ตอนที่ 14
กลิ่นหอมของสเต็กเนื้อคือสิ่งแรกที่ทักทายจ้าวเมื่อเข้ามาในห้องครัวและสิ่งที่ปรากฎถัดมาคือครัวสไตล์โมเดิร์นสีขาวดำเข้ากับรูปแบบของคฤหาสน์ ในห้องครัวมีทั้งเตาอบเตาแก๊สเครื่องล้างจานมีทุกอย่างที่ห้องครัวทั่วไปพึงมี ข้างๆ ร่างโปร่งที่สวมผ้ากันเปื้อนสีขาวนั้นมีร่างของเด็กประมาณเจ็ดขวบมัดผมจุกกำลังยืนแทะน่องไก่และจ้องพ่อครัวที่กำลังทอดสเต็กดังฉ่าๆ
“ม๊า อยากกินสเต็กเนื้อด้วยง่ะ”
เด็กน้อยงอแงน้ำลายไหลมองสเต็กเนื้อตาวาว
“ไม่ได้ของพี่เหมันต์เขา”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลชวนให้รู้สึกสบายใจกล่าวปลอบเด็กน้อย
“แง้ แต่ใบไม้อยากกินอ่ะ”
“ถ้าอยากกินจริงๆ ก็ไปหยิบเนื้อในตู้เย็นมา” เสียงนุ่มพูดอย่างระอาใจเพราะรู้ดีว่าเจ้าตัวน้อยของตัวเองไม่ได้อยากกินจริงๆ แต่อยากแย่งของโปรดพี่ชายตัวเองมากกว่า
“ใบไม้!”
เหมันต์คำรามในลำคอเดินดุ่มๆ เข้าไปคว้าคอเสื้อเด็กน้อยจนห้อยต่องแต่ง ใบหน้าที่พยายามจะขึงขังเผลอหลุดยิ้ม “บอกกี่ครั้งว่าถ้าอยากกินก็บอกแม่ไว้ก่อน จะมาแย่งพี่ทำไมทุกรอบ”
เด็กน้อยยิ้มกวนประสาทแล้วร้องว้ากใส่ “ก็ผมอยากกินตอนนี้นี่!” นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนแบบเดียวกับแม่มองเหมันต์สักพักก่อนจะเหลือบไปเห็นข้างหลัง
“อ้า พี่จ้าวววว”
นัยน์ตาเด็กน้อยเป็นประกายระยับราวกับขโมยดวงดาวบนฟากฟ้ามาสุมไว้ข้างใน ร่างเล็กพยายามตะเกียกตะกายลงพื้นเพื่อที่จะไปกอดนักร้องคนโปรดของตัวเอง
“ปล่อยน้า พี่บ้า แง้งงงง แม่ พี่แกล้ง พี่แกล้งงงง”
ใบไม้ตะโกนแว้กๆ หน้ามุ่ยใส่พี่ชายตัวเองแท้ๆ อย่างไม่พอใจ
“จะมาชอบเหมือนพี่ทุกอย่างไม่ได้นะ วสันต์!”
เหมันต์อดไม่ได้ที่จะเรียกชื่อจริงของใบไม้ด้วยเสียงขึงขังแต่ลึกๆ ก็อดหมั่นไส้น้องตัวเองไม่ได้เพราะชอบตามเขาทุกอย่าง ตั้งแต่อาหารการกินยันเพลงที่ชอบ ไม่รู้ว่ารู้ได้ยังไงว่าเขาชอบฟังเพลงของจ้าว ถึงสรรหามาฟังตามได้
“ไม่ได้ก็อปสักหน่อย พี่บ้า!”
ใบไม้ร้องแย้กหน้ามุ่ยขั้นสุด “จะงอนแล้วน๊า ถ้าไม่ปล่อย”
หากแต่ยังไม่ทันเปิดศึกระหว่างพี่น้อง จ้าวก็เดินเข้าไปหาใบไม้แล้วยิ้มน้อยๆ “รู้จักพี่ด้วยเหรอครับ หนุ่มน้อย”
ร่างเล็กที่ยังคงห้อยอยู่พยักหน้าหงึกๆ “ผมชอบพี่จ้าวร้องเพลงมากเลย เพลงสนุ้กสนุก ผมชอบพี่จ้าวมากกว่าพี่เหมันต์อีก! ในห้องผมมีโปสเตอร์พี่ใหญ่กว่าของพี่เหมันต์ด้วย!”
ใบหน้าของจ้าวขึ้นสีน้อยๆ เหลือบมองคนที่ถูกกล่าวถึงที่กำลังแสร้งมองไปทางอื่น
“ใหญ่ขนาดไหนครับ”
“เท่าผนังห้องเลย! ผมเก็บเงินตั้งนานกว่าจะทำใหญ่กว่าพี่เหมันต์ได้” ใบไม้เชิดหน้าหัวเราะหึๆ รู้สึกดีใจที่สามารถเอาชนะพี่ตัวเองได้ตั้งเรื่องนึง
“ใครบอก พี่ทำใหม่แล้ว แปะข้างตึกที่พี่ทำงานเลย”
เหมันต์แกล้งหยอกน้อง
“อะไรนะ!” เด็กน้อยตาโตอย่างตื่นตระหนก “ใหญ่เท่าตึก! ใครมันจะไปสู้ได้ พี่โกหกๆ แม่ พี่โกหกใบไม้!”
“พอๆ ทั้งคู่นั่นแหละ”
คนโดนเรียกว่าแม่เอ่ยอย่างระเหี่ยใจและเดินมาพร้อมกับจานสเต็กระดับมีเดียมแรร์พร้อมเสิร์ฟมีผักเครื่องเคียงประดับจานอย่างสวยงามราวกับเชฟเมื่ออาชีพ
เหมันต์กลืนน้ำลายเอือกเพราะไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่ทำเรื่องให้จ้าวเสร็จหลังจากนั้นก็รีบเคลียร์งานสำคัญๆ จนว่างอีกทีก็เกือบเที่ยง เรียกได้ว่าตอนนี้เหมันต์หิวจนจะสามารถกินน้องตัวเองแทนข้าวได้แล้ว ถ้าน้องไม่หยุดกวนประสาทเขาเสียที
จ้าวยืนงงทำหน้าไม่ถูกเมื่อคนอื่นไปประจำที่แล้วแต่เขายังยืนหัวโด่เนื่องจากไม่รู้จะไปนั่งตรงไหนของโต๊ะ
“มานั่งนี่” เหมันต์กวักมือเรียกขณะที่เคี้ยวเนื้ออยู่ในปาก “แม่ฉันทำข้าวต้มให้กิน กินได้รึเปล่า?”
“กินได้ครับ”
อดีตนักร้องดังทรุดตัวนั่งข้างเหมันต์ที่ตอนนี้ยัดเนื้อเข้าปากแทบไม่หยุดเหมือนจะเขมือบไปทั้งจาน ไม่มีมาดอะไรใดๆ เหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว
“หึ”
จ้าวพยายามที่จะไม่หลุดขำตอนที่คุณเหมันต์สำลักเนื้อไอแค่กๆ ก่อนที่จะหันไปไหว้แม่ของคุณเหมันต์ที่ตอนนี้นั่งยิ้มน้อยๆ ลูบหัวใบไม้ที่ตอนนี้ก็ซัดอาหารเข้าปากแบบเดียวกับเหมันต์ไม่มีผิดเพี้ยน
“สวัสดี… ครับ ผมจ้าว ขอโทษที่รบกวนนะครับ”
จ้าวรู้ดีว่าตัวเองคือส่วนเกินของครอบครัวนี้และกำลังทำตัวน่ารังเกียจด้วยการหลบมาอยู่ใต้ปีกผู้มีอำนาจอย่างคุณเหมันต์อย่างหน้าไม่อาย แต่เขาก็ไร้ทางเลือกแล้ว ถ้าแม่ของคุณเหมันต์ไม่พอใจในตัวเขา เขาก็ยินดีที่จะรับมันและพยายามตัวให้มีปัญหาน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ผิดคาดใบหน้าที่ดูเกลี้ยงเกลาที่ดูสุขุมนั้นยิ้มให้เขาอย่างใจดี เส้นผมสีดำสนิทที่ถูกรวบไว้ลวกๆ วางพาดไว้บนไหล่ บริเวณคอที่ควรจะเกลี้ยงเกลานั้นมีร่องรอยบาดแผลเต็มไปหมดเหมือนโดยเหล็กขูด อีกทั้งยังตราประทับของโอเมก้าเบี้ยวๆ เอียงกะเท่เร่ที่บริเวณหน้าอก คล้ายกับถูกกลั่นแกล้งมากกว่าเป็นตราประทับยืนยันตัวของทางการ ส่วนข้อมือนั้นมีสัญลักษณ์ของโอเมก้าอย่างชัดเจน เป็นสัญลักษณ์ที่ไม่สามารถลบออกได้นอกเสียงจากจะตัดมือทิ้ง
หากแต่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคือคนตรงหน้าไม่ลืมตา
“ฉันตาบอดน่ะ” คนพูดหัวเราะเบาๆ เหมือนเป็นเรื่องตลก “ไม่ต้องเกรงใจหรอก จ้าว ฉันพอจะได้ยินเรื่องของเธอมาบ้าง”
จ้าวยิ้มบางแม้จะรู้ว่าคนตรงหน้าไม่มีทางมองเห็น ความรู้สึกอุ่นวาบในอกเหมือนถูกโอบกอดด้วยรอยยิ้มใจดีของแม่คุณเหมันต์
มันดูอบอุ่นยิ่งกว่าของแม่จริงๆ ด้วยซ้ำ
“กินสิ จ้าว เพิ่งฟื้นไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องกลัวตายหรอก ถึงฉันจะตาบอดแต่เรื่องทำอาหารฉันมั่นใจนะว่าฉันทำอร่อย”
“ใช่ อย่อยมาก” ใบไม้ยอมหยุดกินชั่วเวลาสั้นๆ เพื่อยืนยันในความอร่อย “แม่ทำอร่อยที่สุดในโลกเลย ถ้ามิชชิลินมาแม่ต้องได้ห้าดาวแน่ๆ เพราะแม่ทำไข่เจียวปูอลาสก้าได้”
“พูดมาก”
เหมันต์ที่สเต็กหมดไปครึ่งชิ้นแล้วเหน็บน้องตัวเองตามสัญชาตญาณของพี่ที่ดี
“ฮึ่ม” ใบไม้พองแก้มไม่พอใจ “แม่นที พี่ว่าน้องง่ะ”
“…”
นทีขมวดคิ้วก่อนจะถอนหายใจออกมาเพราะเจ้าตัวน้อยกระตุกเสื้อเขายิกๆ แล้ว “เหมันต์อย่าว่าน้อง”
“ครับ”
เหมันต์รับคำไม่จริงจังนักแล้วหยิบพริกไทยที่อยู่ใกล้ตัวเองมากว่ามาเหยาะให้จ้าวที่กำลังจะตักกิน
“ใส่พริกไทยหน่อยดีกว่า ฉันว่ามันจืดไป”
“ขอบคุณครับ”
จ้าวยิ้มน้อยๆ ตักกินและพบว่าอร่อยกว่าที่คิดมาก ถึงมันจะไม่ได้อะไรเวอร์วังแบบที่ใบไม้พูดไว้แต่ก็รับรู้ได้ถึงความเอาใจใส่ของคนทำที่พิถีพิถันขนาดไหนในการทำกับข้าวให้คนอื่นกิน
มันทำให้เขารู้สึกอยากร้องไห้อีกครั้ง
เพื่อไม่ให้คุณเหมันต์จับความผิดปกติของเขาได้ จ้าวก้มหน้ากินจ้าวพยายามซุกซ่อนความรู้สึกน่ารังเกียจของตัวเองเอาไว้ในใจ ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ควรคิดแต่ก็คิดอยู่ดี
เขาอิจฉาคุณเหมันต์เหลือเกินที่เติบโตในครอบครัวที่อบอุ่นขนาดนี้ มีแม่ที่ถึงแม้จะเป็นโอเมก้าแต่ก็ช่างใจดีและอบอุ่นต่างจากพ่อแม่ของเขาที่เป็นถึงอัลฟ่าแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจถึงจะขนาดทำกับข้าวด้วยตัวเองให้เขากินนัก อาหารส่วนใหญ่ที่ได้กินร่วมกันคือซื้อมาจากข้างนอกหรืออย่างมากก็ให้แม่บ้านทำกับข้าวให้
เวลาร่วมโต๊ะกันมักจะคุยกันแต่เรื่องที่มีสาระ เรื่องที่ไร้สาระอย่างรายละเอียดชีวิตยิบย่อยคือสิ่งที่พ่อของจ้าวไม่ต้องการที่จะได้ยิน ยิ่งตอนที่จ้าวต่อรองเรื่องของเลิกเรียนพิเศษไปเล่นดนตรีก็ทะเลาะกับพ่ออยู่พักใหญ่และจบลงที่ข้อตกลงเกรดสี่ทุกวิชาซึ่งจ้าวก็ต้องโหมอ่านเองอย่างหนักในช่วงเวลาใกล้สอบ นี่คือสิ่งที่จันทร์ไม่รู้เพราะทั้งคู่แยกห้องกันอยู่ตั้งแต่ม.ต้น ความชอบที่ต่างกันทำให้การอยู่ร่วมกันคือสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก
จ้าวชอบดนตรีแต่จันทร์ชอบอ่านหนังสือ
จ้าวชอบกลางคืนแต่จันทร์ชอบกลางวัน
หลายสิ่งที่สองแฝดที่หน้าเหมือนกันลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกันแต่กลับมีนิสัยต่างกันโดยสิ้นเชิง เขาในตอนนั้นยังคงรักจันทร์มากโดยที่ไม่รู้ตัวสักนิดว่าโดนเกลียดเข้าไส้ขนาดไหน
วันจบการศึกษาที่จันทร์ไม่ได้ให้อะไรเขา เขาก็ซื้อหนังสือแพทย์ที่จันทร์อยากได้แต่หาซื้อไม่ได้ให้ วันนั้นจันทร์ไม่ได้ขอบคุณเขาอ้างว่าปวดท้องแล้วกลับบ้านไปและเขาก็เชื่อสนิทใจ ก่อนที่จะมารู้ภายหลังตอนที่เพื่อนบอกว่าเจอหนังสือที่เขาซื้อในถังขยะโรงเรียน ตอนนั้นเขาไม่เชื่อคิดว่าเพื่อนโกหกแต่พอเห็นภาพที่ถูกถ่ายส่งมาเขาก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าจันทร์เผลอทิ้งผิดอัน
ซึ่งพอมาถึงตอนนี้เขาก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่การเผลอ มันคือการตั้งใจ ไม่มีใครอยากเก็บของที่คนที่เกลียดให้หรอก
ว่าแต่น้อง แม่ของเขาก็ไม่ต่างกันนัก จะให้ความสำคัญกับเขาก็ต่อเมื่อเขาประสบความสำเร็จหรือทำอะไรได้ดีสักอย่าง หากแต่เวลาปกติก็จะค้างอยู่ที่โรงพยาบาลทำงานเป็นบ้าเป็นหลังกับพ่อที่บ้างานไม่ต่างกัน
สิ่งที่ตระกูลนฤภัทรถ่ายทอดกันมาคงจะเป็นความหยิ่งทระนงในสายเลือด สิ่งสำคัญที่สุดคือการประสบความสำเร็จมีผู้คนชื่นชนมากมาย แค่นั้นก็ถือว่าเป็นคนในตระกูลนฤภัทรที่ดีแล้ว
พอนั่งคิดดูดีๆ จ้าวก็พบว่าครอบครัวของตัวเองนั่นช่างบิดเบี้ยวเหลือเกิน
เขาตอนที่ยังเป็นคนเดิมนั้นจมอยู่กับตัวเองกับความฝันเลยไม่ได้ใส่ใจอะไรนักกับสิ่งรอบข้าง แต่พอทุกอย่างล่มสลายลงมาเขาก็พบว่าชีวิตครอบครัวเขาช่างไม่มีความสุขเขาเสียเลย
พ่อกับแม่ที่บ้างานและรักศักดิ์ศรีเป็นที่สุด
ฝาแฝดที่เป็นน้องชายแท้ๆ เกลียดเขาเข้าไส้
“ฮึก”
สุดท้ายจ้าวก็หลุดสะอื้นทั้งๆ ที่กินข้าวไปได้ไม่กี่คำ
“จ้าว”
เหมันต์เรียกอย่างเป็นห่วงยังไม่ทันยื่นมือเข้าไปลูบหัวปลอบอย่างที่มักจะทำก็ถูกขัดซะก่อน
“เหมันต์พาน้องขึ้นห้อง”
ใบหน้าคมคายมีสีหน้าไม่ยินยอมนักแต่ก็ยอมทำตามอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตามคนที่ใหญ่ที่สุดในบ้านหลังนี้รองจากคุณศตคุณที่เสียไปแล้วก็คือคุณนทีผู้เป็นภรรยาและแม่ของเหมันต์อยู่ดี
ภายใต้โลกที่มืดมัว นทีนับว่าเป็นคนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามาก การตาบอดไม่ได้เป็นแต่กำเนิดแต่เกิดจากการถูกกลั่นแกล้งโดยไม่ระวังของพวกอัลฟ่า นทีเติบโตในย่านชุมชนแออัดและพยายามกระเสือกกระสนในการมีชีวิตรอดแม้ว่าจะถูกเหยียดหยามแทบทุกวินาทีที่หายใจ เคยทำงานชั้นต่ำเป็นที่รองมือรองเท้าของคนมานับไม่ถ้วนกว่าจะเจอพ่อเหมันต์ก็อายุเกือบยี่สิบปีพอดี
ชีวิตที่ผ่านมาของนทีไม่ได้สวยหรูนักทำให้นทีเข้าใจดีว่าตัวเองควรจะทำยังไงกับอดีตนักร้องดังที่ทุกอย่างในชีวิตพังลงมา
“แม่ แต่ว่าใบไม้อยากอยู่ด้วย”
เด็กน้อยงอแง
นทีหันไปมองวสันต์และพูดเสียงอ่อน “เด็กดี”
“ฮื่อ” ใบไม้ยังคงหน้ายู่ “ก็ได้ ใบไม้จะเป็นเด็กดี! ป่ะ พี่เหมันต์อย่ามัวชักช้ายืดยาดเป็นเต่า!”
เหมันต์หน้าบึ้ง “อยากโดนตัดค่าขนมไหม”
“ไม่กลัวหรอก” ร่างเล็กกระโดดลงจากเก้าอี้แลบลิ้นใส่เหมันต์อย่างยียวน “แก่แล้วก็ขี้งก!”
“วสันต์!!!!”
เหมันต์คำรามเพราะโดนจี้ใจดำ ทั้งๆ ที่เพิ่งอายุย่างสามสิบไม่นานกลับถูกน้องชายบ้านี่ล้อทุกวันถึงกระดูกกระเดี้ยวที่ไม่ค่อยแข็งแรงลั่นดังกร็อบๆ เวลาวิ่งตาม ไหนจะเรื่องไม่มีแฟนสักทีเพราะแก่เกินไป
“แง้ ตามมาแล้ววว”
เด็กน้อยร้องจ๊ากเมื่อเห็นร่างสูงขยับตัวแต่ก็ไม่ยอมอยู่เฉยๆ รีบวิ่งหนีขึ้นห้องนอนตัวเองไป
“จ้าว”
เสียงทุ้มนุ่มพูดเนิบนาบ
“ฮึก ครับ”
จ้าวกำมือแน่นจนรับรู้ถึงของเหลวที่ซึมออกมาจางๆ เป็นของเหลวที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีเพราะนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่จ้าวเผลอทำร้ายตัวเองจนเลือดตกยางออก
แต่เป็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าและมันจะมีครั้งต่อไปเมื่อจ้าวรู้สึกเจ็บปวดในอกจนแทบทนไม่ได้
อย่างน้อยๆ การที่ร่างกายเจ็บปวดก็ยังรู้สึกดีกว่าความเจ็บปวดในอกที่เหมือนหัวใจแตกสลายนัก
“พริมไม่ควรตาย”
จ้าวสะอื้นพูดแทบไม่เป็นภาษา “เธอไม่ได้ทำอะไรผิดด้วยซ้ำ ทำไมเธอต้องมาตายด้วย เธอเป็นคนดี ฮึก”
ตลอดเวลาที่ผ่านมาจ้าวนึกถึงแต่ความเจ็บปวดของตัวเองเพราะนึกแค่นี้ก็เจ็บแทบแย่แล้ว พอนึกถึงอดีตคู่หมั้นของตัวเองที่ถึงแม้จะไม่ได้รักแต่ก็ต้องมาตายด้วยความเกลียดของใครบางคนมันก็ไม่ถูกนัก
คนตายพูดไม่ได้ นั่นคือความจริงที่จ้าวเพิ่งตระหนักได้ตอนนี้
จ้าวมองแต่ตัวเองมาตลอดพอนึกถึงสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตัวเองต้องเข้าคุกก็หัวใจแทบสลาย การที่เพื่อนสมัยเด็กที่รู้จักกันมาตั้งแต่ประถมต้องมาตายเพื่อทำให้เขาต้องตายทั้งเป็นตาม ยิ่งทำให้จ้าวร้องไห้โฮออกมา
มันเป็นความเจ็บปวดมากกว่าตอนที่คิดจะฆ่าตัวตายเสียอีก ทั้งๆ ที่คิดว่าจะไม่เจ็บไปกว่าตอนนั้นแล้วแต่ตอนนี้กลับเจ็บกว่าเดิมหลายเท่า เมื่อรู้ว่าเพื่อเขาจะตายทั้งเป็นนั้นต้องสังเวยด้วยหนึ่งชีวิต
และเป็นฝีมือของคนที่เขารักที่สุดคนนึงเสียด้วย
“ใจร้าย ฮึก ทำไมต้องใจร้ายขนาดนี้ ฮืออ”
“…ฉันจะไม่ถามหรอกนะว่าร้องไห้เรื่องอะไร”
เสียงนุ่มนวลที่ดังข้างหูมาพร้อมกับฝ่ามือที่ออกจะหยาบกระด้างต่างจากคุณเหมันต์ลูบหัวอย่างเบามือ
หากแต่นั่นกลับทำให้จ้าวร้องไห้หนักกว่าเดิม คุณนทีใจดีและอบอุ่นมากกว่าแม่แท้ๆ ของเขาเสียอีก แม่ของเขาพอรู้ข่าวนอกจากจะไม่มองหน้าเขาแล้วยังสนับสนุนให้เขากลายเป็นโอเมก้าอีกเพื่อกลบข่าวฆ่าพริมด้วยข่าวที่ใหญ่กว่า
“ผม ฮึก เจ็บจะตายอยู่แล้ว”
นัยน์ตาโศกแดงก่ำมองใบหน้าที่ดูมีอายุนิดๆ แต่ยังดูเกลี้ยงเกลาน่ามอง ใบหน้านั้นยิ้มน้อยๆ ให้จ้าวราวกับว่าไม่ว่าโลกใบนี้จะโหดร้ายแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรคนผู้นี้ได้
“ฉันเชื่อว่าเธอไม่ได้ทำนะ จ้าว”
นทีพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเช่นเดิมแต่แปลกที่มันทำให้จ้าวสงบลง คล้ายกับว่าเสียงของนทีนั้นเป็นสายน้ำตามชื่อจริงๆ
“จ้าว นักร้องนำวงมูนไลท์ที่ฉันรู้จักเป็นคนที่ให้เงินบริจาคเด็กที่เป็นโอเมก้าทุกปี ให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ แต่งเพลงให้กำลังใจพวกโอเมก้า เธอทำอะไรดีๆ กับสังคมไว้เยอะมาก”
สมองของจ้าวว่างเปล่านึกสิ่งใดไม่ออกแต่น้ำตาคลอเบ้า เริ่มรู้สึกถึงคุณค่าของตัวเองที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อน
“เพลงของเธอทำให้เพื่อนฉันไม่ฆ่าตัวตาย เขาพยายามมีชีวิตต่อเพื่อที่จะทำให้โลกที่อยู่ตอนนี้ดีขึ้นเหมือนเพลงที่เธอแต่ง หมอนั่นยังบอกด้วยว่าถ้าเจอรักหวานแหววเหมือนเพลงขอรักก็ดี”
นทีพูดต่อไปเรื่อยๆ และอดอมยิ้มไม่ได้เพราะจ้าวหยุดสะอื้นแล้ว
“คนอย่างเธอฆ่าใครไม่เป็นหรอก จ้าว”
“แล้วผมต้องทำอะไร”
จ้าวถามเสียงแผ่ว แววตาวูบไหว
“อย่างที่เหมันต์บอก” นทีหยุดลูบหัวแล้วหยิบทิชชู่บนโต๊ะมาซับน้ำตาให้จ้าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “สิ่งที่เธอทำคือทวงความยุติธรรมให้ตัวเอง มันอาจจะยากหน่อยแต่เชื่อเถอะว่าเธอทำได้อยู่แล้ว”
“ผมก็พยายามอยู่ ฮึก” จ้าวสูดหายใจฟืดๆ “แต่มันยาก”
“ไม่ยากหรอก ตราบใดที่เธออยู่ที่นี่ก็ไม่มีใครหาเธอเจอ” นทียิ้มน้อยๆ “ตอนนี้สิ่งที่จ้าวต้องทำก็คือเลิกร้องไห้และเข้มแข็ง การร้องไห้มันไม่ได้ช่วยอะไรเปลี่ยนหรอกต่อให้เธออยากให้มันเปลี่ยนมากแค่ไหนก็เถอะ”
“ฮึก ผมกลัว” จ้าวสะอื้น “ผมกลัวจะทำทุกอย่างแย่ไปกว่านี้ แค่นี้มันก็แย่พอแล้ว ผมไม่อยากให้ชีวิตผมแย่ไปกว่านี้อีก ผมจะบ้าแล้ว ผมเจ็บจนจะบ้าแล้ว! ผมไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว ฮึก ชีวิตของผมตอนนี้ ผมคาดเดาอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะพังวันไหน ดีไม่ดีเกิดผมโดนเจอตัว ผมก็คงโดนส่งไปอเมริกากลายเป็นสัตว์ทดลองบ้าๆ แล้วก็ตาย”
รอยยิ้มของนทีหายไปแทนที่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ไม่มีใครตายเพราะชีวิตบัดซบหรอกจ้าว” ข้อมือที่เต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลที่มากกว่าจ้าวแกะกระดุมเสื้อตัวเองออกเผยให้เห็นหน้าอกที่ถูกประทับตราโอเมก้า ร่องรอยการถูกบุหรี่จี้ การทำร้าย น้ำร้อนลวก บาดแผลมากมายน่ากลัวสยดสยองที่ตอนนี้เหลือเป็นรอยแผลเป็นจางๆ แต่ก็ยังคงความเจ็บปวดในใจเอาไว้สำหรับนที
จ้าวหน้าซีดเผือด
“ฉันจะไม่เปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับเธอหรอก” นทีหัวเราะเบาๆ “คนเรามีความเข้มแข็งไม่เท่ากันกว่าฉันจะเป็นแบบตอนนี้ได้ก็แทบจะบ้าเหมือนกัน ฉันเกือบจะโดดตึกฆ่าตัวตายแล้วด้วยซ้ำถ้าพ่อเหมันต์ไม่มาช่วยฉันก่อน ฉันเข้าใจความเจ็บปวดของเธอนะ ความเจ็บปวดที่อยากจะต่อต้านแต่ก็ทำไม่ได้สำหรับฉันมันทรมานจนแทบบ้า”
“ฮึก”
จ้าวสะอื้นพยายามใช้หลังมือเช็ดดวงตาที่บวมเป่งของตัวเอง
โลกใบนี้ช่างโหดร้ายกับทุกคนเหลือเกิน ผู้ที่แข็งแกร่งและมีอำนาจมักจะใช้สิ่งที่ตนเองมีในการรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าหรือแม้แต่พวกเดียวกันก็ยังสามารถทำลายกันได้ลงคอ
“ผมอยาก ฮึก ให้มันจบลงสักที”
เขาไม่อยากให้ใครต้องมาเจ็บปวดแบบตัวเองอีก
“ผมจะช่วยพริม จะช่วยคุณ จะช่วยโอเมก้าทุกคนให้มีชีวิตดีขึ้น”
นัยน์ตาโศกที่ทำความมุ่งมั่นหายไปนับตั้งแต่ห้าปีที่แล้วกลับมาเข้มแข็งอีกครั้งอย่างที่ไม่ได้เป็นมานาน
“ผม ฮึก จะทำทุกอย่างให้ถูกต้อง”
เขาจะเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเองให้กับพริม เขาจะเข้มแข็งให้มากเพื่อที่ตัวเองจะเป็นฟั่นเฟืองอีกตัวนึงในการทำลายระบบชนชั้นที่แยกด้วยสายเลือดนี้ให้ได้
“ผมจะทำให้ได้”
“หมายความว่าไงที่หาตัวไม่เจอ?”
น้ำเสียงเย็นเยียบเอ่ยถามนายแพทย์จันทร์ นฤภัทรที่ยืนหลังตรงด้วยใบหน้าหมองคล้ำอย่างคนอดนอน
หลังจากที่คลิปของจ้าวถูกปล่อยออกมาก็สร้างคลื่นลูกใหญ่ถล่มซัดตระกูลนฤภัทรจนแทบล้มทั้งยืน ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีเมื่อห้าปีที่แล้วถูกเรียกร้องให้รื้อฟื้นคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ โดยเฉพาะจันทร์ที่ถูกนักข่าวจากหลายสำนักดึงตัวไปสัมภาษณ์เกือบครึ่งวัน
แต่คำตอบที่หลุดออกจากปากจันทร์ก็ยังคงเป็นคำที่ยืนยันหนักแน่นเช่นเดิม
“จากหลักฐานที่กองพิสูจน์หลักฐานและผมที่เป็นหนึ่งในผู้ชันสูตรพลิกศพก็ต้องบอกว่า จ้าว นฤภัทรเป็นคนลงทำโดยตั้งใจครับ”
แม้จะถูกผู้สื่อข่าวตั้งคำถามเบี่ยงประเด็นแต่จันทร์ก็ยังสามารถดึงวกกลับมาที่คำตอบเดิมได้อย่างคล่องแคล่วและแนบเนียนแม้ว่าร่างกายจะอดนอนมามากแล้วก็ตาม
“มีคนมาช่วยมันครับ” จันทร์เปิดโน้ตบุ๊คของตัวเองที่หยิบติดมือมาด้วยและหันหน้าจอที่แสดงภาพรถกอล์ฟที่จ้าวขึ้นไปให้นายแพทย์นพวิทย์ที่ยืนกอดอกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ดู
“หลังจากนั้นรถกอล์ฟนี่ก็วิ่งไปในทางที่ไม่มีกล้องวงจรปิดครับเลยไม่มีใครหาตัวมันเจอ”
ผู้ที่เป็นเจ้าของนัยน์ตาโศกให้กับบุตรทั้งสองจ้องจันทร์ด้วยสายตาเย็นเยียบ
“รับปากพ่อไม่ใช่เหรอว่าจะหาเจอแน่ๆ”
จันทร์ชะงักกึกรู้สึกหายใจไม่ออกนัก “ขอโทษครับ”
“น่าผิดหวัง” นายแพทย์นพวิทย์พูดอย่างเย็นชา “ฉันคิดว่าแกจะดีกว่ามันแท้ๆ แต่ก็ยังพลาด”
แปลกนักที่จันทร์รู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กตัวเล็กๆ ไม่ใช่ผู้มีสิทธิ์ในการเป็นประธานบริหาร ไม่ใช่แพทย์ที่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนอัลฟ่าเป็นโอเมก้า เป็นแค่เด็กที่ทำอะไรก็ไม่เคยดี ไม่เคยได้รับคำชม
และที่สำคัญที่สุดคือเด็กที่ขาดการถูกรัก
“แล้วปลอกคอ PSE ล่ะ? ยังไม่ได้สัญญาณอีกเหรอ ไหนบอกว่าเป็นของดีของใหม่จากที่อเมริกาไง ทำไมประสิทธิภาพมันถึงได้อ่อนด้อยนัก”
คำถามแต่ละคำถามที่หลุดออกมาจากบิดาตัวเองคือสิ่งที่จันทร์ตอบไม่ได้แม้แต่คำถามเดียว
มันเหมือนกับมีดที่แทงเข้าตามตัวโดยไม่สามารถหลบหลีกได้ทำได้เพียงยอมให้เนื้อตัวเกิดบาดแผลเหวอะหวะเลือดท่วมตัว
แต่จันทร์ก็ยังคงพยายามยืนหยัด
สิ่งที่เขาลงทุนทำลงไปทุกอย่างต้องไม่สูญเปล่ากับแค่ความเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้!
“เหมือนพวกมันจะมีอุปกรณ์ระงับสัญญาณครับแต่ผมก็ให้พวกช่างเทคนิคลองกระตุ้นสัญญาณแล้วครับ”
นายแพทย์นพวิทย์ถอนหายใจหน่ายๆ แล้วเดินไปแตะบ่าบุตรชายของตัวเองที่สูงกว่าตนเองแล้ว “พยายามให้ดี จันทร์ ตอนนี้ตระกูลนฤภัทรเหลือแค่แกคนเดียวที่หวังได้แล้ว”
จันทร์เผยรอยยิ้มมั่นใจออกมา
“แน่นอนครับ ผมจะลากตัวมันออกมาให้ได้ครับ”
“จ้าววว อย่ากดมั่วสิ! โกงงง”
สองแฝดซึ่งอยู่ในวัยไม่เกินห้าขวบแอบไปเล่นเกมที่บ้านญาติโดยที่พ่อและแม่ไม่รู้ เกมที่กำลังเล่นอยู่นั้นคือเกมต่อสู้ที่มีระบบการเล่นไม่ซับซ้อนนักอย่างสตรีทไฟเตอร์ ซึ่งคนที่คว้าชัยชนะไปถึงสองเกมแล้วก็คือจ้าวที่ใช้คาถากดมั่วแหลกไม่มีแบบแผนต่างจากจันทร์ที่พยายามเล่นเกมตามวิธีการเล่นอย่างเคร่งครัด
“คิก เล่นเกมมันไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นหรอกน่า”
จ้าวหัวเราะคิกคักเมื่อตัวเองปล่อยท่าไม้ตายแล้วหน้าจอก็ขึ้นว่าตัวเองเป็นวินเนอร์
“ฮื่อ แต่มันไม่เท่อ่ะ” จันทร์หน้ายู่ “มาอีกรอบมา!”
“ด้ายย พี่จ้าวรับคำท้า”
การต่อสู้เริ่มต้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้เป็นไปอย่างสูสีแม้ว่าจ้าวจะพยายามกดมั่วสุดชีวิตแล้วก็ตามและในที่สุดคนที่ได้ชัยชนะก็เป็นอีกคนสักที
“เย้ๆๆ ชนะ!”
จันทร์ดีใจจนกระโดดโลดเต้นแม้ว่าตัวเองชนะแค่ครั้งเดียว แววตาเป็นประกายอย่างมีความสุข
“เว่อร์อ่ะ จันทร์”
เป็นจ้าวบ้างที่หน้ายู่
“มาแข่งกันอีกรอบมา”
จันทร์ส่ายหัวดิกหัวเราะคิกคัก “กลับบ้านดีกว่า เดี๋ยวแม่กับพ่อรู้”
“อีกรอบบบบ”
“ม่ายยย” จันทร์หน้ายู่ “งั้นครั้งหน้ามาแข่งกันถ้าใครชนะต้องเลี้ยงไอติม”
จ้าวพองแก้มงอนๆ “ก็ได้ สัญญาแล้วนะ” ยื่นนิ้วก้อยไปให้
“อื้อ สัญญา!” จันทร์เกี่ยวก้อยกลับแล้วยิ้มจนตาหยี
แต่น่าเสียดายที่นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่สองแฝดหนีออกมาเล่นได้ พอกลับถึงบ้านก็โดนทำโทษกักบริเวณหนึ่งอาทิตย์อีกทั้งยังโดนจับเรียนพิเศษอีก
การแข่งขันที่ยังไม่ทันได้เริ่มต้นจึงจบลงอย่างน่าเสียดายและไม่มีใครได้เลี้ยงไอติมใคร
“ครั้งนี้ผมคงเป็นฝ่ายเลี้ยงไอติมพี่แล้วล่ะ”
จันทร์หัวเราะในลำคอก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอนกับเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน
วาดฝันถึงชัยชนะอันหอมหวานของตัวเอง
“ไอติม...”
จ้าวยืนเหม่อมองตัวเองในกระจก รู้สึกแปลกใจนิดๆ ที่อยู่ดีๆ ก็นึกถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้วขึ้นมา
“ถ้าเป็นไปได้พี่ก็ไม่ได้อยากเลี้ยงไอติมนักหรอก”
หัวเราะเสียงแผ่วเบา
แต่เจ็บเสียดในอกสิ้นดี
===========
ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ เรื่องคำผิดด้วย TT เพิ่งรู้ว่าไซริงค์เขียนแบบนี้ จะนำไปแก้ค่ะ ขอบคุณมากๆ ค่า