{OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ แจ้งข่าวรวมเล่ม p.10
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ แจ้งข่าวรวมเล่ม p.10  (อ่าน 61057 ครั้ง)

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
อุดมการณ์สวยหรู สุดท้ายก็เห็นแก่ตัวจ้าาา อยากทยายไอกลุ่มบ้าบอนี่มาก รู้สึกไม่สงสารเลยอ่ะ มีแต่คนเห็นแก่ตัวรวมกัน สงสารจ้าววว (สิตตอนด่าจ้าวโลกสวยนี่ไม่ต่างกันเลย ละถ้าสมมุติฆ่าจ้าวแล้วจะเอาไรมาเปนตัวแทน?)

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
โอย มันเป็นความมืดครึ้ม ความทรมาน ความอึดอัดที่เหมือนหนี้

พ้นแล้ว แต่ที่จริงยังหนีไม่พ้นอ่ะ ฮือ อึดอัดแทนจ้าว  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 28
   

ผ่านไปหลายอาทิตย์จ้าวก็ยังคงอยู่ที่เดิม นัยน์ตาโศกเหม่อลอยพยายามไม่สนใจเด็กโอเมก้าหลายคนที่พยายามมาคุยกับตัวเอง ถึงแม้ประกายตาพวกนั้นจะเป็นสิ่งที่จ้าวรู้จักดีแต่ก็ไม่คิดจะสนใจ
   
เพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่ได้มีความสามารถมากพอที่จะเป็นแบบอย่างให้ใครอีกแล้ว..
   
“พี่จ้าว! ถ้าพี่ไม่กินข้าว ผมจะขโมยข้าวพี่แล้วนะ!”
   
เด็กน้อยคนหนึ่งขู่จ้าวที่ตอนนี้กลับมาผอมจนเห็นซี่โครงขึ้นจางๆ พวกเขากังวลและเป็นห่วงพี่จ้าวมาก กลัวว่าพี่จ้าวจะตายไปซะก่อน
   
“ทำไมพี่ถึงไม่ยอมกินข้าวล่ะ มันไม่อร่อยเหรอ” เด็กน้อยอีกคนพูดซึมๆ “แม่หนูเป็นคนทำเลยนะ”

“ใช่ๆ อร่อยจะตาย พี่จ้าวลองกินดูสิ สักคำก็ได้” เด็กที่โตกว่าสองคนแรกตักข้าวจนพูนช้อนแล้วยื่นไปทางพี่จ้าว “อ้ำๆ พี่จ้าว อร่อยนะ กินสิ”

จ้าวเหลือบมองก่อนจะหันหลังหนี ปฏิเสธทุกอย่างเพราะรู้ดีว่ายังไงเด็กพวกนี้ก็คงโดนกล่อมให้มาบังคับเขากินข้าวอยู่ดี ที่แห่งนี้เขาไว้ใจใครไม่ได้ด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นแค่เด็กทารกเขาก็ไม่อยากเชื่อ

เขาพอแล้ว เขาเหนื่อยแล้ว และกลัวมากด้วย

“…ช่างฉันเถอะ” ร่างผอมพึมพำเสียงแผ่วแล้วกอดตัวเองแน่น คิดถึงคนที่อยู่คฤหาสน์จนแทบขาดใจและนึกอยากให้ตัวเองโดนคุณเหมันต์ล่ามเอาไว้แทน ถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงจะเต็มใจ ต่อให้โดนล่ามจนตายเขาก็ไม่สนใจหรอกเพราะเขารู้ดีว่าคุณหมันต์ไม่มีวันทำร้ายเขา

“กินเถอะน้า พี่จ้าว คำเดียวก็ได้”

จ้าวส่ายหัว ตอนนี้เขาเศร้าจนกินอะไรไม่ลง เขาอยากจะเข้มแข็งแต่ก็เหนื่อยเหลือเกินที่ต้องพาตัวเองออกจากพันธนาการอีกครั้งและครั้งนี้ก็ยากกว่ามากเพราะเขาเป็นรองในทุกด้าน ไม่มีอะไรเลยที่เขาสามารถทำได้ เอาเข้าจริงถ้าเขาไม่มีคุณเหมันต์ช่วย ก็คงไม่ต่างกับเศษสวะไร้ค่าที่รอวันตาย

และตอนนี้เขาก็เป็นแบบนั้นอีกครั้ง

คิดถึงตรงนี้จ้าวก็ตัวสั่นเทา ทำไมเขาไม่บ้าไปสักที ทำไมเขาไม่ตายไปสักที จะได้ไม่ต้องมีความรู้สึกเจ็บปวดอีก เขาเหนื่อยจะตายอยู่แล้วที่ทำตัวเข้มแข็ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีความหวัง เขาไม่รู้จะเข้มแข็งไปทำในเมื่อทุกคนคิดว่าเขามันก็แค่ลูกไก่ในกำมือที่ไม่ว่าจะแบหรือคลายก็ตายเอาง่ายๆ นั่นแหละ เขาล่ะ อ่อนแอซะไม่มีและมันก็เป็นความจริงเสียด้วย

“อ้าว หม่ำๆ”

มือเล็กจิ๋วกระตุกชายเสื้อจ้าว พยายามเรียกร้องความสนใจ ใบหน้าเล็กน่ารักยู่นิดๆ ที่พี่จ้าวไม่แม้แต่จะหันมามองด้วยความน้อยใจตามประสาเด็กๆ เลยร้องไห้จ้าขึ้นมา

“แง้ แง้ แง้”

เสียงอันทรงพลังเสียยิ่งกว่าเสียงของจ้าวแผดขึ้นมาทำเอาจ้าวที่ยอมหันกลับมามอง เด็กน้อยจึงเงียบลงเหลือเพียงแค่สะอึกสะอื้น

“หม่ำ หม่ำ”

จ้าวมองเด็กน้อยสักนิดก่อนจะยอมหยิบขนมปังถุงที่เก็บไว้ข้างตัวขึ้นมาแกะกินเพื่อให้จบๆ ขณะที่เคี้ยวอยู่ก็มองคนคนรอบตัวด้วยความไม่เข้าใจนัก

“พวกคุณจะสนใจผมทำไม ต่อให้ผมอยู่มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก”

เกิดความเงียบครู่หนึ่งก่อนจะมีโอเมก้าวัยไล่เลี่ยกับจ้าวคนหนึ่งก้าวออกมาและนั่งตรงหน้าจ้าว “พวกเรารู้ว่านายผ่านอะไรมามาก ยิ่งโดนจับล่ามโซ่ไว้แบบนี้อีก ไม่มีใครพอใจหรอก”

นัยน์ตาโศกของจ้าวก็ยังคงเฉยชา สาเหตุที่เขามาอยู่ตรงนี้ก็เพราะทุกคนในที่แห่งนี้ไม่ใช่เหรอ จะหาว่าเขาโทษก็ได้แต่ถ้าไม่มีกลุ่มนี้ตั้งแต่แรก เขาก็คงไม่ต้องมาทุกข์ทรมานซ้ำซากตรงนี้

“พวกเรารู้ว่านายอาจจะไม่ไว้ใจพวกเราแต่อยากให้รู้ไว้นะ พวกเราเชื่อใจนาย อาจจะไม่ใช่ทุกคน แต่ฉันสาบานเลยว่าฉันคนนึงที่เชื่อใจนายว่านายไม่ว่านายจะโดนใส่ร้ายมากขนาดไหน ฉันก็ยังคงศรัทธาในตัวนาย”

“ศรัทธาไม่เคยช่วยอะไร” จ้าวหัวเราะในลำคอ “ผมไม่สนหรอกว่าใครจะคิดยังไง แต่ถ้าหวังดีกับผมจริงๆ ก็เลิกยุ่งกับผมซะ ผมไม่ตายง่ายๆ หรอกถึงผมจะอยากตายชิบหายเลยก็เหอะ”

โอเมก้าคนที่เป็นตัวแทนถึงกับหน้าเสียเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองได้ไปจี้ปมของจ้าวเข้าเสียแล้ว หากแต่เมื่อจะพูดขอโทษ เสียงโทรทัศน์ที่ถูกเปิดแทบตลอดเวลาในช่วงนี้ก็ดังลั่น

‘ข่าวด่วนค่ะ! เกิดเหตุวางระเบิดใกล้บริเวณตึกรัฐมนตรี มีผู้บาดเจ็บจำนวนมากเป็นเบต้าและผู้เสียชีวิตไม่ทราบเพศสามรายค่ะ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจและทุกหน่วยงานกำลังเร่งให้ความช่วยเหลือทุกภาคส่วน ขอให้ประชาชนทั่วไปงดออกจากบ้านโดยไม่จำเป็นค่ะ ส่วนผู้ก่อเหตุทางเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าจะเป็นกลุ่มอีกาค่ะ’

จ้าวเหลือบมองภาพความวุ่นวายในข่าวด้วยความเศร้าสลด เขาก็มีส่วนในเหตุก่อการร้ายนี้ไม่มากก็น้อย แต่ข้อความที่ส่งจากเขาตั้งแต่ข้อความแรกถึงข้อความล่าสุดล้วนได้รับความสนใจจากสื่อทั้งหมด ยิ่งข้อความหลังๆ เขาต้องเปลือยร่างแล้วสวมหน้ากากอีกาเหลือเพียงริมฝีปากและปลอกคอเหล็กที่เด่นชัดบนคอเปลือยเปล่าของเขา

เขาเป็นที่จับตามองในขนาดที่ว่ามีสื่อจับข้อความที่เขาพูดไปวิเคราะห์ทีละคำ รวมถึงข้อความที่ไม่ได้พูดแต่แสดงออกมาในทางภาพ อย่างตามร่างกายเขาบ้าง ตามภาพพื้นหลัง ข้าวของต่างๆ ที่ในขณะที่เขาพูด ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเขาเป็นสื่อกลางล้วนมีนัยยะแฝงทั้งหมด กลุ่มอีกาเมื่อรวมหัวกันนั้นก็เฉลียวฉลาดไม่แพ้นักวิทยาศาตร์หัวกะทิในนาซ่าเลยทีเดียว

และที่ฉลาดที่สุดคือการเลือก ‘จ้าว’ มาเป็นตัวแทนเนี่ยแหละ

นัยน์ตาโศกวูบไหวเพราะรู้สึกสิ่งที่ตัวเองพยายามทำมาทั้งหมด กำลังพังทลายลงมาอย่างช้าๆ ชื่อเสียง ความไว้เนื้อเชื่อใจจากสาธารณะที่เริ่มกลับมามีหายไปตั้งแต่รู้ว่าเขาเข้าร่วมกลุ่มอีกานี้ ยิ่งรอยสักบนหลังก็เหมือนเน้นย้ำว่าเขาเป็นคนของกลุ่มอีกาแน่ๆ ร้อยเปอร์เซ็น ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วมันก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญ

“คิดว่าต้องรู้สึกยังไงที่ตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับที่คนตายไปร้อยๆ คนล่ะ” จ้าวแค่นเสียงถาม “วงการบันเทิงไม่รับคนที่มีประวัติอาชญากรรมกลับไปอีกครั้งหรอกนะ”

จ้าวรู้ว่าตัวเองกำลังพาลแต่ก็อดไม่ได้ เขาเก็บกดจะตายแล้ว ไม่ได้คุยกับใครมาหลายอาทิตย์นอกจากเรื่องงานกับข้อความที่ต้องอ่าน ในหัวที่มักจะปลอดโปร่งพร้อมคิดเนื้อเพลงใหม่ๆ ตื้อตันไปหมด แม้แต่เพลงที่จะแต่งให้คุณเหมันต์ก็ยังแต่งต่อไม่ได้เลย

การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็เหมือนบั่นทอนชีวิตจ้าวอย่างช้าๆ ราวกับอีกาที่เกาะอยู่บนราวเหล็กในกรง ปีกที่แหลกละเอียดทั้งสองข้างไม่อาจนำพาให้มันโผบินออกจากกรงเช่นเดียวข้อเท้ามันที่ถูกเหล็กล่ามติดกับราวไว้เพื่อประคองตัว สิ่งที่เป็นอิสระมีเพียงเสียงร้องขัดหูที่ไม่มีใครอยากฟัง

“แต่เขาอาจจะรับนายก็ได้นะ” โอเมก้าหนุ่มพยายามพูดเสียงอ้อมแอ้ม

“บอกว่าไม่ก็ไม่สิวะ!!!” จ้าวคำรามลั่นขาดสติ พยายามตะเกียกตะกายกระโจนใส่แต่ก็ทำไม่ได้ ข้อเท้าและข้อมือถูกเสียดสีจนแผลช้ำม่วงกลับมาอีกครั้ง

แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง!

เสียงโซ่กระชากดุดันจนทุกคนรอบตัวจ้าวถอยออกอย่างหวาดผวา

“ออกไป! อย่ามายุ่งกับฉัน! ไปสิวะ!!!”

จ้าวรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้า บ้าเหมือนไอ้เหยินในคุก บ้าในขนาดที่ว่าคลุ้มคลั่งเผลอฆ่าคนตายได้! เขาในตอนนี้ก็เหมือนกับสุนัขที่ถูกล่ามคอมานานจนเก็บกดและพร้อมที่จะกัดทุกอย่างที่มากระตุ้นอารมณ์โกรธ

“ออกไป! กูบอกให้ออก!”

ถึงแม้จะรู้ว่าตัวเองพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เพราะอาศัยอยู่ในห้องรวมแต่จ้าวก็อารมณ์แปรปรวนเกินกว่าจะควบคุมตัวเองได้ ร่างกายเขาทนไม่ไหวแล้ว! เขาอยากออกไปจากที่นี่ ที่ไหนก็ได้ อยากใช้ปีกแหลกละเอียดของตัวเองในการโผบินเต็มทน ถึงแม้ว่ามันจะไม่สามารถบินได้ดีนักแต่เขาก็อยากออก

เขาคิดถึงคุณเหมันต์ใจจะขาดแล้ว!

“ว้ากก”

จ้าวตะโกนดังลั่นคล้ายกับสติหลุด ตะเกียกตะกายตะกายไปอย่างทางออกเกิดเสียงแกร๊งๆ ไม่หยุด ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่แม้แต่จะสนใจสายตาที่มองมาอย่างหวาดกลัวของโอเมก้าหนุ่มที่ปากบอกว่าศรัทธาในตัวเองแต่กลับกลัวจนหัวหด อารมณ์โกรธนั้นอันตรายและในเวลานี้ก็ปะทุออกราวกับภูเขาไฟ

หากแต่ภูเขาไฟก็ปะทุได้ไม่นานนักก่อนที่มันจะมอดลง เสียงสะอึกสะอื้นดังขึ้นแทน จ้าวหลบอยู่มุมห้องกอดตัวเองแน่น ร่างทั้งร่างเจ็บไปหมดรวมถึงหัวใจในอกด้วย

“ปล่อยผมไปสักที ฮึก”

จ้าวเหลือบมองคนที่มาอยู่เฝ้าตัวเองวันนี้ พยายามร้องขอเหมือนที่ทำทุกวัน

“ไหนพวกคุณบอกจะให้ผมไปหาหลักฐานไง จะผิดสัญญาเหรอ ฮึก ผมจะทนไม่ไหวแล้วนะ ผมจะบ้าแล้วนะ ได้ยินไหม ผมจะเป็นบ้าแล้ว ฮึก ปล่อยผมไปสักที ผมมันมีค่ามากนักรึไงวะ ให้คนอื่นทำก็ได้นี่ ผมทำต่อไปไม่ไหวแล้วนะ ฮือออ”

ร่างผอมสะอื้นจนหายใจไม่ทัน ดูน่าสงสารจนคนมองทนดูแทบไม่ได้ สิ่งที่พวกเขาทำนั้นโหดร้ายเกินกว่ามนุษย์จะกระทำต่อกันด้วยซ้ำ ไม่มีมนุษย์คนไหนในยุคสมัยนี้ที่ยังควรโดนล่ามโซ่เหมือนสัตว์แบบนี้

พวกเขารู้ว่ามันไม่ถูกต้องแต่ก็ไม่กล้าร้องขอเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงมัน กลุ่มหัวหน้านั้นถึงจะใจดีกับพวกเดียวกันเองแต่ก็เด็ดขาดเอามากๆ มีตัวอย่างมากมายที่โดนเฉดหัวออกจากกลุ่มและตายในไม่กี่วันเพราะสงครามกลางเมืองที่กำลังเกิดขึ้น แน่นอนว่าพวกเขาหวงแหนชีวิตตัวเองมากกว่าจึงยอมทำตามคำสั่งทุกอย่าง อย่างน้อยๆ ท้ายที่สุดแล้วถ้าทุกอย่างจบลงด้วยดี พวกเขาหรือโอเมก้าทุกคนจะมีชีวิตที่ดีขึ้น

“ขอร้องล่ะ ฮึก ขอผมคุยกับคุณเหมันต์เถอะนะ ฮือ ดูรูปก็ได้”

ตัวของจ้าวสั่นเทาอย่างผิดวิสัย แม้แต่นัยน์ตาโศกยังล่องลอยไม่ปกติอย่างน่าสงสาร

ใช่..

จ้าวกำลังจะกลายเป็นบ้าโดยที่ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำไป!

“…”

ผู้คุมร่างใหญ่ไม่สนใจทำหูทวนลมถึงแม้ในใจจะนึกสงสารก็ตาม ตอนนี้พวกหัวหน้ายุ่งกันมากและเขาก็ไม่อยากเพิ่มภาระงานด้วยการทำให้จ้าวคลุ้มคลั่งมากกว่าเดิมอย่างการให้ดูรูปคุณเหมันต์ ใครจะไปรู้ว่าจ้าวอาจจะคลุ้มคลั่งมากกว่าเดิมก็ได้ ขนาดพวกเขาฉีดยาระงับประสาทไปแล้ว อาการก็ยังเหมือนเดิม หนำซ้ำยังหนักขึ้นทุกวัน พวกเขาถกเถียงกันอย่างหนักถึงสาเหตุที่ทำให้จ้าวเป็นแบบนี้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเหตุผลและวิธีแก้คืออะไรแต่ก็ไม่คิดจะทำ พวกเขายังต้องใช้ประโยชน์จากจ้าวอีกมาก ยังปล่อยมือไปตอนนี้ไม่ได้

“เอามา!!!” จ้าวตะคอกทั้งๆ ที่สะอื้น “เอามา!!!” นัยน์ตาโศกแข็งขึงอย่างดุร้าย

ท่าทีของจ้าวเล่นเอาผู้คุมเผลอถอยไปหลายก้าวและพยายามเจรจา “ผมให้คุณดูไม่ได้”

“ว้ากกกกก”

แม้จะร้องไห้จนเสียงแหบแห้งแล้วแต่จ้าวก็ยังตะโกนเสียงดังลั่นโวยวาย คลุ้มคลั่งราวกับสัตว์ร้ายอีกครั้ง เสียงร้องของจ้าวนั้นแผดและโหยหวนจนน่าขนลุก พยายามตะเกียกตะกายเข้าหาผู้คุมอย่างไร้สติแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าโซ่ที่ล่ามขาและข้อมือของตัวเองไม่มีวันขาด

“โอเค ผมยอมแล้ว ผมยอมแล้ว” ขนาดผู้คุมที่เคยผ่านการฆ่าคนและเห็นคนตายต่อหน้าต่อตายังรู้สึกหวาดหวั่น รีบควักโทรศัพท์ออกมาเปิดหารูปคุณเหมันต์ให้จ้าวอย่างเร่งรีบ “นี่ครับ” พูดเมื่อเจอรูปที่คิดว่าดูดีที่สุดและยื่นให้ตรงหน้าจ้าว

ผลั่ก

โทรศัพท์ถูกปัดกระเด็นจนหน้าจอแตกร้าว เศษกระจกที่แตกบางส่วนบาดใบหน้าของจ้าวจนเลือดไหลออกชุ่มใบหน้า ดูน่าสยดสยองราวกับออกมาจากหนังฆาตกรรม จ้าวยังคงแผดเสียงตะเกียกตะกายใส่ นัยน์ตาโศกไม่มีแววตาใดๆ เหลืออยู่
ผู้คุมเห็นดังนั้นก็สะดุ้งสุดตัวเพราะเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้แล้วครั้งนึงตอนที่อัดข้อความครั้งก่อน จ้าวเจ็บปวดจนเสียสติไปชั่วครู่จนพวกเขาต้องรีบดึงสติจ้าวกลับมาก่อนที่จะเสียจ้าวไปอย่างถาวร หมอทั้งหมดที่มีในมือถูกตามตัวมาแต่ก็ได้ข้อแนะนำเหมือนกันคือให้ปล่อยจ้าวไปสักที

สิ่งที่ดึงจ้าวกลับมาได้คือเสียงของคุณเหมันต์ที่แถลงการณ์อยู่ในข่าวอย่างผิดวิสัย ใบหน้าหล่อเหลามีเค้าความเหนื่อยล้าและนอนไม่พอ นัยน์ตาสีเทาขมุกขมัวด้วยความทุกข์ที่ยากจะหยั่งถึงว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขา สิ่งที่เหมันต์กล่าวนั้นคือการประกาศตัวตนของตัวเองต่อหน้าสาธาณชนเป็นครั้งแรกและบอกกล่าวถึงความพยายามยับยั้งการขนส่งน้ำหอมโอเมก้าที่มีส่วนทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ วุ่นวายทั้งหมดในช่วงเวลานี้

ในตอนนั้นพวกเขาขอบคุณความบังเอิญที่เผลอไปเปิดทีวีเข้าพอดี ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสามารถดึงจ้าวที่เสียสติไปแล้วกลับมาได้หรือไม่

ครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาก็ได้แต่อวยพรให้พวกเขามีโชคมากพออีกครั้ง มือหนารีบกดปุ่มสัญญาณเตือนที่ติดตั้งบริเวณผนังเพื่อเรียกตัวกลุ่มหัวหน้ามาที่นี่โดยด่วน

พวกเขากำลังจะเสีย ‘ตัวแทน’ กลุ่มคนสำคัญแล้ว!

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
กลุ่มของหัวหน้าที่กำลังหัวปั่นกันอยู่หยุดชะงักแต่มีเพียงคนเดียวที่ออกจากห้องเพราะสถานการณ์ในโลกปัจจุบันย่ำแย่สุดๆ หากละสายตาไปจากโลกภายนอกไปเพียงเสี้ยววินาทีก็อาจะตกเป็นรองในพริบตา พวกเขาจึงให้คนที่ยุ่งน้อยที่สุดออกไปดูจ้าวเพื่อแก้ปัญหา

และคนที่รับหน้าที่นั้นก็คือ ‘ไอที’

หนุ่มโลกส่วนตัวสูงที่คุยกับผู้คนนับคำได้และแทบไม่เคยมีใครเห็นหน้า รู้เพียงว่าอีกฝ่ายเป็นลูกครึ่งเพราะมีนัยน์ตาสีฟ้าเท่านั้น ฮู้ดดี้สีดำที่สวมถูกเขียนข้างหลังว่า Fxxk World มันเป็นฮู้ดดี้ที่ใหญ่เกินตัวจนยาวไปถึงครึ่งเกือบเข่า อาจจะเป็นเพราะขนาดตัวที่ไม่ใหญ่นักจึงทำให้ไอดูตัวเล็กจิ๋วราวกับเด็กที่ยืมเสื้อผู้ใหญ่มาใส่
หากแต่นัยน์ตาสีฟ้านั้นกลับขัดแย้งกับรูปลักษณ์ มันเย็นชาและกร้านโลก ไม่มีใครรู้อายุที่แท้จริงของไอ แม้แต่สิตก็รู้ว่าเป็นวัยรุ่นเท่านั้นแต่ไม่รู้ว่าอายุเท่าไหร่กันแน่

ร่างเล็กลากเท้าไปยังจ้าวด้วยความนิ่งสงบแม้ว่าจะเห็นความคลุ้มคลั่งของจ้าวก็ไม่ได้หวาดกลัว เมื่อเข้าไปใกล้ตัวจ้าวก็เอ่ยปากไล่ “ออกไป”

ผู้คุมสะดุ้งสุดตัวเพราะไม่คาดคิดว่าตัวเองจะโดนไล่แต่ก็รีบตอบรับและถอยออกไปยืนรวมกับโอเมก้าคนอื่นทันที

ไอนั่งยองๆ ตรงหน้าจ้าวที่ตอนนี้นั่งสะอึกสะอื้น มือที่มักจะรัวบนแป้นคีย์บอร์ดเพื่อป้อนคำสั่งลูบหัวจ้าวอย่างอ่อนโยนและกระซิบเสียงแผ่วเบา

“ชู่ว ไม่ต้องกลัว”

สัมผัสอ่อนโยนทำให้จ้าวสงบลงอย่างน่าประหลาด นัยน์ตาโศกยังล่องลอยพยายามหาสิ่งยึดมั่นให้ตัวเองและพบว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มหัวหน้าที่มาหาตัวเอง ไม่ใช่คุณเหมันต์อย่างที่คิดจึงเบะปากเตรียมจะร้องไห้

“ฉันจะพาเธอหนีไปเอง”

“โกหก ฮึก โกหกอีกใช่ไหมล่ะ”

“ฉันไม่สนหรอกว่าเธอจะเชื่อฉันไหม แต่สำหรับฉัน ฉันคิดว่าควรจะปล่อยอีกาออกจากกรงสักที”

จ้าวกลับมามีสติชั่วครู่มองนัยน์ตาสีฟ้าด้วยความหวังอันน้อยนิด “คุณพูดจริงใช่ไหม”

“อืม แต่อดทนหน่อย สักพรุ่งนี้ฉันก็จะพาเธอไปบ้านของเธอแล้วจะหาจังหวะปล่อยเธอไป”

“คุณไม่ได้หลอกผมใช่ไหม ฮึก ถ้าหลอกผม ผมขอร้องล่ะ บอกผมตอนนี้เลย ไม่งั้น ไม่งั้นผมต้องบ้าแน่ๆ ผมไม่ไหวแล้วนะ”

“เชื่อใจฉัน” มือเล็กกระชับมือผอมของจ้าวแน่น “ฉันทนให้พวกนั้นทำร้ายนายไม่ไหวแล้ว นายทำประโยชน์ให้กับกลุ่มเรามากพอแล้ว”

จ้าวสูดหายใจลึก “ผมไม่กล้าไว้ใจคุณ ฮึก ผมกลัว”

“ฉันก็ไม่ได้ต้องการให้เธอเชื่อใจฉัน” ไอหัวเราะเสียงแผ่ว “เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เตรียมตัวดีๆ แล้วกัน ฉันรับประกันไม่ได้หรอกนะว่ามันจะสำเร็จหรือเปล่า แต่ฉันจะพยายามให้ถึงที่สุดแล้วกัน”

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณโกหกผมไหม แต่ถ้าคุณพูดจริง ผมก็ขอบคุณนะ”

ไอลูบหัวจ้าวด้วยรอยยิ้ม

“ระหว่างนี้ก็ทำใจดีๆ อย่างเพิ่งเป็นอะไรไปก่อนแล้วกัน”



สิ่งที่ไอพูดเป็นความจริง..

นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างพยายามหยิกตัวเองเพื่อยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ฝันแต่เป็นความจริง มันยากเกินกว่าจะเชื่อว่ากลุ่มคนที่ทำร้ายตัวเองมาหลายอาทิตย์จะทำตามที่สัญญา

“รีบเข้าไปเร็ว พวกเรามีเวลาไม่มากหรอกนะ”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลพูดอย่างเร่งรัดพร้อมกับผลักหลังจ้าวให้ก้าวเข้าไปบ้าน

“คะ ครับ”

จ้าวรับคำในลำคอสาวเท้าเข้าไปในบ้านที่แสนคุ้นเคย บรรยากาศร่มรื่นจากไม้ใหญ่ชวนให้สบายใจ ระเบียงไม้สีขาวที่มีเก้าอี้สองตัวพร้อมโต๊ะเล็กตรงกลางสำหรับนั่งจิบกาแฟ ชานชาลาหลังกะทัดรัดที่เขามักจะไปนั่งดีดกีตาร์เล่นตอนที่ว่างจากการทำงาน
น้ำตาคลอหน่วงในนัยน์ตาโศกเมื่อนึกถึงตอนล่าสุดที่ตัวเองมาที่มาที่แห่งนี้

มันเลวร้ายและเจ็บปวดจนไม่อยากจดจำ เขากล้าเรียกสถานที่นี้ว่าบ้านได้ยังไง บ้านต้องเป็นสถานที่ที่แสนอบอุ่นไม่ว่าตอนไหนกลับมาแล้วก็รู้สึกสบายใจสิ ไม่ใช่สัมผัสได้ถึงความเกลียดชังมากมายชัดเจนขนาดนี้

เมื่อสาวเท้าเข้าไปในบ้านหัวใจของจ้าวก็แตกเป็นเสี่ยง

รูปภาพทั้งหมดที่มีเขาหายไปหมดแล้ว ข้าวของต่างๆ ที่เขาซื้อมาประดับบ้านก็หายไปหมดจนบ้านโล่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สิ่งของที่ยังเหลืออยู่ก็เป็นรูปของพ่อแม่และจันทร์ไม่กี่รูปเท่านั้น

“เร็ว”

ไอเอ่ยเร่งรัดเมื่อจ้าวเหม่อนานเกินไป สิ่งที่ทำให้เขารีบคือต้องการทำเวลาเพราะกลัวว่าจะโดนพวกนั้นจับได้ซะก่อน ยิ่งจ้าวเสร็จไวเท่าไหร่ก็มีเวลาหนีมากขึ้นเท่านั้น แน่นอนว่าเขาใช้ข้ออ้างล้านแปดกว่าจะปลีกตัวออกมาเป็นคนคุมจ้าวด้วยตัวเองได้ พวกนั้นประหลาดใจมากที่คนที่เอาแต่จดจ่ออยู่กับคอมพิวเตอร์อย่างเขา ทำไมถึงอยากออกภาคสนามกับเขาบ้าง

แน่ล่ะ เขาเกลียดการออกภาคสนามจริงๆ แต่คราวนี้เป็นกรณียกเว้น เขาทนเห็นคนเป็นบ้าด้วยน้ำมือของตัวเองไม่ได้ โดยเฉพาะกับจ้าวที่เขาเคยเห็นรอยยิ้มสดใสมาก่อน

นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบมองแผ่นหลังผอมที่ทำตามอย่างเคร่งครัดด้วยความสงสารนิดๆ เขาก็พอจะดูออกเหมือนกันว่าบ้านหลังนี้นั้นให้ความรู้สึกอบอุ่นเจือจางมาก เหมือนกับเป็นที่สำหรับนอนมากกว่าจะเป็นบ้านคน

จ้าวขึ้นไปบันได้ตรงไปยังห้องที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับห้องของตัวเองที่ให้ความรู้สึกราวกับฟ้ากับเหว ประตูห้องของจันทร์นั้นมีป้ายประ
ดับเป็นชื่อจริงทำจากสแตนเลสห้อยอยู่ดูหรูหราเข้ากับบ้าน ส่วนห้องของเขาในทางตรงกันข้ามนั้นไม่เหลืออะไรแล้วอีกทั้งยังเหมือนโดนปิดตายไปแล้วด้วย มีแม่กุญแจอย่างน้อยสามตัวที่กลอนประตูของเขา

“ฮึก”

ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเศร้าเรื่องอะไร แต่ในอกมันเจ็บปวดเหลือเกิน เขาไม่ใช่คนในครอบครัวนี้อีกต่อไปแล้วสินะ ทำไมโลกใบนี้ถึงได้ใจร้ายกับเขานักนะ

แต่ถึงจะเจ็บปวดยังไงจ้าวก็ยังจำหน้าที่ของตัวเองได้ ร่างผอมพาตัวเองไปยังหน้าต่างริมระเบียง หยิบกระถางใบเล็กขึ้นเพื่อเอากุญแจที่ตัวเองเคยซ่อนเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว มันเป็นกุญแจห้องของจันทร์ที่เขาได้มาโดยบังเอิญและกะจะใช้ไขเข้าไปเผื่อทำเซอร์ไพรส์วันเกิดอะไรทำนองนั้น แปลกนิดหน่อยที่พอจะใช้จริงๆ กลับเป็นการใช้เพื่อตัวเขาเอง

จ้าวกลับไปไขประตูห้องจันทร์และมันก็สามารถเปิดได้อย่างง่ายดาย กลิ่นหอมดอกไม้จางๆ ในห้องมาจากแจกันที่ตั้งอยู่บริเวณหน้ากระจก เป็นดอกกุหลาบสีแดงดอกเดียวที่สดใหม่จนจ้าวหวาดกลัว

เพราะนั่นหมายถึงจันทร์ได้มาที่ห้องเร็วๆ นี้!

“ฉันจะไปดูต้นทางให้นะ จ้าว” ไอชะเง้อหน้าจากขอบประตู ไม่ตั้งคำถามอะไรทั้งนั้นเกี่ยวกับที่จ้าวค้นห้องของน้องชายตัวเองเพราะไม่ใช่สิ่งที่ไอสนใจ สิ่งเขาสนใจมีเพียงคอมพิวเตอร์เท่านั้น เอาเข้าจริงแล้วตัวเลขฐานสองสำหรับเขาแล้วมันดูเซ็กซี่กว่าผู้หญิงสวยที่เปลือยตามร้านดังเสียอีก

“…ครับ”

จ้าวตอบรับเสียงแผ่วขณะที่ขะมักเขม้นกับการค้นตู้หนังสือของจันทร์ กรีดหนังสือคร่าวๆ พยายามหาว่ามีอะไรแทรกอยู่ระหว่างหนังสือรึเปล่า เอาเข้าจริงจ้าวก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองควรจะหาอะไร เขาอยากได้หลักฐานมัดตัวจันทร์ก็จริงแต่ก็ไม่รู้ว่าในเหตุการณ์นั้นเหลืออะไรไว้ให้บ้าง ถ้าเปรียบจริงๆ ตอนนี้ก็เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทรสีดำสนิทและเขากำลังจะจมน้ำตายเพราะแทบจะไม่รู้วิธีการดำน้ำด้วยซ้ำ

แต่เขาก็จะพยายาม ต่อให้เขาต้องตายในน้ำ เขาก็ไม่สน เขาได้รับโอกาสที่จะยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะมาท้อแท้ให้เสียโอกาสเปล่า เขาเสียอะไรมามากเพื่อวันนี้

เมื่อตู้หนังสือดูจะไม่มีอะไรก็ไปรื้อโต๊ะทำงานต่อ เอกสารปึกใหญ่ภาษาอังกฤษว่าด้วยโครงการจีโนมมนุษย์ของอเมริกาถูกเปิดไว้ที่หน้าหนึ่งพร้อมถูกขีดไฮไลท์สีเหลืองเอาไว้

‘ASEXUAL’

สภาวะไร้เพศ

จ้าวขมวดคิ้วเพราะไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน มันหมายความว่ายังไง? แต่สงสัยได้ไม่นานนักก็ต้องค้นบริเวณอื่นของห้องต่อ แน่นอนว่าการค้นคราวนี้จ้าวไม่ได้สนใจจะเก็บเข้าที่เดิม ข้าวของจึงกระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมดแต่น่าเสียดายที่จันทร์เป็นคนที่มีของใช้ส่วนตัวน้อยเพราะไม่มีงานอดิเรกและสิ่งที่ชอบเป็นพิเศษ

ที่กองบนพื้นจึงมีแต่หนังสือความรู้และเอกสารต่างๆ เท่านั้น ยิ่งค้นจ้าวก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความว่างเปล่าในชีวิตจันทร์ที่ดูไม่มีความสุขเอาเสียเลย ใช้เวลาทั้งชีวิตจดจ่ออยู่กับการเรียนจนไม่รู้ว่าตัวเองมีความสุขกับอะไรกันแน่

สิ่งที่เด่นชัดที่สุดในห้องของจันทร์คือภาพที่จันทร์รับใบปริญญาแล้วพ่อแม่ขนาบข้างด้วยรอยยิ้ม ภาพนั้นคงจะเป็นภาพที่จันทร์ดีใจและรักที่สุดเลยทีเดียว

จ้าวยังคงค้นไปทุกที่ ทั้งตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงาน ใต้เตียง หรือแม้แต่ใต้พรมเช็ดเท้าจ้าวก็ไม่กล้าละเลย แต่ก็ไม่เจออะไรอยู่ดี ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่จ้าวคาดเอาไว้แต่แรก เขาไม่น่าจะหาอะไรเจอเพราะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะหาอะไร

สุดท้ายจ้าวก็มานั่งทิ้งตัวข้างเตียงพยายามครุ่นคิดว่าถ้าตัวเองเป็นจันทร์จะซ่อนความลับของตัวเองไว้ที่ไหน นัยน์ตาโศกกวาดตามองสิ่งของรอบตัวไม่เรื่อยๆ อย่างไม่เจาะจง

“!”

จ้าวเบิกตากว้างเมื่ออยู่ๆ ก็นึกภาพความทรงจำนึงออกในหัว มันเป็นภาพที่เขากับจันทร์ตอนเด็กและคุยเล่นกันว่าถ้าซ่อนของซ่อนที่ไหนน่าจะดีที่สุดและจำง่ายที่สุด ทั้งเขาทั้งจันทร์พยายามคิดอย่างจริงจังจนในที่สุดก็มาจบลงที่ภาพครอบครัว

หัวใจในอกจ้าวเต้นรัวกระหน่ำจนหูอื้ออึงอย่างตื่นเต้น เขาไม่รู้ว่าจันทร์ยังจะทำตามที่พวกเขาคิดหรือเปล่าแต่มันก็ไม่เสียหายอะไรที่จะลองดู

จ้าวหยิบกรอบรูปออกจากที่แขวนและเมื่อพลิกด้านหลังก็ยิ้มกว้างอย่างดีอกดีใจราวกับเด็กๆ รีบวางกรอบรูปลงบนโต๊ะและแกะมันออกจากกรอบรูปทันที

คิ้วบางขมวดมุ่นเมื่อพบว่ามันเป็นภาพเก่าๆ ภาพหนึ่งที่ไม่ดีสักเท่าไหร่แต่เมื่อพลิกดูเพื่อดูรูปก็ต้องตกใจเพราะว่ามันเป็นภาพรวมระหว่างเขา จันทร์ แล้วก็เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักยิ้มกว้างซึ่งยืนตรงกลาง

“…?”

อยู่ดีๆ จ้าวก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรงจนต้องครางหนักๆ นวดขมับตัวเอง คล้ายกับว่ารูปใบนั้นพุ่งเข้าไปในหัวเพื่อสะกิดความทรงจำบางอย่างที่จ้าวจำไม่ได้

หรือ.. จงใจที่จะไม่จำ

จ้าวกุมหัวตัวเองแน่นเพราะมันปวดหัวมากอีกทั้งยังรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบถล่มลงมาพร้อมกัน ทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมต้องรู้สึกแบบนั้น เพียงแต่ในใจมันเศร้า เคียดแค้น ทุกข์ระทม ทุกความรู้สึกผสมปนเปกันไปหมด

โลกทั้งใบคล้ายกับเอียงเอน จ้าวปวดหัวจนแทบไร้สติไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีเสียงฝีเท้าหนักแน่นวิ่งเข้ามาใกล้ตัวเอง และเป็นคนที่ตัวเองอย่างเจอน้อยที่สุดเสียด้วย

“จ้าว!!!”

เสียงทุ้มคล้ายกับจ้าวตะโกนดังลั่นพร้อมกับพุ่งตัวไปกระชากคอเสื้อขึ้นมาอย่างกราดเกรี้ยว นัยน์ตาโศกที่เป็นพิมพ์เดียวกับจ้าวมองแฝดพี่อย่างโกรธแค้น

“ใครใช้ให้มึงแตะรูปนั้น!!! จ้าว!!”

ไม่เพียงแค่จ้าวที่คล้ายกับเสียสติจันทร์ก็เช่นกัน รูปภาพที่จ้าวไม่แม้แต่จะมีเสี้ยวความทรงจำกับมันกลับทรงอิทธิพลเหลือเกิน

“ใคร ฮึก นั่นใคร”

อาการปวดหัวทุเลาลงแต่กลับรู้สึกเศร้าจนทนแทบไม่ไหว
   
นัยน์ตาโศกของจันทร์ลุกโชนราวกับทนฟังไม่ได้ทำให้เสียงของจันทร์นั้นแหบสูงราวกับสัตว์คำราม “มึงกล้าลืมน้องจินเหรอวะจ้าว! มึงกล้าลืมน้องสาวคนเดียวของเราเหรอวะ!”
   
ฉับพลันความทรงจำทั้งหมดที่จ้าวจงใจลืมก็กลับมา ร่างผอมช็อคไปครู่หนึ่งก่อนที่ตัวจะสั่นเทาไปทั้งร่าง นัยน์ตาโศกสั่นระริก  “ฮึก มึงจะเก็บรูปน้องไว้ทำไมวะ จันทร์”
   
รอยยิ้มบิดเบี้ยวปรากฎ จันทร์โกรธมากจนซัดกำปั้นใส่หน้าจ้าวไม่หยุด “จินนี่เป็นน้องของกู ทำไมกูต้องทิ้งรูปน้องด้วย! กูไม่ใช่มึง ไม่ใช่มึง จ้าว ที่พอน้องจะโดนฆ่าตายก็แช่งให้กูตายแทนน้อง!”
   
จ้าวสัมผัสได้ถึงเลือดที่กลบปาก อารมณ์โกรธที่พุ่งพรวดขึ้นมาทำให้จ้าวมีเรี่ยวแรงขึ้นพอที่จะขัดขืนแล้วซัดหมัดกลับใส่ใบหน้าที่เหมือนกับตัวเอง
   
“ก็มึงทำตัวอย่างนี้ไง จันทร์! กูถึงเกลียดมึง ถ้ามึงเป็นโอเมก้าแทนน้อง น้องเราก็จะไม่ตายไงวะ!”
   
“กูก็เกลียดมึงเหมือนกัน ไอ้สัตว์ รู้สึกยังไง ตอนนี้มึงเป็นโอเมก้าแล้ว ฮะๆ แช่งให้กูเป็นแต่ตัวเองเป็น ตลกชิบหายเลย ฮ่าๆๆ”
   
“หุบปาก!”
   
ตอนนี้ทั้งสองราวกับเป็นหมาบ้าไปแล้ว ผลัดกันกัดจนจมเขี้ยว สะบักสะบอมไปทั้งตัวแต่ก็ยังไม่มีใครคิดยอมแพ้เพราะบาดแผลในวัยเยาว์นั้นใหญ่เกินไป
   
พวกเขาสูญเสียน้องสาววัยสามขวบไปเพียงเพราะตรวจเพศเป็นโอเมก้า
   
ความทรงจำร่วมกันระหว่างสามพี่น้องในกาลก่อนช่างแน่นแฟ้น จันทร์จ้าวและจินมักจะหาเวลาไปเล่นด้วยกันเสมอ จ้าวกับจันทร์ผลัดกันทำตัวเป็นพี่ใหญ่พาน้องทำความรู้จักกับสิ่งต่างๆ บนโลกแทนพ่อแม่ที่เอาแต่ทำงาน อยากให้น้องได้รับความรักความอบอุ่นมากที่สุดเพื่อที่จะได้ไม่รู้ขาดหายเหมือนสองพี่น้อง
   
แต่โชคชะตาก็เล่นตลก น้องของเขาถูกตัดสินให้ตายเพราะเป็นโอเมก้าคนแรกที่เกิดขึ้นในตระกูลนฤภัทรที่ประกอบไปด้วยอัลฟ่าเท่านั้น
   
ผลั่ก!
   
“มึงฆ่าพริมทำไม จันทร์ มึงฆ่าพริมทำไมวะ!”
   
ผลั่ก!
   
“กูไม่ได้ตั้งใจเพราะมึงนั่นแหละจ้าว เพราะมึง พริมถึงตาย!”
   
ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องจึงขาดสะบั้นนับตั้งแต่วันนั้น พวกเขาต้องการคนรับผิดชอบเรื่องนี้และคนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้สำหรับจ้าวก็คือจันทร์! จึงเอ่ยคำผรุสวาทสาปแช่งไปมากมาย ก่อนที่จะมารู้ตัวทีหลังว่าไม่มีประโยชน์ที่จะโทษจันทร์ จ้าวจึงพยายามลบเรื่องจินออกจากหัวให้หมด พยายามลืมให้มากที่สุดและทำดีกับจันทร์ให้มากที่สุดเพื่อทดแทนคำพูดร้ายๆ ในอดีตของเด็กไม่รู้จักประสีประสา
   
ส่วนจันทร์รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองไม่ได้ผิดก็พยายามสุดชีวิตเพื่อทำร้ายจ้าว คำพูดจากแฝดพี่ที่เคยรักที่สุดทำร้ายจันทร์จนจันทร์ร้องไห้แทบตาย โลกทั้งใบของเขามีแค่จ้าวกับไซมอนด์และในที่สุดมันก็เหลือเขาแค่คนเดียว ความเจ็บปวดมันร้ายแรงจนกลายเป็นความโกรธแค้น เขาไม่สนใจว่าจ้าวจะพยายามง้อหรือทำดีกับตัวเองมากแค่ไหน
เพราะเขายังจำได้ทุกคำพูดของจ้าวอย่างแม่นยำ
   
ถ้าจ้าวเลือกที่จะลืม จันทร์ก็คงเลือกที่จะจำ
   
จดจำทุกอย่างที่ทำให้ตัวเองเจ็บปวดเพื่อผลักดันให้มีชีวิตต่อไป!

