{OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ แจ้งข่าวรวมเล่ม p.10
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ แจ้งข่าวรวมเล่ม p.10  (อ่าน 47823 ครั้ง)

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 36
   

“สิต นายเชื่อใจพวกนั้นจริงๆ เหรอ”
   
หนุ่มแฮ็คเกอร์เอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไม่ยอมละสายตาจากจอมอนิเตอร์แม้แต่วินาทีเดียว ในเวลานี้ถึงภายนอกกลุ่มอีกาจะดูได้เปรียบแต่สำหรับไอทีแล้วนั้นตรงกันข้าม จำนวนคนที่มีน้อยกว่าทำให้งานแฮ็คระบบเขาล้มเหลวมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะแต่ละที่ที่โดนแฮ็คระบบนั้นเริ่มรับมือได้แล้ว
   
“บอกตามตรงว่าฉันไม่อยากไปเลยสักนิด อยู่ดีๆ ก็ตกลงรับข้อเสนอทั้งหมดแต่มีข้อแม้ว่ากลุ่มเราต้องไปทั้งหมด เอาเข้าจริงเด็กอนุบาลยังรู้เลยน่าว่ามันมีอะไรแปลกๆ ”
   
คราวนี้ขุนหรืออัลฟ่าหนุ่มไฮโซซึ่งเป็นหนึ่งไส้ศึกสำคัญของกลุ่มอีกากอดอกพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก เพราะถ้าหากเขายอมรับว่าตนเองอยู่กลุ่มอีกานั่นก็เท่ากับว่าโอกาสที่เขาจะแทรกซึมในกลุ่มรัฐบาลอาจจะถูกจับตามองมากขึ้นและมันก็จะทำให้การส่งข่าวสารยากขึ้นไปอีก แค่ข่าววงในที่สุดตอนนี้คนของเขายังส่งข่าวไม่ได้เลย พวกรัฐบาลระวังตัวกันแจตรวจค้นร่างกายกันทุกวันและตรวจรหัสคนเข้าออกตลอดเวลา ทำให้คราวนี้กลุ่มอีกาไม่ล่วงรู้แผนที่รัฐบาลวางเอาไว้ ได้แต่คาดคะเนกันเอาเอง
   
สิตที่กำลังจัดแจงเสื้อผ้าอยู่นั้นแค่นเสียงหัวเราะเรียกสีหน้าประหลาดใจของสมาชิกกลุ่มได้ดี
   
“พูดตรงๆ นะ แค่เมื่อวานกูไม่ตายก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว”
   
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราตอนนี้ถูกโกนออกจนหมดจด สิตเอียงหน้าซ้ายขวาพยายามทำตัวให้อยู่ในสภาพดีที่สุดเพราะนี่จะเป็นการลงนามครั้งแรก เขาอยากให้เกียรติกับสิ่งที่กลุ่มอีกาพยายามร้องขอมาตลอด ถึงแม้จะไม่รู้ว่าการไปครั้งนี้จะเป็นเรื่องหลอกหรือเรื่องจริงแต่สิตก็ไม่คิดจะกลัว
   
เขาเห็นความตายมามากจนไม่รู้สึกอะไรถ้าตัวเองจะเป็นอีกศพในการปฏิวัติครั้งนี้ เขาฆ่าคนมามากแล้วเพื่อที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ถ้าหากการตายของเขาสามารถทำให้รัฐบาลตกลงรับข้อเสนอก็ถือเป็นเรื่องที่ควรจะยินดีมากกว่าเสียใจด้วยซ้ำ
   
“ผมไม่อยากให้พี่ตายเหมือนจันทร์” เงินซึ่งเป็นอัลฟ่าอีกคนในกลุ่มพูดด้วยสีหน้าอ่านยาก ภาพที่จันทร์ยิงหัวตัวเองต่อหน้าสาธารณชนยังติดตาเขาไม่หาย ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แต่ก็รับรู้ได้ถึงอุดมการณ์อันแรงกล้าของจันทร์ก่อนตาย มันเป็นอะไรที่ทรงพลังมากเพราะถ้าจันทร์อยากจะฆ่าตัวตายจริงๆ ไม่จำเป็นต้องไปพูดเพื่อกลุ่มอีกาด้วยซ้ำ
   
“ใครจะไปเซ็นลงนามกับพี่บ้าง”
   
เมื่อผูกเนคไทเสร็จสิตก็กวาดสายตามองคนที่นั่งในห้องประชุมไม่สนใจคำคัดค้านของแต่ละคนแม้แต่นิดเดียว
   
“ผม”
   
วุ้นซึ่งแต่งตัวด้วยชุดสูทครีมเรียบๆ ยกมือตอบ ผ้าปิดตาที่ปกปิดความผิดปกติไม่ได้ทำให้ใบหน้าของวุ้นดูน่ามองขึ้นแต่อย่างใด หนำซ้ำยังเน้นยำถึงความรุนแรงของสังคมที่บีบบังคับให้คนๆ นึงต้องสูญเสียอะไรในชีวิตมากมายเพื่อแลกกับการมีชีวิตรอดในแต่ละวัน

“พี่ขออีกคน”
   
“เฮ้ย พี่สิต พี่ไม่คิดจะฟังที่พวกผมพูดเลยใช่ไหมวะ!” ในที่สุดเงินก็ระงับอารมณ์ตัวเองไม่อยู่กระชากคอเสื้อสิตและตะคอกใส่เสียงแข็งอย่างผิดวิสัย หากแต่ก็ไม่มีใครกล้าห้ามเพราะแววตาที่ขมขื่นของเงิน “พี่ไม่คิดบ้างเหรอว่าผมจะรู้สึกยังไง ถ้าพี่ตาย”
   
“ก็เพราะพี่สนใจ พี่ถึงไป” สิตถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ไม่คิดจะขัดขืนแต่อย่างใดแม้คอเสื้อจะถูกกำแรงขึ้นทุกที
   
“แล้วถ้าพี่ตายล่ะ พวกผมจะทำกันยังไง.. มันไม่เหมือนกันหรอกนะ มีกับไม่มีน่ะ” น้ำตาค่อยๆ ไหลออกจากนัยน์ตาของเงิน อัลฟ่าหนุ่มร่างโปร่งที่กำพร้าพ่อแม่แต่ได้รับการอุปถัมภ์จากครอบครัวโอเมก้าและครอบครัวที่ว่านั้นก็คือครอบครัวของสิต
   
“พี่ว่าพี่เคยคุยเรื่องนี้กันแล้วนะ” สิตลูบหัวเงินเบาๆ “ถ้าพี่ตาย พี่ฝากกลุ่มไว้กับเงินและทุกคนด้วย”
   
“…ไม่ พี่ต้องไม่ตายสิ ฮึก”
   
“ถ้าพี่ไม่ไป พวกเราก็ไม่มีโอกาสแล้วนะ เงิน และพี่ก็ไม่อยากให้ใครไปเสี่ยงแทนพี่ด้วย”
   
สิตแกะมือของคนที่เปรียบเสมือนเป็นน้องชายตัวเองออกจากคอเสื้อ ครั้งนี้เงินยอมแต่ตัวสั่นระริกพยายามใช้หลังมือปาดน้ำตาตัวเองที่ไหลไม่หยุด
   
“ผมพี่ ผมไปเอง”
   
คิงซึ่งนั่งเงียบมาตลอดพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ใบหน้าที่เคยหล่อขึ้นปกนิตยสารบ่อยๆ ตอนนี้เหลือเพียงเค้าโครง บริเวณดวงตาฉายชัดถึงความนอนไม่พอและแน่นอนว่ามันเป็นแบบนี้นับตั้งแต่วันที่จ้าวหลุดออกไป
   
คนที่เป็นแสงสว่างที่สุดในชีวิตของเขาได้หนีจากเขาไปตลอดกาลแล้ว…
   
เขามันก็แค่หมาตัวหนึ่งที่เห่าไปวันๆ พยายามรอให้เจ้าของกลับมาทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่มีวันกลับมา ภาพในข่าวมันชัดเจนจนทำให้เขาร้องไห้กับความจริงที่ว่าจ้าวไม่เคยรักเขาเลย ไม่เคยเลยจริงๆ
   
“โอเค งั้นลุกเลย พี่อยากไปก่อนเวลานัด”
   
สิตพยักหน้าจัดเน็คไทให้เข้าทรงเหมือนเดิมและก่อนที่จะก้าวออกจากห้องก็ไม่ลืมที่จะกล่าวลาด้วยน้ำเสียงติดตลกเหมือนที่เคยเป็นทุกครั้ง
   
“ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเราได้เจอกัน พี่ขอบคุณทุกคนจริงๆ ที่กล้าเอาตัวเองมาเสี่ยงกับเรื่องที่ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้จริงรึเปล่า”
   
นัยน์ตาที่ไม่มีใครเห็นของสิตนั้นวูบไหว เอาเข้าจริงแล้วเขาก็อยากจะอยู่จนถึงตอนจบของเรื่องทุกอย่างเหมือนกัน แต่มันก็คงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เขาเผื่อใจเอาไว้แล้วกับการลงนามครั้งนี้ ถ้าเกิดเขาตายจริงๆ ก็คงสามารถสร้างแรงผลักดันครั้งใหญ่ได้ไม่น้อยเหมือนที่จันทร์ทำ
   
“ที่เหลือต่อจากนี้พี่ขอฝากความฝันของพี่ไว้กับทุกคนด้วย”
   
ทุกอย่างในห้องประชุมตกลงอยู่ในความเงียบ ทุกคนล้วนเข้าใจในการกระทำของสิตแต่ก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้อยู่ดี มันช่างโหดร้ายเหลือเกินที่เรื่องทุกอย่างที่เลวร้ายที่สุดมักจะเกิดกับฝ่ายที่อ่อนแอกว่าและถูกต้องกว่าอยู่เสมอ
   
“งั้นพี่ไปแล้วนะ”
   
สิตพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่พูดเสียงสั่น เขายังอยากปกป้องทุกคนมากกว่านี้แต่โอกาสที่เขาจะรอดก็น้อยนิดเหลือเกิน
   
“แล้วพี่จะเอาน้ำหอมโอเมก้าไปไหม”
   
เงินถามขึ้นมาจ้องมองแผ่นหลังที่ใหญ่โตราวกับเป็นอัลฟ่าด้วยความเจ็บปวด
   
“ไม่ เราจะไม่เล่นสกปรกกับการลงนามครั้งนี้”
   
“แต่พวกมันจะเล่นสกปรกนะ พี่สิต” เงินทักท้วง “ทำไมเราต้องปล่อยให้มันทำเราอยู่ฝ่ายเดียวละ พี่สิต มันไม่ยุติธรรมเลย ถ้าพวกมันจะฆ่าพี่ เราก็ต้องโต้กลับสิ”
   
“พอเถอะ เงิน” สิตพูดเสียงหนักแน่น “อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ถ้าเราเล่นงานพวกมันคืน เราจะต่างอะไรจากพวกนั้นล่ะ เล่นสกปรกเหมือนกัน หายกันงั้นเหรอ พี่ไม่เอาด้วยหรอก อีกอย่างงานนี้นักข่าวน่าจะเยอะกว่างานเจรจาอีก ถ้าพวกมันคิดจะทำจริงๆ ก็ปล่อยมันทำเถอะ”
   
“แต่..”
   
“ไม่มีแต่ครับ เงิน พี่ขอตัวก่อนนะ”
   
สิตตัดบทและออกจากห้องทันทีแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าที่เงินพูดมานั้นเพราะเป็นห่วงตนเอง แต่เขาก็มีทางเลือกไม่มากนัก หากเลือกที่จะโต้กลับจริงๆ พวกเขาทั้งฝ่ายอาจจะไม่มีวันได้เจรจากันอีกและมันก็จะลามไปเป็นสงครามครั้งใหญ่ ถึงแม้กลุ่มอีกาจะยังได้เปรียบแต่เขาก็ไม่แน่ใจสักนิดว่าจะยังคงความได้เปรียบได้ไหม ถ้าหากต่างชาติยื่นมือลงมาช่วยและทำให้ทุกอย่างเลวร้ายขึ้นกว่าเดิม
   
เขาจึงเลือกที่จะเสี่ยงในครั้งนี้
   
แม้ว่ามันอาจจะต้องเดิมพันด้วยชีวิตเขาก็ตาม

   

เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ ‘จันทร์ นฤภัทร’ เสียชีวิต ทางรัฐบาลก็ยื่นข้อเสนอให้กับกลุ่มอีกาและฝ่ายหลังก็ตอบตกลงอย่างรวดเร็ว การลงนามครั้งนี้จึงได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากสื่อมวลชนต่างๆ ที่กระหายข่าวถึงขีดสุด มีหลายคนที่นึกเสียดายที่ไม่ได้มาเป็นนักข่าวเพื่อถ่ายทอดสดด้วยตัวเองตอนที่จันทร์ฆ่าตัวตายเพราะมันกลายเป็นกระแสที่รุนแรงมากในโซเชียลมีเดียทุกแพลทฟอร์ม
   
เม็ดเงินที่สะพัดอยู่ในระบบนับเป็นอะไรที่ล่อตาล่อใจเหล่านักข่าวผู้หิวกระหายเงินไม่น้อยเพราะเหล่าธนาคารและตลาดหุ้นเริ่มสามารถกู้ระบบกลับมาได้แล้ว พวกเขาจึงเลือกที่จะพาตัวเองมาอยู่ในที่อันตรายไม่สนใจความเสี่ยงใดๆ เพราะเงินที่เสนอมานั้นคุ้มค่าเกินกว่าจะคิดอะไรมากมาย
   
บริเวณทำเนียบรัฐบาลจึงคราคร่ำไปด้วยผู้คนผิดกับครั้งก่อนลิบลับ สื่อมวลชนเดินกันเอกเขนกต่างพากันรายงานสดกันอย่างกระตือรือร้น สัมภาษณ์รายงานสถานการณ์ตลอดเวลาจนเป็นที่รำคาญของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานการจริงๆ
   
หากแต่ถึงแม้ผู้คนจะมากมายถึงเพียงนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้ร่างผอมที่ปลอมตัวเป็นสื่อมวลชนรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาแต่อย่างใด หนำซ้ำยังกังวลว่ามันจะแย่ยิ่งกว่าเดิมเพราะรู้ดีว่าฝีมือการเขียนข่าวแต่ละสำนักจะเป็นยังไง หากเลือกที่จะโจมตีแล้วยากที่จะถูกมองว่าเป็นคนดีได้อีกแม้ว่าจะไม่ได้ทำผิดจริงๆ ก็ตามที
   
ร่างผอมที่กำไมค์อยู่สั่นระริกมองบริเวณที่จันทร์ยิงตัวตายด้วยความเจ็บปวด ตอนนี้มันถูกเอาน้ำฉีดล้างเลือดออกแล้วแต่ก็ยังถูกกักกันไม่ให้คนเข้าไปยุ่งกับบริเวณนั้น แต่นักข่าวผู้ต้องการข่าวก็ยังสามารถทำข่าวได้แม้แต่กับหญ้าสีเขียวที่มีเลือดติดอยู่เบาบาง
   
“อย่าไปสนใจพวกนั้นนักสิ”
   
อีกคนที่ปลอมตัวเป็นคนแบกกล้องกระซิบเสียงดุ ใบหน้าแทบทั้งหมดถูกปิดบังด้วยแมสสีดำและแว่นดำอีกทั้งยังสวมหมวกทับอีกชั้นด้วยเพื่อความแนบเนียน
   
และมันก็เนียนมากจริงๆ จนจ้าวมั่นใจว่าถ้าเจอกันโดยบังเอิญคงจำไม่ได้
   
“ผมแค่เสียใจ”
   
“พี่รู้”
   
เหมันต์รู้สึกเศร้าไปด้วยเมื่อเห็นนัยน์ตาโศกของจ้าวหม่นหมอง ทั้งๆ ที่เห็นแค่เพียงดวงตาแต่กลับสัมผัสถึงความผิดหวังล้ำลึกซึ่งเหมันต์ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรนัก
   
เพราะจ้าวก็เป็นอีกคนที่ถูกสื่อทำร้ายมาอย่างหนักหน่วง
   
“อย่าลืมว่าเรามาวันนี้เพราะอะไร”
   
เหมันต์เปลี่ยนเรื่องพยายามย้ำเตือนสติจ้าวไม่ให้หมกมุ่นกับความทุกข์ระทมในอดีตที่แสนเจ็บปวด
   
“อือ ผมจะไม่ยอมให้พ่อผมทำอะไรกลุ่มอีกาเด็ดขาด”
   
จ้าวพูดด้วยสีหน้าจริงจังแม้ว่าจะรู้สึกไม่มั่นใจนักว่าตัวเองจะทำได้ตามที่พูดหรือเปล่า หากแต่ข่าววงในที่เหมันต์สืบมาได้นั้นก็เลวร้ายเกินกว่าที่จ้าวจะนิ่งเฉยจนเรื่องทั้งหมดจบลง
   
“จันทร์ยอมเอาชีวิตของตัวเองมาลงทุนกับสิ่งนี้ ผมจะไม่ให้มันสูญเปล่าเด็ดขาด”
   
[ ขอให้ทุกท่านอยู่ในความสงบครับ ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายได้มาถึงแล้ว ]
   
เสียงลำโพงดังลั่นทำให้เหล่านักข่าวที่รายงานข่าวกันเกรียวกราวยอมสงบลงเพียงชั่วครู่ เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาก็มีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวต่อจนเหล่าเจ้าหน้าที่ยังยอมปฏิบัติงานตะคอกด่าอย่างหัวเสียและพยายามกันออกจากทางเดินไม่ให้ลุกล้ำเข้ามาได้
   
แต่จำนวนที่ต่างกันหลายเท่าก็ทำให้กล้องที่ถ่ายทอดสดนั้นรุกล้ำเข้ามาอยู่ดี ในตอนนี้ทุกคนแทบไม่สนใจเรื่องมารยาทแต่สนใจมากกว่าว่าตัวเองจะนำเสนอได้มากกว่าสำนักข่าวคู่แข่งหรือเปล่า พวกเขาพยายามแย่งชิงพื้นที่สื่อกันโดยลืมไปโดยสิ้นเชิงว่าวัตถุประสงค์ของงานนี้คืออะไร
   
จ้าวพยายามแทรกซึมเข้าไปแถวหน้าแต่ก็โดนชนจนเกือบล้ม จึงเปลี่ยนใจออกมายืนข้างนอกแทนและมองสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ด้วยความรู้สึกไม่สบายใจนัก
   
ทั้งสองฝ่ายเดินกันอย่างสงบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ กลุ่มของรัฐบาลนั้นได้สวมเสื้อคลุมสีดำและมีตราสัญลักษณ์อัลฟ่าสีทองที่สักบนมืออัลฟ่าทุกคน เป็นอัลฟ่าร่างใหญ่สามร่างประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน รองผู้บัญชาการตำรวจ และนายแพทย์ที่ทุกคนที่เป็นอัลฟ่าล้วนรู้จักกันเป็นได้อย่างดี
   
“พ่อ..”
   
นัยน์ตาโศกสั่นระริก จ้าวนวดมือตัวเองอย่างตึงเครียดและมองทางฝ่ายอีกาบ้างและพบว่าเป็นอีกสามคนที่คุ้นตาเหมือนกัน คนแรกเป็นหัวหน้าฝ่ายอีกาซึ่งสวมเสื้อสูทดำน่าเกรงขามบริเวณหน้าอกถูกประดับด้วยสัญลักษณ์ของกลุ่มอีกาซึ่งเป็นอีกาขนาดใหญ่ที่กำลังกางปีกบิน มันถูกหลอมขึ้นมาจากเหล็กและเป็นประกายเมื่อต้องแสงอาทิตย์ คนที่สองเป็นโอเมก้าร่างผอมสวมสูทสีสบายตาแต่กลับแสดงความรุนแรงออกมาอย่างเห็นได้ชัดด้วยการตัดแขนเสื้อสูทอีกข้างออกและเหลือไว้เพียงแค่ปลายเสื้อที่เปิดให้เห็นไหล่มนที่มีปลายกระดูกแทงออกมาให้เห็น ตอกย้ำถึงความไม่สบประกอบของร่างกายตัวเอง
   
และคนสุดท้าย..
   
จ้าวเผลอผงะถอยหลังเมื่อเผลอไปสบตาเข้าและฝ่ายหลังก็ยิ้มบางๆ ให้
   
“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่..”
   
พึมพำกับตัวเองอย่างสับสน ถึงแม้การเจอกันล่าสุดนั้นจะไม่ใช่เรื่องที่น่าประทับใจเท่าไหร่แต่อย่างไรก็ตามเขากับคิงก็เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากๆ ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจรอยยิ้มของคิงเมื่อกี้เลยสักนิดว่ามันหมายถึงอะไร สำหรับคิงแล้วเขาควรจะเป็นตัวร้าย เป็นคนที่สมควรถูกเกลียดที่สุดไม่ใช่เหรอ
   
เขาไม่เข้าใจและไม่ไว้ใจรอยยิ้มนั้นเลยสักนิด
   
“เป็นอะไรรึเปล่า?”
   
“เปล่าครับ”
   
จ้าวส่ายหัวแล้วหันไปยิ้มให้คุณเหมันต์กลบเกลื่อนความรู้สึกขมุกขมัวของตัวเอง ก่อนที่จะเบิกตากว้างเมื่อได้เห็นภาพที่คิดว่าตัวเองไม่มีวันได้เห็นมาก่อนในชีวิต!
   
“เพิ่งเห็นเหรอจ้าว พี่ว่าพี่สะกิดให้ดูตั้งหลายรอบแล้วนะ”
   
เหมันต์พูดกลั้วหัวเราะด้วยรอยยิ้ม
   
“ครั้งนี้ไม่ได้มีแค่พวกเราสู้อยู่ฝ่ายเดียวหรอก”
   
สิ่งที่จ้าวเห็นนั้นคือคนจำนวนมากที่เพิ่งเคลื่อนขบวนตามมาสบทบที่ทำเนียบได้สักพัก ถึงแม้จะปักหลักกันอยู่ข้างหน้าแต่ก็ไม่ได้ทำให้ปณิธานอันแรงกล้าของพวกเขาแผ่วลงสักนิด เสียงตะโกนปลุกระดมดังลั่นจากเหล่านิสิตนักศึกษาที่พยายามเรียกร้องความยุติธรรมคืนมาให้กับเหล่าโอเมก้า พวกเขาทุกคนที่มานั้นล้วนมาเพื่อเป็นสักขีพยานและป้องกันให้ไม่ให้รัฐบาลเล่นตุกติก
ถึงแม้จะมีปลายกระบอกปืนเล็งไปที่พวกเขาอยู่ก็ตามแต่พวกเขาก็ไม่คิดจะหวาดหวั่น โอเมก้าร่างเล็กซึ่งเป็นนักศึกษาปีนขึ้นไปบนรถโดยไร้ที่กำบังและตะโกนใส่เหล่าตำรวจที่ยังจงรักภักดีกับรัฐบาลอย่างไม่กลัวตาย
   
“ระบบชนชั้นจงพินาศ ความเสมอภาคจงเจริญ!”
   
ตำรวจซึ่งโดนตะโกนใส่เริ่มชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจหากแต่พอขยับตัว กลุ่มมวลประชาก็กู่ร้องตะโกนออกมาเป็นประโยคเดียวกันซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด
   
“ระบบชนชั้นจงพินาศ ความเสมอภาคจงเจริญ!”
   
นัยน์ตาของทุกคนล้วนเป็นเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่นเพราะพวกเขาทั้งหมดล้วนมาด้วยอุดมการณ์อันแรงกล้าที่เกิดจากการตายของนายแพทย์จันทร์ นฤภัทร

หรือคนที่ถูกยกย่องให้เป็น ‘วีรบุรุษ’ ของเหล่าโอเมก้า
   
คนที่ยอมตายเพื่ออุดมการณ์ของตัวเอง
   
การฆ่าตัวตายของจันทร์ท่ามกลางสาธารณชนนั้นได้สร้างอิทธิพลต่อผู้คนอย่างมากมายมหาศาล ถึงแม้ภาพการฆ่าตัวตายจะไม่น่าดูนักแต่เหตุผลของการกระทำนั้นสำคัญยิ่งกว่าจนคนเลือกที่จะมองข้ามไป
   
เหล่าโอเมก้าที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ในที่ปลอดภัยจึงพากันออกมาในชุมนุมกันจำนวนมากในวันนี้ ถึงแม้จะไม่ใช่จำนวนทั้งหมดที่มีแต่ก็เป็นตัวเลขที่น่าจะมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่มีโอเมก้ามาชุมนุมกันมากขนาดนี้
   
พวกเขาล้วนกลัวตายแต่พวกเขาก็คาดหวังอนาคตมากกว่า พวกเขาอยากให้เด็กๆ และลูกๆ ของตัวเองได้มีชีวิตที่ดีกว่าตัวเอง ได้รับโอกาสอย่างที่ตนเองไม่เคยรับ อยากให้พวกเขาเกิดมาได้วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานมากกว่ากังวลว่าแต่ละวันว่าจะมีข้าวกินไหม
   
หากพวกเขาทำสำเร็จมันก็คุ้มค่ามากพอที่จะตาย!
   
เสียงกู่ร้องของเหล่ามวลชนดังกึกก้องชวนให้คนฟังรู้สึกขนลุก เหล่าสื่อมวลชนบางส่วนเริ่มออกไปถ่ายทำข้างนอกบรรยายสถานการณ์ตอนนี้ที่ค่อนข้างตึงเครียดแต่คงไม่เท่ากับบริเวณที่นั่งของเหล่าผู้มาลงนามในวันนี้
   
[ ขอความสงบด้วยครับ การลงนามจะเริ่มต้นแล้ว ]
   
โฆษกกล่าวซ้ำอีกสองสามครั้งเสียงกู่ร้องจึงหยุดลง ทุกสายตาจับจ้องไปที่จอโปรเจ็คเตอร์ที่กลุ่มนักศึกษาเอามากันเองเพราะไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
   
ภาพบนจอที่พวกเขาเห็นนั้นเป็นภาพที่หัวหน้ากลุ่มอีกาและนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันกำลังจับมือกันด้วยรอยยิ้ม พวกเขาทักทายกันสองสามประโยคก่อนที่ทุกคนจะไปนั่งประจำที่และเริ่มต้นการลงนาม
   
เอกสารสองชุดซึ่งถูกเตรียมมานั้นถูกแจกจ่ายและไล่เรียงกันตามลำดับความสำคัญจากน้อยไปมาก เหล่าพยานทั้งสองที่ติดตามมาด้วยต่างพากันเซ็นด้วยลายมือบรรจงก่อนที่มันจะหยุดลงที่บุคคลสำคัญที่สุดทั้งสองฝ่าย
   
สิตรับมันมาด้วยความรู้สึกประหลาด
   
ไม่น่าเชื่อว่าแค่เพียงลายเซ็นอีกสองลายเซ็นก็จะสามารถทำให้ความฝันของเขาและเหล่าโอเมก้าเป็นจริง…
   
ความตื้นตันดีใจทำให้สิตอดไม่ได้ที่จะขอพูดปราศรัยขอบคุณทุกคนสักครั้งก่อนที่จะเซ็นลงนาม เพราะหากไม่มีความพยายามของทุกคนมันก็คงไม่มีวันเป็นความจริงได้
   
ร่างสูงใหญ่ที่ดูคล้ายกับอัลฟ่าผลุดลุกขึ้นยืนและยิ้มบางๆ ออกมาอย่างยินดี ยิ่งเห็นกลุ่มมวลชนที่ตัวเองพยายามเรียกร้องสิทธิ์มาให้ตลอดมาร่วมด้วยยิ่งรู้สึกดีใจเข้าไปใหญ่
   
วันนี้เป็นวันที่ดีเอามากๆ จนเขากลัวว่ามันจะเป็นเพียงแค่ความฝัน
   
แต่สิตก็รู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้คือความจริง
   
สิตหยิบไมค์ลอยซึ่งตั้งอยู่ตรงหน้าตัวเองขึ้นมาและพูดด้วยรอยยิ้มกว้างที่คาดว่าจะเป็นรอยยิ้มแรกในรอบหลายเดือน “ผมขอขอบคุณทุกคนจริงๆ ที่พยายามมาด้วยกันตลอด ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่มันยากและไม่เคยมีประเทศไหนทำสำเร็จมาก่อน แต่เราก็ทำได้ มันก็กำลังจะกลายเป็นจริงแล้วครับ ไม่ว่าจะอัลฟ่า เบต้า หรือโอเมก้า ทุกคนจะเท่าเทียมกัน เริ่มต้นแรกอาจจะยากแต่ถ้าเราพยายามปรับเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ อีกไม่เกินสิบปี ผมมั่นใจว่าสังคมของเราต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน”
   
เสียงปรบมือดังเกรียวกราวจนสิตต้องยกมือขึ้นเชิงให้หยุดเพื่อขอพูดต่อ
   
“แต่คนที่ผมต้องขอบคุณที่สุดคงจะต้องเป็นจันทร์---“
   
ปัง!
   
ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ทันทีที่สิตกำลังจะไปแตะประเด็นของจันทร์ นายแพทย์นพวิทย์ก็ให้สัญญาณกับมือปืนที่ซุ่มยิงอยู่บริเวณบนตึกทันทีอย่างเผลอตัว ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะเซ็นให้เสร็จก่อนแล้วค่อยปิดบัญชีทีเดียว
   
และแน่นอนว่านักแม่นปืนที่ส่งตรงมาจากสหรัฐอเมริกาพันธมิตรหลักของรัฐบาลชุดนี้ย่อมไม่มีวันยิงพลาด ลูกกระสุนเพียงนัดเดียวแต่สามารถเจาะเข้ากลางหน้าผากตัดผ่านกะโหลกศีรษะและสมองส่วนสำคัญทันที
   
ร่างหัวหน้ากลุ่มอีกาที่ถือได้ว่าเป็นคนที่สำคัญมากที่สุดคนนึงสำหรับการปฏิวัติครั้งนี้ล้มโครมใส่โต๊ะอย่างเสียศูนย์ ช่วงขณะนึงก่อนที่สติจะสูญหายไปตลอดกาล สิตมองเอกสารสำคัญในมือตัวเองด้วยความเจ็บปวด
   
กระดาษที่เหลืออีกเพียงสองลายเซ็นตอนนี้ได้ชุ่มโชกไปด้วยเลือดของเขาเสียแล้ว
   
คงจะการใช้ไม่ได้และเขาก็คงทำไม่สำเร็จเหมือนกับคณะปฏิวัติกลุ่มอื่นๆ
   
ช่างน่าเสียดายที่เขาพยายามมาจนถึงขนาดนี้ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของฝั่งรัฐบาลได้
   
ช่างน่าเสียดาย..
   
ลมหายใจขาดหายไปพร้อมกับนัยน์ตาที่ยังเบิกค้างด้วยความเศร้าโศกระคนผิดหวัง
   
เหล่าผู้ชุมนุมและทุกคนอาณาบริเวณต่างกรีดร้องตื่นตระหนกด้วยความตกใจ บางส่วนก็พากันหนีกันจ้าละหวั่นหากแต่ระเบิดควันที่ผสมอะไรบางอย่างมาด้วยนั้นกลับทำให้แข้งขาอ่อนจนล้มไปกองบนพื้นและตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว พวกเขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองหวาดกลัวอะไรรู้เพียงสติถูกมอมเมาด้วยกลิ่นประหลาด
   
ไม่เว้นแม้แต่ตำรวจที่เป็นเบต้าของฝ่ายรัฐบาลที่ล้มไปกองบนพื้น มีเพียงอัลฟ่าและอัลฟ่าพิเศษที่ยังคนยืนหยัดถือปืนอย่างขึงขังและกลุ่มที่ถือว่าเป็นกำลังสำคัญที่สุดของรัฐบาลในวันนี้ หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากกลุ่มนี้ทางรัฐบาลก็ไม่มีวันพลิกเกมกลับมาเป็นฝ่ายคุมเกมได้
   
นายแพทย์นพวิทย์ส่งยิ้มให้กับทีมหน่วยซีลและกองทัพที่ทางสหรัฐส่งมาให้เพื่อเป็นการสนับสนุน โชคดีที่มาได้ทันเวลาพอดีก่อนที่พวกเขาจะพลาดท่าไปมากกว่านี้

==========

ตอนนี้ยาวมากกกกกกก  :ling2:

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
 :o12: กรี๊ดดดดดด  ทำไมผู้แต่งทำกันแบบนี้ ฮือ กำลังเข้มข้น

แต่ไฉนดันมาตัดไปตอนนี้ แง้ๆ ค้างมากค่ะ  :serius2:

ออฟไลน์ kanj1005

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
ไม่ยาวเลย  สั้นจุ๊ดๆ ยังไม่อิ่ม  :ling1:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พ่อจันทร์กับจ้าวเลวมาก รวมถึงคนของฝ่ายรัฐบาลด้วย

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
คุณพ่อเลวมาก

ออฟไลน์ ดาวโจร500

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
เลววววววว

ออฟไลน์ 小苹果

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
“อย่า อย่าทำผมเลย”
   
โอเมก้าคนนึงตะโกนดังลั่นเมื่อนอนขวางทางแล้วโดนอัลฟ่าที่มาจากหน่วยซีลเตะจนกระเด็นเพื่อเปิดพื้นที่ให้ทหารหน่วยซีลและกองทัพได้เข้ามาควบคุมสถานการณ์ เครื่องแบบสีดำมันขลับทั้งตัวนั้นทำจากวัสดุกันกระสุนชั้นดีอีกทั้งยังมีอาวุธที่ทันสมัยที่สุดในตอนนี้อีกด้วย การปลิดชีพใครสักคนจึงเป็นเรื่องที่ง่ายเอามากๆ สำหรับพวกเขาในตอนนี้
   
พวกเขาแทรกตัวและยืนล้อมกลุ่มนักมวลชน กระจายกำลังตามที่ต่างๆ เพื่อแสดงอำนาจของตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่แม้แต่จะสนใจว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำจะแทรกแซงประเทศอื่นอยู่หรือไม่ เพราะสำหรับพวกเขาอำนาจเงินตรามีค่าเหนือกว่าชีวิตโอเมก้าสวะไร้ค่าตัวนึงเป็นไหนๆ
   
เหล่ามวลชนต่างพากันขดตัวชิดกันตามสัญชาตญาณ พวกเขากอดกันแน่นแม้จะไม่รู้จักกันมาก่อนและร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด ในสถานการณ์แบบนี้ย่อมมีผลลัพธ์เดียวที่พวกเขารับรู้คือพวกเขาได้พ่ายแพ้ให้กับฝั่งรัฐบาลแล้ว ความฝันต่างๆ ที่เคยวาดฝันเอาไว้พังทลาย มีเพียงความเป็นจริงที่น่าเจ็บปวดที่ต้องยอมรับว่าพวกเขาต้องกลับไปเป็นทาสให้กับเหล่าเบต้าและอัลฟ่าอีกครั้งโดยไม่สามารถขัดขืนได้
   
ความสิ้นหวังค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาไม่เว้นแม้กระทั่งเหล่าผู้นำของกลุ่มอีกา แววตาของสมาชิกในกลุ่มนั้นล้วนสั่นระริกด้วยความเจ็บปวด ถึงแม้จะทำใจมาแล้วว่าหัวหน้ากลุ่มของตัวเองอาจจะตายก็ได้แต่ก็ไม่คิดว่าฝั่งรัฐบาลจะโหดร้ายขนาดนี้
   
พวกเขาไม่มีอาวุธสักอย่างไม่มีแม้แต่คัตเตอร์ด้วยซ้ำ..
   
ทั้งๆ ที่พวกเขาพยายามจะทำให้มันสันติที่สุดแต่ฝั่งรัฐบาลกลับใช้วิธีที่โหดร้ายและรุนแรงที่สุด ใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาที่แก้ไม่ตกด้วยการปลิดชีวิตคนที่คิดต่าง ทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนต้องยอมก้มหัวให้กับความไม่ยุติธรรมด้วยความรักตัวกลัวตาย
   
“ทำไม.. ถึงทำแบบนี้”
   
วุ้นซึ่งยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้และพยายามประคองสติตัวเองอย่างสุดความสามารถแม้ว่าร่างกายจะกลัวจนตัวสั่น หากแต่ภายในอกกำลังพังทลายด้วยความเศร้าโศก
   
“สิตเป็นคนดี ฮึก ทำไมต้องฆ่าเขาด้วย”
   
วุ้นไม่สามารถทำใจมองร่างของหัวหน้ากลุ่มตัวเองได้ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนคนตรงหน้าเขายังพูดปราศรัยด้วยท่าทีดีอกดีใจแต่เพียงไม่ถึงชั่ววินาทีให้หลังเขาก็ได้สูญเสียคนที่เป็นเสาหลักของกลุ่มไปตลอดกาล
   
มันเป็นแค่ช่วงวินาทีสั้นๆ แต่สามารถสร้างความเจ็บปวดได้อย่างมหาศาล
   
นัยน์ตาของวุ้นแดงก่ำ คนที่ห้ามเขาไม่ให้ฆ่าตัวตายก็คือสิตและยังเป็นคนชวนให้มาทำงานกับกลุ่มอีกาด้วย สิตทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองยังมีตัวตนอยู่บนโลกอันบิดเบี้ยวนี้อีกครั้ง ได้สัมผัสถึงคำว่าครอบครัวครั้งแรกในชีวิต
   
กลุ่มอีกาที่ทางรัฐบาลมองว่าเป็นกลุ่มกบฏชั่วร้ายบ้าสงครามแต่สำหรับวุ้นแล้ว มันคือครอบครัวที่อบอุ่น เป็นครอบครัวที่ยอมอ้าแขนรับเหล่าโอเมก้าไร้ที่ไปมาอยู่ด้วย ถึงแม้วิธีการในโต้กลับอาจจะดีบ้างแย่บ้างแต่วัตถุประสงค์หลักก็เพื่อให้ทุกคนได้บรรลุเป้าหมายสูงสุดของกลุ่ม
   
“พวกผมก็ขอแค่ในสิ่งที่มนุษย์ควรได้เท่านั้นเอง ฮึก” วุ้นสะอื้นจนตัวโยนยิ่งนึกถึงตอนที่ตัวเองเสียแขนไปข้างหนึ่งก็รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ได้ “พวกเราขอมากเกินไปเหรอครับ ฮึก รู้อะไรไหม ผมเสียแขนไปข้างหนึ่งกับการโดนพวกอัลฟ่าหักแขนเล่นเพราะพวกเขาบอกว่าแขนของผมเกะกะ”
   
“เสียใจด้วยที่ทางเราไม่รับฟังคำพูดของโอเมก้า”
   
นายแพทย์นพวิทย์พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาเจือเยาะเย้ย ไม่มีความรู้สึกผิดใดๆ ในอก มีเพียงความภาคภูมิใจที่สามารถกอบกู้สถานการณ์ของอัลฟ่าให้กลับมาได้
   
เอาเข้าจริงนพวิทย์ก็ขอบคุณวาทศิลป์ของตัวเองด้วยที่ดีพอจะสามารถกล่อมให้รัฐบาลสหรัฐยอมยื่นมือลงมาช่วยด้วยทฤษฏีโดมิโน เพราะถ้าหากประเทศไทยเข้าสู่ระบบความเท่าเทียมสำเร็จ เหล่าเบต้าโอเมก้าในสหรัฐหรือประเทศอื่นๆ ก็อาจจะได้แรงบันดาลใจแล้วลองทำดูบ้าง
   
แน่นอนว่าเหล่าอัลฟ่าที่ครอบครองชนชั้นปกครองมานานย่อมไม่อยากให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น ทหารและอาวุธที่นายแพทย์นพวิทย์ต้องการจึงส่งตรงมาจากอเมริกาในทันที
   
อำนาจทั้งหมดจึงตกอยู่ในมืออัลฟ่าอีกครั้งอย่างไม่ยากเย็น นพวิทย์ที่มองตนเองเป็นหัวหน้าฝ่ายรัฐบาลเดินเข้าไปหยิบกระดาษเอกสารที่ตัวเองเพิ่งเซ็นไปอย่างถือวิสาสะและชูมันขึ้นมาให้กล้องเห็น
   
“มันเป็นไปไม่ได้หรอก ที่โอเมก้าชั้นต่ำจะมาเทียบชั้นกับพวกเราได้”
   
ว่าจบก็ฉีกกระดาษออกเป็นชิ้นๆ ด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น นัยน์ตาโศกมองไปที่เหล่าโอเมก้าด้วยสายตาสมเพชแกมสะใจเมื่อเห็นความสิ้นหวังของกลุ่มกบฏ มีหลายคนที่พยายามจะประคองตัวเองขึ้นมาสู้แต่ก็ทำไม่ได้เพราะถูกกลิ่นฮอร์โมนอัลฟ่ากดทับเอาไว้
   
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงันและผิดหวัง
   
เสียงร่ำไห้ดังขึ้นเรื่อยๆ จากทุกข์สารทิศ ไม่ว่าจะบริเวณทำเนียบเอย เหล่าผู้คนที่ซ่อนตัวอยู่เอย พวกเขารับรู้ถึงชะตากรรมของตนเองแล้ว
   
พวกเขาพ่ายแพ้ พ่ายแพ้อีกแล้ว
   
พวกเขาต้องกลับไปเป็นเศษสวะอีกครั้ง…
   
ทันใดนั้นน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลก็ดังขึ้นมาท่ามกลางความสิ้นหวัง ราวกับเป็นแสงสว่างดวงเล็กๆ ในหลุมดำที่ไม่มีแสงสว่างใดกล้าพาดผ่านเพราะเกรงกลัวว่าจะถูกกลืนกิน
   
“ถึงเวลาพอแล้วหรือยัง? กับสงครามที่ไม่มีวันจบ”
   
ร่างผอมบางซึ่งไร้การปกปิดตัวตนใดๆ ยืนหยัดขึ้นมาท่ามกลางความสิ้นหวัง แม้ว่าจะทรมานจนหายใจลำบากแต่ก็พยายามร้องเพลงออกมา ทำในสิ่งที่ตนเองถนัดที่สุดในชีวิตเพื่อสร้างความหวัง
   
ความหวังที่อาจจะนำพาไปสู่ความเท่าเทียมที่จันทร์ฝันถึง
   
นัยน์ตาโศกเปล่งประกายฉายแววความมุ่งมั่นออกมา ร้องด้วยน้ำเสียงที่ดังมากกว่าเดิม แม้ว่าจะเป็นเพลงที่เพิ่งถูกแต่งขึ้นได้ไม่กี่วันแต่จ้าวก็สามารถร้องออกมาได้อย่างทรงพลังและคล่องแคล่วอย่างที่เป็นมาโดยตลอด
   
“เราต่างก็เป็นสิ่งสวยงามบนโลกใบนี้ เป็นสิ่งสวยงามล้ำค่าที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้”
   
จ้าวก้าวเข้าไปหานายแพทย์นพวิทย์ช้าๆ พร้อมกับร้องเพลงออกมา นัยน์ตาโศกสบกับเจ้าของนัยน์ตาที่มอบให้กับตนเองโดยไม่มีความเกรงกลัว มีเพียงความกล้าความอัดอั้นตัดใจที่อัดแน่นอยู่ในอกและระเบิดออกมาด้วยเสียงเพลง
   
เมื่อก่อนเขาอาจจะรู้สึกกลัวและเกรงใจพ่อของตนเองเอามากๆ หากแต่เมื่อมาถึงจุดหนึ่งก็ค้นพบว่ามันไม่ค่าใดๆ ที่จะรู้สึกแบบนั้นเพราะอีกฝ่ายไม่เคยคิดแม้แต่จะแยแสเราเลย
   
ขนาดจันทร์ตายยังไม่คิดจะเอ่ยถึงด้วยซ้ำ…
   
จ้าวคิดด้วยความขุ่นข้องในใจ รู้สึกเจ็บปวดที่ต้องมารับรู้อะไรแบบนี้ของครอบครัวตนเอง ครอบครัวของเขามันช่างบิดเบี้ยวเหลือเกินเมื่อมาขบคิดดูดีๆ
   
“นี่คือบทเพลงของเหล่าคนที่ไม่ต้องการตกลงเป็นทาสอีกครั้ง!”
   
จ้าวตวาดเสียงดังก้องเมื่อมาหยุดตรงหน้าร่างสูงที่เป็นพ่อแท้ๆ ของตัวเอง แม้ว่าร่างกายจะหนักอึ้งแต่สิ่งที่ผลักดันภายในนั้นรุนแรงจนยืนแทบไม่อยู่
   
“หากคุณกำลังเฝ้ารอโอกาสที่จะเป็นอิสระ จงร่วมโผบินไปกับเรา!”
   
“คิดจะทำอะไร”
   
น้ำเสียงราบเรียบที่เอ่ยถามไม่ได้ทำให้จ้าวสั่นคลอนหนำซ้ำยังร้องต่ออย่างหน้าตาเฉย
   
“อย่ากลัวที่จะต่อสู้ในเมื่อวันพรุ่งนี้ที่มาถึงจะสวยงามกว่าวันนี้!”
   
เสียงของจ้าวเริ่มปลุกความหวังเล็กๆ ให้กับกลุ่มกบฏ เหล่านักศึกษาที่ยังร้องไห้กอดกันกลมพยายามร้องตามจ้าวเมื่อจ้าวร้องเพลงที่ตัวเองแต่งซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุดราวกับกำลังปลุกระดมและสร้างความหวังให้กับพวกเขา
   
เพียงไม่นานมันก็กลายเป็นเสียงเพลงที่ถึงแม้จะไม่ได้ดังกึกก้องแต่ก็ยังดังซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด เมื่อมีคนหนึ่งหยุดร้องก็จะมีคนร้องต่อ พยายามประคับประคองบทเพลงที่เป็นความหวังสุดท้ายของกลุ่มให้คงอยู่   

“ถ้ายังไม่หุบปาก ผมจะยิงหัวคุณ”

ไม่ว่าเปล่านพวิทย์หยิบปืนออกมาจากเอวขึ้นมาถือและเล็งไปที่จ้าว

“จินก็ตายแล้ว จันทร์ก็ตายแล้ว เหลือผมใช่ไหมที่ยังไม่ตาย”

ร่างผอมถามเสียงเรียบโดยไม่ลืมส่งสายตาให้คุณเหมันต์เชิงว่าตัวเองสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ไม่ต้องเป็นห่วง แต่ถึงอย่างนั้นเหมันต์ก็ไม่ไว้วางใจมายืนข้างๆ จ้าวและส่งสัญญาณให้ออสตินเตรียมพร้อมตลอดเวลา เพราะเขาไม่มีวันให้จ้าวตายหรือได้รับบาดเจ็บโดยเด็ดขาด

“พูดพล่อยๆ แกไม่ใช่ลูกฉันสักหน่อย” นพวิทย์พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “ฉันไม่มีลูกเป็นโอเมก้า! ”

จ้าวน้ำตารื้นโดยไม่รู้ตัว “พ่อก็รู้แล้วนี่ว่าผมไม่ได้ฆ่าพริม ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ผมไม่ใช่ฆาตกร! “

“ฉันไม่สนใจ แค่แกไปประกวดร้องเพลงแทนที่จะเรียนหมอฉันก็รับไม่ได้แล้ว! ”

“ถ้าเป็นแล้วต้องมาเป็นแบบพ่อ ผมก็ไม่เป็นหรอก!”

จ้าวพูดเสียงพร่า ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองไม่สนใจอีกฝ่ายแต่พอได้ยินกลับรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน ทำไมเขาถึงได้คาดหวังความรักจากคนๆ นี้นักนะ

“โอเมก้ามันมีอะไรดีนัก แกถึงไปสนใจมันอยู่ได้”

นพวิทย์มองจ้าวด้วยสายตารังเกียจ

“อยากโดนรุมโทรมตอนฮีทเหรอ ฉันว่าถ้าแกยอมไปโครงการที่ฉันส่งไปตั้งแต่แรกก็ได้ ที่นั่นมีอัลฟ่าเยอะแยะให้แกเลือกเลยล่ะ”

“พ่อไม่คิดมั้งเหรอว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันร้ายแรงขนาดไหน”

จ้าวโกรธจนตัวสั่นเมื่อโดนดูถูก ความทรงจำอันเลวร้ายในคุกยังคงตามหลอกหลอนเขาเสมอยามที่เขาอ่อนแอ ประสบการณ์เหล่านั้นมันเลวร้ายจนเกือบจะทำเขาตายไปแล้วหลายครั้งแต่คนเป็นพ่อแท้ๆ ของเขากลับพูดมันเหมือนเป็นเรื่องตลก

“อัลฟ่าก็คืออัลฟ่า” นพวิทย์พูดด้วยความภาคภูมิใจเมื่อได้พูดถึงเผ่าพันธุ์อันสูงส่งของตนเอง “ไม่ว่าพวกเราจะทำอะไรก็ถูกต้องเสมอ คนที่ต้องทำตามก็คือเบต้ากับโอเมก้า พวกนั้นมันเป็นพวกโง่ที่คิดได้แต่อะไรโง่ๆ จนอัลฟ่าอย่างเราต้องคอยชักจูงให้ไปในทางที่ถูกที่ควรตลอด”

“เงินกับชื่อเสียงมันสำคัญกับพ่อมากเลยเหรอ”

จ้าวพูดเสียงแข็งแม้ว่าน้ำตาจะไหลอาบใบหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธและผิดหวัง

“แน่สิ ไม่อย่างนั้นฉันจะยอมลดตัวมาเกลือกกลั้วกับโอเมก้าอย่างพวกแกทำไม”

“แล้วถ้าผมยังเป็นอัลฟ่าอยู่ พ่อจะรักผมไหม”

เป็นคำถามที่ทำให้นพวิทย์ชะงักก่อนที่จะตอบออกมาโดยไม่ต้องคิด

“ไม่ สำหรับฉันแกมันก็แค่ผลผลิตที่ผิดพลาดของตระกูล แกไม่สมควรเกิดมาด้วยซ้ำ”

แม้จะรู้คำตอบอยู่แก่ใจแต่เมื่อได้ยินชัดๆ กลับทำให้จ้าวสะอื้นจนตัวโยน

“แล้วทำไมพ่อไม่ฆ่าผมตั้งแต่แรก.. ฮึก ปล่อยให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อทำไม”

ถึงแม้จะมีคุณเหมันต์อยู่เคียงข้างแต่มันก็คนละเรื่องกับชีวิตครอบครัวของเขา เขาเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียน้องสาว เจ็บปวดที่มีพ่อแม่ที่ไม่เคยสนใจอะไรเลยนอกจากชื่อเสียงและเงินตรา เจ็บปวดที่ต้องมาเจอเรื่องร้ายๆ ทั้งหมดเหล่านี้

เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมสิ่งเร้าภายนอกเหล่านั้นถึงได้มีอิทธิพลกับผู้คนมากมายนัก ทั้งๆ ที่เขาก็เคยอยู่จุดสูงสุดเหมือนกันมาก่อน มันมีความสุขก็จริงแต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจเสมอว่ามันไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้ มันสามารถทำให้เรามีความสุขได้แต่ในขณะเดียวกันมันก็สามารถทำลายตัวเราได้เช่นกัน

แน่นอนว่ามันเจ็บปวดจนเขาทนแทบไม่ไหวแต่เขาก็ผ่านมันมาได้…
   
เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะโทษอะไร ต้องโทษระบบทุนนิยมหรือเปล่า ที่สามารถสร้างปีศาจกระหายเงินและอำนาจได้เป็นแสนเป็นล้านคนบนโลก หรือควรจะโทษตัวเองที่โง่เกินกว่าจะทำความเข้าใจคนเหล่านี้ได้
   
“แกพูดเองนะ”
   
“…?”
   
จ้าวเบิกตากว้างเมื่ออยู่ๆ ได้ยินเสียงบรรจุกระสุนเข้ารังเพลิงและสมองยังไม่ทันได้ประมวลอะไรก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นอย่างรวดเร็ว
   
ปัง!
   
เสียงปืนดังลั่นกลิ่นเลือดคาวคลุ้งไปทั่วบริเวณ บนพื้นปรากฎอีกร่างที่โดนยิง
   
แน่นอนว่าไม่มีใครคาดคิดว่านายแพทย์นพวิทย์ อัลฟ่าผู้มีชื่อเสียงในสังคมในด้านดีมาตลอดจะยิงลูกชายแท้ๆ ของตนเองได้ลงคอ!
   
