{OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ แจ้งข่าวรวมเล่ม p.10
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ แจ้งข่าวรวมเล่ม p.10  (อ่าน 45668 ครั้ง)

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ได้เวลาสนุกแล้วสิ~

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
สงสารเจ้าสุดๆ

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
รออ่านคู่หูทวงคืนเลยค่ะ เดือดแน่นอน
จ้าวสู้ๆ

ออฟไลน์ shannara

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ไซริงค์ นะคะ ไม่ใช่ สลิ้ง

ว่าจะไม่อ่านดราม่า แต่ก็มีแต่ดราม่านี่แหล่ะที่เขียนดี

 :z3: :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ peta1015

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
จ้าวสู้เขานะลูกกกก อย่าไปกลัวมันนนน

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 13
   

27 ชั่วโมง 32 นาที 0.01 วินาที
   
คือเวลาที่นายแพทย์จันทร์ นฤภัทรยังไม่ได้นอนนับตั้งแต่ได้ข่าวการหลบหนีของ ‘นักโทษ’ โอเมก้าที่จุดหมายปลายทางคือสหรัฐอเมริกาแต่ผู้ที่ทำหน้าที่ขนส่งกับทำหายระหว่างทาง ตอนนี้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างพากันหาจนแทบพลิกแผ่นดิน
   
“ครับ ครับ ผมจะรีบหาตัวมันมาให้ครับ ต้องเจอแน่นอนครับ ผมรับรอง”
   
จันทร์กรอกเสียงใส่โทรศัพท์ด้วยสีหน้าโกรธจัด ข้อมือกำแน่นจนขึ้นเป็นข้อขาว นัยน์ตาโศกภายใต้แว่นกรอบบางเฉียบจ้องจอโน๊ตบุ๊คจนแทบทะลุแต่ผลที่ได้ก็ยังเหมือนเดิม
   
ยังไม่มีใครหาตัว ‘จ้าว นฤภัทร’ เจอ!
   
พอปลายสายวาง จันทร์คำรามฮึ่มๆ ในลำคออย่างกราดเกรี้ยว รู้สึกอยากกวาดทุกอย่างบนโต๊ะให้ไปอยู่บนพื้นให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ทำไม่ได้เพราะต้องรักษาภาพลักษณ์สงบเยือกเย็นไว้ ถึงแม้ภายในจะเดือดพล่านจนแทบจะเผาผลาญทุกอย่างให้เป็นจุล
   
“หายไปไหน หายไปไหน”
   
น้ำเสียงทุ้มแหบพร่าพึมพำราวกับสัตว์ป่าที่หิวโหยและดุร้าย ความฉุนเฉียวในหัวกระตุ้นให้จันทร์กระชากโน๊คบุ๊คมาเปิดดูข้อมูลที่ส่งมาจากที่ต่างๆ อีกครั้ง
   
ภาพจากกล้องวงจรปิด ทะเบียนรถ การเคลื่อนไหวของบัญชี ภาพผู้คนที่เดินพลุกพล่านในที่ต่างๆ ตามมุมเมือง ข้อมูลความผิดพลาดของเครื่อง PSE ที่อยู่ๆ ก็จับสัญญาณจากปลอกคอไม่ได้
   
“บัดซบ”
   
คมเขี้ยวกัดริมฝิปากจนเลือดซึม นัยน์ตาสีดำมองตาขวางเมื่อพบว่าไม่มีอะไรเลยที่นับเป็นเบาะแสได้
   
ราวกับว่าคนนั้นๆ นั่นหายตัวไปเฉยๆ เหมือนไม่เคยมีตัวตนอยู่!
   
“เป็นไปไม่ได้ ต้องเจอสิ”
   
ลางสังหรณ์บางอย่างบอกจันทร์ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นถ้าหากตัวเองยอมล่าถอยไปนอน ถึงแม้ดวงตาจะขึ้นสีแดงก่ำจากการอดนอนแต่จันทร์ก็ยังคงนั่งจ้องจอโน๊ตบุ๊คสลับกับโทรศัพท์ไปเรื่อย ภาวนาให้เจอตัวมันสักที
   
ไม่เช่นนั้นเขาก็จะคงมีเรื่องติดค้างในใจ เหมือนกับก้อนเนื้อร้ายที่ซุกซ่อนในตัว วันใดวันหนึ่งที่มันเกิดลุกลามจนกลายเป็นมะเร็งขึ้นมาก็จะสามารถคร่าชีวิตเขาได้โดยไม่ยากเย็น
   
เดี๋ยว..?
   
ใบหน้าที่มีส่วนคล้ายคลึงกับนักโทษโอเมก้าขมวดคิ้วแน่น
   
กดดูคลิปจากกล้องวงจรปิดที่ถ่ายบริเวณห้องที่นักโทษขอตัวเข้าไปห้องน้ำซ้ำดูอีกครั้ง
   
“…?”
   
คิ้วขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนที่กดกรอซ้ำๆ
   
“เล่นมุขนี้เหรอวะ!”
   
จันทร์หัวเราะดังลั่นเมื่อสามารถจับไต๋ได้ แสยะยิ้มมองใบหน้าที่คุ้นหน้าคุ้นตาตัวเองภายใต้รูปโฉมที่คาดเดาได้ยาก แต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อเขาจับไต๋ได้หลังจากนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

หากแต่พอจะแคปรูปต้นเรื่องไปส่งให้คนอื่นดูก็กลับโดนส่งคลิปนึงมาให้ดูซะก่อน
   
ความหงุดหงิดที่ยังไม่ถูกดับหงุดหงิดมากขึ้นไปอีกแต่ก็ยอมกดดู
   
และใบหน้าที่ถูกยอมรับว่าเป็นอันดับหนึ่งในวงการแพทย์ตอนนี้ก็ซีดเผือด มือถือร่วงหล่นจากมือพร้อมกับร่างที่เซถลาไปพิงกับพนักอย่างตื่นตระหนก

   

ภาพแรกของคลิปนั้นเป็นสีดำมืดมิดก่อนที่ตัวอักษรที่ถูกเขียนด้วยเลือดจะค่อยๆ ปรากฎ
   
PREY
   
พอตัวอักษรเลือนหายไปก็แทนที่ด้วยร่างๆ หนึ่งที่มองเห็นหน้าได้ไม่ชัดนักเพราะไฟที่มืดสลัวเอามากๆ ในห้องมืดแห่งนี้ แสงค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ ไล่จากปลายเท้าที่สวมรองเท้าหนังขัดมันสีดำมันขลับ ตามด้วยเกงเกงสูทสีดำแบรนด์ดังที่เปรอะไปด้วยสีแดงสนิทคล้ายเลือดที่แทบจะเลือนไปกับสีดำ ชายเสื้อมีร่องรอยการถูกใช้กรรไกรตัดจนเป็นรอยแหว่งเหมือนถูกฟันมาจนเสื้อขาดเป็นช่องเห็นเสื้อซับสีขาวด้านในแต่ในบางส่วนก็เห็นเนื้อที่ช้ำม่วงเช่นกัน
   
ข้อมือที่ล้วงกระเป๋ากางเกงมีปลายเสื้อสีขาวแลบออกมามีร่องรอยเลือดอย่างชัดเจน กระดุมเสื้อสูทที่ถูกติดแค่จากข้างล่างไล่ขึ้นมาแค่สามเม็ดทำให้คอเสื้อเปิดออกเผยให้เห็นปลอกคอเหล็ก
   
และในที่สุดไฟก็ฉายถึงใบหน้าที่มีรอยยิ้มมุมปาก
   
แสงสว่างกระพริบพรึ่บทำให้ตาพร่าก่อนที่ทั้งห้องจะสว่างในพริบตา
   
ร่างทั้งร่างซึ่งสวมชุดสูทแบบไม่เรียบร้อยนักคล้ายกับถูกอาบด้วยเลือด บริเวณเท้าที่ยืนมีเลือดเจิ่งนอง พื้นที่ห้องรอบตัวที่เป็นสีดำขับให้คนๆ นี้โดดเด่นที่สุดในฟิลม์
   
“สวัสดี”
   
ใบหน้าที่มีเลือดอาบครึ่งใบหน้ายิ้มแย้มจนตาหยี
   
“ผมนายจ้าว ไม่มีนามสกุลเพราะผมถูกตัดออกจากตระกูลแล้ว เป็นอดีตนักร้องนำวงมูนไลท์ที่ตอนนี้มาเป็นนักร้องนำวง PREY แทน ผมหวังว่าทุกๆ คนจะติดตามงานของผมผ่านช่องทางต่างๆ นะครับ”
   
เมื่อพูดจบจ้าวก็ทำท่าคิดหนักก่อนจะเผยรอยยิ้มอีกครั้งและปลดกระดุมเสื้อของตัวเองออกช้าๆ
   
“ผมกลับมาได้ยังไง? ไม่รู้สิ แต่ที่ผมอยากบอกคือชีวิตโอเมก้าแม่งโคตรแย่เลย”
   
พูดถึงตรงนี้จ้าวก็ถอดเสื้อส่วนบนทั้งหมดของตัวเองออก เผยให้เห็นหน้าอกขาวๆ ที่สาวๆ เคยกรี๊ดกร๊าดเป็นบ้าหลังแต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยรอยช้ำม่วงทั้งแผลเก่าแผลใหม่เต็มไปหมด แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือรอยเย็บบริเวณหน้าท้องที่เป็นรอยถูกแทงจากของมีคมขนาดใหญ่
   
จ้าวถอนหายใจแล้วหัวเราะด้วยรอยยิ้มน่าขนลุก
   
“เห็นไหมครับ แผลเต็มเลย อย่างว่าล่ะ ชีวิตของพวกโอเมก้ามันแย่ พวกคุณก็เลิกทำตัวน่ารังเกียจด้วยการรังแกพวกโอเมก้าสักที มันน่าสมเพช”
   
แววตาโศกฉายชัดที่ความโกรธผิดวิสัยจ้าวคนเก่าที่มีแต่ความอารมณ์ดีและเป็นมิตรกับทุกคนบนโลกใบนี้
   
“และผมจะบอกอะไรอย่างนะครับ”
   
นัยน์ตาคล้ายกับสุมด้วยพายุเพลิง ข้อมือบางที่มีรอยแผลเป็นจากการเสียดสีกระชากปลอกคอตัวเองแล้วตะคอกสุดเสียง ราวกับสัตว์คลุ้มคลั่งที่คำราม

“กูไม่ได้ฆ่าพริม!”

เป็นเวลาเกือบนาทีกว่าจ้าวจะรวบรวมสติตัวเองกลับมาเยือกเย็นได้
   
“ส่วนถ้าคุณอยากรู้ว่าใครเป็นคนฆ่าพริมกันแน่ ก็รอหน่อยนะครับ รอให้ผมรวบรวมหลักฐานได้ก่อน ผมจะออกมาแฉแน่นอน รับรองว่าสนุกพอๆ กับเพลงใหม่ของผมเลยล่ะ หึๆ”
   
เมื่อจ้าวพูดจบ วีดีโอก็ค่อยๆ มืดลงและปรากฎตัวอักษรที่เขียนด้วยฟอนต์โมเดิร์นอ่านง่าย
   
‘ไม่มีใครอยากตกเป็นเหยื่อ’
   
พอตัวอักษรเลือนพื้นหลังก็เปลี่ยนเป็นสีขาวปรากฎภาพอีกาสีดำที่นอนทอดกายบนพื้นแล้วถูกหอกแทงเข้าที่หลัง เลือดกลุ่มใหญ่ไหลชุ่มตัวมัน ข้างๆ กันนั้นเขียนว่า 11.4.18 
   
ซึ่งเป็นวันในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า

   
“ได้ จ้าว ได้ มึงเล่นอย่างนี้ใช่ไหม”
   
นายแพทย์หนุ่มที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติตอนนี้กำลังยิ้มด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว
   
“มึงจะได้รู้ว่าความพ่ายแพ้เป็นยังไง!”
   
เหมันต์ซึ่งเพิ่งทำงานของตัวเองเสร็จเดินเข้าไปในห้องอ่านหนังสือและหยุดยืนในที่ประจำตัวเอง  มือหนากดปลดล็อกรหัสบนรูปภาพสิงโตหิมะกำลังนอนทอดกายบนหินด้วยท่าทางน่าเกรงขาม นอกจากจะใช้การกรอกรหัสแล้วยังต้องผ่านการสแกนอีกหลายชั้นทั้งม่านตา ลายนิ้วมือ ใบหน้า ตามที่จะตรวจอัตลักษณ์บุคคลได้เพื่อความปลอดภัยในระดับสูงสุด
เพียงไม่นานกำแพงก็เลื่อนออกเป็นช่องประตูและบันไดสีทึบที่ทอดลงไปเบื้องล่าง

ซึ่งเป็น ‘ความลับ’ อีกอย่างที่ตระกูลกิลลาสไม่เคยเปิดเผยต่อที่สาธารณะ

ผลกำไรจำนวนมหาศาลที่คงเหลือจากการลงทุนและจับจ่ายใช้สอย บิดาของเหมันต์หรือท่านศตคุณ อดีตผู้นำตระกูลกิลลาสผู้มีเชื้อสายไทยเยอรมัน ได้นำมาลงทุนกับการวิจัยเกี่ยวกับจีโนมมนุษย์เฉกเช่นเดียวกับที่สหรัฐอเมริกาหากแต่โครงการนี้นั้นถูกปิดเป็นความลับระดับสูง มีเพียงคนที่ไว้ใจได้เท่านั้นที่รับรู้ถึงโครงการนี้

วัตถุประสงค์หลักก็เป็นไปตามแนวคิดของท่านศตคุณคือต้องการสร้างความเท่าเทียมในมนุษย์ ท่านต้องการจะสร้างยาที่ราคาถูกที่เหล่าโอเมก้าสามารถเอื้อมถึงและสามารถใช้ยาเหล่านี้ในการควบคุมการฮีทของตัวเองได้ สาเหตุใหญ่ๆ ที่ทำให้โอเมก้าถูกเหยียดหยามและแบ่งชนชั้นก็คือการฮีทที่ทำให้เหล่าเบต้าและอัลฟ่าบ้าคลั่ง กลายเป็นสัตว์ป่าที่คล้ายกับติดสัดในชั่วพริบตา ถ้าหากแก้ปัญหาการฮีทพร่ำเพรื่อได้ การใช้ชีวิตของพวกโอเมก้าน่าจะง่ายยิ่งขึ้น

หรืออีกวิธีหนึ่งก็คือการเป็นโอเมก้าให้กลายเป็นเบต้า แบบเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับจ้าว เพราะมันไม่เคยสำเร็จมาก่อน จ้าวจึงเป็นที่ต้องการตัวมากในโครงการจีโนมของอเมริกา ถ้าหากสามารถนำตัวจ้าวไปวิจัยจนได้คำตอบที่ต้องการก็อาจจะสามารถทำเงินได้มหาศาลจากความรู้ตรงนั้นและอาจจะสามารถใช้เป็นเรื่องต่อรองหรือคานอำนาจกับประเทศต่างๆ ได้ตามอำเภอใจ เรียกได้ว่ามีแต่ได้กับได้เท่านั้น

หากแต่เหมันต์ก็รู้อยู่แก่ใจอีกเช่นกันว่าอะไรที่ทำให้เกิดโครงการนี้ขึ้น ที่เหลือก็เป็นแค่ผลพลอยได้ที่ดูสวยหรูเท่านั้น

“เขาเป็นยังไงบ้าง”

เหมันต์เอ่ยถามเมื่อเดินมาถึงห้องวิจัยห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสผนังสีขาวสะอาดตา มีไฟแอลอีดีบนเพดานที่เปิดไฟในระดับที่พอให้มองเห็นแต่ไม่ถึงกับสว่างจัด เครื่องปรับอากาศแบบตั้งที่ทันสมัยที่สุดถูกปรับให้เป็นอุณหภูมิที่เย็นนิดๆ เพื่อให้ร่างที่นอนอยู่บนเตียงทดลองนั้นหลับได้สบาย อุปกรณ์ต่างๆ ที่ตั้งในมุมซ้ายของเตียงคอยวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันเลือด ตลอดเวลา

“หลังจากทำแผลให้ก็หลับมาสิบแปดชั่วโมงแล้วค่ะ”

นักวิจัยสาวซึ่งอยู่ในชุดสีขาวปลอดเชื้อโค้งหัวให้เหมันต์อย่างนอบน้อม ร่องรอยถูกตราประทับบนหลังมือยังชัดเจนทำให้คนมองสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าคนๆ นี้เป็นโอเมก้าที่ไม่ยอมใส่ปลอกคอตามกฎหมาย

แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูกนักเพราะในโลกใต้ดินที่ซุกซ่อนจากสังคมภายนอกนั้น ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นใดๆ มีแค่การแบ่งขั้นตามความสามารถ และนักวิจัยสาวคนนี้ก็เป็นนักวิจัยที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของศูนย์วิจัยแห่งนี้ เธอหรือณิชาจบแพทย์จากสถาบันชื่อดังและต่อโทด้านพันธุศาสตร์ทำให้สามารถทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว จนเป็นคนที่ตระกูลกิลลาสไว้ใจมากคนหนึ่งเพราะเป็นผู้ที่ถูกนำมาจากสถานเด็กกำพร้ามาชุบเลี้ยงตั้งแต่เด็กและได้ดิบได้ที่สุด

ความจริงแล้วในโลกที่เต็มไปด้วยการแบ่งชนชั้นนี้ไม่ได้มีการห้ามให้โอเมก้าเรียนในศาสตร์ต่างๆ หากแต่พวกโอเมก้าส่วนใหญ่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าต่อให้เรียนดีแค่ไหนเก่งมากแค่ไหนแค่ตราสัญลักษณ์ตราเดียวบนหลังมือก็สามารถทำให้หกปีที่เรียนมาสูญสลายในพริบตา ไม่มีโรงพยาบาลที่ไหนหรือคลินิกใดที่รับโอเมก้าเข้าทำงานแม้แต่รายเดียว ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเก่งมากแค่ไหนก็ตาม
ถึงแม้ในใจผู้ประกอบการจะอยากได้ตัวโอเมก้ามาทำงานแต่ก็ไม่มีใครอยากเสี่ยงกับการถูกฟ้องจากเหล่าผู้มาใช้บริการ ถ้าเกิดพวกเขารู้ว่าความจริงพวกเขาถูกรักษาและแตะเนื้อต้องตัวโดยโอเมก้า จุดจบของเรื่องนี้ไม่สวยอย่างแน่นอน พวกเขาจึงทำได้แค่ปล่อยให้เพชรล้ำที่ถูกมองเป็นเศษเดนนั้นถูกกวาดเข้าหลังฉากอย่างน่าเสียดาย

“เหรอ” เหมันต์ครางอืมในลำคอลูบหัวจ้าวเบาๆ ที่ตอนนี้ดูจะหลับสบายซะเหลือเกิน ในมือกอดตุ๊กตาหมีบราวน์ใส่ขุดยีราฟแน่น เหมือนกับเด็กๆ ที่วิ่งเล่นจนเหนื่อยแล้วมานอนต่อเอาแรงยังไงยังงั้น

แต่เหมันต์รู้ดีว่าไม่ใช่

การถ่ายทำคลิปเปิดตัวนั้นกว่าเขาจะเกลี้ยกล่อมจ้าวให้ทำได้ก็หลายชั่วโมง ใบหน้าดูโศกเศร้านั้นเอาแต่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตลอดเวลา เหมือนคนที่อยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่กล้าพอ เขาดูออกว่าจ้าวรู้ว่าใครเป็นคนทำแต่จ้าวยังไม่กล้าบอกเขา ซึ่งเหตุผลเขาก็ไม่แน่ใจนักว่าคืออะไรแต่เขาก็ไม่คิดจะคาดคั้นเพราะแค่นี้จ้าวก็ดูน่าสงสารเกินพอแล้ว

ตอนถ่ายทำเขาเป็นคนถือกล้องเพราะจ้าวร้องขอให้เขาทำ ทั้งๆ ที่ตอนแรกเขากะจะให้ช่างภาพของตระกูลมาช่วยควบคุมภาพให้ แต่เขาก็ตามใจจ้าว อย่างไรก็ตามเขาเขาก็บังคับจ้าวให้ทำวีดีโอเปิดตัวนี้ แปลกนะ ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งบอกว่าจะให้ทำวีดีโอการกลับมาของจ้าว จ้าวนั่งคิดเพียงครู่เดียวก็พูดอธิบายให้เขาฟังได้เป็นฉากๆ และยังเข้าใจง่ายอีกด้วย คิดแล้วก็นึกเสียดายฝีมือของจ้าว เพราะจ้าวเป็นคนนึงที่มีพรสวรรค์ด้านการทำเพลงทำเอ็มวีมากทีเดียว ถ้าหากยังอยู่ในวงการคงจะไปได้ไกลเอามากๆ

“น่าเสียดายชะมัด”

เหมันต์อดที่จะบ่นไม่ได้
   
พอเริ่มถ่ายทำจ้าวก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน ดูคลุ้มคลั่งขาดสติและน้อยเนื้อต่ำใจ ทุกอารมณ์ด้านลบอัดแน่นในลมหายใจก่อนจะปะทุออกทางแววตาและคำพูด
   
ราวกับว่าเขาได้ปลดโซ่สัตว์ป่าที่ถูกทำร้ายจากผู้คนจนคลุ้มคลั่ง สัตว์ตัวนั้นหวาดผวาต่อทุกสิ่ง นัยน์ตาของมันเบิกโพลงคลอด้วยน้ำตา พยายามแสดงท่าทางต่อต้านเพื่อที่จะหาช่องว่างเล็กๆ ให้ตัวมันได้มีจุดยืนได้มีโอกาสรับสิทธิ์ในการหายใจในโลกอันโหดร้ายนี้
   
‘กูไม่ได้ฆ่าพริม!!!!’
   
เสียงในคลิปกับเสียงจริงนั้นแตกต่างเพราะเสียงที่จ้าวคำรามออกมานั้นจริงๆ แล้วดังและร้าวรานกว่านั้นมาก
   
เหมันต์รีบทำไม้ทำมือให้จ้าวใจเย็นๆ มองด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ไม่สามารถขยับเข้าไปใกล้ได้เพราะยังอยู่ในการถ่ายทำอยู่ จึงได้แต่ภาวนาให้จ้าวได้สติหรือไม่ก็มองตัวเองเผื่อจะใจเย็นขึ้นมาบ้าง
   
‘ไม่ต้องกลัว พี่อยู่ตรงนี้แล้ว’
   
พึมพำไปเรื่อยๆ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยิน แต่ในที่สุดแววตาคลุ้มคลั่งนั้นก็กลับมากระจ่างใสมองเขา ชั่วพริบตานั้นเหมันต์รู้สึกถึงความยินดีที่เห็นตนเองสะท้อนอยู่ในแววตาของจ้าว
   
เพียงไม่นานการถ่ายทำก็จบลงแต่พอจะเข้าไปใกล้ก็ต้องเผลอหยุดชะงักอย่างห้ามไม่ได้
   
“สนุกแน่ มันต้องสนุกแน่ หึ มันต้องสนุกแน่!”
   
จู่ๆ จ้าวก็ตะโกนออกมาและทิ้งตัวนั่งบนพื้นหัวเราะลั่นจนตัวโยนก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้สะอื้นฮักเหมือนจะขาดใจ นัยน์ตาที่เคยเต็มไปด้วยความเกลียดชังตอนนี้มีแต่ความสับสนในสิ่งที่ตัวเองกระทำ ตัวทั้งตัวสั่นเทา
   
“จะโกรธไหม อย่าเกลียดจ้าวนะ อย่าเกลียดกันนะ ฮึก”
   
ความลังเลในใจหายไป เหมันต์เดินเข้าไปทรุดตัวนั่งข้างๆ จ้าวและดึงอีกฝ่ายมากอดแน่นอนว่าถึงแม้จะไม่ค่อยมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวนักแต่จ้าวก็จดจำอ้อมกอดอุ่นๆ ได้ จ้าวรีบซุกตัวเข้ากับอกร่างสูงแล้วปล่อยโฮลั่นอย่างควบคุมไม่ได้
   
อีกสิ่งหนึ่งที่เหมันต์ต้องยอมรับกับตัวเองคือจ้าวในตอนนี้นั้นเหมือนจะมีอาการทางจิตที่น่าจะมาจากการย้อนแย้งกันภายในจิตใจ
   
“ชู่ว ไม่ร้อง เด็กดี”
   
เป็นอีกครั้งที่เหมันต์จูบหน้าผากจ้าวและได้ผล
   
จ้าวยังคงสูดน้ำมูกฟืดๆ เหมือนเด็กที่เป็นหวัด มองเสี้ยวหน้าคมคายด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ
   
“เจ็บ พี่เหมันต์ จ้าวเจ็บ เจ็บไปหมดแล้ว”
   
“งั้นบอกพี่เหมันต์หน่อยสิครับว่าใครเป็นคนทำน้องจ้าวเจ็บ”
   
คล้ายกับคำพูดของเหมันต์ไปสะกิดอะไรบางอย่างอีกครั้ง นัยน์ตาโศกของจ้าวจึงเบิกโพลง สองมือยกมือปิดปากตัวเองส่ายหัวเป็นพัลวัน
   
“บอกไม่ได้.. บอกไม่ได้ ฮึก บอกไม่ได้!”
   
หัวใจของคนถามคล้ายกับถูกกัดกร่อนไปอย่างช้าๆ อย่างน่าแปลกประหลาด คิ้วขมวดแน่นพยายามเชื่อมโยมถึงความเป็นไปได้ของคนที่ทำเรื่องทั้งหมดนี้
   
คนที่จ้าวรักมาก… ถึงขนาดตอนไร้สติก็ยังคิดจะปกป้อง
   
ทั้งๆ ที่เขาคนนั้นได้ทำร้ายจ้าวได้อย่างเจ็บแสบเจียนตาย แต่จ้าวก็ยังคงรัก รักแม้จะถูกทำร้าย รักแม้ว่าทุกอย่าง ทั้งความฝัน ตัวตนของตัวเองจะพังถล่มลงมาด้วยฝีมือของคนๆ นั้น
   
“จ้าวครับ”
   
เหมันต์พยายามจะเลียบๆ เคียงๆ เนียนหลอกถามต่อแต่ก็พบว่าร่างในอ้อมกอดตัวเองสลบไปแล้ว
   
   

“คุณเหมันต์คะ คุณจ้าวฟื้นแล้วค่ะ”
   
ณิชาเอ่ยเรียกเหมันต์ที่ยืนเหม่อซ้ำและพยักพเยิดไปทางจ้าวที่ตอนนี้นั่งตัวตรงงัวเงียขยี้ตาหาวหวอดเหมือนเด็กๆ ในมือยังกอดหมีบราวน์แน่น นัยน์ตาโศกปรือปรอยเพราะนี้น่าจะเป็นการนอนหลับที่น่าจะเต็มอิ่มที่สุดในรอบห้าปี
   
การนอนในครั้งนี้เขาไม่ฝันอะไรมีเพียงความมืดอันเงียบสงบ ดูอ้างว้าง แต่ก็อ่อนโยนกว่าความทรงจำเก่าๆ ของเขามากมายนัก
   
“จ้าว”
   
เหมันต์เอ่ยเรียกแทบจะทันทีและส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามที่ลงมาทีหลังเปิดไฟทำให้ห้องสว่างขึ้นในระดับที่เป็นปกติ
   
“ฮื่อ ครับ” จ้าวฉีกยิ้มเล็กๆ ให้เหมันต์
   
“หิวไหม” ร่างสูงเหลือบมองหน้าท้องแบนราบที่ตอนนี้พวกรอยช้ำนั้นจางลงแต่ก็ยังซูบผอมมากอยู่ดี จังหวะการหายใจเข้าออกทำให้ซี่โครงขึ้นอยู่ลางๆ
   
จ็อก
   
จ้าวหน้าขึ้นสีเมื่อจู่ๆ ท้องร้องขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเลยได้แต่พยักหน้ารับเขินๆ “หิวครับ”
   
เหมันต์ก้มมองนาฬิกาข้อมือพบว่าเป็นเวลาเกือบเที่ยงพอดี “งั้นไปกินข้าวกัน ตอนนี้แม่ฉันน่าจะทำกับข้าวอยู่พอดี”
   
เพราะเป็นคนที่ค่อนข้างใจร้อนขัดกับชื่อ เหมันต์จึงช้อนตัวจ้าวลงจากเตียงทันที หยิบเสื้อคลุมข้างๆ มาคลุมตัวให้ก่อนที่จะคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อสวมรองเท้าเดินในบ้านที่เป็นหัวหมีบราวน์ให้กับจ้าว
   
“เอ่อ คุณเหมันต์ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ครับ”
   
จ้าวกระพริบตาถี่อย่างไม่เชื่อสายตา ไม่น่าเชื่อว่าคนที่มีอำนาจขนาดคุณเหมันต์จะมาใส่รองเท้าให้กับใครก็ไม่รู้อย่างเขา
   
“อย่าขัดใจฉัน” ใบหน้าคมขมวดคิ้วและขู่แง่ง “ฉันพอใจแล้วก็รีบๆ ตามฉันมาได้แล้ว เดี๋ยวอาหารจะเย็นก่อน”
   
มือกระตุกเข้าที่แขนของจ้าวให้เดินตามตัวเอง จ้าวหลุดร้องเสียงหลงแต่ก็รีบจ้ำขาตามร่างสูงไปเพราะช่วงขาที่ต่างกันจึงต้องเดินไวมากกว่าปกติ
   
“แล้ว แล้วคุณเหมันต์รู้ได้ไงครับว่าผมชอบหมีบราวน์”
   
จ้าวหน้าขึ้นสียิ่งพบว่าตัวเองหนีบตุ๊กตาหมีบราวน์ใส่ชุดยีราฟที่ชอบมาด้วยยิ่งแดงกว่าเดิม
   
“อย่าถามมาก”
   
เหมันต์คำรามเบาๆ รู้สึกอับอายนิดๆ ที่ต้องพูด “ฉันเป็นแฟนคลับเด็กอย่างนายไง จ้าว ไม่สงสัยบ้างรึไงว่าหมีบราวน์ยักษ์ที่โคตรแพงหาไม่ได้ในตลาด ใครเป็นคนให้”
   
จ้าวอ้าปากค้าง “ตะ ตัวนั้นน่ะเหรอครับ ที่งานคอนเสิร์ต”
   
หมีตัวนั้นเป็นขนาดที่ใหญ่กว่าตัวจ้าวด้วยซ้ำ เป็นตัวที่สั่งทำพิเศษและราคาก็น่ากลัวมากเช่นกัน แต่คนที่แทบจะไม่ใช้เงินไปกับเรื่องส่วนตัวเลยอย่างเหมันต์ถือว่าเล็กน้อยมาก สิ่งที่เหมันต์ทำเพื่อตัวเองมีอยู่ไม่กี่อย่าง หนึ่งในนั้นคือจ้าว สองคือการขี่ม้า ที่เหลือเกี่ยวกับการใช้ชีวิตเป็นหน้าที่ของคนติดตามที่คอยเลือกคอยให้คำแนะนำ
   
“อืม”
   
เหมันต์ตอบอย่างขอไปทีก่อนที่จะพาจ้าวออกทางเดิมซึ่งจะไปโผล่ห้องหนังสือส่วนลูกน้องคนอื่นๆ นั้นไปออกอีกทางเพราะห้องอ่านหนังสือถือเป็นพื้นที่ส่วนตัวของท่านเหมันต์ หากไม่มีธุระจำเป็นไม่ควรเยี่ยงกายเข้าไปเด็ดขาด
   
พออีกคนไม่คุยด้วยจ้าวก็หันมาสนใจรอบข้างและเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไอ้ห้องที่ตัวเองนอนเมื่อกี้นั้นโคตรเหมือนในหนังไซไฟ ไหนจะห้องหับต่างๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นศูนย์วิจัยอะไรสักอย่าง อีกทั้งยังมีเสียงเด็กเล่นอะไรสักอย่างดังเจี๊ยวจ๊าวหลังบานประตูสีสันสดใส
   
ดูเหมือนว่านอกจากคฤหาสน์หลังใหญ่โตที่ดูหรูหรามากๆ แล้ว คุณเหมันต์ยังมีอะไรมากมายที่ซุกซ่อนไว้อีกเยอะ
   
“คุณเหมันต์มีชั้นใต้ดินเหรอครับ”
   
“อืม เอาไว้วิจัยน่ะ”
   
จ้าวชะงักไปอึ้งๆ เพราะไม่คิดว่าคุณเหมันต์จะตอบง่ายขนาดนี้ จึงไม่ลังเลที่จะถามต่อ “วิจัยอะไรครับ”
   
พลั่ก
   
“อูย”
   
จ้าวลูบจมูกตัวเองป้อยๆ เมื่อไปชนกับแผ่นหลังหนาที่อยู่ดีๆ ก็หยุดเดิน พอกำลังจะอ้าปากถามก็ต้องชะงักกับนัยน์ตาสีเทาคล้ายหมอกควันที่จ้องตัวเองด้วยสีหน้าว่างเปล่า
   
“เธอไม่ต้องรู้หรอก”
   
น่าแปลกที่จ้าวกลับรู้สึกสงสารคนตรงหน้าที่เดินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
   
แววตาที่วูบไหวเพียงชั่ววินาทีนั้นบอกกล่าวได้ชัดเจนถึงความเศร้า
   
เขาไม่รู้ว่าเรื่องอะไรที่คุณเหมันต์เศร้าแต่เขาก็ไม่อยากให้คนที่แข็งแกร่งมาตลอดต้องมาอ่อนแอเลยสักนิด ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะแบ่งเบาเรื่องในใจของคุณเหมันต์มาซะเหลือเกิน
   
เพราะถ้าไม่ได้คุณเหมันต์
   
ป่านนี้เขาคงตายไปแล้ว

---------------------

ตอนหน้าจะเจอแม่เขยแล้วจ้าว ทำตัวดีๆ นะ  :hao3:

   


ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
จ้าวมาแล้ว คิดถึงจ้าว
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆค่ะ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
แม่สามีกับลูกสะใภ้จะได้พบกันแล้ว

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 14
   

กลิ่นหอมของสเต็กเนื้อคือสิ่งแรกที่ทักทายจ้าวเมื่อเข้ามาในห้องครัวและสิ่งที่ปรากฎถัดมาคือครัวสไตล์โมเดิร์นสีขาวดำเข้ากับรูปแบบของคฤหาสน์ ในห้องครัวมีทั้งเตาอบเตาแก๊สเครื่องล้างจานมีทุกอย่างที่ห้องครัวทั่วไปพึงมี ข้างๆ ร่างโปร่งที่สวมผ้ากันเปื้อนสีขาวนั้นมีร่างของเด็กประมาณเจ็ดขวบมัดผมจุกกำลังยืนแทะน่องไก่และจ้องพ่อครัวที่กำลังทอดสเต็กดังฉ่าๆ
   
“ม๊า อยากกินสเต็กเนื้อด้วยง่ะ”
   
เด็กน้อยงอแงน้ำลายไหลมองสเต็กเนื้อตาวาว
   
“ไม่ได้ของพี่เหมันต์เขา”
   
น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลชวนให้รู้สึกสบายใจกล่าวปลอบเด็กน้อย
   
“แง้ แต่ใบไม้อยากกินอ่ะ”
   
“ถ้าอยากกินจริงๆ ก็ไปหยิบเนื้อในตู้เย็นมา” เสียงนุ่มพูดอย่างระอาใจเพราะรู้ดีว่าเจ้าตัวน้อยของตัวเองไม่ได้อยากกินจริงๆ แต่อยากแย่งของโปรดพี่ชายตัวเองมากกว่า
   
“ใบไม้!”
   
เหมันต์คำรามในลำคอเดินดุ่มๆ เข้าไปคว้าคอเสื้อเด็กน้อยจนห้อยต่องแต่ง ใบหน้าที่พยายามจะขึงขังเผลอหลุดยิ้ม “บอกกี่ครั้งว่าถ้าอยากกินก็บอกแม่ไว้ก่อน จะมาแย่งพี่ทำไมทุกรอบ”
   
เด็กน้อยยิ้มกวนประสาทแล้วร้องว้ากใส่ “ก็ผมอยากกินตอนนี้นี่!” นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนแบบเดียวกับแม่มองเหมันต์สักพักก่อนจะเหลือบไปเห็นข้างหลัง
   
“อ้า พี่จ้าวววว”
   
นัยน์ตาเด็กน้อยเป็นประกายระยับราวกับขโมยดวงดาวบนฟากฟ้ามาสุมไว้ข้างใน ร่างเล็กพยายามตะเกียกตะกายลงพื้นเพื่อที่จะไปกอดนักร้องคนโปรดของตัวเอง
   
“ปล่อยน้า พี่บ้า แง้งงงง แม่ พี่แกล้ง พี่แกล้งงงง”
   
ใบไม้ตะโกนแว้กๆ หน้ามุ่ยใส่พี่ชายตัวเองแท้ๆ อย่างไม่พอใจ
   
“จะมาชอบเหมือนพี่ทุกอย่างไม่ได้นะ วสันต์!”
   
เหมันต์อดไม่ได้ที่จะเรียกชื่อจริงของใบไม้ด้วยเสียงขึงขังแต่ลึกๆ ก็อดหมั่นไส้น้องตัวเองไม่ได้เพราะชอบตามเขาทุกอย่าง ตั้งแต่อาหารการกินยันเพลงที่ชอบ ไม่รู้ว่ารู้ได้ยังไงว่าเขาชอบฟังเพลงของจ้าว ถึงสรรหามาฟังตามได้
   
“ไม่ได้ก็อปสักหน่อย พี่บ้า!”
   
ใบไม้ร้องแย้กหน้ามุ่ยขั้นสุด “จะงอนแล้วน๊า ถ้าไม่ปล่อย”
   
หากแต่ยังไม่ทันเปิดศึกระหว่างพี่น้อง จ้าวก็เดินเข้าไปหาใบไม้แล้วยิ้มน้อยๆ “รู้จักพี่ด้วยเหรอครับ หนุ่มน้อย”
   
ร่างเล็กที่ยังคงห้อยอยู่พยักหน้าหงึกๆ “ผมชอบพี่จ้าวร้องเพลงมากเลย เพลงสนุ้กสนุก ผมชอบพี่จ้าวมากกว่าพี่เหมันต์อีก! ในห้องผมมีโปสเตอร์พี่ใหญ่กว่าของพี่เหมันต์ด้วย!”
   
ใบหน้าของจ้าวขึ้นสีน้อยๆ เหลือบมองคนที่ถูกกล่าวถึงที่กำลังแสร้งมองไปทางอื่น
   
“ใหญ่ขนาดไหนครับ”
   
“เท่าผนังห้องเลย! ผมเก็บเงินตั้งนานกว่าจะทำใหญ่กว่าพี่เหมันต์ได้” ใบไม้เชิดหน้าหัวเราะหึๆ รู้สึกดีใจที่สามารถเอาชนะพี่ตัวเองได้ตั้งเรื่องนึง
   
“ใครบอก พี่ทำใหม่แล้ว แปะข้างตึกที่พี่ทำงานเลย”
   
เหมันต์แกล้งหยอกน้อง
   
“อะไรนะ!” เด็กน้อยตาโตอย่างตื่นตระหนก “ใหญ่เท่าตึก! ใครมันจะไปสู้ได้ พี่โกหกๆ แม่ พี่โกหกใบไม้!”
   
“พอๆ ทั้งคู่นั่นแหละ”
   
คนโดนเรียกว่าแม่เอ่ยอย่างระเหี่ยใจและเดินมาพร้อมกับจานสเต็กระดับมีเดียมแรร์พร้อมเสิร์ฟมีผักเครื่องเคียงประดับจานอย่างสวยงามราวกับเชฟเมื่ออาชีพ
   
เหมันต์กลืนน้ำลายเอือกเพราะไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่ทำเรื่องให้จ้าวเสร็จหลังจากนั้นก็รีบเคลียร์งานสำคัญๆ จนว่างอีกทีก็เกือบเที่ยง เรียกได้ว่าตอนนี้เหมันต์หิวจนจะสามารถกินน้องตัวเองแทนข้าวได้แล้ว ถ้าน้องไม่หยุดกวนประสาทเขาเสียที
   
จ้าวยืนงงทำหน้าไม่ถูกเมื่อคนอื่นไปประจำที่แล้วแต่เขายังยืนหัวโด่เนื่องจากไม่รู้จะไปนั่งตรงไหนของโต๊ะ
   
“มานั่งนี่” เหมันต์กวักมือเรียกขณะที่เคี้ยวเนื้ออยู่ในปาก “แม่ฉันทำข้าวต้มให้กิน กินได้รึเปล่า?”
   
“กินได้ครับ”

อดีตนักร้องดังทรุดตัวนั่งข้างเหมันต์ที่ตอนนี้ยัดเนื้อเข้าปากแทบไม่หยุดเหมือนจะเขมือบไปทั้งจาน ไม่มีมาดอะไรใดๆ เหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว
   
“หึ”
   
จ้าวพยายามที่จะไม่หลุดขำตอนที่คุณเหมันต์สำลักเนื้อไอแค่กๆ ก่อนที่จะหันไปไหว้แม่ของคุณเหมันต์ที่ตอนนี้นั่งยิ้มน้อยๆ ลูบหัวใบไม้ที่ตอนนี้ก็ซัดอาหารเข้าปากแบบเดียวกับเหมันต์ไม่มีผิดเพี้ยน
   
“สวัสดี… ครับ ผมจ้าว ขอโทษที่รบกวนนะครับ”
   
จ้าวรู้ดีว่าตัวเองคือส่วนเกินของครอบครัวนี้และกำลังทำตัวน่ารังเกียจด้วยการหลบมาอยู่ใต้ปีกผู้มีอำนาจอย่างคุณเหมันต์อย่างหน้าไม่อาย แต่เขาก็ไร้ทางเลือกแล้ว ถ้าแม่ของคุณเหมันต์ไม่พอใจในตัวเขา เขาก็ยินดีที่จะรับมันและพยายามตัวให้มีปัญหาน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
   
แต่ผิดคาดใบหน้าที่ดูเกลี้ยงเกลาที่ดูสุขุมนั้นยิ้มให้เขาอย่างใจดี เส้นผมสีดำสนิทที่ถูกรวบไว้ลวกๆ วางพาดไว้บนไหล่ บริเวณคอที่ควรจะเกลี้ยงเกลานั้นมีร่องรอยบาดแผลเต็มไปหมดเหมือนโดยเหล็กขูด อีกทั้งยังตราประทับของโอเมก้าเบี้ยวๆ เอียงกะเท่เร่ที่บริเวณหน้าอก คล้ายกับถูกกลั่นแกล้งมากกว่าเป็นตราประทับยืนยันตัวของทางการ ส่วนข้อมือนั้นมีสัญลักษณ์ของโอเมก้าอย่างชัดเจน เป็นสัญลักษณ์ที่ไม่สามารถลบออกได้นอกเสียงจากจะตัดมือทิ้ง
   
หากแต่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคือคนตรงหน้าไม่ลืมตา
   
“ฉันตาบอดน่ะ” คนพูดหัวเราะเบาๆ เหมือนเป็นเรื่องตลก “ไม่ต้องเกรงใจหรอก จ้าว ฉันพอจะได้ยินเรื่องของเธอมาบ้าง”
   
จ้าวยิ้มบางแม้จะรู้ว่าคนตรงหน้าไม่มีทางมองเห็น ความรู้สึกอุ่นวาบในอกเหมือนถูกโอบกอดด้วยรอยยิ้มใจดีของแม่คุณเหมันต์
   
มันดูอบอุ่นยิ่งกว่าของแม่จริงๆ ด้วยซ้ำ
   
“กินสิ จ้าว เพิ่งฟื้นไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องกลัวตายหรอก ถึงฉันจะตาบอดแต่เรื่องทำอาหารฉันมั่นใจนะว่าฉันทำอร่อย”
   
“ใช่ อย่อยมาก” ใบไม้ยอมหยุดกินชั่วเวลาสั้นๆ เพื่อยืนยันในความอร่อย “แม่ทำอร่อยที่สุดในโลกเลย ถ้ามิชชิลินมาแม่ต้องได้ห้าดาวแน่ๆ เพราะแม่ทำไข่เจียวปูอลาสก้าได้”
   
“พูดมาก”
   
เหมันต์ที่สเต็กหมดไปครึ่งชิ้นแล้วเหน็บน้องตัวเองตามสัญชาตญาณของพี่ที่ดี
   
“ฮึ่ม” ใบไม้พองแก้มไม่พอใจ “แม่นที พี่ว่าน้องง่ะ”
   
“…”
   
นทีขมวดคิ้วก่อนจะถอนหายใจออกมาเพราะเจ้าตัวน้อยกระตุกเสื้อเขายิกๆ แล้ว “เหมันต์อย่าว่าน้อง”
   
“ครับ”
   
เหมันต์รับคำไม่จริงจังนักแล้วหยิบพริกไทยที่อยู่ใกล้ตัวเองมากว่ามาเหยาะให้จ้าวที่กำลังจะตักกิน
   
“ใส่พริกไทยหน่อยดีกว่า ฉันว่ามันจืดไป”
   
“ขอบคุณครับ”
   
จ้าวยิ้มน้อยๆ ตักกินและพบว่าอร่อยกว่าที่คิดมาก ถึงมันจะไม่ได้อะไรเวอร์วังแบบที่ใบไม้พูดไว้แต่ก็รับรู้ได้ถึงความเอาใจใส่ของคนทำที่พิถีพิถันขนาดไหนในการทำกับข้าวให้คนอื่นกิน
   
มันทำให้เขารู้สึกอยากร้องไห้อีกครั้ง
   
เพื่อไม่ให้คุณเหมันต์จับความผิดปกติของเขาได้ จ้าวก้มหน้ากินจ้าวพยายามซุกซ่อนความรู้สึกน่ารังเกียจของตัวเองเอาไว้ในใจ ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ควรคิดแต่ก็คิดอยู่ดี
   
เขาอิจฉาคุณเหมันต์เหลือเกินที่เติบโตในครอบครัวที่อบอุ่นขนาดนี้ มีแม่ที่ถึงแม้จะเป็นโอเมก้าแต่ก็ช่างใจดีและอบอุ่นต่างจากพ่อแม่ของเขาที่เป็นถึงอัลฟ่าแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจถึงจะขนาดทำกับข้าวด้วยตัวเองให้เขากินนัก อาหารส่วนใหญ่ที่ได้กินร่วมกันคือซื้อมาจากข้างนอกหรืออย่างมากก็ให้แม่บ้านทำกับข้าวให้
   
เวลาร่วมโต๊ะกันมักจะคุยกันแต่เรื่องที่มีสาระ เรื่องที่ไร้สาระอย่างรายละเอียดชีวิตยิบย่อยคือสิ่งที่พ่อของจ้าวไม่ต้องการที่จะได้ยิน ยิ่งตอนที่จ้าวต่อรองเรื่องของเลิกเรียนพิเศษไปเล่นดนตรีก็ทะเลาะกับพ่ออยู่พักใหญ่และจบลงที่ข้อตกลงเกรดสี่ทุกวิชาซึ่งจ้าวก็ต้องโหมอ่านเองอย่างหนักในช่วงเวลาใกล้สอบ นี่คือสิ่งที่จันทร์ไม่รู้เพราะทั้งคู่แยกห้องกันอยู่ตั้งแต่ม.ต้น ความชอบที่ต่างกันทำให้การอยู่ร่วมกันคือสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก
   
จ้าวชอบดนตรีแต่จันทร์ชอบอ่านหนังสือ
   
จ้าวชอบกลางคืนแต่จันทร์ชอบกลางวัน
   
หลายสิ่งที่สองแฝดที่หน้าเหมือนกันลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกันแต่กลับมีนิสัยต่างกันโดยสิ้นเชิง เขาในตอนนั้นยังคงรักจันทร์มากโดยที่ไม่รู้ตัวสักนิดว่าโดนเกลียดเข้าไส้ขนาดไหน

วันจบการศึกษาที่จันทร์ไม่ได้ให้อะไรเขา เขาก็ซื้อหนังสือแพทย์ที่จันทร์อยากได้แต่หาซื้อไม่ได้ให้ วันนั้นจันทร์ไม่ได้ขอบคุณเขาอ้างว่าปวดท้องแล้วกลับบ้านไปและเขาก็เชื่อสนิทใจ ก่อนที่จะมารู้ภายหลังตอนที่เพื่อนบอกว่าเจอหนังสือที่เขาซื้อในถังขยะโรงเรียน ตอนนั้นเขาไม่เชื่อคิดว่าเพื่อนโกหกแต่พอเห็นภาพที่ถูกถ่ายส่งมาเขาก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าจันทร์เผลอทิ้งผิดอัน
   
ซึ่งพอมาถึงตอนนี้เขาก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่การเผลอ มันคือการตั้งใจ ไม่มีใครอยากเก็บของที่คนที่เกลียดให้หรอก
   
ว่าแต่น้อง แม่ของเขาก็ไม่ต่างกันนัก จะให้ความสำคัญกับเขาก็ต่อเมื่อเขาประสบความสำเร็จหรือทำอะไรได้ดีสักอย่าง หากแต่เวลาปกติก็จะค้างอยู่ที่โรงพยาบาลทำงานเป็นบ้าเป็นหลังกับพ่อที่บ้างานไม่ต่างกัน
   
สิ่งที่ตระกูลนฤภัทรถ่ายทอดกันมาคงจะเป็นความหยิ่งทระนงในสายเลือด สิ่งสำคัญที่สุดคือการประสบความสำเร็จมีผู้คนชื่นชนมากมาย แค่นั้นก็ถือว่าเป็นคนในตระกูลนฤภัทรที่ดีแล้ว
   
พอนั่งคิดดูดีๆ จ้าวก็พบว่าครอบครัวของตัวเองนั่นช่างบิดเบี้ยวเหลือเกิน
   
เขาตอนที่ยังเป็นคนเดิมนั้นจมอยู่กับตัวเองกับความฝันเลยไม่ได้ใส่ใจอะไรนักกับสิ่งรอบข้าง แต่พอทุกอย่างล่มสลายลงมาเขาก็พบว่าชีวิตครอบครัวเขาช่างไม่มีความสุขเขาเสียเลย
   
พ่อกับแม่ที่บ้างานและรักศักดิ์ศรีเป็นที่สุด
   
ฝาแฝดที่เป็นน้องชายแท้ๆ เกลียดเขาเข้าไส้
   
“ฮึก”
   
สุดท้ายจ้าวก็หลุดสะอื้นทั้งๆ ที่กินข้าวไปได้ไม่กี่คำ
   
“จ้าว”
   
เหมันต์เรียกอย่างเป็นห่วงยังไม่ทันยื่นมือเข้าไปลูบหัวปลอบอย่างที่มักจะทำก็ถูกขัดซะก่อน
   
“เหมันต์พาน้องขึ้นห้อง”
   
ใบหน้าคมคายมีสีหน้าไม่ยินยอมนักแต่ก็ยอมทำตามอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตามคนที่ใหญ่ที่สุดในบ้านหลังนี้รองจากคุณศตคุณที่เสียไปแล้วก็คือคุณนทีผู้เป็นภรรยาและแม่ของเหมันต์อยู่ดี
   
ภายใต้โลกที่มืดมัว นทีนับว่าเป็นคนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามาก การตาบอดไม่ได้เป็นแต่กำเนิดแต่เกิดจากการถูกกลั่นแกล้งโดยไม่ระวังของพวกอัลฟ่า นทีเติบโตในย่านชุมชนแออัดและพยายามกระเสือกกระสนในการมีชีวิตรอดแม้ว่าจะถูกเหยียดหยามแทบทุกวินาทีที่หายใจ เคยทำงานชั้นต่ำเป็นที่รองมือรองเท้าของคนมานับไม่ถ้วนกว่าจะเจอพ่อเหมันต์ก็อายุเกือบยี่สิบปีพอดี
   
ชีวิตที่ผ่านมาของนทีไม่ได้สวยหรูนักทำให้นทีเข้าใจดีว่าตัวเองควรจะทำยังไงกับอดีตนักร้องดังที่ทุกอย่างในชีวิตพังลงมา
   
“แม่ แต่ว่าใบไม้อยากอยู่ด้วย”
   
เด็กน้อยงอแง
   
นทีหันไปมองวสันต์และพูดเสียงอ่อน “เด็กดี”
   
“ฮื่อ” ใบไม้ยังคงหน้ายู่ “ก็ได้ ใบไม้จะเป็นเด็กดี! ป่ะ พี่เหมันต์อย่ามัวชักช้ายืดยาดเป็นเต่า!”
   
เหมันต์หน้าบึ้ง “อยากโดนตัดค่าขนมไหม”
   
“ไม่กลัวหรอก” ร่างเล็กกระโดดลงจากเก้าอี้แลบลิ้นใส่เหมันต์อย่างยียวน “แก่แล้วก็ขี้งก!”
   
“วสันต์!!!!”
   
เหมันต์คำรามเพราะโดนจี้ใจดำ ทั้งๆ ที่เพิ่งอายุย่างสามสิบไม่นานกลับถูกน้องชายบ้านี่ล้อทุกวันถึงกระดูกกระเดี้ยวที่ไม่ค่อยแข็งแรงลั่นดังกร็อบๆ เวลาวิ่งตาม ไหนจะเรื่องไม่มีแฟนสักทีเพราะแก่เกินไป
   
“แง้ ตามมาแล้ววว”
   
เด็กน้อยร้องจ๊ากเมื่อเห็นร่างสูงขยับตัวแต่ก็ไม่ยอมอยู่เฉยๆ รีบวิ่งหนีขึ้นห้องนอนตัวเองไป
   
“จ้าว”
   
เสียงทุ้มนุ่มพูดเนิบนาบ
   
“ฮึก ครับ”
   
จ้าวกำมือแน่นจนรับรู้ถึงของเหลวที่ซึมออกมาจางๆ เป็นของเหลวที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีเพราะนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่จ้าวเผลอทำร้ายตัวเองจนเลือดตกยางออก
   
แต่เป็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าและมันจะมีครั้งต่อไปเมื่อจ้าวรู้สึกเจ็บปวดในอกจนแทบทนไม่ได้
   
อย่างน้อยๆ การที่ร่างกายเจ็บปวดก็ยังรู้สึกดีกว่าความเจ็บปวดในอกที่เหมือนหัวใจแตกสลายนัก
   
“พริมไม่ควรตาย”
   
จ้าวสะอื้นพูดแทบไม่เป็นภาษา “เธอไม่ได้ทำอะไรผิดด้วยซ้ำ ทำไมเธอต้องมาตายด้วย เธอเป็นคนดี ฮึก”
   
ตลอดเวลาที่ผ่านมาจ้าวนึกถึงแต่ความเจ็บปวดของตัวเองเพราะนึกแค่นี้ก็เจ็บแทบแย่แล้ว พอนึกถึงอดีตคู่หมั้นของตัวเองที่ถึงแม้จะไม่ได้รักแต่ก็ต้องมาตายด้วยความเกลียดของใครบางคนมันก็ไม่ถูกนัก
   
คนตายพูดไม่ได้ นั่นคือความจริงที่จ้าวเพิ่งตระหนักได้ตอนนี้
   
จ้าวมองแต่ตัวเองมาตลอดพอนึกถึงสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตัวเองต้องเข้าคุกก็หัวใจแทบสลาย การที่เพื่อนสมัยเด็กที่รู้จักกันมาตั้งแต่ประถมต้องมาตายเพื่อทำให้เขาต้องตายทั้งเป็นตาม ยิ่งทำให้จ้าวร้องไห้โฮออกมา

มันเป็นความเจ็บปวดมากกว่าตอนที่คิดจะฆ่าตัวตายเสียอีก ทั้งๆ ที่คิดว่าจะไม่เจ็บไปกว่าตอนนั้นแล้วแต่ตอนนี้กลับเจ็บกว่าเดิมหลายเท่า เมื่อรู้ว่าเพื่อเขาจะตายทั้งเป็นนั้นต้องสังเวยด้วยหนึ่งชีวิต
   
และเป็นฝีมือของคนที่เขารักที่สุดคนนึงเสียด้วย
   
“ใจร้าย ฮึก ทำไมต้องใจร้ายขนาดนี้ ฮืออ”
   
“…ฉันจะไม่ถามหรอกนะว่าร้องไห้เรื่องอะไร”
   
เสียงนุ่มนวลที่ดังข้างหูมาพร้อมกับฝ่ามือที่ออกจะหยาบกระด้างต่างจากคุณเหมันต์ลูบหัวอย่างเบามือ
   
หากแต่นั่นกลับทำให้จ้าวร้องไห้หนักกว่าเดิม คุณนทีใจดีและอบอุ่นมากกว่าแม่แท้ๆ ของเขาเสียอีก แม่ของเขาพอรู้ข่าวนอกจากจะไม่มองหน้าเขาแล้วยังสนับสนุนให้เขากลายเป็นโอเมก้าอีกเพื่อกลบข่าวฆ่าพริมด้วยข่าวที่ใหญ่กว่า
   
“ผม ฮึก เจ็บจะตายอยู่แล้ว”
   
นัยน์ตาโศกแดงก่ำมองใบหน้าที่ดูมีอายุนิดๆ แต่ยังดูเกลี้ยงเกลาน่ามอง ใบหน้านั้นยิ้มน้อยๆ ให้จ้าวราวกับว่าไม่ว่าโลกใบนี้จะโหดร้ายแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรคนผู้นี้ได้
   
“ฉันเชื่อว่าเธอไม่ได้ทำนะ จ้าว”
   
นทีพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเช่นเดิมแต่แปลกที่มันทำให้จ้าวสงบลง คล้ายกับว่าเสียงของนทีนั้นเป็นสายน้ำตามชื่อจริงๆ
   
“จ้าว นักร้องนำวงมูนไลท์ที่ฉันรู้จักเป็นคนที่ให้เงินบริจาคเด็กที่เป็นโอเมก้าทุกปี ให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ แต่งเพลงให้กำลังใจพวกโอเมก้า เธอทำอะไรดีๆ กับสังคมไว้เยอะมาก”
   
สมองของจ้าวว่างเปล่านึกสิ่งใดไม่ออกแต่น้ำตาคลอเบ้า เริ่มรู้สึกถึงคุณค่าของตัวเองที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อน
   
“เพลงของเธอทำให้เพื่อนฉันไม่ฆ่าตัวตาย เขาพยายามมีชีวิตต่อเพื่อที่จะทำให้โลกที่อยู่ตอนนี้ดีขึ้นเหมือนเพลงที่เธอแต่ง หมอนั่นยังบอกด้วยว่าถ้าเจอรักหวานแหววเหมือนเพลงขอรักก็ดี”
   
นทีพูดต่อไปเรื่อยๆ และอดอมยิ้มไม่ได้เพราะจ้าวหยุดสะอื้นแล้ว
   
“คนอย่างเธอฆ่าใครไม่เป็นหรอก จ้าว”
   
“แล้วผมต้องทำอะไร”
   
จ้าวถามเสียงแผ่ว แววตาวูบไหว
   
“อย่างที่เหมันต์บอก” นทีหยุดลูบหัวแล้วหยิบทิชชู่บนโต๊ะมาซับน้ำตาให้จ้าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “สิ่งที่เธอทำคือทวงความยุติธรรมให้ตัวเอง มันอาจจะยากหน่อยแต่เชื่อเถอะว่าเธอทำได้อยู่แล้ว”
   
“ผมก็พยายามอยู่ ฮึก” จ้าวสูดหายใจฟืดๆ “แต่มันยาก”
   
“ไม่ยากหรอก ตราบใดที่เธออยู่ที่นี่ก็ไม่มีใครหาเธอเจอ” นทียิ้มน้อยๆ “ตอนนี้สิ่งที่จ้าวต้องทำก็คือเลิกร้องไห้และเข้มแข็ง การร้องไห้มันไม่ได้ช่วยอะไรเปลี่ยนหรอกต่อให้เธออยากให้มันเปลี่ยนมากแค่ไหนก็เถอะ”
   
“ฮึก ผมกลัว” จ้าวสะอื้น “ผมกลัวจะทำทุกอย่างแย่ไปกว่านี้ แค่นี้มันก็แย่พอแล้ว ผมไม่อยากให้ชีวิตผมแย่ไปกว่านี้อีก ผมจะบ้าแล้ว ผมเจ็บจนจะบ้าแล้ว! ผมไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว ฮึก ชีวิตของผมตอนนี้ ผมคาดเดาอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะพังวันไหน ดีไม่ดีเกิดผมโดนเจอตัว ผมก็คงโดนส่งไปอเมริกากลายเป็นสัตว์ทดลองบ้าๆ แล้วก็ตาย”
   
รอยยิ้มของนทีหายไปแทนที่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
   
“ไม่มีใครตายเพราะชีวิตบัดซบหรอกจ้าว” ข้อมือที่เต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลที่มากกว่าจ้าวแกะกระดุมเสื้อตัวเองออกเผยให้เห็นหน้าอกที่ถูกประทับตราโอเมก้า ร่องรอยการถูกบุหรี่จี้ การทำร้าย น้ำร้อนลวก บาดแผลมากมายน่ากลัวสยดสยองที่ตอนนี้เหลือเป็นรอยแผลเป็นจางๆ แต่ก็ยังคงความเจ็บปวดในใจเอาไว้สำหรับนที
   
จ้าวหน้าซีดเผือด
   
“ฉันจะไม่เปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับเธอหรอก” นทีหัวเราะเบาๆ “คนเรามีความเข้มแข็งไม่เท่ากันกว่าฉันจะเป็นแบบตอนนี้ได้ก็แทบจะบ้าเหมือนกัน ฉันเกือบจะโดดตึกฆ่าตัวตายแล้วด้วยซ้ำถ้าพ่อเหมันต์ไม่มาช่วยฉันก่อน ฉันเข้าใจความเจ็บปวดของเธอนะ ความเจ็บปวดที่อยากจะต่อต้านแต่ก็ทำไม่ได้สำหรับฉันมันทรมานจนแทบบ้า”
   
“ฮึก”
   
จ้าวสะอื้นพยายามใช้หลังมือเช็ดดวงตาที่บวมเป่งของตัวเอง
   
โลกใบนี้ช่างโหดร้ายกับทุกคนเหลือเกิน ผู้ที่แข็งแกร่งและมีอำนาจมักจะใช้สิ่งที่ตนเองมีในการรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าหรือแม้แต่พวกเดียวกันก็ยังสามารถทำลายกันได้ลงคอ
   
“ผมอยาก ฮึก ให้มันจบลงสักที”
   
เขาไม่อยากให้ใครต้องมาเจ็บปวดแบบตัวเองอีก
   
“ผมจะช่วยพริม จะช่วยคุณ จะช่วยโอเมก้าทุกคนให้มีชีวิตดีขึ้น”
   
นัยน์ตาโศกที่ทำความมุ่งมั่นหายไปนับตั้งแต่ห้าปีที่แล้วกลับมาเข้มแข็งอีกครั้งอย่างที่ไม่ได้เป็นมานาน
   
“ผม ฮึก จะทำทุกอย่างให้ถูกต้อง”
   
เขาจะเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเองให้กับพริม เขาจะเข้มแข็งให้มากเพื่อที่ตัวเองจะเป็นฟั่นเฟืองอีกตัวนึงในการทำลายระบบชนชั้นที่แยกด้วยสายเลือดนี้ให้ได้
   
“ผมจะทำให้ได้”
   

   
“หมายความว่าไงที่หาตัวไม่เจอ?”
   
น้ำเสียงเย็นเยียบเอ่ยถามนายแพทย์จันทร์ นฤภัทรที่ยืนหลังตรงด้วยใบหน้าหมองคล้ำอย่างคนอดนอน
   
หลังจากที่คลิปของจ้าวถูกปล่อยออกมาก็สร้างคลื่นลูกใหญ่ถล่มซัดตระกูลนฤภัทรจนแทบล้มทั้งยืน ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีเมื่อห้าปีที่แล้วถูกเรียกร้องให้รื้อฟื้นคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ โดยเฉพาะจันทร์ที่ถูกนักข่าวจากหลายสำนักดึงตัวไปสัมภาษณ์เกือบครึ่งวัน
   
แต่คำตอบที่หลุดออกจากปากจันทร์ก็ยังคงเป็นคำที่ยืนยันหนักแน่นเช่นเดิม
   
“จากหลักฐานที่กองพิสูจน์หลักฐานและผมที่เป็นหนึ่งในผู้ชันสูตรพลิกศพก็ต้องบอกว่า จ้าว นฤภัทรเป็นคนลงทำโดยตั้งใจครับ”
   
แม้จะถูกผู้สื่อข่าวตั้งคำถามเบี่ยงประเด็นแต่จันทร์ก็ยังสามารถดึงวกกลับมาที่คำตอบเดิมได้อย่างคล่องแคล่วและแนบเนียนแม้ว่าร่างกายจะอดนอนมามากแล้วก็ตาม
   
“มีคนมาช่วยมันครับ” จันทร์เปิดโน้ตบุ๊คของตัวเองที่หยิบติดมือมาด้วยและหันหน้าจอที่แสดงภาพรถกอล์ฟที่จ้าวขึ้นไปให้นายแพทย์นพวิทย์ที่ยืนกอดอกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ดู
   
“หลังจากนั้นรถกอล์ฟนี่ก็วิ่งไปในทางที่ไม่มีกล้องวงจรปิดครับเลยไม่มีใครหาตัวมันเจอ”
   
ผู้ที่เป็นเจ้าของนัยน์ตาโศกให้กับบุตรทั้งสองจ้องจันทร์ด้วยสายตาเย็นเยียบ
   
“รับปากพ่อไม่ใช่เหรอว่าจะหาเจอแน่ๆ”
   
จันทร์ชะงักกึกรู้สึกหายใจไม่ออกนัก “ขอโทษครับ”
   
“น่าผิดหวัง” นายแพทย์นพวิทย์พูดอย่างเย็นชา “ฉันคิดว่าแกจะดีกว่ามันแท้ๆ แต่ก็ยังพลาด”
   
แปลกนักที่จันทร์รู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กตัวเล็กๆ ไม่ใช่ผู้มีสิทธิ์ในการเป็นประธานบริหาร ไม่ใช่แพทย์ที่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนอัลฟ่าเป็นโอเมก้า เป็นแค่เด็กที่ทำอะไรก็ไม่เคยดี ไม่เคยได้รับคำชม
   
และที่สำคัญที่สุดคือเด็กที่ขาดการถูกรัก
   
“แล้วปลอกคอ PSE ล่ะ? ยังไม่ได้สัญญาณอีกเหรอ ไหนบอกว่าเป็นของดีของใหม่จากที่อเมริกาไง ทำไมประสิทธิภาพมันถึงได้อ่อนด้อยนัก”
   
คำถามแต่ละคำถามที่หลุดออกมาจากบิดาตัวเองคือสิ่งที่จันทร์ตอบไม่ได้แม้แต่คำถามเดียว
   
มันเหมือนกับมีดที่แทงเข้าตามตัวโดยไม่สามารถหลบหลีกได้ทำได้เพียงยอมให้เนื้อตัวเกิดบาดแผลเหวอะหวะเลือดท่วมตัว
   
แต่จันทร์ก็ยังคงพยายามยืนหยัด
   
สิ่งที่เขาลงทุนทำลงไปทุกอย่างต้องไม่สูญเปล่ากับแค่ความเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้!
   
“เหมือนพวกมันจะมีอุปกรณ์ระงับสัญญาณครับแต่ผมก็ให้พวกช่างเทคนิคลองกระตุ้นสัญญาณแล้วครับ”
   
นายแพทย์นพวิทย์ถอนหายใจหน่ายๆ แล้วเดินไปแตะบ่าบุตรชายของตัวเองที่สูงกว่าตนเองแล้ว “พยายามให้ดี จันทร์ ตอนนี้ตระกูลนฤภัทรเหลือแค่แกคนเดียวที่หวังได้แล้ว”
   
จันทร์เผยรอยยิ้มมั่นใจออกมา
   
“แน่นอนครับ ผมจะลากตัวมันออกมาให้ได้ครับ”

   

“จ้าววว อย่ากดมั่วสิ! โกงงง”
   
สองแฝดซึ่งอยู่ในวัยไม่เกินห้าขวบแอบไปเล่นเกมที่บ้านญาติโดยที่พ่อและแม่ไม่รู้ เกมที่กำลังเล่นอยู่นั้นคือเกมต่อสู้ที่มีระบบการเล่นไม่ซับซ้อนนักอย่างสตรีทไฟเตอร์ ซึ่งคนที่คว้าชัยชนะไปถึงสองเกมแล้วก็คือจ้าวที่ใช้คาถากดมั่วแหลกไม่มีแบบแผนต่างจากจันทร์ที่พยายามเล่นเกมตามวิธีการเล่นอย่างเคร่งครัด
   
“คิก เล่นเกมมันไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นหรอกน่า”
   
จ้าวหัวเราะคิกคักเมื่อตัวเองปล่อยท่าไม้ตายแล้วหน้าจอก็ขึ้นว่าตัวเองเป็นวินเนอร์
   
“ฮื่อ แต่มันไม่เท่อ่ะ” จันทร์หน้ายู่ “มาอีกรอบมา!”
   
“ด้ายย พี่จ้าวรับคำท้า”
   
การต่อสู้เริ่มต้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้เป็นไปอย่างสูสีแม้ว่าจ้าวจะพยายามกดมั่วสุดชีวิตแล้วก็ตามและในที่สุดคนที่ได้ชัยชนะก็เป็นอีกคนสักที
   
“เย้ๆๆ ชนะ!”
   
จันทร์ดีใจจนกระโดดโลดเต้นแม้ว่าตัวเองชนะแค่ครั้งเดียว แววตาเป็นประกายอย่างมีความสุข
   
“เว่อร์อ่ะ จันทร์”
   
เป็นจ้าวบ้างที่หน้ายู่
   
“มาแข่งกันอีกรอบมา”
   
จันทร์ส่ายหัวดิกหัวเราะคิกคัก “กลับบ้านดีกว่า เดี๋ยวแม่กับพ่อรู้”
   
“อีกรอบบบบ”
   
“ม่ายยย” จันทร์หน้ายู่ “งั้นครั้งหน้ามาแข่งกันถ้าใครชนะต้องเลี้ยงไอติม”
   
จ้าวพองแก้มงอนๆ “ก็ได้ สัญญาแล้วนะ” ยื่นนิ้วก้อยไปให้
   
“อื้อ สัญญา!” จันทร์เกี่ยวก้อยกลับแล้วยิ้มจนตาหยี
   
แต่น่าเสียดายที่นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่สองแฝดหนีออกมาเล่นได้ พอกลับถึงบ้านก็โดนทำโทษกักบริเวณหนึ่งอาทิตย์อีกทั้งยังโดนจับเรียนพิเศษอีก
   
การแข่งขันที่ยังไม่ทันได้เริ่มต้นจึงจบลงอย่างน่าเสียดายและไม่มีใครได้เลี้ยงไอติมใคร
   
   

“ครั้งนี้ผมคงเป็นฝ่ายเลี้ยงไอติมพี่แล้วล่ะ”
   
จันทร์หัวเราะในลำคอก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอนกับเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน
   
วาดฝันถึงชัยชนะอันหอมหวานของตัวเอง

   

“ไอติม...”
   
จ้าวยืนเหม่อมองตัวเองในกระจก รู้สึกแปลกใจนิดๆ ที่อยู่ดีๆ ก็นึกถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้วขึ้นมา
   
“ถ้าเป็นไปได้พี่ก็ไม่ได้อยากเลี้ยงไอติมนักหรอก”
   
หัวเราะเสียงแผ่วเบา
   
แต่เจ็บเสียดในอกสิ้นดี

===========

ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ เรื่องคำผิดด้วย TT เพิ่งรู้ว่าไซริงค์เขียนแบบนี้ จะนำไปแก้ค่ะ ขอบคุณมากๆ ค่า :hao5:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
สงสารจ้าวที่สุด :ling1:

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ใบไม้น่ารักจังเลย ฮีลลิ่งใจคนอ่าน

ออฟไลน์ W2P5

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
จะบอกว่าเกลียดจันทร์ก็เกลียดไม่ลง :hao5:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
สงสารจ้าว จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ 14th-friedegg

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
เนื้อเรื่องดีมากๆคะชอบมากเลย
จะติดตามต่อไปนะคะ
ตอนแรกเกลียดจันทร์นะ แต่พออ่านถึงตอนล่าสุดนี่รู้เลย
เกลียดพ่อแม่ของจันทร์กับจ้าวมากกว่า พอแม่รังแกฉันมากๆ
ถึงขนาดทำให้แฝดต้องฆ่ากันเองเพื่อเป็นที่รักของคนในครอบครัว
คนแบบนี้ไม่สมควรมีลูกคะ
ตอนจบไม่อยากให้จันทร์เป็นคนที่รับผลคนเดียว พ่อแม่ควรจะโดนให้มากกว่า เป็นโอเมก้าไปเลยน่าจะดีจะได้เห็นใจคนอื่นบ้าง
ขนาดลูกตัวเองยังมีแต่ความรักจอมปลอมให้เลย
อินคะอิน

ออฟไลน์ shannara

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ถ้ามีโอกาสตบใครในเรื่อง ตบพ่อแม่แฝดก่อนเลย
ตัวต้นเหตุที่แท้ทรู ตบพ่อแม่ของพ่อแม่แฝดได้ด้วยจะดีมาก
เลี้ยงยังไงให้พ่อแม่แฝดบ้าศักดิ์ขนาดนี้
 :z3: :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 15
   

“ฉันว่างแค่วันนี้ บอกไอเดียของเธอมาแล้วฉันจะให้คนจัดการให้”
   
เหมันต์พูดขึ้นเมื่อจ้าวเข้ามาในห้องทำงานของตัวเองซึ่งอยู่ชั้นสองของคฤหาสน์และเพิ่งสังเกตเห็นดวงตาที่บวมเป่งจากการร้องไห้
   
“ก่อนอื่นฉันขอถามอะไรหน่อย”
   
จ้าวซึ่งนั่งลงบนโซฟานุ่มตัวเดิมแล้วเอียงคองงๆ เพราะยังไม่ทำได้ตอบคำถามแรกคำถามที่สองก็ตามมาแล้ว “ครับ?”
   
“เมื่อไหร่จะเลิกร้องไห้ซะที” ใบหน้าของเหมันต์บูดบึ้ง “ฉันไม่รู้จะทำยังไงเวลาเธอร้องไห้ จะกอดจะปลอบก็ร้องเหมือนเดิม หนักกว่าเดิมด้วย ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
   
ช่วยไม่ได้ที่เหมันต์กับน้องชายห่างกันประมาณสามรอบ ความสามารถในการเลี้ยงเด็กของเหมันต์จึงต่ำมากและไม่สามารถใช้กับใครได้เลยแม้แต่กับจ้าว เห็นได้ชัดถึงความล้มเหลวเพราะเขาปลอบแล้วหลายรอบก็ยังร้องเหมือนเดิม
   
คนโดนถามหลุดหัวเราะแล้วยิ้มจนนัยน์ตาโศกที่มักจะทำตาเศร้าๆ อยู่เสมอตอนนี้แทบจะมีรอยยิ้มอยู่ในตาด้วยซ้ำ “ไม่ร้องแล้วครับ”
   
แต่คำตอบก็ยังทำให้เหมันต์หน้าบึ้งเหมือนเดิม
   
“เพราะแม่ฉันสินะ ฉันปลอบไม่ดีตรงไหน”
   
จ้าวหน้าแดงนิดๆ เมื่อนึกถึงการปลอบที่ผ่านมาของคุณเหมันต์ ถ้ามองในมุมของความสัมพันธ์ในแง่นั้นเรียกได้ว่าเขาโดนแต๊ะอั๋งไปตั้งหลายครั้งเพราะคุณเหมันต์ทั้งกอดทั้งหอมเลยทีเดียว ลามกสุดๆ ไม่สิ คุณเหมันต์น่าจะมองเขาเป็นน้องชายอีกคนล่ะมั้งที่อายุใกล้ๆ กันหน่อย
   
และถ้าจำไม่ผิดตอนที่เขาอยู่ประถมปลายก็เห็นคุณเหมันต์ที่อยู่โรงเรียนเดียวกับในชุดม.ปลาย อีกทั้งยังเป็นคนฮอตฮิตในโรงเรียนอัลฟ่าเพราะรวย หล่อ หยิ่ง ครบสูตรคุณชายไม่มีใครคบแต่มีสาวตามกรี๊ดเยอะมาก
   
“คุณเหมันต์ก็ปลอบดีครับแต่ผมมันขี้แยนิดหน่อย” จ้าวหัวเราะแหะๆ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าไอ้เรื่องที่ทำให้ร้องไห้นี้มันเยอะแยะไปหมดจนใช้คำว่าขี้แยเลยไม่ได้สักนิด
   
“โอเค ช่างมันเถอะ” เหมันต์ตัดบท “บอกคอนเซ็ปต์เพลงมา ฉันจะได้ให้คนจัดการให้”
   
จ้าวหัวเราะเพราะพอจะเดาได้อยู่แล้วว่าคุณเหมันต์ที่แสนใจร้อนนี่ต้องเข้าเรื่องที่ต้องการจะคุยทันที ไม่มีพิธีรีตองอะไรทั้งนั้น เวลาของคนๆ นี้เป็นเงินเป็นทอง เผลอๆ แค่นาทีเดียวอาจจะหาเงินได้เป็นล้านเลยด้วยซ้ำ
   
“ธีมของเอ็มวีผมอยากได้เป็นหมาป่าที่ใช้ปืนนายพรานล่าแกะครับ”
   
ไม่ว่าเปล่าจ้าวเดินไปที่บอร์ดข้างๆ โต๊ะคุณเหมันต์ที่มีโน้ตจำนวนนึงติดอยู่มุมซ้ายบนของบอร์ดซึ่งเป็นมุมที่สะดวกเหมาะสำหรับคนที่ถนัดซ้ายอย่างเหมันต์
   
จ้าวใช้ปากกัดปอกปากกาเคมีสีดำออกแล้ววาดรูปบนบอร์ดเป็นรูปป่าแบบลวกๆ แล้วมีมนุษย์ก้างคนนึงสวมชุดหมาป่ากำลังถือปืนไรเฟิลเล็งไปที่ฝูงแกะที่ยืนเกาะกลุ่มกันอย่างสบายใจ
   
“ผมจะให้หมาป่าแทนสัญลักษณ์ของพวกอัลฟ่าและแกะคือสัญลักษณ์ของพวกโอเมก้า เอ็มวีจะอยู่ในป่าถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากได้แบบซีจีแต่ผมคิดว่าไม่น่าทัน ป่าหลังบ้านของคุณก็พอไหวอยู่”
   
“ถ้าอยากได้ซีจีจริงๆ ก็ต้องรอ” เหมันต์พูดด้วยสีหน้าจริงจังราวกับกำลังพูดคุยต่อรองธุรกิจพันล้าน “งานพวกนี้มันละเอียดและยาก ต้องให้เวลาพวกเขาทำมันถึงจะออกมาดี”
   
จ้าวกระพริบตาครุ่นคิดพักนึงเพราะใจจริงก็อยากได้ซีจีเท่ๆ แต่เวลามันก็คือหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้าถ้าดันทุรังจะเอาจริงๆ พวกฝ่ายซีจีคงแอบลักลอบเข้ามาปาดคอเขาตายตั้งแต่วันแรก จะได้ไม่ต้องปั่นงานสุดชีวิตมาให้เขา
   
“งั้นก็ป่าหลังบ้านคุณนั่นแหละครับ ส่วนเนื้อเพลงผมก็เกี่ยวกับพวกอัลฟ่าที่ทำร้ายโอเมก้าอะไรทำนองนั้นครับ ผมคิดเนื้อเพลงคร่าวๆ ไว้แล้วประมาณมะรืนก็น่าจะอัดเพลงพร้อมกับเอ็มวีได้”
   
เป็นอีกครั้งที่เหมันต์ต้องทึ่งในความสามารถของจ้าว
   
นัยน์ตาสีเทามองจ้าวอย่างภูมิใจนิดๆ เพราะก็เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อยจนตอนนี้กลายเป็นคนนึงที่มีความสามารถด้านดนตรีมากที่สุดคนนึง จะมีสักกี่คนที่แต่งเพลงในเวลาสองสามวันและมั่นใจได้จากชื่อคนแต่ง ว่าต้องเพราะแน่ๆ นอกจากจ้าวเขาก็ไม่รู้จักคนอื่นแล้ว
   
“แล้วอยากได้ใครมาช่วยทำงานรึเปล่า”
   
จ้าวนิ่งครุ่นคิดชั่งใจไปพักใหญ่ๆ
   
ในอกนึกถึงตอนที่ตัวเองทำพฤติกรรมทรามๆ ใส่ข้าวที่เทิดทูนตัวเองยังกับอะไรแต่ก็ยังอิจฉาได้ลงคอ เพราะกลัวว่าจะถูกลดสำคัญไป ทั้งๆ ที่ความสำคัญของเขานั้นไม่มีมาตั้งนานแล้ว
   
“เอาครับ”
   
พ่นลมหายใจออกมาเหนื่อยๆ ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ไม่สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียวอยู่ดี
   
“ถ้าเป็นคนนอกฉันให้ได้แค่สามคนและขอเป็นคนที่ไว้ใจได้ด้วย”
   
คำว่าไว้ใจได้ทำให้จ้าวจำกัดคนที่ตัวเองต้องการได้ง่ายขึ้นเพราะตอนนี้มีไม่กี่คนนักหรอกที่ทำดีกับเขา
   
“ขอเป็นซิน ฝุ่น แล้วก็ข้าวครับ”
   
เหมันต์เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ “เอาจริงๆ นะฉันข้องใจตั้งแต่วันนั้นแล้ว เธอไปรู้จักซินได้ไง เจ้านั่นโลกส่วนตัวสูงจะตาย”
   
จ้าวหัวเราะแห้งๆ “รู้จักกันในคุกครับ”

แววตาของสีเทาเปลี่ยนไปแน่นอนว่าหม่นหมองลง “ซินกับฝุ่นฉันจะเรียกตัวมาให้แต่ข้าวนี่ฉันไม่รู้จัก”

“ข้าวเป็นคนรู้จักของซินอีกทีครับ” จ้าวกัดปากลงโทษตัวเองที่ยังมีอคติกับคนๆ นี้ไม่หยุดสักที “เป็นโอเมก้าที่เป็นนักร้องนำวันนั้นน่ะครับ”

เขานี่มันน่ารังเกียจเหลือเกิน

จ้าวคิดอย่างหดหู่ เขาอยากดึงตัวข้าวมาช่วยแต่ก็ยังหยุดตัวเองให้ไม่รู้สึกโดนแย่งของสำคัญไม่ได้ เขากลัวว่าตัวเองจะถูกลบเลือนไปถ้าคนที่เหมือนจ้าวคนเก่าก้าวเข้ามาแทนเขา

คนที่เหมือนกับเขาในตอนที่เปล่งประกายทุกอย่าง

มือของจ้าวสั่นโดยไม่รู้ตัวเพราะความหวาดกลัวที่รุกคืบเข้ามากัดกินจิตใจของตนเอง

เขากำลังกลัว..
   
“เฮ้อ”
   
เสียงถอนหายใจเหนือศรีษะทำให้จ้าวเงยหน้าขึ้นมองและพบว่าคุณเหมันต์มายืนตรงหน้าตัวเองแล้วด้วยสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจ
   
“เป็นอะไรอีก หืม?”
   
มือหนาลูบหัวจ้าวเบาๆ เหมือนทุกครั้ง
   
และจ้าวก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของคุณเหมันต์
   
“เอาไปสิ”
   
เหมันต์พูดนิ่งๆ มองคนที่หน้าเหมือนจะร้องไห้อย่างไม่เข้าใจนัก ความจริงกะจะให้ตอนแรกคุยเรื่องงานเสร็จแต่พออีกฝ่ายเข้าโหมดซึมก็ต้องลัดขั้นตอนก่อนที่จะจ้าวจะปล่อยโฮออกมาอีก
   
“ฮึก ขอบคุณครับ”
   
จ้าวยิ้มทั้งน้ำตากอดช่อดอกกุหลาบสีขาวแน่นอย่างหวงแหน
   
“คุณเหมันต์จะไม่ทิ้งผมใช่ไหม”
   
สิ่งที่จ้าวหวาดกลัวจริงๆ ก็คือจะโดนแย่งคนที่ดีกับตัวเองไป ถ้าคุณเหมันต์ให้ความช่วยเหลือเขาเพราะความสงสาร ข้าวคงจะได้รับความใจดีนี่เหมือนกัน ฝั่งนั้นเป็นทั้งโอเมก้าทั้งเหมือนเขาในอดีตอีกทั้งยังมีหน้าตาน่ารัก ผิวพรรณขาวผ่องเกลี้ยงเกลา ดูดีกว่าเขาในตอนนี้มาก
   
“ฮึก ขอโทษครับที่ถามอะไรโง่ๆ”
   
มันอาจจะดูเห็นแก่ตัวแต่เขาไม่อยากจะแบ่งความใจดีนี่ให้ใครแล้วจริงๆ
   
“เฮ้ออ” เหมันต์เสยผมถอนหายใจเซ็งๆ เพราะสุดท้ายจ้าวก็ร้องอยู่ดีและเขาก็คงไม่มีปัญญาทำให้หยุดร้องเช่นเดิม ทั้งๆ ที่เมื่อกี้ก็เพิ่งคุยกันว่าจะไม่ร้องแล้วแต่นี่ยังไม่ถึงห้านาทีก็ร้องซะงั้น
   
“เลี้ยงมาตั้งแต่ม. หนึ่ง คิดว่าจะทิ้งไหมล่ะจ้าว”
   
“ฮึก ผมไม่รู้”
   
“คิดว่าขนมที่ได้บ่อยๆ ใครให้?”
   
จ้าวกระพริบตาปริบเริ่มคิดตามและหน้าแดงเพราะตอนนั้นเป็นช่วงที่หัดร้องเพลงใหม่ๆ เป็นนักร้องโรงเรียนแต่ก็ยังไม่ดังมาก ซึ่งเรื่องที่เขาสงสัยมาตลอดก็เรื่องขนมเนี่ยแหละ ทุกครั้งหลังจากที่เขาขึ้นร้องเพลงมักจะมีขนมที่เขาชอบวางอยู่ใต้โต๊ะเรียน ทุกครั้งจริงๆ จนเพื่อนในห้องตั้งทีมสืบสวนหาตัวคนให้ก็ไม่สำเร็จ ขนมโผล่ที่โต๊ะเขาได้เหมือนเดิมและเยอะขึ้นด้วยเหมือนจะขุนเขาให้อ้วนยังไงยั้งงั้น
   
ถ้าเจ้าของขนมพวกนั้นเป็นคุณเหมันต์จริงนั่นก็เท่ากับว่าเป็นแฟนคลับเขามาเกือบสิบปีเลยสิ! ถึงว่าทำไมตอนหลังๆ ได้น้อยลงก็เพราะคุณเหมันต์จบไปแล้วนี่เอง
   
“คุณ คุณเหมันต์ชอบผมมากเลยเหรอ”
   
จ้าวหน้าแดงก่ำเริ่มทำตัวไม่ถูก
   
“บอกว่าเป็นแฟนคลับไง” เหมันต์หน้าหงิกพยายามกลบเกลื่อนความเขิน “ฉันก็ชอบตอนเธอร้องเพลงไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นแหละ”
   
“ฮื่อ แต่คุณจูบผม”
   
“พูดให้มันถูกหน่อย ฉันแค่จูบหน้าผากไม่ได้จูบเธอจริงๆ”
   
“แล้วทำไมคุณถึงต้องใจดีกับผมขนาดนี้ด้วย”
   
ความรู้สึกแปลกๆ ในอกทำจ้าวเขินหนักกว่าเดิมเพราะรู้จักอาการนี้ดีและเขาก็ไม่ได้ใส่ซื่ออะไร
   
“เข้าใจให้มันง่ายๆ หน่อยได้ไหม” เหมันต์โน้มหน้าเข้าไปใกล้จ้าวด้วยสีหน้าหงุดหงิด “ฉันช่วยเธอเพราะฉันอยากช่วย เหตุผลมันก็มีแค่นี้ สมมุติถ้าฉันเพิ่งออกจากคุกในสภาพปางตาย เธอเมื่อก่อนถ้าผ่านมาเห็นฉันก็คงช่วยเหมือนกัน เห็นไหมบางอย่างมันไม่ต้องมีเหตุผลหรอก”
   
“ครับๆ เข้าใจแล้ว”
   
จ้าวพยักหน้าหงึกๆ แล้วเบิกตากว้างเมื่อใบหน้าคุณเหมันต์เข้ามาใกล้กว่าเดิม ร่างผอมพยายามจะถอยหลังหนีตามสัญชาตญาณแต่ก็โดนคว้าไหล่เอาไว้
   
“ฮื่ม บัดซบ”
   
เหมันต์สบถอย่างหงุดหงิดเมื่อ จู่ๆ เลือดในกายก็พลุ่งพล่านจนร้อนระอุไปหมด เป็นอาการที่คุ้นเคยดีก็จริงแต่มันจะดีกว่านี้
   
ถ้าไม่มีใครอยู่ในห้องด้วย!
   
“!!!”
   
สถานการณ์ตอนนี้นับว่าเป็นอะไรที่น่าตกใจยิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าตัวเองชนะการประกวดร้องเพลงซะอีก!
   
จ้าวหลับตาหยีพยายามเลื่อนใบหน้าหนีคุณเหมันต์ที่จู่โจมจูบเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว ลิ้นร้อนที่รุกไล่เข้ามาในโพรงปากนั้นดูหิวกระหายจนแข้งขาอ่อนไปหมด มือร้อนฉ่าล้วงเข้ามาในแผ่นหลังเขาไล้นิ้วไปตามแนวกระดูกสันหลังอย่างเพลิดเพลินและมาหยุดบริเวณสะโพก
   
สัมผัสไม่คุ้นเคยและร้อนผ่าวทำเอาจ้าวหน้าแดงก่ำหลุดครางเสียงแผ่ว
   
“อือ”
   
แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะเลยเถิดไปกว่านี้ นัยน์ตาสีทึบของเหมันต์ก็กลับมากระจ่างใสจึงรีบผละออกมาจากจ้าว ขบฟันกรอดๆ พยายามหยุดสัญชาตญาณดิบของร่างกายที่กำลังร่ำร้องหาที่ปลดปล่อย
   
“ออก..ไป”
   
แววตาของเหมันต์สั่นระริกแทบจะครองสติไม่อยู่
   
“…อือ”
   
จ้าวยังมึนๆ งงๆ ไม่ได้สติดีเพราะตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ทัน ทุกอย่างเหนือความคาดหมายและรวดเร็วไปหมดราวกับว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติ
   
“จ้าว”
   
เหมันต์เรียกซ้ำเสียงนุ่มนวล มีกลิ่นสนิมอวลในอากาศเมื่อเหมันต์หยิบปากกาใกล้ๆ มาแทงแขนตัวเองจนเลือดออก ความเจ็บปวดทางกายที่ดูจะรุนแรงทำให้สัญชาตญาณสัตว์ป่าลดลง
   
ไม่เช่นนั้นจ้าวจะถูกเขาฉีกทึ้งไม่เป็นชิ้นดี..   
   
แน่นอนว่าเหมันต์ไม่อยกให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นจึงเลือกที่จะทำร้ายตัวเองดีกว่าจะทำให้จ้าวอาการแย่ไปกว่านี้ ไม่สิ แค่เขาจู่โจมก็ดูจะทำให้จ้าวตกใจไปมากแล้ว
   
“ออกไปก่อน”   

ท้ายที่สุดเหมันต์ก็ตัดสินใจเดินไปลูบหัวจ้าวเบาๆ ด้วยแขนข้างซ้ายที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ

“ไว้ฉันจะอธิบายให้ฟัง”

ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะไม่บอกจ้าวเพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ฟังแล้วจะชวนให้สบายใจนักแต่เพราะมันเป็นสาเหตุในการทำให้เขาจู่โจมจ้าวอย่างอุกอาจแบบนี้ ก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องอธิบายให้จ้าวฟัง เขายังไม่อยากเป็นคนหื่นกามไม่ดูเวลาในสายตาจ้าวนัก

“อึก คะ ครับ”

เมื่อได้สติจ้าวก็หน้าแดงก่ำแม้แต่หูก็ยังแดงไปด้วย “งั้น งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ถ้า ถ้ามีอะไรผมจะบอกคุณนทีครับ” ลิ้นกับสมองเหมือนทำงานไม่พร้อมกัน จ้าวพูดแทบไม่เป็นภาษารีบก้าวไวๆ ออกจากห้อง

เหมันต์ถอนหายใจยาวทิ้งตัวใส่โซฟาแล้วครางเซ็งๆ ออกมาก่อนจะโทรหาลูกน้องคนสนิทให้เอาเครื่องปฐมพยาบาลมาให้ เมื่อโทรเสร็จก็หยิบยาบนโซฟามากินและนั่งมองแขนที่เป็นแผลของตัวเองด้วยความหงุดหงิด

เขาเบื่ออาการบ้าๆ พวกนี้เต็มทนแล้วจริงๆ




ผลตอบรับจากทีเซอร์ที่ปล่อยไปสำหรับจ้าวแล้วค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจทีเดียว ผู้คนแบ่งแยกเป็นสองฝั่ง ฝั่งที่เยอะที่สุดคือฝั่งโจมตีที่ไม่เชื่อในตัวจ้าว กนด่าถึงความหน้าไม่อายในการหลบหนีออกจากคุกมาร้องเพลงต่อ คำพูดที่จ้าวพูดแต่ละคำล้วนถูกตั้งเป็นประเด็นว่าโกหกคำไหนบ้าง ผู้คนด่าทอประท้วงให้คนชั่วๆ อย่างจ้าวควรกลับไปนอนในตารางไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน
แต่ก็มีอีกฝั่งที่เชื่อในคำพูดของจ้าว ถึงแม้จะยังคงน้อยนิดแต่ก็ยังดีกว่าเมื่อก่อนนักที่ไม่มีเลย คนที่เชื่อในตัวจ้าวเริ่มกล้าแสดงตัวออกมา พยายามเรียกร้องให้รื้อฟื้นคดีใหม่และให้ความเป็นธรรมกับจ้าว

เรียกได้ว่ากระแสสังคมเกี่ยวกับ ‘จ้าว’  ตอนนี้ดุเดือดเร่าร้อนสุดๆ

ทำให้การปิดข่าวเป็นเรื่องที่เป็นไปแทบไม่ได้ คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ จึงต้องแบกหน้าไปแถลงข่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนึกอับอาย

“จนถึงตอนนี้ผมก็ยังยืนยันคำเดิมครับ”

ใบหน้าคมเข้ากันดีกับนัยน์ตาโศกมุ่งมั่นถึงความสัตย์จริงกับวาจาที่ตัวเองกล่าวออกไป เสื้อกาวน์ที่สวมอยู่ขับให้ผู้พูดดูน่าเชื่อถือมากขึ้นแม้จะยังไม่ได้ทำอะไร เห็นได้ชัดถึงประโยชน์ของวิชาชีพที่สามารถทำให้ผู้คนมองคนอื่นในแง่ดีโดยอัตโนมัติราวกับโดนต้องมนตร์

“หลักฐานในที่เกิดเหตุไม่มีใครแตะต้องและมันก็มีแค่ลายนิ้วมือของจ้าวครับ”

สีหน้าของเจ้าของชื่อในข่าวนิ่งสนิทมองคนที่พูดอยู่ด้วยแววตาเย็นชา

บนหน้าจอแอลอีดีติดผนังปรากฎภาพในที่เกิดเหตุในห้าปีที่แล้วก่อนขึ้นหลักฐานต่างๆ ที่ใช้มัดตัวจ้าวและโยนจ้าวเข้าคุก ยิ่งภาพเปลี่ยนไปเรื่อยๆ สีหน้าของอดีตนักโทษก็ยิ่งแข็งกร้าว

ในที่สุดความเจ็บปวดก็แปรเปลี่ยนเป็นความด้านชา

แม้แต่สัตว์ที่โง่งมที่สุดยังรู้ว่ามันควรทำอะไรเมื่อมันจนตรอก

ถ้าไม่ปิดชีวิตตัวเองก็แว้งกัดจนกว่าจะตายกันไปข้าง!

“นี่เป็นร่องรอยการต่อสู้ครับ”

จันทร์ที่อยู่ในจอบรรยายภาพสยดสยองด้วยสีหน้าสุขุม ศพในจอถูกเซ็นเซอร์จนมองอะไรไม่ชัดแต่ที่ชัดเจนคือรอยถูกมีดแทงเข้าที่ท้องและตามลำตัวอีกหลายแผล

“เห็นได้ชัดว่าสภาพศพถูกมีดแทงจนถึงแก่ชีวิตและบุคคลที่กระทำก็คือนักโทษชายที่ชื่อว่าจ้าวครับ”

ภาพถัดมาที่ปรากฎคือภาพของจ้าวในสภาพสะบักสะบอมที่ท้องมีรอยโดนแทงที่ท้องจนเป็นแผลฉกรรจ์ขนาดใหญ่ชวนให้คลื่นเหียน

“ฮื่อ”

จ้าวคำรามขบฟันกรอดน้ำตารื้นลูบหน้าท้องตัวเองที่ยังเป็นรอยแผลเป็นและยังคงเจ็บเสียดทุกครั้งที่ขยับแรงๆ หรือบางครั้งเมื่อนึกถึงบาดแผลก็จะปวดขึ้นมากะทันหัน

“ก่อนผู้ตายจะเสียชีวิตได้มีการพยายามป้องกันตัวเพื่อเอาชีวิตรอดแต่เธอก็..”
พูดถึงตรงนี้สีหน้าของจันทร์ก็เศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด

“ผมก็ยังขอยืนยันคำว่าครับว่าจ้าวโกหก ถึงเขาจะเป็นพี่แท้ๆ ของผม ผมก็ไม่อยากละเว้นครับ คนชั่วจิตใจโหดเหี้ยมแบบนี้ควรได้รับผลของการกระทำครับ ผมไม่อยากให้พริมเสียใจถ้าเกิดผมพยายามช่วยคนที่ผิดอย่างจ้าว”

วิ้ว

จ้าวผิวปากหวือหัวเราะจนไหล่สั่น

“ดี.. จันทร์ ดี”

จันทร์สามารถตีบทหนึ่งในคนถูกกระทำได้แตกทีเดียว ดีซะจนถ้าเขาเป็นคนนอกก็คงหลงเชื่อคำลวงนี้เหมือนกัน จันทร์เปลี่ยนไปมากเช่นเดียวกับเขาที่เปลี่ยนไป โลกนี้มันโหดร้ายมากจริงๆ

ถ้าจันทร์อยากล่าเขา เขาก็จะล่าจันทร์เหมือนกัน ต่อให้เจ็บปวดก็ช่าง เขาทนไม่ไหวแล้วกับการโดนทำให้จนตรอก เขาจะกลายเป็นหมาจรจัดคลุ้มคลั่งก็ช่าง เขาไม่สนแล้ว เขาไม่อยากสนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว

“และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่ใช้ยืนยันได้ครับ”

รอยยิ้มร้ายของจ้าวหุบลงกะทะหันเมื่อเห็นหลักฐานที่จันทร์ว่า

“สวัสดีครับ ผมไนท์ มือกลองวงมูนไลท์ครับ”

หนุ่มปักษ์ใต้อารมณ์ดีประจำวงมูนไลท์ในชุดเรียบร้อยทำหน้าตาขึงขัง “จ้าวเป็นฆ่าพริมจริงๆ ครับ ผมยืนยันได้ ผมได้ยินจากปากเจ้าตัวเลยและที่อยู่สุดท้ายของจ้าวก็คือคอนโดของพริมครับ ตอนนั้นจ้าวบอกผมว่าพริมชวนไปกินข้าวแต่ใครจะไปรู้ว่าวันนั้นจะเป็นวันสุดท้ายของพริม”

สีหน้าของไนท์แปรเปลี่ยนเป็นโกรธ

“ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจ้าวต้องทำแบบนั้น ทั้งๆ ที่พริมมาเชียร์จ้าวทุกคอนเสิร์ต เทคแคร์ตลอด ไปเที่ยวด้วยกับก็ออกจะบ่อย”

“อืม..”

จ้าวแสยะยิ้มนัยน์ตาเย็นเยียบตัดสินใจปิดทีวีเพราะทนฟังเสียงต่อไปไม่ได้

แม้แต่ไนท์ก็เป็นไปกับเขาด้วย? เรื่องจริงระหว่างเขากับพริมไม่มีอะไรแบบนั้นสักนิด เราทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเฉยๆ ส่วนเรื่องคู่หมั้นผู้ใหญ่เป็นจัดการ จ้าวพยายามทักท้วงแต่ก็ไม่ได้ผลเลยได้ปล่อยเลยตามเลยและหลีกเลี่ยงการแต่งงานมาตลอด แต่ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่งเขาก็ไม่ต้องพยายามทำอะไรอีกต่อไป

“ฮื่ออ”

เลือดในกายพลุกพล่านอย่างเดือดดาล จ้าวคำรามต่ำๆ กระแทกเข้าไปหาเบสไฟฟ้าที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตัวเองในวัยเด็กช่วงหนึ่ง

ทันทีที่ปรับเสียงได้ตามที่ต้องการ ปลายนิ้วผอมที่เต็มไปด้วยบาดแผลก็บรรเพลงอย่างเดือดดาลและคำรามเสียงเพลงออกมาเสียงดังลั่น

จ้าวรู้ดีว่าตัวเองในตอนนี้ไม่ใช่ตัวเองจริงๆ ฮอร์โมนในร่ายกายที่แปรปรวนทำให้ควบคุมอารมณ์ให้นิ่งๆ ดีๆ อยู่เป็นนิจเหมือนเมื่อก่อนจึงเป็นเรื่องยาก เขาเลยได้แต่ระบายมันออกมาผ่านทางเสียงเพลงที่เขารัก

“คุณเห็นลูกแกะน่ารักพวกนั้นไหม? ลูกแกะที่แสนอ่อนแอเนื้อหวานอร่อยที่พวกคุณชอบรังแกพวกมันน่ะ”
เสียงของจ้าวในตอนนี้ไร้ซึ่งความกระจ่างใสแต่อัดแน่นไปด้วยความอัดอั้นตันใจและความโกรธ ทุกอย่างปะทุออกมาพร้อมราวกับภูเขาไฟขนาดเก้าริกเตอร์ ล้างผลาญทุกอย่างในระยะหนึ่งพันกิโลเมตร

เนื้อร้องของเพลง WOLF ที่จ้าวกำลังร้องอยู่นั้นว่าด้วยหมาป่าที่ออกล่าฝูงแกะเล่นทั้งๆ ที่อิ่มอยู่ สิ่งที่มันทำคือการตอบสนองต่อความต้องการมันเท่านั้น ไม่ใช่สัญชาตญาณเป็นเพียงการเล่นสนุกที่มีชีวิตฝูงแกะเป็นเครื่องสังเวย เฉกเช่นเดียวกับพวกอัลฟ่าที่รังแกโอเมก้าอย่างไร้สาเหตุ ไร้มนุษยธรรม

“หมาป่า! หมาป่า! หมาป่า!”

จ้าวตะโกนออกมาเสียงแข็งนัยน์ตาวาวโรจน์ราวกับว่าเห็นน้องชายฝาแฝดตัวเองอยู่ข้างหน้า ทั้งๆ ที่รู้ว่าท่อนนี้ต้องร้องด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวของแกะแต่ก็ควบคุมไม่ให้ตะคอกไม่ได้

เขาโกรธและโมโหจนทนไม่ไหวแล้ว!

“พวกลูกแกะตะโกนเตือนกันอย่างหวาดผวา แต่เจ้าหมาป่าไม่สนใจ ยังคงเล็งปืนไปที่พวกมัน!”

พอถึงท่อนหนึ่งทุกอย่างก็ตกลงในความเงียบและเกิดเสียงดังปัง! ขึ้นมาครั้งหนึ่งจากการที่จ้าวกระทืบเท้าแรงๆ แทนเสียงปืนจริงที่ตั้งใจจะใส่เข้าไปในท่อนนี้

“ลูกแกะตัวหนึ่งล้มลง เจ้าหมาป่าหัวเราะสะใจ! ฝูงแกะตกใจร้องร่ำไห้! นี่เป็นลูกแกะเกิดใหม่ที่ไม่เคยทำร้ายใคร อายุขวบเดียว มันทำอะไรผิด!”

ปัง!!

ปลายเท้าที่ไม่สวมอะไรเตะเข้ากับโต๊ะใกล้ๆ จนห้อเลือด

“ตายอีกตัว เจ้าหมาป่าหัวเราะสะใจ! ตาย ตายให้หมด! ตาย! พวกลูกแกะโง่เง่า”

แววตาของจ้าวตอนนี้ดุดันจนแทบสามารถทำให้คนกลัวจนตัวสั่น

แววตาของหมาจนตรอกที่กำลังคลุ้มคลั่ง

ปัง!!

“ลูกแกะหวีดร้องแต่มันไม่ตาย! มันตะเกียกตะกาย ร้องอ้อนวอนขอให้ไว้ชีวิตมัน”

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
จ้าวหยุดมือเอ่ยร้องด้วยน้ำเสียงแผ่วลง เจ้าลูกแกะตัวนี้ที่สำหรับจ้าวแล้วชีวิตมันน่าสงสารจนรู้สึกเศร้าตามไม่ได้
   
“ได้โปรด ได้โปรด ไว้ชีวิตข้า ความจริงพ่อแม่ของข้าเป็นหมาป่า--”
   
การผ่าเหล่าในพวกอัลฟ่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากแต่ก็สามรถเกิดขึ้นได้ เช่นเดียวกับลูกแกะตัวนี้ที่มีพ่อแม่เป็นอัลฟ่าแต่พอเกิดแล้วกลับผ่าเหล่าเป็นโอเมก้าซะอย่างงั้นจึงได้ทอดทิ้งในฝูงแกะตัวอื่นๆ ที่ถึงแม้จะถูกตราหน้าว่าน่ารังเกียจที่สุดแต่ก็ใจดีกับพวกเดียวกันที่สุดเช่นกัน
   
ปัง!!
   
น่าเสียดายที่เจ้าหมาป่าไม่ใช่พวกมีคุณธรรมอะไรเจ้าลูกแกะพูดไม่ทันจบกระสุนก็เข้าเป้าที่หัวของมัน
   
“ทำไมข้าต้องสนใจ ในเมื่อพวกเจ้าก็เป็นแค่ลูกแกะหน้าโง่!”
   
ฉับพลันแววตาของจ้าวลุกวาวกำลังจะเอื้อนเอ่ยต่อก็ต้องหยุดชะงักเมื่อโดนใครบางคนที่ตัวเล็กกว่ารวบตัวไปกอด จึงต้องวางเบสในมือบนโต๊ะอย่างงุนงงแต่ในใจอย่างคงเดือดดาล ความโมโหและผิดหวังยังคงไหลเชี่ยวในกระแสเลือดและไม่มีทีท่าจะลดลงง่ายๆ
   
“จ้าวใจเย็นๆ ใจเย็นๆ กูอยู่นี่แล้ว”
   
ซินพูดเสียงสั่นตัวสั่นเทาอย่างหวาดกลัวแม้แต่มือที่กำลังลูบหลังจ้าวอยู่ก็ยังสั่น
   
ความจริงซินได้มาถึงห้องอัดเสียงตั้งแต่จ้าวเริ่มร้องเพลงแล้วแต่ก็ไม่กล้าทักเพราะจ้าวน่ากลัวมาก ทั้งเสียงและแววตาที่คุ้มคลั่งนั่นเป็นสิ่งที่ซินไม่เคยเห็นมาก่อน
   
พอจ้าวได้ร้องเพลงทุกอย่างที่ซุกซ่อนกักเก็บเอาไว้ในใจก็เหมือนระเบิดออกมา มันทำลายล้างทุกอย่างไม่ปรานีสิ่งใดแม้แต่ตัวมันเอง ยิ่งเสียงจ้าวที่ดีอยู่แล้วถูกปรับให้ร้องในโทนเพลงร็อคยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนโดนต่อยหนักๆ จนระบมไปทั้งตัว
   
ไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ ว่าถ้าปล่อยเพลงนี้ออกไปพวกอัลฟ่าจะทำหน้ายังไง
   
“กูโอเค”
   
จ้าวพูดอย่างนั้นด้วยสีหน้านิ่งสนิท อารมณ์ยังคงกรุ่นอยู่แต่ไม่ได้แสดงออกมา พอสอดส่องสายตาก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าเห็นใครบางคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอกันอีก
   
โดยเฉพาะในสถานการณ์แบบนี้
   
“ตุลย์?”
   
จ้าวพูดเสียงแผ่วแต่ก็เรียกรอยยิ้มจางๆ ของเจ้าของชื่อได้
   
ถึงแม้น้ำเสียงการร้องเพลงของจ้าวจะสร้างความหวาดกลัวตื่นตระหนกให้กับซินและคนอื่นๆ ที่ใจเสาะ แต่สำหรับตุลย์แล้วถือว่าจิ๊บๆ เบาๆ มากเพราะเป็นสไตล์การร้องอยู่แล้ว
   
“สรุปวันนั้นเป็นมึงจริงๆ สินะ” นักร้องนำวงคู่อริหัวเราะในลำคอแล้วเดินเข้าไปขยี้หัวจ้าวอย่างสนิทสนม “มีปัญหาทำไมไม่บอกกูว่ะ มึงเพื่อนกูนะ จ้าว”
   
ระยะเวลาสั้นๆ ที่ได้ทำงานร่วมกันทำให้จ้าวและตุลย์สนิทกันราวกับรู้จักกันมาเป็นสิบปี แต่น่าเสียดายที่น่าจะมีแค่ตุลย์คิดอยู่ฝ่ายเดียวเพราะชื่อของตุลย์ไม่ได้อยู่ในหัวของจ้าวเลย
   
จะเรียกว่าสนิทก็ใช่แต่ก็ไม่ได้ไว้ใจขนาดนั้น
   
“ขอบใจ”
   
จ้าวดึงตัวเองออกแล้วยิ้มบางๆ “แล้วมาได้ไงวะ”
   
“ก็โดนหนีบมา” ตุลย์ยังคงยิ้มนิดๆ “กูรู้จักไอ้อ้อน”
   
“อ้อนนี้น่ะเหรอ” จ้าวพยักพเยิดไปทางชายแปลกหน้าอีกคนที่ร่างใหญ่ตัดผมทรงอันเดอร์คัทย้อมผมสีส้มแสดแดงเถือกเหมือนแผงคอสิงโตนัยน์ตาคมดุแต่แฝงความยียวนจนเห็นได้ชัดเพราะรอยยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปากที่มีเขี้ยวโผล่ออกมาดูกวนประสาทมาก
   
โดยเฉพาะมือที่ลากคอเสื้อซินกลับมาไปตัวเองแล้วใช้แขนข้างนึงรัดคอไว้แน่น
   
“ดีครับ”
   
เจ้าของชื่อยิ้มจนตาหยี “ผมไลอ้อนเป็นลูกน้องของคุณเหมันต์อีกที เขาใช้ทำอะไรผมก็ทำ เป็นมือขวาที่อยู่ไกลๆ แล้วก็” นัยน์ตาคมดุก้มมองร่างในอ้อมกอดตัวเองแล้วแสยะยิ้ม “เป็นสามีของซินอย่างเป็นทางการทั้งทางนิตินัยและพฤตินัยครับ”
   
จ้าวผิวปากหวือ
   
“คนนี้เหรอซิน”
   
ซินหน้าแดงเถือกสีหน้าไม่อยากยอมรับนัก “เก็บจากถังขยะมา”
   
“ถังขยะจริงเปล่าครับ ซิน คิดดีๆ นะครับจะพูดอะไร”
   
ตอนนี้จ้าวคล้ายกับเห็นหูกับหางของไลอ้อนที่กระดิกไปมาอย่างร่าเริงและกวนประสาท
   
“ถ้าจะมาแล้วพูดมากก็กลับไปเถอะ” ซินเริ่มหงุดหงิดเพราะชอบเป็นคนคุมเกมมากกว่าโดนคุม “แล้วเมื่อคืนน่ะได้เล่านิทานให้ลีโอฟังรึเปล่า ทำไมลีโอถึงบ่นว่าป๊าไม่ยอมเล่านิทาน”
   
“ไม่คุยครับๆ” ไลอ้อนแนบนิ้วชี้กับริมฝีปากแล้วเหลือบมามองจ้าว “ปัญหาครอบครัวไว้คุยตอนอื่นครับ คุณซิน นายท่านเหมันต์สั่งมาว่าวันนี้ต้องช่วยจ้าวอัดเพลงให้เสร็จครับ”
   
“…”
   
ซินกลอกตาหน่ายๆ ก่อนจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองไม่ได้พามาแค่สองคนยังมีอีกสองคนที่นั่งตัวลีบอยู่มุมห้องไม่กล้าออกความเห็นอะไรเพราะแทบไม่รู้จักใครในห้องนี้เลยอีกทั้งยังเป็นโอเมก้าที่ไม่สามารถถีบตัวเองขึ้นในระดับเดียวกับซินได้
   
“แล้วจะให้ข้าวกับฝุ่นทำอะไรบ้าง จ้าว”
   
ทั้งฝุ่นทั้งข้าวสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกกล่าวถึงเอาเข้าจริงแล้วก็ยังตกตะลึงกับจ้าวเมื่อกี้ไม่หาย เพราะทั้งสองเป็นแฟนคลับตัวยงของจ้าวและคุ้นเคยกับเสียงนุ่มเพราะชวนให้สบายใจ
   
เสียงตวาดร้องอย่างกราดเกรี้ยวไม่ใช่จ้าวเลย… ไม่ใช่จ้าวที่พวกเขารู้จักและหลงใหลสักนิดแม้แต่เสี้ยวเดียว เหมือนกับว่าอีกฝ่ายได้กลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว
   
ไม่ใช่จ้าว วงมูนไลท์อีกต่อไป
   
จ้าวปรายตามองข้าวแล้วยิ้มน้อยๆ อย่างเป็นมิตร ความอิจฉาถูกลดทอนลงเพราะตัวตนใหม่ที่ชัดเจนขึ้น การได้ร้องเพลงและเป็นนักร้องนำทำให้จ้าวรู้สึกดีเกินกว่าจะมาอิจฉาข้าว
   
“พี่จะให้ข้าวเล่นคีย์บอร์ด เล่นเป็นใช่ไหม?”
   
แม้แต่น้ำเสียงที่ถามข้าวก็ไม่เหมือนเดิม ถึงถามด้วยความนุ่มนวลแต่ก็ยังน่ากลัวอยู่ดี
   
ข้าวตัวสั่นกลืนน้ำลายเอือกพยักหน้าไม่คิดชีวิต “เป็นครับ เป็น”
   
จ้าวยิ้มพอใจก่อนจะเบนสายตาไปทางฝุ่น “แล้วฝุ่นตีกลองเป็นไหม”
   
ฝุ่นแทบจะร้องไห้เมื่อต้องปฏิเสธ “ไม่เป็นครับ ผมเล่นอะไรไม่เป็นเลยครับ” ปากคอสั่นด้วยความกลัวว่าจะถูกจ้าวตวาดเหมือนที่ร้องเพลงเมื่อกี้
   
สีหน้าของจ้าวเจื่อนลงแต่ก็ไม่ได้ทำให้ฝุ่นหายใจคล่องอยู่ดี
   
“กูไงครับ น้องจ้าว”
   
ตุลย์ยกมืออาสาหน้าบึ้งตึงไม่ใช่เพราะโกรธ แต่เป็นสีหน้าปกติที่ใช้ตั้งแต่ดีใจยันหมาตาย
   
“เห็นไอ้อ้อนบอกว่าเจ้านายอยากได้นักดนตรี กูก็เลยมาด้วย ไม่คิดว่าจะมาเจอมึงพอดี”
   
“แน่ใจ?”
   
จ้าวถามเสียงเรียบไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้า ความโกรธเกลียดที่ไหลเชี่ยวในกระแสเลือดจู่ๆ ก็ตีขึ้นมาจนรู้สึกหงุดหงิดง่ายและประหลาด
   
“เดี๋ยวนะจ้าว”
   
ตุลย์ย่นจมูกแล้วขมวดคิ้ว
   
“กูได้กลิ่นโอเมก้ามาจากมึงว่ะ”
   
“บัดซบ” จ้าวสบถอย่างหงุดหงิดมองมือตัวเองตาขวาง ความรู้สึกแปลกๆ ควบคุมตัวเองได้ไม่เหมือนปกติเพราะฮอร์โมนโอเมก้านี่เอง

แต่เดี๋ยวก่อน…

จ้าวเบิกตากว้าง

ถ้าเขาสามารถปล่อยฟีโรโมนฮอร์โมนโอเมก้าออกมาได้นั่นก็หมายถึงเขากลายเป็นโอเมก้าเต็มตัวแล้วสิ!

ฉับพลันความโกรธระลอกใหญ่ก็โถมเข้ามาในหัวจ้าวจนร่างทั้งร่างสั่นเทา

“จ้าว ใจเย็นๆ จ้าว”

รอบนี้ตุลย์รักษาสีหน้านิ่งสงบไว้ไม่อยู่เอื้อมมือจะแตะจ้าวก็พบว่าอีกฝ่ายถอยร่างตัวเองออก ซึ่งสีหน้าของจ้าวก็น่ากลัวจนไม่กล้าพูดอะไร

“ช่วงบ่ายค่อยอัดเพลงนะ”

จ้าวตัดบทแล้วออกจากห้องโดยไม่สนใจใคร

พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้โมโหทั้งๆ ที่แทบจะคลุ้มคลั่ง พยายามพาตัวเองไปหาบอดี้การ์ดหรือใครสักคนใต้อาณัติของเหมันต์เพื่อที่จะขอยาเกี่ยวกับโอเมก้าอะไรทำนองนั้น

ไม่อย่างนั้นเขาคงได้เป็นบ้าไปก่อนแน่ๆ !

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
อยากให้เจ้าตอบโต้จันทร์แล้ว  o18

ออฟไลน์ 14th-friedegg

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
รอเพลงคะรอเพลง
โอ้ยยยย อ่านไปจะร้องไห้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 687
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
เพิ่งตามมาอ่าน ชอบมาก

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เกรี้ยวกราดถึงใจมาก

พี่เหมันต์คะ ตกม้าตายตอนอิจฉาน้องใบไม้เนี่ยแหละ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
จันทร์ร้ายมาก็ร้ายกลับไปเลยจ้าว

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เจ้ากับจันทร์เป็นผลของพ่อแม่รังเเกฉันจริงๆ
เราเริ่มสงสารทั้งจันทร์ ทั้งเจ้าไปพร้อมๆ กันแล้วหล่ะ

ออฟไลน์ myd3ar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1534
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
จันทร์นี่คงกู่ไม่กลับ อิจฉาเกินไป

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 16 : WOLF p.2 (1/5/61)
«ตอบ #55 เมื่อ01-05-2018 00:01:07 »

“รอผลตรวจเลือดครึ่งชั่วโมงนะคะ คุณจ้าว ถ้าอาการไม่ดียังไงก็สามารถลงมาหาณิชาได้ตลอดนะคะ”
   
เสียงเจื้อยแจ้วของหญิงสาวที่กำลังพูดอยู่ไม่ได้เข้าหูร่างผอมที่นั่งซึมกะทื่อรื่ออยู่บนเตียงแต่อย่างใด นัยน์ตาโศกมองแขนตัวเองที่เป็นรอยแผลสองรอยอย่างเลื่อนลอย
   
แผลแรก.. เกิดจากใช้ยาฉีดรุนแรงของพวกโอเมก้า ปกติแล้วใช้สำหรับควบคุมโอเมก้าที่ฮีทอาการหนักมากๆ เข้าขั้นคลุ้มคลั่งแต่ยาฉีดแบบนี้ไม่ค่อยนิยมกันนักเพราะราคาแพงและมีผลข้างเคียงต่อร่างกายเยอะ ณิชาพยายามท้วงให้จ้าวใช้ยาฉีดแบบเก่าที่จ้าวเคยใช้ที่ร้านของซิน แบบนั้นถึงจะออกฤทธิ์ช้าและมีประสิทธิภาพน้อยกว่าแต่ก็ปลอดภัยกว่าเป็นไหนๆ
   
แต่จ้าวไม่ฟังและไม่คิดจะสนใจ ความพลุ่งพล่านที่แทบจะเผาทุกอย่างให้เป็นจุลเป็นสิ่งที่จ้าวทนกับมันไม่ได้ จึงเลือกสิ่งที่เห็นผลไวกว่าแทงเข้าที่แขนของตัวเอง ไม่สนความเจ็บปวดและในที่สุดทุกอย่างก็เย็นลง
   
ภูเขาไฟที่เตรียมจะล้างผลาญทุกชีวิตค่อยๆ มอดลงเช่นเดียวกับอารมณ์ของจ้าวที่นิ่งขึ้น
   
ส่วนบาดแผลที่สองที่เยื้องกันคือร่อยรอยเข็ดฉีดยาที่ณิชาเจาะเลือดเพื่อไปตรวจว่าตอนนี้จ้าวเป็นอะไรกันแน่ ระหว่างโอเมก้า เบต้า หรืออัลฟ่า
   
“หึ จันทร์” จ้าวหัวเราะในลำคอ “เก่งชะมัดเลยว่ะ”
   
เชื่อเถอะว่าผลตรวจในอีกครึ่งชั่วโมงหน้าคือเขาเป็นโอเมก้าตามที่น้องหวัง ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าเขาจะสามารถกลายเป็นโอเมก้าได้เต็มตัว ดีไม่ดีก็อาจจะ..
   
มือที่เต็มไปด้วยบาดแผลกุมท้องตัวเอง
   
“ฮึก”
   
จ้าวกัดปากตัวสั่นเทาแต่ไม่มีน้ำตา ณิชาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ตัดสินใจเดินออกไปเงียบๆ ให้เวลาส่วนตัวกับจ้าวเพราะพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายอยากอยู่คนเดียวมากกว่าตอนนี้
   
“ใจร้ายจริงๆ”
   
พูดด้วยรอยยิ้มแต่กลับเจ็บปวดเหลือแสน
   
จ้าวหลับตาพริ้ม
   
นี่สิถึงจะเป็นเขา… เจ็บปวดแต่ก็ไม่เดือดดาล เขาโกรธน้องก็จริงแต่ก็ไม่ถึงขั้นพาลใส่ทุกคนที่เข้ามา อาจจะอิจฉาบ้างนั้นก็เป็นเรื่องที่เขาควบคุมตัวเองไม่ได้เพราะเขาอิจฉาจริงๆ เขายอมรับ
   
อย่างเขาเมื่อก่อนก็ยังมีความสุขจนน่าอิจฉา ทั้งในเรื่องงานและเพื่อนทุกอย่างดูเพอร์เฟ็คไปหมดจนเหมือนฝันตื่นหนึ่งแต่เขาก็รู้ดีว่าเป็นความจริงจับต้องได้ มันเป็นแบบนั้นเสมอมาจนกระทั่งทุกอย่างพังลงมาในพริบตา และกลายเป็นแค่ความฝันตื่นหนึ่งจริงๆ
   
มันน่าเจ็บปวดตรงที่รู้ว่ามันเคยเกิดขึ้นจริงและมันจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม
   
“ขอให้มันเป็นเพียงแค่ฝัน”
   
เสียงทุ้มร้องแผ่ว น้ำตาหยดหนึ่งไหลคลอนัยน์ตาเมื่อนึกถึงท่อนเพลงท่อนนึงในเพลงของตัวเองตอนอยู่วงมูนไลท์ แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยเนื้อเพลงได้ต่อ

เพราะน้ำตาและความเจ็บปวดนั้นจุกทั้งในอกและลำคอเสียแล้ว

   

“จ้าว”
   
ตุลย์ซึ่งประจำอยู่ตำแหน่งกลองมองอดีตนักร้องนำด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าซีดเซียวที่ไร้ความรู้สึกใดนั้นราวกับกำแพงเหล็กแข็งแกร่งที่กั้นทุกคนออกไปไม่ให้เข้าใกล้ไม่แม้แต่จะอนุญาตให้ทักทายด้วยซ้ำ
   
หลังจากที่จ้าวกลับมาในห้องนั้นก็ราวกับเป็นคนละคน
   
จากที่ว่าดูน่ากลัวและเหินห่างแล้วตอนนี้มันมากกว่าเดิมเสียอีก ถึงจะมีรอยยิ้มจางๆ ให้บนใบหน้าแต่ใครก็รู้ว่ามันเป็นยิ้มตามมารยาทไม่ใช่รอยยิ้มจากใจจริงๆ เช่นเมื่อก่อน แววตาโศกที่มักจะดูเศร้าตอนนี้ไร้แวว ดูเหมือนคนที่เจ็บปวดจนเสียศูนย์และเลือกที่จะปกป้องตัวเองด้วยการอยู่ตัวคนเดียวไม่เปิดรับใครอีก
   
“ไม่เข้าใจอะไรเหรอ?”
   
จ้าวเหลือบมองถามเสียงเรียบ
   
“เปล่า” ในที่สุดสิงห์หนุ่มประจำวงร็อคก็ถอนหายใจออกมา “จ้าวมึงโอเคเปล่า มีอะไรระบายให้กูฟังได้นะ ไว้ใจกูได้”
   
บรรยากาศรอบตัวตุลย์ที่ปกติมักจะเข้มข้นดุดันชวนให้หวาดกลัวคล้ายกับเบาบางลงกะทันหัน ในอกตุลย์เจ็บปวดนิดๆ เมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองไม่เคยช่วยเพื่อนคนนี้ได้เลยสักครั้ง ไม่กล้าแม้แต่จะออกตัวในสาธาณชนเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ให้จ้าวตอนที่จ้าวถูกจับกุมตัว ตอนนั้นกระแสแอนตี้รุนแรงมากจนทุกคนในวงการเก็บตัวเงียบไม่กล้ายุ่งกับเรื่องนี้ ปล่อยให้จ้าวเป็นเชลยของสังคมและนักข่าวไปอย่างสนุกปาก
   
เขาเคยทอดทิ้งจ้าวเอาไว้เบื้องหลัง ไม่แปลกนักที่จ้าวจะไม่ต้องการเขาในเวลาที่เขาอยากช่วยเช่นกัน
   
“ไม่มี” จ้าวส่ายหัวก้มหน้าก้มตาสนใจเบสไฟฟ้าในมือเขาที่ไว้ใจได้กว่ามนุษย์เป็นไหนๆ “รีบอัดเพลงเถอะ”
   
ตุลย์ถอนหายใจซ้ำครางอืม รอจังหวะจากซินและฝุ่นที่เป็นคนจัดการเรื่องอัดเสียงอยู่ข้างนอก เมื่อถึงเวลามือก็บรรจงตีกลองเป็นโน้ตที่จ้าวได้แจกแจงเอาไว้ เคล้ากับเสียงเบสและคียบอร์ดที่ข้าวเป็นคนเล่น
   
ทุกอย่างเข้ากันดีเหมาะเจาะและลงตัวจนตุลย์อดชื่นชมไม่ได้ ความสามารถของจ้าวนั้นเป็นของจริงจริงๆ ถึงแม้จะอยู่ในคุกถึงห้าปีแต่พรสวรรค์ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงโดดเด่นและสร้างสรรค์อยู่เสมอ
   
น่าเสียดายจริงๆ ที่ต้องเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น
   
ตุลย์มองแผ่นหลังโปร่งผอมที่เปลือยเปล่า รอยสักอีกาดำดูแปลกตาพอๆ กับรอยช้ำม่วงตามร่างกาย ราวกับว่าร่างกายของจ้าวเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่มีจินตกรซุ่มซ่ามมาวาดรูปอีกาเอาไว้ก่อนที่จะเผลอทำสีม่วงช้ำกระเด็นใส่ร่างกายเต็มไปหมด
   
เมื่อถึงท่อนเปิดทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบมีเพียงเสียงของจ้าวที่ดังกังวานในห้อง
   
“คุณเห็นลูกแกะน่ารักพวกนั้นไหม?”
   
เสียงของจ้าวนั้นเย็นเยียบแฝงโทสะจนคนฟังสั่นสะท้าน มันน่ากลัวมากกว่าเมื่อกี้เสียอีก ข้าวหน้าซีดเผือดมองซินเลิกลั่กกลัวๆ ทำตัวไม่ถูก แต่น่าเสียดายคนที่ยืนหลังกระจกก็สภาพพอกัน หวาดกลัวจ้าวในตอนนี้เอามากๆ
   
แววตาที่คลุ้มคลั่งราวกับสัตว์ป่ากลับมาอีกครั้ง มันเป็นแววตาของสัตว์ที่เจ็บปวดเจียนตายแต่พยายามตะเกียกตะกายเอาขีวิตรอดแม้ว่าร่างของมันจะเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก
   
“ลูกแกะที่แสนอ่อนแอเนื้อหวานอร่อยที่พวกคุณชอบรังแกมันน่ะ”
   
หากนี่เป็นเพลงเปิดตัวซิงเกิ้ล PREY ของจ้าว ตุลย์ยอมรับเลยว่าคงจะเป็นซิงเกิ้ลที่ทำให้พวกอัลฟ่าทำหน้าไม่ถูกตอนที่ได้ฟัง ถ้าหากยอมรับความจริงว่าตัวเองทำก็คงทำหน้าไม่พอใจนักที่มาโดนเหน็บแนมด้วยเพลงของฆาตกร แต่ถ้าไม่ยอมรับก็คงจะด่าทอจ้าวที่ร้องเพลงบ้าๆ บอๆ ไร้สาระออกมา
   
แต่ถ้าจุดประสงค์ของเพลงนี้คือกระตุ้นให้ทุกชนชั้นตื่นตัว ก็นับว่าเป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จดีทีเดียว
   
เสียงร้องของจ้าวนั่นราวกับกลั่นออกมาจากจิตวิญญาณ ทุกคำที่ร้องออกมาล้วนมีความหมายและทรงพลัง ดวงตาโศกที่ซ่อนหลังเปลือกตาสั่นระริกอย่างโกรธเคือง ตัดพ้อกับทุกอย่าง สิ่งเหล่านี้ไม่ควรเกินขึ้นกับใครแม้แต่คนเดียว เพราะมันเจ็บปวด เจ็บปวดเหลือแสน เจ็บปวดจนทนไม่ได้ เจ็บจนสามารถฆ่าคนให้ตายทั้งเป็น!
   
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีเสียงกลอง ไม่มีเสียงเบส มีเพียงเสียงคียบอร์ดที่แทนตัวเหล่าฝูงแกะเพราะเสียงดนตรีอันนุ่มนวลของมันหากแต่ตอนนี้กับกรีดเสียงสูงอย่างน่าตื่นตระหนก
   
“หมาป่า! หมาป่า! หมาป่า!”
   
น้ำเสียงหวาดกลัวระคนตกใจถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ จ้าวลืมตาที่สั่นระริกเมื่อนึกถึงภาพที่ตัวเองเกือบจะถูกพวกคนในคุกข่มเหงตอนที่กำลังจะอาบน้ำ ตอนนั้นถ้าผู้คุมไม่เดินตรวจพอดีล่ะก็…
   
“พวกลูกแกะตะโกนกันอย่างหวาดผวา แต่เจ้าหมาป่าไม่สนใจ ยังคงเล่นปืนไปที่พวกมัน!”
   
ขนาดผู้คุมเข้ามาพวกมันก็ยังไม่หยุดมือที่กระชากเสื้อกางเกงเขา ทั้งๆ ที่ตราหน้าเขาว่าเป็นไอ้บ้าแต่ก็จ้องเขาน้ำลายสอทุกครั้งที่อาบน้ำ
   
จ้าวกะจังหวะในใจก่อนจะร้องต่อในส่วนเสียงปืนนั้นจะตัดต่อใส่เข้าไปอีกที
   
“ลูกแกะตัวหนึ่งล้มลง เจ้าหมาป่าหัวเราะสะใจ! ฝูงแกะตกใจร่ำไห้ นี่เป็นลูกแกะเกิดใหม่ที่ไม่เคยทำอะไรใคร อายุขวบเดียว มันทำอะไรผิด!”
   
เขาในตอนนั้นร้องไห้หนักกรีดร้องคลุ้มคลั่งทำร้ายตัวเองจนเกือบจะเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยทำอะไรพวกมันเลยแต่พวกมันก็เลือกที่จะข่มเหงเขาด้วยเหตุผลโง่ๆ อย่างการเป็นโอเมก้า มันไม่ใช่ข้ออ้างด้วยซ้ำที่จะใช้เหตุผลอย่างการเป็นโอเมก้าในการทำร้ายใคร
   
ไม่มีใครสมควรถูกทำร้าย!
   
“ตายอีกตัว เจ้าหมาป่าหัวเราะสะใจ! ตาย ตายให้หมด ตาย! พวกลูกแกะโง่เง่า!”
   
เสียงกลองคำรามลั่นราวกับเสียงคำรนของราชสีห์ด้วยฝีมือของตุลย์ มือกลองควบตำแหน่งหัวหน้าเพลงวงร็อค ใบหน้าคมสงบนิ่งตีเพลงไปตามที่จ้าวสั่งเอาไว้และสามารถเล่นด้วยทำนองที่จ้าวต้องการโดยไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่โน๊ตเดียว
   
อย่างว่าพวกเขาทั้งสองล้วนเติบโตในวงการดนตรี ครึ่งค่อนชีวิตอยู่กับตัวโน๊ต เป็นธรรมดาที่จะสามารถคุยกันรู้เรื่องและสื่อสารกันได้อย่างคล่องแคล่ว ต่างจากข้าวที่ค่อนข้างขลุกขลักนิดหน่อยเพราะเคยชินกับการร้องเพลงมากกว่าการเล่นดนตรีที่เล่นบ้างไม่เล่นบ้างตามอารมณ์ ใช้เวลาซ้อมอยู่ครู่ใหญ่กว่าข้าวจะเข้าใจในสิ่งที่จ้าวต้องการและเล่นได้
   
ใบหน้าของข้าวนั้นแทบไม่มีความสุขมีแต่ความหวาดกลัวสุมในอก ความศรัทธาในตัวจ้าวหายไปจนหมดเมื่อพบว่าจ้าวที่ตัวเองหลงใหลได้ตายไปแล้วจริงๆ และถูกแทนที่ด้วยใครไม่รู้ที่หน้าตาคล้ายกันแทน
   
ข้าวชอบจ้าวคนเก่าที่เสียงเพลงและความร่าเริง ชอบความใจดีที่พร้อมจะเผื่อแผ่ให้คนอื่น ไม่ใช่จ้าวคนที่เฉยชาและพยายามเรียกร้องความถูกต้องให้กับทุกคนคนนี้! ถึงสิ่งจ้าวทำอยู่จะน่าเคารพศรัทธาแต่สำหรับข้าวแล้วจ้าวคนนี้น่ากลัวเอามากๆ ถ้าเป็นปกติจะไม่ลังเลเลยที่จะวิ่งหนีหรือเลี่ยงไปอยู่ที่อื่น เพราะการอยู่กับคนแบบนี้คือความไม่ปลอดภัยอย่างหนึ่ง  คุณไม่มีทางรู้เลยว่าเขาคิดอะไรข้างในอยู่
   
เป็นเวลานานชั่วกัลป์สำหรับข้าวกว่าเพลงจะจบลง พอเห็นแผ่นหลังผอมที่เต็มไปด้วยบาดแผลน่ากลัวของจ้าวหอบสั่นสะท้านก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกด้วยความหวาดกลัว เมื่อจ้าวหันมามองก็สะดุ้งสุดตัว ถึงใบหน้านั้นจะมีรอยยิ้มน้อยๆ แต่ข้าวก็รู้ดีว่านั่นไม่ใช่รอยยิ้มจากใจดังเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว
   
“ขอบคุณที่มาช่วยอัดเพลงนะ”
   
จ้าวยิ้มแม้จะไม่ได้รู้สึกยินดีเท่าที่ตัวเองพูด ความเจ็บปวดยังคงเกาะกุมตามร่างกายราวกับปรสิตที่มองไม่เห็น มันคอยชอนไชไปทั่วเฝ้ารอให้เจ้าของร่างตายลงเพื่อที่มันจะได้ยึดครองร่างแทน
   
“ไม่เป็นไร กูยินดีช่วย”
   
ตุลย์ว่าอย่างนั้นก่อนจะยื่นมือไปตั้งใจจะแตะไหล่เบาๆ แต่ก็พบว่าอีกฝ่ายเบี่ยงตัวหลบด้วยสีหน้าหวาดกลัวและเมื่อลองสังเกตดีๆ ก็พบว่าตามใบหน้าของจ้าวนั้นเต็มไปด้วยเหงื่อทั้งๆ ที่แอร์ในห้องอัดนั้นเย็นเฉียบ แต่ปากก็หนักเกินกว่าจะถามคำถามออกไป รู้ดีว่ายังไงคำตอบที่ได้ก็คงเป็นคำตัดบท ยังไงซะเขาก็เคยทอดทิ้งจ้าว ถ้าจ้าวเลือกที่จะไม่ไว้ใจเขาก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรนัก
   
“ข้าว”
   
จ้าวเรียกเสียงแผ่วพยายามฉีกยิ้มให้มากที่สุดเพราะดูออกว่าตัวเองทำให้เด็กกลัวซะแล้ว “กลัวพี่เหรอ” ถามด้วยความเอ็นดูเล็กๆ แต่ในอกกลับบาดลึก
   
เขาทำแฟนคลับตัวน้อยๆ คนนี้ผิดหวังสินะ
   
“เปล่า เปล่าครับ” ใบหน้าน่ารักของข้าวซีดเผือด หัวทุยส่ายหัวแรงๆ เป็นพัลวัน “ผม ผมไม่กลัวพี่จ้าวหรอก พี่จ้าว จะ ใจดีจะตายครับ วันนี้ก็ก็ใจดีมากด้วย!”
   
จ้าวโคลงหัวตามที่ข้าวพูดแล้วหัวเราะเบาๆ
   
ปากบอกไม่กลัวแต่กลัวเขาจนพูดแทบไม่รู้เรื่องแล้ว
   
ร่างโปร่งยิ้มน้อยๆ แล้วเดินไปหยุดที่หน้าข้าวที่หน้าซีดกว่าเก่าและกลัวเขาจนปากคอสั่นไปหมด นัยน์ตากลมโตนั้นคล้ายกับมีน้ำตาคลอหน่วงจนจ้าวอดไม่ได้ที่จะยอมมือไปลูบหัวข้าวเบาๆ อย่างเอ็นดู
   
ยังไงซะเขาก็อายุเยอะกว่าข้าวตั้งห้าหกปี อีกทั้งข้าวก็อายุเท่าเขาตอนติดคุกพอดีด้วย
   
“ไม่ตัวกลัวพี่ไม่กัดหรอก”
   
เขาฆ่าคนที่เหมือนตัวเองไม่ลงหรอก ข้าวเหมือนเขาตอนที่อายุสิบเก้าเปล่งประกายระยิบระยับ เป็นเพชรที่รอการเจียระไนจากผู้คนเพื่อเพิ่มมูลค่าก่อนที่จะเปลี่ยนตัวเป็นดาวบนฟากฟ้าให้ผู้คนชื่นชม
   
เขาเคยเป็นอย่างนั้นจนกระทั่ง..
   
“อยากรู้อะไรกับเพลง ถามพี่ได้นะ พี่พร้อมจะให้คำปรึกษา” จ้าวยิ้มจนตาหยี
   
ในช่วงอายุนี้คือช่วงที่ควรจะเปล่งประกายมากที่สุด ถ้าหากเขาไม่ติดคุกซะก่อนอาจจะทำได้มากกว่าระดับประเทศด้วยซ้ำแต่ก็นะ ทุกอย่างเกิดขึ้นไปแล้ว ไม่มีหนทางใดที่จะย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้อีก ที่เขาทำได้ก็มีแค่ยอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้น และเขาก็อยากให้ข้าวได้มีโอกาสเปล่งประกายแบบเขาบ้าง อย่างน้อยๆ ก็ขอให้ใช้ชีวิตที่มีความสุขกว่าเขาในตอนนั้น ทดแทนเวลาที่สูญเสียไปอย่างสูญเปล่าในคุก
   
“จะ จริงเหรอครับ” นัยน์ตาข้าวเปล่งประกายระยับอย่างดีอกดีใจ ถึงจะกลัวแต่ก็ดีใจมากว่าไอดอลของตัวเองเอ่ยปากจะช่วยให้คำแนะนำ “พี่จ้าวจะไม่ว่าอะไรผมใช่ไหม ถ้าผมจะใช้เพลงเก่าของพี่จ้าวฝึกร้อง”
   
ข้าวเอ่ยถามอย่างระมัดระวังแต่ก็ดูจะไม่ระมัดระวังพอที่จะทำให้จ้าวรักษาสีหน้ายิ้มแย้มไว้ได้
   
รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปเหลือเพียงสีหน้าเฉยชา “ได้สิ”
   
ทั้งๆ ที่เอ่ยปากอนุญาตข้าวกลับไม่รู้สึกดีใจเท่าไหร่ ใจจริงอยากถอยกรูดออกจากจ้าวใจแทบขาดแต่ก็อดทนยืนนิ่งๆ ให้จ้าวลูบหัวอย่างเจี๋ยมเจี้ยม
   
“งั้นขอตัวก่อนนะ กะจะทำเพลงให้เสร็จวันนี้”
   
จ้าวไม่ได้สนใจจะร่ำลาใครนัก เดินอาดๆ ออกไปนั่งประจำที่แทนซิน กรอเพลงฟังเสียงซ้ำสองสามครั้งเพื่อหาดูว่ามีจุดที่เพี้ยนหรือใช้ไม่ได้หรือเปล่าซึ่งก็ถือว่าการอัดครั้งนี้ประสบความสำเร็จ จ้าวได้เสียงที่ต้องการพอดีจึงสามารถนำไฟล์เสียงไปตัดต่อเองได้อย่างคล่องแคล่ว โดยมีตุลย์ที่มานั่งข้างๆ ให้คำแนะนำหรือวิจารณ์เป็นพักๆ เพื่อให้ได้เพลงที่ดีที่สุดก่อนที่จะปล่อยออกไปสู่สาธารณชน
   
ระหว่างที่จ้าวทำนั้นจู่ๆ ก็รู้สึกใจลอยคิดถึงคนหนึ่ง คนที่อยู่ไกลแสนไกล และคงไม่มีวันได้พบกันอีก ถ้าคนๆ นั้นยังอยู่คนที่นั่งข้างเขาคงไม่ใช่ตุลย์แต่เป็นเขาคนนั้นแทน
   
มือที่กำลังกุมเมาส์สั่นน้อยๆ แต่ไม่มีใครสังเกตเห็น ในอกของจ้าวคล้ายกับเต้นช้าลงเมื่อหน้าของเขาคนนั้นปรากฎในหัว
   
‘จ้าวไม่ได้เป็นคนทำ! ผมยืนยันได้ น้องผมไม่มีวันฆ่าใคร ต่อให้มีคนยิงผมตาย จ้าวก็ไม่ฆ่าล้างแค้นให้แน่นอน!’ เสียงทุ้มแหบตะโกนดังลั่นอย่างเดือดดาล ใบหน้าคมขึ้นสีแดงก่ำอย่างโมโห นัยน์ตาขึ้นสีแดงก่ำจดจ้องนักข่าวราวกับจะฆ่าให้ตายถ้าเกิดมีใครว่าร้ายจ้าวขึ้นมา ซึ่งก็เคยมีผู้โชคร้ายไปแล้วคนนึงที่ถูกต่อยจนขึ้นคดีความกันไปพักหนึ่ง
   
“เฮียสาม”
   
จ้าวพูดเสียงเบากับตัวเองน้ำตาคลอ เขาพยายามจะลืมเรื่องนี้ไม่ให้ตัวเองเจ็บ แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็โผล่ขึ้นมาในหัวอยู่ดี
   
‘จ้าว กูเชื่อมึงนะว่ามึงไม่ได้ทำ กูเชื่อมึง ต่อให้มึงพูดว่ามึงทำ กูก็ไม่เชื่อหรอก มึงเห็นเฮียมึงควายมากเหรอ จ้าว’ มือหนาๆ กระชากไหล่เขาแล้วเขย่าจนตัวโยน นัยน์ตาดุนั่นคล้ายกับมีน้ำตาคลอ
   
เขายังคงจำสีหน้าจะร้องไห้ของเฮียสามได้เสมอ เขาทำบุคคลที่เขานับถือเป็นพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองร้องไห้ เขาอยากพูดใจแทบขาดว่าตัวเองไม่ได้ทำแต่ก็พูดไม่ออก ทุกอย่างอัดแน่นอยู่ในอกจนเขาสับสนมึนงง ในหัวเปล่าจนคิดอะไรไม่ออกเป็นอาทิตย์ ขนาดพูดกับนักข่าวยังพูดไม่ออกเลยด้วยซ้ำ
   
เฮียสามเป็นคนแรกในวงการเพลงที่เขารู้จักและเป็นคนปั้นวงของเขาด้วย สนิทกันถึงขั้นนอนห้องเดียวกันทุกครั้งที่มีคอนเสิร์ตร่วมกัน สามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง คุยกันถึงเช้าจรดบ่าย เขาก็คุยได้ ขอแค่เป็นเฮียสาม อะไรก็ได้ทั้งนั้นสำหรับเขา
   
เฮียสามเป็นคนแรกและคนเดียวที่เรียกร้องความยุติธรรมให้เขาจนถูกกระแสสังคมต่อต้านจนโดนไล่ออกจากวงอีกทั้งยังโดนสังคมรุมประฌามจนเล่นดนตรีต่อไม่ได้ ต้องใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ และในที่สุดก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอีกต่อไป

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 16 : WOLF p.2 (1/5/61)
«ตอบ #56 เมื่อ01-05-2018 00:04:41 »

ตอนนั้นเขากำลังนั่งกินข้าวอยู่ในเรือนจำ กำลังอมข้าวและนั่งเหม่อใจลอยไปทั่ว แต่พอได้ยินเสียงฮือฮาของคนในคุกก็ได้สติเงยหน้าขึ้นดูจอทีวีแบบติดผนังและทันเห็นข่าวร้ายของคนที่เขารักที่สุดคนนึง
   
‘ข่าวด่วนนะคะ นายสาม สุวิทยาประสบอุบัติทางรถยนต์จนเสียชีวิตคาที่ขณะที่กำลังเดินทางไปเรือนจำกลางค่ะ ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเร่งตรวจสอบ--’
   
เขาในตอนนั้นกรีดร้องโหยหวนราวกับสัตว์บาดเจ็บ ร้องไห้จนหมดสติตอนไหนยังไม่รู้เลย รู้แต่ว่าเฮียสามบอกว่าจะมาหาเขาวันนี้พร้อมกับของโปรดของเขา
   
เขามีแค่เฮียสามที่มาเยี่ยมอย่างสม่ำเสมอแต่ตอนนี้เฮียสามไม่อยู่แล้ว
   
เขาไม่มีใครแล้ว!
   
“คุณจ้าวคะ”
   
เป็นณิชาที่กล้าเอ่ยเรียกจ้าวที่นั่งนิ่งอยู่ท่าเดิมไม่ขยับตัว ส่วนคนอื่นได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่กไม่กล้าเรียกเพราะสีหน้าของจ้าวว่างเปล่าจนน่ากลัว
   
“ครับ”
   
จ้าวตอบเสียงหนักแน่นแววตากลับมากระจ่างใสซุกซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ใต้ใบหน้านิ่งเฉย แต่เมื่อเห็นหน้าณิชาก็นึกออกว่าเป็นเรื่องอะไร แววตาพลันหมองลงกว่าเดิม “คุณไปรอที่ห้องผมเลย เดี๋ยวผมตามไป”
   
ผลตรวจออกมาแล้วสินะ
   
ตุลย์มองตามหลังณิชาที่สวมชุดสูทหญิงอย่างนึกสงสัยเพราะแค่ทางนั้นเรียกจ้าวก็สามารถทำให้จ้าวซึมลงได้แล้ว แต่เขาก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามอยู่ดี เขาถูกจ้าวกักกันไว้ที่วงนอกแล้วคงไม่มีโอกาสได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มคนที่จ้าวไว้ใจอีก
   
“เดี๋ยวกูทำต่อให้ละกัน มึงไปเถอะ กูพอจะเข้าใจคอนเซ็ปมึงอยู่”
   
มือหนาลูบหัวจ้าวเบาๆ เหมือนเมื่อก่อนที่มักจะทักทายกันด้วยวิธีนี้ หวังสักนิดว่าตัวเองจนพอชดเชยความเห็นแก่ตัวของตัวเองในอดีตได้บ้าง
   
จ้าวพยักหน้าเบาๆ เชิงรับรู้แต่ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในอกมันหนักอึ้งซะเหลือเกิน ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าผลตรวจจะออกมาเป็นยังไงพอจะได้รู้ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าก็ยังเจ็บปวดอยู่ดี
   
“เดี๋ยว.. มา”
   
เสียงหลุดออกจากปากจ้าวแค่นั้นก่อนที่ทั้งร่างผอมและบอบช้ำจะเดินช้าๆ ออกจากห้องไป
   
ทิ้งกลุ่มคนที่อยากจะถูกจ้าวยอมรับไว้ด้านหลังอย่างไม่ไยดี

   

เมื่อเดินถึงห้องพักตัวเองจ้าวก็ทิ้งตัวนั่งบนเตียงประสานมือบนตักนั่งหลังตรงจ้องณิชาด้วยแววตาเศร้าหมองอย่างไม่ปิดบัง “เป็นอย่างที่ผมคิดใช่ไหมครับ”
   
ณิชาพยักหน้ารับด้วยสีหน้าหนักใจเพราะกลัวว่าตัวเองจะทำจ้าวบอบช้ำไปมากกว่านี้ “ค่ะ ถ้านับเป็นเปอร์เซ็นคุณจ้าวเป็นโอเมก้าไปแล้วแปดสิบเปอร์เซ็น เหลืออีกยี่สิบเปอร์เซ็นที่เป็นเลือดอัลฟ่าค่ะ”
   
จ้าวเดาะลิ้นหัวเราะเสียงแผ่ว “ใกล้แล้วสินะ”
   
พอเห็นสีหน้าสิ้นหวังของจ้าวณิชาก็รีบพูดต่อ “แต่คุณจ้าวยังพอมีโอกาสกลับไปเป็นอัลฟ่าได้นะคะ ณิชาว่าคุณจ้าวน่าจะพอได้ยินเรื่องที่ทำการทดลองให้เลือดอัลฟ่ากับพวกเบต้าอยู่”
   
จ้าวพยักหน้าหงึกๆ อย่างขอไปที “ไม่ต้องพยายามหรอก ณิชา ผมไม่ได้เศร้าแค่เรื่องต้องเป็นโอเมก้าหรอก ถ้าผมจะเป็นโอเมก้าก็ปล่อยให้มันเป็นไปเถอะ ยังไงซะตอนนี้ผมก็กำลังเรียกร้องความยุติธรรมให้พวกโอเมก้าอยู่แล้ว มาเป็นส่วนหนึ่งลิ้มรสรสชาติของโอเมก้าบ้างก็ดี”
   
เรื่องในหัวของจ้าวนั้นมันมากจนถ้าเป็นโกดังเก็บของคงล้นออกมาจนคนด่า มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมาในชีวิตที่ชวนให้รู้สึกดาวน์จนไม่อยากทำอะไรแต่จ้าวก็เลือกที่จะซึมซับความเจ็บปวดพวกนั้นเอาไว้
   
เพื่อที่ตัวเองจะได้เข้มแข็งมากกว่านี้…
   
เขามั่นใจว่าถ้าเขาผ่านมันไปได้ หลังจากนี้คงไม่มีอะไรยากอีกต่อไป เขารอดจากความตายที่ถวิลหามาหลายต่อหลายครั้งตลอดห้าปีนี้ ทั้งในคุกและนอกคุก เขาพยายามฆ่าตัวตายแต่ก็ไม่เคยสำเร็จสักครั้งต้องมีคนคอยมาขัดตลอดราวกับว่าคนบนนั้นไม่อนุญาตให้เขาทำ ทั้งๆ ที่เขาอยากหลุดจากพันธนาการอันเจ็บปวดพวกนี้ใจแทบขาด
   
ยังไงซะ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างล่ามพันธนาการแขนขาร่างกายเขาไว้สิ่งที่เขาต้องทำต่อจากนี้ก็คือพยายามเอาชีวิตรอดต่อไป
   
“ผมอยากเจอคุณเหมันต์”
   
อย่างไรก็ตามลึกๆ แล้วจ้าวก็ยังคงต้องหลักอันมั่นคงให้ตัวเองอยู่ ถึงจะไม่รู้ว่าคนที่เป็นหลักให้จะยินยอมหรือเปล่าแต่เขาก็ภาวนาให้ยอมแล้วกันเพราะถ้าไม่มีคุณเหมันต์เขาก็ไม่รู้จะหันไปหาใครแล้ว เฮียสามก็ชิ่งไปอยู่ข้างบนแล้ว น่าจะชวนเขาด้วยก็ดีจะได้ไม่ต้องมานั่งทรมานแบบนี้
   
“คุณเหมันต์ตอนนี้…”
   
ณิชาพูดอึกอัก ทบทวนคำสั่งคุณเหมันต์ในหัวเพราะไม่แน่ใจนักว่าจ้าวได้รับอนุญาตให้รู้หรือเปล่าถึงสาเหตุที่แท้จริงที่หายไป สาเหตุจริงๆ ที่ร้ายแรงถึงขั้นต้องให้คนอื่นเข้ามารักษาการณ์แทนชั่วคราวเพราะคราวนี้มันหนักจริงๆ
   
“ถ้าบอกไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ” จ้าวยิ้มเจื่อนๆ เข้าใจดีว่าคนระดับคุณเหมันต์คงงานรัดตัวไม่มีเวลามาเอาใจใส่นักร้องตกกระป๋องอย่างเขาหรอก
   
แต่ในที่สุดณิชาก็ยอมบอกเพราะคำสั่งที่คุณเหมันต์สั่งไว้คือ ‘ทำตามที่จ้าวต้องการ’
   
“คุณเหมันต์อยู่ในห้องวิจัยค่ะ”
   
นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนกตกใจจนแทบตกจากเตียง ไม่ต้องรอให้จ้าวถามณิชาก็พูดต่อจนจ้าวฟังแทบไม่ทัน
   
“ตอนนี้คุณเหมันต์กำลังอยู่ในช่วงคลุ้มคลั่งค่ะ ระยะเวลามากที่สุดที่เคยปล่อยให้คลุ้มคลั่งเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลายคือหนึ่งอาทิตย์ค่ะ ครั้งนี้ฉีดยาระงับเลื่อนเวลาไปหลายอาทิตย์ น่าจะใช้เวลาประมาณห้าวันค่ะ แต่ถ้าอย่างน้อยณิชาคาดการณ์ไว้ว่าไม่เกินสองวันค่ะ”
   
แน่นอนว่าจ้าวช็อคจนนั่งกระพริบตาปริบงงๆ
   
“คุณเหมันต์ คลั่ง..? ในห้อง? ทำไม”
   
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ดูปกติดีจนกระทั่งตอนนั้น..
   
ใบหน้าของจ้าวขึ้นสีเล็กๆ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในห้องที่น่าจะเชื่อมโยงถึงอาการของคุณเหมันต์ในตอนนี้
   
“อันนั้นณิชาบอกไม่ได้ค่ะ
   
ความลับนี้ของคุณเหมันต์นั้นนับว่าเป็นความลับในระดับที่มีคนสำคัญไม่กี่คนรู้ ณิชาจึงไม่อยากเสี่ยงจะบอกจ้าวนักเพราะกลัวจะโดนคุณเหมันต์มาคิดบัญชีทีหลัง
   
“แล้วผมไปเยี่ยมคุณเหมันต์ได้ไหม”
   
จ้าวลืมความเศร้าของตัวเองจนหมดเมื่อเจอเรื่องที่น่าตกใจกว่า
   
ณิชายืนคิดไตร่ตรองไปครู่ใหญ่กว่าจะยอมพยักหน้าอนุญาตแล้วนำทางลงไปห้องวิจัยใต้ดินอีกครั้งด้วยทางลับอีกทางที่ใช้เฉพาะคนที่เกี่ยวของเท่านั้น ซึ่งรอบนี้จ้าวมีสติอยู่ครบเลยค่อนข้างจะตื่นตาตื่นใจกับความทันสมัยของระบบรักษาการปลอดภัยที่ดูจะรัดกุมเอามากๆ มีการกรอกรหัสกรอกจำนวนคนอะไรต่อมิอะไรมากมาย เรียกได้ว่าสมกับเป็นคฤหาสน์ตระกูลกิลลาสจริงๆ
   
หากแต่เมื่อเดินเข้าไปก็พบว่าไม่ใช่สถานที่ที่ตัวเองเคยใหม่แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันถึงสามสี่ส่วน บันไดที่ทอดยาวลงไปนั้นพายังไปห้องโถงที่ไม่สูงนัก มันถูกแบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งติดบานกระจกใสเผยให้เห็นอุปกรณ์การทดลองต่างๆ มากมายไม่ว่าจะกล้องจุลทรรศน์ ขวดทดลอง บิกเกอร์ต่างๆ ทุกอย่างที่พึงจะมีให้นักวิจัยได้ใช้สอย ส่วนอีกฝั่งนั้นเป็นกำแพงทึบหมดมีเพียงประตูเหล็กบานหนึ่งที่ดูแข็งแกร่งจนรู้สึกได้
   
ณิชาไม่พูดอะไรเปิดประตูบ้านนั้นทันทีด้วยระบบสแกนนิ้วมือ บานประตูเลื่อนออกกลิ่นบางอย่างฟุ้งตลบจนชวนให้ปวดหัว จ้าวยกมือขึ้นปิดจมูกทันทีมองภายในห้องที่มืดสลัวด้วยความตื่นตระหนกและต้องผวาถอยหลังเมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่พุ่งเข้ามาหาตัวเองภายใต้แสงมืดสลัว
   
และร่างนั้นก็ห่างกับเขาไม่ถึงเซ็น!
   
ตึง!!!
   
หัวใจของจ้าวแทบจะหยุดเต้นเอาซะดื้อๆ ตัวสั่นจนควบคุมตัวเองไม่ได้ ยิ่งเห็นชัดๆ ว่าอะไรที่พุ่งชนกระจกใสก็ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่
   
“คุณเหมันต์..?”
   
จ้าวครางเสียงแผ่วในลำคอ มองคนที่เปลี่ยนไปแทบจะเป็นคนละคน
   
ใบหน้าคมคายที่มักจะทำหน้านิ่งๆ หยิ่งผยองตอนนี้เหลือเพียงสีหน้าดุร้าย นัยน์ตาสีเทานั่นสะท้อนกับแสงไฟดูคล้ายกับแววตาของหมาป่าที่กำลังหิวโซ ร่างครึ่งบนเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลที่น่าจะมาจากการคลุ้มคลั่งที่ณิชาพูดถึง ส่วนท่อนล่างนั้นสวมกางเกงยืดสีดำบางๆ เผยให้เห็นสัดส่วนอันแข็งแกร่งของเหมันต์ที่สามารถไปแข่งมวยปล้ำได้สบายๆ
   
“ฮื่อ”
   
จ้าวผวาถอยหลังไปก้าวหนึ่งเมื่อได้ยืนเสียงคำรามในลำคอของอีกฝ่าย คุณเหมันต์ดูคลุ้มคลั่งมากจริงๆ แววตาที่สะท้อนภาพของเขานั้นดูราวกับจะฉีกกระชากเขาให้ตายทั้งเป็น คล้ายกับว่าเขาเป็นแค่กระต่ายตัวน้อยๆ ที่กำลังจะโดนหมาป่าขย้ำกินและกลืนลงในคำเดียว
   
“ถ้าอยากทราบอะไรมากกว่านี้รอถามคุณเหมันต์นะคะ ณิชาก็ไม่แน่ใจว่าคุณเหมันต์จะให้คุณจ้าวทราบมากแค่ไหน” ณิชาว่าก่อนจะก้มหน้าก้มตาจดข้อมูลของคุณเหมันต์ตอนนี้เพื่อนำไปวิเคราะห์ต่อไป
   
ปัง!!!
   
ทั้งณิชาทั้งจ้าวสะดุ้งตัวเมื่อร่างยักษ์กระแทกเข้ากับกระจกราวกับจะพังมันให้ได้ ณิชาหน้าซีดเผือดถึงจะรู้ว่ากระจกนิรภัยนี้สามารถกันแรงกระแทกมหาศาลได้สบายๆ แต่ก็ยังอดผวาไม่ได้อยู่ดี
   
“ณิชาว่าเราออกไปรอข้างนอกดีกว่านะคะ การมีสิ่งเร้าจะทำให้อาการของคุณเหมันต์แย่ลงค่ะ”
   
ราวกับยืนยันคำพูดเหมันต์กระแทกร่างเข้าใส่กระจกอย่างไม่รู้จักความเจ็บปวด แววตาวาวโรจน์นั้นจดจ้องจ้าวตาเป็นมัน
   
“ฮื่อออ”
   
เหมันต์คำรามอย่างไร้สติมือทั้งสองพยายามตะเกียกตะกายใส่กระจก ในหัวที่ว่างเปล่าหวังหวังเพียงจะเข้าไปตะครุบเจ้าของกลิ่นหอมกรุ่นที่ยืนอยู่ตรงหน้า
   
กระต่าย.. กระต่าย..
   
คำนี้ก้องในหัวยิ่งขับให้รู้สึกกระหาย พยายามทำลายสิ่งกีดขวางทุกวิถีทางแต่ก็ไม่ได้ผล
   
“คุณจ้าวคะ ณิชาว่าออกไปดีกว่านะคะ อาการคุณเหมันต์แย่มากเลย” หญิงสาวพูดอย่างเป็นกังวล เธอไม่เคยเห็นพฤติกรรมคล้ายกับสัตว์ล่าเหยื่อของคุณเหมันต์แบบนี้มาก่อน อาการปกติอย่างมากก็คลุ้มคลั่งวิ่งชนกระจก คำราม อะไรทำนองนั้น ไม่เคยมีสักครั้งที่ดูจะสนใจสิ่งมีชีวิตอื่นอย่างออกหน้าออกตาขนาดนี้ ขนาดเธอยืนตรงหน้าเหมันต์ยังมองเมินในบางครั้งแล้ววิ่งไปชนกำแพงที่บุนวมนุ่มอีกฝั่งแทน
   
มันแปลกมากจริงๆ
   
“มีอะไรจะพอบรรเทาอาการคลุ้มคลั่งได้ไหมครับ”
   
ณิชาส่ายหัว “นอกจากฉีดยาระงับก็ไม่มีค่ะ”
   
จ้าวถามต่ออย่างกระตือรือร้นมองเหมันต์ด้วยความสนใจสุดๆ เพราะเริ่มจะเข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว อย่างว่าคนเคยบ้าเหมือนกันย่อมเข้าใจหัวอกคนบ้าด้วยกัน
   
มั้ง?
 
“แล้วเพลงล่ะครับ เคยเปิดให้คุณเหมันต์ฟังรึเปล่า”

“เคยค่ะแต่ก็ไม่มีผลอะไรค่ะ”
   
หญิงสาวเผยสีหน้าประหลาดใจอย่างไม่ปิดบังเมื่อจ้าวหัวเราะและเริ่มร้องเพลงของตัวเองออกมา
   
เพลงของวงมูนไลท์ที่จ้าวรักมากที่สุดแต่ก็ไม่ได้ร้องมันออกมานานมากแล้วด้วยความรู้สึกผิดบาปที่เกาะกุมในจิตใจ คำว่าฆาตกรฝังอยู่ในหัวจนไม่อาจร้องเพลงของตัวเองได้อีกราวกับต้องคำสาป ทั้งๆ ที่ใจจริงอยากร้องแทบตาย ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่ได้ฆ่าพริมแต่ทุกครั้งที่คิดจะร้องก็จะได้ยินเสียงเหล่าคนที่มาดูเขาให้ปากคำนั้นตะโกนว่าฆาตกรบ้าง โรคจิตบ้าง จนกลายเป็นบาดแผลใหญ่ในจิตใจ ไม่กล้าร้องออกมาอีก
   
เพราะหวาดกลัวที่จะต้องถูกตราหน้าว่าฆาตกร..
   
แต่วันนี้ไม่รู้อะไรดลใจที่ทำให้ร้องออกมาด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
   
อาจจะเพราะว่าคุณเหมันต์เป็นแฟนคลับตัวยงของเขาก็ได้ เขาถึงได้อยากลองร้องดูเผื่อว่าจะช่วยบรรเทาความคลุ้มคลั่งน่ากลัวนั่นลงได้บ้าง
   
“…”
   
และมันก็ได้ผล ร่างใหญ่นั่งลงกับพื้นหลับตาพริ้มราวกับกำลังเพลิดเพลินกับเสียงเพลงแม้นจะไม่มีสตินักแต่ก็โยกหัวตามเพลงเบาๆ ด้วยรอยยิ้มจาง แสงไฟสลัวจากโคมไฟที่ถูกปรับแสงสว่างระดับต่ำสุดขับให้ใบหน้าของเหมันต์ดูละมุนละไมขึ้นในความมืดมิดที่แทบจะมองมือตัวเองไม่เห็น
   
ท่าทางราวกับหมาป่าตัวเขื่องที่ต้องมนตราของเสียงเพลงจนลืมความหิวกระหาย ความดุร้ายทั้งหมดถูกสงบไว้ได้อย่างง่ายดาย ไหล่ที่เกร็งตึงจากความเครียดคลายลง
   
“!” ณิชาเบิกตากว้างรีบจดยิกๆ เพราะนี่เป็นพฤติกรรมใหม่อีกแล้ว เธอไม่เคยเห็นคุณเหมันต์ตอนที่คลุ้มคลั่งสงบมาก่อนอย่างมากถ้าจะสงบจริงๆ ก็ตอนนอนกับตอนกินอย่างตะกละตะกลาม
   
ยิ่งเห็นเหมันต์เป็นแบบนั้นจ้าวก็ยิ่งได้ใจร้องเพลงต่อไปเรื่อยๆ จนจบเพลง ถึงจะยังอยากแถมอีกสักเพลงสองเพลงแต่ก็คงจะร้องไม่ไหว เพราะข้าวเช้าก็ยังไม่ได้กิน ตอนบ่ายก็ต้องอัดเพลง คอก็แห้ง เลยต้องหยุดร้องแต่โดยดี
   
ซึ่งคนที่ไม่พอใจก็คือคนที่อยู่เบื้องหลังกระจก
   
โครม!
   
แววตาสีเทาวาวโรจน์มองเจ้ากระต่ายที่บังอาจหยุดร้องเพลง มือสองข้างตะกุยกระจก พยายามจะข้ามไปหามันเพื่อที่จะบังคับให้มันร้องเพลงต่อหรือไม่ก็จับกินเป็นเหยื่อให้เขาได้หายหิวกระหายสักที
   
หิว หิว เหลือเกิน
   
สัญชาตญาณในร่างบังคับให้เหมันต์พยายามทำลายกำแพงด้วยการชน เลือดในกายร้อนผ่าวๆ โดยเฉพาะท่อนล่างที่แสดงความต้องการออกมาอย่างเห็นได้ชัด กลิ่นหอมของกระต่ายนั้นแทบจะทำเอาเขาคลั่งตาย
   
“..ฮื่อ”
   
จ้าวลูบหน้าตัวเองที่อยู่ดีๆ ก็ร้อนผ่าว กลิ่นประหลาดที่ฟุ้งอยู่ในห้องน่าจะมาจากตัวคุณเหมันต์
   
มันเป็นกลิ่นที่ไม่ได้หอม.. แต่กลับชวนให้ร่างกายร้อนผ่าว ราวกับเป็นกลิ่นฟีโรโมนแบบเดียวกับพวกโอเมก้าปล่อยเวลาฮีทแต่นี่ไม่ใช่กลิ่นของโอเมก้า..
   
จ้าวเบิกตากว้างแต่ยังไม่ทันพูดอะไรก็ถูกณิชาลากออกมาจากห้องซะก่อน
   
ปัง!
   
ประตูเหล็กปิดดังลั่น ณิชาหน้าแดงเถือกมองจ้าว
   
“ถ้าอยากรู้อะไรมากกว่านี้ก็ถามคุณเหมันต์นะคะ ณิชาให้คุณจ้าวรู้ได้แค่นี้ค่ะ”
   
จ้าวมองไปทางประตูอย่างนึกเสียดายเพราะใจจริงยังจะร้องอีกสักเพลง มันทำให้เขามีความสุขแปลกๆ นะ ถึงคุณเหมันต์จะไม่ได้เป็นเหมือนตอนปกติก็เถอะ แต่การที่มีคนมานั่งฟังเพลงที่เขาร้องอย่างหลงใหลมันก็ให้ความรู้สึกที่ดีแบบสุดๆ ไปเลย
   
“โอเค งั้นผมขอตัวไปจัดการเรื่องเพลงก่อนนะ”
   
สุดท้ายจ้าวก็ยอมล่าถอยไปก่อนและหวังว่าคุณเหมันต์จะหายคลุ้มคลั่งไวๆ
   
เพราะคุณเหมันต์เวอร์ชั่นคลุ้มคลั่งนี่คุยยากเกินไปจริงๆ

---------------------------

ตอนเขียนถึงเฮียสาม เรานึกถึงคุณ flexia ที่เขียนเรื่อง sick เราเคยคุยกับเขาแค่ผิวเผินเป็นห่วงว่าเขาจะหายไปและตอนนี้เขาก็หายไปจริงๆ ผ่านมาหลายเดือนแล้วก็ยังเศร้าเรื่องนี้อยู่ดี  :ling3:

ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 16 : WOLF p.2 (1/5/61)
«ตอบ #57 เมื่อ01-05-2018 00:22:08 »

เนื้อเรื่องเข้มข้น  o13

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 16 : WOLF p.2 (1/5/61)
«ตอบ #58 เมื่อ01-05-2018 00:41:31 »

ถ้าคุณเหมันต์หลุดมานะไม่อยากคิดสภาพของเจ้าเลย

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 16 : WOLF p.2 (1/5/61)
«ตอบ #59 เมื่อ01-05-2018 22:44:56 »

คุณเหมันต์ฮีทหรอ ดูคลั่งมากเลยอ่ะ แต่เหมือนว่าจ้าวจะช่วยได้นะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด