“อย่า อย่าทำผมเลย”
โอเมก้าคนนึงตะโกนดังลั่นเมื่อนอนขวางทางแล้วโดนอัลฟ่าที่มาจากหน่วยซีลเตะจนกระเด็นเพื่อเปิดพื้นที่ให้ทหารหน่วยซีลและกองทัพได้เข้ามาควบคุมสถานการณ์ เครื่องแบบสีดำมันขลับทั้งตัวนั้นทำจากวัสดุกันกระสุนชั้นดีอีกทั้งยังมีอาวุธที่ทันสมัยที่สุดในตอนนี้อีกด้วย การปลิดชีพใครสักคนจึงเป็นเรื่องที่ง่ายเอามากๆ สำหรับพวกเขาในตอนนี้
พวกเขาแทรกตัวและยืนล้อมกลุ่มนักมวลชน กระจายกำลังตามที่ต่างๆ เพื่อแสดงอำนาจของตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่แม้แต่จะสนใจว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำจะแทรกแซงประเทศอื่นอยู่หรือไม่ เพราะสำหรับพวกเขาอำนาจเงินตรามีค่าเหนือกว่าชีวิตโอเมก้าสวะไร้ค่าตัวนึงเป็นไหนๆ
เหล่ามวลชนต่างพากันขดตัวชิดกันตามสัญชาตญาณ พวกเขากอดกันแน่นแม้จะไม่รู้จักกันมาก่อนและร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด ในสถานการณ์แบบนี้ย่อมมีผลลัพธ์เดียวที่พวกเขารับรู้คือพวกเขาได้พ่ายแพ้ให้กับฝั่งรัฐบาลแล้ว ความฝันต่างๆ ที่เคยวาดฝันเอาไว้พังทลาย มีเพียงความเป็นจริงที่น่าเจ็บปวดที่ต้องยอมรับว่าพวกเขาต้องกลับไปเป็นทาสให้กับเหล่าเบต้าและอัลฟ่าอีกครั้งโดยไม่สามารถขัดขืนได้
ความสิ้นหวังค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาไม่เว้นแม้กระทั่งเหล่าผู้นำของกลุ่มอีกา แววตาของสมาชิกในกลุ่มนั้นล้วนสั่นระริกด้วยความเจ็บปวด ถึงแม้จะทำใจมาแล้วว่าหัวหน้ากลุ่มของตัวเองอาจจะตายก็ได้แต่ก็ไม่คิดว่าฝั่งรัฐบาลจะโหดร้ายขนาดนี้
พวกเขาไม่มีอาวุธสักอย่างไม่มีแม้แต่คัตเตอร์ด้วยซ้ำ..
ทั้งๆ ที่พวกเขาพยายามจะทำให้มันสันติที่สุดแต่ฝั่งรัฐบาลกลับใช้วิธีที่โหดร้ายและรุนแรงที่สุด ใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาที่แก้ไม่ตกด้วยการปลิดชีวิตคนที่คิดต่าง ทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนต้องยอมก้มหัวให้กับความไม่ยุติธรรมด้วยความรักตัวกลัวตาย
“ทำไม.. ถึงทำแบบนี้”
วุ้นซึ่งยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้และพยายามประคองสติตัวเองอย่างสุดความสามารถแม้ว่าร่างกายจะกลัวจนตัวสั่น หากแต่ภายในอกกำลังพังทลายด้วยความเศร้าโศก
“สิตเป็นคนดี ฮึก ทำไมต้องฆ่าเขาด้วย”
วุ้นไม่สามารถทำใจมองร่างของหัวหน้ากลุ่มตัวเองได้ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนคนตรงหน้าเขายังพูดปราศรัยด้วยท่าทีดีอกดีใจแต่เพียงไม่ถึงชั่ววินาทีให้หลังเขาก็ได้สูญเสียคนที่เป็นเสาหลักของกลุ่มไปตลอดกาล
มันเป็นแค่ช่วงวินาทีสั้นๆ แต่สามารถสร้างความเจ็บปวดได้อย่างมหาศาล
นัยน์ตาของวุ้นแดงก่ำ คนที่ห้ามเขาไม่ให้ฆ่าตัวตายก็คือสิตและยังเป็นคนชวนให้มาทำงานกับกลุ่มอีกาด้วย สิตทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองยังมีตัวตนอยู่บนโลกอันบิดเบี้ยวนี้อีกครั้ง ได้สัมผัสถึงคำว่าครอบครัวครั้งแรกในชีวิต
กลุ่มอีกาที่ทางรัฐบาลมองว่าเป็นกลุ่มกบฏชั่วร้ายบ้าสงครามแต่สำหรับวุ้นแล้ว มันคือครอบครัวที่อบอุ่น เป็นครอบครัวที่ยอมอ้าแขนรับเหล่าโอเมก้าไร้ที่ไปมาอยู่ด้วย ถึงแม้วิธีการในโต้กลับอาจจะดีบ้างแย่บ้างแต่วัตถุประสงค์หลักก็เพื่อให้ทุกคนได้บรรลุเป้าหมายสูงสุดของกลุ่ม
“พวกผมก็ขอแค่ในสิ่งที่มนุษย์ควรได้เท่านั้นเอง ฮึก” วุ้นสะอื้นจนตัวโยนยิ่งนึกถึงตอนที่ตัวเองเสียแขนไปข้างหนึ่งก็รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ได้ “พวกเราขอมากเกินไปเหรอครับ ฮึก รู้อะไรไหม ผมเสียแขนไปข้างหนึ่งกับการโดนพวกอัลฟ่าหักแขนเล่นเพราะพวกเขาบอกว่าแขนของผมเกะกะ”
“เสียใจด้วยที่ทางเราไม่รับฟังคำพูดของโอเมก้า”
นายแพทย์นพวิทย์พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาเจือเยาะเย้ย ไม่มีความรู้สึกผิดใดๆ ในอก มีเพียงความภาคภูมิใจที่สามารถกอบกู้สถานการณ์ของอัลฟ่าให้กลับมาได้
เอาเข้าจริงนพวิทย์ก็ขอบคุณวาทศิลป์ของตัวเองด้วยที่ดีพอจะสามารถกล่อมให้รัฐบาลสหรัฐยอมยื่นมือลงมาช่วยด้วยทฤษฏีโดมิโน เพราะถ้าหากประเทศไทยเข้าสู่ระบบความเท่าเทียมสำเร็จ เหล่าเบต้าโอเมก้าในสหรัฐหรือประเทศอื่นๆ ก็อาจจะได้แรงบันดาลใจแล้วลองทำดูบ้าง
แน่นอนว่าเหล่าอัลฟ่าที่ครอบครองชนชั้นปกครองมานานย่อมไม่อยากให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น ทหารและอาวุธที่นายแพทย์นพวิทย์ต้องการจึงส่งตรงมาจากอเมริกาในทันที
อำนาจทั้งหมดจึงตกอยู่ในมืออัลฟ่าอีกครั้งอย่างไม่ยากเย็น นพวิทย์ที่มองตนเองเป็นหัวหน้าฝ่ายรัฐบาลเดินเข้าไปหยิบกระดาษเอกสารที่ตัวเองเพิ่งเซ็นไปอย่างถือวิสาสะและชูมันขึ้นมาให้กล้องเห็น
“มันเป็นไปไม่ได้หรอก ที่โอเมก้าชั้นต่ำจะมาเทียบชั้นกับพวกเราได้”
ว่าจบก็ฉีกกระดาษออกเป็นชิ้นๆ ด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น นัยน์ตาโศกมองไปที่เหล่าโอเมก้าด้วยสายตาสมเพชแกมสะใจเมื่อเห็นความสิ้นหวังของกลุ่มกบฏ มีหลายคนที่พยายามจะประคองตัวเองขึ้นมาสู้แต่ก็ทำไม่ได้เพราะถูกกลิ่นฮอร์โมนอัลฟ่ากดทับเอาไว้
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงันและผิดหวัง
เสียงร่ำไห้ดังขึ้นเรื่อยๆ จากทุกข์สารทิศ ไม่ว่าจะบริเวณทำเนียบเอย เหล่าผู้คนที่ซ่อนตัวอยู่เอย พวกเขารับรู้ถึงชะตากรรมของตนเองแล้ว
พวกเขาพ่ายแพ้ พ่ายแพ้อีกแล้ว
พวกเขาต้องกลับไปเป็นเศษสวะอีกครั้ง…
ทันใดนั้นน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลก็ดังขึ้นมาท่ามกลางความสิ้นหวัง ราวกับเป็นแสงสว่างดวงเล็กๆ ในหลุมดำที่ไม่มีแสงสว่างใดกล้าพาดผ่านเพราะเกรงกลัวว่าจะถูกกลืนกิน
“ถึงเวลาพอแล้วหรือยัง? กับสงครามที่ไม่มีวันจบ”
ร่างผอมบางซึ่งไร้การปกปิดตัวตนใดๆ ยืนหยัดขึ้นมาท่ามกลางความสิ้นหวัง แม้ว่าจะทรมานจนหายใจลำบากแต่ก็พยายามร้องเพลงออกมา ทำในสิ่งที่ตนเองถนัดที่สุดในชีวิตเพื่อสร้างความหวัง
ความหวังที่อาจจะนำพาไปสู่ความเท่าเทียมที่จันทร์ฝันถึง
นัยน์ตาโศกเปล่งประกายฉายแววความมุ่งมั่นออกมา ร้องด้วยน้ำเสียงที่ดังมากกว่าเดิม แม้ว่าจะเป็นเพลงที่เพิ่งถูกแต่งขึ้นได้ไม่กี่วันแต่จ้าวก็สามารถร้องออกมาได้อย่างทรงพลังและคล่องแคล่วอย่างที่เป็นมาโดยตลอด
“เราต่างก็เป็นสิ่งสวยงามบนโลกใบนี้ เป็นสิ่งสวยงามล้ำค่าที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้”
จ้าวก้าวเข้าไปหานายแพทย์นพวิทย์ช้าๆ พร้อมกับร้องเพลงออกมา นัยน์ตาโศกสบกับเจ้าของนัยน์ตาที่มอบให้กับตนเองโดยไม่มีความเกรงกลัว มีเพียงความกล้าความอัดอั้นตัดใจที่อัดแน่นอยู่ในอกและระเบิดออกมาด้วยเสียงเพลง
เมื่อก่อนเขาอาจจะรู้สึกกลัวและเกรงใจพ่อของตนเองเอามากๆ หากแต่เมื่อมาถึงจุดหนึ่งก็ค้นพบว่ามันไม่ค่าใดๆ ที่จะรู้สึกแบบนั้นเพราะอีกฝ่ายไม่เคยคิดแม้แต่จะแยแสเราเลย
ขนาดจันทร์ตายยังไม่คิดจะเอ่ยถึงด้วยซ้ำ…
จ้าวคิดด้วยความขุ่นข้องในใจ รู้สึกเจ็บปวดที่ต้องมารับรู้อะไรแบบนี้ของครอบครัวตนเอง ครอบครัวของเขามันช่างบิดเบี้ยวเหลือเกินเมื่อมาขบคิดดูดีๆ
“นี่คือบทเพลงของเหล่าคนที่ไม่ต้องการตกลงเป็นทาสอีกครั้ง!”
จ้าวตวาดเสียงดังก้องเมื่อมาหยุดตรงหน้าร่างสูงที่เป็นพ่อแท้ๆ ของตัวเอง แม้ว่าร่างกายจะหนักอึ้งแต่สิ่งที่ผลักดันภายในนั้นรุนแรงจนยืนแทบไม่อยู่
“หากคุณกำลังเฝ้ารอโอกาสที่จะเป็นอิสระ จงร่วมโผบินไปกับเรา!”
“คิดจะทำอะไร”
น้ำเสียงราบเรียบที่เอ่ยถามไม่ได้ทำให้จ้าวสั่นคลอนหนำซ้ำยังร้องต่ออย่างหน้าตาเฉย
“อย่ากลัวที่จะต่อสู้ในเมื่อวันพรุ่งนี้ที่มาถึงจะสวยงามกว่าวันนี้!”
เสียงของจ้าวเริ่มปลุกความหวังเล็กๆ ให้กับกลุ่มกบฏ เหล่านักศึกษาที่ยังร้องไห้กอดกันกลมพยายามร้องตามจ้าวเมื่อจ้าวร้องเพลงที่ตัวเองแต่งซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุดราวกับกำลังปลุกระดมและสร้างความหวังให้กับพวกเขา
เพียงไม่นานมันก็กลายเป็นเสียงเพลงที่ถึงแม้จะไม่ได้ดังกึกก้องแต่ก็ยังดังซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด เมื่อมีคนหนึ่งหยุดร้องก็จะมีคนร้องต่อ พยายามประคับประคองบทเพลงที่เป็นความหวังสุดท้ายของกลุ่มให้คงอยู่
“ถ้ายังไม่หุบปาก ผมจะยิงหัวคุณ”
ไม่ว่าเปล่านพวิทย์หยิบปืนออกมาจากเอวขึ้นมาถือและเล็งไปที่จ้าว
“จินก็ตายแล้ว จันทร์ก็ตายแล้ว เหลือผมใช่ไหมที่ยังไม่ตาย”
ร่างผอมถามเสียงเรียบโดยไม่ลืมส่งสายตาให้คุณเหมันต์เชิงว่าตัวเองสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ไม่ต้องเป็นห่วง แต่ถึงอย่างนั้นเหมันต์ก็ไม่ไว้วางใจมายืนข้างๆ จ้าวและส่งสัญญาณให้ออสตินเตรียมพร้อมตลอดเวลา เพราะเขาไม่มีวันให้จ้าวตายหรือได้รับบาดเจ็บโดยเด็ดขาด
“พูดพล่อยๆ แกไม่ใช่ลูกฉันสักหน่อย” นพวิทย์พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “ฉันไม่มีลูกเป็นโอเมก้า! ”
จ้าวน้ำตารื้นโดยไม่รู้ตัว “พ่อก็รู้แล้วนี่ว่าผมไม่ได้ฆ่าพริม ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ผมไม่ใช่ฆาตกร! “
“ฉันไม่สนใจ แค่แกไปประกวดร้องเพลงแทนที่จะเรียนหมอฉันก็รับไม่ได้แล้ว! ”
“ถ้าเป็นแล้วต้องมาเป็นแบบพ่อ ผมก็ไม่เป็นหรอก!”
จ้าวพูดเสียงพร่า ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองไม่สนใจอีกฝ่ายแต่พอได้ยินกลับรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน ทำไมเขาถึงได้คาดหวังความรักจากคนๆ นี้นักนะ
“โอเมก้ามันมีอะไรดีนัก แกถึงไปสนใจมันอยู่ได้”
นพวิทย์มองจ้าวด้วยสายตารังเกียจ
“อยากโดนรุมโทรมตอนฮีทเหรอ ฉันว่าถ้าแกยอมไปโครงการที่ฉันส่งไปตั้งแต่แรกก็ได้ ที่นั่นมีอัลฟ่าเยอะแยะให้แกเลือกเลยล่ะ”
“พ่อไม่คิดมั้งเหรอว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันร้ายแรงขนาดไหน”
จ้าวโกรธจนตัวสั่นเมื่อโดนดูถูก ความทรงจำอันเลวร้ายในคุกยังคงตามหลอกหลอนเขาเสมอยามที่เขาอ่อนแอ ประสบการณ์เหล่านั้นมันเลวร้ายจนเกือบจะทำเขาตายไปแล้วหลายครั้งแต่คนเป็นพ่อแท้ๆ ของเขากลับพูดมันเหมือนเป็นเรื่องตลก
“อัลฟ่าก็คืออัลฟ่า” นพวิทย์พูดด้วยความภาคภูมิใจเมื่อได้พูดถึงเผ่าพันธุ์อันสูงส่งของตนเอง “ไม่ว่าพวกเราจะทำอะไรก็ถูกต้องเสมอ คนที่ต้องทำตามก็คือเบต้ากับโอเมก้า พวกนั้นมันเป็นพวกโง่ที่คิดได้แต่อะไรโง่ๆ จนอัลฟ่าอย่างเราต้องคอยชักจูงให้ไปในทางที่ถูกที่ควรตลอด”
“เงินกับชื่อเสียงมันสำคัญกับพ่อมากเลยเหรอ”
จ้าวพูดเสียงแข็งแม้ว่าน้ำตาจะไหลอาบใบหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธและผิดหวัง
“แน่สิ ไม่อย่างนั้นฉันจะยอมลดตัวมาเกลือกกลั้วกับโอเมก้าอย่างพวกแกทำไม”
“แล้วถ้าผมยังเป็นอัลฟ่าอยู่ พ่อจะรักผมไหม”
เป็นคำถามที่ทำให้นพวิทย์ชะงักก่อนที่จะตอบออกมาโดยไม่ต้องคิด
“ไม่ สำหรับฉันแกมันก็แค่ผลผลิตที่ผิดพลาดของตระกูล แกไม่สมควรเกิดมาด้วยซ้ำ”
แม้จะรู้คำตอบอยู่แก่ใจแต่เมื่อได้ยินชัดๆ กลับทำให้จ้าวสะอื้นจนตัวโยน
“แล้วทำไมพ่อไม่ฆ่าผมตั้งแต่แรก.. ฮึก ปล่อยให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อทำไม”
ถึงแม้จะมีคุณเหมันต์อยู่เคียงข้างแต่มันก็คนละเรื่องกับชีวิตครอบครัวของเขา เขาเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียน้องสาว เจ็บปวดที่มีพ่อแม่ที่ไม่เคยสนใจอะไรเลยนอกจากชื่อเสียงและเงินตรา เจ็บปวดที่ต้องมาเจอเรื่องร้ายๆ ทั้งหมดเหล่านี้
เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมสิ่งเร้าภายนอกเหล่านั้นถึงได้มีอิทธิพลกับผู้คนมากมายนัก ทั้งๆ ที่เขาก็เคยอยู่จุดสูงสุดเหมือนกันมาก่อน มันมีความสุขก็จริงแต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจเสมอว่ามันไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้ มันสามารถทำให้เรามีความสุขได้แต่ในขณะเดียวกันมันก็สามารถทำลายตัวเราได้เช่นกัน
แน่นอนว่ามันเจ็บปวดจนเขาทนแทบไม่ไหวแต่เขาก็ผ่านมันมาได้…
เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะโทษอะไร ต้องโทษระบบทุนนิยมหรือเปล่า ที่สามารถสร้างปีศาจกระหายเงินและอำนาจได้เป็นแสนเป็นล้านคนบนโลก หรือควรจะโทษตัวเองที่โง่เกินกว่าจะทำความเข้าใจคนเหล่านี้ได้
“แกพูดเองนะ”
“…?”
จ้าวเบิกตากว้างเมื่ออยู่ๆ ได้ยินเสียงบรรจุกระสุนเข้ารังเพลิงและสมองยังไม่ทันได้ประมวลอะไรก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปัง!
เสียงปืนดังลั่นกลิ่นเลือดคาวคลุ้งไปทั่วบริเวณ บนพื้นปรากฎอีกร่างที่โดนยิง
แน่นอนว่าไม่มีใครคาดคิดว่านายแพทย์นพวิทย์ อัลฟ่าผู้มีชื่อเสียงในสังคมในด้านดีมาตลอดจะยิงลูกชายแท้ๆ ของตนเองได้ลงคอ!
ทั่วบริเวณตกอยู่ในความเงียบมีเพียงเสียงสะอื้นของจ้าวที่ดังชัดเจน
“…ทำไมถึงต้องทำแบบนี้”
จ้าวร้องไห้ออกมาอย่างใจสลายขณะที่กำลังประคองอัลฟ่าร่างใหญ่ในอ้อมกอดแน่น พยายามใช้มืออุดแผลไม่ให้เลือดไหลทะลักออกมาแต่ก็ไม่เป็นผล เลือดยังคงไหลออกมาจนทำให้มือของจ้าวย้อมด้วยเลือด
“…อย่าร้องไห้”
ใบหน้าที่แทบไม่เหลือเค้าโครงของความคมคายพยายามฝืนยิ้มออกมา มือสากที่จับเบสมานานหลายปีจนด้านลูบหน้าจ้าวอย่างเบามือโดยไม่สนใจบาดแผลของตนเองสักนิด
“ชีวิตกูถ้าไม่มีมึงอยู่ด้วย.. กูก็ไม่อยากอยู่หรอก”
คิงพูดเสียงพร่า นัยน์ตาสีดำสะท้อนภาพใบหน้าของจ้าวอย่างชัดเจน
บาดแผลทั้งกายและใจคล้ายกับทุเลาลงเมื่อสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงของจ้าว
สำหรับคิงแล้ว การโดนยิงเข้าที่อกไม่ใช่เรื่องบังเอิญหากแต่เป็นการตั้งใจ เขารู้อยู่แล้วว่าพ่อจ้าวคงจะเล่นตุกติกจึงรอจังหวะมาตลอด หากจะผลักเพื่อที่จะเบี่ยงเบนวิถีกระสุนเขาก็สามารถทำได้แต่เขาก็ไม่คิดจะทำ
ชีวิตของเขามันพังทลายไปตั้งนานแล้ว เขาไม่มีที่ไหนให้กลับไปอีกแล้ว
ฉะนั้นในช่วงชีวิตสุดท้ายของเขา… การได้ตายในอ้อมกอดของคนที่ชอบก็นับว่าเป็นอะไรที่คุ้มค่าไม่เลว
“ฮึก มึงจะตายไม่ได้นะ”
จ้าวสะอื้นและรู้สึกผิดที่ตัวเองอคติกับคิงเมื่อเผลอไปสบตากับอีกฝ่ายเข้า
เขาไม่รู้ ไม่รู้เลยจริงๆ ว่ามันจะจบแบบนี้อีกแล้ว
เขาเกือบจะสูญเสียจันทร์ไปแล้วคนนึง ตอนนี้เขาต้องสูญเสียเพื่อนในวงไปอีกคนงั้นเหรอ เขาทนไม่ได้หรอก
“..กูเลือกเอง จ้าว มึงไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก”
คิงหลับตาพูดเสียงเบา รู้สึกถึงสติที่ค่อยๆ จางหายไปทีละเล็กละน้อย
“ที่ผ่านมา.. กูขอโทษ”
น่าเสียดายที่เขามันก็แค่คนโง่งมคนนึง ใช้แต่วิธีโง่ๆ ในการเรียกร้องความสนใจจากจ้าวและแน่นอนว่ามันไม่สำเร็จ จ้าวก็มีคนของตัวเองอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะมาสนใจหมาอย่างเขาหรอก
เขามันก็แค่ไอ้โง่… ที่เอาแต่คาดหวังว่าสักวันจ้าวจะรักตัวเองบ้าง
คิงพยายามประคองสติมองไปด้านข้างของจ้าวแล้วหัวเราะเสียงแผ่ว
“…ขอให้รักกันนานๆ นะ”
ความสัมพันธ์พิเศษที่เห็นได้ชัดเจนทำให้คิงรู้สึกปวดใจ นัยน์ตาสีเทานั่นมองมาที่เขาอย่างไม่พอใจ แม้ว่าสีหน้าจะยังนิ่งสงบแต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความโกรธที่แฝงออกมา
ซึ่งคิงก็ไม่แปลกใจนักเพราะสิ่งที่ตนเองทำคือการตอกย้ำแผลใจของจ้าวที่เพิ่งสูญเสียพี่น้องของตัวเองไป
“…มีความสุขมากๆ นะ”
คิงพูดทั้งๆ ที่น้ำตาไหลออกมาและลมหายใจขาดห้วง เจ็บปวดจนไม่อาจรักษาท่าทีเยือกเย็นได้อีกแต่ก็พยายามเค้นคำพูดออกมา
“กูชอบตอนที่มึงยิ้ม”
เขาหลงรักจ้าวเพราะรอยยิ้ม หลงใหลในตัวตนของจ้าวจนถอนตัวไม่ขึ้น เขาถูกรอยยิ้มของจ้าวมอมมัวราวกับคนเมา เกาะติดจ้าวแทบตลอดเวลาตอนที่ยังเป็นวงมูนไลท์ เขาใช้ชีวิตแต่ละวันในการทุ่มเทกับวงเพื่อที่จ้าวของเขาจะได้ยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อมันประสบความสำเร็จ
“ฮึก นี่ไง กูยิ้มแล้ว มึงอย่าตายนะคิง”
คิงมองสีหน้าของจ้าวก่อนที่จะฉีกยิ้มบางๆ ออกมาและหยุดนิ่งไปในที่สุด
“…คิง”
จ้าวมองมือเบสประจำวงตัวเองอย่างเจ็บปวดและค่อยๆ เบือนสายตาไปมองต้นเหตุที่ทำให้คิงตายด้วยความไม่พอใจ ซึ่งก็พบว่าอีกฝ่ายมองมาที่ตนเองเช่นกันแต่เป็นสีหน้าเบื่อหน่าย ทำราวกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องของตนเอง แต่เป็นเพียงละครน้ำเน่าฉากหนึ่งในละครที่คนดูกันจนเบื่อ
“…ต่อไปตาแก”
นพวิทย์เล็งกระบอกปืนไปทางจ้าว หมายมั่นว่าครั้งนี้ไม่มีวันพลาดเป้าอีกเด็ดขาด สิ่งที่เขาต้องการเห็นมากที่สุดคือสีหน้าสิ้นหวังของจ้าวที่กล้าขัดคำสั่งของเขาตั้งแต่แรก เขามั่นใจว่าถ้าจ้าวเป็นเด็กดีเชื่อฟังที่เขาสั่งทุกอย่าง เรื่องทั้งหมดอาจจะไม่จบลงแบบนี้อย่างแน่นอน
“ถ้าคุณขยับ ผมยิง”
เหมันต์พูดเสียงกร้าว มอบคำสั่งให้กับคนใต้บังคับบัญชาที่กระจายแทรกซึมอยู่กลางกลุ่มคนต่างๆ ให้เผยปืนออกมาเตรียมยิงหากนายแพทย์นพวิทย์ ถ้าอีกฝ่ายคิดจะยิงคนของเขา
“คุณยังเปลี่ยนใจทันนะ คุณเหมันต์”
นพวิทย์ก็คือนพวิทย์ สิ่งที่เห็นอยู่ในสายตาและพูดคุยได้ในฐานะเดียวกันคืออัลฟ่า แน่นอนว่าฉายาสาริกาลิ้นทองไม่ได้เป็นคำกล่าวลอยๆ ความสามารถในการพูดโน้มน้าวของนพวิทย์นับว่าเหนือชั้นเป็นอย่างมาก
“สำหรับผม การที่คุณยอมร่วมมือกับพวกโอเมก้าไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำเลยสักนิด คุณมีค่ามากกว่านั้น คุณเหมันต์ ผมเชื่อว่าผมสามารถสร้างโอกาสดีๆ ให้คุณได้มากกว่าพวกกลุ่มกบฏหัวรุนแรงพวกนี้แน่ๆ ”
“ผมไม่ต้องการ”
เหมันต์ตัดบทด้วยสีหน้าเย็นชา
“งั้นก็ตายไปด้วยกันทั้งคู่ซะ!”
ทันทีที่นพวิทย์ตะโกนสั่ง พลแม่นปืนก็ยิงทันที เสียงปืนดังระรัวจนหูอื้ออึง เหมันต์รีบรวบตัวจ้าวไปหลบหลังโต๊ะปล่อยให้คนของตัวเองและสถานการณ์นำพาไป โชคดีหน่อยที่เขากับจ้าวไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
เหมันต์ลูบหัวจ้าวที่ตัวสั่นระริก นัยน์ตาโศกหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“…พี่เหมันต์ ผมกลัว”
“ไม่ต้องกลัวเดี๋ยวมันก็จบแล้ว จ้าว” เหมันต์พูดเสียงกระซิบก่อนที่จะผลุดลุกขึ้นยืนและก้าวออกไปข้างนอกเพื่อที่จะจบเรื่องทั้งหมดนี้ลงเสียที
“ไม่ ผมไม่ให้ไป ฮึก ไม่เอานะ”
จ้าวโถมตัวไปกอดเอวร่างสูงตัวสั่นเทาหนักกว่าเดิม ถ้าคุณเหมันต์ตายอีกคนเขาคงอยู่ไม่ได้แน่ๆ จ้าวพยายามกอดแม้ว่าจะโดนแกะมือออกอย่างง่ายดายก็ตาม
“ไม่เอา ผมขอร้อง..”
“เชื่อใจพี่”
“…ฮึก”
ถึงแม้จะรู้สึกไม่เต็มใจแต่จ้าวก็เลือกที่จะเคารพการตัดสินใจของคุณเหมันต์อยู่ดี ปล่อยแขนออกจากเอวมาก่อนตัวเองที่ตัวสั่นระริกไม่หยุดแทน
เขากลัว..
จ้าวนั่งน้ำตาคลอบนพื้นอย่างน่าสงสาร มองคุณเหมันต์อย่างตัดพ้อ
“เชื่อใจพี่นะครับ จ้าว”
เหมันต์ลูบหัวจ้าวก่อนที่จะจูบหัวจ้าวเบาๆ อย่างอ่อนโยน เมื่อเห็นจ้าวพยักหน้าด้วยท่าทีที่อ่อนลงจึงเดินออกจากที่กำบังโดยไม่เกรงกลัวอะไร
ปัง!
กระสุนนัดหนึ่งเฉี่ยวแก้มร่างสูงไปอย่างฉิวเฉียดแต่เพียงเสี้ยววินาทีต่อมามือปืนที่ยิงก็ถูกยิงเข้ากลางกะโหลกแน่นิ่งไปทันที มีมือปืนของฝั่งรัฐบาลถูกเก็บไปกว่าครึ่งด้วยฝีมือคนของตระกูลกิลลาสและกลุ่มบางอย่างที่แทรกซึมอยู่ท่ามกลางโอเมก้าอย่างแนบเนียน
เหมันต์กวาดตามองสถานการณ์รอบๆ ที่ชุลมุนขึ้นทุกวินาทีด้วยความรู้สึกรำคาญ เสียงกรีดร้องดังระงมจนหูอื้ออึง ฤทธิ์ยาของฝั่งรัฐบาลที่ใกล้จะหมดทำให้โอเมก้าเบต้าบางคนเริ่มขยับตัวได้และหนีตายกันจ้าละหวั่น
“เงียบ!!”
ตะคอกเสียงดังลั่นพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นฟีโรโมนออกมา เพียงชั่วพริบตาคนทุกคนไม่ว่าจะเพศอะไรก็ต่างล้มไปกองบนพื้นด้วยความหวาดกลัว เหล่าอัลฟ่าผู้ถือดีพยายามจะขัดขืนแต่ก็ไม่สามารถทำได้ นอนตะเกียกตะกายอยู่บนพื้นอย่างน่าสมเพช
พวกพลแม่นปืนที่อยู่ไกลเกินกว่าจะได้กลิ่นรีบเล็งมาที่ร่างสูงทันทีหากแต่ยังไม่ทันเกี่ยวไกปืนก็ถูกยิงเข้าที่อกจนยิงต่อไม่ได้ กลุ่มคนที่ซุกซ่อนอยู่พากันเผยตัวกันออกมาจนเหล่ารัฐบาลที่มาในวันนี้เริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดี
ทหารสหรัฐกว่าครึ่งตายหมดแล้วในช่วงชุลมุนและอีกครึ่งหนึ่งก็ถูกคุมตัวออกมาข้างนอกโดยทหารอีกกลุ่ม นพวิทย์ซึ่งล้มกองอยู่บนพื้นโกรธจนหน้าแดงพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมายืนแต่ก็ทำไม่ได้
“ยินดีที่ได้พบครับ ท่านนพวิทย์”
เสียงทักทายที่แสนจะเย็นชาดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของพลตำรวจเอกที่หายตัวไปตั้งแต่เกิดเรื่อง ร่างสูงใหญ่ยังคงอยู่ในชุดตำรวจเต็มยศและประดับประดาไปด้วยเหรียญตราประดับอกเพื่อแสดงยศศักดิ์ของตนเอง ในมือนั้นได้ลากร่างของใครบางคนมาด้วย
“แก แกหายหัวไปไหน”
นพวิทย์แค่นเสียงพูดอย่างยากเย็นยิ่งเห็นสิ่งที่อยู่ในมือโลกันต์ก็ยิ่งตกใจ
เพราะคนที่โดนลากนั้นคือ ‘นายกรัฐมนตรี’ คนปัจจุบัน!
สภาพของนายภคินนั้นสะบักสะบอมจนดูแทบไม่ได้ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา
พลตำรวจเอกแสยะยิ้มแม้ว่ามันจะถูกซ่อนภายใต้หน้ากากรุ่นล่าสุดก็ตามซึ่งโลกันต์ก็ไม่ลืมที่จะค้อมหัวเชิงขอบคุณให้กับเหมันต์ที่คอยควบคุมสถานการณ์มาให้จนถึงตอนนี้ เพราะหากไม่มีการเปิดฉากการยิงกันก่อนของฝั่งรัฐบาล พวกเขาก็ไม่มีวันรู้เลยว่าทหารสหรัฐที่แฝงตัวปะปนอยู่คือคนไหนและอยู่ที่ใด
เรียกได้ว่าเหมันต์ก็ถือเป็นคนที่สำคัญมากสำหรับวันนี้เช่นกัน
“มาคุยเรื่องของเราดีกว่าครับ ท่านนายกรัฐมนตรี ว่ามาเลยว่าท่านจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ของท่านในตอนนี้”
โลกันต์โยนร่างภคินใส่เก้าอี้ โบกมือให้กลุ่มทหารตำรวจอัลฟ่าที่แปรพักตร์มาอยู่ฝั่งตนเองสวมหน้ากากป้องกันกลิ่นให้กับพวกสื่อมวลชนเพื่อที่จะถ่ายทอดสดสถานการณ์ในตอนนี้
ท่านนายกรัฐมนตรีซึ่งถูกจับตัวมาระหว่างหลบหนีออกนอกประเทศตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว มองเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่เคยรับคำสั่งของตนเองอย่างเคร่งครัดด้วยความเกลียดชัง
เขาเข้าใจผิดว่าพวกอัลฟ่าเบต้าฝีมือดีที่หายไปเพราะรัฐบาลไม่มีเงินจ่าย ทั้งๆ ที่ความจริงคือพวกเขาเหล่านั้นไปเข้าร่วมกับโลกันต์ พลตำรวจเอกที่ยึดมั่นเอาแนวคิดความเสมอภาคมาเป็นหลักในการทำงาน เขาพยายามจะเขี่ยโลกันต์ออกจากตำแหน่งหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล ยังคงมีคนในหลายคนที่ยังพอใจในการทำงานของโลกันต์อยู่ มันจึงยังสามารถอยู่รอดในโลกการเมืองที่เต็มไปด้วยความฉ้อฉลได้
“ฉันไม่มีวันยอมรับว่าโอเมก้าเท่าเทียบกับอัลฟ่า! ”
จนถึงตอนนี้ภคินก็ยังยึดมั่นในอุดมการณ์แม้ว่าจะกลัวจนตัวสั่น แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือการต้องยอมรับว่าคนชั้นต่ำอย่างโอเมก้าจะมามีสิทธิ์มีเสียงมีความเสมอภาคของกับตัวเอง แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่เขายอมรับไม่ได้
“งั้นผมคงต้องบอกท่านนายกว่าท่านได้พ่ายแพ้แล้ว” โลกันต์หัวเราะในลำคอ “เอาเข้าจริงตอนนี้เราไม่มีความจำเป็นต้องฟังความเห็นของท่านนายกด้วยซ้ำ การปฏิวัติครั้งนี้สำเร็จแล้วครับ โอเมก้าจะมีโลกใบใหม่ให้อยู่แล้ว”
เพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของตัวเอง โลกันต์ออกคำสั่งให้ลูกน้องของตนเองโยนร่างของเหล่าอัลฟ่าตำแหน่งใหญ่ไปนอนแทบเท้าท่านนายก พวกเขาแต่ละคนล้วนถูกตรวนด้วยโซ่ไม่ต่างอะไรกับโอเมก้าที่กระทำผิดเลยสักนิด
“ท่านอาจจะคิดว่ามีสหรัฐลงมาช่วยท่านก็ชนะแล้วแต่ท่านก็คงจะลืมว่าบนโลกนี้ไม่ได้อยู่ประเทศเดียว”
“อย่าบอกนะว่าแก...”
ยิ่งฟังภคินก็ยิ่งหมดหวัง
บนโลกนี้ประกอบด้วยสองฝ่ายคือสนับสนุนระบบชนชั้นและต่อต้านระบบชนชั้น สหรัฐอเมริกาอยู่ในฝ่ายแรกส่วนฝ่ายที่สองนั้นคือกลุ่มประเทศที่มีแนวคิดสร้างความเท่าเทียมในสังคมแต่ก็ยังได้ไม่สำเร็จ การได้ประเทศไทยมาเป็นต้นแบบในการปฏิวัติจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเสี่ยงพอตัว
“ครับ ผมได้กลุ่มสัมพันธมิตรมาช่วยครับ”
“แกทรยศบ้านเกิดงั้นเหรอ โลกันต์”
ในขณะที่ภคินสิ้นหวังแล้วแต่นายแพทย์นพวิทย์ยังไม่สิ้นหวัง แม้ว่าภรรยาของตนเองจะนอนล้มอยู่ข้างๆ ก็ตามที เขายังคงพยายามสุดชีวิตเพื่อที่จะรักษาสถานะทางสังคมของตนเองไว้
“ผมไม่ได้ทรยศบ้านเกิดครับ” โลกันต์พูดด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย “แล้วคุณก็ช่วยหุบปากสักทีก่อนที่ผมจะหมดคำอดทน”
“แก แก”
โลกันต์ควักปืนออกมาจ่อหัวนายแพทย์นพวิทย์ทันทีโดยไม่มีการกล่าวเตือนซ้ำ
“ผมจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะครับ”
ใบหน้าคมคายหันไปยิ้มให้กับกล้องแม้ว่าตัวเองกำลังจะเอานิ้วเกี่ยวไกปืนอยู่ก็ตาม
“การปฏิวัติครั้งนี้สำเร็จแล้ว!”
==============
ตอนนี้ช้าเพราะเขียนยากกกกกกกกกกกมาก
คิดว่าตอนจันทร์ยากแล้วตอนนี้ยากกว่าอีก แหง่กๆ
ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