ทั่วบริเวณตกอยู่ในความเงียบมีเพียงเสียงสะอื้นของจ้าวที่ดังชัดเจน
   
“…ทำไมถึงต้องทำแบบนี้”
   
จ้าวร้องไห้ออกมาอย่างใจสลายขณะที่กำลังประคองอัลฟ่าร่างใหญ่ในอ้อมกอดแน่น พยายามใช้มืออุดแผลไม่ให้เลือดไหลทะลักออกมาแต่ก็ไม่เป็นผล เลือดยังคงไหลออกมาจนทำให้มือของจ้าวย้อมด้วยเลือด
   
“…อย่าร้องไห้”
   
ใบหน้าที่แทบไม่เหลือเค้าโครงของความคมคายพยายามฝืนยิ้มออกมา มือสากที่จับเบสมานานหลายปีจนด้านลูบหน้าจ้าวอย่างเบามือโดยไม่สนใจบาดแผลของตนเองสักนิด
   
“ชีวิตกูถ้าไม่มีมึงอยู่ด้วย.. กูก็ไม่อยากอยู่หรอก”
   
คิงพูดเสียงพร่า นัยน์ตาสีดำสะท้อนภาพใบหน้าของจ้าวอย่างชัดเจน
   
บาดแผลทั้งกายและใจคล้ายกับทุเลาลงเมื่อสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงของจ้าว
   
สำหรับคิงแล้ว การโดนยิงเข้าที่อกไม่ใช่เรื่องบังเอิญหากแต่เป็นการตั้งใจ เขารู้อยู่แล้วว่าพ่อจ้าวคงจะเล่นตุกติกจึงรอจังหวะมาตลอด หากจะผลักเพื่อที่จะเบี่ยงเบนวิถีกระสุนเขาก็สามารถทำได้แต่เขาก็ไม่คิดจะทำ
   
ชีวิตของเขามันพังทลายไปตั้งนานแล้ว เขาไม่มีที่ไหนให้กลับไปอีกแล้ว
   
ฉะนั้นในช่วงชีวิตสุดท้ายของเขา… การได้ตายในอ้อมกอดของคนที่ชอบก็นับว่าเป็นอะไรที่คุ้มค่าไม่เลว
   
“ฮึก มึงจะตายไม่ได้นะ”
   
จ้าวสะอื้นและรู้สึกผิดที่ตัวเองอคติกับคิงเมื่อเผลอไปสบตากับอีกฝ่ายเข้า
   
เขาไม่รู้ ไม่รู้เลยจริงๆ ว่ามันจะจบแบบนี้อีกแล้ว
   
เขาเกือบจะสูญเสียจันทร์ไปแล้วคนนึง ตอนนี้เขาต้องสูญเสียเพื่อนในวงไปอีกคนงั้นเหรอ เขาทนไม่ได้หรอก
   
“..กูเลือกเอง จ้าว มึงไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก”
   
คิงหลับตาพูดเสียงเบา รู้สึกถึงสติที่ค่อยๆ จางหายไปทีละเล็กละน้อย
   
“ที่ผ่านมา.. กูขอโทษ”
   
น่าเสียดายที่เขามันก็แค่คนโง่งมคนนึง ใช้แต่วิธีโง่ๆ ในการเรียกร้องความสนใจจากจ้าวและแน่นอนว่ามันไม่สำเร็จ จ้าวก็มีคนของตัวเองอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะมาสนใจหมาอย่างเขาหรอก
   
เขามันก็แค่ไอ้โง่… ที่เอาแต่คาดหวังว่าสักวันจ้าวจะรักตัวเองบ้าง
   
คิงพยายามประคองสติมองไปด้านข้างของจ้าวแล้วหัวเราะเสียงแผ่ว
   
“…ขอให้รักกันนานๆ นะ”
   
ความสัมพันธ์พิเศษที่เห็นได้ชัดเจนทำให้คิงรู้สึกปวดใจ นัยน์ตาสีเทานั่นมองมาที่เขาอย่างไม่พอใจ แม้ว่าสีหน้าจะยังนิ่งสงบแต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความโกรธที่แฝงออกมา
   
ซึ่งคิงก็ไม่แปลกใจนักเพราะสิ่งที่ตนเองทำคือการตอกย้ำแผลใจของจ้าวที่เพิ่งสูญเสียพี่น้องของตัวเองไป
   
“…มีความสุขมากๆ นะ”
   
คิงพูดทั้งๆ ที่น้ำตาไหลออกมาและลมหายใจขาดห้วง เจ็บปวดจนไม่อาจรักษาท่าทีเยือกเย็นได้อีกแต่ก็พยายามเค้นคำพูดออกมา
   
“กูชอบตอนที่มึงยิ้ม”
   
เขาหลงรักจ้าวเพราะรอยยิ้ม หลงใหลในตัวตนของจ้าวจนถอนตัวไม่ขึ้น เขาถูกรอยยิ้มของจ้าวมอมมัวราวกับคนเมา เกาะติดจ้าวแทบตลอดเวลาตอนที่ยังเป็นวงมูนไลท์ เขาใช้ชีวิตแต่ละวันในการทุ่มเทกับวงเพื่อที่จ้าวของเขาจะได้ยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อมันประสบความสำเร็จ
   
“ฮึก นี่ไง กูยิ้มแล้ว มึงอย่าตายนะคิง”
   
คิงมองสีหน้าของจ้าวก่อนที่จะฉีกยิ้มบางๆ ออกมาและหยุดนิ่งไปในที่สุด
   
“…คิง”
   
จ้าวมองมือเบสประจำวงตัวเองอย่างเจ็บปวดและค่อยๆ เบือนสายตาไปมองต้นเหตุที่ทำให้คิงตายด้วยความไม่พอใจ ซึ่งก็พบว่าอีกฝ่ายมองมาที่ตนเองเช่นกันแต่เป็นสีหน้าเบื่อหน่าย ทำราวกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องของตนเอง แต่เป็นเพียงละครน้ำเน่าฉากหนึ่งในละครที่คนดูกันจนเบื่อ
   
“…ต่อไปตาแก”
   
นพวิทย์เล็งกระบอกปืนไปทางจ้าว หมายมั่นว่าครั้งนี้ไม่มีวันพลาดเป้าอีกเด็ดขาด สิ่งที่เขาต้องการเห็นมากที่สุดคือสีหน้าสิ้นหวังของจ้าวที่กล้าขัดคำสั่งของเขาตั้งแต่แรก เขามั่นใจว่าถ้าจ้าวเป็นเด็กดีเชื่อฟังที่เขาสั่งทุกอย่าง เรื่องทั้งหมดอาจจะไม่จบลงแบบนี้อย่างแน่นอน
   
“ถ้าคุณขยับ ผมยิง”
   
เหมันต์พูดเสียงกร้าว มอบคำสั่งให้กับคนใต้บังคับบัญชาที่กระจายแทรกซึมอยู่กลางกลุ่มคนต่างๆ ให้เผยปืนออกมาเตรียมยิงหากนายแพทย์นพวิทย์ ถ้าอีกฝ่ายคิดจะยิงคนของเขา
   
“คุณยังเปลี่ยนใจทันนะ คุณเหมันต์”
   
นพวิทย์ก็คือนพวิทย์ สิ่งที่เห็นอยู่ในสายตาและพูดคุยได้ในฐานะเดียวกันคืออัลฟ่า แน่นอนว่าฉายาสาริกาลิ้นทองไม่ได้เป็นคำกล่าวลอยๆ ความสามารถในการพูดโน้มน้าวของนพวิทย์นับว่าเหนือชั้นเป็นอย่างมาก
   
“สำหรับผม การที่คุณยอมร่วมมือกับพวกโอเมก้าไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำเลยสักนิด คุณมีค่ามากกว่านั้น คุณเหมันต์ ผมเชื่อว่าผมสามารถสร้างโอกาสดีๆ ให้คุณได้มากกว่าพวกกลุ่มกบฏหัวรุนแรงพวกนี้แน่ๆ ”
   
“ผมไม่ต้องการ”
   
เหมันต์ตัดบทด้วยสีหน้าเย็นชา
   
“งั้นก็ตายไปด้วยกันทั้งคู่ซะ!”
   
ทันทีที่นพวิทย์ตะโกนสั่ง พลแม่นปืนก็ยิงทันที เสียงปืนดังระรัวจนหูอื้ออึง เหมันต์รีบรวบตัวจ้าวไปหลบหลังโต๊ะปล่อยให้คนของตัวเองและสถานการณ์นำพาไป โชคดีหน่อยที่เขากับจ้าวไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
   
เหมันต์ลูบหัวจ้าวที่ตัวสั่นระริก นัยน์ตาโศกหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
   
“…พี่เหมันต์ ผมกลัว”
   
“ไม่ต้องกลัวเดี๋ยวมันก็จบแล้ว จ้าว” เหมันต์พูดเสียงกระซิบก่อนที่จะผลุดลุกขึ้นยืนและก้าวออกไปข้างนอกเพื่อที่จะจบเรื่องทั้งหมดนี้ลงเสียที
   
“ไม่ ผมไม่ให้ไป ฮึก ไม่เอานะ”
   
จ้าวโถมตัวไปกอดเอวร่างสูงตัวสั่นเทาหนักกว่าเดิม ถ้าคุณเหมันต์ตายอีกคนเขาคงอยู่ไม่ได้แน่ๆ จ้าวพยายามกอดแม้ว่าจะโดนแกะมือออกอย่างง่ายดายก็ตาม
   
“ไม่เอา ผมขอร้อง..”
   
“เชื่อใจพี่”
   
“…ฮึก”
   
ถึงแม้จะรู้สึกไม่เต็มใจแต่จ้าวก็เลือกที่จะเคารพการตัดสินใจของคุณเหมันต์อยู่ดี ปล่อยแขนออกจากเอวมาก่อนตัวเองที่ตัวสั่นระริกไม่หยุดแทน
   
เขากลัว..

จ้าวนั่งน้ำตาคลอบนพื้นอย่างน่าสงสาร มองคุณเหมันต์อย่างตัดพ้อ
   
“เชื่อใจพี่นะครับ จ้าว”
   
เหมันต์ลูบหัวจ้าวก่อนที่จะจูบหัวจ้าวเบาๆ อย่างอ่อนโยน เมื่อเห็นจ้าวพยักหน้าด้วยท่าทีที่อ่อนลงจึงเดินออกจากที่กำบังโดยไม่เกรงกลัวอะไร
   
ปัง!
   
กระสุนนัดหนึ่งเฉี่ยวแก้มร่างสูงไปอย่างฉิวเฉียดแต่เพียงเสี้ยววินาทีต่อมามือปืนที่ยิงก็ถูกยิงเข้ากลางกะโหลกแน่นิ่งไปทันที มีมือปืนของฝั่งรัฐบาลถูกเก็บไปกว่าครึ่งด้วยฝีมือคนของตระกูลกิลลาสและกลุ่มบางอย่างที่แทรกซึมอยู่ท่ามกลางโอเมก้าอย่างแนบเนียน
   
เหมันต์กวาดตามองสถานการณ์รอบๆ ที่ชุลมุนขึ้นทุกวินาทีด้วยความรู้สึกรำคาญ เสียงกรีดร้องดังระงมจนหูอื้ออึง ฤทธิ์ยาของฝั่งรัฐบาลที่ใกล้จะหมดทำให้โอเมก้าเบต้าบางคนเริ่มขยับตัวได้และหนีตายกันจ้าละหวั่น
   
“เงียบ!!”
   
ตะคอกเสียงดังลั่นพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นฟีโรโมนออกมา  เพียงชั่วพริบตาคนทุกคนไม่ว่าจะเพศอะไรก็ต่างล้มไปกองบนพื้นด้วยความหวาดกลัว เหล่าอัลฟ่าผู้ถือดีพยายามจะขัดขืนแต่ก็ไม่สามารถทำได้ นอนตะเกียกตะกายอยู่บนพื้นอย่างน่าสมเพช
   
พวกพลแม่นปืนที่อยู่ไกลเกินกว่าจะได้กลิ่นรีบเล็งมาที่ร่างสูงทันทีหากแต่ยังไม่ทันเกี่ยวไกปืนก็ถูกยิงเข้าที่อกจนยิงต่อไม่ได้ กลุ่มคนที่ซุกซ่อนอยู่พากันเผยตัวกันออกมาจนเหล่ารัฐบาลที่มาในวันนี้เริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดี
   
ทหารสหรัฐกว่าครึ่งตายหมดแล้วในช่วงชุลมุนและอีกครึ่งหนึ่งก็ถูกคุมตัวออกมาข้างนอกโดยทหารอีกกลุ่ม นพวิทย์ซึ่งล้มกองอยู่บนพื้นโกรธจนหน้าแดงพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมายืนแต่ก็ทำไม่ได้
   
“ยินดีที่ได้พบครับ ท่านนพวิทย์”
   
เสียงทักทายที่แสนจะเย็นชาดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของพลตำรวจเอกที่หายตัวไปตั้งแต่เกิดเรื่อง ร่างสูงใหญ่ยังคงอยู่ในชุดตำรวจเต็มยศและประดับประดาไปด้วยเหรียญตราประดับอกเพื่อแสดงยศศักดิ์ของตนเอง ในมือนั้นได้ลากร่างของใครบางคนมาด้วย
   
“แก แกหายหัวไปไหน”
   
นพวิทย์แค่นเสียงพูดอย่างยากเย็นยิ่งเห็นสิ่งที่อยู่ในมือโลกันต์ก็ยิ่งตกใจ
   
เพราะคนที่โดนลากนั้นคือ ‘นายกรัฐมนตรี’ คนปัจจุบัน!
   
สภาพของนายภคินนั้นสะบักสะบอมจนดูแทบไม่ได้ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา
   
พลตำรวจเอกแสยะยิ้มแม้ว่ามันจะถูกซ่อนภายใต้หน้ากากรุ่นล่าสุดก็ตามซึ่งโลกันต์ก็ไม่ลืมที่จะค้อมหัวเชิงขอบคุณให้กับเหมันต์ที่คอยควบคุมสถานการณ์มาให้จนถึงตอนนี้ เพราะหากไม่มีการเปิดฉากการยิงกันก่อนของฝั่งรัฐบาล พวกเขาก็ไม่มีวันรู้เลยว่าทหารสหรัฐที่แฝงตัวปะปนอยู่คือคนไหนและอยู่ที่ใด
   
เรียกได้ว่าเหมันต์ก็ถือเป็นคนที่สำคัญมากสำหรับวันนี้เช่นกัน
   
“มาคุยเรื่องของเราดีกว่าครับ ท่านนายกรัฐมนตรี ว่ามาเลยว่าท่านจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ของท่านในตอนนี้”
   
โลกันต์โยนร่างภคินใส่เก้าอี้ โบกมือให้กลุ่มทหารตำรวจอัลฟ่าที่แปรพักตร์มาอยู่ฝั่งตนเองสวมหน้ากากป้องกันกลิ่นให้กับพวกสื่อมวลชนเพื่อที่จะถ่ายทอดสดสถานการณ์ในตอนนี้
   
ท่านนายกรัฐมนตรีซึ่งถูกจับตัวมาระหว่างหลบหนีออกนอกประเทศตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว มองเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่เคยรับคำสั่งของตนเองอย่างเคร่งครัดด้วยความเกลียดชัง
   
เขาเข้าใจผิดว่าพวกอัลฟ่าเบต้าฝีมือดีที่หายไปเพราะรัฐบาลไม่มีเงินจ่าย ทั้งๆ ที่ความจริงคือพวกเขาเหล่านั้นไปเข้าร่วมกับโลกันต์ พลตำรวจเอกที่ยึดมั่นเอาแนวคิดความเสมอภาคมาเป็นหลักในการทำงาน เขาพยายามจะเขี่ยโลกันต์ออกจากตำแหน่งหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล ยังคงมีคนในหลายคนที่ยังพอใจในการทำงานของโลกันต์อยู่ มันจึงยังสามารถอยู่รอดในโลกการเมืองที่เต็มไปด้วยความฉ้อฉลได้
   
“ฉันไม่มีวันยอมรับว่าโอเมก้าเท่าเทียบกับอัลฟ่า! ”
   
จนถึงตอนนี้ภคินก็ยังยึดมั่นในอุดมการณ์แม้ว่าจะกลัวจนตัวสั่น แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือการต้องยอมรับว่าคนชั้นต่ำอย่างโอเมก้าจะมามีสิทธิ์มีเสียงมีความเสมอภาคของกับตัวเอง แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่เขายอมรับไม่ได้
   
“งั้นผมคงต้องบอกท่านนายกว่าท่านได้พ่ายแพ้แล้ว” โลกันต์หัวเราะในลำคอ “เอาเข้าจริงตอนนี้เราไม่มีความจำเป็นต้องฟังความเห็นของท่านนายกด้วยซ้ำ การปฏิวัติครั้งนี้สำเร็จแล้วครับ โอเมก้าจะมีโลกใบใหม่ให้อยู่แล้ว”
   
เพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของตัวเอง โลกันต์ออกคำสั่งให้ลูกน้องของตนเองโยนร่างของเหล่าอัลฟ่าตำแหน่งใหญ่ไปนอนแทบเท้าท่านนายก พวกเขาแต่ละคนล้วนถูกตรวนด้วยโซ่ไม่ต่างอะไรกับโอเมก้าที่กระทำผิดเลยสักนิด
   
“ท่านอาจจะคิดว่ามีสหรัฐลงมาช่วยท่านก็ชนะแล้วแต่ท่านก็คงจะลืมว่าบนโลกนี้ไม่ได้อยู่ประเทศเดียว”
   
“อย่าบอกนะว่าแก...”
   
ยิ่งฟังภคินก็ยิ่งหมดหวัง
   
บนโลกนี้ประกอบด้วยสองฝ่ายคือสนับสนุนระบบชนชั้นและต่อต้านระบบชนชั้น สหรัฐอเมริกาอยู่ในฝ่ายแรกส่วนฝ่ายที่สองนั้นคือกลุ่มประเทศที่มีแนวคิดสร้างความเท่าเทียมในสังคมแต่ก็ยังได้ไม่สำเร็จ การได้ประเทศไทยมาเป็นต้นแบบในการปฏิวัติจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเสี่ยงพอตัว
   
“ครับ ผมได้กลุ่มสัมพันธมิตรมาช่วยครับ”
   
“แกทรยศบ้านเกิดงั้นเหรอ โลกันต์”
   
ในขณะที่ภคินสิ้นหวังแล้วแต่นายแพทย์นพวิทย์ยังไม่สิ้นหวัง แม้ว่าภรรยาของตนเองจะนอนล้มอยู่ข้างๆ ก็ตามที เขายังคงพยายามสุดชีวิตเพื่อที่จะรักษาสถานะทางสังคมของตนเองไว้
   
“ผมไม่ได้ทรยศบ้านเกิดครับ” โลกันต์พูดด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย “แล้วคุณก็ช่วยหุบปากสักทีก่อนที่ผมจะหมดคำอดทน”
   
“แก แก”
   
โลกันต์ควักปืนออกมาจ่อหัวนายแพทย์นพวิทย์ทันทีโดยไม่มีการกล่าวเตือนซ้ำ
   
“ผมจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะครับ”
   
ใบหน้าคมคายหันไปยิ้มให้กับกล้องแม้ว่าตัวเองกำลังจะเอานิ้วเกี่ยวไกปืนอยู่ก็ตาม
   
“การปฏิวัติครั้งนี้สำเร็จแล้ว!”

==============

ตอนนี้ช้าเพราะเขียนยากกกกกกกกกกกมาก  :mew5: คิดว่าตอนจันทร์ยากแล้วตอนนี้ยากกว่าอีก แหง่กๆ

ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ  :hao5:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ทั้งดีใจ ทั้งสะใจ :katai2-1:

ออฟไลน์ kanj1005

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
จากบทนี้ไปขอให้แฮปปี้ตลอดนะจ๊ะ อย่าได้มีการพลิกโผ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ gackmanas

  • I Remember your Eyes..
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
อย่าให้ตายง่ายๆ จิ ต้องทรมานมันให้สำนึก อินพ นิมันน่าจิงๆ

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
 :z6: ไม่รู้จะด่าพ่อจ้าวยังไงแล้ว มันเกินจะหาคำด่าอะสำหรับเรา

แต่บทนี้สงสารคิงอ่ะ  :hao5: นึกว่าจะไม่มีใครเป็นอะไรอีกแล้ว

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
สงสารจ้าว จันทร์ จิน
พ่อแม่ใช้ชีวิตมาแบบไหนน่ะ ถึงเป็นได้ขนาดนี้

เหมันต์ไม่ทอดทิ้งน้องจริงๆ ค่ะ และสู้กับน้องด้วย
จ้าวเอ้ยย สูญเสียไปเท่าไหร่แล้ว แต่แลกกับคนอีกหลายล้าน

จันทร์เป็นยังไงบ้างคะ สุริยะมาช่วยไว้ได้ด้วย
หรือว่าจันทร์ไม่ได้ตั้งใจให้ถึงตาย

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
อ่านรวดเดียวจนถึงตอนปัจจุบัน ขอบคุณมากๆสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้  เหมือนเข้าไปยืนอยู่ในเหตุการณ์ทุกๆช่วงด้วย  ตอนจ้าวหนีจากการไปเป็นตัวทดลอง ก็ลุ้นจนเกร็งกล้ามกระตุกเลยทีเดียว  ตอนจ้าวคุ้มคลั่งเหมือนได้ยินเสียงกรีดร้องดังอยู่ในอกไปด้วย  รอนะคะ

ออฟไลน์ princeofdark

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 o13 สงสารจ้าว หวังว่าจ้าวจะมีความสุขหลังจากนี้ กรี้ดพี่เหมันต์มากค่ะผู้ชายในอุดมคติเลย

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 37
   
หลังจากคณะปฏิวัติได้ประกาศชัยชนะผ่านสื่อได้ไม่นาน คณะรัฐมนตรีชุดเก่าทั้งหมดก็ถูกถอดถอนออกจากระบบและถูกบังคับให้ลี้ภัยต่างประเทศโดยไม่มีสิทธิ์โต้แย้งใดๆ หากจะยังดื้อดึงอยู่ในประเทศก็อยู่ได้เพียงร่างที่ไร้วิญญาณเท่านั้น
   
เหล่าคณะรัฐมนตรีผู้เป็นอัลฟ่าบางส่วนตัดสินใจฆ่าตัวตายเพราะทนไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลง แต่ก็มีหลายส่วนที่รักชีวิตของตนเองมากกว่า เลือกที่จะยอมรับข้อตกลงและไปสร้างชีวิตใหม่ที่นั่นโดยละทิ้งตัวตนดั้งเดิมเอาไว้
   
ซึ่งนั่นก็รวมถึงนายแพทย์นพวิทย์ นฤภัทรด้วย
   
ถึงแม้จะยังมีชีวิตรอดแต่นพวิทย์ก็ยังรู้สึกเดือดดาลตลอดเวลา หมายมั่นที่จะไปสหรัฐอเมริกาเพื่อหารวบรวมกำลังหาโอกาสกลับมาปฏิวัติอีกครั้ง
   
หากเขายังมีลมหายใจอยู่… อัลฟ่าก็ไม่มีวันตกเป็นทาสใคร!
   
นั่นคือสิ่งที่นายแพทย์นพวิทย์คิดเมื่อตอนไปถึงศูนย์วิจัยที่เป็นเจ้าของโครงการจีโนมมนุษย์ โครงการที่ชื่อดังก้องโลกและเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของนพวิทย์ตอนนี้
   
เขาเชื่อว่าเวลาหลายสิบปีที่เขาทุ่มเทเงินและมนุษย์ให้โครงการนี้จะสัมฤทธิ์ผล เขาลงทุนกับมันมามากแม้ว่าทุกอย่างจะดูเหนือจริงมากก็ตาม ไม่ว่าการทำให้มนุษย์ไม่มีวันแก่ รักษาโรคมะเร็งระยะสุดท้ายได้ หรือแม้แต่ทำให้มนุษย์เบต้าธรรมดากลายเป็นมนุษย์จอมพลังที่มีพละกำลังมหาศาล
   
นัยน์ตาโศกจ้องมองอาคารสูงรูปร่างทันสมัยและมีพนักงานรักษาความปลอดภัยแน่นหนาด้วยความพึงพอใจ ก่อนที่จะแสดงบัตรประจำตัวและเข้าไปในอาคารเพื่อพูดคุยถึงวัตถุประสงค์ของตนเอง ซึ่งแน่นอนว่าระบบการรักษาความปลอดภัยย่อมไม่มีเพียงชั้นเดียว นพวิทย์จึงต้องใช้บัตรที่ได้มาเมื่อนานมาแล้วยืนยันตัวตนอีกสามครั้งกว่าจะถึงประตูห้องวิจัยที่สร้างจากเหล็กกล้าดูแข็งแรงและน่าหวาดหวั่นในเวลาเดียวกัน
   
ไม่ต้องเสียเวลาคิดนพวิทย์ผลักเข้าไปทันทีเพราะคิดถึงวันเวลาในอดีตเต็มแก่แล้ว เขาต้องการสถานะทางสังคมของเขาคืนมา ต้องการเงินและอำนาจที่สามารถทำให้ผู้คนยอมจำนนกับเขาอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเสียงแรงพูด
   
หากแต่เมื่อเปิดประตูสิ่งที่อยู่ในภายในกลับไม่เป็นอย่างที่คิด
   
“…”
   
นายแพทย์นพวิทย์ถึงกับเข่าอ่อนทรุดไปกองบนพื้นด้วยสีหน้าซีดเซียว
   
ทั้งๆ ที่หน้าประตูถูกเขียนไว้ว่าเป็นห้องวิจัยแต่ภายในกลับว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดนอกจากห้องที่โล่งเอามากๆ จนสามารถเอาคนนับร้อยไปบรรจุไว้ภายในได้
   
“…ไม่”
   
นพวิทย์พูดก่อนจะสบถคำหยาบคายยาวเหยียด
   
เอาเข้าจริงเขาควรจะแปลกใจตั้งแต่เข้ามาแล้วไม่มีใครนอกจากยามแล้ว…
   
ร่างของนายแพทย์สั่นระริกก่อนจะคำรามออกมาเสียงดังลั่นราวกับสัตว์ป่าคลุ้มคลั่ง นพวิทย์โกรธจนเลือดขึ้นหน้าใช้มือต่อยพื้นอย่างเดือดดาลไม่หยุด ไม่สนใจว่ามือของตัวเองจะแตกหรือไม่ มีเพียงความโกรธในเลือดที่ลุกไหม้จนแทบจะแผดเผาทุกอย่างบนโลกนี้ให้เป็นจุล!
   
โครงการจีโนมมนุษย์ที่เขาใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับมัน ความจริงแล้วเป็นเรื่องลวกโลกที่เอามาหลอกใช้ให้ผู้คนที่หลงเชื่อมาร่วมลงทุนด้วยเงินและมนุษย์จำนวนมหาศาล ซึ่งแน่นอนว่าเงินทุนนั้นก็คงเข้ากระเป๋าใครสักคนและโอเมก้าที่ถูกส่งมาก็ถูกเอาไปใช้สอยต่างๆ ตามใจชอบ
   
เลือดไหลอาบมือแต่นพวิทย์ก็ยังบ้าคลั่งสับสนและจนตรอก
   
เขาเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งแน่นอนว่ามันถูกจัดฉากอย่างดี ทุกอย่างแนบเนียนราวกับฉากในหนังฮอลลีวูด มีทุกสิ่งทุกอย่างที่สถาบันวิจัยพึงมี อีกทั้งยังหาร่างโอเมก้าพิกลพิการที่นำมาแอบอ้างว่าเป็นผลข้างเคียงของการทดลองที่ล้มเหลว เขาในตอนนั้นเชื่อสนิทใจเพราะทางนั้นก็เอานักวิจัยอันดับหนึ่งของประเทศตัวเองมาบรรยาย มันดูน่าเชื่อถือจนทุกคนหลงเชื่อและไม่ตั้งคำถามอะไรกับโครงการมากมายนัก
   
เพราะพวกเขาเชื่อมันในตัว ‘อัลฟ่า’ ว่าจะไม่หักหลังพวกเดียวกันเอง
   
นพวิทย์คำรามออกมาจนเสียงแหบ รู้สึกโกรธจนอยากจะฆ่าเหล่านักวิจัยที่ทางสหรัฐขยันส่งมากล่อมให้เขาว่าง่ายและยอมส่งเงินทุนกับโอเมก้าให้ง่ายๆ ราวกับปลอกกล้วย
   
เขาโกรธที่ตนเองยอมเชื่ออีกทั้งยังทำให้คนอื่นเชื่อตามอีกด้วย!
   
การยอมมาเป็นพันธมิตรในตอนปฏิวัติก็อาจจะไม่ได้ช่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจแต่เป็นการรอฉวยโอกาสเมื่อมีโอกาส ไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้นว่าประเทศไทยนั้นมีตำแหน่งภูมิประเทศค่อนข้างสมบูรณ์แบบเหมาะกับการใช้สอยต่างๆ อย่างยิ่ง
   
คลิ๊ก
   
“คุณหมดประโยชน์แล้ว คุณนพวิทย์”
   
อังกฤษสำเนียงอเมริกาแท้ที่ดังข้างหูทำให้นพวิทย์แค่นเสียงหัวเราะฝาดเฝื่อน โลหะเย็นเฉียบที่จ่อบริเวณขมับหมุนเป็นวงกลมช้าๆ ราวกับต้องการจะยียวน
   
“ต้องการจะสั่งเสียอะไรไหม ก่อนที่ผมจะเก็บคุณเหมือนกับคนอื่นๆ ที่รู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้”
   
นพวิทย์หัวเราะในลำคอและฉวยโอกาสในการปัดกระบอกปืนออกจากศีรษะตัวเอง ก่อนที่จะกระโจนใส่คนที่ถือเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในโครงการ
ทอมหรือบุคคลที่ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์และหลอกลวงให้เหล่านักลงทุน!
   
ปัง!
   
กระสุนเจาะเข้าที่อกของนายแพทย์นพวิทย์จากด้านหลัง เลือดกลุ่มหนึ่งสาดกระเซ็นอาบใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนที่นพวิทย์โกรธแค้นจนอยากฆ่าให้ตาย
   
“..แก แก”
   
นพวิทย์กุมอกตัวเองด้วยมืออันสั่นระริกมองบาดแผลตนเองอย่างไม่เชื่อสายตา
   
“คุณเป็นคนฉลาดนะ คุณนพวิทย์”
   
ทอมใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวเช็ดเลือดออกจากใบหน้าตัวเองอย่างใจเย็นและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ที่มักจะใช้เป็นน้ำเสียงโทนหลักในการหลอกลวงผู้คนที่แสนโง่งมมาหลงเชื่อบ่อยๆ
   
“แต่คุณโง่ไปนิดที่คิดว่ามีผมอยู่คนเดียวในห้องและคุณก็โง่มากที่หลงเชื่อพวกผมมาเป็นสิบปีโดยไม่สงสัยอะไร ผมอยากรู้จริงๆ เลยว่าตอนคุณเรียนแพทย์อยู่ คุณแอบจดโพยเข้าไปในห้องรึเปล่า”
   
ทอมหัวเราะในลำคอมองร่างนายแพทย์ที่นอนจมกองเลือดด้วยสายตาสมเพช
   
“ทำไม ทำไมแกถึงทำกับฉันที่เป็นอัลฟ่าแบบนี้” นพวิทย์พูดออกมาอย่างข้องใจแม้ว่าจะพูดออกมาเป็นประโยคได้ยากมากก็ตาม
   
“บอกตามตรงว่าพวกผมไม่ได้สนใจว่าคุณเป็นอะไรด้วยซ้ำ แค่คุณมีเงินกับมีของให้พวกเรา คุณก็มีค่ามากพอที่จะเจรจาด้วยแล้ว แต่ถ้าคุณไม่มี พวกเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องคุยกันอีก”
   
ทอมเดินไปหยุดตรงหน้าของนายนพวิทย์และนั่งยองๆ โดยจงใจให้ปลายเท้าเฉียดจมูกนพวิทย์
   
“และตอนนี้คุณก็ไม่มีอะไรให้เราแล้ว”
   
นพวิทย์กัดฟันกรอดๆ แต่กลับไร้เรี่ยวแรงที่จะดิ้นรน เลือดที่ไหลบ่าออกจากร่างอย่างรวดเร็วราวกับลูกโป่งที่มีรอยรั่ว อีกเพียงไม่นานร่างของเขาก็จะขาดเลือดและเมื่อถึงเวลานั้นนพวิทย์ก็รู้ดีว่าชะตากรรมของตนจะเป็นยังไง
   
“ฉัน ฉันหาให้ได้”
   
แม้จะเจ็บปวดแทบขาดใจกับคำพูดแต่ละคำที่กล่าวออกไป แต่นพวิทย์ก็ไม่สนใจเพราะมันเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะต่อชีวิตเขา
   
นัยน์ตาสีน้ำข้าวสบกับนัยน์ตาโศกครู่หนึ่ง ก่อนที่ทอมจะยิ้มออกมาและผลุดลุกขึ้นปัดฝุ่นที่เปรอะอยู่ตามตัวออกโดยไม่สนใจสีหน้าของนพวิทย์เลยสักนิดว่าจะถมึงทึงขนาดไหน
   
“ไม่ล่ะ คราวนี้ฝั่งเราสูญเสียไปเยอะ ผมไม่เสี่ยงกับคุณหรอก คุณนพวิทย์”
   
ทอมไหวไหล่และสาวเท้าออกไปโดยมีผู้ติดตามที่เป็นคนลงมือเมื่อกี้สาวเท้าตามไปติดๆ
   
“เดี๋ยว..”
   
นพวิทย์แค่นเสียงพูดแต่ก็ไม่เป็นผล ประตูห้องนั้นปิดสนิทพร้อมกับห้องที่ถูกปิดไฟจนมืดสลัวไม่เห็นแม้แต่มือของตนเอง ร่างบาดเจ็บพยายามตะเกียกตะกายไปยังประตูแต่กลับหลงทิศไปชนกลับกำแพงซะหลายครั้ง พื้นห้องที่เคยเป็นสีขาวสะอาดต่อถูกรอยเลือดเป็นทางยาวแต่งเติมจนน่าสยดสยอง
   
“…ไม่”
   
ในที่สุดนพวิทย์ก็ไม่สามารถฝืนร่างกายตนเองได้อีก ความเจ็บปวดในอกมันมากจนอยากจะตายในวินาทีนั้น มันเจ็บปวดจนเขาทนแทบไม่ได้แต่เขาก็ไม่อยากตาย เขายังอยากได้อำนาจและเงินของเขาคืนมา
   
“..ไม่”
   
สติปัญญาของนพวิทย์ตอนนี้ถูกทำลายไปกว่าครึ่ง นัยน์ตาโศกเลื่อนลอยแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะขยับก็ไม่มีเหลือแล้ว ร่างกายอันบอบช้ำของนายแพทย์นอนหงายอยู่บนพื้นบริเวณหน้าประตู ใบหน้าที่มีริ้วรอยของความชรายังคงนิ่งสงบแม้ว่าการหายใจจะยากขึ้นทุกที
   
“…อัลฟ่า”
   
นพวิทย์รำพันเมื่อสมองได้ประมวลภาพสุดท้ายขึ้นมา เป็นภาพที่กลุ่มรัฐบาลโต้กลับได้สำเร็จ โอเมก้าเบต้าและกลุ่มกบฏทุกคนตายในพื้นที่เกิดเหตุ เหล่าอัลฟ่าที่ยังหลงเหลืออยู่กล่าวชื่นชมเขาไม่หยุด สีหน้าของนายแพทย์มีความสุขมากกับชัยชนะของตนเองแม้ว่าจะแลกมาด้วยชีวิตของคนนับร้อยก็ตาม
   
รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฎก่อนที่จะแปรเป็นสีหน้าบิดเบี้ยว
   
เพียงชั่ววินาทีต่อมาภาพในหัวก็เปลี่ยนไป เกิดการยิงกราดเข้ามาจนโดนท่านนายกล้ม นพวิทย์ที่ยืนกำลังจะออกคำสั่งให้เหล่าทหารสหรัฐจัดการพวกมันกลับกลายเป็นว่าปลายกระบอกปืนนับสิบเล็งมาที่ตนเอง ยังไม่ทันได้ไหวตัวทันห่ากระสุนก็ยิงมาที่ร่างของตนเองจนพรุน
   
ในฝันนั้นนพวิทย์ล้มกองลงกับพื้นร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด
   
ความผิดหวังในสิ่งที่ต้องการนั้นเจ็บปวดจนสะอื้นออกมาจริงๆ ด้วยน้ำเสียงดังเสียดหู
   
“..ฮึก”
   
นพวิทย์ร้องไห้อย่างใจสลายโดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าลมหายใจของตนเองนั้นน้อยลงทุกที อัตราการหายใจช้าลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดนิ่งในที่สุดแต่สีหน้าของนพวิทย์ก็ยังคงเจ็บปวดเช่นเดิม
   
ความฝันที่อัลฟ่าจะเป็นใหญ่ตลอดกาลของนพวิทย์ได้สูญสลายไปเสียแล้ว

   

เพียงสองวันให้หลังประเทศไทยก็มีรัฐบาลชุดใหม่ซึ่งเป็นรัฐบาลชั่วคราวโดยมีคนในกลุ่มอีกาเป็นแกนนำหลักสามคนได้แก่ วุ้น ขุนและเงิน กฎหมายเดิมที่ลิดรอนสิทธิ์ของโอเมก้าถูกโละออกแทนที่ด้วยข้อกฏหมายที่กลุ่มอีการ้องขอมาตลอดอีกทั้งยังตรากฏหมายขึ้นมาใหม่อีกหลายมาตราเพื่อที่จะคุ้มครองทุกคนให้มีความเท่าเทียมกันโดยไม่แบ่งแยก
   
หากแต่สิ่งกฎหมายที่ทำให้ทุกคนฮือฮาที่สุดคือกฎหมายที่ว่าด้วยการกระทำผิดที่เกี่ยวข้องกับการเหยียดหยาม ดูหมิ่น ข่มขืนหรืออะไรใดๆ ก็ตามที่เป็นไปในทางรังแกผู้อื่น หากกระทำผิดครบสามครั้งจะถูกบังคับเป็นสภาวะไร้เพศ ไม่ว่าจะเป็นอัลฟ่า โอเมก้าหรือแม้แต่เบต้า หากกระทำผิดตามที่กฎหมายข้อนี่ว่าไว้ก็ไม่มีการยกเว้น
   
แน่นอนว่ารัฐบาลชั่วคราวของกลุ่มอีกาไม่ได้ตั้งจะครองอำนาจตลอดไป ในอีกหนึ่งเดือนครั้งหน้าจะมีการเลือกตั้งใหม่อีกครั้งโดยไม่แบ่งแยกเพศอะไรใดๆ ผู้ที่มีคุณสมบัติมากเพียงพอไม่ว่าใครก็สามารถลงสมัครได้ทั้งนั้น อีกทั้งการเลือกตั้งยังเป็นระบบที่โปร่งใสด้วยการอ่านผลการเลือกตั้งต่อหน้าสื่อมวลชนและนับคะแนน จะไม่มีการทุจริตหรือการคดโกงอะไรใดๆ ทั้งนั้นกับการเลือกตั้งครั้งนี้
   
ส่วนผู้ที่อยู่เบื้องหลังคอยดูแลรัฐบาลชั่วคราวชุดนี้ก็คือพลตำรวจเอกโลกันต์ คอยให้คำปรึกษาและดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองอย่างเคร่งครัด พยายามกระจายกำลังของตนไปตามจุดต่างๆ ที่ได้รับความเสียหายจากสงครามกลางเมืองเพื่อฟื้นฟูให้แต่ละสถานที่ได้กลับมาชีวิตชีวาอีกครั้ง
   
ทุกอย่างกำลังเริ่มต้นใหม่อย่างช้าๆ โดยเฉพาะกับเหล่าโอเมก้าที่โดนกดขี่มานาน ทันทีที่ทุกคนรู้คราวก็ร้องไห้ออกมา พวกเขากำลังจะได้รับอิสรภาพ อิสรภาพที่เฝ้าฝันถึงมานานและไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะเป็นจริงได้ แต่มันก็เป็นจริงแล้วด้วยความเสียสละของหลายๆ คนที่ยอมแลกแม้แต่ชีวิตของตนเองเพื่ออุดมการณ์
   
ชื่อทุกชื่อที่สูญเสียไปกับการปฎิวัติครั้งนี้ถูกรวบรวมเพื่อนำไปใส่ในอณุสรณ์สถานและตำราเรียน ถึงแม้จะสูญเสียชีวิตของพวกเขาไปแล้วแต่พวกเขาก็ไม่มีวันจางหาย เหล่านักเรียนนักศึกษาในรุ่นต่อๆ ไปจะได้รับการสอนเรื่องความเท่าเทียมและเรื่องเล่าเกี่ยวกับการปฎิวัติครั้งนี้
   
พวกเขาจะได้เรียนรู้ถึงสงคราม ความโหดร้าย การแก่งแย่ง และความเห็นแก่ตัวของผู้คน หากประจักษ์ในสิ่งเหล่านี้ได้ก็จะทำให้การให้เกียรติ์และเคารพซึ่งกันและกันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ง่ายขึ้น
   
และท้ายที่สุดสังคมในอุดมคติที่ทุกคนเท่าเทียมกันก็อาจจะเป็นไปได้จริงๆ
   
   

เพียงสองเดือนจำนวนสภาวะไร้เพศก็เพิ่มขึ้นเท่าตัวหลังจากที่รัฐบาลชั่วคราวประกาศว่าสามารถเปลี่ยนได้ฟรีๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เหล่าโอเมก้าและเบต้าคือผู้ใช้บริการหลัก สาเหตุที่โอเมก้ามานั้นเพราะเบื่อหน่ายกับการฮีททุกเดือนแต่ก็มีบางส่วนที่ยอมรับในเพศสภาพของตัวเองและตั้งใจจะเป็นแบบนั้นไปจนวันตาย ซึ่งก็มีผู้คนอีกบางส่วนที่อยากสนับสนุนความเท่าเทียมจึงมาแปลงเพศสภาพของตัวเอง
   
รัฐบาลชุดใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งนั้นประกอบด้วยเบต้า อัลฟ่า และโอเมก้า เป็นสัดส่วนแทบจะเท่ากัน ซึ่งครั้งนี้ก็คงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีโอเมก้าเป็นนายกรัฐมนตรี แต่นายกที่ว่าก็ไม่มีได้มีรูปลักษณ์คล้ายกับโอเมก้านัก ร่างกายที่สูงใหญ่กว่าเบต้าทั่วไปนั้นยากที่จะสังเกตว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นโอเมก้า น้ำเสียงยามที่กล่าวปราศรัยนั้นสุขุมเยือกเย็น นัยน์ตาสีกระจ่างฉายประกายความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาประเทศไปในทางที่ดีที่สุด
   
ในส่วนของอัลฟ่าบางตระกูลที่ถือเป็นตระกูลใหญ่และถือครองธุรกิจใหญ่ยักษ์ในประเทศถูกตรวจสอบและพบว่ามีการทุจริตและเล่นพลิกแพลงกับข้อกฎหมายเป็นเงินมหาศาล มีอัลฟ่าหลายคนที่เลือกที่จะหลบหนีไปที่อื่นแต่ก็มีบางส่วนหลบหนีไม่ทันต้องติดคุกเสียค่าปรับชดใช้การกระทำไป
   
แน่นอนว่าตระกูลนฤภัทรก็ไม่รอดเช่นกัน โรงเรียนเครือนฤภัทรถูกเปิดโปงว่าเป็นสถานฟอกเงินขนาดใหญ่ระดับประเทศ ทรัพย์สินของตระกูลนฤภัทรจึงถูกยึดไปแทบจะทั้งหมดเข้ารัฐบาล สร้างความอับอายให้กับคนที่ใช้นามสกุลนฤภัทรเป็นอย่างมาก ญาติคนอื่นๆ ในตระกูลที่ไม่รู้เรื่องด้วยพากันไปเปลี่ยนนามสกุลเพื่อที่จะหลีกหนีมลทินที่ตนเองไม่ได้ก่อด้วยความโกรธเคือง
   
ซึ่งการถูกจับได้คราวนี้ก็เป็นข่าวใหญ่พอตัว คุณหญิงวิภาดาที่เพิ่งสูญเสียสามีไปถูกจับในบ้านพักอากาศของตนเองด้วยสีหน้าซีดเซียว ไม่เหลือเค้าคนเคยมีอำนาจเลยแม้แต่นิดเดียว ชีวิตบั้นปลายของเธอจึงต้องจบลงที่การถูกกักขังหลายสิบปีที่ไม่น่าเหลือเวลาให้เธอได้ออกมาเริ่มต้นชีวิตใหม่อีก
   
ส่วนในวงการเพลงที่ซบเซาไปนั้นค่อยๆ กำลังมาครึกครื้นอีกครั้งด้วยเพลงของเหล่าโอเมก้าที่เก็บงำฝีมือกันมานาน เมื่อมีโอกาสเข้าพวกเขาก็ปล่อยของกันเต็มที่ ละทิ้งอาชีพเดิมซึ่งเป็นการร้องเพลงพร้อมขายเรือนร่างมาใช้ทักษะของตนเองจริงๆ กลุ่มนักลงทุนเริ่มหันไปสนใจปั้นเหล่าโอเมก้าและเหล่าผู้มีความสามารถมาเป็นนักร้องให้กับค่ายตัวเอง
   
แต่น่าเสียดายที่ทุกการคาดหวังก็ย่อมมีความผิดหวัง
   
ข้าวซึ่งสามารถปีนป่ายยกระดับตัวเองขึ้นไปสูงด้วยการเป็นเด็กของเจ้าของค่ายเพลงตกลงมาจากเบื้องบน หลังกระแทกพื้นจนจุกและกระดูกแตกไปทั้งตัว เมื่อคนที่เป็นฐานให้ตัวเองถูกจับไปทุกอย่างก็ต้องเริ่มต้นใหม่และข้าวก็พบว่าตนเองดูจะไม่ได้ที่เป็นชื่นชอบของคนในค่ายนักจากการที่เคยแผลงฤทธิ์เอาไว้ จึงจำต้องยอมออกจากค่ายเพลงเดียวที่เคยเป็นค่ายเพลงของพี่จ้าวไปออกไปอยู่ค่ายอื่น
   
ด้วยความสามารถและฝีไม้ลายมือที่การร้องที่คล้ายกับจ้าว ข้าวจึงถูกค่ายเพลงที่เป็นคู่แข่งค่ายเพลงของจ้าวพาตัวไปอยู่ด้วยและปั้นเป็นดาวดวงใหม่ที่สามารถเปล่งประกายได้ แต่น่าเสียดายที่นิสัยเก่าอย่างการกระหายชื่อเสียงและเงินตรามากเกินไปก็ทำลายตัวข้าวเองจนกลายเป็นดาวที่เปล่งแสงมากเกินไปจนทำลายตนเอง ชีวิตนักร้องของข้าวจึงไปได้ไม่สวยนัก ข้าวจึงถือโอกาสลาออกและเป็นอาสาสมัครให้กับโครงการจิตอาสาต่างๆ เพื่อให้รู้สึกว่าตนเองยังมีคุณค่าอยู่บ้าง

   

แสงอาทิตย์อุ่นๆ อาบร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง บริเวณหน้าผากมีรอยแผลเป็นเล็กๆ จากการผ่าตัดแต่ก็ไม่ได้ดูขัดตาอะไรนัก ริมฝีปากบางเฉียบที่เคยพูดจาเชือดเฉือนผู้คนตอนนี้ยังคงปิดสนิท ชีพจรในร่างยังคงเต้นปกติแม้ว่ามันจะเคยหยุดเต้นไปเกือบนาทีแล้วก็ตาม
   
ร่างที่เริ่มกลับมามีเนื้อมีหนังนั่งข้างอยู่ข้างๆ กุมมือของคนป่วยแน่น ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลยก็ตามที นัยน์ตาโศกคลอด้วยน้ำตา ทั้งๆ ที่ยังรับรู้ถึงการคงอยู่ของอีกฝ่ายแต่กลับไม่รู้สึกว่าอยู่บนโลกใบเดียวกัน
   
การกลับมาครั้งนี้จันทร์ไม่มีวันเหมือนเดิม…
   
“จันทร์เป็นยังไงบ้าง พี่ซัน”
   
ข่าวการฟื้นของจันทร์เมื่อวานเล่นเอาจ้าวที่กำลังสับสนในชีวิตตัวเองรีบมาหาในเช้าวันต่อมาทันที แม้จะรู้มาก่อนบ้างถึงอาการของที่แปลกไปของจันทร์แต่จ้าวก็ไม่คิดจะเชื่อนอกจากจะได้ยินและเห็นได้ด้วยตาของตนเอง
   
เขาไม่เชื่อหรอกว่าจันทร์จะเป็นอะไร จันทร์แข็งแรงจะตายไป
   
สุริยะซึ่งละทิ้งอาชีพนายแบบมารับเป็นเจ้าของไข้ให้กับจันทร์เต็มตัวมองร่างที่อยู่บนเตียงนิ่งก่อนที่จะพูดออกมา น่าแปลกนักที่ทั้งๆ ที่คิดว่าตนเองทำใจได้แต่เสียงที่พูดออกไปก็ยังสั่นพร่าอยู่ดี “จันทร์จำอะไรไม่ได้เลย พูดไม่ได้ อีกทั้งยังมีอาการแขนขาอ่อนแรงจนต้องนอนอยู่บนเตียงไม่ก็นั่งรถเข็นตลอดเวลา ต้องกายภาพบำบัดอีกหลายปีถึงจะกลับมาทำอะไรได้บ้าง”
   
“..พี่ขอโทษ จันทร์ พี่ขอโทษ”
   
จ้าวสะอื้นจนตัวโยนเมื่อได้ฟัง ถึงแม้จะหลอกตัวเองว่ามันไม่จริงแต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นความจริง จันทร์ไม่มีวันเป็นเหมือนเดิม การกลับมาครั้งนี้สำหรับจันทร์แล้วอาจจะเป็นความทุกข์ทรมานมากกว่าความสุขก็เป็นได้
   
บางทีเขาก็คิดในชั่วขณะหนึ่งว่าความตายอาจจะเมตตากับจันทร์มากกว่าการต้องมามีสภาพตายทั้งเป็นแบบนี้ มันจะมีประโยชน์อะไรกับการมีชีวิตรอดแต่ได้สูญเสียร่างกายและตัวตนไปแทบทั้งหมด
   
“..อือ”
   
เสียงครางในลำคอเบาๆ เรียกความสนใจจากคนในห้องและในที่สุดคนที่ตกเป็นประเด็นก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาโศกกระพริบถี่ๆ อย่างไม่คุ้นชินกับแสงสว่างเมื่อผ่านไปได้สักพักถึงกลอกตามองผู้คนที่ยืนอยู่รอบเตียงตนเองด้วยแววตาสับสนระคนหวาดกลัว มือที่ถูกจ้าวกอบกุมเอาไว้พยายามขัดขืนออกแม้ว่าจะขยับมันแทบไม่ได้เลยก็ตาม
   
“..จันทร์ นี่พี่ไง จันทร์ ฮึก นี่พี่จ้าวไง”
   
จ้าวยอมปล่อยมือออกแต่สะอื้นไม่หยุด รู้สึกทรมานจนทนแทบไม่ได้ ราวกับผลกรรมในสิ่งที่เขาทำเอาไว้กับจันทร์กำลังเล่นงานเขากลับอย่างเลือดเย็น เขาทำให้จันทร์ไม่มีสังคมและตอนนี้จันทร์ก็กำลังทำให้เขาเป็นคนอื่น ที่ไม่ใช่คนรู้จักของตนเอง ไม่ใช่ฝาแฝด ไม่ใช่คนรู้จัก แต่เป็นคนที่ไม่สมควรมาอยู่ในชีวิตด้วยซ้ำ
   
“…”
   
แม้จะพูดและขยับร่างกายไม่ได้มากนักแต่ท่าทีหวาดกลัวของจันทร์นั้นชัดเจนจนน่าสงสาร นัยน์ตาโศกที่ไม่มีกรอบแว่นเพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างจันทร์กับจ้าวขับให้ใบหน้าของจันทร์ดูเด็กลงไปอีก แววตาสีดำขลับนั้นใสซื่อราวกับย้อนกลับไปในวัยเพียงไม่กี่ขวบ เป็นวัยที่ขาดวิจารณญาณในการใช้ชีวิตและบอบบางเกินกว่าจะดำรงอยู่บนโลกใบนี้
   
“…จันทร์”
   
จ้าวครางเสียงแผ่วรู้สึกเจ็บจนแทบคลั่ง เขาเจ็บปวดเหลือเกินที่เห็นอีกฝ่ายยังมีลมหายใจ มีรูปลักษณ์แบบเดิม แต่กลับไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
   
หรือความจริงแล้วการกลับมาครั้งนี้สำหรับจันทร์แล้วคงไม่ได้ตายทั้งเป็นแต่เป็นผู้คนรอบๆ ต่างหากที่ค่อยๆ ตายอย่างช้าๆ กับความเจ็บปวดที่ถูกหลงลืมและหวาดกลัว
   
“..พี่ขอโทษสำหรับเรื่องทุกอย่างนะ”
   
จ้าวพยายามยิ้มแม้น้ำตาจะยังอาบใบหน้า ความตั้งใจที่จะรอจวบจนกระทั่งจันทร์ฟื้นเพื่อเป็นสักขีพยานในงานแต่งงานเริ่มไขว้เขว บางทีแล้วจันทร์อาจจะไม่อยากร่วมงานกับเขาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เขาในวัยเด็ก วัยที่แสนโง่งมคึกคะนองได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่มหันต์
   
ถึงเวลาสักทีที่เขาจะยอมรับมันไม่ใช่การผลักไสออกและหลอกตนเองว่าได้ทำดีชดใช้แล้ว
   
เขาไม่สามารถแก้ไขในสิ่งที่ตนเองได้ทำลงไปหรอก เขาพังชีวิตวัยเด็กของจันทร์ไปแล้วและมันก็ไม่มีวันที่จะถูกแก้ไขได้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นใดแล้วนอกจากจะก้มหัวจำยอม ต่อให้หัวใจแหลกสลายซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาก็ต้องทนรับมันให้ได้
   
“…”
   
อดีตนายแพทย์ชื่อดังก็ยังคงมีท่าทีหวาดกลัว น้ำตาไหลอาบใบหน้าเมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ทั้งๆ ที่อยากลุกหนีหรือไปที่อื่นใจแทบขาด ในหัวคิดเพียงอย่างไปให้พ้นๆ จากสถานที่แห่งนี้เพราะทุกคนที่อยู่รอบตัวช่างดูน่ากลัวและไม่น่าไว้ใจ โดยเฉพาะร่างที่กำลังร้องไห้เป็นเผาเต่าที่เขาไม่รู้จักและไม่เข้าใจสักนิดว่าจะมายุ่งกับเขาทำไม
   
เขาอยากจะตะโกนว่าไปให้พ้นแต่กลับพบว่าการเปล่งเสียงเป็นเรื่องยากเหลือเกิน ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกจากริมฝีปากทั้งๆ ที่ในหัวก็คิดประมวลผลออกมามากมายแต่กลับเรียบเรียงคำพูดไม่ได้
   
เขาเป็นใครกัน… ทำไมมาอยู่ตรงนี้
   
จันทร์คิดอย่างหวาดกลัวกว่าเดิม รู้สึกว่างเปล่า ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในร่างของตนเองแต่กลับรู้สึกเหมือนถูกกักขังในกรงมนุษย์ที่มีร่างของตนเองเป็นกรงอันแน่นหนาและไม่มีทางปีนหนีออกไปได้
   
“…”
   
มีเพียงนัยน์ตาของจันทร์เท่านั้นที่ยังคงเป็นอิสระจากพันธะของร่างกาย นัยน์ตาโศกมองทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวด้วยความหวาดกลัว เขาไม่คุ้นชินกับสิ่งใดเลย ไม่เข้าใจอะไรเลย
   
“..ผมควรไปสินะ”
   
จ้าวหัวเราะเสียงแผ่วไม่รอคำตอบจากใคร รีบเดินออกจากห้องจนเกือบจะล้มจนเหมันต์ต้องมาช่วยประคองและโอบแน่นพยายามปลอบประโลมแต่ก็ดูเหมือนจะไม่เข้าหูของจ้าวนัก มีเพียงความเค็มของน้ำตาที่ชัดเจนจนจ้าวทนแทบไม่ได้
   
ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นรอยยิ้มของจันทร์ปรากฏในหัวจนจ้าวสะอื้นหนักกว่าเดิม
   
เขาไม่โทษใครหรอกสำหรับเรื่องนี้…
   
มันสาสมแล้วที่เขาจะได้รับมัน

=======

ใกล้จบเราก็สามารถพีคได้  :a9:

   

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
หูยยย  พีคหนักมาก รอคุณเหมันต์ อยู่นะ

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
 :a5: ไม่รู้จะสงสารใคร  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
สงสารจ้าวกับจันทร์มากเลย

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 38
   
อาการของจันทร์ยังไม่ค่อยดีนักแม้ว่าจะผ่านเกือบเดือนแล้วก็ตาม ทุกครั้งที่จ้าวไปเยี่ยมก็มักจะแสดงท่าทีหวาดกลัว ไม่มีท่าทีจะจดจำใครได้เลยแม้แต่นิดเดียว จนสุริยะตัดสินใจพาตัวจันทร์ไปอยู่ที่บ้านกับตัวเองเพื่อที่จะเปลี่ยนสภาพแวดล้อมและดูแลได้ง่ายขึ้น
   
หากแต่เรื่องที่จันทร์จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้สักทีเดียว หลังจากที่สุริยะลองกระตุ้นความทรงจำบางส่วนซ้ำๆ ก็พบว่าจันทร์ยังสามารถจดจำเรื่องบางเรื่องได้ หนำซ้ำยังสามารถแก้โจทย์ฟิสิกส์ได้ราวกับเป็นเพียงการบวกลบเลขธรรมดา ซึ่งมันก็ทำให้ทั้งจ้าวและสุริยะเกิดความหวังขึ้นมา ถึงแม้จะเป็นเพียงความหวังเล็กๆ เพียงเสี้ยวเดียวแต่ก็นับเป็นความหวัง
   
สิ่งที่พวกเขาทำได้ตอนนี้ก็คือรอเวลาเท่านั้น..
   
จะอีกสิบปี ยี่สิบปี พวกเขาไม่รู้แต่พวกเขาก็คาดหวังว่ามันจะไม่มากถึงเพียงนั้น
   
“พี่กลับแล้วนะ จันทร์” จ้าวฉีกยิ้มให้จันทร์จนตาหยีแม้ว่าอีกฝ่ายจะหันหลังให้ก็ตาม
   
“..อือ”
   
“…”
   
จ้าวที่กำลังจะก้าวออกจากห้องถึงกับชะงักและหันไปมองจันทร์อย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนที่ความรู้สึกยินดีที่ถาโถมเข้าทับจนแทบยืนไม่อยู่ รู้ตัวอีกทีก็ยิ้มกว้างทั้งๆ ที่น้ำตาไหลอาบใบหน้า
   
ในที่สุดจันทร์ก็รับรู้ถึงการมีตัวตนของเขาแล้ว…

   


สำหรับจ้าวแล้วการแต่งงานเป็นเรื่องไกลตัว เหมือนเรื่องเพ้อฝันในภาพยนตร์มากกว่าที่จะเกิดขึ้นตัวเองเพราะคงจะหาคนที่เข้าในจนตัวตนของเขายาก เขาเป็นนักร้องที่หลงใหลในเสียงดนตรีจนแทบถวายชีวิตให้กับมัน เขาสามารถถูกขังในห้องกับเครื่องดนตรีสักชิ้นได้ทั้งวันโดยไม่มีเบื่อหนำซ้ำอาจจะแต่งเพลงได้อีกสักสองสามเพลงด้วย
   
แต่นั้นก็ไม่ใช่ประเด็นหลักเสียทีเดียว
   
จ้าวมองตัวเองในกระจกด้วยความรู้สึกประหม่ากว่าทุกวัน รู้สึกทุกอย่างในร่างกายดูเกะกะไปหมดไม่เว้นแม้แต่มือของตัวเองที่จับนู้นจับนี่ไปทั่ว พยายามทำตัวให้ปกติที่สุดแม้ว่ามันจะยากมากก็ตาม
   
“…แม่ง”
   
สบถออกมาอย่างเหลืออดเมื่อพบว่าตัวเองหน้าแดงก่ำ รู้สึกขวยเขินมากทีเดียวเมื่อมาอยู่ในชุดสูทสีขาวเรียบๆ เข้ากันดีกับสีผมที่คราวนี้ถูกย้อมเป็นสีชมพูอ่อน ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไรดลใจให้ย้อมผมสีนี้ก่อนวันแต่งไม่กี่วัน แต่ที่รู้ๆ คือใครบางคนชอบเอามากๆ จนเอ่ยปากชมไม่หยุด
   
จ้าวพยายามจัดคอเสื้อตัวเองให้ปกปิดบริเวณลำคอที่ยังมีร่องรอยบางอย่างก่อนที่จะมองหน้าตัวเองอีกครั้งเพื่อสำรวจความเรียบร้อย
   
ชั่วขณะหนึ่งที่จ้าวนึกถึงภาพตอนที่ตัวเองส่องกระจกหลังจากออกจากคุกมาได้วันแรก
   
ตอนนั้นสภาพเขาราวกับซากศพอะไรสักอย่าง ไม่มีเค้าของความเป็นมนุษย์เลยสักนิด ร่างกายผอมจนเหลือแต่กระดูก แก้มตอบ ร่องรอยบาดแผลจากการทรมานต่างๆ ที่ส่วนใหญ่มาจากการทำร้ายตัวเอง
   
เขาในตอนนั้นสภาพย่ำแย่และสิ้นหวังเกินกว่าจะมีลมหายใจด้วยซ้ำ ทุกอย่างดำมืดไปหมด เขาไม่มีใครเลย ต่อให้ซินจะพยายามช่วยเขามากแค่ไหนมันก็ไม่สามารถสู้กับอิทธิพลของตระกูลนฤภัทรได้ ตระกูลของเขายิ่งใหญ่จนยากที่จะหาใครกล้าเข้ามาเสี่ยงกับเขา
   
แต่ก็มีใครบางคนที่กล้าและโอบอุ้มประคับประคองเขาไว้อย่างทะนุถนอม ทั้งๆ ที่เขาเป็นเพียงอีกาพิกลพิการโดนหักปีกทั้งสองข้างจนแหลกละเอียดจนไม่มีวันที่จะได้โผบินได้อีก แต่คนๆ นั้นก็ยังเชื่อมั่นในตัวเขาแม้ว่าจะหลักฐานทุกอย่างจะมัดตัวเขาไว้อย่างแน่นหนาก็ตามที
   
รอยยิ้มบางปรากฎบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว
   
จ้าวมองตัวเองในกระจกและยิ้มให้กับมัน รู้สึกดีที่ตอนนี้ตนเองได้กลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง ร่างกายของเขากลับมาแข็งแรง เขาป่วยน้อยลง อีกทั้งยังอ้วนขึ้นจนทำซี่โครงที่มักจะปรากฎให้เห็นหายไปด้วย
   
น่าแปลกที่ครั้งนี้จ้าวกลับมั่นใจว่าความสุขจะไม่หายไปอีก ไม่เหมือนกับตอนที่ยังเป็นนักร้องทุกอย่างดูจะไม่แน่นอนไปหมด เขามีความสุขวันนี้ก็จริงแต่วันพรุ่งนี้ก็อาจจะทุกข์ตรมจนไม่อาจจะประคองหายใจตัวเองได้
   
ก็อกๆ
   
ประตูถูกเคาะด้วยจังหวะหนักหน่วง
   
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ คุณจ้าว”
   
ออสตินซึ่งถูกมอบหมายให้มาตามจ้าวถามด้วยความเป็นห่วง งานแต่งงานจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่นาทีนี้แต่คนที่เป็นตัวหลักของงานกลับมาอยู่ในห้องน้ำเกือบครึ่งชั่วโมง
   
“ผมสบายดี ขอโทษที่ผมเตรียมตัวนานไปหน่อย”
   
จ้าวหัวเราะแห้งๆ เมื่อเปิดประตูออกมาและเดินนำออกไปข้างนอก พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ประหม่าเพราะนี่เป็นไม่กี่ครั้งในชีวิตที่ได้ร่วมงานแต่งงานซึ่งครั้งนี้ก็เป็นงานแต่งงานของตัวเองเสียด้วย
   
นัยน์ตาโศกกวาดตามองพื้นที่จัดงานอย่างขวยเขิน ถึงแม้งานแต่งงานครั้งนี้จะไม่เน้นความหรูหราใหญ่โตแต่ทุกตารางนิ้วในงานกลับสัมผัสได้ถึงความอ่อนหวานของพิธี
   
ห้องโถงขนาดกลางที่มักจะใช้สำหรับประชุมย่อยๆ ระดับผู้บริหารคนสำคัญของตระกูลกิลลาสในวันนี้ถูกแปลงโฉมให้เป็นพื้นที่จัดงานแต่งงานของประธานบริษัทกิลลาส พื้นถูกปูด้วยพรมสีสะอาด รอบๆ ห้องถูกประดับประดาด้วยกุหลาบสีขาวจนคล้ายกับสวนดอกไม้ในเทพนิยาย บริเวณโต๊ะต่างๆ ถูกจับจองไปด้วยผู้คนที่เป็นคนสนิทของจ้าวและเหมันต์ซึ่งก็มากันครบทุกคน
   
ซินซึ่งอยู่ในชุดสูทดำเรียบร้อยเอ่ยทักจ้าวทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาในงาน ถึงแม้จะถ่ายรูปอวยพรไปแล้วแต่ซินก็ยังอยากที่จะคุยกับจ้าวอีกอยู่ดี
   
“วันนี้หล่อเลยนะ จ้าว”
   
สำหรับซินแล้ววันนี้เป็นวันที่แอบร้องไห้ไปหลายรอบ การได้เห็นคนที่แทบหมดหวังในการมีชีวิตได้กลับมามีความสุขอีกครั้ง มันก็เหมือนกับฝัน เขาดีใจมากที่จ้าวมีกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อ
   
“ขอบคุณ” จ้าวยิ้มเขินๆ ทำตัวไม่ถูกเมื่อคุณเหมันต์ที่ยืนอยู่อีกมุมห้องและกำลังคุยกับเพื่อนตัวเองส่งยิ้มให้ ซึ่งวันนี้คุณเหมันต์ก็แปลกไปกว่าทุกวันทั้งรูปลักษณ์ที่ดูดีเอามากๆ ราวกับหลุดมาจากนิตยสารชื่อดังสักฉบับ ใบหน้าคมเข้ากันดีกับผมที่ถูกเซ็ตให้เห็นโครงหน้าชัดขึ้น นัยน์ตาสีเทาที่มักจะถูกมองว่าดุดันจนคล้ายกับหมาป่าวันนี้ดูอ่อนละมุนกว่าทุกวัน
   
“ขอให้มีความสุขมากๆ นะ มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาได้”
   
แน่นอนว่าซินรู้ว่าจ้าวเขินอะไรแต่ก็ไม่คิดจะแซวเพิ่มความประหม่าให้กับจ้าว
   
“อือ เราก็ขอให้ซินมีความสุขมากๆ เหมือนกัน”
   
จ้าวมองหน้าซินได้ไม่นานก็อดที่จะโผกอดราวกับเด็กๆ ไม่ได้
   
“ขอบคุณ.. ขอบคุณจริงๆ ฮึก ที่อยู่ด้วยกันมาถึงตอนนี้นะ”
   
เอาเข้าจริงจ้าวคิดว่าตัวเองคงจะตายไปตั้งนานแล้วถ้าซินไม่คอยช่วยประคับประคองเขาอยู่ตลอด การอยู่ในคุกมันโดดเดี่ยวและโหดร้ายเกินไป ถ้าไม่มีซินคอยเตือนสติเขา เขาก็คงทนไม่ได้ไหวจนมาถึงตอนนี้
   
“วันแต่งงานนะ อย่าร้องไห้ดิวะ”
   
ซินเอ็ดทั้งๆ ที่ตัวเองก็ร้องไห้เหมือนกัน
   
ร้องไปได้สักพักจ้าวก็ตัดสินใจผละออกเพราะงานแต่งงานจะเริ่มต้นในอีกไม่ช้า ใช้มือเช็ดน้ำตาตัวเองออกลวกๆ แล้วเดินเข้าไปหาคุณเหมันต์ที่เดินมาหาด้วยสีหน้าเป็นห่วง
   
“ร้องไห้ทำไม”
   
ไม่ว่าเปล่าใช้มือเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ ไล้นิ้วบริเวณขอบตานัยน์ตาโศกที่ยังมีน้ำตาหลงเหลืออยู่
   
“ไม่มีอะไรครับ”
   
เมื่อเห็นจ้าวไม่อยากพูดถึงเหมันต์ก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อ
   
“งั้นพี่จะเริ่มงานเลยนะ”
   
“ครับ”
   
จ้าวพยักหน้าหงึกหงักวางมือบนมือคุณเหมันต์ที่ยื่นมาให้ อุณหภูมิอุ่นร้อนจากฝ่ามือทำให้จ้าวรู้สึกสงบใจขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด รู้ประหม่าน้อยลงและถูกปกป้องในคราวเดียวกัน
   
ความวุ่นวายในงานค่อยๆ เงียบสงบลงเมื่อคู่บ่าวสาวก้าวขึ้นไปบนเวที บรรยากาศในงานดูจะละมุนละไมขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัวเมื่อจ้าวและเหมันต์ยืนข้างกันด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
   
ออสตินยืนไมค์ให้นายของตนเองก่อนที่จะถอยออกมายืนข้างๆ มองสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยความตื้นตันใจ การติดตามคุณเหมันต์มานานนับสิบปีทำให้ออสตินรู้ดีว่านายของตนเองเป็นคนที่ถูกใจคนยาก ถึงแม้จะใจดีแต่ก็ไม่ได้มีมันให้กับทุกคน จ้าวน่าจะเป็นคนแรกและคนเดียวที่นายของเขาให้ความสำคัญมากขนาดนี้
   
“ขอบคุณทุกคนที่มาร่วมงานกันในครั้งนี้นะครับ”
   
น้ำเสียงทุ้มของเหมันต์ยังคงทรงพลังเสมอแค่ได้ฟังก็รู้สึกครั่นคร้าม นัยน์ตาสีเทาดุจหมาป่ากวาดตามองแขกเหรื่อที่มาร่วมงานก็เผลอหลุดยิ้มออกมาเมื่อเห็นใบไม้แลบลิ้นใส่
   
แม้แต่งานสำคัญของพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองใบไม้ก็ยังไม่เลิกซนหนำซ้ำยังได้ใจไปก่อกวนจ้าวเป็นพักๆ จนโดนนทีลากออกมาคุมตัวเอาไว้อย่างหนาแน่น
   
“ก็อย่างที่รู้ว่าผมไม่ใช่คนที่ชอบงานพิธีการใหญ่โต งานแต่งงานครั้งนี้สำหรับผมมันไม่ใช่การป่าวประกาศความสัมพันธ์แต่มันคือการให้สัญญากับจ้าวว่าผมจะไม่มีวันทิ้งเขาไปไหน”
   
เหมันต์มองจ้าวอย่างไม่ปิดบังพยายามถ่ายทอดคำพูดของตัวเองออกมาอย่างซื่อตรงและจริงใจมากที่สุด
   
“ผมจะดูแลจ้าวให้ดีที่สุดในฐานะของคนรัก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ผมก็จะรักและดูแลจ้าวตลอดไปครับ”
   
สำหรับเหมันต์แล้วการพูดครั้งนี้ยากกว่าทุกครั้งในชีวิตเลยทีเดียว ไม่มีครั้งไหนที่เขาคิดและไตร่ตรองกับการพูดแต่ละคำขนาดนี้มาก่อน ทั้งๆ ที่ในใจเขายังอยากพูดอีกนับร้อยประโยคแต่กลับพูดไม่ออกสักคำเมื่อมองหน้าจ้าว
   
เขารู้เพียงว่าตัวเองรัก.. รักคนๆ นี้มากกว่าใครบนโลกก็เท่านั้น
   
“ผม.. จะไม่มีวันทำให้จ้าวเสียใจ”
   
เหมันต์อดไม่ได้ที่จะดึงมือจ้าวมาจูบเบาๆ อย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบประโลม สีหน้าของจ้าวตอนนี้เหมือนจะร้องไห้ได้ตลอดเวลาเลยทีเดียว
   
“ครั้งแรกที่ผมรู้จักจ้าวคือตอนที่น้องเข้าชมรมร้องเพลงครับ ตอนนั้นผมชอบน้องแค่เพราะน้องร้องเพลงเพราะดีและผมก็ติดตามผลงานน้องมาตลอดจนน้องได้กลายเป็นนักร้องจริงๆ ”
   
นัยน์ตาสีเทามองร่างในชุดสูทขาวนิ่งก่อนจะยิ้มละมุน ไม่มีภาพอื่นใดนอกจากจ้าวอยู่ในสายตาก่อนจะเผยความลับที่เก็บงำไว้กับตัวเองมานานให้ผู้อื่นได้ล่วงรู้
   
“หลังจากที่เรียนจบม.ปลายมา ผมต้องทุ่มเทกับการเรียนและการรับช่วงต่อบริษัทจากพ่อ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมเครียดมากจนเกือบจะฆ่าตัวตายไปหลายครั้ง”
   
ผู้คนในงานรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยเพราะภาพที่พวกเขาเห็นมาตลอดคือเก่งกาจและเข้มแข็งของเหมันต์ ประธานบริษัทกิลลาสผู้เก่งกาจที่ติดอันดับนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองทุกปี ผลกำไรมหาศาลของบริษัททำให้ทุกคนแทบจะมองประธานบริษัทคนนี้ไม่ใช่คนแต่เป็นอัจฉริยะที่อยู่เหนือขึ้นไปไม่อาจจับต้องได้
   
ไม่ว่าใครก็ต้องมองขึ้นไปอย่างอิจฉาเท่านั้น พวกเขาล้วนเอาแต่คิดว่าการมีเงินมากคือความสุขและคนที่รวยล้นฟ้าก็ไม่มีวันเข้าใจคนจนที่แม้แต่ข้าวสักมื้อไม่มีปัญญาจะซื้อกิน
   
สีหน้าแตกตื่นแกมเป็นห่วงของจ้าวทำให้เหมันต์รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เลือกคนผิด
   
ทุกคนเอาแต่คิดว่าเขาเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งและเข้มแข็ง แม้กระทั่งแม่ของเขาก็ยังไม่อาจล่วงรู้ถึงการแตกสลายของตัวตนของเขาอย่างช้าๆ
   
“ผมใช้ชีวิตไปกับการทำงานจนแทบจำไม่ได้ว่าตัวเองชอบอะไร มีงานอดิเรกอะไร ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวันหยุดยาวครั้งสุดท้ายของตัวเองวันไหน”
   
ภาระหน้าที่ในตอนนั้นสำหรับเหมันต์ที่เพิ่งอายุไม่เท่าไหร่มันช่างหนักหนาสาหัส กว่าจะปรับตัวได้ก็ใช้เวลาหลายปีแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกผู้เป็นพ่ออย่างนายศตคุณด่าไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งๆ ที่คิดว่าทำได้ดีมากพอแล้วแต่มันก็ไม่เพียงพอสำหรับคุณศตคุณอยู่ดี
   
“แต่ทุกครั้งที่ผมจะคิดทำอะไรโง่ๆ ผมก็จะเห็นหน้าน้องก่อนเสมอ พอผมเห็นรอยยิ้มของน้อง ผมก็รู้สึกว่ายังอยากเห็นรอยยิ้มนี้นานกว่านี้ ผมไม่รู้พวกคุณเคยได้ยินไหมตอนที่จ้าวดังมากแล้วมีคนพูดว่ารอยยิ้มกับเพลงของจ้าวเหมือนทำให้โลกสดใสและน่าอยู่ขึ้น สำหรับผมมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ”
   
เหมันต์ยิ้มออกมาเมื่อถูกจ้าวโถมตัวเข้ากอด มือหนาลูบผมนิ่มเบาๆ อย่างเพลินมือ
   
“สำหรับผมจ้าวเป็นสิ่งที่เดียวที่ผมจำได้ว่าตัวเองชอบและชอบมาตลอด ต่อให้น้องจะโดนจับหรือเปลี่ยนไปแค่ไหนผมก็ยังชอบน้อง ผมไม่เชื่อหรอกว่าจ้าวที่ผมรู้จักมาเกือบสิบปีจะทำอะไรที่ไม่ดี ผมชอบน้องและพยายามปกป้องมาตลอดแต่ผมก็ทำได้ไม่ดีพอจนเกือบจะสูญเสียน้องไปหลายครั้ง”
   
กล่าวถึงตรงนี้ก็รู้สึกแย่จนต้องหายใจลึกๆ หลายครั้ง
   
เขาอยากช่วยจ้าวมาตลอดแต่ก็ทำไม่ได้ เขาถูกโล่ตรวนที่ขึ้นชื่อตระกูลกิลลาสล่ามเอาไว้จนไม่อาจขยับตัวทำตามใจได้ ทำได้เพียงเฝ้ามองจ้าวอยู่ห่างๆ และช่วยเหลือเท่าที่ทำได้เท่านั้น
   
“แต่ตอนนี้ผมมั่นใจว่าผมสามารถปกป้องจ้าวได้”
   
เหมันต์ดึงจ้าวออกจากตัวอย่างเบามือเพื่อให้เห็นแววตาเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นของตนเอง
   
แต่น่าเสียดายที่แค่ไม่กี่วินาทีให้หลังจ้าวก็หลุดสะอื้น
   
ร่างโปร่งสะอื้นจนตัวโยนแม้ว่าจะไม่อยากร้องไห้ก็ตาม ความรู้สึกที่ห่างหายไปนานจนเกือบจะลืมกลับมาอีกครั้ง
   
“..ขอบคุณนะ พี่เหมันต์”
   
นัยน์ตาโศกคลอหน่วงด้วยน้ำตาขัดกับใบหน้าที่พยายามยิ้มให้เหมันต์จนตาหยี
   
“ขอบคุณที่รักผม”
   
สำหรับจ้าวแล้วสิ่งที่เหมันต์พูดนั้นมีความหมายกับตัวเองมาก คนอื่นอาจจะมองว่ามันเป็นคำพูดทั่วไปแต่สำหรับจ้าวมันคือการให้ความสำคัญอย่างหนึ่ง มันทำให้เขารู้สึกอุ่นๆ ในอกซึ่งมันก็เป็นความรู้สึกดีจนต้องร้องไห้ออกมา
   
“ฮึก พี่รู้ไหมว่าผมคิดว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ที่จะหายใจบนโลกนี้ด้วยซ้ำ มันไม่มีที่สำหรับผมหรอกบนโลกนี้น่ะ ผมอึดอัด ผมอยากตาย ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะอยู่ไปทำไมในเมื่อไม่มีที่ไหนต้องการผม”
   
จ้าวเผยความในใจตัวเองออกมาอย่างไม่ปิดบังผิดกับเมื่อก่อนที่มักจะยิ้มกลบเกลื่อนปัญหาของทุกอย่างของตนเอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจ้าวก็มักจะยิ้มรับและให้กำลังใจคนอื่นเสมอ ทั้งๆ ที่ตัวตนข้างในร้องไห้ไม่หยุดแต่ก็ไม่คิดจะเปิดเผยให้ใครรับรู้เพราะเชื่อว่าไม่มีใครสามารถช่วยเหลือตัวเองนอกจากตัวเราเอง
   
“แต่พอวันนั้นพี่ช่วยผม มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองยังมีค่าอยู่บนโลกนี้อยู่บ้าง ฮึก พี่ก็ทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อเหมือนกัน รู้ไหมว่าที่ผมไม่ยอมเป็นบ้าหรือตายไปก่อนก็เพราะกุหลาบของพี่”
   
ทั้งจ้าวทั้งเหมันต์ต่างล้วนเคยแตกสลายกันมาก่อน ย่อมเข้าใจถึงความเจ็บปวดนั้นดีว่ามันเจ็บปวดมากขนาดไหนกับการที่ต้องฝืนทำเป็นเข้มแข็งต่อหน้าคนอื่น มันเป็นเรื่องที่ยากแต่พวกเขาก็ต้องทำเพราะสถานะทางสังคมที่พวกเขาต้องรักษาเอาไว้ด้วยชีวิต

ซึ่งตอนนี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นแล้ว พวกเขามีคนที่สามารถแสดงตัวตนของตัวเองออกมาได้จริงๆ คนที่คอยดูแลเอาใจใส่กันและกัน คนที่เป็นแรงบันดาลใจให้อีกคนมีชีวิตต่อไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คนที่เข้าใจการกระทำทุกอย่างแม้ว่าการกระทำนั้นจะเข้าใจได้ยากมากก็ตาม

พวกเขาต่างเป็นส่วนประกอบของกันและกัน ไม่อาจขาดคนใดคนนึงได้ไม่เช่นนั้นคงจะแตกสลายไปทั้งคู่
   
เหมันต์กอดจ้าวแน่นลูบหัวน้องซึ่งจ้าวก็กอดร่างสูงกลับโดยไม่ขวยเขิน เกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ในอกมีเพียงความยินดีที่รับรู้ว่าตัวเองยังมีใครคอยเคียงข้าง
   
โดยที่ไม่รู้ตัวจ้าวก็ถูกสวมของบางอย่างเข้าที่คอก่อนที่เสียงเฮจะดังขึ้นมา
   
“…?”
   
จ้าวกระพริบตาปริบเมื่อผละออกมาและพบว่าตัวเองกำลังสวมสร้อยเงินที่ห้อยด้วยเขี้ยวของอะไรบางอย่างที่ดูเก่าแก่และสลักตัวอักษรสีทองคำว่ากิลลาสไว้บนเขี้ยวด้วย
   
“สร้อยประจำตระกูลพี่เอง”
   
เหมันต์ยิ้มไม่ขยายความมากกว่านั้นเพราะเพียงเท่านี้จ้าวก็สามารถรับรู้ได้ถึงความเก่าแก่ของสิ่งที่สวมอยู่ที่คอแล้ว
   
ตระกูลกิลลาสถึงแม้จะเพิ่งมารุ่งเรืองในไม่กี่รุ่นที่ผ่านมาแต่เชื้อสายเดิมนั้นกลับมีวัฒนธรรมอันเหนียวแน่น เขี้ยวหมาป่าที่ถูกทำเป็นสร้อยประจำตระกูลถูกส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น ถ้าหากให้นับจริงๆ เหมันต์ก็คงเป็นรุ่นที่เจ็ดพอดีนับจากนายศตคุณที่เพิ่งเสียชีวิตไป ซึ่งปกติแล้วสร้อยนี้จะถูกสวมเฉพาะผู้นำตระกูลในเวลานั้นเท่านั้นเพื่อแสดงอำนาจแต่เหมันต์ก็ไม่ได้ค่อยสวมมันนักเพราะมองว่ามันควรถูกเก็บรักษาไว้มากกว่าจะพกไว้กับตัว
   
“พี่อยากให้จ้าวดูแลมันแทนพี่”
   
จ้าวพยักหน้าหงึกหงักหน้าแดงก่ำเพราะเคยได้ยินมาว่าเขี้ยวหมาป่านี้จะถูกส่งต่อกับคนในตระกูลเท่านั้นต่อให้ในอนาคตใช้นามสกุลเดียวกันก็ตามที
   
“รู้ไหมทำไมพี่ถึงให้กุหลาบสีขาวจ้าวมาตลอด”
   
คนโดนถามส่ายหัวดิกอย่างประหม่า ใบหน้าเห่อร้อนด้วยความขวยเขินเมื่อสบกับนัยน์ตาสีเทาที่วาววับกว่าทุกวันซึ่งเมื่อรวมกับรูปลักษณ์ในวันนี้ก็ยิ่งทำให้จ้าวเหมือนถูกช่วงชิงลมหายใจทุกครั้งที่เผลอสบตา
   
วันนี้ต้องยอมรับว่าพี่เหมันต์ดูดีเอามากๆ สูทดำที่สวมอยู่ไม่ได้บดบังร่างกายสมบูรณ์แบบที่ซ่อนไว้ใต้เนื้อผ้าแต่อย่างใดเพราะจ้าวยังจดจำได้ดีถึงมัดกล้ามแข็งแกร่งที่วางตัวอย่างเหมาะเจาะอยู่บนหน้าท้อง จดจำได้ถึงกล้ามเนื้อที่พยุงตัวเขาไม่ให้ตกเมื่ออยู่ในท่าที่ล่อแหลม
   
แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือใบหน้าคมคายที่มีส่วนผสมระหว่างเอเชียและยุโรปอย่างลงตัว ผมสีดำที่ถูกเซ็ตมาอย่างดีทำให้เหมันต์ดูเด็กลงกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งๆ ที่อายุล่วงเลยไปที่เลขสามแล้วก็ตามที
   
นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างเมื่อเหมันต์ล้วงเอากุหลาบขาวจากในอกเสื้อออกมาให้
   
จ้าวรับมันมาถือด้วยมืออันสั่นเทา รู้สึกเหมือนจะร้องไห้อีกครั้งและคงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่จะร้องสำหรับวันนี้
   
กลิ่นหอมจางลอยแตะจมูก กลีบดอกสีขาวที่เรียงตัวกันอย่างสลับซับซ้อนดูสวยงามและน่าหลงใหล เรียวก้านที่ถูกตัดแต่งหนามและใบออกจนเหลือเพียงแค่ใบประดับอยู่ไม่กี่ใบแต่ก็ขับให้ดอกกุหลาบดอกนี้ดูสวยงามกว่าปกติ
   
ถึงแม้ว่ามันจะมีสภาพช้ำนิดหน่อยเพราะถูกทับก็ตามที
   
“จ้าวคือคนที่พี่ชื่นชมมาตลอด”
   
เหมันต์ยิ้มละมุนเมื่อนึกถึงความทรงจำเก่าๆ ที่มักจะส่งกุหลาบให้จ้าวทุกครั้งที่ขึ้นแสดงไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรืองานใหญ่เขาก็ไม่เคยพลาด ซึ่งบางครั้งเขาก็เอาไปให้ด้วยตัวเองแต่ส่วนใหญ่จะฝากลูกน้องไปให้ซะมากกว่า
   
“เป็นดาวบนท้องฟ้าที่แค่ได้เห็นก็ดีใจมากๆ แล้ว”
   
ถึงแม้จะมีสถานะเป็นอัลฟ่าเหมือนกันแต่เหมันต์กลับรู้สึกว่าตัวเองกับจ้าวนั้นราวกับอยู่คนละโลก จ้าวนั้นอยู่บนโลกของแสงสีและเสียงดนตรี ในขณะที่เขาอยู่ในสายธุรกิจทำงานตรากตรำไม่เว้นแต่ละวัน
   
“พี่อยากคุยกับจ้าวมาตลอดนะแต่พี่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรพอ” เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของจ้าวทำเอาเหมันต์หลุดหัวเราะ “เพราะจ้าวคือจ้าว คนที่เป็นดาวคอยเปล่งประกายบนท้องฟ้าให้คนอื่นได้ชื่นชมได้มีแรงบันดาลใจ แล้วพี่เป็นใครล่ะ พี่เป็นแค่อดีตรุ่นพี่ในโรงเรียน พี่ไม่กล้าเข้าไปคุยกับจ้าวหรอก จ้าวไม่รู้จักพี่ด้วยซ้ำ”
   
แน่นอนว่าสิ่งที่เหมันต์พูดนั้นเป็นความจริงทุกส่วน จ้าวในวัยมัธยมต้นวันๆ นอกจากดนตรีก็แทบจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ในหัวมีแต่ความใฝ่ฝันเต็มไปหมด
   
“สิ่งที่พี่พอจะทำได้ก็มีแค่ให้อะไรสักอย่างเหมือนที่แฟนคลับเขาชอบทำกัน” ใบหน้าคมคายของคนพูดติดจะเขินนิดๆ เมื่อต้องพูดถึงประเด็นที่ตัวเองเคยเป็นแฟนคลับตัวยงของจ้าวมาก่อน “สำหรับพี่ พี่เป็นคนทำพวกของเล็กๆ น้อยๆ ไม่ค่อยเก่ง พี่วาดรูปไม่เป็น พี่ร้องเพลงไม่ได้ พี่ทำอะไรไม่ได้เลย พี่เลยรู้สึกว่าพี่ควรจะซื้อดอกไม้ให้”
   
นัยน์ตาสีเทาสะท้อนภาพจ้าวในแววตา
   
สำหรับเหมันต์แล้วจ้าวไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด
   
“พี่เลือกกุหลาบสีขาวเพราะจ้าวเป็นคนบริสุทธิ์ เป็นความดีงามของโลกใบนี้ที่พี่รู้จัก พี่ไม่สนว่าจ้าวจะเคยเห็นกุหลาบของพี่ไหมหรือเอาไปทิ้งหรือเปล่า พี่ไม่สนเพราะพี่รู้ว่าจ้าวไม่ได้เป็นคนแบบนั้น ต่อให้คนทั้งโลกจะเกลียดจ้าวบอกว่าจ้าวเลวร้ายขนาดไหนพี่ก็ไม่เชื่อ ตราบใดที่พี่ยังมีลมหายใจอยู่พี่ก็จะอยู่ตรงนี้เสมอ”
   
“..พี่พูดขนาดนี้คงไม่เหลืออะไรให้ผมพูดแล้วมั้ง”
   
จ้าวหัวเราะเสียงแผ่วรู้สึกชอบกุหลาบสีขาวมากขึ้นไปอีก มือผอมแย่งไมค์จากเหมันต์มาถือและเดินเยื้องไปหน้าเวที แสงไฟสีอ่อนที่สาดมาที่ร่างชวนให้คิดถึงความหลัง เลือดนักร้องที่แห้งขอดมานานค่อยๆ ไหลเวียนและกลับมาร้อนระอุเมื่อจ้าวให้สัญญาณกับตุลย์ที่ถูกยืมตัวมาเล่นกีตาร์ให้
   
ซึ่งวันนี้ตุลย์ก็อยู่ในชุดที่สุภาพกว่าทุกวันแต่ก็ยังไม่วายปลดกระดุมคอเสื้อออกจนเผยให้เห็นอกสีแทนและรอยสักใหม่ที่เยื้องมาถึงลำคอ ใบหูประดับด้วยต่างหูสีดำและหมุดเหล็ก ใบหน้าคมดุที่ยังคงความน่ากลัวไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย นัยน์ตาสีดำที่ดุจกับนัยน์ตาเสือนั้นจดจ้องไปที่จ้าวอย่างนึกเสียดายเพราะมีช่วงหนึ่งที่เผลอใจให้จ้าวเหมือนกันแต่ก็เพราะรู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นไปได้ยาก จึงเลือกที่จะตัดใจตั้งแต่เนิ่นๆ
   
แต่ที่ตุลย์เผลอชอบก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกนักเพราะไม่ว่าใครที่เคยใกล้ชิดและรับรู้ตัวตนของจ้าวก็ล้วนแต่หลงใหลกันทั้งนั้น ราวกับแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟอย่างโง่เขลา พวกมันย่อมรู้ดีว่าแสงสว่างที่ตัวเองกำลังจะบินเข้าไปในร้อนจนไม่อาจดำรงชีวิตอยู่ได้แต่พวกมันก็ยังคงเลือกที่จะทำแบบเดิม ทำแบบโง่ๆ ที่หวังว่าจะถูกเห็นใจเข้าสักวัน
   
“..หึ”
   
ตุลย์แค่นเสียงใส่อย่างหงุดหงิดเมื่อโดนคนเป็นเจ้าบ่าวในงานนี้จ้องเขม็งเหมือนรู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ทั้งๆ ที่ความจริงไม่ควรจะเป็นต้องสนใจเขาด้วยซ้ำเพราะเขามันก็พ่ายแพ้และถูกกองไฟแผดเผาไปตั้งนานแล้ว
   
เขาในตอนนี้มันก็เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยววิญญาณของเจ้าแมงเม่าหน้าโง่ตัวนั้นเท่านั้นเอง
   
แม้ว่าในใจจะรู้สึกไม่พอใจมากแค่ไหนแต่ตุลย์ก็ยังทำหน้าที่ของตนเองได้ดี มือเริ่มเกากีตาร์และสร้างเสียงเพลงออกมาตามโน๊ตที่จ้าวแต่ง ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่เล่นแต่ตุลย์ก็ทำได้ดีราวกับมืออาชีพที่เล่นเพลงนี้ทุกวัน
   
สเน่ห์ของกีตาร์คือสามารถสร้างเสียงได้มากมายมหาศาลจากคอร์ดจำนวนหนึ่ง
   
ทำนองเศร้าหมองขัดกับสไตล์การเล่นของตุลย์ที่ดุดันจึงถูกบรรเลงออกมาอย่างง่ายดาย
   
ในช่วงที่ดนตรียังอยู่ในช่วงโซโล่จ้าวตัดสินใจพูดสั้นๆ เกี่ยวกับแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้ที่แตกต่างจากเพลงอื่นๆ นัยน์ตาโศกกวาดตามองเหล่าผู้มาเป็นสักขีพยานด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะมาหยุดที่ร่างสูง
   
“ผมไม่เคยแต่งเพลงให้ใครมาก่อน”
   
จ้าวหลับตาลงหลบซ่อนตัวเองจากภายนอกเพื่อที่จะเข้าถึงอารมณ์ของบทเพลงให้ได้มากที่สุด
   
“พี่เหมันต์เป็นคนแรกที่ผมแต่งให้ครับ”
   
เมื่อเสียงกีตาร์เบาลงจ้าวก็เปล่งเสียงร้องออกมา น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลยังคงมีสเน่ห์ชวนให้หลงใหลอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ทุกท่วงท่าการขยับตัว ริมฝีปาก หรือแม้แต่เสียงหายใจที่หลุดให้ได้ยินเบาๆ ก็ยังทำให้คนฟังรู้สึกพอใจ
   
ไม่ว่าใครก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจ้าวคือนักร้องที่มากด้วยพรสวรรค์ หากเรื่องทุกอย่างไม่เกิดก็ยังคงสามารถเปล่งประกายเป็นดาวบนท้องฟ้าให้ทุกคนได้ชื่นชม
   
จ้าวกระชับมือที่จับไมค์แน่นและแค่นเสียงออกมา
   
“โลกของฉันมันล่มสลายไปตั้งนานแล้ว.. ทุกอย่างกลายเป็นสีดำ”
   
ภาพที่ตัวเองถูกทอดทิ้งไว้ในคุกยังคงชัดเจนในความทรงจำของจ้าว มันเจ็บปวดที่ไม่มีแสงสว่างใดเลยที่จะส่องถึงเขา ไม่มีใครเลยที่สามารถช่วยตัวเขาได้
   
“ที่ตรงนั้นไม่มีใคร.. ไม่มีเธอ ไม่มีฉัน มีเพียงความทรมานแสนสาหัสที่ฉันต้องรับรู้ทุกครั้งเมื่อลืมตาตื่น”
   
โดยที่ไม่รู้ตัวจ้าวเผลอคู้ตัวกอดตัวเองแน่นอย่างน่าสงสาร ถึงแม้จะหลุดพ้นจากสถานะตอนนั้นมาตั้งนานแล้วแต่ก็ยังหวาดกลัวการที่ต้องฝันเห็นถึงมันในบางครั้งอยู่ดี
   
ความโดดเดี่ยวสิ้นหวังมันช่างน่ากลัว มันสามารถฆ่าคนได้นับพัน
   
“มีคนกล่าวว่าความตายนั้นมันแสนน่ากลัว.. แต่สิ่งที่ฉันกลัวมากกว่ากลับเป็นตอนที่รู้ว่าตัวเองต้องตื่นมาเจอกันความทุกข์ทรมานไปอีกวัน”
   
รอยแผลเป็นต่างๆ ตามข้อมือข้อเท้าลำคอและตามร่างกายคือหลักฐานชั้นดีที่แสดงให้เห็นถึงการพยายามพาตัวเองให้พ้นจากความทรมานของจ้าว
   
เสียงกีตาร์ที่ดังแผ่วคลอมาตลอดค่อยๆ กระชากขึ้นตามอารมณ์ของเพลงที่รุนแรงขึ้น
   

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
“ได้โปรดรับมีดของฉันแล้วแทงฉันให้ตายทีเถิด! ได้โปรดเพราะฉันทนความเจ็บปวดพวกนี้ไม่ไหวแล้ว.. ได้โปรดก่อนที่ฉันจะเจ็บปวดจนตาย”
   
จ้าวตัวสั่นสะท้านเมื่อร้องถึงตรงนี้ หัวใจในอกเจ็บปวดราวกับถูกมีดแทงย้ำๆ ไปที่อก เลือดที่สูบฉีดในตัวอาบร่างอย่างน่าสยดสยอง
   
“..มีเพียงความตายอันเป็นนิรันดร์เท่านั้นที่ปลดปล่อยฉันออกจากความเจ็บปวดได้ มีเพียงมันเท่านั้น..”
   
บรรยากาศภายในเงียบสงัดทุกคนจดจ้องไปที่จ้าวด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย เสียงโซโล่กีตาร์ดังคลอขับให้อากาศภายในห้องหม่นหมองมากขึ้นไปอีกราวกับไม่ใช่วันที่มีงานรื่นเริง
   
“ความสุขของฉันมันลดลงเรื่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ ทั้งที่ฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น ใครก็ได้ช่วยหยุดมันที ใครก็ได้เพราะฉันจะทนมันไม่ไหวแล้ว”
   
เสียงของจ้าวนั้นช่างเจ็บปวด แตกสลายและร้าวรานจนคนฟังบางคนเริ่มน้ำตารื้น แม้แต่ตุลย์ที่รู้เนื้อเพลงและเคยซ้อมกับจ้าวมาก่อนแล้วยังรู้สึกหน่วงในอกกับความทุกข์ทรมานที่จ้าวเคยเจอ เอาเข้าจริงเขาไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าตัวเองจะทนมันได้หรือเปล่าถ้าต้องเจอแบบสิ่งที่จ้าวต้องเจอ
   
ความเจ็บปวดที่รุนแรงจนสามารถทำให้คนบ้าคลั่ง
   
มันคงไม่ใช่ความเจ็บปวดธรรมดาๆ อย่างแน่นอน
   
“และเป็นคุณที่เข้ามา คุณแย่งมีดจากผมแล้วสวมกอดอย่างอบอุ่น”
   
จ้าวค่อยๆ ลืมตาและมองไปยังร่างสูงที่ถูกกล่าวถึงในบทเพลง
   
นัยน์ตาโศกคลอหน่วงด้วยน้ำตา นึกขอบคุณโชคชะตา ความบังเอิญ หรืออะไรก็ตามที่นำพาตัวเองมาเจอคนๆ นี้ ขอบคุณที่ทำให้เขาสามารถกลับมามีความสุขจริงๆ ได้อีกครั้ง
   
เขาจินตนาการไม่ออกสักนิดว่าถ้าไม่มีพี่เหมันต์เขาจะเป็นยังไงต่อไป
   
ดีไม่ดีเขาอาจจะตายตั้งแต่วันที่ถูกส่งไปเป็นสัตว์ทดลองก็ได้…
   
“คุณพร่ำบอกความดีงามในตัวผมที่ผมไม่เคยคิดจะเห็นค่ามัน”
   
ขอบคุณที่คอยประคับประคองและเชื่อใจเขามาตลอด
   
“คุณโอบกอดผม บอกรักผม ทำดีกับผม ทั้งๆ ที่จะปล่อยให้ผมตายไปเลยก็ได้”
   
จ้าวพยายามจะร้องต่อแม้ว่าเสียงจะพร่าขึ้นทุกที นัยน์ตาโศกสบกับดวงตาสีเทาที่ดูทรงสเน่ห์และเร่าร้อนกว่าทุกวันจนแทบจะหลอมละลาย ใบหน้าของจ้าวขึ้นสีแต่ก็ไม่คิดจะหลบสายตา
   
“ผมอยากจะขอบคุณที่โลกไม่ใจร้ายกับผม ขอบคุณแรงโน้มถ่วงที่เหวี่ยงพี่มาเจอผม ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ผมได้มาเจอพี่”
   
เสียงกีตาร์หยุดลงเมื่อมาถึงท่อนสุดท้าย
   
“ขอบคุณที่พี่รักผม”
   
ณ วินาทีนั้นราวกับเวลาหยุดเคลื่อนไหว

ทั้งจ้าวกับเหมันต์ต่างยิ้มกว้างออกมาพร้อมกัน

แววตาทั้งคู่เปี่ยมไปด้วยความสุข

บรรยากาศในห้องกลับมามีสีสันอีกครั้ง เหล่าสักขีพยานร้องเฮโดยมีเพื่อนสนิทของเหมันต์ที่ชูแก้วไวน์ขึ้นแล้วร้องว่าไชโยๆ ไม่หยุดเพื่อเป็นเกียรติ์ให้กับคู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามัน

จ้าวและเหมันต์กล่าวขอบคุณเหล่าผู้ร่วมงานไม่กี่คำก็ขอตัวซึ่งก็ไม่ได้มีใครทักท้วงกับความเรียบง่ายจนเกินไปของงานแต่งงาน ที่ดูเหมือนเป็นงานเลี้ยงธรรมดาๆ มากกว่างานแต่ง ไม่มีพิธีกร ไม่มีโฆษก ไม่มีวงดนตรี ไม่มีความหรูหราโอ่อาอะไรทั้งนั้นนอกจากความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นคู่บ่าวสาว

บริเวณด้านหลังซึ่งเป็นห้องสำหรับเตรียมตัว จ้าวกำลังยืนยิ้มให้กับร่างโปร่งที่นั่งอยู่บนรถเข็นถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะยังจดจำตนเองไม่ได้ก็ตาม

“…ขอบคุณที่พาจันทร์มานะ พี่ซัน”

จ้าวยิ้มให้กับอดีตนายแบบที่ผันตัวกลับไปเป็นแพทย์เต็มตัวเพื่อดูแลจันทร์ ใบหน้าของสุริยะยังคงดูดีเสมอแม้ว่าจะถูกละเลยไปบ้างเพราะต้องทุ่มเวลาแทบทั้งหมดของตัวเองให้กับจันทร์

“โอเคไหม จ้าว”

เหมันต์ลูบหัวจ้าวอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นท่าทีของจันทร์ที่วันนี้ดูไม่ค่อยมีปฏิกิริยาอะไรนัก นัยน์ตาโศกที่คล้ายกับคนรักของเขาดูล่องลอยไม่จับจ้องอะไรเลย

“ผมไม่เป็นไร”

จ้าวส่ายหัวดิกมองสุริยะที่ยังคงกอดอกมองคนไข้ในการดูแลตัวเองด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ช่อดอกไม้สีขาวที่เตรียมมายังอยู่บนตักจันทร์แต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจ ยังคงอยู่ในภวังก์และวังวนที่คนภายนอกไม่อาจเข้าใจได้

“จันทร์จะดีขึ้น”

สุริยะว่าอย่างนั้นทั้งๆ ที่ไม่มั่นใจสักนิดเพราะอาการของจันทร์ในช่วงนี้ไม่ค่อยเสถียรสักเท่าไหร่ ถึงแม้จะมีสัญญาณที่ดีในการกลับมาเป็นปกติแต่ก็เหมือนถูกเล่นตลกเพราะอาการไม่ปกติของจันทร์ก็เริ่มปรากฎเหมือนกัน

ยกตัวอย่างเช่นช่วงสองสามวันนี้ที่เซื่องซึมเป็นพิเศษ แทบไม่ตอบสนองอะไรเลย แม้แต่การกินข้าวก็ยังกินน้อยลงมากชวนให้คนดูแลอย่างสุริยะปวดใจแต่ก็ไม่ได้สิ้นหวัง

“สิ่งที่เราต้องทำคือรอเวลา..”

คำพูดนั้นพูดง่ายแต่เมื่อตีความกลับรู้สึกว่ามันยากเหลือเกินที่จะทำแบบนั้น การรออย่างไร้จุดหมายมันน่าเจ็บปวดพอๆ กับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังตายทั้งเป็นเพราะถูกพวกเขาฉุดรั้งลมหายใจเอาไว้อย่างเห็นแก่ตัว
   
“อือ ผมรอได้ พี่ซัน ผมเชื่อว่าจันทร์จะหาย” จ้าวพยายามยิ้มแล้วหยิบดอกไม้ออกจากตักของจันทร์ ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าคนซื้อคือสุริยะแต่ก็อดไม่ได้ที่จะขอบคุณจันทร์อยู่ดี “ขอบคุณที่มางานแต่งพี่นะ พี่ดีใจมากๆ เลยที่จันทร์มาแล้วยังเอาดอกไม้มาให้พี่ด้วย”
   
ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองทำใจได้แต่น้ำตากลับไหลโดยไม่รู้ตัว
   
จ้าวพยายามยิ้มแม้ว่าน้ำตาจะคลอเบ้า
   
ถ้าจันทร์ยังเป็นเหมือนเดิม เขาคงจะดีใจมากกว่านี้..
   
“!”
   
ฉับพลันจ้าวต้องเบิกตากว้างและสะดุ้งจนสุดตัวเมื่อจันทร์ที่ตกอยู่ในภวังก์ของตัวเองมาตลอด จดจ้องมาที่ตัวเองและยิ้มให้ นัยน์ตาโศกสะท้อนภาพของพี่ชายตัวเองที่ร้องไห้จนตัวโยน
   
“..ฮึก ขอบคุณที่มานะ จันทร์”
   
จ้าวกอดแขนเหมันต์ที่มาประคองตัวเองแน่น รู้สึกดีใจจนต้องร้องไห้ออกมา
   
สักวันจันทร์จะต้องหายแน่ๆ เขาเชื่ออย่างนั้น
   
“ไม่ต้องร้องไห้แล้ว”
   
เหมันต์เอ็ดเสียงดุเช็ดน้ำตาออกจากนัยน์ตาโศกอย่างเบามือก่อนที่จะโอบตัวจ้าวและบังคับให้เดินตามตัวเอง ซึ่งเหมันต์ก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยลาสุริยะตามมารยาทที่ควรมี
   
“..พี่รีบไปไหนเนี่ย ผมยังคุยกับน้องไม่เสร็จเลยนะ”
   
จ้าวพยายามตะเกียกตะกายออกโดยไม่ทราบชะตากรรมของตนเองสักนิดว่ากำลังจะโดนทำอะไร
   
“ลืมแล้วเหรอว่าพี่อยากได้อะไร”
   
“…” จ้าวกระพริบตาปริบคิดตามเมื่อนึกออกก็สะดุ้งและหน้าแดงเถือก “พี่ พี่จะทำจริงๆ เหรอ”
   
แน่นอนว่าจ้าวไม่มีวันลืมว่าพี่เหมันต์อยากได้อะไรจากตัวเองที่สุดตอนนี้
   
“เดี๋ยวคนจะหาว่าพี่แก่แล้วเชื้อไม่แรง”
   
“ไม่มีคนกล้าว่าพี่แน่ๆ ผมมั่นใจ”
   
จ้าวหน้าซีดเผือดกุมท้องตัวเองทันที เขาก็โดนจับกินไปหลายรอบแล้วแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักที
   
“พี่อยากได้แฝด”
   
ไม่ปล่อยให้จ้าวทักท้วงอะไรเหมันต์ก็จู่โจมจ้าวทันทีเมื่อพาเข้าห้องตัวเองได้ เพียงไม่นานคนที่บอกว่าลังเลที่จะทำกลับขึ้นควบอยู่บนตัวร่างสูง ทำให้ห้องทั้งห้องแทบจะหลอมละลายไปกับความเร่าร้อนของร่างทั้งสองที่อยู่ในห้อง
   
จ้าวหลุดครางเสียงแผ่วเมื่อโดนดูดบริเวณสะโพกที่มีไฝอยู่สามจุด เป็นบริเวณที่ทั้งลับและยากที่จะเห็นแต่ก็มีคนค้นพบและในไม่ถึงนาทีให้หลังก็จุกจนน้ำตารื้นก่อนที่จะผันแปรเป็นความสุขสม
   
“ตอบพี่ได้รึยังว่าอยากอะไร”
   
จ้าวซึ่งถูกบีบเค้นสะโพกอยู่ตอบอะไรแทบไม่ได้นอกจากเสียงคราง
   
“ฮื่อ จ้าวอยากได้ผู้ชาย”
   
สติสัมปะชัญญะที่หลุดลอยไปชั่วครู่ได้คายคำตอบที่ซุกซ่อนไว้ในใจออกมา
   
จังหวะเร่าร้อนในห้องหยุดไปครู่หนึ่งเมื่อเหมันต์ชะงักและหัวเราะกับใบหน้าแดงเถือกของจ้าว
   
“พี่จะพยายามครับ”
   
ยิ้มพรายก่อนที่จะปฏิบัติหน้าที่ต่ออย่างเคร่งครัดเพื่อที่ความต้องการของเขาทั้งคู่จะสำเร็จเสียที


=========

ตอนนี้ช้ามาก  :hao5: และข่าวดีคือตอนหน้าน่าจะเป็นตอนจบค่ะ 555

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาตลอดนะคะ ฮือออ  :call:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ท้องฝาแฝดเลยงานนี้

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
งื้อออออ กว่าจะผ่านมรสุมมาได้

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3

ออฟไลน์ tawanna

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
 o13 ในที่สุดก็ฟ้าเปิดเสียที่ ว่าแต่ตัวพ่อตายง่ายไปนะ น่าจะอยู่ทรมาณให้นานๆหน่อย

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
มีความสุข

ในชีวิตซะทีนะหนูจ้าว หนูจันทร์

หลุดจากหลุมดำของครอบครัวใจร้ายซะที

ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
รอท้องแฝดของน้องจ้าว :-[  :3123:

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
กรี้ด รอเบบี๋เลยค่ะ ต้องแฝดสมใจคุณพ่อคุณแม่นะคะ

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 39
   

เสียงดนตรีดังกระหึ่มในห้องโถงที่บรรจุผู้คนไว้นับพัน ทุกคนในที่นั้นล้วนจับจ้องไปยังจุดๆ เดียวและเปล่งเสียงร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง ผู้คนต่างพากันกระโดดเป็นจังหวะเดียวกันอย่างลืมตายเมื่อร่างที่อยู่บนเวทียังคงนำการกระโดดไม่หยุด เบสเสียงหนักแน่นเต้นแทบจะเป็นจังหวะเดียวกันกับหัวใจของผู้คนและมันก็คอยชักนำให้หัวใจเต้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
   
เหล่านักดนตรีที่อยู่บนเวทีก็ล้วนบ้าคลั่งไม่ต่างกัน ถึงแม้จะสวมชุดสบายๆ ดูเรียบร้อยแต่ก็ไม่อาจขัดขวางความมันส์ได้ มือเบสที่ถูกนำมาช่วยงานเหยียบบนลำโพงและโซโล่เสียงไม่หยุด ปล่อยให้เสียงดนตรีนำพาไปสู่การปลดปล่อยตัวตนและเข้าสู่โลกสมมุติที่ใครบางคนสร้างขึ้นมา
   
‘ใคร’ ที่สามารถกลับมาครองบัลลังก์ราชาแห่งเสียงเพลงอีกครั้ง!
   
การติดอยู่ในคุกแม้มันจะกัดกินตัวตนแต่เมื่อรอดออกมาได้ก็ควรจะดีใจกับชีวิตใหม่ของตัวเอง
   
หลังจากลังเลสองจิตสองใจในที่สุดจ้าวก็ทนสัญชาตญาณตัวเองไม่ไหว ตัดสินใจหวนคืนสู่วงการอีกครั้งโดยครั้งนี้ผันตัวเป็นเจ้าของค่ายเพลง จัดการทุกอย่างเองและเปลี่ยนตัวจากผู้รับโอกาสเป็นฝ่ายให้โอกาสคนอื่นด้วยการจัดงานประกวดต่างๆ ขึ้นมาเพื่อเฟ้นหานักร้องนักดนตรีที่มากความสามารถได้มาอยู่ในค่ายเพื่อพัฒนาฝีมือกันต่อไป
   
แม้แต่ตอนนี้เหล่านักดนตรีที่อยู่ร่วมเวทีก็ล้วนแล้วแต่เป็นเด็กในค่ายของจ้าวทั้งหมด มีหลากหลายเพศและหลากหลายอายุ บริเวณเวทีด้านข้างมีวงคอรัสซึ่งทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นโอเมก้าที่เคยทำงานขายเสียงเพลงพร้อมเรือนร่างมาก่อน ส่วนวงเครื่องสายที่ประกอบไวโอลีน วิโอลา เชลโล คนที่เล่นเป็นวงของขนมที่จ้าวเคยมีเรื่องกันมาก่อนนิดหน่อยก่อนที่จะมาทำงานร่วมกันและยังมีเครื่องดนตรีอีกหลายแบบที่จ้าวนำมาอยู่ในคอนเสิร์ตตัวเองด้วย
   
สิ่งที่จ้าวกำลังทำอยู่นั้นคือการสร้างดนตรีรูปแบบใหม่ๆ ขึ้นมา ฉีกความกลัวตอนที่ยังอยู่วงมูนไลท์ที่มักจะทำเพลงตามแนวกระแสนิยมและทำในสิ่งที่ตลาดเพลงส่วนใหญ่ต้องการ
   
ซึ่งแน่นอนว่าการลงทุนหรือการทำอะไรใหม่ๆ ย่อมมีความเสี่ยงแต่จ้าวก็สามารถทำได้สำเร็จ หลังจากที่ผันตัวมาเป็นศิลปินเดี่ยวได้สี่ห้าปีก็จัดคอนเสิร์ตใหญ่ขึ้นมาและผลลัพธ์ก็เกินกว่าที่จ้าวคาดการณ์ไว้มาก
   
บัตรทุกรอบทุกที่นั่งโซล์เอาท์ทั้งหมด!
   
ทันทีที่รู้ข่าวใจจ้าวดีใจแทบคลั่งก่อนที่จะเปลี่ยนความดีใจมาผลักดันในการทำให้การแสดงทุกรอบให้ดีที่สุด เหล่าแฟนคลับที่เคยทอดทิ้งจ้าวเริ่มกลับมาหาจ้าวอีกครั้งและแน่นอนว่าการกลับมาครั้งที่สองที่ยิ่งใหญ่กว่าครั้งแรกที่ให้จ้าวดังกว่าเดิมมากๆ จนมีฐานแฟนคลับในต่างประเทศด้วย
   
“สุดท้ายนี้ผมขอให้ทุกคนหลับตาครับ”
   
ไฟในฮอลล์ทั้งหมดดับลงเหลือเพียงไฟดวงเดียวที่ฉายไปยังจ้าวซึ่งอยู่ในชุดสีสันสดใสเข้ากันดีกับผมที่ถูกย้อมเป็นสีเทา ใบหน้าของจ้าวเมื่อถูกแสงไฟนั้นก่อให้เสน่ห์อย่างน่าประหลาดสำหรับผู้คนบางคนที่แอบมองจ้าวไม่ยอมทำตามคำขอ
   
“ผมขอบคุณทุกคนมากๆ นะครับ ที่ให้การสนับสนุนผมมาตลอด”
   
นัยน์ตาโศกเปล่งประกายระยับอย่างมีความสุขเมื่อพูดถึงท่อนนี้ ถึงแม้จะกล่าวขอบคุณไปหลายครั้งแล้วแต่ก็อยากขอบคุณอีกอยู่ดี การที่ความฝันในวัยเยาว์ได้ถูกเติมเต็มมันเป็นความรู้สึกที่ดีจนยากที่จะอธิบายได้
   
“ความฝันของผมตอนเด็กๆ ก็แค่อยากร้องเพลงที่ตัวเองชอบ ไม่น่าเชื่อเลยว่าการทำสิ่งที่ผมชอบจะทำให้ผมมีวันนี้ได้ ผมขอขอบคุณทุกคนจริงๆ ครับ”
               
จ้าวระบายยิ้มออกมาหากแต่เป็นรอยยิ้มที่เศร้าจนคนมองทนไม่ได้
   
“แต่คนที่ผมอยากขอบคุณที่สุดคือเฮียสามครับ”
   
เพราะนี่เป็นคอนเสิร์ตปิดท้ายจ้าวจึงตัดสินใจพูดในสิ่งที่ตัวเองซุกซ่อนไว้ในใจออกมา แน่นอนว่ามันเป็นการผิดคิวอย่างแน่นอน เหล่าแบ็คสเตจจึงเริ่มตื่นตัวกันเตรียมรับคำสั่งจากจ้าวหากจ้าวต้องการอะไรเพิ่มนอกจากแสงไฟเพียงดวงเดียว
   
“ตอนนั้นผมชนะการประกวดก็จริงแต่ผมก็ทำอะไรไม่เป็นเลย คนแรกที่เข้ามาช่วยสอนงานให้ผมก็คือเฮียสามครับ เฮียสอนผมแต่งเพลง สอนผมฟอร์มวง สอนผมทุกอย่างๆ ที่ผมไม่เคยทำมาก่อนและไม่คิดว่าผมจะทำได้ด้วย เฮียเชื่อมั่นในตัวผมจนทำให้ผมสามารถมีวันนี้ได้ ผมต้องขอบคุณเฮียจริงๆ ครับ”
   
ถึงแม้จะยังสามารถพูดได้ปกติแต่จ้าวก็สัมผัสได้ถึงความอึดอัดที่จุกอยู่ในลำคอ
   
ความสำเร็จทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นมาได้เลยถ้าไม่มีเฮียสาม.. แต่ตอนนี้เฮียสามกลับไม่อยู่แล้ว เฮียสามได้ล่วงหน้าไปยังที่ไกลแสนไกล ที่ๆ คนทั่วไปไม่สามารถจินตนาการถึงได้
   
ที่ๆ จ้าวเคยอยากไปแต่ก็ไม่ได้ไป
   
“ฉะนั้นเพลงที่ผมกำลังจะร้องนี้ ผมขอมอบให้เฮียสามครับ”
   
กล่าวจบจ้าวก็เลือกที่จะหลับตาบ้าง
   
ปลดปล่อยห้วงอารมณ์ให้ตกอยู่ในภวังก์แห่งโลกสมมุติ
   
โลกที่ทุกๆ คนที่เขารักยังคงดำรงอยู่
   
จ้าวใช้สองมือรวบไมค์และใช้ฐานไมค์ประคับประคองจิตวิญญาณที่เคยแหลกสลายของตนเองไม่ให้เผลอหลุดหายไปไหนเสียก่อน
   
“..ผมตกอยู่ในห้วงฝัน”
   
เพียงคำแรกที่เปล่งออกมาก็จับใจคนฟัง ถึงแม้จะไม่มีทำนองเพลงประกอบแต่จ้าวก็ยังสามารถถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างดีเยี่ยม
   
ความเจ็บปวดคราแรกตราตรึงในจิตวิญญาณของคนฟัง มันทำให้ทุกคนหวนนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเคยรัก สิ่งที่เคยดำรงอยู่ตรงนั้นมาตลอดแต่ก็ไม่เคยคิดจะใส่ใจอย่างจริงจัง
   
“ในฝันของผมมีแต่สิ่งที่ไม่เป็นจริง ที่ตรงนั้นมีผม ผมที่อยู่ในโลกประหลาด โลกที่มีแต่อดีตอันแสนหวานที่ไม่มีวันเป็นจริง”
จ้าวพยายามควบคุมลมหายใจของตัวเองให้ไม่สั่นพร่า

“ผมหลงทางอยู่ในนั้น หลงระเริงไปกับสิ่งสวยงาม.. แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นเรื่องโกหก”
   
โลกที่จ้าวกำลังกล่าวถึงนั้นคือชีวิตจ้าวในช่วงห้าปีก่อนที่เรื่องเลวร้ายทั้งหมดจะเกิดขึ้น ตอนที่ทุกคนยังให้ความรักของเขาอย่างเต็มที่ ตอนที่ทุกคนที่เขารักยังอยู่ ตอนที่เฮียสามพาเขาไปกินข้าว ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่มื้ออาหารธรรมดาๆ แต่สำหรับจ้าวแล้วมันมีค่าเอามากๆ

“ผมหัวเราะไปกับมัน.. ร้องไห้ไปกับมัน เชื่อในสิ่งที่ฝันแม้ความจริงจะตอกย้ำผมทุกวินาที”
   
เพราะความจริงนั้นเจ็บปวดเกินไปจ้าวจึงเลือกที่จะจมไปกับห้วงฝัน หลอกตัวเองว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิมเพื่อให้รู้สึกมีความสุขมากขึ้นสักนิดก็ยังดี
               
จ้าวสูดหายใจลึกรับรู้ถึงความเค็มปร่าจากน้ำตาของตัวเอง
   
“ทั้งๆ ที่รู้ ผมก็ยังเต็มใจที่จะจม จมลงไปห้วงภวังก์สมมุติที่ไม่มีวันเป็นจริง”
             
ในขณะที่หลับตาจ้าวเห็นตัวเองอยู่ในอ่างอาบน้ำ กำลังทอดตัวนอนอยู่ในอ่างโดยที่ระดับน้ำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และอีกไม่นานก็จะท่วมถึงใบหน้าที่หลับตานอนอย่างผ่อนคลาย
               
“ชีวิตของผมมันจบไปนานแล้ว แต่ตอนนี้ผมมีความสุข ต่อให้ผมตายก็คงไม่มีใครสนใจ”
               
น้ำจำนวนหนึ่งเริ่มไหลเข้าไปในหลอดลมแทนอากาศแต่ร่างผอมก็ไม่คิดจะเงยหน้าให้พ้นน้ำ ยินยอมต่อมัจจุราชที่จะมารับดีกว่าต้องทนอยู่ในโลกที่แสนเจ็บปวด
             
“แต่ในชั่วขณะที่ผมกำลังจะตาย เขาคนนั้นกลับไม่ยินยอม”
             
มือแข็งแกร่งที่แสนคุ้นเคยกระชากเขาออกจากห้วงน้ำ ใบหน้าคมคายที่ถูกขนานนามว่าดุเหมือนหมาร็อตไวเลอร์ตะคอกใส่เขาเสียงดังลั่น
             
ทั้งๆ ที่กำลังถูกด่าจ้าวกลับหัวเราะออกมา
             
“เขาด่าผม หาว่าผมมันโง่เง่า ชีวิตมันมีมีค่ามากกว่ามานั่งเศร้า”
             
คำร้องที่ถูกร้องออกมานั้นล้วนเป็นคำด่าทอที่เกิดขึ้นจริงๆ ตอนที่เฮียสามรู้ว่าจ้าวพยายามฆ่าตัวตายในคุก เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่รู้ข่าวเฮียสามก็มาเยี่ยมจ้าวและยอมจ่ายเงินสินบนจำนวนมากเพื่อที่จะเข้าไปด่าทอเรียกสติน้องรักของตัวเองถึงในห้องขัง
             
ทั้งๆ ที่เขานั้นสิ้นหวังในตัวเองนานแล้วแต่เฮียสามกลับไม่เลิกหวัง พยายามให้กำลังใจเขาให้เขาได้มีชีวิตต่อ เฮียเคยพูดไว้มากมายว่าจะพาเขาไปทำนู่นนี่นั่นหลังจากออกจากคุก
   
แต่เฮียกลับผิดสัญญา..
   
นัยน์ตาโศกคลอด้วยหยาดน้ำตานับไม่ถ้วนแต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้ไร้ประกายอย่างที่ควรเป็น ถึงแม้ว่ามันจะเจ็บปวดเจียนตายจนไม่อยากอยู่มาหลายครั้งแต่เขาก็ผ่านมันมาได้
   
หมอกขมุกขมัวในภวังก์อันสิ้นหวังของจ้าวค่อยๆ จางลง

แววตาของจ้าวเปล่งประกายขึ้นเรื่อยๆ ยามที่เอื้อนเอ่ยคำร้องแต่ละคำ เหล่าผู้คนเริ่มฝ่าฝืนคำสั่งของจ้าวเมื่อเสียงของจ้าวนั้นน่าฟังและน่าหลงใหลเกินไป มันเป็นเสียงที่ช่วยปลุกให้คนที่สิ้นหวังในชีวิตได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

แม้ว่ามันอาจจะเป็นเพียงช่วงเวลาไม่กี่วินาทีก็ตามทีแต่นั่นก็นับเป็นเวลาที่มีมูลค่ามหาศาล
จ้าวรู้ดีถึงความเจ็บปวดที่ต้องทนอยู่อย่างสิ้นหวังและเดียวดายจึงอยากจะมอบบทเพลงของตัวเองให้คนอื่น หวังเพียงสักนิดว่า

มันจะสร้างแรงบันดาลใจหรือแรงจูงใจในการใช้ชีวิตได้บ้างไม่มากก็น้อย

เมื่อร้องจนจบก็เกิดเสียงปรบมือดังเกรียวกราวพักใหญ่ จ้าวหัวเราะก่อนที่จะให้สัญญาณให้แบ็คสเตจคืนไฟให้กับฮอลล์เพื่อให้ฮอลล์กลับมาสว่างไสวอีกครั้ง

พอเสียงปรบมือหยุดลงจ้าวก็พูดต่อด้วยรอยยิ้ม “ผมแต่งเพลงนี้ขึ้นมาให้เฮียสามก็จริงแต่ผมก็อยากให้มันเป็นเพลงของทุกๆ คนด้วยครับ ผมรู้ว่าทุกคนก็ต้องมีวันที่เหนื่อย วันที่อยากอยู่นิ่งๆ ไม่อยากทำอะไร วันที่ไม่มีใครเข้าใจ หรือแม้แต่วันที่ไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ผมเข้าใจเป็นอย่างดีเลยว่ามันเจ็บปวดมากเพราะผมก็เคยผ่านมันมาแล้ว”

จ้าวระบายยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อเห็นร่างสูงที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีกำลังขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจนักที่เห็นเขาร้องไห้

“แต่ก็เพราะผมรู้ว่ามันเจ็บปวดมากนั่นแหละ ผมเลยอยากจะเป็นกำลังใจให้ทุกคนครับว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลก เชื่อผมสิว่าโลกใบนี้มันไม่ได้ใจร้ายกับคุณเกินไปหรอก ผมเชื่อว่าสักวันโลกที่คุณมองว่ามันห่วยนักหนาจะเหวี่ยงคนที่ทำให้โลกของคุณเปลี่ยนไปมาให้ อาจจะไม่ใช่ในรูปแบบแฟนหรือเชิงชู้สาว แต่เชื่อผมสิว่าเรื่องร้ายๆ ที่พวกคุณเจอเดี๋ยวมันก็ผ่านไป มันอาจจะเป็นช่วงเวลาที่ยากหน่อยแต่แค่อึดใจเดียวมันก็จบลงแล้ว”

ถึงแม้ว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองกำลังพูดในสิ่งที่เป็นไปได้ยากในโลกความเป็นจริงแต่จ้าวก็ยังอยากพูดอยู่ดี เพราะมันก็คงจะดีกว่าการที่เขาอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรและปล่อยให้คนที่สิ้นหวังตายไปต่อหน้าจำนวนนับไม่ถ้วน

อย่าลืมว่าแม้ว่ามันจะเป็นเพียงความหวังเพียงเล็กน้อยแต่มันก็คือความหวังและมันก็มากเพียงพอให้คนที่โลกทั้งใบถล่มลงมาพยายามตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดต่อไปได้

มีทั้งเด็กทั้งคนวัยทำงานและคนอีกหลายวัยที่ได้ยินคำพูดของจ้าวรู้สึกดีขึ้นมานิดๆ ที่มีคนเข้าใจความทุกข์ทรมานของตัวเอง ความทุกข์ทรมานที่มีเพียงแต่ตัวเองที่เข้าใจและแอบหวังว่าจะมีใครสักคนสังเกตเห็นบ้าง

“แล้วอีกเรื่องที่ผมอยากจะพูดทิ้งท้ายคือเรื่องของความฝัน”

จ้าวกระชับไมค์แน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัวเมื่อเผลอนึกถึงนายแพทย์นพวิทย์ที่คัดค้านการเป็นนักร้องของเขาจนหัวชนฝาแต่เขาก็ยังดันทุรังไปประกวดร้องเพลงจนได้เป็นนักร้องสมใจและแน่นอนว่ามันก็แลกกับการเกลียดชังของนายแพทย์นพวิทย์ไปตลอดชีวิต
สำหรับจ้าวแล้วคงจะบอกได้ไม่แน่ชัดว่ามันคุ้มหรือไม่คุ้มเพราะความรู้สึกนั้นมีตีมูลค่าไม่ได้และถ้าให้เลือก เขาก็อยากจะเลือกในสิ่งที่ทุกฝ่ายมีความสุขมากกว่า

“ผมอยากจะบอกทุกๆ คนที่มีความฝันเลยว่าอย่าทิ้งความฝันของตัวเองนะครับ ถึงแม้ว่ามันอาจจะดูเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่เกินตัวเราแต่มันก็คือเป็นความฝันของเรา ถ้าเราทำมันแล้วไม่มีใครเดือดร้อนก็ทำมันเถอะครับ ทำไปเลย มันอาจจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ได้ ขอแค่เรามีความสุขกับมันก็พอแล้ว—“

จ้าวยังพูดไม่ทันจบเสียงปรบมือก็ดังเกรียวกราวจนสนั่นฮอลล์

เพราะไม่ว่าใครก็รู้กันทั้งนั้นว่าจ้าวนั้นได้ผ่านช่วงเวลาที่ยากเอามากๆ กับการล่าฝันหรือการเป็นนักร้อง ช่วงเวลาห้าปีที่แสนทุกข์ทรมาน มีหลายคนในฮอลล์ที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำลายความฝันของจ้าวจนย่อยยับ จงใจเหยียบย่ำและหวังว่าจ้าวจะไม่มีวันเงยหน้าขึ้นมาได้อีกแต่จ้าวก็สามารถทำได้อย่างน่าประหลาดใจ และเมื่อความจริงถูกเปิดเผยพวกเขาก็รู้สึกละอายใจจนต้องมาสนับสนุนความฝันจ้าวใหม่เพื่อชดเชยความผิดในใจของตัวเอง

ซึ่งสำหรับจ้าวแล้วมันก็ไม่ได้มีผลอะไรสักนิดเพราะจ้าวนั้นได้พบกับสิ่งที่มีค่ากับตัวเองมากที่สุดแล้ว

“ขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนผมมาตลอด ขอบคุณจริงๆ ครับ แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้าครับ”

สุดท้ายจ้าวก็ตัดสินใจไหว้ขอบคุณเหล่าผู้ชมอีกรอบและกล่าวลาสั้นๆ ก่อนที่จะเดินออกมา ร่างผอมที่กลับคืนสู่บัลลังก์อีกครั้งเอ่ยขอบคุณเหล่าทีมงานที่มาช่วยงานระหว่างที่เดินไปห้องส่วนตัว มอบรอยยิ้มให้กับทุกคนที่เห็นอยู่ในสายตาแม้ว่าจะหอบจนตัวโยนจากการขึ้นร้องเพลงหลายชั่วโมงก็ตาม

นัยน์ตาโศกยังคลอด้วยน้ำตาและยังคงรู้สึกแปลกใจกับความพลิกผันของชีวิตตัวเองที่ถ้าเทียบเป็นกราฟคงจะพุ่งสุดและดิ่งสุดไม่มีความสมดุลเลยสักนิด ซึ่งถ้าให้เลือกเขาก็ขอเลือกชีวิตที่เรียบง่ายธรรมดาๆ ดีกว่า แบบนั้นมันออกจะดุดันเกินไปหน่อยราวกับถูกคนบนฟ้ากลั่นแกล้งยังไงยังงั้น

คิดเรื่อยเปื่อยได้ไม่นานก็ถึงห้องพักชั่วคราวและเมื่อเปิดเข้าไปก็โดนมุ่งร้ายทันที

“ปีศาจปลาหมึกมาแล้วโจมตี! ”

กองกำลังลับที่ตั้งขึ้นมากันเองสองคนตะโกนลั่นพร้อมกันแล้วกระโดดเกาะขาเป้าหมายคนละข้าง ถึงแม้จะอยู่ในชุดนอกเครื่องแบบแต่ก็ยังสามารถอินกับการเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ได้

“โอ๊ย ยอมแล้วๆ ”

จ้าวหัวเราะพยายามเดินไปนั่งที่โซฟาที่มีเด็กชายอีกคนกำลังนั่งยิ้มจนตาหยีให้ เมื่อพาตัวมานั่งบนโซฟาได้จ้าวก็ทิ้งตัวใส่พนักพิงหมดมาดราชานักร้องที่กลับมาครองบัลลังก์เหลือเพียงสภาพผู้ปกครองที่มีสภาพยับยู่ยี่หลังจากโดนเหล่าลูกๆ ซนใส่ทั้งวัน

“ถามจริงเถอะ ทำไมต้องให้แม่เป็นปีศาจปลาหมึกด้วย”

จ้าวลูบหัวเจ้าตัวยุ่งทั้งสองที่เพิ่งอายุสามขวบได้หมาดๆ และกำลังบ้าพลังสุดๆ เล่นตั้งแต่เช้ายันเย็นกันยังไม่เหนื่อย ผิดกับคนโตที่มีนิสัยค่อนข้างเรียบร้อย ซึ่งเจ้าตัวยุ่งก็แย่งกันนั่งตักเขาเหมือนว่ามันมีดีนักหนา

“ก็แม่ใจร้ายไม่ยอมให้เมฆกับหมอกไปร้องเพลงด้วยนี่นา! ” เจ้าตัวเล็กที่มีใบหน้าพิมพ์เดียวกับเหมันต์แต่นิสัยผิดกันลิบลับร้องแว้ก

“ใช่ๆ พี่น่านบ่นคิดถึงแม่ทุกวันเลย แม่ไม่ยอมกลับบ้าน! ” หมอกที่เห็นแฝดตัวเองโวยวายแล้วเลือกที่จะโวยวายบ้างเพราะทั้งเมฆและพี่น่านติดแม่เอามากๆ แค่สองสามวันที่ไม่เจอกันก็เหมือนไม่ได้เจอกันมาทั้งปี

“จริงเหรอ น่าน”

จ้าวมองลูกชายคนโตที่แทบจะทุกคนบอกว่าหน้าคล้ายกับตัวเองโดยเฉพาะกับนัยน์ตาโศกที่ติดจะดูเศร้าๆ ตลอดเวลาหากแต่มันกลับเป็นสีเทาสุกสว่างน่ามองแทน

“..ครับ”

น่านพยักหน้ารับพูดเสียงเบาขยับเข้าไปกอดแม่ตัวเองบ้างเมื่อเจ้าแฝดยอมสละที่ให้ ถึงแม้จะโตกว่าเจ้าแฝดสองปีแต่น่านก็ยังเป็นเด็กและยังติดจ้าวเอามากๆ ด้วย

จ้าวลูบทุยๆ ของน่านอย่างเอ็นดู รู้สึกมีความสุขมาก ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำอะไร รู้สึกมีความสุขยิ่งกว่าการได้ยืนอยู่บนเวที การได้รับรางวัล หรือแม้แต่การถูกขนานนามว่าเป็นราชาแห่งเสียงเพลง

มันอาจจะเป็นแค่เรื่องธรรมดาทั่วไปแต่จ้าวกลับมีความสุขเอามากๆ

ซึ่งจ้าวก็นึกขอบคุณทั้งตัวเองและเฮียสามที่ผลักดันให้เขาร้องเพลงต่อ ถึงแม้การตามล่าฝันอาจจะทำให้เขาเจอเรื่องยุ่งยากเจ็บปวดนับพันแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันก็ทำให้เขามีวันนี้เช่นกัน

“ขอบคุณนะครับ เฮีย”

จ้าวพูดเสียงเบากับตัวเองขณะที่หอมหน้าผากน่านที่นั่งนิ่งไม่ยอมลงจากตักจนเจ้าแฝดเริ่มโวยวายเพราะนั่งนานเกินไป ก่อนที่จ้าวจะตัดสินใจโอบทั้งสามคนไว้หลวมๆ เพื่อตัดปัญหาและวางคางบนไหล่น่านอย่างเหนื่อยอ่อน

นั่งสงบได้ไม่เท่าไหร่เจ้าแฝดก็ปีนลงจากตักจ้าวลงไปเล่นวิ่งไล่จับในห้องส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวโดยมีน่านที่ยังนั่งอยู่บนตักจ้าวปรามอยู่เป็นพักๆ

จ้าวมองความวุ่นวายตรงหน้าด้วยความรู้สึกอุ่นวาบในอก

น่าเสียดายนิดหน่อยที่เฮียอยู่ไม่ทันเห็นความสำเร็จและครอบครัวของเขา..

ในขณะที่เหม่อก็ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าใครบางคนมาถึงห้องแล้วและมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อถูกมือหนาเกลี่ยน้ำตาที่คลออยู่บริเวณเบ้าตาอย่างบรรจง

“…พี่”

จ้าวมองใบหน้าคมคายด้วยความคิดถึง ถึงแม้ว่าจะอายุเข้าเลขสี่แล้วแต่พี่เหมันต์ก็ยังไม่ละทิ้งความหล่อเหลาหนำซ้ำอายุที่มากขึ้นดูจะทำให้อะไรๆ ดิบเถื่อนมากขึ้นอีกด้วย

“กลับบ้านกัน”

เหมันต์พูดอย่างอ่อนโยนอย่างที่เป็นมาตลอด แม้ว่าจะไม่ค่อยสบอารมณ์นักที่จ้าวร้องไห้แต่ก็เข้าใจดีถึงสาเหตุจึงไม่ได้ว่าอะไรเพราะสิ่งที่จ้าวเจอนั้นเป็นอะไรที่เกินกว่าเขาจะควบคุมได้จริงๆ สิ่งที่เขาต้องทำก็คือคอยอยู่ข้างๆ และคอยให้กำลังใจจ้าวเท่านั้น

“ครับ” จ้าวรับคำแนบใบหน้ากับฝ่ามืออุ่นและหลับตา รู้สึกผ่อนคลายจนแทบจะหลับซะเดียวนั้น ความเหนื่อยล้าตลอดหลายวันนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นจริงๆ ซึ่งถ้าเป็นเมื่อตอนที่ยังมีแค่เขากับพี่เหมันต์ เขาคงจะไม่ลังเลปล่อยให้ตัวเองถูกอุ้มกลับบ้านแล้ว

ซึ่งเอาเข้าจริงตอนนี้เขาก็ยังกล้าทำอยู่แต่..

“พ่ออุ้มหน่อย อุ้มหมอกหน่อย”
   
“อุ้มเมฒด้วย อุ้มๆ ”
   
เหมันต์หัวเราะในลำคอเมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของจ้าวเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายตอนนี้คงจะเหนื่อยจนไม่อยากขยับตัว แค่สามารถประคองสติไม่ให้หลับขณะที่พูดนี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว ร่างสูงใหญ่คุกเข่าลงเพื่อที่จะช้อนตัวเด็กน้อยขึ้นและลุกขึ้นเพื่อที่จะพาลูกๆ กลับไปซนต่อที่บ้าน
   
“ไปครับ คุณแม่ ลุกได้แล้ว”
   
จ้าวครางฮื่อในลำคอเชิงประท้วงไม่ยอมขยับตัวซึ่งนั่งขี้เกียจได้ไม่นานเจ้าแฝดที่ถูกอุ้มก็โวยวายขึ้นมา
   
“แม่ วันนี้มีการ์ตูนนน เมฒจะดูการ์ตูน แงงง”
   
“อยากกินขนม แง”
   
“โอเคๆ ยอมแล้วครับ ยอมแล้ว”
   
จ้าวถอนหายใจเฮือกใหญ่ยอมลุกขึ้นตามแรงดึงน้อยๆ ของน่านที่ลุกไปยืนรอได้สักพักแล้ว มือบางกระชับมือเล็กๆ ของน่านและเดินตามพี่เหมันต์ไปด้วยสีหน้าง่วงงุน
   

“แม่ครับ..”
   
“มีอะไรเหรอ น่าน”
   
จ้าวซึ่งนั่งสะลึมสะลืออยู่เบาะหลังตอบน่านที่ปีนขึ้นมาเกาะเบาะเรียกตัวเองเสียงอ่อย เปลือกตาแทบจะปิดอยู่รอมร่อแต่ก็พยายามฝืนเพราะรู้ว่าการถูกเมินในวัยเด็กมันเจ็บยังไง จ้าวจึงพยายามไม่ทำสิ่งนั้นกับลูกๆ ของตัวเอง
   
“วันนี้คุณครูให้ผมวาดรูปอะไรก็ได้” ใบหน้าเล็กๆ น่ารักของน่านขึ้นสีอย่างขวยเขิน “ผมวาดรูปแม่ด้วย”
   
“ขอพ่อดูก่อนได้ไหม”
   
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขัดขึ้นมาทำให้น่านหน้ายู่จนเหมันต์ที่นั่งข้างๆ จ้าวหัวเราะออกมาเช่นเดียวกับจ้าวที่หัวเราะออกมาไม่ต่างกัน
   
สถานะในบ้านในสายตาลูกๆ ถ้าเทียบเป็นพีระมิดจ้าวนั้นอยู่จุดสูงสุดเลยทีเดียว เพราะความเข้มงวดกวดขันในบางเรื่องทำให้เด็กๆ ติดจ้าวมากกว่า
   
“ไม่ได้ ผมจะให้แม่ดูก่อน” น่านหยิบกระดาษที่ถูกพับไว้สองทบออกมายื่นให้จ้าว
   
“พี่น่าน พี่น่านวาดผมไหม”
   
“พี่ต้องวาดผมหล่อๆ นะ พี่น่าน”
   
แน่นอนว่าไม่มีงานไหนที่เจ้าแฝดจะพลาดขึ้นไปเกาะเบาะกันคนละข้าง ลุ้นเอามากๆ ว่าภาพที่พี่น่านวาดนั้นคืออะไรเพราะปกติแล้วพี่น่านจะชอบอ่านหนังสือเงียบๆ คนเดียว
   
“…”
   
จ้าวนั่งนิ่งทันทีที่เห็นรูปในกระดาษก่อนที่จะรับรู้ถึงความเค็มในลำคอ
   
มันเป็นภาพวาดจากสีเทียนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้สวยเลิศเลอเหมือนสุดยอดศิลปินกลับชาติมาเกิดวาด แต่ด้วยความที่มันเป็นภาพธรรมดาๆ เนี่ยแหละ มันถึงทำให้จ้าวแทบจะร้องไห้ออกมา
   
“สวยมากเลย น่าน..”
   
ภาพที่น่านวาดนั้นคือภาพครอบครัวของเขา มีพี่เหมันต์ยืนอยู่ตรงกลางซึ่งถูกวาดด้วยสีฟ้าเข้มและข้างๆ กันนั้นเป็นตัวเขาเองซึ่งถูกวาดด้วยสีชมพูและมีหัวใจรอบๆ หลายอัน ส่วนบริเวณที่เยื้องมาจากด้านบนนั้นเป็นน่านที่ยืนยิ้มอยู่ตรงกลางและสองฝั่งเป็นเจ้าแฝดในชุดยอดมนุษย์ที่กำลังติดกันงอมแงม
   
“ผมให้แม่นะ ถ้าแม่ชอบ” น่านยิ้มจนตาหยีเมื่อถูกชม
   
“..ขอบคุณนะ”
   
จ้าวพึมพำตอบรู้สึกดีใจเอามากๆ ราวกับส่วนที่ขาดหายในตัวได้ถูกเติมเต็ม
   
เพราะเขาก็เคยวาดรูปครอบครัวเหมือนกัน.. ในภาพนั้นมีเขา มีจันทร์ มีจิน มีแม่และมีพ่อ ในภาพมีทุกๆ คนอยู่ในนั้นแต่เมื่อเขาเอาไปให้พ่อ พ่อกลับไม่ได้สนใจอะไรนักและไล่เขาให้ไปตั้งใจเรียนดีกว่ามานั่งวาดรูปไร้สาระ
   
นัยน์ตาโศกเริ่มสั่นระริก
   
“นั่งดีๆ พ่อเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าเวลารถวิ่งให้ทำยังไง”
   
เมื่อจ้าวทำท่าจะร้องไห้เหมันต์จึงเอ็ดลูกให้นั่งดีๆ ทันที แน่นอนว่าทั้งเจ้าแฝดและน่านส่งเสียงงอแงกันระงมแต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งเพราะรู้ดีว่าเวลาพ่อโกรธนั้นจะเป็นยังไง
   
เหมันต์ดึงหัวจ้าวให้มาซบไหล่ตัวเองและกระชับมือของจ้าวแน่น ถ่ายทอดความอบอุ่นให้กับร่างของจ้าวที่มักจะเย็นเฉียบ ซึ่งจ้าวก็หลับตาซุกหัวกับตัวอีกฝ่ายตามความเคยชิน
   
“เป็นอะไร”
   
เหมันต์ถามเสียงกระซิบและใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาของจ้าวออก
   
“ผมแค่ดีใจ”
   
จ้าวยิ้มออกมา
   
“…อืม”
   
เหมันต์ไม่ได้ถามอะไรต่อเพียงแค่จูบหน้าผากจ้าวก่อนที่จะบังคับให้นอนตักตัวเองเพื่อที่จะได้พักผ่อนจริงๆ สักที มือหนาพาดตัวจ้าวและจับมือไว้หลวมๆ
   
ผ่านไปพักใหญ่จนเหมันต์เผลอหลับไปแล้วแต่จ้าวก็ยังไม่หลับ นัยน์ตาโศกที่ซ่อนอยู่หลังเปลือกตายังคงสั่นระริกอย่างเสียใจแม้ว่าจะบอกเหมันต์ไปว่าดีใจก็ตาม
   
“..ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ เฮีย”
   
จ้าวพึมพำเสียงแผ่วแอบคาดหวังเล็กน้อยว่าคำพูดของตัวเองจะไปถึงคนที่อยากให้ได้ยิน

เขาขอบคุณที่เฮียเชื่อมั่นในตัวเขามาตลอดและทำให้เขาได้เจอสิ่งดีๆ เหล่านี้ สิ่งที่ดีจนไม่คิดว่าชีวิตนี้จะสามารถหาได้จากที่ไหนแล้ว

“ตอนนี้ผมมีความสุขมาก”
   
โดยที่ไม่รู้ตัวจ้าวเผลอยิ้มออกมา ทุกอย่างในชีวิตเขาตอนนี้ลงตัวมากทั้งในด้านความรัก ครอบครัว การงาน ตอนนี้แทบจะไม่มีอะไรที่สามารถทำร้ายเขาให้ร้องไห้อย่างเจ็บปวดได้แล้ว
   
“เฮียไม่ต้องห่วงผมแล้วนะ”
   
เพราะเขารู้ดีว่าถ้าตัวเองพลาดพลั้งหรือเจ็บปวดเมื่อไหร่ เขาก็มั่นใจได้ว่าข้างหลังตัวเองมีคุณเหมันต์คอยประคองแน่ๆ ผู้ชายที่อบอุ่นและดูแลเขามาตลอดโดยไม่ปริปากบ่นสักคำแม้ว่าเขาจะงี่เง่าแค่ไหนก็ตาม
   
อย่างตอนนั้นช่วงที่ท้องน่านอยู่แล้วเขาร้องไห้จะเป็นจะตายกับแค่พี่เหมันต์ปิดประตูเสียงดังจนเผลอตื่นขึ้นมา พี่เหมันต์ยังไม่โกรธเลยสักนิด ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นเขาโดนคงทนไม่ได้แล้วเพราะมันไร้สาระเกินกว่าจะมานั่งทะเลาะกันมาก
   
“ผมมีพี่เหมันต์ดูแลแทนเฮียแล้ว..”
   
ชั่วขณะหนึ่งจ้าวคล้ายกับถูกลูบหัวเบาๆ แต่มันก็เป็นเพียงเสี้ยววินาทีจนจ้าวคิดว่าตัวเองคิดไปเอง ด้วยความง่วงทำให้จ้าวเผลอหาวหวอดออกมาและเผลอหลับไปในที่สุด

ซึ่งถึงแม้จะเข้าห้วงฝันไปแล้วทั้งคู่แต่มือก็ยังกอบกุมกันแน่น

และจะไม่มีสิ่งใดมาพรากพวกเขาทั้งสองออกจากกันได้อีก


ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
   

แสงแดดอ่อนโลมเลียร่างโปร่งซึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางฝูงกระต่ายอย่างอ่อนโยน ใบหน้าแตะแต้มไปด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ยามที่เจ้ากระต่ายสีขาวในมือไถหัวกับอกอย่างออดอ้อน มือบางพยายามลูบหัวเจ้ากระต่ายแม้ว่าจะมีเรี่ยวแรงเพียงน้อยนิดและควบคุมได้ยากหากแต่มันก็ไม่สามารถทำให้นัยน์ตาโศกที่เปล่งประกายระยับหมองลงสักนิด
   
เสียงนกกระจอกที่มาเยี่ยมเยียนสวนในบ้านพักตากอากาศส่วนตัวของสุริยะดังเจื้อยแจ้ว มันกระโดดเข้าไปใกล้ร่างโปร่งเพื่อที่จะจิกกินเศษผลไม้ที่ถูกนำมาให้ฝูงกระต่ายกิน
   
หากแต่ความสงบสุขก็ดำเนินได้ไม่นานเมื่อคนที่เป็นเจ้าของไข้กลับมาเห็นแล้วตะโกนดังลั่น
   
“จันทร์! ”
   
สุริยะซึ่งมาพร้อมกับคุกกี้เพิ่งอบใหม่ๆ ร้องลั่นเพราะคนที่ควรจะนั่งอยู่บนรถเข็นกลับลงไปอยู่บนพื้นแถมยังถูกฝูงกระต่ายรุมล้อมเหมือนเป็นจ่าฝูงด้วย!
   
เร็วเท่าความคิดสุริยะวางถาดคุกกี้ไว้บนโต๊ะใกล้ๆ และรีบถลาเข้าไปหาจันทร์ทันที ในหัวมีเพียงความร้อนรนกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของจันทร์ที่ในระยะนี้ดูแปลกไปจนน่าเป็นห่วง นัยน์ตาโศกที่เคยล่องลอยในเวลานี้กลับแจ่มชัดราวกับซ่อนความคิดนับพันไว้ข้างใน
   
ฝูงกระต่ายที่รุมล้อมจันทร์วงแตกทันทีวิ่งกระเจิงไปคนละทางไม่เว้นแม้แต่ตัวที่นอนอยู่บนตักจันทร์ ทำเอานัยน์ตาโศกฉายแววความไม่สบอารมณ์ไปวูบหนึ่งเลยทีเดียว
   
“..จันทร์ เจ็บตรงไหนไหม คุณลงไปข้างล่างทำไม ถ้าอยากอุ้มกระต่ายก็บอกผมก็ได้นี่ เดี๋ยวผมทำให้” สุริยะรัวคำถามแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าจันทร์ตอบตัวเองไม่ได้แต่ก็ยังถามออกไปอยู่ดีตามความเคยชิน ในอกมีแต่ความเป็นห่วงและกังวลเต็มไปหมดเพราะตลอดหกปีนี้หมกมุ่นอยู่เพียงเรื่องเดียว
   
ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก ‘จันทร์ นฤภัทร’

คนที่สุริยะหลงรักจนยอมทิ้งอาชีพนายแบบเพื่อมาอยู่กับจันทร์ตลอดเวลา ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาใกล้ชิดกับจันทร์มากกว่าตัวเอง
   
เมื่อเห็นท่าทีนิ่งงันไม่ตอบรับอะไรของจันทร์ สุริยะก็ยิ่งใจฝ่อกระวนกระวายว่าจันทร์จะเป็นอะไรรึเปล่าเพราะช่วงล่างของจันทร์เพิ่งจะกลับมาขยับได้คล่องเมื่อไม่นานมานี้แต่แน่นอนว่ามันก็ไม่ได้ถึงขั้นสามารถเดินเหินปกติได้
   
ใบหน้าของสุริยะดุดันขึ้นโดยไม่รู้ตัวอีกทั้งยังเผลอกำแขนจันทร์แน่นขึ้นด้วย
   
“..จันทร์”
   
สุริยะครางในลำคอมองใบหน้าของจันทร์ที่มองตัวเองด้วยสีหน้านิ่งเฉยไร้อารมณ์ ดูเย็นชา เหยียดหยันและห่างเหินจนรู้สึกปวดใจแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยอมรับความจริงที่ว่าเปอร์เซ็นที่จันทร์จะกลับมาปกตินั้นน้อยมากซึ่งหลายครั้งมันก็ทำให้สุริยะรู้สึกท้อใจเพราะบางครั้งจันทร์ก็เหมือนจะจำเขาได้แต่ในวันถัดมาก็เหมือนเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน บางวันเขาอาจจะหน้าตาเหมือนอันธพาลจันทร์ถึงได้ร้องไห้ไม่หยุดตอนที่เห็นเขา
   
เขาเคยรักษาเคยผ่าตัดเคสยากๆ มามากในตอนที่ยังรับงานโรงพยาบาลแต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่ทำให้เขาเครียดจนอยากร้องไห้แบบนี้ ไม่มีเลยสักครั้งจริงๆ
   
ระยะเวลาหกปีอาจจะแสนสั้นในสายตาใครบางคนแต่สำหรับสุริยะนั้นมันแสนยาวนาน มันคือช่วงเวลาที่ต้องจมอยู่กับความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าทุกอย่างจะดีขึ้นโดยไม่มีอะไรเป็นหลักประกันเลยสักนิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริง
   
นัยน์ตาสีดำดุดันที่เคยมีคนกล่าวไว้ว่ามันร้อนแรงจนสามารถแผดเผาทุกคนที่เผลอจ้องมองมัน

หากแต่ในเวลานี้มันกลับมอดไหม้ตัวมันเองและคงจะดับสูญในไม่ช้าหากไม่มีใครหยุดมัน
   
เหล่ากระต่ายที่สุริยะซื้อมาเลี้ยงเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการบำบัดรักษาอาการป่วยของจันทร์คล้ายกับสัมผัสได้ถึงความเศร้าของเจ้าของ พวกมันพากันกระโดดโหยงเหยงกลับมาล้อมรอบทั้งสองคน เจ้ากระต่ายตัวเดิมที่เชื่องกับจันทร์เป็นพิเศษกระโดดขึ้นตักแสนอุ่นของร่างโปรงอีกครั้งเพื่อออดอ้อนขอความรัก ก่อนที่มันจะจ้องสุริยะตาแป๋วเมื่อเห็นหยดน้ำตาหยดลงใส่หัวเพื่อนๆ ของมัน
   
มือจนถึงตัวของสุริยะสั่นระริก เริ่มรู้สึกสิ้นหวังลงทุกชั่วขณะ
   
ดวงอาทิตย์แห่งจักรวาลกำลังจะมอดดับ ความร้อนที่มากเกินไปทำให้ไฮโดรเจนซึ่งเป็นเชื้อเพลิงไม่พอใช้จนอาจจะต้องถึงวาระสุดท้ายและในที่สุดมันก็อาจจะต้องหลุดอาจจากวงโคจรที่ประกอบไปด้วยโลกและดวงจันทร์ตลอดกาล
   
“..กับแค่ผมจำคุณไม่ได้ ถึงกับต้องร้องไห้เลยเหรอ คุณสุริยะ”
   
แต่น่าเสียดายที่ดวงจันทร์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลไม่ได้ใจร้ายนักเพราะมันโทรหาร้านแก๊ส ให้ส่งแก๊สไฮโดรเจนจำนวนมหาศาลไปยังดวงอาทิตย์เพื่อที่มันจะไม่มอดดับไปซะก่อน
   
จันทร์คลี่ยิ้มละมุนวางมือบนหัวสุริยะที่จ้องหน้าตัวเองอึ้งๆ เหมือนยังปรับสมองตามไม่ทัน
   
“ขอบคุณที่พยายามมาตลอดนะ”
   
นัยน์ตาโศกเปล่งประกายระยับเจือด้วยความสุขล้นจนคนมองสัมผัสได้
   
“พี่ซัน”

 
END

===========

จบแล้วววว  :z13: หลังจากสู้ฟัดกับเรื่องนี้มาอย่างยาวนาน ขอบคุณทุกๆ คนที่ติดตามนะคะ //แจกดอกไม้  :L2:

สำหรับตอนพิเศษใครอย่างอ่านอะไรก็เสนอได้นะคะ ว่าจะมาลงให้อ่านฟรีสองตอนอีกสามตอนอยู่ในเล่ม  :katai3:

ปล ใครมีอะไรขัดๆ แปลกๆ ในเรื่องท้วงติงได้นะคะ ยินดีน้อมรับกราบกรานเลยค่ะ

ปล2. คิดถึงทุกคนมากๆๆ เลย  :hao5: :hao5: คุณ lizzii เรายังไม่ตายนะคะ  :hao5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด