่างดินแดน สกาย ถ้าเห็นผลลัพธ์ออกมา ก็น่าจะชอบใจแท้ๆ ถามว่าที่ชนม์แดนต้องทำแบบนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าการกระทำของทุกคนไปบีบดอทเอง ไล่ต้อนหมาจนสุดกระดานแล้วคิดว่าการที่มันกัดกลับมาคือเรื่องผิด? ตรรกะวิบัติไปหน่อยละมังครับ ดินแดนก็เอาแต่ใจ ไม่เคยคิดจะมองความรู้สึกคนอื่น มองแต่ความรู้สึกคนที่กูอยากจะแคร์ สกายก็หยิ่งผยองเหลือเกินกับอีแค่สัญญาทาสอดีต ไม่เคยมองพฤติกรรมอื่นๆและผลลัพธ์ที่ตัวเองได้เลย

ถ้าเผ่าพงศ์จะไม่รักษาสัญญา นั่นคือเพราะเฮียผิดคำพูดกับเราเอง เป็นความผิดที่เผ่าพงศ์ไม่ซื่อตรงกับเรา ไม่ใช่ปัญหาว่าตรรกะดอทผิด โอเคแหละครับ ดอททำไปด้วยอารมณ์ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมว่าแย่อะไรนะ ถ้าทุกคนแฟร์ๆ ถ้าสกายไม่ยอมก็แค่เผ่าพงศ์เอาเงินให้ชนม์แดนคนเดียวครึ่งนึง (ค่าเปิดทาง) ก็แค่นั้น

แต่ไอ้คนที่กล้ามาบีบคอ โวยวาย ขู่ฆ่าดอทนี่แหละ ทำตัวได้สถุลมาก ถ้าผมเป็นเพื่อนดอทนี่ เอาปืนจ่อหัวจับไปกดน้ำสักสามรอบแล้วนะครับ เผื่อจะได้สติคืนมามองเห็นสถานการณ์ชีวิตของคนอื่นบ้าง!
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 5 : ภาวะบีบคั้น 《3/06/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 08-06-2018 02:00:34
ขมวดคิ้วทุกตอน ทีมดอทค่ะ ขอให้เจอคนดีๆ เอาพี่เวย์กลับมาทีค่าาาา  :ling3:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 5 : ภาวะบีบคั้น 《3/06/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 09-06-2018 14:39:27
โอโห ได้มาอ่านมุมของเรื่องราว  บีบอารมณ์สุดๆ

เป็นวัยเด็กที่มากับการฝังใจจากการที่แค่อยากได้ความรักจากผู้เป็นพ่อ มันเจ็บปวดจริงๆนะ
อ่านมาถึงตรงนี้ต้องบอกว่า คนเป็นพ่อไม่มีความยุติธรรมให้ลูกเลยความรวดร้าวในใจเป็นปมมาจากพ่อทั้งสิ้น
ถ้าจะบอกว่าไม่รักเมียแล้วแต่ไม่ควรไปลงที่เด็กที่ยังไงก็คือลูกขนาดนี้
อยากรู้ปมของคุณแดนสรวงว่าทำไมเหมือนกันนะนี่
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 5 : ภาวะบีบคั้น 《3/06/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: chadcharin ที่ 12-06-2018 22:18:51
อ้ากกกกก ค้างงงง กำลังลุ้น ดินแดนสกาย สกายดินแดนเชียร์คู่นี้
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 6 : ภาวะฟื้นตัว 《17/06/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 17-06-2018 15:15:22
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.
ต อ น ที่ 6 :  ภ า ว ะ ฟื้ น ตั ว

“เลว! ไอ้ชั่ว.. ฮึก.. ไอ้คนเลว เลว!” คำด่าทอปนเสียงสะอื้น ร่างเล็กสะบัดตัวอย่างแรงเพื่อให้หลุดพ้นแต่ยิ่งดิ้นมือหนาก็ยิ่งบีบแรงขึ้นอีก “ไอ้ลูกเมียน้อย!! ฮึกกก พวกแกมาแย่งป๋าไป พวกแกทำให้ป๋าไม่รักฉัน  ฉันเกลียดพวกแก!! ฮืออ ปล่อย!!”

พยายามสุดกำลังที่จะแกะมือและดิ้นรนแต่ไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะปล่อย ดินแดนร้อนใจอย่างมากในตอนนี้เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของสกายและข้าวจ้าว 

“เรื่องนั้นช่างมัน! บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าไอ้เผ่าพงศ์หลอกไอ้จ้าวกับสกายไปที่ไหน ตอบ!!” ท่อนแขนเล็กแทบจะแหลกคามือเสียให้ได้ อีกทั้งยังเขย่าตัวอย่างแรงเพื่อให้ได้สติแล้วตอบคำถาม

แต่ยิ่งเกรี้ยวกราด ร่างเล็กก็ยิ่งแรงกลับ ทั้งหาทางทุบสีข้างของอีกฝ่ายและสะบัดตัวสุดแรงจนเส้นผมที่เซ็ตไว้เริ่มตกลงมาปิดหน้า น้ำตาก็เริ่มหลั่งไหลด้วยความคับแค้นใจที่ต่อสู้อะไรไม่ได้เลย

“ทำไมป๋าต้องรักพวกแก!! ทำไมป๋าต้องเกลียดฉัน!! ฮึก ฮืออ” ร่างเล็กเริ่มทรุดลงจนมือหนาต้องออกแรงต้านและประชิดตัวให้ใกล้ขึ้นเพื่อไม่ให้ร่วงลงกองกับพื้น “ฮืออ เกลียด เกลียดที่สุด!!!”

ความอัดอั้นเริ่มพรั่งพรูออกมาไม่ขาด ร่างกายที่ถูกสัมผัสแนบชิดเริ่มมีปฏิกิริยาทั้งๆ ที่สะเทือนใจถึงขนาดนี้แต่กลับเกิดห้วงอารมณ์เช่นนี้ขึ้นมาได้  แรงบีบที่ต้นแขนไม่มีทีท่าว่าจะคลายลงจนตอนนี้รู้ตัวแล้วว่าหมดทางจะต่อสู้

สู้ไม่เคยได้ ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ไม่เคยสู้ได้เลย

“เกลียด.. เลว.. พวกแกมันเลว..”

สติสัมปชัญญะของชนม์แดนแตกซ่านไปแล้ว ดวงตาเรียวรีที่จดจ้องใบหน้าของดินแดนพล่าเลือนไปด้วยหยาดน้ำอีกทั้งยังมองเหม่อแบบไร้จุดหมายราวกับจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้าเป็นใคร

ดินแดนมองคนตรงหน้าอย่างงุนงง ยิ่งใช้ไม้แข็งอีกฝ่ายก็ยิ่งเตลิด แถมอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับอีกฝ่ายก็ทำให้เริ่มกังวล  เขาค่อยๆ หายใจเข้าลึกและพยายามตั้งสติ 

ปกติชนม์แดนมีนิสัยเย่อหยิ่งไว้ตัวทว่าตอนนี้กลับร้องไห้สะอึกสะอื้นพร่ำบ่นแต่เรื่องในอดีต ดวงตาเลื่อนลอยที่มีน้ำตาหลั่งไหลพร่างพรูไม่ขาดสาย ร่างกายสั่นสะท้านแถมผิวกายนอกร่มผ้ายังขึ้นสีระเรื่อวูบวาบไปทุกตารางนิ้ว

เห็นแล้วรู้สึกแปลกๆ

ทั้งโกรธทั้งร้อนใจ แต่มันก็มีความเห็นใจแว้บเข้ามา จะว่าสงสารก็มีส่วนแต่มันมีความรู้สึกลึกๆ บางอย่างที่ไม่ใช่แค่ความสงสารเกิดขึ้นซึ่งยังบอกไม่ถูกว่าเป็นอะไร

“ไปคุยกันในรถนะ” ร่างสูงตัดสินใจปล่อยต้นแขนแล้วหยิบกระเป๋าของอีกฝ่ายขึ้นสะพายก่อนจะประคองให้เดินออกไปเพราะถ้าหากยังทู่ซี้คาดคั้นอยู่แบบนี้ก็เสียเวลาเปล่า

แต่มันไม่ได้ง่ายนักเพราะร่างเล็กดื้อดึงขืนตัวไม่ยอมเดินจนต้องออกแรงลากถูลู่ถูกังกว่าจะปิดล็อคออฟฟิศได้ก็เล่นเอาเหนื่อย

“เกลียด.. เลว ไอ้คนเลว อึก ฮึก เกลียด ฮึก เกลียด..”  ตลอดทางได้ยินแค่คำว่าเกลียดและเลวปนเสียงสะอื้นไม่ขาดปาก ร่างน้อยยังคงสั่นสะท้านไปพร้อมกับกระตุกด้วยแรงสะอื้นและดูเหมือนจะหมดแรงดิ้นรนแล้วจึงได้แต่เดินไปตามการประคองแกมบังคับของอีกฝ่ายที่อาศัยช่วงนี้ถือวิสาสะใช้โทรศัพท์ของชนม์แดนกดโทรออกไปยังเบอร์ที่บันทึกในชื่อ ‘เฮียเผ่า’ 

“ขอโทษค่ะ พอดีคุณเผ่าพงศ์กำลังเข้าประชุมสำคัญ น่าจะอีกสองสามชั่วโมง รบกวนโทรมาใหม่นะคะ”

เสียงจากปลายสายทำให้ดินแดนรู้สึกโล่งใจอย่างมากที่ตอนนี้ตัวการยังไม่ว่างไปทำชั่วกับคนรักแต่หากช้าไปก็จะไม่ทันการ ฉะนั้นก่อนอื่นคงต้องจัดการร่างเล็กที่อาการไม่ค่อยสู้ดีเป็นอันดับแรกถึงจะรู้จุดหมายที่ต้องมุ่งหน้าไป

“ไม่เป็นไรครับ อีกไม่นานก็คงได้เจอกันแล้ว” ร่างสูงตอบไปแบบนั้นเพราะจองเวรเอาไว้แล้วและคงต้องได้ปะทะกันแน่ในไม่ช้านี้

หลังจากวางสายก็เดินมาถึงรถพอดี ชนม์แดนยังคงบ่นเพ้อ ขังตัวเองไว้ในโลกส่วนตัวพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสาย 

ดินแดนรู้สึกงุนงงไปกับเหตุการณ์ที่เกิด ไม่อยากเชื่อว่าชีวิตจะต้องมาพบเจอแต่คนจิตไม่ปกติ ทั้งสกายที่มีบาดแผลฝังลึกจนต้องลงทุนลงแรงไปมากมายเพื่อช่วยเหลือ ส่วนชนม์แดนก็เก็บกดจนหลอนไปกับความเกลียดชังในอดีต 

นี่กูต้องไปเรียนเป็นจิตแพทย์ไหมวะจะได้เอามารักษาพวกมัน


ร่างสูงพยายามใจเย็นเพราะรู้ว่าถ้ายิ่งโมโหอีกฝ่ายจะยิ่งสติแตก  เมื่อพาชนม์แดนขึ้นมานั่งบนรถ เอนเบาะให้เล็กน้อยแล้วคาดเข็มขัดให้เพื่อพร้อมออกรถได้ทันที  ตอนนี้คนสติแตกไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งเร้ารอบกายเพราะดูเหมือนจะจมจ่อมอยู่กับความเศร้าที่ระเบิดขึ้นราวกับภูเขาไฟและกำลังไหลออกมาจากหัวใจราวกับลาวาก็ไม่ปาน

ทำไมป๋าถึงไม่รัก.. ดอทไม่ใช่ลูกป๋าหรือไง
เพราะพวกมันเข้ามา มาแย่งความรักจากป๋าไป
ถ้าไม่มีพวกมัน ป๋าจะรักดอทใช่หรือเปล่า
เกลียดพวกมัน..
เกลียด..


“ฮึก.. ฮึกฮึก ฮือออ ฮือๆๆ”  ร่างเล็กหันหน้ามองเหม่อออกไปนอกรถดูเหมือนต้องการอยู่ในโลกมืดมิดเพียงลำพัง  ดินแดนตัดสินใจแตะไหล่บางเพียงเบาๆ แต่ก็ทำให้ร่างนั้นสะดุ้งเฮือกขึ้นมาได้

“ทำไมถึงคิดว่าป๋าไม่รักพี่” 

ใบหน้าสวยที่บวมแดงหันมองคนถามช้าๆ ด้วยแววตารวดร้าวอย่างที่ดินแดนเคยได้เห็นมาแล้วในวัยเด็ก เขายังจดจำใบหน้าและดวงตาแบบนี้ได้ดี  ถ้าหากว่าหลังจากนั้นไม่ถูกผลักตกน้ำจนเกือบตาย บางทีเขาอาจทำความเข้าใจกับอีกฝ่ายในตอนนั้นได้มากขึ้น

“ป๋า...ยกสมบัติทั้งหมดให้พวกแก” เสียงพูดสั่นเครือพร้อมกับดวงตาที่มีหยาดน้ำไหลนอง อาการเหมือนยังอยู่ในภวังค์และบ่นเพ้อเลื่อนลอย “ป๋าไม่เคยชมฉันสักครั้ง ไม่เคยจ่ายค่าเทอม ค่ากิน ค่าอยู่ ไม่ว่าค่าอะไรเกี่ยวกับฉัน ป๋าก็ไม่เคยมาช่วยซัพพอร์ทชีวิตฉัน  ฉันต้องเรียนและทำงานอย่างหนักมาตลอด ป๋าไม่เคยดูดำดูดี ไม่เคยเห็นด้วยกับสิ่งที่ฉันทำ ป๋าเกลียดฉันก็เพราะแก” ยิ่งเล่าน้ำเสียงก็ยิ่งเกรี้ยวกราดขึ้นทุกที ดวงตาที่เคยหม่นเหม่อเริ่มโฟกัสไปยังความเกลียดชังคนตรงหน้ามากขึ้น “ฉันเกลียด!! เกลียดๆๆ พวกแกคือมารร้ายที่ทำลายชีวิตฉันพังพินาศ ไอ้พวกคนเลว พวกเมียน้อย!!”

เพี๊ยะ!!!

เพี้ยะ! เพี้ยะ!เพี้ยะ!เพี้ยะ! เพี้ยะ!

มือเรียวฟาดลงบนใบหน้าของดินแดนฉาดใหญ่แถมด้วยอาฟเตอร์ช็อคอีกหลายทีแต่ร่างสูงกัดฟันปล่อยให้อีกฝ่ายได้ระบายความเคียดแค้นออกมา เขาหวังว่ามันจะละลายน้ำแข็งที่เกาะอยู่รอบหัวใจของคนตรงหน้าออกได้บ้างเพื่อจะได้ลองฝ่าเข้าไปรื้อค้นปัญหาที่อยู่ภายในนั้นว่ามันคืออะไรกันแน่

บางที คงถึงเวลาแล้วที่จะสะสางปัญหาที่ราคาราซังมานานจนถึงตอนนี้

เพี้ยะ! เพี้ยะ!เพี้ยะ!เพี้ยะ! เพี้ยะ!

นับครั้งไม่ถ้วนสำหรับการระบายอารมณ์ จากตบเป็นทุบ จากทุบแล้วข่วน หยิก ตี มีทุกรูปแบบไม่เลือกพื้นที่ด้วยว่าจะเป็นตรงไหน ทั้งหน้า ลำคอ หรือลำตัว แต่ร่างสูงไม่สะทกสะท้าน ไม่ใช่ไม่เจ็บแต่ระอาเต็มทนกับความเกลียดชังของคนในครอบครัวจึงอยากจะคลี่คลายเรื่องนี้เสียที

ถือซะว่าใช้หนี้แทนแม่ที่มีส่วนทำให้เกิดความบาดหมางในครอบครัวของป๋า แถมยังมีเรื่องของสกายและข้าวจ้าวเข้ามาเกี่ยวข้อง งานนี้เจ็บแค่ไหนก็ต้องทน

แม่พูดเสมอว่าแม่เป็นคนผิด แม่พูดตลอดให้ผมอภัยแม่ใหญ่กับพี่ดอท แม่พูดทุกวันจนถึงวันสุดท้ายที่แม่ตายว่าผมจะต้องปกป้องครอบครัว และวันนี้ผมจะพยายามให้ถึงที่สุด แม่ให้พรผมนะแม่ ให้ผมทำสำเร็จ ทำในสิ่งที่แม่ต้องการ


เพี๊ยะ! ตุบ! ตุบ! ตุบ..

ยิ่งร้องไห้และตีไปพร้อมกันยิ่งทำให้อ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนในที่สุดมือน้อยก็ขยำและเขย่าอกเสื้อของอีกฝ่ายแล้วร้องไห้จนตัวโยน

“ฮืออๆๆ เกลียดพวกแก ฮึก..ฮืออออ”

ดินแดนก้มมองอย่างเวทนา อารมณ์ของร่างเล็กเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเหมือนคนเสียสติก็ไม่ปาน แต่ถึงกระนั้นคำด่าทอก็ไม่ได้ร้ายแรงหยาบคายเกินไปนัก อย่างน้อยชนม์แดนก็ได้รับการอบรมจากแม่ใหญ่ให้เป็นผู้ดีแทบจะทุกกระเบียดนิ้ว จะว่าไปหากเป็นเมียหลวงของบ้านอื่น แม่กับตนอาจถูกทำร้ายร่างกาย หรือวางแผนฆ่าไปแล้ว ซึ่งเหตุผลนี้ทำให้ดินแดนไม่ได้ตอบโต้ความเกลียดชังของบ้านใหญ่แบบร้ายกาจนัก แค่กวนตีนกวนอารมณ์ไปเล่นๆ ส่วนใหญ่ก็จะเกรงใจและเงียบปากไปเองเสียด้วยซ้ำ

ยิ่งในตอนนี้ที่ได้เห็นความทุกข์ความโศกเศร้าราวกับโลกนี้มีเพียงแค่ตัวคนเดียวของชนม์แดนต่อหน้าต่อตา ความตั้งใจที่จะสะสางปัญหาครอบครัวจึงโล่งสะดวกยิ่งขึ้นเพราะหัวใจที่เคยเย็นชาเริ่มละลายด้วยความสงสารเห็นใจ

ดินแดนจับข้อมือทั้งสองไว้แล้วค่อยๆ ดึงมันออกจากอกเสื้อ ดวงหน้าสวยเงยขึ้นพยายามจะรั้งข้อมือให้หลุดออกจึงเป็นโอกาสให้ร่างสูงได้มองสบไปยังดวงตาบวมที่ฉ่ำแฉะไปด้วยหยาดน้ำมากมาย มันไหลล้นออกมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

“ฟังผมให้ดีดีนะ เรื่องแรกที่พี่ต้องรู้ก็คือ ป๋ายังไม่ได้ยกสมบัติให้ใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นแม่ใหญ่ พี่ หรือผม”

“ไม่จริง! อย่ามาโกหกในเมื่อฉันเห็นพินัยกรรมที่มีลายมือป๋า ฉันจำลายมือนั้นได้!”  ชนม์แดนกระชากข้อมืออย่างแรงเพื่อต่อต้านข้อมูลจากอีกฝ่ายแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าตกใจและเคลือบแคลงสงสัยอยู่ในที

ดินแดนนึกแปลกใจที่ได้ยินเพราะจากที่บิดาเคยบอก คือยังไม่ได้ตัดสินใจยกให้ใครเป็นเรื่องเป็นราว ถ้าเป็นอะไรไปในตอนนี้ก็แค่หารสามไปตามส่วน 

“ผมว่าอาจมีการเข้าใจผิดนะเพราะป๋าเคยบอกว่ายังไม่ได้เขียนพินัยกรรม ป๋ารออะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคืออะไร”

“คุณแม่เอามาให้ดูกับตา ป๋าเขียนว่าจะยกบริษัทและหุ้นทั้งหมดให้พวกแก ส่วนบ้านก็ให้อยู่ด้วยกันห้ามขาย” ดวงตาเรียวรียังคงวาวโรจน์ไม่ยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพยายามบอกเล่า

ดินแดนขมวดคิ้วนิ่งคิดทบทวน ยิ่งฟังก็ยิ่งงงเพราะที่ผ่านมาบิดาไม่เคยพูดโกหกซึ่งคงไม่มีทางอื่นที่จะพิสูจน์เรื่องนี้ได้นอกจากถามเอาความจากเจ้าตัว

มือหนาควานหาโทรศัพท์และกดโทรออกทันที

“ชู่วว” เขาใช้นิ้วแตะกลีบปากสีสวยเอาไว้เมื่อเห็นว่าชนม์แดนกำลังจะส่งเสียงออกมา ร่างเล็กนิ่งเกร็งอยู่กับที่เหมือนผีจีนที่ถูกยันต์แปะหน้าผาก  จากนั้นดินแดนจึงกดสปีคเกอร์ให้ได้ยินพร้อมกัน

“ว่าไงไอ้เสือ นึกว่าดังแล้วจะลืมป๋าซะแล้ว” เจ้าสัวแดนสรวงรับโทรศัพท์อย่างอารมณ์ดีจนชนม์แดนได้ยินเสียงถึงกับหน้าคว่ำ

“หวัดดีครับป๋า พอดีมีเรื่องซีเรียสอยากจะถาม ป๋าสะดวกคุยไหม” ดินแดนตอบกลับ ส่วนร่างบางที่ถูกปิดริมฝีปากไว้ก็ขยับหนีสัมผัสจนเมื่ออีกฝ่ายแน่ใจว่าพี่ชายจะไม่ส่งเสียงจึงลดมือลง

“อืมได้สิ ว่ามาเลย” ผู้เป็นพ่อตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น

“คือ.. เรื่องพินัยกรรม ผมถามได้ไหมครับ”  ร่างสูงอ้ำอึ้งเล็กน้อยเพราะไม่รู้จะถามแบบไหนถึงจะดูไม่น่าเกลียด

“พินัยกรรมเหรอ คิดยังไงถึงถามเรื่องนี้ล่ะ ปกติแกไม่เคยอยากยุ่งเรื่องพวกนี้นี่นา”

“พอดีมีคนเคยเห็นพินัยกรรมยกสมบัติให้แม่กับผมโดยเป็นลายมือป๋าด้วย ผมจำได้ว่าป๋าเคยบอกว่ายังไม่ได้เซ็นก็เลยอยากถามความจริงน่ะครับ”

ดินแดนพยายามสรุปย่อเพื่อไม่ให้ปลายสายพุ่งประเด็นไปที่พี่ชายเพราะคิดว่าคงไม่ดีแน่หากจะมีคำเล็กคำน้อยของผู้เป็นพ่อไปกระทบใจคนหัวร้อนที่ตอนนี้เริ่มนิ่งแล้วให้กลับมาสติแตกขึ้นอีกครั้ง

“ไม่เคยนะ ป๋ายังไม่ได้เซ็นสักฉบับ จะมีก็แต่ของตาดอทที่ป๋าเซ็นไว้แล้ว”  เจ้าสัวนึกทวบทวนแล้วตอบอย่างชัดเจน

ดินแดนมองหน้าพี่ชายที่ตอนนี้มีสีหน้างุนงงพลางบุ้ยปากไปที่โทรศัพท์เหมือนอยากจะให้ถามว่าอะไรที่เซ็นไว้แล้ว

“เอ่อ.. ผมถามได้ไหมป๋าว่าที่เซ็นให้พี่ดอทคืออะไรเหรอครับ”

“ได้สิ นี่ก็ว่าจะบอกแกอยู่เหมือนกันเพราะกลัวว่าแกจะน้อยใจที่ป๋าให้พี่ก่อน รอแป๊บนึงนะ” ได้ยินเสียงเปิดลิ้นชักแล้วเงียบไปสักครู่ “ได้ละๆ คือป๋ามีที่ดินตรงรัชดาอยู่สิบกว่าไร่ ตอนแรกจะเก็บไว้ขยายบริษัทแต่สืบรู้มาว่าดอทใกล้จะทำตามที่สัญญากับป๋าได้แล้วก็เลยจะยกที่ดินตรงนี้สร้างเป็นห้องเสื้อหรืออะไรก็ได้ที่เขาต้องการให้เป็นรางวัล แต่แกไม่ต้องน้อยใจนะ ป๋ากำลังคิดอยู่ว่าจะหาอะไรให้แก”

“โธ่ป๋า ผมบอกแล้วไม่ขอรับมรดกจากป๋าแม้แต่อย่างเดียว ผมยังยืนยันคำเดิมนะ” ดินแดนตอบในทันทีซึ่งเมื่อหันมองคนข้างๆ ก็ได้เห็นน้ำตารื้นขึ้นมาอีก

 “ถึงแกไม่อยากได้แต่ป๋าก็ต้องให้ มันเป็นสิทธิ์ที่แกควรได้รับ เคยคิดว่าจะให้ดูแลบริษัทร่วมกันแต่กลัวดอทจะไม่ชอบบริหารสายนี้ ก็เลยอยากถามความสมัครใจก่อน อันที่จริงป๋าอยากให้แกดูแลดอทเขานะ ถึงพี่จะยังไม่เข้าใจแกในตอนนี้แต่วันหนึ่งมันต้องเข้าใจเมื่อทิฐิถูกทำลายแล้วนั่นแหละ”

ในสมองของชนม์แดนค่อนข้างสับสน ยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ยังไม่อยากยอมรับว่าที่ผ่านมามันคือความเข้าใจผิดแบบที่ไม่น่าเป็นไปได้

“แต่ผมก็ยังสงสัยเรื่องพินัยกรรมอยู่ดีครับ” ดินแดนมองคนข้างๆ เหมือนจะเดาใจถูกว่าคนหัวรั้นไม่มีทางเชื่ออะไรง่ายๆ

“อืมนั่นสิ มันยังไงกันนะ” ผู้เป็นพ่อคิดทบทวนอย่างหนักจนในที่สุดก็อุทานขึ้น “เอ๊ะ! ป๋าจำได้แล้ว  ป๋าเคยเขียนพินัยกรรมฉบับร่างไว้  ตอนนั้นรู้สึกปวดหัวกับทัศนคติของตาดอทกับแม่เขาที่แรงขึ้นทุกวันจนถึงขั้นป้าก้อยต้องย้ายหนี  ป๋าห่วงว่าถ้าไม่มีป๋าสักคนแล้วแกกับแม่แกจะอยู่ยังไง ก็เลยจะเขียนให้มรดกเป็นของแกกับแม่ไปก่อนจนกว่าแกจะบรรลุนิติภาวะ แล้วบ้านก็ห้ามขายและให้อยู่ด้วยกันทุกคน แต่คิดไปคิดมาก็ล้มเลิกไปเพราะดูไม่ยุติธรรมกับดอท กลัวมันจะคิดว่าป๋าไม่รักมากขึ้นไปอีก”

ถึงตรงนี้ร่างบางก็เริ่มกระตุกจากแรงสะอื้นแต่ยังคงปิดปากไว้ไม่ให้เสียงเล็ดรอดออกมา หยาดน้ำตาเริ่มไหลลงอาบแก้มเนื้อตัวสั่นเทา

“ป๋าครับ บอกผมหน่อยว่าป๋ารักใครมากกว่ากันระหว่างพี่ดอทกับผม” ดินแดนไม่ปล่อยทิ้งโอกาสในการทำลายกำแพงความเกลียดชังที่ชนม์แดนสร้างเอาไว้

“วันนี้มาแปลก เกิดอะไรขึ้นกับเสือโดดเดี่ยว ปกติไม่เคยสนใจอยากรู้เรื่องครอบครัว วันนี้ผีเข้าหรือผีออกล่ะ”  คนเป็นพ่อถามแต่กลับไม่รอคำตอบ “อืมม ถ้าให้บอกว่ารักใครมากกว่าป๋าตอบได้เลยว่ารักเท่าๆ กัน แต่ถ้าถามว่าห่วงใครมากกว่าก็ต้องตอบว่าห่วงเจ้าดอทมันมากกว่าแก พี่แกมันเจ้าคิดเจ้าแค้น ได้ข้อมูลอะไรจากแม่เขาก็ชอบเก็บเอาไปคิดมาก ป๋าห่วงกับสิ่งที่เขาเลือก กลัวจะเลือกอะไรผิดๆ ให้ชีวิต อย่างทุกวันนี้ที่ไปคว้าเผ่าพงศ์มาเป็นแฟน ป๋าก็คิดว่าดอทมันประชดป๋านะ เจ็บปวดทุกครั้งกับเรื่องนี้ เห็นหน้าเผ่าพงศ์ทีไรป๋าก็รู้สึกผิดทุกที”

“แล้วป๋าโกรธเรื่องที่พี่ดอทเป็นเกย์ไหม ตอนนั้นผมจำได้ว่าป๋าตบหน้าพี่ดอท”  คำว่าขยี้ยังน้อยไปถ้าเทียบกับสิ่งที่ดินแดนกำลังทำ ผู้ชายเจ้าแผนการใฝ่ฝันมานานว่าอยากเอาชนะชนม์แดนให้ได้ในสักวัน

และชัยชนะที่ดินแดนต้องการมากที่สุดก็คือ..ชนะใจ และมันจะต้องเกิดขึ้นในวันนี้

“เฮ้อ เรื่องตอนนั้นเป็นเรื่องที่ป๋าเสียใจมากนะ บอกตรงๆ ป๋าก็ช็อคไปเหมือนกันที่มันบอกว่าเป็นเกย์ แต่ที่ป๋าตบไม่ใช่เพราะมันบอกว่าเป็นเกย์เพราะจะเป็นเพศไหนยังไงก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขอยู่ดีซึ่งก็คงต้องใช้เวลาทำใจหน่อย  แต่ที่ตบวันนั้นเพราะมันบอกว่าจะหาผู้ชายที่ดีกว่าป๋ามาเป็นแฟน ผู้ชายที่รักเดียวใจเดียวไม่มั่วไปเรื่อย ป๋าได้ยินแล้วลืมตัวตบมันไปเต็มแรง มาคิดได้ว่าทำเกินกว่าเหตุก็ตอนที่รู้ว่าแกโดนผลักตกน้ำนั่นแหละ ครั้งนั้นคงทำให้ความเกลียดชังที่เจ้าดอทมีเพิ่มขึ้นจนทำเรื่องแบบนั้นกับแกลงไปได้ ป๋าก็เลยทำโทษแค่ตัดเงินค่าขนมสองเดือนเพราะรู้ว่ายังไงแม่เขาก็ต้องให้อยู่แล้วจึงคิดว่าทำโทษแบบนี้ก็ไม่น่าจะรุนแรงอะไร แต่พอครบกำหนดมันกลับบอกว่าจะไม่รับเงินจากป๋าอีกแถมยังบอกว่าจะหาเงินให้ได้ห้าสิบล้านเพื่อให้ป๋ายอมรับ”

“เรื่องนี้ผมไม่เคยรู้เลยนะ แล้วป๋ายอมเหรอครับ”  ข้อมูลเชิงลึกที่ดินแดนไม่เคยรู้ก็ค่อยๆ เผยออกมาในวันนี้

มิน่าถึงได้งกเงินจนทำเรื่องผิดๆ ลงไป เฮ้อ พี่ดอทเอ้ย   

“ตอนแรกก็คิดว่าดอทมันคงขู่เล่นๆ แต่ที่ไหนได้ พอโอนเงินให้มันก็ถอนมาคืน พอผ่านไปนานเข้าป๋าก็อยากจะดูว่ามันจะทำได้จริงไหม จนมาสัญญาท้าทายป๋าว่าจะสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยลำแข้งตัวเองกลายเป็นเรื่องจริงจัง ป๋าก็เลยไม่กล้าส่งเสียอะไรให้อีกเพราะกลัวว่ามันจะคิดว่าป๋าดูถูกความสามารถแล้วขัดใจตีอกชกตัวขึ้นมา  ก็ได้แต่แอบเช็ครายรับรายจ่ายมันตลอดและก็รู้ว่าทำได้จริงๆ แต่ก็ด้วยวิธีที่ไม่เหมาะนัก ซึ่งตรงนี้ป๋าก็ไม่มีหน้าไปขัดขวางหรอก ได้แต่ช่วยเหลือเด็กสกายนั่นแบบอ้อมๆ เพราะที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ต้นเหตุก็มาจากตัวป๋าเอง”

“ป๋ารู้ทุกเรื่องของพี่ดอทเลยนะครับ แสดงว่าที่ผ่านมาก็ไม่ได้ละเลยชีวิตพี่ดอทใช่ไหม”  ดินแดนยังคงขยี้ต่อไม่หยุด ซึ่งร่างบางที่ตอนนี้ยังคงปิดปากร้องไห้ไม่หยุดเช่นกัน

“ลูกทั้งคน ใครจะทิ้งขว้างได้ลงคอ ป๋าไม่เคยมีความสุขเลยนะที่ทำให้ครอบครัวต้องแตกสลาย ยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าล้มเหลวที่แยกแยะไม่เป็น โกรธแม่แต่ไปลงที่ลูก ตาดอทมันรับแรงกดดันตลอดเพราะป๋าหัวเสียจากแม่ของเขา พอโตขึ้นก็กลายเป็นตรรกะผิดเพี้ยนไปขนาดนี้   ป๋าทำได้แค่ตามดูตลอดก็เหมือนอย่างที่ตามดูแกนั่นแหละ อย่างที่บอกไปว่าตอนนี้ดอทมันก็เก็บเงินใกล้ครบตามสัญญาแล้ว ป๋ามีข้ออ้างจะทำอะไรเพื่อมันได้แล้ว เฮ้อ  ที่ผ่านมาก็อยากชดเชยให้มาตลอดแต่ตัวดอทเองที่ไม่เคยเปิดโอกาสให้ป๋าเลย ยิ่งมีแม่เข้าข้างก็ยิ่งไปกันใหญ่ คุยกันแต่ละทีก็ไม่ได้นาน ดอทมันอคติ ป๋าเองก็ไม่อยากฟังที่มันคิดลบกับแกก็เลยกลายเป็นเพิ่มความไม่พอใจต่อกันมากไปอีก” คนเป็นพ่อระบายออกมาแทบจะไม่หายใจ  “เฮ้อ.. ได้บอกใครออกไปบ้างก็สบายใจดีเหมือนกันนะ คนแก่บ่นซะยาวเลย สรุปจะบอกได้รึยังว่าถามไปทำไม”

“แค่อยากรู้ครับ แต่ป๋าบอกรักพี่ดอทให้ผมฟังหน่อยสิ” ดินแดนยังคงเซ้าซี้ ส่วนร่างเล็กนั้นปิดปากไว้แน่นเพราะกลัวจะหลุดเสียงสะอื้นออกมา “ผมจะอัดเสียงไปให้มันฟัง จะได้รู้ซะทีว่าป๋าทั้งรักทั้งห่วง”

“เอางั้นเหรอ” คนเป็นพ่อลังเล กลัวจะกลายเป็นโมโหเสียมากกว่าที่ได้ยินผ่านดินแดน

“เชื่อหัวไอ้ดินเถอะป๋า” ดินแดนให้คำรับรอง

“งั้นก็ได้..คือ.. ป๋ารักดอทนะลูก รักมากเป็นห่วงมากที่สุดในชีวิต”  น้ำเสียงที่สั่นเครือของผู้เป็นพ่อพุ่งตรงเข้าไปในหัวใจดวงน้อยที่สั่นไหวรุนแรงแทบจะคิดว่าอยู่ในความฝัน “ป๋ารักดอทไม่ได้น้อยไปกว่าใคร ไม่เคยมีแม้แต่วินาทีเดียวที่ดอทจะด้อยค่าในสายตาของป๋าแต่ที่ผ่านมามันอาจจะมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้นระหว่างเราทำให้เราพ่อลูกต้องหมางใจกัน แต่ไม่ว่ายังไง ป๋าก็ยังรักและเป็นห่วงดอทเสมอนะลูก  ส่วนแกเจ้าดิน ป๋าก็รักแกนะ รักลูกของป๋าทุกคน ไม่ว่าดอทมันจะเคยทำอะไรไว้ก็อย่าไปถือโทษโกรธพี่แกเลย ป๋าอยากให้แกดูแลพี่แทนป๋า ถ้าเมื่อไหร่แกกับตาดอทเข้าอกเข้าใจกันได้ วันนั้นคงเป็นวันที่ป๋านอนตายตาหลับ เรื่องนี้คือเรื่องเดียวที่ป๋าห่วง จะทำพินัยกรรมก็ไม่รู้จะทำแบบไหน ได้แต่รอให้แกสองคนเข้าใจกัน ป๋าจะได้ถามความสมัครใจว่าใครอยากเข้ามาช่วยเข้ามาทำตรงไหนได้บ้าง ป๋าเองก็แก่แล้ว มีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ไหนก็ไม่รู้ ความฝันของป๋าคือความสุขของพวกแกสองคนนะ”

“ฮึก..” เสียงสะอื้นของร่างเล็กหลุดออกมาจนได้ “ป๋า..ฮืออๆๆ” ชนม์แดนส่งเสียงเรียกพร้อมกับเสียงร้องไห้โฮ หยิบเอาโทรศัพท์จากมือดินแดนไปถือไว้เองด้วยมืออันสั่นเทา

ความรู้สึกตอนนี้เหมือนได้ถูกปลดปล่อยออกจากกรงขังที่มืดมิดและเหน็บหนาว  แน่นอนว่ายังมีอีกหลายความขุ่นเคืองทว่าปมใหญ่หลวงที่สุดคือความรู้สึกว่าพ่อไม่รัก  เหมือนใจที่เคยคับแน่นได้ถูกขยายออกให้มีพื้นที่เพียงพอที่จะซึมซับสิ่งอื่นนอกเหนือจากสิ่งที่คิดเองประมวลผลด้วยตนเองมาตลอด

‘ไม่รัก’ แค่คำๆ นี้ที่เป็นเหมือนตัวถ่วงของชีวิต มันบั่นทอนกำลังใจเป็นที่สุด  แต่ในวันนี้ที่ได้ยินคำว่า ‘ป๋ารักดอท’ จากผู้เป็นพ่อแบบจริงใจ แถมยังบอกโดยไม่รู้ว่าตนได้ฟังอยู่ บอกรักตนให้ลูกอีกคนที่เคยคิดว่าเป็นลูกรักฟังด้วยซ้ำ แบบนี้จะไม่เชื่อได้อย่างไรว่าสิ่งที่ได้ยินคือความจริง

และเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว แค่คำว่ารักจากพ่อ แค่นี้จริงๆ


“ดอท! ดอทอยู่กับเจ้าดินมันเหรอ” เจ้าสัวละล่ำละลักถาม

“ป๋า.. ฮือออ ดอทขอโทษ ขอโทษที่เข้าใจผิด ฮึก ขอโทษที่ทำให้ป๋าทุกข์ใจกับเรื่องของดอท ขอโทษนะครับ” น้ำตาไหลพรากพร้อมกับร่างกายที่สั่นเทิ้มไม่หยุด

“ไม่ใช่ความผิดของดอทหรอก ป๋าผิดเอง ป๋าขอโทษเรื่องที่ผ่านมา ป๋ารักดอทนะ รักมากๆ ดอทเข้าใจป๋าใช่ไหมลูก”

“ครับ ดอทเข้าใจแล้ว ฮึกก”  ยิ่งได้ยินคำว่ารักมากเท่าไรหัวใจที่แห้งผากก็ฟื้นตัวชุ่มชื่นมากขึ้นเท่านั้น
เพิ่งเข้าใจตัวเองในวันนี้ว่าที่ผ่านมาไม่ได้แคร์เรื่องอื่นใดเลยนอกจากความรู้สึกของผู้เป็นพ่อที่มีต่อตน ต่อให้เขามีบ้านเล็กบ้านใหญ่อีกกี่บ้านก็ไม่สนทั้งนั้น หรือจะมีลูกอีกกี่คนก็ไม่ทำให้ใจพังได้อีก


“เข้าใจกันก็ดีแล้ว มาหาป๋าตอนนี้ได้ไหม มีเรื่องมากมายที่ป๋าอยากบอก อยากกอดทั้งสองคนเลยลูก” เหมือนตอนนี้ผู้เป็นพ่อจะร้องไห้เพราะเสียงนั้นสั่นเครือไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าลูกชาย

ดินแดนค่อยๆ แกะโทรศัพท์ออกจากมือเรียวแล้วตอบกลับไป

“ตอนนี้ยังไปหาไม่ได้ครับป๋า เอาไว้ผมจะพาพี่ดอทไปส่งให้ถึงที่ ไว้โทรนัดเวลากันอีกทีนะครับ ตอนนี้มีเรื่องใหญ่รออยู่ แค่นี้ก่อน สวัสดีครับ จุ๊บๆ”   

ดินแดนวางสายทันทีก่อนที่คนเป็นพ่อจะทันได้ถามอะไรเพราะเสียเวลาไปมากแล้ว เขาไม่อยากให้มันนานเกินไปเพราะคนสองคนที่เขารักกำลังตกอยู่ในอันตราย

มือหนาดึงกระดาษทิชชูซับน้ำตาน้ำมูกให้ร่างเล็กแล้วลูบเส้นผมเสยขึ้นไปด้านหลังก่อนจะเชยคางมนให้มองสบสายตา

“ผมกลับไปแก้ไขอดีตที่แม่เข้าไปเป็นส่วนเกินของชีวิตครอบครัวพี่ไม่ได้ แต่ผมขอยืนยันว่าเราแม่ลูกไม่เคยคิดแย่งชิงป๋าหรือสมบัติอะไรแม้แต่ชิ้นเดียวมาจากพี่  ถามว่ายังโกรธไหมที่พี่เคยทำกับผมสารพัดก็คงบอกว่ามันไม่เคยลบลืมไปจากใจแต่ถ้าถามว่าเกลียดไหมก็บอกได้เลยว่าไม่ได้เกลียดแล้ว จนถึงตอนนี้ที่ได้รู้ว่าพี่ก็มีเรื่องทุกข์ใจไม่ต่างกับผม บอกเลยว่าผมเข้าใจและพร้อมอภัยให้พี่ อยู่ที่พี่แล้วนะว่าจะให้อภัยเราแม่ลูกได้ไหม อยากให้เราสองคนพี่น้องปรับความเข้าใจกันหรือเปล่า”

ดวงตาบวมช้ำปริ่มน้ำตาขึ้นอีกครั้ง ลูกแก้วสีนิลสั่นระริกด้วยความสับสน ผิวหน้าที่เคยขาวผ่องซับสีเลือดมานานจนตอนนี้บวมแดงดูน่าสงสารจนร่างหนาต้องก้มลงจุมพิตหน้าผากเนียนเพื่อปลอบใจ  จะเป็นเพราะอารมณ์ที่ไม่พร้อมจะผลักไสหรืออะไรก็แล้วแต่ ร่างเล็กปล่อยให้น้องชายถือวิสาสะขโมยจูบหน้าผากแบบไม่ได้ปัดป้อง เปลือกตาบางปิดลงยังคงสับสนกับเรื่องราวที่เพิ่งได้รับรู้ ไม่นานนักเขาก็ผละออก

เปลือกตาบางเปิดขึ้นสบมองกับดวงตาคู่คมที่สะท้อนให้เห็นใบหน้าของตนอยู่ในนั้น

“ดีกัน..นะ”  ดินแดนยิ้มในสีหน้าพร้อมกับคำถามสั้นๆ ทว่าตอบได้ยากยิ่ง


ต่อ..
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 6 : ภาวะฟื้นตัว 《17/06/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 17-06-2018 17:36:08

ตอนนี้ในสมองเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ชัดเจนขึ้น แต่ความดื้อรั้นและทิฐิที่มีมานานจนเคยชินมันก็ยากที่จะให้ปลดเปลื้องออกไปในทันทีทันใด

ทว่ารอยจูบบนหน้าผาก ดวงตาคู่คมที่ฉาดฉายความจริงใจ อบอุ่น และอ่อนโยนจนเกินกว่าจะหักหาญตอบปฏิเสธออกไปในทันทีอย่างที่ใจคิดได้  ร่างบางจ้องมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาสั่นระริก

เคยคิดว่า ‘การไม่ยอมแพ้’ คือหนทางสู่ชัยชนะ..

แต่บางครั้ง ‘การยอมแพ้’ อาจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

เพราะได้ตระหนักแล้วว่ามันรังแต่จะทำให้เสียเวลาชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์


“..อืม”  ในที่สุดก็ตอบรับออกมาเบาๆ

มันเป็นการยากที่จะละความเคียดแค้นที่แบกไว้มานานกว่าสิบปีทิ้งไป ความรู้สึกเสียหน้าต่อสู้ห้ำปั่นกับเหตุและผลจนในที่สุดอย่างหลังก็ชนะไปแค่เส้นยาแดงผ่าแปด  ความจริงมันยังมีตะกอนแห่งความชิงชังหลงเหลืออยู่ไม่น้อยแต่ความรู้สึกผิดต่อสกายเป็นดั่งแสงเทียนเล่มเล็กจิ๋วในถ้ำมืดมิด ถึงแม้จะอ่อนแสงทว่าสว่างพอจะที่จะส่องนำไปในทางที่ถูกที่ควร

ดินแดนยิ้มบางๆ มองพี่ชายอย่างนึกเอ็นดู ขนาดยอมดีกันแล้วก็ยังขี้ดื้อทำคอแข็งเหมือนจะบอกเป็นนัยๆ ว่า ‘ถ้าง้อขนาดนี้ จะดีให้ก็ได้’ อะไรแบบนั้น

ขอบคุณนะแม่ แม่อยู่บนสวรรค์กำลังมองลงมาใช่ไหม กำลังยิ้มมองดูความสำเร็จของผมใช่หรือเปล่า ผมทำได้แล้วนะ พี่ดอทยอมใจอ่อนแล้วครับ

ถ้าตัดเรื่องที่เคยเข้าใจผิดกันทิ้งไป ดินแดนคิดว่าพี่ชายเป็นคนที่เพียบพร้อมทั้งร่างกายและความสามารถ  เขานึกฉุนขึ้นมาเมื่อคิดว่าคนเพอร์เฟคอย่างชนม์แดนน่าจะเสียคนเพราะไอ้คนเหี้ยสารเลวคนนั้น!

“คราวนี้บอกผมได้หรือยังว่าไอ้เผ่าพงศ์มันเอาไอ้จ้าวกับสกายไปไว้ไหน” มือหนาละออกจากใบหน้าสวย ไม่เคยคิดว่าจะมีพี่ชายสวยได้ขนาดนี้

“เฮียบอกว่าจะพาไปถ่ายแบบที่เซฟเฮาส์ ใช้เป็นสตูส่วนตัวเพราะไม่อยากให้ใครมารบกวน  แต่ช่วงบ่ายเฮียติดประชุมสำคัญ ตอนนี้พวกนั้นก็ยังปลอดภัยอีกหลายชั่วโมงแหละเพราะถ้าเฮียยังไม่ได้ ใครก็ห้ามยุ่งกับเด็กของเฮีย”  เมื่อได้ยินแบบนี้ คนฟังก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง

“แล้วพี่ก็เชื่อเหรอ” น้ำเสียงในเชิงตำหนิทำให้ใบหน้าสวยง้ำขึ้นเหมือนจะร้องไห้อีกครั้ง “โทษๆ”  มือหนายื่นมาลูบแก้มเนียนเบาๆ “พี่ก็รู้ว่ามันหวังอะไรกับสกายแล้วพี่ยังจะส่งน้องไปให้มันอีก ไม่สงสารมันเหรอ มันทั้งเรียนทั้งทำงานให้พี่มากี่ปี นอกจากเรื่องหยิ่งแล้วมันทำอะไรที่พี่คิดว่ามันเป็นคนไม่ดีมั่ง”

อันที่จริงค่อนข้างเชื่อมั่นว่าคนรักไม่ใช่คนที่จะใช้กำลังหักหาญข่มขืนใครเพราะเขาเองมีทั้งเงินและรูปร่างหน้าตาจึงไม่ใช่เรื่องยากหากต้องการใครสักคน แต่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าสกายอาจจะทำให้เผ่าพงศ์โมโหขึ้นมาแล้วถ้าเขาควบคุมอารมณ์ไม่ได้ อันตรายก็จะเกิดขึ้น

“ก็เพราะเห็นว่าสกายเป็นคนดีไงถึงได้อยากช่วย เฮียสัญญาว่าจะโอนให้สิบล้านให้แบ่งกันคนละครึ่งถ้าเฮียได้นอนด้วยแค่ครั้งเดียว ถ้าสกายได้ห้าล้านก็เอาไปตั้งตัว เสียครั้งเดียวแล้วทุกอย่างก็จบ ฉันเองก็ไม่อยากให้สัญญานี้มันยืดเยื้อนักหรอกแต่ฉันก็ไม่มีทางเลือกมากนักแค่อยากให้ได้เงินใช้แต่มันก็เล่นตัวมาตลอดไม่เคยยอมรับเงื่อนไขของเฮียเผ่าเลยซักครั้ง” ตอนนี้กลับมาคอแข็งหน้าง้ำงออย่างขัดใจ รู้สึกหงุดหงิดที่ถูกต่อว่าเพราะไม่ชอบถูกจับผิด ไม่ชอบเลยจริงๆ

“เฮ้อ พี่ดอทเอ้ย” ดินแดนโยกศีรษะเล็กอย่างหมดคำจะพูด ส่วนคนดื้อก็ปัดแขนของอีกฝ่ายทิ้ง หันหน้าหนีทำปากยื่นอย่างขัดใจ “แต่มันมีอีกใช่ไหม เงื่อนไขที่ไอ้เผ่าพงศ์อยากได้สกาย” มือหนาจับไหล่บางให้หันมาสบตาอีกครั้งพร้อมกับจ้องนิ่งเพื่อเอาคำตอบ

“ก..ก็ เฮียบอกจะเลิกเจ้าชู้ทุกอย่าง เลิกมีเล็กมีน้อย เขาขอสกายอีกแค่คนเดียวก็จะหยุด” ดวงตาคู่สวยช้อนมองและหลุบลงคงเพราะละอายแก่ใจในสิ่งที่ทำ

“พี่กับเผ่าพงศ์เป็นแฟนกันใช่ไหม” ถึงจะเดาได้แต่อยากรู้จากปากว่าความสัมพันธ์ของเผ่าพงศ์และพี่ชายเป็นอะไรกันแน่

“..อ..อืม” 

“พี่รักมันมากก็เลยคิดว่าข้อเสนอที่มันให้มาจะทำให้มันหยุดอยู่กับพี่คนเดียวแถมยังได้ช่วยสกายให้สบายขึ้นด้วย  แบบนี้ใช่ไหม”  มือหนาประกบไปที่ข้างแก้มเนียนเพื่อล็อคไว้ไม่ให้หลบสายตา  “บอกผมหน่อยว่าไม่มีแม้แต่เสี้ยวเดียวที่พี่คิดว่าแบบนี้มันไม่ถูก”

ริมฝีปากบางเริ่มสั่นระริก รู้อยู่เต็มอกว่าเรื่องที่ทำมันร้ายกาจขนาดไหน

“ฉันรู้ว่าแบบนี้มันผิด แต่มันก็ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ตอนนี้แล้ว ถึงฉันจะไม่ได้รักเฮียถึงขนาดนั้นแต่การที่เขาจะมีอะไรกับคนอื่นเป็นคนสุดท้ายก็ทำให้ฉันคิดว่ามันวินวินทั้งฉันและสกายก็เท่านั้นเอง แล้วอีกอย่างเฮียรับปากแล้วว่าจะไม่บังคับข่มขู่ถ้าสกายไม่ยอม”

เมื่อถูกล็อคให้อยู่กับที่ ดวงตาคู่สวยก็ไม่อาจหลบหนีไปตำแหน่งอื่นได้ และในระยะประชิดเช่นนี้ก็ไม่แปลกที่ดินแดนจะได้เห็นว่าดวงตาคู่นี้งดงามและน่าค้นหามากแค่ไหน ทว่าที่ทำให้รู้สึกแปลกก็คือ ร่างกายนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายนั้นสั่นสะท้านขึ้นทุกครั้งเมื่อถูกสัมผัส

“พี่รู้ตัวไหมว่าตัวเองน่ะสวยมากนะ” ดวงตาคู่คมกวาดมองไปทั่วใบหน้าเนียน “สวยจนผมคิดว่าถ้าพี่ไม่ใช่พี่ชาย ผมคงปล้ำพี่ไปแล้ว”

ได้ยินคำพูดในลักษณะเดิมจากปากของคนที่เป็นน้องชายอีกครั้งทำให้ร่างเล็กเริ่มปั่นป่วนจนใบหน้าขึ้นสีจัดร่างกายสั่นสะท้าน  ดินแดนยิ้มในสีหน้าที่คำพูดเพียงเท่านี้ก็ทำให้เลือดลมสูบฉีดไปทั่วตัว ช่างเป็นคนที่ร่างกายไวต่อความรู้สึกจริงๆ แต่เขาไม่รู้หรอกว่าเขาเคยพูดประโยคนี้มาแล้วและมันก็ยังติดค้างในความรู้สึกของคนที่จำได้จนเกิดเป็นรีแอคชั่นแบบที่เป็นในตอนนี้

“พี่มีดีทั้งรูปร่างหน้าตาและความสามารถ ถ้าพี่รักใครและอยากให้ใครรัก คนๆ นั้นไม่มีทางไม่รักแน่นอน และผมก็มั่นใจว่าไอ้เผ่านั่นมันรักพี่แต่ด้วยสันดานเหี้ยของมัน แม้แต่ความรักก็ไม่สามารถหยุดมันไม่ให้ทำเหี้ยได้ ถ้าพี่ไม่ตัดใจแล้วหาคนใหม่ พี่จะยังต้องเจ็บเพราะมันไปจนกว่าจะเลิกกัน พี่เข้าใจที่ผมพูดไหม”

น้ำในดวงตาเรียวรีเริ่มปริ่มขึ้นอีกครั้ง  ชนม์แดนรู้มาตลอดแต่ความรักมันไม่เข้าใครออกใคร ถ้าไม่ถึงที่สุดไม่มีใครถอดใจหรอก อย่างน้อยก็ยังอยากอดทนให้ถึงที่สุด

“เอาล่ะ” มือหนาปลดปล่อยใบหน้าสวยอีกครั้ง “เรื่องของพี่ผมจะไม่ก้าวก่าย ถ้าพี่ตัดใจได้เมื่อไหร่ก็คงพ้นกรรมเมื่อนั่นแหละ แต่ตอนนี้พี่บอกทางไปสตูของมันก่อน ช่วยคนสองคนไม่ให้มีบาดแผลเหมือนที่เราสองคนเคยเป็น นะครับ”

จะอะไรก็ตาม แต่ชนม์แดนไม่เคยคิดทำร้ายสกาย ตรงกันข้ามกลับรู้สึกหลากหลายกับเด็กคนนั้นในแบบที่บางทีก็ยังโกรธตัวเองที่เผลอหวั่นไหวไปกับดวงตาทรงเสน่ห์นั่น

คนตัวเล็กมองน้องชายต่างมารดาด้วยความรู้สึกผิดและอ้อนอยู่ในทีจากนั้นจึงพยักหน้าตกลง 

ดินแดนเพิ่งได้เห็นมุมอ่อนโยนของพี่ชาย ท่าทางเย่อหยิ่งถือดีหายไปเหลือแค่ความน่าเอ็นดูแบบนี้สิถึงจะเข้ากับหน้าสวยๆ


เมื่อเข้าใจกันดีแล้วทั้งคู่จึงเร่งรีบไปยังที่หมาย  ใช้เวลาไม่นานในการเดินทาง เมื่อมาถึงแต่เห็นว่ามีคนเฝ้าอยู่หน้าประตูจึงขับรถอ้อมไปเข้าทางด้านหลังของตึกซึ่งเป็นป่าไมยราบสลับกับไม้เลื้อยเกาะเกี่ยวรกหูรกตาดูน่ากลัว โดยรวมรอบด้านเป็นสถานที่ที่ไม่เหมาะแก่การพักอาศัยเพราะห่างไกลชุมชนแถมยังค่อนข้างเปลี่ยว

ตอนแรกที่คิดไว้คือจะรอจนกว่าเผ่าพงศ์เลิกประชุมแล้วให้ชนม์แดนเจรจาเพื่อยุติเรื่องราวแต่ดินแดนกลัวว่าลูกน้องของเผ่าพงศ์จะฝ่าฝืนคำสั่งเจ้านายจนทำร้ายเหยื่อจึงสรุปกันว่าจะเข้าไปช่วยเหยื่อออกมาเงียบๆ แล้วค่อยให้ชนม์แดนไปคุยกับเผ่าพงศ์นอกรอบเอาเอง

“เนี่ยนะที่เรียกว่าเซฟเฮาส์ สตูส่วนตัว” ดินแดนหันมาประชดใส่ร่างบางที่ถูกจับข้อมือให้เดินตามมาติดๆ “แบบนี้เรียกซ่องเถื่อนมากกว่า”

ร่างเล็กขืนตัวในทันทีจนอีกฝ่ายต้องหยุดเดินแล้วหันมามองเต็มตัว

“แล้วเธอมาแขวะฉันทำไม ก็เฮียเผ่าเขาเรียกแบบนี้จะให้ฉันเรียกอะไรล่ะ” ชนม์แดนทำหน้าหงิกงอ ไม่ชอบที่ถูกประชดประชันหรือตำหนิติเตียน

ไม่ชอบเป็นคนผิด ไม่ชอบ

“โอเคๆ ผมขอโทษ ไม่ว่าแล้วคร้าบบ” มือหนายกขึ้นหยิกแก้มเนียนเบาๆ ทำให้ใบหน้าสวยขึ้นสีและสะท้านสั่นทว่าพยายามเก็บกลั้นอาการอย่างหนัก

ชนม์แดนปัดมือน้องชายออก พยายามข่มความรู้สึกไม่ให้คิดเตลิดไปไกล ท่องไว้ตลอดทางที่ถูกจับข้อมือเดินมาว่านี่คือน้องซึ่งมันยากมากที่จะไม่รู้สึกเพราะเอาเข้าจริง ยิ่งอยู่ใกล้ ดินแดนก็ยิ่งดึงดูด ยิ่งเขาชอบสกินชิป ร่างกายที่อ่อนไหวก็ยิ่งมีปฏิกิริยา แต่จะให้สะบัดปัดป้องหรือบอกอะไรออกไปก็ไม่กล้า มันคงดูแย่ถ้าเขารู้ว่าร่างกายนี้ช่างไร้ศีลธรรมถึงขนาดสั่นไหวไปกับสัมผัสของผู้ที่มีสายเลือดเดียวกัน

ส่วนดินแดนนั้นกลับนึกขำที่ตอนนี้มีคนให้ต้องเอาใจเพิ่มขึ้นมาอีกคน  พี่ชายคนนี้ก็แปลก ตอนเกลียดกันทำท่ายโสจนหมั่นไส้แทบไม่อยากมองหน้า พอตอนดีกันก็อ้อนและอ่อนไหวซะจนอยากยกขึ้นหิ้งไปอีกคน

โชคชะตาไอ้ดินไม่เคยเป็นต่อใครเลยเหรอวะ ต้องเป็นเบี้ยล่างให้บรรดานายฟ้านายสวรรค์ทุกองค์เลยทีเดียว!



“เดี๋ยวผมปีนเข้าไปเอง พี่รออยู่ตรงนี้ก่อน” เมื่อเดินหาจุดที่เหมาะ ตรงนี้มีเนินดินให้ปีนข้ามกำแพงได้

“ไม่เอา ฉันกลัว” มือเรียวดึงชายเสื้อของดินแดนไว้

ร่างสูงมองสำรวจไปโดยรอบแล้วเห็นด้วยว่าไม่ควรปล่อยคนตัวเล็กไว้เพียงลำพังจึงตัดสินใจจะพาพี่ชายไปด้วย

“งั้นก็เหยียบเนินดินตรงนี้แล้วเกาะขอบกำแพงดึงตัวขึ้นไปนะ”

ขาเรียวเล็กภายใต้กางเกงสีเขียวปนเทาอ่อนๆ เหยียบขึ้นไปบนเนินดินแล้วกระย่องกระแย่งกระโดดจับขอบกำแพงไว้ได้แค่มือข้างเดียวแต่แล้วก็ปล่อย

ดินแดนมองอย่างเหนื่อยใจที่พาเคะเต็มรูปแบบมาเล่นบทบู๊ซึ่งไม่ได้เหมาะกันเลยแม้แต่น้อย

“งั้นพี่เหยียบไหล่ผมขึ้นละกัน อะ”  เขายันกำแพงแล้วขยับเข้าไปชิดเพื่อใช้แทนบันไดขึ้นไปจนอีกฝ่ายสามารถขึ้นไปนั่งบนขอบกำแพงได้สำเร็จ “เห็นตัวบางๆ ก็หนักเหมือนกันว่ะ”

“เห็นแบบนี้ก็ผู้ชายนะ” ชนม์แดนค้อนใส่จนอีกฝ่ายอดขำไม่ได้

“จ้าๆ ผู้ช้ายผู้ชาย ถ้าไม่มีไอ้นั่นก็ประกวดมีสทีนไทยแลนด์ได้ละ” ร่างสูงทำท่าจะปีนขึ้นแต่ถูกขาเรียวแกว่งเสยจนเกือบโดนหน้าถ้าหลบไม่ทัน “เฮ้ย ทำอะไรเนี่ย ตีนพี่เกือบโดนหน้าผมแล้วนะ”

“แค่อยากเตะหมาในปากเธอซักตัวสองตัว เสียดายที่ไม่โดน” ร่างเล็กเบะปากกเชิดหน้ามองอย่างท้าทาย

“เดี๋ยวพ่อจับหมกป่าไมยราบซะเลย” ว่าแล้วก็ดึงตัวขึ้นมายืนบนกำแพงแล้วกระโดดลงไปอีกฝั่งก่อนจะอ้าแขนเพื่อรอรับอีกคนที่ค่อยๆ กลับตัวหันมาอีกฝั่งได้อย่างทุลักทุเล

ร่างบางลังเลเล็กน้อยแต่พอเห็นว่าดินแดนตั้งท่ารออย่างมั่นคงจึงตัดสินใจกระโดดลงไปหา

“อึ่ก! อืม หนักจริงๆ นะ” ร่างสูงบ่นเพราะตอนนี้ถูกทับเนื่องจากเสียหลักหงายเก๋งไม่เป็นท่า

“อ่อนหัด”  ชนม์แดนเหน็บเจ็บๆ ลุกขึ้นปัดเศษฝุ่นออกจากตัวแล้วเดินนำไป

ดินแดนมองตามแผ่นหลังเล็กนั้นไปแล้วส่ายหัว

ทั้งๆ ที่ตัวเองหลับตาปี๋ซะขนาดนั้นยังทำมาเป็นข่มคนอื่น เฮ้อ ไอ้พี่ดอทเอ้ย


คล้อยหลังแค่ไม่กี่ก้าว ดินแดนวิ่งตามมาคว้าข้อมือของพี่ชายให้วิ่งตามไปหลบหลังพุ่มไม้ เพียงครู่เดียวก็มีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำแว่นตาดำเดินมาหยุดมองซ้ายมองขวาแล้วคุยกัน

“เสียงนกเสียงหนูมั้งพี่ ลึกลับขนาดนี้คงไม่มีใครมาตามหาหรอก ที่ผ่านมากี่รายๆ ก็ไม่เคยรอดมือเจ้านาย คราวนี้ควงสองก็คงไม่รอดเหมือนกัน ไม่รู้ว่าคราวนี้นายจะใจดีให้พวกเราต่อเหมือนคราวก่อนมั้ย นึกแล้วเปรี้ยวปากว่ะ ไอ้คนนึงนี่หล่อกว่าพระเอกหนังอีก น่าลองสุดๆ”

“กูก็ลุ้นอยู่เหมือนกัน หล่อขนาดนั้นถ้าได้ลองคงเหมือนขึ้นสวรรค์” แล้วสมุนทั้งสองคนก็หัวเราะใส่กันอย่างอารมณ์ดี

ใบหน้าของดินแดนเขม็งเกรียวขึ้นและทำท่าจะพุ่งตัวออกไปแต่ถูกรั้งเอาไว้ด้วยมือเล็กๆ เสียก่อน

“ใจเย็นหน่อยได้ไหม แทนที่จะช่วยได้ก็จะโดนจับไปอีกคน” ชนม์แดนกระซิบเสียงดุ “เหยื่อที่เฮียให้ลูกน้องใช้ต่อ เป็นพวกที่สมัครใจเองเพราะเฮียจะจ้างด้วยเงินถ้าไม่ยอมก็ไม่โดนหรอก ส่วนไอ้พวกนี้เป็นพวกที่ถูกจ้างแบบเฉพาะกิจ ปกติจะมีแค่สองคนที่ตามประกบ แสดงว่าครั้งนี้เฮียเผ่าเตรียมตั้งรับอย่างดีเพราะคงกลัวเธอจะมาป่วน”

ดินแดนข่มตาพยายามตั้งสติให้เย็นลงจนชายชุดดำทั้งสองคนเดินจากไป

“ไปเถอะพี่ ผมกลัวคนของผมเป็นอะไรไป”

ชนม์แดนพยักหน้าแล้วดึงร่างสูงไปอีกทางที่ดูจะปลอดภัยกว่าทางนั้น ทั้งคู่ลัดเลาะไปตามทางลัดเพื่อขึ้นบนตึก ร่างเล็กมองไปรอบๆ ไม่เห็นรถของเผ่าพงศ์ซึ่งแบบนี้มันดีที่สุดที่จะไม่ต้องปะทะกันโดยตรง 

“ชั้นห้าเลยนะพี่” ดินแดนบ่นเมื่ออีกฝ่ายพาเดินขึ้นบันไดแทนที่จะขึ้นลิฟท์

“ก็ชั้นห้าน่ะสิ ดีกว่าขึ้นลิฟท์ให้มันจับได้ก็แล้วกัน”   

ดินแดนจำเป็นต้องยอมลงให้กับความดุของอีกฝ่าย เป็นคนดุที่มีใบหน้าสวย และเป็นคนตัวเล็กที่มีออร่าข่มคนรอบข้างได้อย่างไม่น่าเชื่อ


เมื่อขึ้นมาที่ชั้นห้า ทั้งชั้นมีเพียงห้องขนาดใหญ่เพียงห้องเดียวที่ตั้งอยู่ตรงกลาง มีกำแพงสี่ทิศล้อมรอบและมีประตูเข้าออกแค่บานเดียว ส่วนบริเวณรอบด้านจะเป็นพื้นที่โล่งทั้งหมด 

พอได้เห็นประตูเจ้ากรรมบานนี้หน้าก็ร้อนขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“พี่มีกุญแจไหม” ดินแดนถาม

“ไม่มีหรอก เคยขึ้นมาครั้งสองครั้งตดอนคบกันใหม่ๆ” ร่างเล็กหลบตา

“เสียซิงที่นี่เหรอ” ดินแดนใช้ไหล่กระแทกร่างเล็กเป็นเชิงแซว

“สามวันสามคืนไม่ได้ออกจากห้อง นึกถึงวันนั้นแล้วยังใจสั่นอยู่เลย” ใบหน้าสวยขึ้นสีระเรื่อ

“ใจสั่นนี่คือดีหรือแย่ล่ะ” 

“มันก็พูดยากนะ ถามว่าดีไหม ก็ดีจนลืมไม่ได้” ชนม์แดนลังเลเล็กน้อยแต่ก็พูดต่อ “ต้องทนอยู่ทุกวันนี้ ถึงไม่รู้ว่ามันคุ้มไหมแต่ก็ไม่คิดว่าจะมีใครทำให้ได้เท่าเฮียเผ่าและไม่อยากเปลี่ยนหรือมั่วไปเรื่อย แต่ถามว่าอยากให้มันเกิดขึ้นไหม ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงไม่ทำแน่”

รู้สึกโล่งใจที่ได้บอกเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครได้ฟังบ้าง อาจจะดีกันได้ไม่กี่ชั่วโมงแต่ด้วยออร่าของดินแดน พอเขาเลิกกวนและดูเหมือนจะยอมตามใจทุกอย่างก็ทำให้รู้สึกสนิทใจมากขึ้นเป็นลำดับ

ดินแดนกลืนน้ำลายลงคอแล้วนิ่งไปเหมือนกำลังจินตนาการว่าเผ่าพงศ์ทำอะไรให้ชนม์แดนถึงได้ติดใจจนถอนตัวไม่ขึ้น 

“ผมลองทำให้พี่ไหมเผื่อจะได้รู้ว่าผู้ชายเก่งๆ มีอยู่เกลื่อนโลก”
เพี๊ยะ!
ไหล่หนาถูกตีเต็มแรง

“พูดจาเรื่อยเปื่อย” ถึงจะต่อว่าแต่ใบหน้าสวยขึ้นสีแดงลามไปจนถึงใบหู

“น่ารักว่ะ” ดินแดนหยิกแก้มสีตำลึงสุกอย่างนึกเอ็นดู “เขินจนหูแดง ฮ่าๆๆ”

เพี๊ยะ!
โดนตีไปอีกรอบตามระเบียบ

“หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ยังจะเล่นอยู่ได้” ชนม์แดนปรามเสียงดุ

“ก็พี่บอกว่ารถมันไม่อยู่ก็ไม่ต้องรีบมากก็ได้” ร่างสูงลูบไหล่ตัวเองเพราะรู้สึกเจ็บเบาๆ มือเล็กแค่นั้นไม่ใช่ตีแล้วจะไม่เจ็บ กลับกันคือมือหนักเอาเรื่องเลยทีเดียว “งั้นเอาไงดี เข้าไปเคาะหรือพังเข้าไป”

“เคาะไปก็เท่านั้น ถ้าจะพังคงต้องใช้ระเบิด ห้องนี้ต้องมีกุญแจถึงจะเปิดได้ทั้งจากด้านในและด้านนอก ถ้าคนในนั้นมีกุญแจก็คงหนีออกไปแล้วล่ะ”   

“งั้นเราทำไงดี” ดินแดนมองไปรอบๆ พยายามหาหนทางที่ดีที่สุด

“รอจนกว่าเฮียจะมาแล้วบุกเข้าไปตอนกำลังไขกุญแจ” ชนม์แดนสรุป ตอนแรกคิดจะไม่ปะทะแต่ลืมนึกถึงประตูบานนี้ที่ตนเคยเสียท่ามาแล้วในครั้งนั้นก็เพราะออกไม่ได้นี่แหละ

“งั้นผมขอลองขึ้นไปดูบนดาดฟ้านะ พี่เฝ้าอยู่ตรงนี้ถ้าได้ยินเสียงลิฟท์ขึ้นมาก็รีบแอบหลังห้องไปก่อน”

“ระวังตัวนะ” ร่างเล็กเตือน ร่างสูงพยักแล้วรีบวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้า

“เฮ้อ.. ทำไมเรื่องมันบานปลายถึงขนาดนี้นะ” ร่างเล็กบ่นกับตัวเองแล้วมองไปที่ห้องเจ้าปัญหา หวังว่าเผ่าพงศ์คงเข้าใจที่ตนต้องทำแบบนี้เพราะถ้าเสี่ยงเจรจา ความเสียเปรียบจะตกอยู่ที่ดินแดนทันทีเพราะบุกเดี่ยวเข้ามาถ้าหากเผ่าพงศ์ยอมรับฟังแต่โดยดีก็คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่ยอมขึ้นมาก็คงจะสั่งลูกน้องให้รุมจัดการซึ่งเหตุการณ์มันจะแย่ขึ้นไปอีก

ขอโทษนะเฮีย ดอทไม่มีทางเลือกจริงๆ


“มันมาแล้วพี่ ดูท่าจะหลายคนนะ” ดินแดนวิ่งลงมารายงาน

“เป็นไงเป็นกัน เฮียเผ่าคงไม่ทำอะไรฉันหรอก” ใบหน้าสวยถอดสีเล็กน้อยแล้วหายใจเข้าลึกเพื่อให้กำลังใจตัวเอง

ทั้งคู่พยักหน้าให้กันแล้วไปหลบอยู่ที่เชิงบันไดรอจนลิฟท์เปิดและสองร่างก้าวออกมา 

“ลงไปคุมเชิงอยู่ข้างล่าง กูไม่ไว้ใจไอ้ห่าดินนั่น” เผ่าพงศ์สั่งจบ ลูกน้องก็ผลุบหายเข้าไปในลิฟท์ทันที

“ไปพี่” ดินแดนเอ่ยชวน แล้วพากันย่องขึ้นไปช้าๆ เมื่อเห็นว่าเผ่าพงศ์ไขกุญแจเรียบร้อยแล้วจึงวิ่งเข้าชาร์ตเต็มแรงจนร่างเขากระเด็นไปหลายเมตร 

ชนม์แดนยืนอึ้งกับภาพที่เห็น ไม่คิดว่าจะรุนแรงถึงขั้นนี้  ดินแดนเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับปีศาจ เมื่อเห็นว่าเผ่าพงศ์ล้มลงก็วิ่งเข้าไปซ้ำอีกหลายหมัดจนสะบักสะบอม 

“พอ! พอแล้ว! อย่าทำเฮีย!” เมื่อได้สติ ร่างเล็กรีบเข้าไปกระชากแขนน้องชายเอาไว้ จากนั้นจึงใช้ตัวบังร่างคนรักที่กำลังพยุงตัวลุกขึ้นมา “ทำไมต้องทำรุนแรงแบบนี้ บ้าที่สุดเลย!” น้ำตาเอ่อคลอดวงตาคู่สวยเพราะรู้สึกเสียใจที่เป็นต้นเหตุให้คนรักถูกทำร้ายแบบนี้

“ขอโทษทีผมลืมตัวไปหน่อย” ดินแดนบอกเสียงอ่อยแล้วลูบหลังพี่ชายเบาๆ “งั้นขอมัดก็แล้วกันนะ เบื่อหนังไทยที่ชอบปล่อยให้คนร้ายลุกมาสู้ได้อีก รำคาญ” ว่าแล้วก็ลากเผ่าพงศ์ที่กำลังมึนหมัดเข้าไปในห้อง

ชนม์แดนหน้าซีดเผือด ไม่กล้าห้ามเพราะถ้าไม่มัดแล้วเผ่าพงศ์เกิดสู้ขึ้นมาก็คงจะโดนอัดเอาอีก ครั้งก่อนมีลูกน้องช่วยตั้งหลายคนแต่ยังสะบักสะบอมขนาดนั้น คราวนี้ตัวต่อตัวมีหวังเละเป็นโจ๊กแน่ๆ

ร่างเล็กตามเข้าห้องแล้วล็อคด้วยกุญแจที่ยังคาอยู่ที่ประตูก่อนจะหย่อนลงประเป๋ากางเกงอย่างรอบคอบ

เผ่าพงศ์ได้แต่สะบัดหน้าไล่ความมึนงง เขายังจับต้นชนปลายยังไม่ถูกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กว่าจะได้สติก็ถูกมัดมือมัดเท้าไว้อย่างแน่นหนา

“ไอ้ดินแดน!” เสียงเรียกเกรี้ยวกราดของเผ่าพงศ์ทำให้ชนม์แดนสะดุ้งและมองอย่างรู้สึกผิด

แต่ดินแดนกลับไม่สนใจเพราะตอนนี้มีสองร่างที่สลบสไลไม่ได้สติรออยู่

“พี่ดอทเอาผ้าชุบน้ำให้หน่อยครับ” ร่างสูงรีบเข้าไปช้อนร่างเด็กหนุ่มคนหนึ่งขึ้นแล้วตบหน้าเบาๆ เมื่อเห็นว่าไม่รู้สึกตัวแน่ๆ ก็วางลงแล้วไปดูสกายที่ดูเหมือนจะสะลึมสะลืออยู่แต่ยังไม่ลืมตา

“สกายๆ มึงโอเคไหม” ดินแดนยกร่างสกายให้ลุกนั่งพิงหัวเตียง

“ดอทหักหลังเฮียทำไม” เผ่าพงศ์ตัดพ้อเมื่อเห็นคนรักนำผ้าชุบน้ำไปให้ดินแดน

“ด..ดอท ดอทไม่ได้หักหลังนะเฮีย ดอทไม่เคยขัดถ้าเฮียต้องการสกายแต่ดอทอยากให้สกายยินยอมเองไม่ใช่การมอมยาอะไรแบบนี้” ร่างเล็กเข้าไปใกล้อย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะมีเปอร์เซ็นต์สูงที่คนรักอาจจะหัวร้อนจนถูกทำร้ายเอาได้

“แค่กๆๆ” สกายสำลักน้ำที่ดินแดนป้อนแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น

“ผมอยู่ไหน” 

“มึงโดนลักพาตัวมา” ดินแดนตอบแล้วเช็ดหน้าเช็ดตาให้อีก สกายส่ายหัวพยายามทบทวนความจำ

“ผมจำได้แล้ว ลุงคนขับรถตู้บอกว่าคุณดอทให้ไปถ่ายงานด่วนแล้วพอขึ้นรถตู้ก็มีคนอยู่ข้างหลังเอาผ้ามาโปะจมูกแล้วผมก็หลับๆ ตื่นๆ รู้สึกว่าถูกหามขึ้นลิฟท์แต่จำไม่ได้เลยว่าที่ไหนยังไงบ้าง อ๊ะ แล้วนั่นไอ้จ้าวนี่”  สกายคลานไปหาเด็กหนุ่มที่นอนสลบไสลอยู่กลางเตียง  “จ้าว ข้าวจ้าว ไอ้จ้าวมึงฟื้นสิจ้าว” 


“มึงไม่ต้องเวอร์ขนาดนั้นได้ปะ มันแค่สลบไม่ได้ตาย” ดินแดนเหล่มองร่างที่ไม่ได้สติแล้วเดินเข้าไปใกล้ “เชี่ยนี่ก็ไม่ฟื้นซะที กูบอกไอ้บั๊คแล้วนะว่าห้ามมึงรับงานอะไรแต่ไอ้ห่าขี้ดื้อนี่ต้องโกหกผัวมันว่ามาทำงานให้มหาลัยแน่ กูรู้นะไอ้กาก มึงตื่นมาฟังกูด่าเดี๋ยวนี้เลยนะ!”  ปากก็บ่นไปแล้วจบด้วยการถีบขาคนสลบ

“นี่คุณ!” สกายฟาดขาดินแดนแล้วเอาตัวบังไว้ “มันสลบอยู่จะทำมันทำไมเนี่ย”

“ก็มันสลบอยู่น่ะสิถึงได้ทำ ถ้ามันตื่นกูจะกล้าไหม” ดินแดนก็คือดินแดน เขากวนประสาทแถมยังดูกวนมากขึ้นในตอนนี้เพราะน่าจะหึงสกายกับเด็กที่ชื่อข้าวจ้าว

“ฮ่าๆๆๆ” อยู่ดีดีก็มีเสียงหัวเราะขัดขึ้น ทุกคนจึงหันไปมองต้นเสียงที่กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่าๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ”

“ญาติมึงเสียเหรอ” ดินแดนทำหน้าเอาเรื่อง


ต่อ..
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 6 : ภาวะฟื้นตัว 《17/06/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 17-06-2018 18:08:53
“ฮ่าๆๆๆๆ” เผ่าพงศ์ยังคงหัวเราะต่อเนื่องโดยมีชนม์แดนเก้ๆ กังๆ อยู่ใกล้ๆ คิดว่าจะทำอย่างไรดี

แต่พอดินแดนเดินอาดๆ เข้ามาแล้วง้างมือขึ้นเท่านั้นแหละ

เพี๊ยะ!!

“บอกว่าอย่าทำเฮีย!”  คนเป็นน้องนิ่วหน้าเพราะถูกตบหลังดังเพี๊ยะ ร่างสูงหันมาจะเอาเรื่องพี่ชายแต่พอเห็นหน้าดุๆ ก็กลายเป็นไม่กล้าหือขึ้นมา

“นี่น้องนะ” เขาทำหน้างอ  ในเมื่อเอาเรื่องไม่ได้ก็เปลี่ยนเป็นทวงสิทธิ์สายเลือด “เพิ่งจะดีกันเมื่อกี้เองนะ แทนที่จะเข้าข้างน้องนุ่งมั่ง” มือหนาลากแขนเล็กให้ออกห่างจากเผ่าพงศ์ 

“ก็เธอชอบใช้กำลัง” 

“โอเคๆ ไม่ใช้กำลังก็ได้แต่ไม่ต้องไปใกล้มันนะ อย่างน้อยก็ในระหว่างที่อยู่ต่อหน้าผม” ดินแดนกดไหล่บางลงเพื่อบังคับให้นั่งที่เตียง  “แล้วมึงอะ มึงหัวเราะทำไม” 

“กูเพิ่งรู้ว่าพวกมึงแม่งมั่วกว่าที่กูคิดไว้ซะอีก” เผ่าพงศ์ยิ้มเยาะ

“มั่วยังไง” ดินแดนเท้าสะเอวมองอย่างเอาเรื่อง 

“ตอนแรกนึกว่ามึงกับไอ้เด็กนั่นเป็นชู้กันแค่สองคน ที่ไหนได้ สกายก็เป็นชู้กับมันกลายเป็นสามคนผัวเมีย ฮ่าๆๆๆ”

“พูดภาษามนุษย์กับเขาเป็นไหม หรือนิสัยเหี้ยจนลามมาที่คำพูดด้วย โอ๊ย!” จำเป็นต้องร้องเพราะถูกหยิกแขน “ก็มันกวนตีนผมอะ”

“มึงกับไอ้เด็กนั่นจูบกันในลิฟท์  ส่วนสกายก็มีใจให้มันและคงมีอะไรมากกว่าที่เห็นแน่” 

จากนั้นบรรยากาศของการช่วยเหลือก็กระอักกระอ่วนเพราะรักสามเส้า แต่คนอย่างดินแดนถึงจะหึงก็หึงแบบกวนประสาท เขาไม่ได้พูดออกมาว่าหึงแต่แสดงออกแบบยั่วโมโหเสียมากกว่า

ผ่านไปไม่นานเด็กหนุ่มที่นอนสลบไสลก็ตื่นขึ้น

“ที่นี่ที่ไหนอะ” ข้าวจ้าวมองไปรอบๆ เริ่มจำหน้าคนนั้นคนนี้ได้ “อ้าวไอ้กาย พี่ดิน แล้วก็พี่คนสวยนั่นมาทำอะไร อ้าวนั่น มีคิงคองโดนมัดอยู่ตรงนั้นด้วย เฮ้ย! บอกว่าจะพามาถ่ายแบบ ทำไมกลายเป็นถ่ายหนังวะ เฮ้ย! นี่หนังอะไรมีเตียงด้วย พวกมึงพากูมาถ่ายหนังเอ็กส์เหรอ ไม่นะ! กูยังไม่ได้แว๊กส์ขนตูดเลย โอ้วม่ายยย จะถ่ายAVทั้งทีก็บอกให้กูประทินผิวก่อนเซ่ หลอกมาถ่ายแบบนี้ได้ไง มึงคิดว่ากูจะอายคนอื่นมั้ยถ้าภาพออกไปว่ากูมีขนมีสิวเพียบขนาดนี้น่ะ”

ผั่วะ!!

“โอ๊ยไอ้ห่าพี่ดิน! มึงตบหัวกูทำไมเนี่ย!!” เด็กประหลาดร้องลั่น

คงต้องเรียกว่าเด็กประหลาดเพราะชนม์แดนไม่เคยเจอใครที่ดูล้นและเกรียนได้ถึงขนาดนี้ สถานการณ์ไม่ปกติแถมตัวเองยังสลบเพิ่งฟื้นแทนที่จะกลัวแต่กลับห่วงกลัวคนจะเห็นว่ามีขน

เด็กคนนี้มาจากดาวดวงไหนกัน?

“ขอจัดซักทีเน้นๆ มึงนี่มันเรื้อนไม่รู้เวล่ำเวลา โดนหลอกมาขนาดนี้ โดนโปะยาสลบขนาดนี้ยังมีหน้ามาคิดฟุ้งซ่านกลัวคนเห็นขนตูด มึงนี่มันมนุษย์โลกไหนห้ะ!” ดินแดนโยนผ้าขนหนูใส่หน้า

“มึงไหวมั้ยจ้าว” สกายรีบถลาเข้าไปลูบหลังลูบไหล่ดูห่วงใยเกินกว่าคำว่าเพื่อน

“กูโดนหลอกมาทำมิดีมิร้ายเหรอวะ” ข้าวจ้าวหันไปถามสกาย

“ใช่ ไอ้ที่โดนมัดอยู่นั่นน่ะที่หลอกพวกเรามา แล้วตอนนี้ก็ต้องรีบหนีด้วย” สกายส่งเสียงอบอุ่นห่วงใย

ชนม์แดนมองอย่างนึกทึ่ง ไม่เคยเห็นสกายในบุคลิกแบบนี้มาก่อน เด็กข้าวจ้าวคงเป็นคนสำคัญมากๆ ถึงได้ละลายน้ำแข็งในใจของสกายลงได้ แต่ที่น่าขำคือดินแดนที่ทำหน้าบูดหน้าบึ้งมองดูสองคนห่วงใยกัน

“ฟื้นแล้วก็รีบไปกันเถอะ” ชนม์แดนตัดสินใจเอ่ยขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาคนรัก คุกเข่าลงตรงหน้าด้วยความรู้สึกผิดและเป็นห่วง “ดอทขอโทษนะเฮีย เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ อดทนอีกนิดนะเดี๋ยวเด็กพวกนี้ไปแล้วดอทจะแก้มัดให้” มือเรียวลูบปลอบไปตามใบหน้าสีเข้มด้วยความอ่อนโยนแต่เผ่าพงศ์กลับหันหนี

“พี่ดอทไปด้วยกันกับพวกเราดีกว่า ตอนนี้มันกำลังโมโหพอดีพอร้ายเดี๋ยวโดนมันทำร้ายเอา” ดินแดนบอก

ใบหน้าสวยซีดไปเล็กน้อยแล้วอ้อมแอ้มเหมือนจะตัดพ้อกับคนตรงหน้า

“ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรนี่”

“นี่มึงตบตีพี่กูเหรอ ห้ะ ไอ้หน้าดำ!” ดินแดนชี้หน้าเดินอาดๆ เข้ามาแต่ถูกพี่ชายลุกขึ้นขวางไว้ทั้งตัวแต่คราวนี้เขาไม่ยอมอย่างเคย มือหนาจับไหล่บางให้หันไปหาเผ่าพงศ์แล้วเข่นเขี้ยวใส่ “มึงดูหน้าพี่กูสิ น่ารักขนาดนี้ ตัวบางขนาดนี้มึงยังลงมือลงไม้ได้ลงคออีกเหรอ เชี่ยเอ้ย!!” พยายามจะเข้าไปอัดให้หายแค้นแต่ชนม์แดนรีบหันกลับมากอดเอาไว้แน่น

“พอแล้วดิน ใจเย็นๆ ก่อน”  ร่างเล็กพยายามกล่อม จะไม่ยอมให้คนรักถูกทำร้ายอีกแล้ว “งั้นเดี๋ยวฉันจะไปกับพวกเธอก็แล้วกันจะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง”

ดินแดนหอบหายใจหนักๆ พยายามข่มอารมณ์โกรธเกลียดที่มีต่อเผ่าพงศ์เอาไว้เพราะเห็นแก่อ้อมกอดแรกของพี่ชาย ถึงจะได้มาเพราะต้องการปกป้องคนเลวแต่มันก็คือสัมผัสแรกที่เขาได้รับ

“งั้นให้เวลาร่ำลาหนึ่งนาที” เขาดึงแขนเล็กออกจากเอวแล้วพลิกร่างบางให้หันไปหาเผ่าพงศ์อีกครั้ง

“ถ้าหมดเรื่องนี้แล้วเราค่อยมาคุยกันเรื่องของเราอีกทีนะครับ”  ชนม์แดนพยายามจะเดินเข้าไปหาแต่ถูกมือหนารั้งแขนไว้ไม่ให้เข้าไปใกล้มากเกินไป

“ถ้ารักคนอื่นมากกว่า เราก็ไม่จำเป็นต้องคุยกันอีก” น้ำเสียงตัดพ้อและแววตารวดร้าวส่งผลให้ก้อนสะอื้นจุกขึ้นที่กลางอก  ใบหน้าสวยสลดลง น้ำตาเริ่มปริ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“ดอททำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อเฮียนะ ถ้าปล่อยให้เฮียทำอะไรเด็กสองคนนั้นจริงๆ ต้องโดนเอาเรื่องเอาราวใหญ่โตแน่ เลิกล้มความตั้งใจนี้เถอะ เฮียจะทิ้งดอทก็ได้แต่อย่าทำอะไรแบบนี้อีกเลย นะครับ” ชนม์แดนเกลี้ยกล้อมแต่อีกฝ่ายกัดฟันแน่นสะบัดหน้าหนี

“ไปเถอะพี่ บัวใต้ตมอย่างมันไม่รู้สำนึกผิดบาปอะไรหรอก” ดินแดนชักชวนและพยายามพาร่างเล็กให้เดินออกจากห้อง แต่กว่าจะสำเร็จก็ต้องรออยู่หลายอึดใจ 

“กูเอาคืนพวกมึงแน่!” เผ่าพงศ์ขู่อาฆาต และนี่เป็นเหมือนเชื้อเพลิงที่สาดกระเซ็นลงไปในไฟที่ใกล้มอด

ดินแดนดันร่างเล็กออกไปแล้วพุ่งเข้าไปถีบแข้งเตะขาเผ่าพงศ์รัวๆ

“เอาคืนเหรอมึง นี่แน่ะๆ นี่ๆ โอ๊ย!!” กำลังเตะเพลินๆ ก็โดนบิดสีข้างจนต้องร้องลั่น “ผมเจ็บนะพี่ดอท” เปิดเสื้อขึ้นดูก็เห็นเป็นรอยแดง “พรุ่งนี้ผมจะฟ้องป๋า” โดนคาดโทษแต่ชนม์แดนกลับตีหน้ายักษ์ใส่

“ชอบรังแกคนไม่มีทางสู้นัก โดนซะบ้างจะได้รู้ว่าเจ็บยังไง” ใบหน้าสวยขู่ฟ่อๆ  “ยังจะทำหน้าทะเล้นอีก ไปได้แล้ว”  มือบางคว้าข้อมือของน้องชายให้เดินตาม

“แต่เอาจริงนะ ผมว่าตบมันให้สลบก่อนดีมั้ยจะได้ไม่ตามมาขวาง” ดินแดนยืนลังเลอยู่หน้าประตู

“ยังจะดื้ออีก รีบไปได้แล้ว”

“ไอ้จ้าวพาเพื่อนมึงตามมาสิ” ดินแดนหันไปสั่งเด็กข้าวจ้าวแต่ไม่เอ่ยชื่อสกาย  ชนม์แดนแอบส่ายหัวกับสงครามประสาทแบบติงต๊องของเขา

“ทำไมไม่บอกกันเองวะ” คนกลางอย่างข้าวจ้าวถึงกับบ่นอุบ แต่ไม่มีใครสนใจจะตอบ

“พวกมึงหนีไม่พ้นหรอก” กำลังจะพ้นออกจากประตู เผ่าพงศ์ก็ตะโกนตามหลัง

ด้วยความเร็วประดุจปีศาจ ดินแดนปราดเข้าไปหยิบผ้าขนหนูเปียกชื้นที่ผ่านการใช้งานแล้วเอาไปยัดปากเผ่าพงศ์

“ปากมากจริงนะมึง แดกขี้ไคลไอ้จ้าวซะ!”

เพี๊ยะ!

“อย่าทำเฮีย” 

“ถามจริงเหอะ พี่แกล้งแฝงตัวเข้ามาเป็นพวกแล้วหลอกทำร้ายผมปะเนี่ย” เขาบีบมือเล็กแล้วทำท่าจะบิดแบบฝืนธรรมชาติ “ตีมากๆ เดี๋ยวก็หักมือซะเลย”

ตั้งแต่การสวมกอดจนถึงการจับมือในตอนนี้ ดินแดนเริ่มผิดสังเกตมากขึ้นกับร่างกายที่สั่นสะท้านของชนม์แดน

พี่ดอทเป็นอะไร?


“ก็ลองดูสิ” ใบหน้าสวยเชิดขึ้นท้าทายและแกล้งเนียนดึงมือออกมา

“เห็นแก่หน้าสวยๆ จะยอมให้อีกรอบ ถ้าตีผมเพราะปกป้องไอ้เลวนี่อีกทีนะ ผมจะ..จะ”

“จะอะไร” ร่างเล็กขู่ฟ่อ “คราวนี้ถ้าตอบเหมือนคราวก่อนจะโดนต่อยปากแน่”

“คราวก่อน? คราวไหน?” ดินแดนเอียงหน้าถามอย่างไม่เข้าใจ

“ไม่มีอะไรหรอก ตกลงเธอจะทำอะไรฉัน” ชนม์แดนบอกปัด รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเลยในตอนนี้

“จะ..จะฟ้องป๋า” 

ร่างเล็กเบ้ปากใส่ แต่ลึกๆ ก็โล่งใจที่ดูเหมือนว่าดินแดนจะไม่ระแคะระคายหรือจดจำอะไรในคืนนั้นได้ ก็ดีเหมือนกันถ้าเขารู้ว่าขู่จะปล้ำพี่ชายตัวเองอาจจะรู้สึกผิดก็ได้



จากนั้นทุกคนก็ย่องตามกันลงมาทางบันไดจนถึงชั้นสอง  แต่ยังไม่ทันไรเสียงสัญญาณกันขโมยของตึกก็ดังขึ้น

“ฉิบหายแล้ว มีสัญญาณกันขโมยอยู่ในห้องแน่ เห็นมั้ยบอกให้ตบมันสลบก่อนออกมาก็ไม่เชื่อ” ดินแดนหันไปโวยใส่พี่ชาย

“มัวแต่บ่นอยู่ได้ รีบวิ่งเถอะก่อนที่จะโดนจับได้”

“ตามมาเร็วๆ เห็นอะไรเป็นอาวุธได้ก็หยิบเลย แล้วก็ระวังด้วยเผื่อพวกมันมีปืน” ดินแดนนำทางพรรคพวกย่องออกมาจากทางเดิมแต่ไม่ทันการณ์เพราะลูกน้องเผ่าพงศ์ตามมาเจอเข้าจนได้

“เฮ้ยนั่น! จับให้หมดทุกคนเลย แล้วพวกมึงสามคนขึ้นไปดูนาย เร็ว!”

“วู้ๆๆ”  ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนก ส่วนดินแดนก็กำลังใช้ความคิด สายตาทุกคู่ก็ต้องหันไปตามเสียงแปลกประหลาดจากเด็กข้าวจ้าวที่ทำท่าทำเสียงเลียนแบบบรูซลี

“มึงน่ะตายตัวแรกเลยไอ้จ้าว” ดินแดนเดินเข้าไปสับท้ายทอยของเด็กประหลาดด้วยท่าทางหมั่นไส้ และเมื่อห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะเถียงจึงสั่งเฉียบขาด  “มึงมีหน้าที่แค่หลบให้ดีอย่าเกะกะกูก็พอ  สกายพาสองคนนี้ไปก่อน พยายามอย่าปะทะกับใคร เดี๋ยวกูตามไป”

สกายพยักหน้าทำตามอย่างว่าง่าย ปกติที่ดูเป็นไม้เบื่อไม้เมากับดินแดนแต่พอเข้าโหมดจริงจังแบบนี้ ทั้งคู่ก็ดูจะเข้าขาและเข้าใจกันได้ดีทีเดียว 

“ไปครับ” สกายหันมาทางชนม์แดนแล้วดันหลังข้าวจ้าวพร้อมกับออกวิ่ง


“จะไปไหน อยู่สู้กับกูก่อน” ได้ยินเสียงดินแดนสกัดลูกน้องของเผ่าพงศ์ไว้ เขาโดดเข้าวขวางไว้ทั้งตัว

“ไอ้ห่านี่ที่อัดนายคราวก่อนไงพี่สิงห์”

“งั้นเอามันให้หมอบเลย แต่อย่าให้ตายนะเก็บไว้ให้นายแก้แค้นอีกที” 

ได้ยินแค่นั้นก็เริ่มใจเสียเพราะเป็นห่วงน้องชาย กำลังพะว้าพะวงและหยุดวิ่งแต่ถูกสกายรุนหลังให้เดินหน้าต่อ

“ดินแดนไม่ใช่แค่ปีศาจ แต่ปีศาจเรียกเขาว่าพ่อ คุณไม่ต้องห่วง เขาเอาตัวรอดได้แน่นอน”  ทั้งน้ำเสียงและใบหน้าที่ดูเชื่อมั่นของสกายยามนี้ช่างน่ามอง แววตาที่เคยเศร้าลึกโดดเดี่ยวดูมีความหวังและศรัทธาอยู่ในนั้นซึ่งชนม์แดนได้เห็นเช่นนี้แล้วถึงกับยิ้มในสีหน้าด้วยความโล่งใจ

ฉันดีใจที่เห็นเธอได้พบเจอกับแหล่งพลังงานแห่งความสุขเสียที และฉันก็เชื่ออย่างที่เธอเชื่อว่าดินแดนจะเอาตัวรอดแถมยังจะช่วยพวกเธอให้รอดไปได้แน่นอน



ทางด้านดินแดนที่ตอนนี้จัดการสองคนเสร็จไปแล้ว แต่ได้ยินเสียงหลายฝีเท้าวิ่งกรูใกล้เข้ามาจึงต้องรีบเผ่น

“มันไปทางนั้นแล้ว พวกมึงรีบตามไป”

“นายกำลังลงมานะพี่สิงห์” ลูกน้องคนหนึ่งรายงาน “นายสั่งให้ระวังคุณดอทด้วย”

“เออๆ งั้นพวกมึงระวังคุณดอทด้วยอย่าให้โดนลูกหลง ส่วนกูจะรอนายอยู่ตรงนี้ แล้วอย่าให้พวกมันหนีไปได้นะ” 

ดินแดนหันไปมองแว้บหนึ่ง เห็นได้ว่าไม่ต่ำว่า 7 คนจึงสับขาเร็วกว่านรก  พอวิ่งมาใกล้ถึงกำแพงก็ได้เห็นสกายกำลังใช้ไม้ฟาดสมุนคนหนึ่งอยู่ ส่วนข้าวจ้าวกำลังช่วยชนม์แดนไม่ให้โดนจับตัวด้วยการ..

ใช้ไม้กระทุ้งตูดคู่ต่อสู้..

ถึงจะขำแต่ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานก็ต้องสงบใจไว้ ข้าวจ้าวถึงจะสู้ไม่เป็นแต่ว่องไวและฉลาดเป็นกรดจึงเอาตัวรอดได้ไม่ยาก

“สกายระวัง!” ดินแดนร้องเตือนเมื่ออยู่ๆ มีหนึ่งคนโผล่เข้ามาทางด้านหลังของสกาย เมื่อสกายได้ยินก็หันมองแล้วหลบไม้ได้อย่างหวุดหวิด

ดินแดนพุ่งเข้าไปทันทีและกระโดดเข่าลอยใส่จนล้มลง แต่ไม่จบแค่นั้น เขาตามกระทืบซ้ำจนศัตรูสลบไป

“โทษฐานที่คิดจะทำร้ายเมียกู!” เขาถุยน้ำลายลงพื้นเมื่อรู้สึกว่าเลือดเต็มปาก ดูจากใบหน้าแล้วคงโดนมาพอสมควร

“เมียอะไร?” สกายทำปากขมุบขมิบมองแรงใส่ดินแดน ซึ่งอีกฝ่ายแค่ทำท่ากวนๆ แถมยังยิ้มขำที่คับขันขนาดนี้แล้วยังมัวแต่ห่วงเรื่องโพซิชั่นกันอีก



ระหว่างที่ปีนข้ามกำแพงและวิ่งหนีออกมาก็เกิดการปะทะคารมขึ้น ทั้งคู่ดินแดนสกาย คู่ดินแดนข้าวจ้าว  จนชนม์แดนคิดในใจว่าเด็กพวกนี้น่ะเหรอที่ตนคิดลบด้วย ไร้สาระกันขนาดนี้อย่าว่าแต่คิดลบเลย คิดธรรมดายังไม่ได้เพราะไม่มีใครปกติสักคน

ปัง! ปัง!

เสียงปืนดังขึ้นสองนัด ทุกคนหันไปมองด้านหลังยังไม่เห็นใครตามมาจึงคิดว่าน่าจะเป็นการยิงขู่

“เอาไงดีพี่ มันมีปืนด้วยว่ะ” ข้าวจ้าวถาม

ดินแดนมองรอบตัวเพื่อประเมินสถานการณ์แล้วบอกแผนการ

“อีกประมาณห้าร้อยเมตรจะถึงรถ ใครไม่ไหวก็ไปหลบตรงนั้นเดี๋ยวกูจะ.. เฮ้ย พี่ดอท! พี่โดนอะไร!?”



.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

นิยายหนึ่งตอนต้องยาวขนาดนี้มั้ยยยย
ไม่รู้ล่ะ ยาวก็ต้องทนอ่านกันไปแบบนี้เนาะ
คิดซะว่าพลาดแล้วที่เข้ามาอ่าน 5555
ว่าแต่เจ้าดินมันตกใจอะไร พี่ดอทเป็นอะไรอีก ใครเดาใกล้เคียงที่สุดเอาพี่ดอทไปเลยค่ะ  :impress2:
ขอบคุณสำหรับการติดตามและคอมเม้นต์ด้วย น่ารักที่สุด  :mew1:

ปล. สปอลย์นิสนุงว่าเจ้าสัวแดนสรวงยังมีวิบากกรรมรออยู่อีกในภายหน้า
ใครแช่งนางอยู่เตรียมสงสารได้เลย หึหึหึ


หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 6 : ภาวะฟื้นตัว 《17/06/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 17-06-2018 22:04:08
เป็นพี่น้องกันจำเป็นต้องส่อแววหวานกันขนาดนี้เลยเหรอคะ ถ้าไม่เกรงใจสกายจะชูป้าย #ดินดอท แล้วเนี่ย ส่วนนังจ้าวนั้นไม่เจอกันนานความเรื้อนก็ยังไม่จางหายไปไหนเลยนะ วงวารพี่บั๊คมีเมียแบบนี้
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 6 : ภาวะฟื้นตัว 《17/06/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 17-06-2018 22:48:47
ดอททโดนลูกหลงหรออออออ :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 6 : ภาวะฟื้นตัว 《17/06/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 17-06-2018 23:38:49
เห็นด้วยกับคุณทาจิบาน่าครับ ผมอ่านตอนนี้แล้วก็ยกป้าย #ดินดอท เหมือนกันครับ (หัวเราะ) คือโมเมนต์ให้มากฮะ เหมือนแม่แมวขู่ฟ่อๆกับหนุ่มเลือดร้อนที่ชีวิตโคตรจะไม่เคยมองคนอื่นหรืออะไรเลยนอกจากตัวเอง ถ้ามีดอทมาดึงให้รู้จักมองในมุมคนอื่นบ้าง ก็น่าจะทำให้ไม่ทำอะไรล้ำเส้นหรือล่วงเกินชีวิตคนอื่นตามใจตัวเองไปมากเหมือนเดิมนะครับเนี่ย ผมเริ่มเห็นแววมุ้งมิ้งที่คุณนายน้อยบอกว่าดอทจะเป็นเคะที่น่ารักมากๆมาแล้วลางๆนะครับ (หัวเราะ)

ผมตงิดๆกับอาการของดอทตั้งแต่ตอนแรกๆมาแล้ว ดอทมีอาการ Hysteretic Arousal รึเปล่าครับ? ปกติคนที่มีอาการแบบนี้คือจะถูกกระตุ้นด้วยสัมผัสจากเพศตรงข้ามได้ง่ายกว่าปกติ เกิดอารมณ์ปลุกเร้าทางเพศจากการสัมผัสได้ง่าย ทำให้ดูเผินๆเหมือนจะเป็นคนหื่นตลอดเวลา แต่ปกติอาการนี้มันเกิดจาก sensitivity ที่แรงเกินไปของระบบประสาทกับความไม่สมดุลของฮอร์โมนนะครับ ซึ่งพิจารณาจากร่างกายดอทหรือความสวยที่มากเกินปกติแล้วก็คงจะเป็นไปได้พอสมควร แล้วเห็นเรื่องมาแบบนี้ ผมเองก็ดันคิดไปถึงว่า ถ้าดอทไปเมาๆหรือยังไงดินดันไปเลยเถิดกับดอทเข้าด้วยความอยากรู้เรื่องอาการร่างกาย (ซึ่งก็มีนัยยะในเรื่องเยอะเหมือนกันนะครับว่าดินประหลาดใจกับหลายๆเรื่องที่ดอทแอบเก็บไว้มากขึ้น นี่เป็นสัญญาณที่ดี เพราะว่าจะทำให้คาแรกเตอร์ของดอทมีมิติมากขึ้น) เราน่าจะเห็นอะไรที่มุ้งมิ้งเหมือนกันนะครับ แต่อาจจะต้องให้ดินทำให้ดอทมีทัศนคติต่อเขาที่ดีกว่านี้ขึ้นก่อน ซึ่งก็ต้องมาจากการปรับปรุงตัวเองของดินด้วย มันเป็นอีเวนท์ที่ถ้าเกิดก็น่าสนใจดูมากเหมือนกัน เพราะดินแดนเองก็ดูเหมือนจะห่ามๆ ลึกๆก็ดูเหมือนจะไม่มายด์เรื่องบนเตียงกับใครด้วย (อย่างเรื่องที่แล้วก็ถ้าจะทำกับข้าวจ้าว ก็ทำได้เหมือนกัน)

ตอนแรกผมอ่าน เกือบจะคอมเมนท์อยู่แล้วเชียวว่า ทำไมรายการเจาะใจของเจ้าสัวแดนสรวงมันง่ายยังงี้ฟะ! ยังไม่ทันจะบีบอารมณ์เท่าไหร่เลย มาระบาย น้ำเสียงเครือ 2 ประโยค มันจะดีกันเลยเรอะ!? เฮ้ย เรื่องของเรื่องคือคุณนอกใจนะเว้ย อย่ามากลับคำนู่นนี่นั่น รักลูกน่ะผมโอเค แต่มองไม่เห็นเหรอว่าเพราะคุณทิ้งๆขว้างๆลูกตั้งแต่ตอนเด็ก ไปเห่อดินแดนกับภรรยาน้อย ดอททำอะไรก็ไม่พอใจเพราะว่าคุณไม่ชอบแม่เขา ทำให้ดอทมีแต่แม่คอยเลี้ยงดู ถ้าเป็นอย่างนี้ลูกชายก็ต้องรักแม่มากอยู่แล้วครับ ทีนี้ถ้าคุณทำผิดแล้วไปทำให้แม่เขาทุกข์ใจ ดอทเองก็ต้องยิ่งไม่พอใจคุณเข้าไปอีกสิ แต่พอเห็นคุณนายน้อยบอก โอเค วิบากกรรมยังไม่จบ ผมนี่โอเคเลยครับ รออ่านต่ออย่างเงียบๆ (หัวเราะ)

ฉากที่ดอทพยายามจะให้อภัยตัวเองแล้วแก้ปมเรื่องพ่อไม่รัก บรรยายออกมาได้ดีเลยนะครับ ตรงฉากอารมณ์ของดอทนี่ดีใช้ได้เลย แต่ผมยังไม่อินเท่าไหร่ เพราะว่าฉากเจ้าสัวเคลียร์ปมมาเร็วจนดูง่ายเกินไป ติดจะไม่เมคเซนส์นิดหน่อยและไม่บีบอารมณ์ เดี๋ยวต้องรอดูต่อไปฮะ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 7 : ภาวะฟุ้งซ่าน 《17/06/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 17-07-2018 13:33:54
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.
ต อ น ที่ 7 :  ภ า ว ะ ฟุ้ ง ซ่ า น



ดินแดนเห็นร่างเล็กกำลังก้มมองต้นขาและทันทีที่เขามองตามก็ได้เห็นเห็นเลือดแดงฉานซึมออกมาจากกางเกง

“โดนอะไรมาพี่!” เขาถลาเข้ามาประคองให้นั่งลงแล้วพยายามถลกกางเกงขึ้นแต่แผลอยู่บริเวณต้นขาและมีรอยขาดเป็นทางยาวจึงตัดสินใจฉีกกางเกงออกแทน

ผิวขาวจัดตัดกับสีแดงของเลือดทำให้ดินแดนมองตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจึงได้สติ ส่วนอีกสองคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างก็มองเหตุการณ์ด้วยความเป็นห่วง

“ขาว เอ้ย แดงเถือกไปหมดเลยพี่ โดนเมื่อไหร่แล้วเนี่ย” ดินแดนฉีกเสื้อด้านในของตัวเองออกเพื่อพันแผลห้ามเลือดไว้ก่อน 

“โดนกิ่งไม้มันเกี่ยวตอนวิ่งเมื่อกี้ นึกว่าไม่เป็นไรมากแต่วิ่งๆ ไปขาก็เริ่มชาเลยก้มดูถึงได้รู้ว่าเลือดออกเยอะ” ใบหน้าสวยซีดเซียวมีเหงื่อออกเต็มหน้า

“พี่ไปต่อไหวปะ แผลลึกและยาวน่าดูเลย ขี่หลังผมดีไหม” เมื่อห้ามเลือดแล้วจึงใช้หลังมือซับเหงื่อให้พี่ชาย

“ไม่ต้องหรอก ยังพอไหว” 

“นี่ๆ” อยู่ๆ ข้าวจ้าวก็เดินมาสะกิดไหล่ของดินแดน

“อะไร”

“พี่คนสวยนี่ใครอะ” เด็กประหลาดชี้มายังร่างเล็กที่นั่งหอบหายใจถี่ๆ

“พี่ชายกูเอง”

“พี่ชายจริงอะ”

“ก็จริงไง ถามทำไมวะ”

ข้าวจ้าวชะโงกหน้ากระซิบกับดินแดนซึ่งไม่ควรจะเรียกกระซิบเพราะขนาดสกายที่ยืนคุมเชิงอยู่ห่างๆ ก็ยังได้ยิน

“ถ้าไม่บอกว่าเป็นพี่ชาย ผมนึกว่าพี่กำลังจีบพี่เขานะ งุงิกันเหมือนแฟนเลยอะ จริงไหมไอ้กาย” คนถูกถามนิ่งอึ้งไปและไม่สามารถให้คำตอบอะไรให้ได้

คำพูดของข้าวจ้าวทำให้ใบหน้าสวยขึ้นสีเล็กน้อย รู้สึกประดักประเดิดที่ได้ยินอะไรแบบนี้

“จีบเชี่ยไรของมึง พี่ชายคนละแม่ ไปกันได้ละเดี๋ยวไอ้เหี้ยพวกนั้นตามทัน”  ดูเหมือนดินแดนจะบริสุทธิ์ใจในการกระทำของตัวเองเพราะเขาไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย ธรรมชาติของเขาคงเป็นคนที่ชอบสกินชิพแบบนี้ถือเป็นเรื่องปกติ

แต่กับร่างเล็กที่ถูกสัมผัสใกล้ชิดขนาดนี้กลับรู้สึกไม่ปกติเลยแม้แต่ครั้งเดียว

บุญบาปจริงๆ ชนม์แดนๆๆๆ ทำไมร่างกายมันบ้าบอแบบนี้นะ!

และยิ่งเหมือนฟ้ากลั่นแกล้งให้ต้องติดแหงกอยู่กับสัมผัสเดิมๆ อาการเดิมๆ เพราะดินแดนคอยประกบร่างเล็กเพื่อสังเกตอาการเพราะเลือดไหลซึมออกมาไม่หยุดทั้งๆ ที่ห้ามเลือดไว้เบื้องต้นแล้ว

“พี่ดอทพักก่อนเถอะเดี๋ยวจะแย่” เขาดึงแขนเล็กไว้แล้วหันไปสั่งความกับอีกสองคน “สกายไอ้จ้าวพวกมึงวิ่งไปก่อนเลยเดี๋ยวกูตามไป”

สกายลังเลเล็กน้อยแต่เขาก็พยักหน้าแล้วคว้าแขนข้าวจ้าววิ่งนำออกไป

“วิ่งก็วิ่งอย่างเดียวสิ มึงจะจับแขนทำไมวะ!!” ดินแดนตะโกนไล่หลังซึ่งสกายไม่ได้สนใจอะไรเลย

“เป็นแฟนกันจริงเหรอ กับสกาย” ในที่สุดชนม์แดนก็เอ่ยถาม ถึงจะค่อนข้างแน่ใจแต่ก็อยากรู้ว่าลึกซึ้งกันประมาณไหนแล้ว

“อืม” เขาตอบแล้วพาร่างเล็กไปหลบหลังต้นไม้ใหญ่ “แต่ไม่รู้จะเป็นได้อีกนานไหม มันไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมในการคบกับผมเท่าไหร่หรอก”

“แล้วเด็กที่ชื่อจ้าวนั่นเป็นมือที่สามเหมือนที่เฮียเผ่าบอกจริงเหรอ” ชนม์แดนทรุดนั่งลงอย่างยากลำบากก่อนจะหันมาถามต่อโดยพยายามเบี่ยงความรู้สึกของตัวเองออกจากไอร้อนรุมของมือน้องชาย

“จะว่าใช่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียวนะ แต่ก็มีส่วนอยู่บ้าง” 

“แล้วเป็นของฝั่งเธอหรือฝั่งสกายล่ะ อ่ะ!” ชนม์แดนกัดฟันเมื่ออีกฝ่ายลองเปิดแผลดูอีกครั้งก่อนจะฉีกเสื้อออกมาพันเพิ่มอีกแล้วกดไว้

ดินแดนก็อธิบายความสัมพันธ์อันซับซ้อนและต้นเหตุของเรื่องในวันนี้นั่นก็คือ เผ่าพงศ์บังเอิญไปรู้เห็นความสัมพันธ์ไม่ปกติของดินแดนกับข้าวจ้าวจึงคิดอยากจะเอาคืนดินแดนที่เคยทำเขาไว้อย่างเจ็บแสบที่งานเดินแบบเพชรในครั้งก่อน

“หาโอกาสคุยกับสกายซะ ถึงจะดูหยิ่งและจองหองไปหน่อยแต่ถ้ามองอย่างไม่อคติเธอจะรู้ว่าสกายมีใจให้เธอมากกว่าเด็กคนนั้นซะอีก” ชนม์แดนสรุปในที่สุด

“พี่คิดงั้นเหรอ” ดวงตาคู่คมเป็นประกายขึ้นทันที

“ฉลาดให้มันถูกที่ถูกทางหน่อย เรื่องบางเรื่องอย่าคิดเอาเองถึงเธอจะฉลาดแต่ก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าภายในใจของอีกคนมันซับซ้อนแค่ไหน” ชนม์แดนกลอกตามองน้องชายอย่างระอา

“จริงๆ ก็คิดไว้ว่าคืนนี้จะเคลียร์กับมันแต่ก็มาเจอเรื่องงี่เง่านี่ก่อน”

“ขอโทษแทนเฮียด้วย แล้วก็ขอโทษที่เป็นคนหลอกให้เธอคลาดกับสกาย ฉันไม่คิดว่าจะมีเด็กจ้าวโผล่มาอีกคนและสองจิตสองใจมาตลอดว่าแบบนี้มันไม่ถูกจริงๆ” ใบหน้าสวยสลดลงเมื่อพูดถึงความผิดที่ตัวเองก่อ

มือหนาจับเส้นผมยาวเคลียไหล่ที่ลู่ตกลงมาปิดหน้าให้เสยขึ้นไปตามทรงที่เซ็ตไว้แต่เดิมแล้วลูบไหล่เบาๆ จนร่างบางสะท้านขึ้นอีกครั้ง

“ที่ผ่านมาก็ให้ผ่านไปเถอะพี่ เรามาเริ่มกันใหม่ ผมเข้าใจพี่แล้วว่าเนื้อแท้ไม่ใช่คนเลวอะไร เรื่องที่ยังเป็นปมอยู่เดี๋ยวเราค่อยหาทางแก้ไปทีละเปราะ รู้ไหมว่าผมดีใจนะที่มีพี่ชายจริงๆ กับเขาซะที ไม่ใช่มีแค่ในนามเหมือนที่ผ่านมา” 

อาจจะเป็นด้วยระยะเวลาที่มันยาวนานจนรู้สึกเหนื่อยล้าหมดแรงที่จะเชิดคออีกต่อไป เบื่อเหลือเกินจริงๆ ที่จะจมอยู่กับความเกลียดชังแบบเดิม อีกทั้งคนตรงหน้าก็สลัดทิฐิแล้วอ้าแขนรอรับอยู่ก่อน จึงไม่ยากเลยที่จะกระโดดลงจากกำแพงสูงที่เคยสร้างไว้ในใจ

“ฉันก็ดีใจที่มีน้องชายเก่งๆ อย่างเธอ” ดวงตาคู่สวยช้อนขึ้นมองมีหยาดน้ำรื้นขึ้นจากนั้นก็หยีลงเพราะรอยยิ้มที่แย้มขึ้นอย่างน่ารัก เป็นยิ้มทั้งน้ำตาที่ดูงดงามจนดินแดนรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

ร่างสูงจับมือบางมากุมไว้และถูกกระชับมือตอบ ทั้งคู่ยิ้มให้กันแล้วสวมกอดกันด้วยความเข้าใจ

นี่เป็นกอดแรกของกันและกันอย่างเป็นทางการ


ปัง! ปัง!

สองพี่น้องสะดุ้งผละออกจากกันเมื่อได้ยินเสียงปืนดังอยู่ไม่ห่าง ดินแดนหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาต้นเสียงเตรียมระวังภัย กำลังจะบอกพี่ชายให้ซ่อนอยู่นิ่งๆ แล้วตนจะออกไปดูลาดเลาแต่อยู่ๆ เสียงเผ่าพงศ์ก็ดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่ซ่อน

“มึงออกมาเดี๋ยวนี้ไอ้ดินแดนถ้าไม่อยากให้เมียกับกิ๊กมึงตายโหงด้วยปืนในมือกู”  น้ำเสียงดูเป็นต่อจนดินแดนต้องกลืนน้ำลายคงคอฝืดๆ

และคำตอบของสิ่งที่เขาสังหรณ์ก็ปรากฏออกมาเมื่อข้าวจ้าวกับสกายค่อยๆ เดินกลับมาทางเดิมแต่ที่ทำให้ปวดขมับตุบๆ ก็คือทั้งสองคนยกสองมือขืนเหนือศีรษะคล้ายกับกำลังถูกบังคับโดยคนที่อยู่ด้านหลัง

“กูให้เวลามึงสิบวินาที ถ้าไม่ออกมากูจะยิงทีละคน และถ้ามึงออกมา มึงเลือกเลยว่าจะช่วยคนไหนก่อน ไอ้คนที่ตายมันจะได้รู้ว่ามันไม่สำคัญกับมึง ฮ่าๆๆๆ” 

“ผัวพี่เหี้ยโคตรๆ” ดินแดนหันมากระซิบจนเกือบถูกอีกฝ่ายเงื้อมือขึ้นจะตีแต่แล้วก็นึกแผนดีๆ ขึ้นมาได้

“เอาฉันเป็นตัวประกันสิ เผื่อจะแก้สถานการณ์ได้”

สิบ..

เก้า..

เผ่าพงศ์เริ่มนับถอยหลัง

“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวผมจะเข้าชาร์ตมันจากด้านหลัง พี่รออยู่นี่นะ” ดินแดนไม่รอให้ร่างเล็กตอบอะไร เขาไม่ได้หน้าตัวเมียถึงขนาดจะเอาพี่ชายไปเสี่ยงอะไรแบบนั้นมันไม่คูล 

ร่างสูงย่องอ้อมไปด้านหลังของสกายและข้าวจ้าวเพื่อมองหาตัวต้นเรื่อง


ชนม์แดนอยากจะเอ่ยเตือนให้ระวังตัวและระวังเฮียด้วยแต่ไม่ทัน ใจคอไม่ดีเลยกับสถานการณ์แบบนี้  ค่อยๆ ย่องตามดินแดนไปห่างๆ เผื่อจะได้หาจังหวะเข้าไปขวางเฮียไว้แล้วให้พวกเด็กๆ หนีไปน่าจะดีกว่า 

แปด..

เจ็ด..

หก..

ห้า..

เสียงนับยังคงดังไม่หยุด ชนม์แดนภาวนาขอให้อย่ามีใครเป็นอะไรเลย ห่วงพวกเด็กๆ และห่วงคนรักว่าจะถูกจับถูกดำเนินคดี

ปัง!!

ไอ้จ้าว!!!

เสียปืนดังขึ้นพร้อมกับเสียงตะโกนของดินแดน  เป็นข้าวจ้าวที่ล้มลงและแน่นิ่งไปต่อหน้าต่อตา 

จากนั้นเหตุการณ์แห่งความเป็นความตายดำเนินเรื่อยไปจนในที่สุดชนม์แดนจึงได้สติหลังจากมองตะลึงไปกับการสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่าและสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็รวดเร็วเกินกว่าที่จะตัดสินใจทำอะไรได้ถูก  ร่างเล็กกัดฟันลากสังขารเข้าไปในช่วงเวลาวิกฤติที่สุด

“หยุดเถอะเฮีย!! ถ้าเฮียไม่หยุดก็ฆ่าดอทซะอีกคนสิ!!” ชนม์แดนกระเผกเข้าหาเผ่าพงศ์พร้อมกับน้ำตาที่ไหลพราก  “ดินแดนเป็นน้องของดอท ทุกคนไม่มีใครควรต้องตายเลยนะเฮีย เชื่อดอทเถอะอย่าฆ่าใครอีกเลย ฮืออ”

 รู้สึกสะเทือนใจอย่างถึงที่สุดในตอนนี้ และรู้สึกโทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องทั้งหมด

เผ่าพงศ์เบิกตากับถาพที่เห็น ต้นขาเล็กนั้นถูกพันด้วยเสื้อดำที่ชุ่มไปด้วยของเหลวสีแดงซึ่งกำลังไหลลงเลอะผิวเนื้อและกางเกงสีอ่อน  เขาเดินเข้าหาร่างเล็กด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“เฮียไปฆ่าพวกมันเมื่อไหร่กัน”

“ก็เด็กที่ชื่อจ้าวนั่นไง ตายแล้วหรือยังก็ไม่รู้ถึงได้นิ่งไปซะขนาดนั้น” ชนม์แดนชี้ไปที่..

อ้าว!? ข้าวจ้าวไปไหนแล้ว??

“ตายบ้าตายบออะไรกัน เฮียไม่ได้ยิงมันซะหน่อย เฮียยิงขึ้นฟ้านู่น” เผ่าพงศ์ชี้นิ้วเฉียงขึ้นไปบนอากาศ

ชนม์แดนขมวดคิ้วมุ่นอย่างงุนงง จากนั้นก็เกิดการถกเถียงกันโฉ้งเฉ้งเหมือนเป็นละครซิทคอมเบาสมองเรื่องหนึ่ง ไม่นานนักการต่อว่าต่อขานกันก็จบลงเพราะเสียงโวยวายของชนม์แดน

“นี่มันอะไรกันแน่ ดอทงงไปหมดแล้วนะ!”

“ถามไอ้ห่านั่นเอาเองเดี๋ยวตำรวจจะมาแล้ว ดอทจะไปกับเฮียไหม” เผ่าพงศ์ชวนและจ้องมองบาดแผล ใจจริงอยากจะอุ้มไปโรงพยาบาลซะตอนนี้แต่อาจจะยากสำหรับเขาเพราะตำรวจคงไม่ยอมแน่ “เจ็บมากหรือเปล่าครับ”  เขาคุกเข่าลงตรวจดูด้วยสีหน้าเป็นกังวลอย่างหนัก

ร่างเล็กสั่นสะท้านเมื่อถูกสัมผัส ไม่ว่ามือใครก็ไม่เคยแยกแยะ คอยจะปั่นป่วนฟุ้งซ่านไม่ว่าสถานการณ์แบบไหนก็มีผลกับอาการบ้าๆ นี่ไปหมด

“ย..ยังไม่ไปครับ ขอเคลียร์อะไรๆ แถวนี้ก่อน เฮียหนีไปก่อนเถอะแล้วดอทจะโทรหาทีหลัง” ชนม์แดนกัดฟันตอบปฏิเสธ

“งั้นต้องรีบทำแผลด้วยนะ อ้อ แล้วถ้าตำรวจถามก็ไม่ต้องรับว่าดอทรู้เห็นเรื่องที่เฮียทำ รับปากสิ” มือหนากระชับไหล่บางแล้วนิ่งรอคำตอบ

“ครับ ดอทจะทำตามที่เฮียบอก”

“งั้นเฮียไปละนะ” เผ่าพงศ์ยิ้มพอใจแล้วกอดคนรักอย่างอาลัยอาวอนก่อนจะวิ่งหนีไป 

เห็นแววตาของเฮียแล้วรู้เลยว่าเสียใจ ขอโทษนะเฮีย ดอทขอโทษจริงๆ


เมื่อเผ่าพงศ์ลับตาไปแล้ว ร่างเล็กจึงนึกขึ้นได้ว่ายังมีคนนิสัยไม่ดีที่ยังลอยนวลอยู่อีกหนึ่งคน จึงตะโกนชื่อเขาออกมา เป็นจังหวะเดียวกับที่สกายตะโกนออกมาเช่นกัน

“ดินแดน!!” เจ้าของชื่อนั่งยิ้มแห้งๆ มองคนนั้นทีคนนี้ที

“คือ..เรื่องมันยาวน่ะ” เขาเริ่มแก้ตัว “แต่ขอเวลาแป๊บนะ  ไอ้จ้าว! ไอ้เชี่ยจ้าวมึงออกมา!” เขาเรียกหาข้าวจ้าวเสียงดังลั่นแล้วไม่นานนักเด็กประหลาดก็โผล่ออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ ยิ้มแห้งๆ มาแต่ไกล

ไอ้เด็กสองคนนี้คงมาจากดาวดวงเดียวกันแน่ๆ ทั้งนิสัยใจคอและความล้นความเกรียนแถมยังจอมมายาซะอีก เฮ้ออ เสียน้ำตาไปตั้งเยอะเพื่ออะไรกันเนี่ย!


หลังจากนั้นดินแดนก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นรวมถึงความช่วยเหลือจากเพื่อนที่ชื่อกระทิง มีอะไรให้ตื่นเต้นเยอะแยะไปหมดและดูเหมือนว่าแผนการร้ายแรงที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ทำให้เกิดเรื่องดีๆ ขึ้นหลายอย่าง  อาทิ ชนม์แดนและดินแดนได้ปรับความเข้าใจกันและเป็นฝ่ายน้องชายที่เห่อพี่จนแทบจะอุ้มเดินไปไหนมาไหน   

ได้รู้จักกับเด็กประหลาดชื่อข้าวจ้าวแฟนของบั๊คซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของดินแดนเป็นครั้งแรก คนไร้มนุษยสัมพันธ์ขั้นติดลบอย่างชนม์แดนรู้สึกทึ่งในความทะเล้นกวนเกรียนของเด็กหนุ่มจากวีรกรรมที่ได้ผจญร่วมกันมา และนึกอิจฉาความมีชีวิตชีวาของเด็กหนุ่มจนนึกอยากทำได้แบบนั้นบ้าง

ความสัมพันธ์ของดินแดนและสกายยังคงคลุมเครือว่าใครอยู่โพซิชั่นไหน ซึ่งจุดนี้ชนม์แดนค่อนข้างคาใจอยู่พอสมควร   ส่วนรักสามเส้าระหว่าง ดินแดน สกาย และข้าวจ้าว เป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากเกินกว่าที่จะเข้าใจแต่ก็พอจะเดาได้ลางๆ ว่ามันคือความผูกพันและความรักแบบจริงใจของคนทั้งสามคนซึ่งก็เป็นเรื่องราวที่น่ารักปนตลกร้ายที่ชนม์แดนสังเกตเห็นว่าสกายนั้นมีใจให้ดินแดนมากกว่าที่ดินแดนคาดคิดไว้

เหตุการณ์ต่อจากนั้น บั๊คแฟนของข้าวจ้าวพาตำรวจตามมาจับลูกน้องที่หนีไม่ทันแล้วพาไปดำเนินคดีที่สถานีตำรวจ ส่วนเผ่าพงศ์เข้ามอบตัวและใช้หลักทรัพย์และตำแหน่งของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติซึ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่เขารู้จักช่วยประกันตัวออกมาต่อสู้คดี  ซึ่งดูแล้วก็คงจะหลุดได้ไม่ยากเพราะเจ้าทุกข์แค่ให้ดำเนินการไปตามกระบวนการ


“คุณแม่กลับก่อนก็ได้ครับ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่” ร่างเล็กที่อยู่ในชุดของโรงพยาบาลยิ้มอ้อนผู้เป็นแม่ที่มาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่ได้รู้ข่าว

“ไม่อยากให้แม่นอนเฝ้าเหรอลูก” เธอซึมลงเมื่อนึกถึงสามีที่มาเคาะประตูเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วแต่เธอก็ไล่ตะเพิดไปเพื่อไม่ให้มายุ่งกับลูกชาย

“ถ้าคุณแม่มานอนเฝ้า ดอทก็ไม่ได้ทานข้าวฝีมือคุณแม่น่ะสิ อาหารโรงพยาบาลไม่อร่อยนี่นา” ชนม์แดนทำหน้าอ้อน

“ไม่ใช่ว่าอยากให้ใครเข้ามาแทนแม่เหรอ” รู้สึกสะเทือนในอารมณ์เมื่อรู้สึกว่าลูกไม่ต้องการ

“โธ่คุณแม่ครับ ดอทแค่อยากให้คุณแม่พักเต็มที่ แล้วก็อยากทานอาหารอร่อยๆ แค่นั้นเอง” ตีหน้าเศร้าอ้อนเพิ่มไปอีก

“จ้ะๆ งั้นแม่อยู่อีกพักหนึ่งแล้วค่อยกลับก็แล้วกัน” เธอบอกแล้วปลอกผลไม้ใส่จานให้ลูกชาย

“กระต่ายแอปเปิ้ลของคุณแม่อร่อยที่ซู้ดดดด” ลูกชายขี้ประจบหยิบแอปเปิ้ลรูปกระต่ายเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย

ฝีมือทำอาหารและแกะสลักผลไม้ของคุณรุ่งฤดีนั้นถือว่าหาตัวจับยาก เธอโตขึ้นมาในครอบครัวที่ดีพร้อม รูปร่างหน้าตาดี การศึกษาดี ต้นตระกูลเป็นผู้ดีเก่าเป็นคนในรั้วในวังซึ่งเธอก็ได้ร่ำเรียนวิชางานครัวมาไม่น้อยเลย

ถ้าตัดเรื่องอคติที่เกี่ยวกับเจ้าสัวออกไป เธอคือผู้หญิงที่โปรไฟล์ระดับพรีเมี่ยมเลยก็ว่าได้ และเพราะความเพียบพร้อมนี้จึงสร้างบาดแผลในใจให้เธออย่างมากในวันที่สามีพาเมียอีกคนพร้อมลูกในท้องเข้ามาเลี้ยงดูในเขตรั้วเดียวกัน

มันเป็นความอัปยศอย่างถึงที่สุดเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมีได้ หากเรื่องนี้จะโทษว่าใครผิด เธอขอโทษทุกคนโดยเฉพาะผู้หญิงหน้าด้านคนนั้น


“ยังเจ็บแผลหรือเปล่าลูก” เมื่อเห็นว่าลูกชายกินอิ่มและตาปรือแล้ว คุณรุ่งฤดีจึงเตรียมตัวกลับ

“ตอนนี้ไม่ค่อยปวดแล้วครับ ยาคงออกฤทธิ์อยู่”

“งั้นพรุ่งนี้แม่จะทำกับข้าวอร่อยๆ มาให้นะ พักผ่อนเยอะๆ อย่าให้ใครมากวนล่ะ บอกไปเลยว่าอยากพัก”

“ครับคุณแม่” ร่างเล็กรับคำเพื่อให้แม่สบายใจ




“ป๋าครับ คุณแม่ไปแล้ว ป๋ายังอยากมาหาดอทหรือเปล่าครับ”  ชนม์แดนกดโทรศัพท์หาผู้เป็นบิดาหลังจากมารดาคล้อยหลังไปสิบกว่านาที

“ไปสิ เดี๋ยวป๋าขึ้นไป ป๋านั่งรอที่ร้านกาแฟในตึกนี้แหละ”

“ครับป๋า” ตอบรับแล้วกดวางโทรศัพท์ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ ใจจริงก็ลุ้นว่าคนเป็นพ่ออาจจะกลับไปแล้วเพราะผ่านมาตั้งสามชั่วโมง ปกติเจ้าสัวไม่ใช่คนที่จะเสียเวลารออะไรที่ไม่มีความสำคัญแต่ครั้งนี้ทำให้คนคิดมากยิ้มออกมาได้


“ดอท..” เมื่อเปิดประตูเข้ามา เจ้าสัวก็รีบเข้าไปหาลูกชาย

“ป๋า..”

มันเป็นความตื้นตันจนยากจะหาคำใดมาพูดเอ่ย ทั้งคู่แค่ยิ้มบางๆ มองกันและกันด้วยความรู้สึกโล่งใจที่หลุดพ้นจากความอึดอัดที่มีให้กันมานาน

“เจ็บไหมลูก” คนเป็นพ่อเอ่ยถามพร้อมกับน้ำตาที่รื้นขึ้น  ในใจอยากจะกอดลูกใจแทบขาดแต่ด้วยความละอายใจ เขากลัวว่าลูกชายจะยังมีความเกลียดชังหลงเหลืออยู่จึงพยายามเก็บงำความต้องการเอาไว้

“คุณหมอฉีดยาให้เลยไม่ค่อยเจ็บครับ แต่ถ้าหมดฤทธิ์ยาก็น่าจะปวด”

“ป๋าขอโทษนะ” หยาดน้ำเอ่อล้นออกมาเมื่อเห็นสภาพของลูก

รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนนั่งแทบไม่ติด หลังจากดินแดนโทรมาบอกก็รีบมาทันทีแต่เจอกับภรรยาที่หน้าห้องและถูกไล่ตะเพิดพร้อมกับการกล่าวโทษว่าที่ลูกต้องเจอแบบนี้ก็เพราะตน

ซึ่งมันเป็นความจริง และมันเจ็บปวดจนแทบไม่กล้าสู้หน้า

ชนม์แดนได้แต่เงียบและมองดู ไม่เคยเห็นเจ้าสัวอ่อนแอขนาดนี้มาก่อน

“ถ้าป๋าดีกับดอทมากกว่านี้ ดอทคงไม่ไปคว้าเผ่าพงษ์มาเป็นแฟนและไม่ต้องเจอกับเรื่องแย่ๆ ทุกอย่างมันเป็นเพราะป๋าทั้งหมด ป๋าเป็นหัวหน้าครอบครัวแต่จัดการปัญหาได้ไม่เอาไหน ทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่และดูเหมือนมันจะเลวร้ายกว่าเดิมด้วยซ้ำ รู้หรือยังว่าแม่ของลูกจะฟ้องหย่าป๋าแล้วนะ”

“ฟ้องหย่า!? คุณแม่ไม่เห็นบอกดอทเลยนี่ครับ แล้วที่จริงป๋าก็เคยขอหย่าแต่คุณแม่ไม่ยอมแล้วจู่ๆ ..หรือว่า.. เป็นเพราะเรื่องที่ป๋าจะมีลูก..”

“อืม คงเป็นเรื่องนั้น” เจ้าสัวคอตกและดึงเก้าอี้มานั่งข้างเตียง “ตอนแรกป๋าคิดว่าหมดรักต่อกันแล้วก็หย่ากันให้หมดเรื่อง แต่พอเอาเข้าจริง ป๋าก็ได้รู้ว่าป๋าไม่เคยเกลียดแม่ของลูกและยังรอให้เขามาเข้าใจ  ที่ผ่านมามันเป็นแค่ความรู้สึกผิดหวังของป๋ามากกว่า ป๋ามันเห็นแก่ตัวที่หวังจะให้เขายอมรับทุกอย่าง อยากให้เขาเป็นเมียที่รับอะไรได้ง่ายๆ”

ชนม์แดนนิ่งฟังโดยไม่ได้ให้ความเห็นอะไรออกไป จะว่าเข้าใจป๋าก็เข้าใจแต่เรื่องนี้ตนก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบและเอาเข้าจริงก็อดที่จะโทษบิดาไม่ได้ที่ทำให้เรื่องมันยุ่งเหยิงแบบนี้

“ดอทถามได้ไหมครับ.. ว่าป๋ามีลูกกับผู้หญิงคนอื่นจริงหรือเปล่า”

ผู้เป็นพ่อเงยหน้ามองลูกด้วยความรู้สึกเจ็บปวด รู้สึกละอายและหวาดหวั่นว่าลูกจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมและลงเอยด้วยความไม่เข้าใจกันอีกครั้ง

“ป๋า..”

ผู้หญิงนั่นท้องจริงๆ สินะ

“แน่ใจเหรอครับว่าเป็นลูกป๋า” ชนม์แดนพอจะเดาออกจากท่าทีของบิดา ถึงจะสะเทือนอยู่บ้างแต่เพราะได้เรียนรู้มามากจึงทำให้หัวใจดวงนี้แกร่งขึ้นพอที่จะรับมือกับเรื่องราวอย่างคนที่เป็นผู้ใหญ่เขาทำกัน

อยากทำได้แบบดินแดนบ้าง เด็กคนนั้นละทิ้งทิฐิออกไปได้ก่อนทั้งๆ ที่ตนเป็นผู้ถูกกระทำมาตลอดจนเกือบตายด้วยซ้ำ ฉันจะไม่ยอมแพ้นายเด็ดขาด..ดินแดน

“ป๋าให้เขาคุมกำเนิดไว้แล้วแต่อยู่ๆ เขาก็ท้อง ซึ่งป๋าก็ทิ้งความรับผิดชอบไม่ได้”

“แล้วป๋าเคยตรวจร่างกายบ้างหรือเปล่าครับว่าป๋ามีลูกได้อีกจริงหรือเปล่า”

“หลังจากรู้ว่าเขาท้อง ป๋าก็แอบไปตรวจร่างกายตัวเองเพื่อความแน่ใจเหมือนกัน แต่ผลก็ออกมาปกติไม่ได้เป็นหมันและเชื้อก็ยังแข็งแรงดี”

“งั้น.. ถ้าดอทขอให้ตรวจดีเอ็นเอตอนเด็กคลอด ป๋าจะขัดข้องหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าดอทจะดื้อดึงอะไรแต่ถ้าจะรับว่าใครเป็นน้องจริงๆ ดอทก็อยากแน่ใจว่าเขาเป็นสายเลือดเดียวกันไม่ใช่ย้อมแมวเป็นลูกใครที่ไหนก็ไม่รู้”

“รับ..เป็นน้อง?” เจ้าสัวทวนคำแบบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“ครับ”

“ดอท” รอยยิ้มของผู้เป็นพ่อคลี่ขึ้นเมื่อแน่ใจแล้วว่าลูกชายยอมรับเรื่องนี้ได้ “ได้สิ แค่ดอทยอมรับ ป๋าจะทำทุกอย่างให้ดอทสบายใจ”

“งั้นก็เลิกทำหน้าเศร้าได้แล้วครับ กว่าเราจะเข้าใจกันได้ดอทก็ต้องจมอยู่กับความทุกข์มานานมากแล้ว ต่อไปนี้ดอทจะพยายามเข้าใจอะไรให้ง่ายขึ้น ชีวิตจะได้ไม่ยากเหมือนที่ผ่านมา”

“ขอบใจนะลูก” เจ้าสัวลุกขึ้นคว้าตัวลูกชายเข้ามากอดไว้แน่น “ที่ผ่านมาป๋าผิดเอง ป๋าน่าจะอ่อนโยนกับดอทมากกว่านี้ แต่ป๋าสัญญาว่าจากนี้จะเลิกเอาเรื่องของแม่มาปะปนกับเรื่องของดอทนะ ป๋าขอโทษนะลูก ยกโทษให้ป๋า ยกโทษให้ความไม่เอาไหนของป๋านะ”

น้ำตาแห่งความสำนึกผิดหลั่งไหลออกมามากมาย เป็นอีกครั้งหลังจากที่เสียแม่ของดินแดนไปก็มีครั้งนี้ที่ลูกผู้ชายซึ่งยืนหยัดมาด้วยความลำแข้งอย่างเจ้าสัวแดนสรวงต้องสะเทือนอารมณ์จนสะกดกลั้นไว้ไม่ไหว

“อย่าร้องไห้สิครับ ดอทโอ๋ใครไม่เก่งนะ” มือเล็กตบลงที่ไหล่ของผู้เป็นพ่อหลายทีเป็นการปลอบ

เจ้าสัวดันตัวลูกชายออกแล้วเอียงหน้ามองก่อนจะปาดน้ำตาให้ ส่วนมือเรียวก็เอื้อมซับหยดน้ำที่แก้มให้ผู้เป็นพ่อเช่นกัน

“แกก็ร้องเหมือนกันไม่ใช่เหรอ มาว่าแต่ป๋า”

ทั้งคู่หัวเราะขำเบาๆ ในความขี้แยของอีกฝ่าย แต่แล้วเจ้าสัวก็ค่อยๆ หุบยิ้มลง

“เรื่องของแม่ ดอทอยากให้ป๋าทำยังไง”

“เรื่องนี้ดอทขอคุยกับคุณแม่อีกทีแล้วค่อยบอกป๋านะครับ ดอทคิดว่าคุณแม่ยังรักป๋าอยู่นะไม่งั้นคงไม่โกรธขนาดนี้ ที่ผ่านมาก็น่าจะรอให้ป๋ายอมก่อนแต่พอรู้เรื่องที่ผู้หญิงของป๋าท้องก็เลยตัดใจเด็ดขาดแต่ถึงขั้นฟ้องหย่ายังไงป๋าก็เตรียมรับมือไว้นะครับ ดอทอาจจะช่วยอะไรมากไม่ได้”

“อืม ป๋าเข้าใจ ป๋ามันโง่เองที่คิดไม่ได้ ถ้าป๋าใช้ไม้อ่อนตั้งแต่แรกเรื่องก็คงไม่บานปลายแบบนี้ ครอบครัวคงจะไม่..”

“ดอทจะไม่บอกป๋าหรอกนะครับว่าอย่ารู้สึกผิดเพราะในใจจริงๆ ดอทก็ยังเคืองไม่หายหรอก  แต่ป๋าแค่รู้สึกผิดในใจอยู่คนเดียวก็พอไม่ต้องเอามาแบ่งให้ดอทรู้เพราะจากนี้ไปป๋ามีหน้าที่ทำให้ดอทมีความสุข เข้าใจไหมครับ”

“หืม? เป็นคนแบบนี้เหรอเรา” เจ้าสัวมองลูกชายอย่างหมั่นเขี้ยว “ที่ผ่านมาก็นึกว่าเป็นแค่เด็กเก็บกดเจ้าคิดเจ้าแค้น ที่ไหนได้เป็นเด็กเจ้าเล่ห์ด้วยเหรอ”

“ไม่รู้ล่ะ ป๋าต้องไถ่โทษ” เชิดหน้าอย่างคนเป็นต่อจนถูกผู้เป็นพ่อขยี้เส้นผมจนยุ่งเหยิง

“ครับๆ ป๋าจะไถ่โทษให้จะตามใจลูกชายป๋าทุกอย่างไม่ขัดใจอีกแล้ว พอใจไหม”

“พอใจมากครับ” ร่างเล็กยิ้มตาหยีก่อนจะตอบรับอ้อมกอดจากผู้เป็นพ่ออีกครั้งแต่คราวนี้เจ้าสัวลูบหลังเน้นๆ แสดงความรักและดีใจไปพร้อมกัน

“ตัวสั่นจัง หนาวเหรอลูกเดี๋ยวป๋าเพิ่มแอร์ให้นะ” คนเป็นพ่อไม่เอะใจกับอาการแปลกๆ ของลูกชาย พาซื่อคิดว่าเพราะหนาวไปเสียอย่างนั้น

“หนาวๆ ร้อนๆ อาจจะเป็นไข้มั้งครับ” ชนม์แดนตอบเลี่ยง

“อืม งั้นก็นอนพักสักหน่อย แผลอาจจะระบมมีไข้เดี๋ยวป๋าอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าเจ้าดินจะมา” ว่าแล้วก็ประคองลูกชายให้นอนลงแล้วนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง

เฮ้อ จะบ้าตายกับไอ้โรคบ้านี่  กอดป๋าก็ไม่ได้หรือไง นี่พ่อนะจะสั่นทำไม บ้าบอที่สุด!




ต่อ..
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 7 : ภาวะฟุ้งซ่าน 《17/06/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 17-07-2018 13:38:17
กว่าดินแดนจะมาก็ค่ำเพราะต้องไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจ ร่างสูงเดินนำเข้ามาตามด้วยสกายที่ยกมือไหว้เจ้าสัวอย่างนอบน้อม

“คราวหลังถ้ามีเรื่องมีราวกันแบบนี้แกต้องรีบบอกป๋านะ เห็นไหมว่าทำพี่เจ็บ” เจ้าสัวตำหนิดินแดน

“ขอโทษครับป๋า ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเลยเถิดถึงขนาดนี้” ดินแดนเข้าไปกอดบิดาที่ยังดูดีทั้งหน้าตาและรูปร่าง

สกายมองอย่างนึกทึ่งที่เขายังดูดีขนาดนี้ทั้งๆ ที่อายุเลยเลขห้าไปแล้ว นึกใจในว่าเพราะแบบนี้ทั้งคนพี่และคนน้องได้หน้าตาดีกันทั้งคู่

“อย่าไปโทษดินเลยครับป๋า ดอทเองแหละที่ไม่ระวัง” ชนม์แดนออกรับแทน “และอีกอย่างก็เป็นดอทเองที่มีส่วนทำให้เรื่องมัน..”

“พอๆๆ” มือหนาของดินแดนแตะลงบนกลีบปากสีสวยทันทีจนคนที่ยืนมองอยู่ห่างๆ ต้องเบือนสายตาหนีภาพนั้น “โทษตัวเองอยู่นั่นแหละ พี่นี่มันชอบเสพติดความทุกข์เป็นอาชีพหรือไง”

มือบางดันแขนดินแดนออกเพราะสัมผัสของเขากำลังทำให้ร่างกายไม่ปกติอีกครั้ง

“ใครจะชอบเสพติดความเจ้าเล่ห์เหมือนเธอกันล่ะ ถามจริงๆ เถอะว่าในหัวน่ะมีเรื่องปกติธรรมดาอะไรกับเขาบ้างไหม คิดนั่นคิดนี่เจ้าแผนการตลอดเวลา ระวังเถอะสักวันจะโดนแผนตัวเองเล่นงาน”

คนเป็นพ่อได้ยินถึงกับหัวเราะชอบใจ บรรยากาศโดยรวมถือว่าดีมากแต่สกายกลับรู้สึกคันยิบๆ เวลาที่เห็นดินแดนสัมผัสพี่ชาย

“ไม่ต้องสักวันหรอก โดนมาแล้ว” ดินแดนหันไปมองสกาย “ใช่ไหมสกาย” สีหน้าคนพูดดูเหมือนจะคาดโทษโดยที่คนฟังก็ได้แต่มองแล้วหลุดยิ้มออกมา

เจอแบบดินแดนเข้าไป มาดนิ่งๆ ของสกายก็หลุดเอาได้ง่ายๆ เหมือนกัน

“อยู่พร้อมหน้ากันแบบนี้ก็ดีแล้ว ไหนบอกมาซิว่าเราสองคนเป็นแค่คู่จิ้นหรือคบหากันจริงๆ จังๆ”  เจ้าสัวเอ่ยถามตรงๆ จนคนที่ถูกถามถึงกับอึ้ง

ดินแดนยังไม่ตอบในทันที เหมือนกำลังคิดคำนวณว่าควรตอบว่าอะไรดี แต่เป็นสกายที่ตอบออกไปอย่างฉะฉาน

“เรากำลังคบกันอยู่ครับ ขอโทษที่อาจเป็นการคบหาที่ทำให้ท่านผิดหวัง ขอโทษอย่างมากขนาดท่านได้ช่วยเหลือผมหลายครั้งแต่ผมกลับทำในสิ่งที่เหมือนเนรคุณ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังยืนยันที่จะคบกับดินแดนต่อไปและรับรองว่าจะดูแลให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ครับ” สกายพูดจบ ดินแดนก็อ้าปากค้างมองคนพูดเหมือนยังไม่อยากเชื่อ

“พูดอย่างกับว่ามึงเป็นชายหนุ่มรากหญ้ามาสู่ขอลูกสาวบ้านคหะบดีงั้นแหละไอ้หน้านิ่ง กูสิต้องเป็นคนพูด!” ดินแดนโวยวายแต่ดูเหมือนเจ้าสัวจะไม่ได้สนใจเพราะตอนนี้ดวงตาคมกริบจ้องลึกไปที่สกายราวกับกำลังสแกนส่วนสกายเองก็ไม่หลบสายตาเช่นกัน

ชนม์แดนมองเหตุการณ์ด้วยความรู้สึกหลากหลาย ตื่นเต้น ขำ ยินดี แต่ก็มีเคืองนิดๆ ไม่รู้เคืองเรื่องอะไรเหมือนกัน จะว่าหวงก็ใกล้เคียง

ว่าแต่.. หวงใครล่ะ แบบพี่หวงน้อง หรือแบบเจ้านายหวงลูกน้อง หรือที่จริงไม่ใช่ทั้งสองอย่าง เฮ้อ เพ้อเจ้ออะไรเนี่ยชนม์แดน!

“อืม จะว่าไปก็รู้แล้วล่ะ” อยู่ๆ เจ้าสัวก็พูดขึ้น  “ป๋าให้คนตามสืบตลอดว่าลูกป๋าแต่ละคนคบอะไรกับใครอยู่ยังไงและน่าห่วงมากหรือน้อยแค่ไหน และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมป๋าถึงได้ห่วงดอทมากเพราะสกายดูไว้ใจได้มากกว่าเผ่าพงศ์ที่ถึงแม้จะเป็นคู่ค้าทางธุรกิจของป๋าแต่ก็ชอบทำเรื่องที่ทำให้ลูกป๋าเสียใจตลอด”

“โหป๋า นี่สตอล์คลูกๆ ขนาดนี้ได้ไงเนี่ย แล้วต่อไปเวลาผมกุ๊กกิ๊กกันไม่ต้องคอยหลอนเหรอว่าจะมีคนของป๋าถ้ำมองอยู่อะ” ดินแดนอยู่กับพ่อแล้วเหมือนเด็กวัยรุ่นตัวเล็กๆ ที่ง้องแง้งงอแงและน่าเอ็นดู

“แกก็พูดเกินไป ป๋าให้คนตามดูแค่ว่าทำอะไรที่ไหน ไม่ได้ให้เข้าไปดูถึงในห้องในหับซะหน่อย ไม่ได้อยากรู้นักหรอกว่าเสียท่าไปแล้วกี่ครั้งๆ น่ะ” ป๋าพูดติดตลกแต่ดินแดนคงไม่ตลกด้วย

“พูดแบบนี้รู้อะไรมาบอกมานะ ผมไม่ยอมนะป๋า” ดินแดนงอแง

“ฮ่าๆๆ ป๋าก็แค่พูดดักทางเดาสุ่มไปเรื่อย หรือว่าแกเสียท่าจริงถึงได้ร้อนตัวขนาดนี้น่ะ”

“ตลอดชีวิตนี้ผมจะชนะป๋าได้สักครั้งมั้ยเนี่ย!” ดินแดนค้อน “ว่าแต่ ป๋าไม่โกรธเหรอที่พวกผมพี่น้อง เอ่อ.. คงไม่มีใคร.. มีหลานให้ป๋าอุ้มได้อะ”

“อืม จะว่าโกรธก็ไม่โกรธหรอกแต่ก็เสียดายนะ ทรัพย์สมบัติมากมายแต่จะไม่มีใครสืบทอด งั้นแบบนี้ ป๋าขอมีลูกอีกคนจะเป็นอะไรไหมล่ะ”

“ป๋า..พี่ดอท..”  ดินแดนเรียกผู้เป็นพ่อแล้วมองพี่ชายทันทีเพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุนองเลือดขึ้นมาอีก

ชนม์แดนแกล้งตีหน้าเศร้ากะจะแกล้งน้องชายแต่ที่ไหนได้กลับเป็นการแกล้งตัวเองไปเสียฉิบเพราะถูกดินแดนโผเข้ากอดเต็มรัก

“พี่ดอทอย่าคิดมากนะ อย่าโกรธป๋านะเดี๋ยวผมจัดการป๋าให้” ไม่กอดเปล่าแต่ยังตบหลังปุๆ เพื่อให้กำลังใจเสียอีก

“อื้ออ ปล่อยก่อน” ชนม์แดนรวบรวมกำลังดันน้องชายออกไปจนสำเร็จ “ฉันรู้เรื่องก่อนเธออีก”

“ห้ะ ได้ไง” ดินแดนมองผู้เป็นพ่อแล้วหันกลับมามองพี่ชาย “แล้วพี่ยอมเหรอ”

“ก็เธอยอมไหมล่ะ” ชนม์แดนย้อนถาม

“ผมเหรอ อืม ยอมได้ ยอมก็ได้ถ้าเป็นความสุขของป๋าผมก็โอเค” ร่างสูงหันไปมองบิดาที่ยิ้มบางๆ มองลูกชายทั้งสองคนสลับกัน

“งั้นฉันก็ยอม”

ดินแดนยิ้มเต็มใบหน้า ส่วนชนม์แดนก็ยิ้มตอบ จากนั้นทั้งคู่ก็ยิ้มให้ผู้เป็นพ่อ

‘คุณดอทยิ้มสวยมากจริงๆ’  สกายคิดในใจ ‘ดูดีน่าทะนุถนอมซะจนผมรู้สึกว่าตัวเองอาจไม่ใช่แบบที่ดินแดนต้องการ’

อาจไม่มีใครสังเกตเห็นความหวาดหวั่นในดวงตาคู่สวยของสกาย ทว่าคนที่ถูกมองกลับรับรู้มันได้และกำลังคิดว่าจะช่วยเด็กน่าสงสารคนนี้ได้ยังไง

+++++++++++++++++++++++++++++


คืนนี้เจ้าสัวแดนสรวงอยู่เฝ้าลูกชายและรีบกลับในตอนเช้าเมื่อชนม์แดนบอกว่าภรรยาของเขากำลังจะเข้ามา หลังจากนั้นไม่นานผู้เป็นแม่ก็เข้ามาลูบหลังลูบไหล่แล้วตระเตรียมอาหารเช้าให้จนอิ่มหนำสำราญใจ

“คุณแม่ครับ” ชมน์แดนรวบรวมความกล้าเพื่อถามไถ่เรื่องฟ้องหย่า “คุณแม่จะฟ้องหย่าป๋าเหรอครับ”

คุณรุ่งฤดีชะงักไปเล็กน้อยแต่แล้วก็ปอกผลไม้ต่อด้วยสีหน้าเยียบเย็น

“อืม ป๋าแกแอบเข้ามาหาล่ะสิ ดีกันแล้วหรือไงกับป๋าน่ะ”

“ครับ ก็เข้าใจป๋ามากขึ้น”

“ก็ใช่สิ แม่มันหัวเดียวกระเทียมลีบแล้ว” เธอเร่งปอกผลไม้แล้วเก็บของทำท่าเหมือนจะรีบกลับ

“อย่าน้อยใจสิครับ ยังไงดอทก็อยู่ข้างคุณแม่นะ” ชนม์แดนเอื้อมมือคว้าแขนผู้เป็นแม่ไว้ “แค่เล่าให้ดอทฟังหน่อยว่าทำไมถึงต้องฟ้องหย่า แล้วต่อไปมันจะเป็นยังไง”

“แม่จะฟ้องเพื่อไม่ให้ป๋าของลูกเอาทรัพย์สมบัติที่เป็นสิทธิ์ของลูกไปเผื่อแผ่ให้คนอื่น แล้วไม่ต้องมาห้ามแม่เพราะแม่ส่งเรื่องให้ทนายหมดแล้ว มีหลักฐานว่าเขานอกใจทุกอย่าง”

“ดอทไม่ห้ามหรอกครับ แต่ถ้าเหตุผลมีแค่นั้น ดอทว่าเรามีทางแก้ที่ดีกว่าฟ้องหย่า คุณแม่คิดว่ายังไงครับ”

“ทางไหนล่ะ แม่ไม่เห็นทางไหนจะดีกว่านี้แล้ว”

“ดอทจะไปคุยกับป๋า ขอให้ป๋ายกมรดกให้ดอททั้งหมด แบบนี้คุณแม่จะยอมหรือเปล่า”

“หึ เขาคงยอมหรอก”

“ถ้าไม่ยอม คุณแม่ค่อยฟ้องหย่า แต่ถ้ายอม เราก็จบเรื่องนี้ได้โดยที่ไม่ต้องเป็นขี้ปากชาวบ้าน ดีกว่าไหมครับ”

คุณรุ่งฤดีนิ่งคิดแล้วในที่สุดก็จำใจตอบรับ

“ถ้ามันเป็นไปได้ แม่ก็จะยอม”

ชนม์แดนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่แล้วความหนักใจในเรื่องใหม่ก็ตามมา

ถึงป๋าจะยอม แต่ดินแดนจะยอมไหมนะ

+++++++++++++++++++++++++++

ในช่วงบ่าย ชนม์แดนขอออกจากโรงพยาบาลแล้วมุ่งตรงไปยังห้องเสื้อเพื่อสะสางงานที่คั่งค้างจนถูกมารดาดุที่ไม่ยอมกลับบ้านพร้อมกันแต่คนดื้อก็ยังยืนยันที่จะไป หนึ่งในเป้าหมายคือเจรจาเรื่องสำคัญ

“ฮัลโหลคนสวย” เสียงรับโทรศัพท์กวนๆ จากปลายสายทำให้หน้าหงิกทันทีที่ได้ยิน

“เดี๋ยวเหอะ พูดไม่เข้าหูเดี๋ยวจะวางละนะ”

“โอ๋ๆ ไม่กวนแล้วครับ พี่มีไร” ดินแดนถาม

“มีเรื่องสำคัญจะปรึกษา คุยเรื่องซีรีส์เสร็จแล้วเข้ามาหาหน่อยสิ”

“มีเรื่องอะไรพูดมาเลย ผมไม่เข้าไปหรอก”

“อ้าว” ชนม์แดนทำหน้างอ อุตส่าห์คิดว่าน้องชายอาจจะอยากมาเยี่ยมแต่กลายเป็นแบบนี้ซึ่งก็ต้องปรับอารมณ์ให้นิ่งขึ้นถึงในใจจะงอนอยู่ก็ตาม “จะขอร้องเรื่องพินัยกรรมหน่อย”

“ครับ ว่ามาสิ” ถึงแม้ปกติดินแดนจะไร้สาระแต่เขามักจะปรับท่าทีได้เร็วตามสถานการณ์

“คือ.. คุณแม่จะฟ้องหย่าป๋าเพราะกลัวป๋าจะยกสมบัติให้ลูกคนใหม่ ฉันก็เลย..”

เรื่องสำคัญแบบนี้อยากคุยกันต่อหน้ามากกว่าแต่ในเมื่อเขาไม่อยากมาจึงจำเป็นต้องหาคำอะไรที่มันจะไม่ทำให้ดูเหมือนเป็นคนโลภอยากครอบครองสมบัติของป๋าแค่เพียงคนเดียว

“อ๋อ พี่จะให้ป๋ายกมรดกให้พี่ทั้งหมด แม่ใหญ่จะได้สบายใจแล้วไม่ฟ้องหย่างี้ปะ ได้สิ No problem”

ถึงกับอึ้งไปเมื่อดินแดนพูดเหมือนกับจะยกอมยิ้มให้ ทั้งน้ำเสียงและคำพูดที่ไม่ได้มีอาการแปลกใจหรือประชดประชัดใดๆ

“ท..ทำไม เธอ..”

“โอ้ยอย่าคิดมาก ผมไม่อยากได้สมบัติอะไรของป๋าสักชิ้น เอางี้นะ เดี๋ยวผมเซ็นเอกสารสละสิทธิ์ไม่เรียกร้องแม้แต่บาทเดียวให้เลย”

“จ..จริงเหรอ คือ ที่จริงฉันไม่ได้จะฮุบไว้หมดแค่อยากให้คุณแม่สบายใจไปก่อนจนกว่าเด็กจะคลอด พอตรวจดีเอ็นเอแล้วเป็นลูกป๋าจริงๆ ฉันจะให้ป๋าทำพินัยกรรมใหม่”

“เรื่องนั้นพวกพี่จัดการเลย ผมเซ็นไม่รับมรดกให้พี่แล้วจบ ดินจะไม่ยุ่ง เคนะ” พูดง่ายๆ แบบนั้นแล้วทำเหมือนจะวางหู ไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าเขาจะไม่ยี่หระกับทรัพย์สินเงินทองได้ถึงขนาดนี้

“ดินเดี๋ยวสิ..”

“เรื่องนี้จบแล้ว ผมเข้าใจและโอเคทุกอย่าง พี่ไม่ต้องพูดถึงอีกนะ  ส่วนเรื่องอื่นเดี๋ยวค่อยคุย รอสกายแจกลายเซ็นแป๊บไม่เกินครึ่งชั่วโมงจะเข้าไปหา”

“อ้าว ไหนบอกจะไม่มา”

“ไม่เข้าไปคุยเรื่องสำคัญที่พี่อยากให้เข้าไปคุย แต่จะไปเพราะอยากไปเยี่ยม แค่นั้น”

“เธอนี่” ชนม์แดนมึนงงไปหมดกับลีลาของน้องชาย แล้วที่งอนไปเมื่อกี้เพื่ออะไรกัน

เฮ้อ กวนประสาทจริงๆ นายดิน

“รออยู่ที่โรงบาลนั่นแหละเดี๋ยวเจอกัน”

“อยู่ที่ห้องเสื้อแล้ว”

“อะไรนะ!? ออกจากโรงพยาบาลแล้ว?” ดินแดนโพล่งขึ้นเสียงดัง “รออยู่นั่นแหละนิ่งๆ เดี๋ยวโดนเลยชนม์แดน” 

คาดโทษจบเขาก็กดวางสายทันที กลายเป็นว่ามีผู้ปกครองเพิ่มขึ้นอีกคนไปจนได้

++++++++++++++++++++++++++++++


“ทำไมถึงไม่นอนโรงบาลอีกสักคืนล่ะ ออกมาทำงานทำไมเนี่ย” ดินแดนบ่นทันทีที่เข้ามาเห็นพี่ชายกำลังนั่งตรวจงาน ส่วนสกายก็เดินตามเข้ามาอีกคน

“แค่ขาถลอกจะนอนทำไมเยอะแยะ งานเต็มโต๊ะเลยไม่เห็นเหรอ เออนี่ สัญญาของสกายที่ฉันแก้ให้” มือเรียวหยิบแฟ้มสัญญาของสกายส่งให้

“ขอยุติสัญญาเหรอ” ดินแดนอ่านจบแล้วส่งให้สกายก่อนจะหันไปทางพี่ชายด้วยสีหน้างงงวย

“อืม จากนี้ไปเธอก็เป็นอิสระแล้วนะสกาย” ร่างเล็กหันมองชายหนุ่มลูกครึ่งแล้วยิ้มให้จนสกายนิ่งงันกับภาพรอยยิ้มโดยตรงที่ไม่เคยได้รับมาก่อน

คุณดอท ดูดีมากจริงๆ

“แบบนี้น้าแจนจะยอมเหรอ” ดินแดนถามทันที

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ฉันจะจ่ายค่ายกเลิกสัญญาให้ทั้งน้าแจนและสกายด้วย” ชนม์แดนตอบด้วยท่าทีสบายๆ

“จ่ายให้แค่ทางนั้นเถอะครับไม่ต้องจ่ายให้ผม แค่คุณดอทยกเลิกสัญญาให้ก็ดีมากแล้ว” สกายบอก

“ไม่ได้หรอก ฉันต้องจ่ายตามสัญญาไม่งั้นเดี๋ยวมีปัญหาตามมาอีก” ชนม์แดนตัดบท “พอละ ไม่ต้องเถียง ยอมรับตามที่ฉันบอก เอาตามนี้”

เมื่อเห็นแววตาจริงจังของร่างเล็ก สกายจึงทำได้แค่พยักหน้ารับแบบงงๆ

“แล้วสัญญากับลูกค้าที่เซ็นไปแล้วล่ะ” ดินแดนถามต่อ

“ก็ให้เป็นไปตามนั้น พวกเธอก็รับรายได้เต็มจำนวนไปเลย ส่วนสกายจะแบ่งไปให้น้าแจนดูแลพ่อเท่าไหร่ก็แล้วแต่” ชนม์แดนอธิบาย

“ช็อคไปเลย ฮ่าๆๆ” ดินแดนหัวเราะใส่หนุ่มลูกครึ่งที่ได้แต่ยืนอึ้ง “ดีใจด้วยนะมึง ต่อไปนี้จะรวยแล้ว” เขายิ้มอย่างยินดีก่อนจะหันมาจับมือพี่ชายเอาไว้ “ขอบคุณนะพี่ แต่รายได้ของผมจะแบ่งให้บริษัทพี่ 30% เป็นสัญญาใจนะไม่เซ็นให้หรอกเผื่อวันนึงต้องไปขอลูกชายบ้านไหนมาแต่งจะได้มีเงินพอ” ว่าแล้วก็เหลือบมองสกาย

“เอาที่เธอสบายใจเถอะ เออนี่ น้าแจนฝากมาให้ บอกว่าอยากให้สกายไปงานวันจบของน้องสไมล์พรุ่งนี้น่ะ ดูเหมือนจะได้รางวัลคุณแม่ดีเด่นงานนี้ด้วย เธอจะไปไหม” ชนม์แดนส่งสูจิบัตรให้สกาย เจ้าตัวทำท่าจะปฏิเสธแต่ดินแดนคว้าเอาไปก่อน

“ไปดิ เดี๋ยวกูไปส่ง” ดินแดนยักคิ้ว

“คุณจะไปก็ไปคนเดียวเถอะ ผมไม่ไป” สกายตอบแล้วก็หันหน้าหนี  ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนั้นเลยจริงๆ

“เอาไว้ค่อยคุยกันทีหลังละกัน” ดินแดนตัดบทแล้วเดินอ้อมเข้ามาด้านใน  เขาหมุนเก้าอี้ทำงานของพี่ชายให้หันไปหาแล้วนั่งลงพยายามจะดูแผลที่ขา “ทำไมใส่กางเกงขายาวล่ะ พี่ต้องให้แผลได้หายใจนะไม่งั้นมันจะอับแล้วเป็นหนอง”

“ไม่เป็นอะไรแล้วน่า แผลมันเล็กนิดเดียว”

มือหนาที่ปะป่ายอยู่บริเวณหน้าขาเพราะพยายามจะดึงขากางเกงขึ้นแต่ทำไม่ได้จนมือเรียวต้องคว้าไว้   ยื้อกันไปมาจนหัวชนกัน

“โอ๊ย!” ดินแดนจับหน้าผากตัวเองแต่แล้วพอเห็นอีกฝ่ายกุมหน้าผากเหมือนกันก็ตกใจรีบจับมือบางออกแล้วเป่าให้  “เจ็บไหมพี่ ดูดิแดงเลยอะ” มือของเขาลูบรอยแดงบนหน้าผากเนียนด้วยความเป็นห่วง

“ผมออกไปรอข้างนอกนะ” สกายโพล่งขึ้นแล้วออกจากห้องไปทันทีปล่อยให้พี่น้องสองคนหันมองตามแบบงงๆ


“เดี๋ยวนี้มันเป็นอะไรก็ไม่รู้อะพี่ เหมือนมีอะไรในใจแต่ผมก็ไม่รู้ว่าอะไร หรือว่ามันจะเบื่อผมหรือมันมีคนอื่นวะ” ดินแดนถอนหายใจ ใบหน้าค่อนข้างตึงเครียดพอสมควร

“ไม่ได้มีใครหรอก ก็แค่หึง” ชนม์แดนตอบแล้วยิ้มล้อ

“หึงใคร” ดินแดนถามขึ้นทันที

“หึงฉันไง” ร่างบางตอบเพราะเป็นเรื่องที่สังเกตมาสักพักแล้ว

“ไอ้หน้านิ่งเนี่ยนะหึงผมกับพี่” ร่างสูงขมวดคิ้วใส่พี่ชายอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“ใช่ แต่จะว่าไป ไม่ใช่แค่เธอกับฉันหรอก เขาหึงทุกคนที่เข้าใกล้เธอนั่นแหละ ยิ่งเด็กจ้าวนั่นก็ยิ่งหึง” ร่างเล็กเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างสบายๆ 

“ใช่เหรอ ผมคิดว่ามันหึงไอ้จ้าวมากกว่านะ”

“อ่อนหัด” ชนม์แดนได้ทีข่มอีกฝ่ายบ้าง “ถ้าสกายหึงข้าวจ้าวก็คงมีปฏิกิริยาแล้วตอนที่บั๊คกอดกับจ้าวน่ะ เธอมัวแต่ดูอะไรอยู่ถึงไม่รู้ว่าแฟนตัวเองลืมรักเก่าได้แล้ว”

“จริงดิ ทำไมผมคิดมาตลอดว่ามันหึงไอ้จ้าวใส่ผมก็เลยแกล้งเมินมันเพราะผมก็หึงมันเหมือนกัน” ดินแดนพยายามคิดวิเคระาห์  “แต่จะว่าไป ถ้ามันหึงเรื่องไอ้จ้าวจริงๆ ก็ไม่แปลกเท่าไร แต่หึงพี่ดอทนี่สิแปลก พี่เป็นพี่ชายแท้ๆ ของผมนะ ถึงจะคนละแม่แต่เราเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันอะ มันไม่น่าจะหึงได้เลย”

“ของแบบนี้มันไม่เกี่ยวกับสายเลือดหรอก มันเกี่ยวกับสันดานเธอมากกว่า” 

“โหย แรงว่ะ” ดินแดนโวย “แล้วสันดานผมมันเสียมากหรือไงถึงหึงได้แม้กระทั่งพี่น้องเนี่ย”

“มาก” ชนม์แดนขำเบาๆ “จริงๆ ก็ไม่อยากจะพูดให้ได้หน้าได้ตาอะไรนะ แต่คงต้องบอกความจริงว่าเธอน่ะมีเสน่ห์มากไม่ว่ากับเพศไหนวัยไหนก็สามารถหลงเธอเอาได้ง่ายๆ เพราะเธอดูหล่อแบบแบ้ดๆ เท่ๆ แต่นิสัยที่เป็นกันเอง เข้ากับคนอื่นได้ง่ายแถมยังชอบดูแลคนอื่นเพราะใจดีเกินไปจนอาจทำให้คนอื่นหวั่นไหว ทุกอย่างที่เธอเป็นมันทำให้สกายรู้สึกว่าตัวเขาเองคงไม่ได้มีความพิเศษไปกว่าคนอื่น”

ร่างสูงนิ่งคิดแล้วก้มลงจับมือบางพร้อมกับส่งสายตากรุ้มกริ่ม

“แล้วพี่หวั่นไหวบ้างปะ”

เพี๊ยะ!

“แล้วก็นี่อีก” ชนม์แดนตีมือที่จับมือตนไว้จนเขาต้องปล่อยมือออก “มือไวซะขนาดนี้ อย่าว่าแต่พี่ชายเลย ถึงจะเป็นป๋า เขาก็อาจจะหึงขึ้นมาก็ได้ อันที่จริงฉันว่ามันน่าจะเป็นความรู้สึกหวงสัมผัสมากกว่า สกายขาดความอบอุ่นมานาน พอมีเธอเข้าไปดูแลเขาก็รู้สึกหวงกลัวว่าจะเสียสัมผัสของเธอให้คนอื่น”

“แล้วผมต้องทำไง จะไม่ให้ดูแลพี่ได้ไงล่ะ แบบนั้นก็ฝืนความรู้สึกไปหน่อยนะ ก็ผมมันคนดี” ดินแดนทำสีหน้าเป็นกังวลส่วนชนม์แดนถอนหายใจเพราะรู้สึกอึดอัดกับเรื่องนี้มากพอสมควร

“อะไรที่มันเป็นปัญหา เธอก็แค่ลดๆ ลงหน่อย สำหรับคนอื่นถึงจะไม่ได้รับความใจดีของเธอเขาก็ไม่รู้สึกเสียใจอะไรมากหรอก แต่คนของเธอเองนั่นแหละที่รับความรู้สึกแย่ไปเต็มๆ” ร่างเล็กบอกเสียงอบอุ่น “ฉันรู้สึกดีนะที่เธอมาดูแลห่วงใยหลังจากไม่มีคนในครอบครัวทำให้แบบนี้มาตั้งแต่จำความได้ แต่ถ้ามันจะทำให้เธอกับสกายมีปัญหาก็อยากให้เธอเว้นระยะห่างออกไปบ้าง ให้เกียรติคนที่เราคบอยู่เป็นหนึ่งในหน้าที่ของคนรัก เธอเข้าใจที่ฉันพูดมั้ย”

“ผมเข้าใจก็ได้” ดินแดนเม้มปากพยักหน้ารับแบบจำใจ “งั้นจากนี้ไปถึงผมจะไม่ได้ดูแลอะไรพี่มากมายแต่อยากให้รู้ว่าเป็นห่วงนะ รักมากนะครับ”

ร่างสูงเงยหน้ามองสื่อสารความจริงใจให้รับรู้ ส่วนคนฟังได้แต่เก็บกลั้นอารมณ์แล้วพยักหน้าตอบรับ 

ทั้งคู่มองจ้องกันด้วยความเข้าอกเข้าใจ ไม่นานนักน้ำตาก็เริ่มปริ่มขึ้นในดวงตาคู่สวยของชนม์แดน มือหนาเอื้อมมาปาดเช็ดน้ำตาให้แล้วจูบแก้มพี่ชายเบาๆ

“ขอเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะทำแบบนี้” เขาลูบแก้มเนียนแผ่วเบาราวกับเป็นอัญมณีล้ำค่า “จริงๆ ผมรู้สึกว่าพี่เหมือนน้องสาวมากกว่า ยิ่งได้รู้ว่าคบกับใครก็ยิ่งเป็นห่วง  ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เลิกกับมันซะและถ้าไม่อยากให้ผมเป็นห่วง พี่ก็มีความสุขซะทีไม่งั้นผมคงทนไม่ได้ที่จะไม่ดูแลพี่”

“รู้แล้วละน่า อย่าขี้บ่นมากนักเลย” ชนม์แดนตัดบทแล้วดันมือหนาออกเพราะตอนนี้เลือดเริ่มแล่นริ้วไปตามไออุ่นจากมือของอีกฝ่าย “ไปได้แล้วเดี๋ยวสกายรอนาน”

ดวงตาเรียวรีหรี่แสงลงเหมือนครั้งนี้จะเป็นการลาจากกับครอบครัวที่พลัดพรากกันมานานแต่ก็จำใจต้องจากกันอีกครั้ง

“งั้น..ขอหอมอีกทีแล้วจะไป” ดินแดนยังงอแง “เร็วดิอย่าเล่นตัว แก้มพี่ที่จริงผมจะหอมเมื่อไหร่ก็ได้เพราะผมเป็นน้องชาย  แต่ไอ้คนอื่นอะ ถ้ามันนิสัยไม่ดีก็ไม่ควรได้หอมหรอก”

“พอแล้วๆ เลิกบ่นซะที” ชนม์แดนส่ายหน้าให้กับความดื้อแต่แล้วก็ป่องแก้มให้ ดินแดนยิ้มแป้นเหมือนเด็กได้ของเล่น เขาหอมแก้มเนียนเสียงดังฟอดจนร่างเล็กสั่นสะท้านไม่หยุด

“ผมกลับมาเซ็นสัญญา”

!!!!!?

พี่น้องทั้งสองคนผละออกจากกันทันที  ดินแดนทำหน้าเหมือนโดนผีหลอก ส่วนชนม์แดนอ้าปากค้างเหมือนคนหายใจไม่ออก

“อ่ะ เอ่อ คะคือ คือว่าเรา เรา..” ดินแดนตอบไม่เป็นภาษา

“สัญญาอยู่ไหนครับคุณดอท” สกายไม่สนใจแต่เดินเข้าหน้าโต๊ะ

“เอ่อ.. ยะอยู่ อยู่นี่ เซ็นสามฉบับนะ มีของน้าแจนด้วย” มือเรียวยื่นแฟ้มให้

สกายลงมือเซ็นสัญญาครบทุกฉบับแล้วยกมือไหว้ลาชนม์แดนจนฝ่ายที่ถูกไหว้นิ่งอึ้งตะลึงงัน เป็นครั้งแรกที่สกายยกมือไหว้แบบนี้ มันก็จะงงๆ ปนเอ๋อๆ หน่อย

“ผมไปรอที่รถนะ ไม่ต้องรีบก็ได้ผมโอเคแล้ว”

“พี่ว่า สกายเห็นเมื่อกี้ไหม” ดินแดนหันมาหาร่างเล็กที่ยังคงอึ้งไม่หาย ได้แต่กระพริบตาปริบๆ

“ถ้าเห็นน่าจะโกรธมากกว่านะ เธอนั่นแหละมาวอแวกับฉันมากไป”

“ไม่หรอก พี่ไม่ได้ยินเหรอว่ามันบอกว่ามันโอเคแล้ว ผมรู้จักมันดีถ้ามันไม่โอเค มันจะไม่พูดว่าโอเคหรอก”

“ขนาดเขาหึงเธอยังไม่รู้เลย มาทำปากดี” ชนม์แดนเบ้ปาก

“ฮ่าๆๆ วันนี้มีความสุขจริงโว้ยย” อยู่ๆ ร่างสูงก็ยืนขึ้นแล้วบิดตัวไปมาอย่างอารมณ์ดี “เมียเข้าใจแล้ว แถมยังได้หอมแก้มพี่อีก เฮ้ออ ชีวิตดี๊ดี”

“เด็กบ้า” ชนม์แดนรีบหันเก้าอี้กลับไปทำงานอย่างเดิมก่อนที่จะถูกเข้าถึงตัวได้อีก รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลยเวลาดินแดนจู่โจมแบบนี้

“ไปละนะ แล้วจะมาใหม่ อ้อ อย่าใส่กางเกงยาว แล้วก็ไม่ต้องมาทำงานละนะ หยุดไปเลย”

“รู้แล้วๆ ไปได้ละ” ชนม์แดนโบกมือไล่แล้วทำทีเป็นสนอกสนใจงานตรงหน้าจนอีกฝ่ายเดินออกจากห้องไป

เฮ้อ เมื่อไหร่จะปรับตัวกับสัมผัสของดินแดนได้นะ เป็นแบบนี้ไม่โอเคเลย แล้วคนฉลาดอย่างเขาไม่น่าจะไม่รู้เพราะทุกครั้งที่เกิดอาการเขาจะลอบมองสำรวจไปทั่วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

หวังว่าเขาจะปล่อยเลยผ่านไปไม่สนใจมันมากนัก ไม่อยากให้ใครต้องมาเป็นกังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย


หลังจากดินแดนกับสกายกลับไปได้สักพัก ชนม์แดนจึงกดโทรศัพท์หาผู้เป็นพ่อและบอกเล่าเรื่องที่ตั้งใจ  เจ้าสัวรับฟังและไม่ขัดข้องก่อนจะวางสายไป 

ตอนนี้ก็เหลือแค่รอพินัยกรรมแล้วเอาไปให้คุณแม่ จากนั้นทุกอย่างก็จบ

นั่งคิดคำนวณทุกอย่างไว้เป็นขั้นเป็นตอน ไม่นานนักเสียงเรียกเข้าจากเผ่าพงศ์ก็ดังขึ้น ชนม์แดนรีบรับสายเพราะอยากรู้ความเป็นไปของคดีความ

“เฮียอยู่ไหนครับ”

“เฮียคุยกับผู้ใหญ่เรื่องคดี วันนี้คงดึกอยากไปหาดอทแต่คงต้องเป็นพรุ่งนี้”

“ไม่เป็นไรครับ แล้วทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือเปล่า ตั้งแต่ไลน์มาบอกว่าได้ประกันตัวก็เงียบไปเลย ดอทก็ไม่กล้าโทรไป”

“ก็เรียบร้อยดีไม่น่ามีปัญหาอะไร ทางผู้ใหญ่เขาช่วยได้ ว่าแต่ดอทเถอะ แผลเป็นไงมั่งแล้วทำไมไม่นอนโรงพยาบาลสักสามสี่คืนจะรีบออกมาทำไม”

“แผลแค่นี้เองครับ ไม่ได้หนักหนาอะไรซะหน่อย”

“ไม่หนักอะไร เท่าที่เห็นเฮียว่าน่าจะลึกอยู่นะ แล้วต้องไปล้างแผลเมื่อไหร่เดี๋ยวเฮียไปส่ง”

“พรุ่งนี้ช่วงเย็นๆ สัปดาห์แรกคุณหมอให้ล้างแผลบ่อยๆ เพราะไม่รู้ว่าโดนอะไรแน่กลัวว่าจะติดเชื้อครับ”

“อืม งั้นพรุ่งนี้เฮียไปรับนะ”

“ครับ”

ด้วยน้ำเสียงที่ดูจะเครียดขรึมกว่าปกติ ชนม์แดนเดาว่าคนรักน่าจะยังน้อยใจที่ถูกหักหลังเพียงแต่ไม่ได้ใส่อารมณ์มากนัก ร่างบางนั่งครุ่นคิดถึงความสัมพันธ์ของตนกับเผ่าพงศ์แล้วถอนหายใจออกมาในที่สุด

จากนี้ไปคงต้องจริงจังไปสักทาง อายุก็ไม่น้อยแล้วและจุดมุ่งหมายห้าสิบล้านก็คงไม่สำคัญอีกต่อไป คงเหลือแค่เรื่องของความรักที่ยังต้องหาทางออก




ต่อ..
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 7 : ภาวะฟุ้งซ่าน 《17/06/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 17-07-2018 13:59:23
เมื่อกลับถึงบ้านในช่วงเย็น นั่งทานอาหารกับมารดาแล้วเดินขึ้นห้องราวกับไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆ เหมือนที่ทำมาทั้งวันพราะไม่อยากให้ใครต้องมาเป็นห่วง

“ซี้ดด เจ็บจัง” ผลของการไม่พักทำให้เกิดอาการระบมแต่คนดื้อก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก หลังจากเช็ดตัวเปลี่ยนชุดก็เข้านอนตามปกติ  “เหมือนผ่านไปเป็นปีทั้งๆ ที่ไปนอนโรงพยาบาลแค่คืนเดียว”

ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกไม่สดชื่นทั้งๆ ที่ชีวิตช่วงนี้ก็ลงตัวเกือบทุกอย่างแล้ว หรือเป็นเพราะเรื่องของเผ่าพงศ์ที่ยังลูกผีลูกคนและมันก็เป็นเรื่องใหญ่เสียด้วยเพราะที่ผ่านมาเกินครึ่งหนึ่งของชีวิตที่มีคนๆ นี้อยู่เคียงข้างมาตลอด

กว่าจะนอนได้ก็เกือบเช้า มันเหมือนเป็นความเคยชินไปเสียแล้วที่จะขบคิดเรื่องกวนใจจนเสียเวลานอนไปทั้งคืน  บางทีอาจจะจริงอย่างที่ดินแดนเคยบอกว่าเสพติดความทุกข์



ในช่วงสาย ชนม์แดนแต่งตัวออกไปทำงานโดยรีบหอมแก้มมารดาแล้วรีบชิ่งเพราะถูกบ่นไม่หยุดในมื้ออาหาร วันนี้มีข่าวตื่นเต้นที่คุณรุ่งฤดีโทรบอกลูกชายเกี่ยวกับแม่เลี้ยงของสกายและมันทำให้คนที่ปกติไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นต้องกดโทรหาน้องชายเป็นการด่วนเพื่อเรียกให้มาเล่าต่อหน้าแบบสดๆ

“มีไรพี่” ดินแดนเข้ามานั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานแล้วหมุนเล่นเหมือนเด็ก ส่วนสกายขยับเก้าอี้ไปไกลคนรักแล้วส่ายหน้าระอาในพฤติกรรม

“เรื่องน้าแจน เล่าเหตุการณ์ให้ฟังหน่อย เห็นป๋าบอกว่าน้าแจนโดนเล่นงานที่โรงเรียนสไมล์เหรอ”

“ก็ประมาณนั้น” เขายักคิ้ว

“ฝีมือเธอล่ะสิ”

แล้วดินแดนก็เล่ารายละเอียดให้ฟังทั้งหมด ชนม์แดนแทบไม่อยากเชื่อว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น 

“ไม่น่าเชื่อเลยนะ” ร่างเล็กทำหน้าแหยงๆ “มิน่าถึงได้มากล่อมให้ฉันทำสัญญาโหดแบบนั้นกับสกาย ตอนนั้นเขาก็ใส่ไฟสารพัดว่าแม่ของสกายมาราวีจะทำร้ายบ้างจะลักพาตัวลูกเขาบ้าง บอกว่าสกายชอบทำร้ายน้องๆ เอารูปที่ลูกชายหัวแตกมาให้ดู และถ้าไม่ทำสัญญาแบบนั้นพ่อของเธอก็จะไม่มีค่าใช้จ่ายมาดูแล ไอ้ฉันก็เชื่อเป็นตุเป็นตะ โง่จริงอะไรจริง” 

สกายยิ้มฝืนๆ เพราะคงไม่อยากรื้อฟื้นปมในใจ

“ขอโทษนะที่ผ่านมาฉันทำร้ายกับเธอมาตลอดเลย”   

“ไม่เป็นไรครับ คุณก็ถูกหลอกเหมือนกัน” สกายยิ้มในสีหน้าเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้น

“ไม่ต้องเรียกคุณหรอก เรียกพี่เหมือนที่ดินเรียกก็ได้จะได้รู้สึกเป็นกันเองมากขึ้น” ใบหน้าสวยคลี่ยิ้มขึ้นอย่างใจดี

“แหมมมม ตัวเองพูดจาเป็นกันเองมากนักนี่ ฉันๆ เธอๆ อย่างกับนางพญาคุยกับพ่อค้าขายปลาในตลาด” ดินแดนผู้มีสกิลในการกระแนะกระแหนเทียบเท่ากับนางร้ายในละคร ไม่ใช่แค่แซะแต่ยังเบ้ปากใส่อีกด้วย   

“ก็ยังดีกว่าพูดมึงกูอย่างเธอไหมล่ะ” ชนม์แดนหันไปค้อนน้องชายก่อนจะมองสกาย “มีอะไรที่ฉันชดเชยให้เธอได้บ้างไหม”

“ไม่หรอกครับ แค่ยกเลิกสัญญาแต่ยังดูแลคิวให้แบบนี้ก็ดีมากแล้ว” สกายยิ้มอีกครั้งเป็นยิ้มที่จริงใจและมีเสน่ห์มากในความคิดของชนม์แดน

“หวังว่าพวกนั้นจะไม่มายุ่งกับเธออีกนะ” 

เมื่อเห็นว่าพี่ชายกำลังเป็นกังวล ดินแดนจึงอธิบายเพิ่มเติมให้ได้รู้ว่าจากนี้ไปคนพวกนั้นหมดโอกาสที่จะมาทำร้ายสกายได้อีก

“เธอนี่มันเจสันบอด์นปลอมตัวมารึเปล่าเนี่ย” ร่างบางทำหน้าขยาดหลังได้ฟังจนจบ

“เจสงเจสันอะไร นู่นไอ้กระทิงนู่นที่มันเก่ง ผมแค่บอกแผนและขั้นตอนหลักๆ ไปให้แค่นั้นแต่มันก็จัดการทุกอย่างได้แบบผมยังอึ้ง” ดินแดนยักไหล่

“มีเพื่อนน่ากลัวแบบนี้ระวังตำรวจหรือพวกที่หวังไม่ดีจะมากวนเธอนะ” คนขี้กังวลก็เป็นคนขี้กังวลวันยังค่ำ

“คงไม่มีใครสาวถึงมันหรอกเพราะเอาจริงๆ ถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่ติดต่อไม่ไปหา แล้วอีกอย่างมันมีเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับการป้องกันตัวอย่างดี ผมว่าไม่น่าห่วงหรอก ส่วนผมก็พลเมืองดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ใครจะมากวนได้ล่ะครับคุณชนม์แดน”

“ขอให้มันจริงเถอะ” ชนม์แดนเบ้ปากใส่

“เออ แล้วแผลพี่เป็นยัง..ไง” ดินแดนชะงักกึกเมื่อลุกขึ้นทำท่าจะเดินไปหาพี่ชายแต่คงนึกขึ้นได้ว่าสกายนั่งอยู่ด้วย เขาจึงหันมองคนรักแล้วยิ้มแห้งๆ แล้วก็ทำท่าจะนั่งลงอย่างเดิม  “ดีขึ้นแล้วใช่ปะ”

“ไปดูแผลให้คุณดอทเถอะ ผมโอเค” สกายยิ้มในสีหน้า

“ไม่ดีกว่า กูจะอยู่ตรงนี้ อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ก็ได้” เขาดูลังเลมองสกายอย่างระแวงระวัง

“ไปเถอะ ผมอยากให้มันเป็นอย่างเดิม อะไรที่ทำดีอยู่แล้วอย่าเปลี่ยนเพื่อผมเลย ผมต่างหากที่ต้องเปลี่ยนทัศนะคติของตัวเองบ้าง” ว่าแล้วสกายก็ลุกขึ้นดันตัวคนรักเข้ามาด้านใน

“แน่ใจนะ” 

“อืม” 

“เมียใจดีจัง” ดินแดนฉีกยิ้มกว้างแล้วก็รีบเข้าไปหาพี่ชายอย่างรวดเร็วแต่เมื่อหมุนเก้าอี้มาหากลับต้องหุบยิ้มแล้วรีบคุกเข่าลง “บอกว่าอย่าใส่กางเกงขายาว ทำไมดื้อแบบนี้เนี่ย”   

“ก็จะให้ใส่กางเกงขาสั้นมาทำงานหรือไงเล่า บ้าบอ” ร่างเล็กพยายามยื้อขาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายดึงไป

“ก็ไม่ต้องมาก็ได้ไง พักบ้างอะไรบ้าง ไปเลยกลับไปพักเดี๋ยวผมไปส่ง” ดินแดนพยายามดึงแขนเล็กให้ลุกขึ้นแต่อีกฝ่ายขืนตัวไว้

“ไม่เอายังไม่ไป”

“ไปสิจะไปส่ง” ดินแดนทำท่าไม่ยอม

“มีนัดไปตรวจที่โรงพยาบาล”

“งั้นยิ่งดีเลย เดี๋ยวผมไปส่งเอง” อาการกระกระอักกระอ่วนของชนม์แดน ถูกสังเกตเห็นจนได้ “หืม มีไรปิดบัง บอกมา”

“เฮียจะมารับ” ร่างบางอ้อมแอ้มตอบพลางหลบสายตา

“มันไม่ได้โดนจับเข้าคุกเหรอเนี่ย หึ้ย ไอ้ห่านี่เป็นแมงสาบหรือไงถึงได้รอดตลอดๆ” ดินแดนขมวดคิ้วอย่างหัวเสีย

“ตำรวจเขาให้ประกันตัว” ชนม์แดนตอบเสียงเบา

“ไม่น่าให้มันประกันตัวนะ คนแบบนี้ต้องจับติดคุกซะให้เข็ด”

“คุณ” สกายเรียกเหมือนจะปราม

“ก็จริงนี่” ดินแดนเถียง

“คุณ” สกายปรามครั้งที่สอง แล้วพยักเพยิดมาที่ร่างเล็กซึ่งทำหน้าไม่ถูกเพราะทางหนึ่งก็น้องอีกทางหนึ่งก็แฟน

“เออๆ ไม่พูดแล้วก็ได้  แต่เจอกันแล้วไปส่งโรงบาลอย่างเดียวนะ ห้ามไปไหนต่อ ช่วงนี้งด งดทุกกิจกรรม ห้ามดื้อด้วย”  ดินแดนสั่งเสียงเฉียบ

“รู้แล้วน่า สั่งเป็นป๋าเลย” 

เมื่อเห็นพี่ชายทำหน้างอ ดินแดนจึงถอนหายใจแล้วขยับเข้าไปใกล้ ดึงมือบางมากุมไว้แล้วลูบไปมา

“ไม่สั่งได้ยังไง ดูหน้าสิเหลือแค่สองนิ้ว พี่ควรดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้นะ ป๋าบอกว่าเมื่อก่อนก็ทำแต่งานกว่าจะกลับก็ดึกดื่น เลิกทำได้แล้วงานน่ะ ไม่มีตังค์ก็ขอป๋าสิอย่าหักโหมอีกเลย”

“งานที่ทำอยู่เนี่ย ฉันทำเพราะรักที่จะทำ ไม่ได้มีใครบังคับซะหน่อย เอาน่า ฉันอยู่รอดมาจนถึงอายุปูนนี้ด้วยตัวคนเดียว แสดงว่าก็เก่งพอตัวอยู่เหมือนกัน เธอไม่ต้องห่วงมากนักหรอก”

มือหนาเอื้อมไปประคองต้นคอแล้วบีบลูบเบาๆ จนร่างบางเริ่มสั่นสะท้าน ไม่อยากมีอาการแบบนี้เลยแต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ

“มันเหมือนกันที่ไหนล่ะ ที่ผ่านมาเรามีเรื่องเข้าใจผิดกันก็เลยห่างเหินแต่ตอนนี้รักกันแล้วจะให้ผมทำเป็นว่าไม่รักไม่ห่วงไม่ได้หรอก อย่าดื้ออีกเลยนะ”

ใบหน้านวลขึ้นสีระเรื่ออีกครั้งที่ถูกสัมผัส ร่างกายก็สะท้านสั่น ดวงหน้าสวยฝืนยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะส่งสองมือเรียวไปบีบหน้าของน้องชายจนบู้บี้

“ขี้บ่นๆๆ เข้าใจแล้วเลิกบ่นได้แล้ว เดี๋ยวจะพักสักสองวันให้แผลแห้งแล้วค่อยกลับมา เวลามาทำงานก็จะใส่เกงเลตอนเธอมาตรวจจะได้ดูแผลได้สะดวกขึ้น พอใจไหมเจ้านาย”

“พอใจครับลูกน้อง” ดินแดนจับรวบสองมือบางไว้แล้วจุมพิตลงไปเบาๆ จนผิวขาวซับสีเลือดขึ้นเต็มใบหน้า ลมหายใจดูเหมือนติดขัดจนอยากจะแกล้งตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด

“..ไปได้แล้ว ฉ..ฉันจะนั่งเคลียร์งานสั่งงานทิ้งไว้ให้ลูกน้องก่อน ไปสิ เร็วๆ” ร่างเล็กดันตัวดินแดนให้ออกห่างให้เร็วที่สุด

ดินแดนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วกอดอกก้มมองพี่ชายด้วยใบหน้าทะเล้น

“ให้หอมก่อนแล้วจะไป”

“ไม่เอา” ร่างบางปฏิเสธทันทีแล้วหันมองสกายเหมือนจะขอความช่วยเหลือ

สกายไม่พูดอะไรได้แต่มองทั้งสองคนด้วยความรู้สึกประหลาดๆ

แต่เมื่อดินแดนเห็นว่าเหยื่อกำลังมองสกายก็เหมือนคิดอะไรขึ้นได้จึงเดินไปจูงมือคนรักเข้ามาหาร่างบางที่นั่งมองตามด้วยความสงสัย

“หอมกันคนละข้าง กูข้างซ้าย มึงข้างขวา หอมเลยแก้มพี่กูนุ้มนุ่มห้อมหอม”  มือหนาดันหลังสกายที่ยืนทื่อทำตัวไม่ถูกให้ขยับเข้าใกล้ ส่วนคนที่นั่งอยู่ถึงกับเกร็งจนไม่กล้ากระดุกกระดิก

“ม..ไม่ ไม่เอาดีกว่า” สกายพยายามจะเดินออกไปแต่ถูกจับตัวไว้แล้วดันให้นั่งลงข้างตัวของชนม์แดน

“ป่องแก้มสิพี่ ป่องสองข้างเลยไม่งั้นไม่กลับนะ” ดินแดนกดดันพี่ชายด้วยการนั่งขนาบอีกข้างแล้วรวบแขนเล็กไม่ให้ยกขึ้นมาขัดขวาง

“ฮื่อ!” ร่างบางส่ายหัวแรงๆ หันมองคนที่นั่งซ้ายขวาสลับกัน ทำหน้าเหมือนจะบอกว่ายังไงก็ไม่ยอมแน่ๆ

“เร็วววว” ดินแดนเร่ง “ไม่งั้นก็ไม่กลับจะนั่งกันอยู่งี้แหละ”

ขาเรียวเขย่าไปมาเหมือนเด็กถูกขัดใจแต่แล้วก็หลับตาปี๋  “อ๊ะ จะหอมก็รีบหอม เร็วๆ” 

ถ้าไม่ยอมคงต้องถูกกดดันอยู่แบบนี้ แค่ดินแดนคนเดียวก็จะบ้าอยู่แล้ว ยิ่งมีสกายมาอีกคนยิ่งฟุ้งซ่านไปกันใหญ่ กลิ่นของสกายมันปั่นป่วนหัวใจหนักหน่วงเหลือเกิน

“ป่องแจ้มด้วย ชอบหอมแจ้มป่องๆ” นิ้วแกร่งจิ้มลงไปบนแก้มสีเรื่อ

“ไม่ๆๆ อย่าเรื่องเยอะเดี๋ยวฉันเปลี่ยนใจนะ” ชนม์แดนหันไปดุ

“โหยขี้ดื้อ งั้นก็ได้ หอมแบบนี้ก็ได้” เมื่อดินแดนตอบรับ ร่างบางก็หลับตาลงอีกครั้ง

ดวงตาคมสบมองคนรักและพยักเพยิดให้หอมแก้มพี่ชายตน  สกายที่ยังคงสับสนแต่วูบหนึ่งรับรู้ถึงความอ่อนโยนที่ส่งผ่านมาทางสายตาแพรวพราวของเขา  ถึงจะยังไม่เข้าใจแต่ก็เชื่อในตัวดินแดน เชื่อในสมองและหัวใจดีดีของเขาอย่างเต็มเปี่ยม

“หอมนานๆ เลยนะ” ดินแดนย้ำและนั่นก็ทำให้ร่างเล็กต้องย่นหน้าขัดใจทว่ายังคงหลับตาปี๋อยู่เหมือนเดิมเพราะไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้

หนุ่มหล่อทั้งสองคนประกบริมฝีปากไปที่แก้มเนียนพร้อมกัน กดแนบสูดลมหายใจเข้าลึกยาวนาน

ฟอดดดด

มือบางกำหมัดเกร็งไปทั้งตัว  ร่างกายสะท้านวูบวาบ ลมหายใจถี่หนัก และเลือดในร่างสูบฉีดปั่นป่วนจนอยากจะฉีกเสื้อผ้าตัวเองออกไปให้พ้นจากตัว

ดินแดนช่วยแกะมือเล็กที่กำแน่นให้คลายออกแล้วนวดเฟ้นเบาๆ

“หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ” ดินแดนกระซิบ “นี่ผมเอง น้องชายของพี่ และนั่นก็น้องสะใภ้  เราสองคนรักพี่ดอทนะ พวกเราคือครอบครัวเดียวกันนะครับ”  เขาประสานมือกระชับแล้วปล่อย พูดให้สติและทำอย่างนี้ซ้ำๆ จนในที่สุดเปลือกตาบางก็ค่อยๆ เปิดขึ้น

ชนม์แดนหันมองหน้าสกายแล้วหันไปมองน้องชายที่จ้องมาด้วยสายตาแห่งความห่วงใย พยายามรวบรวมสติขจัดความฟุ้งซ่านในหัวให้หลุดออก ถึงมันจะไม่ได้หมดไปในคราวเดียวแต่ก็พอรับมือได้แล้วในตอนนี้

“..รู้แล้วละน่า ไปได้แล้ว” เสียงพูดยังคงแหบปร่าแต่พยายามบังคับให้เป็นปกติ

“ไปละ” ดินแดนยิ้มตาหยีให้พี่ชายอีกครั้งแล้วหันไปชวนสกาย “ไปกันเถอะ”

สกายข่มความรู้สึกบางอย่างที่ประทุขึ้นในร่างกายทว่ามันไม่ง่าย ฟิโรโมนจากชนม์แดนรุนแรงจนสัญชาตญาณฝ่ายรุกของเขามันกระเจิดกระเจิงไปใหญ่โต  แต่อาศัยเวลาไม่นานเขาก็พยักหน้าแล้วลุกขึ้นยกมือไหว้ชนม์แดนก่อนจะออกจากห้องตามดินแดนไป

โอยยย เกือบจะตายแล้วชนม์แดนนนน  สั่นจนเหมือนจะเป็นไข้ นายดินต้องรู้แน่ๆ ว่าอาการไม่ปกติถึงได้ทำแบบนั้นแต่ดีแล้วที่เขาไม่ได้พูดมันออกมาตรงๆ

จะว่าไปก็น่ารักเหมือนกันนะเจ้าน้องชาย

ดินแดน..

ตั้งแต่เธอทำลายกำแพงเข้ามาชีวิตฉันก็เปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือ

ความหม่นเศร้าในวัยเยาว์ที่ไม่คิดว่าจะสลายไปได้ก็พลันสลายไปแทบไม่เหลือ  นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ร่วมหัวจมท้ายกับเด็กหนุ่มสามคนในวันนั้นแล้วอดที่จะขำไม่ได้ มันทั้งตื่นเต้นแปลกใหม่ราวกับป็นการผจญภัยแต่จะให้ไปลุยอะไรแบบนั้นอีกก็คงไม่เอาแน่

ชนม์แดนคิดว่าทั้งหมดนั้นคงเป็นเหตุการณ์สุดท้ายก่อนที่จะเริ่มใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและราบเรียบไปจนวันตาย ทว่ามันไม่ใช่เลย เรื่องราวหลังจากนี้ต่างหากที่จะเป็นเสมือนการได้ย้อนกลับไปใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่นอีกครั้ง

ซึ่งมันจะเป็นไปในรูปแบบไหน คนหัวรั้นจะใช้โอกาสที่เกิดขึ้นนี้เลือกในสิ่งที่ถูกต้องได้หรือไม่ คงมีแต่สวรรค์ที่ล่วงรู้..



.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

หายไปนานชดเชยให้ยาวๆ เลยค่ะ :hao5:
ตอนหน้าจะอัพเร็วๆ สัญญา ><


ปล. แอบตอบคอมเม้นท์ตรงนี้น้าา

TachibanaRain :  ชูป้าย #ดินดอท ด้วยคน 55555 ยิ่งตอนที่ 7 โมเม้นท์เยอะมากกกก แต่งไปเขินไป งุ้ยยย //ลัทธิออลดินจงเจริญ เย้

Janemera  :  เจ็บคราวนี้คุ้มมาก ชีวิตนางกำลังจะเปลี่ยนแร้ววววว อิๆ

Grey Twilight  :  เม้นท์ยาวสะใจอีกแว้ววววว -/\-  ปมพ่อไม่รักที่มันคลี่คลายได้ในครั้งนี้นอกเหนือจากความจริงที่ได้รับรู้จากปากเจ้าสัวก็ยังมีตัวกระตุ้นสำคัญ(มาก)คือความรู้สึกผิดกับสกายและดินแดนยอมลงให้ก่อน พี่ดอทนางเป็นคนหัวรั้นและไม่ชอบการถูกขัดใจ อันที่จริงถ้าดินยอมลงให้ตั้งแต่แรกๆ รับรองได้พี่ชายแสนสวยไว้ขิงชาวบ้านเขาตั้งนานแล้วแหละ  ส่วนเจ้าสัวแดนสรวงก็ยังต้องเจอปัญหาจากการกระทำของตัวเองไปอีกจนกว่าทุกอย่างจะจบ
  :mew1:

หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 7 : ภาวะฟุ้งซ่าน 《17/06/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 17-07-2018 22:24:33
คิดว่าใครมาเห็นพี่ดินกับพี่ดอทก็ต้องคิดทั้งนั้นแหละว่าแฟนกันก็ถ้าพี่จะละมุนขนาดนี้ สายค้ำคอร์แบบเราถึงกับใจสั่นอยากจะอ่านเวอร์โลกคู่ขนาน #ดินดอท มันซะเดี๋ยวนี้เลยจริงๆ จบไปกับปมเรื่องครอบครัวแล้วก็เหลือปมอาการของพี่ดอทนี่แหละ พี่ดอทเป็นอะไรเพราะดูเหมือนจะมีปฏิกิริยากับการสัมผัสมากๆ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 8 : อนุวรรต 《19/06/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 19-07-2018 15:40:31

.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.
ต อ น ที่ 8 :  อ นุ ว ร ร ต



“คิดอะไรอยู่เหรอ หืม” ผมหลุดออกจากภวังค์เมื่อร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาถึงเก้าอี้ทำงาน

เฮียเผ่าบอกว่าจะมารับหลังหกโมงแต่ไม่คิดว่าจะมาถึงเอาสี่ทุ่ม 

ผมเงยหน้ามองผู้ชายในชุดสูทสีกรมท่า ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มที่ตอนนี้ก้มลงมาจูบแก้มเบาๆ

กลิ่นน้ำหอม..

จำเป็นต้องหลับตาลงและข่มความรู้สึกเอาไว้  เฮียคงหยุดไม่ได้เรื่องนอกใจ ที่มาช้าก็คงมัวแต่ไปยุ่งกับคนอื่นสินะ

“มาช้าจังครับ ดอทรอตั้งนานป่านนี้คุณหมอกลับบ้านไปแล้วมั้ง” ผมลุกขึ้นหยิบกระเป๋าสะพายเฉียงไหล่เตรียมออกจากห้องทำงาน

“ก็มีเรื่องต้องเคลียร์หลายเรื่อง ส่วนเรื่องหมอถ้ากลับไปแล้วก็เรียกมาใหม่ เฮียจะเรียกให้เอง” เฮียก็เป็นแบบนี้อยู่เรื่อย ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่

“แค่ทำแผลให้พยาบาลทำก็ได้ครับ ไม่ต้องเรียกใครมาให้เอิกเริกหรอก” ผมบอกแล้วเปิดประตูขึ้นรถที่จอดรถไว้หน้าตึก เฮียเผ่าไม่เคยสนป้ายห้ามจอดใดๆ อยากจอดก็จอด อยากฝ่าไฟเหลืองไฟแดงก็แค่พูดว่าถ้าโดนตำรวจก็จ่ายค่าปรับไปซึ่งผมก็ได้แต่ชินกับการกระทำแบบนี้

“วันนี้อารมณ์ไม่ดีเหรอดอท คุยกับเฮียแทบไม่มองหน้า เฮียต่างหากที่ต้องโกรธที่ดอทหักหลังจนเฮียต้องเข้าปิ้งโดนตำรวจลากไปสอบปากคำตั้งหลายชั่วโมง นี่ดีเท่าไหร่แล้วที่เฮียไม่ซัดทอดว่าดอทก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด” ร่างสูงเข้ามานั่งในรถออดี้คันหรูแล้วหันมาบ่นยืดยาว

ตอนแรกก็อารมณ์ดีอยู่นะ แต่เฮียเองที่มาช้าแถมยังพกน้ำหอมกลิ่นไม่คุ้นมาฝากก็เลยนอยด์ขึ้นมา

“ก็แล้วทำไมไม่ซัดทอดล่ะครับ ดอททำผิดก็พร้อมรับผิดอยู่แล้วแต่เฮียเองที่บอกว่าไม่ต้องให้การเรื่องที่ช่วยถ่วงเวลาให้”

“ใครจะอยากให้แฟนไปเข้าคุกเข้าตารางล่ะ ก็มีแต่ดอทนั่นแหละที่ทำกับเฮีย” เขาตัดพ้ออย่างหนัก

“ดอทห้ามเฮียแล้วนะแต่เฮียไม่ฟัง” 

“ก็เฮียไม่ได้จะขืนใจอยู่แล้วแค่พาตัวไปแล้วกล่อมให้มันยอมแต่จุดประสงค์จริงๆ ก็แค่อยากแกล้งไอ้ดินแดนให้มันอกแตกตายแค่นั้นแหละ”

ผมนิ่งเงียบ ไม่รู้จะเชื่อเฮียได้ไหม ถ้าผมไม่พาดินแดนเข้าไปช่วยเด็กพวกนั้นจะเป็นยังไงหรืออาจจะไม่เป็นก็ได้ อันนี้เดาทางเฮียไม่ถูกจริงๆ

“ดอทก็เจอกับตัวแล้วไม่ใช่เหรอว่าเฮียไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรขนาดนั้น กับดอทเองเฮียก็ไม่เคยบังคับนะ”

“ไม่บังคับหรอกแต่เฮียล่อลวง” ผมแย้ง “ตอนนั้นดอทยังเด็กมากก็เลยไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมเฮีย”

“แต่เฮียก็ตกหลุมรักดอทเหมือนกันนี่ รักมากด้วยนะครับเด็กดี” เขาดึงมือไปจูบจนร่างกายสะท้านน้อยๆ อย่างไม่อาจห้าม

“ไปคอนโดแล้วค่อยหาหมอดีไหม” เฮียเผ่าเริ่มกล่อม 

“เฮีย” ผมปรามเสียงต่ำ

“ก็ได้ๆ งั้นหาหมอแล้วไปคอนโด”

“ออกรถเถอะครับเดี๋ยวจะดึกกว่านี้” ผมไม่ตอบคำถามแต่เร่งให้ออกรถ เฮียก็อะไรไม่รู้ นี่ถ้ายอมทุกครั้งที่เฮียขอผมคงไม่ต้องเห็นเดือนเห็นตะวันทั้งปีแน่



ระหว่างทางที่ขับรถ มีบอดี้การ์ดของเฮียตามมาห่างๆ ปกติเวลาเฮียไปไหนจะมีบอดี้การ์ดอย่างน้อยสองคนเสมอ แต่ถ้าอยู่ด้วยกัน เฮียจะสั่งให้อยู่ห่างเพราะรู้ว่าผมไม่ชอบให้มีใครมาอยู่ใกล้และค่อนข้างหงุดหงิดเวลาพวกเขามองผม

วันนี้แผลก็ยังไม่แห้งยังมีบวมแดงทั่วบริเวณ เวลานั่งใหม่ๆ จะเสียดสีกับกางเกงจนต้องร้องซี้ด พูดถึงเรื่องกางเกงก็คิดถึงเจ้าน้องชายจอมแสบ ชอบบ่นเรื่องที่ใส่กางเกงขายาวอยู่เรื่อย ขี้บ่นสุดๆ

ครืดด~

DumDinDan :  งดนะ งดๆๆๆๆๆ

โทรศัพท์สั่นเตือนและเมื่อแอบดูผ่านหน้าจอก็เห็นข้อความของดินแดนเด้งขึ้นมา เพิ่งคิดถึงอยู่แหม่บๆ ก็โผล่มาทันทีเลยนะเด็กบ้า

“ดูมือถือแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไร หืม” เฮียเผ่าโผล่มาจนตกใจรีบเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าเพราะไม่อยากให้เฮียรู้ว่าติดต่อกับดินแดนบ่อยๆ  สองคนนี้เกลียดกันมากจนคนกลางอย่างผมรู้สึกลำบากใจ

“เปล่าครับ แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย” 

“คิดถึงคนอื่นหรือเปล่าเรา มีกิ๊กเหรอเดี๋ยวนี้” เขาทำหน้าดุ

“ดอทเนี่ยนะมีกิ๊ก คำถามนี้ดอทต่างหากที่ต้องถามเฮีย แต่ไม่ใช่สิ ดอทต้องถามว่าเฮียมีกิ๊กกี่คนมากกว่า” ผมค้อนให้แล้วหันหน้าหนี

“ไม่คุยเรื่องนี้ละ เฮียได้ยามาแล้วเดี๋ยวถึงคอนโดจะจัดให้กินนะ” เขาเปลี่ยนเรื่องและชูถุงยาที่ไปรับมาให้ผมดู “ไปกันเถอะ”  ร่างสูงประคองให้ลุกขึ้น เดินต้อนหน้าต้อนหลังจะช่วยแต่ผมบอกว่าจะเดินเองก็เลยทำหน้างอขึ้นมาอีก “เฮียก็แค่เป็นห่วง ที่จริงขอรถเข็นจากพยาบาลก็ได้ หรือที่จริงให้เฮียอุ้มก็ได้”

“ตอนเฮียไม่อยู่ดอทก็เดินเองไม่เห็นต้องมีใครอุ้มเลย”

“โอเคๆ ดอทเก่งเฮียรู้” แล้วเขาก็ใช้ไม้ตายทำเป็นตัดพ้ออีก  “ดอทอยู่ได้โดยไม่ต้องมีเฮีย แต่ดอทคิดบ้างไหมว่าเฮียอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีดอท” ดวงตาคมหม่นวูบลง เขาเริ่มพูดแบบนี้บ่อยขึ้นในช่วงหลัง

“แต่เฮียก็ยังมีเล็กมีน้อยตลอดจะให้ดอทวางใจเฮียได้ยังไงล่ะครับ” ผมเริ่มอ่อนลงและหยุดรอให้เขาพยุงไปขึ้นรถ 

เฮียเผ่าเงียบไปจนเราขึ้นมานั่งบนรถ เขาเตรียมจะออกตัวแต่แล้วกลับหันมากุมมือผมไว้

“ดอท”

“ครับ”

“แต่งงานกันนะ”

ได้ยินแล้วถึงกับอึ้งไปเลย สีหน้าเฮียเผ่าจริงจังและเว้าวอนมากจนใจสั่นไหว เขาดึงมือของผมไปกุมไว้แล้วกระชับแน่น

“ไปอยู่ด้วยกันนะ จากนี้ไปเฮียเลิกหมดแล้วไม่ยกเว้นสกายหรือใครหน้าไหนทั้งนั้น เฮียจะมีดอทคนเดียวจะไม่ยุ่งกับใครและจะไม่ลงมือลงไม้กับดอทด้วย”

“เดี๋ยวเฮียโมโหอะไรก็พาลมาตีดอทอีก” ผมดึงมือออกเมื่อคิดได้ เวลาคุยเรื่องสำคัญจะพยายามไม่ให้เขาใช้วิธีสัมผัสเพื่อโน้มน้าวใจไม่งั้นก็เสียเปรียบอยู่เรื่อย   

“ไม่ทำแล้วเฮียสัญญา ไปอยู่ด้วยกันแต่งงานกับเฮียไปทำให้เฮียเป็นคนที่ดีขึ้น ไปดัดนิสัยเฮียหน่อยนะ นะครับ”

ผมจะทำให้เฮียเป็นคนที่ดีขึ้นได้ไหมนะ

มันถึงเวลาแล้วหรือยังที่ผมจะเริ่มชีวิตที่เป็นของตัวเองเสียที ความดีของเฮียก็มีไม่น้อย และที่สุดคือเฮียไม่เคยทิ้งไปไหน เฮียอยู่เคียงข้างมาตลอดและตอนนี้เขากำลังขอที่จะเคียงข้างอย่างถูกต้องและหยุดชีวิตไว้ที่ผม

ลองคิดทบทวนดู เหตุผลที่เฮียยังเกเรมาตลอดอาจเป็นเพราะผมยังไม่เปิดใจให้เต็มร้อย ถ้าหากดอทไม่กั๊ก เฮียอาจจะดีขึ้นก็ได้ใครจะไปรู้

อาการบ้าๆ ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็เป็นอีกอย่างที่ทำให้กังวล ถ้ามีแฟนใหม่เขาอาจจะรับไม่ได้และต้องเลิกกัน แต่ถ้าแต่งงานอยู่กินกับเฮียเป็นเรื่องเป็นราวก็จะไม่มีใครกล้าเข้ามาวุ่นวายถูกเนื้อถูกตัวได้อีก

“งั้น..ก็ลองดูครับ แต่เฮียอย่าผิดสัญญานะ”

“จริงเหรอ! ดอทพูดจริงนะ” เขายิ้มกว้างแล้วคว้าตัวเข้าไปกอดไว้แน่น “เฮียดีใจมาก มากที่สุดเลยครับ”

กลิ่นน้ำหอมแปลกๆ ที่ไม่คุ้นเคยฟุ้งขึ้นจมูก

ให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ดอทจะเงียบปากไว้ แต่ถ้ามีอีกดอทจะทวงสัญญาในวันนี้และจะตัดเฮียแน่นอน

“จริงครับ แต่เฮียห้ามผิดสัญญา”

“รับรองไม่ผิดสัญญา เฮียทำได้แน่ ขอบคุณนะดอท เฮียรักดอทที่สุดในโลกเลยครับ” แก้มผมถูกหอมไม่หยุด เฮียดีใจมากถึงขนาดน้ำตารื้น เห็นแบบนี้แล้วก็อดที่จะน้ำตาคลอไม่ได้

เฮียรักจริง ดอทมั่นใจ แต่เรื่องที่สัญญาไว้ ดอทจะให้เวลาพิสูจน์นะครับ

การตัดสินใจไปอยู่กับเฮียเผ่าคือการวัดใจครั้งสุดท้ายที่ต้องเสี่ยง


อีกหลายวันต่อมา เฮียหายหน้าไปเพราะยุ่งอยู่กับการจัดการเรื่องดูที่ทางสำหรับปลูกเรือนหอของเรา เขาว่างั้นนะ ครึ่งหนึ่งก็เชื่อแต่อีกครึ่งก็คิดระแวง ใจผมไม่นิ่งเลยยิ่งรู้ว่าอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะให้โอกาสเฮียก็ยิ่งลุ้นหนักว่าเขาจะทำได้หรือเปล่า

เวลาคนเราตั้งความหวังมันก็จะมีความกังวลเกิดขึ้นซึ่งผมรับมือกับมันไม่เก่งเอาเสียเลย 

ระหว่างนี้ป๋าได้นำพินัยกรรมมาให้ ผู้รับมรดกมีผมแค่คนเดียวโดยทำก็อปปี้ไว้สองฉบับ เก็บไว้ที่ทนายของป๋าหนึ่งฉบับ อีกหนึ่งฉบับผมนำมาให้คุณแม่ซึ่งมีนัยสำคัญว่าหากจะเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในพินัยกรรมหลังจากนี้จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ที่ถือพินัยกรรมด้วยไม่อย่างนั้นพินัยกรรมฉบับอื่นจะถือเป็นโมฆะ

แต่จะบอกว่าทุกอย่างเป็นของผมก็ไม่ใช่ซะทีเดียวเพราะมีบ้านเล็กรวมกับที่ดินตรงนั้นที่ป๋ายกให้ดินแดน ป๋าบอกว่าถึงดินแดนจะไม่อยากรับแต่มันคือสิ่งที่เขาต้องได้รับ บ้านหลังนั้นคือความทรงจำทั้งของป๋าและนายดิน ซึ่งผมก็เห็นด้วยและยอมรับแต่โดยดี

“นี่ครับ พินัยกรรมของป๋า กับเอกสารสละสิทธิ์ในมรดกที่ดินแดนเซ็นให้” ผมยื่นแฟ้มให้คุณแม่

“ไอ้ลูกเมียน้อยนั่น มันไม่เอามรดกจริงๆ เหรอ  หุ้นของป๋าเป็นพันล้าน ที่ดินอีกไม่รู้กี่ร้อยไร่ บ้านตากอากาศริมทะเลก็หลายแห่ง ไหนจะโรงแรมและสปารีสอร์ทอีกตั้งเยอะ  ลูกแน่ใจนะว่ามันจะเอาแค่บ้านเล็ก”

“ตอนแรกดินแดนจะไม่เอาอะไรเลยครับ แต่ป๋าบอกว่าอย่างน้อยที่ดินและบ้านหลังนั้นเขาควรเก็บไว้”

“หึ คงจะอยากเอาหน้ากับป๋าอยากสร้างภาพเป็นคนดีเหมือนแม่มัน”

โธ่คุณแม่..

ได้แต่มองอย่างสะท้อนใจไม่กล้าจะแก้ต่างอะไรให้มากนัก คุณแม่จมอยู่กับความคิดแบบนี้มานานแล้วและผมมองไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะไปดึงดันอธิบาย

“ที่จริงบ้านเล็กแม่ก็ไม่อยากให้มันหรอกแต่เอาเถอะ ยังไงมันก็มีเลือดป๋าอยู่ตั้งครึ่งก็จะยอมให้แค่นี้ก็แล้วกัน ส่วนไอ้ลูกเมียน้อยอีกคน อย่าหวังว่ามันจะได้อะไร คอยดูนะถ้ารู้ว่าป๋ายึกยักยกอะไรให้มัน แม่จะฟ้องหย่าจริงๆ”

ได้แต่มองแล้วถอนหายใจ คุณแม่ทิฐิแรงมากจนไม่รู้จะแทรกเหตุผลเข้าไปตรงไหนได้ 

แต่ที่จริงมันก็เป็นความผิดของป๋า ก็คงต้องให้ป๋ารับกรรมไปก็แล้วกัน


วันนี้กลับบ้านเร็วเพราะรู้สึกเพลีย อาบน้ำสระผมแล้วตั้งใจจะนอนเอาแรงสักงีบเพราะที่ผ่านมาแทบไม่ได้นอน  แต่จนแล้วจนรอดไม่ว่าจะกลางคืนหรือกลางวันก็ไม่สามารถข่มใจให้สงบได้

เฮียจะผิดสัญญาหรือเปล่านะ..

จะสลัดพวกกิ๊กเล็กกิ๊กน้อยไปได้หรือยัง

เฮ้ออ ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ไม่เคยต้องมาพะวงเรื่องของเฮียเลยแต่ครั้งนี้มันรบกวนจิตใจจริงๆ  นิสัยเสียของผมคือเวลาที่โฟกัสอะไรก็ไม่สามารถปล่อยวางมันได้ถ้าไม่มีอะไรมาเบี่ยงความสนใจก็จะพุ่งความคิดไปตรงนั้นตลอดเวลา

กลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงจนเบื่อ  รู้สึกหนักเนื้อหนักตัวอยากออกกำลังกายและเวลาก็พอดิบพอดีจึงตัดสินใจขับรถไปฟิตเนสเผื่อได้ออกแรงแล้วจะหลับลงได้

DumDinDan :  คนสวยอยู่ไหน

ดินแดนไลน์มาแบบกวนประสาทเหมือนเดิม เขาเกรียนจนโดนตีไม่รู้กี่รอบแต่ก็ยังไม่ลดละเลิก 
ผมแกล้งไม่ตอบจะได้รู้ว่างอนอยู่

DumDinDan :  ไม่แกล้งก็ได้ งั้นพี่ดอทสุดหล่ออยู่ไหนค้าบบบ

sweetyDOTcom : มาฟิตเนสแถวบ้านนี่แหละ

DumDinDan :  ไปเล่นได้ไงเมื่อวานผมดูแผลยังไม่แห้งสนิทเลย

sweetyDOTcom : อยากให้เหงื่อออกบ้าง ไม่เป็นไรหรอกจะเล่นเบาๆ

DumDinDan :  แน่นะ

sweetyDOTcom : ครับผม

DumDinDan :  งั้นเดี๋ยวพี่เตรียมรับของขวัญนะจะส่งไปให้

sweetyDOTcom : ของขวัญสำหรับอะไร

ถามไปแต่เขาไม่ตอบแต่ข้อความขึ้นว่าอ่านแล้ว  สงสัยยุ่งอยู่มั้งเดี๋ยวถ้าว่างก็ตอบมาเองนั่นแหละ

ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าแล้วยัดทุกอย่างใส่ล็อกเกอร์ไว้ ส่องกระจกดูหน้าสดของตัวเองแล้วนึกขำกับหน้าตาจืดๆ ดูหยิ่งๆ เส้นผมที่ไม่ได้เซ็ตขึ้นแบบนี้ดูยาวกว่าตอนที่เซ็ตเล็กน้อยคงถึงเวลาต้องไปเล็มออกสักหน่อย เมื่อเช็คความเรียบของเสื้อผ้าแล้วจากนั้นก็มัดผมจุกขึ้นกลางหัวเพื่อไม่ให้มันตกลงมาคลุมหน้าแล้วจึงเริ่มออกไปวอร์มร่างกายแบบเบาๆ

ส่วนใหญ่จะเล่นส่วนบนเพราะไม่อยากทรมานแผลจนผ่านไปสักพักใหญ่เหงื่อก็เริ่มซึมและคิดว่าจะวิ่งอีกแค่สิบนาทีแล้วค่อยกลับ

วันนี้คนเยอะพอสมควรทำให้เครื่องออกกำลังกายหลายชนิดมีคนเล่นเต็มหมด เหลือลู่วิ่งแค่เครื่องเดียวตรงด้านในสุดห่างไกลชาวบ้านแต่ก็ยิ่งดี ผมชอบอยู่สงบๆ  เมื่อขึ้นไปก็กดสตาร์ทลู่วิ่งในระดับที่เบาสุดแค่ให้พอได้เคลื่อนไหว  แต่นานแล้วที่ไม่ได้ออกกำลังกายเลย นี่ขนาดทำทุกอย่างเบาๆ ยังรู้สึกเหนื่อยแถมยังเริ่มปวดตุบๆ ที่แผลขึ้นมาซะแล้ว

“โอยย นึกว่าหายแล้วซะอีก” ผมหยุดเครื่องแล้วเปิดแผลดู ที่จริงมันใกล้ปิดสนิทแล้วแต่ตอนนี้เหมือนจะฉีกออกอีกเพราะมีเลือดไหลซึมออกมา

“ถ้าไม่วิ่งแล้วก็ออกไปสิคุณ ยืนกั๊กที่แบบนี้มันเสียเวลาคนอื่น”

“ผมเหรอ?” ชี้นิ้วเข้าหาตัวเพราะหันซ้ายขวาแล้วไม่มีเครื่องไหนว่างเลยและผู้ชายที่ส่งเสียงเมื่อกี้ก็กำลังมองมาที่ผม

“คนอื่นมั้ง คนอื่นที่เขาวิ่งอยู่ตลอด มีแต่คุณที่หยุดแล้วหยุดอีก ถ้าไม่อยากวิ่งจะมาวิ่งทำไม”

ถึงกับต้องขมวดคิ้วเป็นปม ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีมาก สูงขาวหน้าไปทางเกาหลีแถมยังดูมีการศึกษาแต่ทำไมไร้น้ำใจและมารยาทเสียขนาดนี้นะ

“ผมก็เสียเงินเหมือนกัน ถ้าผมจะยืนอยู่บนลู่เฉยๆ มันก็สิทธิ์ของผม” พูดแล้วยืนอยู่บนเครื่องวิ่งมองหน้าเขาอย่างท้าทาย

เขาเลิกคิ้วอย่างอวดดีแถมยังมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า เสียมารยาท!

“คิดว่าเงินคุณมันมีค่ามากเลยสิ คนรวยก็งี้แหละ เที่ยวอวดอภิสิทธิ์ใส่คนอื่นไปทั่ว”

เอ๊ะ นายคนนี้ท่าจะประสาท ผมแค่บอกว่าผมเสียเงินเข้ามาก็มีสิทธิ์เล่นหรือไม่เล่นเหมือนกันแต่เขาดันตีความไปแบบนี้ซะได้

“อยากคิดยังไงก็เรื่องของคุณ ถ้าเป็นคนจนมันชอกช้ำนักก็ขยันทำมาหากินจะได้รวยขึ้นมาบ้างจะได้อวดอภิสิทธิ์กับเขาได้โดยไม่ต้องไปอิจฉาคนอื่น” ว่าใส่หน้าเขาแล้วเดินเชิดออกมาจากตรงนั้นทันที นี่ถ้าไม่เจ็บแผลจะยืนกั๊กที่ให้ไอ้บ้านั่นอกแตกตายไปเลย


“โอยย ทำไมปวดแบบนี้นะ” หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็มานั่งพักตรงด้านหน้าเพื่อเปิดแผลดูอีกครั้ง เลือดยังไหลไม่หยุดไหลจนต้องใช้ทิชชูซับและแผลก็บวมแดงขึ้นจนเห็นได้ชัด “ไปให้หมอดูหน่อยท่าจะดี” ผมตัดสินใจได้ก็ลุกขึ้นตั้งใจจะเดินออกไปที่รถแต่กลับชนเข้ากับผู้ชายคนเดิมจนเสียหลักและถูกเขารัดตัวไว้เพราะกำลังจะล้ม

ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ มือหนาที่โอบรัดเอวแน่นเกินไปจนหายใจติดขัด มืออีกข้างของเขาที่ประคองหัวไหล่ก็พยายามขยับให้จับถนัดขึ้นจึงเหมือนเป็นการลูบไล้จนสะท้านวูบวาบมากกว่าเดิม  เรานิ่งค้างมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง หัวใจผมเริ่มหวิวไหวร่างกายมันนิสัยไม่ดีเลย

ดินแดนสอนให้หายใจลึกๆ แล้วตั้งสติ เขาฉลาดและช่างสังเกตจนในที่สุดก็คงรู้ว่าร่างกายของผมผิดปกติและพยายามช่วย ถึงจะไม่พูดออกมาตรงๆ แต่รับรู้ได้ว่าเขาเป็นกังวลกับเรื่องนี้มากและผมจะไม่ทำตัวให้เขาเป็นห่วงเกินไป เรื่องแค่นี้ต้องควบคุมให้ได้

พยายามกลั้นใจกัดฟันแล้วดันตัวเขาออกได้ในที่สุด

“เดินดีดีหน่อยคุณ อย่าอ่อยให้มันมากนัก” เขาว่าทันทีที่ผละออกจากกัน

อ่อย!?

“นี่คุณจะบ้าเหรอ คนเพิ่งเจอหน้ากันก็มาพูดจาร้ายๆ ตลอด ชาติก่อนผมไปเผาบ้านคุณมาหรือไง” ทนไม่ไหวกับนิสัยของเขาจนต้องว่าให้เจ็บซะบ้าง ปกติไม่อยากต่อปากต่อคำกับใครแต่ผู้ชายคนนี้เกินไปจริงๆ

“จะไปหาหมอไม่ใช่เหรอก็รีบไปสิ” อยู่ดีดีก็พูดออกมาแบบนั้น “ไปเร็วๆ เดี๋ยวเลือดก็ออกหมดตัวหรอก” ว่าแล้วก็ดึงมือผมให้ตามเขาไป

“นี่! นี่คุณปล่อยผมนะ!” พยายามจะขืนตัวแต่เขาก็จับแน่นไม่ปล่อย ตอนนี้ทั้งเจ็บที่แผลแถมยังไม่เข้าใจผู้ชายคนนี้และที่ร้ายสุดคือเริ่มรู้สึกร้อนรุมตรงข้อมือลามขึ้นมาถึงร่างกายส่วนอื่น

“คุณอยู่นิ่งๆ ได้ไหมเลือดไหลเป็นทางหมดแล้วนะ” อยู่ๆ เขาก็หยุดเดินแล้วหันมาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบขึ้น

“ค..คุณ ก็ หยุดลาก.. ผมซะที  ผมจะได้รีบไป..โรงพยาบาล” บอกเสียงขาดๆ หายๆ พยายามแกะมือเขาออก

“ไม่ต้องรังเกียจผมขนาดนั้นหรอก” เขาปล่อยมือ “แต่คุณต้องให้ผมไปส่ง” 

“ทำไม..ผมต้อง..ให้คุณไปส่งด้วยล่ะ” ผมหอบหายใจพยายามตั้งสติให้นิ่ง

“ถ้าขับไปเองคุณจะขับไม่ไหวเพราะขาขวาต้องออกแรงเหยียบคันเร่ง เลือดจะไหลเยอะขึ้น หรือถ้ารอให้ใครมารับก็จะช้าเกินไป ทางที่ดีคุณให้ผมไปส่งคลินิกใกล้ๆ ห้ามเลือดให้หยุดไหลก่อนแล้วค่อยไปโรงพยาบาลเองก็ได้” 

“ผ..ผม” ผมอึกอักเพราะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนอื่นเลย

“ถ้าไม่เดินไปขึ้นรถเอง ผมจะอุ้มคุณแล้วนะ” เขาทำท่าหงุดหงิด
“ตกลงๆ แต่คุณห้ามมาแตะต้องตัวผมอีกนะ” ผมลังเลอยู่เล็กน้อยจึงได้ตกลงใจ ไม่อยากให้เขามาสัมผัสตัวได้อีก

“อยากจับนักนี่” เขาเบ้ปาก

หึ้ย ไอ้บ้านี่มันยังไงนะ กวนประสาทซะจริง

“ไปขึ้นรถซะที ผมมีเรื่องต้องทำอีกเยอะ” ว่าแล้วก็เดินนำผมไปที่รถของเขา

อยากจะด่าว่าถ้าบีซี่นักก็ไสหัวไปเลยก็ได้ ไม่มีใครง้อเขาไว้สักหน่อย

แต่แล้วผมก็ขึ้นมาบนรถของเขาอย่างเสียไม่ได้ รถเก๋งเก่ารุ่นพระเจ้าเหา กระจกปิดไม่ได้ แอร์ไม่มี วิทยุไม่ดัง แถมที่ปัดน้ำฝนก็มีข้างเดียว

“รุ่นนี้พิเศษ ดังทุกอย่างยกเว้นแตรกับวิทยุ” เขาอวด “ทนๆ หน่อยก็แล้วกัน นั่งรถเก่าคงไม่เสียศักด์ศรีมากเท่าไหร่หรอกมั้ง” คำพูดคำจาไม่น่าฟังแม้แต่คำเดียว

หงุดหงิดจนต้องหันไปมองด้วยสีหน้ายากจะบรรยาย นี่ผมต้องนั่งรถคันนี้กับคนแบบนี้จริงๆ เหรอ

แต่เดชะบุญ มีคลินิกเล็กๆ อยู่ใกล้แค่ไม่กี่กิโลเมตร เขาแวะจอดแล้วให้ผมเข้าไปก่อน

“เดินเข้าไปก่อนนะ เดี๋ยวผมเอารถไปจอดแล้วจะตามเข้าไป”

ไม่ต้องตามเข้ามาได้ยิ่งดี!


เดินเข้ามาในคลินิกแล้วมองไปรอบๆ ที่นี่เป็นคลินิกเล็กๆ อยู่ในตึกพาณิชย์สามชั้นครึ่ง 2 คูหา  ด้านล่างแบ่งเป็นโซนคนไข้ที่มีเก้าอี้นั่งรอสี่ห้าแถว ถัดไปเป็นเคาน์เตอร์ด้านหลังเป็นตู้ยาเรียงราย ส่วนด้านในเป็นห้องตรวจเล็กๆ เรียงติดกันไปสามห้อง ส่วนด้านในสุดเป็นห้องน้ำ

“สวัสดีค่ะ ขอบัตรประชาชนด้วยค่ะ” พนักงานพยาบาลประจำเคาน์เตอร์เอ่ยทัก ผมจึงยื่นบัตรให้เธอ “เป็นอะไรมาคะ”

“มาทำแผลห้ามเลือดครับ”

“ขอดูแผลนิดนึง อ่า ต้นขาขวาที่เดียวนะคะ” 

“ครับ”

“มีอาการอื่นหรือเปล่าคะ”

“ไม่มีครับ” ถึงแม้ตอนนี้จะยังสั่นไม่หายก็เถอะแต่ใครจะกล้าบอกว่ามีอาการบ้าบอแบบนี้ตอนที่ถูกเนื้อต้องตัวผู้ชาย

“งั้นเข้าไปรอห้องตรวจสามเลยนะคะ” เธอผายมือไปด้านในสุดแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร


เดินเข้าไปนั่งรอในห้องตรวจสุดท้าย  ในนี้มีแค่เตียงตรวจ โต๊ะเล็กๆ และเก้าอี้สองตัวสำหรับหมอและคนไข้  ไม่นานนักพนักงานก็เข็นสเตชั่นอุปกรณ์ทำแผลมาที่ห้อง

จะว่าไปก็น่ารักมุมิดีเหมือนกันนะ เพิ่งเคยเห็นแบบนี้ ปกติก็ไปโรงพยาบาลใหญ่ๆ ตลอด หวังว่าหมอจะใจดีนะ

“คนไข้อยู่ด้านในนะคะคุณหมอ ทำแผลที่ต้นขาขวาค่ะ”

“ขอบคุณครับ” ได้ยินเสียงหมอแล้วต้องย่นคิ้วแปลกใจ เสียงคุ้นซะจนหลอน

และเมื่อคุณหมอในเสื้อกาวน์สีขาวเดินเข้ามาผมก็ต้องร้องออกมาเสียงดัง

“คุณ!!” 

ไอ้บ้าเมื่อกี้กลายเป็นคุณหมอได้ไง  นี่เขาไปขโมยเสื้อกาวน์กับสเต๊ทฯ มาคล้องคอทำเท่หรือเปล่า!

“จะอ้าปากค้างอีกนานไหม ขึ้นไปนั่งบนเตียงสิเร็วๆ” เขาเร่ง

ผมได้แต่ใบ้กินค่อยๆ เปล่งเสียงถามออกมาได้ทีละคำ

“คุณ..” เขาเลิกคิ้วรอฟัง “..เป็น..หมอเหรอ” ถามออกไปแบบโง่ๆ ทั้งๆ ที่ก็เดาได้ว่าเขาเป็นหมอ

“ตอนเข้ามาไม่อ่านเหรอใบประกอบโรคศิลป์น่ะ นายแพทย์อนุวรรต วิญญูนุกูล แพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกียรตินิยมอันดับสอง เฉพาะทางด้าน Emergency medicine”  มีการเก๊กหนังเลิกคิ้วเหมือนข่มกลายๆ

“อ..อะ อ๋อ อืม” ผมพยักหน้าแบบงงๆ แล้วเดินไปนั่งบนเตียงจากนั้นดึงกางเกงที่สั้นแค่เข่าขึ้นมาให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้



ต่อ..

หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 8 : อนุวรรต 《19/06/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 19-07-2018 15:58:36
เขาเริ่มจากใส่ถุงมือแล้วเดินมาเปิดผ้าก็อซออกอย่างเบามือ หยิบก้านสำลีชุบแอลกอล์ฮอล์เช็ดเลือดที่ไหลเป็นทางลงไปถึงหน้าแข้งและบริเวณใกล้เคียง ยิ่งถูกสัมผัสยิ่งรู้สึกผิดปกติ นี่ขนาดไม่ได้ใช้มือเช็ด แต่มันเห็นๆ อยู่ว่าเขาทั้งหล่อและเป็นผู้ชายที่ดูดีไปทุกกระเบียดนิ้ว ยิ่งอยู่ในชุดกาวน์และกำลังเคร่งขรึมอยู่ในวิชาชีพเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้ร่างกายมีปฏิกิริยา

ผมพยายามกัดฟันข่มความรู้สึกบ้าบอที่เริ่มก่อตัวขึ้น แค่เช็ดเลือด.. แค่เช็ดเลือด.. 

“แผลยังไม่หายดีแต่ไปวิ่งได้ยังไง ดูสิมันเปิดอ้าออกมาอีกแล้วแถมยังระบมด้วย” เขาเปลี่ยนก้านสำลีแล้วเช็ดไปรอบแผลอย่างเบามือ

“ทำไมต้องเสียงดังด้วยล่ะ เบาๆ ก็ได้” ผมเอ็ด

“เลือกเอาว่าจะให้ทำแผลเบาๆ หรือพูดเบาๆ ผมให้เลือกได้อย่างเดียว” อยากจะเอาแอลกอล์ฮอล์บีบใส่ปากนัก ทำไมถึงได้กวนประสาทขนาดนี้นะ

“ทำแผลเบาๆ” ผมตอบแล้วหันหนี ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงแล้ว เบื่อ!

“อ๊ะ!” ต้องรีบหันไปมองเมื่อเขาใช้ก้านสำลีชุบน้ำเกลือแล้วเช็ดตรงบาดแผลจนรู้สึกเจ็บขึ้นมา “ไหนบอกว่าจะทำแผลเบาๆ” ผมตำหนิ

“ก็กางเกงคุณมันดึงขึ้นได้แค่นี้ ผมมองไม่เห็นแผลด้านในก็เลยกดแรง ถ้าอยากให้ผมเห็นชัดๆ คุณก็ถอดกางเกงดีกว่า” เขาว่า

“ไม่ต้องหรอก งั้นจะทำเจ็บแค่ไหนก็ทำเถอะ” กระแทกเสียงเล็กน้อยเพราะพยายามรั้งขอบกางเกงขึ้นสุดแรงแล้วแต่มันก็ได้แค่นี้

“งั้นขอสอดมือเข้าไปใต้กางเกงนะมันจะได้ไม่เลื่อนลงมาบัง”  เขาถามแล้วหยุดรอคำตอบจนผมพยักหน้าจึงใช้มือสอดผ่านขากางเกงแล้วทาบมือไว้ที่โคนขา

ลมหายใจเริ่มผิดปกติมากขึ้น มันเหมือนกับมีลูกไฟวิ่งวนอยู่โดยรอบบริเวณที่เขาสัมผัส  รู้สึกร้อนๆ รุมๆ มากขึ้นทุกที 

“อ่ะ!” เผลอหลุดเสียงออกมาเมื่อรู้สึกเจ็บแต่ที่มากกว่านั้นคือความรู้สึกสั่นสะท้าน ผมหันหน้าหนีและหลับตาลง แอบผ่อนลมหายใจที่ติดขัดเพื่อไม่ให้เขาจับสังเกตได้ 

“คุณนอนลงดีกว่าเดี๋ยวจะหล่นจากเตียง” เขาค่อยๆ จับไหล่แล้วดันให้นอนลง ผมไม่ได้ขัดขืนเพราะตอนนี้สติมีไม่พอจะทำอะไรแถมมีพนักงานอยู่ข้างนอก และที่สำคัญจรรยาบรรณ์แพทย์ก็น่าจะค้ำคอไว้บ้างนั่นแหละ

การทำแผลของเขาเนิ่นนานเกินไป มือที่ถูไถไปตามหน้าขาก็เหมือนจะตั้งใจให้มันเสียดสีแม้จะผ่านถุงมือยางแต่มันก็มีไอความร้อนผ่านออกมาได้อยู่ดี   ผมหายใจหนักขึ้น รู้สึกอึดอัดจนต้องเผยอปากเพื่อช่วยหายใจ

อาการคราวนี้หนักหนามากจริงๆ อารมณ์มันต่อเนื่องมาตั้งแต่กอดกับเขาที่ฟิตเนสเรื่อยมาจนถึงตอนนี้ แถมยังปวดแผลตุบๆ แต่มันก็ปะปนกับเสียวแปลบๆ เวลาที่เขาเช็ดล้างบาดแผล

“ฉีดยาหน่อยนะจะได้ผ่อนคลายขึ้น” ได้ยินชัดเจนแต่ผมกลับไม่ปฏิเสธออกไป

ยาเหรอ? ฉีดยาอะไรผมแค่มาทำแผลนะ

สักพักแขนของผมก็ถูกเข็มเล็กๆ ทิ่มเข้ามาจนสะดุ้งและลืมตาขึ้นมอง

“เจ็บ..”

“ชู่วว เจ็บนิดเดียวแค่มดกัด”  ดูเหมือนจะนิสัยดีขึ้นกว่าเดิมแล้วผมจึงพยักหน้าแล้วยิ้มให้บางๆ

ระหว่างนี้เขาก็สาละวนอยู่กับการทำแผล ส่วนผมก็นอนมองหน้าเขาไปเพลินๆ

ก็หล่อดี..

มองไปมองมารู้สึกเหมือนกำลังนอนอยู่ในเปลญวน แกว่งไกวแสนสบายแล้วจึงค่อยๆ หลับตาลง

“นอนพักซะเดี๋ยวก็ดีขึ้น” 

น้ำเสียงอบอุ่นฟังดูคุ้นเคยเหมือน  “..พี่เวย์” 

ผมปรือตาขึ้นมองใบหน้าขาวใสที่อยู่ใกล้  มองเขาด้วยความคิดถึงและความรู้สึกผิดอัดแน่นอยู่ในหัวใจ

“น้องขอโทษ ขอโทษนะครับพี่เวย์..”

บอกเขาไปแบบนั้นแต่เขาไม่ตอบกลับ ทำแค่มองจ้องมานิ่งๆ คล้ายกำลังต้องมนตร์สะกด

หัวใจของผมเต้นระรัวสวนทางกับสติที่ค่อยๆ วูบเลือนไปเรื่อยๆ

และก่อนที่ความรู้สึกจะดับไป ริมฝีปากก็ถูกกระกบจูบลงมาอย่างอ่อนหวาน

“อือ..”

พ..พี่เวย์เหรอครับ

พี่เวย์..

ผมตอบรับเรียวลิ้นที่ละเลียดเข้ามาอย่างเต็มใจ คิดถึงจัง น้องคิดถึงพี่เวย์มากเลยครับ

จะว่าไปมันเหมือนความฝันเสียมากกว่าเพราะในความเป็นจริงผมไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดถึง ผมเป็นแฟนเฮียเผ่า เฮียเองก็รักผมมาก เรากำลังจะแต่งงานและย้ายไปอยู่ด้วยกัน  ที่สำคัญเส้นทางชีวิตของผมกับพี่เวย์คงไม่มีวันมาบรรจบพบเจอกันได้แน่นอน

ในขณะที่กำลังอยู่ในห้วงแห่งฝัน จุมพิตของพี่เวย์ยังคงสร้างความวาบหวามได้อย่างต่อเนื่อง แต่แล้วเสียงหญิงสาวก็ดังขึ้น

“อุ๊ย!.. ค..คุณหมอ ทำอะไรคะ!?”

“!!!!..เอ่อคือ..เขา เขาเป็นแฟนผมน่ะครับพี่งาม”

“!? แต่เขาเป็น..ผู้ชาย? จูบ? อ..อ๋อ ค่ะๆ มิน่าเมื่อกี้ถึงทะเลาะกันเสียงดัง เอ่อ ค..คือมีคนไข้ที่ห้องตรวจหนึ่ง
นะคะ”

“ค..ครับ เดี๋ยวผมไป”   

‘โธ่เอ้ย! ไม่เหลือแล้ว หมดกันจรรยาบรรณแพทย์กู!’

+++++++++++++++++++++++++++++++


ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกทีในห้องเดิม กับหมอคนเดิมที่ตอนนี้เขาหลับฟุบอยู่ที่โต๊ะตรวจ

“ค..คุณ” ผมเรียกเขาด้วยเสียงแหบแห้ง

“ตื่นได้ซะที” พอเงยหน้าลืมตาขึ้นมาได้ก็พูดไม่เข้าหูทันที

“..ขอ..น้ำ” ผมบอก

“เรื่องเยอะเรื่องแยะ เมียก็ไม่ใช่แต่ต้องมาคอยเอาอกเอาใจ น่าเบื่อ” บ่นแล้วก็เดินหายออกไปและกลับมาพร้อมน้ำหนึ่งขวดกับแก้วหนึ่งใบก่อนจะรินให้อย่างเสียไม่ได้เพราะผมนั่งนิ่งไม่ยอมรับทั้งสองสิ่งเพื่อรอให้เขาริน

ที่จริงจะรินเองก็ได้แต่อยากแก้เผ็ดบ้าง คนอะไรไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษแม้แต่นิดเดียว

“ทำไมผมหลับไปได้ล่ะ” ผมตั้งคำถาม ปกติไม่ใช่คนขี้เซา แต่พอนึกทบทวนไปได้สักหน่อยก็รีบก้มดูตรงแขน “คุณฉีดยาอะไรให้ผม! แล้วคุณทำอะไรผมหรือเปล่า!” รีบตรวจสอบเนื้อตัวเสื้อผ้าแต่ก็ปกติดีทุกอย่าง แผลก็ทำใหม่เรียบร้อยและไม่รู้สึกเจ็บมากเท่าเมื่อกี้แล้ว

“เออเอาเข้าไป โปรดสัตว์ได้บาปไอ้วรรตเอ้ย ทำไมต้องมาเจอลูกคุณหนูเอาแต่ใจขี้วีนขี้เหวี่ยงแถมยังชอบมโนแบบนี้วะ สงสัยต้องไปทำบุญปล่อยนกปล่อยปลาซะบ้างชีวิตจะได้พบเจอแต่สิ่งดีดี”

รู้สึกโกรธจี๊ดขึ้นมาทันที

“มันจะมากเกินไปแล้วนะ!” ผมยันตัวลงจากเตียงหวังจะไปต่อยปากเลวๆ นั่นแต่แล้วเมื่อเท้าแตะพื้นร่างผมก็ทรุดลงจนไอ้คนปากเสียต้องรีบพุ่งตัวมารับไว้

“เป็นภาระ!” เขาพูดใส่หน้าเมื่อประคองผมขึ้น “ทำตัวเป็นภาระได้ตลอดเวลา ถามจริงเหอะคุณอายุเท่าไหร่แล้ว สามขวบ หรือสองขวบ ทำตัวให้คนอื่นเขาต้องมาคอยดูแลอะไรแบบนี้แล้วมันรู้สึกดีเหรอ หรือพ่อแม่ไม่รัก หรือโดนเก็บมาจากถังขยะ”

เพี๊ยะ!!

ทั้งๆ ที่ร่างกายผมถูกสัมผัสก็น่าจะรู้สึกวูบวาบตามที่เคยเป็นแต่พอได้ยินคำพูดของเขาความรู้สึกพวกนั้นก็มลายหายไปเหลือแต่ความโมโห

ผมตบเขาแบบไม่แบมือ ตบเต็มแรงแถมยังผลักเขาซ้ำอีก

“แล้วใครขอให้คุณมายุ่ง!” จากนั้นผมก็โซซัดโซเซออกมาจากคลินิกบ้านั่นทันที พยายามแข็งใจไม่ให้เดินกระเผกจะได้ไม่ดูเป็นภาระอย่างที่เขาพูด

น้ำตาผมรื้นขึ้นแต่ก็รีบเช็ดออกอย่างรวดเร็วไม่ให้มันได้หล่นร่วงลงบนสถานที่บ้าๆ แห่งนี้

เจ็บใจ..

โมโห..

โมโหที่สุด! เป็นภาระเหรอ คนอย่างชนม์แดนเนี่ยนะเป็นภาระ ตั้งแต่เด็กจนโตก็ดูแลตัวเองมาตลอด หาเงินเรียนเองจนจบและทำห้องเสื้อด้วยความสามารถของตัวเองทั้งนั้น ผมไม่ใช่ภาระของใคร!

“ขึ้นรถ” เขาขับรถตามแล้วตะโกนสั่ง

ตอนนี้เดินเลยมาจากหน้าคลินิกแล้วยืนรอแท็กซี่แต่ไม่มีผ่านมาแม้แต่คันเดียว

ผมเมินเขาไม่อยากสนใจ ไม่อยากมองหน้าด้วยซ้ำ เขาจึงจอดรถแล้วเดินลงมา

“ไปขึ้นรถแถวนี้มันเปลี่ยว ตอนนี้สี่ทุ่มแล้วถ้าคุณโดนลากไปข่มขืนผมก็จะมีผีมาขี่ไหล่ไปตลอดชาติซึ่งผมไม่มีทางยอมให้มันเกิดขึ้น”

เคยคิดว่าดินแดนมันกวนประสาทมากที่สุดในโลกแล้วแต่ไอ้บ้านี่กวนยิ่งกว่า แถมยังใจร้ายด้วย

ไม่ชอบคนใจร้าย เกลียด

ผมไม่พูดแต่เดินหนีทว่าเขาก็วิ่งตาม ดูเหมือนกำลังจะคว้าจับแขนไว้แต่เขาก็เปลี่ยนใจวิ่งมาดักหน้า

“ผมพูดจริงๆ นะ คุณไม่กลัวถูกข่มขืนเหรอ” เขาขู่แต่ผมเชิดหน้าหันมองไปทางอื่น “หรือว่าชอบ” จำเป็นต้องกลอกตากลับไปมองเขาเมื่อสิ่งที่เขาพูดมันร้ายกาจจนต้องเงื้อมือตบไปอีกที  “อ๊ะๆ กินผมได้รอบเดียวแค่นั้นแหละ” เขารับข้อมือผมไว้ได้อย่างง่ายดาย “เมื่อกี้ยังเจ็บไม่หายนึกว่าจะแบมือตบแปะแค่คันๆ ที่ไหนได้ใส่ลงมาทั้งกำปั้นจนหน้าชา มือหนักใช่เล่นนะเรา”

ผมหันหลังกลับ ในเมื่อไปข้างหน้าแล้วเจอเขาก็เดินกลับไปทางเดิมก็แล้วกัน

“ผมขอโทษก็ได้อะ!” เขาตะโกนบอก ผมจึงหยุดก้าวขาและรอฟัง “ขึ้นรถเถอะเดี๋ยวผมไปส่งที่ฟิตเนสแล้วคุณก็ขับกลับเอง อย่าเดินอยู่แบบนี้เลยมันอันตราย”

ก็ค่อยฟังเหมือนคนปกติเขาพูดหน่อย  ผมไม่ได้หันกลับไปตอบอะไรแต่เดินไปเปิดประตูรถบุโรทั่งของเขาแล้วขึ้นไปนั่ง  ไม่นานนักเขาก็ขึ้นมาและออกรถ

“เฮ้อ..” ได้ยินเขาถอนหายใจและเหมือนกำลังจะพูดอะไรออกมาอีกแต่ผมรีบขัดขึ้น

“ถ้าคุณพูดออกมาอีกแค่คำเดียวไม่ว่าดีหรือร้าย ผมจะโดดลงจากรถ ไม่สนด้วยว่าจะตายหรือเจ็บหนักขอแค่ไม่ต้องได้ยินเสียงคุณก็พอ”

เห็นเขาทำปากเขาขมุบขมิบแต่ขี้เกียจจะสนใจเพราะอย่างน้อยมันก็ไม่มีเสียง  ผมเอนหลังพิงเบาะอย่างเหนื่อยล้าและหันหน้าออกนอกกระจกมองข้างทางอย่างเลื่อนลอย

วันนี้รู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ ยังดีที่ได้นอนไปเมื่อกี้หลายชั่วโมง แต่จะว่าไปไม่ได้นอนหลับสนิทและยาวนานติดต่อกันแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ ถึงจะเจอคนประสาทแลกกับได้พักเต็มที่ก็ถือว่าไม่ขาดทุน

แต่ถ้าจะให้ดี ขอไม่เจอแบบนี้อีกไปตลอดชาติก็แล้วกัน..


เมื่อถึงหน้าฟิตเนสผมก็ลงจากรถแล้วเดินไปที่รถของตัวเองทันที เขาขับตามช้าๆ และเมื่อเห็นผมสตาร์รถก็ตะโกนบอก

“หมดภาระซะที หวังว่าจะไม่ได้เจอกันอีกนะคุณภาระ”  แล้วรถเก่าของเขาก็เร่งเครื่องเสียงดังจนควันเสียฟุ้งกระจายจากนั้นก็ขับออกไป

“ไอ้คนประสาท!!” ผมด่าตามหลังออกมาอย่างที่ไม่เคยด่าใครในอารมณ์นี้มาก่อน  มันน่าโมโหจริงๆ น่าโมโหที่สุด!!


กลับถึงบ้านแล้วเปิดดูโทรศัพท์ มีไลน์จากเฮีย จากดิน จากป๋า และคุณแม่ ส่งมาถามว่าทำไมไม่ตอบไลน์แต่มีการตอบกลับว่ากำลังนวดสปาอยู่ ไม่ต้องห่วงถ้าถึงบ้านแล้วจะไลน์บอกอีกที

ผมไม่ได้เป็นคนพิมพ์ตอบนี่นา แล้วทำไม..

“ไอ้หมอประสาทนั่น! เสียมารยาทที่สุด!” ตอบไลน์แทนคนอื่นได้ยังไง นิสัยเสีย!

แต่แล้วผมก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเพราะมีไลน์เด้งขึ้นมาในชื่อที่ไม่คุ้นเคย

Dr.WRRT :  ถึงบ้านยังเนี่ย หรือมัวไปเถลไถลที่ไหนอีก

ชื่อด้อกเตอร์ดับเบิ้ลยูอาร์อาร์ที  ใครกัน?

sweetyDOTcom :  คุณเป็นใคร

Dr.WRRT :  หมอที่ช่วยชีวิตคุณเมื่อกี้ไง ลืมบุญคุณคนแบบนี้นิสัยไม่ดีนะ อุตส่าห์ช่วยไว้เงินทองก็ไม่ได้ซักบาท ค่ายาค่าตรวจค่าทำแผลก็ไม่ได้ เสียค่าน้ำมันรถเทียวไปเทียวมาอีกตั้งหลายลิตร คำขอบคุณก็ยังไม่มี ถ้าคิดว่าผมจะไม่ทวงบุญคุณละก็ คุณคิดผิดแล้วล่ะ

ให้มันได้อย่างนี้สิ! มาแอดไลน์โดนพละการแล้วยังไลน์มาทวงบุญคุณอีก ไอ้คนแบบนี้มันน่าฆ่านัก

sweetyDOTcom :  ผมจะบล็อกคุณ

Dr.WRRT :  บล็อกสิ ถ้าบล็อกผมจะเอารูปที่แอบถ่ายเมื่อกี้แชร์ให้ว่อนเน็ตเลย

!!?? รูปแอบถ่าย!!

sweetyDOTcom :  คุณถ่ายรูปอะไรบอกมาเดี๋ยวนี้นะ

Dr.WRRT :  ถ้าคุณบล็อกรับรองได้เห็นเองกับตาแน่ บอกมาว่าคุณถึงบ้านรึยัง

ผมล้มลงนอนอย่างหมดท่าทุบหมัดลงกับเตียงด้วยความหงุดหงิด ดันไปเสียท่าหมอชั่วนั่นได้ยังไง ทำไมผมโง่แบบนี้นะ

sweetyDOTcom :  ถึงแล้ว

ในเมื่อสถานการณ์ยังตกเป็นรอง ผมจะทำตามมันไปก่อนแต่ถ้าสั่งอะไรที่สุ่มเสี่ยงผมก็จะแจ้งตำรวจทันที

Dr.WRRT :  ถ่ายห้องมาให้ดูหน่อย ถ่ายให้เห็นแผลที่ผมทำเมื่อกี้นี้ด้วยจะได้รู้ว่าไม่ได้เอารูปเก่ามาหลอก

sweetyDOTcom :  [Image]

ผมยกขาขึ้นแล้วถ่ายตั้งแต่โคนขาขึ้นไปจนเห็นปลายเท้าและเพดานจากนั้นกดส่งไปให้โดยไม่ได้พิมพ์อะไร

Dr.WRRT :  ตั้งใจส่งตีนให้สินะ

เขารู้ทันแล้วส่งข้อความตามมาอีก

Dr.WRRT :  ยาอยู่ในกระเป๋า กินตามที่เขียนไว้แล้วพรุ่งนี้เช้าเปิดแผลแล้วถ่ายมาให้ดูด้วย

Dr.WRRT :  แล้วก็ห้ามบล็อกไม่งั้นรูปแอบถ่ายของคุณผมจะไม่เก็บไว้ดูคนเดียวแน่นอน

บ้าๆๆๆๆ บ้าที่สุด!! ไอ้หมอบ้าไอ้หมอประสาท นึกว่าจะไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีกแต่ก็ตามมารังควานจนได้ โอ๊ย น่าโมโหที่สุด!!


หลังจากนั้นผมก็ไล่ตอบไลน์บอกทุกคนว่าถึงบ้านแล้ว ส่วนนายดินถามมาว่าได้ของขวัญหรือยัง พอไปถามพวกแม่บ้านก็บอกว่ามีของส่งมาแต่ไม่ระบุชื่อ ผมตามไปดูที่ห้องรับแขกเห็นดอกไม้ช่อใหญ่

‘อยากให้พี่มีความสุขนะ’  ผมยิ้มเมื่ออ่านข้อความในการ์ดจบ

เด็กบ้า..

สกายโชคร้ายมาตลอดชีวิตแต่เขาจะลืมโชคร้ายทั้งหมดได้แน่เพราะมีน้องชายของผมอยู่ข้างๆ ก็เหลือแต่ผมนั่นแหละที่ตอนนี้ยังลูกผีลูกคน หวังว่าเฮียเผ่าจะกลับตัวกลับใจได้จริงๆ นะ

++++++++++++++++++++



เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นขึ้นมาเพราะไลน์เด้งถี่จนต้องหยิบมาอ่าน

Dr.WRRT :  บอกให้ถ่ายรูปให้ดู ทำไมไม่ถ่าย

Dr.WRRT :  คุณอยากจะลองดีกับผมเหรอ

Dr.WRRT :  อ่านไลน์ๆๆๆ

Dr.WRRT :  อ่านๆๆๆ

Dr.WRRT :  ทำอะไรอยู่ทำไมไม่อ่านซะที

Dr.WRRT :  อยากลองดีใช่มั้ย

โอ้ย ผมจะบ้าตาย อ่านจบก็รีบยกขาขึ้นแล้วถ่ายรูปให้เขาซะจะได้จบเรื่อง

sweetyDOTcom :  [Image]

Dr.WRRT :  ทำไมช้า

sweetyDOTcom :  พึ่งตื่น

Dr.WRRT :  ถ่ายหน้ามาซิ พึ่งตื่นจริงมั้ย

นี่มันบ้าอะไรกัน แล้วผมก็บ้าจี้ส่งให้เขาซะอีก

sweetyDOTcom :  [Image]

Dr.WRRT :  555555555 ตอนตื่นขี้เหร่

มันก็แน่ละ ตอนตื่นใครจะมาดูดีอยู่ได้ล่ะ ลูกกะตานี่ก็เล็กอยู่แล้ว หลังตื่นนอนจะบวมจนปิดแทบมองไม่เห็น ทรงผมก็ยาวระต้นคอเวลาไม่เซ็ทไม่หวีมันก็ยุ่งเหยิง หน้าบวมปากบวม แถมยังมีกระด้วยเพราะผิวขาวจนเห็นรอยชัดเจน แรกๆ ก็ไปจี้ออกแต่ช่วงหลังก็ไม่สนใจมันละ ทาเซรั่ม โลชั่น ซันบล็อค แล้วทาแป้งเด็กทับก็อยู่ได้ทั้งวัน

sweetyDOTcom :  พอใจแล้วใช่มั้ยผมจะนอนต่อ

Dr.WRRT :  ตื่นมากินข้าวกินยา นี่มันสิบโมงแล้ว

sweetyDOTcom :  ผมง่วง

ขนาดนอนที่คลินิกตั้งหลายชั่วโมงแต่ยังรู้สึกง่วงจนนอนยาวจนถึงเช้า ซึ่งมันก็ดีแล้วเพราะนานทีจะได้พักผ่อนเต็มที่

Dr.WRRT :  ไม่ได้ ตื่นมากินข้าวกินยาให้ตรงเวลา เดี๋ยวนี้!

ที่สุดก็ต้องจำใจตื่นมาล้างหน้าล้างตา ยังไม่อาบน้ำเพราะคิดว่าเดี๋ยวจะนอนต่อ วันนี้ไม่อยากไปไหนเพราะเป็นวันอาทิตย์ถ้าไปทำงานเดี๋ยวไอ้น้องขี้บ่นมันจะมาบ่นใส่หูอีก

Dr.WRRT :  ถ่ายอาหารเช้ามา

ผมกลอกตาแล้วถ่ายรูปข้าวต้มกุ้งให้เขาดู

Dr.WRRT :  ถ่ายยาด้วยเหลือกี่เม็ด

มันจะเหลือกี่เม็ดล่ะ เพิ่งกินไปเม็ดเดียวเมื่อคืน ตอนนี้ก็เหลือเท่าเดิมนั่นแหละ แต่ผมก็ถ่ายไปจะได้จบๆ

แต่ขณะเดียวกันเฮียเผ่าก็โทรเข้าและบอกให้แต่งตัวรอเพื่อจะพาไปดูที่ดินสำหรับปลูกเรือนหอและพบกับสถาปนิกผู้รับเหมา ผมรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที บ้านของเรากำลังจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว

sweetyDOTcom :  ตั้งแต่เที่ยงผมไม่ว่างนะจะออกไปทำธุระ

ผมไลน์บอกไอ้หมอประสาทไว้ก่อนเพราะถ้าอยู่กับเฮียแล้วผมไม่อยากคุยกับใคร เฮียขี้หึงแบบสุดๆ

Dr.WRRT :  เอายาไปกินด้วย แล้วถ้าเสร็จธุระก็มาล้างแผลเปลี่ยนผ้าก๊อซเดี๋ยวจะอักเสบ

sweetyDOTcom :  ผมจะไปล้างที่โรงพยาบาล

Dr.WRRT :  ไม่ได้

เขาตอบแค่นั้นแล้วหายไป ผมได้แต่กลอกตากับความเอาแต่ใจของเขาแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก


เฮียเผ่ามารับเลทไปเกือบชั่วโมง ยังดีที่ไม่มีกลิ่นแปลกปลอมไม่งั้นคงทำให้นอยด์ขึ้นมาได้

“ที่นี่เหรอเฮีย แถวนี้ที่ดินแพงมากเลยนะ” ผมลงจากรถไปสำรวจพื้นที่ว่างเปล่าประมาณ 4 ไร่ มีต้นฉำฉาอยู่ตรงกลางแผ่ร่มเงากว้างใหญ่ไพศาล

“ดอทจะได้ทำห้องเสื้อที่นี่เลย ขยายให้ใหญ่กว่าที่เก่า แล้วแต่จะออกแบบเลยนะ เฮียให้ดอทจัดการเองได้หมด” เฮียยิ้มใจดี

วันนี้รู้สึกดีขึ้นกว่าหลายวันที่ผ่านมาคงเพราะได้เห็นที่เฮียทำให้เป็นรูปธรรมกอรปกับได้พักผ่อนเต็มที่จึงสดชื่นอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

ผมยิ้มหวานให้แล้วเข้าไปกอดขอบคุณ

“ดอทรักเฮียจัง”

“เฮียก็รักดอทครับ รักมากนะ” เขากอดแล้วลูบหลังเบาๆ จนรู้สึกวูบวาบจึงดันตัวออกแล้วเดินขึ้นไปบนรถ

“ขับเข้าไปดูตรงต้นฉำฉาหน่อยสิครับ สวยจังเลยถ้าไม่ตัดได้ไหมเฮีย มันจะเกะกะหรือเปล่า” ผมชี้

“ไปสิ” เฮียขับรถพาเข้าไปตามที่ผมขอ “ไม่ตัดก็ได้แต่มันอยู่ตรงกลางกลัวจะเสียพื้นที่เปล่าๆ”

“ไม่หรอก เดี๋ยวดอทค่อยคิดว่าจะทำยังไงถึงจะดี” ผมมองไปที่ต้นไม้ใหญ่อย่างนึกสนุก มีอะไรให้ทำอีกเยอะเลย

“ตามใจดอทครับ เฮียขอรออยู่กับดอทอย่างเดียวเลย” เขาป้อนคำหวานจนต้องมองด้วยความซาบซึ้ง

“อย่าผิดสัญญากับดอทนะครับ ถ้าไม่นับสองเรื่องที่เฮียสัญญาไว้ เฮียก็เป็นคนที่น่ารักที่สุดในชีวิตดอท ทำให้ดอทเป็นคนที่โชคดีเพราะเฮียให้ได้นะ” ผมเอื้อมมือไปจับมือเขาแล้วบีบเบาๆ

“รับทราบครับ” เขากระชับมือกลับมา เรามองตากันด้วยความเข้าใจ


ลองเดินสำรวจรอบต้นฉำฉา มันแผ่กิ่งก้านกว้างขวางกินพื้นที่เยอะพอสมควร

“เดี๋ยวผู้รับเหมาจะมาแล้วนะ” เฮียเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงแล้วเดินมาโอบไหล่

“ครับ หวังว่าจะเก่งนะ”

“เก่งสิ คนนี้เคยสร้างโรงงานให้เฮีย ฝีมือเจ๋งราคาถูก รับประกันได้”

“ดีจัง แล้วสถาปนิกล่ะครับ”

“ก็คนเดียวกันนั่นแหละแต่เขาจะออกแบบกันสองคนแต่วันนี้อีกคนที่ติดธุระมาไม่ได้”

“ไม่น่ามีปัญหา เดี๋ยวเขาก็คงไปบรีฟกันเอง” ผมบอกอย่างไม่ติดใจ


ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงรถดังใกล้เข้ามา เฮียเผ่าเดินไปหาต้นเสียงสองสามก้าวเพื่อรอต้อนรับแต่ผมกลับหยุดยืนอยู่ที่เดิม

ภาพที่เห็นตอนนี้คือรถมอเตอร์ไซค์แบบที่พี่เวย์ชอบแต่ดูเหมือนจะใหญ่และใหม่กว่า หมวกกันน๊อคสีคล้ายและท่าทางการขับขี่ที่คุ้นตา

ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก

คงไม่ใช่หรอก..

ไม่มีความบังเอิญขนาดนั้นหรอกน่า..

ตึกๆๆๆๆ

ยิ่งรถคันนั้นเข้ามาใกล้ หัวใจก็เต้นรัวขึ้นทุกที ขอให้ไม่ใช่เถอะนะ

!!!!!!???

แทบจะช็อคตายอยู่ตรงนี้..

เมื่อเขาถอดหมวกและสะบัดผมเล็กน้อย เส้นผมสีดำขลับก็ปลิวเข้าทรงทันที ผู้ชายผิวขาวในชุดเท่ๆ เสื้อเชิ้ตผ้ายีนส์แขนยาวแบบลุยๆ กางเกงยีนส์สีซีดแบรนด์ดังกับเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีน้ำตาลเข้มช่างดูทะมัดทะแมง ใบหน้าขาวขึ้นริ้วสีเพราะอากาศร้อน ความสูงที่โดดเด่น ขนาดเฮียเผ่าว่าสูงแล้วแต่เมื่อยืนใกล้กันแบบนี้กลับอยู่แค่ระดับใบหู  น่าจะสูงพอๆ กับสกายและดินแดน แต่เขาหล่อแบบจีนๆ สมาร์ทและสะอาดสะอ้าน ดวงตารีเล็กแต่มีประกายระยิบระยับ โดยเฉพาะรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนนั้น

ไม่เปลี่ยนไปเลย..

“ขอโทษที่ช้าครับเคลียร์งานไม่ทันจริงๆ”

พี่เวย์..



.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ใครรอพี่เวย์อยู่ก็สมใจแล้วนะ นางมาแล้วจ้าาาา
แต่คุณหมอเข้ามาอีกคนนี่สิ ยังไงดีล่ะ
แล้วคนสวยจะเลือกใคร คนไหนกันแน่ที่เป็นพระเอก
อ้าว แล้ว 7 ตอนที่ผ่านมาล่ะ ไม่ใช่พระเอกเหรอ?
มีคนบ่นว่านายน้อยล่มเรือด้วย 55555 แต่อย่าเพิ่งถอดใจอาจมีคดีพลิก
เส้นทางรักของพี่ดอทเพิ่งจะเริ่มต้นเองนะ ที่ผ่านมาเป็นแค่อินโทรยาวๆ
จากนี้ไปต่างหากคือของจริง

มาถึงตรงนี้คงต้องขอโทษคนอ่านด้วย ขิงอะไรไว้ไม่เคยทำได้
เคลมว่าจะดราม่าก็ม่าไม่สุด บอกจะเรทสูงจนป่านนี้ก็ยังไม่มี
ตอนท้ายเรื่องก็อาจจะไม่ถูกใจกับบทสรุปก็คงต้องขอโทษไว้ล่วงหน้า
เอาเป็นว่า ช่วยลุ้นกันหน่อย เบื่อนักพักอ่านแล้วมาตามต่อ
ฝากอยู่เป็นเพื่อนกันไปเรื่อยๆ จนจบเลยนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ  :mew1:


หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 8 : อนุวรรต 《19/06/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 19-07-2018 19:50:20
ตอนอ่านถึงที่พี่ดอททักคุณหมอว่าพี่เวย์นี่เราก็อึ้งแล้วนะว่าทำไมพี่เวย์คนอ่อนโยนถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้ แต่พอมาตอนท้ายที่เป็นพี่เวย์จริงๆนี่ถึงกับอ้าปากค้าง เริ่มสับสนแล้วตกลงคุณหมอกัยพี่เวย์นี่คนละคนกันใช่มั้ยหรือยังไง หรือเป็นญาติพี่เวย์ โอ้ยงง นี่อุตส่าห์คิดไปแล้วนะว่าคุณหมอเป็นผู้ใหม่ที่มีตำแหน่งเป็นว่าที่พระเอกแน่ๆ แต่พอพี่เวย์มาปั๊บเริ่มลังเลแล้ว รักเก่าจะรีเทิร์นรึเปล่าเนี่ยไม่รู้จะเชียร์ใครดีเลย
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 8 : อนุวรรต 《19/06/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 20-07-2018 15:10:01
ใครก็ได้แต่ไม่เอาไอ้เผ่า สิ่งที่ดราม่าสุดในเรื่องคือไอ้เผ่านี่แหละ พี่ดอทควรได้ชิมผู้คนอื่นบ้าง
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 9 : ภาวะซึมเศร้า 《25/07/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 25-07-2018 10:32:19
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.
ต อ น ที่ 9 :  ภ า ว ะ ซึ ม เ ศ ร้ า



“ไม่เป็นไรครับ เราก็เพิ่งมาถึง” มือหนาของเฮียยื่นออกไปรอ “ยินดีที่จะได้ร่วมงานกันอีกครั้ง”

มือเรียวของพี่เวย์ยื่นออกมาจับอย่างเต็มใจ “ขอบคุณที่ให้โอกาสอีกครั้งนะครับ”

แล้วเฮียเผ่าก็หันมาทางนี้..

“มานี่สิ รู้จักพี่เวย์ช่างรับเหมาบ้านของเรา” เฮียยื่นมือมาและผมก็จับมันเอาไว้ ก้มหน้าก้มตาค่อยๆ ก้าวเดินเผื่อจะมีฟ้าผ่าลงมาทำให้เราต้องรีบวิ่งขึ้นรถขับหนีไปบ้านใครบ้านมันแล้วจะได้ไม่ต้องเจอหน้ากันอีก

“นี่น้องดอทครับ แฟนของผม”

!!!!!!?

ทันทีที่ขาสั้นๆ ของผมก้าวขึ้นมาเทียบเคียงเฮียเผ่า การแนะนำอย่างเป็นทางการก็เกิดขึ้น

ปั้นหน้ายากเป็นยังไงวันนี้ถึงได้รู้  ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ทำปากยังไงจะอ้าหรือหุบ จมูกจะบานหรือเปล่า ดวงตาควรเบิกขึ้นหรือหรี่ให้เล็กที่สุด ทรงผมเป๊ะหรือยังนะ แล้วต้องยิ้มหรือทำเฉยๆ ถึงจะเข้าท่า

“ดอท.. ดอทครับ” เฮียเผ่าเขย่าตัวผมเบาๆ “เป็นอะไรไป หรือว่ารู้จักพี่เวย์เหรอ” เฮียเลิกคิ้วถาม

“ป..เปล่าครับ ไม่รู้จักหรอก” จะบอกว่ารู้จักได้ยังไง ถ้ารู้ว่าเป็นคนเดียวกับที่ไปส่งผมที่บ้านและเฮียก็ขับรถตามไปจนถึงบ้าน คงได้ซัดกันจนได้เลือดแน่

เหมือนจะเห็นพี่เวย์ชักสีหน้าแต่ก็เพียงแค่เสี้ยววินาทีจากนั้นก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ..คุณดอท เห็นคุณเผ่าพูดถึงบ่อยๆ ได้เจอกันซะที” มือสวยๆ ของพี่เวย์ยื่นออกมารอเพื่อให้ผมจับมือด้วย

มองใบหน้าหล่อสลับกับมือของเขาแล้วกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ หัวใจก็เต้นระส่ำจนกลัวว่าเฮียจะได้ยิน

เอาไงดี ไม่จับก็จะมีพิรุธแถมยังดูเสียมารยาท  งั้นก็ต้องจับมือทักทายตามมารยาทสินะ

“ไหว้ดีกว่าครับดอท พี่เวย์แก่กว่าเฮียปีหนึ่งนะ และน่าจะแก่กว่าดอทห้าหกปีน่าจะได้”  กำลังจะยื่นมือไปจับแต่เฮียดึงแขนไว้ก่อน

เฮ้อ โล่งอกไปที ขอบคุณนะเฮียที่ทำให้ไม่ต้องโดนตัวพี่เวย์ แต่คิดว่าเฮียน่าจะหวงและกลัวผมเกิดอาการมากกว่า

“สวัสดีครับ” ผมไหว้เขาแล้วก้มหน้างุด

“สงสัยจะร้อนนะ หน้าแดงไปหมดเลย” เฮียทักขึ้นเมื่อเห็นผมเหงื่อตกจนยกแขนเสื้อขึ้นซับไปทั่วหน้า “ยังไงรีบคุยกันเบื้องต้นแล้วย้ายไปร้านกาแฟแถวนี้น่าจะดีกว่า สงสารกระต่ายน้อยขี้ร้อน”

โธ่เฮียย ทำไมใช้คำพูดอะไรแบบนี้ให้มันดูน่าหมั่นไส้ ดูพี่เวย์บ้างว่าทำหน้ายากไปถึงไหนแล้ว แยกเขี้ยวแบบนั้นเขาไม่เรียกยิ้มไง แถมยังชำเลืองมองมาทางนี้ด้วยสายตาไม่เป็นมิตรอีก

รู้สึกอัดอั้น กดดันจนอยากแกล้งตาย..



แล้วการพูดคุยที่น่าอึดอัดก็ดำเนินเรื่อยไปจนย้ายไปถึงร้านกาแฟแล้วเหงื่อก็ยังไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย ผมไม่กล้าสบตาพี่เวย์ ไม่กล้าพูดอะไรมากจนทำให้สาระสำคัญในการบรีฟไม่ครบถ้วนสักที

นอกจากความละอายใจที่เคยไม่รับรักทั้งๆ ที่เขาตามดูแลมาตั้งหลายปีแถมยังไล่เขาอย่างไม่มีเยื่อใย ยังมีเรื่องความประหม่ากับลุคที่ดูโตขึ้นและดูดีขึ้นของเขาอีกด้วย

“ยังเหลืออีกเยอะเลยที่ต้องคุย ดอทจะคุยให้เสร็จวันนี้หรือจะนัดพี่เวย์คุยวันอื่น” เฮียเกริ่นขึ้นเมื่อตอนนี้สี่โมงเย็นแล้วแต่ยังไม่ถึงไหน

“คุยให้จบเลยดีกว่าครับจะได้ไม่เสียเวลา” ผมไม่อยากนัดใหม่ ไม่อยากทำใจใหม่อีก

“งั้นเอางี้ เดี๋ยวเฮียจะเข้าบริษัทแป๊บนึง ต้องไปเคลียร์เรื่องสำคัญ ดอทกับพี่เวย์คุยกันไปก่อนแล้วเฮียค่อยกลับมาดู” 

ตายแล้ว!!!?

“โอเคไหมพี่เวย์” เฮียหันไปถามพี่เวย์ที่ค่อนข้างจะอึ้งๆ อยู่เหมือนกัน

“..อ่า ครับ ยังไงก็ได้”

“ดอทอยากได้ยังไงแบบไหนบอกพี่เวย์ไปเลยนะจะได้ไม่ต้องแก้กันเยอะในตอนหลัง” เฮียจับไหล่แล้วบีบเบาๆ “เดี๋ยวเฮียมา”
................
................
................

เกิดสภาวะเดธแอร์กระจายตัวโดยรอบ เฮียไปตั้งแต่ห้านาทีที่แล้วแต่ผมยังไม่กล้าพูดสักแอะ ส่วนพี่เวย์ก็ก้มหน้าก้มตาจดเขียนอะไรไม่รู้ใส่ในบันทึกตั้งนานสองนาน มองเห็นแต่คิ้วสวยกับจมูกโด่งเป็นสันที่คดเล็กน้อยน่าจะเป็นเพราะเล่นบาสแล้วโดนกระแทก ตอนที่โดนใหม่ๆ ยังมาบ่นให้ฟังอยู่เลยว่าเจ็บมากเลือดกำเดาไหลแต่ตอนนั้นยังไม่เห็นชัดแบบนี้  ทว่าปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายิ่งมันคดก็ยิ่งดูเท่ขึ้นไปอีก

เอ่อ..นี่ผมเป็นบ้าอะไรถึงได้มานั่งมองผู้ชายแล้วชมนั่นชมนี่ไปเรื่อยเปื่อยแบบนี้ บ้าไปแล้วชนม์แดน หน้าไม่อายเลย

ไม่รู้จะทำอะไรจึงหยิบแก้วเครื่องดื่มของตัวเองมาดูดแก้เก้อ

“ตรงต้นฉำฉาถ้าจะไม่ตัดก็ไม่ควรก่อสร้างที่อยู่อาศัยบริเวณนั้นนะครับเพราะถ้ากิ่งมันหักลงมาจะเกิดอันตรายได้”

“แค่กๆๆๆ”

อยู่ๆ ก็พูดออกมาตอนคนกำลังกลืนน้ำ ผมสำลักจนไอหน้าดำหน้าแดง หยิบทิชชูมาเช็ดแทบไม่ทัน

“มีน้ำมูกติดอยู่ที่แก้มด้วยครับ”

!!!!?

น้ำมูก!!? โอ้ย น่าอายจริง!

ผมรีบเช็ดไปทั่วหน้าเพราะไม่รู้ว่าแก้มข้างไหน รู้สึกอายขายขี้หน้าที่สุดตั้งแต่เกิดมา

“อ๋อเศษทิชชูน่ะ ผมนึกว่าน้ำมูก” พี่เวย์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ สบายๆ เหมือนกับว่าเป็นเรื่องปกติที่คนไม่รู้จัก ไม่สิ คนที่เคยมีซัมติงกันมาก่อนแล้วห่างเหินกันไปจนเพิ่งได้พบหน้าจะพูดกันแบบนี้

หน้าผมร้อนผ่าว รู้สึกว่าตัวเองทำตัวงี่เง่าจนน่าเขกหัว

“คราวหลังไม่ต้องทักก็ได้ครับ”  ผมหยิบแก้วกาแฟมาดูดอีกครั้งแก้หงุดหงิด

“จะไม่ให้ทักจริงเหรอครับ” พี่เวย์เลิกคิ้วสงสัย ส่วนผมก็เชิดหน้าแล้วดูดกาแฟต่อ  “แต่นั่น แก้วกาแฟของผมนะ ถ้าทักแล้วคุณดอทไม่พอใจก็ขอโทษด้วย”

!!!!??

อะไรนะ!! แก้วของเขาเหรอ!

ผมยกแก้วขึ้นดูแล้วมองไปบนโต๊ะ โอ้ย แก้วพี่เวย์จริงๆ ด้วยเพราะแก้วผมมีวิปครีมส่วนของเขาไม่มี ฮืออออ ชนม์แดนคนโง่ทำไมถึงทำตัวโก๊ะกังต่อหน้าพี่เวย์แบบนี้ล่ะ 

“..ขอโทษครับเดี๋ยวผมไปซื้อให้ใหม่”

ขณะที่กำลังจะลุกจากโต๊ะ มือสวยของพี่เวย์ก็คว้าแก้วของเขากลับไป 

“ไม่เป็นไรครับ ผมชอบแก้วเดิม” แต่ที่ทำให้ต้องมองจนตาค้างก็คือ เขาดูดกาแฟแก้วนั้นเข้าไป หลอดเดียวกันกับพี่ผมดูดเมื่อกี้

ตึกๆๆๆๆๆๆๆๆ

หัวใจเต้นระรัวได้แต่กระพริบตาปริบๆ นั่งมองปากเขาที่ดูดกาแฟแล้วกลืนน้ำลายลงคอ

“อยากกินของผมเหรอ” เขาทำหน้าซื่อยื่นแก้วของตัวเองมาให้

“หะ! ห้ะ? ม..ไม่ เปล่า ไม่ใช่ เอ่อ..ไม่ได้อยากกินครับ” ผมลนลานหาคำมาตอบแบบมั่วซั่ว “ข..ขอ ขอตัวไปห้องน้ำนะครับ”  แล้วผมก็เผ่นออกมาจากตรงนั้นทันที

โอ้ยๆๆๆ ควบคุมอารมณ์ไม่ได้เลย ทำไงดีๆๆ ชนม์แดนๆๆๆ ตั้งสติหน่อย พี่เวย์ไม่ได้สัมผัสจับต้องอะไรตัวแกเลยนะเว้ย แค่นั่งหล่อนั่งตรงข้ามกันเฉยๆ ทำไมเกิดอาการบ้าๆ บอๆ อย่างกับว่าเขามาถูกเนื้อต้องตัวแบบนี้ล่ะ เลิกตื่นเต้นเลิกคิดเยอะได้แล้ว หายใจลึกๆๆๆ


เมื่อตั้งสติได้ประมาณหนึ่งแล้ว ผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำ  ทำใจอย่างหนักเพื่อพร้อมประจันหน้ากับพี่เวย์

“ปาป๊าๆ”

ผมยืนตัวแข็งทื่อเมื่อมองไปตอนนี้เห็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ป้อมๆ อายุประมาณสองสามขวบวิ่งไปหาพี่เวย์แล้วเรียกปาป๊า

ลูกพี่เวย์!!?
 
รู้สึกช็อคและเสียหน้าเบาๆ ที่เขาเปลี่ยนไปชอบผู้หญิง ลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่แล้วกัดฟันเดินเข้าไปนั่งที่เดิม

“ลูกชายเหรอครับ” อยากเขกหัวตัวเองไปยุ่งอะไรกับเขา จะลูกใครก็เรื่องของเขาไง ทำไมต้องอยากรู้

“ใช่ครับ เรย์เรย์สวัสดีคุณอาสิครับ” ชื่อเรย์ด้วย คล้องกับเวย์เลย ลูกชายน่ารักขนาดนี้แม่คงสวยน่าดูเลยสินะ

“คูมอาที่ไหนฮับปาป๊า นี่พี่”  เป็นเด็กน่ารักพูดจาดี “ซาหวับดีคับพิฉาว” แต่ก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อคำทักทายเป็นแบบนี้แถมพี่เวย์ยังหลุดขำออกมาเบาๆ

“ไม่ใช่พี่สาวครับ พี่ชายต่างหาก ถึงจะสวยแต่ก็เป็นพี่ชายครับ” เกือบจะดีแล้วครับพี่เวย์ แต่ที่บอกว่าสวยคืออะไร ไปบอกเด็กแบบนั้นได้ยังไงกันเล่า

“ฉวยเท่าคูมแม่เยย ใซ่พี่ซายจริงหยอ” เด็กน้อยดึงแขนพี่เวย์ออกแล้วตะเกียกตะกายลงจากตักพ่อเดินมาจิ้มนิ้วตรงต้นแขนของผม “นี่ๆ เยย์เยย์ขอดูซ้างน้อยหน่อยฉิ มีซ้างน้อยเหมือนเยย์เยย์ใซ่ป่าว”

!!! -///////////-

สถานการณ์แบบนี้ผมควรทำยังไงดี แกล้งตายหรือตายจริงไปเลย  ฮือออ

“เรย์เรย์กลับมานี่ ไปขอดูของคนอื่นแบบนี้มันไม่สุภาพนะครับ” หลังจากทำตาแป๋วขอดูของผมแล้วโดนพ่อดุ เรย์เรย์ก็วิ่งกลับไป 

“แย้วปาป๊าไม่อยากดูหยอ”

หืม? ทำไมเรย์เรย์ถามแบบนั้น!? อะไรกันเนี่ย ยิ่งคุยก็ยิ่งไปกันใหญ่

“ถึงปาป๊าอยากดูพี่เขาก็ไม่ให้ดูหรอกครับ แฟนพี่เขาหวง”  พี่เวย์บอกลูกชาย

เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ ทำไมไม่ปลูกต้นไม้เยอะๆ ทำไมทิ้งขยะลงแม่น้ำลำคลอง ทำไมตัดไม้ทำลายป่า รู้ไหมว่าโลกมันร้อนขนาดอยู่ในห้องแอร์แต่เหงื่อเปียกโชกไปทั้งตัว หน้าก็แทบจะไหม้อยู่แล้วนะ!

แต่ยังไม่ทันที่สมองจะได้พัก ความวัวยังไม่ทันหายความควายก็ก้าวเข้ามา

“หาที่จอดรถไม่ได้เลยพี่เวย์ รถเยอะมาก” ผู้ชายหน้าตาดี ผิวพรรณผุดผ่อง แต่งตัวเนี้ยบขนาดนี้ ดูก็รู้ว่าเพศสภาพเดียวกับผม “หวัดดีดอท จำฉันได้ไหม”

!!!!??

“..เนม?” ผมเปล่งเสียงออกมาแทบจะเรียกได้ว่ากระซิบ

กับเนม ตั้งแต่ทะเลาะกันเพราะพี่เวย์ครั้งนั้น เนมก็ย้ายโรงเรียนโดยไม่บอกไม่กล่าว เบอร์ก็เปลี่ยน ไลน์ก็เปลี่ยน และไม่มีใครรู้เลยว่าเนมหายไปไหน และจากนั้นผมก็ไม่คิดจะคบกับใครเป็นเพื่อนอีกเพราะรู้สึกเฟลจนร้องไห้ไปหลายวัน

“ดีใจที่แกยังจำฉันได้นะ” รอยยิ้มจริงใจของเนมปรากฏขึ้น แต่ผมนี่สิ ยิ้มไม่ออกเลย “ทำหน้าแบบนั้นทำไม เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ช่างมันเถอะ ฉันก็เสียใจที่งี่เง่ากับแก อยากจะขอโทษแต่ต้องย้ายไปต่างประเทศกะทันหันและก็ยุ่งมากเลยไม่ได้ติดต่อ ขอโทษด้วยนะ”

น้ำตาจะไหล..

ทั้งดีใจ ตื้นตันใจ ปนเจ็บแปลบๆ ว่าเนมกลายเป็นแฟนพี่เวย์ได้ยังไง มันอึ้งมันอึนไปหมดไม่รู้จะรู้สึกยังไงดี

วันนี้หัวใจทำงานหนักจนผมวิงเวียนไปหมดแล้ว ไม่ต้องแกล้งตายก็ได้เพราะถ้ามีอีกแค่เหตุการณ์เดียวที่ทำให้ช็อค ผมได้ตายจริงๆ แน่

“งั้นพี่ไปสั่งกาแฟให้นะ เหมือนเดิมใช่ไหม” พี่เวย์ลุกขึ้นเต็มความสูงจนต้องแหงนคอตั้งบ่ามองเขา

“ถูกใจใช่เลย” เนมตอบอย่างอารมณ์ดี

“เยย์เยย์ไปต้วยฮับ” เด็กน้อยจูงมือพ่อเดินไปอย่างร่าเริง

จี๊ดๆ ที่หัวใจเบาๆ รู้ใจกันขนาดนี้คงคบกันมานานแล้วสิ คบกันจนมีลูกเลยเหรอ

ว่าแต่..ใครท้องล่ะหรือใช้วิธีอุ้มบุญ แต่จะวิธีไหนเขาก็มีลูกด้วยกันและรักกันมาจนถึงวันนี้ เฮ้อ แทนที่จะดีใจกับเพื่อนที่ในที่สุดก็สมหวังแต่กลับห่อเหี่ยวแบบนี้ นิสัยไม่ดีเลยนะชนม์แดน

“แกสบายดีไหมดอท” เนมนั่งลงข้างๆ

“อืม ก็ดีนะ” บอกตรงๆ ว่ายิ้มได้ไม่เต็มหน้า ผมมันนิสัยเสียถ้าใจไม่ยิ้มแล้วจะยิ้มไม่ออก มันเฟคไม่ค่อยเป็น

“พี่เวย์บอกแกจะสร้างเรือนหอเหรอยินดีด้วยนะ แล้วแฟนแกเป็นใครอะ จ้างพี่เวย์ได้นี่คงต้องรวยน่าดู” เนมถามต่อ

“..เฮียเผ่า” ผมตอบเรียบๆ

“อะไรนะ! พี่เผ่าที่แบ้ดๆ แฟนเยอะๆ น่ะเหรอ” เนมดูตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน

“อืม” ผมพยักหน้า

“แล้วตอนนี้เขาเลิกมีเล็กมีน้อยยังแก บอกตรงๆ ว่าพี่เผ่านี่น่ากลัวเกินไปนะ แกไม่ชอบคนเจ้าชู้แล้วทำไมถึงคบกับเขาจนจะลงหลักปักฐานแบบนี้วะ” เนมก็ยังเหมือนเดิม เป็นคนตรงเสมอ คิดยังไงก็บอกอย่างนั้นไม่เคยเฟค

“มันมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะน่ะแก แต่เขาสัญญาว่าถ้าฉันตกลงปลงใจจะอยู่ด้วยกันเขาจะไม่ทำอะไรให้เสียใจ”

“งั้นก็ดี แต่ยังไงก็ตามหน่อยนะ อย่าไว้ใจเกินไป” เนมแนะนำ

“ก็คิดไว้เหมือนกันว่าจะตามดูสักพัก ถ้าเขาทำได้ก็จะได้อยู่กันยืดๆ” ผมว่าอย่างที่ตั้งใจ

จังหวะนั้นพี่เวย์กับลูกชายก็กลับมาแล้ววางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะให้เนม

“ขอบคุณครับ น่ารักที่สุดเลย” เนมยิ้มอ้อน

“เพื่อคนสำคัญ น้อยกว่านี้ไม่ได้หรอก” พี่เวย์หยอด

เหมือนมีใครมาต้มน้ำอยู่ในหัว รู้สึกเดือดทั้งที่ควรจะยินดี ก็หน้าพี่เวย์ที่นิ่งเฉยมาตลอดระหว่างที่เราอยู่ต่อหน้ากันแต่พอเจอเนมก็ยิ้มได้ขึ้นมาเลย

น้อยใจเหรอ?

มีสิทธิ์ที่ไหนล่ะ ก็ไม่เอาเขาเองแล้วจะมีหน้ามาน้อยใจอะไร

“เดี๋ยวเนมพาเรย์เรย์กลับบ้านก่อนนะ พี่คงอยู่อีกพักใหญ่” พี่เวย์บอกด้วยเสียงอบอุ่น

“แต่วันนี้พี่เวย์ต้อง..” เนมพูดได้แค่นั้นแต่ก็ถูกพี่เวย์ขัดขึ้น

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเรื่องนั้นพี่จัดการเอง”

“ถ้าไม่สะดวกเรานัดกันวันหลังก็ได้ครับ ผมเองก็มีนัดต้องทำแผลเหมือนกัน”

ช่วงเย็นเป็นเวลาของครอบครัวที่เขาต้องอยู่ด้วยกันสินะ ผมไม่อยากเป็นตัวขัดขวางหรอก

และไม่รอให้ใครปฏิเสธ ผมรีบหยิบกระเป๋าแล้วลุกขึ้นทันที

“ฉันกลับก่อนนะเนม เอาไว้คุยกันนะ” บอกเนมแล้วเดินออกมาจากร้านนั้นอย่างรวดเร็ว

ให้อยู่อีกแค่นาทีเดียวคงอกแตกตายแน่ๆ
 


เดินไปโบกรถแท็กซี่ที่หน้าร้านด้วยความรู้สึกเหมือนถูกสิบล้อพุ่งชน ระหว่างทางที่นั่งอยู่ในรถน้ำตาก็ไหลออกมาเองโดยไม่มีสาเหตุ

อาการคล้ายคนอกหัก แต่ก็ไม่แน่ใจหรอกนะเพราะผมเองก็ไม่เคยอยู่ในภาวะแบบนั้น

ไม่ใช่แค่ใจเสียแต่เจ็บใจตัวเองมากๆ จนแว้บหนึ่งรู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามความคิด ปะปนไปกับความอิจฉาทุกคนบนโลกนี้จนในหัวมันร้อนรุ่มไปหมดเพราะในระหว่างที่ชีวิตของผมจมปรักอยู่กับความทุกข์มาสิบกว่าปี แต่ชีวิตอื่นๆ ดำเนินไปอย่างมีความสุข มีครอบครัวสมบูรณ์พร้อมหน้า

มันยุติธรรมแล้วหรือไง!

แต่จะโทษใครล่ะ..

ก็ต้องวนกลับมาโทษตัวเอง

หึ.. คนขี้แพ้ก็คือคนขี้แพ้วันยังค่ำ

“เอ่อ.. ถึงแล้วครับ” คนขับแท็กซี่เอ่ยเตือนเมื่อรถจอดอยู่นานแล้วแต่ผมไม่ยอมลง

“อ่า ขอโทษทีครับ”  รีบปาดเช็ดน้ำตาที่เพิ่งจะรู้ว่าไหลออกมาเยอะขนาดนี้ ตั้งแต่ออกรถก็น่าจะครึ่งชั่วโมงที่จมดิ่งอยู่กับความคิดงี่เง่าของตัวเอง

แต่ก็ช่างเถอะ ร้องแค่นี้คงสาสมแก่ความโง่แล้ว


ต่อ..
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 9 : ภาวะซึมเศร้า 《25/07/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 25-07-2018 10:38:20
ผมจ่ายเงินตามมิเตอร์ก่อนจะลงจากรถเข้าไปในโรงพยาบาลเพื่อทำแผล


ไม่นานนักก็เสร็จแล้วตรงกลับบ้านทันที  ไลน์บอกเฮียเผ่าว่ากลับถึงบ้านแล้ว ส่วนเรื่องบรีฟแบบบ้านก็บอกให้เฮียนัดใหม่แล้วค่อยว่ากัน แต่เมื่อล้มตัวจะนอนในตอนสองทุ่ม เสียงไลน์ก็เตือนขึ้นมา

Dr.WRRT :  ทำไมยังไม่มา คลินิกผมไม่ได้เปิดโต้รุ่งนะ

อีหมอประสาท.. นี่อย่าบอกนะว่าเขาคิดว่าผมจะไปทำแผลกับเขาจริงๆ

sweetyDOTcom :  ผมไปทำแผลที่โรงพยาบาลมาแล้ว

Dr.WRRT :  มาทำแผลใหม่เดี๋ยวนี้เลย

sweetyDOTcom :  เอ๊ะคุณ ผมบอกว่าผมทำแล้ว

พิมพ์ตอบไปแล้วผมก็ส่งรูปให้ดูว่าแผลถูกแปะผ้าก๊อซใหม่เรียบร้อยแล้ว

Dr.WRRT :  ให้เวลา 30นาที ถ้าผมไม่เห็นคุณที่นี่ เตรียมตัวเป็นข่าวได้เลย

sweetyDOTcom :  วันนี้ผมไม่พร้อมจะปะทะอะไรกับใคร ขอผมอยู่คนเดียวเถอะ

ผมแทบจะจิ้มตัวอักษรไม่ถูกเพราะน้ำตามันเอ่อขึ้นมาทำให้หน้าจอเบลอไปหมด

Dr.WRRT :  กินยาก่อนนอนด้วย

Dr.WRRT :  ถ่ายรูปมาด้วยว่าอยู่บ้านและกินยาแล้ว

ก็ยังดีที่ยังมีใครที่ผมจะพูดกับเขาได้แบบตรงๆ ไม่ต้องเก็บน้ำคำอะไรกับคนๆ นี้ 

ไม่ใช่แค่ถ่ายรูปตามที่เขาบอกแต่ถ่ายเป็นวีดีโอเริ่มตั้งแต่เปิดกางเกงขึ้นให้เห็นแผลแล้วเอามือถือไปตั้งไว้เพื่อให้เห็นว่าหยิบยาบนโต๊ะกินและดื่มน้ำตาม จากนั้นก็ส่งให้เขาดู

Dr.WRRT :  ตื่นมาแล้วชงชาร้อนนะ เอาช้อนที่ใช้คนชามาประคบตาไว้สลับไปมาทั้งสองข้าง ระวังมันร้อนเกินด้วยล่ะ

คงสังเกตเห็นว่าผมตาบวม ถึงจะเป็นคนประสาทๆ แต่ก็ใจดีเหมือนกันนะ


หมดเรื่องแล้วจึงปิดโทรศัพท์ เบื่อจะพูดคุยกับใคร เบื่อจะตอบโต้อะไร เบื่อที่จะรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง  เรื่องของพี่เวย์มันกัดกร่อนความรู้สึกของผมได้มากมายเหลือเกิน

คนที่เคยเมินแต่ตอนนี้เขาทั้งดูดีและมีครอบครัวที่อบอุ่น มีลูกน่ารักพูดเก่ง แต่ถ้าจะบอกว่าเสียดายอะไรมากที่สุดก็คงต้องบอกว่าเสียดายความดีของเขามากกว่า   

ความจริงแล้วผมไม่ใช่คนที่ชอบอะไรโลดโผนตื่นเต้นมากนัก ถ้าตอนนั้นเลือกพี่เวย์ ป่านนี้คงมีชีวิตสุชสงบ อยู่กันเงียบๆ มีความสุขตามประสา

ไม่ใช่ว่าไม่รักเฮียเผ่า แต่ผมไม่มั่นใจเลยว่าเราสองคนจะอยู่กันรอดไปถึงเมื่อไหร่

กลัวจริงๆ ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางร้ายๆ ขึ้นมาอีก ผมไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงเอาซะเลย..



หลังจากตื่นนอนก็ลองชงชาแล้วเอาช้อนชามาประคบอย่างที่หมอประสาทบอก มันก็ช่วยได้นิดหน่อยแต่ตาเล็กๆ นี่มันดูไม่ออกหรอกว่าบวมมากหรือบวมน้อย รู้แค่ว่ามันตุ่ยๆ แดงๆ

Dr.WRRT :  กินข้าว กินยา ตอนเย็นมาทำแผลที่คลินิกผม อย่าเบี้ยวไม่งั้นเราได้เห็นดีกัน

ผมกลอกตาใส่ข้อความของหมอประสาท จะอะไรนักหนากับแผลของผม หรือเขามีแผนอะไรอีก จะฉีดยาแล้วแอบถ่ายคลิปหรือเปล่านะ แล้วถ้าไม่ไปจะมีรูปอะไรหลุดออกมาล่ะในเมื่อวันนั้นก็ตรวจดูทั่วตัวแล้วไม่เห็นมีอะไรบุบสลาย แถมเสื้อผ้าก็ไม่ได้ถูกปลดออกจากตัวด้วยซ้ำ 

แต่ในความรู้สึกลึกๆ ไม่ได้รู้สึกว่ากลัวตาหมอนั่นแต่กลับคุ้นเคยอยู่ลึกๆ เป็นเพราะอะไรกันนะ

“ไม่ไปทำงานเหรอลูก” คุณแม่ทักขึ้นเพราะตอนนี้บ่ายโมงแล้วแต่ผมยังอยู่บ้าน ปกติออกไปทำงานไม่เกินสิบโมง

“ช่วงนี้ห้องเสื้อไม่มีอะไรเลยให้พี่บอลลูนดูแลไปก่อน ส่วนโมเดลลิ่งดอทก็ยกเลิกสัญญาไปหมดแล้วครับ เดี๋ยวรออะไรๆ เข้าที่เข้าทางแล้วค่อยหาเด็กใหม่อีกที” ผมขยับเก้าอี้ให้คุณแม่เพื่อนั่งทานข้าวกลางวันด้วยกัน

“มีปัญหาอะไรรึเปล่า ดูลูกเครียดๆ นะ”  คุณแม่หันมาสบตา

“มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะครับ แต่ตอนนี้โอเคขึ้นแล้ว” ผมบอกแล้วจับมือท่านไว้ “คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงดอทนะครับ ดอทดูแลตัวเองได้”

“ถ้างั้นแม่ก็เบาใจ อ่ะ กินข้าวเยอะๆ ดูสิตัวผอมเป็นกุ้งแห้งแล้ว” คุณแม่ตักอาหารใส่จานให้แล้วเราก็ทานไปคุยกันไปโดยไม่มีเรื่องของป๋ามาทำให้ผมต้องชิ่งหนีอีก

คิดว่าคุณแม่น่าจะรู้ว่าผมไม่อยากได้ยินคุณแม่ด่าป๋าให้ฟัง และช่วงนี้สุขภาพจิตของท่านก็ดีขึ้นมากตั้งแต่ป๋าทำพินัยกรรมยกมรดกให้รวมถึงดินแดนเซ็นสละสิทธิ์จนไม่ขี้วีนขี้เหวี่ยงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อยากจะคิดเข้าข้างดินแดนอยู่หน่อยๆ ว่าคุณแม่ลดความอคติกับดินแดนลงไปได้บ้างดูจากที่เคยแอบถามว่าซีรีส์ของดินแดนจะออกช่องไหน



ช่วงเย็นผมออกจากบ้านเพื่อไปคลินิกหมอประสาทเพราะไม่อยากเห็นเขาไลน์มาวีนอีกแต่ก็เซฟตัวเองด้วยการให้น้าเวชไปส่ง

“ถ้าดอทหายไปเกินครึ่งชั่วโมงน้าเวชเข้าไปตามเลยนะครับ” ผมกำชับอีกครั้ง

“ถ้าคุณหนูไม่ไว้ใจคลินิกน่ากลัวนี่ น้าว่าย้ายไปโรงพยาบาลดีกว่านะครับ” น้าเวชเสนอ

“ไม่เป็นไรครับ ดอทแค่อยากกันไว้เฉยๆ”

จากนั้นผมก็เข้าไปในคลินิก เจอกับพี่พนักงานพยาบาลคนเดิม เขาเห็นผมแล้วยิ้มแปลกๆ เหมือนกรุ้มกริ่มๆ ยังไงก็ไม่รู้

“คุณหมอรออยู่ห้องตรวจสามห้องเดิมนะคะ” เธอพูดพร้อมกับยิ้มเหมือนจะเขินๆ

“เอ่อ.. ขอบคุณครับ”

เออดีแฮะไม่ต้องรอคิว แต่จะว่าไปคนไข้ก็ไม่มีซักกะคน หรือผมจะมาเร็วไปเพราะตอนนี้เพิ่งจะห้าโมงเย็น

“นั่งสิคุณ” เขาเรียกให้นั่งเพราะผมยืนอยู่หน้าห้องดูเขาก้มเขียนอะไรบนโต๊ะมาสักพัก

คุ้นจังแฮะ..

แต่เมื่อเขาทักจึงเข้าไปนั่งที่เก้าอี้แล้วเพ่งมองเขาอีกครั้ง

“ผมหล่อขึ้นหรือไง” เขาเงยหน้าขึ้นถาม

“ขี้เหร่ขึ้นมากกว่า” อดไม่ได้ที่จะแซะออกไป ถึงจะหล่อจริงก็เถอะ

“ขึ้นเตียงแล้วเปิดเลย” อยู่ๆ ก็พูดออกมาแบบสองแง่สองง่าม ผมจึงมองหน้าเขาแบบดุๆ “ผมหมายถึงขึ้นไปนั่งบนเตียงแล้วเปิดกางเกงขึ้นจะได้ทำแผล” เขาอธิบาย ผมจึงขึ้นไปนั่งตามที่เขาบอกแล้วดึงกางเกงขึ้นมาให้เขาจะได้ไม่ต้องมาจับตัว

มือเรียวดึงผ้าก็อซปิดแผลอันเดิมออกแล้วเช็ดแอลกอล์ฮอล์ไปรอบๆ จากนั้นก็เช็ดแผลด้วยน้ำเกลือ ผมกลั้นหายใจไว้ตลอดเพื่อไม่ให้คิดฟุ้งซ่านและมันก็ผ่านไปอย่างง่ายดายและรวดเร็ว

“แผลดีขึ้นแล้วนะ แต่อย่าเพิ่งมั่นหน้าไปออกกำลังกายอะไรอีกล่ะ”

“พูดจาดีดีกับเขาเป็นไหมเนี่ย พูดคำกัดคำอยู่ได้”

“ก็ขึ้นอยู่กับคนนะ”

“นี่คุณหมายความว่ายังไง ผมมันไม่ดีตรงไหนถึงจะพูดดีดีกับผมไม่ได้ ห้ะ!” รู้สึกเลือดขึ้นหน้าจนอยากตบไม่แบอีกสักรอบ

“ผมยังไม่ได้พูดเลยนะว่าคุณไม่ดี”

“ก็คุณพูดกับผมไม่ดีมันหมายความว่าไงล่ะ”

“คุณคิดไปเองรึเปล่า” ทำหน้าเหมือนกับว่าที่ผ่านมาผมอคติไปเองทั้งที่จริงมันไม่ใช่เลย แต่ก็ไม่อยากจะเถียงด้วยแล้ว

“เสร็จแล้วใช่ไหมงั้นผมกลับล่ะนะ” ไม่รอคำตอบ ผมก้าวเท้าลงจากเตียงทันที

“ขึ้นไปบนเตียงแล้วนอนลง” อยู่ๆ เขาก็สั่งออกมา

“อะไรนะ”

“ขึ้นไปแล้วนอนลง.. นอนลงไปบนเตียง” เขาบอกแล้วเดินเข้ามาใกล้จนผมต้องก้าวถอยหลังจนไปชิดติดเตียง

“คุณจะบ้าหรือไง ผมทำแผลเสร็จแล้วจะให้ผมนอนทำไมอีก”

“พักผ่อน”

“ผมจะกลับไปพักที่บ้าน” พยายามแขม่วพุงทำตัวเล็กลีบเพื่อไม่ให้เขามาแตะต้องตัว

“อย่าให้ต้องพูดมาก จะขึ้นไปนอนดีดีหรือจะให้อุ้ม”

“นี่มันบ้าอะไรกัน ผมมีญาติขับรถมาส่งนะแล้วก็สั่งเขาว่าถ้าเกินครึ่งชั่วโมงแล้วผมยังไม่ออกไปให้เขาเข้ามาตามได้เลย” ผมเริ่มขึ้นเสียง

“อีกตั้งยี่สิบนาที ขึ้นไปนอนเดี๋ยวนี้เลย เร็วๆ” เขาไม่ได้ตกใจอะไรแต่ยกนาฬิกาขึ้นดู

เมื่อเห็นผมจะเดินหนีเขาก็พูดขึ้นอีก

“ผมไม่อยากจับตัวคุณนะ ขึ้นไปเองดีดีเถอะ ลึกๆ แล้วคุณก็รู้ดีว่าที่นี่ปลอดภัย”  เขาบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นจนผมต้องคิดหนัก

ขึ้นหรือไม่ขึ้นดีนะ..

“อ๊ะ!!??” ตัวผมถูกอุ้มขึ้นไปนั่งบนเตียงแล้วเขาก็ถอยออกไปโดยเร็ว 

“นอนลงไปดีดีแล้วหลับตา ผมเอาเกียรติของแพทย์เป็นประกันว่าคุณจะปลอดภัยตลอดเวลาที่อยู่ในห้องนี้” เขายืนยันหนักแน่น

หมอประสาทมองมาด้วยสีหน้าจริงจังและน่าเชื่อถือจนไม่กล้าบอกปฏิเสธออกไปอีก ออร่าบางอย่างของเขาทำให้ต้องยอมนอนลงแล้วหลับตา  หรือผมจะยอมคนง่ายไปหรือเปล่านะ

“พยายามหลับเองนะ ผมไม่อยากฉีดยาอีก ขี้เกียจรอ” เขาบอกแล้วได้ยินเสียงไปนั่งที่เก้าอี้

ครุ่นคิดในใจว่าทำไมต้องฉีดยาก็ผมไม่ได้เป็นอะไร แล้วถ้าขี้เกียจรอจะให้ผมนอนเพื่อ?

“คุณหมอคะคนไข้ห้องตรวจสองค่ะ” พนักงานเคาน์เตอร์มาตาม

“ครับ” เขาตอบรับสั้นๆ และหันมาสั่งความ “นอนหลับไปเลยนะ เดี๋ยวญาติคุณมาเรียกแล้วค่อยกลับ”

จากนั้นเขาก็หายไป  ได้ยินเสียงแว่วๆ เสียงเขาตรวจคนไข้ พูดเพราะ เป็นกันเอง และตรวจวินิจฉัยได้น่าเชื่อถือดี  แต่ที่น่าแปลกคือตรวจแต่ละรายนี่นานมาก ทั้งคนไข้ชวนคุย และเขาชวนคุยซะเอง ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับโรค การป้องกัน การรักษา หรือแม้แต่เรื่องดินฟ้าอากาศ เรื่องการเมือง หรือเรื่องของเล่น การ์ตูนก็ขุดขึ้นมาคุย

“คุณหมอคะ คนไข้ห้องตรวจหนึ่งรอนานแล้วค่ะ นี่ขนาดโทรนัดเวลาให้คนละตั้งสิบห้านาที คุณหมอยังคุยเกิน คราวหน้างามจะนัดเป็นคนละครึ่งชั่วโมงแล้วนะคะ” ผมเผลอยิ้มขำ สมน้ำหน้าคุณหมอที่โดนพนักงานดุ

จากนั้นก็ฟังเสียงต่อไปเพลินๆ จนกระทั่งหลับไป


“คุณหนูของน้าหลับไปแล้วล่ะครับ น้าคุยกับผมรอดีกว่า”

“เอ่อ.. งั้น.. ผมขอไปดูแกหน่อยนะครับว่าหลับสนิทไหม ถ้าไม่สนิทอยากขอปลุกแกไปนอนที่บ้านดีกว่า”

“ไม่ไว้ใจสินะครับ งั้นตามมาเลย  นี่ไงครับ กรนขนาดนี้คงยิ่งกว่าหลับสนิทนะผมว่า”

“โอ.. หลับสนิทจริงๆ ด้วย งั้นปล่อยให้แกหลับเถอะครับ ช่วงนี้ตาบวมๆ ใต้ตาดำหน้าก็ซีดเซียวเหมือนคนอดหลับอดนอน น่าสงสารแกครับ”

“งั้นคุยกันห้องตรวจข้างๆ นี่แหละใกล้ดี น้าจะได้อุ่นใจ”

“ครับๆ ขอบคุณนะครับคุณหมอ”

“พี่งามเคลียร์คิวตรวจให้ผมหน่อยนะครับ คืนนี้คงไม่รับคนไข้เพิ่มแต่ถ้ามีที่นัดล่วงหน้าก็ให้เข้าห้องตรวจหนึ่ง”

“ได้ค่ะ งั้นกาแฟด้วยไหมคะดูท่าว่าจะคุยยาว”

“ได้ก็ดีครับ สองที่เลยนะ”

“ของผมขอกาแฟดำนะครับ ขอบคุณครับคุณงาม”



“อือออ” ผมบิดขี้เกียจแก้เมื่อยแล้วลืมตามองไปรอบๆ “ห้องตรวจเหรอ!?” ถึงกับต้องลุกขึ้นมานั่งทันที

“ตื่นแล้วเหรอครับคุณหนู” น้าเวชโผล่เข้ามาทันทีเหมือนอยู่ใกล้ๆ แถวนี้

“กี่โมงแล้วครับน้าเวช” ผมขยี้ตาไล่ความง่วงงุน

“สี่ทุ่มครับ คุณหนูหลับสนิทจนน้าเวชไม่กล้าปลุกเลย”  น้าเวชทำหน้าจ๋อยเพราะกลัวผมดุ

“ไม่เป็นไรครับ งั้นเรากลับกันเถอะ” ไม่กล้าดุแกหรอก น้าเวชเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ และแกก็หวังดีกับผมมาก ถ้าแกเห็นว่าดีก็คิดว่ามันคงดีกับผมแล้วละ

“ผมพาคุณหนูกลับก่อนนะครับคุณหมอ ขอบคุณมากจริงๆ ที่อยู่รอจนป่านนี้” น้าเวชแวะบอกหมอประสาทที่ห้องตรวจข้างๆ

“พรุ่งนี้พามาอีกนะครับ ต้องล้างแผลทุกวัน ไม่งั้นเดี๋ยวกลับมาอักเสบได้อีก ถ้ายิ่งติดเชื้อแล้วอาจต้องตัดขาเลยนะครับ”  ตาหมอบ้า ทำไมไปบอกน้าเวชแบบนั้นล่ะ คราวนี้น้าเวชต้องจ้ำจี้จ้ำไชให้ผมล้างแผลทุกวันแน่ และโดยเฉพาะคงอยากมาที่นี่เพราะดูเหมือนสองคนนี้สนิทกันเกินปกติ

“ได้ครับๆ ผมจะพามาที่นี่แหละ คุณหมอใจดีและคุณหนูจะได้พักผ่อนอย่างสบายใจด้วย” น้าเวชก็เออออไปกับเขา

อีตาหมอประสาทไปทำอิท่าไหนถึงได้เอาน้าเวชไปเป็นพวกได้เนี่ย โอย ปวดหัว

“กลับกันเถอะครับ ดอทง่วงจัง” ผมชวนและน้าเวชก็รีบบึ่งไปเตรียมรถทันที

“ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องอาบน้ำจะได้นอนต่อเลย อาบแล้วเดี๋ยวตาจะสว่าง” จากนั้นเขาก็เขียนอะไรยุกยิกในบิลแล้วส่งให้

“ค่ารักษาครั้งละ 300 บาท สองวัน 600 บาท และบวกวันละ 300 ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครบสามพันแล้วเอาไปบริจาคให้มูลนิธิคนตาบอดด้วยกัน” ผมอ่านรายละเอียดในบิลแล้วขมวดคิ้ว  “ผมไม่เข้าใจ” บอกเขาไปตามที่รู้สึก ก็ผมไม่เข้าใจจริงๆ

“ตกภาษาไทยเหรอ”  นี่ไง พอเปิดปากก็เป็นลมเน่าออกมา ทีคุยกับคนอื่นนี่เหมือนเทพบุตร “ไม่เข้าใจก็เก็บไปอ่านจนกว่าจะเข้าใจ ไปได้ละ ผมจะปิดคลินิก” 

ไล่กันซึ่งๆ หน้าแบบนี้เลยเหรอ! ผมมองเหวี่ยงเขาแล้วเดินตึงๆ ออกไปขึ้นรถที่น้าเวชขับมาจอดรอหน้าประตู

หมอประสาทก็คือหมอประสาทวันยังค่ำนั่นแหละ!



เมื่อกลับถึงบ้านแล้วกำลังจะอาบน้ำแต่พอนึกถึงอีหมอประสาทก็เปลี่ยนใจแล้วใส่ชุดนอนขึ้นเตียงเลย  หยิบโทรศัพท์จะปิดเครื่องชาร์ทแต่เห็นมันปิดอยู่ก่อนแล้วก็นึกถึงหมอประสาทขึ้นมาทันที   มีแค่คนเดียวที่มารยาทน้อยนิดได้ขนาดนี้  ผมเปิดมันขึ้นอีกครั้งไม่สนใจจะตอบไลน์คนอื่นแต่ยกขาขึ้นถ่ายรูปแผลจนไปถึงปลายเท้าและเพดาน ส่งไปให้เพียงคนเดียว

sweetyDOTcom :  [Image]

Dr.WRRT :  Good

ฝั่งนั้นตอบมาสั้นๆ ผมจึงแลบลิ้นใส่หน้าจอแล้วปิดเครื่องชาร์ทก่อนจะหลับตาและหลับไปแทบจะในทันที ถือเป็นคืนแรกที่นอนได้โดยไม่มีเรื่องยุ่งให้ปวดใจ

หวังว่าพรุ่งนี้จะไม่มีเรื่องพีคๆ เข้ามาอีกหรอกนะ



.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ใครทีมไหนติดแฮชแท็กเชียร์กันเลยน้าาา
นายน้อยทีม #ดินดอท  5555555555
ตอนนี้สั้นหน่อย แค่ห้าพันกว่าตัวอักษรแต่ใส่ในโพสต์เดียวไม่ได้ งงจัง
ขอบคุณทุกการติดตามนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 9 : ภาวะซึมเศร้า 《25/07/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 25-07-2018 18:32:43
เป็นเรื่องที่อ่านไปก็งงๆ ไปพร้อมกับตัวละคร เอ้า ไอ้นี้โผล่มางี้ก็ได้เหรอ เอ้า มาทำงี้กับเราก็ได้เหรอ เอ้ออออ เกิดเป็นดอทนี่ก็อยากจะ... จริงๆ  5555
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 9 : ภาวะซึมเศร้า 《25/07/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: melody.19 ที่ 25-07-2018 18:49:58
อ่านรวดเดียวถึงตอนปัจจุบัน อยากบอกนักเขียนว่า ขอบคุณมากๆ
สนุกมากๆดำเนินเรื่องกระชับดี อ่านแล้วไม่มีคำว่าเบื่อเลย เดาทางไม่ถูก
ดอทจะคู่กับใคร เอาจริงๆตอนแรกนึกว่าคู่สกาย พออ่านไปเรื่อยๆเอ้าไม่ใช่5555555
ก็ขอให้ได้คู่ดีๆไม่ทำร้ายจิตใจดอทก็พอ สงสารดอทง่ะ อยากรู้ว่าอาการของดอทคืออะไร
เวลาโดนสกินชิปแล้วทำไมมีอารมณ์ทุกครั้ง ชอบดินแดนอ่านิสัยกวนๆดี ตอนนี้กลายเป็นรักพี่ชายมาก
ใจจริงๆก็แอบเชียร์ พี่น้องไรงี้555555555555555 แต่เรื่องที่เจออนุชาล่าสุดแอบช็อคอยู่
คุณหมอชื่อก็แอบคล้าย อนุชา เป็นญาติกันหรือเปล่า

#ดินดอท
#สกายดอท


อิอิ ขอบคุณจ้า
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 9 : ภาวะซึมเศร้า 《25/07/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 25-07-2018 21:36:46
คือที่ดอทเลือกทางผิด อิเนมก็มีส่วนผิดอิดอกกกกกทิ้งเพื่อนในวันที่เพื่อนไม่มีใครเพราะผู้ชาย!!!!!!! แล้วบอกว่ารักเพื่อนอิชั่ว เขาไม่เอามันก็ทษว่าเป็นความผิดเพื่อน ไปไกลๆไป ดอทไม่กล้าไปหาเวย์เพราะรู้สึกผิดด้วยปะ ดันไปเจอไอ้เหี้ยเผาอีก ถ้าเวย์กับอินังสารเลวเนมได้กันจริงนี่คือดอทเจ็บฟรีอะ โดนกระทำสุด

รักหนูนะดอทใครว่าหนูเหลวแหลกยังไงพี่ก็ว่ามันไม่ใช่ความผิดหนู ความผิดอิดอกเนมเกลียดจบนะ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 9 : ภาวะซึมเศร้า 《25/07/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 26-07-2018 03:15:46
อยากให้ดอทมีความสุขจริงๆสักที :katai1: :katai1: :hao5:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 9 : ภาวะซึมเศร้า 《25/07/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 27-07-2018 10:51:27
นอกจาก #ดินดอท แล้วก็เชียร์คุณหมอนี่แหละค่ะก็หวังว่าคุณหมอคงจะเป็นคนดีจริงๆไม่มีอะไรพีคๆมาทำให้น้องดอทต้องช้ำใจอีกนะคะ เรายิ่งระแวงที่ดอทบอกคุ้นๆคุณหมออยู่ด้วยสิ

ปล.ส่งพี่เวย์มาแล้วทำไมต้องส่งเนมมาด้วย สงสารดอทเข้าใจความอึดอัดที่ดอทเป็นเลย เป็นเราคงเดินออกจากร้านตั้งแต่แรกๆอะ และไม่รู้ทำไมถึงคิดว่าที่เผ่าทิ้งดอทไว้ที่ร้านเพราะลองใจเพราะน่าจะรู้ว่าเวย์เป็นใคร
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 9 : ภาวะซึมเศร้า 《25/07/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 27-07-2018 20:38:38
เชียร์#ดินดอท ได้มะ555555
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 9 : ภาวะซึมเศร้า 《25/07/2018》 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 30-07-2018 15:44:32

โห๊ะ!!!!!!! นี่ความฮ๊อตของดอทมันระอุ ขึ้นเรื่อยๆเลยวุ้ย  o18

 :impress2:  จะให้คู่กับใครก็ได้แต่อยากเห็นว่าดอทต้องมีความสุขจริงๆสักที
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 10 : หมอประสาท 《3/08/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 03-08-2018 22:42:41
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.
ต อ น ที่ 10 :  ห ม อ ป ร ะ ส า ท


รุ่งเช้า เฮียเผ่าโทรมาทันทีที่ผมเปิดเครื่อง

“เมื่อวานทำไมติดต่อไม่ได้ งานก็ไม่ไปทำ เฮียโทรหาจนมือจะหงิก เลยโทรไปที่บ้านเห็นบอกว่าออกไปกับน้าเวชก็เลยเบาใจหน่อย” เขากรอกเสียงติดจะหงุดหงิดใส่ผม

“เมื่อวานออกไปทำแผลแล้วแบตหมดไม่รู้ตัวกลับถึงบ้านก็นอนเลยครับ เพิ่งตื่นมาตอนเช้านี่แหละ” ผมปด

“คราวหลังเอาเพาเวอร์แบงค์ไปด้วยจะได้ไม่ขาดการติดต่อ รู้ไหมว่าเฮียเป็นห่วง” เฮียใส่เป็นชุดและมันก็ทำให้ผมรู้สึกผิด

“ขอโทษครับ คราวหลังดอทจะรอบคอบกว่านี้นะ” ผมทำเสียงอ้อนนิดหน่อยเฮียจะได้ใจอ่อน

“อืม” เขาตอบเสียงนุ่มขึ้น “วันนี้ไปทำงานกี่โมงเดี๋ยวเฮียไปรับ เพราะช่วงบ่ายนัดพี่เวย์ไว้คุยกันเรื่องบ้านต่อ”

ตายละสิ เมื่อวานทั้งวันลืมเรื่องพี่เวย์ไปซะสนิท วันนี้ต้องเจอกันอีกแล้วเหรอ

“เดี๋ยวดอทให้น้าเวชไปส่งดีกว่าครับ” ฉุกใจคิดไปถึงตอนเย็นที่ต้องไปทำแผลแล้วรีบปฏิเสธ ถ้าให้เฮียรับส่งก็คงจะพาไปทำแผลที่โรงพยาบาล ถ้าเป็นแบบนั้นหมอประสาทได้ไลน์มาวีนยาวเป็นหางว่าวแน่ๆ “ช่วงเย็นก็ต้องแวะทำแผลด้วย เผื่อเฮียมีธุระจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”

“เอางั้นก็ได้ แต่ที่จริงเฮียคิดถึงน่ะ อยากนอนกอดเมีย” เสียงหื่นๆ แบบนี้ทำเอาใจสั่น อันที่จริงผมก็คิดถึงนะ เฮียทำให้มีความสุขทุกครั้ง เสียแต่ว่าเวลาอยู่ด้วยกันทีไรเฮียจะชอบต่อยาวๆ จนร่างจะพัง

“งั้นเป็นวันเสาร์นี้ก็ได้ครับ วันอาทิตย์จะได้ไม่เสียงาน” ผมบอกอย่างอารมณ์ดี พอได้นอนเต็มอิ่มแล้วมันสดชื่นไม่หงุดหงิดง่าย

“น่ารักจัง งั้นเดี๋ยวนัดเวลาพี่เวย์อีกทีแล้วเฮียจะโทรบอกนะ” เฮียสดใสขึ้นทันที

“ครับผม” ตอบกลับไปแล้ววางสายพร้อมรอยยิ้ม  เฮียน่ารักเวลาโดนตามใจแต่ก็น่ากลัวถ้าเกิดมีใครขัดใจเข้า

เฮ้อ ไม่อยากโดนกระทำแบบนั้นอีกแล้ว เฮียต้องเป็นคนดีของดอทให้ได้นะ



วันนี้มาทำงานด้วยความกระปรี้กระเปร่า ไม่ถึงกับดีมากแต่ถือว่าดีกว่าปกติจนกระทั่งเจ้าน้องตัวแสบมันมากวน

“ไหนนน ขอดูแผลหน่อย” มาถึงก็รี่เข้ามาเปิดแผลดูอย่างกับเป็นหมอ “ใส่กางเกงขาสั้นแบบนี้ก็น่ารักดีนะ แต่เนื้อผ้ามันก็แข็งเกินไปอยู่ดี คราวหลังเปลี่ยนเป็นแบบที่ผ้านิ่มๆ เปิดง่ายๆ กว่านี้สิ”  ทำขนาดนี้แล้วยังหาช่องบ่นได้อีก นี่เป็นน้องหรือเป็นป๋ากันแน่นะ “ว่าแต่.. วันนี้ดูหน้าตาสดชื่น เหงือกแดง ตาใส รูจมูกบาน ผ่านน” มือหนาเอื้อมมาจับประคองหน้าแล้วแหกตาแหกเหงือกดูอย่างกับผมเป็นของเล่น 

“อย่าเยอะๆ” ผมจับมือซุกซนของเขาไว้ “ถ้าไม่หยุดจะหักมือเดี๋ยวนี้แหละ”

ไม่พูดเปล่าแต่หักมือเขาพร้อมกับทำหน้าโหด เจ้าดินไม่สนใจแต่กลับทำหน้าประหลาดใจ

“อาการพี่ดีขึ้นนะ”

ผมเอียงหน้ามองเพราะงงนิดหน่อยแต่ก็นึกขึ้นได้ จริงสิ รู้สึกวูบวาบแค่เพียงแผ่วๆ แทบจะเผลอลืมไปด้วยซ้ำว่าถูกสัมผัส 

“หายแล้วมั้ง”  อ้อมแอ้มตอบไปทั้งๆ ที่เราสองคนยังไม่เคยพูดคุยกันถึงเรื่องอาการของผมอย่างจริงจัง

คิดว่าที่อาการดีขึ้นก็น่าจะเป็นเพราะดินแดนมาทำแบบนี้สม่ำเสมอ ถ้าเห็นว่าเกิดอาการจะกระซิบเตือนให้ควบคุมสติและบอกช้าๆ ว่าเขาเป็นน้องชาย เขาทำแบบนี้เป็นประจำจนเดี๋ยวนี้รู้สึกคุ้นชิ้นสัมผัสจากเขาที่แตกต่างออกไปจากสัมผัสของผู้ชายคนอื่น.. นิดหน่อย

“ดีแล้วล่ะ พี่ต้องใจแข็งไว้นะ ถ้าจะมีอารมณ์ต้องมีเพราะอยากมี ไม่ใช่มีเพราะเผลอตัว”  ร่างสูงยืนขึ้นเต็มความสูงแล้วเดินไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“อืม”

“ป๋าโทรหาพี่มั่งปะ” ดินแดนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แบบสบายๆ ไขว่ห้างแบบกร่างๆ ตามสไตล์ห้าวๆ ของเขา เห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้ที่มีน้องชายเท่ได้ขนาดนี้  ยิ่งสายตาตอนที่เขาจ้องรอฟังคำตอบ นี่ถ้าไม่ใช่น้องชายผมคงจะหลงเขาเอาง่ายๆ เชียวล่ะ

“ไม่ได้โทรนะ แต่ช่วงนี้ปิดเครื่องบ่อย ป๋าอาจโทรตอนปิดเครื่องก็ได้”

“งั้นพรุ่งนี้เราไปหาป๋ากัน ไปเที่ยวบ้านใหม่ป๋า” ดินแดนชวนพลางทำหน้าเหมือนพยายามให้กำลังใจ

ผมนิ่งไปเล็กน้อยแต่แล้วก็พยักหน้า “ไปก็ไป”

“ไม่เป็นไรนะพี่” มือหนาเอื้อมมาลูบแขนทำเอาขนลุกขึ้นมาแต่ก็พยายามปล่อยผ่านเพราะประโยคต่อมาของเขา “เราเป็นครอบครัว ถึงไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่เราก็คือครอบครัวกันไปจนวันตาย”

ดวงตาคู่คมทอประกายอ่อนโยนจนรู้สึกถึงลำคอที่ตีบตันไปพร้อมกับหยาดน้ำก็รื้นขึ้นมา

“อื้ม ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ ตอนนี้มีเรื่องอื่นให้คิดหลายเรื่อง เรื่องป๋านี่สิวๆ” ผมยิ้มออกมาในที่สุด  แค่ป๋ามีความสุข ผมก็โอเค

“ดีใจที่พี่ยิ้มได้กับเรื่องของป๋า” เขายิ้มให้แล้วบีบแขนอีกทีก่อนจะปล่อยมือออกไป

“สกายไปไหนถึงไม่มาด้วย” ผมเปลี่ยนเรื่องจะได้ไม่อยู่ในโหมดซึ้งนานเกินไป

“มีถ่ายไง เดี๋ยวนี้ไม่ดูคิวให้น้องใภ้เลยน้า”

“ก็มีเธอดูให้อยู่แล้วนี่ แล้วอีกอย่างช่วงนี้กองถ่ายเขาแจ้งคิวโดยตรงอยู่แล้ว ส่วนพวกถ่ายแบบก็อีกตั้งเดือนหน้า แล้วงานเดินก็ไม่รับให้ช่วงนี้เดี๋ยวสกายจะเหนื่อยเกิน”

“แซวเล่นแค่นี้ต้องจริงจัง” ดินแดนเบ้ปากใส่ “แต่ที่จริงเดี๋ยวนี้พี่ทำตัวน่ารักขึ้นนะ เหมือนนางฟ้าเลย”

“นางฟ้าหรือซาตานก็ไม่รู้” ผมบ่นกับตัวเอง

จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองนิสัยไม่ดีหลายอย่าง ยิ่งเรื่องของพี่เวย์ยิ่งทำให้ดาวน์ลงเรื่อยๆ ทั้งอิจฉาเนม ทั้งหวั่นไหวกับพี่เวย์ กลายเป็นนอกใจเฮียไปหลายแว้บ ถึงจะไม่ได้นอกกายแต่ก็ไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย

“ซาตานบ้างก็ได้ ลุยๆ ไปเลยชีวิตมันสั้นนะ เลือกอะไรก็เลือกที่มันเหมาะกับตัวเอง อย่ามัวแต่คิดถึงคนอื่นให้มาก” น้องชายสุดหล่อบอกแล้วยืนขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ “ไปละนะ พรุ่งนี้จะไลน์บอกอีกทีว่ากี่โมง” 

“อืม ขับรถดีดี” ผมโบกมือลาแล้วก้มหน้าทำงานต่อ


สักพักเฮียก็โทรมาบอกให้ไปเจอกันที่ร้านกาแฟตอนบ่ายสอง  ผมถอนหายใจแล้วโทรบอกน้าเวชให้มารับและเดินทางไปก่อนเวลานัดเล็กน้อย

เข้าไปสั่งกาแฟแล้วหาที่นั่งมุมสงบเพราะไม่อยากคุยรบกวนคนอื่น นั่งรอแล้วรออีก บ่ายสองครึ่งก็ไม่เห็นใครมาจึงโทรหาเฮีย

“ทำไมยังไม่มาครับ ดอทรอครึ่งชั่วโมงแล้วนะ” ผมส่งเสียงติดดุๆ ไปตามสาย

“อ้าวดอท เฮียไลน์เปลี่ยนเวลาเป็นบ่ายสามครับ โธ่ งั้นรออีกหน่อยนะ อีกยี่สิบนาทีเฮียก็คงถึง”

“โอเคครับ”

พอเปิดเช็คในแอพไลน์ก็เห็นว่าเฮียบอกเลื่อนเวลาจริงๆ  คงเป็นเพราะเปิดระบบสั่นไว้เลยไม่ทันได้มอง จากนั้นผมก็นั่งรออย่างเซ็งๆ รู้งี้เอางานมาทำด้วยก็ดีหรอก

“มาเร็วจังนะครับ”

ถึงกับสะดุ้งทันทีเมื่อมีคนมาพูดอยู่ด้านหลัง

พี่เวย์..

จะบอกดีไหมว่านัดผิดเวลา แต่ก็ช่างเถอะไม่อยากคุยอะไรหลายคำจึงได้แต่พยักหน้าทักทายตามมารยาท

“ผมทำการบ้านมาเบื้องต้นแล้วนะ ลองดูแบบคร่าวๆ ก่อนครับ” พูดซะห่างเหินเลย ทีกับเนมพี่อย่างนั้นอย่างนี้ แหวะ

ผมรับแบบบ้านมาดู  ดูไม่ค่อยออกแต่ก็น่าจะสวยดี  ด้านหน้าเป็นออฟฟิต ห้องเสื้อ ห้องแต่งตัวขนาดใหญ่ มีห้องประชุมขนาดกะทัดรัดและที่ถูกใจก็คือห้องทำงานของผมที่หันไปทางต้นฉำฉา ใต้ต้นฉำฉามีโต๊ะสนามและผูกชิงช้าลงมา ไว้เป็นที่นั่งจิบกาแฟหรือจัดงานกลางแจ้งได้ดีทีเดียว  มีทางเดินเชื่อมต่อยาวไปถึงด้านหลังที่ใช้ปลูกบ้านชั้นเดียวเล่นระดับมีพื้นที่ใช้สอยทันสมัยดูเรียบง่ายแต่หรูหรา

ตรงใจไปหมดเลย..

ทั้งๆ ที่วันก่อนไม่ได้บอกอะไรมากแต่พี่เวย์ทำออกมาได้ถูกสเป๊คจนแทบไม่ต้องแก้

“อยากเพิ่มเติมตรงไหนไหมครับ” เสียงทุ้มนุ้มเรียกให้ผมเงยหน้ามอง ใบหน้าหล่อเหลาที่นิ่งงันรอคำตอบทำเอาจิตใจหวั่นไหวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“ถ..ถ้าตัดต้นฉำฉาออกไป คุณอยากจะเติมอะไรลงไปตรงนั้นให้ผม” มันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการหรอกแต่เป็นสิ่งที่ผมอยากรู้

พี่เวย์มองดูในแบบแค่เสี้ยววินาทีแล้วตอบออกมา

“ปลูกต้นใหม่ทดแทนครับ ต้นไม้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบ้าน ถึงตัดขาดแล้วแต่ผมก็อยากให้ปลูกขึ้นมาใหม่ ปลูกกันใหม่อีกครั้ง”

หัวใจของผมสั่นไหว สายตาคู่นั่นเหมือนต้องการพุ่งกระแสจิตทะลุเข้ามาในความรู้สึก ประโยคที่เหมือนจะสื่อสารนัยแฝงเร้นทำเอาหน้าเห่อร้อนขึ้นมาเสียดื้อๆ 

แต่แค่ไม่กี่วินาที ผมก็ปรับอารมณ์ให้สงบขึ้นเพราะบางทีอาจจะคิดไปเองฝ่ายเดียว เขาคงหมายถึงเรื่องบ้านกับต้นไม้จริงๆ ไม่ได้มีนัยสื่อมาถึงเรื่องของเราหรอกเพราะเขาก็มีครอบครัวที่สมบูรณ์อยู่แล้ว

“คุยกันถึงไหนแล้ว”

ใจหายใจคว่ำรอบที่เท่าไหร่แล้วของวันนี้เมื่อเฮียเผ่าเข้าแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้วนั่งลงข้างๆ พร้อมด้วยการโอบไหล่แล้วมองหน้ารอคำตอบ

“.....”

“คุยเรื่องจะตัดหรือไม่ตัดต้นฉำฉาครับ” พี่เวย์ตอบแทนเมื่อเห็นว่าผมยังคิดคำตอบไม่ออก

“ตัดไปเลยก็ได้นะ เดี๋ยวลมฝนมาหนักๆ กิ่งหรือต้นมันอาจจะโค่นใส่บ้านเอา”

เฮียนี่ก็คิดอะไรไม่ตรงใจดอทเลย จะตัดได้ยังไงมันสวยออกขนาดนั้น

“เมื่อวานผมไปคำนวณขนาดความสูงดูแล้วครับ ถ้าเราเว้นระยะห่างจากตัวอาคารให้พอดีเวลามันโค่นลงมาก็ไม่โดนสิ่งปลูกสร้างแต่ก็อาจต้องซ่อมแซมทางเดินเชื่อมต่อบางส่วน ซึ่งการเว้นระยะก็ไม่ได้ทำให้เสียพื้นที่ไปเปล่าๆ ผมลองจัดเป็นสวนสวยวางโต๊ะสนามและทำน้ำตกไหลวนรอบๆ ไว้เป็นพื้นที่รับแขกจิบกาแฟหรือเอาไว้จัดงานกลางแจ้งได้ทั้งกลางวันกลางคืนครับ” พี่เวย์ฉลาดและรอบคอบมาก ทำการบ้านมาตรงจุดและรวดเร็วด้วย

เก่งจังเลยแฮะ ตอนเขาเรียนมหาวิทยาลัยก็ไม่เคยถามเรื่องของเขาเลยว่าเรียนเก่งไม่เก่งหรือมีปัญหาอะไรยังไง ครอบครัวมีกี่คนและบ้านอยู่ที่ไหนก็ไม่เคยรู้ ผมนี่มันเป็นคนยังไงกันนะ เย็นชากับเขาขนาดนี้ได้ยังไงกัน ถึงไม่ชอบแต่อย่างน้อยก็ควรถามไถ่ไมตรีไว้บ้างสิ

โธ่โอ้ย เกลียดตัวเอง

“ว่าไงครับ ดอทโอเคมั้ย” เฮียเผ่าทำหน้าพึงพอใจกับคำตอบของพี่เวย์

“เท่าที่ฟังดูก็ดีทีเดียวครับแต่ผมอยากปลูกต้นไม้เยอะๆ ยังไงลองจัดสวนแล้วขยายแบบเฉพาะโซนนี้ให้ผมดูหน่อยนะครับ” ผมหันไปบอกพี่เวย์

“เรื่องภูมิทัศน์เดี๋ยวจะให้คนเขียนแบบอีกคนมารับบรีฟนะครับ วันนี้ก็ยังไม่ว่างมาถ้ายังไงขอนัดคุณดอทอีกที ขอแค่ครึ่งชั่วโมงก็น่าจะเสร็จ”

เมื่อบรีฟแบบกันได้ในสโคปที่พึงพอใจแล้วเฮียกับพี่เวย์ก็คุยกันเรื่องอื่นๆ ผมจึงขอตัวกลับก่อนเพราะทำตัวไม่ถูกเวลาอยู่ต่อหน้ากันทั้งสามคน ก็เฮียชอบโอบชอบจับมือไว้ เวลาถูกสัมผัสผมก็มีอาการเบาๆ ถึงแม้จะควบคุมได้บ้างแล้วแต่ก็ยังต้องฝึกอีกเยอะ  และที่สำคัญพี่เวย์ชอบปรายตามาทางนี้ตอนเฮียเผลอ แต่สายตาที่มองมาไม่ได้มีเยื่อใยอะไรเลย แค่มองเหมือนเคืองๆ เหมือนเป็นคนอื่น ยิ่งเห็นยิ่งหงุดหงิดจนไม่อยากอยู่

sweetyDOTcom :  คลินิกเปิดกี่โมง
Dr.WRRT :  หกโมงแต่จะมาก่อนก็ได้
sweetyDOTcom :  งั้นเดี๋ยวเข้าไป
Dr.WRRT :  OK

ผมทักหาหมอประสาทประมาณสี่โมงครึ่งเพราะวันนี้คงไม่เข้าไปทำงานต่อ ครั้นจะไปออกกำลังกายก็กลัวแผลฉีกอีกรอบ เลยคิดว่าอยากมาทำแผลซะให้เสร็จๆ

“น้าเวชรอก่อนนะครับถ้าครึ่งชั่วโมงไม่ออกมาค่อยตามเข้าไป” ผมบอกไว้และน้าเวชก็ตอบรับ


เดินเข้ามาไม่เจอใครเพราะคงยังไม่ถึงเวลาเริ่มงาน เดินเข้าไปที่ห้องตรวจเดิมก็ไม่มีใครอยู่ ผมจึงถือวิสาสะขึ้นไปนั่งรอบนเตียง

“ช้าจัง”

รอนานแล้วแต่ไม่เห็นมาสักที ผมจึงขึ้นไปนอนเล่นเพลินๆ บนเตียงตรวจ ห้องนี้มันเล็กดีนะ ไม่มีอะไรให้มองมากนักก็เลยไม่มีเรื่องให้ต้องคิดเยอะ  และพอนอนไปสักพักก็หลับไปซะเฉยๆ

“อ้าวหลับเฉยเลย หึ้ ตัวภาระ แต่ทำไปทำมาก็กลายเป็นภาระหัวใจ เฮ้อ ไอ้วรรตเอ้ย อยู่ดีดีไม่ว่าดี แล้วดูสิ ทำเป็นกลัวนั่นกลัวนี่ แต่พอได้หลับก็หลับเป็นตาย ขนาดบ่นอยู่ใกล้แค่นี้ยังไม่ตื่น.. งั้นเดี๋ยวตื่นแล้วค่อยทำแผลให้นะ”


เสียงบ่นงุ้งงิ้งๆ ที่ดังอยู่ข้างหู ผมจับใจความไม่ได้หรอกเหมือนเป็นเสียงในฝันมากกว่า แต่เสียงนี้ฟังแล้วก็เพลินดีนะ รู้สึกปลอดภัยจนหลับได้อีกนานเลย



ตื่นมาอีกทีเพราะได้ยินเสียงคนคุยกัน ผมรีบยกนาฬิกาขึ้นดูก็เห็นว่าจะสามทุ่ม โธ่เอ้ย หลับไปอีกแล้ว นี่ผมจะบ้าหรือไงนะมาหลับที่นี่ทำไม  บ้านมีเตียงใหญ่ๆ นุ่มๆ ทำไมไม่กลับไปนอน

“อ้าวตื่นแล้วเหรอ คนไข้ผมหมดพอดีเลย” หมอประสาทเข้ามาพอดี เขาเดินไปหยิบอุปกรณ์ทำแผลแล้วกลับมา

“ทำไมไม่ปลุกล่ะ ให้นอนช่วงเย็นแบบนี้ก็ปวดหัวกันพอดี แล้วคืนนี้จะนอนตาค้างมั้ย” ยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วถลกกางเกงขึ้นอย่างรู้งาน

“ตอนแรกก็ว่าจะปลุกแต่ไม่ว่างเลย วันนี้คนไข้เยอะ” เขาว่าแล้วเริ่มทำแผลเหมือนเดิม และอาการก็ดีขึ้นถึงจะมีสั่นบ้างแต่คิดว่าลดลงมากกว่าทุกครั้ง

จะว่าไปตอนที่ทำแผลที่โรงพยาบาลก็ไม่เป็นนะ หรือจะเป็นเพราะพยาบาลทำให้ พอเป็นผู้หญิงผมเลยไม่มีอาการ  คิดไปยิ่งเกลียดตัวเอง ไวต่อสัมผัสแค่ผู้ชายเท่านั้นเหรอ งื้ออ โรคบ้าอะไรเนี่ย 

“คนไข้เยอะหรือคุณชวนคุยเยอะ” ผมแซว “ปกติเห็นหมอคนอื่นเค้าหวงเวลากันจะตาย ตรวจคนไข้อย่างกับอาบน้ำเย็นตอนหน้าหนาว”

“คุณก็เปรียบซะ” เขายิ้มขำ

รอยยิ้มแบบนี้ดูคุ้นๆ แฮะ 

“คุณลองยิ้มแบบตะกี้อีกทีนึงสิ”

“ถ้าไม่ขำใครจะไปยิ้มได้ถ้าให้ทำเฉยๆ มันก็แค่แยกเขี้ยวยิงฟันเท่านั้นแหละ หรือว่าคุณทำได้”  เขาย่นคิ้วทำหน้างง

“ไม่ยิ้มก็ไม่ยิ้ม” ผมเบ้ปากใส่  “ทำแผลเสร็จแล้วใช่ปะ งั้นกลับเลยนะ”

“ยังไม่สี่ทุ่มเลย” อยู่ดีดีก็ทำให้งงอีกละ “ทำหน้างงทำไม ก็ปกติคุณกลับสี่ทุ่ม วันนี้เพิ่งจะสามทุ่มยังเหลือเวลาอีกตั้งนาน”

“แล้วไง” ผมถามกลับ ยังไม่หายงงแม้แต่นิดเดียว

“ก็รอให้ถึงสี่ทุ่มแล้วค่อยกลับสิ”

เขาทำให้ผมแปลกใจอีกแล้วนะ ทำไมต้องอยากให้อยู่ถึงสี่ทุ่ม หรือเขาคิดอะไรกับผม 

“มานี่สิ” แต่แล้วเขาก็กระตุกแขนเสื้อให้ตามออกไปแล้วแอบดูคนสองคนกำลังคุยกันกระหนุงกระหนิงอยู่หน้าคลินิก “เห็นยัง” เขาถามแล้วดึงแขนเสื้อผมกลับไปห้องตรวจเดิม

“อือ” ผมตอบพลางทำหน้าอึ้งๆ 

น้าเวชกับพนักงานพยาบาลที่ชื่อพี่งามกำลังจีบกันเหรอ นี่มันหนึ่งในเรื่องมหัศจรรย์ของโลกเลยนะ ปกติน้าเวชไม่เคยสนใจใครเลย แม่ครัวหรือคนงานในบ้านแกไม่เคยยุ่งเกี่ยว แต่มาถูกใจผู้ช่วยพยาบาล โอ้ย รสนิยมดีจริง

“อยู่ต่ออีกหน่อยให้เขาได้ทำความรู้จักกัน ทำให้คนรักกันกุศลแรงนะคุณ จะได้มีคู่ดีดี” เขาอธิบาย

“นี่เป็นหมอจริงป่าวเนี่ย เรียนวิทยาศาสตร์ทำไมเชื่อเรื่องอะไรแบบนี้”

“จริงๆ มันก็วิทยาศาสตร์นะ เพราะเราทำให้เขามีความสุข ใจเราก็เลยเป็นสุขไปด้วยเพราะรู้สึกว่าเราได้ทำความดี แล้วพอใจเราเป็นสุขร่างกายก็จะหลั่งสารเคมีที่ดีต่อสุขภาพไปเลี้ยงส่วนต่างๆ และสมอง พอสมองดีก็จะฉลาดคิด ฉลาดเลือกอะไรๆ ที่เหมาะกับตัวเอง พอเลือกได้เหมาะก็จะมีปัญหาชีวิตคู่น้อยกว่าเลือกแบบไม่เหมาะ เนี่ย มันก็ใช้วิทยาศาสตร์อธิบายได้” ผมฟังเขาสาธยายแล้วยกนิ้วโป้งให้ “ทฤษฎีเยี่ยมใช่มะ”  เขาถามทำหน้าภูมิใจในตัวเอง

“แถเก่งที่หนึ่ง” ผมทำหน้าล้อเลียน

หน้าเขาคว่ำลงทันทีแล้วเดินเข้ามาเอาเรื่อง

“กล้าว่าคุณหมอเกียรตินิยมว่าแถทฤษฎีงั้นเหรอ” นิ้วโป้งของผมถูกกำไว้แล้วบิดไปแบบฝืนธรรมชาติ “ต้องโดนดัดนิสัยบ้างแล้ว”

“โอ้ยคุณ เดี๋ยวนิ้วหัก อย่าาาา ฮ..ฮ่า ฮ่าๆ จะบ้าหรือไงหยุดนะ คุณปล่อย ฮ่า ฮ่าๆๆ” ค่อยๆ หลุดหัวเราะออกมากับท่าทางเหมือนเอาจริงของเขาแถมยังต้องพยายามบิดแขนตามเพื่อให้เจ็บน้อยลงจนตัวโก่งตัวงอไปอีก

แต่เสียงร้องห้ามไม่ได้มีผลอะไรหมอประสาท เขายังคงตั้งใจจะหักนิ้วผมอย่างเอาเป็นเอาตายและหลุดขำออกมาเป็นบางครั้ง กลายเป็นสงครามย่อมๆ ทำให้ต้องหลุดหัวเราะออกมาหลายครั้งทีเดียว


แต่แล้วเมื่อเล่นจนเหนื่อยต่างคนต่างก็หยุดโดยไม่ได้นัดหมาย เราสองคนมองหน้ากันโดยที่ยังจับนิ้วค้างไว้แบบนั้น

“หัวเราะบ่อยๆ สิ เสียงหัวเราะของคุณสดใสมากนะ” ค่อนข้างอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน ผมค่อยๆ ดึงมือกลับมาแล้วปั้นหน้าให้ปกติ

“ก็ปกติไม่ค่อยมีเรื่องให้ขำ” ทำทีเป็นมองโปสเตอร์อนาโตมี่ที่ข้างผนังราวกับว่าจะเตรียมตัวไปสอบหมอ แต่ความจริงก็เพื่อกลบเกลื่อนเลือดลมที่สูบฉีดแบบไม่ปกติในร่างเท่านั้นเอง

“งั้นก็มารักษาโรคขำยากที่นี่บ่อยๆ เดี๋ยวหมอจ่ายยาให้ รับรองไม่เลี้ยงไข้ คิดราคาขำละหนึ่งมื้อ” เขาบอกแล้วเดินไปนั่งพิงเก้าอี้แล้วเลิกคิ้วขึ้นรอคำตอบ  “ว่าไง มื้อเล็กๆ ก็ได้ รวยก็รวยอย่าขี้งกเลยน่า”

“ชอบพูดเองเออเอง” ผมบ่น

“แล้วจะตกลงไหม”

“ตกลงก็ได้ ผมเชื่อว่าคงเลี้ยงคุณแค่ปีละครั้งสองครั้งแค่นั้นแหละเพราะผมคงไม่ขำบ่อยนักหรอก” ค่อนข้างมั่นใจกับเส้นขำที่ลึกสุดกู่ของตัวเอง

“เป็นคนเส้นลึกว่างั้น”

“มากกก”

“งั้น.. ขอมื้อแรกวันนี้ก่อนเลย ไปกินข้าวกัน” ว่าแล้วก็ลุกมาดึงแขนเสื้อชวนออกจากคลินิก

“อะไรของคุณเนี่ย ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง” ถึงจะบ่นแต่ก็เดินตามเขาไปเพราะไม่รู้จะหาข้ออ้างไหนมาปฏิเสธ ยังไงก็ต้องติดแหงกอยู่ที่นี่ สู้ไปฆ่าเวลาที่อื่นก็น่าจะดีกว่า

“น้าเวชครับ ขอพาคุณหนูของน้าเวชจะไปหาอะไรกินแถวนี้ น้ากับพี่งามอยากได้อะไรไหมครับ” หมอประสาทถามน้าเวชราวกับรู้จักกันมาเป็นสิบๆ ปี

“ไม่หรอกครับคุณหมอ น้าเพิ่งทานข้าวมันไก่ฝีมือน้องงามเมื่อกี้”  อุ๊ยๆๆ มีเปลี่ยนสรรพนามเป็นน้องงามซะด้วย ง่าา น่าเอ็นดูจัง

“โอเคครับงั้นเดี๋ยวผมมานะ” พอพูดกับน้าเวชเสร็จเขาก็ลากแขนเสื้อผมไปที่รถ

“คันนี้อีกแล้ว” 

“นี่แหละคลาสสิค” เขาบอกแล้วดันหลังเข้าไปในรถบุโรทั่งคันเก่า

ทันทีที่มือของเขาทาบลงมาบนแผ่นหลัง ร่างกายผมก็เกิดปฏิกิริยาทันที

วาบ~

ผมหยุดชะงักแล้วกลั้นลมหายใจ  นึกว่าดีขึ้นแล้วซะอีก เมื่อกี้ตอนเล่นกันผมยังไม่วูบวาบมากขนาดนี้เลย แล้วทำไมถึงรู้สึกขึ้นมาปุบปับแบบนี้นะ

“มันต้องใช้เวลา” ไม่รู้เขาพูดถึงเรื่องอะไรแต่ผมหันไปมองนิ่งๆ หรือหมอประสาทจะรู้หรือที่จริงเขาพูดเรื่องอื่นแล้วมันมาพ้องกับเรื่องที่ผมคิด “ขึ้นรถเร็ว ผมหิว” 

ผมพยักหน้าแล้วขึ้นไปนั่งบนรถแล้วตั้งสติ ไม่นานนักก็สงบขึ้นเพราะดูเหมือนอีกฝ่ายไม่ได้เพิ่มการกระตุ้นใดๆ    ใช้เวลาไม่นานก็ขับมาถึงตลาดนัดที่คนเริ่มซาแล้ว


“ที่นี่เหรอ” ผมถามแล้วมองไปโดยรอบ เห็นบ่อยๆ ว่าชอบมีตลาดแบกะดินแบบนี้แล้วก็มีคนเดินกันยั้วเยี้ยแต่ก็ไม่กล้ามาเดิน

“ที่นี่แหละ ถ้าเลือกดีดีของอร่อยเพียบ” เขาทำสีหน้ามั่นใจ

แต่ผมไม่มั่นใจเลยแฮะ ปกติก็ธาตุอ่อน กินอะไรเผ็ดหรือแสลงก็เสาะท้องปวดท้องอยู่บ่อยๆ  แต่เห็นท่าทางเขาแบบนี้แล้วก็สงสาร

“อืม ลองดูละกัน..”

ร่างสูงยิ้มพอใจแล้วเดินนำไปซื้ออาหารหลายอย่าง ทั้งลูกชิ้นนึ่ง ทาโกะยากิ ข้าวมันปิ้ง ข้าวโพดคลุกเนย น้ำหวานและอาหารทานเล่นอีกหลายอย่างมาเต็มไปหมด


“จะกินหมดไหมคุณ” ผมมองถุงหิ้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบถุงในมือเขาแล้วไม่อยากคิดว่าใครจะกิน

“นานๆ ได้กินของฟรี ต้องจัดหนักจัดเต็ม” ดูทำหน้าเข้า จริงจังอะไรกับของฟรีขนาดนั้น

ผมส่ายหน้าแล้วเดินไปที่รถ “ไปกินที่คลินิกเหรอ”

เขาไม่ตอบแต่วิ่งไปไขกุญแจเปิดรถอย่างทุลักทุเล รู้สึกผิดที่ไม่ได้ช่วยถือแต่เขาแย่งผมไปถือเองซะหมด แรกๆ เขาก็ชอบขัดใจแต่นานเข้าก็เผลอมาตามใจผมอยู่ดี ออร่าความเป็นภาระของผมมันแรงนักหรือไงก็ไม่รู้

หมอประสาทขับรถไปเรื่อยๆ ไม่ไกลจากคลินิกมากนัก มีสวนสาธารณะเล็กๆ ที่ค่อนข้างทรุดโทรมแต่ไม่ถึงกับรกร้าง   เขาพาผมไปนั่งริมตลิ่งแล้ววางข้าวของไว้บนพื้น

“มันจะสกปรกนะคุณ” 

“มันมีถุงรองอยู่ไม่สกปรกหรอก มานั่งนี่เร็ว” มือหนาตบลงบนพื้นที่ข้างตัวซึ่งผมก็ไม่ปฏิเสธ  เดินไปนั่งอย่างเป็นธรรมชาติไม่ได้รู้สึกเขินอายหรืออึดอัด

แปลกนะ ปกติผมเข้ากับคนยาก ไม่มีเพื่อนฝูงเลยเพราะไม่ชอบเข้าสังคม แต่กับหมอประสาทนี่กลับรู้สึกสนิทใจได้ง่ายๆ  อาจมีเหม็นขี้หน้าตอนแรกๆ แต่พอคุ้นเคยก็คิดว่าเขาก็ไม่น่าใช่คนเลวร้ายอะไรหรอกมั้ง

เรานั่งกินอาหารหมดเป็นอย่างๆ หมดถุงนี้ก็หยิบอีกถุงมากิน กินปนกันมั่วไปหมด เดี๋ยวคาวเดี๋ยวหวาน เปลี่ยนกันเลือกว่าจะหยิบถุงไหน มันสนุกดี เพลินไปกินไปเล่นไปคุยไปจนทุกอย่างหมดเกลี้ยงทุกถุง

“หมดแล้วอะคุณ” ผมบอกเขาอย่างไม่อยากเชื่อส่วนเขาก็เก็บซากทั้งหมดนั้นไปทิ้งถังขยะ

“ก็หมดน่ะสิ คุณเล่นกินเอาๆ กินซะจนเลอะปากไปหมดแล้วนั่นน่ะ” เขาชี้มั่วๆ ก่อนจะนั่งลงที่เดิม

“ตรงไหน” ผมเช็ดไปเรื่อยแล้วถาม

“ซ้ายอีก” หมอประสาทบอกตำแหน่งและผมก็เลื่อนมือตาม “ซ้ายนิด ขวานี๊ด เออๆ นั่นแหละ”

ผมหยิบผักชีออกมาจากแก้ม “อี๋ ผักชีด้วยอะ ฮ่าๆๆๆ” ปาใส่เขาแก้เขินแล้วหัวเราะเสียงดังเพราะความอับอาย

“ซกม๊กว่ะคุณ” เขาหลบผักชีที่ผมปาใส่ซึ่งมันไม่ได้โดนซักนิด ทำเป็นเวอร์ไปได้

“ไม่สน” ผมเชิดหน้าขึ้น “หน้าตาดีมีผักชีก็ไม่ผิด”

“หูยย มั่นหน้า” เขาแซว  “ขอเปลี่ยนเป็น หน้าตาไม่ดีต้องใส่ผักชีโรยหน้า ฮ่าๆๆๆ”

ผมทำหน้าเหยียดหยามใส่เพราะมุกของเขามันแป้กที่สุด

“ไม่เห็นขำซักกะนิด”

หมอประสาทหยุดแล้วหรี่ตามองอย่างไม่พอใจ


ต่อ..
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 10 : หมอประสาท 《3/08/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 03-08-2018 23:04:36
“ไม่ขำเหรอออ” แล้วเขาก็พุ่งตัวเข้ามาทันทีโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

“ฮ่าๆๆ คุณพอแล้วฮ่าๆๆ มันเปื้อนนะ อ้าก พอแล้วพื้นมันเปื้อน ฮ่าๆๆๆ” เขาจั๊กจี้ข้างเอวผมจนต้องดิ้นหนีไปมาไม่ว่าจะบอกยังไงเขาก็ไม่ยอมฟังจนผมต้องนอนลงไปบนพื้นกลิ้งคลุกขี้ฝุ่นไปทั้งตัว “คุณพอก่อน แฮ่กๆๆ ไม่ไหวแล้ว งือออ ใจจะขาด พลีสสส”

ทุบอกเขารัวๆ แล้วร้องขอความเห็นใจ เมื่อเห็นว่าผมไม่ไหวจริงๆ ร่างหนาที่คร่อมอยู่ด้านบนจึงค่อยๆ หยุดลง

“คราวหลังจะกล้าว่ามุกผมไม่ขำอีกไหม”

“ก็ไม่ขำจริงๆ อะ” เชิดหน้าใส่แต่คราวนี้เขาไม่ทำอะไรแต่ก้มมองผมนิ่ง ผมเองก็มองเขานิ่งเช่นกัน

หน้าแบบนี้คลับคล้ายคลับคา.. เหมือนใครกันนะ

ผมเผลอยกมือจับใบหน้า เขาเองก็ไม่ได้หลบเลี่ยงปล่อยให้ผมสัมผัส

“ผมรู้สึกคุ้นหน้าคุณจัง” ผมพูดออกมาและทำให้เขานิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนจะพลิกตัวลงนอนข้างๆ

“เฮ้อออออ นอมินี นอมินี” เขาบ่น

“นอมินีอะไรของคุณ” ผมยังนอนอยู่อย่างนั้นแค่เอียงหน้าไปถาม

เขามองตรงขึ้นไปบนฟ้าแล้วตอบ “ช่างเหอะ ของแบบนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป เร่งมากไปจะเสียการ”

“ประสาท” ผมบ่นเพราะไม่เข้าใจความติสแตกของเขาแต่แล้วก็นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง “เออนี่ คุณชื่ออะไรนะ”

หมอประสาทเอียงหน้ามามองแล้วขมวดคิ้ว “นี่ยังไม่รู้ชื่อผมเหรอ วันแรกก็บอกทั้งชื่อทั้งนามสกุล”

“ชื่อกับนามสกุลยาวๆ มันจำง่ายนักนี่ แล้วชื่อในไลน์ก็อ่านออกที่ไหน ด๊อกเตอร์ดับเบิ้ลยูอาร์อาร์ที หมอรือรทงี้เหรอ” ผมเดามั่ว

“พ่อแม่ที่ไหนจะตั้งชื่อลูกว่ารือรท เฮ้อ คุณนี่ไม่แนวเลย” เขาบ่น “ลองเทียบจากพยัญชนะภาษาไทยตรงๆ เลยนะ W คือ?”

“ว.แหวน” ผมตอบ

“Rล่ะ”

“ร.เรือ”

“Rอีกตัว”

“ร.เรือ”

“Tคือ”

“ท.ทหาร ต.เต่า ก็ได้”

“รวมกันซิ” เขาบอกใบ้

“วอ รอ รอ ทอ วรรท หรือ วรรต! วรรตใช่ไหม” ผมบอกอย่างตื่นเต้น เอื้อมมือไปเขย่าแขนเขารัวๆ

“ต้องตบมือให้ดาวปะ” เขาสอดแขนใต้ท้ายทอยตัวเองแล้วหันมาทำหน้ากวนอารมณ์ “ว่าแต่.. ปกติคุณเรียกผมว่าอะไรล่ะถ้ายังไม่รู้ชื่อแบบนี้”

“ก็..ไม่ได้เรียก” ผมปด แต่อาจจะไม่เนียนเพราะไม่คิดว่าเขาจะถามเลยเผลอทำตาล่อกแล่กไปนิดหน่อย

“อย่ามาสตรอ บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าคุณเรียกผมว่าอะไร” เขายันตัวขึ้นมองแบบกดดัน

“หมอ” ผมตอบแล้วหลบตา

“หมอเฉยๆ เหรอ” 

“หมอ.. ประสาท” สองคำสุดท้ายผมกัดฟันพูดเบาๆ

“อีกทีแบบดังๆ ซิ”

“หมอประสาท!” ผมเปล่งเสียงดังขึ้นฟ้าแล้วลุกขึ้นวิ่งทันที

ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งตามก็ยิ่งเร่งจังหวะการสับขา ฮืออ ถ้าโดนจับได้ต้องน่วมแน่ๆ

“คุณวิ่งช้าๆ เดี๋ยวแผลฉีก” เขาตะโกนไล่หลัง

“ไม่เอาเดี๋ยวคุณลงโทษ”

“ไม่ลงโทษก็ได้ สัญญาๆ หยุดวิ่งก่อน”

เมื่อเขาสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ ผมจึงหยุดฝีเท้าลง

“ห้ามผิดสัญญานะ แฮ่กๆๆ” ยืนตรงไม่ไหวต้องก้มตัวเพราะเสียดท้อง

ร่างสูงย่างเข้ามาเรื่อยๆ แล้วก็มายืนหอบอยู่ใกล้ๆ

“ไม่มี.. แฮ่กๆๆ” หมอประสาทพยายามจะพูดแต่ก็หอบแฮ่กไม่แพ้กัน แต่สักพักก็พูดออกมาได้ “ไม่มี..สัจจะในหมู่หมอหล่อๆ”

กว่าจะรู้ตัว เขาก็พุ่งเข้ามารวบตัวไว้ยกขึ้นอุ้มพาดบ่า

“คุณ!! เลือดลงหัวหมดแล้ว ปล่อยเดี๋ยวนี้นะคนผิดสัญญา” โวยวายแต่ก็อดขำไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่ายิ่งขำเขาก็ยิ่งไม่ปล่อย

“หมอประสาทเหรอ นี่ไง หมอประสาท!” เขาหมุนตัวกลับไปกลับมาหลายรอบมากจนผมรู้สึกวิงเวียนขึ้นมาจริงๆ

“อ้วกใส่ไม่รู้ด้วยนะ” ผมขู่แต่เขาก็ยังไม่ปล่อยโดยพาเดินไปที่รถทั้งอย่างนั้นจนถึงแล้ววางลงให้ยืนพิงรถไว้ “โอยย เวียนหัว” ผมหลับตากุมขมับทั้งสองข้าง แล้วขาก็อ่อนจนทรุดลง

“เฮ้ยคุณ!” เขารวบตัวผมไว้ทันที

“แค่เวียนหัว ขอเวลาแป๊บ” ผมบอกแล้วนั่งยองกุมขมับไว้

หมอประสาทผละออกไปไขกุแจรถแล้วค่อยๆ พาเข้าไปนอนเหยียดยาวที่เบาะหลัง

“อ๊ะ!” เพราะพื้นที่มันแคบทำให้ไม่ถนัดเขาจึงเสียหลักโถมตัวลงมาทับไว้ทั้งตัว

ผมลืมตาขึ้นก็เห็นหน้าเขาจ่ออยู่ อย่าพูดถึงอาการแพ้สัมผัสเพราะตอนนี้เวียนหัวจนตาลายแถมยังทำให้เห็นใบหน้าของเขาเป็นคนอีกคน

“..พี่เวย์”

ได้ยินเสียงกัดฟันกรอดแล้วร่างสูงใหญ่ก็ค่อยๆ ขยับออกจากรถไป

“กลับเลยนะ คุณก็นอนข้างหลังนั่นแหละ หลับไปเลยก็ได้” เขาขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับแล้วหันมาบอก

“โอเค” ผมตอบไปแต่ไม่ได้ลืมตาเพราะตอนนี้เวียนหัวมากจริงๆ ส่วนหมอประสาทก็ขับรถไปอย่างเงียบเชียบไม่ได้ชวนคุยอีก



ไม่นานนักรถก็จอดสนิท และผมก็ฟื้นคืนชีพแล้ว

“กลับเลยละกันนะ” ผมบอกระหว่างเดินไปที่หน้าคลินิกด้วยกัน

“อือ” เขาตอบรับสั้นๆ ดูซึมกว่าเมื่อกี้พอสมควร

“วันนี้สนุกมาก ขอบคุณนะ” ผมต่อยต้นแขนเขาเบาๆ แล้วเขาก็ยักคิ้วรับเงียบๆ “ไปละ”

ยกมือบอกลาแล้วเดินไปหาน้าเวชที่เตรียมรถไว้พร้อมแล้วเพราะพี่งามน่าจะกลับไปแล้ว

“เนื้อตัวมอมแมมเลยครับคุณหนู ไปเที่ยวเล่นที่ไหนกันมา” น้าเวชถาม

“คุณหนูของน้าเวชเรียกผมว่าหมอประสาทก็เลยโดนทำโทษครับ” เขาเดินเข้ามาสมทบแล้วฟ้องหน้าตาเฉย

“อ้าวคุณหนู ไปเรียกคุณหมอแบบนั้นได้ยังไงไม่น่ารักเลยนะครับ” โธ่น้าเวช ปกติไม่เคยว่าผมเลยนะ แต่วันนี้กลับไปเข้าข้างคนอื่น

“เค้าก็ทำโทษไปแล้วนี่ครับ ถามคุณหมอคนดีของน้าเวชสิว่าทำโทษอะไรดอทบ้าง เส้นเลือดในสมองเกือบจะแตก” ผมฟ้องบ้าง

“โถ่ถัง ทำโทษอะไรแบบนั้นครับคุณหมอ อันตรายนะ สองคนนี้เล่นอะไรเป็นเด็กเลย” แล้วก็โดนบ่นทั้งคู่

ผมแอบแลบลิ้นใส่เขา ส่วนเขาก็ชูกำปั้นกลับมา

“ไปเลยครับ กลับบ้านไปอาบน้ำอาบท่าจะได้พักผ่อน” น้าเวชห้ามทัพ “ครั้งหน้าคุณหมออย่าทำโทษคุณหนูแรงสิครับ คุณแกตัวนิดเดียวสงสารแก” น้าเวชหันไปดุคุณหมอของแกอีกรอบ  ผมเห็นอย่างนั้นก็ได้ใจแลบลิ้นทำหน้าล้อเลียนเขาเป็นการใหญ่

“หันไปดูคุณหนูตัวเล็กน่าสงสารของน้าเวชสิครับ ทะเล้นขนาดนั้นไม่ได้น่าสงสารซักนิด” แล้วน้าเวชก็หันมาดูผมตามที่เขาบอก แต่ผมรีบปรับสีหน้าเป็นหงอยๆ น่าสงสาร “ฮึ้ยย เปลี่ยนหน้าได้ในหนึ่งวิ” เขาทำท่าหมั่นไส้ขั้นสุด “ฝากไว้ก่อนนะ ถ้าคราวหน้ามานอนหลับที่นี่อีกทีจะเอาเมจิกเขียนให้เต็มหน้าเลยคอยดู” 

“น้าเวชดูสิ” ผมแกล้งทำหน้าเศร้าแล้วฟ้องน้าเวชให้ดูความเจ้าคิดเจ้าแค้น

“โอ้ย พอกันทั้งคู่ละครับ น้าเวชขึ้นรถดีกว่าไม่อยากยุ่งด้วยแล้ว” ว่าแล้วแกก็เดินขึ้นรถไป

ผมกับนายหมอวรรตขำใส่กันแล้ว ยกมือขึ้นแท็กกันกลางอากาศเพราะแกล้งน้าเวชให้ปวดหัวได้

“อย่าลืมกินยา” ร่างสูงยิ้มกว้างแล้วพูดกำชับเมื่อผมทำท่าจะเดินตามน้าเวชขึ้นรถ

“อืม”   


พอนั่งอยู่ในรถแล้วมองไปเห็นเขายังอยู่ที่เดิม ร่างสูงยืนมองผมจนลับตา ผมเองก็มองเขาจนลับตาเช่นกัน

“คุณหนูดูผ่อนคลายขึ้นเวลาได้อยู่กับคุณหมอวรรตนะครับ” น้าเวชบอก

“เหรอครับ” ผมถามไปอย่างนั้น ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าผมลืมไปหมดทุกความเครียดที่มีเมื่ออยู่ใกล้เขา

“น้าเวชดีใจที่เห็นคุณหนูยิ้มได้”

ฟังแล้วได้แต่จมจ่อมอยู่กับความคิด จริงสินะ ผมไม่เคยหัวเราะแบบวันนี้เลยตั้งแต่จำความได้ นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ



เมื่อถึงบ้านก็รีบอาบน้ำเข้านอน  ไม่ลืมถ่ายรูปแบบเดิมให้เขาดูอีก

sweetyDOTcom :  อักเสบแน่เลย ปวดแผลตุบๆ

Dr.WRRT :  ก็วิ่งซะขนาดนั้น แต่กินยาให้ครบมื้อไม่อักเสบหรอก

sweetyDOTcom :  คร้าบคุณหมอ..ป  ร   ะ  ส   า   ท

Dr.WRRT :  เดี๋ยวจะโดน

sweetyDOTcom :  กลัว?

Dr.WRRT : หึๆ

Dr.WRRT : พรุ่งนี้มามั้ย

sweetyDOTcom :  พรุ่งนี้ไปกับน้องชาย ไม่รู้กลับกี่โมง ขอดูก่อนนะ

Dr.WRRT :  จะเปิดรอถึงสี่ทุ่ม

เห็นข้อความนี้แล้วรู้สึกแปลกๆ อุ่นๆ ในใจผสมกับหวิวไหวนิดๆ

sweetyDOTcom :  ถ้าไปแสดงว่าน้าเวชขอร้อง

Dr.WRRT :  เอาที่สบายใจ

sweetyDOTcom :  นอนละ

Dr.WRRT :  Good Night!

sweetyDOTcom :  GOODNIGHT

++++++++++++++++++++++ 

วันนี้ตื่นแต่เช้าตรู่เพราะเมื่อคืนเหนื่อยจนเพลียแล้วหลับแทบจะในทันที ทำให้เช้านี้สดชื่นมากเป็นพิเศษ

“น้าเวชครับ ดอทอยากไปวัด ช่วยไปส่งให้หน่อยนะครับ” ผมเดินไปหาน้าเวชที่ห้องครัวด้านหลัง แกกำลังกินข้าวอยู่ก็รีบลุกกุลีกุจอจะไปเตรียมรถ ผมจึงสั่งไปอีกหนึ่งเรื่อง “แต่ต้องกินข้าวให้อิ่มก่อนนี่เป็นคำสั่ง” ผมมองขู่แกจนแกนั่งลงกินข้าวต่ออย่างเสียไม่ได้

ระหว่างนั้นก็ไปสั่งอาหารใส่ปิ่นโตเพื่อนำไปถวายพระ เสร็จแล้วก็เดินไปหน้าบ้าน พอดีกับน้าเวชที่จอดรถมาเทียบ

“วันนี้ตื่นเช้าจังครับ” น้าเวชทักทันทีเมื่อขึ้นมานั่งบทรถ

“เมื่อคืนทั้งอิ่มทั้งเพลียจนคอพับหลับไปเลยละครับ” ผมตอบไปยิ้มไปเพราะนึกถึงสิ่งที่ทำเมื่อคืนแล้วมันตลก กินอาหารเยอะขนาดนั้นหมดในพริบตาแถมยังไม่ปวดท้องเลยด้วย เป็นเรื่องประหลาดที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยเพราะปกติกินนิดเดียวก็อืดท้องแล้ว

“ดีจังนะครับ น้าเวชอยากเห็นคุณหนูสดใสแบบนี้ทุกวัน” ผมมองไปยังกระจกมองหลังเห็นน้าแกยิ้มดีใจของแกอยู่คนเดียว

“น้าเวชยังเหมือนเดิมเลยนะครับ น่ารักยังไงก็ยังน่ารักอย่างนั้น ใจดีกับดอทเสมอเลย” ผมบอกพร้อมกับน้ำตาที่รื้นขึ้น  เบื่อตัวเองที่ขี้แย ถ้าเรื่องซึ้งๆ นี่ร้องง่ายตลอด

“เห็นคุณหนูมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก คุณหนูน่ะน่ารักไม่เคยดื้อเลย เป็นที่รักของทุกคนโดยเฉพาะคุณท่านทั้งรักเอ็นดูอุ้มชูไม่เคยห่าง จน.. เอ่อ..” น้าเวชหยุดพูดเหมือนกับว่านึกขึ้นได้ว่าไม่ควรพูด

“เล่าเรื่องเมื่อก่อนให้ดอทฟังหน่อยสิครับน้าเวช ดอทอยากรู้ว่าก่อนที่จะจำความได้ ครอบครัวมันแตกแยกแบบนี้เลยหรือเปล่า” ที่ผ่านมาผมไม่เคยอยากฟัง ไม่เคยอยากให้เรื่องราวของป๋ามากระทบจิตใจจึงไม่ชอบฟังอะไรที่เกี่ยวกับป๋า

“คุณหนูแน่ใจนะครับ” น้าเวชลังเล

“ตอนนี้ดีกับป๋าแล้ว ตอนเย็นตาดินก็จะมารับไปบ้านใหม่ป๋า น้าเวชว่าดอทดีขึ้นหรือยังล่ะ” ผมส่งเสียงแจ้วๆ จนน้าเวชสบายใจขึ้นจนเริ่มเล่าให้ผมฟัง

“งั้นก็ได้ครับ.. เมื่อก่อนตอนคุณท่านยังไม่แต่งงานกับนายหญิง   คุณท่านเคยไปมาหาสู่กับครอบครัวคุณภาวดี คุณแม่ของคุณดินมาก่อน เพราะเคยช่วยเหลือจุนเจือบ้านนั้นด้วยความมีมิตรไมตรีต่อกันและเกิดตกหลุมรักกัน”

ฟังถึงตรงนี้ก็ต้องขมวดคิ้วคิดตามอย่างหนัก นี่ผมพลาดข้อมูลสำคัญแบบนี้ไปได้ยังไงกัน  ป๋ารักกับแม่ของดินแดนมาก่อนที่จะแต่งงานกับคุณแม่ นี่มันคดีพลิกเลยนะ

“ล..แล้วยังไงต่อครับ” ผมถามด้วยเสียงที่เริ่มสั่น

“แต่คุณปู่คุณย่าของคุณหนูท่านอยากให้คุณท่านแต่งงานกับคนที่มีฐานะเท่าเทียมกันธุรกิจจะได้เติบโต  นายหญิงเลยถูกสู่ขอให้มาแต่งงานกับคุณท่านและคุณท่านเองก็รักนายหญิงในเวลาต่อมา แค่เพียงครึ่งปีก็มีคุณหนูออกมาสร้างความสุขให้คนในบ้าน ทุกคนรักและเอ็นดูคุณหนูกันมากเพราะคุณหนูช่างอ้อนและหน้าตาน่าเอ็นดู คุณท่านคอยอุ้มคอยโอ๋ไม่เคยห่าง”  น้าเวชเล่าไปเหลือบมองกระจกไปเพราะคงกลัวว่าผมจะเครียด

“เล่าต่อเถอะครับ” ผมฝืนยิ้มบางๆ

“..แต่แล้วอีกสี่ปีให้หลัง คุณท่านก็สารภาพความจริงกับนายหญิงว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาได้เลี้ยงดูภรรยาอีกคนไว้และตอนนี้เธอกำลังตั้งท้องอ่อนๆ นายหญิงเป็นลมไปเลยหลังจากที่ได้ฟัง เธอน่าสงสารมากในเวลานั้น ทั้งร้องไห้อย่างหนักจนใบหน้าซูบโทรมประกอบกับทานข้าวปลาไม่ลงจนเรียกได้ว่าแทบจะไม่เป็นผู้เป็นคน  แต่เพื่อความถูกต้อง คุณท่านต้องตัดสินใจพาคุณแม่ของคุณดินเข้ามาอยู่ที่บ้านเล็กเพราะเธอไร้ซึ่งที่พึ่งพิงจากครอบครัวเดิมแล้วเนื่องจากล้มหายตายจากกันไปหมด”

น้ำตาผมไหลลงมาทันที ถ้ารู้เรื่องเร็วกว่านี้ความเกลียดชังของผมอาจจะไม่รุนแรงจนถึงขั้นทำลายอนาคตตัวเองลงก็ได้  และที่สำคัญคงไม่ร้ายกับป๋าให้กลายเป็นบาปจนต้องรับกรรมเป็นทุกข์อย่างทุกวันนี้

“แล้วคุณแม่ล่ะครับ ท่านเป็นยังไงในตอนนั้น” ผมปาดเช็ดน้ำตาแล้วกลั้นใจถามต่อ

“นายหญิงไม่ได้ร้องไห้ไม่ฟูมฟายอีก แต่ประกาศอย่างชัดเจนว่าให้ทุกคนเลือกข้าง ถ้าจะเข้าทางบ้านเล็กก็ไม่ต้องมาทำงานบ้านใหญ่ ถ้าจะอยู่บ้านใหญ่ก็ห้ามไปยุ่งกับบ้านเล็ก ส่วนคุณหนูก็ถูกให้แยกกับคุณท่าน ห้ามคุณท่านเข้าใกล้คุณหนูอีก  ซึ่งคุณท่านก็เคร่งเครียดอย่างหนัก ทางหนึ่งก็รักมาก่อนและตั้งครรภ์ขึ้นมา ส่วนอีกทางก็รักและรู้ดีว่าได้ทำร้ายให้เจ็บช้ำแถมมีลูกน้อยที่คุณท่านทั้งรักทั้งหลงแทบจะเรียกว่าไม่เคยให้คุณหนูอยู่ห่าง”

“แล้วน้าก้อยล่ะครับ ตอนนั้นผมไม่ค่อยใส่ใจเพราะดูเหมือนพวกน้าก้อยจะไปเข้าข้างทางดินแดน”  ผมถามต่อ

“คุณก้อยเธอใจดีครับ เธอรักหลานทั้งคู่ไม่ได้แบ่งแยก  เธออุ้มโอ๋คุณหนู เห่อจนขยายรูปติดห้องเยอะกว่ารูปคุณหนูเกดที่เป็นลูกแท้ๆ ซะอีกเพราะเธอชอบเด็กผู้ชาย แต่พอคุณดินคลอดคุณก้อยเธอก็ไปมาหาสู่ช่วยเลี้ยงหลานด้วยอีกคน พอนายหญิงรู้ก็กลายเป็นผิดใจกันไป ห้ามคุณก้อยกับคุณหนูเกดมายุ่งกับคุณหนู  และจากนั้นก็กลายเป็นห้ำหั่นกันจนเธอพาคุณหนูเกดย้ายออกไปเพราะคุณก้อยเธอไม่ชอบมีเรื่องมีราวทุ่มเถียงกับใคร แล้วจากนั้นก็อย่างที่คุณหนูเห็นนั่นแหละครับ”

มหากาพย์ความรักของครอบครัวผมช่างซับซ้อนยิ่งกว่าละคร เรื่องนี้มันลักลั่นเกินกว่าจะหาต้นตอว่าใครผิดใครถูก  แต่ในเมื่อมันผ่านมาแล้วและตอนนี้ผมก็เข้าใจทุกอย่างชัดเจนจนถึงขนาดนี้แล้ว ก็คงต้องเดินหน้ากันต่อไป คุณแม่เองก็เป็นเหยื่อของความรักเช่นกัน จากนี้คงต้องเยียวยาหัวใจของท่านให้มากกว่านี้

ส่วนป๋าก็คงไม่น่าห่วงเพราะมีอีกครอบครัวซึ่งหวังว่าจะไปได้สวยและไม่ซ้ำรอยเดิมอีก

ผมนั่งนิ่งมองออกไปนอกกระจก คิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อย แต่ที่ดีใจคือทุกสิ่งที่ผมคิดคือเรื่องที่ดีไม่มีความเคียดแค้นและอคติใดใดกับใครเลยแม้แต่คนเดียว

เป็นคนดีได้แล้วสินะชนม์แดน น่ารักจริงๆ


“น้าขอแวะรับเพื่อนร่วมทางหน่อยนะครับคุณหนู” กำลังคิดอะไรเพลินๆ น้าเวชก็พูดขึ้น

“ใครเหรอครับ” พร้อมกับคำถาม น้าเวชหักเลี้ยวไปตามทางที่ค่อนข้างคุ้นตา  “แหม..ร้ายนักนะครับ นี่รับใต้โต๊ะเขามาเท่าไหร่ถึงได้แปรพรรคไปเป็นคนของเขาแบบนี้น่ะ”

“โธ่ ไม่ใช่แบบนั้นนะครับคุณหนู คุณหมอแกก็แค่เป็นห่วงกลัวว่าคุณหนูจะไปเล่นกีฬาอะไรจนแผลฉีกอีกก็เลยให้น้าเวชรายงานว่าคุณหนูจะไปไหนบ้างแค่นั้นเอง”  เมื่อรถจอดเทียบหน้าคลินิก ชายหนุ่มร่างสูงผิวขาวหน้าตาเกาหลีสไตล์ ดูเด็กมากถ้าเทียบกับอายุจริงที่แก่กว่าผมตั้งสองปี เขาเปิดประตูด้านข้างคนขับแล้วขึ้นไปนั่ง

“คุณหมอนั่งเบาะด้านหลังดีกว่าครับสบายกว่า” น้าเวชรีบบอก

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ใช่ลูกคุณหนูเจ้ายศเจ้าอย่างอะไร” เปิดปากมาก็ได้ยินเสียงเห่าเลยนะ

“น้าเวชจอดรถหน่อยครับ” น้าเวชหยุดรถตามที่บอกจากนั้นผมจึงลงจากรถไปเปิดประตูฝั่งคนขับแล้วให้น้าเวชออกมานั่งด้านหลัง  “วันนี้ลูกคุณหนูจะขับรถให้น้าเวชนั่งเองครับ คนปากเสียจะได้รู้ว่าลูกคุณหนูที่ไม่เจ้ายศเจ้าอย่างก็มีอยู่ในโลกนี้” ผมทำคอแข็งใส่อย่างหมั่นไส้ ส่วนเขาก็เบะปากเหมือนไม่เชื่อ

เอี๊ยดดดดดดด

ผมออกรถอย่างแรงและเหยียบคันเร่งแทบจะมิดไมล์

“คุณหนูครับอย่าขับเร็วขนาดนี้มันอันตรายนะครับ โอ้ย คุณหนู น้าเวชใจหายใจคว่ำหมดแล้วนะครับ” ผมหักเลี้ยวแบบกะทันหันจนน้าเวชร้องเสียงหลง

“คึกคะนองอย่างกับเด็กวัยรุ่น” แทนที่จะกลัวแต่เขาทำท่าเหมือนชิวๆ แถมยังแซะผมซะอีก “จะไปทำบุญทำทานแทนที่จะใจเย็นๆ เฮ้อ พวกบัวใต้ตม”

ผมหยุดรถทันที เถียงไม่ออกและไม่อยากเถียงแล้ว ปากผมสู้เขาไม่ได้หรอก ก็มีแต่น้ำตานี่แหละ

“.....” ได้แต่ก้มหน้าซบพวงมาลัย “ทำอะไรก็ผิดไปหมด ไม่เคยมีใครเห็นความดีเลย”

“ธ..โธ่คุณหนูของน้าเวช คุณหมออย่าแกล้งคุณหนูแบบนี้สิครับ เมื่อกี้แกก็เพิ่งร้องไห้ไปหยกๆ เพราะได้ฟังเรื่องของที่บ้าน นี่คงคิดมากที่คุณหมอว่าแกแน่เลย” น้าเวชดุคุณหมอคนดีของแก

“อ้าว ร้องไห้มาเหรอครับ ผมไม่รู้” เสียงเขาอ่อยลง “นี่คุณ.. ผมขอโทษนะ ผมแค่แซวเล่นเฉยๆ ปกติก็เห็นคุณเถียงฉอดๆ เวลาคุณเถียงมันตลกดีก็เลยชอบแหย่ ไม่คิดว่าจะน้อยใจจนร้องไห้นี่นา ดีกันเถอะนะ ผมขอโทษ นะนะ” เขาก้มหน้ามาส่องดูแต่ผมก็เบี่ยงหน้าหนี

“ลงไปเลย” ผมสั่งโดยไม่เงยหน้าขึ้น  “ลงจากรถไปได้แล้ว”

“คุณ..” เขาพยายามจะวิงวอน

“คุณหนูครับ คือ..” น้าเวชแทรกขึ้น

“ถ้าน้าเวชจะเข้าข้างเขาอีก ดอทจะไม่คุยกับน้าเวชตลอดชีวิตเลย” 

“ค..ครับๆ ช่วยตัวเองนะครับคุณหมอ น้าเวชไม่ยุ่งด้วยแล้วละ” น้าเวชเสียงจ๋อย

“คุณยกโทษให้ผมเถอะนะ จะให้ไถ่โทษด้วยอะไรก็ยอม”

“ลงไป” ผมยังยืนยันคำเดิมโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองเขา

“เฮ้อ ปากหนอปาก ไอ้วรรตเอ้ย” ได้ยินเสียงเขาบ่นแล้วก็เปิดประตูรถออกไป

เมื่อมั่นใจว่าเขาปิดประตูแล้วจึงรีบเงยหน้าขึ้นมาล็อครถอย่างรวดเร็วแล้วเปิดแง้มกระจกฝั่งซ้ายลงเล็กน้อย

“ปากดีนักต้องโดนแบบนี้แหละ ทางไปวัดอีกแค่นิดเดียว เดินไปนะครับคุณหมอปากปีจอ” แล้วผมก็แลบลิ้นใส่เขาอย่างสะใจ

“นี่คุณ!!” หมอประสาทชี้หน้าแต่ผมไม่สนหรอกเพราะขับรถออกรถมาทันที

“ฮ่าๆๆ สมน้ำหน้า” ผมหัวเราะสะใจเมื่อมองเขาในกระจกหลังแล้วเห็นเขาเตะหญ้าเตะลมอย่างหงุดหงิด “รู้ฤทธิ์ลูกคุณหนูน้อยไปซะแล้ว แบร่”

กำลังสะใจอยู่เพลินๆ แต่แล้วก็รู้สึกถึงออร่าบางอย่างทางด้านหลัง

“คุณหนูนะคุณหนู ทำไมเกเรใส่คุณหมอแบบนี้ครับไม่น่ารักเลยนะ” น้าเวชทำหน้าดุ

หน้าผมซีดลงทันที “ก็แหม น้าเวชก็ได้ยิน เขาชอบแกล้งดอทแรงๆ แบบนี้ตลอดเลย” ผมแก้ตัว

“คุณหมอแกหวังดีนะครับ แกคงคิดว่ามีแต่คนเอาอกเอาใจคุณหนูทำให้คุณหนูไม่เข้มแข็งแกก็เลยอยากให้คุณหนูแข็งแกร่งขึ้น แล้วแกก็ทำสำเร็จ คุณหนูไม่ได้โกรธที่แกว่ากระทบกระเทียบแต่เถียงกลับหรือแก้เผ็ดคืนไป  น้าเวชว่าแกเก่งนะครับที่ทำให้คุณหนูมีชีวิตชีวาได้ขนาดนี้”

ผมคิดตามแล้วยิ้มในสีหน้า นั่นสินะ เมื่อก่อนถ้าใครมาว่าอะไรก็จะโมโหเป็นเรื่องใหญ่หรือเก็บไปคิดมากจนเครียดไปหลายวัน  แต่เดี๋ยวนี้คิดอะไรแค่แป๊บเดียวก็ลืมได้แล้ว นายนี่ก็เก่งเหมือนกันนะคุณหมอประสาท

“เข้าใจแล้วครับ” ผมตอบน้าเวช “แต่ครั้งนี้ทำโทษไปแล้วก็เอาให้สุด เดี๋ยวเขาก็ตามไปที่วัดเองละครับใกล้แค่นี้เอง” ผมบอกแล้วขับรถต่ออย่างอารมณ์ดี เรื่องอะไรจะรับขึ้นรถมาอีก อยากให้น้าเวชมาสอดแนมผมดีนัก สมน้ำหน้า

“โธ่ถัง” น้าเวชบ่นแค่นั้นก็หันหลังมองคุณหมอของแกสายตาละห้อย เห็นแล้วอดขำไม่ได้

เดินเร็วๆ นะ จะได้ทำบุญด้วยกัน


“แฮ่กๆๆ เหนื่อยๆ” ร่างสูงเดินลากขาเข้ามาหาที่ศาลาริมน้ำในวัดเล็กๆ ที่ผมเคยมากับคุณแม่

“อ่ะ กินซะ” ผมยื่นขวดน้ำไปให้และเขาก็ยื่นมือมาจับแต่มือเขาใหญ่เลยรวบไว้ทั้งมือทั้งขวด

เหมือนโดนไฟช็อตแปร๊บๆ มันไม่ได้วูบวาบร่างกายสะท้านเหมือนที่เคยเกิดอาการเวลาถูกสัมผัสแต่มันเป็นอีกแบบที่แปลกออกไป เหมือนใจกระตุกกึกแล้วก็หยุดไปเมื่อเขาดึงขวดออกไปดื่ม

“แสบ..” เขาคำรามออกมาในลำคอพร้อมกับยังหอบหายใจอยู่

“โดนอะไรมาเป็นแผลเหรอ” รู้สึกใจเสียรีบก้มมองไปทั่วตัวเขา ตอนเดินมาหกล้มหรือเหยียบเศษแก้วอะไรหรือเปล่า

“ผมหมายถึงคุณนั่นแหละ แสบนัก” เขาแยกเขี้ยวใส่

ได้ยินแล้วโล่งอกแต่ก็อดขำออกมาไม่ได้

“ก็ปากคุณน่ะ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกันแล้ว มารยาทแย่ที่สุด” นึกถึงประโยคแรกที่เขาพูดกับผมแล้วโมโหไม่หาย นิสัยแย่ๆๆๆ

“ก็เห็นคุณยักแย่ยักยันอยู่บนลู่วิ่งตั้งนานแล้ว ขนาดแผลฉีกจนเลือดซึมแล้วยังไม่ยอมลงมาอีก ผมกลัวคุณจะแย่ไปซะก่อนก็เลยอยากให้เลิกเล่น” เขาบอกเหตุผล

“เหตุผลก็ดีอยู่หรอก แต่วิธีการห่วยสุด” ผมทำหน้ายี้ “คราวหลังบอกดีดีก็ได้ไม่ต้องกวนโมโหหรอก”

“คนอย่างคุณเนี่ยนะถ้าไปบอกแล้วจะเชื่อ  คุณลองนึกภาพตามนะถ้าผมเข้าไปบอกคุณว่า.. คุณครับผมว่าคุณเลิกวิ่งเถอะแผลคุณเริ่มฉีกแล้วนะ..  อ๋อ ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวก่อนก็ได้”  เขาบีบเสียงล้อเลียน “หรือไม่ก็อาจจะมองตาดุๆ แบบด่าในใจแล้วเชิดหน้าใส่ว่ามึงมายุ่งอะไรด้วย”

“คุณก็เวอร์” ผมหลุดขำ  “ผมดูร้ายขนาดนั้นหรือไง”

“ขนาดนั้นแหละ” เขาตอบกลับ “ดูตานี่ หางตาชี้ขึ้นแบบนี้  ขี้แมลงวันสองเม็ดที่หางตานี่อีก จมูกรั้นซะขนาดนี้” เขาใช้นิ้วจิ้มไปตามตำแหน่งที่เขาพูดบนหน้าผม  “แล้วก็ปากบางเฉียบนี่ก็ดื้อสุดๆ เลยล่ะ” เขาจิ้มนิ้วลงมาบนริมฝีปาก ผมนิ่งค้างไปทันทีเพราะหัวใจมันกระตุกกึกกึกอีกครั้ง เหมือนโลกหยุดหมุน ผมกับเขาไม่มีใครขยับ

จนกระทั่งน้าเวชเรียก

“คุณหมอมาแล้วเหรอครับ งั้นขึ้นไปถวายภัตราหารกันครับเดี๋ยวจะเลยเพล” 


แล้วผมกับเขาก็ขึ้นไปถวายภัตราหารและฟังสวดจนจบ  เราสองคนลงมากรวดน้ำใต้โคนต้นไม้ใหญ่และน้าเวชรับอาสาเอาขวดน้ำขึ้นไปเก็บให้

“ไปไหนต่อ” เขาถามขณะที่เดินไปที่รถ

“เลยไปทำงานที่ออฟฟิตเพราะเดี๋ยวเย็นๆ จะไปบ้านป๋ากับน้องชาย” ผมบอก

“ถ้าไงก็แวะทำแผลก่อนกลับบ้านด้วยนะ”

“ไม่รู้จะเสร็จกี่โมงกลัวจะดึก ถ้าเกินสี่ทุ่มจะออกมาเปิดหรือเปล่าล่ะ” ผมแกล้งถาม ไม่ได้หวังผลอะไรแค่ถามเล่นๆ

“กี่โมงก็เปิดได้” เขาพูดเหมือนกับมันเป็นเรื่องปกติแต่ทำไมผมรู้สึกหน้าร้อนๆ

“ตีสองเลยไหมล่ะ” แกล้งพูดไปกลบเกลื่อนความผิดปกติของตัวเอง

“มาตีสองก็ค้างเลยนะ”

!!!?

ยิ่งพูดยิ่งไปกันใหญ่..

“น..น้าเวชครับ เย็นนี้อยู่รอที่คลินิกหมอวรรตเลยนะครับ ถ้าจะกลับแล้วดอทจะโทรบอก” ผมทำลายบรรยากาศแปลกๆ ระหว่างเราด้วยการหันไปเรียกน้าเวชและแกก็วิ่งมาหาจากระยะทางหลายเมตร

 “ไม่ให้น้าเวชไปส่งเหรอครับ” น้าเวชถามอย่างเป็นห่วง

“ไม่ต้องห่วงครับ ดินแดนจะมารับแล้วไปด้วยกัน อยู่กับคนบ้าแบบนั้นไม่มีใครกล้ามายุ่งหรอก” ผมแกล้งแซะน้องชายทั้งๆ ที่เขาไม่ได้อยู่ด้วย

“คุณหนูก็ไปว่าแก คุณดินแกจิตใจดีนะครับ เห็นห่ามๆ แบบนั้นแต่แกแอบมาฝากดูแลคุณหนูบ่อยๆ แกกลัวคุณหนูโดนคนอื่นหลอก” น้าเวชบอก

ผมเบ้ปากเมื่อนึกถึงเจ้าน้องชายตัวดี นี่คงตั้งป้อมกีดกันเฮียเผ่าล่ะสิ

“ใครเป็นพี่ใครเป็นน้องกันแน่เนี่ย”


จากนั้นพวกเราขึ้นรถแล้วน้าเวชก็ขับไปส่งหมอวรรตที่คลินิก

“ขอบคุณครับน้าเวช” ร่างสูงไหว้น้าเวชจนแกรับไหว้แทบไม่ทัน

“โอ้ยคุณหมอ อย่าไหว้น้าแบบนี้สิครับ เดี๋ยวเหาจะกินหัว” น้าเวชแกเจียมเนื้อเจียมตัว เวลาผมไหว้แกก็จะทำตัวไม่ถูกแบบนี้ตลอด

“ขนาดลูกคุณหนูสูงศักด์เขายังนับถือน้าเวชแบบญาติผู้ใหญ่ แล้วผมคนธรรมดาจะไม่ไหว้ได้ยังไงครับ” ก็ยังไม่วายแซะผมจนได้

“พูดไม่เข้าหูอีกแล้วนะ เดี๋ยวก็ไม่มาซะเลย”

เขาขมวดคิ้วแล้วเดินมาหาก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาในรถ ทำหน้าเอาเรื่อง

“ขู่อะไรก็ขู่ไปแต่อย่าขู่ว่าจะไม่มา ไม่ชอบ” พูดจบก็ดึงตัวออกไป ทิ้งให้ผมหน้าร้อนผ่าวและหัวใจกระตุกกึกๆ

ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ขนาดยิ้มยังไม่รู้จะยิ้มยังไง ได้แต่กระพริบตาปริบๆ จนเขาลับตา

เป็นโรคใหม่หรือไงเนี่ย โรคเก่ากำลังจะหายก็มีอาการใหม่ขึ้นมาอีกแล้ว


.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

หมอประสาทจะพิชิตใจคนสวยได้ไหมน้าาาา
แต่ที่เห็นก็มีหวั่นไหวหนักเอาการอยู่
เป็นแบบนี้แล้วเรือคู่อื่น สู้ไม่สู้  :hao3:

ช่วงตอบคำถามทางบ้าน..

kunt :  เดี๋ยวช่วงท้ายเรื่องจะค่อยๆ กระจ่างขึ้นว่าทำไมหนุ่มพวกนี้ถึงโผล่เข้ามาค่ะ อิๆ

melody.19 :  ชิปเรือลำเดียวกัน จับมือค่าาาา ปล. เรือบาปของเราจะล่มไหมนะ ฮือออ

ดาวโจร500 :  ตรวจพบคูมมี้ตาหนูดอท 1 อัตรา งานปกป้อมคูมลูกก็มา น่ารักกก

Janemera  :   มีเรื่องอีกเยอะ ทั้งสุขทั้งทุกข์เคล้าไปฮับ เส้นทางยังอีกไกล ซู่วๆ

TachibanaRain  :  เรือ #วรรตดอท วันนี้เปรียบได้กับไททานิก อู้ฟู่หรูหราหมาเห่าจริงๆ หวังว่าลูกเรือจะชอบใจนะ

darinsaya  :  มาลงเรือบาปด้วยกัลลลลล

dekying kukkig  :  พี่ดอทยังฮอทได้กว่านี้อีกค้าบบบ รรรรรรรรรรรอดูวววว

รอบนี้คอมเม้นต์หนาตามาก รู้สึกสดชื่นพาวเวอร์อัพปรี๊ดๆ เลยค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ เลิฟๆ
:mew1:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 10 : หมอประสาท 《3/08/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 04-08-2018 01:02:05
อย่าให้เฮียเผ่ารู้เรื่องละกันนนนน เหยียบให้มิดเลยนะ :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 11 : ภาวะหวั่นไหว 《18/08/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 18-08-2018 14:14:42
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ต อ น ที่  1 1  :  ภ า ว ะ ห วั่ น ไ ห ว




วันนี้ทั้งวันจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พยายามคิดเรื่องอาการแปลกๆ ของตนเอง จะว่าโรคเดิมก็ไม่น่าใช่ หรือจะตกหลุมรักหมอประสาทก็ไม่แน่ใจอีกเพราะไม่เคยมีโมเมนท์โดนจีบและอินเลิฟแบบปกติเลยสักครั้ง รอบพี่เวย์ก็ไม่ได้ชอบเขากลับ จะมีก็เกือบๆ ตอนที่เขาไปส่งบ้านซึ่งนั่นก็เป็นแค่ครั้งเดียวแบบเริ่มต้นยังไม่มั่นใจว่าใช่หรือไม่ใช่ด้วยซ้ำ กับเฮียก็ยิ่งร้าย ตกกระไดพลอยโจนมาถึงทุกวันนี้แบบเบลอๆ

“เฮ้ออออออ ลบๆๆๆ ทำงานๆๆๆๆ”  พยายามปัดความคิดบ้าบอของตัวเองออกไปแล้วลงมือจัดการงานต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็นการมอบหมายกระจายงานเพราะช่วงนี้อยากพักสมองเพื่อเริ่มใหม่อย่างเต็มที่ตอนห้องเสื้อใหม่เสร็จพร้อมเข้าอยู่


วันนี้ทานอาหารกลางวันได้มากเป็นพิเศษ ช่วงนี้ได้นอนเต็มอิ่มจึงส่งผลให้ร่างกายดีขึ้น ภาวะทางอารมณ์ก็ดีตามไปด้วย 

“ทานยาเยอะจังค่ะคุณดอท ป่วยเหรอ” พี่บอลลูนทักเมื่อเห็นผมแกะยาที่หมอประสาทจ่ายไว้ให้

“แค่ยาแก้อักเสบ กับ ยา..” พลิกดูซองแล้วว่างเปล่า มันมียาอีกสองตัวที่ไม่ได้เขียนรายละเอียดกำกับไว้ เพิ่งจะรู้ตัวว่ากินยาไม่ได้อ่านฉลากมาตั้งนาน หมอประสาทบอกให้กินก็กินตามนั้นเลยไม่ได้สนใจอยากรู้ว่ายาอะไร

“เปลี่ยนหมอเหรอคะ ถุงยาไม่คุ้นเลย”

“ก..ก็ประมาณนั้น” รีบกินรีบเก็บอย่างรวดเร็วไม่อยากให้เป็นประเด็นอะไรกับใครทั้งนั้น “เดี๋ยววันนี้จะออกเร็วหน่อย ฝากทางนี้ด้วยนะครับ”

“ได้ค่ะไม่มีปัญหา” พี่บอลลูนยิ้มรับแล้วเดินโยกย้ายไปประจำที่

ว่าแต่.. ยาอะไรกันแน่ที่หมอประสาทจ่ายให้ มาคิดดูแล้ว วันแรกที่เจอกันเขาก็ฉีดยาให้ด้วยแต่วันนั้นร่างกายและอารมณ์มันพีคจนไม่คิดอยากต่อต้าน

ช่างเถอะ ใกล้เวลานัดที่ดินแดนจะมารับแล้ว โทรบอกเฮียไว้ก่อนดีกว่าจะได้ไม่โทรมาตอนที่อยู่กับนายดิน

“ครับดอท” เฮียเผ่ารับสายแทบจะในทันที เฮียจะน่ารักเรื่องนี้เสมอ ไม่ว่าจะโทรกี่โมงก็จะรับเร็วแบบนี้ตลอด

“วันนี้ดอทจะไปบ้านป๋าอาจจะกลับดึก ไม่ต้องห่วงนะครับ” ผมบอกเสียงสดใส

“เดี๋ยวนี้คิวแน่นตลอดคงลืมเฮียไปแล้วมั้ง” เขาบ่น

“ลืมอะไร เฮียก็ไม่ว่างเหอะ สองสามวันนี้เงียบๆ ไปนะ ไม่ได้มีกิ๊กใช่ไหม” ผมดักคอเพราะช่วงนี้เฮียดูมีลับลมคมนัยอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกระแวงอยู่ลึกๆ แต่ก็พยายามคิดว่าเป็นเพราะเมื่อก่อนไม่ได้โฟกัสเฮียมากเท่าตอนนี้จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเห็นความผิดปกติ  หวังว่าจะใช่อย่างที่คิดนะ

“ไม่มีหรอก จะมีได้ไงก็เฮียสัญญาแล้ว” เฮียยืนยัน “ช่วงนี้มีเรื่องให้เครียดนิดหน่อย แต่คิดถึงดอทตลอดเลยนะ”

“ดอทก็คิดถึงเฮียครับ เดี๋ยววันเสาร์ก็เจอกันแล้ว” ผมบอกอย่างอารมณ์ดี

“เออ.. เฮียจะบอกว่าเสาร์อาทิตย์นี้เฮียต้องออกต่างจังหวัด ยังอยู่ด้วยกันไม่ได้นะ” เฮียทำเสียงเครียด

“อ้าวเหรอครับ” ผมตอบเสียงอ่อย รู้สึกเฟลเบาๆ ไหนบอกว่าคิดถึง

“ขอโทษนะ เฮียจำเป็นต้องไปจริงๆ อย่าน้อยใจนะครับ” เสียงเฮียค่อนข้างเป็นกังวลจนน่าสงสาร ก็ช่างเถอะ งานก็ต้องมาก่อนอยู่แล้ว

“ไม่น้อยใจหรอกครับ เฮียไปทำงานเถอะ  แต่อย่ามาบ่นว่าดอทไม่มีเวลาให้เฮียนะเพราะดอทมีแล้วแต่เฮียไม่มีเอง”

“โอเคครับเดี๋ยวเสาร์หน้านัดกันใหม่ เฮียจะคิดบัญชีทั้งต้นทั้งดอกทบไปหลายๆ รอบเลย”

“แก่แล้วเบาๆ หน่อยก็ได้ครับ” ผมบอกเขินๆ คิดถึงบทรักของเฮียแล้ววูบวาบขึ้นมาเบาๆ อยู่เหมือนกัน

“ถ้าอยู่ใกล้ๆ จะจับฟัดให้หายปากดี”

“กลัวจัง” ผมแกล้งทำเสียงสั่น

“เดี๋ยวนี้ดอทอารมณ์ดีกับเฮียมากขึ้นนะรู้ตัวไหม น่ารักจังเลยครับ”

“ก็ดอทดีใจที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน” ผมบอกไปตามที่คิด ส่วนหนึ่งผมก็คิดว่าอาจจะมีความสุขกับเฮียได้ แค่เฮียทำตามสัญญาผมก็คงโอเคกับเฮียแล้ว

“เฮียจะทำทุกอย่างให้เราได้อยู่ด้วยกันนะ เฮียสัญญา”

“เฮียสู้ๆ” ส่งเสียงเชียร์ไปให้อย่างอารมณ์ดีเมื่อได้ยินคำสัญญาหนักแน่นของเขา

“ฮ่าๆๆ วันนี้เมียน่ารัก” เขาชม “เออ พรุ่งนี้ช่วงบ่ายเฮียจะไปรับนะ นัดคุยกับผู้รับเหมา คราวนี้เฮียจะกำชับให้คนเขียนแบบอีกคนมาให้ได้ไม่งั้นงานไม่เดินซะที”

“ได้ครับผม”

“รักนะครับ” เฮียบอกรักเสียงนุ่ม

“รักเหมือนกันครับ บายๆ” 

คุยกับเฮียมากขึ้นเยอะเลย เดี๋ยวนี้สุขภาพจิตผมดีขึ้นจนผิดหูผิดตาจริงๆ นะเนี่ย สบายใจจัง



ผ่านไปอีกสักพัก เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น

“ว่าไง” ผมรับสาย

“พร้อมยังคร้าบ เดี๋ยวจะเข้าไปรับ” ดินแดนบอกเสียงใส

“เสร็จแล้วคร้าบ มาได้เลย” ผมตอบกลับอย่างอารมณ์ดี

“โอเค”

เมื่อวางสายแล้วจึงเก็บมือถือและของอื่นๆ เข้ากระเป๋า เช็คดูว่าครบถ้วนแล้วกำลังจะเดินออกไปรอหน้าตึก

“มาแล่ววว!!”  ตัวป่วนโผล่เข้าประตูมา

“เธอจะบ้าหรือไง อยู่นี่แล้วจะโทรทำไมให้เปลืองตังค์” 

“มันเป็นสตาวล์” เขาออกเสียงซะน่าหมั่นไส้

ผมส่ายหัวกับความเยอะของเขาแต่ก็ขี้เกียจจะต่อปากต่อคำ “ไปกันได้แล้วเดี๋ยวป๋ารอ”

“มาดูแผลก่อน” ว่าแล้วก็ดันตัวให้นั่งลงบนเก้าอี้ใกล้ตัว เข้ามาคุกเข่าเปิดกางเกงขึ้นและดูแผลเหมือนอย่างเคย “ดีขึ้นเยอะเดี๋ยวก็หายแล้วเนาะ” เขาเงยหน้าขึ้นมายิ้มเอาใจ

“ฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้วนะ ไม่ต้องมาแกล้งปลอบแกล้งโอ๋ให้มากนักหรอก” ถึงจะบอกว่าไม่ต้องทำ แต่ผมอบอุ่นใจทุกครั้งที่น้องชายคนนี้คอยใส่ใจและดูแลอย่างดี

“แต่ก็เสียดายเหมือนกันนะ” เขาบ่นแล้วยืนขึ้นส่งมือมาให้เพื่อฉุดให้ลุก

“เสียดายอะไร” ผมถามพลางจัดระเบียบเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะเงยหน้ามองดินแดนที่จ้องด้วยสีหน้าติดจะงอแง

“เดี๋ยวนี้จับๆ แตะๆ แล้วหน้าไม่ค่อยแดงอดดูของดีเลย” ว่าแล้วก็ดึงมือขึ้นไปแล้วถูคางสากลงมาบนหลังมือเบาๆ เหมือนหมาอ้อนเจ้าของ

เพี๊ยะ!!

ตีมือเขาแล้วดึงมือกลับ พยายามควบคุมอารมณ์ที่มันเริ่มแปรปรวนขึ้นมาอีกครั้ง

“เด็กบ้านี่  ฉันดีขึ้นก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอจะอยากให้เป็นทำไม มันไม่สนุกเลยนะ” ผมค้อนให้เพราะไม่อยากสับสนกับสัมผัสของเขาอีก

“ก็ไม่ได้อยากให้เป็น แต่แค่เสียดาย ก็มันน่ามอง” เขายิ้มล้อ

“เธอนี่มันกวนประสาทจริงๆ ไม่อยากคุยด้วยแล้ว” แล้วผมก็เดินหนีออกมาก่อนที่จะสับสนไปมากกว่านี้  สายตาของดินแดนตอนที่มีประกายวิบวับมันน่ามองน้อยที่ไหนล่ะ


“เออดิน ช่วยแวะที่โรงพยาบาลให้ก่อนนะ อยากไปเช็คข้อมูลอะไรนิดหน่อยไม่น่าจะนานหรอก”

“Yes! MADAM!” ดินแดนรับคำเสียงดัง

“เธอนี่มัน” ค้อนใส่อีกทีแล้วหันหน้าหนี ชอบกวนอยู่เรื่อยเลย


ไม่นานนักก็มาถึงโรงพยาบาล ผมเดินนำเข้าไปในตึกและตรงดิ่งไปยังห้องจ่ายยา

“ไปไหนอะ”

“เอายามาเช็ค ได้ยามาจากคลินิกแต่เขาไม่ได้เขียนว่ายาอะไร” ผมหยิบถุงยาในกระเป๋าออกมาเตรียมไว้แล้วชูให้เขาดู

“ห้ะ!” ดินแดนทำหน้าตกใจแล้วเปลี่ยนเป็นกุมท้องตัวเอง “โอ๊ะ! โอ๊ยย ปวดท้อง โอยย เดินไม่ไหว”

“อ้าว! ไหนปวดยังไง ไปนั่งตรงนี้ก่อนนะ” ผมประคองเขาให้นั่งลงแล้วหันมองรอบด้านเพื่อจะขอความช่วยเหลือ

“โอยย สงสัยกระเพาะนะ ตั้งแต่เมื่อคืนก็ไม่ได้กินข้าวมัวแต่เคลียร์งานจะได้รีบมารับพี่ไง”

“โธ่ดิน นี่มันบ่ายสองแล้วนะ ทำไมไม่หาอะไรรองท้อง” ผมลูบหลังอย่างเป็นห่วง “งั้นเราไปทานข้าวที่ฟู้ดคอร์ทของโรงพยาบาลก่อนแล้วถ้าไม่ดีขึ้นค่อยรอคิวตรวจ”

“อืม งั้นพี่พาผมไปหน่อยนะ โอยยย” ดูสิ เดินแทบไม่ไหวอยู่แล้ว น่าสงสารจริง

“ถ้าเดินไม่ไหวเดี๋ยวฉันไปขอรถเข็นให้ดีรึเปล่า”

“ไม่ๆ พอได้อยู่ ขอกอดพี่ไว้ก็พอ” ว่าแล้วก็วาดแขนมาโอบไหล่เพื่อถ่ายน้ำหนักมา ความจริงก็ไม่ได้หนักหรอกแต่ดินแดนเดินเซก็เลยเสียหลักไปบ่อยๆ จนร่างกายแนบชิดกันแทบจะรวมร่าง

ใจสั่นอยู่เหมือนกันแต่ความเป็นห่วงมีมากกว่าจึงรีบพาไปให้เร็วที่สุด


“เป็นไง ดีขึ้นไหม”

หลังจากสั่งข้าวต้มหมูมาให้และดินแดนกินจหมดถ้วยไปแล้ว และดูสีหน้าเขาก็ดีขึ้น

“ดีขึ้นนิดนึง” สีหน้าที่ดีขึ้นเปลี่ยนเป็นซึมลงเมื่อถูกไถ่ถาม

“อ่ะ นี่ยาลดกรด” ผมยื่นยาประจำตัวไปให้ ไม่ใช่ยาจริงจังอะไรแค่ลดกรดเคลือบแผลที่ขายทั่วไปแต่พกติดตัวไว้ตลอดเพราะปวดท้องบ่อยๆ

“ยานี่อร่อยดีนะ” เขาหยิบไปฉีกซองแล้วดูดกินจนหมด “ได้ผลดีด้วย ดูดิหายปวดละเนี่ย”

“บ้าสิ ไม่ใช่ยาวิเศษจะหายเร็วไรขนาดนั้น” รู้สึกแปลกๆ เหมือนเขาไม่ได้ปวดจริง หรือว่าจะคิดมากไป

“มันเย็นวาบๆ รู้สึกดี” เขาดื่มน้ำแล้วหยิบชามจะยกไปเก็บ

“เดี๋ยวฉันทำให้” รีบยกชามกับแก้วไปเก็บที่มุมเรียบร้อยก็เดินกลับมาหาร่างสูงที่ยืนรออยู่ “ไว้วันหลังค่อยไปบ้านป๋าดีไหม”

“ไม่อะ” เขายกมือขึ้นรอให้ผมเดินเข้าไปช่วยประคองในท่าเดิมที่เดินมา ไหนบอกหายแล้วยังจะมาอ้อนอะไรอีก “นานๆ จะได้เดทกับพี่”

“เยอะอีกละนะ” ถึงจะโดนหยิกแต่ตัวป่วนก็ไม่ได้สำนึก เขาหัวเราะเบาๆ แล้วพาเดินไปยังแผนกตรวจเลือดของโรงพยาบาล


“มานี่ทำไม” ผมถาม

“มาเอาผลตรวจเลือด ว่าจะมาเอากับสกายแต่ไหนๆ ก็มาแล้ว”  ว่าแล้วก็เข้าไปติดต่อที่เคาน์เตอร์ก่อนจะหันมาหา “ขอบัตรประชาชนหน่อยดิ”

“เอาไปทำไม” ถึงจะถามแต่ผมก็เปิดกระเป๋าแล้วหยิบให้เพราะเขาแบมือรอ

“ตรวจเลือดไง”

“ตรวจเลือด? ตรวจทำไม ฉันเพิ่งตรวจร่างกายไปเมื่อต้นปี”

“ไหนๆ ก็มาแล้ว” พูดจบก็หันไปติดต่อ เจ้ากี้เจ้าการนำผมไปตรงนั้นตรงนี้แล้วในที่สุดก็ได้เจาะเลือดจนเสร็จ

ทำไมขัดขืนอะไรไม่ได้เลย ดินแดนไม่ได้บังคับแต่เขากุลีกุจอทำซะจนเกรงใจไม่อยากขัด

“ที่จริงรอฟังผลวันนี้เลยก็ได้ แต่เสียเวลาเราไปหาป๋าดีกว่าเนาะ” ว่าแล้วก็โอบไหล่พาผมกลับไปขึ้นรถก่อนจะยื่นซองเอกสารมาให้ “ดูให้หน่อยผลเป็นยังไง”

ผมเปิดดูผลตรวจทั้งสองแผ่นแล้วหันไปบอกผล

“Anti-HIV เป็น negative อื่นๆ ก็เคลียร์ ไม่มีอะไรผิดปกติทั้งคู่”

“อืม” ดินแดนหันมายักคิ้วนิดๆ

“อยู่ๆ มาตรวจทำไมอะ”

“ตรวจประจำปี แค่นั้น” เขาตอบด้วยท่าทางปกติ

“อ้าว แล้วทีฉันตรวจแล้วทำไมให้ตรวจอีกล่ะ”

“ก็.. ก็จะได้ชัวร์ไง พี่เกดบอกว่าผลเลือดถ้าจะให้ชัวร์ต้องตรวจซ้ำหลัง 12 สัปดาห์อีกรอบ”

“ฉันไม่ได้มั่วซะหน่อยทำไมต้องตรวจซ้ำ เฮียก็ไม่ใช่..” อืม จะบอกว่าเฮียไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงก็พูดได้ไม่เต็มปาก ดีเหมือนกันถ้าผลเลือดปลอดภัยจริงๆ ก็จะได้สบายใจว่าเฮียป้องกันดีแล้ว

“เข้าใจแล้วนะ” มือหนาโปะลงมาบนศีรษะแล้วโยกเบาๆ รู้สึกอบอุ่นในหัวใจขึ้นมาทั้งๆ ที่ควรจะเคืองที่เขาลามปาม

บางทีผมก็คิดว่าช่วงนี้อ่อนไหวเกินไปหรือเปล่า



ทางไปบ้านป๋าค่อนข้างไกลกว่าจะถึงก็เกือบสี่โมงแต่บ้านดูดีมาก หลังไม่ใหญ่เท่าบ้านเราแต่ก็มีเนื้อที่กว้างขวางน่าอยู่มีต้นไม้เยอะร่มรื่นมากๆ  ดินแดนเล่าว่าผู้หญิงคนใหม่ขอบ้านทันทีเพราะตั้งท้องอยู่จึงไม่สะดวกที่จะอยู่โรงแรมของป๋า

“มาแล้วเหรอสองพี่น้อง” ป๋าเดินออกมารอรับเมื่อเราจอดรถเรียบร้อย

“สวัสดีครับป๋า” เราสองคนยกมือไหว้พร้อมกันพูดพร้อมกันแบบเป๊ะๆ เหมือนนัดกันมา

“พอญาติดีกันแล้วก็เหมือนคู่หูกันเลยนะ” ป๋าอ้าแขนรอให้เราสองคนเข้าไปหาและกอดหมับทันที “อืม มีเรื่องแกสองคนนี่แหละที่ทำให้ป๋ามีกำลังใจ”

“พูดเหมือนเรื่องอื่นไม่โอเคอย่างนั้นแหละครับ” ผมถามเมื่อป๋าปล่อยเราสองคนออกจากอ้อมกอด

“เฮ้อ.. ไม่มีไรหรอก ปะเข้าบ้านกัน วันนี้ป๋าโชว์ฝีมือทำกับข้าวนะ ใครบ่นโดนแน่”

“อ้าว ซะงั้นน่ะ” ดินแดนประท้วง “แล้วแฟนใหม่ป๋าไม่อยู่เหรอ”

“ก็อยู่นะ..” ดูป๋าอ้ำอึ้งเมื่อพูดถึงผู้หญิงคนใหม่ “เดี๋ยวก็คงลงมา” ว่าแล้วก็เดินนำไปที่ห้องรับแขก “เดี๋ยวป๋าไปเอาน้ำกับขนมมาให้ รอตรงนี้นะ”

“เดี๋ยวดอทไปช่วยครับ”

“ไม่ต้องๆ นั่งรอเลยอย่าดื้อ”

“นั่นสิ อย่าดื้อมานั่งนี่” ดินแดนดึงแขนให้ไปนั่งใกล้ๆ จากนั้นป๋าก็เดินหายไป

“พี่ว่าแปลกๆ ไหม” ดินแดนเอนตัวเข้ามากระซิบกระซาบ

“อะไรแปลก”

“เมียใหม่ป๋าไง หน้าป๋าไม่โอเคตอนพูดถึง”

“อืม ก็ว่างั้นเหมือนกัน”

“ที่ผมชวนพี่มาเพราะอยากเจอนี่แหละ เคยเห็นแว้บๆ ระยะไกลแต่รู้สึกตงิดๆ เลยอยากมาดูว่าเป็นคนยังไงกันแน่”

“ตงิดยังไงเหรอ” ผมถามอย่างสนใจ

“ก็ตอนป๋าเล่าว่าไม่ได้โอนบ้านให้เป็นชื่อทางนี้เพราะกลัวแม่ใหญ่จะโมโห เมียใหม่ป๋าหายไปสามวันสามคืนติดต่อไม่ได้ กว่าจะง้อสำเร็จก็วันที่สี่ที่นางโทรกลับมาเองแล้วยอมอ่อนข้อมาอยู่ที่นี่ไปก่อนแล้วถ้าป๋าไม่ยกบ้านให้นางกับลูกตอนคลอด  นางก็จะพาลูกกลับไปอยู่บ้านตัวเอง”

“แล้วทำไมไม่เล่าในรถ มาพูดในบ้านเขาเดี๋ยวเขาก็ได้ยินหรอก” ผมกระซิบ

“ก็ยังไม่แน่ใจไง แต่เห็นอาการป๋าเมื่อกี้แล้วคันปาก” สายเมาส์มอยสินะนายดิน

“มาแล้ว” ป๋าส่งเสียงพร้อมกับยกถาดน้ำหวานและขนมมาให้

“ยกเองทำไมคะป๋า ทำไมไม่เรียกคนใช้” เสียงหวานๆ ของหญิงสาววัยน่าจะไล่เลี่ยกับผม เดินเยื้องย่างมาในชุดแซกแขนกุดยาวกรอมเท้าผ้าพลิ้วสีพาสเทล ชุดนี้น่าจะแพงเอาเรื่องอยู่นะ ไม่ใช่น่าใช่แบรนด์ไทยด้วย

แต่ที่ขัดหูคือ เธอเรียกป๋าว่าป๋าเหมือนที่ผมกับดินแดนเรียก ซึ่งมันค่อนข้างกวนใจอยู่เหมือนกัน

“งานแค่นี้เองจะไปเรียกใครทำไม” ป๋าตอบแล้วนำถาดมาวางก่อนจะแนะนำให้รู้จัก “นี่ศมล ภรรยาของป๋า”

“สวัสดีครับ” นายดินยกมือไหว้ ผมจึงต้องไหว้ด้วย

“อายุเท่าดอทนะ ไม่ต้องไหว้หรอก” ป๋าบอก

“ไม่เป็นไรนี่คะ ยังไงตามศักดิ์ มลก็เป็นแม่อยู่แล้ว ไหว้ได้เลยนะมลไม่ถือหรอก”

เขามีแต่ไม่ต้องไหว้ ไม่ถือ  อันนี้ให้ไหว้ ไม่ถือ ฟังดูพิลึกซึ่งผมเองก็ไม่ใช่คนเก็บอารมณ์เก่งอยู่แล้วด้วย ก็เผลอชักสีหน้าใส่ให้เห็นเลยทีเดียว

“เอ้อ ไหนมาดูซิ ขนมนี่อร่อยไหมน้า” ดินแดนทำลายบรรยากาศเคร่งเครียดด้วยการหยิบขนมใส่ปากแล้วหยิบอีกชิ้นมาป้อนให้ ผมชะงักเล็กน้อยแต่ก็อ้าปากกินขนมที่เขาป้อนเพราะใจจริงก็ไม่อยากจะให้เกิดเรื่องเกิดราวอะไรอยู่แล้ว 

“ลองชิมน้ำหวานดู ป๋าหัดชงเองเลยนะ” ป๋าปรับอารมณ์แล้วดันแก้วมาให้เราสองคนก่อนจะยกอีกแก้วยื่นให้ผู้หญิงคนใหม่ “แก้วนี้หวานน้อย เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์”

“มลบอกกี่ครั้งแล้วให้เติมน้ำแข็งเยอะๆ เฮ้อ” เธอทำหน้าเบื่อหน่าย

“งั้นเดี๋ยวป๋าไปเติมให้ อย่าทำหน้างอสิเดี๋ยวลูกหน้างอตามแม่นะ” 

“โอเคค่ะ คราวหลังอย่าลืมนะคะ อ้อ ชงใหม่เลยดีกว่าแก้วนี้คงจืดแล้ว” กว่าคุณเธอจะหายงอนแล้วตอบป๋า น้ำในแก้วของผมก็หมดเกลี้ยง ไม่ได้กระหายอะไรหรอกแค่ดื่มดับความคิดด้านลบ

“อืม ได้สิรอแป๊บนึงนะ” ป๋าตอบรับด้วยสีหน้าเจื่อนๆ แล้วเดินออกจากห้องไป


เริ่มไม่โอเคกับผู้หญิงคนนี้มากขึ้นทุกที แต่พยายามสงบใจเอาไว้เพื่อป๋า ประวัติศาสตร์จะต้องไม่ซ้ำรอยเดิม

“ป๋าพูดถึงลูกชายสองคนตลอดแต่เห็นใกล้ๆ แบบนี้น่าจะเป็นลูกชายหนึ่ง ลูกสาวไม่แท้หนึ่งมากกว่า แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวในท้องนี้ก็จะเป็นลูกสาวจริงๆ ให้ป๋าเอง” น้ำเสียงที่พูดออกไปในทางเย้ยหยันมากกว่าชื่นชม

นั่นปากเหรอ!?

หรือรถสูบส้วมเข้าไปชนกันในนั้น?

และแล้วความอดทนอันน้อยนิดของผมก็ถึงจุดสิ้นสุด

“ถ้าพูดเพราะเห็นว่าสวยขนาดให้คิดว่าเป็นผู้หญิงแล้วนึกชื่นชมก็ขอบคุณ แต่ถ้าพูดเพราะไม่มีมารยาทก็คิดว่าคุณคงต้องไปเรียนรู้มารยาทใหม่นะถ้าไม่อยากส่งต่อมารยาทแย่ๆ ให้ลูกที่กำลังจะคลอด”

“หมายความว่ายังไง” ผู้หญิงของป๋าชักสีหน้าใส่

“ก็หมายความอย่างที่พูด ถ้าสติปัญญาของคุณดีได้ครึ่งหนึ่งของหน้าตาก็น่าจะคิดออก”

“อย่าคิดว่าด่าแบบผู้ดีแล้วฉันจะเจ็บ เสียใจไม่สะเทือนหรอก”

ทำหน้าแบบนั้นบอกตามตรงว่าน่าตบมาก แต่ยังไงผมก็เป็นผู้ชายจึงต้องระงับอารมณ์เอาไว้ อีกอย่างนิสัยจริงๆ ไม่ใช่สายบุกอยู่แล้วก็ทำแค่เชิดคอหน้านิ่งมองเหยียดซึ่งเป็นท่าไม้ตายท่าเดียวที่ผมทำได้แต่ส่วนมากก็มักได้ผล เพราะท่านี้แหละที่ทำให้คนเกลียดมาแล้วนักต่อนักแล้ว

“ก็ไม่ได้หวังว่าคุณจะสะเทือนหรอก แค่มาเป็นเมียน้อยป๋าก็คิดว่าหน้าคงหนากว่าพื้นรองเท้าของผมด้วยซ้ำ” ถึงตรงนี้ เธอมีอาการหัวร้อนขึ้นแต่ก็ยังเก็บอาการได้

“เมียน้อยแล้วยังไง ฉันแย่งป๋ามาได้ทั้งตัวทั้งใจก็แล้วกัน”

“แย่งมาแค่นั้นจะพอเหรอ? ถามจริง?  คุณเคยออกงานสังคมกับป๋ากี่ครั้ง ได้ลงรูปคู่ในข่าวธุรกิจหรือได้สัมภาษณ์คู่ในนิตยสารบ้างหรือเปล่า ทะเบียนสมรสเคยได้สัมผัสไหมว่ากลิ่นมันเป็นยังไง กะอีแค่ป๋ามาอยู่ด้วยอย่าคิดว่าจะพอ วันไหนป๋าเบื่อแล้วไปมีคนอื่นก็เตรียมตัวหัวเน่าไว้เลยนะ”

ถึงตรงนี้ลืมดินแดนไปเลยว่าเขามีปฏิกิริยายังไงกับการโต้เถียงกันซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาจะหันไปสนใจเขาอยู่ดีเพราะยัยผู้หญิงนั่นกำลังเต้นเร่าๆ ดวงตาลุกเหมือนจะยิงแสงใส่ผมเสียให้ได้

“นั่งอยู่ในบ้านใครให้มันรู้บ้างนะ!”

“บ้านใครผมไม่รู้  รู้แต่ว่าไม่ใช่ชื่อของคุณ”

“นี่!”

“มีอะไรกันเด็กๆ”

ผู้หญิงของป๋าทำท่าจะลุกมาหา ทว่าป๋าเดินกลับเข้ามาซะก่อน แต่ขอโทษเถอะ ถึงป๋าจะไม่เข้ามา ดินแดนก็ยืนขวางไว้แล้วด้วยซ้ำ ปฏิกิริยาของเขารวดเร็วมาก เขามีสัญชาตญาณนักสู้เต็มตัวและมันดูเท่มากจนนึกทึ่งตั้งแต่ครั้งก่อนตอนไปช่วยสกาย

ป๋าเดินไปนั่งที่เดิมแล้วยื่นแก้วน้ำหวานที่มีน้ำแข็งเต็มแก้วไปให้ผู้หญิงคนนั้นก่อนจะมองเราสองคนด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ดูก็รู้ว่าถามไปอย่างนั้นเองเพื่อจะได้ไม่เกิดการต่อประเด็นไปอีก   

“เห้อออ เมื่อยจัง ขับรถมาตั้งชั่วโมงขอไปเดินยืดเส้นยืดสายดูรอบๆ บ้านนะป๋า” จอมมายาทำเป็นบิดตัวไปมาแสดงได้อย่างแนบเนียน

“ได้สิ เดี๋ยวป๋าไปด้วย มลจะไปด้วยไหม” ป๋าหันไปถามแล้วรับแก้วน้ำหวานที่จิบไปแค่เล็กน้อยไปวางบนถาด ที่จริงอย่าพูดว่าจิบเลย แค่เอาริมฝีปากแตะขอบแก้วแค่นั้น

“ไม่ค่ะ มลอยากพัก แต่ป๋าพาขึ้นบ้านหน่อยสิ” เธอออดอ้อนออกนอกหน้าจนดูน่าเกลียดที่มาทำแบบนี้ต่อหน้าคนที่เพิ่งเจอกันไม่กี่นาที ถ้าไม่อายผมก็น่าจะอายนายดินบ้าง

แต่ที่จริง..

ผมเห็นเธอปรายตามองดินแดนแบบแปลกๆ เหมือนอ่อยเหยื่อยังไงชอบกล

หรือผมจะอคติไปเอง..

“งั้นเราสองคนไปเดินกันเองก่อนเดี๋ยวป๋าจะตามไปนะ” จากนั้นป๋าก็พายัยนั่นขึ้นบ้าน ได้ยินเสียงป๋าบ่นเบาๆ ว่าให้ย้ายลงมานอนห้องข้างล่างจะได้ไม่ต้องเดินขึ้นบันไดแต่ผู้หญิงคนนั้นเถียงว่าจะให้นอนชั้นล่างเหมือนคนใช้ได้ยังไง

เอ่อ..

ตรรกะอะไรของนาง นี่ป๋าเลือกยังไงถึงได้คนแบบนี้ 

สองครั้งแล้วนะที่ได้ยินคำว่าคนใช้  คุณแม่ว่าเจ้ายศเจ้าอย่างยังไม่เคยเรียกใครว่าคนใช้สักครั้ง จะโดนดุด้วยซ้ำถ้าพูดไม่ดีกับคนทีมาช่วยทำงานให้ แล้วผู้หญิงคนนี้สูงส่งมาจากไหน ท่าทางก็เหมือนพวกตลาดล่างเสียด้วยซ้ำ ไม่ใช่จะดูถูกแต่จากคำพูดและกิริยาอาการมันฟ้องกำพืดจริงๆ

หรือจะเป็นเพราะนิสัยคิดลบของผมเองที่ทำให้รู้สึกไม่ดีอีกแล้ว



ต่อ..
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 11 : ภาวะหวั่นไหว 《18/08/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 18-08-2018 14:29:29
“เฮ้อออออออออออออ” ผมถอนหายใจยาวเมื่อเดินมาหลังบ้านแล้วเจอสวนดอกไม้สวยงาม รู้สึกอึดอัดกับความคิดของตัวเองแถมนายดินที่ปกติเป็นคนพูดมากแต่กลับเดินตามมาเงียบๆ ไม่พูดอะไรซักคำ

“สบายใจขึ้นยัง” เขาเดินขึ้นมาเทียบ

“ก็ไม่ได้ไม่สบายใจตรงไหนนี่” เดินมาอีกไม่กี่ก้าว ผมก็หยุดแล้วนั่งลงบนขอนไม้ใหญ่ที่อยู่ริมบ่อปลาคราฟ

“ออร่านางมารออกซะขนาดนั้นยังจะปากแข็ง” ร่างสูงยืนล้วงกระเป๋ามองปลาว่ายไปมาด้วยสีหน้าเหมือนรู้ทัน

“เฮ้อ ฉันทิ้งนิสัยเดิมไม่ได้หรือไงก็ไม่รู้ อุตส่าห์จะทำใจให้ญาติดีกับผู้หญิงของป๋าแต่ก็ทำไม่ได้อีกแล้วอะ” ในที่สุดก็ต้องสารภาพเพราะคงปิดบังคนรู้มากไม่ได้อีก

ร่างสูงหันมายิ้มหล่อแล้วก้มลงหยิบหินเล็กๆ มายื่นให้  “ลองปาลงน้ำสิ”

“หืม?” ผมเลิกคิ้วแต่ก็รับหินก้อนนั้นแล้วปาลงน้ำ

“ความรู้สึกแย่ๆ ก็ปาออกไปเหมือนหินก้อนนั้นให้มันจมลงน้ำ ดีกว่าเก็บไว้ให้มันจมลงในใจเรา” ดินแดนเดินมานั่งใกล้ๆ “เป็นอย่างที่พี่เป็นนั่นแหละ ใครดีด้วยก็ดี ใครไม่ดีก็ไม่ต้องฝืน”

“แล้วมันจะต่างอะไรกับเมื่อก่อนล่ะ ที่สุดแล้วก็ร้ายๆ แรงๆ เหมือนเดิม  EQไม่มีพัฒนาเลย” ผมตัดพ้อตัวเองกลายๆ

“ต่างสิ ต่างมาก” ดินแดนหันมาจับไหล่สองข้างให้ยืดขึ้นเพราะตอนนี้ไหล่ห่อจนไม่เหลือมาดอะไรอีก “เมื่อก่อนพี่ร้ายเพราะฟังเรื่องราวจากแม่ใหญ่แต่พี่ไม่เคยคิดอยากพิสูจน์ว่าเรื่องที่ได้ฟังมันจริงหรือไม่จริง พี่ไม่เคยคิดอยากเข้ามาสัมผัสว่าผมกับแม่นิสัยเป็นยังไงแต่ก็ตัดสินใจเกลียดไปแล้ว  แต่ครั้งนี้พี่ยอมลดอีโก้ลงแล้วมาพิสูจน์ด้วยตัวเองซึ่งมันคนละเรื่องเลยกับเมื่อก่อน   EQพี่พัฒนาไปเยอะแล้วครับอย่าคิดมาก”

“แต่คนดีๆ ก็ควรเก็บอารมณ์ได้ไม่ใช่เหรอ” ผมช้อนตามองอ้อนน้องชายเพราะดินแดนในโหมดนี้ละมุนจนอบอุ่นไปทั้งใจ

“ใครบอกพี่” มือหนาละจากไหล่มาเชยคาง “เป็นคนดีก็ต้องฉลาดด้วย ใครร้ายมาจะให้ดีกลับเหรอ ไม่เข้าท่าหรอก”

“แทนที่จะสอนให้ใจเย็น กลับมาสอนให้ร้ายขึ้นซะงั้นแหละ” ผมยิ้มขำแต่แล้วกลับถูกนิ้วแกร่งลูบเบาๆ ที่ริมฝีปาก

“ก็ถ้าร้ายแล้วยิ้มได้แบบนี้ แรงๆ ร้ายๆ ไปโลด”

“สรุปเธออนุญาตให้ร้ายได้นะ” ผมดันมือเขาออกเบาๆ เพราะอาการเริ่มไม่ค่อยดี

“เต็มที่เลย ไม่ว่าพี่จะดีหรือจะร้าย ผมก็อยู่ข้างพี่” รอยยิ้มของดินแดนดูจริงใจและอบอุ่น ผมเคยเกลียดเขาได้ยังไงกันนะ

“แล้วเธอล่ะ คิดยังไงกับผู้หญิงคนนั้น”

“คิดว่า.. เขาอยากจะกินผมอะ”

“หืออ? นึกว่าฉันคิดอยู่คนเดียว”

“เซ้นส์ดีเหมือนกันนะคุณชนม์แดน”  ดินแดนโอบแล้วเขย่าไหล่เบาๆ “ผู้หญิงแบบนี้ต้องเจอแบบผม หึๆ”

“อย่าไปทำอะไรเขานะ คนท้องคนไส้”

“ผมไม่ได้จะใช้กำลังหรอกน่า แต่ดูจากนิสัย ลูกในท้องจะใช่ลูกป๋ารึเปล่าหรือจริงๆ จะท้องจริงไหมงี้ดีกว่า ดีแล้วที่ป๋าไม่โอนบ้านให้ เดี๋ยวเด็กคลอดก็รู้อะว่าอะไรเป็นอะไร หรือบางที..”

“บางที?” ผมลุ้นรอฟัง

“บางที.. ไม่บอก”

“อะไรอ่า บอกมาเลยอย่าทำให้อยากแล้วจากไปแบบนี้นะ”

“ฮ่าๆๆ เห็นทำตัวหยิ่งๆ แต่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านด้วยเหรอเรา” ร่างสูงก้มลงมาส่งสายตาวิบวับล้อเลียนโดยที่ใบหน้าอยู่ใกล้แค่คืบ

“เดี๋ยวจะโดน” ดันหน้าเขาออกห่างแล้วลุกไปยืนดูปลาว่ายไปว่ายมา

“ตอนเขินโคตรน่ารักอะ เวลาโดนแกล้งก็ดูเหมือนพี่จะรู้สึกอะไรมากกว่าพี่น้อง แต่เอาเถอะ ผมมีหน้าที่ต้องทน”

“พูดบ้าอะไรของเธอ ฟังยากเลอะเทอะ”

“มาอยู่ตรงนี้เอง ป๋าเรียกถึงไม่ได้ยิน” ป๋าเข้ามาแทรกความรู้สึกปั่นป่วนในอารมณ์ได้ทันเวลาพอดี

“ป๋าก็จังหวะดีเกิ๊น” ดินแดนบ่นแล้วยิ้มร้าย เห็นแล้วต้องกัดฟันข่มความรู้สึกหมั่นไส้ปนสับสน

“ดอทหิวแล้วครับ ไปทานข้าวกันเถอะ” วิ่งเข้าไปคล้องแขนป๋าเพื่อให้พาหนีจากนายดินที่ท่าทางไม่น่าไว้ใจขึ้นทุกที

“ไปสิ ป๋าให้เด็กมันตั้งโต๊ะแล้ว” ป๋าพาเดินไป

หันไปมองดินแดนที่เดินตามมาห่างๆ เขายิ้มแล้วส่ายหัวเบาๆ เหมือนเห็นผมเป็นเด็กไม่รู้ประสีประสาอย่างนั้นแหละ



เราสามคนทานข้าวเย็นด้วยกันโดยไม่มีผู้หญิงคนใหม่มาขวางหูขวางตา ป๋าบอกว่าเธอบ่นเพลียเลยขอพัก ก็ดีแล้วที่ไม่มาไม่งั้นจะเกิดสงครามให้ป๋าปวดหัว

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารของเราสามคนเป็นไปด้วยความชื่นมื่น  ป๋าหน้าบานตลอดเวลาและพูดอวดความเก่งกาจของผมให้ดินแดนฟังไม่ขาดปากว่าเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ ภูมิใจที่ผมทำในสิ่งที่รักจนประสบความสำเร็จ  ซึ่งก็ได้แต่เขินแล้วเปลี่ยนเรื่องอยู่บ่อยๆ

ตลอดมื้ออาหารดินแดนตักกับข้าวให้ป๋า ส่วนป๋าตักกับข้าวให้ผม และผมก็ตักกับข้าวให้นายดิน 

“เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืนนะจะได้ไม่ปวดท้องอีก” ผมยิ้มให้น้องชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยมีป๋านั่งหัวโต๊ะ

“ใส่ใจเก่ง เอาใจเก่ง น่ารักเก่ง”  ดินแดนทำเสียงล้อจนผมต้องทำหน้าดุ “เอ้าๆ ดุเก่ง ขู่เก่ง ดูดิป๋าพี่ดอททำหน้าเหมือนตัวนากโดนแย่งปลาอะ น่ากลัวสุดๆ”

“ตีเก่งด้วย อยากลองไหม” ชูกำปั้นใส่แต่เขานั่งตรงข้ามจึงได้แต่ส่งสายตาคาดโทษไป

“แกก็ชอบแกล้งพี่เจ้าดิน” ป๋าหันไปดุเขา ผมจึงได้ทียักคิ้วสมน้ำหน้าไป “แล้วเดี๋ยวพี่โกรธอย่ามาขอให้ป๋าช่วยง้อให้นะ พี่แกยิ่ง.. งอนเก่ง น้อยใจเก่ง งอแงเก่ง..”

“งื้ออ ป๋าอะ แกล้งดอทอีกคนแล้ว” ผมทำหน้างอน โดนรุมสองแบบนี้ไม่โอเคเลยนะ

“ฮ่าๆๆ ก็แกมันน่าแกล้งนี่ตาดอท” ป๋าหัวเราะร่วน “เอาล่ะๆ ป๋าไม่แกล้งแล้ว กินข้าวเยอะๆ จะได้อ้วนกว่านี้อีกหน่อย”

“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มรับผัดผักรวมกับกุ้งตัวโตที่ป๋าตักให้

อาหารวันนี้ถึงจะเป็นอาหารธรรมดาๆ ไม่ได้หรูหราเพราะป๋าลงมือเข้าครัวเอง แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันอร่อยจนไม่อยากอิ่ม อยากให้คุณแม่มาอยู่ในบรรยากาศแบบนี้บ้าง คุณแม่คงจะมีความสุขมากกว่านี้


เมื่อใช้เวลาร่วมกันพอสมควรแล้ว พวกเราก็ลากลับ

“เราโอเคนะตาดอท” ป๋าเดินออกมาส่งแล้วโอบไหล่ผมไว้เหมือนกลัวว่าผมจะนอยด์

“โอเคสิครับ เดี๋ยวนี้เป็นนิวดอทนะ” ผมยิ้มกว้างให้ป๋าดู

“ป๋าดีใจมากนะที่เราเข้าใจกันได้ ที่ผ่านมาป๋าเป็นคนผิดเอง ป๋าขอโทษนะลูก” น้ำตารื้นขึ้นบนดวงตาคู่คมของป๋า เรื่องของผมคงสะเทือนใจป๋ามาก ตลอดเวลาป๋าคงไม่มีความสุขเลย เราทั้งหมดไม่มีใครมีความสุขแค่เพียงเพราะความรู้สึกยึดติดกับความรักที่มากเกินไป

“ไม่ต้องขอโทษแล้วนะครับ ดอทเข้าใจป๋าหมดแล้ว ดอทต่างหากที่ต้องขอโทษ ดอทรักป๋านะ” ผมกอดป๋าอีกครั้งแน่นๆ และผละออกมา

“ถ้าน้องคลอด ดอทจะรักน้องจะมาเลี้ยงน้องช่วยป๋าหรือเปล่า” ป๋าถามอย่างไม่มั่นใจนัก

ผมเม้มปากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง หน้าของป๋าก็หงอยลงเรื่อยๆ

“ถ้าน้องไม่อึใส่ ดอทก็จะรักน้องครับ” ผมแกล้งแหย่แล้วป๋าก็หัวเราะออกมาเสียงดัง

“แหมๆๆ รักกันมีความสุขกันจังเลยน้า สองแดน” ดินแดนขับรถออกมาจากโรงรถแล้วมาจอดเทียบข้างๆ

“แกก็แดนเหมือนกันแหละเจ้าดิน” ป๋าสวนเข้าให้

“งั้นเราไปตั้งคณะตลกไหมป๋า คณะสามแดน ฮ่าๆๆ” แล้วเราก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน

“แล้วน้องจะแดนด้วยไหมครับ” ผมถามถึงชื่อน้องคนต่อไป

“ถ้าเป็นผู้หญิงป๋าจะให้ชื่อ แดนสนธยา ถ้าเป็นผู้ชายจะชื่อ แดนมหัศจรรย์” ป๋าพูดติดตลก

“ตลกละป๋า ไม่ต้องคุมโทนขนาดนั้นก็ได้ แยกไปเป็นสรวงนั่นสรวงนี่มั่งเหอะ” ชื่อป๋าคือแดนสรวง ความคิดนายดินก็เข้าท่าดีนะ ใช้คำว่า สรวงเป็นเจนเนอร์เรชั่นใหม่

“ทำแฝดชายหญิงเลยครับจะได้ตั้งทีเดียว” ผมเสนอ

“จะเลี้ยงไหวไหมล่ะ” ป๋าท้วง

“เลี้ยงไม่ไหวเดี๋ยวให้ลูกใภ้มาช่วยเลี้ยงให้” ดินแดนเสนอ

“จริงด้วยครับป๋า ไม่ต้องกลัวว่าจะเลี้ยงไม่ไหวเพราะถ้ากำราบคนอย่างนายดินได้ไม่ว่าใครในโลกนี้สกายก็คงชนะหมดล่ะ” ผมแซว

“นั่นสินะ” ป๋าเห็นด้วย

“โหยย รุมกันเฉยเลย มาขึ้นรถได้แล้ว เดี๋ยวอยู่คนเดียวไม่มีพวกก่อนเถอะจะแกล้งให้เข็ดเลย” ดินแดนคาดโทษ

จากนั้นผมก็ไหว้ลาป๋าแล้วกอดแน่นๆ อีกครั้ง ป๋าเองก็กอดผมแน่นและหอมขมับอีกหนึ่งที เป็นสัมผัสที่อบอุ่นจนคิดว่าคงตราตรึงในความรู้สึกไปอีกนานแสนนาน


“แวะไปส่งที่ทำงานนะ ขอทำงานอีกนิดแล้วค่อยกลับ” ผมพยายามเลี่ยงการโกหกเพราะไม่อยากบอกความจริงว่าสี่ทุ่มครึ่งแล้วแต่ยังจะไปทำแผลที่คลินิกหมอวรรตอยู่อีก

“หืมม ไหนบอกช่วงนี้งานน้อย” ดินแดนเริ่มซัก

“ก..ก็ไม่เยอะหรอกแต่มันก็มีเรื่องที่ต้องทำแต่ลืมทำไง” พยายามแถไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะแนบเนียนหรือเปล่า

“หืมมม เสียงตะกุกตะกัก” ดวงตาเจ้าเล่ห์หรี่มองผมอย่างจับผิด

“หาเรื่อง”

“ทำตัวเหมือนแอบมีกิ๊ก” ดินแดนยังคงคาดคั้น

“บ้าเหรอ!” เผลอปฏิเสธเสียงดังลั่นจนเหมือนร้อนตัวจึงพยายามควบคุมน้ำเสียง “มีกิ๊กอะไร ถ้าเธอไม่เชื่อเดี๋ยวจะให้น้าเวชมารอก่อนเลยก็ได้” ผมบ่นแล้วกดโทรศัพท์หาน้าเวชเพื่อแก้ไขสถานการณ์  “น้าเวชครับ มารอรับดอทที่ออฟฟิศหน่อยนะ มาเร็วๆ นะครับ เจ้าดินมันหาเรื่องดอทอยู่เนี่ย” ผมกำชับ พอน้าเวชรับคำก็วางสายแล้วหันไปหาดินแดน “พอใจยัง”

“พอใจเหรอ อืมๆ พอผมเห็นน้าเวชแล้วจะได้ไม่ต้องสงสัยว่าพี่แอบไปมีกิ๊ก งี้เนาะ” ดินแดนเบ้ปากทำเหมือนรู้ทัน “ที่จริงน้าเวชอาจเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดก็ได้ใครจะไปรู้”

“เธอนี่มันขวางโลกซะจริงนะ ไม่คุยด้วยแล้ว” ผมหันหน้าหนีไปอีกทางเพราะเถียงไปก็มีแต่จะเข้าตัว

ดินแดนไม่ได้พูดอะไรต่อแต่ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอหึหึไปตลอดทาง

กวนประสาทชะมัด!



เมื่อดินแดนขับรถจากไปแล้ว ผมก็เผ่นขึ้นรถน้าเวชทันที

“กลับบ้านเลยหรือเปล่าครับคุณหนู” น้าเวชถาม

“เอ่อ.. คือ วันนี้ดอทยังไม่ได้ล้างแผลเลยครับ” ผมอ้าง

“งั้นไปคลินิกหาหมอวรรตก่อนนะครับ เมื่อกี้น้าออกมาเห็นแกยังนั่งเขียนงานอะไรอยู่เลย บอกว่าจะอยู่รอคุณหนูด้วย”

ได้ยินแบบนี้แล้วแอบยิ้มออกมาทันที 

“ที่จริงไปโรงพยาบาลน่าจะดีกว่า เกรงใจหมอวรรต” แกล้งพูดไปอย่างนั้นน้าเวชจะได้ไม่คิดว่าผมอยากไป

“ไปหาหมอวรรตเถอะครับ เห็นแกนั่งมองนาฬิกาทุกห้านาที น้าว่าน่าจะเป็นห่วงคุณหนูนั่นแหละ ไปให้แกเห็นให้แกล้างแผลหน่อยแกจะได้วางใจ”

“เอางั้นก็ได้ครับ นี่เห็นแก่น้าเวชนะเนี่ย” ผมบอกแล้วแอบหันไปยิ้มกริ่มกับวิวข้างทาง

ดูแลดีแบบนี้เดี๋ยวจะจ้างให้เป็นหมอประจำตัวก็ได้


ไม่นานนักก็มาถึง ไฟหน้าคลินิกยังไม่ได้ปิดแต่ด้านในค่อนข้างมืด

“น้าเวชจะรออยู่ในรถนะครับ”  น้าเวชบอก

“ครับ ดอทไปไม่นานหรอก”


จากนั้นก็เดินเข้าไป เห็นประตูเปิดอยู่จึงผลักเข้าไปเลย ค่อยๆ เดินคลำทางไปเพราะมันมืด มีแค่ไฟด้านในสุดที่เป็นห้องน้ำอยู่ดวงเดียว

“จะเปิดไฟไว้หน่อยก็ไม่ได้ ไม่รู้เคยมีใครทนพิษบาดแผลไม่ไหวแล้วเดธคาคลินิกมั่งรึเปล่าก็ไม่รู้” ผมบ่น 

ผลุ่บบบ!!

เดินผ่านเค้าน์เตอร์มาไม่ทันไรก็มีเสียงดังอยู่ด้านหลัง ผมจึงรีบวิ่งเข้าไปที่ห้องตรวจสามแบบไม่คิดชีวิตทันที  แต่พอเข้าไปแล้วไม่เห็นใครก็ยิ่งวังเวง

“ไปไหนของเค้านะ ฮือออ” ผมย่ำเท้าอยู่กับที่รัวๆ เพื่อคิดว่าควรทำยังไง

“แฮร่~”

“อ้ากกกกกกกกก!!!” อยู่ๆ ก็มีเสียงแฮร่ดังอยู่ข้างหลัง พอหันไปก็เจอเงาสูงใหญ่อยู่ตรงนั้นจึงร้องลั่นแล้วตั้งใจจะวิ่งสุดชีวิตแต่แล้วก็โดนรวบตัวไว้

“ฮ่าๆๆๆ ผมเองๆ” ไอ้ผีหัวเราะร่า

“ปล่อย!!!!!” ผมร้องและดิ้นพล่านไม่สนใจจะรับฟังอะไรทั้งนั้น

“ผมเองๆ ฮ่าๆๆ ชู่วๆๆ ฮ่าๆๆ” เขารวบตัวผมแล้วลากกึ่งอุ้มกลับเข้าไปในห้อง  “นี่ไง ผมเอง” ได้ยินเสียงกดสวิสต์ไฟแป้กแล้วทุกอย่างก็สว่างขึ้น

ตาที่หลับปี๋จึงค่อยๆ ลืมขึ้น หรี่มองว่าใช่คนหรือผีกันแน่

“คุณ! ฮือออ ไอ้หมอบ้า ไอ้คนบ้า ไอ้ผีบ้า!!” รัวหมัดทุบเขาแบบไม่นับ น้ำตาก็ทะลักออกมาแบบทั้งกลัวทั้งโกรธ

“โอ้ยๆๆ คุณ มือหนัก คุณ โอ๊ยย” เขาพยายามหลบแต่ก็ไม่ทันเพราะผมรัวแบบไม่สนใจว่าจะโดนตรงไหน

“ขนหัวผมลุกซู่เลยไอ้หมอผีบ้า!!!” ยังคงทุบเขาอยู่แบบนั้นจนเขารวบมือผมไว้ได้

“โอ๋ๆๆๆ ขอโทษๆ ไม่นึกว่าจะกลัวขนาดนี้” ถึงจะขอโทษแต่เสียงก็ยังเหมือนกลั้นหัวเราะ

“ฉี่ผมเล็ดออกมาด้วยอะ บ้าบอที่สุดเลย” 

“ฮ่าๆๆ หน้าตาก็ดีแต่ฉี่เล็ด” เขาล้อ

“ยังไม่สำนึกอีก” ผมถลึงตาใส่ “นิสัยไม่ดี” ผมทำหน้างอนั่งยองลงไปกอดเข่าตัวเองไว้แน่น บอกตรงๆ ว่ากลัวผีแบบขึ้นสมอง

“โอยยน่าสงสาร” เขานั่งตามแล้วกอดเข้ามาจากด้านหลัง “ขอโทษน้า ต่อไปไม่แกล้งหลอกผีแล้ว นะครับนะ” เขากอดปลอบแล้วโยกตัวไปมาเหมือนกล่อมเด็ก สักพักผมก็รู้สึกหัวใจกระตุกและวูบวาบไปพร้อมกัน

ทั้งอาการของโรคเก่าและโรคใหม่ผสมผสาน ลมหายใจเริ่มขาดห้วง

“..น..เหน็บกิน ลุกเถอะ” พยายามควบคุมสติและในที่สุดก็ทำได้

เขาปล่อยแล้วพยุงตัวให้ลุกขึ้นจากนั้นก็อุ้มไปนั่งบนเตียงตรวจ

“อุ้มทำไมเล่า” ผมบ่น พยายามควบคุมอารมณ์อยู่นะ

“ก็คุณบอกเหน็บกิน ผมก็อุ้มสิ ขี้เกียจรอให้ย่องๆ กว่าจะไปถึงเตียงก็เช้าพอดี” มันใช่ข้ออ้างมั้ยน่ะ

“ผมจะลงโทษคุณสถานหนักกับสิ่งที่คุณทำวันนี้” ผมคาดโทษ

“น้อมรับทุกสถานเลยเจ้านาย นี่รู้สึกผิดจริงๆ นะ ไม่คิดว่าคุณจะกลัวขนาดนี้ ไหนดูซิฉี่เล็ดจริงรึเปล่า” เขาก้มลงพยายามจะดูเป้ากางเกงของผม

เพี๊ยะ!!

ผมตบลงหลังเขาเต็มๆ จนร้องลั่น

“โอ๊ยคุณ มือหนักเป็นบ้าเลย” เขาบ่น “ไหนดูซิ มือก็เล็กแค่นี้ทำไมเวลาตบแล้วถึงหนักนักล่ะ” เขาดึงมือผมไปจับแล้วพลิกไปมา

ตัวผมสะท้านสั่น เริ่มมีอาการผิดปกติมากขึ้นทุกทีจนต้องรีบดึงมือกลับ  “ท..ทำแผลได้แล้ว น้าเวชรออยู่ข้างนอก”

“คร้าบๆ” เขาตอบรับแล้วเริ่มทำแผล

ตลอดเวลาผมหลับตาหันหน้าหนี ดูเหมือนเขาจะทำแผลช้ากว่าเดิมจนใกล้จะทนไม่ไหว

“นอนไหม” เขากระซิบแต่ผมส่ายหน้า “งั้นทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” เริ่มแปะผ้าก๊อซและปิดเทปทับลงไป “เรียบร้อย ลืมตาได้”

ผมลืมตาขึ้นเห็นเขายิ้มเหนื่อยๆ ทำแผลแค่นี้ทำไมต้องเหงื่อออกขนาดนั้นนะ แต่ยังไม่ทันจะได้ถามอะไร เสียงเรียกเข้าแปลกหูก็ดังขึ้น “รับโทรศัพท์แป๊บนึงนะ อย่าเพิ่งไปไหนนะ” เขากำชับ

จากนั้นก็ได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์แว่วๆ แต่ไม่รู้ว่าคุยกับใคร

“ฮัลโหล..ใกล้เสร็จแล้วน่าแต่ขอส่งแค่แบบไปก่อนนะผมยังไม่ไปได้ไหม...ทำไมไม่ได้ล่ะผมยังเคลียร์งานไม่เสร็จ...โอเคๆ งั้นก็ได้  อืมๆ ไม่เบี้ยว  โอเคแล้วเจอกัน......เฮ้อ เอาไงดีวะ รวบรัดเลยไหม โอ้ยไม่ได้เดี๋ยวโดนโกรธ”
 
เขาคุยโทรศัพท์สักพักก็กลับมา อาการของผมตอนนี้ก็เริ่มเป็นปกติแล้ว 

“ผมขอกลับก่อนนะ ดึกแล้วคุณจะได้พัก” ผมลงจากเตียงตรวจแล้วบอกเขา

“งั้นเดี๋ยวไปส่ง” ผมพยักหน้าจากนั้นเขาก็กดปิดสวิชต์ไฟเฉพาะที่ห้องตรวจ แว้บหนึ่งผมเห็นใบหน้าเขาตอนไฟดับรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาจึงเดินเข้าไปหา

“คุณอยู่นิ่งๆ นะ” ผมจ้องเขานิ่งแล้วเอื้อมมือไปกดสวิสต์ไฟ ปิดเปิดอยู่หลายครั้ง “..ใครกันนะ เหมือนใคร” ผมมองหน้าเขาแล้วครุ่นคิดอย่างหนัก แต่แล้วก็ถูกเขาจับมือเอาไว้แล้วเปิดไฟขึ้น

“ขอแค่หนึ่งนาที” ใบหน้าของเขาดูเจ็บปวด  “แค่หนึ่งนาทีที่คุณจะไม่มองผมเป็นคนอื่น” แววตาเขาสะท้อนความรู้สึกอึดอัดออกมาอย่างเห็นได้ชัด

ผมนิ่งอึ้งไป ไม่รู้ว่าทำอะไรผิดแต่ต้องทำแน่ไม่งั้นเขาไม่เป็นแบบนี้หรอก

“ผมไม่ได้มองคุณให้เป็นคนอื่นนะ” ผมบอกเสียงแผ่ว

“งั้นบอกหน่อยว่าคุณเคยเห็นหัวไอ้หมอจนๆ คนธรรมดาคนนี้บ้างไหม อาจจะไม่เคยมีอดีตร่วมกับคุณมากเท่าคนอื่นแต่ความจริงใจก็ไม่แพ้ใครหรอก ไอ้หมอวรรตคนนี้ คุณเคยจดจำผมได้บ้างไหม” เขาพรั่งพรูออกมาจนผมตกใจ

อยู่ดีดีก็เป็นอะไรขึ้นมา ดราม่าขนาดนี้ใส่ผมทำไมกันล่ะ

“หมอวรรต..” ผมเรียกเขา  “หมอวรรต..”  ผมเรียกซ้ำอีก  “หมอวรรต..”  มองตาเขาแล้วเรียกชื่อซ้ำอยู่อย่างนั้น ส่งความรู้สึกจริงใจไปให้

ผมไม่เคยมองว่าเขาจนหรือกระจอกอะไร ไม่เคยเอาเขาไปเปรียบเทียบกับใคร ผมมีความสุขดวยซ้ำที่อยู่กับเขา คนที่ชื่อวรรต หมอประสาทที่ทำให้ผมยิ้มและหัวเราะได้เต็มหน้า แล้วทำไมผมจะจำชื่อเขาไม่ได้ล่ะ

“..หมอวรรต” ผมเรียกเขาอีกครั้ง จะเรียกจนกว่าแววตาของเขาจะเปลี่ยนไปเป็นเหมือนเดิม

“เรียกผมอีกทีสิ” เขาขยับเข้ามาใกล้

“..หมอวรรต อุ๊บ!!!”  ร่างสูงโฉบเข้ามาจูบทันที ผมชะงักค้าง เรี่ยวแรงหดหาย ร่างกายเกิดอาการสั่นสะท้านและหัวใจกระตุกผิดจังหวะ

“อื้อๆๆ” เมื่อได้สติจึงดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดของเขา พยายามดันตัวเขาออกแต่ก็ไม่สำเร็จ ริมฝีปากถูกเสียดสีอย่างหนัก เขาบดบี้ลงมาพยายามจะสอดลิ้นแต่ผมก็พยายามหันหนี


แล้วในที่สุดก็ผลักเขาออกได้

“จูบทำไม! เราเป็นเพื่อนกันนะ!” ผมหอบหายใจพลางลูบต้นแขนของตนเองเพื่อลดอาการครั่นเนื้อครั่นตัว

“เป็นเพื่อนแล้วจูบไม่ได้เหรอ!” เขากัดฟันทำหน้าหงุดหงิดแล้วจับเข้าไปจูบใหม่อีกครั้ง

“อื้อ!!” นี่มันบ้าอะไรกัน!

เพื่อนที่ไหนเขาจูบกันจะบ้าเหรอ!

ผมใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักออกแต่ไม่สำเร็จ ร่างกายมันวูบวาบหนักขึ้นทุกที ผมต้องทำยังไงเรื่องนี้ถึงจะยุติลงได้นะ

“ด..เดี๋ยว คุณ..เดี๋ยว” พยายามเบี่ยงหน้าหลบแล้วกล่อมเขา และดูเหมือนครั้งนี้เขาจะรับฟังและดึงหน้ากลับไปแต่ก็ยังคงกอดร่างผมแน่นไม่ให้ขยับ

“อะไร” ยังมีหน้ามาทำเสียงไม่พอใจ ผมต่างหากที่ต้องโกรธ

“ย..หยุด..เถอะ” ผมพยายามควบคุมลมหายใจแล้วบอกออกไป

“ไม่หยุด ไม่หยุดจนกว่าคุณจะเลิกดิ้นนั่นแหละ” แล้วเขาก็ก้มหน้าเข้ามาหาอีกครั้ง ผมจ้องเขม็งหวังจะปรามให้เขาได้สติและหยุดการกระทำ

ร่างสูงชะงักมองเล็กน้อย แค่เล็กน้อยเท่านั้น

“ไม่รู้ไม่สนอะไรทั้งนั้น”

“อื้อออ อื้ออออ” พูดเอาแต่ใจแบบนั้นแล้วฉกวูบลงมาระดมจูบผมอีกครั้ง

“..หยุดดิ้นแล้วจูบผม” เขาจูบไปพูดไป

“อื้อๆ” ผมพยายายามส่ายหน้าพร้อมกับต่อยหลังเขาเพื่อบอกปฏิเสธ

“..จูบผมที” เสียงเขาอ่อนลงจนหัวใจผมหล่นวูบ “จูบไอ้คนชื่อวรรตคนนี้”  เขาพูดชิดริมฝีปาก ดวงตาหม่นแสงไม่สดใสอย่างเคย

ถึงจะรู้สึกเห็นใจแต่แบบนี้มันไม่ถูก  ผมค่อยๆ หยุดดิ้นแล้วเงยหน้ามอง

“กับใครผมก็จูบไม่ได้...ผมมีแฟนแล้ว”

“ผมรู้” สีหน้าเขาหม่นลงอีก

เขารู้เหรอ รู้ได้ยังไงกัน?

“ก็คุณสวยขนาดนี้จะโสดได้ยังไง”

ปลายจมูกของเขาคลอเคลียไปตามสันจมูก นุ่มนวลและแผ่วเบาจนหัวใจกระตุกหนักขึ้น  แต่อาการสั่นสะท้านเริ่มทุเลาลง

แปลกที่อาการเดิมไม่รุนแรง ขนาดใกล้ชิดกันแบบนี้แต่ผมสามารถควบคุมลมหายใจได้ มีเพียงแค่ความรู้สึกที่มีต่อเขาเท่านั้นที่ชัดเจน แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเพราะผสมปนเปไปหมด ทั้งเห็นใจ เข้าใจ และอาจจะ..มีใจ

“ผมไม่อยากรู้สึกผิดกับคนรัก” ผมบอกเสียงอ้อนเพราะไม่อยากหักหาญน้ำใจ

เขามองผมครู่หนึ่งแล้วยอมแพ้ในที่สุด “ก็ได้”

“อย่าทำแบบนี้อีกนะ ผมขอร้อง” เมื่อได้เป็นอิสระผมก็มองเขานิ่ง

“อืม” เขาหลุบตาลงแล้วพูดกับผมโดยไม่มองตา

ได้แต่มองเขาอย่างเอ็นดู เขารู้สึกพิเศษกับผม ไม่รู้หรอกว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ทว่าในตอนนี้เขากำลังเจ็บปวดเพราะผม  ส่วนผมเองก็อาจจะมีใจกับเขาอยู่บ้างแต่พยายามไม่คิดเยอะเพราะผมมีเฮียเผ่าจึงไม่สามารถตอบรับความรู้สึกของเขาได้

“อย่าคิดมาก” ผมลูบไหล่หนาเบาๆ เพื่อให้เขาสบายใจ

“คุณไม่โกรธเหรอ” เขาเงยหน้าขึ้นมองผมทันที

“ถ้าจะโกรธคุณ ผมก็ต้องโกรธตัวเองด้วยที่ไม่ชัดเจน ขอโทษที่ทำให้คิดไปไกลกว่าคำว่าเพื่อน แต่หวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก” ผมยิ้มให้บางๆ “กลับก่อนนะ”

“งั้นเดี๋ยวไปส่ง” เขาบอกเสียงเบา

“อืม” แล้วเราสองคนเดินออกมาจากห้องตรวจพร้อมกับความเงียบ

และก่อนที่จะถึงเคาน์เตอร์ด้านหน้า มือผมก็ถูกดึงไว้

“จะมาที่นี่อีกไหม” ดวงตาคู่สวยจ้องมองมาอย่างมีความหวัง

ผมนิ่งคิดแล้วบอกเขาไปตามความจริง

“ผมก็ยังไม่แน่ใจ ไม่อยากทำร้ายคุณอีก ไม่อยากทำร้ายคนรักของผมด้วย”

“งั้น..”

เขาพูดค้างไว้แค่นั้นก่อนจะประชิดตัวเขามาอย่างรวดเร็วแล้วประกบปากทันที ผมที่ไม่ทันตั้งตัวได้แต่อ้าปากค้างจนทำให้เขาสอดลิ้นเข้ามาอย่างง่ายดาย เขาดูดกลืนริมฝีปากผมหนักหน่วงทว่านุ่มนวล ตั้งใจไม่ให้ผมเจ็บแต่ไม่ปล่อยให้ปฏิเสธได้อีก

ผิวเนื้อที่ถูกสัมผัสร้อนวูบวาบขึ้นอีกครั้ง ร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งตัว ลมหายใจหอบถี่กระชั้นขึ้นอย่างไม่อาจห้าม ครั้งนี้เหมือนเขาเอาจริง และผมเองก็เหนื่อยแล้วจะจะต่อต้าน

“อืออ” ผมเริ่มอ่อนแรงและหมดความอดทนกับความเอาแต่ใจ “อืออ” เลิกดิ้นรนและปล่อยให้เขากอดจูบตามใจเพียงแต่ไม่ได้ตอบรับอะไรมากมาย

แต่ไม่นับตอนที่เผลอตัวตวัดลิ้นตอบรับเขาเป็นบางครั้งนะ อันนั้นมันเป็นเอฟเฟคจากอาการโดยปกติของผมอยู่แล้วที่จะตอบรับการเล้าโลมอย่างง่ายดาย

ไม่นานนักผมก็เริ่มอ่อนแรง และทุบหลังเขาเพื่อให้สัญญาณว่าควรพอได้แล้ว ซึ่งเขาก็ไม่ได้ดื้อด้านมากนักและปล่อยผมในที่สุด

“..จูบทำไมอีก ก็บอกเหตุผลไปแล้ว แฮ่กๆๆ” ผมหอบหายใจปรับอารมณ์ให้เป็นปกติอย่างยากลำบาก บอกตามตรงว่าค่อนข้างหวั่นไหวไปกับสัมผัสของเขามากจนรู้สึกหงุดหงิดตัวเอง

หน้าหมอประสาทไม่ได้มีความสำนึกอะไรเลยและตอบออกมาแบบน่าฆ่าที่สุด

“เผื่อคุณไม่มาอีก คงเสียดายแย่ถ้าไม่ได้จูบ”

ได้ยินแล้วโมโหปรี๊ดในทันที

“คุณนี่มัน..หึ้ยยย!!” ผมเงื้อหมัดขึ้นจะตบหน้าเขาแต่เห็นหน้าหล่อที่ย่นหน้าเตรียมพร้อมรับแรงมือก็เลิกล้มความตั้งใจ “ดื้อที่สุดเลย!”

ต่อว่าเขาอีกครั้งแล้ววิ่งออกจากคลินิกทันทีไม่ทันได้ยินเสียงพึมพำจากด้านหลัง

“ถ้าโดนตบจริงก็คุ้มอยู่ดีวะ..แต่ก็ไม่โดน น่าจะพอมีลุ้นแฮะ”

ขณะที่น้าเวชออกรถผมหันกลับเข้าไปเห็นเขาอยู่ที่หน้าคลินิกยืนไขว้ขาเท้าศอกกับกรอบประตูแบบสบายใจ แต่ที่ทำให้หน้าร้อนวูบขึ้นทันทีก็เพราะเขากัดปากล่างแล้วลูบบริเวณนั้นด้วยนิ้วหัวแม่มือพร้อมกับยิ้มในสีหน้าแสดงความพึงพอใจ

คนบ้าอะไรแบบนี้กันนะ!!

แต่ที่น่าหงุดหงิดก็ตรงหัวใจของผมเองที่เต้นไม่เป็นส่ำ หวั่นไหวกับหมอประสาทแล้วหรือไงนะ..

   
“ทะเลาะกับคุณหมอเหรอครับ” น้าเวชถามขึ้นคงเพราะเห็นผมนั่งเงียบมาตลอดทาง

“ก..ก็นิดหน่อยครับ คุณหมอของน้าเวชดื้อมาก”

“น้าว่าแกคงมีเหตุผลที่ดื้อนะครับ แกเป็นคนเก่งและฉลาด น้าว่าถ้าแกจะทำอะไรลงไปแต่ละอย่าง แกคงคิดคำนวณดีแล้วล่ะ” น้าเวชก็เข้าข้างเขาอยู่ดี

คิดคำนวณแล้วว่าจะจูบเพราะผมอาจจะไม่กลับไปหาอีกเนี่ยนะ เหตุผลเอาแต่ใจตัวเองน่ะสิไม่ว่า




พอกลับถึงบ้านก็เช็คตารางงานอีกครั้ง พรุ่งนี้ช่วงบ่ายมีนัดกับเฮียและพี่เวย์ นี่ชีวิตผมจะสงบสุขสักวันได้ไหมนะ

ครืด ~~
Dr.WRRT :  โกรธยังไงก็อย่าลืมกินยา

ผมถอนหายใจเมื่อเห็นข้อความผ่านหน้าจอมือถือ  ชีวิตนี้จะเจอเรื่องธรรมดาๆ ที่ไม่ต้องหวือหวาวุ่นวายบ้างได้ไหม ถ้าพรุ่งนี้เจอเฮียแล้วเฮียจะจับได้หรือเปล่าว่าผมโดนคนอื่นจูบ

“โอ๊ยยย ชนม์แดนๆๆ โลกนี้มันอยู่ยากเกินไปแล้วนะ!”


.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

รอบนี้มีความเห็นหนึ่งเดียวเองง่ะ..

Janemera : ที่ผ่านมาดอทกันตัวเองออกจากผู้คนเพื่อตัดปัญหาเรื่องอาการที่เป็นอยู่ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนหมอวรรตจะตั้งใจฝ่ากำแพงเข้ามาก็เลยเป็นอย่างที่เห็น  ส่วนเผ่าพงศ์โดยปกติไว้ใจดอทมาก มากจนเกินไปด้วยซ้ำ เมียสวยขนาดนี้ปล่อยให้หลงหูหลงตาได้ยังไง ชิ


ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ทุกความเห็นมีคุณค่าและเป็นกำลังใจที่ดีมากๆ ของนายน้อยเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 11 : ภาวะหวั่นไหว 《18/08/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 19-08-2018 12:12:50
เรากลับมาแล้วนายน้อยยยยยยย แงงงงง ขอโทษด้วยที่หายไปไม่ค่อยจะว่างเลย มาตอนนี้ก็ได้อ่านสองตอนรวดไปเลยแถมมีประเด็นใหม่ให้คิดอีก
ประเด็นแรก ก็เรื่องยาที่หมอให้ดอทกิน นี่คิดว่าหมอกับพี่ดินน่าจะร่วมมืออะไรกันนะคงแอบรักษาอาการดอทกันแบบเงียบๆโดยจ่ายยาให้แบบที่ดอทไม่รู้ ไม่งั้นพี่ดินแกไม่เล่นใหญ่ตกใจตอนที่รู้ว่าดอทจะเอายามาเช็คหรอก
ประเด็นสอง หมอวรรตคือคนที่ออกแบบอีกคนที่ไม่ได้มาพบกับดอทกับเฮียเผ่าสักทีใช่มั้ย แล้วหมอวรรตกับพี่เวย์นี่ละมีความสัมพันธ์อะไรกันรึเปล่า ทำไมถึงหน้าคล้ายเป็นพี่น้องกันหรือแฝดคล้ายรึเปล่าเราเห็นหมอวรรตบอกว่า 'นอมินีๆ' ซึ่งมันหมายถึงตัวแทน แต่มันเป็นตัวแทนในแง่ไหนละหรือสมัยเรียนหมอวรรตเคยปลอมตัวเป็นพี่เวย์เพื่อเข้าหาดอทเหรอ ถ้าใช่จะทำแบบนั้นทำไมอะ ไม่ว่าจะแบบไหนเราว่าหมอวรรตต้องเคยมีตัวตนกับดอทในสมัยเรียนนี่แหละแต่อาจไม่เด่นจนดอทลืมไป
ประเด็นสาม เฮียเผ่ากำลังทำอะไรจะนอกใจหรือวางแผนเซอร์ไพรส์ดอท ซึ่งจริงๆถ้าลบความเจ้าชู้ออกไปเฮียเผ่าก็เป็นคนนึงที่น่าเชียร์นะ แต่ที่มันเชียร์ไม่สุดก็ตรงที่นิสัยที่คลุมเครือของเฮียแกนี่แหละ ยิ่งตอนนี้มีหมอมาทำคะแนนเฮียก็เลยยิ่งดูดรอปไป เผลอๆนักอ่านก็อยากเชียร์ให้เลิกกับดอทเร็วๆด้วยซ้ำมั้งเนี่ย
ประเด็นสี่ ถ้ามันยากนักที่จะให้พี่ดอทลงเอยกับใครก็จัด 4p ไปเลยค่ะนายน้อย ฮ่าๆๆๆ

ปล.แอบสงสารป๋า เมียน้อยคนนี้คงนิสัยแย่สุดละมั้งแต่ก็เพราะป๋าทำตัวเองไม่รู้จักพอนี่แหละเลยต้องมากลายเป็นพ่อบ้านโดนเมียจิกอยู่แบบนี้
ปล.2 ตอนนี้ #ดินดอท คัมแบ็คนาจา ยังไงสายค้ำคอร์มันก็น่าฟินกว่าจริงๆนั่นแหละ หุหุ  :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 11 : ภาวะหวั่นไหว 《18/08/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 19-08-2018 17:14:55
ลุ้นๆๆๆไม่รุ้จะจิ้นกับใครดี อยู่กับใครก็เคมีดีไปหมด
กับเฮียเนี่ยะ ถึจะเลวร้ายไปบ้าง แถมนิสัยเจ้าชู้เอาไม่เลือกของเฮียเนี่ยะ แต่คบกันมานานขนาดนี้ ส่วนดีๆของเฮียก็คงมีอยู่แหล่ะ ไม่พูดถึงส่วนของดอทจะอยากเลิกรึไม่อยากนะ คือเฮียแกฟันแล้วทิ้งก็ได้ไงตามความแบดที่สั่งสมมา แต่ก็ไม่ทำ เฮียคงรักดอทแหล่ะแต่มันมากขนาดไหนหยุดได้รึป่าวต้องดูยาวๆไป
ส่วนดินนี่แอบจิ้นนิดหน่อย แต่นะมีสกายอยู่แล้วก็ตัดออกละกัน คิดว่าดินคงพยายามรักษาพี่แหล่ะ มีแผนอะไรกับหมอวรรตแน่ๆ
ส่วนหมอวรรตนี่ เดาไม่ออกว่าจะเป็นใครในอดีต แต่คงต้องเคยเจอดอทมาก่อนแน่ๆ อยากลุ้นนะ แต่ยังลุ้นกับเฮียมากกว่าหน่อยนึง
ส่วนพี่เวย์นี่ไม่รุ้จะยังไงดี แต่คิดว่าเฮียคงตั้งใจให้เจอกันละนะ แอบคิดลึกๆว่าพี่เวย์คงยังมีใจ กับเนมนี่อาจจะไม่ใช่อย่างที่ดอทคิด

แต่ มันจะกี่เส้ากันละเนี่ยะ เลือกข้างไม่ถูกเลย
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 11 : ภาวะหวั่นไหว 《18/08/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 20-08-2018 16:46:20
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 11 : ภาวะหวั่นไหว 《18/08/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 21-08-2018 02:25:55
เฮียเผ่าดูมีความลับอ่ะะ น้องไว้ใจขนาดนี้แล้วเฮียอย่าทำอะไรไม่ดีนะ แล้วเหมือนดินแดนจะไม่อยากให้ดอทรู้ว่ายาอะไรด้วย หรือวางแผนกะหมอ ทุกคนดูมีความลับไปหม๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด  แต่ไม่ว่าอย่างไรเราขอปัก #ทีมชายชู้ค่าาาาาา :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 11 : ภาวะหวั่นไหว 《18/08/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 21-08-2018 10:20:26
ถ้าว่ากันจริงๆ ผมเชียร์คุณเผ่าพงศ์นะครับ เพราะว่าถึงจะดูลึกลับแล้วก็เอาแต่ใจไปบ้าง แต่เฮียเผ่าก็เป็นคนเดียวนะครับที่อดทนกับดอทมาตลอด ใจกว้างแล้วก็ยอมดอทหลายๆอย่าง ถึงจะเริ่มต้นด้วยการล่อลวงตอนดอทเสียใจก็เถอะครับ (หัวเราะ) แต่ตั้งแต่ตอนเด็กจนถึงปัจจุบัน เผ่าพงศ์ก็เป็นคนเดียวที่ยืนอยู่ข้างๆดอท เวลาที่ดอทไม่มีใคร และไม่ว่าดอทจะทำอะไรที่ต่อให้คนอื่นจะด่าว่าหรือนินทาลับหลังร้ายกาจขนาดไหน ไม่ว่าดอทจะเป็นยังไงในสายตาคนอื่น เผ่าพงศ์ก็ยังเป็นคนที่มีเวลาให้ เป็นคนที่พร้อมจะปลอบประโลมและอ่อนโยนและดูแลดอท ใจเค้าให้มาเต็มร้อย อันนี้ผมโอเคกับเผ่าพงศ์มากๆ ขนาดดอทไปช่วยดินแดนตอนที่บ้าบิ่นจะไปช่วยสกาย เป็นกองหน้าแถมยังยื้อยุดจนสกายหนีไปได้ แถมเล่นซะเผ่าพงศ์ต้องโดนตำรวจสอบนู่นนี่ เค้ายังไม่โกรธดอทเลยสักนิด มีแค่น้อยใจนิดๆหน่อยๆ อันนี้ผมว่าเฮ้ย ใจคุณแมนมากอะ รักใครรักจริง (ตามเส้นพล็อตของอีกเรื่องนี่ ดินแดนกับสกายทำเผ่าพงศ์เยอะมากนะครับ เป็นผมนี่ผมหงุดหงิดปนหัวร้อนเลยล่ะ ยังกับแมลงสาบไม่รู้จักโต มันน่าสั่งสอนนัก มารยาทสังคมนี่ไม่มี)

ปัญหาคือ ด้วยนิสัยเพลย์บอย เจ้าชู้ แล้วก็ทำธุรกิจสีเทาปนมืดของเผ่าพงศ์ ทำให้บางครั้งลักษณะนิสัยของเค้าจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เช่น พอโดนจี้จุดแล้วอารมณ์ร้ายบังตา หน้ามืดเกรี้ยวกราดจนใช้กำลัง อันนี้เป็นนิสัยที่อันตรายมากนะครับ คือคนอยู่ด้วยแล้วมันอันตรายอะ ซึ่งในเคสเผ่าพงศ์ เค้ารักและชอบดอทมาก แต่พอจี้จุดก็มองไม่เห็นเหมือนกัน แสดงว่าการควบคุมตัวเองในสภาวะสติหลุดยังน้อยอยู่ (แต่ไม่ได้สื่อว่าเค้าไม่รัก หรือนิสัยไม่ดีนะครับ) แล้วก็เรื่องเจ้าชู้ แต่เรื่องนี้ผมว่ามันก็เฉยๆอะ อาจจะเพราะผมเป็นผู้ชายด้วยมั้ง (หัวเราะ) เลยมีไบแอสเรื่องความเจ้าชู้ คือถ้าเผ่างศ์ไม่ได้เจ้าชู้ถึงขั้นหาไปเรื่อยแล้วก็ยกนู่นนี่นั่นให้แบบเจ้าสัวแดนสรวง อันนี้ผมโอเคนะ เพราะถามว่าดอทจะไปไล่ตามจิกทุกคนเลยเหรอ มันคงไม่ใช่นิสัยเขามั้ง (แต่ถ้าดอทลองทำขึ้นมาสักครั้งนี่ หูยยย น่าจะแซบเวอร์พริกสิบเม็ดครับ เฮียเผ่าคงตกตะลึง ปนภาคภูมิใจในความหึงของแฟน ฮะๆ) แต่ผมก็เข้าใจมุมมองของดอทนะ เพราะว่าถ้าจะแต่งงานกัน ถ้าจะรักกันจริงๆให้เป็นเรื่องเป็นราว เรื่องแบบนี้มันสร้างความร้าวฉานให้ความสัมพันธ์ ถ้าเฮียหยุดได้ มันก็จะทำให้ชีวิตรักเราราบรื่นขึ้น

ผมชอบที่เผ่าพงศ์ของดอทแต่งงานนะครับ คือโคตรใจอะ ต้องยกนิ้วให้ครับ เผ่าพงศ์คงรู้ตัวดีว่าเค้ารักดอทอย่างจริงจัง แต่นิสัยส่วนตัวของเขามันแก้ยากไง ถ้าไม่มีคนมาช่วยคุม ช่วยหวาน หรือถืออะไรที่เป็นกรอบหลักที่จะทำให้เขาไม่เถลไถล ถ้าดอทแต่งงานกับเขา เขาก็จะมีตัวโฟกัสมากขึ้น ได้รู้ว่าชีวิตของเราทั้งสองคนมันผูกกันไว้แล้วนะ ซึ่งตรงนี้ผมชอบแนวคิดของเฮียเผ่านะ

สำหรับตอนที่ผ่านๆมา ผมไม่ค่อยชอบตระกูลพี่เวย์อะ ไม่รู้สิ ยิ่งคนน้องมาสมคบคิดกับดินแดนโดยที่ไม่บอกอะไรดอทด้วย ผมยิ่งรู้สึกไม่ชอบ คือจะทำอะไรก็บอกมา ดอทรู้สภาพตัวเองอยู่แล้ว เค้าไม่อยากให้คนอื่นรู้แหละ แต่ถ้าจะแก้กันด้วยยาหรือเทคอะไรก็อธิบายบ้าง ไม่ใช่ตีเนียน ดินแดนก็เหมือนกัน ไม่ใช่เอะอะอะไรแอบทำเงียบๆไม่บอกใคร เพราะคิดว่าแผนข้านี่แหละเลิศล้ำที่สุด นิสัยแบบนี้ไงมันถึงสร้างปัญหา เพราะคนอื่นเค้าไม่ชอบครับ ไม่มีใครชอบที่คุณแอบทำอะไรเกี่ยวกับคนๆนั้น แล้วคนๆนั้นยืนบื้อให้เชิดวิ่งเล่นเป็นหุ่นกระบอก (No one wanted to be played) ถ้าดอทรู้เรื่องขึ้นมาจริงๆนี่ เค้าคงผิดหวังและเสียความรู้สึกกับทั้งสองคน ซึ่งมันก็สมควรแล้วด้วยครับ (ผมรอดูฉากรู้ความจริงอยู่นะครับ)

นิสัยดอทนี่ผมชอบมาก เป็นตัวนางที่มีมิติและสมจริงดีมากเลยครับ ฉลาด ทันคน เอาแต่ใจหน่อยๆ เป็นคนดีมีศีลธรรม มีความอดทนมุ่งมั่นสูง เมื่อเจอคนที่รับไม่ได้จริงๆ ถ้าจะเหวี่ยงและร้ายกลับ ก็ทำอย่างมีมารยาทและดูดี ไม่ร้านตลาด สามารถทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวซะบ้างว่านิสัยคุณมันไร้มารยาทและทรามขนาดไหน ผมประทับใจหลายฉากนะครับ
- ฉากที่พอมีคนทักว่าเฮ้ยคุณเทคยาอะไร แล้วดอทสะกิดใจว่ามันไม่เขียนบอกด้วย เลยจะเอาไปเทสต์ นี่ถือว่าใช้ได้เลยนะครับ มีไหวพริบ ไม่โง่ ฉลาด ไม่ไว้ใจคนง่ายๆและระวังตัว ส่วนฉากเหยียดอนุภรรยานิสัยทรามของเจ้าสัวแดนสรวงนี่ก็ถือว่าโอเคเลย ดูดี ไม่ได้จิกเหมือนนางร้ายละครช่องเจ็ด (นี่ขนาดเมียน้อยพ่อที่ไม่ได้อะไรมากนะครับ นี่ถ้าดอทลองแสดงบทหึงเฮียให้ดูบ้าง นี่คงแซ่บเวอร์ รอติดตามแบบชิดขอบจอเลยครับ ฮะๆ)
- ส่วนอีกฉากที่ผมนับถือมากในนิสัยของดอท คือฉากที่หมอมันแอบมาปล้นจูบลวนลาม คือสเตตัสมันมาเป็นเพื่อนก่อนไงครับ แล้วเอาจริงๆหมอวรรษนี่ให้อารมณ์เพื่อนสนิทด้วยนะครับ ผมเชียร์ให้หมอเป็นเพื่อนสนิทดอทนะ เพราะคุณเนม...ก็ท่าทางจะไม่ได้เป็นคนดีจริงๆ เอาแต่ใจแล้วก็ไม่ค่อยฟังคนอื่น โวยวายไปก่อน แบบนี้เป็นเพื่อนสนิทดอทจะพาดอทประสาทเสียไปด้วยครับ พาลจะกลายเป็นคนนิสัยแย่ๆของสังคมไปซะเปล่า

คนแบบดอทควรได้เพื่อนสนิทเป็นคนดี มองโลกในแง่บวก ให้ลองมองจากมุมคนอื่นบ้าง เพราะในชีวิตจริง มีไม่กี่คนหรอกที่จะกวนประสาทกันไปๆมาๆแล้วเราตลกขำๆ ผ่อนคลาย ไม่ได้ถือเป็นอารมณ์ ส่วนมากก็จะเป็นเพื่อนสนิทกันครับ แล้วมันก็จะทำให้ดอทอารมณ์ดี สนุกกับชีวิต สามารถต่อสู้มรสุมปัญหาชีวิตได้จากคำปรึกษาของเพื่อน

ทีนี้ฉากหมอปล้นจูบผมชอบอะไร? ผมชอบที่ดอทมีความมั่นคงในตัวคนรักครับ เค้ารับปากเผ่าพงศ์จะแต่งงานแล้ว เค้าไม่ควรมาทำอะไรแบบนี้ มันทำให้ดอทรู้สึกแย่และบอกกับหมอวรรษตรงๆว่าอย่าทำ ถ้าไม่อยากให้เค้าเกลียดหรือรู้สึกผิดกับคนรัก มาตรวัดศีลธรรมในตัวดอทมีความเที่ยงตรงและไม่หย่อนคล้อย แม้จะมีความใกล้ชิดมาทำให้หวั่นไหว ผมชอบตรงนี้ มันมีไม่เยอะนะครับที่เราเอาชนะความต้องการได้ด้วยความมีศีลธรรมและกฏระเบียบในของสังคม ถึงช่วงท้ายๆตอนที่ 11 มันจะดูยินยอมไปหน่อย ซึ่งตรงนั้นผมก็ไม่ค่อยชอบนะครับ ดอทหลีกจากพี่เวย์มาได้ตั้งนาน มีความแน่วแน่ แล้วทำไมมาหย่อนกับอีตาหมอนี่ล่ะ ทั้งๆที่ปิดบังเรื่องยาด้วยซ้ำ แอบทำอย่างงี้ ผมไม่ประทับใจเลยอะครับ

ส่วนเรื่องเจ้าสัว เดี๋ยวก็ได้รู้ครับว่าผู้หญิงที่นิสัยดีๆน่ะ มันหายากขนาดไหน ได้ภรรยาที่เหมาะสม ชาญฉลาด มีมารยาทและชาติตระกูลดีอย่างแม่ดอท แล้วคุณก็ยังไม่หยุด เดี๋ยวก็จะรู้ว่าผู้หญิงแบบนี้มันหาได้ยาก ยิ่งคุณไปทำจนเค้าเกลียด ก็เป็นเรื่องปกติที่เค้าจะปกป้องลูกของเค้า ว่าควรจะได้สิ่งต่างๆมากกว่าบรรดาอนุภรรยาหรือสายเลือดที่มันไม่ชอบด้วยกฏหมาย เพราะจากมุมมองของเขา การที่เจ้าสัวไม่รักษาระเบียบหรือกฏของสังคม แล้วจะมาให้ว่าแบ่งเท่าๆกันโดยใช้กฏตัวเอง อย่างนี้มันไม่ถูกต้องครับ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 12 : ภาวะบอบช้ำ 《22/08/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 22-08-2018 21:20:04
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ต อ น ที่  12  :  ภ า ว ะ บ อ บ ช้ำ


วันรุ่งขึ้นผมตื่นสายโด่งเพราะเมื่อคืนนอนไม่หลับ แต่ก็ช่างเถอะ ถือเป็นช่วงรีแล็กซ์ก่อนเปิดออฟฟิศใหม่

“อีกสิบนาทีเฮียเข้าไปรับนะ” เสียงผ่านเครื่องมือสื่อสารจากเฮียเผ่า

“เร็วจัง” เข็มนาฬิกาชี้ให้เห็นว่าเพิ่งจะสิบโมงครึ่งจึงแย้งไปเล็กน้อย

“เฮียจะพาดอทไปที่ๆ หนึ่งแล้วไปหาอะไรกินกัน ไม่ได้กินข้าวด้วยกันนานแล้ว”

“หืม ไปไหนเหรอครับ” เรื่องทานข้าวยังไม่ตื่นเต้นเท่าสถานที่ๆ เฮียจะพาไป

“เอาไว้ค่อยบอกตอนไปถึงนะ” เฮียพูดแบบมีลับลมคมใน “แต่ช่วงเย็นเฮียต้องไปต่างจังหวัดแล้วนะ”

“อืมนั่นสิ ว่าแต่ทำไมไปหลายวันจัง ดอทนึกว่าแค่เสาร์อาทิตย์” ใจหายเบาๆ เพราะปกติเฮียไม่ไปไหนนานๆ

“เผื่อกลับมาทันอึ๊บดอท” เขาทำเสียงหื่นจนผมขนลุก

“ไม่คุยด้วยแล้ว รีบมารับนะครับ” ผมตัดบทแล้วรีบวางสาย

กลัวเฮียจับได้จัง..


เฮียมารับตรงเวลาเป็นครั้งที่สองในรอบปีและพาไปที่ว่าการอำเภอ

“มาอำเภอทำไมเหรอครับ อย่าบอกว่าจะพามาจดทะเบียนสมรส” ผมถามติดตลกและก็โดนเฮียบีบจมูกด้วยความหมั่นไส้

“เดี๋ยวนี้แก่แดดนักนะ เสียดายไม่มีเวลา ไม่งั้นดอทจมเตียงแน่” สายตาเฮียทำให้รู้สึกวูบวาบขึ้นมาเพราะค่อนข้างเซนต์ซิทีฟกับสัมผัสของเฮีย จะว่าแพ้ทางก็ได้ของมันเคยมือกันอยู่

“แล้วเรามาอำเภอทำไมเหรอครับ” 

“ตามมาสิ” เฮียจูงมือผมไปสำนักงานที่ดิน


“เฮียมาโอนที่ดินให้ดอท” พอขึ้นไปแล้วเฮียก็เฉลยออกมา

“ที่ดิน ยังไงครับ!?” ผมเบิกตาโตเพราะไม่เคยระแคะระคายเรื่องนี้

“ที่ดินที่จะทำบ้านของเราไง เฮียอยากให้ดอทมั่นใจว่าที่เฮียทำทุกอย่างเพื่อดอทได้และเฮียจะทำทุกอย่างให้เราได้อยู่ด้วยกัน” เขามองหน้าผมด้วยแววตาที่สะท้อนความรักใคร่เอ็นดูอย่างล้นปริ่ม

“เฮีย..” พูดได้แค่นั้นแล้วน้ำตาก็รื้นขึ้นเพราะความซาบซึ้งใจ “ให้เป็นชื่อเราสองคนดีกว่า”

เฮียส่ายหน้า “เฮียอยากให้ดอท ที่จริงมันเล็กน้อยด้วยซ้ำเพราะที่เฮียมีมันมากมายกว่านี้หลายเท่า แต่พวกบริษัทอะไรๆ มันเป็นของกงสี เฮียไม่อยากให้ดอทต้องไปปะทะกับพวกนั้น  ถือซะว่านี่เป็นของขวัญที่ดอทให้โอกาสเฮียก็แล้วกันนะ รับไว้เถอะ นะครับ” เฮียเกลี้ยกล่อมพลางกอบกุมมือไว้แน่น ผมจึงกระชับมือกลับไป

“ขอบคุณนะครับ เฮียดีกับดอทมาตลอดเลย ดอทรักเฮียนะ” น้ำตาผมไหลลงมาอาบแก้ม รู้สึกซาบซึ้งจนกลั้นไว้ไม่ไหว

เฮียเผ่ายิ้มอ่อนโยนแล้วช่วยเช็ดน้ำตาให้ก่อนจะพาไปดำเนินการอย่างที่ตั้งใจ


ไม่นานนักการโอนที่ดินก็เสร็จโดยไม่ต้องรอคิว ที่เมืองไทยถ้าคุณมีเงินคุณก็จะเซฟเวลาได้ค่อนข้างมาก ผมไม่แปลกใจว่าทำไมคนจนถึงรวยช้า เพราะเขาไม่สามารถทำอะไรโดยใช้ทางลัดได้เลย

เราสองคนทานอาหารกลางวันด้วยความชื่นมื่น ไม่ใช่เพราะได้ที่ดิน แต่เพราะความเข้าอกเข้าใจที่มากขึ้น เฮียไม่ค่อยเอาแต่ใจตัวเองเหมือนเมื่อก่อน แต่ยังเหลืออยู่หนึ่งเรื่องที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอม

“เฮียไม่รู้ว่าดอทไปบ้านป๋ากับไอ้ดินแดนนั่น ไม่งั้นเฮียจะไปส่งเองดีกว่า”  ผมอยากตบปากตัวเองที่เผลอเล่าเรื่องเมื่อวานและเฮียก็รู้จนได้ว่าดินแดนไปด้วย

“โธ่เฮีย ตาดินก็น้องดอท จะไปด้วยกันก็ไม่เห็นเป็นไรเลย”

“เฮียไม่อยากให้ดอทนับญาติกับมัน ที่เฮียต้องเกือบติดคุกก็เพราะมัน นี่ถ้าไม่ได้ผู้หลักผู้ใหญ่ที่รู้จักกันช่วยวิ่งเต้นป่านนี้ไม่ต้องไปนอนในคุกแล้วเหรอ ถ้าดอทรักเฮียก็อย่าไปยุ่งอะไรกับมันนะ เฮียเกลียดมัน”

ผมลูบหลังให้เขาเย็นลง  นี่ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้วยังโมโหเรื่องนี้ไม่หาย คงต้องให้เวลาเฮียอีกสักพัก

“โอเคครับ ถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่ยุ่ง” ผมบอกเพื่อให้เขาสบายใจ

“ดีแล้วไม่ต้องไปยุ่งกับมัน เฮียไม่ชอบปากมัน ปากหมา” เฮียด่าแล้วดื่มน้ำจนหมดแก้วคล้ายกับจะดับความร้อนในร่างกาย  สงสัยจะเกลียดมาก

เฮ้อ แล้วผมจะทำให้สองคนนี้ญาติดีกันได้ไหมเนี่ย หนักใจจัง



เมื่อทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วเฮียก็พามาที่ร้านกาแฟที่เดิม พอเราสองคนมาถึง พี่เวย์ก็นั่งรออยู่ก่อนแล้ว มาก่อนเวลาตลอดเลยนะ ขยันเกินมนุษมนาน่าหมั่นไส้

“อีกคนยังไม่มาเหรอ” เฮียน่าจะเริ่มหงุดหงิดเมื่อไม่เห็นอีกคน

“กำลังมาครับ เดี๋ยวคงถึง” สีหน้าพี่เวย์ดูกังวลเพราะคงรู้ว่าเฮียเริ่มไม่พอใจ

“งั้นเดี๋ยวขอไปสั่งกาแฟก่อนนะครับ ดอทเอาเหมือนเดิมใช่มั้ย” เฮียเผ่าถาม

“ครับ อย่าลืมวิปนะ” ผมบอก

“ไม่ลืมหรอกครับ ชอบอะไรก็ชอบเหมือนเดิมตลอด ดอทน่ะเรื่องน้อยที่สุดในโลกแล้วนะ” เฮียจับคางผมส่ายแล้วยิ้มบางๆ

หะหะ

รู้สึกเกร็งเบาๆ เพราะเหมือนมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องอยู่


“รักกันมากสินะครับ” พี่เวย์ถามเมื่อเฮียเผ่าเดินออกไปจากรัศมีการได้ยิน

จะว่ายังไงดี คือ.. มันเป็นคำถามที่เหมือนถามเฉยๆ แต่ก็เหมือนจะประชดด้วย แล้วเขาถามเฉยๆ หรือประชดกันล่ะ

“ก็น่าจะน้อยกว่าคุณกับเนมมั้งครับเพราะคู่ผมยังไม่มีลูก” โอ้ยย อยากตบปากตัวเอง อยู่ดีดีไปแซะเขาทำไมเนี่ย!

พี่เวย์เลิกคิ้วขึ้นจ้องมาเหมือนกับว่าผมพูดอะไรที่เข้าใจยาก

“งั้นเหรอครับ” เขาพูดเสียงเรียบจากนั้นก็หยิบนามบัตรขึ้นมาวางไว้ตรงหน้าผม “เนมฝากมาให้ครับ คุยกับเพื่อนบ้างก็ดีนะ” เขาพูดเหมือนตำหนิ

“ขอบคุณที่แนะนำครับ” ผมหยิบนามบัตรเข้ากระเป๋า รู้สึกคอแข็งๆ เวลาคุยกับพี่เวย์ ไม่รู้จะเชิดคอเก๊กหน้าทำไมนักหนา ทำตัวให้เป็นธรรมชาติน่ะเป็นไหมชนม์แดน อย่าเยอะสิอย่าเยอะ

“ได้แล้วเครื่องดื่มเด็กประถม” เฮียเผ่าวางแก้วลาเต้ลงบนโต๊ะ

ผมหันไปย่นหน้าใส่ “ก็กินได้แค่แบบนี้นี่นา” ว่าแล้วก็ดูดกาแฟเข้าปากแก้กระหาย

“ครั้งที่แล้วเห็นกินเอสเปรสโซ่ได้ไม่ใช่เหรอครับ หรือผมเข้าใจผิด” พี่เวย์ถามขึ้น

แค่ก! แค่กๆๆๆๆ

ผมสำลักออกมาทันที  นึกถึงครั้งก่อนที่กินกาแฟของพี่เวย์แล้วโมโหตัวเอง ก็มันขมซะขนาดนั้นผมดูดเข้าปากไปได้ยังไงก็ไม่รู้ แล้วดูเขาทำหน้าสิ ทำเป็นถามหน้าซื่อตาใสราวกับเทพบุตรแต่ที่จริงซาตานชัดๆ

“หืม กินได้ด้วยเหรอ” เฮียเผ่านั่งลงแล้วมองผมอย่างแปลกใจ

“ม..ไม่ใช่ซะหน่อย คุณเวย์คงเข้าใจผิดไปเองมั้งครับ” ผมมองพี่เวย์ด้วยสีหน้าตำหนิ

“ผมแค่ล้อเล่นน่ะ แฟนคุณเผ่าดุเหมือนกันนะครับ” พี่เวย์ยิ้มให้เฮีย

“ดุครับ ดุแบบนิ่มๆ ไม่เคยใส่อารมณ์หรือขึ้นเสียงหรอกแต่แค่มองนิ่งๆ ตาดุๆ แค่นั้นผมก็หงอแล้วล่ะ” เฮียโอบไหล่ผมแล้วหัวเราะเบาๆ

“อิจฉาแทนเลยครับ มีแฟนน่ารักมาก” พี่เวย์พูดอะไรออกมา

ผมนี่กลั้นหายใจแทบไม่ทัน

“แฟนคุณเวย์ก็น่ารักนะครับเฮีย  เป็นเพื่อนสมัยเรียนของดอทด้วยนะ” ผมหันไปบอกเฮีย

“เอ๊ะ มีแฟนเมื่อไหร่เหรอครับ ก็คราวก่อน..”

“เรื่องของผมไม่สำคัญหรอกครับ มาคุยเรื่องงานดีกว่าเดี๋ยวคุณเผ่าจะเดินทางล่าช้า” พี่เวย์ตัดบท

“เอางั้นก็ได้ครับจะได้สร้างเสร็จเร็วๆ อยู่กันคนละบ้านมานานเกินไปแล้ว อยากลงหลักปักฐานเป็นเรื่องเป็นราวซะที” เฮียมองผมด้วยสายตาหวานเชื่อม

ผมเองก็อดยิ้มให้เฮียไม่ได้ เฮียไม่เคยอายที่จะบอกใครว่าจริงจังกับผม แต่ก็นั่นแหละ บอกใครๆ ว่ามีผมแต่ก็ไม่หยุดคบคนอื่นไปด้วยซะที

หันไปมองพี่เวย์ เห็นสายตาที่ส่งมา เหมือนตำหนิ เหมือนไม่พอใจ หรือบางทีผมอาจจะคิดไปเองก็ได้

“ห้องนอนผมอยากได้แบบกว้างๆ” เฮียเริ่มบอกสเป๊คงาน “มีมุมนั้นมุมนี้หลากหลายจะได้อยู่ในห้องได้ทั้งวันไม่เบื่อ  อ้อ ขอติดกระจกตรงโซนเตียงนอนเยอะๆ เลยนะครับ ผมอยากเห็นทุกมุมของดอท”

!!!!!??

ฮืออออออ ทำไมเฮียต้องบรรยายอะไรแบบนี้ด้วยยยย  ดูพี่เวย์ทำหน้าสิ อารมณ์ไหนไม่รู้แต่เส้นเลือดที่ขมับทำไมดูปูดๆ แบบนั้น หรือผมจะคิดไปเองอีกแล้ว

ขณะที่กำลังกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่นั้น ได้มีร่างหนึ่งก้าวเข้ามาหยุดยืนที่ข้างโต๊ะ

“สวัสดีครับ ขอโทษทีผมเคลียร์งานติดพันไปหน่อย”   

เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง วิญญาณก็แทบจะหลุดออกจากร่าง..

ชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว หน้าตาดูดีแบบหนุ่มเกาหลีเทรนด์นิยม เหมือนหมอประสาทมาก  แต่ไม่น่าใช่หรอก โลกมันต้องไม่กลมขนาดนี้สิ

“อ้าวมาแล้วเหรอ” พี่เวย์ทัก “นึกว่าต้องไปลากออกจากคลินิกซะอีก” 

หน้าเหมือนหมอประสาท แถมยังมีคลินิกด้วย ฮืออ เหลืออย่างเดียวคือชื่อ อย่านะ อย่าชื่อวรรตเด็ดขาดนะ!

“นี่วรรตครับ น้องชายผมเอง วรรตถนัดงานภูมิทัศน์ครับ รับรองฝีมือเนี้ยบหาตัวจับยาก”

WHAT!!?

ไม่ใช่ WHAT แต่เป็น WRRT!!

ชื่อวรรตจริงด้วย!! ตายๆๆๆๆๆ ชนม์แดนนายตายแน่!

ตรงนี้มีเฮียซึ่งเป็นคนรักนั่งอยู่ข้างๆ  ตรงข้ามคือพี่เวย์เป็นคนที่เคยมาจีบแต่ผมไม่เอาแต่ก็หงุดหงิดใจทุกครั้งที่คิดว่าทำไมไม่เอา แล้วยังมีหมอวรรตคนพี่เพิ่งจูบกันไปเมื่อคืน แถมยังเป็นน้องของพี่เวย์อีก

งานนี้แกล้งตายยังไม่พอ ต้องระเบิดฆ่าตัวตายจะเหมาะกว่า ศพจะได้เละเป็นชิ้นๆ ไม่ต้องสืบว่าเป็นใคร

“ฝากตัวด้วยนะครับ งานไม่ดีบอกแก้ได้เลยไม่ต้องเกรงใจ” หมอวรรตบอกเฮียเผ่า แล้วหันมามองผม

ชิ้ง~~

เหมือนมีซาวด์เอฟเฟคดังขึ้นเมื่อสายตาของเราสบกัน  ในวินาทีนั้นผมเผลอกัดปากตัวเองเมื่อนึกถึงจูบเมื่อคืน

“ยินดีครับ” เฮียบอกแล้วหันมาหาผม  “ดอทเป็นอะไร ทำหน้าเหมือนเห็นจานบิน”

เห็นจานบินยังไม่ช็อคเท่านี้เลยครับ ฮืออออ

“..ข..ขอ..ดอทไปห้องน้ำนะครับ เดี๋ยวมา” ผมว่าแล้วไม่รอการอนุญาตแต่ลุกขึ้นมาทันที

มิน่าถึงได้คุ้นหน้าหมอวรรต มันไม่เหมือนซะทีเดียวแต่คลับคล้ายคลับคลา  ไม่คิดว่าจะเป็นพี่น้องกัน แถมยังมารับงานด้วยกันให้กับว่าที่สามีในอนาคตของผมเสียอีก  โอ้ยยย เกลียดความกลมของโลกใบนี้!!



“ดอทเป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงเฮียมาเคาะเรียกหน้าห้องน้ำ  ผมอยู่ในนี้เกินสิบนาทีแล้วและคงต้องออกไปเสียที

“ท้องเสียนิดหน่อยครับ ตอนนี้โอเคแล้ว” ออกมาล้างไม้ล้างมือไม่กล้าเงยหน้าสบตาเฮียเลยตอนนี้

“มีไข้ไหม หน้าซีดๆ กลับก่อนก็ได้นะ” เฮียยื่นมือมาอังที่หน้าผาก

“ม..ไม่เป็นไรครับ ดอทดีขึ้นมากแล้ว” ผมยิ้มเจื่อน

“งั้นคุยๆ แล้วรีบกลับเนาะ เดี๋ยวเฮียไปส่งที่บ้าน”

“ครับ” ผมรับคำแล้วเราก็เดินออกมาจากห้องน้ำ

หลังจากนั้นผมพยายามควบคุมสติและทุกอย่างก็เสร็จในเวลาบ่ายสามครึ่ง

“เนมบอกจะแวะมา คุณดอทสะดวกรอไหมครับ” พี่เวย์ถามเมื่อพวกเราเก็บของเรียบร้อยเตรียมจะกลับ

“ค..คือ..” ผมอึกอัก

“ถ้าไม่ไหวก็กลับไปพักดีกว่านะ เฮียเป็นห่วง” เฮียเผ่าเอื้อมมือมาจับเนื้อจับตัวผมทั้งแก้มทั้งคอทั้งหน้าผากจนอดเหลือบมองสายตาสองคู่ที่นั่งฝั่งตรงข้ามไม่ได้

ชิ้ง~

ชิ้ง~

เสียงดังออกมาจากดวงตาทั้งสี่ดวง ฮืออ หรือผมคิดไปเองเป็นรอบที่ร้อย

“เอ่อ..” ผมยังลังเล อยากคุยกับเนมแต่ไม่อยากอยู่กับผู้ชายสองคนนี้  จะไปไหนก็ไปเลยไป๊

“แต่ถ้าไหวก็อยู่ได้ นานๆ จะเจอเพื่อน เฮียก็อยากให้ดอทคบเพื่อนคบฝูงบ้างเหมือนกัน ชอบเครียดอะไรอยู่คนเดียวมันไม่ดีหรอก”

แหะๆ

ถ้าเฮียรู้ว่าช่วงนี้ไปเที่ยวเล่นกับอีตาหมอประสาททุกวันแล้วเฮียจะฆ่าใครก่อนนะ ผมหรืออีตานั่นที่นั่งทำหน้าเหมือนคนท้องผูก

“ก็ได้ครับ” ผมตอบรับ

“งั้นดอทจะให้เฮียรอไหม” เฮียเผ่าถาม

“เฮียไปเตรียมตัวเดินทางดีกว่า เดี๋ยวดอทให้น้าเวชมารับก็ได้ครับ”

“งั้นถึงบ้านแล้วโทรมานะ” เฮียลูบหัวเบาๆ “ขอชื่นใจหน่อยเผื่อไม่เจอหลายวัน”

ตัวผมนิ่งค้าง ทำไมเฮียต้องมาหวานเอาตอนนี้ ต่อหน้าผู้ชายสองคนนี้!

แต่เพื่อเฮียที่เป็นคนรักตัวจริงซึ่งผมกำลังจะอยู่กินด้วย ผมต้องแคร์เฮียมากกว่าคนอื่นๆ สิถึงจะถูก

ผมเอียงแก้มซ้าย แล้วเฮียก็ยิ้มแล้วจุ๊บแก้มซ้าย แล้วผมก็ป่องแก้มขวานิดหน่อย

“มีแถมให้ด้วย” เฮียยิ้มล้อแล้วก้มลงมาจุ๊บแก้มขวาอีกที

เหมือนมีออร่าสีดำทะมึนก่อตัวอยู่ด้านตรงข้าม ผมพยายามไม่มองไปทานนั้นจะได้ไม่กดดันจนเกินไป

“ถ้างั้นผมขอตัวก่อนครับไว้เรานัดกันใหม่ มีอะไรโทรคุยกับดอทได้เลย” เฮียหันไปบอกพี่เวย์กับหมอวรรตแล้วยื่นมือไปจับกับทั้งสองคน

เมื่อจับมือลากันแล้ว เฮียก็ออกไป ทิ้งผมให้เผชิญหน้ากับสองพี่น้องตัว ว.

“น..เนม เนมจะมากี่โมงครับ” ถามปากคอสั่น ไม่รู้จะมองใครก่อนดี

“อีกประมาณครึ่งชั่วโมงเพราะต้องไปรับเรย์เรย์ก่อน” พี่เวย์ตอบเสียงเย็น

“กาแฟร้านนี้โคตรหวานเลยเนาะพี่เวย์เนาะ” เอาแล้วๆ นั่งปิดปากอยู่อย่างเดิมโลกก็สงบสุขดี พอเปิดเท่านั้นแหละ ก้นผมก็ร้อนเหมือนกำลังโดนไฟเผา “กินกาแฟแล้วมีกับแก้ม เอ้ย แกล้มซะด้วย น่าอิจฉา”

ผมพรูลมหายใจออกมาพยายามเก็บกลั้นอารมณ์เพราะน้ำเสียงของหมอประสาทที่ฟังจากภูกระดึงยังรู้ว่าประชด

“พูดน้อยๆ หน่อยเถอะนายน่ะ” พี่เวย์ช่วยเบรกไว้ให้ เย้ พี่เวย์คนดีที่หนึ่ง “คนที่นั่งคุยเสียงมันไม่ดังเท่าคนที่นอนคุยหรอก ฉันเคยมาแล้ว นั่งคุยอยู่ตั้งสามสี่ปี เขานอนคุยแป๊บเดียวคว้าได้ทั้งหัวทั้งหางกินกลางไปจนหมดตัว”

เจ็บ..

จุก..

แรงปะทะจากคำพูดของพี่เวย์รุนแรงจนตั้งตัวไม่ติด

ขอเอาคำชมคืนนะ ทำไมพี่เวย์กลายเป็นคนแบบนี้ไปได้!

ผมกัดฟันพยายามอดทน พี่เวย์เคยเป็นสุภาพบุรุษมากแต่กล้าพูดออกมาลักษณะนี้ได้คงเกลียดจนเข้ากระดูกดำไปแล้ว  แต่มันก็สมควรเพราะผมมันน่ารังเกียจ ความจริงที่เขาทำมันเบาไปด้วยซ้ำ ถ้าเขาจะด่าแรงกว่านี้เขาก็มีสิทธิ์

มีสิทธิ์ด่าตั้งแต่วันนั้นที่ผมไล่เขาด้วยซ้ำไป คนเลวๆ ก็สมควรที่จะถูกกระทำแล้ว สมควรแล้ว..

ได้แต่ก้มหน้ามองขอบโต๊ะกัดฟันข่มความเจ็บปวด

แต่แล้วผมก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ คำพูดของพี่เวย์แรงมาก โดยเฉพาะเป็นพี่เวย์พูดมันก็แรงขึ้นอีกเป็นเท่าทวีคูณ

“..ข..ขอไปห้องน้ำก่อนนะครับ” แล้วผมก็ลุกออกมาทันที


“พี่พูดแรงไปแล้วนะ”

“ก็เขาตั้งใจเย้ยฉัน อ้อนแฟนซะขนาดนั้นตั้งใจจะข่มกันชัดๆ”

“ก็ไม่เห็นต้องพูดแรงขนาดนั้นเลย เขาแคร์พี่เวย์กว่าใครทั้งหมดเห็นไหมน้ำตาไหลจนได้”

“เขาจะแคร์ฉันทำไม ไม่เคยแคร์หรอก แล้วนายอย่ามาพูดดี นายนั่นแหละเป็นคนเริ่มก่อน”




ผมนั่งร้องไห้อยู่ในห้องน้ำ ไม่อยากออกไปแล้ว ไม่อยากเจอพวกเขา ผมไม่กล้าไปสู้หน้าใครอีก  แม้แต่เนมก็ไม่อยากเจอแล้ว

“ดอท อยู่ในนี้หรือเปล่า” เสียงเนมเรียก “แกเป็นอะไรไหมเห็นสองหนุ่มเขาบอกมาเข้าห้องน้ำตั้งนานแล้วแต่ไม่ออกไปซะที” 

ผมไม่ออกไปได้ไหมนะ ไม่อยากเจอใครเลย..

“ออกมาเถอะแก ฉันคิดถึงแกนะ เราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกก็ได้ ออกมาคุยกันหน่อย” เนมเกลี้ยกล่อม

ผมตัดสินใจเปิดประตูออกมา ทั้งๆ ที่พยายามฮึบแล้ว เช็ดน้ำตาแห้งแล้ว และตั้งใจจะไม่ร้องอีก แต่พอเห็นเนมยืนอยู่หน้าประตู ผมก็ทนไม่ไหวโผเข้ากอดมันทันที

“ฮืออๆๆ”  ผมร้องไห้โฮออกมาแบบไม่อาย

“ฮึกๆ ฮึก ฮึกๆ” พอเริ่มร้องแล้วมันก็หยุดไม่ได้ ผมสะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น

“โธ่แก ฉันช่วยอะไรแกได้บ้างไหม” เนมลูบหลังปลอบ

ยิ่งได้เห็นสีหน้าเห็นอกเห็นใจจากเพื่อนเก่าก็ยิ่งสะเทือนใจ เหตุการณ์ในอดีตมันฉายชัดขึ้นเป็นภาพและสิ่งที่เก็บกลั้นอยู่ข้างในก็ได้เวลาระเบิดออกมา

“ฮึก..แกนั่นแหละ ฮึก..เพราะแกนั่นแหละเนม เพราะแกคนเดียว แกคนเดียว! ฮึกๆ ฮืออ” 

“เออๆ ด่ามา มีอะไรพูดออกมาให้หมด เลิกเป็นคนเก็บกดได้แล้ว” เนมยื่นทิชชูให้เช็ดน้ำตาน้ำมูกที่ไหลทะลักออกมาไม่ขาด

จะพูดได้เหรอเนม พูดได้เหรอว่าแคร์คำพูดของแฟนแกมากถึงขนาดบ่อน้ำตาแตก พูดได้เหรอว่าไปจูบกับผู้ชายคนอื่น ทั้งๆ ที่กำลังสร้างเรือนหอจะลงหลักปักฐานกับผู้ชายอีกคน  สิ่งที่ฉันคิดและทำมันแย่มันเลวร้ายเกินกว่าจะบอกใครได้

ที่พูดได้ก็แค่เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเรา

“ฮึก.. แกทิ้งฉันเพราะผู้ชาย แกเป็นต้นเหตุให้ฉันก้าวผิดทาง ฮึก เพราะแกคนเดียว เนมเพราะแกคนเดียว!” ทั้งๆ ที่กอดร่างของเนมไว้แน่นแต่ผมกลับกล่าวโทษเนมออกมาเต็มปากเต็มคำ

“เออ ยอมรับ” เนมกอดปลอบแล้วทุบหลังเบาๆ “ขอโทษเว้ย ขอโทษจริงๆ”

“ฮือๆๆ ฮืออออ” ได้ยินคำขอโทษก็ยิ่งปล่อยโฮออกมายกใหญ่  เนมก็คือเนมคนเดิม กล้าพูดในสิ่งที่อยากพูดได้เสมอ ไม่เหมือนผมที่ชอบอมพะนำ คิดอย่างแต่กลับทำอีกอย่าง ผมนี่มันโง่เง่าเกินไปจริงๆ

“ฉันอยากขอโทษมาตั้งนานแล้วนะดอท ฉันมันงี่เง่า จะว่าเลวก็ได้อะ แต่ตอนนั้นมีเรื่องให้เครียดหลายอย่าง ทั้งเรื่องย้ายบ้านกะทันหัน ต้องย้ายไปเรียนต่างประเทศ แถมยังไปประเทศที่ไม่เจริญ แบบย้ายไปไม่ดีอะ เงินก็จำกัดจำเขี่ย ชีวิตกำลังจะดิ่งลงเหวอะแกเข้าใจปะ แล้วยังมาเจอเรื่องพี่เวย์ก็เลยพาลมาลงที่แก”

“ฮือๆๆๆ” ผมเอาแต่ร้องไห้ ได้ฟังเรื่องของมันก็ยิ่งเสียใจ เพื่อนเดือดร้อนแต่ผมกลับไม่เคยรับรู้อะไรเลย

“ถ้าไม่หายโกรธแกจะตบฉันก็ได้เว้ยดอท รับรองไม่สู้แต่อยากให้แกรับคำขอโทษฉันหน่อย ฉันรู้สึกผิดกับแกจริงๆ ขอโทษ ขอโทษนะแก” เนมพูดเสียงสั่นเครือแต่ไม่มีน้ำตา 

เป็นปกติของเนมอยู่แล้วที่จะไม่ร้องไห้กับเรื่องอะไรง่ายๆ ซึ่งผมเองนับถือนิสัยของมันมากเพราะตัวผมเองไม่สามารถทำแบบที่มันทำได้เลย

“ขอ ฮึก กอด..ก็พอ ฮึกๆ” ผมได้แต่ซุกหน้าบนไหล่มันแล้วรวบกอดไว้แน่น

“ขอบใจเว้ย ฉันรักแกนะดอท” เนมกระชับกอดกลับมาเป็นอันรู้กันว่าเรื่องของเราสองคนเคลียร์ใจกันไปแล้ว

แต่ที่น้ำตายังไม่หยุดไหลเพราะเสียงแดกดันของพี่เวย์ยังคงก้องอยู่ในหู



ต่อ..

หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 12 : ภาวะบอบช้ำ 《22/08/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 22-08-2018 21:49:49
“เป็นไงมั่ง” พี่เวย์ตามเข้ามาในห้องน้ำ ได้ยินเสียงแล้วยิ่งเจ็บจนต้องรวบกอดเนมแน่นขึ้น น้ำตาไหลก็ยิ่งไหลหนักขึ้นอีก

“กู่ไม่กลับเลยพี่เวย์ ร้องไห้หนักมากกกกก” เนมรายงานพลางลูบหลังปลุกปลอบ

“เดี๋ยวพี่คุยเอง เนมออกไปก่อน” พี่เวย์บอก

อย่าไปนะเนม อยู่กับฉัน อย่าไปนะ ผมกอดเนมแน่นขึ้นจนเนมร้องออกมา

“แกๆ ปล่อยก่อนฉันหายใจไม่ออก” มันพยายามลูบหลังเพื่อให้ผมผ่อนคลายขึ้นก่อนจะดันตัวผมออก “มีอะไรก็เคลียร์กัน แกต้องหัดพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาบ้าง อยากด่าก็ด่าเหมือนที่แกด่าฉันเมื่อกี้ไง อย่าไปคิดถึงคนอื่นให้มาก คิดถึงตัวเองเยอะๆ นะดอท”

ก็อยากทำแบบนั้นแต่มันทำไม่ได้ไง 

“ฮึก ไม่เอาไม่คุย ไม่อยาก ฮึก คุย ฮือๆๆ” ผมสะอื้นมองหน้าเนมแล้วส่ายหัวดิก

เนมไม่ฟังที่ผมบอกแต่มันแกะมือผมออกแล้วเดินออกไป “ฝากด้วยนะพี่เวย์” 

พอเนมออกไป ผมก็เดินตาม ก้มหน้าก้มตาไม่อยากมองหรอก เกลียดมากก็ไม่ต้องมายุ่งสิ

“ตามมา” ไม่อารัมภบทอะไรเลย จู่ๆ พี่เวย์ก็ดึงแขนผมให้ออกทางหลังร้าน 

ผมขืนตัวแต่เขาก็ลากไปไม่สนใจอะไรเลย ยิ่งเขามีเป้เอกสารแถมยังต้องลากผมอีกมันก็ทุลักทุเลจนคนหันมามอง “ไม่ ไม่ ฮึก ไม่ไป ฮึกๆ” ผมพยายามกลั้นสะอื้นให้ได้แต่มันก็ยากจริงๆ

พี่เวย์หันมามองหน้าดุๆ แววตาไม่เหมือนผู้ชายอบอุ่นที่ผมเคยรู้จัก น่ากลัวและมีอำนาจ  เขามองเขม็งจนผมไม่กล้าขัดขืน จากนั้นก็ดึงให้เดินตามอีกครั้ง

“ขึ้นรถ” เขาคร่อมมอเตอร์ไซค์แล้วเอาเป้ของตัวเองคล้องแฮนด์รถสองข้างไว้ก่อนจะยื่นหมวกกันน็อกให้

ผมส่ายหน้าแล้วยืนนิ่ง

“รถมอเตอร์ไซค์แบบนี้คุณก็เคยนั่งแล้วไม่ใช่เหรอ คันนี้ยังใหม่และแพงกว่าเดิมด้วยซ้ำ นี่จำไม่ได้หรือไม่มีค่าให้จดจำ” เขาต่อว่าอีกครั้งและทำให้น้ำตานองหน้าหนักขึ้นอีก 

ที่จริงคำพูดไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นแต่อาจด้วยความที่เป็นพี่เวย์จึงกระทบกระเทือนความรู้สึกได้อย่างสาหัส

ไม่อยากฟังคำเสียดสีจากพี่เวย์อีกแล้วจึงหันหลังเดินหนี แต่ยังไม่ได้ก้าวไปถึงไหนก็ถูกกระชากให้หันกลับไปแล้วอุ้มขึ้นไปนั่งพาดอยู่ด้านหน้าแล้วพี่เวย์ก็นั่งคร่อมอยู่ด้านหลัง เขาดันหมวกกันน๊อกใส่ลงมาบนหัวผมลวกๆ แล้วทำท่าจะออกรถผมจึงรีบวาดขาอีกข้างเพื่อคร่อมขี่บนเบาะดีๆ ไม่อย่างนั้นอาจจะตกรถเอาง่ายๆ

แล้วรถก็พุ่งออกไปด้วยความเร็ว

!!!??

บ้าบออะไรกันอีก! เหมือนนางกากีโดนคนนั้นลากไปคนนี้ลากมา

และนี่ก็ไม่ใช่ลากเฉยๆ แต่นั่งเด๋ออยู่ด้านหน้าถูกพี่เวย์เบียดเข้ามาจนแทบจะรวมร่างได้

“ก้มลงไป” เขาดันด้านหลังหมวกกันน็อกของผมลง และผมก็ทำตามอย่างว่าง่าย

ไม่ให้ว่าง่ายได้ยังไงก็ขี่ซะ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นี่มอเตอร์ไซค์นะ แล้วผมนั่งหน้า มันน่ากลัวแค่ไหนไม่มีใครรู้หรอกถ้าไม่มาลองเอง

ผมลุ้นทุกโค้งที่ผ่านมา หลับตาทุกครั้งที่แซงคันอื่น พ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกช้างด้วย!!!

อันตรายเกินไปแล้วนะ!!

แต่พี่เวย์ก็ขี่ได้คล่องมาก ดูเหมือนเป็นหนึ่งเดียวอย่างไรอย่างนั้น

จากหวาดเสียวเริ่มชินขึ้นมา..นิดหน่อย จากนั้นก็พยายามหลับตาไปตลอดทาง

ขี่มาได้ยี่สิบนาทีแล้ว พี่เวย์เลี้ยวเข้าปั๊มเพื่อเติมน้ำมัน

“คุณจะนั่งข้างหน้าเหมือนเดิมหรือจะย้ายไปนั่งข้างหลัง”

“ข้างหลัง” ผมตอบทันที ตอนนี้นั่งไหนก็ได้แต่ต้องไม่ใช่ที่เดิม บอกตามตรงว่าทั้งเจ็บไข่ทั้งเมื่อยหลังทั้งหวาดเสียว กลัวจนหายเสียใจ น้ำตาก็แห้งเหือดไปแล้วด้วยซ้ำ

พี่เวย์ขยับไปด้านหลังเพื่อให้ผมลง เขาจับข้อมือผมไว้ไม่ปล่อย คงกลัวว่าจะหนี 

หึ จ้างให้ก็ไม่หนีเพราะถ้าโดนจับได้อีกก็ต้องถูกจับไปนั่งข้างหน้าแบบนั้นอีกแน่ ให้ตายก็ไม่ยอมหรอก

ตอนนี้กำลังรอพนักงานมาเติมน้ำมัน ฝาถังอยู่ด้านหน้าเขาจึงนั่งคร่อมรอได้ แต่อยู่ๆ เสียงมือถือของพี่เวยก็ดัง เขาหยิบออกมาดูแล้วถอนหายใจ

“เอามือถือมา” แทนที่จะไปคุยโทรศัพท์ของตัวเองแต่กลับแบมือขอโทรศัพท์ผม

ตอนแรกก็จะไม่ให้แต่เห็นสายตาดุๆ ของเขาแล้วจำใจเปิดกระเป๋าคาดอกควักมือถือไปให้อย่างง่ายดาย 

นี่ผมโดนป้ายยาเสน่ห์หรือเปล่า ทำไมกับพี่เวย์แล้วกลายเป็นลูกเจี๊ยบที่ไร้ทางสู้แบบนี้

“คุณอยู่ตรงนี้ เติมน้ำมันเต็มถังแล้วจ่ายตังค์ให้ด้วย” เขายัดแบงค์ห้าร้อยใส่มือผมแล้วเดินห่างออกไปแต่สายตาไม่ยอมหลุดโฟกัสที่พุ่งตรงมาทางนี้

เวรกรรมอะไรของนายนะชนม์แดน เจอเคสยากตลอด นี่ถ้าเขียนนิยายต้องยาวหลายตอนแน่ๆ



“ฮัลโหลว่าไง”

“พี่หลอกให้ผมพาเรย์เรย์ไปซื้อขนมแล้วพี่แอบพาดอทออกไปเนี่ยนะ”

“ก็เขาร้องไห้”

“ร้องไห้ก็ปลอบในร้านสิ จะพาออกทำไม”

“ทีนายยังแอบเจอกับเขา ฉันบอกนายแล้วว่ารอให้เขาเลิกกับแฟนแล้วค่อยเข้าไปยุ่ง นายก็ไม่เคยเชื่อ”

“แล้วพี่ล่ะ ตอนนี้ไม่ยุ่งเหรอ พาดอทกลับบ้านเลยนะอย่าพาไปไหน”

“ฉันจะพาไปไหนก็เรื่องของฉัน นายดูแลเรย์เรย์ให้ดีเถอะ ลูกคิดถึงจะแย่อยู่แล้ว”

“พี่เวย์อย่าขี้โกงดิ”

“ฉันไม่ล่วงเกินเขาหรอก ไม่เคยทำ แล้วจะไม่ทำด้วย แค่นี้นะ”





พอคุยโทรศัพท์เสร็จร่างสูงจึงเดินกลับมา พูดกันตามตรงถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ท่าเดินพี่เวย์เท่มากๆ วันนี้ใส่กางเกงยีนส์ขาดเข่า แล้วช่วงขาที่ยาวแบบนั้นใส่ยีนส์แล้วเท่เป็นบ้า

“สามร้อยแปดสิบบาทครับ” หน้าก็หล่อ หล่อแบบมองทั้งวันก็ไม่เบื่อ “คุณครับ สามร้อยแปดสิบครับ”

“นี่คุณ พนักงานเขารอเงินอยู่นะ” พี่เวย์มายืนอยู่ใกล้ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมเลิ่กลั่กมองพี่เวย์แล้วหันไปมองพนักงาน

“ข..ขอโทษทีครับ” ยิ้มแหยๆ แล้วยื่นเงินให้

“เหม่อเป็นอาชีพหรือไง” เขาแซะแล้วขึ้นคร่อมรถทันที “คุณอยากจะกินอะไรหรือเปล่า”

หึ อารมณ์แบบนี้ใครมันจะไปห่วงกินอยู่ได้ล่ะ



“ซื้อเยอะขนาดนี้ลืมไปหรือเปล่าว่าไม่ใช่รถยนต์นะ” พี่เวย์ทำหน้าดุ

เออใช่ ทั้งของกินทั้งขนมและน้ำรวมแล้วก็ตั้งหกถุง จะเอาไปไว้ไหนดีล่ะ 

“เดี๋ยวผมถือเอง” ได้แต่เชิดหน้าใส่ไม่อยากให้มาว่าเอาอีก

ก็จะให้ทำยังไง  เขาจะพาไปไหนก็ไม่รู้ ถ้าที่ๆ จะไปมันไม่มีของกินก็แย่สิ ก็ผมต้องกินยาแล้วเป็นโรคกระเพาะด้วย ถ้ามันกำเริบขึ้นมาใครจะปวด ก็ผมนี่แหละที่ปวดอยู่คนเดียว บางทีปวดจนเป็นไข้ก็มี

“เดี๋ยวผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ผมยื่นถุงขนมเพื่อฝากให้เขาถือ

“รอก่อน จะไปด้วย” เขาเปิดเป้ของตัวเองแล้วยัดถุงใส่ได้แค่สามถุง อีกสามถุงก็ต้องแขวนไว้ที่แฮนด์รถ

ทำอย่างกับผมเป็นนักโทษอย่างนั้นแหละ นี่ถ้าไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เคลียร์กันและขอโทษขอโพยให้เป็นเรื่องเป็นราวก็คงจะวิ่งไปขอความช่วยเหลือพนักงานปั๊มแล้ว

ผ่านไปสักพัก ธุระทั้งหนักทั้งเบาจึงเสร็จสรรพ ก็ต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อนเพราะไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นยังไง 

“นาน” ออกมาจากห้องน้ำเจอพี่เวย์ทำหน้าเย็นชาแล้วพูดใส่หน้าแค่หนึ่งคำซึ่งไม่ได้กระแทกเสียงหรือดุตวาดใดๆ

แต่ไม่ว่าจะน้ำเสียงแบบไหน คำยาวหรือคำสั้น ทั้งหมดที่ออกจากปากพี่เวย์ ทำไมรู้สึกเจ็บปวดเสมือนถูกมือของเขาพุ่งเข้ามาบีบหัวใจอย่างรุนแรง

ผมมองร่างสูงด้วยแววตาตัดพ้อขั้นสุด

ก็คนจะถ่ายหนักมันห้ามกันได้เหรอ แค่นี้ก็ต้องประณามกันด้วยหรือไง

“อ้าว เบะทำไมเนี่ย ผมพูดแค่นี้เอง” เขาทำหน้าตกใจ

ไม่ได้เบะเสียหน่อยแค่พยายามกลั้นน้ำตาต่างหาก ก็เพราะรู้ไงว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็เลยต้องพยายามหยุดเอาไว้

ผมไม่ตอบแต่สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินสวนออกเพื่อกลับไปที่รถแต่สายตาพลันเหลือบไปเห็นรถออดี้สีดำที่ดูคุ้นตา 

!!!!!!

ผมหยุดกึกเพราะกลัวจะเป็นเฮียเผ่า ถ้าเขาเห็นว่ามากับพี่เวย์ต้องฆ่าเราตายทั้งคู่แน่

“มีอะไร” พี่เวย์ตามมาแล้วหยุดอยู่ด้านหลัง

“เหมือนรถเฮียเผ่า” ผมบอกโดยไม่ละสายตาออกจากรถคันนั้น

ตรงนี้เป็นมุมลับตาพอสมควร มองไปเห็นข้างนอกชัดเจนแต่ด้านนอกมองเข้ามาจะถูกพุ่มไม้บดบัง

ขนหัวลุกเกรียวเมื่อคนที่เดินออกมาจากรถคือเฮียเผ่า

ตายแน่ชนม์แดน..

!!!!!!!

แต่ขนทั้งตัวลุกพรึบขึ้นพร้อมกันเพราะมีอีกคนเดินลงจากรถวิ่งตามเฮียเผ่าตรงไปที่ประตูร้านมินิมาร์ท

ผู้หญิง..

ดวงตาที่รีเล็กอยู่แล้วหรี่ลงเพื่อโฟกัสภาพให้ชัดขึ้น บอกตัวเองว่าอาจจะตาฝาดไปเอง

แต่ทว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สีผิวเข้ม หุ่นล่ำหนา ชุดที่ใส่ ทรงผม และท่าเดิน

หัวใจผมเต้นถี่หนัก ดวงตาร้อนผ่าว และเหมือนแข้งขาอ่อนแรง

“เฮ้ย คุณ!” พี่เวย์รับตัวผมไว้เมื่อผมทรุดลงไปเพราะเข่าอ่อน

“เฮีย..” ผมเปล่งเสียงออกมาด้วยความรู้สึกที่ยากเกินบรรยาย

พี่เวย์ประคองไปนั่งหลบอยู่มุมหนึ่งเพื่อรอดู ไม่นานนักเฮียเผ่าก็เดินออกมาก่อนพร้อมถุงสองสามถุง  จากนั้นผู้หญิงที่มาด้วยก็วิ่งตามมาเกาะแขนเฮียแล้วเดินไปที่รถ

ยกมือขึ้นทาบอกข้างซ้ายเพราะมันบีบรัดจนอึดอัด

ดวงตาแสบร้อนและหยดน้ำเริ่มไหลลงมาแทบจะในทันที

นี่มันอะไรกัน..


รถเฮียเผ่าออกจากปั้มไปนานแล้ว แต่ผมยังนั่งอยู่ที่เดิมกับความเงียบ..

วันนี้มันวันโลกาวินาศอะไรกัน

“ขอโทรศัพท์หน่อยครับ” ผมปาดเช็ดน้ำตาแล้วดึงสติ สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด

พี่เวย์ที่นั่งอยู่ด้วยกัน มองผมอยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นโทรศัพท์ที่เขายึดไปมาให้ ผมจึงกดโทรออกทันที

“ว่าไงครับดอท”

“เฮียถึงไหนแล้วครับ” พยายามปรับเสียงให้ปกติ

“ออกมาได้นิดเดียวเอง ดอทถึงบ้านแล้วเหรอ” เขาถามเสียงปกติเช่นกัน

“ยังครับ แค่คิดถึงน่ะ” ผมปด

“อืมๆ”  ผมแสยะยิ้มออกมา ปกติถ้าผมบอกว่าคิดถึง เฮียจะตอบกลับทันทีว่าคิดถึงเหมือนกัน แต่นี่ตอบแค่..อืม

“เฮียบอกรักดอทหน่อยสิ”

“มีอะไรเหรอวันนี้ดูไม่ค่อยดีเลย ยังไงดอทกลับบ้านแล้วพักผ่อนซะถ้าเฮียกลับกรุงเทพแล้วจะโทรหานะครับ เป็นห่วงนะ เดี๋ยวเฮียขับรถก่อน บายครับ”  ตัดบทแล้ววางสายไปเลย

ผมปิดเปลือกตา ปล่อยโทรศัพท์ให้ร่วงลงบนโต๊ะแล้วฟุบหน้าตามลงไป

เฮียเผ่า..

สัญญาที่ให้ไว้ไม่มีความหมาย..

ทำไมเฮียทำแบบนี้ล่ะ ถ้าจะหยุดไม่ได้แล้วมาสัญญาทำไม

และที่ยิ่งร้ายคือมาทำเหมือนว่ารักนักรักหนาทำไม..

ผมปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา ไม่ได้สะอึกสะอื้นแต่ร้องไห้เงียบๆ ร้องจนคิดว่าน้ำคงใกล้จะหมดตัว

ปกติก็รู้อยู่แล้วว่าเฮียเจ้าชู้และมีคนอื่นตลอดแต่ผมทำใจยอมรับสภาพจึงไม่เจ็บอะไรมาก   แต่พอเฮียขอโอกาสและสัญญาหนักแน่น ผมจึงคิดว่าที่ผ่านมาอาจเป็นผมเองที่เล่นตัวทำให้เฮียไม่หยุดเสียที

แล้วดูวันนี้สิ เขาพาผู้หญิงคนอื่นไปเที่ยวต่างจังหวัด  ทิ้งผมให้อยู่กับฝันลมๆ แล้งๆ ที่เขาเอามาล่อ

ผมนี่มันอ่อนหัดจริงๆ

“พาผมไปที พาไปที่ไหนก็ได้ พาผมไปหน่อย” ผมเงยหน้ามองพี่เวย์ทั้งน้ำตา ไม่สนใจจะเช็ดมันออก ไม่แคร์ว่าหน้าจะเละแค่ไหน ทรงผมจะเป็นยังไง อยากไปไกลๆ อยากนอนร้องไห้ให้สะใจกับความโง่

พี่เวย์ไม่พูดอะไร เขาพยุงให้ลุกขึ้นแล้วเดินนำออกไปก่อน  ผมเดินตามไปเหมือนซากศพที่ไร้วิญญาณ  ใส่หมวกกันน็อก ขึ้นรถ นั่งไป นั่งไปเรื่อยๆ ยืดตัวขึ้นให้ลมตีหน้า เย็นดีนะแต่เย็นไม่พอให้ใจหายร้อนหรอก

ร้อนแบบนี้อยากนอนแช่น้ำจัง..


เหมือนพี่เวย์จะรู้ใจ เขาขี่รถมาไกลมากเกือบสองชั่วโมงจนก้นชา และพาผมเข้าไปยังน้ำตกแห่งหนึ่ง ไม่ทันได้มองว่าชื่ออะไร รู้แต่ว่าคนแทบไม่มีและเดินเข้าไปลึกมากกว่าจะเห็นน้ำตก ผมเห็นพี่เวย์สะพายเป้ที่มีถุงขนมสามถุงขึ้นหลังส่วนของที่เหลือก็ทิ้งไว้ที่รถ ส่วนผมก็ติดไปแค่กระเป๋าคาดอกประจำตัวเท่านั้น

“ผมลงน้ำได้ไหม” ยืนมองน้ำที่ร่วงหล่นเป็นสายจากชั้นหิน ละอองฟองขาวสะอาดตาน่าเอาตัวไปรองรับให้มันตกลงมาใส่หัวเผื่อจะได้ล้างความโง่ออกไปบ้าง

“คุณไม่ได้เอาชุดมาเปลี่ยนนะ” 

“ไม่เป็นไร ผมเป็นผู้ชาย” พูดแค่นั้นผมก็ถอดกระเป๋าใบเก่งออกจากตัว ถอดเสื้อเชิ้ตสีเทาพับแขนออก เหลือแต่เสื้อกล้ามสีขาวเข้ารูป ถอดกางเกงขาสั้นแค่เข่าออกเหลือแค่ชั้นในแบบ Boxer briefs ยี่ห้อหรูสีม่วงขอบขาว  ดึงผ้าก๊อซที่แปะแผลต้นขาออกแล้วโยนไว้แถวๆ นั้นอย่างไร้จิตวิญญาณ

“น..นี่คุณ..” เหมือนพี่เวย์อยากจะห้ามแต่ผมโดดลงน้ำเสียแล้ว

เย็นจัง..

ผมเดินลุยน้ำตรงไปยังน้ำตก มุดเข้าไปใต้นั้นให้น้ำตกลงมาชโลมร่างกาย เหมือนเครื่องนวดเลยนะ สบายกว่าสปาอีก ผมนั่งอยู่อย่างนั้นเพราะมันเพลินดี  นั่งหลับตาไม่ได้คิดอะไรแค่นั่งฟังเสียงมวลน้ำที่หล่นลงจากที่สูงกระทบชั้นหินกลบเสียงรอบด้านได้ดี

ทว่าไม่ได้ทำให้เสียงร่ำร้องภายในหัวใจเงียบงันลงได้เลย

วันนี้บอบช้ำจนแทบจะแตกสลาย

คำว่าเจ็บเจียนตายเกิดขึ้นกับผมครั้งแรกตอนโดนป๋าตบ และครั้งนี้ที่ถูกเฮียทรยศหักหลัง

ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเจ็บปวดเพราะเฮียได้ถึงขนาดนี้

ที่เคยคิดว่าไม่ได้รักเฮียเผ่ามากสักเท่าไหร่คงเป็นแค่ความเขลาของผมเอง

“คุณ คุณขึ้นได้แล้ว ผมกลัวน้ำป่าจะมา” พี่เวย์เดินอ้อมมายืนบนโขดหินที่ใกล้ที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้

“ขออีกแป๊บ” ผมเงยหน้ามองแล้วตะโกนบอกทั้งๆ ที่ได้ยินไม่ชัดทุกคำด้วยซ้ำแต่เดาเอาว่าคงมาตามให้ขึ้นจากน้ำ

ตอนนี้พี่เวย์คงไม่รู้หรอกว่าผมร้องไห้เพราะถูกสายน้ำตกลงมาทำลายหลักฐานหมดแล้ว เพราะฉะนั้นถึงร้องหนักแค่ไหนก็ไม่มีใครรู้

“ถ้างั้นผมจะไปเก็บของให้ เดี๋ยวคุณขึ้นตามผมไปเร็วๆ นะ” เขาตะโกนกลับมาซึ่งผมก็ทำเป็นพยักหน้าส่งๆ ไปอย่างนั้น

ไม่ขึ้นหรอก ยังไม่อยากขึ้นจากตรงนี้  ที่ๆ เหมือนได้ซ่อนตัว ซ่อนน้ำตา ซ่อนอารมณ์ให้เสียงน้ำตกฝังกลบให้มลายหายไป

“..คุ..ณ ! ขึ้ น มา เร็  ว!” เหมือนได้ยินเสียงแว่วๆ แต่เสียงน้ำดังขึ้นมากกว่าเดิมเสียจนผมจับใจความไม่ได้ “คุ..ณ น้ำ..ป่า!!!!”

เอ๊ะ ทำไมสีของน้ำมันแดงแบบนี้ล่ะ

แต่กว่าจะรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร น้ำจากด้านบนก็โถมลงมาห่าใหญ่มากจนตัวผมจมดิ่งไปตามแรงดูดของน้ำ

“เฮือก!! อึก!! อึก..!!” ผมกลืนน้ำเข้าปากไปหลายอึกแต่เมื่อมีจังหวะผลุบขึ้นมาผิวน้ำจึงพยายามตะเกียกตะกายว่ายกลับฝั่งแต่สุดความสามารถจริงๆ

อย่าว่าแต่ว่ายแค่จะโผล่หัวให้พ้นขึ้นมาจากน้ำยังทำได้ยากเพราะแรงของมวลน้ำมันมหาศาลจนตอนนี้ทัศนะวิสัยติดลบ เพิ่งจะรู้จักความน่ากลัวของคำว่า ‘น้ำป่า’ ก็วันนี้เอง


ร่างกายถูกพัดไปตามกระแสน้ำไม่สามารถบังคับทิศทางอะไรได้เลย ท่อนซุงขนาดใหญ่พุ่งเฉียดร่างผมไปด้วยความแรง นี่ถ้ามันกระทบตัวแม้เพียงนิดก็คงจมหายจบชีวิตลงไปแล้ว ได้แต่ปล่อยให้ตัวเองหมุนวนไปเรื่อยอย่างไม่มีรูปแบบ

คงจบเท่านี้สินะ..

ชีวิตที่กำลังจะเริ่มเป็นของตัวเองก็คงได้แค่เพียงเท่านี้

แต่ก็ดีเหมือนกัน บางทีอาจจะดีกว่ากลับไปสู่โลกแห่งความจริงที่บัดซบก็ได้

บอบช้ำจนถึงขนาดนี้ ถ้าเป็นโรคภัยก็คงระยะสุดท้าย

ถึงคราวต้องนับถอยหลังแล้วสินะ..


.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ด่าพี่เวย์เบาๆ นิดนึงนะคะ พี่เวย์เป็นเหนือเมนของนายน้อย เป็นมากกว่ารัก  ฮือออ

ปล.เนมเป็นเพื่อนที่จริงใจมาก ชอบก็บอกชอบ ไม่ชอบคือชัดเจน เรื่องที่ทะเลาะกันในอดีต ถ้าเนมไม่ย้ายไปต่างประเทศก็คงจะดีกับดอทในอีกไม่กี่วันหลังจากนั้น 

บางทีเรื่องที่เกิดกับดอท อาจจะเป็นเพราะฟ้าลิขิต และดอทเองก็ยินยอมถูกลิขิตโดยที่ไม่ลองต่อสุู้ด้วยสติ

ชีวิตจริงก็เช่นกัน.. คนเรา จะยอมให้โชคชะตาพาไปลงเหวไม่ได้ หากรู้ว่าก้าวลงต้องเจอเหว เราต้องก้าวขึ้นสิถึงจะรอด
แต่ก็นั่นแหละ อารมณ์ ณ ขณะนั้น มันก็ยากที่จะฝืนทำตัวเข้มแข็ง หลายคนจึงตกเป็นเหยื่อของโชคชะตาที่ให้ช้อยส์มาแค่เพียง มีสติ และ ไม่มีสติ แค่นั้นเอง


ช่วงตอบคำถามทางบ้าน..

TachibanaRain : เรนนนนนน ห้ามขาด ห้ามลา ห้ามสายอีกนะ หายไปนานใจไม่ดีเรยยย ฮือออออ

songte : สวีทดอทกินกับอะไรก็อร่อยเนาะ ช่วยลุ้นช่วยเชียร์ต่อไปด้วยน้าาา ลุ้นๆ สรุปแล้วหวยจะออกที่ใคร คริๆ

กาแฟมั้ยฮะจ้าว : ขอบคุณที่แวะมาฮับ มาบ่อยๆ น้าาา

Janemera : เฮียเผ่าออกลายแล้วอ่าาา แบบนี้ #ทีมชายชู้ ว่าไงดี

Grey Twilight : นานๆ มาทีแต่ยาวสะใจมากกกก ขอบคุณนะคะ   ขออธิบายที่ดอทเริ่มคล้อยตามจูบของหมอวรรตในช่วงหลังนิดนึง ส่วนหลักเป็นเพราะอาการผิดปกติของดอทเองแต่เจ้าตัวก็ขัดขืนจนเหนื่อยแล้ว พอโดนซ้ำอีก ซ้ำอีก ก็ต้านไม่ไหว ซึ่งมีส่วนเสริมขึ้นมาอีกอย่างคือความสนิทใจกับหมอวรรตในแบบที่ไม่เคยได้ให้ใจกับใครแบบนี้มาก่อนก็เลยออกมาเป็นอย่างที่เห็นค่ะ

หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 12 : ภาวะบอบช้ำ 《22/08/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 23-08-2018 00:48:26
แงงงงพี่ดอทของน้องงงงน่าสงสารจริงๆเลย อิเฮียเผ่านี่กะแล้วเชียวว่าต้องไม่เลิกเจ้าชู้แน่ๆ ขอกระโดดถีบแทนพี่ดอทหน่อยเถอะ  :z6: :z6: :z6: ส่วนพี่เวย์นี่ก็รู้ว่าเจ็บนะคะแต่มานั่งพูดจาส่อเสียดแซะเขานี่ก็ไม่ค่อยจะแมนสักเท่าไหร่นะจ๊ะพี่จ๋า กับหมอวรรตก็เหมือนจะรู้เห็นเป็นใจกันเหลือเกินนะตกลงทั้งะี่ทั้งน้องคือชอบพี่ดอทเหรอ แต่เรย์เรย์ที่พี่เวย์บอกว่าลูกล่ะ ลูกใคร? ลูกหมอวรรต? แต่ไม่ว่าจะยังไงตัดเฮียเผ่าออกไปแล้วเริ่มความสัมพันธ์แบบ 3P เวย์ดอทวรรตก็ได้นะคะนายน้อย หุหุ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 12 : ภาวะบอบช้ำ 《22/08/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 23-08-2018 01:10:12
คนเจ้าชู้มันไว้ใจไม่ได้!! :angry2: :m31: แล้วน้องดอทจะรอดมั้ยยยฮือออออออออยากมุดเข้าไปช่วยแล้วกอดน้องไว้แน่นๆๆๆ :hao5: :hao5: :hao5: #ทีมชายชู้อยู่ในช่วงพิจารณาพฤติกรรม...>.......>...........
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 12 : ภาวะบอบช้ำ 《22/08/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 23-08-2018 08:58:25
มันจะเลยคำว่าฟ้าลิขิต กลายเป็นวิบากกรรมแทนแล้วนะ (555) โซซัดโซเซเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 12 : ภาวะบอบช้ำ 《22/08/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 23-08-2018 18:52:16
จะอิรุงตุงนังอะไรเยอะแยะ ปวดหัวกับดอทเหลือเกิน
จริงๆก็ไม่คิดว่าคนเขียนจะให้เฮียเป็นะระเอกอยู่แล้ว แต่ดูจากความจริงจังความเปย์ของเฮีย  แล้วมาเปิดว่าพาสาวมากกนี่มันไม่ใช่อ่ะ แต่ทางเดียวที่ดอทจะทิ้งเฮียได้ก็ทางนี้ละมั้ง
ส่วนพี่เวย์กีบหมอวรรตนี่ไม่รุ้จะพูดยังไง จู่ๆะน้องมาชอบคนเดียวกันมันใช่มั้ยอ่ะ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 12 : ภาวะบอบช้ำ 《22/08/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Justccwpo ที่ 25-08-2018 10:35:20
มสนุกม่กๆๆเดาไม่ออกเลยว่าดอทจะคู่ใครแต่เชียพี่เวย์ละกันท
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 12 : ภาวะบอบช้ำ 《22/08/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 29-08-2018 11:00:13
ขอลงเรือบาป 3p พี่น้องตระกูลวอ นายน้อยเราเริ่มพายเรือแล้วนะ   :katai2-1:  ว่าแต่เรื่องเฮียตอนนี้  :beat:  :beat: อุตส่าห์นึกดีใจว่าเฮียจะกลับใจได้
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 13 : ภาวะตื่นตา 《1/09/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 01-09-2018 10:14:34
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ต อ น ที่  13  :  ภ า ว ะ ตื่ น ต า


อึก!

พี่เวย์..

อึก อ่อก อึ่ก!

อึก!

เฮือก!!!

ดวงตาเบิกโพลงขึ้นทันทีเมื่อทนความทรมานต่อไปไม่ไหว  ผมหอบหายใจถี่หนัก เหงื่อชื้นไปหมดทั้งตัว พยายามลืมตามองจึงได้รู้ว่าตอนนี้นอนอยู่บนพื้นที่ปูด้วยใบไม้แห้งมากมาย

“โอยย” ถึงกับต้องกุมศีรษะไว้เพราะปวดจนแทบจะระเบิด

ความเจ็บปวดแล่นริ้วไปทั่วสรรพางค์กาย แต่ที่ทรมานจนแทบทนไม่ไหวคือตรงโพรงจมูกและกะโหลกศีรษะ พยายามยันกายขึ้นแล้วหันมองไปโดยรอบ สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาทำให้อยากจะผุดลุกขึ้นในทันที

“อย่าเพิ่งขยับ หัวคุณแตกและเขียวช้ำไปทั้งตัว” เสียงของคนหนึ่งลอยมา ซึ่งผมยังไม่รู้ว่าเป็นใคร ตอนนี้ประสาทสัมผัสยังทำงานไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์

แต่พอเขามาคุกเข่าอยู่ด้านข้างก็ได้รู้ว่าเป็น “พี่..เวย์!” 

“คุณหัวแตกแต่แผลไม่ใหญ่หรอก ผมราดน้ำสะอาดแล้วห้ามเลือดแต่ไม่ได้ฆ่าเชื้อไม่รู้จะอักเสบติดเชื้อหรือเปล่า” ดูหน้าเขาเป็นกังวล

“ข..ขอบคุณ” ผมพูดห้วนๆ ก็อุตส่าห์เรียกพี่เวย์แล้วแท้ๆ แต่เขากลับพูดคุณพูดผมอยู่ได้ คนอะไรไม่รู้แค้นฝังหุ่นไม่รู้จักการให้อภัย

“ดีว่าของในกระเป๋าคุณมีพวกยาแก้ปวดกับยาแก้อักเสบไม่งั้นแย่แน่ ลุกไหวไหมจะได้กินยา” เขายื่นมือมาจะประคองแต่ด้วยทิฐิผมก็ยักแย่ยักยันลุกขึ้นเอง

รับยามากรอกเข้าปากตามด้วยน้ำขวดใหญ่ที่ซื้อจากปั๊ม

ขนของทันด้วยเหรอ?

แต่เรื่องอื่นขอเบรกไว้ก่อนเพราะตอนนี้นอกจากปวดระบมไปทั้งตัวยังรู้สึกเย็นวาบๆ ตรงช่วงล่าง

“เสื้อผ้าผมอยู่ไหน!?”  ผมดึงเสื้อเชิ้ตที่ห่มไว้เมื่อครู่มาคลุมช่วงขาเปลือยเปล่าเอาไว้  เคราะห์ดีที่ช่วงบนมีเสื้อกล้ามติดตัวไว้ก่อนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องหดขาขึ้นมาแล้วหนีบไว้เพราะมีเพียงชั้นในตัวเดิมที่ใส่เล่นน้ำซึ่งมันรัดรูปและเห็นส่วนเว้าส่วนนูนไปถึงไหนต่อไหน  ไม่รู้ว่าใส่แค่นี้ลงน้ำได้ยังไงตอนนั้นสติมีไม่พอจะอายอะไรเลย

“ก็ของมันเปียกหมดทุกอย่าง มีแต่ที่คุณใส่อยู่ที่ผมเอามาย่างให้ก็เลยพอใช้ใส่กันหนาวไปก่อนได้” เขาว่าแล้วชี้ไปที่กองไฟ ส่วนรอบๆ นั้นมีข้าวของตากเรียงราย วางบ้างแขวนบ้างอยู่เต็มไปหมด

ฉากภายนอกฉาบไว้ด้วยความมืดมิด เสียงหริ่งเรไรดังแว่วแล้วเงียบไปก่อนจะสดับฟังได้ชัดอีกครั้งเป็นเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง

“แล้วทำไมของคุณมีใส่” ผมชี้ไปที่ตัวของเขาซึ่งมีบ็อกเซอร์สีดำกับเสื้อกล้ามเท่ๆ สีดำห่อหุ้มร่างกาย

“ก็เหมือนที่คุณใส่อยู่นั่นแหละ ของผมมีแค่สองชิ้น น้อยกว่าคุณด้วยซ้ำ” เขาอธิบายซึ่งผมก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ย่างกางเกงตัวนอกให้ด้วย

“กางเกงคุณมันหนา ย่างไม่ไหว” เหมือนเขาจะรู้ว่าผมบ่นอยู่ในใจ “ยีนส์ของผมก็เหมือนกันแต่พรุ่งนี้คงแห้ง” 

แต่เดี๋ยวนะ..

“ตะกี้คุณบอกว่าต้องย่างถึงจะแห้ง!?”

“ใช่”

“...ละ แล้ว..ตัวนี้คุณทำยังไง” ผมจิ้มลงบนสะโพกของตัวเอง มองเขาอย่างเหลือกลาน

“ก็ถอดออกมาย่าง” เขาพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

ถอดออกมาย่าง!!?

“ล..แล้วคุณ..เห็น” ผมทำหน้าเหวอพยายามคิดคำที่จะถามเพื่อไม่ให้ได้อาย

“สถานการณ์แบบนั้นผมไม่มีแก่ใจมาคิดแอบดูของคุณหรอก ช่วยคุณก็ต้องช่วย ของก็ต้องแบก ไฟก็ต้องก่อ เสื้อผ้าคุณก็ต้องเอาออกให้เร็วเพราะกลัวปอดจะบวม แถมยังต้องทำแผลแล้วก็ย่างเสื้อผ้าให้อีก  กว่าจะออกมาเป็นอย่างที่เห็น ผมนี่เหมือนคนบ้าไม่มีผิด”

ที่จริงก็สมควรแล้วนี่ อยากลักพาตัวผมมาดีนัก

“อ..อืม” ก็คงต้องยอมให้เพราะอันที่จริงผมมีส่วนผิดอยู่มากที่ไม่ยอมขึ้นจากน้ำ “ล..แล้วคุณก่อไฟยังไง ใช้หินมาต่อยกันเหรอ” หันไปรอบๆ มองหาต้นกำเนิดของกองไฟ หรืออาจจะเหลาไม้แล้วปั่นๆ เอาเหมือนในหนัง

“ดูหนังเยอะไปนะ” เขาว่าแทงใจดำจนต้องมุ่ยหน้า คำพูดพี่เวย์แรงทุกช็อตสะเทือนใจทุกคำ

อันที่จริงถ้าเปลี่ยนเป็นหมอวรรตพูดประโยคเดียวกัน มันจะกลายเป็นขำๆ เสียมากกว่า หรือถ้าไม่ขำผมก็คงจะแว้ดกลับไป แต่พอเป็นพี่เวย์พูด ก็ได้แต่ก้มหน้าซ่อนความเจ็บปวด

“ใช้ไฟแช็คนี่” เขาชูไฟแช็คให้ดูจึงเงยหน้าขึ้น “แต่กว่าจะใช้ได้ก็รอตั้งนานเพราะมันเปียกน้ำ”

อ้าว มีไฟแช็คก็ไม่บอก นึกว่าเก่งจนสร้างสะเก็ดไฟได้

“แล้วเอาของติดมาด้วยเยอะแยะได้ยังไง ผมจำได้แค่ว่าคุณอยู่บนฝั่ง แล้วยังไงต่อ” ผมถามต่อและขยับตัวเขาหากองไฟใกล้ขึ้นเพราะเริ่มหนาว

จะว่าไปบรรยากาศก็น่ากลัวมากทีเดียว ถึงโซนนี้จะอยู่ใต้ชะง่อนผาที่มีซอกให้หลบลึกเข้ามาประมาณ 3-4 เมตรแต่มันไม่ใช่ลักษณะของถ้ำ ถ้าหากมีสัตวป่าหรืออะไรย่องเข้ามาทางด้านข้างก็คงมองไม่เห็น  แถมด้านนอกก็มืดตื๋อแบบนั้นยิ่งไม่น่าไว้วางใจ ผีในป่าน่าจะเฮี้ยนกว่าผีในเมืองแน่ๆ 

เทวดา เจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าที่เจ้าทางที่ปกปักษ์รักษาที่แห่งนี้ ขอได้โปรดช่วยปกป้องเราสองคนให้พ้นจากอันตรายทั้งหลาย อย่าให้ผีสางที่ไหนมาหลอกมาหลอนและได้โปรดอภัยให้พวกเราถ้าหากเผลอทำผิดอะไรไปนะครับ สาธุ..

“ทำปากขมุบขมิบอะไรของคุณ” พี่เวย์พยายามเพ่งมองเพราะแสงจากกองไฟนั้นค่อนข้างวูบวาบ ลมด้านนอกพัดเขามาเป็นระรอกจนบางครั้งถึงกับขนลุกเลยทีเดียว

“เปล่า” ผมมองเคืองใส่เพราะเขามาขัดจังหวะการส่งกระแสจิตถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากท่านไม่ได้รับสาส์นแล้วเกิดอันตรายอะไรขึ้น ผมจะโทษเขาจริงๆ

“.....” พี่เวย์ยังคงมองแบบไม่ไว้ใจ เหมือนเขาจะคอยเช็คว่าอาการผมแปลกไปหรือเปล่า อาจจะเห็นว่าหัวกระแทกแล้วสมองจะกระทบกระเทือนละมั้ง

“ผมปกติดี เล่าเรื่องหลังจากที่โดนน้ำป่าให้ฟังเถอะ”

“อืม ก็ตอนไปตามคุณให้ขึ้นจากน้ำตก ผมคิดไว้อยู่แล้วว่าอาจจะมีน้ำป่าเพราะเสียงน้ำมันดังผิดปกติกว่าทุกทีแล้วที่นี่ก็มีประวัติน้ำป่าหลายครั้ง แต่วันนี้ไม่มีเค้าเมฆฝนหรือสัญญาณเตือนอะไรก็เลยไม่นึกว่าจะมาเร็วขนาดนั้น” เขาอธิบาย

ผมแค่พยักหน้ารับรู้ มองเห็นความกังวลปะปนกับความรู้สึกผิดที่ฉายออกมาจากแววตาคู่สวยของพี่เวย์ เขาคงนึกโทษตัวเองอยู่ไม่น้อยที่เป็นต้นเหตุให้เราต้องมาประสบชะตากรรมเช่นนี้

“พอไปตามแล้วคุณไม่ขึ้นผมเลยรีบยัดรองเท้าเสื้อผ้าของคุณลงเป้แล้วแบกขึ้นหลัง กำลังเอากระเป๋าคุณคาดไว้ที่ตัวเตรียมพาคุณเผ่นกลับรถให้เร็วที่สุด แต่พอจะเดินไปเรียกให้ขึ้น เสียงมวลน้ำมหาศาลก็ดังกลบเสียงผมไปหมดและพริบตาเดียวมันก็ไหลบ่า  รู้ตัวอีกทีคุณก็โดนน้ำซัดดำผุดดำว่ายแล้วหายไป  ผมเองก็ถูกน้ำพัดไปเหมือนกันแต่โชคดีที่อยู่ริมฝั่งน้ำไม่แรงมากแต่ด้วยสัมภาระมันหนักก็เลยควบคุมร่างกายได้ยาก  ผ่านไปสักพักเป้ไปเกี่ยวติดอยู่กับกิ่งไม้ใหญ่ทำให้พอได้มีเวลาพักหายใจหายคอ  ลองมองหาและพยายามตะโกนเรียกคุณ ไม่นานก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาผมเลยขยับตัวออกจากกิ่งไม้แล้วพุ่งตัวไปหาพาคุณขึ้นฝั่งจนได้”

เขาบรรยายเหมือนภาพในละคร ผมฟังแล้วก็ยังไม่อยากเชื่อ แต่ที่รอดอยู่ตอนนี้ก็คงต้องให้เครดิตว่าพี่เวย์ได้ช่วยชีวิตผมเอาไว้

“ที่จริงก็โชคช่วยไว้เยอะ” พี่เวย์พูดต่อ “ผมถูกพัดมาไกลกว่าเพราะคุณอยู่ตรงโซนที่น้ำมันวน ถ้าคุณลอยนำไปก่อนผมก็คงช่วยไม่ทัน แล้วเคราะห์ดีมากที่ผมรวบตัวคุณไว้ได้ก่อนที่จะหมดแรง ซึ่งก็ทำได้แค่นั้นเพราะพาว่ายกลับเข้าฝั่งไม่ไหว บุญยังดีที่น้ำพัดเราสองคนไปติดอยู่กับต้นไม้ที่มันเอนพาดลงมาคล้ายเป็นสะพาน ผมก็เลยพาคุณค่อยๆ เกาะมันไต่ขึ้นฝั่ง”

ถึงจะเป็นโชคช่วยแต่แค่นี้ก็เก่งแล้ว

“ขอบคุณนะ แต่ที่จริงไม่น่าช่วยผมขึ้นมาหรอก” พอปลอดภัยแล้วเรื่องเศร้าก็เข้ามาในหัว

คนเรานี่แปลกนะ ตอนยังมีชีวิตอยู่ก็คิดสารพัดเรื่อง แต่ตอนใกล้ตายแม้แต่เรียกให้คนช่วยยังพูดแทบไม่ออก ในตอนนั้นมีแค่น้ำ น้ำ และน้ำ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาไม่ทันสักรูป บุพการีก็ไม่มีแว้บเข้ามาแม้แต่คนเดียว มีแค่ความหวาดกลัว ในหัวมีแต่ว่าจบแล้ว คงจบแค่นี้แล้ว

ความจำเลือนรางเริ่มประติดปะต่อขึ้นมาเป็นภาพ ผมเริ่มจำได้ว่าหลังจากยอมแพ้แล้วเริ่มนับถอยหลังให้กับชีวิต อะไรเกิดขึ้นบ้าง

“คุณ!!”

ผมได้ยินเสียงพี่เวย์!!

เสียงพี่เวย์ได้ปลุกความอยากมีชีวิตของผมขึ้นมาอีกครั้ง อย่างน้อยก่อนจะดับสูญ ผมอยากคืนดีกับเขา อยากให้เขากลับมาเป็นพี่เวย์คนดีคนเดิม  ถึงแม้ไม่ได้เป็นอะไรกันแต่ผมก็ยังอยากให้เขาเอ็นดูผมเหมือนในอดีต

“อึก! พ..พี่ อึก เฮือก!! พี่เวย์!!!!”  เป็นเสียงสุดท้ายที่รวบรวมพลังทั้งหมดตะโกนออกมาเพราะหลังจากนั้นร่างก็ถูกดูดกลืนให้ลอยขึ้นและผลุบลงอยู่แบบนี้อีกนับครั้งไม่ถ้วน

และก่อนที่สติจะเลือนหาย ผมก็ได้เห็นใบหน้าของคนที่ผมฝันถึงบ่อยๆ “..พี่เวย์”


 “ไม่มีใครในโลกนี้ที่สมควรตายหรอก” พี่เวย์พูดขึ้นคงเห็นว่าผมนิ่งไป “นอนซะอย่าคิดฟุ้งซ่าน พรุ่งนี้ค่อยมาดูแผลอีกที เพราะแผลที่ขาก็เหมือนจะบวมนิดๆ”

สรุปคือได้แผลเต็มตัวไปหมด นี่ยังไม่รวมแผลที่หัวใจ แถมยังรอดตายจากน้ำป่าไหลหลากได้อีก คงต้องเรียกว่าเดนตายสินะ

ผมพยายามข่มตานอนแต่กว่าจะหลับได้ก็คงเป็นช่วงที่ยาออกฤทธิ์ นอนๆ ไปก็รู้สึกหนาวเหน็บ กระสับกระส่ายอยู่นานจนรู้สึกอุ่นขึ้น จากนั้นก็หลับต่อได้จนถึงเช้า




เสียงนกไพรร้องดังปลุกให้ลืมตาตื่น..

แต่ที่จริงไม่ใช่หรอก เพราะผมได้กลิ่นอาหารต่างหาก 

“ลุกไหวหรือเปล่าจะได้ไปล้างหน้าล้างตาก่อนแล้วค่อยมากิน” พี่เวย์กำลังจัดการกับมาม่าคัพที่ดูไม่น่าไว้วางใจ เขาหันมาจ้องรอเอาคำตอบ

ให้ตายเถอะ ขนาดว่าติดป่าแบบนี้พี่เวย์ยังดูดีจนอดอิจฉาไม่ได้   ผมรีบลูบเส้นผมที่ชี้โด่เด่ ปาดๆ เช็ดๆ ใบหน้าเพราะเดาได้เลยว่าใบหน้าตอนตื่นนอนของตัวเองมันดูไม่จืดแค่ไหน

“ลุกไม่ไหว ขอนั่งกินเอาแรงแล้วค่อยไป” ร่างกายปวดร้าวระบมไปทั่วทั้งตัว “ว่าแต่..คุณต้มน้ำยังไง” มันน่าสงสัยเพราะไม่เห็นอุปกรณ์หุงต้มแม้แต่อย่างเดียว

พี่เวย์หันมามองประมาณว่า นึกแล้วว่าต้องถาม “ไม่ได้ต้ม ใช้น้ำดื่มธรรมดาใส่”

“อ้าว ไม่ต้มแล้วจะชงมาม่าสุกเหรอ” ผมพยายามชะโงกดู

“เดี๋ยวมันก็อืดน้ำนุ่มขึ้นแต่คงไม่อร่อยหรอกเพราะคงจะเย็นชืด” ว่าแล้วก็ตักเส้นที่ดูกระด้างในคัพของตัวเองเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ

“ถ้ากินแบบนั้นก็กินแบบดิบๆ ไม่ดีกว่าเหรอ”

“ก็แล้วแต่” เขาตอบสั้นๆ แล้วหยิบมาม่าคัพที่ยังไม่ได้แกะมาวางไว้ตรงหน้าให้

เย็นชา..

“เอาขนมปังมาดีกว่า” ผมชี้ไปที่ถุงสเบียงเพราะรู้ว่ามีอะไรบ้างซื้อเองกับมือ 

พี่เวย์ยักไหล่แล้วยื่นให้ทั้งถุง  “ดีนะที่มีน้ำมาสองขวดใหญ่ ไม่งั้นเราแย่แน่เพราะแถวนี้ไม่มีผลไม้อะไรให้เก็บกินเลย”

รู้สึกเหมือนได้ทำสิ่งที่มีคุณค่าต่อมนุษยชาติ ผมยืดตัวแล้วพูดอย่างภูมิใจ

“น่าจะขอโทษผมนะที่เมื่อวานคุณว่าผมซื้อเยอะ” ว่าแล้วก็ทำหน้าเชิดขึ้นแต่ถูกเขามองเหมือนกับว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นไร้สาระเต็มที

“ถ้าผมไม่แบกมาด้วย ถ้าผมสละมันตอนที่เราจะจมแหล่ไม่จมแหล่ ถ้าผมไม่เอาออกมาผึ่งให้แห้ง ถึงคุณจะซื้อมาทั้งร้านพวกเราก็ไม่ได้กินหรอก”

คนเย็นชา ชอบทวงบุญคุณ ไม่มีจิตวิทยาในการคบหาเพื่อนมนุษย์!

“ใจร้าย..” พึมพำเบาๆ ไม่กล้าให้เขาได้ยินพลางฉีกซองขนมปัง

อร่อยแฮะ ปกติรสชาติก็กลางๆ แต่พอมากินในสถานการณ์แบบนี้แล้วอร่อยจัง

“วันนี้ผมจะเดินสำรวจตามลำธารขึ้นไป ถึงน้ำจะยังไม่ลดมากแต่ถ้าเดินเลียบขึ้นไปเรื่อยๆ ก็คงถึงตรงที่เดิมได้”

“แล้วผมล่ะ ไม่เอานะผมไม่อยากอยู่คนเดียว”

“ก็คุณยังไม่ไหว แล้วถ้าจะรอให้คุณไหว อาหารและน้ำของเราก็จะหมดเสียก่อน”

ผมนี่มันตัวภาระจริงๆ เขาพูดมาขนาดนี้ก็คงต้องปล่อยให้เขาไป ได้แต่ทำหน้าจ๋อยแล้วพูดอ้อมแอ้มอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว

“ก็ถ้าคุณไปแล้วไม่กลับมา ผมจะทำยังไง”

เขาเงียบไปสักพัก ผมไม่รู้ว่าเขาทำหน้ายังไงเพราะตอนนี้นั่งจ๋องกอดเข่าเจ่าจุกก้มดูพื้นแล้วเขี่ยดินเล่น

“งั้นผมจะรอคุณหนึ่งวัน ถ้าพรุ่งนี้แล้วยังไม่ดีขึ้นผมจะไปคนเดียว” เขาบอกเสียงเรียบ

“จริงนะ” ผมเงยหน้าขึ้นทันที  รอยยิ้มคลี่ออกในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ได้แค่เพราะพี่เวย์ตามใจ

ร่างสูงหลบตาหันหลังให้แล้วกินมาม่าต่อโดยไม่สนใจผมอีก

ชิ ถึงไม่ใจร้ายแต่ก็ยังเย็นชาอยู่ดี..




เมื่อกินอาหารเช้าเสร็จ ผมจึงลากสังขารออกไปจากที่พักแล้วทำธุรส่วนตัว รู้สึกแย่ที่ไม่มีห้องน้ำแต่อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่  เมื่อเสร็จธุระจึงกลับมากินยากินน้ำ  เห็นยาแล้วนึกถึงเจ้าของ ป่านนี้คงวีนใส่ไลน์เป็นร้อยข้อความแล้วเพราะคงคิดว่าผมไม่ตอบ ไม่รู้ว่าป่านนี้จะรู้หรือยังว่าผมถูกพี่ชายเขาลักพาตัวมา บางทีอาจจะโทรมาแล้วก็ได้

“โทรศัพท์ผมล่ะ”

เขาไม่ตอบแต่บุ้ยปากไปบนหินที่มีชิ้นส่วนของโทรศัพท์กระจัดกระจายเต็มไปหมด

“ต้องรอให้มันแห้งสนิทแล้วลองเปิดดู แต่ผมว่าไม่น่าจะมีสัญญาณ แค่แอบหวังว่าทีมค้นหาอาจใช้ดาวเทียมหาตำแหน่งได้”

“ผมขอโทษนะ” ผมบอกเสียงอ่อย “เพราะผมคุณถึงต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้” ที่จริงเขาไม่น่าจะมาช่วยผมเลยจริงๆ ชีวิตของผมในตอนนี้ก็ไม่มีอะไรให้ห่วงแล้ว ทุกคนในครอบครัวก็มีความสุขดี อยู่กันได้โดยไม่ต้องมีผม ส่วนตัวผมเองเมื่อหมดความหวังจากเฮียเผ่าแล้วก็ไม่รู้จะอยู่ไปเพื่อใครเหมือนกัน

เขามองผมนิ่ง มองเหมือนกับว่าผมพูดอะไรที่มันไม่มีประโยชน์

“ถ้ารู้สึกผิดก็ฟื้นตัวให้ได้เร็วๆ พรุ่งนี้จะได้หาทางกลับบ้านกัน” 

ก็ยังเย็นชาอยู่ดี พี่เวย์คนเดิมของน้องหายไปไหนนะ..


แต่แล้วเขาก็หันมามองและเข้ามาใกล้ ในตอนแรกที่เห็นอย่างนั้น หัวใจก็เต้นตึกตัก นึกว่า..

“ขอดูแผลหน่อย”

โธ่ ก็นึกว่า..

ไม่สิ ไม่ได้นึก ไม่ได้นึกอะไรซะหน่อย รู้อยู่แล้วละว่าเขาจะมาดูแผล!

ผมยื่นขาออกไปแต่พอเห็นสภาพช่วงล่างของตัวเองก็หดขากลับแล้วชันเข่าขึ้นเพื่อปิดบังกางเกงชั้นใน

“ผมไม่ได้สนใจอะไรตรงนั้นหรอกน่า เหยียดขาออกมา” เขาบอกอย่างหงุดหงิด

“เอากางเกงมาก่อนดีกว่า ใส่แบบนี้แล้วมันเย็นๆ” ผมบอก

“ก็ยังไม่แห้งหรอก ของผมก็ยังไม่แห้ง ถ้าเอามาใส่จะเพิ่มความเสี่ยงที่จะไม่ได้ไปกับผมพรุ่งนี้ คุณเลือกเอา” เขาทำหน้าติดจะดุๆ

ผมคิดตามแล้วยอมแพ้กับเหตุผลจึงค่อยๆ เหยียดขาข้างขวาออกไปให้เขาดูแค่ข้างเดียว 

มือหนาแตะพลิกซ้ายขวา ก่อนจะกดไปรอบๆ

ตึกๆๆๆๆๆ

แค่นี้หัวใจก็เต้นแรงแล้วเหรอ ไม่ได้กระตุกเหมือนที่เป็นกับหมอประสาท นอกจากจะวูบวาบและสะท้านแต่หัวใจยังเต้นแรงมากๆ เหมือนไปวิ่งมาราธอนมาสิบกิโล

“ไม่น่าจะอักเสบแล้วนะเพราะกินยาคุมไว้แต่เดิม แต่ก็ต้องระวังอย่าให้แผลเปียกเพราะเราไม่มีอุปกรณ์ล้างแผล” ร่างสูงมองด้วยสายตานิ่งๆ ดูเหมือนจะไม่รู้สึกอะไรกับอาการแปลกๆ ของผม  “ไหนดูที่หัวหน่อย” เขาพูดต่อแล้วเงยหน้าขึ้นเกลี่ยเปิดเส้นผมที่ปรกหน้าขึ้นเพราะแผลอยู่บริเวณหน้าผากด้านซ้าย 

ยิ่งเขาขยับหน้าเข้ามาใกล้ หัวใจผมก็ยิ่งเต้นรัว ไม่มีเรี่ยวแรงพอจะโต้ตอบอะไรแม้แต่น้อย

“รู้สึกเวียนหัวหรืออยากอาเจียนอะไรไหม” เขาถามต่อ  ผมได้แต่ส่ายหน้า ไม่กล้ามองเขา “เมื่อวานผมใช้แค่น้ำสะอาดล้างแผลให้ หวังว่ามันจะไม่ติดเชื้อเพราะแผลเล็กมากแต่ก็ไว้ใจอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ออกจากป่านี่เร็วๆ คุณกับผมแย่แน่”

ก็รู้แล้วจะย้ำทำไมนักหนา รู้แล้วว่าเป็นตัวภาระ รู้แล้วว่าต้องรีบหาย รู้แล้วว่าแย่แน่ๆ ถ้าไม่รีบออกไป รู้หมดทุกอย่างแต่มันเร่งอะไรได้ไหมล่ะ!

เสียงเกรี้ยวกราดที่อยู่ในใจกู่ก้องจนอยากจะพูดใส่หน้าไปตรงๆ

“ผมขอโทษ” แต่ก็พูดได้แค่นี้ ทำอะไรไม่เคยได้เลย เป็นตัวภาระของทุกคน ผมมันคนไร้ประโยชน์

“เอะอะก็ขอโทษ” เสียงเขาอ่อนลงจนผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง แววตาเขาเหมือนจะอ่อนแสงลงไม่แข็งกระด้างเหมือนก่อนหน้านี้  “อย่าใช้มันพร่ำเพรื่อนักเพราะความผิดบางอย่างถึงจะขอโทษเป็นหมื่นครั้งก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร”

เจ็บ..

ใช่สินะ คำขอโทษของผมก็แค่ลมปากที่พ่นออกมาจากคนนิสัยแย่ๆ  เขาคงเกลียดผมมาก มากจนไม่สามารถมองผมในด้านดีได้อีกแล้ว

“ที่ผมขอโทษเพราะผมรู้สึกผิด ไม่ได้ขอโทษเพื่อหวังการให้อภัย ถ้าพูดออกไปแล้วคุณไม่พอใจก็ต้องขอโทษอยู่ดี แต่ผมจะไม่หยุดพูดมันเพียงแค่เพราะคุณไม่ชอบฟังหรอก เพราะคนอย่างผมมีปัญญาทำได้แค่นี้แหละ” พูดจบก็ก้มหน้าลงเพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล ผมจะไม่ร้องไห้ ไม่ร้องหรอก

“มีสิ” พี่เวย์ถอนหายใจเบาๆ “ยังมีสิ่งที่คุณทำได้นอกจากคำขอโทษ” ผมเงยหน้าขึ้นเห็นเขามองผมเหมือนจะใจอ่อนแต่แล้วแค่เพียงกระพริบตา แววตานั้นก็กลับแข็งกร้าวขึ้นอีก “นอนไง นอนเยอะๆ แล้วอย่าไปคิดอะไรให้มาก ตื่นขึ้นมาแล้วกินข้าวกินยา แล้วก็นอนๆๆ พรุ่งนี้จะได้หายซะที”  พูดจบก็เดินออกไปจากบริเวณที่พัก

เผลอคิดไปว่าคงจะดีกันได้แล้วแท้ๆ แต่ในความจริงนั้นไม่ได้ใกล้เคียงเลยสักนิด



รู้สึกเหนื่อย..  เหนื่อยที่ต้องต่อสู้กับความคิดของตัวเอง ไม่เคยคิดอะไรถูก สิ่งที่ผมคิดมันผิดไปหมด และสิ่งที่ผมเลือกก็ไม่เคยถูกเลยเช่นกัน

ผมนอนลงอีกครั้งเพราะคงไม่มีอะไรดีกว่านี้ เนื้อตัวฟกช้ำ ปวดเมื่อย หัวแตก ยังดีที่แผลเก่าไม่ได้แย่ลงไปกว่าเดิม  ทั้งหมดนี้ทำให้ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอจนหลับไปและตื่นขึ้นมาอีกครั้งช่วงบ่าย


ต่อ..
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 13 : ภาวะตื่นตา 《1/09/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 01-09-2018 10:38:21


พี่เวย์ไปไหนนะ..

เดินออกไปตั้งแต่ช่วงสายๆ ยังไม่กลับมาอีกเหรอ

เอ๊ะ.. หรือเขาจะไปหาทางกลับบ้านคนเดียว โธ่ ไหนรับปากแล้วว่าจะรอ  แล้วถ้าเขาไม่กลับมาผมจะทำยังไงล่ะ

เมื่อคิดได้แบบนั้นจึงค่อยๆ พยุงร่างขึ้นและเดินไปหยิบกางเกงมาใส่ เฮ้อ ได้ใส่กางเกงเสียทีค่อยรู้สึกสบายใจหน่อย  ผมสวมรองเท้าหนังกลับสีน้ำตาลคู่โปรดแล้วเดินดูรอบๆ

“ลองเดินหาแถวนี้ดูอาจจะเจอก็ได้นะ” คิดแล้วก็ค่อยๆ เดินไปช้าๆ แถวนี้เป็นป่าที่ค่อนข้างโปร่งและต้นไม้ต้นไม่ใหญ่มากนัก คงจะไม่ใช่ป่าลึกอะไร อีกอย่างไม่ได้รกและมีทางเดินที่ค่อนข้างโล่งไม่น่าจะมีสัตว์ร้ายตัวโตๆ โผล่มาหรอก แต่ถ้าพวกงูตะขาบอะไรแบบนี้ก็น่าจะมีอยู่นะ

พูดถึงสัตว์ร้าย ไม่ใช่ว่าพี่เวย์ไปเจอสัตว์อะไรเข้าแล้วกำลังลำบากอยู่กลางทางหรอกนะ

คิดแบบนี้แล้วเริ่มกังวลหนักขึ้น ผมลองเดินหาทว่าไม่กล้าไปไกลเพราะจะคอยมองกลับไปให้เห็นต้นไม้ใหญ่บนชะง่อนผาบนที่พักของเราไว้ ถ้ามันใกล้จะลับตาผมก็เดินกลับเข้ามาในรัศมีเพื่อความปลอดภัย

แต่แล้วพลันเหลือบเห็นร่างหนึ่งที่คุ้นตานอนคว่ำแน่นิ่งอยู่ เขาสวมกางเกงยีนส์สีซีดตัวเดิมแต่ตอนนี้มันขมุกขมัวเปื้อนเปรอะไปด้วยเศษกิ่งไม้ใบไม้และฝุ่นผง 

พี่เวย์!!!

ผมวิ่งไปหาเขาทันที  ลืมไปหมดสิ้นถึงอาการเจ็บปวดระบมทั่วร่างกาย คิดอย่างเดียวคือต้องไปให้ถึงตัวเขาอย่างรวดเร็วที่สุด อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะพี่เวย์!

“พี่เวย์ ทำใจดีดีไว้ครับ พี่เวย์” เมื่อชาร์ตเข้าถึงร่างสูงได้ ผมก็พยายามพลิกตัวเขาขึ้นมาแต่ก็ทำไม่ได้ง่ายๆ เหมือนแขนเขาจะติดอยู่ใต้ขอนไม้ใหญ่ที่มีโพรงอะไรบางอย่างอยู่ด้านล่าง

“โอ๊ะ!” เขาร้องครางเหมือนพยายามดึงแขนออกมาแต่ดึงไม่ได้ ได้ยินแล้วใจคอไม่ดีเลย ผมกลัวเขาตาย อย่าตายนะพี่เวย์!

“ให้น้องช่วยนะ พี่เวย์ทำใจดีดีนะ” ผมพร่ำบอกตลอดเวลาเพราะกลัวเขาจะทนพิษบาดแผลไม่ไหว

“ค..คุณ” เขายังคว่ำตัวอยู่แต่พยายามเรียกผม  “คุณ..เดี๋ยว..”

“แข็งใจหน่อยนะครับ เดี๋ยวน้องจะช่วยพี่เวย์เอง” ผมรวบกอดลำตัวของเขาไว้อย่างแน่นหนาแล้วออกแรงดึงเพื่อให้แขนหลุดออกมาด้วยแรงทั้งหมดที่มี

พี่เวย์อย่าเป็นอะไรนะ อย่าตายนะพี่เวย์!

“น..น้อง..ฟังก่อน” เมื่อเห็นว่าผมไม่มีสติพอจะฟังอะไร อยู่ๆ เขาก็เปลี่ยนสรรพนามไปเสียเฉยๆ

ผมนิ่งค้างชะงักกึก มือที่รวบกอดร่างหนาคลายออกทันที

น้ำเสียงและคำที่เรียกผมเมื่อครู่นี้..

“ยังไม่ต้องช่วยอะไร แค่อยู่นิ่งๆ” เขาบอกและผมก็ไม่กล้าขัด อีกอย่างก็ยังช็อคกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่นี้จึงได้แต่นั่งกระพริบตาปริบๆ หัวใจเต้นแรงอย่างไม่มีสติ  “โอ๊ะ! อ่ะ อึ๊บ..” เขายังนอนคว่ำอยู่แต่หัวไหล่ขยับยึกยักพลางร้องอะไรในลำคออยู่ตลอดเวลา

ตัวอะไรกินมือเขาอยู่หรือไง แล้วทำไมไม่ให้ผมช่วยล่ะ

“ฮึบ! ได้แล้ว!” เขาร้องออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ ดึงแขนออกมาอย่างง่ายดาย

อ้าว ไม่ได้แขนติดจนดึงไม่ออกหรอกเหรอ 

“กระต่าย!?” ผมร้องออกมาเมื่อเห็นสัตว์ขนปุยตัวโตส่ายขาดุ๊กดิ๊กเพื่อหวังเอาตัวรอดจากมือหนาที่จับขยุ้มหลังคอมันอยู่

“กระต่าย” พี่เวย์ทวนคำ “อาหารเย็น” เขาบอกเสียงเรียบ

“ล..แล้วเมื่อกี้ ไม่ได้โดนกินมือเหรอครับ” คำถามโง่ๆ ถูกส่งออกไป รู้สึกหน้าแตกแบบละเอียดยิบไม่มีเหลือชิ้นดี

“แค่ไล่กระต่ายแล้วมันหนีเข้าโพรงก็เลยรีบล้วงมือตะปบหลังมัน แต่ขอนไม้นี่ขวางไว้ก็เลยดึงตัวมันไม่ถนัด ตะกี้คุณมาดึงตัวผมจนมันเกือบหลุดมือไป แล้วถ้ามันหลุดไปได้ตอนนั้นแหละที่ผมจะโดนมันกินมือ” เขาทำสีหน้าเรียบเฉยแถมยังตำหนิผมซะอีก 

ก็ใครจะไปรู้เห็นนอนคว่ำแน่นิ่งขนาดนั้นเป็นใครก็ต้องคิดว่าใกล้ตายทั้งนั้นแหละ

หน้าผมจ๋อยลงแต่ก็เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเพราะคำที่เขาใช้พูดกับผม ทำไมไม่เรียกว่าน้องเหมือนเมื่อกี้นี้ล่ะ หรือผมแค่หูฝาดไปเอง 

“งั้นขอโทษก็แล้วกัน” ผมบอกอย่างเสียไม่ได้แล้วลากสังขารกลับที่พักคนเดียว

คนอุตส่าห์เป็นห่วงแต่กลับโดนต่อว่า แล้วคุณๆ ผมๆ นั่นคืออะไร เมื่อไหร่จะเลิกเรียกแบบนี้เสียที มันอึดอัดไม่รู้หรือไง




เดินกลับด้วยความเร็วที่น้อยนิดเพราะตอนนี้เริ่มกลับมารู้สึกตัวแล้วว่าสังขารบอบช้ำขนาดไหน ทว่าขายาวๆ ของพี่เวย์กลับก้าวฉับๆ แซงไปโดยไม่หันมาดูดำดูดีผมแม้แต่น้อย แต่พอใกล้จะถึงที่พักกลับเดินแยกไปอีกทาง

“นี่คุณ จะไปไหนอะ” ผมตะโกนถาม

“เอาเจ้านี่ไปเชือดใกล้ๆ ลำธารจะได้ล้างให้สะอาดก่อนเอามาย่าง” เขาหันกลับมาตอบ

!!!!!

“ไม่ได้นะ!” ผมร้องห้ามแล้ววิ่งกระย่องกระแย่งเข้าไปหา

“ทำไม?”

“ก็มันน่าสงสาร ดูสิดิ้นใหญ่เลย ปล่อยมันไปเถอะ”  พยายามยื้อแย่งเจ้ากระต่ายน่าสงสารออกจากมือหนาแต่เขาก็ขยับหนี

“สงสารมันแต่เราจะอดตายถ้าอาหารที่เหลือน้อยนิดหมดก่อนที่จะมีคนมาช่วย” เขาบอกพร้อมกับใบหน้าที่เหนื่อยหน่าย

ผมก็เข้าใจในเหตุผลแต่ยังไงก็สงสารอยู่ดีนั่นแหละ พยายามคิดหาวิธีช่วยยืดชีวิตมัน และแล้วก็คิดออกจึงรีบบอกเขา

“เอาแบบนี้ เราขังมันไว้ก่อน แล้วถ้าอาหารหมดเมื่อไหร่คุณจะทำยังไงก็แล้วแต่คุณ นะคุณนะ อาหารของเราก็ยังพอมี อย่าเพิ่งกินมันเลย” ผมส่งสายตาอ้อนวอนไปให้ ทำหน้าให้น่าสงสารที่สุดเท่าที่จะทำได้

เขามองอยู่ครู่จึงถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย

“ถ้ามันหนีไปได้ผมจะกินคุณ” เขาว่าใส่หน้าแล้วเดินอาดๆ กลับที่พักทันที

คนใจร้าย..


พี่เวย์ยัดเจ้ากระต่ายใส่กระเป๋าเป้ของตัวเองแล้วรูดชิปปิดทั้งสองฝั่งแต่ให้เหลือช่องว่างไว้เล็กน้อย ไม่ลืมที่จะใช้เชือกมัดระหว่างห่วงซิบทั้งสองฝั่งเพื่อไม่ให้มันมุดตัวออกมา ผมเห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้ อย่างน้อยพี่เวย์ก็ไม่ได้ดื้อรั้นจนเกินไปนัก

ผมรีบเข้าไปส่องดูเจ้ากระต่ายที่ตอนนี้มันโผล่จมูกออกมาขยับฟุดฟิดตรงช่องซิปดูน่ารักน่าชัง

“ขอบคุณนะ”

“ถ้าออกจากป่าได้คุณเอากระเป๋าไปซักให้ด้วยนะเพราะมันขี้ใส่กระเป๋าผมแน่” เขาว่าแล้วเดินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก

ผมยิ้มตามร่างสูงโดยไม่รู้สาเหตุ เมื่อก่อนพี่เวย์ใจดีและอ่อนโยน ถึงจะหล่อแต่ผมก็ได้เห็นแค่ไม่กี่โมเมนต์ของเขา ทว่าตอนนี้ได้เห็นแบบดาร์กๆ บ้างก็แปลกตาดีเหมือนกัน

ดูมีเสน่ห์..


ว่าแต่.. ตามเขาไปดีกว่าเพราะถ้าไปนานเดี๋ยวจะทำให้ผมห่วงอีก พอคิดได้แบบนั้นจึงเดินสะกดรอยตามไปห่างๆ ดูเหมือนเขาจะไม่รู้ตัว และเดินไปเรื่อยๆ จนถึงลำธาร  ผมแอบอยู่หลังต้นไม้ขนาดสามคนโอบ ตรงด้านหลังมีหลุมโคลนบ่อใหญ่คงเพราะน้ำเพิ่งลดลงจึงเหลือทิ้งไว้แค่โคลนเละๆ

สีของน้ำในลำธารไม่ขุ่นแล้วและลดระดับลงจนเห็นตลิ่ง  หวนนึกถึงวันก่อนแล้วหลอนขึ้นมาทันที น้ำป่าน่ากลัวมากเพราะเราไม่รู้หรอกว่ามันจะถล่มทลายลงมาเมื่อไหร่

กำลังคิดอะไรเพลินๆ รู้ตัวอีกทีร่ายกายก็แข็งค้างเพราะภาพเบื้องหน้าคือพี่เวย์ยืนบนโขดหินใหญ่ ถอดเสื้อยืดตัวนอกออกตามด้วยเสื้อกล้ามตัวใน โยนมันทิ้งไว้ข้างเท้า  ตอนนี้น้ำลายถูกลืนลงคอเมื่อกางเกงยีนส์ตัวสวยของร่างสูงถูกปลดลงแล้วก้าวออกไปข้างหน้าทิ้งให้มันกองเป็นเลขแปดอยู่แบบนั้น

ตายแล้ว!

ผมยกมือขึ้นปิดตาแต่อดไม่ได้ที่จะแยกนิ้วออกเล็กน้อยเพื่อดูภาพต่อเนื่อง  นิ้วแกร่งเกี่ยวบ็อกเซอร์สีดำลงพร้อมกับกางเกงชั้นในสีดำ

เฮือก!

ทำตัวไม่ถูก.. เพราะตอนนี้เขายืนเด่นบนโขดหินด้วยร่างกายเปลือยเปล่า แผ่นหลังกว้างเชื่อมต่อกับช่วงเอวที่เว้าคอดสมส่วน โดยเฉพาะบั้นท้ายที่เห็นชัดเจนว่ามีกล้ามเนื้อแน่นขนัดไล่ลงไปถึงต้นขาและปลีน่องที่ดูแข็งแรงเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ

เอื้อก!

ผมกลืนน้ำลายหลายอึกจนเริ่มรู้สึกว่าได้กลายเป็นคนโรคจิตที่ชอบถ้ำมองผู้ชายไปแล้ว  แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าภาพตรงหน้านั้นสวยงามราวกับภาพวาด

เขาหยิบกางเกงชั้นในสีดำโยนลงน้ำแล้วกระโดดตามลงไปจนน้ำแตกกระจาย  เห็นเขาขยี้ซักอยู่สักพักก็บิดแล้วเดินขึ้นมาด้านบนอีกครั้ง

เฮือก!!

เอื้อก!!

คราวนี้หันหน้ามา ก็ต้องเห็นด้านหน้าสิ!

ผมรีบปิดตาแบบมิดชิด ไม่ได้แง้มช่องไว้แอบดูอีกเพราะด้านหน้ามันน่าหวาดเสียวเกินไปที่จะแอบดู

ไม่ได้ยินเสียงกระโดดลงน้ำ โดดลงไปสิจะได้เปิดตา

แต่แล้วก็ยังไม่เห็นได้ยินอะไรจนคิดว่าเขาอาจจะเดินลงไปเงียบๆ ก็ได้ 

“อ๊ะ!!?” เมื่อลืมตาก็ต้องผงะและก้าวถอยหลังจนเหยียบลงไปในหลุมโคลนทำให้เสียหลักเพราะร่างสูงมายืนประจันอยู่ตรงหน้า

“ระวัง!” เขาร้องเตือนก่อนจะรวบตัวไว้แล้วดึงขึ้นจากบ่อโคลนเฉอะแฉะ

ตึกๆๆๆๆๆๆ

ตึกๆๆๆๆๆๆๆๆ

หัวใจจะวายเพราะตอนนี้ร่างกายแนบอยู่กับอกเปลือยเปล่า และแน่นอนว่าด้านล่างก็ต้องเปลือยด้วย

ฮืออออ ทำไงดีๆๆๆ ผมอยู่แบบนี้ไม่ได้นะ ผมจะเป็นลม!


“ค..คุณ ป..ปล่อย..ผ  ม” บอกออกไปด้วยเสียงที่ขาดหายไม่เป็นคำ

เขาปล่อยมือทันทีแต่ในขณะที่ร่างกายเราสองคนกำลังจะแยกออกจากกัน ผมก็นึกขึ้นได้ว่าช่วงล่างของเขาเปลือยอยู่จึงรวบกอดเขาไว้อีกครั้ง

“มะ..ไม่ อย่าปล่อย!” ผมร้องห้าม

“อะไรของคุณ เดี๋ยวให้ปล่อยเดี๋ยวไม่ให้ปล่อย” พี่เวย์ถามพลางยกแขนสองข้างขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้กอดผมไว้แล้ว

“ก..ก็ ก็คุณโป๊อยู่” ผมกลั้นใจตอบออกไป พยายามสู้รบกับเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นระรัวแถมยังสั่นสะท้านจนแทบยืนไม่อยู่

“ก็โป๊” เขายอมรับ

“ก็ใช่ไง คุณโป๊อยู่แล้วถ้าเรายืนห่างกันผมก็ต้องเห็นอะไรๆ ของคุณน่ะสิ” ผมตอบและยังไม่ปล่อยตัวเขาแถมยังกอดแน่นขึ้นทุกครั้งที่เขาพยายามจะขยับ

“เมื่อกี้ที่คุณแอบดูทำไมไม่อาย ก็น่าจะเห็นหมดแล้วไม่ใช่เหรอ” ถามออกมาได้ไม่เห็นแก่หน้าร้อนผ่าวของผมแม้แต่น้อย จิตใจทำด้วยอะไรกัน

“ผมไม่ได้แอบดูนะ แล้วก็ไม่ได้เห็นหมดด้วยแค่เห็นก้นมากสุด” ผมโพล่งออกไปแล้วนึกขึ้นได้จึงรีบปล่อยมือมาตะครุบปิดปากตัวเองไว้

เงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาเห็นรอยยิ้มในสีหน้าคล้ายกำลังล้อเลียนอยู่จึงผลักเขาออก แต่เมื่อเขาถอยหลังไปก็ได้เห็น

“ก็ใส่กางเกงในอยู่นี่” ผมชี้

“ก็ใช่ไง” ร่างสูงตอบด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่ดูกวนอวัยวะเบื้องต่ำอยู่ในที

“แล้วทำไมถึงไม่บอก ปล่อยให้ผมกอดอยู่ได้”

“ก็คุณไม่ได้ถาม อยู่ๆ ก็คิดเองเออเอง ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดหรือแค่อยากแต๊ะอั๋งผมกันแน่”

บอกตามตรงว่าทำหน้าไม่ถูก ไม่เคยรู้ว่าพี่เวย์เป็นคนกวนโมโหได้อย่างน่าตี ไม่เคยเห็นว่าเวลาเขาทำหน้ายียวนแบบเก๊กๆ แล้วมันทั้งหล่อและน่าหมั่นไส้ที่สุดในโลก

“บ้าที่สุดเลย ใครจะไปอยากแต๊ะอั๋งคุณ” ผมเดินหนีแต่รองเท้าที่เลอะโคลนก็ไม่เป็นใจ มันหลุดออกจากเท้าหน้าตาเฉย

“ไปล้างเท้าก่อนป่ะ” เขาบอก

ผมมองค้อนเบาๆ แล้วก้มหยิบรองเท้าที่เลอะโคลนก่อนจะเดินกระเผกไปอย่างยากลำบากเพราะพื้นมีแต่กิ่งไม้แห้งและหนาม

“อ๊ะ!!” เผลอร้องด้วยความตกใจเพราะจู่ๆ ตัวก็ลอยขึ้น

“กว่าคุณจะเดินไปถึงเราคงได้นอนแถวนี้แน่” พี่เวย์บอกด้วยเสียงขุ่นๆ  คงคิดว่าผมทำตัวเป็นภาระอีกแล้วสินะ

ผมสงบปากสงบคำ ไม่ใช่เพราะนอยด์แต่เป็นเพราะ..

ตึกๆๆๆๆๆๆๆๆ

หัวใจบ้า! เต้นรัวอยู่ได้ เวลาใกล้พี่เวย์แล้วทำไมชอบเต้นอึกทึกออกนอกหน้าแบบนี้นะ หน้าไม่อายเลยจริงๆ


แต่ละก้าวของพี่เวย์ช่างมั่นคงและเชื่องช้า หรือว่าเขาอยากอยู่กับผมนานๆ

“หนักเกินไปนะคุณน่ะ”

โธ่เอ้ย ที่เดินช้าเพราะผมหนักอย่างนั้นเหรอ หึ้ย คนบ้า


ร่างสูงวางผมลงตรงก้อนหินเล็กที่หยั่งเท้าลงไปก็ถึงธารน้ำ  เขาหยิบรองเท้าในมือผมไปแล้วรีบเดินลงน้ำอย่างรวดเร็ว  เร็วผิดปกติ

“ทำอะไรน่ะ” ผมร้องถาม

“ล้าง” เขาตอบสั้นๆ ยังคงหันหลังให้โดยไม่สนใจจะหันหน้ามาคุยกันดีดี ดูแปลกๆ เหมือนกำลังปิดบังอะไรอยู่

และมันมีจุดที่น่าสงสัย  อะไรบางอย่าง..

“โอ๊ย!!!” ผมร้องเสียงดังลั่น เขาจึงรีบหันกลับมาและเดินลุยน้ำมาหาอย่างรวดเร็ว

“คุณเป็นอะไร!” น้ำเสียงของเขาค่อนข้างตื่นเต้น

“อ่า.. ยุงน่ะ ยุงกัด” ผมตอบพลางหลุบตามองต่ำ

“อ..อืม” พี่เวย์ตอบแค่นั้นก็รีบหันหลังจากไปทันที

อืมเหรอ  ผมก็อืม.. เหมือนกัน


เมื่อพี่เวย์ล้างรองเท้าเสร็จก็เอามาวางไว้บนโขดหิน ผมจึงยื่นเท้าไปหา

“ไม่ต้องล้างเท้าให้ผมนะ ผมล้างเสร็จแล้ว”  เขาก้มมองเท้าของผมแล้วทำหน้านิ่ง

“ก็ไม่ได้คิดจะล้างให้อยู่แล้ว” พูดจบก็เดินทวนน้ำขึ้นไปเล็กน้อยแล้วแหวกว่ายเล่นอย่างสบายใจ

เช๊อะ คนขี้เก๊ก เดี๋ยวจะทำให้เลิกเก๊กให้ได้เลยคอยดู

“คุณ..” ผมเรียก 

พี่เวย์หยุดแหวกว่ายแล้วหันมามอง ไม่ได้ตอบอะไรแค่มองเฉยๆ 

“อยากลงน้ำบ้าง คุณช่วยหน่อยสิ” ส่งเสียงติดจะอ้อนนิดๆ

“ไม่ได้ เดี๋ยวแผลเปียก”

“ก็แค่ระวังอย่าให้โดนหัว”

“ที่หัวไม่โดนก็โดนขาอยู่ดี ผมไม่ยอมให้คุณเสี่ยงหรอกขี้เกียจดูแล”  ดูคำพูดคำจา เย็นชาที่สุด

“แผลที่ขามันแห้งแล้วล่ะ นะคุณ ผมเหนียวตัวอยากอาบน้ำมั่ง” ผมอ้อนอีก

“งั้นเช็ดตัวก็พอ” เขาเดินไปที่ข้าวของวางอยู่แล้วเขย่งหยิบเสื้อกล้ามสีดำของเขาเอาไปชุบน้ำแล้วเอามายื่นให้

“คุณเช็ดให้หน่อยไม่ได้เหรอ ผมทำเองไม่ถนัด” ผมมองเขาอ้อนๆ ดูอีกฝ่ายจะแปลกใจแต่ก็ไม่หลุดออกจากมาดนิ่ง

“ผมไม่จำเป็นต้องตามใจคุณขนาดนั้น ถ้าไม่ทำเองก็เรื่องของคุณ” แล้วเขาก็วางเสื้อกล้ามไว้ข้างผมก่อนจะเดินไปแหวกว่ายต่อโดยไม่หันมาสนใจอีก

ใจแข็งนักนะ..

ผมเริ่มถอดเสื้อออก ถอดทั้งเสื้อเชิ้ตตัวสั้นด้านนอกและเสื้อกล้ามเข้ารูปด้านใน วันนี้ร้อนจนเหงื่อโทรมแถมตอนที่วิ่งหาพี่เวย์เมื่อกี้ยังทำให้เหนียวตัวจนแทบจะทนไม่ไหว  จัดการกดเสื้อของเขาลงไปแกว่งในน้ำอีกครั้งแล้วบิดพอหมาดจากนั้นก็เริ่มลูบไล้ไปตามเนื้อตัว

เช็ดแขน.. อาา เย็นดีจัง

ตรงซอกคอก็ต้องเช็ด  ไล่ลงมาถึงหน้าอกเช็ดไปตามเนินเล็กๆ ที่มียอดสีชมพูเม็ดเล็ก เมื่อถูกผ้าเย็นๆ ลูบไล้มันก็แข็งเป็นไตขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

ผมก้มลงแกว่งเสื้อในลำธารอีกครั้งพร้อมกับเหลือบตามองหาพี่เวย์  เอ๊ะ ทำไมไม่ว่ายน้ำแล้วมายืนมองผมอย่างนั้นล่ะ อ๋อ น่าจะบังเอิญสินะเพราะพอเห็นว่าผมมองเขาก็รีบหันหนีไปทันที

อืม.. แค่บังเอิญ


ผมเช็ดซ้ำอยู่สามรอบเพื่อจะได้แน่ใจว่าสะอาดแล้วจริงๆ แต่ปัญหาอยู่ที่ช่วงล่าง จะทำยังไงดีนะ..

มองซ้ายมองขวาเห็นว่าร่างสูงกำลังว่ายน้ำอยู่จึงคิดว่าเขาไม่น่าจะเห็นหรอก คิดว่างั้นนะ..

ถอดออกก็แล้วกัน  ถอดกางเกงด้านนอกออกไปแล้ว  อืม ด้านในก็คงต้องถอดเพราะอยากสะอาดให้ทั่วทั้งตัว

จังหวะนี้เหมือนมีซาวด์แซกโซโฟนเป่าคลอไปตามการขยับร่างกายของผม

ถึงเวลาแล้วที่จะค่อยๆ เกี่ยวคล้องขอบกางเกงชั้นในลงไป แต่แล้วก็คามือไว้แค่นั้นเมื่อทบทวนดูแล้วว่า ถ้าเปลือยทั้งตัวแล้วเขาเกิดหันมาจะทำยังไงนะ..

“ผมขึ้นแล้วนะ!” อยู่ๆ พี่เวย์ก็เดินฟึดฟัดขึ้นไปบนโขดหิน หันหลังให้แล้วสะบัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้าที่กองอยู่ก่อนจะใส่มันอย่างรวดเร็ว  “เสร็จเมื่อไหร่ก็เรียกด้วย ผมจะรออยู่ตรงนั้น” ว่าแล้วก็วิ่งจู้ดไปเลย

ทำหูแดงแล้วรีบชิ่งไปแบบนี้ ดูไม่เหมือนพี่เวย์คนเย็นชาเลยน้า


เมื่อหมดตัวปัญหา ก็ได้โอกาสที่ผมจะถอดออกทั้งหมดแล้วเดินลงไปในน้ำ ตรงที่ผมอยู่ไม่ลึกหรอกมันสูงแค่ครึ่งเข่า ผมนั่งลงไปพยายามไม่ให้โดนแผลแล้วชำระล้างไปทั่วใช้เสื้อเขาช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวจนสะอาดเอี่ยมอ่อง

อ๊าาส์ สบายตัวแล้ว

หลังจากนั้นจึงรีบใส่เสื้อผ้า สะบัดๆ ให้ฝุ่นผงหลุดออกแล้วใส่มันเข้าไป ตอนนี้แสงเริ่มน้อยลงแล้ว ถ้าช้ากว่านี้คงมืดจนเดินกลับไม่ได้  ตอนแรกคิดว่าจะเรียกเขาแต่ก็เปลี่ยนใจ ผมจำทางได้และน่าจะเจอเขายืนรอยู่ระหว่างทางนั่นแหละ ถึงจะขี้เก๊กแต่ก็ยังเป็นห่วงผมอยู่มาก ดูก็รู้

เมื่อยันตัวขึ้นไปบนโขดหินแล้วใส่รองเท้าที่ข้างหนึ่งเปียกข้างหนึ่งแห้งขึ้นไปบนฝั่ง เดินลัดไปตามทางใหม่ที่มันไม่ค่อยมีหนาม เดินไปอีกนิดจะทะลุออกไปตรงทางโล่งแต่ตรงนี้มีต้นหญ้าขึ้นสูงต้องผ่านไปเร็วๆ ไม่งั้นอาจมีแมลงมากัด

“อ..ฮืมห์” ร่างกายนิ่งค้างเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆ และเมื่อค่อยๆ โผล่หน้าไปดูก็เห็นร่างสูงกำลังขยับมือปลุกปล้ำกับความเป็นชายของตัวเองอยู่   “อ่ะ อาาาห์”  พริบตานั้นเขาครางต่ำแล้วมีของเหลวพุ่งออกมาอย่างแรงราวกับปืนฉีดน้ำ

ตึกๆๆๆๆๆๆ

หัวใจเต้นรัวไปพร้อมกับใบหน้าที่แดงซ่าน ขนลุกไปทั้งตัวและรู้สึกวูบวาบจนเข่าแทบอ่อน

อลังการมาก..



.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

เงาแค้นพี่เวย์อ่านตอนนี้คงเผาพริกเผาเกลือแช่งนายน้อยแน่ กระซิกๆ

ดอทและพี่เวย์มีอดีตที่สวยงามมากถ้าเทียบกับเรื่องอื่นๆ ในชีวิตของดอท

พี่เวย์เป็นความทรงจำดีๆ ที่ดอทยึดติดมาตลอด

ทุกครั้งที่ดอทถูกทำร้ายไม่ว่าจะที่ร่างกายหรือจิตใจ

ดอทมักโทษตัวเองไปถึงเรื่องพี่เวย์เสมอ

เรื่องของสองคนนี้จะลงเอยยังไง ยังไม่แน่ว่าคือคู่กันเพราะนอกป่ายังมีคนรออยู่หลายคน เหอๆๆ


เม้าส์มอยกับทางบ้าน

TachibanaRain :  ขอผมแซะหน่อย ผมเจ็บมาเย้อะะะะะ //เสียงพี่เวย์ 555555555  ปล. อันนี้ก็อะไรไม่รู้กับ3P บอกแล้วว่าแต่งไม่เปนนนนนนน

Janemera  :  ตอนนี้ชายชู้ก็ยังคงมีพฤติกรรมเย็นชา คงต้องโดนควบคุมความประพฤติต่อไปเนาะ

kunt  :  ไม่อยากสปอล์ยเลยว่ายังมีวิบากกรรมอีกเยอะะะะ  T__T

songte  :  เฮียเผ่ามีดีที่รักดอท แต่บางครั้งแค่รักคงยังไม่พอ..

Justccwpo :  ขอแท็กมือแรงๆ หนึ่งทีสำหรับทีม #เวย์ดอท นายน้อยนี่เชียร์พี่เวย์ตั้งแต่อินโทรละเนี่ย 555555

dekying kukkig  :  ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะที่คนเคยเลวจะกลับมาดีได้แค่พลิกฝ่ามือ เงามืดในอดีตมันคงไม่ยอมง่ายๆ // แอบไปเจาะเรือ3P ให้รั่ว 55555


หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 13 : ภาวะตื่นตา 《1/09/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 01-09-2018 15:54:00
สงสารดอทน่ะ  คงอยาก...555  เมื่อไหร่จะได้มีความสุขสักทีน้าาาา
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 13 : ภาวะตื่นตา 《1/09/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 02-09-2018 03:13:50
โอ้ยยยยยยยยยยมีแต่เสือมีแต่ตะเข้ :katai1: :hao4: :hao5: :katai1:น้องดอทออกมาลูกกกกกก ออกมาาาาาาาาา ผชมันไว้ใจไม่ล่ายยยยยยยยยยย :hao7: :o12: #ทีมชายชู้ขอทำการพิจารณารอบสอง #ทีมดอทกินกับอะไรก็อร่อย :hao7:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 13 : ภาวะตื่นตา 《1/09/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 02-09-2018 20:37:19
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 13 : ภาวะตื่นตา 《1/09/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 03-09-2018 22:03:36
ก็ยังไม่เข้าใจพี่เวย์อยู่ดี เอาจริงๆตอนนั้นถ้าเราจำไม่ผิดดอทก็ผลักพี่เวย์ออกไปแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ว่าคบซ้อนแบบดอทกับพี่เวย์แล้วดอทหนีไปมีเฮียเผ่าสักหน่อย ณ ตอนนั้นถึงมันจะใช่แต่ถ้าเวลาและโอากาสมันไม่ใช่ก็คือไม่ใช่นะพี่เวย์ พี่เวย์ควรเข้าใจตรงจุดนี้ด้วยสิไม่ใช่มาโทษดอทซะหมดแบบนี้ อ่านไปถึงจะมีบางโมเม้นท์ที่ชวนยิ้มแต่มันก็น่าหงุดหงิดกับพฤติกรรมของพี่เวย์อยู่ดีแหละ เล่นตัวมากนักจะเชียร์ #วรรตดอท แทนแล้วนะ

ปล.มาอ่านแล้วเด้อนายน้อย รู้สึกสวยมากนักเขียนไปตาม ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 13 : ภาวะตื่นตา 《1/09/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 03-09-2018 22:30:46
ตกลงยังไงๆ พี่เวย์ เก๊กอยู่นั่นแหล่ะ
แต่หมอวรรตก้น่าลุ้นอ่ะ โอ้ย เลือกข้างไม่ถูก
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 13 : ภาวะตื่นตา 《1/09/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 03-09-2018 22:31:47
………


เชียร์พี่เวย์น้องดอทนะ.  แล้วหมอวรรณจะอยู่ตรงไหนดี

อ๊ากกกกกจับคู่เวียนหัว

 :a5:  :a5:  :a5:  :a5:  :a5:  :a5:

พี่เผ่าคงต้องเวลาแยกย้ายแล้วหล่ะ รัก_แต่ไม่พอ

 :เฮ้อ:  :เฮ้อ:  :เฮ้อ:   :เฮ้อ:   :เฮ้อ:   :เฮ้อ:


……
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 13 : ภาวะตื่นตา 《1/09/2018》 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 06-09-2018 13:54:14
โห๊ะ !!!!! เราเจอคนซึน 1 อัตราเนาะ แหมมมมมม มีแอบทำร้ายร่างกายตัวเองด้วย  :m20:
ว่าแต่ดอทไม่เป็นไรแน่เหรอ บอบบางขนาดนั้น  :mew2:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 14 : ภาวะตื่นใจ 《9/09/2018》 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 09-09-2018 22:34:54
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ต อ น ที่  14  :  ภ า ว ะ ตื่ น ใ จ



แกร้ก!

เผลอเหยียบกิ่งไม้แห้งทำให้เกิดเสียงดังจนพี่เวย์หันมา  ใบหน้าหล่อที่ชื้นเหงื่อนั้นตกตะลึงพรึงเพริดเมื่อเห็นผม พร้อมกันนั้นก็รีบเก็บของสงวนเข้าที่อย่างรวดเร็ว  ส่วนผมเองก็ปั้นหน้ายากได้แต่อ้าปากค้างจ้องตากันและกันอยู่อย่างนั้น

แต่แล้วก็เป็นร่างสูงที่ชักสีหน้าใส่แล้วเดินหนีไปซะเฉยๆ

มันใช่เรื่องเหรอที่มาสะบัดบ๊อบใส่กันแบบนี้  ทำอย่างกับผมผิดงั้นแหละ ไม่ได้การละต้องรีบเคลียร์

ผมรีบวิ่งกระย่องกระแย่งจนแซงได้ 

“หยุด!”  ยืนจังก้ากางแขนร้องบอกให้เขาหยุดเดิน

“มีอะไร” เขาถามเหมือนกับว่าไม่ได้เกิดอะไรขึ้นเมื่อกี้นี้

“เราต้องคุยกันนะ” ผมทำสีหน้าจริงจัง

“เรื่องอะไร” พี่เวย์ยังคงตีหน้านิ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“ก็ที่คุณทำเป็นเย็นชาพูดไม่ดีกับผมแต่ที่จริงคุณแกล้งทำ” ผมบอกฉะฉานอย่างมั่นใจเพราะผมได้พิสูจน์มาแล้ว

ใบหน้าหล่อเผยรอยยิ้มแสยะพลางเลิกคิ้วขึ้นแล้วตอบอย่างเย็นชา “อย่างนั้นเหรอ”

“อย่ามาทำเป็นเก๊กหนังหน้าแบบนั้นนะ น้องรู้ว่าพี่เวย์ยังชอบน้องอยู่” ผมเริ่มหงุดหงิดกับการกระทำของเขามากขึ้นทุกที ถึงจะหวาดเกรงในความเป็นพี่เวย์แต่ต้องรวบรวมความกล้าเพื่อจัดการให้อยู่หมัด

“ทำไมคุณถึงคิดว่าเป็นแบบนั้น” ถามด้วยสีหน้าเหยียดๆ ยิ่งเขาเป็นแบบนี้ก็ยิ่งอารมณ์ขึ้น

“ก..ก็!” ผมพยายามนึกหาคำที่จะมาอธิบาย “ก็..ตอนคุณอุ้มเมื่อกี้ ผมเห็นว่าเอ่อ.. ต..ตรง ตรงนั้นของคุณมันแข็งตัว แล้วตอนผมเช็ดตัวคุณก็แอบดูแล้วยัง เอ่อ.. ยังแอบ แอบช่วยตัวเองเพราะมีอารมณ์กับผมไม่ใช่หรือไง!”

หลับหูหลับตาอธิบายยืดยาวทั้งๆ ที่รู้สึกกระดากปากแต่เพื่อให้เขาเลิกทำเป็นเก๊กก็จำเป็นต้องกลั้นใจบอกออกไป

รอยยิ้มกวนอารมณ์เหยียดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาอีกครั้งแล้วเดินเข้ามาใกล้

“คุณไม่รู้เหรอ..” พี่เวย์เอ่ยถามแล้วหรี่ตามองพร้อมกับยื่นมือมาเกลี่ยเส้นผมทัดหูให้ “ทั้งหน้าตา สรีระ และทรงผมของคุณ ยิ่งตอนไม่ได้เซ็ตแบบนี้ก็ยิ่งสลวยดูมีชีวิตชีวา เวลาคุณขยับมันก็จะพริ้วไปมาน่ามอง ทั้งหมดนี้จะบอกก็ได้ว่าผู้หญิงกว่าครึ่งโลกก็ยังสวยสู้คุณไม่ได้” 

ผมนิ่งงัน คำพูดของเขาเหมือนจะชม แต่สายตาที่มองเหยียดนั้นทำให้ผมต้องเตรียมพร้อมรับคำเหน็บแนมของเขาให้จงดี

“แล้วไง” ผมขู่ฟ่อๆ เตรียมสู้กลับ

“ผมเป็นผู้ชาย ถึงแม้จะเคยชอบผู้ชายแต่ผมก็ยังมีอารมณ์ได้กับผู้หญิง และเมื่อกี้ตอนอุ้มคุณผมก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้า การที่ผิวเนียนๆ ของคุณมาเสียดสีกับผิว รวมกับการตั้งใจอ่อยตอนที่คุณเช็ดตัว ผมคงไม่ต้องบอกว่าที่ผมมีอารมณ์เพราะความเงี่... หรือความชอบกันแน่”

พี่เวย์ตั้งใจไม่ออกเสียงคำนั้นที่ค่อนข้างหยาบคาย แต่ผมก็รู้ความหมายเพราะเขาทำรูปปากให้เห็นว่ามันคือคำว่าอะไร

“หยาบคาย” ผมยัดเยียดเสื้อกล้ามเปียกชื้นไปชนหน้าอกของร่างสูงเป็นการระบายอารมณ์ มือหนารีบตะครุบไว้ก่อนที่มันจะตกลงพื้น เขามองหน้าเหมือนตกใจอยู่นิดๆ ที่เห็นกิริยาอาการก้าวร้าวในแบบที่ผมไม่เคยทำกับเขา  “ถ้าคุณคิดว่าทำแบบนี้มันดีแล้วก็ตามใจคุณ!” ผมตะโกนใส่เขาแล้ววิ่งหนีกลับที่พักทันที

เป็นครั้งแรกที่กล้าขึ้นเสียงต่อหน้าพี่เวย์ แต่กดความอารมณ์ไว้ไม่ไหวจริงๆ พี่เวย์คนบ้า คนเย็นชา คนไม่รู้จักการให้อภัย พี่เวย์ใจร้ายที่สุดเลย!!


เมื่อกลับมาถึงที่พัก ผมเดินวนเวียนเป็นหนูติดจั่น รู้สึกฉุนขาดแบบต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าจะลดลง

โมโหๆๆๆ คนบ้าคนใจร้าย! อยากด่าให้เจ็บกว่านี้แต่ก็คิดคำไม่ออก ทำไมผมมันโง่แบบนี้นะ คราวหลังถ้าเจอดินแดนผมจะให้เขาสอนด่าจะได้ทำให้คนอย่างพี่เวย์หน้าหงายไปเลย!

แต่ในขณะที่กำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยง ผมก็เหลือบไปเห็นมีดพับที่พี่เวย์วางไว้ใกล้เป้เจ้ากระต่าย 

“เหมือนผู้หญิงใช่ไหม!” ผมเดินไปหยิบมันขึ้นมาแล้วเปิดใบมีดออก “เหมือนผู้หญิงเหรอ” พูดพร่ำไปพร้อมกับจับเส้นผมสีดำสลวยของตัวเองแล้วหั่นมันออกโดยรอบ “แบบนี้จะเหมือนอีกหรือเปล่า!”

ไม่นานนักพี่เวย์ก็เดินตามมาถึง ผมยืนเชิดคอแข็งอยู่ตรงปากทางเข้ารอให้เขามาเจอ 

แว้บแรกที่เขาเห็นดูหน้าถอดสีไปแค่เสี้ยววินาทีแต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นอย่างเดิมแถมไม่สนใจจะทักด้วยซ้ำ เดินไปผึ่งเสื้อตัวเองบนก้อนหิน แล้วสาละวนก่อไฟอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“นี่คุณ!” ผมเดินไปขวางหน้าไว้ทันทีแต่พี่เวย์แค่เลิกคิ้วมองด้วยสายตาไร้อารมณ์

“อะไรอีก”

“ผมตัดผมแล้ว” พยายามยืดคอเพื่อให้เขาเห็นทรงผมสั้นเสมอหู

“แล้วไง” ร่างสูงปรายตามองแค่แว้บเดียวแล้วถามอย่างเย็นชา

“ก็คุณบอกว่าผมยาวแล้วเหมือนผู้หญิงคุณก็เลยมีอารมณ์ ตอนนี้ตัดผมสั้นแล้ว เรามาลองดูกันว่าคุณจะมีอารมณ์อยู่หรือเปล่า” ผมท้า

พี่เวย์มองแบบตำหนิในใจแล้วถอนหายใจออกมา

“เฮ้อ ผมบอกตามตรงนะ” ขายาวๆ ก้าวเข้ามาประชิดแล้วยื่นมือมาหยิบเส้นผมจากโคนไล่ไปตามความยาวก่อนจะเลื่อนมือลงมาเชยคางให้เชิดขึ้น “ก็ยังเหมือนผู้หญิงผมสั้นอยู่ดี”

!!!!!

ผู้หญิงผมสั้นอะไรเล่า!!

ผมยืนกระฟัดกระเฟียดกัดฟันกรอดอยู่ที่เดิมแต่เขาไม่สนใจและลงมือก่อกองไฟแบบหน้าตาเฉย

ตั้งแต่ยืนโกรธ แล้วมานั่งโกรธ  จนตอนนี้นอนโกรธอยู่นานสองนาน พี่เวย์ไม่ปรายตามามองแม้แต่นิดเดียว  แถมตอนนี้เริ่มแกะมาชเมลโล่ออกมาย่างไฟกินคนเดียวเหมือนกับว่าผมไม่มีตัวตนอยู่ตรงนี้

“หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ” ผมลุกขึ้นห้ามเมื่อเห็นเขาย่างมาชเมลโล่ชิ้นที่สี่กินโดยไม่มีแก่ใจจะหันมาชวน 

ร่างสูงหันมามองแล้วเลิกคิ้วคล้ายจะหมดความอดทน

“ถึงจะโกนหัวคุณก็ยังเหมือนแม่ชีอยู่ดีไม่ได้เหมือนพระหรอกน่า เลิกเซ้าซี้ได้แล้ว”

!!!!!!??

พี่เวย์จะบ้าเหรอ!

จากที่หายโกรธไปบ้างแล้ว ตอนนี้กลับปรี๊ดขึ้นมาอีกแต่ครั้งนี้กลับเข้าโหมดหงอเหมือนเดิม กับพี่เวย์เมื่อกี้คงเป็นการวีนครั้งแรกและครั้งเดียวละมั้ง หนักสุดก็มุ่ยหน้าใส่แล้วด่าในใจ

“ก็ไม่ได้จะพูดเรื่องนั้น” ผมทำหน้างอ “ผมจะบอกว่ามาชเมลโล่นั่นผมซื้อมา คุณจะกินมันหมดโดยไม่แบ่งได้ยังไง แล้วผมจะกินอะไรเย็นนี้” ขมวดคิ้วใส่แล้วเดินไปดึงห่อขนมมาถือไว้

นึกถึงประโยคเมื่อกี้แล้วหงุดหงิด พูดออกมาได้ยังไงว่าถึงโกนหัวก็ยังเหมือนแม่ชีอยู่ดี ที่จริงพี่เวย์เป็นคนแบบนี้อยู่แล้วแต่เมื่อก่อนทำเป็นสร้างภาพหรือเพิ่งจะมาเป็นหลังจากที่เกลียดผมแล้วกันแน่นะ

แต่ไม่ว่าจะเป็นตอนไหนเขาก็น่าโมโหอยู่ดี น่าโมโหที่สุด!

ยิ่งโมโหก็ยิ่งหิว ผมแกะขนมนุ่มหยุ่นสีขาวใส่ปากแล้วดูดซับความหวานก่อนจะกลืนลงคอ

อร่อยจัง..

“โมโหหิวก็บอก” คงเห็นสีหน้าผมผ่อนคลายขึ้นเพราะได้รับรสหวาน  “ถ้าคราวหลังหิวก็รีบมากินไม่ใช่มาเหวี่ยงวีนคนอื่นเหมือนผู้หญิงตอนมีประจำเดือนแบบนี้”

!!!!???

อีตาพี่เวย์! ทำไมปากร้ายแบบนี้ ผมชักจะหมดความอดทนแล้วนะ!!

แต่จะว่าไป เมื่อกี้เขาย่างมาชเมลโล่ด้วยนี่นา ผมอยากย่างบ้างมันจะได้อุ่นๆ ละมุนลิ้นมากขึ้น

“ยืมไม้นั่นหน่อย” 

“พูดเพราะๆ แล้วจะย่างให้”

หึ ทำนิสัยแบบนั้นแล้วจะให้คนอื่นพูดเพราะด้วยเนี่ยนะ ฝันไปเถอะ

“ขอ...ยืมไม้หน่อยครับ” ผมให้เวลาตั้งนานแต่คนใจร้ายก็ไม่ยอมยื่นให้จึงต้องจำใจพูดเพราะๆ อย่างที่เขาบอก

ก็อยากกินแบบย่างนี่ กินธรรมดามันไม่ฟิน

พี่เวย์ทำหน้าเหมือนจะพูดว่า ‘หึ ก็แค่นี้’ แล้วแบมือแทนที่จะยื่นไม้มา “เอามาเดี๋ยวผมย่างให้”

“ไม่ต้องมาง้อตอนนี้หรอก ยังไงผมก็ไม่หายโกรธคุณ” ผมเชิดหน้า

“ผมเนี่ยนะง้อ” พี่เวย์กลอกตาใส่ “ที่จะย่างให้เพราะถ้าคุณย่างเองเดี๋ยวไฟก็ไหม้ที่พักกันพอดี แล้วอีกอย่างถ้าไม่อยากกินแบบไหม้ๆ ก็ส่งมาให้หมดนั่นน่ะ”

แล้วสุดท้ายผมก็แพ้เขาอยู่ดี ที่จริงจะไม่ยอมก็ได้แต่ตอนนี้หิวมากแล้ว  ถ้ามัวเล่นตัวเดี๋ยวโรคกระเพาะจะกำเริบ

“อร่อยจัง” ผมกินไปชมไปด้วยความฟิน “เสียดายที่ซื้อมาแค่ห่อเดียว รู้งี้ซื้อเยอะๆ ก็ดีหรอก” ว่าแล้วก็ไปค้นในถุงอีก

“พอก่อนดีกว่า เก็บสเบียงไว้จะได้กินไปนานๆ พรุ่งนี้ก็อีกตั้งสามมื้อ” เขาปราม

“คุณอิ่มแล้วก็พูดได้สิ”

“ทั้งห่อมีเกือบยี่สิบชิ้น ผมกินแค่ห้าที่เหลือคุณกินหมด” ไม่เห็นต้องเอา Fact มาข่มกัน

“แต่ผมยังไม่อิ่มนี่นา” ผมทำตาละห้อย  พี่เวย์มองอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อยๆ ลากเป้ไปไว้ข้างตัว

“งั้นเดี๋ยวย่างเจ้านี่ให้กิน”

“ม..ไม่ได้นะ” ผมลากเป้กลับมา  “คุณรับปากแล้วว่าจะไม่กินมันจนกว่าเสบียงจะหมดนี่” ทำหน้าหงอยเพราะจะวีนใส่ก็ไม่กล้า

“ก็ถ้าคุณกินเสบียงอีกมันจะก็หมดก่อนมื้อกลางวันพรุ่งนี้ ยังไงก็ต้องย่างเจ้านี่แน่”

ผมขมวดคิ้วกัดฟันข่มความรู้สึกน้อยใจเอาไว้ ก็คนไม่อิ่มทำไมต้องเอาเจ้าต่ายมาขู่ด้วย

“ไม่ต้องกลัวนะ ถึงจะต้องอดตาย จากนี้ฉันก็จะไม่กินเสบียงหรอก แกจะได้รอดให้นานที่สุด” ผมก้มลงไปคุยกับเจ้าต่าย

“ทำร้ายตัวเองเพื่อปกป้องคนอื่น” เขาเปรยขึ้น “มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ทำ”

คำพูดของพี่เวย์ทำให้ผมหวนนึกถึงเรื่องเนม ถ้าตอนนั้นปากกับใจตรงกันแล้วเปิดอกกับเนมไปเลย ซึ่งจากที่ได้เคลียร์ใจกับเนมเมื่อวานจึงรู้ว่าถ้าจริงใจเสียตั้งแต่ตอนนั้นการเคลียร์กับเนมก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร แต่ผมกลับคิดแต่จะปกป้องความเป็นเพื่อนของเราซึ่งท้ายที่สุดการกระทำของผมมันก็สูญเปล่า ซ้ำร้ายยังทำให้ชีวิตต้องเดินผิดทางมาตลอด ไม่เว้นแม้แต่เหตุการณ์ติดป่าตอนนี้มันก็เป็นผลพวงจากการติดสินใจโง่ๆ ของผมเองทั้งนั้น

“นิดๆ หน่อยๆ ก็เบะ ผมพูดแค่นี้เองนะ”

แค่นี้เองตรงไหน  ไม่รู้หรือไงว่าคำพูดของเขามีอิทธิพลกับความรู้สึกของผมไม่ว่าจะคำเล็กคำน้อยแค่ไหนก็ตาม

แต่ผมต้องฮึบไว้ ต้องไม่แสดงความอ่อนแอให้เขาเห็นจะได้ไม่ต้องมาทำท่าทางอ่อนใจแบบนั้นอีกเพราะไม่ว่ายังไงพี่เวย์ก็ยังคงเกลียดผมอยู่วันยังค่ำ

พยายามข่มก้อนขมๆ ในอกแล้วยกเป้ขึ้นมาวางบนตักทำทีเป็นไม่สนใจคนใจร้าย

“เมื่อกี้เห็นผักอะไรไม่รู้อยู่ใกล้ลำธาร เดี๋ยวจะลองเด็ดให้แกกินนะ แต่ตอนนี้มีแค่ขนมนี่กินเป็นหรือเปล่า” ผมบิมาชเมลลโล่แล้วยื่นให้มัน เจ้าต่ายขยับจมูกฟุดฟิดแล้วงับขนมไปเคี้ยวหยับๆ ดูน่ารักน่าชัง  “อุ้ยคุณ! ดูสิมันกินมาชเมลโล่ด้วย” ผมมองเขาด้วยความตื่นเต้น

“คุณนี่อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย” คนแก่นี่ยังไง อุตส่าห์เปลี่ยนบรรยากาศให้มันดีขึ้นแล้วแท้ๆ ก็ยังตามแซะอยู่ได้ “ถามจริงๆ ถ้าคุณมัวแต่แบ่งให้กระต่ายนั่นแล้วจะเอาตัวรอดออกจากป่านี้ได้ยังไง”

ผมมองเขานิ่ง จ้องลึกเข้าไปในดวงตา วิธีเลี่ยงสงครามคงไม่ได้ผลกับคนเจ้าคิดเจ้าแค้นคนนี้

“มาพนันกันไหมว่า ถ้าผมเอาตัวไม่รอดแล้วใครจะมาช่วย”

“ก็คอยแต่จะพึ่งพาคนอื่น” คำพูดของพี่เวย์เหมือนหอกแหลมๆ พุ่งเข้ามาแทงกลางใจของผมได้ทุกทีสิน่า

“ถ้าเป็นคนอื่นที่มีใจให้ผม ถึงไม่ขอเขาก็จะทำให้อยู่ดีเพราะฉะนั้น ผมไม่ผิด”  รวบรวมความรั้นสวนกลับไปบ้างไม่อย่างนั้นคงคิดว่าอยากพูดอะไรก็พูดได้

“เคยมีใจ” เขาเน้นเสียงต่ำ ซึ่งความหมายของคำพูดเหมือนจะฉีกเนื้อเถือหนังของผมให้ขาดวิ่นออกอย่างง่ายดาย “และจะไม่มีวันกลับไปมีอีก ส่วนที่ทำให้ทั้งหมดตั้งแต่วันที่โดนน้ำป่าพัดจนถึงตอนนี้ก็เพราะมนุษยธรรม อย่าคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลนักเลยเพราะยิ่งทำแบบนี้มันก็ยิ่งน่าสมเพช” ด่าผมอย่างเจ็บแสบแล้วหนีเข้ามุมนอนหันหลังให้

“พี่เวย์หลอกตัวเอง!” ผมตะโกนใส่อย่างเหลืออด น้ำตาปริ่มขึ้นจนเต็มหน่วย “น้องไม่เชื่อหรอกว่าพี่จะลืมน้องได้จริงๆ ไม่เชื่อเด็ดขาด!”

ร่างสูงหันมามองด้วยสายตาเหยียดหยาม

“ที่แฟนของคุณไปมีคนอื่นก็คงเพราะคุณนิสัยแบบนี้สินะ”

ร่างกายชาวาบเมื่อถูกย้ำปม ม่านน้ำที่ปริ่มอยู่ร่วงหล่นในทันทีเมื่อภาพเฮียกับผู้หญิงคนนั้นฉายชัดขึ้นในความรู้สึก

“ใช่สินะ.. การถูกนอกใจเป็นสิ่งที่สาสมแล้วสำหรับคนอย่างผม ผมสมควรได้รับมัน สมควรแล้วที่จะต้องเสียใจแบบนี้! และคุณคงสะใจที่ได้เห็นผมตกต่ำทนทุกข์ทรมานแบบนี้ใช่ไหม!!” ผมพูดออกมาพร้อมกับน้ำตาที่พร่างพรูลงมาเป็นสาย เป็นอีกครั้งที่เจ็บปวดรุนแรงจนแทบอยากเดินออกไปให้สัตว์ป่าขย้ำให้ตายเสียให้รุ้แล้วรู้รอด

อยากเกลียดก็เชิญเกลียดไปเลย ตอนนี้มันชาชินจนแทบไม่เหลือความรู้สึกอีกแล้ว


ผมเข้ามุมนอนและเอนตัวลงหันหลังให้ทุกสิ่งในโลก  ไม่อยากเห็นผู้ชายใจร้ายคนนี้อีก ต่อให้ผมตายต่อหน้าเขาก็คงไม่ให้อภัยหรอก 

“ลุกมากินยาก่อน” เขาส่งเสียงดุ

ผมไม่หันไป ไม่ตอบ ไม่ขยับอะไรทั้งนั้น สิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่ทำให้แผลที่เลือดใกล้หยุดไหลมันทะลักออกมาอีก


“ถ้าคืนนี้ป่วยจนพรุ่งนี้เดินไม่ไหว ผมจะไม่รอคุณหรอกนะ” พี่เวย์ยังคงพร่ำพ่นคำร้ายกาจออกมา


“ผมจะบอกครั้งสุดท้าย ลุกมากินยา” นอนฟังเขาพล่ามจนรู้สึกเพลีย จะทำยังไงก็เชิญเถอะ ผมจะอยู่ตรงนี้ไม่ยอมหันไปแสดงความอ่อนแอให้เขาได้เห็นอีก


ถ้าเป็นไปได้ ผมไม่อยากได้ยินเสียงเขาด้วยซ้ำเพราะฉะนั้นนอนเท่านั้นที่จะทำให้พ้นไปจากตรงนี้ไปได้


นอนสิ ไม่ต้องร้องไห้หรอก นอนสิชนม์แดน!





ปกติเวลาผมนอนแล้วจะกรนเบาๆ เฮียเผ่าเคยบอกแบบนั้น พอคิดถึงเฮียแล้วใจปวดร้าวแต่ช่างเฮียเถอะการนอนของผมสำคัญกว่า


“ครืดดด ฟรี้~~”  ผ่านไปเนินนาน ในที่สุดผมก็กรนจนได้


“เฮ้อ กว่าจะหลับได้ร้องไห้ไปตั้งหลายชั่วโมง น้องนี่มันดื้อตั้งแต่เด็กจนโตป่านนี้ก็ยังดื้อไม่หาย”

ดื้อเหรอ น้องเนี่ยนะดื้อ พี่เวย์ต่างหากที่ดื้อ

“ทำไมไม่ทำตัวนิ่งๆ ปล่อยให้เราสองคนอยู่ในระยะที่ไม่ต้องปะทะกันบ้าง น้องจะอยากพิสูจน์ทำไมว่าพี่ยังเหมือนเดิมหรือเปล่าในเมื่อถึงพี่จะเหมือนเดิมน้องก็ไม่รักพี่อยู่ดี”

ก็พี่เวย์ปากแข็ง น้องแค่อยากให้พี่เวย์เป็นคนน่ารักเหมือนเดิมนี่ครับ

“อืออ น..ห น า ว   ห น า ว~~”

“เดี๋ยวพี่กอดนะครับ บอกแล้วให้กินยา นี่คงไข้ขึ้นแล้วสิท่า เด็กดื้อ”

ก็บอกว่าพี่เวย์นั่นแหละที่ดื้อกว่า

“ฮืออ พี่เวย์  ฮือออ” 

“ชู่วว พี่อยู่นี่ครับ กอดน้องอยู่นี่ไง”

“ฮืออ~ พี่เวย์ไม่รักน้อง ฮืออ~”

“รักสิครับ รักมาตลอดไม่ว่าจะกี่ปี พี่เวย์รักน้องนะครับ” 

“รักจริงเหรอ?”

“จริงสิครับ”

“แน่นะ?”

“.......??”

“ตอบสิ..”

“น..นี่!?” พี่เวย์ปล่อยอ้อมกอดแล้วขยับออกห่างจากตัวผมทันที ผมเองก็ลุกขึ้นนั่งแล้วจ้องเขากลับ

“ตอบมาก่อนสิว่ารักไหม” ผมจ้องตาเพื่อเค้นจะเอาคำตอบ

ดวงหน้าหล่อที่เปล่งประกายท่ามกลางแสงของเปลวไฟนิ่วหน้าหงุดหงิดแล้วตอบกลับมาอย่างที่ผมคิด

“ไม่ได้รัก” 

ผมยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “ไม่ทันละ”

ณ ช่วงเวลานี้ เหมือนหัวใจของผมที่เคยมีแผลเป็น แหว่งเว้า กลัดหนอง หรือแม้แต่ถลอกปอกเปิก ถูกเยียวยาได้ด้วยการเอาชนะพี่เวย์ 

บอกไม่ถูกแต่ไม่ใช่แค่ต้องการอยู่เหนือกว่าทว่ามันลึกซึ้งคล้ายแรงปรารถนาจากก้นบึ้งของความรู้สึก  หากคุณเคยมีใครที่เขารักคุณมากๆ เป็นทุกอย่างได้เพื่อคุณแต่แล้วจู่ๆ เขากลับเปลี่ยนไป จากนั้นคุณก็สามารถทำให้คนๆ นั้นกลับมาเป็นของคุณได้ดังเดิม คุณคงรู้สึกเช่นเดียวกับผมในตอนนี้

พี่เวย์หลับตาถอนหายใจเหมือนกำลังปรับความรู้สึก แต่เมื่อเขาลืมตาขึ้น..

“จุ๊บ~”  แก้มสากถูกขโมยหอมแล้วมองจ้องไปด้วยแววตาล้อเลียน ทั้งๆ ที่ผมเป็นฝ่ายกระทำแต่กลับรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวหัวใจก็เต้นแรง  “ถ้าคำตอบไม่ถูกใจ น้องจะจุ๊บพี่เวย์ไปเรื่อยๆ จนกว่าพี่เวย์จะใจอ่อน”

“อย่าร้ายให้มันมากนัก” เขาส่งสายตาดุ

เห็นแบบนั้นก็อดหมั่นไส้ไม่ได้จึงบีบเสียงล้อเลียนคำพูดของเขาเมื่อครู่

“รักสิครับ รักมาตลอดไม่ว่าจะกี่ปี พี่เวย์รักน้องนะครับ” 

“ดอท!” พี่เวย์เอ็ด

“จุ๊บ~~  อื้อ! พี่เวย์ ปล่อย” ขโมยหอมแก้มเขาอีกทีแต่คราวนี้ถูกรวบตัวไว้ภายใต้วงแขนแข็งแรง

“อยากได้ยินคำว่ารักไม่ใช่หรือไง” เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันขยับหน้าเข้ามาใกล้จนหัวใจเต้นถี่รัวเหมือนกับจะหลุดออกมานอกอก

“ย..อยากได้ยินคำว่ารักแต่ไม่ต้องใกล้ขนาดนี้ก็ได้” พยายามเอนตัวหนี พยายามควบคุมสติแต่ร่างกายไม่ให้ความร่วมมือใดๆ

“ร้ายอย่างเราต้องอยู่ใกล้ไม้ใกล้มือแบบนี้” ร่างสูงขยับตัวผมให้ขึ้นนั่งบนตักแล้วล็อคตัวไว้แน่น “แกล้งหลับได้ยังไง ใครสอนให้ร้ายกาจแบบนี้”

“ก..ก็พี่เวย์ปากแข็ง ใจแข็ง แถมยังพูดทำร้ายจิตใจน้องตลอด น้องก็ต้องพิสูจน์สิ” ผมทำหน้างอพยายามดันตัวออกเพราะตอนนี้เหมือนร่างใกล้ระเบิดเต็มทีแล้ว

“พิสูจน์แล้วได้อะไร” เขาจ้องนิ่งมาด้วยแววตาที่อ่อนแสงลง  ทั้งน่าสงสารและน่ามองจนหัวใจยิ่งทำงานหนักมากขึ้น

ตึกๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

“ดะ..ได้รู้ ว่าพี่รัก” ผมตอบอ้อมแอ้มรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วทั้งตัวผสมกับเสียงอึกทึกในอกข้างซ้าย ผมใกล้จะเป็นลมแล้วจริงๆ นะ

“รักแล้วยังไง รักแล้วมีอะไรเปลี่ยนไปได้เหรอ” เขาพูดราวกับจะตัดพ้อ

“น้องก็ยังไม่รู้ว่ามันเปลี่ยนอะไรได้ไหม แต่น้องแค่ไม่อยากเห็นพี่เวย์เป็นคนใจร้าย แค่อยากให้พี่เวย์คนดีของน้องกลับมาเหมือนเดิม” ยิ่งใกล้ก็ยิ่งหวั่นไหว ยิ่งเห็นใบหน้าหล่อสะท้อนแสงไฟวูบไหวเช่นนี้เขาก็ยิ่งดูมีเสน่ห์

พี่เวย์หล่อจัง หล่อแบบสมาร์ท สะอาดสะอ้านแต่ดูเท่ด้วยไลฟ์สไตล์ทั้งการแต่งตัวและพาหนะที่ใช้ ความมีอายุไม่ได้ทำให้ดรอปลงแต่กลับยิ่งเพิ่มราศีให้ดูอบอุ่น น่าเชื่อถือ และที่สำคัญ พี่เวย์หุ่นเฟิร์มมาก ไม่มีไขมัน ไม่มีความย้วยของผิว อย่าว่าแต่ย้อยเลย แค่รอยตีนกายังไม่มีสักเส้น ไม่รู้ดูแลตัวเองยังไง

“คนดีคนเดิมไม่มีแล้วครับ  มีแต่คนไม่ดี”

“ยังอยากเป็นคนไม่ดี ยังอยากจะพูดจาแรงๆ กับน้องต่อไปอีกเหรอ” ผมมองอ้อน ไม่อยากถูกเขาทำเหมือนเกลียดอีกแล้ว มันเจ็บปวดเป็นทุกข์มากจริงๆ

“เปล่าซะหน่อย” เขาปฏิเสธ

“แล้วทำไมบอกว่ามีแต่คนไม่ดีล่ะครับ” ผมถามเสียงปร่าเพราะสายตาพี่เวย์เหมือนเหยี่ยวที่เตรียมจะโฉบเหยื่ออันโอชะ

“ก็เพราะว่า..เมื่อก่อนเป็นคนดีที่ไม่เคยล่วงเกิน” เขาว่าแล้วเริ่มล็อคตัวผมแน่นขึ้นจนสะท้านสั่นราวกับลูกนก “แต่วันนี้ไม่มีแล้ว”

พูดจบก็ดันร่างผมลงนอนแล้วทาบตัวตามมาก่อนจะก้มลงจนหน้าเราชิดกัน 

“พี่ไม่รู้ว่าตอนนี้น้องเกิดอารมณ์เพราะร่างกายผิดปกติหรือลึกๆ แล้วน้องมีใจให้พี่ แต่พี่ไม่สนเพราะถ้าในระหว่างที่พี่ทำอะไรๆ แล้วน้องไม่ขัดขืน พี่จะไม่หยุดจนกว่าจะเสร็จ..นั่นคือความหมายของคำว่า..คนไม่ดี”

ตึกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

พี่เวย์พูดจาแบบนี้แล้วฮ็อตเป็นบ้า ได้ยินแล้วใจเต้นโครมครามจนแทบจะแตกออกมานอกอก 

“อือออ” ความรู้สึกแทบระเบิดออกเป็นจุลเพราะกลีบปากสีสวยของเขาที่ประกบจูบลงมา ละเลียดขบกัดริมฝีปากของผมราวกับว่ามันเป็นขนมหวาน

ตอนนี้สมองว่างเปล่า ไร้เหตุผล ไร้ข้อแม้ใดๆ ทั้งร่างกาย ความรู้สึก อารมณ์ และจิตวิญญาณได้หลอมรวมอยู่กับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า ผู้ชายที่อยู่ในห้วงความคำนึงมาตลอดระยะเวลาที่เราเคยพรากจากกัน

“อือออ~” ผมครางรับเมื่อเขาแทรกลิ้นเข้ามา

พี่เวย์..

หลับตาลงรับความรู้สึกที่หลากหลาย กว่าจะมีจูบแรกกับพี่เวย์ เราผ่านอะไรมาเยอะมาก ตั้งแต่ตอนที่ไม่มีใจให้เขาเลยไม่ว่าเขาจะทำดีแค่ไหน จนเริ่มมีความรู้สึกเสียดายตอนที่จะต้องยกให้เนม ต่อมาก็เริ่มมีใจแต่ก็ต้องหักห้ามเพราะยกให้เพื่อนไปแล้ว เมื่อมีทุกข์ก็ยิ่งคิดถึงเขา และเมื่อผมพลาดท่าให้กับเฮียจึงต้องสะบั้นความสัมพันธ์กับเขาอย่างไม่เหลือเยื่อใย จนเมื่อไม่นานมานี้ได้เจอเขาที่เกลียดผมจะเป็นจะตาย และด้วยอะไรไม่รู้ที่นำให้เรามาติดอยู่ในป่าด้วยกัน

ความรู้สึกท่วมท้นในอกข้างซ้ายนี้จะเป็นอะไรไปได้อีกถ้าไม่ใช่..ความรัก


“อืมห์” เสียงคำรามเบาๆ แสดงความพึงพอใจที่ผมเริ่มตอบรับมากขึ้นและมากขึ้น ไอร้อนจากทั้งสองร่างแผ่ผสานถึงกันจนกองไฟแทบจะไร้ประโยชน์

แผ่วเบาแต่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึก สัมผัสของพี่เวย์เต็มไปด้วยความโหยหา ความรัก ความคิดถึง ผมรับรู้ถึงมันได้อย่างชัดเจน

“อือ~~” ผมรวบกอดร่างสูงไว้แน่นราวกับจะพิสูจน์ให้แน่ชัดว่าตอนนี้ไม่ได้กำลังฝันอยู่ อย่าว่าแต่พี่เวย์ที่โหยหาอยู่ฝ่ายเดียวเพราะทางนี้ก็สุดหัวใจแล้วเช่นกัน

ผมน่าจะรักพี่เวย์ตั้งแต่วันที่เขาไปส่งที่บ้าน ถ้าเพียงแต่พี่เวย์จูบผมในคืนนั้น ผมคงรู้ว่าเขาคือคนที่ใช่และคงไม่ยกให้ใคร แต่ในเมื่อเขาไม่ได้จูบเพื่อให้ผมได้รู้จักหัวใจตัวเอง ผมจึงให้เหตุผลต่างๆ นาๆ เท่าที่พอจะคิดได้คอยนำทางซึ่งก็ยอมรับว่ามันผิดมาตั้งแต่ตอนนี้

ทว่าในตอนนี้ผมอยู่กับเขาแค่เพียงสองคน  ใจเราต่างตรงกัน   

แล้วมันจะผิดไหมนะที่จะมอบร่างกายให้เขาเชยชม



ต่อ..
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 14 : ภาวะตื่นใจ 《9/09/2018》 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 09-09-2018 22:38:05
‘เฮียจะทำทุกอย่างให้เราได้อยู่ด้วยกัน’

เสียงของเฮียเผ่าดังขึ้นในโสตประสาท ผมยังจำสายตาตอนที่เฮียพูดประโยคนี้ได้ดี และมันได้หลอนเข้ามาในจิตสำนึกชั่วแล่น

“พะ..พ..พี่..” ผมเรียกเขาเบาๆ ทั้งๆ ที่ตอนนี้เขากำลังจูบซุกไซร้ไปตามซอกคอจนร่างกายสะท้านรุนแรง “พ..พี่.. พี่เวย์..พี่..เวย์ครับ” พยายามปรับเสียงให้เสถียรมากที่สุดหวังให้เขาสนใจฟัง

“อืมห์..ครับ..” พี่เวย์ครางต่ำ ผ่อนลมหายใจออกยาวนานคล้ายกับกำลังพยายามข่มอารมณ์ที่โลดแล่น แต่ในที่สุดร่างสูงก็ยันตัวขึ้นมองจ้องไปทั่วใบหน้า “น้องอยากหยุดเหรอครับ”

น้ำเสียงแหบต่ำ ทั่วใบหน้าขึ้นสีจัดเพราะปกติพี่เวย์ขาวมากแต่อารมณ์เมื่อครู่คงขับเลือดลมให้ฉูบฉีดอย่างหนัก ขนาดว่าแสงน้อยเช่นนี้ก็ยังไม่อาจบดบังหลักฐานตรงหน้าได้แม้แต่น้อย 

ไม่เคยเห็นอาการแบบนี้เลยสักครั้งซึ่งคงต้องยอมรับว่าใจสั่นหวั่นหวิวได้อย่างมากมายแบบไม่น่าเชื่อ  พี่เวย์มองละเลียดทั่วใบหน้าพลางเกลี่ยไล้ลงมาบนริมฝีปาก วาบหวามจนต้องกัดไว้ให้มือหนาหยุดนิ่งเพื่อใช้เวลาควบคุมอารมณ์ของตนเอง

ยากมากๆ ที่จะสกัดกั้นความปรารถนาในหัวใจรวมถึงร่างกายที่เหมือนจะระเบิดออกเพราะความร้อนรุ่มแต่ผมต้องฝืนใจทำ


พี่เวย์ใจเย็นมาก ไม่เพียงแค่หยุดการกระทำแต่เขายังให้เวลาอยู่นานหลังจากที่ผมเงียบไปเพราะไม่ง่ายเลยที่จะข่มความรู้สึกพลุ่งพล่านให้สงบลง

และเมื่อมันเริ่มดีขึ้นผมจึงปล่อยนิ้วที่กัดไว้ให้เป็นอิสระ 

“น้องไม่อยากให้หยุดเลยครับ” ผมบอกไปตามความจริง “แต่ไม่อยากรู้สึกผิดกับเฮียเผ่า” พูดไปพลางหลบตาไม่อยากเห็นแววตาตัดพ้อแต่แล้วก็ต้องกลั้นใจมองผู้ชายตรงหน้าด้วยความจริงใจทั้งหมดที่มี

“ขอน้องกลับไปเลิกกับเฮีย แล้วเราค่อยมาเริ่มศึกษากันใหม่ แต่ถ้า.. ถ้าน้องเลิกไม่ได้ พี่เวย์จะโกรธไหมครับ” ระหว่างที่พูดผมดึงมือของเขามาแนบแก้มเพราะกลัวว่าพี่เวย์จะกลับไปทำเย็นชาเหมือนเดิม

ไม่อยากพูดแบบนี้เพราะรู้ดีว่าเคยมทำร้ายเขามามากเกินไปแล้วแต่ผมทรยศเฮียไปมากกว่านี้ไม่ได้ ถึงแม้ว่าเฮียจะไม่เคยหยุดนอกใจผมเลยก็ตาม

อย่างน้อย สถานะของเราต้องขาดจากกันอย่างเด็ดขาดเสียก่อน ก่อนที่ผมจะเริ่มใหม่กับใครก็ตาม

นิ้วเรียวเกลี่ยลูบไรผมไล่ไปจนถึงใบหู เขานวดมันเล่นอย่างเบามือ  ดวงตาแสนอ่อนโยนสะท้อนแสงไฟสีส้มนวลตา ช่างเป็นภาพที่ทรงอานุภาพรุนแรงขั้นสูงสุด

“ขนาดน้องทำมากกว่านี้พี่ยังโกรธไม่ลง นับประสาอะไรกับครั้งนี้ล่ะครับ”

ได้ยินแล้วใจชื้นขึ้นทันที ผมจูบมือเขาหนักหน่วงเพื่อแสดงออกถึงความขอบคุณ

“ถ้าวันหนึ่งเราได้ลงเอยกัน พี่เวย์จะได้มั่นใจว่าน้องหักห้ามใจตัวเองได้ ไม่มีวันนอกใจแน่นอน”

รอยยิ้มหมั่นไส้เหยียดขึ้น มือหนาหนีบหนักๆ ลงมาบนสันจมูก

“ไม่ต้องมาทำปากหวานกล่อมพี่หรอก ถึงจะนิสัยไม่ดีแบบเมื่อก่อนพี่ก็ยังรักมาจนป่านนี้ไม่ใช่เหรอ”

“เดี๋ยวนี้ปากร้ายจัง”

“พี่น่าจะปากร้ายใส่ตั้งแต่ตอนที่จีบน้องแล้วนะ”

“อ้าว ทำไมล่ะครับ” ผมถามเพราะไม่เห็นจะมีเหตุผลที่จะทำให้ผมเกลียดตั้งแต่แรก

“เราน่ะไม่รู้ตัวหรอกว่าเป็นคนรั้นแค่ไหน” เขาดีดหน้าผากจนผมย่นหน้าอ้อน พี่เวย์จึงก้มลงมาจูบทับรอยเพื่อปลอบใจ ไม่พอยังเกลี่ยเส้นผมด้านซ้ายเพื่อดูแผลที่หัวให้ก่อนจะเป่าใส่แผลเบาๆ ผมก็ได้แต่กลั้นยิ้มกับความละมุนละไมของพี่เวย์

“น้องแพ้ทางคนร้ายๆ คนที่ไม่ยอมลงให้” พี่เวย์พูดต่อ  “อาจเพราะปมเรื่องป๋าทำให้น้องอยากเอาชนะพวกที่ไม่ยอมเอาใจและพี่ก็ไม่ได้ร้ายแม้แต่นิดเดียว นั่นคงทำให้น้องไม่สนใจ ทั้งที่ความจริงแล้วอาจจะรู้สึกผูกพันกับพี่มาตลอดแต่ในเมื่อไม่สะดุดใจก็เลยรู้ตัวช้าว่าความจริงนั้นรู้สึกดีกับพี่มากแค่ไหน  ทีนี้พอเข้าใจตัวเองขึ้นบ้างไหม หึ้ เด็กโง่” มือหนาบีบแก้มจนปากยู่แล้วส่ายไปมาก่อนจะประทับกลีบปากสวยลงมาแล้วปล่อยมือ

“วิเคราะห์ซะทะลุปรุโปร่ง นี่เข้ามานั่งในใจน้องตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย”

“พี่ก็เพิ่งมารู้ตอนที่เราเจอกันวันแรกใต้ต้นฉำฉานั่นแหละ สายตาน้องหวั่นไหวกับพี่มาตั้งแต่วันนั้น แล้วเวลาพี่แกล้งน้องก็จะลนๆ ยุขึ้นทำท่าทางตลกๆ น่ารักดี” พี่เวย์พลิกตัวลงไปนอนเท้าแขนมองผมอยู่ด้านข้างแล้วขำใส่

ผมยื่นปากไม่พอใจ “ขำมากหรือไง”

“มากกกกกก” รอยยิ้มกว้างเผยขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา

นี่เป็นรอยยิ้มแรกหลังจากที่เราได้เจอกันอีกครั้ง ได้เห็นแบบนี้แล้วก็อดจะยิ้มตามไม่ได้   รอยยิ้มนี้ที่เขาเคยมีให้ตอนที่ยังไม่ได้ไล่เขาออกจากชีวิต รอยยิ้มของประธานชมรมบาสคนเก่งที่มีให้ผมทุกวันซึ่งตอนนั้นผมมองไม่เห็นคุณค่าว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนแบบพี่เวย์จะต้องมาคอยไล่ตามใครง่ายๆ อย่างที่ทำกับผม

“น้องยิ้มสวยจัง” พี่เวย์มองด้วยสายตาหลงใหล

“แล้วขำตอนไหนมากสุด” ผมเบี่ยงประเด็น ไม่อยากเข้าโหมดหวามไหวอีก

“อืม ตอนที่กินกาแฟผิดแก้ว  แล้วก็ตอนที่ทำเป็นรู้ดีเรื่องเนม  โดยเฉพาะตอนที่เรย์เรย์ไปถามว่าขอดูกาจู๋หน่อยฮับ ฮ่าๆๆๆ นึกหน้าน้องวันนั้นแล้วพี่นอนหัวเราะคนเดียวมาตลอดเลยนะ ฮ่าๆๆ” 

“หัวเราะอะไรขนาดนั้นเล่า” ผมค้อนให้แต่ที่จริงแล้วรู้สึกดีจังที่พี่เวย์เลิกเครียดแล้วหัวเราะออกมาเต็มหน้าแบบนี้ “แต่ที่จริงพี่เวย์แค่แกล้งก็ได้ทำไมต้องร้ายใส่จริงๆ ด้วยล่ะครับ พี่เวย์รู้ไหมว่าน้องเสียใจมากเลยนะ ร้องไห้หนักมากเพราะพี่เวย์คนเดียวเลย” ผมทำหน้าบึ้งคิดไปถึงช่วงที่เขาร้ายแล้วอยากจะโกรธสักร้อยปี

“ก็เรามันดื้อ ชอบทำคอเชิดๆ เหมือนกับว่าไม่รู้สึกอะไรแต่ที่จริงทั้งแววตาและท่าทางมันฟ้องหมดทุกอย่าง  จะว่าไปตอนที่พี่พูดไม่ดีจนทำให้น้องร้องไห้พี่ก็ตกใจนะแต่ตอนนั้นมันเฮิร์ตมากกว่าที่เห็นน้องกับคุณเผ่าหวานกันขนาดนั้น บอกตามตรงว่าพี่รับไม่ไหวจริงๆ อดรู้สึกไม่ได้ว่าน้องเย้ยพี่” เขาบีบคางผมแล้วจับหันไปหาก่อนจะจูบปากแล้วผละออก “คราวหลังพี่ไม่ทนนะบอกเลย จะอาละวาดให้หนักกว่านั้นอีก จำไว้” 

“หืออ แค่นั้นก็หนักแล้วครับ น้องแทบจะโดดออกไปให้รถชนตาย พี่เวย์รู้ไหมว่าน้องแคร์พี่เวย์มากที่สุดเลยนะ” ผมมองอ้อน

“แคร์มากแล้วทำไมเมื่อกี้ให้พี่หยุดล่ะครับ พี่ว่าน้องน่าจะแคร์คุณเผ่ามากกว่า” ดูเหมือนเขาจะตัดพ้อแต่ก็เข้าใจอยู่ในที

“น้องขอโทษ” ส่งสายตาอ้อนไปให้ ตอนนี้กลัวใจพี่เวย์จะเปลี่ยนไปเป็นแบบแบ้ดๆ อีกแต่คงต้องพูดตรงๆ ให้เขาเข้าใจ “ถึงเฮียเผ่าจะชอบทำให้น้องเสียใจเรื่องไปมีคนอื่น แต่เฮียเป็นคนเดียวที่อยู่ข้างน้องมาตลอด โดยเฉพาะในวันที่เสียใจอย่างหนักกับป๋า เฮียไม่เคยทิ้งไปไหนทั้งๆ ที่น้องไม่ค่อยไปเจอ  หลายๆ อย่างเฮียก็น่ารักและที่สำคัญเฮียรักน้องมาก  และน้องจะไม่โกหกพี่เวย์ว่าน้องเองก็รักเฮียเหมือนกัน”

พี่เวย์หลับตาคล้ายจะข่มความเจ็บปวด

“ฟังน้องบอกรักคนอื่นต่อหน้าแล้วใจจะขาด”  เปลือกตาที่ปิดอยู่ค่อยๆ ลืมขึ้นแล้วถอนหายใจเบาๆ  “แต่เอาเป็นว่าพี่รู้ว่าของแบบนี้มันอยู่ที่ความผูกพันและระยะเวลาที่ใช้ร่วมกัน น้องรักเขาก็ถูกแล้วเพราะถ้าไม่รักพี่อาจจะคิดว่าน้องใจดำก็ได้” พี่เวย์ก็คือพี่เวย์ เขาใจดีและอ่อนโยนเสมอ

“พี่เวย์รอได้หรือเปล่าครับ” ผมช้อนตาขึ้นมองแล้วลูบเบาๆ บริเวณปลายคางที่ตอนนี้เริ่มมีเคราขึ้นมาหนาตา “รอให้น้องเคลียร์กับเฮีย ถ้าน้องตัดสินใจเลิก การรอคอยก็สิ้นสุดลงแต่ถ้าน้องตัดสินใจคบต่อ การรอก็สิ้นสุดลงเช่นกันเพราะไม่ต้องรอน้องอีกต่อไป”

ตอนแรกพี่เวย์ก็ดูจะงงๆ กับสิ่งที่ผมพูดแต่ไม่นานก็เผยรอยยิ้มในสีหน้า

“น้องจะใช้การตัดสินใจเรื่องคุณเผ่าเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่สวยงามของเราหรืออาจจะเป็นการจบความสัมพันธ์แบบถาวรของเราไปเลยก็ได้ แบบนี้ใช่ไหม”

“หล่อและฉลาด” ผมจับคางสากส่ายเบาๆ พลางยิ้มตาหยี

“เดี๋ยวนี้ขี้อ้อน ขี้อ่อย ทะลึ่ง ทะเล้น ช่างจ้อเยอะขึ้นนะ คุณเผ่าเขาเทรนมาดีเหรอ” พี่เวย์มองเหมือนอยากจะกินผมซะตอนนี้ให้ได้

นั่นสินะ ใครสอนอะไรพวกนี้กับผมนะ เฮียเผ่าไม่น่าใช่ หรือจะเป็นดินแดนก็มีส่วนนะ แต่คนที่เป็นคนเปิดโลกใบใหม่ที่สดใสให้กับผมก็คือ..หมอวรรต

ตายละสิ  ลืมหมอวรรตไปเลยเหรอเนี่ย ผมนี่ใจง่ายจัง พออยู่กับคนนั้นก็ลืมคนนี้ พออยู่กับคนนี้ คนไหนๆ ก็ลืมหมด  แล้วพี่เวย์กับหมอวรรตจะเปิดศึกชิงดอทกันไหมละเนี่ย โอยย แค่คิดก็ปวดหัวแล้วนะ อีตาหมอประสาทมันต้องไม่ยอมรามือง่ายๆ แน่ แล้วถ้าพี่เวย์รู้ว่าหมอวรรตเคยจูบผม แล้วถ้าหมอวรรตรู้ว่าผมเคยมานอนอ้อยพี่เวย์อยู่แบบนี้  โอ้ยย ผมต้องเละคาปากผู้ชายสองคนนี้แน่ เพราะพวกเขาจะด่าผมจนไม่ต้องไปผุดไปเกิดแน่เลย ฮืออออ ทำยังไงดีนะ

“ทำไมคิดนาน หืม” เสียงพี่เวย์ปลุกผมให้หลุดจากห้วงความคิดถึงบุคคลอื่น

ไม่อยากให้เขาหัวเสียจึงคิดว่ายังไม่พูดเรื่องหมอวรรตน่าจะดีกว่า

“อืม เมื่อกี้พี่เวย์บอกว่าน้องทำเป็นรู้ดีเรื่องเนม หมายความว่ายังไงเหรอครับ” เปลี่ยนเรื่องไปแบบนี้น่าจะดีกว่า

พี่เวย์ยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วทำเป็นมองเฉยๆ ไม่ตอบคำถาม ผมจึงรีบขยับหนีเพราะถ้าเขามีเนมเป็นแฟนอยู่แล้วผมคงใกล้เขาไม่ได้

“ว่าไงล่ะครับ น้องลืมเรื่องเนมไปเลย ที่จริงเราไม่ควรอยู่ใกล้กันแบบนี้นะ มันไม่ยุติธรรมสำหรับเนม”

“ทุกวันนี้สวดมนตร์ไม่เป็นเหรอ สวดนโมเป็นมโนใช่ไหมถึงได้ชอบคิดเองเออเองตลอดแบบนี้น่ะ” พี่เวย์ขยับตามเข้ามาใกล้

“งั้นพี่เวย์ก็บอกมาสิครับว่ามันเป็นยังไง”

“เนมไม่ได้เป็นอะไรกับพี่ เราเป็นแค่คนรู้จักกันตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์แบบอื่นแม้แต่วันเดียว” หัวใจที่เหมือนมีภูเขาหลายลูกทับอยู่เหมือนหายไปหนึ่งลูกใหญ่และความโล่งใจก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

“อ้าว แล้วทำไมเนมถึงไปรับเรย์เรย์ได้ละครับ” 

“เนมไปอยู่ต่างประเทศซะนาน แต่ซัมเมอร์ที่แล้วเขากลับมาเยี่ยมบ้าน เราบังเอิญเจอกันที่ร้านอาหารก็เลยแลกเบอร์กันไว้ ตั้งแต่นั้นก็จะคุยกันบ่อยขึ้น คุยเรื่องในอดีตและเรื่องที่เขาจะมาไทยช่วงนี้ด้วย”

“งั้นน้องก็เข้าใจผิดมาตลอดเหรอครับ”

“ก็ใช่น่ะสิ และวันที่เขากลับไทยก็มาเจอเรย์เรย์เป็นครั้งแรกแต่สองคนนั้นเคยคุยกันวีดีโอคอลมาก่อนก็เลยสนิทกันเร็ว” พี่เวย์เล่าไปเกลี่ยเส้นผมของผมเล่นไปอย่างเอ็นดู

“เออจริงสิ แล้วเรย์เรย์เป็นลูกของพี่เวย์กับใครเหรอครับ ภรรยาเก่าหรือตอนนี้ก็ยังอยู่ด้วยกันเหรอ” เมื่อนึกขึ้นได้จึงขยับหนีอีกครั้งเพราะที่จริงแล้วพี่เวย์อาจจะไม่โสด

“เออเอาเข้าไป พอนึกอะไรได้ก็จะหนีอย่างเดียวเลย ขยับหนีจนจะเข้าไปอยู่ในกองไฟอยู่แล้ว ขยับมานี่เร็ว” เขาช้อนตัวผมเข้าไปนอนตำแหน่งเดิมด้านในสุดแล้วตัวเองก็ย้ายไปนอนคั่นระหว่างกองไฟกับผมเสียเอง

“แบบนี้น้องก็หนาวสิครับ” ผมท้วง

“ถ้าหนาวเดี๋ยวพี่ช่วยกอดให้”

“ไม่อยากใกล้มาก กลัวไฟช็อต” ผมยิ้มเขินๆ

“ฮ่าๆ เด็กบ๊อง” มือหนาขยี้เส้นผมเบาๆ “ปล่อยมันช็อตไปเถอะเพราะถ้าน้องไม่อยากให้มีอะไร พี่ก็หยุดตัวเองได้แน่” เขาให้ความมั่นใจ

“หยุดตัวเองต่อหน้าน้องแล้วไปทำร้ายตัวเองลับหลังอย่างเมื่อหัวค่ำน่ะเหรอครับ”

“เดี๋ยวเถอะ ทะลึ่งใหญ่แล้วนะ” นิ้วเรียวหนีบแก้มผมเบาๆ “ว่าแต่..เห็นแล้วตื่นเต้นไหม” จู่ๆ ก็ถามอะไรแบบนี้

“พี่เวย์ก็ทะลึ่งเหมือนกันแหละมาว่าแต่น้อง” ผมยกมือปิดหน้าไม่อยากเห็นโหมดนี้ของพี่เวย์แต่มือหนาก็ดึงมันออกไป

“ก็เวลาน้องเขินแล้วหน้าแดงขึ้นเป็นปื้นเลย น่ารักด้วยตลกด้วย” พี่เวย์ยิ้มขำ

“สรุปพี่เวย์มีภรรยาไหมครับ” ผมวกกลับเข้าเรื่องเดิม

“ไม่มีครับ” พี่เวย์ตอบทันที “เรย์เรย์มีคุณแม่เป็นผู้หญิงที่สวยมากแต่เขาไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้ว”

“อาา น้องเสียใจด้วยนะครับ” ผมจับมือหนามาบีบเบาๆ

“ไม่เป็นไร มันผ่านมานานมากแล้ว เรามาคุยเรื่องของเราดีกว่า เรื่องคนอื่นอย่าไปขุดคุ้ยเลย”

“เรื่องของเราก็ไม่มีอะไรแล้วนี่ครับ ตอนนี้ก็แค่รอว่ากับเฮียเผ่าจะเป็นยังไง” ผมเผลอหลุบตาทำหน้าเศร้าเมื่อคิดถึงเฮียจนพี่เวย์จับคางให้เงยขึ้น

“ตัดสินใจอะไรให้คิดถึงตัวเองเป็นหลักนะครับ น้องอย่าคิดเรื่องอื่นให้มากนอกจากหัวใจของตัวเอง เชื่อฟังมันบ้างอย่าทำร้ายมันบ่อยๆ ไม่งั้นก็จะจบไม่สวยซะทุกครั้งไป” เขาแนะนำไปพร้อมกับลูบหัวเบาๆ

“พี่เวย์เคยต้องเลือกอะไรยากๆ บ้างหรือเปล่า”

“เคยสิ”

“ส่วนใหญ่เลือกถูกหรือว่าเลือกผิด”

“ผิด” เขาหัวเราะเบาๆ “โดยเฉพาะเรื่องของน้อง”

“ง่ะ” ผมมุ่ยหน้ารู้สึกใจเสียเบาๆ “ผิดยังไงเหรอครับ ผิดที่มาชอบน้องหรือไง”

“ไม่ได้ผิดที่ชอบน้อง แต่ผิดที่วันนั้นไม่จูบน้อง ผิดที่วันที่น้องบอกว่ามีแฟนแล้วไม่ถามไถ่เอาความจริง ผิดที่ไร้สติจน.. ช่างเถอะ  และก็ผิดที่ทำตัวร้ายๆ กับน้อง พอคิดว่าทำให้น้องเสียน้ำตาเพราะพี่มันก็ไม่คุ้มเลยไม่ว่าเหตุผลคืออะไร”

ถึงจะมีบางอย่างที่เหมือนจะเป็นความลับแต่ผมก็ไม่คิดจะก้าวก่าย ถ้าพี่เวย์ไม่อยากบอกก็ต้องแล้วแต่เขา

“โกรธที่น้องไล่พี่เวย์ตอนนั้นมากเลยเหรอครับ”

“มันไม่เชิงโกรธนะ แต่พี่งงปนเศร้ามากกว่า” พี่เวย์ยิ้มซึมๆ “ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงปุบปับ คืนนั้นที่พี่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่ง พี่อุตส่าห์คิดว่าเริ่มมีความหวังแล้ว ยังไงน้องต้องชอบพี่แน่ๆ แต่หลังจากนั้นกลายเป็นหนังคนละม้วน แล้วมันก็มีอะไรผิดแผนผิดพลาดไปหมด จนเราได้เจอกันอีกครั้ง พี่ก็พยายามวางตัวให้ห่างไว้เพราะต้องกดความรู้สึกตัวเองไม่ให้ล้ำเส้น มันก็เลยออกมาอย่างที่เห็น”

“เวลาเก๊กทำเป็นคนแบ้ดๆ ก็เท่ดีนะครับ แต่น้องก็ยังชอบแบบนี้มากกว่า” ผมพระกบสองมือตรงแก้มเขา

“กับคนอื่นพี่ก็แบ้ดนะ นิ่งๆ ขรึมๆ ดุๆ ไม่ค่อยคุยเยอะแบบที่อยู่กับน้อง” เขาดึงมือผมออกแล้วจูบหนักแน่น

ได้ยินแล้วหัวใจพองโต ผมเป็นคนพิเศษสำหรับพี่เวย์เสมอ และอยากให้เป็นไปนานๆ จัง

“รักน้องมากไหมครับ” ผมส่งเสียงอ้อนมองเขาอย่างมีความหวัง

“ก็ต้องรักอยู่แล้ว รักมาตั้งนานนี่” เขาตอบทื่อๆ

“เอาหลังจากนั้นสิ หลังจากที่จากกันไปนานๆ แล้วรู้สึกยังไงตอนได้เจอ”

พี่เวย์ยิ้มบางๆ ทอดสายตามองเหมือนจะระลึกความหลัง

“ถ้าเป็นช่วงที่เจอพร้อมคุณเผ่าก็ก้ำกึ่งระหว่างหึงกับหมั่นไส้ปนตลก แต่ถ้านับตอนที่ติดป่าด้วยกัน ได้เห็นว่าทั้งรั้นทั้งอ่อยทั้งอวดดีทั้งขี้อ้อนก็ห้ามใจแทบจะไม่ไหว รักมากกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่าเพราะพี่ไม่เคยเห็นน้องในโหมดพวกนี้สักครั้ง”

ผมยิ้มเขินเพราะสายตาของพี่เวย์ตอนตอบคำถามนั้นหวานเชื่อมจนอยากจะละลายลงไปตรงนี้ซะให้ได้

“แล้วชอบแบบไหนมากสุด”

พี่เวย์เม้มปากคิดครู่หนึ่งก็ยิ้มให้ “ตอนที่น้องเช็ดตัวเมื่อกี้ก็เซ็กซี่มากนะ ไม่คิดว่าจะทำแบบนั้นออกมาได้ เห็นนางเงียบๆ อ่อยเพียบนะคร้าบ”

“พี่เวย์” ผมแปะฝ่ามือไปที่พุงเขาหนึ่งทีแก้เขิน ไม่กล้าทำรุนแรงกับร่างกายของเขาเลย เกรงใจเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด “ก็แค่อยากยั่วให้พี่จนมุมแต่ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย ไหลไปได้ซะอย่างนั้นแหละ”

“แล้วทำไมถึงแกล้งหลับเพื่อพิสูจน์อีกล่ะ พี่ก็นึกว่าถอดใจไปแล้วซะอีก”

“ไม่รู้เหมือนกัน แค่คิดว่าในแววตาดุๆ ของพี่เวย์ยังมีแว้บๆ ที่หลุด อีกอย่างน้องคิดว่าน้องฟังไม่ผิดตอนที่พี่เวย์เรียกตอนจับกระต่าย พี่หลุดเรียกว่า น้อง  เรียกแบบนี้จริงๆ”

“ไม่น่าหลุดเลย” เขาบ่น “ตอนนั้นอยากจับกระต่ายให้ได้จริงๆ อย่างอื่นแทบไม่ได้นึก และขำน้องด้วยที่มโนโวยวายเพราะคิดว่าพี่จะเป็นอะไรไป แต่ที่จริงน้องนั่นแหละหลุดเรียกพี่เวย์ออกมาก่อน พี่ก็เลยเคลิ้มไปบ้าง”

“นี่ถ้าน้องไม่เรียกว่าพี่เวย์ก่อนก็จะไม่ได้ดีกันเหรอครับ”

“ก็ตอนที่เราเจอกันใต้ต้นฉำฉานั่น น้องพูดออกมาเต็มปากว่าไม่รู้จักพี่แถมยังเรียกคุณเรียกผมออกมาก่อน น้องไม่รู้หรอกว่าวันนั้นพี่ใจสลายมากแค่ไหน” ใบหน้าหล่อเหลาขรึมลง

“โอ๋ๆ น้องขอโทษ ก็น้องช็อกนี่นา ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกก็เลยทำตัวไม่ถูก”

“อืม ตอนนี้พี่เข้าใจแล้ว”

“แต่ตอนที่ติดป่าด้วยกัน ทำไมถึงทำห่างเหินกว่าเดิมล่ะครับ ขนาดต้องลำบากกันอยู่แบบนี้พี่เวย์น่าจะอ่อนให้น้องบ้าง”  นึกแล้วก็อดรู้สึกน้อยใจไม่ได้จริงๆ เห็นผมลำบากในป่าแบบนี้เขาน่าจะยอมลดทิฐิลงมาแต่กลับกลายเป็นมึนตึงมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

“หึๆ” พี่เวย์หัวเราะในลำคอแล้วอมยิ้มอยู่แบบนั้นไม่ยอมตอบ

“งื้ออ อะไรอะ พี่เวย์ยิ้มอะไร”

“บอกยังไงดี” มือหนากำหมัดแล้วยกขึ้นชนปากตัวเองถี่ๆ แถมยังกลั้นยิ้มมากกว่าเดิม

“งื่ออ” เริ่มยื่นปากออกมาอย่างขัดใจเพราะพี่เวย์ชักจะมีลับลมคมนัยแปลกๆ

“ฮ่าๆ บอกก็ได้ คืองี้..” ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้นเป็นประกายเมื่อแสงของเปลวไฟส่องกระทบ ดูระยิบแสงราวกับดวงดาวยามท้องฟ้ามืดมิด “คืนแรกในป่า..”

เกริ่นมาแบบนี้ ผมหน้าเห่อร้อนขึ้นมารอเลยเพราะไม่มีอะไรให้เดาแล้วนอกจากคืนแรกที่เขาถอดเสื้อผ้าของผมออกไปย่างให้แห้ง

ได้แต่หรี่ตารอฟังว่ามันจะเป็นอย่างที่ผมสังหรณ์ใจหรือเปล่า



ต่อ..
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 14 : ภาวะตื่นใจ 《9/09/2018》 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 09-09-2018 23:01:37
“หลังจากที่ช่วยปฐมพยาบาลน้องจนมีสติขึ้นมา พอน้องเริ่มพยักหน้าตอบคำถามง่ายๆ ได้แล้ว พี่ก็หามุมพักฟื้นได้เป็นตรงนี้  ถอดเสื้อผ้าให้ ล้างแผลให้ เช็ดตัวให้ แล้วหาใบไม้แห้งมารองให้นอน จัดการผึ่งข้าวของต่างๆ และเมื่อทุกอย่างสงบแล้ว ปลอดภัยแล้ว ก่อกองไฟแล้ว  เสื้อผ้าก็กำลังย่างทั้งของพี่แล้วก็ของน้อง  ด้วยความว่าง..”  ถึงตรงนี้เกิดความหมั่นไส้กับคำว่า ‘ด้วยความว่าง’ ของพี่เวย์มากแต่ยังไม่ได้ตอบโต้อะไร “เนื้อตัวน้องเวลาโดนแสงนวลแบบนี้มันก็นะ..”

“งืออ” ผมปิดตาสองข้างพลางหดคอไม่อยากจินตนาการว่าคืนนั้นพี่เวย์ทำอะไรบ้างแต่อีกฝ่ายกลับยิ่งสาธยายออกมาเป็นฉากๆ

“ก็เริ่มที่น้องนอนขดเป็นกุ้งเผา ตัวสั่นๆ ครางฮือไม่หยุด ก็ด้วยความเป็นห่วง หนาวเนื้อต้องห่มเนื้อ พี่เลยนอนกอด ทีนี้.. ในป่ามันก็เปลี่ยวอะเนาะ” ยังจะมาเนาะเนอะอะไรอีก พี่เวย์คนบ้า “เนื้อตัวน้องมันเนียนนุ่ม ห้อมหอม แล้วจากนั้นแทบจะทุกตารางนิ้ว พี่ก็สำรวจ.. ด้วยมือ จมูก และปากของพี่เอง”

ฉ่าาาา!~~~~~~~~~~

ความเขินทั้งหมดที่เคยมีมาตลอดชีวิตรวมกันยังไม่เท่ากับครั้งนี้

โอยย หายใจติดขัด หน้าร้อนเหมือนเอาหน้าเข้าไปจ่อกองไฟ ผมจะเป็นลมเสียให้ได้เลยในตอนนี้

“งืออออ” ผมร้องเบาๆ ไม่กล้าเปิดตาออกมาสู้หน้าคนลามก

“ฮ่าๆๆ ก็น้องถามว่าทำไมพี่ถึงทำห่างเหินมากกว่าเดิม” แม้ว่าพี่เวย์จะแกะมือผมไม่ออกแต่ก็ไม่หักหาญ ปล่อยให้ผมปิดตาอยู่แบบนั้น “แต่ด้วยเกียรติของลูกเสือ พี่ไม่ได้ล่วงเกินอะไรน้องมากไปกว่าสูด ดม จับ จูบ ลูบ คลำ แบบเบาๆ แล้วก็ไม่นานด้วยเพราะจากนั้นพี่ก็ทนไม่ไหวจัดการตัวเองไปสองรอบ นั่นแหละถึงได้รู้ว่าพี่ต้องพยายามอยู่ให้ห่างน้องเอาไว้ เพราะในป่า มันเปลี่ยวมากกกกก”

อยากทุบพี่เวย์สักสิบทีแก้เขิน  คนอะไรแบบนี้ก็ไม่รู้

“พอเลย~” ร้องบอกเสียงหลงแบบควบคุมน้ำเสียงไม่ได้แล้วในตอนนี้

“โอเคๆ เปิดตามาคุยกันดีๆ สิครับ”

“ขอเวลาแป๊บนึง~”

ได้ยินเสียงหัวเราเบาๆ จากนั้นพี่เวย์ก็เงียบเสียงไป มีแค่สัมผัสแผ่วๆ บนศีรษะ สักพักจึงมีเสียงผ่อนลมหายใจเบาๆ

“พี่รู้ว่าถึงน้องจะได้เห็นภาพคุณเผ่ากับผู้หญิง แต่คนอย่างน้องคงคิดมากกว่าคนอื่นหลายสเต็ป คงอยากคุยอยากกเคลียร์ให้เป็นเรื่องเป็นราวก่อนถึงจะเริ่มความสัมพันธ์ใหม่กับพี่หรือใครก็ตามได้  ซึ่งพี่ก็เดาถูก”

ผมค่อยๆ เปิดตาออกมา มองพี่เวย์ที่มีสีหน้าซึมลงเล็กน้อย

“พยายามจะไม่เป็นมือที่สาม ใช่ไหมครับ”

“อืม ก็ทำนองนั้น” พี่เวย์ยิ้มเศร้า

“แล้วทำไมตอนนี้ถึงกล้าทำล่ะครับ” ผมช้อนมองพลางจับมือหนามาแนบอก ไม่อยากให้พี่เวย์เข้าโหมดซึม เขาเหมาะกับความสุขมากกว่า

“ก็น้องข้ามเส้นมาเองนี่ครับ พี่ไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะ น้องยั่วซะขนาดนั้นพี่จะทนได้ยังไง”

“แหม โยนหมาเน่าใส่บ้านน้องเต็มแรงเลยนะ” ผมค้อน

“ฮ่าๆๆ ก็หรือไม่ใช่”

“ใช่ก็ได้ ชิ” ผมย่นหน้าใส่ “แล้วเรื่องกระต่าย พี่เวย์จะกินมันได้จริงๆ เหรอครับ” 

เขายิ้มเอ็นดูแล้วใช้ปลายนิ้วจิ้มวนตรงปลายจมูกของผมเล่น

“เปล่าครับ แค่เห็นมันน่ารักดีก็เลยอยากจับมาให้เพราะพี่เองไม่อยากใกล้น้องเกินไป  เวลาเข้าใกล้ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ ร่างกายมันทรยศความตั้งใจทุกที”

“งื้อออ เขิน”  ยกมือปิดหน้าอีกครั้ง เหมือนได้ยินเสียงฉี่ฉ่าดังออกมารอบตัว

“ฮ่าๆๆ เด็กบ๊อง” พี่เวย์ดึงมือออกไปแล้วพูดต่อ  “พี่พยายามทำตัวร้ายกาจน้องจะได้อยู่ห่างๆ แต่ก็กลัวน้องจะเหงาเลยอยากให้เจ้าต่ายมันอยู่เป็นเพื่อนจะได้ไม่คิดมาก ก็มีแต่เรานั่นแหละที่เอาแต่ใจจนได้เรื่องเนี่ยเห็นไหม”

อยู่กับพี่เวย์เหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ได้เป็นน้องน้อยในสายตาของพี่เวย์แล้วรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นในหัวใจอย่างมากล้น เป็นอีกหนึ่งโมเมนต์ที่คงไม่คลายไปจากความทรงจำอย่างแน่นอน

“พี่เวย์น่ารักจัง” เขาใจดีมาตลอดเพียงแค่จะบอกหรือไม่บอกเท่านั้นเอง “อืม จริงสิ พี่เวย์รู้มาก่อนหรือเปล่าว่าจะได้เจอน้องอีกครั้ง” ผมยังอยากรู้อะไรๆ อีกมากมาย คิดว่าคืนนี้อยากจะโต้รุ่งด้วยซ้ำ

“พอแล้วเจ้าหนู่จำไม ตอนนี้ดึกมากและพรุ่งนี้เราต้องออกแต่เช้าจะได้ไม่ร้อนและมีเวลาหาทางกลับบ้านได้นานหน่อย”

“อ้าว ซะงั้นน่ะ”

“อย่างอแง นอนได้แล้วครับคนช่างซัก พูดเป็นต่อยหอยเลยเรา หูพี่ชาไปหมดแล้ว”

ก็ยังรู้สึกแปลกๆ ที่อยู่ๆ ก็ตัดบทบอกให้นอนทั้งที่คุยกันออกรสอยู่แท้ๆ เหมือนไม่อยากตอบคำถามมากกว่า

แต่ช่างเถอะ ความจริงก็เริ่มง่วงแล้วเหมือนกัน

“งั้นนอนก่อนพรุ่งนี้ค่อยคุยใหม่นะครับ” ผมอ้อน

“คร้าบบ” พี่เวย์ลากเสียงใส่

“แต่ตอนนี้.. ปวดฉี่จัง” ผมยิ้มประจบ “ไปส่งหน่อยสิครับ ข้างนอกมันมืดอะ”

“เอาอย่างนี้นะ” สายตาของพี่เวย์ฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมาจนไม่น่าไว้ใจ “อยู่ในป่าแบบนี้มันเปลี่ยว ยิ่งน้องไม่ให้ทำอะไรพี่ก็ยิ่งเปลี่ยว และมันไม่ยุติธรรมกับพี่สักนิดที่ต้องมาอัดอั้นไม่ได้ปลดปล่อยออกมา  ต่อไปนี้ถ้าน้องจะให้พี่ช่วยอะไร พี่จะคิดค่าจ้าง”  เขาว่ามาซะยาวเหยียดแต่ก็จบที่ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยน

“ตั้งแต่ตะกี้แล้วนะครับ ไอ้คำว่าเปลี่ยวเนี่ย  พี่เวย์เปลี่ยนไปมากจริงๆ นะ” ผมค้อน

“ฮ่าๆๆ ตอนนั้นแค่สร้างภาพให้น้องประทับใจแต่ที่ไหนได้กลับไม่ได้ผล” เขายักไหล่ส่วนผมก็ได้แต่ย่นหน้าใส่

“แล้วค่าจ้างที่ว่าน้องต้องจ่ายเป็นอะไรล่ะครับ”

“จูบ” เขาตอบทันที “หนึ่งงานหนึ่งจูบ”

ผมได้แต่อ้าปากค้างกับความร้ายกาจของพี่เวย์ เห็นมาดนิ่งๆ เรียบร้อยพูดเพราะไม่คิดว่าจะเป็นคนแบบนี้

“ต..แต่” ผมพยายามจะปฏิเสธ

“หรือจะให้พี่ปล้ำ” เขาขู่

หน้าผมร้อนผ่าวกับคำว่าปล้ำของเขา เอาจริงๆ ถ้าเขาปล้ำผมก็อาจจะยอมก็ได้ แต่ก็ดีแล้วที่ไม่ปล้ำเพราะเรื่องของเฮียเผ่าค้ำคออยู่  ผมจะได้ไม่รู้สึกผิดต่อเฮียไปจนวันตาย

“จูบกันมันผิดกับคนรักไหมล่ะครับ” ผมถามอย่างไม่แน่ใจนัก ถ้าถามว่าอยากจูบไหมก็อยากแต่คงจะไม่เข้าท่า

“ในป่าแบบนี้ ถ้าเราตายก่อนที่จะได้ออกไป น้องว่าจะทันได้รู้สึกผิดกับคนรักไหมล่ะ” เขาตั้งคำถาม “ในป่าแบบนี้ถ้าพี่เป็นคนไม่ดีแล้วปล้ำน้องขึ้นมาน้องก็จะไม่รู้สึกผิดเหรอเพราะปลายทางมันก็เหมือนกันคือเราได้กัน แล้วแค่จูบมันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร ก็คิดซะว่าพี่บังคับไม่ใช่น้องสมยอมจะได้สบายใจ”

“มันก็เหมือนหลอกตัวเองไหมล่ะครับ เพราะน้องก็..อยาก” ผมกัดปากเพราะกระดากที่ได้พูดออกไป  “อื้ออออ!?” ยังคุยกันไม่ทันจบเขาก็คว้าร่างไปกอดจูบ

จูบเหมือนอยากลงโทษ เหมือนหมั่นไส้ เหมือนกับว่าไม่อยากจะพูดอะไรอีกแล้ว แค่อยากจูบ

จูบพี่เวย์ไม่เหมือนคนอื่น เขาจูบแผ่วเบา ไม่รุกไล่ต้อน ไม่เร่งเร้า ไม่ได้ทำให้รู้สึกวาบหวามอยากมีเซ็กส์ แค่จูบเพื่อกระชับความสัมพันธ์  ผมไม่ได้หลับตาลงเพราะอยากเห็นหน้าเขาว่าเป็นอย่างไร พี่เวย์เองก็เช่นกัน เขามองผมไปทั่วใบหน้า จูบสลับกับยิ้มหวานทว่าไม่ได้แยกริมฝีปากออกไป  แล้วก็จูบใหม่อีกทำแบบนี้หลายต่อหลายครั้งจนผมต้องเตือน

“พี่เวย์..” ผมพูดออกมาได้ตั้งนานแล้วเพราะเขาไม่ได้บดจูบบังคับหรือรวบรัดอะไร แค่ผมยังไม่มีอะไรจะพูด แต่ตอนนี้มีแล้ว “ทำไมนานจังครับ จูบนานไปแล้วนะ”

“ก็น้องจะไปฉี่ พี่ได้สิทธิ์จูบหนึ่งครั้งนะ” เขาทวงสิทธิ์

ผมย่นคิ้วใส่ “ก็หนึ่งครั้งแต่ทำไมนานขนาดนี้ล่ะครับ พี่เวย์โกงน้อง”

“โกงอะไร พี่บอกว่าจูบหนึ่งครั้งแต่ไม่ได้บอกว่านานแค่ไหน แล้วอีกอย่างปากเราก็ยังติดกันเพราะฉะนั้นก็นับเป็นหนึ่งจูบ”

“แต่..”

“ไม่มีแต่  แล้วต่อไปนี้ถ้าพี่จูบแล้วน้องมาเบรกแบบนี้อีก พี่จะถือว่าเป็นโมฆะต้องจูบใหม่ เข้าใจตรงกันนะ”

เป็นคนอะไรแบบนี้เนี่ยพี่เวย์ นี่ผมพลาดอะไรไปหลายอย่างที่ไม่เลือกเขาตั้งแต่ตอนนั้น ไม่เคยรู้ว่าที่จริงแล้วเขาไม่ใช่กวางหนุ่มที่งดงามแต่เป็นหมาป่าสีขาวจอมเจ้าเล่ห์มากกว่า

“ว่าน้องเปลี่ยนไป พี่เวย์เองก็เปลี่ยนสุดๆเหมือนกันนั่นแหละ แล้วจะบอกให้ว่าร้ายกว่าน้องเยอะๆๆๆๆ” ผมจิ้มนิ้วไปที่หน้าอกเขารัวๆ แล้วเดินออกไปด้านนอก

พี่เวย์รีบวิ่งตามแล้วเดินประกบติดแบบร่างชิดกัน

“ไม่ต้องตามขนาดนี้สิครับ ติดแบบนี้แล้วน้องจะฉี่ยังไง”

“ก็น้องกลัวไม่ใช่เหรอ” พี่เวย์ก้มลงมาพูดข้างหูจนต้องเอียงหน้าหลบ

“กลัวครับแต่ไม่ต้องใกล้ขนาดนี้ มันฉี่ไม่ออก” ว่าแล้วก็ดันเขาออกไปเบาๆ ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอแล้วอยากตีสักทีสองที

เมื่อพี่เวย์ขยับออกไปพอได้ระยะ ผมจึงปลดซิปแล้วฉี่จนเสร็จ ตอนเดินกลับไปหาเขาก็ทักขึ้น

“พี่นึกว่าน้องจะนั่งฉี่ซะอีก”

แสงตรงนี้น้อยมากจึงไม่เห็นว่าเขาทำหน้ายังไงกันแน่

“พี่เวย์อะ น้องเป็นผู้ชายนะ ทำไมชอบล้อว่าเหมือนผู้หญิงอยู่ได้ น้องไม่ได้ทำตุ้งติ้งอะไรแบบนั้นซะหน่อย” ผมหน้างอ ความจริงแล้วผมไม่ใช่แบบอ่อนช้อยประดิดประดอยอะไร ออกจะคล่องตัวและทื่อๆ ธรรมดาเสียด้วยซ้ำ

“ฮ่าๆๆ พี่ไม่ได้บอกว่าน้องตุ้งติ้งอะไรแบบนั้น พี่แค่คิดว่าน้องเหมือนผู้หญิงสวยๆ เท่ๆ คล่องแคล่ว ดูมีเสน่ห์แต่ถึงยังไงก็เป็นผู้หญิงก็ต้องนั่งฉี่อะไรแบบนี้ไง” คำแก้ตัวไม่ได้ดูดีขึ้นเลย

“กร้อนผมขนาดนี้ยังว่าเหมือนผู้หญิงอีก” ผมทำหน้างอ

“ก็บอกแล้วว่าถึงโกนผมก็เหมือนแม่ชีไง” แล้วเขาก็หัวเราะอีก

“พี่เวย์จะร้ายกาจเกินไปแล้วนะ” ผมค้อนให้วงใหญ่ ไม่กล้าจะตีหรือทุบอย่างที่ใจอยากทำ 

“ก็จะตัดทำไม ทรงเดิมพี่ก็ชอบนะ ตอนเซ็ตแล้วเสยขึ้นหมดก็เก๋ดี แต่สั้นแบบนี้ก็ทำให้หน้าเด็กลงอีก เห็นตอนแรกยังคิดเลยว่าเหมือนตอนที่เจอน้องตอน ม.1 ตอนนั้นผมสั้นประมาณนี้แหละ น่ารักมาก”

“ตอนนั้นทำไมมาชวนเล่นบาสล่ะครับ” ผมเปลี่ยนเรื่อง

“ไม่รู้สิ พี่คิดไว้สองอย่าง”

“อะไรบ้าง” ผมถามต่อ

“ถ้าน้องไม่เล่นบาส พี่จะเล่นน้องเอง” พี่เวย์ยิ้มเจ้าเล่ห์

“พี่เวย์อ๊ะ!” ผมงอแง “เอาจริงๆ สิครับ น้องอยากรู้”

“โอเคๆ อืม ตอนนั้นเหรอ ตอนนั้นอยากได้เด็กใหม่เข้าชมรม เห็นน้องเพรียวดีถ้าปั้นดีๆ น่าจะรุ่ง แต่พอได้ยินน้องพูดคำแรก พี่ก็เปลี่ยนใจไม่อยากให้เล่นบาส แต่อยากให้เป็นหลีดแทน” เขาพูดกลั้วเสียงหัวเราะ

“ยังจะเล่นอีก” ผมทำเสียงดุ

“อันนี้จริง ตอนแรกไม่ได้คิดจะจีบแต่อยากให้เขาชมรมมาก่อน อาจให้เป็นผู้จัดการทีมหรือหลีดหรืออะไรก็ได้เพราะคิดว่าน้องน่าจะมีประโยชน์กับชมรม แต่พอตามไปเรื่อยๆ เห็นน้องทุกวันก็เลยคิดว่าน่ารักดี อยากจีบขึ้นมาซะดื้อๆ”

“ทำไมอยากจีบล่ะครับ มีอะไรโดนใจเหรอ” อยากรู้ความรู้สึกของพี่เวย์ทุกเรื่อง ยิ่งฟังยิ่งมีเรื่องที่อยากรู้เต็มไปหมด

“มีอยู่วันหนึ่งน้องปวดท้องแล้วไปนอนห้องพยาบาล จำได้ไหม”

“อ๋อใช่ วันนั้นปวดกระเพาะหนักมากเพราะคืนก่อนนั่งทำงานให้อาจารย์เสร็จตีห้าแต่ต้องมาเรียนต่อตอนเช้าแต่ตื่นสายเลยไม่ได้ทานข้าว ช่วงสายๆ ก็เลยปวดท้องแล้วก็อาเจียนด้วยเลยขออาจารย์ไปนอนพัก จำได้ว่าหลับแบบน๊อกไปเลยตื่นอีกทีตอนเนมมาเรียกก็บ่ายสอง” ผมรำลึกความหลัง

“พี่เข้าไปเยี่ยม เห็นน้องนอนหลับสนิท นั่งมองหน้าน้องแล้วเพลินดี หันซ้ายหันขวาไม่มีใครอยู่ก็เลยจูบไปหนึ่งทีเน้นๆ” เขาทำหน้าเคลิ้ม “น้องเสียจูบให้พี่ครั้งแรกวันนั้นนะ” พี่เวย์เล่าไปยิ้มไปราวกับว่าเรื่องนั้นเป็นความทรงจำที่แสนหวานของเขามาตลอด

“คนฉวยโอกาส” ผมบ่น “แล้วทำไมถึงจูบล่ะครับ ตอนนั้นพี่ชอบผู้ชายแล้วเหรอ”

“ตอนนั้นยังไม่ได้ชอบผู้ชายนะ ก็ชอบผู้หญิงปกตินั่นแหละแต่น้องดึงดูดสายตามาก ดูดื้อๆ แต่ก็เรียบร้อยและพูดเพราะ ดูรั้นๆ แต่ไม่เคยวีนเหวี่ยง  วิธีแก้ปัญหาของน้องคือเงียบ ดื้อเงียบ พี่รู้สึกว่าน้องดูลึกลับมีเสน่ห์ดี แต่วันที่จูบน้องวันนั้นอะไรดลใจก็ไม่รู้นะ แต่มองไปมองมาแล้วถูกดึงให้เข้าไปหาเพราะปากสีสวยบางๆ ของน้องขยับเป็นคำว่า..พี่เวย์” เขาจ้องลึกเข้ามาในดวงตา ไม่รู้ว่าเรื่องจริงไหมแต่พี่เวย์ไม่ใช่คนขี้ปด หรือเขาอาจจะแกล้งเหย่ก็ได้นะ

“ใช่เหรอครับ น้องพูดอย่างนั้นจริงเหรอ” ผมถามย้ำ

“จริงนะ น้องเรียกชื่อพี่จริงๆ พี่ยังงงเลยว่าทำไมเรียกชื่อพี่ พอลองเขย่าตัวก็ไม่เห็นตื่นแสดงว่ากำลังเพ้อๆ ฝันๆ แล้วเรียกชื่อพี่เสียงหวานซะขนาดนั้น มันจะหมายความว่าอะไรถ้าไม่ใช่..” เขาทำหน้าตาจริงจัง

ผมกระพริบตาปริบๆ “ถ..ถ้าอย่างนั้น น้องก็ชอบพี่เวย์ก่อนที่พี่เวย์จะชอบน้องซะอีกสิครับ”

“พี่จะไปรู้น้องเหรอ ความจริงพี่ก็งงนะว่าเพ้อชื่อพี่ขนาดนั้นแล้วทำไมน้องไม่ตอบรับความรู้สึกพี่ซะที แล้วที่ตามน้องได้นานตั้งหลายปีเพราะพี่มีความหวังตั้งแต่วันนั้นว่าลึกๆ น้องมีใจแน่นอน แต่ไม่รู้กลายเป็นแบบนั้นได้ยังไง จู่ๆ ก็บอกว่ามีแฟนแล้วก็ไม่ให้พี่มายุ่งด้วยอีก  เหมือนโดนถีบหน้ากลางสี่แยก พี่แทบไม่เป็นผู้เป็นคนรู้หรือเปล่าหาตัวดี” นิ้วแข็งๆ จิ้มใส่หน้าผากผมแล้วเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“โธ่ น้องขอโทษ” ผมจับมือเขามากุมไว้ “ถ้าน้องรู้ตัวเร็วกว่านั้นอีกนิดเรื่องก็คงไม่วุ่นวายมาจนถึงตอนนี้หรอกครับ”

พี่เวย์ยิ้มอบอุ่นแล้วกอดผมไว้หลวมๆ “ช่างมันเถอะครับ เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่วาสนา คนจะคู่กันต่อให้พลัดพรากจากกันนานแค่ไหนวันหนึ่งก็จะได้กลับมาอยู่คู่กันอยู่ดี”

ผมเงยหน้ามองเขารู้สึกอบอุ่นหัวใจแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“น้องไม่อยากให้ความหวังพี่เวย์ว่าเราจะได้อยู่คู่กันจริงๆ แต่น้องอยากบอกว่า.. น้องรักพี่เวย์นะครับ”

บอกไปแล้ว ผมบอกรักผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่แฟน ฮือออ ทำไมเป็นคนแบบนี้ อยากตีปากตัวเอง เอาคืนได้ไหมเนี่ย!

พี่เวย์ยิ้มรับด้วยความดีใจมองผมด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักความปรารถนา

“แค่เรารู้ว่าเรารักกัน แค่นั้นก็พอแล้ว” ดวงหน้าหล่อเหลาสว่างจ้าราวกับจะเปล่งแสงออกมาจากภายใน ความรู้สึกรักใคร่ที่เต็มล้นของพี่เวย์ส่งผ่านมาถึงผมได้โดยไม่ต้องเอ่ยคำใดทว่าเขายังตอกย้ำให้มันชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วยคำพูดแสนไพเราะที่ก้องกังวานท่ามกลางความสงัดเงียบของป่าใหญ่ 

“พี่เวย์รักน้องมากนะครับ มากเท่าชีวิตของพี่ และมากได้ยิ่งกว่านั้นถ้าหากว่าน้องต้องการ”

หยาดน้ำตาปริ่มขึ้นเมื่อได้ยิน หัวใจดวงน้อยพองโตได้มากที่สุดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“พี่เวย์..” เรียกชื่อของผู้ชายที่มีความรักอันยิ่งใหญ่ มั่นคง และสวมกอดเขาพร้อมด้วยหยดน้ำตาที่ไหลรินออกมาด้วยความปีติ

พี่เวย์รวบกอดไว้แน่นราวกับจะสำทับคำว่ารักที่ได้พูดออกมาเมื่อครู่ให้หนักแน่นมากขึ้นไปอีก  เราสองคนต่างส่งผ่านความรู้สึกที่ดีงามให้แก่กัน ผมรู้สึกวูบวาบแค่เพียงเล็กน้อยทั้งที่ถูกโอบล้อมไว้ทั้งตัว ทว่าสิ่งที่เต็มตื้นไปทั่วทั้งร่างคือความรู้สึกอบอุ่นและเป็นสุขมากจนล้นปริ่ม

ความรักที่แท้จริงมันเป็นแบบนี้สินะ  มันมีอยู่จริง มันมีชีวิตและส่งผ่านพลังชีวิตได้อย่างไม่น่าเชื่อ


“นอนได้แล้วครับ พรุ่งนี้เราต้องฝ่าฟันอุปสรรคตรงหน้านี้ไปให้ได้ก่อน พักผ่อนนะครับที่รักของพี่เวย์” เมื่อพี่เวย์พาเข้านอน เขาก้มลงจูบหน้าผากแผ่วเบา จากนั้นเราก็นอนกอดกันแน่นและหลับไปในที่สุด

พี่เวย์นอนกอดผมแน่นและผมเองก็ยินยอมให้เขาอย่างเต็มใจ  เขาใจเด็ดมากเพราะกว่าผมจะหลับก็นานพอสมควรเนื่องจากร่างกายมันเกิดอาการกระสับกระส่ายสะท้านสั่นตลอดเวลา ผมรู้ว่าร่างกายพี่เวย์ตื่นตัวแต่เขากลับพยายามข่มตานอนและไม่ดื้อรั้นที่จะหักหาญข้อตกลงก่อนหน้านี้

ขอโทษนะครับเฮีย ขอแค่ช่วงนี้ที่อยู่ในป่าที่ดอทจะได้ซื่อสัตย์กับหัวใจตัวเอง แต่รับรองว่าจะไม่มีอะไรเกินเลยไปมากกว่านี้  ถึงเฮียจะทำร้ายดอทด้วยการไปมีใคร แต่ดอทจะไม่ทรยศความรักของเฮียที่มีให้ดอทเด็ดขาด ถ้าจะต้องเลิกกัน ก็ขอให้เลิกกันด้วยความรู้สึกดีๆ แต่ถ้าเฮียทำให้ดอทเชื่อได้ว่าเฮียจะไม่ทำแบบนั้นอีก ดอทอาจจะให้โอกาสเฮียอีกครั้งนะ

“ตัวยุ่งเอ้ย.. กว่าจะหลับได้  พี่ไม่รู้ว่าน้องทนได้ยังไงทั้งที่ร่างกายสะท้านแทบจะตลอดเวลา พี่ยอมรับในความใจแข็งใจเด็ดของน้องจริงๆ   กับคุณเผ่า พี่ไม่รู้ว่าน้องจะรู้ตัวไหมว่าน้องรักเขามากกว่าตัวน้องเองซะอีก  ทุกครั้งที่น้องฝืนร่างกายให้ซื่อตรงต่อเขาก็เหมือนเป็นการเพิ่มความรักให้กับเขามากขึ้น..  มากจนพี่นึกกลัวว่าพี่..อาจจะไม่มีที่ยืน”



.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.


ตอนนี้ยาวมากกกกก อย่าเบื่อกันน้าา
ตอนหน้าอาจมาช้าหน่อยนะคะ ขอเร่งต้นฉบับส่งสำนักพิมพ์
เรื่องพี่ดอทจะตีพิมพ์แน่นอนแต่อุบไว้ก่อนว่าตีพิมพ์กับที่ไหน
แฟนเรื่องนี้อาจจะน้อยถ้าเทียบกับเรื่องอื่นๆ
แต่ก็ยังจะออกเล่มเนี่ยนะ 55555 ไม่รู้ไม่สน
สารภาพเลยว่ารักพี่ดอทมากกก ก.ไก่ล้านตัว
ถึงไม่มีสำนักพิมพ์ทำให้ก็จะทำเอง คนซื้อสองเล่มก็จะทำค่ะ
ตอนแต่งเรื่องนี้มีความสุขจริงๆ แต่งรวดเดียวสามร้อยหน้าไม่พักไปแต่งเรื่องอื่นเลย
ช่วงเวลานั้นคือจมดิ่งอยู่กับพี่ดอทแบบ indeed แบบหัวปักหัวปำ
อยากเก็บความรู้สึกนั้นไว้ในเล่ม ถ้าใครอ่านแล้วรู้สึกอินไปกับพี่ดอท
อย่าพลาดรูปเล่มนะคะ ตอนพิเศษแบบ ฮรืออ ไม่อยากสปอยเดี๋ยวจะหาว่าสปอย อิๆ

อับดุล ถามอะไรตอบได้ ได้!

Supparang-k :  ถ้าเป็นคนอื่นคงร้อยผลัวไปแล้วค่าา แต่เป็นดอทผู้คิดเยอะก็เลยแห้งเหียวรอแต่เฮียเผ่าอย่างที่เห็น ฮือออ สงสาร

Janemera :  อ่านตอนนี้จบทีมคูมแม่ต้องตีลูกมั้ยคะ อ้อยพี่เขาซะขนาดนั้น

กาแฟมั้ยฮะจ้าว  :  ขอบคุณที่แวะมาน้าาาา

TachibanaRain  :  เปลี่ยนมาทีม #เวย์ดอท กับนายน้อยเถอะะะะะ มาเร็วๆๆ โยนไม้พาย 55555  ปล. ถ้าตอนนี้มาช้าอีกก็จะไปตามอีก ห้ามหาย!

songte  :  อ่านตอนนี้จบคงได้รู้เหตุแห่งความเก๊กของพี่เวย์แล้ว แต่พี่เวย์ยังมีความลับอีกแยะ รอติดตามน้าาา

Duangjai :  ดอทอาจจะกลับไปให้โอกาสเฮียเผ่าก็ได้ ความผูกพันมันยาวนานนะ คงตัดกันไม่ได้ง่ายๆ TT___TT

dekying kukkig :  ตอนนี้คนซึนหมดท่าแล้วค่าาา โดนเด็กรั้นเอาชนะซะจนได้ อิๆ

หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 14 : ภาวะตื่นใจ 《9/09/2018》 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 09-09-2018 23:54:30
อ่านมาสามตอนลำไยกับความขี้แซะของอิพี่เวย์มันมาก จะอะไรนักหนาก็ไม่รู้ก็อยากให้ดอททำเฉยๆไปเสียเหมือนกัน แต่นี่ดีนะที่พี่มันจนแต้มยอมบอกแล้วว่ารู้สึกยังไงไม่งั้นเราคงรำคาญมากอะแต่จากตอนนี้จะกันมาเกรี้ยวกราดใส่ดอทแล้ว อิเฮียเผ่ามันทำขนาดนี้ดอทยังคิดจะกลับไปหาอีกเหรอ ทำไมไม่รักตัวเองบ้างเจ็บมากี่ครั้งแล้วกับการที่เฮียมันนอกใจ ถึงจะรักจะผูกพันกันมากแค่ไหนแต่สิ่งที่เผ่าทำมันคือความไม่ซื่อสัตย์นะ คิดจะมีชีวิตคู่ไปแบบนี้จริงๆเหรอดอท เห็นนายน้อยตอบคำถามว่าพี่เวย์มีความลับอีกแยะนี่ก็กลัวใจเลย หวังว่าจะไม่ใช่ความดราม่าอะไรใหญ่โตนะ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 14 : ภาวะตื่นใจ 《9/09/2018》 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 10-09-2018 01:18:44
ตอนนี้สับสนเลือกไม่ถูกโอ้ยยยยยยยยยยยยย :ling1: :katai1: :ling3: :ling2: สงสารพี่เวย์ ไหนจะหมอประสาท ไหนจะเฮียเผ่า แต่ดินแดนน่าจะรู้เรื่องนี้สุดดดดด ทำไมทุกคนดูรวั้ยๆๆๆๆๆกันนนนหมดดด อย่าทำน้องดอทเสียใจนะ!! ไม่นั่นเราจะตามไปแหกอกเรียงคนซะ!!! :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 14 : ภาวะตื่นใจ 《9/09/2018》 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 13-09-2018 01:03:09
ดอทเทออออ เทอเคยบอกว่านอกใจอีกจะไม่ให้โอกาส นี่ก็คิดจะให้โอกาสอีก บ้าปะเนี่ย ปล่อยพี่เวย์ไปเหอะชักจะสงสารละ เจ็บแล้วไม่จำ ทำตัวเอง
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 14 : ภาวะตื่นใจ 《9/09/2018》 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: รักเจ้าเอย ที่ 13-09-2018 09:55:24
ตามมาจาก Best couple พออ่านแล้วสองเรื่องนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยอะ แอบใจตุ้มๆต่อมๆ รอเลยจ้าาาา
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 14 : ภาวะตื่นใจ 《9/09/2018》 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: นารุมิ ที่ 13-09-2018 10:14:31
 :katai5:งือชอบแนวนี้อ่านเพิ่งเริ่มอ่านติดเลยค่ะงานนี้ติดตามๆ o13
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 14 : ภาวะตื่นใจ 《9/09/2018》 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 19-09-2018 19:40:53
เมื่อไรจะมาต่อนะ คิดถึงพี่ดอทแล้ว
หัวข้อ: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ตอนที่ 15 : ภาวะซ่อนเร้น 《23/09/2018》 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 23-09-2018 17:50:38
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ต อ น ที่  15  :  ภ า ว ะ ซ่ อ น เ ร้ น


เมื่ออรุณรุ่งมาเยือน พี่เวย์ตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าแจ่มใส เขากระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นเมื่อรู้ว่าผมตื่นแล้ว

“อรุณสวัสดิ์ครับ” เสียงพี่เวย์ตอนตื่นนอนเซ็กซี่ดีจริงๆ

“มอร์นิ่งครับพี่เวย์”

ปฏิกิริยาผู้ชายตอนเช้าๆ มันก็ค่อนข้างเร็ว ได้แต่พยายามเก็บกลั้นอาการไว้จนร่างสูงประทับริมฝีปากลงบนขมับยาวนานแล้วตัดใจลุกไปประกอบโทรศัพท์มือถือก่อนจะเปิดมันขึ้น

“ไม่มีสัญญาณ” หน้าเขาดูผิดหวังหน่อยๆ

“ก็ยังดีที่เปิดได้นะครับ ได้รู้เวล่ำเวลาบ้างก็ยังดี” ไม่บ่อยนักที่ผมจะมองโลกในแง่บวกแต่อยู่กับพี่เวย์กลับรู้สึกเหมือนได้ย้อนเป็นเด็กตอนที่โลกทั้งใบยังไม่แตกสลาย

วันนี้เป็นวันเสาร์เวลาเจ็ดโมงยี่สิบ ไม่รู้เฮียจะรู้หรือยังว่าผมหายไป หรือบางทีอาจจะระเริงอยู่กับผู้หญิงคนนั้นจนลืมผมไปแล้วด้วยซ้ำ

“หัดคิดหัดพูดแบบนี้บ่อยๆ จะดีกับสภาพจิตใจน้องนะครับ” พี่เวย์เอ่ยชม

“อยากแซะว่าที่ผ่านมาน้องโคตรคิดร้ายใช่ไม่ใช่” ผมทำปากเป็ดใส่

“ฮ่าๆๆ เนี่ย กลับไปมองโลกในแง่ร้ายอีกแล้ว” พี่เวย์หัวเราะจนตาปิด ดูดีจนหยุดมองไม่ได้เลย  “แต่เวลาพูดหยาบแล้วมีเสน่ห์ดีนะ

“แค่คำว่าโคตรนี่หยาบตรงไหนครับ ใครๆ ก็พูดกัน”

“กับคนอื่นไม่หยาบหรอก แต่กับน้องที่ไม่ค่อยได้พูดมันก็ฟังแล้วแปลกออกไป ตอนที่เรียนมัธยมบางทีพี่ยังลุ้นให้น้องด่าแรงๆ ออกไปบ้างจะได้ระบายแต่น้องก็ชอบมองเหยียดเชิดหน้าทำเป็นไม่สนใจแต่แล้วก็เอากลับไปคิดมากคนเดียว มันเลยกลายเป็นการรังแกตัวเองไปแทน”

“น้อยไปสิครับ ตอนเด็กๆ น้องร้ายจะตาย อยากให้เห็นตอนที่แกล้งกับตอนที่ด่าน้องชายคนละแม่ ถ้าพี่เวย์เห็นต้องเกลียดน้องแน่”

“อืม ก็เคยได้ยินมาบ้าง”

“ได้ยิน? ได้ยินจากไหนเหรอครับ น้องยังไม่เคยเล่าเรื่องนายดินเลยนะ”

“อ..อ๋อ ได้ยินคุณเผ่าพูดถึงอยู่บ้าง ไม่บ่อยหรอก”  พี่เวย์ดูอึกอักแปลกๆ แต่แล้วก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปซะเฉยๆ “เปิดมือถือไว้ดีกว่าเนาะ เผื่อว่าดาวเทียมจะมีวิธีค้นหา”

“ได้เหรอครับ”

“ไม่รู้เหมือนกัน แค่หวังไว้  แต่เปิดเครื่องพี่ก่อน แล้วพอแบตหมดค่อยเปิดเครื่องน้อง” เขายื่นมือถือคืนมาให้ ส่วนของตัวเองก็ยัดกระเป๋ากางเกงไว้


 จากนั้นพี่เวย์ให้ผมไปจัดการธุระส่วนตัว ส่วนเขาเก็บข้าวของเพื่อเตรียมออกเดินทาง กว่าจะพร้อมออกเดินทางก็เกือบแปดโมงเช้า

“ถ้าไม่ไหวบอกทันทีเลยนะจะได้พักก่อน” พี่เวย์ย้ำเป็นครั้งที่ร้อย

“รู้แล้วครับบ” ผมลากเสียงเพราะอีกฝ่ายเล่นห่วงซะจนผมรู้สึกว่าอยากให้กลับไปเป็นขี้เก๊กแบบเดิมจะได้ไม่ต้องมากังวลกับผมมากเกินไป

“ดีนะที่พี่เวย์เจอผักทอดยอดข้างลำธารแล้วแกกินได้ ไม่งั้นแย่แน่ กินเยอะๆ นะเจ้าต่าย” ผมคุยกับกระต่ายตัวอ้วนที่กัดกินผักอยู่ในเป้

“เหลือน้ำแค่ครึ่งขวด ถ้าพรุ่งนี้หาทางออกจากป่าไม่ได้คงต้องกินน้ำจากลำธารแล้วล่ะ” พี่เวย์เปรย

“เราต้มก่อนก็ได้นี่ครับ ถ้ามันสุกแล้วก็คงปลอดภัย”

“ต้มกับอะไรครับ” พี่เวย์หันมามอง

“เออนั่นสิ แหะๆ น้องแค่ลืมเอง อย่าดุสิครับ” พี่เวย์นี่ออร่าคุณพ่อมาเต็ม แค่มองแล้วถามนิ่งๆ ก็แผ่ออร่าน่าเกรงขามออกมาได้แล้ว

“พี่พูดแค่นี้เองครับ ไม่ได้จะดุเลยนะ น้องคิดมากไปเอง” มือหนาลูบศีรษะเบาๆ

“ไม่รู้สิ กับพี่เวย์น้องทั้งรักทั้งเกรง ไม่กล้าหือเลยครับ”

“นี่ขนาดไม่กล้านะ ถ้ากล้าพี่คงโดนถีบหน้าวันละสิบรอบ”

“เนี่ย ขี้แซะ” ผมบ่นเมื่อเห็นยิ้มเหยียดในสีหน้าของอีกคน

“หมั่นเขี้ยวจริง” ศีรษะของผมถูกคางสากกดขยี้ลงมาหนักๆ “เวลาทำหน้างอนแล้วน้องน่ารักขึ้นอีกสิบเท่า”

“อืออ เคราพี่เวย์ทิ่มหัวน้องอะครับ เจ็บ”

“อืมโทษที ตอนนี้พี่เหมือนมหาโจรหรือยัง”

“ไม่เลยสักนิด” ผมผละออกมาเพื่อมองหน้าพี่เวย์ชัดๆ จับคางที่มีเคราขึ้นหนาตาแล้วเบี่ยงซ้ายขวา “หล่อกว่าเดิมด้วยซ้ำ”

หล่อจริงๆ หล่อเข้ม แต่ก็ยังดูสะอาดดูมีออร่าวิ้งๆ เวลามองนานๆ แล้วระทวยเอาง่ายๆ

“ปากหวาน” พี่เวย์จับมือไปกดจูบหนักๆ “พี่ชักจะไม่อยากออกจากป่าเปลี่ยวๆ นี่ซะแล้วสิ”

“พี่เวย์ก็อะไรไม่รู้กับป่าเปลี่ยนนักหนา”  ผมดึงมือกลับมาแล้วทำเป็นเดินนำไปก่อน อยู่กับพี่เวย์โหมดหมาป่าแล้วใจคอสั่นไหวรุนแรงเหลือเกิน  “เรื่องน้ำ ถ้าเราเอาหินเอาทรายมาทำที่กรองน้ำเป็นชั้นๆ ใส่ขวดน้ำเปล่าแล้วเจาะรูตรงด้านข้างเหมือนตอนเรียนจะได้ไหมครับ”

“เดี๋ยวค่อยว่ากัน” พี่เวย์เดินขึ้นมาแล้วแล้วโยกหัวผมเหมือนรู้ทันว่ากำลังเสเปลี่ยนเรื่องแต่เขาก็ไม่ได้กลับไปพูดเรื่องเดิม “ถ้าสี่โมงแล้วยังไม่มีวี่แววว่าจะถึง พี่จะหาที่พักแล้วค่อยจัดการพวกน้ำและอาหาร”

“โอเคครับ” ผมตอบรับเสียงใส เดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกำลังใจเต็มร้อย

พี่เวย์เป็นเหมือนแสงสว่างในถ้ำมืดมิด ผมเชื่อใจ ไว้ใจ และศรัทธาในตัวเขามากจนมองข้ามเรื่องยากลำบากต่างๆ ไปได้อย่างไม่ทุกข์ร้อน 

กลับกันถ้าคนข้างๆ ในตอนนี้เป็นเฮียเผ่า ผมอาจจะหวั่นใจในความขี้โมโหแล้ววันดีคืนดีก็อาจโมโหจนเผลอทำร้ายผมขึ้นมาได้  หรือถ้าเป็นหมอวรรตก็อาจจะดีที่เขาเป็นหมอ แต่ดูเหมือนสไตล์หมอวรรตจะสำอางและไม่ใช่สายลุย ถ้ามาติดป่าแบบนี้อาจไม่ใช่หลักนำใจให้ผมได้แบบที่พี่เวย์เป็น

ไบแอสพี่เวย์เต็มๆ เลยชนม์แดน แต่ยิ่งเปรียบเทียบก็ยิ่งรู้สึกผิดกับอีกสองคน ผมนี่มันเป็นคนยังไงนะ ทำไมคิดเรื่องอะไรก็ไม่ตกสักอย่าง คิดวนมันอยู่แบบนั้นแหละ น่าเบื่อจริงๆ


“เที่ยงแล้ว น้องหิวไหม” พี่เวย์ปาดเช็ดเหงื่อให้แล้วถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเราเดินมานานแต่ยังไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต

“ก็หิวนะ แต่ทนไปอีกนิดก็ได้ครับ”

“งั้นนั่งเลย” พี่เวย์ชี้ไปที่โคนต้นไม้ “ห้ามทน อยู่กับพี่ไม่ต้องทนอะไรทั้งนั้น”

แหมมม ไม่คิดถึงก่อนหน้านี้น้องต้องทนทุกอย่างละครับ อยากพูดไปแบบนี้แต่ไม่กล้า

“ใจพี่หล่อมากกก”

“หน้าพี่ก็หล่อ” ว่าแล้วก็ขยิบตาให้ ผมนี่แทบสลบ หล่อลากมากเลยครับพี่เวย์

“หล่อค้าบบบ” ผมเอ่ยชม “ที่จริงถ้าไม่แก่ น้องจะชวนเข้าสังกัดโมเดลลิ่งนะ รับรองดังพอๆ กับสกายแน่นอน”

“น้อยๆ หน่อย พี่เนี่ยนะแก่” เขาทำหน้าเอาเรื่อง

“ครับ” ผมตอบแล้วดึงให้ลงมานั่งด้วยกัน “แก่แต่ก็ยังหล่อไง ไม่งอนนะไม่งอน กินหนมๆ”  ฉีกซองเบนโตะแล้วหยิบป้อนให้ พี่เวย์อ้าปากงับแล้วป้อนกลับมา  รู้สึกทำหน้าไม่ถูกแต่ก็อ้าปากกัดไปครึ่งหนึ่ง “

“ตอนนี้เสบียงเหลือแค่เบนโตะสี่ซอง มาม่าคัพหนึ่งถ้วย สาหร่ายสองซอง ทาโร่สองซองใหญ่ แล้วก็กูลิโกะป๊อกกี้” ผมแกล้งตรวจเสบียงแก้เขิน

“ขนมเด็กทั้งนั้น” พี่เวย์บ่น “กินก็ไม่เห็นจะอิ่มเลย”

“ก็น้องซื้อขนมกินเล่นตอนเดินทางนี่นา หรือพี่เวย์จะให้ซื้อปลากระป๋องข้าวสารอาหารแห้งไรงี้เหรอครับ” 

“ว่าอะไรไม่ได้เลยนะ โดนตามใจซะจนเคยตัว” เขาโยกหัวอย่างหมั่นเขี้ยว “ว่าแต่ ทำไมยังไม่เห็นน้องขอความช่วยเหลืออะไรเลย นี่พี่รอจูบตั้งแต่เช้าแล้วยังไม่ได้สักจูบ”

อดขำไม่ได้จนต้องหัวเราะออกมาเบาๆ มิน่าถึงคอยถามตลอดว่าจะให้ช่วยอะไรยังไงบ้าง ไอ้ผมก็ลืมว่ามีกติกานี้อยู่ และไม่อยากให้เขาลำบากก็เลยปฏิเสธมาตลอด

“ไม่อยากเสียเปรียบครับ ไม่มีอะไรให้ช่วยซะหน่อย น้องเก่งจะตาย” ผมอวด

“คร้าบบ เก่ง” พี่เวย์หยิกแก้มส่ายไปมา

ขณะนั้นเอง มีเสียงตะโกนดังแว่วเหมือนก้องมาจากที่ไกลๆ ผมกับพี่เวย์มองหน้ากันเบิกตาโตเท่าไข่ห่าน

“เสียงคนหรือเปล่าครับพี่เวย์!” ผมลุกพรวดพราดขึ้นทันที

“ใช่ พี่ว่าใช่แน่” ร่างสูงลุกขึ้นยืนแล้วมองไปรอบๆ 

“เราไปตามหาเขากันเถอะ” 

พี่เวย์พยักหน้าเห็นด้วยแต่ก็ชะงักกึกเหมือนคิดอะไรออก

“ขออีกที”

ผมฟังยังไม่ทันจะเข้าใจว่าพี่เวย์หมายถึงอะไร ร่างผมก็ถูกคว้าเข้าไปแล้วจูบลงมาทันที

“อื้อออ”

ทั้งช็อกทั้งงง พี่เวย์บทจะหื่นก็ไม่น้อยหน้าใครเลย  นี่ผมกลายเป็นเหยื่อให้ทุกคนเลยเหรอเนี่ย อยู่กับใครก็ถูกแกล้ง ถูกฉวยโอกาสแบบนี้ตลอดเลย

นานทีเดียวกว่าเสียงตะโกนจะใกล้เข้ามา พี่เวย์ผละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง

“ไม่รู้จะได้จูบอีกไหม เราน่าจะติดอยู่ในป่าตลอดไปเลยก็ดีนะ” เขาพูดพลางเช็ดน้ำลายที่เลอะรอบปากให้

“น้องไม่อยากกินเจ้าต่ายเป็นอาหารหรอกนะครับ” ผมพูดติดตลกแต่พี่เวย์ไม่ขำด้วย เขาทำหน้าราวกับว่าจะจากกันชั่วชีวิต “ถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันชาตินี้ น้องจะขออยู่กับพี่เวย์ชาติหน้า และทุกๆ ชาติเลยครับ”

ผมก็ทำได้แค่นี้ ไม่รู้ว่าชาติหน้าจะมีจริงหรือไม่ แต่ถ้าให้เลือกผมจะรักพี่เวย์จะให้สิทธิ์เขาก่อนใครทั้งหมดเพื่อตอบแทนความรักที่เขามีให้ผมมายาวนาน

“น้องต้องบอกด้วยว่าถ้าเจอกันปุ๊บก็จะรู้ใจตัวเองปั๊บ เพราะถ้าให้พี่รอจนหงำเหงือกทุกชาติก็ไม่ไหวนะ” ต้องยอมรับว่ามุกเขาเด็ดกว่ามุกของผมจนหลุดขำและพูดใหม่อีกครั้ง

“ชาติหน้าและชาติต่อๆ ไป ถ้าเจอหน้าพี่เวย์ปุ๊บ น้องจะรู้ใจตัวเองปั๊บและจะรักพี่เวย์ทุกชาติไปครับ”  จดจ้องใบหน้าหล่อเหลาด้วยความรักเปี่ยมล้น ไม่อายที่จะบอกรักพี่เวย์เพราะคิดว่ามันน้อยเกินไปด้วยซ้ำสำหรับความดี ความมั่นคง และบุญคุณที่เขาช่วยชีวิต

“พี่ก็จะตอบรับความรักจากน้องทันทีและเราจะอยู่ด้วยกันทุกๆ ชาติ” นัยน์ตาคู่สวยมีหยาดน้ำซึมเอ่อ ในขณะเดียวกันน้ำตาของผมก็ไหลรินลงมาอาบแก้ม “พี่รักน้องนะครับ ไม่ว่าจะนานแค่ไหนใจพี่จะเป็นของน้อง..แค่คนเดียว”

จบคำพูดที่สุดแสนไพเราะ พี่เวย์ก็จูบหน้าผากพลางหลับตาซึมซับความรู้สึก  ต่างคนต่างกอดรัดกันแน่น และแน่นขึ้นอีกเมื่อเสียงตะโกนดังใกล้เข้ามา

น้ำตาของผมไหลรินเป็นสาย ลูบคางสากของร่างสูงอย่างแสนอาลัย  ไม่รู้อีกนานแค่ไหนจะได้อยู่ใกล้ชิดกันอีก หรืออาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้วก็ได้  เรื่องของเราสองคนกำลังจะกลายเป็นรักที่ซ่อนเร้น  ทั้งๆ ที่รักกันมากขนาดนี้แต่ผมกลับให้คำมั่นอะไรออกไปไม่ได้เลย ทำไมความรักมันซับซ้อนนักนะ

ใจผมเป็นของพี่เวย์ แต่บอกตามตรงว่าไม่มั่นใจในตัวเองว่าจะสามารถตัดสัมพันธ์กับเฮียเผ่าได้  มันอาจง่ายเมื่อคิดว่าถูกเขาหักหลังแล้วควรเลิกไปซะ แต่มันยากสำหรับผม ยากมากๆ เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าเฮีย ทุกอย่างมันจะไม่ง่ายอย่างที่ตั้งใจไว้ ไม่อย่างนั้นคงทำได้ไปนานแล้ว



และในที่สุดทีมค้นหาก็เจอพวกเราที่เดินแบกข้าวของไปสมทบกับพวกเขาด้วยสีหน้าหดหู่ไม่เหมือนคนที่กำลังรอดตาย ต่างสันนิฐานกันไปต่างๆ นาๆ ว่าอ่อนเพลีย ร่างกายขาดน้ำ หรือแม้แต่ติดไข้มาลาเลียไข้เลือดออกก็มี  หารู้ไม่ว่าเราสองคนเป็นโรคไม่อยากจากกันต่างหาก

ทันทีที่อยู่ในโซนที่มีสัญญาณโทรศัพท์ ผมก็เปิดมันขึ้นและแน่นอนว่าทั้งไลน์และรายการโทรเข้าแทบจะทำให้อยากปิดมันอีกครั้งเพราะคงต้องตอบคำถามอีกบานเลย

และก็เป็นอย่างที่คิดไว้ สายเข้าสายแรกเป็นเฮียเผ่า

“ดอท! ดอทอยู่ไหน แล้วปลอดภัยหรือเปล่า เฮียเป็นห่วงมากนะ เฮียถึงกรุงเทพเมื่อวานแล้วโทรหาแต่ไม่ติดก็เลยโทรเข้าบ้าน คุณแม่บอกว่าหายไปตั้งแต่วันที่เราเจอกันครั้งสุดท้าย” ดูเหมือนว่าเฮียก็เพิ่งจะรู้ว่าผมหายไปเมื่อวาน นี่คงมัวแต่กกสาวอยู่สิท่าถึงไม่ได้รู้ข่าวอะไรเลย “เฮียไปขอดูกล้องวงจรปิดเห็นดอทโดนพาออกจากร้านไป ไอ้เวย์มันทำอะไรดอท แล้วทำไมดอทยอมให้มันพาไปล่ะ” 

ถึงขนาดขึ้นไอ้กับพี่เวย์ซะแล้ว ผมต้องตั้งสติให้ดีจะได้ควบคุมสถานการณ์ได้

“เฮียผิดสัญญากับดอท”

“ดอทหมายถึงอะไร อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องสิ เฮียอยากรู้เรื่องที่ดอทหายไปอยู่นะ” เฮียยังคงไม่ยอมรับ

“ดอทให้นักสืบตามเฮียและรู้ว่าเฮียไปกับผู้หญิง” ผมโกหกไปตามบทที่เตรียมไว้

พี่เวย์บอกว่าถ้าไม่กลัวผมจะมีปัญหาใหญ่ เขาจะไม่โกหกเลย แต่ครั้งนี้มันจำเป็นเพราะเฮียเผ่าไม่เหมือนใคร ถ้าเขาโมโหขึ้นมาก็กลัวว่าผมจะถูกลงไม้ลงมือเอาได้  ซึ่งผมเองก็เห็นด้วยแต่ไม่ใช่เพราะกลัวโดนเฮียทำร้ายแต่เพราะกลัวว่าพี่เวย์นั่นแหละที่จะโดน

เราสองคนได้เตี๊ยมกันว่าผมรู้ข่าวว่าเฮียไปกับผู้หญิงคนอื่นก็เลยเสียใจร้องไห้ และพอดีพี่เวย์มาเห็น ผมจึงขอร้องให้พาไปพิสูจน์ แล้วจากนั้นผมก็ได้เห็นกับตาที่ปั้มว่าเฮียไปกับผู้หญิงจริงๆ ผมเสียใจมากจึงขอให้พี่เวย์พาไปพักสมอง พอไปถึงน้ำตกผมก็ลงเล่นน้ำและโดนน้ำป่าพัดร่างไปจนพี่เวย์ช่วยชีวิตขึ้นมา

ผมเล่าเรื่องทั้งหมดที่เท็จบ้างจริงบ้างไปตามที่ได้ตกลงกับพี่เวย์ พอเฮียได้ยินก็ถึงกับลนลานเปลี่ยนท่าที

“งั้นเฮียก็เข้าใจผิดเรื่องพี่เวย์สินะ” ได้ยินน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปก็โล่งใจที่พี่เวย์จะไม่โดนฆ่า แต่ถึงยังไงก็ไม่อยากโกหกแบบนี้ ถ้าไม่จำเป็นก็คงไม่ทำ “แล้วดอทเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ตอนนี้อยู่ที่ไหน”

ผมเงียบปาก ไม่พูดอะไรเพราะเรื่องที่ต้องพูดก็พูดไปหมดแล้ว พอเฮียจับสังเกตได้ว่าผมเงียบจึงรีบแก้ตัว

“เรื่องผู้หญิงที่ดอทเห็น เราต้องคุยกันนะ  เฮียมีเหตุผลนะครับ” 

“ดอทคุยแน่ครับแต่ไม่ใช่วันนี้ ขอดอทพักฟื้นให้พอมีแรงก่อนแล้วเราค่อยคุยกัน  เฮียเตรียมเหตุผลให้ดีนะครับ เพราะครั้งนี้ดอทคิดว่าคงไม่ไหวแล้ว”  ผมบอกเสียงเรียบ ปกติเวลาทะเลาะกับเฮียก็ไม่เคยขึ้นเสียงอยู่แล้ว

ผมกับเฮียถ้าตัดเรื่องนอกใจกับทำร้ายออกไปจะเป็นคู่ที่เข้าใจกันมากที่สุดก็ว่าได้  แต่ใครจะทนรับความทุกข์ที่ถูกนอกใจครั้งแล้วครั้งเล่าได้ล่ะ  มันต้องมีวันหมดความอดทนอยู่แล้ว


ผมกับพี่เวย์ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล ตรวจเลือดให้น้ำเกลือและให้นอนพักที่โรงพยาบาลหนึ่งคืน ระหว่างนั้นมีตำรวจเข้ามาสอบปากคำสอบถามความเป็นมาเป็นไปทว่าพอเปิดดูข่าวแล้วตกใจเพราะแทบไม่เห็นข่าวอะไรเกี่ยวกับการหายตัวไปของเราสองคน ทำไมกันนะ

“เป็นยังไงบ้างลูก ป๋าเป็นห่วงแทบแย่” ป๋าส่งสายตาแห่งความห่วงใยมาให้  ที่จริงป๋ามาตั้งแต่ตอนที่ตำรวจสอบปากคำจึงต้องรอจนถึงตอนนี้  ทันทีที่ถึงตัวป๋าก็เข้ามากอด

“แค่เพลียๆ ครับป๋า ถ้าได้กินได้นอนเต็มอิ่มสักคืนเดี๋ยวก็หายแล้ว” ผมยิ้มและรับอ้อมกอดจากป๋า “มากับใครครับ นายดินไม่มาด้วยเหรอ” มองไปที่หน้าประตูเมื่อเห็นป๋าแค่คนเดียว

ป๋าดึงเก้าอี้มานั่งข้างเตียงแล้วทำหน้าหมั่นไส้กับคนที่ผมถามถึง

“เห็นบอกว่าถ่ายแบบเสร็จประมาณห้าโมงเย็นจะรีบมาทันที เดี๋ยวนี้คิวแน่น ดาราใหญ่เขาดังแล้ว” แต่แล้วแววตาก็พลันเปลี่ยนไปพลางจับมือแล้วบีบหนักแน่น “มาว่าเรื่องของเราเถอะ เรื่องราวมันเป็นยังไงถึงได้บานปลายใหญ่โตขนาดนี้ ดอทให้ป๋ารู้ได้ไหม ไว้ใจป๋าได้หรือเปล่าลูก”

รู้สึกเหมือนถูกโอบอุ้มเห่กล่อมเหมือนในวัยเด็ก ป๋ารักผมมาก เป็นผมเองต่างหากที่ไม่สนใจจะรับรู้มาตลอด   

ผมยิ้มแล้วบอกไปตามความจริงทั้งหมดทุกเรื่องราวไม่เว้นแม้แต่เรื่องหมอวรรต  และหลังจากเล่าไปหมดแล้วจึงได้ปรึกษากับป๋าเพื่อเก็บไว้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ

“ป๋าว่าดอทควรเลือกใครดีครับ”

“อย่างแรกคือดีแล้วที่ไม่บอกความจริงทั้งหมดให้เผ่าพงศ์ฟังเพราะเขาค่อนข้างอารมณ์ร้ายโดยเฉพาะกับคนอื่น ถ้าเขารู้ขึ้นมา พี่เวย์ของดอทอาจจะไม่ปลอดภัย” ป๋าแนะนำ “อย่างที่สอง ป๋าชี้นำอะไรไม่ได้เรื่องการเลือกคู่เพราะป๋าค่อนข้างล้มเหลวในเรื่องนี้นะ และอีกอย่างของแบบนี้มันอยู่ที่คนกลาง ดอทรู้ทุกอย่างว่าใครเป็นยังไงและดอทต้องเป็นคนเดาอนาคตว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปถ้าเลือกคนนั้นๆ แต่ถ้าจะให้ป๋าแนะนำ ป๋าว่ารอเวลาอีกสักหน่อย  เว้นระยะกับทุกคนให้เป็นแค่เพื่อน รอดูว่าใครจะอดทนได้มากกว่ากัน” 

คำแนะนำของป๋าค่อนข้างมีเหตุผล และผมก็คิดว่าคงจะใช้วิธีนี้ ถอดไปเป็นคนรู้จักให้หมดแล้วค่อยว่ากัน

“แล้ว..ถ้าเอาความชอบของป๋า ป๋าชอบคนไหนเหรอครับ”

“ฮ่าๆ ร้ายนักนะเรา ยังไงก็จะให้ป๋าไบแอสจนได้สินะ” ป๋าหัวเราะพลางโยกหัวผมไปมา “แต่ถ้าให้เลือกจริงๆ ป๋าชอบหมอประสาทนะ” คำตอบของป๋าทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว บทเขาดูจะน้อยที่สุดแต่ทำไมป๋ากลับชอบเขาเป็นที่หนึ่ง

“ทำไมล่ะครับ เขามาทีหลังทุกคนเลยนะ” ผมแย้ง

“มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลาที่รู้จักกันนะ มันขึ้นอยู่กับว่าตอนอยู่ด้วยกันแล้วเราเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน กับเผ่าพงศ์และเวย์ ดอทก็รักทั้งคู่แต่ทั้งสองคนนั้นไม่ได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในตัวดอท แต่คนที่สามารถทำให้เรายิ้มได้แม้ในวันที่กำลังมีทุกข์ คนๆ นั้นน่าสนใจ”

ยิ่งป๋าพูดแบบนี้ผมก็ยิ่งคิดถึงเขา  อีตาหมอประสาทที่รัวข้อความเข้าไลน์ผมเป็นร้อยๆ  แต่คิดว่าตอนนี้คงรู้จากพี่ชายเขาแล้วว่าผมปลอดภัย  ซึ่งก็คงอีกไม่นานเขาจะต้องวิ่งแจ้นมาหาแน่นอน

จากนั้นเราสองคนพ่อลูกก็พูดคุยเรื่องอื่นๆ ป๋าค่อนข้างตื่นเต้นตอนที่ผมเล่าตอนที่จมน้ำ  และกำชับไม่ให้ไปเล่นอะไรเสี่ยงแบบนั้นอีก ผมถามเรื่องภรรยาคนใหม่กับลูกในท้อง ป๋าตอบแค่ผิวเผินพยายามปรับสีหน้าให้ปกติแต่ผมรู้ว่าไม่ใช่ เพียงแต่ไม่ได้จี้ถามอะไรให้มากความ ปัญหาของป๋าก็คงต้องให้ป๋าเป็นจัดการเอง

วันนี้เป็นครั้งแรกที่เราสองคนได้คุยกันแบบยาวนาน และคงจะยาวกว่านี้อีกสักหน่อยถ้าคุณแม่ไม่เข้ามาเสียก่อน

“งั้นเดี๋ยวแม่ค่อยเข้ามาใหม่นะตาดอท” คุณแม่หน้าเจื่อนลงเมื่อเห็นป๋า

“ไม่เป็นไร ฉันจะกลับพอดี” ป๋าบอกก่อนจะมองตามคุณแม่ที่ปลายตามองเพียงแว้บเดียวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปพร้อมกับถุงใบใหญ่ คงอยากเลี่ยงการเผชิญหน้า

“งั้นป๋ากลับก่อน ถ้ายังไงจะโทรหานะลูก” สีหน้าของป๋าดูซึมลงก่อนจะหันมากอดลา

“ขอบคุณนะครับ” ผมไหว้ลาเมื่อป๋าคลายอ้อมกอด จากนั้นป๋าก็ออกจากห้องไป


“แม่มาช้ากว่าเขาสินะ” คุณแม่วางปิ่นโตไว้บนโต๊ะแล้วแกะออกมาทีละเถาโดยไม่ยอมมองหน้าผม

“โธ่ ไม่เป็นไรหรอกครับ มาก่อนมาหลังก็สำคัญเหมือนกัน” ผมมองอ้อน

“เดี๋ยวนี้แม่คงไม่สำคัญเท่าไหร่แล้วไม่ใช่เหรอ เราดีกับป๋าแล้วแม่ก็เป็นแค่หมาหัวเน่า” ทำหน้าหงอยแต่ก็ยังสาละวนเตรียมอาหารให้

“ใครบอกครับ ยิ่งดีกับป๋าก็ยิ่งได้รู้ว่าคุณแม่น่ารักกว่าเป็นสิบเท่า เพราะป๋าไม่เห็นเอาอะไรมาฝากเลย ไม่รู้หรือไงว่าดอทหิ้วหิว” แผนฉอเลาะยังไงก็ได้ผล คุณแม่เริ่มอมยิ้มรีบเข็นโต๊ะอาหารมาที่เตียงทันที

“ไหนดูซิ” คุณแม่มองไปทั่วตัว จับแขนที่ฟกช้ำ และมองจ้องแผลบนหัวที่ปิดเทปเอาไว้พลางแตะเบาๆ รอบแผล “หัวแตกด้วยเหรอลูก เจ็บมากหรือเปล่า แล้วมีแผลตรงไหนอีกบ้าง”

“หมดแล้วครับ แผลเก่าที่ขาก็ไม่น่าห่วงอะไร รอแห้งสนิทก็หายแล้ว”

“ โถตาดอท ช่วงนี้ทำไมถึงได้เจอแต่เรื่องร้ายๆ”

“จะว่าไปก็สนุกดีนะครับ ตื่นเต้นดี”

“ยังจะพูดเล่นอยู่อีก คราวหลังแม่ไม่ให้ไปไหนไกลๆ อีกแล้วนะ”

“คร้าบบ” ผมรับคำพลางอ้าแขนรอให้คุณแม่เข้ามากอด ไม่นานนักก็ใจอ่อนยอมเข้ามากอดแล้วหอมซ้ายหอมขวาอย่างที่ชอบทำ “คุณแม่ทำอะไรมาบ้างครับ ดอทหิวจัง”

“หลายอย่างเลยลูก แม่เข้าครัวเองเลยนะ พอตำรวจแจ้งมาว่าดอทปลอดภัยและกำลังจะสอบปากคำแม่ก็รีบทำของโปรดมาให้ ถ้าหิวก็กินเยอะๆ ดูสิผิวซูบซีดไม่มีสีเลือดเลย เอ๊ะ!? ผมเราสั้นลงนี่ ตัดทำไมลูก” คุณแม่หยิบเส้นผมสั้นกุดของผมแล้วถามอย่างแปลกใจ

“ตอนอยู่ในป่ามันร้อนครับก็เลยตัด” ปดไปนิดหน่อยก็คงไม่เป็นไรนะ จะให้บอกได้ยังไงว่าตัดเพราะอยากเอาชนะพี่เวย์ เสียหน้าแย่น่ะสิ

“ตัดสั้นแบบนี้เหมือนตอนที่เรียนมัธยมเลยนะ แต่หน้าตาตอนนั้นของลูกไม่ได้สดใสอย่างวันนี้ แม่คงผิดเองที่พรากวัยเด็กที่ควรมีชีวิตชีวาของดอทไป” มือเรียวลูบใบหน้าผมพร้อมกับน้ำตาที่รื้นออกมาของเราทั้งสองคน

“เราย้อนเวลากลับไปไม่ได้แล้วครับ มาช่วยกันทำวันนี้และวันต่อๆ ไปให้สดใสดีกว่า คุณแม่อย่าคิดมากเพราะดอทเข้าใจในสิ่งที่คุณแม่ทำทุกอย่าง และดอทก็ยังรักและเคารพไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ”

อาหารมื้อนี้เป็นมื้อที่อร่อยที่สุดเท่าที่ผมเคยทาน คุณแม่ถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นผมจึงเล่าไปบ้างเอาเฉพาะที่สำคัญไม่ได้ลงรายละเอียดไปมากนักและไม่ได้คุยย้อนไปถึงเรื่องในอดีตว่าเป็นยังไง ไม่อยากถามและไม่อยากรู้อะไรอีก ขอแค่วันนี้ผมกับคุณแม่คุยกันได้นานๆ และมีความสุขแค่นั้นก็พอ


“ตอนเย็นจะกินอะไรดีลูก เดี๋ยวแม่ลงมือทำเอง” คุณแม่ถามขณะที่เก็บปิ่นโตเข้าเถา 

“อะไรก็ได้ครับ ฝีมือคุณแม่อร่อยที่สุดในโลกอยู่แล้ว” ผมอ้อนอีก

“เดี๋ยวนี้ปากหวานนะเรา” คุณแม่ยิ้มกว้าง “ว่าแต่ แน่ใจนะว่าจะไม่ให้แม่มานอนเป็นเพื่อน แม่เตรียมของมาแล้วนะ”

“ไม่ต้องหรอกครับ ดอทนอนคืนเดียวเอง เดี๋ยวพรุ่งนี้สายๆ ก็กลับแล้วล่ะ”

“แต่แม่ว่า..”

“ถ้าคุณแม่นอนด้วยแล้วใครจะทำกับข้าวอร่อยๆ ให้ดอทล่ะครับ”

“เอาละๆ งั้นก็ตามใจ แม่ไปก่อนนะเดี๋ยวพรุ่งนี้จะเตรียมของชอบไว้ให้ แม่รักลูกนะครับ” ผมกับแม่กอดกันแน่นก่อนจากกันคุณแม่ยังบอกอีกครั้งว่าตัดผมแล้วดูดี


ต่อ..
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 15 : ภาวะซ่อนเร้น 《23/09/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 23-09-2018 17:59:31

“คุณหนู คุณหนู” เมื่อคุณแม่ออกไปแล้ว น้าเวชจึงขอเข้ามา แกปรี่มาหาราวกับว่าผมหายไปนานเป็นปีๆ “น้าเวชเป็นห่วงแทบแย่เลยครับ ทำไมถึงได้เล่นซุกซนเป็นเด็กแบบนั้น นี่ถ้าหากันไม่เจอแล้วจะทำยังไง โถ ดูสิ ผอมกะหร่องกว่าเดิมตั้งเยอะ แล้วตัดผมทำไมครับ ดูสิหัวก็แตกด้วย โถคุณหนู” น้าเวชใส่มาเป็นชุดแทบจะไม่เว้นจังหวะหายใจ

“เอาทีละคำถามได้ไหมครับ ดอทเพลียมากตอบไม่ทันหรอก” ผมแกล้งสำออยทำท่าทางปวกเปียก

“งั้นคุณหนูนอนพักเถอะครับ ไม่ต้องตอบอะไรแล้ว” แกพยายามจะช่วยผมให้นอนลงแต่ก็ไม่กล้า ได้แต่เงอะงะทำตัวไม่ถูก ผมจึงแกล้งนอนห่มผ้าเพื่อความสมบทบาท

“อย่าไปเชื่อคนขี้จุ๊เลยครับน้าเวช” เสียงคุ้นหูดังขึ้น ผมมองตามต้นเสียงแล้วหัวใจเบ่งบานขึ้นทันที “ดูตาใสขนาดนั้น สีหน้าอิ่มเอิบแถมยังแอบยิ้มตอนน้าเวชเผลออีก คนแบบนี้น่าตีมากกว่าให้พักนะครับ”

“ทำเป็นรู้ดี” ถลึงตามองเขา แต่ในใจเต้นตึกตัก ดีใจเหมือนไม่ได้เจอเป็นปีๆ   

อาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านั้นเป็นการเผชิญหน้าแบบนึกไม่ถึง เป็นโมเมนต์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหมือนยังไม่ได้เคลียร์ใจในเรื่องต่างๆ จนทำให้เกิดความอัดอั้น

“ก็ผมเป็นหมอ” เขาเถียงแล้วหันไปฟ้องน้าเวช “เห็นหรือเปล่าครับน้าเวช ขู่ฟ่อๆ ได้ขนาดนี้ไม่เห็นจะเหมือนคนอ่อนเพลียตรงไหนเลย น้าเวชโดนหลอกแล้วล่ะครับ”   

“โธ่คุณหนู หลอกน้าเวชอีกแล้ว” น้าเวชบ่น “น้าเวชตามไม่ทันทั้งคู่นั่นแหละ งั้นน้าเวชไปก่อนนะครับประเดี๋ยวคุณท่านจะรอนาน” พูดจบแกก็ค้อนใส่ผมแล้วออกจากห้องไป

“เห็นไหม คุณทำน้าเวชงอนแล้วนะ” ผมป้ายสีใส่เขาทันที

ร่างสูงยิ้มขำและเดินเข้ามาใกล้ ผมมองหน้าเขาแล้วรู้สึกดีใจจนเผยรอยยิ้มสดใสออกไปอย่างไม่มีปิดบัง  ตั้งแต่รู้ว่าเขาเป็นพี่น้องกับพี่เวย์ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะเหมือนใครอีก  ตอนนี้ใบหน้าเขาคือหนึ่งในใบหน้าที่ผมจะนึกถึงเสมอ 

“อ๊ะ..” แต่ในขณะที่ผมกำลังยันตัวขึ้นนั่ง ร่างสูงได้จู่โจมเข้ามาแล้วกดไหล่ให้นอนราบลงอย่างเดิม

“คิดถึง..” พูดแค่นั้นก็โน้วตัวลงประกบจูบผมทันที 

ไม่รู้ว่าเพราะช็อก หรือตกใจ หรือเพราะสายน้ำเกลือที่มันรั้งไว้ หรืออาจจะเป็นความคิดถึงเช่นเดียวกันจึงได้เผลอใจนอนนิ่งปล่อยให้เขาจูบ มันหลากหลายความรู้สึกกับคนๆ นี้  หนึ่งในนั้นคือเห็นใจระคนเอ็นดูในความโตแต่ตัวของเขา ตลอดเวลาที่ผ่านมาเวลาที่ผมออกปากว่าเขาคล้ายใครบางคน นั่นคงเหมือนหนามแหลมคอยทิ่มตำใจเขาอยู่เสมอ

แต่พออีกฝ่ายเห็นว่าผมยอมก็ยิ่งได้ใจเบียดตัวขึ้นมานั่งบนเตียงเพื่อจูบต่อเนื่องยาวนาน 


“อ..อื้ออ พ..พอ..แล้ว” ผมหันหน้าหนีเมื่อรู้สึกว่ากำลังจะหายใจไม่ออก  “บ้าบออะไรของคุณ เจอหน้าก็จูบเนี่ย ผมมีแฟนแล้วนะ” พูดไปก็กระดากปาก ที่จริงถ้าผมผลักเขาออกหรือโวยวายก็คงโดนจูบแค่นิดเดียวเท่านั้น

หมอวรรตมองผมนิ่ง ส่งสายตาแปลกๆ เหมือนจะตัดพ้อระคนดีใจและในขณะเดียวกันก็แสดงออกถึงความคิดถึงออกมาอย่างท่วมท้น

“ผมจะทำยังไงถึงจะตัดใจจากคุณได้” มือหนายื่นมาลูบแก้ม ผมนิ่งค้างอยู่แบบนั้นเพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไรในเมื่อผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน “แค่สองวันที่คุณหายไป รู้ไหมว่าผมแทบไม่ได้กินไม่ได้นอน ยิ่งหายไปกับพี่เวย์ก็ยิ่งร้อนใจ เพราะผมรู้ดีว่าคุณรักเขาขนาดไหน” เขาเผยความในใจออกมาทั้งหมด ฟังแล้วหัวใจหวิวไหวไปกับความรู้สึกที่ค่อนข้างรุนแรงทั้งรักและหวง

“ไม่ว่าคุณหรือพี่เวย์ ผมก็ตอบรับไม่ได้อยู่ดี คุณก็รู้ว่าผมมีแฟนแล้ว” ผมยังยืนยันคำเดิมและอีกไม่นานก็จะได้รู้กันว่ามันจะเป็นยังไงต่อ

“เรื่องคุณเผ่าผมไม่สนหรอก เขาไม่ใช่คนที่คุณรักแบบ Indeed” เขาเบือนหน้ามองไปนอกหน้าต่าง “พี่เวย์ต่างหากที่อยู่ในใจคุณและเขาก็เป็นพี่ชายของผม และผมไม่ชอบเลยที่จะแพ้พี่เวย์”

“ทำไมต้องอยากแข่งอะไรกับพี่ชายตัวเองด้วยล่ะ คุณนี่แปลกคน” ผมบ่นแล้วยื่นมือไปจับต้นขาของเขาซึ่งก็ทำให้ร่างสูงหันมามองได้สำเร็จ มือหนาลูบจับมือผมเล่นแล้วเริ่มเล่าเรื่องของตัวเองกับพี่ชายให้ฟัง

“ผมกับพี่เวย์อายุห่างกันเกือบสามปี พี่เวย์เป็นลูกรักของพ่อกับแม่เพราะไม่ซุกซน ว่านอนสอนง่าย จิตใจดีและเก่งทั้งเรียนและกีฬา  ส่วนผมค่อนข้างดื้อ หัวรั้น ซุกซน และชอบเถียง ก็เลยทำให้โดนดุเป็นประจำ พอมาเทียบดูสถิติ ผมโดนด่าไปสิบครั้ง แต่พี่เวย์ได้รางวัลที่เป็นเด็กดีสิบครั้ง ซึ่งมันไม่ยุติธรรมกับผมเลย” เขาทำหน้างอตอนที่เล่า ผมนึกออกเลยว่าตอนเด็กเขาจะร้ายแค่ไหน และสงสารพี่เวย์ด้วยซ้ำที่โดนคนๆ นี้วัดรอยเท้ามาตลอด

“แล้วไงต่อ” ผมเริ่มสนใจและดึงตัวขึ้นนั่งพลางกดรีโมทเพื่อปรับหัวเตียงให้ตั้งขึ้นเพื่อฟังเรื่องราวต่อ

“มันก็เป็นอย่างนั้นเรื่อยมาแต่ผมโชคดีอยู่อย่างก็คือหัวดีถึงจะเสียตรงที่ขี้เกียจไปหน่อย การเรียนระดับแค่กลางๆ มาตลอด  แต่จุดเปลี่ยนคือตอนที่ผมอยู่ชั้น ม.6 พี่เวย์อยู่มหาลัยฯ ปี 2 อยู่ๆ ก็เกิดเรื่องกับเขาจนต้องพักการเรียนไปหนึ่งปีเต็มๆ ในตอนนั้นผมคิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องไล่ตามเขาให้ได้  พี่เวย์เรียนวิศวะ และอย่างเดียวที่จะทำให้ผมดูมีภาษีขึ้นมาเทียบเท่าได้ก็คือการสอบให้ติดแพทย์  จากที่การเรียนแค่กลางๆ ผมสปีดตัวเองขึ้นมาอยู่อันดับหนึ่งของจังหวัดและสอบเข้าเรียนแพทย์ได้ในที่สุด”

ฟังแล้วขนลุก อีตาคนนี้รั้นสุดๆ แค่อยากชนะพี่ชายตัวเองก็มุเรียนสอบเข้าแพทย์ได้ ถ้าไม่ดื้อจริงคงทำไม่ได้นะแบบนี้

“แต่ถึงจะเรียนแพทย์และพี่เวย์พักเรียนไป ก็ไม่ได้ทำให้ผมได้หน้ามากไปกว่าเขาอยู่ดี”  หมอวรรตเล่าต่อ “พ่อกับแม่ก็ยังคงเอาใจดูแลและเหมือนจะมากขึ้นด้วยซ้ำเพราะเขากำลังตกต่ำ” 

“ตกต่ำเหรอ” ผมถามแทรกทันทีที่ได้รู้ว่าชีวิตของพี่เวย์มีช่วงที่ตกต่ำและตอนนั้นเรียนปี 2 ก็น่าจะเป็นช่วงที่มีเรื่องกัน

“ใช่ ตกต่ำจนถึงที่สุดแต่เขาก็ผ่านพ้นมาได้ ซึ่งผมก็ไม่ได้จะทับถมพี่เวย์หรอกนะ แค่อยากสปีดอัพตัวเองให้มีตัวตนในสายตาของพ่อกับแม่บ้างแค่นั้นเอง” 

อยากถามเหลือเกินว่ามันคืออะไรแต่ดูเหมือนจะเสียมารยาทเพราะควรโฟกัสเรื่องของหมอวรรตมากกว่าจึงปล่อยให้เขาเล่าต่อ

“พอหลังจากนั้นพี่เวย์ก็กลับมาเรียนต่อและจบได้อย่างสบายๆ แถมต่อโทพร้อมกับมีรุ่นพี่ให้โอกาสพาไปฝึกประสบการณ์รับเหมางานด้วย  แต่ผมนี่สิ เรียนในสิ่งที่ไม่ได้ชอบและยากมากก็เลยหืดขึ้นคอกว่าจะเรียนจบ ถึงจะได้เกียรตินิยมแต่คุณเข้าใจไหมว่าก็ยังรู้สึกแพ้อยู่ดี  เพราะพี่เวย์จบออกมาแล้วทำงานที่เขาชอบ แต่ผมต้องมาทำงานที่ผมรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้เกลียดนะแต่มันไม่เลิฟไง ยิ่งตอนอินเทิร์นนี่ทรมานสุด แทบไม่ได้หลับได้นอน คนที่ชอบอิสระและชอบพูดคุยแต่ต้องตรวจคนไข้ให้เร็วที่สุดเพราะหมอไม่พอกับจำนวนคนไข้ กว่าจะผ่านไปแต่ละวันนี่แทบกรี๊ด”

“มิน่าตอนนี้ถึงได้ตรวจแต่ละคนนานเป็นชั่วโมง” ผมนึกถึงที่เขาคุยกับคนไข้แล้วขำ หมออะไรไม่หวงเวลาเอาซะเลย

“ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะตรวจนานหรือไม่นานหรอก แต่พอตรวจแล้วก็อยากให้คำแนะนำเขาดีๆ อยากบอกข้อมูลให้ครอบคลุมและพอคุยๆ ไปก็เหมือนได้สนิทกันไปโดยปริยาย” เขายักไหล่ “ก็นั่นแหละ พอใช้ทุนหมดผมก็ทำงานเก็บเงินอยู่หลายปีแล้วมาซื้อตึกทำคลินิก จากนั้นก็ย้ายออกไปอยู่ที่นั่นเลย

“แล้วพ่อกับแม่คุณไม่ว่าเหรอที่ย้ายออกมา” ผมถาม

“ท่านไม่อยู่แล้วล่ะ เสียไปตั้งแต่ผมยังใช้ทุนไม่หมดเลย” ใบหน้าหล่อขรึมลงเมื่อพูดถึงการสูญเสียที่เกิดขึ้น

“ผมเสียใจด้วยนะ” บีบมือเขาเพื่อให้กำลังใจและเขาก็บีบกลับมา

“ไม่เป็นไร พวกท่านไปสบายแล้ว ขับรถไปเที่ยวกันสองคนแล้วเกิดอุบัติเหตุ เสียชีวิตคาที่เลย ไปพร้อมกันก็คงไม่เหงา นี่คงเป็นเรื่องที่คนบนโลกนี้เฝ้าหวังแต่สมหวังได้ยากก็คือได้อยู่คู่กันและตายไปพร้อมกัน”

ทัศนคติของเขาค่อนข้างเป็นบวก มิน่าถึงส่งผ่านความคิดบวกมาให้ผมจนสุขภาพจิตดีขึ้น แต่เท่าที่ฟังดูปมของเขามีอยู่เรื่องเดียวก็คือพี่เวย์

“คุณเกลียดพี่เวย์เหรอ”

“ไม่นะ ผมไม่ได้เกลียด” หมอวรรตตอบด้วยท่าทีสบายๆ ไม่ได้เครียดอะไร “ผมยังรักและเคารพพี่เวย์มาตลอด เราทำงานด้วยกัน คุยกัน ปรึกษากันเป็นปกติเหมือนพี่น้องทั่วไป  แต่มันจะมีทิฐิบางอย่างที่ผมไม่สามารถกำจัดทิ้ง คือเรื่องยอมแพ้พี่เวย์ ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ผมแค่ไม่อยากแพ้”

“โห อะไรจะขนาดนั้น”

“ไม่รู้สิ มันเหมือนเป็นคลื่นใต้น้ำ มันเศร้าอยู่ลึกๆ ข้างใน ทุกครั้งที่ผมบอกกับตัวเองให้เชื่อภูมิใจในตัวเองสิแต่แล้วเรื่องของพี่เวย์ก็จะกดผมลงไปอีก”

“แบบนี้ก็แย่สิ มัวแต่เอาพี่เวย์มาเป็นโจทย์แล้วชีวิตคุณจะมีความสุขได้ยังไง” ผมลูบแขนปลอบใจ

“ยิ่งเรื่องของคุณยิ่งทำให้ผมรู้สึกดิ่ง และมันก็มากขึ้นทุกวัน” สีหน้าหมอวรรตเหมือนจะเศร้าแต่ก็คล้ายว่าทำใจไว้แล้ว  “ผมชอบคุณตั้งแต่วันแรกที่เจอ แต่ก็ยอมรับว่าเรื่องพี่เวย์เป็นส่วนหนึ่งให้รู้สึกเฟลมากขึ้น”

“ยังไงล่ะ”

“ถ้าคุณเลือกคุณเผ่า ผมก็แค่อกหัก แต่ถ้าคุณเลือกพี่เวย์ ผมจะกลายเป็นขี้แพ้ทันทัน”

“โธ่คุณ” ไม่รู้จะปลอบยังไง ปมที่เขาก่อขึ้นมาเองในใจ มันคงไม่อาจปลอบให้หายได้ง่ายๆ

“ถึงจะรู้ว่าเปอร์เซ็นต์แพ้มันค่อนข้างเยอะแต่ผมไม่อยากยอมอะ ผมอยากสู้ให้ถึงที่สุดก่อน”

“เคยต่อยกันไหม” ไม่รู้จะเห็นใจใครดี พี่เวย์ที่โดนวัดรอยเท้าหรือหมอวรรตที่มีปม

“เฮ้ย ไม่ถึงขนาดนั้น ไม่ได้ห้ำหั่นกันจนเลือดสาดนะ ไงดีล่ะ มันเหมือนสงครามเย็น สงครามที่ผมสู้อยู่คนเดียวกับจิตวิญญาณของตัวเอง ถามว่าพี่เวย์รู้ไหม เขาก็รู้แหละแต่เขาไม่ถือสาอะไร ก็ยังคงเป็นพี่ชายแสนดีต่อไปไม่เคยมาแข่งอะไรด้วย ยกเว้นเรื่องของคุณที่พี่เวย์ออกปากมาโต้งๆ ว่าไม่ยอม”

ทำหน้าไม่ถูกเลยแฮะ ผมต้องรู้สึกยังไงกับเรื่องแบบนี้ดีล่ะ

ในตอนนั้นเอง สายโทรเข้าจากเฮียเผ่า ปกติถ้าตกลงกันแล้วก็จะไม่เซ้าซี้แต่ครั้งนี้เฮียคงทั้งกังวลและเป็นห่วงถึงได้โทรมาอีก

“ว่าไงครับ” ผมปรับน้ำเสียงให้นิ่งขึ้น 

“เฮียไปเยี่ยมได้ไหม อยากเห็นหน้าดอท อยากไปดูให้เห็นกับตาว่าดอทปลอดภัยแล้วจริงๆ” เสียงเฮียค่อนข้างเครียด

“อย่าดีกว่าครับ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้บ่ายๆ ค่อยเจอกัน ถ้าพร้อมแล้วดอทจะไลน์บอกอีกที แล้วไม่ต้องโทรมาอีกนะครับ ดอทอยากพักผ่อน”

ที่ทำปั้นปึ่งใส่เฮียเพราะความน้อยใจและเสียใจในสิ่งที่เฮียทำ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคนอื่นๆ ที่เข้ามา

“ถ้างั้นเฮียจะไม่ขัดใจนะครับ พรุ่งนี้เราเจอกันแล้วเฮียจะสารภาพทุกอย่างเลย รับรองว่าดอทจะต้องเข้าใจเฮียแน่ เฮียรักดอทนะ” เฮียบอกรักและรอฟังคำตอบ

ผมกัดฟันและถอนหายใจออกมาเพราะอดไม่ได้ที่จะตามใจเขา

“ดอทก็รักเฮียครับ แต่ดอทก็ต้องรักตัวเองด้วย ถ้าเหตุผลของเฮียไม่โอเค เฮียอย่าขวางดอทนะถ้าดอทจะตัดสินใจเลิก”

“ไม่ขวางครับ เฮียไม่เคยบังคับดอทไม่ว่าเรื่องอะไร” เสียงของเขาสดใสขึ้นเมื่อได้ฟังคำว่ารักจากผม “ดอทก็รู้ว่าเฮียรักดอทและที่เฮียทำทุกอย่างก็เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกัน พรุ่งนี้เจอกันนะครับ คุยกันเข้าใจแล้วเฮียจะอยู่กับดอทไม่ยอมให้ห่างไปไหนได้อีก ดอทพักผ่อนซะนะ หายเร็วๆ นะคนดีของเฮีย”

“ครับ” ผมรับคำสั้นๆ เป็นการปิดบทสนทนา


วางโทรศัพท์เฮียแล้วผมก็ยังนั่งเหม่อคิดเรื่องของเราไปเรื่อย จะว่าไปผมกับเฮียคบกันมานานมากถ้าเลิกกันจริงๆ ผมคงจะเสียใจ

“คุณจะเลิกกับแฟนเพราะอะไรเหรอ หรือเพราะพี่เวย์”  เสียงของหมอวรรตปลุกผมให้หลุดออกจากภวังค์  จริงสินะ พี่เวย์คงยังไม่ได้เล่าเรื่องเฮียเผ่าให้เขาฟัง

ผมส่ายหัว “ไม่ใช่หรอก” ตอบแค่นั้น เพราะไม่อยากสาวไส้เฮียให้ใครกิน ไม่ว่ายังไงผมก็ยังรักเฮียอยู่ดี

“งั้นก็แล้วไป” เขาทำท่าโล่งอกจนผมต้องถามกลับ

“ถ้าผมเลิกเพราะพี่คุณแล้วมันทำไมเหรอ”

“ผมก็แห้วดิ ถ้าขนาดว่าเลิกกับแฟนเพราะพี่เวย์ได้ ไอ้คนมาทีหลังแถมยังไม่เข้าตาอย่างผมจะไปเหลืออะไร โดนปิดไฟคนแรกเลยเหอะ”

“ปิดไฟอะไรของคุณอีกล่ะ” 

“บ้านก็รวยแต่ไม่มีทีวีเหรอ หรือไม่ได้ซื้อจานดาวเทียวหรือกล่องดิจิทัล” เขาแซะ “รายการเทคมีเอาท์ไง ถ้าไม่ชอบใครก็ปิดไฟคนนั้น ไรงี้”

“คุณนี่ชอบกระชากวัยนะ  อายุน่าจะมากกว่าผมด้วยซ้ำแต่ชอบพูดชอบทำอะไรเหมือนวัยรุ่นอยู่เลย”

“พี่เวย์เท่าไหร่ล่ะ ก็ลบของผมไปสามปี ตามนั้นแหละ” เขาบอกใบ้

ผมกัดเล็บลองคิดคำนวณในใจ ตอนผมอยู่ ม.1 พี่เวย์อยู่ ม.6  อายุห่างกัน 5 ปี  ตอนนี้ผม 29 พี่เวย์ก็ประมาณ 34 ส่วนเขาอ่อนกว่าพี่เวย์ 3 ปี ตอนนี้ก็คง..

“สามสิบเอ็ดปี หรือสามสิบสอง ไม่น่าต่ำกว่านี้” 

“สามสิบเอ็ดก็พอ” หมอวรรติเฉลย “แล้วไอ้สามสิบเอ็ดนี่ผมว่ายังไม่แก่นะ ยังใช้ศัพท์สแลงได้อยู่”

“จ้าๆ เอาที่คุณสบายใจเถอะ” ผมเบ้ปากใส่ด้วยความหมั่นไส้ แต่จะเถียงก็คงสู้ไม่ได้เพราะหน้าเด็กจริงๆ

“เห็นแบบนี้ผมสายตึ๊ดนะครับ” เขาทำหน้าอวด

“อะไรคือสายตื๊ด”

“โวะ คุณนี่ทำตัวแก่กว่าวัย ก็เข้าผับเต้นเพลงตึ๊ดๆ ยังได้สบายๆ ไรงี้ไง” ไม่พูดเปล่าแต่เขาทำท่าโยกหัวดดีดนิ้วแสดงให้ดูว่าตึ้ดได้จริง

“เชื่อไหมว่าผมไม่เคยเข้าผับเลยนะ” มานึกๆ ดูแล้วแปลกใจตัวเอง ทั้งตอนที่เป็นวัยรุ่นก็มุหาแต่เงินก็เลยไม่มีเวลาไป แต่พอโตแล้วแบบนี้ มีเงินมีเวลาเป็นของตัวเองแต่ก็ไม่เห็นจะอยากไปอยู่ดี

“เดี๋ยวหายแล้วผมจะพาไปเปิดหูเปิดตานะ ไม่ได้จะพาไปเสียคนแต่จะพาไปดูว่าโลกข้างนอกเขาเป็นไงกันบ้างแล้ว คนเรานะ ถ้าอยากจะรู้จักตัวเองให้ดีขึ้นเราต้องไปดูคนอื่นในสถานที่ใหม่ๆ มุมมองใหม่ๆ จะได้รู้ว่าเราอยู่จุดไหนของสายกลาง”  เขาอธิบาย

“แล้วคุณอยู่จุดไหนล่ะ” 

เขานิ่งคิดเล็กน้อยแล้วตอบ “จุดสุดยอด ไม่เชื่อลองมั้ย อยากบอกว่าสุดยอดจริงๆ”

ตอนแรกไม่เข้าใจหรอกว่าเขาพูดสองแง่สองง่ามแต่เห็นสายตาแล้วก็เลยหยิกไปหนึ่งทีแก้ทะลึ่ง

“เดี๋ยวจะโดน”

“โดนไปแล้วไหม นี่เขียวเลย” หมอวรรตโชว์แขนที่ถูกหยิกให้ดูแล้วทำหน้างอ “คราวหลังถ้าหยิกจะจูบนะ” 

อยากจะบอกว่าไม่อยากถูกจูบบ่อยๆ หรอกนะ แต่ถ้าไม่หยิกให้บ้างก็คงจะทะลึ่งมากขึ้นๆ ซึ่งผมไม่ค่อยโอเคหรอกเพราะฟังอะไรพวกนี้แล้วมันเขินทำหน้าไม่ถูก 

“จูบอีกทีจะตบให้” ชี้นิ้วคาดโทษไป “ว่าแต่คุณไปเยี่ยมพี่คุณมาหรือยัง อยู่ห้องไหนก็ไม่รู้นะ ไม่มีอะไรน่าห่วงใช่ไหม”

“ไปมาแล้วอาการก็โอเค รายนั้นเป็นพวกคนอึดตายยาก”

“เออใช่ เพิ่งนึกได้เรื่องกระต่าย คุณตามหากระต่ายให้หน่อยสิ ตอนเจ้าหน้าที่เอาเป้ไปผมก็ลืมสั่งให้เก็บให้ด้วย”

“พี่เวย์ให้ผมไปตามเอาจากสถานีตำรวจแล้ว ตอนนี้เจ้าต่ายอยู่ที่คลินิกไม่ต้องห่วง”

“เฮ้อ โล่งอก”

“จะเอาไปเลี้ยงเองเหรอ เห็นพี่เวย์บอกว่าถ้าคุณไม่เอาก็จะให้เรย์เรย์เลี้ยง”

“น้องเรย์เรย์เห็นแล้วเหรอ”

“อืม เห็นตอนไปตามเอานั่นแหละ เห่อจนไม่อยากออกจากคลินิก” สีหน้าหมอวรรตละมุนขึ้นเมื่อพูดถึงน้องเรย์เรย์ ถ้าดูแลลูกให้พี่เวย์ได้ขนาดนี้เขาคงไม่ได้เกลียดพี่เวย์จริงๆ สินะ

“ที่จริงอยากเลี้ยงเองแต่ถ้าน้องเรย์เรย์อยากได้ก็โอเค ว่าแต่ตอนที่พี่เวย์ไม่อยู่ใครดูแลน้องเรย์เรย์ให้ล่ะ”

“ผมไง”

“อ๋อ แล้วตอนนี้ใครดู”

“ผมเอาไปทิ้งไว้ห้องพี่เวย์แล้วก็มานี่แหละ” ว่าแล้วก็เดินไปเปิดตู้เย็นหยิบแอ๊บเปิ้ลที่คุณแม่ปอกทิ้งไว้ให้ใส่ปากกินเฉยเลย

“คุณนี่นะ เอาเด็กไปทิ้งไว้ให้คนป่วย แถมยังมากินของคนป่วยอีกคน  เป็นหมอภาษาอะไรเนี่ย”

“ผมทำอะไรก็ขัดหูขัดตาไปหมดนั่นแหละ ไม่เหมือนพี่เวย์ของคุณหรอก รายนั้นเขาทำอะไรก็ดีงาม”  ร่างสูงตัดพ้อแล้วเดินไปยืนริมหน้าต่าง มองออกไปด้านนอกแสดงความน้อยอกน้อยใจทั้งๆ ที่ยังเคี้ยวแอ๊บเปิ้ลอยู่ในปาก

ได้แต่มองตามแล้วยิ้มให้กับแผ่นหลังที่ดูโดดเดี่ยวของเขาด้วยความเอ็นดู

“ผมเดินไปง้อคุณไม่ไหวนะ มาให้ง้อหน่อยสิ มานั่งนี่เร็ว”  ว่าแล้วก็เอื้อมไปดึงพนักเก้าอี้ให้เลื่อนเข้ามาใกล้ตัว

หมอวรรตหันมามองพร้อมกับกินแอ๊บเปิ้ลในมือจนหมดแล้วยอมมาหาแต่โดยดี ทว่าไม่ได้นั่งเก้าอี้หรอกนะ เขาดันเก้าอี้ออกแล้วนั่งแหมะอยู่บนเตียงอย่างถือวิสาสะ 

“เป็นหมอ ไม่รู้หรือไงว่าเขาไม่ให้นั่งเตียงคนป่วย” ผมตำหนิแต่ก็ไม่ได้ผลักไสอะไร

“เป็นหมอนี่ต้องมารยาทงามไปทุกกระเบียดนิ้วหรือไง หือ?” ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ เขาขยับก้นเข้ามานั่งเต็มๆ จนเบียดผมให้ขยับไปอีก “เออคุณ..” เขาเท้ามือลงบนเตียงแล้วโน้มตัวลงมาพูดด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป

ผมเอนหลังหลบเหลือบมองเขาแล้วย่นคิ้วกับท่าทีที่เปลี่ยนไป

“อ..อะไร”

“คืนนี้.. ผมมานอนด้วยได้ไหม”

หัวใจไหวหวิวไปกับคำถามนี้ ไม่รูทำไมถึงได้มีความรู้สึกต่อเขามากขึ้นกว่าเดิมจนผิดปกติ  ทั้งๆ ที่ชัดเจนแล้วว่ารักพี่เวย์ และรู้อยู่เต็มอกว่ารักเฮียเผ่าอยู่แล้ว แต่ผมกลับหวั่นไหวไปกับหมอวรรตอีกคน 

พี่เวย์ก็เป็นรักที่ต้องซ่อนเร้นจากเฮียเผ่าไปหนึ่งคนแล้วนะ หมอวรรตก็ยังต้องมาซ่อนจากพี่เวย์อีกที  กลายเป็นซ่อนเร้นในซ่อนเร้น อินเซ็ปชั่นไปอีก นี่มันจะหนักข้อไปแล้วนะชนม์แดน!



.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

แจ้งการเปลี่ยนแปลงเรื่องทำเล่มนิดนึงนะคะ
ตอนนี้คุยกับสำนักพิมพ์ขอเลื่อนทำเล่มไปก่อน
อาจจะออกหลังคู่จิ้นของผมเป็นผู้ชายซึ่งจะรู้วันพรีออร์เดอร์หลังกุมภาปีหน้า
ขออภัยสำหรับคนที่รอนะคะ นายน้อยเองก็อยากมีเล่มพี่ดอทมากเหมือนกัน
แต่หลายๆ อย่างในตอนนี้อาจยังไม่ถึงเวลาของมัน
เรื่องนี้ยาวมากและจะอัพจนจบให้ได้ ถึงแม้จะเฟลบ่อยๆ แต่ก็จะพยายาม

สำหรับใครที่ล็อคอินเล้าเป็ดไม่ได้หรือคอมเม้นต์ไม่ได้
อยากให้ช่วยทวิตติดแท็ก #รู้เท่าไม่ถึงรัก ในทวิตเตอร์
เป็นการช่วยดันเรื่องนี้ได้อีกทางค่ะ

 :pig4: :pig4: :pig4:

เกือบลืมเม้ามอย

TachibanaRain :  ตอนหน้าเตรียมพับกบ เอ้ย พบกับ.. ดราม่าก้อนใหญ่ ใหญ่ ใหญ่ ใหญ่   //เอคโค่มาเต็ม คิๆ

Janemera  :  เตรียมแหกเลยค่าาาา ง้างมีดรอเลย มีตัวการใหญ่กับตัวสมรู้ร่วมคิด เพียบบบบ

ดาวโจร500  :  นี่อาจเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำที่ดอทตามทันจิตใจตัวเอง ว่าเรื่องที่จะเลิกกับเฮียเผ่านั้นไม่ง่าย ดอทจึงไม่ให้ความหวังอีกสองคนเป็นเรื่องที่ดอทคิดว่าทำถูกแล้ว เหลือแต่รอให้จบกับเฮียเผ่า แต่จะจบได้จริงหรือเปล่า อันนี้ต้องลุ้นต่ออออ

รักเจ้าเอย  :  อย่าลืมตามต่อน้าาา แวะมาบ่อยๆ จุ๊บๆ

นารุมิ  :  ขอบคุณมาค่ะ อย่าทิ้งไปน้าาา

aisen  :  มาแล้วค้าบ ตอนหน้าจะมาเร็วกว่านี้น้าา


หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 15 : ภาวะซ่อนเร้น 《23/09/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 23-09-2018 19:18:22
นี่ยังยืนยันว่า #ทีมหมอวรรต นะเพราะเห็นด้วยกับคุณป๋าว่าเวลาพี่ดอทอยู่กับหมอแล้วดูสบายใจเป็นตัวของตัวเองมากอะ แต่ยังติดใจเรื่องเรย์เรย์อยู่นี่แอบกลัวไปแล้วว่าใช่ลูกหมอวรรตรึเปล่าถ้าใช่นี่คงต้องเท้าความเป็นมากันยาวแน่ๆ แล้วตอนหน้าที่ดราม่าใหญ่นี่คืออะไรค้า เรื่องเฮียเผ่าหรือเรื่องใครแต่คิดว่าน่าจะเฮียเผ่านะซึ่งเราคิดว่าดอทควรพอกับคนนี้แล้วจริงๆอะ ต่อให้เฮียเผ่าทำไปเพราะนอกใจจริงหรือมีเหตุผลอื่นก็ตาม แต่แค่เราอ่านเราก็รู้สึกเหนื่อยกับความสัมพันธ์แล้วอะ

ปล.คิดถึงพี่ดินแล้วนะนายน้อย หายไปหลายตอนแล้ววววว
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 15 : ภาวะซ่อนเร้น 《23/09/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 24-09-2018 02:13:58
เกียมมีดหรอเลยค่ะะะะ ไหนใครตัวการ ใครสมรู้ร่วมคิด ใครทำอะไว้คิดทบต้นทบดอกก  ข้อหาหลอกน้องทำน้องร้องไห้ โทษหนักสถานเดียว!! :beat: :beat: :beat: :beat: :angry2: :beat:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 15 : ภาวะซ่อนเร้น 《23/09/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 24-09-2018 06:20:06
โว๊ะ ไม่เลิก ดอทก็เจ็บตัวเจ็บใจไปตลอดชีวิตเลยเถอะ เอาที่ชอบ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 15 : ภาวะซ่อนเร้น 《23/09/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 24-09-2018 09:03:59
ลำบากตรงมีให้เลือกเย๊อะแยะนี่แหล่ะ  คนนั้นก็ดีคนนี้ก็รักคนนั้นก็ไม่อยากทิ้ง
แต่แอบหักมุมนิดหน่อยในความคิดเราว่าทำไมดอทเลือกที่จะเล่าให้พ่อฟังนึกว่าคนที่ดอทจะเล่าให้ฟังคือดินแดนนะนี่ 555
รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 15 : ภาวะซ่อนเร้น 《23/09/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 24-09-2018 15:16:58
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 15 : ภาวะซ่อนเร้น 《23/09/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 24-09-2018 17:23:36
พี่ดอทจะเก็บคำแนะนำของพ่อไปพิจารณาไหมนะ ให้กำลังใจพี่ดอท&นายน้อย นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 16 : ภาวะยุ่งเหยิง 《25/09/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 25-09-2018 21:30:41
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ต อ น ที่  16  :  ภ า ว ะ ยุ่ ง เ ห ยิ ง

“คุณไปนอนเฝ้าพี่คุณดีกว่า” ผมตอบปฏิเสธ

หน้าหมอประสาทเจื่อนทันทีและทำท่าจะลงจากเตียงทว่าผมรั้งแขนเอาไว้

“งอนอีกแล้ว” ผมมุ่ยหน้า “ผมไม่ได้ไม่อยากให้คุณมาเฝ้า แต่น้องชายผมคงไม่ยอมหรอก เขาค่อนข้างหวงผมน่ะ”  นายดินไม่มีทางให้ใครมาเกาะแกะผมได้เด็ดขาด

“อ๋อ ถ้าเรื่องนั้นไม่เป็นไร” น้ำเสียงคนขี้งอนสดใสขึ้น “งั้นถ้าน้องคุณไม่ว่าก็นอนได้ใช่ปะ”

ผมลังเลเล็กน้อย ถ้าหมอวรรตมานอนด้วยมันไม่ค่อยโอเคนะ ทั้งคืนต้องนอนให้คนเกเรชอบฉวยโอกาสคนนี้เฝ้า แล้วผมมันก็ขี้ใจอ่อน  ที่สำคัญพี่เวย์ก็อยู่ห้องไหนสักห้องใกล้ๆ นี้  ถ้าเขารู้ว่าน้องชายมาเฝ้าจะรู้สึกยังไง  โอ้ย ทำไงดีๆๆๆ

“เอ่อ.. แล้วพี่คุณล่ะ ไหนจะเรย์เรย์อีก” ผมอ้าง เพราะรู้ดีว่าคุณแม่ของเรย์เรย์ไม่อยู่ด้วยแล้วจึงคิดว่าน่าจะเป็นเหตุผลที่ดี

“อืม นั่นสิ” เขานิ่งคิด “งั้นเอางี้ เดี๋ยวให้เรย์เรย์นอนเฝ้าพี่เวย์ ส่วนผมจะแอบออกมาตอนสองคนนั้นหลับแล้วมาอยู่เป็นเพื่อนคุณ ดีไหม” เขายิ้มกว้าง

“ถ้าผมบอกว่าไม่ได้คุณจะยอมไหมล่ะ”

“ไม่ยอมหรอก ก็คุณบอกแล้วว่ากลัวแค่น้องชายจะว่า  นี่ผมต้องผ่านด่านทั้งน้องชายไม่ว่า เรย์เรย์หลับ แล้วก็พี่เวย์หลับ เป็นสามด่านเลยนะ ถ้าผ่านแล้วคุณไม่ยอมอีกผมจะอาละวาดให้โรงบาลแตกเลยคอยดู”

โอ้ยย นี่ผมคุยกับคนอายุสามสิบจริงๆ เหรอเนี่ย ถ้าไม่รู้อายุจะคิดว่าสามขวบนะ ดื้อที่สุดเลย

“งั้นก็ลองดูก่อนก็ได้ แต่ถ้าน้องผมมาเฝ้าก็จบข่าวนะ” บอกอย่างเสียไม่ได้ แต่คิดว่านายดินต้องไม่ยอมแน่


หลังจากนั้นหมอวรรตก็ออกไปพาเรย์เรย์หาข้าวกิน ซึ่งผมค่อยโล่งอกหน่อยเพราะไม่อยากให้ใครมาเจอเขาโดยเฉพาะดินแดน  ระหว่างนี้พยาบาลมาถอดสายน้ำเกลือและวัดไข้ เห็นบอกว่าผลเลือดไม่มีอะไรผิดปกติ รอคุณหมอเจ้าของไข้พรุ่งนี้คงให้ออกได้

ผ่านไปพักใหญ่เจ้าน้องตัวดีก็เข้ามาพร้อมกับสกายผู้ชายมาดนิ่ง

“ชนม์แดนๆๆๆๆ” มาถึงก็ถลาเข้ามาหาแทบจะชนผมกระเด็นตกเตียง “ทำไมทำตัวแก่นเซี้ยวเปรี้ยวซ่าไปติดป่าติดเขากับผู้ชายสองต่อสองแบบนั้น  ไหนบอกรักแฟนนักรักแฟนหนา นี่อะไร แอ้วผู้ชายให้พาไประเริงในป่าได้ตั้งสองวันสองคืน  นั่นๆๆ ดูหน้าสิ เลือดฝาดขึ้นโดยที่ไม่ต้องแตะเนื้อแตะตัว บอกน้องชายสุดที่รักมาซิว่ามีซัมติงอะไรมั่ง” 

ดูแต่ละอย่างที่คิดที่พูดออกมา ไม่ได้กลัวว่าพี่ชายจะเสียหายเลยนะ

เพี๊ยะ!!

ผมตีเต็มแรงไปที่แขนล่ำของเขา

“พูดอะไรบ้าๆ เดี๋ยวใครได้ยินก็เอาไปนินทาหรอก ฉันไม่ได้ทำตัวอย่างนั้นซะหน่อย”

“ไม่ได้ทำก็ไม่ได้ทำ” ทำหน้าแบบนั้นดูก็รู้ว่าไม่เชื่อ “ไหนดูซิ แผลที่ขาเป็นไงมั่ง” มือหนาเลิกขากางเกงของผมขึ้นอย่างถือวิสาสะจนต้องตะครุบมือเขาไว้

“ไม่ต้องดู ไม่มีอะไรน่าห่วง คุณหมอไม่แปะผ้าก้อชด้วยซ้ำ”

“โอเค แล้วตรงอื่นล่ะ”

“ก็มีแค่ฟกช้ำ กับแผลที่หัวนิดเดียว”

“ยังเจ็บอยู่ไหมอะ แผลไม่ใหญ่ใช่ปะ” สีหน้าดูกังวลเล็กน้อย

“อืมจิ๊บๆ ตอนนี้แค่เพลียๆ พรุ่งนี้ก็วิ่งได้สบาย”

“จ้าเก่ง” ดินแดนเบ้ปากใส่  “ว่าแต่ ที่หัวแตกนี่โดนอะไร หรือท่ายากไปงี้”

“ปากนี่นะ เดี๋ยวจะโดน” ผมดุแล้วหันไปมองสกายที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ

“สวัสดีครับ” เมื่อรู้ว่าผมมอง สกายก็ยกมือไหว้

“เอาแบบตรงๆ เลยนะสกาย เธอไม่ต้องไหว้ก็ได้เพราะไหว้ทีไรแล้วรู้สึกแก่จัง” 

“ก็ดีครับ ผมก็ไม่อยากไหว้คุณ” เห็นสายตาสกายที่เปลี่ยนไปจากเดิมแล้วทำหน้าไม่ถูกเลยแฮะ จะว่าวิบวับก็ไม่ขนาดนั้น เหมือนกรุ้มกริ่มอยู่ในสีหน้าเพราะคนนี้ไม่ชอบแสดงอารมณ์แบบชัดเจนอยู่แล้ว  ผู้ชายคนนี้เดายากจัง

“อืม ก็ดีแล้ว ไม่อยากแก่”

“ไม่แก่หรอกครับ”  สกายพูดเยอะขึ้น ดูผ่อนคลายขึ้นกว่าแต่ก่อนที่มักจะมองตาขวางเสียเป็นส่วนใหญ่ “ยิ่งตัดผมหน้ายิ่งเด็กลง นี่ผมก็ชักไม่แน่ใจว่าใครเป็นพี่ใครเป็นน้องกันแน่” เป็นทั้งคำชมและคำเหน็บแฟนตัวเองที่เจ็บปวดพอสมควร และเจ้าตัวก็ขึ้นอย่างที่คิด

“อ้าวไอ้นี่ หน้ากูนี่พรีเซ็นเตอร์โฟมล้างหน้ากับเจลหอยทากนะมึง ผิวอ่อนเยาว์ นุ่มเด้งเหมือนก้นเด็ก”

“นั่นแหละที่ผมอยากจะฟ้อง สคบ. เป็นพรีเซ็นเตอร์สกินแคร์แต่คุณไม่เคยดูแลผิว อย่าว่าแต่เจลหอยอะไรนั่นเลย แค่โฟมล้างหน้ายังวันเว้นวัน แต่งหน้ายังไงก็นอนอย่างนั้นไม่เคยแตะคลีนซิ่ง นี่ถ้าไม่ช่วยเช็ดให้หรือไล่ไปล้างบ้าง หน้าคงไม่ต่างจากถนนกรุงเทพหรอก”

“โหมึง ถ่ายงานเสร็จก็ดึกดื่นแล้วกูต้องไปเคลียร์ร้านต่อ ถึงห้องตีสามตีสี่จะให้กูมาประทินผิวอีกมันก็ไม่ใช่ปะวะ” 

“ผมก็ตัวติดกับคุณนะ ถึงบางวันจะกลับก่อนแต่ต้องรอคุณไม่งั้นก็งอนทุกที” สกายพูดนิ่งๆ ไม่ได้ใส่อารมณ์ใดๆ มีแต่น้องชายของผมที่เถียงคอเป็นเอ็น “นอกจากต้องอาบน้ำตัวเอง ยังต้องมาเช็ดหน้าให้คุณอีก กว่าจะได้นอน”

“นี่มึงตั้งใจเอากูมาขายต่อหน้าพี่กูใช่ไหมไอ้หน้านิ่ง” ไม่พูดเปล่าแต่ลุกไปเอาเรื่องคู่กรณีใกล้ๆ

“ก็แค่พูดความจริง” สกายเลิกคิ้วท้าทายนิดๆ ดูดีจนเกือบกุมหัวใจไม่ให้สั่น

“ปกติจะเรื่องจริงไม่จริงมึงก็ไม่ค่อยพูดอะ แต่พออยู่ต่อหน้าพี่ดอทแล้วอยากโชว์ออฟงี้”

“ก็พูดไป”

“เห็นแง้วๆ เร่งกูให้ถ่ายงานเสร็จเร็วๆ ตั้งแต่รู้ข่าวพี่ดอทแล้ว มองนาฬิกาทุกสิบวิ ขนาดจะมาก่อนกูด้วยซ้ำไม่ใช่เหรอ เอาจริง ใจมึงเคยเป็นของมึงไหมไหนพูด”

“ไปคุยกับคุณดอทเลยไป” สกายจ้องนิ่ง เหมือนไม่อยากจะเถียงในหัวข้อนี้

“ไปก็ได้”   โธ่ นึกว่าจะแน่

เห็นแล้วขำกับความเป็นใหญ่ในบ้านของสกายและความเป็นพ่อบ้านใจกล้าของดินแดน   ผมว่าไม่น่าจะมีใครเอานายดินอยู่หรอกนอกจากเด็กนิ่งที่ชื่อสกายคนนี้


เมื่อดินแดนมานั่งเก้าอี้ข้างเตียง สกายก็เลี่ยงไปยืนกอดอกพิงผนังมองมาจากด้านข้าง  เห็นช่วงขายาวๆ ภายใต้กางเกงยีนส์แบรนด์ดังที่ผมเคยซื้อให้ก็ยิ่งอดที่จะแอบมองไม่ได้

ที่ผ่านมาผมจะซื้อเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวให้สกายบ่อยๆ เพื่อจะได้อัพเกรดให้เขาดูดีขึ้น ถ้ารอให้สกายซื้อก็คงเห็นแต่เสื้อสีดำกางเกงตัวเก่า ซึ่งมันไม่เข้ากับโมเดลลิ่งของผม 

“มองอะไรครับ” สกายตั้งใจหักหน้าผมแน่ๆ ที่จริงถ้าไม่ทักผมก็กำลังจะหันกลับไปคุยกับดินแดนแล้วแท้ๆ

“ป..เปล่า”

“ก็คุณมอง” เด็กคนนี้ขวานผ่าซากไม่เคยเปลี่ยน “มองกางเกงนี่เหรอ? ก็ตัวที่คุณดอทเคยซื้อให้ ช่วงนี้ผมหยิบมาใส่บ่อยๆ มัน..สวยดี”

“อ..อืม ก็คนเลือกเก่ง” ไม่รู้จะพูดอะไร คำว่า ‘สวยดี’ ของเขาดูมันมีนัยอะไรบางอย่างที่ผมก็ไม่อยากเข้าข้างตัวเองว่าสกายกำลังชมผมอยู่

“พูดเองเขินเองนักเลงพอ ฮ่าๆๆ”  ดินแดนหัวเราะจนต้องหันไป “พี่จะเขินทำไม ขิงว่าเลือกกางเกงเก่งแค่นี้เอง”

ก็เพราะเธอไม่รู้น่ะสิว่าที่หน้าร้อนอยู่ตอนนี้เพราะไม่ได้มองแค่กางเกงแต่เผลอมองเป้ากางเกงไปด้วย และมั่นใจเหลือเกินว่าสกายก็เห็น 

เบื่อความวอกแวกของตัวเองจริงๆ แต่จะให้ทำยังไง สกายเป็นผู้ชายที่ใครเห็นก็ต้องมอง ใครเผลอจ้องมีจิตหลุด แล้วผมก็เผลอมองสกายมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วด้วย ไม่ใช่พึ่งมาเป็น

“เออดิน” นึกขึ้นได้เรื่องสำคัญจึงเอ่ยปากขึ้น  “คืนนี้มานอนเฝ้าหน่อยสิ นี่ไม่มีใครมานอนเฝ้าเลยนะ น่าสงสารจัง”

บอกชวนไปเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องรอให้เขาออกปาก ไม่งั้นอีตาหมอจอมดื้อต้องมานอนเฝ้าแน่ๆ

ดินแดนจ้องลึกเข้ามาในดวงตาราวกับจะค้นหาความจริง

“เหอะ ไม่มานอนหรอก” หลังจากจ้องอยู่นานเขาก็พูดขึ้น “อยากเปิดโอกาสให้พี่ได้มีคนอื่นเข้ามาบ้างไม่ใช่แค่ไอ้เผ่าอยู่คนเดียว”

ผมกลอกตาให้กับความเขลาของตัวเองที่ว่าจะได้รับการตอบรับในฉับพลัน ที่ไหนได้นอกจากจะไม่มานอนเฝ้าแล้วยังนกรู้ซะอีก ไอ้เด็กนี่มันจะฉลาดเกินไปแล้วนะ

“พูดอะไรไปเรื่อย งั้นถ้าเธอไม่มาเฝ้าฉันจะให้น้าเวชเฝ้าแทน” ผมค้อนแล้วหันหนีแต่มือหนาเอื้อมมาจับคางให้หันกลับไป

“เปิดโอกาสให้ตัวเองหน่อยสิ คนเก่ามันเหี้ยก็อย่าไปจมปลักมากนัก ลองดูตัวเลือกใหม่ๆ ดูทุกคน ทุกช้อยส์ สวยเลือกได้แบบนี้อย่าให้เสียของ” แววตาคู่คมดูจริงจังขึ้น

ดินแดนเป็นผู้ชายที่มีหลายองค์ ปกติจะห่ามๆ กวนๆ สติเสีย หรือเวลาโกรธหรือต้องการปกป้องคนที่เขารักจะก็ดุดันเฉียบขาด  แต่เวลาที่เขาต้องการโน้มน้าวจิตใจของใครเขาจะดูนิ่งจริงจังและอบอุ่นทำให้ถูกเขาควบคุมความคิดได้โดยง่าย

ผมมองสบนัยน์ตาของเขาราวกับโดนสะกด

“ยิ่งเปิดโอกาสก็ยิ่งสับสน ฉันโง่กว่าที่เธอคิดไว้เยอะนะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรเลือกอะไรให้ตัวเอง”

นิ้วแกร่งเกลี่ยแก้มผมแผ่วเบา รอยยิ้มเอ็นดูเผยขึ้นเหมือนที่เขาเคยบอกว่าผมเหมือนน้องสาวเสียมากกว่า

“ค่อยๆ ดู ค่อยๆ ใช้เวลาอย่ารีบร้อน ตอนนี้พี่เป็นคนคุมเกมและมันจะเป็นแบบนี้เสมอถ้าพี่ยังไม่เลือก วันหนึ่งพี่จะรู้เองว่าหัวใจพี่ต้องการแบบไหน และวันนั้นพี่ก็ต้องฟังเสียงหัวใจและเลือกคนที่ใจพี่ปรารถนา ไม่ใช่เลือกเพราะเหตุผลล้านแปดที่พี่ลิสต์ไว้เป็นข้อๆ เข้าใจไหมครับ”

คำพูดแบบนี้ไม่ค่อยบ่อยนักที่จะได้ฟังจากน้องชายคนนี้

“พูดเป็นผู้เป็นคนกับเขาก็เป็นเหมือนกันเนาะ” ผมแซว และก็ถูกทำโทษทันที

ฟอด! ฟอด!

“พูดไม่เข้าหูต้องโดน” ดินแดนลุกขึ้นมาหอมแก้มผมสลับซ้ายขวา “มัวยืนทำอะไรวะ รีบมาหอมแก้มพี่กูเร็ว หอมสิบที ปฏิบัติ!”


ดินแดนออกคำสั่งกับสกาย และพระเจ้าช่วย! สกายยิ้มร้ายเดินเข้ามาขนาบอีกข้างแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แค่เพียงสัมผัสแรกใจก็เต้นไม่เป็นส่ำ

ฟอด!

!!!!!!!!

โอ้ยย จะเป็นลม..

รู้สึกถึงความร้อนที่แผ่กระจายบนใบหน้าและมันระอุขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะระเบิด  เขินจนวางตัวไม่ถูก เลือดในกายสูบฉีดไปทั่วร่าง กับดินแดนถ้าเขาอยู่ใกล้ๆ ก็จะพยายามตั้งตัวไว้อยู่แล้วว่าเขาต้องจู่โจมจึงไม่ได้สะท้านขนาดนี้ แต่กับสกายที่ไม่ใช่ญาติร่วมสายเลือด มันก็ช่วยไม่ได้ที่ร่างกายจะตอบสนองออกไปอย่างที่เห็น

“เฮ้ย! ทีกับผมไม่เห็นสั่น พอไอ้หน้านิ่งแตะปุ๊บนี่มีปฏิกิริยา” ดินแดนวีนใส่ผมแล้วหันไปวีนสกายอีกคน “ออกไปเลยมึงอะ แล้วอย่าหวังว่าจะได้แตะพี่กูอีกนะ”

“ไม่รู้ทำไมถึงชอบแกล้งกันนักนะ” ผมหน้ามุ่ยมองทั้งสองคน

สกายไหวไหล่นิดๆ ดวงตาสีสวยคู่นั้นวับวาวดูไม่เหมือนเคยและผมไม่รู้ว่าจะบรรยายอย่างไรถึงออร่าที่เปลี่ยนไปของเขา  และตอนนี้ถึงร่างสูงจะถอยไปยืนอยู่ที่เดิม ขนาดโดนดินแดนวีนใส่ทว่าสกายกลับเผยยิ้มร้ายแสดงความพึงพอใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“เสน่ห์ของคุณดอทอยู่ที่ความเป็นธรรมชาติ ปฏิกิริยาอาการที่มักจะหลุดออกมาเองเวลาที่มีอินเนอร์ อย่างเช่น สีหน้า แววตา การตอบสนองของร่างกาย หรือแม้แต่เลือดฝาดที่ยากต่อการควบคุม  นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมทุกคนถึงชอบแกล้งก็เพื่อจะได้เห็นปฏิกิริยาเหล่านี้ และผมก็คิดว่า.. ผมไม่เข้าใกล้คุณดอทน่ะดีแล้วเพราะไม่ใช่แค่คุณที่สั่นแต่ผมเองก็สั่นเหมือนกัน”

ปกติพูดน้อยแทบจะนับคำได้ แต่ทำไมต้องมาพูดยาวๆ กับไอ้เรื่องแบบนี้ด้วย!

ผมอ้าปากค้างมองสกายได้แค่แว้บเดียวแล้วหลุบตาไม่กล้ามองสบ เขาดูลึกลับมีเสน่ห์น่าค้นหามากจริงๆ

“นี่มึงมีอินเนอร์กับพี่กูเหรอไอ้หน้านิ่ง ได้ไงวะ” ดินแดนเดินไปประจันหน้าจะเอาเรื่องกับสกายให้ได้ “กลับไปเคลียร์กันที่บ้านเดี๋ยวนี้เลย พรุ่งนี้ผมไม่ได้มารับนะพี่ดอท ถึงบ้านแล้วไลน์บอกด้วย หายเร็วๆ นะ” ดินแดนหันมาบอกประโยคหลังกับผมรัวเร็วก่อนจะลากสกายที่อมยิ้มแล้วส่ายหัวใส่

“อ้าว? อะไร? มาแป๊บเดียวจะกลับได้ไง แล้วจะไม่นอนเฝ้าจริงๆ เหรอ” ผมตะโกนไล่หลัง

“ให้คนโสดๆ มาเฝ้าดิ ผมไม่โสดแล้ว” แล้วประตูก็ปิดลง

“ทุกทีเห็นห่วงนักห่วงหนา ทำไมวันนี้ถึงไม่สนใจใยดีแบบนี้นะ ไหนบอกว่ารัก ไม่เห็นจะรักตรงไหนเล้ย!!” หงุดหงิดถึงกับปาหมอนใส่ประตูที่ปิดลง ทว่ามันกลับเปิดออกอีกครั้งและดินแดนก็รับมันไว้ได้อย่างทันท่วงที

“ใจเย็นนนน!” ดินแดนถือหมอนใบนั้นมาคืนให้  เขาวางมันลงบนตักแล้วตบเล่นอยู่สองสามที “ก็เพราะรักไง รักมากด้วยถึงอยากให้มีความสุขซะที”

“ถ้าเธอมาเฝ้าก็มีความสุขได้” ผมมองอ้อน

“พี่อย่าฝืนใจตัวเองนักเลย ทำอะไรที่ใจต้องการเถอะ บอกแล้วไงให้ร้ายๆ บ้าง ปล่อยตัวไปตามอารมณ์” ร่างสูงดึงมือผมไปลูบเบาๆ แววตาเขาดูจริงจังและอบอุ่น

อยากบอกจังว่าเท่าที่ทำอยู่นี่ก็ปล่อยจนเตลิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว คำว่าร้ายยังน้อยไปด้วยซ้ำ ทั้งนอกใจและนอกกายไปตั้งเท่าไหร่  ถึงจะไม่ได้เลยเถิดถึงขั้นสุดแต่เท่านี้มันก็มากเกินไปที่คนดีๆ ควรจะเป็น

“งั้นถ้าคิดถึงไอ้เผ่าพี่ก็ให้มันมาเฝ้า ถึงผมจะไม่ปลื้มมันแต่ถ้าพี่ปลื้มพี่ก็ทำเถอะ มันแล้วแต่พี่ที่จะเลือกว่าคืนนี้ใครเหมาะที่สุด ไปละ”  แล้วแก้มผมก็ถูกสูดดมยาวนาน แขนขายาวๆ ของน้องชายคนละแม่โอบล้อมรอบตัวไว้แน่นจนแทบจะกระดิกไม่ได้ แถมยังลูบหลังเบาๆ ด้วยอีก

กับการกระทำดินแดน ถ้าได้ตั้งตัวไว้ก่อนก็จะควบคุมอารมณ์ได้ค่อนข้างดี แต่ถ้าไม่ อาการก็ไม่ได้ต่างจากถูกคนอื่นกระทำมากนัก

“แบบนี้ก็ค่อยยังชั่วหน่อย ไอ้หน้านิ่งจะเหนือกว่าผมไม่ได้” ไม่รู้พูดถึงอะไรแต่เดาเอาว่าเขาคงพอใจกับปฏิกิริยาตอบสนองที่กลับไปเป็นเหมือนก่อน

ดินแดนเหมือนเด็กขี้อิจฉา ตอนแรกก็อยากให้หายแต่พอตัวเองได้ไม่เท่าสกายก็จะเอาคืนเสียอย่างนั้น เฮ้อ ผู้ชายพวกนี้มันยังไงกัน ชอบแข่งอะไรไร้สาระ 

“เด็กขี้อิจฉา” ผมบ่นเพียงเบาๆ ผินหน้าหนีเพราะไม่อยากต่อปากต่อคำอีก  แค่สกายคนเดียวจิตใจก็ยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว นี่ถ้าดินแดนหันมาเอาดีทางด้านหว่านเสน่ห์ให้อีกผมคงแย่แน่

“น่ารัก..” ร่างสูงยืนขึ้นจ้องมองเผยรอยยิ้มเอ็นดู คงนึกขำกับลักษณะอาการน้ำขึ้นน้ำลงของผม มือหนายื่นมาจับแก้มส่ายอยู่สองสามที จากนั้นก็เดินออกจากประตูไป

แต่ก่อนปิดประตูก็โผล่หัวเข้ามากวนส่งท้ายอีกรอบ

“อ้อ ไม่ต้องปาหมอนมาอีกนะ คราวนี้ไม่กลับมาเก็บให้แล้ว อ้อ อย่ามาหาว่าผมไม่รักอีกไม่งั้นจะโดนลงโทษสถานหนัก ไปจริงละ จุ๊บๆ”  ส่งจูบให้แล้วก็ปิดประตูลง

ไม่รู้ว่านายดินจะรู้อะไรมากน้อยแค่ไหน ป๋าอาจจะเล่าให้ฟังแล้วก็ได้  ซึ่งเขาคงดีใจที่เฮียเผ่ามีคู่แข่ง

“ที่เธอเข้าใจมันมีแค่สองช้อยส์คือเฮียเผ่ากับพี่เวย์ที่ไปติดป่าด้วยกัน แต่ความจริงแล้วมีตั้งสามช้อยส์เนี่ยสิ เฮ้อ จะเลือกยังไงดีนะ”

สงสัยต้องคิดวิเคราะห์แยกแยะให้ออกว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อทั้งสามคนนี้เป็นยังไง ลองเปรียบเทียบให้เห็นเป็นรูปธรรมสักหน่อย

รูปลักษณ์ :
พี่เวย์ ชนะเลิศ ดูสมาร์ท บุคลิกดี และหล่อมาก ถึงจะตี๋แต่เป็นตี๋เท่ แล้วก็เท่แบบสะอาดสะอ้านดูดีไปทุกกระเบียดนิ้ว
เฮียเผ่า หล่อตรงสเป๊ค ผิวเฮียไม่ขาวและหน้าคมเข้มแต่ถ้าเอาอย่างที่ผมชอบก็ต้องบอกว่าเฮียตรงสเป็ค
หมอวรรต เกาหลีสไตล์ ถึงจะเป็นน้องของพี่เวย์แต่ก็หล่อไปคนละแบบ ถึงจะดูคลับคล้ายคลับคลาแต่ดูจริงๆ แล้วไม่เหมือนเลย ถ้าถามว่าหล่อไหมก็หล่อตามสมัยนิยม หน้าเด็กด้วยที่สำคัญ

ความสูง :
พี่เวย์ สูงที่สุด น่าจะประมาณ 185-187 เซนติเมตร ไม่น่าเกินนี้
เฮียเผ่า รองลงมา 181 เซ็นฯ
หมอวรรต เตี้ยกว่าเฮียประมาณ 1-2 เซ็นฯ

ฐานะและความมั่นคง :
เฮียเผ่า ที่สุดของความรวย บริหารบริษัทเพชรไทยได้ดีจนติดอันดับนักธุรกิจไฟแรง จะว่าไปรวยกว่าป๋าด้วยซ้ำ
หมอวรรต  ฐานะก็ไม่น่าจะรวยมากแต่อาชีพมั่นคง การที่เขาเป็นหมอนั้นการันตีว่าถึงจะล้มละลายแต่วิชาชีพก็จะสร้างรายได้ให้เขาเสมอ
พี่เวย์ ถึงจะเก่งในการรับเหมาแต่อาชีพนี้ไม่มั่นคงนัก มีโอกาสพลาดได้ค่อนข้างสูง

ด้านอารมณ์และความรู้สึก :
ความรู้สึกรักที่เด่นชัดที่สุดก็คือพี่เวย์ ผมจะลุ่มหลงคลั่งไคล้แบบเสน่หาระคนไปกับความเกรงใจและเกรงกลัวอยู่ในที
อยู่กับพี่เวย์ รู้สึกเหมือนได้เป็นเจ้าชายน้อย ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะถูกตามใจและได้รับการส่งเสริมเสมอ ทว่าภายใต้ความคุ้มครองนั้นผมก็รู้สึกประหม่าระคนกริ่งเกรงที่เคยทำผิดต่อเขาและยำเกรงในความเพอร์เฟ็คที่เขามีจึงคล้ายเป็นเจ้าชายน้อยที่อยู่บนหอคอยโดยมีมังกรคอยคุ้มกัน

ความรู้สึกผูกพันที่แน่นแฟ้นและรู้จักรู้ใจกันดีที่สุด :
อยู่กับเฮียเผ่า รู้สึกเหมือนเป็นคนฝึกราชสีห์ ไม่ว่าจะดุร้ายและเป็นเจ้าป่ามาจากไหนแต่พอมาอยู่ต่อหน้าผม ราชสีห์อย่างเฮียก็จะหมอบราบคาบแก้วลงทันที แต่ในขณะเดียวกันก็หวาดกลัวไปด้วยเพราะลึกๆ แล้วประหวั่นอยู่เสมอว่าเขาจะควบคุมสันชาตญาณของสัตว์ร้ายที่มีในตัวเองไว้ได้นานแค่ไหน

ความรู้สึกคะนึงหาแบบเป็นธรรมชาติ
อยู่กับหมอวรรต เหมือนวิญญาณได้กลับเข้าสู่ร่าง  ผมได้เป็นตัวของตัวเอง พูดคุยคล่องปากและลื่นไหล อยากพูดอะไรก็พูดออกมาไม่ค่อยได้คิดก่อนพูดเพราะมีความรู้สึกสบายใจ และโดยส่วนใหญ่ไม่มีผลอะไรกับความรู้สึกเขา ยกเว้นเรื่องของพี่เวย์  แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจในความรู้สึกที่มีกับหมอวรรตว่าเป็นแบบไหน มันปนกันระหว่าง เพื่อนสนิท คนที่น่าเห็นใจ และคนที่เติมเต็ม
 
“แยกแล้วไงล่ะ ก็เลือกไม่ได้อยู่ดี ฮืออออออ” ผมล้มตัวลงนอนเอาหมอนปิดหน้าส่งเสียงโอดครวญอย่างหมดท่า  รู้สึกเกลียดตัวเองที่เป็นคนเยอะขนาดนี้   

คิดว่าคงเป็นบาปเป็นกรรมที่เมื่อก่อนตราหน้าป๋าเรื่องมากรักหลายใจ ตอนนี้โดนกับตัวถึงได้รู้ว่ามันยุ่งยากยุ่งเหยิงเกินกว่าจะจัดการได้ภายในดาบเดียว

“เอาเข้าไปๆ ชีวิตคุณนี่มีเรื่องอะไรให้คิดบ้างนอกจากเรื่องผู้ชาย หา!?” ไม่ต้องเปิดหน้ามาดูก็รู้ว่าคำพูดเหน็บแนมเจ็บแสบแบบนี้ออกมาจากปากสุนัขของใคร

“มีสิ” ผมเปิดหน้าขึ้นวีนใส่ทันที กับคนนี้ไม่ต้องสงบปากสงบคำใดๆ “คิดวิธีฆ่าคุณไง อีตาหมอประสาท!”

“กลัวแย่แล้ว” เขาวางปิ่นโตไว้บนโต๊ะแล้วแกะมันออกมาเตรียม

“นั่นมันปิ่นโตของที่บ้านผมนี่” ผมทักขึ้น เขาจึงปรายตามองผมแล้วจัดการกับปิ่นโตต่อ

“ปิ่นโตแบบนี้บ้านคุณซื้อได้บ้านเดียวเหรอ รวยอยู่คนเดียวหรือไง บ้านคนอื่นเขาก็ซื้อใช้กันได้ไหมล่ะ”

“ก็ถ้าเป็นของคุณก็บอกสิว่าของคุณ ทำไมต้องแดกดันกันด้วยล่ะ”

“ก็มันสนุกดี แล้วนี่ก็ปิ่นโตบ้านคุณนั่นแหละ ไม่ใช่ของผม” ว่าแล้วเขาก็หัวเราะคึกๆ อยู่คนเดียว

“หมอบ้า!” ผมแหวใส่ “คุณนี่มันน่าฆ่าจริงๆ”

เขาไม่สนใจอารมณ์ของผมแต่เตรียมอาหารจนเสร็จแล้วเข็นโต๊ะมาให้ที่เตียง

“กินซะ คุณแม่ของคุณกำชับมาว่าให้กินให้หมด” ได้ยินแล้วถึงกับย่นคิ้วงุนงงไปกับเหตุการณ์

“แล้วคุณไปเจอคุณแม่ที่ไหน แล้วทำไมคุณแม่ไม่เอาอาหารมาให้ผมเอง แล้วทำไมไว้ใจให้คุณเอามา แล้วทำไม..อุ๊บ!” แตงกวาไสลด์ถูกส่งเข้าปากผมทันที

“ถามอะไรเยอะขนาดนั้น” เขาบ่น “กินให้หมดก่อนแล้วผมจะเล่าให้ฟัง”  ว่าแล้วก็ตักน้ำพริกลงเรือคลุกกับข้าวมาป้อนให้

ผมมองเขาอย่างลังเลแต่พอเห็นสายตาข่มขู่ก็อ้าปากงับข้าวคำนั้นแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย

“อร่อย” ผมยิ้ม “ฝีมือคุณแม่นี่สุดยอดจริงๆ นะ”

“อร่อยก็กินเยอะๆ คุณแม่คุณกำชับมาด้วยว่าอย่าให้กินน้ำระหว่างกินข้าวเพราะเดี๋ยวจะกินได้น้อย ถ้าเผ็ดก็บอกจะได้ตักแกงจืดให้” สีหน้าเขาดูละมุนและเหมือนว่าจะดีใจที่เห็นผมฟินกับรสชาติอาหารที่เขาป้อน



ต่อ..
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 16 : ภาวะยุ่งเหยิง 《25/09/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 25-09-2018 21:35:14
“แล้วคุณแม่บอกด้วยเหรอว่าให้คุณป้อนน่ะ” ผมส่งสายตาจับผิดไป

ร่างสูงไหวไหล่เล็กน้อย “เปล่า แต่นี่เป็นบริการหลังการขาย” ระหว่างนั้นก็แกะกุ้งทอดสมุนไพรมาจ่อตรงปากให้ผม

“คุณขายอะไรให้คุณแม่บอกมาก่อน ไม่งั้นไม่กิน”  ผมต่อรอง

“ถ้าป้อนด้วยมือแล้วไม่กินจะป้อนด้วยปาก แล้วจะแถมลิ้นให้ด้วย” พอฟังจบผมก็อ้าปากงับกุ้งทันที “ต้องให้ขู่”

“ไม่ได้กลัวหรอกนะ แต่หิว” ผมเบะปากใส่

“ขยับไปหน่อย เมื่อยแล้ว”  ไม่พูดเปล่าแต่นั่งเบียดขึ้นมาบนเตียงจนต้องเขยิบให้ เฮ้อ ปวดหัวจริงๆ  “มีลูกตาลลอยแก้วด้วยอะ น่ากินสุด” 

“ก็กินสิ ผมกินคนเดียวไม่หมดหรอก”

“ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่กิน แต่มันเสียเปรียบไง ผมป้อนคุณ คุณก็ต้องป้อนผมด้วยสิ อย่าเอาเปรียบกัน” ว่าแล้วก็ป้อนน้ำพริกให้ผมอีกคำตามด้วยแตงกวาสไลด์

“คุณนี่นะ” ผมค้อนให้แต่ก็จำใจตักขนมป้อนเขา ไม่รู้จะเถียงไปทำไมเพราะยังไงเขาก็ไม่ยอมอยู่ดี

“อ่อนหวานไปนิดนะ”

“จริงเหรอ ปกติคุณแม่ทำอร่อยนะ หวานพอดีไม่ขาดไม่เกิน” ผมถามอย่างสงสัย

“ผมชอบรสหวานจัดน่ะ ไหนดูซิถ้าแบบนี้จะหวานขึ้นไหม” แล้วแก้มผมก็โดนขโมยหอมดังฟอด “อืม แบบนี้ค่อยหวานหน่อย”

“นี่คุณ!” ผมจับแก้มตัวเองแล้วหันไปเหวี่ยงใส่ “ทำแบบนี้อีกแล้วนะ”

หมอประสาทไม่ได้สะทกสะท้านกับน้ำเสียงของผมเลยแม้แต่น้อย

“กินต่อสิ ถ้าไม่พอใจก็หอมผมคืนก็ได้นะ จะได้รู้สึกว่าไม่ถูกเอาเปรียบ”

“ไม่กงไม่กินมันแล้ว” ผมดันเขาลงจากเตียงแต่ไม่มีการเขยื้อนเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย “คุณลงไปปป” ทั้งเข็นทั้งดันแต่ก็ไม่สำเร็จ

“โอเคๆ เลิกแกล้งก็ได้แต่คุณกินข้าวก่อนนะเดี๋ยวจะได้เวลากินยาแล้ว” เขายิ้มล้อ

ผมมุ่ยหน้าใส่แล้วหันหน้าหนี “ไม่กิน”

“อยากโดนป้อนด้วยปากก็บอก ไม่ใช่ทำเป็นว่าจะไม่กิน”

“โอ้ยย ผมเบื่อคุณที่สุด เบื่อๆๆๆ” หันไปตีไหล่เขารัวๆ ด้วยความหมั่นไส้

“ฮ่าๆๆ โอ้ย คุณพอแล้ว โอ้ย มือหนักอีกละ พอก่อนคุณ เฮ้ย! อย่ากัด! โอ้ย!!!”  นอกจากจะไม่หยุดตี ผมยังกัดแขนเขาอย่างแรงแต่เขาก็แค่ร้องโวยวายไม่กล้าทำอะไรผม  “ยอมแล้วคุณ! ยอมแล้ว ยอมจริงๆ ปล่อยก่อนผมเจ็บ ผมยอมแล้วจริงๆ”

เมื่อมั่นใจแล้วว่าเขาจะยอมจริงๆ ผมจึงปล่อยแต่ในจังหวะที่อ้าปากผละออกมานั้น น้ำลายก็ยืดตามออกมาด้วย

“อี๋ คุ๊ณ!” หมอวรรตร้องลั่น “น้ำลายคุณยืดเต็มแขนผมเลยเนี่ย กรี๊ดดด สกปรกที่สุด” นอกจากทำหน้าขยะแขยงซะเต็มประดา เขายังกรี๊ดออกมาด้วย

“ฮ่าๆๆๆ กรี๊ดด้วยอะ ฮ่าๆๆ สมน้ำหน้า” ผมหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังกับภาพตรงหน้า ไม่สนใจจะเช็ดน้ำลายตัวเองที่ยืดติดแขนเขาด้วยซ้ำ

“เล่นเป็นเด็กเลยคุณ สู้ไม่ได้ก็กัด กัดยังไม่พอถุยน้ำลายใส่อีก” มือหนาเอื้อมไปหยิบกระดาษทิชชูบนโต๊ะมาเช็ดแขนตัวเองแล้วหยิบอีกแผ่นมาเช็ดปากให้

ผมยังหัวเราะไม่หยุด คิดแล้วตลกจริงๆ ไม่เคยทำซกม๊กแบบนี้กับใครเลยนะ

“อยากนิสัยไม่ดีก็ต้องโดนแบบนี้แหละ ฮ่าๆๆๆ” แล้วผมก็หัวเราะงอหายของผมต่อไป

“พอเลยๆ หยุดหัวเราะแล้วกินข้าวได้แล้ว” ว่าแล้วก็ขึ้นมานั่งเบียด ทำหน้างอคอหักแล้วตักข้าวป้อนผมต่อ

ผมยังคงหัวเราะอยู่อีกครู่หนึ่งแล้วหยุดลงในที่สุด เหลือแต่ยังยิ้มพร้อมทั้งอ้าปากงับข้าวที่เขาป้อน

“เวลาคุณหัวเราะโลกทั้งโลกมันสดใส คุณรู้ไหมว่าผมอยากหยุดเวลาเอาไว้ตรงที่คุณมีความสุข” เขามองผมด้วยสายตาละมุนละไม

“อย่ามาหวานเลี่ยนตอนนี้สิ เดี๋ยวกินข้าวไม่ลง” ผมยิ้มเขินแล้วจับมือเขาให้ตักข้าวป้อนต่อ

“โธ่ เสียบรรยากาศหมด คนไม่ใช่ทำอะไรก็ผิดตลอด” หมอวรรตบ่นแล้วค้อนใส่จนน่าหมั่นไส้ “อ่อนแอก็ต้องแพ้ไปสินะ”

“เลิกงอนตุ๊บป่องได้แล้ว มันไม่เข้ากับหนังหน้า” ผมจับหน้าของเขาให้หันมาแต่เขาไม่ยอมหันตาม “ให้ทำไงถึงจะหายงอน บอกมาซิ”

หมอวรรติค่อยๆ หันมาหาแล้วกลอกตาคิดแค่สองวินาที ก่อนจะยื่นปากจู๋ออกมา

“จุ๊บๆ” ทำปากขมุบขมิบขยับไปมาเพื่อรอให้ผมจุ๊บเขา

“โน” ผมปล่อยมือทันที  “ไม่มีทาง”

“เอ้อ ก็ไม่ใช่เฮียเผ่าเจ้าเสน่ห์นี่นะ แถมยังไม่ใช่พี่เวย์สุดหล่อซะอีก เป็นแค่ไอ้หมอกิ๊กก๊อกเฝ้าคลินิกกระจอกๆ ไปวันๆ หา!?” หมอวรรตชะงักกึกทันที ที่ถูกผมจุ๊บแก้ม

หน้าเขาเป็นยังไงไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้ผมหน้าร้อนผ่าวและก้มหน้าก้มตาจ้วงข้าวกินจนเต็มปาก

“คุณขโมยหอมแก้มผม!” เขาโวยวาย “คุณรู้ไหมว่าแก้มผมมีสัมปทานนะ แก้มซ้ายของเรย์เรย์ แก้มขวาของเมียในอนาคต แต่คุณมาแอบหอมแบบนี้ผมจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด!”

เหลือบมองร่างสูงอย่างเหนื่อยหน่าย แค่ต้องหอมแก้มก็เขินจะตายอยู่แล้วนี่ยังมาโวยวายอีก

“อุตอ่าอ๋อมอังอาเอื้องอ้ากอีก” ข้าวเต็มปากทำให้พูดไม่สะดวก

“ฮ่าๆๆๆ  ตลกอะ” เขาชี้หน้าผมแล้วหัวเราะใส่ “ข้าวเต็มปากก็ยังจะด่า ด่าเลยๆ ด่าเท่าไหร่ก็ไม่รู้เรื่องหรอก แบร่ๆๆ”

ผมอยากจะด่าอีกซักรอบแต่ในจังหวะที่กำลังหายใจเมล็ดข้าวมันเข้าไปปิดหลอดลมจนสำลัก

“แค่กๆๆๆ”

“เฮ้ย คุณ!” หมอวรรตร้องโวยวายเพราะข้าวในปากพุ่งใส่เขาเต็มๆ “ตะกี้น้ำลายตอนนี้ข้าวเหรอ ทำไมคุณเป็นคนซ้กม๊กแบบนี้เนี่ย” พูดจบก็ลุกหนีไป ทิ้งผมให้ไอจะเป็นจะตายอยู่คนเดียว

“แค่กๆๆ หมอบ้า ไอ้คนไร้น้ำใจ แค่กๆๆ แทนที่จะช่วย แค่กๆ ลูบหลังให้หน่อย แค่กๆๆ” ผมสำลักหน้าดำหน้าแดงแต่ก็ยังพยายามด่าเขาจนได้

“ฮ่าๆๆ โอเคๆ ไม่แกล้งละเดี๋ยวจะสำลักตายซะก่อน” เขารินน้ำมาให้แล้วตีหลังเบาๆ “ดื่มน้ำก่อนนะ เดี๋ยวผมจะเรียกพยาบาลมาทำความสะอาด

“แค่กๆๆ ม..ไม่ต้อง” ผมรั้งมือเขาไว้ “คุณนั่นแหละเก็บ แค่กๆๆ คุณเป็นต้นเหตุ” ผมมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ ไม่ใช่โกรธอะไรแต่สำลักจนน้ำตาไหลซึ่งมันเป็นความผิดของเขาคนเดียว

“เห็นแก่หน้าตาดูไม่ได้ของคุณหรอกนะเลยไม่อยากขัดใจ ที่จริงน่าจะถ่ายรูปไปให้พวกแฟนคลับคุณดูว่าที่จริงคุณมันโก๊ะขนาดไหน” พูดพล่ามไม่เคยหยุด นี่ขนาดทำผมสำลักแทบตายยังไม่รู้สำนึกอะไรเลย อีตาหมอประสาทนี่

“ไม่ต้องพูดมาก เก็บให้หมดทุกเม็ดเลย” ผมเดินลงจากเตียงแล้วเข็นโต๊ะอาหารไปนั่งกินที่โซฟา “นั่นๆ ตรงนั้นอีก ตรงนั้นก็มี เปลี่ยนผ้าปูด้วยมันเปื้อนหมดแล้ว” สั่งเป็นฉากๆ แก้แค้นความกวนโมโหของเขา

“ออกคำสั่งเก่งชะมัด!” เขาบ่นแต่ก็ทำต่อไป ผมได้แต่กลั้นขำไปพร้อมกับมื้ออาหารแสนอร่อยจนหมดภายในพริบตา

“โอ้ยย จุก” ผมบ่นเมื่อซัดอาหารหมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่ลูกตาลลอยแก้วที่ทำมาให้กินได้ 2-3 คน

“สมควรท้องแตกด้วยซ้ำ กินเข้าไปได้ยังไงเยอะขนาดนั้น” ตอนนี้เขาเปลี่ยนผ้าปูและปลอกหมอนเสร็จหมดแล้วจึงมาจัดการเก็บปิ่นโตให้ “นี่ถ้าไม่รับปากคุณแม่คุณว่าจะเอาปิ่นโตไปคืนให้ที่บ้าน ผมจะไม่มาเก็บให้เลยนะ คนอะไรไม่มีน้ำใจ จะเหลือให้สักหน่อยก็ไม่ได้ หิวก็หิว ดูสิ แม้แต่ข้าวก็ไม่เหลือซักเม็ดเลยอะ”

“อ้าว คุณยังไม่ได้กินเหรอ” 

“ก็ยังน่ะสิ นี่ก็ว่าป้อนคุณเสร็จแล้วค่อยกินที่เหลือให้หมด เพราะจะได้หลอกคุณแม่ว่าคุณกินหมดเกลี้ยงแต่ไม่ต้องละ ลูกชายคุณแม่กินเองหมด ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องมุสา เฮ้อ แต่หิวเนี่ยสิ หิ้วหิว” เขาบ่นนั่นนี่ไม่หยุดจนผมทนไม่ไหว

“เดี๋ยวสั่งข้าวให้”

“ไม่ต้อง เดี๋ยวไปแย่งข้าวห้องนู้นกินก็ได้”  ว่าแล้วก็เดินออกไปโดยไม่หันมามองผมอีกเลย

อ้าว โกรธจริงๆ เหรอเนี่ย ก็ไม่รู้นี่นาว่ายังไม่ได้กินข้าว แต่มาคิดๆ ดู ผมน่าจะชวนเขากินด้วย ถึงจะถามเป็นมารยาทก็ยังดี

++++++++++++++++++++


“เฮ้อ” ผมถอนหายใจมองโทรศัพท์อย่างเบื่อหน่าย นี่จะสองทุ่มแล้วแต่หมอวรรตยังไม่เห็นกลับมา

“หรือจะไม่มาแล้วจริงๆ” ทำไมกลายเป็นคนที่ไม่มีใครมาดูแลแบบนี้ล่ะ เฮียเผ่าก็ดันไปบอกเขาว่าไม่ให้มา พี่เวย์ก็เป็นคนไข้ หมอประสาทก็ดันมางอน ส่วนน้องชายตัวดีก็พูดอะไรแปลกๆ แล้วบอกให้เลือกเอง 

“หรือจะโทรหาเฮียเผ่า” ถามว่าคิดถึงเฮียไหมก็คิดถึงนะ แต่ภาพที่ผู้หญิงนั่นเกาะแขนเฮียมันยังติดตา “ไม่มีทางหรอก พรุ่งนี้ถ้าเฮียไม่มีคำตอบดีดีให้นะ ดอทจะเลิกกับเฮีย” ผมเชิดใส่เฮียในความคิด

“คิดถึงแล้วทำไมไม่โทรหาเขาล่ะ มานั่งเล่นองค์อยู่ทำไม หรือให้ผมโทรให้ไหมถ้ากลัวเสียฟอร์ม” น้ำเสียงประชดประชันแบบนี้คงไม่มีใครอีกแล้วถ้าไม่ใช่หมอประสาท จะว่าดีใจที่เขากลับมาก็ดีใจอยู่หรอก แต่ทำท่าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดๆ แบบนั้นคืออะไร

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” ผมวิ่งเข้าไปคว้าโทรศัพท์ของเขามาทันที “ผมไม่ได้อยากจะโทรหาใครซะหน่อย” เมื่อได้โทรศัพท์มาแล้วก็รีบกดปุ่มโฮมแต่ทันทีที่เปลี่ยนมายังรูปหน้าจอโฮม ผมถึงกับมองตาค้างเมื่อรูปหน้าจอคือรูปของผมกำลังนอนหลับอ้าปากหวออยู่
“น..นี่ นี่รูปผมนี่!”

หน้าเขาเจื่อนไปเล็กน้อยแต่ก็เบะปากทำเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่

“เจอจนได้” หมอวรรตแย่งโทรศัพท์ในมือผมไปแต่ผมดึงมือหลบแล้วเดินหนีเพื่อเปิดดูรูปอื่นๆ ในคลังรูปภาพ

“งั้นรูปที่คุณเคยบอกว่าแอบถ่าย ก็รูปพวกนี้เหรอ” ผมกดเข้าไปดูถึงได้รู้ว่าไม่ใช่แค่รูปเดียวแต่เยอะแบบเป็นคอลเล็คชั่น

“ก็แอบถ่ายจริงปะล่ะ” เขาย้อน “แต่ละรูปถ้าปล่อยออกไปนี่รับรองแฟนคลับคุณหายเกลี้ยงแน่” ได้ยินแล้วหมั่นไส้

“หายเกลี้ยงอะไรล่ะ ก็ตัวเองยังเอาขึ้นหน้าจอไว้ดูตอนคิดถึงไม่ใช่หรือไง” ผมแซวกลับไปบ้าง เขาจะได้เถียงกลับให้ผมสนุกแบบที่เขาสนุกเวลาแกล้งผมบ้าง

“เออ ไม่เถียง” อยู่ดีดีก็ยอมรับซะงั้น

“อะไรอ่า” ผมทำหน้างอ “นึกว่าจะโวยวายแล้วปฏิเสธ ไม่เห็นสนุกเลย” ว่าแล้วก็เอาโทรศัพท์คืนให้ แล้วไปนั่งหงุดหงิดอยู่บนเตียง

“ฮ่าๆๆ เสียใจด้วยนะ สกิลมันต่างกัน”

“แล้วทำไมหายไปนาน กินข้าวอะไรนานนักหนา”

“กลับไปเอาของที่บ้าน นี่ไง” เขาเปิดเป้หยิบผ้าร่มฝืนใหญ่ออกมากาง

“เอามาทำไม อย่าบอกว่าจะมาตั้งเตนท์ในนี้นะ” 

“ตั้งเตนท์บ้านคุณสิ นี่โรงพยาบาลนะ ใครจะไปทำอะไรแผลงๆ แบบนั้นกัน”  ทำเป็นพูดดี ก็ตัวเองนั่นแหละที่ชอบทำอะไรแผลงๆ “แต่ยังไม่เฉลยหรอก คุณมานั่งนี่เร็ว” เขาย้ายเก้าอี้ไปนอกระเบียงแล้วกวักมือเรียก

ผมเดินงงๆ ไปหาแต่ยังไม่กล้านั่งจึงถูกเขากดไหล่ให้นั่งลงจนได้ จากนั้นก็เอาผ้าร่มมาคลุมตัวผมไว้

“ทำอะไรของคุณเนี่ย”

“นิ่งไว้เดี๋ยวดีเอง” พูดแค่นั้นก็เปิดเป้ออกมาหยิบกรรไกรและหวี ตั้งท่าจะตัดผมให้

“เฮ้ย เดี๋ยวสิ!” ผมร้องห้าม “อย่าบอกนะว่าจะตัดผมให้ผมน่ะ”

“มีกรรไกร มีหวี มีผ้าคลุม ผมจะล้างจานมั้ง” ก็ยังไม่วายกวนโมโห

“ผมหมายถึง คุณตัดเป็นเหรอ เดี๋ยวผมก็แหว่งกันพอดี” พยายามจะลุกออกจากเก้าอี้แต่เขาก็กดไหล่เอาไว้ไม่ยอมปล่อย

“จ้า ที่เป็นอยู่เนี่ยไม่แหว่งเลยเนาะ นี่ถ้ามันไม่อยู่บนหัวคุณผมจะนึกว่าผ้าขี้ริ้วที่ขาดกะรุ่งกะริ่งซะมากกว่า”

“คุณก็พูดเกินไปนะ” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่พอจับปลายผมมาดูก็คิดว่ามันน่าเกลียดจริงๆ วางแผนไว้ว่าออกจากโรงพยาบาลก็จะไปตัดให้มันเท่าๆ กัน

“ไม่เกินหรอก นั่งนิ่งๆ เดี๋ยวดีเอง” เขาขยับกรรไกรดังฉับๆ เพื่อรอให้ผมพร้อม

ก็คงต้องยอมให้ตัดละนะ ตั้งใจเตรียมของมาขนาดนี้แล้วนี่ ถ้าเกิดมันไม่โอเคพรุ่งนี้ค่อยไปให้ช่างจัดการ

“หูไม่ต้องเอาออกนะ” ผมเตือน

“ฮ่าๆๆ ถ้าไม่บอกจะเอาออกซักข้างนึงเหมือนกันนะเนี่ย” เขาหัวเราะชอบใจ

“นิสัยอะ” บ่นแล้วนั่งนิ่งให้เขาตัดเพราะไม่อยากส่งเสียงทำลายสมาธิ ไม่ใช่อะไร ผมกลัวเขาพลาดแล้วผมนี่แหละที่จะซวย

“ปกติผมไม่ตัดให้ใครนะ คุณเป็นเคสพิเศษ” อยู่ๆ ก็ชวนคุยซึ่งผมไม่ค่อยอยากคุยหรอก กลัวเขาเผลอตัดหู

“ผมควรดีใจไหม” 

“ฝีมือผมดีนะ ฝึกมืออยู่บ่อยๆ”

“ไหนบอกไม่ค่อยได้ตัดให้ใคร แล้วฝึกมือยังไง” ผมถามแล้วหันไปมอง ส่วนเขาก็หยุดมือรอให้ผมหันกลับ ซึ่งผมก็ต้องจำใจหันหน้าตรงเพื่อให้เขาตัดต่อ

“พี่เวย์เขาถนัดงานออกแบบโครงสร้าง อินทีเรียดีไซน์แถมควบคุมภาคสนามเองเสร็จสรรพ  ส่วนผมถนัดภูมิทัศน์พวกเอาท์ดอร์ สวนสวยต่างๆ แล้วปกติก็ไม่ค่อยจ้างใครทำหรอกเพราะชอบทำเอง ไม้ดัด ไม้ใบ พุ่มเตี้ย พุ่มหนาม ทรงกลม ทรงเหลี่ยม ผมตัดมาหมด ผลงานเนี๊ยบ ไม่เชื่อเดี๋ยวให้ดูผลงานบ้านหลังก่อนๆ”

ฟังอยู่ตั้งนาน กว่าจะจับใจความได้ว่าเขาฝึกมือกับต้นไม้

“หมอประสาทบ้า!” ผมหันกลับไปวีน “หัวคนนะไม่ใช่ไม้ใบประดับสวน ฮืออ ไอ้หมอบ้านี่ ฮ่าๆๆ” อดหัวเราะไม่ได้เพราะนึกภาพหัวตัวเองมีสีเขียวแล้วถูกตัดแต่งให้เป็นทรงกลมๆ เหมือนที่เขาตัดแต่งต้นไม้ และที่สำคัญคือขำตัวเองที่ยอมเป็นหัวหุ่นให้เขาง่ายๆ

“ฮ่าๆๆ จะร้องไห้หรือจะฮาเอาให้แน่” เขาผลักหัวผมเบาๆ ปกติไม่เคยมีใครทำแบบนี้หรอก อีตานี่เป็นคนแรกเลยที่กล้า “แต่เอาน่า จะเส้นผมหรือใบไม้มันก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ ตัดให้ตรงๆ เดี๋ยวมันก็สวยเอง” พูดจบก็ดันไหล่ผมให้หันกลับไปนั่งดีดีแล้วลงมือตัดต่อ

“ถึงที่สุดแล้วก็แค่สกินเฮด เอาไงเอากัน” ผมให้กำลังใจตัวเองแล้วนั่งนิ่งให้เขาตัดต่อไป



นั่งเพลินๆ ไปสักพักใหญ่จนในที่สุดหมอวรรตก็เดินอ้อมมายืนยิ้มเผล่อยู่ด้านหน้า

“สำเร็จเสร็จแล้วขอรับคุณหนู” จับหน้าผมหันซ้ายส่องขวาทำท่าทางภูมิใจในผลงานของตัวเอง

“ดูเป็นไงอะ” ผมลองจับดูมันสั้นขึ้นมาอีกนิดแต่ไม่ถึงกับเกรียน

“ไปดูเองสิ” รอยยิ้มเผยขึ้นบนใบหน้าเนียนใส เป็นผู้ชายที่ผิวดีมากจริงๆ


พอไปยืนหน้ากระจก ผมต้องอ้าปากค้างกับผลงานที่น่าอัศจรรย์

“ว้าวว” พูดได้แค่นั้นเพราะสิ่งที่ผมเห็นก็คือ ทรงผมสั้นที่เปิดหูขึ้นค่อนข้างสูง ด้านหน้าซอยสไลด์เป็นชั้นๆ จากเหนือคิ้วและยาวลงมาเรื่อยๆ จนสุดที่บริเวณหางคิ้ว ด้านหลังซอยตรงปลายบางๆ ดูมีวอลลุ่ม  ทรงนี้ทำให้หน้าผมดูเฉี่ยวขึ้น แถมยังเซ็ตชึ้นเป็นทรงเดิมแต่ปัดไปด้านข้างได้ด้วย เข้าท่าแฮะ

“ห้าร้อยยี่สิบ” เขาแบมือ  “ค่าตัดยี่สิบ ค่าอุปกรณ์ห้าร้อย นี่ผมไปขโมยร้านตัดผมแถวบ้านมาเลยนะ ถ้าเขาเอาตำรวจมาจับก็ต้องเสียค่าปรับห้าร้อย”  ได้ยินแล้วอดหัวเราะไม่ได้

“คุณนี่มันมุกเยอะเกินไปแล้วนะ ผมเริ่มจะงงแล้วว่าอันไหนจริงอันไหนมุก” ว่าแล้วก็ส่องกระจก หมุนตัว หันหลังดูรอบด้าน “ว่าแต่ คุณตัดดีกว่าบางร้านอีกนะ แล้วใช้กรรไกรซอยด้วยเหรอ เก่งอะ”

ทั้งๆ ที่ผมชมเขาซึ่งๆ หน้าแต่ดูเหมือนจะไม่สนใจ แววตาที่มองผมดูละมุนขึ้นจนผมต้องหยุดนิ่ง เรามองสบตากันผ่านกระจกบานใหญ่ ต่างคนต่างไม่เอ่ยคำใด

“สระผมให้ไหม” อยู่ๆ ก็พูดออกมาเบาๆ  แสงไฟวอร์มไลท์ในห้องน้ำเป็นสีส้มนวลตาส่งให้ใบหน้าได้รูปนั้นดูเซ็กซี่มากขึ้น ในดวงตาดูลึกซึ้ง โหยหา และปรารถนาอย่างปิดไม่มิด

“อืม” ผมตอบรับออกไปด้วยความรู้สึกประหม่า “คิดเพิ่มเท่าไหร่ก็บอกเดี๋ยวจ่ายเช็คให้”

เขาขยับตัวเอามาซ้อนด้านหลังจนชิด เท้าแขนกับขอบเคาน์เตอร์ด้านหน้าคร่อมตัวผมไว้แล้วจ้องตาผ่านกระจกอีกครั้ง

“คิดแค่..จูบเดียว”

หัวใจกระตุกวูบไหว ความสั่นสะเทือนที่อกซ้ายรุนแรงพอที่จะทำให้ร่างของผมสั่นสะท้านเบาๆ

และเมื่อหันไปด้านข้างเพื่อมองใบหน้าเขาชัดๆ ทันใดปลายจมูกก็สัมผัสกันแผ่วเบาเขาจึงประคองหน้าผมแล้วจุมพิตลงมาทันที

“อืมม” จำเป็นต้องหลุดเสียงออกมาเพื่อผ่อนคลายความวาบหวามในจิตใจ  ทำไมถึงหวั่นไหวได้ขนาดนี้นะ วันนี้ผมปล่อยให้เขาจูบสองครั้งแล้ว แบบนี้มันจะดีเหรอ

แต่ไม่ว่าอะไรที่อยู่ในหัวก็พลันหายวับไปเพราะเรียวลิ้นที่สอดแทรกเข้ามาหยอกล้อกับลิ้นของผมสลับกับดูดแน่นเป็นจังหวะ เป็นการจูบที่มีชั้นเชิง เขาชอบสะกิดลิ้นกวนให้ผมรุกไล่และเมื่อผมคิดว่าเป็นฝ่ายมีชัยกลับถูกดูดดึงลิ้นไปจนต้องเขย่งเท้าตาม กลายเป็นว่าผมเป็นฝ่ายบดจูบเขารุนแรงและตอนนี้มือหนาก็แค่โอบล้อมไว้หลวมๆ ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินทว่ากางเกงของโรงพยาบาลที่เป็นแบบเชือกผูกกลับหลุดร่วงลงไปกองบนพื้นตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

“อื้ออ ค..คุณ ด..เดี๋ยว คุณ..” เมื่อรู้ตัวว่าถูกเปลื้องอาภรณ์ผมจึงพยายามดันตัวเขาออก อาศัยเวลาพักใหญ่และในที่สุดเขาก็หยุดตัวเองไว้ได้

“หืม..” ใบหน้าหล่อตอนนี้ฉ่ำปรือไปด้วยอารมณ์ที่รุนแรง 

“แค่สระผม” ผมเตือนพร้อมกับค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาไม่ให้เขาจับได้ว่าผมเองก็พลุ่งพล่านไม่ต่างกัน

หมอวรรตชักสีหน้าเหมือนไม่อยากหยุด ทว่าไม่ได้คิดจะเปลี่ยนใจ เขามองผมด้วยสายตาวิงวอน

“ขอนะ..”  แค่คำเดียวที่มาพร้อมกับสายตาแบบนี้ ผมก็แทบจะโอนอ่อน ถ้าตอนนี้เป็นโสดก็คงเซย์เยสไปแล้วแต่มันไม่ใช่

“ไม่ได้จริงๆ”  ผมปฏิเสธ  “ผมให้คุณได้มากที่สุดแค่นี้แต่ถ้าคุณยังคิดจะเกินเลย ผมอาจต้องขอห่างจากคุณไกลๆ” ผมขู่ทั้งที่จริงก็รู้ว่าทำไม่ได้หรอก เพราะคนๆ นี้คงจะตามไปทุกที่แน่นอน

สีหน้าเขาผิดหวัง ยืนมองอ้อนอยู่พักใหญ่แต่เมื่อเห็นว่าผมยังคงส่ายหน้าก็ถอนหายใจออกมา


“สระผมก็สระผม” ว่าแล้วก็พาไปยืนใต้ฝักบัว “ถอดสิ จะสระผมทั้งชุดหรือไง แล้วยืนแข็งทื่อแบบนั้นจะให้ผมปีนขึ้นไปบนเพดานแล้วฉีดน้ำลงมาใส่หัวคุณเหรอ ทำไมไม่ก้มหัวลงมาล่ะ” 

หายวับไปกับตา ผู้ชายเซ็กซี่เมื่อกี้ไปไหนแล้วล่ะ เหลือแต่หมอประสาทที่ปากร้ายชอบกวนโมโหคนเดิม

“อารมณ์สวิงไปสวิงมา คุณเป็นวัยทองแน่ๆ” ผมบ่น

“คุณก็วัยทองเหมือนกันแหละ แล้วเสื้อนี่จะไม่ถอดเหรอ ถ้าเปียกไม่รู้ด้วยนะ หรือกลัวโป๊ ใช่สิ คนอย่างผมไม่มีสิทธิ์เห็นอะไรๆ ของคุณหรอก”

ผมถอนหายใจแล้วก้มหัวลงเพราะขี้เกียจจะเห็นหน้าเหวี่ยงวีนแบบนั้น

“สระไปเถอะน่า กางเกงยังไม่หยิบมาใส่เลยเนี่ยจะเอาอะไรอีก” ปล่อยให้ชายเสื้อคลุมไว้แค่ถึงโคนขา ชั้นในก็ไม่ได้ใส่ นี่มันมากกว่าคำว่าหมิ่นเหม่ซะอีกยังจะมาบ่นอะไร

“งั้น..สระแฮร์ล่างด้วยดีมั้ย” เขาทำเสียงระรื่น

เพี๊ยะ!!

ตีต้นขาไปหนึ่งทีที่พูดจาทะลึ่ง

“จะสระดีๆ ไหมถ้าไม่สระดีๆ ผมจะออกไปนะ”

“โอเคๆ สระผมอย่างเดียว เสื้อเปียกก็ช่างมัน เชอะ” ร่างสูงบ่นแล้วก็เปิดน้ำราด จากนั้นก็ชโลมแชมพูจนเกิดฟอง

“จะว่าไปคุณไม่ค่อยมีขนเลยนะ หนวดไม่ขึ้นเลยเหรอ รักแร้ล่ะมีมั้ย  ผมเจอหน้าพี่เวย์แล้วตกใจ สภาพอย่างกับโจรป่าเพิ่งซื้อมีดโกนให้เมื่อเย็นนี้เอง”

“ไม่มีนะ ไม่เคยโกนด้วย”

“เพราะฮอร์โมนสินะ  เออ แล้วแฮร์ล่างล่ะ โอ้ย! เคๆ ไม่พูดละ” โดนหยิกขาไปเต็มแรง จากนั้นก็เงียบปากไปเลย


“อะ เสร็จละ” เขาบอกแล้วไปหยิบผ้าขนหนูมาโยนใส่หน้า “รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวไม่สบาย” จากนั้นก็ออกจากห้องน้ำไปทันที

ผมยิ้มตามอย่างอารมณ์ดี อันที่จริงผมก็โชคดีนะ ไม่ว่ากับใครก็ไม่เคยถูกขืนใจ ขนาดเฮียเผ่าที่ล่อลวงไปขนาดนั้นยังไม่ทำอะไรรุนแรงแค่หลอกให้เคลิ้มแล้วค่อยจัดการ  ส่วนพี่เวย์ก็มีโอกาสตั้งเยอะแต่ก็ไม่เคยทำ  ยิ่งหมอประสาทที่มีแววว่าจะก่ออาชญากรรมได้มากกว่าใครก็ยังหยุดตัวเองไว้ได้  น่ารักจัง

ว่าแต่.. ทำไมต้องมานั่งภูมิใจที่ผู้ชายไม่ข่มขืนเนี่ย โอ้ย ชนม์แดน ทำไมเป็นคนแบบนี้!!


ผมอาบน้ำอยู่สักพัก พอออกมาแล้วกลับไม่เจอหมอวรรตแล้ว งอนอีกแล้วเหรอเนี่ย เฮ้อ คนอะไรขี้งอนชะมัดเลย  แต่ก็ไม่เป็นไร คนๆ นี้งอนเองก็หายเอง เดี๋ยวสักพักคงกลับมา   


ผ่านไปพักใหญ่พยาบาลก็เอายามาให้และวัดความดันวัดไข้เรียบร้อยแล้วผมก็เริ่มง่วงและหลับไป

“เข้าใกล้คุณแล้วผมห้ามใจไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่รู้ว่าความผิดหวังเปิดประตูรออยู่ตลอดเวลา ทั้งแฟนตัวจริงและคนในฝันของคุณ ผมจะสู้สองคนนั้นได้ยังไง ...มันแทบไม่มีทางเป็นไปได้แต่ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินต่อไปจนกว่าทางมันจะตันจริงๆ ซึ่งมันคงใกล้เข้ามาแล้ว” 

ผมสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลที่คลอเคลียบริเวณผิวแก้ม รับรู้ความหม่นเศร้าได้จากคลื่นเสียง จึงได้แต่บอกออกไปด้วยความรู้สึกที่ร้าวรานไม่แพ้กัน

“ขอโทษ..”

“..คุณไม่ผิดหรอก.. และผมจะไม่มีวันโทษคุณด้วย นอนต่อเถอะนะ ผมไม่กวนแล้ว” 

ไม่รู้ว่าใครที่กำลังพูดอยู่ซึ่งผมอยากจะบอกเขาว่าอยู่ใกล้ๆ ผมต่อไปก่อนจะได้ไหม แต่แล้วจิตใต้สำนึกกลับแย้งว่าให้ปล่อยเขาไปอย่าทำให้เขาต้องทุกข์ใจไปมากกว่านี้จึงได้แต่เงียบไว้แล้วพูดคำเดิมซ้ำๆ

“ผมขอโทษ..”




ต่อ..
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 16 : ภาวะยุ่งเหยิง 《25/09/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 25-09-2018 21:48:02
รุ่งเช้าผมตื่นขึ้นตอนพยาบาลมาวัดไข้วัดความดันตามปกติ มองไปที่โซฟาเห็นหมอวรรตนอนเหยียดยาว ช่วงขายื่นเลยออกไปเพราะความสูงที่เกินมาตรฐาน  เห็นแล้วรู้สึกอุ่นใจ แอบย่องเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วเก็บผ้าห่มที่ไหลลงไปกองกับพื้นเกือบทั้งผืนขึ้นไปห่มให้

“นอนดิ้นอย่างกับเด็ก”

เมื่อเห็นว่านอนหลับสนิทจึงเดินเข้าห้องน้ำอาบน้ำแปรงฟันทำธุระส่วนตัว  พอออกมาก็ยังเห็นเขานอนอยู่ที่เดิมจึงเข้าไปเก็บผ้าห่มให้อีกครั้ง

“ทำไมถึงนอนดิ้นได้ขนาดนี้นะ โอ๊ะ!!”

ร่างของผมก็ถูกรวบไว้แล้วตวัดทีเดียวลงไปนอนติดชิดด้านในโซฟาอย่างง่ายดาย จากนั้นหมอวรรตก็ตอนเบียดตามเข้ามา

“คุณ! จะทำอะไรเนี่ย” ผมร้องออกมาขณะที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา

“ขอนอนกอดหน่อย นี่นอนไม่หลับทั้งคืนเพราะอยากจับคุณปล้ำแต่ต้องพยายามข่มไอ้หนูไว้” ดูคำพูดคำจาของเขาสิ มันเหลือขอซะจริงๆ

“นี่คุณเป็นหมอนะ ทำไมถึงพูดอะไรเสื่อมๆ แบบนี้ออกมาได้ไม่อายปากเลยนะ” ผมตีเขาแต่ก็ไม่ถนัดนัก

“เป็นหมอก็มีอารมณ์ได้นี่คุณ” เขาเถียง “แล้วใช้คำว่าไอ้หนูมันก็ซอฟท์สุดแล้วนะ หรือจะให้ใช้คำว่าไอ้จู๋ล่ะ หรือจะเอาแบบดาร์กๆ เลยก็ค.. โอ๊ย!!” ผมหยิกเขาสุดแรงเพื่อไม่ให้เขาพูดคำบ้าบอนั่นออกมา 

“เจ็บนะคุณ! ถ้าจะหยิกขนาดนี้ก็ถีบให้ตกโซฟาเลยดีกว่า” หมอวรรตบ่นออกมาและผมก็เห็นด้วยกับคำพูดนี้ “เฮ้ยคุณ!! ถีบจริงเหรอ นี่ผมเจ็บนะ!”

ร่างสูงลงไปกองแอ้งแม้งอยู่ด้านล่างซึ่งผมไม่ได้ถีบนะ แค่ผลักออกไปเฉยๆ

“สมน้ำหน้า” ว่าแล้วก็กำลังจะลุกแต่เขาไวกว่ารีบขึ้นมานอนกอดผมไว้อีกครั้ง “นี่คุณ! ปล่อยได้แล้วเดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”

“ไม่มีใครมาแล้ว ข้าวก็มาแล้วนั่นวางอยู่บนโต๊ะ แม่บ้านก็มาทำความสะอาดไปตอนคุณอาบน้ำ พยาบาลวัดไข้วัดความดันรอบเช้าไปเมื่อกี้ ตอนนี้เหลือแค่รอหมอมาสรุปอาการซึ่งไม่ใช่เจ็ดโมงเช้าแบบนี้แน่นอน ส่วนคุณแม่ก็จะไม่เข้ามาเพราะเมื่อวานผมเอาปิ่นโตที่ล้างสะอาดเอี่ยมไปคืนแล้วบอกว่าจะพาคุณกลับบ้านเอง ให้คุณแม่เตรียมมื้อเที่ยงแบบจัดเต็มรอลูกชายได้เลย เพราะฉะนั้นตอนนี้ ปลอดคนแน่นอน”

“แสนรู้นัก”

“ก็ผมเป็นใคร หมอนะครับ เรื่องในโรงพยาบาลผมรู้หมด” ทำหน้าอวดอย่างกับเด็ก เห็นแล้วเบ้ปากใส่รัวๆ แต่แล้วนึกขึ้นได้เรื่องคุณแม่

“แล้วเรื่องอะไรถึงไปเอาหน้ากับคุณแม่แบบนั้น คุณถือวิสาสะอะไรมาเจ้ากี้เจ้าการเรื่องของผม”  ความจริงบอกน้าเวชไว้ว่ายังไม่เข้าบ้าน ตั้งใจว่าพอออกจากโรงพยาบาลจะโทรนัดเฮียเผ่าเพื่อเคลียร์เรื่องปัญหาเสียก่อน

“ก็ไม่รู้สินะ ตอนนี้ผมเป็นว่าที่ลูกเขยคนโปรด ถึงอันดับในใจคุณจะเป็นที่โหล่แต่อันดับในใจผู้ใหญ่รอบตัวคุณผมยืนหนึ่ง เหลือแต่ป๋าคุณนะ ถ้าเจอป๋าอีกคนผมจะกล่อมให้มาเป็นพวกให้ได้เลย”

ริมฝีปากสีอ่อนของเขาขยับไปมาอยู่นานเพราะพูดมาก ซึ่งผมชอบมองปากเขาเวลาพูดเพราะมันดูสุขภาพดีสีระเรื่อไม่ซีดไม่คล้ำ เท่าที่รู้จักกันมาไม่เคยได้กลิ่นบุหรี่จากตัวเขาเลย แถมฟันก็ยังขาวเรียงเป็นระเบียบสวยงาม คงดูแลร่างกายอย่างดีสมกับเป็นคุณหมอ

ส่วนเรื่องป๋า ไม่อยากบอกให้ได้ใจว่าขนาดยังไม่เจอกัน เขาก็ได้คะแนนอันดับหนึ่งจากป๋าไปแล้ว น่าแปลกที่คนล้นๆ อย่างหมอประสาทจะเข้ากับผู้ใหญ่ได้ดี  ขนาดเฮียเป็นคู่ค้าทางธุรกิจกับป๋ายังเข้าหน้าคุณแม่ไม่ค่อยติด แถมเวลาคุยกับป๋าเรื่องผม ป๋าก็ไม่ค่อยชอบคุยด้วย  น่าสงสารเฮียเหมือนกัน แต่ผู้ใหญ่เขาก็รู้ว่าเฮียเป็นยังไงเพราะสังคมไฮโซมันแคบ ใครทำอะไรที่ไหนก็รู้กันไปทั่ว  จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้บอกป๋ากับคุณแม่เลยว่าตกลงไปสร้างบ้านเตรียมอยู่ด้วยกันแล้ว แต่ก็ดีที่ยังไม่ได้บอกเพราะความสัมพันธ์ของเรายังไม่มั่นคง

“ไม่อยากเถียงด้วยแล้ว เอาที่คุณสบายใจก็แล้วกัน” ผมบอกแล้วพยายามจะลุกแต่ถูกรัดตัวไว้แน่น

“ถ้าเอาที่ผมสบายใจ เราสองคนจะได้กันที่นี่บนโซฟาตัวนี้ โอเคไหม” สายตาวิบวับเจ้าเล่ห์ขึ้นทันที

“นี่มันโรงพยาบาลนะคุณ พูดอะไรบ้าๆ”

“งั้นถ้าเป็นที่คลินิกผมคุณโอเคใช่ป่าวล่ะ” ทึกทักเอาผลประโยชน์เข้าตัวแบบนี้ก็ได้เหรอ

“โอ้ยหมอบ้าาา!” ผมแหวใส่ “อย่าพูดอะไรแบบนี้ได้ไหม ผมทำหน้าไม่ถูก”

“ฮ่าๆ น่ารักจัง” เขาเกลี่ยนิ้วบนผิวหน้า “เวลาที่คุณเคืองปนเขินแบบนี้ตัวคุณแดงไปหมด เคยบอกไปแล้วนี่ว่ามันน่ารักน่าแกล้ง”

ผมหยุดนิ่ง มองตามสายตาของเขาที่มองไล่ไปทั่วใบหน้า เลื่อนลงต่ำไปบริเวณลำคอ มือหนาเลื่อนลงตามสายตาแล้วล้วงสัมผัสช้าๆ เข้าไปใต้สาบเสื้อที่ซ้อนทับไว้หลวมๆ ลูบคลึงบริเวณไหปลาร้าและเปิดเสื้อออกจนเห็นช่วงไหล่ที่เปล่าเปลือย

ผมเผลอเผยอปากผ่อนลมหายใจออกมา รู้สึกวาบหวามจนต้องลอบกลืนน้ำลายแต่กลับไม่พ้นสายตาของเขา

“เวลาคุณมีอารมณ์ คุณเซ็กซี่มากจริงๆ” เขาเอ่ยชมพลางก้มลงจูบเบาๆ ที่หัวไหล่เปลือย

ผมทำได้แค่มองตามการกระทำของเขา ยิ่งนานไปผมก็ยิ่งห้ามใจลำบาก อย่าว่าแต่ห้ามใจ แค่แยกแยะความรู้สึกไม่ให้เกิดอาการสะท้านวูบวาบยังทำไม่ได้เลย

“ที่จริงผมไม่อยากให้อาการคุณหายหรอกนะ ยิ่งคุณเซนท์ซิทีฟกับสัมผัสแบบนี้มันยิ่งเร้าอารมณ์ให้พลุ่งพล่าน แต่มันก็ไม่โอเคถ้าจะเป็นแบบนี้กับทุกคน” เขาจูบไปตามลำคอและช่วงไหล่ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นจ้องตากับผม

“ไม่อยากให้คนอื่นเห็นคุณในอารมณ์แบบนี้เลย.. ช่วยบอกผมหน่อยว่าผมก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกของคุณและมีสิทธิ์จะหวงคุณได้” ดวงตาคู่สวยสะท้อนความหวังระคนรวดร้าวอยู่ในที

ผมยกมือขึ้นลูบไปตามสันกรามของเขาแผ่วเบา

“คุณเป็นหนึ่งในตัวเลือกของผม” ตอบไปตามความจริงแต่ก็ยิ่งทำให้เจ็บปวดเพราะดูตามลำดับแล้ว เขาน่าจะอยู่ลำดับสุดท้าย

“แค่นั้นก็ดีแล้ว”  หมอวรรตกดกลีบปากสีสวยลงมาบนริมฝีปากแล้วถอนออก “ได้แค่นี้ก็พอ” เขายิ้มเศร้าราวกับรู้ว่าผมคิดอะไร คนฉลาดอย่างเขาคงเดาออกว่าเปอร์เซ็นต์ที่ผมจะเลือกเขานั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้

ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย เหมือนเขารู้ว่าครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้ใกล้ชิดกัน น้ำตาผมรื้นขึ้นเมื่อเห็นรอยยิ้มหม่นหมองจากเขา

“ผมขอโท..”  ริมฝีปากสีสวยกดแนบลงมาเพื่อยับยั้งคำพูดจากนั้นจึงเลื่อนขึ้นจุมพิตบนดวงตาทั้งสองข้าง เขาจูบซับหยาดน้ำและเลียริมฝีปากตัวเองก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ 

“ถึงผมจะไม่ใช่ที่หนึ่งในหัวใจคุณ แต่ผมจะเป็นคนสุดท้ายที่จะทำให้คุณเสียน้ำตา เพราะฉะนั้น อย่าร้องไห้กับเรื่องของผม  คุณมีสิทธิ์แค่ยิ้ม หัวเราะ และมีความสุข ผมอนุญาตแค่นี้”

ยิ่งได้ยินก็ยิ่งอยากจะร้อง และพอน้ำตารื้นขึ้นร่างสูงก็จูบซับน้ำตาให้แห้งไปอีก ไม่มีโอกาสที่น้ำตาของผมจะไหลออกมาได้เลย

“ผมขอโทษ..” ได้แต่พูดคำนี้ออกไปเพราะไม่รู้จะพูดอะไรได้อีก

เขาส่ายหัว “ยิ้มสิ ถ้าคิดว่าอยากชดเชยให้ผม คุณก็ต้องยิ้มออกมา ยิ้มให้ผมนะ” หมอวรรตยังคงจูบซับดวงตาของผมครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะยิ่งเขาพูด ยิ่งเขาดีกับผมมากเท่าไรมันก็ยิ่งกลั่นให้น้ำตารื้นขึ้นมากเท่านั้น

ผมจ้องมองเขาเนิ่นนานเพื่อเก็บภาพนี้เอาไว้เป็นความทรงจำก่อนจะบอกออกไปด้วยความรู้สึกดี

“คุณคือรอยยิ้มของผมนะ” ผมยิ้มแล้วโอบกอดเขาไว้แน่น เขาเองก็ซุกหน้าเข้ามาเพื่อกอดตอบรับผมเช่นกัน

“ไม่รู้ว่าจะเป็นกอดสุดท้ายไหมแต่ผมจะจำกอดนี้ของคุณไปตลอดเพราะมันเป็นกอดแรกที่คุณเต็มใจกอดผม กอดที่อุ่นที่สุดเท่าที่ผมเคยสัมผัส” เขาบอกแล้วกอดผมแน่นขึ้น

เราสองคนกอดกันเนิ่นนาน ไม่มีการล่วงเกินไปกว่านี้ แค่กอดเพื่อซึมซับความรู้สึกของกันและกันราวกับว่าเมื่อผ่านช่วงเวลานี้ไป มันจะไม่หวนกลับมาอีกแล้ว


ผ่านไปครู่ใหญ่ เราสองคนผละออกจากกันเมื่อเสียงโทรศัพท์ของหมอวรรตดังขึ้น เขาถอนหายใจแล้วผละอ้อมกอดออกไปอย่างเสียไม่ได้ 

“ฮัลโหลครับ” เขารับสายแล้วหันมาบอกผม “เดี๋ยวกลับมารับนะ”  เมื่อผมพยักหน้ารับทราบเขาก็เดินออกจากห้องไป

“ผมรู้แล้วว่าพี่จะออกจากโรงพยาบาลวันนี้ ก็กำลังจะเข้าไปหานี่ไง”

“เอาเรยเรย์มาเป็นไม้กันหมาแล้วก็ชิ่งหนี นายนี่มันจริงๆ เลย”

“ก็พี่เวย์บอกเองไม่ใช่เหรอว่าเขากำลังจะเลือก ผมก็แค่อยากมาร่ำลาเขาหน่อย ขนาดพี่เองยังบอกว่าเปอร์เซ็นต์น้อย แล้วผมที่รั้งท้ายมาตลอดจะไปมีหวังอะไร หมดจากนี้ก็คงจบแล้ว พี่ก็ให้เวลาผมมั่งเถอะ”

“งั้นไม่ต้องเข้ามาแล้ว เดี๋ยวฉันทำเรื่องออกเองแล้วจะพาเรย์เรย์กลับเลยก็แล้วกัน แต่นายอย่าล่วงเกินอะไรให้เขาตัดสินใจยากเกินไปล่ะ แค่นี้นะ”



หลังจากคุณหมอมาตรวจแล้วอนุญาตให้กลับบ้านได้  ไม่นานหมอวรรตก็กลับเข้ามาพร้อมโอวัลตินร้อนและวาฟเฟิลกับผลไม้สด “รองท้องก่อน กว่าจะได้กลับก็น่าจะใกล้เที่ยงนู่นแหละ”

ผมรับของมากินแล้วยื่นองุ่นไปป้อนเขาด้วย “อ้ำๆ”

ร่างสูงมองแบบไม่อยากเชื่อสายตาอยู่เล็กน้อยแล้วอ้าปากงับไปและโดนผมค้อนให้เพราะเขาตั้งใจงับโดนมือ 

“หวาน” ทั้งสีหน้าและสายตา ผมรู้เลยว่าไม่ใช่องุ่นที่หวานแต่ต้องเป็นมือผมแน่ “หมายถึงองุ่นนะ” เขาดักทาง

“ไม่เชื่อ” ผมเบ้ปากใส่แล้วฉีกวาฟเฟิลป้อนเขาอีก “คุณ..!” แล้วก็ต้องร้องออกมาเบาๆ เมื่อเขางับไปแล้วจับแขนผมไว้เพื่อดูดนิ้วตั้งแต่หัวแม่มือยันนิ้วก้อย 

“หวานกว่าวาฟเฟิลก็นิ้วคุณนี่แหละ” สายตาเจ้าชู้แบบนั้นมันทำให้หน้าผมร้อนผ่าว เวลาเข้าโหมดหื่นแล้วสีหน้าและแววตาของเขาเปลี่ยนไป และผมก็รู้สึกว่าแพ้ทางอะไรแบบนี้ทุกที

“ตัดไปจุ่มน้ำก๋วยเตี๋ยวแทนน้ำตาลเลยปะ” ผมประชด   คงต้องพยายามฝืนอารมณ์ตัวเอง ไม่อย่างนั้นจะทำให้ต้องเข้าใกล้กันอีกจนเขามีความหวังมากขึ้นและไม่สามารถตัดใจจากผมได้

“เสียบรรยากาศ” หมอวรรตามองค้อน บ่นแล้วก็อ้าปากรอกินอาหารที่ผมจะป้อนให้

ผมส่ายหัวแล้วป้อนเขาไปเรื่อยๆ สลับกับป้อนตัวเอง และทุกครั้งเขาก็จะหาเศษหาเลยกับนิ้ผมจนขี้เกียจจะพูดมากจึงต้องปล่อยให้เขาทำไป


รอกันอีกพักใหญ่ พยาบาลจึงมาแจ้งให้ไปจ่ายเงินและออกจากโรงพยาบาลกันตอนสิบเอ็ดโมงนิดๆ  เขาขับรถพาผมกลับบ้านด้วยรถฟอร์จูนเนอร์สีขาว ไม่ใช่รถบุโรทั่งคันเก่า

“ก็มีรถดีดีกับเขาเหมือนกันนี่ แล้วทำไมถึงชอบขับอีคันนั้นนัก”

“คันนั้นเอาไว้วิ่งใกล้ๆ ส่วนคันนี้เอาไว้วิ่งสร้างภาพ” บอกพร้อมกับยักคิ้วกวนๆ

“ก็รู้เนาะว่าสร้างภาพ รู้จักตัวเองดี๊ดี” 

“ถ้าจะว่าไป ผมเป็นคนที่รู้จักและคอนโทรลชีวิตได้ดีนะ ผมวางแผนชีวิตไว้ตลอดและมันก็เป๊ะตามแผนมาตลอด จนมาเจอคุณเนี่ยแหละ” 

“เกี่ยวอะไรกับผมล่ะ” ผมย่นคิ้วหันไปมอง

“ก็มีแค่เรื่องของคุณที่ผมคอนโทรลไม่ได้ บอกตัวเองว่าอย่าไปยุ่ง บอกตัวเองว่าอย่าไปแคร์ บอกตัวเองว่าอย่าไปคิดถึง แต่บอกอะไรไปก็ไม่เคยสำเร็จแม้แต่อย่างเดียว” สีหน้าเขาเรียบเฉยราวกับว่ามันเปนเรื่องที่เขาปลงแล้วแต่ในแววตาลึกๆ ผมรู้ว่าเขากำลังข่มความเจ็บปวด

“ก็คุณมันดื้อ” ผมจิ้มนิ้วไปที่แก้มเนียน มือหนาคว้าไว้แล้วจับไม่ปล่อยแถมยังดึงไปหอมดังฟอด

“อยากยื้อเวลาที่ได้อยู่กับคุณไว้นานๆ” ใบหน้าหล่อเหลาหันมามองส่งสายตาละมุนละไม  ผมมองกลับไปแล้วยิ้มให้

“ผมก็ยังไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไงซึ่งผมก็ไม่อยากให้ความหวังไม่ว่ากับใครทั้งนั้น แต่ที่บอกได้ตอนนี้คือ ผมก็อยากให้เวลาหยุดหมุนไว้ตรงนี้เหมือนกัน รอยยิ้มของผมจะได้อยู่ไปนานๆ” ดึงมือเขามาจูบบ้างซึ่งก็ทำให้หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที

“ทำเองก็เขินเอง คุณนี่ตลกจริงๆ นะ” เขายิ้มล้อ แต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือ

ผมได้แต่ค้อนให้แล้วหันไปมองข้างทาง ไม่อยากคุยด้วยแล้ว



ไม่นานนักเราก็กลับมาถึงบ้าน  จะว่าไปเหมือนจากไปนานเป็นเดือนๆ เพราะที่ๆ ผมไปมันทั้งลำบาก อดอยากและช่วงแรกๆ ก็ปวดใจจนแทบจะทนไม่ไหว ถึงแม้จะดีกับพี่เวย์ในวันสุดท้ายแล้วก็เถอะ

“คุณหมอวรรตพาคุณหนูกลับมาแล้วครับคุณผู้หญิง” น้าเวชรีบไปรายงานคุณแม่ที่กำลังเดินลงมาจากบันได

“ก็เห็นพร้อมกันนี่แหละนายเวชจะมาบอกอีกทำไม ไปรอรับตาดอทสิ มีของมีอะไรด้วยไหมนั่น”  คุณแม่ชี้โบ้ชี้เบ้ดูตื่นเต้นที่เห็นผมเดินออกจากรถ

“คุณแม่อย่าเดินเร็วสิครับ เดี๋ยวหกล้มกันพอดี” ผมรีบเข้าไปหาและถูกสวมกอดและหอมแก้มซ้ายขวาด้วยความคิดถึง

“ก็ลูกกลับมาบ้าน แม่ดีใจนี่นา” คุณแม่มองหน้าผมแล้วหอมแก้มอีกรอบก่อนจะหันไปคุยกับหมอวรรต

“หมอวรรตถืออะไรมาเยอะแยะล่ะลูกทำไมไม่ให้นายเวชช่วยถือ” 

“ไม่เป็นไรครับแค่ไม่กี่ถุงเอง” เขายิ้มละมุนจนน่าหมั่นไส้  “ถุงนี้ยาของน้องดอทครับ” ได้ยินแล้วถึงกับตัวแข็งทื่อหันไปมองคนพูดเสียจนตาค้าง

อะไรคือน้องดอท ต่อหน้าคุณแม่เรียกผมว่าน้องเหรอ โอ้ย อีตาหมอจอมสร้างภาพ 

“ส่วนอันนี้ของน้าเวชครับ เป็นน้ำมันปลาสูตรเข้มข้นช่วยเรื่องกระดูกไขข้อได้ดี ส่วนถุงนี้พิเศษสำหรับคุณแม่ โสมแท้จากจีนกับซีดีบรรยายธรรมของแม่ชีชไมพร ท่านบรรยายได้เห็นภาพเข้าใจง่ายและยกตัวอย่างเก่งมากครับ อยากให้คุณแม่ลองฟังดู”

“โถ มีของน้าเวชด้วย บุญรักษานะครับคุณหมอ” น้าเวชรับของไปด้วยสีหน้าปลื้มปริ่ม

“ไม่เห็นต้องลำบากเลยลูก แค่ที่นายเวชเล่าว่าหมอวรรตช่วยดูแลตาดอทมาตลอดแม่ก็ขอบคุณมากแล้ว” คุณแม่รับของแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“ไม่เป็นไรเลยครับ น้องดอทว่าง่ายน่ารักนิสัยดี สงสัยได้คุณแม่คอยอบรม” อีตาหมอขี้ประจบพูดไปยิ้มไปโปรยเสน่ห์ไปจนคุณแม่ชมไม่ขาดปาก

“อุ๊ย หมอวรรตเนี่ยปากหวานกับคนแก่อยู่เรื่อย ไปข้างในกันลูกไป แม่ให้เด็กตั้งโต๊ะไว้แล้ว ทานข้าวเที่ยงด้วยกันแล้วค่อยกลับ”

“ให้คนอื่นกินข้าวด้วยได้ยังไงครับคุณแม่..” ผมพยายามจะท้วงเพราะตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีใครเป็นแขกร่วมโต๊ะกับคุณแม่ในบ้านนี้เลยสักครั้ง ขนาดสมาคมคุณหญิงคุณนายขอมาดื่มน้ำชาสังสรรค์คุณแม่ยังนัดไปเจอกันที่อื่น แล้วอีตาหมอนี่เป็นใคร ทำไมคุณแม่ถึงได้เห่อนักเห่อหนาจนชวนกินข้าวแบบนี้ล่ะ

“เราน่ะเงียบๆ เลยตาดอท นี่ถ้าคุณหมอไม่พากลับบ้านก็คงจะไปหาคนอื่นก่อนสิท่า” กลายเป็นผมที่โดนคุณแม่ดุซะเอง  “นายเวชบอกแม่แล้วนะว่าเราสั่งให้พาไปหาตาเผ่าพงศ์นั่น แม่บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าเขาไม่น่าคบลูกก็ยังจะดื้ออยู่ได้ คนดีๆ ก็มีไม่ยอมสนใจ”

“โธ่คุณแม่” ผมพยายามจะแย้งแต่คุณแม่ไม่ฟังแล้วเดินนำอีตาหมอขี้ประจบนั่นเข้าบ้านไปทันที

แต่ที่น่าโมโหก็คือ หมอประสาทมันหันมายิ้มร้ายยักคิ้วเย้ยผมเนี่ยสิ โอ้ย อยากเอาไม้แพ่นกะบาลแก้หมั่นไส้



อาหารเที่ยงวันนี้กลายเป็นมื้อใหญ่ต้อนรับหมอวรรตขวัญใจคนในบ้าน ทั้งคุณแม่ น้าเวช แม้แต่แม่ครัว แม่บ้าน ก็มาแอบดูเขาแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปตามๆ กัน

“อาหารอร่อยมากเลยครับคุณแม่ นานๆ ได้ทานอาหารชาววังชั้นเลิศแบบนี้เป็นบุญปากของผมแท้ๆ” ปะเหลาะเข้าไป กินข้าวไปสามจานหมดเกลี้ยง แถมยังขอเติมของหวานอีก  คุณแม่งี้ยิ้มแก้มแทบแตก

“ถ้าอร่อยก็มาทานบ่อยๆ นะหมอวรรต บ้านนี้เปิดต้อนรับตลอดเวลาจ้ะ” คุณแม่ก็ให้ท้ายอยู่ได้ แล้วดูสิ ไม่เห็นสนใจจะคุยกับผมเลย นี่ผมลูกคุณแม่นะ

“ขอบคุณมากครับคุณแม่ ขอบคุณที่เมตตาหมอจนๆ คนต่ำต้อยอย่างผม หลงกลัวซะตั้งนานว่าคุณแม่จะรังเกียจไม่อยากให้คบค้ากับน้องดอทเพราะฐานะเราต่างกัน” ถามจริงๆ นี่เป็นหมอหรือลิเกเก่า ถ้าจะอ้อนแม่ยกขนาดนี้ก็ไปเล่นลิเกเลยเถอะ

“ตาดอทน่ะเขาเป็นคนไม่ค่อยพูด ชอบเก็บกด ชอบขบคิดอะไรคนเดียว บางทีก็เครียดแต่ไม่ยอมบอก แต่นายเวชมาเล่าให้ฟังบ่อยๆ ว่าหมอวรรตทำให้ตาดอทได้นอนพักยาวๆ เพราะลูกคนนี้มันขี้กังวล จะนอนแต่ละทีก็ยากแสนยาก ที่สำคัญหมอวรรตทำให้เด็กอมทุกข์คนนี้ยิ้มได้หัวเราะเป็น  นี่ก็ตัดผมให้น้องด้วยใช่ไหม เมื่อวานแม่ยังเห็นแหว่งเป็นหนูแทะอยู่เลย วันนี้ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นกว่าแต่ก่อนตั้งเยอะ แถมยังพาเข้าวัดวา แม่ดีใจมากกว่าที่คบกันแล้วพากันไปในทางที่ดี ไม่มีทางรังเกียจหรอกลูก” 

ไปวัดนั่นผมจะไปของผมเองไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมกลายเป็นความดีความชอบของเขาที่พาผมไปล่ะ โอ้ย ทำไมคุณแม่ลำเอียงแบบนี้

ได้แต่นั่งหน้ามุ่ยฟังคนขี้ประจบกับคุณแม่คุยกัน  พอจะพูดแย้งอะไรออกไปคุณแม่ก็ออกรับแทนไปซะหมดก็เลยนิ่งเงียบซะดีกว่า



“ไว้มาอีกนะลูก มาบ่อยๆ ให้คนแก่ได้มีเพื่อนคุย” คุณแม่มาส่งหมอวรรตที่หน้าบ้านแล้วบอกลา

“ยินดีครับคุณแม่” ทำเป็นเก๊กหนังหน้าเก๊กเสียงหล่อ แหวะ

“ตาดอท ไหว้ลาพี่เขาซะสิลูก อุตส่าห์ดูแลเรื่องอาหารการกินแถมยังอาสามาส่งให้อีก” คุณแม่เตือน

หา!? นี่ผมต้องไหว้เขาเหรอ  แล้วดูอีตาหมอนั่นทำหน้า แกล้งทำเป็นนิ่งสงบไม่หือไม่อือ แต่ข้างในใจเขาต้องหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังอยู่แน่ๆ

“เร็วสิตาดอท ไหว้ขอบคุณพี่หมอเขาซะ” คุณแม่เร่ง

กลายเป็นพี่หมอไปซะอีก ฮือออ คุณแม่นะคุณแม่ไม่ได้รู้เลยว่าที่ผ่านมาลูกคุณแม่โดนเขาแกล้งมาขนาดไหน

ผมจำใจยกมือไหว้ลวกๆ แต่ก็โดนดุอีกรอบ

“เอ๊ะ ลูกคนนี้นี่ โตจนป่านนี้แล้วยังไม่รู้จักมารยาทต้องให้แม่เคี่ยวเข็ญอยู่เรื่อย ไหว้ดีดีแล้วพูดขอบคุณด้วย”

“ขอบคุณครับ” หน้าผมตอนนี้คงยับจนดูไม่ได้ อยากฆ่าเขามากแต่ก็กลัวคุณแม่ดุอีกจนต้องพนมมือสวยๆ แล้วก้มหัวลง

“ต้องบอกว่า ขอบคุณครับพี่หมอวรรต” คุณแม่สะกิดให้พูดตาม

ผมกัดฟันแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อทำใจไหว้เขาสวยๆ แล้วพูดขอบคุณอย่างที่คุณแม่บอก

“ขอบคุณครับ..พี่หมอวรรต”   

“อย่างนั้นแหละ ต่อไปนี้พูดเพราะๆ กับพี่เขานะตาดอท นายเวชบอกว่าเราชอบแกล้งชอบดุเขา จากนี้ไปอย่าให้แม่รู้เชียว” คุณแม่ปรามแล้วหันไปยิ้มให้หมอประสาท “ขับรถดีดีนะลูก บุญรักษาจ้ะ”

“ขอบคุณครับคุณแม่ ผมลาแล้วนะครับ” เขาไหว้ลาคุณแม่แล้วหันมาลาผมด้วยสีหน้าราวกับเทพบุตรที่มีวงกลมเรืองแสงอยู่บนหัว “พี่หมอวรรตไปก่อนนะครับน้องดอท”

“เดี๋ยวเถอะตาดอท” ผมแอบถลึงตาใส่แต่ก็ถูกคุณแม่ตี

จากนั้นเขาก็ไหว้ลาน้าเวชแล้วขับรถออกจากบ้านไป ส่วนผมก็ยังโดนคุณแม่เอ็ดเรื่องเดิมไม่จบ

“เรานี่เกเรกับพี่เขาซะจริงนะ ไปทำหน้ายักษ์ใส่แบบนั้นได้ยังไง หมอวรรตเขาอายุมากกว่าแถมยังเป็นมดเป็นหมอ อีกหน่อยจะได้ฝากผีฝากไข้ นี่ถ้าลูกลงเอยกับหมอวรรตแม่จะเหมือนยกภูเขาออกจากอก เพราะบอกตรงๆ ว่าที่ลูกคบกับเผ่าพงศ์แม่เป็นห่วงกลัวว่าลูกจะช้ำใจเหมือนแม่”

“โธ่แม่ครับ เฮียเผ่าเขารักดอทมากนะ” ผมโต้แทน

“รักก็ส่วนรัก แต่ไม่ให้เกียรติแม่รับไม่ได้ เที่ยวไปมีคนโน้นคนนี้ไม่เลือกทั้งหญิงทั้งชาย นี่ก็เห็นควงลูกสาวนายตำรวจยศใหญ่คู่ขาเดิม พวกวงสังคมเขาพูดกันให้แซดว่าเผ่าพงศ์มันมั่วแค่ไหน” คุณแม่พูดแบบนี้เป็นครั้งที่หมื่นกว่า เหมือนอัดเสียงไว้แล้วเปิดเล่นวน

“เดี๋ยวช่วงบ่ายดอทจะไปหาเฮียครับ แนวโน้มดอทก็คิดว่าคงต้องเลิก แต่ก็คงต้องคุยกันอีกครั้ง ถ้าเขาให้คำตอบที่ดี ดอทขออนุญาตคบเฮียต่อไป แต่ถ้าไม่ ดอทก็จะเลิกตามที่คุณแม่ต้องการครับ” ผมส่งสายตาจริงจังและอ้อนขอความเห็นใจจนคุณแม่ก็ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้

“เรานี่มันดื้อซะจริง แต่ของแบบนี้มันอยู่ที่กรรมของใครของมันละนะ อย่างแม่ก็เรียกว่าพ้นกรรมมาแล้ว กับป๋าของลูกแม่ก็อโหสิให้ไม่อยากจองเวรจองกรรมกันต่อไป ก็เหลือแต่ลูกว่าจะต้องอยู่ในกงเกวียนกรรมเกวียนการนอกใจไปถึงเมื่อไหร่ แต่ถึงยังไงแม่ก็อยู่ข้างดอทนะลูก” 

“ขอบคุณที่เข้าใจนะครับ” ผมกอดคุณแม่ไว้แน่น “ดอทจะพยายามเลือกในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับดอทและทุกๆ คน ยังไงซะ ดอทก็เลือกได้แค่หนึ่งคนครับ” 

ถึงจะพูดไปแบบนั้นก็ยังไม่มั่นใจในตัวเองว่าจะเลือกได้และเลือกถูกหรือไม่  มันยากจริงๆ กับภาระหนักอึ้งอันนี้  ได้แต่ขอให้ฟ้าเมตตาหาทางออกสำหรับผมให้ได้ อย่างน้อยก็ให้ทุกคนเจ็บน้อยที่สุดก็พอ

++++++++++++++++++++


“คุณหนูคะมีไปรษณีย์มาส่งค่ะ ที่จริงมาตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว”  แม่บ้านเคาะห้องขณะที่ผมกำลังแต่งตัว

“จากโรงพยาบาลเหรอ อืม ขอบใจนะ”  เห็นโลโก้โรงพยาบาลบนหน้าซองแล้วเกิดความสงสัย แต่นึกขึ้นได้ว่าน่าจะเป็นผลตรวจที่ดินแดนเจ้ากี้เจ้าการให้ตรวจคราวก่อน

“เอ๊ะ ทำไมมีของคนอื่นติดมาด้วย” ไม่ใช่แค่คนเดียวแต่ติดมาตั้งสองคน “อนุชา วิญญูนุกูล  แล้วอันนี้ก็อนุวรรต วิญญูนุกูล  ผลตรวจพี่เวย์ กับ หมอวรรต?”

ได้แต่ทำหน้างงจนคิ้วชนกัน จะว่าโรงพยาบาลส่งผิดก็ไม่น่าจะผิดสองคนขนาดนี้  คิดได้แบบนั้นจึงไลน์หาหมอวรรตทันที

sweetyDOTcom :  มีผลตรวจเลือดของคุณกับพี่คุณติดมาในซองผลเลือดของผมด้วย

Dr.WRRT :  อ๋อ ผมให้ไอ้หมอแวนเพื่อนผมส่งผลไปพร้อมกับของคุณน่ะ

sweetyDOTcom :  ส่งมาทำไม

Dr.WRRT :  ฝากไง ฝากไว้

sweetyDOTcom :  ฝากเพื่อ

Dr.WRRT :  ฝากเพื่อเอาดอกเบี้ยมั้ง  ก็แค่ฝากเก็บไว้เฉยๆ ไม่ได้หรือไง แล้วผลเป็นไงมั่ง

sweetyDOTcom :  ก็ปกติหมด

Dr.WRRT :  อืม ดีละ

sweetyDOTcom :  ถ้าไม่บอกความจริง ผมจะเอาเรื่องแล้วนะ

Dr.WRRT :  โอเคๆ คืองี้ ผมกับพี่เวย์นัดกันตรวจเลือดแล้ววันที่ไปฟังผล ผมก็นั่งคุยกับไอ้หมอแวนอยู่พักนึง แล้วบังเอิญเห็นชื่อคุณบนซองเอกสาร ผมเลยถามไอ้หมอ มันก็บอกเตรียมส่งไปรษณีย์ ก็ปิ๊งไอเดียว่าอยากให้คุณเห็นผลเลือดผมด้วย อยากอวดว่าคลีนไรงี้ไง แต่พี่เวย์อยู่ด้วยก็เลยขอเอาของเขาติดไปให้คุณดูด้วย  เรื่องก็มีอยู่แค่นี้แหละ

sweetyDOTcom :  ผมต้องเชื่อใช่มั้ย

Dr.WRRT :  ก็แล้วแต่

sweetyDOTcom :  ที่บอกว่าแข่งกันจีบ ผมก็ไม่เห็นว่าพี่เวย์จะจีบผมเลยนะ ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ

Dr.WRRT :  พี่เวย์สายพ่อพระไง เขาตั้งเงื่อนไขในการแข่งคือ ต้องรอให้คุณเลิกกับคุณเผ่าก่อน

sweetyDOTcom :  แล้วอยู่ดีๆ มาแข่งจีบผมทำไม คุณรู้ได้ยังไงว่าผมเคยรู้จักพี่เวย์

Dr.WRRT :  ผมเคยเจอรูปคุณในกระเป๋าสตางค์พี่เวย์เมื่อนานมาแล้ว และพอเจอคุณที่ฟิตเนสผมก็คลับคล้ายคลับคลาก็เลยเอารูปที่แอบถ่ายคุณไปถามพี่เวย์    นั่นแหละจุดเริ่มต้น

sweetyDOTcom :  แสดงว่าที่คุณจีบผมก็เพราะอยากเอาชนะพี่เวย์

Dr.WRRT :  ก็บอกแล้วว่าผมปิ๊งคุณแล้วบังเอิญว่าคุณก็เป็นคนที่พี่เวย์รอมาตลอดชีวิต 

Dr.WRRT :  ที่จริงผมแอบจูบคุณตอนคุณหลับตั้งแต่วันแรกด้วยซ้ำ

sweetyDOTcom :  คุณนี่มัน

Dr.WRRT :  น่ารัก

sweetyDOTcom :  ตรงข้ามสุดขั้ว

Dr.WRRT :  ขอบคุณสำหรับคำชม

sweetyDOTcom :  ไม่คุยด้วยแล้ว แค่นี้แหละ

Dr.WRRT :  คิดถึงนะ

sweetyDOTcom :  แบร่

ถึงจะยังไม่อยากเชื่ออะไรมากนักเพราะเรื่องมันพัวพันมะรุมมะตุ้มแถมมีจุดน่าสงสัยมากมาย แต่ตอนนี้คงต้องโฟกัสเรื่องของเฮียเผ่าเป็นอันดับแรก   รู้สึกสังหรณ์ใจอยู่ลึกๆ ว่าเรื่องมันอาจจะยุ่งเหยิงจนยากที่จะควบคุมได้ หวั่นใจเหลือเกินกับสิ่งที่ผมกำลังจะต้องเผชิญในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้


.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.


คำนวณผิดไปหน่อยนึกว่าตอนนี้จะดราม่า แต่ยังไม่ถึงแฮะ
รอตอนหน้าม่าแน่นอนค่ะ เตรียมมีดเตรียมไม้ไว้อาละวาดได้เลย

เม้ามอยซอยเก้า

TachibanaRain :  มาเร็วเคลมเร็วตลอด รักเรนที่ซู้ดดดดดดด ปล. พาพี่ดินมาเสิร์ฟให้แร้ววว ขอรางวัลด้วยยย

Janemera  :  เจอคูมมี้สายโหด งานนี้ตัวใครตัวมันแล้วว

ดาวโจร500  :  ตอนหน้าได้รู้แล้วค่าว่าดอทจะโง่ซ้ำซากมั้ย 5555

dekying kukkig  :  ดอทกลัวปากดินค่ะ กลัวโดนล้อ กลัวโดนเหน็บไรงี้ ที่เล่าให้ป๋าฟังเพราะอยากเอาใจป๋า เห็นว่าป๋าอยากมีบทบาทในชีวิตดอทบ้างก็เลยเล่าให้ฟัง แต่ความจริงนางก็รู้อยู่แล้วว่าป๋าจะเล่าให้ดินแดนฟัง ก็เลยกะยืมมือป๋าพูดให้ ประมาณนี้ค่ะ

กาแฟมั้ยฮะจ้าว : ขอบคุณฮับบ

aisen : ขอบคุณค้าบบ ปล. พี่ดอทอะเหรอจะฟังใคร นางดื้อจะตาย น่าตีด้วย

หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 16 : ภาวะยุ่งเหยิง 《25/09/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 26-09-2018 00:40:19
รักพี่เสียดายน้องอ่ะ กี้ดดดดดก เรารับอาสาดามใจให้หมอวรรตเองต่ะะ :katai1: :katai1: :hao3: :hao5: :katai2-1: :-[ :sad4: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 16 : ภาวะยุ่งเหยิง 《25/09/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: วันหนึ่ง ที่ 26-09-2018 07:46:18
ทีมหมอวรรต แต่พี่เวย์เขาก็รอขอเขามานาน ลุ้นต่อไปค่ะ
 :really2:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 16 : ภาวะยุ่งเหยิง 《25/09/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 26-09-2018 09:48:49
นี่อ่านตอนนี้แล้วยังไม่อยากกินมาม่าเลย
แต่ก็อยากเห็นการรุกจีบของพี่น้องคู่นี้ มีขิงกันเรื่องผลเลือดด้วย555555
ถึงจะไม่อยากกินมาม่าแต่ก็อยากให้เรื่องเฮียเผ่าเคลียเร็ว ๆ วุ้ยยยยทำตัวไม่ถูก
รอตอนต่อไปจ้า  :กอด1:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 16 : ภาวะยุ่งเหยิง 《25/09/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 26-09-2018 11:30:51
เนี่ยๆตั้งชื่อหลอกเรา เราก็ลุ้นอ่านไปสิว่าจะแจ๊กพอตแตกบรรทัดไหน  :z3: ตอนหน้าม่าแน่นี่ม่าฝั่งไหนฝั่งใครแต่จากคำให้การของคุณแม่บอกว่าคู่ขาเฮียเผ่าเป็นลูกสาวนายตำรวจใหญ่ก็คิดว่าน่าจะไม่จบแค่พี่ดอทกับเฮียเผ่ามันต้องมีเรื่องยุ่งอีรุงตุงนังเข้ามาให้ปวดหัวอีกแน่ๆ คิดแล้วก็ได้แต่ถอนใจอยากให้พี่ดอทเลิกกับเฮียเผ่าเร็วๆจริงๆนะ หรือไม่ก็ทำตามที่ป๋าที่พี่ดินบอกไปเลยคือถอยออกมาแล้วเริ่มศึกษาทำความเข้าใจกันใหม่แบบไม่ยึดติดกับอะไรทั้งนั้นไม่ว่าจะอารมณ์ความรู้สึกในอดีตหรือข้อกำหนดต่างๆแบบที่พี่ดอทคิดไว้
ปล.ตอนนี้เราก็มาเร็วเคลมเร็วน้าาาาา และในที่สุดพี่ดินคนฮ็อตของเราก็มีบทกับเขาสักทีหลังจากที่นายน้อยต้องไปผ่อนจ่ายค่าตัวมา ฮ่าๆๆๆ ส่วนของรางวัลให้นายน้อยนั้นไม่มีหรอก มีแต่ตัวเรานี่แหละที่จะยกให้พี่ดินแทน  :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 16 : ภาวะยุ่งเหยิง 《25/09/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 26-09-2018 22:14:57
 ยุ่งเหยิง อิรุงคุงนังไปหมด จะเลือกใครก็ตัดสินใจยาก
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 16 : ภาวะยุ่งเหยิง 《25/09/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 26-09-2018 23:45:54
สกายเป็นสกายที่วิบวับๆ ไปซะแล้ว 555 น่ารัก
อีตาหมอนักสร้างภาพสินะ นึกภาพตามน้องดอทกับพี่หมอวรรต ขนลุกแน่ๆ เลยสงสารน้องดอทขึ้นมาทันที 5555
ภาวะยุ่งเหยิงจะมียกกำลัง 2 3 4 ตามมาหรือไม่ พันกันไปยาวๆ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 17 : ภาวะแตกสลาย 《2/10/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 02-10-2018 20:40:11
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ต อ น ที่  17  :  ภ า ว ะ แ ต ก ส ล า ย

เมื่อถึงเวลาอันสมควร ผมกดโทรหาเฮียเผ่า พยายามรวบรวมสติเพื่อให้โอกาสยอมรับฟังและใช้เหตุผลเป็นตัวตัดสินใจ

“ครับดอท” เฮียรับสายแทบจะในทันที

“ดอทพร้อมแล้วครับ เฮียมารับที่บ้านก็ได้” 

“ได้จริงเหรอครับ แล้วคุณแม่ไม่ว่าเหรอ” เฮียรู้ดีว่าผู้ใหญ่ไม่ปลื้มแต่ก็ไม่เคยเห็นแคร์ สงสัยครั้งนี้คงรู้ว่าได้สร้างประเด็นใหญ่ที่สมควรแก่การถูกเกลียดขี้หน้ามากขึ้น

“ไม่เป็นไรครับ ดอทบอกคุณแม่แล้ว ถ้ามาถึงแล้วโทรอีกทีนะครับ”

“โอเคครับ น่าจะไม่เกินยี่สิบนาที” แล้วเฮียก็วางสายไป

ฟังจากน้ำเสียงดูกังวลอยู่ไม่น้อย ผมภาวนาขอให้เรื่องของเรามันลงเอยในทางที่ดี ถ้าจะเลิกก็ขอให้เลิกกันด้วยดี หรือหากไม่เลิกก็ขอให้เป็นเหตุผลดีๆ ที่ตัดสินใจอยู่


แค่สิบห้านาทีเฮียก็มาถึง มาเร็วเคลมเร็วขนาดนี้เห็นทีสองหนุ่มที่เหลือจะแย่เอานะ

“ทำไมทำหน้านิ่งแบบนั้นล่ะครับ” เฮียถามทันทีที่ผมขึ้นมานั่งบนรถ

“จะพาไปไหนครับ” ผมไม่สนใจจะตอบคำถาม

“ไปที่ร้านเดิม เดี๋ยวถึงร้านกินน้ำกินอาหารอร่อยๆ จะได้อารมณ์ดีแล้วเฮียจะเล่าทุกอย่างให้ดอทฟังนะครับ” เฮียเอื้อมมือมาจับขาซึ่งผมก็ทำแค่พยักหน้าเบาๆ แทนคำตอบ


เรามาถึงร้านอาหารเยอรมัน ร้านโปรดของผม ตอนนี้เกือบบ่ายสามแสงแดดแรงจนแสบผิวจึงเดินเลี่ยงลัดเลาะไปตามสวนสวย  สังเกตลานจอดไม่มีรถสักคัน เดาว่าเฮียคงเหมาร้านอีกแล้ว 

“ไปไหนก็ไปอย่ามากวนใจแถวนี้”

“ครับนาย” ลูกน้องรับคำสั่งแล้วขับรถออกจากบริเวณลานจอดรถไป แต่ไม่น่าไปไกลหรอก อย่างดีก็หน้าปากซอยคอยดูต้นทาง

ความจริงเฮียเผ่าไม่ได้ทำธุรกิจสีเทาจึงไม่น่าจะมีศัตรูในเรื่องนี้แต่ที่ต้องระแวดระวังก็น่าจะเป็นศัตรูส่วนตัวกับกรณีคู่ขามากกว่า  สี่ห้าปีก่อนเคยมีคู่ขาเฮียมาเจอเราสองคนทานข้าวด้วยกันแล้วเข้ามาอาละวาดใส่ ผลลัพท์ก็คือ เข้าโรงพยาบาลทั้งคู่  ผมเข้าไปห้ามจึงโดนเฮียขว้างศอกใส่จนคิ้วแตก ส่วนคู่ขาคนนั้นอย่าให้พูดถึงเลย ขนาดผมยังคิ้วแตกแล้วเขาจะเหลืออะไร
เราสองคนเดินผ่านประตูชั้นนอกเข้าไปแล้วกำลังจะเปิดประตูด้านในแต่ทันใดนั้นเฮียก็ถูกกระชากตัวอย่างแรงจนเสียหลัก 

“คุณคิดว่าจะทิ้งแพรได้ง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ!!”

!!!!!!!

ผู้หญิงที่เกาะแขนเฮียวันนั้น..

หน้าเฮียเผ่าอึ้งค้างไปครู่หนึ่งแล้วจึงสะบัดมือออก

“กลับไปซะแพรพร อย่ามาทำให้ฉันโกรธ” แววตาของเฮียเขม็งเกรียวจนผมยังต้องก้าวถอยหลัง ไม่อยากโดนลูกหลงอีกรอบ

“แพรไม่กลับ! ทำไมคุณถึงทำกับแพรแบบนี้ล่ะ แพรสู้ไอ้นี่ไม่ได้ตรงไหน!” เธอชี้หน้าผมแต่เฮียเอาตัวเข้ามาบังทันที “ปกป้องมัน
นักใช่ไหม!! ดีเลย วันนี้มันจะได้รู้ว่าแพรกับมันใครกันแน่ที่ต้องถอย!” 

“ฉันบอกให้กลับไป!!” เฮียตะคอกเสียงดังลั่นแต่อีกฝ่ายไม่สะดุ้งสะเทือนราวกับว่าเตรียมตัวเตรียมใจมาพร้อมแล้วที่จะชนกับทุกสถานการณ์

ผมหันมองไปรอบด้าน ตอนนี้เราอยู่โซนรอบนอกที่เป็นทางเดินไปห้องน้ำ และเฮียก็สั่งปิดร้านด้วยจึงไม่มีใครอยู่แถวนี้เลย ผมกลัวจริงๆ ว่าจะเกิดการนองเลือดกันขึ้นมาอีก

“ไม่กลับ!” ผู้หญิงคนนั้นตวาดลั่นใส่เฮียจากนั้นจึงหันมาตะโกนใส่หน้าผม “ถ้าแกอยากหายโง่ก็ต้องฟัง!”

“ดอทเข้าร้านไปก่อนนะ”

“ดอทขอฟังครับ”  ผมดันเฮียให้หลบฉากและพูดกับผู้หญิงคนนั้นไปตรงๆ “ว่ามาสิครับ”

“อย่าไปฟังเลยดอท เดี๋ยวเฮียจะเล่าให้ฟังเอง” เฮียจับแขนผมและพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามฝืนให้เป็นปกติ

“ทีกับมันคุยเสียงอ่อนเสียงหวาน ทีกับแพรทำไมคุณถึงได้ใจร้ายนัก!” เธอพยายามจะเข้ามาประชิดตัวผมแต่ถูเฮียใช้แขนกันไว้ 

“หึ! ปกป้องมันนักใช่ไหม!” เมื่อเข้าใกล้ผมไม่ได้เธอจึงเปิดกระเป๋าหยิบซองเอกสารออกมาแล้วปามาทางผม “ดูซะให้เต็มตาว่าฉันเป็นใคร และแกเป็นใคร!”

เฮียเก็บเอกสารนั้นได้ก่อนและพยายามจะทำลายทิ้งแต่ผมจับแขนเฮียแล้วส่งสายตานิ่งขรึมไปให้

“ส่งมาให้ดอทครับ”

ใบหน้าคมเข้มเครียดเขม็ง เขาขบกรามจนเส้นเลือดปูดโปน ปกติถ้าเป็นเมื่อก่อนแล้วเฮียโมโหถึงขั้นนี้ก็คงลงไม้ลงมือแน่นอน แต่ดูเหมือนวันนี้เฮียเตรียมตัวมาดีจึงตัดใจส่งเอกสารมาให้อย่างเสียไม่ได้

ทันทีที่ได้รับมาและเปิดซอง กวาดตาแค่เพียงนิดก็รู้ได้โดยง่ายซึ่งส่งผลให้ร่างกายแทบจะแหลกเป็นเสี่ยงๆ 

“...ทะเบียนสมรส”

“เฮียอธิบายได้นะดอท” เฮียรีบแก้ตัว

ผมก้มหน้าหลับตาข่มความเจ็บปวดไว้แต่มันไม่สำเร็จ น้ำตาล้นทะลักออกมาหยดใส่ใบทะเบียนสมรสแผ่นนั้นทันที

“คุณจะอธิบายยังไงในเมื่อฉันเป็นเมียที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่มันเป็นแค่ชู้ ไปฟ้องศาลไหนมันก็ผิด! และไม่มีวันที่ฉันจะยอมหย่าให้คุณแน่ จำไว้!!”

“ทำไม..” ผมเปรยขึ้น “ทำไมเฮียทำกับดอทแบบนี้ ฮึก..”  ร่างของผมเริ่มสั่นเทิ้มและสะอื้นออกมาหลังจากที่กลั้นมานาน

“ดอทอย่าร้องไห้ครับ มันมีเหตุผลที่เฮียทำ แต่ไม่ใช่เพราะเฮียไม่รักดอทนะ  ขอร้องล่ะฟังเฮียก่อน เฮียขอร้อง” เฮียพยายามจะกอดร่างผมไว้แต่ผมดันออก

“ถ้ารู้ถึงขนาดนี้แล้วยังจะหน้าด้านตื้อเผ่าพงศ์อยู่ละก็ ฉันจะราวีแกไม่ให้ได้อยู่เป็นสุขเลยไอ้เกย์!!” ผู้หญิงคนนั้นผรุสวาทหยาบคายใส่ผมและทันทีที่เธอพูดจบ หน้าของเธอก็สะบัดอย่างแรงเพราะแรงตบจากเฮีย

“คุณตบแพร!!!”  เธอกุมใบหน้าไว้พร้อมกับน้ำตาที่ไหลเป็นทาง

“ถ้ายังไม่หยุดฉันฆ่าเธอแน่!!” เฮียเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันและปรี่เข้าไปจะซ้ำอีกทีแต่ถูกผมรั้งตัวเอาไว้

“หยุดใช้กำลังได้แล้วเฮีย!” ผมขึ้นเสียงเพราะกำลังจะสู้แรงเฮียไม่ไหว

เฮียหันมาทำตาลุกใส่เพราะตอนนี้ขาดสติไปแล้ว วูบหนึ่งเหมือนเฮียกำลังจะตบผมแต่แล้วก็ชะงักกึกและหลับตาผ่อนลมหายใจก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น

“ดอทอย่าอยู่ใกล้เฮียตอนนี้เลยนะ เข้าไปในร้านก่อนแล้วโทรเรียกไอ้ดินแดนมารับ  เฮียขอเวลาเคลียร์เรื่องนี้อีกรอบแล้วจะโทรหานะครับ” 

ในตอนนี้มีหลากหลายความรู้สึกที่เกิดขึ้น ทั้งเสียใจ โกรธ และดีใจลึกๆ ที่เฮียสามารถห้ามตัวเองไม่ให้ทำร้ายผมได้  ปกติถ้าฟิวขาดระดับนี้เฮียไม่สนหน้าไหนทั้งนั้น ถ้าเข้าใกล้เฮียจะทำร้ายทันที  แต่เมื่อกี้เฮียหยุดได้ถึงสองครั้งซึ่งทำให้ผมก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

ผมพยักหน้าแล้วคืนใบทะเบียนสมรถให้เฮียก่อนจะเดินเข้าไปในร้านตามที่เฮียบอก  เห็นเฮียลากผู้หญิงคนนั้นไปที่รถแล้วเปิดประตูดันเธอเข้าไปอย่างไร้ความนุ่มนวล ถ้าผมเป็นเธอ ถึงจะมีทะเบียนสมรสก็ไม่ยอมถูกเฮียทำแบบนี้ใส่หรอก ก็แค่กระดาษใบเดียวมันจะไปมีค่าอะไรถ้าคนที่อยู่ด้วยเขาไร้หัวใจกับเราได้ขนาดนี้



ยอมรับว่าโกรธมากในเรื่องทะเบียนสมรส แต่ลางสังหรณ์บางอย่างมันรบกวนจนตอนนี้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ผู้หญิงคนนั้นดูโกรธเกรี้ยวและขาดสติ ผมกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี ทั้งต่อเธอเองและเฮียด้วย คดีความเรื่องเก่าของเฮียก็ยังคาราคาซัง ถ้าเพิ่มเรื่องของผู้หญิงคนนี้อีกคงแย่แน่ อย่างน้อยก็ควรคุยกันตอนที่ใจเย็นลงกว่านี้น่าจะดีกว่าเพราะผมไม่อยากให้เฮียลงไม้ลงมือกับใครอีก

ผมรีบหยิบโทรศัพท์มากดหาดินแดนเพื่อให้เขามารับตามที่เฮียบอกไว้ทันที

“ว่าไงครับคุณชนม์แดน” ดินแดนรับสายและผมก็โพล่งออกไปทันที

“รีบมารับฉันหน่อยดิน พอดีมีเรื่องกับเฮียเผ่ารีบมาที่ร้านเรสโทรเฮาส์นะ เดี๋ยวส่งโลเคชั่นไปให้ มาด่วนเลย!”

“โอเคพี่ใจเย็นๆ รอแป๊บเดียวนะ”

พอดินแดนตอบรับก็วางสายทันที และไม่รู้ทำไมคนที่ผมนึกถึงอีกคนก็คือหมอวรรต

“ครั้งแรกเลยนะที่คุณโทรหา มีอะไร คิดถึงผมเหรอ” รับสายปุ๊บก็กวนประสาทปั๊บแต่ผมไม่มีเวลามาเล่นด้วย

“คุณบอกพี่เวย์ให้โทรหาเฮียให้หน่อยสิ บอกว่าพี่เวย์มีงานด่วนแล้วนัดไปคุยงานกันตอนนี้เลย”

“แล้วคุณอยู่ไหน ปลอดภัยหรือเปล่า”

“อยู่ที่ร้านเรสโทรเฮาส์ ตอนนี้ปลอดภัยดี โทรให้น้องชายมารับแล้ว คุณช่วยเร่งพี่เวย์หน่อยนะ”

“ได้ๆ เดี๋ยวผมจัดการให้”

“โอเค ขอบคุณมากนะ” พูดจบก็กดวางสาย

ไม่รู้จะได้ผลหรือเปล่าแต่เฮียเป็นคนที่รักงานมาก ไม่ว่าจะเป็นงานแบบไหนถ้าเข้ามาในขณะนั้นๆ เฮียไม่เคยเพิกเฉย และผมคิดว่าวิธีนี้อาจได้ผล



ผ่านไปสิบนาที ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ รอว่าจะมีอะไรคืบหน้าและทันทีที่เบอร์ของหมอวรรตโชว์ขึ้นหน้าจอผมก็ตะปบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับทันที

“ว่าไงคุณ สำเร็จไหม!”

“พี่เวย์บอกว่าคุณเผ่าจะรีบตามไป แต่ผมอยากรู้ว่ามีอะไรเหรอ” เสียงหมอวรรตค่อนข้างซีเรียส คงรู้แล้วว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ปกติ

“เอาไว้จะเล่าให้ฟังทีหลัง ถ้าเฮียเจอพี่เวย์แล้วคุณส่งข่าวบอกผมทีนะ”

“โอเค ถ้ามีอะไรโทรหาผมทันทีเลย โอเคไหม”

“อืมโอเค” แล้วจากนั้นผมก็นั่งรอด้วยความกังวล ไม่เคยห่วงเฮียขนาดนี้มาก่อน รู้สึกใจคอไม่ดีเลย


ผ่านไปอีกสิบนาที รถของเฮียก็เลี้ยวเข้ามาในลานจอดรถ

อ้าว! กลับมาทำไม!? แล้วดินแดนทำไมมาช้าจังเลยนะ โอ้ยอยากจะบ้า!

เมื่อเห็นว่าเฮียออกจากรถมาเพียงคนเดียว ผมจึงรีบวิ่งออกไปรอรับ 

“เฮียเป็นไงบ้างครับ”  รีบถามและก้มมองตามร่างกายของเฮียด้วยความเป็นห่วง

“ออกมาทำไม เฮียบอกให้รออยู่ในร้าน” เฮียรีบเดินมาประคองผมกลับ

“ดอทรอดินแดนไม่มาสักที ว่าแต่ทำไมเฮียกลับมาที่นี่ล่ะ ทำไมไม่ไปหาพี่เวย์”

“เฮียเป็นห่วงดอทก็เลยจะมารับกลับเอง เดี๋ยวค่อยแคนเซิลทางนั้น”

“งั้นเรารีบไปเถอะครับ ดอทกลัวผู้หญิงคนนั้นจะตามมาอีก กลัวเฮียจะเผลอลงไม้ลงมือแล้วมันจะยุ่งกว่านี้”

แต่พูดลิ้นยังไม่ทันเข้าปาก แท็กซี่คันหนึ่งก็เลี้ยวเข้ามาในบริเวณหน้าร้านด้วยความเร็วสูง

“เชี่ยเอ้ย!” เฮียเผ่าจิ๊ปากสบถออกมา

โธ่เอ้ย อุตส่าห์คิดว่าจะให้แยกย้าย ดันวนกลับมาเจอกันอีก มันผิดแผนไปหมด


“คุยกับเขาดีๆ นะเฮีย ตอนนี้เธอกำลังโกรธ ถ้าเฮียยิ่งโมโหก็ยิ่งคุยกันไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวดอทจะบอกเธอว่าเราสองคนจะเลิกกันก่อนแล้วให้เฮียไปตกลงกับเขาให้เข้าใจ” ผมเปิดกระเป๋าหยิบบางอย่างยื่นให้เฮีย “ส่วนโฉนดที่ดินนี้เฮียเก็บไว้ก่อนนะครับ เอาไว้ให้ทุกอย่างลงตัวแล้วเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันอีกที” 

โฉนดที่ดินที่ผมพกติดกระเป๋ามาด้วยเพราะเตรียมใจเอาไว้ว่าหากต้องเลิกกันก็จะคืนที่แปลงนี้ให้เฮียอย่างเดิม

“ไม่ได้นะดอท เฮียตั้งใจให้ดอท” เฮียดันมือผมกลับแล้วทำหน้าสลดลงจนเกือบใจอ่อน

“ไม่ได้ก็ต้องได้ครับ” ผมยื่นโฉนดกลับไปแต่เฮียจับมือผมไว้ไม่ยอมปล่อย

“ไหนบอกว่ามาคุยงาน!” ผู้หญิงคนนั้นลงจากรถแล้วเดินดิ่งมาถึงก็ผลักเฮียจนเซ เฮียรีบตั้งหลักแล้วจับตัวผมให้ไปอยู่ด้านหลังแต่ในมือหนายังถือโฉนดไว้มั่น 

“หมามันเคยกินขี้สินะถึงได้หิวไม่เลิก!” ยิ่งพูดเธอก็ยิ่งแรง เฮียตบเธอไปอีกฉาดแต่คราวนี้เธอไม่ได้ล้มแต่พุ่งตัวเข้ามาหวังจะจู่โจมผม

“อย่าแตะต้องดอท!!” เฮียผลักเธอจนล้มก้นจ้ำเบ้า “ฉันไม่ได้อยากทำร้ายเธอนะแพร แต่ถ้าเธอพูดไม่รู้เรื่องอย่าหาว่าฉันใจร้าย!” เฮียตวาดเสียงดังลั่น

“ใจร้ายเหรอ!!!” แพรพรลุกขึ้นแผดเสียงแหลมสูง “ที่ผ่านมาคุณยังไม่ใจร้ายกับแพรหรือไง คุณทำอะไรกับแพรไว้บ้าง ทำอะไรกับลูกของเราบ้าง! แล้วคิดบ้างไหมว่าที่แพรทนอยู่ทุกวันก็เพราะรักคุณนะเผ่าพงศ์ แพรรักคุณ!!

ร่างผมชาวาบเมื่อได้ยินคำว่า ‘ลูก!?’  นี่มันอะไรกัน!

“ลูกเหรอเฮีย..” ผมถามเสียงเบาหวิว ส่วนเฮียเผ่าทำหน้าเหมือนได้เห็นโลกถล่มทลายอยู่ตรงหน้า

“เฮีย.. คือ..”  เฮียพูดไม่ออกและผมก็พอเข้าใจแล้ว

“ใช่ ลูกของเรา ลูกของฉันกับเผ่าพงษ์” แพรพรตอบแทนเฮียแล้วก้าวเข้ามาหมายจะทำร้ายผม

“หยุดเดี๋ยวนี้!!” เฮียปรี่เข้าไปเงื้อมือจะตบเธออีกครั้ง แต่คราวนี้เธอฉุนขาดแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดออกมามากกว่าเดิม

“เอาสิ!! ตบสิแพรจะได้ยิงมัน!” เธอควักปืนออกมาจากกระเป๋าและเล็งมาทางผม 

เมื่อถูกปืนจ่อ ร่างกายก็นิ่งช็อคไปทันที วินาทีแห่งความเป็นความตายขึ้นอยู่กับว่าเธอจะลั่นไกเมื่อใด

ในตอนนี้รถของลูกน้องเฮียขับเข้ามาในบริเวณ บอดี้การ์ดสองคนกรูเข้าไปหวังจะชาร์ตผู้หญิงคนนั้นแต่เฮียรีบสั่งห้าม

“ถอยออกไป! เดี๋ยวคุณดอทจะถูกยิง” จากนั้นก็หันไปบอกแพรพร “เธอใจเย็นๆ นะแพรอย่าทำอะไรดอทเด็ดขาด เรากลับไปคุยกันดีๆ เถอะ”

“ไม่คุยแล้วค่ะ” แพรพรตอบด้วยน้ำตา มือที่ถือปืนสั่นไหวจนผมกลัวว่ามันจะลั่นขึ้นมาได้ทุกเมื่อ “แพรจะไม่เชื่ออะไรคุณอีก ตอนนี้อยากฟังแค่ความจริง ถ้าคุณพูดความจริงแพรอาจจะยอมรับฟังก็ได้”

“เธอแน่ใจนะ” เฮียเผ่าหยั่งเชิง

“ก็ลองดูสิคะ ในเมื่อคุณไม่มีทางเลือกแล้วนี่”

“เรื่องของเรา” เฮียเผ่าเริ่มเกริ่น “มันคงเป็นไปไม่ได้”

“ทำไมคะ ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้”

“เธอก็รู้ว่าถึงเธอจะทำอะไรอีกแค่ไหนฉันก็อยู่กับเธอไม่ได้ ฉันรักดอท และรักใครไม่ได้อีกแล้ว เลิกกันดีดีเถอะนะอย่าให้ต้องเลือดตกยางออกกันเลย”

“ฮ่าๆๆๆ” เสียงหัวเราะของแพรพรทำให้ผมขนลุก “เมื่อก่อนคุณก็เคยพูดแบบนี้แต่ฉันกลับไม่เจ็บ แต่พอคุณให้ความหวังแล้วฉันได้ยินอีกครั้ง มันแทบจะฆ่าฉันทั้งเป็น”

“ก็เธออยากให้ฉันพูดความจริง” เฮียเผ่าตอบ

“ใช่ ฉันอยากฟังความจริง แต่ในเมื่อความจริงมันเจ็บปวดขนาดนี้ ก็ต้องมีสักคนที่เจ็บปวดเหมือนฉัน!”  ดวงตาเธอกลับมาวาวโรจน์อีกครั้ง คราวนี้เหมือนสติจะหลุดไปแล้ว เธอเหมือนคนบ้าไม่มีผิด

“ส่งปืนมาแพร! อย่าส่ายมันแบบนั้น!”

“ทำไม! ไม่ใช่แค่ส่ายแต่ฉันจะยิงมันด้วย!”

“อย่ายิงดอทนะแพร ถ้าเธอจะยิงก็ยิงฉัน!” เฮียร้องตะโกนเมื่อเห็นว่าแพรพรทำท่าจะลั่นไก สีหน้าของเฮียตอนนี้ไร้สีเลือด คงกลัวว่าผมจะถูกยิงขึ้นมาจริงๆ

“ห่วงกันนักนะ ห่วงนักก็ตายไปพร้อมกับมันดีไหมล่ะ!” เธอแค่นเสียงประชดประชัน “แต่ไม่ดีกว่า เพราะถ้าให้มันตายแล้วได้เห็นคุณทุกข์ทรมานเพราะขาดมันคงสะใจดีพิลึก”

“อย่านะแพร!” เฮียสั่งห้ามอีกครั้งเมื่อเธอทำท่าขู่

“อย่าขยับนะ! ถ้าคุณขยับแพรยิงมันแน่!” คำขู่ของเธอได้ผล เฮียไม่กล้ากระดุกกระดิก

“ส่งปืนมาแพรอย่าทำแบบนี้” เฮียเริ่มเสียงอ่อนลงและค่อยๆ ยื่นมือออกไป

“ไม่!” เธอตวาด “บอกแพรมาว่าจะเลิกกับมัน บอกมา!!”

“ฉันบอกเธอแบบนั้นไม่ได้แพร ฉันเลิกกับดอทไม่ได้ ฉันรักดอท” เฮียพูดชัดถ้อยชัดคำ คงเหนื่อยแล้วกับการทั้งกล่อมและปลอบ

“แต่วันที่หลอกพาแพรไปทำแท้ง คุณพูดออกมาเองนี่ว่าจะเลิกกับมันถ้าแพรยอมเอาลูกออกก่อน” ได้ยินเรื่องราวแล้วปวดหัวใจหนึบๆ ทำไมเฮียถึงทำเรื่องใหญ่โตถึงขนาดนี้

“ฉันขอโทษ” เฮียถอนหายใจแล้วตอบอย่างหมดทางเลี่ยง  “วันนั้นแค่อยากให้เธอยอมไปทำแท้งก็เลยจดทะเบียนให้เพื่อเธอจะได้วางใจและที่บอกว่าจะเลิกกับดอทก็เพื่อให้เธอมั่นใจยิ่งขึ้น แต่ที่จริงฉันไม่เคยอยากเลิกและจะไม่มีวันเลิกได้หรอก”

สีหน้าของเฮียเศร้าสลดและมันเป็นเรื่องที่น่าหดหู่ใจไม่น้อย

ผมนิ่งอึ้ง ไม่เคยคิดว่าจะมีเรื่องราวอะไรหนักหนาถึงขั้นนี้ สติสัมปชัญญะหดหายจนไม่รู้แม้แต่จะทำยังไงต่อไปเพื่อเอาตัวรอดจากปลายกระบอกปืนที่จ่อมาทางนี้

“นี่คงเป็นความจริงทั้งหมดที่คุณมีสินะ” เธอยิ้มเย็นมองเฮียด้วยแววตาขมขื่น น้ำตารินไหลออกมาเป็นสายไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“แล้วลูกของแพร ลูกของเรา คุณไม่นึกเสียใจบ้างเหรอ”

“เสียใจสิ ฉันเองก็ไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้  แต่ที่ผ่านมาฉันก็บอกเธอแล้วว่าฉันมีคนที่ฉันรักและไม่มีใครมาแทนได้ แต่เธอเองนะแพร เธอเป็นคนอยากเอาชนะและยอมถึงขนาดเจาะถุงยางเพื่อจะมีลูกกับฉัน” 

“แล้วมันก็สำเร็จไง! คุณยอมจดทะเบียนแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงไม่เลิกกับมันล่ะ! ทำไมต้องฆ่าลูกแพร ทำไมๆๆๆๆ” เธอฟูมฟายร้องถามด้วยความข้องใจ

“ฉัน..”

“บอกมาสิ บอกสิ่งที่อยู่ในใจของคุณมาให้หมด แค่วันนี้ที่แพรจะได้ยินความจริงทั้งหมด”

“กับพันธะที่อยู่ในท้องเธอมันเป็นเรื่องยาก การหย่ากันทีหลังโดยไม่มีลูกมาเกี่ยวข้องมันจัดการง่ายกว่า” เฮียพูดเสียงเศร้า ดูก็รู้ว่าเสียใจกับเรื่องนี้อยู่เช่นกัน

“ฮ่าๆๆ” เธอระเบิดเสียงหัวเราะอีกครั้ง หัวเราะทั้งน้ำตาและดูเหมือนว่าจะรวดร้าวจนถึงขีดสุด “ถ้าอย่างนั้นก็ดี คุณเลวได้ขนาดนี้ก็สมควรแล้วที่จะอยู่ต่อไปพร้อมกับความรู้สึกผิดไปทั้งชีวิต!”

“แพร ขอปืนให้ฉัน” เฮียพยายามขยับเข้าไปใกล้

“ดูไว้นะ คนที่คุณรักกำลังจะตายไปต่อหน้า ดูไว้ซะ!!!”

ปัง!!!

“ดอท!!”


ต่อ..
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 17 : ภาวะแตกสลาย 《2/10/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 02-10-2018 20:57:31
ต่อ... ?? ต่อไหนอ่ะะะ  :ling1: // ผญ.แบบแพรนี่น่าเบ้ปากมองบนใส่มากๆ  :fire:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 17 : ภาวะแตกสลาย 《2/10/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 02-10-2018 21:12:19
เสียงปืนดังขึ้นทันทีที่เธอพูดจบ ร่างของผมปลิวไปเพราะแรงกระแทกจากเฮีย

เฮียเผ่าเอาตัวบังและโอบคร่อมผมไว้ทั้งตัว

“อย่าเป็นอะไรนะดอท อย่าเป็นอะไรเพราะเฮีย..” เขาพูดพร้อมกับมองสำรวจว่าผมเป็นอะไรหรือเปล่า

ในขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงลูกน้องเฮียเข้าชาร์ตแพรพรและได้ยินเธอกรีดร้องแผดเสียงออกมาดังลั่น

“คุณเผ่า! แพรไม่ได้ตั้งใจ คุณเผ่า!” 

ผมพยายามจะโผล่ออกไปดูแต่ทำไม่ได้เพราะตัวเฮียหนักมากและกอดทับผมไว้แน่น   ตอนนี้ใจคอเริ่มไม่ดีเพราะลองสำรวจร่างกายตัวเองแล้วแต่ไม่มีส่วนไหนเจ็บปวด เพราะฉะนั้นกระสุนปืนนัดนั้นอาจจะเป็นเฮียที่รับไปแทน 

“ฮ..เฮีย เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ผมเรียกเบาๆ จากนั้นเฮียเผ่าก็เริ่มพยักหน้า

“..อืม” ตอบรับแค่คำเดียวก็เหมือนจะยากลำบากจนผมเริ่มผิดสังเกตเมื่อมีของเหลวสีแดงหยดลงมาบนแก้ม

“เฮีย! เลือด!” รีบไถลดันตัวเองออกจากตัวเฮียแล้วพลิกร่างหนาให้หงายขึ้น “เฮียโดนยิง! ระ..เรียกรถพยาบาล เรียกสิ เรียกรถพยาบาล!!” ผมร้องลั่นเมื่อเห็นเลือดไหลออกมาจากคอเฮียมากมาย  รีบถอดเสื้อตัวนอกออกมากดปิดแผลเพื่อห้ามเลือดไว้แล้วยกตัวเฮียมาซบอก

ตอนนี้ลูกน้องคนหนึ่งลนลานกดโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลเป็นการใหญ่ ส่วนอีกคนกำลังล็อคตัวแพรพรไว้แน่น และในจังหวะนี้เองรถของหมอวรรตก็ขับเข้ามาพร้อมด้วยพี่เวย์ที่นั่งข้างคนขับ  และตามด้วยรถของดินแดน  ทั้งสามคนรีบลงจากรถแล้ววิ่งหน้าตั้งเข้ามาพร้อมกัน

“พี่ดอท..!” ดินแดนวิ่งเข้ามาหาแล้วเรียกชื่อผมเสียงดัง “น..นี่ มันเกิดอะไรขึ้น!”

“เรียกรถพยาบาลให้หน่อยดิน เรียกหมอ  ใช่หมอ! หมอวรรต! หมอวรรตมาช่วยเฮียหน่อย มาช่วยหน่อย!” น้ำตาผมร่วงเผาะร้องเรียกขอความช่วยเหลือและหมอวรรตก็รีบเข้ามานั่งข้างเฮียทันที ส่วนดินแดนนั้นหลังจากได้เห็นอาการของเฮียก็ถึงกับหน้าซีดขยับหลีกทางให้ 

พี่เวย์เดินไปถามเหตุการณ์จากลูกน้องของเฮียอยู่พักหนึ่งและกลับมาเล่าให้ดินแดนฟังเพราะคงรู้ดีว่าถ้าถามจากผมก็คงไม่ได้ความอะไรเนื่องจากตอนนี้ไม่มีสายตาไว้มองใคร ไม่มีสติพอจะรับรู้เรื่องอื่นนอกจากเฮียคนเดียว

“..ม..ไม่..ต้ อ ง” เฮียยกมือห้ามเมื่อหมอวรรตกำลังจะขอดูแผล “ผม..ขอคุยกับดอท”

“ผมขอดูแผลเบื้องต้นครู่เดียวครับ” หมอวรรตบอกแล้วค่อยๆ แง้มผ้าที่กดปากแผลออกเล็กน้อยแต่แค่นั้นก็ทำให้เลือดทะลักปุดออกมาจนต้องรีบดันมือผมให้กดแผลไว้อย่างเดิม

หน้าหมอวรรตเปลี่ยนสีและกัดกรามด้วยความเครียด

“ผ..ผมรู้” เฮียมองหมอวรรตเหมือนจะบอกเป็นนัยว่าไม่ต้องกังวล “ขอ คุยกับ ดอท” สายตาแน่วแน่ของเฮียจนทำให้หมอวรรตพยักหน้าแล้วรีบไปหยิบของที่รถ ไม่เกินสิบวินาที เขาสวมถุงมือยางกลับมาพร้อมเสื้อกาวน์และผ้าก็อซ

หมอวรรตคลายกระดุมเสื้อเฮียออกเล็กน้อยเพื่อให้หายใจสะดวก นำเสื้อกาวน์ของตัวเองมาห่มบนตัวเฮียไว้โดยไม่กลัวว่ามันจะเปื้อนเปรอะ

“ห่มไว้นะครับเดี๋ยวอุณหภูมิร่างกายจะลดลง  ส่วนคุณช่วยกดแผลไว้ให้แน่นที่สุด อย่าให้คุณเผ่าขยับตัว ให้อยู่นิ่งที่สุดนะครับ” ผ้าก็อซปึกหนาถูกสับเปลี่ยนกับเสื้อของผมที่ใหญ่เทอะทะจนกดไม่ถนัด แต่ตอนสับเปลี่ยนก็ทำให้เสียเลือดไปมากทีเดียว

ก่อนถอยออกไปเขามองมาที่ผมเหมือนกับจะบอกเป็นนัยว่าให้เข้มแข็งเอาไว้

“ไม่นะหมอ! ช่วยเฮียก่อน ฮึก.. อย่าไปสิ อย่าเดินหนีคนเจ็บแบบนี้ คุณเป็นหมอนะ! กลับมาช่วยเฮีย!! ฮือออ” น้ำตาของผมไหลทะลักเพราะกลัวว่าเฮียจะแย่  ได้แต่ออกแรงกดปากแผลให้แรงขึ้นเพื่อช่วยเซฟให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ด..ดอท ฟัง..เฮีย” เฮียลูบเช็ดน้ำตาผมแล้วตบแก้มเบาๆ เพื่อเรียกสติ “ฟ..ฟังเฮียก่อนครับ..”

เมื่อเห็นว่าเฮียพยายามแค่ไหนเพื่อจะสื่อสารถึงขนาดรวบรวมพลังพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ผมจึงจำใจต้องพยักหน้ารับและข่มใจรอฟังคำพูดของเขา

“ฮ..เฮียรักดอทนะ” มือหนาลูบจับใบหน้าของผมอย่างอ่อนโยน ได้ยินแล้วน้ำตาที่ไหลอยู่ก็ยิ่งพรั่งพรูเป็นสาย

“ดอทก็รักเฮียครับ” ผมตอบรับทันที ใจจริงไม่อยากให้เฮียพูดอะไรเลยเพราะกลัวอาการจะยิ่งแย่แต่ก็ต้องยอมแพ้แววตาที่มุ่งมั่นตรงหน้า

ได้ยินเสียงดินแดนพูดกับหมอวรรตแว่วๆ ว่ากว่าเขาจะผ่านทางแยกใหญ่มาได้ก็นานทีเดียวเพราะมีอุบัติเหตุรถจึงติดมาก รถพยาบาลอาจจะมาช้าเกินไป เขาอยากจะพาเฮียไปโรงพยาบาลเองมากกว่า แต่หมอวรรตก็บอกว่าทำไม่ได้เพราะเสียเลือดมากและเราไม่มีอุปกรณ์การขนย้ายที่ดี เผลอๆ อาจทำให้แย่กว่าเดิม

“พ..แพรพร..เป็นลูกสาวของอธิบดีกรมตำรวจ ท..ที่เฮียรู้จักผ่านทางเตี่ยกับม่า.. เราคบกันมาเรื่อยๆ ป..เป็นแค่คู่นอน

ไม่ใช่..แฟนและเฮียก็ย้ำกับเธอตลอดว่าเฮีย..มีดอท” เฮียพยายามเล่าเรื่องและหยุดพักเป็นจังหวะเนื่องจากเหนื่อยเกินไป “เมื่อควงกันได้ ส..สักพัก เฮียบอกเลิกไป..และไม่ได้ติดต่อเพราะตั้งใจจะเลิกมีคนอื่น..พ..เพื่อดอท แต่ยังเหลือ..สกายที่เฮียต้องการแค่อยากเอาชนะน้องชายของดอท..เพราะทิฐิของเฮียเอง ..ตอนที่เฮียโดนตั้งข้อหาคดีของสกาย.......เฮียติดต่อไปขอความช่วยเหลือจากแพรพรให้ช่วยพูดกับพ่อเรื่องการประกันตัวและ..สู้คดี...เธอได้โอกาสจึงขอเจอกับเฮียอีก ซ..ซึ่งเฮีย..ก็คิดว่า..ม..ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่.. แต่เธอกลับเจาะถุงยาง  ล..และมาบอกเฮียว่า..ท..ท้องเมื่อสองอาทิตย์ก่อน..”

“เฮีย..เฮียไม่ต้องเล่าแล้วครับ ไม่ว่าเรื่องจะเป็นยังไง ดอทรู้ว่าเฮียทำทุกอย่างเพื่อที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน ดอทรู้แล้ว” ผมร้องบอกพยายามปาดเช็ดน้ำตาเพื่อไม่ให้มันหยดลงไปบนหน้าของเขา

เฮียส่ายหน้าและรวบรวมพลังเล่าต่อ “พ...พอรู้ว่าแพร,,ท้อง เฮียหาวิธี..ไม่ให้เรื่องมันบานปลาย ฮ..เฮียไม่ได้อยากให้เธอทำแท้ง..แต่สถานการณ์มันบังคับ เฮียไม่ได้รักเธอและ..แพรก็มีปัญหาด้านอารมณ์ ถ..ถ้า  ถ้าปล่อยให้เด็กเกิดมา ด..เด็กต้องมีปัญหาและไม่มีความสุข..เฮีย.. เฮียตัดสินใจขอให้เธอทำแท้ง.. ตอนแรกเธอก็ไม่ยอม..จ..จนเฮียต้องแลกกับทะเบียน..สมรส  เราออกต่างจังหวัดเพื่อ..ไปเอาเด็กออก ป..เป็นวัน..เดียว ก..กับที่ดอทโดนน้ำป่าพัดไป”

ถึงตรงนี้เฮียหอบหายใจหนัก ดวงตาลอยคล้ายจะวูบไปได้ทุกขณะจิต

เรื่องเป็นแบบนี้นี่เอง วันนั้นที่ผมเห็นเฮียกับแพรพรก็คือวันที่กำลังพากันไปทำแท้ง และที่เฮียไม่บอกรักรีบตัดบทไปก็เพราะไม่อยากให้เธอระแวงและเปลี่ยนใจไม่ยอมเอาเด็กออก  โธ่เฮีย ทำไมถึงได้ทำอะไรแบบนี้นะ

“พอแล้วครับเฮีย ดอทเข้าใจแล้ว” ถึงแม้สิ่งที่เฮียทำจะไม่ถูกต้องแต่เขาก็ทำเพื่อผม ไม่มีความคลางแคลงในใจอีกแล้วว่าเฮียไม่รัก ผมตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลือกใคร ยังไงก็จะขออยู่ข้างเฮียคอยฝ่าฟันทุกเรื่องไปพร้อมกัน 

“ด..ดอท เก็บที่ดินแปลงนี้..ไว้นะ” เฮียยังถือโฉนดไว้แล้วยัดใส่มือผมซึ่งตอนนี้มันเปื้อนเปรอะไปด้วยเลือดและฝุ่นผง “ฮ..เฮียตั้งใจจะ..ให้ เฮีย.. เฮียอยากอยู่กับดอท..ที่นี่ อยาก..ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับดอท ป..ไป..ตลอดชีวิต” เฮียยิ้มให้พร้อมกับจับมือผมแน่น

หัวใจผมสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง รู้สึกราวกับว่ามันใกล้จะแตกสลายเต็มที

“ดอทจะอยู่กับเฮียนะ ฮึกก เราอยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่าเลยนะเฮีย” พูดไปร้องไห้ไปจนตัวโยน

“บ..บอกพี่..เวย์กับ..หมอวรรต..ห..ให้สร้างบ้านเรา ต..ต่อไปตามที่ดอทอยากได้ ฮ..เฮียชอบฝีมือเขา” เฮียสั่งความกระท่อนกระแท่น

เป็นจังหวะที่หมอวรรตเข้ามาเพิ่มผ้าก็อซอีกปึกหนึ่งทับลงไปอีกเพราะชุดเดิมเปียกชุ่มไปหมด  พี่เวย์ตามเข้ามาแล้วบีบแขนเฮียแน่นเพื่อตกปากรับคำ

“ผมจะทำบ้านของคุณให้เสร็จ รับรองว่ามันจะดีที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมา” พี่เวย์บอกและหมอวรรตก็พยักหน้าตาม
เฮียมีสีหน้าที่พึงพอใจ จากนั้นทั้งคู่ก็ถอยฉากออกไป 

“ด..ดิน..ด..แดน”  เฮียเรียกชื่อนายดินเสียงเบามาก เหมือนคล้ายจะหมดแรง
ผมงงอยู่เล็กน้อยแต่เฮียพยายามมองเขาจนผมเข้าใจว่าเฮียต้องการคุยด้วยผมจึงเรียกให้

“ดินมาหาเฮียหน่อย ขอร้อง..” ผมส่งสายตาอ้อนวอนเพราะกลัวน้องชายจะถือทิฐิแล้วไม่ยอมลงให้
แต่ก็ผิดคาด ดินแดนรีบเข้ามานั่งคุกเข่าลงข้างเฮียแล้วฟังอย่างตั้งใจ

“ฝ..ฝากดอท..ฝาก..ดูแล ด..ดอท อะไรก็ได้..แค่ดอท..ต้อง..มีความสุข... ร..รับ..ปากสิ” ยิ่งเฮียพูดมากเท่าไหร่ อาการก็เหมือนจะทรุดลงมากเท่านั้น 

“ผมรับปาก” ดินแดนดึงมือของเฮียไปบีบกระชับหนักแน่น “พี่ดอทจะมีความสุข..ครับเฮีย”  ท้ายประโยค ดินแดนเปลี่ยนสรรพนามที่เรียกเฮียพร้อมกับส่งสายตาแน่วแน่ให้ความมั่นใจ

เฮียยิ้มบางๆ ยื่นมืออีกข้างไปประกบกระชับมือดินแดนเหมือนเป็นการตอบรับสัญญาพร้อมกับยุติสงครามระหว่างทั้งคู่  ภาพนี้ผมเฝ้ารอให้มันเกิดขึ้นมาพักใหญ่ ดีใจที่ได้เห็นแต่มันดีใจไม่สุดเมื่อมาเกิดในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้

“ด..ดอท..ต้อง...มีความ..สุข ผ..เผื่อเฮียนะ” เมื่อเฮียหันกลับมาหาผม นายดินก็ถอยออกไป

“อย่าพูดเหมือนสั่งเสียแบบนี้นะเฮีย ดอทไม่ฟัง ไม่อยากฟัง!” ผมออกแรงกดแผลเฮียแรงขึ้นเพื่อให้เลือดหยุดเฮียจะได้ไม่ต้องพูดอะไรแบบนี้

“ด..เด็กดื้อ..จ..จูบ..เฮียหน่อย...” เสียงเฮียเริ่มแผ่วลงจนใจผมบีบรัดหนักหน่วง น้ำตาไหลพร่างพรูไม่ขาดสายจนต้องคอยเช็ดออกจากหน้าจากหน้าเฮียอยู่เรื่อยๆ “จ..จูบ..เฮีย..นะ”   

ดวงตาของเฮียเผ่าอ่อนแสงลงเต็มที ยิ่งเห็นใจยิ่งเสีย ผมรีบพยักหน้าแล้วก้มลงประทับริมฝีปากลงไปตามคำขอ ไม่อายใครหรอก ไม่มีอะไรต้องอายในเมื่อเรารักกันและจะไม่มีใครมาพรากเราสองคนได้ ไม่ว่าใครก็ไม่สำคัญเท่าเฮียของผมอีกแล้ว

เมื่อริมฝีปากของเราสัมผัสกัน เหมือนเรื่องราวในอดีตถูกฉายวนขึ้นในมโนภาพ ความรักของเฮียชัดเจนเสมอ ไม่ว่าสถานการณ์ในชีวิตจะเป็นอย่างไรผมยังมีเขาเป็นที่พึ่งพา เป็นหลักให้ยึดเกาะในช่วงเวลาที่อ้างว้างและโดดเดี่ยว ผมรักเฮียและจะรักตลอดไปตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ

ในขณะที่กำลังแนบริมฝีปากเข้าหากัน หัวใจของผมเต้นรัวเมื่อถูกโอบกอดและจูบตอบรับกลับมา เฮียสู้มากและแข็งแรงขึ้นจนรู้สึกได้

ทว่าผมก็โล่งใจได้เพียงไม่นาน เหมือนว่าแรงของเฮียเริ่มจะหมดจึงจูบเฮียย้ำๆ เพื่อกระตุ้นให้ตอบสนอง และมันก็ได้ผล เฮียตอบรับกลับมาอีกครั้ง

แต่แล้วเพียงครู่เดียวก็แผ่วลงอีก จึงต้องกระตุ้นอีกครั้งซึ่งคราวนี้กลับเบาลงเรื่อยๆ
แผ่วเบาลงอีกไม่ว่าจะกระตุ้นกี่ครั้งก็ยังเบาลง 

จนนิ่งสนิทไปในที่สุด..

“ฮ..ฮึกก..ฮื...อ” ผมยังคงจูบเฮียต่อไปพร้อมกับเริ่มสะอื้นหนักขึ้น “ฮือออ ฮื้อออ” ลมหายใจของเฮียขาดหายไปแล้ว
ขาดหายไปจากผมแล้ว..

“ฮื้อออ เฮียย..” ตัวผมสั่นรุนแรงเมื่อชัดเจนกับความรู้สึกแล้วว่าลมหายใจของเฮียไม่กลับมา   

“..ฮื้อๆๆๆ ม..หมอ ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! ฮือออ” ผมกอดร่างไร้ลมหายใจของเฮียไว้พร้อมกับสะอื้นไห้ปริ่มจะขาดใจ ไม่เคยรู้เลยว่ารักเฮียมากขนาดนี้ ไม่เคยรู้เลยว่าถ้าขาดเฮียไปจะโศกเศร้าได้ขนาดนี้ 

ไม่เคยรู้เลยว่าเมื่อคนที่เรารักจากไปจะส่งผลกระทบถึงหัวใจได้รุนแรงถึงเพียงนี้   

หมอวรรตเดินเข้ามานั่งข้างๆ แล้วสอดมือเข้าไปแตะที่ช่วงคอ ภาพของเขาพร่ามัวเนื่องจากม่านน้ำที่อาบเลอะรอยดวงตา 

“ให้คุณเผ่านอนราบหน่อยครับ” หมอวรรตบอกและผมรีบทำตาม  จากนั้นเขาจึงทำ CPR ให้อยู่ครู่ใหญ่

“ไม่นะหมอ อย่าเพิ่งถอดใจ เฮียยังกลับมาได้ ปั๊มหัวใจต่อสิ หมอ หมอกลับมา ฮึก ฮืออ ฮือๆๆ” ผมร้องขอความเห็นใจเมื่อหมอวรรตพยายามอยู่นานแต่เฮียกลับไม่ตอบสนองอะไรเลย

“ผมพยายามเต็มที่แล้วครับ”

“ม..ไม่! เฮีย ไม่นะเฮีย..อย่าทิ้งดอท! ไหนบอกว่ารักดอทไง ฮึกก ไหนบอกว่าจะอยู่ด้วยกัน ฮืออ กลับมาหาดอทสิครับ กลับมาบอกรักดอทเดี๋ยวนี้ กลับมา!! ฮืออ ฮื้อออ”

“ม..หมอ” ผมเงยหน้ามองหมอวรรตเพื่อให้เขาช่วยอีกครั้ง แต่เขากลับส่ายหน้าเบาๆ

“พี่ดอท..” ดินแดนเข้ามาจับแขน “เฮียเขาไปดีแล้วนะพี่” 

ผมส่ายหัวแล้วยกตัวเฮียขึ้นมากอดเฮียไว้แน่นขึ้น

“..ฮืออ ไม่เอา.. ฉันจะอยู่กับเฮีย ฮึกก ฮือออ” ผมยังคงจูบเฮียย้ำๆ หวังจะให้จุมพิตจากรักแท้ชุบชีวิตเฮียขึ้นมาเหมือนในเทพนิยาย

ทำไมล่ะ ผมรักเฮียขนาดนี้ เฮียก็รักผมขนาดนี้ แล้วทำไมต้องพรากเฮียไปด้วย ผมไม่ยอมนะ..

ผ่านไปนานราวสิบนาที ถึงตอนนี้เพิ่งจะได้ยินเสียงไซเรนส์ดังใกล้เข้ามา น่าจะเป็นรถพยาบาลหรืออาจเป็นรถตำรวจ

หึ.. มาทำไมตอนนี้ล่ะ เฮียไปแล้ว เฮียจากผมไปแล้ว จากไปแล้ว ได้ยินไหม!!


“คุณครับ ขอดูอาการคนเจ็บหน่อยครับ” ได้ยินเสียงแต่ผมไม่สนเพราะไม่อยากให้ใครมาพรากเฮียไป

“ไม่เป็นไรครับ ขอเวลาให้เขาทำใจหน่อย” หมอวรรตยื่นนามบัตรให้เจ้าหน้าที่ “คนเจ็บหมดลมหายใจไปราวสิบนาที นานเกินกว่าจะเรียกกลับแล้วครับ โดนยิงตัดหลอดเลือดใหญ่ที่คอและเสียเลือดมากเกินไป ผม CPR ให้แล้วแต่สัญญาณชีพไม่กลับมา” เสียงหมอวรรตพูดขึ้นและสักพักก็เข้ามานั่งใกล้ๆ  “คุณต้องรีบตั้งสติให้ได้ ถ้าเฮียของคุณรู้ว่าคุณโศกเศร้าขนาดนี้ เขาจะไม่สงบนะ” 

ได้ยินแล้วกลับสะอึกสะอื้นหนักขึ้น ถ้าเฮียไปแล้วไม่สงบก็มารับดอทไปด้วยสิ มารับดอทไปกับเฮียนะ

“ฮื้ออ ฮือออ”


หมอวรรตทิ้งระยะสักพักแล้วจึงเริ่มให้สติอีกครั้ง “เข้มแข็งนะคุณ เพื่อเขาจะได้สบายใจ”

ผมพยายามทำใจอย่างหนักในการควบคุมสติ แล้วก็ต้องจำใจพยักหน้าจากนั้นก็ค่อยๆ ปล่อยตัวเฮีย

“ค่อยๆ ลุกนะครับ เดี๋ยวน้องจะเป็นลม” พี่เวย์เข้ามาช่วยประคอง

ดินแดนลูบเช็ดน้ำตาให้แต่มันก็ไหลลงมาอีกเรื่อยๆ เขาจึงจูบที่หน้าผากแล้วประคองใบหน้าผมไว้ให้มองสบตาก่อนจะบอกด้วยเสียงอ่อนโยน

“ผมจะไปกับเฮียเอง พี่ดอทไม่ต้องห่วงเฮียนะ”  จำใจพยักหน้าตอบรับอย่างไร้สติ มองดินแดนเดินไปที่รถเตรียมขับตามไปโรงพยาบาล

หมอวรรตเรียกเจ้าหน้าที่เข้ามาจัดการ แต่เมื่อได้เห็นว่าเฮียกำลังจะถูกนำขึ้นเปล ผมที่ยืนดูอยู่ไม่ห่างก็สะบัดตัวออกจากพี่เวย์จนหลุดและพยายามจะเข้าไปหาเฮียอีกครั้ง

“ไม่! อย่าเอาเฮียไป อย่าเอาไป! ดอทจะอยู่กับเฮียย ฮืออออ ฮื้อออ เอาเฮียคืนมา!” พี่เวย์รวบตัวผมไว้ได้และยื้อกันอยู่อย่างนั้นจนตอนนี้ร่างเฮียเข้าไปในรถและขับออกไปในที่สุด 

“เฮียย!!” ผมร้องเรียกสุดเสียงพร้อมกับหัวใจที่แตกสลายไม่มีชิ้นดี

“น้อง! โธ่น้อง.. นายวรรตมาดูดอทก่อน! น้องเป็นลมไปแล้ว!”


.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

:mew2:
สงสารเฮียเผ่า ที่จริงตัวละครตัวนี้นายน้อยไม่ได้เกลียดเลยนะ
ค่อนข้างชอบด้วยซ้ำที่มีความเลวในความดีชัดเจนไม่มีความตอแหลเลย
มนุษย์เรา มีดี มีเลว อยู่ในตัวเอง อาจดีกับคนนั้นแต่เลวมากกับคนนี้
จึงเป็นข้อคิดที่ว่าอย่าเกลียดคนอื่นจากคำบอกเล่าของใคร
นายน้อยรักเฮียเผ่าที่เฮียแกรักดอท อาจมีเผลอทำผิดแต่รู้จักกลับตัว
แต่เสียดายที่เฮียกลับตัวช้าไป บางทีโอกาสก็ถูกเตรียมไว้ในเวลาของมัน
ถ้าเราฉวยโอกาสในเวลานั้นมันไม่ได้ ก็อาจจะเรียกร้องเอากลับมาไม่ได้..ตลอดกาล..

คุยกันมันส์ดี

Janemera : ไม่แน่ว่าอาจจะนกทั้งพี่ทั้งน้องนะคะ ฮือออ

วันหนึ่ง : อาจมีนกทั้งคู่ แง๊ๆ

dekying kukkig : เรื่องเฮียเผ่าเคลียร์แล้ว แต่ใจดอทก็พังไปแล้ว ไม่รู้จะกู้คืนได้มั้ย ตัดจบแบบนี้เลยดีป่าว โฮฮฮ

TachibanaRain : ขออนุญาตแบนคนนี้ได้มั้ย เอะอะแทะโลมพี่ดินตลอดดดดดดดดด

songte : ดอทเลือกเฮียเผ่าแล้วค่า ฮืออ

kunt : หรือควรตัดจบตรงนี้ดีน้า จะได้ไม่ต้องพันกันมั่วอีก อิๆ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 17 : ภาวะแตกสลาย 《2/10/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 02-10-2018 21:55:50
โหหหหหห นายน้อยเลือกวิธีตัดเฮียเผ่าออกไปแบบนี้นี่โคตรไม่แฟร์เลยจริงๆ ถ้าจากเป็นอย่างน้อยมันก็มีอะไรมาลบล้างกันได้อย่างการกระทำต่างๆของเฮียที่ทำให้ดอทตัดใจได้ แต่พอมาจากตายมันก็จะกลายเป็นว่าทำให้ดอทยึดติดกับเฮียเผ่าเข้าไปใหญ่ ทีนี้ดอทก็จะปิดใจและไม่เปิดใจให้ใครแล้วแน่ๆ เพราะความคิดของดอทตอนนี้คือเฮียดีที่สุด รักเฮียมากที่สุด ต่อไปพี่เวย์กับหมอวรรตคงงานหนักเลยทีนี้จากตอนแรกที่มีความหวังแบบริบหรี่หลังจากนี้คงเป็นศูนย์ ทำไมนายน้อยใจร้ายแบบนี้นะอ่านจบแล้วอยากร้องกรี๊ดด้วยความขัดใจจริงๆ

ปล. อย่าแบนเราาาาาา เดี๋ยวพี่ดินเสียใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 17 : ภาวะแตกสลาย 《2/10/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 02-10-2018 22:23:21
 :z3: :o12: :hao5:ไม่ได้อยากให้มีใครตายเลย เฮียพยายามแก้ไขแต่กลายเป็นว่าเรื่องมันบานปลายไปกว่าเดิม แต่ในเรื่องความรักที่มีให้กับดอทเฮียแกก็รักไม่แพ้ใคร เอาเป็นว่าต่อจากนี้ใครจะเยียวยาสภาพของจิตใจน้องดอทที่ยึดติดกับเฮียเผ่าตลอดล่ะ น้องจะสู้มันต่อไปได้มั้ย :ling2: :ling3:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 17 : ภาวะแตกสลาย 《2/10/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 02-10-2018 22:46:52
omg... มาแนวนี้อล้วบอกเลยว่าขอ Bad End ค่ะ น้องตายตามเลยก็ได้ แงงงงงงง พี่เผ่าของน้อง  :hao5:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 17 : ภาวะแตกสลาย 《2/10/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 03-10-2018 01:38:00
หลบไปร้องไห้แป้บ คนเลวที่รักเธอเลยทีเดียว  :o12:
ตัดตัวเลือกกันแบบนี้เลย คนเขียนเอาแบบนี้เลย
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 17 : ภาวะแตกสลาย 《2/10/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 03-10-2018 03:12:46
ทำไมเราถึงไม่สงสารเฮียหว่า นี่เป็นบทเรียนที่คนแบบเฮียสมควรได้รับแล้วละค่ะ จริงๆก็ไม่ได้อยากจะให้เค้าถึงตายหรอก แต่คนแบบนี้ต้องเจอพวกแรงๆสุดกู่แบบผู้หญิงคนนี้นั่นละ ถึงจะเข็ด เลิกได้แบบถาวร คนแบบเผ่าเหมือนคนที่เรารู้จักหลายๆคนเป็นพวกสร้างปัญหาเก่ง แต่แก้ปัญหาไม่เป็นจนมันบานปลาย สุดท้ายก็มีแต่ความสูญเสีย ในส่วนของดอทเราขัดใจมากที่ดอทดีเกินไป สำหรับเราต่อให้คนของเราจะรักเราขนาดไหนแต่เรื่องที่ไปมั่วไปมีคนอื่นเอาไม่เลือกไม่เกี่ยงแบบเผ่า เราถือว่าไม่ให้เกียรติตัวเราและความรักของเรามากๆ เพราะไม่ใช่แค่ตัวเค้าจะถูกมองว่าไม่ดี มันลามมาถึงเราด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นเราคงจะหันมารักตัวเองดีกว่าไปจมอยู่กับคนแบบเผ่าค่ะ เพราะเราว่าความรักในส่วนนั้นมันอาจจะเป็นความผูกพันธ์มากกว่า เฮ้ออ บางครั้งมันก็แยกยากค่ะ อันไหนผูกพันธ์ อันไหนความรัก ดังนั้น ถอยออกมาดีกว่าดันทุรังอยู่ด้วยกัน เพราะเราไม่อาจบอกได้ว่าผู้ชายประเภทนี้เค้าจะเลิกอย่างที่ปากบอกได้มั้ย..... //อินมากเพราะเผ่านี่ตัวแทนนิสัยผู้ชายไทยหลายๆคนที่เรารู้จักเลยค่ะ 5555
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 17 : ภาวะแตกสลาย 《2/10/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: วันหนึ่ง ที่ 03-10-2018 14:20:57
ยังไงก็ไม่โอเค ตรงที่พาไปทำแท้ง ถึงสองคนนี้จะได้คู่กันเพราะรัก แต่จะไม่รู้อะไรเลยหรอ กับที่พรากชีวิตเด็กไป หรือก่อนไปทำแท้งได้ปรึกษาหมอแล้ว
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 17 : ภาวะแตกสลาย 《2/10/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 04-10-2018 22:47:20
ตอนแรกพออ่านถึงก่อนตอนที่ 17 ผมว่าจะคอมเมนท์ว่าเรื่องมันเริ่มไม่น่าสนใจ เพราะว่าผมรู้สึกว่าเรื่องเริ่มเทไปที่ไปพี่เวย์กับหมอวรรษเยอะแบบแปลกๆ แล้วมันเหมือนจงใจจะทำให้สองตัวละครนั้นเด่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสำหรับผม มันดู ‘จงใจ’ มากเกินไปหน่อยน่ะครับ ดูป๋าดันจนตะหงิดๆ แต่พอมาอ่านว่าเฮียดันตาย อ้อ...รู้ละทำไม (หัวเราะ)

เอาทีละเรื่องก่อนละกันครับ เอาเรื่องติก่อน เพราะเรื่องชมผมก็ชมไปเยอะแล้ว (หัวเราะ) อย่างที่บอกครับ นักอ่านหลายคนหลายๆครั้งเค้าสัมผัสได้นะครับเวลานักเขียนพยายาม ‘จงใจ’ จะทำอะไรหรือจะผลักดันคาแรกเตอร์ตัวไหน เพราะมันจะขัดกับโทนเรื่องหรือสเกลเรื่องที่ผ่านๆมา ตรงนี้มันมี Contradict issue อยู่เหมือนกัน คือ ในมุมของนักเขียน เค้ารู้ว่าพล็อตของเค้าจะเป็นยังไง เค้าจะโปรตัวละครไหน นักเขียนสามารถดึงพล็อตให้เอียงไปทางตัวละครที่เค้าจะดันได้ ซึ่งจะทำให้เมคเซนส์ในมุมของนักวิเคราะห์วรรณกรรมเมื่ออ่านนวนิยายจบแล้ว แต่ในมุมนักอ่าน โดยลอจิกของนักอ่านแล้วเค้าจะเห็นเคมีของตัวละคร แล้วเทียบเคียงมาเป็นบุคคลในชีวิตหรือสังคมจริง ดังนั้นเค้าจะสามารถ interact กับตัวละครที่เราสร้างมาได้ดีกว่าตัวนักเขียนเอง นักอ่านมักจะรู้ว่าคนแบบนี้ชีวิตจริงคิดยังไงเป็นยังไง เพราะนักอ่านหลายคนสัมผัส ‘ตัวละครจริง’ ของ ‘บุคลิกสมมุติ’ ที่นักเขียนแค่อยากสร้างขึ้นมา ดังนั้นหลายๆครั้งเราจะเห็นในวงการหนังสือว่า นักอ่านปฏิเสธหรือไม่ยอมรับพล็อตของนักเขียน เพราะมันไม่เมคเซนส์ในความเป็นจริงครับ

ประเด็นของผมคือ อย่าพยายามดันตัวละครอะไรจนผิดสังเกต ลองสังเกตง่ายๆยกตัวอย่างเรื่องนี้ คือตอนสองตอนมานี้ ดอททำตัวเหมือนเป็นศิราณีมาก ตั้งแต่เข้าป่าละ เอะอะถาม เอะอะสอบปากคำ อีกฝ่ายก็หน้าซื่อเล่าเป็นคุ้งเป็นแKังกับช่วงเวลาระบายดราม่าคลับฟรายเดย์ เฮ้ย เดี๋ยว นี่ไม่ใช่บทโทรทัศน์ นี่มันบทสนทนาวรรณกรรม ทั้งพี่เวย์ทั้งหมอวรรษเลย โอ้โหพูดกันยังกับรายการเจาะใจ มันดูจงใจไปหน่อยอะครับ โดยนิสัยของผู้ชายไม่มีใครจะมาจี้ระบายกันแบบนี้ ถ้าเราจะเผยปมของตัวละคร ผมอยากให้ค่อยๆใส่มาครับ ให้เหมือนฉากสบายๆเรื่อยๆ แล้วตัวละครพูดออกมาเองทีละอย่าง เพราะอยากให้อีกฝ่ายยอมรับ มันจะละมุนละไมแล้วให้คนอ่านซึมซับได้มากกว่าพุ่งมาโครมเดียวยังกับแม่น้ำหลาก มันจะค่อยๆทำให้ตัวละครนึงเริ่มเปิดใจมองอีกตัวละครนึงในมุมใหม่ๆ

พี่เวย์กับหมอวรรษเป็นตัวละครเสริมที่พึ่งมามีบททีหลัง จะมาอธิบายอะไรรัวๆอันนี้ผมว่าข้อมูลมันเยอะไปแล้วดูจงใจเกินเหตุ ที่เป็นอย่างนี้ อาจจะเพราะด้วยคาแรกเตอร์ตัวละครมันชัดมากมาตั้งแต่ช่วงแรก (ก่อนหน้าตอนที่ 15) ดังนั้นเคมีของตัวละครมันจะดำเนินไปได้ตามท้องเรื่องของมัน การที่เราจะไปบังคับให้มันมีฉากอะไรที่ขัดกับพื้นนิสัยตัวละคร มันจะทำให้ดูจงใจจนนักอ่านสัมผัสได้น่ะครับ ผมเข้าใจว่า คุณฟิคชันจะรีบเคลียร์ปมสองคนนี้ก่อนที่จะตัดเฮียออกไป เพื่อที่จะโพสเกรสความสัมพันธ์ได้ แต่ส่วนตัวแล้ว ผมไม่เห็นด้วยนะครับ เพราะสำหรับผม พี่เวย์เป็นตัวละครที่ดูแบนมาก คือดีนะ แล้วยังไงต่อ? ดี หล่อ เล่นกีฬาเก่ง สูง แล้วจะดึงมาโยงกับดอทยังไง? ช่วงเวลาที่มันจี้สร้างความสัมพันธ์มันผ่านไปแล้ว (ตอนเด็กของดอท) ซึ่งพระเอกในช่วงนั้นคือเผ่าพงศ์ ดังนั้นเผ่าพงศ์จะมีมิติมากขึ้นเมื่อเรามาพิจารณาความสัมพันธ์ของดอท แต่สำหรับพี่เวย์คือถูกตัดออกไป แล้วก็โผล่มาใหม่ แล้วก็ไปติดป่า? คือผมไม่คิดว่าแค่การไปติดป่า มันจะสร้างความสัมพันธ์เท่ากับระยะเวลาที่ดอทใช้กับเผ่าพงศ์เป็นสิบปีน่ะนะครับ แต่การที่คุณฟิคชันบรรยายให้ดอทหวั่นไหวกับพี่เวย์มากพอควร มันเลยทำให้ผมดูออกว่าเรากำลังโปรโมตตัวละครอยู่ และส่วนตัวด้วยพื้นนิสัยของตัวเวย์ ผมว่าตัวละครแบบนี้มันจืดจางและแบนไปหน่อยสำหรับโทนเรื่องของดอทนะครับ

ส่วนหมอวรรษ ผมเคยคอมเมนท์เกี่ยวกับตัวละครนี้ไปแล้วว่าบุคลิกเขาใช้ได้นะครับ แต่สำหรับมุมนักอ่านที่เห็นคนนิสัยแบบนี้ แล้วอยู๋ในสภาพแวดล้อมที่ไปเจอคนแบบดอทซึ่งไม่มีใครเลย เคมีมันเหมาะเป็นเพื่อนมากกว่า

ทีนี้มาที่เผ่าพงศ์ การตายของเผ่าพงศ์ก็เป็นอะไรที่ผมว่าค่อนข้างพระเอกนะครับ คือมันเป็น Game Changing จริงๆเลยล่ะ ในแง่ของดราม่าด้วย เพราะเอาจริงๆการที่เผ่าพงศ์ถึงขั้นคว้าดอทกอดคร่อมตัวทับนี่มันทุ่มเทมากเลยนะครับ มันไม่ใช่แค่ฉากกระโดดบังแบบพระเอกนิยายไทยสมัยก่อน แต่ฉากแบบนี้นี่มันคือยอมแลกชีวิตอย่างเห็นๆ เพราะว่าโดยปกติการคร่อมทับเป็นเกราะคุ้มมันจะบังทุกอย่างที่มาจากทุกทาง ดังนั้นมันแสดงถึงเจตนาเผ่าพงศ์ได้ชัดเจนแบบที่ไม่ต้องบรรยายอย่างอื่นเพิ่ม แค่นี้ก็ได้ใจผมแล้วอะ แล้วก็อย่างที่ผมเคยคอมเมนท์ไปสองตอนก่อน เผ่าพงศ์เป็นคนเดียวที่ผมคิดว่ามาวินที่สุดด้วยความสัมพันธ์น่ะนะครับ แต่ทีนี้พอตายแล้วจะทำยังไง ผมยังเดาเรื่องไม่ออกเลย สงสัยต้องเชียร์ดินแดนแทนแล้วมั้งครับ (หัวเราะ) เพราะสองคนนั้นสำหรับผมดูแล้ว ถ้าเอาเป็นคู่สำหรับโทนเรื่องดราม่าแบบดอท มันดูขัดๆยังไงก็ไม่รู้ครับ

เพราะการเสียคนที่รักเราที่สุดไป มันทรมานนะครับ ยิ่งเป็นคนที่รักเรามากจนยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะอยู่กับเรา แล้วเราเมื่อรับรู้ความตั้งใจของเค้า ก็อยากจะใช้ชีวิตกับเค้า ยิ้ม หัวเราะ งอนง้อ อ้อน คอยตามใจเค้าแล้วก็คอยให้เค้าตามใจ แต่พอโอกาสนั้นมันปลิวไป ดอทจะแตกสลายก็ไม่แปลกครับ เผ่าพงศ์เป็นคนที่กู้ชีวิตดอทจากภาวะที่เคยแตกสลายขึ้นมา แต่ปรากฏสุดท้ายแล้วดอทกลับไม่สามารถจะอยู่กับเค้าได้ ไม่สามารถจะมีความสุขกับเค้าได้ทั้งๆที่รับรู้ความตั้งใจ แล้วยิ่งสิ่งสุดท้ายที่ทำให้เค้าถูกพรากเราไป เพราะความแน่วแน่ของเค้าที่จะปกป้องเรา ความรู้สึกตรงนี้มันน่าสงสารมากนะครับ การจะให้ใครมาแทนนี่ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายและทำได้ ผมถึงบอก ถ้ามองกันตามรูปการณ์ ผมว่าผมคงต้องถือธงดินดอทล่ะครับ (หัวเราะ)

ขอเสริมนิดนึงเกี่ยวกับการที่เส้นเลือดแดงที่คอขาด เส้นเลือดแดงใหญ่ขาดก็เป็นเคสอันตรายพอสมควรแล้ว แต่สำหรับเส้นเลือดแดงใหญ่ที่คอขาด อาจจะอันตรายมากเพราะว่าสมองจะเริ่มทยอยขาดออกซิเจนที่ลำเลียงผ่านเส้นเลือด ‘ถ้า’ (เน้นคำว่าถ้า นะครับ) เกิดขึ้น แล้วศัลยแพทย์อุบัติเหตุมีฝีมือมากพอที่จะให้ยาระงับการเต้นของหัวใจชั่วคราว (ต้องปฏิบัติในห้องผ่าตัดเท่านั้น ควรมีการคำนวนโดสยาโดยวิสัญญีแพทย์ด้วย) แล้วสามารถเย็บซ่อมหลอดเลือดได้ภายใน 90-120 วินาที เผ่าพงศ์จะรอดชีวิตครับ และอีกเรื่องนึงนะครับ สำคัญมาก เส้นเลือดแดงขาด ห้าม CPR ห้ามกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนอีก ไม่งั้นเลือดกระฉูดเต็มหน้ายิ่งกว่าหนังสยองขวัญนะครับ เย็บซ่อมเส้นเลือดเท่านั้น

ดังนั้น จะเห็นว่านี่เป็นอันตรายอย่างนึงที่ผมคิดว่าเรากำลังละเลย เพราะความจริงเคสแบบเผ่าพงศ์ ‘ป้องกันได้’ นะครับ แต่เราต้องมีของสองอย่างซึ่งหายากมากๆ หนึ่ง ศัลยแพทย์อุบัติเหตุ ศัลยแพทย์อุบัติเหตุที่มีประสบการณ์และมีฝีมือจะสามารถเชื่อมและเย็บซ่อมเส้นแดงแดงใหญ่ภายในระยะเวลาอันสั้นได้ แต่มัน Critical มาก เพราะต้องทั้งแข่งกับเวลาและใช้ความแม่นยำสูง การมีบุคลากรแบบนี้จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตในอุบัติเหตุแบบนี้ได้เยอะมากครับ แต่ปัจจุบันในไทยยังมีศัลยแพทย์อุบัติเหตุน้อยมากๆ ทำให้ศัลยแพทย์อุบัติเหตุที่ประจำการต้องทำทุกอย่าง และมันอาจไม่ทันการณ์ต่อชีวิตของคนไข้ สอง เราต้องมี ‘ยานพาหนะผ่าตัดเคลื่อนที่’ แนวคิดนี้เริ่มมีแล้วในกลุ่มประเทศแถบยุโรป พาหนะอันนี้จะเป็นคล้ายๆรถพยาบาล แต่สามารถใช้เป็นห้องผ่าตัดฉุกเฉินได้ ซึ่งจำเป็นมากต่อการทำ Field Operation ดังนั้นถ้ามีและสามารถเข้าถึงเผ่าพงศ์ได้อย่างรวดเร็ว (ซึ่งเรากดห้ามเลือดไว้ก่อนก็ถือว่ากล้อมแกล้มน่ะนะครับ) ก็จะยังพอมีโอกาส
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 17 : ภาวะแตกสลาย 《2/10/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 05-10-2018 14:57:43
ตอนแรกพออ่านถึงก่อนตอนที่ 17 ผมว่าจะคอมเมนท์ว่าเรื่องมันเริ่มไม่น่าสนใจ เพราะว่าผมรู้สึกว่าเรื่องเริ่มเทไปที่ไปพี่เวย์กับหมอวรรษเยอะแบบแปลกๆ แล้วมันเหมือนจงใจจะทำให้สองตัวละครนั้นเด่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสำหรับผม มันดู ‘จงใจ’ มากเกินไปหน่อยน่ะครับ ดูป๋าดันจนตะหงิดๆ แต่พอมาอ่านว่าเฮียดันตาย อ้อ...รู้ละทำไม (หัวเราะ)

เอาทีละเรื่องก่อนละกันครับ เอาเรื่องติก่อน เพราะเรื่องชมผมก็ชมไปเยอะแล้ว (หัวเราะ) อย่างที่บอกครับ นักอ่านหลายคนหลายๆครั้งเค้าสัมผัสได้นะครับเวลานักเขียนพยายาม ‘จงใจ’ จะทำอะไรหรือจะผลักดันคาแรกเตอร์ตัวไหน เพราะมันจะขัดกับโทนเรื่องหรือสเกลเรื่องที่ผ่านๆมา ตรงนี้มันมี Contradict issue อยู่เหมือนกัน คือ ในมุมของนักเขียน เค้ารู้ว่าพล็อตของเค้าจะเป็นยังไง เค้าจะโปรตัวละครไหน นักเขียนสามารถดึงพล็อตให้เอียงไปทางตัวละครที่เค้าจะดันได้ ซึ่งจะทำให้เมคเซนส์ในมุมของนักวิเคราะห์วรรณกรรมเมื่ออ่านนวนิยายจบแล้ว แต่ในมุมนักอ่าน โดยลอจิกของนักอ่านแล้วเค้าจะเห็นเคมีของตัวละคร แล้วเทียบเคียงมาเป็นบุคคลในชีวิตหรือสังคมจริง ดังนั้นเค้าจะสามารถ interact กับตัวละครที่เราสร้างมาได้ดีกว่าตัวนักเขียนเอง นักอ่านมักจะรู้ว่าคนแบบนี้ชีวิตจริงคิดยังไงเป็นยังไง เพราะนักอ่านหลายคนสัมผัส ‘ตัวละครจริง’ ของ ‘บุคลิกสมมุติ’ ที่นักเขียนแค่อยากสร้างขึ้นมา ดังนั้นหลายๆครั้งเราจะเห็นในวงการหนังสือว่า นักอ่านปฏิเสธหรือไม่ยอมรับพล็อตของนักเขียน เพราะมันไม่เมคเซนส์ในความเป็นจริงครับ

ประเด็นของผมคือ อย่าพยายามดันตัวละครอะไรจนผิดสังเกต ลองสังเกตง่ายๆยกตัวอย่างเรื่องนี้ คือตอนสองตอนมานี้ ดอททำตัวเหมือนเป็นศิราณีมาก ตั้งแต่เข้าป่าละ เอะอะถาม เอะอะสอบปากคำ อีกฝ่ายก็หน้าซื่อเล่าเป็นคุ้งเป็นแKังกับช่วงเวลาระบายดราม่าคลับฟรายเดย์ เฮ้ย เดี๋ยว นี่ไม่ใช่บทโทรทัศน์ นี่มันบทสนทนาวรรณกรรม ทั้งพี่เวย์ทั้งหมอวรรษเลย โอ้โหพูดกันยังกับรายการเจาะใจ มันดูจงใจไปหน่อยอะครับ โดยนิสัยของผู้ชายไม่มีใครจะมาจี้ระบายกันแบบนี้ ถ้าเราจะเผยปมของตัวละคร ผมอยากให้ค่อยๆใส่มาครับ ให้เหมือนฉากสบายๆเรื่อยๆ แล้วตัวละครพูดออกมาเองทีละอย่าง เพราะอยากให้อีกฝ่ายยอมรับ มันจะละมุนละไมแล้วให้คนอ่านซึมซับได้มากกว่าพุ่งมาโครมเดียวยังกับแม่น้ำหลาก มันจะค่อยๆทำให้ตัวละครนึงเริ่มเปิดใจมองอีกตัวละครนึงในมุมใหม่ๆ

พี่เวย์กับหมอวรรษเป็นตัวละครเสริมที่พึ่งมามีบททีหลัง จะมาอธิบายอะไรรัวๆอันนี้ผมว่าข้อมูลมันเยอะไปแล้วดูจงใจเกินเหตุ ที่เป็นอย่างนี้ อาจจะเพราะด้วยคาแรกเตอร์ตัวละครมันชัดมากมาตั้งแต่ช่วงแรก (ก่อนหน้าตอนที่ 15) ดังนั้นเคมีของตัวละครมันจะดำเนินไปได้ตามท้องเรื่องของมัน การที่เราจะไปบังคับให้มันมีฉากอะไรที่ขัดกับพื้นนิสัยตัวละคร มันจะทำให้ดูจงใจจนนักอ่านสัมผัสได้น่ะครับ ผมเข้าใจว่า คุณฟิคชันจะรีบเคลียร์ปมสองคนนี้ก่อนที่จะตัดเฮียออกไป เพื่อที่จะโพสเกรสความสัมพันธ์ได้ แต่ส่วนตัวแล้ว ผมไม่เห็นด้วยนะครับ เพราะสำหรับผม พี่เวย์เป็นตัวละครที่ดูแบนมาก คือดีนะ แล้วยังไงต่อ? ดี หล่อ เล่นกีฬาเก่ง สูง แล้วจะดึงมาโยงกับดอทยังไง? ช่วงเวลาที่มันจี้สร้างความสัมพันธ์มันผ่านไปแล้ว (ตอนเด็กของดอท) ซึ่งพระเอกในช่วงนั้นคือเผ่าพงศ์ ดังนั้นเผ่าพงศ์จะมีมิติมากขึ้นเมื่อเรามาพิจารณาความสัมพันธ์ของดอท แต่สำหรับพี่เวย์คือถูกตัดออกไป แล้วก็โผล่มาใหม่ แล้วก็ไปติดป่า? คือผมไม่คิดว่าแค่การไปติดป่า มันจะสร้างความสัมพันธ์เท่ากับระยะเวลาที่ดอทใช้กับเผ่าพงศ์เป็นสิบปีน่ะนะครับ แต่การที่คุณฟิคชันบรรยายให้ดอทหวั่นไหวกับพี่เวย์มากพอควร มันเลยทำให้ผมดูออกว่าเรากำลังโปรโมตตัวละครอยู่ และส่วนตัวด้วยพื้นนิสัยของตัวเวย์ ผมว่าตัวละครแบบนี้มันจืดจางและแบนไปหน่อยสำหรับโทนเรื่องของดอทนะครับ

ส่วนหมอวรรษ ผมเคยคอมเมนท์เกี่ยวกับตัวละครนี้ไปแล้วว่าบุคลิกเขาใช้ได้นะครับ แต่สำหรับมุมนักอ่านที่เห็นคนนิสัยแบบนี้ แล้วอยู๋ในสภาพแวดล้อมที่ไปเจอคนแบบดอทซึ่งไม่มีใครเลย เคมีมันเหมาะเป็นเพื่อนมากกว่า

ทีนี้มาที่เผ่าพงศ์ การตายของเผ่าพงศ์ก็เป็นอะไรที่ผมว่าค่อนข้างพระเอกนะครับ คือมันเป็น Game Changing จริงๆเลยล่ะ ในแง่ของดราม่าด้วย เพราะเอาจริงๆการที่เผ่าพงศ์ถึงขั้นคว้าดอทกอดคร่อมตัวทับนี่มันทุ่มเทมากเลยนะครับ มันไม่ใช่แค่ฉากกระโดดบังแบบพระเอกนิยายไทยสมัยก่อน แต่ฉากแบบนี้นี่มันคือยอมแลกชีวิตอย่างเห็นๆ เพราะว่าโดยปกติการคร่อมทับเป็นเกราะคุ้มมันจะบังทุกอย่างที่มาจากทุกทาง ดังนั้นมันแสดงถึงเจตนาเผ่าพงศ์ได้ชัดเจนแบบที่ไม่ต้องบรรยายอย่างอื่นเพิ่ม แค่นี้ก็ได้ใจผมแล้วอะ แล้วก็อย่างที่ผมเคยคอมเมนท์ไปสองตอนก่อน เผ่าพงศ์เป็นคนเดียวที่ผมคิดว่ามาวินที่สุดด้วยความสัมพันธ์น่ะนะครับ แต่ทีนี้พอตายแล้วจะทำยังไง ผมยังเดาเรื่องไม่ออกเลย สงสัยต้องเชียร์ดินแดนแทนแล้วมั้งครับ (หัวเราะ) เพราะสองคนนั้นสำหรับผมดูแล้ว ถ้าเอาเป็นคู่สำหรับโทนเรื่องดราม่าแบบดอท มันดูขัดๆยังไงก็ไม่รู้ครับ

เพราะการเสียคนที่รักเราที่สุดไป มันทรมานนะครับ ยิ่งเป็นคนที่รักเรามากจนยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะอยู่กับเรา แล้วเราเมื่อรับรู้ความตั้งใจของเค้า ก็อยากจะใช้ชีวิตกับเค้า ยิ้ม หัวเราะ งอนง้อ อ้อน คอยตามใจเค้าแล้วก็คอยให้เค้าตามใจ แต่พอโอกาสนั้นมันปลิวไป ดอทจะแตกสลายก็ไม่แปลกครับ เผ่าพงศ์เป็นคนที่กู้ชีวิตดอทจากภาวะที่เคยแตกสลายขึ้นมา แต่ปรากฏสุดท้ายแล้วดอทกลับไม่สามารถจะอยู่กับเค้าได้ ไม่สามารถจะมีความสุขกับเค้าได้ทั้งๆที่รับรู้ความตั้งใจ แล้วยิ่งสิ่งสุดท้ายที่ทำให้เค้าถูกพรากเราไป เพราะความแน่วแน่ของเค้าที่จะปกป้องเรา ความรู้สึกตรงนี้มันน่าสงสารมากนะครับ การจะให้ใครมาแทนนี่ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายและทำได้ ผมถึงบอก ถ้ามองกันตามรูปการณ์ ผมว่าผมคงต้องถือธงดินดอทล่ะครับ (หัวเราะ)

ขอเสริมนิดนึงเกี่ยวกับการที่เส้นเลือดแดงที่คอขาด เส้นเลือดแดงใหญ่ขาดก็เป็นเคสอันตรายพอสมควรแล้ว แต่สำหรับเส้นเลือดแดงใหญ่ที่คอขาด อาจจะอันตรายมากเพราะว่าสมองจะเริ่มทยอยขาดออกซิเจนที่ลำเลียงผ่านเส้นเลือด ‘ถ้า’ (เน้นคำว่าถ้า นะครับ) เกิดขึ้น แล้วศัลยแพทย์อุบัติเหตุมีฝีมือมากพอที่จะให้ยาระงับการเต้นของหัวใจชั่วคราว (ต้องปฏิบัติในห้องผ่าตัดเท่านั้น ควรมีการคำนวนโดสยาโดยวิสัญญีแพทย์ด้วย) แล้วสามารถเย็บซ่อมหลอดเลือดได้ภายใน 90-120 วินาที เผ่าพงศ์จะรอดชีวิตครับ และอีกเรื่องนึงนะครับ สำคัญมาก เส้นเลือดแดงขาด ห้าม CPR ห้ามกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนอีก ไม่งั้นเลือดกระฉูดเต็มหน้ายิ่งกว่าหนังสยองขวัญนะครับ เย็บซ่อมเส้นเลือดเท่านั้น

ดังนั้น จะเห็นว่านี่เป็นอันตรายอย่างนึงที่ผมคิดว่าเรากำลังละเลย เพราะความจริงเคสแบบเผ่าพงศ์ ‘ป้องกันได้’ นะครับ แต่เราต้องมีของสองอย่างซึ่งหายากมากๆ หนึ่ง ศัลยแพทย์อุบัติเหตุ ศัลยแพทย์อุบัติเหตุที่มีประสบการณ์และมีฝีมือจะสามารถเชื่อมและเย็บซ่อมเส้นแดงแดงใหญ่ภายในระยะเวลาอันสั้นได้ แต่มัน Critical มาก เพราะต้องทั้งแข่งกับเวลาและใช้ความแม่นยำสูง การมีบุคลากรแบบนี้จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตในอุบัติเหตุแบบนี้ได้เยอะมากครับ แต่ปัจจุบันในไทยยังมีศัลยแพทย์อุบัติเหตุน้อยมากๆ ทำให้ศัลยแพทย์อุบัติเหตุที่ประจำการต้องทำทุกอย่าง และมันอาจไม่ทันการณ์ต่อชีวิตของคนไข้ สอง เราต้องมี ‘ยานพาหนะผ่าตัดเคลื่อนที่’ แนวคิดนี้เริ่มมีแล้วในกลุ่มประเทศแถบยุโรป พาหนะอันนี้จะเป็นคล้ายๆรถพยาบาล แต่สามารถใช้เป็นห้องผ่าตัดฉุกเฉินได้ ซึ่งจำเป็นมากต่อการทำ Field Operation ดังนั้นถ้ามีและสามารถเข้าถึงเผ่าพงศ์ได้อย่างรวดเร็ว (ซึ่งเรากดห้ามเลือดไว้ก่อนก็ถือว่ากล้อมแกล้มน่ะนะครับ) ก็จะยังพอมีโอกาส

พอดีมีประเด็นยาวๆ ก็เลยขอตอบแยกออกมาเป็นพิเศษนะคะ
ก่อนอื่นต้องขอน้อมรับความคิดเห็นค่ะ อ่านแล้วก็นึกอยู่สี่ประเด็นคือ

1. เข้าใจในสิ่งที่คุณGrey Twilightต้องการจะสื่อ เพราะคนอ่านกับคนแต่ง เวลาอยู่ต่อหน้าบทนิยายมันจะคนละฟีลกันอยู่แล้ว การที่มีจุดสงสัย เคลือบแคลง หรือไม่พอใจ เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ

2. ขออภัยหากเหตุการณ์ที่อยู่ในนิยายไม่สมเหตุสมผล นายน้อยขอยอมรับผิดที่อาจรีเสิร์จข้อมูลไม่ดีพอ แต่มีเหตุการณ์สองอย่างที่นายน้อยใช้เป็นเรฟฯนั่นคือ เหตุการณ์ที่หนึ่ง คนรู้จักของนายน้อยถูกยิง และไม่มีหน่วยงานไหนมาช่วยสักทีจนเขาเสียเลือดเจียนตายมาแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่ได้โดนยิงจุดตายแต่เกือบตายได้เพราะไม่ใช่ว่าจะมีการช่วยเหลือแบบทันท่วงทีในทุกสถานการณ์เสมอไป ในบทนิยายดินแดนมาถึงช้ามากเพราะเขาเจอรถติดก่อนแยกที่จะมาถึง เป็นเหตุให้หน่วยงานกู้ชีพมาถึงช้า (และถ้าคำนวณแล้วในบทเป็นเวลาแค่สิบห้านาทีเท่านั้นเองค่ะ แต่บาดแผลฉกรรจ์จึงช่วยไว้ไม่ทัน) เหตุการณ์ที่สองคืออุบัติเหตุรถตู้ชนเด็กวัยรุ่นที่ขี่มอเตอร์ไซค์ ทั้งๆ ที่อุบัติเหตุเกิดขึ้นบนถนนใหญ่ โรงพยาบาลอยู่ไม่ไกลแต่ความช่วยเหลือหรือคนที่มีความสามารถพอจะช่วยเหลือก็ยังมาไม่ทัน และเมื่อเจ้าหน้าที่ไม่สามารถช่วยเหลือคนเจ็บได้แล้วจริงๆ เขาก็ให้เวลาพ่อของเด็ก(ที่บ้านอยู่ไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุ)เดินทางมาถึงและภาพพ่อกอดศพลูกบนถนนที่มีเลือดไหลนองเกิดเป็นภาพข่าวและติดตานายน้อยมากจนได้หยิบเอามาเป็นฉากดังกล่าว ส่วนเรื่องCPR ในบทให้ทำตอนหมดลมหายใจไปแล้วซึ่งนายน้อยยอมรับตามตรงว่าไม่ทราบจริงๆ ว่าทำไม่ได้ ต้องขออภัยมากๆ ในจุดนี้

3. ความเป็นไปของตัวละคร  การที่อยู่ดีๆ ก็มีคนนั้นคนนี้เข้ามาในชีวิตของดอท ถ้าไม่ถูกใครสักคนชักใยอยู่เบื้องหลังก็อาจเป็นเพราะโชคชะตาและมันเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง เคยได้ยินได้เห็นเรื่องราวเหล่านี้ผ่านตาบ้างมั้ยคะ อยู่ดีๆ เดินสวนกับแฟนเก่าแล้วเขาหันกลับมาทักจากนั้นก็ตกหลุมรักกันอีกครั้งอย่างง่ายดาย  หรือมีคนที่ไม่เคยรู้จักเข้ามาทักผิดจากนั้นก็ปิ๊งกัน หรืออาจจะลืมของไว้แล้วมีคนเอามาคืนจนคุยกันถูกคอแล้วพัฒนาต่อจนถึงงานแต่ง นั่นแหละคือโชคชะตา ไหนๆ ก็ยกตัวอย่าง นายน้อยอยากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจริงของคนรู้จัก พี่ผู้หญิงเขาไปเช่าอพาร์ทเม้นอยู่ที่กรุงเทพแล้ววันหยุดกลับมาเยี่ยมบ้านที่ภาคเหนือ ไปท่องเที่ยวหลายที่จนบังเอิญเดินชนผู้ชายคนหนึ่ง ก็ยังไม่มีอะไร แต่บังเอิญนั่งรถทัวร์คันเดียวกันกลับกรุงเทพ กระเป๋าคล้ายกันวางไว้ใกล้กัน ผู้ชายหยิบไป ผู้หญิงว่ิงตามเอาไปเปลี่ยน และนั่นก็ทำให้ได้นัดกินข้าวกัน คุยไปคุยมาถึงได้รู้ว่าอยู่อพาร์ทเม้นเดียวกัน แถมยังห้องตรงข้ามกันด้วย สรุปคือชอบกัน แต่ไม่ได้แต่งงานนะ เลิกกันไปก่อน ที่หยิบมาเล่าคือ มันมีเรื่องน่าทึ่งแบบนี้เกิดขึ้นทุกมุมโลก และในโลกนิยายจะเกิดขึ้นบ้างไม่ได้เชียวหรือ อันนี้เป็นจุดที่นายน้อยชอบนิยายเพราะมันทำให้โลกทัศน์เปิดกว้าง บางอย่างจริงบ้างมโนบ้าง มันคือเสน่ห์ของนิยายค่ะ

4. ความไม่สมจริงของความสัมพันธ์

พี่เวย์ นายน้อยปูเรื่องไว้ตั้งแต่อินโทรว่าเขาคือคนสำคัญ เป็นรักแรกเป็นคนที่เบิกทางความสุขให้ดอทเป็นคนแรกก่อนเฮียเผ่าจะเข้ามาด้วยซ้ำ วัยเด็กของดอทที่มีแต่ความหมกมุ่นเรื่องลูกเมียน้อยและเรื่องป๋าไม่รักแต่กลับมีคนอย่างพี่เวย์เข้ามาให้ความสำคัญ เข้ามาทำดีด้วยและเขาคือคนที่ป๊อบมากในโรงเรียน ความประทับใจมันเกิดขึ้นแน่นอนค่ะ พี่เวย์สร้างself esteemให้กับดอทโดยไม่รู้ตัว ดอทรู้สึกมั่นใจขึ้นที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำในโรงเรียนเพราะพี่เวย์เป็นหนึ่งในกำลังใจสำคัญ ดอทก็มนุษย์คนหนึ่งถึงจะใช้ความเชิดหยิิ่งบังหน้าแต่ภายในใจได้เกิดความสั่นคลอนกับพี่เวย์ไปแล้ว คิด(เอาตามสมองน้อยๆของคนแต่ง)ว่ารักแรกมันคือที่สุดของความรู้สึก การที่ดอทจะหวั่นไหวเมื่อได้พบกันอีกครั้ง นายน้อยคิดว่ามันไม่ได้เกินไปกว่าความจริง
อีกประเด็นก็คือ ที่พี่เวย์พูดพล่ามออกมาตอนที่อยู่ในป่า(หลังจากเก๊กมานาน)คือความอัดอั้นค่ะ 16ปีที่ห่างกันกับคนที่รอมาตลอด สำหรับนายน้อยไม่ใช่การดันแต่เป็นอาการของคนที่เก็บอะไรไว้แน่นอกจนอยากระบายออกมา แล้วอยู่กันสองคนและมีโอกาสพูดจะไม่พูดได้ยังไง  เคยห่างใครนานๆ แล้วมีเรื่องต้องพูดเยอะๆ มั้ยคะ ถ้ามีจะเข้าใจว่าให้พูดกันโต้รุ่งก็ยังได้ แต่นี่พี่เวย์ยังมีความลับอีกมากที่ปิดไว้ จึงตัดจบบทสนทนาไปก่อน (เรื่องที่ผู้ชายไม่ใช่ประเภทมาจ้อจี้พูดมากอันนี้คิดว่าไม่ใช่ผู้ชายทุกคนค่ะ ประสบการณ์ตรงเลย คือผู้ชายเล่าความหลังให้ฟังเป็นฉากๆ คุยทั้งคืนโต้รุ่งจนนายน้อยหลับไปก่อน นั่นคือเรื่องจริง)

ดอท อันที่จริงดอทไม่ใช่คนเงียบแค่ปากหนักและไม่มีเรื่องให้พูดมากกว่า ปกติจะใช้กำแพงกั้นผู้คนออกจากชีวิต ที่คุยจ้อถามนั่นถามนี่กับพี่เวย์เพราะกำลังอะเลิท อะดรีนาลีนหลั่งเพราะรู้สึกว่าเอาชนะพี่เวย์ได้ มันเป็นรีแอคชั่นปกติของคนที่รู้สึกดีใจอะค่ะ และดอทก็อยากรู้เรื่องราวของพี่เวย์มากมายเพราะรู้สึกเสียดายที่ช่วงเวลาเหล่านั้นตนเองไม่ได้อยู่ด้วย และที่จริงอยากรู้อีกมากแต่ด้วยความปากหนัก หลายอย่างก็ยังไม่ได้จี้ถามในสิ่งที่สงสัย

หมอวรรต หมอเป็นคนที่เหมาะเป็นเพื่อนจริงๆ ค่ะ และดอทยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชอบหมอวรรตยังไง แค่รู้ว่าเป็นความสุข ความสนุกที่ดอทหาไม่ได้จากใคร ดอทเป็นคนขาดความรัก ถ้ามีความรักเข้ามา ดอทแค่อยากเก็บมันไว้ กับหมอวรรตคือถ้าหมอไม่รุก ดอทก็จะอยู่เป็นเพื่อนไปเรื่อยๆ แต่พอดีหมอวรรตรุก คนที่หวงความรักอย่างดอทก็มีแต่จะตอบสนอง ขนาดเฮียเผ่าที่ร้ายมาก ดอทยังเสียดายและไม่ยอมเสียไปจนถึงตอนนี้ ดอททนเฮียเผ่าได้ยังไง แค่เรื่องนอกใจก็ไม่มีใครทนแล้ว แต่ถึงขนาดเข้าโรงพยาบาลเพราะเฮียเผ่าซึ่งไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแต่ดอทก็ยังทนอยู่ เป็นเพราะความขาดความพร่องในใจของดอท ความเสียดายที่จะเสียความมั่นคงไปเพราะรู้อยู่ลึกๆ ว่าถ้าไม่ปล่อยมือเอง เฮียเผ่าก็จะไม่มีวันปล่อยอยู่แล้ว   ซึ่งโดยมากสำหรับคนที่มีครอบครัวสมบูรณ์ ถูกเติมเต็มด้วยรักมาตั้งแต่วัยเยาว์จะไม่ทนอยู่แบบดอทแน่นอนค่ะ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดอทเป็น จะใช้ตรรกะของคนปกติมาวัดไม่ได้

เฮียเผ่า หลายคนอาจจะไม่พอใจเพราะเชียร์เผ่าพงศ์จนรู้สึกไม่ยุติธรรมที่นายน้อยตัดตัวละครตัวนี้ไป แต่ยังไงเฮียเผ่าก็ไม่ควรได้ครองคู่กับดอท ไม่ว่าจะรักมากแค่ไหน เราก็ไม่ควรเลือกคนที่จะทำให้อนาคตของเราปั่นป่วน  เฮียเผ่าได้สร้างศัตรูไว้มากมาย ทั้งคู่ขาเก่าๆ(กี่รายต่อกี่ราย) ดินสกาย ซึ่งถ้าดินแดนโหดและเหี้ยมกว่านี้ เฮียเผ่าก็ตายอยู่ดี ไหนจะพ่อของแพรพรที่เป็นอธิบดีกรมตำรวจ ถึงแพรไม่ยิง พ่อของเธอก็อาจจะทำแทนลูกสาว ดูจากศัตรูรอบด้านถึงแม้ไม่ใช่ศัตรูจากธุรกิจมืดแต่เฮียแทบไม่มีมิตร การที่ดอทจะต้องอยู่กับคนที่มีแต่คนจ้องทำลาย มันไม่น่าจะยุติธรรมสำหรับดอท แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้แปลว่าเฮียตายเพื่อให้ดอทมีทางเลือกที่ดีนะคะ แต่ในเรื่อง เฮียเผ่าตาย เพราะกรรมของตนเองค่ะ
(ไม่ใช่ว่าในชีวิตดอทมีแต่เฮียเผ่า แต่เฮียเผ่าเองก็รู้สึกว่าดอทอดทนอยู่กับเอียมาตลอดเช่นกัน การที่เฮียรักมากจนไม่อยากให้เรื่องที่ตัวเองก่อไปกระทบกับดอทจนต้องปกป้องไว้เป็นทั้งความรู้สึกผิดและการแสดงความรักครั้งสุดท้ายที่เฮียจะทำให้ดอทได้)

โดยทั้งหมดที่นายน้อยอธิบาย ไม่ใช่การโต้เถียงหรือตะแบงโต้แย้งข้อคิดเห็น แค่เพียงอยากอธิบายในมุมมองที่นายน้อยแต่ง ซึ่งสำหรับนายน้อย ทุกสิ่งที่เล่าไปมันสมเหตุสมผลในความคิดของนายน้อยแล้ว (อันนี้ไม่นับข้อมูลที่ผิดซึ่งจะลองรีเสิร์จอีกครั้งแล้วจะพยายามแก้ไจจุดผิดถ้าแก้ได้จะแก้ค่ะ)  ทั้งนี้นายน้อยจะไม่เปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องโดยรวมที่คิดว่ามันโอเคแล้วในความรู้สึกเพราะไม่อยากเสียตัวตนของตัวเองไป

ปล. นายน้อยโอเคกับทุกความเห็นนะคะ ขอบคุณด้วยซ้ำที่สละเวลาพิมพ์มายาวๆ  แต่มีหนึ่งจุดที่อยากขอคือ เวลาให้ความเห็นอยากให้เลี่ยงการวงเล็บ (หัวเราะ) จะดีมากเลยค่ะ ทั้งนี้เพราะมันเป็นข้อคิดเห็นที่ไม่เห็นด้วยจึงทำให้รู้สึกถึงความเย้ยหยันในตอนอ่าน ซึ่งนายน้อยไม่ทราบว่าคุณGrey Twilightอยากเย้ยหยันที่นายน้อยแต่งเรื่องได้ไม่ดีหรือแค่พิมพ์เพื่ออรรถรส แค่อยากบอกว่ามันทำให้รู้สึกไม่ค่อยดีเลยค่ะ

ท้ายนี้ ขอบคุณมากๆ สำหรับการติดตาม ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆ ที่นายน้อยจะนำไปพัฒนาต่อไป  และขออภัยสำหรับความบกพร่องต่างๆ และเนื้อเรื่องที่สร้างความขุ่นใจหรือผิดหวัง

ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 17 : ภาวะแตกสลาย 《2/10/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 07-10-2018 07:21:07
อ่านไปร้องไห้ไปสงสารเฮียสงสารดอทอ่ะ จริงๆลึกๆก็เชียร์เฮียที่สุดอ่ะ ถึงจะเลวไปหน่อยแต่ก็รักดอทฮยู่กับดอทมาตลอดเวลา ยิ่งทำแบบนี้ยิ่งรู้ถึงความรักของเฮียอ่ะ จะเลวกับใครแค่ไหนแต่ที่รักเธอคือเรื่องจริงตลอดมาและตลอดไป  :monkeysad:

สำหรับตัวเองส่วนนึงก็ดีใจที่ลงเอยแบบนี้ ไม่อยากให้ลงแบบเฮียนอกใจไปมีคนอื่นหรือทำดอทเจ็บปวดไรงี้ เพราะมันจะกลายเป็นว่าความรักของเฮียมันไม่จริง อย่างน้อยดอทก็มั่นใจว่ามีใครสักคนรักมากๆๆๆอยู่
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 17 : ภาวะแตกสลาย 《2/10/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 07-10-2018 17:07:42
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 17 : ภาวะแตกสลาย 《2/10/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 08-10-2018 21:21:08
 :monkeysad: เราไม่รู้ว่าจะสงสารดอทยังไงดี การทำให้หายไปโดยมีความตายมาเป็นตัวกำหนด ใจจะพังขนาดไหน
แล้วตัวเลือกที่เหลืออยู่จะทำยังไงให้ดอทกลับมาเป็นดอทที่มีความสุขได้อีกครั้ง
รอตอนต่อไปค่านายน้อย
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 17 : ภาวะแตกสลาย 《2/10/2018》P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 09-10-2018 06:40:38
เข้ามาส่อง หลังจากที่จิ้มทิ้งไว้นานแล้ว เผื่อจะผ่านช่วงม่าไปแล้ว

แต่ปรากฏว่ากำลังม่าหนักหน่วงพอดี......... นายน้อยคะ  :o12:

ถือว่าเราเข้ามาส่งกำลังใจก็ได้ค่ะ รอผ่านม่าครั้งนี้ไปก่อนนะ

 :sad4: อ่านแค่แว้บๆ ก็น้ำตาจะไหลไปกับดอท  :hao5:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 18 : ภาวะเงียบงัน 《19/10/2018》P.5
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 19-10-2018 16:37:01
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ต อ น ที่  18  :  ภ า ว ะ เ งี ย บ งั น


หนึ่งสัปดาห์หลังจากเผ่าพงศ์เสียชีวิต


ดินแดน    86 Missed Call

หมอประสาท  42 Missed Call

PA 12 Missed Call

คุณแม่ 3 Missed Call


BALLOON :  คุณดอทคะ ให้พี่ทำยังไงกับห้องเสื้อดีคะ   Read

sweetyDOTcom :  ปิดไปก่อนครับ    

sweetyDOTcom :  ฝากพี่บอลลูนอีเมลแจ้งลูกค้า แคนเซิ่ลร้านต่างๆ ที่เราดีลไว้ อันไหนที่ต้องจ่ายค่าปรับก็จ่ายไป อันไหนโดนยึดมัดจำก็ทำรายการส่งเมลสรุปมา เคลียร์ช่วงนี้ไปก่อน

sweetyDOTcom :  ดอทโอนเงินเดือนให้ทุกคนสามเดือนล่วงหน้า ถ้าได้งานใหม่ก็ไปได้เลย

sweetyDOTcom :  แต่ถ้ายังไม่ได้งานเดี๋ยวใกล้ครบสามเดือนแล้วดอทจะแจ้งอีกที

BALLOON :  ขอบคุณมากค่ะคุณดอท   Read

BALLOON :  พี่บอลลูนขอเข้าห้องเสื้อไปเตรียมคอลเล็กชั่นที่ยังค้างรอคุณดอทไปเรื่อยๆ นะคะ   Read

BALLOON :  คุณดอททำใจดีๆ อย่าคิดมาก รักษาสุขภาพด้วย   Read

BALLOON :  พักผ่อนให้สบายใจ พี่บอลลูนจะรอไม่ไปไหนค่ะ   Read

BALLOON :  รักคุณดอทนะคะ    Read

BALLOON :  Sticker สู้ สู้   Read

++++++++++++++++++++++++++

“หมอวรรต แม่จะทำยังไงดี”

“อาการหนักเลยเหรอครับ”

“ไม่ออกจากห้องมาสี่วันแล้ว งานศพยังไม่ไปเลย”

“เดี๋ยวผมลองเรียกดู”

“จ๊ะๆ”

ก๊อก ก๊อก

“คุณ.. ผมมาตรวจร่างกายให้”

ก๊อก ก๊อก

“คุณ เปิดประตูให้หน่อย”

“เห็นไหม น้องไม่ยอมคุยกับใครเลย แม่ร้อนใจจะแย่แล้ว”

“คุณ.. คุณออกมาให้คุณแม่ได้เห็นหน้าบ้าง ท่านจะได้สบายใจ”

“นั่นๆ มีกระดาษโผล่ออกมา หมอวรรตลองดูซิ น้องเขียนว่าไงบ้างลูก”

“คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ดอทขอเวลาอยู่คนเดียว ถ้าไม่อยากให้หนีไปไหนก็อย่าให้ใครเข้ามานะครับ”

“โถลูก”

“คุณแม่อย่าร้องไห้เลยครับ ให้เวลาน้องอีกสักพักเดี๋ยวคงดีขึ้น”

“แม่เป็นห่วงลูกนะตาดอท”

“ลงไปพักข้างล่างดีกว่าครับ เดี๋ยวผมอยู่คุยเป็นเพื่อนก่อนไปเปิดคลินิก”

++++++++++++++++++++++++++


“สวัสดีครับแม่ใหญ่ ขอเยี่ยมพี่ดอทแป๊บนึงนะ”

“ขึ้นไปสิ แล้วอย่ากวนเขามากล่ะ เขาสั่งไว้ไม่ให้ใครเข้าไป”

“ครับ”


ก๊อก ก๊อก

“พี่ดอท ผมเองนะ น้องชายสุดหล่อของพี่ไง”

“พี่ดอทเปิดประตูให้หน่อย ผมอยากคุยด้วย”

ก๊อก ก๊อก

“งั้นตอบไลน์ก็ได้”

“โหย วีดีโอคอลก็ไม่รับอะ ไรว้า”

“ใจแข็งว่ะ ไม่รักน้องรักนุ่ง”

“พี่ดอทผมจะไปแล้วนะ”

“พี่ดอททททท เปิดประตูหน่อยยย”

“ไม่ใช่จะว่างมาได้บ่อยๆ ช่วงนี้ออกต่างจังหวัดบ่อยด้วย”

“ไม่คิดถึงกันมั่งเหรอพี่”

“เฮ้ออ ถ้าไงก็กินข้าวนะ ผมเป็นห่วง”

“รักพี่ดอทนะ”



“สวัสดีครับป๋า”

“อ้าวไอ้เสือมานานแล้วเหรอ”

“ครับ มายืนขาตายอยู่เป็นนาน พี่ดอทไม่ตอบสักแอะ”

“ก็สมควรจะไม่ตอบหรอก พูดจามึงมาพาโวยไม่เข้าหู”

“แม่ใหญ่แก่แล้วไม่เข้าใจศัพท์วัยรุ่นหรอก  ผมไปก่อนนะครับ สวัสดีครับป๋า สวัสดีครับแม่ใหญ่ อั่ย อั่ย อั่ย”

“ดูมันสิ ดูลูกคุณ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ลามเหมือนขี้กลากไม่มีผิด พ่อแม่ไม่สั่งไม่สอน”

“แค่กๆๆ อ..เอ่อ ตาดอทไม่ออกมาเลยเหรอ”

“อืม”

“คุณก็ต้องเข้มแข็งนะ อย่าคิดมากเดี๋ยวจะเป็นอะไรไปอีกคน”

“อืม”

“เดี๋ยวลูกทำใจได้ก็คงออกมาเอง อ..อ้าว คุณรุ่ง.. อยู่ดีๆ ก็ไปไม่บอกไม่กล่าว เฮ้อ จะเข้าหน้าไม่ติดแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กันนะ”



“ดอทลูก ป๋ามาเยี่ยมเปิดประตูให้หน่อยลูก”

“กินข้าวกินปลาบ้างนะ ป๋าเป็นห่วง”

“งั้นเดี๋ยวป๋ามาหาใหม่ ถ้ายังไงรับสายหน่อยป๋าจะได้ไม่เป็นห่วงมากเกินไป”

“ป๋ารักดอทนะ”




สองสัปดาห์หลังจากเผ่าพงศ์เสียชีวิต

DumDinDan :  พี่ดอท         Read

DumDinDan :  ทำใจดีๆ อย่าคิดมากนะ   Read

DumDinDan :  มีอะไรคุยกับผมนะพี่ดอท   Read

DumDinDan :  กินข้าวบ้างนะ

DumDinDan :  อย่าทรมานตัวเองอย่างนี้สิ

DumDinDan :  เฮียสั่งให้มีความสุขนะพี่

DumDinDan :  ถ้าอยู่ที่อื่นผมจะพังประตูเข้าไปแล้ว แต่อยู่บ้านใหญ่ผมทำอะไรไม่ได้อะ

DumDinDan :  พี่ดอท อย่าทำแบบนี้เลย ตอบผมหน่อย

DumDinDan :  พี่ไม่อ่านไม่ตอบแบบนี้ผมไม่โอเคเลยนะ

+++++++++++++++++++++++


Dr.WRRT :   คุณเปิดประตูหน่อย      Read

Dr.WRRT :   คุณแม่เป็นห่วงมากนะ      Read

Dr.WRRT :   ออกจากห้องบ้างนะคุณ

Dr.WRRT :   อย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้ คนที่รักคุณรออยู่ข้างนอก

Dr.WRRT :   คุณเผ่าเขาไปสบายแล้วและเขาอยากเห็นคุณมีความสุขนะ

Dr.WRRT :   ใจคอจะไม่อ่านเลยเหรอ

Dr.WRRT :   อ่านหน่อยก็ยังดีนะคุณ

Dr.WRRT :   ผมขอร้องนะ ผมจะบ้าอยู่แล้วเนี่ย

Dr.WRRT :   คุณแม่บอกว่าคุณกินข้าวหมดชามทุกวัน  กินจริงๆ หรือเททิ้ง

Dr.WRRT :   ยังไงฝืนใจกินหน่อยนะ อย่าทำร้ายตัวเองเกินไป




สามสัปดาห์หลังจากเผ่าพงศ์เสียชีวิต


Dr.WRRT :   เรื่องบ้านคุณจะเอายังไง พี่เวย์ร้อนใจอยากทำให้เสร็จตามที่คุณเผ่าเขาสั่งไว้

Dr.WRRT :   คุณเงียบแบบนี้พี่เวย์ก็แย่นะ รับงานอื่นก็ไม่ได้ ต้องมารออยู่แบบนี้


Dr.WRRT :   เฮ้ย คุณโอนเงินเข้าบัญชีพี่เวย์กับผมทำไม

Dr.WRRT :   คนละแสนคืออะไร ค่าเสียเวลาเหรอ

Dr.WRRT :   ใช้เงินแก้ปัญหาสินะ

Dr.WRRT :   ก็ใช่สิ คนมันรวย ใช้เงินหว่าน

Dr.WRRT :   โหยคุณ อย่าทำแบบนี้ ผมจะบ้า

Dr.WRRT :   นี่คุณ อย่าใจแข็งนักสิ

Dr.WRRT :   ผมขอร้อง แค่อ่านก็ได้

Dr.WRRT :   Sticker หมาร้องไห้

+++++++++++++++++++++++++++++


DumDinDan :  สกายถามว่าพี่ดีขึ้นยัง

DumDinDan :  ให้ผมตอบมันว่าไงดี

DumDinDan :  พี่ดอททททททททททททททท

DumDinDan :  ผมจะพังประตูเข้าไปนะ

DumDinDan :  ถามจริงพี่กินหินเข้าไปเหรอ ใจแข็งเป็นบ้า

DumDinDan :  คนสวยอย่าทำแบบนี้

DumDinDan :  อยู่บ้านใหญ่ผมทำอะไรไม่ได้เลยว่ะ  พี่ออกมาให้ผมกอดหน่อย


DumDinDan :  ออกมานั่งรถเล่นกัน

DumDinDan :  พี่ดอทครับบบบ น้องชายจะเป็นโรคประสาทแล้ว

DumDinDan :  เป็นห่วงพี่นะเว้ย

DumDinDan :  ยังไงก็กินข้าวมั่งนะ

DumDinDan :  อาทิตย์หน้าออกกองต่างจังหวัด มีขึ้นเขาด้วยไม่รู้จะมีสัญญาณมั้ย ถ้าไงจะพยายามโทรหานะ

DumDinDan :  หวังว่ากลับมาแล้วพี่จะโอเคขึ้นนะ

DumDinDan :  รักพี่ดอทนะครับ

DumDinDan :  Sticker หมากอดกัน




หนึ่งเดือนหลังจากเผ่าพงศ์เสียชีวิต


“คุณออกมาเถอะ ผมเอายาบำรุงมาฉีดให้”

“โธ่คุณ ถ้าไม่ออกมาคุณแค่รับปากก็ได้ว่าจะกินของบำรุงที่ผมฝากไว้”

“คุณไม่พูดไม่คุยกับใครแบบนี้มันไม่ดีกับสุขภาพจิตนะ”

“เสี่ยงเป็นดีเพรสชั่นนะคุณ เป็นแล้วจะรักษายากนะ ถ้าคุณจะอยู่คนเดียวก็พยายามฝึกจิตให้สงบ”

“นี่ถ้าคุณแม่ไม่บอกว่าคุณกินอาหารที่แม่บ้านเอาวางไว้หน้าห้องหมดทุกมื้อ ผมคงให้คนพังประตูเข้าไปแล้ว”

“งั้นวันนี้ผมไปก่อนนะ พรุ่งนี้จะมาใหม่”

“เฮ้ออ เด็กดื้อเอ้ย”


“ว่ายังไงลูก ตาดอทตอบบ้างไหม”

“ไม่ตอบเลยครับคุณแม่”

“ตาดอทส่งโน้ตออกมากับถาดอาหารสามสี่ครั้งบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง เขาจะกินทุกมื้อ”

“ก็นั่นแหละครับที่ผมห่วง”

“ทำไมเหรอลูก ห่วงเรื่องอะไร”

“ลูกชายคุณแม่ดื้อมากนะครับ น้องดื้อตาใส รู้หมดว่าควรหรือไม่ควรทำอะไรแต่ถ้าจะไม่ทำ เขาก็จะไม่ทำครับ เขาจะคิดว่าเขาคอนโทรลตัวเองได้ แต่ที่จริงเขาทำไม่ได้”

“แล้วทำยังไงดีล่ะลูก”

“ให้เวลาทำใจอีกสักหน่อย ช่วงนี้อย่าให้ใครพูดอะไรที่กระทบกระเทือนจิตใจ แต่ก็ควรมาคุยด้วยบ่อยๆ ให้เขารู้ว่ามีคนเป็นกำลังใจอยู่ข้างนอกมากมาย”

“งั้นหมอวรรตมาหาน้องบ่อยๆ ได้ไหมลูก”

“ผมจะมาบ่อยๆ นะครับ คุณแม่จะได้มีเพื่อนคุยด้วย”

“ขอบใจนะลูก บุญรักษานะหมอวรรต”

“ครับ”




สองเดือนหลังจากเผ่าพงศ์เสียชีวิต

ดินแดน 77 Missed Call

หมอประสาท  13 Missed Call

PA 5 Missed Call


ก๊อกๆ ก๊อกๆๆๆ

“พี่ดอทททท เปิดประตูหน่อยสิ ส่งเสียงไอบ้างก็ยังดี”

“พี่ดอท ให้ป๋ามายืนหน้าห้องแบบนี้ไม่ดีนะ จะเป็นบาปเป็นกรรม”

“อย่าไปขู่พี่แบบนั้นเจ้าดิน ขยับไปหน่อยเดี๋ยวป๋าลองเรียกดู”

“ดอทเอ้ย เปิดประตูเถอะลูก ให้ป๋าเห็นหน่อยว่ายังอยู่ดี ป๋าคิดถึงแกนะตาดอท ออกมาหาป๋าหน่อยเถอะ”

“เฮ้ออ ไม่ได้ผล มีใครทำให้พี่ดอทใจอ่อนได้บ้างเนี่ย”

“เห็นแม่เขาบอกว่าไม่เคยตอบใคร หมอวรรตมาเยี่ยมวันเว้นวันก็ไม่เคยตอบ”

“นี่ถ้าไม่ใช่บ้านใหญ่ ผมจะเอากล้องวงจรปิดมาจ่อหน้าประตูห้องนี้เลยนะ อย่างน้อยได้เห็นตอนพี่ดอทออกมาเอาอาหารก็ยังดี”

“อืม ก็ดีนะ เดี๋ยวป๋าคุยกับคุณรุ่งให้หากกล้องมาติดดีกว่า”

“โอเคครับ.. เฮ้ออ พี่ดอทใจแข็งเหมือนใครเนี่ยป๋า”

“เหมือนแม่เขานั่นแหละ รักแรงเกลียดแรง จนตอนนี้แกก็ยังโดนเขม่นอยู่ไม่ใช่หรือไงเจ้าดิน”

“นั่นแหละที่ผมกลุ้มใจ อยากมาอยู่คุยกับพี่ดอทนานๆ แต่แม่ใหญ่ชอบขึ้นมากดดันเลยต้องกลับ”

“เมื่อก่อนแม่ลูกเขาก็แทบไม่คุยกับป๋า สองคนนี้เขารับความทุกข์ความเศร้าอะไรไม่ได้ เหมือนกับแก้วบางที่เวลาร้าวก็จะร้าวไปทั้งใบ เศร้าแค่หนึ่งเรื่องแต่เอาทุกเรื่องมารวมกันหมด ก็คงเป็นนิสัยที่แก้ไม่หายนั่นแหละ บอบบางเกินไป”

“ถ้าแม่ใหญ่ขึ้นมาได้ยินก็ตัวใครตัวมันนะครับ เรื่องนี้ดินแดนจะไม่ยุ่ง”

“ป๋าโดนเกลียดจนชินแล้ว”

“แต่พี่ดอทกลับมาดีด้วยแล้วนี่ครับ ป๋าอย่าว่าพี่ดอทอีกเลย”

“ป๋าก็ไม่ได้ว่านะ แค่เป็นห่วง..”

“เอ๊ะ! โน้ตครับป๋า พี่ดอทสอดกระดาษโน้ตออกมา ไหนดูซิเขียนอะไรบ้าง..”

“อ่านเลยเจ้าดิน พี่แกว่าไงบ้าง”

“เอ่อ.. ไม่อ่านดีกว่าครับ คือ..”

“อ่านเถอะ ป๋าอยากรู้”

“คือ..”

“ส่งมาเดี๋ยวป๋าอ่านเอง”

“..........”

‘ถ้าดอทบอบบางจนทำให้ป๋าไม่ภูมิใจก็ขอโทษด้วย ดอทไม่เคยเป็นลูกที่ป๋าภูมิใจอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่เพราะป๋าหรือไงที่สร้างตัวตนแบบนี้ขึ้นมาให้ดอท เรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับดอทก็เพราะป๋าทั้งนั้น แล้วอย่าเอากล้องอะไรมาติดหน้าห้องด้วยไม่งั้นจะหนีไปที่อื่น ไม่ต้องมายุ่งกับดอท กลับไปให้หมดทุกคนเลย’


“..........”

“ป๋าไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิดอทนะ ถ้าทำให้ดอทโกรธป๋าก็ขอโทษ เอาไว้ป๋าค่อยมาใหม่นะลูก”

“ป๋าอย่าคิดมากเลยนะ พี่ดอทอยู่ในช่วงซึมเศร้าก็เลย..”

“อืม ป๋าเข้าใจ”

“ป๋า.. โธ่ป๋า”

“พี่ดอท ทำไมพี่ว่าป๋าแบบนี้.. ตาแดงกลับไปนู่นแล้วน่ะ”

“โธ่พี่ดอท.. ผมรู้ว่าอารมณ์พี่ไม่ปกติ เรื่องของเฮียมันเศร้ามากผมเข้าใจ แต่นี่ก็ผ่านมาตั้งสองเดือนแล้วนะ แสดงว่าอยู่คนเดียวมันไม่ได้ช่วยให้พี่ดีขึ้นไง พี่ต้องออกมา”

“พี่ดอท”

“โธ่เว้ย!”

“มะรืนวันเกิดป๋า ผมจะไปจัดงานเซอร์ไพรส์ให้ที่บ้านป๋าที่เราเคยไปด้วยกัน หวังว่าเราจะเจอกันนะพี่”

“กลับมาเข้มแข็งให้ได้เร็วๆ ผมรอนะ รักพี่ดอทนะครับ”

“เฮ้อออ ดื้อโคตร”




วันรุ่งขึ้น..

ก๊อกๆ ก๊อกๆ

“คุณหนูครับ น้าเวชเอง”

“คือเมื่อกี้ คนขับรถบ้านคุณเผ่าพงศ์เอากล่องมาให้ บอกว่าเป็นของส่วนตัวของคุณเผ่า คุณหนูจะให้น้าเวชเอาไป..”

แกร้ก~

แอ้ด~

“ค.. คุณ! คุณหนู! ท..ทำไม!? โธ่ คุณหนู..!?”



.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.
..เจอกันตอนหน้านะคะ..
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 18 : ภาวะเงียบงัน 《19/10/2018》P.5
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 19-10-2018 16:58:56
พี่ดอททำอารายยยยยยย สองเดือนแล้วนะพี่ดอทเรารู้ว่าการทำใจมันยากแต่พี่ดอทควรก้าวต่อไปข้างหน้าได้แล้ว คนที่จากไปเขาก็ไม่รับรู้อะไรแล้วมีแต่คนที่อยู่นี่แหละที่พี่ดอทควรใส่ใจน่ะ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 18 : ภาวะเงียบงัน 《19/10/2018》P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 20-10-2018 03:48:00
คนที่อยู่ก็ต้องเข้มแข็งและใช้ชีวิตต่อไปนะดอท เสียใจได้แต่ก็ต้องก้าวไปข้างหน้าให้ได้นะ สู้ๆๆๆๆๆๆนะ :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 18 : ภาวะเงียบงัน 《19/10/2018》P.5
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 20-10-2018 12:04:50
เกิดอะไรขึ้นนนนนนน  :z3:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 18 : ภาวะเงียบงัน 《19/10/2018》P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 20-10-2018 18:26:41
 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 18 : ภาวะเงียบงัน 《19/10/2018》P.5
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 20-10-2018 22:35:45
ค้างสุด ทำไมยังไงๆๆๆๆๆ :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 18 : ภาวะเงียบงัน 《19/10/2018》P.5
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 21-10-2018 11:18:45
งืออ เฮียเผ่าา พี่ดอทท  :hao5:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 19 : ภาวะซ้ำซ้อน 《27/10/2018》P.5
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 27-10-2018 16:01:35
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ต อ น ที่  19  :  ภ า ว ะ ซ้ำ ซ้ อ น

ใบหน้าของน้าเวชเบลอไปหมดเพราะดวงตาของผมแทบจะปิดสนิท แต่ก็พอจะเดาออกว่าทำไมคนตรงหน้าถึงได้ทำท่าเหมือนเห็นผี  สภาพของผมตอนนี้ไม่ต่างจากซอมบี้ ส่องกระจกยังตกใจตัวเอง เส้นผมยาวปรกหน้ายุ่งเหยิงไร้การดูแล ใบหน้าซีดเซียว รอยตกกระและผิวแห้งลอกไปทั่วบริเวณ ดวงตาลึกโหลช้ำบวมจากการร้องไห้อย่างหนัก ร่างกายซวนเซซูบโทรมเนื่องจากกินข้าวไม่ลง มันต่างจากไม่กินโดยสิ้นเชิงเพราะผมพยายามแล้วที่จะกินแต่ผลคือการอาเจียนออกมาจนหมด ไม่ใช่แค่อาหารที่ออกมาแต่มันออกมาทั้งน้ำเหลืองๆ ขมๆ และกลิ่นของมันสุดที่จะบรรยาย  ซึ่งนั่นทำให้เข็ดที่จะอาเจียนออกมาอีก ผลก็คือกินแค่คำสองคำแล้วเททิ้งซึ่งมันไม่ได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

“ป..ไป ไปโรงพยาบาลกันเถอะครับคุณหนู” น้าเวชพูดปากคอสั่น

ผมส่ายหัวเบาๆ ทำให้โลกเริ่มโคลงซ้ายทีขวาทีเหมือนกำลังยืนบนแพลอยน้ำ ดวงตาที่ใกล้ปิดจดจ้องไปยังกล่องขนาดย่อมที่อยู่แค่เอื้อมแต่ผมแทบไม่มีแรงจะคว้ามา

“อ..เอา..กล่องวางไว้บนพื้นนี่..เลยครับ” เสียงแหบแห้งหาโทนเสียงไม่เจอเพราะไม่ได้พูดมานาน กว่าจะพูดจบประโยคก็แทบจะหมดแรง

“โถคุณหนู คุณหนูของน้าเวช” เมื่อวางกล่องลงแล้ว น้าเวชก็ทำท่าเหมือนอยากเข้ามากอดแต่แกก็ไม่กล้า “น้าเวชขอไปเรียกคุณผู้หญิงนะครับ”

น้ำตาของน้าเวชเป็นเหมือนมวลน้ำมหาศาลที่เคยพัดร่างของผมให้เกือบจบชีวิตลงที่น้ำตกในครั้งก่อน บัดนี้มันพัดหัวใจของผมให้จมดิ่งลงสู่พื้นล่างครั้งแล้วครั้งเล่า  เหตุผลก็เพราะผมไม่อยากให้ใครต้องมาทุกข์เพราะผมอีกแล้ว เป็นอย่างที่คิดไว้ว่าความเศร้าจะไม่ลดน้อยลงเลยถ้าได้เห็นว่าคนที่รักเราต้องเสียใจจนเสียน้ำตาแบบนี้ ผมจึงเก็บตัวอยู่ในห้องเพื่อไม่ให้ใครต้องมารับรู้สภาพ

“ค..คุณหนู คุณหนู โธ่.. คุณหนูของน้าเวช”

ผมทำเพียงแค่ปิดประตูลง ไม่มีแม้สักคำที่จะกล่าวขอบคุณหรือปลุกปลอบให้น้าเวชคลายกังวล  ในสมองว่างเปล่า ในหัวใจดับมืด ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงทรุดลงนั่งกอดกล่องพลาสติกที่เขียนบนกล่องเอาไว้ว่า..แฟนเผ่า

“ฮึก..เฮีย..” น้ำตาหลั่งไหลอาบใบหน้าอีกครั้ง ผมมักจะนั่งเหม่ออยู่เป็นวัน นั่งมองโทรศัพท์ที่มีสายจากคนนั้นคนนี้เข้ามา แต่ที่ผมเฝ้ารอคือเบอร์ของเฮีย ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

ไม่ใช่แค่ความเศร้าเรื่องเฮียเผ่าที่กัดกินหัวใจของผมในตอนนี้ แต่ความทุกข์ทั้งหลายในอดีตได้ถาโถมเข้ามาพร้อมกัน ภาพแผ่นหลังของป๋าที่เดินไปทางบ้านเล็ก ภาพใบหน้าของป๋าที่โกรธเกรี้ยว ภาพที่เขาตบหน้าผม ภาพที่ผมปาโทรศัพท์ทิ้ง ภาพของเฮียที่ปลอบประโลม ภาพที่เฮียยิ้มให้ ภาพที่เฮียกอดจูบ ภาพที่ผู้หญิงคนนั้นกอดเฮีย ภาพที่เฮียถูกยิง และภาพสุดท้ายของเฮีย ลมหายใจสุดท้ายที่มีเพื่อผม ภาพเหล่านั้นพุ่งเข้าใส่เหมือนห่ากระสุนในทุกครั้งที่ตื่นลืมตา

ที่เคยคิดว่าให้อภัยป๋าได้แล้ว มันไม่จริงเลย ผมแค่ทิ้งปมอันนั้นไว้มุมหนึ่งของความรู้สึกโดยแกล้งทำเป็นไม่สนใจ ทว่าเมื่อเกิดทุกข์ มันจึงวกกลับเข้ามาซ้ำเติม  เหมือนตะปูที่ตอกเข้าไปในเนื้อไม้ครั้งหนึ่งแล้ว ถึงจะถอนตะปูออก รอยนั้นก็ไม่ได้สลายไป  สมองปั่นวนทุกครั้งเมื่อเรื่องเฮียเข้ามา เรื่องป๋าก็จะพ่วงเข้ามาด้วย 

อดโทษป๋าไม่ได้ว่าเป็นเพราะป๋าผมจึงต้องเจอเฮีย แต่พอคิดว่าถ้าไม่เจอเฮียจะได้สัมผัสกับความรักแท้จนแลกชีวิตเช่นนี้หรือไม่ ซึ่งมันก็ไม่ได้คุ้มค่าเลยที่เฮียจะแลกชีวิตเพื่อผม จึงวนกลับไปคิดว่า ถ้าวันนั้นป๋าไม่ทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ ผมก็คงไม่ก้าวขึ้นรถของเฮีย เราสองคนไม่ได้รักกัน เฮียเผ่าก็จะไม่ตาย

ยิ่งคิดวนก็ยิ่งทุกข์วน ไม่มีวันไหนเลยที่ผมไม่ทุรนทุรายจนแทบบ้า

“ดอท.. ตาดอทลูก ฮือๆๆ ตาดอท” เสียงคุณแม่ร่ำเรียกอยู่หน้าห้อง เดาว่าน้าเวชคงไปบอกแล้วว่าสภาพของผมมันแย่แค่ไหน

ทุกครั้งที่มีใครมายืนอยู่หน้าประตูแล้วชวนคุย เสียงเหล่านั้นเหมือนดนตรีบรรเลงไร้เนื้อร้อง ผมฟังได้ทว่าไม่ได้ยินดีหรือยินร้ายอะไร แค่ฟังไปเรื่อยๆ บางทีมันก็ดีกว่านั่งร้องไห้ แต่เมื่อวานที่ดินแดนคุยกับป๋าเรื่องจะเอากล้องมาติดหน้าห้องก็เริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัย เหมือนกำลังถูกคุกคามอิสรภาพ และเมื่อได้ยินป๋าบ่นเรื่องที่ผมบอบบางอะไรนั่น ความปวดร้าวก็ท่วมสูงขึ้นมาจนทนไม่ไหว  ผมเขียนโน้ตส่งไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เมื่อได้ยินดินแดนบอกว่าป๋าเหมือนจะร้องไห้จึงเริ่มได้คิดและกลับมาก่นด่าตัวเองอีกครั้งที่เปราะบางจนทำร้ายจิตใจป๋า เมื่อใดที่เริ่มดูถูกตัวเอง มันจะลามกดตัวเองให้ต่ำลงไปเรื่อยๆ จนดิ่งไปถึงก้นเหวแห่งความทุกข์

“ออกมาเถอะลูก ฮืออ ตาดอท หัวใจแม่จะแตกแล้วลูก ฮือๆๆ”

น้ำตาเหมือนจะไม่มีวันหมด มันไหลพรากลงมามากกว่าเดิมเมื่อถูกเสียงสะอื้นของคุณแม่เป็นตัวเร่งเร้า ความรู้สึกร้าวละเอียดแหลกยับจนค่อยๆ ฟุบลงร้องไห้โฮอยู่กับกล่องของเฮีย

เป็นอย่างที่ดินแดนบอก ผมอยู่ในห้องนี้เพื่อหวังว่าความสงบและเวลาจะช่วยจัดการความรู้สึก แต่มันไม่ช่วยอะไรเลย  รวมถึงคำพูดของหมอวรรตก็ดังวนเวียนอยู่ในหัว ผมคิดว่าจะคอนโทรลความรู้สึกของตัวเองได้ ผมคิดว่าเยียวยามันได้ด้วยตัวเอง แต่เปล่าเลย นอกจากจะไม่ดีขึ้นแล้ว มันยังแย่ลง แย่ลงทุกครั้งที่คิดถึงเฮีย คิดวนจนดิ่งกู่ไม่กลับ บางทีคิดไปถึงการฆ่าตัวตายด้วยซ้ำไป

“ตาดอท..  ไหนลูกรับปากแม่ว่าจะกินข้าว ไหนลูกบอกว่าจะดูแลตัวเอง ฮือๆๆ แต่ทำไม.. ฮือ.. ตาดอทอยากเห็นแม่ตายอยู่ตรงนี้หรือไงลูก ฮือๆๆ” เสียงรูดบานประตูจากด้านบนลงสู่ด้านล่าง เดาว่าร่างของคุณแม่คงค่อยๆ ทรุดลงมานั่งในระดับเดียวกับผมแล้วในตอนนี้

“คุณผู้หญิงทำใจดีๆ ครับ โธ่ คุณหนูครับ คุณผู้หญิงไม่ไหวแล้ว” เสียงน้าเวชสั่นเครือ

“แม่ให้เวลาดอทอยู่ในนั้นเพราะคิดว่าดอทจะดูแลตัวเองได้ ฮือ.. แต่ดอททำให้ตัวเอง.. ฮึก.. ฮือๆๆ”

“คุณหนู คุณหนูออกมาเถอะน้าเวชขอร้อง น้าเวชสงสารคุณผู้หญิงครับ ไม่เคยเห็นท่านเป็นแบบนี้เลย”

“ที่ดอทต้องมาเจอฝันร้ายแบบนี้ก็เพราะแม่เป็นต้นเหตุ เพราะแม่เอง ใช่.. เพราะแม่คนเดียว แม่เอง เพราะแม่คนเดียว ฮือๆๆๆ”

ผมกอดรัดกล่องของเฮียไว้แน่นขึ้น ที่ผ่านมาคุณแม่ให้เวลาให้อิสระ ให้พื้นที่ได้โศกเศร้าเสียใจมานานมาก มากจนผมยังคิดว่าจะมีแม่คนไหนที่อดทนรอได้เท่านี้ได้บ้าง ทั้งๆ ที่หัวใจคงแทบจะสลายแต่ก็ยังยอมทำตามที่ผมต้องการ แต่การได้มารู้ว่าลูกไม่ได้แข็งแรง ไม่ได้ดูแลตัวเองเป็นอย่างดีอย่างที่คิดไว้ก็กลายเป็นโทษตัวเองไปเสียอย่างนั้น

“แม่จะทำยังไง.. แม่ต้องทำยังไงตาดอท ฮือ ฮื้อๆๆ” ยิ่งนานไปเสียงสะอื้นก็ยิ่งแรงขึ้น ความเจ็บปวดในหัวใจของผมก็เริ่มมากขึ้นทุกที

มากจนทนไม่ไหวอีกต่อไป..

แกร้ก~

แอ้ด~

“ตาดอท! ลูกแม่ ตาดอท!”


+++++++++++++++++++++++++++




ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งบนเตียงนอนของตัวเอง  มองไปรอบห้องแล้วพยายามนึกว่าเกิดอะไรขึ้น

หัวใจแตกสลายอีกครั้งและน้ำตาก็ไหลรินเป็นทาง ไม่มีอะไรที่ผมทำได้ดีไม่ว่ากับเฮีย กับคุณแม่ หรือแม้แต่ป๋าที่ผมเพิ่งจะทำเรื่องใจร้ายลงไปเมื่อวานนี้

“ตื่นมาก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็เป็นลมอีกหรอกคุณ” หมอวรรตเดินถือถาดอาหารและนมอุ่นมาวางบนโต๊ะหัวเตียง

“ค..คุณแม่..” ภาพสุดท้ายก่อนที่จะหมดสติไป คุณแม่โผเข้ามากอดพร้อมกับรับร่างที่ทรุดฮวบลงของผมโดยมีน้าเวชเข้ามาช่วยอีกแรง

“คุณแม่หายกังวลแล้ว พอคุณเป็นลม คุณแม่ก็โทรเรียกผมมาทันที ผมฉีดยาบำรุงให้ทั้งคุณและคุณแม่ ตอนนี้ท่านนอนพักอยู่ที่ห้อง ผมกำชับแม่บ้านให้อยู่เฝ้าท่าน 24 ชั่วโมงเพราะร่างกายอ่อนเพลียและเครียดมาก ผมกลัวเรื่องล้มด้วย” ร่างสูงลากเก้าอี้เข้ามานั่งข้างเตียง

ค่อยโล่งอกที่คุณแม่ไม่เป็นอะไร เสียงร้องไห้ของท่านยังก้องอยู่ในหู มันสะเทือนอารมณ์จนทนไม่ไหว ผมไม่อยากทำให้ท่านต้องเสียใจถึงขนาดนั้นอีก

“แล้ว..เฮีย..ฟื้นหรือยัง” มองหน้าหมอวรรตด้วยดวงตาเลื่อนลอย ผมยังหวังว่าเมื่อตื่นขึ้น เรื่องที่เกิดกับเฮียจะเป็นเพียงแค่ฝันร้าย

“คุณเผ่า.. เขาจะมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของคุณตราบเท่าที่คุณต้องการเขา”
เมื่อไหร่จะตื่นจากความฝัน..

“..ฮึก..ฮืออ ฮือออ” ยิ่งเขาย้ำว่าสิ่งที่ผมเข้าใจนั้นไม่ใช่ความฝัน หัวใจก็บีบรัดแน่นขึ้นมาอีก  ผมมองหากล่องของเฮียและเจอมันอยู่บนโต๊ะปลายเตียง พยายามจะลุกไปหยิบแต่หมอวรรตคงรู้ว่าผมต้องการจึงเดินไปยกมาวางไว้ข้างตัวผม
กล่องของเฮีย คงมีของที่เกี่ยวกับผมและเฮียอยู่ในนี้แต่ผมไม่กล้าเปิดมันออก ไม่กล้าที่จะเห็นของเหล่านั้นอย่างน้อยก็คงไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่

“คุณต้องเข้มแข็งนะ.. ถึงไม่เห็นแก่ตัวเองแต่อย่างน้อยผมอยากให้คุณรู้ว่าคุณแม่ต้องการคุณ คุณแม่เหลือแค่คุณคนเดียวนะ” หมอวรรตไม่จับต้องตัวผม ทำแค่นั่งคุยอย่างสุภาพ

ใช่..

ตัวผมเองยังมีทั้งคุณแม่ ป๋าและดินแดน แต่คุณแม่ไม่เหลือใคร มีแค่ผมที่ช่วยให้ท่านยังพอมีแรงอยู่ต่อในโลกห่วยๆ ใบนี้ แต่ผมกลับไม่นึกถึงใจคุณแม่เลย

“..ขอ..กินข้าว” ผมบอกทั้งน้ำตา หมอวรรตยิ้มกว้างอย่างยินดี 

“คุณกินเองไหวนะ” เขาวางถาดอาหารไว้บนเตียงและผมก็พยักหน้าแล้วตักโจ้กกินอย่างไร้จิตวิญญาณ


ใช้เวลาพักใหญ่กว่าโจ้กจะพร่องไปบ้าง หมอวรรตนั่งรออย่างใจเย็น เขาไม่พูดอะไรแค่นั่งเป็นเพื่อนอยู่เงียบๆ ซึ่งผมขอบคุณเขามากในจุดนี้

“นอนพักให้น้ำเกลือหมด แล้วพักต่อเยอะๆ ผมหาพยาบาลพิเศษมาให้แล้ว”

ผมพยักหน้ารับทราบแล้วนอนหลับตาลง 



ตื่นมาอีกครั้งในช่วงบ่าย เห็นพยาบาลพิเศษนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ สายน้ำเกลือถูกถอดออกไปแล้ว ผมจึงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง  ตอนนี้เส้นผมที่รุงรังถูกหวีให้เข้าทรง ร่างกายเมื่อได้น้ำเกลือก็พอมีแรงขึ้นมาบ้าง

“ช้าๆ นะคะ” เธอเข้ามาช่วยประคอง

“ขอ..น้ำหน่อยครับ”

ผมดื่มน้ำไปเกือบหมดแก้ว จากนั้นประตูจึงเปิดออก คุณแม่เข้ามากอดและหอมหลายฟอดและผมก็ปล่อยให้ท่านทำจนพอใจ 

“ตาดอท โถลูก..” สองมือของประคองใบหน้าผมเอาไว้ มองกวาดไปทั่วใบหน้าพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มปริ่ม

“ดอทดีขึ้นแล้วครับ คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะ” ฝืนยิ้มเพื่อให้ท่านคลายกังวล

“ไม่ห่วงได้ยังไงลูก ดอทเป็นแก้วตาดวงใจของแม่นะ” หยดน้ำที่ปริ่มเอ่อล้นจนผมต้องรีบปาดเช็ดให้ สงสารคุณแม่จับใจจนน้ำตาร่วงตามไปอีกคน

ในระหว่างสองเดือนที่จมอยู่ในกองทุกข์ หลายครั้งที่ผมอยากฆ่าตัวตาย ป๋ามีครอบครัวใหม่แล้ว ดินแดนยิ่งไม่ต้องห่วง สองคนนั้นจะเศร้าอยู่สักพักแล้วจะมีชีวิตต่อไปได้  แต่ที่หยุดตัวเองไว้ก็เพราะนึกถึงคุณแม่ ถ้าผมตาย คุณแม่จะอยู่อย่างไร ไม่มีทางที่คุณแม่จะมีชีวิตต่อไปได้เลย ถึงไม่ตายตามผมแต่จะไม่มีวินาทีไหนที่คุณแม่จะมีความสุขได้อีกจนตลอดชีวิต
คุณแม่คือคนที่ยึดเหนี่ยวความรู้สึกของผมได้มากที่สุดแล้ว

“แล้วป๋า..”

“แม่ติดต่อไม่ได้เลย โทรไปเบอร์มือถือก็ปิดเครื่อง ที่บริษัทก็ไม่เข้า ที่โรงแรมก็ไม่ได้สั่งงานไว้ด้วยซ้ำ” เริ่มใจเสียเมื่อคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเรื่องของผมที่ทำให้ป๋าหายไป

“ได้โทรถามดินแดนหรือยังครับ”

“แม่ไม่โทรหามันหรอก” คุณแม่เชิดหน้าขึ้น “ไอ้ลูกเมียน้อยนั่นมันกวนโมโห แม่คุยกับมันทีไรอกจะแตกทุกที”

ไม่รู้จะทำยังไงกับคู่นี้ดี นายดินก็เหลือเกินจริงๆ

“คุณพยาบาล..กลับเลยก็ได้ครับ ผมขออยู่คนเดียวดีกว่า”

“แต่คุณหมอวรรตสั่งไว้..”

“คุณแม่ครับ” ผมหันไปหาคุณแม่เพื่อให้ท่านเป็นคนเอ่ยปากเอง

“จ้ะๆ คุณพยาบาลกลับไปก็ได้ เดี๋ยวแม่จะดูแลตาดอทเอง” คุณแม่ก็ยังคอยตามใจผมอยู่เสมอ ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยขัดใจ ไม่เคยต้องการหาเหตุผลอะไรจากผม เดาว่าน่าจะเป็นการชดเชยความอบอุ่นที่ผมควรได้รับจากป๋าและตัวคุณแม่เอง

“ได้ค่ะ”

เมื่อพยาบาลไปแล้ว ผมกอดคุณแม่ไว้แน่น

“ดอทขอโทษนะครับ ขอโทษนะครับคุณแม่” พร่ำขอโทษที่ทำให้คุณแม่ต้องเป็นทุกข์

“ไม่เป็นไรลูก แม่เข้าใจ แม่ควรเข้าใจลูกมาตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ ฮึก.. ฮือ..”  คุณแม่เริ่มร้องไห้อีกครั้ง

“คุณแม่อย่าร้องไห้ ดอท..” พูดไม่ออก ความเสียใจของผมกับคุณแม่เหมือนเป็นเงาของกันและกัน มันสะท้อนกลับไปกลับมาสร้างความปวดร้าวให้เราทั้งคู่

“จ้ะๆ แม่ไม่ร้องแล้ว ดอทก็อย่าร้องนะลูก” คุณแม่ลูบหัวแล้วจูบลงมาที่ขมับหลายที

เรากอดกันอยู่แบบนั้นพักใหญ่ จนน้ำตาเริ่มแห้งลง

“คุณแม่ก็ไปพักเถอะครับ” ผมเอ่ยขึ้นเมื่อนึกถึงอีกคนที่ผมควรขอโทษ

“แต่แม่อยากอยู่ดูแลลูก”

“ดอทไม่เป็นไรแล้วครับ ถ้าคุณแม่ไม่พัก ดอทจะล็อคประตูเหมือนเดิมนะ”

“จ้ะๆ แม่จะไปพัก ลูกไม่ต้องล็อคประตูนะ”

“ครับ”

คุณแม่กอดและหอมอีกหลายทีก่อนจะออกจากห้องไป

ป๋าไม่เคยปิดโทรศัพท์..

ไม่เคยติดต่อไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว อย่างน้อยก็จะสั่งงานไว้กับเลขาหน้าห้องเสมอ  ผมลองกดโทรหาป๋าอีกครั้งแต่เครื่องปิดเหมือนที่คุณแม่บอก

โกรธดอทขนาดนั้นเลยเหรอครับ


ผมลุกขึ้นแต่งตัวด้วยชุดดำทั้งชุด สวมหมวกแก็ปสีดำ เลือกรองเท้าผ้าใบสีดำ สะพายกระเป๋าแล้วค่อยๆ แง้มประตูออก

ไม่มีใครอยู่..

แอบลงบันไดเชื่อมจากเทอร์เรซด้านข้างของตัวบ้านไปยังสวนหย่อม ลัดเลาะสวนสวยไปอีกครู่หนึ่ง ประตูหน้าบ้านมียามคอยเฝ้า ผมจึงลองปีนรั้วดูแต่ทำไม่ได้ อย่าว่าแต่ปีนแค่ยกขาขึ้นก็ยังไม่ไหว  นั่งซุ่มอยู่นานจนคิดถอดใจแต่พอดีน้าเวชออกมาเดินตรวจความเรียบร้อยและใช้ให้ยามไปช่วยย้ายกระถางต้นไม้ ผมรีบอาศัยจังหวะนี้ย่องไปเปิดประตูช่องเล็กแต่พอออกมาพ้นรั้วก็ชะงักกึกเพราะเห็นกล้องวงจรปิด

อ่า.. ลืมคิดเรื่องนี้ ที่จริงในบ้านก็หลายตัว ตรงบันไดด้านข้างก็มี รอบบ้านอีก แต่ช่างเถอะ ยังไงคุณแม่ก็ต้องรู้ ผมทิ้งโน้ตไว้แล้วว่าจะไปไหน พรุ่งนี้ก็กลับแล้ว

ผมเรียกแท็กซี่มุ่งตรงไปยังที่หนึ่งซึ่งผมเคยมากับดินแดน  เมื่อถึงที่หมายจึงเดินลงจากรถไปกดออดหน้าบ้านรอให้คนมาเปิด

บ้านป๋า..

ผมรู้สึกผิดที่ทำให้ป๋าเสียใจ อย่างน้อยถ้าเคลียร์กันได้วันนี้ พรุ่งนี้ป๋าจะได้ฉลองวันเกิดอย่างสบายใจ 

รออยู่นานแต่ไม่มีคนมาเปิด ผมลองกดออดอีกครั้ง ระหว่างที่รอก็โทรเข้ามือถือของป๋าแต่ผลก็คือเหมือนเดิม

ไม่มีใครอยู่เลยเหรอ อย่างน้อยแม่บ้านก็น่าจะอยู่ไม่ใช่หรือไง  ถ้าปีนเข้าไปรอในบ้านจะได้ไหมนะ

มองรั้วเตี้ยๆ ของบ้านป๋าแล้วชั่งใจ  จะปีนไหวเหรอในเมื่อแค่ยืนยังหอบ

แต่แล้วอยู่ดีๆ ประตูรั้วอัตโนมัติก็ค่อยๆ เปิดออก   ผมมองซ้ายมองขวาแล้วตัดสินใจเดินเข้าไป ป๋าอาจจะป่วยจนออกมาไม่ไหวก็ได้


“ป๋าครับ..” ผมเรียกหาเสียงเบาหวิว ทั้งเหนื่อยทั้งสงสัย บ้านเงียบมาก ประตูก็ไม่ได้ล็อคแต่ไม่มีใครอยู่เลย

อดไม่ได้ที่จะถือวิสาสะเดินไปโดยรอบ เปิดดูทุกห้องชั้นล่าง แต่ไม่มีใครเลย สภาพบ้านเหมือนไม่ได้ทำความสะอาดมาหลายวัน ในครัวมีร่องรอยของการทำอาหารแต่ไม่ได้รับการเก็บกวาด

เกิดอะไรขึ้น!?

ผมเดินขึ้นบันไดช้าๆ ถึงใจจะร้อนรุ่มเพราะเป็นห่วงป๋าแต่ร่างกายไม่พร้อมสำหรับการออกแรง กว่าจะถึงชั้นสองก็ทรุดลงกับพื้นเพื่อพักหายใจอยู่หลายรอบ

“ป..ป๋าครับ” เอ่ยเรียกเสียงสั่นเมื่อเปิดประตูแต่ละห้องจนถึงห้องกลางที่น่าจะเป็นห้องนอนของป๋า

“โอ๊ย!” ถึงกับถลาหน้าทิ่มพื้นเมื่อเดินเข้าห้องแล้วถูกถีบมาจากฝั่งหนึ่งของประตู

“จับมันมัดไว้เร็ว!”

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนปรับสมองตามไม่ทัน กว่าจะเริ่มได้สติร่างของผมก็ถูกผู้ชายรูปร่างกำยำผลักให้คว่ำลงแล้วมัดมือไพล่หลัง แถมยังมัดข้อเท้าไว้ด้วย

“ไหนพี่บอกว่ามันเป็นผู้หญิง!” เมียใหม่ของป๋าเดินท้องโย้มาจากมุมหนึ่งของประตู และแน่นอนว่าเธอคือคนที่ถีบผม

“ก็ระยะมันไกล เห็นขาวๆ บางๆ ใส่หมวกปิดหน้าก็นึกว่าผู้หญิงน่ะสิ” ผู้ชายตอบแล้วปัดหมวกผมออกอย่างไม่สบอารมณ์ “เห็นมันกดออดไม่ยอมถอดใจไปซะทีก็เลยนึกว่ามันนัดไอ้แก่นี่ไว้ ถ้าปล่อยไปก็กลัวมันจะไปแจ้งตำรวจ”

“ช่างเถอะ ไอ้นี่มันเป็นลูกของไอ้แก่ มันแส่หาเรื่องเข้ามาเป็นข้อต่อรองให้เราก็ดีเหมือนกัน”

ผมมองตามสายตาของสองคนนั้น ตรงข้างเตียงอีกฝั่งมีร่างหนึ่งถูกมัดมือมัดเท้าลักษณะเดียวกับผมนอนนิ่งหมดสติอยู่

“ป๋า!? ป๋าครับ” ระหว่างที่คืบคลานอย่างทุลักทุเลไปหาป๋า ไอ้ผู้ชายก็มากระชากคอเสื้อแล้วลากผมไปโยนใส่ป๋าอย่างแรง


ต่อ..
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 19 : ภาวะซ้ำซ้อน 《27/10/2018》P.5
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 27-10-2018 16:12:06
ป๋าเริ่มได้สติแล้วเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ เมื่อเห็นว่าเป็นผม หน้าป๋าซีดดวงตาเบิกโพลงขึ้นทันที

“ดอท! ดอทมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงลูก!”

“ก็ลูกแกมันแส่หาเรื่องไง!”

“ป..ปล่อยตาดอทไปนะศมล อย่าทำอะไรดอทเลยนะ” ป๋าอ้อนวอน

“ปล่อยก็ได้ แต่แกต้องให้เงินฉันหนึ่งร้อยล้าน”

ร้อยล้าน!

นางงูพิษ นางผู้หญิงชั่ว ผมกะไว้แล้วว่ามันต้องไม่ใช่คนดี

“ไหนเธอเคยบอกว่าสิบล้าน” ป๋าถาม

“ฮ่าๆๆ” นางงูพิษแผดเสียงหัวเราะเย้ยหยัน “สมน้ำหน้า! ถ้าแกตกลงที่สิบล้านก็คงจบไปแล้ว แต่ตอนนี้มีลูกแกเพิ่มขึ้นมา ค่าหัวมันก็น่าจะสมน้ำสมเนื้อกับชีวิตของมันสิ!”

“น..นี่มันเรื่องอะไรครับป๋า ดอทงงไปหมดแล้ว”

“เรื่องอะไรน่ะเหรอ!” นางงูพิษปราดเข้ามาจิกหัวผมให้แหงนขึ้นอย่างแรง

“โอ๊ย!”

“ก็เรื่องที่น้องชายมึงมันคอยยั่วโมโหกูน่ะสิ!”

น้องชาย?

“ดินแดน..ทำไม?” 

“ไอ้ดินแดน! ไอ้เหี้ยนั่นมันก่อกวนจนกูอยู่ไม่เป็นสุข มันข่มขู่ ส่งรูปตอนที่กูนัดเจอกับพี่เต้มาให้ ส่งรูปพินัยกรรมของไอ้แก่นี่มาด้วย พินัยกรรมที่ยกสมบัติทุกอย่างให้มึงคนเดียว สมบัติที่กูหวังว่าจะได้มาให้ลูกกูบ้างแต่ก็ไม่ได้!!”

เพี๊ยะ!!

ฝ่ามือสกปรกของมันฟาดลงมาบนหน้าของผมฉาดใหญ่

“อย่าทำร้ายดอท!” ป๋าตะโกนใส่พร้อมกับกระเสือกกระสนเอาตัวมาบัง

“พี่เต้ลากไอ้แก่นี่ออกไป มลจะชำระแค้นไอ้เกย์นี่ก่อน”

“โอ๊ย!” ป๋าถูกมันเตะที่ชายโครงจากนั้นก็ลากออกไปทิ้งไว้ห่างๆ “ย..อย่าทำ.. อย่าทำดอท โอ๊ย!” ป๋าดิ้นหลุดมาจนได้

“อย่าเสือกไอ้แก่!” ไอ้ผู้ชายเหยียบเท้าของป๋าแล้วบดขยี้ จากนั้นก็ง้างเท้าเตรียมเตะอีกครั้ง

“อย่าทำป๋านะ!” ผมตะโกนใส่มัน “โอ๊ย!” 

“อย่าเพิ่งห่วงพ่อมึงเลย ห่วงตัวมึงเองก่อนเถอะ!” หน้าผมโดนฟาดหลายครั้งจนเจ็บแสบไปหมด “จำได้ไหมที่เคยด่ากู!”

“โอ๊ย!” มันถีบเข้ามาเต็มอกจนผมล้มลงเพราะถูกมัดแบบนี้ทำให้ทรงตัวยากอยู่แล้ว พยายามดึงมืออกจากเชื่อกก็ไม่มีท่าทีว่าจะหลุด

“ด่ากูว่ามารยาททราม ด่ากูว่าหน้าหนากว่าพื้นรองเท้า ทำหน้าเชิดใส่กูเหมือนกูเป็นเศษดินเศษทรายที่อยู่ใต้ฝ่าตีนของมึง กูจำได้หมดทุกคำพูดของมึง!!”


“อั่ก! โอ๊ย!” ทั้งมือทั้งเท้ามันประเคนเข้าใส่จนไม่อาจหลบเลี่ยงไปไหนได้เลยเพราะถูกพันธนาการแถมร่างกายยังอ่อนเพลียจึงทนต่อไปอีกไม่ไหวและวูบไปทันที

“ดอท! ดอทลูก” ได้ยินเสียงร้องไห้โฮของป๋าก่อนทุกอย่างจะเงียบสนิทลง




ผมลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าเจ็บระบมไปหมด แค่ตรอมใจจนกินข้าวไม่ลงมาสองเดือนร่างก็แทบจะสลายอยู่แล้วยังต้องมาเจ็บซ้ำเจ็บซ้อนกับเรื่องบ้าอะไรก็ไม่รู้

“ดอท.. ดอทได้ยินป๋าไหมลูก ดอท ดอท” ป๋าเรียกเสียงกระซิบกระซาบจนผมเริ่มได้สติ เหลือบมองโดยรอบ ตอนนี้ยังอยู่ในห้องเดิม

“ป๋า..” ค่อยๆ กระเถิบตัวลุกขึ้นนั่งพิงกำแพงคู่กับป๋า “พวกมัน..ไปไหนแล้วครับ”

“ไม่รู้สิ เห็นไอ้ผู้ชายมันรับโทรศัพท์แล้วชวนกันออกไปเมื่อกี้”

“กระเป๋าดอทล่ะครับ”

“พวกมันยึดไปหมด”

“โทรศัพท์นั่นล่ะครับ ใช้ได้หรือเปล่า”

“มันตัดสายโทรศัพท์ พวกคนงาน แม่บ้าน ก็ทนไม่ไหวลาออกกันไปหมด หรือที่จริงมันตั้งใจก็ไม่รู้นะ มันขู่ให้ป๋าโอนเงินสิบล้าน”

“ไอ้พวกชั่ว! โอ๊ะ ซี้ดด” รู้สึกเจ็บแผลที่ปากเมื่อใส่อารมณ์มากเกินไป

“เจ็บมากไหมลูก” คำถามสั้นๆ กับแววตาเจือความสงสารและเวทนาอย่างสุดจะกลั้น สภาพของผมคงน่าสังเวชอย่างมาก แต่การถูกมัดมือมัดเท้าทั้งคู่ทำให้ไม่สามารถจะสัมผัสตัวกันได้แต่ดูก็รู้ว่าป๋าอยากกอดอยากปลอบใจผมมากแค่ไหน

“ผอมจนเหลือแต่กระดูก ซูบจนตาโหล เรี่ยวแรงก็แทบไม่มีแล้วออกจากบ้านมาถึงที่นี่ทำไมลูก ดอทมาหาป๋าทำไม”

“ดอทจะมาขอโทษป๋าครับ ดอทเสียใจที่ทำร้ายจิตใจป๋า”

“โธ่ลูก ป๋าทำให้ดอทต้องมารับเคราะห์อีกแล้ว ดูมันทำกับลูกป๋า นางแพศยานั่น..” ป๋ากำหมัดแน่น กัดฟันกรอดด้วยความ

เคียดแค้น “ถ้ามันเข้ามาดอทอย่าพูดอย่าเถียงอะไรมันนะ ป๋าไม่อยากให้พวกมันทำร้ายเอาอีก” ป๋าพูดพร้อมกับน้ำตาเริ่มคลอหน่วย 

“ป๋าขอโทษนะลูก ป๋าขอโทษ”

“ไม่เป็นไรครับ ดอทไม่เป็นไร”

“ป๋าขอโทษ..ป๋าเป็นพ่อที่แย่ที่สุด ป๋าทำให้ดอทต้องเจอโชคร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า ป๋าขอโทษนะลูก ป๋าขอโทษ..” หน้าตาของป๋าหมองเศร้ามีรอยฟกช้ำไปทั่ว หมดสง่าราศี หยาดน้ำเริ่มรินล้นออกมาช้าๆ

“ดอทต่างหากที่ต้องขอโทษป๋า ดอทร้ายกับป๋า ดอทขอโทษนะครับ”

“ไม่หรอก ป๋าเองที่ผิด เพราะป๋า เพราะป๋าคนเดียว..”  ผมอยากช่วยเช็ดน้ำตาแต่ไม่สามารถทำได้ ได้แต่เอนตัวเข้าไปซุกที่อก

“เห็นป๋าร้องไห้ ดอทก็ยิ่งใจเสีย ป๋าต้องเข้มแข็ง คอยปกป้องดอทนะครับ” พยายามจะโน้มน้าวให้ป๋าได้สติ และโชคดีที่ป๋าไม่ได้กล่อมยากนัก

ป๋าซบหน้าลงบนศีรษะแล้วจูบเรือนผมหลายต่อหลายครั้ง รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางเหตุการณ์เลวร้ายเช่นนี้

“ป๋าไม่ร้องแล้วลูก” ผ่านไปครู่หนึ่งป๋าก็พูดขึ้น “ป๋าจะปกป้องดอทเอง”

ผมเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มให้บางๆ จากนั้นจึงเริ่มถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“ทำไมมันทำกับป๋าแบบนี้ครับ”

“ศมลมีชู้”

ไม่ได้เซอร์ไพรส์จนเกินไปนักแต่ใจหายที่เห็นสีหน้าของป๋าเศร้าสลด ผมก้มลงเอาหน้าซบไหล่ป๋าเบาๆ เพื่อปลอบใจ ป๋าคงรับรู้จึงจูบลงมาบนศีรษะ เมื่อเงยหน้าก็เห็นสีหน้าป๋าดีขึ้น

“ไอ้คนที่ชื่อเต้นั่นเหรอครับ”

“ใช่ มันหลอกป๋าว่าเป็นพี่ชาย พาเข้ามาอยู่ด้วยตั้งแต่สามเดือนก่อน ป๋าเห็นว่าจะได้มาช่วยดูแลเพราะป๋าเองก็งานรัดตัว กลับบ้านไม่เป็นเวลา แต่ที่ไหนได้” ใบหน้าป๋าเครียดเขม็ง คงทั้งแค้นและเสียใจ “ป๋าไม่รู้หรอกเรื่องที่เจ้าดินมันส่งรูปส่งอะไรขู่ ก็เพิ่งมารู้ตอนที่โดนไอ้อีสองคนนั้นมันทำร้ายเอาเมื่อวานนี้”

“อยู่มาตั้งนาน ทำไมอยู่ดีๆ มันถึงทำร้ายป๋าล่ะครับ”

“เมื่อวานที่ไปหาดอท พอกลับมาป๋าก็อารมณ์เสียเผลอตวาดไปตอนที่มันใช้ป๋าเก็บของที่มันทิ้งไว้เกลื่อนห้อง แค่นั้นแหละมันก็เผยธาตุแท้ชี้หน้าด่ากราด ป๋าโมโหก็เลยด่ามันเรื่องความประพฤติต่ำๆ หลุดปากไปว่ามีแม่แบบนี้ลูกคงไม่เจริญ มันได้ยินก็กรี๊ดลั่นประจานตัวเองเรื่องที่ลูกไม่ใช่ลูกของป๋าแต่เป็นลูกไอ้เต้”

“อะไรนะครับ!?” ผมถามทันที “แล้วมันแน่ใจได้ยังไงว่าไม่ใช่ลูกป๋า”

“ก็มันรู้ว่าท้องแล้วถึงมาอ้อนขอให้ป๋าไม่ใส่ถุงยาง มันอ้างว่ามันจะทิ้งความสาวของมันเพื่อพิสูจน์ว่ามันรักป๋าจริง จะสร้างครอบครัวด้วยกันโดยไม่หวังเงินทองอะไรแม้แต่บาทเดียว ป๋าก็โง่ที่ไปหลงเชื่อผู้หญิงแบบนั้น” ป๋าแสยะยิ้มอย่างรังเกียจ “พอรู้ว่าเป็นลูกชู้ป๋าก็ไล่มันออกจากบ้าน แต่มันไปเรียกไอ้แมงดานั่นมาจับป๋ามัดแล้วขู่เอาเงินอย่างที่เห็นนี่แหละ”

“ถ้าดอทไม่ทำให้ป๋าเสียใจ ป๋าก็คง..”

“ไม่หรอกลูก ดีซะอีกที่รู้ความจริงก่อนที่จะยกบ้านหลังนี้ให้มัน นี่คงเป็นคราวเคราะห์ของป๋าเอง หรืออาจเป็นเวรกรรมตามสนองที่ป๋าทำร้ายครอบครัว..” ป๋าเว้นช่วงเหมือนกำลังรวบรวมสติซึ่งผมก็ไม่ได้เอ่ยขัดอะไรออกไป

“หลังจากอ่านโน้ตที่ดอทเขียน ป๋าก็ทุกข์หนัก ความรู้สึกมันมากกว่าครั้งก่อนๆ เพราะเรื่องที่ดอทเจอแต่ละอย่างมันทั้งหนักและเจ็บปวดซึ่งป๋าก็หนีความรับผิดชอบอันนี้ไปไม่ได้ ทุกครั้งไม่เคยคิดมากถึงขนาดนี้เพราะป๋าคิดว่าได้คอยประคองช่วยดอทแบบลับๆ มาตลอดไม่ได้ละทิ้งไปไหน แต่เรื่องของเผ่าพงศ์ทำให้รู้ว่าแค่นั้นมันไม่เพียงพอ ป๋าเป็นคนผลักดอทให้เดินไปในเส้นทางนั้น ชีวิตของดอทที่เป๋ไปขนาดนี้..เพราะป๋าเอง” น้ำตาลูกผู้ชายหลั่งรินเป็นสาย

ผมไม่อาจพูดแทรกออกมาได้เพราะไม่อยากละเลยความรู้สึกแท้จริงของตนเองที่กล่าวโทษป๋ามาตลอดชีวิต ถ้าหากเหตุการณ์ในครั้งนี้จะช่วยให้ความรู้สึกนั้นถูกชะล้างไปจนหมด ผมก็จะปล่อยให้ป๋าสำนึกผิดจนกว่าใจผมจะให้อภัยได้จริงๆ

“ตอนนี้ป๋าไม่เหลืออะไรแล้ว ครอบครัวแตกสลายแถมยังเจอกับผู้หญิงเลวๆ เคยคิดว่ามันง่ายแค่เพียงมีเงินมีอำนาจก็คงเลี้ยงดูทุกคนให้สุขสบายได้ไม่ว่าจะมีกี่เมีย แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น ตอนนั้นถ้าป๋าพูดความจริงกับคุณรุ่งตั้งแต่ก่อนที่เราจะแต่งงานกัน หากคุณรุ่งยอมตกลงก็จะได้ดูแลแม่ของเจ้าดินอย่างสบายใจ แต่ป๋าก็เลือกที่จะปกปิดและมาหักหน้าเขาในตอนหลังด้วยการพาแม่ของเจ้าดินเข้ามาในบ้านเหมือนเป็นการมัดมือชก ป๋ามันงี่เง่าเกินกว่าจะได้รับการให้อภัย”

จุดเริ่มต้นของความทุกข์ทั้งหมดอยู่ตรงนี้ ป๋าได้รู้แล้วว่าไม่ควรจริงๆ ที่จะละเลยความรู้สึกของใครสักคนโดยเฉพาะคนที่เป็นคู่ชีวิต

“แต่ที่แย่ที่สุดก็คือ.. ป๋าปล่อยให้คนที่เจ็บปวดกลายเป็นคนผิด ถ้าป๋าสนใจที่จะทำความดีลบล้างความผิดและเอาใจใส่ เข้าอกเข้าใจคนที่เจ็บปวดให้มากกว่าในตอนนั้นควบคู่ไปกับดูแลบ้านเล็กให้ดี บางทีเรื่องมันอาจจะไม่เลวร้ายแบบที่เป็นอยู่ ดอทก็คงไม่ต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายแบบนั้น”

“ฮึกก..” ได้แต่ร้องไห้สะอื้นและรับฟังทุกอย่าง หวังว่าการสารภาพบาปในครั้งนี้ของป๋าจะล้างสารพิษในหัวใจของผมออกไปอย่างเกลี้ยงเกลา

“ป๋าเคยคิดว่าทุกข์ที่สุดแล้วตอนแม่ของเจ้าดินเสีย ตอนนั้นป๋าแทบไม่อยากทำอะไรต่อไปอีก อยากอยู่นิ่งๆ อยากตามเขาไป แต่ก็ติดที่ดอทและเจ้าดินยังไม่โตพอ แล้ววันเวลาก็ทำให้ความทุกข์เริ่มคลายลงและก้าวต่อ  มาวันนี้เมื่อแม่ของดอทไม่แม้แต่จะเฉียดตามอง ยิ่งผู้หญิงคนใหม่เข้ามาก็ยิ่งเป็นตัวเปรียบเทียบ ตั้งแต่มันท้อง มันก็เริ่มเอาแต่ใจ ป๋าพยายามคิดว่าเป็นภาวะของคนท้องคนไส้แต่ที่ไหนได้ เป็นสันดานของมันล้วนๆ ยิ่งมันทำเรื่องชั่วช้าแบบนี้ป๋าก็ยิ่งรู้สึกผิดกับแม่ของดอทมากขึ้น.. จากตายว่าทุกข์แล้ว จากเป็นยิ่งทุกข์กว่า รู้ว่าเคยทำผิดกับเขา รู้ว่าเขาอยู่ตรงนั้นแต่เข้าไม่ถึง ชีวิตทั้งชีวิตที่ประสบความสำเร็จมาขนาดนี้แต่มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลยเพราะเป็นต้นเหตุทำให้ครอบครัวแตกร้าว เจ้าดินมันต้องออกไปสู้ชีวิตของมันเองนอกบ้าน แม่ของดอทก็ไม่เคยมีความสุขเลย และยิ่งเรื่องของดอท.. ก็ยิ่งทำให้ป๋านึกเกลียดตัวเอง ไม่มีเหลือความภูมิใจในตัวเองอีกแล้ว.. ป๋ารู้สึกแพ้รู้สึกแย่จนอยากตายไปให้พ้นๆ”

“ฮึก.. ฮืออ ป๋าครับ อย่าพูดแบบนี้..”

“ป๋าไม่มีหน้าอยู่สู้ใครได้เลยลูก ป๋าล้มเหลวไม่เป็นท่าเลย ”

“ถ้าป๋ารู้สึกผิดกับดอทป๋าก็ต้องอยู่ชดเชยความสุขให้ดอทสิครับ”

“ป๋าจะปกป้องดอทนะ ดอทจะต้องปลอดภัย จากนั้นถ้าป๋าไม่อยู่แล้ว..”

“ไม่ครับ!” ผมร้องห้าม หัวใจบีบรัดอย่างหนักจนปวดหนึบแน่นหน้าอกไปหมด “ถ้าป๋าคิดจะตาย ดอทบอกไว้ตรงนี้เลยว่าดอทจะตามไป! ดอทไม่อยากเสียใครไปอีก ไม่เอาแล้ว ไม่ให้ใครไป ไม่อีกแล้ว ฮือ ไม่เอาแล้ว ฮือๆๆๆ”

“ครับๆ ป๋าไม่ไปนะ มานี่มาอยู่ใกล้ป๋า ไม่ร้องแล้วลูก ป๋าไม่ไป ป๋าจะอยู่กับดอท”

“ฮือๆๆ ฮึก.. ฮือๆๆ” ร้องไห้แล้วหยุดไม่ได้ ความปวดร้าวแผ่กระจายจากอกข้างซ้ายไปทุกปลายประสาท ผมกลัว กลัวที่จะต้องเสียใครไปอีก ไม่เฉพาะแค่คนรัก แม้แต่คนในครอบครัวก็ไม่พร้อมที่จะเสียใครไป

“โถลูก ป๋าขอโทษ ป๋าขอโทษ ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกทำให้ดอทเสียใจอยู่เรื่อย ป๋ารู้แล้วครับลูก ไม่ร้องแล้วนะ ป๋าไม่ไปไหนแล้ว ไม่ไปแล้ว” ป๋าทั้งปลอบทั้งร้องไห้ในเวลาเดียวกัน  เรากอดกันไม่ได้แต่ป๋าก็พยายามใช้ศีรษะกดแนบลงมาสลับกับจูบหน้าผากเพราะตอนนี้ผมร้องไห้จนตัวโยน

“ร้องไห้ฟูมฟายอะไรกัน! เสียงดังน่ารำคาญไปถึงข้างล่าง!” นางงูพิษเปิดประตูเข้ามาทำหน้าหงุดหงิด ผมยังคงซุกตัวอยู่ที่อกป๋าไม่อยากสนใจรอบด้าน

“สำออย!” ร่างของผมถูกกระชากออกจากตัวป๋าอย่างแรงจนหงายหลังจากนั้นก็ยกเท้าขึ้นเตรียมจะถีบลงมาบนท้อง “ร้องไห้หาพ่อมึงเหรอ รำคาญ!!”

“อย่าทำดอท!” ป๋าพุ่งตัวเข้ามาขวางจนเท้าโดนแผ่นหลังเต็มๆ และจังหวะนั้นเองร่างของนางคนชั่วก็เสียหลักหงายหลังก้นกระแทก “ดอท! เป็นไงมั่งลูก”

ป๋าไม่ได้สนใจผู้หญิงคนนั้น ผมส่ายหน้าแทนคำตอบแต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อไอ้ผู้ชายมันเข้ามาเห็นว่าเมียมันนั่งจุมปุ๊กร้องโอดครวญอยู่บนพื้น

“มึงทำอะไรมล!” มันวิ่งไปช่วยพยุงนางงูพิษไปนั่งที่เก้าอี้

“จัดการมันทั้งคู่เลยพี่เต้!”

“ได้เลย”

มันเดินมาถีบป๋าหลายที ป๋าพยายามเอาตัวบังไม่ให้มันถีบโดนผมและนั่นยิ่งเหมือนเป็นการยั่วอารมณ์ของมันมากขึ้น

“รักกันมากนักเหรอ!” มันเดินไปคว้าเชิงเทียนแล้วกระชากร่างป๋าจนกระเด็นออกไป เงื้อเชิงเทียนขึ้นสุดแขนแล้วฟาดลงมาเต็มแรงจนต้องก้มหลบ

“อ๊ากก!!” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของป๋า

“ป๋า! ป๋าครับ ป๋า ฮือๆๆ” เลือดแดงฉานหยดลงจากขมับด้านขวาทำให้ภาพของเฮียเผ่าตอนที่โดนยิงซ้อนทับเข้ามาจนสติแตกจึงตะโกนใส่พวกมันสุดเสียง “ไอ้พวกชั่ว! ไอ้เดรัจฉาน!”

“ปากดีนักนะมึง!” ไอ้ผู้ชายมองอย่างเดือดดาล มันกระชากตัวป๋าออกห่างแล้วเงื้อมือขึ้นจะฟาดผมอีกคน

“ฉันจะเซ็นเช็คให้สิบล้าน!” ป๋าตะโกนบอกมันจึงชะงักมือไว้ “ศมลไปเอาสมุกเช็คมา ถ้าฉันเซ็นให้แล้วก็ปล่อยฉันกับลูกไป รับรองจะไม่แจ้งความ ไม่เอาความอะไรทั้งนั้น”

“เหอะ ก็แค่นั้นแหละ”

“อย่าเซ็นให้มันนะครับ มันไม่มีทางปล่อยเราสองคนแน่”

“ป๋าไม่มีทางเลือก ป๋าทนเห็นมันทำร้ายดอทไม่ได้อีกแล้ว”

นางผู้หญิงชั่วยิ้มเหยียดใส่ผมแล้วเดินไปหยิบสมุดเช็คในลิ้นชักออกมา

“เดี๋ยวจะให้พี่เต้เอาไปขึ้นเงิน ถ้าได้เงินแล้วถึงจะปล่อย” มันโยนสมุดเช็คให้ป๋า

“ไม่ได้!” ป๋าร้องห้าม “ปล่อยดอทไปก่อนแล้วฉันจะเซ็น ไม่งั้นก็อย่าหวัง”

นางงูพิษกัดฟันกรอดอยู่สักพักแล้วตัดใจสั่งให้ปล่อยผมไป

“พี่เต้เอาไอ้เกย์นี่ไปไกลๆ”

“ไม่!” ป๋าแทรกขึ้นอีกครั้ง “ให้ดอทออกไปเอง แล้วถ้าดอทใช้เบอร์แม่เขาโทรมา ฉันถึงจะยอมเซ็น”

“เรื่องมาก!” ไอ้ผู้ชายเงื้อมือจะตีป๋าอีกแต่โดนห้ามไว้

“อย่าทำมันพี่เต้ ถ้ามันตายเราจะมีคดี ใช้เงินไม่สะดวกหรอกแบบนั้น” ก็ยังดีที่รู้จักคิด “ไปสิ! แล้วอย่าแจ้งความนะมึง ไม่งั้นพ่อมึงตาย!”

“รีบไปสิลูก” ป๋าใช้ไหล่ดัน

“ไม่ ดอทไม่ทิ้งป๋า”

“เชื่อป๋านะ ป๋าไม่เป็นอะไรหรอก เชื่อป๋านะ ป๋าขอร้องนะลูก” น้ำตาของป๋าไหลอีกครั้งและมันทำให้ผมต้องตัดใจยอมทำตาม

“ป๋าต้องอยู่กับดอทนะ ห้ามเป็นอะไรนะครับ”

“ครับ ป๋าสัญญา”

ไม่รู้ทำไมถึงใจหายกับคำว่าสัญญาของป๋า ผมร้องไห้น้ำตานองขณะที่ไอ้ผู้ชายมันแก้เชือกที่มัดไว้

“ไปเถอะลูก รีบไป” ป๋าเร่งมาอีกเมื่อผมยืนร้องไห้ไม่ยอมออกจากห้อง

“ได้เงินแล้วต้องปล่อยป๋านะ อย่าทำอะไรป๋า” ผมหันไปบอกนางผู้หญิงใจร้าย

“เออน่า รีบไปซะที พิรี้พิไรอยู่ได้ รำคาญ!”

“ดอทจะรีบโทรมานะครับ”

“ระวังตัวนะลูก ป๋ารักดอทนะ”

เมื่อผมออกจากห้องมาได้ก็รีบสาวราวบันไดลงอย่างรีบร้อน ต้องรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุด พวกมันจะได้ปล่อยป๋าเร็วๆ


เสียดายที่ไม่ได้โทรบอกดินแดนตอนมาเพราะตั้งใจจะเคลียร์กลับป๋าก่อน  ถ้าเป็นนายดินต้องจัดการอะไรได้บ้างแน่ๆ 
ไม่มีโทรศัพท์มือถือแบบนี้เหมือนโดนตัดมือตัดเท้า ในชีวิตจำได้แค่เบอร์เฮียเผ่า กับเบอร์คุณแม่และป๋า นอกนั้นจำเบอร์ใครไม่ได้เลย อ้อ มีเบอร์ออฟฟิศที่จำได้อีกเบอร์

สกาย!

ใช่.. โทรเข้าเบอร์ออฟฟิศแล้วให้พี่บอลลูนโทรหาสกายจากนั้นให้สกายโทรหาดินแดนอีกที โธ่ มันยุ่งยากไปหรือเปล่า กว่าจะได้เรื่องป๋าก็คงแย่แน่ๆ

“อุ๊บ!!” หัวใจตกวูบไปถึงตาตุ่ม

ใคร!!!!

ขณะที่กำลังคิดคำนวณแผนการอยู่ในใจตอนที่ก้าวขาออกจากประตูบ้านก็ถูกล็อคไว้จากด้านหลังพร้อมกับปิดปากไว้ เพิ่งจะโดนปล่อยตัวออกมา อย่าบอกนะว่าไอ้คนชื่อเต้จะตามมาจับอีกรอบ หรือจะเป็นโจรกลุ่มอื่น

มันจะซวยซ้ำซ้อนอะไรแบบนี้นะ!


.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

สงสารคนอ่านเรื่องนี้จริงๆ ดราม่าอะไรเยอะแยะขนาดนี้!!
ทนอีกนิด เดี๋ยวพ้นเรื่องป๋าพี่ดอทจะมูฟออนแล้ว ฮึบๆ

คุยกันวันละนิด

TachibanaRain : เหนื่อยกับวิบากกรรมของพี่ดอทแล้วอะ ทำไงดี..

Janemera : พ้นเรื่องของป๋าไปก็จะถึงเวลามูฟออนแล้วค้าบบ

nonlapan : ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาอีกแย้ววว ฮือออ

ซีเนียร์  :  ขอบคุณที่แวะมาค่าา

songte : มาต่อแย้ววว

nevergoodbye : มาม่าไม่จบไม่สิ้น ฮือออ

หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 19 : ภาวะซ้ำซ้อน 《27/10/2018》P.5
เริ่มหัวข้อโดย: psyfer ที่ 27-10-2018 17:09:20
โอ้ยยย พี่ดอท T T
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 19 : ภาวะซ้ำซ้อน 《27/10/2018》P.5
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 27-10-2018 19:46:52
โอ้โหหหหห เลวสุดไรสุดผู้หญิงคนนี้ // ขอเดาว่าคนที่ตามมาคือพี่หมอ  :katai5:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 19 : ภาวะซ้ำซ้อน 《27/10/2018》P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 27-10-2018 23:32:02



ต้องมีคนตามมาช่วยดอทนะ ใครกัน ดินแดนไหมอ่ะ

คู่ผู้ร้ายก้อใจร้ายใจดำ ทำคนแก่และคนป่วย บทถีบ เตะ อ่านข้ามเลย


 :z6:  :z10:  :z13:  :beat:  :beat:  :a5: …  :a5:




หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 19 : ภาวะซ้ำซ้อน 《27/10/2018》P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 28-10-2018 01:04:09
 :o12: :o12: ใครมาจับน้องดอทอี้กกก หรือจะเป็นหมอวรรต เพราะอิพี่เวย์หายไปไหนแล้วไม่ยู้วว ถ้าเป็นดินแดนน่าจะบุกไปตั้งนานล่ะ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 19 : ภาวะซ้ำซ้อน 《27/10/2018》P.5
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 28-10-2018 02:24:34
ผ่านมาสองเดือนดอทยังอยู่ขั้น Denial อยู่เลย การพยายามก้าวข้ามการตายของเผ่าด้วยตัวคนเดียวไม่เวิร์คเลย แต่ต่อให้เอาที่บ้าน เอาสองว. มาช่วยก็ไม่รู้จะดีขึ้นแค่ไหน กับคนนั้น ทั้งรักทั้งผูกพันธ์ไหนจะตายแบบพยายามปกป้องตัวเองด้วยชีวิตจนวินาทีสุดท้ายอีก โธ่ คุณหนูของบ่าว  :sad4:

แล้วยังจะมาโดนจับตัวอีก สงสารดอทจริงๆ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรขนาดนั้นหนอ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 19 : ภาวะซ้ำซ้อน 《27/10/2018》P.5
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 28-10-2018 03:42:11
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 19 : ภาวะซ้ำซ้อน 《27/10/2018》P.5
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 28-10-2018 06:47:03
มันจะดาร์คสำหรับดอทเกินไปแล้ว
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 19 : ภาวะซ้ำซ้อน 《27/10/2018》P.5
เริ่มหัวข้อโดย: PuppyPp ที่ 28-10-2018 16:30:03
สนุกมากกกกกกกกก
อ่านรวดเดียวเลย

แต่ละตัวละครสื่ออารมณ์ได้ดีมากๆค่ะ
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 19 : ภาวะซ้ำซ้อน 《27/10/2018》P.5
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 29-10-2018 20:46:49
เฮ้ออออ บอกได้คำเดียวว่าเหนื่อยใจทำไมพี่ดอทถึงทำร้ายตัวเองได้มากขนาดนี้ รู้ว่าเสียใจแต่พี่ควรมีสติให้มากกว่านี้นะ ทรมานตัวเองไม่ช่วยอะไรเลยจริงๆ แล้วนี่ก็มาเรื่องป๋าอีก ถ้าป๋าเป็นอะไรไปอีกพี่ดอทต้องโทษตัวเองอีกแน่ๆเมื่อไหร่ชีวิตจะดีมีความสุขสักทีคะ ตอนท้ายคนที่ปิดปากนี่คิดว่าเป็นพี่ดินนะ ขอให้ใช่ด้วยเถอะ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 20 : ภาวะฟื้นฟู 《1/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 01-11-2018 10:45:21
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ต อ น ที่  20  :  ภ า ว ะ ฟื้ น ฟู


“ชู่ววว” เสียงจากคนที่ล็อคตัวอยู่ด้านหลัง เขาพยายามปรามให้เงียบเมื่อผมร้องอู้อี้และดิ้นไม่หยุด “ชู่วว ผมเอง”

น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้หัวใจของผมอุ่นวาบเหมือนโลกที่เคยดับแสงสว่างจ้าแค่เพียงคำว่า ‘ผมเอง’ ที่เขาพูดขึ้น

เมื่อผมเริ่มนิ่ง วงแขนล่ำจึงคลายออก

“ดิน.. ดิน ฮึก.. ดิน..” หมุนตัวกลับไปมองหน้าเขาชัดๆ ก่อนจะโผเข้ากอดเต็มรักด้วยความโล่งใจถึงขีดสุด

แขนยาวๆ ของดินแดนโอบกอดผมไว้แนบแน่นราวกับรู้ว่าอ้อมกอดของเขาจะฟื้นฟูสภาพจิตใจที่พังทลายให้ทุเลาลง มือหนาทำหน้าที่ลูบบีบหนักตรงท้ายทอยเพื่อให้ผ่อนคลาย

ดินแดนเงียบขรึมไม่เหมือนในเวลาปกติที่จะพูดหรือปลอบ เขาใช้ปากจูบซับบนศีรษะแทนการส่งเสียง แรงโอบรัดแน่นขึ้นทุกครั้งที่เขาเอียงหน้ามองลงมาเห็นสภาพที่อ่อนเพลียและบอบช้ำ

ผมร้องไห้อยู่กับอกของดินแดนครู่หนึ่งจนเมื่ออารมณ์นิ่งขึ้นจึงนึกได้ว่าสิ่งสำคัญในตอนนี้คือช่วยป๋าให้ปลอดภัย

“ดิน.. ดินต้องไปช่วยป๋า ป๋าโดนจับไว้ที่ห้องนอนใหญ่บนชั้นสอง มีผู้ชายหนึ่งคน กับผู้หญิงคนใหม่ของป๋าอีกหนึ่งคน” ผมบอกทั้งน้ำหูน้ำตานองหน้าทำให้มือหนาต้องช่วยปาดเช็ดมันออกเป็นการใหญ่

“ผมรู้..” สีหน้าของผมคงแทนคำถามได้อย่างดี ดินแดนจึงอธิบายต่อ “ผมแอบซ่อนกล้องไว้หน้าห้องป๋า เมื่อตอนสายโทรหาแล้วป๋าปิดเครื่องก็เลยเช็คคลิปย้อนหลังดู พอรู้เรื่องผมก็รีบบึ่งรถมาจากกองถ่าย นี่ยังเสียดายที่เมื่อเช้าไม่เทคิวเพราะสังหรณ์แปลกๆ ก่อนออกจากบ้าน ไม่งั้นพี่คง..”

ดินแดนขบกรามแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน

“อุตส่าห์แพลนไว้จะจัดการหลังวันเกิดป๋า กะว่าจะเฉดหัวพวกมันโดยไม่ให้ป๋าระแคะระคาย ให้มันหนีไปเองแล้วค่อยเล่าให้ป๋าฟังทีหลังแต่พวกมันดันลงมือซะก่อน”

ตลอดเวลาที่สนทนากัน ดินแดนไม่ละสายตาออกจากใบหน้าของผม มือของเขาซับแตะลงบนรอยช้ำ แม้กระทั่งดวงตาที่ลึกโหลก็พยายามนวดคลึงให้อย่างเบามือ เหมือนเป็นการรับรู้ความเจ็บปวดของผมและปลอบขวัญโดยไม่ต้องพูดถึงมันให้รู้สึกปวดใจ

“ต้นเหตุเพราะฉันทำให้ป๋าโกรธ ป๋าก็เลยพาลใส่มัน” ผมสารภาพความผิดออกไป

“อย่าคิดแบบนั้นสิ พี่นี่ชอบเอาตัวเองไปผูกติดกับปัญหาของคนอื่น นิสัยเสีย”

“เจอหน้าก็ด่า” ผมทำหน้างอ

“ก็ความชนม์แดนของพี่มันน่าฟาด” ดินแดนลูบแก้มเบาๆ แล้วเปลี่ยนเรื่อง “พี่แอบอยู่ตรงนี้นะเดี๋ยวผมจะเข้าไปช่วยป๋า ไม่ว่ายังไงห้ามเข้าไปในบ้านเด็ดขาด”

“อืม” ผมพยักหน้ารับ


ดินแดนมองซ้ายมองขวาก่อนจะสาวเท้าเข้าไปในบ้าน พอเขาลับตาก็อดไม่ได้ที่จะย่องตามไปสอดแนม

ตรงข้างประตูเป็นบานกระจกใสทำให้มองเข้าไปเห็นทุกอย่าง ผมนั่งหมอบลงเพื่อให้ยากต่อการมองเห็น ขายาวๆ ก้าวขึ้นบันไดทีละสองขั้น มองรอบด้านอย่างระแวดระวังดูเหมือนพวกสายลับในหนังไม่มีผิด รองเท้าหุ้มข้อสีน้ำตาลเข้ากับกางเกงยีนส์เท่ๆ เสื้อยืดสีขาวคลุมทับด้วยแจ็คเก็ตสีน้ำตาลแบรนด์ดังเข้ากับบุคลิกและท่าเดินกร่างๆ ของเขา  เด็กคนนี้มีตัวตนชัดเจนและรู้จักตัวเองดีมาก แต่งตัวเป็น พูดเป็น คิดเป็น ถึงจะชอบโชว์ความสติเสียแต่จริงๆ เขาฉลาดและมีแอททิจูดที่ดีมากจนน่าอิจฉา

เผลอมองเพลินจนไม่รู้เลยว่าดินแดนหันมาชี้นิ้วใส่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมย่นหน้ากลับไปเพราะเขาทำตาดุแล้วปัดมือไล่ให้กลับไปหลบอยู่มุมเดิม

“ไปก็ได้” พูดเบาๆ แล้วค่อยๆ คลานถอยหลังกลับไปที่เดิมแต่ดันพลาดไปชนแจกันลายครามล้มลงจนแตกไปหลายเสี่ยง “โธ่เอ้ย ซุ่มซ่ามจริงชนม์แดน ดีนะที่พวกนั้นอยู่บนห้องไม่อย่างนั้นต้องได้ยินแน่”


ผ่านไปครู่หนึ่ง ใจมันรุ่มร้อนอยากรู้ความเป็นไป ผมย่องออกจากที่ซ่อนอีกครั้งเพื่อไปแอบดู ทุกอย่างเงียบเชียบจนน่าเป็นห่วง ดินจะพลาดไหมนะ

“อยู่นี่เอง!”

“อ๊ะ! ปล่อย! ปล่อยสิ!” ไอ้คนชื่อเต้มันย่องมาข้างหลังแล้วจับตัวไว้ได้ แรงของผมมีไม่พอที่จะขัดขืนได้เลย

“ดีนะที่กูหิวแล้วลงมาหาอะไรกิน ได้ยินเสียงแจกันแตกเลยลองเดินดูรอบบ้าน มึงรอใครอยู่บอกมา!” ดูท่าว่ามันจะยังไม่เจอนายดิน “อุตส่าห์ปล่อยให้หนีไม่หนี นี่คงแจ้งตำรวจล่ะสิ”

“ถ้ารู้แล้วก็รีบหนีไปสิ” สมอ้างไปตามน้ำ กะว่ามันจะกลัว

“ตำรวจไทยเนี่ยนะ ถ้าอยากให้มาวันนี้มึงต้องแจ้งเมื่อวานโว้ย เอามึงไปขู่ให้ไอ้แก่เซ็นเช็คก่อนแล้วค่อยหนีก็ยังทัน ไป! เดินไป!”



“เฮ้ย!” เมื่อถึงหน้าห้อง ไอ้คนชื่อเต้เปิดประตูแล้วเห็นดินแดนกำลังมัดมือศมล มันรีบล็อคตัวผมไว้ก่อนจะล้วงมีดขึ้นมาจี้ที่คอ “ปล่อยเมียกูไม่งั้นไอ้นี่โดนเสียบคอหอยแน่!”

“โธ่เว้ย!” เสียงสบถขึ้นพร้อมกันทั้งดินแดนและป๋าที่ตอนนี้ถูกแก้มัดทั้งมือและเท้าแล้ว

“น่าจะพาพี่แกไปที่ปลอดภัยก่อน” ป๋าหันไปบอกดินแดน

“โทษครับป๋า ผมประมาทไปหน่อย คิดว่ามันอยู่ในห้องกันทั้งสองคน” ดินทำเสียงเครียดไปพร้อมกับแก้มัดให้นางงูพิษ

“ที่จริงป๋าก็ไม่น่ายอม เห็นมันโวยวายหิวข้าว ป๋าเห็นว่าดอทไปสักพักแล้วก็เลยยอมให้มันออกไป จิ๊ ผิดพลาดไปหมด” ป๋าจิ๊ปากอย่างขัดใจ

“มัดมันเลยมล ไอ้นี่ใช่ไหมที่ชื่อดินแดน”

“ใช่พี่เต้ ไอ้นี่แหละ”

“ถ้าไม่อยากให้ไอ้หน้าสวยนี่ตาย มึงนั่งคุกเข่าเลยไอ้ดินแดน กูไม่ได้ขู่!”

“ย..อย่ายอมมันนะดิน..”

“หุบปาก!” มันทิ่มมีดเข้ามาถึงเนื้อจนมีเลือดซิบออกมา ผมเหยียดเกร็งทันทีเพราะกลัวมากจนไม่กล้ากระดิกตัว

“กูยอมก็ได้!” ดินแดนตะโกนเสียงดัง “ห้ามทำพี่กูอีก ไม่งั้นกูจะฆ่ามึงแน่”

สีหน้าของดินแดนตอนนี้น่ากลัวราวกับปีศาจ ดวงตาคู่คมจ้องเขม็งมีเส้นเลือดขึ้นที่ตาขาวจนเห็นได้ชัด

“ฮ่าๆๆ ฆ่ากูเหรอ ถ้ามึงทำได้ก็ลองดู” ไอ้เต้หัวเราะลั่น “มลมัดแน่นๆ ที่ขาด้วย เสร็จแล้วไปมัดไอ้แก่แล้วมาคุมไอ้นี่ไว้เดี๋ยวพี่จะมัดให้แน่นอีกที”


และแล้ว ทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือดินแดนโดนไปด้วย  ที่จริงตอนนี้ผมกับป๋าโดนมัดแค่มือ เท้าของเราเป็นอิสระ คงเพราะพวกมันคิดว่าเราสองคนไม่มีพิษสงอะไรละมั้ง มีแค่นายดินที่โดนมัดทั้งมือทั้งเท้าแถมโดนซ้อมหนักอยู่ในตอนนี้

“ไหนที่ว่าจะฆ่ากู!” ไอ้เต้ต่อยดินแดนหลายหมัด แต่ร่างสูงไม่สะเทือนสักนิด ยังคงนั่งคุกเข่าจ้องหน้ามันอย่างนั้น “มองหน้าเหรอ! นี่ไง มองเหรอ!” มันถีบหน้าอกคนไม่มีทางสู้อย่างแรงจนล้มลงไปกองที่พื้น

“ดิน!” ป๋าเรียกเสียงหลงเพราะเห็นสภาพของลูกชายคนเล็ก ไอ้เต้ยังตามไปจะกระทืบซ้ำจนผมทนไม่ไหว

“อย่าทำดิน! อย่าทำคนไม่มีทางสู้!” ผมตะโกนห้าม

“คุ้นๆ เหมือนที่ผมเคยทำกับเฮียเลยว่ะ เวรกรรมนี่มันไฮสปีดฉิบหาย” ดินแดนอ้าปากขยับกรามหลายทีก่อนจะเลียเลือดที่ซึมมุมปาก

“พูดเหี้ยไรไม่รู้เรื่อง!” ไอ้เต้เตะซ้ำเข้าที่ด้านหลังอย่างแรงตอนที่นายดินไม่ทันตั้งตัว

“ดิน! ดินเจ็บไหม ฮือๆๆ” ผมก้าวเข้าไปพยายามจะช่วย

“อย่า! อย่าเข้ามาพี่ดอท ถ้าพี่เจ็บตัวอีกแม้แต่นิดเดียวผมต้องติดคุกแน่!”

ทำไมถึงบอกว่าจะติดคุกล่ะ ไม่เห็นเข้าใจเลย..

“ห่วงตัวมึงเองก่อนเถอะ นี่แน่ะ เก่งนักเหรอมึง!” ไอ้คนชั่วมันเตะดินแดนเหมือนเป็นกระสอบทราย แต่ดินไม่ร้องสักแอะ ดูเหมือนพยายามยกช่วงขากันไว้เพราะน่าจะเป็นจุดที่เจ็บน้อยที่สุด

“เอามันหนักๆ เลยพี่เต้ รำคาญมันมาตั้งนานแล้ว”  จากนั้นนายดินก็โดนทั้งเตะทั้งถีบอีกหลายทีจนคนเตะหอบแฮ่ก

“ขอพักกินน้ำแป๊บ หิวข้าวด้วยเนี่ย เมื่อกี้ก็ไม่ทันได้กิน” แล้วมันก็เดินไปที่โต๊ะเพื่อรินน้ำดื่ม

“ป๋าครับ” ดินแดนเงยหน้าขึ้นมองป๋า ทั้งๆ ที่ยังนอนเกลือกอยู่กับพื้นแต่สีหน้าของเขาไม่เหมือนคนที่ตกเป็นรองเลยแม้แต่น้อย

ป๋าพยักหน้าตอบจากนั้นก็เอาตัวมาบังผมไว้ทั้งตัวจนต้องชะโงกหัวออกไปดูสถานการณ์ แล้วก็ต้องตะลึงเมื่อร่างสูงที่นอนกองอยู่กับพื้นใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาทีบิดข้อเท้าไปมาจนเชือกเริ่มหลวม

“เฮ้ย! ไอ้เหี้ยนี่!” ไอ้เต้หันมาเห็นก็คว้าเก้าอี้ข้างตัวขึ้นเตรียมฟาดใส่ เป็นจังหวะเดียวกับที่เชือกยานพอที่ดินแดนจะกระชากเท้าออกจากกันจนเชือกหลุด 

“ดิน!!” ผมร้องสุดเสียง

โครม!!

เก้าอี้ที่ถูกทุ่มลงเฉียดตัวดินแดนไปแค่เส้นยาแดงผ่าแปดเพราะเขากลิ้งหลบได้ทัน จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วแล้วถีบสวนเข้าไปตรงสีข้างจนไอ้เต้เสียหลักเซไปหลายก้าว

“ระวังนะพี่เต้!” เสียงนางงูพิษตะโกนเตือนคู่ของมันเพราะดินแดนเดินเข้าหาแล้วง้างเท้าแต่พอสิ้นเสียงเตือนเท้าของดินแดนก็ฟาดเข้าใส่ก้านคอของไอ้เต้เสียแล้ว

“อั่ก!” มันล้มลงแต่ก็ยังมีสติพอที่จะล้วงมีดออกมาจากกระเป๋าอีกครั้ง “เข้ามาสิ มือก็โดนมัดแบบนั้นกูไม่กลัวมึงหรอก!” มันกวัดแกว่งมีดใส่พลางกระเถิบถอยหลังเพื่อตั้งหลักและในที่สุดมันก็ลุกขึ้นได้

“กระจอกอย่างมึง กูใช้ตีนข้างเดียวก็พอแล้ว” สีหน้าดินแดนเหมือนฆาตกรโรคจิต เขาเดินเข้าหาคนที่ถือมีดโดยไม่เกรงกลัว

“ระวังนะดิน ระวัง!” เห็นมันกวัดแกว่งมีดก็เสียวไส้แทนจึงร้องเตือนเพราะกลัวว่าเขาจะบาดเจ็บ

“ระวังมันตายเหรอพี่” เห็นจากด้านข้างว่าดินแดนแสยะยิ้มเหี้ยมใส่คู่ต่อสู้ เป็นความเท่ที่ไม่รู้จะบรรยายยังไงเพราะอินเนอร์กับความหล่อความเท่ไปด้วยกันได้อย่างลงตัว ถ้าบอกว่าถ่ายหนังก็เชื่อ

แค่พริบตาเดียวเท้าของดินแดนก็ตวัดใส่ข้อมือจนมีดปลิวตกไปไกล สีหน้าของไอ้เต้เหมือนโดนผีหลอก มันหันมองรอบข้างเพื่อหาอาวุธพร้อมกับถอยหนีไปจนหลังติดกำแพง

“ทำกูเจ็บ.. กูยังไม่โกรธเท่าทำพ่อกู” ดินแดนเอ่ยเสียงเหี้ยม “ทำพ่อกู ก็ยังไม่โมโหเท่าที่มึงทำพี่กูแบบนี้!!” จบประโยค ผมมองไม่ทันว่าไอ้เต้มันโดนอะไรบ้าง ทั้งๆ ที่ถูกมัดมือไพล่หลังแต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคแม้แต่นิด เท้าสะบัดไวมากและใช้เท้าขวาเพียงข้างเดียวอย่างที่เขาว่าจริงๆ

“พี่เต้!” นางงูพิษเห็นท่าไม่ดี มันหยิบเชิงเทียนอันเดิมที่ใช้ฟาดป๋าเดินเข้าไปเพื่อช่วยคู่ขา

“ดินระวัง!” ผมร้องบอกแต่ช้าไป

“กรี๊ด” ป๋าเข้าไปขัดขาของนางคนชั่วจนมันล้มลง

“เจ๋งมากครับป๋า” ดินแดนหันมาขยิบตาให้ป๋าที่เดินกลับมาบังผมไว้อย่างเดิม อะไรจะเท่ขนาดนี้ทั้งป๋าทั้งนายดิน

รู้สึกเหมือนเป็นนางเอกละครที่มีพระเอกมาช่วย  ไม่สิ ลบๆๆ กำลังหน้าสิ่วหน้าขวานแต่คิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย

“อยู่ไม่ได้แล้วโว้ยย”  ไอ้เต้อาศัยจังหวะที่นายดินเผลอวิ่งไปทางประตู “โอ้ยย” มันร้องลั่นเพราะถูกขัดขาไว้

ดินแดนเป็นคนที่ปฏิกิริยาไวทายาทจริงๆ ขนาดไม่ได้มองก็ยังแหย่เท้าไปยังองศาที่พอดิบพอดีจนไอ้เต้หน้าไถลไปกับพื้น  พอเห็นว่านายดินกำลังจะตามไปซ้ำ มันก็รีบหนีไปหลบหลังนางงูพิษที่เพิ่งยักแย่ยักยันลุกขึ้นมาได้เดี๋ยวนั้นเอง

“ช่วยไม่ได้ว่ะมล” ในวินาทีที่ดินแดนกำลังจะเข้าไปถึงตัว ไอ้คนชั่วมันผลักเมียตัวเองใส่ดินแดนแล้วอาศัยจังหวะนี้หนีออกจากห้องไป

“โอ๊ยพี่เต้!” ร่างอุ้ยอ้ายกระแทกใส่ดินแดน ดีที่นายดินรับไว้ได้แต่ก็น่าจะเจ็บพอควรจึงค่อยๆ ทรุดตัวล้มลง

“ตัวใครตัวมันเถอะวะ!”

“พี่เต้! แล้วลูกมึงนี่ล่ะ! ไอ้ผัวเลว ไอ้ผัวเฮงซวย!! โอ๊ะ.. โอย..” นางงูพิษร่ำร้องตะโกนด่าทอไอ้เต้ที่ตอนนี้หนีไปไม่เห็นแม้แต่เงา จากนั้นก็เริ่มหน้าเสียนั่งกุมท้องแล้วส่งเสียงโอดครวญ

ดินแดนไม่มีทีท่าว่าจะตามไปแต่เดินไปเก็บมีด เขาย่อตัวลงแล้วใช้มือที่ถูกมัดไพล่หลังควานจับด้ามมีดไว้ได้ก่อนจะค่อยๆ เฉือนเชือกจนขาด  เหมือนดูหนังจริงๆ นะ ถ้าไม่รู้ประวัติคงคิดว่านายดินเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบหรือสายลับอะไรเทือกนั้น

“ป๋าโอเคไหมครับ” ร่างสูงเดินมาพร้อมกับมีดและตัดเชือกให้เราสองคนพ่อลูก

“ไม่เป็นไรมาก ดูพี่แกก่อนเถอะ”

“ดูหน้าพี่ดิ ผมนี่อยากจะฆ่ามันจริงๆ” ร่างสูงมองหน้าผมด้วยสีหน้าไม่ดีนัก ดูเขาจะสะเทือนอารมณ์เป็นอย่างมากผิดจากก่อนหน้านี้ที่ได้เจอกันที่หน้าบ้าน

“เมื่อกี้ไม่เห็นซีเรียส” ผมแกล้งแหย่ ไม่อยากให้คิดมาก

“เก็บอาการอะรู้จักปะ ผมไม่อยากให้พี่กลัว” ว่าแล้วก็พยุงผมไปนั่งโซฟาก่อนจะหันไปหานางผู้หญิงชั่วที่ตอนนี้กำลังคลานหนี

“ดิน..เลือด!” ผมชี้ไปบนพื้น

“เลือดตกขนาดนั้นอยู่นี่แหละรอรถพยาบาล”  ดินแดนหยิบโทรศัพท์กดเรียกรถพยาบาล บอกข้อมูลคนเจ็บสามคนและรายละเอียดของอาการอย่างครบถ้วน

แต่ดูเหมือนนางคนชั่วจะไม่ฟัง ยังคงกระเสือกกระสนไปต่อจนพื้นเลอะคราบเลือดเป็นทาง

“ถ้าไม่อยากเสียลูกก็อย่ารั้น อยู่นิ่งๆ” เสียงของดินแดนไม่ได้กระโชกโฮกฮากแต่ก็ไม่ได้อ่อนโยน เขาแยกความแค้นและคุณธรรมออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด เห็นแล้วทึ่งมากเพราะถ้าเป็นผมต่อให้สงสารก็จะทำท่าทางเหยียดใส่อย่างแน่นอน

จะว่าไป ผมนี่ก็ตัวร้ายไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ

“ใครจะสนลูกที่พ่อมันทิ้งแม่มันไปแบบนี้วะ เก็บไว้ก็เสนียดเปล่าๆ”

“ป๋าจะจัดการเองหรือยกให้ผม” ดินแดนหันมาคุยกับป๋า

“จัดการไปเถอะ หน้ามันป๋ายังไม่อยากมอง” โอเค มีเพื่อนร้ายแล้ว แบบนี้ค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย

ศมลยังคงคืบคลานต่อไปอย่างน่าสังเวช ดูเหมือนจะไม่ห่วงเด็กในท้องจริงๆ อย่างที่พูดไว้

“เออ งั้นก็คลานไปตายเอาดาบหน้าเลย เผลอๆ จะตกเลือดตายตามลูกด้วยซ้ำ” ดินแดนขู่ ซึ่งผมคิดว่ามีเปอร์เซ็นต์สูงที่จะเป็นไปได้เพราะตอนนี้เลือดนองเลอะขาจนแดงเถือกผลจากการล้มหลายรอบในวันนี้

“ถ้าอยู่ก็โดนตำรวจจับ ใครจะอยู่วะ!” ยัง.. ยังไม่สำนึก

“ถามจริงเหอะ รูปร่างหน้าตาก็ดี ทำไมไม่เลือกคนดีวะ ป๋าทั้งรวยทั้งดีด้วยขนาดนี้ทั้งชีวิตก็หาไม่ได้แล้วเหอะ ออกจากคุกแล้วก็กลับตัวกลับใจนะ อยู่ให้ห่างคนเลวแล้วทำตัวเองให้ดีขึ้นจะได้เจอคนดีๆ ไม่งั้นชีวิตก็จะเจอแต่เรื่องร้ายแบบนี้ไปตลอด ถึงวันนี้จะไม่เสียใจที่เสียลูกแต่ถ้าวันข้างหน้าอยากมีขึ้นมาแต่มีไม่ได้แล้วจะมานึกเสียใจมันก็ไม่ทันไง เพราะฉะนั้นจะทำอะไรก็คิดให้ดีหน่อย”  ดินแดนเดินไปอุ้มนางงูพิษไปนอนที่เตียง คำพูดเหมือนเป็นแค่การตักเตือนไม่ได้มีอารมณ์ร่วมไม่ว่าจะบวกหรือลบ ไม่ใช่แค่ผมที่อึ้งแต่คนที่ถูกอุ้มก็อึ้งไปเช่นกันแถมยังสงบเสงี่ยมนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม่ดื้อด้านอีกต่อไป

ร่างสูงเดินเข้าห้องน้ำแล้วกลับมาพร้อมผ้าขนหนู เขาใช้ผืนเล็กที่ชุ่มน้ำเช็ดเลือดที่เลอะปลีน่องและเท้าของเธอออกก่อนจะใช้ผืนใหญ่คลุมช่วงล่างให้ จากนั้นก็เข้าห้องน้ำอีกครั้งเพื่อล้างมือ

เป็นภาพที่น่าทึ่งอีกภาพของดินแดน ผมไม่เคยเห็นคนที่เหมือนกับหลุดออกมาจากนิยายแบบนี้ในชีวิตจริงเลยสักครั้ง  ถึงจะไม่ใช่คนสุภาพแต่การกระทำอ่อนโยนผสมความกร้าวแกร่งอยู่ในที บอกไม่ถูกแต่มันพอเหมาะพอดีกับเหตุการณ์จนอดไม่ได้ที่จะยิ้มอยู่ในหัวใจเป็นครั้งแรกตั้งแต่เฮียเผ่าเสียที่ผมรู้สึกว่าหัวใจได้ยิ้มแบบนี้

“ถ้าทนไม่ไหวพี่กรี๊ดก็ได้นะ ผมชินแล้วกับความเท่ของตัวเอง”

เหมือนกำลังฟังดนตรีอย่างเพลิดเพลินแต่จู่ๆ แผ่นเสียงก็ตกร่องเมื่อคนที่ผมนึกชื่นชมเดินเข้ามายืนจ้องหน้าแล้วยักคิ้วชมตัวเองหน้าตาเฉย

เสียอรรถรสหมดเลยนายดิน นิสัยอะไรแบบนี้ก็ไม่รู้

“เด็กบ้า” ผมเบ้ปากเล็กน้อยแล้วนั่งซบพนักพิงเพราะตอนนี้เริ่มหมดแรง

ดินแดนยิ้มทะเล้นแล้วเดินเข้ามานั่งบนพนักวางแขน หยิบทิชชูซับเลือดที่ซึมอยู่บริเวณลำคอให้ซึ่งผมก็ไม่ได้ต่อต้านอะไรเพราะแค่กระพริบตายังเหนื่อยแล้วในตอนนี้

“แผลลึกไหมเจ้าดิน” ป๋ามองอย่างเป็นห่วง”

“ยังดีที่ไม่ลึกครับ ไม่งั้นผมคงฆ่าไอ้ห่านั่นแล้วโดนจับติดคุกแน่ๆ” อ๋อ ที่เมื่อกี้เขาบอกว่าถ้าผมเจ็บตัวอีกแม้แต่นิดเดียวเขาจะต้องติดคุก หมายถึงแบบนี้เอง เด็กบ้านี่มันเท่จริงๆ ให้ตายเถอะ

“รถพยาบาลยังไม่มาเหรอเจ้าดิน ป๋าว่าพาพี่แกไปส่งโรงพยาบาลก่อนเถอะ”

ขณะที่ดินแดนกำลังตัดสินใจ เสียงไซเรนก็ดังแว่วอยู่ไกลๆ เรียกรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อของเขาขึ้น

“มาแล้วครับ เดี๋ยวผมมานะ”  ว่าแล้วก็วิ่งออกจากห้องไปสักพักใหญ่ แล้วกลับมาพร้อมบุรุษพยาบาล

จากนั้นทุกอย่างก็ดำเนินไปตามขั้นตอนของการช่วยเหลือและคนแรกที่ถูกนำตัวไปก็คือคนที่นอนร้องไห้อยู่บนเตียงอย่างโดดเดี่ยวไร้การเหลียวแลจากป๋าแม้แต่นิดเดียว

++++++++++++++++++++++



ผมตื่นขึ้นในช่วงบ่ายของอีกวัน เป็นการหลับที่ยาวนานมากเป็นครั้งแรกในรอบสองเดือน   

“ป๋าครับ..” ผมเรียกพ่อบังเกิดเกล้าที่นั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง

“ตื่นแล้วเหรอลูก”

“น่าจะพัก ป๋าก็เจ็บหนักเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

“ป๋านอนไปแล้ว พอดีตื่นแล้วเดินมาหาดอทได้สักชั่วโมงนี่เอง”

“แล้วคุณแม่ไม่มาเหรอครับ” ผมหันมองทั่วห้องแล้วไม่เจอ

“มาสิ ก็เพิ่งกลับไปตอนป๋าเข้ามานี่แหละ เห็นบอกว่าจะไปเตรียมชุดมานอนเฝ้า”

“โดนคุณแม่ซ้ำเติมหรือเปล่าครับ”

“เขาไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ก็ยังไม่มองหน้าป๋าเหมือนเดิมนั่นแหละ” ป๋าบอกปลงๆ

“แสดงว่าคุณแม่ใจอ่อนแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นป๋าคงโดนแดกดันแน่”

“อะแฮ่มๆ” ดินแดนตัวป่วนโผล่เข้าประตูมา “คุยอะไรกันกระหนุงกระหนิงครับสองแดน”

“คุยเรื่องแม่ใหญ่แกนั่นแหละ ตาดอทบอกว่าที่ป๋าไม่โดนแดกดันเพราะแม่เขาใจอ่อนแล้วแต่ป๋าคิดว่าเขาคงไม่อยากมาเสวนามากกว่า”

“แม่ใหญ่น่าจะลอยตัวอยู่เหนือปัญหาของป๋าแล้วละครับ นางคงไม่อยากรับรู้ ไม่อยากพูดเยอะ เจ็บเหงือก ฟันปลอมมันทิ่ม คึๆๆ”

“เดี๋ยวเถอะนายดิน” ผมปราม “เล่นไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง มิน่าคุณแม่ถึงยังไม่ยอมญาติดีด้วยซะที”

“แหม่ ก็แม่ใหญ่น่าแกล้ง ที่จริงก็เหมือนพี่นั่นแหละ ชอบทำหน้าบูดๆ เชิดๆ หยิ่งๆ แต่พอแหย่เข้าหน่อยก็หัวร้อน จมูกแดงหูแดง เหมือนในการ์ตูนเลยอะ มีกาน้ำเดือดอยู่บนหัว ปรี๊ดๆๆ ไรงี้ แกล้งแล้วเพลิดเพลินดี”

“นิสัยเสีย” ผมโวยใส่

“พอแล้วเจ้าดิน พี่แกยังไม่หายดี” ป๋าดุเข้าให้ สมน้ำหน้า

“คร้าบๆ พอก็ได้” ว่าแล้วก็มานั่งข้างเตียงอีกฝั่งตรงข้ามกับป๋า

“ว่าแต่ ทำไมหน้าโทรมแบบนั้นล่ะ” ผมทักเมื่อเห็นหน้าของดินแดนไม่เกลี้ยงเกลาอย่างเดิม “รอยช้ำพวกนั้นอีก น่าจะให้หมอตรวจดูหน่อยนะ เจ็บมากไหมน่ะ”

“ไม่เป็นไร้ แผลแค่นี้สิวๆ  แต่เรื่องหน้าโทรมเพราะยังไม่ได้นอนเฉยๆ ตั้งแต่ส่งป๋ากับพี่ถึงมือหมอ ผมก็ไปจัดการบ้านป๋า เก็บรวบรวมหลักฐานส่งตำรวจ แล้วก็ตามไล่ล่าไอ้เหี้ยเต้นั่น ตอนนี้จับมันส่งตำรวจเรียบร้อยโรงเรียนไอ้ดินละ”

“ถามจริงๆ อีกทีนะ เธอเป็นพวกสายลับอะไรแบบนี้หรือเปล่าอะ” ผมคาดคั้น

“ฮ่าๆๆ ก็บอกว่าไม่ใช่ไง” ดินแดนหัวเราะลั่น “ผมไม่ได้ทำคนเดียว แต่เพื่อนคนเดิมที่ชื่อกระทิงคอยช่วย แต่คราวนี้ช้าหน่อยเพราะมันไม่ได้อยู่ไทย กว่าจะติดต่อกันได้แล้วมีเวลาแกะรอยให้ก็เล่นเอาข้ามวัน ที่จริงถ้าไอ้ทิงมันอยู่ใกล้ๆ ผมจับไอ้เต้ได้ตั้งแต่สองชั่วโมงแรกแล้ว”

“ฉันก็ยังระแวงเพื่อนเธออยู่ดี คนไหนเหรอฉันเคยเห็นหรือเปล่า”

“ไม่แน่ใจนะ ที่หัวฟูๆ ตัวสูงๆ ล่ำๆ หน้าคมๆ พี่เคยเห็นป่าว”

“อ๋อคนนั้นเหรอ ที่มากับเธองานแฟชั่นโชว์ที่โรงแรมป๋า เคยเห็นสิ”

“ห้ะ!? งานเดินแบบอะไร ผมไปตอนไหน”

ดูน้องชายผีบ้าคนนี้สิ เมาขนาดจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไปไหนยังไง แล้วที่พูดจาแบบนั้นก็คงไม่อยู่ในความทรงจำอะไรเลยอย่างนั้นสินะ น่าตีจริงๆ

“นานแล้วช่างมันเถอะ ที่จริงฉันยังเคยวิ่งตามเขาจะทาบทามมาเป็นนายแบบงานประมูลนาฬิกาให้ป๋าอยู่เลย แต่คลาดกันก็เลยโทรไปขอเบอร์เธอจากป๋ากะว่าจะขอเบอร์เพื่อนเธออีกที”

“อ้าว! / อ้าว!” สองเสียงประสานกันทันที

“สรุปไม่ได้จะให้เจ้าดินมันไปเดินให้หรอกเหรอ” ป๋าทำหน้างง

“เปล่าครับ เกลียดขนาดนั้นดอทไม่อยากลดตัวไปเกลือกกลั้วหรอก”

“โหๆๆๆ ขึ้นเลยเนี่ย แค่ไม่ใช่คนที่เธอเลือกก็ว่าเฟลแล้ว แต่ยังมาบอกว่าเกลียดไม่อยากเกลือกกลั้วอีก  ผมจะโกรธพี่สิบวัน คอยดู”

ผมแค่นั่งเฉยๆ ไม่ได้พูดอะไร แค่นึกกระหยิ่มอยู่ในใจที่แกล้งเขาได้

“ดูดิป๋า พี่ดอทไม่ง้อด้วยอะ เออก็ได้ โกรธสิบวันจริงๆ คอยดู” ว่าแล้วก็ทำหน้างอใส่แล้วสะบัดตูดเดินออกจากห้องไป

“ลูกก็ไปแกล้งน้อง” ป๋าบ่น

“เป็นการลงโทษที่ว่าดอทกับคุณแม่ครับ” ถึงจะนึกแปลกใจที่เขาไปง่ายๆ แต่ก็ช่างเถอะ ผมเองก็ยังไม่อยากคุยอะไรเยอะ  “ว่าแต่ ทำไมป๋าดูไม่ค่อยดีเลยครับ ถ้ายังไม่โอเคก็กลับไปนอนพักดีกว่า ดอทอยู่คนเดียวได้”

“แค่เครียดๆ เหนื่อยๆ” ป๋าถอนหายใจ

“มีอะไรบอกดอทได้นะครับ”

“ดอทเพิ่งเจอเรื่องไม่ดีมาติดๆ กัน ร่างกายก็ยังไม่ดี หัวใจก็ยังไม่แข็งแรง ไม่ต้องห่วงเรื่องป๋าหรอก พักให้ดีขึ้นก่อนดีกว่า”

“ไม่เป็นไรครับ ดอทดีขึ้นมาบ้างแล้ว อยากช่วยแบ่งความทุกข์ของป๋าบ้าง อาจช่วยอะไรไม่ได้แต่ดอทจะช่วยฟังนะครับ” ผมเอื้อมมือไปจับมือป๋าแล้วบีบแน่น

อันที่จริงผมลืมเรื่องเฮียเผ่าไปตั้งแต่เจอเหตุการณ์ที่บ้านของป๋า ความตกใจ ความตื่นเต้น และความกลัวทำให้ลืมเรื่องเศร้าไปหมด  จากที่เคยคิดฆ่าตัวตายแต่พอตกอยู่ในสถานการณ์ความเป็นความตายจริงๆ กลับกลัวตายจนสั่นไปทั้งตัว ได้เห็นเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับป๋าก็นึกเห็นใจและอยากช่วยจนความทุกข์ของตัวเองคลายลงไปบ้างแล้ว

“พูดอย่างไม่อายเลยนะ ตอนนี้ป๋าหมดความมั่นใจ หมดกำลังใจ แล้วก็เหนื่อยมากเลยลูก อยากเออร์ลี่รีไทร์แต่ก็ติดที่ไม่มีใครสานต่อกิจการ บอกตามตรงป๋าเสียดายถ้าจะต้องโอนหรือให้ใครมาเทคโอเวอร์”

“ดอทขอโทษนะครับ ธุรกิจใหญ่ขนาดนั้นมันไม่เหมาะกับดอทเท่าไหร่เลย”

“ไม่เป็นไรลูก ป๋าไม่ได้บังคับ ดอทอยากรู้ป๋าก็เลยเล่าให้ฟัง ป๋าแค่อยากแชร์เรื่องของป๋าให้ดอทได้รู้บ้าง เราจะได้เป็นพ่อลูกที่สนิทใจกันจริงๆ สักที”

“ขอบคุณนะครับ” ผมยิ้มบางๆ แต่ในใจกลับแอบรู้สึกผิดเพราะถึงป๋าจะแชร์เรื่องของป๋าแต่ผมกลับไม่ได้อยากแชร์เรื่องของผมสักเท่าไหร่

“แล้วหนุ่มๆ ของลูกล่ะเป็นยังไงกันบ้าง นี่ก็เห็นคุณรุ่งเขาพูดถึงหมอวรรตอยู่หลายที แล้วอีกคนล่ะได้ข่าวบ้างหรือเปล่า”

“ไม่เลยครับ พี่เวย์ก็คงเป็นคนดีเหมือนเดิม ไม่ล้ำเส้น เล่นตามกติกา รอเวลาเหมาะสม นั่นแหละครับพี่เวย์”

หากเป็นคนอื่นอาจมีน้อยใจที่พี่เวย์ไม่เคยโผล่มาให้เห็นแม้แต่โทรศัพท์ก็ไม่มีเพราะอันที่จริงเราไม่เคยมีเบอร์โทรศัพท์ของกันและกัน ก่อนหน้านี้ติดต่อผ่านเฮียเผ่าและหมอวรรตซึ่งถ้าให้เดา พี่เวย์น่าจะไม่ขอเบอร์ของผมจากหมอวรรตแน่เพราะคงไม่อยากเสียมารยาท หากเขาจะติดต่อต้องเป็นผมที่เป็นคนให้เบอร์เขาด้วยตัวเอง  แต่ผมกลับนึกชอบใจที่เขาเด็ดเดี่ยวได้ถึงขนาดนี้ สิบหกปีที่เขารอนั่นเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าเขามั่นคงและมีความอดทนมากแค่ไหน คนแบบผมที่ค่อนข้างเอาแต่ใจอาจเหมาะกับพี่เวย์ที่จะปักหลักไม่โอนเอนส่ายไปส่ายมาตามที่ผมโยกคลอนอารมณ์ของเขา  แต่ก็นั่นแหละ ผมเองในตอนนี้คงไม่มีแก่ใจจะสานสัมพันธ์กับใคร อย่างน้อยก็ไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่

“แล้วอีกอย่าง เรื่องเฮียเผ่าก็หนักหนาจนดอทไม่อยากมีใครเข้ามาอีกเลยครับ ดอทไม่อยากมีความรู้สึกสูญเสียแบบนั้นอีกแล้ว”

“อย่างที่ป๋าบอก จากตายมันเศร้าแต่จากเป็นมันทรมานมากกว่า แต่ก็ให้เวลารักษาใจดอทเถอะนะ เรื่องของอนาคตก็ให้มันเป็นไปตามอย่างที่มันจะเป็น แค่ดอทไม่กลับไปขังตัวเองอย่างเดิมป๋าก็จะดีใจที่สุดแล้ว”

“คงไม่ทำแบบนั้นแล้วครับ ดอทสงสารคุณแม่ ที่ยอมออกมาได้ก็เพราะคุณแม่ไม่ไหวแล้วจริงๆ”

“ดีแล้วลูก ดูแลแม่เขาแทนป๋าด้วย” สีหน้าป๋าสลดลงจนน่าสงสาร เดี๋ยวนี้พูดอะไรนิดหน่อยตาก็แดงเหมือนจะร้องไห้ทุกครั้งไป

“ป๋า..ยังรักคุณแม่อยู่หรือเปล่าครับ”

ป๋าถอนหายใจเบาๆ แล้วทอดสายตาผ่านบานกระจกหน้าต่าง ห้องวีไอพีโรงพยาบาลเอกชนอันดันต้นๆ ของกรุงเทพก็แน่ละที่วิวด้านนอกจะน่ามองทว่าอารมณ์ของป๋ากลับไม่ได้สอดคล้องกับวิวด้านนอกเท่าใดนัก

“รักสิ.. ป๋ารักใครแล้วเลิกรักยาก กับคุณรุ่ง..ป๋าทั้งรักทั้งรู้สึกผิด ยิ่งไปคว้าผู้หญิงเลวๆ มาเป็นคู่เหมือนหักหน้าเขาซ้ำสอง ทั้งที่ยังไม่ได้หย่ากันก็ยิ่งรู้สึกผิดไปใหญ่ ตอนที่เขารู้ว่าผู้หญิงคนนั้นตั้งท้อง เขาโกรธจนจะฟ้องหย่า ป๋ายังจำหน้าเขาในตอนนั้นได้เลยว่ามันทั้งเศร้าทั้งผิดหวังเหมือนหัวใจแหลกสลายอีกครั้งก็ว่าได้”

“ไม่อยากลองง้อดูหน่อยเหรอครับ คุณแม่อาจจะใจอ่อนก็ได้” ผมลองถามดู

“ป๋าอยากแก้ตัวแต่มันคงเป็นไปไม่ได้ ป๋ารู้ดีว่าแม่ของลูกใจแข็งมากแค่ไหน ไม่มีทางเลยที่จะเข้าหน้าเขาติด พอรู้แบบนี้ก็นึกท้อเพราะป๋าก็ไม่อยากมีคนใหม่แล้วก็ต้องแก่ตายไปแบบตัวคนเดียว น่าสังเวชกับจุดจบของตัวเองเหมือนกัน”

“โธ่ป๋าครับ” ผมบีบมือป๋าแน่นขึ้น 


ต่อ..
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 20 : ภาวะฟื้นฟู 《1/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 01-11-2018 11:06:56
“ป๋าอยากกลับบ้านเรา อยากอยู่กับดอทกับแม่ของดอท อาจไม่ใช่ในฐานะสามีแต่ป๋าก็ยังอยากอยู่ใกล้ๆ เผื่อได้ช่วยดูแลชดเชยความผิดของป๋า”

“เดี๋ยวดอทจะช่วยพูดอีกแรงนะครับ” ไม่มั่นใจนักแต่ก็จะพยายาม

“ไม่ต้องกดดันนะลูก แค่ลองดูถ้าไม่ได้ผลก็ไม่เป็นไร ค่อยๆ ให้เวลาช่วยก็แล้วกัน”

“ครับ” ผมยิ้มให้กำลังใจ “ป๋าไปพักดีกว่าครับ เผื่อค่ำๆ จะได้มาอีกทีอาจเจอคุณแม่ ได้ทำคะแนนสักหน่อยก็น่าจะดีนะครับ”

“แล้วลูกจะอยู่คนเดียวยังไง”

“ดอทไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วครับ ได้นอนไปขนาดนั้นถ้าไม่ดีขึ้นก็แย่แล้ว”

“คิดซะว่าชดเชยที่ไม่ค่อยได้นอนก็แล้วกัน” ป๋ายืนขึ้นแล้วอ้าแขน ผมจึงขยับเข้าไปในอ้อมกอด “ป๋ารักดอทนะ อย่าลืมนึกถึงป๋าบ้างเวลาที่ดอทรู้สึกไม่ดี ให้ป๋าได้ทำหน้าที่ของป๋าบ้างนะลูก อยากได้อะไร จะเอาดาวเอาเดือน ป๋าจะไม่ขัดใจลูกอีกแล้ว”

“ขอบคุณนะครับ ดอทรักป๋าที่สุดเลย” กลายเป็นว่ามีคนสปอยล์เพิ่มขึ้นมาอีกคน เฮ้อ ออร่าภาระของผมนี่มันรุนแรงจริงๆ

พอป๋าเดินกลับไปห้องของตัวเอง ผมจึงออกจากห้องบ้าง อยากยืดเส้นยืดสายเพราะรู้สึกเมื่อยขบจากการนอนเป็นเวลานาน  เดินเข็นเสาน้ำเกลือออกมาจนถึงเคาน์เตอร์ของวอร์ด ถัดไปเป็นมุมรับแขกเห็นตำรวจสองนายกับดินแดนนั่งคุยกันอยู่จึงเดินไปแอบที่ช่องบันไดหนีไฟเพราะอยากรู้ว่าคุยอะไรกัน

“แน่ใจนะครับว่าจะไม่แจ้งความคดีต้มตุ๋น ถ้าไม่มีเจ้าทุกข์ก็อาจต้องปล่อยเพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอนะครับ”

“ครับ คุณแดนสรวงให้ตำรวจจัดการไปตามสมควรได้เลย ท่านไม่อยากยุ่งครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดำเนินคดีไปตามกฎหมายโดยที่เจ้าทุกข์ไม่แจ้งความเอาผิดกับนางสาวศมล แต่กับนายเตชิน คุณดินแดนแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายและกักขังหน่วงเหนี่ยว กับพยายามฆ่าสามข้อหานะครับ”

“ครับ”

“ถ้าคุณชนม์แดนดีขึ้นแล้ว จะขอเชิญไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจ รบกวนโทรแจ้งด้วยนะครับ”

“ได้ครับ”

เมื่อตำรวจไปแล้ว ผมยังยืนหลบอยู่ตรงมุมนั้นเพื่อปะติดปะต่อเรื่องราว สงสัยป๋าจะปล่อยนางงูพิษนั่น ถึงจะน่าเจ็บใจแต่ถ้าป๋าตัดสินใจแล้วก็ช่างเถอะ ไม่ใช่เรื่องของผม

“มาสอบถามอาการคนป่วยห้อง 4013 ครับ ผมเป็นคนดูแลค่าใช้จ่ายของห้องนี้ชื่อดินแดนครับ”

“อ๋อจำได้ค่ะ” พยาบาลยิ้มเขิน คงไม่ต้องบอกว่าทำไมจำได้ก็เจ้าตัวโดดเด่นซะขนาดนั้น “ห้อง 4013 นางสาวศมล สุขพลมี นะคะ”

“ใช่ครับ”

“ผลการขูดมดลูกไม่มีปัญหาอะไร ช่วงนี้ต้องนอนนิ่งๆ แค่ยังอ่อนเพลียและซึมเศร้า อาจต้องดูแลสภาพจิตใจอย่างใกล้ชิด ไม่ทราบคุณดินแดนเป็นคุณพ่อหรือเปล่าคะ”

“เปล่าครับ”

“อ๋อค่ะ เห็นไม่มีใครมาเยี่ยมก็เลยสงสาร ถ้ายังไงคุณเข้าไปคุยกับคนไข้บ้างจะทำให้อาการดีขึ้นนะคะ”

“ครับ”

จากนั้นดินแดนก็เดินไปที่ห้อง 4013 ผมเดินตามไปห่างๆ แล้วแอบดูตรงช่องกระจก มองเข้าไปเห็นดินแดนยืนอยู่ปลายเตียงแต่มองไม่เห็นนางงูพิษนั่น

“พักที่นี่จนกว่าจะหาย ป๋าจะจ่ายค่ารักษาให้ทั้งหมด” ได้ยินเสียงนายดินแว่วๆ แต่ไม่ชัดจึงแนบหูเข้ากับบานประตู

“.......” ไม่มีเสียงตอบกลับ

“อย่าคิดมากเรื่องลูก เด็กเขาอาจจะรู้ว่าเวลานี้ยังไม่เหมาะที่จะมาเกิด รีบหาย รีบกลับตัว แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ วันข้างหน้าเขาจะกลับมาอีก” 

“...ป..ป๋า... เจ้าสัว เป็นยังไงบ้าง”

“ป๋าดีขึ้นแล้ว”

“แล้ว.. ท่านให้อภัยฉันหรือเปล่า”

“ไม่” ดินแดนตอบชัดเจน “แต่ไม่ได้แจ้งความแค่ให้ตำรวจสอบปากคำ ไม่มีพยานหลักฐานก็คงไม่ติดคุก”

“.....”

“ป๋าจะให้เงินเอาไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่อย่าเดินเส้นทางเดิมเพราะเงินก้อนนี้ท่านให้ชดเชยที่ท่านมีส่วนทำให้เธอแท้งลูก และมันจะมีประโยชน์ถ้าเอาไปสร้างอนาคตตัวเอง”

“ฝ..ฝากขอบคุณเจ้าสัวด้วยนะ”

“ไม่รับฝากดีกว่า ป๋าคงไม่อยากได้ยิน” นายแดนนี่เด็ดขาดดีจริงๆ ได้คือได้ ไม่ได้คือตัดจบ ปิดจ๊อบไม่ต้องยืดเยื้อ

“งั้นก็ไม่เป็นไร..เอ่อ ด..เดี๋ยว ..ขอบคุณนะ”

“ผมเหรอ?” ดินแดนถามกลับ

“อืม ขอบคุณที่ไม่ซ้ำเติม และไม่เกลียดจน..”

“จนไม่ยอมช่วยน่ะเหรอ”

“อืม”

“บอกตรงๆ นะ พอเห็นหน้าคุณผมนี่อยากตบให้หน้าแหก ไม่ใช่ที่ทำกับป๋าเพราะเรื่องนั้นป๋าก็มีส่วนผิดที่ดูคนไม่เป็น แต่ที่โมโหเพราะเรื่องพี่ดอท เห็นสภาพเขาแบบนั้นยังทำร้ายได้ลงคอ คือถ้าไม่เหี้ยจริงๆ คงทำไม่ได้อะ”

“...ฝ..ฝากขอโทษ”

“อันนี้ก็ไม่รับฝาก พี่ดอทไม่ใช่คนที่จะให้อภัยใครง่ายๆ”

“ถ้าไม่บอกว่าเป็นพี่น้องกัน ฉันจะนึกว่า..”

“นึกว่า?”

“นึกว่าเป็นคนรัก”

ดินแดนเงียบไปชั่วขณะ ดูเขาจะงงหรืออาจจะแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่คงไม่ได้ใจเต้นผิดจังหวะแบบที่ผมเป็นในตอนนี้  ผมแนบหูแน่นขึ้นเพราะไม่ได้ยินเสียงตอบของดินแดนจนเกิดเสียงดังขึ้นตรงประตู

ตายแล้ว..

รีบขยับออกมาเล็กน้อยแล้วแอบชะเง้อดูที่ช่องกระจก เห็นดินแดนเพิ่งจะหันกลับไปแต่ไม่น่าจะทันเห็นผมหรอก คิดว่าอย่างนั้นนะ

“ก็ไม่เถียง” ดินแดนพูดขึ้น “คนที่รักพี่ดอทมีเยอะและผมก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่เขาไม่ได้ต้องการความรักจากคนอื่นในตอนนี้หรอก คงอีกนานกว่าจะลืมคนรักที่เขาคิดว่ามีแค่คนเดียวในโลกแล้วปล่อยคนอื่นให้รอเขาไปเรื่อยๆ นั่นแหละ”

ไปพูดเรื่องแบบนี้ให้นางงูพิษนั่นฟังได้ยังไง  ผมมองค้อนใส่ประตูแล้วค่อยๆ ลากเสาน้ำเกลือออกจากตรงนั้นมุ่งตรงไปยังห้องของตัวเอง




“โอย.. เดินแค่นี้ก็เหนื่อย คงต้องพักอีกเยอะ” ถึงกับต้องบ่นเมื่อมาถึงเตียงหลายนาทีแล้วแต่ยังนั่งหอบไม่หยุด

ชีวิตวนเวียนอยู่กับโรงพยาบาลมากี่รอบแล้วนะ เจ็บเพราะเฮียหลายรอบแต่ที่หนักถึงขนาดต้องแอดมิดก็สองรอบ ตอนไปช่วยสกายก็แผลใหญ่แต่ยังดีที่แค่ทำแผลแล้วกลับบ้าน ตอนติดป่ากับพี่เวย์ แล้วก็มารอบนี้ เฮ้อ คนอื่นเขาเป็นแบบนี้กันบ้างหรือเปล่า

นั่งคิดทบทวนสิ่งที่ดินแดนพูดแล้วน้ำตาคลอ มันก็จริงที่เฮียเผ่ารักผมมากซึ่งเขาไม่ใช่คนเดียวในโลกนี้ที่รักผม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยากที่จะไม่รู้สึกอะไร

เฮียครับ ดอทคิดถึงเฮียจัง..



วันรุ่งขึ้นผมขอกลับบ้าน เบื่อโรงพยาบาลแล้วและเกรงใจคุณแม่ด้วยเพราะท่านมาคุม.. หมายถึงมาเฝ้าแทบจะ 24 ชั่วโมง

“ป๋ายังไม่ได้กลับ หมอให้อยู่ดูอาการต่ออีกสองวัน” ผมไปเยี่ยมป๋าขณะที่รอเคลียร์ค่าใช้จ่าย

“แล้วทำไมถึงเดินไปห้องดอทล่ะครับ”

“ที่จริงป๋าแค่ยังไม่อยากกลับบ้าน” สีหน้าของป๋าดูไม่สดใส อาจจะเป็นเพราะไม่รู้จะกลับไปตรงไหนมากกว่า

“ดอท..” พูดไม่ออก อยากช่วยแต่ไม่รู้จะช่วยยังไง เมื่อคืนลองเกริ่นกับคุณแม่ว่าผมอยากให้ลองคุยกัน แค่นั้นคุณแม่ก็ปิดประตูใส่ด้วยการบอกว่า ‘ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับดอท แม่ทำใจคุยได้ แต่ถ้าไม่ใช่ แม่ว่าอยู่กันคนละโลกจะดีกว่า’

“ไม่ต้องห่วงป๋านะ ขอเวลาอีกหน่อย คิดว่าคงจะวางมือจากธุรกิจนั่นแหละแต่ก่อนหน้านั้นก็ต้องจัดการอะไรๆ อีกเยอะ ยังไงก็ต้องรอให้สภาพจิตใจพร้อมกว่านี้ ก็น่าจะอีกพักใหญ่” ตอนนี้ใจป๋าคงพังไปหมดแล้ว กำลังใจไม่มีเหลือแถมยังไม่มีที่ไป

“ป๋าอยากให้ดอททำงานแทนหรือเปล่าครับ” ผมตัดสินใจถาม

ป๋าเงียบไปแล้วมองผมด้วยแววตาหม่นหมอง “ถ้าดอทเต็มใจ ป๋าจะมีความสุขมากแต่ป๋ารู้ว่าดอทไม่อยากทำ ไม่เป็นไรหรอกลูก มันก็แค่ของนอกกาย”

“แล้วถ้าเป็นดินแดนล่ะครับ”

“ไอ้เสือนั่นมันรักอิสระ อาจจะยากกว่าขอให้ดอทมาทำด้วยซ้ำ” ป๋ายิ้มขื่น “แล้วอีกอย่าง ป๋าก็ละอายใจที่เป็นต้นเหตุให้เจ้าดินมันต้องออกไปสู้ชีวิตลำพังแบบนั้น มันอยู่มาได้ถึงขนาดนี้และมีความสุขกับชีวิตแล้วป๋าจะเห็นแก่ตัวไปแย่งเอาชีวิตมันมาได้ยังไง อีกอย่างก็เคยเกริ่นถามไปครั้งหนึ่งแล้วว่าอยากมาทำไหมแต่เจ้าดินมันส่ายหัวดิกไม่ยอมแม้แต่จะลองด้วยซ้ำ”

นั่นสินะ ดินแดนมีตัวตนและจุดยืนชัดเจนขนาดนั้น เป็นไปได้ยากกว่าผมด้วยซ้ำ

“ยังไงดอทจะลองถามน้องดูก่อนนะครับ”

“ถ้าดอทอยากลองดูก็ได้แต่จำไว้ว่าถึงป๋าจะอยากให้ลูกๆ สืบทอดธุรกิจแต่ไม่ได้มากไปกว่าอยากเห็นความสุขของลูกหรอก”

++++++++++++++++++++++



ตอนนี้ผมกลับถึงบ้านแล้ว คุณแม่บอกว่าหมอวรรตขอมารับแต่ผมปฏิเสธไป ตอนนี้ยังไม่อยากให้ใครมายุ่งวุ่นวาย ถึงจะเลิกฟูมฟายแต่อารมณ์ยังไม่เสถียรขนาดนั้น

และเรื่องที่กวนใจผมมากที่สุดในตอนนี้ก็คือเรื่องของป๋า

ถ้าดินแดนยอมสืบทอดธุรกิจต่อจากป๋า ผมก็จะแบ่งตารางงานไปช่วยเขาด้วย ซึ่งอันดับแรกต้องกล่อมให้เขาตกลงเสียก่อนซึ่งมันไม่ง่ายเลย คนแบบนั้นควรต้องพูดแนวไหนดีนะ เขาจะยอมให้กับอะไรบ้าง

ใช่แล้ว! สกายไง คนที่ชนะคนแบบดินแดนก็มีแต่สกายคนเดียวเท่านั้น

ผมกดโทรออกหาสกายทันที จะว่าไปตั้งแต่ไม่ได้จัดคิวงานให้ก็ไม่ได้โทร ไม่ได้ไลน์หาเลย

“ค..ครับ?” สกายรับสายด้วยเสียงที่ตกประหม่า เหมือนไม่อยากเชื่อว่าผมจะโทรหา

“ว่างไหม ฉันมีเรื่องอยากปรึกษา”

“คุณดอท.. ดีขึ้นแล้วเหรอครับ”

“อืม ก็..” พูดไม่ออก จะบอกว่าดีได้ยังไงในเมื่อข้างในมันยังพังอยู่แบบนี้

“ผมเอาใจช่วยอยู่นะครับ” สกายคงจะเดาคำตอบได้จึงให้กำลังใจกลับมา

“อืม..ขอบใจนะ”

“ครับ”

“ว่าแต่ดินแดน..อยู่แถวนั้นหรือเปล่า”

“0829829XXX”

“บอกเบอร์ทำไม?”

“ก็คุณอยากคุยกับดินแดน” ทำไมต้องทำเสียงขุ่น

เฮ้อ จะรับมือยังไงกับเด็กคนนี้ดี จะตีจะดุเหมือนที่ทำกับดินแดนก็ไม่ได้เพราะเขาไม่ได้ล้นขนาดนั้น แค่กวนแบบขวานผ่าซากแต่ก็คือกวนนะ ไม่น่าจะน้อยด้วย

“ที่ถามถึงเพราะถ้าเขาอยู่ ฉันจะยังไม่คุย”

“อ๋อ ไม่อยู่ครับ” เสียงของสกายกลับมาเป็นปกติ

ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่าสกายเปลี่ยนไป เมื่อก่อนจับแทบไม่ได้ว่าเขาคิดหรือรู้สึกยังไงบ้าง หรือจะเป็นเพราะตอนนี้เราไม่ได้เกลียดกันแล้ว เขาก็เลยไม่เก็บอาการ

“คือ..เธอจะว่ายังไงถ้าดินแดนเปลี่ยนชีวิตตัวเองมารับช่วงธุรกิจต่อจากป๋า”

“ไม่ว่ายังไงครับ” อืม ถามคำตอบคำ ไม่อยากรู้เลยหรือไงว่าฉันอยากสื่ออะไร คุยกับสกายแล้วอึดอัดชะมัด

“เธอไม่ว่าจริงๆ หรือแค่ยังไม่แน่ใจว่าจะว่าหรือเปล่า หรือแค่รอให้มันเกิดขึ้นก่อนแล้วค่อยว่า”

“คุณดอทครับ” แทนที่จะตอบคำถามแต่กลับเรียกชื่อผมขึ้นมาเสียอย่างนั้น เล่นเอาตกใจ

“อ..อืม ว่าไง?”

“คุณพูดในสิ่งที่คุณอยากให้ผมทำเลยก็ได้ เหมือนเมือก่อนตอนที่คุณบรีฟงาน ผมชอบแบบนั้น”

ชอบ? คนอย่างสกายมีอารมณ์ร่วมกับสิ่งรอบกายด้วยเหรอเนี่ย

“ชอบตอนที่เราเกลียดกันอะนะ” ผมแกล้งหยอกกลับไปเป็นการช่วยละลายพฤติกรรม

“ไม่ใช่ครับ ตอนนั้นเกลียดจริงแต่ก็ยังชอบบางอย่าง แยกเป็นส่วนๆ”

“อืม ดินแดนน่าจะตั้งฉายาเธอว่า ‘ขวานฟ้า’ มากกว่า ‘หน้านิ่ง’ นะ ขวานผ่าซากรวมกับชื่อสกายก็จะเป็นขวานฟ้า เด็กอะไรไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย”

“อยู่กับผมที่ไม่มีอารมณ์ขัน คุณดอทก็จะกลายเป็นคนอารมณ์ขันแทนก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอครับ”

จะว่าอย่างนั้นมันก็ใช่นะ แต่.. จะไปอยู่กับเธอทำไม แค่คุยเรื่องสำคัญก็พอแล้ว

“ไม่น่าจะดีในระยะยาวนะ ฉันคงขี้เกียจหามุกมาทำให้เธอหัวเราะแบบที่ดินแดนทำ”

“ถ้าขี้เกียจก็แค่เป็นตัวของตัวเอง ผมชอบแบบนั้น”

ชอบ? อีกแล้ว?

ใครเขาพูดอะไรแบบนี้กันบ่อยๆ

“อ..เอ้อใช่ เรื่องที่จะปรึกษา คือว่าตอนนี้ป๋าบ่นว่าเหนื่อยมากอยากวางมือจากบริษัท ฉันก็ไม่ใช่แนวทำธุรกิจเต็มตัวได้ขนาดนั้นถ้าให้ช่วยบางงานก็พอไหว แต่ถ้าเป็นดินแดนคงเหมาะมากเพราะเขาเก่งรอบตัวแล้วก็เข้าสังคมเก่ง เธอคิดว่าดินจะยอมหรือเปล่าถ้าฉันจะขอให้เขามาสานต่อธุรกิจของป๋า”

“ไม่น่าจะยอมนะครับ”

“โห มีกำลังใจขึ้นเยอะเลย” ผมประชด

“ฮ่าๆ”

สกายหัวเราะ!?

ถึงจะเบาๆ แต่เป็นครั้งแรกที่ได้ยิน หวังว่าไม่ใช่หัวเราะประชดหรอกนะ

“คุณไม่ต้องหามุกจริงๆ นะ  คุณแค่เป็นตัวของตัวเอง ผมก็นึกเอ็นดูและอารมณ์ดีแล้ว”

เอ็นดู?

“เป็นเด็กเป็นเล็กจะมาบอกว่าเอ็นดูผู้ใหญ่เนี่ยนะ”

“ครับ” ตอบแบบนี้แล้วจะไปต่อยังไงล่ะ

“ช่างเถอะ สรุป คือดินไม่ยอมแน่ๆ ใช่หรือเปล่า”

“ผมแค่คาดเดาเพราะดินแดนเป็นคนรักอิสระมาก แต่ถ้ามีเหตุผลบวกกับข้อต่อรองดีๆ เขาอาจจะยอม”

เหตุผลน่ะมีอยู่แล้วเพราะเรื่องของป๋าที่เหนื่อยและอยากพักก็น่าจะมีน้ำหนักอยู่มาก แต่..

“ข้อต่อรอง? อย่างเช่นอะไรบ้าง”

“ลองบอกเขาว่าถ้าเขายอมเปลี่ยนชีวิตตัวเองไปสานต่องานธุรกิจ คุณดอทจะยอมกลับไปใช้ชีวิตของตัวเองอย่างปกติอีกครั้ง จะปล่อยให้เรื่องของคุณเผ่าอยู่ในความทรงจำดีๆ แล้วก้าวไปข้างหน้า จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเพื่อทดแทนชีวิตของคุณเผ่าที่ยกให้คุณทั้งชีวิต”

รู้สึกได้ถึงก้อนสะอื้นจุกขึ้นที่ลำคอเพราะสิ่งที่สกายแนะนำ ไม่ใช่แค่แทงใจดำแต่ความหมายมันมากกว่านั้น เหมือนเขาจะบอกเป็นนัยว่าคนที่รักผมอย่างดินแดนพร้อมสละตัวตนเพื่อแลกกับที่ผมจะก้าวต่อในชีวิต

หรือก็คือ ถ้าผมยังจมปลักอยู่กับความทุกข์เหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้ เรื่องก็ไม่ได้จบแค่ความเจ็บปวดของผม แต่คนรอบข้างก็เจ็บปวดจนเขาสามารถจะแลกอะไรก็ได้เพื่อให้ผมมีความสุข

หรือว่ามันจะถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องมูฟออน..

“เรากลับไปเกลียดกันอย่างเดิมดีกว่าไหมสกาย”

“ฮ่าๆๆ ไม่ดีมั้งครับ” หัวเราะอีกแล้ว? ก็ดีนะที่ทำให้คนอื่นหัวเราะบ้าง เริ่มเข้าใจดินแดนขึ้นมาแล้วว่าทำไมถึงได้บ้าๆ ล้นๆ แบบนั้น การได้รู้ว่าคนอื่นยิ้มได้เพราะเรา สมองเราก็ผ่อนคลายไปด้วยเช่นกัน

“ผมอยากให้คุณรับมือกับความเครียดด้วยอารมณ์ขันแบบที่คุณทำกับผมเมื่อกี้นะ และผมก็รู้ว่าคุณเข้าใจเหตุผลของมัน”

นี่ไง เด็กคนนี้ดักทางเก่งจริงๆ ฉลาด ทันคน ไม่ใช่ธรรมดาจริงๆ

“อืม จะพยายาม” ผมรับคำสั้นๆ “แล้วเธอล่ะ ถ้าดินแดนเปลี่ยนชีวิต เธอจะโอเคหรือเปล่า”

“ผมกับดินแดน ไม่ได้ให้น้ำหนักตรงที่ใครทำอะไร แต่ในทุกสิ่งที่ทำ เราจะเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น มันคือความเข้าใจครับ เพราะฉะนั้นไม่ว่าอีกคนจะตัดสินใจยังไง อีกคนก็จะหาที่อยู่เหมาะๆ สำหรับความเข้าใจได้เสมอ คุณไม่ต้องห่วง”

ไม่ใช่แค่คำอธิบายเพราะมันยังเป็นคำสอนกลายๆ ได้ด้วย ยิ่งเรื่องเถียงนี่ไม่ต้องคิดเลย สกายไม่ใช่คนที่จะลงลึกเรื่องรายละเอียด เขาจะไม่พูดว่าเขาจะทำยังไงแต่มักพูดกว้างๆ ครอบคลุมแก่นของสิ่งที่จะพูดไว้ทั้งหมดโดยไม่มีช่องโหว่

“โรแมนติกขนาดนี้ เริ่มอิจฉาเธอสองคนแล้วนะ”

“จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเราก็ได้นี่ครับ”

WHAT!?

“ถ้าเป็นมุก ขอบอกว่าไม่ผ่าน” ผมตอบกลับ “โอเคงั้นเรื่องนี้เดี๋ยวฉันจะลองคุยกับดินแดนดู”

“ครับ” 

“ตอนแรกว่าจะให้เธอเจรจาช่วยหน่อย ที่ไหนได้ กลายเป็นต้องคุยเองแล้วให้ข้อแลกเปลี่ยนเองไปอีก”

“ถึงผมช่วยพูด ดินแดนก็ไม่ยอมหรอกครับ”

“ทำไมล่ะ”

“เพราะเขารู้ว่าผมไม่ได้ต้องการหรือไม่ต้องการด้วยตัวเอง ถึงดินแดนจะบ้าๆ บอๆ แต่เขาฉลาด อะไรที่สำคัญ เขาจะให้ความสำคัญแต่อะไรที่ไม่สำคัญ เขาก็จะปล่อยผ่าน”

“อ๋อ จะบอกว่าเรื่องของป๋าไม่ได้สำคัญกับเธอถึงขนาดที่ดินแดนจะให้ความสำคัญ อะไรแบบนี้ใช่หรือเปล่า”

“ครับ แต่ถ้าผมขอร้องเรื่องพ่อของผม ดินแดนจะไม่ยอมปล่อยผ่าน”

“อืม เริ่มเข้าใจแล้ว”

ที่ว่าเข้าใจ ไม่ใช่เรื่องที่เขาอธิบาย แต่เข้าใจคำว่า ‘เข้าใจ’ ของสกายและดินแดน สองคนนี้ถึงบุคลิกจะต่างกันแบบคนละขั้วแต่ทั้งคู่เข้าใจกันลึกซึ้งจนผมเริ่มรู้สึกว่าอยากมีคนที่เข้าใจผมจริงๆ แบบนี้สักคนขึ้นมาบ้างแล้ว

“ครับ” สกายตอบรับสั้นๆ

“ขอบใจนะ งั้นไม่กวนแล้ว”

“คุณดอทครับ”

“หืม?”

“ดีใจนะครับที่คุณโทรมา”

“ห..หา?”

“ผมดีใจที่คุณดอทโทรมา” ก็ยังย้ำคำเดิม “จะดีใจมากถ้าโทรมาบ่อยๆ”

“อ..อืม” ไม่รู้จะพูดอะไร โทรบ่อย? โทรทำไม? โทรเรื่องอะไร? ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญใครจะโทร?

“ผมรอนะครับ”

รอ?

ถ้าไม่ติดว่าสกายเป็นแฟนของดินแดน ผมคงนึกว่าเขาจีบ

“อ..อืม ค..แค่นี้นะ”

“ครับ”

+++++++++++++++++++++++++


วันถัดมาก็ไปให้ปากคำที่โรงพัก ผมจัดเต็มบอกทุกรายละเอียดที่ได้เจอและถูกกระทำ แถมแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกายกับศมลไปหนึ่งข้อหา  ส่วนไอ้เต้นั่นมันโดนหลายข้อหาและคงไม่มีปัญหาสู้คดีด้วยเพราะกำลังโดนเจ้าหนี้พนันตามตัวอยู่  นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงมาเกาะป๋า

“พี่นี่สุดจริงๆ” ดินแดนคอยพยุงลงจากสถานนีตำรวจ ร่างกายของผมยังอ่อนเพลียก็จริงแต่ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นแต่ทุกคนคอยประคบประหงมเหมือนผมเป็นโรคร้ายอย่างนั้นแหละ

อันที่จริงเรานัดแนะกันก่อนเข้าไปให้ปากคำว่าป๋าไม่แจ้งความกับศมล ให้ผมเล่าแค่คร่าวๆ ก็พอ

“เรื่อง?” ผมทำหน้ามึนไม่รู้ไม่ชี้

“อาฆาตเก่ง แค้นข้ามภพข้ามชาติ นี่ขนาดรู้ว่าเขาแท้งนะ”

“ถ้าไม่ชอบไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องมายุ่ง” ว่าแล้วก็แกะมือเขาออกแล้วเดินเอง

“เอ้า ผมพูดเล่น” ดินแดนหัวเราะแล้วรีบเข้ามาพยุงอีกครั้ง “พี่ทำอะไรผมก็เห็นด้วยทั้งนั้นแหละ หายงอนนะเดี๋ยวพาไปกินไอติม”

“ไม่ใช่เด็ก” หันไปทำตาเขียวใส่ ไม่ชอบเลยเวลาถูกต่อว่า

“ครับๆ ไม่เด็กก็ไม่เด็ก” ดินแดนพาขึ้นรถแล้วขับไปส่งที่บ้าน “ทำไมถึงแจ้งความล่ะ ปกติพี่ไม่ชอบยุ่งกับตำรวจไม่ใช่เหรอ ขนาดเรื่องเฮีย..”  ดินแดนชะงักไปเมื่อนึกได้ว่าอาจจะสะกิดแผลของผม

“อืม ไม่ชอบ” ผมตอบเสียงเบา แค่ได้ยินคำว่าเฮียก็ใจแกว่ง “แต่อยากเอาคืนบ้าง ที่มันต้องเสียลูกไปก็ดีแล้ว เด็กเกิดมากับพ่อแม่แบบนั้นคงน่าสงสาร แล้วอีกหน่อยมันก็ลืม แต่สิ่งที่มันทำเหมือนทำลายบั้นปลายชีวิตของป๋า ดับไฟในตัวป๋าจนมอดไปหมด แถมยังได้เงินไปตั้งต้นชีวิตใหม่ คิดแล้วมันไม่ยุติธรรม”

“แต่ข้อหาทำร้ายร่างกายมันก็แค่ถูกปรับ”

“แค่นั้นก็แค่นั้น ฉันแค่อยากเตือนว่าฉันไม่ได้ใจดีเหมือนคนอื่น”

“ก็ใจดีนั่นแหละน่า” ดินแดนยิ้มเอ็นดู “ถ้าพี่ร้ายจริงคงแจ้งข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวและข่มขู่กรรโชกทรัพย์หรือพยายามฆ่าก็ยังได้ ถ้าแบบนั้นคงไม่ใช่แค่โดนปรับ”

“ไม่ได้ใจดีนะ แค่คิดแล้วว่าแบบนั้นมันจะได้ไม่คุ้มเสีย” ผมอธิบาย “เพราะถ้าข้อหาหนักก็ต้องขึ้นศาล แล้วมันก็ต้องเอาเงินที่ป๋าให้ไปประกันตัวสู้คดีจนเงินหมด ความตั้งใจของป๋าก็จะสูญเปล่า ก็แค่นั้น”

“ผมละชอบใจพี่จริงๆ” มือหนายื่นมาหยิกแก้ม “ตัวร้ายที่น่ารัก”

ผมแค่หันไปค้อนเพราะไม่อยากคุยอะไรมาก  ถ้าไม่ติดว่าป๋ารู้สึกไม่ดีที่ทำให้นางงูพิษแท้งลูก ผมจะไม่ยอมปล่อยไว้แน่ 

+++++++++++++++++++++++



หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ถึงจะกลับมาอยู่บ้านแต่ยังหมกตัวอยู่ในห้องทว่าครั้งนี้ไม่ได้ปิดล็อคประตูและยอมให้คุณแม่เข้ามาดูแลได้ตามที่ท่านต้องการ  การกินการนอนยังคงไม่ปกติเพราะพออยู่คนเดียวทีไรก็เผลอร้องไห้ทุกครั้ง

ตอนนี้กำลังพยายามที่จะอยู่ให้ได้ กินให้อิ่ม นอนให้หลับ แต่มันยากจนบางทีก็นึกท้อจนต้องย้ายกล่องของเฮียไปเก็บไว้ในตู้เพราะคงอีกนานกว่าจะทำใจเปิดดูได้

ผมเป็นคนขี้ขลาด ถ้ารู้ว่าจะมีอะไรมากระทบใจก็จะ skip ข้ามไปก่อนเพื่ออยู่ในเซฟโซน  ขนาดรูปหน้าจอโทรศัพท์มือถือก็ยังเปลี่ยนเป็นสีดำ ไม่กล้าเฉียดไปใกล้เฮีย แต่ก็ไม่เคยคิดออกห่าง  น่าจะคล้ายกับการล่ามโซ่ตัวเอง โซ่ที่มองไม่เห็นแต่รับรู้ได้ว่ามันมีอยู่



วันเวลาผ่านไป เข้าสู่ร้อยวันของเฮียอย่างเชื่องช้ากว่าจะผ่านไปแต่ละวันยังคงยากเย็น ผมยังอยู่ในเซฟโซน พิธีอะไรเกี่ยวกับเฮียผมไม่เคยไปแม้แต่ครั้งเดียว ถึงจะรู้สึกผิดอยู่ในใจลึกๆ แต่ผมทำใจไม่ได้ถ้าต้องรับรู้ว่าเฮียจากไปแล้วจริงๆ  บางทีก็ยังคิดเหมือนเดิมคืออยากตื่นขึ้นมาแล้วพบว่ามันเป็นแค่ฝันร้าย

“ผมเข้าไปหาได้ไหมพี่” ดินแดนโทรมาขอก่อนเพราะผมบอกทุกคนไปว่างดเยี่ยมถ้าไม่ได้รับอนุญาต

“มีอะไรคุยทางนี้ก็ได้” ผมบอกเสียงเนือยๆ เพราะรู้สึกเพลีย

“ผมเพิ่งกลับจาก..งานเฮีย อยากเข้าไปกอดพี่” 

ถึงตรงนี้ก็ได้แต่ให้ความเงียบแทนคำพูดเพราะน้ำตาหยดไหลเป็นทาง 

“พี่ดอท..” ดินแดนเรียกเสียงอ่อน “นานขนาดนี้พี่ยัง..”

“เข้ามาสิ ฉันมีเรื่องจะคุยพอดี”

“ด..ได้เหรอ! แน่นะพี่!”

“อืม”

“ไม่เกินชั่วโมงถึงเลยที่รัก ผมจะรีบให้สุดชีวิต”

“ดิน..”

“ครับ?”

“อย่าขับรถเร็ว ฉันคงไม่อยากอยู่แล้วถ้าต้องเสียใครไปอีก”

“โธ่พี่ดอท อยากกอดซะตอนนี้แล้วอะ แต่จะอดทนนะ จะไม่ขับเร็ว จะปลอดภัยไปหาพี่นะครับ”

“อืม”

ผมวางโทรศัพท์พร้อมกับน้ำตาที่ไหลเป็นสาย  มันไม่ง่ายจริงๆ ที่จะหลุดออกจากความสูญเสียครั้งนี้ไปได้  แต่ยังไงก็ต้องพยายาม สำคัญที่สุดก็คือคุณแม่ ผมต้องทำให้ได้

เฮียครับ.. ช่วยดอทด้วยนะ เฮียเป็นกำลังใจให้ดอทนะครับ


ต่อ..
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 20 : ภาวะฟื้นฟู 《1/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 01-11-2018 11:39:21
“มาค่ำๆ มืดๆ ไม่รู้จักเวล่ำเวลา อย่าคุยนานนักล่ะเดี๋ยวจะเลยเวลานอน” เสียงคุณแม่แข็งกระด้างแบบนี้คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุยกับดินแดน

“คร้าบบ เที่ยงคืนปุ๊บกลับปั๊บเลยครับผม”

“นี่! ไอ้ลูก.. ฮึ่ม!!”

ปวดหัวจริงๆ กับความกวนของนายดิน เมื่อไหร่จะลงให้คุณแม่เสียทีก็ไม่รู้

ตอนนี้ใกล้จะหนึ่งทุ่ม ผมอาบน้ำอาบท่าอยู่ในชุดนอนแล้วแต่ก็สวมชุดคลุมเอาไว้รอคุยกับดินแดนก่อนแล้วค่อยนอน

เมื่อประตูเปิด ร่างสูงก้าวเข้ามา เขาปิดประตูแล้วล็อคแน่นหนาทำให้ต้องเอ่ยถาม

“ล็อคทำไมเดี๋ยวคุณแม่ก็บ่น” ผมนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง กำลังจะลุกไปเปิดล็อคแต่ร่างสูงก็ปราดเข้ามากดไหล่ให้นั่งอยู่ที่เดิม จากนั้นเขาก็นั่งลงใกล้ๆ

“ถ้าแม่ใหญ่เข้ามาเห็นเราสองคน รับรองไม่ใช่แค่บ่นแต่จะด่าตะเพิดผมมากกว่า” งงปนเหวอไปชั่วขณะเพราะคำพูดกำกวมของดินแดน  “อะน่ะ คิดลึกอะดิ”

“ใครคิดอะไร” ผมทุบแขนล่ำไปหนึ่งทีไม่ใช่แค่เรื่องล้อเลียนแต่ไอ้เด็กบ้ามันถอดเสื้อแจ็คเก็ตโยนไปพาดบนโต๊ะหัวเตียงแล้วล้มตัวมานอนหนุนตักผมหน้าตาเฉย

“พี่นี่มือหนัก” ดินแดนบ่นแต่ก็คว้ามือผมไปแนบแก้ม “แต่หอม”

“อย่าเยอะ” คราวนี้ไม่ตีอย่างเดียวแต่ผลักให้ร่วงตกเตียงไปเลย

“ตะกี้พูดเสียงสั่นซะน่าสงสาร มาตอนนี้อย่างกับมารร้าย” หันมาค้อนแต่ก็ยังนั่งจุมปุ๊กอยู่ที่พื้นไม่ยอมขยับ

“ไหนบอกจะมากอด นี่รอตั้งชั่วโมงครึ่ง” ขยับไปนั่งหย่อนขาอยู่ข้างเตียง แกล้งใช้เท้าแกว่งไปโดนแขนคนที่นั่งอยู่เบาๆ

“ก็ใครสั่งไว้ให้ขับช้าๆ ใจผมถึงตั้งแต่สามนาทีแรกแล้วเหอะ” ร่างสูงลุกขึ้นมานั่งข้างๆ หันหน้าเข้าหาก่อนจะอ้าแขนออก  “มาให้กอดหน่อยครับ”

แพ้สายตาของดินแดนเวลาเข้าโหมดอ่อนโยน เขาไม่ได้จู่โจมเข้ามาแต่จ้องรอให้ผมเข้าไปกอด เราสื่อสารกันผ่านดวงตา เหมือนว่าเขากำลังเล่าเรื่องที่ได้พบเห็นในงานของเฮียวันนี้โดยไม่ต้องเอ่ยคำใด

ริมฝีปากของผมเริ่มสั่น รู้สึกถึงน้ำอุ่นๆ กำลังคลออยู่เต็มหน่วยตา ไม่ใช่แค่ผมแต่ดินแดนก็กัดกรามข่มอารมณ์ไว้เช่นกัน

“จ..เจอ..เฮียไหม” เมื่อทนต่อความโศกเศร้าไม่ไหวผมจึงโผเข้าหาอ้อมกอดนั้น น้ำตาเหมือนสั่งได้ แค่พูดคำว่าเฮียก็ร่วงเผาะจนนองหน้า

อดไม่ได้ที่จะฝันลมๆ แล้งๆ ว่าที่จริงเฮียยังอยู่บนโลกใบนี้ไม่ได้จากไปไหน  ผมร้องไห้ตัวสั่นเทิ้มเมื่อให้คำตอบกับตัวเองว่าดินแดนไม่ได้เจอเฮีย เฮียไม่ได้อยู่กับเราอีกแล้ว..

“โธ่พี่ดอท” ลำแขนแกร่งรวบกอดพลางลูบหลังปลอบใจ “ผมจะช่วยพี่ยังไงได้บ้าง”

“ฮึก..ฮือออ  ฮือๆๆๆ”

นานทีเดียวที่ผมซุกหน้ากับอกของดินแดน ไม่ได้มีอารมณ์ในเชิงชู้สาวมีแค่ความอบอุ่นที่ได้รับจากเขา ความพิเศษของน้องชายคนนี้ก็คือความเงียบ เวลาที่เขาเงียบ มันเหมือนกับว่าเขาได้ร่ายมนตร์อะไรบางอย่างไว้แทนคำพูด มันอบอวลไปด้วยไออุ่นและความหมายที่แสนวิเศษ

“ดิน..” ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นเมื่อเริ่มนิ่งขึ้น

“ครับ” ดินแดนเช็ดคราบน้ำตาแล้วจุมพิตลงบนหน้าผาก 

คงเป็นอะไรแบบนี้ที่ทำให้เขาต้องล็อคห้องเพราะกลัวว่าคุณแม่จะมาเห็น และแน่นอนว่าท่านจะไม่เข้าใจเราสองคนแน่ๆ เพราะความจริงแล้วผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมต้องสกินชิปกันถึงขนาดนี้

“คำถามเมื่อกี้ ลองถามอีกครั้งสิ” ผมเริ่มเกริ่น

“คำถาม? อันไหน”

“ประโยคสุดท้ายที่เธอพูด”

“ผม..จะช่วยพี่ยังไงได้บ้าง? อันนี้เหรอ”

“อืม”

“ครับ ผมจะช่วยพี่ยังไงได้บ้าง?” สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์

“ถ้าบอกว่ามีวิธีที่จะช่วยได้ เธอจะทำไหม”

“ก็ลองว่ามา” ดินแดนยักไหล่ สีหน้าจริงจัง

“ตอนนี้ป๋ากลับไปพักที่โรงแรม”

“ครับ”

“แต่ป๋าได้บอกไหมเรื่องที่อยากวางมือจากธุรกิจ”

“ก็พอจะดูออกว่าป๋าซึมๆ ไม่มีค่อยกำลังใจจะทำอะไร ที่สำคัญดูแก่ขึ้นเป็นสิบปี นี่ผมก็ยังคิดอยู่ว่าจะช่วยป๋ายังไง”

“ช่วยป๋าและช่วยฉันได้ด้วย แค่เธอ..”

“ผม..?” ใบหน้าหล่อเลิกคิ้วรอลุ้นคำต่อไป

“แค่เธอ.. เข้าไปบริหารกิจการแทนป๋า”

“........”  คิ้วที่เลิกขึ้นขมวดลงมาแค่ข้างเดียวเหมือนเป็นเรื่องประหลาดที่สุดที่เขาไม่เคยนึกมาก่อนว่าจะได้ยิน  มือหนายกขึ้นปิดปากก่อนจะถูนิ้วไปมาบนริมฝีปากของตัวเอง

ดินแดนเก็ทเร็วมากในสิ่งที่ผมต้องการสื่อ เขาไม่ถามกลับไม่ทำเป็นเล่นเหมือนเคย คงรู้ว่าเป็นเรื่องจริงจังในระดับที่สูงมาก

“ฉันจะแลกด้วยการกลับออกไปใช้ชีวิตอีกครั้ง จะพยายามมีความสุข และจะอยู่ข้างๆ ช่วยเธอไปด้วย เราจะช่วยกันดูแลงานของป๋า เธอจะยอมรับข้อเสนอของฉันหรือเปล่า”

“.........” เห็นได้ชัดว่าดินแดนค่อนข้างเครียด เขาหรี่ตาจ้องผมนิ่งในแบบที่ไม่เคยเห็นอารมณ์นี้มาก่อน 

เริ่มใจเสียเพราะคิดว่าคงไม่สำเร็จ ผมรู้ว่าเป็นคำขอที่มากเกินไป ถ้าเขาจะไม่ตอบรับผมก็จะไม่โกรธแม้แต่นิดเดียว


“ดิน..” เมื่อให้เวลาคิดอยู่นานแต่ไม่มีการตอบรับ ผมจึงเอื้อมมือไปจับต้นขาของเขาเบาๆ เพื่อกระตุ้นเตือน

ดินแดนหลับตาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเสยผมแล้วลืมตาขึ้นมองผมนิ่งอีกครั้ง

“ข้อแรกเลยนะ..” เขาเริ่มพูดและผมก็ตั้งใจฟังอย่างที่สุด หัวใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ลุ้นว่าเขาจะตอบรับหรือปฏิเสธ “เวลาที่พี่เรียกชื่อผมแค่คำเดียวแล้วมองอ้อนแบบนี้ บอกตามตรงว่าผมคิดว่ะ”

“คิด?”

“คิดหื่นอะ”

เพี้ยะ!

“ซี๊ด.. แสบ” ก็สมควรจะแสบเพราะฟาดไปที่สันกรามแบบให้เฉียดๆ เพื่อความเจ็บๆ แสบๆ คันๆ

“อย่าลามปามให้มากนัก ถ้าฉันโกรธขึ้นมาเธอนั่นแหละจะเดือดร้อน”

“พูดจริงก็หาว่าลาม ไม่ดูตัวเองมั่งว่าเวลาเรียกแบบนี้แล้วมันน่าแค่ไหน”

“บ่นอะไร เดี๋ยวเถอะ!” เห็นกัดฟันพูดอะไรงุบงิบแต่จับใจความไม่ได้ก็ฟาดเข้าให้อีกทีแต่คราวนี้เขารับไว้ได้ “ปล่อย”

“แค่นี้ต้องดุ ก็ปล่อยแล้วนี่ไง” ยังมาค้อนใส่อีก ไอ้เด็กนี่มันน่าตีจริงๆ

“จะเอายังไงก็ว่ามา” เริ่มหงุดหงิดแล้วนะ เปลี่ยนโหมดไปมาจนงงไปหมดแล้ว

“ไอ้คำว่าพยายามมีความสุขของพี่มันกว้างไป ผมขอแบบที่มันเห็นภาพชัดกว่านี้หน่อย” ค่อยยังชั่วที่ตอนนี้กลับเข้าโหมดจริงจังอีกครั้ง

“ก็น่าจะหมายถึง.. ออกไปทำอะไรที่ต้องทำ ทำอะไรที่เคยชอบ กินอะไรที่อยากกิน ไปเที่ยว ไปพบผู้คน แล้วก็ไม่ปิดกั้นตัวเอง ถึงมันจะทำยากและฉันไม่อยากทำ แต่ถ้าเธอยอมแลก ฉันก็จะยอมทำ”

“เอาจริง ถ้าผมไม่ยอม พี่จะจมอยู่ในห้องนี้ไปตลอดเลยเหรอ”

“บอกตรงๆ ว่าไม่แน่ใจแต่คิดว่าคงอีกนาน น่าจะนานมากด้วย แต่ถ้าอยู่แบบนี้ทำให้คนอื่นไม่มีความสุข ฉันอาจจะเก็บกระเป๋าไปอยู่ต่างประเทศ ถึงจะขลุกอยู่กับตัวเองแต่ก็จะไม่มีใครรู้เห็น แบบนั้นคงสบายใจกว่า”

“นี่แหละที่ผมกลัว” ดินแดนถอนหายใจอีกครั้ง

“ที่จริงเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับฉันโดยตรง ถ้าเธอปฏิเสธคนที่ต้องทำใจมากที่สุดก็คือป๋า แต่ที่ฉันมาต่อรองกับเธอเพราะเห็นว่าจะได้ช่วยป๋าและมีข้ออ้างพาตัวเองออกจากเซฟโซน..  เซฟโซนที่เป็นเหมือนแดนเจอร์โซนสำหรับคนที่รักฉัน”

“พูดได้ดี” ดินแดนพูดด้วยสีหน้าเหมือนหมั่นไส้ติดหมัด “คิดเองปะวิธีนี้?”

ผมเริ่มมีความหวังเพราะหน้าเขาผ่อนคลายขึ้น ไม่ซีเรียสเหมือนเมื่อกี้นี้แล้ว

“ถ้าบอกว่ามีกุนซือแนะนำ เธอเดาว่าเป็นใคร”

“หึ..” ยิ้มเหยียดเหมือนรู้ว่าเป็นใคร “ดักทางผมได้ขนาดนี้ไม่มีใครหรอก”

“ป๋าเหรอ” ผมแกล้งถาม

“ถ้าป๋ารู้วิธีนี้คงมาพูดเองแล้ว”

“ก็แล้วใครล่ะ ฉันอยากรู้ว่าเธอรู้จริงหรือแกล้งทำเป็นฉลาดไปวันๆ”

“จะมีใคร้.. ก็มีแค่ไอ้หน้านิ่ง” หน้าดินแดนตอนที่พูดถึงคนรักเหมือนพวกพี้กัญชา ดูเคลิ้มดูหลงดูเหมือนจะตกหลุมรักไปอีกหลุมต่อหน้าต่อตาผม

“ทำไมถึงคิดว่าเป็นสกาย”

“ไม่มีใครกล้าถามผมหรอกว่าจะยอมทิ้งชีวิตอิสระไปรับงานต่อจากป๋าหรือเปล่าเพราะคนถามรู้อยู่แก่ใจว่าเปอร์เซ็นต์เป็นศูนย์  และที่สำคัญ ไม่มีใครรู้หรอกว่าพี่สำคัญกับผมมากขนาดนั้นแม้แต่ตัวพี่เองก็ไม่รู้และพี่จะไม่มีทางมั่นหน้าเอาข้อต่อรองแบบนี้มาคุยกับผมแน่ เพราะฉะนั้นคนที่รู้ก็มีแค่คนเดียวคือสกายไอ้หน้านิ่งของผม”

“หมายถึง สกายรู้ว่าฉันสำคัญกับเธอมากขนาดนี้งั้นเหรอ”

“ครับ” การตอบรับทันทีของดินแดนทำให้ผมใจเต้นแปลกๆ รู้สึกดีใจที่ได้เป็นคนสำคัญถึงขนาดเขารู้กันทั้งสองคน

“ได้ยังไงล่ะ ก็เราเคยเกลียดกัน” ผมก้มหน้าหลบสายตาเพราะซึ้งใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว ไม่อยากให้คิดว่าขี้แย

“ไม่ได้บอกไปแล้วเหรอว่าเพราะเคยเกลียดถึงไม่ยอมกลับไปเกลียดอีก แล้วแม่ผมก็สั่งไว้ให้ดูแลพี่ให้ดี”

“แม่เธอ.. ทำไมดีแบบนี้ล่ะ” นึกเสียใจจริงๆ ที่ไม่ได้ทำความรู้จัก เสียดายโอกาสดีๆ แบบนั้น

“แม่บอกว่าแม่เป็นคนผิดเอง แม่เป็นต้นเหตุของเรื่องทุกอย่าง แม่หนีความรับผิดชอบไม่ได้ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไรก็ตาม  และคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือพี่ดอท อย่างผมถึงจะโดนแม่ใหญ่กับพี่เกลียด แต่ผมมีแม่และมีป๋า อาจจะน้อยเนื้อต่ำใจบ้างแต่ลึกๆ ผมรู้ว่าผมมีครบ แต่กับพี่มันไม่ใช่  แม่ก็เลยย้ำตลอดให้ผมดีกับพี่ ชดเชยความผิดแทนแม่ด้วย”

“แม่เธอเป็นคนดีมากเลยนะ” ผมยิ้มบาง “อยากย้อนเวลา ฉันจะไม่ด่า ไม่เกลียด ไม่ปล่อยลมรถจักรยาน ไม่เจาะลูกฟุตบอล ไม่ผลักเธอ..”

“ชู่วว”  นิ้วอุ่นๆ แปะลงมาบนกลีบปากเพื่อยับยั้งเรื่องร้ายแรงที่ผมเคยทำ   “ถ้าพูดอีกจะ..”

“จะอะไร” ผมทำหน้าดุเพราะคำพูดแบบนี้เขาเคยพูดแล้วในตอนนั้นและมันไม่น่าฟัง

“จะไม่ยอมรับข้อเสนอของพี่ที่จะให้ผมทำงานแทนป๋า”

“หมายความว่า!” รู้สึกว่าได้เบิกตาโตที่สุดในชีวิตก็ตอนนี้

“อืม” รอยยิ้มเท่ของดินแดนทำให้ผมใจเต้นเพราะทั้งดีใจและหมั่นไส้อยู่ในที

“จริงนะ ห้ามเปลี่ยนใจนะ”

“อืมม” ดินแดนลากเสียงเมื่อถูกผมเขย่าแขนรัวๆ เพื่อจะเอาคำตอบ “แต่มีข้อแม้”

“อะไรบ้าง ว่ามาเลย”

“ขอผมเคลียร์ชีวิตหนึ่งปี แต่ภายในหนึ่งปีก็จะเรียนรู้งานไปด้วย กิจการไหนสำคัญผมจะคีพไว้ แต่ถ้าอันไหนไม่โอเคผมจะเท และสำคัญที่สุด ถ้าพี่จะช่วยผม พี่ต้องแบ่งเวลาไปทำงานที่พี่รักด้วย แต่ห้ามทำงานหนักเกินไป ถ้าผมบอกให้พักก็ต้องพัก ห้ามเถียง ห้ามดื้อ ห้ามเกเรเด็ดขาด ตกลงไหมครับคุณชนม์แดน”

“อื้ม” ผมพยักหน้ารัวๆ ข้อแม้อะไรก็ยอมทั้งนั้น  วันนี้ได้ยิ้มกว้างเป็นครั้งแรกในรอบสามเดือน ยิ้มทั้งใบหน้าและหัวใจ มันบอกไม่ถูกว่าดีใจอะไรมากกว่ากัน ระหว่างได้ช่วยป๋าหรือได้รู้ว่าผมสำคัญกับดินแดนมากขนาดไหน

“ดิน..”

“เตือนก็ไม่ฟังนะ” ทำปากขมุบขมิบอะไรไม่รู้อีกแล้ว คนกำลังดีใจก็จะมาทำลายบรรยากาศ

“ขอบคุณนะ” ผมจับมือหนามากุมไว้

“แค่อยากให้พี่มีความสุขซะที”

“ขอเวลาอีกนิด แล้วจะทำตามที่พูด”

“แน่ะ ลับลวงพลางมาอีกละ ทำไมไม่ทำเลยล่ะ พรุ่งนี้ก็ออกไปใช้ชีวิตได้แล้ว”

“ทีเธอยังต้องเคลียร์ชีวิตตั้งหนึ่งปี ฉันก็ขอเวลาฮึบอีกหน่อยไม่ได้หรือไง น้า~”  ใช้ลูกอ้อนด้วยการกอดรวบแขนของเขาไว้แล้วเงยหน้ากระพริบตาใส่

“ใจเหลวไปหมดแล้วไอ้ดินเอ้ย” หันหน้าหนีไปบ่นอะไรไม่รู้อยู่คนเดียว

“ดิน.. นะๆๆ น้า~”

ร่างสูงแค่หันมามองแล้วยิ้มในสีหน้า มองอยู่อย่างนั้นจนเริ่มเขิน

“ถ้าให้หอมแก้มจะยอมก็ได้” แล้วเขาก็ต่อรอง ผมปล่อยแขนทันทีแล้วกัดปากขบคิด

“ก็ได้ ถือว่าเป็นรางวัลสำหรับการเสียสละ” ผมยืดตัวขึ้นตรงแล้วรอคอย

ดินแดนจับไหล่ผมให้หันหน้าเข้าหากัน มือหนาประคองใบหน้าให้เงยขึ้นอย่างอ่อนโยนก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนปลายจมูกเข้าหา

ร่างของผมเริ่มสั่นเมื่อเสี้ยวหนึ่งของความรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังจะจูบปากจึงผินหน้าหนีเล็กน้อยเพื่อความปลอดภัย ทันได้เห็นแสงระยิบในแววตาและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จากนั้นจมูกโด่งก็ไล้ลงบนผิวแก้ม

เสียงสูดลมหายใจเข้าลึกเนิ่นนาน สัมผัสต่อเนื่องมาจากกลีบปากหยักลึกที่แตะลงมาแนบแน่น บดเบียดล้ำลึกจนเริ่มสะท้าน หายไปนานแล้วกับอาการนี้ นึกว่าจะไม่กลับมาแต่เพิ่งรู้ว่าไม่ได้หายไปไหนเพียงแต่รอโอกาสที่จะกำเริบ

“ดิน..” แตะหน้าอกแกร่งเพื่อเตือนว่าถึงเวลาพอได้แล้ว

เสียงสูดหายใจหนักลึกดังขึ้นอีกครั้งก่อนจะบดกลีบปากเข้ามาแน่นอีกจนแก้มโย้ จากนั้นจึงผละออก

“ฮื้ม”  เขามองหน้าแล้วถอนหายใจ

“หน้าเบี้ยวหมด” ผมบ่นพลางหลบตา เบื่อตัวเองที่ชอบเผลอเกิดอาการกับนายดิน รู้ว่าไม่สมควรแต่ห้ามตัวเองไม่เคยได้ “กลับไปได้แล้ว อยากพักผ่อน”

“ใครจะกลับ ผมบอกแม่ใหญ่แล้วว่าเที่ยงคืน”

“จะบ้าเหรอ อันนั้นเธอแค่กวนคุณแม่”

“เปล๊า ผมพูดจริง” ว่าแล้วก็กระโดดขึ้นเตียง นอนเท้าแขนแล้วตบที่นอนเรียก “มานี่ นอนได้แล้ว”

“ไม่” ยืนกอดอกมองกดดันให้เขาลงจากเตียงแต่ไม่เป็นผล

“แค่หอมแก้ม ไม่คิดว่ามันน้อยไปหน่อยหรือไงกับเรื่องที่ผมต้องแลก ชีวิตผมทั้งชีวิตนะพี่” ทำไมต้องดราม่าด้วยเนี่ย

“แต่เธอยอมตกลงแล้วนี่ จะมาพูดโน่นพูดนี่ทำไมอีก”

“ก็แค่อยากอ้อน พี่จะโอ๋ผมหน่อยไม่ได้เหรอ” ทำหน้าหงอยแบบนั้นทำไมล่ะ ใจเสียหมด “แค่ขออยู่ด้วยจนกว่าแม่ใหญ่จะมาไล่ นะครับ”

“ไม่ต้องมาทำเสียงทำหน้าแบบนั้น ฉันไม่ใช่เด็กในสังกัดเธอนะ” ทำหน้าดุใส่แล้วหันหลังเดินไปอีกทาง

“โอเคๆ งั้นผมไปก็ได้ พี่ไม่ต้องหนีไปไหนหรอก” เสียงหงอยเชียวนะ

“ไม่ได้จะหนี แค่จะไปแปรงฟัน รออยู่นั่นแหละ” พอผมพูดจบก็ได้เห็นสีหน้าดีใจของเขา

“เยส!” รอยยิ้มกว้างคลี่ขึ้นจนเต็มหน้า

“เด็กติงต๊อง”


ใช้เวลาไม่นานก็กลับมาที่เตียงอีกครั้ง ตอนนี้ใกล้สามทุ่มแล้ว ผมถอดชุดคลุมแขวนไว้บนราวตะขอเหลือแค่ชุดนอนแบบผ่าหน้าเนื้อผ้านุ่มลื่นสีขาวมุก ดินแดนที่กำลังนอนเล่นโทรศัพท์หันมามองแล้วนิ่งไป

โป๊ก!

“โอ๊ย สัด!” โทรศัพท์ในมือหล่นใส่คางจนเขาผุดลุกนั่งอย่างหัวเสีย

“ง่วงก็กลับไปนอนจะมาทรมานตัวเองอยู่นี่ทำไม” ผมส่ายหัวแล้วขึ้นเตียงดึงผ้าห่มเตรียมนอน

“ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเล้ยย” เสียงบ่นงุ้งงิ้งแต่ผมไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าเขาบ่นที่ทำโทรศัพท์ตกใส่ตัวเอง

“เดี๋ยวนี้พยายามนอนเร็ว แต่ยังไงก็ไม่หลับไม่ลง” ดินแดนช่วยห่มผ้าให้ถึงหน้าอก ผมนอนมองเพดานอย่างที่เคยทำในทุกๆ วัน

“นอนไม่หลับก็หันมาทางนี้” เขานอนลงอีกครั้งแล้วเอื้อมมือมาเกี่ยวแขนจนผมตะแคงเข้าหา เรานอนมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง

“ถ้าเราไม่เกลียดกันตอนเด็ก ฉันคงมีเธอเป็นเพื่อนเล่น เราคงได้นอนด้วยกันแบบนี้บ่อยๆ”

ดินแดนแค่ยิ้มรับแล้วเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าออกให้

“ขอบคุณนะ ขอบคุณที่ใส่ใจและให้ความสำคัญกับฉันมากขนาดนี้ เจ้าน้องชาย” ผมเอื้อมมือไปบีบแก้มเขาเบาๆ อยากทำตัวเหมือนเป็นพี่ชายอย่างที่ควรจะทำมาตั้งนานแล้ว

ดินแดนกดมือผมไว้กับแก้มของเขาแล้วยิ้มอ่อนโยนก่อนจะดึงไปจุ๊บเบาๆ จนผมต้องดึงกลับมา

“ผมอยากใส่ใจพี่มากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่ระหว่างเรามันมีเส้นนี้คอยกั้นอยู่” เขาใช้นิ้วขีดเส้นลงบนพื้นที่ตรงกลางระหว่างเราเป็นแนวยาวตั้งแต่ช่วงลำคอลงไปจนถึงเอว “เส้นศีลธรรม”

“แล้ว?” ไม่ค่อยเข้าใจที่เขาจะสื่อ

“มันเกะกะ” สีหน้าของดินแดนเหมือนไม่ได้ยี่หระกับไอ้เส้นที่ว่านี้ แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจที่เขาพูดอยู่ดี “นานมาแล้วที่ผมไม่เคยคิดว่าพี่เป็นพี่ เมื่อก่อนเกลียดมากจนไม่นับญาติ ซึ่งมาตอนนี้ก็ไม่สนไม่แคร์ แต่ปัญหาก็คือพี่แคร์ ซึ่งผมก็เคารพจุดยืนของพี่ เพราะฉะนั้น ผมจะอยู่ในเขตของผมตรงนี้และจะไม่ข้ามไป”

“อืม ก็ดีแล้ว” ผมยังทำหน้างง ไม่เข้าใจว่าจะพูดขึ้นมาทำไม ในเมื่อเขาก็ไม่เคยมาก้าวก่ายชีวิตผมมากเกินไปอยู่แล้ว

“หน้าพี่นี่มัน..”

“อะไรอีกล่ะ”

“งุ่ยๆ อะไรไม่รู้ของพี่อะ ทำผมใจบาง” ศัพท์วัยรุ่นนี่ยอมรับว่าเข้าไม่ถึง หลายคำที่ดินแดนชอบพูดแล้วผมไม่เข้าใจแต่ก็ไม่อยากถามเดี๋ยวจะโดนล้อว่าแก่

“เด็กสมัยนี้เข้าถึงยาก”

“ถ้าคนแก่อยากเข้าถึงก็ข้ามเส้นมาสิ เดี๋ยวผมสอนให้” สายตาวิบวับกับรอยยิ้มร้ายๆ ยอมรับว่ามันดูดีมากแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมาทำแบบนี้กับผม

“พูดเล่นพูดจริงอะไรไม่รู้ปนกันไปหมด” ผมส่งสายตาตำหนิ “อย่าพูดอะไรแบบนี้สิมันไม่ดี ใครได้ยินเขาจะเข้าใจผิด โดยเฉพาะสกาย”

“ฮ่าๆๆ ไอ้นั่นอะตัวดีเลย” ดินแดนหัวเราะร่า

“ตัวดียังไง”

“ช่างเหอะ พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ เอาเป็นว่า.. นอนซะ ผมขออยู่เป็นเพื่อนจนกว่าแม่ใหญ่จะมาไล่ หรือจนกว่าพี่จะหลับ”

ผมไม่ได้ต่อคำเอาความอะไรอีก ถึงจะรู้สึกงงๆ กับคำพูดแต่ไม่น่ามีประโยชน์อะไรที่จะคุยต่อ ดินแดนเข้าโหมดกวนแบบนี้คุยไปก็เท่านั้น

“นอนละนะ” ผมพลิกตัวนอนหงายแล้วปิดเปลือกตาลง จะว่าโล่งก็โล่ง แต่ก็ยังมีหม่นๆ ในใจ

จากไปหนึ่งร้อยวันแล้วนะครับ เฮียอยู่บนสวรรค์หรืออยู่ใกล้ๆ แถวนี้กันนะ..

ผ่านไปครู่หนึ่ง ผมรู้สึกว่ามันเงียบผิดปกติจึงหันไปมองดินแดนเพราะกลัวว่าเขาจะทำอะไรแปลกๆ

“อ้าว หลับไปซะแล้ว” อดขำไม่ได้กับความเด็กน้อย “ขับรถมาไกลคงเพลียสินะ” ตะแคงเข้าหาแล้วลูบศีรษะเขาหลายที  “ให้นอนจนกว่าคุณแม่จะมาเรียกก็แล้วกัน เจ้าน้องชายสุดหล่อ”

หล่อแบ้ด หล่อแบบไม่ต้องปรุงแต่งอะไรเลย เหมือนเกิดมาเพื่อหล่อเพื่อเท่ แต่สิ่งที่เขาได้ใจผมไม่ใช่ความหล่อแต่เป็นความฉลาด ความเก่ง และความดี ภูมิใจที่มีน้องชายทั้งหล่อและครบเครื่องขนาดนี้

“ฝันดีนะ” ขยับหน้าเข้าไปจูบหน้าผากดินแดนเบาๆ จากนั้นก็กลับมานอนมองเพดานอยู่สักพักแล้วเริ่มม่อยหลับอย่างรวดเร็ว คงเป็นผลจากการนอนน้อยสินะ

แต่ก็ดีเหมือนกัน พอรู้ว่ามีคนอยู่ใกล้ๆ ก็รู้สึกอุ่นใจไม่คิดฟุ้งซ่าน โดยเฉพาะหัวใจคงได้รับการฟื้นฟูจากการตอบรับข้อแลกเปลี่ยนของดินแดน บางทีเขาอาจจะเป็นคนสำคัญสำหรับชีวิตผมมากกว่าที่ผมคิด

เฮียครับ ดอทมีน้องชายที่ดีมากๆ เฮียไม่ต้องเป็นห่วงนะ ดินแดนรับปากเฮียแล้วว่าเขาจะดูแลดอทและดอทเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่ผิดสัญญา

ดอทจะมีความสุขอย่างที่เฮียสั่งไว้ บ้านของเราจะต้องออกมาสวยถูกใจเราสองคนแน่นอน ดอทสัญญา



“น่ารักปุ๊กปิ๊กอะไรของพี่ก็ไม่รู้ ชอบทำหยิ่ง ทำเป็นเมินใส่ นี่ถ้าไม่หลับก็คงไม่รู้ว่าพี่โคตรจะคาวาอี้คิตตี้โคอะล่าขนาดนี้”  ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น ผมได้ยินเสียงลางๆ  “กะว่าจะไม่ข้ามเส้นแต่พี่ก็ข้ามมาอ้อยซะงั้น เอาเป็นว่าขอข้ามไปหาเล็กน้อยพอกรุบกริบ แบบนี้ละกันนะ” 

รู้สึกถึงไออุ่นที่เพิ่มขึ้นจนหัวใจเริ่มเต้นแรง ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะทำยังไงดีนะ เพิ่งจะเข้าใจกันได้แท้ๆ

ตอนนี้ร่างสูงเข้ามาเบียดชิดจนแก้มแนบแก้ม ในขณะที่กำลังจะฝืนตื่นลืมตาขึ้นมาจัดการ เสียงประหลาดก็ดังขึ้น

แชะ~  แชะ~  แชะ~

แชะๆๆๆๆๆ

ถ่ายรูป!?

ถึงกับเหวอแต่ยังคงหลับตาอยู่อย่างนั้น  โธ่เอ๊ย อยากจะบ้ากับเด็กบ๊องนี่จริงๆ

ผมปล่อยให้เขาแอบถ่ายต่อไปเพราะไม่อยากต้องตื่นมาต่อปากต่อคำและอีกอย่างก็ง่วงมากจนคอพับคออ่อนจริงๆ ไม่ได้แอคติ้งแต่อย่างใด

“สุดยอด” ดินแดนผละออกไปและเดาว่าเขากำลังเช็ครูป “ถ้าเห็นรูปพวกนี้ไอ้หน้านิ่งต้องคลั่งแน่นอน กรั่กๆๆ”

“ฝันดีนะคนแก่” อยากจะตื่นไปทุบสักทีแต่ก็ถูกจุ๊บหน้าผากเสียก่อน “ทำใจฮึบให้ได้เร็วๆ โลกสดใสรอพี่ดอทอยู่นะ”

จากนั้นแขนทั้งสองข้างก็ถูกจับสอดเข้าใต้ผ้าห่มอย่างเรียบร้อยก่อนจะฝากรอยจูบเบาๆ ที่หน้าผากอีกครั้ง เสียงปิดสวิตช์ไฟและเสียงประตูเปิดและปิดลง

ถ่ายรูปไปอวดแฟนเนี่ยนะ..เจ้าเด็กพวกนี้ก็ตลกดีเหมือนกันแฮะ



.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

พอพี่ดอทมีเรื่องให้ต้องคิดก็ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจไปจากเรื่องเฮียเผ่าได้บ้าง
ผ่านมาเกินครึ่งเรื่องแล้วก็อยากเตือนอีกครั้งสำหรับนิยายเรื่องนี้นะคะ
คำเตือน : นิยายเรื่องนี้เรท 25++ ไม่เหมาะกับเยาวชน  ไม่เหมาะกับผู้ที่เคร่งครัดในศีลธรรม  ไม่เหมาะกับผู้ที่รักเดียวใจเดียว
ถ้าไม่ใช่แนว ล่าถอยไปตอนนี้ยังทันค่ะ

มีคนเม้นต์ให้เยอะเลย ดีใจจัง

psyfer : ชีวิตแค่โดนทำร้าย~~

nonlapan :  พี่หมอมาตอนหน้าจ้าา ตอนนี้ให้น้องชายโซโล่หล่อๆ ไปก่อน

Duangjai  :  ถ้านางงูพิษมันไม่แท้งซะก่อนก็คงโดนพี่ดอทเล่นงานหนัก เสียดายจริงๆ ไม่ได้เห็นคนสวยตอนร้าย

Janemera  :  ช่วงนี้ดินแดนเขาเป็นดาราดัง เวลามีน้อยเลยไม่ลุยเหมือนเมื่อก่อน อิๆ

19th  :  ชีวิตนางยุ่งเหยิงมาก เหมือนโดนสาป ฮือออ แต่จากนี้ก็คงจะเริ่มฮึบ เริ่มมีเรื่องดีๆ เข้ามาบ้าง  แล้วถ้าเลือกคนที่เหมาะกับตัวเองได้ ชีวิตก็จะแฮปปี้ไม่ต้องเจอเรื่องร้ายอีก

mild-dy  :  ขอบคุณที่แวะมาค้าบบ

aisen  :  พี่ดอทตัวนิดเดียวต้องเจออะไรเยอะแยะ สงสารที่สุด

PuppyPp  :  ขอบคุณนะคะ เป็นกำลังใจที่ดีมากกกก ฝากติดตามต่อไปเรื่อยๆ อย่าทิ้งกันน้าา

TachibanaRain  :  พี่ดอทเหมือนคนที่ไร้หลักยึดเกาะ เสียเฮียเผ่าไปในแบบที่ไม่คาดคิดชีวิตก็เลยหลุดลอย การจะดึงให้คนที่เหมือนจะมีพร้อมแต่กลับขาดต้นทุนทางจิตใจให้กลับมายืนอยู่ได้คงต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉพาะต้องกู้ความศรัทธาในตัวเองให้ได้ เรื่องของดินแดนช่วยได้เยอะแต่ด้วยสถานะทางสายเลือด ดินก็ยังไม่ใช่หลักให้พี่ดอทยึดเกาะได้อยู่ดี ก็ต้องให้เวลาคนสวยอยู่ในศาลาคนเศร้าไปอีกนิด  ตอนหน้าอาจจะดีขึ้น จุ๊บๆ

หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 20 : ภาวะฟื้นฟู 《1/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 01-11-2018 14:35:19
ต่อตางใหน :katai4:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 20 : ภาวะฟื้นฟู 《1/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 01-11-2018 15:57:44
พี่ดินมาซะให้หายคิดถึงเลยมาโซโล่คนเดียวเดี่ยวๆ เรือ #ดินดอท อย่างเราก็เลยต้องจับไม้พายพายกันต่อไป แต่จะพายไปต่อเรือ #ดินดอทสกาย นะ ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 20 : ภาวะฟื้นฟู 《1/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 01-11-2018 17:43:58
เห็นน้องดอทมูฟออน มีความสุขแล้วเราก็แฮปปี้ :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 20 : ภาวะฟื้นฟู 《1/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 01-11-2018 18:44:23
ไอ้คู่ฟ้าดินนี่มันยังไงๆ อยู่นะ.อยากรู้จริงๆ ว่าวางแผนอะไรไว้ในหัวบ้าง
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 20 : ภาวะฟื้นฟู 《1/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 01-11-2018 22:25:18
 :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 20 : ภาวะฟื้นฟู 《1/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 02-11-2018 16:06:31
งุ้ยยยย งงใจกับเจ้าหญิงดอทตอนนี้จริงๆ มันดีตรงที่ดินแดนยังมีลูกบ้าและเก่งพอตัว
ความเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสามารถจัดการเอาชีวิตให้รอดเจ้าหญิงเราเป็นศูนย์จริงๆ
(เพราะงั้นน่าจะคิดได้ว่าไม่ควรจะเข้าไปแอบดูว่าดินจะไปช่วยป๋ายังไง หากว่าพวกมันมีหลายคนล่ะทีนี้  :katai1: )
แต่ก็นะ ช่วงระยะทำใจของเจ้าหญิงสิ้นสุดซะที รอว่าใครที่จะมาช่วยเจ้าหญิงของเราได้จริงๆซะที
ส่งจุ๊บ นายน้อย ค่า
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 20 : ภาวะฟื้นฟู 《1/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 02-11-2018 23:10:28
คิดไปคิดมา ดินเนี่ยะเหมาะกับดอทที่สุดแล้ว ติดแต่ว่าเส้นเกะกะนี่ละนะ ใจอยากให้ข้ามเส้นมากๆ
ไม่รุ้สิ แต่กับพี่เวย์เหมือนมันนานจนมันจางไปหมดแล้ว(คิดเอาเองไม่เกี่ยวกับดอท)
ส่วรกับหมอวรรตก็ลังเลนิดหน่อย แต่ตอนนี้ดินมาวินสุด แต่สะดุดตรงสกายนี่แหล่ะตกลงรักกันมั้ย
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 20 : ภาวะฟื้นฟู 《1/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: psyfer ที่ 03-11-2018 00:11:44
 :katai1:ฮู้ยยยยยยย ดินดอทๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 20 : ภาวะฟื้นฟู 《1/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: reverofjs ที่ 03-11-2018 22:24:35
ขึ้นเรือ ดิน สกาย ดอท ค่ะ!!!
เริ่มออกเดินทางได้เลยยยย  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 20 : ภาวะฟื้นฟู 《1/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 06-11-2018 08:55:53
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 20 : ภาวะฟื้นฟู 《1/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 19-11-2018 21:21:07
ขนาดเรายังเศร้าเรื่องเฮียจนตอนนี้
เข้าใจพี่ดอทมากจริงๆ

พึ่งจะครึ่งเรื่องเท่านั้น
เหมือนต่อไปจะเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของพี่ดอทแล้ว

เป็นกำลังใจให้ทุกคนต่อไป

ปล.ว่าแต่กระทิงเพื่อนดินแดนนี่มีเรื่องเป็นของตัวเองไหมคะ ชอบชื่อนางมาก
ขนาดชื่อยังดุขนาดนี้ แอร๊ ❤
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 20 : ภาวะฟื้นฟู 《1/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 20-11-2018 12:09:55
น้องกำลังจะเดินต่อไปได้แล่ง ขอให้พ่อแม่เข้าใจกันไวๆนะ ครอบครัวจะได้เป็นครอบครัวซะที  :mew1:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 21 : ภาวะไหลย้อน 《28/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 28-11-2018 21:47:01
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ต อ น ที่  21  :  ภ า ว ะ ไ ห ล ย้ อ น


sweetyDOTcom :  ดอทส่งแผนงานไปทางอีเมล พี่บอลลูนช่วยกระจายงานให้ด้วยครับ

sweetyDOTcom :  จากนี้ดอทจะสั่งงานผ่านไลน์ไปก่อน ก็จะทยอยเอาคอลเล็กชั่นที่ยังไม่ได้ขายออกมาเดือนละครั้ง

sweetyDOTcom :  ส่วนแบบใหม่ๆ ดอทก็จะทำไปเรื่อยๆ แล้วส่งให้ตัดเย็บตัวอย่างก่อนส่งให้ลูกค้าเลือก

sweetyDOTcom :  ช่วงนี้จะเน้นส่งแค่เจ้าประจำไม่ต้องออกไปเสนอแบบ งานก็จะไม่เยอะ ค่อยๆ ทำกันไป

sweetyDOTcom :  ถึงงานน้อยแต่ดอทให้เงินเดือนพนักงานเท่าเดิมนะครับ ถือเป็นช่วงรีแลกซ์ไปก็แล้วกัน 

sweetyDOTcom :  ถ้ายังไงก็ส่งรายชื่อพนักงานที่เหลือและสรุปงานมาให้ดอทอาทิตย์ละสองครั้งก็น่าจะพอ

BALLOON :  ได้ค่ะๆๆๆ     Read

BALLOON :  พี่บอลลูนดีใจที่สุดเลยค่ะ เดี๋ยวจะรีบจัดการเรียกรวมพลแล้วสรุปให้นะคะ   Read

sweetyDOTcom :  ครับ

BALLOON :  Sticker love love   Read





Dr.WRRT :  เมื่อไหร่จะให้เข้าไปหา   Read

Dr.WRRT :  แบบนี้ล็อคประตูเหมือเดิมยังจะดีกว่าอีก       Read

Dr.WRRT :  ไม่รู้สึกอ่อนเพลียอยากได้ยาบำรุงเพิ่มเลยเหรอคุณ      Read

Dr.WRRT :  ต้องถามเรื่องของคุณผ่านทางคุณแม่จนอายตัวเองแล้วนะ       Read

Dr.WRRT :  เออ ไม่ตอบก็ไม่ตอบ จำไว้เลย       Read


Dr.WRRT :  วันนี้ผมเข้าไปหาได้ยัง       Read

sweetyDOTcom :  ยัง

Dr.WRRT :  เยส แค่ตอบก็ยังดี    Read


Dr.WRRT :  วันนี้ผมเข้าไปนะ       Read

sweetyDOTcom :  ยังไม่พร้อม

Dr.WRRT :   ก็ได้ ยังไงก็กินข้าวเยอะๆ ด้วยนะ   Read


Dr.WRRT :  เข้าไปนะ       Read

sweetyDOTcom :  Sticker    NO

Dr.WRRT :   เฮ้อ คิดถึง   Read

Dr.WRRT :   Sticker แมวร้องไห้   Read


sweetyDOTcom :  ผมขอเบอร์ติดต่อคุณเวย์หน่อยสิ จะเริ่มสั่งงานผ่านไลน์ไปก่อน

Dr.WRRT :  ผมช็อคเลยเนี่ย      Read

Dr.WRRT :  จะว่าดีใจก็ดีใจนะ    Read

Dr.WRRT :  แต่แทนที่จะทักทายพูดเรื่องอื่นก่อนสักหน่อย อยู่ๆ ขอเบอร์คนอื่นแบบนี้ก็ร้ายเกิ๊น    Read

sweetyDOTcom :  ตกลงจะบ่นหรือจะคุย

Dr.WRRT :  คุยสิๆ เข้าไปคุยที่บ้านได้ไหมอะ   Read

sweetyDOTcom :  ยังไม่เจอดีกว่า ผมยังไม่อยากเจอใคร

Dr.WRRT :  อืม ไม่เป็นไร แค่ตอบแบบนี้ก็หายห่วงไปเยอะแล้ว   Read

sweetyDOTcom :  ขอบคุณนะที่เข้าใจ

Dr.WRRT :  ไม่เข้าใจก็ต้องเข้าใจ ผมไม่มีทางเลือก    Read

sweetyDOTcom :  จากนี้ไปขอโฟกัสแค่เรื่องงานนะ

sweetyDOTcom :  หวังว่าคุณจะเข้าใจและพยายามไม่นอกเรื่อง

sweetyDOTcom :  ไม่งั้นผมอาจจะตัดปัญหาด้วยการเปลี่ยนทีมผู้รับเหมา

Dr.WRRT :  เอางั้นก็ได้ แค่เห็นคุณออกมาจากหลุมดำก็โอเคแล้ว   Read

sweetyDOTcom :  เริ่มจากขอเบอร์คุณเวย์

Dr.WRRT :  08102299XX      Read

sweetyDOTcom :  ขอบคุณนะ

sweetyDOTcom :  เดี๋ยวแอดกรุ๊ปไลน์ก็แล้วกันจะได้คุยทีเดียว ช่วยเกริ่นให้ผมด้วยนะจะได้ไม่ต้องอธิบายหลายรอบ

Dr.WRRT :  Sticker OK   Read




sweetyDOTcom :  สวัสดีครับ  คุณวรรตได้บอกหรือยังว่าผมจะติดต่อผ่านไลน์เรื่องงาน

SuperWay :   ครับ บอกแล้ว    Read

sweetyDOTcom :  ถ้าอย่างนั้นขอดึงเข้ากรุ๊ปเลยนะครับ


รออยู่นานพี่เวย์ก็ไม่ตอบรับ  ผมก็เลยดึงเข้ากรุ๊ปไลน์แล้วสั่งงาน ผลคือเขาเข้ามาส่งสติ๊กเกอร์ ‘รับทราบ’  แล้วหายไปสองวัน โผล่มาอีกทีก็ส่งแบบงานมาให้

“ทำไมถึงไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมือง คนอื่นเขาเป็นห่วงอยากคุยทุกคนแต่พี่เวย์ทำไมเงียบจนคันหัวใจยิบๆ” ผมนั่งมองข้อความสนทนาส่วนตัวของเราสองคน 

‘ครับ บอกแล้ว’  แค่เนี้ยนะ..

ไม่อยากถามเลยหรือไงว่าเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง หรืออะไรก็ได้

“ช่างเถอะ แบบนี้ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องลำบากใจที่จะคุย”




DumDinDan :  พี่ดอท  วันนี้ว่างอะ เข้าไปหาได้ป่าว   Read

sweetyDOTcom :  Sticker    NO

DumDinDan :  ไรอะ คราวก่อนนึกว่าจะดีแล้ว   Read

sweetyDOTcom :  อยากโฟกัสเรื่องงาน ถ้าไม่มีเรื่องด่วนอย่าเข้ามาดีกว่า

DumDinDan :  ก็ได้ๆ ยังไงก็ตอบไลน์นะไม่งั้นบุกถึงห้อง   Read

DumDinDan :  เนี่ย ก็ไม่ตอบอีกละ

DumDinDan :  ดื้อโคตรอะ

DumDinDan :  ไม่อ่านด้วย! เออ จำไว้

DumDinDan :  มีพี่กับเขาคนนึงก็ใจดำ ใจแข็ง

DumDinDan :  ชิ ไม่ง้อก็ได้

DumDinDan :  โกรธสิบปีอย่ามาดีสิบชาติ!



ผ่านเดือนที่หกไปอย่างเชื่องช้า ผมแทบจะไม่ออกจากห้องและไม่มีใครกล้ามาหา  สั่งงานผ่านไลน์ทั้งงานห้องเสื้อและงานสร้างบ้านของเฮีย  ส่วนพี่เวย์กับหมอวรรต เราสามคนเหมือนจะอยู่ในสภาวะล้างไพ่  ไม่มีใครกล้าพูดอะไรถึงเรื่องความสัมพันธ์เพราะผมสั่งงานแล้วจบ คุยเป็นทางการ ซึ่งหมอวรรตก็ยอมทำตาม ส่วนพี่เวย์ก็หายห่วงเพราะเขาแสดงทีท่ามาก่อนแล้วว่าจะไม่ล้ำเส้น

“ไม่อยากมาดูหน้าไซต์หน่อยเหรอคุณ” หมอวรรตโทรมาแจ้งว่าพี่เวย์กำลังจะเริ่มดำเนินการล้อมรั้วใหม่และปรับพื้นที่

“ไม่เป็นไรครับ รอไปตอนลงเสาเข็มทีเดียว ระหว่างนี้พวกคุณถ่ายรูปรายงานผ่านไลน์มาเลย ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอทำงานต่อนะครับ” แล้วผมก็ตัดสายทันที

อยากโฟกัสแค่เรื่องงาน ยังไม่อยากคิดเรื่องอื่น ถึงแม้เฮียจะสั่งเสียให้มีความสุขแต่ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าจะมีความสุขได้กับอะไร 

“ห้องเสื้อพี่เดี๋ยวสกายมันก็ยึดหรอก เห็นเข้าไปช่วยฟิตติ้งจนพี่ๆ ในนั้นจะให้มันเป็นคนดูแลแล้วนะ” ดินแดนโทรมาแล้วอ้อนขอให้ไปไหนมาไหนบ้าง อย่าอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน

“บอกแล้วว่าถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญอย่าโทร เดี๋ยวคราวหน้าไม่รับแล้วนะ”

“เฮ้ย ไม่ได้สิ เรื่องสำคัญก็มี”

“อะไรก็รีบพูดมา”

“วันเกิดผมเดือนหน้า อีกแค่ 12 วันเองนะ พี่มาด้วยได้ไหมอะ”

“ขอให้ของขวัญอย่างเดียวดีกว่า ยังไม่อยากเจอคนเยอะๆ”

“ครึ่งปีกว่าแล้วนะพี่”

“ก็ดีขึ้นมากแล้วแต่ยังกลัวอยู่ว่าจะทรุดถ้ารีบก้าวเร็วไป” ผมตอบแล้วนิ่งคิดถึงเฮีย

หัวใจยังโหวงเหวงเวลาคิดถึง กล่องของเฮียก็ยังไม่กล้าเปิดดู แต่ได้ลองพยายามยกออกมาแล้วแต่พอแง้มฝาเจอกรอบรูปคู่ก็ต้องรีบปิด แค่นั้นน้ำตาก็ทะลักออกมาไม่หยุด ต้องทำใจอีกตั้งนานกว่าจะกลับมานิ่งได้

“ก็ให้ผมเข้าไปหาสิ หรือให้ใครก็ได้ พี่ต้องมีเพื่อนคุยบ่อยๆ ถึงจะดีขึ้น” 

เฮียจะมาเยี่ยมดอทบ้างไหมนะ ที่ทำบุญแผ่ส่วนกุศลไปให้เฮียจะได้รับหรือเปล่า 

“ป๋าบอกว่าแม่ใหญ่ฟ้องว่าพี่เปิดแต่เพลงเศร้า แบบนั้นไม่ช่วยฮีลนะ มันจะยิ่งตอกย้ำให้ยิ่งเจ็บ”

หรือที่ผ่านมาเฮียจะไม่ได้รับ อาจจะต้องทำบุญแบบคนจีนหรือเปล่า

“พี่ดอท ฟังอยู่หรือเปล่า”

ดอทขอโทษนะครับที่ไม่ได้ไปงานเฮียเลย พิธีแบบจีนดอทก็ทำไม่เป็น มิน่าล่ะ เฮียถึงไม่มาเข้าฝันดอทบ้าง

“พี่ดอท.. พี่ดอทหลุดไปไหนแล้วพี่ดอท”

เฮียจะคิดถึงดอทเหมือนที่ดอทคิดถึงเฮียหรือเปล่า

“พี่ดอทครับ พี่!”  เสียงดินแดนค่อนข้างดังจนผมสะดุ้ง มานึกได้ว่าเผลอคิดถึงเฮียอีกแล้วจึงรีบตอบกลับ

“เสียงดังอะไรล่ะ เบาๆ ก็ได้”

“ถ้าพี่ไม่ดีขึ้น ผมจะเข้าไปหาจริงๆ นะ”

“ฉันดีขึ้นแล้ว แค่บางทีมันเผลอไปบ้างแค่นั้นเอง” ปกติไม่ค่อยหลุดตอนคุยกับคนอื่นเพราะไม่อยากให้มีใครเป็นกังวล แต่ครั้งนี้เผลอตัวไปหน่อย  “หิวข้าวแล้วอะ เธอมีอะไรอีกไหม”

“เฮ้อ.. ไม่มีครับ”

“งั้นวางแล้วนะ เดี๋ยวของขวัญจะส่งไปให้”

“วันเกิดปีนี้คงห่วยที่สุดเท่าที่เคยเกิดมา”  เสียงหงอยเชียว นี่ผมใจดำกับน้องมากไปหรือเปล่า

“งั้น.. เดี๋ยวจะอัดคลิปส่งไปให้ จะร้องเพลงด้วย โอเคไหม”  อยากให้ดินสบายใจขึ้น อย่างน้อยวันเกิดของเขาจะได้ไม่กร่อยจนเกินไป

“จริงนะ”

“อืม จะอัดคลิปยาวๆ จนเธอเบื่อดูเลย”

“ไม่มีทางเบื่ออะ” เสียงดินแดนสดใสขึ้น

“งั้นวันเกิดรอรับคลิปนะ ส่วนของขวัญก็ไม่ซื้อละ ดีจะได้ไม่เปลืองตังค์”

“พี่มีค่ามากกว่าของที่เงินซื้อได้ ถ้าไม่ติดไอ้เส้นเกะกะ ผมไม่ปล่อยพี่ไว้แบบนี้หรอก”

“อืม ฉันรู้ว่าเธอหวังดี จะพยายามดีขึ้นๆๆๆ ที่จริงอีกสองเดือนก็ได้ฤกษ์ลงเสาเอก ยังไงก็ไฟท์บังคับต้องออกไปอยู่แล้ว”

“เออจริงด้วย เห็นป๋าพูดถึงอยู่เหมือนกันตอนที่สอนงานให้ผม”

“จริงสิ เธอเรียนรู้งานไปถึงไหนแล้ว ยากไหม พอจะทำได้หรือเปล่า”

“ยากสิ สโคปงานกว้างกว่าทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน  ป๋าทำได้ยังไงคนเดียว โคตรเก่ง” ดินแดนทำเสียงงอแง ไม่ค่อยได้เห็นเขาในโหมดนี้ สงสัยจะเป็นงานที่ไม่ชอบก็เลยคิดว่ามันยาก “เรียนงานไปได้ก็ยังไม่ถึงไหนเพราะติดคิวถ่ายซีรีส์ภาคสองอีกสามเดือน อาจจะสี่หรือห้าด้วยซ้ำเพราะยกกองไปหลายรอบ”

“ทำไมถึงยกกองบ่อย” ผมถามอย่างสงสัย

“พระเอกเยินเก่ง รอบก่อนก็หน้าแหก เทคิวเกือบเจ็ดวัน  รอบล่าสุดคือโดนเด็กเก่าเมาแล้วถอดรองเท้าตบ ดีไม่เย็บ”

“ทำไมไม่ระวังตัวเอง” เด็กนี่ชอบใช้ชีวิตเสี่ยงอยู่เรื่อย

“ผมไม่ได้ตั้งตัว มัวแต่คุยโทรศัพท์อยู่หน้าร้าน เด็กมันเข้ามาข้างหลังก็นึกว่าจะเข้ามาคุย ที่ไหนได้มันฟาดเอาๆ ส้นเข็มด้วยดีนะไม่เจาะหน้า”

“ต่อไปก็ระวังหน่อย”

“คร้าบบบ”

“แล้วที่บอกหน้าแหกนั่นเรื่องคราวก่อนที่บ้านป๋าน่ะเหรอ ก็นานแล้วนะ”

“ก็จะเรื่องไหนล่ะ ตอนนั้นเพิ่งเปิดกล้องของภาคสอง  ภาคแรกก็สามสี่รอบที่หน้าเยิน  ภาคสองเพิ่งเปิดกล้องก็แหกฤกษ์เบิกชัยอีก โดนด่าหูแทบไหม้”

“ใครด่า สกายหรือเปล่า”

“พวกพี่ผู้จัดกับผู้กำกับ  ส่วนไอ้นั่นพอรู้ว่าเจ็บเพราะช่วยพี่มันก็ชมผมยกใหญ่ เอาใจกว่าปกติด้วยซ้ำ”

“สกายน่ารักขึ้นนะ เขาคุยกับฉันได้หลายคำไม่เหมือนเมื่อก่อน”

“สกายมันสงสารพี่  มันบอกว่าเมื่อก่อนมันน่าจะมองพี่ในแง่ดีบ้างเพราะอาจจะช่วยอะไรพี่ได้หรือไม่ก็ไม่ทำให้พี่รู้สึกแย่กับเรื่องของมันอีกเรื่อง”

“แค่สกายเข้าใจและไม่โกรธที่ฉันเคยทำเรื่องเลวๆ กับเขา แค่นี้ฉันก็ขอบคุณมากแล้ว”

“ชมกันผ่านหูผมไปมา ไอ้นั่นก็ถามถึงพี่วันไม่รู้กี่รอบ ทำไมไม่โทรคุยกันเองล่ะ”

“ไม่มีอะไรคุยจะโทรทำไม แต่ถ้าสกายมีอะไรอยากให้ฉันช่วยก็ให้โทรมาได้นะ นี่ยังไม่ได้ตอบแทนเรื่องที่เขาช่วยคิดวิธีให้เธอทำงานแทนป๋าเลย”

“เดี๋ยวบอกให้ แต่ไอ้นั่นคงไม่กล้าโทรหรอก”

“ทำไม เขายังกลัวฉันอยู่เหรอ”

“ฮ่าๆๆ กลัวอะไร คนอย่างมันเคยกลัวใครที่ไหน”

“อืมใช่ เมื่อก่อนไม่ได้กลัว แต่เกลียดต่างหาก  แล้วสรุปทำไมสกายไม่กล้าโทรล่ะ”

“ข.ไข่”

“คืออะไร” ผมถามกลับ

“เป็นอักษรย่อ ไปคิดเอาเอง”

“ขำเหรอ”

“ผิด”

“แล้วมันคืออะไร”

“ไปคิดเอง” ดินแดนเล่นตัว

“ข.ไข่ อะไรได้บ้างล่ะ ขู่ เข็น ขิง ข่า ขูด ข่วน”

“เออ เอาเข้าไป ดีละเอาเก็บไปคิดช่วงจิตตกจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน”

“หงึ.. ไม่เอานะดิน เฉลยมาไม่งั้นมันคาใจ”

“ฮ่าๆๆๆ ทำเสียงงุ่ยๆ แบบนี้น่ารักเกินเบอร์ไปแล้วนะชนม์แดน”

“อย่านอกเรื่องสิ ข.ไข่ คืออะไร บอกมานะ”

“ไม่บอก  ไหนบอกว่าหิว ไปกินข้าวเลยไป แค่นี้นะครับคนสวย”

“จะงอนสิบวัน” ผมขู่

“ฮ่าๆๆ ตามสบาย จุ๊บๆ”

แล้วสายก็ตัดไป  ข.ไข่  คืออะไร?

โอ๊ย คิดไม่ออก!


+++++++++++++++++++++++++




วันนี้จะมีพิธีลงเสาเอก  ผมแต่งตัวออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่เพราะฤกษ์ 9.09 น.

“น้าเวชอยากให้มีพิธีลงเสาเอกทุกวันเลยครับคุณหนู”

แทบจะหลุดขำเมื่อได้ยินที่น้าเวชพูด

“ใครจะไปทำพิธีแบบนั้นทุกวันล่ะครับ” ผมตอบแล้วมองที่กระจกมองหลังเห็นแกยิ้มเอ็นดู “เดี๋ยวนี้ได้เจอคุณพยาบาลคนงามบ้างหรือเปล่าครับ”

“โธ่คุณหนู ถามแบบนี้น้าเวชก็เขินแย่สิครับ” น้าเวชายิ้มเขินจนหูแดง

เดี๋ยวนะ..

เขิน?

ข.ไข่  จะเป็นเขินได้หรือเปล่า 

ไม่ใช่หรอก ไม่น่าใกล้เคียงด้วยซ้ำ



“ค..คุณ คุณหนู  โธ่ เมื่อกี้ยังสดใสอยู่เลย” เมื่อน้าเวชขับรถมาในบริเวณที่ดินของเฮียก็เริ่มใจแกว่ง พอจอดรถแล้วผมยังนั่งนิ่งเพราะกำลังเข้าสู่ภวังค์ความคิดถึง

“ขอเวลาทำใจหน่อยนะครับ น้าเวชลงไปรับหน้าหมอวรรตก่อนเดี๋ยวดอทตามไป ยังไงจะไม่ให้เลยฤกษ์ครับ”

ก่อนหน้านี้คิดว่าทำใจได้ค่อนข้างมากแต่ที่จริงยังไม่มากพอ ยิ่งเข้ามาในที่ๆ เฮียเคยมาแบบนี้ก็ยิ่งไปกันใหญ่  มองเห็นเฮียเดินอยู่มุมนั้นมุมนี้ ขับรถไปตรงนั้น หยุดดูตรงนี้ ทุกตารางเมตรมีเฮียอยู่เต็มไปหมด

ภาพเก่าๆ ไหลย้อนผ่านสายตาแต่สะเทือนไปถึงหัวใจ พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลในวันสำคัญแบบนี้

“พี่ดอท..” ดินแดนเปิดประตูเข้ามานั่งข้างๆ สีหน้าของเขาค่อนข้างเป็นกังวล “ไหวไหมพี่ ถ้าไม่ไหวให้ป๋าทำพิธีแทนก็ได้นะ”

“ไหวสิ แค่กรดไหลย้อนนิดหน่อยไม่เป็นไรมากหรอก”

อยากทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เฮียคงดีใจที่ผมตั้งใจและทุ่มเทให้บ้านของเรา



และแล้วพิธีสำคัญก็ผ่านพ้นไป  ผมแทบไม่ได้คุยกับใครนอกจากอาจารย์นักโหราศาตร์ที่คุณแม่แนะนำมา เขาบอกให้ทำอะไรก็ทำไปตามนั้นไม่ได้หือได้อือใดๆ  สกาย พี่เวย์ และหมอวรรต มากันพรั่งพร้อมแต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาคุยเพราะคงเห็นอาการตายซากของผม  มีแค่ป๋ากับดินแดนที่คอยเดินประกบซึ่งทั้งคู่ก็ไม่กล้าปริปากคำใดเพราะคงรู้ว่าถ้าพูดอะไรออกมาน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในดวงตาของผมต้องไหลบ่าจนทำให้เสียฤกษ์อย่างแน่นอน


“ส่งตาดอทถึงบ้านแล้วโทรรายงานด้วยนะนายเวช”  ป๋าสั่งความ

“ครับคุณท่าน”

“วันนี้ลูกเก่งที่สุดเลยครับ” ป๋ากอดแน่นแล้วเปิดประตูรถให้ ผมจึงไหว้ลาแล้วขึ้นไปนั่งจากนั้นป๋าจึงปิดประตู

ดินแดนเคาะกระจกเรียกจึงกดกระจกลงเพราะเห็นหน้าน้องชายหงอยและอ้อนหงิงๆ คงอยากคุยบ้าง พอเห็นว่าจะได้คุยก็ทำหน้าดีใจใหญ่

“ลืมขอบคุณคลิปวันเกิด ทุกวันนี้ผมก็ยังดูอยู่เลยเวลาคิดถึง” เขาโผล่หน้าเข้ามาในรถแล้วยิ้มเผล่  ดูเหมือนจะรู้ว่าไม่ควรพูดอะไรหรือให้กำลังใจใดๆ ในตอนนี้

“อืม เบิ๊ดเดย์ย้อนหลัง  แล้วเจอกันนะ” ผมตบแก้มเขาเบาๆ สองทีแล้วยิ้มให้

“ม๊วฟๆ” ดินแดนส่งจูบแล้วยิ้มน่ารักก่อนจะมุดหัวออกไป

ผมยกมือลาป๋าและดินแดนอีกครั้ง จากนั้นน้าเวชจึงออกรถ ได้แต่นั่งจมจ่อมอยู่กับความรู้สึกคิดถึงเฮีย คิดถึงจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวจึงปล่อยให้มันหลั่งไหลอีกครั้ง


“เฮ้อ สงสารตาดอท”  เจ้าสัวแดนสรวงมองตามท้ายรถที่ลูกชายคนโตนั่งไปจนลับตา

“สงสารตัวเองด้วยก็ดีคร้าบ ดูหน้าดูตา ดูผมหงอกเต็มเลยป๋า” ดินแดนอดไม่ได้ที่จะแสดงความห่วงใยผ่านสายตา

“กลับจากนี่ป๋าก็ว่าจะเข้าร้านทำผมอยู่เหมือนกัน”

“ผมห่วงป๋านะครับ ถึงไม่ค่อยได้พูดแต่อยากให้รู้ว่าผมเป็นห่วงมาก”

“อืม แกคงเหนื่อยใจสินะเจ้าดิน ทั้งพ่อทั้งพี่ อาการแย่ไปตามๆ กัน” ผู้เป็นพ่อกอดไหล่ลูกชายแล้วกระชับแน่น

“ก็กังวลไปหมดล่ะครับ ได้แต่คิดหาวิธีช่วยอยู่ตลอด แต่กับป๋าผมไม่ค่อยร้อนใจเพราะรู้ว่าจิตใจมั่นคงพอที่จะไม่ทำอะไรแปลกๆ 
แต่พี่ดอทนี่สิ ผมเดาไม่เคยถูกเลยว่านางจะเซไปทางไหน พี่ดอทเป็นคนแรกเลยนะที่ผมจัดการไม่ได้”

“นั่นน่ะสิ” ผู้เป็นพ่อฟังแล้วก็อดหนักใจตามไม่ได้

“ดูอย่างเรื่องเฮียเถอะ ผมก็คิดว่าพี่ดอทจะฮึดออกไปงานศพแล้วช่วยงานจนนาทีสุดท้ายจนเป็นลมไปอะไรแบบนั้น แต่ไม่เลย นางเททุกสิ่ง หมกตัวอยู่ในห้องเป็นเดือนๆ ที่เขียนโน้ตบอกแม่ใหญ่ว่าจะดูแลตัวเองนั่นนี่แต่ความจริงคือไม่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากดูแลตัวเองนะแต่นางไม่รู้ว่านางทำไม่ได้ไง  แล้วเรื่องป๋าอีก อยู่ดีๆ ก็วีนใส่ว่าเรื่องร้ายๆ ที่เกิดกับนางเป็นความผิดของป๋า แต่พอคิดได้ก็บุกไปหาเพราะอยากจะขอโทษทั้งๆ ที่ร่างจะพังมิพังแหล่ ผมงงใจพี่ดอทจนหัวปั่นไปหมด  บุคลิกและการตัดสินใจของเขาแปลกมาก เหมือนจะเข้มแข็งแต่ความจริงคืออ่อนจนเหลว แต่บางทีคิดว่าเหลวแต่กลับแข็งกว่าหินซะอีก แถมยังเป็นคนฝังใจกับทุกเรื่องไม่ว่าจะดีจะร้ายก็เอายัดไว้ในใจซะหมด” 

ความกังวลใจของดินแดนเกี่ยวกับพี่ชายค่อนข้างมีอิทธิพลกับชีวิตเขาเป็นอย่างมาก เมื่อมีโอกาสก็จะระบายออกเสียทุกครั้ง โดยมากจะระบายกับคนรักอย่างสกายแต่ครั้งนี้มีโอกาสจึงระบายเอากับผู้เป็นพ่อ

“พี่แกเป็นคนฝังใจ ลืมอะไรยากจริงๆ”

“ยากไม่ยากก็ดูสองหนุ่มที่รอเสียบโน่นสิครับ หงอยเป็นหมาเหงาเลย” ดินแดนบุ้ยใบ้ไปทางวิศวกรหนุ่มหล่อกับนายแพทย์อนาคตไกลที่ยืนปรึกษาเรื่องงานกันด้วยสีหน้าหม่นหมอง

“ถ้ารอได้ก็ดี สักวันตาดอทก็ต้องมีคนดูแล แต่ถ้ารอไม่ไหวก็โทษพวกเขาไม่ได้คงต้องปล่อยไปตามบุญตามกรรม” เจ้าสัวแดนสรวงพูดอย่างนึกปลง

“ผมขอแยกไปถ่ายแบบที่สตูเลยนะ โทรบอกรถตู้มารับแล้ว” สกายเดินเข้ามาสมทบ

“อ้าวแล้วกูอะ” ดินแดนหันไปท้วง

“คุณอยู่เป็นเพื่อนท่านเจ้าสัวดีกว่า นานๆ จะได้เจอกัน”

“บอกให้เรียกป๋าเหมือนเจ้าดินมัน เจ้าเด็กนี่ดื้อซะจริง” เจ้าสัวแดนสรวงตำหนิ

“เอ่อ.. ขอโทษครับ..ป๋า” สกายรู้สึกประหม่าจนต้องเปลี่ยนเรื่องหันไปพูดกับดินแดนที่ยืนยิ้มล้ออยู่ใกล้ๆ “ถ่ายแบบเสร็จจะไปถ่ายซ่อมซีรีส์อีกสองซีนคงเสร็จค่ำๆ ถ้ายังไงผมจะโทรบอกก็แล้วกันนะ”

“เออๆ เอางั้นก็ได้ เดี๋ยวผมไปส่งร้านทำผมดีกว่าครับป๋า” ดินแดนสรุป

“อืมก็ดีเหมือนกัน แล้วเดี๋ยวเสร็จป๋าจะพาไปแนะนำกับดีลเลอร์สักสามสี่เจ้า”

“โหยป๋าครับ ขอฝึกงานเอกสารไปก่อนนะ ภาษาผมยังกากไม่ใช่คำที่ใช้พูดแบบเป็นทางการเดี๋ยวป๋าอายเขาแย่”

“ก็อุตส่าห์สมัครคอร์สเรียนภาษาสำหรับผู้บริหารให้ก็ไปๆ หยุดๆ ถ้าแกไม่เอาเรื่องแบบนี้ป๋าว่าให้คนอื่นมาเทคโอเวอร์กิจการดีกว่าไหมเจ้าดิน”

“ไม่ได้สิครับ ผมรับปากพี่ดอทไว้แล้วถ้าทำไม่ได้นี่หมดหล่อเลยนะ”

“มันไม่ใช่ง่ายๆ นะเจ้าดิน ถ้าไม่ทุ่มเทจริงๆ อาจจะพังหมด ป๋าไม่อยากให้แกแบกรับความกดดันขนาดนั้น”

“ก็ผมขอเวลาหนึ่งปีไงครับ ขอเคลียร์คิวถ่ายละคร เคลียร์ร้านเคลียร์ชีวิตส่วนตัวก่อน”

“มันจะช้าไปหรือเปล่า”

“ผมรู้ว่าป๋าอยากให้ผมเก่งเร็วๆ แต่ที่บอกจะฝึกงานไปด้วยผมขอฝึกแค่งานเอกสารไปก่อน หรือถ้าป๋าไม่ไหวก็แต่งตั้งรักษาการณ์แทนแล้วให้ผมไปเรียนงานกับเขาก็ได้ นะป๋านะ” ดินแดนไม่ใช่คนที่ตามน้ำไปกับอะไรก็ได้ ถ้าไหวก็คือไหวแต่ถ้าไม่ไหว เขาก็ไม่เคยรีรอที่จะพูดออกมา

“เอาแบบนั้นก็ได้ ขอโทษทีที่ป๋าใจร้อนไปหน่อย” ผู้เป็นพ่อตบไหล่ลูกชายเมื่อคิดได้ว่าตนอาจจะเร่งรัดเกินไป

“ไม่เป็นไรครับผมเข้าใจ ส่วนเรื่องภาษาเดี๋ยวผมเรียนลัดกับสกายก็ได้ เรียนแบบตัวติดกัน เอ้ยตัวต่อตัวน่าจะเข้าใจเร็วกว่า ใช่ไหมน้องหน้านิ่ง” อยู่ๆ ดินแดนก็หันไปแขวะคนรักเสียอย่างนั้น  “วันนี้เมื่อยคอไหมวะ หันมองเครื่องบินจนคอแทบเคล็ดแต่ไม่เห็นกล้าทัก กาก”

“เรื่องของผม  แล้วที่จะให้สอนอิ๊งผมขอบายนะ ให้สอนคุณสอนลิงยังง่ายกว่าอีก หรือถ้าจะให้ผมสอนจริงๆ คุณก็ต้องจ่ายค่าเหนื่อยด้วยการเป็นตามใจผมทุกอย่างจนกว่าคุณจะถอดใจเลิกเรียนไปเอง” สกายยักคิ้วข้างเดียวใส่คนรัก “งั้นผมไปก่อนนะครับท่าน สวัสดีครับ” 

“อ้าวไอ้นี่ กวนตีนแล้วชิ่งอีกละ”

“เออไอ้เด็กนี่มันเอาเรื่องดี ป๋าชอบ”

“ป๋าก็งี้ทุกทีอะ ลูกโดนรังแกก็ไม่เคยช่วย”

“ก็แกไปแหย่เขาก่อน แล้วเครื่องบินอะไร เล่าให้ป๋าฟังบ้างสิ”

“เป็นความลับครับ สกายมันไม่ให้บอกใคร”


+++++++++++++++++++++++++++




หลังจากวันลงเสาเอก ผมก็ช็อตไปอีกเป็นเดือน ถามว่าติดต่อเรื่องงานเรื่องบ้านได้หรือเปล่าก็ยังได้อยู่แต่รู้เลยว่าข้างในมันพังทลายลงอีกครั้ง

นั่งฟังแต่เพลงเศร้าเคล้าไปกับหยาดหยดแห่งความอาวรณ์  ความคิดถึงที่วิ่งวนทวนเข็มนาฬิกา สวนทางกับเวลาทว่าไม่เคยย้อนกลับมาเจอเรื่องเดิมได้อีกในจุดเดิม

ลมอ่อนพัดโชยมา น้ำตาก็ไหลริน เหลือเพียงกลิ่นหัวใจ คลุ้งไปกับความเหงา
รักยังไม่จางไป ตรึงติดชิดดวงใจ ยังหอมรัญจวนชวนให้ฝัน

เจ้าดอกไม้ซ่อนกลิ่น หอมบาดลึกเกินใคร หอมเกินหักห้ามใจ ทุกคราวต้องหวั่นไหว
ร้อยเก็บเจ้ามาลัย ทัดเธอไว้ในใจ เพื่อคงกลิ่นหอมไว้อย่างนั้น

คงไว้ได้แค่กลิ่นที่ไม่เคยเลือนลา ยังหอมดังวันเก่ายามเมื่อลมโชยมา
ทิ้งไว้เพียงอดีตที่ไม่เคยหวนมา ซ่อนเธอไว้ในใจ

แต่ละคำแต่ละท่อนกรีดแทงลงสู่ใจกลางของความรู้สึก หลับตายังโหยหา ลืมตาไม่คลายไป กลิ่นของเฮียยังติดตรึงประสาทสัมผัส กลิ่นของความรัก กลิ่นของความคิดถึง



ต่อ..
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 21 : ภาวะไหลย้อน 《28/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 28-11-2018 22:03:27
คืนวันผ่านล่วงเลย 10 เดือนแล้วที่เฮียจากไป เวลาช่วยได้เยอะมาก ไม่ใช่เลิกคิดถึงเพียงแต่เวลาที่คิดถึงไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดมากเท่าเดิมอีก  เริ่มขยับขาก้าวออกไปใช้ชีวิตเสียที จะขังเฮียไว้ในความรู้สึกเจ็บปวดแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว 

ตั้งใจว่าจะกลับมาทำงานที่ตัวเองรักเหมือนเดิมแต่ก็จะไม่หักโหมเกินไปเพราะบอกตามตรงว่าไม่รู้จะหาเงินไปทำไมเยอะแยะ ส่วนเรื่องชื่อเสียงก็ไม่เห็นจำเป็นเพราะอันที่จริงผมเป็นคนสันโดษไม่ได้ชอบเข้าสังคมอยู่แล้วด้วยซ้ำ แค่อยากทำในสิ่งที่ตัวเองรักไปเรื่อยๆ ทำเสื้อผ้าไปเรื่อยๆ แค่นั้นก็พอ

วันนี้เริ่มออกจากบ้านมาที่ห้องเสื้อ ยังไม่ได้บอกใครว่าจะกลับมาเริ่มงาน และตามคาดเมื่อดันประตูเข้ามาในออฟฟิศ.. 

ตุ๊บ~

เสียงคอลเล็กชั่นผ้าไหมร่วงลงจากมือพี่บอลลูน

เคร้ง~ ก๊อก~ ตุ๊บๆๆ

กล่องเครื่องเขียน กล่องคุกกี้ บอลบริหารมือ พากันร่วงหล่นออกจากมือพนักงานที่กระจัดกระขายอยู่ตามตำแหน่งของตัวเองกันพร้อมหน้า

“ทำอย่างกับเห็นผี” ผมเก๊กหนังหน้าไม่ให้หลุดขำกับท่าทางเหวอๆ ของพวกเขา จากนั้นก็ตรงไปนั่งประจำที่โต๊ะทำงาน

“ค.. คะ คุณ คุณ..”

“นังเผื่อน แกจะติดอ่างทำไม สติๆ ส..สะ สะ สวัส ดะ ดะ ดี..”

“สวัสดีค่ะคุณดอท” พี่บอลลูนผลักร่างสาวสองทั้งสองนางให้หลีกทางแล้วเดินมาหา  ผู้ช่วยมือขวาน้ำตาคลอเข้ามาหยุดหน้าโต๊ะ จากนั้นคนอื่นๆ ก็ตามมายืนเรียงแถวหน้ากระดาน

“ยินดีต้อนรับกลับมาค่ะ” พี่บอลลูนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“ฮือๆๆๆๆๆๆ ฮื้ออออออออ” เสียงร้องไห้ประสานขึ้นเป็นเสียงเดียวเมื่อน้ำตาของพี่บอลลูนหยดไหลพร้อมกับรอยยิ้ม “คุณดอทกลับมาแล้ว ฮื้อออ ฮือๆๆๆ”

“ร้องไห้กันทำไม ไปเตรียมประชุมต้นสัปดาห์สิครับ ทุกวันจันทร์สิบโมงครึ่ง ลืมไปหมดแล้วเหรอ”  ผมเริ่มแสบจมูกจึงจำเป็นต้องไล่พวกนี้ไปไม่งั้นน้ำตาแตกต่อหน้าพนักงานแล้วจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

“โหคุณดอทอะ ให้เวลาซึ้งหน่อยก็ไม่ได้ ฮือๆๆ” สาวสองชื่อเพื่อนกระเง้ากระงอดใส่ผมอย่างที่ไม่ค่อยกล้าทำมาก่อน

“เอ๊ะนั่งเผื่อน แกจะหาเรื่องให้หมู่เหล่าทำไมเดี๋ยวคุณดอทก็อารมณ์เสียจนได้”

“ดอทไม่อารมณ์เสียหรอก รีบไปเตรียมตัวประชุมเถอะ” ผมบอกเสียงเรียบ ที่จริงชอบแอบขำลูกน้องของตัวเองอยู่บ่อยๆ แต่รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะมันไม่เข้ากับหน้าผมก็เลยไม่ค่อยได้เปิดเผยกับพวกเขาว่าผมชอบเวลาที่พวกเขาทำงานด้วยความสุขและผ่อนคลายความเครียดด้วยการจิกกัดกันเอง


แล้วการประชุมครั้งแรกในรอบเกือบปีก็จบลงก่อนเที่ยงเล็กน้อย ผมจึงให้พี่บอลลูนพาพวกเด็กๆ ไปเลี้ยงมื้อใหญ่ในห้าง  แต่ผมไม่ได้ไปด้วยเพราะอยากเริ่มทำงานเสียที

จะว่าไปตอนที่อยู่ในห้องนอนคนเดียวเงียบๆ ก็ได้งานมาเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นคอลเล็กชั่นที่แตกต่างจากผลงานเดิมๆ อย่างสิ้นเชิงเพราะปกติงานของผมจะออกแนวเรียบหรูและใช้สีพาสเทล แดง ขาว และเอิร์ธโทน  แต่งานชิ้นใหม่ผมตั้งใจใช้สีดำเป็นพื้นและใช้สีเทาเข้มจากผ้าที่มีความเงาวาวมาคาดผ่านสีดำเป็นกิมมิก เปรียบเสมือนตัวแทนแห่งความเจ็บปวด ความเศร้า ความหม่น แต่ในความหม่นนั้นยังมีความสวยงามแฝงอยู่  ซึ่งพอเอาคอลเล็กชั่นนี้เข้าไปเปิดเผยในที่ประชุม ทีมของผมก็ชอบอกชอบใจกันยกใหญ่ ยกให้เป็นผลงานมาชเตอร์พีชของผมเลยทีเดียว

คอลเล็กชั่นนี้ผมให้ชื่อว่า.. BEAUTY IN THE DARKNESS..ลึกลงสู่ใจกลางแห่งความมืดหม่น คุณจะพบว่าความสวยงามกำลังต่อสู้เพื่ออวดเงาของตัวมันเอง

การสูญเสียเฮียเผ่าเป็นที่สุดของความมืดหม่นในชีวิตทว่าในความเศร้านั้น ผมได้พบเจอความสวยงามอันน่าทึ่ง เฮียหยุดเวลาของเราสองคนไว้ที่ความเสียสละซึ่งมันเป็นความทรงจำที่สุดแสนงดงาม อาจจะดีกว่าที่เราต้องเลิกกัน ทะเลาะกัน เกลียดกันจนต้องเลิกรากันไป แบบนั้นคงจะน่าเศร้ากว่านี้มาก

ประโยคที่ว่า.. จากเป็นทรมานกว่าจากตาย คงหมายถึงแบบนี้สินะ


++++++++++++++++++++++++



วันครบรอบหนึ่งปี  ผมขังตัวเองอยู่ในห้องอีกครั้ง ไม่เคยติดต่อไปหาคนที่บ้านเฮียเพราะเฮียเคยพูดไว้ตอนที่ยังมีชีวิตว่าคนตระกูลเฮียไม่น่าคบ ถ้าไม่มีเฮียก็ไม่ต้องไปนับญาติกับใคร

ในที่สุดก็ตัดสินใจหยิบกล่องของเฮียออกมา ด้านบนสุดมีกรอบรูปตั้งโต๊ะเป็นภาพเราสองคนในงานรับรางวัลนักธุรกิจไฟแรงแต่เป็นคนละรูปกับที่ผมถ่าย รู้สึกว่าภาพนี้จะเป็นกล้องจากเจ้าของงาน เฮียเคยบอกว่าชอบผมในวันนั้นมากเพราะดูอารมณ์ดีและตื่นเต้นกับรางวัลมากกว่าเฮียเสียอีก 

ชิ้นต่อมาเป็นปฏิทินรูปของผมที่เฮียสั่งทำให้เป็นของขวัญครบรอบสิบปีโดยสั่งทำเป็นคู่ ให้ผมหนึ่งอันและเฮียเก็บไว้หนึ่งอัน  มีรูปคู่แค่ด้านหลังเพียงรูปเดียวเพราะเฮียบอกว่าอยากเห็นผมมากกว่าเห็นตัวเอง

อย่าถามถึงน้ำตาเพราะมันไหลนองตั้งแต่หยิบกรอบรูปขึ้นมากอดแล้วด้วยซ้ำ

ผมเปิดปฏิทินไปทีละหน้า  มีลายมือของเฮียเขียนเรื่องสำคัญของเราไว้ในปฏิทิน วันที่เราอยู่ด้วยกัน วันที่ไปทะเล วันเกิดของผม  วันที่ผมให้ของขวัญเฮีย  วันที่เฮียเผลอลงมือจนผมเข้าโรงพยาบาล และอีกหลายเหตุการณ์ที่ได้เขียนไว้ 

“มิน่าล่ะถึงได้จำวันสำคัญได้ ก็เล่นจดไว้แบบนี้นี่เอง” ผมยิ้มทั้งน้ำตาแล้วพลิกแต่ละหน้าช้าๆ ซึมซับความอ่อนโยนของเฮียที่ปกติเฮียไม่ใช่คนที่มีนิสัยละเอียดอ่อนแบบนี้

ผ่านของในกล่องไปเพียงแค่สองชิ้น ความรู้สึกของผมก็เริ่มจะไม่ไหวจึงรีบเก็บของลงกล่องแล้วปิดไว้อย่างเดิม

“เอาไว้ถ้าบ้านเสร็จแล้วดอทจะเอาของทั้งหมดไปเก็บไว้ที่บ้านเรา ถึงตอนนั้นดอทคงแข็งแรงพอที่จะดูของทั้งหมดโดยไม่พังไปก่อนแบบนี้นะครับ” ผมบอกลากล่องของเฮียแล้วปิดตู้ลงกลอน 


ใช้เวลาอีกเป็นเดือนกว่าสมองจะกลับมาโล่งอีกครั้ง  ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมยังคงสั่งงานเรื่องบ้านเฮียเผ่าผ่านทางกรุ๊ปไลน์ การก่อสร้างเป็นไปอย่างล่าช้าเนื่องจากผมไม่ได้เร่งรีบตรวจงานซึ่งแน่ล่ะว่าผู้รับเหมาคงจะหัวเสียอยู่ไม่น้อย แต่ผมก็ใช้เงินแก้ปัญหา จ่ายค่าเสียเวลาโดยการโอนไปและบังคับให้รับไว้เพราะไม่อยากมีปัญหาถูกฟ้องในภายหลัง

สิ่งหนึ่งที่ไม่โฟกัสเรื่องบ้านมากเกินไปเพราะชอบลืมตัวเผลอคิดถึงเฮียจนดิ่งไปอีก นั่นคือเหตุผลที่เวลาจะเข้าไปจับงานนี้ถึงต้องบิลด์ให้อารมณ์นิ่งมากที่สุดซึ่งได้บอกเหตุผลนี้กับไลน์กลุ่มไป หมอวรรตตอบรับทราบและให้กำลังใจในทันที ส่วนพี่เวย์ตอบแค่คำว่า ‘ครับ’

“แบบนี้เหมือนกลับไปเป็นพี่เวย์คนใจร้ายอีกแล้วหรือเปล่านะ”

ไม่ให้คิดแบบนี้ได้ยังไงในเมื่อที่ผ่านมาหมอวรรตยังมีแอบโทรมาโดยใช้ข้ออ้างเรื่องงานบังหน้าซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร

ส่วนพี่เวย์..

ผมกดเข้าไปดูข้อความสนทนาส่วนตัวของพี่เวย์ในแอพไลน์ซึ่งมันหยุดไว้เพียงแค่ประโยคเดียวไม่มีเพิ่มเติมสิ่งใดขึ้นมาเลย  ในวันที่ลงเสาเอกผมไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ตรงไหน เห็นแค่หมอวรรตที่คอยเดินเข้ามาอยู่ในรัศมีการมองเห็นพยายามส่งสายตาห่วงใยมาให้

แต่พี่เวย์ไม่โทร ไม่แชทข้อความส่วนตัว ไม่ปรากฏตัวต่อหน้าผมในวันลงเสาเอก ทั้งๆ ที่เราไม่ได้เจอกันเกือบปี


“ส...สวัสดีครับ”  พี่เวย์รับสายทันทีที่ผมโทรเข้า น้ำเสียงเหมือนไม่อยากเชื่อว่าผมจะโทรหาและนั่นทำให้ผมรู้สึกกระหยิ่มขึ้นมาหลังจากที่รู้สึกต่ำต้อยมานาน

“วันอาทิตย์นี้ผมอยากเข้าไปตรวจหน้างาน ประมาณสิบโมงเช้าสะดวกทั้งสองคนไหมครับ” ผมขอนัดดูงานในวันอาทิตย์เพราะเพิ่งกลับเข้าไปทำงานห้องเสื้อจึงไม่อยากหยุดให้งานชะงักไปอีก

“.....” พี่เวย์ไม่ตอบ ไม่รู้ว่าได้ยินหรือเปล่า

“ได้ยินไหมครับ ฮัลโหลๆ” 

“..เอ่อ ครับ ด..ได้ยินครับ”  เสียงพี่เวย์ค่อนข้างตื่น กว่าจะตอบรับก็เกือบกดวางสายไปแล้ว

“..ครับ งั้นสะดวกใช่ไหมหรืออยากเลื่อนเวลาก็ได้นะครับ”  ผมถามกลับ บางทีเขาอาจจะอยากพักผ่อน

“สะดวกครับ เจอกันวันอาทิตย์นี้สิบโมง..ครับ” เขาดึงจังหวะไว้เหมือนไม่อยากให้การสนทนาจบลง

“โอเคครับ งั้นแค่นี้ก่อนนะ”

“...ครับ” พี่เวย์ทิ้งคำสุดท้ายไว้ด้วยเสียงแผ่วๆ

ผลหลุดยิ้มออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นวุ่นวายใจของพี่เวย์  หวังว่าจะไม่รู้นะว่าผมตั้งใจโทรหา

แปลกจัง แค่คิดว่าความรู้สึกของพี่เวย์ยังไม่ได้เปลี่ยนไป ผมก็รู้สึกดีขึ้นมาแล้ว..

แต่จะพยายามนิ่งไม่สานสัมพันธ์เพิ่มไปกว่านี้เพราะตอนที่เสียไปมันเจ็บปวดแทบจะตายเสียให้ได้เลย  ผมคงเหมาะที่จะอยู่คนเดียวมากกว่า


ทว่าในคืนนี้ ผมกลับมีความผิดปกติด้านอารมณ์และร่างกายหนักขึ้น  รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านอยากระบายออก

น้ำเสียงที่ไม่ได้ยินมานานของพี่เวย์ส่งผลต่อสภาวะทางอารมณ์ได้อย่างมากมายจนจิตใจไม่สงบ

“อ่ะ.. อา อาห์..” น่าอายจริงๆ ที่เผลอจินตนาการถึงพี่เวย์ 

ร่างกายของผมกลับมามีความต้องการหลังจากที่ดินแดนมาหาและหอมแก้มยาวๆ ในครั้งนั้น  อาการสะท้านที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยนั้นก่อให้เกิดความต้องการมากขึ้นจนต้องกลับมาช่วยตัวเอง ถึงจะไม่บ่อยแต่ก็เพิ่มขึ้นทุกที จากเดือนละสองครั้ง เป็นอาทิตย์ละครั้ง โดยเฉพาะวันนี้ที่มีอารมณ์มากๆ แบบต้องทำต่อเนื่องกันถึงสองรอบ

ซึ่งมันก็ยังไม่พอ..

ปฏิเสธความต้องการของตัวเองไม่ได้เลยว่าช่วยด้านหน้ามันไม่ถึงใจ อย่างเมื่อครู่ที่จินตนาการถึงพี่เวย์ ผมไม่ได้แค่นึกหน้าเฉยๆ แต่เผลอคิดว่าเขากำลังสอดใส่เข้ามาทางด้านหลัง

แต่การจะช่วยตัวเองทางด้านหลังมันยากไป มันน่าอายเกินกว่าที่จะทำเองซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกว่ายังขาด อดคิดไม่ได้ว่าถ้ามีคนมาช่วยก็คงดีจนบางทีอยากยกหูโทรหาใครก็ได้ให้เขารีบมา

“ชนม์แดนๆๆๆ อะไรของแกเนี่ยตั้งสองรอบ บ้าบอที่สุดเลย!”

พอเสร็จแล้วก็มานั่งนอยด์กับความนิสัยไม่ดีของตัวเอง ตั้งแต่เฮียเสียไปก็แทบไม่เกิดอารมณ์อยากได้อยากมีอะไรอีก เคยคิดว่ามันหายไปก็ดีแล้วจะได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ แต่เจอกามไหลย้อนแบบนี้มันก็อดเซ็งไม่ได้ คงต้องพยายามควบคุมตัวเองอีกแล้ว เบื่อๆๆๆ ทำไมถึงได้เป็นคนแบบนี้นะ!


+++++++++++++++++++++++++++




รุ่งเช้าวันอาทิตย์ ผมตั้งโต๊ะสำรับหน้าบ้านเพื่อตักบาตรกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เฮีย ทำแล้วรู้สึกสบายใจและหวังว่าเฮียจะรับรู้ความคิดถึงของผม

“ไปไหนลูก” คุณแม่ทักเมื่อผมเดินลงมาจากห้องด้วยชุดลำลอง เสื้อยืดเข้ารูปสีดำคลุมด้วยเชิ๊ตสีขาวพับแขนตัวสั้นและกางเกงสีครีม “ใส่สีอื่นนอกจากสีดำแบบนี้ค่อยดูสดใสขึ้นหน่อย”

“ไปดูงานที่ไซต์ก่อสร้างครับคุณแม่ ต้องไปดูบ้างเดี๋ยวผิดแบบแล้วต้องแก้จะวุ่นวายไปกันใหญ่” ผมบอกแล้วนั่งทานข้าวเช้าพร้อมกับคุณแม่   

“ถ้าเสร็จแล้วจะย้ายไปอยู่ที่นั่นจริงเหรอลูก” เสียงคุณแม่แผ่วลงจนผมต้องจับมือมากุมไว้

“ดอทจะกลับบ้านบ่อยๆ นะครับ” ผมปลอบ

“อุตส่าห์ได้กินข้าวด้วยกันทุกวันแล้ว อยู่ๆ ก็จะทิ้งแม่ไป” เห็นสีหน้าของคุณแม่แล้วรู้สึกกลุ้มใจเรื่องนี้เหมือนกัน ไม่รู้จะทำยังไงถึงจะแก้ปัญหานี้ได้ 

“เอาไว้ดอทจะลองคิดดูอีกทีว่าจะทำยังไงนะครับ คุณแม่อย่าคิดมากนะ ดอทไม่ทิ้งให้คุณแม่เหงาอยู่คนเดียวหรอก ทานข้าวนะครับ ยิ้มๆ” พอคุณแม่ยิ้มออก  จากนั้นผมก็ทานข้าวจนอิ่มแล้วให้น้าเวชไปส่งที่ไซต์งาน



ตั้งแต่เริ่มไปทำงาน น้าเวชก็ไปรับไปส่งทุกวันแต่ไม่กล้าพูดอะไรเพราะผมยังเหม่อไปนอกรถและหน้าตาก็ยังไม่พร้อมจะรับแขก
และวันนี้ เพียงแค่ขับรถเข้ามาในบริเวณที่ดินของเฮีย น้ำตาก็เอ่อคลอ หัวใจมันวูบโหวงจนต้องหยิกตัวเองเพื่อเตือนไม่ให้จมดิ่ง
เฮียจ๋า เป็นกำลังใจให้ดอทนะ ดอทจะเข้มแข็งกว่านี้ให้ได้..

“คุณหนูครับ..” เสียงน้าเวชปลุกผมออกจากภวังค์หลังจากนั่งนิ่งอยู่ในรถนานพอสมควร

ผมสูดหายใจเข้าลึกแล้วบอกด้วยเสียงแหบแห้ง “ทนหน่อยนะครับน้าเวช ดอทรู้ว่าคนที่รักดอททุกคนรู้สึกทุกข์ใจที่เห็นดอทเป็นแบบนี้ ถึงตอนนี้จะยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ดอทจะพยายามครับ”

“โธ่คุณหนู แค่นี้ก็เก่งมากแล้วครับ แล้วก็ไม่ต้องคิดมากเรื่องน้าเวชหรอกแค่ได้เห็นคุณหนูออกจากบ้านไปทำงานก็ดีใจมากแล้ว ต่อไปคุณหนูต้องกลับมายิ้มและหัวเราะได้อีกแน่นอนครับ”
ผมพยักหน้าแล้วฝืนยิ้มบางๆ ลงจากรถเดินเข้าไปตรวจดูในเขตก่อสร้าง ตอนนี้ขึ้นเสาและวางโครงสร้างหลักเสร็จแล้ว  กวาดตามองโดยรอบเห็นคนงานเพียงแค่สี่ห้าคนไม่รวมสองคนที่กำลังเดินดิ่งมาจากต้นฉำฉาใหญ่


ใช้เวลาสักพักที่พวกเขาเดินจากตรงนั้นระยะทางประมาณ 200 เมตร ถ้านั่งรถก็แป๊บเดียวแต่ถ้าเดินก็เรียกเหงื่อได้เลยทีเดียว

“......” เมื่อมาถึง พวกเขานิ่งเงียบแค่มองหน้าผมคล้ายกับจะสำรวจตรวจสอบว่ามีอะไรบุบสลายไปตรงไหนบ้าง
บรรยากาศระหว่างเราค่อนข้างซับซ้อนระหว่างคิดถึงแต่ก็รู้ว่าคิดถึงไม่ได้ และเจ็บปวดซึ่งรู้ดีว่ามันเกิดจากความสัมพันธ์ที่ไม่มีทางจะสมหวัง

ความเงียบและความสับสนปนเปของความรู้สึกที่หลากหลายทำให้น้ำตาของผมเริ่มเอ่อขึ้นจนต้องรีบหันหลังและปาดเช็ดมันออกอย่างรวดเร็วก่อนจะทำทีเป็นเดินตรวจงานเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยของอารมณ์ 

“ทำไมคนงานน้อยจังครับ” ผมถามในสิ่งที่รู้อยู่แล้วโดยไม่ได้หันกลับไป

“คนงานส่วนใหญ่หยุดแต่พวกที่มาวันนี้ได้ค่าจ้างสองเท่าเพราะผมอยากให้การก่อสร้างเสร็จให้เร็วที่สุด” พี่เวย์เดินตามมาเทียบทางด้านขวา

“คุณผอมไปนะ..” หมอวรรตเดินขึ้นมาขนาบทางด้านซ้ายและพูดในเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับงานแม้แต่น้อย

“..ครับ” ผมไม่ได้หันกลับไปแต่ตอบรับไปแค่สั้นๆ “แล้วต่อจากนี้จะทำอะไรต่อ มุงหลังคาใช่ไหมครับ”

“ยังครับ อาทิตย์นี้จะจัดการเรื่องปลวก ฉีดพ่นน้ำยาให้ทั่วแล้ววางท่อทดสอบอัดน้ำยาเสร็จแล้วถึงจะขึ้นมุงหลังคาครับ” พี่เวย์ตอบอย่างเอาการเอางาน

“กินข้าวเยอะๆ หน่อยสิ ก้นหายหมดแล้วนะ แล้วทรงผมอะไรของคุณ ยาวไม่เท่ากันแบบนี้ก็ได้เหรอ” หมอประสาทเริ่มจะทำให้ประสาทผมเสียอีกครั้ง

พูดถึงเส้นผม ตั้งแต่หมอวรรตตัดให้ครั้งก่อนผมก็ไม่เคยตัดอีกเลยจนทำให้ความยาวในตอนนี้ระต้นคอแล้ว วันนี้ก็แค่เซ็ตลวกๆ ไม่ให้มันกระเซอะกระเซิงมากนัก

ผมหยุดเดินแล้วหันไปจ้องหน้าเขา ลืมเรื่องเศร้าไปชั่วขณะ “ถ้าคุณไม่ตั้งใจทำงาน ผมจะให้คนอื่นมาทำแทนนะครับ”

นายแพทย์หนุ่มหน้าหงอยลงแต่แล้วก็เถียงกลับมา “เจ้าของที่นี่เขาอยากให้พี่เวย์กับผมทำงานให้เสร็จ คุณไม่มีสิทธ์ไล่ผมออก แล้วอีกอย่างตรงนี้ไม่ใช่งานในส่วนของผม แต่ถ้าคุณไปถามเรื่องสวนตรงโน้น ผมค่อยตั้งใจทำงาน”

หน้าผมตึงขึ้นเมื่อเถียงเขาไม่ออก “งั้นก็ไปดูตรงนั้น ถ้างานไม่ดีผมจะสั่งคุณรื้อให้หมด” ว่าแล้วก็เดินดิ่งไปยังสวนฉำฉาทันที

พูดถึงในส่วนงานออกแบบและก่อสร้าง ระหว่างที่ผมทำใจเรื่องเฮียอยู่ พี่เวย์จะเขียนแบบส่งและแก้งานได้อย่างรวดเร็วแถมงานดีกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก  ยิ่งมาเห็นการทำงานที่ไซต์จริงแบบนี้ยิ่งรู้เลยว่าพี่เวย์ควบคุมดูแลการก่อสร้างได้เนี้ยบมาก มิน่าเฮียถึงไว้ใจให้ทำโครงการใหญ่ๆ มาก่อนและยังดึงให้มาทำที่นี่ด้วย  ส่วนหมอวรรตก็งานดีจนเหลือเชื่อ ผมแทบไม่ต้องแก้อะไรเลย เพียงแต่สโคปงานของเขาน้อยกว่าพี่เวย์หลายเท่า ทำให้งานอาจง่ายกว่าค่อนข้างมาก

ระยะทางที่เดินไปค่อนข้างไกล พี่เวย์พยายามบอกให้นั่งรถแต่ผมคิดว่าเดินไปจะดีกว่า  และก็คิดถูกที่เดินมาเพราะพอเข้าโซนสวน บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยน  ลมเย็นๆ เริ่มพัดเข้าปะทะใบหน้า กลิ่นดินกลิ่นสดชื่นโชยเข้าโสตประสาททำให้รู้สึกผ่อนคลาย
เมื่อเห็นว่าอาการของผมเริ่มดีขึ้น หมอวรรตจึงได้เข้ามานำเสนอผลงานของตนเอง

“ผมเริ่มทำในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งปลูกสร้าง เวลาคุณมาตรวจงานจะได้มาพักผ่อนที่นี่ได้นานๆ” สายตาของเขาที่จ้องมาดูลึกซึ้งจนผมต้องรีบเบือนหน้าหนี

“ถ้าตรวจงานเสร็จผมก็ไม่มีธุระอะไรที่ต้องอยู่ต่อ” ผมบอกอย่างไร้เยื่อใยแล้วเดินดูไปเรื่อยๆ

ตอนนี้ปูหญ้านวลน้อยใต้ร่มฉำฉาและวางหินทางเดิน ด้านข้างมีการนำหินก้อนใหญ่ๆ ซ้อนทับกันขึ้นคล้ายกับชั้นน้ำตกและขุดพื้นเป็นแอ่งเชื่อมต่อกับร่องลำธารไหลวนอยู่ในรัศมีของร่มฉำฉา มีสะพานเล็กๆ สี่ทิศเพื่อให้ข้ามไปพบกับความบันเทิงต่างสไตล์  สะพานทิศเหนือมีชิงช้าที่มีลักษณะเหมือนเถาวัลย์พันเกี่ยวกันและพอเข้าไปดูถึงได้เห็นว่าเป็นของจริง เป็นเถาวัลย์ที่เป็นธรรมชาติโยงลงมาจากกิ่งใหญ่ของต้นฉำฉา มันสานกันเป็นที่นั่งได้อย่างเหมาะเจาะ  สะพานทิศตะวันออกมีเปลแขวนที่มีลักษณะเป็นทรงกลมขนาดใหญ่ให้คนนอนเหยียดยาวได้ถึงสองคน   ส่วนตะวันตกเป็นส่วนต่อเนื่องจากทางเดินมาจากตึกหน้าจะมีโต๊ะสนามตั้งอยู่สี่โต๊ะ และสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกหลายสิบโต๊ะในส่วนรอบนอกร่มฉำฉา  และทิศใต้เป็นซุ้มเล็กๆ ลักษณะเหมือนบาร์ มีเคาน์เตอร์สำหรับเสิร์ฟเครื่องดื่ม ด้านในมีเครื่องชงกาแฟ ตู้แช่ ตู้เก็บขนมนมเนย และอุปกรณ์สำหรับกินดื่มแบบเบาๆ  มันเหมาะมากที่จะมาอยู่เล่นตรงนี้เพื่อพักผ่อนหย่อนใจ

“อยากเปลี่ยนใจไหมครับ” พี่เวย์ทักขึ้นหลังจากผมนิ่งอึ้งไปนานเพราะเดินดูรอบบริเวณแล้วชอบไปหมด  ไม่สิ ต้องบอกว่ารักเลย  นี่ขนาดยังไม่เสร็จสมบูรณ์ยังดีขนาดนี้แล้วถ้าเสร็จมิต้องลืมบ้านลืมช่องมาอยู่ที่นี่ถาวรเลยเหรอ

“เปลี่ยนใจเรื่องอะไรเหรอครับ” ผมหันไปถาม และได้สบตาในระยะใกล้  ใบหน้าพี่เวย์คล้ำขึ้นเพราะคงต้องอยู่กลางแจ้งคุมงานทั้งวัน แต่แบบนี้ก็ดูดีไปอีกแบบ

“ก็ที่บอกว่าตรวจงานเสร็จแล้วก็ไม่อยากอยู่ต่อ” พี่เวย์ยิ้มบางๆ “พี่เขียนตรงนี้สุดฝีมือเลยนะ แล้วนายวรรตก็เขียนแบบเพิ่มเติมและทำออกมาได้เกินกว่าที่พี่คิดไว้ซะอีก”

คำว่าพี่ที่ออกจากปากของพี่เวย์ทำให้ใจผมเต้นตึกตัก อยู่ดีดีทำไมเรียกตัวเองว่าพี่แบบนี้ล่ะ ก็เราเป็นทางการกันมาตั้งนานแล้วนะ

“ค..คือ  ก็ ก็สวยมากนะ แต่.. คือ..” ผมกระพริบตาถี่ๆ นึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรแถมยังรู้สึกประหม่าที่พี่เวย์เรียกตัวเองว่าพี่ นี่ถ้าเขาเรียกผมว่า..

“น้องโกหกไม่เก่งหรอกครับ ไม่ต้องพยายามโกหกก็ได้”  นั่นไง! เรียกผมว่าน้องจนได้!!

“เอาเข้าไป” หมอวรรตพูดขึ้นเบรกบรรยากาศแปลกๆ “นี่มันโซนผมนะพี่เวย์ พี่เล่นรายงานอยู่คนเดียวเดี๋ยวผมก็โดนไล่ออกกันพอดีที่ไม่มีผลงาน”

“ตะกี้ฉันก็โฆษณาให้แล้วไงว่านายทำได้ดีกว่าที่ฉันคิด” พี่เวย์เถียง

“แต่ผมอยากพูดเอง” หมอวรรตยังไม่ยอมลงให้ “ถอยไปเลย ผมจะบรรยายเอง”

พี่เวย์ส่ายหัวแล้วหลีกทางให้หมอวรรตเข้ามาหาแต่ผมชิงพูดขึ้นก่อน 

“ผมโอเคทุกอย่าง แค่ช่วยเอาเปลวงกลมนั่นออกไปเพราะไม่คิดอยากจะนอนเล่นกลางแจ้งแบบนี้หรอก วันนี้พอแค่นี้ผมขอกลับก่อน ขอบคุณนะครับ”

อันที่จริงผมก็ชอบเปลนี้นะ มันน่านอนมากแต่ผมแค่หาเรื่องติงานเขาเท่านั้นเอง แล้วจากนั้นก็ตัดบทขอกลับทันที ไม่อยากฟังหมอวรรตพูดและเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับสองคนนี้จนทำตัวไม่ค่อยถูก

“ได้ไงล่ะ” หมอวรรตโวยขึ้น “เปลนี่ผมสั่งทำแบบซุปเปอร์สเปเชียลเลยนะ คุณต้องลองไปนอนดูก่อนแล้วจะชอบ”
พอพูดจบ แขนผมก็ถูกดึงไปทันที  “น..นี่! คุณ ปล่อยผมนะ!”

“ลองนอนดูๆ”  กึ่งจูงกึ่งลากแล้วผลักผมให้ลงไปนอนบนเปลแต่ด้วยความที่เปลมันโยกแกว่งไม่มั่นคง ผมจึงเผลอดึงแขนเขาไว้เพื่อรักษาสมดุลของร่างกายจนเขาล้มทับลงมาบนตัวผมและทำให้เปลเริ่มแกว่งไกวแรงขึ้นเนื่องจากน้ำหนักตัวของเราสองคนที่โถมเข้ามา

“นี่คุณ! ลุกเดี๋ยวนี้!!” พยายามดันเขาขึ้นแล้วตะเกียกตะกายลุกออกจากเปลแต่ยิ่งดิ้นเปลก็ยิ่งแกว่งแรงจนทรงตัวไม่ถนัด

“คุณก็หยุดดิ้นก่อนสิ” หมอวรรตบ่นแล้วพยายามทรงตัวจนในที่สุดก็ออกไปได้ครึ่งตัวแล้ว ส่วนผมก็ลุกขึ้นนั่งได้แล้วเช่นกัน

“มาฉันช่วย” พี่เวย์เข้ามาดึงหมอวรรตให้ลุกออกไปได้สำเร็จ แต่ตัวพี่เวย์ที่ยืนอยู่ในรัศมีการแกว่งไกวจึงถูกชนหน้าแข้งจนเสียหลักล้มลงมาชนกับผมที่กำลังจะลุกออกไปให้ล้มลงอีกรอบ

“เอ๊ย!!” พี่เวย์ร้องด้วยความตกใจและพยายามจะล้มแบบไม่ทับตัวผมแต่ยิ่งเลี่ยงเหมือนยิ่งเร่ง การทรงตัวบนฐานที่ไม่มั่นคงและน้ำหนักตัวของพวกเราทำให้ผลมันออกมาตรงข้ามไปเสียหมด

ร่างของผมถูกคร่อมทับไว้เป็นครั้งที่สอง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!!

ถามว่าถูกทับแล้วโกรธไหมก็ยอมรับว่าหัวเสียมากเพราะเหตุการณ์มันชุลมุนวุ่นวายไปหมด แต่ครั้งแรกที่หมอวรรตทับผมยังมีแรงขัดขืน แต่ครั้งนี้เป็นพี่เวย์ผมกลับไม่กล้าโวยวายเพราะเกรงใจ 

และแล้วเราก็เผลอสบตากันในระยะประชิด ดวงตาคู่สวยยังคงใสเป็นประกายน่ามอง ผิวที่เข้มขึ้นมองใกล้ๆ แบบนี้ดูแมนขึ้นอีกร้อยเท่า ปลายจมูกโด่งที่เฉียดอยู่ใกล้ทำให้แอบกลัวว่าตาผมจะเหล่หรือเปล่าเพราะดันเผลอมองปลายจมูกของเขานานเกินไป
หัวใจกระตุกผิดจังหวะ เผลอนึกถึงตอนที่ช่วยตัวเองแล้วสะท้านวูบขึ้นเมื่อตอนนี้ภาพของพี่เวย์ในตอนนี้ทับซ้อนกับภาพที่ผมจินตนาการไว้

“น้องเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นดึงความสนใจของผมให้ออกมาจากใบหน้าหล่อเหลา

“ม..ไม่ครับ พี่เวย์ลุกขึ้นเถอะ” ผมบอกอย่างเกรงใจ จะให้ไล่เหมือนหมอวรรตได้ยังไงในเมื่อเป็นเหตุสุดวิสัย ที่จริงผมน่าจะถามเขาด้วยซ้ำว่าขาเจ็บหรือเปล่าที่โดนเปลชน

ใบหน้าหล่อคลี่ยิ้มขึ้นเมื่อได้ยินผมเรียกพี่เหมือนเดิม ร่างสูงลุกออกจากเปลแล้วจับสายโซ่ที่โยงเปลให้หยุดแกว่ง

“ลุกมาช้าๆ นะครับ” พี่เวย์ยื่นมือมาให้

ผมมองมือเขาอย่างชั่งใจอยู่ครู่ก็ยื่นมือไปจับไว้แล้วลุกออกมาจากเปล แต่พอตั้งตัวได้ถนัดก็อยากจะล้มลงไปนอนอีกครั้งเพื่อหลีกหนีแววตาตัดพ้อรุนแรงของผู้ชายอีกคนที่ยืนขบกรามอยู่ไม่ห่าง

“ผมกลับก่อนนะ ที่นี่คงไม่มีงานสำหรับผมแล้วจริงๆ” พูดจบหมอวรรตก็เดินหนีไปทันที 

หัวใจของผมหล่นวูบลงถึงตาตุ่มเพราะภาพแผ่นหลังที่กำลังห่างออกไปทุกที

ผมกับพี่เวย์ยืนมองตามหมอวรรตไปจนเขาขับรถเก่าๆ คันเดิมออกไป  เราสองคนนิ่งเงียบไม่มีใครพูดอะไรออกมา

ทำไมต้องรู้สึกผิด ทำไมรู้สึกใจหาย ผมต้องทำยังไงกับสถานการณ์แบบนี้ดี


“ต่อไปไม่ต้องเรียกผมว่าน้องดีกว่านะครับ เพราะเฮียคงไม่ชอบ” ผมบอกพี่เวย์เมื่อเราอยู่ในความเงียบมาสักระยะ ใช้เฮียเป็นข้ออ้างคงจะดีที่สุดแล้ว

แค่คิดถึงเฮียก็เจ็บปวดมากพออยู่แล้ว ไม่อยากต้องมาเสียใจกับเรื่องของพี่เวย์กับหมอวรรตอีก และที่สำคัญ ถ้าผมมีคนอื่น เฮียอาจไม่ชอบใจก็ได้

“น้อ..” พี่เวย์พยายามจะเรียกแต่ผมวิ่งหนีออกมาทันที


ขอโทษนะครับพี่เวย์ ขอโทษนะหมอวรรต แต่ยังไงก็ไม่สามารถตอบรับน้ำใจของทั้งสองคนได้จริงๆ

ผมนั่งมองเหม่อออกไปนอกรถตลอดทาง พอถึงบ้านก็รีบเข้าไปในเซฟโซน

“เฮียโกรธไหมครับ ดอทห้ามความรู้สึกที่มีต่อสองคนนั้นไม่ได้เลย ยิ่งเป็นแบบนี้ก็ยิ่งรู้สึกผิด เฮียช่วยบอกหน่อยว่าดอทควรจะทำยังไงดี”


.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

หายไปนานมีใครคิดถึงพี่ดอทบ้างมั้ยคะ
เดี๋ยวตอนหน้าอัพให้เร็วๆ น่าจะไม่เกินสามวันค่ะ

ปล. รอบนี้ของดตอบเม้นต์นะคะ
เมาส์เสีย มันเด้งขึ้นเด้งลง ตาลายหมดแหล่วว
 :mew2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 21 : ภาวะไหลย้อน 《28/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 28-11-2018 23:11:43
ดีใจที่มาต่อนะคะ วันนี้เพิ่งนึกถึงเรื่องนี้เลย บังเอิญจัง  :mew3:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 21 : ภาวะไหลย้อน 《28/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 28-11-2018 23:35:31
เศร้า สงสารทุกคน
ขอให้เฮียมาเข้าฝันดอทที
ดอทจะได้ก้าวต่อไป

ป.ล.เราคาใจว่าจะมี3p ระหว่างดินxสกายxดอท รึเปล่าคะ กรี้ดมากกกก คือแอบพายเรือนี้อยู่นะคะ55
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 21 : ภาวะไหลย้อน 《28/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 29-11-2018 01:20:16
 :ling2: :ling2: :ling2:อยากเก็บเธอเอาไว้ทั้งสองคนนนนนนนน :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 21 : ภาวะไหลย้อน 《28/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 29-11-2018 08:48:07
หายไปนานเลยนายน้อย กอดดด

กลับมาตอนใหม่พร้อมความเหนื่อยใจ เหนื่อยที่จะเข็นจะดันจะลุ้นแล้ว ก็ถ้าดอทอยากจะจมจ่อมกับความเศร้าความสูญเสียต่อไปก็แล้วแต่ดอทเถอะ พี่เวย์กับหมอวรรตก็ไม่ต้องพยายามแล้วทำไปก็เสียเวลาเปล่าๆ กลับไปใช้ชีวิตตัวเองกันเถอะค่ะก็ปล่อยดอทไว้แบบนั้นแหละ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 21 : ภาวะไหลย้อน 《28/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 29-11-2018 19:29:46
ดอทต้องเดินหน้าไปอย่าหยุดกับความเศร้า หาทางเดินของตนเองให้เจอ เฮียคงไม่อยากให้ดอททุกข์
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 21 : ภาวะไหลย้อน 《28/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 29-11-2018 22:31:11
จะยังไงเนี่ยะ ไม่เลือกทั้งคู่แต่จะทำได้มั้ย เลือกทั้งคู่ไปเลยเถอะ
รักเฮียคิดถึงเฮียก็เข้าใจแต่ก็นะ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 21 : ภาวะไหลย้อน 《28/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: วันหนึ่ง ที่ 30-11-2018 19:45:30
เลือกทั้งคู่ ไม่ได้หรอ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 21 : ภาวะไหลย้อน 《28/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 01-12-2018 14:14:29
 :ling3: ระยะทำใจของเจ้าหญิงนานและน่ากลัวจริง นี่คิดเองเลยนะว่าหากได้แต่งกับเฮียเผ่าจริง โรคที่เป็นอยู่จะหายไปจริงเหรอ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 21 : ภาวะไหลย้อน 《28/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 01-12-2018 18:38:02
นิยายเรื่องนี้อ่านรวดเดียวเลยค่ะ​ จะบอกว่าดราม่ามันก็บอกไม่ถูกแต่แค่บางตอนอ่านแล้วน้ำตาไหลไม่รู้​ตัวเลย​ จริงๆ​ดอทก็เสียใจ​มาเยอะถ้าจะมีคนรัก​พร้อมกันทีเดียวสอง​ เพราะดอทก็มีใจให้ทั้งคู่​ ก็ไม่ผิดนะ​ ตอนเด็กๆขาดมาเยอะ​ มีคนมาช่วยเติมเต็ม​ก็เป็นเรื่องดีค่ะ​ รอให้ดอทใจอ่อนกับสองหนุ่ม​ ตอนนี้เริ่มพอเห็นทางบ้างแล้ว
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 21 : ภาวะไหลย้อน 《28/11/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 01-12-2018 20:39:49
……


คงต้อง3Pแล้วละ. รักพี่เสียดายน้อง แล้วทั้งน้องและพี่ต่างก็รักดอทด้วยกันทั้งคู่

เฮียเองคงอยากให้ดอทมีคนดูแลอย่างจริงจังจริงใจเหมือนกันนะ

อย่าเก็บตัวอยู่เลย. ออกมาเจอฟ้าเจอฝนเจอแดดได้แล้วน้าาาา


……


 :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:


หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 02-12-2018 17:10:48
.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

ต อ น ที่  22  :  ภ า ว ะ ชุ่ ม ฉ่ำ



สองสัปดาห์ผ่านไป ผมยังใช้ชีวิตปกติ ตื่นเช้าตักบาตรหน้าบ้านบ้าง สายๆ ออกไปทำงานและกลับบ้านประมาณหกโมงเย็น  ไปฟิตเนสบ้าง ว่ายน้ำบ้าง  ทานอาหารฝีมือคุณแม่เสียเป็นส่วนใหญ่  และเมื่อวนมาถึงคืนวันเสาร์อีกครั้ง ผมก็เริ่มกระวนกระวาย

sweetyDOTcom :  พรุ่งนี้ผมจะเข้าไปดูงานนะครับ ทั้งสองคนสะดวกคุยพร้อมกันตอนกี่โมง
ผมเข้ากรุ๊ปไลน์เพื่อนัดเวลาดูงาน ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ เพราะหลังจากวันนั้นหมอวรรตก็หายเงียบ ครึ่งเดือนแล้วที่ไม่ส่งงานไม่ทักไลน์ไม่อ่านไลน์ส่วนตัวที่ผมแกล้งออร์เดอร์งานไปให้ และมันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด

SuperWay :  นายวรรตขอถอนตัวแล้วครับ ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่รับโทรศัพท์แค่ส่งไลน์มาบอกให้ผมดูแลจัดการเองทั้งหมด แต่ที่ผมยังไม่บอกเพราะคิดว่าเขาอาจจะเปลี่ยนใจกลับมาเอง

ใจหาย..

ถึงกับนิ่งช็อคไปเลย อยากถามอยากเคี่ยวเข็ญพี่เวย์ให้ไปลากคอเขากลับมาทำงานต่อแต่ผมคิดว่าคงไม่สมควร

sweetyDOTcom :  งั้นคุณสะดวกกี่โมงครับ
ผมตัดใจคุยงานต่อเพราะคงไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว ถ้าหมอวรรตไม่อยากทำ ใครจะบังคับเขาได้ล่ะ

SuperWay :  ผมอยู่ที่ไซต์ตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงหกโมงเย็น     Read

sweetyDOTcom :  งั้นสิบโมงเช้าวันอาทิตย์นะครับ

SuperWay :  โอเคครับ   Read


หลังจากพี่เวย์ตอบรับ ผมก็โยนโทรศัพท์มือถือลงบนเตียง รู้สึกเซ็งขึ้นมาตงิดๆ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ
แต่อยู่ๆ หน้าจอก็โชว์ข้อความของพี่เวย์ขึ้นอีกครั้ง  ผมกดดูจึงเห็นว่าไม่ใช่ในแชทกรุ๊ปไลน์แต่เป็นห้องแชทส่วนตัว

SuperWay :  วันอาทิตย์เราไปทานข้าวเที่ยงกันดีไหม   Read
อะไรคือชวนทานข้าว!?  แล้วยังแอบมาชวนส่วนตัวซะอีก พี่เวย์ทำผมวุ่นวายใจอีกแล้ว

sweetyDOTcom :  ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่สะดวกใจ

SuperWay :  งั้นพี่เวย์จะเรียกว่าน้องเหมือนเดิมนะ
ก็คุยไปแล้วนี่ว่าไม่ให้เรียกน้อง เขาก็น่าจะเข้าใจแล้วว่าผมปฏิเสธที่จะสานสัมพันธ์ แล้วทำไมถึงได้ดื้อแบบนี้

sweetyDOTcom :  อย่าทำให้ผมลำบากใจสิครับ

SuperWay :  งั้นก็ตกลงไปทานข้าวด้วยกัน ผมจะคุยงานไม่คุยเรื่องอื่น รับรองได้
พี่เวย์จะมาไม้ไหน อยู่ดีดีทำไมขี้ตื้อขึ้นมาได้ล่ะ ไม่ทานข้าวด้วยก็ขู่จะเรียกน้องเนี่ยนะ อะไรของเขากัน

ผมกลอกตาเป็นเลขแปดใส่โทรศัพท์ จะปฏิเสธอีกก็ดูน่าเกลียด ถ้าเขาต้องการคุยงานและไม่ได้คิดอย่างอื่นแล้วผมดันเล่นตัวก็จะดูงี่เง่าเกินไป 

sweetyDOTcom :  ร้านไหนครับ

SuperWay :  มาถึงไซต์แล้วผมพาไปดีกว่า ขอตัวไปทำธุระก่อนนะครับ
พี่เวย์ตัดบทซะแบบนี้แล้วผมจะทำยังไงล่ะ  มีแต่คนเอาแต่ใจตัวเอง โลกนี้ทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันนะ

และแล้ววันอาทิตย์ผมก็มาถึงไซต์งาน ตอนนี้มุงหลังคาเสร็จเรียบร้อยทั้งออฟฟิศด้านหน้าและตัวบ้านตรงด้านหลัง 

“น้าเวชกลับไปก่อนได้เลยนะครับ เดี๋ยวถ้าจะกลับแล้วดอทจะโทรเรียก” ผมบอกและรอให้น้าเวชขับรถลับตาไปก่อนแล้วค่อยเดินเข้าไปหาพี่เวย์ที่คุมงานอยู่ด้านในของออฟฟิศ

เหมือนกำลังจะทำความผิดแต่หลอกตัวเองว่าแค่มาคุยงาน ชนม์แดนๆๆ ทำไมถึงไม่ปฏิเสธเขาไปนะ ทำไมต้องตามใจเขาด้วย!
ผมคุยเรื่องการก่อสร้างแล้วเดินดูความคืบหน้าไปเรื่อยๆ มองไปที่ต้นฉำฉาแล้วใจหายเบาๆ ที่มันยังคงค้างคาอยู่เท่าเดิมไม่มีอะไรเพิ่มใหม่ 

จากนั้นประมาณสิบเอ็ดโมง พี่เวย์ก็ชวนออกไปทานข้าวซึ่งผมก็แค่ยิ้มแห้งๆ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร
“ลืมบอกว่าไปรถมอเตอร์ไซต์นะครับ นั่งได้ไหม” คำพูดสุภาพกับท่าทางนิ่งๆ ดูเหมือนเป็นประโยคคำถามธรรมดา แต่ผมคิดว่าเขาแค่กวนตีน

“ไปไหนครับ” ผมไม่ตอบแต่ถามกลับไป

“ขึ้นรถเลยดีกว่าครับเดี๋ยวผมพาไป” เขายื่นหมวกกันน๊อกมาให้แล้วขึ้นคร่อมรถคู่ใจใส่หมวกเสร็จก็สตาร์ทรถรอให้ผมขึ้น และผมก็ขึ้นไปนั่งซ้อนตามคำสั่งในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา

พี่เวย์เหมือนมีเวทย์มนตร์ เหมือนตัวเขามีรังสีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมจังงัง งงงวย รู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่เหยื่อโง่ๆ ที่โดนต้อนได้ง่ายดายจนเกินไป   


“ร้อนหน่อยนะ หลบหลังก็ได้ถ้ากลัวแดด” เขาหันมาบอกขณะที่จอดติดไฟแดง

ใครจะไปหลบหลังแค่นั่งโดยพยายามไม่ให้ไถลไปโดนตัวก็ยากแสนจะยาก ถ้าต้องหลบก็เสียสมาธิในการทรงตัวหมด

เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้ทำตาม พี่เวย์ก็แค่หันกลับไปและไม่พูดอะไรอีก พอสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวก็ออกรถต่อไป

เอี๊ยด!!

“อ๊ะ!?” ตัวผมไถลไปข้างหน้ากระแทกเข้ากับหลังพี่เวย์อย่างแรงเมื่อเขาเบรกกะทันหัน “เกิดอะไรขึ้น!” ผมถามอย่างตกใจแล้วชะโงกดูทาง 

“เด็กข้ามถนนครับ พี่นึกว่าเขาจะไม่ข้ามเพราะไฟทางข้ามฝั่งเรายังเขียวอยู่” พี่เวย์บอกและผมก็เห็นเด็กนักเรียนคนหนึ่งทำหน้าซีดก้มหัวขอโทษพี่เวย์แล้วรีบวิ่งข้ามถนนไป

“ระวังหน่อยนะครับ”

ร่างสูงพยักหน้ารับคำ “น้องเกาะดีดีนะ คราวหลังไม่พาซ้อนมอเตอร์ไซค์แล้ว นั่งรถยนต์เอาดีกว่า” พี่เวย์ดึงมือผมไปเกาะสะโพกเขาแล้วหันมาทำหน้ารู้สึกผิด

รู้สึกร้อนรุมขึ้นตรงบริเวณผิวเนื้อที่ฝ่ามือพี่เวย์เกาะกุม ผมรู้ว่าเขาแค่เป็นห่วงแต่ไม่รู้หรือไงว่าทำแบบนี้มันไม่เหมาะ ทำแบบนี้ผมใจคอไม่ดีเลย

“ผมว่า..” กำลังจะปฏิเสธแต่พี่เวย์ก็แทรกขึ้น

“รีบไปดีกว่า จับแน่นๆ นะครับ”  เขาเหยียบเกียร์แล้วออกรถทันที

นี่รู้ใช่ไหมว่าผมจะเข้าโหมดดาร์ก รู้ใช่ไหมว่าผมจะใช้การ์ดเฮียมากันท่า เฮ้อ เอาไว้คุยงานเสร็จแล้วผมจะพูดกับเขาให้เด็ดขาด  ความสัมพันธ์ของเราต้องเป็นแค่นายจ้างกับลูกจ้างเท่านั้น


พี่เวย์ขี่รถช้าลงกว่าเดิมอาจเพราะกลัวเกิดอุบัติเหตุ เขาขี่ผ่านโรงเรียนเก่าของเราตอนเรียนมัธยมแล้วชี้ให้ดูตึกที่เขาชอบไปเฝ้าผมทำงานพิเศษ

“ผ่านตึกนี้ทีไรอยากย้อนเวลากลับไปทุกที”

“ย้อนเวลาไปทำไมเหรอครับ” ผมถามด้วยความอยากรู้

พี่เวย์ไม่ตอบแต่ขี่รถเลี้ยวเข้าซอยเยื้องกับโรงเรียน เข้ามาอีกห้านาทีก็เลี้ยวอีกครั้งเข้าไปในหมู่บ้านจัดสรร  หมู่บ้านนี้ค่อนข้างสงบ หน้าหมู่บ้านมียามนั่งหลับอยู่หนึ่งคนและพี่เวย์ขี่ผ่านเข้าไปโดยที่ยามคนนั้นไม่ตื่นขึ้นมาชำเลืองมองแม้แต่นิดเดียว

อืม.. น่าอยู่สุดๆ



ในที่สุดพี่เวย์ก็หยุดรถดับเครื่องเมื่อเลี้ยวเข้ามาในซอยสุดท้าย บ้านหลังในสุดซ้ายมือ 

“ที่ไหนครับ” ผมลงจากรถแล้วถอดหมวกคืนให้อย่างงงๆ

“บ้านผมเอง” ร่างสูงก้าวขาลงจากรถ ถอดหมวกแล้วสะบัดหัวสองที ทรงผมก็กลับเข้าทรงซึ่งเป็นอะไรที่เท่ไม่เสื่อมคลาย

“บ้านคุณ.. แล้วพาผมมาทำไมครับ” ผมย่นคิ้วอย่างเป็นกังวล ชักไม่เข้าท่าแฮะ

“ทานข้าวกลางวันไง คุณรับปากจะทานด้วยกันนี่ครับ” พี่เวย์ไขกุญแจประตูรั้วแล้วเปิดอ้าไว้ “เข้ามาสิ ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก บ้านตรงข้ามเป็นตำรวจ ถ้าเกิดอะไรขึ้นคุณก็ร้องเสียงดังๆ ได้เลย”

น่าเชื่อถือไหมเนี่ย ขนาดยามยังหลับแล้วตำรวจจะหลับด้วยหรือเปล่า

ผมยืนชั่งใจอยู่พักหนึ่ง แต่พี่เวย์เป็นสุภาพบุรุษมาตลอดน่าจะเชื่อถือได้ ขนาดในป่ายังไม่ทำอะไร นับประสาอะไรกับที่บ้านล่ะ 

ตัดสินใจเดินตามเข้าไปในบ้าน เมื่อเห็นว่าผมเข้ามาเขาก็ยิ้มพรายด้วยความดีใจรีบเข็นรถเข้าบ้านแล้วปิดประตูรั้ว หลังจากนั้นก็เปิดประตูเข้าบ้านอย่างอารมณ์ดี

“บ้านเล็กๆ นะครับ อาจจะอึดอัดหน่อยแต่อบอุ่นนะ” โฆษณาอย่างกับเป็นนายหน้างั้นแหละ

“ผมแค่มาทานข้าวครับไม่ได้อยากจะซื้อบ้าน” ดักคอเขาไปในขณะที่มองไปรอบๆ

บ้านหลังนี้เป็นบ้านเดี่ยวสองชั้น พื้นที่ค่อนข้างน้อยแต่ถูกจัดแจงให้เป็นสัดส่วนอย่างลงตัว  มีทั้งสนามหญ้าและโต๊ะสนามใต้ต้นมะม่วงใหญ่  แถมมีบ้านต้นไม้ที่มีสะพานลื่นโดยฐานรองเป็นกระบะทราย ปลูกต้นไม้โปร่งตาไว้โดยรอบทำให้โล่งสบายตาและดูกว้างขึ้นทั้งๆ ที่บริเวณทั้งหมดไม่น่าจะไม่เกิน 120 ตารางวา
พี่เวย์กลั้นยิ้มแล้วพาเข้าไปนั่งรอที่ห้องรับแขก

“บ้านนี้ไม่ขายแต่ถ้าชอบก็มาอยู่ฟรีได้เลย แถมวิศวกรหนุ่มโสดกับลูกติดอีกหนึ่งคน” 
รู้สึกใจเต้นแปลกๆ พี่เวย์ชักจะพูดมากผิดฟอร์มปกติ นี่สินะที่เขาว่าเสือมันชอบซ่อนเขี้ยวเล็บ

“แล้วไหนละครับอาหารกลางวันที่ว่า หรือผมต้องเป็นคนไปทำในครัว” ผมประชด

“สิบคะแนนสำหรับคุณชนม์แดน นี่ครับรางวัลของคนที่ตอบถูก”  ผ้ากันเปื้อนลายสตรอเบอร์รี่สีชมพูอ่อนถูกส่งมาให้

“นี่มันไม่ตลกเลยนะครับ” พูดด้วยเสียงติดจะไม่พอใจ   

“ขอโทษทีครับ ผมต้องใส่ให้ใช่ไหม แหม บอกดีดีก็ได้ไม่เห็นต้องโกรธเลย”  ร่างสูงก้าวเข้ามาพร้อมคลี่ผ้ากันเปื้อนออกเตรียมจะสวมให้

“ย..หยุดอยู่ตรงนั้นเลยครับ เอามานี่เดี๋ยวผมจะใส่เอง”  แล้วผมก็หยิบผ้ากันเปื้อนมาใส่ลวกๆ โดยไม่สนใจจะมัดเชือกด้านหลัง

“ผมทำกับข้าวไม่เป็นหรอก ถ้ากินไม่ได้ก็อย่ามาบ่นแล้วกัน” ว่าแล้วก็เดินตึงๆ ไปเปิดประตูที่อยู่ทางด้านซ้าย 

“นั่นห้องน้ำครับ” พี่เวย์บอกเสียงใส

ผมแอบค้อนใส่ร่างสูงแบบไม่เต็มตานัก “แล้วทำไมไม่ยอมบอกก่อน”

“ไม่เอาสิครับอย่าหัวร้อน เดี๋ยวผมพาไปดีกว่านะ” เจ้าของบ้านเดินนำไปประตูขวาสุด  “ของสดอยู่ในตู้เย็น เอาออกมาทำได้เลยเดี๋ยวผมจะไปเตรียมงานที่เราต้องคุยหลังกินข้าวเสร็จ”  พูดง่ายๆ แค่นั้นแล้วปิดประตูออกไปจากห้องครัวทันที

นี่มันอะไรกันเนี่ย!

ต่อไปนี้จะไม่หลวมตัวเชื่อใจพี่เวย์อีกเด็ดขาด คนอะไรก็ไม่รู้ทำตัวเหมือนนิสัยดีแต่ที่จริงดีแล้วเพิ่งจะไม่ดีหรือไม่ดีมาก่อนแล้วเพิ่งมาเสียก็ไม่รู้ โอ้ย ทำไมคิดอะไรวกวนแบบนี้นะชนม์แดน บ้าบอที่สุดเลย

“ทำอะไรดีล่ะ มีไข่ไก่ หมูบด เนื้อไก่ เต้าหู้ไข่ ไส้กรอก ผักกาดขาว คะน้า แล้วก็แครอท  โอ้ย ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง” ผมมองวัตถุดิบที่หยิบออกมาจากตู้เย็นด้วยความเคร่งเครียด “ไข่เจียวกับแกงจืดก็แล้วกัน”

ตั้งกระทะ ใส่น้ำมัน เปิดแก้ส “เอ๊ะ เปิดยังไงเนี่ย”  เมื่อพยายามแล้วแต่ก็เปิดไม่ติด ผมจึงเดินออกไปที่ห้องรับแขกเพื่อบอกพี่เวย์ให้มาเปิดแก้สให้

แต่พอเห็นเขากำลังตั้งใจเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คก็เลยไม่กล้าเรียก  หน้าพี่เวย์ตอนตั้งใจทำอะไรสักอย่างนี่ดูดีชะมัด จมูกโด่งที่คดปลายเล็กน้อย สีหน้าจริงจัง  คิ้วเข้มๆ พอขมวดชนกันแบบนี้แล้วมีเสน่ห์จนเผลอยืนมอง

“ทำกับข้าวเสร็จแล้วเหรอครับ” พี่เวย์หันมาตั้งแต่ตอนไหน นี่ผมยืนเหม่ออยู่ตรงนี้นานแล้วหรือแค่แป๊บเดียว

“ส..เสร็จ เอ้ยยังครับ คือ..ผมเปิดแก้สไม่เป็น” ถึงกับสะดุ้งแล้วติดอ่างขึ้นมาทันที

พี่เวย์ยิ้มเอ็นดูแล้วเดินเข้ามาหา “เดี๋ยวผมสอน มานี่สิ”  เขาดันหลังเบาๆ เพื่อดันให้ไปยืนหน้าเตา  “เปิดหัวแก้สตรงนี้ก่อนนะ แล้วจับตรงนี้กดลงไปตรงๆ แล้วบิดเร็วๆ” เขาสาธิตแล้วมันก็ติดอย่างง่ายดาย

“ลองดูสิ” 

“ไม่เห็นได้เลยครับ” ผมลองทำสองรอบแต่ไม่ติดจึงทำหน้ามุ่ยหันไปฟ้อง

พี่เวย์เข้ามายืนซ้อนด้านหลังแล้วจับมือผมไปลองทำ “แบบนี้นะ จับ..กด..บิด” 

ถึงกับสะท้านสั่นเมื่อรู้สึกร้อนรุมตรงหลังมือ โดยเฉพาะเสียงพูดข้างหูที่เหมือนจงใจให้แปลได้แบบสองแง่สองง่าม

“ข..ขอบคุณครับ คุณไปทำงานต่อเถอะ” ผมกระเถิบหนีออกห่างทันที  ส่วนพี่เวย์เพียงแค่ยิ้มพรายแล้วพยักหน้า

“ถ้าสงสัยอะไรก็ไปถามได้นะครับ” ร่างสูงเปิดแก้สทิ้งไว้ให้แล้วพูดด้วยสีหน้าราบเรียบดูสุภาพแล้วก็ออกจากห้องไป

พี่เวย์นี่ยังไงนะ ตกลงเป็นคนยังไงกันแน่ ผมงงไปหมดแล้ว


ผมเริ่มตั้งใจทำไข่เจียวจนเสร็จ ต่อไปก็ต้มน้ำทำแกงจืด ใส่ซุปก้อนแล้วหย่อนหมูที่หมักซอสกับพริกไทยลงไป พอเห็นมันสุกก็ใส่แครอทและผักกาดขาวที่หั่นแล้วลงไป 

“มันต้องมีอะไรอีกนะ ใส่แค่นี้มันดูจืดๆ ยังไงก็ไม่รู้” เมื่อปรุงรสแล้วชิม ซึ่งมันก็เข้าท่าแล้วนะแต่หน้าตายังไม่โอเค  “ผักชี! ใช่ๆ ต้องใส่ผักสีเขียว!” และใบอะไรสักอย่างที่เหมือนผักชีแต่ใบใหญ่ๆ จึงลองหาในตู้เย็นก็เจออย่างที่คิด มันทำให้เริ่มสนุกเมื่อคิดออกและได้ลงมือทำ


“กับข้าวเสร็จแล้ว” ผมออกไปเรียกพี่เวย์ด้วยสีหน้าภาคภูมิใจเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ทำกับข้าวด้วยตัวเอง 
พี่เวย์พับจอคอมพิวเตอร์เคลียโต๊ะรับแขกจนโล่งแล้วเดินเข้ามาหา

“เดี๋ยวผมช่วยยก คุณเตรียมน้ำตามไปนะ น้ำแข็งอยู่ในช่องฟรีซ ส่วนน้ำดื่มก็อยู่ข้างตู้เย็น”

ผมรีบเติมน้ำแข็งใส่แก้วแล้วหยิบขวดน้ำไปที่โต๊ะโซฟารับแขก พี่เวย์ขยับโต๊ะออกห่างจากโซฟาเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้กว้างขึ้นแต่โต๊ะมันก็เล็กเกินไปอยู่ดี

“ทำไมไม่ทานที่โต๊ะทานข้าวล่ะครับ”

“ตรงนี้มันนั่งสบายดี” พี่เวย์บอกแล้วขยับพื้นที่ให้ผมวางแก้วกับขวดน้ำ  “นั่งสิ เรามาชิมกันว่าจะตายหรือเปล่า” เขายิ้มออกมาแล้วใช้ช้อนตักน้ำซุปเข้าปาก 

ผมค้อนขวับแต่ก็มองตามแล้วลุ้นระทึก พอเห็นว่าเงียบไปก็รู้สึกไม่ค่อยดี

“เป็นไงบ้าง มันไม่โอเคเหรอครับ”

พี่เวย์นิ่งคิดเล็กน้อยแล้วยิ้มออกมา “อร่อย” 

พอได้ยินผมก็ยิ้มออกทันที “จริงเหรอครับ อร่อยจริงเหรอ” ผมถามย้ำ

พี่เวย์ตักน้ำซุปขึ้นเป่าแล้วยื่นมาตรงหน้า “อร่อยจริงๆ ไม่เชื่อชิมสิ” 

ผมลืมตัวมัวแต่ตื่นเต้นกับการทำอาหารครั้งแรกก็เลยลองชิมน้ำซุปที่เขาป้อน  แต่พอรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นว่ากินอาหารช้อนเดียวกับเขาไปซะแล้ว

“ไม่อร่อยเหรอ ทำหน้าแปลกๆ” ร่างสูงทักแล้วดันจานข้าวมาให้

“ก็พอใช้ได้ครับ” ผมตอบกลางๆ แล้วเริ่มตักอาหารมาใส่ข้าวเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต 

“ไข่เจียวข้างในมันไม่ค่อยสุกนะแต่ตรงที่สุกก็อร่อยดี” พี่เวย์ชิมแล้ววิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา แค่รู้ว่ารสชาติมันใช้ได้ถึงจะยังไม่สุกก็ดีใจแล้ว

“ครั้งหน้าคงต้องรอนานอีกหน่อยครับ”  ผมบอกเสียงใส ไม่เคยรู้ว่าการทำอาหารจะสนุกและรู้สึกดีแบบนี้

พี่เวย์มองผมแล้วยิ้มบางๆ “คุณเหมาะกับรอยยิ้มนะ คุณเผ่าก็คงคิดเหมือนกัน”   

หน้าผมหุบลงทันทีที่ได้ยินชื่อเฮีย ถ้าเฮียยังมีชีวิตอยู่แล้วรู้ว่ามาอยู่กับพี่เวย์สองคนที่นี่ เฮียต้องฆ่าเราแน่

“พูดยังไม่ทันขาดคำก็หยุดยิ้มซะแล้ว คุณนี่มันดื้อจริงๆ” พี่เวย์บ่นแล้วหันมาคุยด้วยสีหน้าจริงจัง “ความสุขของคุณคือสิ่งที่คุณเผ่าต้องการ  และตอนนี้เขาไม่ได้อยู่บนโลกแล้ว ไม่ได้อยู่ในภพเดียวกับเรา ถ้าคุณมัวแต่เปรียบเทียบว่าถ้าเขายังอยู่ ถ้าเขายังไม่ตายแล้วจะรู้สึกยังไงอยู่แบบนี้  คุณก็จะทำในสิ่งที่เขาเกลียดไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว”

“เฮียเกลียดอะไร” ผมถามทันที  เขาจะมารู้ใจเฮียไปมากกว่าผมได้ยังไงกัน

“เกลียด..ที่คุณไม่มีความสุข” พี่เวย์ตอบทันทีเช่นกัน “เขาจะไม่มีความสุขเลยถ้ารู้ว่าคุณเป็นทุกข์เพราะเขา  ตอนนี้เหมือนคุณเอาคุณเผ่ามาเป็นโล่ป้องกันความสุขไม่ให้เข้าหาตัวคุณซึ่งผมว่าคุณเผ่าต้องเกลียดแน่ๆ ที่คุณทำกับคนที่เขารักแบบนี้”

ใช้เฮียเป็นโล่ป้องกันความสุข..

ผมกำลังทำแบบนั้นเหรอ?

“แต่ถ้าสิ่งที่ผมคิดมันถูกล่ะ ถ้าความจริงแล้วเฮียก็อยากให้ผมทำแบบนี้ล่ะ” ผมยังไม่ยอมรับเพราะเรื่องแบบนี้มันพิสูจน์ไม่ได้นี่

“ก็แสดงว่าเขาไม่ได้รักคุณจริง” พี่เวย์ตอบด้วยท่าทางนิ่งขรึมราวกับคุณครูที่สอนเรื่องเดิมมานานมากแล้วแต่นักเรียนก็ไม่เข้าใจเสียที  “คุณอย่าดูถูกน้ำใจของคุณเผ่าสิ เขารักคุณมากถึงขนาดเอาชีวิตปกป้องคุณไว้ แล้วคุณคิดว่าคนที่รักคุณขนาดนั้นจะเห็นแก่ตัวจนอยากเห็นคุณต้องทุกข์เพราะเขาไปจนตายอย่างนั้นเหรอ “

ผมนิ่งคิดแล้วเริ่มเห็นไปในทางเดียวกับที่พี่เวย์พูด เฮียอยากเห็นผมมีความสุขและถ้าการมีคนรักใหม่จะทำให้ผมมีความสุข เฮียก็คงจะยินดีด้วยแน่

“อย่าหลอกตัวเองอีกเลยนะ  อย่าทำร้ายตัวเองด้วยตัวเองอีกเลยครับ”  พี่เวย์ทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ให้ผมได้ทบทวนแล้วเขาก็นิ่งรอ

คงต้องทิ้งความทุกข์ออกไปจริงๆ สินะ มีหลายเหตุผลที่กำลังผลักดันให้ผมต้องเปลี่ยนทั้งความคิดและการกระทำซึ่งดูเหมือนว่าจะต้องทำแบบฉับพลันทันทีเสียด้วย  คุณแม่กับป๋าที่คอยเฝ้าดู  หมอวรรตที่รอให้ตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรกับเขา พี่เวย์ที่อดทนมาเนิ่นนานได้ขนาดนี้  โดยเฉพาะสัญญาที่ให้ไว้กับดินแดน น้องชายต่างสายเลือดที่รักชีวิตอิสระ เขาอุตส่าห์ตัดสินใจละทิ้งชีวิตของเขาเพื่อแลกกับความสุขของผมขนาดนั้น

เฮีย..ดอทขออนุญาตนะครับ

“กินข้าวต่อเถอะครับ ผมไม่อยากคุยเรื่องนี้แล้ว”  ในตอนนี้ตัดสินใจแล้วที่จะทำตามความตั้งใจของเฮีย ผมจะมีความสุขให้ได้แต่มันจะออกมาในรูปแบบไหนก็คงต้องดูกันอีกที

เพราะความสุขจากความรักอาจจะยากไปนิด ถึงเฮียจะอนุญาตแต่จะให้เลือกใครล่ะ ถ้าเลือกพี่เวย์แล้วหมอวรรตจะเป็นยังไง และยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ที่จะเลือกหมอวรรต ผมทำร้ายพี่เวย์อีกไม่ได้แล้วจริงๆ  และที่สำคัญ..ทันทีที่เลือก พี่น้องจะต้องทะเลาะกันอย่างแน่นอน

พี่เวย์ถอนหายใจแล้วหันไปกินข้าวต่อเงียบๆ ผมรู้ว่าเขาคงเหนื่อยหน่ายกับการรอคอยและคงคิดจะถอดใจซึ่งมันอาจจะดีแล้ว  มันดีแล้วที่เป็นแบบนี้

คงดีแล้วจริงๆ


“กับข้าวฝีมือตัวเองไม่อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอครับ” พี่เวย์ทักขึ้นเมื่อเห็นผมเขี่ยข้าวในจานโดยไม่ยอมตักเข้าปากเสียที

“ป..เปล่าครับ แค่คิดว่าอาหารมันจืดไป” ผมตอบไปส่งๆ

“งั้น..ลองอันนี้ เดี๋ยวไปหยิบมาให้” เขาหายเข้าไปในครัวครู่หนึ่งแล้วกลับมาพร้อมกระปุกน้ำพริกนรก “ลองดูนะ เจ้านี้อร่อย” ว่าแล้วก็ตักใส่ข้าวให้

ผมมองน้ำพริกสีแดงในจานข้าวตัวเองแล้วกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ดูท่าว่ามันจะเผ็ดมากเพราะสีแดงจัดจนน่ากลัว

“ข..ขอบคุณครับ” เห็นหน้าพี่เวย์ที่ลุ้นให้ผมกินแล้วคงต้องตอบรับไปตามมารยาทตักข้าวคลุกน้ำพริกนรกใส่ปากด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ

“เป็นไงอร่อยใช่ไหม” พี่เวย์ถามด้วยสีหน้าลุ้นหนัก ถ้าบอกว่าเขาเป็นเจ้าของแบรนด์มาขายเองก็คงเชื่อ
น้ำตาผมรื้นขึ้น และจับแขนหนาเขย่าแทนคำตอบ

“อั๋งอะอะ” อมข้าวไว้ในปากโดยไม่กล้าเปิดปากพูดออกมาเพราะถ้าอ้าปากแล้วของที่อยู่ในนั้นต้องพุ่งออกมาหมดแน่ๆ

“เป็นอะไร เอาอะไร อั๋ง? อ๋อ จะคายเหรอ ถังขยะใช่ไหม” พี่เวย์เดาออกในที่สุดแล้วเอื้อมหยิบถังขยะใบเล็กมายื่นให้

“ฮื้ออ เผ็ด! เผ็ดๆๆ” ผมยกน้ำของตัวเองดื่มจนหมดแก้วแล้วเคี้ยวน้ำแข็งในแก้วเพื่อลดความแสบร้อนในช่องปาก

“อ้าว กินเผ็ดไม่ได้เหรอ พี่ขอโทษ เห็นเมื่อก่อนชอบสั่งอาหารแซ่บๆ” ร่างสูงทำหน้าตื่นรีบดึงกระดาษทิชชูส่งให้แล้วโบกมือพัดเพื่อช่วยให้เย็นขึ้นแต่มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย

ไม่อยากบอกเลยว่าเนมเป็นคนออร์เดอร์เวลาพี่เวย์ถามว่าจะกินอะไร และพอพี่เวย์ซื้อมาเนมก็กินคนเดียวทุกที 

“ผ..ผมกินน้ำนี่นะ” ผมชี้ไปที่แก้วน้ำของเขาแล้วยกดื่มหมดแก้วโดยไม่รอคำอนุญาต กินน้ำแข็งของเขาจนเหลือก้อนสุดท้ายแล้วก็ยังไม่หายเผ็ด

“ไม่หายเผ็ดเลย แฮ่กๆๆ” แลบลิ้นออกมาแล้วใช้มือพัดรัวๆ “ขอ.. ขอหมดเลยนะครับ” พูดจบก็เอื้อมมือคว้าแก้วแต่จู่ๆ ก็มีแสงวับวาวออกมาจากดวงตาคู่นั้น

มือหนาคว้าแก้วตัดหน้าผมไปยกดื่มน้ำแข็งในแก้วเข้าปากหน้าตาเฉย

“ใจร้าย! ไปเอาใหม่ก็ได้” ไม่สนแล้วจะพี่เวย์หรือใคร อารมณ์นี้ใครมาขวางคือพ่นไฟใส่ไม่มีเว้น

“ไม่ได้บอกว่าจะไม่ให้ซะหน่อย พี่แค่จะป้อน” ร่างสูงปราดเข้ามาคล้องเอวพาไปนั่งที่โซฟา เขาดันน้ำแข็งก้อนใหญ่ออกมาคาบไว้พร้อมกับเลิกคิ้วเชิญชวน

ถึงกับอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้เห็น สีหน้าที่ดูเจ้าเล่ห์นั้นเซ็กซี่เหลือเกินสำหรับผม หัวใจเต้นกระตุกหนักหน่วงจนเผลอลืมความเผ็ดไปชั่วขณะ

เผ็ดกว่าน้ำพริกนรกก็พี่เวย์นี่แหละ..

“อ๊ะ!?” ผมร้องด้วยความตกใจเมื่อถูกประชิดตัวและนั่นทำให้น้ำแข็งที่อยู่ในปากของพี่เวย์ถูกป้อนเข้ามาในปากของผมได้อย่างง่ายดาย

ร่างกายนิ่งค้างแข็งทื่อขนลุกชันไปทั้งตัว พี่เวย์ล็อคตัวผมไว้อย่างแน่นหนาแล้วใช้ลิ้นกลั้วน้ำแข็งให้มันกลิ้งไปมาในปาก  ทั้งเผ็ดร้อนยะเยือกเย็นระคนวาบหวาม

จากที่เกร็งอยู่ก็เริ่มอ่อนระทวยไปตามแรงอารมณ์ น้ำแข็งเริ่มเล็กลงแล้วแต่พี่เวย์ยังคงปรนจูบอย่างต่อเนื่องและค่อยๆ โถมตัวลงมาจนแผ่นหลังสัมผัสกับพื้นเบาะสีเทาเข้มในที่สุด

“อืออ” ผมครางเสียงแผ่ว ไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อสู้แม้แต่น้อย ร่างกายเป็นทาสพี่เวย์ มันยอมศิโรราบไม่อาจขัดขืนผู้ชายคนนี้ได้เลย

น้ำแข็งเจ้ากรรมหมดลงไปแล้วทว่าร่างสูงยังคงไม่หยุดที่จะรุกราน  ถึงจะยังไม่หายเผ็ดและหาจังหวะเอียงหน้าหลบแล้วอ้าปากหายใจเอาลมเย็นๆ เข้าช่วย  แต่เย็นได้ไม่เท่าไหร่ก็โดนประกบริมฝีปากร้อนรุมบดเบียดอีกครั้งจนต้องเริ่มผลักเบาๆ เพื่อดึงสติให้หยุดการกระทำ 

ร่างสูงหยุดให้จริงๆ จนผมนึกโล่งใจ ทว่าแค่เสี้ยววินาทีเขาก็ก้มลงฝังจมูกลงมาที่ซอกคอจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว

“พ..พี่เวย์!?” พยายามรวบรวมความกล้าเปล่งเสียงให้ดังขึ้น พี่เวย์เงยหน้าจ้องตาเป็นมัน ดึงมือสองข้างของผมขึ้นไปเหนือหัวแล้วรวบข้อมือทั้งสองไว้ด้วยมือหนาเพียงข้างเดียวแล้วก้มลงอีกครั้ง

“พี่รอนานมากแล้วคนดี พี่ทนคิดถึงน้องอีกต่อไปไม่ได้แล้ว” พูดพลางซุกไซ้ไปตามซอกคอ  “ไม่ว่ายังไง วันนี้น้องจะต้องเป็นของพี่”

!!!!!

หัวใจเต้นกระตุกรัวเร็วกับคำประกาศชัดถ้อยชัดคำ ลมหายใจอุ่นร้อนที่กระทบผิวบริเวณใบหูเร่งให้ความร้อนพุ่งขึ้นจนวูบวาบไปทั้งตัว

“ถ..ถ้าไม่..หยุด ผม..จะร้อง..ให้คน..ช่วย” กว่าจะพูดออกมาได้แต่ละคำแสนยากลำบาก พี่เวย์ไม่หยุดโลมเลียทั่วลำคอและใบหูของผมแม้แต่วินาทีเดียว

แต่เมื่อได้ยินคำขู่ ร่างสูงชะงักอยู่ครู่แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองจ้องผมด้วยสีหน้าเรียบนิ่งที่ซ่อนความหื่นไว้แทบจะไม่มิด

“ก็ร้องสิครับ ร้องดังๆ ก็ได้”

ผมมองเขม็งพยายามควบคุมอารมณ์ที่เริ่มเตลิดไปไกล เขาคงคิดว่าผมไม่กล้าละสิ ถึงจะกริ่งเกรงออร่าที่ข่มผมอยู่แต่เพื่อเอาตัวให้รอดก็ต้องฝืนตัวเอง

“ช..ช่วยด้วย!! คุณตำรวจ..ช่วยด้วย!!  ช่วยด้วยยยยยยย ช่วยผมด้วย!!!” ร้องตะโกนสุดเสียง ทว่าคนที่อยู่เหนือร่างกลับมองแล้วยิ้มในสีหน้า “ทำไมถึงยังไม่ปล่อย! เดี๋ยวคนก็มาช่วยผมแล้วนะ”

“ไม่มีใครมาหรอก” 

“ทำไมถึงไม่มา ก็คุณบอกเองว่าบ้านตรงข้ามเป็นตำรวจ”

“ก็ใช่ พี่เขาเป็นตำรวจ” พี่เวย์เลิกคิ้วตอบรับ

“ก็ถ้าเขาเป็นตำรวจ ทำไมเขาจะไม่มาช่วยประชาชนที่ร้องขอความช่วยเหลือล่ะ”

“พี่บอกว่าเขาเป็นตำรวจ..แต่ไม่ได้บอกนี่ว่าเขาอยู่บ้าน”

!!!!!?

“พี่เวย์!!” ผมโวยขึ้นทันทีที่ได้ยินคำตอบ พยายามจะดึงมือที่ถูกรวบไว้เหนือหัวลงมาเพื่อทุบเขาสักทีสองทีแต่ก็ไม่สำเร็จ

“ก็พี่เวย์รักน้อง” สีหน้าไม่สะทกสะท้านกับน้ำคำบอกรัก ดูช่างเอาแต่ใจ

“เกี่ยวอะไรกับที่ต้องมาโกหกด้วย!” พยายามจะดิ้นหนีแต่ถูกคร่อมทับไว้แน่นหนา มือข้างที่ว่างของเขาไล้เกลี่ยไปตามผิวหน้าและลำคอ

“ก็อยากจะทำให้น้องรักพี่เวย์ซะทีไงครับ” ดวงตาคู่สวยดูลึกซึ้งจนต้องลอบกลืนน้ำลาย คำพูดของพี่เวย์เพราะทุกคำ นุ่มละมุนทั้งรูปประโยคและความหมาย

“ผม..” พยายามหาคำคัดค้านแต่ก็นึกไม่ออก ร่างกายยังคงวูบวาบทว่าผมเริ่มจะชินกับมันจนสามารถดึงสติไว้ได้บางส่วน

“เรียกตัวเองว่าน้องเหมือนเดิมสิ นะครับคนดี  น้องจะใจร้ายกับพี่ไปถึงไหน” เขาทำหน้าอ้อน

แพ้ทาง..

ผมแพ้พี่เวย์ทุกทาง ไม่ว่าจะโหมดสุภาพ โหมดนิ่ง โหมดร้าย โหมดหื่น ยิ่งโหมดอ้อนแบบนี้ยิ่งทำให้ใจผมอ่อนระทวยไปหมด

“ก็พี่เวย์อย่ารังแกน้องสิครับ ไหนบอกว่ารัก ทำไมไม่รอให้น้องพร้อมก่อนล่ะ” พยายามปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอเพื่อต่อลองเจรจา  หวังว่าพี่เวย์จะกลับเข้าโหมดสุภาพบุรุษเหมือนเดิมได้ซะทีนะ

“จำได้ไหมที่เมื่อกี้ผ่านโรงเรียนเก่า พี่ชี้ให้ดูตึกที่น้องไปทำงานพิเศษให้อาจารย์” พี่เวย์เฉไฉเปลี่ยนเรื่อง

“จำได้ครับ พี่เวย์..บอกว่าอยากย้อนเวลา”

“อยากรู้ไหมว่าพี่จะย้อนเวลาทำไม” 

ผมส่ายหัวมองเขาอย่างงุนงง “ไม่รู้สิครับ”

“พี่อยากย้อนเวลากลับไปปล้ำน้องครับ”

!!!!!?


ต่อ..
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 02-12-2018 17:33:05
“ตรงมุมตึกที่เราต้องเดินผ่านเพื่อไปตึกหน้ามันทั้งมืดและลับตาคน พี่ผ่านตรงนั้นทุกครั้งก็คิดไม่ดีกับน้องทุกครั้ง อยากจับปล้ำซะให้รู้แล้วรู้รอดแต่เสียดายที่ไม่ได้ทำ”

“พี่เวย์ไม่ใช่คนร้ายกาจแบบนั้นสักหน่อย” ผมขมวดคิ้วทำหน้ามุ่ยใส่เขาทันที ไม่เชื่อหรอก พี่เวย์ไม่ใช่คนแบบนั้น

ใบหน้าหล่อเหลาเหยียดรอยยิ้มร้ายกาจ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นมุมนี้ หล่อแบบอลังการ ถึงรู้ว่าอันตรายแต่น่าหลงใหลเป็นบ้า

“คนดีอย่างพี่ไม่ใช่คนที่คิดดีนะ พี่แค่ควบคุมความคิดเลวๆ ไว้ได้เท่านั้นเอง”

ผมเคยคิดว่าผมหลงเสน่ห์พี่เวย์เพราะความดีความสุภาพมาตลอด เพิ่งมารู้ตอนนี้ว่าเสน่ห์ร้ายๆ ของเขาน่าหลงใหลยิ่งกว่า เอาเป็นว่าพี่เวย์โหมดไหนผมก็แพ้หมดทุกทาง

“ควบคุมไว้ได้ก็ดีแล้วนี่ครับ ครั้งนี้ก็คุมได้เหมือนกันใช่ไหม” ผมมองอ้อนพยายามจะหลุดออกไปจากเงื้อมมือมาร ทว่าปฏิเสธไม่ได้เลยว่าลมหายใจไม่เป็นปกติแถมยังมีไอความร้อนวูบวาบไปทั่วร่าง

ร่างสูงหรี่ตาจ้องผมจนใจคอสั่นไปหมด “ก็นี่แหละที่พี่จะบอก  พี่ย้อนเวลาไปปล้ำน้องไม่ได้ก็จริง แต่พี่สร้างช่วงเวลาใหม่ๆ เพื่อปล้ำน้องได้ และจากนี้จะไม่มีการควบคุมอะไรทั้งนั้นนะครับ..ว่าที่เมีย”

ตึกๆๆๆๆๆๆๆๆ

หัวใจบ้านี่ก็ยังไงนะ พี่เวย์ร้ายใส่แบบนี้ยังไปหวั่นไหวอยู่ได้ เขาจะปล้ำอยู่แล้วเนี่ย รีบตั้งสติแล้วหาวิธีเอาตัวรอดได้ไหม!!
“พี่เวย์ทำน้องสับสน”

“เรื่องอะไรล่ะครับ อะงั้นพี่ให้เวลาเคลียร์ใจสองนาที แค่สองนาทีนะ” มีการย้ำกติกาจนต้องยื่นปากใส่

“ก็พี่เวย์ชอบหายไป หายไปจนบางที..”

พูดยังไม่ทันจบก็ได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยน “จนบางทีน้องสงสัยว่าพี่ยังเหมือนเดิมหรือเปล่าเหรอครับ”

“อ..อืม” ผมพยักหน้า “งั้นแสดงว่าพี่เวย์ตั้งใจเหรอครับที่จะหายไป”

“ตั้งใจครับ แต่ไม่ใช่เพื่อเช็คเรตติ้งอย่างที่น้องคิด”

“ไม่ได้คิดแบบนั้นซะหน่อย” ผมปด ที่จริงแล้วสงสัยจริงๆ ว่าอาจเป็นการเช็คเรตติ้ง

“พี่ให้เกียรติคุณเผ่า” พี่เวย์เข้าโหมดจริงจัง “ยิ่งรู้ว่าเขารักน้องมากขนาดนั้น พี่ถึงได้เข้าใจว่าที่พี่รอมาจนถึงตอนนี้มันยังน้อยนักถ้าเทียบกับเรื่องที่คุณเผ่าเสียสละ เพราะฉะนั้นที่พี่หายไปก็เพื่อเว้นระยะไว้ให้น้องระลึกถึงเขาอย่างเต็มที่” สีหน้าพี่เวย์แสดงออกถึงความเคารพเมื่อพูดถึงเฮียเผ่าซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกเบาใจเพราะคิดว่าถ้าเฮียรับรู้ก็คงยอมรับหัวใจดีๆ ของพี่เวย์เช่นกัน

“แล้วทำไมอยู่ดีๆ ถึงกลับเข้ามาล่ะครับ แถมยัง..รุกซะขนาดนี้..”

พี่เวย์อมยิ้มนิดๆ เมื่อฟังคำถามจบ “เพราะพี่เห็นแล้วว่าน้องพร้อมแล้ว”

“เห็นยังไงครับ น้องบอกตอนไหน” ผมถามกลับด้วยความไม่พอใจเล็กๆ ไม่เคยบอกใครนะ ถึงจะพร้อมก็ไม่บอกหรอก

“ไม่ได้บอกแต่ส่งซิกส์มา” พี่เวย์ยิ้มล้อ “วันที่น้องโทรหาพี่นั่นแหละ”

“โทรหา? ตอนนั้นน้องแค่คุยเรื่องงานนี่ครับ” อดจะมุ่ยหน้าใส่ไม่ได้เพราะโดนรู้ทัน

“คุยในกรุ๊ปไลน์ก็ได้ไม่เห็นต้องโทรนี่นา มีเหตุผลที่ฟังขึ้นอยู่แค่สองอย่างคือ..ถ้าไม่อยากได้ยินเสียงพี่ก็เพื่อเช็คว่าพี่ยังเหมือนเดิมหรือเปลี่ยนไปแล้ว”

ทำไมเป็นคนฉลาดได้ขนาดนี้นะ แบบนี้ไม่โอเคเลย

“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง” ผมยังคงตะแบงต่อไป จับไม่ได้คาหนังคาเขาก็ไม่ยอมรับหรอก

“แล้วยังมีตอนที่พี่ล้มทับบนเปล” พี่เวย์คงขี้เกียจจะไล่บี้จึงละทิ้งประเด็นเก่าไปเสียเฉยๆ “สายตาและสีหน้าของน้อง ไม่มีตรงไหนปฏิเสธได้เลยว่าน้องไม่คิดถึงพี่”

“....” ไม่อยากเถียงอะไรอีก เพราะเถียงไปก็อายปาก ผมคิดถึงพี่เวย์จริงๆ

“แล้วยังมีเมื่อกี้ที่ตัวสั่นตอนที่สอนเปิดแก้ส ตอนที่ยืนมองพี่อยู่ที่ประตูห้องครัว ตอนที่เผลอคิดตามที่พี่พูดเรื่องคุณเผ่า แล้วยังตอนนี้..ที่หน้าอมชมพู หายใจแรงๆ ที่สำคัญ..ดอทน้อยก็ตื่นแล้วด้วย”

“งื่อ พี่เวย์!”

อยากจะบ้าๆๆๆๆ เคืองพี่เวย์ที่เอาแต่ยิ้มล้อและโมโหตัวเองที่ทำให้เขาจับได้

“หมดเวลาสองนาทีแล้วครับ” อยู่ๆ ก็เตือนเรื่องเวลา ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าเปลี่ยนเป็นโหมดจิ้งจอกสีขาวอีกครั้ง

“น..น้องเจ็บ ปล่อยมือก่อนสิครับ” ผมรีบบอกออกไปก่อนที่หน้าเขาจะซุกลงมาตรงซอกคอ

พี่เวย์เงยหน้า มองไปที่มือทั้งสองข้างของผมแล้วหรี่ตาจ้องมานิ่งๆ “พี่ไม่ได้ทำน้องเจ็บ น้องก็รู้”

ผมหลุบตาลงทันทีที่ถูกจับได้ อันที่จริงก็ไม่ได้เจ็บหรอกเพราะพี่เวย์ไม่ได้บีบแน่นอะไรแต่ผมไม่กล้าดิ้นเองต่างหาก

“......”

“ถ้าน้องดิ้นก็หลุด แล้วทำไมไม่ดิ้นล่ะครับ” ร่างสูงส่งเสียงนุ่มจนแทบละลายไปกับน้ำเสียงละมุนนั้น
ผมหลบตาไม่กล้าสู้ “ก..ก็น้อง..กลัวพี่เวย์โกรธ”

พี่เวย์ยิ้มเอ็นดูแล้วหอมแก้มผมฟอดใหญ่ “ก็รักพี่ซะขนาดนี้ แล้วทำไมถึงไม่ตามใจตัวเองซะที” 

ใบหน้าเห่อร้อนลามไปทั่วร่าง หัวใจก็เต้นระรัวกับสิ่งที่ได้ยินรวมถึงสีหน้าและแววตาสุดลึกล้ำตรงหน้า  ทำไมผมจะไม่อยากตามใจตัวเอง แต่มันมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ไม่กล้าบอก  จะบอกได้ยังไงว่าผมเคยจูบและหวั่นไหวให้กับหมอวรรต น้องชายแท้ๆ ของเขาเอง

ผมจะทำยังไงกับความสับสนในหัวใจตอนนี้ดี

“อยู่กับพี่คิดถึงแต่พี่ได้ไหมครับ” สายตาตัดพ้อและคาดหวังถูกส่งมากดดัน “พี่รอมานาน รอนานกว่าใครๆ รอจนพี่เริ่มเกลียดตัวเองว่าทำไมถึงต้องโง่รออยู่อย่างนี้ น้องสะใจหรือเปล่าที่เห็นไอ้โง่คนนี้งมงายรอแต่น้อง  บางทีก็คิดว่าน้องเกลียดพี่หรืออาจจะอยากเห็นพี่..”

“พอแล้วครับ” ผมรีบตัดบทเพื่อหยุดยั้งคำพูดต่างๆ ที่กำลังพรั่งพรูออกมา

“ถ้าน้องไม่รักพี่ ก็แค่บอกว่าไม่รัก พี่จะไปให้ไกลที่สุด..” เจ็บจนน้ำตาแทบทะลักแค่เพียงได้รู้ว่าพี่เวย์คิดที่จะไป

“น้องรักพี่เวย์” โพล่งคำรักพร้อมกับน้ำตาที่รินไหล “น้องไม่ได้สะใจ ไม่ได้เกลียด น้องรักครับ ได้ยินไหมครับว่ารักพี่เวย์ น้องรักพี่เวย์ครับ”

พร่ำคำว่ารักออกมาหลายคำเพราะหัวใจมันเจ็บปวดเมื่อเห็นเขาเจ็บ ตลอดเวลาพี่เวย์รออย่างใจเย็น ไม่เคยทำให้ต้องหนักใจกับการรอคอยของเขาแม้แต่น้อย แถมยังไม่เคยใช้วิธีทวงความยุติธรรมใดๆ มาก่อน ถึงวันนี้คงทนไม่ไหวอีกแล้วจึงพรั่งพรูความอัดอั้นออกมา

ทั้งสงสาร เห็นใจ และรู้สึกผิดที่ทำให้คนดีๆ อย่างพี่เวย์ต้องทนมาตลอด

“อย่าร้องไห้สิครับ พี่ขอโทษที่กดดันน้อง” พี่เวย์เช็ดน้ำตาให้อย่างนุ่มนวล “พี่รู้ว่าน้องรัก ตอนติดป่าน้องก็เคยบอกรักพี่แล้ว แต่น้องไม่ยอมก้าวออกมาแสดงความรักของน้องซะที” 

แสดงความรัก..

เหมือนเดิมอีกแล้วสินะ เมื่อก่อนที่อยู่กับเฮียก็ไม่ยอมแสดงความรักออกมาอย่างเต็มที่จนมีส่วนทำให้เรื่องมันสลับซับซ้อนและในที่สุดก็เสียเฮียไป

แต่ครั้งนี้ผมจะไม่ยอมเสียพี่เวย์ไปอีก ไม่อีกแล้ว..

“ไม่ว่ายังไง วันนี้น้องก็ต้องโดนปล้ำใช่ไหมครับ” ผมถามด้วยสีหน้าที่ปั้นยาก พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้

พี่เวย์ยิ้มเอ็นดูอีกครั้งแล้วปล่อยมือของผมให้เป็นอิสระ “รังเกียจพี่ไหมล่ะครับ”

“ม..ไม่ครับ” ผมทำทีเป็นจับนวดข้อมือของตัวเองแก้เขิน

“งั้นจะสมยอมหรือโดนปล้ำ น้องเลือกเอาเลย” นิ้วแกร่งไล้เกลี่ยไรผมเล่นแล้วก้มลงจูบหน้าผากเบาๆ   

“แล้วมันไม่เหมือนกันหรือไง เลือกอะไรก็โดนรังแกเหมือนกันนั่นแหละ” 

“ไม่เหมือนนะ” พี่เวย์ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้าสมยอมก็แปลว่าน้องยอมเอง แต่ถ้าโดนปล้ำก็จะได้หลอกตัวเองต่อไปได้ว่ามีอะไรกับพี่เพราะโดนปล้ำ”

พี่เวย์เป็นปีศาจจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ ภายใต้ความสุภาพแสนดีแต่ซ่อนเขี้ยวเล็บแหลมคมที่สามารถกระชากได้แม้กระทั่งวิญญาณให้ออกจากร่างใช่เพียงแค่ฉีกเนื้อหนังมังสา

“ถ้าเลือกโดนปล้ำนี่ต้องทำยังไงล่ะครับ ต้องต่อสู้ดิ้นรนทำร้ายจิกข่วนพี่เวย์หรือไง” ผมประชดออกไปเพราะเขาก็รู้ว่าผมไม่กล้าแม้แต่จะดิ้นหนีด้วยซ้ำ

ร่างสูงยังไม่ตอบในทันทีแต่ยืดตัวขึ้นแล้วถอดเสื้อเชิ้ตตัวนอกพาดไว้ที่พนักพิงโซฟา จากนั้นจึงถอดเสื้อกล้ามสีดำของเขาออกมา ปลดเข็มขัดและปลดกระดุมกางเกงยีนส์ตัวสวยก่อนจะหรี่ตามองผม 

“ก็แค่จะทำแบบนี้”  มือไวดุจปีศาจ เผลอใจเพียงครู่เดียวข้อมือทั้งสองข้างของผมก็ถูกรวบไว้รวมกันอยู่เหนือศีรษะ เสื้อกล้ามสีดำถูกนำมาพันรอบข้อมือไว้แล้วจากนั้นเขาก็ดึงเข็มขัดออกจากเอวแล้วรัดทับไว้บนเสื้อกล้ามอีกที

ตึกๆๆๆๆ

หัวใจเริ่มเต้นรัวอีกครั้ง  ร่างสูงตั้งใจจะพันธนาการผมเอาไว้ แต่ภายใต้พันธนาการนั้นถูกห่อหุ้มไว้ไม่ให้บาดเจ็บ เป็นความดุดันที่อ่อนโยนได้อย่างคาดไม่ถึง

แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ประกายตาวับวาวที่ฉายขึ้นครั้งใหม่ทำให้แทบลืมหายใจ

“และก็ทำแบบนี้” มือหนากระชากสาบเสื้อจนกระดุมขาดกระเด็นออกจากตัว เขาถลกถอดเสื้อขึ้นไปจนสุดแขนทว่ามันติดพันธนาการซึ่งนั่นเป็นความตั้งใจของเขาที่จะนำปลายเสื้อทั้งสองฝั่งไปผูกโยงไว้กับโต๊ะตัวใหญ่ข้างโซฟา

ร่างกายแทบจะหลอมละลาย ใบหน้าร้อนวูบวาบเพราะไม่นึกว่าพี่เวย์จะร้อนแรงได้ถึงขนาดนี้ แต่ที่น่าขัดใจก็คือผมกลับรอคอยว่าเขาจะทำอะไรต่อไปจากนี้

“หน้าน้องเวลาตื่นเต้นมันเร้าใจจนพี่แทบคลั่ง”

เผลอผ่อนลมหายใจออกทางริมฝีปาก ทำให้มันเผยออ้าคล้ายจะเชิญชวน

“ตอนนี้อาการน้องเป็นยังไง อยากรู้ไหม” 

“อืออ..”

“สามคำ” พี่เวย์เหยียดยิ้มแสนเซ็กซี่ “เลื้อย บด ยั่ว”

พูดจบจุมพิตเร่าร้องก็ถูกป้อนถึงปากในทันทีจนร่างแทบลุกไหม้ ไม่เหลือความสุภาพอะไรอีกแล้ว ทั้งมือและปากของพี่เวย์รุกไล้ผิวเนื้ออย่างบ้าคลั่ง  ทั้งดูดดุนกัดแทะไปตามลำคอและเนินอก กางเกงทุกตัวของผมถูกปลดออกพร้อมกันในคราวเดียวทว่าไม่ได้ระคายถูกผิวเนื้อให้ต้องมีรอยขีดข่วนใดใด   

“อื้ออ อึกก อืออ อื้ออ พ..พี่ อื้ออ พี่.. อ๊ะ อื้อออ” ผมครางเสียงกระเส่าเมื่อขาถูกแยกออก ข้างหนึ่งพาดบนพนักพิงส่วนอีกข้างห้อยลงบนพื้นและเขาขยับร่างลงไปขบกัดดูดดุนต้นขาด้านในซึ่งไวต่อความรู้สึก 

ไม่มีความปราณีใดๆ จากพี่เวย์ ทุกครั้งที่ผมหุบขาเข้ามาชิดกันเพราะเสียวสะท้านเกินกว่าจะทนไหว เขาก็จะอ้ามันให้กว้างขึ้นแล้วละเลงลิ้นต่อไปจนหลุดเสียงร้องครางไม่เป็นศัพท์

“อ๊ะ!! อาห์ อาาา ส..เ  สี ย ว” เผลอพูดคำบ้าบอออกไปเพราะถูกกัดต้นขาอยู่ดีดีก็กลายเป็นช่องทางด้านหลังถูกไล้เลียอย่างสนุกปาก “อื้ออ พ..พี่..เวย์  อ๊า อาา อาห์ ส..”

“พูดว่าอะไรนะครับ” ใบหน้าหื่นกระหายเงยขึ้นมาพร้อมกับฉกลิ้นไปที่ช่องทางด้านหลัง ผมมองใบหน้าสุดเซ็กซี่เกินคำบรรยายแล้วใจจะพังเสียให้ได้  พี่เวย์ในตอนนี้ราวกับคนละคน เหมือนเป็นร่างอวตารที่ไร้ซึ่งความคล้ายคลึงกับร่างเดิมโดยสิ้นเชิง 

“พี่ถามว่า น้องพูดอะไรครับ” เขากดเสียงต่ำแล้วดูดดุนความนุ่มหยุ่นของลูกผู้ชายเพื่อบังคับให้ผมพูดออกมา

“อ๊า ส..สะ ...เสียว  เสียวครับ” จำเป็นต้องรีบตอบไม่อย่างนั้นต้องขาดใจตายแน่ๆ

“เซ็กซี่จัง” เอ่ยปากชมแล้วครอบครองส่วนแข็งขืนของผมเข้าปากอย่างไม่มีทีท่าจะรังเกียจ  ก็แน่ละสิ ขนาดด้านหลังยังใช้ปากได้อย่างไม่สะทกสะท้าน

เมื่อก่อนตอนที่ยังเมินเขาอยู่เคยคิดเล่นๆ ว่าถ้ามีเซ็กส์กันก็คงจืดชืดเพราะพี่เวย์ดูสุภาพไม่มีวี่แววว่าจะร้ายกาจแบบนี้  เพิ่งมารู้ว่านอกจากจะไม่จืดชืดแล้วยังฮอตแบบอลังการงานลีลา ผมนี่ดูคนไม่เก่งเลยจริงๆ

“อ๊ะ อื้ออ ซี๊ดด อืออ” ผมร้องครางเมื่อถูกชักนำแรงขึ้น แรงดูดดุนก็เพิ่มขึ้นจนแทบจะทนไม่ไหว ด้วยความที่มือถูกผูกโยงไว้แบบนี้ การจะบิดกายส่ายตัวเพื่อลดทอนความกระสันจึงทำได้ยากและมันส่งผลให้ความซ่านเสียวเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

พี่เวย์ใช้ทั้งปากและลิ้นปรนเปรอให้อย่างถึงใจ แค่เพียงไม่นานผมก็แอ่นสะโพกขึ้นถี่รัวพร้อมกับหนีบขาบิดรัดตัวเขาไว้เมื่อถึงจุดไคลแม็กส์

วิศวกรหนุ่มหล่อยังคงละเลงลิ้นตรงส่วนปลายและปล่อยให้ผมหนีบรัดตัวเขาไว้สักพัก  และเมื่อร่างกายเริ่มผ่อนคลายจึงปล่อยให้เขาเป็นอิสระแล้วนอนระทวยหายใจรวยรินมองพี่เวย์ยืนขึ้นเต็มความสูง

มือหนาปลดกางเกงของตัวเองลงทำให้ตอนนี้เปลือยเปล่าอยู่เบื้องหน้า กล้ามเนื้อสวยงาม ใบหน้าหล่อเหลารวมเข้ากับความสูงที่พอๆ กับสกายและดินแดนทำให้พี่เวย์ดูเหมือนนายแบบมากกว่าวิศวกรเสียอีก  ยิ่งส่วนกลางที่ขยายตัวอวดขนาดที่เกินมาตรฐานชายไทยนั้นยิ่งคิดว่าเขาไม่ควรเป็นแค่คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวให้เสียเปล่า น่าจะจับไปเป็นพอร์นสตาร์เสียให้รู้แล้วรู้รอด

“จุ๊ๆๆ” ดวงตาคู่สวยหรี่มองแล้วจุ๊ปากก่อนจะโถมตัวเข้ามา “ร้อนแรงกว่าที่พี่คิดไว้ตั้งเยอะ”

แรงสูดลมหายใจหนักหน่วงเมื่อจมูกโด่งแตะลงบนพวงแก้มแล้วลากเรื่อยไปถึงใบหูทำให้ร่างของผมสะท้านสั่นขึ้นมาอีกระรอก

ใครควรจะเป็นคนพูดประโยคนี้กันแน่..

“น้องเห็นใบตรวจเลือดพี่แล้วใช่ไหมว่าคลีน” อยู่ๆ ก็ถามขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแต่ผมก็พยักหน้าตอบรับด้วยสติไม่เต็มร้อย

“งั้นพี่ขอ..สด..นะครับ”

!!!!!!

ร่างกายแทบจะระเบิดเป็นจุล ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจแต่โดนจัดหนักรุกหนักถึงขนาดขอสด

ผมไปไม่เป็นเลยตอนนี้..

“งืออ” ได้แต่ส่ายหน้าแทนคำตอบ พยายามหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ เพื่อตั้งสติ

“ไม่ท้องหรอก นะครับ..” เขามองอ้อนราวกับจะรู้ว่าผมแพ้โหมดอ้อนแบบนี้เป็นที่สุด แต่แพ้ก็ส่วนแพ้เพราะตอนนี้หมั่นไส้ขึ้นมาติดหมัด

“ก็ไม่ได้ห่วงว่าจะท้อง” ผมมองเคืองทว่าปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหัวใจเต้นหนักมาก ก็จะให้ตอบว่าอะไรล่ะ ‘ก็ได้ครับ’ แบบนี้เหรอ มันน่าอายนะ

“งั้นเอาแบบนี้นะ ถ้าน้องไม่ตกลงให้จับหน้าพี่ แต่ถ้าตกลงก็ไม่ต้องจับ” ดูเหมือนจะเป็นความเอื้อเฟื้อแต่ไม่เลย เขาเป็นจอมวายร้าย

“ใช้เท้าจับได้ไหมล่ะครับ” ผมว่าให้อย่างเคืองๆ  ก็รู้อยู่ว่ามือผมถูกมัดแล้วจะให้เอาอะไรจับหน้าเขาล่ะ

“ฮ่าๆๆ” พี่เวย์หัวเราะเสียงใสแล้วกัดปากผมดึงออกไปจนต้องร้องซี้ด “เดี๋ยวจะโดนจัดหนัก” เขาขู่แล้วก้มลงดูดริมฝีปากผมอีกครั้ง อยากเถียงใจจะขาดว่าตอนนี้ก็ไม่ได้เบาสักนิด

“พี่ไม่เคยทำกับผู้ชายเลยนะ” เขาจูบแก้ม สันกรามแล้วเริ่มจูบซุกไซ้ไปตามซอกคอ พูดคุยราวกับอยู่บนโต๊ะอาหาร  “รอที่จะทำกับน้องแค่คนเดียว พี่รอน้องนานมาก นานมากจริงๆ” ผมหอบหายใจถี่หนักหลับตาฟังที่เขาพูด “น้องเคยคิดถึงเรื่องบนเตียงกับพี่เวย์บ้างไหมครับ เคยจินตนาการหรือเปล่าว่าทำรักกับพี่แล้วเป็นยังไง” 

อยากบอกว่าในจินตนาการของน้อง ไม่ได้ครึ่งความร้อนแรงของพี่เวย์เลยครับ..

ในสมองตอนนี้มึนงง ทั้งสะท้านเสียวเพราะถูกคลอเคลียดูดดุนแถมพ่นลมหายใจหืดหาดอยู่ใกล้หู โดยเฉพาะนิ้วมือคล่องแคล่วก็ชักนำเข้าออกอยู่ตรงช่องทางด้านหลังไปเรื่อยๆ

เอ๊ะ!  นี่ผมไม่รู้ตัวเลยว่าเขาทำมันเมื่อไหร่ และกว่าจะไหวตัวทัน

“อ๊า!!” ร่างกระตุกเกร็งเมื่อถูกแกนกายใหญ่โตสอดใส่เข้ามา  ไม่ได้กระแทกกระทั้นแต่ดันเข้ามาได้ไม่ยากเย็นนักเพราะของเหลวที่หลั่งเมื่อครู่ช่วยหล่อลื่นได้เป็นอย่างดี

“อาาาห์” ร่างสูงเงยหน้าปล่อยเสียงครางต่ำในลำคอด้วยความพึงพอใจ “น้องมีอารมณ์มากขนาดนี้เป็นปกติเหรอครับ” หน้าเขาเสียวซ่านแม้จะยังไม่ได้โยกตัวขยับขึ้นลงแต่อย่างใด

พี่เวย์เลี่ยงที่จะใช้คำที่มีความหมายไม่ดีซึ่งพอใช้ประโยคนี้มันก็ละมุนขึ้น ทั้งๆ ที่ความหมายก็คือ ผมมีอารมณ์กับคนอื่นแบบนี้ไหม หรือถ้าให้ชัดกว่านั้น เวลามีเซ็กส์กับเฮีย ผมตอดรัดรุนแรงและชุ่มฉ่ำขนาดนี้หรือเปล่า

คำตอบคือไม่..

ถามว่าทำรักกับเฮียผมมีความสุขไหม ก็บอกเลยว่ามาก มากจนล้นทะลักไม่ต่างกัน แต่ร่างกายของผมตอบสนองเป็นพิเศษกับสัมผัสของพี่เวย์ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมแต่มันเป็นไปเอง ผมตื่นเต้นไปหมดกับการเคลื่อนไหวของเขา เหมือนกับว่าร่างกายถูกเขาจับจองไว้ตั้งแต่ชาติปางก่อนเพราะแม้แต่กระพริบตาผมก็ยังคิดว่าเขาเซ็กซี่จนวูบวาบขึ้นมาได้

แต่เรื่องอะไรจะตอบ มันไม่เข้าท่าที่จะเปรียบเทียบเรื่องแบบนี้ให้ใครฟัง กับเฮียก็สุขล้น กับพี่เวย์ก็ซ่านกระสันหนักหน่วง ต่างกรรมต่างวาระแต่เป็นความรู้สึกที่ดีทั้งสองแบบ

“รักน้องไหมครับพี่เวย์” ผมเสเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากตอบคำถาม

เขาเริ่มขยับร่างกายช้าๆ เป็นจังหวะ “รักที่สุดเลยครับ”

ได้ยินแล้วสุขล้นในหัวใจ ผมรักพี่เวย์ ไม่ว่าระหว่างเราจะใช้เวลาเนิ่นนานแค่ไหนกว่าจะมีวันนี้ แต่ผมไม่เคยไม่คิดถึงเขา พี่เวย์ติดอยู่ในมโนความคิดของผมเสมอมา

เราสองคนประสานสายตาสื่อสารความรักต่อกัน “น้อง..ก็รักพี่เวย์ครับ”

รอยยิ้มละมุนฉายขึ้นบนใบหน้าสุดแสนเซ็กซี่ของเขา “แค่นี้ก็คุ้มที่พี่เฝ้ารอ คุ้มกว่าด้วยซ้ำ”

จากนั้นร่างสูงก็โยกกายแรงขึ้นทุกทีจนในที่สุดก็กระตุกเกร็งฉีดพ่นของเหลวใส่ร่างของผม เขาคำรามในลำคอราวกับจะประกาศให้รู้ว่าได้เป็นเจ้าของผมโดยสมบูรณ์แล้วทั้งกายและใจ 

“พี่แกะให้นะครับ” ก็ยังดีที่ไม่นานเกินไป ไม่งั้นแขนผมคงชาไปหมดแน่ 

พี่เวย์ยังคงคาท่อนรักไว้ในตัวผมและแค่เอื้อมมือเขาก็แกะชายเสื้อออกจากโต๊ะและแกะเข็มขัดกับเสื้อกล้ามออกอย่างง่ายดาย ก็ใช่สิ ตัวยาวแขนยาว แถมส่วนที่คาอยู่ในตัวผมก็ยาวขนาดนี้ เฮ้อ ดีที่ว่าเสร็จไปก่อนไม่งั้นผมคงแย่

แต่มันไม่ใช่แบบนั้น!

“เปลี่ยนท่าหน่อยนะ พี่เวย์แค่กลัวน้องจะปวดแขน” เขาดึงร่างออกแล้วอุ้มผมลงมายืนที่พื้นให้หันหน้าเข้าหาโซฟาแล้วโน้มตัวยันแขนไว้ตรงพนักพิง ด้วยความที่ยังไม่เข้าใจเหตุการณ์ทำให้ผมไม่ทันที่จะห้ามหรือยับยั้งอะไรไว้ได้

“อ๊ะ..!?”  สะดุ้งเฮือกแล้วเอี้ยวตัวไปมองเมื่อถูกแกนกายสอดแทรกเข้ามาอีกครั้งและคราวนี้มันลึกล้ำมากกว่าเดิมจนถึงกับร้องไม่เป็นคำ “อาห์ อื้ออ อา อาห์”

“ครางเก่งจังเลยครับ” ริมฝีปากสวยขยับงับใบหูผมพร้อมกับชื่นชมเสียงปร่า

ท่านี้มันไม่โอเคเลย ตัวผมที่โน้มลงจนต้องเท้าศอกคร่อมพนักพิงจึงไม่สามารถขัดขืนอะไรได้  ส่วนพี่เวย์ที่ความสูงเกินมาตรฐานจึงค่อนข้างสะดวกที่เขาจะเสยจะงัดจะกดหรือควงเล่นเอาตามแต่ใจเขาจะปรารถนา ซึ่งทั้งหมดนั้นมันขับดันความซ่านกระสันให้พุ่งทะลุปรอท ทำได้แค่เขย่งปลายเท้าในช่วงที่พีคเกินไปสลับกับการแอ่นบั้นท้ายให้เขากระแทกกระทั้นได้อย่างถนัดถนี่

ยิ่งลึกล้ำก็ยิ่งเสียวสะท้านจนต้องจิกข่วนโซฟาจนมันแทบจะขาด  แถมมือไม้ของร่างสูงก็เป็นอิสระจะบีบจะเคล้นจะล้วงควักอะไรก็ง่ายดายไปหมด  ยังไม่รวมใบหน้าที่ซุกไซ้เข้ามาที่ซอกคอและใบหูนี่อีก

ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดใจตาย..

“พ..พี่..เว ย์ อื้ออ อาา พี่  พี่เวย์ น้อง..จะขาด..ใจ  อื้ออ”  ผมร้องขอความเห็นใจเพราะตอนนี้เขาชักนำแกนกายของผมไปพร้อมกับกระแทกเข้าใส่จนร่างสะท้าน  “บ.. แบบนี้..อ๊าา ม..ไม่ ไม่..ไ  ห ว”   

“ไม่ไหวก็เสร็จก่อนก็ได้นี่ครับ” เขาลดความเร็วลงแล้วจูบเบาๆ ตรงหลังคอ

“งื้อออ..” ผมร้องประท้วง

“หือ? ทำเสียงแบบนี้ งอนพี่เหรอครับ”

“ก็..ถ..ถึงไปแล้วนี่ครับ..อีกรอบนี่ไม่ไหวแล้ว..นะครับ” ดูเหมือนพี่เวย์จะตั้งใจงัดแทงให้มันโดนจุดกระสันแถมยังกระตุ้นหลายทางขนาดนั้นไม่ให้ถึงเร็วได้ยังไงล่ะ

“อ้าว ถึงไปตอนไหน ทำไมพี่ไม่รู้” ใช่สิ ตัวจะรู้อะไรก็เล่นซุกหน้าอยู่ไม่ห่างจากคอและใบหูเลยนี่นา ไม่รู้ชอบอะไรนักหนา ดมๆ จูบๆ แทะๆ เลียๆ อยู่นั่นแหละ น้ำลายเต็มคอไปหมดแล้ว

“อุตส่าจะช่วยให้เสร็จพร้อมกัน  อย่าให้พี่เสียความตั้งใจเลยนะครับ” ดูความตั้งใจของพี่แกสิ  เป็นความตั้งใจที่น่าหยิกที่สุดเลย

“.......”

“ตกลงตามนี้นะครับ” เมื่อเห็นผมไม่ตอบ พี่เวย์ก็ทึกทักเอาว่าผมตกลง
ได้แต่หลับตาปี๋ย่นหน้าด้วยความจำใจ ก็กลายเป็นเหยื่อแบบนี้จะไปถกเถียงอะไรเขาได้ ของกลางก็อยู่ในมือเขาและถูกขยำกำรูดเล่นราวกับเป็นของตัวเอง 

และเมื่อเห็นว่าผมไม่โต้แย้งเขาก็เริ่มโยกย้ายสะโพกจากเบาก็เริ่มแรงขึ้น แรงขึ้นสลับกับชะลอแล้วเน้นจังหวะให้หนักคาดว่าเพราะยังไม่อยากปลดปล่อย

ปล่อยซะทีเถอะครับพี่เวย์ น้องอั้นไว้ไม่ไหวแล้วนะ..

ผมอยากจะบอกเขาแบบนี้เพราะถ้าผมไม่อั้นแล้วเสร็จไปก่อนก็คาดว่าอาจจะมีรอบที่สี่ที่ห้าตามมาเพราะร่างกายถูกกระตุ้นไปซะหมดทุกทาง

“อ่ะ อ่า อ๊าส์ อาาห์” ร่างสูงเร่งความเร็วขึ้นทั้งสะโพกและมือเมื่อแน่ใจแล้วว่าเขาจะปล่อยผมจึงปลดปล่อยออกมาแบบทะลักทะลายเนื่องจากอั้นมานานมากแล้ว

ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านและหอบหายใจรุนแรงราวกับวิ่งรอบสนามเป็นร้อยรอบ  ชีวิตไม่เคยมีคำว่าธรรมดา หลังจากไม่โดนมานานแสนนานจนจำความรู้สึกถึงสวรรค์แทบไม่ได้แต่พอโดนขึ้นมาก็เบอร์ใหญ่ไฟท่วมถึงขนาดขาอ่อนทรุดลงบนโซฟาอย่างหมดแรง

“ชู่ววว ชู่ววว” พี่เวย์พลิกตัวอุ้มขึ้นแล้วปลอบเมื่อเห็นอาการของผม “ขึ้นไปพักบนห้องนะครับ” น้ำเสียงแหบแห้งและหอบหายใจหนักๆ 

ตอนนี้ร่างสูงพร่างพราวไปด้วยหยาดเหงื่อดูเซ็กซี่เหมือนนายแบบที่ทาน้ำมันถ่ายรูปขึ้นปกนิตยสาร  เห็นแล้วก็หน้าร้อนขึ้นมาเมื่อนึกถึงว่าตอนนี้ผมเป็นของเขาแล้ว

“อย่าทำหน้าแดงแบบนี้สิครับ เดี๋ยวก็โดนพี่จัดอีกหรอก” เขาอุ้มขึ้นบ้านแล้วหยุดยืนหน้าห้องจนผมต้องช่วยหมุนลูกบิดเปิดประตู

“อยากไปล้างก่อน” ผมอ้อนเสียงหอบเหนื่อย

“พี่ล้างให้นะ” ว่าแล้วก็พาเข้าไปวางในอ่างอาบน้ำแล้วยืนมองทำหน้ากรุ่มกริ่ม “อีกรอบน้องจะไหวไหมนะ อยู่ในอ่างแบบนี้น่ากินจัง”

โอ้ยยย  นี่ใช่พี่เวย์ตัวจริงไหมเนี่ย หรือเป็นคนอื่นปลอมตัวมา ทำไมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้  ฮืออ ผมจะเฉามือตายก่อนได้กลับบ้านหรือเปล่าวันนี้

“น้องจะตายแล้วครับ” ผมทำหน้าเบ้ “พอก่อนนะ เดี๋ยวพี่เวย์ก็ต้องกลับเข้าไปที่ไซต์งานไม่ใช่เหรอ” เอางานมาอ้าง  เพราะถ้าเป็นเฮียเผ่า งานต้องมาก่อน

“ใช่จริงด้วย” พี่เวย์พูดแค่นั้นแล้วรีบอาบน้ำให้ผมและช่วยเอาของเหลวออกจากด้านหลังให้  ทำไมรู้สึกเขินจนไม่กล้ามองหน้า ไม่รู้ทำไมความรู้สึกของผมที่มีต่อพี่เวย์ถึงได้รุนแรงไปเสียทุกการกระทำแบบนี้นะ

และเมื่อทำความสะอาดให้จนเสร็จเขาก็บอกให้รอในอ่างแล้วอาบน้ำสระผมให้ตัวเองอย่างรวดเร็ว ไม่อยากมองแต่เผลอปุ๊บสายตาก็เบนไปหาปั๊บ คือพี่เวย์ดูดีมาก แค่อาบน้ำสระผมทำไมต้องดูดีดูเซ็กซี่ขนาดนั้น

“มองขนาดนี้พี่ก็เขินนะครับ” พูดให้ได้อายจบแล้วก็อุ้มผมออกมาวางที่เตียงตามด้วยการเช็ดตัวเช็ดผมจนหมาดโดยที่เขาทำทุกอย่างนี้ด้วยร่างกายเปลือยเปล่าและหยาดน้ำเกาะพราวไปทั้งตัว

“พี่เวย์..เช็ดตัวเองก่อนเถอะครับ น้องทำเองได้” ผมบอกเป็นครั้งที่สิบเพราะไม่อยากเห็นเขาเปลือยอยู่แบบนี้ จั๊กเดียมหัวใจจนไม่รู้จะวางสายตาไว้ตรงไหนเพราะมองมากๆ เดี๋ยวก็โดนแซวเอาอีก

“งั้นเดี๋ยวพี่หาเสื้อให้แป๊บ” เขาว่าแล้วเดินไปเปิดตู้หยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวของตัวเองมาให้ “ใส่นี่นะ เห็นเขาว่าใส่แค่นี้แล้วเดินอยู่ในห้องนอนมันน่าฟัดกว่าถอดเสื้อผ้าซะอีก”

อะไรนะ!!

ผมฟังผิดไปหรือพี่เวย์พูดผิด  นี่คือเหตุผลที่หยิบเสื้อตัวนี้มาให้เหรอ แล้วเขาคิดว่าถ้าผมรู้เหตุผลนี้แล้วจะกล้าใส่อีกหรือไง

“หรือจะไม่ใส่อะไรเลยก็ยิ่งดีนะครับ ไม่ต้องเสียเวลาถอด” เสียงนุ่มละมุนกับสีหน้าอ่อนโยนแบบนั้นหลอกผมไม่ได้อีกต่อไปแล้ว 

พี่เวย์เป็นจอมวายร้ายที่แฝงกายอยู่ในมาดสุภาพบุรุษ!


ต่อ..
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: fiction no.9 ที่ 02-12-2018 17:54:35
“ส่งเสื้อมาครับ” แต่ผมก็ไม่กล้าจะเถียงอะไร  ยื่นมือไปหยิบเสื้อมาใส่ด้วยความจำใจ 

ร่างสูงยิ้มพรายรีบส่งเสื้อให้แล้วดึงผ้าขนหนูไปเช็ดเนื้อเช็ดตัว  ส่วนเส้นผมที่เปียกปอนก็ใช้มือสางและขยี้สองสามทีแล้วหยิบกางเกงมาใส่  เป็นกางเกงเลขายาวสีฟ้าไม่ใส่ชั้นใน และพอเดินมาหาแล้วเห็นว่าผมอยู่ในเสื้อตัวโคร่งของเขากอปรกับเส้นผมยาวเคลียต้นคอที่กำลังเปียกหมาดๆ โดยเฉพาะเรียวขาที่โผล่พ้นชายเสื้อออกมา แค่นั้นแหละ ลูกชายของพี่เวย์ก็ขยายตัวดันกางเกงผ้าบางๆ ขึ้นมาเต็มสองตาทันที

“พี่เวย์อะ!” ผมโวยใส่แล้วเอื้อมไปดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมกาย

ร่างสูงรีบนั่งลงบนเตียงแล้วหัวเราะแหะๆ “ก็น้องน่ากิน”

“หยุดกามสักพักเถอะครับ น้องหิวจะแย่อยู่แล้ว” เมื่อกลางวันก็ยังไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งตอนนี้ก็จะบ่ายสามเข้าไปแล้ว

พี่เวย์หน้าตาตื่น “จริงด้วย งั้นเดี๋ยวรอแป๊บนะพี่ไปอุ่นกับข้าวให้” ว่าแล้วก็บึ่งออกจากห้องไปทันที

อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้กับอาการแปลกตาของพี่เวย์ เขาไม่ได้มีแค่มาดนิ่งสุภาพ แต่ดูจะหลากหลายในอารมณ์และยิ่งเรื่องที่เกี่ยวกับผมก็ดูเขาจะเซ้นท์ซิทีฟมากขึ้นหลายเท่า  พี่เวย์มีสีสันมากกว่าที่ผมเคยคิดไว้ ซึ่งมันมากเกินไปด้วยซ้ำไม่รู้ว่าถ้าผ่านไปนานๆ แล้วจะลดลงบ้างไหมเพราะผมก็แก่ขึ้นทุกวันคงรับอะไรแบบนี้ตลอดไม่ไหวหรอก

เอ๊ะ! แล้วนี่มโนไปถึงไหนกัน ยังไม่ได้ตัดสินใจเลยว่าจะเลือกพี่เวย์เป็นเรื่องเป็นราว

แต่ก็นะ..ได้เสียถึงขั้นนี้แล้วเขาคงคิดจริงจังมากขึ้นแล้วละ  เอาไงดีๆ จะทำยังไงกับหมอวรรตดีล่ะทีนี้


“ข้าวมาแล้ว” ร่างสูงมาพร้อมกับถาดอาหารยิ้มแป้นมาแต่ไกล  ดูอารมณ์ดีออกนอกหน้าเกินไปจนน่าหมั่นไส้

“วางบนโต๊ะก็ได้ครับเดี๋ยวน้องลุกไปกินเอง” พูดจบก็เปิดผ้าห่มออกแต่พอเห็นขาตัวเองเปลือยเปล่าก็รีบปิดไว้อีกครั้ง “เปลี่ยนใจแล้ว อยากกินบนเตียง” หน้าผมเชิดขึ้นและได้เห็นรอยยิ้มล้อเลียนของพี่เวย์ฉายขึ้นในทันที

“ปิดไว้ก็ใช่ว่าจะพ้นสายตา แค่นึกภาพที่เราทำที่โซฟาเมื่อกี้พี่ก็ขึ้นได้แล้วครับ” เขาบอกแล้ววางถาดไว้ที่โต๊ะหัวเตียงจากนั้นก็นั่งลงข้างตัวผมก่อนจะตักแกงจืดมาป้อนให้ “อ้ำๆ อย่าดื้อถ้าดื้อเดี๋ยวจับกด”

ผมมุ่ยหน้าใส่ไม่รู้จะทำยังไงกับมิติใหม่ของพี่เวย์ดี จะเถียงจะด่าเหมือนหมอวรรตก็ไม่ได้ ถึงจะมีอะไรกันแล้วแต่ผมก็แพ้ทางพี่เวย์อยู่ดีนั่นแหละ

“เป่าด้วยสิครับ มันร้อนนะ” ผมงอแงใส่อ้าปากระบายความร้อนออกมา

“ขอโทษทีพี่ลืมว่ามันร้อน” พี่เวย์ยื่นหน้ามาใกล้แล้วเป่าเข้ามาในปาก

รู้สึกหน้าเห่อร้อนขึ้นจนต้องรีบงับปากแล้วเคี้ยวกลืนโดนเร็ว ลอบมองเขาว่าทันได้เห็นผมเขินเมื่อกี้ไหมแต่ดูจากสายตาวิบวับนั้นแล้วก็รู้เลยว่าไม่รอด

“เขินแล้วน่ารักชะมัด ไม่น่าเชื่อว่าน้องอายุจะขึ้นเลขสามแถมเคยมีแฟนมาแล้วด้วย”

“เกี่ยวอะไรกับเคยมีแฟนล่ะครับ”

“เพราะน้องยังดูเหมือนเด็กซิงที่เพิ่งเสียตัวครั้งแรกอยู่น่ะสิ”

โอ๊ยย อยากทุบพี่เวย์รัวๆ ทำไมถึงชอบพูดอะไรขัดกับบุคลิกแบบนี้นะ

“รีบป้อนเถอะครับ น้องหิว” ก็ทำได้เท่านี้แหละ ชาตินี้ไม่มีทางกล้าจัดการกับพี่เวย์ คงได้แต่ทนให้เขาแหย่เล่นไปวันๆ

พี่เวย์หัวเราะเบาๆ แล้วตักข้าวป้อนผมต่อ ไม่ลืมที่จะเป่าแล้วเทสดูด้วยการแตะข้าวกับริมฝีปากของตัวเองว่ามันหายร้อนแล้วหรือยัง  เห็นแล้วรู้สึกเขินๆ และทำตัวไม่ถูกที่โดนเอาใจขนาดนี้


“อิ่มแล้วครับ” ผมบอกแล้วส่ายหน้าเมื่อเขาจะป้อนอีกคำ

“อิ่มแน่นะครับ” พี่เวย์ถามย้ำ

“แน่ครับ” ผมยิ้มให้บางๆ

“งั้นที่เหลือพี่กินนะ” ข้าวเหลือในจานอีกเกือบครึ่ง เขาไม่รอผมอนุญาตแต่ตักแกงจืดใส่ข้าวแล้วกินอย่างเอร็ดอร่อย  “น้องทำกับข้าวอร่อยนะ มาทำให้พี่กับเรย์เรย์กินทุกวันเลยสิ”

“ค..คือ..น้อง น้อง..คือ”

พี่เวย์ฟังแล้วไม่ได้พูดอะไร เขาตักข้าวกินจนหมดจาน ดื่มน้ำที่เหลือจากแก้วของผมจากนั้นก็พูดขึ้น 

“เวลาไม่รู้จะตอบอะไรก็ไม่ต้องพยายามตอบ น้องโกหกไม่เก่งเคยบอกแล้วใช่ไหมและที่สำคัญอาการแบบนี้มันทำให้พี่นึกอยากลงโทษให้หายติดอ่าง”

พอพูดจบก็ยกถาดออกไปจากห้อง ผมเดาว่าเขางอนที่ผมไม่ตอบรับคำเชิญแสนน่ารักนั้น  แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ผมยังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกับพี่เวย์เลยนี่นา


ผ่านไปสักพักพี่เวย์ก็ขึ้นมาพร้อมกับกระเป๋าคอมพิวเตอร์และกระเป๋าสองใบทั้งของตัวเองและของผม  เขาไม่ได้พูดอะไรแค่ยื่นกระเป๋ามาให้และเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานเปิดคอมแล้วทำอะไรก้อกแก้กไม่หันกลับมามองอีก

โธ่ ขี้งอนจัง

“พี่เวย์ไม่ไปไซต์งานเหรอครับ นี่บ่ายสามครึ่งแล้วนะ” ผมหาเรื่องคุย

เขาหันมองนาฬิกาติดผนังแล้วเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่หัวเตียงกดโทรออก

“วันนี้ผมไม่เข้าแล้วนะนายช่าง ช่วยดูแลกำกับเด็กให้เก็บล้างอุปกรณ์เข้าที่แล้วอย่าลืมปิดล็อคประตูรั้วให้ด้วย...ส่วนพวกที่เฝ้าไซต์ก็กำชับอย่าให้ดื่มเหล้าเสพยาถ้าผมรู้จะให้ออกสถานเดียวนะครับ....โอเค ขอบคุณครับ”  พอเดินมาที่เตียงก็วางโทรศัพท์แล้วมองผมแว้บหนึ่งจากนั้นจึงไปนั่งทำงานต่อ

อ้าว งอนนานด้วย แล้วจะต้องง้อยังไงล่ะเนี่ย ไม่เคยง้อใครซะด้วยสิ

ผมรออยู่นานก็ไม่มีวี่แววว่าเขาจะขยับเขยื้อนไปไหน ยังคงนั่งหันหลังทำงานราวกับว่าผมไม่ได้อยู่ตรงนี้

“งั้นผมกลับแล้วนะครับ”

“ขับรถยนต์พี่ไปก็ได้ครับ กุญแจอยู่ที่หัวเตียง ออกไปแล้วคล้องกุญแจรั้วไว้เฉยๆ ไม่ต้องล็อค” พูดโดยไม่หันมามองด้วยซ้ำ  ผมย่นหน้าด้วยความหงุดหงิด อะไรจะขี้น้อยใจขนาดนี้ เป็นผู้ชายแมนๆ กล้ามแน่นขนาดนี้แต่ใจเล็กจี๊ดเดียว 

เฮ้ออออ

ผมตัดสินใจเดินไปหา  ไม่รู้ว่าเสื้อตัวโคร่งนี่จะทำให้เขาสนใจได้ไหม

“ไปส่งไม่ได้เหรอครับ” ผมยืนอยู่ข้างๆ แล้วส่งเสียงอ้อนเบาๆ

พี่เวย์หยุดทำงานแล้วหันมามอง  หัวจรดเท้า..

“ไม่ครับ” เขาตอบแล้วหันกลับไปทำงานต่อ 

เอ๊า ใจแข็งอีกต่างหาก นี่ง้อสุดๆ แล้วนะ ถ้ามากกว่านี้ก็คิดไม่ออกแล้ว!

แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมจับจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คแล้วพับมันลงทันที

“บอกเหตุผลมาว่าทำไมถึงไม่ยอมไปส่ง” ผมยืนหน้างอจ้องเขารอคำตอบ

พี่เวย์ถอนหายใจแล้วจ้องกลับมา  “ข้อแรก พี่ไม่อยากให้น้องไป  ข้อสอง ถ้าน้องไปแล้วพี่กลัวน้องไม่กลับมาอีก  ข้อสาม พี่กำลังงอนและรอให้น้องง้ออยู่” 

ผมหลุดยิ้มออกมาเมื่อได้ยิน ยิ่งเห็นสีหน้าที่ดูเหมือนเด็กเอาแต่ใจของพี่เวย์แล้วก็อดจะเอ็นดูไม่ได้

“ข้อแรก ถ้าไม่อยากให้ไปทำไมไม่คุยดีดี  ข้อสอง ถ้าน้องไปแล้วรู้ได้ยังไงว่าจะไม่กลับมาอีก  ข้อสาม น้องกำลังง้อพี่เวย์อยู่นะครับ”

พี่เวย์เริ่มยิ้มออก  “ถ้าพี่ขอ น้องจะยังไม่กลับใช่ไหม” เขาถามและผมก็พยักหน้า “แล้วน้องจะกลับมาอีกเหรอครับ” เขาถามอีกแล้วผมก็พยักหน้า  “แต่เมื่อกี้ที่พี่ชวนน้องมาทำกับข้าวให้ ทำไมน้องไม่ตอบล่ะ” 

“ก็พี่เวย์เล่นเหมาว่าให้มาทุกวัน น้องทำไม่ได้ทุกวันหรอกครับ แล้วอีกอย่างน้องก็ยังไม่อยากให้พี่คาดคั้นเรื่องความสัมพันธ์ในตอนนี้ ขอเวลาอีกหน่อยแล้วค่อยคุยกันอีกทีนะครับ” ผมบอกไปตามที่คิด ขอเวลาเคลียร์คนอีกคนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที

“งั้นก็ได้ครับ” หน้าเขาสดใสขึ้น “แต่เรื่องง้อ แค่มายืนคุยแบบนี้พี่ไม่หายงอนหรอกนะ” แววตาวับวาวฉายขึ้นทันทีและผมเตรียมใจไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้

“แล้วต้องง้อยังไงจะหายล่ะครับ” ถามไปทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าคงไม่พ้นเรื่องบนเตียง

“ยืนคุยไม่หายก็นอนคุยสิ” ว่าแล้วก็อุ้มผมเอาไปโยนลงบนเตียง เสื้อมันสั้นอยู่แล้วพอร่างหล่นลงมาตามแรงโน้มถ่วงแบบนี้ชายเสื้อก็เลิกขึ้นไปถึงสะโพก 

ทันใดนั้นน้องชายของพี่เวย์ก็ขยายตัวดันกางเกงเลขึ้นมาทันที 

“ต้องกี่รอบครับถึงจะหมดฤทธิ์” ผมลุกขึ้นนั่งหนีบหัวเข่าทับกันเพื่อปิดบังส่วนที่เปลือยเปล่าอยู่ด้านใน

“พี่ก็ไม่รู้” เขาตอบแล้วขยับขึ้นมานั่งข้างๆ ลูบไล้ไปตามเรียวขาจนขนลุกไปทั้งแถบ

“ปกติก็รอบเดียวแล้วกลับบ้านนอน”

“แฟนอยู่ไหนเหรอครับ พูดเหมือนไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน”

“ไม่ใช่แฟน แค่ไปลงอ่าง” เป็นคำตอบแบบเปิดเผย ซึ่งทำให้ผมค่อนข้างงุนงง

“ทำไมไปเที่ยวละครับ”

“ก็ไม่มีแฟนถ้าไม่เที่ยวจะให้นอนกับใครล่ะครับ” พี่เวย์ดึงขาผมให้เหยียดยาวแล้วล้มตัวนอนหนุนตัก

“ก่อนหน้านี้ตอนมีคุณแม่ของน้องเรย์เรย์ล่ะ” ทำไมรู้สึกแปลกๆ กับคำตอบของพี่เวย์ เหมือนจะไม่เมกเซ้นต์ยังไงก็ไม่รู้

“เอาเป็นว่า พี่ไม่เคยมีแฟนเพราะลองจีบผู้ชายคนอื่นดูแล้วแต่ไม่รู้สึกอะไร แล้วพอจะมีแฟนเป็นผู้หญิงพี่ก็ไม่อยากหลอกลวงเขาเพราะพี่รู้อยู่เต็มอกว่าคิดถึงแต่น้องคนเดียว  เวลามีอารมณ์ก็ช่วยตัวเองบ้าง พาพวกคนงานไปปลดปล่อยที่อ่างบ้างเป็นครั้งคราว”

“อ่างที่ว่านี่.. กับผู้ชายเหรอครับ”

“ผู้หญิง” พี่เวย์ตอบสั้นๆ และเมื่อผมกำลังอ้าปากจะถามอีกแต่พี่เวย์ยกนิ้วขึ้นปิดปากไว้ “ชู่วว ขยับปากมากๆ มันน่าจูบ” เขาเงยหน้าส่งสายตาวิบวับมาให้  “แต่ไม่พูดพี่ก็อยากจูบอยู่ดี  น้องก้มลงมาจูบพี่หน่อยสิครับ” เขาขอด้วยเสียงทุ้มนุ่มจนยากที่จะปฏิเสธ

ผมมองกลีบปากหยักลึกแล้วก้มลงไปกัดก่อนจะดึงมันอย่างหมั่นไส้ พี่เวย์ขยับตัวตามขึ้นมาแล้วจับพลิกร่างของผมให้นอนลงจากนั้นก็คร่อมทับทันที 

“กล้ากัดพี่เหรอ ฮึ” เขากัดปากผมบ้างแล้วเคี้ยวเล่นเป็นขนมหวาน

“พี่ก็กล้ากัดน้องนี่ครับ” ผมย้อนใส่หลังจากถูกปล่อย

พี่เวย์ยิ้มแล้วจุมพิตเบาๆ “คืนนี้นอนด้วยกันที่นี่นะครับ”

ร้อนวูบวาบไปทั่วทั้งตัวเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป  ทั้งๆ ที่เป็นของเขาแล้วแต่พอถูกชวนแบบนี้ก็กลับเขินหนักพอๆ กับตอนที่ยังไม่ได้เป็น

“ต..แต่..”

“ก็เมื่อกี้น้องบอกว่าถ้าไม่อยากกลับให้คุยดีดีไม่ใช่เหรอครับ” พี่เวย์ย้อนบ้าง

“ก็นึกว่าแค่ให้อยู่อีกสักพัก ไม่ได้คิดว่าทั้งคืนนี่ครับ”

“ไม่รู้แหละ น้องบอกแล้วว่าถ้าไม่อยากให้กลับก็ให้คุย  ถ้าไม่รับปากพี่เวย์จะงอนต่อนะ” เขาขู่แล้วทำท่าจะลุกไปทำงานต่อ

“งื้อ เดี๋ยวสิครับพี่เวย์” ผมดึงร่างสูงไว้แล้วกอดเขาจากด้านหลัง “น้องนอนที่นี่ก็ได้  อย่างอนเลยนะครับน้องง้อใครไม่เก่งหรอก”

พี่เวย์หันมายิ้มทันที “ที่ทำอยู่ก็เรียกว่าง้อเก่งแล้วละครับ  น้องรู้ตัวไหมว่าน่ารักจนพี่หลงจะแย่แล้ว”  เขาจูบไปตามขมับและหยุดตรงที่ริมฝีปาก “หน้าใสๆ ดูเด็กกว่าอายุแต่ชอบทำหน้าดุๆ เครียดๆ ตาเล็กๆ รีๆ จะปิดแหล่มิปิดแหล่กับปากบางสีสวยๆ ที่ชอบทำปากคว่ำแต่เวลายิ้มแล้วโลกดูสดใส  เนื้อตัวนุ่มนิ่มเวลาเขินหรือมีอารมณ์แล้วจะขึ้นสีเรื่อไปทั้งตัว ยิ่งตอนไม่รู้จะทำยังไงน้องยิ่งดูน่ารักเพราะหน้าจะเอ๋อๆ ดูตลกดี”

“แน่ใจนะครับว่าเป็นคำชม” ผมบ่นเพราะฟังแล้วเหมือนเขาด่ามากกว่า

“ฮ่าๆ ชมสิครับ เพราะมันเป็นสิ่งที่พี่ชอบ แต่เมื่อก่อนพี่ก็ชอบนะ ตอนนั้นดูหยิ่งๆ แต่ไม่ได้หยาบคาย น้องมีแพชชั่น มุ่งมั่นทำในสิ่งที่ตั้งใจ พี่คิดว่ามันเป็นเสน่ห์ที่หาได้ยากจากเด็กอายุแค่นั้น  อีกอย่างคือน้องชัดเจน ยอมรับและแสดงออกชัดเจน เป็นแบบนี้ก็คือแบบนี้ไม่เคยแคร์สายตาใคร มั่นใจมั่นคงและที่สำคัญ น้องรักดี พี่ชอบที่น้องไม่เคยวอกแวกไปกับสิ่งล่อใจที่วัยรุ่นทั่วไปเขาลองกัน”

“อืม ค่อยเหมือนชมหน่อย” ผมยิ้มเขินๆ แล้วจูบที่แก้มเขาเบาๆ “เมื่อก่อนน้องคงโง่เกินไป มีเพชรอยู่ตรงหน้าแต่ไม่คิดจะคว้าไว้ ต้องรอให้เสียไปก่อนแล้วค่อยคิดเสียดาย” ผมลูบใบหน้าหล่อใสนั้นอย่างเบามือ พี่เวย์เป็นเหมือนของล้ำค่าที่ผมทำหายแล้วเพิ่งได้รับกลับมา

“เนมเล่าให้ฟังแล้วเรื่องที่น้องทะเลาะกันเพราะพี่ เพิ่งมารู้หลังจากที่ออกจากป่า  พี่เริ่มเข้าใจน้องมากขึ้น เมื่อก่อนน้องคงไม่กล้าที่จะกลับมาชอบพี่เพราะเผลอรับปากเพื่อนไว้แล้วว่าจะช่วยให้เขาสมหวัง” 
ผมดีใจที่พี่เวย์เข้าใจในสิ่งที่เป็นไปเมื่อก่อน 

“น้องเริ่มมารู้ใจตัวเองหลังจากเป็นพ่อสื่อให้เนมได้ไม่กี่ครั้ง เพราะทุกครั้งที่พี่ไปกับเนม น้องก็ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รู้สึกหงุดหงิดตลอดเลยครับ” ผมสารภาพออกไปตามตรง

พี่เวย์ยิ้มแล้วจูบผมเบาๆ “ได้ยินแล้วชื่นใจ” เขาชมแล้วจูบอีกครั้ง “พี่คาดหวังให้ครั้งนี้น้องเลือกพี่นะครับ แต่จะไม่กดดันถ้าน้องยังไม่พร้อม” 

ผมยิ้มหวานตอบรับคำพูดน่ารักของพี่เวย์ แต่แล้วก็หุบยิ้มแทบไม่ทัน

“แต่ว่า..ตอนนี้พี่เวย์พร้อมแล้วนะ”

ขนลุกไปทั่วทั้งตัวเพราะหลังจากพูดประโยคสุดท้าย ช่วงล่างก็ถูกบดเบียดลงมาหนักๆ 

“พี่เวย์จอมวายร้าย”

“ร้ายให้น้องรัก ก็เมื่อก่อนดีเกินไปน้องเลยไม่รัก แต่สัญญาว่าจะไม่เลวครับ แค่ร้ายนิดๆ พอน่ารัก” พี่เวย์ทำหน้าน่ารักตามที่พูดมันทำให้ผมยิ้มเขินๆ ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

“แล้วรอบนี้จะปล้ำอีกไหมครับ” ผมถามประชด

คำตอบของพี่เวย์สั้นๆ และเรียบง่าย

“ปล้ำครับ” เท่านั้นแหละ ร่างผมก็ถูกรวบตรึงในทันที

!!!!???

ผมได้แต่อ้าปากค้างและมองดูตัวเองถูกพันธนาการไปเรื่อยๆ โดยส่งเสียงฮือออกมาบ้างเพื่ออ้อนขอความเห็นใจซึ่งก็แน่ละ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย

ข้อมือซ้ายถูกเชือกที่โยงมาจากหัวเตียงด้านซ้ายพันไว้ ข้อมือขวาถูกพันไว้เช่นกันด้วยเชือกที่โยงมาจากหัวเตียงด้านขวา

“พี่พันเชือกไว้แค่หลวมๆ ถ้าน้องดิ้นจนมันหลุดพี่จะลงโทษด้วยการพาไปทำรักกันที่ระเบียงนู่น” เขากระซิบขู่แล้วขยิบตาบุ้ยใบไปที่ระเบียง จากนั้นจึงขยับลงไปมัดขาซ้ายและขวากลายเป็นตอนนี้ผมโดนขึงไว้ทั้งสี่ทิศ

“ทำไมต้องทำแบบนี้ล่ะครับ แค่แบบธรรมดาก็จะตายอยู่แล้ว” ผมตัดใจโอดครวญออกมาเพื่อร้องขอความเห็นใจ ยิ่งไม่กล้าพูดเขาก็ยิ่งได้ใจมากขึ้นทุกที

แล้วเชือกบ้าพวกนี้มันอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงไม่ทันสังเกต อยู่ๆ ก็เตรียมพร้อมไว้ขนาดนี้ พี่เวย์นี่ร้ายที่สุดเลย!

“เดี๋ยวพี่ติดกระจกบนเพดานกับรอบห้องเลยดีกว่า น้องจะได้เห็นว่าตัวเองเซ็กซี่ขนาดไหน” นั่นมันใช่ประเด็นที่ผมต้องการได้คำตอบไหมล่ะ

“พี่เวย์ใจร้าย” ผมบ่นเบาๆ ไม่กล้าว่าอะไรรุนแรง

“พี่รักน้องนะครับ อยากให้น้องมีความสุข” อยากปาคำว่า ‘ความสุขของพี่เวย์คนเดียวมากกว่า!’ ใส่หน้าพี่เวย์ ก็ดูสีหน้าท่าทางของเขาตอนนี้สิ ผมเองก็อยากให้เขาเห็นตัวเองในกระจกเหมือนกันว่าดูหื่นกามมากแค่ไหน

“อยากทำอะไรก็ทำเถอะครับ น้องไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว” อันที่จริงเป็นคำพูดประชดเพื่อให้เขาลดดีกรีความร้ายกาจลงบ้าง แต่กลายเป็นว่าเริ่มลงมือปฏิบัติกามกิจกับร่างกายของผมแบบจัดเต็มจนต้องร้องครวญครางอย่างน่าอายออกมาแทบจะตลอดเวลา

ซึ่งคราวนี้ยาวนานกว่าเดิมและผมนั้นทนไม่ไหวจนปลดปล่อยไปถึงสองรอบ สรุปแล้วในช่วงเวลาตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงหกโมงเย็น ผมถึงสวรรค์ไปห้า แต่พี่เวย์แค่สามและยังไม่รู้ว่าคืนนี้จะอีกกี่รอบเพราะไม่มีทีท่าว่าไอ้ลูกชายของเขาจะสิ้นฤทธิ์ ผมว่าพี่เวย์ต้องโด้ปยาแน่ๆ ไม่มีหรอกใครจะทำติดต่อกันนานๆ ได้ขนาดนี้ ไม่ควรมี!

“ทานข้าวเย็นได้แล้วครับ” เสียงพี่เวย์แว่วเข้ามาตอนที่ผมกำลังหลับสบาย “น้องครับตื่นมาทานข้าวก่อนแล้วค่อยนอนต่อ” ต้นขาถูกตีเบาๆ แล้วริมฝีปากก็ถูกกดแนบเข้ามา

“งืออ” ผมครางประท้วงแล้วพลิกตัวหนี “ขอนอนต่อนะครับ น้องเพลีย” ว่าแล้วก็นอนต่อไม่คิดจะสนใจเสียงบ่น

“แล้วเดี๋ยวก็จะปวดท้องอีก น้องครับ ตื่นหน่อยนะ น้อง.. ดื้อจริงๆ งั้นก็ตามใจนะแต่ถ้าปวดท้องขึ้นมาพี่จะทำโทษนะครับ”

จากนั้นผมก็ได้นอนต่อโดยไม่ถูกรบกวนอีก นอนไปได้อีกพักใหญ่ก็เริ่มพลิกตัวไปมาด้วยความรำคาญเพราะน้ำย่อยมันเริ่มทำงาน

โครกกก~~

ท้องผมร้องเสียงดังจนต้องตื่นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

“พี่เวย์ครับ น้องหิว” ผมเรียกร่างสูงที่นั่งหันหลังทำงานอยู่ที่โต๊ะ

พี่เวย์หันมาแล้วมองตำหนิ “ไปล้างหน้าล้างตาซะหน่อยครับ เดี๋ยวพี่ไปทำกับข้าวให้”

ถ้าจะดุก็ดุมาเลยน่าจะดีกว่าเพราะดุด้วยสายตาแต่คำพูดตรงกันข้ามแบบนี้ไม่รู้จะพูดคำว่าขอโทษหรือขอบคุณดี

“อาบน้ำเลยดีกว่าครับ ยังไม่ได้อาบเลย” ก็ตั้งแต่หกโมงเย็นที่ปลดปล่อยไปก็สลบยาวถึงตอนนี้ ดูนาฬิกาก็เกือบตีหนึ่ง ถ้าไม่อาบคงเน่าแน่เพราะมีแต่น้ำลายพี่เวย์เต็มตัวไปหมด

“พี่เช็ดตัวให้แล้ว ไม่ต้องอาบก็ได้” พี่เวย์เดินไปที่ประตูแล้วหันมามองอย่างเป็นห่วง แต่แล้วก็เดินไปหยิบผ้าขนหนูกับเสื้อนอนมาให้ “ถึงจะบอกว่าไม่ต้อง แต่เดี๋ยวก็ดื้ออาบอยู่ดีแต่ไม่ต้องสระผมนะ ดึกแล้ว” เขามองตาคว่ำ

รู้ใจดีนะที่จริงน่าจะรู้ด้วยว่าผมอยากได้ชั้นในมาใส่ไม่ใช่แค่เสื้อนอนผ่าหน้าตัวโคร่งแค่ตัวเดียว

“ใส่แค่นี้ก็พอครับ” อยู่ดีๆ ก็พูดแบบนี้แล้วเดินออกจากห้องไป

นี่ความคิดผมมันเดาง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ อยู่กับพี่เวย์แล้วเหมือนตัวลีบลงจากที่ลีบอยู่แล้วอีกสิบเท่า รู้สึกว่าตัวเองเป็นมดที่พี่เวย์เลี้ยงไว้ด้วยน้ำตาลเม็ดเล็กซึ่งถามว่ามันพอไหม ก็บอกเลยว่าที่สุด

อาบน้ำเสร็จก็แต่งตัวนั่งรอกินข้าว ไม่นานนักพี่เวย์ก็ยกสปาเก็ตตี้ไก่อบซอสมาให้

“หืมม หอมจัง ทำไมทำเร็วจังครับ แค่ต้มเส้นก็น่าจะเป็นวันแล้วนะ” ผมถามแล้วมองอาหารในจานตาเป็นมัน ก็ทั้งหอมและหน้าตาน่ากินจนอดไม่ได้จิ้มไก่ชุ่มซอสมาชิมแล้วร้องขึ้นแทรกพี่เวย์ที่กำลังจะตอบ “อร่อยอะ อร่อยกว่าร้านอีกครับ”

พี่เวย์งับปากที่กำลังจะตอบแล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มแทน “อร่อยก็ทานเยอะๆ”

“ทำเองหรืออาหารแช่แข็งเหรอครับ” ผมถามทั้งที่เส้นเต็มปาก

“ทำเอง เส้นก็ต้มแล้วฟรีซไว้ เอาออกมาอุ่นในไมโครเวฟ ไก่ก็ปรุงรสหมักไว้แล้ว เอาออกมาอบทิ้งไว้ในเวลาเดียวกัน ระหว่างนั้นก็เตรียมเครื่องปรุงอื่นๆ เวลาผัดเส้นก็แป๊บเดียว”

“ฟรีซไว้แล้วจะอร่อยเหรอครับ มันไม่เสียรสชาติหรือไง” ผมถามอย่างสนใจ รู้สึกติดใจการทำอาหารขึ้นมาซะแล้ว

“ก็ที่อยู่ในปากนั่นมันเสียรสชาติไหมล่ะครับ”

“อืมนั่นสินะ ที่จริงก็เหมือนกับพวกอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งแหละเนาะ” ผมคิดตามแล้วจิ้มไก่เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย

“ที่จริงถ้าต้มแล้วปรุงอาหารทันทีก็จะอร่อยกว่าแต่สำหรับคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวอย่างพี่จะมัวทำแบบนั้นลูกก็หิวตายกันพอดี” ใบหน้าพี่เวย์ตอนที่พูดถึงลูกชายดูอบอุ่นและมีชีวิตชีวาจนอดยิ้มไม่ได้

“แล้วน้องเรย์เรย์ไปไหนล่ะครับ”

“นายวรรตมารับไปตั้งแต่เมื่อวาน”

“แบบนี้พี่เวย์ไม่เหงาแย่เหรอครับ”

“นายวรรตเขาก็คิดถึงพอปิดคลินิกเย็นวันเสาร์ก็รีบมารับทันที  ที่จริงเขาอยากให้เรย์เรย์ไปนอนตั้งแต่คืนวันศุกร์ด้วยซ้ำแต่คลินิกเปิดวันเสาร์เต็มวัน เรย์เรย์ไม่ชอบอยู่คนเดียวก็เลยไม่อยากไป”  สีหน้าของพี่เวย์ดูหม่นลง ระหว่างพี่น้องสองคนนี้คงน่าจะมีอะไรขุ่นข้องหมองใจกันพอสมควร

“พี่เวย์ทานด้วยกันไหมครับ อร่อยนะ” ผมเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้บรรยกาศดีขึ้น  จิ้มไก่ยื่นไปตรงหน้ารอให้เขางับเข้าปาก
ร่างสูงมองอยู่ครู่จึงส่ายหัวแล้วส่งสายตาวิบวับมาให้ “พี่รอกินน้องดีกว่าครับ”
เท่านั้นแหละ ก้มหน้างุดหลบตาในทันทีม พี่เวย์ตอนกรุ่มกริ่มทำผมเขินแบบเวอร์วังเหมือนแกล้งทำแต่ผมไม่ได้แกล้งนะ ไม่รู้สาเหตุว่าทำไมถึงรู้สึกหวั่นไหวกับพี่เวย์ขนาดนี้ 

หลังจากทานอาหารมื้อดึกเสร็จแล้วพี่เวย์ก็ยื่นแปรงสีฟันให้ ผมก็ไปแปรงฟันบ้วนปากเสร็จสรรพแล้วมายืนซ้อนหลังดูพี่เวย์ทำงานในโน๊ตบุ๊ค

“แบบห้องไหนเหรอครับ” 

“ห้องนอนน่ะ คุณเผ่ารีเควสกระจกแต่แบบเดิมที่สรุปกันไปแล้วพี่ว่ากระจกมันยังน้อยไปนิด” พี่เวย์ทำหน้าครุ่นคิด

“ทำไมคิดว่าน้อยล่ะครับ เท่าที่ดูนี่ก็เจ็ดบานแล้วนะ” ผมทำหน้างง

“เจ็ดบานแต่มันบานเล็กไง คุณเผ่าน่าจะอยากได้บานใหญ่ๆ” พี่เวย์เซฟงานแล้วปิดคอมพาผมไปนั่งที่เตียง

“ทำไมคิดงั้นล่ะ เฮียมาเข้าฝันพี่เวย์หรือไง” ยิ่งฟังยิ่งงง พี่เวย์ไปเอาความคิดว่าเฮียอยากได้บานใหญ่ๆ มาจากไหน

“เปล่าหรอก ก็วันนั้นที่คุณเผ่าออร์เดอร์กระจก พี่จำได้ว่าเขาอยากเห็นน้องทุกมุม ตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจ แต่พอได้ทำรักกับน้องแล้วถึงได้รู้ว่าเขาน่าจะอยากเห็นทุกมุมตอนที่น้องมีอารมณ์อย่างว่ามากกว่า”

ช็อค!

ขอเวลาสตั้นสิบวินาที..

ตอนนี้ทั้งคอใบหูและใบหน้า เอาเป็นว่าทั้งตัวเลยก็แล้วกัน ร้อนวูบไปหมด  ผู้ชายพวกนี้มันอะไรกันนะ  ทำไมชอบแกล้งเวลาเมคเลิฟทุกคนเลย  โอ้ยย นี่ผมควรจะรู้สึกยังไงดีที่ผู้ชายคนใหม่รู้ใจคนเก่าและอยากทำตามที่คนเก่าตั้งใจไว้แบบตรงจุดจนเกินไปแบบนี้

“น้องไม่คุยด้วยแล้ว” ผมเดินหนีไปนั่งอีกฝั่งของเตียงแล้วมุดผ้าห่มตะแคงหนีหันหน้าเข้าข้างฝา
ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ แล้วพี่เวย์ก็เปิดไฟหัวเตียงก่อนจะปิดไฟดวงหลัก  เขาขยับมานอนชิดแทรกตัวเข้ามาในผ้าห่มผืนเดียวกัน
แล้วเลื้อยมือผ่านช่วงเอวในทันที 

“น้องไม่เข้าใจหรอกครับจนกว่าจะได้เห็น” พี่เวย์กระซิบที่ข้างหูแล้วจูบลงบนศีรษะ “บอกแล้วว่าทั้งเลื้อย ทั้งยั่ว ทั้งบด”

“พอเลยครับ!” ผมขยับหนี  “ไม่อยากเห็นหรอก อื้อพี่เวย์”
ร่างสูงตามรวบตัวจับพลิกให้หงายขึ้นส่วนร่างใหญ่ของเขาก็ขึ้นมาคร่อมไว้ด้านบน

“ได้เห็นแน่แค่ยังไม่ใช่วันนี้” พี่เวย์เริ่มเข้าโหมดหื่นอีกครั้ง “ถ้าน้องได้เห็นตัวเองรับรองร่อนหนักกว่าเดิมแน่”

ร่อน!?  ฮืออ ไม่ได้ทำแบบนั้นนะ ไม่ได้ทำเลย!



.•:*´¨`*:•.☆ ►  รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.

พี่ดอทชุ่มฉ่ำไปแล้ว หวังว่าแฟนคลับพี่ดอทจะฉ่ำชุ่มหัวใจกันพอสมควรน้า
มาลุ้นกันว่าจะหวานไปถึงกี่ตอน อิๆ

วันนี้มีเวลาทอล์ค

angelninae :  ขอบคุณที่ติดตามและคิดถึงน้าาา การติดตามและคอมเม้นต์เป็นกำลังใจที่ดีที่สุดสำหรับคนแต่งเลยค่ะ #เลิฟ

angelninae :  ตอนนี้มีเรือ 3P อยู่สองลำ ดินดอทสกาย กับ เวย์ดอทวรรต  น่าอิจฉามาดาม มากผู้หลายชายเหลือเกิน

Janemera :  สองหนุ่มจะยอมมั้ยยย จะตีกันตายซะก่อนหรือเปล่าโดยเฉพาะหมอวรรตจะลอบฆ่าพี่เวย์มั้ยย

TachibanaRain :  ตอนใหม่มายังไม่ได้ไปตาม กลัวเบื่อ(พี่ดอท) พี่ดอทดื้อไม่เกี่ยวกับนายน้อยน้าา ฮือๆ

aisen :  พี่เวย์เข้ามาลากนางออกจากห้วงทุกข์แล้วจ้าา เหลือแค่ตัวนางเองว่าจะรักษาความสุขให้อยู่ด้วยนานๆ ได้มั้ย

songte :  พี่ดอทจะกล้าเลือกทั้งคู่ไหมน้อ นางก็ผีบ้าผีบอพอสมควรน้า เดาใจจากจริงๆ

วันหนึ่ง :  เลิกทั้งคู่แล้วจะเหลือใครอ่าาาา TT

dekying kukkig : ตอนนี้นางเปิดโลกแล้วจ้าา โลกใบใหม่ของพิเวย์คนหื่น อิๆ

naruxiah :  หนึ่งหนุ่มวิศวกรรอดแล้วค่ะ เหลืออีกหนึ่งหนุ่มหมอยังลอยคอรอคอยตาปริบๆ

Duangjai :  3P คืออายัยเหยอ //ตอนนี้ดอทออกมาเจอแดดแล้ว โดนแดดเลียจนไหม้เกรียมไปโม้ดเรยยย

หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 02-12-2018 20:54:39
โอยยย   :z1: :pighaun: :jul1:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 02-12-2018 21:54:11
ตอนนี้มาฆ่าทุกตอนที่ผ่านมาเลย ยอม!! ยอมพี่เวย์ค่ะ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 02-12-2018 22:12:07
……

ตอนนี้ทั้งตอน nc nc nc. ยาวๆ. อร้ายยยยยย

พี่เวย์จัดน้องดอทซะคุ้มเลยน้าาาาา


 :hao6:  :hao7:  :katai3:  :katai2-1:  :z1:  :pighaun:  :haun4:  :jul1:  :oo1:


……
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 03-12-2018 00:47:32
กรี้ด ไม่คิดมาก่อนเลยค่ะว่าพี่เวย์จะ so damn hot ขนาดนี้ค่ะ. ฮือ หม่ไหวล้าวววววววว  :-[ :ling3: :pighaun:
ดีใจที่พี่ดอทเปิดใจแล้ว รอดูตอนเคลียร์กับหมอวรรตนะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 03-12-2018 00:57:21
นาทีนี่ต้องยอมมมมมมมมมมมมพี่เค้าแล้วจริงๆค่ะ…มาแบบท็อปฟอร์มมากกกกกกกกกกก!!! :hao7: :hao7: ทั้งดุทั้งเผ็ด(หื่น)ขนาดนี้ น้องดอทไม่กล้าดื้อแล้ววว สินสอดมาเลยก็ได้ค่ะฮือออออออออ คูงแม่ปลาทับจายยยยย//ปาดน้ำตาพร้อมกรี้ดอันหมอนนน :laugh: :jul1:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 03-12-2018 07:41:14
ขอโอกาสให้หมอวรรตของเราบ้างนะจ้ะได้โปรดนายน้อย​  พี่เวย์อดทนมานาน​ จัดทีนี่เอาซะคุ้มเลยนะ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 03-12-2018 08:13:17
พี่เวย์ตอนนี้โซแดมฮอตมากกกก
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 03-12-2018 22:19:00
ซุ่มมานานนะพี่เวย์ถึงเวลานี่จัดหนักจัดเต็มสุดๆอ่ะ แต่กับหมอวรรตนี่จะเอายังไง แอบสงสารเหมือนกันนะ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 04-12-2018 14:57:30
ตอนนี้ได้แต่ร้องคำนี้ >>>>แม้เจ้าโว้ยยยยยยยยย<<<   ฟื้นแบบจริงจังหรือยังล่ะน่ะเจ้าหญิงดอท  :haun4:  :haun4:

กังวลแค่ว่าจะมีอะไรมาสะกิดให้กลับไปเป็นคนที่มืดมนแบบตะกี้แค่นั้น
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: วันหนึ่ง ที่ 05-12-2018 11:04:45
 :katai2-1: :katai2-1: ชุ่มฉ่ำหัวใจสุดๆ  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: reverofjs ที่ 06-12-2018 20:40:12
พี่เวย์ตอนนี้จะฮอตไปไหนคะะ  :m25:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 24-12-2018 10:47:53
5p ไปเลยยยยยยย
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 18-01-2019 15:05:51
 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: itsgonnabeme ที่ 16-09-2019 22:27:19
คิดถึงพี่เวย์~~~
คิดถึงคุณคนเขียนด้วยค่า

ถ้าพอมีเวลาอย่าลืมแวะมาทักทายกันนะคะ!
ยังคงรอเสมอจ้ะ
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 22-09-2019 18:14:25
นักเขียนมาต่อเถอะนะคะ  :hao5: กลัวเล้าลบนิยายอ่า เรายังไม่รู้เลยพี่ดอทจะตกลงกับใคร นี่ยังพายเรือดอทดินสกายอยู่นะคะ กรี้ดดด   :hao6:
หัวข้อ: Re: ☆► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄☆ ตอนที่ 22 : ภาวะชุ่มฉ่ำ 《2/12/2018》P.6
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 28-11-2019 09:44:15
 :call:  :call: