ตอนที่ 33
กลิ่นหอมกรุ่นของข้าวต้มทำให้จ้าวพยายามเดินไวขึ้นเพื่อไปนั่งตรงข้ามกับคุณเหมันต์ที่กำลังทำหน้าเคร่งเครียดกับโน๊ตบุ๊คในมือ จ้าวอยากจะถามถึงสาเหตุแต่ก็พ่ายแพ้ให้กับความหิวโหยจึงไม่รอช้าที่จะตักข้าวต้มกินทันที
อย่าลืมว่าเขาไม่ได้กินข้าวอย่างจริงจังมาหลายอาทิตย์แล้วนะ..
“อร่อยไหม”
“อือ”
จ้าวตอบรับอย่างขอไปที รู้สึกหิวจนตาลาย ถ้ายังไม่มีอาหารตกถึงท้องเร็วๆ นี้ เขาต้องเป็นลมหรือไม่ก็แห้งตายแน่ๆ เพียงชั่วพริบตาข้าวต้มหมูในถ้วยก็หมดและร่างผอมก็ยังไม่รู้สึกอิ่มนัก จึงจ้องถ้วยที่อยู่ตรงหน้าเหมันต์อย่างกดดัน
“…”
จ้าวเริ่มขมวดคิ้วเมื่อจ้องมานานแล้วเจ้าของถ้วยที่ยังไม่ได้แตะต้องแม้แต่คำเดียวก็ยังไม่สนใจ
“คุณเหมันต์”
“เรียกใหม่” เหมันต์พูดทั้งๆ ที่ไม่ได้ละสายตาจากจอสักนิด
“พี่เหมันต์” จ้าวรู้สึกเขินแปลกๆ เพราะมันดูสนิทสนมกว่าคำว่าคุณเยอะ “ผมขอกินถ้วยพี่ได้ไหม”
“เอาไปสิ พี่ก็เอามาเผื่อจ้าวไม่อิ่มนั่นแหละ”
ไม่ว่าเปล่าดันถ้วยไปตรงหน้าจ้าวและหยิบช่อดอกไม้ที่แอบไว้ข้างตัวยื่นให้จ้าว
นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างเพราะไม่ได้รับดอกไม้จากคุณเหมันต์มาพักใหญ่ๆ แล้ว แต่ทุกครั้งที่ได้ก็ล้วนทำให้ประทับใจเสมอ จ้าวรับช่อกุหลาบขาวมากอด รู้สึกคิดถึงบรรยากาศเดิมๆ อย่างน่าประหลาด
“ให้ผมทำไม ผมยังไม่ได้ร้องสักเพลงเลย”
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่จ้าวกลับควบคุมตัวไม่ให้ยิ้มไม่ได้ รู้สึกอบอุ่นและมีความสุข ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะหวาดกลัวว่าสักวันความสุขของตัวเองจะหายไปเพราะความสุขของเขามันไม่เคยแน่นอน เขารับความเกลียดชังมามากจนจำแทบไม่ได้ด้วยซ้ำว่าความสุขมันเป็นยังไง
แต่พอเจอคุณเหมันต์ ทุกอย่างที่เขากลัวกลับไม่มีผลอีกต่อไป เพราะเขาเชื่อว่าคุณเหมันต์ไม่มีวันทอดทิ้งเขาอย่างเด็ดขาด ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาที่คอยดูแลเขาอยู่ห่างๆ มันก็มีค่ามากพอให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว
มือผอมไล้กลีบกุหลาบสีขาวด้วยความคิดถึง
เขามักจะได้ดอกกุหลาบสีขาวนิรนามอย่างสม่ำเสมอ
“ถ้าเรื่องทุกอย่างจบลงแล้ว แต่งงานกับพี่นะ”
จ้าวชะงักไปสักพักก่อนจะมองคนพูดอย่างตื่นตระหนก ไม่แน่ใจว่าเขาฟังผิดหรือเปล่า แต่นี่เป็นเรื่องใหญ่ ใหญ่มากๆ สำหรับจ้าวที่เพิ่งมีแฟนอย่างจริงจัง
“พี่พูดว่าอะไรนะ”
“แต่งงานกัน” ใบหน้าคมคายยิ้มละมุนให้จ้าว “พี่อยากดูแลจ้าว”
“…ผม”
จ้าวหน้าแดงพูดไม่ออก
เขาไม่ได้ฟังผิดจริงๆ ด้วย
“พี่รู้ว่ามันอาจจะเร็วไปหน่อยที่จะบอกเรื่องนี้ แต่พี่ก็อยากบอกไว้ว่าพี่อยากแต่งงานกับจ้าว” เหมันต์ดึงมือจ้าวขึ้นมาจูบและยิ้ม “พร้อมใช้นามสกุลกิลลาสรึยังครับ”
“…ครับ”
จ้าวยิ้มทั้งๆ ที่น้ำตานองหน้า
ให้ตายสิ เขาชักจะมีความสุขมากเกินไปแล้ว..
สถานการณ์บริเวณย่านเศรษฐกิจตอนนี้นับว่าดุเดือดมาก เกิดการวางระเบิด การประท้วงและการก่อจราจลไม่หยุดไม่หย่อน จนคนที่เป็นผู้คอยควบคุมสถานการณ์อย่าง ‘อาทิตย์ วิริยะศักดิ์’ แทบประสาทกินเพราะไม่อาจเลือกฝ่ายได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังไม่อยากใช้ความรุนแรงในการยุติความรุนแรงจึงต้องทำงานอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ จะโต้กลับก็โต้ไม่สุดซึ่งผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนก็เข้าใจอาทิตย์แต่ก็มีอีกหลายคนไม่เข้าใจเช่นกัน จึงฆ่าโอเมก้าเบต้าอย่างสนุกสนานราวกับปลดปล่อยสันดารดิบออกจากตัว
แน่นอนว่าเพราะสถานการณ์ที่ไม่สงบ นายตำรวจฝีมือดีอย่างอาทิตย์จึงไม่มีเวลาไปขบคิดคดีของจ้าวอีกต่อไป ได้แต่ปล่อยให้ความสงสัยเกาะกุมในอก ปล่อยให้คดีนี้ผ่านไปอย่างน่าเสียดายแม้ว่าจะอยากรื้อฟื้นใจจะขาดก็ตาม
วันนี้ก็ยังคงเป็นอีกวันที่สุนัขตำรวจอย่างอาทิตย์ต้องลงพื้นที่ไปควบคุมความสงบที่ยากจะควบคุมขึ้นทุกที ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าเหตุการณ์มันเลวร้ายลงเรื่อยๆ เพราะรัฐบาลไม่ยอมรับข้อเสนอของกลุ่มกบฏ อีกทั้งยังดูถูกและทำให้เรื่องทุกอย่างแย่ลงไปอีก
ใบหน้าขึงขังของนายตำรวจถูกซุกซ่อนไว้ใต้ผ้าปิดปากและหมวก ดูน่าสงสัยไม่ต่างกับกลุ่มของพวกโอเมก้าเพราะครั้งนี้นายตำรวจอาทิตย์ตั้งใจแต่งนอกเครื่องแบบเพื่อเข้าไปในพื้นที่ที่ทางกลุ่มกบฏขู่ว่าจะวางระเบิดถ้าเกิดยังไม่มีการตอบรับใดๆ จากรัฐบาล
หากแต่ยังไม่ทันได้ไปถึงสถานที่ที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อม เสียงระเบิดกัมปนาทก็ดังลั่นต่อหน้าต่อตา นายตำรวจเบิกตากว้างจ้องมองซากปรักหักพังตรงหน้าอย่างตื่นกลัวเพราะเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว มันยังคงเป็นอาคารของรัฐบาลที่มีความสวยงามติดอันดับต้นๆ ของประเทศและเป็นของเก่าแก่มาครั้นตั้งแต่อดีต
หากแต่บัดนี้มันกลายเป็นเพียงเศษซากอารยธรรมเท่านั้น!
ฝุ่นผงกระจายทั่วเคราะห์ดีที่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บเพราะทางกลุ่มอีกาประกาศอย่างชัดเจนว่าจะระเบิดสถานที่นี้ จึงไม่มีใครคิดจะมาหลบภัยจากสงคราม การระเบิดครั้งนี้มีขึ้นเพื่อแสดงอำนาจของกลุ่มกบฏที่รัฐบาลยังไม่สามารถต่อกรได้ได้แม้ว่าจะลงแรงไปมากแล้วก็ตามที
การมาครั้งนี้อาทิตย์ไม่ได้คาดหวังอะไรนัก เพียงแค่คิดว่าตนอาจจะคนของฝั่งกบฏสักคนแต่ถ้าเจอจริง ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าตนเองจะทำยังไงเพราะจุดยืนของเขาก็ใช่ว่าจะมั่นคงนัก เขาแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะใช้คำว่ามีศีลธรรมกับฝั่งไหนเพราะแต่ละฝั่งก็ล้วนแต่ทำลายอีกฝั่งให้ย่อยยับไปข้างเพื่อให้บรรลุผลของตัวเอง
ถึงแม้ว่ากลุ่มกบฏจะอุดมการณ์สวยหรูแต่ทว่ามันก็เป็นการเรียกร้องที่รุนแรงเกินกว่าจะควบคุมได้ อีกไม่นานทางรัฐบาลจะขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศและพอถึงเวลานั้นคนก็คงจะตายกันเกลื่อนมากกว่านี้
อาทิตย์มองซากศพตามรายทางอย่างเศร้าสลด ตอนนี้แม้แต่หน่วยกู้ภัยยังไม่กล้ามาเก็บศพเลยด้วยซ้ำเพราะกลัวว่าจะโดนลูกหลงเข้าทำให้พื้นที่ในเมืองตอนนี้ค่อนข้างน่าสยดสยอง กลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้งทั้งเก่าและใหม่ เศษซากจากความเกลียดชังกระจัดกระจายไปทั่วจนยากที่จะจดจำได้ว่าเมื่อก่อนมันเป็นอย่างไรมาก่อน
โดยสัญชาตญาณอาทิตย์รู้สึกได้ว่าเรื่องนี้ใกล้จะมาถึงจุดจบเต็มทน ทุกอย่างได้เลยเส้นขีดจำกัดมานานมากแล้ว อีกไม่นานทุกอย่างจะจบลง ไม่ทางที่เลวร้ายที่สุดก็ทางที่ดีสุด
และแน่นอนว่าอาทิตย์ยังคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าใครจะเป็นคนกลางที่จะจบเรื่องทั้งหมดนี้ลง
คนกลางที่มีวาทศิลป์และความกล้ามากพอที่จะคุยกับทั้งฝ่ายเพื่อยุติสงครามที่เต็มไปด้วยความรุนแรง
คนกลางที่ต่อให้ปืนที่บรรจุกระสุนอยู่เต็มลำจ่อที่หน้าผากก็ยังไม่คิดจะเกรงกลัว
ซึ่งอาทิตย์ก็ยอมรับว่าตนเองไม่มีความกล้ามากขนาดนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะประกอบอาชีพตำรวจและคลุกคลีกับความเป็นความตายแทบทุกวัน เขาก็ยังกลัวที่จะตาย ลูกสาวของเขายังเรียนอยู่ เขายังมีครอบครัวที่ต้องดูแล เขายังตายไม่ได้ ถึงแม้ว่าการตายของเขาอาจจะยุติสงครามกลางเมืองนี่ลงแต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่ามันจะเกิดขึ้นจริง
ฉะนั้นเขาก็ยังไม่คิดจะลดตัวลงไปเสี่ยง ต่อให้สถานการณ์จวนตัวขนาดไหน เขาก็เลือกที่จะเอาตัวให้รอดก่อนคนอื่นๆ อย่างไรก็ตามเขาก็ยังเป็นอัลฟ่า ตราบใดที่ฝั่งอำนาจเดิมยังดำรงอยู่ เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำอะไรนอกจากทำตามคำสั่งของเบื้องบน
นายตำรวจขับรถวนรอบจุดเกิดเหตุได้สักพักก็ถอยออกมา ไม่กล้าลงไปสำรวจต่อเพราะกลัวว่าอาจจะมีคนของฝั่งกบฏแฝงตัวอยู่แถวนี้แล้วบุกเข้ามาทำร้าย
“คุณจันทร์! ”
อาทิตย์สบถออกมาอย่างตื่นตระหนกเมื่อเห็นร่างคนที่คิดว่าจะเห็นเป็นคนสุดท้ายที่นี่!
จากจะขับกลับรีบวนรถกลับไล่ตามอย่างไม่สนกฎจราจร สีหน้าของอาทิตย์ค่อนข้างเครียดเพราะคนที่มีส่วนขับเคลื่อนกลุ่มอำนาจของรัฐบาลก็คือจันทร์ ทุกคำที่กล่าวออกมาของตระกูลนฤภัทรแทบไม่มีความคิดไหนเลยที่รัฐบาลกล้าละเลย ยาทุกอย่างที่พวกเขาใช้กับโอเมก้าอย่างทารุณล้วนมาจากตระกูลนฤภัทรที่มักจะสรรหาคนเก่งๆ มาวิจัยงานได้อย่างน่าประหลาดใจ
เสียงเครื่องยนต์สองคันคำรามลั่นบนท้องถนนที่สภาพไม่ค่อยเป็นถนนนัก ทำให้คนที่ถูกไล่ตามเริ่มรู้ตัว จันทร์หันกลับไปมองเมื่อพบว่าเป็นใครก็ออกแรงบิดมากกว่าเดิม ไม่คิดจะเสวนาด้วยแต่อย่างใด
“คุณจันทร์! คุณมาทำอะไรที่นี่ มันอันตรายนะครับ”
อาทิตย์ตะโกนเมื่อลงจากรถและวิ่งไปหาร่างโปร่งที่กำลังจะเดินเข้าไปในกลุ่มควัน มือหนาเอื้อมแตะปืนพกที่เหน็บไว้ที่เอวเตรียมชักออกมายิงตลอดเวลาถ้าหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
“ไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องรู้”
ในที่สุดจันทร์ก็หยุดเดินเมื่อพบว่าท่ามกลางซากปรักหักพังนั้นไม่มีใครหลงเหลืออยู่ นัยน์ตาโศกฉายความผิดหวังแต่ก็ยังไม่หมดหวังซะทีเดียว
“ผมไม่สนหรอกว่า ผมควรจะรู้หรือไม่รู้ แต่ที่ผมมั่นใจคือคนอย่างจันทร์ นฤภัทรไม่ควรอยู่ตรงนี้ครับ” อาทิตย์พยายามหว่านล้อมให้จันทร์กลับด้วยความเป็นห่วง
“ไปให้พ้น” จันทร์ใช้หางตามอง “แล้วอย่าหาว่าผมไม่เตือน”
“จันทร์ ผมหวังดีกับคุณนะ คุณกลับรถผมก็ได้ เดี๋ยวผมไปส่ง ผมจะไม่พูดกับใครว่าผมเจอคุณที่นี่”
ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยของอาทิตย์แต่อาทิตย์ก็คงทนเห็นคนตายต่อหน้าต่อตาไม่ได้ ใครจะไปรู้ว่าในอีกนาทีสองนาทีข้างหน้าอาจจะฝั่งกบฏมาเจอเข้าอาจจะกราดยิงใส่ก็เป็นได้
“ถ้าคุณกลัวมากก็กลับบ้านไปซะ”
อาทิตย์ชะงักเมื่อโดนพูดแทงใจดำ ยอมรับอย่างหน้าไม่อายเลยว่าเขากลัวตามที่อีกฝ่ายว่าจริงๆ
“แล้วคุณจะทำอะไร ถ้าคุณจะมาหาพวกกลุ่มอีกา ผมบอกเลยว่าเสียเที่ยว”
“เรื่องของผม” จันทร์พูดเสียงลอดไรฟันอย่างรำคาญ “ไปให้พ้นก่อนที่ผมจะทนไม่ไหว”
“ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้นจนกว่าคุณจะบอกผมว่าคุณมาทำอะไรที่นี่”
จันทร์แค่นเสียงหัวเราะก่อนที่จะเดินไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ นัยน์ตาโศกพยายามกวาดตามองรอบๆ มองหากลุ่มกบฏที่คาดหวังให้มีโผล่หัวมาสักคน มันอาจจะเสี่ยงที่จะต้องทำแบบนี้ แต่สำหรับจันทร์แล้วความตายคงจะเป็นเรื่องที่เมตตากว่าการมีลมหายใจบนโลกอันเน่าเฟะแห่งนี้นัก
เขาทำผิดมามากพอแล้ว ถึงเวลาที่จะชำระบาปของเขาเสียที
จันทร์คิดอย่างเหม่อลอยก่อนจะถูกอาทิตย์ผลักจนล้มและกระชากไปหลบหลังรถที่จอดอยู่ใกล้ๆ
ปัง!
กระสุนเฉี่ยวหัวจันทร์ไปอย่างฉิวเฉียด คนที่สมควรจะกลัวจนตัวสั่นกลับคลี่ยิ้มออกมาอย่างพอใจ ร่างผอมที่ล้มคะมำอยู่บนพื้นค่อยๆ ลุกขึ้นมาและชูสองแขนขึ้นเหนือหัว
อาทิตย์เบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก “คุณทำบ้าอะไรจันทร์! พวกนั้นจะฆ่าคุณนะ คุณจะไปไหน” สองมือพยายามจะคว้าเสื้อจันทร์อีกครั้งแต่กลับไม่ได้ผล คว้าได้เพียงอากาศ
“ผมมาดี!”
จันทร์ตะโกนเมื่อเห็นกลุ่มอีกาที่ซุ่มอยู่ตามจุดต่างๆ กำลังเล็งกระบอกปืนมาที่ตนเอง ถึงแม้จะเห็นเพียงนัยน์ตาของกลุ่มกบฏแต่จันทร์ก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกโอเมก้าที่กำลังแค้นจัด มือที่ถือปืนสั่นอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งมันก็ไม่น่าแปลกใจนักเพราะตระกูลนฤภัทร ฉากหน้าเป็นตระกูลผู้ดีมีประวัติสวยหรูแต่ฉากหลังนั้นเต็มไปด้วยความฟ่อนเฟะ มีโอเมก้าถูกจับไปทดลองยาต่างๆ จนตายนับไม่ถ้วน แต่สาเหตุหลักที่โอเมก้าโกรธกันจริงๆ คือการที่จันทร์และเหล่าอัลฟ่าประกาศอย่างชัดเจนว่าสามารถฆ่าโอเมก้าได้โดยไม่มีความผิดแม้แต่เด็กก็ไม่เว้นสามารถฆ่าได้ อีกทั้งยังมีการตบรางวัลให้สำหรับคนที่สามารถฆ่าได้มากที่สุดด้วย
แน่นอนว่านโยบายโหดร้ายเหล่านั้นไม่ได้มาจากจันทร์โดยตรง เพียงแต่จันทร์เป็นผู้ประกาศใช้เท่านั้น ถึงแม้จะรู้สึกต่อต้านในใจแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จันทร์คนเก่านั้นก็เป็นแค่เด็กดีที่เชื่อฟังพ่อแม่ทุกอย่าง ไม่เคยคิดไม่เคยสนใจว่าผลที่ตามมามันจะร้ายแรง ผิดศีลธรรมแค่ไหน เพราะเชื่อใจในพ่อแม่ของตนเอง
หากแต่เมื่อความเชื่อใจพังทลายลงสิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็เป็นเพียงเด็กน้อยในร่างของผู้ใหญ่ที่พยายามจะชดใช้ความผิดของตัวเองให้มากที่สุดโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะตายหรือไม่
“คิดให้ดีนะว่าระหว่างเอาผมไปเป็นตัวประกันกับฆ่าผมตอนนี้เลย อันไหนคุ้มค่ากว่ากัน!”
จันทร์ก็คือจันทร์ ถึงแม้จะมองว่าตัวเองโง่เง่ากว่าจ้าวขนาดไหนแต่ความจริงก็ยังคงเป็นความจริง เพราะสติปัญญาและวาทศิลป์ของจันทร์ไม่ได้ด้อยไปกว่าจ้าวเลยแม้แต่นิดเดียว!
คำพูดตรงประเด็นของจันทร์เล่นเอาเหล่าโอเมก้าเบต้าที่มารับหน้าที่วันนี้ลังเลที่จะยิง พวกเขาเป็นเพียงแนวหน้าที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรนักจึงไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจ ขืนถ้าพวกเขากราดยิงจนทำจันทร์ตายเข้า อาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นและแผนการที่หัวหน้ากลุ่มของพวกเขาก็พังหมด
ปรึกษากันพักใหญ่ ในที่สุดก็มีโอเมก้าคนนึงเดินออกมารับจันทร์ด้วยสีหน้าไม่ไว้วางใจนัก
“จันทร์! โอกาสสุดท้ายแล้วนะที่คุณจะหนี!”
อาทิตย์ตะโกนดังลั่นพร้อมกับควักปืนออกมาเล็งหัวโอเมก้าที่ออกมารับจันทร์ ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ควรเสี่ยงแต่ก็อดไม่ได้ที่จะช่วยอีกฝ่ายอยู่ดี ยังไงซะทั้งเขาและจันทร์ก็ถือเป็นคนกันเองที่พบหน้ากันบ่อยพอตัว
ซึ่งพออาทิตย์ควักปืนขึ้นมาคนอื่นๆ ก็เล็งไปที่อาทิตย์และจันทร์เช่นกัน ปลายนิ้วเหนี่ยวไกเตรียมจะปลิดชีพถ้าเกิดนายตำรวจคิดจะเล่นตุกติกอะไร
หากแต่ความหวังดีกลับไม่ได้ผลตอบรับที่ดีเท่าใดนัก สุนัขตำรวจอย่างอาทิตย์ตกใจจนหน้าซีดเมื่อเห็นสีหน้าโกรธจัดของจันทร์จ้องมายังตัวเองอย่างดุดัน นัยน์ตาโศกนั้นแทบจะลุกเป็นไฟและแผดเผาเขาทั้งเป็น!
“กูบอกว่าอย่ามายุ่งไงวะ!”
นายตำรวจยอมลดปืนลงอย่างไม่เต็มใจนัก มองตามแผ่นหลังผอมที่เดินไปกับพวกกลุ่มกบฏอย่างไม่เข้าใจ
“คิดจะทำอะไรกันแน่ จันทร์..”
อาทิตย์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะกลับขึ้นรถเพื่อไปรายงาน ‘ข่าวใหญ่’ กับนายของตนเอง
แกร๊ง!
“…”
จันทร์จดจ้องโซ่ที่ล่ามข้อมือข้อเท้าตัวเองด้วยความรู้สึกแปลกๆ เพราะเขาไม่เคยแม้แต่จะเคยแตะต้องของพวกนี้ด้วยซ้ำ สิ่งของพวกนี้มีไว้ใช้เฉพาะกับชนชั้นเบต้าและโอเมก้าเท่านั้น ของสำหรับอัลฟ่าล้วนเป็นของที่ดีที่สุดเสมอ
หากแต่สิ่งที่อยู่บนร่างผอมของนายแพทย์กลับตรงกันข้ามเพราะมันเป็นแค่เหล็กเก่าๆ ที่หลอมผสมด้วยหลายอย่างถึงแม้จะมีคุณสมบัติในการตรวนผู้คนแต่ก็เก่าจนสนิมเกรอะและเมื่อต้องผิวหนังก็ชอบทิ้งคราบสนิทอันสกปรกเอาไว้ ข้อมือและข้อเท้าของจันทร์จึงกลายเป็นสีส้มน้ำตาลของสนิม
“พี่คุณก็โดนโซ่อันนี้ตรวนเหมือนกัน”
จันทร์เหลือบมองเบต้าร่างใหญ่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสบายใจในมือถือบุหรี่และพ่นควันออกมาเป็นพักๆ ทั้งๆ ที่อยู่ในห้องมืดสลัวแคบๆ และไม่มีช่องระบายอากาศ
“คุณรับข้อเสนอของผมใช่ไหม”
ถึงแม้จะโดนตรวนร่างกายแต่จันทร์ก็ไม่ได้สนใจและไม่ได้คิดจะดิ้นรนโง่ๆ อย่างการพยายามตะเกียกตะกายออกให้เกิดบาดแผล เขาเป็นคนตัดสินใจเข้ามาเองจึงไม่รู้จะขัดขืนไปทำไม
อีกอย่างกับการไม่ถูกค้นตัวแลกกับการถูกตรวนข้อมือข้อเท้าตลอดเวลาก็ถือว่าคุ้มค่ามากพอแล้วสำหรับเขา
“บอกตามตรงว่าจนถึงตอนนี้ผมก็ไม่เข้าใจความคิดคุณเลย คุณจันทร์” สิตพ่นควันออกมาอีกครั้งก่อนที่จะโยนก้นบุหรี่ทิ้งลงพื้นและใช้เท้าขยี้มันเพื่อดับไฟ “คุณอยู่บนวิมานสวรรค์นะจันทร์ ต่อให้เรื่องนี้จบลงยังไง คุณก็สามารถอยู่รอดได้สบายๆ อยู่ดี”
จันทร์หัวเราะเสียงแผ่ว “ถ้าคุณเป็นผม คุณจะไม่เรียกมันว่าสวรรค์หรอก”
สิตขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียดเพราะคาดเดาความคิดจันทร์ไม่ออกจริงๆ สิ่งที่พอจะคิดออกก็มีแค่จันทร์มาเป็นไส้ศึกด้วยตัวเองและแน่นอนว่ามันไม่เนียนเลยสักนิด “เอาเข้าจริงถ้าคุณจะจบลงนี้ คุณไม่จำเป็นต้องลดตัวลงมาทำมันเองด้วยซ้ำ”
“เพราะผมเป็นคนทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ผมถึงต้องมาจบมันด้วยตัวเอง”
“มันก็ใช่แต่ก็ไม่ใช่คุณคนเดียวหรอก จันทร์ ที่ทำให้เรื่องบ้าๆ นี่เกิดขึ้นและเลวร้ายขนาดนี้” หัวหน้ากลุ่มอีกาหัวเราะด้วยความเศร้าหมอง “บอกตามตรงนะว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนี้ ผมไม่ได้อยากให้มีใครตาย ผมก็แค่อยากให้พวกโอเมก้าที่เป็นครอบครัวของผม เพื่อนๆ ของผม หรือจะเป็นใครก็ได้ที่เป็นโอเมก้าได้มีชีวิตที่ดีและอิสระมากกว่านี้ คุณอยากไม่รู้หรอกว่าผมทนเห็นโอเมก้าเด็กๆ โดนข่มขืนจนท้องไปกี่คน ผมเคยเห็นแววตาใสซื่อพวกนั้นบอกกล่าวถึงความฝันตัวเองว่าอยากทำอะไรตั้งมากมายแต่พอพวกเขาโตขึ้น พวกเขาก็รู้ความจริงว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้”
ร่างสูงใหญ่ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นฐานหลักของกลุ่มอีกาสั่นระริก ใบหน้าคมเข้มที่มีหนวดเคราบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวด ต่อหน้าเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา เขาต้องเป็นคนที่เข้มแข็งที่สุดเพื่อที่จะนำพากลุ่มไปสู่ชัยชนะ ไปสู่จุดหมายที่แทบจะไม่มีทางเป็นไปได้ จุดหมายที่ดูเหมือนฝันมากกว่าความจริง
และเพราะมันเป็นไปไม่ได้ เขาถึงต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มันมา ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม พวกเขามาไกลเกินกว่าที่จะถอยแล้ว หากถอยตอนนี้คงไม่วายถูกกลุ่มรัฐบาลบดขยี้และกดลงให้ลึกกว่าเดิม ไม่มีวันเงยหน้าขึ้นจากพื้นดินได้อีก
“ระบบชนชั้นบ้านี้ทำลายแม้แต่เด็กตัวเล็กๆ ผมไม่เข้าใจสักนิดว่าเราจะมีมันไปทำไมกัน ทั้งๆ ที่เราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน มีความฝันเหมือนกัน ทำไมกับแค่การเป็นโอเมก้าถึงต้องเลวร้ายถึงขนาดนั้น ผมไม่เข้าใจ”
“เพราะแบบนี้แหละ คุณถึงต้องรับข้อเสนอของผม” จันทร์ไม่ได้คล้อยตามสิตเลยแม้แต่นิดเดียวเพราะไม่เคยสนใจความเป็นไปของคนอื่นมากขนาดนั้น สิ่งที่อยู่ในหัวจันทร์แต่ละวันก็มีแต่งานวิจัย การรักษา การออกสื่อ ทุกอย่างเป็นระบบระเบียบจนความรู้สึกกลายเป็นเรื่องไม่จำเป็นไปเสียแล้ว
แต่จันทร์ก็รู้ดีว่าตัวเองไม่ได้สูญเสียความรู้สึกไปจริงๆ เพียงแต่เพิกเฉยต่อมันเท่านั้น
“คุณจะบ้าเหรอ จันทร์” สิตสบถไม่จริงจังนัก “นัดพวกรัฐบาลมาเจรจากันหน้าทำเนียบรัฐบาล คุณคิดว่าพวกเขาจะปล่อยให้พวกเรารอดเหรอ เผลอๆ ยังไม่ทันคุยก็กราดยิงใส่ด้วยซ้ำ ผมไม่อยากเอาคนของผมไปเสี่ยงด้วยหรอกนะ”
“คุณก็แค่นัด” จันทร์พูดอย่างสุขุม “ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ผม”
“จะบอกว่าจะเป็นตัวแทนให้กลุ่มเราแทนจ้าวว่างั้น?”
“ผมไม่ใช่ตัวแทนใคร” นัยน์ตาโศกมองสิตอย่างไม่พอใจนัก “ที่ผมมาที่นี่ มันยังไม่ชัดพอรึไงว่าผมสมัครใจเป็นพวกคุณ”
“ใครจะไปรู้ คุณอาจจะตั้งใจมาสืบพวกเราก็ได้”
บรรยากาศกึ่งผ่อนคลายหายไปเหลือเพียงความตึงเครียดแทบทุกตารางนิ้วในอากาศ กลิ่นบุหรี่ที่ยังอวลอยู่ในห้องเล่นเอาคนที่เกลียดกลิ่นบุหรี่เข้าไส้อย่างจันทร์หงุดหงิดขึ้นอีกหลายระดับ
“ผมจะสืบพวกคุณไปทำไม” จันทร์พูดเสียงแข็ง “บอกตามตรงว่าตอนนี้ต่อให้รู้ข้อมูลการเคลื่อนไหวของพวกคุณมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ผมไม่เห็นฝั่งรัฐบาลจะหยุดระเบิดมือที่พวกคุณทำได้สักรอบ ยาต้านน้ำหอมพวกนั้นก็ไม่มี ยิ่งขาดผมแล้วพวกนั้นก็คงจะทำอะไรต่อไม่ได้”
“ผมไว้ใจใครไม่ได้ จันทร์” สิตยิ้มบางๆ “ผมมีคนในการดูแลอีกเป็นพันๆ คน ผมจะไม่เสี่ยงกับอะไรที่ไม่แน่นอน ข้อเสนอของคุณ ผมคงจะรับไว้ไม่ได้”
“แล้วจะปล่อยให้สงครามมันยืดเยื้อไปถึงไหนวะ!” นัยน์ตาโศกของจันทร์ขึ้นสีแดงก่ำอย่างดุร้าย “ปากบอกว่าหวังดีแต่มึงก็ไม่เคยคิดจะหยุดสงคราม มึงลองมาอยู่ในโรงพยาบาลแล้วเห็นคนหามทั้งศพทั้งคนเข้ามาตลอดเวลาไหมวะ รู้ไหมว่าโรงพยาบาลทุกที่แทบจะทุกเตียงเต็มหมดแล้วเพราะอุดมการณ์ของมึง ถ้ามึงยังไม่หยุดวางระเบิดฆ่าพวกอัลฟ่า รัฐบาลก็ไม่หยุดฆ่าพวกมึงเหมือนกัน เอาสิ มึงจะให้ตายกันทั้งประเทศเลยไหมล่ะ”
เพี๊ยะ
ใบหน้าของจันทร์สะบัดตามแรงตบ กลิ่นเลือดฉุนในปากแต่จันทร์ก็ยังรู้สึกเดือดดาล
เขาโกรธที่ปฏิเสธข้อเสนอของเขาอย่างไม่ไยดี ทั้งๆ ที่เขาคิดและไตร่ตรองมาแล้วว่ามันต้องสำเร็จ อีกทั้งยังไม่น่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียเลือดเนื้อด้วย มันเป็นวิธีที่ดีและปลอดภัยอีกทั้งยังมีโอกาสที่จะสำเร็จสูงด้วย
“มึงจะพูดอะไร มึงก็ระวังปากหน่อยแล้วกัน” สิตขบกรามกรอด “ถ้ากูนัดให้มึงแล้วมึงจะทำยังไงต่อ แค่คำพูดสุนทรพจน์ที่มึงชอบพูด มันไม่ช่วยอะไรหรอกนะ”
“จับกูเป็นตัวประกัน” จันทร์เหยียดยิ้ม “แล้วพวกนั้นจะไม่กล้าทำอะไรมึง”
สิตชะงักปากที่กำลังจะด่าและครุ่นคิดเพราะความคิดของจันทร์ถือว่าน่าสนใจไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงคาดเดาแผนของจันทร์ไม่ออกอยู่ดี พูดตามตรงว่าตอนนี้เขายังคิดหาทางยุติสงครามนี้ไม่ได้เลยนอกจากจะทำลายอีกฝ่ายให้ย่อยยับจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะยอมแพ้
และแน่นอนว่าจะไม่ใช่กลุ่มของอีกาอย่างแน่นอน!
“ถ้ากูนัดให้แล้วมึงจะทำยังไงต่อ”
“ก่อนอื่นกูขอถามตรงๆ นะ” จันทร์จ้องตาคนเป็นหัวหน้ากลุ่มอีกาเขม็งอย่างไม่เกรงกลัวแม้ว่าจะโดนตบหน้าไปครั้งนึงแล้วก็ตามที “ถ้ารัฐบาลยอมหยุดแล้วมึงจะยอมหยุดบ้างไหม”
สิตขมวดคิ้ว “ถ้าพวกมันไม่เล่นตุกติกกูก็จะหยุด”
“บอกตามตรงว่ากูก็ไม่มั่นใจหรอกว่าจะยุติสงครามบ้าๆ นี่ได้ไหม” นัยน์ตาโศกสั่นระริกชั่วครู่ก่อนที่จันทร์จะหลับตาเพื่อซ่อนมันเอาไว้ “แต่กูก็แค่คิดว่าวิธีการของกูมันน่าจะลดความรุนแรงได้บ้าง ถ้าต้นเหตุของสงครามคือความแตกต่างระหว่างชนชั้น ถ้าเกิดว่ากูทำลายมันได้ แต่ละฝ่ายก็ไม่น่าจะมีข้ออ้างในการทำสงครามแล้ว”
“หมายความว่าไง? อย่าบอกว่านะว่าผลิตอะไรได้อีกแล้ว”
หัวหน้ากลุ่มอีกาถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักเพราะรู้ดีว่าคนตรงหน้าตัวเองเป็นเจ้าของผลงานอะไรบ้าง ผลงานวิจัยระดับโลกหลายอย่างๆ ก็ล้วนมี ‘จันทร์ นฤภัทร’ อยู่ในกลุ่มทั้งนั้น
“ใช่”
จันทร์ยิ้มเย็น
“กูสามารถทำให้อัลฟ่า เบต้า โอเมก้ากลายเป็นพวกสภาวะไร้เพศได้แล้ว!”===========
คืออารมณ์ตอนตัดกันจนเกรงใจคนอ่านอ่ะ 5555 เนื้อเรื่องตอนต่อๆ ไปคงจะเข้มจนไม่รู้จะเข้มยังไงล่ะอ่ะ
ใกล้ถึงจุดจบของเรื่องขึ้นทุกทน ขอให้ทุกท่านโปรดทำใจรอเลย (?)
ปล ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ
เป็นกำลังใจเขียนมากๆ เลยเพราะตอนนี้เขียนยากมากช่วงหลังและช่วงหลังจากนี้ก็คงยากขึ้นไปอีกเรื่อยๆ เพราะมันจะพีคที่สุด 5555