-------------

ตอนนี้คาดว่าจะพีคที่สุดในเรื่องแล้ว 555 ความลับที่เก็บงำมานานได้เปิดเผยแล้ว  :katai5:

ตอนนี้อาจจะทำให้คนด่าจันทร์น้อยลงและคงทำให้เกิดความไม่มั่นใจว่าควรด่าต่อไปไหม

สำหรับคนเขียนแล้วทุกเรื่องย่อมมีที่มาค่ะ การกระทำของจันทร์มันไม่ได้ล่องลอย ทำไมถึงเกลียดพี่

ทุกอย่างมันมีเหตุผลในตัวอยู่เพียงแต่ไม่มีใครรู้ก็เท่านั้น  :katai4:

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ แจกหมูคนละตัวไว้ปิ้ง  :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-07-2018 01:01:19 โดย Foggy Time »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
หน่วงมากๆ :hao5:

ออฟไลน์ lcortsess

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-3

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
สาเหตุมาจากที่น้องตายนี่เอง

ออฟไลน์ kanj1005

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
น้องตายจันทร์น่าจะโกรธพ่อแม่มากกว่านะ  กลับไปหลงเชื่อถวายชีวิต ถึงตอนนี้จะถอนตัวก็ไม่ได้ละ



ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เราก็ยังโทษพ่อแม่อยู่ดี
บ้าจริงงงงงง ทำไมเราอินขนาดนี้
สงสารเด็ก ๆ บ้านนี้อ่ะ
ยิ่งบวกกับตอนก่อนที่คุณแม่จะเสนอจันทร์ให้เหมันต์นะ
ยิ่งแบบ นั่นลูกไหมคะคู๊ณณณณ

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 29
   

‘หายไปไหน หายไปไหน หายไปไหน’
   
ประโยคเดียวที่วนซ้ำในหัวเหมันต์ไม่หยุด แววตาดุดันเมื่อมาอยู่คนเดียวสั่นระริกอย่างเจ็บปวด ด่าทอถึงความโง่เขลาของตัวเองที่ไว้ใจคนผิดเพราะไม่คาดคิดว่าคนที่เป็นลูกน้องกันมาเป็นสิบปีจะหักหลังได้ลงคอ การได้รู้ข่าวว่าคนที่ตัวเองเฝ้าประคับประคองรักษาอย่างทะนุถนอมนั้นโดนพาตัวไป ชั่วเวลานั้นเหมือนโลกทั้งใบถล่มลงไปในพริบตา
   
เขาแทบจะกลายเป็นบ้า อยากจะฆ่ามันทุกตัวที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำให้คนของเขาเจ็บปวดกว่าเดิม ยิ่งได้ยินได้เห็นจ้าวพูดประโยคข้อความในโทรทัศน์ยิ่งทำให้เขาเดือดดาล บาดแผลที่เขาเคยรักษาให้จ้าวจนจางลงกลับมาเด่นชัดอีกครั้งราวกับเพิ่งออกจากคุกมาใหม่ๆ
   
มันจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อสิ่งที่เขาพยายามทำมาทั้งหมดถูกพังลงมาด้วยคนของเขาเอง ทุกวันนี้เขามีชีวิตอยู่ด้วยความโกรธแค้น ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าความลับเรื่องเบต้าตัวเองจะแตกหรือไม่ ในเมื่อคนที่เป็นสิ่งสวยงามที่สุดในชีวิตถูกช่วงชิงไปเหยียบย่ำแล้ว เขาจะเหลืออะไรให้ใส่ใจอีก
   
ความตึงเครียดจากสถานการณ์อันไม่สงบรวมถึงความเป็นห่วงในตัวจ้าว ทำให้เหมันต์อดหลับอดนอนไม่แพ้กันใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยไรหนวด นัยน์ตาสีเทาฉายถึงความเหนื่อยล้าเสมอแม้ปากจะพูดว่าพร้อมทำงานตลอดเวลาก็ตาม
   
สงครามกลางเมืองเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรัฐบาลไม่ยอมอ่อนข้อให้กับฝูงอีกา เหล่าผู้นำอัลฟ่าหวงแหนความสะดวกสบายและหน้าตาเป็นที่สุด พวกเขาย่อมไม่อยากให้เกิดความเท่าเทียมขึ้น แม้พลตำรวจเอกโลกันต์จะพยายามยื่นข้อเสนอให้กับคณะรัฐมนตรีเรื่องการพูดคุยแต่ทุกครั้งที่พูดก็ถูกปัดตกไปทันที ตราบใดที่พวกเขายังถือไพ่เหนือกว่าก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเจรจา
   
สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายกำลังรอก็คือเวลา รอว่าฝ่ายไหนที่จะเพลี่ยงพล้ำก่อน หากเปรียบเป็นหมากรุก รัฐบาลคงกำลังวางหมากอย่างใจเย็นและแสร้งเป็นรองเพื่อที่จะได้ล้มกระดานในคราวเดียวเป็นอันจบเกม หากแต่ฝูงอีกาก็ไม่ได้โง่เขล่า พวกมันเตรียมการกันมานานพอตัวจึงสามารถวางหมากต่อรองกับรัฐบาลได้อย่างสูสี พวกเขาใช้ม้าหรือพื้นที่สื่อในการรุกไล่รัฐบาล ใช้เบี้ยแทนผู้ที่สูญเสียของทุกฝ่ายเพื่อสนับสนุนให้ม้าสามารถรุกรัฐบาลได้ง่ายขึ้น และใช้หมากตัวอื่นๆ อย่างชาญฉลาดเพื่อให้บนกระดานเหลือเพียงหมากของตัวเองเพียงฝ่ายเดียว
   
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไม่เคยง่ายสักครั้งในประวัติศาสตร์ เป็นไปไม่ได้เลยที่แค่คำพูดปากเปล่าธรรมดาๆ จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้สวยงามเหมือนในเทพนิยายได้
   
และเพราะมันไม่เคยง่ายมันจึงทำให้เหมันต์กังวลจนไม่ได้สนใจร่างกายตนเองสักนิดว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ถึงแม้มันจะไม่มากแต่ถ้าหากสังเกตดีๆ ย่อมรู้สึกได้อย่างแน่นอน
   
“สวัสดีค่ะ คุณเหมันต์”
   
หยกเอ่ยทักทายด้วยความประหลาดใจแกมดีใจเมื่อพบว่าคุณเหมันต์มาตามที่ตัวเองนัดจริงๆ เธอยิ้มอย่างประหม่าเมื่อคิดถึงสิ่งที่ตัวเองจะพูดกับคุณเหมันต์ในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
   
“มีอะไรรีบว่ามา ฉันไม่ได้มีเวลาว่างทั้งวัน” เหมันต์ไม่แม้แต่จะปรายตามอง ร่างกายที่เหนื่อยล้าเต็มทนกำลังเรียกร้องหาการพักผ่อนแต่เจ้าของร่างก็ไม่คิดจะยินยอม
   
เขาไม่สามารถนอนหลับอย่างสบายใจในขณะที่จ้าวกำลังทุกข์ทรมานได้หรอก!
   
คิดถึงตรงนี้ก็ขบกรามกรอดหงุดหงิดงุ่นง่าน นัยน์ตาสีเทารียาวขึ้นราวกับสัตว์ป่า
   
หยกเห็นภาพนั้นก็ดีใจจนเนื้อเต้น “คุณเหมันต์ตอนนี้ร่างกายคุณตอบสนองกับฮอร์โมนอัลฟ่าแล้วค่ะ!”
   
เหมันต์ขมวดคิ้ว “อืม แค่นี้ใช่ไหม”
   
ถ้าสถานการณ์ยังปกติเหมันต์คงประหลาดใจมากกว่านี้แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาจริงๆ
   
“ไม่ใช่แค่นี้ค่ะ” หยกยิ้มละมุนก่อนที่เดินเข้าไปใกล้ร่างสูงใหญ่อย่างชาวยุโรป ละเลียดมองใบหน้าที่สามารถเห็นสันกรามได้ชัดเจน ในใจลึกๆ อยากยกมือลูบมันแต่ก็กลัวจะโดนจับได้ซะก่อนจึงอดใจไว้ ใบหน้าหวานอย่างชนโอเมก้าขึ้นสีเมื่อเห็นมัดกล้ามที่ซุกซ่อนไว้หลังเสื้อสูทที่แน่นตึง

“มีอะไร” เหมันต์มองด้วยสายตาดุดันไม่เป็นมิตร เริ่มรู้สึกอะไรไม่ชอบมาพากลเพราะหยกไม่เคยเข้าถึงตัวเขาในระยะที่ใกล้ขนาดนี้มาก่อน เขามีแพทย์ประจำตัวอยู่แล้วหยกจึงไม่มีหน้าที่ที่ต้องมายุ่มย่ามกับเขาสักเท่าไหร่นอกจากเรื่องผลเลือดเบต้าที่ไม่ยอมเปลี่ยนสักที
   
“…!”
   
กลิ่นหอมยั่วยวนประหลาดชัดเจนขึ้นเมื่อหยกเข้ามาใกล้เขา เหมันต์เริ่มหายใจติดขัดเพราะมันคล้ายกับกลิ่นของจ้าว คล้ายมากจนราวกับเป็นกลิ่นเดียวกัน ฉับพลันเขาก็นึกออกว่าชิ้นส่วนจิ๊กซอที่เขาหาแทบตายมันอยู่ที่ไหน!
   
แล็บที่วิทยาการสูงส่งพอๆ กับโครงการจีโนมมนุษย์มีไม่กี่ที่และหนึ่งในนั้นก็คือแล็บบ้านเขา ไหนจะการขนส่งน้ำหอมโอเมก้าที่เขาปิดจากภายนอกทุกทางแล้วก็ยังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ อย่างน่าอัศจรรย์ใจ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่เขามองข้ามมาตลอดอีกด้วย
   
หนอนบ่อนไส้อยู่ใกล้เพียงนิด แต่เขากลับโง่เขลา ไม่เคยคิดไม่เคยรู้ไม่เคยสงสัย ทั้งๆ ที่ได้บทเรียนราคาแพงเรื่องจ้าวแต่ก็ไม่เคยฉุกคิดสงสัยคนที่ใกล้ตัวถึงขนาดรู้ความลับสำคัญของตัวเอง
   
“หยก!!!”
   
เหมันต์คำรามอย่างเดือดดาลตั้งใจจะถลาเข้าไปจับกุมอีกฝ่ายแต่ก็พบว่าขยับร่างกายของตัวเองไม่ได้ นัยน์ตาสีเทาเบิกตากว้างเมื่อเห็นเข็มฉีดยาปักอยู่ที่แขนและมันก็ฉีดทุกอย่างเข้าไปแล้วโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว
   
ร่างกายเขาสั่นระริกราวกับหนาวสั่นแต่อุณหภูมิในร่างกลับเดือดดาล เขาหอบหายใจหนักรู้สึกกระสันจนปวดไปทั้งตัวโดยเฉพาะบริเวณนั้นที่ปวดจนทนแทบไม่ได้
   
“หยกชอบคุณเหมันต์นะคะ”
   
หยกหน้าแดงลูบใบหน้าคมคายของนายเหนือหัวตัวเองอย่างเผลอไผล
   
“อย่ามายุ่งกับฉัน” หมาป่าหนุ่มคำรามกรอดอย่างดุร้ายแต่หยกก็ไม่คิดจะกลัว เธอมองเหมันต์ด้วยสายตาลึกซึ้งที่ซุกซ่อนมาตลอดหลายปี เธอรู้ว่าเหมันต์รู้แต่ก็ไม่คิดจะสนใจ สิ่งที่ทำให้เธอและเหมันต์ยังพูดคุยกันก็เพราะเรื่องงานเท่านั้น
   
แต่แล้วยังไงล่ะ เธอก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รักตอบแทนกลับมาซะหน่อย ยิ่งเห็นสายตาที่เหมันต์มองจ้าว เธอก็ตระหนักถึงสถานะของตัวเองดี
   
“ต่อไปนี้คุณเหมันต์ไม่ต้องรับฮอร์โมนอัลฟ่าแล้วนะคะเพราะร่างกายคุณสามารถผลิตเองได้แล้ว” หยกยิ้มเศร้าๆ “หยกก็อยากอยู่ถึงตอนที่คุณเป็นอัลฟ่าเต็มตัวนะ แต่ตอนนี้หมดเวลาแล้ว”
   
“เธอ.. ฉีดอะไรให้ฉัน”
   
เหมันต์แค่นเสียงถามอย่างยากเย็น
   
“น้ำหอมโอเมก้าแบบพิเศษค่ะเพราะหยกรู้ว่าแบบทั่วไปไม่มีผลกับคุณ” หยกยิ้มนิดๆ แกล้งแตะลงบนแขนเหมันต์ก็พบว่าอีกฝ่ายสะดุ้งสุดตัวอีกทั้งตัวสั่นระริกราวกับหมาติดสัด
   
“..จ้าว เธอใช้เลือดจ้าวใช่ไหม”
   
“ใช่ค่ะ” หญิงสาวหัวเราะเสียงแผ่วไม่แปลกใจในความแม่นยำของเหมันต์นัก “ฉันมีข้อเสนอให้คุณ”
   
“…อะไร”
   
“นอนกับฉันแล้วฉันจะบอกว่าจ้าวซ่อนตัวอยู่ที่ไหนค่ะ”
   
หยกรู้ดีว่าจ้าวคือตัวแปรหลักสำหรับเรื่องทั้งหมดของเหมันต์รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายด้วย ร่างกายที่จืดชืดตายด้านมานานค่อยๆ มีปฎิกิริยาขึ้นมาเมื่อเหมันต์รับจ้าวมาดูแล เดิมทีร่างกายของเหมันต์ก็แสดงอัตลักษณ์ของอัลฟ่าพิเศษอยู่แล้วเพียงแต่ยังไม่ออกมาทางผลเลือดสักที เธอจึงพยายามหาสิ่งกระตุ้นควบคู่กับการให้ฮอร์โมนอัลฟ่ามาตลอด ทั้งฮอร์โมนโอเมก้าของเธอเอง ทั้งฮอร์โมนของโอเมก้าทั่วไป แต่มันก็ไม่เคยเกิดผล ร่างกายของเหมันต์ประสาทสัมผัสตายด้านราวกับคนอายุหกสิบ น้ำหอมฟีโรโมนที่เธอพยายามแทบตายในการผลิตจึงไม่มีผลต่อเหมันต์เลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งๆ ที่กับอัลฟ่าคนอื่นแค่กลิ่นนิดเดียวก็วูบไหวแล้ว
   
“..ไม่” เหมันต์แค่นเสียงพูดอย่างโกรธเคือง “ครอบครัวฉัน ดูแลเธอตั้งแต่เด็ก.. ทำไม ถึงทำแบบนี้” แม้จะรู้สึกกระหายอยากแต่ร่างสูงก็ไม่คิดจะเอาหยกมาเป็นที่ระบายอารมณ์ เขายอมทรมานแบบนี้จนตายดีกว่าที่จ้าวมารู้ทีหลังว่าเขาไปทำอะไรๆ กับคนอื่น
   
“คุณไม่ใช่โอเมก้า คุณไม่เข้าใจหรอกคุณเหมันต์” หยกยิ้มเศร้าสร้อยลูบใบหน้าคมอย่างอาลัยอาวรณ์ “พวกเรากระหายอิสรภาพ ใครก็รู้ทั้งนั้นว่าฆ่าคนเป็นความผิดร้ายแรงแต่เราก็ไม่มีทางเลือก พวกอัลฟ่าไม่คิดจะฟังสัตว์ที่เห่าไปวันๆ อย่างเราหรอก”
   
“… บอกฉันที ว่าจ้าวอยู่ไหน”
   
เหมันต์ไม่ได้สนใจสิ่งที่หยกพูดนักเขาเป็นห่วงจ้าวเหลือเกิน ไม่รู้ว่าคราวนี้กลับมาจ้าวจะยังสามารถยิ้มได้แบบเดิมไหม เขากลัวที่จะรอยยิ้มเศร้าๆ ของจ้าวเหลือเกิน ถึงจ้าวจะสนิทใจยอมเปิดเผยหลายๆ เรื่องให้เขาแต่เขาก็กลัวที่จ้าวจะคิดสั้นอีกครั้ง ของแบบนี้เมื่อมีครั้งแรก ครั้งอื่นๆ ที่ตามมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
   
“..คุณไม่รับข้อเสนอฉัน ฉันก็บอกไม่ได้หรอก มันไม่คุ้มค่ากับการเสี่ยง” หยกหัวเราะแผ่วเบาก่อนที่จะผละออกไปหยิบกระเป๋าสะพายที่บรรจุน้ำหอมล็อตสุดท้ายในแล็บไว้เต็มกระเป๋า ซึ่งน้ำหอมคราวนี้ก็เข้มข้นรุนแรงกว่าทุกครั้งเพราะใช้ฮอร์โมนของอัลฟ่าพิเศษ
   
“..ขอร้องล่ะ” แววตาสีเทาของเหมันต์สั่นระริก “จ้าวอยู่ไหน”
   
หยกเม้มปากก่อนที่จะส่ายหัว “ฉันบอกคุณไม่ได้” เธอหันมามองเหมันต์ครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเดินออกไปอย่างไม่ไยดีเพราะถ้าหากยืนนานกว่าเดิมเธออาจจะบังคับให้คุณเหมันต์มีอะไรกับตัวเองก็เป็นได้และแน่นอนว่าเธอไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ครอบครัวของคุณเหมันต์ดีกับเธอมาตลอดและเธอก็ทรยศมันไม่ได้
   
แค่เธอกล้าปลีกตัวออกมาเข้าร่วมกับกลุ่มอีกาก็นับว่าเต็มกลืนแล้ว แต่มันก็คงจะดีกว่าเห็นคนที่ตัวเองชอบมาไปรักคนอื่น ถึงเวลานั้นเธอคงเจ็บปวดจนทนไม่ได้มากกว่านี้
   
มือบางลูบท้องตัวเองอย่างอ้อยอิ่ง นึกเสียดายนิดหน่อยที่โดนปฏิเสธอย่างไยดีเพราะถ้าหากเหมันต์ตกลงและยอมทำมันขึ้นมา เธอคงจะดีใจมากเพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่เธอตกไข่พอดี หากได้เลี้ยงลูกของคุณเหมันต์ก็คงจะทำให้เธอมีความสุขไม่น้อย ต่อให้ไม่ได้ครอบครองหัวใจแต่ได้ดูแลเลือดเนื้อเชื้อไขของอีกฝ่ายก็ยังดี
   
เธอไม่สนใจหรอกว่าพ่อของเด็กจะรักเธอไหม ขอแค่ได้รับความใจดีสักนิดเธอก็พอใจแล้ว


   

“ฮึก ทำไมมึงต้องเกลียดกูขนาดนี้วะ จันทร์ กูรักมึงมากนะ ฮึก”
   
ในที่สุดจ้าวก็หยุดต่อยจันทร์ มองใบหน้าที่ละม้ายตัวเองด้วยความเจ็บปวด
   
“กูยอมรับว่าตอนนั้นกูพูดไม่ดี ถ้ามึงโกรธกูขนาดนั้น ทำไมไม่บอกกูวะ ฮึก เออ กูมันเลว กูยอมรับ แต่กูก็ไม่อยากให้มึงเกลียดกูขนาดนี้นี่หว่า เราเป็นพี่น้องกันนะ”
   
นัยน์ตาโศกที่อยู่หลังแว่นสั่นระริกเจ็บปวดไม่ต่างกัน
   
“มึงไม่เข้าใจหรอกจ้าว มึงน่ะ ได้ทุกอย่างไปหมดแล้ว มึงไม่เข้าใจกูหรอก ฮึก”
   
จันทร์ครวญครางออกมาอย่างเจ็บปวด เนื้อตัวสั่นสะท้านไปทั้งตัว แม้จะไม่มีบาดแผลที่มองเห็นบนร่างได้ชัดเจนเหมือนจ้าวแต่กลับมีบาดแผลเหวอะหวะภายในใจเต็มไปหมด
   
“พอมึงเกลียดกู มึงก็สั่งให้คนอื่นไม่คบกูตาม ฮึก มึงรู้ไหมว่ากูต้องทนอยู่คนเดียวตั้งแต่เด็กจนโต กูคุยกับคนอื่นไม่เป็น กูไม่รู้จะเข้าหาคนอื่นยังไง มึงรับผิดชอบได้ไหมล่ะ จ้าว”
   
เรี่ยวแรงมหาศาลที่จับคือเสื้อจ้าวตกลง จันทร์คู้ตัวฟุบสะอึกสะอื้นบนพื้นอย่างอดไม่ได้ ไหล่ที่เหยียดตรงเสมอตอนนี้แหลกเหลวเป็นน้ำไม่เหลือเค้าความเข้มแข็งใดๆ อีก
   
“ฮึก พ่อกับแม่ก็สนแต่มึง มึงทำอะไรก็เด่นก็ดังไปหมด แล้วกูล่ะ กูทำอะไรได้บ้าง ฮึก หัวมึงก็ดีกว่ากู สอบได้คะแนนดีกว่ากู พอกูตั้งใจอ่านหนังสือแล้วสอบเข้าหมอได้ก็ไม่เห็นมีใครดีใจกับกูเลย”
   
จันทร์สะอื้นจนเสียงแหบกอดตัวเองแน่น พยายามประคับประคองตัวเองเพราะไม่เคยมีใครคิดจะยื่นมือเข้ามาช่วยอยู่แล้ว
   
“กูถามอะไรอย่างนะจ้าว ฮึก มึงฆ่าไซมอนด์ใช่ไหม มึงเอาไซมอนด์ไปทำไมวะ ฮึก มันเป็นแมวนะ มึงทำมันลงได้ยังไง”
   
จวบจนถึงตอนนี้จันทร์ก็ยังคิดถึงเจ้าแมวสีส้มเปรอะของตัวเองทุกลมหายใจ มันอยู่กับเขาเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุกครั้งที่เขาร้องไห้ไม่ว่าจะเรื่องอะไร มันจะถูไถออดอ้อนเลียหน้าเขาราวกับปลอบประโลมตามประสาแมว
   
จ้าวเม้มปากแน่นกลั้นสะอื้นก่อนจะพยักหน้า
   
เพียงเท่านั้นแพทย์อันดับหนึ่งชื่อดังของประเทศไทยก็สะอื้นหนักกว่าเก่า ร่างกายที่สูงใหญ่จากการออกกำลังกายไม่ได้ทำให้จันทร์ดูเข้มแข็งขึ้นเลย มันกลับกลายเป็นแค่เปลือกนอกที่ใช้หลอกตาผู้คนเท่านั้นเพราะความจริงแล้วจิตใจเจ้าของร่างนั้นก็ไม่ได้ต่างไปจากเด็กนัก
   
“กูไม่ได้ฆ่ามัน จันทร์ กูไม่ได้ฆ่า” จ้าวไม่กล้าแม้แต่จะแตะตัวน้อง ลืมความเคียดแค้นของตัวเองไปแทบหมดเมื่อรับรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของเรื่องราว “กูเอามันไปฝากไว้กับไอ้เต้อแต่ไอ้เต้อลืมเอาเข้าบ้านมันเลยโดนหมาจรจัดกัดตาย”
   
“แล้วมันต่างอะไรจากเดิมวะ จ้าว” จันทร์หัวเราะในลำคอ “แค่มันไม่อยู่ กูก็ไม่เหลือใครแล้วไง ฮึก สะใจมึงรึยังล่ะจ้าว กูไม่ได้ฆ่าจินแต่มึงก็โทษว่ากูฆ่าจนทำกูเป็นแบบนี้ พอใจรึยังวะ”
   
“กูยอมรับว่ากูผิดเรื่องนี้แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่ามึงมีสิทธิ์มาทำกับกูแบบนี้ป่ะวะ” จ้าวกระชากปลอกคอเหล็กบนคอแล้วตวาดใส่ “ฮึก ถ้ามึงจะเอากูไปอยู่ในคุก มึงฆ่ากูยังดีกว่าอีก มึงเคยเหมือนตายทั้งเป็นทุกวันไหมล่ะ กูเป็นแบบนั้นแหละ กูโดนเหยียดหยาม กูจะโดนข่มขืน เฮียสามตายเพราะจะมาเยี่ยมกู อะไรเยอะแยะเหี้ยๆ มากมายเกิดขึ้นเพราะกูจนกูอยากจะตายแม่งทุกวัน”
   
“กูรู้สึกแบบนั้นตั้งแต่ที่มึงเอาไซมอนด์ไป” จันทร์สบกับนัยน์ตาโศกที่เหมือนกับตัวเองไม่ผิดเพี้ยน “จนถึงตอนนี้กูก็ยังรู้สึก ขนาดกูทำให้มึงตกต่ำแล้วกูก็ยังไม่รู้สึกดีใจเลย กูรู้ว่ากูไม่ได้มีความสุขจริงๆ หรอกที่ทำแบบนี้ แต่ถ้ากูไม่ทำ กูจะเกิดมาเพื่ออะไรวะ พ่อแม่เขายังไม่เห็นกูในสายตาเลยขนาดกูพยายามชิบหายขนาดนี้”
   
“แล้วมึงฆ่าพริมทำไม”
   
น้ำเสียงของจ้าวอ่อนลงมากเพราะสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดไม่ต่างกัน ทั้งๆ ที่พวกเขาเป็นฝาแฝดที่มีสายเลือดเดียวกันกลับผลัดกันทำร้ายกันไม่หยุดไม่หย่อน เขาแทงจันทร์บ้าง จันทร์แทงเขาบ้าง บาดแผลฉกรรจ์เกิดขึ้นเต็มตัว ทั้งๆ ที่พวกเขาทั้งสองเคยรักกันมากมาก่อน
   
เพราะอะไรกันนะ..
   
นายแพทย์หนุ่มผลุดลุกขึ้นนั่งและหัวเราะฝาดเฝื่อน อารมณ์โกรธแทบจะหายไปหมดเพราะความเศร้าที่กัดกินอยู่ในอกนั้นมากเกินกว่าจนทนได้ “เพราะมึงนั่นแหละจ้าว”
   
“..กูไม่เข้าใจ”
   
จันทร์มองหน้างุนงงของจ้าวแล้วหลุดหัวเราะออกมาและนั่นทำให้จ้าวประหลาดใจเอามากๆ เพราะเขาไม่เคยเห็นจันทร์หัวเราะอย่างจริงใจมานานมากแล้ว บรรยากาศในห้องที่เดือดพล่านราวกับอยู่กลางสงครามทุเลาลงเหลือเพียงบรรยากาศตึงเครียดจางๆ ไม่โหดร้ายนัก
   
“..วันนั้นกูตั้งใจจะเซอร์ไพรส์วันเกิดพริมก่อนที่มึงจะมา”
   
นัยน์ตาโศกที่อยู่เบื้องหลังแว่นทอดมองออกไปไกลราวกับกำลังจ้องมองภาพในอดีตของตัวเองอยู่
   
“มึงจำตอนที่กูโทรเช็คมึงได้ไหม นั่นแหละ กูโง่เผลอเปิดลำโพงไง พริมเลยรู้ว่ากูอยู่แล้วไล่กูออกจากห้องแต่กูไม่ยอม พริมเลยจับกูยัดอยู่ในตู้เก็บของในห้องรับแขก”
   
“..มึงชอบพริมเหรอ จันทร์” จ้าวถามเสียงแผ่ว เขายังจำช่อกุหลาบสีแดงสดในมือจันทร์ได้ดี
   
“อืม” จันทร์พยักหน้าเบาๆ พูดอย่างผ่อนคลายแต่จ้าวกับสังเกตเห็นความปลงตกที่ซุกซ่อนอยู่ในนัยน์ตาโศก “กูอยู่ในนั้นจนถึงตอนที่มึงมา โอเค กูรู้อยู่แล้วล่ะ ว่าพริมชอบมึงแต่มึงไม่ได้ชอบพริม ตลกไหมวะ กูกับมึงหน้าเหมือนกัน กูชอบพริมแต่พริมเสือกไม่ชอบกู ฮะๆ”
   
ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่ตลกแต่จ้าวก็หัวเราะตามเสียงแผ่ว ลุกขึ้นนั่งขยับเข้าไปใกล้จันทร์และหยิบมือสากเรียวขึ้นมากุมไว้แน่น อีกฝ่ายกระชับมือกลับแล้วหัวเราะเพราะตอนเด็กๆ ทั้งเขาและจันทร์มักจะทำแบบนี้อยู่เสมอ เวลาที่มีเรื่องไม่สบายใจ
   
“เหมือนพริมจะจงใจแสดงออกให้ชัดว่าชอบมึงก็เลยทำตัวเกินๆ เยอะๆ กับมึง เพื่อที่จะให้กูเจ็บ เออแม่งได้ผลว่ะ กูเจ็บจริง เจ็บชิบหายเลยตอนที่พริมหอมแก้มมึงก่อนกลับบ้าน” จันทร์ยังคงหัวเราะแม้มันจะไม่ตลกเลยก็ตาม ราวกับสูญเสียการควบคุมอารมณ์ปกติไปแล้ว “พอมึงกลับไป พริมก็ให้กูออกจากตู้แล้วพูดเยาะเย้ยกู เขาบอกว่ากูไม่มีวันเทียบกับมึงได้ กูมันเป็นไอ้เด็กเนิร์ดที่วันๆ เอาแต่เรียนไม่ทำห่าอะไร เพื่อนก็ไม่มี สังคมก็ไม่มี จะคบไปให้ได้เหี้ยอะไร”
   
จันทร์มองจ้าวแล้วยิ้มกว้างออกมา “ตลกดีที่พริมพูดแม่งเป็นความจริงหมดว่ะ เทียบกับมึงแล้วกูไม่มีอะไรดีเลย กูตอนนั้นโคตรเจ็บเลยจะขอตัวกลับบ้าน แต่พริมแม่งกวนตีนหยิบมีดขึ้นมากวนตีนกู บอกคนอย่างกูไม่มีวันสู้มึงได้ ต่อให้กูพยายามจนตายก็ไม่ได้เศษเสี้ยวของมึง!”
   
น้ำตาคลอเบ้าของนายแพทย์หนุ่ม จันทร์สะอึกสะอื้น “เออ กูรู้อยู่แล้ว ว่ากูมันกาก แต่ทำไมต้องซ้ำเติมวะ แค่แต่ละวันกูก็เจ็บจะตายห่าอยู่แล้วจะมาซ้ำเติมทำไมกันอีก พอกูจะหนีพริมแม่งก็ตามแกล้งเอามีดจี้กูเหมือนจะแทง บอกว่ากูอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ บนโลกนี้มีคนที่ชื่อจ้าวคนเดียวก็พอแล้วไม่จำเป็นต้องมีจันทร์หรอก”
   
มือสากลูบเอวตัวเองที่เป็นรอยแผลเป็นจนถึงวันนี้อย่างเจ็บปวด “พริมแทงกู! เหมือนอยากจะฆ่ากูให้ตาย ฮึก เลือดบนพื้นไม่ได้มีแค่เลือดมึงหรอกจ้าว มันมีเลือดกูด้วย กูโกรธเลยสู้กลับเผลอเอามีดแทงพริมคืนจนแม่งตาย กะ กูไม่ได้ตั้งใจปะวะ ฮึก เพราะมึงนั่นแหละจ้าว เพราะมึง พริมถึงจะ จะฆ่ากู กูไม่ได้ผิดซะหน่อย ฮึก ทำไมกูต้องติดคุกเพราะมึงด้วยล่ะ”
   
น่าแปลกที่พอรับรู้ความจริงที่เกิดขึ้นจ้าวกลับไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นเท่าที่ควร
   
เพราะเขารู้ตัวดีว่าตัวเองก็ทำร้ายจันทร์มากไม่พอแพ้กัน
   
แขนผอมที่เต็มไปด้วยรอยช้ำและบาดแผลยกขึ้นโอบกอดน้องชายตัวเอง ขนาดตัวที่ต่างกันเป็นอุปสรรคนิดหน่อยแต่จ้าวก็พยายามลูบหัวของจันทร์ที่ถูกเซ็ตมาอย่างดีตามนิสัยเนี๊ยบจัดให้ยุ่งเหยิง
   
น้องของเขาโตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ…
   
นัยน์ตาโศกคลอด้วยน้ำตา จ้าวสะอึกสะอื้นกอดจันทร์แน่นเช่นเดียวกับจันทร์ที่กอดจ้าวแน่นด้วยความไม่เข้าใจตัวเองนัก ทั้งๆ ที่คิดว่าเกลียดแทบตายจนไม่สามารถเผาผีกันได้
   
ใบหน้าที่ซุกอยู่ที่ไหลจ้าวบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวดเมื่อกอดพี่ชายตัวเองกลับและพบว่าผอมแห้งจนแทบเหลือแต่กระดูก หากร่างกระชากเสื้อออกคงไม่วายเห็นกระดูกไหปลาร้าที่พยายามแทงยอดออกจากผิวหนังบางๆ ที่กั้นอยู่
   
“ฮึก พี่ขอโทษ จันทร์”
   
จ้าวสะอื้นกอดน้องชายของตัวเองแน่น นึกเสียใจในความโง่เขลาของตัวเองที่ทำให้เรื่องทั้งหมดกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เขาไม่ควรโทษจันทร์เพราะจันทร์ไม่ได้ผิด
   
เพราะคนที่ผิดจริงๆ คือพ่อกับแม่พวกเขาต่างหาก…
   
กอดกันจนหนำใจจันทร์ก็ผละออกแล้วหัวเราะให้จ้าวพร้อมกับฉีกยิ้มเล็กๆ อย่างเหนื่อยล้า
   
“…แม่งแย่ว่ะ ว่าไหม จ้าว”
   
จ้าวกำลังจะตอบก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นไม้ท่อนใหญ่ทุบเข้าที่หัวของน้องตัวเอง จันทร์นอนแน่นิ่งไปทันที ใบหน้าที่เพิ่งแย้มยิ้มให้เขาในรอบหลายสิบปีแนบอยู่กับพื้นไร้ท่าทีตอบรับใดๆ อีก
   
“เป็นอะไรไหม จ้าว”
   
จ้าวเงยหน้าขึ้นมองคนลงมือด้วยอารมณ์ไม่ค่อยดีนักแต่ก็พอจะเข้าใจได้ถึงสาเหตุที่ทำ
   
“ผมโอเค”
   
ร่างผอมจัดน้องของตัวเองให้นอนท่าทางสบายๆ และหยิบหมอนบนเตียงมารองหัวให้
   
“เราต้องรีบจ้าว เวลาเราเหลิอน้อยแล้ว” ไอทีไม่ได้ใส่ใจอะไรจันทร์นักรีบลากตัวจ้าวออกจากห้องทันทีแน่นอนว่าจ้าวพยายามขัดขืนแต่ร่างกายที่เพิ่งใช้พลังในการต่อสู้ระยะประชิดและร้องไห้ไปทำให้จ้าวอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง
   
เดินมาหยุดที่หลังบ้านที่เคยจอดชาโคลว์ไว้ ไอทีก็หยุดเดินแล้วถอดเสื้อฮู้ดสุดรักของตัวเองออกมาคลุมตัวจ้าวก่อนที่จะเอื้อมมือไปจัดการกับปลอกคอเหล็กบนคอจ้าว
   
“กลั้นหายใจนะ” พูดเสียงกระซิบเมื่อเห็นว่าจ้าวทำตามก็รีบใช้วัสดุพิเศษที่ขโมยมาจากแผนกวิจัยตัดปลอกคอเหล็กของจ้าวให้แยกเป็นสองส่วนได้อย่างง่ายดาย
   
จ้าวเบิกตากว้างลูบคอตัวเองอย่างตื่นตระหนก รู้สึกไม่คุ้นชินเลยสักนิดเมื่อปลอกคอที่ล่ามตัวเองไว้ตลอดถูกปลดออก มันให้ความรู้สึกดีกว่าที่คิด ราวกับว่าเขาเป็นอิสระจากเรื่องทั้งปวง
   
แน่นอนว่าจ้าวดีใจจนเนื้อเต้นแทบจะร้องไห้ เขาตอนอยู่ในคุกตะกุยคอพยายามดึงมันออกแทบตายก็ไม่แม้แต่จะสร้างรอยขีดข่วน แต่ในตอนนี้เขาสามารถเอามันออกได้แล้ว…
   
“คุณช่วยผมทำไม”
   
ไอทียิ้มนิดๆ อย่างหาได้ยากก่อนจะยีหัวจ้าวอย่างเอ็นดู นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างเมื่อเพิ่งสังเกตเห็นใบหน้าของเจ้าหนุ่มแฮ็คเกอร์ลึกลับเป็นครั้งแรก ไอทีดูดีและหน้าเด็กมากจนคาดเดาอายุได้ยากแต่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคือบนลำคอที่มีปลอกคอเหล็กสนิมเขรอะที่คาดว่าจะเป็นรุ่นเก่าเมื่อหลายสิบปีก่อนที่ใช้ล่ามคอเหล่าโอเมก้าที่ต้องโทษหนัก
   
“ฉันก็เหมือนเธอจ้าว” ไอทียิ้มจนตาหยี “โดนคดีโง่ๆ ที่ตัวเองไม่ได้ทำ”
   
“…ขอบคุณที่ช่วยผมนะครับ” จ้าวแทบจะร้องไห้อีกรอบเพราะไม่คิดว่าจะเจอคนที่ใจดีกับตัวเองนอกจากคุณเหมันต์บนโลกนี้อีก
   
“ไม่เป็นไร แล้วก็นี่” มือเรียวหยิบกล้องขนาดเท่าฝ่ามือมาวางบนมือจ้าว เมื่อเห็นนัยน์ตาโศกมองมาอย่างงุนงงก็อธิบาย “ฉันอัดคลิปที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ไว้ตั้งแต่แรก เธอจะเอาไปทำอะไรก็ได้ ถือว่าเป็นคำขอโทษจากฉันที่สกัดจันทร์ไว้ไม่ทันแล้วกัน”
   
“…ขอบคุณครับ”
   
จ้าวยอมรับว่าถ้าหากเป็นเมื่อก่อนคงจะดีใจมากที่ได้หลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองสักทีแต่ตอนนี้กลับไม่รู้สึกแบบนั้น เขาเริ่มลังเลและไม่รู้จะทำยังไงกับมันดี
   
Rrrr
   
ไอทีสบถทันทีเมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและพบว่าใครโทรมา มือรีบผลักมือตัวจ้าวไปนั่งบนมอเตอร์ไซด์คันเก่าของตัวเองและยื่นกุญแจรถให้อย่างไม่คิดเสียดาย
   
“รีบไปซะ ก่อนที่พวกนั้นจะรู้ตัว”
   
จ้าวรู้ดีว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลามาพิรี้พีไรเกรงใจ หยิบหมวกกันน็อคขึ้นมาสวมกล่าวขอบคุณซ้ำอีกครั้งก่อนจะรีบบิดออกจากลานจอดรถด้านหลังบ้านทันที พยายามเพิ่มความเร็วเมื่อลัดเลาะออกทางหน้าบ้านแล้วมีคนที่ของฝูงอีกามายืนดักรอ
   
และต้องขอบคุณชาโคลว์ที่ทำให้จ้าวเป็นเด็กแว๊นมาแต่ไหนแต่ไรจึงสามารถซิ่งผ่านได้อย่างง่ายดาย
   
แฮ็คเกอร์หนุ่มมองตามหลังไวๆ นั่นด้วยความรู้สึกขบขันนิดๆ พอได้ยินเสียงฝีเท้าที่วิ่งเข้ามาก็แกล้งสลบบนพื้นโดยไม่ลืมที่จะทำให้เหมือนหัวแตกด้วยเลือดที่เตรียมมา
   
“เร็ว!! หัวหน้าบาดเจ็บมาช่วยกันหามเร็วเข้า!”
   
ร่างผอมทำตัวปวกเปียกไร้สติและเหล่าลูกน้องก็เชื่ออย่างง่ายดายโดยไม่ครุ่นคิดสักนิดว่านี่อาจจะเป็นการแสดงหลอกๆ ของใครบางคน
   
รอยยิ้มในมุมที่ไม่มีใครเห็นปรากฏ
   
เอาเข้าจริงถ้าเขาไม่เลือกเรียนสายโปรแกรมเมอร์ก็คงจะรุ่งในสายการแสดงแล้ว!

=============

พีคต้องพีคให้สุด 5555555  :katai5:
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-07-2018 23:27:32 โดย Foggy Time »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kanj1005

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
ลุ้นให้จ้าวกลับไปทันคุณเหมันต์ที่กำลังรัท  :hao6:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
 พ่อแม่บ้านนี้เลี้ยงลูกแบบรังแกลูก สงสารลูกๆบ้านนี้มากๆ
จ้าวหนีออกมาได้แล้ว หวังว่าจะไปหาคุณเหมันต์ทันนะ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
กลับไปหาคุณเหมันต์เร็วจ้าว :hao5:

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
 o22 โอ้ คดีพลิกไปหมด  ด่าจันทร์ไปซะเยอะเลี้ยวกลับไม่ทันแล้ว

ส่วนจ้าว.. นะ ผิดเหมือนกันนะเรา แต่หนักสุดคงเป็นพ่อแม่เลย

ขนาดแค่เกิดเป็นโอเมก้าถึงกับยอมให้ลูกโดนฆ่า เห้อมม

แต่ยังไงตอนนี้ก็ลุ้นให้จ้าวไปหาคุณเหมันต์ไวๆอ่ะนะ

ออฟไลน์ PKT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ชอบว่ะ. รอนะ

ออฟไลน์ lcortsess

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-3
รอคับ  :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
โอ้โหหหห พริม  :katai1:

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 30
   

“เดี๋ยว เดี๋ยวจันทร์!”
   
ร่างผอมซึ่งคร่อมอยู่บนมอเตอร์ไซด์สะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ๆ กำลังจะออกจากซอยบ้านเขาก็มีชายร่างใหญ่กระโดดเข้ามาขวางทาง ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อจากไอแดดที่วันนี้ร้อนแรงเป็นพิเศษแน่นอนว่ามันไม่เข้ากับชุดสูทที่อีกฝ่ายสวมมาเลยสักนิด
   
และเคราะห์ดีที่จ้าวเบรกทันไม่อย่างนั้นคงจะเกิดโศกนาฏกรรมตั้งแต่ยังไม่ทันออกจากซอย
   
“ผมไม่ใช่จันทร์”
   
จ้าวตอบเสียงเรียบรู้สึกงุนงงนิดๆ ที่อีกฝ่ายดูเป็นห่วงจันทร์เสียเต็มประดา เมื่อกี้เขาเพิ่งได้ยินจันทร์พูดว่าไม่มีเพื่อน เข้าสังคมไม่เป็น แล้วนี่อะไร คนที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตาราวกับนายแบบในนิตยสารชื่อดัง อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงสเน่ห์รุนแรงที่แผ่ออกมาจากร่างราวกับดวงอาทิตย์ที่แผดเผาทุกสิ่งที่อยู่ใต้อาณาเขต
   
“อย่ามาโกหกผมสิ วันนี้เรามีนัดกินข้าวด้วยกันนะ” สุริยะยังคงขมวดคิ้วมุ่นอย่างเป็นห่วง “ทำไมอยู่ดีๆ คุณก็วางสายผมล่ะ ผมพูดอะไรไม่เข้าหูคุณหรือเปล่า บอกผมได้นะ ผมไม่อยากให้คุณโกรธเลย มันง้อยาก นะครับ อย่างอนผมเลยนะครับ คนดี”
   
“ผมไม่ใช่จันทร์!” จ้าวพูดเสียงแข็งเพราะไม่ได้มีเวลามากนัก ตัดสินใจถอดหมวดกันน็อคออกและพบว่ามันสามารถทำให้อีกฝ่ายช็อคได้พอตัว
   
“..จ้าว?” สุริยะครางในลำคอช็อคๆ ต้องยอมรับว่าหลังจากที่ได้รู้จักจันทร์แล้ว เขาก็ลืมสิ่งที่คุณเหมันต์สั่งไปโดยสิ้นเชิง ทั้งเรื่องการฆาตกรรมอันเลือดเย็นของจันทร์และคำสั่งทั้งหมดที่เกี่ยวกับการสืบค้นตัวจันทร์ เขาลืมไปหมดราวกับโดนมอมมัวด้วยอะไรสักอย่าง
   
แต่ถ้าให้เลือกทำอีกครั้ง เขาก็ทำแบบเดิมอยู่ดี
   
เขากำลังทำตัวเป็นดาวเทียมและสำรวจดาวที่เป็นบริวารของโลกด้วยความหลงใหลจนงอหัวไม่ขึ้น เขารู้ว่าดวงจันทร์นั้นช่างเย็นชาและเห็นไม่เคยเห็นประโยชน์ของตนเอง มองทุกอย่างมืดมัวราวกับไม่มีอนาคตหรือความฝันใดๆ ให้ใฝ่ฝัน ใช้ชีวิตอยู่เพื่ออะไรสักอย่างที่เขาไม่เข้าใจนัก แต่มันก็คืออีกเหตุผลที่ทำให้เขาหลงจันทร์นั่นแหละ เขาอยากให้ทำให้ดวงจันทร์ดวงนี้เปล่งประกายแม้ในวันที่มืดที่สุดก็ตาม
   
“ปล่อยผมไปได้รึยัง”
   
“..คุณ คุณมาที่นี่ได้ยังไง” สุริยะถามอย่างงุนงงและค่อนข้างตกใจกับบาดแผลฟกช้ำบนใบหน้าจ้าวหากแต่ปากกลับถามในสิ่งที่ต่างออกไป “แล้วจันทร์อยู่ที่บ้านไหม ผมอยากเจอจันทร์”
   
น้ำเสียงที่ของสุริยะทำให้อารมณ์หงุดหงิดระคนหวาดกลัวของจ้าวผ่อนลงยอมพูดด้วยดีๆ “จันทร์นอนอยู่ชั้นสอง ผมฝากคุณดูแลจันทร์ต่อด้วย”
   
ว่าเพียงเท่านั้นก่อนที่จ้าวจะผลักสุริยะออกให้พ้นทางสวมหมวกและรีบขับไปต่อ เสียงรถยนต์ดังกระหึ่มที่วิ่งไล่หลังบอกได้ดีว่ามีมอเตอร์ไซด์จำนวนไม่ต่ำกว่าสามคันกำลังตามล่าเขาอยู่!
   
จ้าวเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจนักแต่กลับรู้สึกสนุกเอาการ สำหรับจ้าวการขี่มอเตอร์ไซด์ก็เหมือนระบบการทำงานอย่างหนึ่งของร่างกาย สามารถทำได้ง่ายดายราวกับหายใจอยู่ทุกวัน
   
ร่างผอมแนบลำตัวกับตัวเครื่องทำตัวให้ต้านอากาศให้น้อยที่สุด นับถอยหลังในใจก่อนที่จะบิดวิ่งด้วยความเร็วสูง ถึงแม้รถของไอทีจะไม่แรงเท่าชาโคลว์แต่จ้าวก็สามารถดึงประสิทธิภาพของมันออกมาได้อย่างเต็มที่ วิ่งซอกแซกตามรถยนต์เพื่อให้โดนไล่ล่ายากกว่าเดิม เขาไม่สนใจเสียงแตรที่ถูกบีบพร้อมกับเสียงก่นด่าของคนขับ
   
ตูม!!
   
“!!”
   
เสียงระเบิดดังลั่นจนผู้คนบริเวณรอบๆ หูอื้ออึงซึ่งจ้าวก็ตกใจจนแทบสะดุ้งออกจากรถ นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างเมื่อหันกลับไปมองแล้วพบว่าธนาคารที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าหมู่บ้านตัวเองตอนนี้ควันขโมง มีเสียงกรีดร้องอย่างขวัญเสีย ผู้คนวิ่งกันอย่างจ้าละหวั่น มีเสียงตะโกนที่ดังชัดเจนออกมา
   
‘ถ้าพวกมึงไม่รับข้อเสนอพวกกู พวกกูก็จะไม่หยุด!!’
   
ตูม!!
   
แรงอัดมหาศาลระเบิดขึ้นอีกครั้งและอัดมาโดนร่างผอมจนเกือบล้ม จ้าวมองอย่างตื่นตระหนกเมื่อจู่ๆ ร้านสะดวกซื้อที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเองก็ระเบิดขึ้นมาเพราะระยะทางที่ใกล้มากทำให้คราวนี้จ้าวเห็นสภาพความเละเทะได้อย่างชัดเจน ลมวูบใหญ่ที่พัดมาชั่วขณะหนึ่งทำให้บริเวณนั้นปลอดโปร่งจนสามารถเห็น อะไรๆ ได้ชัดเจน
   
“!!!”
   
น้ำตาหยดนึงไหลออกจากนัยน์ตาโศกโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นร่างของหญิงสาวสวมชุดขาวนอนอยู่บนพื้นอย่างไร้ชีวิต กลุ่มเลือดกระจัดกระจายไปทั่วอย่างน่าสยดสยอง แขนและขาของเธอหายไปทิ้งแต่รอยคราบเลือดเอาไว้ มีอีกหลายชิ้นส่วนและหลายชีวิตที่เป็นแบบเดียวกับเธอ
   
แน่นอนว่ามันเป็นภาพที่สยดสยองจนจ้าวแทบอ้วกแต่ความรู้สึกสงสารกลับมีมากกว่า เมื่อเห็นเด็กชายอายุไม่ถึงห้าขวบดีวิ่งมาหาหญิงสาวแล้วร้องไห้เสียงดังลั่นอย่างใจสลาย
   
หัวใจในอกจ้าวบีบรัดและร่ำร้อง เขาทนไม่ได้ที่จะอยู่เฉยๆ กับเหตุการณ์แบบนี้ เขาไม่อยากจะเอาตัวรอดคนเดียวท่ามกลางความทุกข์ทรมานของผู้คนนับพันที่มีเขาเป็นส่วนเกี่ยวข้อง เขาทนไม่ได้จริงๆ
   
หากแต่เหนือสิ่งอื่นใดจ้าวกลับได้ยินเสียงเครื่องยนต์คำรามตามหลังอีกครั้ง ฉับพลันจ้าวก็ได้สติรีบขับรถหนีต่อทันที เก็บความรู้สึกอัดอั้นตันใจลงไปให้ลึกเพราะสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้เอื้ออำนวยให้เขาคิดอะไรทั้งนั้น สิ่งที่เขาต้องทำเพียงอย่างเดียวตอนนี้คือหนี หนีไปให้พ้น และมีเพียงจุดหมายเดียวที่จ้าวจะนึกถึง
   
รอยยิ้มบางปรากฎบนใบหน้าจ้าว
   
“ผมกำลังจะกลับไปหาแล้วนะ”
   
   

แน่นอนว่าทุกอย่างไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะพอจ้าวมาถึงกำแพงสูงบริเวณหน้าคฤหาสน์ตระกูลกิลลาสก็พบว่ามีคนลาดตระเวนเต็มไปหมด ยิ่งสถานการณ์ความไม่สงบในช่วงนี้ทำให้รัฐบาลประกาศอัยการศึก อนุญาตให้อัลฟ่าเบต้าสามารถฆ่าโอเมก้าได้อย่างถูกกฎหมาย
   
ทุกคนตรงหน้าจ้าวจึงมีปืนและอาวุธครบมือจนจ้าวเริ่มรู้สึกท้อ เขาไม่มีทางรู้เลยว่าจะมีพวกของกลุ่มอีกาแทรกซึมอยู่กับคนของคุณเหมันต์เหลืออยู่ไหม ถ้าเกิดเขาเข้าไปแล้วโดนจับได้ขึ้นมาทุกอย่างการเสียเปล่า เขาอาจจะโดนลากคอกลับไปอยู่ที่เดิม ซึ่งถ้ามันเกิดขึ้นจริงเขาต้องบ้าตายแน่ๆ
   
จ้าวนั่งซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้ในป่าอย่างใจเย็น พยายามเค้นสมองอย่างหนักว่าควรจะทำยังไงดีถึงจะเข้าไปหาคุณเหมันต์ได้อย่างรอดปลอดภัยครบสามสิบสอง ในตัวเขาตอนนี้นอกจากกล้องกับกุญแจรถก็ไม่มีอะไรแล้ว อาวุธที่มีก็มีแค่มือสองข้างที่ไม่น่าจะทำให้ใครเจ็บได้ด้วยซ้ำ
   
สถานการณ์ตอนนี้ของเขาเรียกได้ว่าย่ำแย่สุดๆ เหมือนหลุดออกจากกรงมาเจอฝูงแมวที่รอตะปปนกหน้าโง่ที่กล้าโผล่หน้าไปในอาณาเขตของพวกมัน
   
“มานั่งทำอะไรตรงนี้ครับ”
   
ภาษาไทยที่ติดสำเนียงเหน่อนิดๆ ดังจากข้างหลังเล่นเอาจ้าวแทบร้องลั่นพอหันไปมองก็พบว่าเป็นคนกันเอง ที่ถึงแม้จะไม่สนิทด้วยนักแต่ก็น่าจะพอไว้ใจได้มากกว่าคนอื่นๆ
   
“ผมจะเข้าไปแต่ผมไม่กล้าเข้า” จ้าวพูดเสียงเบาระวังตัวสุดขีด หากบอดี้การ์ดควบตำแหน่งเลขาของคุณเหมันต์คิดจะเล่นตุกติกเขาจะรีบวิ่งสี่คูณร้อยไปที่รถทันที
   
ออสตินยิ้มมุมปากอย่างยินดี เขาเป็นคนสนิทของเหมันต์ย่อมรับรู้ถึงความสัมพันธ์พิเศษระหว่างสองคนนั้นอยู่แล้ว มือหนารีบคว้าตัวจ้าวขึ้นพาดบ่าแล้วเดินดุ่มๆ เข้าประตูทันทีราวกับสิ่งที่อยู่บนบ่าตัวเองเป็นลูกแมวสักตัว
   
“เดี๋ยวคุณทำอะไรของคุณเนี่ย!”
   
จ้าวเพิ่งได้สติร้องว้ากเพราะภายในพริบตาเดียวเขาก็กลายเป็นกระสอบทรายแล้ว ความพยายามป้องกันตัวของเขาล้มเหลว เห็นได้ชัดว่าการเป็นบอดี้การ์ดนั้นมีทักษะการต่อสู้น่ากลัวเกินมนุษย์มนาจริงๆ
   
“คุณต้องขอบคุณผมด้วยซ้ำที่ผมเห็นคุณก่อนพวกมัน”
   
ออสตินว่าขณะที่กำลังพัลวันกับการแตะลายนิ้วมือและสแกนม่านตา หลังจากเหตุการณ์ที่ประชุมเกิดขึ้นทุกอย่างในอาณาบริเวณของตระกูลกิลลาสก็เข้มงวดขึ้นในพริบตา คนนอกเข้ายากคนในก็ออกยาก แทบไม่มีใครสามารถขยับตัวตามอำเภอใจได้ด้วยซ้ำถ้าท่านประธานใหญ่ไม่อนุญาต
   
แม้จะไม่เห็นสีหน้าของจ้าวแต่ออสตินก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงงุนงงกับอะไรหลายๆ ที่เปลี่ยนไปมากในสถานที่แห่งนี้ ทั้งจำนวนคนที่มารวมตัวมากขึ้น เต้นท์พยาบาล เต้นท์อาหาร ทุกสิ่งทุกอย่างที่เอื้ออำนวยต่อการอยู่อาศัยสำหรับคนจำนวนมากมารวมกันในที่แห่งนี้
   
“อย่างที่คุณเห็นตอนนี้กำลังเกิดสงครามกลางเมือง ท่านเหมันต์ไม่อยากให้คนของตัวเองต้องตายไปอย่างไร้เหตุผลเลยอนุญาตให้มาอยู่ในอาณาเขตของตัวเองแม้ว่ามันจะเสี่ยงกับตัวท่านมากก็ตาม”
   
ออสตินพูดด้วยความชื่นชมจากใจเพราะถ้าหากเป็นตัวเขาเองคงจะปิดตายสถานที่แห่งนี้ไปเลย ท่านเหมันต์สามารถอยู่ได้สบายๆ เป็นปีโดยไม่จำเป็นต้องออกไปหาอาหารภายนอกด้วยซ้ำ ที่นี่แห่งนี้มีทุกอย่าง ทั้งผักกางมุ้ง บ่อปลา ฟาร์มไก่ไข่ จำนวนที่มันผลิตแต่ละวันก็มากเกินกว่าความต้องการด้วยซ้ำ
   
“..มันเกิดขึ้นเพราะผม”
   
จ้าวพูดเสียงแผ่วสีหน้าหม่นหมอง
   
“ผมรู้คุณไม่ได้ตั้งใจหรอก ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่สภาพแย่แบบนี้” บอดี้การ์ดหนุ่มพยายามพูดถนอมน้ำใจในประโยคหลัง เอาเข้าจริงตอนนี้เขารู้สึกว่าจ้าวเหมือนซากศพมีชีวิตมากกว่า ผิวขาวซีดที่โดนทำร้ายมาซ้ำซากจนเป็นรอยช้ำม่วงน่ากลัว ไหนจะน้ำหนักที่น้อยจนเขารู้สึกเหมือนเดินตัวเปล่าไม่ได้แบกใครเอาไว้
   
“...คุณเหมันต์สบายดีไหม”
   
“ก็สภาพดีกว่าคุณ”
   
จ้าวหัวเราะไม่จริงจังนัก “ดีแล้ว..”
   
เพราะเขาไม่อยากให้ตัวเองเป็นต้นเหตุให้ใครต้องเจ็บปวดอีก เขาทำร้ายคนมามากพอแล้วและมันไม่มีวันชดใช้ได้ เขาทำผิดมากมายมหาศาล ทำจนไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงมีลมหายใจอยู่ ทั้งๆ ที่ควรตายไปตั้งนานแล้ว
   
นัยน์ตาโศกถึงแม้จะคิดเรื่องที่บั่นทอนจิตใจตัวเองแต่แววตากลับไม่ได้สิ้นหวังซะทีเดียว

เพราะในเมื่อเขายังไม่ตายเขาก็จะพยายามหาทางแก้ไขมันต่อไป

“!!!”
   
ออสตินสบถออกมาทันทีเมื่อลงมายังชั้นใต้ดินแล้วกลิ่นฟีโรโมนอัลฟ่าพิเศษฟุ้งกระจายอย่างชัดเจน ร่างกายที่แข็งแรงเต็มไปด้วยมัดกล้ามทรุดลงกับพื้นทันทีราวกับต้องคำสาป เนื้อตัวสั่นระริกอย่างหวาดกลัวตามสัญชาตญาณ ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้สึกกลัวเลยสักนิด นัยน์ตาสีน้ำข้าวมองไปยังสิ่งที่เป็นต้นตอของกลิ่นอย่างไม่เชื่อสายตา
   
“..ท่านเหมันต์”
   
สภาพของท่านประธานบริษัทนั้นต่างไปจากที่ออสตินรู้จักราวกับเป็นคนละคน แววตาสีเทานั้นขมุกขมัวมีก้ำกึ่งระหว่างมีสติกับไม่มีสติ เสื้อสูทดำตัวเก่งถูกถอดลวกๆ โยนออกจากตัวส่วนเสื้อกั๊กด้านในปลดกระดุมออกจนหมดเผยให้เห็นกล้ามเป็นมัดที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อ ส่วนบริเวณกางเกงนั้นก็มีอะไรบางอย่างที่แข็งขึงจนน่ากลัวอยู่
   
“ออกไปก่อน!”
   
เหมันต์ตะโกนไล่ทั้งๆ ที่พยายามหายใจลึกควบคุมตัวเองอยู่ พยายามลดความร้อนในร่างกายลงแต่ก็ไม่เป็นผล มันรู้สึกร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะทนไม่ไหว อากาศในห้องที่ควรจะหนาวจัดจากแอร์สำหรับเหมันต์แล้วมันร้อนระอุราวกับอยู่กลางแดดจ้าในเดือนเมษาของประเทศไทย
   
“คะ คุณเหมันต์”
   
เสียงเรียกที่คุ้นเคยเล่นเอาเหมันต์สะดุ้งและพอเห็นว่าใครที่นั่งอยู่ข้างๆ ตัวออสตินก็ยิ้มกว้างอย่างอดไม่อยู่ ลืมตัวไปชั่วขณะว่ากำลังสู้อยู่กับอะไร สาวเท้าเข้าไปหาจ้าวและดึงอีกฝ่ายขึ้นมากอดจนตัวลอย
   
“คิดถึง”
   
จ้าวหน้าแดงก่ำเมื่อถูกกระซิบซ้ำๆ ข้างหูไม่พอยังถูกคมเขี้ยวแหลมคมขูดตามลำคอ ร่างผอมสั่นระริกเมื่อได้กลิ่นประหลาดที่ฟุ้งมาจากตัวคุณเหมันต์และพบว่ามันทำให้ร่างกายร้อนระอุจนทนแทบไม่ได้
   
กลิ่นมันคล้ายกับวันที่คุณเหมันต์คลุ้มคลั่งอยู่ในห้อง..
   
“จ้าว..”
   
เหมันต์คำรามรู้สึกร้อนมากขึ้นไปอีกเมื่อได้กลิ่นหอมจากตัวจ้าวจริงๆ มันอาจจะไม่ใช่กลิ่นฉุนรุนแรงเพราะมันเป็นเพียงแค่กลิ่นจางๆ ที่มีผลทำให้คนได้กลิ่นอย่างเหมันต์แทบเป็นบ้า รู้สึกทรมานมากกว่าเดิมจนปลดกางเกงของตัวเองออกโดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีใครนอกจากจ้าวอยู่ด้วยรึเปล่า สิ่งที่ซ่อนอยู่หลังกางเกงมาตลอดแข็งขืนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดและก็จงใจเสียดสีที่ต้นขาขาวของจ้าว
   
“อือ ออสติน ออสตินยังอยู่ตรงนี้นะครับ”
   
จ้าวพยายามจับหน้าคุณเหมันต์ให้อยู่นิ่งๆ แม้จะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ก็ตามที เรื่องจะกินเขา เขาไม่ขัดข้องหรอกแต่ต้องไม่ใช่แบบหนังสดให้คนอื่นดูแบบนี้!
   
“ออสติน ออกไป!”
   
เหมันต์คำรามเพียงครั้งเดียวออสตินก็พยายามตะเกียกตะกายออกจากห้องทันที เอาเข้าจริงก็อยากออกไปตั้งแต่ตอนเห็นท่าทางแปลกๆ ของท่านเหมันต์แล้วแต่ขยับตัวไม่ได้เลยสักนิด แต่พอโดนคำรามใส่ร่างกายก็ตื่นกลัวจนลนลานออกมาแทบไม่ทัน ทั้งๆ ที่เป็นอัลฟ่าเหมือนกันแต่กลับรู้สึกหวาดกลับจนแทบทนไม่ได้
   
คล้ายกับกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่อยู่เหนือกว่าอัลฟ่า!
   
ออสตินขมวดคิ้วรู้สึกสงสัยแต่ก็ไม่กล้าถามอะไรตอนนี้ รีบปิดตายประตูข้างบนป้องกันไม่ให้คนลงไปขัดขวางหรือขัดจังหวะจนกว่าท่านเหมันต์จะขึ้นมาเอง
   
“ช้าๆ หน่อย อื้อ”
   
จ้าวจับแขนหนาของคุณเหมันต์แน่น รู้สึกหน้ามืดเป็นช่วงๆ จนแทบตามไม่ทันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาถูกคุณเหมันต์อุ้มไปวางบนเตียงคนป่วย กางเกงถูกกระชากขาดไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วเพราะเดิมทีก็ไม่ใช่ของที่มีราคาอะไรอยู่แล้ว เขาหน้ามืดไปสักพักและตอนนี้พบว่าตัวเองนั่งอยู่บนตักคุณเหมันต์และกำลังถูกขยำสะโพกจนครางหวิว
   
“ฉันไม่ไหวแล้ว”
   
ครั้งนี้เหมันต์ควบคุมตัวเองไม่ได้จริงๆ หลังจากสอดนิ้วเข้าไปในช่องทางเพื่อปรับสภาพให้จ้าวสักพักก็เสือกแทงเข้าไปในร่างของจ้าวทันที
   
“อื้อ!” จ้าวจิกแผ่นหลังเหมันต์แน่นหน้าเหยเก รู้สึกถึงตัวตนของคุณเหมันต์ที่ดูจะใหญ่โตและร้อนระอุกว่าครั้งแรกเสียอีก!
   
“อา..” เหมันต์ครางเสียงต่ำ ใบหน้าคมขมวดคิ้วเพราะมันยังไม่เพียงพอสำหรับเขา “ขอโทษนะจ้าว”
   
“อ๊า!”
   
จ้าวใช้มือข้างหน้าปิดปากอย่างอับอายเมื่อหลุดครางออกมาเสียงหลงเพราะถูกกระแทกแรงๆ เข้ามาและมันก็ไม่ใช่ครั้งเดียว ร่างผอมถูกกระแทกกระทั้นจนตัวโคลง หอบหายใจจนแทบไม่ทัน นัยน์ตาโศกคลอด้วยน้ำตากับความรู้สึกสุขสมและความเสียววาบในช่องท้อง
   
แน่นอนว่าจ้าวรู้ว่ามันคงไม่จบลงง่ายๆ เพราะเขาถูกบังคับให้นอนราบบนผ้าห่มกับหมอนที่สุมขึ้นมาให้สะโพกเขาเชิดขึ้นและร่างใหญ่ยักษ์ของหมาป่าตัวร้ายก็ขึ้นคร่อมเขาอีกครั้ง จ้าวหอบหายใจพยายามเอาอากาศเข้าไปในร่างทดแทนกับการต้องใช้พลังงานมหาศาลในชั่วพริบตา
   
“อื้ออ”
   
นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างเมื่อถูกมือหนาสอดมาเคล้งคลึงบริเวณหน้าอกหนำซ้ำยังไม่พอยังจงใจขยี้มันให้เขารู้สึกปั่นป่วนมากขึ้นไปอีก ไหนจะการที่จงใจกระแทกเข้ามาให้ลึกกว่าเดิมจนรู้สึกจุกในช่องท้อง
   
“..ฮื่อ เบาๆ หน่อยนะครับ”
   
ถึงจะรู้ว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์แต่จ้าวก็พยายามจะอ้อนวอนต่อรอง
   
“…ชู่ว”
   
เหมันต์กระซิบข้างหูจ้าวเลื่อนมือจากหน้าอกไปจับจ้าวตัวน้อยอย่างหยอกเย้า “พี่เหมันต์ยังไม่อิ่มเลย”
   
ความต้องการมหาศาลยังคงอดแน่นอยู่ในกาย เหมันต์เริ่มรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายเพราะไม่เคยมีสักครั้งที่เขารู้สึกต้องการใครบางคนมากขนาดนี้ มากเสียจนตัวเขาเองยังอดหวาดหวั่นกับความต้องการนั้นไม่ได้
   
เขาอยากจะกินจ้าวซ้ำๆ จนกว่าความเจ็บปวดทรมานจากความคิดถึงจะจางลง
   
เขารู้สึกได้ถึงร่างกายที่แข็งแรงขึ้นจากฮอร์โมนอัลฟ่าที่ณิชาพยายามพูดถึง เขาน่าจะกลายเป็นอัลฟ่าได้จริงๆ เผลอๆ อาจจะเป็นอัลฟ่าพิเศษด้วยซ้ำ แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นที่ต้องสนใจเพราะสิ่งที่เขาควรจะสนใจจริงๆ ก็คือร่างตรงหน้า
   
ร่างที่ส่งกลิ่นหอมเฉพาะตัวมายั่วยวนเขาไม่หยุด!
   
กลิ่นของจ้าวนั้นคล้ายกับกลิ่นของพวกโอเมก้าที่พยายามยั่วยวนเขาแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยสำเร็จเพราะร่างกายเขาแทบไม่ตอบสนองใดๆ กับฮอร์โมนอะไรเลย เรียกได้ว่าเป็นตัวตนที่ประหลาดและเอกเทศ ขนาดเบต้ายังแทบจะตายคลั่งตายเมื่อได้กลิ่นโอเมก้าเวลาฮีท แล้วเขาล่ะเป็นตัวอะไรถึงได้ตายด้านกับทุกอย่างขนาดนี้
   
“จ้าว จ้าว”
   
เหมันต์กระซิบเสียงพร่าอย่างพึงพอใจเมื่อสามารถทำให้จ้าวปลดปล่อยไปหลายครั้งและมันก็ทำให้กลิ่นเฉพาะตัวของจ้าวรุนแรงขึ้นมาอีกจนเขารู้สึกแข็งขืนมากกว่าเดิม
   
“..พี่ ไม่เหนื่อย ฮื่อ บ้างรึไง”
   
จ้าวเริ่มบ่นเมื่อโดนรีดน้ำจนแทบจะแห้งตายแต่เหมันต์ก็ไม่มีท่าทีที่จะหยุด สิ่งที่คั่งค้างอยู่ในร่างเขายังแข็งขืนเหมือนครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาไม่ได้เกิดอะไรขึ้น มันยังคงแข็งขืนจนน่ากลัวว่าจนถึงเช้ามันก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร
   
“ชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย”
   
“อื้อ อะไรนะ” จ้าวครางหวิวกอดหมอนในมือแน่น รู้สึกเหมือนจะเป็นลมเอาให้ได้ ถ้าคุณเหมันต์ยังไม่หยุดสักที
   
อย่าลืมสิว่าเขาไม่ได้กินข้าวเต็มมื้อหรือนอนเต็มอิ่มมาหลายอาทิตย์แล้วนะ…
   
“พี่ถามก็ตอบสิ”
   
“ผม ผมไม่เข้าใจ”
   
เหมันต์หัวเราะในลำคอไม่คิดจะขยายความให้จ้าวเข้าใจในคำพูดกำกวมของตัวเอง มองร่างผอมที่หมดสภาพใต้ร่างตัวเองด้วยสายตาเอ็นดูสุดๆ แม้ว่าตัวเองจะเป็นคนทำให้จ้าวตกอยู่ในสภาพนี้ก็ตามที
   
สำหรับเขาแล้วจ้าวคือคนเห็นแก่ตัวที่ซื้อคำว่าน่ารักไว้ใช้คนเดียว…
   
“ไม่ต้องเข้าใจหรอกจ้าว เดี๋ยวก็รู้ทีหลังเอง”
   
และที่แน่ๆ เขาอยากเห็นสีหน้าจ้าวตอนรู้ว่าเขาหมายถึงอะไรชะมัด

===============

จะมีใครเดาออกไหมนะ ว่าคำพูดนี้หมายถึงอะไร  :katai3:

ออฟไลน์ Sorasora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
"...จ้าวจะท้องหรอ..."

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ขอตอบแทนจ้าวว่าอยากได้ทั้งคู่ จ้าวจะท้องใช่ไหม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
ในที่สุดก็กลับมาเจอกัน  :กอด1:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
จ้าวท้องแน่ๆแอร๊ยย :-[

ออฟไลน์ kanj1005

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
พี่เหมันต์จะทำจนกว่าน้องจะท้องเหรอ

หวังว่าชีวิตต่อจากนี้ไปของจ้าวและจันทร์ จะค่อยๆดีขึ้น

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 31
   

นิยามของคำว่าความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

แต่สำหรับจันทร์ของแบบนั้นไม่เคยมีอยู่จริง



“จันทร์! คุณเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมไปนอนบนพื้นล่ะ จันทร์”

ทันที่เห็นร่างนายแพทย์หนุ่มนอนบนพื้นสุริยะก็อยู่แทบไม่เป็นสุข เอาเข้าจริงเขาก็เอะใจตั้งแต่แรกว่ามันมีอะไรแปลกๆ ตั้งแต่ตอนที่ขับมาแล้วมีรถมอเตอร์ไซด์กับพวกเบต้าร่างบึกบันขับสวนทางไปเป็นขโยงเหมือนกำลังไล่กวดใคร อีกทั้งสภาพหน้าบ้านก็ถูกเปิดเหมือนเพิ่งมีคนบุกรุกเข้ามาข้างในอย่างอุกอาจ

แต่แน่นอนว่าตามขนบทั่วไปตำรวจย่อมมาช้าไม่ทันกาลเสมอและสุริยะก็เป็นหนึ่งในนั้น มาถึงตอนที่ไม่เหลืออะไรแล้ว มีเพียงความว่างเปล่าเหลือให้นักสืบที่ถูกตามตัวมาทีหลังขบคิดว่าเกิดอะไรขึ้น

“..ผมสบายดี”

สุริยะสะดุ้งเมื่อคนที่คิดว่าสลบไปแล้วกลับไม่ได้สลบอย่างที่คิด นัยน์ตาโศกคู่สวยที่อยู่หลังแว่นจดจ้องเขาอย่างไร้อารมณ์แม้ว่าใบหน้าจะเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำม่วงก็ตามที

“เกิดอะไรขึ้น” คนที่ถูกตั้งฉายาว่าเป็นปีศาจพราวสเน่ห์ช่วงชิงลมหายใจเหยื่อผู้เป็นถึงดาวเด่นในวงการมายามานับไม่ถ้วนกำลังทำสีหน้าเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน

ทั้งๆ ที่มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากแต่จันทร์กลับไม่ยี่หระกับมันเลยสักนิด

“ทุกอย่างมันจบแล้วล่ะ”
   
สุริยะหน้าชาเมื่อเห็นรอยยิ้มของจันทร์
   
“ผมทนไม่ไหวแล้ว”
   
มันเป็นรอยยิ้มของคนที่ไม่คาดหวังอะไรกับอนาคตอีกต่อไป
   
“จันทร์ ไม่เอาสิ เกิดอะไรขึ้น บอกผมสิ ผมไม่เล่าให้ใครฟังหรอก” สุริยะดึงตัวจันทร์จากพื้นขึ้นมากอดและพบว่าถูกปัดแขนออกอย่างไม่ไยดี จันทร์ผลักตัวสุริยะออกและผลุดลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซแต่ก็ไม่คิดจะขอความช่วยเหลือจากใคร
   
นัยน์ตาโศกคู่เดียวกับพี่ชายฝาแฝดจดจ้องไปยังภาพบนผนังและแค่นเสียงหัวเราะฝาดเฝื่อน
   
ภาพนั้นยังคงเป็นภาพครอบครัวที่เขารัก มีพ่อ มีแม่ และมีเขา เป็นภาพรวมภาพเดียวที่เขามีและมันก็เป็นภาพล่าสุดที่เขาและครอบครัวได้ถ่ายด้วยกันอย่างส่วนตัว ไม่ใช่เพราะงานออกสื่อการกุศลหรือแถลงการณ์อะไรทำนองนั้น
   
ตอนนั้นเขารู้สึกมีความสุขมากที่พ่อกับแม่มายินดีกับเขา ถึงจะเป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ ไม่ถึงห้านาทีก็ตาม เขายังจำความประหม่า จังหวะลมหายใจตัวเองในตอนนั้นได้ จำได้ทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่เวลาที่ตัวเองเข้านอนวันนั้น
   
เขามีความสุขจนไม่แน่ใจว่าเขามีความสุขจริงๆ รึเปล่า เพราะหลังจากนั้นเขาก็จำความรู้สึกแบบนั้นแทบไม่ได้แล้ว เขาสามารถลบคนที่แย่งชิงทุกอย่างในชีวิตอย่างจ้าวออกไปได้ก็จริงแต่เขาก็ยังไม่มีความสุขเท่าวันนั้น
   
แล้วความสุขที่แท้จริงมันคืออะไรกันแน่? ทำไมเขาทำลายชีวิตจ้าวได้สำเร็จ เขาก็ยังไม่รู้สึกมีความสุข เขาไม่รู้สึกอยากยิ้มเลยสักนิด ทั้งๆ ที่สามารถพูดจาทับถมจ้าวได้อย่างคล่องแคล่วแต่ในใจลึกๆ เขากลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้น
   
เขาพยายามมาครึ่งค่อนชีวิตกับไล่ล่าบางอย่างที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไปทำไม
   
เขาได้รับคำชื่นชมจากผลการวิจัยที่แลกกับการอดหลับอดนอนร่างกายแทบพัง เขาก็ไม่รู้สึกดีใจเท่าไหร่ ต่อให้คนทั้งประเทศหรือคนทั้งโลกเขียนข่าวหรือพูดสรรเสริญเขา เขาก็ไม่ได้มีความสุขเท่านั้น
   
ความสุขที่มีเวลาเพียงห้านาทีก่อนที่มันจะสูญสลายไปตลอดกาล
   
หรือแม้แต่ความรู้สึกวันนั้นก็ไม่เป็นความจริง? ที่ผ่านมาเขาอาจจะแค่โกหกตัวเองมาตลอดเหมือนกับทุกเรื่องที่โกหกกับคนอื่น
   
จันทร์หัวเราะจนตัวโยนไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือรู้สึกอะไรใดๆ มีเพียงความรู้สึกชาในอกที่ชัดเจนจนรู้สึกเหมือนถูกช่วงชิงอารมณ์ทุกอย่างไปแล้ว
   
“ไม่มีอะไรหรอกแต่เดี๋ยวทุกอย่างก็จบลงแล้วล่ะ” จันทร์ผุดรอยยิ้มแล้วเดินออกไปโดยไม่แม้แต่ปรายตามองคนที่ตัวเองคิดว่าเป็นเพื่อนแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว
   
“จันทร์”
   
นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างเมื่อถูกกระชากไปกอด รู้สึกถึงความอบอุ่นจากแผ่นอกหนาของใครบางคนที่เคยมีคนกล่าวไว้ว่าสามารถแผดเผาผู้คนให้เป็นเถ้าถ่านได้
   
“ปล่อยผม คุณสุริยะ คุณไม่ได้มีค่าสำหรับผมขนาดนั้น”
   
“ไม่” สุริยะกอดแน่นยิ่งกว่าเก่า “อย่าทำเหมือนที่ผมพยายามมาทั้งหมดมันสูญเปล่าสิ ผมเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมคุณตั้งหลายมื้อนะ”
   
“ผมไม่เคยขอ” จันทร์พยายามแกะแขนนายแบบหนุ่มออกแน่นอนว่ามันเกือบจะสำเร็จถ้าไม่ถูกบิดแขนไพล่หลังเอาซะก่อน
   
“มีคนเต็มใจทำให้ คุณก็ควรรับไว้นะ จันทร์” สุริยะพยายามพูดติดตลกแม้จะไม่รู้สึกตลกเลยก็ตาม สีหน้าของจันทร์เมื่อกี้เป็นอะไรที่สุริยะรู้จักดี
   
มันเป็นสีหน้าของคนที่ละทิ้งทุกอย่างและพร้อมจะทำอะไรบ้าๆ คาดไม่ถึงได้ทุกเมื่อ แน่นอนว่าสุริยะไม่มีวันยอมให้มันเกิดขึ้นได้ง่ายๆ จึงพยายามรั้งตัวจันทร์เอาไว้อย่างสุดชีวิต
   
“ฉันรู้ จันทร์ ตอนนี้นายกำลังเจอกับอะไรบ้าง” ร่างสูงพูดเสียงนุ่มพยายามกล่อมให้ดวงจันทร์ในอ้อมกอดนั้นลดแรงเหวี่ยงลงก่อนที่จะหลุดออกไปจากระบบสุริยะตลอดกาล “พวกผู้ใหญ่กดดันนายก็จริงแต่นายก็ไม่จำเป็นต้องสนใจพวกเขาก็ได้นี่ ถ้าพวกเขาเก่งกันมากก็ปล่อยให้ทำกันเองไปเลย”
   
“นี่ไม่ใช่เรื่องของคุณนะ คุณสุริยะ” จันทร์พูดเสียงเย็นชา “ทางรัฐบาลประกาศแล้วนี้ว่าอัลฟ่าทั่วไปถ้าไม่เก็บตัวอยู่บ้านก็ไปรวมตัวกันที่ทางรัฐบาลจัดเตรียมไว้ให้ ทำไมคุณไม่ไปด้วยล่ะ คุณสุริยะ”
   
สุริยะรู้สึกคล้ายน้ำท่วมปากพูดไม่ออกเพราะสถานะของเขาเป็นตามที่จันทร์พูดจริงๆ
   
เขาควรจะหลบซ่อนตัวตามคำสั่งของรัฐบาลเพราะการออกมาข้างนอกในช่วงที่มีสงครามกลางเมืองแบบนี้นับว่าอันตรายเอามากๆ คนส่วนใหญ่ที่ยังกล้าออกจากบ้านก็จะเป็นพวกที่พอจะมีอาวุธหรือความสามารถติดตัวอยู่บ้างไม่เช่นนั้นคงจะรักษาชีวิตตัวเองไว้ไม่ได้
   
“ผมเป็นห่วงคุณไง จันทร์” สุริยะพูดอย่างเจ็บปวด “คุณไม่รู้จริงๆ เหรอว่าผมรู้สึกยังไงกับคุณ”
   
“มันอาจจะเป็นแรงผลักดันทางเพศที่คุณไม่รู้ตัว” จันทร์พูดหน้าตาเฉยแม้จะรู้สึกหวั่นไหวนิดๆ เพราะสุริยะเป็นคนแรกที่เข้าหาเขาเพื่อทำความรู้จักอย่างจริงจัง อาจจะเรียกว่าเป็นเพื่อนคนแรกก็ได้
   
แต่แล้วยังไงล่ะ… ในเมื่อทุกอย่างจะจบลงแล้ว เขาก็คงไม่มีความจำเป็นต้องสนใจอะไรอีก
   
“จันทร์ผมชอบคุณนะ” เสียงของสุริยะแผ่วเบาราวกับกระซิบ “อย่าใจร้ายกับผมนักเลย”
   
“ขอโทษด้วยที่ผมไม่สนใจ” จันทร์พูดเสียงแข็ง “ปล่อยผม!”
   
ถ้าหากว่านี่เป็นผลกรรมจากที่เคยทำมา สุริยะรู้สึกว่ามันร้ายแรงสุดๆ เพราะเขาคงจะเผลอไปชอบคนไร้หัวใจเข้าซะแล้วหนำซ้ำยังเป็นคนไร้หัวใจที่มีงานอดิเรกในการเหยียบย่ำหัวใจคนอื่นซะด้วย
   
“จันทร์..”
   
“ถ้าคุณยังอยากให้ผมยังคิดว่าคุณเป็นเพื่อนก็ปล่อยผม”
   
ท้ายที่สุดสุริยะก็ยอมแพ้ปล่อยมืออย่างไม่เต็มใจนัก มองตามแผ่นหลังโปร่งของจันทร์ที่ถึงแม้จะดูแข็งแรงแต่เขากลับรู้สึกว่ามันช่างอ้างว้างซะเหลือเกิน
   
“ทำไมถึงใจร้ายนักนะ”
   
สุริยะบ่นพึมพำกับตัวเองไม่จริงจังก่อนที่จะทรุดนั่งลงบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน เขายังไม่ยอมแพ้ในการรุกจีบจันทร์ก็จริงแต่ตอนนี้คงต้องขอเวลาพักก่อน ความจริงที่ว่าจันทร์ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยมันทำให้เขาเจ็บ ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาทุ่มเทเพื่อใครมากขนาดนี้ เขาไม่เคยจัดตารางงานตัวเองเพื่อหาเวลาปลีกตัวมาเกาะหนึบกับใครบางคน มันไม่เกี่ยวกับคำสั่งของคุณเหมันต์ด้วยซ้ำเพราะเขาลืมมันไปตั้งแต่เห็นหน้าจันทร์ครั้งแรกแล้ว
   
ไม่สิ.. ไม่ใช่แค่จันทร์
   
นายแบบหนุ่มยิ้มเล็กๆ เชิงทักทายร่างเลือนรางที่นั่งอยู่มุมห้องและกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน ใบหน้าที่เคยสวยหวานประดับอยู่บนโทรทัศน์และวงการมายาอยู่เสมอ ส่งสีหน้าเหมือนโลกถล่มลงมาให้เขาเห็น
   
“ผมกำลังช่วยอยู่ไง พริม ผมพยายามอยู่”
   
สุริยะเห็นพริมตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอจันทร์ เห็นเธอยืนใกล้ๆ และร้องไห้จนตัวโยน พร่ำขอโทษในสิ่งที่ทำลงไปและอยากให้จันทร์ยกโทษให้เธอแม้ว่ามันจะสายไปมากแล้วก็ตาม
   
คนเรามักจะรู้ตัวว่าผิดก็ตอนที่สายไปแล้วทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน เธอทำผิดใหญ่หลวงด้วยการทำลายชีวิตจันทร์ให้แตกเป็นเสี่ยง มันไม่มีประโยชน์อะไรที่เธอจะมายืนยันความบริสุทธิ์ให้จันทร์กับจ้าวด้วยคำพูดที่มีแต่เธอและเขาที่ได้ยิน
   
“ขอโทษ..”
   
“มันไม่ทันแล้วล่ะพริม” สุริยะหัวเราะเสียงแผ่วมองรูปจันทร์ที่ยิ้มอย่างสดใสในภาพด้วยความเจ็บปวด “ทุกอย่างกำลังจะจบลงแล้ว”
   
ใบหน้าคมคายหลับตาลงอย่างอ่อนล้าและจำยอมในโชคชะตา
   
เพราะเขารู้.. ว่าต่อให้พยายามให้ตายยังไง
   
สุริยันอย่างเขาก็ไม่มีวันเอื้อมถึงดวงจันทร์

   

“จันทร์! นี่แกหายหัวไปไหนมา รู้ไหมว่าพ่อแกต้องทำอะไรแทนแกบ้าง!”
   
ทันทีที่เข้าไปในห้องผู้บริหารระดับสูงจันทร์ก็ถูกกระชากคอเสื้อทันที เจ้าของนัยน์ตาโศกให้กับแฝดทั้งสองถลึงตามองแฝดน้องอย่างเกรี้ยวกราดสบถคำผรุสวาทไม่หยุด หมดมาดนายแพทย์หนุ่มผู้โอบอ้อมอารีกับทุกคนบนโลก
   
เหลือเพียงชายวัยกลางคนที่กำลังคลุ้มคลั่งและหาที่ระบายให้ตัวเอง
   
“ฉันถามก็ตอบสิวะ! แล้วเมื่อไหร่ยาต้านจะเสร็จสักที นี่มันก็จะเกือบเดือนแล้วนะ แกเคยพูดไม่ใช่เหรอว่าขอเวลาเดือนเดียวจะทำสำเร็จแน่นอนแล้วนี่อะไร ไม่ได้ห่าอะไรสักอย่าง ทำไมวะ จันทร์ ทำไมแกถึงทำให้คนเป็นพ่ออย่างฉันภูมิใจเหมือนคนอื่นไม่ได้วะ!”
   
นายแพทย์นพวิทย์พูดและสบถด่าโดยไม่ได้สังเกตสีหน้าลูกชายของตนเองสักนิดว่ากำลังทำสีหน้าแบบใดอยู่
   
น้ำตาหยดเล็กไหลพรมบนเครื่องสำอางที่จันทร์พยายามปกปิดบาดแผลจากการชกต่อย นัยน์ตาโศกสั่นระริกอย่างเจ็บปวด รู้สึกผิดหวังในตัวเองไม่แพ้พ่อของตัวเอง
   
ทำไมเขาถึงไม่เคยดีพอสักทีนะ…
   
“ขอโทษครับ ผมจะพยายามมากกว่านี้”
   
“ขอโทษทำไม! กูไม่ต้องการ ที่กูต้องการคือยาต้าน มึงรู้ไหมจันทร์ กูทนอยู่ร่วมกับพวกโอเมก้าไม่ไหวแล้ว! ทำไมพวกมันไม่ตายกันให้หมดสักทีวะ น่าขยะแขยงชิบหาย”
   
นพวิทย์สบถทุกอย่างในใจออกมาเพราะรู้ดีว่าเมื่อกลับไปรวมในสังคม คำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นคำต้องห้าม หากเขาเผลอหลุดแม้แต่คำเดียวสถานะทางสังคมที่เขาพยายามสร้างมาทั้งชีวิตก็จะหายไปทันที มีเพียงจันทร์เท่านั้นที่เขาสามารถระบายใส่และดุด่าได้อย่างสบายใจ
   
เพราะเขารู้ดีว่าลูกชายสุดรักคนนี้ไม่มีวันกล้าทรยศเขา!
   
“…ผมจะพยายามให้เสร็จภายในอาทิตย์นี้ครับ” จันทร์พูดเสียงแผ่วแทบจะหาเสียงของตัวเองไม่เจอ รู้สึกเจ็บปวดจนอยากให้มันจบลงสักที ทั้งๆ ที่เคยดีใจที่จบมาทำงานแล้วเจอพ่อบ่อยๆ กลับกลายเป็นว่าตอนนี้เขากลับรู้สึกตรงกันข้ามเสียอย่างงั้น
   
“เออ… พ่อคิดอะไรดีๆ ออกแล้วล่ะ จันทร์”
   
จันทร์ขนลุกชันเมื่อเห็นสีหน้าของพ่อตัวเอง
   
“ถ้าเราทำยาต้านไม่ได้ ทำไมเราไม่ทำยาฆ่าพวกมันล่ะ ยาที่มีแค่พวกโอเมก้าที่ตายน่ะ แกทำออกมาเลย มันน่าจะง่ายกว่ามานั่งทดลองยาปัญญาอ่อนของพวกมันแล้วคิดหายาต้านที่ไม่รู้ว่าชาติไหนจะเสร็จ”
   
นายแพทย์หนุ่มพูดออกมาด้วยสีหน้ายินดีราวกับว่าสิ่งที่ตนเองพูดนั้นคือเรื่องสภาพภูมิอากาศทั่วไป ไม่ใช่การวางแผนฆาตกรรมหมู่โอเมก้าอย่างเลือดเย็น
   
มือผอมที่จับมีดผ่าตัดอยู่เป็นนิจสั่นระริก จันทร์ซ่อนมือของตัวเองไว้ใต้เสื้อกาวน์มองคนเป็นพ่ออย่างผิดหวัง
   
เพราะคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยากเป็นแพทย์เพื่อรักษาคนอื่นก็คือพ่อ สุทรพจน์นั้นมีใครบ้างที่ฟังแล้วไม่ตราตรึงใจ คำพูดของพ่อถูกนักข่าวไปตั้งเป็นประเด็นให้ผู้คนในสังคมฉุกคิดเรื่องความเท่าเทียมในมนุษย์ ไม่ควรจะแบ่งแยกกันเพียงเพราะมีเพศที่ต่างกัน
   
ทั้งๆ ที่เป็นคนกล่าวสุนทรพจน์นั้นออกมาแต่กลับพูดเรื่องฆ่าโอเมก้าได้อย่างหน้าตาเฉย
   
ความผิดหวังระลอกแล้วระลอกเล่าซัดเข้าใส่จันทร์จนแทบล้มทั้งยืน สำหรับจันทร์แล้วถึงแม้จะเคยเกลียดพี่ชายเข้าไส้แต่ก็ไม่เคยเกลียดมนุษย์คนอื่นอย่างจริงจังนัก เขาให้ความสำคัญกับทุกชีวิตที่นอนอยู่ในห้องผ่าตัดหรือที่ใดก็ตาม เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคนๆ นั้นจะมีเงินจ่ายหรือไม่สำหรับการรักษาที่เขาทำให้ เขาเพียงแค่พอใจที่จะทำ มันก็แค่นั้น
   
แต่ตอนนี้คนที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขากลับเป็นคนพูดกลับกลอกเสียเอง เอาเข้าจริงเขาก็โตพอที่จะรู้ตั้งนานแล้วว่าสิ่งที่ครอบครัวเขาทำมาทั้งหมดนั้นไม่ใช่เพื่อสังคมหรืออุดมการณ์สวยหรูแต่เป็นเพราะสถานะทางสังคมต่างหาก
   
พ่อและแม่ของเขาทุ่มเทชีวิตกับงานเพื่อที่จะได้รับคำชื่นชม สิทธิพิเศษต่างๆ เหมือนดังเช่นตระกูลนฤภัทรคนก่อนๆ ที่พยายามหล่อหลอมให้ลูกหลานในตระกูลหลงใหลในชีวิตอันเลิศหรูที่ไม่มีอยู่จริง
   
รอยยิ้มบางปรากฎบนใบหน้าจันทร์
   
เขาพอแล้วล่ะ..
   
“ครับ ผมจะทำยาฆ่าพวกโอเมก้าครับ”
   
“เออดี! แบบนี้ถึงจะค่อยสมเป็นคนตระกูลนฤภัทรหน่อย แต่แกต้องรีบทำนะ จันทร์ เร็วเท่าไหร่ยิ่งดีเพราะฉันคงทนให้อัลฟ่าอย่างเรามีสิทธิเท่าเทียมกับพวกโอเมก้าไม่ได้”
   
รอยยิ้มยินดีที่ได้เจอลูกชายจึงค่อยปรากฎ นายแพทย์นพวิทย์หลังจากได้ระบายไปชุดใหญ่ก็รู้สึกโล่งขึ้นมาก แตะไหล่จันทร์อย่างคาดหวังแม้จะรู้ว่าก็คงจะผิดพลาดอีก แต่ไม่เป็นไรจนถึงตอนนั้นเขาก็คงแค่ด่ามันใหม่จนกว่าจะได้ในสิ่งที่เขาต้องการ
   
ทำไมเขาถึงไม่ลงมือทำเอง? ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำแต่ทำไม่ได้คงจะถูกกว่าเพราะการทำยาชนิดใหม่ๆ ให้สำเร็จนั้นถือเป็นเรื่องยากอีกทั้งยังใช้ความรู้ด้านเภสัชกรรมที่เขาไม่ได้เรียนอีก สิ่งที่เขาทำได้จึงมีแค่การคาดคั้นเอาจากลูกชายตัวเองที่อุตส่าห์ไปเรียนเพิ่มมาให้ตามที่ตนเองขอ
   
“ครับ”
   
“พ่อหวังกับแกไว้เยอะนะ จันทร์”
   
นพวิทย์กล่าวย้ำอีกครั้งเพื่อกดดันและก็ได้ผล สีหน้าของลูกชายเศร้าหมองลงถนัดตา ชั่วขณะหนึ่งคล้ายกับเห็นน้ำตาที่ไหลออกมาแต่นายแพทย์เลือกที่จะเมินมันเพราะคิดว่าไร้สาระเกินกว่าที่จะใส่ใจ
   
อายุก็ตั้งยี่สิบกว่า โตเกินกว่าที่จะต้องเอาใจตั้งนานแล้ว อีกทั้งยังเป็นลูกผู้ชายอีก ขืนทำตัวเป็นตุ๊ดแต๋วเขาคงจะรับไม่ได้ สิ่งที่คนเป็นลูกชายสมควรทำให้พ่อคนคือการกตัญญูให้ถึงที่สุด นั่นล่ะ สิ่งที่เขาต้องการจากจันทร์
   
“ครับ”
   
จันทร์ตอบเสียงเบาลงกว่าเดิมก่อนที่จะเดินเมินพ่อของตัวเองไปยังห้องทำงานของตัวเอง ไม่คิดจะลาเหมือนที่เคยเพียรทำมาตลอดชีวิต พยายามที่จะอยู่กับพ่อแม่ให้นานที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ก็เหมือนเป็นแค่ความพยายามโง่เง่าของคนโง่ที่รู้ว่าต่อให้ทำไปก็ไม่ได้ผลลัพธ์กลับมาอยู่ดี
   
และมันก็เป็นจริงเสียด้วย นายแพทย์นพวิทย์ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าจันทร์จะลาตัวเองหรือไม่ เมื่อดุด่าสั่งสอนเสร็จก็จัดเสื้อสูทราคาแพงระยับให้เข้าที่ก่อนที่จะออกไปข้างหน้าเพื่อที่จะทำหน้าที่ออกหน้าออกตาให้ตระกูลนฤภัทรอีกครั้งอย่างที่เจ้าตัวชื่นชอบ
   
เหล่าอัลฟ่าที่ทำงานในโรงพยาบาลต่างพากันแปลกใจเมื่อเห็นประธานควบตำแหน่งหัวหน้าใหญ่ของตัวเองเดินเข้าห้องด้วยท่าทางไร้วิญญาณ ไม่มีมาดสง่างามเหมือนแต่ก่อน หากแต่รู้มากไปก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีกับตัว ทุกคนเลยเลือกที่จะโยนประเด็นนี้ทิ้งไปและทำหน้าที่ของตัวเองอย่างตรากตรำต่อ
   
“…หึ”
   
จันท์หัวเราะเมื่อกลับยืนในห้องประจำตำแหน่งตัวเองตอนนี้ บนผนังก็ยังคงมีรูปของเขาและจ้าว มีถ้วยรางวัลของเขาเรียงรายอยู่เป็นแถว หากแต่เขากลับไม่รู้สึกยินดีหรือรู้สึกอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
   
หัวใจในอกเขาราวกับถูกช่วงชิงไปเหลือเพียงช่องกลวง ไม่มีสิ่งที่สูบฉีดเลือดเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายแล้ว แม้แต่วิญญาณของตัวเองจันทร์ก็รู้สึกว่าทำหายไป
   
มือผอมที่ยังคงสั่นระริกไม่หายหยิบรีโมทขึ้นมาเปิดทีวีเพื่อดูความเป็นไปของสถานการณ์ในช่วงนี้
   
‘ข่าวด่วนค่ะ! เกิดการวางระเบิดหน้าร้านสะดวกซื้อในย่านเศรษฐกิจค่ะ มีผู้เสียชีวิตห้าราย สามรายเป็นเบต้าและอีกสองรายเป็นอัลฟ่าและโอเมก้าค่ะ ทางกลุ่มอีกายื่นคำขาดว่าถ้าหากไม่ยอมรับฟังคำขอจะระเบิดโรงพยาบาลเป็นที่ต่อไปค่ะ!’
   
นัยน์ตาโศกเบิกตานิดๆ เมื่อเห็นว่าสถานที่วางระเบิดไม่ใช่ที่ไหนไกลแต่เป็นแถวบ้านของตัวเอง
   
จันทร์หลับตาลงแค่นเสียงหัวเราะอย่างยอมจำนน
   
เขารู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์ใกล้จะถึงช่วงที่อันตรายและเดือดพล่านที่สุด หลังจากนี้ถ้ายังไม่เกิดการเจรจาขึ้นคงจะมีคนตายมากกว่านี้ทั้งฝ่ายของเขาเองและฝ่ายตรงข้าม ซึ่งผลลัพธ์ท้ายที่สุดก็คือทุกคนมากองกันที่โรงพยาบาล
   
แน่ล่ะ ในฐานะที่เขาเรียนแพทย์มา จรรยาบรรณของเขาก็ย่อมมี เขาทนเห็นคนตายคราวละมากๆ แล้วมากองกันที่โรงพยาบาลไม่ได้ แค่ตอนนี้พวกเขาก็ทำงานไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาหลายคืนแล้ว
   
จันทร์ผุดยิ้มเมื่อนึกถึงเมื่อเช้าที่ส่องกระจกแล้วเจอหงอกหลายเส้นบนหัว เขาเครียดทั้งเรื่องคนไข้ การตามล่าหาตัวจ้าว การทำยาต้านให้พ่อ เขาแบกรับทุกอย่างไว้ที่ตัวจนใกล้จะเป็นบ้าเข้าไปทุกวัน
   
เขาแบกรับมากจนถึงจุดๆ หนึ่งที่เขารู้สึกว่าจะแบกรับมันทำไม
   
เพราะท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครเห็นค่าของเขา
   
เมื่อเห็นว่าข่าวต่อไปรายงานเกี่ยวกับยาต้านที่เขากำลังทำโดยมีพ่อเป็นคนบรรยาย จันทร์ก็ปิดทิ้งทันทีโดยไม่ลังเลก่อนที่จะมานั่งทิ้งตัวใส่เก้าอี้ประธานที่ตอนเด็กใฝ่ฝันที่จะนั่งนักหนาและพอโตมาก็พบว่ามันไม่ได้ดีมีความสุขอย่างที่คิด
   
จันทร์เกยคางบนโต๊ะ ท่าทางอ่อนแอไม่ต่างกับเด็กเล็กๆ
   
“…”
   
นัยน์ตาโศกมองหน้าจอโน๊ตบุ๊คและมันก็สะท้อนหน้าตัวเองกลับมาด้วยความรู้สึกว่างเปล่า
   
เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองโทรมขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน น้ำตาที่พร่างพรมทำให้เครื่องสำอางที่เขาใช้หลุดออกนิดหน่อยจนเห็นรอยช้ำม่วงจากการชกต่อย ร่องรอยของการนอนไม่พอและการร้องไห้
   
“…ฮึก”
   
จันทร์สะอื้นออกมาอย่างเศร้าโศกไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังเสียใจเรื่องอะไร รู้สึกเพียงว่าความโดดเดี่ยวและความว่างเปล่าของตัวเองมันช่างน่ากลัวและแสนเจ็บปวด
   
เขาทำทุกอย่างไปเพื่ออะไรนะ..?
   
มีใครบ้างที่สนใจเขา มีใครบ้างที่ยินดีกับเขาอย่างจริงใจ มีใครบ้างที่รักเขาจริงๆ ไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของตระกูล
   
ฉับพลันชื่อหนึ่งปรากฎในหัวของจันทร์แต่จันทร์ก็สลัดมันออกไปอย่างรวดเร็ว
   
เขาไม่กล้าเชื่อใครบนโลกที่แสนบิดเบี้ยวนี่หรอก
   
นัยน์ตาโศกเศร้าหมองก่อนจะหยิบผลการวิจัยลับๆ ที่ตัวเองกำลังศึกษาออกมาจากใต้กองเอกสารหลัก มันเป็นเอกสารที่เพิ่งถูกนำมาวางไว้ล่าสุดเพราะกระดาษยังมีอุณหภูมิอุ่นๆ ตัดกับอากาศที่หนาวเย็นในห้อง
   
“!”
   
ท่ามกลางความทุกข์ระทม จันทร์เผลอยิ้มกว้างออกมา
   
สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่สุดยิ่งกว่าการเปลี่ยนอัลฟ่าให้โอเมก้า
   
เขาทำสำเร็จแล้ว!

===========

น้องจันทร์แอบทำอะไรน้า

ปล. ใกล้ถึงช่วงพีคสุดๆ ของเรื่องแล้ว  :katai1:

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ตอนที่แล้วมันก็จะเปลืองทิชชู่หน่อยๆ แต่มาตอนนี้คือปรับ

อารมณ์แทบไม่ทัน แล้วนี่จันทร์ทำอะไรสำเร็จอีกเนี่ย

จะมีอะไรที่พีคกว่านี้อี๊กกกกก  :katai1:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
จันทร์จะทำอะไรอีกละเนี่ย? :hao4:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
น้องงงงง ทำอะไรก็ได้แต่อย่าทำร้ายตัวเองนะ
เพิ่งได้มาอ่านสามตอนรวด งื้อออออออออ
พริม !!!! ตัวต้นเหตุ !!!!

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
นี่ว่าก็พีคทุกตอน 555555555

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
จันทร์ทำงานวิจัยอะไรไว้ล่ะเนี่ย

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 32
   
ทันทีที่จันทร์อ่านเอกสารจบก็แทบจะปกปิดความปิติยินดีไว้ไม่อยู่แม้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำจะไม่ใช่สิ่งที่พ่อร้องขอก็ตาม จันทร์กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังห้องวิจัยซึ่งเป็นที่ทำงานของทุกคนในทีมรวมถึงเขาด้วยในบางเวลา

และเมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปก็พบว่าทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา กำลังดื่มฉลองให้กับความสำเร็จเล็กๆ ที่มีเพียงกลุ่มวิจัยรู้และแน่นอนว่าพวกเขาไม่อาจแพร่งพรายไปนอกจากเจ้าของโครงการอย่างจันทร์จะอนุญาต

ซึ่งเมื่อทุกคนเห็นหัวหน้าของตัวเองก็รีบวางแก้วและโน้มหัวเชิงทำความเคารพทันที แม้ว่าจะทำงานร่วมกันมานานแต่พวกเขาก็ไม่เคยรู้สึกสนิทสนมกับหัวหน้าของตัวเองสักนิด มีเพียงความเคารพทั้งในแง่หัวหน้าและความเฉลียวฉลาดจากก้นบึ้งของหัวใจ
จันทร์ที่ถึงแม้จะไม่ได้อายุมากที่สุดในกลุ่มวิจัยผงกหัวกลับอย่างมีมารยาท รอยยิ้มบนใบหน้าที่มักจะนิ่งเฉยทำให้ทุกคนในกลุ่มวิจัยประหลาดใจเพราะน้อยครั้งที่จะเห็นรอยยิ้มจากจันทร์

“ทุกคนทำได้ดีมาก” จันทร์ยิ้มกว้างกว่าเดิม “มันสามารถใช้ในมนุษย์ได้อย่างปลอดภัยแล้วใช่ไหม”

“ค่ะ ผลออกมาดีมาก”

หลังจากที่สบตากันในกลุ่มเชิงหารือว่าใครจะเป็นคนสรุป คนที่ก้าวออกมาคนแรกก็คือหญิงสาวผู้เป็นโอเมก้าหนึ่งเดียวในกลุ่มที่เพิ่งเข้ามาช่วยงานเมื่อไม่นานมานี้ แน่นอนว่ายาที่สามารถเปลี่ยนอัลฟ่าเป็นโอเมก้า เธอก็มีส่วนเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย

“กลุ่มทดลอง G17 รอดหมดทุกคนใช่ไหม”

สิ่งที่จันทร์พูดถึงนั้นคือกลุ่มอัลฟ่า เบต้า และโอเมก้าที่สมัครใจในการเข้าร่วมโครงการลับนี้โดยมีของล่อตาล่อใจเป็นเงินจำนวนมหาศาลแต่ก็มีหลายคนในกลุ่มที่ปฏิเสธที่จะรับมัน เพราะต้องการเข้าร่วมเพือผลประโยชน์ของมวลมนุษยชาติเฉยๆ สิ่งที่พวกเขาพยายามทำถ้าหากมันสำเร็จสามารถเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ได้เลย

สงครามจากความแตกต่างอาจจะยุติลง
   
พวกเขาหวังอย่างนั้นจึงไม่ลังเลที่จะอาสาและสละชีวิตถ้าเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา อย่างไรเสียไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็มีโอกาสตายกันหมดท่ามกลางสภาวะสงครามที่ไม่มีท่าทีจะจบลงง่ายๆ ไม่สู้ตายแล้วยังมีประโยชน์จะดีกว่าหรือ
   
“ค่ะ รอดหมดทุกคนแล้วเข้าสู่สภาวะที่ต้องการด้วยค่ะ”
   
ได้ยินดังนั้นจันทร์ก็ยิ้มมากกว่าเดิมด้วยความรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่ตัดสินใจขาดไปแล้วค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้นมาจนจันทร์อดดีใจและเศร้าใจในเวลาเดียวกันไม่ได้
   
“ขอบคุณสำหรับการพยายามอย่างหนักมาตลอดนะครับ ทุกคน” นัยน์ตาโศกกวาดตามองลูกทีมตัวเองที่มีอยู่จำนวนเจ็ดชีวิตด้วยสายตาภาคภูมิใจ ถึงแม้จะไม่ได้ไว้ใจถึงขั้นกล้าฝากชีวิตแต่จันทร์ก็ยังรู้สึกยินดีที่ได้รู้จักคนเหล่านี้ ในสายตาของทุกคนเขาอาจจะเป็นแค่หัวหน้าที่แสนเย่อหยิ่งและทิ้งระยะห่างแต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับคนอย่างเขา
   
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผม หลังจากนี้ผมคงต้องฝากโครงการนี้ไว้กับพวกคุณ พวกคุณทุกคนเป็นคนมีความสามารถระดับหัวกะทิ ไม่ว่าคุณจะเป็นอัลฟ่า เบต้า หรือโอเมก้า คุณอยู่ในทีมนี้ได้ถือว่าพวกคุณเก่งมากครับ ถ้าสิ่งที่พวกเราพยายามทำมาทั้งหมดสำเร็จหลังจากนี้ชีวิตของพวกคุณก็ง่ายขึ้นมาก”
   
เริ่มมีหลายคนในทีมเอะใจในสิ่งที่จันทร์พูด มีไม่กี่ครั้งที่พวกเขาจะถูกชมอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ ไม่ใช่เพราะจันทร์สงวนคำพูดหรือท่าทีอะไร แต่เพราะพวกเขารู้อยู่แล้วว่าหัวหน้าของพวกเขาเป็นคนที่สามารถเข้าใจได้ง่าย แม้จะไม่ได้เอ่ยชมพวกเขาตรงๆ แต่การได้เงินโบนัสพิเศษเพิ่มจากเงินเดือนทั่วไปก็ถือว่าชัดเจนมากพอแล้ว
   
“ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วล่ะ” จันทร์ยังคงยิ้มก่อนจะเหลือบมองหญิงสาวโอเมก้าเพียงหนึ่งเดียวที่ถือว่าเป็นสุดยอดหัวกะทิของกลุ่มวิจัย “หลังจากนี้ถ้าผมไม่อยู่แล้ว ผมฝากคุณด้วยล่ะ ณิชา”
   
“ค่ะ” ณิชายิ้มรับก่อนที่จะถามในสิ่งที่ทุกคนต้องการจะรู้พอดี “ขออนุญาตถามได้ไหมคะ”
   
“อืม ว่ามาสิ”
   
“ที่บอกว่าไม่อยู่นี่หมายความว่ายังไงเหรอคะ”
   
นัยน์ตาโศกหรี่ตามองคนพูดเล่นเอาคนถามเสียวสันหลังวาบ
   
“เดี๋ยวเธอก็รู้เอง อีกไม่นานหรอก แต่อย่าลืมที่ผมสั่งล่ะ ถ้าผมเป็นอะไรขึ้นมา ผมฝากให้ทุกคนดูแลโครงการนี้ต่อด้วย ผมรู้ว่าพวกคุณทำได้”
   
จันทร์ฉีกยิ้มเศร้าๆ ให้กับกลุ่มวิจัยที่คาดว่าน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเดินออกจากห้องและมุ่งหน้าออกจากตึก เสียงขวดยาที่ฉวยหยิบมาจากห้องวิจัยนับสิบขวดดังกระทบกันเมื่อร่างผอมกระโจนขึ้นมอเตอร์ไซด์ของพนักงาน ใช้ความเป็นประธานบริษัทในการขอยืม ทำให้เจ้าของรถลนลานขอโทษขอโพยให้ยืมแต่โดยดีแม้จะงุนงงว่าทำไมถึงไม่ยอมนั่งรถประจำตำแหน่งที่มีคนขับประจำ
   
“…”
   
น่าแปลกที่อยู่ๆ จันทร์ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมากับสิ่งที่ตัวเองคิดจะทำเพราะมันไม่เคยอยู่ในครรลองความคิดมาก่อน ว่าจะพาตัวเองมาเสี่ยงถึงขนาดนี้ ไม่สิ เขาไม่กล้าออกจากกรอบที่พ่อวางไว้ให้ด้วยซ้ำ
   
ตูม!
   
เสียงระเบิดดังจากไกลๆ ดึงสติที่ล่องลอยของจันทร์กลับมา
   
นัยน์ตาโศกฉายประกายความมุ่งมั่นและขับไปตามเสียงระเบิดทันที!

   

เป็นครั้งแรกที่จ้าวตื่นมาแล้วเหมือนร่างแหลกสลาย จ้าวหน้าเหยเกเมื่อลองหยั่งเท้าลงบนพื้นและพบว่าแข้งขาของตัวเองไร้เรี่ยวแรงไปซะแล้ว ดีหน่อยที่เหมือนคุณเหมันต์จะเช็ดตัวให้ก่อนนอน
   
แต่ก็ดูเหมือนจะไม่หมดจดสักเท่าไหร่นัก..
   
จ้าวรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างมากเมื่อรู้สึกว่ายังมีของเหลวคั่งค้างในตัวอยู่เป็นจำนวนมาก แหงสิ เมื่อวานกว่าเขาจะได้นอนก็เหมือนจะฟ้าสว่างคาตาพอดี เขาร้องขอแทบตายว่าพอแล้วๆ แต่ก็เหมือนคุยคนละภาษา คุณเหมันต์ทำหูทวนลมแล้วทำเอาแต่ใจตัวเองโดยไม่สนใจสักนิดว่าคนที่เพิ่งหนีมาจากขุมนรกหมาดๆ สภาพจะเป็นยังไง
   
“..โอย”
   
จ้าวหลุดเสียงร้องโอดโอยเมื่อพยายามตะกายไปห้องน้ำที่ระยะทางดูไกลกว่าทุกวัน ใบหน้าบูดบึ้งอย่างไม่พอใจนักเพราะครั้งแรกที่ทำกัน สภาพเขาไม่ปางตายขนาดนี้ ไหนจะเรื่องที่ไม่ยอมทำความสะอาดให้ครบอีกล่ะ

ถ้าเกิดว่าเขา...
   
ร่างผอมชะงักกึกกลางคัน จ้าวหน้าแดงเถือกเมื่อระลึกชาติได้ว่าเมื่อคืนโดนถามว่าอะไร เผลอเอามือกุมท้องโดยไม่รู้ตัว
   
‘ชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย?’
   
เสียงทุ้มเชิงหยอกล้อดังข้างหูราวกับถูกกระซิบอีกครั้ง
   
จ้าวหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าเดิมเพราะไม่คิดว่าคุณเหมันต์จะคิดเรื่องนี้เร็วขนาดนี้ บอกตามตรงว่าช่วงที่เขาหายไป เขาแค่อยากเจอคุณเหมันต์เท่านั้นไม่ได้คิดเรื่องอะไรแบบนี้สักนิด เขาก็แค่คิดถึงอ้อมกอดอุ่นๆ เท่านั้นเอง
   
แต่อย่างไรก็ตาม จ้าวก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรนักถ้าเกิดว่าเขาจะมีลูกจริงๆ เมื่อก่อนเขากลัวจนแทบเป็นบ้าเวลาที่เข้าใกล้พวกเบต้าในคุก กลัวว่าพวกมันจะข่มขืนเขาจนท้องเพราะมีนักโทษโอเมก้าหลายคนที่มีลูกและลูกของพวกเขาก็เติบโตในคุกอย่างน่าสงสาร ลำพังการใช้ชีวิตข้างนอกก็ยากแล้วยิ่งโตในคุกอย่าพูดถึงเลยว่าจะได้รับความเท่าเทียม แค่ได้รับโอกาสออกไปยังยากเลย
   
ถึงแม้จะไม่มั่นใจนักว่าตัวเองเป็นโอเมก้าเต็มตัวรึเปล่าแต่จ้าวก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก แค่ได้อยู่กับคุณเหมันต์สำหรับเขามันก็มากพอแล้ว เรื่องมีลูกไม่ใช่เรื่องใหญ่ ต่อให้มีหรือไม่มีก็ไม่ใช่ปัญหา
   
“ให้พี่ช่วยอาบไหม?”
   
ร่างผอมสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกกอดจากข้างหลัง ไรหนวดที่ถูไถหลังคอเล่นเอาจ้าวหลุดเสียงหัวเราะด้วยความจั๊กจี้ เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวทั้งๆ ที่คาดโทษอีกฝ่ายไว้ในใจ
   
“แค่พาผมไปส่งที่อาบอ่างน้ำก็พอ”
   
“ครับ”
   
เหมันต์อมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของจ้าว ค่อยๆ ประคองจ้าวอย่างใจเย็น “ให้พี่อุ้มไหม”
   
“เพราะพี่นั่นแหละ” จ้าวขู่แง่งหน้ายู่ “ผมเดินแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ”
   
“ก็พี่คิดถึง” เหมันต์หอมแก้มจ้าวดังฟอดอย่างหมั่นเขี้ยว ไม่รู้สึกผิดแม้แต่นิดเดียวว่าตัวเองเป็นสาเหตุทำให้จ้าวสภาพนี้ เอาเข้าจริงเขาจะทำมากกว่านั้นด้วยซ้ำถ้าจ้าวไม่งอแงจะพอเข้าซะก่อน “จะให้พี่อุ้มไหม”
   
“อือ ก็ได้ ผมขี้เกียจเดินแล้ว เหนื่อย”
   
ท้ายที่สุดแล้วจ้าวก็ยอมแพ้ทิ้งตัวใส่ร่างตัวต้นเหตุ เหมันต์หัวเราะในลำคอรวบตัวจ้าวขึ้นอุ้มอย่างไม่ยากเย็น พอเห็นสีหน้าเหนื่อยๆ ของจ้าวก็อดถามกระเซ้าไม่ได้
   
“อีกรอบไหมจ้าว ตอนเช้าพี่ก็ไหวนะ”
   
“ไม่ พี่ ไม่ พี่ไหวแต่ผมไม่ไหว ผมตายแน่” จ้าวพูดออกมาอย่างจริงจังและมองเหมันต์ตาขวาง “ผมไม่ได้แข็งแรงเหมือนพี่นะ”
   
“งั้นก็ทำบ่อยๆ จะได้แข็งแรง” เหมันต์พูดเรื่องลามกหน้าตาเฉยผิดวิสัยสุขุมดังปกติเพราะอารมณ์ดีมากๆ
   
“ทำอ่ะทำได้พี่ แต่ผมขอเถอะ อย่าเหมือนเมื่อคืนอีก ผมยังไม่อยากตายคาเตียง”
   
“งั้นคืนนี้?”
   
“ไม่” จ้าวหน้ายู่ “ถ้าพี่ทำ พี่ไม่ต้องมาคุยกับผมแล้ว ผมไม่อยากคุย”
   
เหมันต์หัวเราะก่อนที่จะวางจ้าวลงบนขอบอ่างล้างหน้า ถอดเสื้อคลุมอาบน้ำตัวเดียวของจ้าวออกและพาจ้าวลงในอ่างที่เปิดน้ำรอจ้าวไว้แล้วอย่างบรรจง กลีบกุหลาบที่ลอยบนผิวน้ำขับให้มีกลิ่นหอมละมุนชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย
   
จ้าวหลับตาพิงกับพนัก อุณหภูมิที่อุ่นกำลังพอดีทำให้กล้ามเนื้อที่เพิ่งถูกใช้งานอย่างหนักรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เสียงเปิดฝาแชมพูข้างตัวทำให้ร่างผอมลืมตาข้างนึงนัยน์ตาโศกข้างนึงเพื่อมองก็พบว่าคุณเหมันต์ถอดเสื้อสูทดำออกเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตข้างในที่ถูกถกแขนเสื้อขึ้น
   
“เดี๋ยวพี่สระผมให้”
   
จ้าวพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะหลับตาและไถลลงพนักมากกว่าเดิมด้วยความรู้สึกง่วงปนผ่อนคลาย สัมผัสแผ่วเบาลูบผมหยาบกระด้างของเขาอย่างบรรจง ค่อยๆ ใช้น้ำอุ่นล้างผมเขาโดยพยายามไม่ให้โดนใบหน้านักก่อนที่จะลงแชมพูที่มีกลิ่นหอมดอกไม้อ่อนๆ ที่มีสรรพคุณบำรุงมากมาย
   
นี่น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีของจ้าวที่มีคนสระผมให้เพราะปกติจ้าวมักจะเข้าร้านตัดผมเป็นว่าเล่น การตัดผมและย้อมผมถือว่าเป็นความชีวิตจิตใจของจ้าว ตอนที่เป็นนักร้องนำวงก่อนเปลี่ยนสีผมแทบทุกเดือน เบื่อสีนู้นก็ไปสีนี้จนไปลงตัวสีเทาที่รู้สึกว่าชอบมันสุดๆ จึงเลิกย้อมสีไปทั่ว
   
และต้องยอมรับว่าการสระผมของคุณเหมันต์อาจจะไม่ได้ดีเท่าช่างตัดผมร้านประจำของจ้าว แต่จ้าวกลับรู้สึกอุ่นใจและผ่อนคลายกว่าทุกครั้งที่เคยทำ
   
“อยากย้อมผมรึเปล่า”
   
เหมันต์ถามขณะที่กำลังลงครีมนวดผมให้จ้าวอย่างเพลินมือ สัมผัสหยาบกระด้างกับสีดำกระด่างชวนให้เขารู้สึกปวดใจไม่น้อย ผมของจ้าวตอนนี้ยาวและยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงเท่าไหร่นักถ้าไม่ถูกเซ็ตผม
   
“พี่อยากให้ผมย้อมไหม” จ้าวถามทั้งๆ ที่ยังหลับตา
   
“พี่แล้วแต่จ้าว” เหมันต์พูดน้ำเสียงนุ่มนวล “อะไรที่จ้าวชอบ พี่ก็ชอบทั้งนั้น”
   
“งะ งั้นเดี๋ยวผมจะย้อมเทานะ”
   
ร่างสูงผุดยิ้มเมื่อเห็นหูของจ้าวแดงก่ำเพียงเพราะเขาเย้าหยอกนิดหน่อย “ตัดผมด้วยล่ะหรือไม่ก็รวบก็ได้ เมื่อคืนผมก็ยาวจนปิดหน้า พี่มองไม่เห็นหน้าจ้าวเลย”
   
“..อือ จะตัดผมด้วย”
   
จ้าวก้มหน้างุดกดตัวต่ำกว่าเดิม
   
“อย่าก้มสิ พี่สระยาก” ไม่ว่าเปล่ามือหนาช้อนตัวใต้แขนจ้าวให้ขึ้นมานั่งดีๆ และจับใบหน้าจ้าวให้เอียงเข้าหาตัวเองและจูบริมฝีปากเล็กๆ อย่างอดไม่ได้
   
เหมันต์รู้ดีว่าตัวเองกำลังเผยธาตุแท้ให้จ้าวเห็น เขาไม่ใช่ผู้ชายสุภาพบุรุษที่จะอดทนอดกลั้นจนถึงวันแต่งงานหรอก เพราะเขามันก็
แค่ผู้ชายวัยกลางคนที่เพิ่งจะหาเมียได้อย่างจริงจัง
   
ไม่ต้องถามว่าที่ผ่านมาเขาอดอยากมากี่ปีเพราะจ้าวคงไม่อยากรู้คำตอบของมันนัก
   
“พอ พอแล้ว”
   
จ้าวหอบแฮ่กดันหน้าสากๆ ออกจากตัวราวกับต้องของร้อน
   
เห็นสีหน้าของจ้าวยิ่งทำให้เหมันต์พอใจแต่ก็แสร้งทำเป็นเลิกแกล้งและสระผมให้จ้าวต่อ มือหนาหยิบฝักบัวเปิดน้ำอุ่นและความแรงไม่มากนักค่อยๆ ล้างผมให้จ้าว ล้างจนฟองออกหมดจึงปิดและช้อนตัวจ้าวขึ้นมานั่งขอบอ่างอีกครั้ง น้ำที่ไหลพรมร่างขับให้จ้าวดูเร้าร่อนอย่างประหลาด
   
ยิ่งผมที่แนบกับลำคอที่คล้ายกับพยายามปกปิดร่องรอยบางอย่างได้ไม่มิด ตามร่างขาวที่มีร่องรอยการถูกขบกัด ถ้าหากจ้าวได้เห็นตัวเองในสภาพนี้คงไม่แปลกใจนักทำไมคุณเหมันต์ถึงได้มีความต้องการมากมายนัก
   
“อะไรอีก” จ้าวมองเหมันต์อย่างไม่ไว้ใจนัก “ผม ผมไม่ไหวนะ”
   
“ตอบพี่ได้ยังว่าชอบผู้หญิงผู้ชาย” เหมันต์ยิ้มนิดๆ ขณะเดียวกันก็ทรุดลงนั่งและดึงขาจ้าวมาชโลมด้วยสบู่เหลว นวดอย่างเบามือ
   
“ผมอาบ..เองได้” จ้าวหน้าแดงก่ำพยายามชักขากลับก็พบว่าขาตัวเองไม่มีแรงเลยสักนิด
   
“ตอบพี่สิ”

   
“ไม่รู้”
   
เหมันต์ที่ง่วนอยู่กับการนวดขาจ้าวเงยหน้ามองจ้าวก็พบว่าตัวเองได้ทำใครบางคนเขินจนตัวแดงก่ำเสียแล้ว ร่างผอมเอามือปิดหน้าอย่างอับอายไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเขาและนั่นยิ่งทำให้เหมันต์พอใจ
   
“พี่ชอบทั้งผู้หญิงผู้ชายนะ จะเป็นอะไรพี่เลี้ยงได้หมด”
   
“..ยังไม่รู้เลยว่าจะมีได้รึเปล่า”
   
จ้าวพูดขัดเสียงเบาซะยิ่งกว่าเบาและเผลอสบตากับร่างสูงโดยไม่ตั้งใจเข้า
   
นัยน์ตาสีเทาวาววับจนจ้าวขนลุกเกลียว
   
“ไม่มี พี่ก็จะทำจนกว่าจะมี”
   
นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างช็อคๆ กลืนน้ำลายเอือก ยกมือขึ้นปิดหูตัวเอง รู้สึกไม่อยากคุยหรือเสวนากับคุณเหมันต์เลยสักนิดเพราะยิ่งคุยก็เหมือนถูกต้อนให้หลังชนฝา เขาเขินจะตายอยู่แล้ว!
   
“…หยุดพูดสักที ผมไม่อยากฟัง”
   
จ้าวร้องฮือๆ หลับตา
   
“โอเคๆ พี่ไม่แกล้งแล้ว” เหมันต์ยิ้มละมุนก่อนจะดึงขาอีกข้างของจ้าวมานวดต่อ อารมณ์ที่ดีเอามากๆ จึงถูกขัดอีกครั้งด้วยเบาแผลช้ำตรงข้อเท้าที่ถูกทายาแล้วก็ยังไม่จางลงแต่เพื่อไม่ให้บรรยากาศแย่ลง เหมันต์จึงเลือกที่จะเมินมันแล้วลูบบริเวณต้นขาของจ้าว
   
ซึ่งก่อนที่จะมันจะเลื้อยสูงขึ้นมาเรื่อยๆ จ้าวจึงรีบชิงพูดตัดหน้าไปก่อน
   
“…พี่เหมันต์” จ้าวพูดเสียงเบา “จ้าวขออาบเองได้ไหมครับ”
   
แน่นอนว่ามันได้ผลชะงักเพราะจ้าวไม่เคยแทนตัวเองด้วยชื่อตัวเองสักครั้งตั้งแต่ที่รู้จักกันมา
   
“น้องจ้าวเหนื่อยอยู่ พี่เหมันต์ให้น้องอาบเองไม่ได้หรอกครับ” เหมันต์ยิ้มก่อนจะลากมือไปบริเวณหน้าท้องและจงใจเขี่ยผ่านยอดอกสีชมพูที่ยังเป็นร่องรอยถูกกัด
   
จ้าวสะดุ้งเฮือกจับแขนเหมันต์ไว้แน่น “ไม่เอานะ จ้าวไม่ไหวแล้ว ไว้วันหลังนะครับ”
   
เหมันต์แกล้งทำสีหน้ายุ่งยากใจให้จ้าวใจหายเล่นก่อนจะยอมพยักหน้า
   
“งั้นให้พี่ล้างให้ก่อนนะครับ”
   
เหมันต์กลั้นยิ้มเมื่อสีหน้างุนงงของจ้าว และแน่นอนคนอย่างเหมันต์ท่านประธานบริษัทมีนิสัยชอบปฏิบัติมากกว่าพูดจึงช้อนตัวจ้าวขึ้นมาด้วยมือข้างเดียว บังคับให้ร่างผอมโอบคอตัวเองเพื่อพยุงตัวก่อนที่จะใช้มืออีกข้างสอดนิ้วเข้าไปด้านหลังเพื่อล้วงเอาลูกๆ ของตัวเองออกมา
   
“ฮื่อ ผมจะโกรธจริงๆ แล้วนะ ถ้าไม่หยุดแกล้งกันสักที!” จ้าวหน้ายู่ทุบอกเหมันต์ดังอั่กๆ และเรี่ยวแรงก็เบาลงเมื่อถูก ล้วงเข้ามาลึกจนถึงข้างใน
   
“พี่แค่เอาออกให้เฉยๆ เดี๋ยวจะไม่สบายตัว” เหมันต์ไม่สะทกสะท้านสักนิดกับแรงของจ้าว ว่ากันตามตรงรู้สึกเหมือนถูกแมวตะปปมากกว่า
   
“ไม่ต้องหวังดีขนาดนั้นก็ได้” จ้าวซบหน้ากับไหล่เหมันต์พูดเสียงอ้อมแอ้ม “ครั้งที่แล้วผมก็เอาออกเอง”
   
“ครั้งนี้พี่ก็เอาเอาออกให้ไง จ้าวจะได้ไปกินข้าวไวๆ”
   
“ใครว่าผมหิว”
   
จ้าวทักท้วงแม้จะรู้ว่าตัวเองหิวจนตาลายก็ตาม
   
จ็อก
   
และร่างกายก็ไม่รักดีจนจ้าวเอาคางเกยเหมันต์อย่างอ่อนอกอ่อนใจ ปล่อยให้อีกฝ่ายทำความสะอาดให้โดยไม่สนใจที่จะขยับตัวทำอะไรอย่างเกียจคร้าน
   
“…พี่เหมันต์ ไม่เอาน่า” จ้าวมองเหมันต์อย่างไม่สบอารมณ์เมื่อรู้สึกเหมือนมีอะไรแข็งๆ โดนสะโพก “ผมจะไม่ล้างใหม่อีกรอบนะ ผมหิวข้าว”
   
“แต่พี่หิวจ้าว”
   
“ผมไม่ไหวแล้ว” จ้าวถอนหายใจเมื่อเห็นสีหน้าตัดพ้อของคุณเหมันต์“ก็ได้ๆ แค่มือนะ”
   
“ครับ”
   
เหมันต์ยิ้มพรายและนั่นทำให้จ้าวรู้สึกเหมือนตัวเองตกหลุมพรางอะไรสักอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่มีปัญญาตะเกียกตะกายออกมาอย่างแน่นอน
   
ร่างผอมถูกวางลงบนพื้นส่วนเหมันต์ก็สลับตำแหน่งไปนั่งบนขอบอ่างแทน นัยน์ตาสีเทามองจ้าวอย่างหยอกเย้า ชั่วขณะหนึ่งจ้าวเหมือนตาลายเห็นหูหมาป่าชั่วร้ายบนหัวคุณเหมันต์
   
“รีบทำสิ จะได้ไปกินข้าวกัน”
   
เอ่ยเร่งรัดราวกับว่าสิ่งที่พูดเป็นเรื่องทั่วไปทำให้จ้าวหน้ามุ่ยอย่างไม่ปิดบังเพราะโดนแกล้งไม่หยุดไม่หย่อน เพื่อตัดความรำคาญและความหิว จึงกะจะทำให้มันเสร็จๆ ไป
   
แต่พอเอาเข้าจริงแค่เอื้อมมือไปรูดซิปจ้าวยังไม่กล้าเลยสักนิด ประหม่าจนมือสั่นและสงสัยว่าไอ้ที่ซ่อนอยู่ใต้กางเกงนี่มันเข้าไปในตัวเองได้ยังไง ขนาดของมันไม่ได้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเลยสักนิด
   
“เร็วสิ”
   
หลังจากถอนหายใจไปหลายรอบก็ทำใจกล้าลองรูดซิปเปิดไปได้ครึ่งนึงก็ต้องพบว่ามันน่ากลัวมาก จ้าวหน้าซีดมองเหมันต์เชิงขอร้อง “จ้าวหิวข้าวแล้ว ขอไปกินข้าวก่อนได้ไหมครับ”
   
“พี่ไม่ให้จ้าวกินของพี่รองท้องก็ดีแค่ไหนแล้ว”
   
คำพูดสองแง่สองง่ามเล่นเอาจ้าวหน้าแดง เลยยอมรูดซิปและดึงออกมาจากเกงเกงให้จบๆ ไป
   
“…”
   
อุณหภูมิร้อนจัดที่อยู่ในมือทำเอาจ้าวแทบไม่รู้จะเอาหน้าตัวเองไปไว้ที่ไหน มือของเขาโอบแทบไม่มิดด้วยซ้ำ
   
“ถ้าหิวก็กินได้นะ พี่ไม่หวง”
   
“พี่เหมันต์ ถือว่าจ้าวขอนะ” จ้าวพูดเสียงเบา “หยุดพูดเถอะ”
   
“ก็ได้ พี่ไม่แกล้งก็ได้” เหมันต์หัวเราะลูบหัวจ้าวอย่างเอ็นดูก่อนที่จะปล่อยจ้าวให้จ้าวทำในสิ่งที่ต้องทำ ใบหน้าน่ามองนั้นแดงก่ำจนน่าสงสาร มือเล็กๆ ที่จับของเขาก็สั่นระริกจนอยากจะจับกินอีกครั้งให้รู้แล้วรู้รอด
   
“ทำไมพี่ถึงไม่เขินบ้างวะ”
   
จ้าวบ่นขรมพยายามทำให้เท่าที่ทำได้ บอกตามตรงว่าจ้าวอายจนอยากจะมุดแผ่นดินหนีที่ต้องมาทำแบบนี้ให้ใคร ถึงจะเป็นคุณเหมันต์ก็เถอะแต่จ้าวก็เขินมากๆ อยู่ดี
   
“แก่แล้ว หนังมันหนา” เหมันต์หัวเราะ
   
“…”
   
จ้าวหมดคำพูดก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาทำให้คุณเหมันต์อย่างจริงจังเพื่อที่เขาจะได้ผละไปทำอย่างอื่นกันสักที ผ่านไปสักพักนึงกว่ามังกรร้ายก็พ่นน้ำออกและแน่นอนว่ามันเลอะหน้าจ้าวไปครึ่งหน้า
   
“พี่ขอโทษๆ” เหมันต์รีบหยิบทิชชู่ที่พกไว้มาเช็ดหน้าให้จ้าวที่แดงจนน่ากลัวว่าจะกลายเป็นมะเขือเทศเข้าสักวัน เมื่อเช็ดออกจนหมดก็อุ้มจ้าวกลับเข้าใส่อ่างเพื่อล้างสบู่ออกจากตัว เห็นท่าทางที่ยังคงช็อคจนนั่งนิ่งๆของจ้าว เหมันต์ก็อดหอมแก้มจ้าวซ้ำไม่ได้
   
ฟอด
   
“อีกแล้วนะ!” จ้าวขมวดคิ้วกุมแก้มตัวเอง “พี่ออกไปเลย ผมจะแปรงฟัน”
   
ครั้งนี้เหมันต์ยกมือสองข้างเชิงยอมแพ้ “อยากกินอะไร เดี๋ยวพี่ให้คนทำให้”
   
“ข้าวต้ม ข้าวผัด อะไรก็ได้ เอามาเถอะ ผมหิวมาก”
   
จ้าวหันหลังให้หยิบฝักบัวขึ้นมาราดหัวตัวเองซ้ำพยายามใช้น้ำเรียกสติของตัวเองที่ไม่รู้ว่าเตลิดไปถึงไหน ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันทำไมถึงตกใจนักหนา ทั้งๆ ที่ก็มีเหมือนกัน
   
“งั้นพี่สั่งข้าวต้มให้นะ จะได้กินง่ายๆ”
   
“อือ”
   
ร่างผอมหลับตาหยีเอามือวักน้ำล้างหน้าตัวเอง เจอคุณเหมันต์ทีไรเขาลืมทุกอย่างในชีวิตทุกที ลืมความเจ็บปวดทรมาน ลืมความแค้น ลืมทุกอย่าง มีแต่เรื่องของคุณเหมันต์อยู่ในหัวเต็มไปหมด
   
จ้าวมองเงาสะท้อนตัวเองในน้ำพบว่าตัวเองเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
   
ถ้าถามเขาว่าชอบผู้หญิงผู้ชาย…
   
ก็คงจะต้องตอบว่าทั้งคู่

======

เอาจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจให้อารมณ์ตอนตัดกันขนาดนี้  :ling3: แต่ไม่คิดว่าน้องจ้าวกับพี่เหมจะหวานขนาดนี้

กลัวคนอ่านจะเป็นเบาหวาน 555 ไม่เป็นไร ในฐานะคนเขียนเราห่วงใยนักอ่าน

 ตอนหน้าหริอหน้าหน้าหน้าย่อมมีเค็มน้ำตาแน่นอน  :mew1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด