พิมพ์หน้านี้ - {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ แจ้งข่าวรวมเล่ม p.10

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Foggy Time ที่ 08-03-2018 09:55:54

หัวข้อ: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ แจ้งข่าวรวมเล่ม p.10
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 08-03-2018 09:55:54
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
Share This Topic To FaceBook
Share This Topic To FaceBook แก้ไขข้อความ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ : บทนำ p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 08-03-2018 10:05:13
(https://www.img.in.th/images/0f3a2f0bef2fcea0bb2493164e9172c0.png)

'ไม่มีใครอยากตกเป็นเหยื่อของใครบางคน'

INTRO



เสียงดนตรีดังกระหึ่มในห้องโถงที่บรรจุผู้คนไว้นับพัน ทุกคนในที่นั้นล้วนจับจ้องไปยังจุดเดียวและเปล่งเสียงร้องเพลงออกมาดังลั่น พวกเขาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นแฟนคลับของวง 'MOONLIGHT' วงดนตรีวัยรุ่นชื่อดังที่สุดในประเทศไทยตอนนี้


"เอ้า! เพลงสุดท้ายแล้ว ขอดังๆ เลยนะครับ" เสียงทุ้มนุ่มอันเป็นเอกลักษณ์หาได้ยากที่เอ่ยขึ้นมานั้นเป็นเสียงของจ้าว นักร้องนำวงมูนไลท์ ผู้ที่นับได้ว่าเป็นหน้าเป็นตาของวงเพราะหน้าตาตามแบบสมัยนิยมแต่ที่โดดเด่นจริงๆ ก็คงจะเป็นตาที่ตี่ อย่างลูกคนจีนและผมสีดำที่ถูกย้อมเป็นสีเทา ซึ่งจ้าวมักจะถูกหยิบยืมตัวไปเป็นหน้าปกนิตยสารอยู่บ่อยๆ


แน่นอนว่าเหล่าแฟนคลับกรีดร้องเสียงดังลั่นตอบรับอย่างเต็มที่ พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นผู้คนที่ยอมเสียเงินซื้อตั๋วราคาแพงเพื่อให้ได้อยู่ในสถานที่เดียวกับวงดนตรีในดวงใจ


จ้าวเปล่งเสียงร้องเพลงด้วยรอยยิ้มจนตาหยี ถึงแม้ว่าตอนนี้ร่างกายจะเหนื่อยและหอบจนแทบยืนไม่อยู่แต่เขาก็มีความสุขกับอาชีพนี้มากจนตั้งใจจะร้องเพลงไปตลอดชีวิต


"บอกไปเขาเลยว่า!! " จ้าวตะโกนเสียงดังลั่นพร้อมกับยื่นไมค์ไปทางแฟนคลับ


"รำคาญโว้ย!!! "


จ้าวผวาเฮือกรีบยันตัวลงขึ้นนั่งจนเตียงส่งเสียงลั่นดังเอี๊ยดอ๊าดบาดหูบ่งบอกถึงคุณภาพที่ย่ำแย่เกินทนของมัน จ้าวหันมองซ้ายมองขวาตัวเองเห็นกำแพงสีขาวที่หมองจนราดำขึ้น ชักโครกกับอ่างล่างหน้าเก่าและซี่กรงสนิมเหล็ก


ซึ่งเมื่อก้มมองมือตัวเองก็พบว่าถูกตรวนด้วยโซ่หนักๆ ทั้งสองข้าง อีกทั้งบนข้อมือยังเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนและบาดแผลมากมายจนแทบหาเนื้อเดิมไม่เจอ


น้ำตาอันไร้ที่มาพรั่งพรูเต็มตาก่อนที่จะสะอื้นจนตัวโยน


เขาฝันอีกแล้วสินะ...


"มึงจะร้องอะไรนักหนาวะ? คนอื่นเขานอนห้องโสโครกกว่ามึงอีกยังไม่ร้องเลย มึงเป็นตุ๊ดไงวะ! " ผู้คุมวัยกลางคนซึ่งนั่งไขว่ห้างติดริมประตูกล่าวแดกดันด้วยสีหน้าสมเพช "หุบปากสักที!! รำคาญ ถ้ามึงอยากร้องมากก็ร้องเพลงมึงสิ เพลงอะไรนะ? ขอรักอะไรของมึงที่เคยดังๆ น่ะ ร้องเลย"


คนโดนแดกดันกัดปากพยายามไม่หลุดสะอื้นยกมือที่ถูกตรวนกอดตัวเองแน่น


"เอ้า! พอให้ร้องก็ไม่ร้อง ประสาทว่ะ" ผู้คุมบ่นอย่างฉุนเฉียวและคว้ากาแฟกระป๋องที่ถูกดื่มจนหมดแล้วมาขยำจนผิดรูป "ทีนี้มึงช่วยหุบปากด้วยนะ กูรำคาญ อย่าคิดว่าเงินมึงเยอะมันจะทำให้กูไม่กล้าซ้อมมึงนะ"


"ผม..ไม่ได้ทำ"


เสียงที่เคยถูกยอมรับว่ามีสเน่ห์ที่สุดตอนนี้กลับแตกพร่าและสั่นจนน่าตกใจ


"มึงว่าไงนะ? " ผู้คุมวัยกลายคนเลิกคิ้วและยิ้มเยาะ "หลักฐานมีอยู่ทนโท่ขนาดนั้น เลือดก็เลือดมึง มีดก็มีดมึง มึงจะบอกว่ามึงไม่ฆ่าเขากูว่ามันฟังไม่ขึ้นว่ะ"


จ้าวตัวสั่นสะท้านหนักกว่าเดิมแต่ไร้เสียงสะอื้นมีเพียงกลิ่นคาวเลือดจางๆ ที่อวลในอากาศ


"ผม ..ฮึก ไม่ได้ทำ"


เคร๊ง!!!


กระป๋องเหล็กถูกขว้างเข้าไปในห้องขังของจ้าวซึ่งถ้าจะให้นับจริงๆ ก็คงจะเป็นกระป๋องที่ร้อยแล้ว เพราะจ้าวไม่ได้มาอยู่ที่นี่เป็นปีแรกแต่เป็นปีที่สี่ของการถูกคุมขังนับจากการวันนั้น


วันที่ทุกอย่างในชีวิตของจ้าวพลังทลายลงในพริบตา


"ผม.. ไม่ได้ทำ"


จ้าวพูดซ้ำไปซ้ำมาราวกับคนบ้า พึมพำเสียงเบาด้วยน้ำเสียงอันร้าวราน


"โอ๊ย ปวดประสาทกับมึง" ผู้คุมบ่นเซ็งๆ ยกมือขยี้หัวล้านเลี่ยนของตัวเอง ถึงงานคุมขังนักโทษระดับสูงอย่างพวกอัลฟ่าเงินเยอะจะเป็นงานสบายก็จริง แต่ใครจะไปรู้ว่าอัลฟ่าคนนี้มันน่ารำคาญเป็นบ้า หลังจากที่ถูกฉีดยาทำให้ฮอร์โมนอัลฟ่าในร่างกายเป็นบีต้ามันก็กลายเป็นคนละคน ตื่นมาก็เอาแต่ร้องไห้แล้วก็เหม่อลอย ยิ่งวันที่มันถูกจับไปประทับตราโอเมก้าที่หลังคอ วันนั้นมันอาละวาดจนคุกแทบแตก เอาแต่ร้องไห้จะเป็นจะตายจนหมดมาดนักร้องดังชื่อดังที่คนส่วนใหญ่รู้จัก


ซึ่งเหตุผลที่มันถูกพาตัวมาอยู่ในคุกนรกนี่ก็คือไปฆ่าผู้หญิงที่เป็นถึงคู่หมั้นตาย ลุงอย่างเขามันไม่เข้าใจสักนิดว่ามันจะทำไปทำไม เงินก็มีชื่อเสียงก็มีกลับมาคิดสั้นทำอะไรแบบนี้


"คนรวยแม่งเข้าใจยากว่ะ" ร่างวัยกลางคนพูดไม่จริงจังนักแล้วเอื้อมมือไปเปิดวิทยุและปรับหาคลื่นเพลงลูกทุ่งหรือสู้ชีวิตที่ตัวเองชอบ


'ขอเชิญชวนร่วมทำบุญบริจาคโลหิตกับนายแพทย์จันทร์ นฤภัทร ในวันที่สิบสองเนื่องในโอกาสวันแม่'


เคร๊ง!!


"อะไรของมึงอีกวะ! " ร่างสูงวัยสะดุ้งและตวาดดังลั่นก่อนที่จะตวัดสายตาไปมองร่างเจ้าปัญหาซึ่งตอนนี้กุมหัวตัวเองแน่นส่งเสียงสะอื้นออกมาไม่หยุดราวกับเสียสติไปแล้วโดยสมบูรณ์


"ฮึก"


จ้าวพยายามกระชากตรวนที่คล้องมือตัวเองออกจนเลือดออกซึ่งจ้าวก็เคยทำแบบนี้มาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนข้อมือเกรอะไปด้วยเลือดแห้งกรังที่จะถูกทำความสะอาดอีกทีตอนที่หมอมาตรวจและให้ยาระงับฮอร์โมนอัลฟ่า


"ทำไม" ร่างที่เคยสูงโปร่งตอนนี้เหลือเพียงเนื้อติดกระดูกตรวญเสียงเบา


การติดคุกนอกจากจะบั่นทอนความรู้สึกนึกคิดแล้วสำหรับจ้าวนั้นมันยังฉีกกระชากตัวตนให้ไม่เป็นชิ้นดีด้วย จ้าวนั้นเป็นคนที่เกิดในตระกูลแพทย์ที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศและมีเชื้อสายอัลฟ่าที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพลเมืองชั้นสูงอย่างเต็มเปี่ยม เรียกได้ว่าใช้ชีวิตอยู่บนกองเงินกองทองมาตลอด ไม่เคยมีสักครั้งที่เงินขาดมือ ถึงแม้ว่าจ้าวจะไม่ยึดติดกับฐานะแต่การถูกทำลายตัวตนจากอัลฟ่าให้กลายเป็นโอเมก้า ชนชั้นที่ต่ำที่สุดในสังคมก็ชวนให้สะเทือนใจอยู่เหมือนกัน


แต่โชคยังดีของจ้าวที่เทคนิคการแพทย์ในยุคสมัยนี้นั้นไม่สูงเกินไปนัก ทำได้แค่ทำให้อัลฟ่ากลายเป็นเบต้ายังไม่ถึงขั้นทำให้กลายเป็นโอเมก้าอย่างที่กฎหมายว่าไว้ได้ จ้าวจึงแค่ถูกประทับตราที่คอราวกับสัตว์เดียรัจฉานเท่านั้น


'อย่าลืมมาร่วมกันบริจาคเยอะๆ นะครับ เพียงแค่คุณบริจาคเลือดของคุณ เชื่อผมเถอะ คุณก็สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยและผู้ประสบอุบัติเหตุได้มากมายอย่างแน่นอน'


วิทยุของลุงยังคงทำงานได้ดี มันส่งเสียงโฆษณาเชิญชวนตามสายสักพักก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อเพลงสู้ชีวิตที่ลุงต้องการ


"ทำไมล่ะ.. ฮึก..."


จ้าวจิกเนื้อตัวเองแรงจนเลือดออกแต่กระนั้นนัยน์ตาสีดำที่เคยเป็นประกายด้วยความมีชีวิตชีวาก็ยังเหม่อลอย มองกำแพงราดำตรงหน้าราวกับว่ามันมีใครบางคนยืนอยู่


"ฮึก ตอบสิ.."


อดีตนักร้องนำที่ตอนนี้กลายสภาพเป็นนักโทษที่ถูกคดีฆ่าคนตายโดยเจตนาคร่ำครวญเสียงแผ่ว


"ทำไม.."


จ้าวสะอื้นฮักก่อนที่จะคู้ตัวกอดตัวเองแน่น รู้ดีว่าต่อให้ถามให้ตายก็คงไม่มีคำตอบกลับมา


นอกเสียว่าเจ้าตัวจะมาตอบด้วยตัวเอง

หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 1 : นกปีกหัก p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 08-03-2018 10:09:48
ตอนที่ 1



เวลาห้าปีสำหรับคนทั่วไปแล้วอาจจะไม่นานนักแต่สำหรับนักโทษนั้นราวกับนานชั่วกัลป์และจ้าวก็เป็นหนึ่งในคนที่คิดอย่างนั้น จึงเอาแต่ยืนเหม่อลอยอยู่ที่เดิมจดจ้องไปยังห้องขังของตัวเองที่ประตูเปิดอ้าราวกับว่าเรียกร้องให้เขากลับเข้าไปยังห้องขังแสนสุขที่อาศัยอยู่มาตลอดห้าปีนี้


"เอ้า มีอะไรจะสั่งเสียไหม จะกลับคืนสู่สังคมแล้วนี่ พ่อนักร้อง" ลุงผู้คุมที่มีหน้าที่ดูแลจ้าวมาตลอดพูดด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรอย่างผิดวิสัย เอาเข้าจริงเขาดีใจมากกว่าที่อัลฟ่าน่ารำคาญนี่ไปๆ สักที


จ้าวหันไปมองลุงที่อยู่ด้วยกันมากว่าห้าปีแล้วก็ยังไม่รู้ชื่อนิ่งๆ แล้วก็นิ่งอยู่อย่างนั้น คล้ายกับว่าจิตใจจิตใต้สำนึกหรือสมองที่สั่งการถูกทำลายไปอย่างสมบูรณ์แบบ มีเพียงหัวใจที่ยังคงเต้นอยู่ในอกที่ทำงาน


"..ฮึก"


"เฮ้ย เดี๋ยวๆ ให้ลาเว้ยไม่ใช่ให้ร้อง" จากอารมณ์ดีๆ เริ่มจะบูด ลุงวัยกลางคนกระชับหมวกตัวเองให้เข้าที่แล้วเดินไปแตะไหล่จ้าวเบาๆ "กูเชื่อมึงนะที่มึงไม่ได้ฆ่าเขา เอาเหอะ ไหนๆ มึงก็ได้ออกก่อนกำหนดตั้งเยอะ มึงก็กลับไปหางานทำดีๆ ละกัน กูเชื่อว่ามึงต้องมีความสุขหลังจากออกจากนรกอย่างที่นี่ไปแล้ว"


"...อือ" จ้าวส่งเสียงในลำคอรับรู้เบาๆ แต่จิตใจยังคงล่องลอยไปไกล หลังคอยังรู้สึกร้อนฉ่าจากการประทับตราของโอเมก้าที่ป่าเถื่อนราวกับว่าโอมาก้านั้นเป็นสัตว์ป่าไม่ต่างจากวัวที่ถูกประทับตราหมายเลขที่สะโพก คิดถึงเรื่องนี้จ้าวก็รู้สึกเบาโหวงในอก หายใจฮักพยายามเอาอากาศเติมในนั้น


"ลุง.. ดูแลตัวเอง.. ด้วย"


นี่คงจะเป็นประโยคที่ดูเป็นประโยคมากที่สุดตั้งแต่ที่จ้าวถูกพาตัวมาคุมขังที่นี่ตลอดห้าปีเพราะหลังจากนั้นเจ้าตัวก็เอาแต่พูดคำสั้นๆ ไม่เป็นประโยค เป็นแค่คำกริยาลอยๆ หรือไม่ก็คำว่าทำไมที่พูดซ้ำไปซ้ำมาราวกับเทปที่ถูกกรอเอาไว้


"เออ มึงก็ด้วย ที่ผ่านมากูก็ขอโทษแล้วกัน" ลุงแกหัวเราะฮ่าๆ ตบหลังตั้งใจะจะตบไหล่ซ้ำอีกรอบแต่ก็โดนเพียงอากาศเพราะจ้าวผวาถอยหนีกอดตัวเองแน่น


คราแรกลุงตั้งใจจะเอ็ดใส่ด้วยความหงุดหงิดแต่พอเห็นสีหน้าของนักโทษในการปกครองของตัวเองก็เลือกที่จะเก็บปากเงียบและปล่อยให้อีกฝ่ายก้มหน้างุดเดินออกจากห้องขังไปโดยมีหัวหน้าผู้คุมคอยดูแลอีกที


ผู้คุมวัยกลางคนถอดหมวกตัวเองออกแล้วมองกระป๋องกาแฟยี่ห้อโปรดของตัวเองที่ยังคงวางอยู่บนโต๊ะด้วยความรู้สึกผิดเล็กๆ ใบหน้าของดารานักร้องดังนั้นที่เขาเห็นนั้นว่างเปล่า หวาดกลัว ไม่ต่างอะไรจากวันแรกที่เขามาอยู่ในการดูแลของเขา ผิดแค่ว่าสภาพของจ้าวในตอนนั้นยังพอมีชีวิตชีวามีความหวังอยู่บ้าง แต่ตอนนี้นั้นไม่ต่างอะไรจากร่างไร้วิญญาณที่มีความทุกข์ระทมสุมอยู่เต็มอก


"แต่กูก็ไม่ได้ทำให้มันติดคุกนี่หว่า"


ลุงบ่นพึมพำก่อนที่จะเอื้อมมือไปเปิดวิทยุเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกผิดในใจเพราะตัวเองก็คงจะมีส่วนในการทำให้จ้าวเป็นแบบนี้ไม่มากก็น้อย




มีผู้คนมากมายเรียกร้องหาอิสรภาพให้กับตัวเองโดยเฉพาะผู้ต้องหาที่ติดอยู่ในคุก หลายสายตาจับจ้องร่างผ่ายผอมติดกระดูกที่เดินช้าๆ ด้วยความรู้สึกอิจฉาจนมีบางคนที่ส่งเสียงตะโกนแดกดันและด่าทอ


จ้าวตัวสั่นหนักกว่าเดิมยกมือขึ้นปิดหลังคอตามความเคยชินหากแต่มันกลับไม่ช่วยอะไร เสียงด่าทอดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับอารมณ์หงุดหงิดของผู้คุมหนุ่มที่รับหน้าที่ส่งตัวนักโทษในวันนี้


"ให้มันเร็วๆ หน่อย!! " ผู้คุ้มหนุ่มวัยฉกรรจ์เอ็ดเสียงเข้ม


แต่มันกลับทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงกว่าเดิม จ้าวผวารีบวิ่งไปข้างหน้าไปยังประตูที่แง้มเปิดนิดๆ ถึงแม้จะไม่รู้ว่ามันเป็นทางออกรึเปล่าแต่สัญชาตญาณลึกๆ กำลังบอกว่ามันคงจะสามารถพาเขาออกจากสถานที่นี้ได้


ขาสองข้างแทบจะกระโจนเข้าใส่แสงสว่างนั้น จ้าวยิ้มกว้างเมื่อสามารถหลุดออกมาจากนรกที่ขังตัวเองมาตลอดห้าปีได้หากแต่รอยยิ้มปรากฎได้ไม่นาน จ้าวก็ผงะยืนตัวแข็งเบิกตากว้างหนำซ้ำยังเผลอก้าวถอยหลังกลับเข้าไปในคุกอย่างผวา


"เฮ้ย จ้าว" ร่างสูงหน้าตาคมเข้มอย่างคนใต้ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีในการมารับจ้าวออกจากคุกเอ่ยทักด้วยรอยยิ้ม


จ้าวไม่ตอบรับจับมือที่สั่นเทาของตัวเองแน่นก้มหน้ามองต่ำ


"เอ้า ไรของมึงวะ" เมื่อคำทักทายถูกเมินเฉยคนพูดจึงเริ่มรู้สึกงุนงงแล้วหันไปหาอีกคนที่น่าจะทำหน้าที่สื่อสารได้ดีกว่าตัวเอง "จันทร์ ลองไปคุยกับพี่มึงดิ้"


"ครับ"


จันทร์รับคำด้วยรอยยิ้มสุภาพและสาวเท้าไปหาพี่ชายฝาแฝดของตัวเอง ที่ดูแปลกตากว่าที่เห็นครั้งล่าสุดไปมาก จากคนที่ดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้าตอนนี้กลายเป็นคนละคน ผมที่เคยถูกกัดเป็นสีเทาตอนนี้เป็นสีดำกระด่างยาวถึงบ่าดูสกปรก ร่างกายผอมแห้งโดยเฉพาะที่ข้อมือนั้นมีรอยแผลเต็มไปหมด


ตึก


"..ไม่" อดีตนักร้องดังครวญเสียงเบากับตัวเอง


เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังสม่ำเสมอทำให้จ้าวรู้สึกเครียดจนจิกเล็บใส่มือตัวเอง เคราะห์ดีที่จ้าวตัดเล็บจนมันสั้นกุดแล้วไม่เช่นนั้นมือของจ้าวอาจจะเป็นรอยแผลฉีกลึกตามแรงที่เจ้าตัวกดลงไป


และมันก็หนักขึ้นทุกครั้งเมื่อร่างนั้นใกล้เข้ามา


จ้าวพยายามควบคุมไม่ให้ตัวเองสั่น ไม่ให้ตัวเองร้องไห้ สิ่งเดียวที่เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ร่างไร้วิญญาณของจ้าวกลับมาปฏิกิริยาตอบรับรุนแรงก็คือร่างของคนตรงหน้า


"พี่จ้าวเป็นอะไรรึเปล่าครับ? "


น้ำเสียงที่ฟังแล้วรู้สึกถึงความเป็นห่วงเป็นใยแต่สำหรับจ้าวแล้วมันกลับแช่แข็งเลือดจนเย็นเยียบ อากาศที่อยู่ในอากาศดูจะไม่เพียงพอต่อการหายใจอีกต่อไป


"..เปล่า" จ้าวแค่นเสียงตอบหอบหายใจหนักและเบี่ยงสายตาไปทางอื่นเมื่อเห็นชายเสื้อกาวน์คุ้นตา "ไม่สบายนิดหน่อย"


หมับ!!!


จ้าวเบิกตากว้างเมื่อจู่ๆ โดนจู่โจมด้วยกอด เกือบจะร้องเสียงดังลั่นถ้าไม่รู้สึกถึงกลิ่นน้ำหอมเย็นสะอาดที่คุ้นเคยเมื่อประมาณห้าปีแล้วซะก่อน


น้ำตาจู่โจมดวงตาอีกครั้ง จ้าวน้ำตาคลอแต่ไม่ได้กอดตอบปล่อยให้ตัวเองโดนกอดไปทั้งอย่างนั้นและจมลงไปภวังก์ของเรื่องราวในอดีตที่แสนจะหอมหวานซึ่งเกิดขึ้นมานานมาแล้ว


"คิง.."


คิง เป็นมือเบสรูปหล่อของวงมูนไลท์ ด้วยบุคลิกนิ่งๆ หยิ่งๆ ดูน่าค้นหาทำให้คิงค่อนข้างเป็นที่สนใจของสาวๆ แต่ถึงกระนั้นคิงก็ไม่มีได้คบใครเป็นตัวตนเป็นสักที ทำให้นักร้องวงมูนไลท์ครองโสดกันหมดและทำเพลงเกี่ยวกับโสดๆ เหงาๆ ซะส่วนใหญ่


เจ้าของชื่อครางรับในลำคอออกแรงกอดแน่นยิ่งกว่าเดิม ถึงแม้จะกลัวจ้าวกระดูกหักแต่ความคิดถึงก็ไม่เคยปราณีใคร มันทำให้เขายิ่งกอดอีกฝ่ายแน่นขึ้นไปอีก


"คิดถึง"


ระยะเวลาห้าปีแทบจะฆ่าคิงตายทั้งเป็น มันช่างยาวนานและเจ็บปวด คิงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการรอหัวหน้าวงไปกับการเป็นนักดนตรีในกับร้านเหล้าของรุ่นน้องคนนึงในคณะ ใช้เวลาวันทั้งวันไปกับการจิบเหล้าเกากีตาร์และร้องเพลงของวงตัวเองที่ดูจะไม่เป็นที่ต้องการสำหรับใครต่อใครอีกต่อไปแล้ว


"..กลับมาเล่นกัน" คิงพูดเสียงพร่าสั่นเทา


แสงจันทร์ที่ดูน่าหลงใหลบนฟากฟ้าในเดือนแรมก็ยังมีวันดับ


เฉกเช่นเดียวกับวงมูนไลท์ที่ตอนนี้เหลือเพียงชื่อเสียงในกาลก่อน ไม่มีใครอีกแล้วที่อยากสนใจฟังเสียงของฆาตกรที่สามารถออกอัลบั้มใหม่ๆ มาได้อย่างน่าไม่อาย ยอดขายที่เคยสูงลิ่บลิ่วตอนนี้อัลบั้มเดียวยังขายยาก


คิงคิดถึงสิ่งเหล่านั้นและตั้งใจจะสร้างมันใหม่อีกครั้งด้วยความหวังเล็กๆ ว่ามันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น คิงยอมไม่ไปเข้าร่วมกับวงอื่นที่มาชักชวนให้เข้าด้วยซ้ำเพื่อรอจ้าว


จ้าวที่เป็นทุกอย่างให้กับทุกคนในวงมูนไลท์


ความเป็นผู้นำ ความหวัง ความกระตือรือร้น รอยยิ้มและความรัก


นัยน์ตาของคิงฉายประกายบางอย่างเมื่อมองจ้าวเสมอโดยที่จ้าวไม่เคยรู้ตัวแม้แต่น้อย


"…"


จ้าวไม่ได้ตอบแต่น้ำตาไหลออกจากดวงตาช้าๆ


น่าเสียดายที่คุณสมบัติเหล่านั้นนัั้นอยู่ในจ้าวคนก่อน ไม่ใช่กับจ้าวคนนี้


"...ไม่"


จ้าวที่ถูกทำลายตัวตนไปแล้วโดยสิ้นเชิง ความฝันอะไรทั้งเพที่จ้าวทุ่มเทกับวงมูนไลท์ทุกอย่างพังไปหมดแล้วตั้งแต่วันแรกที่มีนักข่าวมาทำข่าวเกี่ยวกับคดีฆ่าคนตายของเขา เหล่าแฟนคลับที่เขารักต่างพากันมองเขาด้วยสายตาที่ต่างออกไปจากเดิมแต่ที่แน่ๆ มันทำให้เขาเผลอยืนสะอื้นต่อหน้านักข่าวด้วยซ้ำ


มันเป็นครั้งแรกที่จ้าวเข้าใจความเจ็บปวดเจียนตาย


เสียงเยาะเย้ยจากในเรือนจำคล้ายกับดังแว่วในหูจนจ้าวผวายกมือขึ้นมาปิดหู จ้าวผลักคิงออกแล้วกอดตัวเองแน่นตัวสั่นเทา พยายามกักขังตัวเองในโลกดำมืดอันเงียบงันที่อย่างน้อยก็ไม่มีใครนอกจากตัวเอง แต่สมองกลับไม่ยินยอมให้เป็นเช่นนั้น


จากบรรยากาศรอบตัวที่เป็นห้องส่วนกลางสำหรับทำเอกสารนำตัวนักโทษเข้าออกจากเรือนจำกลายเป็นโถงกว้างๆ สำหรับให้นักโทษมาฝึกงานเพื่อเตรียมตัวกลับเข้าไปในสังคมต่อไป


จ้าวตัวสั่นหนักกว่าเดิมกัดปากแน่นจนกลิ่นคาวอวล


เหตุการณ์ที่เขาเกลียดกำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง


'โหย ดังก็ดัง ถามจริง เอาไม่มันรึไงถึงได้ฆ่าเขานะ' นักโทษคนหนึ่งที่ถือว่าเป็นอันธพาลใหญ่ในหมู่นักโทษตะโกนแซวนักร้องดังที่นั่งคนเดียวอย่างคะนองปากและผลตอบรับก็คือเสียงหัวเราะครืนราวกับเรื่องตลก


ทั้งๆ ที่สำหรับจ้าวแล้วมันไม่ตลกสักนิด


จ้าวพยายามไม่ตอบรับไม่โต้ตอบหวังว่าพวกเขาจะเบื่อและเลิกไปเอง


'เห้ย! ถามก็ตอบดิวะ!! '


อันธพาลใหญ่ที่โดนเมินซึ่งๆ หน้าเริ่มเดือดจึงเหลือบมองลูกน้องคนสนิท 'มันเก๋าว่ะ ใหญ่ มึงไปทำให้มันรู้หน่อยว่ามันต้องคุยกับกูต่อให้แม่งไม่อยากคุยถ้าก็อยากคุยแม่งก็ต้องคุย'


'ครับ' ลูกน้องร่างใหญ่ที่ร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผลและรอยสักเหลือบมองจ้าวที่นั่งอยู่อย่างไม่เป็นมิตรและย่างสามขุมเข้าไปหาอย่างดุดัน


บรรยากาศเสียงตะโกนคุยกันของเหล่านักโทษชายพลันเงียบกริบอย่างผิดวิสัยเพราะเรื่องสนุกๆ กำลังจะเกิดขึ้น สิ่งที่นักโทษชายเหล่านี้โปรดปรานก็คือการต่อสู้ ไม่มีอะไรสนุกไปกว่าการลงเงินพนันแล้วฝั่งที่ตัวเองเชียร์แล้วมันชนะไปอีกแล้ว


นัยน์ตาของอันธพาลใหญ่เป็นประกายวาวโรจน์มองจ้าวก่อนที่แววตานั้นจะเปลี่ยนเป็นสนุกสนาน


'เอ๊ะ ดูเหมือนว่าจะลืมอะไรไป' คนเป็นอันธพาลทำเสียงเล็กเสียงน้อย 'มึงกลายเป็นโอเมก้าไปแล้วนี่หว่า ว้า งี้ก็อดมีเมียแล้วสิ ถ้าอยากได้ผัวกูแนะนำเลยนะ เอาไอ้เหยินนั่นเลยเหมาะสำหรับมึง' พูดจบก็ชี้ไปยังนักโทษสติไม่ค่อยดีที่กำลังนั่งนับนิ้วและพูดอยู่คนเดียว


เหล่านักโทษยังคงหัวเราะครืนไม่หยุดจนผู้คุมที่นั่งกินข้าวอยู่ตวาดครั้งหนึ่งเสียงจึงค่อยซาลง


'มึงอย่าทำตัวมีปัญหาให้มันมากนัก'


เสียงขู่กรรชากจากฆาตกรตัวจริงดังแว่วออกมาจากร่างที่ยืนตรงหน้าจ้าว


จ้าวขนลุกซู่พยักหน้าไม่คิดชีวิตก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือของตัวเองต่อด้วยมืออันสั่นเทา โดยที่ไม่รู้ตัวจ้าวนั้นเผลอลูบหลังคอตัวเองตามความเคยชินและต้องเบิกตาโพลงเมื่อถูกมือหยาบเย็นเฉียบลูบเบาๆ ที่หลังคอตรงบริเวณที่มีตราประทับรูปโอเมก้า


'แล้วถ้าอยากก็บอก' นักโทษร่างใหญ่ยิ้มนัยน์ตาส่อแววสนใจ 'กูจะช่วยสงเคราะห์ให้'


ครั้งนี้จ้าวไม่พยักหน้าเพราะนั่งตัวแข็งปล่อยให้ร่างใหญ่เดินหัวเราะหึๆ เดินกลับไปหาลูกพี่ใหญ่ของตัวเอง


'...'


จ้าวจับมือตัวเองแน่นไม่ให้มันสั่นไปมากกว่านี้


มันเป็นครั้งแรกจริงๆ ที่จ้าวได้ตระหนักถึงความต่ำต้อยของโอเมก้าในสังคม ไม่ว่าจะสังคมนักโทษหรือสังคมภายนอกก็คงไม่ต่างกันเพราะเมื่อก่อนเขาก็ค่อนข้างมีอคติกับโอเมก้าอยู่เหมือนกัน มีข่าวหลายสำนักที่ชอบประโคมข่าวที่ว่าด้วยโอเมก้ากระทำผิดเกี่ยวกับเรื่องทางเพศหรือความส่ำส่อนทางเพศจนคนส่วนใหญ่ในสังคมระอาไปตามๆ กัน


ถึงแม้ว่าโอเมก้าจะมีอยู่จำนวนไม่มากนักแต่สำหรับทุกคนแล้วโอเมก้าคงจะถือเป็นสิ่งที่น่าน่ารังเกียจและน่าขยะแขยงที่สุดในสังคม


'..ทำไม'


สุดท้ายจ้าวก็กลั้นน้ำตาไม่ได้สะอื้นเสียงเบา


ทำไมเขาต้องมาโดนอะไรแบบนี้ด้วย




คลิ๊ก!


"!!! "




จ้าวสะดุ้งเฮือกกับเสียงที่คล้ายกับโลหะเข้าล็อกพอดี


"พวกนักโทษโอเมก้าก็อย่างนี้แหละครับ" หัวหน้าผู้คุมขังคนเดิมพูดด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยใช้มือลูบเบาๆ บนปลอกคอโลหะพิเศษที่ผลิตขึ้นมาเพื่อนักโทษโอเมก้าโดยเฉพาะ "อาจจะดูรุนแรงไปบ้าง แต่นี่ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วที่เราจะควบคุมพวกมันได้"


ความรู้สึกเย็นเยียบที่คุ้นเคยทำเอาจ้าวนั่งตัวสั่นเทา มันร้ายแรงยิ่งกว่าถูกตรวนข้อมือข้อเท้าซะอีก เขาเคยเห็นพวกโอเมก้าที่ใส่ปลอกคอเหล็กแบบนี้อยู่สองสามครั้งในที่สาธารณะ พวกนั้นใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ ราวกับหนูในท่อ ไม่ว่าใครเห็นก็ต่างผงะหนี ไม่คิดจริงๆ ว่าจะมีสักวันที่ตัวเองจะมีสภาพแบบนั้นบ้าง


จ้าวลูบสิ่งแปลกปลอมบนต้นคอตัวเองแล้วหลับตาลง


แม้แต่การกลับออกไปใช้ชีวิตแบบเดิม เขายังไม่สามารถทำได้ด้วยซ้ำ


มันจบแล้ว... วงมูนไลท์ ไม่สิ มันจบไปตั้งนานแล้ว


"คิง ไนท์" อดีตนักร้องนำวงมูนไลท์ส่งยิ้มให้คิงและอีกคนที่มารับตัวเอง "..ไปหาวงอื่นเถอะ มันไม่มีวงมูนไลท์อีกต่อไปแล้วล่ะ"


สิ่งที่เจ็บปวดกว่าการกลับไปร้องเพลงไม่ได้ก็คือการบอกลาคนในวง จ้าวพยายามยิ้มให้คิงแต่ก็เป็นยิ้มที่ฝืนเกินทน เพราะจ้าวเป็นคนชวนคิงเข้าวงและสอนเล่นเบสด้วยตัวเอง จ้าวเล่นเบสเป็นและเก่งมากแต่เพราะชอบร้องเพลงมากกว่าเลยเลือกที่จะเป็นนักร้องนำแทนที่จะเป็นมือเบสให้กับวง ส่วนคิงนั้นหลังจากได้ลองเล่นเบสก็ติดงอมแงมเล่นทั้งวี่ทั้งวัน


ทุกอย่างรอบกายจ้าวนั้นตกลงในความเงียบเพราะแต่ละคนต่างคิดว่าจ้าวจะกลับมาทำวง ไม่มีใครคาดคิดว่าคนที่เต็มไปด้วยพลังอันล้นเหลืออย่างจ้าวจะกลายเป็นคนขี้แพ้ยอมจำนนต่ออุปสรรคง่ายๆ


แต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้วและจ้าวไม่ลังเลกับการตัดสินใจของตัวเองสักนิด


มีแค่เขาก็พอที่ถูกทำลาย..


สำหรับจ้าวตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากนกที่ถูกหักปีกและขักเอาไว้ในกรง ทำอะไรไม่ได้นอกจากเกาะอยู่บนกิ่งไม้หรือไม่ก็กระโดดเหยาะๆ ตามพื้นและส่งเสียงร้องที่มีแค่ตัวเองได้ยิน ไม่มีใครอีกแล้วที่อยากฟังนกปีกหักอย่างเขา


หัวใจของร่างผอมบีบรัดแน่นจนเจ็บไปหมด จ้าวลอบมองร่างในชุดกาวน์แพทย์พบว่าอีกฝ่ายนั้นมองมาที่ตนเองเหมือนกันอีกทั้งยังส่งยิ้มบางๆ มาให้ด้วย ถ้าคนอื่นที่เห็นอาจจะคิดว่ามันคือยิ้มให้กำลังใจแต่จ้าวรู้ดีว่ามันไม่ใช่


คงจะพอใจแล้วใช่ไหม?


จ้าวยิ้มระทมให้อีกฝ่าย ความเจ็บปวดอันร้ายกาจกัดกินจิตใจของเขาจนแหลกแหลวไปนานแล้ว ตอนนี้จ้าวรู้ตัวเองดีว่าใกล้จะบ้าเต็มทน เขาอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ร้องไห้สลับกับหวาดกลัวเป็นอย่างนี้ตลาดห้าปี ตอนนี้เขาก็ยังคงเป็นอยู่และมีแต่จะหนักขึ้นเรื่อยๆ


"จ้าวพอแล้วล่ะกับการร้องเพลงน่ะ" จ้าวพูดเสียงเบาแต่สายตาจับจ้องที่น้องชายฝาแฝดตัวเอง ไม่มีความโกรธเคืองแฝงอยู่ในนั้นแต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจเลยสักนิด ชักสายตากลับไปมองอย่างอื่นที่ดูจะน่าสนใจกว่าพี่ชายฝาแฝดของตัวเอง


"เฮ้ย จ้าว" ไนท์หรือมือกลองหนุ่มใต้ประจำวงมูนไลท์เรียกจ้าวเสียงเข้มและขยับตัวเข้าไปหาจ้าว "กูกับคิงเชื่อนะว่ามึงไม่ได้ทำ คนอย่างมึงไม่ทำอะไรเหี้ยๆ แบบนั้นหรอก กูมั่นใจ" ไม่ว่าเปล่าไนท์ตั้งใจจะดึงหัวหน้าวงมากอดแต่ก็คว้าได้แค่อากาศเมื่อเจ้าตัวถอยหลังจนเกือบจะชนกับโต๊ะเอกสารของเจ้าพนักงาน


เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ที่ทำงานอยู่ข้างในเริ่มขมวดคิ้วส่งสายตาหงุดหงิดให้กับอาคันตุกะที่มาพาตัวนักโทษกลับแต่ก็ไม่ยึกยักไม่พาตัวออกไปสักที พวกเขามีงานให้ทำอีกมากจนท่วมหัว นักโทษเป็นร้อยเป็นพันในเรือนจำนี้ที่พวกเขาดูแล ปัญหาครอบครัวหรือปัญหาชีวิตเล็กๆ ไร้สาระของคนนอกจึงทำให้พวกเขารำคาญมากที่สุด ถึงแม้ว่าคนๆ นั้นจะเคยเป็นถึงนักร้องดังของประเทศไทยก็ตาม แต่แล้วยังไงล่ะ เมื่อต้องโทษคดีอาญาไม่ว่าจะดังแค่ไหนก็ถูกฉุดกระชากลงมาในขุมนรกที่ไม่มีวันกลับไปยังสถานที่เดิมได้อีก ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ตาม ผู้คนก็ยังติดตากับภาพโดนเจ้าพนักงานจับกุมอยู่ดี


สุดท้ายก็เป็นหน้าที่ของผู้คุมขังหนุ่มที่ทนสายตาเพื่อนร่วมงานไม่ไหว "มีอะไรคุยกันข้างนอกดีกว่าไหมครับ? " พูดเสียงเรียบๆ ก่อนที่จะพยักเพยิดไปยังประตูทางออกจริงๆ ของเรือนจำแห่งนี้ "พวกผมไม่ได้ว่างดูพวกคุณเล่นละครกันหรอกนะ"


"งั้นต้องขอโทษด้วยนะครับ" จันทร์ที่ยืนเงียบๆ มาตลอดพูดด้วยสีหน้าสำนึกผิดและเดินเข้าไปประคองตัวจ้าว "ไปกันเถอะครับ ผมว่าเราพาพี่จ้าวกลับบ้านก่อนดีกว่า อย่างอื่นค่อยว่ากันอีกที"


ความจริงแล้วจ้าวอยากกระชากตัวออกจากตัวจันทร์ใจแทบขาดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะร่างกายของจันทร์ที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปีดูจะแข็งแรงกว่าเดิมมาก จากนิสิตแพทย์ตัวผอมและเล็กกว่าเขากลายเป็นนายแพทย์ร่างสูงกว่าเขามีกล้ามและมีดีกรีเป็นถึงเจ้าของโรงพยาบาลที่รับมาจากพ่ออีกที


จ้าวแค่นหัวเราะเยาะสมเพชตัวเอง ปล่อยให้ตัวเองถูกน้องชายฝาแฝดประคองออกจากเรือนจำโดยไม่สนใจจะตอบคำถามของเพื่อนในวงสักนิด สมองจดจ่อกับความเศร้าจนแม้กระทั่งถูกพาตัวมาอยู่บนรถก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ


"เฮ้ย จ้าว"


"...จ้าว"


ไนท์กับคิงพยายามเรียกจ้าวที่เอาแต่นั่งเหม่อนิ่งๆ แต่ทั้งสองก็ไม่กล้าแตะต้องตัวจ้าวเพราะกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวจนตัวสั่นแบบเมื่อกี้ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีสักนิดถ้ามันเกิดขึ้น


"..."


แปลกทั้งๆ ที่นั่งอยู่บนรถ จ้าวกลับรู้สึกว่าตัวเองยังนั่งอยู่บนเตียงสนิมเหล็กที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดน่ารำคาญ หูสองข้างได้ยินเสียงเพลงสู้ชีวิตมาจากไกลๆ หากแต่มือและข้อเท้ากลับไม่ถูกตรวนเหมือนทุกครั้งซึ่งมันก็ทำให้จ้าวนึกได้ว่าตัวเองรอดพ้นจากสถานที่นั้นมาแล้ว


ใบหน้าซีดขาวจึงเผยยิ้มบางๆ ออกมาบ้าง


กริ๊ก


เสียงประหลาดดังขึ้นพร้อมกับกระแสไฟฟ้าที่จู่โจมจ้าวจากบริเวณลำคอและลามไปบริเวณอื่นๆ ของร่างกาย


"อึก..!! " จ้าวสะดุ้งสุดตัวกับความเจ็บปวดที่มาโดยไม่ทันตั้งตัวและตะปบลำคอของตัวเองแทบจะทันที สัมผัสเย็นเฉียบและดุดันทำเอาจ้าวน้ำตาคลอเบ้า


ไนท์ตะโกนดังลั่นรถอย่างตื่นตระหนกเมื่อเห็นเพื่อนตัวเองตัวกระตุกแรงจนน่ากลัว "เฮ้ย จ้าวเป็นอะไรวะ! " ซึ่งคิงก็ไม่ต่างกันแทบจะกระโจนเข้าไปหาจ้าวแล้วถ้าไม่ถูกเสียงเรียบๆ เสียงหนึ่งดังขัดขึ้นมาซะก่อน


"อ้ะ ขอโทษครับ พี่จ้าว" จันทร์ที่กำลังขับรถอยู่หันมาขอโทษขอโพยผู้โดยสารที่นั่งหลังรถด้วยสีหน้าสำนึกผิด "ผมเผลอไปกดปุ่มผิดน่ะครับพี่จ้าว ผมจะหยิบโทรศัพท์ผมแต่ดันไปโดน PSE (Poisoner Electronic) ของพี่จ้าวเฉยเลย" โชคดีที่ติดไฟแดงพอดี จันทร์จึงพอมีเวลาเรียกร้องความถูกต้องให้ตัวเองด้วยการชูอุปกรณ์ที่หน้าตาคล้ายๆ สมารท์โฟนแต่ปุ่มแอพพลิเคชั่นส่วนใหญ่กลับเป็นข้อมูลเกี่ยวกับนักโทษที่ชื่อว่าจ้าว นฤภัทร และมีฟังก์ชันต่างๆ ในการควบคุมนักโทษโอเมก้า สิ่งที่จันทร์เพิ่งเผลอกดโดนไปก็คือปุ่มรูปกระแสไฟฟ้าที่สามารถปรับปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ใช้สำหรับปล่อยได้ สิ่งนี้มีเพื่อควบคุมตัวนักโทษโอเมก้าให้อยู่ในอาการสงบไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะใดๆ ก็ตาม


"ระวังหน่อยสิ" คิงหันไปตำหนิเสียงเข้มเย็นชา นัยน์ตาสีดำเป็นประกายกร้าวเคืองๆ สำหรับคิงแล้วจ้าวคือที่หนึ่งสำหรับทุกอย่าง มีครั้งหนึ่งที่แฟนคลับหยิกแขนจ้าวเป็นรอยช้ำม่วงน่ากลัว ถ้าไนท์กับจ้าวไม่รั้งตัวเอาไว้ คิงคงไม่วายไปเอาเรื่องแฟนคลับคนนั้น


สีหน้าของจันทร์ไม่เปลี่ยนก็จริงแต่น้ำเสียงแข็งกร้าวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด "ขอโทษจริงๆ ครับ"


คิงขมวดคิ้วมองอย่างเอาเรื่อง "มีปัญญาอะไรไหมวะ"


"..ไม่เป็นไร คิง" จ้าวพูดเสียงพร่านึกขอบคุณจันทร์ด้วยซ้ำที่กดมันเพราะมันทำให้เขาตระหนักได้ว่าตัวเองอยู่ในสถานะไหนของสังคมในตอนนี้ ความทุกข์ระทมดูจะมากเกินไปจนทำให้จ้าวหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของจ้าวนั้นฝาดเฝื่อนและเจ็บปวด "..ไม่เป็นไร" จ้าวพูดเสียงเบาวางหน้าบนฝ่ามือของตัวเองและปล่อยให้รถตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง


มือเบสกับมือกลองมองหน้ากันเลิกลั่กไม่กล้าพูดอะไร จ้าวตรงหน้าพวกเขาในตอนนี้เหมือนกับคนแปลกหน้าจริงๆ ราวกับว่าพวกเขาได้สูญเสียจ้าวหัวหน้าวงมูนไลท์ไปแล้วซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่พวกเขายอมรับไม่ได้ การที่พวกเขาตัดสินใจมารับจ้าวก็เพื่อที่จะดึงเพื่อนคนเดิมของตัวเองกลับมาทำวงต่อ อาจจะไม่ใช่วงมูนไลท์แต่เป็นวงอะไรก็ได้ที่พวกเขาร่วมกันสร้างด้วยกันใหม่อีกครั้ง คิงวาดฝันว่าจะให้จ้าวเปลี่ยนแนวร้อง ส่วนไนท์วาดฝันว่าจะถ่ายเอ็มวีเท่ๆ สักเอ็มวีเพราะตอนเป็นวงมูนไลท์จะออกแนวหวานๆ วัยรุ่นซะส่วนใหญ่ พวกเขาสองคนล้วนมีฝันและอยากให้จ้าวมีส่วนร่วมกับมัน คงไม่มีใครในโลกนี้ที่รู้จักจ้าวแล้วไม่หลงใหลในรอยยิ้มความกระตือรือร้นหรือความใจดี


เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงไม่เชื่อว่าจ้าวเป็นคนฆ่าถึงแม้จะมีหลักฐานคาตาก็ตาม คนที่ใกล้ชิดจ้าวจะรู้ดีว่าคนอย่างจ้าวไม่น่าจะทำอะไรแบบนั้นได้ แต่ต่อให้ไม่เชื่อยังไงก็ตาม การดำเนินคดีก็ต้องเป็นไปตามหลักฐานและข้อเท็จจริง จ้าวปรากฎตัวอยู่ในที่เกิดเหตุในมือถือมีดมีร่องรอยการต่อสู้อยู่บนร่างกายอันเป็นหลักฐานชั้นดีที่ทำให้ตำรวจสามารถจบคดีได้ง่ายๆ และจับยัดเข้าตารางกฎหมาย


"..ไม่เป็นไร"


จ้าวพึมพำเสียงแผ่วกับตัวเอง


ไม่เป็นไรนะจ้าว.. ไม่เป็นไร


แปลกที่คำง่ายๆ พวกนี้จ้าวกลับรู้สึกว่าเป็นไปได้ยากซะเหลือเกิน

หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 1 : นกปีกหัก p.1
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 08-03-2018 10:33:17
อ่านแล้วหดหู่เลยค่ะ ชีวิตจ้าวหลังจากนี้คงโดนกลั่นแกล้งอีกเยอะแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 1 : นกปีกหัก p.1
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 08-03-2018 12:43:06
น้องชายแปลกๆ นะ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 2 : พี่ที่ดี p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 08-03-2018 22:02:40
ตอนที่ 2

คฤหาสน์หลังใหญ่สีขาวโพลนสไตล์โมเดิร์นซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานครนั้นเป็นที่อยู่ของอดีตนักร้องดังที่เมื่อก่อนมักจะมีแฟนคลับลอบเข้ามาติดตามชีวิตของเขาคนนั้นอย่างล้นหลามจนผู้จัดการของนักร้องดังคนนั้นต้องจ้างบอดี้การ์ดกับยามตรวจตรารอบบ้านเป็นพิเศษ ซึ่งจ้าวมักจะส่งยิ้มทะเล้นและโบกมือให้กับแฟนคลับที่สามารถฝ่าทั้งดงยามและดงบอดี้การ์ดมาได้เสมอ เรียกได้ว่าเป็นความนับถือส่วนตัวเลยก็ว่าได้


ถึงแม้ว่าจะเป็นการถูกคุกคามความเป็นส่วนตัวก็จริงแต่จ้าวกลับรู้สึกว่ามีความสุขอย่างบอกไม่ถูก มันทำให้เขารู้ว่ายังมีคนที่รักและหลงใหลวงของเขาแทบคลั่งอยู่ สิ่งเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจให้เขาทำวงต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย


จ้าวมองบ้านตัวเองตรงหน้าแล้วเหม่อ ทุกอย่างของบ้านยังคงเหมือนเดิมก็จริงแต่ยามและบอดี้การ์ดส่วนตัวพวกนั้นหายไปหมดแล้วทำให้หน้าบ้านกว้างๆ ของเขาได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะรอยทาสีทับบนกำแพงเต็มไปหมดเหมือนกับทาเพื่อปกปิดบางอย่างเอาไว้ ซึ่งจ้าวก็พอจะเดาๆ ได้ว่ามันซ่อนอะไรไว้บ้าง


อดีตนักร้องดังหลับตาลงหายใจช้าๆ อย่างเจ็บปวด


สิ่งที่อยู่บนกำแพงก็คงไม่พ้นคำด่าทอที่เขาเคยเห็นพวกแฟนคลับในต่างประเทศทำกับดารานักร้องที่กระทำผิด ไม่คิดว่าจะมีวันที่เขาโดนแบบนั้นเหมือนกัน


"ลงไป"


"…"


เสียงที่คล้ายคลึงกับจ้าวแทบจะเป็นเสียงเดียวกันพูดเสียงเย็นเยียบ


"จะลงเองหรือจะให้โยนลง? "


"…"


จ้าวได้ยินสิ่งที่น้องชายฝาแฝดพูดแต่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม สายตาหลุบมองพื้นที่เบาะข้างกายที่ว่างเปล่าไปแล้ว นึกเสียใจเล็กๆ ที่เอ่ยปากไล่เพื่อนร่วมวงของตัวเองให้กลับบ้านไปก่อนเพราะตอนนี้ก็ล่วงเลยเข้าไปเที่ยงคืนแล้ว


"จ้าว! " ร่างนายแพทย์ชื่อดังกระชากคอเสื้อเจ้าของชื่ออย่างฉุนเฉียว ใบหน้าพิมพ์เดียวกันเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและชิงชัง "หูหนวกไงวะ!! "


จ้าวยังคงไม่ตอบมองหน้าน้องชายฝาแฝดตัวเองแล้วฉีกยิ้มเล็กๆ ให้ ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้จันทร์โมโหมากขึ้นไปอีกจนแทบจะรั้งหมัดตัวเองไว้ไม่อยู่หากแต่พอนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเตรียมไว้ให้จ้าวก็อารมณ์เย็นลงถนัดตา


"รีบลงไปสิครับ พี่จ้าว" จันทร์ฉีกยิ้มหวานหยาดเยิ้มยิ่งกว่าพี่ชายตัวเอง "ผมเก็บกวาดห้องของพี่ไว้ให้แล้ว พี่รีบไปพักผ่อนดีกว่านะครับ" น้ำเสียงประชดประชัน


"อือ" จ้าวพยักหน้าช้าๆ "ขอบคุณที่มาส่ง"


จันทร์ปล่อยมือจากคอเสื้อจ้าวและเริ่มต้นหัวเราะ "ก็แค่อยากดูหน้าคนใกล้ตายเฉยๆ ว่ะ เสียดายที่ไม่ยอมช็อคตายตั้งแต่วันที่โดนฉีดยาระงับฮอร์โมน"


"พี่โชคดีไง" อดีตนักร้องนำยังคงยิ้มให้น้องตัวเองถึงแม้จะฝาดเฝื่อนมากก็ตาม "จันทร์ก็รีบๆ นอนล่ะ พวกหมอนอนน้อยนี่ รีบนอนเถอะ พี่ดูแลตัวเองได้" จ้าวไม่รอให้น้องตัวเองตอบรีบลงจากรถและก้าวฉับๆ เข้าบ้านไปจนขาแทบขวิดกัน


ช่วยไม่ได้ในเมื่อคำพูดของน้องเมื่อกี้แทบทำเขาร้องไห้ออกมาแล้ว จ้าวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ากระพริบตาถี่ๆ พยายามไม่ให้น้ำตาไหลออกมาและเผลอหยุดชะงักฝีเท้าที่ก้าวเมื่อมองเห็นพระจันทร์สีขาวนวลบนท้องฟ้าพอดี


วันนี้เป็นวันพระจันทร์เต็มดวงเหมือนกับวันที่แฝดสองพี่น้องเกิดขึ้นมาพอดี สีขาวนวลที่ส่องออกมาในให้ความรู้สึกนุ่มนวล ส่วนรอยดำกระด่างเล็กๆ ก็ถูกเปรียบเป็นกระต่ายที่กำลังตำข้าว จ้าวมองมันแล้วหัวเราะออกมา ชื่อของพวกเขาก็มาจากพระจันทร์นี่แหละเพราะเขาเกิดตอนกลางคืนและแม่ก็อยากได้ชื่อที่คล้องจองกันแบบที่ฝาแฝดหลายคู่ๆ เป็น ก็กลายเป็นจันทร์กับจ้าว


จันทร์ที่หมายถึงดวงจันทร์ที่ส่งแสงสีนวลในยามค่ำคืนคอยให้แสงสว่างและความอ่อนโยนต่อเหล่าสิ่งมีชีวิตที่ตกอยู่ในความมืดมิด ส่วนจ้าวของเขาก็เพี้ยนมาจากคำว่าเจ้า ความหมายมันอาจจะไม่ดีนิดหน่อยเพราะส่วนใหญ่แล้วจ้าวมันใช้กับพวกปิศาจหรือไม่ก็วิญญาณ


ไม่สิ มันอาจจะถูกแล้วก็ได้เพราะเขาในสายตาน้องก็ไม่คงไม่ต่างอะไรจากความหมายจริงๆ ของมันนัก


จ้าวเหยียดยิ้มแล้วพาตัวเองขึ้นห้องนอนที่ไม่ได้เหยียบมานานหลายปี อาจจะเพราะยังคงคิดถึงเรื่องจันทร์อยู่จึงลืมไปเสียสนิทว่าในห้องตัวเองมีอะไรบ้าง จ้าวเปิดประตูออกโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรนักกับป้ายหน้าประตูที่เขียนว่าจ้าว (มูนไลท์) เพราะความไม่สังเกตจ้าวจึงไม่เห็นรอยขีดค่าที่ทั้งเน้นทั้งย้ำตรงคำว่ามูนไลท์ที่เพิ่งโดนขูดไปสดๆ ร้อนๆ


"...ฮื่อ" จ้าวครางเสียงแผ่วยกมือนวดขมับตัวเองและถอยกลับออกมาหนึ่งก้าว


พอเปิดไฟเขาก็พบว่าบนพื้นห้องของเขาเต็มไปด้วยของขวัญจากแฟนคลับที่เขาบรรจงเก็บรักษาดีวางอยู่เต็มไปหมดทั้งตุ๊กตา เสื้อผ้า ดอกไม้ ไดอารี่ จดหมาย ภาพวาด ทุกอย่างที่แฟนคลับให้เขาตอนนี้มากองอยู่บนพื้นเกลื่อนกลาดส่วนสิ่งที่อยู่บนพวกนั้นก็คือจดหมายที่จ่าหัวถึงเขาแต่หัวข้อเป็นคำด่าหยาบคาย รูปภาพของเขาที่ถูกตัดต่อไปอยู่ในตัวสุนัข หนังสือพิมพ์ที่มีรูปเขาถูกจับกุมในข่าวหน้าหนึ่ง แต่ที่ทำให้จ้าวเจ็บจริงๆ ก็คือภาพถ่ายรวมวงมูนไลท์ที่ถูกเผาเฉพาะตัวเขาแต่คนที่เหลือในวงอยู่กันครบและยิ้มกว้างให้กับกล้อง


"...ไม่เป็นไร จ้าว ไม่เป็นไร" จ้าวหลับตาท่องกับตัวเองที่ตัวสั่นจนน่ากลัว ก่อนที่จะบังคับตัวเองให้เข้าไปในห้องและปิดล็อกแน่นไม่ให้ใครเข้ามาได้ จ้าวก้มมองภาพที่ถูกเผาอีกครั้งแล้วน้ำตานองหน้า ใช้มือสั่นๆ หยิบมันขึ้นมาและทิ้งมันลงในถังขยะ


"นี่สินะ ที่เรียกว่าเก็บห้องให้? " จ้าวหัวเราะเสียงแผ่วในลำคอ มันเป็นของขวัญรับการกลับบ้านที่ประทับใจจนอยากร้องไห้เลยทีเดียว มือผอมค่อยๆ กวาดทุกอย่างในห้องลงถังขยะโดยที่น้ำตาไหลไม่หยุด จ้าวรักของพวกนี้มากและก็ยังคงรักอยู่แต่เพราะต้องการที่จะตัดขาดกับวงมูนไลท์จึงต้องทำแบบนี้


บางทีการรักอะไรมากๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่นักยิ่งต้องทำลายมันด้วยมือตัวเองยิ่งเป็นสิ่งที่เจ็บปวด ของบางชิ้นจ้าวเผลอกอดมันแน่นแล้วสะอื้นไปพักใหญ่ถึงจะทำใจทิ้งลงถังขยะ.. ถังขยะที่ยัดอะไรลงไปก็ล้นออกมาอยู่ดีเพราะมันเต็มไปตั้งนานแล้ว แต่สติที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนักทำให้จ้าวทิ้งของลงถังขยะซ้ำๆ โดยที่ของไถลกลับลงมากองที่พื้นเหมือนเดิม


"..แม่ง" จ้าวสบถแล้วทิ้งตัวลงบนของพวกนั้นแทน มันมีเยอะมากจนมองไม่เห็นพื้นด้วยซ้ำ จ้าวหนุนหัวบนตุ๊กตาหมีที่ถูกปรินท์หน้าตัวเองเมื่อห้าปีที่แล้วมาแปะ สองมือกอดจดหมายที่มีทั้งคำด่าและคำชมเอาไว้ หลับตาได้ไม่นานเท่าไหร่ก็เผลอหลับไปจริงๆ ด้วยความอ่อนเพลีย







จ้าวตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนตีสี่เพราะปวดฉี่ จึงพาร่างอันง่วงงุนของตัวเองไปเข้าห้องน้ำโดยพยายามระมัดระวังไม่ให้เหยียบข้าวของบนพื้นมากที่สุด จ้าวหลุดหาวหวอดซ้ำเมื่อสามารถพาตัวเองมาทำธุระส่วนตัวได้สำเร็จ


ระหว่างที่กำลังยืนตาปรือกำลังจะกลับไปนอนก็เห็นบางอย่างข้างกระจก จ้าวหลุดยิ้มเศร้าๆ ออกมา


กุหลาบสีขาวแห้งกรอบที่ถูกวางไว้ในแจกันอย่างดี ดูเหมือนว่าน้องของเขาคงจะไม่คิดว่า เขาจะเอาขวัญแฟนคลับมาไว้ในห้องน้ำด้วยล่ะมั้ง มันถึงยังอยู่ในสภาพดีอยู่ จ้าวหยิบมันออกมาจากแจกันแล้วยิ้มให้มันราวกับคนที่ให้เขาอยู่ตรงนั้น

มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาได้รับในฐานะ จ้าว นักร้องนำวงมูนไลท์ คืนนั้นเขาไปร้องเพลงในร้านอาหารชื่อดังเลิกเกือบตีสอง ในตอนที่เขากำลังจะก้าวขึ้นรถ บอดี้การ์ดก็ยื่นดอกไม้ดอกหนึ่งมาให้เขาซะก่อน จ้าวงุนงงสักพักแต่พอเห็นว่าเป็นดอกกุหลาบสีขาวก็ยิ้มกว้างรับมันมาทัดอกอย่างใส่ใจ ถึงมันจะมีดอกเดียวก็จริงแต่เขาจะได้รับดอกไม้นี้ทุกครั้งที่ออกงาน ตั้งแต่ครั้งแรกที่ออกสู่สายตาสาธรณชนด้วยซ้ำ


จ้าววางมันกลับในแจกันแล้วถอนหายใจยาวๆ ออกมา


น่าเสียดายที่ไม่มีครั้งไหนเลยทีเขาเคยเห็นเจ้าของดอกกุหลาบพวกนี้ พอถามบอดี้การ์ดพวกเขาก็ไม่รู้เพราะอยู่ดีๆ ก็มักจะมีกุหลาบยัดใส่มือพอจะมองว่าใครเป็นคนมาให้ก็เห็นแค่หลังไวๆ ที่เดินจากไปแล้ว สิ่งที่พวกเขาเห็นจึงรู้แค่ว่าเป็นคนตัวสูงๆ ร่างใหญ่และที่สำคัญเลยก็คือสัญลักษณ์สีทองตรงข้อมือ


แฟนคลับคนนี้ของเขาเป็นถึงอัลฟ่าเลยทีเดียว ทำให้บอดี้การ์ดหรือคนใกล้ชิดเขาที่มีฐานะแค่เบต้าไม่กล้าเข้าไปทักถามหรือซักไซร้อะไรนัก อัลฟ่าในโลกนี้ก็เปรียบเสมือนชนชั้นปกครอง มีโอกาสเข้าถึงการศึกษา สาธรณูปโภค ทุกสิ่งทุกอย่างมากกว่าเบต้าและโอเมก้า เพราะเป็นชนชั้นที่คอยกำกับดูแลสังคมมาตั้งแต่สมัยโบราณ แม้แต่นายกรัฐมนตรีและคนส่วนใหญ่ในสภาก็เป็นอัลฟ่า


จ้าวก้มมองข้อมือตัวเองที่ตอนนี้ถูกสักทับเป็นสีดำสัญลักษณ์ของโอเมก้าและหัวเราะเฝื่อนๆ แฟนคลับอัลฟ่าคนนั้นของเขาคนจะผิดหวังในตัวเขาน่าดูเพราะหลังจากวันนั้นวันเดียวก็เกิดเรื่องยุ่งๆ ขึ้นและเขาก็ถูกจับ กลายเป็นข่าวดังเป็นเดือน งานของวงมูนไลท์ถูกแคนเซิลหมด แม้แต่ต้นสังกัดที่เอ็นดูวงมูนไลท์มาตลอดก็จัดการตัดหางปล่อยวัด ฉีกสัญญาทิ้ง วงมูนไลท์เลยไร้ต้นสังกัดก่อนที่ทุกคนในวงจะกระจัดกระจายกันไป เอาเข้าจริงจ้าวไม่หวังว่าจะเห็นคิงกับไนท์ในวันปล่อยตัวของตัวเองด้วยซ้ำ


เพราะไม่ว่าใครก็ไม่เชื่อคำของเขากันทั้งนั้น


จ้าวมองตัวเองในกระจก เห็นภาพชายวัยยี่สิบกว่าที่ดูหน้าตาจะแก่กว่าวัยไปสิบปี ผมที่เคยถูกกัดเป็นสีเทากลายเป็นสีด่างๆ ด่วงๆ เพราะเขาพยายามจะย้อมมันอีกครั้งในคุกแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จสักเท่าไหร่ จ้าวเลิกเสื้อนักโทษสีส้มตัวเองขึ้นจนถึงหน้าอก ซึ่งก็เห็นซี่โครงได้ง่ายเกือบจะชัดเจน


"โห.." ร่างนักโทษเก่าอุทานเบาๆ นี่เป็นการส่องกระจกครั้งแรกในรอบห้าปีเลยทีเดียว "ผอมลงเยอะเลยว่ะ" จ้าวยิ้มให้ตัวเองในกระจก จะให้ไม่ผอมได้ไงในเมื่อข้าวก็แทบจะไม่กิน อาหารในนั้นรสชาติห่วยแตกสิ้นดี ไหนจะความเศร้าที่จุกอยู่ในอกจนกินอะไรแทบไม่ลง นี่ก็ถือว่าโชคดีแค่ไหนแล้วที่เขารอดออกมาได้โดยไม่อดตายซะก่อน


ยืนชื่นชมตัวเองสักพักจ้าวก็เดินสะโหลสะเหลกลับไปนอนที่เดิม ไม่แม้แต่จะชายตามองเตียงนุ่มของตัวเองด้วยซ้ำ จ้าวเอาหัวหนุนตัวหมีเหมือนเดิมแล้วหลับตาลงเพียงไม่นานลมหายใจก็สม่ำเสมอ


หากแต่มือนั้นเผลอกุมปลอกคอตัวเองแน่น


ในตอนที่รู้สึกตัวจ้าวอาจจะทำเป็นลืมมันได้หากแต่เมื่อหลุดเข้าไปอยู่ในห้วงนิทราที่ไร้ซึ่งสติควบคุม เมื่อนั้นความจริงทุกอย่างที่จ้าวพยายามลืมนั้นก็จะปรากฎ


สีหน้าเรียบเฉยของจ้าวค่อยๆ แปรเป็นเจ็บปวด


น่าเสียดายที่แม้แต่ในฝันจ้าวก็ไม่อาจหลุดพ้นจากมัน


ภายในห้องนั่งเล่นปรากฎร่างสามร่างซึ่งทั้งหมดก็เป็นสมาชิกของวงมูนไลท์ แต่ละคนจับจองโซฟาเดี่ยวคนละตัว บนโต๊ะมีกองอาหารและน้ำที่คิงขนมาขุนจ้าวโดยเฉพาะ หากแต่ร่างของเจ้าของบ้านกลับเอาแต่นั่งเหม่อในมือกอดหมอนแน่นราวกับว่ามันเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของตัวเอง


"จ้าว กินสิ ของชอบมึง" คิงขยับโซฟาตัวเองไปชิดกับจ้าวแล้วหยิบข้าวผัดหมูเจ้าโปรดของจ้าวให้


เจ้าของชื่อส่ายหัวก่อนที่จะหลุบตามองพื้น "กลับไปเถอะ.. ถ้าจะคุยเรื่องวง"


"ไม่ได้มาคุยเรื่องวง" มือเบสประจำวงเริ่มร้อนร้น "กูแค่อยากมาหามึง" ในอกของคิงนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายแต่กลับไม่กล้าที่จะพูดมันออกไปเพราะรู้ดีมาตลอดว่าจ้าวนั้นไม่เคยมองมาที่ตัวเองในฐานะที่เกินเพื่อนสักครั้ง เขาหวาดกลัวว่าเมื่อพูดมันออกไปแล้วจ้าวจะไม่เหมือนเดิม แค่ตอนนี้ที่มีสภาพเหมือนคนไร้วิญญาณก็แทบจะทำเขาคลุ้มคลั่งตายแล้ว


จ้าววางคางบนหมอนแล้วแค่นยิ้ม "พวกมึงไปเหอะ กูไม่มีปัญญาสร้างวงขึ้นมาใหม่หรอก อย่ามาคาดหวังอะไรกับกูเลย" นัยน์ตาของจ้าวสั่นระริก "จะวงมูนไลท์ วงอะไร กูก็ทำไม่ได้ทั้งนั้น แทนที่พวกมึงจะมีเสียเวลากับกู สู้เอาเวลาไปหาคนอื่นมาทำดีกว่า" เขาหยุดหายใจพักหนึ่งถึงค่อยกล้าพูดชื่อหนึ่งออกมา "เหมือนอย่างพายไง ตอนนี้ก็ออกจากวงไปแล้ว ได้ข่าวว่าวงใหม่ที่อยู่จะไปได้สวยด้วย"


ในขณะที่พูดนั้นจ้าวไม่รู้ตัวสักนิดว่าตัวเองน้ำตาไหลเพราะมัวแต่ยิ้มปลอมๆ จนลืมไปว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้


ไนท์เป็นคนนึงที่สนิทกับจ้าวที่สุดเพราะสนิทกันตั้งแต่ม. ปลาย เรียกได้ว่ารู้ไส้รู้พุงกันเลยทีเดียวแต่กับเรื่องนี้ไนท์กลับรู้สึกว่าตัวเองไม่มั่นใจในตัวจ้าวร้อยเปอร์เซ็นเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอด ทุกอย่างที่ออกในข่าวนั้นชัดเจนจนเกินไป ถึงปากจะบอกว่ามั่นใจในตัวจ้าวแต่ลึกๆ ก็ยังมีส่วนที่กังขาอยู่ดี หนุ่มปักษ์ใต้หันซ้ายหันขวาสำรวจคร่าวๆ พอเห็นว่าไม่มีคนอื่นอีกจึงตัดสินใจกระซิบถามจ้าวเสียงเบาด้วยคำถามที่ข้องใจมาตลอด


"จ้าวกูถามมึงตรงๆ นะ" ไนท์ถามเสียงเบาที่ให้ได้ยินกันเพียงแค่สามคนพอเห็นว่าจ้าวพยักหน้าเชิงรับรู้จึงพูดต่อ "มึงเป็นคนฆ่าพริมจริงเหรอวะ"


ฟังคำถามของไนท์ไม่ทันจบคิงก็แทบจะถลาเข้าไปต่อยไนท์เพราะตกลงกันแล้วว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกหลังจากวันที่พายลาออกจากวงไป แต่ความอยากรู้ที่ซ่อนอยู่เบื้องลึกของจิตใจคิงก็รั้งเอาไว้ เอาเข้าจริงแล้วคิงก็ไม่มั่นใจในตัวจ้าวเหมือนกันว่าได้ทำมันจริงๆ รึปล่าว


เพราะจ้าวดูจะซ่อนตัวตนจริงๆ ของตัวเองไว้ลึกซะเหลือเกิน บ่อยครั้งที่วงมูนไลท์ถูกด่าหรือมีกระแสต่อต้านจนถูกแคนเซิลงาน ในขณะที่ทุกคนเริ่มวิตกทำอะไรไม่ถูกหรือแม้กระทั่งไนท์ที่เป็นคนเฮฮาที่สุดยังนั่งซึมและตอนนั้นเองจ้าวจะเป็นคนยิ้มรับกับปัญหาและกระโจนออกไปแก้ข่าวด้วยตัวเอง ซึ่งพอกระแสแอนตี้เริ่มซาลงทุกอย่างก็กลับคืนสู่สถานการณ์ปกติ จ้าวก็จะหัวเราะแล้วพาไปกินเลี้ยงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ไม่มีใครสักคนที่เคยเห็นน้ำตาของจ้าวจริงๆ จังๆ สักครั้ง มีแค่รอยยิ้มร่าเริงที่ติดตา การเห็นน้ำตาของจ้าวเมื่อวานจึงทำให้ทั้งไนท์และคิงตระหนักได้ว่าเรื่องคราวนี้ของหัวหน้าวงเป็นเรื่องที่หนักหนาเอาการ พวกเขาไม่ได้ไปหาจ้าวในวันที่จ้าวโดนจับกุมเพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ มีแค่โดนไปให้ปากคำเกี่ยวกับนิสัยของจ้าวหรือสถานที่ี่่อยู่สุดท้ายก่อนเกิดเหตุของจ้าวซึ่งพวกเขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าที่ไหน


คิงสบตากับไนท์อย่างสื่อความหมายเมื่อจ้าวทิ้งระยะเวลาในการตอบนานเกินไป สิ่งที่พอจะคาดเดาได้จึงมึอยู่สองอย่างคือจ้าวเป็นคนทำจริงๆ แต่ไม่กล้ารับหรืออีกอย่างก็คือไม่ได้เป็นคนทำแต่ไม่รู้จะพูดแก้ตัวอะไรให้ตัวเองเพราะหลักฐานก็ชัดซะขนาดนั้น ซึ่งทั้งสองไนท์ก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างหลัง


"อือ" จ้าวพยักหน้าช้าๆ กลืนน้ำลายที่เหนียวลงคออย่างยากเย็น หัวปวดตุบพร้อมๆ กับกระบอกตาที่ร้อนผ่าว มันเป็นการโกหกที่ทำร้ายคนพูดเป็นบ้า ถึงแม้ว่าจ้าวจะรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองควรพูดอะไรหรือทำอะไรเพื่อที่จะเรียกร้องทุกอย่างกลับมาหาตัวเองแต่ก็เลือกที่จะไม่ทำ


เหตุผลนั้นก็คือสิ่งเดียวกับที่จ้าวยึดถือมาตลอด เหมือนกับวันที่แรกที่โดนจับ วันที่คิดชื่อวงหรือแม้กระทั่งวันเกิดตัวเอง จ้าวก็ยังคิดถึงเรื่องนี้เสมอ แม้ว่ามันจะไม่เคยส่งผลดีต่อตัวเองเลยก็ตาม


"...จ้าว กูจริงจัง" ไนท์ครางในลำคอ รู้สึกใจหวิวแปลกๆ เมื่อได้ยินคำตอบแบบเดียวกับจ้าวให้สัมภาษณ์กับตำรวจ ถึงแม้ว่ามันจะผ่านมาห้าปีแล้วแต่ก็ยังจำได้อย่างแม่นยำเพราะจ้าวเอาแต่พยักหน้ารับและรับสารภาพแต่โดยดีไม่มีอิดออดสักนิดราวกับว่าได้ลงมือกระทำมันลงไปจริงๆ


"ใช่" จ้าวเงยหน้าสบตาคนถามแล้วยิ้ม "กูทำเอง กูฆ่าพริมเอง"


และจ้าวก็ยังคงเป็นจ้าวที่แสดงละครได้อย่างเก่งกาจ รอยยิ้มร้ายที่ปรากฎบนริมฝีปากนั้นสมจริงจนแม้แต่คนสนิทยังดูไม่ออกเว้นเพียงแต่คนๆ นั้นที่จ้าวไม่เคยปิดบังอะไรได้สักอย่าง เพียงแค่สบตากันก็สามารถก็แทบจะรู้ทุกอย่างที่ซุกซ่อนในหัวจ้าวแล้ว


"...โกหก" คิงพึมพำเสียงแผ่ว ร่างกายที่สูงใหญ่สั่นเทา


ความเชื่อมั่นที่มีมาตลอดสูญสลายคล้ายกับแก้วใบหนึ่งที่มีรอยร้าวมาตลอด วันนี้เองที่เป็นวันที่แก้วใบนี้แตกเป็นเสี่ยง ความผิดหวังโหมใหญ่ที่เกาะกุมทั่วร่างทำให้ทั้งคิงและไนท์พูดอะไรไม่ออก ซึ่งไนท์ก็ตกอยู่ในอาการเครียดระคนเศร้า นึกเสียใจที่ตัวเองถามออกไปเพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็นในชั่วเวลาสั้นๆ


ความจริงเป็นสิ่งที่โหดร้ายและเจ็บปวดเสมอ วันนี้เองที่ไนท์กับคิงได้รับความรู้สึกนั้นอย่างชัดเจน


"ส่วนเรื่องวง" จ้าวพูดเสียงเรียบกลอกตาไปทางอื่นไม่กล้ามองสายตาผิดหวังของเพื่อนตัวเอง "...กูจะออกไปเล่นคนเดียว"


ทุกอย่างในโลกใบนี้มีมุมมืดเช่นเดียวกับธุรกิจวงเพลงที่ฉากหน้าดูดีก็จริงแต่สิ่งที่ซุกซ่อนใต้พรมนั้นมีมากจนนับไม่หวาดไม่ไหว วงโอเมก้าก็คือสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้พรมเหล่านั้น เหล่าโอเมก้าที่ขายเพลงตัวเองพร้อมกับเรือนร่าง พวกเขาอาจจะไม่อยากทำแบบนั้น แต่ทางเลือกของโอเมก้าก็ไม่ได้มีให้เลือกมากนัก คนส่วนใหญ่แค่ได้ยินคำว่าโอเมก้าก็เบือนหน้าหนีแล้ว ถึงแม้จะอยากเป็นแบบวงเบต้าหรือวงอัลฟ่ายังไงพวกเขาก็ทำไม่ได้เพราะอคติที่บังตา


ไม่มีใครยอมรับให้โอเมก้าขึ้นมาอยู่บนชั้นเดียวกับตัวเอง มนุษย์ส่วนใหญ่นั้นก็คล้ายกับเด็กที่กำลังหาที่ระบายของตัวเองเมื่อไม่ได้ดั่งใจและโอเมก้าก็รับมันไว้ทั้งหมด ความเน่าเฟะของสังคม ความผิดของอัลฟ่า การอุ้มท้องแทน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เลวร้ายหรือคนส่วนใหญ่ไม่ต้องการล้วนมีโอเมก้าแบกรับไว้


หากจะเปรียบก็คงคล้ายกับสังคมฝั่งยุโรปในสมัยก่อน ที่คนขาวเหยียดพวกคนดำและเรียกว่านิโกร ซึ่งตอนนี้ฐานะของโอเมก้าก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่นัก เผลอๆ อาจจะหนักกว่าด้วยซ้ำไป


แต่เพราะทำอย่างอื่นไม่เป็นนอกจากร้องเพลงกับเต้น จ้าวก็คงมีทางเลือกไม่มากนักสำหรับชีวิตใหม่ของตัวเอง จ้าวเหลือบมองเพื่อนตัวเองที่ยังคงช็อคอยู่แล้วผลุดลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเรียบเฉย พยายามตีตัวออกห่างให้มากที่สุด นี่คงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับวงมูนไลท์


วงที่หัวหน้าวงเป็นโอเมก้า


จ้าวยิ้มเยาะตัวเองแล้วสาวเท้าออกจากห้อง ตั้งใจจะไปสถานที่หนึ่งที่นึกอยากไปมาตลอดตั้งแต่ที่ถูกตรองจำไว้ในเรือนจำ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อถูกเรียกด้วยเสียงแผ่วๆ ของมือเบสที่มักจะมองมาที่ตัวเองด้วยสายตาเทิดทูนอยู่เสมอ


ความจริงก็ใช่ว่าจ้าวจะโง่ไม่รู้เพียงแต่ไม่ได้พูดมันออกมาเท่านั้น จ้าวล้วงมือเข้ากระเป๋าเสื้อกันหนาวฮู้ดสีดำที่ตั้งใจใส่มาปกปิดตัวตนโดยเฉพาะ เมื่อนิ้วมือสัมผัสกุญแจโลหะเย็นเฉียบก็เผลอยิ้มออกมานิดๆ อย่างน้อยสิ่งนี้ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้เขาไม่เป็นบ้าตายซะก่อน


"..จ้าวมึงจะไปไหน" เพราะไม่เห็นสีหน้าจ้าว คิงจึงไม่รู้สึกนิดว่าเจ้าของแผ่นหลังผอมๆ นั่นกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่


"...ที่สักที่ที่แสงจันทร์ส่องไม่ถึง"


พูดจบจ้าวก็ออกจากห้องทันทีโดยไม่พูดอะไรอีก


สิ่งที่จ้าวพูดไปนั้นคือเนื้อเพลงท่อนนึงของวงมูนไลท์ ไม่แน่ใจเพราะอะไรเหมือนกันที่ทำให้หลุดพูดประโยคนั้นออกไป อาจจะเป็นเพราะสถานที่ที่เขาจะไปนั้นคงจะมืดจริงๆ ล่ะมั้งถึงได้พูดออกไป จ้าวหัวเราะนิดๆ และส่ายหัวให้กับความขี้ยึดติดไร้สาระของตัวเอง ยังไงซะพวกมันก็คืออดีตไปแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะพูดถึงมันอีก


ร่างผอมค่อยๆ เดินเลาะไปหลังบ้านเพื่อที่จะออกประตูหลังที่เป็นซอยที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่ เมื่อเดินมาถึงที่ก็หลุดยิ้มกว้างออกมาเพราะลูกรักของตัวเองจอดสนิทอยู่ที่เดิม นัยน์ตาสีดำเป็นประกายระยับเพราะพอดึงผ้าคลุมกันฝุ่นออก มันก็ยังคงเหมือนเดิม เป็นสีดำน่าเกรงขามขนาดใหญ่พอประมาณและน่าหลงใหลเอามากๆ ซึ่งถ้ามันเป็นมนุษย์จ้าวคงยอมพลีกายให้มันอย่างง่ายดาย


หมวกกันน็อกสีดำรูปทรงทันสมัยก็ยังคงอยู่ดี จ้าวยิ้มจนตาหยีกับตัวเองแล้วหยิบมันมาสวมและกระโจนขึ้นคร่อมลูกรักที่ให้ชื่อเล่นๆ ว่าชาโคล พอลองสตารท์เครื่องดูก็ส่งเสียงกระหึ่มตอบรับเป็นอย่างดี อีกทั้งน้ำมันยังถูกเติมจนเต็มถัง แสดงให้เห็นชัดถึงการดูแลเอาใจใส่อย่างดีมาตลอด ซึ่งจ้าวก็เดาว่าน่าจะเป็นฝีมือของป้าหมวยที่เป็นแม่บ้านประจำบ้านซึ่งเข้ามาทำเป็นรายอาทิตย์เพราะครอบครัวนี่หวงแหนความเป็นส่วนตัวมาก


แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ นี้กลับทำให้จ้าวรู้สึกดีขึ้นนิดๆ จากเรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่ประสบอยู่ตอนนี้ ถึงแม้โลกของเขา ตอนนี้จะมืดจนมองไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเองแต่ขอเพียงแค่มีเทียนเล่มเล็กๆ สักเล่มก็ทำเขาอุ่นใจแล้ว


"ขอบคุณนะครับสำหรับคำตอบแบบพี่ที่ีดี"


แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในมือวูบดับ จ้าวตกลงอยู่ในความมืดอีกครั้ง แม้แต่เทียนสักเล่มในมือเขาคนนั้นยังไม่ยินยอม


"...ไม่ไปทำงานเหรอ" จ้าวเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนกและพึมพำถามเสียงแผ่วเบาไม่เต็มเสียง มือสั่นเทาหวาดกลัวว่าจะถูกกักบริเวณเพราะนักโทษโอเมก้าระดับสูงอย่างเขา ผู้ดูแลมีสิทธิ์ทำอะไรก็ได้เพื่อควบคุมพฤติกรรม


"ก็จะไปอยู่ครับ แต่เผลอไปได้ยินอะไรเลี่ยนๆ เข้าซะก่อน" นายแพทย์หนุ่มยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นร่างผอมสั่นเทาจนน่ากลัว ก่อนที่จะเดินไปอ้อมไปลูบหลังเบาๆ เหมือนเอ็นดูนักหนา


"...อือ" จ้าวครางรับหลับตาแน่นหัวใจเต้นโครมคราม เหงื่ออันที่ไร้ที่มาหยดซึมจนชุ่มหลัง


"บอกเลยนะครับ" แฝดน้องที่ร่างใหญ่กว่าเท่านึงน้อมหัวลงมากระซิบข้างหูจ้าว "ว่าผมไม่ซึ้ง"


อดีตนักร้องนำตัวสั่นเทาเป็นลูกนกแทบจะร้องไห้ออกมาเมื่อได้ยินชัดๆ ข้างหูแบบนั้น


จันทร์ไหวไหล่หัวเราะเหอะแล้วเดินกลับไปหารถตัวเองที่จอดหน้าบ้าน "แต่เอาเถอะ จะไสหัวไปไหนก็ไป ผมอนุญาต ถือซะว่าทำบุญทำทาน ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องมาเจอกันอีก"


จ้าวพูดอะไรไม่ออกขณะที่มองตามแผ่นหลังแกร่งที่ประกอบอาชีพที่ได้ชื่อว่าเป็นอาชีพที่ช่วยเหลือผู้อื่นแต่กลับเลือดเย็นกับพี่ชายแท้ๆ อย่างเขาซะเหลือเกิน


เขาไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับน้องกลายเป็นรอยร้าวตอนไหนด้วยซ้ำ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเขารักน้องมากๆ ทุกลมหายใจเข้าออกนั้นมีเรื่องของจันทร์ในหัวเขาเสมอ บ่อยครั้งในวัยเด็กที่เขายอมทำอะไรๆ แทนจันทร์ที่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอกว่า มีหลายเหตุผลที่เขายอมอะไรมากมายให้กับน้องชายฝาแฝดของตัวเองโดยไม่หวังผลตอบแทนอะไร เขาเคยได้ยินว่าฝาแฝดจะมีสายใยบางๆ ที่เชื่อมกันไว้ด้วยซ้ำ แต่สำหรับระหว่างเขากับน้องคงจะไม่มีสายใยที่ว่าล่ะมั้ง ทุกอย่างเลยกลายเป็นแบบนี้


จ้าวถอนหายใจและจัดแจงตัวเองให้พร้อมกับการออกไปเผชิญกับโลกภายนอก มือผอมดึงแขนเสื้อกันหนาวตัวเองให้ยาวจนถึงข้อมือเพื่อปกปิดสัญลักษณ์และใส่แมสปิดปากสีดำป้องกันคนจำได้ ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยการดึงหมวกฮู้ดขึ้นคลุมทั้งหัวตัวเอง


ใช่ว่าจ้าวจะไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่เรื่องบางเรื่องมันก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ นอกจากปล่อยให้มันเป็นไปตามครรลองของมัน ทุกอย่างตอนนี้มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วและเขาที่ต้องใช้ชีวิตต่อไป ซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันจะยาวนานแค่ไหน อาจจะปีสองปีหรือแค่สัปดาห์เดียว


จ้าวยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนที่เข้มแข็งขนาดนั้น ไม่ว่าจะเป็นจ้าวเมื่อก่อนหรือจ้าวตอนนี้ก็ล้วนแต่เป็นเขาเหมือนกัน เพียงแต่ว่าจ้าวคนก่อนนั้นสามารถปิดบังความอ่อนแอของตัวเองได้มิดชิดกว่าก็เท่านั้น ทุกคนจึงมองว่าเขาเข้มแข็ง ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เลยสักนิด ทุกๆ ครั้งที่เกิดปัญหาถึงแม้จ้าวจะยิ้มรับและให้กำลังใจคนอื่นแต่ลึกๆ แล้วก็มักจะเผลอแสดงความอ่อนแอออกมาอยู่บ้างและเขาก็คาดหวังว่าจะมีใครสังเกตเห็นมัน แต่ก็น่าเสียดายที่นอกจากตัวจ้าวเองและน้องชายฝาแฝดแล้วคงจะไม่มีใครสังเกตเห็นมันแม้แต่ครั้งเดียว


ร่างผอมสำรวจตัวเองซ้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าไม่เห็นทั้งตรงข้อมือและปลอกคอแน่ๆ จึงค่อยออกจากบ้านด้วยความทุลักทุเลเพราะไม่ได้จับลูกรักมานาน แต่ใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็สามารถชินกับมัน


และวิ่งสู่โลกภายนอกที่ไม่ได้เจอมาตลอดห้าปี
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 2 : พี่ที่ดี p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 08-03-2018 23:05:52
จันทร์เป็นคนทำหรือเปล่า  :ling1:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 2 : พี่ที่ดี p.1
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 08-03-2018 23:19:11
อ่านแล้วก็สงสารจ้าว ต้องมาเป็นแพะรับบาปแทนจันทร์รึป่าว แล้วแฟนคลับผู้ชายเจ้าของกุหลาบขาวคนนั้นจะมีบทเด่นๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยไหม
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 2 : พี่ที่ดี p.1
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 21-03-2018 13:18:17
น่าสนใจ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 2 : พี่ที่ดี p.1
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 21-03-2018 14:44:39
ดูซับซ้อนน่าดู
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 3 : Sin of Lion p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 23-03-2018 16:18:16
ตอนที่ 3



ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น การจราจรที่แออัด อากาศที่ร้อนระอุตลอดวันทั้งๆ ที่เป็นฤดูหนาว ผู้คนมากมายที่เดินสวนกันไปมาตามท้องถนนเพื่อทำหน้าที่ของตัวเอง

หัวใจของจ้าวบีบรัดแน่นเมื่อมาหยุดที่ไฟแดงและข้างๆ ตัวเองเป็นอัลฟ่าที่ใช้มอเตอร์ไซต์รุ่นเดียวกันและสีเดียวกันพอดี เรียกได้ว่าโคตรบังเอิญมากๆ ซึ่งฝ่ายเจ้าของรถก็เห็นความคล้ายนี้พอดีก็ฉีกยิ้มชวนคุยอย่างเป็นมิตรเพราะมีแต่คนที่รวยระดับอัลฟ่าเท่านั้นที่สามารถครอบครองมอเตอร์ไซต์ที่ราคาแพงขนาดนี้ได้

"บังเอิญจังนะครับ เหมือนกันหมดเลย" ถึงแม้ใบหน้าอีกฝ่ายจะซ่อนไว้หลังหมวกกันน็อกสีดำทึบแต่จ้าวก็สัมผัสได้ถึงความเป็นมิตรและกลิ่นเฉพาะตัวของอัลฟ่าอ่อนๆ ชวนให้รู้สึกแปลกๆ

จ้าวขบกรามแน่นเพราะเมื่อก่อนเขาไม่เคยมีอาการบ้าๆ นี้สักนิด อาการคล้ายกับพวกโอเมก้าที่เข้าใกล้พวกอัลฟ่าในช่วงฮีท ซึ่งอาการพวกนี้มันเพิ่งเกิดขึ้นตอนที่เขาได้รับยาต่อต้านฮอร์โมนอัลฟ่าจนตอนนี้เขากลายเป็นเบต้าเต็มตัวแล้ว แต่กลับมีอาการแปลกๆ ไม่หยุด ราวกับว่าฮอร์โมนในร่างกายจะเปลี่ยนไปเป็นโอเมก้าจริงๆ ตามที่ตรากฎหมายว่าไว้

ซึ่งเขาไม่มีวันบอกเรื่องนี้ให้น้องรู้เด็ดขาดเพราะคนที่พัฒนาตัวยามาฉีดเขาก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกลเลยสักนิด เป็นน้องเขาเองที่เป็นเจ้าของโครงการนี้และใช้รูปเขาในการโปรโมทอีกด้วย มันเป็นเรื่องที่จ้าวอยากจะบ้า อยากจะตายๆ ให้จบไป เพราะยานี่ผลข้างเคียงเยอะมาก

ฮอร์โมนในร่างกายเขาจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มันจะแปรปรวนคล้ายกับผู้หญิงในวันนั้นของเดือน มันเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขาควบคุมอารมณ์ได้ยากอย่างที่ควรเป็น ไหนจะร่างกายที่ต่อต้านยานี่อีก มีบางวันที่เขาลงไปกรีดร้องบนพื้นด้วยซ้ำกับความร้อนจนแทบแผดเผาร่างของเลือดในกาย มันร้อนไปหมดราวกับเตือนเขาว่ามีอะไรเปลี่ยนไปในร่างกายเขา ซึ่งช่วงหลังนี้ดีหน่อยที่ไม่มีอาการน่ากลัวอะไรโผล่ออกมาอีกแล้ว

ซึ่งจ้าวก็หวังลึกๆ ว่าตัวเองจะยังคงเหมือนเดิม เขาโอเคกับการเป็นเบต้า ชนชั้นปกติในสังคมหรือแม้กระทั่งโอเมก้าก็ได้ แต่ขออย่าให้ร่างกายเขาเปลี่ยนไปเป็นโอเมก้าอย่างสมบูรณ์เลย มันไม่ใช่เรื่องดีสักนิดที่จะฮีททุกเดือนและต้องระวังพวกอัลฟ่าที่อยู่ในช่วงฮีทพอดี

"ฮัลโหลๆ ยังอยู่รึเปล่าครับ" อีกฝ่ายยังคงยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดีแม้คู่สนทนาจะเงียบไปนานมาก "เอาเถอะ คุณไม่พูดงั้นผมพูดแทนก็ได้" ใบหน้าที่ซ่อนไว้ใต้หมวกกันน็อกยิ้มเอ็นดูร่างผอมตรงหน้าที่ขับรถไม่เข้ากับขนาดตัวเอาซะเลย "ผมซื้อมอไซต์คันนี้ตามนักร้องคนนึงครับ คนที่คุณน่าจะรู้นะครับว่าใคร"

มือผอมสั่นเทาและกลืนน้ำลายเหนียวลงคออย่างยากเย็น หูอื้ออึงจนไม่ได้ยินที่อีกฝ่ายพูด ได้ยินแค่เสียงแว่วๆ ที่ให้เดาก็คงจะเป็นคำด่าทอหรืออะไรสักอย่างที่ผู้คนทั้งหลายตราหน้าเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ฆาตกร



ปิ้น!!!



จ้าวสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกกระชากสติกลับมาด้วยเสียงแตรยาวเหยียด รีบตั้งสติขับต่อไป ใช้เวลาพักใหญ่จ้าวก็พาตัวเองมายังจุดหมายได้ ซึ่งก่อนที่จะเข้าไปจ้าวก็เลือกที่จะฝากรถในห้างใกล้ๆ แล้วจึงเดินเท้าค่อยเข้าไปเพราะสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่น่าพิสมัยอะไรนัก

ภายใต้ความเจริญย่อมมีสิ่งที่ซุกซ่อนไว้หลังฉาก สถานที่นี้ก็คือสถานที่ที่ว่า แหล่งรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้คนปฏิเสธการมีอยู่หากแต่ก็มักจะเป็นผู้ที่เข้ามาใช้บริการหรือจับจ่ายใช้สอยอยู่เสมอ สำหรับคนทั่วไปแล้วจะเรียกที่นี่ว่า 'ซ่องนกพิราบ' แต่ถ้าเป็นพวกโอเมก้าหรือคนในเรียกกันเองจะเรียกว่า 'ร้านของชำ'

สาเหตุที่เรียกแบบนี้เพราะร้านของชำนั้นมีทุกอย่างที่ทุกคนต้องการจริงๆ ตั้งแต่มนุษย์ยันยารักษาโรค อาวุธปืน ของเถื่อนทุกชนิด ซึ่งแทบทุกตารางนิ้วของสถานที่นี้นั้นก็มีนกพิราบเกาะอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สถานที่แห่งนี้ก็ไม่ได้ทรุดโทรมอย่างที่คนส่วนใหญ่คิดกัน มันก็เหมือนตลาดทั่วไปเพียงแต่ว่าของครบครันกว่าเท่านั้น อาคารพาณิชย์เก่าๆ ที่เปิดอยู่ก็มีร้านดอกไม้ ร้านขายเหล้า ตามที่มันพึงมี

หากแต่ขณะนี้เวลาบ่ายกว่าๆ แดดกำลังแรงได้ที่ คนที่เดินอยู่ตามถนนจึงไม่ชุกชุมมากนัก

จ้าวกระชับเสื้อฮู้ดดำตัวเองครั้งนึงแล้วเดินช้าๆ เข้าไปตามถนน สายตาสอดส่ายหาร้านที่ตัวเองต้องการโดยนึกถึงคำพูดติดจะขี้เล่นของเจ้าของร้านในหัว

'เนี่ย ถ้าจะมานะ เดินตรงไปเลย เดินไปเรื่อยๆ หาร้านไหนป้ายใหญ่ๆ มีคำว่า TATTOO กับรูปสิงโต นั่นแหละ ร้านกู'

ทั้งๆ ที่คำบอกทางฟังดูง่ายแต่พอมาทำจริงมันกลับไม่ง่ายสักนิด อดีตนักร้องดังแทบจะตาลายและเป็นลมแดดตายคาถนนเมื่อเห็นจำนวนร้านรวงมหาศาลที่เปิดเต็มข้างทาง ไหนจะสายตาแปลกๆ ของพวกเจ้าของร้านกับพวกคนที่เดินอีก มันทำให้จ้าวรู้สึกตัวหดเล็กลงกว่าเดิมเท่าตัว

หลังของจ้าวลู่ลงอย่างเสียความมั่นใจเมื่อมีอัลฟ่าเดินผ่านตัวเองด้วยท่าทางรังเกียจนิดๆ

"...เฮ้ย! น้อง"

จ้าวสะดุ้งเฮือกหันตามเสียงหวาดๆ พบว่าเสียงนั่นไม่ได้คุยกับตนแต่ไปคุยกับโอเมก้าชายร่างเล็กซึ่งมีโชคเกอร์สีดำอันเป็นสัญลักษณ์ของโอเมก้าอยู่ที่คอในมือถือกีตาร์เก่าๆ ด้วยสีหน้าหวาดกลัว

"กีตาร์นั้นกูขอได้ไหมวะ? " คนที่พูดอยู่นั้นเป็นเบต้าที่มาเที่ยวร้านของชำแล้วเกิดบังเอิญเห็นโอเมก้าพอดี ซึ่งเขาก็อดไม่ได้ที่จะกดขี่อีกฝ่ายให้ต่ำลงอย่างนึกสนุก

"ไม่ได้ครับ" โอเมก้าหนุ่มตัวสั่นเทากอดกีตาร์ตัวเองแน่น

"ทำไมวะ? ให้กูมึงก็ซื้อใหม่ดิ จะยากอะไร" ไม่ว่าเปล่าสาวเท้าเข้าไปหาอย่างเอาเรื่องเล่นเอาคนโดนหาเรื่องตกใจลนลานถอยหลังจนสะดุดล้มหงายหลังเกิดเป็นเสียงหัวเราะดังลั่นทั่วบริเวณสำหรับคนที่เห็นเหตุการณ์ ส่วนเจ้าหนุ่มต้นเรื่องหลังจากแกล้งจนพอใจก็ไหวไหล่แล้วเดินจากไปด้วยอารมณ์ที่ดียิ่งกว่าเดิม

แน่นอนว่าทั้งสองคนไม่รู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ

จ้าวพูดอะไรไม่ออกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่กล้าแม้แต่ที่จะออกตัวไปช่วยด้วยซ้ำเพราะสถานภาพของตัวเองก็ไม่ได้ต่างกันเท่าใดนัก จ้าวมองร่างเล็กที่ค่อยๆ ยืนแล้วเดินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยความรู้สึกเหมือนจะร้องไห้

เพราะมันตีความหมายได้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับเขานับไม่ถ้วนแล้ว ครั้งนี้ก็คงจะเป็นอีกครั้งที่เกิดขึ้นกับเขาและคงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่จะเกิดขึ้น

จ้าวเม้มปากแน่นรีบสาวเท้าเดินต่อไวๆ พยายามหาร้านของเพื่อนเขาให้ไวที่สุด การอยู่ที่นี่นานๆ คงไม่ใช่เรื่องที่ปลอดภัยกับเขาเท่าไหร่นัก เขาไม่แน่ใจเลยว่าถ้าเกิดตัวเองโดนยำขึ้นมาจะมีใครหิ้วส่งโรงพยาบาลรึเปล่า

ปลายเท้าเผลอหยุดไปครู่หนึ่งแต่ก็ก้าวต่อ

ตลกดีที่หน้าของคนๆ นั้นปรากฎขึ้นมาในหัว แต่เชื่อเถอะว่าแค่เห็นหน้าเขาแถวหน้าโรงพยาบาลก็คงใช้ยามสักคนมาลากตัวเขาไปโยนไว้แถวกองขยะสักที่ เหมือนจะเวอร์? ไม่หรอกมันเคยเกิดขึ้นแล้ว ตอนนั้นพอตื่นขึ้นมาได้ก็สติแตกจนมีคนมาเจอตัวก็โดนเฉดหัวกลับเข้าไปในคุกต่อ

มันเป็นอิสรภาพช่วงสั้นๆ ที่ห่วยแตกสิ้นดี นกปีกหักอย่างเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากส่งเสียงร้องดังลั่นตะเกียกตะกายจะเอาชีวิตรอด คาดหวังให้ปีกของตัวเองกลับมาแข็งแรงดังเดิมสักทีแต่ก็ทำได้แค่เพียงคิดเพราะกระดูกภายในแหลกละเอียด แม้แต่แรงที่ยกปีกเขายังไม่มีด้วยซ้ำ

'น่าสมเพช คนอย่างมึงควรจะตายๆ ไปสักที'

เสียงเย้ยหยันของตัวเองดังก้องในหัว ซึ่งจ้าวก็เห็นด้วยกับมัน

ทำไมเขาๆ ไม่ตายไปสักที หากการมีอยู่ของเขามันทำให้คนอื่นเกลียดชังซะขนาดนั้น ทำไมไม่มีใครสักคนเอาปืนมายิงเขา ทำไมน้องเขาถึงไม่ยอมฉีดยาให้เขาตายๆ ไปในตอนที่เขาอ้อนวอนขอความตาย

นกที่ไม่สามารถบินได้แล้วอย่างเขามันไม่สมควรมีชีวิตอยู่หรอก แต่จะให้เขาปลิดชีวิตด้วยตัวเองเขาก็ไม่กล้าพอเหมือนกัน ทุกครั้งที่หยิบมีดขึ้นมามือของเขาสั่นเทาเป็นเจ้าเข้า ร้องไห้สะอื้นจะเป็นจะตาย ไม่รู้ว่าจะเศร้าอะไรนักหนา สุดท้ายการฆ่าตัวตายของเขาก็ไม่สำเร็จสักที

นกพิกลพิการอย่างเขาจึงยังอยู่ดีในกรงเหล็กสนิมเขรอะ

"พี่ครับ"

"..."

"พี่ๆ "

แรงกระตุกชายเสื้อแรงๆ ทำให้จ้าวรู้ตัวว่าอีกฝ่ายกำลังคุยกับตัวเองอยู่ จ้าวปาดน้ำตาทิ้งลวกๆ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอหยุดเดินและร้องไห้ตอนไหน จ้าวสูดหายใจฮึกๆ กลืนก้อนสะอื้นแล้วถามเด็กชายซึ่งสวมโชคเกอร์สีดำบนคออย่างสุภาพ

"มีอะไรเหรอครับ? "

แปลกที่จ้าวรู้สึกว่านัยน์ตาสีดำกลมโตของเด็กชายนั่นดูบริสุทธิ์เหลือเกิน เขาไม่อยากคิดเลยว่าวันไหนที่แววตาแบบนี้จะถูกทำลายไม่มีชิ้นดี

เด็กชายยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยว รู้สึกชอบพี่ชายตรงหน้าแปลกๆ ที่ยอมคุยด้วยกับตัวเองอย่างสุภาพต่างจากผู้ใหญ่คนอื่นๆ ที่มักจะมองมาอย่างแดกดันและหยาบโลน หากแต่เมื่อเงยหน้ามองต้นคอของพี่ชายดีๆ ก็พบว่าสวมปลอกคอเหล็ก ซึ่งมันก็ทำให้เด็กชายเข้าใจว่าพี่ชายเป็นโอเมก้าเหมือนตัวเอง แต่อย่างไรก็ตามความสุภาพของพี่ชายตรงหน้าก็ชนะทุกอย่าง

"นี่! " เด็กชายยื่นดอกกุหลาบที่ซ่อนไว้ด้านหลังตัวเองให้พี่ชายแล้วยิ้มจนตาหยี "มีคนฝากมาให้พี่ชายแหละ! "

"ขอบคุณครับ" จ้าวยิ้มนุ่มนวลให้เด็กชายถึงแม้ว่าจะรู้ว่ามันถูกปิดบังไว้ใต้ผ้าปิดปาก มือผอมรับกุหลาบขาวมาถือด้วยความรู้สึกแปลกๆ เพราะสีของกุหลาบดูจะคุ้นหน้าคุ้นตาซะเหลือเกิน

กุหลาบสีขาว..

"ใครให้พี่เหรอครับ" จ้าวยกกุหลาบขึ้นมาดมได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีขึ้นมานิดๆ

ความเจ็บปวดที่เกาะกุมในอกมาตลอดห้าปีคล้ายจะบรรเทาลงชั่วขณะ

เด็กชายยิ้มแล้ววาดแขนเหนือหัวตัวเองลงมายังพื้นเพื่อแสดงให้เห็นว่าพี่ชายตัวใหญ่มาก "เป็นพี่ชายตัวใหญ่มากก หล่อมากด้วย ผมว่าเขาต้องชอบพี่ชายแน่ๆ! " ว่าจบก็หัวเราะคิกคัก

จ้าวอยากจะยิ้มตามเด็กชายแต่ก็ทำไม่ได้ "แล้วเขายังอยู่แถวนี้ไหมครับ? " มองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวงซึ่งก็เห็นเข้ากับร้านดอกไม้ใกล้ๆ พอดี โดยหน้าร้านนั้นมีตะกร้าดอกไม้ต่างๆ วางเรียงเต็มไปหมดแต่ไม่มีดอกกุหลาบสีขาวปะปนอยู่ในนั้น

"งืออ ผมไม่รู้อ่ะ" เด็กชายส่ายหัวดิกแรงๆ "ผมไปละ! บ๊ายบาย พี่ชาย" แล้วโบกมือหยอยๆ ให้จ้าวก่อนที่จะวิ่งหนีหายเข้าไปในซอยใกล้ๆ

จ้าวก้มมองดอกกุหลาบในมือ ใจนึงก็อยากทิ้งแต่อีกใจก็ทำไม่ลง

มันทำให้นึกถึงเจ้าของดอกกุหลาบสีขาวคนนั้นอย่างประหลาด แต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้อีกนั่นแหละ ไม่มีใครรู้หรือแม้แต่จะสนใจด้วยซ้ำว่าเขาออกจากคุกแล้ว พวกนักข่าวที่เคยญาติดีกับเขาก็แปรพักตร์กันไปเป็นพวกน้องเขาหมดแล้ว ไม่มีใครคิดจะสนใจเขาจริงๆ หรอก

สุดท้ายจ้าวเก็บมันเข้ากระเป๋าแล้วเดินหาร้านที่ว่าต่อและเคราะห์ดีที่มันอยู่ใกล้ๆ พอดี จ้าวดีใจจนเนื้อเต้นรีบเดินไปหยุดยืนหน้าร้านและพิจารณาร้านตามข้อมูลที่ตัวเองได้ยินมา

ป้ายแท็กทู.... มี

รูปสิงโต... มี

จ้าวยิ้มออกมาเพราะร้านของเพื่อนเขาสวยและดูหรูหราผิดจากที่คาดไว้เยอะ มันเป็นร้านเล็กๆ สไตล์โมเดิรน์เน้นโทนดำมีรูปตัวอย่างลายสักเท่ๆ ประดับหน้าร้านซึ่งเป็นกระจกใสสีเทาทั้งหมดอยู่ประปราย

หากแต่เมื่อมองไปเรื่อยๆ จ้าวก็ยิ้มไม่ออกเพราะป้ายที่แขวนตรงลูกบิดประตูมันแขวนว่าปิด จ้าวยืนคิดอยู่สักพักก่อนที่จะผลักบานประตูเข้าไปทันทีและต้องเผลอหลุดยิ้มออกมาเพราะมันเป็นตามที่เขาว่าไว้จริงๆ

'ไม่รู้เป็นอะไรว่ะ กูถึงชอบลืมล็อกประตูร้าน เวลามันมาทีไร หนีไม่ทันทุกที'

จ้าวไม่แน่ใจนักว่ามันที่ว่าคือใครกันแน่เพราะสีหน้าของคนพูดดูจะหงุดหงิดและไม่พอใจเอามากๆ ตอนนั้นเลยทำแค่นั่งฟังเงียบๆ อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวซึ่งตอนนี้เขาก็สวมบทที่ว่าพอดี ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่โดนโกรธเอา

ร่างผอมเดินเข้าไปในร้านที่มืดสลัวด้วยความรู้สึกกลัวนิดๆ สายตาพยายามสอดส่องหาคนที่ต้องการจะเจอแต่ก็ไม่เจอสักที มีแต่ขนมที่วางกองอยู่เต็มพื้นไปหมด จ้าวจึงเดินเลาะไปหาบันไดที่อยู่ตรงมุมห้องเพื่อที่จะไปหาอีกฝ่ายที่ชั้นสองซึ่งน่าจะเป็นห้องนอนอะไรทำนองนั้น

"ใครวะ!! "

แรงกระชากมหาศาลทุ่มตัวผู้บุกรุกลงบนเบาะในชั่วพริบตา ก่อนที่จะใช้มือกุมลำคอเหนือปลอกคอเหล็กและตะคอกเสียงดังลั่นอย่างเอาเรื่อง "มึงต้องการอะไร!! "

จ้าวตกอยู่ในความอึ้งเพราะเหตุการณ์เมื่อกี้นี้สิริรวมๆ แล้วไม่ถึงห้าวินาทีด้วยซ้ำ เขายังไม่ทันตกใจก็มาอยู่ในสภาพแบบนี้แล้ว จ้าวกระพริบตาปริบแต่พอสติกลับมาก็ยิ้มกว้างลืมความเจ็บปวดจากแรงกระแทกรุนแรงและแรงบีบรัดที่ลำคอ

"..ซิน" จ้าวครางชื่อในลำคอยิ้มจนตาหยีเมื่อพบคนที่ต้องการสักที

โอเมก้าหน้าสวยที่เขารู้จักครั้งแรกในคุก เป็นผู้ชายร่างโปร่งตัวเล็กกว่าและเด็กกว่าเขาแต่กลับเก่งไปหมดซะทุกอย่างเท่าที่คนๆ นึงจะเก่งได้ ทั้งฉลาดเป็นกรด เก่งด้านการสักมากจนสามารถเปิดร้านสัก 'Sin of Lion' ร้านสักชื่อดังที่อัลฟ่ายอมสักแม้ว่าคนสักจะเป็นโอเมก้าที่น่ารังเกียจก็ตาม

อีกทั้งซินยังเป็นคนเดียวที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยนในคุกที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายและเห็นแก่ตัว

"เดี๋ยวนะ" เจ้าของชื่อคลายมือออกและผลที่ได้คือจ้าวไอค่อกแค่ก "..เสียงนี้? อย่าบอกว่ามึงคือจ้าว มูนไลท์"

"อือ" จ้าวพยักหน้ารับด้วยความยินดี "คิดถึงไหม" และหลุดขำก็สีหน้าช็อคของซิน

"มึงไม่ได้ติดคุกยี่สิบเหรอวะ"

จ้าวยิ้มเฝื่อน "พ่อกับแม่ช่วยน่ะ โทษเลยเหลือแค่ห้าปี"

ซินทำหน้าเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็เลือกที่จะไม่พูดและเดินไปเปิดไฟเพื่อให้ห้องกลับมาอยู่ในความสว่างอีกครั้ง ไม่น่าเชื่อแค่เขาเดินไปเข้าห้องน้ำแปปเดียวแล้วกลับมาจะเจอคนน่าสงสารที่เขาเคยอุปการะในคุกซะได้ "จ้าว ตอนนี้มึงหนักเท่าไหร่"

"อืมม จำไม่ได้" จ้าวหัวเราะแห้งๆ "ไม่เคยได้ยินเหรอ เวลาเจอกันเขาห้ามทักเรื่องน้ำหนัก"

"เออ เขาใช้กันทั้งประเทศยกเว้นกับมึง" ซินหน้ามุ่ยแล้วเดินเข้าไปถอดเสื้อจ้าวที่นั่งเจี่ยมเจี๊ยมบนโซฟา ถอดไปถอดมาพอเจอซี่โครงแบบชัดๆ ก็โวยวายดังลั่น "จ้าวมึงแดกอะไรมั้งไหมเนี่ย โอ้ย กูว่ากูสั่งให้มึงกินข้าวแล้วนะ"

"ก็มันไม่อร่อย"

"เออ ไม่อร่อยก็ต้องกิน หันหลังมา" ซินออกคำสั่งซึ่งจ้าวก็ทำตามคำสั่งอย่างรู้งานด้วยการเลิกเสื้อตัวเองขึ้นด้วยให้เห็นรอยสักอีกาสีดำที่ถูกหอกแทกเข้าที่ปีกจนพิการ

"สวย" ซินยิ้มอย่างพอใจแล้วนั่งลงข้างๆ จ้าวและพิจารณาอีกฝ่ายด้วยสีหน้านิ่งๆ จ้าวผอมลงกว่าเดิมเยอะมาก ยิ่งรอยแผลเป็นจางๆ กับรอยสดใหม่บนข้อมือบางยิ่งทำให้ซินรู้สึกเศร้ามากกว่าดีใจที่จ้าวมาหาตัวเอง "คิดยังไงมาหากู? คิดถึงเหรอ"

จ้าวทิ้งตัวใส่พนักพิงและหลับตา "อือ ก็ส่วนนึงแล้วก็มาหางานด้วย"

"แล้ววงมึง? "

"…"

โอเมก้าหน้าสวยรู้สึกอยากตบปากตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดเพราะดูเหมือนเขาจะพลาดพูดเรื่องแทงใจดำเกินไป จ้าวถึงได้มีสีหน้าเจ็บปวดถึงเพียงนั้น สำหรับเขาแล้ว จ้าวก็คือคนที่ถูกชะตาด้วย เป็นอัลฟ่าที่น่าสงสารที่ถูกสังคมตีตราว่าเป็นฆาตกร ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำ เขารู้เพราะจ้าวเล่าให้ฟังคร่าวๆ ถึงสาเหตุที่ถูกจับโยนเข้าคุก

แต่จ้าวกลับไม่เคยปริปากบอกเขาสักคำว่าใครกันแน่ที่เป็นคนฆ่าพริม คู่หมั้นสาวคนนั้นกันแน่

"ก็วงแตกไง ฮ่าๆ " จ้าวหัวเราะเหมือนขำนักหนา "แถวนี้พอจะมีร้านที่รับสมัครนักร้องหรือนักดนตรีที่เป็นโอเมก้าไหม? ว่าจะลองสมัครดู"

ถึงแม้จ้าวจะมีเงินเก็บอยู่เป็นจำนวนมากแต่การอยู่เฉยๆ กินเงินเก่าก็ไม่ใช่สิ่งที่จ้าวต้องการสักเท่าไหร่ การได้ร้องเพลงคือความสุขของนกปีกหักอย่างจ้าว ถึงแม้จะไม่ใช่ในนาม จ้าว วงมูนไลท์ แต่แค่ได้ร้องหรือเป็นนักดนตรีก็ยังดี

"มึงก็รู้ว่าแถวนี้มันมีแต่อะไร"

ซินพูดเสียงเรียบรู้สึกเจ็บปวดเมื่อเห็นแววตาของเจ้าสั่นพร่าทั้งๆ ที่บนใบหน้ายังประดับด้วยรอยยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"...ก็คงต้องทำล่ะมั้ง" จ้าวหัวเราะเสียงแผ่วตัวสั่นเทาจนต้องกอดตัวเองพยายามปลอบประโลมตัวเองว่าไม่เป็นไรกับเรื่องทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาก็ต้องยอมรับมันให้ได้ ต่อให้เจ็บปวดเจียนตายเขาก็ต้องพยายามยืนหยัดเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป

"มาทำร้านกูก็ได้นะจ้าว" ซินรีบร้อนยื่นข้อเสนอใหม่ สมองที่ปกติมักจะคิดวิเคราะห์ไตร่ตรองอย่างรวดเร็วพอมาเจอจ้าวแล้วมักจะเอ๋อและคิดอะไรไม่ออก "มาเล่นดนตรีที่ร้านกูก็ได้ กูจะได้ไม่ต้องเปลืองไฟเปิดเพลงจากยูทูป"

"ขอบใจแต่ไม่เป็นไร" จ้าวสูดหายใจลึกลูบหน้าตัวเอง "เราคงจะหางานแถวนี้ทำ"

ทั้งๆ ที่พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวแต่กลับทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ทำให้ซินอดไม่ไหวที่จะดึงตัวจ้าวมากอดแล้วลูบหัวเบาๆ

แน่นอนว่าครั้งนี้จ้าวไม่ปฏิเสธอีกทั้งยังมุดหัวเข้าอกเล็กๆ ของซิน

"ขอคำตอบได้ไหม ทำไมถึงไม่ยอมอยู่ร้านกับกู"

แม้แต่ผมที่กำลังลูบอยู่ก็หยาบกร้านคล้ายกับไม้กวาด ยิ่งทำให้ซินเป็นห่วงคนในอ้อมกอดมากขึ้นไปอีก ไม่รู้ว่าระหว่างที่อยู่ในคุกจ้าวต้องเจอกับอะไรบ้าง แค่ตอนที่เขาเจอล่าสุดตอนนั้นก็น่าสงสารมากพอแล้ว คนบ้าอะไรนั่งหัวเราะอยู่คนเดียวใต้ต้นไม้ไม่ก็เขี่ยข้าวไปร้องไห้ไป ดูน่าสงสารจนพวกเจ้าถิ่นหลังๆ เริ่มไม่ยุ่งด้วยเพราะคิดว่าบ้า

สำหรับซินแล้วจ้าวก็เหมือนน้องชาย ต่อให้อายุมากกว่าก็จริงแต่เทียบกันด้านประสบการณ์จ้าวด้อยกว่าเขาเยอะ ในสังคมโอเมก้านั้นคนที่ถีบตัวเองขึ้นมาจนเป็นที่ยอมรับแบบเขาได้นั้นมีไม่มากนัก ซึ่งกว่าจะถึงจุดนี้เขาก็ต้องประสบอะไรมามากเหมือนกัน

แต่ก็นะ สิ่งที่เขาเผชิญกับที่จ้าวเผชิญมันไม่เหมือนกัน ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้เพราะแต่ละคนเข้มแข็งไม่เท่ากัน จ้าวอาจจะเคยเข้มแข็งมากๆ มาก่อนแต่พอโดนเรื่องนี้เข้าไปก็แตกสลายจนไม่เหลืออะไรที่จะยืนหยัดต่อไปได้อีก

"จันทร์คงอยากให้เราเป็นทำแบบนั้นมากกว่า"

คำตอบที่มีตัวแปรแปลกประหลาดอย่างชื่อน้องชายสุดรักสุดหวงของจ้าวทำให้ซินเผลอชะงักมือที่ลูบ

"เกี่ยวอะไรกับจันทร์"

"..."

"จ้าว" ซินกดเสียงเข้ม

"เราไม่อยากรบกวนซิน" จ้าวผละตัวออกห่างแล้วคลี่ยิ้มบางๆ "แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ สำหรับคนอย่างเราน่ะ"

"แล้วมึงคิดว่ามึงออกไปหางานเองแล้วคิดว่าเขาจะจำมึงไม่ได้เหรอ จ้าว" โอเมก้าหน้าสวยเริ่มมีน้ำโหกอดอกถลึงตามองจ้าวอย่างเอาเรื่อง "อีกอย่างนะ มึงไปสภาพนี้ไม่มีใครเอามึงหรอก ผอมกะหร่อง แห้ง โอเมก้าที่มาสายร้องเพลงน่ะ มันต้องสวยว่ะ เขาถึงจะเอา"

"...มันก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว" จ้าวหัวเราะเสียงแผ่วขณะเดียวกันก็จัดแจงเสื้อผ้าตัวเองให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม "จะไปสมัครงานหรือทำอะไรไงเขาก็ดูบัตรประชาชนอยู่ดี ยังไงก็ต้องโป๊ะแตก แต่นักข่าวคงไม่มายุ่มย่ามกับเราหรอก สนุกกันไปตั้งสองปีกว่าจะเลิกเล่นข่าวเรา"

"ก็มาทำงานกับกูก็จบ ง่าย กูให้มึงค่าจ้างขั้นต่ำอัลฟ่าเลยก็ได้ถ้ามึงกลัวไม่พอกิน ยังไงร้านกูวันปกติคนก็แน่นทั้งวันอยู่แล้ว"

ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมัวของเขาดูเหมือนจะมีสิ่งดีๆ อยู่บ้าง

จ้าวรู้สึกอย่างนั้นจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้ซินอย่างจริงใจไม่ได้ ซินเป็นคนที่ดีกับเขาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ดีเกินไปด้วยซ้ำ..

"งั้นเราก็คงจะเลิกร้องเพลง"

จ้าวหลุบตามองพื้นลูบโลหะเย็นเฉียบบนคอตัวเอง

ถ้าเขาจมลงในโคลมตมมีแค่เขาก็พอที่จะต้องอยู่ในนั้น

"เฮ้ย จ้าว มึงอย่างี่เง่าดิ้" ซินโถมตัวเข้าไปกระชากตัวจ้าว "อยู่กับกู จบไหม กูรวย กูมีคนเลี้ยง กูสามารถเลี้ยงมึงได้อีกสิบคนโดยที่ขนหน้าแข้งกูไม่ร่วง"

"เรารู้" จ้าวหลับตา "แต่ช่างเหอะ เราไม่ร้องเพลงก็--- ฮื่ออ"

ซินสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ๆ จ้าวดิ้นทุรนทุรายเนื้อตัวร้อนผ่าวอีกทั้งยังมีกลิ่นจมูกฟุ้งออกมา

"ชะ.. เชี่ย" ซินตัวสั่น "จ้าว อย่าบอกนะว่ามึงฮีท!!!! "

ซินตะโกนลั่นสติแตก

ไม่ต้องเชื่อก็ต้องเชื่อเพราะกลิ่นที่ฟุ้งและรุนแรงออกมาจากจ้าวนี้เป็นกลิ่นแบบเดียวที่เขาเป็น!!



หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 4 : จันทร์จ้าว p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 23-03-2018 16:19:03
ตอนที่ 4



คนๆ หนึ่งสามารถเกลียดกันได้มากถึงระดับไหนกัน?

เกลียดมาก เกลียดน้อย เกลียดนิดๆ หรือว่าโคตรเกลียด

กับป้าขี้เมาท์ข้างบ้านอาจจะคำว่าเกลียดนิดๆ

กับหัวหน้าที่ทำงานที่ชอบหาเรื่องพนักงานใหม่อาจจะใช้คำว่าเกลียดมาก

แต่สำหรับจันทร์แล้วคำตอบเดียวที่มีต่อพี่ชายตนเองคงจะเป็นคำว่า 'เกลียดเข้าไส้'







'นายแพทย์จันทร์ นฤภัทร'

คือสิ่งที่จันทร์ในวัยเด็กฝันถึงอยู่ทุกค่ำคืนแทบจะทุกลมหายใจตั้งแต่จำความได้

ช่วงเวลาที่เด็กทั่วไปเล่นในสนามเด็กเล่นคือช่วงเวลาเดียวกับที่สองพี่น้องจันทร์จ้าวกำลังนั่งเรียนพิเศษอยู่ที่บ้านโดยจัดจ้างอาจารย์ชื่อดังหลายๆ ที่ผลัดเวียนกันมาสอนเพื่อเตรียมตัวสำหรับตำแหน่งทายาทของโรงพยาบาลนฤภัทร

ทั้งๆ ที่การเรียนบริหารอาจจะตรงสายกว่าแต่สิ่งที่ตระกูลนฤภทัรต้องการคือคำว่าแพทย์ คำๆ เดียวที่แสนจะทรงพลังที่แค่เห็นคำนี้ก็รู้สึกหวั่นเกรงสุภาพขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ตระกูลนฤภัทรต้องการจุดนี้เพื่อเบิกทางหลายๆ อย่างในอนาคตและรางวัลสำหรับผู้ที่สามารถทำตามแผนได้สำเร็จก็คือการได้นั่งแท่นบริหารสูงสุดของโรงพยาบาล

แปลกที่ตำแหน่งนั้นช่างยั่วยวนอย่างประหลาด เด็กในวัยเพียงเจ็ดขวบอย่างจันทร์มองพ่อตัวเองที่กำลังพูดอยู่บนสุนทรพจน์อยู่บนเวที ดวงตาที่โศกนิดๆ คล้ายกับคนพี่เบิกกว้างอย่างตื่นเต้นเมื่อได้ยินเสียงปรบมือดังเกรียวกราวจนรู้สึกขนลุก สีหน้าของบุคคลรอบๆ ทั้งอัลฟ่า เบต้า โอเมก้า ทุกคน ทุกชนชั้นที่มาฟังสุนทรพจน์ในวันนี้นั้นล้วนแต่มีแต่ความชื่นชมไม่มีใครสักคนที่มองด้วยสายตาดูแคลน

ชั่ววินาทีนั่นความปรารถนาในตำแหน่งนั้นก็แรงกล้าขึ้นมา หลังจากนั้นจันทร์ก็เรียนอย่างเอาเป็นเอาตายมาตลอดผิดกับแฝดพี่ที่เรียนเรื่อยๆ อย่างเอ้อละเหยลอยชาย มักจะนั่งเหม่อลอย มองนั่นมองนี้ หรือไม่ก็ฮัมเพลงในลำคอเบาๆ และเฝ้ารอเวลาพักเพื่อที่จะได้ไปเล่นเบสและร้องเพลง

สิ่งที่จ้าวทำคือสิ่งที่จันทร์ไม่ทำ

จันทร์ในตอนนั้นมองจ้าวที่ร้องเพลงด้วยสีหน้ามีความสุขคนเดียวหน้ากระจกด้วยสายตาไม่พอใจนัก เพราะมัวแต่เอาเวลาไปทำเรื่องไร้สาระแทนที่จะตั้งใจอ่านหนังสือ แค่นเสียงใส่เหยียดๆ ก่อนที่จะเข้าไปในห้องนอนเพื่อทบทวนบทเรียน

'จันทร์ ตั้งใจมากกว่านี้นะลูก คะแนนไม่ดีเลย ดูพี่จ้าวสิ ได้คะแนนเต็มอีกแล้ว'

'ครับแม่ ผมจะพยายามมากกว่านี้'

แต่แปลกนักที่โลกใบนี้ชอบเล่นตลก ทั้งๆ ที่จันทร์ทุ่มเทกับการเรียนจนไม่ได้ไปเที่ยวเล่นที่ไหนกับเพื่อนก็เทียบไม่ได้กับจ้าวที่นั่งเรียนสักชั่วโมงสองชั่วโมงก็สามารถทำโจทย์ที่อาจารย์ให้ทำได้คล่องปรื๋อ อีกทั้งยังคะแนนดีด้วย

'แม่อย่าดุน้องสิ ผมกับน้องไม่เหมือนกันสักหน่อย'

จันทร์เหลือบมองพี่ชายตัวเองที่เดินเขามาขวางตัวเองกับแม่ เหมือนพยายามจะปกป้องทั้งๆ ที่ขนาดตัวก็ไม่ได้ต่างกันนัก เขารู้ว่าตัวเองควรรู้สึกดีใจที่พี่ชายมาปกป้องตัวเอง แต่จิตใจของมนุษย์มันก็ยากจะพรรณนานัก เขารู้สึกเกลียดพี่ตัวเองมากกว่าจะดีใจ มันเป็นสิ่งที่ปรากฎขึ้นและเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนเขาไม่แน่ใจนักว่าตัวเองสามารถลดความเกลียดในตัวพี่ตัวเองได้

รู้เพียงว่ามันเพิ่มขึ้นทุกวินาทีที่หายใจ

เขาโกรธโลกใบนี้ที่ไร้ความยุติธรรม ทั้งๆ ที่เป็นแฝดกันแต่กลับสติปัญญาไม่เท่ากัน เขาหัวช้ากว่าพี่ชายที่วันๆ ไม่ทำอะไรนอกจากเล่นดนตรีอยู่ในห้อง ส่วนเรียนพิเศษพี่ชายเขาเอ่ยปากขอพ่อเลิกเรียนไปแล้วแต่กลับยังได้คะแนนมากกว่าเขาที่ยังเรียนทุกครั้งที่สอบ

'พี่จ้าวนี่เก่งจังเนอะ'

'ครับ เก่งมากเลย'

จันทร์พยายามฉีกยิ้มกว้างตอนที่พูดขณะที่มองแม่ตัวเองชื่นชมใบเกรดของจ้าวที่ยังคงดีเสมอต้นเสมอปลาย อีกทั้งปีนี้ยังได้เป็นทั้งนักร้องนำของโรงเรียนอีก

แปลกนะ ทุกอย่างในชีวิตจ้าวดูจะสมบูรณ์แบบไร้ที่ติแต่กับเขากลับดูจะบิดๆ เบี้ยวๆ ซะเหลือเกิน เขาร้องเพลงไม่เป็น ไม่แม้แต่จะฟังเพลงด้วยซ้ำ กิจกรรมก็ไม่คิดจะทำ สิ่งที่จันทร์ยึดมั่นที่สุดในชีวิตก็ยังคงเป็นการเรียนอย่างเอาเป็นเอาตาย

จนในที่สุดวันนั้นก็มาถึง

'แม่ผมสอบติดที่แม่อยากได้แล้วนะ'

จันทร์พูดด้วยสีหน้ายินดีหัวใจพองฟูสองเท้าแทบเดินไม่ติดพื้น ในใจจินตนาการถึงคำชื่นชมมากมายที่พรั่งพรูออกมาจากแม่และเหล่าบรรดาเครือญาติที่สนับสนุนเขามานาน

เขาทำสำเร็จแล้ว... ชนะจ้าวแล้ว...

ใบหน้าพิมพ์เดียวกับจ้าวยิ้มอย่างเป็นสุขหลังจากไม่ได้ยิ้มแบบนี้มานานจนจำแทบไม่ได้

จ้าวบอกกับเขาว่าไม่ได้ลงสอบที่นี่ฉะนั้น ครั้งนี้เขาต้องเป็นฝ่ายชนะ!

'อ้าว! จันทร์มาก็ดีแล้ว มาดูนี่เร็ว! พี่เราติดรอบสามคนสุดท้าย! โอ๊ย แม่ต้องโทรบอกพ่อแล้วๆ "

แม่ของจ้าวพอเห็นแฝดน้องมาก็ยิ้มจนแก้มปริยื่นไอแพดที่เป็นไลฟ์สดในรายการแข่งขันร้องเพลงที่จ้าวไปลงสมัครซึ่งตอนนี้ก็เป็นตอนที่จ้าวกำลังยิ้มกว้างอย่างดีใจที่ติดรอบสามคนสุดท้าย

'ดีใจเลยนะครับ'

นัยน์ตาโศกดูโศกมากขึ้นไปอีกโดยที่คนเป็นแม่ไม่รู้สึกนิด ริมฝีปากบางเฉียบเม้มแน่นก่อนที่จะตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว

ซุกซ่อนน้ำตาที่ไหลบ่าออกมาไม่หยุด

เขาแพ้มันอีกแล้ว





[ครับ เดี๋ยวผมเข้าไปครับ ขอบคุณมากๆ ครับ]

ร่างสูงในชุดกาวน์กรอกเสียงลงในโทรศัพท์ขณะที่ง่วนอยู่กับการชงกาแฟ พอปลายสายวางสายก็ชงกาแฟเสร็จพอดี จันทร์เดินไปนั่งโซฟาหนังหรูหรากลางห้อง ยกขาขึ้นไขว่ห้างและจิบกาแฟรสเข้มด้วยสีหน้าที่ปิดไม่มิดว่ามีความสุขมากๆ

"ขอโทษทีนะ ที่ครั้งนี้ผมชนะขาดเลยว่ะ"

จันทร์หัวเราะใส่ภาพที่แขวนอยู่บนผนัง มันเป็นภาพที่จ้าวยิ้มกว้างอย่างดีใจเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองชนะการประกวดร้องเพลงในรายการดังระดับประเทศ ถึงแม้ข้างๆ รูปนั้นจะเป็นภาพที่เขาใส่ชุดกาวน์วันแรกแต่จันทร์ก็รู้ดีว่าทั้งแม่และพ่อให้ความสำคัญกับรูปไหนมากกว่า

คิดถึงตรงนี้รอยยิ้มบางๆ ที่ประดับอยู่ใบหน้าคล้ายจะเฝื่อนไปชั่วขณะหนึ่ง

แต่แล้วยังไงล่ะ ตอนนี้มันกลายเป็นเศษสวะที่เน่าเฟะไปแล้ว นั่นก็หมายถึงเขาชนะ และมันไม่มีทางตีปีกขึ้นจากโคลนตมได้อีก เขายอมอดหลับอดนอนหลายปีสร้างนรกขึ้นมาเพื่อรองรับมันโดยเฉพาะ การเปลี่ยนอัลฟ่าให้กลายเป็นโอเมก้าไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์มนุษย์ มันแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำแต่ในที่สุดเขาก็ทำมันได้และได้รับเสียงยกย่องชมเชยมากมาย

และสิ่งนี้ก็มากเพียงพอที่จะทำลายชีวิตคนๆ นึงได้ทั้งเป็น!

นัยน์ตาโศกเป็นประกายเปี่ยมสุขพลางหยิบเครื่อง PSE เพื่อมาตรวจสอบความเป็นไปของชัยชนะ

"ซ่องนกพิราบ? "

รู้สึกงุนงงนิดๆ เมื่อไฟสีแดงกระพริบเป็นจังหวะไปโผล่ที่สถานที่อโคจรซะได้ แต่พอลองพยายามคิดถึงเหตุผลที่ไปที่นั้นก็ต้องหลุดหัวเราะจนตัวโยน

สถานที่แห่งนั้นสำหรับพวกโอเมก้านอกจากขายตัวก็ไม่มีอะไรที่ได้เงินดีไปกว่านี้แล้ว

"..ขอให้สนุกครับพี่จ้าว"







ในอีกมุมหนึ่งของร้านของชำก็สนุกอย่างที่ใครบางคนภาวนาให้เป็นจริงๆ

"โอ๊ย ยาฉีดเสือกหมดอีก!!! ชิบหายแล้วๆ ๆ "

ซินร้องลั่นเมื่อไปค้นกระเป๋าสะพายตัวเองที่ปกติจะพกยาฉีดระงับเวลาฮีทอยู่เสมอแต่พอค้นไปค้นมากลับพบว่าเขาได้ใช้ยาหมดไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วแล้วเพราะไอ้เวรนั่นจะมา! ด้วยความที่ไม่อยากหมดสภาพตายคาเตียงเลยกัดฟันยอมฉีดยาระงับราคาแพงระยับเพื่อระงับอาการบ้าๆ ของร่างกาย

"อือ.."

จ้าวครางฮือเสียงแผ่วความรู้สึกร้อนรุ่มกระหายอยากนั้นรุนแรงจนเขาขยับตัวแทบไม่ได้

น่าแปลกทั้งๆ ที่ร่างกายกำลังคลุ้มคลั่งต้องการการถูกรักถูกสัมผัสแทบบ้าแต่จ้าวกลับรู้สึกสิ้นหวังในตัวเองเหลือเกิน สิ่งที่น้องของเขาเพียรพยายามทำมานานน่าจะสำเร็จไปอีกระดับและคงจะสามารถเปลี่ยนให้เขาเป็นโอเมก้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เขากำลังจะกลายเป็นโอเมก้าแล้วจริงๆ

"ฮึก"

จู่ๆ ในอกก็เจ็บปวดจนเก็บไม่อยู่ จ้าวสะอื้นจนตัวโยน กอดร่างกายที่ร้อนผ่าวของตัวเองแน่น

"...พี่ทำผิดอะไร ฮึก"

สติปัญญาคล้ายกับพร่่าเลือนชั่วขณะ ร่างผอมบางที่แทบจะเหลือแต่กระดูกหอบหายใจถี่ กระดูกไหปลาร้าที่ซ่อนไว้ใต้เสื้อคล้ายจะแทงออกมาจากผิวหนังบางๆ เมื่อจ้าวคู้ตัวส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญออกมาราวกับหัวใจแหลกสลาย

"..ทำไมถึง ฮึก เกลียดพี่นัก ฮือ"

ความต้องการที่มากจนน่ารังเกียจจากตรงหว่างขาทำให้จ้าวรู้สึกขยะแขยงตัวเองจนแทบทนไม่ได้ เขาไม่ได้รังเกียจโอเมก้าก็จริง แต่ก็รับไม่ได้ถ้าหากมีอัลฟ่าหรือเบต้าสักคนผ่านมาแล้วได้กลิ่นเขาพอดี

เหตุการณ์หลังจากนั้นเขาแทบไม่อยากจะคาดคิด เขารู้ถึงความน่ากลัวของเหล่าอัลฟ่าดี

พวกมันดิบเถื่อนราวกับสัตว์ป่า คล้ายกับพยัคฆ์หิวที่หลุดจากกรง มันพร้อมจะฉุดกระชากออกแรงขบกรามใช้กรงเล็บฉีกเนื้อของเหยื่อให้เป็นชิ้นๆ โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

"ฮึก..จันทร์"

กลิ่นเลือดคาวคละคลุ้งเมื่ออดีตหัวหน้าวงมูนไลท์ยกแขนตัวเองขึ้นมากัดจนจมเขี้ยว

ใช้ความเจ็บปวดทำลายความกระหายอยาก ดึงสติที่มอมมัวในราคะด้วยเลือดที่ไหลบ่าออกจากบาดแผล รสชาติประหลาดที่ฟุ้งอยู่ในปากทำให้จ้าวเผยรอยยิ้มเหยียดหยันออกมาเล็กๆ นัยน์ตาโศกหม่นลงจนแทบไม่เหลือประกายของการมีชีวิต มีเพียงน้ำตาที่ไหลอาบใบน้ำที่ยังเป็นเครื่องยืนยันว่าจ้าวยังไม่บ้าไปซะก่อน

"ไอ้จ้าว!!! "

มือที่เล็กกว่ากระชากแขนจ้าวออกจากคมเขี้ยวอย่างแรง พยายามใช้ทิชชู่ที่อยู่ใกล้ๆ เช็ดเลือดออกอย่างลุกลีลุกล้นแต่ก็ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรนักเพราะเพียงไม่นานทิชชู่ก็กลายเป็นสีแดงฉาน

"มึงทำบ้าอะไรวะ! "

ซินรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะบ้าตามจ้าวไปอีกคน แค่ยาหมดเขาก็ปวดหัวมากพอแล้วไหนจะจ้าวที่ทำท่าเหมือนจะแตกสลายไปได้ทุกเมื่อถ้าไม่มีใครประคองเอาไว้ สภาพของจ้าวในตอนนี้อ่อนแอจนเขาไม่ไว้ใจที่จะให้ใครดูแลจ้าวนอกจากตัวเอง

แววตาเหม่อลอยไร้ซึ่งความหวังในการมีชีวิตอยู่ทำให้เขากลัว... จ้าวเคยมีแววตาแบบนี้มาครั้งนึงแล้วในคุก ตอนที่ถูกพาตัวขึ้นจากบ่อน้ำหลังจากพยายามฆ่าตัวตายครั้งล่าสุด มีเสียงก่นด่าทั้งจากเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ถึงความเขลาขลาดของจ้าวหรือเหล่านักโทษที่ต่างพากันหัวเราะเยาะในความพยายามโง่ๆ ของจ้าว

มีเพียงเขาที่วิ่งเข้าไปสวมกอดจ้าว พยายามปลอบโยนปลอบขวัญแม้จะเพิ่งได้รู้จักกันได้ไม่นานนักแต่ก็พอจะรู้ว่าอดีตนักร้องดังคนนี้ช่างเปราะบาง เหมือนกับแก้วบางๆ ที่พร้อมจะแตกตลอดเวลา ความจริงเขาควรจะเอะใจตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่เห็นจ้าวร่าเริงเป็นพิเศษ เหมือนปล่อยวางอะไรบางอย่างได้ แต่ใครจะไปรู้ว่าอีกวันนึงจ้าวจะกระโดดบ่อน้ำ

เขาแทบไม่เคยรู้เลยว่าในหัวของจ้าวคิดอะไรอยู่บ้าง ใบหน้าที่มักจะฝืนยิ้มนักเดาออกง่ายก็จริง แต่ในใจของจ้าวกลับไม่มีใครล่วงรู้อย่างแท้จริง ที่เขาพอจะทำได้ก็แค่เพียงสังเกตและเชื่อตามเซนส์ของตัวเอง

และเซนส์ของเขาก็กำลังกู่ร้องอย่างน่ากลัว

น้ำตาอยู่ๆ ไม่รู้ว่ามีที่มาจากอะไรก็คลอหน่วง ซินตัวสั่นเทาดึงมือของจ้าวที่ร้อนเหมือนถูกไฟลนขึ้นมาจับ

"ไอ้จ้าว! "

ซินตะคอกซ้ำแต่จ้าวก็ยังไร้ปฏิกิริยาโต้ตอบ นัยน์ตายังเลื่อนลอยคลอหน่วงไปด้วยน้ำตาของความทุกข์ตรมแสนสาหัส ก่อนจะเผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมา

เลือดที่ไหลเวียนในกายคล้ายจะเย็นเฉียบ ซินเม้มปากแน่นกลั้นสะอื้น

เขากลัว..

"ไม่นะ..จ้าว"

ซินกระซิบเสียงเครือ

"มึงยังมีกูนะ.."

เสียงของซินคล้ายจะส่งไปไม่ถึงแต่มันก็ส่งถึง

"...ถ้าเราไม่อยู่สักคน"

จ้าวฉีกยิ้มให้ซินหัวเราะแผ่วเบา

"อะไรๆ คงจะดีขึ้นเยอะ"

"พูดบ้าๆ! " ซินตะคอกแล้วกระชากคอเสื้อของจ้าวขึ้นมาอย่างเดือดดาล เขารู้ว่าตัวเองไม่ควรโกรธแต่ก็อดไม่ได้ที่จะโกรธ เขารู้ดีว่าจ้าวต้องเผชิญกับอะไรมาตลอดห้าปีนี้ เขารู้ว่าร่างตรงหน้าเปราะบางแค่ไหน เขารู้ทุกอย่าง

เขารู้..

"ฮึก จ้าวกูขอนะ มึงอย่าไปเลย" สุดท้ายจากมือที่กระชากคอเสื้อก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นรวบตัวผอมแห้งติดกระดูกมากอดแน่น สัมผัสร้อนฉ่ากับลมหายใจถี่รัวข้างหูของจ้าว ทำให้ซินรู้สึกว่าหัวใจในอกเต้นช้าลงอย่าเจ็บปวด

ถ้าเขาแบ่งความเจ็บปวดของจ้าวมาไว้ที่ตัวเองได้บ้างก็คงจะดี

"..อือ"

น่าเสียดายที่คำๆ นั้นจ้าวกลับไม่ได้ยิน ใบหน้าขาวซีดขึ้นริ้วสีแดงครางฮือตัวสั่นเทาก่อนที่จะรวบรวมเรี่ยวแรงอันน้อยนิดผลักซินออกและกอดตัวเองแน่นโดยหวังว่ามันจะช่วยให้หัวใจที่แหลกสลายดีขึ้นมาบ้าง

แต่มันก็ไม่เคยช่วยอะไรเหมือนทุกครั้ง มีเพียงเขาที่เจ็บปวดโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรผิด ทุกอย่างราวกับฝันร้ายที่เขาเฝ้าภาวนาทุกครั้งที่นอน เขาขอให้เป็นแค่ฝัน เขาไม่อยากเจ็บปวดอีกแล้ว แค่เรื่องที่น้องเกลียดเขาก็มากเกินกว่าที่เขาจะรับไหวแล้ว

จ้าวหลับตาลงซ่อนความเจ็บปวดไว้หลังเปลือกตา

อย่างไรก็ตามความจริงก็เป็นเรื่องโหดร้ายเสมอ ความเจ็บปวดที่บรรเทาลงทำให้ความกระหายอยากปะทุขึ้นอีกครั้ง สติที่เดี๋ยวพร่าเลือนเดี๋ยวแจ่มชัดกระตุ้นให้จ้าวหัวเราะออกมาจนตัวโยน

ต่อให้พยายามแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์

ชีวิตของเขามันจบไปตั้งนานแล้ว ที่ยังคงเหลืออยู่ก็คือลมหายใจที่เขานึกอยากให้ตัวเองตายๆ ไปสักที

"พี่ซินนน ผมพาน้องลีโอมาแล้ว! "

เสียงที่แฝงไปด้วยความกระตือรือร้นสุดขีดดังมาจากหน้าร้านก่อนที่จะมีร่างเล็กๆ วิ่งดุ๊กดิ๊กสี่คูณร้อยแทรกผ่านร่างคนพูดแลโผกอดใส่คนเป็นเจ้าของร้านโดยไม่สนใจอะไรที่กำลังเกิดขึ้นทั้งนั้น

"หม่าม๊า"

ใบหน้าจิ้มลิ้มพูดนิ่งๆ ก่อนจะเริ่มเบะปากเมื่อเห็นแม่ของตัวเองตาแดงอีกทั้งยังมีน้ำตาไหลอาบแก้ม "ร้องไห้ทำไม"

ซินสะดุ้งเฮือกพอเห็นลีโอก็ตกใจมากกว่าเดิมและเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นอาทิตย์ของเขาที่ต้องดูแลพอดี เมื่อสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่ซินให้ความสำคัญแทบจะที่สุดชีวิตเข้ามาอยู่ในหัว สติที่แตกกระเจิงก็เริ่มกลับมาเข้าร่องเข้ารอย นัยน์ตาคมกริบตวัดมองชายโอเมก้าร่างโปร่งที่เข้าร้านมาอีกคนทันที

"ฝุ่น! เอายาระงับมายืมก่อน"

เจ้าของชื่อสะดุ้งและยิ่งเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่ามีอันคันตุกะแปลกหน้าอยู่ในร้านของเขาด้วย แต่ก่อนที่จะอ้าปากถามอะไรเจ้านายก็รีบล้วงยาระงับที่พกไว้ติดตัวเสมอของพวกโอเมก้าให้ซินอย่างไม่นึกเสียดาย ตาสีอ่อนกวาดตามองร่างที่คุ้นหน้าคุ้นตาแปลกๆ ซึ่งนอนหายใจถี่บนพื้นแสดงอาการฮีทที่โอเมก้าทุกคนคุ้นเคยดี

ซินดันลีโอออกจากห่างจากตัวแล้วเปิดฝาขวดยาและใช้สลิ้งดูดยาระงับอย่างชำนาญ เมื่อได้ยาจนเต็มสลิ้งก็ดึงแขนของจ้าวออกมาและแทงเข้าไปทันที

"ฮื่ออออ" จ้าวครางฮืออย่างเจ็บปวดและดิ้นพล่านมากกว่าเดิมเมื่อซินฉีดยาระงับเข้าไปในเส้นเลือด

"แปปเดียว จ้าว แค่แปปเดียว"

เพียงไม่นานยาทั้งหมดก็ไหลเข้าในเส้นเลือด ซินค่อยๆ ดึงสลิ้งออกและเก็บเข้าปลอก

จ้าวซึ่งเจ็บแขนจนน้ำตาไหลสะอื้นในลำคอกอดตัวเองแน่น แต่ก็รู้สึกดีขึ้นมานิดๆ เมื่อความต้องการรุนแรงในร่างค่อยๆ น้อยลง ราวกับสิ่งที่ฉีดเข้ามาในร่างคือน้ำเย็นจัดปริมาณมหาศาลที่สาดใส่กองไฟที่ร้อนฉ่า

"..ชู่ว"

ซินยกนิ้วชี้ขึ้นแนบริมฝีปากเมื่อลูกชายตัวดีทำท่าจะพูดมาก อีกมือหนึ่งลูบหัวจ้าวเบาๆ ชั่วครู่ต่อมาจ้าวก็หลับตายด้วยความอ่อนเพลีย

"ผมขอถามคำนึงนะพี่ซิน" ฝุ่นป้องปากกระซิบกระซาบ นัยน์ตาสีอ่อนเป็นประกายวาววับยามที่มองร่างที่นอนบนพื้น "คนนี้ใช่จ้าว วงมูนไลท์ป่ะ! " ร่างโปร่งแทบจะเก็บความตื่นเต้นดีใจของตัวเองแทบไม่อยู่เกือบจะเผลอตะโกนออกมาถ้าไม่โดนมองด้วยสายตาดุๆ ซะก่อน

"ใช่"

เพียงเท่านั้นฝุ่นยกมือปิดแก้มตัวเองกรีดร้องไร้เสียงตามประสาทเอฟซีที่ติดตามแต่ไม่เคยเปิดเผยตัวตนสักที

ซินมองเมินท่าทางนั้นแล้วดึงตัวลีโอเข้ามากอดและหอมแก้มด้วยความเอ็นดู ใบหน้าที่มักจะเรียบเฉยอยู่เป็นนิจยิ้มน้อยๆ ให้กับเด็กชายที่มองตัวเองตาแป๋ว

"...หม่าม๊า ป๊ะป๊าบอกว่า วันอาทิตย์จะพาหม่าม๊าไปกินข้าว" เด็กชายลีโอตอบเสียงฉะฉานตามที่ท่องสคริปท์์เอาไว้กับปะป๊าและของรางวัลสำหรับความทุ่มเทก็คือไอติมยามดึก

"งั้นก็ฝากไปบอกป๊า ด้วยว่าไม่"

ซินคำรามในลำคอ เขายังเคืองรอบที่แล้วไม่หาย

"แต่ว่าลี ลีโออยากให้หม่าม๊าไป" ลีโอเบะปากทำท่าจะร้องไห้

"...ฮื่อ! " ซินพยายามฉีกยิ้มให้ลีโอทั้งๆ ที่ในใจหงุดหงิดแทบบ้า ไอ้เวรนั่นโคตรจะเจ้าเล่ห์เลย "โอเคๆ ม๊า ยอมแล้ว ไปก็ไป" ก่อนที่จะหันไปมองฝุ่นที่ดูเหมือนจะสังเกตเห็นความผิดปกติของอดีตนักร้องดังแล้ว

"พี่ซิน.." ฝุ่นเรียกเสียงเบาแววตาสั่นไหวเหมือนจะตั้งคำถามอยู่กลายๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจ้าว

เจ้าของชื่อระบายยิ้มเศร้า

"เดี๋ยวเล่าให้ฟัง ตอนนี้ช่วยกันแบกจ้าวไปที่ห้องนอนก่อน"


หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 5 : อิสระ p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 23-03-2018 16:19:56
ตอนที่ 5



น้ำเสียงทุ้มนุ่มหูอันเป็นเอกลักษณ์ดังแว่วออกมาจากจอแอลอีดีกลางกรุงเทพมหานคร บนจอปรากฎภาพนักร้องชายสี่คนกำลังเล่นดนตรีอยู่กลางทุ่งดอกไม้ คนที่โดดเด่นที่สุดย่อมเป็นนักร้องนำที่ร้องพร้อมกับเต้นด้วยดวงตาเป็นประกาย จนหลายๆ คนที่กำลังเดินกันวุ่นวายเพื่อทำหน้าที่ของตนเองก็เผลอก้าวช้าลงจนเผลอหยุดเพื่อดูภาพบนจอ

'อย่าลืมมาร่วมสนุกกันเยอะๆ นะครับ! ผมเชื่อว่าครั้งนี้มันต้องเป็นคอนเสิร์ตที่สนุกยิ่งกว่าครั้งที่แล้วแน่'

นักร้องนำพูดด้วยน้ำเสียงเริงร่า ใบหน้าประดับรอยยิ้มเต็มใบหน้า มีความสุขจนคล้ายกับว่าขโมยความสุขของคนทั้งโลกไว้เพียงผู้เดียว

หลังจากนั้นก็ขึ้นรายละเอียดเกี่ยวกับงานคอนเสิร์ตประมาณเจ็ดวินาทีก่อนที่ภาพบนจอจะเปลี่ยนไปเป็นโฆษณาอื่นต่อ

และนั่นก็คือจ้าวคนที่ฝุ่นรู้จัก



นายจ้าว นฤภัทรหรือนักร้องนำวงมูนไลท์ที่เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตอันล้นเหลือและพร้อมจะแบ่งปันมันให้กับทุกคน เพลงหลายๆ เพลงของวงมูนไลท์มีเนื้อหาดีมากทั้งในเรื่องความรักและในแง่ของการให้กำลังใจพวกโอเมก้าหรือคนที่กำลังท้อแท้ในชีวิต ขอเพียงได้ฟังเสียงเพราะๆ ของจ้าวและดนตรีอันเป็นเอกลักษณ์ของวงมูนไลท์ย่อมรู้สึกดีขึ้นอย่างแน่นอน

ในช่วงที่วงมูนไลท์ปีนขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของวงดนตรีในเมืองไทย ฝุ่นคลั่งจ้าวมาก หลงใหลแววตา ใบหน้า รอยยิ้ม นิสัยที่ขี้เล่นร่าเริงยิ้มง่ายอีกทั้งยังเป็นมิตรกับแฟนคลับสุดๆ แต่เพราะหลายๆ อย่างที่ไม่ลงตัวนักในชีวิตโอเมก้า ทำให้ฝุ่นพลาดที่จะไปเข้าร่วมคอนเสิรต์ครั้งใหญ่ของจ้าวหรือที่นักข่าวกล่าวขานกันว่าเป็นแสงจันทร์สุดท้ายของวงมูนไลท์

น่าแปลกที่เพียงชั่วพริบตา วงดนตรีที่ดังจนเกือบจะได้โกอินเตอร์ก็กลายเป็นวงที่ถูกฝังกลบให้อยู่ลึกที่สุดของวงการ มันยิ่งกว่าการฝังกลบธรรมดาเสียอีกเมื่อทุกคนพร้อมใจกันใช้เท้ากวาดดินและกระทืบให้ดินอัดแน่นยิ่งกว่าเดิม ไม่เปิดโอกาสหรือฟังข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งนั้น

เพราะการฆ่าอัลฟ่าด้วยกันนั้นคือความผิดร้ายแรงที่สุด

ภาพหลุดของอดีตคู่หมั้นของนักร้องนำที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นอย่างน่าสยดสยองสร้างบาดแผลทางจิตใจให้ผู้พบเห็นและเพิ่มพูนความเกลียดชังในตัวผู้ที่กระทำ ภาพของนักร้องวงดังที่ถูกคาดตาด้วยสีดำไม่ได้ทำให้คนจำไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร หนำซ้ำยังจำได้แม่นยิ่งกว่าเก่า พากันด่าทอสาปแช่งในความเลวอัปลักษณ์ของจิตใจที่สามารถฆ่าผู้หญิงดีๆ คนนึงซะได้

ทุกคนที่อยู่รอบกายฝุ่นต่างพากันกล่าวส่อเสียดและสมเพชในตัวจ้าวกันทั้งนั้น แม้แต่โอเมก้าด้วยกันก็เองก็มักจะนำประเด็นนี้ขึ้นมาพูดกันกลางวงเหล้าและกล่าวมันออกมาราวกับเป็นเรื่องขบขัน พยายามคาดเดาเจตนาของจ้าวกันต่างๆ นานาและจบลงที่ผู้หญิงคงไม่เด็ดพอ

แต่ฝุ่นไม่เคยเชื่อเนื้อหาข่าวที่ว่าด้วยเรื่องที่จ้าวสติฟั่นเฟือนกลายเป็นโรคจิต เขายังคงเชื่อในจ้าวอยู่เสมอ เขาเชื่อคนที่ยิ้มกว้างให้กับทุกคนอย่างมีความสุข เขาเชื่อในตัวจ้าวที่มักจะคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ เขาชื่อทุกอย่างที่จ้าวพูดขอเพียงจ้าวพูดมันออกมาเขาก็พร้อมที่จะสนับสนุน

น่าเสียดายที่สุดท้ายความมุ่งมั่นของฝุ่นก็กลายเป็นของไร้ค่า เมื่อจ้าวยอมจำนนต่อหลักฐานข้อหาทุกอย่าง ใบหน้าที่เคยถูกยอมรับว่าน่าหลงใหลมากไม่มีรอยยิ้มอีกแล้ว มีเพียงแววตาทุกข์ระทมอันซื่อตรงที่เหมือนจะบอกทุกคนถึงความจริงอยู่กลายๆ

แต่แววตาก็คือเป็นเพียงแววตา เมื่อไม่มีข้อแก้ตัวคดีก็ต้องเป็นไปตามระเบียบ ภาพสุดท้ายที่ฝุ่นเห็นคือภาพที่จ้าวถูกล็อกด้วยกุญแจมือในชุดนักโทษสีอิฐ

กับรอยยิ้มฝืนและใบหน้าที่ราวกับโลกทั้งใบสูญสลายไปแล้ว

ฝุ่นเห็นรูปนั้นในเฟสก็ร้องไห้ เขาไม่รู้หรอกว่าอะไรอยู่ในหัวจ้าวแต่เขารู้สึกแย่ชะมัดที่ต้องเห็นคนที่เขาติดตามมาตั้งแต่สมัยประกวดเวทีร้องเพลงและมีอนาคตอันรุ่งโรจน์กลายเป็นไอ้ขี้คุกตั้งแต่อายุน้อยๆ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังเชื่อว่าจ้าวยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่เหมือนเดิมแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานอะไรก็ตาม

แต่พอมาวันนี้เขากลับรู้สึกไม่แน่ใจซะแล้วว่าคนๆ นี้ยังเป็นจ้าว นักร้องนำวงมูนไลท์รึเปล่า

เพราะสภาพของชายที่นอนหายใจอย่างสงบนิ่งบนเตียงนั้นช่างต่างจากความทรงจำล่าสุดของเขาซะเหลือเกิน ใบหน้าซูบผอมเต็มไปด้วยรอยดำอย่างคนนอนไม่พอและสุมความทุกข์ไว้เต็มอก ตามร่างกายที่ซูบจนเห็นซี่โครงมีร่องรอยของการถูกทำร้ายเป็นรอยช้ำสีม่วงเขียวใกล้หายและบาดแผลใหม่ในบางจุด โดยเฉพาะข้อมือที่มีแผลขีดข่วนมากเป็นพิเศษที่เขาพอจะเดาๆ ได้ว่าเกิดจากอะไร

ฝุ่นยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองพยายามกลั้นสะอื้นเมื่อเผลอนึกถึงแววตาหมดอาลัยตายอยากของจ้าว

แววตาที่เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตนั้นไม่มีอีกแล้วเหลือเพียงความสิ้นหวังที่อยู่ในนั้น จ้าวในตอนนี้ไม่ใช่จ้าวคนเดิมอีกต่อไปแล้ว เป็นเพียงนักโทษชายที่ถูกโทษทัณฑ์ร้ายแรงให้กลายเป็นโอเมก้า เป็นชายที่สิ้นหวังในการมีชีวิต

และเป็นเพียงอดีตของผู้ที่มีความสุขที่สุดที่ฝุ่นเคยเห็น

"พี่ซิน"

ฝุ่นถามขณะเดียวกันก็พยายามใช้มือสั่นๆ ที่ถือผ้าหมาดเช็ดตัวให้จ้าวอย่างบรรจงด้วยความกลัวที่แฝงลึกในใจว่าถ้าออกแรงมากกว่านี้จะทำให้อีกฝ่ายสูญสลายคามือประหนึ่งดูแลลูกนกอ่อนแอที่นอกจากจะพลักพรากจากอกพ่อแม่แล้วยังใกล้ตายเต็มทน

"ว่า"

ซินถามเสียงกระซิบมือลูบหัวลีโอที่นอนหนุนตักอ่านนิทานสำหรับเด็กคนเดียวเงียบๆ

"พี่จ้าวเขาเป็นแบบนี้นานแค่ไหนแล้ว"

"ก็สี่ห้าปีมั้ง ถ้านับตอนที่เจอกันครั้งแรก"

เพียงคำตอบแรกฝุ่นก็รู้สึกเหมือนจะร้องไห้โฮออกมา ระยะเวลาห้าปีนั้นคือระยะเวลาที่จ้าวทนทุกข์ทรมานในสภาพนี้แต่ระยะเวลาสามปีคือระยะเวลาที่เขาหลงลืมจ้าวในบางครั้ง เขารู้สึกแย่เอามากๆ ที่ตัวเองมักจะทำได้เพียงแค่ยืนอยู่รอบนอกคอยให้กำลังใจศิลปินในดวงใจอยู่ไกลๆ ไม่เคยมีโอกาสได้เข้าไปให้กำลังใจอย่างที่อยากทำเหมือนพวกชนชั้นอื่น เขารู้ดีว่าในโลกสาธารณะพยายามจะเปิดใจกว้างกับโอเมก้า แต่เขาก็สำเหนียกตัวเองดีว่าควรยืนหรือหายใจตรงไหนถึงจะไม่โดนคนเหยียบหัวเอา

แต่ใครจะไปรู้ว่าเมื่อผ่านไปหลายปี เขาจะเข้าถึงศิลปินคนนั้นได้ง่ายราวกับความฝัน ก่อนจะเช็ดตัวจ้าว ฝุ่นก็พยายามหยิกตัวเองหลายครั้งพอรู้สึกเจ็บก็รู้ว่ามันเป็นความจริงๆ ที่ว่าเขาได้เจอจ้าวหรือศิลปินในดวงใจแล้ว แต่ถ้าเป็นไปได้จริงๆ เขาก็ไม่อยากเจอจ้าวในสภาพนี้นัก

"พี่ซิน พี่จ้าวเขาโอเคไหม"

ฝุ่นถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบ แผลเสียดสีที่ข้อมือของจ้าวดูจะยังไม่แตกสะเก็ดดีนักเพราะทันทีที่ผ้าหมาดแตะร่างที่หลับอยู่ก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเจ็บปวด ที่หางตาข้างซ้ายมีน้ำตาคลอ

"ก็อย่างที่แกเห็น" ซินถอนหายใจยาวเหยียดมองร่างฟกช้ำที่ยักคงนอนด้วยสีหน้าทุกข์ระทมเหมือนโลกใบแตกสลายและไม่มีที่ยืนสำหรับตัวเอง "...แกต้องช่วยพี่ดูแล จ้าว"

"..จ้าว จ้าว"

ลีโอพูดตามงึมงำ

"จ้าว! "

เพราะเป็นวัยที่กำลังหัดพูดชัดๆ และถูกครูที่โรงเรียนกำชับให้กลับมาฝึกพูดฝึกอ่านที่บ้าน ลีโอจึงตั้งใจพูดเป็นพิเศษหวังว่าแม่ซินจะชมเยอะๆ เหมือนที่ปะป๊าชม

แต่น่าเสียดาย..

ซินขมวดคิ้วมุ่นกระซิบ "ชู่ว อย่าเสียงดังสิ เสือน้อย พี่จ้าวเขานอนอยู่"

ลีโอหน้ายู่รู้สึกเหมือนถูกทำร้ายจิตใจร้ายแรง "แง้ ลีโอจะฟ้องป๊า"

"จะฟ้องป๊าทำไม" ยิ่งพูดถึงไอ้เวรนั่นซินก็ยิ่งหงุดหงิด ใบหน้าสวยบูดบึ้งไม่ต่างจากเด็กชายที่เบะปากทำท่าจะร้องไห้ "ห้ามร้องนะ ลีโอ ไม่งั้นคืนนี้จะไม่เล่านิทานให้ฟังก่อนนอน"

"ฮึก" ลีโออมมะนาวทันใด ในใจลิงโลดเพราะชอบเวลาที่หม่าม๊าอ่านนิทานก่อนนอนให้ฟังเป็นที่สุด!

"ฮึก"

ซินกำลังจะดุลีโออีกรอบว่าร้องไห้ทำไมแต่พอคิดดีๆ ก็รู้ว่าคนที่ร้องไม่ใช่ลีโอแต่เป็นคนที่นอนอยู่บนเตียงต่างหาก ซินถอนหายใจเหนื่อยๆ รู้สึกหม่นหมองที่แม้แต่เวลานอนจ้าวก็ดูจะทรมานเหลือเกิน บอกตามตรงว่าตอนนี้เขาจำภาพที่จ้าวยิ้มอย่างมีความสุขจากใจจริงไม่ได้แล้ว

"ฝุ่น พาลีโอขึ้นไปนอนก่อนไป"

"..ครับ"

ฝุ่นพูดเสียงเบาวางผ้าหมาดลงข้างโต๊ะและพาลีโอขึ้นไปบนห้องนอนของซินซึ่งอยู่ชั้นสามเงียบๆ โดยไม่ตั้งคำถามอะไรมากมายนักเพราะทุกคนตอนนี้ก็คงไม่อยู่ในสภาวะที่ต้องตอบคำถามอะไรเท่าไหร่

ซินหลุดยิ้มนิดๆ ให้ลีโอที่ส่งสายตาตัดพ้อใส่แบบสุดๆ "เดี๋ยวม๊าตอนขึ้นไปนอนด้วย"

"สัญญาแย้วนะ! " ลีโอยิ้มจนตาหยีจนเผยให้เห็นลักยิ้มที่ตกทอดมาจากคนเป็นพ่อ

"อืม"

ซินพยักหน้าขำๆ และคาดว่าตัวเองก็คงจะเล่ากระต่ายกับเต่าเหมือนเดิมเพราะขึ้เกียจหาเรื่องใหม่ไปเล่า อย่างไรก็ตามไอ้คนที่อยู่บ้านอีกหลังยังไงก็ต้องสรรหาสมุดนิทานมีเสียงล้านแปดให้ลีโออ่านอยู่แล้ว

เมื่อทั้งห้องเหลือเพียงสองคน ซินก็พาตัวเองไปนั่งบนเตียงและลูบหัวจ้าวเบาๆ

"ฮึก"

ใบหน้าซูบเผยความเจ็บปวดอีกครั้งพร้อมกับสะอื้น

หัวใจของซินปวดหนึบ เขาไม่แน่ใจนักว่าจ้าวเจ็บปวดเรื่องอะไรกันแน่เพราะเรื่องราวแย่ๆ ในชีวิตจ้าวดูจะเยอะเหลือเกิน เขารู้ดีว่าชีวิตในเรือนจำแห่งนั้นไม่ใช่ความทรงจำที่ดีนัก เหล่านักโทษชายฉกรรจ์ที่ปกครองกันด้วยชนชั้นที่นับจากอายุการติดคุก ใครมีมากสุดและสามารถสร้างขุมอำนาจได้คนๆ นั้นก็ถือว่าเป็นใหญ่ เขาจำได้ถึงตอนที่จ้าวถูกรังแกหลายๆ ครั้งจากกลุ่มนั้น ในครั้งแรกๆ จ้าวดูจะนิ่งเงียบไม่ตอบรับแกมหวาดกลัวแต่ภายหลังเมื่อโดนมากๆ ก็เหมือนจะแตกสลาย

เขาจำได้ดีประมาณปีที่แล้วที่เขาไปเยี่ยมจ้าวแบบที่ไม่ได้เรียกจ้าวออกมาพบตัวเพราะเขาไม่ใช่ญาติของจ้าวเลยได้แต่มองอีกฝ่ายอยู่ห่างๆ ผ่านจอมอนิเตอร์ที่รับสัญญาณจากกล้องวงจรปิดภายในคุก เขาเห็นจ้าวนั่งอยู่คนเดียวกลางลานตากแดดแล้วหัวเราะคนเดียว ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเป็นช่วงฤดูร้อนประมาณเดือนเมษายนอากาศร้อนจนแทบเผาต้นไม้ให้แห้งเกรียมแต่จ้าวกลับไม่ทีท่าเหมือนจะร้อนสักนิด เพลิดเพลินกับการนั่งเหม่อมองกำแพงนิ่งๆ เป็นระยะเวลานาน

ผิวสีขาวซีดอย่างลูกคนจีนขึ้นสีแดงก่ำเช่นเดียวกับนัยน์ตาของจ้าวที่เลื่อนลอยขึ้นทุกวัน

พวกนักโทษพวกนั้นพอเห็นจ้าวเป็นแบบนั้นก็คิดว่าสติฟั่นเฟือนแบบไอ้บ้าอีกคนในคุกที่ชอบคลุ้มคลั่งบางทีก็เลยปล่อยให้กลายเป็นธาตุอากาศและรู้กันเองว่าหลังจากนี้อย่าไปยุ่งกับจ้าวอีก เพราะไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ของคนที่มีสติไม่ประกอบได้ ใครจะไปรู้วันๆ นึงระหว่างที่พวกเขานั่งกินข้าวกันอยู่จ้าวอาจจะพุ่งเข้ามาพร้อมกับมีดแล้วไล่แทงพวกเขาจนตาย ถึงแม้พวกเขาจะมีพวกเยอะกว่าแรงเยอะกว่าก็จริงแต่ของแบบคงไม่มีใครกล้าเสี่ยง สู้ปล่อยให้มันตายเงียบๆ เลยจะดีกว่า

ซินทนเห็นภาพนั้นไม่ได้เลยขัดขืนข้อห้ามในคุกเรื่องการฝากสิ่งของต่างๆ ให้นักโทษตามอำเภอใจด้วยการให้สินบนกับผู้คุมของจ้าวด้วยเงินห้าหลักกับเพียงแค่ฝากจดหมายเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเองเข้าไปให้จ้าวได้อ่านเพียงห้านาทีก่อนจะถูกใช้ไฟเผาทำลายทิ้ง

เขายังคงเชื่อว่าจ้าวยังคงมีอะไรบางอย่างเหนี่ยวรั้งเอาไว้อยู่ ไม่เช่นนั้นจ้าวก็คงจะกลายเป็นบ้าไปตั้งนานแล้ว ภายใต้แววตาทุกข์ระทมที่เหมือนจะไม่มีประกายของความหวัง เขาคิดว่าตัวเองเห็นความหวังเล็กๆ ที่ซ่อนไว้อยู่โดยที่จ้าวตัวไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามี

"มึงไม่ได้อยู่คนเดียวนะ จ้าว"

ซินใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดน้ำตาที่หางตาของจ้าว สัมผัสเปียกชื้นไม่ได้ช่วยให้ซินรู้สึกว่าคนตรงหน้ามีชีวิตขึ้นมาสักนิด

"... ต่อให้ไม่อยู่คนเดียวก็เหมือนอยู่คนเดียวอยู่ดี"

ซินรู้สึกประหลาดใจนิดๆ เมื่อคนที่ว่าหลับแต่กลับไม่ได้หลับอย่างที่คิด นัยน์ตาทุกข์ระทมที่ซ่อนหลังเปลือกตาปรากฎขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มฝืดเฝื่อนส่งยิ้มให้เขาอย่างจริงใจ

"ขอบคุณที่ช่วยนะ ซิน"

จ้าวค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งรู้สึกตาพร่ามัวจนต้องนั่งนวดขมับอยู่ครู่หนึ่งจึงจะมองเห็นรอบข้างได้ชัดเจนเหมือนเดิม เรี่ยวแรงที่เดิมทีก็น้อยอยู่แล้วตอนนี้แทบจะไม่เพียงพอต่อการหายใจธรรมด้วยซ้ำเพราะถูกผลาญกับการฮีทของร่างกาย คิดถึงตรงนี้จ้าวก็หันไปมองซิน พรั่งพรูสิ่งที่อยู่ในใจออกมาก่อนที่จะไม่มีโอกาสอีก

"ขอบคุณที่เข้ามาในชีวิตเรานะ"

"ไม่เป็นไร" ซินตอบเสียงสงบมองจ้าวด้วยสีหน้าเป็นห่วงอย่างไม่ปิดบัง "มึงโอเคนะสีหน้ามึงไม่ดีเลยว่ะ"

ใบหน้าที่ดูเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้วทำให้ซินรู้สึกกลัวอย่างประหลาด

"โอเค เราโอเคตลอดนั่นแหละ" จ้าวหัวเราะฉีกยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงสิ่งดีๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นถ้าเขาทำมันสำเร็จจริงๆ "ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงมาตลอดหลังจากนี้ซินก็ไม่ต้องห่วงเราแล้ว"

คำพูดวกวนทำซินงุนงง

"มึงหมายความว่าไง"

จ้าวหลุดหัวเราะนิดๆ เมื่อตัวสามารถทำให้คนที่ฉลาดเป็นกรดทำหน้างงได้

"ทรัพย์สินทั้งหมดของเราคงจะตกเป็นของครอบครัว น่าเสียดายนิดหน่อยเนอะ ที่เราไม่ได้แบ่งให้คนดีๆ อย่างซินเลย" จ้าวยกมือขึ้นมานับทรัพย์สินที่ตัวเองมีทั้งหมดคร่าวๆ ก่อนจะนึกได้ว่ามีของอย่างนึงที่พอจะมอบให้ซินได้ จึงล้วงกุญแจออกมาจากกระเป๋า ดึงมือซินเข้ามาใกล้และวางมันบนฝ่ามือซินอย่างนุ่มนวล

โลหะรูปพระจันทร์เสี้ยวสลักคำว่า 'Moon Light' สะท้อนแสงเป็นประกายวับโดยข้างๆ กันนั้นมีตัวอักษรไม้เขียนคำว่า CHARCOAL ซึ่งเป็นชื่อของรถที่จ้าวรักมากที่สุด

"เราจอดชาโคลไว้ตรงหน้าห้าง ใกล้ๆ ต้นโพธิ์ใหญ่ที่คนไปไหว้กัน ถ้าเอาไปขายก็น่าจะได้เยอะอยู่"

"เดี๋ยวนะ จ้าว" ซินมองกุญแจรถในมือตัวเองงงๆ "มึงให้กูทำไม"

คนเป็นเป็นเจ้าของรถหัวเราะอีกรอบ "ก็มอบให้เป็นทุนทรัพย์ในการเลี้ยงลูกไง ไม่เห็นบอกเลยนะว่ามีลูกแล้ว" ไม่ว่าเปล่ามองซินด้วยสายตารู้ทันเชิงหยอกจนซินหน้าแดง

"ไม่ มันไม่ใช่ประเด็น" ซินกระแอมในลำคอมองจ้าวอย่างคาดคั้น "กูถามว่ามึงให้กูทำไม รถคนนี้มึงรักมากไม่ใช่เหรอ"

"อือ ก็รักมากแต่ถ้าไม่ได้ขับก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องเก็บมันไว้นี่"

ยิ่งนึกถึงภาพที่ซินขับชาโคลแทนตัวเอง จ้าวก็หลุดยิ้ม มันใหญ่กว่าตัวซินเอามากๆ จนถ้าซินขับจริงก็คงเหมือนกระรอกที่ขี่หลังหมีดำ ทั้งประหลาดทั้งไม่เข้ากัน มันคงจะดีมากๆ ถ้าเขาได้เห็นภาพนั้น

แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นอะไรขนาดนั้น

"ขอบคุณมากจริงๆ "

จ้าวกล่าวขอบคุณเสียงแผ่วอีกครั้งแล้วออกแรงทั้งหมดผลักซินให้ล้มกระแทกพื้นซึ่งก็สำเร็จเพราะซินไม่ได้ตั้งตัวและไม่คาดคิดมาก่อนในชีวิตว่าจะโดนจ้าวผลัก ซินล้มหน้าหงายและนั่นก็เป็นจังหวะให้จ้าววิ่งออกไปตรงหน้าระเบียงที่ซินเผลอเปิดเอาไว้เพราะเพิ่งพาลีโอไปดูวิวตรงระเบียงเล่น

แต่ทันทีที่ปลายเท้าข้างนึงสัมผัสกับเหล็กเย็นเยียบของราวก็รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว เมื่อก้มลงพื้นเบื้องล่างซึ่งมีผู้คนเดินกันขวักไขว่ก็เกิดความรู้สึกลังเลขึ้นมากะทันหัน ความสูงที่ไม่คุ้นชินทำเอาจ้าวกลัวจนก้าวขาไม่ออก ทั้งๆ ที่เบื้องลึกในจิตใจกำลังเรียกร้องขอการปลดปล่อยจากความเจ็บปวด

อิสรภาพจากความตาย

นั่นคือสิ่งที่ใจของจ้าวกำลังเรียกร้องอย่างดุดัน ข้อมือขาวซีดกำราวระเบียงแน่น จ้าวกัดฟันกรอดๆ เคร่งเครียดจนร้องไห้ออกมา คิดไม่ตกถึงสิ่งที่ตัวเองควรจะตัดสินใจ

"ไอ้จ้าว!!! "

ซินตะโกนเสียงดังลั่นตะเกียกตะกายลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหาจ้าวอย่างกราดเกรี้ยว ควบคุมตัวเองแทบไม่อยู่เมื่อจ้าวได้กระทำในสิ่งที่เขากลัวที่สุด

"อย่า อย่าเข้ามา!!! "

จ้าวตะคอกกลับเสียงแข็ง นัยน์ตาขึ้นสีแดงก่ำ ความสับสนมึนงงกับความรู้สึกหลายๆ อย่างตีกันในหัวซึ่งมันก็มากจนมันระเบิดออกมา

ซินชะงักกึกพูดเสียงสั่น "ไอ้จ้าว มึงกลับมานี่"

"ไม่!!! "

จ้าวคำรามรู้สึกถึงขุมพลังแปลกประหลาดในร่าง สติคล้ายจะจางลงชั่วขณะ ปลายเท้าอีกข้างออกแรงส่งตัวจนร่างซูบผอมลอยขึ้นในอากาศ

"จ้าว!!! " ซินร้องเสียงหลงสะอื้น "กูขอร้อง จ้าว กูขอร้อง"

เคราะห์ดีที่เรี่ยวแรงของจ้าวนั้นน้อยเกินไปจึงพาร่างตัวเองไปเหยียบบนราวไม่สำเร็จ ปลายเท้าข้างเดิมสัมผัสพื้นอีกครั้ง สิ่งที่กำลังปะทุในอกของจ้าวมีเพียงจิตใจที่เจ็บปวดจนคลุ้มคลั่ง รู้สึกเพียงอย่างพาตัวเองไปให้พ้นจากสภาวะนี้สักที

"ไม่ไหวแล้ว ฮึก เจ็บจนทนไม่ไหวแล้ว"

จ้าวสะอื้นฮักจนหายใจไม่ทัน

เขาเจ็บปวด เจ็บปวดเหลือเกิน โลกทั้งใบของเขามันแหลกสลายไปตั้งนานแล้วทำไมเขาถึงไม่ตายสักที เขาจะหวังอะไรอยู่อีกในเมื่อการฝืนดันทุรังไปข้างหน้า มีแต่จะทำให้เขาเจ็บปวดมากกว่าเดิม มันไม่มีเหตุผลด้วยซ้ำที่เขาสมควรอยู่ การดำรงอยู่ของเขามีแต่ทำให้คนอื่นทุกข์ใจ

คนอย่างเขาตายไปก็ไม่มีใครเสียใจหรอก..

จ้าวค่อยๆ ออกแรงส่งตัวอีกครั้ง

ความรู้สึกลอยในอากาศให้ความรู้สึกเบาโหวงแต่ก็เป็นอิสระอย่างประหลาด...

"ไอ้จ้าว!! กูรู้ว่ามึงกำลังรอใครสักคนอยู่!! "

ซินตะโกนมั่วซัวพยายามชวนจ้าวคุยขณะเดียวกันก็หาของที่จ้าวพกติดตัวมาด้วย เขาจำได้ว่าฝุ่นบอกอยู่แต่จำไม่ได้ว่าคืออะไรเพราะลีโอร้องแว้กๆ ตะโกนตัดเสียงจนไม่ได้ยิน รู้แค่วางอยู่แถวนี้

ได้ผล อดีตนักร้องนำวงมูนไลท์ชะงักชะงันยืนนิ่งงัน นัยน์ตาที่ร้องไห้จนเป็นสีแดงก่ำมองพระจันทร์เสี้ยวที่โดนเมฆดำปกคลุม

"...ใคร"

ผ่านไปชั่วครู่จ้าวก็พึมพำเสียงแผ่ว เสียงตะโกนชักจูงให้เป็นอิสระจากความเจ็บปวดคล้ายกับเบาลงชั่วขณะแทนที่ด้วยความสงสัยแทน เพราะจ้าวก็รู้สึกเหมือนกันว่าตัวเองกำลังรอใครสักคนอยู่จริงๆ

ใครที่แม้แต่ตัวเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร

จ้าวขมวดคิ้วมุ่นอยู่ไม่นานก่อนที่จะผ่อนคลายลง

"จะใครก็ช่างเถอะ"

ยังไงซะ ความตายของเขาก็ไม่มีทางทำให้ใครต้องเจ็บปวดอยู่แล้ว นี่เป็นทางแก้ที่ดีที่สุด เขาไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไป ใครคนนั้นที่เขารออยู่อาจจะไม่สงสัยด้วยซ้ำว่าเขาหายไปไหน ดีไม่ดีอาจจะคิดว่าเขาติดคุกจนตายก็ได้

รอยยิ้มจางปรากฎ จ้าวสูดหายใจลึกแล้วออกแรงถีบตัวและครั้งนี้ก็สำเร็จ

สองเท้าวางอยู่บนราวระเบียง ลมที่ตีหน้าให้ความรู้สึกเย็นสบาย นี่อาจจะเป็นความรู้สึกของนกตัวน้อยที่โผบินในอากาศทุกชั่ววัน มันเป็นความรู้สึกที่ดีจนจ้าวอยากจะรู้สึกโบยบินมากกว่านี้

แขนสองข้างกางออกราวกับอีกาที่กำลังเหยียดปีกเตรียมโผบินเข้าสู่ความเป็นอิสระ แผ่นหลังเปลือยเปล่าทำให้เห็นรอยสักของอีกาที่ถูกหอกแทงตายได้อย่างชัดเจน

"...ลาก่อน"

จ้าวเอ่ยเสียงกระซิบหลับตาลง

ความหวาดกลัวทั้งหมดในจิตใจหายไปแล้วเหลือเพียงความสงบอย่างประหลาด

"เจอแล้ว!!! " ซินร้องว้ากแล้วชูของสิ่งนั้นขึ้นมา "มึงไม่อยากเจอคนที่ให้ดอกกุหลาบมึงงั้นเหรอ จ้าว!! "

อีกาปีกหักชะงักตัวที่กำลังจะโผบินเมื่อหันมาเจอดอกกุหลาบสีขาวก็เบิกตากว้าง

พบกับคำตอบของคำถามที่คิดมาตลอดว่าไม่มีทางรู้ว่าคืออะไร

ขาสองข้างสั่นเทาและทรุดฮวบ!

"จ้าว!!! "

ซินร้องลั่นอย่างขวัญเสียก่อนที่จะผวาเข้าไปรับร่างที่ล้มกลับมายังฝั่งของพื้นไม่ใช่อากาศ

"ฮึก"

จ้าวสะอื้นฮักแล้วกอดตัวเองแน่น หัวใจในอกเต้นรัว ร่างกายกรีดร้อง

เขาอยากเจอเจ้าของดอกกุหลาบเหลือเกิน

หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 6 : ช่วงชิง p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 23-03-2018 16:20:43
ตอนที่ 6



ค่ำคืนผ่านไปอย่างเงียบสงบ ไม่มีร่างอีกาที่แหลกสลายอยู่บนพื้น ไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ จากสมารท์โฟนที่แสดงท่าทีของอาการเป็นห่วงเกี่ยวกับอดีตนักร้องนำวงมูนไลท์ที่กำลังนั่งซึมกะทือรื่ออยู่หน้ากระจกในห้องนอน ใบหน้าอมทุกข์มองใบหน้าตัวเองตัวเองสักพักก็ก้มมองกุหลาบขาวในมือด้วยความหวงแหน

มือไล้สัมผัสกลีบกุหลาบบอบบางด้วยหัวใจที่สั่นไหวทีละกลีบ

หัวใจที่เย็นเยียบคล้ายกับอุ่นขึ้นทีละนิดเมื่อรู้สึกถึงความห่วงใยที่สม่ำเสมอจากเจ้าของดอกกุหลาบ ถึงจ้าวจะไม่แน่ใจนักว่าจะใช่คนๆ นั้นรึเปล่าที่ให้ แต่การจินตนาการว่าเขาคนนั้นเป็นคนให้กลับทำให้จ้าวรู้สึกดีขึ้นมากๆ

"…? "

จ้าวขมวดคิ้วมุ่นเมื่อสิ่งปลายนิ้วสัมผัสนั้นไม่ใช่กลีบดอกไม้สีขาวแต่เป็นกระดาษแผ่นนึงที่ถูกตัดเป็นรูปกลีบกุหลาบอย่างแนบเนียน สีของมันเนียนมาก ทั้งรอยช้ำทั้งเส้นใบ จนถ้าไม่สัมผัสก็คงดูไม่ออกว่ามันไม่ใช่กลีบกุหลาบ จ้าวค่อยๆ บรรจงดึงมันออกเพราะเห็นรอยหมึกปากกาอยู่จางๆ

'รอ'

มันเป็นตัวอักษรตัวบรรจงหัวเหลี่ยมเป็นองศาที่เหมาะเจาะจนคล้ายกับฟอนต์ของคอมพิวเตอร์

น่าแปลกที่แค่เห็นตัวอักษรที่เขียนจ้าวก็พอจะอนุมานถึงอุปนิสัยของคนเขียนได้

"..ฮื่อ"

จ้าวกุมหัวใจตัวเองที่เต้นรัวอย่างหนักรู้สึกปิติยินดี เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองดีใจเรื่องอะไร แต่เขากลับมีความสุขเหลือเกิน ถ้าเจ้าของดอกกุหลาบดอกนี้เป็นคนเดียวกับที่เขาคิดจริง เขาคงจะดีใจจนร้องไห้

เพราะเขาคนนั้นเป็นคนเดียวที่เฝ้ามองเขามาตลอด ไม่ว่าเขาจะขึ้นไปสู่จึงสูงสุดเป็นดาวประกายพร่างแพรวบนท้องฟ้าหรือกลายเป็นอีกาปีกหักโสมมที่เต็มไปด้วยความอัปลักษณ์ทั้งกายและจิตใจอยู่ใต้โคลนตม เขาคนนั้นก็ยังอยู่ที่เดิมอยู่เสมอราวกับเสาหลักมั่นคงที่ไม่มีวันเอียงเอนกับสิ่งใด

จ้าวกดจมูกกับกลีบกุหลาบ

นอกจากกลิ่นกุหลาบแล้วยังมีกลิ่นน้ำหอมผู้ชายอ่อนๆ ให้ความรู้สึกสะอาด สุขุมและเร่าร้อนแผ่ออกมาจางๆ ชวนให้รู้สึกหน้าแดง

"จ้าว เสร็จรึยัง"

ซินโผล่หน้าออกจากผนังแล้วพอเห็นว่าจ้าวยังนั่งชื่นชมดอกไม้อยู่ก็เดินฟึดฟัดเข้ามาหาอย่างหงุดหงิด จัดการสวมเสื้อฮู้ดสีดำสนิทให้จ้าวอย่างเร่งรีบเพราะอีกไม่นานร้านก็จะเปิด แต่นักดนตรีร้านที่เขาจ้างยังไม่พร้อมด้วยซ้ำ ดีที่ช่วงล่างเรียบร้อยแล้วเหลือเพียงช่วงบนที่สวมเพียงเสื้อยืดสีขาวไม่มีลายบางๆ

"กูบอกให้รีบไง จ้าววว"

จ้าวหัวเราะแผ่วเบา "ก็รีบอยู่" ดึงมือซินออกจากตัวก่อนที่จะใส่เสื้อด้วยตัวเองโดยไม่ลืมเก็บดอกกุหลาบที่เริ่มจะช้ำใส่กระเป๋าเสื้อและกระดาษแผ่นบางในกระเป๋าเงิน ร่างผอมผลุดลุกขึ้นยืนจัดระเบียบตัวเองต่อจนมั่นใจว่าตั้งแต่หัวจรดเท้าถูกปิดบังมากพอแล้วก็สวมแมสสีดำทับเหลือเพียงนัยน์ตาสีดำปรากฎ

"ไม่เวิร์คว่ะ กูว่าคนจำได้ ต่อให้เห็นแค่ตามึงก็เถอะ"

"..มันก็ตั้งห้าปีแล้วนะ คงไม่มีใครจำได้หรอก"

จ้าวยังคงยิ้มแย้มแม้ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดคือความเจ็บปวดแต่อย่างไรซะมันก็คือความจริง ปฏิเสธให้ตายยังไงมันก็ยังคงเป็นความจริงอยู่ดี อย่างไรก็ตามขอแค่เขาคนนั้นที่รออยู่ จ้าวก็พร้อมจะยอมรับทุกอย่างแล้ว

"แต่ถ้าเป็นไปได้ กูก็ไม่อยากเสี่ยงว่ะ"

ซินส่ายหัวไม่เห็นด้วย เขาไม่ยอมให้จ้าวต้องเผชิญกับอะไรแย่ๆ หรอก อย่างที่เห็น ตอนข่าวจ้าวดังมีแต่คนรุมด่ามีแค่ส่วนน้อยจริงๆ ที่ยังให้กำลังใจจ้าวอยู่และในที่สุดกลุ่มนั้นก็กลืนหายไปเพราะไม่มีใครอยากได้ชื่อว่าสนับสนุนฆาตกรเลือดเย็นหรอก

"แล้วจะทำยังไง" จ้าวทิ้งตัวกับพนักเก้าอี้นั่งย้วยเหมือนไร้กระดูกและหลับตา "ไม่ให้เราเล่นก็จบแล้ว ซิน ง่ายๆ เดี๋ยวเราไปหาร้านอื่นเล่นแทน"

"มึงอย่างี่เง่า จ้าว" ซินพูดเสียงดุ "กูบอกแล้วไง ว่ามึงห้ามทำงานร้านอื่นนอกจากกู ไม่งั้นกูกับมึงตัดเพื่อนกัน"

จ้าวลืมตาข้างนึงเหลือบมองซิน

ชั่วขณะหนึ่งที่ซินเผลอสบกับนัยน์ตานั้นกลับรู้สึกพรั่นพรึง ราวกับว่าตัวเองเป็นเพียงเด็กไม่รู้จักโลกที่กำลังคุยกับคนเจนโลกคนนึง มันเป็นความรู้สึกที่น่ากลัวเพราะมันทำให้ซินรู้สึกว่าตัวเองแทบไม่รู้จักจ้าวเลย จนไม่แน่ใจว่าจ้าวที่แสนอ่อนแอร้องไห้จะเป็นจะตายคนนั้นเป็นคนเดียวที่มองเขาด้วยนัยน์ตาว่างเปล่ารึเปล่า

"อือ ถ้ามีคนจับได้ก็ตัดเพื่อนเลย"

จ้าวหลับตาลงอีกครั้ง

"ไม่จำเป็นต้องมาตายด้วยกันหรอก"

"…"

ซินจนคำพูดและรู้ตัวดีว่าตัวเองคงไม่สามารถบังคับจ้าวได้อีก เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่จ้าวสามารถชนะใจตัวเองในการไม่ฆ่าตัวตายได้กลับทำให้จ้าวเหมือนกลายเป็นอีกคน ลึกๆ ในใจจ้าวยังคงอ่อนแอก็จริงแต่สิ่งที่แสดงออกกลับไม่เหมือนเดิมแล้ว เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไรที่เปลี่ยนแต่มันก็ทำให้เข้าระลึกได้ว่าจ้าวอายุมากกว่าตัวเองหลายปีเลยทีเดียว

"มาแล้วว ผมหาของให้พี่ได้แล้ว! รู้ไหมร้านเฮียท็อปขายโคตรแพงเลย พี่ซิน วันหลังผมว่าให้เจ้านายของแฟนพี่ไปเคลียร์ก็ดีนะ ขายโก่งราคาแบบนี้"

ฝุ่นที่ไม่รู้สถานการณ์อะไรสักอย่างโผเข้ามาในห้องและบ่นกระปอดกระแปด ไอ้เขาก็ตื่นตั้งแต่ตีห้าไปหาของให้พี่ซินที่อยู่ดีๆ นึกครึ้มอะไรไม่รู้มาสั่งให้ไปหาของ กว่าจะหาให้ได้ก่อนเวลาร้านเปิดก็แทบตาย

"ขอบใจ" ซินกล่าวสั้นๆ เดินไปหยิบของที่ต้องการและยื่นมันให้กับจ้าวที่ยอมลืมตามองนิ่งๆ

ไม่รู้ว่ามันเป็นความคิดที่แย่รึเปล่าที่ซินนึกภาวนาให้จ้าวกลับไปอ่อนแอแบบเดิมเพราะจ้าวในตอนนี้กลายเป็นคนที่คาดเดาอะไรไม่ได้จริงๆ แววตาที่มักแสดงออกอย่างซื่อตรงว่าเจ็บปวดว่าดีใจกลายเป็นแววตาหม่นมัวไม่แสดงถึงความรู้สึกอะไรทั้งนั้น

"..อีกา? "

จ้าวถามขณะที่ไล้มือไปกับขนนกสีดำนุ่มมือ มันเป็นหน้ากากอีกาที่มีจงอยปากสีดำไม่ยาวนักยื่นออกมา ส่วนรอบนอกซึ่งเป็นกรอบหน้าถูกปกคลุมด้วยขนปีกที่จัดเรียงคล้ายกับเป็นหัวของอีกาจริงๆ และบริเวณดวงตาที่ถูกทำจนคล้ายกับดวงตาของอีกาจริงๆ แต่เป็นสีแดงก่ำ

"ตรงนั้นทำจากเลนส์พิเศษครับ" ฝุ่นพูดขึ้นมาเมื่อเห็นจ้าวใช้มือถูๆ บริเวณดวงตา "สบายใจได้ครับ พอใส่แล้วก็ยังมองเห็นได้สบาย"

เพื่อยืนยืนคำพูดจ้าวถอดแมสออกแล้วสวมหน้ากากทับ ง่วนอยู่กับการติดอยู่ครู่หนึ่งก็เสร็จสมบูรณ์

จ้าวสบมองนัยน์ตาสีแดงก่ำของตัวเองในกระจก มองเห็นชายโง่เง่าคนหนึ่งที่พยายามปกปิดตัวตนด้วยหน้ากากอีกาที่ทำเหมือนจริงมาก จนแทบจะรู้สึกว่าชายคนนี้มีใบหน้าเป็นอีกาจริงๆ

อีกาที่แสนกักขฬะและแสนโสมม..

อีกาที่ใครบางคนไม่อนุญาตให้มีสิทธิ์แม้แต่จะหายใจ...

อีกาที่ถูกตราหน้าว่าชั่วร้ายทั้งๆ ที่มันก็เป็นสัตว์ปีกเช่นเดียวกับนกตัวอื่นๆ เพียงแค่ว่ามันมีสีดำสนิทที่มนุษย์ไม่ชอบก็เท่านั้น

"…? "

จ้าวจับจงอยปากอีกาที่ปกปิดรอยยิ้มกว้างของตัวเองไว้

แปลกที่เขารู้สึกว่าตัวเองช่างเหมาะกับอีกาเหลือเกิน

"..ไปเถอะ ซิน แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว"

จ้าวดึงฮู้ดตัวเองขึ้นคลุมหัว รูดซิปเสื้อจนถึงสุดเพื่อปกปิดปลอกคอเหล็กที่แสดงสถานะอันต่ำต้อย ส่วนที่เหลือตามร่างกายก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องปกปิดแล้ว แต่ยังไม่ทันเดินก็ถูกแขนเจ้าของร้านกั้นเอาไว้ให้หยุดชะงัก จ้าวเอียงคอเชิงถามเพราะรู้ดีว่าทำหน้าสงสัยยังไงซินก็ไม่เห็นอยู่ดี

"มึงไม่ไหว ออกไปได้เลยนะ ไม่ต้องถามกู"

ซินพูดเสียงเข้มพยายามทำให้ดูน่าขึงขังที่สุดแต่ก็ทำไม่สำเร็จเพราะมันดูเหมือนแมวที่ขู่ฟ่อใส่อีกาซะมากกว่า

จ้าวหลุดขำ "แค่เล่นกีตาร์เอง ไม่มีปัญหาหรอก"

"กูก็หวังว่าอย่างงั้น บอกไว้ก่อนเลยนะว่า กูปลีกตัวมาช่วยมึงไม่ได้เพราะกูต้องรับลูกค้าอัลฟ่า"

"เราโอเคน่า"

ซินกอดอกมองหน้าจ้าวอยู่สักพักก็ถอนหายใจแรงๆ แล้วเข้าไปกอดจ้าว

"สัญญากับกู ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มึงจะไม่คิดสั้นอีก"

"...แค่ครั้งเดียวก็พอแล้วล่ะ"

ซินขมวดคิ้วมุ่นกับประโยคที่เหมือนคุยกับตัวเองมากกว่าตอบเขาแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อเพราะต้องรีบลงไปเตรียมของเพื่อรับลูกค้าอัลฟ่าคนแรกของวันที่จะมาตอนสิบโมงเช้า ซินมองจ้าวอย่างเป็นห่วงเพราะจ้าวไม่ได้กอดเขาตอบเหมือนเคยอีกแล้วและถ้าให้เดาก็คงจะยิ้มน้อยๆ กับทุกเรื่องที่เกิดขึ้นเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกตัวเอง

"ฝากจ้าวด้วย"

"ครับ"

ฝุ่นรับคำแล้วเดินเข้าไปหาจ้าวที่ยังยืนนิ่ง "ไปกันเถอะครับ พี่จ้าว พี่ซินเตรียมทุกอย่างให้พี่แล้ว"

"อือ"

จ้าวพยักหน้าลอยๆ เดินตามหลังฝุ่นอย่างว่าง่ายและเกือบจะชนหลังฝุ่นเมื่อเดินถึง นัยน์ตาเลื่อนลอยเป็นประกายตื่นตระหนกวูบหนึ่งเมื่อเห็นเวทีเตี้ยๆ ที่เคยเป็นตู้แกลอรี่เล็กๆ สำหรับโชว์งานสักของซินถูกแทนที่ด้วยเก้าอี้ไม้มีพนักบนเก้าอี้มีกีตาร์คลาสสิกสีดำวางอยู่ เยื้องไปข้างหน้านั้นมีไมค์และขาตั้งไมค์ที่ยื่นหัวลงมาเพื่อขยายเสียงกีตาร์ ส่วนกระจกหน้าร้านพวกรูปภาพถูกเคลียร์ออกหมดแล้วเหลือเพียงกระจกใสที่พร้อมจะเป็นสิ่งกีดขวางบางๆ เพียงหนึ่งเดียวระหว่างผู้ชมและนักดนตรี

"..ไม่ชอบเหรอครับ พี่จ้าว" ฝุ่นถามเมื่อจ้าวยืนนิ่งไปไม่พูดอะไร

"..เปล่า"

จ้าวตอบแล้วไปนั่งที่เก้าอี้ มือไล้สัมผัสกับผิวเส้นเอ็นของกีตาร์แล้วลองดีดเพื่อเช็คเสียง

"ฮึก"

เสียงสะอื้นของอดีตนักร้องนำนั้นแผ่วเบาจนฝุ่นไม่ทันสังเกต ยืนยิ้มภูมิใจที่พี่จ้าวดูจะพอใจกับสิ่งที่เขากับซินพยายามจัดแจงให้ตั้งแต่เช้า

"ฮึก"

จ้าวมือสั่นเทาเมื่อปรับเสียงกีตาร์แล้วลองเล่นเพลงออกมา

"เพลงนี้เหรอ! " ฝุ่นอุทานนัยน์ตาเป็นประกายวาววับ "ผมชอบเพลงนี้ของพี่จ้าวมากๆ เลย! ยิ่งเสียงคีย์บอร์ดของพี่พายงี้ผมยิ่งโคตรชอบ"

น่าเสียดายที่สิ่งที่ฝุ่นพูดนั้นไม่ได้เข้าหูจ้าวเลยแม้แต่น้อย นิ้วมือขาวซีดที่ซุกซ่อนบาดแผลทั้งภายนอกและภายในพรมนิ้วเล่นจนเกิดเป็นเสียงเพลงออกมาอย่างคล่องแคล่วราวกับว่าสิ่งที่ทำนั้นคือระบบหนึ่งของร่างกายไม่ต่างอะไรกับการหายใจเข้าออกในแต่ละครั้ง

ความปิติยินดีในสายเลือดนักดนตรีคล้ายกับกรีดร้องเมื่อได้กลับมาทำในสิ่งที่รัก

แปะๆ

เสียงปรบมือดังขึ้นเมื่อจ้าวเล่นจนจบเพลง จ้าวเงยหน้ามองเจ้าของเสียงปรบมือก็ชะงักครู่หนึ่ง

'ตุลย์ เตชภณ'

เจ้าของใบหน้าคมดุและแข็งกร้าวที่มาพร้อมกับเพลงร็อคสะใจคนฟัง

นักร้องนำเจ้าของวง 'STRAIGTH' ที่จัดว่าเป็นคู่แข่งและไม้เบื่อไม้เมาเขาวงมูนไลท์มาตลอดหลายปี เรียกได้ว่าถ้ามูนไลท์คือเบอร์หนึ่ง สเตรทก็คือเบอร์สองที่คนจะนึกถึง

แต่ตอนนี้ก็คงไม่เป็นแบบนั้นเพราะตอนนี้ไม่มีวงมูนไลท์แล้ว

จ้าวเหยียดยิ้มเยาะตัวเองเมื่อนึกถึงเรื่องนี้

"เพราะมาก"

เสียงทุ้มที่แม้แต่ตอนพูดปกติยังฟังดูขัดหูเอ่ยชม ตุลย์ซึ่งเปลือยร่างท่อนบนโชว์ผิวสีแทนและรอยสักเสือโคร่งที่พาดจากอกเยื้องไปบนแผ่นผลัง เดินเข้าไปใกล้จ้าวอย่างดุดัน จนฝุ่นที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กลืนน้ำลายเอือกด้วยความกลัวเพราะแค่เดินหรือยืนเฉยๆ คนๆ นี้ก็น่ากลัวเป็นบ้าแล้ว

"…"

จ้าวไม่ตอบนั่งนิ่งงันไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวหรือวิตกใดๆ ก้มหน้าก้มตาเล่นเพลงอื่นต่อ ไม่ใช่เพลงของวงมูนไลท์ แต่เป็นเพลงของวงสเตรท

ดนตรีโทนร็อคจ๋าเมื่อถูกนำมาเล่นในรูปแบบของกีตาร์คลาสสิก เสียงของมันจึงนุ่มนวลอย่างประหลาด นิ้วเรียวพรมบนเอ็นด้วยความคล่องแคล่วจนคล้ายกับการเริงระบำ คอร์ดและคีย์ที่จ้าวเล่นนั้นถูกถอดออกมาจากต้นฉบับไม่มีผิดเพี้ยนคนฟังอย่างตุลย์รู้สึกประหลาดใจ

มีไม่กี่คนที่สามารถแกะเพลงของวงเขามาเล่นโดยคอร์ดตรงกับต้นฉบับขนาดนี้

ความสงสัยในตัวนักดนตรีที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีของร้านนี้ ทำให้ตุลย์สงสัยมากขึ้นไปอีกเพราะนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาสักและทุกครั้งที่มาสักก็มักจะมีเพลงของวงมูนไลท์เพลงคู่แข่งที่ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดเปิดอยู่เสมอ เขาไม่แน่ใจว่าเจ้าของร้านตั้งใจกวนเขารึเปล่าหรือเป็นรสนิยมการเลือกเพลงที่เอาแต่เปิดเพลงของวงที่ล่มสลายไปแล้ว

อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่เขานั่งเหม่อน้ำเสียงกระจ่างใสน่าฟังก็จะดังคล้อยเข้ามาในหู ความร่าเริงที่พร้อมจะเป็นกำลังใจให้ทุกคนบนโลกทำให้เขารู้สึกดีจนน่าหงุดหงิด

แววตาดุร้ายหม่นลงกะทันหัน

แต่เขาคนนั้นก็เปรียบเสมือนตายทั้งเป็นไปแล้วและเขาไม่รู้สึกดีสักนิดที่เห็นอีกฝ่ายกลายเป็นแบบนั้น การมีคู่แข่งและคอยแก่งแย่งแฟนคลับสนุกกว่าเป็นไหนๆ มีครั้งนึงที่เขากับจ้าวได้เล่นคอนเสิร์ตเดียวกันแล้วเล่นธีมนรกสวรรค์ แน่นอนว่าวงเขาได้ฝ่ายนรกส่วนฝ่ายนั้นก็ได้สวรรค์ เขายังจำได้ดีถึงความสนุกที่ได้ร้องเพลงกับจ้าว พลังชีวิตของจ้าวมันล้นเหลือจนเหมือนจะเติมเต็มให้คนทุกคนจริงๆ จนเขารู้สึกได้

"คุณเล่นดีมาก"

ตุลย์ชมอีกครั้งโดยไม่นึกสงสัยอีกว่าใครเป็นเล่นเพลงเพราะๆ พวกนี้ มือหนาล้วงควักเงินออกมาจำนวนนึงและวางลงบนหมวกดำซึ่งวางตรงหน้าของผู้เล่นอีกทีอย่างไม่นึกเสียดาย

"…ขอบคุณ"

ใบหน้าคมขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินเสียงตอบ

มันคุ้นหูจนคล้ายกับเสียงของเขาคนนั้น

ตุลย์มองสำรวจนักดนตรีใหม่คร่าวๆ อีกครั้งและส่ายหัวให้กับความคิดไร้สาระของตัวเอง

จ้าวที่เขารู้จักไม่ใช่คนที่เล่นดนตรีในที่แบบนี้แน่นอน ที่สำหรับคนอย่างจ้าวคือเวทีระดับประเทศที่เปรียบเสมือนท้องฟ้าอันยิ่งใหญ่เท่านั้น เรื่องการเล่นดนตรีเปิดหมวกใน้ร้านสักย่านซ่องนกพิราบคือเรื่องที่โยนออกจากหัวได้เลย มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรอก

ร่างสูงหัวเราะในลำคอแล้วเดินไปนั่งที่ประจำเมื่อเห็นเจ้าของร้านมาเตรียมของรอแล้ว

จ้าวเหลือบมองเงินในหมวกที่มีมูลค่ามากพอที่จะเลี้ยงเขาได้เป็นเดือนแล้วนึกถึงสมัยที่ตัวเองเล่นเปิดหมวกใหม่ๆ ได้เงินไม่กี่ร้อยต่อวัน

เขาในตอนนั้นมีความสุขมากจนน่า..อิจฉา

มีชีวิตที่มีความสุข ได้ร้องได้เล่นดนตรีทุกวันกับวงของตัวเอง ได้เงินค่าขนมนิดๆ หน่อยๆ ก็ดีใจแทบตาย เป็นความสุขในวัยเยาว์ที่มากจนจ้าวรู้สึกว่าชีวิตตัวเองแม่งโคตรจะดีและอยากแบ่งปันความสุขของตัวเองให้คนอื่นบ้าง

แต่น่าเสียดายที่ช่วงเวลานั้นมันจบลงไปนานแล้ว

ผลของการเป็นคนที่มีความสุขมากเกินไปก็คือโลกที่ล่มสลายจนไม่มีที่ยืน และเขาก็ต้องชดใช้กรรมที่ช่วงชิงความสุขจากคนทั้งโลกมาไว้กับตัวด้วยการแบกรับความเจ็บปวดที่ทำเอาการหายใจยังทำได้ไม่เต็มที่

น้ำตาหยดหนึ่งไหลหยดผ่านริมฝีปาก

ความเค็มปะแล่มทำให้หัวใจด้านชา

ร่างโปร่งก้มหน้าต่ำเล่นเพลงต่อไปตามหน้าที่ของตัวเองโดยไม่สนใจที่จะมองอะไรอีก แค่การได้เด่นดนตรีอีกครั้งสำหรับจ้าวก็ถือเป็นโชคที่มากพอแล้ว ขอเพียงได้เล่นดนตรีก็สามารถทำให้หัวใจเต้นรัว ทำให้เขารู้สึกมีความสุขมากขึ้นสักนิดก่อนที่จะต้องจมไปในความทุกข์ตรมอีกครั้ง

"ฮึก"

จังหวะการหายใจของจ้าวไม่สม่ำเสมอ ไม่แม้แต่จะรู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองเล่นแต่เพลงของวงมูนไลท์ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เพลงเปิดตัววงไล่เรียงไปเรื่อยๆ ตามปีของเพลงที่ออก

เงินในหมวกก็มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเสียงเพลงไม่ได้ดังเพียงในร้าน มันยังดังคลอแว่วออกจากลำโพงนอกร้าน ปฏิเสธไม่ได้ว่าเพลงของวงมูนไลท์นั้นเพราะและความหมายดีมากแต่ก็เพราะหัวหน้าวงที่ต้องโทษร้ายแรง คนถึงไม่นิยมเหมือนเมื่อก่อน

ตุลย์ซึ่งสักเสร็จประมาณบ่ายสองมองนักดนตรีอย่างนึกสงสัยนิดๆ เพราะแต่ละเพลงที่เล่นนั้นเป็นของวงมูนไลท์ทั้งนั้น แต่สายเรียกเข้าที่มาจากผู้จัดการวงนั้นก็น่ารำคาญเกินทนเลยได้แต่กดรับสายและเดินหน้าหงิกออกไป

ซึ่งมันก็เป็นเวลาเดียวกับที่ใครบางคนที่ซินนัดไว้มาพอดี

ร่างโปร่งขนาดตัวพอๆ กับจ้าวซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อฮู้ดมิดชิดสีขาวและหน้ากากรูปกระต่ายวิ่งเร็วๆ เข้ามาในร้าน ส่งยิ้มให้ซินที่พยักหน้าให้เชิงอนุญาตก่อนที่จะกระโจนไปยืนหน้าจ้าวและคว้าไมค์อีกตัวที่วางไว้บนโต๊ะใกล้ๆ มาร้องเพลงต่อ

ทันทีที่เปล่งเสียงร้องทุกคนก็ราวกับต้องมนต์สะกด เหล่าผู้คนที่เดินขวักไขว่หยุดชะงัก ร่างที่มีลักษณะคล้ายกับจ้าวหลับหูหลับตาร้องเพลงออกมาด้วยความสุขสุดขีดโดยไม่สนใจรอบข้าง มีความสุขมากจนคำแต่ละคำที่เปล่งออกมาเป็นเสียงเพลงนั้นทำให้คนฟังรู้สึกได้

น้ำเสียงกระจ่างใสมีความสุขที่เสียดแทงเข้ามาในหัว กระตุ้นให้จ้าวลืมตาขึ้นมามองและพบว่าข้างหน้าของตัวเองนั้นมีร่างของนักดนตรีเจ้าของเสียงทรงพลังที่สามารถเรียกคนให้มายืนออกันเต็มหน้าร้านได้ แววตาของทุกคนภายนอกนั้นมีแต่ความชื่นชมเทิดทูนและสนุกไปกับเพลงที่เขาร้อง

เฉกเช่นเดียวกับตอนที่เขาเคยยืนอยู่ตรงนั้น

"...ฮึก"

จ้าวจ้องมองร่างตรงหน้าขณะเดียวกันก็พรมนิ้วเล่นเพลงต่อไปเรื่อยๆ

อาการร่าเริงสุดขีดพร้อมแบ่งพลังชีวิตให้คนอื่นๆ ของคนๆ นี้คล้ายกับเขามาก..

ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นช้าๆ ทั้งๆ ที่จ้าวรู้ว่ามันไม่ควรเกิดขึ้นสักนิด

"ฮือ"

จ้าวหลุดสะอื้นแต่เสียงรอบกายดังมากกว่านั้นมันจึงกลบอย่างรวดเร็ว

ร่างโปร่งร้องเพลงตามจังหวะของเสียงดนตรี หัวใจฟูฟ่องที่ตัวเองได้ร้องเพลงของวงที่รักและชื่นชอบมาตลอดหลายปี ยิ่งรู้ว่าร่างที่กำลังดีดกีตาร์อยู่คือจ้าว วงมูนไลท์ ก็ยิ่งดีใจจนตัวสั่นเพราะเขานั้นรักจ้าวที่สุดในวงแล้ว!

ข้อมือชูขึ้นเหนือหัวเลียนแบบจ้าวในงานคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งสุดท้าย

จ้าวเบิกตากว้างเห็นภาพตัวเองซ้อนทับ

"บอกกับเขาไปเลยว่า!! "

"ฮื่ออ"

จ้าวกัดปากกลั้นสะอื้น ความมืออาชีพที่ฝังในสายเลือดทำให้เขาเล่นกีตาร์ต่อได้อย่างปกติสุข

เสียงตะโกนภายนอกที่ดังราวกับวันนั้นที่เขาเล่นทำให้จ้าวรู้สึกอิจฉา รู้สึกราวกับถูกแย่งของที่รัก เหมือนถูกแย่งที่ยืนของตัวเองที่เคยยืนอยู่ตรงนั้น ทั้งๆ ที่เป็นเพลงของเขาแต่ตัวเองเขากลับไม่มีสิทธิ์ที่จะปริปากร้องมันออกมาด้วยซ้ำทั้งๆ ที่อยากร้องแทบตาย

เขาอิจฉามาก...

จ้าวก้มมองพื้นขยะแขยงตัวเอง

"อ้ะ ขอบคุณมากๆ ครับ ดอกไม้สวยมากเลยครับ"

คำพูดประหลาดดังแว่ว เซนส์ในหัวกู่ร้องอย่างรุนแรง จ้าวเงยหน้าขึ้นมาเห็นดอกกุหลาบสีขาวคุ้นตาในมือของคนที่ช่วงชิงทุกอย่างไปจากเขา

ชั่ววินาทีนั้นเหมือนโลกกลายถล่มลงมา

จ้าวทิ้งกีตาร์ในมือแล้ววิ่งขึ้นไปหลบในห้องน้ำ

กรีดร้องออกมา

ด้วยหัวใจอันแหลกสลาย



หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 7 : prey p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 23-03-2018 16:22:10
ตอนที่ 7



ปัง!!

"จ้าว เป็นอะไร ออกมาคุยกับกูหน่อย! "

"จ้าว!! "



วันนี้เป็นวันที่ร้าน Sin of Lion ปิดไวกว่าปกติเนื่องด้วยลูกค้าคนที่คิวต่อจากตุลย์แคนเซิลพอดี ซินเลยถือโอกาสปิดร้านเพราะคงจะรับลูกค้าวอร์คอินไม่ไหวแน่ๆ

"จ้าว!! "

ใบหน้าสวยฉายแววเคร่งเครียด ซินขบเคี้ยวฟันอย่างหงุดหงิดแล้วออกแล้วทุบประตูใหม่เพื่อเรียกคนที่อยู่ข้างในมานานนับชั่วโมงให้ออกมา ถึงเขาจะมีกุญแจก็เถอะแต่ก็ไม่กล้าเสี่ยงไขเข้าไปอยู่ดีเพราะกลัวว่ามันจะไปล้ำเส้นของจ้าวเข้าอีก

"..พี่ซิน พี่ว่าพี่จ้าวเขาโกรธอะไรผมรึเปล่า? "

คนมาใหม่ถามเสียงกล้าๆ กลัวๆ สีหน้าซีดเผือดขณะที่มองประตูห้องน้ำที่ปิดสนิท ไม่มีวี่แววการตอบรับของคนด้านในแม้แต่ประโยคเดียวหลังสิ้นเสียงกรีดร้องดังลั่นเหมือนสัตว์ที่บาดเจ็บ

เสียงของจ้าวนั้น เจ็บปวดจนคนฟังแทบทนไม่ได้

"จ้าวจะโกรธมึงทำไม ข้าว" ซินหันไปเอ็ดอดีตรุ่นน้องในโรงเรียนที่ผันตัวไปเป็นนักร้องตามร้านอาหารเสียงดุ "ช่วงนี้มันไม่โอเคนิดหน่อย ทางที่ดีมึงอย่าพูดเรื่องวงมันมาก มึงก็รู้นี่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับจ้าวบ้าง"

"ผมรู้พี่" ข้าวยังคงหน้าซีดเช่นเดิม "แต่พอผมรับกุหลาบ พี่จ้าวก็วิ่งไปเลย"

"เดี๋ยวนะ กุหลาบ" ซินขมวดคิ้ว "มึงอย่าบอกว่ากุหลาบสีขาว"

"พี่รู้ได้ไง" ข้าวอ้าปากค้างแสดงสีหน้าว่าช็อคมากแล้ววางบนมือซินที่ยืนมือออกมารอรับ ซินรับมันไปพิจารณาดูสักพักแล้วถอนหายใจยาว นวดขมับตัวเอง

"อะไรของเขาวะเนี่ย"

เขาไม่เข้าใจไอ้คนให้กุหลาบจ้าวเลยสักนิดว่าคิดอะไรอยู่? หรือว่าจำผิดคิดว่าข้าวมันเป็นจ้าวเพราะข้าวกับจ้าวมันก็คล้ายกันมากจริงๆ

"จ้าว"

ซินใช้หลังมือเคาะประตูพยายามเรียกคนข้างในที่ไม่ยอมพูดอะไรสักที

คนที่ให้กุหลาบจ้าว มันจะรู้บ้างไหมนะว่ามันเป็นคนที่ดึงเพื่อนเขากลับมาจากความตายได้และตอนนี้มันก็กำลังผลักให้เพื่อนเขากลับไปทางเดิมอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว

"พอเหอะ พี่ซิน มือพี่ช้ำหมดแล้ว"

ฝุ่นดึงมือซินที่เคาะจนช้ำไปทั้งมือออกแล้วหยิบกุญแจขึ้นมาไขประตูโดยไม่รอคำอนุญาตอะไรทั้งนั้น ทันทีที่ประตูเปิดแสงสว่างภายนอกก็สาดเข้าไปในห้องน้ำที่มืดสนิทจนมองไม่เห็นแม้กระทั่งมือของตัวเอง

"…"

แสงสว่างสาดลงบนใบหน้าของจ้าวอย่างอ่อนโยน จ้าวซึ่งนั่งเหยียดขาบนพื้นยิ้มน้อยๆ ให้ซินและลามไปให้ข้าวกับฝุ่น

"โทษที เราไม่มีแรงลุกน่ะ"

จ้าวว่างั้นแต่ก็พยุงตัวเองลุกขึ้นมาช้าๆ และเดินตัดผ่านกลางราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"เดี๋ยว.."

ซินพึมพำรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลเลยลองเปิดไฟดูและพบกับเศษซากกุหลาบสีขาวที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น กลีบดอกสีขาวถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ไม่เป็นชิ้นดี ก้านสีเขียวถูกหักและเหยียบเละจนมีสีเขียวขุ่นติดพื้น

"… พี่เขาไม่ชอบกุหลาบเหรอ"

ข้าวถามเสียงแผ่วกลืนน้ำลายเอือกเมื่อเห็นสภาพกุหลาบที่เหมือนผ่านสงครามมาสิบรอบ

"ไม่รู้ว่ะ"

ซินพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ยกมือขึ้นปิดหน้า "ฝุ่น พี่ฝากจัดการที ขอพี่ไปดูจ้าวก่อน"

"ครับ"

ไหล่ที่มักจะตั้งเหยียดตรงอยู่เสมอตกลงอย่างสิ้นหวัง

ดอกกุหลาบสีขาวคือสิ่งเดียวที่จ้าวยึดมั่น ถ้าจ้าวเลือกที่จะทำลายมันนั่นก็หมายความว่าตอนนี้จ้าวไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวเอาไว้อีก ถ้าเกิดเรื่องแบบเมื่อคืนอีกครั้ง คราวนี้ซินไม่มั่นใจอีกแล้วว่าตัวเองจะสามารถรั้งจ้าวจากความตายได้อีก

"พี่ว่า ผมเอาไปทิ้งดีไหมอ่ะ เผื่อพี่เขาเห็นแล้วจะหงุดหงิดอีก"

"ไม่ต้อง มึงเก็บไว้นั่นแหละ"

ซินพูดเหนื่อยๆ รู้สึกคิดถึงคนบางคนอย่างประหลาด คนๆ นั้นต่อให้โลกถล่มลงมายังยิ้มและกวนประสาทเขาได้หน้าตาเฉย หนำซ้ำยังมองว่าเรื่องโลกแตกยังเป็นเรื่องตลกด้วยซ้ำ

"สู้ๆ ซิน"

ซินงึมงำให้กำลังใจตัวเองที่แผ่วลงไปทุกที





บรรยากาศในห้องนอนนั้นเย็นยะเยือกจนหายใจไม่ทั่วท้อง สาเหตุไม่ใช่มาจากแอร์แต่เป็นจ้าวที่นั่งกอดเข่าพิงเก้าอี้จ้องรายการตลกในทีวีโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงสักนิดแม้ว่ามุขในทีวีจะตลกมากแค่ไหนก็ตาม ไม่มีรอยยิ้ม มีเพียงแววตาที่ทอดมองไปไกลมากๆ คล้ายกับคนที่วางแผนอะไรสักอย่างอยู่

"จ้าว"

ซินเอ่ยทักเมื่อเข้ามาในห้อง ทิ้งตัวนั่งตรงโซฟาใกล้ๆ เช่นเดียวกับข้าวและฝุ่นที่นั่งกันคนละมุมแต่สายตาจับจ้องไปยังอดีตนักร้องนำวงมูนไลท์ผู้เคยมีอนาคตอันรุ่งโรจน์ด้วยแววตาเป็นกังวล

"ว่า"

จ้าวตอบทั้งๆ ที่ไม่ละสายตาสายตาจากจอ ดูสุขุมไร้อารมณ์จนเหมือนคนที่ถูกทำร้ายซ้ำๆ จนไม่หลงเหลืออารมณ์ใดอยู่อีก

"มึงเป็นอะไร"

แต่ซินรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น จ้าวตอนนี้ก็เหมือนน้ำที่ข้างบนเหมือนนิ่งก็จริงแต่ต่ำลงไปกว่านั้นกลับเป็นกระแสน้ำเชี่ยวกราดปั่นป่วนไปหมด

"เปล่า"

จ้าวหันมาฉีกยิ้มให้ซินและเผื่อแผ่ให้อีกสองคนที่เป็นห่วง "เราแค่นึกถึงอะไรแย่ๆ ตอนอยู่ในคุกน่ะ มาน่ากลัวนิดหน่อยเลยเล่นต่อไม่ไหว"

รอยยิ้มปั้นและเรื่องราวถูกปั้นแต่งขึ้นมาอย่างเชี่ยวชาญ สิ่งที่จ้าวถนัดพอๆ กับการร้องเพลงคือการแสดงละครและมันก็สำเร็จมีสองคนเชื่อสนิทใจและอีกหนึ่งคนที่เคลือบแคลง

"มึงแน่ใจนะว่าเรื่องนั้นจริงๆ " ซินเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ้ง แววตาที่ทุกข์ตรมกับสีหน้าของจ้าวมันดูสมจริงเหลือเกิน "อย่าโกหกกูนะ ไม่งั้นกูจะโกรธ"

"จริงๆ "

จ้าวว่างั้นก่อนที่จะซุกหน้าลงกับเข่า

".. แล้วพี่จ้าวโกรธอะไรผมรึเปล่า"

เสียงทุ้มนุ่มคล้ายกับจ้าวเอ่ยขึ้น

นัยน์ตาหมองมัวสิ้นหวังเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง เคราะห์ดีที่ไม่มีใครสังเกตเห็น จ้าวเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายชัดๆ และพบว่ามีหลายอย่างที่คนๆ นี้เหมือนเขา

ราวกับฝาแฝดของเขาอีกคน

ผมสีเทาที่ถูกย้อม ต่างหูสีดำ โชคเกอร์ของโอเมก้าสีดำสนิทที่มีลักษณะคล้ายกับของเขาที่เป็นของจำลองขึ้นเพื่อใส่เป็นแฟชั่น ตามข้อมือมีแหวนและสายรัดข้อมือแบบที่เขาชอบ

"..เปล่า"

จ้าวฉีกยิ้มจริงใจจนตาหยี อารมณ์บางอย่างก่อตัวอย่างเงียบเชียบ

"โล่งอกไปที ผมนึกว่าพี่ไม่พอใจผม" ข้าวถอนหายใจฟู่ๆ อย่างร่าเริง นัยน์ตากลับมาเป็นประกายเมื่อเห็นไอดอลของตัวเองในระยะประชิดและจับต้องได้ "พี่จ้าว พี่รู้ไหม ว่าผมโคตรชอบพี่เลย! ชอบทั้งเพลงของพี่ วงของพี่ ชอบทุกอย่าง โดยเฉพาะพี่เท่สุดๆ ไปเลย"

"เหรอ" จ้าวหัวเราะนวดมือตัวเองแก้เขิน "ดีใจที่ชอบ"

ทั้งๆ ที่พูดแบบนั้นแต่แววตาที่กลับไม่เป็นเช่นนั้น

"ตอนคอนเสิร์ตใหญ่ของพี่ ผมก็ไปนะ! " ยิ่งพูดข้าวก็ยิ่งสนุกเมื่อเห็นจ้าวดูพึงพอใจกับสิ่งที่ตัวเองพูด "ผมตะโกนคอแทบแตก วันนั้นโคตรมันเลยพี่ ใครๆ ก็ตะโกนเรียกพี่กันทั้งนั้น"

ข้าวเผลอเดินเข้าไปใกล้จ้าวมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว

"แล้วยิ่งวันนี้ผมลองทำแบบพี่นะ"

มือบอบช้ำข้างที่ซ่อนไว้ใต้เสื้อกันหนาวกำหมัดแน่น ความเดือดดาลไหลผ่านเลือดไปอย่างรวดเร็วราวกับสะเก็ดไฟที่ต้องน้ำมัน นัยน์ตาสั่นระริก ในอกสุมไปด้วยควันจนหายใจติดขัด

"ทุกคนก็ตะโกนเหมือนวันนั้น แม่งโคตรสนุกเลยพี่จ้าว! ผมโคตรอยากเป็นพี่เลย! "

ข้าวเผลอตะโกนเพราะเก็บความตื่นเต้นของตัวเองไว้ไม่อยู่ การได้ร้องเพลงแบบพี่จ้าวในวันนี้สำหรับข้าวแล้วก็เหมือนฝัน ทุกครั้งที่เขาไปร้องเพลงตามร้านส่วนใหญ่ก็ได้แต่ร้องเพลงยอดนิยมติดอันดับชาร์ตเพลงไปเพราะไม่มีนักดนตรีคนไหนอยากจะเล่นเพลงมูนไลท์ที่เต็มไปด้วยชื่อเสียสักที วันนี้จึงเป็นวันแรกและครั้งแรกจริงๆ ที่ข้าวได้ร้องเพลงที่ตัวเองรักและสนุกกับมันมาก

เพียงชั่วพริบตาก็ไฟโหมไหม้ไปทั้งตัวจ้าว

"...เหรอ"

จ้าวหัวเราะหากแต่สิ่งที่ซ่อนไว้ใต้เสื้อนั้นกลับชุ่มเลือด เล็บจิกเข้าไปในท้องแขนจนเกิดความเจ็บปวดและหยุดยั้งเปลวเพลิงที่เกือบจะแผดเผาคนตรงหน้าให้ตายได้ทัน

ใบหน้าของจ้าวมีรอยยิ้มนุ่มนวลแม้ว่าจะเจ็บปวดเหลือแสน

คนที่เขายอมให้ทุกอย่างมีแค่จันทร์เท่านั้น กับคนบางคนที่ต่อให้เหมือนเขามากขนาดไหน..

"แต่พี่คงไม่เล่นเพลงวงมูนไลท์แล้วล่ะ"

เขาก็ไม่มีวันยอมให้ใครหน้าไหนมาช่วงชิงที่ของเขาทั้งนั้น!

"อ้าว ทำไมล่ะ พี่จ้าว" ข้าวทำหน้าหงอยเพราะชอบเพลงของวงมูนไลท์ทุกเพลงและอยากมีโอกาสได้ทำเหมือนวันนี้อีก

จ้าวเหลือบมองซินเมื่อเห็นอีกฝ่ายมองตัวเองอยู่จึงเปิดปากพูดเพราะขี้เกียจพูดอธิบายหลายๆ รอบ

"พี่จะตั้งวงใหม่ชื่อว่าวง 'PREY' ที่แปลว่าเหยื่อ"

อดีตนักโทษหลับตาลงซ่อนแววตาซับซ้อนของตัวเอง

ภาพตอนที่ตัวเองถูกกระทำมากมายปรากฎในหัว ทั้งตอนที่อยู่ในคุกและนอกคุก โดยรวมแล้วไม่ว่าที่ไหนก็ล้วนแต่โหดร้ายกับเขาทั้งนั้น เหล่านักโทษเปรียบเหมือนฝูงหมาป่าที่พร้อมจะรุมขย้ำสัตว์อ่อนแอที่หลงเข้ามาและเขาก็เป็นสัตว์ที่ว่าพอดี อีกาหน้าโง่ที่ถูกสาปส่งจากโลกภายนอกว่าเป็นฆาตกรและต้องมากลายเป็นอาหารให้พวกมันต่อ พอรอดจากฝูงหมาป่าได้เขาก็ต้องเผชิญกับสังคมภายนอก เจอกับน้องชายที่ไม่รู้จงเกลียดจงชังอะไรกับเขานักหนา

และถ้าโลกใบนี้มันโหดร้ายกับเขานัก เขาก็จะตีแผ่มันออกมาผ่านเสียงเพลงที่เขารัก

"เพลงจะไม่ใช่แนวเดิมอีกแล้ว แต่เป็นแนวเล่าความจริง ไม่มีมาโลกสวยเหมือนเพลงวงมูนไลท์"

โลกที่แสนสวยงามที่เขาเคยอยู่ มันจบลงไปนานแล้ว ในโลกใบนั้นไม่มีที่สำหรับเขา มีเพียงโลกความเป็นจริงเท่านั้นที่มีที่ให้สำหรับทุกคนและบอกกล่าวความจริงอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่สนใจว่าคนฟังจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม

แต่ความจริงก็ยังดีกว่าความลวง ไม่ต้องหลอกไม่ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ ทันทีที่ฟังก็เข้าใจได้ทันที เพราะมันเป็นความจริงที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจปฏิเสธได้

"...อ้าว"

ข้าวเอ่ยเสียงเบา "แล้ววงมูนไลท์ล่ะ พี่จ้าว"

ครั้งนี้จ้าวไม่ปิดบังแววตาแข็งกร้าวของตัวเอง "มันจบไปตั้งแต่ห้าปีที่แล้วแล้ว ไม่มีใครอยากฟังเพลงของฆาตกรหรอก" จ้าวพูดหน้าตาเฉยไม่มีสีหน้าเจ็บปวด

ความจริงใช่ว่าเขาจะอยากทิ้งวงมูนไลท์แต่ในเมื่อมีคนที่จะมาขโมยที่ของเขาไป จ้าวก็เลือกที่จะสร้างวงขึ้นมาใหม่แทน อย่างน้อยก็มั่นใจได้แน่ๆ ว่าที่นักร้องนำวงมูนไลท์ยังคงเป็นของเขา

ไม่ใช่ของ 'ข้าว' ที่เหมือนกับเขาจนน่ากลัว

"แต่เมื่อกี้มีคนชอบเยอะแยะเลยนะ พี่" ข้าวพยายามพูดให้กำลังพี่จ้าวที่เหมือนจะไม่อยากทำวงตัวเองต่อ "ต่อให้พี่ไม่ได้ร้องแต่พี่ก็ยังแต่งเพลงได้นะ พี่จ้าว"

"ไม่! "

จ้าวตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด จิกเล็บลงไปในท้องแขนอีกครั้งเพื่อกดความเดือดดาลเมื่อเผลอไปเห็นดอกกุหลาบที่โผล่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อพอดี

"จ้าว!! "

ซินที่นั่งเงียบมานานตวาดกร้าวขึ้นมาและเดินเข้าไปจับไหล่จ้าวที่สั่นไม่หยุดเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้

"มึงเป็นอะไร"

เขามั่นใจมากๆ ว่าจ้าวแปลกไป ถึงสีหน้าจะเหมือนปกติก็เถอะ

ซินพยายามสบตาจ้าวที่สั่นระริกอย่างอ่อนแอ

"..เปล่า"

จ้าวตอบปัดแล้วดึงแขนซินออก ปฏิเสธความห่วงใยและใช้แขนข้างที่ไม่มีอะไรซุกซ่อนโอบกอดตัวเองไว้ทั้งๆ ที่ตัวยังคงสั่นเทา จ้าวก้มหน้าต่ำกัดปาก ไม่มีเสียงสะอื้นหรือน้ำตาแต่ตัวกลับสั่นเทาหนักกว่าเดิม

"มึงแน่ใจเหรอ จ้าว"

ซินกอดอกมองร่างที่ผอมจนแทบจะเหลือแต่ซี่โครง พยายามปกป้องตัวเองทั้งๆ ที่ไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรงในการหายใจด้วยซ้ำไป จ้าวในตอนนี้อ่อนแอกว่าตอนที่กำลังจะโผบินเมื่อคืนนี้อีก เหมือนคนที่เสียศูนย์และกำลังจะกลายเป็นบ้า

"แน่ใจ"

จ้าวตอบเสียงเบา ทั้งๆ ที่ไม่สักนิด และอยู่ๆ หัวใจในอกเจ็บแปลบจนชาไปทั้งอก หูอื้ออึงจนไม่ได้ยินอะไร ในหัวนึกถึงภาพที่ดอกกุหลาบสีขาวถูกยื่นให้ตัวเองและแทนที่ด้วยภาพที่มันถูกยื่นให้กับข้าวแทนที่จะเป็นตัวเอง

"ทำไม.."

นัยน์ตาของจ้าวเหม่อลอย

"ทำไมไม่ใช่...จ้าว"

คิดถึงตรงนี้ตัวก็สั่นเทาหนักกว่าเดิม ทั้งๆ ที่อยากร้องไห้แต่กลับร้องไม่ออก รู้สึกผิดหวังจนแทบทนไม่ได้

"จ้าว! จ้าว! "

ซินผวาเฮือกรีบเขย่าตัวจ้าวที่กำลังจะกลายเป็นบ้า! "ทำไงดีวะเนี่ย แม่งเอ้ย!! " พยายามใช้สมองใคร่ครวญอย่างหนักว่าจะพอใช้อะไรในการดึงจ้าวกลับมาอีกครั้งได้

อะไรที่สำคัญมากพอสำหรับจ้าว..

"จันทร์..? ไม่ล่ะ ยากๆ "

ซินส่ายหัวให้กับความคิดตัวเอง ไอ้น้องชายที่ฉีดยาระงับฮอร์โมนอัลฟ่าให้พี่ตัวเองต่อหน้าสื่อมวลชนนี่คงไม่ใช่คนที่จะเป็นเดือดเป็นร้อนตอนที่จ้าวกำลังจะกลายเป็นบ้าหรอก

"พี่ซิน กุหลาบไง! กุหลาบสีขาวที่ข้าวได้น่ะ! "

ฝุ่นตะโกนเมื่อนึกขึ้นได้ว่าจ้าวนั่งเล่นกุหลาบด้วยสีหน้ามีความสุขมากๆ ตอนเช้า กุหลาบคงจะเป็นอะไรสักอย่างหนึ่งที่น่าจะมีอิทธิพลมากพอที่กระชากให้จ้าวกลับมาได้ และตอนที่เขาเก็บกวาดซากกุหลาบก็เจอเข้ากับอะไรพอดี

"พี่ผมว่ามันอาจจะมีกระดาษเขียนไว้อยู่ เพราะที่พี่จ้าวฉีกไป ผมก็เจอคำว่ารอ"

"ไอ้ข้าว! ดูเร็ว! กุหลาบมึงมีอะไรเขียนไว้ไหม เร็วๆ "

ซินดึงตัวจ้าวเข้ามากอดพอเห็นเลือดบนแขนก็ตกใจมากกว่าเดิมจนทำอะไรไม่ถูก น้ำตาเริ่มคลอเบ้าด้วยความเครียดที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้สักอย่างทั้งๆ ที่อีกฝ่ายยังอยู่ในอ้อมกอดตัวเองแต่กลับรู้สึกว่าจ้าวนั้นอยู่ห่างออกไปจากตัวเองราวกับอยู่คนละโลก

กุหลาบสีขาวที่ช้ำนิดๆ จากการเก็บอย่างไม่ใส่ใจนักของข้าวถูกนำมากระทำชำเราอย่างเร่งรีบ ข้าวรีบใช้มือกรีดตามก้านและกลีบกุหลาบอย่างเร่งรีบเพื่อหาเศษกระดาษที่ไม่รู้แม้แต่หน้าค่าตาของมัน

"อ้ะ เจอแล้วพี่! "

ข้าวอุทานแล้วดึงกระดาษสีกุหลาบขาวออกมาและยื่นมันให้ซินทันทีโดยไม่แม้แต่จะอ่าน

เพราะเวลาที่พวกเขาจะสามารถดึงจ้าวกลับมาได้นั้นน้อยเต็มทีแล้ว!

ซินหลุดสะอื้นออกมาอย่างหมดมาด เมื่อเห็นว่าจ้าวเลิกสั่นแล้วนั่งเหม่อนิ่งๆ

"ไอ้จ้าว! มึงอ่านสิ เขาให้กุหลาบมึง! ไม่ใช่ข้าว! "

บนกระดาษแผ่นบางที่แทบจะขาดนั้นเขียนว่า

'ฝากให้จ้าว'

ด้วยตัวอักษรบรรจงและคล้ายกับฟอนต์คอมพิวเตอร์แบบเดิม

"มึงดูสิ จ้าว ฮึก มึงดูดิวะ! "

ซินยื่นเข้าไปใกล้ตาจ้าวจนแทบจะดวงตาแต่ก็ไม่เป็นผล ดวงตาของจ้าวยังคงเลื่อนลอย รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏ ทั้งๆ ที่ไม่มีเรื่องให้ยินดีสักนิด

"เฮียสาม มาหาจ้าวเหรอ"

คำพูดของจ้าวทำเอาซินตัวแข็งค้าง

เพราะเฮียสามที่จ้าวว่านั้นตายไปแล้ว! เฮียสามก็คือคนที่คนทั้งวงการรู้ว่าจ้าวนับถือมากเพราะเป็นทั้งรุ่นพี่และนักร้องที่จ้าวสนิทด้วยมากๆ แต่ชีวิตก็คือความไม่แน่นอน ช่วงที่จ้าวติดคุกคือช่วงที่เฮียสามถูกรถชนเสียชีวิตคาที่

"ไม่จ้าว ไม่"

ซินร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด

"มึงต้องอยู่กับกูดิวะ จ้าว"

เขาไม่เข้าใจทำไมโลกใบนี้ถึงได้โหดร้ายกับคนๆ นึงมากถึงขนาดนี้กัน

เพี๊ยะ!!

รอยแดงปรากฎบนใบหน้าจ้าวแต่จ้าวก็ยังเหม่อลอย

เพี๊ยะ!!!!!

ความรุนแรงมากกว่าเดิมทำเอาจ้าวหน้าชาแต่ก็ได้ผล ภาพหลอนที่เห็นเฮียสามมายืนเรียกจางๆ หายไปแล้ว จ้าวลูบแก้มตัวเองกระพริบตาถี่ๆ แล้วมองกระดาษที่ยื่นมาจนแทบจะกระแทกหน้าตัวเอง

"..ฝากให้จ้าว"

โลกบิดๆ เบี้ยวๆ ใบเดิมที่ไร้สีสันของจ้าวค่อยๆ กลับมามีสีสันอีกครั้ง

น้ำตาของจ้าวคลอหน่วง

คนๆ นั้นยังเป็นของเขา


หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 8 : 21: 00 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 23-03-2018 16:23:18
ตอนที่ 8

21 : 00 PM



"...อืม เดี๋ยวพี่กลับไป อยู่กับแม่ไปก่อน"

ร่างสูงในชุดสูทดำราคาเหยียบแสนเดินแทรกผ่านผู้คนอย่างเร่งรีบ เพราะบรรยากาศที่ค่อยข้างมืดสลัวของย่านร้านของชำจึงไม่มีความจำเป็นต้องซุกซ่อนใบหน้าจากผู้คนเหมือนในตอนกลางวัน จำนวนคนที่มากกว่าปกติทำให้ร่างสูงรู้สึกหงุดหงิดมากกว่าพอใจเพราะมันทำให้เขาต้องเสียเวลาในการเบียดเสียดกับผู้คนที่มากมายจนน่ารำคาญ

เสียงตะโกนเรียกลูกค้าดังลั่นชวนปวดหูจากร้านขายอาหารสลับกับร้านค้าต่างๆ ที่ตั้งแผงกันอย่างเสรีมากกว่าตอนกลางวันเพราะอากาศที่ค่อนข้างเป็นมิตรกว่า

และการตลาดแต่ละร้านก็แตกต่างกันไปตามประสบการณ์ของคนขาย

"พี่ๆ สนใจไหม? "

มือเรียวของโอเมก้าหน้าสวยที่ช่ำชองไปด้วยประสบการณ์เอื้อมไปรั้งแขนของชายที่น่าจะเป็นอัลฟ่าและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน พยายามขยับเข้าไปใกล้เพื่อให้อีกฝ่ายได้กลิ่นฟีโรโมนที่เพิ่งฉีดไป เพราะถ้าอีกฝ่ายได้กลิ่นมันชัดๆ ก็จะสามารถเปลี่ยนสถานะจากคนแปลกหน้ากลายเป็นลูกค้าได้อย่างง่ายดาย

"ไม่ล่ะ ขอบคุณ"

กล่าวปฏิเสธอย่างสุภาพแต่ปัดมือที่เกาะเกี่ยวแขนอย่างอุกอาจออกอย่างไม่ถนอมแรงและสาวเท้ายาวมากกว่าเดิม อารมณ์บูดจนใบหน้าคมคายเริ่มบึ้งตึง ในหัวเริ่มคิดคำนวณวางแผนการจัดระเบียบร้านของชำครั้งใหม่ให้ปลอดภัยมากกว่าเดิม

เพราะถึงแม้สถานที่แห่งนี้จะเสรีกับการค้าขายทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอนุญาตให้คนขายนั้นเล่นสกปรกกับคนซื้อ กลิ่นน้ำหอมฟีโรโมนเถื่อนที่ฉุนจัดจนปวดหัวเมื่อกี้เป็นอีกหนึ่งอย่างที่เขาอยากจะกำจัดมันให้ไวที่สุด เพราะผู้หลักผู้ใหญ่ที่เขาติดต่องานด้วยก็เริ่มกดดันเขาแล้วถึงเรื่องนี้

"...ฮื่อ"

ความหงุดหงิดก่อตัวขึ้นในอกจนอดไม่ได้ที่จะคำรามในลำคออย่างดุดัน เขาพอจะรู้เรื่องน้ำหอมฟีโรโมนบ้าบอคอแตกนี่มาสักพักแล้วแต่ไม่คิดว่าจะมาเจอด้วยตัวเอง หากไม่ใ่ชเพราะเขาที่มีภูมิต้านทานสูงกว่าคนทั่วไปคงจะโดนโอเมก้าเมื่อกี้ล่อลวงไปแล้ว เผลอๆ ของในกระเป๋าทั้งเงินทั้งบัตรคงโดนมันขโมยหมดจนเหี้ยนไม่เหลืออะไรสักอย่าง และวันต่อมาที่เขาฟื้นก็คงจะสั่งให้คนไปล่ามันมาและไปขังในคุกสักร้อยปีตามความผิดที่โดนคูณเข้าไปอีกสิบจากความแค้นของเขา

แต่ในเรื่องร้ายก็ดูเหมือนจะมีเรื่องดีอยู่บ้าง อารมณ์คุกรุ่นของมันคงจะดูมากเกินไป พวกคนอื่นๆ ที่เดินกันอยู่ต่างหลบออกข้างให้อย่างหวาดผวาเชิงเกรงใจเพราะบางคนก็จำหน้าและฐานะเขาได้

และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเหยียบเข้าในร้านดอกไม้ที่ไม่รู้สรรหาดอกไม้จากไหนมาเยอะแยะ

"รับอะไรดีครับ"

ชายเจ้าของร้านพูดตามความเคยชินเมื่อได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งซึ่งจะดังขึ้นเมื่อมีคนเดินเข้ามาและเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับสักทีเลยต้องยอมเงยหน้าจากการจัดชุดดอกไม้สำหรับวันเกิดอย่างเสียไม่ได้

"..! "

ใบหน้ามีสีค่อยๆ ซีดเผือดเมื่อรู้ว่าเป็นใครที่มาร้าน

"วะ วันนี้มาเองเลยเหรอครับ"

น้ำเสียงสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้เพราะถ้าจะให้เปรียบ คนๆ นี้ก็คือป๋าใหญ่สุดของร้านของชำ ผู้กุมบังเหียนควบคุมทุกอย่างของซ่องนกพิราบขนาดพื้นที่ยี่สิบไร่ไม่รวมธุรกิจอื่นมากมายที่ตระกูลนี้มีเป็นคนจัดการ

และเขาก็จำได้ด้วยว่าวันนี้ ป๋าใหญ่ให้ลูกน้องคนสนิทมาเอาดอกกุหลาบแล้วครั้งหนึ่ง ไม่คิดว่าจะมาอีกครั้งเลยไม่ได้เตรียมใส่ห่ออย่างดีเอาไว้

"อืม เอามาช่อนึงเลย"

ตอบกลับอย่างไม่ยี่หระล้วงหยิบเงินในกระเป๋าพอดีกับราคามาวางไว้บนโต๊ะและเคาะนิ้วเป็นจังหวะเชิงรอ แต่คนที่สนิทกับป๋าใหญ่ย่อมรู้ว่านั่นคือการบอกว่ารีบๆ หน่อย ป๋ามีงานอีกเยอะที่ต้องทำ

"ครับ"

คนเป็นเจ้าของร้านกลืนน้ำลายเอือกทิ้งดอกไม้ในมือเข้าไปในหลังร้านเพื่อเอาดอกกุหลาบสีขาวที่เก็บสต็อกเอาไว้ให้คนตรงหน้าโดยเฉพาะคนเดียว คัดเลือกเอาดอกที่ดีที่สุดและช้ำน้อยที่สุดมาคร่าวๆ จำนวนนึงและวิ่งกลับมาที่โต๊ะทำงาน วางมันบนโต๊ะและจัดเรียงทำเป็นห่อช่ออย่างคล่องแคล่ว

"เร็ว"

คนจัดสะดุ้งเฮือก "คะ ครับ" เร่งมือในการจัดช่อจนเสร็จ ยังไม่ทันยื่นให้ก็ถูกคว้าช่อดอกไม้และก้าวเร็วๆ ออกจากร้านไป

"ขอบใจ"

"..ยินดีครับ"

เมื่อลับหลังป๋าใหญ่ เจ้าของร้านก็ลูบอกตัวเองที่หัวใจเต้นแรงแทบเด้งออกมาอย่างตื่นกลัว ถึงป๋าใหญ่จะขึ้นชื่อเรื่องเป็นคนดีก็จริง แต่เขาก็ไม่เคยชินสักทีเวลาที่ป๋าใหญ่มาที่ร้านด้วยตัวเอง ทุกทีจะส่งลูกน้องมาเอากุหลาบให้เหมือนสมัยก่อนเมื่อหลายปีที่แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมที่ช่วงนี้อยู่ๆ ถึงได้กลับมาสั่งกุหลาบอีกครั้งหลังจากหายไปพักใหญ่

"..ไม่ยุ่งดีกว่า"

ตัวอย่างเขาการส่อรู้เรื่องของป๋ามากเกินไปก็ร้านเหล้าข้างๆ เขาเนี่ยแหละ พยายามสืบเรื่องป๋าเกี่ยวกับดอกไม้ว่าเอาไปให้ใครพอป๋ารู้ตัวก็สั่งเก็บ โดนดีดออกจากร้านของชำจนถึงตอนนี้เขาก็ติดต่อไม่ได้ ไม่รู้ว่าโดนไปร่อนเร่ที่ไหนแล้ว

ส่วนป๋าใหญ่ของร้านของชำตอนนี้ก็ยืนปะปนกับกลุ่มมวลประชาที่ยืนออกันเต็มหน้าร้าน 'Sin of Lion' ที่ยืนกันไม่ใช่เพราะมีการแจกเงินเกิดขึ้นแต่เพราะมีงานคอนเสิร์ตย่อมๆ เกิดขึ้นมา หน้าร้านถูกเคลียร์ของออกแทนที่ด้วยกลองชุด เบส นักร้อง สามชีวิตที่ยืนหยัดกันท่ามกลางอากาศที่เย็นกว่าทุกวัน

เสียงทุ้มนุ่มตะโกนร้องเพลงแหบห้าวออกมาอย่างดุดัน เคล้ากับเสียงตีกลองและเบสที่เล่นอย่างดุเดือด เป็นจังหวะดนตรีที่รุนแรงชวนให้คนลุกขึ้นมาดิ้นแทนการนั่งฟังเฉยๆ อย่างสบายอารมณ์

มีหลายคนที่ออกลวดลายท่าเต้นเพราะสิ่งของเมามายที่ดื่มมาก่อนแต่ก็มีอีกหลายชีวิตเช่นกันที่โยกหัวตามจังหวะเพลงอย่างเมามัน

"ถ้าคนมันชั่วมันเลวนัก เราก็คงต้องปล่อย! "

นักร้องนำซึ่งสวมหน้ากากกระต่ายร้องว้ากๆ พร้อมกันนั้นก็มีเสียงเบสก็กรีดเสียงยาวเหยียดน่ากลัวราวกับกำลังดุด่าถ้อยคำหยาบคายผ่านเสียงเบส นิ้วซึ่งมีรอยเลือดติดขยับไปมาอย่างรวดเร็วยิ่งทำให้เสียงเบสนั้นโหยหวนมากขึ้นไปอีก

แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันทำให้เพลงนั้นมันส์เป็นบ้า!

คราวนี้ไมค์ถูกส่งต่อจากหน้ากากกระต่ายให้มือเบสที่ต้องร้องท่อนแร็ปที่นักร้องนำจำไม่ได้และยิ่งเป็นจังหวะที่เร็ว การอ่านเนื้อเพลงเพื่อแร็พจึงเป็นเรื่องที่ลืมไปได้เลย

"เธอทำเรารักแต่เธอก็ทำเราตาย อยากจะรู้นึกว่าเธอนั้นคิดอะไร--"

ร่างสูงซึ่งยืนอยู่กลมกลืนอยู่ข้างหลังผิวปากหวิวและคลี่ยิ้มอย่างพอใจหลังจากพิมพ์บอกคนสนิทให้พาน้องเข้านอนไปเลยเพราะเขาคงจะอยู่อีกนาน

มือหนาไล้กลีบกุหลาบด้วยรอยยิ้มนุ่มนวลโดยที่ไม่รู้ตัว กลิ่นน้ำหอมที่ฉีดตรงข้อมือนั้นได้เคล้ากับกุหลาบกลายเป็นสะอาดตามที่ติดบนร่างตัวเองก่อนที่รอยยิ้มจะหายไปเมื่อมีมือเล็กๆ ที่สามทำท่าจะขย้ำกุหลาบ

"ระวังมือลูกคุณด้วย"

ชักกุหลาบเข้าหาตัวเพื่อหลบและพูดเสียงกร้าวจนเด็กที่ทำตัวมือบอนทำหน้าจะร้องไห้

"นี่คุณ เด็กมันก็ไม่รู้ป่ะ" หญิงสาวผู้เป็นแม่รีบกอดโอ๋ลูกที่ซุกหน้ากับอกอย่างหวาดกลัว ใบหน้าสะสวยที่แต่งเติมด้วยเครื่องสำอางจัดพูดอย่างหงุดหงิด รู้สึกเสียดายที่ชายตรงหน้าไม่ใช่โอเมก้าไม่เช่นนั้นเธอคงจะให้บอดี้การ์ดที่พามาด้วยพาไปสั่งสอนให้รู้ซะบ้างว่าเธอเป็นใคร

"ผมก็แค่บอกให้ลูกคุณระวัง"

ป๋าใหญ่กดยิ้มมุมปากเชิงว่าตัวเองก็ไม่ยอมเหมือนกัน

"อยากมีปัญหาเหรอ" เธอเริ่มมีน้ำโหฝากลูกกับสาวใช้ที่พามาด้วยและเท้าเอวชี้หน้าชายอัลฟ่าตรงหน้าอย่างเอาเรื่องเพราะทิฐิและฐานะที่มากและเหนือเกินใคร

และเธอก็มั่นใจมากๆ ว่าฐานะที่เป็นถึง 'ภริยาผู้ว่าราชการประจำจังหวัด' จะทำให้เธอสามารถเอาชนะอัลฟ่าตรงหน้าได้

"ถ้าลูกคุณขยำโดนกุหลาบผมเมื่อกี้ ผมมีแน่แต่เพราะมันไม่โดน มันเลยไม่มี"

อารมณ์ที่ดีจัดเริ่มขุ่นมัว ผู้คนรอบๆ เริ่มรู้ถึงสถานการณ์คนตีกันเริ่มสนใจฝั่งนี้มากกว่าวงดนตรี เพราะการการตีกันระหว่างอัลฟ่าเป็นเรื่องที่สนุกและบันเทิงพอๆ กับมวยคู่เอกระดับประเทศเลยทีเดียว

แม้แต่นักดนตรีก็เริ่มรู้ตัวเลยเลิกเล่นชั่วคราวเพื่อพักคอและร่วมดูมวยคู่เอกที่นักสู้แต่ละฝั่งเริ่มออกลวดลาย

"แล้วคุณคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงมาตะคอกใส่ลูกฉัน! " หญิงสาวพูดอย่างเดือดดาล เธอเลี้ยงลูกมาอย่างประคบประหงมมาตลอดหลายปี นี่คงเป็นครั้งแรกของลูกที่ต้องมาตกใจกับเสียงตะคอกอย่างไม่รู้กาลเทศะของใครก็ไม่รู้

"คุณมากกว่าที่คิดว่าตัวเองเป็นใคร"

นัยน์ตาสีเทาเป็นประกายกร้าว ด้วยความที่เป็นคนร่างใหญ่อยู่แล้วจึงขับกล่อมให้คำพูดดูน่ากลัวกว่าปกติจนเด็กชายที่ตอนแรกทำท่าจะร้องไห้ตอนนี้ร้องไห้สะอึกสะอื้นพยายามดึงชายเสื้อแม่แล้วบอกว่ากลับบ้าน

หมัดแรกเป็นของหญิงสาวสีแดงแต่ฝั่งป๋าใหญ่สามารถหลบได้และสวนกลับด้วยหมัดฮุกที่ไม่ได้ตัวแม่แต่ไปโดนเด็กชายแทน

"เป็นใครก็ช่าง แต่ฉันสามารถทำให้คุณอยู่ไม่สุขได้แน่ๆ " เธอพูดอย่างทระนงตน มองเหยียดชายหนุ่มตรงหน้าที่ไม่เคยเห็นหน้าด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เธอเคยเจออัลฟ่าตำแหน่งสูงแทบทุกคนแล้วที่อยู่ในจังหวัดนี้ ถ้าให้เดาชายคนนี้ก็คงเป็นพวกลูกผ่าเหล่าเกิดมาท่ามกลางพ่อแม่ที่เป็นเบต้า

"แน่ใจใช่ไหมครับ"

นักมวยสองฝั่งยื่นนิ่งต่างฝ่ายต่างดูเชิงกัน ก่อนที่ฝั่งน้ำเงินจะโบกมือเรียกกรรมการให้เดินเข้ามาใกล้และประกาศบางอย่างที่สามารถตัดสินผลได้ในคราวเดียว

"แน่ใจ..สิ" จากแน่ใจมากเริ่มไม่แน่ใจ หญิงสาวมองอัลฟ่าตรงหน้าอย่างกังวลเมื่อเห็นอีกฝ่ายก้มกดโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้มร้ายแล้วโทรออก ยืนถือสายครู่หนึ่งก็พูดในสิ่งที่เธอต้องตัวชาวาบ

"สวัสดีครับ คุณปรีดา"

[สะ สวัสดีครับ ท่านเหมันต์]

ป๋าใหญ่จงใจเปิดลำโพงเพื่อให้รับรู้โดยทั่วกันว่าเขากำลังพูดและคุยกับใคร พอเห็นสีหน้าซีดเผือดของหญิงสาวก็หัวเราะ

"เปล่าครับ ผมแค่อยากให้คุณปรีดาดูแลภรรยาให้ดีๆ หน่อย ออกมาเพ่นพ่านเวลากลางคืนในที่ของผม มันน่ารำคาญน่ะครับ"

แต่น่าเสียดายที่การเป็นผู้หญิงหรืออะไรที่อ่อนแอไม่เคยทำให้ร่างสูงเห็นใจมากขึ้น

"อ้อ แล้วผมจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เรื่องพาลูกมาเที่ยวในที่อโคจรก็ได้ครับ ผมเข้าใจว่าอยู่แต่ในบ้านใช้เงินไปวันๆ มันน่าเบื่อ"

[ขอโทษครับ ขอโทษ ผม ผมจะทำโทษให้เองครับ อย่าถือสาเธอเลยนะครับ ท่าน--]

หญิงสาวหน้าซีดทำท่าจะเป็นลมจนสาวใช้ต้องประคองเมื่อได้ยินเสียงของสามีตัวเองในโทรศัพท์ แต่เธอก็ยังคงมั่นใจว่าตัวเองไม่เคยเห็นหน้าและได้ยินชื่ออีกฝ่ายด้วยซ้ำ แต่เพราะท่าทีของสามีเธอที่ถือทิฐิมากพอๆ กับเธอ หญิงสาวจึงรู้ตัวแล้วว่าตัวเองได้ไปเหยียบหางเสือเข้าแล้ว

นักมวยฝั่งแดงล้มลงกองกับพื้น น็อคทั้งๆ ที่ฝั่งน้ำเงินไม่ได้ออกหมัดอะไรด้วยซ้ำ

เหมันต์กดวางสายทั้งๆ ที่คนปลายสายยังพูดไม่จบประโยค หันมาแย้มยิ้มเย็นชาให้หญิงสาวที่ดมยาดมที่สาวใช้ยืนให้อย่างวุ่นวาย

“ว่าไงดีครับ จะกลับบ้านดีๆ ไหม”

หญิงสาวหน้าขึ้นสีอย่างอับอายแต็ไม่กล้าสู้ต่อ “กลับ!” เธอพูดเสียงแข็งใช้แขนโอบลูกชายยอมล่าถอยไปแต่โดยดี

"หึ"

ป๋าใหญ่แค่นเสียงหัวเราะไล่หลังแล้วหันไปมองสาเหตุหลักที่ตัวเองมาที่นี่ต่อ ก่อนจะพบว่าวงดนตรีนั้นเลิกเล่นไปสักพักแล้วและคนรอบๆ ตัวก็มองมาที่เขาอย่างสอดรู้ ร่างสูงกลอกตาหน่ายๆ คาดโทษสองแม่ลูกหนักกว่าเดิม โทษฐานทำให้เขาเป็นจุดสนใจ

ทั้งๆ ที่เขาตั้งใจจะมาดูคนนั้นเงียบๆ แท้ๆ

"..ไม่มีอะไรแล้ว เล่นต่อสิ" เหมันต์ตัดสินใจพูดออกมาท่ามกลางความเงียบกริบ ทุกคนดูจะสงสัยในตัวเขาไม่น้อยเพราะมีไม่มีกี่คนนักที่สามารถตอกกลับภรรยาท่านผู้ว่าที่ชอบออกงานสังคมและใช้เวลาส่วนใหญ่ในการทำอะไรต่อมิอะไรตามอำเภอใจด้วยอำนาจที่เหมือนจะมากล้นของสามีเธอ

แต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อเขาไม่พูดไม่ยอมรับซะอย่าง พวกเขาก็ไม่มีวันรู้และอีกไม่นานก็คงลืมกันไปเอง

รอบข้างกลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง ไทยมุงสลายตัวส่วนเหมันต์ยืนขมวดคิ้วมองวงดนตรีที่ตอนนี้เหมือนจะมีคนๆ นึงหายไป มือหนาที่กำกุหลาบเผลอกำแน่นกว่าเดิม

หมับ!

ป๋าใหญ่แห่งร้านของชำเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนกเมื่อมีแขนปริศนาสวมกอดเข้าทีหลังอย่างแรง เกือบจะกระชากออกจากร่างตามสัญชาตญาณป้องกันตัว แต่พอเห็นข้อมือบอบช้ำที่สั่นระริกก็จำได้ทันทีว่าเป็นใคร

"..ปล่อยก่อน"

เหมันต์พูดเสียงสั่นหัวใจในอกเต้นถี่ยิบ โชคดีที่จ้าวว่าง่ายยอมปล่อยมือ ร่างสูงเลยถือโอกาสดึงตัวจ้าวเข้าหาตัวเองแล้วถอดสูทออกมาคลุมหัวจ้าวที่ตอนนี้ไม่สวมหน้ากากอีกาแล้ว ซึ่งเหมันต์ก็เกรงว่าจะมีคนจำได้เลยรีบพาตัวจ้าวกลับเข้าไปในร้านที่จ้าวน่าจะทำงานอยู่

และพอดึกเสื้อสูทออกตั้งใจจะคุยด้วยก็ต้องชะงักเมื่อใบหน้าคุ้นตาน้ำตาไหลพรากๆ แล้วยังสะอื้นจนตัวโยน

"..ฮึก"

"..เอ่อ"

จากคนที่สามารถพูดไล่ต้อนคนได้เป็นฉากๆ ตอนนี้เป็นคนน้ำท่วมปาก เหมันต์อึกอักพูดอะไรไม่ออกแกมจะรู้สึกประหม่านิดๆ

จะว่ายังไงดีถ้าจะเปรียบความรู้สึกของเขาที่มีต่อจ้าว ก็คงเป็นพวก...

"ร้องไห้ทำไม จ้าว"

เหมันต์ถามเสียงนุ่มรู้สึกปวดร้าวจนอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปเกลี่ยน้ำตาของจ้าวออก หัวใจแทบแตกเป็นเสี่ยงเมื่อเห็นคนนักร้องคนโปรดของตัวเองร้องไห้งอแงไม่ต่างจากเด็ก

ใช่.. ยอมรับอย่างน่าไม่อาย ว่าเขาเป็นเอฟซีของจ้าว!

ใบหน้าคมคายขมวดคิ้วมุ่นงุ่นง่านทำอะไรไม่ถูก เพราะยิ่งเกลี่ยน้ำตาของจ้าวก็ยิ่งไหลเหมือนนิ้วเขาไปทำก็อกน้ำตาของจ้าวแตก แน่นอนมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีสักนิด

"..คุณ"

จ้าวพึมพำเสียงแผ่ว ยกมือขึ้นจับมือหนาที่สัมผัสใบหน้าตัวเองแน่น

กลิ่นหอมสะอาดคุ้นเคยกับอุณหภูมิร้อนผ่าวทำให้จ้าวรู้สึกดีใจมากกว่าเดิมจนสะอื้นหนัก

"มีตัวตนจริงๆ "

จ้าวพูดเสียงเครือก่อนจะผวากอดร่างสูงอย่างแรง ซุกใบหน้ากับเสื้อเชิ้ตขาวจนยับยู่ยี่ แขนสองโอบรอบเอวสอบตัวสั่นระริก ไม่สนใจอะไรใดๆ รอบข้างอีก ทิ้งให้ร่างสูงยืนตัวแข็งลังเลว่าตัวเองจะกอดตอบดีหรือว่าลูบหัว ช่วยไม่ได้ เหมันต์ไม่เคยชินกับสิ่งพวกนี้สักเท่าไหร่ การมีน้องชายก็ไม่ได้ช่วยให้เหมันต์อ่อนโยนขึ้นแต่อย่างใด

"...สวัสดีครับ ป๋า"

ซินเป็นคนทักก่อนที่คนอื่นๆ จะยกมือไหว้ตามกันเป็นพัลวัน

ฉับพลันใบหน้าที่ท่าทีลังเลก็กลายเป็นดุดันอย่างฉุนจัด นัยน์ตาสีเทาวาวโรจน์แทบจะเผาซินที่ยืนลอยหน้าลอยตาทั้งเป็น "บอกกี่ทีว่าอยากเรียกป๋าไง! ฉันเพิ่งอายุสามสิบสองเอง! "

คนโดนเอ็ดจิ้ปากไม่พอใจ "ก็คนเขาเรียกป๋ากันนี่ แล้วจะให้เรียกอะไร จะให้เรียกพี่เหมันต์ก็กระดากปากป่ะ"

เหมันต์ขบกรามกรอด "คุณ-เห-มันต์ เรียกคุณเหมันต์""

ซินหน้าตูมกว่าเดิม "เรียกป๋าง่ายกว่า" แต่พอเห็นแววตาเย็นเยียบของอีกฝ่ายก็ถอนหายใจเบื่อๆ "ครับ คุณเหมันต์ ว่าแต่คุณเหมันต์ รู้จักจ้าวด้วยเหรอครับ" ใบหน้าน่ามองพยักเพยิดไปทางจ้าวที่เลิกสะอื้นแล้วแต่ซุกหน้ากับอกของป๋าใหญ่อย่างอาจหาญ

เอาจริงๆ นะ ป๋าใหญ่คือคนสุดท้ายที่เขาจะคิดว่าเป็นคนให้กุหลาบจ้าว เขาไม่เคยแม้แต่จะคาดคิดแม้เพียงเสี้ยวด้วยซ้ำว่าจะเป็นป๋า แต่มันก็เป็นไปแล้ว นี่จึงถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดคาดมากๆ

"อืม รู้จักสิ"

เหมันต์ยอมรับอย่างว่าง่าย ตัดสินใจลูบหัวจ้าวเบาๆ และพบว่าผมของจ้าวหยาบกว่าที่คิดซะอีก นัยน์ตากระตุกวูบอย่างเย็นชาเมื่อนึกถึงสาเหตุที่ผมของจ้าวกลายเป็นแบบนี้

น่าเสียที่เขาออกตัวมากไม่ได้...

"รู้จักตั้งแต่ตอนมัธยมเลยด้วยซ้ำ"

"... น่ากลัวแล้วนะ คุณเหมันต์"

ซินถอยกรูดพูดด้วยสีหน้าแหยงๆ

เหมันต์หน้าบูด "เข้าใจนิยามของคำว่าแฟนคลับไหม? ฉันก็แค่ชอบตอนจ้าวร้องเพลงแค่นั้นเอง มันผิดมากนักรึไง" ก่อนจะรู้สึกเขินนิดๆ เพราะนี่คงจะเป็นการยอมรับอย่างตรงไปตรงมากับคนอื่นครั้งแรก ไม่นับคนสนิทของเขาที่รู้อยู่แล้วและคอยเป็นหูเป็นตาเรื่องเกี่ยวกับจ้าวให้ตลอดที่ผ่านมา

"..ป๋า มีโมเมนต์นี้กับเขาด้วยเหรอ"

ซินทำหน้าช็อคหมดมาดเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่ไม่พูดอะไรแต่ก็ช็อคไปตามๆ กัน

ใครจะไปเชื่อว่าป๋าใหญ่ที่ขึ้นชื่อว่าไร้หัวใจ ไร้ความสุนทรีย์ ไร้คนรัก ไร้ความอ่อนโยน ไร้ทุกอย่างที่มนุษย์พึงมีนอกจากคุณธรรม จะมีอารมณ์นี้กับเขาด้วย!

"เออ"

เหมันต์กลอกตาหน่ายๆ

ว่างๆ เขาก็ใส่หูฟัง ฟังเพลงของจ้าวตลอดนั่นแหละ

"...ฮึก"

"..ร้องทำไม หืม..? "

ร่างสูงถามซ้ำเสียงนุ่มลูบหลังจ้าวที่สั่นระริก

จ้าวเปราะบางมากอย่างที่เขาคาดคิด.. ไหนจะปลอกคอเหล็กเย็นเยียบที่ลดทอนค่าความเป็นมนุษย์อย่างโหดร้ายนี้อีก เขาเกลียดมันมากพอๆ กับระบบชนชั้นบ้าๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมา มันน่ารังเกียจและควรจะหมดไปสักที

"..คุณเป็นของผมใช่ไหม" จ้าวพูดเสียงเครือยอมผละออกจากอกหนาเพื่อมองหน้าเหมันต์ "เป็นคนเดียวกับคนที่ให้กุหลาบผมมาตลอดใช่ไหม"

"ก็ใช่" เหมันต์เดาะลิ้นยิ้มบางๆ ให้จ้าวอย่างจริงใจ "แต่บางทีผมก็ฝากคนอื่นเข้าไปให้คุณ"

"..ขอบคุณมากจริงๆ "

จ้าวยอมผละออกปาดน้ำตาตัวเองด้วยรอยยิ้มมีความสุข หัวใจในอกที่ทั้งขาดวิ่นทั้งบอบช้ำมานับร้อยครั้งจนเป็นแผลเหวอะแหวะที่จ้าวไม่คิดว่ามันจะมีวันสมานได้ตอนนี้รู้สึกเหมือนมันสมานขึ้นมานิดๆ อุณหภูมิอุ่นร้อนที่ร่างสูงถ่ายทอดมาให้ทำให้เนื้อตัวที่เย็นเฉียบของจ้าวร้อนขึ้นมาเป็นอุณหภูมิร่างกายปกติ

เขารู้สึกเหมือนตัวเองสามารถกลับมาหายใจเต็มปอดได้อีกครั้ง

บนโลกใบนี้ยังคงหลงเหลือพื้นที่เล็กๆ ให้เขาได้ยืนบ้าง

อีกาปีกหักเงยหน้ามองนัยน์ตาสีเทาของเหมันต์ รู้สึกถึงความเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างแรงกล้า ไม่มีคำถามอย่างที่คนอื่นมักจะถามทุกครั้งที่เจอเขาเหมือนคิดว่ามันเป็นประโยคทักทาย ทั้งๆ ที่มันเป็นคำถามที่เขาไม่อยากได้ยินที่สุด

"..ขอบคุณ"

ไม่มีคำไหนที่สามารถแทนความรู้สึกจ้าวได้แล้วนอกจากคำๆ นี้

เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ยังหลงเหลือคนที่เชื่อมั่นในตัวเขามากขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยพูดแก้ต่างให้ตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียวเลยถึงเรื่องนั้น เพราะเขารู้ดีว่าถ้าคนๆ นั้นกล้าทำ นั่นหมายความว่าทุกอย่างผ่านคิดไตร่ตรองมาอย่างรอบคอบมานับร้อยรอบแล้ว

และพอได้ลงมือ เขาก็ตกลงไปในหลุมนั้น ฟื้นขึ้นมาอีกทีท่ามกลางตำรวจและกุญแจมือ กับหลักฐานมัดตัวที่เขาเพิ่งรู้ตัวตอนนั้นด้วยซ้ำว่ามี

ทุกอย่างเกิดขึ้นในพริบตาและเขาก็ตายทั้งเป็นตั้งแต่ตอนนั้น

สังคมตั้งคำถามกับจ้าว นฤภัทร

เขาตอบคำถามทุกคำถามด้วยสีหน้านิ่งเฉยทั้งๆ ที่ภายในนั้นหลั่งน้ำตา

ครืดดดด

เสียงมือถือที่ถูกตั้งห้ามรบกวนดังอืดๆ จากบนโต๊ะเรียกความสนใจจากจ้าวได้เป็นอย่างดี จ้าวลืมทุกอย่างรีบเข้าไปหยิบเพราะคนที่จะโทรหาตนเองในเวลานี้คงมีไม่กี่คนและยิ่งไม่ใช่คนที่คิด จ้าวยิ่งหน้าซีด

'พ่อ'

ใบหน้าคมละม้ายกับจ้าวในชุดกาวน์แพทย์ปรากฎขึ้น

มือของจ้าวสั่นเทาอย่างหนักจนต้องใช้อีกมือประคอง จ้าววิ่งหลบเข้าไปในห้องน้ำแล้วล็อกประตู

ผลั่ก!!

ประตูกระแทกเข้ากับแขนหนาๆ ของใครบางคนที่ไหวตัวทันและตามมาติดๆ

"ขอผมเข้าไปด้วยได้ไหม"

จ้าวเม้มปากแน่นลังเลก่อนจะยอมพยักหน้าปล่อยให้เหมันต์เข้ามาในห้องน้ำด้วยและล็อกประตู เพื่อคุยอย่างเป็นส่วนตัวเพราะจ้าวมั่นใจมากๆ ว่าตัวเองคงควบคุมตัวเองให้ปกติต่อหน้าคนอื่นไม่ได้แน่ๆ

ยิ่งกับคนที่วิ่งรุดเข้ามาในที่เกิดเหตุคนแรกๆ อย่างพ่อ..

[ฮัลโหล จ้าว]

แววตาของจ้าวสั่นระริก

นี่เป็นครั้งแรกในรอบห้าปีหลังจากวันนั้นที่พ่อยอมปริปากพูดกับเขา แต่ถ้าให้เลือก เขาจะเลือกให้พ่อเมินเขาต่อไปยังดีเสียกว่า มันไม่ใช่เรื่องดีหรอกที่พ่อที่เคร่งในกฎระเบียบและศีลธรรมยอมลดทิฐิลงมาคุยกับเขา

[อยู่ไหน?]

จ้าวตัวสั่น "อยู่บ้านเพื่อนครับ" แต่น้ำเสียงที่ตอบนั้นหนักแน่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

อย่าลืมว่าสิ่งที่จ้าวถนัดพอๆ กับการร้องเพลงก็คือการแสดง ยิ่งคนๆ นั้นสำคัญเท่าไหร่การแสดงของจ้าวก็สมจริงมากขึ้นเท่านั้น

[เพื่อนคนไหน อย่าโกหกพ่อ พ่อโทรไปเช็คกับพวกไนท์แล้ว]

น้ำตาของจ้าวคลอเบ้า

คนที่เกลียดโอเมก้าเข้าไส้มากคนนึงที่จ้าวรู้จักก็คือพ่อของเขาเอง ทั้งๆ ที่เป็นหมอก็จริงแต่คนไข้ที่พ่อรับมีแค่พวกอัลฟ่าด้วยกันเองทั้งนั้น พวกเบต้าหรือโอเมก้าที่รักษาในกรณีพิเศษก็เพื่อรักษาภาพลักษณ์เท่านั้น ถ้าเป็นไปได้พ่อเขาแทบจะไม่อยากหายใจร่วมกับโอเมก้าด้วยซ้ำ

[คงไม่ใช่เพื่อนในคุกใช่ไหม]

น้ำเสียงแข็งกระด้างทำให้จ้าวรีบโกหกคำโต

"...ไม่ใช่ครับ"

จ้าวจิกเล็บเข้าเนื้อตัวเอง พยายามกลั้นสะอื้น

เขาไม่รู้สึกดีใจสักนิดที่พ่อคุยกับตัวเอง พ่อไม่แม้แต่จะถามด้วยซ้ำว่าเขาเป็นยังไงบ้าง ไม่สิ ไม่ชายตามองเขาด้วยซ้ำตั้งแต่วันนั้น แต่เขาก็ไม่คิดจะโกรธเพราะตระกูลนฤภัทรรักเกียรติยิ่งชีพ เขาคือจุดด่างพร้อย ไม่แปลกที่พ่อจะโกรธเขามากจนแทบตัดพ่อตัดลูกกัน

[รีบกลับบ้าน พ่อมีเรื่องจะคุยด้วย]

"ครับ"

พอปลายสายวางไป จ้าวก็ร้องไห้จนตัวโยน

เวลาของเขาหมดแล้วสินะ






หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 9 : ขังกรง p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 23-03-2018 16:24:27
ตอนที่ 9



รถยนต์คันหรูสีดำจอดเทียบเข้าที่หน้าบ้านของอดีตนักร้องดัง แสงไฟที่เปิดสว่างจ้าบริเวณหน้าบ้านสาดโดนชายวัยกลางคนในชุทสูทลำลองธรรมดาแต่เนียนกริบจนเป็นเงาสีดำลางๆ ให้เห็นคนที่อยู่ในรถเห็นว่ามีคนยืนรออยู่หน้าบ้านแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนก็ตาม

คนเป็นเจ้าของรถขมวดคิ้วอย่างเป็นห่วงเมื่อคนที่พามาด้วยนั่งตัวสั่นกึกๆ ตาที่มองไปทางเงานั้นมีประกายของความหวาดกลัวไม่มีท่าทีที่แสดงถึงความดีใจสักนิดที่จะได้เจอพ่อตัวเองอย่างที่เจ้าตัวว่า

"จ้าว"

เหมันต์เรียกน้ำเสียงปกติแต่จ้าวสะดุ้งสุดตัว

จ้าวเบิกตากว้างนัยน์ตาหลุกหลิกไม่อยู่นิ่งราวกับสัตว์ป่าที่ถูกพรานป่าจับเข้ามาในขายในเมือง ใช้เวลาอยู่ประมาณสักพัก จ้าวถึงควบคุมตัวเองได้

"ครับ ขอบคุณมากนะครับ ที่มาส่งผม" จ้าวยกมือไหว้ รู้สึกเกรงใจเอามากๆ ที่ต้องให้คนที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกมาส่งที่บ้าน ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ธุระสำคัญอะไรของอีกคนแท้ๆ หนำซ้ำเขายังรุกล้ำเวลาส่วนตัวของอีกฝ่ายอีก แค่คิดถึงเรื่องนี้จ้าวก็รู้สึกเหมือนจะร้องไห้ เขาดีใจที่ได้เจอเหมันต์ก็จริงแต่มันก็คนละเรื่องกับที่เขาเป็นภาระให้อีกคน

ปลายนิ้วจิกลงกับฝ่ามืออีกครั้ง ความรู้สึกผิดที่ราวกับหมอกดำค่อยๆ ปกคลุมทั่วตัว

"ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ที่ผมจะรบกวนคุณ ขอบคุณมากๆ นะครับ"

จ้าวฉีกยิ้มจริงใจให้แม้ว่าในใจจะเศร้ามากๆ ก็ตามและก้าวลงจากรถ แต่กลับพบว่าเปิดประตูลงจากรถไม่ได้เพราะประตูล็อค ใบหน้าซีดเซียวหันกลับไปมองเจ้าของรถที่มองมาด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดาอารมณ์

"เอาโทรศัพท์คุณมา"

เหมันต์แบมือและออกคำสั่งตามความเคยชิน

จ้าวกระพริบตาปริบๆ งุนงงแต่ก็รีบลนลานหยิบโทรศัพท์ออกมาปลดล็อครหัสและยื่นมันให้อย่างว่าง่ายโดยไม่กล้าถามอะไรและนั่งก้มหน้าต่ำเงียบไม่พูดอะไร

"..."

ร่างสูงที่ตั้งใจจะกดเพิ่มเบอร์ตัวเองในโทรศัพท์ชะงักเมื่อเห็นภาพพื้นหลังโทรศัพท์ที่เป็นรูปจ้าวที่โดนนักข่าวรุมถามเกี่ยวกับการฆาตกรรมก่อนจะถูกตำรวจพาเข้าไปในคุก เขาจำได้ว่าคลิปวีดีโอนั้นเป็นทุกคนในครอบครัวไปร่วมงานแถลงข่าว เขาเห็นจ้าวคุยกับครอบครัวอยู่สักพักด้วยรอยยิ้มเจื่อนและเมื่อมาโดนนักข่าวรุมตอมถามเกี่ยวกับเหตุจูงใจต่อมากๆ หลายชั่วโมงก็ปล่อยโฮออกมาราวกับควบคุมตัวเองไม่ได้

เสียงของจ้าวในข่าวนั้นช่างร้าวราน เขาแค่ฟังยังรับรู้ถึงความเจ็บปวดของจ้าวจนรู้สึกเจ็บปวดไปด้วย แต่จ้าวร้องไม่ถึงห้านาทีก็กลับมาควบคุมตัวเองได้ หากแต่หลังจากนั้นก็ไม่ปริปากพูดอะไรอีก ทำเพียงก้มต่ำมองพื้นยินยอมให้ถูกเจ้าพนักงานพาตัวไปยังสถานที่รับโทษโดยทิ้งคำถามในใจให้สื่อมวลชนมากมาย

ใบหน้าอาบน้ำตาที่ถูกรายล้อมไปด้วยไมค์ของนักข่าวนั้นราวกับแกะที่อยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่าหิวโซ ซึ่งแกะตัวนั้นก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้เนื้อของตัวเองถูกตัดแบ่งให้นักข่าวแต่ละสำนักไปรายงานเพื่อเรตติ้งของช่องตัวเองต่อไปอย่างตะกละตะกลาม

"..ทำไมใช้รูปนี้"

เหมันต์อดที่จะถามไม่ได้เพราะคงไม่มีคนบ้าที่ไหนเอารูปที่ทำให้ตัวเองเจ็บปวดมาตั้งเป็นรูปที่เห็นได้ทุกครั้งที่เปิดโทรศัพท์แบบนี้

"...รูปอะไรเหรอครับ"

จ้าวนั่งขดตัวอย่างประหม่านวดมือตัวเอง ความกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับพ่อตัวเองคอยกระตุ้นให้จ้าวสติหลุดอยู่เป็นพักๆ

"ภาพพื้นหลัง"

ใช้เวลาสักพักกว่าคำพูดจะประมวลผลในหัวจ้าว

ภาพพื้นหลังที่เป็นภาพความอัปยศของตัวเองค่อยปรากฎขึ้นในหัวช้าๆ

"...ผมไม่ได้อยากใช้"

ใบหน้าหลุบต่ำนวดมือตัวเองแรงกว่าเดิม จ้าวหลับตาพยายามกล้ำกลืนความเกลียดชังที่สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนจากใครบางคนที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่างรอบตัวเขาในตอนนี้

ดีไม่ดี ที่พ่อเรียกตัวเขาก็อาจจะเพราะคนๆ นั้นก็ได้...

เหมันต์ไม่ได้ถามต่อและเมมเบอร์ตัวเองให้จ้าวอย่างคล่องแคล่ว แม้ว่าตัวเองจะไม่ได้แจกเบอร์ให้ใครบ่อยนักเพราะมักจะให้คนอื่นติดต่อมาผ่านทางคนสนิทหรือไม่ก็นามบัตรซะมากกว่า

"จะตั้งชื่อว่าผมอะไร"

นัยน์ตาสีเทาเหลือบมองอดีตนักร้องดัง

"...อะไรนะครับ"

จ้าวทวนคำถามเบลอๆ

"..อยากตั้งชื่อผมว่าอะไร"

เหมันต์ถามซ้ำอย่างใจเย็น

"อะไรก็ได้ครับ" จ้าวไม่เต็มเสียง แค่มาส่งเขาก็เกรงใจจะแย่แล้ว จ้าวก้มหน้างุดเมื่อเห็นใบหน้าคมจ้องตัวเองนิ่งด้วยสีหน้าที่เดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ หากจ้าวมีหูกระต่ายคงจะไม่วายลู่ลงอย่างหวาดกลัวเพราะคุณเหมันต์ที่ว่านี่น่ากลัวไม่ต่างอะไรจากราชสีห์สักนิด!

"งั้นผมเมมไว้ว่าเหมันต์แล้วกัน ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรมาได้ตลอด ไม่ต้องเกรงใจ"

"..ครับ"

จ้าวตอบรับตามมารยาทเพราะรู้ว่ายังไงตัวเองก็คงไม่มีวันโทรไปหาคุณเหมันต์แน่ๆ ถึงเจ้าตัวจะอนุญาตก็เถอะ เขาไม่คิดจะเอาปัญหาของตัวเองไปให้คนอื่นหรอก

เมื่อได้รับโทรศัพท์คืนจ้าวก็ลูบอกตัวเองและตบมันเบาๆ เชิงให้กำลังใจตัวเอง

เงาสีดำที่ทอดยาวอยู่หน้าบ้านนั้นสำหรับจ้าวและน่ากลัวราวกับมัจจุราช หากเปรียบคำพูดของคนๆ นั้นเป็นเคียวคงจะสามารถฟันคอของเขาให้ขาดได้ในพริบตา แล้วยิ่งถูกเรียกตัวฉุกละหุกแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าใดนัก

และถ้าให้เดาก็คงจะเป็นชีวิตต่อจากนี้ของเขานั่นแหละ

นัยน์ตาสีอ่อนสั่นระริก นึกเสียใจที่ตัวเองไม่กอบโกยความสุขมากกว่านี้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่มากนั้นแต่มันก็น่าจะเพียงพอให้เขานึกถึงบ้างในยามที่เจ็บปวดจนแทบสูญสิ้นสติจากหลายๆ เรื่อง

"จ้าว"

เจ้าของชื่อสะดุ้งสุดตัวหันมองคนเรียกหวาดๆ

"ผมเชื่อคุณนะ"

เหมันต์ไม่ได้พูดขยายความมากกว่านั้นแต่จ้าวกลับเข้าใจมันดี

น้ำตาอันไร้ที่มาคลอหน่วง รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาในอกจนแทบอยากละทิ้งทุกอย่างแล้วหนีไปอยู่กับร่างสูงตรงหน้าให้รู้แล้วรู้รอด ซึ่งจ้าวก็มั่นใจเอามากๆ ด้วยว่าคุณเหมันต์จะอนุญาตแม้ว่าจะยังไม่ได้ถามก็ตาม

จะให้เขาอยู่ในฐานะหรือทำงานอะไรก็ได้ ขอเพียงให้เขาได้อยู่กับคนที่เชื่อมั่นในตัวเขาจริงๆ โดยไม่ตั้งคำถามอะไร

ขอเพียงแค่นั้น..

แต่เขาก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้

"..ขอบคุณนะครับ"

จ้าวฉีกยิ้มบางๆ ให้เหมันต์ก่อนจะรีบหันหลังลงจากรถ

ขาสองข้างที่แสนหนักอึ้งลากเท้าไปข้างหน้าด้วยจังหวะสม่ำเสมอ สีหน้าเจ็บปวดค่อยๆ ถูกปรับเป็นสีหน้าปกติเมื่อประตูบ้านที่ไม่ได้ล็อคแล้วเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับคนที่โทรมาหาตั้งแต่ประมาณสองชั่วโมงที่แล้ว

"ไปไหนมา"

น้ำเสียงที่มักจะดุอย่างคนเจ้าระเบียบเสมอตอนนี้ดุเป็นพิเศษ นายแพทย์วัยกลางคนหรือนาย 'นพวิทย์' ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาระดับสายตาของจ้าวและใช้ปลายนิ้วชี้เคาะมันอย่างแข็งกร้าว ทำให้จ้าวต้องก้มหน้าต่ำอย่างสำนึกผิด

"ไปบ้านเพื่อนครับ"

จ้าวตอบอย่างคล่องแคล่วเพราะเตรียมคำตอบเอาไว้หมดแล้ว

"แล้วเมื่อกี้ใครมาส่ง" นัยน์ตาคมกริบมองจ้าวสลับกับรถแบรนด์หรูที่เพิ่งขับออกไป "พ่อจำได้ว่าแก ไม่มีเพื่อนที่ไหนนอกจากพวกไนท์นะ"

"...เพื่อนตอนเรียนม. ปลายครับ พอดีผมไปเดินหาซื้อของกินเจอมันพอดีเลยแวะไปเที่ยวบ้านมันครับ"

สีหน้าของจ้าวยังคงเหมือนเดิมแม้ว่าในใจจะรู้สึกคนละอย่างโดยสิ้นเชิง

เป็นอย่างที่พ่อว่าจริงๆ เขาไม่มีเพื่อนคนอื่นเลยนอกจากพวกไนท์.. เขาเป็นคนเฟรนด์ลี่ก็จริงแต่ส่วนใหญ่ที่รู้จักและสนิทกันติดต่อกันบ่อยๆ ก็มีแต่พวกนักดนตรีด้วยกันเอง แต่พอเกิดเรื่องนั้นขึ้นมาทุกคนก็หายไปหมด

เหลือเพียงแค่เขาตรงนั้น..

"..ช่างเถอะ" นพวิทย์กล่าวตัดบทเมื่อก้มมองนาฬิกา "ตามมา"

ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับก็ก้าวนำทันที จ้าวรีบสาวเท้าตามทั้งๆ ที่รู้สึกถึงน้ำตาของตัวเองที่คลอเบ้าและไหลออกมา จ้าวพยายามใช้ปกเสื้อเช็ดมันลวกๆ พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ร้องไห้

ลางสังหรณ์รุนแรงที่มักจะแม่นยำเสมอกำลังบอกเขาว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาได้ตีปีกหักๆ ของตัวเองออกไปข้างนอกกรง

ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีระยะเวลาที่จำกัด

"เร็ว"

"คะ ครับ"

จ้าวสะดุ้งสุดตัวแล้วรีบสาวเท้าตามไป รู้สึกถึงหัวใจในอกเต้นช้าลงกับความรู้สึกที่ด้านชาลงทุกที

นัยน์ตาโศกหลับซ่อนไว้ใต้เปลือกตา

สองขาย่างก้าวกลับเข้าสู่กรงขังอันเป็นนิรันดร์





เป็นดังที่คาด การเรียกตัวกลับมาอย่างเร่งด่วนไม่ได้เพื่อต้อนรับการออกจากคุกอย่างอบอุ่นแต่เป็นการจับอีกปีกหักมาขึงไว้บนเขียง เตรียมใช้ขวานสักเล่มจามไปตามร่างกายก่อนที่จะกอบโกยเศษซากกระดูกและขนมาเทใส่เครื่องปั่นและบดละเอียดจนไม่สามารถจำเค้ารูปเดิมได้อีก

จ้าวนั่งพับขาอย่างเรียบร้อยก้มหน้าต่ำไม่กล้ามองหน้าใคร เฝ้ารอการถูกลงอาญาจากศาลเตี้ยในบ้านที่ดูจะน่ากลัวกว่าศาลยุติธรรมในประเทศหลายร้อยเท่า เพราะผู้พิพากษาคือคนในครอบครัวกันเองไม่ใช่คนนอกที่ทำหน้าว่าความไปตามหลักฐาน

"พ่อจะส่งแกไปโครงการ HGP โครงการจีโนมมนุษย์เพื่อพัฒนามนุษย์ของอเมริกา"

นายแพทย์นพวิทย์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นภรรยาของตัวเองที่นั่งอยู่บนโซฟาพยักพเยิดเชิงให้พูด

"...ครับ"

จ้าวรับคำน้ำเสียงปกติแต่น้ำตาคลอเบ้า

โครงการ HGP หรือโครงการพัฒนาศักยภาพและศึกษามนุษย์ เป็นโครงการที่เขาเคยได้ยินมาตั้งแต่สมัยเรียนเพราะมันดังมาก แต่ก็ไม่ใช่ในแง่ดีนักเพราะสิ่งที่โครงการนี้ทำคือการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างการเอามนุษย์เป็นๆ อย่างพวกโอเมก้ามาทำการทดลองตัดต่อพันธุกรรม มีหลายร้อยคนแล้วที่ตายไปกับการทดลองนี้แต่ก็ถูกปิดข่าวเอาไว้ด้วยข่าวสวยหรูของหัวหน้าโครงการที่มักจะนำเสนอความคืบหน้าในรูปแบบขายฝัน ความจริงสิบส่วนความลวงเก้าสิบส่วน แต่แปลกนักที่คนทั่วไปก็เชื่ออย่างสนิทใจ ทำให้โครงการบ้าๆ นี่ดำเนินต่อมาเรื่อยๆ มาหลายสิบปี

"ทางนั้นเขาสนใจแกมาก อย่าทำตัวสร้างปัญหาตอนที่ไปที่นู้นแล้วกัน"

นพวิทย์เอ่ยต่ออย่างไม่ยี่หระ แววตาเฉยชาจดจ้องลูกชายตัวเองที่ถูกลบความดีความชอบทุกอย่างในความทรงจำไปแล้วเหลือเพียงคำว่าฆาตกรและความอับอายขายขี้หน้าที่สร้างให้แก่วงศ์ตระกูล

"อย่าคิดจะกลับมา"

นัยน์ตาโศกที่เป็นต้นแบบให้กับลูกทั้งสองมองจ้าวอย่างสมเพช

"เพราะฉันไม่ให้กลับ"

ไม่มีที่สำหรับจ้าว นฤภัทรในตระกูลนฤภัทรอีกต่อไปแล้ว!

ลมหายใจของจ้าวสะดุดและหยุดไปพักใหญ่กว่าจะกลับมาหายใจได้ปกติ จ้าวกัดฟันแน่นพยายามกล้ำกลืนน้ำตาของตัวเองลงและเงยหน้าสั่นๆ ของตัวเองขึ้นมามองคนบางคนที่นั่งเยื้องกับพ่อเขา

"ตอนนี้จันทร์เป็นเจ้าของแกอย่างเป็นทางการ แกไม่มีสิทธิพื้นฐานของพวกอัลฟ่าแล้ว ฉะนั้นสิ่งที่แกต้องทำหลังจากนี้คือเชื่อฟังจันทร์เพราะจันทร์จะเป็นคนพาแกไปส่งที่นั่น"

ความฝัน

ความหวัง

ความรัก

ความสัมพันธ์

ทุกอย่างพังทลายลงในชั่วพริบตา

จ้าวตัวสั่นหูอื้ออึงไม่ได้ยินสิ่งใดนอกจากเสียงร้องไห้คร่ำครวญของตัวเองปล่อยออกมาดังลั่น น้ำตาไหลบ่าออกจากดวงตาเมื่อสติสัมปะชัญญะถูกทำลายลงด้วยคำว่าสมน้ำหน้าของน้องชายแท้ๆ ของตัวเอง!!!

"ทำไม!!! "

ร่างผ่ายผอมกระโจนเข้าใส่จันทร์คว้าคอเสื้อเข้ามากใกล้ตะคอกใส่เสียงแตกแหบแห้งราวกับสัตว์ป่าที่กำลังกรีดร้องอย่างกราดเกรี้ยวและเศร้าโศก

"พี่ทำอะไรผิด จันทร์ พี่ทำอะไรผิด!!! "

จ้าวมือสั่นเทาเมื่อเห็นแววตาที่เหมือนยิ้มเยาะของจันทร์

"พะ พี่จ้าวอย่าทำผม"

มือที่จับมีดผ่าตัดจนหยาบและออกกำลังกายจนมีมัดกล้ามแสร้งทำท่าโอนอ่อนให้จ้าวราวกับแรงของนักโทษที่เพิ่งถูกปล่อยออกจากกรงขังแรงนักหนา

"..."

จ้าวพูดอะไรไม่ออก น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลออกจากดวงตา

"ผมเจ็บพี่จ้าว พี่จ้าวปล่อยผมเถอะ"

"จ้าวปล่อยน้อง!!!! "

เสียงที่ดังดั่งอสุนีบาตตะคอกดังลั่นพร้อมกับแรงกระชากคอเสื้อให้ล้มกับไปกระแทกบนพื้น

"อั่ก"

จ้าวครวญหลับตาร้องซี๊ดเหมือนรู้ถึงหยดเลือดที่ไหลซึมจากบริเวณศรีษะ ยิ่งพอรู้ว่าใครเป็นคนทำก็ยิ่งรู้สึกแย่ขึ้นไปอีก

"อย่าทำร้ายคนอื่นอีก! "

นายแพทย์นพวิทย์กล่าวตักเตือกเสียงเข้มดุดัน

"ให้หนูพริมเป็นคนสุดท้ายก็พอแล้ว! "

"อ้าก!!! "

กระแสไฟฟ้าโวลต์ไม่สูงนักแต่มากเพียงพอให้รู้เจ็บ ไหลช็อตร่างกายของจ้าวจนกระตุกไม่หยุด

มันเจ็บ... เจ็บจนแทบทนไม่ได้

จ้าวสะอื้นจนตัวโยนบนพื้น

ตั้งแต่มันเกิดมาพ่อไม่เคยแม้แต่จะตีเขาด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้มันเกิดขึ้นแล้ว

และมันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาสักนิด!

ชั่ววินาทีนั้นจ้าวก็ตัดสินใจบางอย่างได้

"พ่อ ผมไม่---"

หากแต่ยังไม่ทันได้กล่าวจนจบประโยคปลอกคอก็เคลื่อนเข้าหาคอแน่นจนหลอดลมตีบพูดอะไรไม่ออก ยังไม่ทันได้ทำอะไรต่อกระแสไฟฟ้าแรงสูงก็ถูกปล่อยออกมาอีกครั้งจนตัวจ้าวกระตุกแรงๆ และสลบไป

"จันทร์ เอามันไปเก็บในห้องได้แล้ว พรุ่งนี้รถของสถานทูตจะมารับ"

นายแพทย์นพวิทย์มองร่างบนพื้นด้วยหางตา ไม่แม้แต่คิดจะสงสัยว่าอีกฝ่ายพยายามจะพูดอะไร

สิ่งที่เขาเกลียดชังที่สุดคือคนที่ทำร้ายพี่น้องตัวเองและฆ่าคนอื่นอย่างเลือดเย็น การมีลูกเป็นฆาตกรทำให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากตัดพ่อตัดลูกให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าเป็นไปได้อยากลบนามสกุลนฤภัทรออกจากจ้าวด้วยซ้ำไป

แต่ก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น

"คุณ ไปเข้านอนกันเถอะ พรุ่งนี้เราต้องไปร่วมประชุมที่โรงพยาบาลนะ"

นอกจากบทบาทพ่อสุดเนี๊ยบสิ่งที่นายแพทย์นฤภัทรพึงมีอีกอย่างก็คือบทบาทสามีที่ดี ร่างสูงมองภรรยาตัวเองที่นั่งกำผ้าเช็ดแน่นไม่พูดอะไรด้วยสายตาเป็นห่วง

"ค่ะ"

เสียงหวานพูดเสียงเบาในลำคอก่อนจะลุกและเดินช้าๆ ออกไปเหมือนทำใจไม่ได้

"พ่อไปดูแม่แกก่อนนะ ที่เหลือก็แล้วแต่แกจะจัดการแล้วกัน"

นายแพทย์นพวิทย์ตบบ่าจันทร์เบาๆ เชิงเอ็นดูและภาคภูมิใจก่อนที่จะรีบสาวเท้าไวๆ ตอนหลังภรรยาตัวเองที่คาดว่าจะไปร้องไห้ในห้องต่อ

เมื่อเหลือเพียงสองคน จันทร์ก็ไม่ปิดบังสีหน้ายินดีของตัวเอง เดินเข้าไปใกล้ร่างที่สลบไสลและนั่งยองๆ ข้างพี่ชายตัวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและพูดด้วยน้ำเสียกลั้วหัวเราะ

"ไม่เคยได้ยินเหรอ พี่จ้าว"

นัยน์ตาโศกหรี่ขึ้นจนแทบจะเป็นรูปยิ้มตามอารมณ์

"ว่าแฝดน่ะ สามารถรับรู้ถึงกันได้"

หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 10 : ส่งมอบสัตว์ทดลอง p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 23-03-2018 16:25:32
ตอนที่ 10



“อืม…”

เสียงครางแผ่วเบาในลำคอเรียกความสนใจจากคนบางคนที่กำลังนั่งไขว่ห้างรอเวลา ‘เอาคืน’ อย่างใจจดใจจ่อ ร่างสูงโปร่งซึ่งสวมชุดสูทขาวเรียบร้อยเส้นผมถูกเซ็ตอย่างดีจนขับให้รูปลักษณ์นั้นดูหล่อเหลาจนคล้ายกับเจ้าชายสักประเทศหนึ่ง สิ่งที่สร้างความแตกต่างให้กับร่างนี้กับร่างที่เพิ่งรู้สึกตัวไม่ได้มีเพียงแค่รูปลักษณ์เท่านั้น ยังมีแว่นตากรอบบางเฉียบที่ไม่ได้มีเพื่อถนอมสายตา

แต่มีเพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างเขากับมัน!

“ตื่นแล้วเหรอครับ พี่ชาย”

จันทร์ฉีกยิ้มหวานหยอดย้อยให้กับจ้าวที่นอนอยู่บนเตียงแข็งพร้อมกับอะไรบางอย่างที่เขาตั้งใจเซอร์ไพรส์จ้าวเต็มที่

“..จันทร์?”

จ้าวพูดเสียงแหบพร่าพยายามลืมตาขึ้นและมันก็พร่ามัวจนต้องกระพริบตาถี่ๆ ถึงจะเห็นภาพรอบกายได้ชัดขึ้น แต่น่าเสียดายที่ประสาทรับรู้ที่ฟื้นตัวขึ้นนั้นก็ต้องแลกกับความจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเขาในเวลานี้

“ฮื่ออ”

ยังไม่ทันได้สำรวจอะไรดีก็ต้องหลับตาหยี ครางออกมาอย่างเจ็บปวด ร่างกายแทบทุกส่วนบอบช้ำจากการถูกกระแสไฟฟ้าแรงสูงช็อตจนตอนนี้ปวดระบมไปทั้งตัว

และนั่นก็ทำให้จ้าวนึกอะไรออก

“จันทร์!!!!”

ลืมสิ้นความเจ็บปวดตะคอกออกมาอย่างกราดเกรี้ยว

แกร๊ง!!!!!

จ้าวเบิกตากว้างเมื่อรู้สึกถึงสิ่งที่พันธนาการตัวเองชัดๆ

“ชอบไหมครับ พี่จ้าว”

คนเป็นน้องชายหัวเราะแผ่วเบาในลำคออย่างสุขใจเมื่อเห็นน้ำตาค่อยๆ หยดจากดวงตาข้างนึงของจ้าว สีหน้าเหมือนทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำเอาจันทร์อยากถ่ายรูปนี้ไปอัดกรอบให้รู้แล้วรู้รอด

“ฮึก แม่ง!!”

จ้าวสบถอย่างอดไม่ได้ สิ่งที่เขาเกลียดแสนเกลียดกลับมาอีกครั้ง โซ่ตรวนพันธนาการทั้งข้อมือข้อเท้าราวกับสัตว์สักตัวที่จะถูกเชือด เขาดีใจที่พ้นๆ จากมันได้สักทีแต่เมื่อต้องมาเจออีกครั้งก็อดโกรธไม่ได้

“สนุกมากไหม จันทร์ สนุกไหม!!!”

จนถึงตอนนี้จ้าวก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองผิดอะไร เขามั่นใจว่าตัวเองทำหน้าที่พี่ที่ดีได้ไม่ขาดตกบกพร่องแต่ก็เหมือนจะไม่เพียงพอให้จันทร์พอใจ

“ไม่สนุกแต่ผมมีความสุข”

จันทร์หัวเราะลำคอ

คำตอบตรงๆ ทำให้จ้าวนิ่งไปสักพัก พยายามทำใจยอมรับความจริงทั้งหมดทั้งความรู้สึกของน้องและความเป็นอยู่ของเขาตอนนี้ที่เกิดจากความเกลียดชังของน้องที่ดูจะมากพอจนสามารถทำร้ายคนทั้งโลก ถ้าน้องของเขาต้องการ

“พี่ขอเหตุผลได้ไหม ว่าทำไม”

แต่แปลกนักที่ความโกรธของเขามันมากก็จริงแต่น้ำเสียงที่พูดออกไปกลับนิ่งสงบกว่าที่ควรจะเป็น

“ไม่”

จันทร์ไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ ยืนขึ้นเต็มความสูงและใช้นัยน์ตาโศกที่ถูกประสบการณ์ความเจ็บปวดมากมายลับให้คมกริบ มองเหยียดจ้าวที่นอนทอดกายไร้ค่าบนเตียงอย่างสะใจ

ถ้าหากจะเปรียบจริงๆ เขาในตอนนี้ก็คงจะเปรียบได้กับพระราชาที่ครอบครองทุกอย่าง เขาในตอนนี้มีทั้งชื่อเสียง เงินตรา เกียรติยศ ความรู้ ทุกอย่างรวมๆ กันแล้วเขามีมากกว่าจ้าวในตอนนี้เป็นพันล้านเท่า ส่วนจ้าวก็เป็นแค่ขอทานพิกลพิการไร้เพื่อน ไร้เงินตรา ไร้ความสามารถและไร้ประโยชน์ แม้แต่การหายใจตอนนี้ยังถือว่าเป็นภาระของโลกด้วยซ้ำ

“…เหรอ”

จ้าวนิ่งไปสักพักก่อนจะฮัมเพลงออกมาเสียงแผ่วเจือสะอื้น

“จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า”

“คิดว่าร้องเพลงโง่ๆ นี่แล้วผมจะซึ้งเหรอ?”

จันทร์ยิ้มเยาะแม้จะรู้สึกถึงหัวใจที่กระตุกไปวูบหนึ่งก็ตาม

เพราะมันเป็นเพลงที่จ้าวร้องไห้เขาฟังตอนที่เขาบ่นงอแงคิดถึงพ่อกับแม่ ท่านทั้งสองนอกจากจะเป็นแพทย์และยังดำรงตำแหน่งผู้บริหารกิจการโรงพยาบาลแล้วยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในหลายๆ อย่างอีกด้วย ทำให้มีเวลาในการเลี้ยงลูกน้อยเอามากๆ หน้าที่การเลี้ยงดูจึงตกเป็นของพี่เลี้ยงที่มีดีกรีเป็นถึงนักเรียนแพทย์เกียรตินิยมซึ่งติดหนี้บุญคุณของตระกูลนฤภัทรคอยมาดูแลให้ตั้งแต่เด็กจนอายุเข้าวัยรุ่นถึงได้รับกลายปล่อยตัวกลับไปทำในสิ่งที่อยากทำ

“ขอข้าวขอแกง”

ภาพที่จ้าวประคองเขาที่อดข้าวมาทั้งวันเพื่อประท้วงพ่อแม่ที่ผิดสัญญาไม่มาฉลองวันเกิดปรากฎขึ้นในหัว มือเล็กๆ ตักข้าวต้ม พยายามป้อนให้เขาจนถึงปาก

“ขอแหวนทองแดง ผูกมือน้องข้า”

ในตอนที่เขาทำกำไลเงินที่สลักชื่อตระกูลนฤภัทรหาย เขาร้องไห้ไม่หยุดและจ้าวก็ยกของตัวเองให้เขา เขาถึงจะยอมหยุดร้อง

จันทร์กัดปากแน่นตัวสั่นเทา

“ขอช้างขอม้า ให้น้อง ฮึก ข้าขี่”

เสียงของจ้าวยังคงกระจ่างใสแม้น้ำเสียงจะเศร้าเต็มทน

น้ำตาไหลท่วมหน้าจ้าวเมื่อเผลอไปนึกถึงตอนที่ตัวเองดันหลังจันทร์ที่ขี่จักรยานแล้วตัวเองคอยจับหลังให้

…ทั้งๆ ที่เรามีกันแค่สองพี่น้อง

“ขอเก้าอี้.. ให้น้องข้านั่ง”

“พอ!!! หุบปากได้แล้ว ก่อนที่จะทำให้พี่สลบไปอีก!!!”

จันทร์ตะคอกเสียงแข็งกัดฟันกรอดๆ เมื่อรู้สึกถึงตาที่เริ่มจะแดงของตัวเอง และนั่นก็คือสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้!

“ขอเตียงตั้ง ให้น้องข้านอน”

จ้าวยังคงร้องแม้ตัวเองจะสะอื้นไม่หยุด

มันเกิดอะไรขึ้นนะ สายสัมพันธ์ของเขากับจันทร์ถึงได้ยุ่งเหยิงแบบนี้

เราเคยนอนเตียงเดียวใช้หมอนข้างเดียวกัน เคยฟังนิทานด้วยกัน เคยอาบน้ำด้วยกัน เคยเล่นสนุกด้วยกัน พวกเราเคยทุกอย่างด้วยกัน

“ขอละคร.. .ให้น้องข้าดู”

“ผมบอกให้หุบปากไง!!!!”

กระแสไฟฟ้าระดับกลางช็อตไปที่ร่างของจ้าวจนตัวกระตุกกึกๆ แต่จ้าวก็ยังไม่หยุดร้อง ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเพราะภาพในหัวที่กำลังนึกตอนที่ตัวเองยอมดูเบ็นเทนที่น้องอยากดู ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองนั้นอยากดูโดเรม่อนมากกว่า แต่การดูกับน้องก็สนุกไปอีกแบบ มันทำให้เขากับน้อง มีเรื่องคุยกันเพิ่มขึ้นและสนุกเอามากๆ

“อึก”

จ้าวสูดหายใจลึกกลืนสะอื้น

“ขอคุณพ่อคุณแม่ เลี้ยงน้องข้าเถิด”

เนื้อเพลงจบลงตรงนี้

เพราะเขาต้องการพ่อแม่ให้มาดูแลน้องมากกว่าตัวเอง…

“กูบอกพอ!!!”

เปรี๊ยะ!!!!

กระแสไฟฟ้าแรงสูงไหลช็อตร่างของจ้าวจนสลบลงไป



การขนย้าย ‘สัตว์ทดลอง’ นั้นเป็นไปอย่างเงียบเชียบเมื่อทางคณะทูตที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายสัตว์ทดลองจำพวกโอเมก้าโดยตรงมาเป็นผู้ดูแลการเดินทางครั้งนี้ด้วยตนเอง

รถตู้คันหรูฟิลม์ดำสนิทที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะปกปิดสิ่งที่ต้องการจะซ่อนจอดอยู่ที่อู่รถหลังบ้าน จันทร์ นฤภัทรที่สวมชุดแพทย์เต็มยศยิ้มน้อยๆ อย่างเป็นมิตรต้อนรับบุคคลสำคัญที่ก้าวลงมาจากรถ

“ยินดีที่ได้พบคุณ มิสเตอร์จันทร์ ผมชื่นชมผลการวิจัยของคุณมากจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าเราจะสามารถเปลี่ยนพวกอัลฟ่าที่ทำตัวน่ารังเกียจให้กลายเป็นพวกโอเมก้าได้”

ชายร่างบึกบึนในชุดสูทดำเรียบร้อยบนอกประดับด้วยตราสัญลักษณ์นกอินทรีย์กางปีกอันเป็นสัตว์ประชาติของสหรัฐอเมริกา พูดด้วยสำเนียงอเมริกันและยื่นมือออกไปทักทายนายแพทย์จันทร์ นฤภัทรอย่างเป็นมิตร ดวงตาสีฟ้าอ่อนที่ดูเงียบขรึมแฝงความชื่นชมอยู่

“ยินดีที่ได้พบคุณเช่นกันครับ มิสเตอร์วิลเลียม” จันทร์กระชับมือกลับและยิ้มน้อยๆ อย่างเป็นมิตรให้กับ ‘หัวหน้า’ ฝ่ายการทูตที่มักจะเป็นตัวกลางในการลักลอบขนส่งโอเมก้าของไทยไปอเมริกาเพื่อทดลองอยู่บ่อยๆ

ทั้งสองฝ่ายต่างรู้จักกันและกันผ่านทางสื่ออยู่แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ได้พูดคุยกันอย่างจริงจังโดยมีตัวเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีเป็นร่างในชุดคลุมดำที่กำลังตัวสั่นเทาจนน่ากลัว

วิลเลียมเหลือบมองสัตว์ทดลองที่ตัวเองมารับอย่างรังเกียจเพราะความเขลาขลาดของมันดูจะมันจากจนได้ยินเสียงกุญแจมือสั่นกึกๆ กระทบกัน

“แต่ผมก็ต้องชื่นชมคุณอีกนะครับคุณจันทร์” หัวหน้าคณะทูตสบตาใบหน้าที่ดูละอ่อนจะไม่น่าจะเป็นคนเด็ดขาดถึงเพียงนั้น “ทั้งๆ ที่เขาเป็นพี่คุณ แต่คุณก็ไม่สนใจเพราะคุณให้ความสำคัญกับระบบความถูกต้องมากกว่า”

“..แน่นอนครับ”

จันทร์ชะงักไม่ถึงเสี้ยววินาทีก็กลับมาเป็นปกติ ใช้ความเกลียดชังปกปิดทุกอย่าง แม้แต่ความจริงที่เขารู้อยู่แก่ใจ

วิลเลียมหัวเราะอย่างพอใจ “นี่สิ โลกเราต้องการคนแบบคุณ โลกใบนี้บอบช้ำมามากเกินพอแล้วกับการกระทำของคนชั่วร้าย ยิ่งพวกโอเมก้าพวกนี้ยิ่งต้องลงโทษมันให้สาสม ผมน่ะ ตั้งใจทำงานนี้เพื่อให้ลูกหลานอัลฟ่าของผมได้อยู่ในโลกที่ดี ถ้าเรามีบทลงโทษที่รุนแรงพอ เราก็สามารถควบคุมผู้คนได้ และในที่สุดโลกในอุดมคติอย่างพวกยูโทเปียก็จะเกิดขึ้น”

หัวหน้าหน่วยการทูตพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจโดยไม่ปิดบังเพราะนี่คือสิ่งที่เขาและทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการโครงการวิจัยจีโนมมนุษย์ต้องการให้เกิดขึ้นในอนาคต

พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้

พวกเขาเชื่ออย่างนั้นและยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา ยิ่งถ้าได้ผลการวิจัยของจันทร์มา ยูโทเปียก็จะเข้าใกล้พวกเขายิ่งขึ้น ดีไม่ดี สิ่งที่พวกเขาฝันหามานานตั้งแต่เริ่มทำงานก็อาจจะเริ่มดำเนินการในช่วงชีวิตของพวกเขาก็ได้

“ผมอยากให้มันเกิดขึ้นไวๆ ชะมัด” จันทร์หัวเราะผสมโรงแสร้งมองไปบนท้องฟ้า “และผมก็อยากให้มันเกิดในประเทศไทยด้วย ถ้าคุณไม่ลืม ตอนนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงวิกฤตเอามากๆ พวกโอเมก้าบางคนพากันออกมาอาละวาดทำตัวน่ารำคาญอย่างการปล่อยให้ตัวเองฮีทในที่สาธารณะเพื่อประท้วงอะไรสักอย่างที่ผมไม่เข้าใจเลยว่าจะทำไปทำไม”

“นั่นแหละอีกเหตุผลที่ผมอยากให้พวกโอเมก้าทั้งหมดตายๆ ไปสักที”

รอยยิ้มบนใบหน้าหัวหน้านักการทูตหายไปเหลือเพียงความชิงชังในใจ

“นอกจากไอคิวต่ำแล้วยังชอบสร้างปัญหา ผมไม่เข้าใจเลยว่าธรรมชาติจะสร้างพวกเขามาทำไม น่าจะคัดเลือกออกจากระบบไปสักที”

“ผมก็คิดอย่างนั้น” จันทร์ยิ้มแม้จะไม่ได้รู้สึกตามที่วิลเลียมพูดอะไรมากมายเพราะเขาก็ไม่ได้จงเกลียดจงชังโอเมก้าอะไรขนาดนั้น ที่เกลียดก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น

“..พวกเขาไม่ผิด”

เสียงแหบแห้งดังแผ่วมาจากร่างที่เลิกสั่นเทาแล้วเงยหน้ามองวิลเลียมด้วยสีหน้านิ่งสงบ

“ผมไม่ได้ถาม!”

แววตาสีฟ้าอ่อนแทบเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเมื่อได้ยินเสียงของโอเมก้าน่ารังเกียจ

“สตีฟ พาตัวมันขึ้นรถ”

บอกตามตรงว่าแค่ได้ยินเสียงก็ทำเอาวิลเลียมสะอิดสะเอียนแล้ว หากเขากับโอเมก้าตัวนี้อยู่ที่อเมริกา เขาคงจะไม่ลังเลที่จะตบปากมันหรือไม่ก็ใช้ปืนยิงมันให้ล้มลง ส่วนเรื่องขึ้นศาลไม่ต้องห่วงเพราะที่นั่นให้ค่ากับอัลฟ่ามากกว่าโอเมก้าพวกนี้

ไม่มีเสียงตอบรับแต่ผลที่เกิดขึ้นคือจ้าวถูกแขนแกร่งกระชากตัวขึ้นรถตู้ฟิลม์ดำที่จอดรออยู่แล้วอย่างอุกอาจ

“งั้นผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ คุณจันทร์” วิลเลียมผงกหัวให้จันทร์เชิงลา ก่อนจะแปลกใจเมื่อเห็นจันทร์ยืนเหม่อไม่ตอบตนเอง “คุณจันทร์ครับ ผมไปแล้วนะครับ” กล่าวซ้ำอีกครั้งเพื่อลาอีกฝ่ายตามมารยาท

“..ออ ครับ ขอโทษครับ ผมเผลอนึกถึงสัตว์ทดลองอีกตัวพอดี” นายแพทย์หนุ่มกระพริบตาปริบเพิ่งได้สติ แก้ตัวอย่างลื่นไหลและเชี่ยวชาญ แม้ว่าความจริงแล้วคือตัวเองกำลังนึกถึงสิ่งที่จ้าวพูดเมื่อกี้

ตอนนี้เหมือนกับเขาส่งจ้าวที่เปรียบเสมือนสัตว์เป็นๆ สักตัวไปยังห้องทดลองวิจัยจีโนมของสหรัฐอเมริกาที่ว่ากันว่า ‘โหด’ และ ‘อันตราย’ ที่สุดสำหรับพวกโอเมก้า

ฉะนั้นนี่อาจจะเป็นการเจอกันครั้งสุดท้ายระหว่างเขากับจ้าว เพราะพ่อกับแม่เปลี่ยนแผนจากที่ให้เขาตามไปอเมริกาด้วยเป็นมาดูงานบริหารโรงพยาบาลแทน ซึ่งครั้งนี้ถ้าเขาสามารถทำให้พ่อแม่ยอมรับในความสามารถได้หุ้นทั้งหมดที่พ่อแม่จะถือครองอยู่ก็จะโอนมาที่เขา

และเขาก็จะกลายเป็นบุคคลที่น่าอิจฉาที่สุดในประเทศไทย!

จบแพทย์คณะดังด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ทายาทเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง เจ้าของผลงานวิจัยระดับโลกที่ไม่มีใครเคยทำได้ รูปลักษณ์ที่ดีจนนิตยสารทั้งแฟชั่นและสุขภาพมาขอถ่ายไปลงปกบ่อยๆ

นี่เป็นชีวิตที่เขาฝันมาตลอดและมันก็กำลังจะเป็นจริงในอีกไม่นาน

จันทร์ระบายยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

“ถ้าทางนั้นสงสัยผลการวิจัยของผมตรงไหน ติดต่อมาได้เสมอนะครับ ผมพร้อมตอบหรือจะให้ผมไปหาที่นั่นก็ได้ถ้าพวกคุณต้องการ”

“อ่า น่าเสียดายจริงๆ นะครับ ที่คุณไม่ได้ไปรอบนี้ ผมเชื่อว่าถ้าคุณไปด้วย การวิจัยของเราจะเป็นไปอย่างรวดเร็วมากแน่ๆ”

“ผมก็เสียดายเหมือนกันครับ”

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

วิลเลียมระบายยิ้มบ้างก่อนจะโหนตัวขึ้นรถตู้ที่นั่งข้างคนขับก่อนที่ลูกน้องอีกสี่คนที่ตามมาอารักขาจะขึ้นรถบ้างจนครบคนและปิดประตู

รถตู้ฟิลม์ดำเคลื่อนตัวออกจากบ้านไปอย่างเงียบเชียบและแนบเนียน เพราะคงไม่มีใครคิดว่าจะมีการขนส่งตัวนักโทษอัลฟ่าชื่อดังอย่างจ้าวไปอเมริกา โทษสูงสุดอย่างมากถ้าไม่ประหารก็จำคุกตลอดชีวิต ทางเลือกของจ้าวไม่มีมากกว่านั้นเพราะโทษการฆ่าอัลฟ่าตายนั้นหนักหนาเอาควร

การพาตัวออกจากคุกที่จ้าวคิดว่าได้รับอิสรภาพนั้นคือความลวงหลอก

อีกาปีกหักมีโอกาสได้โผบินเล่นนอกกรงเพียงวันเดียวก็ต้องกลับเข้ากรง

และนำพาไปสู่ความจริงที่ว่า ตนเองได้ถูกส่งไปที่ๆ ทุกข์ทรมานกว่าคุกเสียอีก

“กูโคตรมีความสุขเลยว่ะ จ้าว”

จันทร์พึมพำออกมาอย่างอดไม่อยู่ หัวใจฟูฟ่องเหมือนลอยได้

“รู้งี้น่าจะแบบนี้ได้ตั้งนานแล้ว”

ใครจะไปรู้ว่าพอเขากำจัดจ้าวได้สำเร็จ เขาจะมีความสุขมากขนาดนี้ ความทุกข์ทรมานทั้งหมดทั้งมวลที่จุกในอกเขามานานนับสิบปีสลายหายไปเหมือนไม่เคยมีมาก่อน

เขากำลังได้ครอบครองทุกอย่างที่จ้าวเคยครอบครองและเขาทำครอบครองมากกว่าด้วย!

ทุกคนรู้จักเขา ทุกคนชื่นชมเขา ทุกคนอิจฉาเขา ทุกคนอยากเป็นเขา!

“อยากให้พี่ตายจริงๆ ผมอาจจะยิ่งมีความสุขมากกว่านี้อีก”

ความรู้สึกผิดบาปที่เหมือนจะมีอยู่ในส่วนลึกของจิตใจถูกกลบหมดด้วยความสุขที่เกิดจากวิธีการประหลาด

การฆ่าคนอื่นทั้งเป็นเพื่อความสุขของตนเอง





“สวัสดีครับ ท่าน”

พนักงานรักษาความปลอดภัยระดับสูงไหว้และค้อมหัวอย่างนอบน้อมเมื่อเห็นบัตรผ่านประตูที่คนขับรถยื่นให้ดู

“อืม” วิลเลียมแค่นเสียงอืมในลำคออย่างขอไปทีและใช้สายตาเร่งรัดให้คนของตัวเองรีบออกรถไปปล่อยเขาไว้ข้างในสักที แค่หายใจร่วมกับโอเมก้าที่นอนซุกตัวอยู่หลังรถเขาก็สะอิดสะเอียนจนแทบอ้วกแล้ว ดีหน่อยที่มันไม่แสดงท่าทีกระด้างกระเดื่องกับเขามาก ไม่งั้นมันคงจะไม่มีชีวิตรอดไปถึงศูนย์วิจัยจริงๆ

“ถึงแล้วครับ”

คนขับรถคนสนิทพูดขึ้นมาเมื่อหัวหน้าใหญ่นั่งกดโทรศัพท์ยิกๆ ด้วยสีหน้าหงุดหงิดไม่ยอมลงสักที

“เอาตัวมันไปเตรียมขึ้นเครื่องเลยนะ เดี๋ยวฉันต้องแวะไปโอนเงินให้แม่สะใภ้ก่อน”

“ครับ”

วิลเลียมส่งเสียงฮื่อใส่โทรศัพท์ซ้ำอย่างควบคุมไม่ได้ เขาเพิ่งจะโอนไปแสนนึงแท้ๆ ตอนนี้หมดอีกแล้ว ร่างหนาโยนตัวเองลงจากรถแล้วก้าวฉับๆ เข้าไปในส่วนของล็อบบี้สนามบินโดยไม่มีใครกล้าตรวจตราทั้งนั้นเพราะจำใบหน้าและเกรงใจสัญลักษณ์อัลฟ่าที่สักเอาไว้ที่แก้มอย่างภาคภูมิ

“…”

จ้าวซึ่งคู้ตัวนอนอยู่บนหลังสุดลืมตาโพลงเนื้อตัวเย็นเฉียบ รู้สึกราวกับว่าเป็นหมูที่กำลังอยู่บนรถขนหมูที่มีจุดหมายปลายทางเป็นโรงเชือด

“ลุก!”

เสียงตะคอกภาษาไทยชัดเจนดังก้องในรถจนจ้าวแทบหูอื้อมาพร้อมกับแรงกระชากตัวขึ้นมา

จ้าวมองใบหน้าดุดันที่จดจ้องมาที่ตัวเองอย่างดุร้ายด้วยความหวาดกลัว ทุกคนอยู่ในชุดสูทสีดำเรียบร้อยให้อารมณ์คล้ายกับนักธุรกิจที่มีแผนจะขยายกิจการให้กว้างไกลในต่างประเทศ

“ถ้าคิดจะเล่นตุกติกคิดจะหนีหรือสร้างความสงสัย” คนซึ่งเป็นคนกระชากจ้าวขึ้นมาจดจ้องลำคอขาวผุดผ่องที่ถึงแม้จะดูซีดเซียวแต่ก็น่ามอง เลียริมฝีปากและแสยะยิ้ม “มึงได้ลูกแฝดแน่”

“…อืม”

อดีตนักร้องดังพยักหน้าเร็วๆ ก้มหน้างุดตัดบทไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ด้วยซ้ำ สองมือผอมบางกอบกุมหน้าท้องตัวเองอย่างเผลอไผล

เมื่อก่อนเขามั่นใจว่าตัวเองไม่สามารถท้องได้แน่ๆ เพราะเป็นอัลฟ่าผู้ชาย แต่ตอนนี้เขากลับไม่แน่ใจซะแล้ว ว่ามันจะยังคงเป็นแบบนั้น การฮีทครั้งนั้นทำให้เขากลัวจนแทบบ้า ไม่อยากจะคิดเลยถ้าตอนนั้นไม่ได้ยาฉีดของซิน จะเกิดอะไรขึ้น ถ้ามีพวกอัลฟ่าที่อยู่นอกร้านได้กลิ่นคงไม่วายพากันกระโจนเข้ามาในร้านและข่มเหงเขาอย่างทารุณ

“รู้ตัวก็ดี ฉะนั้นมึงช่วยหุบปากให้เงียบด้วย”

ลูกน้องอีกคนของวิลเลียมหัวเราะในลำคออย่างลำพองใจแล้วจัดการกระชากตัวจ้าวลงจากรถและพาตัวเข้าไปในล็อบบี้ด้วยท่าทีเหมือนคนที่พาเพื่อนมาเที่ยว

มือแกร่งที่กระชากชกต่อยโอเมก้าให้ช้ำในตายมานัดต่อนัดเกาะแน่ที่ไหล่ของจ้าว แขนที่สัมผัสกับลำคอทำให้จ้าวรู้สึกอึดอัดคล้ายกับบีบคออยู่กลายๆ

ส่วนคนอื่นๆ ที่ตามมาด้านหลังพากันพูดคุยกันอย่างสนุกปาก พยายามทำให้แนบเนียนที่สุด ไม่เช่นนั้นหัวหน้าของพวกเขาจะมาลงโทษได้ถ้าเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา ซึ่งพวกเขาก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นสักนิดเพราะนอกจากจะโดนด่าแล้วเงินเดือนยังถูกหักไปครึ่งด้วย!

สาเหตุนั้นเนื่องจากทุกอย่างเกิดจากการลงทุนไม่เว้นแม้แต่โครงการนี้เช่นกัน เม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่ไหลเวียนในโครงการนั้นมีมากก็จริงแต่ก็ไม่ได้มีมากพอให้ใช้ฟุ่มเฟือยหรือตามอำเภอใจ ทำให้พวกเขาต้องใช้เครื่องบินร่วมกับผู้โดยสารคนอื่น แต่ก็ดีหน่อยที่ยังได้ที่นั่งเฟิร์สคลาส

“นั่งตรงนี้”

พูดเสียงแข็งและกดไหล่จ้าวให้นั่งลงในที่มุมอับสายตา ก่อนที่จะใช้ร่างของตัวเองบังจ้าวอีกทีเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ

“เอ่อ.. ขอ ขอผมไปห้องน้ำได้ไหม”

จ้าวพูดเสียงเบาก้มหน้าต่ำ

สองมือที่ซ่อนไว้ใต้กระเป๋าเสื้อเย็นเฉียบ

เขากำลังโกหก..

“บัดซบ!” อีกฝ่ายขบฟันกรอดๆ คล้ายกับพยายามระงับโทสะของตัวเอง “ทำไมไม่รีบบอกตั้งแต่ตอนที่เดินผ่านห้องน้ำวะ”

“ฮึก ผม ผมเพิ่งปวด”

จ้าวแสร้งบีบน้ำตาที่มาจากความจริงกึ่งหนึ่งความลวงกึ่งหนึ่งและใช้ใบหน้าเศร้าจัดที่เคยใช้ตอนแสดงโฆษณา

“เออ!” กดเสียงตอบอย่างดุดันแต่ก็ยอมลุกขึ้นและดึงให้จ้าวลุกตาม “เดี๋ยวกูพามันไปห้องน้ำก่อน พวกมึงรอตรงนี้แหละ มันไม่มีปัญญาหนีกูหรอก”

หากแต่คนที่ถูกบอกว่าไม่มีปัญญาหนีกลับยิ้มกับตัวเองเงียบๆ ด้วยมุมก้มที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

จ้าวแสร้งเดินตัวสั่นเทานำหน้า พยายามสร้างภาพลักษณ์ลูกไก่ในกำมือของอีกฝ่ายเพื่อที่จะทำให้อีกคนตายใจว่าเขาไม่หนีจริงๆ เพราะกลัวมาก

“รีบเข้า”

“คะ ครับ”

จ้าวรับคำพยักหน้าหงึกๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำพลางสวดภาวนาในใจให้เจอใครสักคนที่พอจะเป็นประโยชน์กับตัวเองบ้าง

“!!!!”

จ้าวเบิกตากว้างตกใจจนเข่าแทบทรุด

“…”

แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่เห็นเขาซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว จ้าวรีบพาตัวเองไปหลบในห้องน้ำที่ใกล้ที่สุดก่อนที่พายจะเห็นตัวเองเข้าจริงๆ

“เฮ้ออออ”

ถอนหายใจออกมาแทบหมดปอดอย่างโล่งอก

จะไม่ให้เขาตกใจได้ไงเพราะพายคือน้องชายแท้ๆ ของพริม อดีตคู่หมั้นที่เขาโดนกล่าวหาว่าฆ่า!

สายตาเชิดชูราวกับเขาเป็นพระเจ้าของพายแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังที่มากพอจะฆ่าเขาซ้ำๆ เป็นหลายร้อยครั้งถึงจะสาแก่ใจ

พายเกลียดเขามากเพราะเคยรักเขาเหมือนพี่ชายแท้ๆ อีกทั้งเขายังเป็นพี่ใหญ่ในวงมูนไลท์เลยต้องดูแลพายซึ่งเข้ามาในวงทีหลังและเป็นมือเบส อายุที่น้อยกว่าทำให้เขาเอ็นดูพายและคอยดูแลมาตลอดหลายปี

ถึงแม้เขาจะต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นแค่ไหนแต่ถ้าอีกคนเป็นพาย ก็คงต้องยอมถอย เขาทนเห็นสายตาผิดหวังและโกรธจนแทบฆ่ากันทั้งเป็นไม่ไหวหรอก

“พี่คิง เสร็จยัง! นี่มันจะนานเกินไปแล้วนะ ผมล้างมือรอจนจะเปื่อยแล้วเนี่ย”

“ออกไปก่อนไป! พี่ท้องเสีย คงอีกนานว่ะ”

เสียงคิงตะโกนที่ใกล้หูและชัดเจนจนหัวใจของจ้าวแทบหยุดเต้น

“โอเคๆ งั้นผมไปนั่งรอข้างนอกแล้วกัน”

จ้าวค่อยๆ เบือนหน้าหันไปมองข้างหลังก็มองเห็นร่างคุ้นหน้าคุ้นตาของใครบางคน

“จ้าว”

ใบหน้าที่ปกติมักจะทำหน้าเฉยชาเบื่อโลกฉีกยิ้มเมื่อคนที่ดีใจที่สุดในโลก

“คิงมาช่วยแล้ว”

หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 11 : คลับแซนด์วิช p.1 (23 มี.ค 61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 23-03-2018 16:27:25

ตอนที่ 11



"ทำไมมันเข้าไปนานนักวะ" ร่างในมาดนักธุรกิจสบถอย่างไม่สบอารมณ์นักเมื่อก้มมองนาฬิกาข้อมือและพบว่าปาไปสิบห้านาทีแล้ว ไอ้โอเมก้าเวรยังไม่ออกมาสักที ไม่แน่ใจว่าตกส้วมตายไปแล้วหรืออะไร

ด้วยความหงุดหงิดและหมดความอดทนจึงกระแทกเท้าเข้าไปในห้องน้ำดังปึงปัง อย่างไรก็ตามเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่กว่าคนทั่วไปทำให้เขาไม่จำเป็นต้องมียางอายหรือมารยาทมากนัก

พลั่ก

และบังเอิญชนไหล่เข้าไปกับร่างโปรงที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำชายพอดี

"หึ! " คนชนแค่นเสียงหึอย่างรังเกียจ เพราะไอ้คนที่เขาชนนั้นสวมชุดกระโปรงสีชมพูลายจุดหวานแหววผมสีดำถูกปล่อยสยายเต็มหลังถึงแม้จะมองไม่เห็นใบหน้าแต่ก็พอจะรู้ว่าคนๆ นี้ไม่ใช้ผู้ชาย

และไม่ใช่ผู้หญิงเสียด้วย!

ร่างสูงกลอกตาหน่ายๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำชาย

ทำให้คนที่โดนกลับชนมาหายใจหายคอได้อีกครั้ง แต่ก็ทำใจได้ไม่นานนักก็รีบสาวเท้าเร็วๆ เดินออกจากห้องน้ำไปยังสถานที่นัดพบที่อีกคนในห้องน้ำนัดแนะเอาไว้

“…!”

จากหนึ่งคนเป็นทั้งแก็งค์ ดูเหมือนว่าเขาจะใช้เวลาเตรียมตัวนานไปหน่อย ทุกคนในทีมเลยแห่กันมาเข้าห้องน้ำด้วยสีหน้าหงุดหงิดเต็มทน

จ้าวพยายามอย่างยิ่งในการเดินต่อไปข้างหน้าด้วยท่าทางก้มหน้าเหนียมอายและเล่นโทรศัพท์

“แค่ก!”

อยู่ๆ หนึ่งในพวกมันก็ไอค่อกแค่กเหมือนอะไรติดคอ มันคนนั้นหยุดกุมปากตัวเองและเหลือบมองเห็นร่างในชุดกระโปรงพอดี หากแต่มันก็มองแล้วเมินเฉยเช่นกันเพราะไม่ใช่รสนิยมของมัน

นัยน์ตาโศกที่ซ่อนหลังผมหน้าม้าเเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนกแต่ก็ยังคงก้าวต่อ ไม่ปล่อยโอกาสในการตีปีกเอาชีวีตรอดแม้แต่วินาทีเดียว เมื่อพ้นรัศมีพวกมันอย่างรอดปลอดภัย จ้าวก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังร้านเบอร์เกอร์ร้านนึงที่เมื่อก่อนเป็นร้านประจำของวงมูนไลท์ ถึงแม้มันจะผ่านไปหลายปีแต่จ้าวก็ยังจำได้ดีว่าร้านที่ว่าอยู่ไหน

หากแต่ขาสองข้างที่ก้าวไปข้างหน้ากลับช้าเต็มทน ฝูงชนมนุษย์ทั้งไทยทั้งเทศเดินผ่านเขากันอย่างวุ่นวาย การแบ่งชนชั้นที่นับวันจะชัดเจนขึ้น ทำให้พวกมนุษย์อัลฟ่ามีรถกอล์ฟสำหรับสนามบินคอยรับส่งแทนที่จะมาเดินร่วมกับพวกเบต้าธรรมดาๆ หรืออาจจะโชคร้ายเดินเฉียดจนต้องมีช่วงวินาทีที่ต้องใช้อากาศหายใจร่วมกับพวกโอเมก้า

“…หึ”

จ้าวแค่นเสียงหัวเราะในลำคอเมื่อผู้ปกครองของเด็กคนนึงกระชากเด็กออกห่างจากเขาอย่างรังเกียจเมื่อเห็นปลอกคอโอเมก้าเข็มขัดหนังปลอมๆ ที่เขาจงใจใส่ข้างนอกให้เห็นได้ชัดเพื่อปกปิดของจริงที่เป็นเหล็กข้างใน

ไม่สิ เรียกว่าเศษเหล็กจะถูกต้องกว่าเพราะตอนนี้มันถูกทำให้ไร้สัญญาณอินเตอร์เน็ตไปชั่วคราวอีกทั้งยังถูกตัดระบบไฟฟ้าด้วยเครื่องอะไรสักอย่างที่คิงเอามาติดให้เขา

เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าโอเมก้าจะมีชีวิตที่ยากลำบากขนาดนี้ เมื่อก่อนเขาคิดว่าคงยากกว่าเบต้าทั่วไปสักสองสามเท่า แต่เรื่องจริงๆ คือเป็นร้อยเท่า พวกเบต้าอาจจะแค่รังเกียจไม่ชอบอยากรังแกแต่พวกอัลฟ่านั้นไม่อยากเห็นอยู่ในสายตาเลย

ทั้งๆ ที่ระบบการสืบพันธุ์แบบนี้ถูกคัดเลือกมาพร้อมกับมนุษย์แท้ๆ เขาไม่เข้าใจสักนิดว่าจะแบ่งแยกกันทำไม ในสมัยก่อนอาจจะเพราะโลกภายนอกเต็มไปด้วยภัยอันตรายจนมนุษย์เพศหญิงที่อ่อนแอมีลูกได้ยาก มนุษย์เลยต้องพัฒนาระบบเพศให้มีความหลากหลายมากขึ้นเพื่อไม่ให้สูญสิ้นเผ่าพันธุ์

แต่เมื่อมาถึงสมัยปัจจุบันกลับรังเกียจมนุษย์ที่เป็นพวกโอเมก้า ซึ่งเขาก็ไม่มั่นใจนักว่ามาเริ่มขึ้นตอนไหนแต่ที่รู้ๆ มันทำให้พวกโอเมก้าที่เป็นมนุษย์เหมือนกันใช้ชีวิตยากมากทีเดียว

ทุกอย่างที่เป็นไปในโลกล้วนเล่นตลก

เขาที่เคยมีชีวิตที่มีความสุขมากยังกลายเป็นแค่ฝันกลางวันเลย

จ้าวหัวเราะแล้วเดินต่อด้วยไหล่ที่มั่นคงขึ้น ไม่สนใจสายตาคนอื่นมองมาที่ตัวเองอย่างรังเกียจหรือใครก็ตามที่สนใจตัวเอง เขาสนใจ ใส่ใจคนอื่นแล้วเป็นไงล่ะ ไม่เห็นจะมีใครใส่ใจเขาบ้างเลย มีแต่เขาที่เจ็บปวดแทบตาย เจ็บจนแทบทนไม่ได้แต่ก็ยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป

“ทางนี้”

จ้าวชะงักขาที่กำลังจะก้าวเข้าไปในร้านเมื่อเห็นว่าใครโบกมือเรียกตัวเอง

“..พาย?”

ครางในลำคออย่างไม่แน่ใจนักเพราะตั้งแต่วันนั้นพายก็ไม่มองหน้าเขาตรงๆ อีกเลย มีแต่ความโกรธความเกลียดชังที่ปะทุขึ้นมาทุกครั้งที่เขาเผลอไปสบตาอีกฝ่ายเข้า

“ทางนี้!”

เสียงเรียกเน้นหนักซ้ำสองทำให้จ้าวรีบจ้วงไปนั่งตรงข้ามพายด้วยสภาพเกร็งจัด ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าอีกฝ่ายด้วยซ้ำเพราะกลัวความโกรธที่คาดเดาไม่ได้

“พี่จ้าว”

จ้าวกระพริบตาปริบอย่างไม่เชื่อหู เงยหน้ามองพายที่ยิ้มน้อยๆ ให้ตัวเองเหมือนเมื่อก่อน ถึงสายตาจะไม่เทิดทูนเขาเอาไว้เหนือสิ่งใดแต่ก็นั่งก็เพียงพอแล้วที่ทำให้จ้าวน้ำตาคลอ

“ไม่โกรธพี่แล้วเหรอ ฮึก”

อดีตนักร้องดังที่โดนป้ายสีว่าเป็นฆาตกรอดหลั่งน้ำตาไม่ได้ เขาถูกเกลียดมามากมายจนชาชิน นี่เป็นไม่กี่ครั้งที่ถูกทำดีด้วยโดยที่เขายังไม่ทันทำอะไรเพื่อแก้ตัว

“ตอนนั้นผมไม่ได้ถามพี่ ว่าพี่ทำรึเปล่า”

พายยิ้มเศร้าๆ เมื่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาหลายปีแต่ยังคงเด่นชัดราวกับเกิดขึ้นเมื่อวานในใจจ้าว

“ผมเอาแต่โกรธ โทษพี่ที่ทำพี่พริมตาย ผมไม่รู้ว่าใครทำแต่ก็ผมก็ยังโกรธมากๆ อยู่ดี”

น้ำตาที่คลอเล็กๆ ทำให้จ้าวรู้ว่าความเคียดแค้นของพายยังคงอยู่แต่มันไม่ได้มีเพื่อเขาอีกต่อไป

“ผมถามพี่ตรงๆ นะ พี่จ้าว”

พายสบตาจ้าว เช่นเดียวกับจ้าวที่สบตาไม่วอกแวก

“พี่ฆ่าพี่พริมรึเปล่า”

“พี่สาบานได้เลยว่าพี่ไม่ได้ฆ่า”

ทันทีที่คำนี้หลุดออกจากปาก จ้าวก็รู้สึกเหมือนบ่วงแน่นที่รัดคอไม่ให้พูดมาตลอดค่อยๆ คลายออก

“แล้วถ้าพี่ไม่ได้ทำแล้วใครทำ”

พายถามต่อ นัยน์ตาเริ่มสุมด้วยไฟแห่งความโกรธ พี่สาวคนเดียวที่ห่างกันเพียงแค่ห้าปี จากไปด้วยการฆาตกรรมของใครบางคน นั่นไม่ใช่เรื่องที่พายจะยอมรับได้

“…”

แปลกที่เขาพูดไม่ออกอีกแล้ว ทั้งๆ ที่อยากตะโกนแทบตายว่า ‘จันทร์เป็นคนฆ่า! และเรื่องทั้งหมดก็เกิดจากจันทร์ทั้งนั้น เขาไม่ผิดอะไรสักนิด’

เขารู้เรื่องพวกนี้อยู่แก่ใจแต่ก็ยังพูดไม่ออก ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะปกป้องคนที่กระทำผิดทำไมในเมื่อเขาคนนั้นไม่คิดจะสงสารเขาด้วยซ้ำ มีแต่ผลักไสให้ไปตายให้พ้นๆ หน้าเสียที

สายสัมพันธ์ฝาแฝดที่เขาคิดว่ามีก็ตัดขาดไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน เขาร้องเพลงนั้นทุกครั้งที่จันทร์ร้องไห้และมันก็ได้ผลเสมอมา แต่เมื่อวานมันได้ผลกลับกัน จันทร์ไม่ได้ร้องไห้แต่เป็นเขาเองที่ร้องไห้แทบขาดใจในตอนที่น้องออกไปจากห้อง เขารู้อยู่แล้วล่ะว่าน้องเกลียดเขา แต่ก็ไม่คิดว่าจะมันจะมากขนาดนั้น เขารักน้องมาก หลายอย่างในชีวิตเขาก็มีผลมาจากน้องทั้งนั้น

‘จ้าว จ้าวร้องเพราะมากเลย’

เสียงทุ้มนุ่มนิ่มคล้ายกับเขายกนิ้วโป้งให้พร้อมกับยิ้มจนตาหยี ทั้งๆ ที่มีใบหน้าเหมือนกันแต่จ้าวกลับรู้สึกว่าจันทร์นั้นน่ารักที่สุดในโลกจนอดไม่ได้ที่จะโผกอดกลับแล้วตอบ

‘ถ้าจันทร์ชอบจ้าวร้อง จ้าวก็จะร้องเพลงตลอดไปเลย!’

เหตุผลง่ายๆ ของการมาเป็นนักร้องของเขาส่วนหนึ่งก็เพราะจันทร์ แต่เขาไม่เคยบอกใครแม้แต่เพื่อนในวงเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเก็บเป็นความลับสนุกๆ ระหว่างฝาแฝดมากกว่า แต่ดูเหมือนจันทร์จะไม่คิดอย่างงั้น น่าแปลกที่เขาไม่เคยดูออกเลยว่าใบหน้ายิ้มแย้มที่มีให้เขามาตลอดของจันทร์นั้นไม่ใช่ของจริง แต่ถ้าเป็นไปได้เขาก็ยังอยากให้ตัวเองโง่ดูยิ้มนั่นของจันทร์ไม่ออกเหมือนกัน ไม่อย่างงั้นเขาก็คงจะมีความสุขมากกว่านี้

“พี่จ้าว”

เสียงของพายเรียกสติที่ลอยไปไกลของจ้าวกลับมาอีกครั้งหนึ่ง จ้าวกระพริบตาปริบแล้วยิ้มให้พายบางๆ

“พี่ไม่รู้”

จ้าวส่ายหัวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง

สุดท้ายเขาก็หักใจพูดออกไปไม่ได้อยู่ดี นึกเกลียดตัวเองเหมือนกันที่จะมาทำตัวเป็นคนดีทำไมในเมื่อมันไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้นสักนิด

“ช่างเถอะ เดี๋ยวค่อยคุย” พายตัดบทแล้วหยิบกระเป๋าสะพายที่ใส่ชุดเก่าผมไปถือ “เรารีบไปรอที่รถเถอะ ผมว่าตอนนี้มันเริ่มรู้ตัวแล้ว”

จ้าวเหลือบมองไปข้างหลังที่เริ่มมีเสียงเอะอะโวยวาย ดูเหมือนพวกนั้นจะเลิกทำตัวเนียนๆ เหมือนส่งยาเสพติดแล้ว ตอนนี้พวกมันไล่กระชากแต่ละคนมาเช็คปลอกคอเหล็กที่คออย่างวุ่นวาย เจ้าหน้าที่ที่น่าจะเป็นพวกของพวกมันถือบัตรประจำตัวไล่ตรวจพวกเบต้ากับโอเมก้าไปทั่ว

“ไปเร็ว! รถเรามาแล้ว”

พายลากตัวจ้าวแล้วโยนขึ้นไปบนรถกอล์ฟสีดำที่มีกระจกฟิล์มดำปิดมิดชิดดูหรูหรากว่าพวกอัลฟ่าทั่วไปไปอีกขั้นทันทีประตูปิดรถก็ขับผ่านพวกมันไปอย่างแนบเนียนโดยที่พวกมันต้องหลีกทางให้เป็นเมตร เพราะนี่เป็นรถกอล์ฟของพวกอัลฟ่าพิเศษซึ่งมีนัยน์ตาสีทองและมีความสามารถพ่วงมาอย่างพละกำลังมากเอย ทักษะบางอย่างที่เป็นเลิศเอามากๆ เอย หรือไม่ก็สติปัญญาที่เฉลียวฉลาดกว่ามนุษย์ทั่วไปหลายเท่า ระดับไอคิวโดยเฉลี่ยของพวกอัลฟ่าพิเศษคือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปด ทำให้พวกนี้มักจะอยู่ในวงการวิทยาศาสตร์ชั้นนำคอยพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์และควบคุมมนุษย์ที่มีสายเลือดด้อยกว่าตนเอง

แต่อย่างไรเสียเพราะความโดดเด่นของพันธุกรรมทำให้อัลฟ่าประเภทนี้ค่อนข้างหายาก โอกาสพบในมนุษย์มีเพียง 0.01% และในประเทศไทยก็มีเพียงไม่กี่คนและหนึ่งในนั้นก็คือ ‘พาย’

“เดี๋ยวแวะจอดรับคิงด้วยนะครับ ลุง”

พายยังทำตัวดุ๊กดิ๊กเหมือนที่เคยเป็นด้วยการเกาะเบาะหน้าแล้วพูดงุ้งงิ้งข้างหูคนขับ

“ลุงบ้านแกสิ ไอ้เด็กเปรต”

คนโดนเรียกลุงคำรามในลำคอ “และประเด็นคือวันนี้ฉันมีสอน ทำไมฉันต้องมาขับรถให้เด็กกินนมไม่เคยหมดขวดอย่างแกวะ”

“ก็ลุงชอบผมไง ฮิฮิ”

“…”

จ้าวนั่งตัวเกร็งทำหน้าไม่ถูกเพราะเพิ่งเคยเห็นพายโหมดนี้ เมื่อก่อนตอนอยู่กับเขาก็ดุ๊กดิ๊กๆ เหมือนหมาพันธุ์ปอมแหละแต่ไม่เคยเห็นตอนที่อ้อนจนแทบจะปีนขึ้นไปบนตักแล้วเลียหน้าคนขนาดนี้

ไม่น่าเชื่อว่าแค่ห้าปีทุกอย่างรอบตัวเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว พายที่เขาคิดไม่ตกและเคยนั่งพนันกับคนในวงว่าคงมีแฟนเป็นหมาปั๊กยังได้แฟนเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาหน้ากลัวมากกว่าคุณเหมันต์ซะอีก นี่ไม่ใช่ปั๊กแล้วแต่เป็นร็อตไวเลอร์ชัดๆ

ขับไปได้สักพักจนคิงขึ้นมาในรถ บทสนทนาจึงวกกลับมาที่จ้าวอีกครั้งอย่างที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรก

“สรุปพี่จันทร์จะส่งพี่จ้าวไปโครงการจีโนมจริงๆ ใช่ไหม”

พายซึ่งเป็นคนรู้เรื่องนี้คนแรกกอดอกถามจ้าวด้วยสีหน้าเป็นห่วง ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนของเขาที่ทำงานในโครงการนั้นแอบส่งข่าวมาบอก เขาก็คงไม่มีทางรู้เรื่องนี้แน่

“ก็อย่างที่พายรู้นั่นแหละ”

จ้าวยิ้มเจื่อนแล้วเหลือบมองข้อมือตัวเองที่ถูกประทับเป็นสัญลักษณ์โอเมก้า

“ทางนั้นสนใจพี่มากเพราะพี่เป็นอัลฟ่าคนแรกที่กลายเป็นโอเมก้าจริงๆ ”

ไม่แน่ถ้าเขารักวงการวิทยาศาสตร์มากกว่านี้ก็คงจะยอมเสนอตัวไปเองอย่างว่าง่าย แต่น่าเสียที่เขาไม่ได้รักวงการนี้และไม่อยากเป็นหนูตัวทดลองตัวที่เท่าไหร่ไม่รู้ที่ต้องตายในการทดลองที่ไม่ยอมเปิดเผยต่อสาธาณชนถึงวิธีการทดลอง ที่ไม่รู้ว่าโหดร้ายหรือไม่ พวกโอเมก้าที่ถูกจับมาทดลองถึงได้ตายเอาๆ เหมือนผักเหมือนปลา

“ไปอยู่กับกูไหม จ้าว” คิงรวบมือจ้าวไปจับแน่นด้วยสีหน้าจริงจัง “กูปกป้องมึงได้ ไอ้เครื่องนั่นกูยังหามาให้มึงได้เลย แค่ซ่อนมึงจากพวกนั้นมันไม่ยากหรอก”

มือของคิงเย็นเฉียบต่างจากมือของใครอีกคนอุ่นร้อนขัดกับชื่อ จ้าวมองใบหน้าที่เห็นเหล่าแฟนคลับกรี๊ดนักกรี๊ดหนาถึงความเท่ความคูลของคิงแล้วหลุดยิ้มเล็กๆ

ตอนนี้คิงที่ว่าในสายตาเขา เหมือนกับเด็กที่กำลังกุมมือเด็กสาวแล้วบอกฉันจะปกป้องเธอเองซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่อยากเป็นสาวน้อยคนนั้นแน่ๆ

จ้าวไม่ได้ดึงมือตัวเองออกปล่อยให้มือเย็นเฉียบเกาะกุมตัวเองจนรู้สึกว่ามือตัวเองค่อยๆ เย็นตาม

“มึงซ่อนกูไม่ได้ตลอดหรอก คิง” อดีตนักร้องนำยิ้มให้คิงที่ทำหน้านิ่งแต่เขาก็เห็นได้ชัดเจนถึงความผิดหวังที่ฉายชัดอย่างตรงไปตรงมาในแววตา “ตอนนี้กูไม่ใช่จ้าวคนเดิมแล้ว คิง จ้าวที่มึงเห็นตอนนั้นมันตายไปแล้ว”

ในแง่ของจิตใจจ้าวที่โลกสวยคิดบวกคนนั้นได้แต่ไปแล้วจริงๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเรือนจำ จนในที่สุดก็ไม่หลงเหลืออะไรอยู่อีกนอกจากตัวตนที่ยอมรับต่อความเป็นจริงและหมดสิ้นความหวังที่จะนำพาคนอื่นไปสู่ความหวังอีกต่อไป

จ้าวค่อยๆ ดึงมือตัวเองออกแม้ว่าคิงจะพยายามดึงเอาไว้แค่ไหนก็ตาม

“กูขอบคุณที่มึงมาช่วยกูวันนี้นะ แต่ถ้ามึงอยากได้กูกลับไปเล่นวงเดียวกับมึง กูทำไม่ได้ว่ะ กูไม่อยากร้องเพลงของวงมูนไลท์แล้ว ไม่อยากให้กำลังใจใครทั้งนั้น กูยังเอาตัวเองไม่รอดเลยจะมีปัญญาไปช่วยใครล่ะ วันดีคืนดีกูอาจจะแพ้ยาบ้าๆ ที่น้องให้กูกินแล้วชักตายไปเลยก็ได้ ใครจะไปรู้”

“กูชอบมึงนะ จ้าว”

แววตาของคิงสั่นระริกพยายามจะจับมือผมอีกครั้งแต่ผมชักมือหลบไว้ข้างหลัง ซึ่งท่าทีการตอบรับของจ้าวมันก็ชัดเจนจนคิงอดพูดเสียงครือไม่ได้

“ทำไมมึงไม่ให้โอกาสกูล่ะ จ้าว ถ้าไม่ใช่กู ใครจะช่วยมึงได้วะ”

ความผิดหวังเริ่มแปรเป็นความโกรธ

“พี่คิง ใจเย็นๆ “พายใช้มือแตะๆ คิงเชิงเตือน อารมณ์คล้ายกับหมาปอมที่ใช้อุ้งเท้าสั้นของมันแตะหางเสือที่กำลังโกรธจัดได้ที่เพราะเหยื่อที่มันควรจะได้กินกลับหนีจากมัน

“รู้ไหม” คิงหัวเราะเสียงต่ำ “ตั้งแต่ที่ไอ้ไนท์รู้ว่ามึงยอมรับว่าฆ่าพริม มันก็ไปเข้าวงอื่นเลย มันเชื่อว่ามึงฆ่าจริงๆ ทั้งๆ ที่มันบอกว่ามันเชื่อว่ามึงไม่ได้ฆ่า ซึ่งกูก็ไม่เข้าใจมันเหมือนกันว่าทำไมต้องโกหกกูถึงห้าปี อ้างว่าไปช่วยวงนั้นเล่น ทั้งๆ ที่มันบอกจะรอมึงกลับมา แต่ก็นะ มันไม่รอและมันก็ไปแล้ว มันทิ้งมึง ตอนนี้มึงเหลือแค่กู”

คิงชี้หน้าตัวเองที่ดวงตาขึ้นสีแดงก่ำ

“กูเป็นคนไปคุยกับพายเอง พายถึงได้ยอมมาช่วยมึงวันนี้ มึงไม่คิดเหรอ จ้าว ว่าทำไมอยู่ๆ พายก็เลิกโกรธมึงทั้งๆ ที่ตอนนั้นแทบจะกระโจนเข้าไปบีบคอมึงให้ตายตรงนั้นเลยด้วยซ้ำ”

มือเบสรูปหล่อประจำวงมูนไลท์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้จ้าวแล้วคำรามใส่

“เพราะกูไงจ้าว! เพราะกูรักมึงไง กูถึงยอมช่วยมึงขนาดนี้ กูยอมเล่นเพลงของวงเราที่แม่งไม่มีใครกล้าเล่น กูยอมโดนพ่อด่าเรื่องไม่กลับไปทำธุรกิจครอบครัวก็เพราะกูรอมึงไง กูรอมึงกลับมาและสิ่งที่กูต้องการก็คือโอกาสในการพิสูจน์ตัวเองของกู นี่ไง กูขอแค่นี้เอง มึงให้กูไม่ได้เหรอ จ้าว”

หากแต่คนที่ถูกทั้งคำรามใส่กลับนิ่งกว่าที่ควร ใบหน้านั้นยังคงรอยยิ้มน้อยๆ อย่างที่ควรจะเป็นแม้ว่าตอนนี้จะไม่มีอะไรน่ายินดี

“…พี่คิง” พายพูดเสียงแผ่วเจี๋ยมเจี๊ยมเพราะสิ่งที่พี่คิงพูดก็จริงทั้งนั้น ตอนนั้นเขาเอาแต่โกรธไม่ยอมฟังหรือรอเหตุผลอะไรทั้งนั้น ขนาดแม่พยายามพูดเขายังไม่ฟังเลย

เขาก็แค่เศร้า เศร้าที่ต้องเสียพี่สาวที่ตัวเองรักมากๆ และเพิ่งจะวางแผนไปเที่ยวด้วยกันสองพี่น้องพร้อมกับซื้อของขวัญให้เขาเนื่องในวันเกิด

และสิ่งที่เขารับรู้คือมันจะไม่มีวันเกิดขึ้น เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้เขาแทบกลายเป็นบ้าได้แล้ว ประมาณห้าชั่วโมงที่แล้วเขายังได้ยินเจื้อยแจ้วของพี่สาวแต่ห้าชั่วโมงถัดจากนั้นก็ได้ยินข่าวร้ายจากปากพี่จันทร์

ชั่ววินาทีนั้นเหมือนโลกทั้งใบของเขาถล่มลงมาเลยทีเดียว แต่เวลาก็คือเครื่องเยียวยาที่ดีที่สุด ตอนนี้เขาอาการดีขึ้นแล้วและพอจะคิดได้ว่าตัวเองได้ทำอะไรร้ายแรงลงไปบ้าง

“คิง”

จ้าวเรียกเสียงเย็นแววตาว่างเปล่าจนคิงชะงักกึก ความโกรธที่เป็นเพลิงไหม้รุนแรงดับทันควัน สีหน้าของจ้าวทำเอาคิงรู้สึกกลัวเพราะนั่นไม่ใช่สีหน้าที่คิงเคยเห็นและคุ้นเคยสักนิด

“กูขอบคุณนะที่มึงช่วยและรอกูนานขนาดนี้ แต่สิ่งที่มึงกำลังทำคือลำเลิกบุญคุณจากกู”

ใบหน้าที่คิงเคยคิดว่าเป็นใบหน้าที่ตนเองจำได้ขึ้นใจกลับเป็นใบหน้าเดียวกับที่รู้สึกเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

สีหน้าเย็นชาและนัยน์ตาที่มองมาอย่างเย็นชา

จ้าวไม่เคยทำแบบนี้กับเขา… ไม่เคยทำแม้แต่ครั้งเดียว!

คิงเผลอถอยชนกับประตูรถดังปึงแต่ตัวก็ยังสั่นเทาอย่างยอมรับไม่ได้

“มึงยอมรับเถอะว่ากูไม่ได้ชอบมึง กูว่ากูเคยบอกมึงแล้วนะว่ากูมองมึงเป็นแค่เพื่อนและมันจะไม่มีวันมากไปกว่านั้นด้วย กูรู้จักมึงตั้งแต่มึงหัวเกรียนนะ คิง กูรู้เพื่อนชอบเพื่อนมันเกิดขึ้นได้ มึงชอบกู กูไม่ว่า แต่ก็ไม่ได้ชอบมึง โอเคนะ แล้วตอนนี้กูก็ไม่ได้ชอบใครด้วย เรื่องนี้ไม่มีใครผิด กูก็แค่ไม่ได้ชอบมึงเฉยๆ และมึงก็หยุดทำเหมือนกูผิดมากซะทีที่ปฏิเสธมึง”

นานพักนึงกว่าคิงจะประมวลผลคำพูดของจ้าวได้

“กูก็เลย… ขอแค่โอกาสไง จ้าว”

จ้าวแค่นเสียงหัวเราะเล่นเอาทั้งคิงทั้งพายอึ้ง

“ขอโทษที่กูใจร้ายว่ะ คิง”

ภาพคนๆ นึงปรากฎในหัวจ้าวจนจ้าวอดยิ้มน้อยๆ ไม่ได้

คนที่น่าจะใหญ่พอที่จะคุ้มครองเขาได้สบายๆ ไปจนตายเลยล่ะมั้ง

“แล้วพี่จ้าวจะอยู่ยังไง ถ้าไม่ให้พี่คิงช่วย” พายถามด้วยสีหน้ากังวล ไม่ว่าคิดยังไงการไปอยู่กับคิงก็คือทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ ถึงที่บ้านคิงจะไม่ใช่พวกทหารตำรวจหรือพวกของทางการ แต่ธุรกิจอสังหาในมือก็มีเงินไหลเวียนอยู่จำนวนไม่น้อยเช่นกันซึ่งมันก็น่าจะมีเพียงพอในการลบตัวตนของใครสักคนให้หายไปจากสารบบ

“คนอย่างจันทร์ไม่ใช่คนโง่”

ครั้งนี้กลับเป็นคนขับรถที่จ้าวให้ฉายาว่าร็อตไวเลอร์เป็นคนพูด ใบหน้าที่ถูกกาลเวลากัดกร่อนให้มีริ้วรอยมีความเครียดเขม็งแฝงอยู่ “การหาตัวคนในประเทศไทยสำหรับเขาคงไม่ใช่เรื่องยากหรอก อย่าลืมสิว่าตระกูลนฤภัทรมีเงินมากกว่านายตั้งเท่าไหร่”

คิงขบเคี้ยวฟันเมื่อตระหนักถึงความไร้ความสามารถของตัวเอง “แล้วจะทำยังไงล่ะ ในเมื่อหนทางที่ดีที่สุดคือมาอยู่กับผม”

“อย่าออกความเห็นที่มีแต่ความคิดของตัวเองสิ”

คนอายุมากสุดในรถเอ็ดด้วยสีหน้าเหมือนเดิมราบเรียบและหมุนพวงมาลัยพารถออกไปจอดเทียบกับรถสปอร์ตสีดำทองคันยาวที่ไว้สำหรับรับส่งพวกอัลฟ่าพิเศษโดยเฉพาะ

บทสนทนาจำต้องหยุดชั่วคราวเพราะต้องเปลี่ยนรถพอทุกคนประจำที่จ้าวก็เอ่ยขอทันที

“… ผมขอยืมมือถือได้ไหม ผมว่าผมมีวิธีรอดของผมอยู่”

จ้าวหันไปหาคนที่ดูจะพึ่งพาได้มากที่สุดในตอนนี้ด้วยท่าทีนอบน้อม พออีกฝ่ายยื่นให้ก็กดเบอร์โทรที่จำได้ขึ้นใจเพราะตัวเลขเหมือนกันซะเจ็ดตัว เลขสวยมากคาดว่าน่าจะประมูลมาแพง

[ฮื่อ.. ฮัล..โหล]

จ้าวหลุดยิ้มนิดๆ กับเสียงพูดงัวเงียของอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าเขาจะไปขัดจังหวะเวลานอนพักกลางวันของใครบางคนเข้าซะแล้ว

“ผมจ้าวนะ”

[ฮื่อออ จ้าวไหนวะ]

“จ้าว นฤภัทรครับ”

[อะไรนะ]

จ้าวพยายามอย่างยิ่งในการไม่หลุดยิ้มกว้างกับเสียงของคนที่ไม่ตื่นดี สติสตังค์เหมือนจะยังอยู่ในความฝันไม่ยอมออกมาด้วย

“จ้าว วงมูนไลท์ครับ”

[สปอรต์ไลท์? ฉันว่าฉันไม่ได้สั่งนะ ไปคุยกับเลขาฉันไป]

“จ้าวที่คุณเป็นแฟนคลับน่ะครับ”

[คลับแซนด์วิช ฮื่อ ฉันไม่ได้อยากกิน]

“คุณเหมันต์ตื่นสักทีเถอะครับ!”

ในที่สุดจ้าวก็ทนไม่ไหวตะโกนใส่โทรศัพท์จนปลายสายสะดุ้งตื่น ได้สติกลับมาเต็มร้อยจนแทบเกิน

[มีอะไรให้ช่วย?]

น้ำเสียงนุ่มนวลจากปลายสายทำให้จ้าวรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาแปลกๆ

“ผมขอไปหลบบ้านคุณได้ไหม ให้ผมไปเป็นคนใช้ก็ได้ ตอนนี้จันทร์จะส่งผมไปอเมริกาแล้ว”

ถึงความรู้สึกเกรงใจจะอึดอัดอยู่เต็มอกก็เถอะ แต่เขาสบายใจที่สุดแล้วกับความช่วยเหลือของคุณเหมันต์ เพราะคุณเหมันต์เป็นคนๆ เดียวที่ยังอยู่ตรงนั้นเพื่อเขามาตลอดและสม่ำเสมอ

ดอกกุหลาบขาวนั่นคุณเหมันต์อาจจะให้ตามมารยาทหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ที่แน่ๆ มันมีความหมายกับจ้าวมากเพราะมันคือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวไม่ให้ตีปีกโผบินเข้าสู่อิสระอันเป็นนิรันดร์

เขาอยากหนีให้พ้นจากความเจ็บปวดแต่ไม่รู้จักวิธีอื่นนอกจากความตาย

แต่กุหลาบของคุณเหมันต์ทำให้เขารู้สึกมีความสุข ถึงแม้มันจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ที่ทำให้เขารู้สึกมีคุณค่า ซึ่งนั่นก็เพียงพอให้อยากอยู่ต่อ

เขาไม่รู้หรอกว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไงแต่อย่างน้อยๆ ได้อยู่ภายใต้เงาของคนที่ทำให้เขายอมไม่ตายเพื่ออยู่ต่อ ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้

ไม่สิ ต่อให้เขาไปอยู่กับคิง ก็คงประคองชีวิตได้ไม่นานนัก ดีไม่ดีอาจจะตายวันตายพรุ่งเลยก็เป็นได้

[มาสิ ฉันจะสั่งเลขาไว้แล้วกัน ฮื่อ ขอฉันนอนก่อนนะจ้าว ฉันเพิ่งได้นอนตอนนี้เอง]

“ครับ ฝันดีครับ”

[อืม.. รีบมาล่ะ]

จ้าวเงยหน้าสบตากับคุณร็อตไวเลอร์ที่มองมาอย่างรอคำตอบ

“ไปลงที่คฤหาสน์ตระกูลกิลลาสครับ”

พายกระพริบตาถี่ๆ “เอ่อ คงไม่ใช่ที่อยู่ข้างซ่องนกพิราบใช่ไหม พี่จ้าว”

“อือ ตรงนั้นแหละ”

“เดี๋ยวจ้าว มึงรู้จักคนที่นั่นด้วยเหรอ” คิงถามสีหน้าเคร่งเครียดไม่ละความพยามยามของตัวเองที่เริ่มจะสั่นคลอน “กูไม่สนหรอกว่ามึงจะชอบหรือไม่ชอบกู แต่กูช่วยมึงได้นะจ้าว ต่อให้กูช่วยมึงไม่ได้เท่าที่มึงอยากได้แต่กูก็จะพยายามให้ได้มากที่สุด”

“กูรู้จักมิสเตอร์เหมันต์”

จ้าวเอนหลังพิงเบาะแล้วหลับตา รู้สึกเหนื่อยล้าทั้งๆ ที่วันนี้ยังไม่ได้ทำอะไรมากมาย

“แล้วกูล่ะ จ้าว มึงเอาไปไว้ตรงไหน”

“มึงเป็นเพื่อนกูนะ คิง กูพูดไปแล้วและกูจะไม่พูดซ้ำอีก”

“ตั้งแต่กูคบมึงมากูยังไม่เคยเห็นมึงจะรู้จักมิสเตอร์เหมันต์อะไรนั่นเลย มึงคิดว่าเขาไว้ใจได้มากกว่ากูเหรอวะ!”

บรรยากาศในรถค่อยๆ ร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าแอร์จะเย็นเฉียบบาดผิว

“…”

“ตอบกูสิจ้าว มึงเงียบทำไม!”

“…”

“ตอบกูไอ้จ้าว!!!”

คิงกระชากคอเสื้อจ้าวเข้ามาใกล้ถลึงตามองอย่างเดือดดาลและได้ผล จ้าวค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยสีหน้าที่คิงเริ่มกลัวหนักกว่าเก่าและริมฝีปากบางเฉียบนั้นก็คำรามใส่เขาจนเผลอปล่อยมืออกจากคอเสื้อ

“กูไม่อยากเป็นภาระใครเข้าใจไหมวะ!!!!”

จ้าวตะคอกตาขึ้นสีแดงก่ำ

“กูไปอยู่กับมึง ถ้าเกิดมีคนจับได้ ธุรกิจมึงเละแน่ พวกมันไม่เอามึงไว้หรอก มึงคิดเหรอลำพังเงินพ่อแม่จะคุ้มครองกูได้ตลอดไป มึงโลกสวยเกินไปรึเปล่า คิง กูไปอยู่กับคุณเหมันต์เพราะเขามีอำนาจมากกว่ามึงและพวกมันคงต้องเกรงใจบ้างถ้าคิดจะทำอะไร”

มือของคิงสั่นพอๆ กับแววตาที่สั่นระริก

นี่ไม่ใช่จ้าว… ไม่ใช่จ้าว ที่เขาหลงรักแทบตาย

“ถ้าอยากจะช่วยกูจริงๆ เดี๋ยวกูจะติดต่อไปเอง แบบนี้จะปลอดภัยกับทุกฝ่ายที่สุด”

จ้าวพูดสรุปก่อนที่จะหยิบผ้าปิดตาสำหรับนอนที่น่าจะเป็นของพายมาปิดตาและหนีเข้าสู่ห้วงนิทราไม่ยอมพูดอะไรอีก

เพราะนี่เป็นทางออกที่สุดที่สุดเท่าที่สมองเล็กๆ ชองเขาจะคิดออกแล้ว…



===============

หายไปนาน  :katai5:

หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 11 : คลับแซนด์วิช p.1 (23 มี.ค 61)
เริ่มหัวข้อโดย: Aomlove^^1412 ที่ 23-03-2018 18:07:19
 :pig4: อ่านแล้วเจ็บมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 11 : คลับแซนด์วิช p.1 (23 มี.ค 61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 24-03-2018 07:50:21
สงสารจ้าวมาก
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 11 : คลับแซนด์วิช p.1 (23 มี.ค 61)
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 24-03-2018 10:23:56
อ่านจบแล้วก็แบบ :เฮ้อ:
คิดไม่ออกเลยว่าจะมีวิธีไหนหรือเหตุการณ์อะไรที่จะสอนให้จันทร์คิดได้
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 11 : คลับแซนด์วิช p.1 (23 มี.ค 61)
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 24-03-2018 10:37:58
สงสารจ้าว  :hao5:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 11 : คลับแซนด์วิช p.1 (23 มี.ค 61)
เริ่มหัวข้อโดย: Minzero ที่ 24-03-2018 11:21:26

อยากโดดตบจันทร์มาก! :katai1:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 11 : คลับแซนด์วิช p.1 (23 มี.ค 61)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 24-03-2018 15:41:33
พระเอกไหวนะคะ 5555
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 11 : คลับแซนด์วิช p.1 (23 มี.ค 61)
เริ่มหัวข้อโดย: tungz ที่ 24-03-2018 16:07:00
ชอบเรื่องนี้อ่ะ มาต่อเร็วๆน้าา
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 11 : คลับแซนด์วิช p.1 (23 มี.ค 61)
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 24-03-2018 20:01:39
ทำไมเราไม่เคยอ่านเรื่องนี้ รู้สึกพลาด มีความดิ่งสุดทำไมเราร้องตามได้ขนาดเน้
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 11 : คลับแซนด์วิช p.1 (23 มี.ค 61)
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 24-03-2018 22:45:58
อ่านเรื่องนี้แล้วน้ำตาไหล :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 12 : จิตใจที่แตกสลาย p.1 (4/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 04-04-2018 01:45:44
                                                                                            ตอนที่ 12                     

               

“เชิญนั่งรอตรงนี้เลยครับ เดี๋ยวอีกสักพักคุณเหมันต์จะลงมาพบคุณจ้าวครับ”

พ่อบ้านอาวุโสเก่าแก่ประจำตระกูลกิลลาสกล่าวจบก็โค้งตัวและขอตัวออกไป

‘กิลลาส’ เป็นตระกูลอันดับต้นๆ ในเมืองไทยตอนนี้เพราะแต่ละคนมักจะโลดแล่นอยู่ในวงการการเมือง มีทั้งอดีตทูตที่เกษียณตัวเองไปแล้ว เพื่อนคู่คิดนายกรัฐมนตรี หรือจะคนใหญ่คนโตในชั้นปกครอง ซึ่งแต่ละคนก็ล้วนแต่มีเลือดอัลฟ่าไหลเวียนอยู่ในตัวและที่โดดเด่นที่สุดก็คงจะเป็นบิดาของเหมันต์ที่เป็นอัลฟ่าพิเศษแบบเดียวกับพาย ความสามารถที่โดดเด่นที่สุดก็คือสมองที่ฉับไวและปราดเปรื่องมาก สมองคิดโจทย์เลขยากๆ ในพริบตาอีกทั้งยังมีความสามารถในการเล่นหุ้น จนได้ฉายาว่าพ่อมดตลาดหุ้น เพราะมักจะจับจะซื้อขายหุ้นได้ในเวลาที่ประจวบเหมาะพอดีจนได้กำไรมหาศาล

บิดาของเหมันต์จึงเป็นที่ยอมรับในสังคมอย่างมาก ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งสำคัญในชนชั้นปกครองเหมือนเครือญาติคนอื่นๆ แต่ความสามารถก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาก็เป็นใครอีกคนที่ไม่สามารถมองข้ามได้ง่ายๆ เงินจำนวนมากมายในบัญชีทั้งไทยทั้งเทศทำให้คนพากันเข้าหากันอย่างประจบประแจง หวังสักนิดที่เศษเงินพวกนั้นจะหลุดเข้ากระเป๋าตัวเองบ้าง

แต่น่าเสียดายที่บิดาของเหมันต์ไม่ใช่คนบ้ายอ พอลูกชายคนโตมารับตำแหน่งแทนตัวเองก็วางมือจากวงการไปใช้ชีวิตบั้นปลายได้สองสามปีก็จากไปด้วยโรคมะเร็ง เหลือเพียงบุตรชายคนโตที่ต้องบริหารดูแลทุกอย่างในวัยเพิ่งเรียบจบหมาดๆ จนหัวปั่น ถึงแม้จะฝึกงานมาตั้งแต่เด็กแต่พอทุกอย่างมาอยู่ในมือก็เล่นเอาถือแทบไม่ไหว

เหมันต์กลายเป็นคนขึ้นเหยียบแท่นประธานบริษัทตระกูลกิลลาสแทนแต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เหมันต์นั้นไม่เปิดเผยตัวต่อสังคมภายนอก มีเพียงคนไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่เคยเห็นหน้าค่าตาท่านประธานบริษัทกิลลาสในตอนนี้

และจ้าวก็อยู่ในกลุ่มคนผู้โชคดีนั่นพอดี

“จ้าว”

เจ้าของชื่อพรูลมหายใจออกแทบหมดปอด เหลือบมองคนที่ตามลงมาจากรถ ทั้งๆ ที่เขาก็พูดชัดเจนแล้วถึงสาเหตุที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใครนอกจากคุณเหมันต์

แต่ใครบางคนก็ยังคงดึงดันตามมาให้ได้ ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นห่วงเขาและไม่ไว้ใจคุณเหมันต์

ซึ่งเอาเข้าจริงถ้าคุณเหมันต์คิดจะยิงเขา เขาก็คงปล่อยให้ยิงตายไปเลย ไม่โกรธด้วยซ้ำ ชีวิตทุกวันนี้ที่เขายังอยู่ต่อมาได้ก็เพราะคุณเหมันต์ ถ้าคุณเหมันต์เบื่อเขาแล้วจะฆ่าเขาทิ้ง ก็ไม่เป็นไร เขาก็เหนื่อยเต็มทีแล้วเหมือนกันกับชีวิตบ้าๆ บอๆ ตอนนี้

แต่เขาก็มั่นใจอีกนั่นแหละ ว่าเขาคนนั้นไม่ฆ่าเขาหรอก ไม่แน่ใจเหมือนกันทำไมคิดแบบนั้น แต่คนที่มีอ้อมกอดอุ่นๆ และใจดีแบบนั้นคงไม่โกหกใครหรอก

“โอเค คิง” จ้าวนั่งลงกับโซฟานุ่มแล้วสบตาคิง “กูเข้าใจมึงคิดยังไงกับกู”

คิงหน้าขึ้นสีนิดๆ เมื่อถูกชักเข้าประเด็นนี้ แต่ใจนึงก็กลัวเพราะจ้าวเอาแต่ปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนหัวใจที่เต้นอยู่ในอกแทบจะขาดเป็นชิ้นๆ ไม่น่าเชื่อว่าคนที่มีรอยยิ้มร่าเริงให้คนอื่นตลอดเวลาแบบนั้นจะสามารถพูดเรื่องโหดร้ายกับเขาได้มากขนาดนี้

“แต่มึงก็ต้องเข้าใจกูว่ากูไม่ใช่จ้าวคนเดิมอีกต่อไปแล้ว” จ้าวหัวเราะนิดๆ ใช้ปากกาที่วางอยู่บนโต๊ะมาเคาะปลอกคอเหล็กตัวเองดังแก๊งๆ “ตอนนี้จะว่ากูบ้าไปแล้วก็ถูก เพราะกูเปลี่ยนไปแล้ว กูไม่อยากจะมานั่งคิดเผื่อคนทั้งโลกอีก กูเบื่อแล้ว กูเจ็บมามากเกินพอแล้ว ถ้ามึงอยากให้กูกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนก็ฆ่ากูเถอะ กูทำไม่ได้หรอก”

“…”

มือเบสแห่งวงมูนไลท์พูดอะไรไม่ออก รู้สึกเหมือนคนที่ตัวเองหลงรักมาตลอดนั้นได้หายไปแล้วจริงๆ หายสาบสูญ ไม่มีทางตามกลับมาได้อีก แววตาของจ้าวที่มองเขามันช่างว่างเปล่าเหมือนตอนนั่งบนรถ

แต่มันกลับดูน่าสงสาร แววตานั่นราวกับสัตว์ที่ถูกมนุษย์ทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนไม่หลงเหลือศรัทธาอะไรอยู่อีก

คิงสูดน้ำมูกฟึดๆ เขาแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว “มีอะไรอยากให้กูช่วย บอกกูแล้วกัน กูจะพยายามเท่าที่ทำได้ กูยังใช้เบอร์เดิมที่มึงสมัครให้”

ได้ยินดังนั้นจ้าวก็ยิ้มออกผลุดลุกขึ้นไปกอดคิงเต็มแรงและแน่นอนว่าคิงก็กอดกลับเต็มแรงเช่นกัน

“ขอบคุณนะ ที่มึงยังเชื่อใจกู”

นอกจากมิตรภาพแล้วอ้อมกอดนี้ก็ไม่ได้ความคิดอื่นแฝงอยู่อีก

“เพราะคนอย่างมึงไม่มีวันฆ่าใคร”

คิงกระซิบหลุดสะอื้นพอรู้สึกว่าตัวเองร้องไห้ก็รีบผละออกมาเพราะกลัวเสียฟอร์ม ยิ่งเห็นจ้าวยิ้มให้ตัวเองก็เหมือนจะร้องไห้ออกมา

คนบ้าอะไร ทั้งๆ ที่ยิ้มอยู่แต่ทำหน้าเหมือนโลกจะถล่มลงมา

“กูจะพยายามตัดใจจากมึงนะ จ้าว”

คิงพยายามปั้นหน้าตัวเองให้ดูดีที่สุด พยายามยิ้มถึงแม้จะยิ้มไม่ออกก็ตาม “มีอะไรโทรหากู อย่าลืม”

“อืม”

จ้าวโบกมือให้มือเบสที่ตัวเองเคยใช้เวลาหลายปีอยู่ร่วมกันอย่างใจหาย แผ่นหลังหนาที่พยายามจ้ำหนีเขาไวๆ สั่นเทาหนักเหมือนสะอื้น แน่สิ ใครบ้างล่ะ ที่โดนปฎิเสธแล้วจะไม่ร้องไห้ แต่จะให้เขามองคิงมากกว่าน้องชายก็คงเป็นเรื่องยากเกินไป เขารุ่นเดียวกันก็จริงแต่คิงอ่อนกว่าสองปีเพราะเข้าเรียนก่อนเกณฑ์ และเขาก็เป็นคนสอนเบส สอนการเข้าสังคม สอนทำอาหาร สอนแทบทุกอย่างเพราะครอบครัวคิงไม่ค่อยมีเวลาให้คิงเท่าไหร่ คิงถึงได้ตัวติดและคิดกับเขาเกินเลยขนาดนั้น แต่มันก็ผิดที่เขาเหมือนกันนั่นแหละที่ไม่เคยชัดเจน เอาแต่ให้โอกาสลมๆ แล้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองไม่มีวันคิดเป็นแบบอื่น

เอาจริงๆ เรื่องเขาก็ผิดอีกนั่นแหละ

จ้าวฮัมเพลงในลำคอ น้ำตาหยดช้าๆ อย่างไม่รู้ตัว

เพลงแอบรัก

เพลงที่คิงที่ปกติเอาแต่เล่นเบสทั้งวี่ทั้งวัน อยู่ดีๆ ก็เอาไปให้โปรดิวเซอร์และในที่สุดมันก็กลายเป็นเพลงใหม่ในวง โดยมีชื่อคนแต่งเด่นหราเป็นมือเบส เอาจริงๆ ตอนนั้นก็เอะใจอยู่ว่าแต่งให้ผมรึเปล่า แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก ภาพที่คิงพยายามดูแลผม เอาขนมนมเนยหาน้ำหาเก้าอี้ให้ปรากฎขึ้นในหัวช้าๆ

“ใจร้ายชะมัด”

จ้าวแค่นเสียงหัวเราะ นึกตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมเขาถึงได้มีข้อผิดพลาดมากมายนัก ทำไมเขาถึงได้เก่งแต่ทำเรื่องแย่ๆ ให้คนอื่นรู้สึกไม่ดีนะ

“ร้องไห้อีกแล้ว”

เสียงทุ้มหูดังข้างหูพร้อมกับเบาะข้างๆ ที่ยวบลงเยอะมาก

“ร้องไห้ทำไม? หืม”

เหมันต์ขมวดคิ้วมุ่นไม่พอใจนักมองจ้าวที่พอโดนทักก็ยังไม่หยุดร้องอีก แล้วคนบ้าอะไรยิ้มให้คนอื่นทั้งน้ำตาแบบนี้ “จะยิ้มก็หยุดร้องไห้ก่อน เลือกเอาสักอารมณ์”

จ้าวหัวเราะใช้หลังมือปาดน้ำตาตัวเองป้อยๆ “ก็ผมดีใจนี่นาที่ได้เจอคุณ”

“ดีใจจนร้องไห้นี่ก็ไม่ไหวนะ”

ร่างหนาทิ้งตัวเอนหลังลงกับพนักพิงอย่างเหนื่อยล้า นัยน์ตาสีเทาปรือปรอยมองจ้าวด้วยความง่วงงุนเพราะยังนอนหลับไม่เต็มอิ่ม

“ว่าแต่คุณเถอะได้นอนบ้างรึยัง”

ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรเหมือนกัน ที่ทำใหจ้าวรู้สึกเหมือนเรื่องร้ายๆ ทั้งหมดเหมือนไม่ได้เกิดขึ้น ตอนนี้มีเพียงแค่เขากับคุณเหมันต์ เขาที่เป็นอีกาบาดเจ็บที่ไปซุกซ่อนใต้เงาที่ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งอย่างคุณเหมันต์

“ฮึก”

“ร้องอะไรอีก”

จ้าวหัวเราะทั้งๆ ที่น้ำตายังไหลไม่หยุด “ขอบคุณที่คุณเหมันต์ช่วยผมนะครับ ไม่อย่างนั้นผมจะคงตายไปตั้งนานแล้ว”

สุดท้ายเหมันต์ก็ต้องทิ้งความง่วงของตัวเองมานั่งดีๆ จ้องอดีตนักร้องที่ตัวเองเคยชอบเขม็ง ลอบสำรวจร่างกายอีกฝ่าย พอเห็นชัดๆ ก็รู้สึกแย่กับรอยช้ำตามตัวเต็มไปหมด จ้าวไม่คิดจะดูแลตัวเองเลย ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเป็นคนดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้าแท้ๆ แบรนด์ดังหลายแบรนด์ก็ดึงตัวไปเป็นพรีเซนเตอร์ได้ใช้ของฟรีๆ ไปตั้งหลายปี

“ถอดเสื้อ”

“เอ๋” จ้าวทำหน้าเหรอหรา “อะไรนะครับ”

“ถอดเสื้อ” เหมันต์กล่าวย้ำด้วยสีหน้านิ่งสงบเหมือนกับว่าตัวเองพูดคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ

“…แต่”

“ไม่มีแต่ ถอดเสื้อสักที หรือจะให้ฉันถอดให้”

ร่างสูงกว่ากอดอกพูดด้วยสีหน้าทะมึนขึ้น การนอนน้อยทำให้ความอดทนของเหมันต์ต่ำมาก ถ้าหากจ้าวยังดื้ออีก เขาเนี่ยแหละที่จะถอดให้เอง

“…ก็ได้ครับ” จ้าวหดคอหวาดๆ หน้าขึ้นสีแต่ก็ยอมถอดเสื้อยืดไม่มีลายที่เพิ่งเปลี่ยนเมื่อกี้ออก เผยให้เห็นร่างกายซูบผอมที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำที่ยังไม่หายดี โดยเฉพาะบริเวณข้อมือที่เป็นรอยช้ำม่วงอย่างน่ากลัว เรียกได้ว่าดูรวมๆ แล้วไม่ได้ทำให้เหมันต์อารมณ์ดีขึ้นสักนิด

“หันหลัง”

น้ำเสียงของประธานบริษัทกิลลาสตอนนี้น่ากลัวจนจ้าวรีบทำตามอย่างเคร่งครัด

“สักด้วยเหรอ?”

จ้าวสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกมืออุ่นร้อนลูบบริเวณรอยสักตัวเอง

“ครับ”

ร่างซูบผอมหลับตาลงรู้สึกผ่อนคลายลงอย่างประหลาดกับมือที่กดบริเวณช่วงเอวที่มีขี้แมลงวันอยู่สองเม็ด

“อีกาที่ถูกแทง? สวยดีนะ”

“…”

จ้าวไม่ได้ตอบเพียงพยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วย

“แล้วรอยช้ำนี่ได้มาได้ยังไง? โดนพวกคนในคุกทำร้ายมางั้นเหรอ” เหมันต์หลุดถามไปอย่างหงุดหงิด ทำไมคนที่ดีและสมควรยืนอยู่บนจุดสูงสุดอย่างจ้าวถึงต้องโดนฉุดกระชากทำร้ายให้มาอยู่ในสภาพนี้นะ

มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย..

สิ่งที่ท่านประธานบริหารสูงสุดไม่ได้สังเกตคือสีหน้าของจ้าวที่กลับไปนิ่งสงบว่างเปล่า

“เปล่า ผมทำตัวเอง”

คำพูดของเหมันต์กำลังขุดคุ้ยอดีตอันเลวร้ายของจ้าวในคุกขึ้นมาพร้อมกับตัวตนอีกตัวตนที่จ้าวพยายามกดมันไว้ตลอดแต่มันก็หลุดออกมาแทบจะทุกครั้งที่มีคนไปสะกิดเรียกมัน

“ผมอยากตาย ผมก็เลยพยายามทำร้ายตัวเอง”

จ้าวพูดน้ำเสียงเรียบนิ่งหันมาสบตากับนัยน์ตาสีเทาที่แฝงความประหลาดใจ รอยยิ้มร้ายปรากฎบนใบหน้าอย่างไม่รู้ตัว

“ผมทรมาน ผมไม่อยากอยู่ ผมทนไม่ได้กับการเจ็บปวดซ้ำๆ ทุกครั้งที่ผมนอน ผมจะฝันถึงอดีตของผมที่มันไม่วันเกิดขึ้นอีก ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมผมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย ผมไม่เข้าใจ”

ใบหน้าของจ้าวเริ่มมีเค้าความเจ็บปวด มือข้างนึงเผลอจับแขนตัวเองและบีบแน่นจนเกิดเป็นรอยช้ำม่วงเช่นเดียวกับบริเวณอื่นๆ ของร่างกาย

“แต่ความเจ็บปวดก็ทำให้ผมรู้สึกดี มันทำให้ผมมีความหวังว่าผมอาจจะตายและรอดพ้นจากนรกแห่งนี้สักที แต่ผมก็ไม่ตาย… ไม่ตายสักที ทั้งๆ ที่ผมอยากตายจะตาย แต่ผมก็ไม่ตาย ผมไม่เคยอยากอยู่ คุกที่นั่นยังกับนรก ทุกคนเอาแต่รังเกียจผม หาว่าผมบ้า ถ้าพวกเขาโดนเหมือนผม เขาก็บ้าเหมือนกันนั่นแหละ ฮึก ผมไม่ได้ทำอะไรผิด พวกเขามาติดคุกส่วนใหญ่ก็ทำตัวเองกันทั้งนั้น แล้วผมล่ะ ผมทำอะไร ทำไมผมต้องมาเจออะไรแบบนี้”

สติของจ้าวเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความคลุ้มคลั่งที่ซุกซ่อนในใจเริ่มปรากฎ นี่คือสิ่งที่ไม่มีใครรู้ว่าจ้าวเป็น ความเจ็บปวดทางจิตใจที่มากพอจนทำให้คนเสียสติ ไม่ใช่คำกล่าวลอยๆ แต่มันเกิดขึ้นแล้วกับจ้าว

เพียงแต่ทุกครั้งจ้าวจะกดมันลงไปได้ก่อนที่ทุกคนจะเอะใจและโยนจ้าวเข้าไปในโรงพยาบาลจิตเวช

“จ้าว”

เสียงทุ้มเรียกพร้อมกับดึงมือของจ้าวมากุม

แต่ก็ไม่ได้ผลเพราะจ้าวจิกเล็บเข้าไปในมือเหมันต์แน่นจนเลือดซึม

“ผมไม่ได้บ้า”

จ้าวพึมพำแววตาหม่นหมองจนคนมองทนแทบไม่ได้

“จ้าว”

เหมันต์ดึงตัวจ้าวเข้ามากอดอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ ตัวของจ้าวในตอนนี้นั่นดูเปราะบางจนแทบจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ ถึงจะพยายามแสดงความเข้มแข็งมากขนาดไหนแต่ก็ไม่อาจปกปิดความเป็นจริงที่จ้าวเคยแตกสลายไปแล้วได้

“อยู่ที่นี่ปลอดภัย ไม่ต้องห่วง”

พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับกำลังปลอบสัตว์ที่กำลังบาดเจ็บและหวาดกลัวกับทุกอย่างในโลกอันโหดร้ายนี้ มือหนาดึงหัวจ้าวมาซุกกับอก พยายามถ่ายเทความอบอุ่นให้กับร่างเย็นเฉียบที่ตัวสั่นเทาจนน่ากลัว

  “ฮึก ผมไม่ได้บ้า”

จ้าวคร่ำครวญสะอื้นจนตัวโยน กอดร่างอุ่นๆ แน่นแต่ก็ยังคงไม่ได้สติ

“จะทำยังไงดี ฮึก ไม่ยอมตายสักที”

“ก็อยู่ต่อไปสิ”

“ฮึก ไม่อยาก”

“อยู่เถอะ ถือว่าฉันขอ” เหมันต์ลูบหัวจ้าวและกดจูบเบาๆ ที่หน้าผากแล้วยิ้มละมุนให้กับจ้าวที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “พี่เหมันต์อยู่ตรงนี้กับน้องจ้าวแล้ว ไม่มีใครทำอะไรจ้าวได้แล้ว”

ว่ากันตามตรงเหมันต์กำลังใช้วิธีปลอบเดียวกับน้องชายวัยเจ็ดขวบของตัวเองตอนที่ไล่น้องให้ไปนอนแต่น้องไม่กล้าไปนอนเพราะกลัวผี (เพิ่งดูสกูปปี้ดู ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่ามันน่ากลัวตรงไหน)

แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้ผล น้องร้องว้ากใส่หน้าเขาแล้วก็วิ่งเข้าห้องนอนเขาเสียอย่างงั้น

ตอนนี้เขาก็ได้แต่หวังว่าน้องจ้าวจะเชื่อวิธีการหลอกเด็กที่แม่เขาสอนมาบ้าง

“ฮึก จริงเหรอ”

ราวกับว่าจ้าวคนที่เหมันต์รู้จักนั้นหายไปเหลือเพียงเด็กที่ถูกทำร้ายจนไม่กล้าเชื่อใครอีก นัยน์ตาโศกคู่สวยนั้นมองเขาตาแป๋วเหมือนเด็กๆ

“จริงสิ” เหมันต์พยายามเล่นต่อ “พี่เหมันต์เก่งและรวยมาก มันไม่กล้าเข้ามาหาจ้าวถึงในบ้านหรอก”

“แล้ว แล้วพี่เหมันต์จะทิ้งผมเหมือนคนอื่นไหม”

พูดถึงตรงนี้จ้าวก็สะอื้นจนตัวโยนเล่นเอาเหมันต์ตั้งรับแทบไม่ทันเพราะไม่คิดว่าจ้าวจะมีปมอื่นซ่อนไว้ในใจเพิ่มอีก นอกจากตัวตนที่แสนบ้าคลั่งนี่แล้วยังจะมีเรื่องโดนทิ้งอีก

ให้ตาย..

“ไม่ทิ้งแน่นอนครับ”

เหมันต์ลูบหัวจ้าวที่ตอนนี้เริ่มยิ้มออกทำให้ท่านประธานบริษัทกิลลาสลอบสาบานในใจ

ต่อให้คนทั้งโลกทอดทิ้งจ้าว เขาเนี่ยแหละที่จะเป็นคนปกป้องจ้าวเอง ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรก็ตาม

เพราะเขาเชื่อว่าจ้าวไม่ ‘ฆ่า’ ใครอย่างแน่นอน



ผ่านช่วงบ่ายไปอย่างโชกโชนในที่สุดจ้าวก็ตื่นขึ้นมาในห้องทำงานของเหมันต์ สติเริ่มกลับมาชัดเจนพร้อมกับความทรงจำที่ชัดเจนในหัวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ทั้งเรื่องที่เขาเผลอทำให้ตัวตนที่ซ่อนไว้ส่วนลึกของจิตใจโผล่ออกมา

กับจูบ..

หน้าจ้าวขึ้นสีแดงก่ำรู้สึกเขินจนทำตัวไม่ถูก ไม่กล้าลืมตาเพราะได้ยินคุณเหมันต์คุยโทรศัพท์เสียงเบาอยู่ใกล้ๆ ถึงจูบนั่นจะแค่หน้าผากก็เถอะ แต่เชื่อไหมว่าเขายังไม่เคยมีแฟนและโดนใครจูบเลยนะ!

ช่วยไม่ได้ดนตรีมันน่าหลงใหลเกินไป เขารักเสียเพลง แฟนคลับ มากกว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวที่เวลาเกิดปัญหาทีอาจจะกระทบถึงงานที่เขารัก อีกทั้งทางค่ายก็ห้ามวงเขามีแฟนด้วยถ้ามีก็ต้องมีลับๆ ปิดข่าวอย่างแน่นหนา ไม่อย่างนั้นจะโดนดีดออกจากค่ายหรือไม่ก็โดนพักงานยาวๆ ฉะนั้นเขาจึงตัดปัญหาตั้งแต่ต้นลมด้วยการไม่มีแฟนซะ

ไม่สิ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องมาคิด สิ่งที่เขาต้องกังวลจริงๆ คือคุณเหมันต์ต่างหาก

“ตื่นแล้วก็มานี่ ไม่ต้องแกล้งหลับ”

เป็นครั้งแรกที่จ้าวอยากร้องไห้เพราะโดนเรียกตัว แต่ก็ยอมลุกขึ้นจากโซฟานุ่มนิ่มไปนั่งเก้าอี้ที่ตั้งหน้าโต๊ะทำงานขนาดใหญ่โดยมีคุณเหมันต์นั่งไขว่ห้างอ่านเอกสารบางอย่างที่ดูจะเข้าใจยาก

“เป็นไงบ้าง”

เหมันต์ถามเสียงราบเรียบไม่ละสายตาจากเอกสารสัญญาว่าด้วยการยืมตัวพนักงานจากสาขาประเทศไทยไปประจำชั่วคราวในสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็ไม่รู้ตัวสักนิดว่าสร้างความประหม่าให้กับใครบางคนอยู่

“ก็ดีครับ”

จ้าวก้มหน้างุดไม่กล้าสบตา

“ดีนี่หมายความว่าไง”

“ก็.. ก็สบายดีครับ ไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่แล้ว”
   
เสียงตอบกระอึกกระอักทำให้เหมันต์ขมวดคิ้ววางเอกสารลงแล้วมองจ้าวก็พบว่าอีกฝ่ายหน้าแดงจนถึงหูเลยทีเดียว
   
“เป็นไข้เหรอ”
   
น่าเสียดายที่สมองอันปราดเปรื่องแบบเดียวกับบิดาของเหมันต์นั่นกลับโง่งมเรื่องง่ายๆ ความสัมพันธ์ทั่วไปซะเหลือเกิน แต่ในทางกลับกัน เหมันต์กลับจับโกหกกับอารมณ์ของคนได้เก่งมาก แทบไม่มีใครสามารถโกงหรือเล่นตุกติกกับเหมันต์ได้สักครั้ง จนถ้าบิดาของเหมันต์เป็นพ่อมดตลาดหุ้น เหมันต์ก็คงเป็นพ่อมดอีกคนที่เก่งกาจเอาเรื่อง
   
“เปล่าครับ”
   
จ้าวกำมือแน่น รู้สึกไม่เข้าใจคุณเหมันต์เท่าไหร่ ทั้งๆ ที่เพิ่งทำอะไรแบบนั้นไปแต่กลับไม่มีท่าทีเขินอายหรือจะจำได้สักนิด อะไรกัน นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนเพิ่งรู้จักกันทำกันหรอกนะ
   
“แล้วเป็นอะไร”
   
“..ก็คุณเหมันต์เอ่อ จูบผม”
   
เหมันต์ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมก่อนจะคิ้วจะคลายออกเมื่อนึกออก “อ๋อ จูบหน้าผากนั่นน่ะเหรอ ฉันใช้หลอกน้องชายฉันบ่อยๆ นะ เลยคิดว่าน่าจะใช้กับจ้าวได้เหมือนกัน”
   
“..ฮื่อ คราวหลังไม่ต้องนะครับ”
   
จ้าวหายเขินลงมานิดหน่อย แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องอยู่ดี
   
“คุณเหมันต์เคยทำแบบนี้กับคนอื่นไหมครับ”
   
“ไม่ ฉันไม่ค่อยได้คุยกับใครเท่าไหร่”
   
เหมันต์ยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นจ้าวยังคงหน้าแดง ดูน่าเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก แต่เขากับจ้าวก็ห่างกันคราวลูกพี่ลูกน้องเลยทีเดียว นึกถึงตอนจ้าวอยู่ม. หนึ่ง จับไมค์แล้วร้องเพลงเจื้อยแจ้วบนเวทีก็ทำให้เขาคิดถึงตอนนั้นเป็นบ้า จ้าวตอนนั้นเสียงใสกว่าตอนนี้อีก ร้องเพลงแบบร่าเริงสุดๆ มีสาวๆ แฟนคลับติดกันเป็นพรวน
   
จ้าวกระแอมเบาๆ เรียกความสนใจคุณเหมันต์ที่ไม่รู้ว่าเหม่อไปไหน “แล้วคุณเหมันต์จะให้ผมทำอะไรครับ ผมไม่อยู่เฉยๆ แบบงอมืองอเท้าหรอกนะ”
   
พอเข้าประเด็นนี้เหมันต์ก็ยิ้มมากกว่าเดิมอย่างพึงพอใจเพราะเป็นสิ่งที่ต้องการจะพูดพอดี
   
“ฉันจะทวงคืนความยุติธรรมให้เธอ”
   
“หมายความว่ายังไงครับ” อดีตนักโทษเอามือแตะปลอกคอตัวเองอย่างเผลอไผล ความหวาดกลัวสังคมภายนอกถาโถมเข้ามาจนหน้าซีด
   
“ก็ตามที่ฉันพูด”
   
เหมันต์พูดนิ่งๆ หยิบภาพหนึ่งจากเก๊ะขึ้นมาวางบนโต๊ะและเลื่อนมันให้จ้าว
ซึ่งจ้าวก็หยิบมันขึ้นมาดูทันที
   
“…ผมไม่เข้าใจ”
   
ภาพที่อยู่ในมือจ้าวเป็นภาพที่จ้าวตอนสวมหน้ากากอีกาเล่นเบสอยู่นอกร้าน Sin of Lion
   
ท่านประธานบริษัทฉีกยิ้มเย็นเยียบ นัยน์ตาสีเทาฉายชัดถึงความโกรธที่ปะทุขึ้นมาจากความไม่พอใจ
   
“ฉันจะไม่ยอมให้เธอต้องตกเป็นเหยื่อของใคร”
   
“ผม..”
   
หัวใจของจ้าวอุ่นวาบขึ้นมานิดๆ ที่จะมีคนทวงที่ยืนในสังคมตัวเองกลับมาให้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังกลัวมากๆ อยู่ดี ทุกคนสำหรับเขากลายเป็นคนแปลกหน้าและน่ากลัวไปแล้ว ใครล่ะจะอยากฟังคำแก้ตัวของฆาตกรอย่างเขา
   
ยิ่งกับหลักฐานครบครันนั่นอีก เรียกได้ว่าพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
   
“ไม่ต้องกลัว ไม่มีใครหาเธอเจอหรอก”
   
เหมันต์ยิ้มมั่นใจ
   
“คุณเชื่อผมเหรอว่าผมไม่ได้ฆ่า”
   
จ้าวถามเสียงแผ่วเผลอกำปลอกคอตัวเองแน่น
   
“อืม จ้าวไม่ฆ่าใครหรอก พี่เชื่อ”
   
“แล้วพี่อยากรู้รึเปล่าว่า…ใครทำ”
   
แววตาของจ้าวสั่นไหว ลังเลอีกครั้งทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองพูดมันออกไปได้ แต่ก็ยังลังเล ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเหลือเยื่อใยไว้ทำไมในเมื่อเขาคนนั้นไม่เคยเห็นค่าของมันสักครั้ง
   
“ถ้าอยากบอกก็บอก พี่ไม่บังคับ”
   
เหมันต์ยังคงยิ้มเย็นเยียบ
   
“แต่ถ้าบอก พี่จะช่วยลากคอมันออกมาเอง”

--------------------------

หลังจากนี้น้องจ้าวจะเป็นฝ่ายล่าบ้างแล้ว  :katai5:

 
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 12 : จิตใจที่แตกสลาย p.1 (4/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 04-04-2018 04:05:39
พี่เหมันต์ช่วยน้องจ้าวด้วยนะ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 12 : จิตใจที่แตกสลาย p.1 (4/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 04-04-2018 06:10:25
ได้เวลาสนุกแล้วสิ~
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 12 : จิตใจที่แตกสลาย p.1 (4/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 04-04-2018 16:08:55
สงสารเจ้าสุดๆ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 12 : จิตใจที่แตกสลาย p.1 (4/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 04-04-2018 17:03:15
รออ่านคู่หูทวงคืนเลยค่ะ เดือดแน่นอน
จ้าวสู้ๆ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 12 : จิตใจที่แตกสลาย p.1 (4/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 05-04-2018 00:56:11
ไซริงค์ นะคะ ไม่ใช่ สลิ้ง

ว่าจะไม่อ่านดราม่า แต่ก็มีแต่ดราม่านี่แหล่ะที่เขียนดี

 :z3: :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 12 : จิตใจที่แตกสลาย p.1 (4/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: peta1015 ที่ 05-04-2018 10:23:59
จ้าวสู้เขานะลูกกกก อย่าไปกลัวมันนนน
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 12 : จิตใจที่แตกสลาย p.1 (4/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 06-04-2018 01:08:10
สนุก
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 12 : โต้กลับ p.2 (7/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 07-04-2018 00:04:23
ตอนที่ 13
   

27 ชั่วโมง 32 นาที 0.01 วินาที
   
คือเวลาที่นายแพทย์จันทร์ นฤภัทรยังไม่ได้นอนนับตั้งแต่ได้ข่าวการหลบหนีของ ‘นักโทษ’ โอเมก้าที่จุดหมายปลายทางคือสหรัฐอเมริกาแต่ผู้ที่ทำหน้าที่ขนส่งกับทำหายระหว่างทาง ตอนนี้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างพากันหาจนแทบพลิกแผ่นดิน
   
“ครับ ครับ ผมจะรีบหาตัวมันมาให้ครับ ต้องเจอแน่นอนครับ ผมรับรอง”
   
จันทร์กรอกเสียงใส่โทรศัพท์ด้วยสีหน้าโกรธจัด ข้อมือกำแน่นจนขึ้นเป็นข้อขาว นัยน์ตาโศกภายใต้แว่นกรอบบางเฉียบจ้องจอโน๊ตบุ๊คจนแทบทะลุแต่ผลที่ได้ก็ยังเหมือนเดิม
   
ยังไม่มีใครหาตัว ‘จ้าว นฤภัทร’ เจอ!
   
พอปลายสายวาง จันทร์คำรามฮึ่มๆ ในลำคออย่างกราดเกรี้ยว รู้สึกอยากกวาดทุกอย่างบนโต๊ะให้ไปอยู่บนพื้นให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ทำไม่ได้เพราะต้องรักษาภาพลักษณ์สงบเยือกเย็นไว้ ถึงแม้ภายในจะเดือดพล่านจนแทบจะเผาผลาญทุกอย่างให้เป็นจุล
   
“หายไปไหน หายไปไหน”
   
น้ำเสียงทุ้มแหบพร่าพึมพำราวกับสัตว์ป่าที่หิวโหยและดุร้าย ความฉุนเฉียวในหัวกระตุ้นให้จันทร์กระชากโน๊คบุ๊คมาเปิดดูข้อมูลที่ส่งมาจากที่ต่างๆ อีกครั้ง
   
ภาพจากกล้องวงจรปิด ทะเบียนรถ การเคลื่อนไหวของบัญชี ภาพผู้คนที่เดินพลุกพล่านในที่ต่างๆ ตามมุมเมือง ข้อมูลความผิดพลาดของเครื่อง PSE ที่อยู่ๆ ก็จับสัญญาณจากปลอกคอไม่ได้
   
“บัดซบ”
   
คมเขี้ยวกัดริมฝิปากจนเลือดซึม นัยน์ตาสีดำมองตาขวางเมื่อพบว่าไม่มีอะไรเลยที่นับเป็นเบาะแสได้
   
ราวกับว่าคนนั้นๆ นั่นหายตัวไปเฉยๆ เหมือนไม่เคยมีตัวตนอยู่!
   
“เป็นไปไม่ได้ ต้องเจอสิ”
   
ลางสังหรณ์บางอย่างบอกจันทร์ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นถ้าหากตัวเองยอมล่าถอยไปนอน ถึงแม้ดวงตาจะขึ้นสีแดงก่ำจากการอดนอนแต่จันทร์ก็ยังคงนั่งจ้องจอโน๊ตบุ๊คสลับกับโทรศัพท์ไปเรื่อย ภาวนาให้เจอตัวมันสักที
   
ไม่เช่นนั้นเขาก็จะคงมีเรื่องติดค้างในใจ เหมือนกับก้อนเนื้อร้ายที่ซุกซ่อนในตัว วันใดวันหนึ่งที่มันเกิดลุกลามจนกลายเป็นมะเร็งขึ้นมาก็จะสามารถคร่าชีวิตเขาได้โดยไม่ยากเย็น
   
เดี๋ยว..?
   
ใบหน้าที่มีส่วนคล้ายคลึงกับนักโทษโอเมก้าขมวดคิ้วแน่น
   
กดดูคลิปจากกล้องวงจรปิดที่ถ่ายบริเวณห้องที่นักโทษขอตัวเข้าไปห้องน้ำซ้ำดูอีกครั้ง
   
“…?”
   
คิ้วขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนที่กดกรอซ้ำๆ
   
“เล่นมุขนี้เหรอวะ!”
   
จันทร์หัวเราะดังลั่นเมื่อสามารถจับไต๋ได้ แสยะยิ้มมองใบหน้าที่คุ้นหน้าคุ้นตาตัวเองภายใต้รูปโฉมที่คาดเดาได้ยาก แต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อเขาจับไต๋ได้หลังจากนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

หากแต่พอจะแคปรูปต้นเรื่องไปส่งให้คนอื่นดูก็กลับโดนส่งคลิปนึงมาให้ดูซะก่อน
   
ความหงุดหงิดที่ยังไม่ถูกดับหงุดหงิดมากขึ้นไปอีกแต่ก็ยอมกดดู
   
และใบหน้าที่ถูกยอมรับว่าเป็นอันดับหนึ่งในวงการแพทย์ตอนนี้ก็ซีดเผือด มือถือร่วงหล่นจากมือพร้อมกับร่างที่เซถลาไปพิงกับพนักอย่างตื่นตระหนก

   

ภาพแรกของคลิปนั้นเป็นสีดำมืดมิดก่อนที่ตัวอักษรที่ถูกเขียนด้วยเลือดจะค่อยๆ ปรากฎ
   
PREY
   
พอตัวอักษรเลือนหายไปก็แทนที่ด้วยร่างๆ หนึ่งที่มองเห็นหน้าได้ไม่ชัดนักเพราะไฟที่มืดสลัวเอามากๆ ในห้องมืดแห่งนี้ แสงค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ ไล่จากปลายเท้าที่สวมรองเท้าหนังขัดมันสีดำมันขลับ ตามด้วยเกงเกงสูทสีดำแบรนด์ดังที่เปรอะไปด้วยสีแดงสนิทคล้ายเลือดที่แทบจะเลือนไปกับสีดำ ชายเสื้อมีร่องรอยการถูกใช้กรรไกรตัดจนเป็นรอยแหว่งเหมือนถูกฟันมาจนเสื้อขาดเป็นช่องเห็นเสื้อซับสีขาวด้านในแต่ในบางส่วนก็เห็นเนื้อที่ช้ำม่วงเช่นกัน
   
ข้อมือที่ล้วงกระเป๋ากางเกงมีปลายเสื้อสีขาวแลบออกมามีร่องรอยเลือดอย่างชัดเจน กระดุมเสื้อสูทที่ถูกติดแค่จากข้างล่างไล่ขึ้นมาแค่สามเม็ดทำให้คอเสื้อเปิดออกเผยให้เห็นปลอกคอเหล็ก
   
และในที่สุดไฟก็ฉายถึงใบหน้าที่มีรอยยิ้มมุมปาก
   
แสงสว่างกระพริบพรึ่บทำให้ตาพร่าก่อนที่ทั้งห้องจะสว่างในพริบตา
   
ร่างทั้งร่างซึ่งสวมชุดสูทแบบไม่เรียบร้อยนักคล้ายกับถูกอาบด้วยเลือด บริเวณเท้าที่ยืนมีเลือดเจิ่งนอง พื้นที่ห้องรอบตัวที่เป็นสีดำขับให้คนๆ นี้โดดเด่นที่สุดในฟิลม์
   
“สวัสดี”
   
ใบหน้าที่มีเลือดอาบครึ่งใบหน้ายิ้มแย้มจนตาหยี
   
“ผมนายจ้าว ไม่มีนามสกุลเพราะผมถูกตัดออกจากตระกูลแล้ว เป็นอดีตนักร้องนำวงมูนไลท์ที่ตอนนี้มาเป็นนักร้องนำวง PREY แทน ผมหวังว่าทุกๆ คนจะติดตามงานของผมผ่านช่องทางต่างๆ นะครับ”
   
เมื่อพูดจบจ้าวก็ทำท่าคิดหนักก่อนจะเผยรอยยิ้มอีกครั้งและปลดกระดุมเสื้อของตัวเองออกช้าๆ
   
“ผมกลับมาได้ยังไง? ไม่รู้สิ แต่ที่ผมอยากบอกคือชีวิตโอเมก้าแม่งโคตรแย่เลย”
   
พูดถึงตรงนี้จ้าวก็ถอดเสื้อส่วนบนทั้งหมดของตัวเองออก เผยให้เห็นหน้าอกขาวๆ ที่สาวๆ เคยกรี๊ดกร๊าดเป็นบ้าหลังแต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยรอยช้ำม่วงทั้งแผลเก่าแผลใหม่เต็มไปหมด แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือรอยเย็บบริเวณหน้าท้องที่เป็นรอยถูกแทงจากของมีคมขนาดใหญ่
   
จ้าวถอนหายใจแล้วหัวเราะด้วยรอยยิ้มน่าขนลุก
   
“เห็นไหมครับ แผลเต็มเลย อย่างว่าล่ะ ชีวิตของพวกโอเมก้ามันแย่ พวกคุณก็เลิกทำตัวน่ารังเกียจด้วยการรังแกพวกโอเมก้าสักที มันน่าสมเพช”
   
แววตาโศกฉายชัดที่ความโกรธผิดวิสัยจ้าวคนเก่าที่มีแต่ความอารมณ์ดีและเป็นมิตรกับทุกคนบนโลกใบนี้
   
“และผมจะบอกอะไรอย่างนะครับ”
   
นัยน์ตาคล้ายกับสุมด้วยพายุเพลิง ข้อมือบางที่มีรอยแผลเป็นจากการเสียดสีกระชากปลอกคอตัวเองแล้วตะคอกสุดเสียง ราวกับสัตว์คลุ้มคลั่งที่คำราม

“กูไม่ได้ฆ่าพริม!”

เป็นเวลาเกือบนาทีกว่าจ้าวจะรวบรวมสติตัวเองกลับมาเยือกเย็นได้
   
“ส่วนถ้าคุณอยากรู้ว่าใครเป็นคนฆ่าพริมกันแน่ ก็รอหน่อยนะครับ รอให้ผมรวบรวมหลักฐานได้ก่อน ผมจะออกมาแฉแน่นอน รับรองว่าสนุกพอๆ กับเพลงใหม่ของผมเลยล่ะ หึๆ”
   
เมื่อจ้าวพูดจบ วีดีโอก็ค่อยๆ มืดลงและปรากฎตัวอักษรที่เขียนด้วยฟอนต์โมเดิร์นอ่านง่าย
   
‘ไม่มีใครอยากตกเป็นเหยื่อ’
   
พอตัวอักษรเลือนพื้นหลังก็เปลี่ยนเป็นสีขาวปรากฎภาพอีกาสีดำที่นอนทอดกายบนพื้นแล้วถูกหอกแทงเข้าที่หลัง เลือดกลุ่มใหญ่ไหลชุ่มตัวมัน ข้างๆ กันนั้นเขียนว่า 11.4.18 
   
ซึ่งเป็นวันในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า

   
“ได้ จ้าว ได้ มึงเล่นอย่างนี้ใช่ไหม”
   
นายแพทย์หนุ่มที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติตอนนี้กำลังยิ้มด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว
   
“มึงจะได้รู้ว่าความพ่ายแพ้เป็นยังไง!”
   
เหมันต์ซึ่งเพิ่งทำงานของตัวเองเสร็จเดินเข้าไปในห้องอ่านหนังสือและหยุดยืนในที่ประจำตัวเอง  มือหนากดปลดล็อกรหัสบนรูปภาพสิงโตหิมะกำลังนอนทอดกายบนหินด้วยท่าทางน่าเกรงขาม นอกจากจะใช้การกรอกรหัสแล้วยังต้องผ่านการสแกนอีกหลายชั้นทั้งม่านตา ลายนิ้วมือ ใบหน้า ตามที่จะตรวจอัตลักษณ์บุคคลได้เพื่อความปลอดภัยในระดับสูงสุด
เพียงไม่นานกำแพงก็เลื่อนออกเป็นช่องประตูและบันไดสีทึบที่ทอดลงไปเบื้องล่าง

ซึ่งเป็น ‘ความลับ’ อีกอย่างที่ตระกูลกิลลาสไม่เคยเปิดเผยต่อที่สาธารณะ

ผลกำไรจำนวนมหาศาลที่คงเหลือจากการลงทุนและจับจ่ายใช้สอย บิดาของเหมันต์หรือท่านศตคุณ อดีตผู้นำตระกูลกิลลาสผู้มีเชื้อสายไทยเยอรมัน ได้นำมาลงทุนกับการวิจัยเกี่ยวกับจีโนมมนุษย์เฉกเช่นเดียวกับที่สหรัฐอเมริกาหากแต่โครงการนี้นั้นถูกปิดเป็นความลับระดับสูง มีเพียงคนที่ไว้ใจได้เท่านั้นที่รับรู้ถึงโครงการนี้

วัตถุประสงค์หลักก็เป็นไปตามแนวคิดของท่านศตคุณคือต้องการสร้างความเท่าเทียมในมนุษย์ ท่านต้องการจะสร้างยาที่ราคาถูกที่เหล่าโอเมก้าสามารถเอื้อมถึงและสามารถใช้ยาเหล่านี้ในการควบคุมการฮีทของตัวเองได้ สาเหตุใหญ่ๆ ที่ทำให้โอเมก้าถูกเหยียดหยามและแบ่งชนชั้นก็คือการฮีทที่ทำให้เหล่าเบต้าและอัลฟ่าบ้าคลั่ง กลายเป็นสัตว์ป่าที่คล้ายกับติดสัดในชั่วพริบตา ถ้าหากแก้ปัญหาการฮีทพร่ำเพรื่อได้ การใช้ชีวิตของพวกโอเมก้าน่าจะง่ายยิ่งขึ้น

หรืออีกวิธีหนึ่งก็คือการเป็นโอเมก้าให้กลายเป็นเบต้า แบบเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับจ้าว เพราะมันไม่เคยสำเร็จมาก่อน จ้าวจึงเป็นที่ต้องการตัวมากในโครงการจีโนมของอเมริกา ถ้าหากสามารถนำตัวจ้าวไปวิจัยจนได้คำตอบที่ต้องการก็อาจจะสามารถทำเงินได้มหาศาลจากความรู้ตรงนั้นและอาจจะสามารถใช้เป็นเรื่องต่อรองหรือคานอำนาจกับประเทศต่างๆ ได้ตามอำเภอใจ เรียกได้ว่ามีแต่ได้กับได้เท่านั้น

หากแต่เหมันต์ก็รู้อยู่แก่ใจอีกเช่นกันว่าอะไรที่ทำให้เกิดโครงการนี้ขึ้น ที่เหลือก็เป็นแค่ผลพลอยได้ที่ดูสวยหรูเท่านั้น

“เขาเป็นยังไงบ้าง”

เหมันต์เอ่ยถามเมื่อเดินมาถึงห้องวิจัยห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสผนังสีขาวสะอาดตา มีไฟแอลอีดีบนเพดานที่เปิดไฟในระดับที่พอให้มองเห็นแต่ไม่ถึงกับสว่างจัด เครื่องปรับอากาศแบบตั้งที่ทันสมัยที่สุดถูกปรับให้เป็นอุณหภูมิที่เย็นนิดๆ เพื่อให้ร่างที่นอนอยู่บนเตียงทดลองนั้นหลับได้สบาย อุปกรณ์ต่างๆ ที่ตั้งในมุมซ้ายของเตียงคอยวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันเลือด ตลอดเวลา

“หลังจากทำแผลให้ก็หลับมาสิบแปดชั่วโมงแล้วค่ะ”

นักวิจัยสาวซึ่งอยู่ในชุดสีขาวปลอดเชื้อโค้งหัวให้เหมันต์อย่างนอบน้อม ร่องรอยถูกตราประทับบนหลังมือยังชัดเจนทำให้คนมองสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าคนๆ นี้เป็นโอเมก้าที่ไม่ยอมใส่ปลอกคอตามกฎหมาย

แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูกนักเพราะในโลกใต้ดินที่ซุกซ่อนจากสังคมภายนอกนั้น ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นใดๆ มีแค่การแบ่งขั้นตามความสามารถ และนักวิจัยสาวคนนี้ก็เป็นนักวิจัยที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของศูนย์วิจัยแห่งนี้ เธอหรือณิชาจบแพทย์จากสถาบันชื่อดังและต่อโทด้านพันธุศาสตร์ทำให้สามารถทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว จนเป็นคนที่ตระกูลกิลลาสไว้ใจมากคนหนึ่งเพราะเป็นผู้ที่ถูกนำมาจากสถานเด็กกำพร้ามาชุบเลี้ยงตั้งแต่เด็กและได้ดิบได้ที่สุด

ความจริงแล้วในโลกที่เต็มไปด้วยการแบ่งชนชั้นนี้ไม่ได้มีการห้ามให้โอเมก้าเรียนในศาสตร์ต่างๆ หากแต่พวกโอเมก้าส่วนใหญ่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าต่อให้เรียนดีแค่ไหนเก่งมากแค่ไหนแค่ตราสัญลักษณ์ตราเดียวบนหลังมือก็สามารถทำให้หกปีที่เรียนมาสูญสลายในพริบตา ไม่มีโรงพยาบาลที่ไหนหรือคลินิกใดที่รับโอเมก้าเข้าทำงานแม้แต่รายเดียว ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเก่งมากแค่ไหนก็ตาม
ถึงแม้ในใจผู้ประกอบการจะอยากได้ตัวโอเมก้ามาทำงานแต่ก็ไม่มีใครอยากเสี่ยงกับการถูกฟ้องจากเหล่าผู้มาใช้บริการ ถ้าเกิดพวกเขารู้ว่าความจริงพวกเขาถูกรักษาและแตะเนื้อต้องตัวโดยโอเมก้า จุดจบของเรื่องนี้ไม่สวยอย่างแน่นอน พวกเขาจึงทำได้แค่ปล่อยให้เพชรล้ำที่ถูกมองเป็นเศษเดนนั้นถูกกวาดเข้าหลังฉากอย่างน่าเสียดาย

“เหรอ” เหมันต์ครางอืมในลำคอลูบหัวจ้าวเบาๆ ที่ตอนนี้ดูจะหลับสบายซะเหลือเกิน ในมือกอดตุ๊กตาหมีบราวน์ใส่ขุดยีราฟแน่น เหมือนกับเด็กๆ ที่วิ่งเล่นจนเหนื่อยแล้วมานอนต่อเอาแรงยังไงยังงั้น

แต่เหมันต์รู้ดีว่าไม่ใช่

การถ่ายทำคลิปเปิดตัวนั้นกว่าเขาจะเกลี้ยกล่อมจ้าวให้ทำได้ก็หลายชั่วโมง ใบหน้าดูโศกเศร้านั้นเอาแต่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตลอดเวลา เหมือนคนที่อยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่กล้าพอ เขาดูออกว่าจ้าวรู้ว่าใครเป็นคนทำแต่จ้าวยังไม่กล้าบอกเขา ซึ่งเหตุผลเขาก็ไม่แน่ใจนักว่าคืออะไรแต่เขาก็ไม่คิดจะคาดคั้นเพราะแค่นี้จ้าวก็ดูน่าสงสารเกินพอแล้ว

ตอนถ่ายทำเขาเป็นคนถือกล้องเพราะจ้าวร้องขอให้เขาทำ ทั้งๆ ที่ตอนแรกเขากะจะให้ช่างภาพของตระกูลมาช่วยควบคุมภาพให้ แต่เขาก็ตามใจจ้าว อย่างไรก็ตามเขาเขาก็บังคับจ้าวให้ทำวีดีโอเปิดตัวนี้ แปลกนะ ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งบอกว่าจะให้ทำวีดีโอการกลับมาของจ้าว จ้าวนั่งคิดเพียงครู่เดียวก็พูดอธิบายให้เขาฟังได้เป็นฉากๆ และยังเข้าใจง่ายอีกด้วย คิดแล้วก็นึกเสียดายฝีมือของจ้าว เพราะจ้าวเป็นคนนึงที่มีพรสวรรค์ด้านการทำเพลงทำเอ็มวีมากทีเดียว ถ้าหากยังอยู่ในวงการคงจะไปได้ไกลเอามากๆ

“น่าเสียดายชะมัด”

เหมันต์อดที่จะบ่นไม่ได้
   
พอเริ่มถ่ายทำจ้าวก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน ดูคลุ้มคลั่งขาดสติและน้อยเนื้อต่ำใจ ทุกอารมณ์ด้านลบอัดแน่นในลมหายใจก่อนจะปะทุออกทางแววตาและคำพูด
   
ราวกับว่าเขาได้ปลดโซ่สัตว์ป่าที่ถูกทำร้ายจากผู้คนจนคลุ้มคลั่ง สัตว์ตัวนั้นหวาดผวาต่อทุกสิ่ง นัยน์ตาของมันเบิกโพลงคลอด้วยน้ำตา พยายามแสดงท่าทางต่อต้านเพื่อที่จะหาช่องว่างเล็กๆ ให้ตัวมันได้มีจุดยืนได้มีโอกาสรับสิทธิ์ในการหายใจในโลกอันโหดร้ายนี้
   
‘กูไม่ได้ฆ่าพริม!!!!’
   
เสียงในคลิปกับเสียงจริงนั้นแตกต่างเพราะเสียงที่จ้าวคำรามออกมานั้นจริงๆ แล้วดังและร้าวรานกว่านั้นมาก
   
เหมันต์รีบทำไม้ทำมือให้จ้าวใจเย็นๆ มองด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ไม่สามารถขยับเข้าไปใกล้ได้เพราะยังอยู่ในการถ่ายทำอยู่ จึงได้แต่ภาวนาให้จ้าวได้สติหรือไม่ก็มองตัวเองเผื่อจะใจเย็นขึ้นมาบ้าง
   
‘ไม่ต้องกลัว พี่อยู่ตรงนี้แล้ว’
   
พึมพำไปเรื่อยๆ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยิน แต่ในที่สุดแววตาคลุ้มคลั่งนั้นก็กลับมากระจ่างใสมองเขา ชั่วพริบตานั้นเหมันต์รู้สึกถึงความยินดีที่เห็นตนเองสะท้อนอยู่ในแววตาของจ้าว
   
เพียงไม่นานการถ่ายทำก็จบลงแต่พอจะเข้าไปใกล้ก็ต้องเผลอหยุดชะงักอย่างห้ามไม่ได้
   
“สนุกแน่ มันต้องสนุกแน่ หึ มันต้องสนุกแน่!”
   
จู่ๆ จ้าวก็ตะโกนออกมาและทิ้งตัวนั่งบนพื้นหัวเราะลั่นจนตัวโยนก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้สะอื้นฮักเหมือนจะขาดใจ นัยน์ตาที่เคยเต็มไปด้วยความเกลียดชังตอนนี้มีแต่ความสับสนในสิ่งที่ตัวเองกระทำ ตัวทั้งตัวสั่นเทา
   
“จะโกรธไหม อย่าเกลียดจ้าวนะ อย่าเกลียดกันนะ ฮึก”
   
ความลังเลในใจหายไป เหมันต์เดินเข้าไปทรุดตัวนั่งข้างๆ จ้าวและดึงอีกฝ่ายมากอดแน่นอนว่าถึงแม้จะไม่ค่อยมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวนักแต่จ้าวก็จดจำอ้อมกอดอุ่นๆ ได้ จ้าวรีบซุกตัวเข้ากับอกร่างสูงแล้วปล่อยโฮลั่นอย่างควบคุมไม่ได้
   
อีกสิ่งหนึ่งที่เหมันต์ต้องยอมรับกับตัวเองคือจ้าวในตอนนี้นั้นเหมือนจะมีอาการทางจิตที่น่าจะมาจากการย้อนแย้งกันภายในจิตใจ
   
“ชู่ว ไม่ร้อง เด็กดี”
   
เป็นอีกครั้งที่เหมันต์จูบหน้าผากจ้าวและได้ผล
   
จ้าวยังคงสูดน้ำมูกฟืดๆ เหมือนเด็กที่เป็นหวัด มองเสี้ยวหน้าคมคายด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ
   
“เจ็บ พี่เหมันต์ จ้าวเจ็บ เจ็บไปหมดแล้ว”
   
“งั้นบอกพี่เหมันต์หน่อยสิครับว่าใครเป็นคนทำน้องจ้าวเจ็บ”
   
คล้ายกับคำพูดของเหมันต์ไปสะกิดอะไรบางอย่างอีกครั้ง นัยน์ตาโศกของจ้าวจึงเบิกโพลง สองมือยกมือปิดปากตัวเองส่ายหัวเป็นพัลวัน
   
“บอกไม่ได้.. บอกไม่ได้ ฮึก บอกไม่ได้!”
   
หัวใจของคนถามคล้ายกับถูกกัดกร่อนไปอย่างช้าๆ อย่างน่าแปลกประหลาด คิ้วขมวดแน่นพยายามเชื่อมโยมถึงความเป็นไปได้ของคนที่ทำเรื่องทั้งหมดนี้
   
คนที่จ้าวรักมาก… ถึงขนาดตอนไร้สติก็ยังคิดจะปกป้อง
   
ทั้งๆ ที่เขาคนนั้นได้ทำร้ายจ้าวได้อย่างเจ็บแสบเจียนตาย แต่จ้าวก็ยังคงรัก รักแม้จะถูกทำร้าย รักแม้ว่าทุกอย่าง ทั้งความฝัน ตัวตนของตัวเองจะพังถล่มลงมาด้วยฝีมือของคนๆ นั้น
   
“จ้าวครับ”
   
เหมันต์พยายามจะเลียบๆ เคียงๆ เนียนหลอกถามต่อแต่ก็พบว่าร่างในอ้อมกอดตัวเองสลบไปแล้ว
   
   

“คุณเหมันต์คะ คุณจ้าวฟื้นแล้วค่ะ”
   
ณิชาเอ่ยเรียกเหมันต์ที่ยืนเหม่อซ้ำและพยักพเยิดไปทางจ้าวที่ตอนนี้นั่งตัวตรงงัวเงียขยี้ตาหาวหวอดเหมือนเด็กๆ ในมือยังกอดหมีบราวน์แน่น นัยน์ตาโศกปรือปรอยเพราะนี้น่าจะเป็นการนอนหลับที่น่าจะเต็มอิ่มที่สุดในรอบห้าปี
   
การนอนในครั้งนี้เขาไม่ฝันอะไรมีเพียงความมืดอันเงียบสงบ ดูอ้างว้าง แต่ก็อ่อนโยนกว่าความทรงจำเก่าๆ ของเขามากมายนัก
   
“จ้าว”
   
เหมันต์เอ่ยเรียกแทบจะทันทีและส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามที่ลงมาทีหลังเปิดไฟทำให้ห้องสว่างขึ้นในระดับที่เป็นปกติ
   
“ฮื่อ ครับ” จ้าวฉีกยิ้มเล็กๆ ให้เหมันต์
   
“หิวไหม” ร่างสูงเหลือบมองหน้าท้องแบนราบที่ตอนนี้พวกรอยช้ำนั้นจางลงแต่ก็ยังซูบผอมมากอยู่ดี จังหวะการหายใจเข้าออกทำให้ซี่โครงขึ้นอยู่ลางๆ
   
จ็อก
   
จ้าวหน้าขึ้นสีเมื่อจู่ๆ ท้องร้องขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเลยได้แต่พยักหน้ารับเขินๆ “หิวครับ”
   
เหมันต์ก้มมองนาฬิกาข้อมือพบว่าเป็นเวลาเกือบเที่ยงพอดี “งั้นไปกินข้าวกัน ตอนนี้แม่ฉันน่าจะทำกับข้าวอยู่พอดี”
   
เพราะเป็นคนที่ค่อนข้างใจร้อนขัดกับชื่อ เหมันต์จึงช้อนตัวจ้าวลงจากเตียงทันที หยิบเสื้อคลุมข้างๆ มาคลุมตัวให้ก่อนที่จะคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อสวมรองเท้าเดินในบ้านที่เป็นหัวหมีบราวน์ให้กับจ้าว
   
“เอ่อ คุณเหมันต์ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ครับ”
   
จ้าวกระพริบตาถี่อย่างไม่เชื่อสายตา ไม่น่าเชื่อว่าคนที่มีอำนาจขนาดคุณเหมันต์จะมาใส่รองเท้าให้กับใครก็ไม่รู้อย่างเขา
   
“อย่าขัดใจฉัน” ใบหน้าคมขมวดคิ้วและขู่แง่ง “ฉันพอใจแล้วก็รีบๆ ตามฉันมาได้แล้ว เดี๋ยวอาหารจะเย็นก่อน”
   
มือกระตุกเข้าที่แขนของจ้าวให้เดินตามตัวเอง จ้าวหลุดร้องเสียงหลงแต่ก็รีบจ้ำขาตามร่างสูงไปเพราะช่วงขาที่ต่างกันจึงต้องเดินไวมากกว่าปกติ
   
“แล้ว แล้วคุณเหมันต์รู้ได้ไงครับว่าผมชอบหมีบราวน์”
   
จ้าวหน้าขึ้นสียิ่งพบว่าตัวเองหนีบตุ๊กตาหมีบราวน์ใส่ชุดยีราฟที่ชอบมาด้วยยิ่งแดงกว่าเดิม
   
“อย่าถามมาก”
   
เหมันต์คำรามเบาๆ รู้สึกอับอายนิดๆ ที่ต้องพูด “ฉันเป็นแฟนคลับเด็กอย่างนายไง จ้าว ไม่สงสัยบ้างรึไงว่าหมีบราวน์ยักษ์ที่โคตรแพงหาไม่ได้ในตลาด ใครเป็นคนให้”
   
จ้าวอ้าปากค้าง “ตะ ตัวนั้นน่ะเหรอครับ ที่งานคอนเสิร์ต”
   
หมีตัวนั้นเป็นขนาดที่ใหญ่กว่าตัวจ้าวด้วยซ้ำ เป็นตัวที่สั่งทำพิเศษและราคาก็น่ากลัวมากเช่นกัน แต่คนที่แทบจะไม่ใช้เงินไปกับเรื่องส่วนตัวเลยอย่างเหมันต์ถือว่าเล็กน้อยมาก สิ่งที่เหมันต์ทำเพื่อตัวเองมีอยู่ไม่กี่อย่าง หนึ่งในนั้นคือจ้าว สองคือการขี่ม้า ที่เหลือเกี่ยวกับการใช้ชีวิตเป็นหน้าที่ของคนติดตามที่คอยเลือกคอยให้คำแนะนำ
   
“อืม”
   
เหมันต์ตอบอย่างขอไปทีก่อนที่จะพาจ้าวออกทางเดิมซึ่งจะไปโผล่ห้องหนังสือส่วนลูกน้องคนอื่นๆ นั้นไปออกอีกทางเพราะห้องอ่านหนังสือถือเป็นพื้นที่ส่วนตัวของท่านเหมันต์ หากไม่มีธุระจำเป็นไม่ควรเยี่ยงกายเข้าไปเด็ดขาด
   
พออีกคนไม่คุยด้วยจ้าวก็หันมาสนใจรอบข้างและเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไอ้ห้องที่ตัวเองนอนเมื่อกี้นั้นโคตรเหมือนในหนังไซไฟ ไหนจะห้องหับต่างๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นศูนย์วิจัยอะไรสักอย่าง อีกทั้งยังมีเสียงเด็กเล่นอะไรสักอย่างดังเจี๊ยวจ๊าวหลังบานประตูสีสันสดใส
   
ดูเหมือนว่านอกจากคฤหาสน์หลังใหญ่โตที่ดูหรูหรามากๆ แล้ว คุณเหมันต์ยังมีอะไรมากมายที่ซุกซ่อนไว้อีกเยอะ
   
“คุณเหมันต์มีชั้นใต้ดินเหรอครับ”
   
“อืม เอาไว้วิจัยน่ะ”
   
จ้าวชะงักไปอึ้งๆ เพราะไม่คิดว่าคุณเหมันต์จะตอบง่ายขนาดนี้ จึงไม่ลังเลที่จะถามต่อ “วิจัยอะไรครับ”
   
พลั่ก
   
“อูย”
   
จ้าวลูบจมูกตัวเองป้อยๆ เมื่อไปชนกับแผ่นหลังหนาที่อยู่ดีๆ ก็หยุดเดิน พอกำลังจะอ้าปากถามก็ต้องชะงักกับนัยน์ตาสีเทาคล้ายหมอกควันที่จ้องตัวเองด้วยสีหน้าว่างเปล่า
   
“เธอไม่ต้องรู้หรอก”
   
น่าแปลกที่จ้าวกลับรู้สึกสงสารคนตรงหน้าที่เดินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
   
แววตาที่วูบไหวเพียงชั่ววินาทีนั้นบอกกล่าวได้ชัดเจนถึงความเศร้า
   
เขาไม่รู้ว่าเรื่องอะไรที่คุณเหมันต์เศร้าแต่เขาก็ไม่อยากให้คนที่แข็งแกร่งมาตลอดต้องมาอ่อนแอเลยสักนิด ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะแบ่งเบาเรื่องในใจของคุณเหมันต์มาซะเหลือเกิน
   
เพราะถ้าไม่ได้คุณเหมันต์
   
ป่านนี้เขาคงตายไปแล้ว

---------------------

ตอนหน้าจะเจอแม่เขยแล้วจ้าว ทำตัวดีๆ นะ  :hao3:

   

หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 12 : โต้กลับ p.2 (7/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-04-2018 04:16:36
จ้าวมาแล้ว คิดถึงจ้าว
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 12 : โต้กลับ p.2 (7/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 07-04-2018 06:15:50
แม่สามีกับลูกสะใภ้จะได้พบกันแล้ว
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 14 : ครอบครัว p.2 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 12-04-2018 18:38:43
ตอนที่ 14
   

กลิ่นหอมของสเต็กเนื้อคือสิ่งแรกที่ทักทายจ้าวเมื่อเข้ามาในห้องครัวและสิ่งที่ปรากฎถัดมาคือครัวสไตล์โมเดิร์นสีขาวดำเข้ากับรูปแบบของคฤหาสน์ ในห้องครัวมีทั้งเตาอบเตาแก๊สเครื่องล้างจานมีทุกอย่างที่ห้องครัวทั่วไปพึงมี ข้างๆ ร่างโปร่งที่สวมผ้ากันเปื้อนสีขาวนั้นมีร่างของเด็กประมาณเจ็ดขวบมัดผมจุกกำลังยืนแทะน่องไก่และจ้องพ่อครัวที่กำลังทอดสเต็กดังฉ่าๆ
   
“ม๊า อยากกินสเต็กเนื้อด้วยง่ะ”
   
เด็กน้อยงอแงน้ำลายไหลมองสเต็กเนื้อตาวาว
   
“ไม่ได้ของพี่เหมันต์เขา”
   
น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลชวนให้รู้สึกสบายใจกล่าวปลอบเด็กน้อย
   
“แง้ แต่ใบไม้อยากกินอ่ะ”
   
“ถ้าอยากกินจริงๆ ก็ไปหยิบเนื้อในตู้เย็นมา” เสียงนุ่มพูดอย่างระอาใจเพราะรู้ดีว่าเจ้าตัวน้อยของตัวเองไม่ได้อยากกินจริงๆ แต่อยากแย่งของโปรดพี่ชายตัวเองมากกว่า
   
“ใบไม้!”
   
เหมันต์คำรามในลำคอเดินดุ่มๆ เข้าไปคว้าคอเสื้อเด็กน้อยจนห้อยต่องแต่ง ใบหน้าที่พยายามจะขึงขังเผลอหลุดยิ้ม “บอกกี่ครั้งว่าถ้าอยากกินก็บอกแม่ไว้ก่อน จะมาแย่งพี่ทำไมทุกรอบ”
   
เด็กน้อยยิ้มกวนประสาทแล้วร้องว้ากใส่ “ก็ผมอยากกินตอนนี้นี่!” นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนแบบเดียวกับแม่มองเหมันต์สักพักก่อนจะเหลือบไปเห็นข้างหลัง
   
“อ้า พี่จ้าวววว”
   
นัยน์ตาเด็กน้อยเป็นประกายระยับราวกับขโมยดวงดาวบนฟากฟ้ามาสุมไว้ข้างใน ร่างเล็กพยายามตะเกียกตะกายลงพื้นเพื่อที่จะไปกอดนักร้องคนโปรดของตัวเอง
   
“ปล่อยน้า พี่บ้า แง้งงงง แม่ พี่แกล้ง พี่แกล้งงงง”
   
ใบไม้ตะโกนแว้กๆ หน้ามุ่ยใส่พี่ชายตัวเองแท้ๆ อย่างไม่พอใจ
   
“จะมาชอบเหมือนพี่ทุกอย่างไม่ได้นะ วสันต์!”
   
เหมันต์อดไม่ได้ที่จะเรียกชื่อจริงของใบไม้ด้วยเสียงขึงขังแต่ลึกๆ ก็อดหมั่นไส้น้องตัวเองไม่ได้เพราะชอบตามเขาทุกอย่าง ตั้งแต่อาหารการกินยันเพลงที่ชอบ ไม่รู้ว่ารู้ได้ยังไงว่าเขาชอบฟังเพลงของจ้าว ถึงสรรหามาฟังตามได้
   
“ไม่ได้ก็อปสักหน่อย พี่บ้า!”
   
ใบไม้ร้องแย้กหน้ามุ่ยขั้นสุด “จะงอนแล้วน๊า ถ้าไม่ปล่อย”
   
หากแต่ยังไม่ทันเปิดศึกระหว่างพี่น้อง จ้าวก็เดินเข้าไปหาใบไม้แล้วยิ้มน้อยๆ “รู้จักพี่ด้วยเหรอครับ หนุ่มน้อย”
   
ร่างเล็กที่ยังคงห้อยอยู่พยักหน้าหงึกๆ “ผมชอบพี่จ้าวร้องเพลงมากเลย เพลงสนุ้กสนุก ผมชอบพี่จ้าวมากกว่าพี่เหมันต์อีก! ในห้องผมมีโปสเตอร์พี่ใหญ่กว่าของพี่เหมันต์ด้วย!”
   
ใบหน้าของจ้าวขึ้นสีน้อยๆ เหลือบมองคนที่ถูกกล่าวถึงที่กำลังแสร้งมองไปทางอื่น
   
“ใหญ่ขนาดไหนครับ”
   
“เท่าผนังห้องเลย! ผมเก็บเงินตั้งนานกว่าจะทำใหญ่กว่าพี่เหมันต์ได้” ใบไม้เชิดหน้าหัวเราะหึๆ รู้สึกดีใจที่สามารถเอาชนะพี่ตัวเองได้ตั้งเรื่องนึง
   
“ใครบอก พี่ทำใหม่แล้ว แปะข้างตึกที่พี่ทำงานเลย”
   
เหมันต์แกล้งหยอกน้อง
   
“อะไรนะ!” เด็กน้อยตาโตอย่างตื่นตระหนก “ใหญ่เท่าตึก! ใครมันจะไปสู้ได้ พี่โกหกๆ แม่ พี่โกหกใบไม้!”
   
“พอๆ ทั้งคู่นั่นแหละ”
   
คนโดนเรียกว่าแม่เอ่ยอย่างระเหี่ยใจและเดินมาพร้อมกับจานสเต็กระดับมีเดียมแรร์พร้อมเสิร์ฟมีผักเครื่องเคียงประดับจานอย่างสวยงามราวกับเชฟเมื่ออาชีพ
   
เหมันต์กลืนน้ำลายเอือกเพราะไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่ทำเรื่องให้จ้าวเสร็จหลังจากนั้นก็รีบเคลียร์งานสำคัญๆ จนว่างอีกทีก็เกือบเที่ยง เรียกได้ว่าตอนนี้เหมันต์หิวจนจะสามารถกินน้องตัวเองแทนข้าวได้แล้ว ถ้าน้องไม่หยุดกวนประสาทเขาเสียที
   
จ้าวยืนงงทำหน้าไม่ถูกเมื่อคนอื่นไปประจำที่แล้วแต่เขายังยืนหัวโด่เนื่องจากไม่รู้จะไปนั่งตรงไหนของโต๊ะ
   
“มานั่งนี่” เหมันต์กวักมือเรียกขณะที่เคี้ยวเนื้ออยู่ในปาก “แม่ฉันทำข้าวต้มให้กิน กินได้รึเปล่า?”
   
“กินได้ครับ”

อดีตนักร้องดังทรุดตัวนั่งข้างเหมันต์ที่ตอนนี้ยัดเนื้อเข้าปากแทบไม่หยุดเหมือนจะเขมือบไปทั้งจาน ไม่มีมาดอะไรใดๆ เหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว
   
“หึ”
   
จ้าวพยายามที่จะไม่หลุดขำตอนที่คุณเหมันต์สำลักเนื้อไอแค่กๆ ก่อนที่จะหันไปไหว้แม่ของคุณเหมันต์ที่ตอนนี้นั่งยิ้มน้อยๆ ลูบหัวใบไม้ที่ตอนนี้ก็ซัดอาหารเข้าปากแบบเดียวกับเหมันต์ไม่มีผิดเพี้ยน
   
“สวัสดี… ครับ ผมจ้าว ขอโทษที่รบกวนนะครับ”
   
จ้าวรู้ดีว่าตัวเองคือส่วนเกินของครอบครัวนี้และกำลังทำตัวน่ารังเกียจด้วยการหลบมาอยู่ใต้ปีกผู้มีอำนาจอย่างคุณเหมันต์อย่างหน้าไม่อาย แต่เขาก็ไร้ทางเลือกแล้ว ถ้าแม่ของคุณเหมันต์ไม่พอใจในตัวเขา เขาก็ยินดีที่จะรับมันและพยายามตัวให้มีปัญหาน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
   
แต่ผิดคาดใบหน้าที่ดูเกลี้ยงเกลาที่ดูสุขุมนั้นยิ้มให้เขาอย่างใจดี เส้นผมสีดำสนิทที่ถูกรวบไว้ลวกๆ วางพาดไว้บนไหล่ บริเวณคอที่ควรจะเกลี้ยงเกลานั้นมีร่องรอยบาดแผลเต็มไปหมดเหมือนโดยเหล็กขูด อีกทั้งยังตราประทับของโอเมก้าเบี้ยวๆ เอียงกะเท่เร่ที่บริเวณหน้าอก คล้ายกับถูกกลั่นแกล้งมากกว่าเป็นตราประทับยืนยันตัวของทางการ ส่วนข้อมือนั้นมีสัญลักษณ์ของโอเมก้าอย่างชัดเจน เป็นสัญลักษณ์ที่ไม่สามารถลบออกได้นอกเสียงจากจะตัดมือทิ้ง
   
หากแต่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคือคนตรงหน้าไม่ลืมตา
   
“ฉันตาบอดน่ะ” คนพูดหัวเราะเบาๆ เหมือนเป็นเรื่องตลก “ไม่ต้องเกรงใจหรอก จ้าว ฉันพอจะได้ยินเรื่องของเธอมาบ้าง”
   
จ้าวยิ้มบางแม้จะรู้ว่าคนตรงหน้าไม่มีทางมองเห็น ความรู้สึกอุ่นวาบในอกเหมือนถูกโอบกอดด้วยรอยยิ้มใจดีของแม่คุณเหมันต์
   
มันดูอบอุ่นยิ่งกว่าของแม่จริงๆ ด้วยซ้ำ
   
“กินสิ จ้าว เพิ่งฟื้นไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องกลัวตายหรอก ถึงฉันจะตาบอดแต่เรื่องทำอาหารฉันมั่นใจนะว่าฉันทำอร่อย”
   
“ใช่ อย่อยมาก” ใบไม้ยอมหยุดกินชั่วเวลาสั้นๆ เพื่อยืนยันในความอร่อย “แม่ทำอร่อยที่สุดในโลกเลย ถ้ามิชชิลินมาแม่ต้องได้ห้าดาวแน่ๆ เพราะแม่ทำไข่เจียวปูอลาสก้าได้”
   
“พูดมาก”
   
เหมันต์ที่สเต็กหมดไปครึ่งชิ้นแล้วเหน็บน้องตัวเองตามสัญชาตญาณของพี่ที่ดี
   
“ฮึ่ม” ใบไม้พองแก้มไม่พอใจ “แม่นที พี่ว่าน้องง่ะ”
   
“…”
   
นทีขมวดคิ้วก่อนจะถอนหายใจออกมาเพราะเจ้าตัวน้อยกระตุกเสื้อเขายิกๆ แล้ว “เหมันต์อย่าว่าน้อง”
   
“ครับ”
   
เหมันต์รับคำไม่จริงจังนักแล้วหยิบพริกไทยที่อยู่ใกล้ตัวเองมากว่ามาเหยาะให้จ้าวที่กำลังจะตักกิน
   
“ใส่พริกไทยหน่อยดีกว่า ฉันว่ามันจืดไป”
   
“ขอบคุณครับ”
   
จ้าวยิ้มน้อยๆ ตักกินและพบว่าอร่อยกว่าที่คิดมาก ถึงมันจะไม่ได้อะไรเวอร์วังแบบที่ใบไม้พูดไว้แต่ก็รับรู้ได้ถึงความเอาใจใส่ของคนทำที่พิถีพิถันขนาดไหนในการทำกับข้าวให้คนอื่นกิน
   
มันทำให้เขารู้สึกอยากร้องไห้อีกครั้ง
   
เพื่อไม่ให้คุณเหมันต์จับความผิดปกติของเขาได้ จ้าวก้มหน้ากินจ้าวพยายามซุกซ่อนความรู้สึกน่ารังเกียจของตัวเองเอาไว้ในใจ ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ควรคิดแต่ก็คิดอยู่ดี
   
เขาอิจฉาคุณเหมันต์เหลือเกินที่เติบโตในครอบครัวที่อบอุ่นขนาดนี้ มีแม่ที่ถึงแม้จะเป็นโอเมก้าแต่ก็ช่างใจดีและอบอุ่นต่างจากพ่อแม่ของเขาที่เป็นถึงอัลฟ่าแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจถึงจะขนาดทำกับข้าวด้วยตัวเองให้เขากินนัก อาหารส่วนใหญ่ที่ได้กินร่วมกันคือซื้อมาจากข้างนอกหรืออย่างมากก็ให้แม่บ้านทำกับข้าวให้
   
เวลาร่วมโต๊ะกันมักจะคุยกันแต่เรื่องที่มีสาระ เรื่องที่ไร้สาระอย่างรายละเอียดชีวิตยิบย่อยคือสิ่งที่พ่อของจ้าวไม่ต้องการที่จะได้ยิน ยิ่งตอนที่จ้าวต่อรองเรื่องของเลิกเรียนพิเศษไปเล่นดนตรีก็ทะเลาะกับพ่ออยู่พักใหญ่และจบลงที่ข้อตกลงเกรดสี่ทุกวิชาซึ่งจ้าวก็ต้องโหมอ่านเองอย่างหนักในช่วงเวลาใกล้สอบ นี่คือสิ่งที่จันทร์ไม่รู้เพราะทั้งคู่แยกห้องกันอยู่ตั้งแต่ม.ต้น ความชอบที่ต่างกันทำให้การอยู่ร่วมกันคือสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก
   
จ้าวชอบดนตรีแต่จันทร์ชอบอ่านหนังสือ
   
จ้าวชอบกลางคืนแต่จันทร์ชอบกลางวัน
   
หลายสิ่งที่สองแฝดที่หน้าเหมือนกันลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกันแต่กลับมีนิสัยต่างกันโดยสิ้นเชิง เขาในตอนนั้นยังคงรักจันทร์มากโดยที่ไม่รู้ตัวสักนิดว่าโดนเกลียดเข้าไส้ขนาดไหน

วันจบการศึกษาที่จันทร์ไม่ได้ให้อะไรเขา เขาก็ซื้อหนังสือแพทย์ที่จันทร์อยากได้แต่หาซื้อไม่ได้ให้ วันนั้นจันทร์ไม่ได้ขอบคุณเขาอ้างว่าปวดท้องแล้วกลับบ้านไปและเขาก็เชื่อสนิทใจ ก่อนที่จะมารู้ภายหลังตอนที่เพื่อนบอกว่าเจอหนังสือที่เขาซื้อในถังขยะโรงเรียน ตอนนั้นเขาไม่เชื่อคิดว่าเพื่อนโกหกแต่พอเห็นภาพที่ถูกถ่ายส่งมาเขาก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าจันทร์เผลอทิ้งผิดอัน
   
ซึ่งพอมาถึงตอนนี้เขาก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่การเผลอ มันคือการตั้งใจ ไม่มีใครอยากเก็บของที่คนที่เกลียดให้หรอก
   
ว่าแต่น้อง แม่ของเขาก็ไม่ต่างกันนัก จะให้ความสำคัญกับเขาก็ต่อเมื่อเขาประสบความสำเร็จหรือทำอะไรได้ดีสักอย่าง หากแต่เวลาปกติก็จะค้างอยู่ที่โรงพยาบาลทำงานเป็นบ้าเป็นหลังกับพ่อที่บ้างานไม่ต่างกัน
   
สิ่งที่ตระกูลนฤภัทรถ่ายทอดกันมาคงจะเป็นความหยิ่งทระนงในสายเลือด สิ่งสำคัญที่สุดคือการประสบความสำเร็จมีผู้คนชื่นชนมากมาย แค่นั้นก็ถือว่าเป็นคนในตระกูลนฤภัทรที่ดีแล้ว
   
พอนั่งคิดดูดีๆ จ้าวก็พบว่าครอบครัวของตัวเองนั่นช่างบิดเบี้ยวเหลือเกิน
   
เขาตอนที่ยังเป็นคนเดิมนั้นจมอยู่กับตัวเองกับความฝันเลยไม่ได้ใส่ใจอะไรนักกับสิ่งรอบข้าง แต่พอทุกอย่างล่มสลายลงมาเขาก็พบว่าชีวิตครอบครัวเขาช่างไม่มีความสุขเขาเสียเลย
   
พ่อกับแม่ที่บ้างานและรักศักดิ์ศรีเป็นที่สุด
   
ฝาแฝดที่เป็นน้องชายแท้ๆ เกลียดเขาเข้าไส้
   
“ฮึก”
   
สุดท้ายจ้าวก็หลุดสะอื้นทั้งๆ ที่กินข้าวไปได้ไม่กี่คำ
   
“จ้าว”
   
เหมันต์เรียกอย่างเป็นห่วงยังไม่ทันยื่นมือเข้าไปลูบหัวปลอบอย่างที่มักจะทำก็ถูกขัดซะก่อน
   
“เหมันต์พาน้องขึ้นห้อง”
   
ใบหน้าคมคายมีสีหน้าไม่ยินยอมนักแต่ก็ยอมทำตามอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตามคนที่ใหญ่ที่สุดในบ้านหลังนี้รองจากคุณศตคุณที่เสียไปแล้วก็คือคุณนทีผู้เป็นภรรยาและแม่ของเหมันต์อยู่ดี
   
ภายใต้โลกที่มืดมัว นทีนับว่าเป็นคนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามาก การตาบอดไม่ได้เป็นแต่กำเนิดแต่เกิดจากการถูกกลั่นแกล้งโดยไม่ระวังของพวกอัลฟ่า นทีเติบโตในย่านชุมชนแออัดและพยายามกระเสือกกระสนในการมีชีวิตรอดแม้ว่าจะถูกเหยียดหยามแทบทุกวินาทีที่หายใจ เคยทำงานชั้นต่ำเป็นที่รองมือรองเท้าของคนมานับไม่ถ้วนกว่าจะเจอพ่อเหมันต์ก็อายุเกือบยี่สิบปีพอดี
   
ชีวิตที่ผ่านมาของนทีไม่ได้สวยหรูนักทำให้นทีเข้าใจดีว่าตัวเองควรจะทำยังไงกับอดีตนักร้องดังที่ทุกอย่างในชีวิตพังลงมา
   
“แม่ แต่ว่าใบไม้อยากอยู่ด้วย”
   
เด็กน้อยงอแง
   
นทีหันไปมองวสันต์และพูดเสียงอ่อน “เด็กดี”
   
“ฮื่อ” ใบไม้ยังคงหน้ายู่ “ก็ได้ ใบไม้จะเป็นเด็กดี! ป่ะ พี่เหมันต์อย่ามัวชักช้ายืดยาดเป็นเต่า!”
   
เหมันต์หน้าบึ้ง “อยากโดนตัดค่าขนมไหม”
   
“ไม่กลัวหรอก” ร่างเล็กกระโดดลงจากเก้าอี้แลบลิ้นใส่เหมันต์อย่างยียวน “แก่แล้วก็ขี้งก!”
   
“วสันต์!!!!”
   
เหมันต์คำรามเพราะโดนจี้ใจดำ ทั้งๆ ที่เพิ่งอายุย่างสามสิบไม่นานกลับถูกน้องชายบ้านี่ล้อทุกวันถึงกระดูกกระเดี้ยวที่ไม่ค่อยแข็งแรงลั่นดังกร็อบๆ เวลาวิ่งตาม ไหนจะเรื่องไม่มีแฟนสักทีเพราะแก่เกินไป
   
“แง้ ตามมาแล้ววว”
   
เด็กน้อยร้องจ๊ากเมื่อเห็นร่างสูงขยับตัวแต่ก็ไม่ยอมอยู่เฉยๆ รีบวิ่งหนีขึ้นห้องนอนตัวเองไป
   
“จ้าว”
   
เสียงทุ้มนุ่มพูดเนิบนาบ
   
“ฮึก ครับ”
   
จ้าวกำมือแน่นจนรับรู้ถึงของเหลวที่ซึมออกมาจางๆ เป็นของเหลวที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีเพราะนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่จ้าวเผลอทำร้ายตัวเองจนเลือดตกยางออก
   
แต่เป็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าและมันจะมีครั้งต่อไปเมื่อจ้าวรู้สึกเจ็บปวดในอกจนแทบทนไม่ได้
   
อย่างน้อยๆ การที่ร่างกายเจ็บปวดก็ยังรู้สึกดีกว่าความเจ็บปวดในอกที่เหมือนหัวใจแตกสลายนัก
   
“พริมไม่ควรตาย”
   
จ้าวสะอื้นพูดแทบไม่เป็นภาษา “เธอไม่ได้ทำอะไรผิดด้วยซ้ำ ทำไมเธอต้องมาตายด้วย เธอเป็นคนดี ฮึก”
   
ตลอดเวลาที่ผ่านมาจ้าวนึกถึงแต่ความเจ็บปวดของตัวเองเพราะนึกแค่นี้ก็เจ็บแทบแย่แล้ว พอนึกถึงอดีตคู่หมั้นของตัวเองที่ถึงแม้จะไม่ได้รักแต่ก็ต้องมาตายด้วยความเกลียดของใครบางคนมันก็ไม่ถูกนัก
   
คนตายพูดไม่ได้ นั่นคือความจริงที่จ้าวเพิ่งตระหนักได้ตอนนี้
   
จ้าวมองแต่ตัวเองมาตลอดพอนึกถึงสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตัวเองต้องเข้าคุกก็หัวใจแทบสลาย การที่เพื่อนสมัยเด็กที่รู้จักกันมาตั้งแต่ประถมต้องมาตายเพื่อทำให้เขาต้องตายทั้งเป็นตาม ยิ่งทำให้จ้าวร้องไห้โฮออกมา

มันเป็นความเจ็บปวดมากกว่าตอนที่คิดจะฆ่าตัวตายเสียอีก ทั้งๆ ที่คิดว่าจะไม่เจ็บไปกว่าตอนนั้นแล้วแต่ตอนนี้กลับเจ็บกว่าเดิมหลายเท่า เมื่อรู้ว่าเพื่อเขาจะตายทั้งเป็นนั้นต้องสังเวยด้วยหนึ่งชีวิต
   
และเป็นฝีมือของคนที่เขารักที่สุดคนนึงเสียด้วย
   
“ใจร้าย ฮึก ทำไมต้องใจร้ายขนาดนี้ ฮืออ”
   
“…ฉันจะไม่ถามหรอกนะว่าร้องไห้เรื่องอะไร”
   
เสียงนุ่มนวลที่ดังข้างหูมาพร้อมกับฝ่ามือที่ออกจะหยาบกระด้างต่างจากคุณเหมันต์ลูบหัวอย่างเบามือ
   
หากแต่นั่นกลับทำให้จ้าวร้องไห้หนักกว่าเดิม คุณนทีใจดีและอบอุ่นมากกว่าแม่แท้ๆ ของเขาเสียอีก แม่ของเขาพอรู้ข่าวนอกจากจะไม่มองหน้าเขาแล้วยังสนับสนุนให้เขากลายเป็นโอเมก้าอีกเพื่อกลบข่าวฆ่าพริมด้วยข่าวที่ใหญ่กว่า
   
“ผม ฮึก เจ็บจะตายอยู่แล้ว”
   
นัยน์ตาโศกแดงก่ำมองใบหน้าที่ดูมีอายุนิดๆ แต่ยังดูเกลี้ยงเกลาน่ามอง ใบหน้านั้นยิ้มน้อยๆ ให้จ้าวราวกับว่าไม่ว่าโลกใบนี้จะโหดร้ายแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรคนผู้นี้ได้
   
“ฉันเชื่อว่าเธอไม่ได้ทำนะ จ้าว”
   
นทีพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเช่นเดิมแต่แปลกที่มันทำให้จ้าวสงบลง คล้ายกับว่าเสียงของนทีนั้นเป็นสายน้ำตามชื่อจริงๆ
   
“จ้าว นักร้องนำวงมูนไลท์ที่ฉันรู้จักเป็นคนที่ให้เงินบริจาคเด็กที่เป็นโอเมก้าทุกปี ให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ แต่งเพลงให้กำลังใจพวกโอเมก้า เธอทำอะไรดีๆ กับสังคมไว้เยอะมาก”
   
สมองของจ้าวว่างเปล่านึกสิ่งใดไม่ออกแต่น้ำตาคลอเบ้า เริ่มรู้สึกถึงคุณค่าของตัวเองที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อน
   
“เพลงของเธอทำให้เพื่อนฉันไม่ฆ่าตัวตาย เขาพยายามมีชีวิตต่อเพื่อที่จะทำให้โลกที่อยู่ตอนนี้ดีขึ้นเหมือนเพลงที่เธอแต่ง หมอนั่นยังบอกด้วยว่าถ้าเจอรักหวานแหววเหมือนเพลงขอรักก็ดี”
   
นทีพูดต่อไปเรื่อยๆ และอดอมยิ้มไม่ได้เพราะจ้าวหยุดสะอื้นแล้ว
   
“คนอย่างเธอฆ่าใครไม่เป็นหรอก จ้าว”
   
“แล้วผมต้องทำอะไร”
   
จ้าวถามเสียงแผ่ว แววตาวูบไหว
   
“อย่างที่เหมันต์บอก” นทีหยุดลูบหัวแล้วหยิบทิชชู่บนโต๊ะมาซับน้ำตาให้จ้าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “สิ่งที่เธอทำคือทวงความยุติธรรมให้ตัวเอง มันอาจจะยากหน่อยแต่เชื่อเถอะว่าเธอทำได้อยู่แล้ว”
   
“ผมก็พยายามอยู่ ฮึก” จ้าวสูดหายใจฟืดๆ “แต่มันยาก”
   
“ไม่ยากหรอก ตราบใดที่เธออยู่ที่นี่ก็ไม่มีใครหาเธอเจอ” นทียิ้มน้อยๆ “ตอนนี้สิ่งที่จ้าวต้องทำก็คือเลิกร้องไห้และเข้มแข็ง การร้องไห้มันไม่ได้ช่วยอะไรเปลี่ยนหรอกต่อให้เธออยากให้มันเปลี่ยนมากแค่ไหนก็เถอะ”
   
“ฮึก ผมกลัว” จ้าวสะอื้น “ผมกลัวจะทำทุกอย่างแย่ไปกว่านี้ แค่นี้มันก็แย่พอแล้ว ผมไม่อยากให้ชีวิตผมแย่ไปกว่านี้อีก ผมจะบ้าแล้ว ผมเจ็บจนจะบ้าแล้ว! ผมไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว ฮึก ชีวิตของผมตอนนี้ ผมคาดเดาอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะพังวันไหน ดีไม่ดีเกิดผมโดนเจอตัว ผมก็คงโดนส่งไปอเมริกากลายเป็นสัตว์ทดลองบ้าๆ แล้วก็ตาย”
   
รอยยิ้มของนทีหายไปแทนที่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
   
“ไม่มีใครตายเพราะชีวิตบัดซบหรอกจ้าว” ข้อมือที่เต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลที่มากกว่าจ้าวแกะกระดุมเสื้อตัวเองออกเผยให้เห็นหน้าอกที่ถูกประทับตราโอเมก้า ร่องรอยการถูกบุหรี่จี้ การทำร้าย น้ำร้อนลวก บาดแผลมากมายน่ากลัวสยดสยองที่ตอนนี้เหลือเป็นรอยแผลเป็นจางๆ แต่ก็ยังคงความเจ็บปวดในใจเอาไว้สำหรับนที
   
จ้าวหน้าซีดเผือด
   
“ฉันจะไม่เปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับเธอหรอก” นทีหัวเราะเบาๆ “คนเรามีความเข้มแข็งไม่เท่ากันกว่าฉันจะเป็นแบบตอนนี้ได้ก็แทบจะบ้าเหมือนกัน ฉันเกือบจะโดดตึกฆ่าตัวตายแล้วด้วยซ้ำถ้าพ่อเหมันต์ไม่มาช่วยฉันก่อน ฉันเข้าใจความเจ็บปวดของเธอนะ ความเจ็บปวดที่อยากจะต่อต้านแต่ก็ทำไม่ได้สำหรับฉันมันทรมานจนแทบบ้า”
   
“ฮึก”
   
จ้าวสะอื้นพยายามใช้หลังมือเช็ดดวงตาที่บวมเป่งของตัวเอง
   
โลกใบนี้ช่างโหดร้ายกับทุกคนเหลือเกิน ผู้ที่แข็งแกร่งและมีอำนาจมักจะใช้สิ่งที่ตนเองมีในการรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าหรือแม้แต่พวกเดียวกันก็ยังสามารถทำลายกันได้ลงคอ
   
“ผมอยาก ฮึก ให้มันจบลงสักที”
   
เขาไม่อยากให้ใครต้องมาเจ็บปวดแบบตัวเองอีก
   
“ผมจะช่วยพริม จะช่วยคุณ จะช่วยโอเมก้าทุกคนให้มีชีวิตดีขึ้น”
   
นัยน์ตาโศกที่ทำความมุ่งมั่นหายไปนับตั้งแต่ห้าปีที่แล้วกลับมาเข้มแข็งอีกครั้งอย่างที่ไม่ได้เป็นมานาน
   
“ผม ฮึก จะทำทุกอย่างให้ถูกต้อง”
   
เขาจะเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเองให้กับพริม เขาจะเข้มแข็งให้มากเพื่อที่ตัวเองจะเป็นฟั่นเฟืองอีกตัวนึงในการทำลายระบบชนชั้นที่แยกด้วยสายเลือดนี้ให้ได้
   
“ผมจะทำให้ได้”
   

   
“หมายความว่าไงที่หาตัวไม่เจอ?”
   
น้ำเสียงเย็นเยียบเอ่ยถามนายแพทย์จันทร์ นฤภัทรที่ยืนหลังตรงด้วยใบหน้าหมองคล้ำอย่างคนอดนอน
   
หลังจากที่คลิปของจ้าวถูกปล่อยออกมาก็สร้างคลื่นลูกใหญ่ถล่มซัดตระกูลนฤภัทรจนแทบล้มทั้งยืน ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีเมื่อห้าปีที่แล้วถูกเรียกร้องให้รื้อฟื้นคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ โดยเฉพาะจันทร์ที่ถูกนักข่าวจากหลายสำนักดึงตัวไปสัมภาษณ์เกือบครึ่งวัน
   
แต่คำตอบที่หลุดออกจากปากจันทร์ก็ยังคงเป็นคำที่ยืนยันหนักแน่นเช่นเดิม
   
“จากหลักฐานที่กองพิสูจน์หลักฐานและผมที่เป็นหนึ่งในผู้ชันสูตรพลิกศพก็ต้องบอกว่า จ้าว นฤภัทรเป็นคนลงทำโดยตั้งใจครับ”
   
แม้จะถูกผู้สื่อข่าวตั้งคำถามเบี่ยงประเด็นแต่จันทร์ก็ยังสามารถดึงวกกลับมาที่คำตอบเดิมได้อย่างคล่องแคล่วและแนบเนียนแม้ว่าร่างกายจะอดนอนมามากแล้วก็ตาม
   
“มีคนมาช่วยมันครับ” จันทร์เปิดโน้ตบุ๊คของตัวเองที่หยิบติดมือมาด้วยและหันหน้าจอที่แสดงภาพรถกอล์ฟที่จ้าวขึ้นไปให้นายแพทย์นพวิทย์ที่ยืนกอดอกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ดู
   
“หลังจากนั้นรถกอล์ฟนี่ก็วิ่งไปในทางที่ไม่มีกล้องวงจรปิดครับเลยไม่มีใครหาตัวมันเจอ”
   
ผู้ที่เป็นเจ้าของนัยน์ตาโศกให้กับบุตรทั้งสองจ้องจันทร์ด้วยสายตาเย็นเยียบ
   
“รับปากพ่อไม่ใช่เหรอว่าจะหาเจอแน่ๆ”
   
จันทร์ชะงักกึกรู้สึกหายใจไม่ออกนัก “ขอโทษครับ”
   
“น่าผิดหวัง” นายแพทย์นพวิทย์พูดอย่างเย็นชา “ฉันคิดว่าแกจะดีกว่ามันแท้ๆ แต่ก็ยังพลาด”
   
แปลกนักที่จันทร์รู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กตัวเล็กๆ ไม่ใช่ผู้มีสิทธิ์ในการเป็นประธานบริหาร ไม่ใช่แพทย์ที่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนอัลฟ่าเป็นโอเมก้า เป็นแค่เด็กที่ทำอะไรก็ไม่เคยดี ไม่เคยได้รับคำชม
   
และที่สำคัญที่สุดคือเด็กที่ขาดการถูกรัก
   
“แล้วปลอกคอ PSE ล่ะ? ยังไม่ได้สัญญาณอีกเหรอ ไหนบอกว่าเป็นของดีของใหม่จากที่อเมริกาไง ทำไมประสิทธิภาพมันถึงได้อ่อนด้อยนัก”
   
คำถามแต่ละคำถามที่หลุดออกมาจากบิดาตัวเองคือสิ่งที่จันทร์ตอบไม่ได้แม้แต่คำถามเดียว
   
มันเหมือนกับมีดที่แทงเข้าตามตัวโดยไม่สามารถหลบหลีกได้ทำได้เพียงยอมให้เนื้อตัวเกิดบาดแผลเหวอะหวะเลือดท่วมตัว
   
แต่จันทร์ก็ยังคงพยายามยืนหยัด
   
สิ่งที่เขาลงทุนทำลงไปทุกอย่างต้องไม่สูญเปล่ากับแค่ความเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้!
   
“เหมือนพวกมันจะมีอุปกรณ์ระงับสัญญาณครับแต่ผมก็ให้พวกช่างเทคนิคลองกระตุ้นสัญญาณแล้วครับ”
   
นายแพทย์นพวิทย์ถอนหายใจหน่ายๆ แล้วเดินไปแตะบ่าบุตรชายของตัวเองที่สูงกว่าตนเองแล้ว “พยายามให้ดี จันทร์ ตอนนี้ตระกูลนฤภัทรเหลือแค่แกคนเดียวที่หวังได้แล้ว”
   
จันทร์เผยรอยยิ้มมั่นใจออกมา
   
“แน่นอนครับ ผมจะลากตัวมันออกมาให้ได้ครับ”

   

“จ้าววว อย่ากดมั่วสิ! โกงงง”
   
สองแฝดซึ่งอยู่ในวัยไม่เกินห้าขวบแอบไปเล่นเกมที่บ้านญาติโดยที่พ่อและแม่ไม่รู้ เกมที่กำลังเล่นอยู่นั้นคือเกมต่อสู้ที่มีระบบการเล่นไม่ซับซ้อนนักอย่างสตรีทไฟเตอร์ ซึ่งคนที่คว้าชัยชนะไปถึงสองเกมแล้วก็คือจ้าวที่ใช้คาถากดมั่วแหลกไม่มีแบบแผนต่างจากจันทร์ที่พยายามเล่นเกมตามวิธีการเล่นอย่างเคร่งครัด
   
“คิก เล่นเกมมันไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นหรอกน่า”
   
จ้าวหัวเราะคิกคักเมื่อตัวเองปล่อยท่าไม้ตายแล้วหน้าจอก็ขึ้นว่าตัวเองเป็นวินเนอร์
   
“ฮื่อ แต่มันไม่เท่อ่ะ” จันทร์หน้ายู่ “มาอีกรอบมา!”
   
“ด้ายย พี่จ้าวรับคำท้า”
   
การต่อสู้เริ่มต้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้เป็นไปอย่างสูสีแม้ว่าจ้าวจะพยายามกดมั่วสุดชีวิตแล้วก็ตามและในที่สุดคนที่ได้ชัยชนะก็เป็นอีกคนสักที
   
“เย้ๆๆ ชนะ!”
   
จันทร์ดีใจจนกระโดดโลดเต้นแม้ว่าตัวเองชนะแค่ครั้งเดียว แววตาเป็นประกายอย่างมีความสุข
   
“เว่อร์อ่ะ จันทร์”
   
เป็นจ้าวบ้างที่หน้ายู่
   
“มาแข่งกันอีกรอบมา”
   
จันทร์ส่ายหัวดิกหัวเราะคิกคัก “กลับบ้านดีกว่า เดี๋ยวแม่กับพ่อรู้”
   
“อีกรอบบบบ”
   
“ม่ายยย” จันทร์หน้ายู่ “งั้นครั้งหน้ามาแข่งกันถ้าใครชนะต้องเลี้ยงไอติม”
   
จ้าวพองแก้มงอนๆ “ก็ได้ สัญญาแล้วนะ” ยื่นนิ้วก้อยไปให้
   
“อื้อ สัญญา!” จันทร์เกี่ยวก้อยกลับแล้วยิ้มจนตาหยี
   
แต่น่าเสียดายที่นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่สองแฝดหนีออกมาเล่นได้ พอกลับถึงบ้านก็โดนทำโทษกักบริเวณหนึ่งอาทิตย์อีกทั้งยังโดนจับเรียนพิเศษอีก
   
การแข่งขันที่ยังไม่ทันได้เริ่มต้นจึงจบลงอย่างน่าเสียดายและไม่มีใครได้เลี้ยงไอติมใคร
   
   

“ครั้งนี้ผมคงเป็นฝ่ายเลี้ยงไอติมพี่แล้วล่ะ”
   
จันทร์หัวเราะในลำคอก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอนกับเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน
   
วาดฝันถึงชัยชนะอันหอมหวานของตัวเอง

   

“ไอติม...”
   
จ้าวยืนเหม่อมองตัวเองในกระจก รู้สึกแปลกใจนิดๆ ที่อยู่ดีๆ ก็นึกถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้วขึ้นมา
   
“ถ้าเป็นไปได้พี่ก็ไม่ได้อยากเลี้ยงไอติมนักหรอก”
   
หัวเราะเสียงแผ่วเบา
   
แต่เจ็บเสียดในอกสิ้นดี

===========

ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ เรื่องคำผิดด้วย TT เพิ่งรู้ว่าไซริงค์เขียนแบบนี้ จะนำไปแก้ค่ะ ขอบคุณมากๆ ค่า :hao5:

หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 14 : ครอบครัว p.2 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 12-04-2018 19:21:41
สงสารจ้าวที่สุด :ling1:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 14 : ครอบครัว p.2 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 12-04-2018 22:44:46
ใบไม้น่ารักจังเลย ฮีลลิ่งใจคนอ่าน
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 14 : ครอบครัว p.2 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: W2P5 ที่ 13-04-2018 04:31:44
จะบอกว่าเกลียดจันทร์ก็เกลียดไม่ลง :hao5:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 14 : ครอบครัว p.2 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 13-04-2018 12:44:02
สงสารจ้าว จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 14 : ครอบครัว p.2 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: 14th-friedegg ที่ 14-04-2018 00:24:04
เนื้อเรื่องดีมากๆคะชอบมากเลย
จะติดตามต่อไปนะคะ
ตอนแรกเกลียดจันทร์นะ แต่พออ่านถึงตอนล่าสุดนี่รู้เลย
เกลียดพ่อแม่ของจันทร์กับจ้าวมากกว่า พอแม่รังแกฉันมากๆ
ถึงขนาดทำให้แฝดต้องฆ่ากันเองเพื่อเป็นที่รักของคนในครอบครัว
คนแบบนี้ไม่สมควรมีลูกคะ
ตอนจบไม่อยากให้จันทร์เป็นคนที่รับผลคนเดียว พ่อแม่ควรจะโดนให้มากกว่า เป็นโอเมก้าไปเลยน่าจะดีจะได้เห็นใจคนอื่นบ้าง
ขนาดลูกตัวเองยังมีแต่ความรักจอมปลอมให้เลย
อินคะอิน
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 14 : ครอบครัว p.2 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 15-04-2018 00:55:25
ถ้ามีโอกาสตบใครในเรื่อง ตบพ่อแม่แฝดก่อนเลย
ตัวต้นเหตุที่แท้ทรู ตบพ่อแม่ของพ่อแม่แฝดได้ด้วยจะดีมาก
เลี้ยงยังไงให้พ่อแม่แฝดบ้าศักดิ์ขนาดนี้
 :z3: :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 15 : จู่โจม p.2 (24/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 24-04-2018 00:43:50
ตอนที่ 15
   

“ฉันว่างแค่วันนี้ บอกไอเดียของเธอมาแล้วฉันจะให้คนจัดการให้”
   
เหมันต์พูดขึ้นเมื่อจ้าวเข้ามาในห้องทำงานของตัวเองซึ่งอยู่ชั้นสองของคฤหาสน์และเพิ่งสังเกตเห็นดวงตาที่บวมเป่งจากการร้องไห้
   
“ก่อนอื่นฉันขอถามอะไรหน่อย”
   
จ้าวซึ่งนั่งลงบนโซฟานุ่มตัวเดิมแล้วเอียงคองงๆ เพราะยังไม่ทำได้ตอบคำถามแรกคำถามที่สองก็ตามมาแล้ว “ครับ?”
   
“เมื่อไหร่จะเลิกร้องไห้ซะที” ใบหน้าของเหมันต์บูดบึ้ง “ฉันไม่รู้จะทำยังไงเวลาเธอร้องไห้ จะกอดจะปลอบก็ร้องเหมือนเดิม หนักกว่าเดิมด้วย ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
   
ช่วยไม่ได้ที่เหมันต์กับน้องชายห่างกันประมาณสามรอบ ความสามารถในการเลี้ยงเด็กของเหมันต์จึงต่ำมากและไม่สามารถใช้กับใครได้เลยแม้แต่กับจ้าว เห็นได้ชัดถึงความล้มเหลวเพราะเขาปลอบแล้วหลายรอบก็ยังร้องเหมือนเดิม
   
คนโดนถามหลุดหัวเราะแล้วยิ้มจนนัยน์ตาโศกที่มักจะทำตาเศร้าๆ อยู่เสมอตอนนี้แทบจะมีรอยยิ้มอยู่ในตาด้วยซ้ำ “ไม่ร้องแล้วครับ”
   
แต่คำตอบก็ยังทำให้เหมันต์หน้าบึ้งเหมือนเดิม
   
“เพราะแม่ฉันสินะ ฉันปลอบไม่ดีตรงไหน”
   
จ้าวหน้าแดงนิดๆ เมื่อนึกถึงการปลอบที่ผ่านมาของคุณเหมันต์ ถ้ามองในมุมของความสัมพันธ์ในแง่นั้นเรียกได้ว่าเขาโดนแต๊ะอั๋งไปตั้งหลายครั้งเพราะคุณเหมันต์ทั้งกอดทั้งหอมเลยทีเดียว ลามกสุดๆ ไม่สิ คุณเหมันต์น่าจะมองเขาเป็นน้องชายอีกคนล่ะมั้งที่อายุใกล้ๆ กันหน่อย
   
และถ้าจำไม่ผิดตอนที่เขาอยู่ประถมปลายก็เห็นคุณเหมันต์ที่อยู่โรงเรียนเดียวกับในชุดม.ปลาย อีกทั้งยังเป็นคนฮอตฮิตในโรงเรียนอัลฟ่าเพราะรวย หล่อ หยิ่ง ครบสูตรคุณชายไม่มีใครคบแต่มีสาวตามกรี๊ดเยอะมาก
   
“คุณเหมันต์ก็ปลอบดีครับแต่ผมมันขี้แยนิดหน่อย” จ้าวหัวเราะแหะๆ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าไอ้เรื่องที่ทำให้ร้องไห้นี้มันเยอะแยะไปหมดจนใช้คำว่าขี้แยเลยไม่ได้สักนิด
   
“โอเค ช่างมันเถอะ” เหมันต์ตัดบท “บอกคอนเซ็ปต์เพลงมา ฉันจะได้ให้คนจัดการให้”
   
จ้าวหัวเราะเพราะพอจะเดาได้อยู่แล้วว่าคุณเหมันต์ที่แสนใจร้อนนี่ต้องเข้าเรื่องที่ต้องการจะคุยทันที ไม่มีพิธีรีตองอะไรทั้งนั้น เวลาของคนๆ นี้เป็นเงินเป็นทอง เผลอๆ แค่นาทีเดียวอาจจะหาเงินได้เป็นล้านเลยด้วยซ้ำ
   
“ธีมของเอ็มวีผมอยากได้เป็นหมาป่าที่ใช้ปืนนายพรานล่าแกะครับ”
   
ไม่ว่าเปล่าจ้าวเดินไปที่บอร์ดข้างๆ โต๊ะคุณเหมันต์ที่มีโน้ตจำนวนนึงติดอยู่มุมซ้ายบนของบอร์ดซึ่งเป็นมุมที่สะดวกเหมาะสำหรับคนที่ถนัดซ้ายอย่างเหมันต์
   
จ้าวใช้ปากกัดปอกปากกาเคมีสีดำออกแล้ววาดรูปบนบอร์ดเป็นรูปป่าแบบลวกๆ แล้วมีมนุษย์ก้างคนนึงสวมชุดหมาป่ากำลังถือปืนไรเฟิลเล็งไปที่ฝูงแกะที่ยืนเกาะกลุ่มกันอย่างสบายใจ
   
“ผมจะให้หมาป่าแทนสัญลักษณ์ของพวกอัลฟ่าและแกะคือสัญลักษณ์ของพวกโอเมก้า เอ็มวีจะอยู่ในป่าถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากได้แบบซีจีแต่ผมคิดว่าไม่น่าทัน ป่าหลังบ้านของคุณก็พอไหวอยู่”
   
“ถ้าอยากได้ซีจีจริงๆ ก็ต้องรอ” เหมันต์พูดด้วยสีหน้าจริงจังราวกับกำลังพูดคุยต่อรองธุรกิจพันล้าน “งานพวกนี้มันละเอียดและยาก ต้องให้เวลาพวกเขาทำมันถึงจะออกมาดี”
   
จ้าวกระพริบตาครุ่นคิดพักนึงเพราะใจจริงก็อยากได้ซีจีเท่ๆ แต่เวลามันก็คือหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้าถ้าดันทุรังจะเอาจริงๆ พวกฝ่ายซีจีคงแอบลักลอบเข้ามาปาดคอเขาตายตั้งแต่วันแรก จะได้ไม่ต้องปั่นงานสุดชีวิตมาให้เขา
   
“งั้นก็ป่าหลังบ้านคุณนั่นแหละครับ ส่วนเนื้อเพลงผมก็เกี่ยวกับพวกอัลฟ่าที่ทำร้ายโอเมก้าอะไรทำนองนั้นครับ ผมคิดเนื้อเพลงคร่าวๆ ไว้แล้วประมาณมะรืนก็น่าจะอัดเพลงพร้อมกับเอ็มวีได้”
   
เป็นอีกครั้งที่เหมันต์ต้องทึ่งในความสามารถของจ้าว
   
นัยน์ตาสีเทามองจ้าวอย่างภูมิใจนิดๆ เพราะก็เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อยจนตอนนี้กลายเป็นคนนึงที่มีความสามารถด้านดนตรีมากที่สุดคนนึง จะมีสักกี่คนที่แต่งเพลงในเวลาสองสามวันและมั่นใจได้จากชื่อคนแต่ง ว่าต้องเพราะแน่ๆ นอกจากจ้าวเขาก็ไม่รู้จักคนอื่นแล้ว
   
“แล้วอยากได้ใครมาช่วยทำงานรึเปล่า”
   
จ้าวนิ่งครุ่นคิดชั่งใจไปพักใหญ่ๆ
   
ในอกนึกถึงตอนที่ตัวเองทำพฤติกรรมทรามๆ ใส่ข้าวที่เทิดทูนตัวเองยังกับอะไรแต่ก็ยังอิจฉาได้ลงคอ เพราะกลัวว่าจะถูกลดสำคัญไป ทั้งๆ ที่ความสำคัญของเขานั้นไม่มีมาตั้งนานแล้ว
   
“เอาครับ”
   
พ่นลมหายใจออกมาเหนื่อยๆ ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ไม่สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียวอยู่ดี
   
“ถ้าเป็นคนนอกฉันให้ได้แค่สามคนและขอเป็นคนที่ไว้ใจได้ด้วย”
   
คำว่าไว้ใจได้ทำให้จ้าวจำกัดคนที่ตัวเองต้องการได้ง่ายขึ้นเพราะตอนนี้มีไม่กี่คนนักหรอกที่ทำดีกับเขา
   
“ขอเป็นซิน ฝุ่น แล้วก็ข้าวครับ”
   
เหมันต์เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ “เอาจริงๆ นะฉันข้องใจตั้งแต่วันนั้นแล้ว เธอไปรู้จักซินได้ไง เจ้านั่นโลกส่วนตัวสูงจะตาย”
   
จ้าวหัวเราะแห้งๆ “รู้จักกันในคุกครับ”

แววตาของสีเทาเปลี่ยนไปแน่นอนว่าหม่นหมองลง “ซินกับฝุ่นฉันจะเรียกตัวมาให้แต่ข้าวนี่ฉันไม่รู้จัก”

“ข้าวเป็นคนรู้จักของซินอีกทีครับ” จ้าวกัดปากลงโทษตัวเองที่ยังมีอคติกับคนๆ นี้ไม่หยุดสักที “เป็นโอเมก้าที่เป็นนักร้องนำวันนั้นน่ะครับ”

เขานี่มันน่ารังเกียจเหลือเกิน

จ้าวคิดอย่างหดหู่ เขาอยากดึงตัวข้าวมาช่วยแต่ก็ยังหยุดตัวเองให้ไม่รู้สึกโดนแย่งของสำคัญไม่ได้ เขากลัวว่าตัวเองจะถูกลบเลือนไปถ้าคนที่เหมือนจ้าวคนเก่าก้าวเข้ามาแทนเขา

คนที่เหมือนกับเขาในตอนที่เปล่งประกายทุกอย่าง

มือของจ้าวสั่นโดยไม่รู้ตัวเพราะความหวาดกลัวที่รุกคืบเข้ามากัดกินจิตใจของตนเอง

เขากำลังกลัว..
   
“เฮ้อ”
   
เสียงถอนหายใจเหนือศรีษะทำให้จ้าวเงยหน้าขึ้นมองและพบว่าคุณเหมันต์มายืนตรงหน้าตัวเองแล้วด้วยสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจ
   
“เป็นอะไรอีก หืม?”
   
มือหนาลูบหัวจ้าวเบาๆ เหมือนทุกครั้ง
   
และจ้าวก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของคุณเหมันต์
   
“เอาไปสิ”
   
เหมันต์พูดนิ่งๆ มองคนที่หน้าเหมือนจะร้องไห้อย่างไม่เข้าใจนัก ความจริงกะจะให้ตอนแรกคุยเรื่องงานเสร็จแต่พออีกฝ่ายเข้าโหมดซึมก็ต้องลัดขั้นตอนก่อนที่จะจ้าวจะปล่อยโฮออกมาอีก
   
“ฮึก ขอบคุณครับ”
   
จ้าวยิ้มทั้งน้ำตากอดช่อดอกกุหลาบสีขาวแน่นอย่างหวงแหน
   
“คุณเหมันต์จะไม่ทิ้งผมใช่ไหม”
   
สิ่งที่จ้าวหวาดกลัวจริงๆ ก็คือจะโดนแย่งคนที่ดีกับตัวเองไป ถ้าคุณเหมันต์ให้ความช่วยเหลือเขาเพราะความสงสาร ข้าวคงจะได้รับความใจดีนี่เหมือนกัน ฝั่งนั้นเป็นทั้งโอเมก้าทั้งเหมือนเขาในอดีตอีกทั้งยังมีหน้าตาน่ารัก ผิวพรรณขาวผ่องเกลี้ยงเกลา ดูดีกว่าเขาในตอนนี้มาก
   
“ฮึก ขอโทษครับที่ถามอะไรโง่ๆ”
   
มันอาจจะดูเห็นแก่ตัวแต่เขาไม่อยากจะแบ่งความใจดีนี่ให้ใครแล้วจริงๆ
   
“เฮ้ออ” เหมันต์เสยผมถอนหายใจเซ็งๆ เพราะสุดท้ายจ้าวก็ร้องอยู่ดีและเขาก็คงไม่มีปัญญาทำให้หยุดร้องเช่นเดิม ทั้งๆ ที่เมื่อกี้ก็เพิ่งคุยกันว่าจะไม่ร้องแล้วแต่นี่ยังไม่ถึงห้านาทีก็ร้องซะงั้น
   
“เลี้ยงมาตั้งแต่ม. หนึ่ง คิดว่าจะทิ้งไหมล่ะจ้าว”
   
“ฮึก ผมไม่รู้”
   
“คิดว่าขนมที่ได้บ่อยๆ ใครให้?”
   
จ้าวกระพริบตาปริบเริ่มคิดตามและหน้าแดงเพราะตอนนั้นเป็นช่วงที่หัดร้องเพลงใหม่ๆ เป็นนักร้องโรงเรียนแต่ก็ยังไม่ดังมาก ซึ่งเรื่องที่เขาสงสัยมาตลอดก็เรื่องขนมเนี่ยแหละ ทุกครั้งหลังจากที่เขาขึ้นร้องเพลงมักจะมีขนมที่เขาชอบวางอยู่ใต้โต๊ะเรียน ทุกครั้งจริงๆ จนเพื่อนในห้องตั้งทีมสืบสวนหาตัวคนให้ก็ไม่สำเร็จ ขนมโผล่ที่โต๊ะเขาได้เหมือนเดิมและเยอะขึ้นด้วยเหมือนจะขุนเขาให้อ้วนยังไงยั้งงั้น
   
ถ้าเจ้าของขนมพวกนั้นเป็นคุณเหมันต์จริงนั่นก็เท่ากับว่าเป็นแฟนคลับเขามาเกือบสิบปีเลยสิ! ถึงว่าทำไมตอนหลังๆ ได้น้อยลงก็เพราะคุณเหมันต์จบไปแล้วนี่เอง
   
“คุณ คุณเหมันต์ชอบผมมากเลยเหรอ”
   
จ้าวหน้าแดงก่ำเริ่มทำตัวไม่ถูก
   
“บอกว่าเป็นแฟนคลับไง” เหมันต์หน้าหงิกพยายามกลบเกลื่อนความเขิน “ฉันก็ชอบตอนเธอร้องเพลงไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นแหละ”
   
“ฮื่อ แต่คุณจูบผม”
   
“พูดให้มันถูกหน่อย ฉันแค่จูบหน้าผากไม่ได้จูบเธอจริงๆ”
   
“แล้วทำไมคุณถึงต้องใจดีกับผมขนาดนี้ด้วย”
   
ความรู้สึกแปลกๆ ในอกทำจ้าวเขินหนักกว่าเดิมเพราะรู้จักอาการนี้ดีและเขาก็ไม่ได้ใส่ซื่ออะไร
   
“เข้าใจให้มันง่ายๆ หน่อยได้ไหม” เหมันต์โน้มหน้าเข้าไปใกล้จ้าวด้วยสีหน้าหงุดหงิด “ฉันช่วยเธอเพราะฉันอยากช่วย เหตุผลมันก็มีแค่นี้ สมมุติถ้าฉันเพิ่งออกจากคุกในสภาพปางตาย เธอเมื่อก่อนถ้าผ่านมาเห็นฉันก็คงช่วยเหมือนกัน เห็นไหมบางอย่างมันไม่ต้องมีเหตุผลหรอก”
   
“ครับๆ เข้าใจแล้ว”
   
จ้าวพยักหน้าหงึกๆ แล้วเบิกตากว้างเมื่อใบหน้าคุณเหมันต์เข้ามาใกล้กว่าเดิม ร่างผอมพยายามจะถอยหลังหนีตามสัญชาตญาณแต่ก็โดนคว้าไหล่เอาไว้
   
“ฮื่ม บัดซบ”
   
เหมันต์สบถอย่างหงุดหงิดเมื่อ จู่ๆ เลือดในกายก็พลุ่งพล่านจนร้อนระอุไปหมด เป็นอาการที่คุ้นเคยดีก็จริงแต่มันจะดีกว่านี้
   
ถ้าไม่มีใครอยู่ในห้องด้วย!
   
“!!!”
   
สถานการณ์ตอนนี้นับว่าเป็นอะไรที่น่าตกใจยิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าตัวเองชนะการประกวดร้องเพลงซะอีก!
   
จ้าวหลับตาหยีพยายามเลื่อนใบหน้าหนีคุณเหมันต์ที่จู่โจมจูบเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว ลิ้นร้อนที่รุกไล่เข้ามาในโพรงปากนั้นดูหิวกระหายจนแข้งขาอ่อนไปหมด มือร้อนฉ่าล้วงเข้ามาในแผ่นหลังเขาไล้นิ้วไปตามแนวกระดูกสันหลังอย่างเพลิดเพลินและมาหยุดบริเวณสะโพก
   
สัมผัสไม่คุ้นเคยและร้อนผ่าวทำเอาจ้าวหน้าแดงก่ำหลุดครางเสียงแผ่ว
   
“อือ”
   
แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะเลยเถิดไปกว่านี้ นัยน์ตาสีทึบของเหมันต์ก็กลับมากระจ่างใสจึงรีบผละออกมาจากจ้าว ขบฟันกรอดๆ พยายามหยุดสัญชาตญาณดิบของร่างกายที่กำลังร่ำร้องหาที่ปลดปล่อย
   
“ออก..ไป”
   
แววตาของเหมันต์สั่นระริกแทบจะครองสติไม่อยู่
   
“…อือ”
   
จ้าวยังมึนๆ งงๆ ไม่ได้สติดีเพราะตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ทัน ทุกอย่างเหนือความคาดหมายและรวดเร็วไปหมดราวกับว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติ
   
“จ้าว”
   
เหมันต์เรียกซ้ำเสียงนุ่มนวล มีกลิ่นสนิมอวลในอากาศเมื่อเหมันต์หยิบปากกาใกล้ๆ มาแทงแขนตัวเองจนเลือดออก ความเจ็บปวดทางกายที่ดูจะรุนแรงทำให้สัญชาตญาณสัตว์ป่าลดลง
   
ไม่เช่นนั้นจ้าวจะถูกเขาฉีกทึ้งไม่เป็นชิ้นดี..   
   
แน่นอนว่าเหมันต์ไม่อยกให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นจึงเลือกที่จะทำร้ายตัวเองดีกว่าจะทำให้จ้าวอาการแย่ไปกว่านี้ ไม่สิ แค่เขาจู่โจมก็ดูจะทำให้จ้าวตกใจไปมากแล้ว
   
“ออกไปก่อน”   

ท้ายที่สุดเหมันต์ก็ตัดสินใจเดินไปลูบหัวจ้าวเบาๆ ด้วยแขนข้างซ้ายที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ

“ไว้ฉันจะอธิบายให้ฟัง”

ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะไม่บอกจ้าวเพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ฟังแล้วจะชวนให้สบายใจนักแต่เพราะมันเป็นสาเหตุในการทำให้เขาจู่โจมจ้าวอย่างอุกอาจแบบนี้ ก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องอธิบายให้จ้าวฟัง เขายังไม่อยากเป็นคนหื่นกามไม่ดูเวลาในสายตาจ้าวนัก

“อึก คะ ครับ”

เมื่อได้สติจ้าวก็หน้าแดงก่ำแม้แต่หูก็ยังแดงไปด้วย “งั้น งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ถ้า ถ้ามีอะไรผมจะบอกคุณนทีครับ” ลิ้นกับสมองเหมือนทำงานไม่พร้อมกัน จ้าวพูดแทบไม่เป็นภาษารีบก้าวไวๆ ออกจากห้อง

เหมันต์ถอนหายใจยาวทิ้งตัวใส่โซฟาแล้วครางเซ็งๆ ออกมาก่อนจะโทรหาลูกน้องคนสนิทให้เอาเครื่องปฐมพยาบาลมาให้ เมื่อโทรเสร็จก็หยิบยาบนโซฟามากินและนั่งมองแขนที่เป็นแผลของตัวเองด้วยความหงุดหงิด

เขาเบื่ออาการบ้าๆ พวกนี้เต็มทนแล้วจริงๆ




ผลตอบรับจากทีเซอร์ที่ปล่อยไปสำหรับจ้าวแล้วค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจทีเดียว ผู้คนแบ่งแยกเป็นสองฝั่ง ฝั่งที่เยอะที่สุดคือฝั่งโจมตีที่ไม่เชื่อในตัวจ้าว กนด่าถึงความหน้าไม่อายในการหลบหนีออกจากคุกมาร้องเพลงต่อ คำพูดที่จ้าวพูดแต่ละคำล้วนถูกตั้งเป็นประเด็นว่าโกหกคำไหนบ้าง ผู้คนด่าทอประท้วงให้คนชั่วๆ อย่างจ้าวควรกลับไปนอนในตารางไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน
แต่ก็มีอีกฝั่งที่เชื่อในคำพูดของจ้าว ถึงแม้จะยังคงน้อยนิดแต่ก็ยังดีกว่าเมื่อก่อนนักที่ไม่มีเลย คนที่เชื่อในตัวจ้าวเริ่มกล้าแสดงตัวออกมา พยายามเรียกร้องให้รื้อฟื้นคดีใหม่และให้ความเป็นธรรมกับจ้าว

เรียกได้ว่ากระแสสังคมเกี่ยวกับ ‘จ้าว’  ตอนนี้ดุเดือดเร่าร้อนสุดๆ

ทำให้การปิดข่าวเป็นเรื่องที่เป็นไปแทบไม่ได้ คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ จึงต้องแบกหน้าไปแถลงข่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนึกอับอาย

“จนถึงตอนนี้ผมก็ยังยืนยันคำเดิมครับ”

ใบหน้าคมเข้ากันดีกับนัยน์ตาโศกมุ่งมั่นถึงความสัตย์จริงกับวาจาที่ตัวเองกล่าวออกไป เสื้อกาวน์ที่สวมอยู่ขับให้ผู้พูดดูน่าเชื่อถือมากขึ้นแม้จะยังไม่ได้ทำอะไร เห็นได้ชัดถึงประโยชน์ของวิชาชีพที่สามารถทำให้ผู้คนมองคนอื่นในแง่ดีโดยอัตโนมัติราวกับโดนต้องมนตร์

“หลักฐานในที่เกิดเหตุไม่มีใครแตะต้องและมันก็มีแค่ลายนิ้วมือของจ้าวครับ”

สีหน้าของเจ้าของชื่อในข่าวนิ่งสนิทมองคนที่พูดอยู่ด้วยแววตาเย็นชา

บนหน้าจอแอลอีดีติดผนังปรากฎภาพในที่เกิดเหตุในห้าปีที่แล้วก่อนขึ้นหลักฐานต่างๆ ที่ใช้มัดตัวจ้าวและโยนจ้าวเข้าคุก ยิ่งภาพเปลี่ยนไปเรื่อยๆ สีหน้าของอดีตนักโทษก็ยิ่งแข็งกร้าว

ในที่สุดความเจ็บปวดก็แปรเปลี่ยนเป็นความด้านชา

แม้แต่สัตว์ที่โง่งมที่สุดยังรู้ว่ามันควรทำอะไรเมื่อมันจนตรอก

ถ้าไม่ปิดชีวิตตัวเองก็แว้งกัดจนกว่าจะตายกันไปข้าง!

“นี่เป็นร่องรอยการต่อสู้ครับ”

จันทร์ที่อยู่ในจอบรรยายภาพสยดสยองด้วยสีหน้าสุขุม ศพในจอถูกเซ็นเซอร์จนมองอะไรไม่ชัดแต่ที่ชัดเจนคือรอยถูกมีดแทงเข้าที่ท้องและตามลำตัวอีกหลายแผล

“เห็นได้ชัดว่าสภาพศพถูกมีดแทงจนถึงแก่ชีวิตและบุคคลที่กระทำก็คือนักโทษชายที่ชื่อว่าจ้าวครับ”

ภาพถัดมาที่ปรากฎคือภาพของจ้าวในสภาพสะบักสะบอมที่ท้องมีรอยโดนแทงที่ท้องจนเป็นแผลฉกรรจ์ขนาดใหญ่ชวนให้คลื่นเหียน

“ฮื่อ”

จ้าวคำรามขบฟันกรอดน้ำตารื้นลูบหน้าท้องตัวเองที่ยังเป็นรอยแผลเป็นและยังคงเจ็บเสียดทุกครั้งที่ขยับแรงๆ หรือบางครั้งเมื่อนึกถึงบาดแผลก็จะปวดขึ้นมากะทันหัน

“ก่อนผู้ตายจะเสียชีวิตได้มีการพยายามป้องกันตัวเพื่อเอาชีวิตรอดแต่เธอก็..”
พูดถึงตรงนี้สีหน้าของจันทร์ก็เศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด

“ผมก็ยังขอยืนยันคำว่าครับว่าจ้าวโกหก ถึงเขาจะเป็นพี่แท้ๆ ของผม ผมก็ไม่อยากละเว้นครับ คนชั่วจิตใจโหดเหี้ยมแบบนี้ควรได้รับผลของการกระทำครับ ผมไม่อยากให้พริมเสียใจถ้าเกิดผมพยายามช่วยคนที่ผิดอย่างจ้าว”

วิ้ว

จ้าวผิวปากหวือหัวเราะจนไหล่สั่น

“ดี.. จันทร์ ดี”

จันทร์สามารถตีบทหนึ่งในคนถูกกระทำได้แตกทีเดียว ดีซะจนถ้าเขาเป็นคนนอกก็คงหลงเชื่อคำลวงนี้เหมือนกัน จันทร์เปลี่ยนไปมากเช่นเดียวกับเขาที่เปลี่ยนไป โลกนี้มันโหดร้ายมากจริงๆ

ถ้าจันทร์อยากล่าเขา เขาก็จะล่าจันทร์เหมือนกัน ต่อให้เจ็บปวดก็ช่าง เขาทนไม่ไหวแล้วกับการโดนทำให้จนตรอก เขาจะกลายเป็นหมาจรจัดคลุ้มคลั่งก็ช่าง เขาไม่สนแล้ว เขาไม่อยากสนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว

“และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่ใช้ยืนยันได้ครับ”

รอยยิ้มร้ายของจ้าวหุบลงกะทะหันเมื่อเห็นหลักฐานที่จันทร์ว่า

“สวัสดีครับ ผมไนท์ มือกลองวงมูนไลท์ครับ”

หนุ่มปักษ์ใต้อารมณ์ดีประจำวงมูนไลท์ในชุดเรียบร้อยทำหน้าตาขึงขัง “จ้าวเป็นฆ่าพริมจริงๆ ครับ ผมยืนยันได้ ผมได้ยินจากปากเจ้าตัวเลยและที่อยู่สุดท้ายของจ้าวก็คือคอนโดของพริมครับ ตอนนั้นจ้าวบอกผมว่าพริมชวนไปกินข้าวแต่ใครจะไปรู้ว่าวันนั้นจะเป็นวันสุดท้ายของพริม”

สีหน้าของไนท์แปรเปลี่ยนเป็นโกรธ

“ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจ้าวต้องทำแบบนั้น ทั้งๆ ที่พริมมาเชียร์จ้าวทุกคอนเสิร์ต เทคแคร์ตลอด ไปเที่ยวด้วยกับก็ออกจะบ่อย”

“อืม..”

จ้าวแสยะยิ้มนัยน์ตาเย็นเยียบตัดสินใจปิดทีวีเพราะทนฟังเสียงต่อไปไม่ได้

แม้แต่ไนท์ก็เป็นไปกับเขาด้วย? เรื่องจริงระหว่างเขากับพริมไม่มีอะไรแบบนั้นสักนิด เราทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเฉยๆ ส่วนเรื่องคู่หมั้นผู้ใหญ่เป็นจัดการ จ้าวพยายามทักท้วงแต่ก็ไม่ได้ผลเลยได้ปล่อยเลยตามเลยและหลีกเลี่ยงการแต่งงานมาตลอด แต่ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่งเขาก็ไม่ต้องพยายามทำอะไรอีกต่อไป

“ฮื่ออ”

เลือดในกายพลุกพล่านอย่างเดือดดาล จ้าวคำรามต่ำๆ กระแทกเข้าไปหาเบสไฟฟ้าที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตัวเองในวัยเด็กช่วงหนึ่ง

ทันทีที่ปรับเสียงได้ตามที่ต้องการ ปลายนิ้วผอมที่เต็มไปด้วยบาดแผลก็บรรเพลงอย่างเดือดดาลและคำรามเสียงเพลงออกมาเสียงดังลั่น

จ้าวรู้ดีว่าตัวเองในตอนนี้ไม่ใช่ตัวเองจริงๆ ฮอร์โมนในร่ายกายที่แปรปรวนทำให้ควบคุมอารมณ์ให้นิ่งๆ ดีๆ อยู่เป็นนิจเหมือนเมื่อก่อนจึงเป็นเรื่องยาก เขาเลยได้แต่ระบายมันออกมาผ่านทางเสียงเพลงที่เขารัก

“คุณเห็นลูกแกะน่ารักพวกนั้นไหม? ลูกแกะที่แสนอ่อนแอเนื้อหวานอร่อยที่พวกคุณชอบรังแกพวกมันน่ะ”
เสียงของจ้าวในตอนนี้ไร้ซึ่งความกระจ่างใสแต่อัดแน่นไปด้วยความอัดอั้นตันใจและความโกรธ ทุกอย่างปะทุออกมาพร้อมราวกับภูเขาไฟขนาดเก้าริกเตอร์ ล้างผลาญทุกอย่างในระยะหนึ่งพันกิโลเมตร

เนื้อร้องของเพลง WOLF ที่จ้าวกำลังร้องอยู่นั้นว่าด้วยหมาป่าที่ออกล่าฝูงแกะเล่นทั้งๆ ที่อิ่มอยู่ สิ่งที่มันทำคือการตอบสนองต่อความต้องการมันเท่านั้น ไม่ใช่สัญชาตญาณเป็นเพียงการเล่นสนุกที่มีชีวิตฝูงแกะเป็นเครื่องสังเวย เฉกเช่นเดียวกับพวกอัลฟ่าที่รังแกโอเมก้าอย่างไร้สาเหตุ ไร้มนุษยธรรม

“หมาป่า! หมาป่า! หมาป่า!”

จ้าวตะโกนออกมาเสียงแข็งนัยน์ตาวาวโรจน์ราวกับว่าเห็นน้องชายฝาแฝดตัวเองอยู่ข้างหน้า ทั้งๆ ที่รู้ว่าท่อนนี้ต้องร้องด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวของแกะแต่ก็ควบคุมไม่ให้ตะคอกไม่ได้

เขาโกรธและโมโหจนทนไม่ไหวแล้ว!

“พวกลูกแกะตะโกนเตือนกันอย่างหวาดผวา แต่เจ้าหมาป่าไม่สนใจ ยังคงเล็งปืนไปที่พวกมัน!”

พอถึงท่อนหนึ่งทุกอย่างก็ตกลงในความเงียบและเกิดเสียงดังปัง! ขึ้นมาครั้งหนึ่งจากการที่จ้าวกระทืบเท้าแรงๆ แทนเสียงปืนจริงที่ตั้งใจจะใส่เข้าไปในท่อนนี้

“ลูกแกะตัวหนึ่งล้มลง เจ้าหมาป่าหัวเราะสะใจ! ฝูงแกะตกใจร้องร่ำไห้! นี่เป็นลูกแกะเกิดใหม่ที่ไม่เคยทำร้ายใคร อายุขวบเดียว มันทำอะไรผิด!”

ปัง!!

ปลายเท้าที่ไม่สวมอะไรเตะเข้ากับโต๊ะใกล้ๆ จนห้อเลือด

“ตายอีกตัว เจ้าหมาป่าหัวเราะสะใจ! ตาย ตายให้หมด! ตาย! พวกลูกแกะโง่เง่า”

แววตาของจ้าวตอนนี้ดุดันจนแทบสามารถทำให้คนกลัวจนตัวสั่น

แววตาของหมาจนตรอกที่กำลังคลุ้มคลั่ง

ปัง!!

“ลูกแกะหวีดร้องแต่มันไม่ตาย! มันตะเกียกตะกาย ร้องอ้อนวอนขอให้ไว้ชีวิตมัน”
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 15 : จู่โจม p.2 (24/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 24-04-2018 00:47:15
จ้าวหยุดมือเอ่ยร้องด้วยน้ำเสียงแผ่วลง เจ้าลูกแกะตัวนี้ที่สำหรับจ้าวแล้วชีวิตมันน่าสงสารจนรู้สึกเศร้าตามไม่ได้
   
“ได้โปรด ได้โปรด ไว้ชีวิตข้า ความจริงพ่อแม่ของข้าเป็นหมาป่า--”
   
การผ่าเหล่าในพวกอัลฟ่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากแต่ก็สามรถเกิดขึ้นได้ เช่นเดียวกับลูกแกะตัวนี้ที่มีพ่อแม่เป็นอัลฟ่าแต่พอเกิดแล้วกลับผ่าเหล่าเป็นโอเมก้าซะอย่างงั้นจึงได้ทอดทิ้งในฝูงแกะตัวอื่นๆ ที่ถึงแม้จะถูกตราหน้าว่าน่ารังเกียจที่สุดแต่ก็ใจดีกับพวกเดียวกันที่สุดเช่นกัน
   
ปัง!!
   
น่าเสียดายที่เจ้าหมาป่าไม่ใช่พวกมีคุณธรรมอะไรเจ้าลูกแกะพูดไม่ทันจบกระสุนก็เข้าเป้าที่หัวของมัน
   
“ทำไมข้าต้องสนใจ ในเมื่อพวกเจ้าก็เป็นแค่ลูกแกะหน้าโง่!”
   
ฉับพลันแววตาของจ้าวลุกวาวกำลังจะเอื้อนเอ่ยต่อก็ต้องหยุดชะงักเมื่อโดนใครบางคนที่ตัวเล็กกว่ารวบตัวไปกอด จึงต้องวางเบสในมือบนโต๊ะอย่างงุนงงแต่ในใจอย่างคงเดือดดาล ความโมโหและผิดหวังยังคงไหลเชี่ยวในกระแสเลือดและไม่มีทีท่าจะลดลงง่ายๆ
   
“จ้าวใจเย็นๆ ใจเย็นๆ กูอยู่นี่แล้ว”
   
ซินพูดเสียงสั่นตัวสั่นเทาอย่างหวาดกลัวแม้แต่มือที่กำลังลูบหลังจ้าวอยู่ก็ยังสั่น
   
ความจริงซินได้มาถึงห้องอัดเสียงตั้งแต่จ้าวเริ่มร้องเพลงแล้วแต่ก็ไม่กล้าทักเพราะจ้าวน่ากลัวมาก ทั้งเสียงและแววตาที่คุ้มคลั่งนั่นเป็นสิ่งที่ซินไม่เคยเห็นมาก่อน
   
พอจ้าวได้ร้องเพลงทุกอย่างที่ซุกซ่อนกักเก็บเอาไว้ในใจก็เหมือนระเบิดออกมา มันทำลายล้างทุกอย่างไม่ปรานีสิ่งใดแม้แต่ตัวมันเอง ยิ่งเสียงจ้าวที่ดีอยู่แล้วถูกปรับให้ร้องในโทนเพลงร็อคยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนโดนต่อยหนักๆ จนระบมไปทั้งตัว
   
ไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ ว่าถ้าปล่อยเพลงนี้ออกไปพวกอัลฟ่าจะทำหน้ายังไง
   
“กูโอเค”
   
จ้าวพูดอย่างนั้นด้วยสีหน้านิ่งสนิท อารมณ์ยังคงกรุ่นอยู่แต่ไม่ได้แสดงออกมา พอสอดส่องสายตาก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าเห็นใครบางคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอกันอีก
   
โดยเฉพาะในสถานการณ์แบบนี้
   
“ตุลย์?”
   
จ้าวพูดเสียงแผ่วแต่ก็เรียกรอยยิ้มจางๆ ของเจ้าของชื่อได้
   
ถึงแม้น้ำเสียงการร้องเพลงของจ้าวจะสร้างความหวาดกลัวตื่นตระหนกให้กับซินและคนอื่นๆ ที่ใจเสาะ แต่สำหรับตุลย์แล้วถือว่าจิ๊บๆ เบาๆ มากเพราะเป็นสไตล์การร้องอยู่แล้ว
   
“สรุปวันนั้นเป็นมึงจริงๆ สินะ” นักร้องนำวงคู่อริหัวเราะในลำคอแล้วเดินเข้าไปขยี้หัวจ้าวอย่างสนิทสนม “มีปัญหาทำไมไม่บอกกูว่ะ มึงเพื่อนกูนะ จ้าว”
   
ระยะเวลาสั้นๆ ที่ได้ทำงานร่วมกันทำให้จ้าวและตุลย์สนิทกันราวกับรู้จักกันมาเป็นสิบปี แต่น่าเสียดายที่น่าจะมีแค่ตุลย์คิดอยู่ฝ่ายเดียวเพราะชื่อของตุลย์ไม่ได้อยู่ในหัวของจ้าวเลย
   
จะเรียกว่าสนิทก็ใช่แต่ก็ไม่ได้ไว้ใจขนาดนั้น
   
“ขอบใจ”
   
จ้าวดึงตัวเองออกแล้วยิ้มบางๆ “แล้วมาได้ไงวะ”
   
“ก็โดนหนีบมา” ตุลย์ยังคงยิ้มนิดๆ “กูรู้จักไอ้อ้อน”
   
“อ้อนนี้น่ะเหรอ” จ้าวพยักพเยิดไปทางชายแปลกหน้าอีกคนที่ร่างใหญ่ตัดผมทรงอันเดอร์คัทย้อมผมสีส้มแสดแดงเถือกเหมือนแผงคอสิงโตนัยน์ตาคมดุแต่แฝงความยียวนจนเห็นได้ชัดเพราะรอยยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปากที่มีเขี้ยวโผล่ออกมาดูกวนประสาทมาก
   
โดยเฉพาะมือที่ลากคอเสื้อซินกลับมาไปตัวเองแล้วใช้แขนข้างนึงรัดคอไว้แน่น
   
“ดีครับ”
   
เจ้าของชื่อยิ้มจนตาหยี “ผมไลอ้อนเป็นลูกน้องของคุณเหมันต์อีกที เขาใช้ทำอะไรผมก็ทำ เป็นมือขวาที่อยู่ไกลๆ แล้วก็” นัยน์ตาคมดุก้มมองร่างในอ้อมกอดตัวเองแล้วแสยะยิ้ม “เป็นสามีของซินอย่างเป็นทางการทั้งทางนิตินัยและพฤตินัยครับ”
   
จ้าวผิวปากหวือ
   
“คนนี้เหรอซิน”
   
ซินหน้าแดงเถือกสีหน้าไม่อยากยอมรับนัก “เก็บจากถังขยะมา”
   
“ถังขยะจริงเปล่าครับ ซิน คิดดีๆ นะครับจะพูดอะไร”
   
ตอนนี้จ้าวคล้ายกับเห็นหูกับหางของไลอ้อนที่กระดิกไปมาอย่างร่าเริงและกวนประสาท
   
“ถ้าจะมาแล้วพูดมากก็กลับไปเถอะ” ซินเริ่มหงุดหงิดเพราะชอบเป็นคนคุมเกมมากกว่าโดนคุม “แล้วเมื่อคืนน่ะได้เล่านิทานให้ลีโอฟังรึเปล่า ทำไมลีโอถึงบ่นว่าป๊าไม่ยอมเล่านิทาน”
   
“ไม่คุยครับๆ” ไลอ้อนแนบนิ้วชี้กับริมฝีปากแล้วเหลือบมามองจ้าว “ปัญหาครอบครัวไว้คุยตอนอื่นครับ คุณซิน นายท่านเหมันต์สั่งมาว่าวันนี้ต้องช่วยจ้าวอัดเพลงให้เสร็จครับ”
   
“…”
   
ซินกลอกตาหน่ายๆ ก่อนจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองไม่ได้พามาแค่สองคนยังมีอีกสองคนที่นั่งตัวลีบอยู่มุมห้องไม่กล้าออกความเห็นอะไรเพราะแทบไม่รู้จักใครในห้องนี้เลยอีกทั้งยังเป็นโอเมก้าที่ไม่สามารถถีบตัวเองขึ้นในระดับเดียวกับซินได้
   
“แล้วจะให้ข้าวกับฝุ่นทำอะไรบ้าง จ้าว”
   
ทั้งฝุ่นทั้งข้าวสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกกล่าวถึงเอาเข้าจริงแล้วก็ยังตกตะลึงกับจ้าวเมื่อกี้ไม่หาย เพราะทั้งสองเป็นแฟนคลับตัวยงของจ้าวและคุ้นเคยกับเสียงนุ่มเพราะชวนให้สบายใจ
   
เสียงตวาดร้องอย่างกราดเกรี้ยวไม่ใช่จ้าวเลย… ไม่ใช่จ้าวที่พวกเขารู้จักและหลงใหลสักนิดแม้แต่เสี้ยวเดียว เหมือนกับว่าอีกฝ่ายได้กลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว
   
ไม่ใช่จ้าว วงมูนไลท์อีกต่อไป
   
จ้าวปรายตามองข้าวแล้วยิ้มน้อยๆ อย่างเป็นมิตร ความอิจฉาถูกลดทอนลงเพราะตัวตนใหม่ที่ชัดเจนขึ้น การได้ร้องเพลงและเป็นนักร้องนำทำให้จ้าวรู้สึกดีเกินกว่าจะมาอิจฉาข้าว
   
“พี่จะให้ข้าวเล่นคีย์บอร์ด เล่นเป็นใช่ไหม?”
   
แม้แต่น้ำเสียงที่ถามข้าวก็ไม่เหมือนเดิม ถึงถามด้วยความนุ่มนวลแต่ก็ยังน่ากลัวอยู่ดี
   
ข้าวตัวสั่นกลืนน้ำลายเอือกพยักหน้าไม่คิดชีวิต “เป็นครับ เป็น”
   
จ้าวยิ้มพอใจก่อนจะเบนสายตาไปทางฝุ่น “แล้วฝุ่นตีกลองเป็นไหม”
   
ฝุ่นแทบจะร้องไห้เมื่อต้องปฏิเสธ “ไม่เป็นครับ ผมเล่นอะไรไม่เป็นเลยครับ” ปากคอสั่นด้วยความกลัวว่าจะถูกจ้าวตวาดเหมือนที่ร้องเพลงเมื่อกี้
   
สีหน้าของจ้าวเจื่อนลงแต่ก็ไม่ได้ทำให้ฝุ่นหายใจคล่องอยู่ดี
   
“กูไงครับ น้องจ้าว”
   
ตุลย์ยกมืออาสาหน้าบึ้งตึงไม่ใช่เพราะโกรธ แต่เป็นสีหน้าปกติที่ใช้ตั้งแต่ดีใจยันหมาตาย
   
“เห็นไอ้อ้อนบอกว่าเจ้านายอยากได้นักดนตรี กูก็เลยมาด้วย ไม่คิดว่าจะมาเจอมึงพอดี”
   
“แน่ใจ?”
   
จ้าวถามเสียงเรียบไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้า ความโกรธเกลียดที่ไหลเชี่ยวในกระแสเลือดจู่ๆ ก็ตีขึ้นมาจนรู้สึกหงุดหงิดง่ายและประหลาด
   
“เดี๋ยวนะจ้าว”
   
ตุลย์ย่นจมูกแล้วขมวดคิ้ว
   
“กูได้กลิ่นโอเมก้ามาจากมึงว่ะ”
   
“บัดซบ” จ้าวสบถอย่างหงุดหงิดมองมือตัวเองตาขวาง ความรู้สึกแปลกๆ ควบคุมตัวเองได้ไม่เหมือนปกติเพราะฮอร์โมนโอเมก้านี่เอง

แต่เดี๋ยวก่อน…

จ้าวเบิกตากว้าง

ถ้าเขาสามารถปล่อยฟีโรโมนฮอร์โมนโอเมก้าออกมาได้นั่นก็หมายถึงเขากลายเป็นโอเมก้าเต็มตัวแล้วสิ!

ฉับพลันความโกรธระลอกใหญ่ก็โถมเข้ามาในหัวจ้าวจนร่างทั้งร่างสั่นเทา

“จ้าว ใจเย็นๆ จ้าว”

รอบนี้ตุลย์รักษาสีหน้านิ่งสงบไว้ไม่อยู่เอื้อมมือจะแตะจ้าวก็พบว่าอีกฝ่ายถอยร่างตัวเองออก ซึ่งสีหน้าของจ้าวก็น่ากลัวจนไม่กล้าพูดอะไร

“ช่วงบ่ายค่อยอัดเพลงนะ”

จ้าวตัดบทแล้วออกจากห้องโดยไม่สนใจใคร

พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้โมโหทั้งๆ ที่แทบจะคลุ้มคลั่ง พยายามพาตัวเองไปหาบอดี้การ์ดหรือใครสักคนใต้อาณัติของเหมันต์เพื่อที่จะขอยาเกี่ยวกับโอเมก้าอะไรทำนองนั้น

ไม่อย่างนั้นเขาคงได้เป็นบ้าไปก่อนแน่ๆ !
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 15 : จู่โจม p.2 (24/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 24-04-2018 09:47:16
อยากให้เจ้าตอบโต้จันทร์แล้ว  o18
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 15 : จู่โจม p.2 (24/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: 14th-friedegg ที่ 24-04-2018 12:52:32
รอเพลงคะรอเพลง
โอ้ยยยย อ่านไปจะร้องไห้
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 15 : จู่โจม p.2 (24/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 24-04-2018 17:20:40
เพิ่งตามมาอ่าน ชอบมาก
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 15 : จู่โจม p.2 (24/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 24-04-2018 21:53:58
เกรี้ยวกราดถึงใจมาก

พี่เหมันต์คะ ตกม้าตายตอนอิจฉาน้องใบไม้เนี่ยแหละ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 15 : จู่โจม p.2 (24/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 25-04-2018 03:19:21
จันทร์ร้ายมาก็ร้ายกลับไปเลยจ้าว
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 15 : จู่โจม p.2 (24/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 25-04-2018 23:03:02
เจ้ากับจันทร์เป็นผลของพ่อแม่รังเเกฉันจริงๆ
เราเริ่มสงสารทั้งจันทร์ ทั้งเจ้าไปพร้อมๆ กันแล้วหล่ะ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 15 : จู่โจม p.2 (24/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: myd3ar ที่ 26-04-2018 17:45:35
จันทร์นี่คงกู่ไม่กลับ อิจฉาเกินไป
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 16 : WOLF p.2 (1/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 01-05-2018 00:01:07
“รอผลตรวจเลือดครึ่งชั่วโมงนะคะ คุณจ้าว ถ้าอาการไม่ดียังไงก็สามารถลงมาหาณิชาได้ตลอดนะคะ”
   
เสียงเจื้อยแจ้วของหญิงสาวที่กำลังพูดอยู่ไม่ได้เข้าหูร่างผอมที่นั่งซึมกะทื่อรื่ออยู่บนเตียงแต่อย่างใด นัยน์ตาโศกมองแขนตัวเองที่เป็นรอยแผลสองรอยอย่างเลื่อนลอย
   
แผลแรก.. เกิดจากใช้ยาฉีดรุนแรงของพวกโอเมก้า ปกติแล้วใช้สำหรับควบคุมโอเมก้าที่ฮีทอาการหนักมากๆ เข้าขั้นคลุ้มคลั่งแต่ยาฉีดแบบนี้ไม่ค่อยนิยมกันนักเพราะราคาแพงและมีผลข้างเคียงต่อร่างกายเยอะ ณิชาพยายามท้วงให้จ้าวใช้ยาฉีดแบบเก่าที่จ้าวเคยใช้ที่ร้านของซิน แบบนั้นถึงจะออกฤทธิ์ช้าและมีประสิทธิภาพน้อยกว่าแต่ก็ปลอดภัยกว่าเป็นไหนๆ
   
แต่จ้าวไม่ฟังและไม่คิดจะสนใจ ความพลุ่งพล่านที่แทบจะเผาทุกอย่างให้เป็นจุลเป็นสิ่งที่จ้าวทนกับมันไม่ได้ จึงเลือกสิ่งที่เห็นผลไวกว่าแทงเข้าที่แขนของตัวเอง ไม่สนความเจ็บปวดและในที่สุดทุกอย่างก็เย็นลง
   
ภูเขาไฟที่เตรียมจะล้างผลาญทุกชีวิตค่อยๆ มอดลงเช่นเดียวกับอารมณ์ของจ้าวที่นิ่งขึ้น
   
ส่วนบาดแผลที่สองที่เยื้องกันคือร่อยรอยเข็ดฉีดยาที่ณิชาเจาะเลือดเพื่อไปตรวจว่าตอนนี้จ้าวเป็นอะไรกันแน่ ระหว่างโอเมก้า เบต้า หรืออัลฟ่า
   
“หึ จันทร์” จ้าวหัวเราะในลำคอ “เก่งชะมัดเลยว่ะ”
   
เชื่อเถอะว่าผลตรวจในอีกครึ่งชั่วโมงหน้าคือเขาเป็นโอเมก้าตามที่น้องหวัง ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าเขาจะสามารถกลายเป็นโอเมก้าได้เต็มตัว ดีไม่ดีก็อาจจะ..
   
มือที่เต็มไปด้วยบาดแผลกุมท้องตัวเอง
   
“ฮึก”
   
จ้าวกัดปากตัวสั่นเทาแต่ไม่มีน้ำตา ณิชาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ตัดสินใจเดินออกไปเงียบๆ ให้เวลาส่วนตัวกับจ้าวเพราะพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายอยากอยู่คนเดียวมากกว่าตอนนี้
   
“ใจร้ายจริงๆ”
   
พูดด้วยรอยยิ้มแต่กลับเจ็บปวดเหลือแสน
   
จ้าวหลับตาพริ้ม
   
นี่สิถึงจะเป็นเขา… เจ็บปวดแต่ก็ไม่เดือดดาล เขาโกรธน้องก็จริงแต่ก็ไม่ถึงขั้นพาลใส่ทุกคนที่เข้ามา อาจจะอิจฉาบ้างนั้นก็เป็นเรื่องที่เขาควบคุมตัวเองไม่ได้เพราะเขาอิจฉาจริงๆ เขายอมรับ
   
อย่างเขาเมื่อก่อนก็ยังมีความสุขจนน่าอิจฉา ทั้งในเรื่องงานและเพื่อนทุกอย่างดูเพอร์เฟ็คไปหมดจนเหมือนฝันตื่นหนึ่งแต่เขาก็รู้ดีว่าเป็นความจริงจับต้องได้ มันเป็นแบบนั้นเสมอมาจนกระทั่งทุกอย่างพังลงมาในพริบตา และกลายเป็นแค่ความฝันตื่นหนึ่งจริงๆ
   
มันน่าเจ็บปวดตรงที่รู้ว่ามันเคยเกิดขึ้นจริงและมันจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม
   
“ขอให้มันเป็นเพียงแค่ฝัน”
   
เสียงทุ้มร้องแผ่ว น้ำตาหยดหนึ่งไหลคลอนัยน์ตาเมื่อนึกถึงท่อนเพลงท่อนนึงในเพลงของตัวเองตอนอยู่วงมูนไลท์ แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยเนื้อเพลงได้ต่อ

เพราะน้ำตาและความเจ็บปวดนั้นจุกทั้งในอกและลำคอเสียแล้ว

   

“จ้าว”
   
ตุลย์ซึ่งประจำอยู่ตำแหน่งกลองมองอดีตนักร้องนำด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าซีดเซียวที่ไร้ความรู้สึกใดนั้นราวกับกำแพงเหล็กแข็งแกร่งที่กั้นทุกคนออกไปไม่ให้เข้าใกล้ไม่แม้แต่จะอนุญาตให้ทักทายด้วยซ้ำ
   
หลังจากที่จ้าวกลับมาในห้องนั้นก็ราวกับเป็นคนละคน
   
จากที่ว่าดูน่ากลัวและเหินห่างแล้วตอนนี้มันมากกว่าเดิมเสียอีก ถึงจะมีรอยยิ้มจางๆ ให้บนใบหน้าแต่ใครก็รู้ว่ามันเป็นยิ้มตามมารยาทไม่ใช่รอยยิ้มจากใจจริงๆ เช่นเมื่อก่อน แววตาโศกที่มักจะดูเศร้าตอนนี้ไร้แวว ดูเหมือนคนที่เจ็บปวดจนเสียศูนย์และเลือกที่จะปกป้องตัวเองด้วยการอยู่ตัวคนเดียวไม่เปิดรับใครอีก
   
“ไม่เข้าใจอะไรเหรอ?”
   
จ้าวเหลือบมองถามเสียงเรียบ
   
“เปล่า” ในที่สุดสิงห์หนุ่มประจำวงร็อคก็ถอนหายใจออกมา “จ้าวมึงโอเคเปล่า มีอะไรระบายให้กูฟังได้นะ ไว้ใจกูได้”
   
บรรยากาศรอบตัวตุลย์ที่ปกติมักจะเข้มข้นดุดันชวนให้หวาดกลัวคล้ายกับเบาบางลงกะทันหัน ในอกตุลย์เจ็บปวดนิดๆ เมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองไม่เคยช่วยเพื่อนคนนี้ได้เลยสักครั้ง ไม่กล้าแม้แต่จะออกตัวในสาธาณชนเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ให้จ้าวตอนที่จ้าวถูกจับกุมตัว ตอนนั้นกระแสแอนตี้รุนแรงมากจนทุกคนในวงการเก็บตัวเงียบไม่กล้ายุ่งกับเรื่องนี้ ปล่อยให้จ้าวเป็นเชลยของสังคมและนักข่าวไปอย่างสนุกปาก
   
เขาเคยทอดทิ้งจ้าวเอาไว้เบื้องหลัง ไม่แปลกนักที่จ้าวจะไม่ต้องการเขาในเวลาที่เขาอยากช่วยเช่นกัน
   
“ไม่มี” จ้าวส่ายหัวก้มหน้าก้มตาสนใจเบสไฟฟ้าในมือเขาที่ไว้ใจได้กว่ามนุษย์เป็นไหนๆ “รีบอัดเพลงเถอะ”
   
ตุลย์ถอนหายใจซ้ำครางอืม รอจังหวะจากซินและฝุ่นที่เป็นคนจัดการเรื่องอัดเสียงอยู่ข้างนอก เมื่อถึงเวลามือก็บรรจงตีกลองเป็นโน้ตที่จ้าวได้แจกแจงเอาไว้ เคล้ากับเสียงเบสและคียบอร์ดที่ข้าวเป็นคนเล่น
   
ทุกอย่างเข้ากันดีเหมาะเจาะและลงตัวจนตุลย์อดชื่นชมไม่ได้ ความสามารถของจ้าวนั้นเป็นของจริงจริงๆ ถึงแม้จะอยู่ในคุกถึงห้าปีแต่พรสวรรค์ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงโดดเด่นและสร้างสรรค์อยู่เสมอ
   
น่าเสียดายจริงๆ ที่ต้องเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น
   
ตุลย์มองแผ่นหลังโปร่งผอมที่เปลือยเปล่า รอยสักอีกาดำดูแปลกตาพอๆ กับรอยช้ำม่วงตามร่างกาย ราวกับว่าร่างกายของจ้าวเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่มีจินตกรซุ่มซ่ามมาวาดรูปอีกาเอาไว้ก่อนที่จะเผลอทำสีม่วงช้ำกระเด็นใส่ร่างกายเต็มไปหมด
   
เมื่อถึงท่อนเปิดทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบมีเพียงเสียงของจ้าวที่ดังกังวานในห้อง
   
“คุณเห็นลูกแกะน่ารักพวกนั้นไหม?”
   
เสียงของจ้าวนั้นเย็นเยียบแฝงโทสะจนคนฟังสั่นสะท้าน มันน่ากลัวมากกว่าเมื่อกี้เสียอีก ข้าวหน้าซีดเผือดมองซินเลิกลั่กกลัวๆ ทำตัวไม่ถูก แต่น่าเสียดายคนที่ยืนหลังกระจกก็สภาพพอกัน หวาดกลัวจ้าวในตอนนี้เอามากๆ
   
แววตาที่คลุ้มคลั่งราวกับสัตว์ป่ากลับมาอีกครั้ง มันเป็นแววตาของสัตว์ที่เจ็บปวดเจียนตายแต่พยายามตะเกียกตะกายเอาขีวิตรอดแม้ว่าร่างของมันจะเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก
   
“ลูกแกะที่แสนอ่อนแอเนื้อหวานอร่อยที่พวกคุณชอบรังแกมันน่ะ”
   
หากนี่เป็นเพลงเปิดตัวซิงเกิ้ล PREY ของจ้าว ตุลย์ยอมรับเลยว่าคงจะเป็นซิงเกิ้ลที่ทำให้พวกอัลฟ่าทำหน้าไม่ถูกตอนที่ได้ฟัง ถ้าหากยอมรับความจริงว่าตัวเองทำก็คงทำหน้าไม่พอใจนักที่มาโดนเหน็บแนมด้วยเพลงของฆาตกร แต่ถ้าไม่ยอมรับก็คงจะด่าทอจ้าวที่ร้องเพลงบ้าๆ บอๆ ไร้สาระออกมา
   
แต่ถ้าจุดประสงค์ของเพลงนี้คือกระตุ้นให้ทุกชนชั้นตื่นตัว ก็นับว่าเป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จดีทีเดียว
   
เสียงร้องของจ้าวนั่นราวกับกลั่นออกมาจากจิตวิญญาณ ทุกคำที่ร้องออกมาล้วนมีความหมายและทรงพลัง ดวงตาโศกที่ซ่อนหลังเปลือกตาสั่นระริกอย่างโกรธเคือง ตัดพ้อกับทุกอย่าง สิ่งเหล่านี้ไม่ควรเกินขึ้นกับใครแม้แต่คนเดียว เพราะมันเจ็บปวด เจ็บปวดเหลือแสน เจ็บปวดจนทนไม่ได้ เจ็บจนสามารถฆ่าคนให้ตายทั้งเป็น!
   
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีเสียงกลอง ไม่มีเสียงเบส มีเพียงเสียงคียบอร์ดที่แทนตัวเหล่าฝูงแกะเพราะเสียงดนตรีอันนุ่มนวลของมันหากแต่ตอนนี้กับกรีดเสียงสูงอย่างน่าตื่นตระหนก
   
“หมาป่า! หมาป่า! หมาป่า!”
   
น้ำเสียงหวาดกลัวระคนตกใจถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ จ้าวลืมตาที่สั่นระริกเมื่อนึกถึงภาพที่ตัวเองเกือบจะถูกพวกคนในคุกข่มเหงตอนที่กำลังจะอาบน้ำ ตอนนั้นถ้าผู้คุมไม่เดินตรวจพอดีล่ะก็…
   
“พวกลูกแกะตะโกนกันอย่างหวาดผวา แต่เจ้าหมาป่าไม่สนใจ ยังคงเล่นปืนไปที่พวกมัน!”
   
ขนาดผู้คุมเข้ามาพวกมันก็ยังไม่หยุดมือที่กระชากเสื้อกางเกงเขา ทั้งๆ ที่ตราหน้าเขาว่าเป็นไอ้บ้าแต่ก็จ้องเขาน้ำลายสอทุกครั้งที่อาบน้ำ
   
จ้าวกะจังหวะในใจก่อนจะร้องต่อในส่วนเสียงปืนนั้นจะตัดต่อใส่เข้าไปอีกที
   
“ลูกแกะตัวหนึ่งล้มลง เจ้าหมาป่าหัวเราะสะใจ! ฝูงแกะตกใจร่ำไห้ นี่เป็นลูกแกะเกิดใหม่ที่ไม่เคยทำอะไรใคร อายุขวบเดียว มันทำอะไรผิด!”
   
เขาในตอนนั้นร้องไห้หนักกรีดร้องคลุ้มคลั่งทำร้ายตัวเองจนเกือบจะเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยทำอะไรพวกมันเลยแต่พวกมันก็เลือกที่จะข่มเหงเขาด้วยเหตุผลโง่ๆ อย่างการเป็นโอเมก้า มันไม่ใช่ข้ออ้างด้วยซ้ำที่จะใช้เหตุผลอย่างการเป็นโอเมก้าในการทำร้ายใคร
   
ไม่มีใครสมควรถูกทำร้าย!
   
“ตายอีกตัว เจ้าหมาป่าหัวเราะสะใจ! ตาย ตายให้หมด ตาย! พวกลูกแกะโง่เง่า!”
   
เสียงกลองคำรามลั่นราวกับเสียงคำรนของราชสีห์ด้วยฝีมือของตุลย์ มือกลองควบตำแหน่งหัวหน้าเพลงวงร็อค ใบหน้าคมสงบนิ่งตีเพลงไปตามที่จ้าวสั่งเอาไว้และสามารถเล่นด้วยทำนองที่จ้าวต้องการโดยไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่โน๊ตเดียว
   
อย่างว่าพวกเขาทั้งสองล้วนเติบโตในวงการดนตรี ครึ่งค่อนชีวิตอยู่กับตัวโน๊ต เป็นธรรมดาที่จะสามารถคุยกันรู้เรื่องและสื่อสารกันได้อย่างคล่องแคล่ว ต่างจากข้าวที่ค่อนข้างขลุกขลักนิดหน่อยเพราะเคยชินกับการร้องเพลงมากกว่าการเล่นดนตรีที่เล่นบ้างไม่เล่นบ้างตามอารมณ์ ใช้เวลาซ้อมอยู่ครู่ใหญ่กว่าข้าวจะเข้าใจในสิ่งที่จ้าวต้องการและเล่นได้
   
ใบหน้าของข้าวนั้นแทบไม่มีความสุขมีแต่ความหวาดกลัวสุมในอก ความศรัทธาในตัวจ้าวหายไปจนหมดเมื่อพบว่าจ้าวที่ตัวเองหลงใหลได้ตายไปแล้วจริงๆ และถูกแทนที่ด้วยใครไม่รู้ที่หน้าตาคล้ายกันแทน
   
ข้าวชอบจ้าวคนเก่าที่เสียงเพลงและความร่าเริง ชอบความใจดีที่พร้อมจะเผื่อแผ่ให้คนอื่น ไม่ใช่จ้าวคนที่เฉยชาและพยายามเรียกร้องความถูกต้องให้กับทุกคนคนนี้! ถึงสิ่งจ้าวทำอยู่จะน่าเคารพศรัทธาแต่สำหรับข้าวแล้วจ้าวคนนี้น่ากลัวเอามากๆ ถ้าเป็นปกติจะไม่ลังเลเลยที่จะวิ่งหนีหรือเลี่ยงไปอยู่ที่อื่น เพราะการอยู่กับคนแบบนี้คือความไม่ปลอดภัยอย่างหนึ่ง  คุณไม่มีทางรู้เลยว่าเขาคิดอะไรข้างในอยู่
   
เป็นเวลานานชั่วกัลป์สำหรับข้าวกว่าเพลงจะจบลง พอเห็นแผ่นหลังผอมที่เต็มไปด้วยบาดแผลน่ากลัวของจ้าวหอบสั่นสะท้านก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกด้วยความหวาดกลัว เมื่อจ้าวหันมามองก็สะดุ้งสุดตัว ถึงใบหน้านั้นจะมีรอยยิ้มน้อยๆ แต่ข้าวก็รู้ดีว่านั่นไม่ใช่รอยยิ้มจากใจดังเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว
   
“ขอบคุณที่มาช่วยอัดเพลงนะ”
   
จ้าวยิ้มแม้จะไม่ได้รู้สึกยินดีเท่าที่ตัวเองพูด ความเจ็บปวดยังคงเกาะกุมตามร่างกายราวกับปรสิตที่มองไม่เห็น มันคอยชอนไชไปทั่วเฝ้ารอให้เจ้าของร่างตายลงเพื่อที่มันจะได้ยึดครองร่างแทน
   
“ไม่เป็นไร กูยินดีช่วย”
   
ตุลย์ว่าอย่างนั้นก่อนจะยื่นมือไปตั้งใจจะแตะไหล่เบาๆ แต่ก็พบว่าอีกฝ่ายเบี่ยงตัวหลบด้วยสีหน้าหวาดกลัวและเมื่อลองสังเกตดีๆ ก็พบว่าตามใบหน้าของจ้าวนั้นเต็มไปด้วยเหงื่อทั้งๆ ที่แอร์ในห้องอัดนั้นเย็นเฉียบ แต่ปากก็หนักเกินกว่าจะถามคำถามออกไป รู้ดีว่ายังไงคำตอบที่ได้ก็คงเป็นคำตัดบท ยังไงซะเขาก็เคยทอดทิ้งจ้าว ถ้าจ้าวเลือกที่จะไม่ไว้ใจเขาก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรนัก
   
“ข้าว”
   
จ้าวเรียกเสียงแผ่วพยายามฉีกยิ้มให้มากที่สุดเพราะดูออกว่าตัวเองทำให้เด็กกลัวซะแล้ว “กลัวพี่เหรอ” ถามด้วยความเอ็นดูเล็กๆ แต่ในอกกลับบาดลึก
   
เขาทำแฟนคลับตัวน้อยๆ คนนี้ผิดหวังสินะ
   
“เปล่า เปล่าครับ” ใบหน้าน่ารักของข้าวซีดเผือด หัวทุยส่ายหัวแรงๆ เป็นพัลวัน “ผม ผมไม่กลัวพี่จ้าวหรอก พี่จ้าว จะ ใจดีจะตายครับ วันนี้ก็ก็ใจดีมากด้วย!”
   
จ้าวโคลงหัวตามที่ข้าวพูดแล้วหัวเราะเบาๆ
   
ปากบอกไม่กลัวแต่กลัวเขาจนพูดแทบไม่รู้เรื่องแล้ว
   
ร่างโปร่งยิ้มน้อยๆ แล้วเดินไปหยุดที่หน้าข้าวที่หน้าซีดกว่าเก่าและกลัวเขาจนปากคอสั่นไปหมด นัยน์ตากลมโตนั้นคล้ายกับมีน้ำตาคลอหน่วงจนจ้าวอดไม่ได้ที่จะยอมมือไปลูบหัวข้าวเบาๆ อย่างเอ็นดู
   
ยังไงซะเขาก็อายุเยอะกว่าข้าวตั้งห้าหกปี อีกทั้งข้าวก็อายุเท่าเขาตอนติดคุกพอดีด้วย
   
“ไม่ตัวกลัวพี่ไม่กัดหรอก”
   
เขาฆ่าคนที่เหมือนตัวเองไม่ลงหรอก ข้าวเหมือนเขาตอนที่อายุสิบเก้าเปล่งประกายระยิบระยับ เป็นเพชรที่รอการเจียระไนจากผู้คนเพื่อเพิ่มมูลค่าก่อนที่จะเปลี่ยนตัวเป็นดาวบนฟากฟ้าให้ผู้คนชื่นชม
   
เขาเคยเป็นอย่างนั้นจนกระทั่ง..
   
“อยากรู้อะไรกับเพลง ถามพี่ได้นะ พี่พร้อมจะให้คำปรึกษา” จ้าวยิ้มจนตาหยี
   
ในช่วงอายุนี้คือช่วงที่ควรจะเปล่งประกายมากที่สุด ถ้าหากเขาไม่ติดคุกซะก่อนอาจจะทำได้มากกว่าระดับประเทศด้วยซ้ำแต่ก็นะ ทุกอย่างเกิดขึ้นไปแล้ว ไม่มีหนทางใดที่จะย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้อีก ที่เขาทำได้ก็มีแค่ยอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้น และเขาก็อยากให้ข้าวได้มีโอกาสเปล่งประกายแบบเขาบ้าง อย่างน้อยๆ ก็ขอให้ใช้ชีวิตที่มีความสุขกว่าเขาในตอนนั้น ทดแทนเวลาที่สูญเสียไปอย่างสูญเปล่าในคุก
   
“จะ จริงเหรอครับ” นัยน์ตาข้าวเปล่งประกายระยับอย่างดีอกดีใจ ถึงจะกลัวแต่ก็ดีใจมากว่าไอดอลของตัวเองเอ่ยปากจะช่วยให้คำแนะนำ “พี่จ้าวจะไม่ว่าอะไรผมใช่ไหม ถ้าผมจะใช้เพลงเก่าของพี่จ้าวฝึกร้อง”
   
ข้าวเอ่ยถามอย่างระมัดระวังแต่ก็ดูจะไม่ระมัดระวังพอที่จะทำให้จ้าวรักษาสีหน้ายิ้มแย้มไว้ได้
   
รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปเหลือเพียงสีหน้าเฉยชา “ได้สิ”
   
ทั้งๆ ที่เอ่ยปากอนุญาตข้าวกลับไม่รู้สึกดีใจเท่าไหร่ ใจจริงอยากถอยกรูดออกจากจ้าวใจแทบขาดแต่ก็อดทนยืนนิ่งๆ ให้จ้าวลูบหัวอย่างเจี๋ยมเจี้ยม
   
“งั้นขอตัวก่อนนะ กะจะทำเพลงให้เสร็จวันนี้”
   
จ้าวไม่ได้สนใจจะร่ำลาใครนัก เดินอาดๆ ออกไปนั่งประจำที่แทนซิน กรอเพลงฟังเสียงซ้ำสองสามครั้งเพื่อหาดูว่ามีจุดที่เพี้ยนหรือใช้ไม่ได้หรือเปล่าซึ่งก็ถือว่าการอัดครั้งนี้ประสบความสำเร็จ จ้าวได้เสียงที่ต้องการพอดีจึงสามารถนำไฟล์เสียงไปตัดต่อเองได้อย่างคล่องแคล่ว โดยมีตุลย์ที่มานั่งข้างๆ ให้คำแนะนำหรือวิจารณ์เป็นพักๆ เพื่อให้ได้เพลงที่ดีที่สุดก่อนที่จะปล่อยออกไปสู่สาธารณชน
   
ระหว่างที่จ้าวทำนั้นจู่ๆ ก็รู้สึกใจลอยคิดถึงคนหนึ่ง คนที่อยู่ไกลแสนไกล และคงไม่มีวันได้พบกันอีก ถ้าคนๆ นั้นยังอยู่คนที่นั่งข้างเขาคงไม่ใช่ตุลย์แต่เป็นเขาคนนั้นแทน
   
มือที่กำลังกุมเมาส์สั่นน้อยๆ แต่ไม่มีใครสังเกตเห็น ในอกของจ้าวคล้ายกับเต้นช้าลงเมื่อหน้าของเขาคนนั้นปรากฎในหัว
   
‘จ้าวไม่ได้เป็นคนทำ! ผมยืนยันได้ น้องผมไม่มีวันฆ่าใคร ต่อให้มีคนยิงผมตาย จ้าวก็ไม่ฆ่าล้างแค้นให้แน่นอน!’ เสียงทุ้มแหบตะโกนดังลั่นอย่างเดือดดาล ใบหน้าคมขึ้นสีแดงก่ำอย่างโมโห นัยน์ตาขึ้นสีแดงก่ำจดจ้องนักข่าวราวกับจะฆ่าให้ตายถ้าเกิดมีใครว่าร้ายจ้าวขึ้นมา ซึ่งก็เคยมีผู้โชคร้ายไปแล้วคนนึงที่ถูกต่อยจนขึ้นคดีความกันไปพักหนึ่ง
   
“เฮียสาม”
   
จ้าวพูดเสียงเบากับตัวเองน้ำตาคลอ เขาพยายามจะลืมเรื่องนี้ไม่ให้ตัวเองเจ็บ แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็โผล่ขึ้นมาในหัวอยู่ดี
   
‘จ้าว กูเชื่อมึงนะว่ามึงไม่ได้ทำ กูเชื่อมึง ต่อให้มึงพูดว่ามึงทำ กูก็ไม่เชื่อหรอก มึงเห็นเฮียมึงควายมากเหรอ จ้าว’ มือหนาๆ กระชากไหล่เขาแล้วเขย่าจนตัวโยน นัยน์ตาดุนั่นคล้ายกับมีน้ำตาคลอ
   
เขายังคงจำสีหน้าจะร้องไห้ของเฮียสามได้เสมอ เขาทำบุคคลที่เขานับถือเป็นพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองร้องไห้ เขาอยากพูดใจแทบขาดว่าตัวเองไม่ได้ทำแต่ก็พูดไม่ออก ทุกอย่างอัดแน่นอยู่ในอกจนเขาสับสนมึนงง ในหัวเปล่าจนคิดอะไรไม่ออกเป็นอาทิตย์ ขนาดพูดกับนักข่าวยังพูดไม่ออกเลยด้วยซ้ำ
   
เฮียสามเป็นคนแรกในวงการเพลงที่เขารู้จักและเป็นคนปั้นวงของเขาด้วย สนิทกันถึงขั้นนอนห้องเดียวกันทุกครั้งที่มีคอนเสิร์ตร่วมกัน สามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง คุยกันถึงเช้าจรดบ่าย เขาก็คุยได้ ขอแค่เป็นเฮียสาม อะไรก็ได้ทั้งนั้นสำหรับเขา
   
เฮียสามเป็นคนแรกและคนเดียวที่เรียกร้องความยุติธรรมให้เขาจนถูกกระแสสังคมต่อต้านจนโดนไล่ออกจากวงอีกทั้งยังโดนสังคมรุมประฌามจนเล่นดนตรีต่อไม่ได้ ต้องใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ และในที่สุดก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอีกต่อไป
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 16 : WOLF p.2 (1/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 01-05-2018 00:04:41
ตอนนั้นเขากำลังนั่งกินข้าวอยู่ในเรือนจำ กำลังอมข้าวและนั่งเหม่อใจลอยไปทั่ว แต่พอได้ยินเสียงฮือฮาของคนในคุกก็ได้สติเงยหน้าขึ้นดูจอทีวีแบบติดผนังและทันเห็นข่าวร้ายของคนที่เขารักที่สุดคนนึง
   
‘ข่าวด่วนนะคะ นายสาม สุวิทยาประสบอุบัติทางรถยนต์จนเสียชีวิตคาที่ขณะที่กำลังเดินทางไปเรือนจำกลางค่ะ ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเร่งตรวจสอบ--’
   
เขาในตอนนั้นกรีดร้องโหยหวนราวกับสัตว์บาดเจ็บ ร้องไห้จนหมดสติตอนไหนยังไม่รู้เลย รู้แต่ว่าเฮียสามบอกว่าจะมาหาเขาวันนี้พร้อมกับของโปรดของเขา
   
เขามีแค่เฮียสามที่มาเยี่ยมอย่างสม่ำเสมอแต่ตอนนี้เฮียสามไม่อยู่แล้ว
   
เขาไม่มีใครแล้ว!
   
“คุณจ้าวคะ”
   
เป็นณิชาที่กล้าเอ่ยเรียกจ้าวที่นั่งนิ่งอยู่ท่าเดิมไม่ขยับตัว ส่วนคนอื่นได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่กไม่กล้าเรียกเพราะสีหน้าของจ้าวว่างเปล่าจนน่ากลัว
   
“ครับ”
   
จ้าวตอบเสียงหนักแน่นแววตากลับมากระจ่างใสซุกซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ใต้ใบหน้านิ่งเฉย แต่เมื่อเห็นหน้าณิชาก็นึกออกว่าเป็นเรื่องอะไร แววตาพลันหมองลงกว่าเดิม “คุณไปรอที่ห้องผมเลย เดี๋ยวผมตามไป”
   
ผลตรวจออกมาแล้วสินะ
   
ตุลย์มองตามหลังณิชาที่สวมชุดสูทหญิงอย่างนึกสงสัยเพราะแค่ทางนั้นเรียกจ้าวก็สามารถทำให้จ้าวซึมลงได้แล้ว แต่เขาก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามอยู่ดี เขาถูกจ้าวกักกันไว้ที่วงนอกแล้วคงไม่มีโอกาสได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มคนที่จ้าวไว้ใจอีก
   
“เดี๋ยวกูทำต่อให้ละกัน มึงไปเถอะ กูพอจะเข้าใจคอนเซ็ปมึงอยู่”
   
มือหนาลูบหัวจ้าวเบาๆ เหมือนเมื่อก่อนที่มักจะทักทายกันด้วยวิธีนี้ หวังสักนิดว่าตัวเองจนพอชดเชยความเห็นแก่ตัวของตัวเองในอดีตได้บ้าง
   
จ้าวพยักหน้าเบาๆ เชิงรับรู้แต่ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในอกมันหนักอึ้งซะเหลือเกิน ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าผลตรวจจะออกมาเป็นยังไงพอจะได้รู้ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าก็ยังเจ็บปวดอยู่ดี
   
“เดี๋ยว.. มา”
   
เสียงหลุดออกจากปากจ้าวแค่นั้นก่อนที่ทั้งร่างผอมและบอบช้ำจะเดินช้าๆ ออกจากห้องไป
   
ทิ้งกลุ่มคนที่อยากจะถูกจ้าวยอมรับไว้ด้านหลังอย่างไม่ไยดี

   

เมื่อเดินถึงห้องพักตัวเองจ้าวก็ทิ้งตัวนั่งบนเตียงประสานมือบนตักนั่งหลังตรงจ้องณิชาด้วยแววตาเศร้าหมองอย่างไม่ปิดบัง “เป็นอย่างที่ผมคิดใช่ไหมครับ”
   
ณิชาพยักหน้ารับด้วยสีหน้าหนักใจเพราะกลัวว่าตัวเองจะทำจ้าวบอบช้ำไปมากกว่านี้ “ค่ะ ถ้านับเป็นเปอร์เซ็นคุณจ้าวเป็นโอเมก้าไปแล้วแปดสิบเปอร์เซ็น เหลืออีกยี่สิบเปอร์เซ็นที่เป็นเลือดอัลฟ่าค่ะ”
   
จ้าวเดาะลิ้นหัวเราะเสียงแผ่ว “ใกล้แล้วสินะ”
   
พอเห็นสีหน้าสิ้นหวังของจ้าวณิชาก็รีบพูดต่อ “แต่คุณจ้าวยังพอมีโอกาสกลับไปเป็นอัลฟ่าได้นะคะ ณิชาว่าคุณจ้าวน่าจะพอได้ยินเรื่องที่ทำการทดลองให้เลือดอัลฟ่ากับพวกเบต้าอยู่”
   
จ้าวพยักหน้าหงึกๆ อย่างขอไปที “ไม่ต้องพยายามหรอก ณิชา ผมไม่ได้เศร้าแค่เรื่องต้องเป็นโอเมก้าหรอก ถ้าผมจะเป็นโอเมก้าก็ปล่อยให้มันเป็นไปเถอะ ยังไงซะตอนนี้ผมก็กำลังเรียกร้องความยุติธรรมให้พวกโอเมก้าอยู่แล้ว มาเป็นส่วนหนึ่งลิ้มรสรสชาติของโอเมก้าบ้างก็ดี”
   
เรื่องในหัวของจ้าวนั้นมันมากจนถ้าเป็นโกดังเก็บของคงล้นออกมาจนคนด่า มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมาในชีวิตที่ชวนให้รู้สึกดาวน์จนไม่อยากทำอะไรแต่จ้าวก็เลือกที่จะซึมซับความเจ็บปวดพวกนั้นเอาไว้
   
เพื่อที่ตัวเองจะได้เข้มแข็งมากกว่านี้…
   
เขามั่นใจว่าถ้าเขาผ่านมันไปได้ หลังจากนี้คงไม่มีอะไรยากอีกต่อไป เขารอดจากความตายที่ถวิลหามาหลายต่อหลายครั้งตลอดห้าปีนี้ ทั้งในคุกและนอกคุก เขาพยายามฆ่าตัวตายแต่ก็ไม่เคยสำเร็จสักครั้งต้องมีคนคอยมาขัดตลอดราวกับว่าคนบนนั้นไม่อนุญาตให้เขาทำ ทั้งๆ ที่เขาอยากหลุดจากพันธนาการอันเจ็บปวดพวกนี้ใจแทบขาด
   
ยังไงซะ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างล่ามพันธนาการแขนขาร่างกายเขาไว้สิ่งที่เขาต้องทำต่อจากนี้ก็คือพยายามเอาชีวิตรอดต่อไป
   
“ผมอยากเจอคุณเหมันต์”
   
อย่างไรก็ตามลึกๆ แล้วจ้าวก็ยังคงต้องหลักอันมั่นคงให้ตัวเองอยู่ ถึงจะไม่รู้ว่าคนที่เป็นหลักให้จะยินยอมหรือเปล่าแต่เขาก็ภาวนาให้ยอมแล้วกันเพราะถ้าไม่มีคุณเหมันต์เขาก็ไม่รู้จะหันไปหาใครแล้ว เฮียสามก็ชิ่งไปอยู่ข้างบนแล้ว น่าจะชวนเขาด้วยก็ดีจะได้ไม่ต้องมานั่งทรมานแบบนี้
   
“คุณเหมันต์ตอนนี้…”
   
ณิชาพูดอึกอัก ทบทวนคำสั่งคุณเหมันต์ในหัวเพราะไม่แน่ใจนักว่าจ้าวได้รับอนุญาตให้รู้หรือเปล่าถึงสาเหตุที่แท้จริงที่หายไป สาเหตุจริงๆ ที่ร้ายแรงถึงขั้นต้องให้คนอื่นเข้ามารักษาการณ์แทนชั่วคราวเพราะคราวนี้มันหนักจริงๆ
   
“ถ้าบอกไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ” จ้าวยิ้มเจื่อนๆ เข้าใจดีว่าคนระดับคุณเหมันต์คงงานรัดตัวไม่มีเวลามาเอาใจใส่นักร้องตกกระป๋องอย่างเขาหรอก
   
แต่ในที่สุดณิชาก็ยอมบอกเพราะคำสั่งที่คุณเหมันต์สั่งไว้คือ ‘ทำตามที่จ้าวต้องการ’
   
“คุณเหมันต์อยู่ในห้องวิจัยค่ะ”
   
นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนกตกใจจนแทบตกจากเตียง ไม่ต้องรอให้จ้าวถามณิชาก็พูดต่อจนจ้าวฟังแทบไม่ทัน
   
“ตอนนี้คุณเหมันต์กำลังอยู่ในช่วงคลุ้มคลั่งค่ะ ระยะเวลามากที่สุดที่เคยปล่อยให้คลุ้มคลั่งเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลายคือหนึ่งอาทิตย์ค่ะ ครั้งนี้ฉีดยาระงับเลื่อนเวลาไปหลายอาทิตย์ น่าจะใช้เวลาประมาณห้าวันค่ะ แต่ถ้าอย่างน้อยณิชาคาดการณ์ไว้ว่าไม่เกินสองวันค่ะ”
   
แน่นอนว่าจ้าวช็อคจนนั่งกระพริบตาปริบงงๆ
   
“คุณเหมันต์ คลั่ง..? ในห้อง? ทำไม”
   
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ดูปกติดีจนกระทั่งตอนนั้น..
   
ใบหน้าของจ้าวขึ้นสีเล็กๆ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในห้องที่น่าจะเชื่อมโยงถึงอาการของคุณเหมันต์ในตอนนี้
   
“อันนั้นณิชาบอกไม่ได้ค่ะ
   
ความลับนี้ของคุณเหมันต์นั้นนับว่าเป็นความลับในระดับที่มีคนสำคัญไม่กี่คนรู้ ณิชาจึงไม่อยากเสี่ยงจะบอกจ้าวนักเพราะกลัวจะโดนคุณเหมันต์มาคิดบัญชีทีหลัง
   
“แล้วผมไปเยี่ยมคุณเหมันต์ได้ไหม”
   
จ้าวลืมความเศร้าของตัวเองจนหมดเมื่อเจอเรื่องที่น่าตกใจกว่า
   
ณิชายืนคิดไตร่ตรองไปครู่ใหญ่กว่าจะยอมพยักหน้าอนุญาตแล้วนำทางลงไปห้องวิจัยใต้ดินอีกครั้งด้วยทางลับอีกทางที่ใช้เฉพาะคนที่เกี่ยวของเท่านั้น ซึ่งรอบนี้จ้าวมีสติอยู่ครบเลยค่อนข้างจะตื่นตาตื่นใจกับความทันสมัยของระบบรักษาการปลอดภัยที่ดูจะรัดกุมเอามากๆ มีการกรอกรหัสกรอกจำนวนคนอะไรต่อมิอะไรมากมาย เรียกได้ว่าสมกับเป็นคฤหาสน์ตระกูลกิลลาสจริงๆ
   
หากแต่เมื่อเดินเข้าไปก็พบว่าไม่ใช่สถานที่ที่ตัวเองเคยใหม่แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันถึงสามสี่ส่วน บันไดที่ทอดยาวลงไปนั้นพายังไปห้องโถงที่ไม่สูงนัก มันถูกแบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งติดบานกระจกใสเผยให้เห็นอุปกรณ์การทดลองต่างๆ มากมายไม่ว่าจะกล้องจุลทรรศน์ ขวดทดลอง บิกเกอร์ต่างๆ ทุกอย่างที่พึงจะมีให้นักวิจัยได้ใช้สอย ส่วนอีกฝั่งนั้นเป็นกำแพงทึบหมดมีเพียงประตูเหล็กบานหนึ่งที่ดูแข็งแกร่งจนรู้สึกได้
   
ณิชาไม่พูดอะไรเปิดประตูบ้านนั้นทันทีด้วยระบบสแกนนิ้วมือ บานประตูเลื่อนออกกลิ่นบางอย่างฟุ้งตลบจนชวนให้ปวดหัว จ้าวยกมือขึ้นปิดจมูกทันทีมองภายในห้องที่มืดสลัวด้วยความตื่นตระหนกและต้องผวาถอยหลังเมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่พุ่งเข้ามาหาตัวเองภายใต้แสงมืดสลัว
   
และร่างนั้นก็ห่างกับเขาไม่ถึงเซ็น!
   
ตึง!!!
   
หัวใจของจ้าวแทบจะหยุดเต้นเอาซะดื้อๆ ตัวสั่นจนควบคุมตัวเองไม่ได้ ยิ่งเห็นชัดๆ ว่าอะไรที่พุ่งชนกระจกใสก็ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่
   
“คุณเหมันต์..?”
   
จ้าวครางเสียงแผ่วในลำคอ มองคนที่เปลี่ยนไปแทบจะเป็นคนละคน
   
ใบหน้าคมคายที่มักจะทำหน้านิ่งๆ หยิ่งผยองตอนนี้เหลือเพียงสีหน้าดุร้าย นัยน์ตาสีเทานั่นสะท้อนกับแสงไฟดูคล้ายกับแววตาของหมาป่าที่กำลังหิวโซ ร่างครึ่งบนเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลที่น่าจะมาจากการคลุ้มคลั่งที่ณิชาพูดถึง ส่วนท่อนล่างนั้นสวมกางเกงยืดสีดำบางๆ เผยให้เห็นสัดส่วนอันแข็งแกร่งของเหมันต์ที่สามารถไปแข่งมวยปล้ำได้สบายๆ
   
“ฮื่อ”
   
จ้าวผวาถอยหลังไปก้าวหนึ่งเมื่อได้ยืนเสียงคำรามในลำคอของอีกฝ่าย คุณเหมันต์ดูคลุ้มคลั่งมากจริงๆ แววตาที่สะท้อนภาพของเขานั้นดูราวกับจะฉีกกระชากเขาให้ตายทั้งเป็น คล้ายกับว่าเขาเป็นแค่กระต่ายตัวน้อยๆ ที่กำลังจะโดนหมาป่าขย้ำกินและกลืนลงในคำเดียว
   
“ถ้าอยากทราบอะไรมากกว่านี้รอถามคุณเหมันต์นะคะ ณิชาก็ไม่แน่ใจว่าคุณเหมันต์จะให้คุณจ้าวทราบมากแค่ไหน” ณิชาว่าก่อนจะก้มหน้าก้มตาจดข้อมูลของคุณเหมันต์ตอนนี้เพื่อนำไปวิเคราะห์ต่อไป
   
ปัง!!!
   
ทั้งณิชาทั้งจ้าวสะดุ้งตัวเมื่อร่างยักษ์กระแทกเข้ากับกระจกราวกับจะพังมันให้ได้ ณิชาหน้าซีดเผือดถึงจะรู้ว่ากระจกนิรภัยนี้สามารถกันแรงกระแทกมหาศาลได้สบายๆ แต่ก็ยังอดผวาไม่ได้อยู่ดี
   
“ณิชาว่าเราออกไปรอข้างนอกดีกว่านะคะ การมีสิ่งเร้าจะทำให้อาการของคุณเหมันต์แย่ลงค่ะ”
   
ราวกับยืนยันคำพูดเหมันต์กระแทกร่างเข้าใส่กระจกอย่างไม่รู้จักความเจ็บปวด แววตาวาวโรจน์นั้นจดจ้องจ้าวตาเป็นมัน
   
“ฮื่อออ”
   
เหมันต์คำรามอย่างไร้สติมือทั้งสองพยายามตะเกียกตะกายใส่กระจก ในหัวที่ว่างเปล่าหวังหวังเพียงจะเข้าไปตะครุบเจ้าของกลิ่นหอมกรุ่นที่ยืนอยู่ตรงหน้า
   
กระต่าย.. กระต่าย..
   
คำนี้ก้องในหัวยิ่งขับให้รู้สึกกระหาย พยายามทำลายสิ่งกีดขวางทุกวิถีทางแต่ก็ไม่ได้ผล
   
“คุณจ้าวคะ ณิชาว่าออกไปดีกว่านะคะ อาการคุณเหมันต์แย่มากเลย” หญิงสาวพูดอย่างเป็นกังวล เธอไม่เคยเห็นพฤติกรรมคล้ายกับสัตว์ล่าเหยื่อของคุณเหมันต์แบบนี้มาก่อน อาการปกติอย่างมากก็คลุ้มคลั่งวิ่งชนกระจก คำราม อะไรทำนองนั้น ไม่เคยมีสักครั้งที่ดูจะสนใจสิ่งมีชีวิตอื่นอย่างออกหน้าออกตาขนาดนี้ ขนาดเธอยืนตรงหน้าเหมันต์ยังมองเมินในบางครั้งแล้ววิ่งไปชนกำแพงที่บุนวมนุ่มอีกฝั่งแทน
   
มันแปลกมากจริงๆ
   
“มีอะไรจะพอบรรเทาอาการคลุ้มคลั่งได้ไหมครับ”
   
ณิชาส่ายหัว “นอกจากฉีดยาระงับก็ไม่มีค่ะ”
   
จ้าวถามต่ออย่างกระตือรือร้นมองเหมันต์ด้วยความสนใจสุดๆ เพราะเริ่มจะเข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว อย่างว่าคนเคยบ้าเหมือนกันย่อมเข้าใจหัวอกคนบ้าด้วยกัน
   
มั้ง?
 
“แล้วเพลงล่ะครับ เคยเปิดให้คุณเหมันต์ฟังรึเปล่า”

“เคยค่ะแต่ก็ไม่มีผลอะไรค่ะ”
   
หญิงสาวเผยสีหน้าประหลาดใจอย่างไม่ปิดบังเมื่อจ้าวหัวเราะและเริ่มร้องเพลงของตัวเองออกมา
   
เพลงของวงมูนไลท์ที่จ้าวรักมากที่สุดแต่ก็ไม่ได้ร้องมันออกมานานมากแล้วด้วยความรู้สึกผิดบาปที่เกาะกุมในจิตใจ คำว่าฆาตกรฝังอยู่ในหัวจนไม่อาจร้องเพลงของตัวเองได้อีกราวกับต้องคำสาป ทั้งๆ ที่ใจจริงอยากร้องแทบตาย ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่ได้ฆ่าพริมแต่ทุกครั้งที่คิดจะร้องก็จะได้ยินเสียงเหล่าคนที่มาดูเขาให้ปากคำนั้นตะโกนว่าฆาตกรบ้าง โรคจิตบ้าง จนกลายเป็นบาดแผลใหญ่ในจิตใจ ไม่กล้าร้องออกมาอีก
   
เพราะหวาดกลัวที่จะต้องถูกตราหน้าว่าฆาตกร..
   
แต่วันนี้ไม่รู้อะไรดลใจที่ทำให้ร้องออกมาด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
   
อาจจะเพราะว่าคุณเหมันต์เป็นแฟนคลับตัวยงของเขาก็ได้ เขาถึงได้อยากลองร้องดูเผื่อว่าจะช่วยบรรเทาความคลุ้มคลั่งน่ากลัวนั่นลงได้บ้าง
   
“…”
   
และมันก็ได้ผล ร่างใหญ่นั่งลงกับพื้นหลับตาพริ้มราวกับกำลังเพลิดเพลินกับเสียงเพลงแม้นจะไม่มีสตินักแต่ก็โยกหัวตามเพลงเบาๆ ด้วยรอยยิ้มจาง แสงไฟสลัวจากโคมไฟที่ถูกปรับแสงสว่างระดับต่ำสุดขับให้ใบหน้าของเหมันต์ดูละมุนละไมขึ้นในความมืดมิดที่แทบจะมองมือตัวเองไม่เห็น
   
ท่าทางราวกับหมาป่าตัวเขื่องที่ต้องมนตราของเสียงเพลงจนลืมความหิวกระหาย ความดุร้ายทั้งหมดถูกสงบไว้ได้อย่างง่ายดาย ไหล่ที่เกร็งตึงจากความเครียดคลายลง
   
“!” ณิชาเบิกตากว้างรีบจดยิกๆ เพราะนี่เป็นพฤติกรรมใหม่อีกแล้ว เธอไม่เคยเห็นคุณเหมันต์ตอนที่คลุ้มคลั่งสงบมาก่อนอย่างมากถ้าจะสงบจริงๆ ก็ตอนนอนกับตอนกินอย่างตะกละตะกลาม
   
ยิ่งเห็นเหมันต์เป็นแบบนั้นจ้าวก็ยิ่งได้ใจร้องเพลงต่อไปเรื่อยๆ จนจบเพลง ถึงจะยังอยากแถมอีกสักเพลงสองเพลงแต่ก็คงจะร้องไม่ไหว เพราะข้าวเช้าก็ยังไม่ได้กิน ตอนบ่ายก็ต้องอัดเพลง คอก็แห้ง เลยต้องหยุดร้องแต่โดยดี
   
ซึ่งคนที่ไม่พอใจก็คือคนที่อยู่เบื้องหลังกระจก
   
โครม!
   
แววตาสีเทาวาวโรจน์มองเจ้ากระต่ายที่บังอาจหยุดร้องเพลง มือสองข้างตะกุยกระจก พยายามจะข้ามไปหามันเพื่อที่จะบังคับให้มันร้องเพลงต่อหรือไม่ก็จับกินเป็นเหยื่อให้เขาได้หายหิวกระหายสักที
   
หิว หิว เหลือเกิน
   
สัญชาตญาณในร่างบังคับให้เหมันต์พยายามทำลายกำแพงด้วยการชน เลือดในกายร้อนผ่าวๆ โดยเฉพาะท่อนล่างที่แสดงความต้องการออกมาอย่างเห็นได้ชัด กลิ่นหอมของกระต่ายนั้นแทบจะทำเอาเขาคลั่งตาย
   
“..ฮื่อ”
   
จ้าวลูบหน้าตัวเองที่อยู่ดีๆ ก็ร้อนผ่าว กลิ่นประหลาดที่ฟุ้งอยู่ในห้องน่าจะมาจากตัวคุณเหมันต์
   
มันเป็นกลิ่นที่ไม่ได้หอม.. แต่กลับชวนให้ร่างกายร้อนผ่าว ราวกับเป็นกลิ่นฟีโรโมนแบบเดียวกับพวกโอเมก้าปล่อยเวลาฮีทแต่นี่ไม่ใช่กลิ่นของโอเมก้า..
   
จ้าวเบิกตากว้างแต่ยังไม่ทันพูดอะไรก็ถูกณิชาลากออกมาจากห้องซะก่อน
   
ปัง!
   
ประตูเหล็กปิดดังลั่น ณิชาหน้าแดงเถือกมองจ้าว
   
“ถ้าอยากรู้อะไรมากกว่านี้ก็ถามคุณเหมันต์นะคะ ณิชาให้คุณจ้าวรู้ได้แค่นี้ค่ะ”
   
จ้าวมองไปทางประตูอย่างนึกเสียดายเพราะใจจริงยังจะร้องอีกสักเพลง มันทำให้เขามีความสุขแปลกๆ นะ ถึงคุณเหมันต์จะไม่ได้เป็นเหมือนตอนปกติก็เถอะ แต่การที่มีคนมานั่งฟังเพลงที่เขาร้องอย่างหลงใหลมันก็ให้ความรู้สึกที่ดีแบบสุดๆ ไปเลย
   
“โอเค งั้นผมขอตัวไปจัดการเรื่องเพลงก่อนนะ”
   
สุดท้ายจ้าวก็ยอมล่าถอยไปก่อนและหวังว่าคุณเหมันต์จะหายคลุ้มคลั่งไวๆ
   
เพราะคุณเหมันต์เวอร์ชั่นคลุ้มคลั่งนี่คุยยากเกินไปจริงๆ

---------------------------

ตอนเขียนถึงเฮียสาม เรานึกถึงคุณ flexia ที่เขียนเรื่อง sick เราเคยคุยกับเขาแค่ผิวเผินเป็นห่วงว่าเขาจะหายไปและตอนนี้เขาก็หายไปจริงๆ ผ่านมาหลายเดือนแล้วก็ยังเศร้าเรื่องนี้อยู่ดี  :ling3:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 16 : WOLF p.2 (1/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 01-05-2018 00:22:08
เนื้อเรื่องเข้มข้น  o13
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 16 : WOLF p.2 (1/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 01-05-2018 00:41:31
ถ้าคุณเหมันต์หลุดมานะไม่อยากคิดสภาพของเจ้าเลย
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 16 : WOLF p.2 (1/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 01-05-2018 22:44:56
คุณเหมันต์ฮีทหรอ ดูคลั่งมากเลยอ่ะ แต่เหมือนว่าจ้าวจะช่วยได้นะ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 16 : ปีศาจตระกูลนฤภัทร p.2 (6/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 06-05-2018 15:51:12
ตอนที่ 17
   

‘โตขึ้นอยากเป็นอะไร? จันทร์’
   
‘ผมอยากเป็นเชฟ!’
   
เด็กน้อยเจ้าของนัยน์ตาโศกกลมตาพูดด้วยรอยยิ้มแป้นตอบพี่เลี้ยงตัวเองที่เป็นถึงแพทย์เกียรตินิยมเจื้อยแจ้ว ในหัววาดฝันที่ตัวเองกำลังสวมชุดเชฟแบบมาสเตอร์เชฟที่ดูในทีวีเมื่อวานและกำลังผัดอาหารอะไรสักอย่างอยู่
   
ใบหน้าของแพทย์หนุ่มที่ผันตัวเป็นพี่เลี้ยงเพื่อชดใช้บุญคุณยิ้มเจื่อน ‘งานอดิเรกน่ะได้แต่ถ้างานหลักน่ะไม่ได้’
   
ความผิดหวังชนเด็กน้อยโครมใหญ่ จันทร์เบะปาก ‘ทำไมล่ะ ก็ผมอยากเป็นคนทำอาหารให้ทุกคนกิน จะได้ทำให้พี่ชากินด้วย’
   
ชารู้สึกผิดเหลือเกินที่ต้องทำลายฝันของเด็กวัยไม่กี่ขวบแต่ก็ยังต้องทำอยู่ดีเพราะเป็นคำสั่งของเบื้องบนที่สั่งลงมาและแน่นอนว่าเขาขัดขืนไม่ได้ เงินตราคือสิ่งสำคัญและมันก็เป็นบ่วงรัดคอเขาไว้อย่างเหนียวแน่นจนไม่อาจออกไปทำงานอาสาที่ตัวเองฝันจนกว่าจันทร์และจ้าวจะขึ้นม.ต้น
   
‘เป็นเชฟน่ะไม่มีอนาคตหรอก’ ชาทำหน้าจริงจังจับไหล่เด็กน้อยทั้งสองข้างและพูดเสียงขรึม พยายามกรอกความคิดฝังหัว ‘เป็นหมอแบบแม่กับพ่อน่ะดีกว่าเยอะ’
   
‘ทำไมล่ะ’ จันทร์หน้ายู่ขั้นขีดสุด ‘ผมทำไข่เจียวอร่อยนะ จ้าวยังบอกผมเลยว่าถ้าผมเปิดร้าน เชฟเอียนยังต้องมาชมถึงที่”
   
‘พี่บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้สิ’ ชาเอ็ดเสียงดุ ‘ปกติจันทร์ไม่ดื้อแบบนี้นะ พี่ชาจะไม่ให้จันทร์ดูมาสเตอร์เชฟแล้ว’
   
จันทร์น้ำตาคลอ ‘แต่..’
   
‘ไม่มีแต่ ถ้ายังอยากจะเป็นเชฟอยู่ พี่ชาจะฟ้องพ่อว่าจันทร์กับจ้าวแอบเปิดดูรายการมาสเตอร์เชฟไม่ยอมดูอะไรที่มีสาระ’
   
‘ก็ได้’ เด็กน้อยพูดเสียงอ่อยรู้สึกเศร้าจนเหมือนโลกทั้งใบถล่มลงมา ทุกอย่างที่ฝันมาตลอดหลายอาทิตย์หายไปในพริบตา ไม่มีร้านอาหารที่จันทร์เป็นเชฟ ไม่มีจันทร์ที่เป็นคนเสิร์ฟอาหารให้จ้าวแล้วบรรยายถึงวิธีการทำอาหารอันพิถีพิถัน ไม่มีอะไรทั้งนั้นนอกจากคำว่า ‘หมอ’
 
‘จันทร์จะเป็นหมอ พี่ชาอย่าฟ้องพ่อนะ’

หัวใจดวงน้อยแตกเป็นเสี่ยงก่อนจะถูกคำสาปตระกูลนฤภัทรกัดกินจนกลายเป็นปีศาจในคราบของมนุษย์ไปอีกคน


เสียงสับผักดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอในห้องครัวส่วนตัวของคอนโดย่านเศรษฐกิจใกล้กับโรงพยาบาลนฤภัทร แสงไฟสะท้อนจากภายนอกทำให้เห็นใบหน้าคมคายที่เผยชัดถึงความเหนื่อยล้า เส้นผมที่ถูกเซ็ตให้เนียนกริบมีปอยผมหลุดลุ่ยอย่างผิดวิสัย บริเวณใต้ตาหมองคล้ำ แต่สีหน้าด้วยรวมคือนิ่งสงบไร้อารมณ์ใดๆ ราวกับถูกปีศาจได้ช่วงชิงห้วงอารมณ์ไปทั้งหมดเหลือเพียงร่างกายมนุษย์อันกลวงเปล่าที่ดำรงชีวิตอยู่ไปวันๆ

“อยากกินล่ะสิ”

เสียงทุ้มพูดขึ้นมาท่ามกลางความว่างเปล่ารอบตัวและความเงียบก็ยังคงทอดตัวนอนต่ออย่างเกียจคร้านเพราะสิ่งที่นายแพทย์อันดับต้นๆ ของประเทศคุยอยู่นั้น ‘ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต’

แต่เป็นเพียงแค่ตุ๊กตาแมวสีส้มคล้ายของจริงที่นั่งนิ่งๆ ไร้ความเคลื่อนไหวและไร้ชีวิต

นายแพทย์หนุ่มทำกับข้าวอย่างคล่องแคล่ว มือที่มักจะหยิบจับมีดผ่าตัดสลับกับเอกสารตอนนี้จับด้ามกระทะและตะหลิว ชั่วขณะหนึ่งที่ความทรงจำอันอบอุ่นที่ผุดขึ้นมาในใจทำให้จันทร์อดยิ้มสมเพชตัวเองไม่ได้กับความฝันโง่เง่าอย่างการเป็นเชฟ

คิดดูสิถ้าเกิดเขามัวแต่อยากเป็นเชฟคงไม่มีโอกาสได้ยื่นอยู่ตรงนี้ อย่างมากก็คงยืนอยู่หน้ากระทะและมองจ้าวที่ขึ้นแท่นผู้บริหารโรงพยาบาลแทนตัวเอง ถ้ามันเกิดขึ้นจริงเขาจะอกแตกตายคากระทะเลยล่ะมั้ง

ความฝันพวกนั้นมันก็เป็นแค่เรื่องโง่เง่าของเด็กไม่รู้ประสีประสาเท่านั้น

จันทร์พยายามคิดอย่างนั้นแต่ในอกกลับรู้สึกเจ็บปวดแปลกๆ เหมือนกับเผลอทำมีดแทงตัวเองไปเสียหลายแผลทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจและไม่อยากให้เกิดขึ้น

เพื่อตัดความฟุ้งซ่าน จันทร์รีบทำอาหารให้เสร็จแล้วมานั่งกินที่โต๊ะโดยไม่ลืมที่จะหยิบเจ้าเหมียวหยิบติดมือมานั่งตรงข้ามกับตัวเอง

“ถ้าแกยังอยู่ก็คงดี”

จันทร์พยายามฝืนยิ้มแต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่อาจหลีกหนีความเศร้าหมองได้พ้น

ไหล่ที่มักแข็งแกร่งต่อหน้าสาธารณชนลู่ลงอย่างหมดแรง ใบหน้าคมคายเคล้าด้วยน้ำตาและเสียงสะอื้นที่พยายามกลั้นอย่างสุดความสามารถ มือที่ตักข้าวเข้าปากนั้นสั่นจนน่ากลัว

“ช่วยด้วย…ไซมอนด์”

เอ่ยเรียกด้วยเสียงอันร้าวราน

แววตาคมกริบเหลือเพียงแววตาไร้เดียงสาของเด็กน้อยในวัยเยาว์

จดจ้องร่างไร้ชีวิตที่เคยเป็นทุกอย่างในชีวิตของตัวเองก่อนที่ชีวิตมันจะจบลงด้วยการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เขาในตอนนั้นแทบอยู่ไม่ได้เพราะเขาไม่มีเพื่อนสนิทที่สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ไม่มีคนที่คอยให้กำลังใจเมื่อประสบปัญหา ไม่มีใครที่ร่วมยินดีกับเขาอย่างจริงใจเมื่อเขาประสบความสำเร็จ

เขาไม่มี ไม่มีใครเลยที่ยอมอยู่ข้างหลังของเขาแม้แต่คนเดียว มีเพียงแค่ไซมอนด์เท่านั้นที่อยู่กับเขาตลอดเวลา มีแค่ไซมอนด์เท่านั้นที่เข้าใจเขา มีแค่มันเท่านั้น

“ฉัน..จะแพ้ไม่ได้”



“ผมให้คุณล้านนึงสำหรับการปล่อยภาพที่ผมส่งไปให้”

จันทร์ในชุดสูทดำเนียนกริบเรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้าพูดด้วยเสียงไร้อารมณ์ ใบหน้าที่เคยมีความเหนื่อยล้าปรากฎถูกปกปิดด้วยเครื่องสำอางราคาแพง พยายามสร้างภาพลักษณ์ที่ดีที่สุดให้กับตัวเองแม้ว่าภายในนั้นแทบจะตายทั้งเป็นอยู่แล้ว!

“ครับ ทั้งหมดที่ผมส่งให้ คุณก็มีหน้าที่แค่เล่นข่าวให้มันติดอยู่ในกระแสสักเดือนสองเดือน ถ้าคุณทำได้ดีผมก็จะโอนให้อีกตวามความเหมาะสม”

มือข้างที่ว่างเคาะกับโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อปลายสายพูดไร้สาระพยายามถามหาถึงตัวตนของเขาที่ติดต่อไปอีกทั้งพยายามชวนคุยล้านแปดพยายามตีสนิทเขา

“เลิกล้ำเส้นผมสักทีก่อนที่ผมจะหมดความอดทนแล้วไปจ้างเจ้าอื่นแทน!”

จันทร์กดเสียงเข้มอย่างเดือดดาลเกือบจะกดตัดสายถ้าไม่บังเอิญไปเห็นรูปของจ้าวที่ผนังเข้าซะก่อน ใบหน้าหงุดหงิดจึงมีรอยยิ้มจุดขึ้นมาบ้าง

“ใช่ ผมจะโอนในส่วนที่เหลือเมื่อคุณลงภาพที่ผมส่งไปทั้งหมด”

ภาพที่จันทร์ส่งไปนั้นเป็นภาพของจ้าวและพริมในอิริยาบถต่างๆ ที่ทำกิจกรรมร่วมกันด้วยความหวานชื่น มีทั้งกินข้าวไปเที่ยวด้วยกันตามประสาเพื่อนแต่ด้วยฝีไม้ลายมือของนักข่าวสำนักนี้ที่ขึ้นชื่อด้านการเขียนเรื่องเสียๆ หายๆ ของดาราแล้ว จันทร์มั่นใจมากว่าข่าวที่หลุดออกไปคราวนี้ต้องสนุกมากอย่างแน่นอน

ยิ่งคนเห็นใจพริมมากเท่าไหร่ กระแสแอนตี้จ้าวก็จะแรงมากขึ้นเท่านั้น

นี่เป็นวิธีที่จันทร์เพิ่งคิดได้หลังจากนอนไม่หลับมาทั้งคืนเพราะความกังวล ทุกคนที่อยู่รอบตัวเขาต่างพากันเพ่งเล็งและกดดันเขาให้หาทางนำตัวจ้าวกลับมาให้ได้ก่อนที่เรื่องทุกอย่างที่จ้าวกำลังก่อจะวุ่นวายไปมากกว่านี้ แค่คลิปบ้าๆ นั่นคลิปเดียวก็ทำเอาทุกคนหัวปั่นและวุ่นวายแทบแย่แล้ว

คนทั่วไปเริ่มกล้าแสดงท่าทีไม่ไว้วางใจความยุติธรรมและความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย บางรายถึงกับเอาเรื่องของตัวเองที่ไม่ได้รับความยุติธรรมมานานแรมปีออกมาประกาศซึ่งก็ได้รับความสนใจอย่างมากจนพวกตำรวจโดนเบื้องบนสั่งสอบกันยกใหญ่
ราวกับเหตุการณ์ทุกอย่างนั้นเป็นผีเสื้อขยับปีก การเปลี่ยนแปลงอันน้อยนิดนำพาไปสู่การเปลี่ยนแปลงอันทรงพลังและยิ่งใหญ่ นี่อาจจะไม่ใช่แค่คดีฆาตกรรมโหดเหี้ยมของนายจ้าว นฤภัทรแล้ว แต่รวมไปถึงคดีอื่นๆ ที่ไม่ได้รับความยุติธรรมด้วย

ขอเพียงมีคนที่กล้าริเริ่มเอ่ยเสียงออกมาก็ย่อมมีคนตาม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เหล่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังสังคมไร้ความยุติธรรมอันเน่าเฟะต้องการ พวกเขาต้องการจะจบเรื่องโดยไวที่สุดก่อนที่จะทุกคนจะได้รับผลกระทบไปทั้งหมด
และคนที่ต้องรับหน้าที่นั้นก็คือ ‘จันทร์ นฤภัทร’

นายแพทย์หนุ่มไฟแรงดีกรีเจ้าของผลงานวิจัยที่ได้รับความชื่นชมจากหลายประเทศอีกทั้งยังเป็นผู้บริหารของโรงพยาบาลชื่อดังที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้คนส่วนใหญ่ว่าดีที่สุดในประเทศไทย

แค่ภูมิหลังเพียงเท่านี้ก็สามารถสร้างความเชื่อถือได้มากกว่าฆาตกรโหดเหี้ยมอย่างจ้าวเป็นไหนๆ คำพูดของจ้าวร้อยคำไม่อาจสู้กับคำของจันทร์สั้นๆ เพียงคำเดียวได้ ไหนจะสายเลือดอัลฟ่าผู้สูงส่งและกุมอำนาจส่วนใหญ่ไว้ในมืออีก เรียกได้ว่าจ้าวเสียเปรียบแบบสุดๆ

แต่ถ้าจ้าวมีคนที่ช่วยดันหลังเป็นถึงอัลฟ่าที่ตำแหน่งยักษ์ใหญ่ก็อีกเรื่อง ทุกอย่างที่จันทร์สามารถทำได้ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือกลายเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ แม้แต่การตามหาตัวจ้าวจากปลอกคอพิเศษที่ราคาแพงนักหนายังทำไม่ได้เลย
และสิ่งที่ทั้งสองใช้ในการแข่งขันเหมือนกันก็คือ ‘สื่อ’

ใครก็ตามที่สามารถทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อและเป็นกำลังให้กับตัวเองได้มากกว่า คนๆ นั้นก็จะเป็นฝ่ายชนะ นี่เป็นกติกาที่แม้จะไม่ได้บอกกล่าวกันมาก่อนแต่สองแฝดก็สามารถรู้กันได้เอง

ไม่ใช่เพราะความบังเอิญแต่เพราะเป็นฝาแฝด

พวกเขาย่อมรู้จักกันเองมากกว่าใคร!



“สาม สอง หนึ่ง เริ่ม!”

ซินตะโกนให้สัญญาณแก่ร่างที่ยืนอยู่กลางสนามหญ้าที่ไม่ค่อยจะล่องเตียนสักเท่าไหร่ หญ้าที่ไม่ได้รับการดูแลที่ดีนักเจริญดีจนปลายของมันแทบจะท่วมเอวจ้าว ทั้งดอกไม้ดอกหญ้าติดตามตัวร่างผอมราวกับเป็นเครื่องประดับไปอีกแบบซึ่งมันก็ทำให้ช่วงบนที่เป็นอกเปลือยเปล่าของจ้าวดูน่าสนใจมากขึ้นไปอีก ตามแก้มขาวทั้งสองข้างถูกขีดสีแดงเป็นสามขีดคล้ายชนเผ่า ใบหูถูกสวมด้วยหูของหมาป่าสีเทา ส่วนบนหน้าอกถูกวาดเป็นสัญลักษณ์ของอัลฟ่าด้วยสีแดงก่ำคล้ายเลือด กางเกงนั้นเป็นกางเกงขายาวของทหารที่ถูกเหน็บด้วยหางของหมาป่าฟูฟ่องและรองเท้าบู๊ตสีดำเข้ากับกางเกง

หากแต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดกลับไม่ใช่ตัวทั้งตัวของจ้าวแต่กลับเป็นกระบอกปืนอัดลมเสมือนจริงที่จ้าวกำลังวางพาดมันบนไหล่และเล็งไปที่จุดหนึ่งกลางสนามด้วยสีหน้าเหี้ยมโหดราวกับว่าตรงหน้าตัวเองนั้นมีลูกแกะตัวน้อยๆ เนื้อหวานกำลังแทะเล็มหญ้าอย่างสบายใจทั้งๆ ที่ตรงนั้นไม่มีอะไรอยู่เลย

บทบาทที่จ้าวสวมอยู่นั้นคืออัลฟ่า แววตาไร้ความเมตตาคือสิ่งที่เหล่าอัลฟ่าใช้มองโอเมก้าทั้งหลายและมักจะถือสิทธิ์ชนชั้นของตัวเองในการบดขยี้อีกฝ่ายตามอำเภอใจ ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะเกิดขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว

รอยยิ้มพึงพอใจปรากฎบนใบหน้าเมื่อเจ้าลูกแกะแสนอ่อนแอเข้ามาในวิถีกระสุนโดยไม่ต้องคิด ปลายนิ้วบางเกี่ยวเข้ากับไกปืนและยิงมันทันที

ปัง!

เสียงปืนอัดลมถึงแม้มันจะไม่ได้ดังเท่าเสียงปืนแต่ก็ทำเหล่าโอเมก้าจริงๆ ที่มาช่วยงานสะดุ้งและหวาดผวากันสุดตัว เคราะห์ดีที่คนถือกล้องเป็นตุลย์และคนของเหมันต์จึงไม่ตกใจกับอะไรง่ายๆ การถ่ายทำจึงสามารถดำเนินต่อได้อย่างราบรื่น ไม่มีสิ่งใดสามารถทำลายสมาธิของหมาป่าที่กำลังจะล่าฝูงแกะทั้งฝูงเพื่อความสุขส่วนตัว

แต่น่าเสียดายที่นัดแรกที่ยิงออกไปนั้นเฉี่ยวแก้มของเจ้าแกะแทนและเป็นสัญญาณเตือนเจ้าแกะตัวอื่นๆ รีบวิ่งหนีเพราะหมาป่าโหดร้ายกำลังจะมาฆ่าพวกมันแล้ว!

หากแต่หมาป่าตัวนี้ก็ผ่านการล่าฝูงแกะมาหลายต่อหลายครั้ง การฆ่าเหยื่อที่กำลังตื่นตระหนกสุดชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากอะไรหนำซ้ำยังทำให้เบื่อน้อยลงด้วยซ้ำ นัยน์ตาโศกที่ถูกเครื่องสำอางแต่งเติมทำให้ดูเฉี่ยวและดุมากขึ้นหรี่ตามองลูกแกะตัวเล็กที่วิ่งไปอีกทาง กระบอกปืนเปลี่ยนวิถีตามมันอย่างแม่นยำก่อนจะเหนี่ยวไกยิงอย่างไม่ลังเล

ปัง!

ครั้งนี้สำเร็จลูกแกะตัวน้อยล้มลงทำให้พรานป่าพอใจจนหัวเราะออกมาอย่างลำพอง แววตาเป็นประกายระริกแฝงความยินดีและตื่นเต้น มันไม่รอช้าเบนกระบอกปืนไปอีกทางอย่างรวดเร็วและยิงอีก แน่นอนว่าเข้าเป้าไม่มีพลาด

“ตาย ตายอีกตัว!”

เสียงหัวเราะเสียดหูดังลั่นราวกับคนเสียสติ ฝุ่นกับข้าวที่ตอนนี้เลื่อนขั้นเป็นเพื่อนสนิทเพราะลงเรือลำเดียวกันมองหน้ากันเลิกลั่กกลัวๆ รู้สึกอยากกลับบ้านเต็มทนแต่ก็ทำไม่ได้

ไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดนี้คือการแสดง ตุลย์กลืนน้ำลายเอือกมองจ้าวที่กลายร่างเป็นหมาป่าคลุ้มคลั่งโหดเหี้ยมได้อย่างสมบทบาท ถ้าหากเป็นจ้าวคนก่อนเขาคงไม่เชื่อว่าจ้าวจะทำได้มากขนาดนี้เพราะลำพังแค่หน้าโกรธของจ้าวเขายังไม่เคยเห็นเลย

จ้าวเปลี่ยนไปมาก นี่คือสิ่งที่ทุกคนรู้อยู่แก่ใจแต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมาตรงๆ แม้แต่ซินที่สนิทกับจ้าวที่สุดยังไม่กล้าพูดด้วยซ้ำ กลัวว่าจะเผลอทำให้จ้าวเปลี่ยนไปมากกว่านี้ซึ่งแค่นี้ก็เกินกว่าที่จะรับได้แล้ว ไม่ใช่ว่าพวกเขารังเกียจจ้าวหรืออะไร แต่เพียงแค่รู้สึกว่าจ้าวคนนี้แทบไม่หลงเหลือจิตวิญญาณหรือแม้แต่อารมณ์ปกติใดๆ ราวกับกลายเป็นตุ๊กตามนุษย์ที่ตั้งหน้าตั้งตามีชีวิตอยู่ต่อเพื่อแก้แค้นต่อให้ตัวเองจะตายก็ช่างก็ไม่คิดจะสนใจ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตนั้นได้ล่มสลายไปหมดทุกอย่างแล้ว
ถ้าเป็นไปได้เขาก็ยังอยากให้จ้าวกลับมาเป็นเหมือนเดิมสักนิดก็ยังดี

อยากให้ร่างผอมจนเห็นซี่โครงและไหปลาร้านั้นมีความสุขขึ้นมาบ้าง

กา!!!!

หากแต่ก่อนที่ทุกคนจะคิดฟุ้งซ่านกันไปมากกว่านี้ สัตว์ปีกสีดำทมิฬก็บินพั่บๆ เป๋ไปเป๋มาตกลงมาใส่หัวจ้าวราวกับตั้งใจลงจอดตรงนี้ มันใช้กรงเล็บเกาะบนหัวที่มีสีประหลาดอย่างดำที่ถูกกัดเป็นเทาแล้วไม่สำเร็จจึงมีสภาพออกมาเป็นดำกระด่างเทาไม่ครบเส้น มันร้องกาๆๆ โวยวายพยายามจะบินแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะปีกอีกข้างมันเจ็บจนกระพือไม่ได้

“โอยยย” จ้าวร้องโอดโอยหลุดขำเล็กๆ กับเหตุการณ์ประหลาดตอนนี้ มือผอมพยายามดึงเจ้าอีกาขี้บ่นเจ้าปัญหาออกจากหัวตัวเองซึ่งก็โดนจิกจนเป็นรอยแดงก่อนที่มันจะยอมผละจากหัวมาอยู่ในอ้อมกอดแทน

กา กา

เจ้าอีการ้องเสียงเบาอย่างเหนื่อยอ่อนมันพิงหัวกับอกของจ้าวเชิงยอมแพ้ กลิ่นสนิมเหล็กจางๆ ทำให้จ้าวรู้ว่าปีกข้างซ้ายของมันมีบาดแผลคล้ายถูกกิ่งไม้เกี่ยวหรือของมีคมบาด

“ชู่ว” จ้าวกระซิบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เดี๋ยวจะพาไปทำแผลนะ”

ดวงตาสีมันขลับของเจ้าอีกาสบกับนัยน์ตาโศกของจ้าว อยู่ๆ ความรู้สึกบางอย่างก็พวยพุ่งขึ้นมาในอกทั้งจ้าวและเจ้าอีกา ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่สัตว์แต่จ้าวกลับรู้สึกเข้าใจถึงความเจ็บปวดที่มันกำลังได้รับตอนนี้เช่นเดียวกับเขา

อีกาปีกหักที่โหยหาการบินสู่ความเป็นอิสระแต่ก็ไม่อาจทำได้

เจ้าอีกากระพริบตาปริบสองสามครั้งก่อนจะสลบไปคาอกของจ้าว

“พี่จ้าว เป็นอะไรไหมครับ!” ฝุ่นวิ่งปรู๊ดเข้ามาถึงไม่ใช่คนที่มาถึงคนแรกแต่ก็ถามในสิ่งทุกคนอย่างรู้พอดี

จ้าวส่ายหัวดิกยิ้มน้อยๆ ลูบหัวอีกาในมืออย่างนึกเอ็นดู “เดี๋ยวพี่ขอพาเจ้านี่ไปทำแผลก่อน”

“แล้วเรื่องเอ็มวีล่ะครับ” ฝุ่นถามต่อ “พี่ยังอัดไม่เสร็จเลย”

ฉับพลันฝุ่นผงะถอยกลับอย่างลืมตัวเมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาโศกของจ้าว ไม่มีความอ่อนโยนที่มีให้เจ้าอีกาตัวน้อยเผื่อแผ่มาถึงเขา มีเพียงความว่างเปล่าที่ซุกซ่อนห้วงอารมณ์ทุกอย่างเอาไว้เบื้องหลัง

“นั่นสินะ”

จ้าวผงกหัวแล้วยื่นเจ้าอีกาที่สลบไปแล้วให้ฝุ่น “งั้นพี่ฝากฝุ่นไปให้คนของคุณเหมันต์หน่อย พี่ว่าน่าจะมีสักคนแหละที่ทำแผลสัตว์เป็น”

ที่จ้าวพูดอย่างนั้นเพราะป่าหลังบ้านของคุณเหมันต์นั้นมีทั้งคอกไม้และฟาร์มไก่ เจ้าม้าสีดำตัวเขื่องดูน่าเกรงขามก็กำลังเล็มหญ้าอยู่ไกลๆ กับม้าแคระที่ดีดเบอร์สิบวิ่งไปวิ่งมารอบๆ ตัวมันราวกับเด็กๆ ซึ่งจ้าวก็คาดว่าน่าจะเป็นม้าที่ซื้อให้ใบไม้ขี่เพราะช่วงขายังไม่ถึงม้าสีดำที่เป็นของคุณเหมันต์

“ดะ ได้ครับ”

จ้าวขมวดคิ้วเล็กๆ รู้สึกแปลกใจที่ฝุ่นตัวสั่นไปทั้งตัวทั้งๆ ที่เขาก็พูดด้วยปกติแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักจึงทำเพียงแค่ให้เจ้าอีกากับฝุ่นและหมุนตัวกลับไปถ่ายทำเอ็มวีต่อเพราะยังได้ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ ไหนจะต้องเช็คคุณภาพภาพอีกว่าได้ตามที่ต้องการหรือเปล่า เวลาของเขามีไม่มากนักเพราะต้องวีดีโอไปทำซีจีต่อ ถึงจะไม่อยากใช้ซีจีแค่ไหนแต่ก็อดไม่ได้อยู่ดี รสนิยมของเขาคือชอบงานอาร์ตๆ แกะในเอ็มวีก็ไม่ได้อยากได้สมจริงนักเพียงแค่อยากได้เป็นอนิเมชั่นเท่ๆ เข้ากับเนื้อเพลงเอ็มวีก็เท่านั้น
ซึ่งเขาก็ได้แต่หวังว่ามันจะทันวันที่เขาประกาศไว้

เพราะเขาคิดว่าตัวเองคงจะไม่ได้รับโอกาสครั้งที่สองจากสังคมอันโหดร้ายอีก



กว่าจะทำอะไรเสร็จก็ดึกดื่น จ้าวที่อยู่ในชุดนอนหาวหวอดเตรียมจะนอนแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเปิดอินเทอร์เน็ตเพื่อดูความเป็นไปของโลกออนไลน์ในช่วงนี้ บนตักมีเจ้าอีกาที่ถูกทำแผลเสร็จแล้วหลับอยู่อย่างสงบเสงี่ยมซึ่งก่อนหน้านั้นมันก็อาละวาดยกใหญ่ไม่ยอมให้ใครจับอีกทั้งยังร้องกาๆๆ พยายามแหกกรงออกมาอย่างดื้อด้าน จนจ้าวต้องไปดูด้วยตัวเองมันถึงสงบลงและอ้อนขอมานอนด้วย

มือผอมที่ยังมีร่องรอยบาดแผลเก่าลูบหัวเจ้าอีกาเบาๆ รู้สึกคล้ายกับว่าบาดแผลในใจเจ็บปวดน้อยลง ซึ่งเจ้าอีกาตัวนี้ก็ทำให้จ้าวนึกถึงไซมอนด์ เจ้าแมวสีส้มเปรอะคล้ายการ์ฟิลด์ของจันทร์ที่หยิ่งมากไม่เชื่องกับใคร ขนาดเขาที่หน้าตาเหมือนจันทร์เป็นพิมพ์เดียวกันมันยังจำได้สะบัดตูดหนีไปจันทร์ในห้อง ไม่ยอมกินขนมแมวที่เขาซื้อมาให้แม้แต่คำเดียว เย่อหยิ่งจองหองราวกับจันทร์ในตอนนี้จริงๆ

แต่น่าเสียดายที่อยู่ๆ มันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เขายังจำได้ดีถึงสีหน้าเหมือนโลกถล่มลงมาของจันทร์ในตอนนั้น ใบหน้าพิมพ์เดียวกันเขาฉายชัดถึงความเจ็บปวดถึงจะไม่มีน้ำตาแต่แววตาที่สั่นระริกนั่นก็ฟ้องทุกอย่างที่อยู่ในใจ จันทร์พยายามตามหามันเกือบครึ่งปีถึงจะยอมแพ้ปล่อยให้มันกลายเป็นคนแค่แมวในความทรงจำเท่านั้นและไม่ยอมซื้อแมวตัวใหม่มาเลี้ยงแทน

“…!”

ภาพคุ้นตาที่เคยถ่ายไว้ทำเอาหัวใจจ้าวกระตุกยิ่งเห็นพาดหัวข่าวเสียๆ หายๆ ก็รู้สึกเหมือนน้ำตารื้นขอบตา


‘อดีตนักร้องดังโรคจิตแอบฮันนีมูนหวาน!’

‘โหดเหี้ยม! หลอกสาวสวยขอขึ้นคอนโดเพื่อข่มขืนฆ่า!’

‘สลด นักธุรกิจสาวชื่อดังโดนฆ่าปิดปากเสียชีวิตคาคอนโด’

‘ยินดีกับคู่หมั้นข้าวใหม่ปลามัน จ้าว-พริม!’

‘หนีคอนเสิร์ตไปเที่ยวกับสาวปัดไม่ได้นอกใจพริม’

‘เบรกงานเพื่อขอจัดงานหมั้น พริม สาวสวยไฟแรงแห่งวงการแสงสี’


หัวใจในอกเต้นช้าลงจนจ้าวภาวนาให้มันหยุดเต้นเสียที ความเจ็บปวดระลอกใหม่กระโจนเข้ากัดกินร่างทั้งร่างของเขาจนเจ็บไปทั้งตัว

“ยังไม่พออีกเหรอ”

เสียงทุ้มครางในลำคอเสียงสั่นเทา น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างควบคุมไม่ได้

สำนักข่าวนี้เป็นสำนักข่าวเดียวที่เล่นข่าวเขาตลอดสองปี น่าจะเพราะชื่อเสียของเขามันสามารถทำเงินได้เลยขยันเขียนเรื่องเสียๆ หายๆ ของเขา ทั้งจริงและไม่จริงออกมาขายอย่างสนุกมือ เขาจะฟ้องก็ฟ้องไม่ได้เพราะกลายเป็นผู้ต้องหาคดีไปแล้ว ยิ่งฟ้องก็ยิ่งเหมือนยอมรับว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องจริง

ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องจริงเลยแม้แต่นิดเดียว…

ยิ่งอ่านคอมเมนต์ข่าวที่มีกระแสด้านลบมากกว่าเห็นใจก็ทำให้จ้าวสะอื้นหนักกว่าเดิม ร่างทั้งร่างสั่นเทาทำให้ดูอ่อนแอกว่าเดิมอีกเท่าตัว ถึงจะทำใจไว้แล้วว่ากระแสช่วงแรกๆ คงจะเป็นลบแต่พอเห็นเข้าจริงๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเสียใจอยู่ดี

เจ็บ.. เจ็บเหลือเกิน

จ้าวสะอื้นเสียงดังรู้สึกขอบคุณที่ห้องนี้เป็นห้องเก็บเสียงไม่เช่นนั้นคงจะต้องอดกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเองไว้เพราะไม่อยากให้ใครมาสมเพชหรือสงสารตัวเองอีก

“ทำไมถึงต้องเขียนด่าขนาดนี้นะ”

ชั่วขณะหนึ่งจ้าวพึมพำขึ้นมาทั้งๆ ที่ร้องไห้จนหายใจไม่ทัน

เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมนุษย์ถึงต้องโหดร้ายต่อกันมากขนาดนี้ด้วย

เขาไม่เข้าใจเลย..

--------------

ว่าจ้าวเจ็บแล้วคนเขียนเจ็บกว่า 555 :z3:

หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 16 : ปีศาจตระกูลนฤภัทร p.2 (6/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 07-05-2018 07:04:48
ปีศาจตระกูลนฤภัทรคือพ่อกับแม่ของจันทร์และจ้าวนั่นแหละ



คุณช่างเขียนได้บิดเบี้ยวเกรี้ยวกราดถึงใจดีแท้
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 16 : ปีศาจตระกูลนฤภัทร p.2 (6/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-05-2018 17:06:44
 :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 16 : ปีศาจตระกูลนฤภัทร p.2 (6/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 07-05-2018 22:07:52
สงสารเจ้า :hao5:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 1 : นกปีกหัก p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 07-05-2018 22:36:23
กรี๊ดดด  :hao7: ดีใจที่กดเข้ามา ฮือ โอเมก้าสะด้วย ชอบๆ

ติดตามเลยค่ะ

----------------------------------------------
แง้ สงสารจ้าว จ้าวโดนใส่ร้ายแน่ๆ คนทำคือจันทร์ใช่ไหม

แล้วทำไมจันทร์ถึงทำ แอบชอบจ้าวหรือเกลียดจ้าวในเรื่องอะไร

ไหนจะอาการต่างๆที่จ้าวโดนจันทร์สัมผัสตัวอีก  :katai1:

หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 2 : พี่ที่ดี p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 07-05-2018 23:31:17
อ่านไปก็รู้สึกหดหู่ใจ รู้สึกอึดอัด มันเหมือนมีเมฆหมอกสีดำ

ปกคลุมไปหมด มีแต่ความอึมครึมอ่ะ ใครนะจะมาช่วยดึงจ้าว

ขึ้นไปจากหมอกเมฆดำเหล่านี้ ใครกันที่จะมาฉุดให้จ้าว

ได้ขึ้นไปพบเจอกับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ที่ไม่ใช่แสงจันทร์

และก็นะ จันทร์ดูร้ายมากๆอ่ะ สงสารจ้าวมาก :m15:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 4 : จันทร์จ้าว p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 08-05-2018 00:49:51
 :katai1: ปมตั้งแต่เด็กหรอที่เป็นสาเหตุให้จันทร์ต้องทำถึง

ขนาดนี้กับพี่เลย แม้แต่พี่น้องยังเคียดแค้นเหยียบย่ำกันเอง

ถึงกับแทบจะฆ่าจะแกงกันให้ได้  ทั้งๆที่จ้าวไม่ผิดเลย สงสารจ้าว

อ้อ เจ้าของดอกกุหลาบนั่นคือใครนะ คงไม่ใช่คิงหรอกใช่ไหม?
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 6 : ช่วงชิง p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 08-05-2018 01:35:10
อ้าว ทำไมเป็นงั้นอ่ะ ฮือ พระเอกคือใคร ตุลย์หรือหรือเจ้าของ

กุหลาบขาวดอกนั้น
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 7 : prey p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 08-05-2018 01:51:59
หรือว่าจ้าวจะฆ่าพริมจริงๆ แต่ฆ่าเพราะอยากช่วยหรือ

เพราะพริมขอร้อง ฮือ ไม่อยากจะบอกเลยว่าอ่านๆไปในใจก็

อึดอัดโคตรๆ หวังว่าคงไม่แบดเอนด์นะคะ ถ้าใช่ ได้โปรดบอก

เราด้วย เราจะได้ทำใจตั้งแต่เนิ่นๆ

เฮียสามอาจรู้อะไรใช่ไหม หวังว่าที่ตายคงไม่ใช่ฆาตกรรมนะ

หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 11 : คลับแซนด์วิช p.1 (23 มี.ค 61)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 08-05-2018 02:45:01
โอ้โห ครอบครัวนี่คือสิ่งที่เรียกว่าครอบครัว โอ้โห ไปไม่ถูกเลย

จันทร์โคตรเลวแถมดูท่าทางจะโรคจิตด้วย  :angry2:

สงสารจ้าว   :o12:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 16 : ปีศาจตระกูลนฤภัทร p.2 (6/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 08-05-2018 02:53:35
มารอดูจุดจบของจันทร์
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 12 : จิตใจที่แตกสลาย p.1 (4/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 08-05-2018 03:20:22
ไปเลยค่ะคุณเหมันต์ขา ล่ามันเลยค่ะเราเอาใจช่วย

ส่วนจันทร์  :z6: เรารอวันที่เธอจะรู้ว่ามันสายไปแล้ว

ในวันที่รู้สึกถึงความรักของพี่ชายที่มีให้

มาตอนนี้เราสงสารเธอขึ้นมานิดๆแล้วล่ะจันทร์

ที่ไม่เคยสัมผัสถึงความรักที่มากมายจากพี่ชายที่เธอเกลียดชัง

(ชักจะอินและออกนอกทะเลไปละ ฮา )
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 16 : WOLF p.2 (1/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 08-05-2018 15:29:10
คุณเหมันต์รัทหรอ เอ แต่ทำไมมันมีปฏิกิริยากับจ้าวเยอะกว่าเพื่อนนะ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 18 : จำศึล p.3 (12/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 12-05-2018 21:04:44
ตอนที่ 18
   
10 : 23 AM
   
เป็นเวลาสองชั่วโมงแล้วที่จ้าวยังไม่ยอมออกจากห้องลงมาหาข้าว ทั้งๆ ที่นัดไว้ตั้งแต่แปดโมงแต่คนนัดกลับมาสายซะเองซึ่งข้าวที่โดนชวนมาก็ไม่ได้โกรธอะไรนักที่จ้าวจะช้าออกจะกลัวๆ มากกว่า มือไม้เย็นเฉียบจนต้องนวดมือตัวเองบ่อยๆ สายตาหลุกหลิกมองฝุ่นที่หนีบมาด้วยอย่างกังวล
   
“พี่จ้าวเขาโกรธอะไรกูป่ะวะ”
   
นัยน์ตาของข้าวสั่นระริกแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้วเพราะยังจำได้ดีถึงความเย็นชาที่มีให้กับความทุกคนอย่างทั่วถึงไม่เว้นแม้แต่พี่ซินที่เห็นว่าสนิทกันนักหนาในคุกยังโดนพี่จ้าวทำตัวตึงใส่แบบที่คาดเดาอารมณ์ไม่ได้ ถึงจะไม่ได้เอ่ยปากด่าหรือพูดอะไรก็เถอะแต่บรรยากาศโดยรวมแล้วอึดอัดเป็นบ้า
   
“จะโกรธได้ไง มึงไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย” ฝุ่นพยายามปลอบใจทั้งๆ ที่ตัวเองก็ยังหวั่นใจอยู่เหมือนกัน
   
จากที่ได้ยินมาจากการสัมภาษณ์สมัยที่พี่จ้าวยังดัง เรื่องงานเรื่องเวลาของพี่จ้าวนั้นถือว่าเนี๊ยบมากเพราะจะมาตรงเวลาทุกครั้งไม่ว่าจะงานเล็กงานใหญ่นอกในสถานที่ พี่จ้าวก็ยังรักษามาตราฐานของตัวเองได้ดีจนโดนผู้ว่าจ้างชมออกสื่ออยู่บ่อยๆ ถึงความรับผิดชอบของพี่จ้าว
   
แต่นี่ก็เป็นการช่วยไกด์ทางร้องเพลงให้เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น อีกทั้งฝ่ายนั้นยังเป็นคนนัดเองด้วย ทั้งฝุ่นทั้งข้าวที่นั่งอยู่ในห้องอัดเพลงเมื่อวานแทบนั่งไม่เป็นสุข รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ตลอดเวลา
   
“นั่นสิ…เนอะ” ข้าวโคลงหัวตามหงึกๆ “แต่พี่จ้าวตอนนี้น่ากลัวอ่ะ ถ้าเมื่อก่อนกูคงดีใจมากเลยถ้าพี่จ้าวมาช่วยกูแบบนี้ แต่ตอนนี้พี่จ้าวแม่งไม่เหมือนเดิมว่ะ กูพูดไม่ถูก”
   
“กูเข้าใจว่ามึงจะสื่ออะไร” ไหล่ที่ตั้งตรงของฝุ่นตกลงอย่างเห็นได้ชัด “กูเป็นคนนึงที่ตามพี่จ้าวตั้งแต่ตอนที่พี่จ้าวเขายังเป็นพระจันทร์บนฟ้าที่ทุกคนหลงใหล พี่จ้าวตอนนั้นแม่งโคตรเปล่งประกาย ทั้งเพลงทั้งงานโคตรแน่น กูก็เคยไปงานคอนเสิร์ตพี่เขา ขนาดมองเห็นแค่ในจอมอนิเตอร์กูยังขนลุกกับเสียงสดเขาเลยอ่ะ กูโคตรชอบพี่จ้าวเลยตอนนั้น แต่ตอนนี้..”
   
แววตาของฝุ่นเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด
   
“กูชักไม่มั่นใจว่ากูยังชอบเขาว่ะ”
   
ความว่างเปล่าของพี่จ้าวนั้นสำหรับฝุ่นแล้วคือสิ่งที่โคตรน่ากลัว มันน่ากลัวมากกว่าอารมณ์เศร้าหรืออารมณ์โกรธซะอีก หากสิ่งที่อยู่ในหัวนั้นหมดไปสิ่งนั้นก็คือความว่างเปล่า ไม่เหลือซึ่งอารมณ์ใดอีกราวกับเป็นเพียงแค่มนุษย์ที่มีเพียงร่างกายหากแต่ไร้ซึ่งจิตใจ
   
ซึ่งเขาชอบพี่จ้าวตรงที่เปล่งประกายและอารมณ์ที่มักจะดีอยู่เสมอ แม้เรื่องทุกอย่างจะแย่สักเท่าไหร่เขาก็ยังเห็นพี่จ้าวยิ้มรับอยู่เสมอไม่เคยมีสักครั้งที่ปล่อยให้อารมณ์โกรธครอบงำ มีเพียงรอยยิ้มและทำทุกอย่างให้คลี่คลายลงอย่างใจเย็น
   
แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว พี่จ้าวกลายเป็นคนละคน ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีคำด่าทอต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีอะไรทั้งนั้น มีเพียงความนิ่งสงบและความว่างเปล่าที่เขาสัมผัสได้ว่ามันคือการกลบเกลื่อนรอยแผลฉกรรจ์ของจิตใจ พยายามทำเป็นไม่สนใจมันทั้งๆ ที่เจ็บปวดอยู่ทุกวินาที พยายามทำตัวปกติทั้งๆ ที่ภายในแทบจะตายทั้งเป็น พี่จ้าวในตอนนี้ทำแบบนั้นตลอดเวลาเมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่พี่จ้าวจัดไว้ในหมวดคนภายนอก
   
ถึงพี่จ้าวจะพยายามปกปิดซุกซ่อนรอยเลือดจากแผลที่ไหลเป็นทางตามร่างมันก็เป็นไปไม่ได้เพราะบาดแผลมันมากเกินไป กลิ่นคาวเลือดมันคลุ้งเกินไป ทุกอย่างมันเกินกว่าที่จะมาซุกซ่อนแล้ว
   
ทั้งๆ ที่ทุกคนอยากจะช่วยพี่จ้าวแต่พี่จ้าวกลับไม่สนใจจะรับความช่วยเหลือใคร ราวกับสัตว์ป่าจนตรอกที่ถูกมนุษย์ทำร้ายจนไม่กล้าไว้ใจใครอีกนอกจากตัวมันเอง แม้ว่ามันจะมีบาดแผลที่อาจถึงตายแต่สิ่งที่มันเลือกคือการเลียแผลตัวเอง ไม่สนใจว่าตัวเองจะตายหรือเปล่าเพราะครึ่งหนึ่งของมันได้ตายไปนานแล้ว
   
“พูดตรงๆ นะ”  ฝุ่นน้ำตาซึมอย่างอดไม่ได้ “กูอยากเห็นพี่จ้าวกลับมาเป็นเหมือนเดิมว่ะ กูรับไม่ได้ที่จะเห็นเขาเป็นแบบนี้”
   
ข้าวแค่นเสียง “คิดว่ามึงคิดอยู่คนเดียวรึไง กูคิดถึงพี่จ้าวนักร้องนำวงมูนไลท์ใจจะขาดแล้ว”
   
สองเพื่อนสนิทมองหน้ากันแล้วหัวเราะเพราะคิดตรงกันพอดี ไม่ว่าใครก็หลงรักพี่จ้าวนักร้องนำวงมูนไลท์กันทั้งนั้นนั่นแหละ ไม่เสียงเพลงก็รูปลักษณ์ไม่รูปลักษณ์ก็หน้าตาหรืออะไรสักอย่างในตัวจ้าวที่ล้วนแต่มีสเน่ห์และน่าสนใจไปหมดราวกับขโมยคำว่าสเน่ห์ไว้กับตัวเองเพียงคนเดียวอย่างเห็นแก่ตัว
   
พวกเขาล้วนยึดติดในสิ่งที่ตัวเองคุ้นชินและรับมือได้กันทั้งนั้น
   
ทั้งๆ ที่มันคือเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้แล้ว การที่จ้าวจะกลับมาเป็นนักร้องนำวงมูนไลท์ก็เป็นได้แค่ฝันกลางวันของใครสักคน ถ้าหากจะให้จ้าวกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ก็คงจะมีแค่หนทางเดียวก็คือย้อนเวลา ย้อนไปในช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุดเก็บเกี่ยวช่วงเวลานั้นให้มากที่สุดก่อนคำว่าฆาตกรจะกลืนกินจ้าวไป
   
เพราะรอนานเกินไปข้าวก็เลยหาเรื่องลดความประหม่าของตัวเองลงด้วยการหยิบโทรศัพท์มาเล่นรอฆ่าเวลาและพอไปเจอเข้ากับไลฟ์สดนึงที่คนดูเป็นจำนวนมากจึงกวักมือเรียกฝุ่นให้เข้ามานั่งข้างๆ และเปิดลำโพงฟัง

   

‘ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าพริมจะโดนข่มขืนฆ่าเพียงเพราะว่าไม่ยอมให้จ้าวทำ ผมก็เคยได้ยินมาบ้างนะครับว่าพริมเป็นคนรักนวลสงวนตัวมาก ขนาดเป็นดาราฉากเลิฟซีนหนักๆ ยังพยายามเลี่ยงเลย แต่เพราะเรื่องใต้สะดือแค่นี้ถึงกับต้องฆ่ากันเลยเหรอวะ ผมไม่เข้าใจเลย คิดเห็นยังไงก็คอมเมนต์กันได้เลยครับ แต่ที่แน่ๆ ถ้ามีโอกาสผมโคตรอยากกระทืบมัน อัลฟ่าอะไรชั่วชิบหาย เอ้ยไม่สิ โอเมก้า ผมว่านะตอนอยู่ในคุกคงจะโดนรับน้องมั้งล่ะ’
   
‘อ้ะ มีความเห็นนึงโดนใจผม เขาบอกว่าตอนนี้คงโดนจนสะใจแล้วมั้ง จริงด้วยครับ ผมว่าตอนนี้น่าจะผลิตลูกๆ โอเมก้าออกมาเป็นคอกแล้วล่ะ แต่ไม่รู้นะว่าคนไหนเป็นพ่อบ้างเพราะโดนมาเยอะ ฮ่าๆ’
   
‘ผมเสียดายเพลงดีๆ กับความสามารถของมันจัง ถ้ามันอยากมากก็เอาความสามารถมาให้ผมก็ได้ ผมจะร้องเพลงแม่งทั้งวันแทนมันเอง เห็นแต่งเพลงดีๆ เพราะๆ แต่ทำไมสันดารมันต่ำจังครับ โอ๊ะ คนกดหัวใจเยอะ ชอบให้ผมด่าเหรอ รับทราบ ผมจะด่ามันเยอะๆ แทนทุกคนเอง คนแบบนี้ไม่ควรมีที่ยืนในสังคมครับ’
   
‘ถ้ารู้ว่าทุกอย่างจะเป็นแบบนี้ผมคงจะเผาโปสเตอร์วงมูนไลท์ตั้งแต่วันแรกที่มันเข้ามาในวงการ ผมยอมรับเลยว่าผมเป็นแฟนคลับตัวยงมันเลยเมื่อก่อนร้องได้ทุกเพลง ตอนนี้เหรอ แค่ฟังเสียงมันพูดผมโคตรสะอิดสะเอียนเลย จะอ้วก บอกเลยว่าไอ้เพลงใหม่ของมันผมไม่คิดจะฟังแล้วผมจะกดรีพอร์ตด้วย ผมเกลียดคนแบบนี้ที่สุดเลย’
   
‘มาๆ ครับคิดเห็นกันยังไงมาร่วมแชร์กันได้ ผมพร้อมช่วยด่า เอ้ย รับฟังครับ’

“…จะเริ่มฝึกเลยไหม?”
   
ข้าวกับฝุ่นสะดุ้งสุดตัวแทบตกใจจากโซฟา หัวใจในอกเต้นแรงซะจนกลัวมันจะกระเด็นออกมา ปากคอสั่นระริกหวาดกลัวเหลือเกินว่าจะเกิดอะไรขึ้นเพราะพี่จ้าวเข้ามาได้ถูกจังหวะมากจริงๆ และพวกเขาก็ไม่แน่ใจว่าเข้ามาตั้งแต่ตอนไหนด้วยเพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับอัลฟ่าที่เป็นเน็ตไอดอลและชอบนำกระแสสังคมมาพูดตามความคิดของตัวเอง ด้วยรูปลักษณ์ที่หล่อเข้าขั้นและเป็นหลานของท่านนายกจึงไม่ค่อยมีใครกล้าฟ้องเมื่อโดนนำไปพูดด้านเสียๆ หายๆ ตามอำเภอใจจึงแต่ได้แต่เก็บปากเงียบอย่างหงุดหงิด
   
“พะ พี่จ้าวมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
   
“ก็ตั้งแต่แรกเห็นอยากดูกันก็เลยไม่ได้ทัก”
   
สภาพของจ้าวในตอนนี้ดูโทรมมากซึ่งก็เหมือนเจ้าตัวก็ไม่ได้รู้ตัวอะไรนัก ผมเผ้าถูกหวีลวกๆ ใต้ตาทั้งสองข้างมีร่องรอยบวมจากการร้องไห้และการนอนไม่พอ ใบหน้าซูบลงจนเห็นได้ชัดเพราะไม่ยอมกินทั้งข้าวเช้าและข้าวเย็น อีกทั้งยังอยู่ในชุดเสื้อยืดสีดำกับเกงขาสั้นเหนือเข่าที่ไม่สามารถปกปิดบาดแผลตามเนื้อตัวได้มากนัก มีร่องรอยช้ำม่วงที่ดูใหม่ตามแขนและขา ยิ่งผิวที่ซีดขาวของจ้าวทำให้มันสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน สิ่งที่ดูปกติที่สุดในตอนนี้มีแค่แววตาที่ยังคงมองทุกคนอย่างว่างเปล่า
   
กา กา กา
   
เจ้าอีกาที่เกาะอยู่บนไหล่ร้องลั่นเมื่อถูกจ้าวหยิบมันวางแผละบนโซฟา มันโวยวายพยายามจะบินไปเกาะไหล่ใหม่ก็โดนจ้าวจับมาวางที่โซฟาเหมือนเดิม สู้กันไปสามรอบจ้าวก็ใจอ่อนอุ้มมันแล้วนั่งโซฟาเดี่ยวที่แยกออกมาจากฝุ่นและข้าวที่นั่งโซฟายาว
   
“อยากถามอะไรไหม” จ้าวเหลือบมอง “ถ้าเรื่องลูก พี่ยังไม่มีหรอก อยู่ในนั้นก็แค่เกือบโดนเท่านั้นแหละ”
   
ซึ่งมันก็เป็นการเกือบโดนหลายรอบซะด้วย ต้องระวังตัวที่ครั้งที่ไปทำกิจกรรมที่ลานรวมและอาบน้ำ พวกมันฉวยโอกาสที่ผู้คุมละเลยในการจู่โจมราวกับฝูงไฮยีน่าหน้าไม่อายที่รอทึ้งเหยื่อหลังจากลับหลังสิงโตนักล่าผู้เกรงขามจากไป เขาโดนพวกมันครั้งแล้วครั้งเล่าจนคลั่งใส่รอบนึงพวกมันถึงจะหยุดไปช่วงเล็กๆ ก่อนจะมาล่าเขาใหม่ ต้องขอบคุณที่เขาเป็นสัตว์ทดลองชั้นพิเศษที่อนุญาตให้มีห้องนอนส่วนตัวแยกออกมาไม่เช่นนั้นคงจะโดนพวกมันจับกินตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในคุก
   
เมื่อคิดถึงเรื่องพวกนั้นที่เกิดขึ้นในคุกหัวใจในอกก็เจ็บแปลบ ในนั้นแทบไม่มีความทรงจำดีเลยสำหรับเขา นักโทษส่วนใหญ่จำเขาได้ว่าเป็นนักร้องและกำลังจะกลายเป็นโอเมก้าเลยใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเหยียดหยาม เขาไม่ได้รับการยอมรับที่นั่นด้วยเช่นกัน ไม่มีที่ไหนยอมรับเขา ทั้งโลกภายนอกและโลกในห้องขัง ที่ทุกที่ทุกตารางนิ้วราวกับพื้นน้ำแข็งแสนเปราะบางที่พร้อมจะแตกหักและกลืนกินเขาด้วยอุณหภูมิติดลบอันเย็นเฉียบ
   
ความเจ็บปวดที่จุกในลำคอเป็นสิ่งที่จ้าวคุ้นเคยมาตลอดห้าปีแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นก็ได้แต่กลืนมันลงไปอย่างยากเย็น ร่องรอยบาดแผลตามร่างกายที่สดใหม่คือผลพวงจากการทำร้ายตัวเองเพื่อระบายความเครียดลงก่อนที่จะทนไม่ไหวแล้วไปกระโดดฆ่าตัวตายอีก
   
“ไม่ ไม่ครับ” ข้าวส่ายหน้าดิกแทบจะโยนโทรศัพท์ตัวเองใส่ถังขยะให้รู้แล้วรู้รอด “ผม ผมเชื่อนะว่าพี่จ้าวไม่ได้ฆ่าพี่พริม”
   
ทั้งๆ ที่พูดแบบนั้นแต่ข้าวกลับไม่ได้รู้สึกว่าแววตาว่างเปล่าของจ้าวจะเปลี่ยนไปสักนิด มันยังคงเป็นนัยน์ตาโศกที่ดูเฉยเมยไร้ซึ่งอารมณ์ใดเหมือนเดิม
   
“อืม ไม่ได้ว่าอะไรนะ ถ้าจะขอถอนตัวไปตอนนี้ พี่ไม่บังคับคนที่ไม่ชอบพี่หรอก”
   
คำภาวนาในใจของฝุ่นไม่ได้ผล จ้าวยืนพิงกำแพงปรับอารมณ์ตัวเองหน้าห้องตั้งแต่สิบโมงกว่าๆ ประตูที่ปิดไม่สนิทนักทำให้ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดที่พูดถึงตัวเอง
   
“ต่อให้ข้าวกับฝุ่นไม่ทำ คุณเหมันต์ก็หาคนใหม่มาแทนได้อยู่ดี”
   
จ้าวสบตาข้าวด้วยแววตาแข็งกร้าวแม้ภายในจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นแต่เขาก็เบื่อที่จะปั้นหน้าทำงานร่วมกับคนที่ไม่ชอบหน้าเขาเหมือนกันนั่นแหละ
   
“ทำพี่ ผมทำ ถ้าเป็นพี่จ้าวผมทำทุกอย่างนั่นแหละ”
   
เป็นอีกครั้งที่จ้าวทำข้าวน้ำตาคลอจะร้องไห้ ใบหน้าน่ารักซึมลงจนถ้าเป็นคนทั่วไปคงมองอย่างสงสารแต่สำหรับจ้าวแล้วไม่มีผลอะไรทั้งนั้นเพราะเจ้าตัวให้ความสนใจกับเจ้าอีกาที่กำลังกอดอยู่มากกว่า
   
“ต่อให้เชื่อว่าพี่ไม่ได้ฆ่าแล้วยังไงล่ะ? ไม่มีอะไรเปลี่ยน รับได้เหรอกับสภาพแบบนี้ ไอ้จ้าววงมูนไลท์อะไรนั่นมันตายไปตั้งนานแล้ว! ไม่รู้เหรอวะ!!”
   
เลือดในกายที่ไหลพล่านคล้ายกับร้อนระอุขึ้นมาอย่างกะทันหัน ม่านตาขยายกว้างอย่างกราดเกรี้ยวเมื่อนึกถึงสิ่งที่ฝุ่นพูดถึงเมื่อกี้ ทั้งๆ ที่มันเป็นความจริงที่คนส่วนใหญ่คิดแต่จ้าวกลับรู้สึกเดือดดาลจนทนไม่ได้
   
ก็เพราะคนอื่นไม่ใช่เหรอที่ทำให้เขากลายเป็นแบบนี้! จันทร์ก็แค่เป็นตัวจุดประกายไฟส่วนคนอื่นๆ นั้นก็เป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่ทำหน้าที่ทำให้ไฟโหมกลายเป็นเพลิงไหม้ที่สูงขนาดที่ว่าเผาไหม้ดวงจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟ้าและฉุดกระชากมันลงมาในโลกันต์จนไหม้เป็นจุล
   
เขาถูกใส่ความว่าเป็นคนร้าย คนอื่นก็มีหน้าที่ด่าทอสาปส่งทำร้ายเขาให้ตายทั้งเป็น ไม่มีใครออกมาปกป้อง ไม่มีใครสนใจเขามีแต่อยากให้เขาตกต่ำ เขาไม่มีใครเลยนอกจากเฮียสามที่พยายามจะช่วยสุดชีวิต เขามีแค่นั้นจริงๆ
   
ข้าวผงะเมื่อโดนนักร้องในดวงใจของตัวเองตะคอกใส่ แววตาว่างเปล่านั่นกลับมาแสดงอารมณ์อีกครั้งแต่เป็นอารมณ์โกรธ “ฮึก พี่จ้าว ผมขอโทษ อย่าโกรธผมเลยนะ ผม ผมยังชอบพี่อยู่นะ”
   
“ไม่จำเป็นต้องโกหกหรอก” อารมณ์ที่ยังคุกรุ่นทำให้เสียงของจ้าวกระด้าง “พี่จะให้เบอร์คนที่พอจะช่วยเรื่องพวกนี้ได้ละกัน เขาชอบคนเก่งไม่สนใจว่าจะชนชั้นอะไร ถ้าข้าวไปลองเดบิวต์กับเขาน่าจะติดเพราะเท่าที่พี่ดูก็พอได้อยู่”
   
คำพูดพยายามแก้ตัวหายไปหมด ข้าวรู้สึกผิดแต่ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากจะร่วมงานกับจ้าวสักเท่าไหร่เพราะกลัวว่าจะโดนเผาไหม้เข้าสักวัน ตอนนี้จ้าวไม่ใช่พระจันทร์ที่แสนจะอ่อนโยนต่อไปแล้วแต่กลายเป็นเพราะอาทิตย์ที่เปล่งประกายอย่างโดดเดี่ยวและแผดเผาทุกสิ่งที่เข้าใกล้มันมากเกินไป
   
“ครับ” ข้าวพยักหน้าอย่างยอมจำนนเพราะจ้าวในตอนนี้อันตรายเกินไปจริงๆ
   
แต่คนที่คิดแบบนั้นก็มีเพียงข้าวเท่านั้นไม่ใช่ฝุ่น ฝุ่นยังคงเชื่อมันในพระจันทร์ของตัวเองที่ถึงแม้จะกลายเป็นพระอาทิตย์ไปแล้วก็ยังคงเชื่อมันอยู่และหวังว่าสักวันดวงอาทิตย์ดวงนี้จะคลายความโกรธเกรี้ยวลงและอนุญาตให้เข้าใกล้มันบ้าง   
   
“พี่จ้าว” ฝุ่นขยับตัวเข้าไปใกล้จ้าวพร้อมกับของที่เตรียมมาให้พี่จ้าวโดยเฉพาะ “ผมเชื่อพี่นะว่าพี่ไม่ได้ทำ ผมเชื่อทุกอย่างที่เป็นพี่มาตลอดแต่พี่ไม่เคยยอมพูดสักที ถ้าพี่พูดเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนนั้นผมก็พร้อมจะสนับสนุนพี่แต่พี่ไม่พูดไง ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง ผมมันก็เป็นแค่โอเมก้าโง่ๆ ที่ทำอะไรไม่ได้ ผมไม่มีเงิน ไม่ได้เรียน ไม่มีอะไรเลย ฮึก แต่ผมอยากช่วยพี่จริงๆ นะ แต่ผมไม่รู้จะทำยังไง แค่พี่พูดอ่ะพี่จ้าว แค่พูดสักคำว่าไม่ได้ทำ”
   
ถึงแม้ฝุ่นจะไม่มีรูปลักษณ์น่าเอ็นดูเหมือนข้าวที่เป็นโอเมก้าเหมือนกันแต่ใบหน้าหมดจดที่เคล้าด้วยน้ำตาตอนนี้สำหรับคนอื่นแล้วอาจจะดูไม่น่าสงสารเท่าข้าว
   
แต่มันกลับได้ผลกับจ้าว
   
สีหน้าของจ้าวอ่อนลงพร้อมๆ กับทุกอย่างที่พลั่งพรูออกมา “ก็พี่พูดไม่ได้นี่หว่า ฮึก จะให้ทำไงวะ ฝุ่น พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ จะพูดทำไมวะ!”
   
“…ผมขอโทษที่พูดอะไรโง่ๆ” ฝุ่นสะอื้นเพราะเมื่อลองคิดตามดูก็เป็นตามที่จ้าวว่า ไม่มีใครเชื่อคำพูดของฆาตกรที่มีหลักฐานมัดตัวแน่นหนาหรอก มันก็เหมือนกับพวกฆาตกรที่ชอบตะโกนว่าผมไม่ได้ทำๆ ทั้งๆ ที่มือเปื้อนเลือดเหยื่อนั่นแหละ
   
“ไม่ต้องขอโทษหรอก” จ้าวไม่ปิดบังสีหน้าเจ็บปวดของตัวเองเพราะควบคุมตัวเองไม่ไหวแล้ว “ตอนนี้ที่พี่ทำได้ก็แค่พยายามเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองนั่นแหละ ต่อให้คนทั้งโลกไม่เชื่อพี่ก็ต้องทำ ฮึก” ก่อนจะเงยหน้าสบตาฝุ่น “เพราะตอนนี้พี่ก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไมแล้ว”
   
เป็นความจริงที่ว่าจ้าวพยายามเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองและเหล่าโอเมก้าที่โดนกดขี่ แต่หลักๆ จ้าวก็ทำเพื่อตัวเองมากกว่าส่วนรวม คาดหวังว่าการปล่อยเพลงที่เรียกร้องความเป็นธรรมในสังคมจะช่วยสร้างกำลังและฐานให้ตัวเองได้บ้าง เมื่อถึงเวลาที่เขาสามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงได้เขาจะได้มีกำลังคนเข้ามาสู้รบกับสื่ออันโหดร้ายพวกนั้น
   
“อยู่เพื่อตัวเองไงพี่จ้าว” ฝุ่นยื่นผ้าห่มลายหมีบราวน์ให้จ้าวและพบว่าอีกฝ่ายไม่มีรับเพราะอุ้มเจ้าอีกาอยู่เลยคลุมไหล่ให้แทน “ไม่มีใครไม่มีสิทธิ์ที่ไม่มีชีวิตอยู่ พี่เคยพูดประโยคนี้ตอนงานคอนเสิร์ตไม่ใช่เหรอพี่จ้าว ถึงผมจะไม่ได้ไปแต่ผมก็ตามดูย้อนหลังหมดนะ”
   
กลิ่นหอมประหลาดที่ชวนให้จิตใจสงบลงคล้ายกับปกคลุมตัวจ้าวจนอารมณ์ที่ขึ้นและดิ่งลงราวกับรถไฟเหาะสงบลงมาบ้างนิดๆ
   
เห็นท่าทีสงสัยของจ้าวฝุ่นก็รีบอธิบายสรรพคุณผ้าห่มที่ราคาน่ากลัวไม่สมกับลายสุดน่ารัก “ผ้าห่มกลิ่นอัลฟ่าไงพี่จ้าว พี่คงไม่ค่อยเห็นหรอกเพราะพี่เป็นอัลฟ่า แต่พวกผมที่เป็นโอเมก้านี่ใช้กันแทบทุกคนเลย พวกอัลฟ่าชอบเอาผ้าห่มที่ตัวเองไม่ใช้แล้วมาขายกันแพงๆ ที่ถูกหน่อยก็จะเปื่อยๆ ซักไม่กี่ทีกลิ่นก็หาย ไม่คุ้มเลย”
   
จ้าวอ้าปากเหวอเพราะเคยได้ยินเรื่องนี้แต่ไม่เคยคิดว่าเป็นเรื่องจริง ทำเอานึกถึงผ้าห่มผืนโปรดลายเป็ดเหลืองที่กกมาตั้งแต่เด็กจนโตเลยทีเดียว
   
“เป็นไงพี่จ้าว รู้สึกดีขึ้นไหม” ฝุ่นยิ้มนิดๆ แม้ตายังบวมแดงจากการร้องไห้ “กลิ่นอัลฟ่าคนนี้ถือเป็นของแรร์เลยนะ เป็นพวกอัลฟ่าพิเศษที่โดนขโมยผ้าห่มมาขาย กว่าผมจะต่อรองราคาได้ร้องไห้อ้อนวอนขอร้องแทบตาย”
   
“อือ หอมดี” จ้าวยิ้มจนตาหยีรู้สึกอุ่นวาบ “ขอบคุณนะ ฝุ่น”
   
ฝุ่นมองรอยยิ้มของจ้าวอย่างตกตะลึงเพราะไม่คิดว่าชาตินี้จะได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้อีกจึงอดปล่อยโฮออกมาไม่ได้ เขาดีใจมากที่พี่จ้าวยิ้มแบบนี้ได้ ดีใจมากจริงๆ
   
หรือจริงๆ แล้วพี่จ้าวไม่ได้เย็นชาอย่างที่ทุกคนคิด มันก็เป็นแค่กำแพงที่พี่จ้าวพยายามกั้นคนเอาไว้ข้างนอกถึงแม้ภายนอกดูจะแข็งแกร่งเมื่อกำแพงเหล็กแต่แท้จริงแล้วมันกลับอ่อนแอจนสามารถเดินทะลุผ่านได้ง่ายๆ ถ้าพยายามมากพอ
   
และเขาก็เป็นหนึ่งในคนที่ทำสำเร็จ
   
“เดี๋ยวๆ ร้องไห้ทำไม” จ้าวลนลานถามงงๆ เพราะไอ้คนที่ควรร้องตลอดเวลาคือเขาเองมากกว่าไม่ใช่เหรอ
   
“ผมดีใจที่พี่ยิ้ม” ฝุ่นสูดน้ำมูกฟืดๆ “ผมอยากให้พี่ยิ้มเยอะๆ พี่จ้าว ผมอยากให้พี่มีความสุข มันไม่สำคัญหรอกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างแต่แค่ผมเห็นพี่ยิ้มได้ ..ผมก็ดีใจแล้ว”
   
สิ่งที่ฝุ่นพูดเล่นเอาข้าวสะอึกจนพูดอะไรไม่ออก
   
เพราะเขาไม่ได้ชอบจ้าวที่ตัวตนแบบที่ฝุ่นชอบ เขาชอบจ้าวที่เก่งกาจ ชอบความโด่งดัง ชอบความเป็นที่รู้จัก ชอบเงินตราและชื่อเสียงที่ไหลมาพร้อมกับงานที่รัก เขาชอบทุกอย่างที่สามารถทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้น
   
การเป็นนักร้องตามร้านก็เหมือนพวกหาเช้ากินค่ำ เศษเงินของพวกเจ้าของร้านที่ร่ำรวยคือรายได้ทั้งหมดของข้าว การร้องเพลงคือสิ่งที่ชอบก็จริงแต่สิ่งที่ตามมากับการล่าความฝันด้วยเลือดของโอเมก้าคือการโดนข่มเหงและลวนลาม ข้าวพยายามหาร้านที่มีการ์ดดีๆ ดูแข็งแรงบึกบึน พยายามผูกมิตรด้วยการซื้อน้ำเล็กๆ น้อยๆ มาให้เพื่อที่จะขอความเมตตาเมื่อเขาโดนพวกอัลฟ่าหรือเบต้าที่ถือดีลวนลามเข้า
   
เขาเบื่อชีวิตแบบนี้และอยากจะหลุดพ้นจากมันสักที แต่เขาทำไม่ได้ มีแค่พวกเบต้าและอัลฟ่าที่สามารถยืนอยู่บนเวทีได้อย่างภาคภูมิ ไหนเลยจะมีคนมาสนใจโอเมก้าชั้นต่ำ แค่ได้เป็นเงาเสียงก็ถือว่ามากแล้วสำหรับพวกโอเมก้าที่ต้องใช้ชีวิตไม่ต่างกับหนูที่ต้องอยู่กันอย่างหัวซุกหัวซุน
   
มีไม่กี่คนที่สามารถกลายเป็นแบบพี่ซินได้ ประสบความสำเร็จในชีวิตจนได้รับการยอมรับจากทุกชนชั้น อาจจะเพราะการหนุนหลังของแฟนพี่ซินด้วยหรืออะไรก็ตามแต่ สิ่งที่เป็นเรื่องจริงคือพี่ซินไม่ต้องหวาดกลัวกับระบบชนชั้นโง่ๆ อีกต่อไป ถึงจะโดนเหยียดหยามลับหลังก็ช่างในเมื่อไม่กล้ากระทำต่อหน้าก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีทั้งนั้น
   
เขาก็แค่อยากมีชีวิตแบบนั้นบ้างในโลกที่แสนไม่ยุติธรรมนี้และเขาก็ไม่เห็นโอกาสที่ดีอะไรในการติดตามจ้าวคนนี้อีกต่อไป
   

   
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 18 : จำศึล p.3 (12/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 12-05-2018 21:05:20
“พี่จ้าว.. ผมขอเบอร์ที่พี่จะให้ได้ไหม”
   
แววตาอ่อนโยนที่มีให้กับฝุ่นหายไป จ้าวมองข้าวนิ่งๆ “ได้สิแต่สัญญากับพี่อย่างหนึ่ง”
   
ข้าวพยักหน้ารับ “ครับ ผมจะรักษาสัญญาด้วยชีวิตของผมเลย”
   
ทั้งๆ ที่พูดไปแบบนั้นแต่ข้าวก็ไม่ได้รู้สึกตามอะไรมากนัก คำพูดก็เป็นแค่คำพูด เป็นแค่ลมที่ผ่านกล่องเสียงและหลุดมาจากปาก ไม่ได้มีค่าพอที่จะใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อประกันขนาดนั้น
   
แน่นอนว่าจ้าวอ่านข้าวออกแต่ก็ทำเป็นไม่เห็น “อย่าทรยศพี่”
   
แววตาของข้าวแฝงความประหลาดใจแต่ก็พยักหน้าหงึกๆ “ครับ ผมจะไม่บอกใครเรื่องของพี่ ผมสัญญา”
   
“แต่ถ้าคิดจะทำก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน” จ้าวลูบหัวเจ้าอีกาที่พยายามออดอ้อนขอความรักเบาๆ “พี่มั่นใจว่าคุณเหมันต์คุ้มครองพี่ได้”
   
“ผมไม่ทรยศพี่หรอก” ข้าวขมวดคิ้ว “ผมไม่รู้หรอกว่าพี่คิดอะไรอยู่แต่ที่แน่ๆ ผมไม่แว้งกัดใคร โดยเฉพาะกับพี่”
   
“ก็แค่พูดไว้” จ้าวไหวไหล่วางเจ้าอีกาบนตักแล้วหยิบปากกาที่วางอยู่บนโต๊ะมาเขียนเบอร์ใส่กระดาษโพสอิสให้ข้าว ไม่ถึงนาทีจ้าวก็ยื่นมันให้ข้าวรับไป
   
“ขอบคุณครับ!” ข้าวขอบคุณอย่างกระตือรือร้น รู้สึกเหมือนเห็นอนาคตสดใสของตัวเองอยู่ลางๆ “ผมจะไม่ลืมบุญคุณนี้เลยครับ”
   
จ้าวเหลือบมองท่าทางดีใจเกินเหตุแล้วผุดลุกขึ้นและก้าวออกจากห้อง
   
“เดี๋ยวพี่! พี่จะไปไหน” ข้าวร้องตามเช่นเดียวกับฝุ่นที่ผวาลุกขึ้นตามมาติดๆ
   
นัยน์ตาโศกเหลือบมองข้าวก่อนจะกลับไปจ้องประตูเหมือนเดิม “กลับไปซะ คุณต้นเขาว่างช่วงบ่าย นี่ก็จะเที่ยงแล้ว รีบไปเตรียมตัวจะดีกว่า”
   
“แล้ว แล้วที่พี่บอกจะฝึกผมล่ะ”
   
“ไม่ต้องฝืนโกหกหรอก รีบไปซะ” จ้าวพูดทั้งๆ ที่ไม่ได้หันกลับมามองด้วยซ้ำ สาวเท้าต่อออกจากห้องโดยไม่ลืมลาคนที่สามารถก้าวเข้าในพื้นที่ส่วนตัวได้ “ขอบใจนะ ฝุ่น คราวหลังถ้าอยากมาหาพี่ก็มาพร้อมกับพี่ซินละกัน ไม่ต้องให้ซินมาถามพี่หรอกว่าฝุ่นมาด้วยได้ไหม”
   
จ้าวตัดจบแค่นั้นก่อนจะปิดประตูเพราะขี้เกียจคุยต่อและความตั้งใจที่จะสอนข้าวก็หายไปหมดแล้ว ตั้งแต่เห็นสีหน้ากระหายในเงินและชื่อเสียงของข้าว
   
เขารู้จักสีหน้าแบบนี้ดีเพราะมันมักจะทำให้เกิดตัวปัญหาขึ้นมาบ่อยๆ
   
ขาสองข้างก้าวไปข้างหน้าอย่างติดๆ ขัดๆ พยายามจะเดินกลับไปห้องตัวเองแต่ก็พบว่าโลกทั้งโลกของตัวเองนั้นพร่ามัวเกินทน พยายามจะประคองสติแต่ก็ไม่สำเร็จและถูกความมืดกลืนกินในที่สุด
   
เจ้าอีกาตกใจร้องกาๆ เสียงดังลั่น พยายามจิกหัวจ้าวให้ตื่นขึ้นมาคุยกับมันก็ไม่เป็นผล
   
เพราะจ้าวนั้นได้เข้าสู่สภาวะจำศีลของพวกโอเมก้าไปเสียแล้ว

   

‘สิ่งที่ธรรมชาติคัดสรรมาล้วนไม่มีสิ่งใดไม่มีประโยชน์’

นี่คือสิ่งแรกที่ณิชาคิดเมื่อได้เรียนชีววิทยาตอนม. ปลาย รู้สึกประทับใจกับกฎการคัดเลือกโดยธรรมชาติซึ่งจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับสิ่งมีชีวิต เฉกเช่นเดียวกับสายเลือดของมนุษย์ในตอนนี้ที่แบ่งออกเป็นถึงสามประเภท ไม่มีเลือดกรุ๊ปเอบีโอดังในอดีตอีกแล้ว มีเพียงโอเมก้า อัลฟ่า และเบต้า
   
สายเลือดที่มีเอกลักษณ์ชัดเจนและสามารถทำให้มนุษย์ขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุดของวัฐจักรได้ง่ายขึ้น เพศแทบจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีผลต่อการเลือกคู่อีกต่อไป หากแต่มนุษย์กลับใช้ประโยชน์จากความแตกต่างอย่างสุดโต่งนี่ในการปกครอง ตั้งแต่สมัยอดีตโดยการเหยียบหัวโอเมก้าที่มีอยู่จำนวนน้อยที่สุดให้จมดินและบีบบังคับให้เป็นแรงงานชั้นต่ำในสิ่งที่ตนเองไม่อยากทำ
   
มันเป็นแบบนี้เรื่อยมาจนหลอมรวมเข้ากับวัฒนธรรมของมนุษย์จนแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนมัน ต่อให้จะรู้อยู่แก่ใจว่ากำลังเอารัดเอาเปรียบหากแต่ก็ไม่อาจปล่อยมือจากความสะดวกสบายนี่ได้ ถ้าหากไม่มีโอเมก้าแล้วพวกเขาจะกดขี่ใครได้อีกล่ะ ถ้าหากไม่มีโอเมก้าแล้วใครจะทำงานชั้นต่ำล่ะ นั่นเป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจเหล่าผู้ที่มีสายเลือดที่สูงส่งกว่า
   
ทุกอย่างจึงยังคงเหมือนเดิมแม้ว่าพวกโอเมก้าจะพยายามรวมตัวกันเพื่อต่อต้านซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ไม่เคยสำเร็จ มีแค่พวกโอเมก้าที่ได้คู่เป็นอัลฟ่าเท่านั้นที่จะมีชีวิตสะดวกสบายไม่ต้องดิ้นรนอะไร แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่โชคดีแบบนั้น
   
ณิชาก็เป็นหนึ่งในโอเมก้าที่พยายามตะเกียกตะกายใฝ่หาชีวิตใหม่แทบตายจนสามารถถีบตัวเองขึ้นมาเป็นนักวิจัยที่ได้เกียรตินิยมจากมหาลัยชื่อดังได้แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครคิดจะจ้างงานเธอ ทั้งๆ ที่ทำดีแทบตายก็ไม่มีใครคิดจะสนใจเอาตัวโอเมก้าไปร่วมกลุ่มวิจัย แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ณิชาเสียใจนักเพราะยังไงนายจ้างของเธอก็ต้องเป็นตระกูลกิลลาสอยู่แล้ว เพื่อทดแทนบุญคุณที่ให้ที่อุปการะเธอด้วยความเมตตา เธอจึงตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุดไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม หากแต่ลึกๆ เธอก็ยังแอบฝันเล็กๆ ว่าตัวเองจะสามารถเปลี่ยนแปลงระบบชนชั้นที่กดขี่โอเมก้าได้ไม่มากก็น้อย
   
“ความดันต่ำกว่าปกติค่ะแล้วอัตราการหายใจยังช้าลงด้วย”
   
เสียงเล็กๆ อย่างกระตือรือร้นคือเสียงของหยก ลูกน้องในสังกัดของณิชาซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยที่ทำทุกอย่างที่ณิชาสั่ง บริเวณหลังมือมีร่องรอยประทับตราโอเมก้าถูกปกปิดด้วยถุงมือสีชมพูลายจุด หยกเป็นโอเมก้าร่างเล็กที่กระตือรือร้นในการเรียนรู้สุดๆ ถึงแม้จะจบออกมาด้วยเกรดที่ไม่โดดเด่นนักแต่ก็พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
   
“อาการแบบนี้” ณิชามองร่างผอมแห้งที่เพิ่งนอนบนเตียงนี้ไปหยกๆ ก็มานอนอีกแล้ว “จำศีลสินะ”
   
หยกเบิกตากว้าง “งั้นก็หมายความว่าคุณจ้าวเป็นโอเมก้าไปแล้วใช่ไหมคะ” ที่หยกตกใจนั้นเพราะการจำศีลพบในพวกโอเมก้าเท่านั้น นับเป็นอีกลักษณะหนึ่งของโอเมก้าที่นับว่าโดดเด่นกว่าสายเลือดอื่น การจำศีลส่งผลดีต่อร่างกายเนื่องจากเป็นการบังคับเข้าสู่สภาวะการหลับลึกทำให้ร่างกายสามารถซ่อมแซ่มตัวเองได้อย่างรวดเร็วกว่าพวกอัลฟ่าและเบต้า ต่อให้ไม่ได้กินอาหารหรือน้ำก็สามารถฟื้นฟูได้เองอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นข้อได้เปรียบข้อนึงที่โอเมก้ามี ซึ่งโอเมก้าส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยป่วยและพบโรคร้ายแรงด้วย อย่างมากก็แค่ไอหนักๆ สองสามวันและกลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว
   
“เก้าสิบเปอร์เซ็น” ณิชาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “คุณจ้าวไม่ยอมกินยาที่ฉันให้แล้วยังปล่อยตัวให้เป็นแบบนี้อีก ไม่แปลกหรอกที่ฮอร์โมนโอเมก้าจะจัดการปรับปรุงร่างกายเองตามใจชอบเลย”
   
“แล้วคุณเหมันต์ล่ะคะ เป็นยังไงบ้าง”
   
ณิชาเหลือบมองประตูห้องที่ปิดสนิทเพื่อความแน่ใจก่อนจะปริปากพูด “ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ สงสัยรอบนี้จะรับฮอร์โมนอัลฟ่าน้อยเกินไป”
   
“ร่างกายคุณเหมันต์กำลังเสพติดมันสินะคะ” หยกพูดซึมๆ ขณะเดียวกันก็จดข้อมูลบนจอมอนิเตอร์ของจ้าวยิกๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูล
   
“อืม คุณเหมันต์เขารับฮอร์โมนอัลฟ่ามาสิบสี่ปีแล้ว” หัวหน้าฝ่ายวิจัยสาวลูบหัวหยกอย่างเศร้าหมอง “แต่เลือดของคุณเหมันต์ก็ยังไม่ใกล้กับคำว่าอัลฟ่าเลยสักนิด”
   
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 18 : จำศึล p.3 (12/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-05-2018 21:20:06
มันดูอึมครึมไปหมดเลย
เราสงสารจันทร์ด้วย เห้ออออออออ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 18 : จำศึล p.3 (12/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 12-05-2018 21:27:52
อ้าว พี่เหมันต์เป็นอะไร

ฉันเข้าใจข้าวนะ ทุกคนต้องเอาตัวรอดทั้งนั้น ขอแค่อย่าซ้ำเติมจ้าวก็พอ

ฝุ่นน่ารักอ้ะ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 18 : จำศึล p.3 (12/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 12-05-2018 23:24:04
หืมมมมม คุณเหมันต์เป็นอะไร ทำไมต้องรับฮอร์โมนอัลฟ่า
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 18 : จำศึล p.3 (12/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 13-05-2018 11:48:35
แสดงว่าเหมันต์เป็น เบต้าไม่ก็โอเมก้า :hao5:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 18 : จำศึล p.3 (12/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 13-05-2018 15:31:03
ติดตามจ้า
 :L2: :pig4: :L2: :pig4: :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 18 : จำศึล p.3 (12/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 13-05-2018 15:38:11
สงสารจ้าว  :hao5:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 18 : จำศึล p.3 (12/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 13-05-2018 18:49:18
อ้าว เดี๋ยวนะ!  :a5: คุณเหมันต์อาจเป็นโอเมก้าหรอ อมก

ไม่น่าจะเป็นเบต้านะ ในเราเชื่อว่าเป็นโอเมก้ามากกว่า เห้อม

แต่ละคน จ้าวก็โคตรน่าสงสารอ่ะ หวังว่าข้าวคงไม่ทรยศนะ

ผู้แต่งเขียนดีเหลือเกินค่ะ ดีมากๆ เราเป็นกำลังใจให้นะคะ

ค่อยๆแต่งไปเรื่อยๆ ไม่ไหวก็หายไปสักพักให้หายเหนื่อย

เรารอได้นะคะ อย่าหักโหมน้า  :L1:

ป.ล. เป็ดไม่กลับมาเราไม่ง้อ! เรากด+โหวตก็ได้!

หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 18 : ผลตอบรับที่น่าผิดหวัง p.3 (15/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 15-05-2018 00:56:13
ตอนที่ 19
   

“หืม? จ้าวจำศีลงั้นเหรอ”
   
นั่นเป็นสิ่งที่แรกเหมันต์รับรู้หลังจากสติกลับมาครบถ้วน กลิ่นยาที่อวลอยู่ในห้องบ่งบอกถึงบาดแผลฟกช้ำตามตัวที่ไม่รู้ว่าไปทำอีท่าไหนถึงม่วงจนน่ากลัวทั้งๆ ที่ผนังเป็นเบาะนวมอย่างดี แต่อย่างไรก็ตามหลังจากที่ร่างกายปลดปล่อยความเครียดที่สะสมอยู่ในตัวออกไปก็รู้สึกผ่อนคลายและแข็งแรงขึ้นมาก
   
สีหน้าของเหมันต์ตอนนี้จึงค่อนข้างสดชื่นแม้ว่าจะผ่านการคลุ้มคลั่งมาหลายวัน เหมันต์ลูบหัวเจ้าอีกาของจ้าวที่ตอนนี้แปรพักตร์มาอยู่กับเขาไปพลางๆ ระหว่างที่รอจ้าวฟื้น
   
เรียกได้ว่าสลับกันไร้สติเลยทีเดียว
   
แต่แน่นอนว่าหลังจากคลุ้มคลั่งครั้งนี้ไปก็อีกหนึ่งเดือนไม่ก็สองเดือนร่างกายถึงจะคลุ้มคลั่งอีกครั้ง เพราะร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก เหมันต์จึงไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตัวเองจะเลิกเสพติดการรับฮอร์โมนอัลฟ่าสักที ราวกับเป็นสารเสพติดชนิดหนึ่งที่ไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตแต่ก็ต้องการมันเรื่อยๆ ถ้าหากไม่ได้รับนานๆ หรือรับน้อยเกินไปก็จะคลั่งอย่างที่เห็นซึ่งก็มีลักษณะไม่ต่างอะไรกับคนที่ติดยาเสพติดแล้วลงแดงนัก
   
แต่ถึงแม้จะรับฮอร์โมนปริมาณมากตามที่ร่างกายต้องการแต่เหมันต์ก็ยังคงคลั่งไร้สติอยู่ดี คล้ายกับว่าร่างกายกำลังประท้วงอย่างหนักถึงการนำเอาสิ่งประหลาดเข้ามาในร่างกายอย่างถือวิสาสะและเสี่ยงอันตราย มันตอบแทนเหมันต์ด้วยอาการคลุ้มคลั่งที่เหมันต์คุ้นเคยและเคราะห์ดีที่มันไม่เคยร้ายแรงมากกว่านั้น
   
“ครับ คุณจ้าวจำศีลแบบพวกโอเมก้ามาสี่วันแล้ว”
   
บอดี้การ์ดร่างใหญ่สัญชาติเยอรมันที่ควบตำแหน่งเลขาทำสีหน้าขึงขังเข้ากับฉายาที่ถูกคนอื่นๆ ตั้งว่า ‘พี่โหด’  ใบหน้าคมที่มีหนวดบางๆ ไม่ได้ดูหล่อเหลาแต่กลับทำให้ดูน่ากลัวราวกับจะถูกคนๆ นี้ขย้ำทั้งเป็น ผมสีทองถูกตัดสั้นและเซ็ตเรียบร้อยเข้ากับนัยน์ตาสีฟ้าเคร่งขรึม ชุดสูทเรียบกริบหัวจรดเท้าตามวิสัยที่มักจะเคร่งครัดกับทุกเรื่องเพื่อที่จะทำทุกอย่างที่ดีที่สุดให้กับคุณเหมันต์
   
เรียกได้ว่าถ้า ‘ไลอ้อน’ เป็นมือขวา

คนนี้ๆ คงจะเป็นมือซ้ายที่ถนัดมากของเหมันต์

“วันนี้ใช่วันที่ต้องปล่อยเพลงรึเปล่า?”

เหมันต์ถามเสียงขรึมรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาเพราะวันนี้ก็นับว่าเป็นวันสำคัญอีกวันนึงสำหรับจ้าว โดยเฉพาะกับสังคมอันเน่าเฟะที่แทบจะไม่ยินยอมให้โอกาสใดๆ ให้จ้าวได้ปริปากเอ่ยขอความเป็นธรรมให้กับตัวเอง ถ้าหากพลาดวันนี้ไปคงจะไม่วายโดนเหยียบให้จมดินแม้ว่าเอ็มวีจะดีขนาดไหนก็ตาม

ออสตินตอบ “ปล่อยไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ”

“แล้วเป็นไงบ้าง”

“ไม่ดีเท่าไหร่ครับ” ไม่ว่าเปล่าคนเป็นมือซ้ายหยิบแท็บเล็ตของตัวเองออกมาเปิดให้คุณเหมันต์ดูอย่างคล่องแคล่วเพราะพอจะรู้อยู่แล้วว่าคุณเหมันต์จะถามถึงเรื่องนี้ มีทั้งคลิป บอร์ด กระทู้ที่กล่าวถึงเพลงใหม่ของจ้าวและถูกสรุปออกมาเป็นแผนภูมิแท่งและตารางออกมาเพื่อจำแนกข้อมูลทั้งหมดให้คุณเหมันต์โดยเฉพาะ

เหมันต์ตกอยู่ในความเงียบพักใหญ่ๆ หลังจากดูเอ็มวีจบ

สำหรับเหมันต์แล้วนับว่าเนื้อเพลงของจ้าวนั้นนับว่าตรงกับประเด็นในสังคมมากจนน่ากลัว เหล่าอัลฟ่าที่ไม่ต่างอะไรกับหมาป่าบ้าอำนาจไล่ล่าฝูงแกะอย่างสนุกสนานเพื่อที่จะยืนยันในอำนาจของมันว่ายังดำรงอยู่และมีอยู่จริง

หากแต่เอ็มวีที่ได้นั่นกลับสวนทางโดยสิ้นเชิงเพราะเอ็มวีของจ้าวนั้นทำไม่เสร็จ ซีจีลูกแกะก็ทำออกมาได้ครึ่งๆ กลางๆ กลับนำมาใส่ในเอ็มวีจนองค์ประกอบในเอ็มวีเละไปหมด แม้จ้าวและคนอื่นๆ จะพยายามคุมภาพ แสง ทุกอย่างอย่างดีแต่เพราะเวลาที่ไม่เพียงพอและคนที่เป็นเจ้าของบทเพลงที่ไม่อยู่คุมทุกอย่างพอดีทำให้ทุกอย่างออกมาแย่อย่างน่าเสียดาย

ไม่เว้นแต่ท่อนฮุ้คที่จ้าวร้องได้เสียงอันทรงพลังที่สุดกลับถูกตัดต่อใส่ด้วยรูปลูกแกะตายด้วยท่าทางแปลกๆ มีเลือดไหลสองสามหยดทำให้มันดูตลกมากกว่าจะเศร้า ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นภาพของใบหน้าจ้าวที่กำลังแสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยวออกมามากกว่า
ซึ่งเหมันต์ก็รู้ดีว่าถ้าจ้าวฟื้นขึ้นมาจะเศร้าขนาดไหน

การโต้กลับครั้งแรกของจ้าวล้มเหลว..

ถึงแม้เนื้อเพลงจะดีเลิศเลอให้ตายยังไงถ้าคนฟังเลือกที่จะมองข้อด้อยทุกอย่างก็จบ สิ่งที่จ้าวทำได้คือทำทุกอย่างให้ออกมาเพอร์เฟ็คเท่านั้นเพื่อที่จะป้องกันข้อครหาที่ไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องอะไรกันบ้าง

หลังจากฟังเพลงซ้ำกรอสองสามรอบตามนิสัยปกติเสร็จก็อ่านที่ออสตินสรุปไว้อย่างกระชับเพราะมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องตัดมาเฉพาะข้อความและสิ่งที่เขาอยากรู้อยู่แล้วไม่มีพลาด การทำงานร่วมกันมาตั้งแต่อายุยี่สิบจนสามสิบสองไม่ใช่เรื่องตลก ออสตินรู้จักตัวเขามากกว่าตัวเขาเองเสียอีก

แต่ก็ใช่ว่าจะมีทุกเรื่องที่ออสตินรู้..

เหมันต์ลอบวางแผนใจที่จะเซฟรูปของจ้าวตอนเปิดตัวเอ็มวีเพราะรูปนั้นน่ารักมาก ถึงแม้จะทำสีหน้าขึงขังในธีมหมาป่าแต่ในสายตาเขาจ้าวก็คือจ้าวอยู่ดี อย่าลืมว่าเขาเป็นแฟนคลับตัวยงของจ้าว ย่อมไม่ได้ชอบแค่เสียงอย่างแน่นอนไม่เช่นนั้นคงจะไม่ติดตามมานานขนาดนี้

หากแต่อารมณ์ดีได้ไม่นานนักก็ขมวดคิ้วฉับกับสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเพลงแต่เกี่ยวข้องเต็มๆ กับจ้าว

“ข่าวพวกนี้มาจากไหน”

ใบหน้าของเหมันต์ไร้อารมณ์สร้างบรรยากาศชวนให้อึดอัดใจซึ่งออสตินก็เพิ่งจะชินกับมันไม่กี่ปีมานี้

“ดารานิวส์ครับ สำนักข่าวเดียวกับที่เล่นข่าวคุณจ้าวเมื่อสามปีที่แล้ว” ออสตินรีบตอบเพื่อป้องกันไม่ให้บรรยากาศชวนอึดอัดไปมากกว่านี้ “สำนักข่าวนี้ชอบเล่นข่าวดาราเป็นพิเศษ เห็นว่ามีพวกที่จ้างให้ทำข่าวด้วยครับ”

“เคยมีคนของเราเคยโดนสำนักข่าวนี้เล่นไหม”

“ไม่เคยครับ”

“งั้นก็ทำให้มี” เหมันต์พูดนิ่งๆ ไม่ขยายความมากกว่านั้นเพราะรู้ดีว่าออสตินรู้ตัวเองดีว่าต้องทำอะไร ยื่นแท็บเล็ตคืนให้ออสตินและหยิบโน๊ตบุ๊คของตัวเองขึ้นมาเช็คตารางงานต่อหลังจากหายไปซะหลายวัน

ออสตินโค้งตัวรับคำสั่งอย่างนอบน้อมด้วยรอยยิ้มพอใจเพราะชอบงานสนุกๆ ที่หาได้ยากแบบนี้อย่างยิ่ง หน้าที่ของเขาส่วนใหญ่จะเป็นงานจิปาถะซ้ำไปซ้ำมาไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นเต้น การทำอะไรเกิดเรื่องขึ้นจึงเหมือนเป็นการเล่นสนุกของเขาในวันทำงานเลยทีเดียว

ไม่รอให้เสียเวลารีบเดินเข้าห้องทำงานและหยิบโน๊ตบุ๊คเปิดโปรแกรมโทรหาแบบไร้ตัวตนทันที รอสายได้สักพักปลายสายก็รับและได้รับคำทักทายเสียงแหลม

(สวัสดีค่ะ คุณน้อง โทรมามีอะไรพี่รับใช้จ๊ะ)

เสียงทุ้มที่ถูกดัดจนฟังแปร่งหูบ่งบอกถึงเพศสภาพของปลายสายและบอกอีกว่าคนปลายสายนั้นคุ้นเคยกับเบอร์แปลกหน้าขนาดไหน แม้จะไม่รู้ว่าใครโทรมาแต่ก็รับทันทีเพื่อโอกาสในการหาเงินที่อาจจะได้เยอะกว่าการนั่งเทียนเขียนข่าวเอง

“ผมอยากจะให้คุณเขียนข่าวของคุณส้มที่เป็นตัวประกอบช่องเก้าสิบเก้าครับ”

ออสตินตอบนิ่งๆ สำเนียงไทยชัดเจนไม่ปิดบังเสียงเพราะมั่นใจว่ายังไงอีกฝ่ายก็ไม่มีทางหาตัวเองเจอแม้จะค้นหาทั้งชีวิตก็ตาม

(อ๋อ น้องส้มฉุนเหรอจ๊ะ ได้จ๊ะ แต่พี่ว่าน้องเขาไม่ค่อยดังนะ เขียนข่าวไปอาจจะไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าไหร่)

“ผมให้คุณห้าแสนถ้าคุณทำให้ข่าวนี้ดังได้พอๆ กับข่าวของจ้าว”

นี่คือการเล่นสนุกของบอดี้การ์ดหน้าโหดประจำตัวคุณเหมันต์ การปั่นหัวคนให้เล่นไปตามเกมของตัวเองด้วยการโยนเหยื่อล่อชิ้นโตและล่อให้มันมาติดกับอย่างโง่เขลา ซึ่งส้มฉุนก็คือคนของเหมันต์อีกที การออกเข้าสู่โลกแสงสีก็แค่การเข้าไปสืบข่าวคราวและทำประโยชน์ให้กับคุณเหมันต์เท่านั้น ซึ่งออสตินค่อนข้างมั่นใจว่าส้มฉุนต้องเข้าใจจุดประสงค์มือซ้ายของคุณเหมันต์อย่างเขาแน่นอน

(คุณน้องงง แล้วคุณจะให้คุณพี่เขียนว่าอะไรล่ะจ๊ะ น้องส้มฉุนทำตัวเด็กดี้เด็กดี พี่เคยจะเขียนตั้งหลายรอบก็เขียนไม่ลงเพราะไม่รู้จะเขียนอะไร หรือถ้าคุณน้องมีภาพหรือคลิปหลุดก็ส่งมานะ คุณพี่จะทำให้ดังกว่าข่าวจ้าวอีก!)

“อ๋อ ผมไม่มีหรอกครับ” ออสตินยิ้มผยอง “แต่ถ้าคุณทำให้มันดังได้เท่าข่าวจ้าว ผมจะเพิ่มเงินให้อีกห้าแสน”

เขาจะปล่อยให้มันตายใจกับเหยื่อในมือ ปล่อยให้มันจ้องเหยื่อจนน้ำลายสอและแทะเลียอย่างหิวกระหาย

(ได้ค่ะ คุณน้อง เชื่อมือพี่ได้เลย! ขอมัดจำสองแสนด้วยนะน้อง)

“แน่นอนครับ” ออสตินไม่ลังเลจะโอนเงินออกไปทันทีด้วยบัญชีที่ตรวจสอบไม่ได้แต่เงินเข้าจริง

(ว๊าย พูดปุ๊ปมาปั๊ป คนจริงมากค่ะน้อง เดี๋ยวพี่เขียนข่าวให้นะ แต่พี่ขอถามน้องหน่อยนะว่ามีแฟนหรือยัง พี่ยังโสดนะ)

“ผมมีลูกสามคน” ออสตินโกหกเพื่อตัดบทเพราะเริ่มจะรำคาญ “ในส่วนที่เหลือผมจะโอนให้เมื่อคุณเผยแพร่มัน”

(ได้ค่ะ คุณน้อ---)

พูดยังไม่ทันจบคนเป็นบอดี้การ์ดก็ตัดสินใจตัดสาย รู้สึกเหนื่อยหน่ายแต่ก็ยังรู้สึกสนุกอยู่ เพราะตั้งใจจะถอนทุนกลับมาเพิ่มให้ได้สักยี่สิบสามสิบเปอร์เซ็น

นัยน์ตาสีฟ้าเป็นประระริกตื่นเต้นราวกับเสือที่กำลังเล่นกับกระต่ายตัวน้อยที่กำลังกินแครอทที่มันวางไว้อย่างตะกละตะกลามโดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าชีวิตครึ่งนึงของมันแขวนอยู่บนเส้นด้ายเสียแล้ว

หลังจากนั้นเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่เสืออย่างเขาต้องการ เขาก็จะบังคับให้มันคายเหยื่ออันล้ำค่าออกมา ใช้มีดกรีดตัวเมื่อมันขัดขืน ใช้ตะขอเหล็กเกี่ยวคอเมื่อมันร้องขอชีวิตและเลาะกระดูกมันออกมาทีละท่อนจนกว่านายใหญ่แห่งตระกูลกิลลาสจะพอใจ!



การหยุดงานแบบไร้สติสำหรับเหมันต์แล้วไม่เรียกว่าเป็นการลาพักร้อนเพราะมันไม่มีความเพลิดเพลินเลยแม้แต่นิดเดียว อีกทั้งพอกลับมาก็พบว่ามีงานรออยู่มากมายเหลือเฟือ มีทั้งเอกสารขอซื้อตลาดที่เขาคุมอยู่อย่างดื้อดึงทั้งๆ ที่ปฏิเสธไปแล้วหลายครั้งเพราะที่ดินผืนนี้มีอีกนับพันชีวิตที่กำลังพยายามตรากตรำหาเลี้ยงตัวเองอยู่ ถึงสาเหตุหลักที่ไม่ขายคือเป็นสมบัติประจำตระกูลแต่สาเหตุรองก็ยังเป็นเพราะเป็นห่วงคนที่เช่าอาศัยพื้นที่ดินเหล่านี้ของเขา ค่าเช่าราคาสมเหตุสมผลไม่โก่งราคาจนเกินไปและตั้งอยู่ใจกลางเมืองนอกจากซ่องนกพิราบเขาก็ไม่รู้ว่าจะมีที่ไหนแล้ว

แต่เหนือสิ่งอืนใดนั้นก็มีเอกสารอื่นๆ ที่รอเขาพิจารณาอยู่เป็นจำนวนมาก ถึงแม้ออสตินจะคัดกรองเฉพาะที่สำคัญมาให้บ้างแล้วก็ถือว่าเยอะอยู่ดีสำหรับการทำงานวันเดียว ทั้งๆ ที่อยากนอนอยู่เฉยๆ สักเดือนแต่ก็ทำไม่ได้เพราะบ่วงรัดคอคำว่าประธานบริษัทรัดคออยู่ ความเกียจคร้านรังแต่จะทำให้บริษัทล่มจม เขาไม่มีวันยอมให้บริษัทที่ตระกูลกิลลาสใช้เวลาหลายรุ่นในการสร้างมันขึ้นจนรุ่งเรืองต้องมาจบลงที่เขา

ไม่สิ โดยเฉพาะกับ ‘เขา’ ที่ซุกซ่อนความลับอันน่าอับอายเอาไว้

เหมันต์สูดหายใจลึกและผ่อนออกมาเรียกสมาธิและเริ่มต้นอ่านเอกสารอย่างรอบคอบ แต่สิ่งที่หยิบขึ้นมากลับไม่ใช่ปึกเอกสารอย่างที่เหมันต์คิด

สิ่งที่อยู่ในมือของเหมันต์คือเอกสารสรุปประเด็นร้อนของจ้าวในช่วงนี้ที่ออสตินจงใจทำขึ้นมาและนำมาวางไว้ส่วนบนสุดของเอกสาร เพราะเวลาที่ล่วงเลยผ่านไปหลายวันแล้ว ข่าวของจ้าวจึงซาลงจนเหมันต์ที่ลองเช็คข่าวจ้าวคร่าวๆ ไม่ทันเห็นแต่พอได้เห็นก็ไม่ได้รู้สึกดีอยู่ดี

ทุกข่าวที่เขียนถึงจ้าวนั้นล้วนแต่เป็นการป้ายสีและแต่งเติม ดูโหดร้ายป่าเถื่อนราวกับว่าจ้าวไม่ใช่คนแต่เป็นเศษเดนไร้ค่าที่สามารถระบายอารมณ์ใส่ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย หัวข้อข่าวว่ารุนแรงแล้วผลตอบรับนั้นรุนแรงกว่า จ้าวในสายตาคนพวกนั้นก็เป็นแค่คนที่พยายามจะตะเกียกตะกายขึ้นมาหาฝั่งทั้งๆ ที่กำลังถูกคลื่นซัดโถมกลืนกินและถูกฉุดกระชากลงไปอยู่ใต้ทะเลด้วยมือนับพัน

“…”

เหมันต์พูดอะไรไม่ออกกับสังคมที่เป็นอยู่ตอนนี้ รู้สึกสิ้นหวังเพราะแทบทุกคนที่จะเป็นแบบนี้ไปหมดแล้ว ความดีที่จ้าวเคยทำหายไปหมดกับการกระทำผิดเพียงครั้งเดียวที่ไม่แน่ชัดว่าเป็นคนลงมือเองรึเปล่า แต่ทุกคนเชื่อว่าจ้าวทำและลงทัณฑ์ด้วยตัวเองผ่านสื่อออนไลน์ราวกับเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมในสังคม

มันทำให้เขานึกถึงเอ็มวีของจ้าวขึ้นมา ซึ่งจ้าวในตอนนี้ก็ไม่ต่างกับแกะอ่อนแอที่ไม่มีกำลังแม้จะหายใจแต่ก็ถูกเหล่าหมาป่าเอาปืนจ่อเข้าที่รอบลำคอและตามลำตัวจนไม่มีบริเวณใดบนร่างกายที่จะไม่โดนกระสุนถ้าพวกหมาป่าคิดจะลั่นไกปืน

‘มนุษย์ช่างโหดร้าย’

พ่อของเขาเคยบอกไว้แบบนั้นและลูบหัวเขาเบาๆ

‘เหมันต์อย่าเป็นแบบนั้นนะลูก’

ทั้งๆ ที่พูดแบบนั้นแต่กลับเป็นแบบนั้นซะเองเมื่อพบว่าสายเลือดของเขาไม่ใช่สายเลือดสูงส่งอย่างอัลฟ่าพิเศษตามที่พ่อและคนอื่นๆ ในตระกูลต้องการ

‘เพี๊ยะ!!!’

เขาโดนตบหน้าเมื่อเข้ามาในห้องทำงานของพ่อ สายตาที่มองเขานั้นสั่นระริกมีทั้งความสับสนกังวลทุกอย่างผสมปนเปไปหมด แปลกมากที่วันนั้นเขาไม่ร้องไห้แม้ว่าจะแก้มจะเจ็บจนชา

‘ทำไมแกไม่เป็นอัลฟ่าวะ!’

เขาให้คำตอบพ่อไม่ได้พอๆ กับที่พ่อหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ เปอร์เซ็นการที่เขาจะเป็นอัลฟ่าพิเศษนั้นสูงมาก รองลงมาคืออัลฟ่าและมีโอกาสอีกเพียงน้อยนิดที่จะเป็นโอเมก้าและอีกศูนย์จุดศูนย์หนึ่งเปอร์เซ็นเป็นเบต้า

‘ต่อไปนี้ห้ามออกไปข้างนอกกับพ่อนะ’

จากที่ได้ออกไปดูงานข้างนอกกับพ่อบ่อยๆ เขาเริ่มถูกซุกซ่อนไว้เบื้องหลังพร้อมๆ กับตัวตนที่เริ่มจะจางหายไปเมื่อผ่านไปหลายปี เขาโตขึ้นเรื่อยๆ กับร่างที่สูงใหญ่กว่าอัลฟ่าปกติและแสดงอัตลักษณ์ของอัลฟ่าพิเศษออกมาทั้งหมด ทั้งร่างกาย สติปัญญาที่ดีกว่าอัลฟ่าทั่วไปและความสามารถในการคาดเดาที่ค่อนข้างแม่นยำ

‘แกเหมือนพ่อมาก’

เขาไม่ได้ตอบอะไรพ่อทำเพียงแค่ยืนนิ่งรอรับคำสั่งราวกับหุ่นยนต์จักรกลไร้อารมณ์ ต่อให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปยังไงในสายตาพ่อเขาก็เป็นเพียงแค่ลูกที่น่าผิดหวังเท่านั้น พ่ออาจจะไม่ได้เกลียดเขาแต่ก็ไม่ได้รักเท่าเดิมโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใบไม้อายุครบจนสามารถตรวจเพศได้ก็ได้รับคำตอบว่าเป็นอัลฟ่า ถึงจะไม่ใช่อัลฟ่าพิเศษแบบพ่อแต่ก็ยังเป็นอัลฟ่าอยู่ดี ดูน่าคาดหวังอย่างยิ่งแต่พ่อก็ลงทุนกับเขามานานเกินว่าจะเปลี่ยนไปปั้นน้องของเขา

ใช่ เขาคือผลผลิตจากผลกำไรของเครือบริษัทตระกูลกิลลาส เงินทุกบาททุกสตางค์ถูกนำมาลงทุนในการวิจัยให้เขาสามารถกลายเป็นอัลฟ่าได้เพราะแท่นประธานบริษัทของตระกูลกิลลาสไม่ต้อนรับเบต้าและโอเมก้า มีเพียงอัลฟ่าเท่านั้นที่สามารถยืนได้อย่างภาคภูมิเสมอกับบริษัทอื่นๆ ที่มีอัลฟ่าเป็นแกนนำหลักเช่นกัน

ทุกอย่างดำเนินมาอย่างยาวนานและดำเนินต่อไปแม้ว่าคุณศตคุณจะเสียชีวิตไปแล้ว โครงการวิจัยของเขาก็ยังคงดำรงอยู่และพยายามสุดความสามารถที่จะทำให้เขาเป็นอัลฟ่าได้ตามที่พ่อของเขาต้องการ ทั้งๆ ที่เขาจะพยายามล้มเลิกโครงการแต่ร่างกายก็ต่อต้านจนต้องทำมันต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จุดหมายว่ามันจะจบสิ้นวันไหน

ความเครียดที่เริ่มสะสมกระตุ้นให้เหมันต์ทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ประจำตำแหน่งตัวเองและนวดขมับอย่างเหนื่อยอ่อน ไหล่แข็งแรงสองข้างเครียดเขม็งจนรู้สึกปวดไปทั้งตัว

“ถ้าไม่มีระบบชนชั้นบ้าๆ นี่ก็คงจะดี”

เหมันต์บ่นกับตัวเองอย่างไม่จริงจังนัก เรื่องทั้งหมดที่เกิดจากตัวเขาและตัวจ้าวนั้นก็เป็นเพราะระบบชนชั้นทั้งนั้น ถ้ามันหายไปได้ก็คงจะดี จะได้ไม่มีใครต้องเจ็บปวดกับความอยุติธรรมอย่างชอบธรรมนี่อีก

มือหนาหยิบโน๊ตบุ๊คตัวเองมาวางบนตักและกรอกคำสั่งให้กับมือขวาของตัวเองที่ตอนนี้น่าจะว่างขนาดที่พาลูกออกไปเที่ยวได้ทุกวัน


{ GILLAS SECRET GROUP}

BOSS : ไลอ้อน

เหมันต์ขมวดคิ้วเมื่อมีคนอ่านแล้วสองคนซึ่งก็คือมือขวาและมือซ้ายของเขาแต่ไอ้คนโดนเรียกกลับไม่ยอมตอบ ต้องรอหลายนาทีกว่าคนที่ต้องการจะตอบกลับมา

LION KING : มีอะไรให้รับใช้ครับ นายท่าน แต่ของานไม่เยอะนะครับ วันนี้มีนัดพาลูกเมียไปกินข้าวเย็นครับ

แน่นอนว่าเรื่องส่วนตัวของคนอื่นเหมันต์ไม่ได้สนใจนักเข้าประเด็นทันทีเพราะงานก็กองอยู่เป็นปึก

BOSS : เคลียร์ข่าวแย่ๆ ของจ้าวให้หมด

LION KING : น้อมรับบัญชาครับ



หลังจากสั่งการเสร็จก็เข้าสู่โหมดทำงานต่อ ถึงจะไม่ได้คาดหวังว่าจะข่าวของจ้าวจะถูกลบหรือหายไปจนหมดแต่ก็อยากให้มันน้อยลงสักนิดก็ยังดี

เขาไม่อยากเห็นจ้าวต้องร้องไห้อีกแล้ว..

   

บางครั้งเหมันต์ก็สงสัยตัวเองว่าบ้างานเกินไปรึเปล่าเพราะทำไปจนหมดกองและรู้สึกตัวอีกทีก็เป็นวันใหม่แล้ว ความเหนื่อยล้าเกาะกุมตามร่างกายจนแทบไม่อยากขยับตัว ในที่สุดก็พ่ายแพ้ให้กับร่างกายยอมเดินไปทิ้งตัวใส่โซฟาและหลับมันตรงนั้นไม่สนใจมาดใดๆ เพราะเหนื่อยมากจริงๆ ข้าวปลาก็ไม่ได้สั่งมากินจนหิวโซไปหมดแต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นคืออยากนอนมากกว่า
   
“ฮื่อออ”
   
เหมันต์คำรามในลำคออย่างง่วงงุน วางขาที่ยาวเกินโซฟาบนพนักพิงและหยิบหมอนอิงมาหนุน นอนย้วยไปสักพักจนความง่วงซาลงก็พยายามลุกขึ้นมาและย้ายสารร่างของตัวเองไปห้องใต้ดินเพื่อเปลี่ยนที่นอน
   
ระหว่างทางเหมันต์จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมาถึงห้องของจ้าวได้ไงเพราะง่วงจนลืมตาแทบไม่ขึ้นอีกทั้งสีหน้าของเขาตอนนี้คงจะน่ากลัวมากจนคนที่เห็นเขายอมหลีกทางให้แต่โดยดี
   
“จ้าว”
   
เหมันต์เรียกทั้งๆ ที่หาวหวอดจนเสียงเพี้ยน ขยับเข้าไปนั่งบนเตียงของจ้าวอย่างถือวิสาสะเพราะง่วงจนขี้เกียจยืน
   
แน่นอนว่าจ้าวไม่ตอบเพราะอยู่ในสภาวะจำศีลและหลับลึก ท่าทางการนอนที่ดูผ่อนคลายทำให้เหมันต์อดยิ้มไม่ได้เพราะจ้าวตอนนี้ก็ดูไม่ต่างอะไรจากเด็กขี้เซา
   
“ฝันดีเหรอ”
   
เหมันต์ลูบหัวจ้าวที่หลับตาพริ้มและยิ้มน้อยๆ ราวกับเด็กที่กำลังฝันหวาน แขนที่โผล่ออกมาจากผ้าห่มซึ่งเคยมีรอยช้ำกระจายตามตัวไปหมดตอนนี้แทบไม่มีแล้ว มีแต่ลำคอจ้าวที่ยังคงเป็นแผลเสียดสีจากปลอกคอเหล็กที่มีทางเดียวที่จะหายคือถอดมันออก
   
นัยน์ตาสีเทาจดจ้องปลอกคอจ้าวก่อนจะนิ่งคิดว่าพอจะมีทางไหนที่จะเอาปลอกคอนี่ออกไปได้ไหมซึ่งนอกจากตัดมันออกเขาก็คิดวิธีอื่นไม่ออกแล้ว
   
คิดไปคิดมาสุดท้ายเหมันต์ก็พ่ายแพ้ให้กับความง่วงของตัวเองเลยตัดสินใจโยนเรื่องทุกอย่างในหัวทิ้งแล้วไปนอนบนโซฟายาวที่ตั้งอยู่ในห้องแทน แน่นอนว่ามันสั้นกว่าขาของเขาเกือบครึ่งแต่เหมันต์ไม่สนนอนทั้งอย่างนั้นเพราะขี้เกียจเกินกว่าจะลุกแล้ว แค่เดินมาถึงห้องจ้าวได้ก็นับเป็นเรื่องน่าตกใจที่สุดของเขาในรอบปีแล้วจริงๆ

   

เหมันต์งัวเงียตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เข้าช่วงบ่ายของวันและสิ่งแรกที่อยู่ในสายตาก็คือจ้าวที่เอาเก้าอี้มานั่งตรงข้ามตัวเองกำลังเล่นโน๊ตบุ๊คด้วยท่าทีเคร่งเครียดแต่ชุดที่ใส่กลับดูเป็นกันเองมากจนเหมือนอยู่บ้านตัวเอง
   
“ตื่นแล้ว? หือ” เหมันต์เหมือนเมาความขาวของจ้าวที่ใส่เสื้อแบบไม่ติดกระดุมบางเม็ดจนเห็นอะไรต่อมิอะไรและกางเกงขาสั้นที่แทบจะทำให้เห็นยันน่องขาที่มักจะปรากฎรอยช้ำแต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว
   
ซึ่งภาพนี้เหมันต์ก็เคยเห็นมาหลายครั้งแล้วแต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงไม่เหมือนเดิมก็ไม่รู้ มันรู้สึกพลุกพล่านแปลกๆ
   
“ตื่นแล้วครับ” จ้าวเงยหน้ายิ้มให้เหมันต์ทันทีโดยไม่ต้องคิด “ตื่นตั้งแต่เช้าแล้วครับ เห็นณิชาบอกว่าคุณเหมันต์สลบตั้งแต่เมื่อวานผมเลยไม่กล้าปลุก”
   
เหมันต์ครางรับในลำคอ “แล้วดูอะไรอยู่”
   
จ้าวหัวเราะแห้งๆ ยิ้มเจื่อนลงไม่กล้าสบตาคุณเหมันต์ “ก็กระแสตอบรับนั่นแหละครับ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
   
“รู้สึกยังไงบ้าง”
   
ร่างสูงรีบถามด้วยความเป็นห่วง ที่สั่งไลอ้อนไปอย่างมากก็ลบได้แค่ข่าวเท็จ พวกกระแสตอบรับเพลงแบบนี้เป็นเรื่องที่เหนือการควบคุมจริงๆ เพราะมันเป็นความจริงที่ปรากฎอยู่ตำตา
   
“ก็ไม่ดีเท่าไหร่ครับ มันแย่”
   
เหมันต์สัมผัสได้ทันทีถึงกระแสอารมณ์ของจ้าวที่เริ่มจะเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงและจ้าวก็คงจะกลับไปสู่วังวนเดิมทั้งๆ ที่พยายามจะตะเกียกตะกายออกมาแทบตาย ไม่มีใครอยากให้งานที่ตัวเองทุ่มเทและตั้งใจทำต้องล้มเหลว โดยเฉพาะกับเพลงแรกที่ใช้สำหรับเปิดตัววงใหม่ของจ้าว
   
ร่างหนาขยับเข้าไปใกล้จ้าวทันทีเตรียมจะดึงมือมากุมหรืออะไรก็ได้ทั้งนั้นที่สามารถทำให้จ้าวรู้สึกอบอุ่นเพราะกลัวว่าจ้าวจะแตกสลายอีก เขาไม่อยากเห็นจ้าวร้องไห้จะเป็นจะตายอีกแล้ว มันเจ็บปวดเกินไปจริงๆ
   
“แต่คุณเหมันต์ไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ”
   
ผิดไปจากที่คาดประมาณพันเท่า เหมันต์กระพริบตาปริบเหมือนหมีงงเมื่อจ้าวยิ้มสดใสให้ตัวเองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและรู้สึกด้วยว่านี่ไม่ใช่การเสแสร้งเพื่อปกปิดอารมณ์เศร้า
   
“เพิ่งเพลงแรกเอง ไม่มีวงไหนเขาร้องอยู่เพลงเดียวหรอกครับ” จ้าวหัวเราะเพราะสีหน้าเหวอๆ ของคุณเหมันต์ตลกมาก สงสัยจะคิดว่าเขาจะร้องไห้เป็นเผาเต่าอีกแต่บอกเลยว่าเรื่องเกี่ยวกับวงการเพลงแล้วเขาเป็นคนนึงเลยที่เจ็บมาเยอะจนแข็งแกร่งในวงการนี้มาก “สิ่งที่ผมต้องทำก็แค่แก้ไขมันครับ ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยผมก็รักษาคำพูดที่ว่าจะปล่อยเพลงแต่ก็ไม่ได้บอกซะหน่อยว่าจะปล่อยแบบสมบูรณ์”
   
“…อืม”
   
เหมันต์ยังคงมึนๆ ไม่แน่ใจว่าเพราะง่วงหรือตกใจที่จ้าวเข้มแข็งกว่าที่คิด
   
“แต่ผมมีสิ่งที่จะทำหลังจากทำเพลงแรกเสร็จครับ” จ้าวหุบยิ้มเมื่อเข้าสู่เรื่องที่ต้องจริงจังเพราะเขาก็นั่งตกผลึกมาตั้งแต่เช้าแล้วว่าควรเสี่ยงดีไหม
   
“ห้ามอันตราย” เหมันต์มองจ้าวดุดันอย่างผิดวิสัยเพราะเริ่มคาดเดาได้ลางๆ ว่าจ้าวกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว มีไม่กี่อย่างหรอกถ้าไม่ใช่เรื่องร้องเพลงและเรื่องครอบครัว
   
“โห สมฉายาพ่อมดเลยนะครับ” จ้าวหัวเราะคิก “ใช่ครับ ผมจะไปหาหลักฐานมาจับตัวจันทร์ด้วยตัวเอง”

=================

คนพี่เริ่มออกล่าแล้ว คนน้องว่าไง  :katai5:
   
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 18 : ผลตอบรับที่น่าผิดหวัง p.3 (15/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 15-05-2018 03:26:03
กรี้ดๆ   :z13: ไว้ก่อนไว้นอนตื่นแล้วเราจะมาอ่าน

ป.ล. อร๊ายยย เป็ดกลับมาแล้วเดี๋ยวเราจะย้อนไปบวกให้เด้อ
-----------------------------------------------------

หรือว่าคุณเหมนต์จะเป็นเบต้า แต่ร่างกายและสติปัญญาได้มา

ทางอัลฟ่าหมดเลย เอ๊ะ แต่เปอร์เซ็นจะเป็นโอเมก้าก็มี  :serius2:

แล้วตอนสุดท้ายก่อนจบที่บอกแปลกๆนี่ผลมาจากฮอร์โมนอัลฟ่า

หรือเป็นเพราะรู้สึกอะไรกับจ้าวเข้าแล้วน้า รอดูจ้าวเป็นผู้ล่าเลย
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 18 : ผลตอบรับที่น่าผิดหวัง p.3 (15/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 15-05-2018 09:57:08
คุณเหมันตร์ก็น่าสงสารนะ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 18 : ผลตอบรับที่น่าผิดหวัง p.3 (15/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 16-05-2018 01:18:02
สรุปว่าคุณเหมันต์เป็นเบต้า หรือโอเมก้า
ชีวิตคุณเหมันต์ก็น่าสงสารอยู่เหมือนกันนะ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 18 : ผลตอบรับที่น่าผิดหวัง p.3 (15/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-05-2018 15:27:58
สู้นะจ้าว ส่วนเรื่องจันทร์ .... เราสงสารน้องอ่ะ
จ้าวไม่ผิดที่จะหาความจริง หาหลักฐาน ยืนยันความถูกต้องให้ตัวเอง
แต่ถ้าจันทร์ยังพอกู้ความเป็นคน เป็นพี่น้อง เป็นเด็กที่มีความฝันขึ้นมาได้บ้าง
ก็อยากให้จ้าวเบามือกันจันทร์นิดนึง
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 20: สุนัขตำรวจ p.3 (22/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 22-05-2018 22:22:37
ตอนที่ 20

“คุณทำงานอะไรของคุณ! ทำไมข่าวที่ผมจ้างให้พวกคุณเขียนมันถึงหายไปหมดวะ!!!”

(คือ คือว่าคุณน้อง ใจเย็นๆ นะคะ ตอนนี้น่ะมีใครก็ไม่รู้บอกว่าเป็นตำรวจว่าถ้าไม่ลบที่โพสจะจับพวกพี่ ที่ ที่อื่นก็โดนเหมือนกันนะคะ คุณน้อง)

สีหน้าของนายแพทย์หนุ่มตอนนี้ถึงแม้จะนิ่งสงบแต่นัยน์ตาโศกนั้นสุมด้วยพายุเพลิงที่พร้อมจะถล่มใส่คนปลายสายที่บังอาจลบข่าวทั้งหมดที่เขียนเกี่ยวกับจ้าวอีกทั้งยังออกมาชี้แจงขอโทษอีก ราวกับเงินล้านที่เขาให้เป็นเงินเด็กเล่นไม่ใช่เงินจริงที่คนบางคนอาจจะใช้เวลาทั้งชีวิตในการหามัน

“ผมไม่สนว่าคุณจะโดนจับหรือเปล่า แต่ผมสนเงินของผมที่เสียไป ถ้าคุณไม่กล้าทำผมก็จะไปจ้างคนที่กล้า!!”

(ว๊าย! คุณน้องใจเย็นๆ น้า รอให้ข่าวมันซาก่อน เดี๋ยวคุณพี่ลงให้ใหม่ คุณน้องรอได้ไหมเอ่ย”

กร็อบ

แก้วกาแฟแบรนด์ดังถูกขย้ำจนเสียรูปในมือของจันทร์ที่เริ่มจะทนไม่ไหว “เลิกเรียกคุณน้องได้แล้ว ผมไม่ใช่น้องคุณ!” คำว่าน้องที่ปลายสายพูดนั้นราวกับสะกิดแผลบางอย่างในใจแต่เจ้าตัวก็เลือกที่จะเมินมัน “ถ้าคุณทำงานให้ผมไม่ได้ก็โอนคืนมา”

(แต่ว่า..)

“อย่าให้ผมพูดอีกครั้ง!” จันทร์ตะคอก “ไม่อย่างงั้นผมเนี่ยแหละจะลากคอพวกคุณเข้าตาราง!”

(คือพวกพี่ไม่มีเงินแล้วอ่ะ ให้พวกนั้นหมดแล้ว ฮึก ไม่งั้นมันจะจับพวกพี่)
   
“โว๊ย!!!”
   
จันทร์คำรามใส่ปลายสายก่อนจะตัดสายไปเพราะรู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ไม่ได้เงินคืนเพียงแต่ว่ารู้สึกหงุดหงิดและโมโหมากกว่าที่การลงทุนครั้งนี้ของตัวเองเสียเปล่า ยังไม่ทันได้ชื่นชมก็หายไปหมดแล้วราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อีกทั้งการออกมาขอโทษของพวกสื่อที่เขียนใส่ร้ายป้ายสีของเจ้าอื่นๆ ก็ทำให้จ้าวในสายตาทุกคนดูดีขึ้นซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการสักนิด ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว
   
ก็อกๆ
   
เสียงเคาะประตูดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอเล่นเอาคนที่กำลังระเบิดอารมณ์ในห้องสะดุ้งสุดตัว รีบปรับอารมณ์ตัวเองให้กลับมาเป็นปกติและกลายร่างเป็น ‘นายแพทย์จันทร์ นฤภัทร’ ที่ทุกคนรู้จักและชื่นชม
   
“เข้ามาเลยครับ”
   
จันทร์นั่งบนเก้าอี้ทำท่าทีเป็นอ่านเอกสารทั้งๆ ที่อ่านไม่รู้เรื่องด้วยสีหน้าจริงจัง ในหัวยังเต็มไปด้วยความไม่สมอารมณ์ราวกับหมอกควันขมุกขมัวที่มีสายฟ้าแลบออกมาเป็นระยะและพร้อมจะฟาดใส่คนที่เข้ามาใกล้พอดี
   
กลิ่นน้ำหอมสุขุมเป็นสิ่งแรกที่นายแพทย์หนุ่มรับรู้ก่อนตัวตนของคนที่มาเยือนเสียอีก นัยน์ตาโศกขมวดคิ้วนิดๆ เพราะกลิ่นนี้เป็นกลิ่นเดียวกับที่ตัวเองใช้พอดีเพียงแต่อีกฝ่ายดูจะมือหนักไปหน่อยมันถึงได้ฟุ้งมาซะขนาดนี้
   
“สวัสดีครับ คุณจันทร์”
   
น้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำฟังดูน่าเกรงขามนั้นคุ้นหูจันทร์อย่างประหลาดจนจันทร์รีบปล่อยมือจากเอกสารที่แกล้งอ่านขึ้นมามอง
   
“…คุณอาทิตย์” จันทร์หลุดพูดเสียงเบาพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หลุดสีหน้าเหวอๆ ออกมา ความหวาดหวั่นเกาะกุมตามร่างราวกับชนักที่ติดอยู่บนหลัง หัวใจในอกเต้นเสียงดังจนหูอื้ออึง
   
คนตรงหน้าคือ ‘นายอาทิตย์ วิริยะศักดิ์’ ตำรวจมือดีที่ฉลาดเป็นกรดมักจะปรากฎในจอโทรทัศน์เพื่ออธิบายรูปคดีต่างๆ ที่ตนสามารถคลี่คลายได้ อีกทั้งยังเป็นอีกคนที่เกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมของจ้าว เรียกได้ว่าเป็นคนที่จันทร์ต้องระวังตัวสุดๆ ไม่เช่นนั้นก็คงจะถูกสุนัขตำรวจจมูกดีอย่างอาทิตย์คาบกลับไปเป็นอาหารมื้อใหญ่
   
เจ้าของชื่อยิ้มรับแต่ก็ไม่ได้ทำให้ตัวเองดูน่ากลัวน้อยลง ใบหน้าที่มีริ้วร้อยบ่งบอกถึงอายุที่ล่วงเลยเกินมาถึงสี่สิบกว่าปีอยู่ในเครื่องแบบตำรวจสีกากีพร้อมกับยศที่ประดับมาเต็มอกซึ่งบอกถึงสาเหตุที่มาโผล่ในสถานที่นี้ได้ดี
   
“เมื่อกี้เกิดอะไรรึเปล่าครับ ได้ยินเสียงตึงตังๆ”
   
“พอดีผมทำของหล่นน่ะครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ” จันทร์ตอบกลับได้อย่างรวดเร็วแต่มือที่ซุกซ่อนอยู่ในเสื้อกาวน์จิกเข้าไปในเนื้อจนเลือดซึม
   
“งั้นเข้าเรื่องเลยนะครับ” อาทิตย์หยิบของกลางที่ยึดมาได้วางลงบนโต๊ะ “คุณจันทร์เคยได้ยินเรื่องน้ำหอมโอเมก้าไหมครับ”
   
“น้ำหอมที่ขายตามท้องตลาดเหรอครับ” จันทร์มองขวดทรงสูงขนาดเล็กที่บรรจุด้วยน้ำใสๆ ที่เหลืออยู่แค่ก้นขวด ดูเป็นปริมาณที่น้อยเกินกว่าจะได้กลิ่นหอมอะไรด้วยซ้ำ
   
“มันก็ใช่ครับแต่น้ำหอมโอเมก้านี้มันรุนแรงกว่านั้น” ไม่ว่าเปล่าเปิดฝาขวดออกทำให้กลิ่นฟุ้งกระจายออกมาราวกับระเบิดลูกใหญ่ที่มองไม่เห็นซึ่งจันทร์ก็ถึงกับมึนตาพร่าไปชั่วขณะนึง
   
มันเป็นกลิ่นที่หอมหวานราวกับดอกไม้ที่เพิ่งผลิดอกชวนให้หลงใหลหากแต่แฝงไปด้วยอันตรายที่คาดเดาไม่ได้
   
“นี่คือ?” จันทร์ลืมความกลัวไปโดยสิ้นเชิงเมื่อมีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่ามาอยู่ตรงหน้าตัวเอง สัญชาตญาณความกระหายใคร่รู้ในตัวกรีดร้องอื้ออึงจนน่าปวดหัว นัยน์ตาโศกที่มักจะไม่แสดงอารมณ์พราวระยับราวกับเห็นของเล่นชิ้นใหม่
   
“หึ”
   
นายแพทย์หนุ่มถึงกับหลุดหน้าเหวอออกมาจริงๆ เมื่อเห็นสุนัขตำรวจที่ขึ้นชื่อว่าดุร้าย ไม่สามารถเข้าใจมุขตลก นิสัยเถรตรงจะหลุดหัวเราะหัวเราะออกมา
   
“อย่างที่คิด” อาทิตย์ยิ้มมุมปาก “คุณจันทร์สนใจจริงๆ ด้วย”
   
จันทร์รู้สึกทำหน้าไม่ถูกเลยทำหน้านิ่งใส่คุณหมาตำรวจโดเบอร์แมนที่ตอนนี้ยังยิ้มน้อยๆ อยู่
   
“เอาเถอะๆ เรื่องนั้นช่างมันก่อน มาเข้าเรื่องสำคัญกันดีกว่า” นายตำรวจพูดเสียงขรึมไม่มีท่าทีขี้เล่นอีก “ตอนนี้น้ำหอมโอเมก้าที่คุณเห็นนี่กำลังระบาดโดยเฉพาะกับพวกโอเมก้า พวกนั้นใช้น้ำหอมมอมพวกเบต้ากับอัลฟ่าแล้วขโมยเงินซึ่งตอนนี้มันก็เริ่มระบาดหนักขึ้นเรื่อยๆ จนผมกลัวว่าถ้าโอเมก้าทุกคนมีมันแล้วคิดจะทำอะไรขึ้นมา เราจะควบคุมไม่อยู่”
   
“แล้วจะให้ผมทำยังไง” จันทร์หยิบฝาที่มีน้ำหอมติดอยู่ประปรายขึ้นมาดมซึ่งก็พบว่าปริมาณเพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้มึนงงได้ราวกับดื่มของมึนเมา
   
อาทิตย์ชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้วก่อนจะหักลงหนึ่งนิ้ว “ผมอยากให้คุณจันทร์หาทางดักทางพวกน้ำหอมพวกนี้จะเป็นอุปกรณ์หรือยาต้านอะไรก็ได้” เมื่อเห็นจันทร์พยักหน้าน้อยๆ เชิงรับรู้จึงหักนิ้วลงอีกนิ้วแล้วพูดต่อ “สองผมอยากให้คุณจันทร์ช่วยผมหาแล็บที่สร้างของพวกนี้ขึ้นมา”
   
สีหน้าของจันทร์เปลี่ยนทันทีเมื่อได้ยินประโยคหลัง “ผมไม่รู้”
   
“มันไม่ใช่ปัญหาหรอก จันทร์” นายตำรวจยิ้ม “ผมก็แค่อยากให้คุณช่วยจับตามองพวกคนในแวดวงของคุณหน่อย ยังไงซะจะทำน้ำหอมจากฮอร์โมนโอเมก้าก็ต้องมีพวกที่เชี่ยวชาญกับฮอร์โมนโอเมก้าอย่างคุณไม่ก็คนที่เกี่ยวข้องกับวิจัยของคุณอยู่แล้ว ผมมั่นใจ”
   
“ผมจะดูให้แล้วกันครับ” จันทร์พูดทั้งๆ ที่ไม่ได้คิดอย่างนั้น รู้สึกต่อต้านขึ้นมาอย่างประหลาดเพราะคนที่เกี่ยวข้องกับโครงการจ้าวทุกคนนั้นเป็นคนที่เขาเลือกมาเองกับมือ ถึงจะไม่ได้ไว้ใจมากแต่ก็ไม่เคยคิดว่าคนใต้อาณัติจะกล้าไปทำอะไรแบบนั้นเพราะไม่มีคนธรรมดาที่ไหนอยากเอาตัวลงไปเกลือกกลั้วกับพวกโอเมก้า

ถึงแม้จะไม่ได้รังเกียจแต่ก็ไม่อยากตกต่ำแบบนั้น ระบบชนชั้นในสังคมปัจจุบันนั้นราวกับไม้ใหญ่อันแข็งแกร่งที่มีรากหยั่งลึกลงไปทุกชีพจรของสติปัญญามนุษย์ การทำตัวเป็นฮีโร่เพื่อช่วยโอเมก้าก็เหมือนการฆ่าตัวตายอยู่กลายๆ เพราะจะถูกว่าเป็นโอเมก้าชั้นต่ำไปอีกคน จึงไม่ค่อยมีคนกล้าออกมาออกสิทธิ์ออกเสียงนักแม้จะรู้ว่ามันผิดก็ตาม
   
“แต่แปลกนะเรื่องนี้มันทำให้ผมนึกถึงนิทานที่พวกโอเมก้าชอบเล่าให้กันฟัง” ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์พิงเก้าอี้แล้วพูดออกมาอย่างไม่จริงจังนัก “ว่ากันว่าเมื่อก่อนพวกโอเมก้าเคยเป็นชนชั้นปกครองใช้ฮอร์โมนของตัวเองในการควบคุมเหล่าเบต้าและอัลฟ่าให้รับใช้ตัวเอง”
   
“เรื่องนี้ผมเคยได้ยิน” จันทร์หลุบมองมือตัวเอง “พี่เลี้ยงเคยเล่าให้ผมฟัง”
   
“แต่ผมว่ามันไม่จริงหรอก พวกโอเมก้าอ่อนแอเกินไป แค่ครึ่งวันพวกนั้นก็แทบจะหมดแรงของวันทั้งวันแล้ว” นายตำรวจถอนหายใจยาวก่อนที่แววตาจะกลับมาคมกริบมองจันทร์
   
“แล้วคุณจันทร์คิดยังไงกับพวกโอเมก้าครับ”
   
อะไรบางอย่างในร่างกำลังกู่ร้องเตือนภัยเจ้าของร่าง สัญชาตญาณของนายแพทย์หนุ่มที่มักจะแม่นยำรีบตั้งสติตัวเองเพื่อตั้งรับกับคำถามที่อาจจะสาวมาถึงตัวเองได้ทันที
   
คนตรงหน้าที่ไม่เคยไว้ใจเขากำลังดมกลิ่นเขาแล้ว!
   
“บอกตามตรงว่าผมไม่ได้สนใจพวกระบบชนชั้น” สีหน้าของจันทร์นิ่งสงบเป็นธรรมชาติเพราะพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาจริงๆ “ผมคิดว่าคุณน่าจะพอดูออกว่าพ่อแม่ผมไม่ชอบโอเมก้า” นัยน์ตาโศกสบกับแววตาคบกริบที่สามารถบีบให้ผู้ต้องหาคายความจริงออกมานัดต่อนัดอย่างไม่เกรงกลัวเพราะถ้าเขาพลาดท่าเมื่อไหร่ทุกอย่างที่เขาเพียรทำมาจะจบลงทันที
   
เมื่อเห็นว่านายตำรวจไม่แสดงท่าทีแปลกใจอะไร จันทร์ก็พูดต่อทันที
   
“แต่ผมไม่ ผมไม่ได้เกลียดพวกโอเมก้า เบต้า หรืออัลฟ่า ผมไม่สนใจระบบพวกนี้ด้วยซ้ำเพราะมันไม่มีผลอะไรกับผมอยู่แล้ว ถ้าคุณศึกษาประวัติผมมาดี ผมคิดว่าคุณน่าจะเห็นลูกทีมผมที่เป็นโอเมก้าอยู่คนนึงซึ่งเธอคนนั้นก็เก่งมากจนทุกคนในทีมยอมรับเลยล่ะ”
   
“ผมไม่ได้อยากรู้เรื่องนั้นหรอกครับ คุณจันทร์” อาทิตย์ยิ้มใจดีแต่กลับทำเอาจันทร์เสียวสันหลังวูบ “ผมก็แค่อยากจะบอกว่าจนถึงตอนนี้ผมยังหาแรงจูงใจในการฆ่าพริมของจ้าวไม่ได้เลยครับ”
   
“ผมไม่รู้” จันทร์ตอบทันควันและเริ่มเดาวัตถุประสงค์หลักในการมาของเจ้าหมาตำรวจจมูกดีนี่ออก
   
“ลูกสาวผมเป็นแฟนคลับตัวยงของจ้าวตั้งแต่สมัยประกวดร้องเพลง”
   
แม้แต่วินาทีเดียวนายอาทิตย์ก็ไม่ยอมละสายตาคมกริบจากจันทร์ พยายามดมกลิ่นเฟ้นหาหลักฐานทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ความจริง ทั้งๆ ที่มีหลักฐานครบอยู่แล้วและเขาก็เป็นคนปิดคดีนี้ด้วย แต่ในใจลึกๆ กลับรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลของคดีนี้ มันต้องมีอะไรสักอย่างที่เขาพลาดไปแน่ๆ เขามั่นใจ
   
“ตอนที่จ้าวโดนจับเธอคร่ำครวญร้องไห้ทะเลาะกับผมหนักจนไม่คุยกันเป็นเดือน เธอบอกว่าจ้าวไม่มีวันทำเรื่องแบบนั้น เธอมั่นใจ”
   
“คุณเอาเรื่องส่วนตัวมารวมกับเรื่องงานเหรอ คุณอาทิตย์” จันทร์มองอาทิตย์ด้วยสายตาไม่พอใจนักอย่างไม่ปิดบัง “ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณคิดอะไรอยู่ แต่การที่คุณเอาความรู้สึกส่วนตัวมายุ่งกับคดีแบบนี้ มันไม่ถูกต้อง”
   
“ผมยังเล่าไม่จบ” อาทิตย์พูดเสียงแข็ง “ลูกสาวผมก็มาวันแถลงข่าวจ้าว เธอบอกว่าหน้าจ้าวเหมือนคนที่โลกทั้งใบถล่มลงมา”
   
“คุณเล่าให้ผมฟังทำไม”
   
“ผมก็แค่อยากรู้ว่าคุณผิดหวังในตัวจ้าวไหมตอนนั้น”
   
“…ผิดหวังสิ ผมเป็นน้องพี่จ้าวนะ” จันทร์สะอึกไปกับคำถามแต่ก็รีบพูดต่อเพื่อความแนบเนียน ทั้งๆ ที่ในใจนั้นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ความผิดหวังอะไรนั่นตายไปตั้งนานแล้ว “ผมมองพี่จ้าวอย่างชื่นชมมาตลอดนั่นแหละ ผมร้องเพลงไม่เป็น เพื่อนก็ไม่เยอะเท่าพี่จ้าว พี่จ้าวมีชีวิตที่น่าอิจฉากว่าผมจะตายไป”
   
“นั่นสินะ” อาทิตย์พูดอือออแต่ก็ยังรู้สึกแคลงใจกับคดีนี้อยู่ดี เขาก็ไม่แน่ใจนักว่าตัวเองควรเริ่มต้นจากตรงไหนเพราะทุกทางก็ดูเหมือนจะเลือนลางไปหมด คดีที่ถูกปิดลงอย่างง่ายดายในตอนนั้นกลายเป็นหมอกหนาจัดในวันนี้ การมีหลักฐานทุกอย่างครบครันทำให้ยากที่จะสืบหาความจริงๆ ที่อาจจะซ่อนอยู่ข้างใน
   
สาเหตุที่เขามาที่นี่นั้นส่วนหนึ่งก็เรื่องน้ำหอมโอเมก้าแต่อีกส่วนก็คืออยากจะสืบเรื่องจ้าวเพิ่ม ไม่รู้ทำไมเหมือนกันถึงรู้สึกสงสัยคนที่ควรจะสงสัยคนสุดท้ายอย่างคุณจันทร์ แต่เพราะงานที่ผ่านมาหลายงานก็ถูกปิดคดีด้วยลางสังหรณ์ เขาจึงไม่กล้าทิ้งสมมุติฐานตรงนี้ไปแม้ว่ามันจะเป็นไปได้ยากมากก็ตามที
   
“งั้นผมขอตัวกลับก่อนแล้วกันครับ ได้เรื่องยังไงก็ติดต่อมาทางไลน์หรือโทรมาก็ได้ครับ ผมเปิดเครื่องตลอด”
   
เมื่ออยู่ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมานายตำรวจก็ผลุดลุกขึ้นทันทีเพราะยังมีคดีอีกมากมายที่รอการสะสางจากเขาอยู่ อีกอย่างเขาคิดหาหนทางสืบคดีนี้ต่อไม่ได้ มันยาก ยากกว่าทุกคดีที่เขาเคยทำมาด้วยซ้ำเพราะตัวฆาตกรยอมรับด้วยตัวเอง ทั้งๆ ที่มันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น เจ้าหน้าที่คนอื่นอาจจะชอบเพราะปิดคดีได้ง่ายอีกทั้งยังได้ทั้งชื่อเสียงทั้งเงินจากการปิดคดีแต่เขาไม่ใช่ เขาไม่อยากให้ตัวเองทำงานผิดพลาดจนกลายเป็นความทุกข์ทรมานของคนอื่นตลอดชีวิต เขาไม่สนว่าใครจะเป็นผู้ต้องหา เขาไม่เคยคิดจะลำเอียงเพราะระบบชนชั้น สิ่งที่เขายึดมั่นมาตลอดคือความเที่ยงธรรมในงานเท่านั้น
   
เพราะเขาไม่อยากทำพลาดอีกครั้ง..
   
นัยน์ตาดุดันกระตุกวูบนึงอย่างเจ็บปวดซึ่งจันทร์ก็สังเกตเห็นแต่ไม่สนใจ
   
“ครับ ได้เรื่องผมจะติดต่อไปเอง”
   
อาทิตย์กลับมาได้สติเมื่อโดนทัก “งั้นผมขอตัวนะครับ” ผงกหัวน้อยๆ และสาวเท้าออกจากห้องทันที พยายามสลัดทิ้งคดีของอันเจ็บปวดที่ย้อนกลับมาในความทรงจำ ทิ่มแทงอกและตามตัวจนรู้สึกเหมือนเลือดไหลบ่าออกมาไม่หยุด ความเศร้าสลดเกาะกุมบริเวณร่างกายครึ่งบนตักเตือนในสิ่งที่นายตำรวจอาทิตย์ วิริยะ ต้องทำ
   
“ครับๆ ทราบแล้วครับ ผมจะพยายามครับ”
   
เพราะกำลังเดินอยู่กลางโถงโรงพยาบาลที่มีผู้คนเดินสวนไปมามากมายทำให้นายตำรวจได้แต่พูดพึมพำกับตัวเอง
   
“ผมจะไม่ทำพลาดอีกแล้วครับ”
   
เสียงทุ้มกระซิบแผ่วกับร่างคุ้นตาในหัว
   
เป็นภาพภรรยาของเขาเองที่ร้องไห้จนหายใจไม่ทัน คร่ำครวญใส่เขาที่ทำคดีของเพื่อนสนิทของเธอด้วยอคติเรื่องชนชั้นจนในที่สุดเพื่อนสนิทของเธอของก็กระโดดตึกฆ่าตัวตายเพราะทนรับความผิดจากการจำคุกตลอดชีวิตไม่ได้
   
ถึงสังคมจะไม่ได้ประฌามเขาเพราะอีกฝ่ายเป็นโอเมก้าผู้ต่ำต้อยแต่เขารู้ดีว่าเขาผิดขนาดไหน
   
เขาทำให้คนอื่นตายทั้งเป็นและเขาก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับใครอีก

   

เพื่อความเป็นส่วนตัว เหมันต์จึงพาจ้าวมานั่งในห้องทำงานและสั่งห้ามรบกวนโดยเด็ดขาดเพราะเรื่องที่จะคุยกันนั้นสำคัญและใหญ่มากจริงๆ
   
ร่างที่ใหญ่กว่าอัลฟ่าทั่วไปนั่งโซฟาเดียวกับจ้าวทำให้จ้าวดูตัวเล็กลงไปถนัดตา จ้าวซึ่งยังอยู่ในชุดเดิมก็ยังคงแต่งตัวไม่เรียบร้อยนักตามความเคยชินในมือกอดผ้าห่มลายหมีบราวน์ที่มีกลิ่นอัลฟ่าอ่อนๆ ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย
   
“สรุปแล้วจันทร์เป็นคนทำจริงๆ ใช่ไหม”
   
เหมันต์มองจ้าวด้วยสีหน้าเป็นห่วง รู้สึกผิดหวังในตัวนายแพทย์หนุ่มที่ตอนนี้อนาคตรุ่งโรจน์สุดๆ ในด้านการงาน เรียกได้ว่าเดินไปที่ไหนไม่มีคนไม่รู้จักและไม่ยกย่อง จันทร์สามารถสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยด้วยผลงานวิจัยที่ไม่เคยมีใครทำได้อย่างการเปลี่ยนอัลฟ่าเป็นโอเมก้าโดยมีพี่ชายของตัวเองที่กระทำผิดพอดีเป็นตัวทดลอง ทุกคนในตอนนั้นชื่นชมจันทร์มากที่ไม่สนใจว่าเป็นพี่ชายของตัวเองอีกทั้งยังให้ความสำคัญกับงานวิจัยมากกว่าจนทำให้ทุกอย่างสำเร็จ
   
“ครับ” จ้าวยอมรับด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “ผมไม่ได้ฆ่าพริม”
   
“ฉันเชื่อ” เหมันต์ลูบหัวอดีตนักร้องดังที่เคยมีช่วงชีวิตที่รุ่งโรจน์เหมือนกัน “เล่าต่อสิ เล่าทุกอย่างเลย ฉันจะช่วยหาวิธีเอง”
   
สำหรับเหมันต์แล้วเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนั้นมันช่างย้อนแย้ง ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องทุกอย่างจะเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของน้องชายแท้ๆ ของจ้าวเอง มันโหดร้ายเกินไปทั้งบทลงโทษทำให้จ้าวกลายเป็นโอเมก้าและโดนสังคมรุมประฌามจนไม่อาจหวนคืนสู่วงการนักร้องได้อีก

มันเหมือนทำให้จ้าวตายทั้งเป็นอย่างทุกข์ทรมานมาตลอดห้าปีและนั่นก็สิ่งที่เขาอภัยให้ไม่ได้ !
   
“บอกตามตรงนะ จ้าว” นัยน์ตาสีเทาเย็นยะเยือกราวกับจะฆ่าฟันคนในห้วงความคิด “ฉันไม่สนหรอกว่าจันทร์มีเหตุผลอะไรในการทำเรื่องแบบนี้ แต่มันไม่ควรเกิดขึ้นกับเธอ”

จ้าวมองเหมันต์อึ้งๆ ก่อนจะหลุดสะอื้นออกมา “ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดด้วยซ้ำ ฮึก รู้ตัวอีกทีทุกอย่างก็เปลี่ยนไปแล้ว ผมรู้มานานแล้วล่ะว่าจันทร์ไม่ค่อยชอบผมแต่ผมก็พยายามหลอกตัวเองว่ามันไม่จริง ไม่มีพี่น้องฝาแฝดคนไหนเกลียดกันหรอกขนาดผมยังไม่เกลียดจันทร์เลย”
   
ภาพในวันที่ตัวเองโดนล่ามโซ่แล้วร้องเพลงปรากฎในหัวจ้าวยิ่งทำให้จ้าวสะอื้นหนัก
   
“ผมรักน้อง รักมาก ฮึก ชื่อวงน้องก็เป็นคนตั้งให้ วันเกิดจันทร์ผมก็ให้ทุกปี ผมไม่เคยเกลียดน้องนะ ทำไมน้องเกลียดผมล่ะ ผมทำอะไรผิดไปเหรอ ทำไมไม่พูดล่ะ ทำไมต้องทำแบบนี้กับผมด้วย ผมเจ็บ เจ็บจนอยากตายแต่แม่งก็ไม่ตาย ผมอยากตาย ผมพยายามฆ่าตัวตายแต่ก็ไม่เคยตาย ทุกครั้งก็มีคนช่วยผมทันหรือมันอาจจะเพราะจันทร์ไม่ยอมให้ผมตาย อยากให้ผมทรมาน อยากให้ผมตายด้วยน้ำมือของจันทร์เอง แล้วทำไมต้องทำแบบนั้นล่ะ ผมทำอะไรผิดวะ”
   
จ้าวพูดแทบไม่เป็นภาษาเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวยอมเล่าเรื่องที่เก็บเอาไว้ในใจมานานห้าปีให้คนอื่นฟัง
   
เพราะมันดูโหดร้ายเกินกว่าที่คนเป็นฝาแฝดกันจะทำต่อกัน มันยากจะเชื่อที่คนที่ใช้เวลาร่วมกันในชีวิตมากกว่าคนอื่นๆ จะทำร้ายกันเอง สายสัมพันธ์ทางสายเลือดว่าแข็งแกร่งแล้วการเป็นแฝดที่มีดีเอ็นเอเดียวกันไม่ผิดเพี้ยนนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่า ในบางครั้งสองแฝดก็คล้ายจะสื่อสารกันรู้เรื่องโดยไม่ต้องพูดอะไรหรือเจอกันด้วยซ้ำ มันฟังอาจจะฟังดูน่าอัศจรรย์แต่ก็เป็นเรื่องจริง
   
หากแต่มีเพียงเรื่องเดียวที่เขาไม่เคยเข้าใจ
   
“ผมไม่รู้ทำไมจันทร์ถึงเกลียดผมถึงขนาดนี้”
   
จ้าวสะอื้นร้องไห้จนแทบหายใจไม่ทัน รู้สึกเจ็บปวดจนเหมือนเลือดในตัวนั้นถูกหล่อเลี้ยงด้วยความเจ็บปวดและน้ำตา ถึงเขาจะอยากได้ความยุติธรรมคืนมาแต่สิ่งที่อยากได้คืนมามากกว่าคือความรู้สึกเดิมๆ ที่เขาเคยมีให้กันในสมัยยังเด็ก ตอนที่เขากับจันทร์ยังรักกันและเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมากที่สุด จันทร์ยังเคยบอกเขาในตอนนั้นเลยว่าถ้าให้เลือกคนทั้งโลกเป็นเพื่อนคนเดียวจะเลือกจ้าวโดยไม่ต้องเลยล่ะ
   
เขาในตอนนั้นดีใจมาก เขายิ้มกว้าง เขากอดจันทร์
   
การเป็นฝาแฝดกันนั้นสำหรับจ้าวแล้วมันมีความหมายมากกว่าพี่น้องปกติ เราอยู่ด้วยกันมานานมากจริงๆ แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันไม่เป็นแบบนั้นแล้ว พอคิดแบบนั้นหัวใจในอกเจ็บจนรู้สึกทนไม่ไหว

จ้าวขยับตัวเข้าไปใกล้เหมันต์และกอดแขนของคุณเหมันต์ไว้แน่นเพื่อเตือนตัวเองว่ายังมีคุณเหมันต์อยู่ข้างๆ เขาไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวในคุกที่ไม่มีใครสนใจไยดี เขาอยู่ที่นี่ อยู่คฤหาสน์ตระกูลกิลลาส ไม่มีโซ่ล่ามข้อมือข้อเท้าเขาแล้ว เขาควรเลิกหวาดผวากับการอยู่คนเดียวได้แล้ว
   
แต่จ้าวก็ยังคงรู้สึกเจ็บปวด ตอนที่อยู่ในคุกมันเป็นความทรงจำอันเลวร้ายมากจริงๆ ถึงแม้จะจากที่นั้นมาได้สักพักแล้วแต่อารมณ์ความรู้สึกทุกอย่างตอนอยู่ที่นั้นก็ยังคงชัดเจนอยู่ในใจ
   
“พริมชอบผม ผมรู้ แต่ในสายตาผม พริมก็เป็นแค่เพื่อนคนนึงเท่านั้น ผมไม่ได้ชอบเธอแต่ทุกคนก็พยายามจะจับคู่ผมกับพริม บอกว่าอยู่ๆ กันไปเดี๋ยวก็ชอบเอง” แววตาของจ้าวเศร้าหมองเมื่อพูดถึงอดีตคู่หมั้นของตัวเอง “พริมเป็นคนร่าเริง นิสัยดีนะ แต่ผมก็ไม่ได้ชอบเธอ”
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 20: สุนัขตำรวจ p.3 (22/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 22-05-2018 22:27:09
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ความเจ็บปวดระลอกใหม่ก็โถมเข้าใส่เพราะจ้าวจำสีหน้าผิดหวังของพริมได้ดี จำได้ถึงความพยายามในการพิชิตใจเขา จำได้ถึงความดีของพริมที่มีให้แต่ตัวเองไม่เคยคิดจะตอบรับเพราะไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกัน สำหรับจ้าวแล้วต่อให้พริมพยายามอีกเป็นปีหรืออีกกี่สิบปี ความรู้สึกของเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เขาไม่ชอบพริม เพียงแต่ว่าพริมยังไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับเขาก็เท่านั้น

มันเป็นเหตุผลง่ายๆ ที่ทำผู้คนนับหมื่นนับพันต้องเจ็บปวดต้องร้องไห้ในความผิดหวัง แต่มันก็คือความจริงที่ทุกคนควรยอมรับก่อนที่จะเจ็บปวดไปมากกว่านี้
   
“วันนั้นเป็นวันเกิดพริม พริมชวนผมให้ขึ้นไปหา จริงๆ ผมก็ไม่ค่อยอยากไปหรอกแต่ปีที่แล้วผมก็ไม่ได้ไป ปีนี้ผมก็เลยขึ้นไปหาตอนประมาณทุ่มนึง” จ้าวหลับตาพยายามจินตนาการถึงวันนั้นเพราะระยะเวลาทำให้ทุกอย่างในความทรงจำเลือนลางไปหมด “พริมทำอาหารที่ผมชอบให้ผมกิน เป่าเค้กที่ผมซื้อไปให้ พริมบอกว่าดีใจมากที่ผมมาหาที่คอนโด เราคุยกันสนุกเลยล่ะจนกระทั่งพริมขอตัวไปอาบน้ำและผมก็ขอตัวกลับบ้าน”
   
เสียงของจ้าวเริ่มสั่นเครือ “แต่ยังไม่ทันออกจากห้องผมก็ถูกใครสักคนทุบหัวแต่ผมไม่สลบ ผมพยายามขัดขืนนะแต่พอโดนทุบอีกรอบก็สลบ” แขนสองข้างรวบกอดแขนเหมันต์ไว้แน่นเมื่อหัวใจในอกเต้นผิดปกติจนหายใจลำบาก “ผมตื่นมาอีกทีก็มีแต่เลือดเต็มไปหมด ฮึก พริมโดนแทงเยอะมากส่วนผมก็โดนแทงท้องเหมือนกัน ห้องทั้งห้องมีแต่กลิ่นคาว มันน่ากลัวจนผมสติแตกร้องลั่นจะขยับตัวก็เจ็บจนขยับไม่ได้ ผมพยายามจะขอความช่วยเหลือนะแต่ผมก็ทนเจ็บไม่ไหวเผลอสลบไปก่อน”
   
ห้องทั้งห้องที่เคยเปี่ยมไปด้วยความทรงจำดีๆ ถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดงสดราวกับถูกจิตรกรเสียสติสาดมันออกไปทุกทิศทุกทาง แทบจะทุกตารางนิ้วในห้องรับแขกไม่ว่าจะโต๊ะกินข้าว ทีวี โซฟา พรมหนัง แม้แต่ตุ๊กตาหมีสีขาวตัวโปรดของพริมก็ถูกย้อมไปด้วยเลือด มันน่ากลัวเหมือนหนังฆาตกรโรคจิตหากแต่เรื่องทั้งหมดไม่ใช่หนัง มันเป็นเรื่องจริงที่ชวนให้คนที่ต้องทนแบกรับมันอยากกลายเป็นบ้าเพื่อที่จะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอีก
   
จ้าวหัวเราะเสียงแผ่ว “พอตื่นมาทุกอย่างก็เป็นอย่างที่เห็น ผมโดนจับ โดนยัดข้อหา โดนทุกอย่างที่ผมไม่ได้ทำ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงแต่พริมก็ตายไปแล้ว ไม่มีใครมาเป็นพยานให้ผมได้นอกจากตัวผมเองที่พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ ตลกดีไหมล่ะ ฮึก ผมไม่ได้ทำสักหน่อย ทำไมถึงไม่เชื่อผมกันวะ”
   
สุดท้ายจ้าวก็ทนไม่ไหวร้องไห้ออกมาจนตัวโยนจนเหมันต์ต้องรวบตัวมากอดปลอบ จ้าวในตอนนี้ช่างเปราะบางเหมือนทุกครั้งที่มีคนจุดประกายเรื่องพวกนี้ขึ้นมา ความเจ็บปวดทั้งหมดเป็นของจริงแต่น่าเสียดายที่น้อยคนนักที่จะเชื่อจ้าว ไม่มีใครให้ค่าคำแก้ตัวของผู้ต้องหาที่มีหลักฐานครบครันอย่างจ้าว
   
“พี่เชื่อไง จ้าว” เหมันต์ใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้จ้าวอย่างบรรจง ใบหน้าคมคายแฝงความจริงจัง “ต่อจากนี้เราจะมาหาหลักฐานกัน”
   
จ้าวควบคุมสีหน้าตัวเองไม่ให้ยู่ยี่ไม่ได้เพราะในอกมันเศร้ามากจริงๆ เขาพูดความจริงทุกอย่างแต่มันกลับไม่มีค่าพอที่จะเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองได้
   
“พี่จะช่วยจ้าวเอง” เหมันต์พูดเสียงนุ่มพยายามเช็ดตาน้ำตาที่ไม่มีท่าจะหยุดสักที “ยังไงมันก็ต้องมีหลักฐานเหลืออยู่ ไม่มีทางที่ทุกอย่างมันจะเป็นไปตามแผนหรอก”
   
“ฮึก มันห้าปีแล้วนะ” จ้าวพูดเสียงเครือ “ทุกอย่างมันคงโดนลบไปหมดแล้ว คนอย่างจันทร์ไม่เหลืออะไรไว้หรอก”
   
“พี่บอกว่ามีก็มีสิ จ้าว” เหมันต์พ่นลมหายใจเมื่อมีคนดื้อดึง “แล้ววันนั้นคิดว่าเป็นจันทร์รึเปล่าที่ทำ”
   
คนโดนถามพยักหน้าหงึกๆ “อือ ผมมั่นใจว่าต้องเป็นจันทร์เพราะจันทร์คงไม่ไว้ให้ใครทำแทนตัวเองหรอก”
   
“งั้นที่พี่เดานะ” เหมันต์ลอบยิ้มในใจเมื่อแววตาจ้าวเริ่มมีประกายความหวังนิดๆ “ถ้าพริมมีบาดแผลเยอะขนาดนั้นก็ต้องเกิดการต่อสู้กันบ้างแหละ ตามตัวของจันทร์อาจจะมีรอยแผล”
   
สาเหตุที่เหมันต์คาดเดาอย่างนั้นเพราะบาดแผลที่ท้องของจ้าวมันดูชัดเจนเกินไปราวกับกำลังสร้างเรื่องราวให้ผู้พบเห็นว่าได้เกิดการต่อสู้ขัดขืนระหว่างเหยื่อและฆาตกรเพื่อเอาชีวิตรอด มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกที่จู่ๆ จ้าวจะโดนมีดแทงเข้าที่ท้องจนกลายเป็นแผลเป็นใหญ่ขนาดนี้
   
“…อือ” ร่างผอมเริ่มคล้อยตามผงกหัวเล็กๆ อย่างเชื่อฟัง “แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะไปดูตัวจันทร์ยังไงอยู่ดีหรือต่อให้เรามีรูปแผลของจันทร์ จันทร์ก็หาข้ออ้างได้อยู่แล้ว”
   
จ้าวยังไม่ลืมว่าน้องชายแท้ๆ ของตัวเองเป็นถึงแพทย์เกียรตินิยมของมหาลัยระดับต้นๆ ของประเทศ ระดับมันสมองในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าคงจะสูงมากทีเดียวจนเขาจนปัญญาที่จะเผชิญหน้า
   
“แล้วจ้าวคิดว่าพริมตายทันทีรึเปล่า”
   
“เรื่องนั้น.. ผมไม่รู้หรอก” จ้าวพูดเสียงเบา “ตื่นมาก็เจอศพพริม ตำรวจ นักข่าว พ่อ แม่ จันทร์ บอกตามตรงว่าหลังจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว ทุกอย่างมันเร็วไปหมด”
   
“มองโลกในแง่ดีนะ จ้าว” เหมันต์ยิ้มพยายามให้กำลังจ้าว “ถ้าเกิดพริมไม่ตายทันทีแล้วทิ้งหลักฐานอะไรไว้ล่ะ”
   
“พี่จะบอกว่าเหมือนไดอิ้งแมสเซจในโคนันหรอ”
   
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้เพราะยังไงพี่ก็เชื่อว่ามันต้องมีหลักฐานเหลืออยู่บ้าง” นัยน์ตาสีเทาของเหมันต์ลุกวาวราวกับแววตาของหมาป่าที่กำลังโกรธจัด “ต่อให้พยายามจะกลบเกลื่อนยังไงก็ต้องมีพลาดอยู่ดี หรือถ้าเราหาไม่เจอจริงๆ พี่ก็พอจะมีวิธีฉุกเฉินอยู่บ้าง”
   
“วิธีอะไรครับ” จ้าวเริ่มรู้สึกมีความหวังขึ้นมาบ้างจริงๆ จังๆ จากตอนแรกที่ไม่มีเลย ความจริงแล้วที่พูดในห้องกับคุณเหมันต์ก็ปากเก่งไปงั้น อยากพิสูจน์ความจริงให้ตัวเองนั่นแหละแต่ไม่มีปัญญาทำจริงหรอก
   
“ไปค้นห้องของจันทร์”
   
จ้าวสะดุ้งเฮือกตาเหลือกอย่างตื่นตระหนก “พี่จะบ้าเหรอ แค่เข้าหมู่บ้านผมยังทำไม่ได้เลยมั้ง”
   
“มันก็เลยเป็นวิธีฉุกเฉินไงจ้าว ทางเลือกสุดท้ายอะไรทำนองนั้น” ร่างสูงหัวเราะแล้วลูบหัวจ้าวอย่างมันเขี้ยว “ตอนนี้เราก็ลองหาหลักฐานที่พอจะหาได้ไปก่อน เดี๋ยวพี่ให้คนของพี่ไปดูกล้องวงจรปิดที่คอนโดพริมให้ ส่วนห้องของพริมจ้าวอยากจะไปเองหรือจะใช้คนของพี่”
   
ความจริงแล้วเหมันต์อยากใช้คนของตัวเองมากกว่าเพราะไม่อยากให้จ้าวเสี่ยงนักแต่ก็เคารพการตัดสินใจของจ้าว อีกทั้งถ้าจ้าวเป็นคนหาเองอาจจะหาอะไรเจอมากกว่าการส่งคนนอกไปหา
   
“เดี๋ยวผมไปเอง” จ้าวพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “จริงๆ ผมมีหลักฐานในโทรศัพท์นะว่าจันทร์โทรมาหาผมช่วงหกโมงถามว่าผมอยู่ไหนแล้ว เราคุยกันประมาณนาทีนึง ผมว่าจันทร์น่าจะโทรมาเช็คที่อยู่ผมอ่ะ”
   
“แล้วตอนนี้โทรศัพท์อยู่ไหน”
   
สีหน้าจ้าวเจื่อนลง “อยู่กับจันทร์ครับ จันทร์เอาไปตอนที่ผมจะโดนส่งไปอเมริกา ผมว่าคงลบทิ้งหมดแล้วล่ะ” พูดไปเรื่อยเปื่อยก่อนจะสะดุ้งสุดตัวร้องลั่น “แย่แล้ว!! โทรศัพท์ผมยังไม่ได้ลบเบอร์คุณเหมันต์เลย!”
   
จ้าวร้องแว้กๆ สติแตกเขย่าไหล่คุณเหมันต์จนตัวโยนอย่างลืมตัว “ทำไงดี ผมว่าจันทร์ต้องรู้แน่ๆ เลยว่าคุณเหมันต์ช่วยผมถ้าเช็คในโทรศัพท์ ถึงผมจะไม่ได้โทรก็เถอะ แค่เม็มเบอร์ใหม่จันทร์ก็คงสงสัยแล้ว!”
   
“ใจเย็นๆ จ้าว ใจเย็นๆ”
   
เหมันต์รวบแขนจ้าวให้หยุดเขย่าร่างตัวเอง “เบอร์ที่พี่ให้จ้าวเป็นเบอร์พิเศษ เอาไปเช็คไม่ได้หรอกหรือต่อให้โทรมาพี่ก็ไม่รับอยู่ดี มีไม่กี่คนหรอกที่มีเบอร์ส่วนตัวของพี่”
   
ถึงจะกล่าวอย่างนั้นแต่ลึกๆ เหมันต์ก็กังวลไม่น้อยและอดตำหนิตัวเองไม่ได้ที่ไม่รอบคอบเอาเสียแล้ว ตอนนั้นก็แค่หวังดีอยากให้จ้าวโทรมาหาตัวเมื่อเดือดร้อนเท่านั้น แต่ใครจะไปรู้ว่าวันนึงจะกลายเป็นหลักฐานมัดตัวเขาเสียได้ ถึงโอกาสมันจะน้อยมากๆ ก็เถอะ ที่จันทร์จะรู้ว่าเบอร์นี้เป็นเบอร์ของใคร
   
และต้องขอบคุณสายเลือดในตัวเขาเองด้วยที่ทำให้เขาไม่ค่อยได้ปรากฎตัวในที่สาธารณะนัก คนภายนอกรู้มีเพียงชื่อและฐานะของเขาแต่ไม่เคยรู้ว่าหน้าตาเขาเป็นยังไงด้วยซ้ำ มีเพียงคนใหญ่คนโตจริงๆ ที่เขาเข้าไปพบเพื่อทำธุรกิจและถ่วงดุลกัน ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง ครอบครัวเขาที่เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของมหาลัยเอกชนขนาดใหญ่ปิดปากเงียบมานานแล้วเมื่อนักธุรกิจหลายๆ คนเลือกที่จะนำผลกำไรมาลงทุนในด้านการศึกษาเพราะผลกำไรทั้งหมดนั้นล้วนไม่ต้องเสียภาษีสามารถนำเข้ากระเป๋าได้สบายๆ
   
มันเป็นความลับที่คนภายในไม่กล้าพูดและคนภายนอกไม่มีสิทธิ์พูดหรือแม้แต่จะรู้ ซึ่งหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดก็คือตระกูล ‘นฤภัทร’ เขามั่นใจว่าตัวเองคงจะพอหาลู่ทางเข้าไปใกล้คนระดับจันทร์ได้บ้าง
   
มันต้องสักทางบ้างแหละที่เขาจะลากคอมันออกมาได้

==============

เหมือนเป็นศึกระหว่างสองพี่น้องอ่ะ ใครจะหาใครเจอก่อนกัน 55555   :z2:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 20: สุนัขตำรวจ p.3 (22/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 23-05-2018 09:32:36
ปมเยอะจัง  :hao4:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 20: สุนัขตำรวจ p.3 (22/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 23-05-2018 09:52:48
เอาใจช่วย อยากเห็นจันทร์สติแตกบ้าง :z3:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 20: สุนัขตำรวจ p.3 (22/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 23-05-2018 19:38:31
จ้าว แกสงสัยเรื่องที่ว่าทำไมน้องเกลียดนั่นน่ะ ก็ขอบอกเลยว่า เอ็งไปถามพ่อแม่เอ็งซะสิ ว่าไปยุอะไรน้อง
แล้วเอ็งก็จะ
 :m15: :serius2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 20: สุนัขตำรวจ p.3 (22/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 23-05-2018 23:33:13
บ้านจ้าวจันทร์เป็นแนวพ่อแม่รังแกฉันอ่ะ ผลมันก็ตกมาที่ลูกๆ โดยเฉพาะจันทร์ที่กลายเป็นเด็กเก็บกด มีปมในใจจนทำเรื่องร้ายๆกับจ้าว แต่ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ทำบาปอะไรไว้ก็ต้องใช้กรรม จ้าวกับพี่เหมันต์สู้ๆ หาหลักฐานมาจับจันทร์ให้ได้ไวๆนะ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 20: สุนัขตำรวจ p.3 (22/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 24-05-2018 01:13:41
เครียดง่ะ แต่ชอบเวาลาคุณเหมันต์แทนตัวเองว่าพี่จัง
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ║ ตอนที่ 20: สุนัขตำรวจ p.3 (22/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 25-05-2018 21:04:51
คุณตำรวจจะมาช่วยจ้าวใช่ไหม
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 21 : คุณสุริยะ p.4 (29/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 29-05-2018 20:44:12
ตอนที่ 21

สำหรับข้าวแล้วนี่ถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุดตั้งแต่เกิดมาเลยทีเดียว

เขาผ่านออดิชั่นแล้ว! เขาจะได้อยู่สังกัดเดียวกับพี่จ้าวแล้ว!!!

ตอนรู้ข่าวข้าวถึงกับต้องหลบไปสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำ รู้สึกตื่นเต้นจนหัวใจแทบหลุดออกมาจากอก ยิ้มกว้างกับตัวเองในกระจกด้วยความรู้สึกของตัวเองจริงๆ

เขากำลังจะหลุดพ้นจากเรื่องบ้าๆ พวกนี้แล้ว!

เขาไม่ต้องอดข้าว เขาไม่ต้องไปร้องเพลงตามร้าน เขาไม่ต้องทนโดนลวนลามเพื่อเงิน เขาไม่ต้องกลายเป็นที่รองมือรองเท้าให้ใครแล้ว!

ยิ่งคิดข้าวก็รู้สึกมีความสุข โลกสีหม่นดูจะมีสีสันขึ้นมาบ้างจนเผลอฮัมเพลงของพี่จ้าวในคอขณะที่กำลังเดินเข้าไปในซอยซึ่งเป็นทางเ
ข้าของหอพักตัวเอง

ไม่สิ จะเรียกหอพักก็ไม่ถูกนัก เรียกว่า ‘อาคารรวมโอเมก้าจะถูกกว่า’ เพราะมันเป็นตึกขนาดใหญ่ที่มีหลายชั้นโดยมีลักษณะเดียวกันหมดทุกชั้นคือพื้นที่ตรงกลางจะเปิดโล่งเพื่อปูที่นอนให้พวกโอเมก้ามานอนรวมกันตามสัญชาตญาณ ไม่แน่ใจเพราะความอ่อนแอในสายพันธุ์หรือเปล่าถึงทำให้ชื่นชอบการนอนด้วยกันพร้อมกับฉีดฮอร์โมนอัลฟ่าในอากาศเพื่อให้ผ่อนคลาย ส่วนบริเวณฝั่งซ้ายและฝั่งขวานั้นจะเป็นห้องน้ำกับตู้เก็บของประจำตัวโอเมก้าแต่ละคน

ซึ่งข้าวก็คือหนึ่งในนั้น

“พี่ข้าววว”

เสียงเล็กแหลมดังเจื้อยแจ้วก่อนที่ร่างเล็กจะทะยานเข้าไปเกาะเอวข้าวในพริบตา

“วันนี้มีของกินไหม ผมไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้ว”

โอเมก้าร่างเล็กที่ผอมจนเห็นซี่โครงถามข้าวอย่างคาดหวัง ใบหน้าเล็กนั้นซูบจนเห็นสันกรามได้ชัดเจน

ข้าวดึงตัวเด็กน้อยมายืนหน้าตัวเองแล้วลูบหัวเบาๆ

มันคือความโหดร้ายของความจน ในตอนเด็กเขาก็เป็นแบบนี้ ถูกทอดทิ้งเพราะเป็นโอเมก้าและต้องกระเสือกกระสนหาทางเอาชีวิตรอดด้วยตัวเอง ต้องขอบคุณที่โอเมก้าไม่ได้ใจร้ายต่อกันนัก ถึงจำนวนจะไม่ได้มีมากเท่าพวกเบต้าและต่ำต้อยกว่าใครแต่เราก็ไม่เคยทิ้งกัน

“มีสิ พี่ซื้อของโปรดมาให้เดียวด้วย”

ข้าวยิ้มเมื่อเห็นรอยยิ้มกว้างของเด็กน้อย

เงินเกือบทั้งหมดที่ข้าวหามาได้ถูกนำมาซื้ออาหารจำนวนมากเพื่อแจกจ่ายให้คนอื่นๆ ทั้งโอเมก้าเด็กๆ ที่ยังหางานทำไม่ได้และพวกโอเมก้าคนอื่นๆ ที่มีปัญหาชีวิตแตกต่างกันไป ทั้งอาการป่วยจากการทำงานมากเกินไป การกดขี่ข่มเหงที่ทำให้ต้องพักรักษาตัวเองเป็นอาทิตย์โดยไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเข้าไปขอยาในโรงพยาบาลรัฐ หรือจะโดนทำร้ายมาจนพิการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลยก็มี

พวกเขาทุกคนลำบากจึงต้องหาทางช่วยกันประคับประคองลมหายใจกันไว้ ไม่เช่นนั้นก็จะพากันตายกันหมด แน่นอนว่าไม่มีใครคิดจะมาให้ความช่วยเหลือหรือเห็นใจ ถึงจะได้เงินสนับสนุนลึกลับบ้างมาเป็นครั้งคราวแต่มันก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของทุกคนอยู่ดี จำนวนโอเมก้าที่ถูกนำมาทิ้งและเนรเทศมาอยู่ที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับงบประมาณที่ให้มาเท่าเดิม
ไม่ต้องฉลาดหรือมีความรู้มากก็พอจะรู้ว่าทางการคิดยังไงกับพวกโอเมก้า

“ตายๆ ไปให้หมดซะก็ดีสินะ”

ข้าวพึมพำกับตัวเองขณะที่มองอาหารที่ตัวเองซื้อมาถูกแจกจ่ายให้ทุกคนที่มีสีหน้าหดหู่เศร้าสลดและหมดหวัง มีแค่เด็กที่ยังไม่รู้ความเท่านั้นที่ยังสามารถหัวเราะให้กับทุกวันได้ พอโตขึ้นมาหน่อยก็จะได้เรียนรู้ถึงความโหดร้ายของโลกใบนี้ด้วยตัวเอง

เจ็บ เจ็บปวดเหลือเกิน

นัยน์ตากลมโตของข้าวสั่นระริก อวยพรให้ตัวเองมีโชคในการทำงานและประสบความสำเร็จเพื่อที่จะได้กลับมาช่วยทุกคน เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะดังเท่าพี่จ้าวแค่ได้สักเศษเสี้ยวก็ยังดีเพื่อที่เขาจะได้นำเงินกลับมาช่วยทุกคนให้พ้นจากสภาพแบบนี้ เขาไม่อยากให้ใครต้องอดหรือป่วยตายอีกแล้ว แค่นี้มันก็มากเกินพอแล้ว

เขาอยากจะกลายเป็นคนดัง อยากจะกลายเป็นผู้มีอำนาจที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้ เขายอมรับว่าตัวเองโลภมากที่อยากได้ทุกอย่างทั้งเงินตราและชื่อเสียงแต่แล้วยังไงล่ะในเมื่อสิ่งเหล่านี้มันจะช่วยพวกพ้องเขาได้ เขาก็ยอมโดนตราหน้ายอมทุกอย่าง จะโดนว่าอะไรก็ช่าง ขอเพียงแค่พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้นก็เพียงพอแล้ว

“เดี๋ยวพี่กลับมานะ เดียว”

เด็กน้อยเอียงคองุนงงขณะที่กำลังแทะขนมปังอย่างตะกละตะกลาม “พี่ข้าวจะไปไหน” นัยน์ตาซื่อจ้องมองกระเป๋าสะพายของพี่ข้าวที่อัดแน่นจนแทบล้นออกมา

“พี่จะไปทำงาน ถ้าพี่รวยแล้วพี่จะพาเดียวไปอยู่ด้วย”

เดียวหน้ายู่ทำท่าจะร้องไห้ “พี่ข้าวจะไปนานไหมอ่ะ”

“ไม่นานหรอก” ข้าวนั่งข้างเดียวและกอดแน่นเพราะไม่รู้ว่าอีกนานไหนกว่าเขาจะประสบความสำเร็จ “เอาเป็นว่าฝากบอกคนอื่นด้วยละกันว่าพี่ไปทำงาน ถ้ามีเงินเยอะๆ เมื่อไหร่จะกลับมาหาทุกคนเอง”

“..พี่ข้าวต้องรีบกลับมานะ”

ถึงแม้เดียวจะไม่อยากให้ข้าวไปมากแค่ไหนแต่ก็ไม่กล้ารั้งไว้อยู่ดีเพราะรู้ดีว่าเงินนั้นสำคัญกับชีวิตตัวเองมากขนาดไหน อีกปีสองปีหรือไม่ก็ปีนี้เขาก็ต้องหางานทำแล้ว แม้จะอายุไม่กี่ขวบก็ตาม

“อื้อ พี่จะพยายาม”

ข้าวพูดเสียงปกติทั้งๆ ที่กำลังสะอื้นออกมา ว่ากันตามตรงแล้วเขาไม่อยากไปจากที่นี่เลย ถึงมันจะไม่ได้ดีเลิศเลอแต่ทุกคนก็ดีกับเขามากจริงๆ “พี่ไปแล้วนะ” และรีบผลุดลุกขึ้นก่อนที่จะควบคุมตัวเองไม่ได้

“พี่ข้าว” เดียวเรียกเสียงสั่น “สู้ๆ นะ ฮึก เดียวจะรอพี่ข้าวนะ”

เจ้าของชื่อพยักหน้าส่งๆ ไม่ได้ตอบรีบเดินออกมาเพราะน้ำตาเริ่มคลอเบ้าขืนอยู่คุยต่อคงได้ร้องไห้ออกมาแน่ๆ ข้าวพยายามนึกถึงเรื่องงานในหัวเพื่อที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง

ผลั่ก

และดูเหมือนจะเหม่อมากไปจึงเผลอไปชนหลังใครเข้าแต่กลับเป็นฝ่ายที่ล้มไปกองกับพื้นแทน ยังไม่ทันได้สติดีก็โดนกระชากคอขึ้นมาและตะคอกใส่ทันที

“เดินห่าอะไรวะ!”

ข้าวเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าเป็นพวกตำรวจเบต้าที่มักจะรังแกพวกโอเมก้าเป็นประจำ น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ตั้งนานจึงแตกทันที  “ขอโทษครับๆ ฮึก ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ ครับ” รีบยกมือไหว้ปลกๆ ก่อนที่อะไรจะแย่ไปกว่านี้

“ร้องไห้ทำห่าอะไร มึงขอโทษกู กูหายเจ็บไหมวะ!”

“ฮึก ขอโทษ ขอโทษจริงๆ ครับ”

ข้าวตัวสั่นระริกอย่างหวาดกลัวคร่ำครวญขอความเมตตาไม่หยุด ถึงแม้มันจะไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกแต่เขาก็ยังกลัวเหมือนทุกครั้งอยู่ดี ระบบชนชั้นในสังคมตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวเลยสำหรับพวกโอเมก้า พวกเขาถูกเหยียบถูกทับถมให้จมดินจนไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะหายใจด้วยซ้ำ

“ขอโทษ ฮึก อย่าทำอะไรผมเลย ขอโทษครับ”

“กูถามว่ามึงเคยเห็นจ้าว วงมูนไลท์ไหม ถ้าไม่เคยก็ตอบกู กูจะได้ปล่อยมึง!” นายตำรวจร่างท้วมพูดอย่างหงุดหงิดจนอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนจากกระชากคอเสื้อเป็นบีบคอแทน รอยช้ำที่ปรากฎบนคอจางๆ ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย

“อึก ไม่เคยครับ ฮึก ไม่เคยครับ ผมไม่เคย”

ข้าวรีบตอบอย่างไม่ต้องคิด สะอื้นจนหายใจไม่ทัน ต่อให้นายตำรวจคนนี้เผลอพลั้งมือบีบคอเขาตายตรงนี้ก็ไม่มีใครคิดจะสนใจเอาผิดเพราะค่าของพวกโอเมก้านั้นน้อยซะยิ่งกว่าน้อย คดีความที่เกี่ยวกับโอเมก้านั้นส่วนใหญ่มีแต่เบต้าและอัลฟ่าเป็นฝ่ายชนะ เอาเข้าจริงแล้วไม่ต้องเสียเวลาทำคดีด้วยซ้ำเพราะยังไงโอเมก้าก็ต้องผิดทุกกระทงอยู่แล้วแม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนก่อคดีก็ตาม

“ถ้ามึงโกหก” มืออวบบีบแน่นขึ้นจนข้าวหน้าซีด “กูฆ่ามึงแน่”

“ผม..ไม่รู้”

“นายใหญ่บอกว่าถ้าใครหาข้อมูลได้จะให้แสนนึง” นายตำรวจยื่นข้อเสนอ “ถ้ามึงรู้แล้วบอกกูตอนนี้ กูจะไม่ฆ่ามึงแล้วกูยังจะแบ่งมึงสักหมื่นนึงด้วย”

“ฮึก ผมไม่รู้ จ้าว แค่ก เป็นใครผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำ”

“นั่นสินะ พวกโอเมก้าจนๆ อย่างพวกมึงคงไม่มีปัญญาซื้อทีวีกันหรอก”

ในที่สุดมืออวบก็ยอมปล่อย คอของข้าวจึงเป็นอิสระอีกครั้งหากแต่ขาสองข้างก็สั่นเทาจนยืนไม่อยู่ ข้าวทรุดฮวบนอนลงกับพื้น สูดอากาศเข้าปอดอย่างตะกละตะกลาม นัยน์ตากลมโตแดงก่ำมองนายตำรวจที่เพิ่งทำตัวเองเกือบขาดอากาศตายเดินไปหาข้อมูลต่ออย่างหน้าตาเฉยและไม่รู้สึกผิดอะไร

“ฮึก ทำไมวะ”

ถึงแม้จะรู้ว่าพื้นไม่ได้สะอาดมากพอที่จะให้นอนแต่ข้าวก็ยังนอนอยู่ตรงนั้น มองท้องฟ้าสีฟ้าสว่างสดใสที่ดูสวยงามกว่าชีวิตของพวกโอเมก้าอย่างเขานับพันเท่า

“ทำไมพวกเราถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้วะ”

เพราะมัวแต่นอนคร่ำครวญข้าวจึงไม่ได้สังเกตเห็นถึงมือที่ยื่นมาให้ตัวเองจับสักทีจนเจ้าของมือต้องเอ่ยทักเรียกสติ

“ลุกขึ้นเถอะ”

ข้าวกระพริบตาปริบมองร่างที่ดูสูงใหญ่จนแทบจะสามารถบังท้องฟ้าได้ทั้งหมด ใบหน้าคมคายคุ้นตาเข้ากันดีกับชุดสูทสีดำทั้งตัวและที่โดดเด่นที่สุดคือแหวนเงินพิเศษสลักด้วยตราสัญลักษณ์อัลฟ่าที่ยื่นมาให้ตัวเอง

อัลฟ่า..?

เบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก นี่นับเป็นเรื่องที่ช็อคที่สุดในชีวิตข้าวเลยทีเดียวเพราะไม่เคยมีอัลฟ่าคนไหนใจดีถึงขั้นยื่นมือเข้าช่วยพวกโอเมก้าที่เพิ่งถูกข่มเหงหรอก

ยิ่งเห็นสีหน้าเอ็นดูนั่นทอดถอนใจน้อยๆ ข้าวยิ่งช็อคแต่ก็ยอมยื่นมือสั่นๆ ให้อีกฝ่ายดึงตัวเองขึ้นไปยืนและเรื่องประหลาดก็เกิดขึ้นอีก อัลฟ่าผู้สูงศักดิ์และยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวัฏจักรกำลังใช้มือนั่นปัดฝุ่นตามตัวเขาให้อย่างไม่รังเกียจ สีหน้ายุ่งยากใจนั้นดูสมจริงจนข้าวแทบหลั่งน้ำตา

“คราวหลังก็เดินระวังๆ หน่อยล่ะ”

“..ขอบคุณครับ” ข้าวเงยหน้ามองด้วยความประหม่า คนตรงหน้าดูดีมากจริงๆ ราวกับเป็นนายแบบที่หลุดมาจากนิตยสารยังไงยังงั้น ทั้งใบหน้าที่ดูมีสเน่ห์เป็นเอกลักษณ์แต่ทุกอย่างก็จบลงเมื่อนัยน์ตาที่ควรจะแฝงไปด้วยสุขุมกลับเป็นแววตาเจ้าชู้ที่มองเขาอย่างแพรวพราวและนั่นก็ทำให้เขานึกออกว่าคนตรงหน้าเป็นใคร

“คุณ คุณสุริยะ!”

เจ้าของชื่อยิ้มรับยีหัวข้าวเบาๆ เชิงลาแล้วเดินผิวปากไปอย่างอารมณ์ดี

ข้าวมองตามแผ่นหลังที่ดูแข็งแกร่งนั่นอย่างตื่นตระหนก

‘สุริยะ พิทักษ์วงศ์’ อดีตนายแพทย์ชื่อดังที่ผันตัวไปเป็นประกอบอาชีพนายแบบด้วยเหตุผลส่วนตัวก่อนที่จะโด่งดังจนถึงขีดสุด เป็นนายแบบชั้นแนวหน้าที่ต่อให้รับงานแค่ครั้งสองครั้งต่อปีก็สามารถอยู่ได้สบายๆ ติดอยู่อย่างเดียวที่เป็นรอยด่างพร้อยในชีวิตของนายแบบคนนี้คือเรื่องความเจ้าชู้ที่แก้ไม่หายสักที ดารานายแบบนางแบบแทบครึ่งวงการที่เคยควงกับนายสุริยะอย่างออกหน้าออกตาก่อนจะจบลงที่การเลิกรา ตราบใดที่นายสุริยะยังหาคนที่หยุดตัวเองไม่ได้ก็ย่อมต้องตามหาต่อไปแม้จะแลกด้วยน้ำตาและคำสาปส่งก็ตามที

ใบหน้าน่ารักค่อยๆ ขึ้นสีเพราะสเน่ห์ของสุริยะนั้นรุนแรงจริงๆ ราวกับแสงแดดที่แผดเผาทุกอย่างอย่างไม่ลดละจนกว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ กลิ่นหอมอย่างพวกอัลฟ่ายังติดจมูกข้าวจนรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้รู้จักมากกว่านี้ ถึงจะรู้ว่าจุดจบของความสัมพันธ์จะเป็นยังไงแต่ก็ยังอยากที่จะลองเสี่ยงดู เผื่อว่าตัวเองจะได้ทั้งคนรักทั้งเงินแบบที่พี่ซินได้บ้าง
แต่นั่นก็เป็นเรื่องหลังจากที่เขาไปหาคุณต้นน่ะนะ

ข้าวสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระออกไปและรีบสาวเท้าเดินต่อ โดยลืมไปสิ้นเชิงเลยว่าตัวเองควรจะโทรไปบอกพี่ซินหรือฝุ่นถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองวันนี้

เรื่องที่ว่า ‘จ้าว นฤภัทร’ กำลังถูกตามหาตัวและเบาะแสในซ่องนกพิราบ!


ร่างสูงโปร่งซึ่งอยู่ในชุดลำลองเรียบร้อยกอดอกจ้องมองตำรวจที่ถูกเกณฑ์มาทำงานให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ นัยน์ตาโศกใต้กรอบแว่นใสกวาดตามองผู้คนที่เดินกันขวักไขว่อย่างรวดเร็วราวกับเหยี่ยวที่กำลังหาเหยื่ออันโอชะของตัวเอง ริมฝีปากบางเฉียบถูกคมเขี้ยวขบกดน้อยๆ อย่างไม่สบอารมณ์เพราะพอจะรู้ว่ายังไงวันนี้ก็คงหาตัวไม่เจอเหมือนเดิมอยู่ดี

แต่ลางสังหรณ์กลับกระตุ้นให้เขาพยายามต่อไป อย่างไรก็ตามสถานที่ที่จ้าวมาในวันแรกหลังออกจากคุกก็คือซ่องนกพิราบ ตลาดขนาดใหญ่ที่มีทุกอย่างที่คุณต้องการ เป็นตลาดที่ทางรัฐบาลเลือกที่จะหลับตาข้างนึงเพื่อผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ของบางอย่างยังเป็นที่ต้องการในหมู่ผู้คนแต่ไม่อาจวางขายกันอย่างเอิกเกริกได้ ตลาดนี้จึงต้องคงอยู่ต่อไปเพื่อเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนสินค้า

“สวัสดีครับ คุณจันทร์”

แววตาคมกริบเหลือบมองอาคันตุกะที่บังอาจเข้ามาในระยะสามเมตรหรือก็คือกรอบพื้นที่ส่วนตัวของจันทร์ที่ไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้นอกจากไซมอนด์ที่ตายไปแล้ว

“สวัสดีครับ” จันทร์ไม่ยิ้มรับเหลือบมองคนทักด้วยหางตา “มีอะไรกับผมงั้นเหรอครับ คุณสุริยะ”

แน่นอนว่าสุริยะไม่สะทกสะท้านหนำซ้ำยังยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยใส่จันทร์อย่างไม่ปิดบัง “เรียกห่างเหินจัง ผมก็บอกแล้วว่าเรียกซัน ไม่ก็ อาทิตย์ก็ได้”

จันทร์สบถคำหยาบในใจแม้สีหน้าจะไม่แสดงอารมณ์แต่ในใจด่าไปหลายร้อยประโยค “ครับ คุณสุริยะ” กดเสียงเข้มเพื่อเน้นย้ำถึงความห่างเหินเพราะเขาไม่อยากสนิทกับใครโดยเฉพาะกับคนแบบนี้

“ถ้าไม่เรียกผมอาทิตย์ก็เรียกที่รักก็ได้นะครับ” นายแบบหนุ่มยิ้มตาหยี “ผมไม่ถือหรอกเพราะคุณจันทร์ก็น่ารักเหมือนกัน”

“ครับ คุณสุริยะ” นายแพทย์หนุ่มยังคงความคงเส้นคงวาได้อย่างเหนียวแน่น รู้สึกรำคาญทุกคนที่ชื่ออาทิตย์ทั้งเบอร์หนึ่งที่เป็นตำรวจและเบอร์สองที่เป็นนายแบบไร้สาระนี่ “มีอะไรกับผมเหรอครับ ผมว่าคุณก็น่าจะรู้ดีว่าช่วงนี้ผมไม่ค่อยว่าง” จันทร์จงใจเว้นประโยคและมองสุริยะอย่างรำคาญโดยไม่ปิดบัง “และผมไม่ต้องการสิ่งที่รบกวนใจช่วงนี้”

“ต้องไม่มีผมรวมอยู่ในนั้นแน่ๆ “ คนโดนเหน็บพูดลอยหน้าลอยตาไม่สะทกสะท้าน กว่าจะเก็บแต้มควงคนได้ครึ่งวงการต้องบอกว่าสุริยะผ่านอะไรมาเยอะมากจริงๆ และทุกสิ่งก็ต้องอาศัยความหน้าด้านกับไหวพริบไม่เช่นนั้นคงไม่อาจบรรลุเป้าหมายได้

“ครับ” จันทร์ตัดบทหงุดหงิด “คุณต้องการอะไรจากผม”

“ความรักครับ”

สุริยะแทบหลุดขำกับสีหน้าเหมือนอยากฆ่าคนของจันทร์ ถึงแม้จะพยายามกลบเกลื่อนด้วยใบหน้านิ่งเฉยแต่คนที่อยู่ในวงการที่ต้องเจอผู้คนแทบทุกวันอย่างเขา เรื่องแค่นี้สบายมาก ต่อให้จันทร์ร้องไห้เขาก็สามารถดูออกว่าจันทร์อยากต่อยหน้าเขามากขนาดไหน

“พูดเล่นครับ” หนุ่มเจ้าสเน่ห์ยิ้มการค้าก่อนจะเข้าโหมดจริงจังไม่เช่นนั้นคงจะโดนบีบคอตายตั้งแต่ตอนนี้ “ผมได้รับคำสั่งให้มาช่วยคุณจันทร์ครับ”

แน่นอนว่าจันทร์ไม่เชื่อ “คุณเป็นนายแบบ”

“ผมเคยเป็นแพทย์นิติเวชครับ ถ้าคุณไม่รู้”

“แล้วเกี่ยวอะไรกับผม” นัยน์ตาโศกแทบจะเปลี่ยนเป็นมีดแล้วแทงทุกที่ที่มองเห็นบนตัวนายแบบดัง “ผมมีมือดีจากสำนักงานตำรวจมาช่วยอยู่แล้ว ผมว่าคุณไม่จำเป็นต้องทิ้งงานนายแบบมาช่วยผมทำคดีหรอก”

“แล้วถ้าบอกว่าผมสามารถสื่อสารกับวิญญาณล่ะ คุณจะสนใจผมไหม” สุริยะยิ้มมุมปาก

จันทร์เบิกตากว้างรู้สึกพรั่นพรึงจนแทบยืนไม่อยู่ แม้จะสามารถรักษาสีหน้านิ่งสงบได้แต่ในใจก็หวาดผวากรีดร้องไม่หยุดราวกับเกิดงานเทศกาลในหัว ทั้งพลุทั้งผู้คนเยอะแยะวุ่นวายไปหมดจนสมองอื้ออึงคิดอะไรไม่ออก

“..ผมไม่เชื่อ”

“อยากให้ผมพิสูจน์ไหมล่ะครับ” นายแบบดังหัวเราะในลำคอแต่แววตากลับไม่หวานเชื่อมเหมือนน้ำเสียง

“แล้วแต่คุณเถอะ” จันทร์ตัดบทไม่อยากยุ่งกับคนตรงหน้าไปมากกว่านี้เพราะชนักที่ติดหลักตนเองนั้นเป็นหลักฐานชั้นดี ถ้าคนตรงหน้าสามารถสื่อสารกับวิญญาณได้จริง ถึงไม่ค่อยอยากจะเชื่อนักแต่ก็ไม่อยากจะเสี่ยง

“ชู่ว ไม่ต้องกลัวครับ คุณจันทร์” ในที่สุดสุริยะกลับคืนสู่ตัวตนเดิม ไร้สาระ หน้าม่อไปวันๆ ใบหน้าที่เห็นสันกรามชัดฉีกยิ้มเป็นมิตรให้จันทร์อย่างจริงใจ “ผมชอบคุณก็เลยอยากมาช่วยคุณ มันก็เท่านั้น ผมไม่สนหรอกว่าคดีนี้จะพลิกหรือไม่พลิกเพราะยังไงมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมอยู่แล้ว”

“ผมถามจริงๆ “ จันทร์พูดเสียงอ่อนลงไหล่แข็งที่มักจะแข็งขึงอย่างดุดันคล้ายกับแมวที่ขู่ฟ่อใส่ศัตรูตกลงนิดๆ โดยที่เจ้าตัวไม่ทันสังเกต “คุณมายุ่งกับผมทำไม”

ท่าทีตอบรับที่ผิดไปจากที่คิดเล่นเอาคนเจ้าชู้ไปต่อไม่ถูกเพราะคิดว่าจันทร์คงจะเย็นชาใส่ตัวเองเหมือนเดิม แต่ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายกลับมีท่าทีอ่อนลงไม่แข็งกร้าวเท่าเดิม

“ผมไม่สนใจเรื่องความรัก ถ้าคุณเข้าหาผมเพราะเรื่องนี้ก็ยอมแพ้เถอะ คุณไม่ใช่คนแรกหรอกที่พยายามมายุ่งกับผมด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้”

“เฮ้อ” สุริยะถอนหายใจเฮือกใหญ่เกาหัวแกรกๆ ด้วยสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจ “ก็ได้ๆ ผมยอมรับก็ได้ว่าผมค่อนข้างถูกใจคุณเพราะคุณก็จัดอยู่ในสเป็คที่ผมชอบพอดี แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลหลักหรอกที่ผมจะยอมทิ้งงานเดินแบบเพื่อมาช่วยคุณ” ร่างสูงขยับเข้าไปใกล้จันทร์และสบกับนัยน์ตาโศกตรงๆ เพื่อแสดงความจริงใจของตัวเอง

“ผมถามจริงๆ นะ คุณจำผมไม่ได้จริงๆ เหรอ?”

จันทร์ขมวดคิ้วมองใบหน้าอีกฝ่ายที่ดูต่างไปจากพิมพ์นิยมสมัยนี้ด้วยอัตลักษณ์อันโดดเด่นที่บอกไม่ถูกว่าคืออะไรกันแน่ อาจจะเป็นสเน่ห์อันล้นเหลือที่แค่สบกับนัยน์ตาสีดำทมิฬนั้นแล้วคล้ายกับถูกช่วงชิงลมหายใจไปวูบนึง แน่นอนว่ามันไม่เกิดขึ้นกับจันทร์ สำหรับนายแพทย์หนุ่มแล้วมนุษย์ทุกคนก็เป็นแค่ลิงที่ฉลาดขึ้นมาหน่อยเท่านั้น หน้าตาจึงไม่ค่อยมีผลอะไรกับจิตใจสักเท่าไหร่
หลังจากค้นของความทรงจำในหัวประมาณนาที ริมฝีปากบางเฉียบจึงปริปากตอบ “ผมจำไม่ได้”

“ใจร้ายชะมัด” สุริยะตำหนิด้วยสีหน้าดุๆ “คุณเป็นคนช่วยทำแผลให้ผมเลยนะ”

ทั้งๆ ที่พยายามจะช่วยรื้อความทรงจำให้จันทร์แต่สุริยะก็ต้องพบกับความล้มเหลวเพราะจันทร์ยังทำหน้าเดิมคือขมวดคิ้วงุนงง ไม่มีเค้าเลยว่าจะจำนายแบบที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเบอร์หนึ่งในประเทศตอนนี้

“ผมจะเล่าเหตุการณ์วันนั้นให้ฟังแล้วกันนะ” สุริยะเล่าด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นิดๆ รู้สึกเสียเซลฟ์นิดหน่อยที่ตัวเองไม่แม้แต่จะอยู่ในเศษเสี้ยวของสนใจของจันทร์เลยแม้แต่นิดเดียว “ผมกำลังเดินอยู่ในสนามบินตั้งใจจะขึ้นเครื่องแต่บังเอิญมีเด็กบ้าที่ไหนไม่รู้วิ่งมาชนผมจนล้มใส่พวกชั้นวางไวน์ แน่นอนว่าผมบาดเจ็บทั้งแขนทั้งขาผมโดนเศษแก้วบาดจนผมแยกไม่ออกว่าอันไหนเลือดอันไหนไวน์กันแน่ คนของผมกำลังจะเรียกพยาบาลมาช่วยผม”

แววตาคมของสุริยะละมุนขึ้นขณะที่มองนายแพทย์หนุ่มที่ยังคงทำสีหน้าไร้อารมณ์ไม่ยินดียินร้ายกับโลกใบนี้ “แต่คนที่พุ่งมาผมคนแรกก็คือคุณ ถึงสีหน้าคุณจะไม่เปลี่ยนก็เถอะตอนที่ผมร้องโอดโอยตอนที่คุณเอาเศษแก้วออกจากแผลให้ คุณทำแผลให้ผมด้วยอุปกรณ์ของคุณที่ผมไม่รู้ว่าจะพกติดตัวทำไมตลอดเวลา”

สุริยะหลุดยิ้มนิดๆ เพราะขนาดตอนนี้เขายังเห็นอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่บรรจุอยู่ในกล่องขนาดเล็กเหน็บอยู่ข้างเอวและถูกปิดบังด้วยเสื้อโค้ทสีดำตัวยาวทำให้มองเห็นได้ไม่ถนัดตานัก

“มันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกเพราะขนาดคุณยังจำผมไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ผมก็อยากบอกคุณว่าผมชอบคุณนะ อาจจะไม่ใช่ในแง่ความรักแต่ในแง่อื่นๆ ที่คุณอาจจะไม่รู้จักดี ผมดูออกว่าคุณแทบไม่มีความสุขเลย ทั้งๆ ที่คุณกำลังยิ้มอยู่ก็เถอะ”

“…” จันทร์นิ่งอึ้งพูดไม่ออกเนื่องจากไม่รู้จะพูดอะไรและก็ยังจำสุริยะไม่ได้อยู่ดี เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องของสุริยะเลยจริงๆ

“ผมอาจจะดูไว้ใจไม่ค่อยได้แต่ก็อยากให้คุณลองเปิดใจกับผมหน่อย” สุริยะหัวเราะเพราะรู้ตัวเองดีว่าถูกคนภายนอกและสื่อต่างๆ มองยังไง “เอาเหอะ ตอนนี้ผมขอแค่สถานะเพื่อนไม่ก็คนที่มีค่าพอให้คุยด้วยก็พอ”

“…ผมไม่เข้าใจ”

จันทร์ถอยหนีสีหน้าหวาดหวั่น ไม่หวั่นไหวตามคำหวานของสุริยะแม้แต่คำเดียว ประสบการณ์และสัญชาตญาณที่สั่งสมมานานกำลังสั่งให้ถอยหนีอย่าได้เผลอเข้าใกล้เชียว

“ผมสาบานนะ คุณจันทร์” สุริยะมองจันทร์อย่างจริงจัง “ผมเข้าหาคุณเพราะเจตนาอื่นก็จริงแต่ตอนนี้ผมอยากช่วยคุณมากกว่า ผมไม่รู้หรอกว่าคุณเจออะไรมาบ้างแต่คุณก็ควรจะมีคนที่จริงใจกับคุณบ้าง”

“ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าคุณไว้ใจได้”

ถ้าหากเปรียบจันทร์เป็นแมวตอนนี้คงไม่วายขู่ฟ่อใส่สุริยะที่น่าจะเป็นหมาโกลเด้นที่พยายามดุ๊กดิ๊กๆ เรียกความสนใจ ซึ่งเจ้าหมาก็ดูจะต้องผิดหวังหน่อยเพราะแมวตัวนี้ดุมาก

“ใช้เวลาไงครับ คุณจันทร์ นฤภัทร”

เจ้าหมาโกลเด้นหมอบต่ำช้อนตามองเจ้าแมวที่ตอนนี้แทบจะกระโดดหนีขึ้นหลังคาแล้ว

“ผมไม่รู้”

จันทร์หลุบตามองต่ำ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีเพื่อนจริงๆ สักคน มีแต่เพื่อนที่คุยกันเป็นครั้งคราวอย่างผิวเผินในตอนที่เรียนและเรื่องงานเท่านั้น เขาไม่เคยมีโอกาสได้ไปเที่ยวหรือดูหนังกับกลุ่มเพื่อน ไม่มีกลุ่มไลน์ห้อง ไม่มีเบอร์โทรของเพื่อนที่สามารถโทรไประบายความสุขความเศร้าได้ ไม่มีอะไรสักอย่างนอกจากตัวเขาเองที่เป็นเพื่อนกับตัวเองได้ดีที่สุด

“ก็ลองสิ จันทร์”

“ผมไม่อยากมีเพื่อน” แววตาของจันทร์กลับมาเด็ดเดี่ยวแม้ว่าลึกๆ ในอกจะรู้ดีว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น ความเค็มที่จุกในลำคอที่เขาคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี ความเหงาที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด

“ทำไม”

“…”

“มันไม่แย่หรอก จันทร์ ใช่ว่าทุกคนบนโลกจะใจร้ายกับคุณซะหน่อย”

“ไม่จริงหรอก”

จันทร์หัวเราะเสียงแผ่วกล้ำกลืนความเจ็บปวดที่อยู่ๆ ก็ปะทุขึ้นมาจนกระบอกตาร้อนผ่าว ความทรงจำอันเจ็บปวดปรากฎในหัวจนอยากร้องไห้ออกมา

“คุณไม่ใช่ผม คุณไม่เข้าใจหรอก สุริยะ”

นัยน์ตาโศกสั่นระริกแทบจะลืมเลือนถึงสาเหตุที่ทำให้ตัวเองต้องมาอยู่ตรงนี้เลยด้วยซ้ำ รู้เพียงแค่อยากร้องไห้อยากระบายความเศร้าโศกที่สุมอยู่ในอกจนอึดอัดจนแทบทนไม่ไหว

“…ไม่มีใครเข้าใจผมหรอก”

“ผมไง” สุริยะชี้หน้าตัวเองด้านๆ ถึงจะรู้ว่าไม่ใช่เวลาที่ควรมาเล่นแต่ก็คิดวิธีรับมือที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้ว “คุณเล่าให้ผมฟังได้ ถึงตอนเด็กๆ ผมจะไม่ได้สู้ชีวิตเท่าไหร่ก็เถอะ แต่ผมว่าช่วงเรียนแพทย์หกปีเราก็น่าจะมีมรสุมชีวิตพอกัน”

จันทร์หัวเราะเสียงแผ่วยอมยิ้มนิดๆ เพราะชีวิตช่วงนั้นก็ถือว่าหนักหนาเอาการทีเดียว

“ก็ได้ ผมจะยอมเป็นเพื่อนกับคุณ”เขาไม่อยากอยู่คนเดียวแล้ว…


==============

จะเกลียดน้องจันทร์ดีไหมนะ  :z10:

หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 21 : คุณสุริยะ p.4 (29/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 29-05-2018 21:27:13
เกลียดจันทร์ได้ไม่สุดอ้ะ สงสารมากกว่า
เกลียดที่สุดก็พ่อแม่ของแฝด
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 21 : คุณสุริยะ p.4 (29/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 29-05-2018 23:51:53
อยากรู้เหตุผลที่สุริยะเข้าหาจันทร์ ใช่คนที่คุณเหมันต์ส่งมาเพื่อเข้าใกล้จันทร์หรือเปล่า
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 21 : คุณสุริยะ p.4 (29/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kanj1005 ที่ 01-06-2018 04:10:26
รอค่ะ

เลือดเหมันต์ยังไม่เป็นอัลฟ่า
แต่ทำไมมีช่วงหนึ่ง ที่จ้าว(ซึ่งกลายเป็นโอเมก้าแล้ว)เข้าใกล้เหมันต์แล้วได้กลิ่นหอม... อ่านแล้วเหมือนเจอกลิ่นของคู่แห่งโชคชะตา
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 21 : คุณสุริยะ p.4 (29/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 01-06-2018 08:03:57
คุณเหมันต์ส่งมาหรือว่าเข้าใจว่าจันทร์คือจ้าวกันแน่นะ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 21 : คุณสุริยะ p.4 (29/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 01-06-2018 09:15:22
น้องจันทร์จะมีคนดี ๆ อยู่เป็นเพื่อนแล้วใช่ไหม
ทำไมเรายิ่งอ่านยิ่งสงสารจันทร์เข้าไปอีก
ส่วนข้าวรู้สึกว่าเด็กคนนี้แปลกๆ เหมือนเป็นไบโพล่า
ตัวข้าวที่สื่มาเมื่อกี้ให้อารมณ์แบบ รักนะแต่ถ้าอยู่แล้วทรมานก็ตายไปเถอะ
เป็นตัวละครที่น่าจับตามองแหะ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 21 : คุณสุริยะ p.4 (29/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 01-06-2018 14:22:02
เกลียดจันทร์เหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 22 : ห้อง 602 p.4 (4/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 04-06-2018 17:05:44
ตอนที่ 22

‘สภาพอากาศวันนี้ค่อนข้างมีเมฆมาก มีโอกาสฝนตกมากถึงแปดสิบเปอร์เซ็นของพื้นที่—“

เสียงจอโทรทัศน์เครื่องเก่าครางอื้ออึงแทบถูกกลบมิดด้วยเสียงฝนที่ตกลงมาห่าใหญ่ ท้องฟ้าในวันนี้ดำครึ้มจนคล้ายกับเวลากลางคืน ถ้ามีหมอดูเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้คงไม่วายบอกว่าวันนี้คงไม่ใช่ฤกษ์ที่ดีนักสำหรับจะเริ่มทำอะไร

แน่นอนว่าสำหรับใครบางคนที่ตั้งใจจะทำอะไรๆ วันนี้ก็อดบ่นขรมในใจไม่ได้ นึกด่าทอสภาพอากาศที่ไม่ค่อยเป็นใจนักแต่ก็ไม่ได้เคืองอะไรมากเพราะภายใต้ฝนฟ้าคะนองนี้ก็มีประโยชน์หลายๆ อย่างอยู่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นรถที่มีโอกาสติดยาวไม่ขยับเขยื้อนส่งผลให้คนที่พยายามจะล่าตัวเขากลับไปด้วยรถตำรวจนั้นทำได้ยาก หนำซ้ำเขายังสามารถกลมกลืนไปกับฝูงชนที่ยืนออรอให้ฝนหยุดตกได้อย่างง่ายดายแต่แน่นอนว่าเขาจะไม่เสี่ยงถึงขนาดนั้น

หากแต่ระหว่างที่กำลังคิดวางแผนหลบหนีอยู่ในใจกับถูกทักขึ้นมาซะอย่างงั้น

“หนูมาแล้วเหรอลูก เห็นเขาบอกจะเข้าอาทิตย์หน้านี่แต่มาก็ดีแล้ว มาๆ เดี๋ยวป้าเอาอุปกรณ์ทำความสะอาดให้”
หญิงสาวเบต้าร่างท้วมผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแม่บ้านกวักมือเรียกร่างโปร่งที่สวมชุดรัดกุมทั้งตัวจนเห็นแค่นัยน์ตาโศกที่พ้นผ้าปิดปากขึ้นมานิดหน่อย อีกฝ่ายดูประหม่ายืนเก้ๆ กังๆ ตรงลานจอดรถพนักงานไม่ยอมเข้ามาสักที

คนโดนเรียกสะดุ้งสุดตัวจนป้าอดยิ้มเอ็นดูไม่ได้เมื่อเดินร่างผอมเดินมาใกล้ก็ลูบหัวอย่างเอ็นดู “หนูไม่ต้องกลัวป้าหรอก ป้าไม่ได้รังเกียจพวกโอเมก้า ลูกป้าคนนึงก็เป็นโอเมก้า”

“คะ ครับ”

“กินอะไรมารึยัง หน้าหนูซีดมากเลย”

“ทานแล้วครับ ขอบคุณมากครับ” จ้าวผงกหัวปลกๆ หัวใจในอกเต้นรัวอย่างตื่นเต้นแต่อีกใจก็อยากถอยกลับเพราะกลัวความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจโดยฉุกละหุกและไม่บอกใครของตัวเอง ซึ่งมันก็เสี่ยงเอามากๆ ถ้าเกิดโดนจับได้ทุกอย่างที่พยายามเพียรทำมาก็คงจบลงทันที

จ้าวกัดปากจนได้กลิ่นสนิมอวลในปากเพื่อเรียกสติตัวเอง อย่างไรก็ตามเขาได้ตัดสินใจไปแล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดขึ้นกับเขาคนเดียว เขาจะไม่ให้ใครมาโดนลูกหลงเด็ดขาด ถ้าเขาตายก็มีแค่เขาคนเดียวก็พอที่เป็นศพไม่ต้องลากใครมาเอี่ยวอีก ให้เฮียสามเป็นคนสุดท้ายก็พอ คุณเหมันต์ไม่จำเป็นต้องมาเสียหายเพื่อเขาที่เป็นแค่นักร้องตกอับคนนึง การสืบสวนทั้งหมดยิ่งถลำลึกเข้าไปความจริงมันอาจจะปรากฎก็จริงแต่ก็ต้องแลกกับตัวตนที่อาจจะถูกเปิดเผย

แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการให้คนของคุณเหมันต์ต้องมาซวยเพราะช่วยเขา เขาจึงได้กระทำการโง่ๆ ด้วยการมาสืบด้วยตัวเอง ต่อให้คุณเหมันต์กระชับว่าไว้ค่อยมาด้วยกันแต่เขาก็ใจร้อนเกินกว่าจะรอ ตอนนี้กระแสเพลงเขาที่ถูกปล่อยใหม่อีกครั้งกำลังไปได้สวย เอ็มวีอันทรงพลังที่ถูกควบคุมกำกับใหม่ด้วยตัวเขาเองเข้ากันดีกับน้ำเสียงและทำนองอันเกรี้ยวกราดในโชคชะตา

ทุกคนกำลังให้ความสนใจจ้าวไปในทางที่ดีซึ่งนั่นก็คือโอกาสของเขาที่จะรีบเผยความจริงทั้งหมด เขาต้องการจะกลับไปยืนในวงการเพลงเต็มแก่ เขาอยากร้องเพลง อยากเต้น อยากมีคอนเสิร์ต อยากทำทุกอย่างใจจะขาด เขาไม่ต้องการถูกล่ามโซ่ตรวนเอาไว้ในกรงของระบบชนชั้นงี่เง่าพวกนี้

และสิ่งที่เขาต้องทำคือการหาหลักฐานในห้องของพริมให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาไม่รู้หรอกว่าจะเจออะไรรึเปล่าแต่ก็ยังดีกว่ามานั่งรอลมๆ แล้งๆ อยู่เฉยๆ ซึ่งมันไม่ใช่เขาเลย เขาผ่านมาเยอะจนไม่คิดว่าจะมีอะไรเจ็บปวดไปมากกว่านี้แล้ว ต่อให้โดนจับอีกเขาก็จะตะเกียกตะกายสุดชีวิต ต่อให้เสียแขนเสียขาเสียวิญญาณไปก็ช่าง

เขาทนไม่ไหวแล้ว!

“งั้นป้าขอดูเอกสารของหนูหน่อยนะ”

“นี่ครับ” จ้าวยื่นเอกสารที่คุณเหมันต์ทำเอาไว้ให้และพยายามยืนให้ดูทะมัดทะแมงสมกับเป็นพนักงานทำความสะอาดปลอมๆ ที่ถูกส่งมาทำความสะอาดห้องของพริม

“นี่จ๊ะ” ป้ายิ้มอย่างเป็นมิตรก่อนจะพูดติดตลก “หนูไม่กลัวผีเหรอลูก ป้านะ เคยเข้าไปทำ ประตูปิดเองตลอด ไหนจะกลิ่นศพที่คลุ้งจมูกอีก เฮี้ยนมากๆ จนไม่มีใครกล้าเข้าไปทำเลยล่ะ”

“ไม่กลัวหรอกครับ ฮะๆ” จ้าวหัวเราะเสียงแผ่วหน้าซีดเพราะเพิ่งรู้กับป้าเนี่ยแหละว่าห้องพริมมีเรื่องเล่าซะด้วย ถึงเขากับพริมจะเป็นมิตรกันก็เถอะแต่ก็อดกลัวไม่ได้อยู่ดี “งั้นผมขอขึ้นไปทำเลยนะครับ พอดีผมมีงานที่อื่นต่อ”

“ได้จ้า ถ้ามีปัญหาอะไรยังไงก็โทรเข้าเบอร์ป้านะ”

“ขอบคุณมากๆ ครับ” อดีตนักร้องดังที่ผันตัวไปเป็นพนักงานทำความสะอาดยกมือไหว้ปลกๆ ก่อนจะรับคีย์การ์ดและอุปกรณ์ทำความสะอาดมาถือ ใบหน้าที่ถูกซ่อนไว้หลังผ้าปิดปากฉายความกังวลแต่ก็พยายามลืมความกลัวของตัวเองรีบสาวเท้าไปยังลิฟต์ของคอนโด

หากแต่โชคชะตาก็เหมือนเล่นตลก จ้าวเบิกตากว้างตัวสั่นสะท้านไปทั้งตัวเกือบจะล้มคะมำเมื่อเห็นว่าใครเดินผ่านตัวเอง ความหวาดกลัวที่ถูกฝังไว้ในส่วนลึกของความทรงจำถูกกระตุ้นขึ้นมาจนน้ำตาคลอเบ้า มือที่ถือกุญแจสั่นเทาจนได้ยินเสียงโลหะกระทบกันเช่นเดียวกับขาที่สั่นจนก้าวแทบไม่ออก

“หึ พวกโอเมก้าเหรอวะ?”

เสียงทุ้มต่ำที่พูดเสียงไม่ดังนักหากแต่ฟังกระโชกโฮกฮากราวกับถูกตะโกนอยู่ข้างหู

จ้าวก้มหน้าต่ำพยายามจะก้าวเดินต่อแต่ขานั้นสั่นไม่หยุดจนไม่กล้าก้าวต่อ ภาพในหัวภาพนึงปรากฎจนแทบจะร้องไห้ออกมา กลิ่นคาวในปากอวลจนรู้สึกเลยว่าถ้าถ่มออกมาคงสามารถย้อมพื้นให้กลายเป็นสีแดงฉาน

เขาเกือบจะเคยโดนคนตรงหน้าข่มขืน!

นัยน์ตาโศกสั่นระริกไม่หยุดเมื่อสมองยังทำในสิ่งที่ไม่ต้องการที่สุดอย่างการฉายภาพในวันนั้นซ้ำราวกับมันกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า คล้ายกับเขาเสพติดมันจนต้องคิดถึงแต่มัน ทั้งๆ ที่มันไม่เป็นแบบนั้น เขาเกลียด เขากลัววันนั้น กลัวจนแทบจะกลายเป็นบ้า!

   

‘มะ มีอะไร’ จ้าวถามเสียงสั่นขณะที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้และแปรงฟัน ความหวาดกลัวกัดกินร่างทั้งร่างจนตัวสั่นระริกไม่หยุด นัยน์ตาโศกสั่นระริกจดจ้องร่างใหญ่ยักษ์ที่สวมเพียงกางเกงนักโทษสีส้มขาดๆ เผยแผ่นอกเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยรอยสักและแผลเป็นแทบจะทุกอณูผิว ใบหน้าที่มีรอยบากขนาดใหญ่ครึ่งใบหน้านั้นสำหรับจ้าวแล้วดูน่ากลัวราวกับปีศาจร้ายที่หลุดมาจากขุมนรก

‘ขาวดีนี่’ มันว่าก่อนจะเลียริมฝีปากอย่างหื่นกระหาย ‘วันนี้กูอยาก’

จ้าวทิ้งทุกอย่างในมือหันหลังวิ่งหนีทันทีแต่ก็พลาดท่าเหยียบสบู่เหลวที่หกเลอะเทอะจนล้มไปกองกับพื้น พยายามจะลุกวิ่งหนีต่อก็ไม่ทันกาล

‘ไม่!!—“

‘ชู่ว อย่าร้อง’ ใหญ่แสยะยิ้มร้ายใช้มืออุดปากเล็กๆ ไม่ให้ส่งเสียงดังน่ารำคาญ ‘กูอุตสาห์รอวันนี้มานาน มึงอย่ามาทำให้กูเสียอารมณ์’

ชั่วขณะนั้นจ้าวรู้สึกกลัวจนหายใจไม่ออก ยิ่งตอนที่รู้สึกถึงลิ้นเปียกแฉะที่สัมผัสบริเวณซอกคอยิ่งรู้สึกเหมือนจะหยุดหายใจ ร่างกายแข็งทื่อจนก้าวไม่ออก รู้สึกกลัวและขยะแขยงอยากตายๆ ไปตั้งแต่ตอนนั้น

‘ฮึก ไม่เอา’

จ้าวสะอื้นจนตัวโยนแต่มันก็ไม่สนใจใช้มือข้างเดียวพยายามดึงกางเกงของจ้าวออกและมันก็ทำได้สำเร็จ มันโยนกางเกงของจ้าวทิ้งเหลือเพียงกางเกงชั้นในบางๆ เพียงอย่างเดียว

มันยิ้มอย่างพอใจแนบตัวมันเข้ากับสะโพกบาง

อุณหภูมิร้อนจัดเรียกสติจ้าวได้ทันควันเกิดเป็นเสียงกรีดร้องดังลั่นราวกับสัตว์ป่าโหยหวน

‘ไม่!!!!’

เสียงของจ้าวดังและเสียสติราวกับคนคลุ้มคลั่งเล่นเอาใหญ่ตกใจจนเผลอปล่อยตัวจ้าวก่อนจะรีบหนีออกไปเพราะพวกผู้คุมเริ่มส่งเสียงเอะอะโวยวายวิ่งมาทางนี้

ทั้งๆ ที่ภัยอันตรายได้ผละหนีออกไปแล้วแต่จ้าวก็ยังคงกรีดร้องไม่หยุด คลุ้มคลั่งจนต้องใช้ผู้คุมถึงสามคนในการจัดการและถูกตรวนข้อมือข้อเท้ามากกว่าเดิมเป็นสองเท่าในห้องเป็นอาทิตย์กว่าจะกลับมาเป็นปกติ

เหตุการณ์คลุ้มคลั่งครั้งนี้ของจ้าวเป็นที่โจษจันไปหลายเดือนแม้แต่เหล่าอันธพาลก็ยังเลี่ยงๆ ที่จะรังแกจ้าวบ้าง โดยเฉพาะใหญ่ที่ขยาดจนกลับไปกินพวกโอเมก้าที่ขายเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 22 : ห้อง 602 p.4 (4/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 04-06-2018 17:08:10
ร่างยักษ์หยุดเดินโน้มตัวลงมาหาจ้าวด้วยรอยยิ้มร้าย มือหนาเตรียมจะจับตัวจ้าวที่ยืนตัวแข็งไม่กล้าขยับตัว จ้าวแทบจะร้องไห้เมื่อมือหน้านั้นเปลี่ยนจากจะจับแขนแต่เอื้อมไปที่สะโพกแทน

ป้าซึ่งเห็นท่าไม่ดีรีบตะโกนขัดจังหวะทันที “เฮ้ย ไอ้ใหญ่นายเขาให้ไปตัดสวน!”

ใหญ่ชะงักมือสีหน้าหงุดหงิดเหมือนจะฆ่าคน “เออ!” แต่ก็ยอมเดินออกมาเพราะไม่อยากมีเรื่องกับคนที่เป็นหัวหน้าของตัวเองในตอนนี้นัก ขืนโดนเอาเรื่องไปรายงานคงไม่วายต้องไปหางานใหม่หรือโดนโยนเข้าคุกเหมือนเดิม

หัวใจของจ้าวกลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติอีกครั้ง จ้าวใช้หลังมือเช็ดน้ำตาที่คลอเบ้าตัวเองออกแล้วรีบตั้งสติเดินต่อ กลืนเลือดกลุ่มใหญ่ที่คั่งอยู่ในปากลงคอโดยไม่สนใจความคาว บาดแผลในปากที่เริ่มเป็นแผลเหวอะหวะนั้นทั้งเจ็บและชา แต่จ้าวก็ไม่สนใจเพื่อเรียกสติตัวเองที่กำลังจะหายไปนั้น มันคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม

กลิ่นสะอาดในอากาศรวมถึงบรรยากาศของคอนโดหรูใจกลางเมืองเป็นสิ่งที่จ้าวคุ้นเคยเพราะมักจะมาเยือนที่นี่เป็นประจำในฐานะเพื่อนสนิทของพริม การเข้าออกที่นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเนื่องจากพริมจะหาเรื่องชวนจ้าวขึ้นห้องบ่อยๆ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าคำอธิบายของทั้งสองคนคืออะไร

เขาทั้งสองคนมันก็แค่ ‘เพื่อน’

ต่อให้พยายามมากแค่ไหนในเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลือกที่จะหยุดความสัมพันธ์ไว้แค่นั้น สิ่งที่ทำก็เปล่าประโยชน์เพราะมันจะไม่มีค่าใดๆ เลยในสายตาอีกฝ่าย

ซึ่งจ้าวก็รู้ตัวดีว่าสำหรับพริมแล้วเขาคงจะเป็นตัวร้ายคนนึงเลยล่ะ ให้ความหวังทั้งๆ ที่ไม่ได้คิดอะไร แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เพราะครอบครัวพวกเขามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ยากที่จะเลี่ยงไม่เจอกัน พริมก็เลยยังพยายามอยู่อย่างนั้นแม้ว่าเขาจะพยายามถอยหนีมากแค่ไหนก็ตาม

แม้แต่ลิฟต์ที่ไม่ได้มาเยือนถึงห้าปี จ้าวก็ยังจำมันได้ดี ต่อให้หลับตาก็ยังสามารถกดชั้นของพริมได้อย่างแม่นยำ มือผอมลากนิ้ววนรอบเลขหกหลังจากกดลงไปด้วยสติที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

เขากำลังเข้าใกล้มันขึ้นเรื่อยๆ

ความทรงจำในอดีตผุดขึ้นในหัวราวกับต้องการทบทวนว่าวันนั้นได้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

วันนั้นเขากดลิฟต์ด้วยความประหม่านิดๆ เพราะไม่ได้เจอพริมซะนาน เขาหัวปั่นกับงานคอนเสิร์ตทั้งอัลบั้มใหม่ ทุกอย่างมันเยอะไปหมดจนเขาไม่สามารถให้เวลากับคนที่มีสถานะแค่เพื่อนได้ วันนั้นเขายังไม่ทันเคาะประตูพริมก็โถมกอดแล้วลากเข้าไปในนั่งที่โซฟาเล่าเรื่องต่างๆ ของตัวเองให้เขาฟังผสมตัดพ้อเขาที่ไม่ยอมมาหา

แน่นอนว่าเขานั่งยิ้มหัวเราะแห้งๆ ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง หนึ่งในสาเหตุที่เขากับพริมเปลี่ยนสถานะไม่ได้สักทีก็เพราะเรื่องนี้เนี่ยแหละ พริมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับตัวเองมากกว่าใครๆ แทบจะทุกประโยคที่หลุดออกจากปากคือเรื่องของตัวเอง แต่นี่ก็เป็นนิสัยที่เผยออกมาแค่ตอนที่อยู่กันส่วนตัวเท่านั้น อีกตัวตนหนึ่งของพริมคือดาราสาวใจบุญคนนึงและนิสัยดีมากๆ เป็นมิตรกับทุกคน

ซึ่งก็มีแต่คนในอีกเหมือนกันที่รู้ว่ามันเป็นแค่เปลือกนอกที่ใช้เข้าสังคมเท่านั้น อย่างไรก็ตามสังคมแสงสีก็ไม่ใช่สังคมที่ซื่อตรงอะไร ถ้าไม่ปรับตัวก็มีหวังตายตั้งแต่วันแรกที่หลงเข้าไปในนั้น

‘602’

จ้าวเหลือบประตูห้องด้วยความเศร้าหมองนิดๆ ถึงเขาจะไม่ได้รักพริมแบบคนรักแต่พริมก็เป็นเพื่อนที่ดีคนนึงของเขาเลยทีเดียว ความรักที่พริมให้เขานั้นเป็นของจริงจนเขารู้สึกได้ น่าเสียดายที่วันที่สมควรจะเป็นวันที่มีความสุขที่สุดของพริมกลายเป็นวันตายซะอย่างนั้น

ติ๊ด

ระบบประตูแบบดิจิตัลส่งเสียงออกมาพร้อมกับเปลี่ยนสีเป็นไฟเขียวเมื่อถูกใช้คีย์การ์ดเปิด ร่างผ่ายผอมในชุดยูนิฟอร์มบริษัททำความสะอาดสีดำรัดกุมเดินเข้าไปในห้องก่อนจะเสียบคีย์การ์ดเข้ากับช่องเพื่อเปิดระบบไฟฟ้าในห้อง

“…”

ทันทีที่แสงไฟสาดสิ่งต่างๆ ในห้อง หัวใจของอดีตคู่หมั้นของพริมก็เต้นช้าลงอย่างเจ็บปวด

ทุกอย่างยังเหมือนเดิม.. เหมือนกับวันนั้น

กลิ่นในห้องนั้นเหม็นอับทั้งๆ ที่ควรจะไม่มีกลิ่นอะไรเพราะสภาพห้องนั้นดูเหมือนถูกทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้ว่าจะยังมีร่องรอยทุกอย่างตั้งไว้เหมือนเดิมก็ตามที

ใช่.. แม้แต่รอยเลือดที่กลายเป็นสีดำไปแล้ว

นัยน์ตาโศกสั่นระริกยามที่กวาดตามองในห้อง สิ่งแรกที่ปรากฎในสายตาคือโต๊ะอาหารที่เขากับพริมกินข้าวด้วยกันก่อนที่จะเป่าเค้กวันเกิด พริมขอให้เขาร้องเพลง เขาก็ร้องให้ฟังก่อนที่พริมจะบ่นร้อนแล้วขอตัวไปอาบน้ำ

มีเลือดเลอะกระจัดกระจายไปทั่วห้องทั้งผนังและพรม ซึ่งก็น่าจะมีเลือดเขารวมอยู่ด้วยเพราะวันนั้นก็ออกมาไม่น้อยจริงๆ ไหนจะตอนที่โดนตำรวจลากออกจากห้องอีก เลือดถึงได้ไหลเป็นทางยาวมาถึงประตูที่เขายืนอยู่

ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ทำลายหลักฐานพวกนี้ไปซะ แต่ก็นะ ใครจะไปรู้ว่าในแต่ละคนคิดอะไรอยู่ ขนาดน้องชายฝาแฝดของเขายังไม่รู้เลยว่าคิดอะไรกันแน่

จ้าวเดินไปเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดใส่ตู้เก็บของข้างประตูที่ว่างเปล่าพอดี อย่างไรก็ตามจุดประสงค์หลักในการมาห้องนี้ก็ไม่ได้เพื่อทำความสะอาดอยู่แล้ว ที่เขาต้องทำคือหาหลักฐานที่พริมอาจจะเหลือไว้ให้ต่างหาก

ด้วยความจำกัดของพื้นที่ทำให้คอนโดห้องของพริมมีขนาดไม่ใหญ่นัก ทุกตารางนิ้วถูกสร้างขึ้นมาให้เกิดประโยขน์สูงสุดโดยคำนึงถึงผู้ใช้เป็นหลัก ทำให้ห้องกินข้าวและห้องอาหารถูกทำเป็นห้องเดียวกันโดยกั้นด้วยสายตาคือระยะห่าง สิ่งแรกที่จะเห็นทันทีเมื่อเก้าเข้ามาในห้องหลังจากเดินในระยะสองสามก้าวคือโต๊ะอาหาร ถัดไปจากนั้นจะเป็นโซฟาตัวยาวสีดำที่คราบเลือดชัดเจน

ซึ่งจ้าวก็พอจะจำได้ว่าตัวเองฟื้นตรงนี้แหละและทันเห็นเห็นพริมที่นั่งพิงประตูห้องนอนโชกเลือด ใบหน้าสวยนั่นดูทรมานแม้แต่ตอนที่สิ้นลมไปแล้ว ชุดเดรสสีขาวที่เธอใส่กลายเป็นสีแดงฉานจนดูไม่ออกว่าโดนแทงกี่แผลแต่ก็คงรุนแรงมากพอที่จะทำให้เธอเสียเลือดจนตายได้

ทั้งๆ ที่ห้องนี้เป็นเหมือนกับห้องตัวอย่างที่ทางคอนโดขายให้กับคนทั่วไป แต่จ้าวรู้สึกคล้ายกับอยู่คนละโลก บรรยากาศในห้องมันหม่นหมองจนหายใจได้ไม่เต็มปอดนัก

“สู้ๆ จ้าว”

ให้กำลังใจตัวเองเสียงแผ่วก่อนจะเริ่มปฏิบัติการค้นหาทุกอย่างในห้องตั้งแต่ชั้นวางของยันใต้ตู้ ทุกที่ที่มีความเป็นไปได้ที่น่าจะหลงเหลืออะไรไว้ นัยน์ตาโศกกวาดตามองรอบๆ อย่างกระตือรือร้น พยายามทำตัวให้กระปี้กระเปร่าเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่พลาดอะไรไป

หากแต่ผ่านไปชั่วโมงนึงกับการค้นห้องครัว ห้องนั่งเล่น อย่างละเอียดรอบคอบ จ้าวก็หาอะไรไม่พบอยู่ดีซึ่งก็คาดว่าโดนพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจเก็บไปหมดแล้ว แต่กำลังใจจ้าวก็ยังไม่ฝ่อ พยายามรื้อห้องน้ำต่ออีกครึ่งชั่วโมงก็เจอแต่ความว่างเปล่า ต้องยอมรับเลยว่าเจ้าหน้าที่นั้นทำงานได้ดีมากจริงๆ แม้แต่รองเท้าสักคู่ยังไม่เหลือเอาไว้เลย มีเพียงทรัพย์สินขนาดใหญ่ที่เคลื่อนย้ายยากเท่านั้นที่ยังคงอยู่

หลังจากลองสำรวจรอบๆ อีกสองสามครั้งเพื่อความแน่ใจว่าตัวเองไม่ขาดตกบกพร่องอะไร จ้าวจึงเข้าไปยังห้องสุดท้ายที่ตัวเองยังไม่ได้เข้าไปเช็ค

ห้องที่ ‘พริม’ ถูกฆ่าตายในนั้น

ทันทีที่ดันประตูเข้าไปจ้าวก็รู้สึกเหมือนลมวูบใหญ่เข้าหน้าตัวเองทั้งๆ ที่ไม่ได้เปิดหน้าต่าง รู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่างอย่างไร้สาเหตุ จ้าวเบิกตากว้างลูบแขนตัวเองเพราะรู้สึกเหมือนโดนจับเบาๆ ชั่วขณะหนึ่งก่อนที่มันจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย นัยน์ตาโศกกวาดไปมาอย่างหวาดระแวง

คงไม่มีอะไรหรอก…

จ้าวปลอบใจตัวเองแม้จะรู้ดีว่ามันมีแน่ๆ แต่จะทำอะไรได้นอกจากปล่อยผ่านไป ตั้งหน้าตั้งตาค้นห้องนอนของพริมต่อและพบว่าห้องนี้นั่นประหลาดกว่าห้องอื่นๆ ตรงที่ของใช้ส่วนตัวของพริมยังอยู่ครบ ตั้งแต่เครื่องสำอางจนถึงเสื้อผ้า

“…”

มือผอมชะงักทันทีที่เปิดลิ้นชักใต้เตียงออกมา

รูปภาพของ ‘จ้าว นฤภัทร’ ในอิริยาบถต่างๆ นั้นเต็มไปหมด อีกทั้งยังมีแท่งไฟรูปพระจันทร์เสี้ยว โปสเตอร์ อัลบั้มเพลงรุ่นลิมิตเต็ด รูปถ่ายครอบครัวเขากับพริมตอนที่ได้มีโอกาสกินข้าวร่วมกัน ความทรงจำทุกอย่างที่พริมมีเกี่ยวกับเขาถูกนำมาไว้ในที่แห่งนี้ทั้งหมด

น้ำตาหยดนึงตกลงบนมือของจ้าวก่อนที่จะหยดอื่นๆ จะตามมา

จ้าวนั่งสะอื้น ดูภาพตัวเองยิ้มกว้างตอนคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายด้วยมืออันสั่นเทา

พริมชอบเขามากจริงๆ

แต่น่าเสียดายที่เขาไม่อาจตอบรับความรู้สึกของพริมได้จนกระทั่งอีกฝ่ายตายไปแล้วเขาก็ยังรู้สึกแบบเดิมอยู่ดี

“ขอโทษนะ ถ้าไม่มีเราสักคน พริมคงจะไม่ตาย”

จ้าวเก็บของทุกอย่างเข้าที่เดิมแล้วนั่งนิ่งๆ พยายามกล้ำกลื้นความรู้สึกทุกอย่างลงคอเพราะหน้าที่ของเขายังไม่จบ เขายังค้นห้องพริมไม่เสร็จ จะมามัวนั่งร้องไห้แบบนี้ไม่ได้

แต่ในอกกลับเศร้าจนหายใจไม่ออก เมื่อห้าปีที่แล้วก่อนทุกอย่างจะเกิดขึ้นพริมยังมีชีวิตอยู่ ยังมีโอกาสได้โลดแล่นในวงการตามฝัน ยังสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ และยังหายใจ..

“ขอโทษ.. เราขอโทษ ฮึก”

ท้ายที่สุดจ้าวก็ร้องไห้จนตัวโยน รู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทั้งๆ ที่มันไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวเองด้วยซ้ำ เป็นเวลาพักใหญ่กว่าจ้าวจะควบคุมตัวเองได้ก่อนจะกลับไปค้นหาอีกครั้ง

“ไม่มีงั้นเหรอ..”

จ้าวพึมพำซึมๆ ไม่มีอะไรเลยที่สาวไปถึงเรื่องวันนั้นได้ หากแต่เมื่อกำลังจะลุกออกไปจู่ๆ กลับมีการ์ดบางอย่างปลิวออกมาหาจ้าว

การ์ดที่มีเลือดเปรอะอยู่ประปราย!

นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างเมื่อได้สิ่งที่ต้องการโดยบังเอิญจนน่าขนลุกแต่ก็ไม่ได้สนใจกลัวอะไรนัก รีบเก็บเข้ากระเป๋ากางเกงเตรียมตัวกลับไปยังคฤหาสน์ของคุณเหมันต์เพราะนี่ก็กินเวลามาหลายชั่วโมงแล้วที่เขาหายตัวไป ขืนถ้าโดนจับได้ว่าหนีออกมาคงจะไม่สนุกเท่าไหร่ ถึงเขาจะไม่เคยเห็นตอนคุณเหมันต์โกรธแต่ก็ไม่อยากจะเสี่ยงที่จะเห็นมันนัก

ร่างโปร่งหยุดยืนหน้าห้องหันหน้าไปมองห้องอดีตคู่หมั้นของตัวเองด้วยหัวใจวูบโหวงนิดๆ เชิงลาก่อนที่จะจับกลอนประตูเตรียมจะเปิดออกไป

ติ๊ด

เลือดในกายเย็นวาบ จ้าวสะดุ้งสุดตัว

มีคนกำลังจะเปิดประตูเข้ามาด้านใน!

แทบไม่ต้องเสียเวลาคิด จ้าวรีบดึงคีย์การ์ดออกแล้วรีบไปหลบที่ๆ ใกล้ที่สุด ทุกอย่างในสายตาดูจะรวดเร็วไปหมด จ้าวกอดเข่าขดตัวให้เล็กที่สุดในตู้ใต้อ่างล้างจาน ที่นี่น่าจะเหมาะที่สุดแล้วสำหรับการซ่อนตัวเพราะมันมีช่องถี่ๆ สำหรับระบายอากาศและยังใช้สามารถสอดส่องข้างนอกได้ด้วย

“…”

จ้าวหลับตาหยีกัดปากแน่นจนได้กลิ่นสนิมในปาก มันเป็นนิสัยเสียที่แก้ไม่หายสักที เป็นการระบายความเครียดจัดที่ติดนิสัยมาจากในคุกที่ไม่มีอะไรสามารถทำร้ายตัวเองได้

เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาในห้องทำเอาจ้าวกดดันจนหายใจไม่ออก แต่ละย่างก้าวดังก้องในหูราวกับเดินอยู่ในหัว นัยน์ตาโศกเบิกโพลงจดจ้องภายนอกที่เห็นเป็นภาพที่ถูกซี่ไม้บังกลายเป็นภาพตาราง

“…?”

จ้าวมองมือตัวเองที่สั่นไม่หยุดเมื่อเห็นว่าใครกำลังเดินเข้ามาในห้องครัว แม้จะเห็นแค่ท่อนขายาวที่ขยับเข้ามาทางตัวเองก็พอจะจดจำได้ทันที

ซ่า ซ่า

เสียงน้ำไหลดังขึ้นเหนือหัว จ้าวกลืนน้ำลายเอือกมองชายเสื้อที่ขยับไปมา ตัวทั้งตัวสั่นสะท้านราวกับเป็นโรคชักกระตุก เขาไม่อยากคิดเลยว่าถูกจับได้ตอนนี้มันจะเป็นยังไง

มันคงจะเลวร้ายมากแน่ๆ

แค่คิดว่าต้องกลับไปโดนรับโทษ จ้าวก็แทบจะร้องไห้ ถ้าเกิดต้องโดนส่งไปสัตว์ทดลองจริง สู้เขาฆ่าตัวตายไปตั้งแต่ตอนนี้ยังจะดีเสียกว่า แต่ตอนนี้เขายังไม่โดนจับ เขายังมีโอกาสหนีอยู่

ทั้งๆ ที่ปลอบใจตัวเองแบบนั้นแต่จ้าวกลับไม่รู้สึกดีขึ้นสักนิด จ้องมองคนที่ยืนตรงหน้าตัวเองอย่างไม่วางตา มีเพียงประตูไม้ที่มีความหนาไม่ถึงห้าเซ็นที่กั้นพวกเขาไว้เท่านั้น

จ้าวกลั้นหายใจเครียดจนแทบไม่รู้สึกถึงบาดแผลในปาก

กลัว.. กลัวจนแทบบ้า

แอ๊ด

“…!!!”

ประตูถูกแง้มออก หัวใจของจ้าวคล้ายกับหยุดเต้น

มันจบแล้วสินะ..

จ้าวคิดด้วยความเศร้าหมองยกมือขึ้นปิดหน้าแต่พอรอไปสักพักกลับพบว่าประตูถูกปิดเหมือนเดิมแล้ว ที่มีแง้มเมื่อกี้น่าจะเพราะขาไปเผลอเกี่ยวกับประตูเข้า

โชคยังอยู่กับเขาสินะ

ร่างผอมลูบอกตัวเองพยายามปลอบตัวเอง ถ้าหากเขากลายเป็นวิกลจริตตั้งแต่ตอนนี้ก็คงไม่แปลกนักและในที่สุดช่วงเวลาที่ทุกข์ทรมานที่สุดก็จบลง เจ้าของท่อนขายาวเดินออกไปแล้ว ทำให้จ้าวสามารถหายใจหายคอได้อีกครั้งแต่ก็ยังไม่กล้าผ่อนคลายเพราะเขายังไม่สามารถหลบหนีออกไปได้

จ้าวรออย่างใจเย็น ไม่กล้าผลีผลามเพราะกลัวจะพลาดพลั้ง

เมื่อตกอยู่ในความเงียบสงัดทุกอย่างก็ดูจะชัดเจนขึ้นมาทันที จ้าวหลับตาพยายามเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าที่มักจะเดินด้วยจังหวะสม่ำเสมอราวกับเครื่องจักร ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความมั่นใจและความเด็ดขาด

“ฮึก..”

เสียงร้องไห้..?

นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก

นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้ยินจันทร์ร้องไห้ อาจจะสิบปี ยี่สิบปี เขาไม่แน่ใจนัก แต่ที่แน่ๆ มันไม่ใช่เรื่องปกติเพราะจันทร์ที่เขารู้จักตอนนี้คือคนที่เฉยชาต่อโลกราวกับว่ากลายเป็นเครื่องจักรตัวนึงในโรงพยาบาลไปแล้ว

“…ขอโทษ ฮึก”

แม้เสียงนั้นจะแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินแต่จ้าวก็ได้ยินมันชัดเจน

ความรู้สึกลึกๆ ของจ้าวนั้นคืออยากเดินเข้าไปกอดปลอบน้องเหมือนตอนเด็กๆ ที่พอมีเรื่องอะไร ก็จะเล่าให้กันฟังและปลอบประโลมกัน ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้พวกเขา ขอแค่จันทร์มีเขาและเขามีจันทร์ แค่นั้นก็พอแล้ว ไม่มีอะไรสำคัญอีกต่อไปแล้ว
แต่มันก็เป็นเพียงเรื่องในอดีต มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว…
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 22 : ห้อง 602 p.4 (4/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 04-06-2018 17:09:32
ความสัมพันธ์ของเขากับจันทร์ตอนนี้มันยุ่งเหยิงเกินกว่าจะคลายได้แล้ว เขารักน้องก็จริงแต่ก็เจ็บปวดเหลือเกินที่ต้องมารู้ว่าน้องเกลียดตัวเองขนาดนี้อย่างไร้สาเหตุ

จ้าวกระพริบตาปริบ

หรืออาจจะมีสาเหตุบางอย่างมาจากเขารึเปล่า..?
แต่เขาก็เคยนั่งคิดเป็นวันตอนอยู่ในคุก ทั้งตอนอื่นๆ ก็นึกไม่ออกอยู่ดีว่าเขาทำผิดอะไร เขารักน้อง รักมาก รักจนถ้าน้องเลือกที่จะกลับตัวตอนนี้เขาก็คงจะให้อภัยง่ายๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองผ่านความเจ็บปวดมามากขนาดไหน

“ฮึก ขอโทษ”

น้องของเขากำลังเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

มือผอมค่อยๆ ดันประตูออกและพาร่างตัวเองออกมาข้างนอกอย่างเชื่องช้า ระมัดระวังอย่างที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดเสียง นัยน์ตาโศกกวาดตามองรอบๆ อย่างหวาดระแวงเมื่อพาตัวเองมาถึงขอบประตูห้องครัวได้ซึ่งมันก็ใกล้กับประตูทางออกเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น
ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองควรใช้จังหวะนี้ในการหนีแต่จ้าวกลับอดไม่ได้ที่จะมองกลับหลังไปหาน้อง

ยังไงซะ เราก็เป็นพี่น้องกัน เขาไม่อยากให้ทุกอย่างจบลงแย่ๆ เลย ไม่เลยสักนิด

เขาเองเห็นหลังของจันทร์ในห้องนอน จันทร์กำลังนั่งอยู่บนเตียงสะอื้นไม่มีเสียงจนตัวโยน บนเตียงมีดอกกุหลาบสีแดงสดช่อใหญ่วางอยู่

พริมชอบดอกกุหลาบสีแดง…

จ้าวเลิกคิ้วนิดๆ เหมือนจะเรื่องบางอย่างที่เขาไม่รู้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามานั่งคิดเยอะแยะ จ้าวรีบทรุดตัวยืนและเปิดประตูด้วยความเงียบที่สุดแต่ก็ยังไม่วายมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดอยู่ดี

และแน่นอนว่ามันเป็นสัญญาณชั้นดีเลยว่ามีคนอยู่ในห้อง!

“จ้าว!!!”

เสียงตะโกนไล่หลังอย่างกราดเกรี้ยว ทำให้จ้าวออกแรงวิ่งสุดชีวิต พยายามสับขาให้ไวที่สุด ไม่สนอาการเจ็บปวดอะไรของตัวเอง ในหัวมีเพียงเส้นทางไปยังลานจอดรถที่น่าจะพอหาทางหนีต่อไปได้เพราะแถวนั้นไม่ค่อยมีคนตรวจตรานักอีกทั้งกล้องวงจรปิดยังเสียเป็นช่วงๆ ซึ่งจ้าวก็หวังว่ามันจะเป็นแบบเดิม ไม่งั้นเขาก็คงไม่มีที่ไปแล้ว!

“หยุด!!! กูบอกให้หยุดไง!”

นับเป็นการพบปะกันในรอบอาทิตย์ที่ไม่หวานชื่นเท่าไหร่ จ้าววิ่งและวิ่ง ต้องขอบคุณที่จันทร์เห็นเขาช้าไปหลายวินาทีทำให้เขามีเวลาออกตัวไวกว่าเยอะมาก จันทร์จึงทำได้แค่ไล่ตามแบบทันเห็นแค่หลังไวๆ ยังไม่ถึงในระยะที่สามารถกระชากเสื้อแล้วทุ่มลงพื้นได้

อุณหภูมิในตัวจ้าวร้อนระอุจากการเผาพลาญพลังงานจำนวนมหาศาลในเวลาไม่กี่วินาที จ้าวเปิดประตูบันไดหนีไฟแล้วสับให้มันเป็นล็อกก่อนจะวิ่งเร็วๆ ลงไปต่อ

ปัง!!

“เปิดเดี๋ยวนี้!!! จ้าว!!!”

แน่นอนว่าจ้าวไม่สนใจ บันไดหนีไฟนี่สามารถเชื่อมไปกับลานจอดรถได้ สิ่งที่เขาต้องทำคือไปถึงที่นั่นให้เร็วที่สุด อีกไม่นานจันทร์ก็จะเรียกพวกรปภ. มาตามล่าเขา ถ้าเขาช้าไปมากกว่านี้ เขาก็ไม่โอกาสได้ตีปีกออกมาจากกรงอีก เขาจะโดนจับขังไว้ในกรงแล้วตายในนั้นในที่สุด

ผลั่ก

จ้าวเบิกตากว้างเมื่อเห็นประตูที่เชื่อมไปยังลานจอดรถอยู่ข้างหน้าแต่ตัวเองกลับพลาดตกบันไดซะก่อน แต่ก็ไม่มีเวลามาพิรี้พิไรนัก รีบลุกขึ้นยืนวิ่งกะเผลกๆ ตรงไปข้างหน้าไปยังลานจอดรถที่รถเก่าจอดอยู่ประปราย ชั้นนี้เป็นชั้นบนสุดจึงไม่ค่อยมีคนขึ้นมานักอีกทั้งระบบรักษาความปลอดภัยก็มักจะพังเป็นช่วงๆ เหมือนน้อยใจที่ไม่ได้รับความสำคัญนัก
   
ปัง!
   
ประตูทางหนีไฟชั้นที่ใกล้กับจ้าวถูกเปิดออก เสียงฝีเท้าดังตึงตังบ่งบอกถึงจำนวนคนที่ไล่ตามจ้าวเกือบหลายสิบคนแน่นอนว่ามีนายแพทย์ชื่อดังรวมอยู่ในนั้น
   
จ้าวแทบร้องไห้เมื่อวิ่งมาถึงรถเก่าๆ คนนึงแล้วก็พบว่าไม่มีทางหนีแล้ว มีเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มกำลังวิ่งขึ้นมาดักทางเขาถ้าเกิดจะวิ่งลงไป ตอนนี้มีเพียงระเบียงเท่านั้นที่สามารถใช้หนีได้แต่เขาก็คงไม่มีปัญญากระโดดลงใส่สระว่ายน้ำพอดีแบบในหนังหรอก อีกทั้งแถวนี้ก็ไม่น่ามีอะไรที่พอจะรองรับแรงกระแทกที่เกิดจากการกระโดดลงจากตึกได้
   
“…ฮึก”
   
ร่างผอมทรุดตัวลงกับพื้นตัวสั่นระริก กอดตัวเองทั้งน้ำตา
   
ไม่มีทางหนีแล้ว..
   
“…!”
   
จ้าวสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆ ประตูรถเก่าก็เปิดออกแล้วตัวเองก็ถูกรวบตัวขึ้นอุ้มอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนกเมื่อพบว่าอีกฝ่ายสวมชุดสูทสีดำปลอดเหมือนพวกบอดี้การ์ดอีกทั้งยังสวมแว่นสีดำทรงทันสมัย ยังไม่ทันได้ขัดขืนคนตรงหน้าก็บอกตัวตนของตัวเองออกมาทันที
   
“ผมชื่อออสติน เป็นคนของคุณเหมันต์ อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้”
   
ออสตินกล่าวอย่างเย็นชาก่อนจะวิ่งไปยังระเบียง โอบอุ้มจ้าวด้วยแขนเดียวและใช้แขนอีกข้างเป็นที่ยึดหลักก่อนจะไถลลงจากขอบ
   
“...หวา!” จ้าวสะดุ้งเมื่อเห็นพื้นเบื้องล่างเป็นภาพเล็กๆ เนื่องจากความสูง ตัวสั่นระริกเพราะหากพลาดพลั้งขึ้นมาคงไม่วายคอหักตายทั้งคู่
   
แต่ภาพนี้สำหรับบอดี้การ์ดที่ผ่านการฝึกมาหลายร้อยชั่วโมงแล้ว แค่นี้สบายมาก ออสตินเอื้อมจับเสาและไถลลงอย่างใจเย็นก่อนจะเหวี่ยงตัวลงอีกชั้นซึ่งเป็นเวลาเดียวกับรถที่จ้าวได้ยินเสียงขับขึ้นไปพอดี ถือว่าเป็นการทำเวลาที่ได้ดี ไม่เช่นนั้นอาจจะถูกเห็นเข้าซะก่อน
   
ออสตินวิ่งเร็วๆ เข้าไปยังรถสีดำคันหรูราคาเหยียบหลายสิบล้านที่จอดรออยู่อย่างนิ่งสงบกลมกลืนกับรถคันอื่นๆ ที่จอดกันอยู่เป็นแนว ซึ่งในมุมที่รถคันนี้จอดนั้นก็เป็นมุมอับของกล้องวงจรปิดพอดี จึงหมดปัญหาเรื่องการตามตัวจากกล้องได้เลย
   
แน่นอนว่าทั้งหมดทั้งมวลนี่ล้วนเกิดจากมันสมองของใครบางคนที่นั่งรออยู่บนรถ
   
จ้าวนั่งตัวลีบเมื่อถูกนำมาวางไว้ข้างๆ ร่างสูงใหญ่ที่มีสีหน้านิ่งสงบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แม้ว่าจะสามารถช่วยจ้าวได้แล้วก็ตาม
   
ออสตินขึ้นรถฝั่งคนขับโดยไม่พูดอะไรแล้วขับกลับคฤหาสน์ทันทีตามคำสั่งของคุณเหมันต์ที่สั่งไว้ตั้งแต่ก่อนออกมา นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบมองสีหน้าของนายตัวเองชั่วครู่หนึ่งและเป็นดังที่คาด
   
นายของเขาโกรธมาก
   
สีหน้าหงุดหงิดจัดของคุณเหมันต์เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้เห็นมานานมากแล้วเพราะอีกฝ่ายมักจะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีเสมอ น้อยครั้งนักที่จะโกรธจัด น้อยครั้งมากจริงๆ
   
“…ขอบคุณครับ”
   
จ้าวพูดไม่เต็มเสียงนักเพราะรู้ว่าตัวเองผิดเต็มๆ และเกือบจะเอาตัวไม่รอด มองคุณเหมันต์หวาดๆ ด้วยความกลัว แต่เมื่อพูดไปกลับไม่ได้รับปฏิกิริยาโต้ตอบ คุณเหมันต์นั่งนิ่งไม่แม้แต่จะปรายตามองเขาด้วยซ้ำ
   
ฉับพลันความเศร้าก็จุกขึ้นมาจนทนแทบไม่ไหว จ้าวไม่รู้ว่ามันคือความรู้สึกอะไรแต่เขาเจ็บปวดกับมันมาก จนแทบทนไม่ไหว เผลอเอามือไปแตะแขนคุณเหมันต์เพื่อขอความเห็นใจโดยไม่รู้ตัว
   
“คุณเหมัน—“
   
เพี๊ยะ
   
ความเจ็บปวดจู่โจมเข้าฉับพลันที่แก้มซ้ายของจ้าว นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างกุมแก้มตัวเองมองเหมันต์ด้วยนัยน์ตาสั่นระริกและพบว่าแววตาสีเทาของคุณเหมันต์นั้นวาวโรจน์ ราวกับว่ามีกองเพลิงปะทุอยู่ในนั้น
   
“อย่าเพิ่งคุยกับฉัน”
   
น้ำเสียงของเหมันต์เย็นเยียบจนจ้าวขดตัวกอดตัวเองสะอื้นเงียบๆ
   
“ขอโทษครับ.. ฮึก ขอโทษ”
   
น่าแปลกนักที่จ้าวรู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่าเลยสักนิดกับการได้หลักฐานมาแลกกับการทรยศความไว้ใจของคุณเหมันต์ที่มีให้กับตัวเอง
   
มันไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 22 : ห้อง 602 p.4 (4/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kanj1005 ที่ 04-06-2018 23:43:06
จบตอนแบบไม่ทันตั้งตัว   :ling1: :ling1: :ling1:
อย่าโกรธนานนะคุณเหมันต์
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 22 : ห้อง 602 p.4 (4/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 04-06-2018 23:47:01
งืออออออออ ตีน้องทำไมอ่ะคุณเหมันต์
จ้าวดื้อแต่ก็มีเหตุผลนะ
ส่วนจันทร์ รักพริมแล้วก็ฆ่าพริมสินะ เศร้าอ่ะ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 22 : ห้อง 602 p.4 (4/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 05-06-2018 22:56:13
โถ่จ้าว คุณเหมันต์อย่าตีน้อง อย่าโกรธน้องนานเลยนะ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 22 : ห้อง 602 p.4 (4/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: fxxg0430 ที่ 06-06-2018 05:08:34
คุณเหมันต์นี่เป็นพระเอกที่ค่าตัวแพงมากเลยค่า ออกน้อย พูดก็น้อย แต่เราชอบเขาจัง รุ้สึกว่าคนวู่วาม เตลิดง่ายๆแบบจ้าวต้องเจอคนแบบนี้ถึงจะเอาอยู่

แต่ก็แบอยากรู้ว่าตอนนี้คุณเหมันต์รู้สึกยังไง รักหรือยังหรือยังเป็นแค่แฟนคลับผู้หวังดีอยู่ อยากให้รีบๆรักน้อง เผื่อความรักจะทำให้น้องใจเย้นลงบ้าง

เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะชอบมากอ่านรวดเดียวเลย
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 22 : ห้อง 602 p.4 (4/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 06-06-2018 16:26:24
 :katai2-1: :katai2-1:
สนุกจุง.. เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ
มีหลายอารมณ์มากเรย..
รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 22 : ห้อง 602 p.4 (4/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 06-06-2018 18:40:54
 :serius2: กรี๊ดๆ โดนโกรธเข้าให้แล้วไหมล่ะจ้าว

เกือบแล้ว เกือบโดนจับเข้าให้แล้ว
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 22 : ห้อง 602 p.4 (4/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 09-06-2018 07:25:32
เข้าใจคุณเหมันต์ และไม่เห็นด้วยกับจ้าวนะคราวนี้
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 23 : ห้อง ตัดขาด p.4 (10/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 10-06-2018 07:29:46
ตอนที่ 23
   

หลังจากวันนั้นก็เป็นเวลาอาทิตย์หนึ่งแล้วที่จ้าวไม่ได้เจอคุณเหมันต์ ไม่มีแม้แต่ข่าวคราวของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ถึงแม้คนรอบตัวจะวางตัวตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่จ้าวก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลกเล็กๆ
   
คุณเหมันต์ไม่ไว้ใจเขาอีกแล้ว…
   
นัยน์ตาโศกสั่นระริกเมื่อเหลือบไปมองบอดี้การ์ดคนนึงที่ยืนอารักขาเขาอยู่ตรงหน้าประตู ใบหน้านั้นนิ่งเฉยไม่ยอมคุยกับเขาแม้ว่าจะชวนคุยไปหลายประโยคอีกทั้งยังไม่ตอบคำถามเขาว่าคุณเหมันต์ไปไหน
   
“…”
   
จ้าวมองการ์ดเจ้าปัญหาในมือที่ทำให้เขาต้องแลกกับความไว้ใจของคุณเหมันต์ ค่อยๆ คลี่มันออกเพื่ออ่านข้อความภายในอีกครั้ง หวังว่ามันจะช่วยจุดประกายความหวังให้ตัวเองไม่รู้สึกสิ้นหวังไปกว่านี้

   

ถึง พริม
   
สุขสันต์วันเกิดนะครับ ผมอวยพรคนอื่นไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ แต่ผมอยากให้พริมมีความสุขตลอดทั้งปีนะครับ และหวังว่าปีนี้พริมจะว่างไปกินข้าวกับผมสักมื้อสองมื้อนะ ผมอยากจะรู้จักพริมมากกว่านี้ :)
                                                                               จันทร์ (17/1/2018)

   
ตัวอักษรถูกเขียนด้วยความบรรจงอ่านง่ายและเป็นระเบียบแสดงให้เห็นถึงอุปนิสัยของผู้เขียนที่เป็นคนเคร่งครัดในกฎระเบียบ ซึ่งครั้งแรกที่จ้าวเห็นข้อความในการ์ดนี้ก็ตกใจไม่น้อยเพราะไม่เคยเห็นจันทร์อวยพรวันเกิดใครแบบส่วนตัวมาก่อน ส่วนใหญ่ก็ทำตามมารยาททางสังคมเท่านั้น โดยเฉพาะกับตัวเขาเองที่ไม่ได้รับคำอวยพรมาจากจันทร์มาเป็นสิบๆ ปีแล้ว
   
แต่ที่แน่ๆ มันทำให้เขามั่นใจได้ว่าสำหรับจันทร์แล้วพริมคงจะเป็นคนที่พิเศษไม่น้อย ไม่เช่นนั้นคงไม่ถึงกับเขียนการ์ดพร้อมวาดรูปเค้กด้วยความเอาใจใส่มากขนาดนี้
   
จ้าวพยายามจดจ่อกับการ์ด พยายามนึกหาเหตุผลต่อแต่ก็คิดอะไรไม่ออกและอยู่ๆ ก็น้ำตาไหลออกมาก่อนจะสะอื้นจนตัวโยน รู้สึกเจ็บปวดจนทนแทบไม่ไหวโดยไม่รู้สาเหตุ
   
ไม่สิ ไม่ใช่ไม่รู้สาเหตุ..
   
มือผอมพยายามเช็ดน้ำตาตัวเองที่ไหลบ่าออกมาไม่หยุด

เขาทนไม่ไหวแล้ว เขาทนรับความเย็นชาจากคุณเหมันต์ไม่ไหวแล้ว

“ฮึก พอแล้ว ผมขอโทษ หายโกรธผมเถอะนะ”

จ้าวสะอื้นจนตัวโยนเดินไปขอความเห็นใจจากบอดี้การ์ดร่างใหญ่ที่ไม่เคยสะทกสะท้านกับสิ่งใด มือเล็กพยายามกระตุกชายเสื้อหวังว่าอีกฝ่ายจะใจอ่อนลงมาบ้าง

“ฮึก ผมจะไม่หนีไปไหนแล้ว”

แปลกที่จ้าวรู้สึกว่าครั้งนี้เป็นความเจ็บปวดที่ต่างออกไป มันไม่ใช่ความเจ็บปวดแบบเดียวกับที่เคยเผชิญมาทั้งหมด มันเป็นความรู้สึกประหลาดที่บอกไม่ถูกซึ่งจ้าวก็ไม่ค่อยเข้าใจนักว่ามันคืออะไร

เพียงแต่เขารู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองทนไม่ไหวแล้ว

“ขอโทษ ฮึก ขอผมคุยกับคุณเหมันต์เถอะนะ”

แต่ยิ่งพูดก็เหมือนเปล่าประโยชน์ บอดี้การ์ดหนุ่มไม่แม้แต่จะปรายตามองด้วยซ้ำ นัยน์ตาที่ซ่อนหลังแว่นสีดำไม่มีความเห็นใจไม่สะท้อนอารมณ์ใด มีเพียงความมุ่งมั่นในการทำตามคำสั่งของนายเหนือหัวเท่านั้น

เพราะคำสั่งของนายท่านเหมันต์คือคำประกาศิต เขาทำงานให้กับคุณเหมันต์ ไม่ใช่อดีตนักร้องดังที่ทำตัวไม่รักดีด้วยการขัดขืนคำสั่งของคุณเหมันต์ ทั้งๆ ที่คุณเหมันต์หวังดีด้วยถึงเพียงนั้น

เขาไม่เคยเห็นนายท่านของเขาใจดีกับใครมากขนาดนี้มาก่อนและไม่เคยเห็นความโกรธที่ดุดันจนพวกเขากลัวจนตัวสั่นแบบนี้ ขืนเขาขัดคำสั่งคุณเหมันต์แล้วยอมช่วยนักร้องคนนี้ เขาคงไม่วายโดนไล่ออกแน่ๆ ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องทำอย่างเคร่งครัดคือเมินเจ้านักร้องนี่ซะ

“…ฮึก”

สุดท้ายจ้าวก็ยอมแพ้ ยอมเดินกลับไปนั่งบนเตียงหงอยๆ เก็บการ์ดเข้ากระเป๋าเสื้อและขีดเขียนเพลงใหม่ที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับมันในช่วงนี้ต่อ ซึ่งมันเป็นเพลงแรกที่จ้าวเขียนเพื่อระบายความรู้สึกยุ่งเหยิงในหัวของตัวเอง มันดูปั่นป่วนงุนงงราวกับเด็กสาววัยมัธยมที่กำลังอยู่ในห้วงรัก แน่นอนว่าจ้าวไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นสาวน้อยหรอก แต่อาการของเขามันแปลกมากจริงๆ

เขาคิดถึงคุณเหมันต์ คิดถึงอ้อมกอดอุ่นๆ นั่น คิดถึงยิ้มที่มีให้กับเขา คิดถึงสัมผัสเบาๆ ที่ลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยนประหนึ่งของล้ำค่าที่แสนเปราะบาง เขาคิดถึงทุกอย่างที่เป็นคุณเหมันต์

ยิ่งคิดจ้าวก็ยิ่งสลด

คุณเหมันต์เป็นคนเดียวที่เขาต้องการจริงๆ ในตอนนี้ ต้องการยิ่งกว่าการได้รับความยุติธรรมจากสังคมซะอีก

“ผมขอโทษ”

ร่างผอมสะอื้นพร้อมกับเขียนเนื้อเพลงลงในกระดาษที่มีถ้อยคำที่เขาเขียนเป็นไอเดียเพื่อแต่งเพลงไว้อย่างกระจัดกระจาย มือสั่นระริกเมื่อน้ำตาหยดลงใส่กระดาษในบรรทัดต่อไปจนเขียนต่อไม่ได้

“จ้าว”

เจ้าของชื่อสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคย จ้าวรีบหันไปมองตามเสียงทันทีและพบว่าเป็นคนที่ตัวเองเฝ้ารอมาตลอดทั้งอาทิตย์

“คุณ..เหมันต์”

จ้าวยิ้มกว้างก่อนที่จะชะงักไปเมื่อพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยิ้มบางๆ ให้ตัวเองเหมือนที่เคย มือบางกุมกันแน่นอย่างประหม่าและกังวล

“วันนั้นฉันขอโทษ”

แม้แต่น้ำเสียงที่พูดจ้าวก็สัมผัสได้ถึงความเย็นชา นัยน์ตาสีเทานั่นไม่สามารถอ่านอารมณ์ใดๆ ได้ ใบหน้าคมคายที่มักจะมีรอยยิ้มนิ่งเฉยราวกับไม่เคยยิ้มมาก่อน

“ฉันลืมไปว่าเป็นฉันเองที่เสนอหน้าเข้าไปช่วยเธอ” เหมันต์เหยียดยิ้มเยาะตัวเอง “ทั้งๆ ที่ความจริงเธออาจจะไม่ได้ต้องการมันเลยก็ได้”

นัยน์ตาสีเทาของเหมันต์นั้นคล้ายกับดวงตาของหมาป่าผู้รักสันโดษ แววตาดุดันนั้นจดจ้องนัยน์ตาโศกของจ้าวและคลี่ยิ้มออกมาบางๆ 

“หลังจากนี้จะไม่มีบอดี้การ์ดตามติดเธอ เธอเป็นอิสระแล้ว จ้าว จะทำอะไรก็ได้ ชีวิตเป็นของเธอ ฉันจะคอยช่วยอยู่ห่างๆ แล้วกัน”

จ้าวเบิกตากว้างแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

หมายความว่ายังไงกัน? คุณเหมันต์จะไม่อยู่กับเขาแล้วเหรอ

“ฉันมีงานต้องทำ” เหมันต์ยิ้มแต่นัยน์ตาไม่ได้ยิ้มตาม “คงต้องขอตัวก่อน”

ร่างสูงใหญ่หมุนปลายเท้ากลับไปยังทางที่ตัวเองเดินมา นัยน์ตาโศกมองตามด้วยร่างอันสั่นเทา สับสนมึนงงกับสถานการณ์ในตอนนี้ถึงขีดสุด

“ไม่!!!” จ้าวกรีดร้องกระโดดลงจากเตียงวิ่งเข้าไปกอดรั้งเอวคุณเหมันต์ไว้ “ฮึก ผมขอโทษ อย่าโกรธผมเลยนะ ผมขอโทษ”

“เข้าใจผิดแล้ว จ้าว” เหมันต์หยุดเดินมองแขนผอมที่ไม่สามารถโอบรอบเอวตัวเองได้มิด “ฉันไม่ได้โกรธเธอ ฉันแค่ทำในสิ่งที่ควรทำเท่านั้น”

“ฮึก ไม่เอานะ อย่าทิ้งผมไปนะ” จ้าวพยายามกอดเอวคุณเหมันต์ให้แน่นที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ “คุณเป็นคนเดียวที่อยู่กับผมมาตลอด ฮึก ผมไม่ให้ไป! ผมไม่สนว่าคุณจะเกลียดผมไหมแต่ผมก็จะไม่ยอมให้คุณไปไหนทั้งนั้น! จนกว่า จนกว่าคุณจะยอมกลับมาเป็นเหมือนเดิม ฮึก”

“ฉันมันคนแก่น่ารำคาญ จ้าว” เหมันต์หัวเราะเสียงแผ่วเบา “ฉันจู้จี้จุกจิกกับชีวิตของเธอเกินไป เธอมีสิทธิ์ที่จะทำตามความคิดของตัวเองเพราะเธอก็บรรลุนิติภาวะมาตั้งหลายปีแล้ว เอาเข้าจริงวันนั้นฉันไม่มีสิทธิ์ตบเธอด้วยซ้ำ” รอยยิ้มบางบนใบหน้าคมคายหายไป “ฉันขอโทษ”

“ฮึก คุณไม่ผิดหรอก ผมเนี่ยแหละผิด ผมมันโง่เองที่คิดว่าตัวเองจะทำทุกอย่างได้ ทั้งๆ ที่มันไม่เป็นแบบนั้น” นัยน์ตาโศกคลอด้วยน้ำตา “ถ้าไม่มีคุณผมคงจะโดนจันทร์จับไปแล้ว เผลอๆ วันนี้ผมอาจจะตายไปแล้วด้วยซ้ำ”

“อย่าร้องไห้สิ จ้าว” น้ำเสียงทุ้มพูดเสียงอ่อนลง “ฉันก็แค่ให้อิสระเธอมากขึ้นก็แค่นั้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก”

“ไม่!” จ้าวทักท้วงเสียงแข็งดื้อดึงผิดวิสัยที่ปกติมักจะว่าง่ายเออออตามทุกอย่าง “คุณไม่มาหาผมเลยตั้งอาทิตย์นึง มันไม่ปกติ คุณเหมันต์คนก่อนไม่เป็นแบบนี้”

“ฉันงานยุ่ง”

“อย่ามาอ้าง ผมรู้ ฮึก คุณเกลียดผมแล้วใช่ไหมที่ผมไม่เชื่อฟังคุณ”

เหมันต์พ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ แววตาสีเทาเยือกเย็นที่จ้าวมองไม่เห็นฉายชัดถึงความสับสน “…เธอต้องการอะไรจากฉันกันแน่จ้าว”

“…คุณไม่เหมือนเดิม” จ้าวแนบหน้ากับแผ่นหลังหนาพูดเสียงอู้อี้ “ผมก็แค่อยากได้คนเดิมของผมคืน”

“บอกตามตรงนะจ้าว” เหมันต์หลับตาพูดเสียงกระซิบ “เราไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำ”

คำพูดของเหมันต์เล่นเอาอดีตนักร้องดังหน้าชาและเมื่อทบทวนดูก็พบว่าเป็นดังที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ ทั้งเขาทั้งคุณเหมันต์ไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำแต่กลับมีความสัมพันธ์คลุมเครืออธิบายไม่ได้

เขาดีใจทุกครั้งที่ตื่นมาเห็นคุณเหมันต์อยู่ในสายตา แม้ใบหน้าคมคายที่ดูดุดันจนน่ากลัวนั้นจะไม่ยิ้มในบางทีแต่เขาก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายหวังดีกับตัวเองขนาดไหน

“ฉันทำตัวแย่ๆ ด้วยการเข้าไปบงการชีวิตเธอหลายๆ อย่างที่ฉันคิดว่าดี ฉันพยายามช่วยเธอแต่ไม่เคยถามเธอสักคำว่าอยากให้ฉันช่วยรึเปล่า”

ไม่จริงสักหน่อย…

จ้าวทักท้วงในใจแต่ก็ไม่ได้พูดขัดเพราะรู้ว่าคุณเหมันต์ยังพูดไม่จบ

“ฉันยอมรับนะว่าทีแรกฉันสนใจเธอในฐานะของแฟนคลับ ฉันชอบเธอตอนร้องเพลง เธอไม่รู้หรอกว่าตัวเองมีสเน่ห์ขนาดไหนตอนที่เปล่งประกายบนคอนเสิร์ต มันทำให้อารมณ์หงุดหงิดของฉันหายเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะ แค่เธอยิ้มครั้งเดียวทุกอย่างก็เหมือนสว่างไสวขึ้นมา มันทำให้ฉันโคตรชอบเธอเลย”

เหมันต์หัวเราะในลำคอเมื่อนึกถึงความหลัง “แต่พอเธอตกต่ำมันก็ทำให้ฉันรู้สึกแย่จนทนไม่ได้ ต่อให้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ฉันก็มั่นใจว่าเธอไม่ได้ทำ ฉันพยายามจะหาทางช่วยเธอตั้งแต่ตอนที่คดีดังๆ แล้ว แต่ก็มันก็เกินความสามารถของฉันเกินไป”

จ้าวผละออกจากแผ่นหลังหนาเหลือบมองไหล่กว้างที่ดูแข็งแกร่งจนสามารถยืนหยัดได้ตลอดกาลแม้ว่าโลกจะถล่มลงมา นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่คุณเหมันต์เล่าถึงสาเหตุที่ยอมช่วยเขาออกมา ที่ผ่านมาเขาไม่เคยถามเพราะมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง อยู่กับความทุกข์ทรมานที่กัดกินจิตใจไม่หยุด แต่พอได้มีโอกาสสังเกตดูดีๆ ก็พบว่าคุณเหมันต์ช่างใจดีกับเขาเหลือเกิน
ดีจนจ้าวไม่แน่ใจนักว่าตัวเองจะหาคนที่ดีกับตัวเองขนาดนี้ในชีวิตได้อีกไหม

“ฉันไม่สามารถเอาทุกอย่างที่ฉันมีในมือไปเสี่ยงได้ ฉันยังต้องเลี้ยงคน ทุกคนยังต้องการเงินในการใช้ชีวิต ถ้าเกิดฉันทำพลาดขึ้นมา ทุกคนคงไม่วายอดตายกันหมด”

เหมันต์ก็ยังคงเป็นเหมันต์ ไม่คิดจะนำเรื่องส่วนตัวที่แสนสำคัญมาทำทุกอย่างที่ใช้เวลาทั้งชีวิตในการสร้างขึ้นมาให้พังทลาย เป็นหมาป่าผู้เป็นจ่าฝูงและรักสันโดษคอยรักษาสันติสุขในอาณาเขตของตัวเอง

“แต่พอมีโอกาสในการช่วยเธอขึ้นมา ฉันก็อดที่จะเสี่ยงด้วยไม่ได้” นัยน์ตาสีเทาที่ซ่อนหลังเปลือกตาสั่นระริกไม่ใช่เพราะความทุกข์ตรมแต่เป็นเพราะความตึงเครียดแกมรู้สึกผิดที่ใช้อำนาจของตัวเองในทางที่มิชอบ ขืนเรื่องของเขากับจ้าวแดงขึ้นมาคงไม่วายโดนหาว่าให้ความช่วยเหลืออาชญากรและปัญหาอีกล้านแปดก็คงตามมาให้ปวดหัว

“เรื่องของฉันก็มีแค่นั้น ฉันช่วยเธอเพราะอยากช่วยและหลังๆ ฉันก็ยุ่งกับเธอมากเกินไปจนเธอน่าจะรำคาญ ฉะนั้นฉันจะให้ระยะห่างกับเธอ”

“ผมไม่ได้รำคาญสักหน่อย”

“ไม่ต้องโกหกหรอกจ้าว ฉันไม่ใช่คนรู้จักของเธอด้วยซ้ำ เธอไม่ต้องเกรงใจที่จะต้องพูดความจริงหรอก”

“ผมไม่ได้โกหก ผมจะไม่ดื้อกับคุณแล้ว ผมสัญญา” จ้าวงอแงพยายามรั้งตัวเหมันต์ที่จะเดินหนีออกจากห้อง “แค่อย่าทิ้งผมก็พอ”

เหมันต์ถอนหายใจเฮือกใหญ่รวบตัวจ้าวขึ้นมาอุ้มอย่างง่ายดายและนำกลับไปวางบนเตียง ก่อนที่ตัวเองจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ และจับข้อเท้าของจ้าวขึ้นมาดู “หายเจ็บรึยัง”

รอยช้ำม่วงจางๆ ที่ยังหลงเหลือทำให้ใบหน้าคมขมวดคิ้วมุ่นไม่พอใจนัก

“หายแล้วครับ” จ้าวยิ้มจนตาหยี “คุณเหมันต์จะไม่ทิ้งผมใช่ไหม”

เหมันต์ครางอืมในลำคอก่อนที่จ้องจ้าวนิ่งจนจ้าวนั่งหลังตรงเกร็งๆ กลืนน้ำลายเอือกอย่างประหม่าเพราะอ่านอารมณ์คุณเหมันต์ไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“บอกตามตรงว่าตอนนี้ฉันไม่ได้มองเธออย่างซื่อตรงสักเท่าไหร่”

จ้าวกระพริบตาปริบงุนงง “หมายความว่ายังไงครับ”

“เธอไม่ใช่เด็ก จ้าว ฉันรู้ว่าเธอรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร”

ใบหน้าของจ้าวจึงค่อยๆ ขึ้นสีแดงก่ำ “ผมไม่เข้าใจ”

“อย่าทำให้ฉันหงุดหงิดนักสิ” เหมันต์ขมวดคิ้วพ่นลมหายใจพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง “ฉันพูดไม่ค่อยเก่งหรอกนะ”

ยังไม่ได้ทันได้ถามอะไรต่อ จ้าวก็ถูกร่างสูงใหญ่ขึ้นคร่อม นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างเมื่อพบว่าคุณเหมันต์ได้กลายเป็นเหมือนวันนั้นไปแล้ว! หมาป่าคลุ้มคลั่งที่ถูกกักขังเอาไว้อย่างยาวนานกำลังเริ่มจะเริ่มมื้ออาหารของตัวเองด้วยการจับเหยื่อที่ถูกใจกิน แววตาสีเทามองสีหน้าของจ้าวอย่างขบขันก่อนที่จะซุกไซร้คอขาวที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ

“..คุณ คุณเหมันต์”

จ้าวหน้าแดงเถือกพยายามดันหัวเหมันต์ออก หนวดที่ทิ่มแทงคอนั่นจั๊กจี้แต่ขณะเดียวกันก็ชวนให้รู้สึกวาบหวามเช่นกัน

“..จะทำอะไร อื้อ”

ร่างผอมสะดุ้งเฮือกเมื่อโดนขบเม้มต้นคอ สัมผัสชื้นแฉะที่อุ่นร้อนทำเอาจ้าวแทบไม่กล้าลืมตามองหน้าเหมันต์ มือที่จับหัวสั่นระริก รู้สึกคล้ายกับเห็นหูหมาป่าโผล่พ้นขึ้นมาเหนือกลุ่มผมสีดำ

“หวา! ผมเข้าใจแล้ว! ผมเข้าใจแล้ว!”

จ้าวร้องลั่นเมื่อโดนเลิกเสื้อขึ้นแล้วคุณหมาป่าก็มุดหัวเข้าไปคลอเคลียบริเวณหน้าอก ทำท่าเหมือนจะกัดจนจ้าวสติแตกถอยกรูดจนหลังชนหัวเตียง

“หึๆ”

“ไม่ตลกเลยนะครับ” จ้าวกอดตัวเองมองเหมันต์ด้วยสายตาไม่สบอารมณ์นัก สภาพร่างกายเขาตอนนี้แทบดูไม่ได้เลย ดีหน่อยที่คุณเหมันต์ไล่บอดี้การ์ดไปตั้งนานแล้วไม่อย่างงั้นเขาคงไม่รู้ว่าตัวเองจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

“สรุปแล้วรังเกียจไหมล่ะ” เหมันต์ยิ้มละมุนขณะที่จัดคอเสื้อตัวเองให้กลับมาเรียบร้อยอีกครั้ง “ฉันคิดกับเธอแบบนั้นนั่นแหละ แต่ถ้าเธอรังเกียจฉันก็บอกมาตรงๆ ไม่ต้องเกรงใจ ฉันจะได้เว้นระยะห่างให้เธอก่อนที่อะไรๆ มันจะเลยเถิดไปมากกว่านี้”

“ผม..” จ้าวหน้าแดงก้มหน้างุดพูดเสียงเบา “ไม่ได้รังเกียจ”

“ไม่ต้องโกหกฉันหรอกจ้าว” เหมันต์ขยับเข้าไปใกล้จ้าวแล้วลูบหัวอย่างเอ็นดู “พวกโอเมก้ามักจะหวั่นไหวง่ายเวลาได้กลิ่นพวกอัลฟ่า ช่วงนี้ฉันก็เพิ่งรับฮอร์โมนอัลฟ่ามาพอดี”

“จริงสิ ผมมีเรื่องจะถามคุณเหมันต์มาตั้งนานแล้ว” จ้าวเงยหน้ามองใบหน้าคมคายที่ยิ้มนิดๆ ให้ตัวเองเหมือนทุกครั้ง รู้สึกอุ่นวาบในอกจนอดยิ้มตามไม่ได้ “ทำไมคุณเหมันต์ต้องรับฮอร์โมนอัลฟ่าด้วย”

ทีแรกจ้าวนึกว่ารอยยิ้มของคุณเหมันต์จะหายไปแต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น เหมันต์ยังคงยิ้มให้เขาแม้ว่านัยน์ตาสีเทานั่นวูบไหวนิดๆ เมื่อต้องเล่าความลับของตัวเองออกมา

“ฉันเป็นเบต้า”

จ้าวเบิกตากว้างเผลอหลุดปากพูดโดยไม่รู้ตัว “ไม่จริงใช่ไหมครับ”

“จริงสิ” เหมันต์หัวเราะในลำคอจับหัวจ้าวโคลงไปมา “ถ้าเป็นอัลฟ่าอยู่แล้วฉันจะรับฮอร์โมนอัลฟ่าทำไมล่ะ ฉันก็เหมือนกับเธอนั่นแหละจ้าว กินยาระงับฮอร์โมนเพศหลักตัวเองแล้วก็รับฮอร์โมนของเพศอื่น เธอรับของโอเมก้าจนกลายเป็นโอเมก้าได้สำเร็จ ส่วนฉันก็แค่ยังอยู่ในช่วงดำเนินการเท่านั้น ไม่ไปไหนสักที ทั้งๆ ที่ก็ทำมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว”
   
“..ผมขอโทษที่ถาม”
   
ถึงแม้ใบหน้าของเหมันต์จะมีรอยยิ้มแต่จ้าวก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าล้ำลึกที่ซุกซ่อนอยู่ เขากับคุณเหมันต์ก็เหมือนกัน เสแสร้งโกหกคนอื่นจนกลายเป็นเรื่องปกติ แสดงออกว่าไม่เจ็บปวดแต่ความจริงแล้วเจ็บปวดมาก
   
“ไม่ต้องขอโทษหรอก มันเป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว” เหมันต์เหม่อนิดๆ เมื่อนึกถึงความสำเร็จของตระกูลกิลลาสที่มักจะเกิดจากเหล่าผู้นำอัลฟ่าที่แสนจะเก่งกาจ ไม่มีใครสักคนที่เป็นเบต้าธรรมดาที่ขึ้นแท่นความสำเร็จได้ ส่วนเขานั้นไม่นับเพราะถูกซุกซ่อนไว้เบื้องหลังพร้อมกับคำโป้ปดว่าเป็นอัลฟ่าพิเศษที่พ่อเขาสร้างเอาไว้
   
เขามันก็แค่หุ่นเชิดในคราบเบต้าเท่านั้น
   
“มีอะไรเล่าให้ผมฟังได้นะ”  จ้าวดึงมือเหมันต์ไปจับแน่นพยายามให้กำลังใจที่มีอยู่น้อยนิดของตัวเองให้กับอีกฝ่าย
   
เหมันต์ไม่ได้ตอบมองหน้าจ้าวนิ่งก่อนจะก้มลงไปจูบโดยไม่ลังเล บดเบียดริมฝีปากตัวเองกับริมฝีปากของจ้าวอย่างรุนแรงด้วยความมันเขี้ยว พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่กลืนกินเหยื่อตรงหน้าทั้งตัวในคำเดียว ในหัวที่มักจะปราดเปรื่องอยู่เสมอคิดอะไรไม่ออกนอกจากคำว่าน่ารัก
   
จ้าว.. น่ารักกว่าที่เขาคิดเสียอีก
   
สัญชาตญาณสัตว์ป่าในตัวเหมันต์กำเริบโดยไม่รู้ตัว ความเก็บกดที่สั่งสมมานานปะทุออก หมาป่าวัยฉกรรจ์หลุดออกจากพันธะที่รัดคอเสียแล้ว มันกำลังจะกินกระต่ายตัวน้อยที่เผลอเข้ามาอาณาเขตโดยไม่ตั้งใจ
   
“อื้อ …คุณเหมันต์”
   
ร่างผอมเบิกตากว้างพยายามขัดขืนแต่ก็ไม่สามารถสู้เรี่ยวแรงมหาศาลได้ไหวเลยได้แต่ยอมโอนอ่อนตามการชักจูงของอีกฝ่าย แขนสองข้างยกขึ้นโอบรอบคอคุณเหมันต์โดยไม่รู้ตัวอีกทั้งยังขยับศีรษะเพื่อสัมผัสล้ำลึกขึ้น
   
จ้าวรู้ตัวว่าตัวเองควรจะขัดขืนแต่ลึกๆ กลับไม่อยากขัดขืนด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่สามารถเข้าใจได้ เหมือนปีศาจร้ายที่ซุกซ่อนอยู่ในใจกระซิบอยู่ข้างหูตลอดเวลาว่า ‘ถ้าเป็นคุณเหมันต์ล่ะก็ไม่เป็นอะไรหรอก’
   
เรื่องทั้งหมดจึงเลยเถิดขึ้นเรื่อยๆ เพียงพริบตาเดียวจ้าวก็พบว่าตัวเองอยู่ในสภาพกึ่งเปลือยเปล่าเหลือเพียงกางเกงขาสั้นที่กำลังจะถูกมือหนาดึงออกไปให้พ้นทาง
   
“คุณ..เหมันต์”
   
จ้าวจับมือซุกซนที่ตอนนี้น่าจะสำรวจร่างของตัวเองครบหมดแล้วให้หยุดเพียงครู่ นัยน์ตาโศกจดจ้องดวงตาหมาป่าที่ตอนนี้มีสติอยู่ครึ่งเดียวพอกัน
   
“หืม..?”
   
แววตาสีเทาขุ่นมัวไม่พอใจนัก เลียริมฝีปากแห้งผากก่อนจะคำรามต่ำๆ ในลำคอเชิงประท้วง
   
“ชอบผมบ้างไหม..”
   
“ชอบสิ” เหมันต์ตอบโดยไม่ต้องคิด
   
แน่นอนว่าพอได้ยินดังนั้นจ้าวก็ยิ้มจนตาหยีหัวเราะแผ่วเบา ยอมปล่อยมือจากมือซุกซนปล่อยให้ตัวเองโดนสำรวจต่อไปโดยไม่อิดออดอีก
   
“ผมก็ชอบคุณเหมันต์เหมือนกัน”
   
“…”
   
เหมันต์ชะงักกึก ประโยคของจ้าวราวกับค้อนหนักๆ ที่ทุบหัวทีเดียวสติกลับมาแจ่มชัด รีบผละออกมาจากจ้าวราวกับต้องของร้อน ดึงตัวเองออกมาจากท่าทางหมิ่นเหม่ที่กำลังจะจับจ้าวกินทั้งตัว
   
ไอ้เหมันต์เอ๊ย มึงมันหื่นกาม
   
เหมันต์ตำหนิตัวเองในใจอย่างหงุดหงิด อาการปวดหนึบทรมานบริเวณช่วงล่างบอกได้ดีเลยว่าถ้าขืนเขายังไม่ได้สติต่อไป รับรองได้เลยว่าจ้าวคงจะไม่ได้อยู่ในสภาพดีแบบนี้แน่
   
“คุณเหมันต์..?”
   
เจ้าของชื่อมองจ้าวแล้วกลืนน้ำลายเอือก สภาพของจ้าวตอนนี้ดูไม่จืดจริงๆ นัยน์ตาโศกนั้นฉ่ำเยิ้ม ผิวที่ขาวสะอาดตาตอนนี้แดงก่ำไปทั้งตัวโดยเฉพาะบริเวณหน้าอกที่เป็นรอยกัดของเขาอย่างชัดเจน ไหนจะกางเกงที่ถูกดึงออกมาจากเรียวขาได้ครึ่งหนึ่งทำให้ปิดบริเวณช่วงกลางลำตัวได้อย่างหมิ่นเหม่ไม่สมหน้าที่ของกางเกงอีก
   
“บัดซบ!” เหมันต์สบถรู้สึกอยากต่อยตัวเองเหลือเกิน เขาหน้ามืดตามัวจะจับจ้าวกินโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจ้าวคิดแบบเดียวกับเขาหรือเปล่า ถึงจ้าวจะดูโอนอ่อนตามเขาก็เถอะ แต่ใครจะไปรู้ว่าหลังจากที่เขาทำมันไปแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น ขืนจ้าวสติแตกรับไม่ได้ มันคงจะเป็นตราบาปในใจเขาไปจนวันตาย
   
“ฮื่อ พี่เหมันต์”
   
เป็นครั้งแรกที่เหมันต์รู้สึกเหมือนน้ำตาตกใน
   
เขาอยากกินเนื้อหวานๆ ตรงหน้าแทบตายแต่ก็ทำไม่ได้ จ้าวแค่ชอบเขาไม่ได้หมายถึงรักเขาจนยอมให้เขาบดขยี้ตามอำเภอใจ เขารู้ตัวดีว่าตัวเองถ้าหากได้กินแล้วจะตะกละตะกลามจนจ้าวไม่พอใจแน่ๆ
   
“ครับ น้องจ้าว”
   
เหมันต์ตอบรับเสียงแผ่ว
   
รู้สึกเสียดายจากใจจริงที่สุดท้ายวันนี้ก็จบลงที่เขาทำให้จ้าวสบายตัวก่อนที่จะไปจัดการตัวเองในห้องน้ำนับชั่วโมง
   
เขาเสียดายมากจริงๆ

========

ยังไม่ให้กินน้องนะ คนเขียนใจร้าย 55555555  :katai5:
   
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 23 : ห้อง ตัดขาด p.4 (10/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 10-06-2018 11:23:08
สงสารคุณเหมันต์เลย อดทนไว้นะคะ 55555
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 23 : ห้อง ตัดขาด p.4 (10/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 10-06-2018 17:28:21
คุณเหมันต์ลงแดงแน่ๆงานนี้
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 23 : ห้อง ตัดขาด p.4 (10/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-06-2018 18:22:46
ให้คุณพี่ได้กินเถอะค่ะ อร๊ายยยย
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 23 : ห้อง ตัดขาด p.4 (10/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 11-06-2018 10:16:07
จะรอดูจุดจบของจันทร์
ถึงจะพ่อแม่รังแกจันทร์ .. แต่คนเลวก็ต้องชดใช้กรรมชั่ว

อย่าจบแบบจันทร์สำนึกผิดแล้วทุกอย่างดีงามนะคะ
มันไม่แฟร์กับจ้าวเลยจริง ๆ
แฝดบ้าอะไร ทำร้าย ทำลายคู่แฝดตัวเอง :katai4:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 23 : ห้อง ตัดขาด p.4 (10/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 11-06-2018 15:20:18
ถถถถถถถถ

หมาป่าได้แต่ดมกระต่าย 5555555555555
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 23 : ห้อง ตัดขาด p.4 (10/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: fxxg0430 ที่ 12-06-2018 23:50:36
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:

ในที่สุดคุณเหมันต์ก็เผยร่างหมาป่า งื้อ เขินๆ ใจไม่ไหวแล้ว แงงงงง น้องจ้าวรู้ก เอาตัวใส่พานถวายพี่เขาเลยดีไหม กลิ่นเนื้อนี่มันหอมจริงๆเลย ลืมเรื่องไล่ฆ่ากันไปเลยเนี่ย 55555
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 24 : ไหว้แม่สะใภ้ p.4 (16/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 16-06-2018 14:29:36
ตอนที่ 24
   

เมื่อเวลาเช้ามาเยือนสติก็หวนกลับคืนสู่จ้าวครบร้อยเปอร์เซ็น ไม่มีขาดเกิน จ้าวนั่งอึ้งอยู่คนเดียวห้องเป็นชั่วโมงกับการกระทำน่าอายที่เผลอไปทำกับคุณเหมันต์เข้าซะได้
   
จ้าวยอมรับว่าตัวเองมีความรู้สึกดีๆ ให้กับคุณเหมันต์แต่ก็ยังไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น
   
และแน่นอนว่าเหตุการณ์เมื่อวานนั้นเล่นเอาจ้าวไม่กล้ามองหน้าคุณเหมันต์ที่ไม่รู้ว่าหายไปไหนตั้งแต่เช้า สัมผัสอุ่นร้อนเนิบช้ายังชัดเจนในความทรงจำ ยิ่งตอนไปอาบน้ำส่องกระจกเห็นร่องรอยต่างๆ ตามร่างกายก็รู้สึกเหมือนจะเป็นลมให้ได้เพราะมันเยอะมากจริงๆ โดยเฉพาะเวลาหน้าอกเขาที่ยังแดงก่ำเหมือนเพิ่งโดนกัดไปอีกรอบ
   
“เฮ้อ”
   
จ้าวพรูลมหายใจนวดขมับตัวเอง ถึงเวลาแล้วล่ะมั้งที่เขาต้องยอมรับความรู้สึกของตัวเองว่าชอบคุณเหมันต์ ใช่ เอาเข้าจริงเมื่อวานเขารู้ว่าคุณเหมันต์หมายถึงอะไรแต่ก็ทำไขสือ ทำเป็นไม่รู้เพราะยังกลัวว่าคุณเหมันต์จะไม่ได้คิดแบบเดียวกัน เขากลัวว่าถ้าโดนล่วงรู้ความคิดตัวเองแล้วถ้าโดนปฎิเสธด้วยความรังเกียจ

ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาคงจะเจ็บจนทนไม่ไหวแน่ๆ

นัยน์ตาโศกวูบไหวนิดๆ เมื่อมานั่งครุ่นคิดถึงสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมด ทั้งเหตุผลที่ทำให้เผลอไปชอบคุณเหมันต์ที่เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเกิดขึ้นตอนไหน เพราะรู้ตัวอีกทีก็มีแต่คุณเหมันต์อยู่ในหัวแล้ว มีแค่คุณเหมันต์ที่ยอมอยู่กับเขาตอนที่ตกต่ำถึงขีดสุด มีแค่คุณบเหมันต์ที่ยอมช่วยประคับประคองเขาไม่ให้บ้าไปซะก่อน มีแค่คุณเหมันต์ที่จะไม่ปล่อยให้เขาตายอย่างโดดเดี่ยว
ในตอนนี้เขามีแค่คุณเหมันต์จริงๆ ไม่สิ ในชีวิตตอนนี้ด้วยซ้ำ

เขาจินตนาการไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าถ้าไม่มีคุณเหมันต์ ตอนนี้เขาจะยังมีลมหายใจอยู่หรือเปล่า เขาอาจจะบ้าไปแล้วตั้งแต่ในคุกหรืออาจจะกระโดดฆ่าตัวตายและอย่างแย่ที่สุดคือเขาอาจจะตายในโปรเจคบ้าๆ ที่กำลังดำเนินอยู่ในสหรัฐอเมริกา

ถึงแม้เขาเพิ่งจะมาอยู่กับคุณเหมันต์ได้ไม่ถึงเดือนแต่ก็รู้สึกเหมือนมีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน ทั้งเรื่องของจันทร์ทั้งเพลงทั้งครอบครัว อะไรมากมายที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตคนๆ นึงถาโถมใส่เขาและในชั่วพริบตาเขาก็แหลกสลายป่นเป็นธุลี มีเพียงมือคู่เดียวเท่านั้นที่โอบกอดเขาแน่น ไม่ให้ลมพายุพัดฝุ่นไร้ค่าอย่างเขาให้หายไป ซึ่งต่อให้เขาโดนพัดไปก็คงไม่มีใครใส่ใจนักเพราะธารน้ำแห่งเวลาจะพัดเขาให้หายไปจากความทรงจำของผู้คนเอง

“ฮึก”

จ้าวสะอื้นเริ่มคิดถึงคุณเหมันต์ขึ้นมา เขาไม่น่าคิดถึงเรื่องเก่าๆ เลยเพราะมันทำให้เจ็บปวดจนทนแทบไม่ได้ ความสุขที่เคยมีจนมากล้นไม่ได้ช่วยให้ความทุกข์ตอนนี้มันเจือจางเลยสักนิด หนำซ้ำยังคล้ายกับเติมเชื้อไฟจนเขาเหมือนถูกความทุกข์ทรมานเผาทั้งเป็น

มันเป็นเพลิงที่ไม่ได้ทำให้เจ็บหรือปวดแสบปวดร้อนแต่ก็สามารถทำให้เขาเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส นัยน์ตาโศกรื้นด้วยน้ำตาก่อนจะหยิบปึกกระดาษเอสี่สำหรับใช้แต่งเพลงออกมาแต่งต่อ อย่างไรก็ตามอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตจ้าวก็คือบทเพลง มันเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้จ้าวตัดสินใจกระเสือกกระสกอยู่ต่อแม้ว่าจะเจ็บเจียนตายทุกเชื่อเมื่อวัน

จ้าวหลงใหลในเสียงเพลงจนเรียกได้ว่ามันคือส่วนหนึ่งของร่างกายที่ขาดไม่ได้ ถ้าหากเป็นอุดมการณ์ของจ้าวคนก่อนก็คงเป็นเรื่องการอุทิศตัวให้กับวงการเพลงไปจนตาย การประสบความสำเร็จในช่วงที่อายุยังน้อยก็เหมือนพิษร้ายมันแทรกซึมและคอยกระตุ้นให้จ้าวทุ่มทุกอย่างของตัวเองลงไปกับบทเพลงเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดแม้ว่าบางครั้งผลตอบรับที่ได้กลับคืนมาจะไม่ได้เป็นดังที่คิดก็ตาม

มือผอมเขียนเนื้อเพลงอย่างคล่องแคล่วพร้อมกับฮัมทำนองเพลงในลำคอ ไตร่ตรองครุ่นคิดพยายามคัดสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดมาใส่ในบทเพลงของตัวเองที่ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจจะเผยแพร่สู่สาธารณะ แต่ก็พยายามอย่างมากที่จะทำให้มันดีที่สุด

เพราะมันเป็นเพลงที่เขาจะแต่งให้กับ ‘คุณเหมันต์’



งานประชุมด่วนถูกจัดขึ้นอย่างลับๆ ในโถงประชุมโรงแรมหรูแห่งหนึ่งใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร ผู้คนในระดับบนที่ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและสังคมล้วนมางานนี้กันหมดโดยไม่กล้าอิดออด

เพราะผู้ที่เชื้อเชิญมานั้นคือพลตำรวจเอกโลกันต์ อังศุชวาล นายตำรวจอัลฟ่าที่ขึ้นชื่อด้านความเถรตรงและโหดเหี้ยมเย็นชาเป็นที่สุด ตำแหน่งพลเอกที่ได้มานั้นไม่ใช่เพราะเส้นสายแต่เป็นเพราะความสามารถ ในระยะเวลาไม่ถึงสิบห้าปีก็สามารถพาตัวเองขึ้นมาอยู่ในจุดสูงสุดของการเป็นตำรวจ นับว่าเป็นอีกหนึ่งคนที่น่าจับตามองและต้องระวัดระวังในการวางตัวไม่เช่นนั้นก็อาจจะโดนสงสัยและเพ่งเล็งได้ง่ายๆ

เสียงเปียโนที่ดังอย่างนุ่มนวลด้วยทำนองออกอันแปลกหูทำให้เหล่าผู้คนในงานผ่อนคลายลง ถึงแม้งานจะถูกจัดขึ้นมาอย่างหรูหราในระดับหนึ่งเพื่อรองรับเหล่าอัลฟ่าหัวสูงแต่มันก็ไม่ได้ชวนให้หายใจได้ทั่วท้องอยู่ดี รอยยิ้มที่ปรากฎบนใบหน้าผู้คนในงานล้วนเป็นการเสแสร้งเพื่อเข้าสังคม ในหัวพวกเขาซุกซ่อนความวิตกกังวลเพราะไม่รู้ว่าพลตำรวจเอกจะประกาศอะไร พวกเขาเหล่านี้ล้วนมีชนักติดหลังกับอยู่ไม่มากก็น้อย ทั้งในเรื่องการงานและการกระทำตัวต่อพวกโอเมก้า ที่ทางรัฐบาลพยายามรณรงค์ในความเท่าเทียมพอเป็นพิธี

แต่ไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้นว่าคนที่กำลังเล่นเปียโนอยู่นั้นเป็น ‘เวส อังศุชวาล’ ภรรยาโดยพฤตินัยและนิตินัยของพลเอกโลกันต์ ใบหน้าอ่อนเยาว์น่ามองนั้นมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับในขณะที่กำลังพรมนิ้วบนคีย์บอร์ด ท่วงทำนองอันไพเราะสร้างบรรยากาศทำให้เหล่าไฮโซหนุ่มสาวรู้สึกเจริญอาหารมากขึ้นแม้ว่าจะกินไปเพียงไม่กี่คำก็ตาม ไวน์แดงและค็อกเทลก็คล้ายกับละมุนลิ้นขึ้นอย่างน่าประหลาด

นี่นับเป็นความสามารถอันน่าชื่นชมของภรรยาของพลเอกโลกันต์ โอเมก้าหนุ่มที่พกความผิดแผกมาไว้กับตัวมาตั้งแต่เกิด เส้นผมสีขาวเผือกเข้ากันดีกับนัยน์ตาสีทองประหลาดที่ทางคณะแพทย์ยังหาสาเหตุของการเกิดไม่ได้ อาการของเวสนั้นคล้ายกับพวกผิวเผือกเพียงแต่ก็ไม่ใช่เพราะยังสามารถดำรงชีวิตได้อย่างเป็นปกติ ไม่มีการอ่อนแอแพ้แดดหรือป่วยง่ายแต่อย่างใด

และเป็นที่รู้กันเองอีกที่ว่าพลตำรวจเอกรักและหึงหวงภรรยามาก อีกทั้งยังค่อนข้างจะเคร่งครัดกับกฎหมายใหม่ที่เพิ่งออกที่ว่าด้วยสิทธิ์ความเท่าเทียมของพวกโอเมก้า ถ้ามีคดีไหนเกี่ยวกับการข่มเหงข่มขู่โอเมก้าหลุดไปอยู่ในพลตำรวจเอกเป็นอันรับรองได้เลยว่าคนผู้ที่กระทำผิดคนนั้นชะตาขาดแล้ว

เงินมากมายก็ไม่อาจผ่อนปรนจนสามารถลบข้อกฎหมายทิ้งได้ หากกฏหมายอันศักดิ์สิทธิ์ยังดำรงอยู่พลเอกตำรวจเอกโลกันต์ก็จะเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อที่ทุกคนในสังคมจะสามารถดำรงชีวิตอย่างสงบสุข

หากแต่สิ่งที่พลตำรวจเอกทำอยู่นั้นก็เป็นเพียงการตบขึ้นมาข้างเดียว มันไม่สามารถแก้ไขอะไรได้มากมายนัก เป็นเพียงฟั่นเฟืองที่ขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อยแต่ก็ไม่สามารถทำให้ระดับชนชั้นที่หลอมเป็นเนื้อเดียวกับสังคมจะเปลี่ยนไปแต่อย่างใด ระบบชนชั้นอันโหดร้ายต่อให้โอเมก้าก็ยังคงดำเนินต่อไปและผู้ที่โชคไม่ดีพอก็มักจะตายไปก่อนโดยความไม่เต็มใจ

แน่นอนว่าร่างสูงที่ยืนจิบไวน์เงียบๆ อยู่บริเวณหน้าห้องก็เป็นอีกคนหนึ่งที่หวังจะเปลี่ยนแปลงระบบอันโหดร้ายนี้ให้มันดีขึ้นมาสักนิดก็ยังดี ใบหน้าคมคายแสดงสีหน้าไร้อารมณ์เย็นชาไม่ตอบรับสายตาไหนที่พยายามส่งมาให้ตัวเองอย่างประเจิดประเจ้อทั้งจากเหล่าอัลฟ่าสาวไฮโซและโอเมก้าที่โดนหนีบมากับอัลฟ่าด้วย

เพื่อไม่ให้รู้สึกหงิดหงิดไปมากกว่านี้ เหมันต์ตัดสินใจหลับตาและตั้งใจฟังเสียงเปียโน ความนุ่มนวลของบทเพลงชวนให้คิดถึงคนที่บ้านที่น่าจะชอบฟังเพลงนี้เหมือนกัน

“…”

เหมันต์เริ่มคงสีหน้าเย็นชาไม่อยู่เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อวานจนถึงเมื่อเช้าที่เขาเผลอฟัดจ้าวไปรอบนึงอย่างอดไม่ได้ ใครใช้ให้ฮอร์โมนโอเมก้าของจ้าวจะรุนแรงขึ้น กลิ่นฟีโรโมนอ่อนๆ นั้นจึงได้กระตุ้นเขาจนลืมตัว

ให้ตายสิ คราวนี้สงสัยเขาต้องพกยาดมหรืออะไรสักอย่างแล้ว ไม่งั้นไม่เกินอาทิตย์จ้าวคงโดนเขาจับกินแน่ๆ โดยเฉพาะช่วงที่เขาเพิ่งรับฮอร์โมนอัลฟ่าด้วย ช่วงนี้เขาจะค่อนข้างพลุ่งพล่านเป็นพิเศษเพราะร่างกายเหมือนจะพยายามปรับตัวให้เข้ากับฮอร์โมนใหม่

“ขอยืนด้วยคนได้ไหมคะ?”

น้ำเสียงหวานไม่คุ้นหูพร้อมกับสัมผัสนุ่มนิ่มที่โดนแขนทำให้นัยน์ตาสีเทาต้องลืมตามองอย่างอดไม่ได้

“ตามสบายครับ”

เหมันต์ตอบเสียงเย็นชาเหลือบมองหญิงสาวอัลฟ่าที่พยายามส่งสายตาให้เขาเมื่อกี้ ตอนนี้ได้รุกไล่เขามาหาเขาแล้ว เดรสสีแดงสดที่ฉีกบริเวณโคนขาอวดน่องขาขาวผ่อง ส่วนสัมผัสนุ่มนิ่มเมื่อกี้..

นัยน์ตาสีเทาดุจหมาป่าหรี่ลงอย่างไม่สบอารมณ์จนหญิงสาวที่ตั้งใจจะมาผูกมิตรเต็มที่เริ่มยิ้มไม่ออก

“มาคนเดียวเหรอคะ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย”

แต่หญิงสาวก็ไม่ละความพยายาม เธอถูกใจเหมันต์ตั้งแต่ที่เขามาในงาน สูทสีเทาเข้ากันดีกับบุคลิกที่ดูเข้าถึงได้ยาก ดูลึกลับมีสเน่ห์จนเธออยากลองเสี่ยงที่จะรุกเข้าหาดู ด้วยใบหน้าของเธอ เธอมั่นใจว่าเธอจะสามารถจับเขาคนนี้ได้เหมือนกับอัลฟ่าคนอื่นๆ ที่ตกลงเป็นของเธอได้อย่างง่ายดาย

เพราะเธอเชื่ออย่างนั้นจึงขยับเข้าไปชิดกับร่างสูงอีกครั้ง ใช้ทรวดทรงที่เหล่าอัลฟ่าชายพร่ำเพ้ออ้อนวอนขอให้เธอกลับไปหาอีกครั้ง

“…!”

แต่แล้วเธอก็ผิดหวังเมื่ออีกฝ่ายเดินหนีไปอย่างหน้าตาเฉย ไม่แม้แต่ปรายตามองราวกับเธอเป็นเพียงเศษเดนไร้ค่าที่ไม่ควรปรายตามอง เธอรู้สึกโกรธจนตัวสั่นแต่ก็พยายามอดกลั้นไว้ มองหน้าชายหนุ่มที่บังอาจปฏิเสธเธอด้วยความกราดเกรี้ยว

และน่าเสียดายที่เป็นเธออีกครั้งที่ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เธอตัวสั่นเทาเมื่อเผลอกับสบกับนัยน์ตาสีเทาที่แสดงความไม่พอใจอย่างปิดไม่มิด ใบหน้านั้นถึงจะดูคมคายมีสเน่ห์แต่ในตอนนี้สำหรับเธอแล้ว มันน่ากลัวราวกับปีศาจร้าย เธอกลัวจนเผลอทำแก้วไวน์ในมือที่ตั้งใจจะเอาไปชนดื่มกับเขาตกแตก เดือดร้อนถึงบริกรหนุ่มที่ยืนอยู่ใกล้ๆ มาเก็บกวาดกันจ้าละหวั่น

ในที่สุดทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง เหมันต์เปลี่ยนมุมยืนไปยืนมุมมืดเงียบๆ คนเดียว ขี้เกียจและเบื่อที่จะเสวนากับใครที่พยายามมาผูกมิตรด้วย ความลับใหญ่หลวงที่ว่าด้วยการเป็นเบต้านั้นเปรียบเสมือนบ่วงที่รัดคอจนหายใจไม่สะดวก คงไม่ดีเท่าไหร่ถ้าเกิดมีใครจับได้ขึ้นมา

เขาจึงต้องทำตัวให้เงียบและกลมกลืนมากที่สุด กลิ่นฮอร์โมนอัลฟ่าอ่อนๆ บนตัวเขาคือน้ำหอมที่เขาบรรจงฉีดมาเพื่อที่จะได้เหมือนอัลฟ่าคนอื่นที่มักจะมีกลิ่นฮอร์โมนจางๆ

ผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็ถึงกำหนดการ ร่างสูงใหญ่ในชุดตำรวจเต็มยศเดินออกมาจากประตูอย่างองอาจบรรยากาศที่แผ่ออกมาราวกับพยัคฆ์ที่กำลังย่างก้าวเดินเพื่อแสดงอาณาเขตของมัน นัยน์ตาสีดำนั้นฉายความอ่อนโยนวูบหนึ่งเมื่อคนรักยิ้มและโบกมือให้ตัวเองเชิงให้กำลังใจ แต่มันก็เป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ เท่านั้นจนแทบไม่มีใครสังเกตเห็น

“ขอบคุณทุกท่านที่มาในวันนี้นะครับ” โลกันต์กล่าวทันทีเมื่อมายืนกลางเวที กวาดตามองคนที่มางานคร่าวๆ ด้วยความรู้สึกไม่พอใจนักเพราะมีคนที่เขาสงสัยหลายคนไม่ได้มา “ผมจะไม่พูดมากเพราะมันไม่ใช่วิสัยของผม ผมรู้พวกคุณยังมีงานอีกมากต้องทำ ฉะนั้นผมจะเข้าเรื่องเลยเพื่อให้ทุกคนระมัดระวังตัวและเสียเวลาน้อยที่สุด”

จอภาพโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ด้านหลังปรากฎภาพอัลฟ่าคนหนึ่งที่ถูกแทงตายในสภาพไม่น่าดูนัก ร่างกายอยู่ในสภาพกึ่งนั่งกึ่งนอนบนใบหน้าถูกเขียนสัญลักษณ์โอเมก้าทับด้วยเลือด ร่างกายช่วงบนนั้นถูกกรีดคล้ายเป็นสัญลักษณ์บางอย่างของกลุ่ม ดูน่าขนลุกและชวนคลื่นเหียนในเวลาเดียวกัน ดีหน่อยที่ภาพไม่ได้เห็นชัดเจนมากนักไม่เช่นนั้นคนขวัญอ่อนหลายๆ คนในห้องคงจะพากันเป็นลม

“อย่างที่พวกคุณเห็น ศพนี้เป็นผลงานของพวกโอเมก้าที่กำลังคิดเรื่องการปฏิวัติ” โลกันต์กล่าวด้วยสีหน้าปกติไม่เปลี่ยนแปลงแม้ภาพด้านหลังตัวเองจะสยองมากก็ตามที “มันเริ่มขึ้นเมื่อประมาณต้นปี พวกโอเมก้ารวมตัวกันเรียกร้องรัฐบาลออกกฎหมายให้โอเมก้ามีชีวิตที่ดีขึ้น แน่นอนว่าทางรัฐบาลของเราก็ทำให้ถึงแม้กระบวนการของมันจะล่าช้าไปครึ่งปี แต่ในที่สุดมันก็ออกมาเป็นรูปกฏหมายให้พวกคุณได้ใช้กัน”

ภาพเบื้องหลังนายตำรวจเปลี่ยนเป็นอีกภาพ เป็นภาพอัลฟ่าอีกศพที่จมน้ำตายในสระส่วนตัว บริเวณใบหน้าถูกกรีดให้เป็นสัญลักษณ์กลุ่มเช่นเดียวกับภาพเมื่อกี้

เริ่มมีเสียงฮือฮาไม่พอใจระคนหวาดกลัวในห้อง เหล่าอัลฟ่าผู้ถือดีในเกียรติ์และศักดิ์ศรีของตนพากันบ่นขรม ลืมความเกรงใจพลเอกโดยสิ้นเชิง

“ผมรู้พวกคุณไม่พอใจในการทำหน้าที่ของผม” สีหน้าของโลกันต์เยือกเย็นแม้ว่าจะได้ยินคำด่าหยาบคายอย่างชัดเจน “ผมยอมรับว่าผมทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอที่จะสามารถพิทักษ์ความปลอดภัยให้พวกคุณตลอดเวลา แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วและผมก็รับประกันไม่ได้ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก แต่ผมคงต้องข้ามเรื่องนี้ไปก่อนเพราะผมมีเรื่องที่สำคัญกว่าจะบอกพวกคุณ”

ฉับพลันภาพเบื้องหลังก็เปลี่ยนเป็นอีกภาพและมันก็สามารถช่วงชิงลมหายใจของทุกคนที่ไม่เคยเห็นภาพนี้มาก่อนทุกคนวูบหนึ่ง มีหญิงสาวหลายคนหรือแม้แต่พวกอัลฟ่าชายที่ท่าทางดูดีกลัวจนเข่าอ่อนทรุดลงไปกับพื้น หวาดกลัวว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเองบ้าง

“ภาพทั้งหมดนี้เป็นภาพจริงที่คนของผมเก็บมาจากที่เกิดเหตุ”

ภาพที่ทุกคนต่างหวาดกลัวนั้นเป็นภาพศพของเหล่าอัลฟ่าเป็นร้อยๆ ภาพที่ถูกนำมารวมกันเป็นเพียงภาพเดียว สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่กำลังคลืบคลานและกำลังจะกลืนกินเหล่าอัลฟ่าในไม่ช้าถ้ายังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง

“สาเหตุที่พวกเขาทำเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะต้องการเรียกร้องความเท่าเทียมที่เคยร้องขอไปครั้งก่อน” โลกันต์ยังคงยืนหยัดพูดได้อย่างนิ่งสงบแม้ในใจลึกๆ จะรู้สึกเจ็บปวด “พวกเราเหล่าอัลฟ่าและรัฐบาลให้ความเท่าเทียมกับพวกเขาก็จริง แต่มันก็เป็นแค่พูดและตัวอักษร มันไม่มากเพียงพอที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตอันทุกข์ทรมานของพวกเขาได้ ทั้งๆ ที่ได้กฎหมายคุ้มครองแล้วแต่พวกเราก็ยังปฏิบัติกับเขาแบบเดิม มันก็ไม่มีประโยชน์หรอกที่จะได้กฏหมายมา”

เหล่าโอเมก้าที่อยู่ในโถงประชุมต่างพากันทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยิน ยิ้มหน้าเฉยกับพวกอัลฟ่าที่รับตนเองเป็นเด็กเลี้ยง ทำท่าทีไม่เจ็บปวดแม้ภายในจะร่ำไห้ ในวัยเด็กชีวิตพวกเขาล้วนทุกข์ทรมานกันทั้งนั้นถ้าไม่ได้ครอบครัวที่เปิดใจและดีมากพอ
“พวกเขาเคยใช้สันติวิธีแล้วแต่ไม่ได้ผล ตอนนี้พวกเขาจึงหันมาใช้ความรุนแรงแทน—“
   
“ก็ฆ่าพวกมันให้หมดสิวะ!” อัลฟ่าคนหนึ่งตะโกนออกมาแม้ว่าจะมีโอเมก้าสาวสวยกอดแขนอยู่ ใบหน้าอวบมีเหงื่อผุดพรายทั้งๆ ที่แอร์ในห้องนั้นเย็นเฉียบ
   
“ใช่! ก็แค่ฆ่าพวกมันซะเรื่องจะได้จบ พวกโอเมก้ามันเป็นตัวอันตราย!”
   
“ฆ่ามันสิ! ขืนวันนี้ฉันตาย แกจะทำยังไง แค่นี้ก็ไม่มีปัญญาตามจับกันแล้ว!”
   
พวกอัลฟ่าเริ่มอยู่กันไม่สุข พวกเขาใช้ชีวิตที่แสนน่าอิจฉามาทั้งชีวิต พวกเขาคงทนไม่ได้ถ้าต้องปล่อยมือจากมันไปเพราะการก่อกบฏของพวกโอเมก้าชั้นต่ำที่ไม่มีค่าพอแม้แต่จะหายใจในโลกใบเดียวกัน
   
“พวกเราจ่ายภาษีมากกว่ามันด้วยซ้ำ! แกต้องปกป้องพวกเราสิวะ”
   
“มีเมียเป็นโอเมก้าแล้วคิดจะลำเอียงรึไงวะ! อย่าคิดว่าฉันจะทำอะไรแกไม่ได้นะ”
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 24 : ไหว้แม่สะใภ้ p.4 (16/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 16-06-2018 14:33:34
ปัง!!!
   
มือหนาทุบลงบนโต๊ะเสียงดังลั่นราวกับอัดความกราดเกรี้ยวทั้งหมดลงไป เหล่าอัลฟ่าปากมากจึงพากันเก็บปากเงียบสงบเสงี่ยมและตัวสั่นเทา
   
เพราะพวกเขาเผลอไปล้ำเส้นกันเสียแล้ว..
   
“ก็เพราะพวกคุณคิดกันแบบนี้ไง ปัญหามันถึงไม่จบไม่สิ้นกันสักที!” แม้จะยังควบคุมอารมณ์ได้ดีแต่น้ำเสียงของโลกันต์กลับเหมือนเสียงของพยัคฆ์ที่กำลังขู่คำรามอย่างกราดเกรี้ยว “เออ ต่อให้ผมฆ่าพวกเขาทั้งหมดปัญหามันก็ไม่จบหรอก คิดเหรอว่าโอเมก้าที่ไม่ได้อยู่ระบบจะยอมให้เราทำแบบนั้น คิดเหรอว่ากับแค่การมีปืนกับอำนาจทหารในมือจะสามารถทำอะไรก็ได้ ถ้าพวกคุณคิดแบบนั้นพวกคุณมันก็แค่เศษสวะ พวกคุณเอาแต่ทำร้ายพวกเขาทั้งๆ ที่พวกเขาก็เป็นคนเหมือนกับคุณ โอเมก้าก็เป็นคน เขาไม่ใช่สัตว์เลี้ยง เขามีคุณค่ายิ่งกว่าหมาแมวที่พวกคุณโปรดปรานซะอีก และที่ผมเรียกรวมตัวพวกคุณวันนี้ก็เพราะจะเตือนให้ระวังตัวกัน ไม่ใช่มาด่าผม คิดเหรอว่าผมไม่พยายามทำงาน ถ้าพวกคุณเก่งกว่าผมกันมากก็มาสมัครเป็นตำรวจแล้วขึ้นมาเป็นพลเอกแทนผม ถึงตอนนั้นจะทำอะไรก็ทำ ผมจะไม่ขัดแม้แต่คำเดียว!”
   
ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งกระชากจนน่ากลัว ความไม่พอใจอัดมวลอยู่ในท้องพร้อมจะระเบิดออกมา ถ้าเกิดยังมีใครกล้าตะโกนด่าทั้งเขาทั้งภรรยาเขาอีก คงจะทนไม่ได้แน่
   
สำหรับโลกันต์แล้วอัลฟ่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่โหดร้าย มีสติปัญญาที่ดีเลิศและพละกำลังที่เหนือกว่าสายพันธุ์อื่นๆ แต่กลับไม่คิดจะให้ความช่วยแต่กลับแต่งตั้งตัวเองให้กลายเป็นชนชั้นปกครอง ช่วงชิงความสะดวกสบายจากชนชั้นอื่นและไล่เหล่าเบต้าโอเมก้าไปทำงานที่ต่ำกว่าตัวเอง
   
“ขยะแขยงว่ะ! มีเมียเป็นโอเมก้าแล้วโง่ตามรึไงวะ ถึงไปช่วยพวกมัน”
   
แต่ก็ยังไม่วายมีคนที่กล้าเถียงขึ้นมา เส้นความอดทนของโลกันต์ขาดผึงแทบจะกระโจนลงจากเวทีลงไปซัดอีกฝ่ายที่กล้าปากดีให้รู้แล้วรู้รอด แต่แน่นอนว่าตำแหน่งพลเอกยังล่ามข้อเท้าเอาไว้อยู่ จึงได้ขบเคี้ยวฟันอย่างกราดเกรี้ยว
   
“ชู่ว ไม่เอา ไม่โกรธนะครับ พี่เสือ”
   
โลกันต์หน้ายู่เมื่ออ่านปากคนรักของตัวเองที่พยายามเรียกร้องความสนใจเขาสุดฤทธิ์ พยายามทำให้เขาอารมณ์เย็นลง ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นฝ่ายโกรธด้วยซ้ำเพราะโดนเหน็บแนมถึงเพียงนั้น
   
เห็นไหมล่ะ ว่าโอเมก้าไม่ได้เลวร้ายซะหน่อย ทำไมผู้คนถึงได้อคติกันนักนะ
   
นัยน์ตาสีดำของพลเอกแม้จะอยู่ดูดุดันต่อผู้อื่นแต่มันก็เคลือบความผิดหวังเอาไว้
   
“เหตุผลหลักที่ผมเรียกพวกคุณมาที่นี่ก็เพื่อให้ระวังตัวเอาไว้และให้ระวังสิ่งนี่ด้วย” มือหนาหยิบขวดน้ำหอมในขวดธรรมดาราคาถูกหาได้ทั่วไปในท้องตลาดขึ้นมาชูให้ทุกคนเห็น “นี่คือน้ำหอมที่พวกโอเมก้าที่พวกคุณรังเกียจนักหนาผลิตขึ้นมา มันมีฤทธิ์ทำให้พวกคุณไม่ได้สติมีอารมณ์ทางเพศเหมือนตอนที่เจอพวกโอเมก้าฮีทใส่ แต่น้ำหอมนี้มันไม่ได้ทำให้คุณมีเรี่ยวแรงกระชุ่มกระชวยขึ้นมา” รอยยิ้มมุมปากโลกันต์ทำเอาคนมองเสียวสันหลังวาบ “ตรงกันข้าม มันจะทำให้คุณอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงเหมือนที่พวกโอเมก้าเป็นเวลาฮีท พวกเขาจะยินยอมให้คุณกระทำย่ำยีตามอำเภอใจเพราะสัญชาตญาณดิบที่ปะทุขึ้นมา แน่นอนเมื่อพวกคุณโดนไอ้น้ำหอมนี้บ้าง พวกคุณก็จะกลายเป็นแค่เหยื่อเชื่องๆ ให้พวกโอเมก้าเลยล่ะ”
   
ไม่ว่าเปล่าเปิดฝาน้ำหอมที่ถูกนำไปเจือจางแล้วออก กลิ่นฟีรีโมนโอเมก้าพวยพุ่งและแพร่กระจายในพริบตา
   
คราวนี้ไม่มีเสียงฮือฮา ทุกคนต่างพากันกลืนน้ำลายเอือก ขนาดยืนอยู่ไกลยังได้กลิ่นฮอร์โมนโอเมก้าอย่างชัดเจน สติปัญญาคล้ายกับถูกมอมเมาให้รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวและแน่นอนว่ามันไม่มีอะไรเลยสำหรับโอเมก้าแม้แต่นิดเดียว
   
“ผมจึงขอประกาศให้ช่วงนี้พวกคุณระมัดระวังตัวให้ดีเพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าพวกโอเมก้าสามารถทำอะไรได้มากกว่าน้ำหอมหรือเปล่า ตอนนี้พวกเราก็พยายามทำงานกันอยากหนักพยายามหาตัวหัวหน้าของกลุ่มกบฎเพื่อหยุดยั้งเรื่องทั้งหมด”
   
ในขณะที่พลตำรวจเอกกำลังพูดชี้แจ้งเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ ประธานหนุ่มวัยกลางคนของบริษัทยักษ์ใหญ่ตระกูลกิลลาสก็ยืนครุ่นคิดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเพราะรับรู้ถึงการระบาดของน้ำหอมโอเมก้าได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว
   
ทั้งๆ ที่พยายามจะค้นหาต้นตอแต่ทุกครั้งที่เข้าใกล้ความจริงก็เหมือนกับว่าหายไปซะเฉยๆ ราวกับมีคนตั้งใจกลบเกลื่อนช่วยเหลือความกลุ่มคนพวกนี้ที่อาศัยอยู่ในซ่องนกพิราบ
   
มีสมมุติฐานหนึ่งที่อยู่ในใจเหมันต์แต่เจ้าตัวก็ไม่อยากจะยอมรับนัก
   
เพราะสมมุติฐานที่ว่านั้นคือเป็นคนของเขาเองที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ ตลาดซ่องนกพิราบคือตลาดกลางแลกเปลี่ยนสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ การจะกระจายสินค้าสามารถทำได้อย่างง่ายดายถ้าหากคิดจะทำจริงๆ
   
ยิ่งคิดใบหน้าคมคายก็ยิ่งขมวดคิ้วมุ่นจนทำให้ดูน่ากลัว
   
นัยน์ตาหมาป่าดูดุดันจนแทบทำให้คนที่ลอบมองอยู่ไกลๆ หายใจได้ไม่ทั่วท้องด้วยความหวาดกลัวว่าตัวเองทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจอะไรรึเปล่าแต่แน่นอนว่าสำหรับเรื่องทุกอย่างก็ย่อมมีข้อยกเว้น
   
“สวัสดีค่ะ คุณเหมันต์ ไม่ได้พบกันนานเลยนะคะ”

คนที่อยู่ในแวดวงการสวมหน้ากากเข้าสังคมย่อมไม่กลัวและสนใจสีหน้าของอีกฝ่ายที่อยากคุยด้วยนัก สิ่งสำคัญที่พวกเขาสนใจจากคู่สนทนาคือผลประโยชน์เสียมากกว่า

“สวัสดีครับ คุณวิภาดา” เหมันต์ยิ้มนุ่มนวลให้กับหญิงสาวอัลฟ่าวัยกลางคนที่ยังสามารถรักษาใบหน้าอ่อนเยาว์ด้วยวิธีทางการแพทย์ที่เจ้าตัวเชี่ยวชาญและเป็นผู้สอนด้วยตัวเอง เสื้อผ้าที่สวมนั้นเป็นสีขาวปลอดแต่สร้อยและกำไลข้อมือกลับประดับประดาด้วยสีทอง เพชร และอัญมณีราคาแพงสีสันแปลกตา

“ยังรูปหล่อเหมือนเดิมเลยนะคะ” หญิงสาวยิ้มแต่เหมันต์ก็ดูออกว่ามันเป็นการยิ้มตามมารยาท

“ขอบคุณครับ” เหมันต์ยังตอบรับอย่างนุ่มนวลแม้ว่าจะพอเดาสาเหตุที่คนใหญ่คนโตอย่างคุณวิภาดา นฤภัทร ภรรยาของนายแพทย์นพวิทย์ นายแพทย์ชื่อดังที่ถูกตั้งฉายาว่าหมอเทวดาพ่วงด้วยตำแหน่งผู้ถือหุ้นในโรงพยาลเครือนฤภัทรและโรงเรียนนฤภัทรนานาชาติที่เพิ่งถูกเปิดมาไม่กี่ปี่มานี้พยายามเข้าหาตัวเอง

หนึ่งในเหตุผลหลักเหมือนหลายๆ คนก็คือต้องการผูกมิตรกับเขา

ส่วนเหตุผลที่สองก็คือต้องการอะไรจากเขาและคุณหญิงวิภาดา นฤภทัรก็เป็นคนประเภทหลัง
   
“ตอนนี้ทางพี่เนี่ยก็กำลังทำโรงเรียนกันอยู่” แพทย์หญิงยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงน่าฟัง “ถ้าคุณเหมันต์สนใจจะเอาเงินมาลงทุนด้านการศึกษาก็ติดต่อมาได้นะคะ ทางเราคิดค่าผ่านทางไม่แพง ถ้าสนใจยังไงก็ให้ติดต่อมาทางเมลล์ก็ได้นะคะ”
   
“ครับ”
   
เหมันต์ตอบรับเพียงเท่านั้นก่อนจะตอบรับไปตามเรื่องตามราวด้วยอารมณ์ที่ไม่คงที่นัก
   
สิ่งที่ตระกูลนฤภัทรกำลังทำอยู่นั้นคือการรับฟอกเงินผ่านทางสถานศึกษา การนำเงินมาลงทุนกับการศึกษานั้นมีการยกเว้นภาษี พวกคนหัวใสจึงพากันนำผลกำไรมาลงทุนกับธุรกิจโรงเรียนเพื่อให้ผลกำไรทั้งหมดของตัวเองไม่ต้องเสียภาษี นับว่าเป็นการกระทำที่ไม่โปร่งใสนักแต่ก็มีหลายคนที่เลือกที่จะทำอยู่ดี
   
หากแต่สิ่งที่ทำให้เหมันต์หงุดหงิดไม่สบอารมณ์จริงๆ นักกลับไม่ใช่เรื่องนี้
   
แววตาสัตว์ป่าดุดันจนแทบจะฉีกกระชากคนผ่านทางสายตาให้เป็นพันๆ ชิ้นก็คือแววตาของเหมันต์ตอนนี้
   
คนตรงหน้าคือแม่ของจ้าว แม่แท้ๆ แม่ผู้บังเกิดเกล้าให้กำเนิดฝาแฝดคู่หนึ่งออกมา เลี้ยงดูจนโตก่อนจะผลักไสให้ลูกชายคนหนึ่งของตัวเองต้องตายทั้งเป็นด้วยคำหลอกลวงของใครบางคน
   
ทั้งๆ ที่เขารู้จักจ้าวไม่ถึงสิบปีเขากลับเชื่อมั่นว่าจ้าวไม่ได้ทำคดีฆาตกรรมบ้าๆ นั่น แล้วทำไมคนที่เป็นผู้ให้กำเนิดอย่างคนตรงหน้าถึงเลือกที่จะไม่เชื่อ คนเป็นพ่อแม่ควรจะรู้สึกตัวจ้าวดีกว่าคนนอกอย่างเขาด้วยซ้ำ
   
ทำไม?
   
หมาป่าหนุ่มรู้สึกไม่พอใจเอามากๆ คนที่สามารถช่วยเหลือจ้าวได้ถ้าคิดจะทำกลับไม่คิดจะช่วย เหตุผลหนึ่งที่เหมันต์คิดออกคือครอบครัวของจ้าวใช้เวลาอยู่ด้วยกันไม่มากนัก ก็เหมือนกับพ่อของเขาก็ไม่ค่อยมีเวลาให้สักเท่าไหร่ในตอนเด็ก มีแต่แม่ที่คอยดูแลและสอนเรื่องราวต่างๆ ให้เขา
   
ความสัมพันธ์ในครอบครัวนี้คงจะเปราะบางมาก คล้ายกับเส้นเอ็นที่กำลังจะขาดตลอดเวลา ตอนนี้เส้นเอ็นเหลือเพียงหนึ่งเส้นก็คือจันทร์ แต่เขาก็พอจะเดาได้ว่าจันทร์คงจะได้ความรักน้อยพอๆ กัน เพราะเขารู้ว่าคนประเภทนี้ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงเงินตรามากกว่าชีวิตครอบครัว
   
สำหรับเหมันต์แล้วทั้งชื่อเสียงกับเงินตราก็เหมือนเสือร้าย หากคิดจะขึ้นไปบนหลังมันแล้วก็ยากที่จะลงมาเพราะทันทีที่ขึ้นไป ผู้คนรอบตัวก็จะเปลี่ยนแปลงไป ในยามที่มองมักจะมีความชื่นชมและริษยาแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น มีหลายคนที่หลงระเริงอยู่บนหลังเสือและในที่สุดก็โดนมันแว้งกัดจนตาย
   
“คุณเหมันต์เนี่ย ยิ่งดูพี่ก็ยิ่งเสียดาย”
   
อยู่ดีๆ น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่ายเล่นเอาเหมันต์เลิกคิ้วงุนงง
   
แพทย์สาววัยกลางคนที่ยังสวยสดอยู่ถอนหายใจอย่างเสียดาย “นี่ถ้าพี่มีลูกสาวอัลฟ่าสักคนนะ คงจะยกให้คุณเหมันต์ไปแล้ว ทั้งรูปหล่อทั้งหน้าที่การงานดีขนาดนี้”
   
น่าแปลกที่เหมันต์รู้สึกอยากหลุดขำมากเมื่อนึกถึงหน้าคนในห้องที่ใช้นามสกุลนฤภัทรมาเหมือนกัน แต่สีหน้าก็ยังคงความสุขุมไว้อย่างสมบูรณ์แบบ
   
“ครับ” เหมันต์ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ
   
“นี่พี่เสียดายจริงๆ นะ” วิภาดากล่าวย้ำ “ถ้าเกิดจันทร์ ลูกของพี่เป็นผู้หญิงก็คงจะดี เราทั้งสองคนจะได้เป็นครอบครัวเดียวกัน พี่น่ะ อยากมีหลานตาสีเทาแบบเหมันต์”
   
และตาที่วิภาดาชื่นชมนักหนาก็มองกลับมาที่ตนเองอย่างเย็นชาจนเธอรู้สึกหน้าชา แม้จะยังรักษารอยยิ้มเอาไว้ได้แต่ก็หวาดกลัวขึ้นมาแปลกๆ
   
“ครับ”
   
เหมันต์ก็ยังตอบรับเพียงเท่านั้นและไม่มากกว่านั้น ในใจรู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจเอามากๆ กับความคิดที่ไม่เหมือนผ่านการคิดของหญิงสาว เอาเข้าจริงในยุคสมัยตอนนี้ไม่ควรจะสนใจด้วยซ้ำว่าเพศอัลฟ่าคืออะไร เพราะการอุ้มบุญต่างๆ ที่ใช้โอเมก้าทำมีอย่างถูกกฎหมายแล้ว แต่ที่เขาโมโหที่สุดคือหญิงสาวไม่คิดจะภูมิใจในตัวลูกชายของตัวเองสักนิด ถ้าเกิดเธอพูดถึงจ้าวในแง่นั้น เขาคงทนฟังนิ่งๆ ไม่ได้
   
“งั้นผมก็ขอจบการประชุมเพียงเท่านี้ ถ้าพวกคุณได้เบาะแสหรือโดนทำร้ายก็ติดต่อทางตำรวจได้ทันทีตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง”
   
เมื่อพลเอกหนุ่มประกาศขอจบการประชุม เหมันต์ก็ไม่ลังเลที่จะยกมือไหว้หญิงสาวเพื่อที่จะขอตัวกลับไปทำธุระของตัวเองต่อ แน่นอนว่าอย่างแรกที่ต้องทำคือกลับไปที่ห้องเพื่อคุยกับจ้าวตรงๆ เรื่องเมื่อวาน เขาไม่ชอบอะไรที่ไม่ชัดเจน ถ้าเกิดว่าเขาทำในสิ่งที่จ้าวไม่ชอบ เขาจะได้เว้นระยะห่างไปเลยมันจะได้ไม่เกิดขึ้นอีก
   
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
   
“เดี๋ยวลูก”
   
เหมันต์มองสีหน้าครุ่นคิดของหญิงสาวก่อนที่เธอจะทำหน้าเหมือนตัดสินใจได้
   
“ถ้าเหมันต์ชอบจันทร์ ก็บอกพี่ได้นะ พี่ช่วยได้” เธอยิ้มให้เหมันต์ราวกับไม่เคยพูดประโยคเมื่อกี้ “พี่อยากเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ ถ้าสนใจยังไงก็โทรหาพี่ได้เลย ระดับเหมันต์แล้วพี่เชื่อว่าหาเบอร์พี่ได้ง่ายๆ เลยล่ะ”
   
“…ครับ”
   
เหมันต์ก็คือเหมันต์สามารถคงความเย็นชาไว้ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายและเดินหนีออกมาทันทีเพราะเบื่อที่จะคุยแล้วและเหตุผลอีกอย่างก็คือคิดถึงคนที่บ้านที่ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ กังวลว่าอีกฝ่ายจะนั่งร้องไห้คนเดียวอีก แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่เหมันต์ไม่อยากให้เกิดขึ้นสักนิด
   
ระหว่างที่คิดเรื่อยเปื่อยและกำลังจะเดินออกจากห้อง หางตาก็เหลือบไปเห็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาพอดี แม้สีหน้าของเหมันต์จะยังนิ่งสงบแต่ในใจตื่นตระหนกไม่น้อย
   
ข้าว?
   
ร่างผอมบางคล้ายจ้าวที่กอดแขนเสี่ยตัวอ้วนตรงนั้นกำลังยิ้มจนตาหยีแม้ว่าจะโดนอัลฟ่าอีกคนที่อ้วนพอกันลูบสะโพกอยู่
   
“…”
   
“…”
   
และทั้งสองก็เผลอสบตากันโดยบังเอิญพอดี แน่นอนว่าข้าวตกใจมากจนหน้าเหวอแต่ก็ต้องรีบยิ้มโง่ๆ ให้กับผู้บริหารค่ายเพลงที่ถูกใจเขาและเสนอตัวเป็นคนรับเลี้ยง แต่เมื่อเสี่ยเผลอเขาก็พยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือให้กับคุณเหมันต์เพราะถ้าให้เลือกเป็นเด็กเลี้ยงจริงๆ เขาขอเป็นคุณเหมันต์ยังจะดีกว่า โปรไฟล์ก็ดี หน้าตาก็ดี ไหนจะเงินจำนวนมหาศาลในบัญชีที่สามารถเลี้ยงพวกเขากับน้องๆ ได้สบายอีก
   
แต่น่าเสียดายที่เหมันต์ไม่สนใจ สาวเท้าออกจากห้องอย่างไม่ไยดี
   
ทิ้งให้ข้าวขบเคี้ยวฟันอย่างเสียดาย
   
เพราะเขาเองก็มีดีไม่แพ้กับพี่จ้าวหรอก!

---------------

ตัวละครลับที่คาดว่ามีแค่คุณ lizzi ที่รุ้จัก 5555 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 24 : ไหว้แม่สะใภ้ p.4 (16/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 16-06-2018 21:09:10
อ้อหออออ อห ข้าว! โห ดีแล้วล่ะที่จ้าวเลือกทำแบบนั้นกับข้าว

ตอนนั้นคิดว่าอะไรของจ้าวล่ะนั่น แต่พอมาตอนนี้เออๆดีมากๆเลย
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 24 : ไหว้แม่สะใภ้ p.4 (16/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-06-2018 11:54:10
ดีแล้วที่จ้าวมองข้าวได้ขาด  เกลียดจริงๆ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 24 : ไหว้แม่สะใภ้ p.4 (16/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 17-06-2018 15:34:37
บ้าบอ
ขายลูก ทอดทิ้งลูก
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 24 : ไหว้แม่สะใภ้ p.4 (16/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 17-06-2018 15:52:24
ผิดหวังในตัวข้าวจริงๆ หวังว่าจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้จ้าวนะ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 24 : ไหว้แม่สะใภ้ p.4 (16/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 21-06-2018 14:00:37
เป็นนิยายที่ดีจริงๆ อินมากจนร้องไห้ตามเลยล่ะค่ะ :mew4:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 24 : ไหว้แม่สะใภ้ p.4 (16/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 21-06-2018 14:29:04
 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : ครอบครอง p.6 (21/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 21-06-2018 14:39:00
ตอนที่ 25

เสียงน้ำตกจำลองดังเป็นจังหวะคลอกับเสียงนกร้องและปลาที่กระโดดดำผุดดำว่ายเป็นบางครั้ง ตามกิ่งก้านต้นไม้ที่ยื่นเข้าไปในฝั่งของคลองนั้นถูกพาดด้วยเสื้อสีขาวบางที่ถูกใครบางคนใส่มา ในส่วนของอีกก้านที่เยื้องกันนั้นก็เป็นกางเกงขาสั้นสีดำ
ร่างผ่ายผอมที่เพิ่งตัดสินใจเปลื้องผ้าตัวเองไปหยกๆ นั่งแช่เท้าในน้ำเย็นเฉียบ จดจ้องภาพของตัวเองที่ถูกสะท้อนกลับมาจากผิวน้ำด้วยความรู้สึกประหลาดนิดหน่อย จนอดไม่ได้ที่จะลูบตามไหปลาร้าตามอกของตัวเองที่เริ่มจะกลับมามีเนื้อหนังบ้างหลังจากแห้งมานานหลายปี ซึ่งมันก็น่าจะเป็นผลมาจากการนอนหลับที่เต็มอิ่มและเขาสามารถกินอาหารได้เต็มที่โดยไม่ต้องหวาดระแวงหรือกลัวอะไร

แต่ที่ยังขัดหูขัดตาก็คือสีผมที่ยังคงกระดำกระด่างเหมือนหมาเป็นขี้เรื้อนอยู่อย่างงั้น จ้าวขมวดคิ้วเซ็งๆ เพราะถึงผมจะนุ่มขึ้นมาจากเดิมมากแต่สีก็สวยไม่ถูกใจเขาอยู่ดี

กา!

จ้าวสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงอีกาตะโกนข้างหู ยังไม่ทันได้หาต้นเสียงก็พบว่ามันลงจอดบนหัวตัวเองแล้ว นัยน์ตาโศกเจือประกายขบขันก่อนที่จะเอื้อมมือขึ้นไปอุ้มเจ้าอีกาลงมาวางบนตัก

“กลับมาเยี่ยมเหรอ?” พูดติดตลกเพราะเจ้าอีกาก็หายตัวไปหลายวันจนจ้าวคิดว่ามันบินไปที่อื่นแล้ว

กา!

เจ้าอีกาขยับหัวไปมาก่อนที่จะวางสิ่งของที่อยู่ในปากลงบนตักจ้าวและร้องกาๆ เชิงอวด มันทำขนพองขึ้นอย่างพึงพอใจเมื่อเจ้าลูบตัวมันอย่างเอ็นดูและทะนุถนอม

“ขอบใจ” จ้าวยิ้มนิดๆ หยิบช้อนแกงธรรมดาที่ไม่รู้เจ้านี่ไปขโมยมาจากไหนแต่ก็คงมีมูลค่าไม่น้อยในสายตามัน เขาเคยได้ยินว่าพวกอีกาเฉลียวฉลาดจนสามารถเรียนรู้การให้และตอบแทนได้ ไม่คิดว่าเจ้าอีกาที่ดูงงๆ อย่างเจ้าตัวนี้จะเป็นไปกับเขาด้วย

กา!

มันร้องกาซ้ำอีกครั้งก่อนที่จะตีปีกบินพึ่บพั่บขึ้นไปเกาะบนกิ่งไม้ นัยน์ตาสีดำวาววับของมันจดจ้องจ้าวนิ่ง เอียงคอไปมาก่อนจะไซร้ขนตัวเองต่อเพื่อทำความสะอาด

จ้าวหัวเราะเสียงแผ่วก่อนที่จะมองพื้นที่แปลกตารอบตัวเอง ซึ่งตั้งแต่เกิดมาเขาก็ไม่เคยไปสถานที่แบบนี้ด้วยซ้ำ นัยน์ตาโศกมองฝูงปลาที่ว่ายผ่านเท้าตัวเองอย่างเพลินตา

ทั้งเขาและจันทร์แทบไม่ได้มีโอกาสออกไปเที่ยวไหน ช่วงชีวิตในวัยเด็กจนถึงวัยรุ่นถูกกักขังอยู่ในโรงเรียนและบ้าน สิ่งที่เปิดโลกสองพี่น้องที่สุดก็มีแค่อินเทอร์เน็ตและทีวี

แม้ว่าจะเรียกร้องอยากดูของจริงแค่ไหนแต่คำตอบที่ได้ก็คือไร้สาระ อยากดูนักก็เปิดช่องสารคดีสิ มีปัญหาหรือฟุ้งซ่านมากนักก็อ่านทบทวนในสิ่งที่เรียนสิ นี่แทบจะไม่มีเวลาแล้วนะ ยังไม่กระตือรือร้นกันอีก

นั่นเป็นสิ่งที่จ้าวกับจันทร์รับรู้ตอนที่เพิ่งอายุได้เจ็ดขวบ ทั้งเขาทั้งน้องเกาะขาพ่อคนละข้าง ออดอ้อดขอไปเที่ยวอย่างครอบครัวอื่นๆ บ้าง เป็นการเที่ยวจริงๆ ไม่ใช่การออกไปข้างนอกเพื่อเข้าสังคม แน่นอนว่าสำหรับจันทร์และจ้าวมันน่าเบื่อยิ่งกว่าโดนอ่านหนังสือทั้งอาทิตย์ซะอีก

หากแต่คำร้องขอก็ไม่เคยไปถึง ทุกครั้งมักจะถูกปัดตกตั้งแต่พี่ชา พวกเขาสองพี่น้องก็ได้แต่จมปลกกันอยู่สองคน วางแผนลับๆ ไปเที่ยวกันเองสองคน ก่อนจะล่มแทบทันทีเพราะไม่มีใครนั่งรถโดยสารเป็นและไม่มีเงินด้วย
และจนถึงตอนนี้พวกเขาสองพี่น้องก็ยังไม่มีโอกาสเที่ยวด้วยกันอยู่ดี

จ้าวหัวเราะเจือเสียงสะอื้น แม้แต่ตอนที่เขากลายเป็นหัวหน้าวงทีมมูนไลท์ เขาก็ยังหาโอกาสไปเที่ยวอย่างวัยรุ่นทั่วไปไม่ได้อยู่ดี การโด่งดังเป็นเรื่องที่ดีก็จริงแต่ก็ทำให้เขางานรัดตัวจนขยับไปไหนแทบไม่ได้ วาทกรรมที่ว่าด้วยช่วงชีวิตวัยทำงานมีเงินแต่ไม่มีเวลาว่างนั้นเป็นของจริง จ้าวที่เข้าสู่ช่วงเวลาการทำงานเร็วเกินไปก็ได้แต่เที่ยวนิดๆ หน่อยๆ ไม่ถึงวัน

ซึ่งในความจริงแล้วหลังจากคอนเสิร์ตครั้งใหญ่ที่สุดของตัวเอง จ้าวก็กะว่าจะพักงานตัวเองไปสักพักเพื่อออกไปผจญโลกกว้างคนเดียว แต่มันก็ดูเหมือนเขาจะตัดสินใจช้าเกินไป พอเรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเขาก็ได้ไปทัวร์คุกฟรีห้าปีเลยทีเดียว

นัยน์ตาโศกสั่นระริกก่อนที่จ้าวจะสะบัดหัวไล่ความคิดเศร้าๆ ออกจากหัว พยายามทำตัวให้มีความสุขกับการมาพักผ่อนหย่อนใจในน้ำตกจำลองในโซนป่าของคฤหาสน์ตระกูลกิลลาส ซึ่งออสตินแนะนำให้มาหลังจากเขาไปถามหาที่เงียบสงบเหมาะสำหรับการใช้สมาธิในการทำอะไร

ใช่ เขายังคงคิดเพลงของคุณเหมันต์อย่างขะมักขเม้นและที่แน่ๆ คิดต่อไม่ออกด้วย

จ้าวหัวเราะกับตัวเอง อาการตันนี่เกิดขึ้นเสมอไม่ว่าจะแต่งเพลงไหนก็ตาม บางครั้งท่อนฮุ้คบางท่อนก็ใช้เวลาถึงสามวันในการแต่ง แต่เพลงไหนโชคดีหน่อย หัวแล่น วันเดียวก็จบ

ของพวกนี้เป็นอะไรที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาวิชาการที่ร่ำเรียนในหนังสือมาปรับแต่งแล้วใช้ได้เลย การแต่งเพลงมันใช้มากกว่านั้น สำหรับจ้าว จ้าวใช้ทุกอย่างของตัวเองในการแต่งเพลงขึ้นมาเพลงหนึ่ง ทั้งประสบการณ์ ความรู้สึก ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถาโถมเข้ามาในช่วงนั้นพอดี

แช่เท้าในน้ำไปสักพักก็เริ่มรู้สึกเบื่อ ในหัวมีอยู่สองทางที่สับสนระหว่างเดินเล่นกับโดดลงน้ำเลย

แน่นอนว่าอย่างหลังชนะ

ตูม!

ผิวน้ำกระเพื่อมและสาดออกมาทั่วบริเวณเพราะถูกแรงกระทบรุนแรงในพริบตา ฝูงปลาแตกกระเจิงเช่นเดียวกับเจ้าของแรงกระแทกที่ตะเกียกตะกายขึ้นจากน้ำแล้วหัวเราะร่าไม่ต่างจากเด็กไม่กี่ขวบ

จ้าวหัวเราะ อุณภูมิน้ำที่กำลังพอดีไม่ร้อนจนเกินไปนักทำให้รู้สึกสดชื่นจนหัวปลอดโปร่งไปหมด ยิ่งไอน้ำที่ตอนแรกกระเซ็นใส่เสื้อจ้าวจนชื้นกลายเป็นเครื่องทำความเย็นชั้นดีเลยทีเดียว จ้าวว่ายไปนั่งบนโขดหินใต้น้ำตกอย่างนึกสนุก ทำตัวเหมือนในหนังจีน ที่พวกผู้คนชอบมาฝึกกำลังภายในกัน

เพราะเป็นน้ำตกจำลองน้ำที่ตกลงกระทบจึงไม่แรงมากนัก อารมณ์คล้ายกับถูกฝนพรมมากกว่าโดนน้ำสาด ซึ่งถ้าหากเป็นน้ำตกจริงๆ จ้าวตอนนี้คงรู้สึกไม่ต่างกับโดนกระสุนที่มีลูกเป็นจำนวนอนันต์ยิงใส่อย่างไม่หยุดไม่หย่อน

หากแต่น้ำบริเวณนี้ก็เย็นกว่าบริเวณอื่นๆ เพราะบริเวณเหนือน้ำตกจำลองนั้นถูกปกคลุมด้วยแมกไม้นานาพรรณช่วยลดอุณหภูมิแสงแดดได้เป็นอย่างดี จ้าวหลับตาพริ้มนึกถึงเนื้อเพลงที่ตัวเองเขียนต่อไม่ออกสักทีในหัว พยายามร้อง

ริมฝีปากบางเฉียบเผลอร้องสิ่งที่อยู่ในหัวโดยไม่รู้ตัว น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลน่าฟังขับร้องออกมาเสียงแผ่วเบาแต่ก็สามารถจับใจคนฟังได้ไม่ยาก

“โลกของฉันมันล่มสลายไปแล้ว ทุกอย่างมันเป็นสีดำ  ไม่มีเธอ ไม่มีฉัน ไม่มีใคร” น้ำเสียงของจ้าวแผ่วเบาลงเมื่อต้องร้องท่อนที่ถ่ายทอดออกมาจากความรู้สึกตัวเองจริงๆ “มีเพียงความตายอันเป็นนิรันดร์เท่านั้น ที่จะปลดปล่อยความทุกข์ทรมานของฉันได้ มีเพียงมันเท่านั้น..”

โดยไม่รู้ตัวน้ำตาหยดนึงไหลออกจากนัยน์ตาโศกแต่ร่างผอมก็ยังร้องต่อ

“ได้โปรด รับมีดของฉันแล้วแทงฉันให้ตายเถิด ได้โปรด เพราะฉันทนความเจ็บปวดนี้ไม่ไหวแล้ว ได้โปรด ก่อนที่ฉันจะเจ็บปวดจนตาย”

น้ำที่เย็นเฉียบที่ไหลกลิ้งเล่นตามร่างผอมไม่อาจเทียบได้กับความเค็มในลำคอที่จุกขึ้นมาอย่างเจ็บปวด ทุกครั้งที่คิดจะร้องเพลงสำหรับจ้าวแล้วมันคือความเสี่ยงอย่างหนึ่ง เพราะเขาจะกลับไปจมอยู่กับมันเพื่อเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกตอนนั้นให้มากที่สุดเพื่อที่จะถ่ายทอดออกมาได้ดีที่สุด

แม้นจะเจ็บปวนเจียนตายแต่จ้าวก็เลือกที่ยอมรับมัน

“ความสุขของฉันมันลดลง ลดลงเรื่อยๆ ทั้งที่ฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น ใครก็ได้ช่วยหยุดมันที ใครก็ได้ เพราะฉันทนมันแทบไม่ไหวแล้ว”

ฉับพลันนัยน์ตาโศกที่คลอหน่วงด้วยน้ำตาก็ลืมตาขึ้นมองไปข้างหน้าราวกับเห็นร่างของใครบางคนยืนอยู่ข้างหน้าตัวเอง

“และเป็นคุณที่เข้ามา คุณแย่งมีดจากผมแล้วสวมกอดอย่างอบอุ่น คุณพร่ำบอกถึงความดีงามในตัวผมที่ผมไม่เคยคิดจะเห็นค่ามัน”

จ้าวร้องต่อไปเรื่อยๆ อย่างเหม่อลอยแต่ท่วงทำนองก็ยังสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ ท่อนเมโลดี้อะไรต่างๆ จ้าวนั้นคิดคร่าวๆ ไว้หมดแล้วเหลือเพียงเนื้อเพลงบางท่อนที่ยังคิดไม่ออกและยังไม่พอใจเท่าที่ควร

น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลน่าฟังจึงหยุดลง จ้าวขมวดคิ้วมุ่นครุ่นคิดหาคำในหัวพยายามหาอะไรที่ตัวเองชอบมากที่สุดในตัวคุณเหมันต์มาลงในเนื้อเพลง เผื่อว่าเพลงจะถูกใจเขามากขึ้น

ความรู้สึกคุ้นเคยที่ได้กลับมาทำในสิ่งที่ตัวเองชอบทำเอาจ้าวรู้สึกคล้ายกับไปเป็นจ้าวคนเดิมที่แสนเลือนรางในความทรงจำอีกครั้ง

เขาได้แต่งเพลง… ได้ร้องเพลง..

ความสุขของเขามันง่ายดายเพียงเท่านี้เอง

แต่ก็มีคนหลายคนที่พยายามขัดขวางมันจนจ้าวลืมไปหมดว่าการมีความสุขต้องทำยังไง ยากรึเปล่า เขาจะมีสิทธิ์จะมีความสุขอีกใช่ไหม และแน่นอนว่าไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้นอกจากตัวเขาเอง

รอยยิ้มมุมปากปรากฎบนใบหน้า จ้าวผลุดลุกขึ้นยืนมองรอบๆ ตัวเองอีกครั้ง

เมื่อก่อนทุกครั้งที่เขาร้องเพลงมักจะมีคนฟังอยู่เสมอ ยืนกันละลานตาจนนับไม่ไหวว่ามีกี่คนที่ชื่นชอบตัวตนและเพลงของเขา แต่ตอนนี้ไม่มีใครที่ยืนฟังเขานอกจากตัวเขาเอง

แต่เขาก็ยังรู้สึกมีความสุข

จ้าวหัวเราะออกมา เขายึดติดกับคนอื่นจนลืมไปแล้วว่าความสุขจริงๆ ของตัวเองนั้นเป็นยังไง เขาตอนที่ค้นพบว่าตัวเองชอบร้องเพลงก็ตอนได้ยินเสียงสะท้อนตัวเองในห้องน้ำ ถึงมันจะไม่เพราะอะไรมากมายแต่ก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้เปิดโลกใบใหม่เลยทีเดียว เขาเริ่มรวบรวมคนเพื่อสร้างวง ไปเล่นตามที่สาธารณะหาค่าขนมกินเล่นเป็นครั้งคราว (แน่นอนว่าต้องอ้างว่าไปทำรายงานบ้านเพื่อน)

กร็อบ

“!!”

จ้าวแทบหลุดอุทานดังลั่นออกมารีบมองหาต้นเสียงที่ทำให้เขาหัวใจแทบวาย

“..คุณเหมันต์?”

อดีตนักร้องดังหน้าแดงเถือกเมื่อพบว่าคุณเหมันต์มองตัวเองอึ้งๆ ก่อนจะกระแอมในลำคอเชิงกลบเกลื่อนแต่ก็ไม่สามารถปกปิดร่องรอยขวยเขินบนใบหน้าได้อยู่ดี

“…ขอโทษที่มาขัดจังหวะ”

เหมันต์พูดเสียงปกติพยายามมองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้จ้าวเขินตายไปซะก่อน

“..เอ่อ” จ้าวหาคำพูดของตัวเองแทบไม่เจอ รู้สึกเขินอายจนทำตัวไม่ถูก ถึงเขาจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ต้องมาเขินอายร่างกายที่เปลือยท่อนบนก็เถอะ แต่ภาพเหตุการณ์เมื่อวานก็ยังชัดเจนอยู่ในหัวอยู่ดี อีกทั้งร่องรอยบนร่างเขาก็ยังไม่ทันเลือนหาย มันจึงเป็นหลักฐานชั้นดีเลยว่าทุกอย่างในตอนนั้นเกิดขึ้นจริงไม่ว่าจะเพราะอารมณ์ชั่ววูบหรือโดยเจตนาก็ตามที

“มาทำอะไรตรงนี้”

“…”

“จ้าว?”

เหมันต์ขมวดคิ้วงุนงงที่จ้าวไม่ยอมตอบสักทีทั้งๆ ที่ผ่านมาได้เกือบนาทีแล้ว เลยเบนสายตากลับมาที่จ้าวและพบว่าจ้าวกลับมาใส่เสื้อผ้าครบชุดแล้วแต่ก็ยังนั่งริมฝั่งหน้าแดงเถือก เบิกตากว้างขึ้นไปอีกเมื่อเห็นเขามองไม่วางตา

“ผม ผมมาแต่งเพลงครับ” จ้าวก้มหน้างุดรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัวจนเหมือนจะละลายไปให้ได้ เขาเขินคุณเหมันต์มากจริงๆ เพราะมันเป็นครั้งแรกของเขาที่ถูกกระทำแบบนั้น ถึงจะเคยมีแฟนมาก่อนก็เถอะแต่ก็ไม่เกินเลยกันมาขนาดนี้ แล้วเขากับคุณเหมันต์เป็นอะไรกันล่ะ ถึงได้ทำแบบนั้น

ยิ่งคิดจ้าวก็ยิ่งรู้สึกเขินจนทำตัวไม่ถูก

“แต่งเพลงใหม่เหรอ แต่งจบรึยัง? ให้ฉันฟังได้ไหม” เหมันต์สาวเท้าไปหาจ้าวที่อยู่อีกฝั่งและทรุดตัวนั่งลงข้างๆ

“ยัง ยังครับ” จ้าวพูดเสียงสั่นเผลอเอามือลูบคอตัวเองที่ยังแสบนิดๆ จากการกัดของใครบางคน “มีอะไรรึเปล่าครับ ทำไมไม่โทรหาผมล่ะ”

“อืม ก็มีจริงๆ นั่นแหละ” เหมันต์ไม่ได้มองหน้าจ้าวแต่มองเสื้อสีขาวที่โดนไอน้ำจนเปียกชุ่มทำให้ไม่สามารถทำหน้าที่ของเสื้อได้ดีนัก มันแนบไปกับลำตัวจนเห็นโครงร่างของร่างกายได้อย่างชัดเจน ไม่รู้ทำไมจึงเผลอกลืนน้ำลายเอือกไปเสียอย่างนั้น

ร่างผอมนั่งตัวแข็งมองมือตัวเองที่กำแน่นอย่างประหม่า

“ฉันจะคุยเรื่องเมื่อวาน”

จ้าวสะดุ้งนิดๆ ราวกับแมวที่ถูกเหยียบหางแต่ก็ไม่พูดอะไร

เพราะเขาก็อยากได้คำอธิบายเรื่องเมื่อวานเหมือนกัน…

“ฉันยอมรับว่าที่ทำไปเมื่อวาน ฉันตั้งใจ” ถึงแม้ตอนนั้นสติหายไปชั่ววูบแต่เหมันต์ก็มั่นใจว่าต่อให้ตัวเองมีสติครบดีก็คงอดไม่ได้ที่จะทำอยู่ดี “ฉันชอบเธอ”

นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างและเผลอเงยหน้าขึ้นไปสบตากับคุณเหมันต์ แน่นอนว่าจ้าวหน้าแดงเถือกแต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นกลับรู้สึกดีใจมากกว่า

“ผมก็ชอบคุณเหมันต์เหมือนกัน”

“ไม่ จ้าวมันไม่เหมือนกัน” เหมันต์นวดขมับตัวเอง “ฉันไม่ใช่แค่ชอบเธอ แต่ฉันอยากครอบครองเธอไว้เป็นของฉันคนเดียว เข้าใจรึเปล่าว่ามันหมายถึงอะไร?”

จ้าวหลุดหัวเราะแม้ว่าจะรู้สึกเขินมากก็ตามที “คุณเหมันต์ ผมไม่ใช่เด็กนะ ผมก็ยี่สิบสี่แล้ว เรื่องเมื่อวานผมก็ยอมให้คุณทำด้วย ถ้าผมคิดจะขัดขืนผมก็ทำได้แต่ผมก็ไม่ได้ทำ”
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : ครอบครอง p.5 (21/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 21-06-2018 14:43:15
แปลกที่ยิ่งพูดจ้าวก็รู้สึกเหมือนยิ่งเข้าตัวจนไม่อยากพูดต่อ แต่เพื่อความสัมพันธ์ที่ชัดเจนและยั่งยืน เขาก็ต้องจำยอมทิ้งศักดิ์ศรีที่มีอยู่น้อยนิดของตัวเอง

จ้าวมองหน้าเหมันต์ที่ดูประหลาดใจและเขินอย่างเห็นได้ชัด ทั้งๆ ที่คุณเหมันต์ก็อายุไม่น้อยแล้วแต่จ้าวกลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูน่ารักมาก

“ผมก็อยากครอบครองคุณไว้คนเดียวเหมือนกัน”

เขาอยากจะเก็บความอ่อนโยนใจดีของคุณเหมันต์ไว้คนเดียวไม่แบ่งมันให้ใคร

เขาเสียมามากพอแล้ว

ตอนนี้เขาอยากจะเป็นฝ่ายที่ได้รับบ้าง

“…!”

การจู่โจมรวดเร็วดั่งสัตว์ป่าที่เฝ้ารอโอกาสนี้มานานเล่นเอาจ้าวตกเป็นเหยื่ออย่างง่ายดาย หนำซ้ำยังเป็นเหยื่อด้วยความเต็มใจ ขยับศีรษะและเปิดปากรับเอาความรู้สึกของคุณเหมันต์ที่ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรงราวกับหมาป่าที่เพิ่งหลุดจากกรง
มือหนาช้อนตัวจ้าวมาวางไว้บนตักและปล่อยริมฝีปากออกเพื่อเปิดโอกาสให้จ้าวพูดอะไรบ้าง

จ้าวหน้าแดงก่ำเมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรสักอย่างที่โดนสะโพกตัวเองเต็มๆ

“มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่วันนั้นแล้ว” เหมันต์พูดเขินๆ “ขอโทษนะ จ้าว ฉันไม่ได้บอกชอบเธอเพราะเรื่องนี้หรอก แต่มันเป็นแบบนี้ไปเอง”

หมาป่าหนุ่มพูดอย่างรู้สึกผิดก่อนจะเข้าสู่โหมดจริงจัง นัยน์ตาสีเทาดุดันมองตาจ้าวเพื่อยืนยันความหนักแน่นในคำพูดของตัวเอง
“ฉันชอบเธอจริงๆ นะจ้าว ฉันเต็มใจที่จะปกป้องและเป็นที่พึ่งให้ คราวหลังถ้าอยากได้อะไรก็บอกฉัน ไม่ต้องเกรงใจกันหรอก”

เหมันต์ดึงมือผอมของจ้าวที่เต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลทั้งจากการทำร้ายตัวเองและโดนทำร้ายขึ้นมาจูบเบาๆ อย่างอ่อนโยนก่อนจะไล่พรมจูบตามข้อมือที่มีบาดแผลเยอะไม่ต่างจากส่วนอื่นของร่างกาย

หัวใจของเหมันต์เจ็บแปลบ จ้าวโดนทำร้ายมามากจริงๆ

“ก่อนหน้านั้นเธออาจจะไม่มีใครแต่ตอนนี้เธอมีฉัน คุณเหมันต์ ประธานบริษัทกิลลาส ฉันอาจจะไม่ได้ใหญ่โตคับฟ้าอะไรแต่ฉันก็มั่นใจว่าสามารถปกป้องเธอได้แน่ๆ”

ตัวของจ้าวสั่นระริกจนเหมันต์ตกใจแต่พอเห็นรอยยิ้มกับน้ำตาบนใบหน้าจ้าวก็โล่งอก เพราะกลัวว่าตัวเองจะเผลอพูดทำร้ายจ้าวโดยไม่รู้ตัว

“ฮึก ขอบคุณ”

จ้าวสะอื้นจนตัวโยนแม้ว่าจะยิ้มอยู่แต่ก็ดูน่าสงสารมากอยู่ดี

“ถ้าดีใจก็อย่าร้องไห้สิ”

“ฮึก คุณไม่รู้หรอกว่าผมต้องอยู่คนเดียวมานานขนาดไหน” จ้าวปาดน้ำตาตัวเองป้อยๆ พยายามหยุดร้องแต่ความตื้นตันใจมันก็ชนะจนบ่อน้ำตาแตก “พอเฮียสามตาย ผมก็ไม่มีใครเลย ฮึก ไม่มีใครพยายามช่วยผมอย่างจริงจัง ถึงซินจะพยายามมากก็เถอะแต่ผมก็รู้ว่าผมมันตัวภาระของซิน ผมไม่สมควรได้รับความใจดีจากใครเพราะผมไม่สามารถตอบแทนมันได้”

เหมันต์ช่วยเช็ดน้ำตาให้จ้าวแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จอยู่ดี

นัยน์ตาโศกยังมีน้ำตาไหลบ่าออกมาเรื่อยๆ ราวกับความเจ็บปวดนั้นได้ปะปนออกมาด้วย

“ผมร้องไห้ไปก็ไม่เคยมีใครได้ยิน ผมอยู่ในคุกก็มีแต่คนเหยียดหยามสมเพช ไม่มีใครชอบผมเพราะผมมันเป็นฆาตกรหื่นกาม ฮึก ผมรู้ตัวเองดีว่าถ้าผมไม่ได้ทำก็ไม่ต้องไปสนใจ แรกๆ ผมก็ทนได้นะแต่พอมันพูดทุกวัน ผมก็รู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า”

จ้าวมองเหมันต์นิ่งก่อนจะสะอื้นออกมา

“ขอบคุณจริงๆ นะครับ ที่ช่วยผมไว้”

ทุกคนที่รู้จักเขาเป็นการส่วนตัวล้วนคิดว่าเขาเข้มแข็ง สามารถเผชิญปัญหาทุกอย่างได้จึงเลือกที่จะปล่อยผ่านเขาไปเพราะคิดว่ายังไงเขาก็สามารถเข้มแข็งได้ด้วยตัวเอง

ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นแบบนั้น แต่จ้าวกลับทำไม่ไหว เจ็บปวดกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองจนแทบจะสูญเสียตัวตนของตัวเองไป จนกลายเป็นคนที่ไม่กล้าเปิดใจให้ใครเพราะกลัวว่าจะถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลังอีก

จ้าวจึงไม่เคยยอมรับความช่วยเหลือจากใครเลย ทั้งจากไนท์ ซิน หรือแม้แต่คุณเหมันต์ในตอนแรกก็ยังลังเลที่จะรับด้วยซ้ำ หากให้ความช่วยเหลือแล้วเห็นว่าเขาไร้ค่าเกินกว่าจะช่วยแล้วทอดทิ้งในภายหลัง ถึงตอนนั้นเขาคงเจ็บปวดจนทนไม่ได้แน่

“อืม ฉันยินดี”  เหมันต์คลี่ยิ้มและลูบหัวจ้าวอย่างเบามือ

“ขอบคุณจริงๆ นะครับ” จ้าวพยายามหายใจฟืดๆ พยายามหยุดร้องตามที่เหมันต์พูด “ถ้ามีโอกาสผมจะตอบแทนคุณเหมันต์ให้ได้เลย”

“ไม่ต้องตอบแทนหรอก ฉันไม่ได้ต้องการอะไร” เหมันต์ยิ้มละมุนละไมกว่าเดิมทำเอาจ้าวเขินนิดๆ เพราะเพิ่งสังเกตว่าคุณเหมันต์ยังอยู่ในชุดสูทและดูดีมากด้วย เหมือนเพิ่งไปงานกาล่าหรืองานสำคัญอะไรสักอย่างมา

“แล้วจะทำยังไงกับเจ้านี่ดีครับ” จ้าวพูดพึมพำเสียงเบาพยักพเยิดไปยังเบื้องล่างที่ยังคงแข็งขืนดุนสะโพกจ้าวอย่างดุดัน

“เธอเลือก” เหมันต์ยังคงยิ้มละมุนแต่จ้าวกลับสัมผัสได้ถึงความชั่วร้ายแปลกๆ

“..กลางป่าเลยเหรอครับ”

จ้าวพูดเสียงสั่น

“เธอเลือก”

คำตอบยังคงเป็นคำตอบเดิม จ้าวมือไม้สั่นอย่างประหม่าเพราะเหมือนโดนกดดันจากข้างล่างอยู่กลายๆ ถึงแม้คุณเหมันต์จะยังคงสีหน้ายิ้มระรื่นไว้ได้แต่เขาก็มั่นใจว่าคงอดกลั้นความทุกข์ทรมานเอาไว้ด้วย

แต่จ้าวก็ลังเลไม่นานนักตัดสินใจดึงมือหนาของคุณเหมันต์เข้าหาตัวก่อนที่จะอ้าปากรับสองนิ้วเข้าไป

เพราะนี่คือคำตอบของจ้าว…

“…”

ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้คุมเกมแต่ทุกอย่างกลับตาลปัตร ลิ้นเล็กๆ ที่พยายามเลียปลายนิ้วของเขาราวกับยั่วยวนจนเหมันต์ปวดหนึบจนทนแทบไม่ไหว

สัมผัสชื้นแฉะที่ไล้วนปลายนิ้วทำเส้นเอ็นการยับยั้งชั่งใจของเหมันต์ขาดผึงทีละเส้นและมาขาดจริงๆ เมื่อถูกงับเบาๆ คล้ายกับหยอกเย้าให้สติหลุด

“อย่าโกรธฉันทีหลังแล้วกัน”

เหมันต์คำรามแล้วก้มหน้าซุกไซร้ตัวจ้าว กลิ่นหอมเฉพาะตัวทำเอาสติมอมมัวอีกครั้งแต่ก็ไม่ได้ทำให้สติหายไปเหมือนคราวก่อน มีแต่ความต้องการที่ชัดเจนจนคิดอย่างอื่นไม่ออกเลยทีเดียว

“อื้อ อย่ากัดสิ”

เสื้อขาวบางของจ้าวถูกดึงออกและพาดไว้บนไหล่ลวกๆ ร่องรอยเก่าที่ยังไม่ทันหายดีถูกสร้างใหม่ขึ้นอีกครั้งและชัดกว่าเดิมราวกับป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ถึงสถานะพิเศษของอีกฝ่าย ตามหน้าอกและลำตัวจ้าวถูกเหมันต์สำรวจซุกไซร้แทบจะทุกตารางนิ้ว

เหมันต์ค่อยๆ เลื่อนต่ำลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งที่ถูกจ้าวดันหัวเอาไว้ไม่ให้สำรวจต่ออย่างดื้อดึง

“ไม่เอาครับ ตรงนี้ห้ามยุ่ง”

ลนลานพูดหน้าแดงก่ำน้ำตาคลอแต่เหมันต์ก็ไม่ฟัง ดึงกางเกงของจ้าวออกและสำรวจต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่สนใจแม้จะถูกทึ้งผมตัวเองตอนที่รับอะไรบางอย่างของจ้าวเข้าไปในปาก

“อ๊า”

จ้าวครางหน้าแดงก่ำพยายามขัดขืนแต่ก็พ่ายแพ้ ตัวสั่นระริกจนกระทั่งเผลอปลดปล่อยในปากคุณเหมันต์ก็เนื้อตัวอ่อนยวบไร้แรงขัดขืนอีกต่อไป

เหมันต์เลียริมฝีปากก่อนจะแสยะยิ้มชั่วร้ายที่ทำเอาจ้าวอยากจะวิ่งหนีให้รู้แล้วรู้รอด

“ต่อไปตาฉัน”

“..ครับ”

จ้าวรับคำเสียงแผ่วหลับตาหยีไม่กล้ามองสิ่งที่จะเกิดขึ้นใดๆ ในโลกอีกต่อไป

เพราะเขารู้ว่าอะไรที่น่ากลัวมากๆ กำลังจะเกิดขึ้น!

เหมันต์ถอดเสื้อสูทตัวนอกออกมาปูบนพื้นหญ้าเพื่อที่จ้าวจะได้ไม่รู้สึกคันหรือเจ็บตัวนัก ต้องขอบคุณที่ตัวเขาใหญ่กว่าจ้าวพอตัวทำให้เสื้อสูทนี่สามารถเป็นผ้าปูรองให้จ้าวได้สบายๆ

นัยน์ตาสีเทาเปล่งประกายระยับ หมาป่าหนุ่มล่าเหยื่อสำเร็จและกำลังจะกินเหยื่อในไม่ช้า หูทั้งสองข้างของมันตั้งชันอย่างกระตือรือร้น หางบนสะโพกส่ายไปมาอย่างพึงพอใจ

“…ฮื่อ”

จ้าวยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองอย่างอับอายเมื่อเผลอครางออกมา นิ้วร้อนที่รุกล้ำเข้ามาในส่วนที่ไม่เคยมีใครแตะต้องนั้นดูลามกจนจ้าวยังจะตายๆ ไปซะตอนนี้

เพราะในความรู้สึกประหลาดมันก็มีความพึงพอใจแฝงอยู่ในนั้น
   
“เจ็บรึเปล่า?”
   
เหมันต์ถามด้วยความเป็นห่วงเพราะจ้าวหน้าแดงเอามากๆ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเพราะอากาศที่ร้อนหรืออะไร
   
“ไม่ ฮึก ไม่ครับ” จ้าวส่ายหน้าดิก “อย่าถามอะไรผมตอนนี้เลยนะ ผมขอร้อง”
   
“งั้นถ้าเจ็บบอกฉันนะ” ร่างหนาพูดเสียงพร่าเมื่อปลดเข็มขัดตัวเองออกและปลดซิปกางเกงให้สิ่งที่ทนทุกข์ทรมานมาตั้งแต่เมื่อวานได้ออกมาสักที
   
“…” จ้าวที่มองลอดช่องว่างระหว่างนิ้วรู้สึกเหมือนจะเป็นลม ขนาดตัวที่แตกต่างกันเท่าตัวทำให้เขาพอจะทำใจไว้อยู่แล้วว่าขนาดของไอ้นั้นคงจะต่างกันระดับหนึ่งแต่ก็ไม่คิดว่าจะต่างมากขนาดนี้!
   
“ตายแน่ จ้าว ตายแน่”
   
“…พูดว่าอะไรนะ”
   
จ้าวหลับตาหยีพูดเสียงเบา “เปล่าครับ ไม่มีอะ--!” ยังพูดไม่ทันจบประโยคก็สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร้อนระอุที่รุกล้ำเข้ามาในร่างกายอย่างอุกอาจ นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก เคราะห์ดีที่มันยังไม่ได้เข้ามาทั้งหมด ยังมีช่วงเวลาให้จ้าวได้พักหายใจหายคอบ้าง
   
“ไม่ต้องกลัว จ้าว”
   
เหมันต์พูดเสียงพร่าทั้งๆ ที่ตัวสั่นระริก ใบหน้าคมคายเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อและเส้นเลือดที่ปูดขึ้นมาอย่างเคร่งเครียด การโดนตอดรัดอย่างรุนแรงนั้นทำให้รู้สึกเจ็บปวดมากกว่ารู้สึกดี
   
“ฮึก” จ้าวสะดุ้งเมื่อโดนกัดเลียยอดอก ยิ่งโดนฟันคมขยี้เข้าแรงๆ นั่นเล่นเอาจ้าวรู้สึกเสียววูบในช่องท้องเผลอผ่อนคลายก่อนจะรู้สึกตัวอีกทีเมื่อถูกกระแทกเข้ามาในครั้งเดียว
   
และห้วงทำนองที่ถูกบรรเลงด้วยคุณเหมันต์ก็เริ่มต้นขึ้น
   
หมาป่าหนุ่มกัดกินเนื้อนุ่มอย่างตะกละตะกลาม หูอื้ออึงตาลายเพราะนี้เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ได้เนื้อที่ถูกใจ ไม่ใช่เนื้อที่กินอย่างขอไปทีเพื่อสนองสัญชาตญาณร่างกายไม่ให้ตึงเครียดเกินไป
   
“!!!”
   
จ้าวเบิกตากว้างพยายามเรียกคุณเหมันต์ให้ช้าลงหน่อยแต่พอจะพยายามพูดอะไรก็ถูกปิดด้วยริมฝีปากของอีกฝ่ายและรู้ตัวอีกทีคือโดนพลิกตัวคว่ำก่อนจะถูกกัดกินมากกว่าเดิม
   
เสียงคำรามต่ำๆ ในลำคออย่างพึงพอใจของเหมันต์เล่นเอาจ้าวยอมเงียบไม่เรียกร้องอะไรอีก ไม่ใช่เพราะไม่อยากร้องขอแต่เพราะไม่มีโอกาสได้ขอเลยต่างหาก
   
ผ่านไปนานมากในสายตาจ้าว ทุกอย่างก็ยังไม่จบลง จ้าวรู้สึกโดนรีดน้ำจนหมดแรงแต่คุณเหมันต์ก็ยังแรงดีไม่มีตกจนจ้าวสงสัยว่าไปกินกระทิงแดงมากี่ขวดถึงคึกขนาดนี้
   
“คุณเห..มันต์”
   
จ้าวเรียกเสียงแผ่วมองใบหน้าคมคายที่ดูพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด
   
“ครับ”
   
เหมันต์หอมแก้มจ้าวดังฟอดก่อนจะซุกไซร้คอหอมกรุ่นไม่มีเบื่อ ถูกมอมเมาด้วยกลิ่นเฉพาะตัวของจ้าวเล่นสติแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
   
“ผมอยากอาบน้ำ”

ความจริงแล้วจ้าวไม่ได้อยากอาบน้ำเพียงแต่หาข้ออ้างเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเขาก็มีลางสังหรณ์ว่าคงจะโดนไปอีกสักพักใหญ่ๆ กว่าคุณเหมันต์จะพากลับห้อง
   
นัยน์ตาโศกสั่นระริก เขาไม่เคยคิดเรื่องแบบนี้ก็จริงแต่ก็ไม่คิดว่าครั้งแรกของตัวเองจะเป็นในป่า ทั้งๆ ที่ความจริงควรจะเป็นห้องนอนสักห้องที่เหมาะสมมากกว่าที่นี้มากกว่า
   
“อืม”
   
“..ฮื่อ”
   
จ้าวรู้สึกถึงความแข็งขืนในตัวก็รับรู้ได้ทันทีว่าคำร้องขอตัวเองส่งไปไม่ถึงคุณเหมันต์ พอประจักษ์ถึงความจริงที่จะต้องโดนกินอีกรอบจ้าวก็รู้สึกเหมือนได้รับรู้ถึงตัวตนที่ซ่อนลึกในตัวคุณเหมันต์ที่ถ้าไม่ใช่สถานการณ์แบบนี้คงไม่มีโอกาสได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวแน่ๆ
   
หมาป่าตัวร้ายที่กินจุและตะกละตะกลามราวกับว่าเป็นมื้อสุดท้ายในชีวิต!

   
Rrr
   
เสียงโทรศัพท์แผดเสียงข้างหูจนจ้าวที่หลับไปครึ่งวันยอมงัวเงียตื่นขึ้นมารับสาย โดยไม่ได้เอะใจสักนิดว่าไนท์เอาเบอร์ของตัวเองมาจากไหนเพราะมันเป็นเครื่องใหม่ที่คุณเหมันต์เพิ่งให้มา
   
“ครับ จ้าวพูดครับ”
   
[ จ้าว กูไนท์นะ ]
   
“อืม มีอะไรเหรอ”
   
จ้าวยังคงกึ่งหลับกึ่งตื่น สับสนระหว่างห้วงความฝันกับความเป็นจริง
   
[ เป็นยังไงบ้าง มาอยู่กับกูไหม กูพร้อมที่จะช่วยมึงนะ ]
   
น้ำเสียงร้อนรนในสายทำให้จ้าวรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ ที่ไม่สามารถตอบรับความรู้สึกของไนท์ได้
   
“กูสบายดี ไนท์ มึงไม่ต้องเป็นห่วง คุณเหมันต์ดูแลกูดีมาก”
   
[ …มึงไม่ได้โดนบังคับให้พูดใช่ไหม ]
   
“เปล่า กูพูดจริงๆ”
   
[ เป็นกูไม่ได้เหรอว่ะ จ้าว.. กูรักมึงจริงๆ นะ ]
   
ปลายสายพูดเสียงเครือจนจ้าวรู้สึกเจ็บปวด
   
“ขอโทษ ไนท์ กูขอโทษ”
   
[ ..ช่างเหอะ มึงมีความสุขกูก็ดีใจแล้ว เออ พวกเพลงที่มึงปล่อยออกมา คุณเหมันต์เป็นคนช่วยมึงใช่ไหม ]
   
“อืม คุณเหมันต์จัดการให้กูหมดเลย”
   
[ งั้นคุณเหมันต์ก็ไว้ใจได้สินะ โอเค งั้นกูจะคุยเรื่องงานจริงๆ ละ คือตอนนี้พวกโอเมก้าอ่ะ กำลังรวมกลุ่มกันเพื่อปฏิวัติ มึงจำไอ้วุ้นที่เป็นโอเมก้าเพื่อนเราได้ป่ะ มันอ่ะ เป็นเฮดหลักในกลุ่มเลย มันอยากได้คนมาเป็นสื่อกลางในการประชาสัมพันธ์ว่ะ ]
   
“หมายถึงกูใช่ไหม?”
   
[ อืม ก็มันเห็นมึงกำลังเล่นประเด็นชนชั้นพอดีก็เลยอยากจะลองชวนมึงมาเป็นคล้ายๆ พรีเซนเตอร์ให้ ]
   
จ้าวขมวดคิ้วมุ่น
   
“กลุ่มมึงคงไม่ใช่พวกคนที่กำลังก่อจราจลจนมีคนตายช่วงนี้ใช่ไหม”
   
[ กลุ่มนั้นนั่นแหละ ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้นหรอก แต่ทุกการเปลี่ยนแปลงมันก็ต้องมีการสูญเสียและผู้เสียสละ ไอ้ข่าวนั้นก็มีแต่พวกกูที่ตาย ไม่มีอัลฟ่าสักคนที่ตาย ]
   
“ไนท์ กูไม่ใช่สายนั้น กูอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก็จริงแต่กูไม่อยากให้ใครตาย”
   
[ เปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็โทรมาล่ะกัน ทางเลือกของมึงมีไม่เยอะหรอก มึงก็รู้ว่าสันติวิธีมันเป็นยังไง โอเมก้าแม่งตายเอาๆ จนจะหมดอยู่ละ กูว่าถ้าจะตายทั้งทีก็สู้กลับสักหมัดสองหมัดค่อยตายยังจะดีกว่าอีก ]
   
“ถ้ามึงจะโทรมาเพื่อคุยเรื่องนี้กูขอวางนะ กูไม่อยากทำจริงๆ”
   
จ้าวพูดเสียงแผ่ว ภาพลักษณ์ในสังคมตอนนี้ของเขากำลังเป็นไปในทิศทางบวก ขืนไปเข้าร่วมกับพวกหัวรุนแรงคงไม่วายโดนฉุดกระชากกลับไปภาพลักษณ์เดิมอย่างฆาตกรโรคจิต
   
[ จ้าว ตอนนี้มึงก็เป็นโอเมก้าแล้ว มึงน่าจะเข้าใจนะว่าพวกนั้นรู้สึกยังไงกับแต่ละวัน ]
   
“แค่กูคนเดียวมันทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก ไนท์ กูรู้ตัวดีและกูก็พยายามทำในสิ่งที่กูพอจะทำได้ กูก็แค่อยากให้มันดีขึ้นมาบ้าง สักนิดก็ยังดี”
   
[ นี่ไง มึงก็มาร่วมกับพวกกูก็จบ พวกกูมีวิธีของพวกกูอยู่ อีกไม่นานมันจะสำเร็จแต่กูบอกมึงไม่ได้ว่ามันคืออะไร ]
   
“กูขอคิดก่อนแล้วกัน”
   
จ้าวตัดสินใจตัดสายทิ้งด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง
   
ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเรื่องหนักหนาสาหัสกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า
   
และเขาก็จะเป็นหนึ่งในนั้นที่ต้องทนรับชะตากรรมกับมัน

=================

งานดราม่าคืองานหลัก งานหวานเป็นแค่รายได้พิเศษ

 :z13:

ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ แจกดอกไม้คนละช่อ  :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : ครอบครอง p.5 (21/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kanj1005 ที่ 21-06-2018 19:21:29
ไนท์เอาเบอร์โทรมาจากไหน  ข้าวรึเปล่า

กำลังจะมีสุข งานทุกข์ก็เหมือนจะมา
เอาจริงไม่ชอบน้ำหอมที่โอเมก้าใช้ทำลายแอลฟ่า  เหมือนอาชญากรรม
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : ครอบครอง p.5 (21/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 21-06-2018 22:33:15
คุณเหมันต์!!!! โอ้วววว หื่นได้ใจมาก555 ขอหวานๆเป็นงานหลักได้ไหม อิอิ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : ครอบครอง p.5 (21/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 21-06-2018 23:39:18
แหม่ พี่เหมันต์กินดุมากกกก
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : ครอบครอง p.5 (21/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 22-06-2018 00:25:32
เป็นห่วงจ้าว ถ้าร่วมมือกับกลุ่มของไนท์มันจะอันตรายเกินไปรึป่าว ปรึกษาคุณเหมันต์ด้วยนะ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : ครอบครอง p.5 (21/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 22-06-2018 05:43:24
 :ling2: เอ้าดอร์ กลางป่ากลางเขาเลยนะคะ เหิกกก

ว่าแต่นะ ไนท์เอาเบอร์จ้าวมาจากไหน แล้วคงไม่ได้มาดีแน่ๆ

จ้าวต้องคุยกับคุณเหมันต์ก่อนนะจ้าว ไม่เอาแบบเดิมแล้วนะ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : ครอบครอง p.5 (21/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: fxxg0430 ที่ 22-06-2018 07:58:04
จ้าวอย่าไปเชื่อมันนนน ฮื้อ ไม่อยากให้จ้าวไปยุ่งกะเรื่องการเมืองหรือแก้แค้นอะไรเลย ปลูกกระท่อมน้อยในป่าอยุ่กับคุณเหมันต์อย่างสงบสุขสองคนไม่ได้เหรอคะ อยากให้น้องมีความสุขแล้วอ่าา
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : ครอบครอง p.5 (21/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 22-06-2018 12:07:44
 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : ครอบครอง p.5 (21/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-06-2018 12:35:34
ทำไมมีดราม่าเข้ามาหาจ้าวตลอด ๆๆๆๆๆๆ
บรรยากาศฟิวกู๊ดข้างบนหายวับไปเลยย งื้ออออ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : ลักพาตัว p.6 (26/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 26-06-2018 15:22:32
ตอนที่ 26
   

บรรยากาศในห้องประชุมบริษัทนั้นเย็นเยียบและน่าสะพรึงกลัวราวกับอยู่ในสุสานสักแห่งที่ขึ้นชื่อเรื่องความเฮี้ยน บรรดาผู้บริหารระดับสูงในบริษัทต่างถูกเรียกตัวกันมาประชุมกันโดยไม่รู้วัตถุประสงค์ของการประชุม
   
รู้เพียงว่ามันเป็นคำสั่งด่วนของ ‘ท่านประธาน’ เท่านั้น
   
เสียงเปิดอ่านแผ่นกระดาษทีละแผ่นเล่นเอาเหล่าผู้เข้าร่วมประชุมหายใจกันได้ไม่เต็มปอด มีไม่กี่ครั้งนักที่ท่านประธานจะดูโกรธมากขนาดนี้ สีหน้าคมคายที่มักจะถูกชื่นชมตอนนี้หยาบกระด้างราวกับจะฆ่าทุกคนที่พูดขัดหู
   
แน่นอนว่าไม่มีใครกล้ากินแม้แต่กาแฟที่ถูกเตรียมให้แม้แต่คนเดียว
   
มีเพียงแก้วกาแฟดำรสเข้มรสโปรดของท่านประธานที่ถูกกินดับอารมณ์ไปแล้วครึ่งแก้ว
   
“ที่ผมเรียกพวกคุณมาในวันนี้เพราะผมอยากรู้เหตุผลว่าทำไม”
   
เสียงของเหมันต์ก้องกังวานแม้ว่าจะไม่ได้ใช้ไมค์ในการพูด นัยน์ตาสีเทานั้นวาวโรจน์ มือที่ถือเอกสารสั่นระริกด้วยความกราดเกรี้ยวที่อดรนทนไม่ได้
   
“ทำไมถึงการฆ่ากันในอาณาเขตของเรา ทำไมถึงมีพนักงานโอเมก้ากับอัลฟ่าของเราหายไป ทำไมถึงมีการลักลอบส่งน้ำหอมโอเมก้าในเขตของเราโดยที่คนของเรารับรู้แต่ไม่คิดจะขัดขวาง!”
   
มือหนาทุบเอกสารปึกใหญ่ที่รายงานว่าด้วยการลอบกระทำผิดของพนักงานที่ถูกจับได้แต่ยังไม่ได้แจ้งให้พนักงานผู้นั้นรับรู้ มีทั้งภาพทั้งลายมือการยืนยันรับรองต่างๆ ที่พนักงานลอบทำกันเองใต้จมูกของประธานบริษัทที่นั่งหัวโด่อยู่
   
“ผมไม่ได้โง่! เข้าใจไหม ผมไม่ได้โง่ พวกคุณเห็นว่าผมเงียบคิดว่าผมมันโง่นักสิ ใช่ไหมล่ะ” เหมันต์แค่นเสียงหัวเราะ “ถึงบริษัทเราจะมีนโยบายสนับสนุนความเท่าเทียมแต่ก็ไม่ได้หมายตวามว่าคุณจะทำอะไรก็ได้ พวกคุณมีอะไรก็ต้องผ่านผมก่อน”
   
ผู้บริหารบางคนนั่งตัวแข็งรู้สึกถึงเหงื่อเย็นที่ไหล่พลั่กเต็มหลัง พยายามนั่งนิ่งไม่ส่งสายตาให้พวกเดียวกันที่คุณเหมันต์กำลังกล่าวถึง พวกเขาพยายามสวดภาวนาในใจให้เวลานี้จบลงสักทีไม่เช่นนั้นก็คงจะต้องใช้แผนนั้นที่เคยตระเตรียมกันไว้
   
“คะ คุณเหมันต์ครับ ผม ผมอธิบายได้!”
   
ผู้บริหารระดับสูงซึ่งเป็นโอเมก้าที่ถูกเหมันต์แต่งตั้งขึ้นยกมือสั่นๆ ของตัวเองขึ้นและเมื่อได้รับการพยักหน้าเชิงอนุญาตให้พูดก็รีบพูดทันทีก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้พูดอีก
   
“คือ คือพวกผมน่ะกลัวว่าท่านจะไม่ชอบใจกับการกระทำของพวกเรา พวกเราเลยไม่ได้ปรึกษาท่านครับ แต่ แต่ผมรับประกันด้วยชีวิตของผมเลยนะครับว่าพวกเราไม่ได้ทำให้บริษัทเสื่อมเสียเลยแม้แต่น้อย! พวกเรา พวกเราแค่พยายามจะทำเพื่อสังคมให้ดีขึ้นครับ ผมก็อยากเป็นหนึ่งในนั้นด้วย”
   
“ด้วยการฆ่าอัลฟ่า?” เหมันต์พูดเสียงเย็นเยียบแววตาดุร้ายคล้ายกับหมาป่าที่จะตะครุบเหยื่อเพื่อฉีกทึ้งกิน
   
“เปล่า เปล่าครับ พวกเรา พวกเราไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้น”
   
โอเมก้าหนุ่มพูดแทบไม่เป็นภาษาด้วยความหวาดกลัว ลืมสิ้นถึงความข้อตกลงในกลุ่มที่ว่าด้วยการห้ามยอมรับว่าตัวเองเป็นคนทำไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
   
เพราะพวกเขาจะไม่ยอมรับว่าตนเองเป็น ‘อาชญากร’ เด็ดขาด!
   
เบต้าวัยกลางคนซึ่งเข้าร่วมโครงการเหมือนกันลอบเตะขาเชิงเตือน โอเมก้าหนุ่มจึงได้สติแต่ก็ไม่ทันกาลเพราะนัยน์ตาสัตว์ร้ายได้จับจ้องมาอย่างใคร่รู้เสียแล้ว
   
“รู้อะไรไหมว่าเมื่อวานผมไปประชุมแต่เช้าด้วยเรื่องอะไร”
   
เหมันต์พูดเสียงเนิบๆ นิ่งๆ หากแต่ตราตรึงเข้าไปในหัวเจ้าโอเมก้าหนุ่มที่พลาดครั้งใหญ่และพยายามมองด้วยท่าทีน่าเห็นใจ พยายามร้องขอความเมตตาจากเหมันต์เหมือนที่เคยทำอีก
   
แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้ผล ถ้าเป็นอีกคนทำอาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง
   
“เพราะน้ำหอมโอเมก้า อัลฟ่าถึงถูกฆ่าไปเป็นร้อยๆ คน ผมไม่รู้หรอกนะว่าจะทำเพื่อเรียกร้องสิทธิ์หรืออะไร แต่มันไม่ถูกต้อง ถึงพวกอัลฟ่าจะโหดร้ายก็จริงแต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่สมควรตาย ของอันตรายพรรค์นี้ไม่ควรจะมีด้วยซ้ำ บอกผมมาว่าแล็บที่ผลิตของพวกนี้มันอยู่ที่ไหน”
   
“ผม ผมไม่รู้” โอเมก้าหนุ่มลนลานพูดและมันก็เป็นความจริงที่ว่าไม่มีใครรู้ที่มาแน่ชัดของของพวกนั้นเพราะรู้ตัวอีกที น้ำหอมที่ทุกคนต้องการใช้งานก็มาอยู่ในมือแล้ว
   
“ผมขอยื่นคำขาดนะ” เหมันต์คำราม “ถ้าจะทำเรื่องพวกนี้ก็ลาออกไปซะ! ผมไม่สนับสนุนการฆ่าล้างกันทุกรูปแบบ ผมไม่สนหรอกว่าพวกคุณจะทำงานดีแค่ไหน ยังไงบริษัทของเราก็มีคนสมัครเป็นพันๆ คนทุกปีอยู่แล้ว เริ่มแรกอาจจะยากหน่อยแต่ผมมั่นใจว่าคนที่ภักดีต่อผมสามารถสอนงานได้”
   
“แต่ แต่ไม่มีที่ไหนรับโอเมก้าเข้าทำงานตำแหน่งใหญ่ๆ แบบนี้นะครับ” โอเมก้าหนุ่มเจ้าปัญหาน้ำตาแตกทันที “ผมเพิ่งซื้อรถไปเอง”
   
“อยากได้โอกาสจากผมครั้งที่สอง? แต่ขอโทษด้วยที่ผมให้โอกาสคนแค่ครั้งเดียวครับ” นัยน์ตาหมาป่าวาวโรจน์ “สุนัขที่เคยแว้งกัดเจ้าของแล้วครั้งหนึ่ง คุณจะรู้ได้ยังไงว่าไม่มีครั้งต่อไป ผมไม่เสี่ยงด้วยหรอกนะ วันดีคืนดีพวกคุณอาจจะฆ่าผมแทนก็ได้ ทั้งๆ ที่ผมก็ดีกับพวกคุณกว่าใครๆ”
   
คำพูดของท่านประธานนั้นถูกทุกประโยค ไม่มีบริษัทไหนที่ให้สวัสดิการเท่าเทียมที่เพศเท่าบริษัทตระกูลกิลลาสแล้ว ซึ่งนโยบายว่าด้วยความเท่าเทียมก็เพิ่ง   มีขึ้นตอนที่เหมันต์เป็นประธานบริษัท
   
“พวกเราขอโทษจริงๆ ครับ”
   
โอเมก้าหนุ่มอีกคนผลุดลุกขึ้นตามด้วยอีกหลายๆ คนที่ยอมจำนนอย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามสิ่งที่ท่านประธานพูดก็เป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าพวกเขาถูกจับได้แล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะปิดบังอีกต่อไป
   
“ที่พวกผมทำไปก็เพื่อสนองนโยบายของบริษัทครับ ฮึก ผมได้รับความเท่าเทียมที่นี้ ผมก็อยากให้คนอื่นๆ ได้รับมันบ้าง”
   
“ผมไม่อยากให้ญาติผมต้องร้องไห้อีกแล้ว ฮึก เขาเข้าทำงานบริษัทของเราไม่ได้ต้องกลายเป็นพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำที่โดนกลั่นแกล้งทุกวัน”
   
“ขอโทษด้วยที่ผมไม่ได้ใจดีขนาดนั้น” สีหน้าของเหมันต์เย็นชาและหยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง “หลังจากวันนี้พวกคุณทุกคนที่มีรายชื่อในกระดาษแผ่นนี้” น้ำเสียงทุ้มกดหนักในประโยคสุดท้าย “ไปหางานใหม่ซะ ผมไล่พวกคุณออก”
   
เหล่าคนที่ลุกขึ้นยืนหน้าชาโดยความตกตะลึงเพราะไม่คิดว่าบทลงโทษที่ตนเองรับจะรุนแรงขนาดนี้ จากที่เคยคาดเดากันเองว่าถ้าคุณเหมันต์จับได้จะเป็นยังไงและพวกเขาก็ทายกันว่าอย่างมากก็แค่พักงานสักเดือนสองเดือน ไม่ร้ายแรงกว่านั้น
   
ซึ่งมันอาจจะเป็นเช่นนั้นถ้าเกิดไม่มีอัลฟ่าตายเป็นร้อยๆ คนและเงินของบริษัทหายไปก้อนใหญ่หลายล้าน เหล่าพนักงานหลายฝ่ายทั้งฝ่ายบัญชีและตำแหน่งต่างๆ รวมหัวกันคดโกงเงินของบริษัทเพื่อนำเงินไปเป็นกองกลางให้กับกลุ่มก้อนของตัวเองโดยไม่สนใจว่าบริษัทจะเป็นเช่นไรเมื่อโดนจับได้ว่าเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่กับกลุ่มอาชญากรรม
   
พวกเขาไม่เคยคิด ไม่เคยสนใจ เพราะไม่เคยอยู่ในตำแหน่งประธานบริษัทที่ต้องดูแลทุกคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชา พวกเขาไม่เคยได้ดูแลลูกน้อง ไม่เคยเป็นผู้จ่ายเงินเดือน จึงไม่เคยรู้เลยว่าการคดโกงในองค์กรมันร้ายแรงขนาดไหน
   
สำหรับเหมันต์แล้ว ลูกน้องเหล่านี้ก็เป็นเพียงคนเห็นแก่ตัวที่พยายามเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยการใช้ทรัพยากรของอัลฟ่าที่รังเกียจนักหนาอีกที เขาจะไม่โกรธมากขนาดนี้ถ้าเงินในบริษัทถูกนำไปใช้ด้วย
   
“ไม่ ผมไม่ยอม!!!”
   
“ไม่!!! พวกเราไม่ได้ทำผิดอะไรสักหน่อย แค่พักงานเดือนสองเดือนก็น่าจะพอแล้วนี่นา”
   
ความไม่พอใจระลอกใหญ่เกิดขึ้น อัลฟ่าหนุ่มร่างกำยำหัวสมัยใหม่ซึ่งเหมันต์เพิ่งให้ตำแหน่งไปหยกๆ ถลาตัวเข้ามาใกล้ตั้งใจจะกระชากคอเสื้อเพื่อระบายด้วยความเดือดดาลและขาดสติ
   
เพราะตำแหน่งที่ใกล้กันมากทำให้ออสตินที่ยืนเฝ้าระวังอยู่อีกฝั่งถลาเข้ามาช่วยได้ไม่ทัน มือแข็งแกร่งกำลังจะคว้าคอเสื้อของเหมันต์ตั้งใจจะต่อยสักหมักสองหมัดเรียกสติโง่เง่าของท่านประธาน
   
“!!!”
   
หากแต่มือกลับหยุดชะงักทันทีเมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาสีเทาที่วาวโรจน์ สัญชาตญาณบางอย่างในตัวอยู่ๆ ก็แสดงขึ้นมาด้วยการถอยกลับไปยืนที่เดิมด้วยเนื้อตัวสั่นเทา
   
ทั้งๆ ที่เป็นอัลฟ่าเหมือนกันแต่กลับรู้สึกว่าคุณเหมันต์นั้นเป็นอัลฟ่าที่เหนือกว่า!
   
กลิ่นฟีโรโมนอัลฟ่ารุนแรงลอยฟุ้งจากสูงใหญ่ของท่านประธานบริษัทที่ผลุดลุกขึ้นยืนและมองเหล่าผู้ทรยศด้วยสายตาคุกคามเชิงสมเพชจนผู้คนเหล่านั้นนั่งก้มหน้านิ่งตัวสั่นงก
   
สำหรับผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนแล้วนี้เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่สัมผัสได้ถึงความเป็นอัลฟ่าพิเศษของคุณเหมันต์ ความทระนงตนในสายเลือดและความแข็งกร้าวขับให้บุคลิกที่มักจะดูสุขุม ใจดีกลายเป็นอีกคนที่ดูทรงอำนาจและน่าเกรงขาม
   
“ออกไปจากบริษัทผมเดี๋ยวนี้!”
   
ตอนนี้พวกเขาราวกับลูกสัตว์อ่อนแอ ไม่ว่าจะเป็นโอเมก้า เบต้า หรืออัลฟ่า ต่างพากันสั่นเทาไม่มีใครสามารถต่อกรกับท่านประธานบริษัทที่กลายเป็นหมาป่าดุร้ายได้สักคน
   
หากแต่ความอ่อนแอและจนตรอกก็มักจะทำให้เกิดความกล้าหาญแปลกประหลาดขึ้นมา โอเมก้าหนุ่มคนเดิมที่นั่งน้ำตารื้นตัดสินใจใช้วิธีการฉุกเฉินในกลุ่มที่ถูกประกาศไว้ว่าต้องฉุกเฉินจริงๆ ถึงจะใช้วิธีนี้
   
ทันทีที่ป้อนคำสั่งฉุกเฉินลงในกลุ่มก็เผยรอยยิ้มออกมา
   
เพราะมันน่าจะซื้อเวลาให้พวกเขาได้หลบหนีไม่มากก็น้อย
   
สิ่งที่พวกเขามั่นใจได้คือคุณเหมันต์ไม่มีวันปล่อยพวกเขาออกจากบริษัทอย่างลอยนวล การคดโกงในบริษัทเป็นข้อห้ามข้อใหญ่อยู่แล้ว สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือคำฟ้องต่างๆ ที่สู้ยังไงก็ไม่มันวันชนะเพราะทนายมือดีแทบทุกคนล้วนเป็นคนรู้จักของคุณเหมันต์
   
และแน่นอนว่าการกระทำนี้ก็แลกกับความโกรธเกรี้ยวมหาศาลของท่านประธาน!

   

วันนี้อากาศมืดครึ้มไม่สดใสทั้งๆ ที่พยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้ไม่มีฝน ราวกับเป็นลางบอกเหตุร้ายบางอย่างจนจ้าวอดครั่นเนื้อครั่นตัวไม่ได้  นัยน์ตาโศกมองรอบๆ ตัวอย่างหวาดระแวง ถึงแม้จะมีบอดี้การ์ดมายืนคุมเชิงอยู่ใกล้ๆ แต่ก็อดกลัวไม่ได้อยู่ดี
   
“หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ”
   
จ้าวบ่นพึมพำกับตัวเองขณะที่มือยังคงเคาะกับกระดาษ แต่งเพลงใหม่สำหรับอัลบั้มไปพลางๆ คำพูดของไนท์เมื่อวานเล่นเอาสติของจ้าวกลับมาชัดเจนอีกครั้ง การอยู่ภายใต้อาณัติของคุณเหมันต์นั้นมันปลอดภัยจนเขาผ่อนคลายและแทบจะลืมเป้าหมายหลักของตัวเองไปแล้ว
   
เป้าหมายที่ว่าด้วยการเรียกร้องสิทธิ์ที่ให้ตัวเองและเหล่าโอเมก้า แต่เอาเข้าจริงจ้าวก็รู้สึกเจ็บปวดไม่เท่าเดิมแล้วเพราะความอ่อนโยนที่คุณเหมันต์มีให้ บาดแผลเหวอะหวะตามตัวคล้ายจะจางลงจนแทบไม่รู้สึก
   
มันเป็นความรู้สึกที่ดีจนจ้าวอดยิ้มไม่ได้ มือหนาที่รวบมือเขาไปจับราวกับเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด คอยประคับประคองไม่ให้ตัวตนที่แสนแตกร้าวของเขาแตกเป็นเสี่ยงไปจริงๆ
   
หากแต่สัมผัสอ่อนโยนก็เทียบไม่ได้กับความดุดันในวันนั้น จ้าวหน้าแดงเถือกเมื่อคิดถึงเรื่องกลางป่า ถึงแม้คุณเหมันต์จะกัดกินเขาอย่างตะกละตะกลามแต่เสียงกระซิบข้างหูก่อนจะเขาจะหลับไปนั้นก็ชัดเจนจนลืมเคืองเรื่องปวดเนื้อตัวไปเลย
   
‘พี่รักจ้าวนะ’
   
แค่คิดจ้าวก็รู้สึกเขินจนทำตัวไม่ถูก นึกรำคาญตัวเองที่มีอาการคล้ายกับเด็กไม่ประสีประสาเรื่องความรักแล้วอยู่ๆ ก็มีคนมาสารภาพรักใส่ ถึงมันจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกบอกรักแต่จ้าวกลับรู้สึกว่าครั้งนี้มันสำคัญกับเขามากจริงๆ
   
เขาได้เป็นคนสำคัญของใครสักคนแล้ว
   
เขามีคุณค่าไม่ได้ไร้ค่าอย่างที่ทุกคนว่า
   
คำพูดของผู้คนที่พูดออกไม่โดยไม่ตระหนักนั้นยังคงชัดเจนในใจจ้าวอยู่เสมอ
   
‘สันดารต่ำ! ฆ่าผู้หญิง คนอย่างมึงมันไร้ค่าไม่น่าเกิดมาเลยว่ะ!’
   
จ้าวไม่แน่ใจนักว่าใครเป็นคนพูดประโยคนี้แต่มันก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวเขาตลอดห้าปี ถึงเขาจะไม่ได้ทำแต่เขาก็เจ็บปวดที่มีคนด่าว่าถึงขนาดนั้น ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้ความจริงด้วยซ้ำว่าคืออะไร
   
ในขณะที่คิดอย่างใจลอยก็เกิดเหตุการณ์ที่จ้าวคาดการณ์ไว้ขึ้น บอดี้การ์ดร่างใหญ่ที่ถูกใช้ให้มาดูแลความปลอดภัยเปิดทางให้แทบจะทันทีกับผู้ที่เดินเข้ามาในห้องนอนจ้าวอย่างถือวิสาสะ
   
“!”
   
จ้าวเบิกตากว้างเมื่ออยู่ๆ โดนกระชากตัวขึ้นพาดบ่า ยังไม่ได้ทันได้ขัดขืน ผู้ติดตามอีกสองสามคนที่ตามมาด้วยก็พากันลงมือมัดมือมัดเท้าและใช้เทปปิดปาก แน่นอนว่าทุกอย่างเกิดขึ้นในพริบตาและเรี่ยงแรงของจ้าวก็ไม่ได้มากพอที่จะขัดขืนด้วย
   
นัยน์ตาโศกสบมองคนที่ตนเพิ่งคุยในโทรศัพท์ด้วยความไม่พอใจนัก
   
คิง..
   
“บอกแล้วว่ามึงมีทางเลือกไม่เยอะหรอกจ้าว”
   
คิงลูบใบหน้าจ้าวด้วยรอยยิ้มพอใจก่อนจะขมวดคิ้วแทบจะทันทีเมื่อเห็นร่องรอยตามคอของจ้าวที่ถึงแม้จะถูกปิดด้วยปลอกคอเหล็กแต่ก็ยังเป็นจ้ำให้เห็นชัดเจนอยู่ดี
   
“หมายความว่าไงวะ จ้าว มึงไปเอาใครมา!”
   
ใบหน้าของมือเบสประจำวงมูนไลท์บิดเบี้ยว มองจ้าวด้วยสายตาดุดันอย่างไม่พอใจแต่ยังไม่ทันโวยวายก็ถูกอีกคนที่มาด้วยเอ่ยเตือนดุๆ
   
“มึงอย่าเพิ่งมีปัญหาตอนนี้ คิง เรามีเวลาไม่มากนะ”
   
คิงขบเคี้ยวฟันไม่พอใจและเดินนำออกไปก่อนที่จะควบคุมตัวเองไม่ได้ รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านที่จ้าวเลือกคนอื่นที่ไม่ใช่ตนเอง ทั้งๆ ที่ระยะเวลาที่รู้จักกันมาก็นานมากพอที่จะเป็นคนรู้ใจกันได้ จ้าวดีกับเขามากกว่าคนอื่นๆ ในวง เขารู้สึกได้และยินดีที่ได้รับความใจดีนั้นไว้แต่เพียงผู้เดียว
   
เขาทนไม่ได้หรอกที่เห็นจะจ้าวเป็นของใคร แค่วันนั้นเขาก็ฝืนแทบตายแล้ว เขาไม่ได้อยากกลับบ้าน เขาอยากอยู่กับจ้าว อยากเป็นที่พึ่งพาให้จ้าวและอยากได้จ้าวเป็นของตัวเองคนเดียว!
   
“ส่วนมึง จ้าว”
   
โอเมก้าร่างโปร่งที่จ้าวรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาแต่นึกไม่ออกยิ้มให้บางๆ
   
“หลับไปก่อนนะ”
   
สิ้นคำท่อนไม้ที่ถูกพกมาด้วยก็ฟาดที่ท้ายทอยของจ้าว เพียงครั้งเดียวจ้าวก็นิ่งงันไป มือบางจับใบหน้าจ้าวและตามตัวเพื่อเช็คว่าแกล้งหลับหรือไม่ เมื่อพบว่าเป็นความจริงก็ปล่อยไปและรีบเดินทางกลับสู่ฐานลับทันที
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : ลักพาตัว p.5 (26/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 26-06-2018 15:25:13
“อืมมม”
   
จ้าวครางในลำคอเมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาและความเจ็บปวดก็ปรากฎแทบจะทันที ร่างผอมร้องอูยเบาๆ เมื่อแตะท้ายทอยตัวเองแล้วเจ็บมาก นัยน์ตาโศกกวาดตามองพื้นที่รอบตัวก็พบว่าตัวเองนั้นได้นั่งอยู่มุมห้อง ข้อเท้าถูกล่ามด้วยตรวนโลหะที่แสนจะคุ้นเคยจนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเซ็งๆ
   
เรื่องบ้าๆ เกิดขึ้นอีกแล้วและเกิดขึ้นกับเขาอีกแล้ว
   
ซวยชะมัด
   
จ้าวกลอกตาเบื่อหน่าย ไม่มีความตื่นตระหนกเพราะเคยเจอหนักกว่านี้และแน่นอนว่าเมื่อลุกขึ้นนั่งก็เป็นสัญญาณว่าตื่นแล้ว จึงสามารถเรียกความสนใจจากผู้คนที่นั่งกันได้เป็นอย่างดี
   
“พี่จ้าวตื่นแล้ว!”
   
“ที่เป็นนักร้องคนนั้นน่ะนะ ตื่นแล้วเหรอ!”
   
จ้าวมองความวุ่นวายตรงหน้าราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ใช้ความใจเย็นของตัวเองสำรวจพื้นที่รอบๆ เพื่อหาทางหนีทีไล่และสำรวจไปในตัวว่าตัวเองถูกพามาที่ไหนกันแน่
   
นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างนิดๆ เมื่อพบว่าตัวเองเหมือนอยู่ในโถงมืดสลัวขนาดใหญ่ที่รวบรวมโอเมก้าไว้เป็นจำนวนมาก มีตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงวัยชราแต่จำนวนที่มากที่สุดคือวัยรุ่น วัยที่เหมาะสมสำหรับการปฏิวัติมากที่สุด
   
วิทยุที่ตั้งอยู่มุมห้องเปิดเพลงที่ตัวเองร้องออกมาตอนที่ยังเป็นวงมูนไลท์ เสียงเพลงขับกล่อมให้บรรยากาศละมุนละไมลง เหล่าโอเมก้าดูจะสนใจเขาอย่างเห็นได้ชัดพากันมามุงจนแทบสำรวจต่อไม่ได้
   
จ้าวกลืนน้ำลายเอือกถอยหลังจนชนกำแพงเมื่อโอเมก้ามุงขยับเข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆ
   
“ถอยไปหน่อย ถอยครับ อย่าเพิ่งมากรี๊ดกร๊าดกันตอนนี้ ขอพี่ใหญ่คุยก่อนนะครับ”
   
และในที่สุดโอเมก้ามุงก็ถูกแหวกออกด้วยร่างโปร่งที่ดูจะตำแหน่งใหญ่ในที่แห่งนี้ ใบหน้าหวานที่ติดจะดูหยิ่งยโสในทิฐิโผล่เข้ามาในความทรงจำของจ้าวอีกครั้ง
   
ใครนะ..
   
จ้าวขมวดคิ้ว เขาคุ้นตั้งแต่ก่อนที่จะสลบแล้วว่าเป็นใครแต่ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี
   
“จำกูไม่ได้เหรอจ้าว” แม้แต่น้ำเสียงที่พูดยังหวานนุ่มนวล “กูขนมไง”
   
“!!!”
   
จ้าวตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวทันทีเพราะมีความทรงจำร่วมกันที่ไม่ดีสักเท่าไหร่
   
เพราะความเป็นอัลฟ่าจ้าวจึงมักจะได้รับสิทธิพิเศษมากกว่าใครๆ แม้แต่การขึ้นร้องเพลงก็ยังได้ขึ้นเป็นวงแรกๆ ตามคำสั่งของผู้อำนวยการทั้งๆ ที่มีวงที่ลงทะเบียนจองไว้ก่อนเป็นเดือนแล้ว
   
วงๆ นั้นคือวง ‘SWEET CANDY’
   
วงของขนมที่เป็นวงเล็กๆ มีนักร้องนักดนตรีเป็นโอเมก้าทั้งหมดซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในโรงเรียนชื่อดังแห่งนี้ การเป็นโอเมก้าแล้วสามารถเข้ามาอยู่ในโรงเรียนชั้นนำแบบนี้ได้มีอยู่ไม่กี่อย่างคือฐานะทางบ้านดีหรือเป็นเด็กเลี้ยงของอัลฟ่าบางคนที่หมายมั่นให้เป็นภรรยาในอนาคต
   
เขายังจำความโกรธและน้อยเนื้อต่ำใจของขนมได้ มือเล็กนั่นต่อยหน้าเขาไปครั้งก่อนจะตะคอกใส่เขาด้วยความกราดเกรี้ยว เพราะเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นหลังเลิกเรียนจึงไม่มีใครสักคนที่เข้ามาห้าม ใบหน้าของจ้าวเป็นรอยช้ำไปหลายวันแต่จ้าวก็ไม่ได้บอกใครถึงสาเหตุที่แท้จริง
   
หลังจากนั้นขนมก็เกลียดเขาเข้าไส้ มักจะกลั่นแกล้งเขาด้วยวิธีการเด็กๆ อย่างการซ่อนของ ขโมยเงิน หรือแม้แต่ขัดเท้าให้ล้มตอนที่เดินผ่าน แน่นอนว่าจ้าวไม่เคยล้มเพราะรู้ทันก่อน
   
และหลังๆ มันก็หนักขึ้นเรื่อยๆ จนจ้าวทนไม่ไหวตะคอกใส่หน้าไปครั้งหนึ่ง การกระทำชั่วร้ายของขนมจึงหยุดลง เหลือเพียงความขุ่นเคืองใจที่ดูจะมากจนสามารถถมทะเลสาบหน้าโรงเรียนได้
   
“ทำหน้างี้คงจำได้แล้วสินะ” ขนมหัวเราะ นัยน์ตาที่ใส่คอนแท็กเลนส์สีฟ้าสดใสเข้ากับผมสีเหลืองอ่อนที่เพิ่งไปย้อมมาสดๆ ร้อนๆ “ไม่เป็นไรจ้าว ถึงโตๆ กันแล้ว กูก็ยังไม่ชอบหน้ามึงอยู่ดี”
   
จ้าวเม้มปากแน่นไม่รู้จะพูดอะไร เขาเองก็ไม่ชอบขนมเหมือนกัน ที่ชอบมากลั่นแกล้งเขาอย่างไร้สาเหตุ เขาพอจะเข้าใจได้ถึงความโกรธที่โดนเขาแย่งเวทีไปจนไม่ได้ขึ้น แต่เรื่องมันก็ผ่านมาหลายปีแล้วจะมารื้อฟื้นอะไรอีก
   
“งั้นเข้าเรื่องกันเลย” ใบหน้าน่ารักฉีกยิ้มหวานขัดกับเรื่องที่กำลังจะพูด “มึงถูกพาตัวมาที่นี่ในฐานะของตัวประกันและจะเป็นคนที่ออกสื่อให้กับพวกเราด้วย”
   
“ก็บอกแล้วไง ว่าไม่เอา!” สีหน้าของจ้าวเย็นชา รู้สึกเดือดดาลไม่น้อยที่ตัวเองกลายเป็นเครื่องมือในการต่อกรกับคนอื่นๆ ราวกับเป็นเพียงสิ่งของที่คิดจะทำอะไรก็ทำ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าคุณเหมันต์รู้ว่าเขามาอยู่ที่นี่จะร้อนรนขนาดไหน ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องเกิดเรื่องบ้าๆ นี่ขึ้นหลังจากที่เขาเพิ่งมีความสุขไปเอง
   
“โทษที มึงไม่ได้อยู่ในฐานะที่ต่อรองได้ว่ะ จ้าว” ขนมหัวเราะและชี้ไปที่ปลอกคอเหล็กซึ่งมีอุปกรณ์ตัดสัญญาณขนาดกะทัดรัดติดอยู่ “พวกกูเป็นคนประดิษฐ์ไอ้เครื่องนี้ขึ้น ถ้ามึงขัดขืนพวกกูจะเอามันออกแล้วให้น้องมึงมาตามจับมึงไปเลย”
   
สิ้นประโยคของขนม สติของจ้าวก็กลับมาชัดเจนและเข้าใจถึงสถานะที่โคตรจะเป็นรองของตัวเองขึ้นมาทันที ความหดหู่สิ้นหวังที่เคยจางหายไปแล้วกลับมาชัดเจนอีกครั้ง มันเกาะตามตัวจ้าวราวกับปรสิตและกอดรัดแน่นคล้ายกับคิดถึงนักหนา
   
“…ถ้าเป็นตัวแทนแล้วต้องทำอะไรบ้าง”
   
จ้าวยังคงสีหน้าเยือกเย็นเอาไว้ได้แม้ว่าจะรู้สึกสิ้นหวังเต็มทน การถูกจับมาที่นี้ก็เหมือนกลายเป็นเบี้ยล่างในคุกอีกครั้งแต่ดีหน่อยที่ครั้งนี้เขาไม่ถูกจับตรวนทั้งมือทั้งเท้าแล้วต้องเจอนักโทษคนอื่นแทบทุกวัน
   
ไม่ว่าจะที่ไหน ทุกคนก็ต่างมองเขาไม่ใช่คน เป็นเพียงอะไรสักอย่างที่สามารถทำประโยชน์ได้สินะ
   
ร่างผอมคิดด้วยความเศร้าหมองนึกคิดถึงคุณเหมันต์ขึ้นมาทันที ถ้าเลือกเกิดได้ เขาไม่อยากเกิดเป็นตัวเอง เขาไม่อยากเป็นนักร้องแล้ว ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น เขาไม่อยากให้ใครมาใช้ประโยชน์จากเขาอีกแล้ว
   
ถ้าเขาไม่เกิดมาตั้งแต่แรก เขาก็คงไม่เจ็บปวดมากขนาดนี้สินะ
   
“ก็ง่ายๆ แค่พูดตามที่พวกกูเขียนให้ก็เท่านั้น” ขนมยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นสีหน้าเศร้าหมองของจ้าว “เข้าใจความรู้สึกของกูรึยังล่ะ จ้าว กูรู้สึกแบบมึงทุกวันตั้งแต่เกิดมาเลยว่ะ”
   
“โอเค ตกลง กูจะเป็นตัวแทนให้พวกมึง เป็นทุกอย่าง จะส่งกูไปตายก็ได้ เชิญตามสบายเลย”
   
จ้าวหลับตาเอนหลังพิงกำแพงรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไร
   
ความฮึกเหิมที่เคยมีตอนอยู่กับคุณเหมันต์ค่อยๆ จางลง มีแต่ความอ่อนล้าที่เพิ่มขึ้นในชีวิต แม้แต่ความสุขอย่างการแต่งเพลงจ้าวก็ไม่คิดอยากจะทำแล้ว
   
เขาเหนื่อย เหนื่อยมากจริงๆ
   
นัยน์ตาโศกที่ซ่อนหลังเปลือกตาสั่นระริกเมื่อนึกถึงสัมผัสอบอุ่นที่โอบกอดตัวเองอย่างอ่อนโยนผิดกับตอนนี้ที่อากาศเย็นเยียบจนเนื้อตัวสั่นเทา อากาศที่ใช้หายใจก็อึดอัดจนไม่อยากหายใจอีก
   
ขนมเลิกคิ้วงุนงงเพราะไม่คิดว่าจ้าวจะยอมจำนนอย่างว่าง่าย ภาพที่ยังคงติดตามาถึงตอนนี้คือการตะคอกใส่หน้าเขาอย่างถือวิสาสะ ขนมยังคิดตลอดและคิดเสมอว่าสันดารคนไม่มีวันเปลี่ยน เช่นเดียวกับจ้าวที่ต้องแย่เหมือนเดิม
   
“ไอ้เหี้ยขนม!”
   
ร่างโปร่งสะดุ้งเฮือกก่อนที่จะร้องโอดโอยเมื่อโดนผลักออกให้พ้นทาง
   
“มึงทำอะไรจ้าว มึงทำอะไรจ้าว! ไอ้สัตว์!”
   
สภาพของคนมาใหม่ไม่ต่างกับหมาบ้านัก ความสงบสุขุมหายไปหมดตั้งแต่ตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่มกบฎโอเมก้า ใบหน้าที่เคยถูกยอมรับว่าดูดีพอจะเป็นดาราได้ตอนนี้ค่อนข้างโทรมเพราะเครียดเรื่องจ้าวจนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ในหัวมีเพียงการหาทางช่วยเหลือจ้าวทุกวิถีทางและทำให้จ้าวเป็นของตัวเองให้ได้สักที
   
คิงจับไหล่จ้าวโดยลืมไปโดยสิ้นเชิงว่าจ้าวไม่ชอบให้โดนจับตัวถ้าไม่ใช่คนสนิทจริงๆ “จ้าว ไอ้ขนมมันทำอะไรมึง ทำไมหน้ามึงเหมือนจะร้องไห้ บอกกูสิ เล่าให้กูฟังก็ได้ กูเป็นเพื่อนมึงนะ จ้าว”
   
การรักข้างเดียวก็เหมือนมีหอกแหลมคมที่จออยู่ที่ปลายคอ ถ้าหากอีกฝ่ายรับรักก็จะดึงด้ามหอกออกไป แต่ถ้าไม่ หอกนั้นก็จะแทบทะลุคอหอยทำลายล้างผลาญทุกอย่างตามปริมาณความรักที่มี
   
แน่นอนว่าสำหรับคิงแล้วจ้าวคือทุกอย่างในชีวิต เคยวาดฝันเอาไว้ด้วยซ้ำว่าจะขอแต่งงานสักวัน จัดงานแต่งหรูหรา เชิญเพื่อนในห้องมาร้องเพลง และอาจจะมีลูกเล็กน่ารักสักสองสามคนไว้เป็นโซ่ทองคล้องใจ
   
มันควรจะเป็นอย่างนั้นแต่มันก็ไม่ได้เป็น หอกจึงแทงทะลุทะลวคิงไปทั้งตัวจนสติพร่าเลือน ความเจ็บปวดที่กระจ่างชัดกระตุ้นให้ทำอะไรสักอย่างเพื่อคลายความเจ็บปวดลง ซึ่งคิงก็เลือกทางที่เลวร้ายที่สุดคือการยอมเป็นพวกของกบฎโอเมก้าที่มีสิทธิ์ตายได้ตลอดเวลา วันไหนที่ถูกจับได้ว่าซ่อนตัวอยู่ที่ไหน วันนั้นก็คงจะเป็นวันตายของทุกคน
   
เพราะรัฐบาลประเทศนี้ไม่เคยไว้ชีวิตใครที่คิดกบฎ!
   
“กูโอเค คิง” จ้าวลืมตาขึ้นมองอย่างเย็นชา โกหกคำโตเพราะไม่อยากได้รับความสงสารจากใคร โดยเฉพาะกับคนตรงหน้าที่ทรยศความไว้ใจของเขาด้วยการพรากเขาจากสรวงสวรรค์มาลงนรกอีกครั้ง ถ้าหากเขาเป็นอีกาจริงๆ คงไม่วายถูกไนท์จับถอนขนออกจนหมด กลายเป็นอีกาขนโกร๋นในกรงทองที่เจ้าตัวพยายามสร้างขึ้นมาให้เขา
   
“แม้แต่ตอนนี้มึงก็ยังโกหกกู!” คิงคำรามอย่างเดือดดาล “กูทิ้งทุกอย่างในชีวิตกูเพื่อมึงเลยนะ ทำไมมึงถึงไม่รักกูบ้าง”
   
“ก็อย่างที่กูเคยบอกมึง” จ้าวยิ้มเหยียด “มึงมันก็แค่เพื่อน”
   
นัยน์ตาสีดำของคิงแทบจะกลายเป็นสีแดงฉานอย่างดุร้าย เนื้อตัวสั่นระริกด้วยความโกรธระคนผิดหวัง แค่นเสียงพูดลอดไรฟันออกมา “งั้นตอบกู มึงไปเอาใครมา!!!”
   
“ไม่ใช่เรื่องที่มึงต้องรู้ว่ะ” จ้าวหัวเราะใส่ “หน้าที่ของกูที่นี่ก็มีแค่เป็นตัวแทนพวกมึง กูไม่ได้มีหน้าที่ต้องมาตอบคำถามมึงทุกข้อหรือต้องรับรักมึงว่ะ”
   
จ้าวพยายามรักษาสีหน้าให้นิ่งสงบแม้ว่าจะถูกกำไหล่แน่นจนเจ็บ
   
“กูรักมึงมากนะจ้าว กูถึงพยายามช่วยมึง ทั้งๆ ที่ตัวกูก็ไม่ได้มีความสามารถมากมายอะไร”
   
คิงพูดเสียงสั่นเทา รู้สึกเจ็บปวดเมื่อเลิกคอเสื้อของจ้าวออกก็เห็นร่องรอยเต็มคอกับไหล่ไปหมด กลิ่นอัลฟ่าจางๆ ที่ยังติดบนตัวบอกได้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
   
“กูไม่เคยขอให้มึงช่วย”
   
“หึ” คิงพยายามหัวเราะแม้จะรู้สึกเจ็บจนหน้าชา “วันนั้นกูไม่น่าไปช่วยมึงเลย น่าจะปล่อยให้มึงโดนจับไป จะได้ตายๆ ไป กูจะได้ไม่ต้องเจ็บขนาดนี้”
   
“…”

จ้าวพูดแดกดันไม่ออกเมื่อสบตากับคิงแล้วเห็นความเจ็บปวดร้ายแรง
   
“โอเค จ้าว วันนี้กูยอมแพ้”
   
คิงปล่อยมือจากไหล่จ้าวและยกขึ้นสองข้างเชิงยอม มองใบหน้าที่จนถึงตอนนี้ก็ยังน่ามองด้วยความเศร้าสลดและตระหนักว่าตัวเองไม่เคยเป็นอะไรกับจ้าวเลย
   
ไม่เคยเลยจริงๆ
   
ร่างสูงที่ผอมลงมากเดินออกไปโดยไม่ลืมคว้าไหล่ขนมไว้แน่นและพูดเสียงลอดไรฟัน
   
“ถ้ามึงคิดจะแกล้งจ้าว มึงโดนกูแน่”
   
ขนมแค่นเสียงหึไหวไหล่อย่างไม่สนใจ ทั้งๆ ที่ในใจก็หวาดหวั่นไม่น้อยเพราะถ้าหากต้องสู้กันจริงๆ เขาคงจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย
   
เมื่อคิงเดินจากไป ขนมก็กลับเข้าสู่โหมดวางก้ามอีกครั้ง นั่งยองๆ ตรงหน้าจ้าวอย่างคุกคามและสบกับนัยน์ตาโศกที่ตอนนี้กลับมาเย็นชา
   
“พรุ่งนี้มึงต้องเข้าไปคุยกับหัวหน้ากลุ่มเรา”
   
“วุ้น?”
   
ขนมเลิกคิ้วเมื่อจ้าวรู้หนึ่งในคนที่สำคัญที่สุดกลุ่ม “ไม่ใช่ มึงไม่รู้จักหรอก เขาเป็นเบต้า”
   
“…อืม”
   
จ้าวครางตอบในลำคอก่อนจะทิ้งตัวใส่กำแพง พยายามหลับเพื่อหนีความเป็นจริงที่เป็นอยู่ เขาเหนื่อยที่จะคุยกับคนที่เกลียดเขาแล้ว เขาคิดถึงบ้าน เขาไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว
   
“…”
   
ขนมพูดอะไรไม่ออกเมื่อพยายามหาเรื่องอีกฝ่ายเต็มที่แต่กลับได้ความเฉยชาตอบกลับและเมื่อลองสำรวจร่างกายจ้าวก็พบว่าผอมลงกว่าที่เคยเห็นในทีวีมาก ผอมจนไม่คิดว่าคนที่ประสบความสำเร็จมากขนาดนั้นจะตกต่ำได้ขนาดนี้
   
ความรู้สึกที่ไม่คิดจะมีให้อีกฝ่ายอยู่ๆ ก็เกิดขึ้นจนขนมรู้สึกรับไม่ได้
   
เขาเกลียดจ้าวจะตาย ไม่วันที่เขาจะเห็นใจจ้าวหรอก!
   
ขนมพยายามคิดอย่างนั้นแต่พอเห็นใบหน้าเศร้าหมองของจ้าวก็ใจอ่อนยวบ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายกอดตัวเองที่ตัวสั่นเทาก็รู้สึกผิดจนทนไม่ได้
   
พวกเราตัดสินใจพลาดไปรึเปล่านะที่ดึงจ้าวมาร่วมด้วย..?
   
หากแต่รู้สึกผิดไปก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้อยู่ดี ขนมถอดเสื้อคลุมตัวเองคลุมตัวจ้าวก่อนที่จะเดินจากออกมาโดยไม่พูดอะไร แม้ว่าเสื้อคลุมตัวนั้นจะราคาแพงระยับและตัวเองจะรักมันมากก็ตามที
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : ลักพาตัว p.5 (26/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 26-06-2018 15:55:24
มันต้องเจ็บอีกกี่ครั้งกับการโดนคนใกล้ตัวหักหลัง :hao5:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : ลักพาตัว p.5 (26/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kanj1005 ที่ 26-06-2018 19:26:00
รู้สึกว่าโอเมก้าพวกนี้เห็นแก่ตัวและขี้ขลาด
ขนาดความต้องการของตัวเองก็ไม่กล้าพูด  ต้องไปบังคับจับจ้าวมาเป็นฉากบังหน้า 
เรื่องนี้จ้าวน่าสงสารสุด ชีวิตมีแต่เรื่องทุกข์ ไม่ว่าครอบครัวหรือเพื่อน
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : ลักพาตัว p.5 (26/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 27-06-2018 00:01:50
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : ลักพาตัว p.5 (26/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 27-06-2018 01:26:51
สงสารจ้าวที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ซ้ำๆ พี่เหมันต์รีบมาช่วยน้องเร็วค่ะ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : ลักพาตัว p.5 (26/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 27-06-2018 18:41:34
 :angry2: :angry2: นั่นไงมาแล้ว กรี๊ดดด  :z3:  :z6:

เขาเรียกอะไรอ่ะ บางบทหรือบางคำของตัวละครเหมือนผู้แต่ง

สลับชื่อกันอะค่ะ เดี๋ยวคิง เดี๋ยวไนท์ หรือแม้แต่พาร์ทขนมอยู่ๆ

ก็กลายมาเป็นข้าวอะค่ะ


ใบหน้าของมือเบสประจำวงมูนไลท์บิดเบี้ยว มองจ้าวด้วยสายตาดุดันอย่างไม่พอใจแต่ยังไม่ทันโวยวายก็ถูกอีกคนที่มาด้วยเอ่ยเตือนดุๆ
   
“มึงอย่าเพิ่งมีปัญหาตอนนี้ ไนท์ เรามีเวลาไม่มากนะ”
   
คิงขบเคี้ยวฟันไม่พอใจและเดินนำออกไปก่อนที่จะควบคุมตัวเองไม่ได้

   
มันควรจะเป็นอย่างนั้นแต่มันก็ไม่ได้เป็น หอกจึงแทงทะลุทะลวงไนท์ไปทั้งตัวจนสติพร่าเลือน ความเจ็บปวดที่กระจ่างชัดกระตุ้นให้ทำอะไรสักอย่างเพื่อคลายความเจ็บปวดลง ซึ่งคิงก็เลือกทางที่เลวร้ายที่สุดคือการยอมเป็นพวกของกบฎโอเมก้าที่มีสิทธิ์ตายได้ตลอดเวลา วันไหนที่ถูกจับได้ว่าซ่อนตัวอยู่ที่ไหน วันนั้นก็คงจะเป็นวันตายของทุกคน



ขนมพูดอะไรไม่ออกเมื่อพยายามาเรื่องอีกฝ่ายเต็มที่แต่กลับได้ความเฉยชาตอบกลับและเมื่อลองสำรวจร่างกายจ้าวก็พบว่าผอมลงกว่าที่เคยเห็นในทีวีมาก ผอมจนไม่คิดว่าคนที่ประสบความสำเร็จมากขนาดนั้นจะตกต่ำได้ขนาดนี้
   
ความรู้สึกที่ไม่คิดจะมีให้อีกฝ่ายอยู่ๆ ก็เกิดขึ้นจนข้าวรู้สึกรับไม่ได้
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : ลักพาตัว p.5 (26/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 28-06-2018 06:19:02
คือแบบ... อยากให้มาแต่งรวดเดียวจบ 5555
รอ น่าาาาาา
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : Revenge of Raven p.6 (30/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 30-06-2018 00:23:26
ตอนที่ 27
   

แกร๊ง แกร๊ง
   
เสียงโซ่กระทบกันเป็นจังหวะเมื่อร่างผอมเดินลากเท้าไปยังห้องประชุมส่วนตัวซึ่งเป็นห้องที่ถูกแยกออกไปอย่างเห็นได้ชัด มีคนเฝ้าประตูตลอดเวลาอย่างแน่นหนาราวกับว่าภายนอกห้องมีสิ่งสำคัญที่แม้แต่คนในก็ไม่อาจไว้ใจได้อยู่
   
ใบหน้าของจ้าวยังคงเฉยชาไร้ความรู้สึก ไม่สนใจที่จะสวมเสื้อที่คิงเตรียมให้ด้วยซ้ำ ปล่อยให้เนื้อตัวเปลือยเปล่าโชว์ร่องรอยบาดแผลจากการทำร้ายกับร่องรองบางอย่างที่เริ่มจางลง ด้วยความหวังว่าพวกนั้นจะปราณีเขาบ้าง แค่นี้บาดแผลในชีวิตเขาก็เยอะมากพอแล้ว อย่าได้เพิ่มมันอีกเลย
   
จ้าวหลับตาเดินอย่างสงบเพราะไม่มีความจำเป็นต้องลืมตาด้วยซ้ำในเมื่อข้อมือก็ถูกมัดด้วยเชือกและมีคนจูง ส่วนข้อเท้าที่เหลือปลายโซ่ยาวๆ ก็มีคนถือเดินตามหลังให้
   
เรียกได้ว่าตอนนี้กลับคือสู่นรกอย่างสมบูรณ์แบบ
   
ไร้ซึ่งโอกาส ไร้ซึ่งอิสรภาพ ไร้ซึ่งความเมตตา
   
มีเพียงความทะเยอทะยานที่จะนำพาชีวิตเน่าเฟะนี่ออกไปจากนรกแห่งนี้ได้
   
ท่ามกลางความเงียบงันมีเพียงเสียงหัวเราะของจ้าวดังเสียงผะแผ่ว ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปยังร่างโอเมก้าคนใหม่ที่ถูกพาตัวเข้ามายังรังอย่างเอิกเกริก ไม่ว่าใครก็ล้วนรู้จักจ้าวทั้งนั้น ทั้งในด้านนักร้องเพลงดาวรุ่งในอดีตจนถึงฆาตกรเลือดเย็น มีหลายสายตาที่ชื่นชมแต่ก็มีอีกหลายสายตาที่หวาดกลัว
   
แต่น่าแปลกนักที่เสียงหัวเราะของจ้าวกลับทำให้ทุกคนขนลุกชัน แม้จะเป็นเพียงแค่เสียงแต่ก็สัมผัสได้ถึงความสิ้นหวัง ความเจ็บปวดและความสมเพชในตัวเอง บาดแผลน่าสยดสยองมากมายทั้งบนหน้าท้องแผ่นอกหรือแม้แต่แผ่นหลังชวนให้กลืนน้ำลายเอือกด้วยความหวาดกลัว โดยเฉพาะรอยสักอีกาดำที่ถูกแทงทะลุลำตัวนั้นราวกับตอกย้ำชีวิตของจ้าวได้ดี
   
ชีวิตที่ถูกฆ่าทั้งเป็น!
   
ก่อนที่จะเข้าไปในห้องจู่ๆ ร่างผ่ายผอมก็หยุดเดินแล้วก็ฮัมเพลงขึ้นมา ไม่สนใจว่าตัวเองจะโดนกระชากข้อมือให้เดินต่อหรือเข่ากระแทกเข้าที่สะโพก
   
รอยยิ้มปรากฎบนริมฝีปากบางเฉียบ
   
“หมาป่า! หมาป่า! หมาป่า!”
   
ทั้งๆ ที่ควรจะร้องด้วยน้ำเสียงระคนหวาดกลัวแต่มันกลับถูกร้องด้วยน้ำเสียงเย้นหยันติดตลก
   
“พวกลูกแกะตะโกนกันอย่างหวาดผวา แต่เจ้าหมาป่าไม่สนใจ ยังคงเล็งปืนไปที่พวกมัน!”
   
จ้าวร้องถึงแค่นั้นแล้วก็หยุดร้องแล้วหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นด้วยความไม่เข้าใจนัก ทั้งๆ ที่เขาเองก็พยายามในแบบของเขาเพื่อช่วยเหลือคนพวกนี้แต่ตอนนี้กลับถูกคนพวกนี้เล่นงานเอาเสียเอง
   
เป็นเรื่องตลกร้ายจนอยากขำให้ตายจริงๆ
   
“ใครมันโง่บอกว่าพวกแกะไม่ทำร้ายกันเอง” นัยน์ตาโศกฉายประกายขบขันเมื่อเห็นสีหน้าที่ดูจะหวาดกลัวในตัวเองอย่างเห็นได้ชัดของคนอื่น “พวกมันกินเนื้อกันเองเลยด้วยซ้ำว่ะ”
   
ร่างผอมทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินเข้าไปในห้องด้วยตัวเอง

   


ห้องประชุมไม่ได้ใหญ่เท่าที่จ้าวคาดคะเนไว้ มันเป็นเพียงห้องขนาดไม่ใหญ่นักแต่กลับอัดทุกสิ่งทุกอย่างที่น่าจะสำคัญสำหรับกลุ่มไว้แทบทุกตารางนิ้ว บริเวณรอบผนังสามด้านถูกวางด้วยตู้ขนาดใหญ่ ภายในตู้ที่ดูจะใหญ่และแข็งแรงมากที่สุดหลังกระจกใสมีขวดน้ำหอมบรรจุขวดวางเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนตู้ที่เล็กกว่าสองตู้นั้นมีทั้งเอกสารและอุปกรณ์ต่างๆ อยู่เต็มไปหมด
   
ในอีกด้านหนึ่งที่ไม่มีตู้นั้นเป็นโต๊ะที่ถูกวางด้วยคอมพิวเตอร์และโน๊ตบุ๊ค บริเวณผนังมีจอภาพแสดงผลอยู่เกือบยี่สิบจอ แสดงพื้นที่เข้าออกในอาคารทั้งหมดอีกทั้งยังมีจอเฉพาะห้าจอที่แสดงพื้นที่พิเศษสลับไปมาอยู่เป็นพักๆ และบริเวณสุดท้ายก็คือกลางห้องซึ่งมีโต๊ะยาวหนึ่งตัวและเก้าอี้ไม่กี่ตัววางล้อมรอบที่เหลือเป็นถังสีที่ถูกนำมาวางเพิ่มใช้กึ่งเก้าอี้
   
แน่นอนว่าเก้าอี้แทบทุกตัวล้วนถูกครอบครองด้วยกลุ่มหัวหน้าหลักของที่แห่งนี้แล้ว มีทั้งโอเมก้า อัลฟ่า หรือแม้แต่เบต้าที่กำลังนั่งบนเก้าอี้และถังอย่างสบายอกสบายใจ แม้สีหน้าบางคนจะนิ่งสนิทก็ตามที
   
จ้าวนั่งลงบนถังที่ดูไม่จืดนักแล้วมองเหล่าหัวหน้าที่กำลังจะมอบคำสั่งแรกให้กับตัวเอง
   
“ก่อนอื่นเลย ขอแนะนำตัวก่อนนะ”
   
นัยน์ตาโศกมองคนที่นั่งตรงข้ามกับตัวเองด้วยความรู้สึกประหลาดใจนิดๆ เพราะอีกฝ่ายเป็นเบต้าร่างใหญ่ที่ดูจะไม่มีชีวิตดราม่าอะไรเท่าพวกโอเมก้านัก
   
“ฉันชื่อสิต จะเรียกเฮียสิตก็ได้” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครายิ้มให้จ้าวอย่างเป็นมิตร “เป็นหัวหน้ากลุ่ม Revenge of Raven (การแก้แค้นของอีกา)”
   
จ้าวพยักหน้าเล็กๆ มองด้วยความเฉื่อยชา ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพยายามทำตัวดีกับตัวเองแค่ไหน ตราบใดที่ข้อมือยังถูกมัดและโซ่ตรวนยังคงอยู่ เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องเป็นมิตรกับใครเพราะสถานะของเขาตอนนี้ไม่ต่างกับสัตว์สักตัว
   
“ฉันมีหน้าที่เกี่ยวกับการวางแผนแล้วก็ตัดสินใจแผนการใหญ่ๆ ว่าควรทำรึเปล่า” แม้จะถูกตอบรับอย่างเย็นชาแต่สิตก็ยังยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี “เอาเป็นว่าฉันจะแนะนำคนอื่นให้ด้วยเลยแล้วกันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาพูดทุกคน”
   
สิตชี้ไปทางชายร่างเล็กหลังค่อมสวมเสื้อสีดำทึบอีกทั้งยังสวมเสื้อกันหนาวมีฮู้ดปิดบังใบหน้าไปเกือบครึ่ง มีเพียงนัยน์ตาเล็กๆ สีฟ้าสว่างที่ดูง่วงงุนปรากฎให้เห็น “นี่ชื่อไอที จะเรียกไอก็ได้ มันเชี่ยวชาญเรื่องอิเล็กทรอนิกส์แทบทั้งหมด ทั้งเรื่องแฮคข้อมูลหลายๆ อย่าง ถ้านึกอะไรเกี่ยวกับคอมไม่ออกก็ให้มาหามันนะ อ้อ ลืมไป ที่คอนายก็ได้ไอเนี่ยแหละเป็นคนทำให้”
   
“…”
   
จ้าวไม่ตอบนั่งนิ่งงันราวกับไร้วิญญาณ
   
“ส่วนไอ้แว่นนี่ไอ้เงิน” สิตทุบหลังอัลฟ่าข้างๆ แรงจนได้ยินเสียงอั่ก แน่นอนว่าเจ้าของชื่อมองกลับด้วยความไม่พอใจนัก “มันเป็นฝ่ายการเงินควบคุมบัญชีทั้งหมดแล้วก็ควบตำแหน่งคนออกภาคสนามด้วย”
   
สิตยังแนะนำเรื่อยๆ อย่างไม่ลดละเพราะหวังว่ามันจะช่วยให้จ้าวเปิดใจให้กับพวกเขาบ้าง เผื่อว่า ‘อะไรๆ’ จะง่ายขึ้น ก่อนจะชี้ไปที่คนที่นั่งใกล้จ้าวสุด “นั่นชื่อไอ้ขุน เป็นคนที่มีหน้าที่คุยกับพวกที่ยังอยู่ในสังคมแต่ยังไม่กล้าปลีกตัวออกมาช่วยแล้วก็เป็นคนหารายได้สนับสนุนหลักให้กลุ่มเรา”
   
ใบหน้านิ่งเฉยเผยรอยยิ้มมุมปากให้จ้าวอย่างเป็นมิตร จ้องเนื้อตัวขาวๆ ของจ้าวด้วยแววตาพราวระยับ ไม่สนใจทั้งบาดแผลและร่องรอยใดๆ เพราะเขาก็อยากเป็นอีกคนที่ได้ลองลิ้มรสเนื้อรสเลิศนี้บ้าง
   
จ้าวมองสายตานั้นด้วยความเบื่อหน่าย คนที่ฉลาดมักจะใช้ความเจ้าชู้ของตัวเองได้อย่างมีไหวพริบ อาจจะหลอกนอนกับอัลฟ่าสักคนแล้วกล่อมด้วยคำพูดหวานหูเพื่อรีดไถเงินมาสนับสนุนกลุ่มก้อนของตัวเอง ยิ่งใบหน้าที่ดูหล่อเหลาและสุขุมราวกับคุณชายสักคนแล้ว ไม่ยากเลยที่ผู้คนจะหลงเชื่อเอาง่ายๆ ราวกับเด็กไม่กี่ขวบที่เชื่อเรื่องราวทั้งหมดของนิทานว่ามันเป็นความจริง
   
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วอาจจะเป็นคนด้วยซ้ำที่เป็นฝ่ายลักพาตัวจากเจ้าหญิงแทน
   
“แล้วก็นี่..”
   
สิตยังเอ่ยไม่จบประโยคจ้าวก็พูดตัดขึ้นมา นัยน์ตาโศกสั่นระริกเมื่อเห็นว่าเพื่อนของตัวเองนั้นเปลี่ยนไปมากจนจำแทบไม่ได้ “…วุ้น”
   
“ดีใจที่เจอมึงอีกนะ” วุ้นยิ้มและหัวเราะเสียงแผ่วกับแววตาประหลาดใจของจ้าว แต่จะไม่ให้แปลกจะก็คงจะเห็นเป็นไม่ได้เพราะทั้งใบหน้าและร่างกายเขาล้วนไม่สมประกอบเหมือนในวัยเยาว์ เขาเสียแขนข้างขวาและลูกตาซ้ายกับการขายอวัยวะเพื่อเอาเงินมาหล่อเลี้ยงชีวิตเล็กๆ ที่กำลังจะอดตายเพราะเขาหาเงินได้ไม่มากพอ ก่อนที่ความพยายามจะสูญเปล่าเพราะลูกของเขาได้ตายไปก่อนที่เขาจะกลับมา
   
ซึ่งเงินที่ถูกส่งให้ซื้อข้าวให้ลูกกลับถูกป้าที่ฝากเลี้ยงนำไปซื้อเหล้ายามากินจนเมาแอ๋ ขนาดลูกเขาตายไปแล้วยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เอาแต่ตะโกนโหวกเหวกโวยวายว่าขอเงินอีก แค่ขวดเดียวมันจะพออะไร
   
มันเป็นความทรงจำอันเจ็บปวดและร้าวรานจนวุ้นไม่อยากนึกถึงมัน ลูกของเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นพ่อแต่ใบหน้าน้อยๆ นั้นก็น่ารักน่าชังจนเขาพยายามสุดชีวิตในการเลี้ยงดูแม้ว่าตัวเองจะสุขภาพไม่ค่อยดีก็ตาม
   
แต่ทุกอย่างมันก็ช้าเกินไป
   
“เกิดอะไรขึ้น” จ้าวถามเสียงแผ่ว
   
วุ้นหัวเราะพลางโบกมือ “ไม่มีอะไรหรอก อุบัติเหตุน่ะ ตอนนี้มันไม่เจ็บแล้ว” ทำท่าทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับแขนและเบ้าตาของตัวเองที่ถูกปิดด้วยผ้าปิดตาสีดำเพื่อไม่ให้ดูน่ากลัวนัก
   
“รู้จักกันมาก่อนงั้นเหรอ ดีแล้ว” สิตพูดอย่างดีใจ “วุ้นนี่ถือเป็นคนที่สำคัญอันดับต้นๆ ของกลุ่มเราเลยเพราะวุ้นเป็นคนรวบรวมและปลุกระดมพวกโอเมก้าแทบจะทั้งหมด แล้วอีกอย่างคือเชี่ยวชาญการหนีมาก”
   
“...บอกผมทำไม”
   
จ้าวถามเสียงแผ่วหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อน บาดแผลบนร่างไม่ได้ช่วยอะไรเลยในเมื่อสิ่งที่ทุกคนบนโลกเห็นเขาคือเป็นผลประโยชน์ที่มีชีวิต ไม่ต้องสนใจหรอกว่ามันรู้สึกยังไง ขอแค่ได้ผลประโยชน์มากตามที่ต้องการก็พอ
   
“เห็นไหมว่าที่นี่เรามีผู้เชี่ยวชาญของแต่ละด้าน” เบต้าหนุ่มวัยกลางคนยังพูดอย่างใจเย็นและมีรอยยิ้มแม้ว่าจะถูกแดกดันก็ตาม “และที่เราต้องการเพิ่มคือผู้เชี่ยวชาญด้านการประชาสัมพันธ์และเราก็เลือกนายไง จ้าว นายจะเป็นความหวังใหม่ให้กับกลุ่มอีกาของเรา”
   
“ผมไม่ต้องการ” จ้าวแค่นเสียงหัวเราะ “แต่ยังไงผมก็ต้องทำอยู่ดีใช่ไหมล่ะ โอเค เชิญเลย จะสั่งอะไรมาก็เชิญ ผมจะทำทุกอย่างที่คุณบอก ยังไงพวกคุณก็ไม่คิดจะปล่อยให้ผมกลับไปอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ”
   
แม้จ้าวจะหัวเราะแต่ในใจกลับร่ำไห้ หัวใจในอกสั่นระริกด้วยความเจ็บปวดเมื่อต้องทนทรมานกับเรื่องเดิมและเรื่องใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับต้องคำสาปร้ายที่ไม่มีวันแก้ได้
   
“ไม่จ้าว เข้าใจผิดแล้ว” สิตส่ายหัว “เรากำลังขอความร่วมมือจากจ้าวต่างหาก เราอยากได้คนที่ทำงานเพื่อกลุ่มด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่การบังคับ”
   
“แล้วล่ามผมไว้ทำไม” อารมณ์ของจ้าวที่พยายามจะนิ่งสงบเริ่มเดือดพล่าน
   
“เราแค่ต้องการที่จะแน่ใจว่านายจะไม่หนีไปไหน”
   
“ไอ้เวรเอ้ย!!” จ้าวตะคอกนัยน์ตาโศกแดงก่ำอย่างดุร้าย “มึงมีสิทธิ์อะไรมาบังคับกูวะ มึงมีสิทธิ์อะไร! กูไม่เคยเป็นหนี้บุญคุณใครโดยเฉพาะกับพวกมึง!”
   
แกร๊ง!
   
ข้อเท้าที่ตรวนด้วยโซ่ถูกพันเข้ากับเก้าอี้ไว้แน่นเพื่อป้องกันจ้าวคลุ้มคลั่งออกไปทำร้ายใคร แต่มันกลับไม่ช่วยให้ความโกรธของจ้าวบรรเทาลง หนำซ้ำยังเติมเชื้อไฟจนแทบจะฆ่าทุกคนให้ตายทั้งเป็น
   
หากแต่ยิ่งขัดขืนก็เหมือนยิ่งทำร้ายตัวเอง ข้อเท้าเริ่มช้ำม่วงและมีรอยถลอกซิบเลือด ข้อมือเป็นแผลถลอกจนเลือดซึมออกมาได้กลิ่นคาวจางๆ  และในที่สุดความโกรธของจ้าวก็ลดลงแทนที่ด้วยความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจที่เจ็บปวดแสนสาหัส
   
“กูทำผิดอะไรวะ! ฮึก ถึงจับกูมา กูทำอะไรผิด กูมีความสุขมากเกินไปเหรอ ที่ต้องทำแบบนี้กับกู ให้กูอยู่สงบๆ บ้างไม่ได้รึไงวะ ฮืออออ”
   
จ้าวปล่อยโฮออกมาอย่างอดไม่ได้ เขาทนการถูกข่มเหงไม่ไหวแล้ว เขาถูกบังคับให้เข้าร่วมกับกลุ่มหัวรุนแรง ทั้งๆ ที่ทุกอย่างในชีวิตกำลังไปได้สวย
   
“ใจเย็นๆ จ้าว ใจเย็นๆ ถ้าไม่อยากเข้าร่วมกับกลุ่มเรา งั้นเปลี่ยนเป็นแลกเปลี่ยนกันอย่างสมราคาไหม”
   
การร้องไห้ของจ้าวไม่ได้ทำให้สิตรู้สึกอะไรสักนิด อุดมการณ์สุดโต่งอันแข็งแกร่งที่ไหลเชี่ยวอยู่ในสายเลือดคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เขาจะต้องทำมันให้สำเร็จโดยไม่สนวิธีการ ไม่สนว่าจะต้องฆ่าใครไปบ้าง เพื่อที่จะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
   
“ปล่อยผมกลับบ้านนะ ฮึก ถือว่าขอร้องในฐานะโอเมก้าก็ได้”
   
“จริงสิ นายเคยบอกว่าตัวเองไม่ได้ฆ่าพริมนี่ อยากให้พวกเราช่วยหาหลักฐานให้ไหม” สิตเลือกที่จะทำหูทวนลมไม่สนใจคำขอร้องของจ้าว “สนใจไหม?”
   
จ้าวอับจนคำพูด นัยน์ตาโศกแทบไร้ประกายชีวิตเพราะรู้ว่าต่อให้ร้องขอให้ตายยังไงก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็เหมือนตอนที่อยู่ในคุกที่ต้องยอมรับทุกอย่างแม้ว่าจะไม่ยินยอม ตอนนี้ก็เป็นแค่อีกครั้งนึงที่มันเกิดขึ้นเท่านั้น
   
“…ผมอยากไปบ้านของตระกูลนฤภัทร”
   
อย่างน้อยๆ ครั้งนี้เขาก็มียังมีโอกาสได้ต่อรองเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองบ้าง ถึงแม้มันจะไม่เท่าเทียมและคุ้มค่าแต่เขาก็มีทางเลือกไม่มากนัก
   
“หมายความว่าไง คนที่บ้านนายมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมงั้นเหรอ” สิตถามอย่างสนใจเพราะนี่นับเป็นข่าวใหม่และใหญ่สุดๆ เลยทีเดียวสำหรับคนที่ติดตามข่าวเรื่องจ้าวอยู่
   
“คุณไม่จำเป็นต้องรู้”
   
“เฮ้ๆ เราเป็นพวกเดียวกันน่า จ้าว เปิดใจหน่อย บอกเลยว่าไว้ใจเราได้ แค่นายพูดออกมา พวกเราก็พร้อมที่จะเชื่อและช่วยเหลือ”
   
“…”
   
จ้าวหลบสายตาไม่สนใจและไม่คิดจะหลงกลไปกับคำพูดสวยหรูที่แฝงไปด้วยคมดาบที่มองไม่เห็น เขาเรียนรู้มามากพอแล้ว
   
หัวหน้ากลุ่มอีกายังคงยิ้มอยู่แม้จะเริ่มรู้สึกขุ่นเคืองในใจเช่นเดียวกับคนอื่นที่เริ่มไม่พอใจในตัวจ้าวที่ทำตัวน่ารำคาญ ทั้งๆ ที่ตกที่นั่งลำบากเหมือนกันแต่กลับเลือกที่จะนั่งเฉยไม่คิดจะทำอะไรสักนิดเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกอันเน่าเฟะที่ทุกคนทุกข์ทนอาศัยอยู่อย่างทรมาน
   
“พูดตรงๆ นะจ้าว ฉันไม่เข้าใจนายสักนิดว่ากำลังคิดอะไรอยู่”
   
ในเมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผลสิตจึงใช้ไม้แข็ง
   
ความโกรธที่อัดแน่นในทุกอณูของลมหายใจทำให้จ้าวเงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วยนัยน์ตาลุกวาว ถึงแม้จะเป็นแค่อีกาขนโกร๋นจนอัปลักษณ์แต่ก็ดุร้ายจนไม่สามารถมีใครเข้าใกล้ได้
   
“ถ้าพวกเราต้องการ เราสามารถฆ่านายได้ง่ายๆ เลยด้วยซ้ำ แต่เราไม่คิดจะทำเพราะอยากให้นายเป็นพวกพ้องที่ดีของเรา ช่วยเราสานฝัน เป็นฟั่นเฟือนอีกตัวที่จะทำให้ความฝันของโอเมก้าทุกคนสำเร็จ”
   
“ผมไม่สนใจว่าพวกคุณจะรู้สึกยังไง” จ้าวพูดเสียงกร้าว “แต่ที่ผมสนใจคือผมอยากกลับบ้าน!!!”
   
“อย่าโลกสวยนักเลย จ้าว” สิตทอดถอนใจอย่างเบื่อหน่าย “กรงทองของนายไม่มีวันปลอดภัยตลอดไปหรอก ไม่อย่างนั้นพวกฉันจะพาตัวนายออกมาได้ยังไง”
   
“พวกสารเลว”
   
“พูดผิดแล้วจ้าว แสนดีต่างหาก” เบต้าหนุ่มยิ้มอ่อนโยน “ใครจะไปรู้ว่าวันดีคืนดีอาจจะมีคนในขายข่าวให้จันทร์มาตามจับนายก็ได้ นี่มากับพวกเราก็ถือว่าโชคดีมากแล้วนะเพราะพวกเราไม่ฆ่าพวกเดียวกันเองโดยไม่จำเป็น”

ยิ่งคุยกันก็เหมือนคุยไม่รู้เรื่องจนจ้าวตัดสินใจตัดบท แม้จะโกรธจนแทบบ้าแต่ก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนมันลงไปและเจรจากับอีกฝ่ายเพื่อผลประโยชน์อันน้อยนิดของตัวเอง
   
“โอเค ผมจะเป็นตัวแทนพวกคุณเอง” ร่างผอมพูดอย่างเย็นชา “แต่คุณต้องพาผมเข้าบ้านตระกูลนฤภัทรให้ได้”
   
สิตคลี่ยิ้มการค้าออกมาอย่างสุขสม
 
“ตกลง”
   
เพราะการลงทุนครั้งนี้ได้ผลกำไรงามทีเดียว

   

ท่ามกลางความวุ่นวายในตอนกลางวันที่ทุกคนพากันสัญจรกันอย่างคึกคัก จู่ๆ จอแอลอีดีขนาดยักษ์ และสื่อต่างๆ ที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดก็ดับลบและกระพริบเปิดอีกครั้งด้วยภาพสัญลักษณ์แปลกตาบางอย่าง มันเป็นภาพกราฟฟิกอีกากระพือปีกที่มีเพียงเส้นไม่กี่เส้นแต่กลับรู้สึกได้ถึงความทรงพลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นกลุ่มเลือดและซากศพหมาป่าขนาดยักษ์รอบตัวที่ตายกันอย่างน่าสยดสยอง
   
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบสงัดจดจ้องหน้าจอภาพที่กระพริบร่างเหล่าหมาป่ายักษ์ให้หายไปก่อนจะปรากฎขึ้นมาใหม่ราวกับย้ำเตือนถึงการมาของอีกา ที่ทรงพลังถึงขนาดฆ่าหมาป่าที่แทนสัญลักษณ์ของเหล่าอัลฟ่าได้!
   
[ นี่เป็นข้อความแรกของกลุ่มเรา กลุ่มแห่งความหวังของโอเมก้าหรือเรียกอีกอย่างว่ากลุ่ม Revenge of Raven แปลตรงตัวก็คือการแก้แค้นของเหล่าอีกา จุดประสงค์หลักของกลุ่มเราคือต้องการความเท่าเทียมในสังคมโดยเฉพาะกับพวกโอเมก้า เราต้องการให้โอเมก้า เบต้า และอัลฟ่ามีสิทธิ์เท่าเทียมกันจริงๆ ไม่ใช่แค่คำพูดลอยๆ เราอยากจะขอให้ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องรีบทำตามที่เราร้องขอ ก่อนที่เราจะลงมืออีกครั้ง]
   
น้ำเสียงที่ดังออกมาจากภาพนั้นมั่นคงสม่ำเสมอและเด็ดขาด มีหลายคนที่จำเสียงได้ ต่างพากันตื่นตกใจฮือฮากันยกใหญ่ทั้งเรื่องที่จ้าวเป็นคนพูดและงุนงงว่าจ้าวกำลังพูดถึงอะไร สำหรับอัลฟ่าเบต้าหลายคนนั้น โอเมก้าก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ชั้นต่ำและไม่ใช่คนเหมือนตัวเอง จึงไม่เข้าใจมากๆ ว่าจ้าวต้องการอะไรกันแน่ สิทธิ์ปกติทางสังคมรัฐบาลก็ให้แล้ว ยังจะต้องการอะไรอีก
   
[ และสิ่งสุดท้ายที่เราอยากจะบอกก็คือ เราไม่ใช่กลุ่มอาชญากรรม พวกคุณไม่ต้องกลัว ]
   
เมื่อจ้าวพูดจบทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง หน้าจอยักษ์ฉายโฆษณาซ้ำวนไปวนมาเช่นเดียวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ที่ทำตามหน้าที่ตัวเองเช่นเดิมอย่างขยันขันแข็ง
   
สิ่งที่หลงเหลือคือตะกอนความสงสัยในใจผู้คน

อาจจะเป็นความหวาดระแวง ความหวาดกลัว หรือแม้แต่ความใคร่รู้

แน่นอนว่ามันไม่สำคัญว่าจะเป็นตะกอนใด เพราะสิ่งที่กลุ่มอีกาพวกนี้ต้องการคือการได้ประกาศถึงการมีอยู่ของตัวเองเท่านั้น!

=========

ตอนนี้สั้นไปนิดเพราะคาดว่าจะไปทดกับตอนหน้าที่แบบ  :z6: ทำใจรอเลยนะคะ 5555

เจอกันตอนหน้าค่า  :hao7:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : Revenge of Raven p.5 (30/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 30-06-2018 05:39:58
คนเขียน ง่าาาาาาา :katai1:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : Revenge of Raven p.5 (30/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 30-06-2018 10:54:51
สงสารจ้าว
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : Revenge of Raven p.5 (30/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-06-2018 11:19:50
หัวร้อนเลยยยยยยย ทำไมจ้าวต้องเจอคนเฮงซวยพวกนี้ด้วย
สงสารจ้าวจริงๆ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : Revenge of Raven p.5 (30/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 30-06-2018 17:17:55
ทุกคนต้องการเข้าจ้าวเพื่อประโยชน์ส่วนตัว  หัวร้อนนน :katai1:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : Revenge of Raven p.5 (30/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 01-07-2018 03:02:03
อุดมการณ์สวยหรู สุดท้ายก็เห็นแก่ตัวจ้าาา อยากทยายไอกลุ่มบ้าบอนี่มาก รู้สึกไม่สงสารเลยอ่ะ มีแต่คนเห็นแก่ตัวรวมกัน สงสารจ้าววว (สิตตอนด่าจ้าวโลกสวยนี่ไม่ต่างกันเลย ละถ้าสมมุติฆ่าจ้าวแล้วจะเอาไรมาเปนตัวแทน?)
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : Revenge of Raven p.6 (30/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 01-07-2018 22:42:53
โอย มันเป็นความมืดครึ้ม ความทรมาน ความอึดอัดที่เหมือนหนี้

พ้นแล้ว แต่ที่จริงยังหนีไม่พ้นอ่ะ ฮือ อึดอัดแทนจ้าว  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : อีกาที่เสียสติ p.6 (4/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 04-07-2018 00:54:44
ตอนที่ 28
   

ผ่านไปหลายอาทิตย์จ้าวก็ยังคงอยู่ที่เดิม นัยน์ตาโศกเหม่อลอยพยายามไม่สนใจเด็กโอเมก้าหลายคนที่พยายามมาคุยกับตัวเอง ถึงแม้ประกายตาพวกนั้นจะเป็นสิ่งที่จ้าวรู้จักดีแต่ก็ไม่คิดจะสนใจ
   
เพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่ได้มีความสามารถมากพอที่จะเป็นแบบอย่างให้ใครอีกแล้ว..
   
“พี่จ้าว! ถ้าพี่ไม่กินข้าว ผมจะขโมยข้าวพี่แล้วนะ!”
   
เด็กน้อยคนหนึ่งขู่จ้าวที่ตอนนี้กลับมาผอมจนเห็นซี่โครงขึ้นจางๆ พวกเขากังวลและเป็นห่วงพี่จ้าวมาก กลัวว่าพี่จ้าวจะตายไปซะก่อน
   
“ทำไมพี่ถึงไม่ยอมกินข้าวล่ะ มันไม่อร่อยเหรอ” เด็กน้อยอีกคนพูดซึมๆ “แม่หนูเป็นคนทำเลยนะ”

“ใช่ๆ อร่อยจะตาย พี่จ้าวลองกินดูสิ สักคำก็ได้” เด็กที่โตกว่าสองคนแรกตักข้าวจนพูนช้อนแล้วยื่นไปทางพี่จ้าว “อ้ำๆ พี่จ้าว อร่อยนะ กินสิ”

จ้าวเหลือบมองก่อนจะหันหลังหนี ปฏิเสธทุกอย่างเพราะรู้ดีว่ายังไงเด็กพวกนี้ก็คงโดนกล่อมให้มาบังคับเขากินข้าวอยู่ดี ที่แห่งนี้เขาไว้ใจใครไม่ได้ด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นแค่เด็กทารกเขาก็ไม่อยากเชื่อ

เขาพอแล้ว เขาเหนื่อยแล้ว และกลัวมากด้วย

“…ช่างฉันเถอะ” ร่างผอมพึมพำเสียงแผ่วแล้วกอดตัวเองแน่น คิดถึงคนที่อยู่คฤหาสน์จนแทบขาดใจและนึกอยากให้ตัวเองโดนคุณเหมันต์ล่ามเอาไว้แทน ถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงจะเต็มใจ ต่อให้โดนล่ามจนตายเขาก็ไม่สนใจหรอกเพราะเขารู้ดีว่าคุณหมันต์ไม่มีวันทำร้ายเขา

“กินเถอะน้า พี่จ้าว คำเดียวก็ได้”

จ้าวส่ายหัว ตอนนี้เขาเศร้าจนกินอะไรไม่ลง เขาอยากจะเข้มแข็งแต่ก็เหนื่อยเหลือเกินที่ต้องพาตัวเองออกจากพันธนาการอีกครั้งและครั้งนี้ก็ยากกว่ามากเพราะเขาเป็นรองในทุกด้าน ไม่มีอะไรเลยที่เขาสามารถทำได้ เอาเข้าจริงถ้าเขาไม่มีคุณเหมันต์ช่วย ก็คงไม่ต่างกับเศษสวะไร้ค่าที่รอวันตาย

และตอนนี้เขาก็เป็นแบบนั้นอีกครั้ง

คิดถึงตรงนี้จ้าวก็ตัวสั่นเทา ทำไมเขาไม่บ้าไปสักที ทำไมเขาไม่ตายไปสักที จะได้ไม่ต้องมีความรู้สึกเจ็บปวดอีก เขาเหนื่อยจะตายอยู่แล้วที่ทำตัวเข้มแข็ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีความหวัง เขาไม่รู้จะเข้มแข็งไปทำในเมื่อทุกคนคิดว่าเขามันก็แค่ลูกไก่ในกำมือที่ไม่ว่าจะแบหรือคลายก็ตายเอาง่ายๆ นั่นแหละ เขาล่ะ อ่อนแอซะไม่มีและมันก็เป็นความจริงเสียด้วย

“อ้าว หม่ำๆ”

มือเล็กจิ๋วกระตุกชายเสื้อจ้าว พยายามเรียกร้องความสนใจ ใบหน้าเล็กน่ารักยู่นิดๆ ที่พี่จ้าวไม่แม้แต่จะหันมามองด้วยความน้อยใจตามประสาเด็กๆ เลยร้องไห้จ้าขึ้นมา

“แง้ แง้ แง้”

เสียงอันทรงพลังเสียยิ่งกว่าเสียงของจ้าวแผดขึ้นมาทำเอาจ้าวที่ยอมหันกลับมามอง เด็กน้อยจึงเงียบลงเหลือเพียงแค่สะอึกสะอื้น

“หม่ำ หม่ำ”

จ้าวมองเด็กน้อยสักนิดก่อนจะยอมหยิบขนมปังถุงที่เก็บไว้ข้างตัวขึ้นมาแกะกินเพื่อให้จบๆ ขณะที่เคี้ยวอยู่ก็มองคนคนรอบตัวด้วยความไม่เข้าใจนัก

“พวกคุณจะสนใจผมทำไม ต่อให้ผมอยู่มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก”

เกิดความเงียบครู่หนึ่งก่อนจะมีโอเมก้าวัยไล่เลี่ยกับจ้าวคนหนึ่งก้าวออกมาและนั่งตรงหน้าจ้าว “พวกเรารู้ว่านายผ่านอะไรมามาก ยิ่งโดนจับล่ามโซ่ไว้แบบนี้อีก ไม่มีใครพอใจหรอก”

นัยน์ตาโศกของจ้าวก็ยังคงเฉยชา สาเหตุที่เขามาอยู่ตรงนี้ก็เพราะทุกคนในที่แห่งนี้ไม่ใช่เหรอ จะหาว่าเขาโทษก็ได้แต่ถ้าไม่มีกลุ่มนี้ตั้งแต่แรก เขาก็คงไม่ต้องมาทุกข์ทรมานซ้ำซากตรงนี้

“พวกเรารู้ว่านายอาจจะไม่ไว้ใจพวกเราแต่อยากให้รู้ไว้นะ พวกเราเชื่อใจนาย อาจจะไม่ใช่ทุกคน แต่ฉันสาบานเลยว่าฉันคนนึงที่เชื่อใจนายว่านายไม่ว่านายจะโดนใส่ร้ายมากขนาดไหน ฉันก็ยังคงศรัทธาในตัวนาย”

“ศรัทธาไม่เคยช่วยอะไร” จ้าวหัวเราะในลำคอ “ผมไม่สนหรอกว่าใครจะคิดยังไง แต่ถ้าหวังดีกับผมจริงๆ ก็เลิกยุ่งกับผมซะ ผมไม่ตายง่ายๆ หรอกถึงผมจะอยากตายชิบหายเลยก็เหอะ”

โอเมก้าคนที่เป็นตัวแทนถึงกับหน้าเสียเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองได้ไปจี้ปมของจ้าวเข้าเสียแล้ว หากแต่เมื่อจะพูดขอโทษ เสียงโทรทัศน์ที่ถูกเปิดแทบตลอดเวลาในช่วงนี้ก็ดังลั่น

‘ข่าวด่วนค่ะ! เกิดเหตุวางระเบิดใกล้บริเวณตึกรัฐมนตรี มีผู้บาดเจ็บจำนวนมากเป็นเบต้าและผู้เสียชีวิตไม่ทราบเพศสามรายค่ะ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจและทุกหน่วยงานกำลังเร่งให้ความช่วยเหลือทุกภาคส่วน ขอให้ประชาชนทั่วไปงดออกจากบ้านโดยไม่จำเป็นค่ะ ส่วนผู้ก่อเหตุทางเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าจะเป็นกลุ่มอีกาค่ะ’

จ้าวเหลือบมองภาพความวุ่นวายในข่าวด้วยความเศร้าสลด เขาก็มีส่วนในเหตุก่อการร้ายนี้ไม่มากก็น้อย แต่ข้อความที่ส่งจากเขาตั้งแต่ข้อความแรกถึงข้อความล่าสุดล้วนได้รับความสนใจจากสื่อทั้งหมด ยิ่งข้อความหลังๆ เขาต้องเปลือยร่างแล้วสวมหน้ากากอีกาเหลือเพียงริมฝีปากและปลอกคอเหล็กที่เด่นชัดบนคอเปลือยเปล่าของเขา

เขาเป็นที่จับตามองในขนาดที่ว่ามีสื่อจับข้อความที่เขาพูดไปวิเคราะห์ทีละคำ รวมถึงข้อความที่ไม่ได้พูดแต่แสดงออกมาในทางภาพ อย่างตามร่างกายเขาบ้าง ตามภาพพื้นหลัง ข้าวของต่างๆ ที่ในขณะที่เขาพูด ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเขาเป็นสื่อกลางล้วนมีนัยยะแฝงทั้งหมด กลุ่มอีกาเมื่อรวมหัวกันนั้นก็เฉลียวฉลาดไม่แพ้นักวิทยาศาตร์หัวกะทิในนาซ่าเลยทีเดียว

และที่ฉลาดที่สุดคือการเลือก ‘จ้าว’ มาเป็นตัวแทนเนี่ยแหละ

นัยน์ตาโศกวูบไหวเพราะรู้สึกสิ่งที่ตัวเองพยายามทำมาทั้งหมด กำลังพังทลายลงมาอย่างช้าๆ ชื่อเสียง ความไว้เนื้อเชื่อใจจากสาธารณะที่เริ่มกลับมามีหายไปตั้งแต่รู้ว่าเขาเข้าร่วมกลุ่มอีกานี้ ยิ่งรอยสักบนหลังก็เหมือนเน้นย้ำว่าเขาเป็นคนของกลุ่มอีกาแน่ๆ ร้อยเปอร์เซ็น ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วมันก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญ

“คิดว่าต้องรู้สึกยังไงที่ตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับที่คนตายไปร้อยๆ คนล่ะ” จ้าวแค่นเสียงถาม “วงการบันเทิงไม่รับคนที่มีประวัติอาชญากรรมกลับไปอีกครั้งหรอกนะ”

จ้าวรู้ว่าตัวเองกำลังพาลแต่ก็อดไม่ได้ เขาเก็บกดจะตายแล้ว ไม่ได้คุยกับใครมาหลายอาทิตย์นอกจากเรื่องงานกับข้อความที่ต้องอ่าน ในหัวที่มักจะปลอดโปร่งพร้อมคิดเนื้อเพลงใหม่ๆ ตื้อตันไปหมด แม้แต่เพลงที่จะแต่งให้คุณเหมันต์ก็ยังแต่งต่อไม่ได้เลย

การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็เหมือนบั่นทอนชีวิตจ้าวอย่างช้าๆ ราวกับอีกาที่เกาะอยู่บนราวเหล็กในกรง ปีกที่แหลกละเอียดทั้งสองข้างไม่อาจนำพาให้มันโผบินออกจากกรงเช่นเดียวข้อเท้ามันที่ถูกเหล็กล่ามติดกับราวไว้เพื่อประคองตัว สิ่งที่เป็นอิสระมีเพียงเสียงร้องขัดหูที่ไม่มีใครอยากฟัง

“แต่เขาอาจจะรับนายก็ได้นะ” โอเมก้าหนุ่มพยายามพูดเสียงอ้อมแอ้ม

“บอกว่าไม่ก็ไม่สิวะ!!!” จ้าวคำรามลั่นขาดสติ พยายามตะเกียกตะกายกระโจนใส่แต่ก็ทำไม่ได้ ข้อเท้าและข้อมือถูกเสียดสีจนแผลช้ำม่วงกลับมาอีกครั้ง

แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง!

เสียงโซ่กระชากดุดันจนทุกคนรอบตัวจ้าวถอยออกอย่างหวาดผวา

“ออกไป! อย่ามายุ่งกับฉัน! ไปสิวะ!!!”

จ้าวรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้า บ้าเหมือนไอ้เหยินในคุก บ้าในขนาดที่ว่าคลุ้มคลั่งเผลอฆ่าคนตายได้! เขาในตอนนี้ก็เหมือนกับสุนัขที่ถูกล่ามคอมานานจนเก็บกดและพร้อมที่จะกัดทุกอย่างที่มากระตุ้นอารมณ์โกรธ

“ออกไป! กูบอกให้ออก!”

ถึงแม้จะรู้ว่าตัวเองพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เพราะอาศัยอยู่ในห้องรวมแต่จ้าวก็อารมณ์แปรปรวนเกินกว่าจะควบคุมตัวเองได้ ร่างกายเขาทนไม่ไหวแล้ว! เขาอยากออกไปจากที่นี่ ที่ไหนก็ได้ อยากใช้ปีกแหลกละเอียดของตัวเองในการโผบินเต็มทน ถึงแม้ว่ามันจะไม่สามารถบินได้ดีนักแต่เขาก็อยากออก

เขาคิดถึงคุณเหมันต์ใจจะขาดแล้ว!

“ว้ากก”

จ้าวตะโกนดังลั่นคล้ายกับสติหลุด ตะเกียกตะกายตะกายไปอย่างทางออกเกิดเสียงแกร๊งๆ ไม่หยุด ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่แม้แต่จะสนใจสายตาที่มองมาอย่างหวาดกลัวของโอเมก้าหนุ่มที่ปากบอกว่าศรัทธาในตัวเองแต่กลับกลัวจนหัวหด อารมณ์โกรธนั้นอันตรายและในเวลานี้ก็ปะทุออกราวกับภูเขาไฟ

หากแต่ภูเขาไฟก็ปะทุได้ไม่นานนักก่อนที่มันจะมอดลง เสียงสะอึกสะอื้นดังขึ้นแทน จ้าวหลบอยู่มุมห้องกอดตัวเองแน่น ร่างทั้งร่างเจ็บไปหมดรวมถึงหัวใจในอกด้วย

“ปล่อยผมไปสักที ฮึก”

จ้าวเหลือบมองคนที่มาอยู่เฝ้าตัวเองวันนี้ พยายามร้องขอเหมือนที่ทำทุกวัน

“ไหนพวกคุณบอกจะให้ผมไปหาหลักฐานไง จะผิดสัญญาเหรอ ฮึก ผมจะทนไม่ไหวแล้วนะ ผมจะบ้าแล้วนะ ได้ยินไหม ผมจะเป็นบ้าแล้ว ฮึก ปล่อยผมไปสักที ผมมันมีค่ามากนักรึไงวะ ให้คนอื่นทำก็ได้นี่ ผมทำต่อไปไม่ไหวแล้วนะ ฮือออ”

ร่างผอมสะอื้นจนหายใจไม่ทัน ดูน่าสงสารจนคนมองทนดูแทบไม่ได้ สิ่งที่พวกเขาทำนั้นโหดร้ายเกินกว่ามนุษย์จะกระทำต่อกันด้วยซ้ำ ไม่มีมนุษย์คนไหนในยุคสมัยนี้ที่ยังควรโดนล่ามโซ่เหมือนสัตว์แบบนี้

พวกเขารู้ว่ามันไม่ถูกต้องแต่ก็ไม่กล้าร้องขอเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงมัน กลุ่มหัวหน้านั้นถึงจะใจดีกับพวกเดียวกันเองแต่ก็เด็ดขาดเอามากๆ มีตัวอย่างมากมายที่โดนเฉดหัวออกจากกลุ่มและตายในไม่กี่วันเพราะสงครามกลางเมืองที่กำลังเกิดขึ้น แน่นอนว่าพวกเขาหวงแหนชีวิตตัวเองมากกว่าจึงยอมทำตามคำสั่งทุกอย่าง อย่างน้อยๆ ท้ายที่สุดแล้วถ้าทุกอย่างจบลงด้วยดี พวกเขาหรือโอเมก้าทุกคนจะมีชีวิตที่ดีขึ้น

“ขอร้องล่ะ ฮึก ขอผมคุยกับคุณเหมันต์เถอะนะ ฮือ ดูรูปก็ได้”

ตัวของจ้าวสั่นเทาอย่างผิดวิสัย แม้แต่นัยน์ตาโศกยังล่องลอยไม่ปกติอย่างน่าสงสาร

ใช่..

จ้าวกำลังจะกลายเป็นบ้าโดยที่ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำไป!

“…”

ผู้คุมร่างใหญ่ไม่สนใจทำหูทวนลมถึงแม้ในใจจะนึกสงสารก็ตาม ตอนนี้พวกหัวหน้ายุ่งกันมากและเขาก็ไม่อยากเพิ่มภาระงานด้วยการทำให้จ้าวคลุ้มคลั่งมากกว่าเดิมอย่างการให้ดูรูปคุณเหมันต์ ใครจะไปรู้ว่าจ้าวอาจจะคลุ้มคลั่งมากกว่าเดิมก็ได้ ขนาดพวกเขาฉีดยาระงับประสาทไปแล้ว อาการก็ยังเหมือนเดิม หนำซ้ำยังหนักขึ้นทุกวัน พวกเขาถกเถียงกันอย่างหนักถึงสาเหตุที่ทำให้จ้าวเป็นแบบนี้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเหตุผลและวิธีแก้คืออะไรแต่ก็ไม่คิดจะทำ พวกเขายังต้องใช้ประโยชน์จากจ้าวอีกมาก ยังปล่อยมือไปตอนนี้ไม่ได้

“เอามา!!!” จ้าวตะคอกทั้งๆ ที่สะอื้น “เอามา!!!” นัยน์ตาโศกแข็งขึงอย่างดุร้าย

ท่าทีของจ้าวเล่นเอาผู้คุมเผลอถอยไปหลายก้าวและพยายามเจรจา “ผมให้คุณดูไม่ได้”

“ว้ากกกกก”

แม้จะร้องไห้จนเสียงแหบแห้งแล้วแต่จ้าวก็ยังตะโกนเสียงดังลั่นโวยวาย คลุ้มคลั่งราวกับสัตว์ร้ายอีกครั้ง เสียงร้องของจ้าวนั้นแผดและโหยหวนจนน่าขนลุก พยายามตะเกียกตะกายเข้าหาผู้คุมอย่างไร้สติแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าโซ่ที่ล่ามขาและข้อมือของตัวเองไม่มีวันขาด

“โอเค ผมยอมแล้ว ผมยอมแล้ว” ขนาดผู้คุมที่เคยผ่านการฆ่าคนและเห็นคนตายต่อหน้าต่อตายังรู้สึกหวาดหวั่น รีบควักโทรศัพท์ออกมาเปิดหารูปคุณเหมันต์ให้จ้าวอย่างเร่งรีบ “นี่ครับ” พูดเมื่อเจอรูปที่คิดว่าดูดีที่สุดและยื่นให้ตรงหน้าจ้าว

ผลั่ก

โทรศัพท์ถูกปัดกระเด็นจนหน้าจอแตกร้าว เศษกระจกที่แตกบางส่วนบาดใบหน้าของจ้าวจนเลือดไหลออกชุ่มใบหน้า ดูน่าสยดสยองราวกับออกมาจากหนังฆาตกรรม จ้าวยังคงแผดเสียงตะเกียกตะกายใส่ นัยน์ตาโศกไม่มีแววตาใดๆ เหลืออยู่
ผู้คุมเห็นดังนั้นก็สะดุ้งสุดตัวเพราะเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้แล้วครั้งนึงตอนที่อัดข้อความครั้งก่อน จ้าวเจ็บปวดจนเสียสติไปชั่วครู่จนพวกเขาต้องรีบดึงสติจ้าวกลับมาก่อนที่จะเสียจ้าวไปอย่างถาวร หมอทั้งหมดที่มีในมือถูกตามตัวมาแต่ก็ได้ข้อแนะนำเหมือนกันคือให้ปล่อยจ้าวไปสักที

สิ่งที่ดึงจ้าวกลับมาได้คือเสียงของคุณเหมันต์ที่แถลงการณ์อยู่ในข่าวอย่างผิดวิสัย ใบหน้าหล่อเหลามีเค้าความเหนื่อยล้าและนอนไม่พอ นัยน์ตาสีเทาขมุกขมัวด้วยความทุกข์ที่ยากจะหยั่งถึงว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขา สิ่งที่เหมันต์กล่าวนั้นคือการประกาศตัวตนของตัวเองต่อหน้าสาธาณชนเป็นครั้งแรกและบอกกล่าวถึงความพยายามยับยั้งการขนส่งน้ำหอมโอเมก้าที่มีส่วนทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ วุ่นวายทั้งหมดในช่วงเวลานี้

ในตอนนั้นพวกเขาขอบคุณความบังเอิญที่เผลอไปเปิดทีวีเข้าพอดี ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสามารถดึงจ้าวที่เสียสติไปแล้วกลับมาได้หรือไม่

ครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาก็ได้แต่อวยพรให้พวกเขามีโชคมากพออีกครั้ง มือหนารีบกดปุ่มสัญญาณเตือนที่ติดตั้งบริเวณผนังเพื่อเรียกตัวกลุ่มหัวหน้ามาที่นี่โดยด่วน

พวกเขากำลังจะเสีย ‘ตัวแทน’ กลุ่มคนสำคัญแล้ว!
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : อีกาที่เสียสติ p.6 (4/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 04-07-2018 00:57:20
กลุ่มของหัวหน้าที่กำลังหัวปั่นกันอยู่หยุดชะงักแต่มีเพียงคนเดียวที่ออกจากห้องเพราะสถานการณ์ในโลกปัจจุบันย่ำแย่สุดๆ หากละสายตาไปจากโลกภายนอกไปเพียงเสี้ยววินาทีก็อาจะตกเป็นรองในพริบตา พวกเขาจึงให้คนที่ยุ่งน้อยที่สุดออกไปดูจ้าวเพื่อแก้ปัญหา

และคนที่รับหน้าที่นั้นก็คือ ‘ไอที’

หนุ่มโลกส่วนตัวสูงที่คุยกับผู้คนนับคำได้และแทบไม่เคยมีใครเห็นหน้า รู้เพียงว่าอีกฝ่ายเป็นลูกครึ่งเพราะมีนัยน์ตาสีฟ้าเท่านั้น ฮู้ดดี้สีดำที่สวมถูกเขียนข้างหลังว่า Fxxk World มันเป็นฮู้ดดี้ที่ใหญ่เกินตัวจนยาวไปถึงครึ่งเกือบเข่า อาจจะเป็นเพราะขนาดตัวที่ไม่ใหญ่นักจึงทำให้ไอดูตัวเล็กจิ๋วราวกับเด็กที่ยืมเสื้อผู้ใหญ่มาใส่
หากแต่นัยน์ตาสีฟ้านั้นกลับขัดแย้งกับรูปลักษณ์ มันเย็นชาและกร้านโลก ไม่มีใครรู้อายุที่แท้จริงของไอ แม้แต่สิตก็รู้ว่าเป็นวัยรุ่นเท่านั้นแต่ไม่รู้ว่าอายุเท่าไหร่กันแน่

ร่างเล็กลากเท้าไปยังจ้าวด้วยความนิ่งสงบแม้ว่าจะเห็นความคลุ้มคลั่งของจ้าวก็ไม่ได้หวาดกลัว เมื่อเข้าไปใกล้ตัวจ้าวก็เอ่ยปากไล่ “ออกไป”

ผู้คุมสะดุ้งสุดตัวเพราะไม่คาดคิดว่าตัวเองจะโดนไล่แต่ก็รีบตอบรับและถอยออกไปยืนรวมกับโอเมก้าคนอื่นทันที

ไอนั่งยองๆ ตรงหน้าจ้าวที่ตอนนี้นั่งสะอึกสะอื้น มือที่มักจะรัวบนแป้นคีย์บอร์ดเพื่อป้อนคำสั่งลูบหัวจ้าวอย่างอ่อนโยนและกระซิบเสียงแผ่วเบา

“ชู่ว ไม่ต้องกลัว”

สัมผัสอ่อนโยนทำให้จ้าวสงบลงอย่างน่าประหลาด นัยน์ตาโศกยังล่องลอยพยายามหาสิ่งยึดมั่นให้ตัวเองและพบว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มหัวหน้าที่มาหาตัวเอง ไม่ใช่คุณเหมันต์อย่างที่คิดจึงเบะปากเตรียมจะร้องไห้

“ฉันจะพาเธอหนีไปเอง”

“โกหก ฮึก โกหกอีกใช่ไหมล่ะ”

“ฉันไม่สนหรอกว่าเธอจะเชื่อฉันไหม แต่สำหรับฉัน ฉันคิดว่าควรจะปล่อยอีกาออกจากกรงสักที”

จ้าวกลับมามีสติชั่วครู่มองนัยน์ตาสีฟ้าด้วยความหวังอันน้อยนิด “คุณพูดจริงใช่ไหม”

“อืม แต่อดทนหน่อย สักพรุ่งนี้ฉันก็จะพาเธอไปบ้านของเธอแล้วจะหาจังหวะปล่อยเธอไป”

“คุณไม่ได้หลอกผมใช่ไหม ฮึก ถ้าหลอกผม ผมขอร้องล่ะ บอกผมตอนนี้เลย ไม่งั้น ไม่งั้นผมต้องบ้าแน่ๆ ผมไม่ไหวแล้วนะ”

“เชื่อใจฉัน” มือเล็กกระชับมือผอมของจ้าวแน่น “ฉันทนให้พวกนั้นทำร้ายนายไม่ไหวแล้ว นายทำประโยชน์ให้กับกลุ่มเรามากพอแล้ว”

จ้าวสูดหายใจลึก “ผมไม่กล้าไว้ใจคุณ ฮึก ผมกลัว”

“ฉันก็ไม่ได้ต้องการให้เธอเชื่อใจฉัน” ไอหัวเราะเสียงแผ่ว “เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เตรียมตัวดีๆ แล้วกัน ฉันรับประกันไม่ได้หรอกนะว่ามันจะสำเร็จหรือเปล่า แต่ฉันจะพยายามให้ถึงที่สุดแล้วกัน”

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณโกหกผมไหม แต่ถ้าคุณพูดจริง ผมก็ขอบคุณนะ”

ไอลูบหัวจ้าวด้วยรอยยิ้ม

“ระหว่างนี้ก็ทำใจดีๆ อย่างเพิ่งเป็นอะไรไปก่อนแล้วกัน”



สิ่งที่ไอพูดเป็นความจริง..

นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างพยายามหยิกตัวเองเพื่อยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ฝันแต่เป็นความจริง มันยากเกินกว่าจะเชื่อว่ากลุ่มคนที่ทำร้ายตัวเองมาหลายอาทิตย์จะทำตามที่สัญญา

“รีบเข้าไปเร็ว พวกเรามีเวลาไม่มากหรอกนะ”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลพูดอย่างเร่งรัดพร้อมกับผลักหลังจ้าวให้ก้าวเข้าไปบ้าน

“คะ ครับ”

จ้าวรับคำในลำคอสาวเท้าเข้าไปในบ้านที่แสนคุ้นเคย บรรยากาศร่มรื่นจากไม้ใหญ่ชวนให้สบายใจ ระเบียงไม้สีขาวที่มีเก้าอี้สองตัวพร้อมโต๊ะเล็กตรงกลางสำหรับนั่งจิบกาแฟ ชานชาลาหลังกะทัดรัดที่เขามักจะไปนั่งดีดกีตาร์เล่นตอนที่ว่างจากการทำงาน
น้ำตาคลอหน่วงในนัยน์ตาโศกเมื่อนึกถึงตอนล่าสุดที่ตัวเองมาที่มาที่แห่งนี้

มันเลวร้ายและเจ็บปวดจนไม่อยากจดจำ เขากล้าเรียกสถานที่นี้ว่าบ้านได้ยังไง บ้านต้องเป็นสถานที่ที่แสนอบอุ่นไม่ว่าตอนไหนกลับมาแล้วก็รู้สึกสบายใจสิ ไม่ใช่สัมผัสได้ถึงความเกลียดชังมากมายชัดเจนขนาดนี้

เมื่อสาวเท้าเข้าไปในบ้านหัวใจของจ้าวก็แตกเป็นเสี่ยง

รูปภาพทั้งหมดที่มีเขาหายไปหมดแล้ว ข้าวของต่างๆ ที่เขาซื้อมาประดับบ้านก็หายไปหมดจนบ้านโล่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สิ่งของที่ยังเหลืออยู่ก็เป็นรูปของพ่อแม่และจันทร์ไม่กี่รูปเท่านั้น

“เร็ว”

ไอเอ่ยเร่งรัดเมื่อจ้าวเหม่อนานเกินไป สิ่งที่ทำให้เขารีบคือต้องการทำเวลาเพราะกลัวว่าจะโดนพวกนั้นจับได้ซะก่อน ยิ่งจ้าวเสร็จไวเท่าไหร่ก็มีเวลาหนีมากขึ้นเท่านั้น แน่นอนว่าเขาใช้ข้ออ้างล้านแปดกว่าจะปลีกตัวออกมาเป็นคนคุมจ้าวด้วยตัวเองได้ พวกนั้นประหลาดใจมากที่คนที่เอาแต่จดจ่ออยู่กับคอมพิวเตอร์อย่างเขา ทำไมถึงอยากออกภาคสนามกับเขาบ้าง

แน่ล่ะ เขาเกลียดการออกภาคสนามจริงๆ แต่คราวนี้เป็นกรณียกเว้น เขาทนเห็นคนเป็นบ้าด้วยน้ำมือของตัวเองไม่ได้ โดยเฉพาะกับจ้าวที่เขาเคยเห็นรอยยิ้มสดใสมาก่อน

นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบมองแผ่นหลังผอมที่ทำตามอย่างเคร่งครัดด้วยความสงสารนิดๆ เขาก็พอจะดูออกเหมือนกันว่าบ้านหลังนี้นั้นให้ความรู้สึกอบอุ่นเจือจางมาก เหมือนกับเป็นที่สำหรับนอนมากกว่าจะเป็นบ้านคน

จ้าวขึ้นไปบันได้ตรงไปยังห้องที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับห้องของตัวเองที่ให้ความรู้สึกราวกับฟ้ากับเหว ประตูห้องของจันทร์นั้นมีป้ายประ
ดับเป็นชื่อจริงทำจากสแตนเลสห้อยอยู่ดูหรูหราเข้ากับบ้าน ส่วนห้องของเขาในทางตรงกันข้ามนั้นไม่เหลืออะไรแล้วอีกทั้งยังเหมือนโดนปิดตายไปแล้วด้วย มีแม่กุญแจอย่างน้อยสามตัวที่กลอนประตูของเขา

“ฮึก”

ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเศร้าเรื่องอะไร แต่ในอกมันเจ็บปวดเหลือเกิน เขาไม่ใช่คนในครอบครัวนี้อีกต่อไปแล้วสินะ ทำไมโลกใบนี้ถึงได้ใจร้ายกับเขานักนะ

แต่ถึงจะเจ็บปวดยังไงจ้าวก็ยังจำหน้าที่ของตัวเองได้ ร่างผอมพาตัวเองไปยังหน้าต่างริมระเบียง หยิบกระถางใบเล็กขึ้นเพื่อเอากุญแจที่ตัวเองเคยซ่อนเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว มันเป็นกุญแจห้องของจันทร์ที่เขาได้มาโดยบังเอิญและกะจะใช้ไขเข้าไปเผื่อทำเซอร์ไพรส์วันเกิดอะไรทำนองนั้น แปลกนิดหน่อยที่พอจะใช้จริงๆ กลับเป็นการใช้เพื่อตัวเขาเอง

จ้าวกลับไปไขประตูห้องจันทร์และมันก็สามารถเปิดได้อย่างง่ายดาย กลิ่นหอมดอกไม้จางๆ ในห้องมาจากแจกันที่ตั้งอยู่บริเวณหน้ากระจก เป็นดอกกุหลาบสีแดงดอกเดียวที่สดใหม่จนจ้าวหวาดกลัว

เพราะนั่นหมายถึงจันทร์ได้มาที่ห้องเร็วๆ นี้!

“ฉันจะไปดูต้นทางให้นะ จ้าว” ไอชะเง้อหน้าจากขอบประตู ไม่ตั้งคำถามอะไรทั้งนั้นเกี่ยวกับที่จ้าวค้นห้องของน้องชายตัวเองเพราะไม่ใช่สิ่งที่ไอสนใจ สิ่งเขาสนใจมีเพียงคอมพิวเตอร์เท่านั้น เอาเข้าจริงแล้วตัวเลขฐานสองสำหรับเขาแล้วมันดูเซ็กซี่กว่าผู้หญิงสวยที่เปลือยตามร้านดังเสียอีก

“…ครับ”

จ้าวตอบรับเสียงแผ่วขณะที่ขะมักเขม้นกับการค้นตู้หนังสือของจันทร์ กรีดหนังสือคร่าวๆ พยายามหาว่ามีอะไรแทรกอยู่ระหว่างหนังสือรึเปล่า เอาเข้าจริงจ้าวก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองควรจะหาอะไร เขาอยากได้หลักฐานมัดตัวจันทร์ก็จริงแต่ก็ไม่รู้ว่าในเหตุการณ์นั้นเหลืออะไรไว้ให้บ้าง ถ้าเปรียบจริงๆ ตอนนี้ก็เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทรสีดำสนิทและเขากำลังจะจมน้ำตายเพราะแทบจะไม่รู้วิธีการดำน้ำด้วยซ้ำ

แต่เขาก็จะพยายาม ต่อให้เขาต้องตายในน้ำ เขาก็ไม่สน เขาได้รับโอกาสที่จะยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะมาท้อแท้ให้เสียโอกาสเปล่า เขาเสียอะไรมามากเพื่อวันนี้

เมื่อตู้หนังสือดูจะไม่มีอะไรก็ไปรื้อโต๊ะทำงานต่อ เอกสารปึกใหญ่ภาษาอังกฤษว่าด้วยโครงการจีโนมมนุษย์ของอเมริกาถูกเปิดไว้ที่หน้าหนึ่งพร้อมถูกขีดไฮไลท์สีเหลืองเอาไว้

‘ASEXUAL’

สภาวะไร้เพศ

จ้าวขมวดคิ้วเพราะไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน มันหมายความว่ายังไง? แต่สงสัยได้ไม่นานนักก็ต้องค้นบริเวณอื่นของห้องต่อ แน่นอนว่าการค้นคราวนี้จ้าวไม่ได้สนใจจะเก็บเข้าที่เดิม ข้าวของจึงกระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมดแต่น่าเสียดายที่จันทร์เป็นคนที่มีของใช้ส่วนตัวน้อยเพราะไม่มีงานอดิเรกและสิ่งที่ชอบเป็นพิเศษ

ที่กองบนพื้นจึงมีแต่หนังสือความรู้และเอกสารต่างๆ เท่านั้น ยิ่งค้นจ้าวก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความว่างเปล่าในชีวิตจันทร์ที่ดูไม่มีความสุขเอาเสียเลย ใช้เวลาทั้งชีวิตจดจ่ออยู่กับการเรียนจนไม่รู้ว่าตัวเองมีความสุขกับอะไรกันแน่

สิ่งที่เด่นชัดที่สุดในห้องของจันทร์คือภาพที่จันทร์รับใบปริญญาแล้วพ่อแม่ขนาบข้างด้วยรอยยิ้ม ภาพนั้นคงจะเป็นภาพที่จันทร์ดีใจและรักที่สุดเลยทีเดียว

จ้าวยังคงค้นไปทุกที่ ทั้งตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงาน ใต้เตียง หรือแม้แต่ใต้พรมเช็ดเท้าจ้าวก็ไม่กล้าละเลย แต่ก็ไม่เจออะไรอยู่ดี ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่จ้าวคาดเอาไว้แต่แรก เขาไม่น่าจะหาอะไรเจอเพราะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะหาอะไร

สุดท้ายจ้าวก็มานั่งทิ้งตัวข้างเตียงพยายามครุ่นคิดว่าถ้าตัวเองเป็นจันทร์จะซ่อนความลับของตัวเองไว้ที่ไหน นัยน์ตาโศกกวาดตามองสิ่งของรอบตัวไม่เรื่อยๆ อย่างไม่เจาะจง

“!”

จ้าวเบิกตากว้างเมื่ออยู่ๆ ก็นึกภาพความทรงจำนึงออกในหัว มันเป็นภาพที่เขากับจันทร์ตอนเด็กและคุยเล่นกันว่าถ้าซ่อนของซ่อนที่ไหนน่าจะดีที่สุดและจำง่ายที่สุด ทั้งเขาทั้งจันทร์พยายามคิดอย่างจริงจังจนในที่สุดก็มาจบลงที่ภาพครอบครัว

หัวใจในอกจ้าวเต้นรัวกระหน่ำจนหูอื้ออึงอย่างตื่นเต้น เขาไม่รู้ว่าจันทร์ยังจะทำตามที่พวกเขาคิดหรือเปล่าแต่มันก็ไม่เสียหายอะไรที่จะลองดู

จ้าวหยิบกรอบรูปออกจากที่แขวนและเมื่อพลิกด้านหลังก็ยิ้มกว้างอย่างดีอกดีใจราวกับเด็กๆ รีบวางกรอบรูปลงบนโต๊ะและแกะมันออกจากกรอบรูปทันที

คิ้วบางขมวดมุ่นเมื่อพบว่ามันเป็นภาพเก่าๆ ภาพหนึ่งที่ไม่ดีสักเท่าไหร่แต่เมื่อพลิกดูเพื่อดูรูปก็ต้องตกใจเพราะว่ามันเป็นภาพรวมระหว่างเขา จันทร์ แล้วก็เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักยิ้มกว้างซึ่งยืนตรงกลาง

“…?”

อยู่ดีๆ จ้าวก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรงจนต้องครางหนักๆ นวดขมับตัวเอง คล้ายกับว่ารูปใบนั้นพุ่งเข้าไปในหัวเพื่อสะกิดความทรงจำบางอย่างที่จ้าวจำไม่ได้

หรือ.. จงใจที่จะไม่จำ

จ้าวกุมหัวตัวเองแน่นเพราะมันปวดหัวมากอีกทั้งยังรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบถล่มลงมาพร้อมกัน ทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมต้องรู้สึกแบบนั้น เพียงแต่ในใจมันเศร้า เคียดแค้น ทุกข์ระทม ทุกความรู้สึกผสมปนเปกันไปหมด

โลกทั้งใบคล้ายกับเอียงเอน จ้าวปวดหัวจนแทบไร้สติไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีเสียงฝีเท้าหนักแน่นวิ่งเข้ามาใกล้ตัวเอง และเป็นคนที่ตัวเองอย่างเจอน้อยที่สุดเสียด้วย

“จ้าว!!!”

เสียงทุ้มคล้ายกับจ้าวตะโกนดังลั่นพร้อมกับพุ่งตัวไปกระชากคอเสื้อขึ้นมาอย่างกราดเกรี้ยว นัยน์ตาโศกที่เป็นพิมพ์เดียวกับจ้าวมองแฝดพี่อย่างโกรธแค้น

“ใครใช้ให้มึงแตะรูปนั้น!!! จ้าว!!”

ไม่เพียงแค่จ้าวที่คล้ายกับเสียสติจันทร์ก็เช่นกัน รูปภาพที่จ้าวไม่แม้แต่จะมีเสี้ยวความทรงจำกับมันกลับทรงอิทธิพลเหลือเกิน

“ใคร ฮึก นั่นใคร”

อาการปวดหัวทุเลาลงแต่กลับรู้สึกเศร้าจนทนแทบไม่ไหว
   
นัยน์ตาโศกของจันทร์ลุกโชนราวกับทนฟังไม่ได้ทำให้เสียงของจันทร์นั้นแหบสูงราวกับสัตว์คำราม “มึงกล้าลืมน้องจินเหรอวะจ้าว! มึงกล้าลืมน้องสาวคนเดียวของเราเหรอวะ!”
   
ฉับพลันความทรงจำทั้งหมดที่จ้าวจงใจลืมก็กลับมา ร่างผอมช็อคไปครู่หนึ่งก่อนที่ตัวจะสั่นเทาไปทั้งร่าง นัยน์ตาโศกสั่นระริก  “ฮึก มึงจะเก็บรูปน้องไว้ทำไมวะ จันทร์”
   
รอยยิ้มบิดเบี้ยวปรากฎ จันทร์โกรธมากจนซัดกำปั้นใส่หน้าจ้าวไม่หยุด “จินนี่เป็นน้องของกู ทำไมกูต้องทิ้งรูปน้องด้วย! กูไม่ใช่มึง ไม่ใช่มึง จ้าว ที่พอน้องจะโดนฆ่าตายก็แช่งให้กูตายแทนน้อง!”
   
จ้าวสัมผัสได้ถึงเลือดที่กลบปาก อารมณ์โกรธที่พุ่งพรวดขึ้นมาทำให้จ้าวมีเรี่ยวแรงขึ้นพอที่จะขัดขืนแล้วซัดหมัดกลับใส่ใบหน้าที่เหมือนกับตัวเอง
   
“ก็มึงทำตัวอย่างนี้ไง จันทร์! กูถึงเกลียดมึง ถ้ามึงเป็นโอเมก้าแทนน้อง น้องเราก็จะไม่ตายไงวะ!”
   
“กูก็เกลียดมึงเหมือนกัน ไอ้สัตว์ รู้สึกยังไง ตอนนี้มึงเป็นโอเมก้าแล้ว ฮะๆ แช่งให้กูเป็นแต่ตัวเองเป็น ตลกชิบหายเลย ฮ่าๆๆ”
   
“หุบปาก!”
   
ตอนนี้ทั้งสองราวกับเป็นหมาบ้าไปแล้ว ผลัดกันกัดจนจมเขี้ยว สะบักสะบอมไปทั้งตัวแต่ก็ยังไม่มีใครคิดยอมแพ้เพราะบาดแผลในวัยเยาว์นั้นใหญ่เกินไป
   
พวกเขาสูญเสียน้องสาววัยสามขวบไปเพียงเพราะตรวจเพศเป็นโอเมก้า
   
ความทรงจำร่วมกันระหว่างสามพี่น้องในกาลก่อนช่างแน่นแฟ้น จันทร์จ้าวและจินมักจะหาเวลาไปเล่นด้วยกันเสมอ จ้าวกับจันทร์ผลัดกันทำตัวเป็นพี่ใหญ่พาน้องทำความรู้จักกับสิ่งต่างๆ บนโลกแทนพ่อแม่ที่เอาแต่ทำงาน อยากให้น้องได้รับความรักความอบอุ่นมากที่สุดเพื่อที่จะได้ไม่รู้ขาดหายเหมือนสองพี่น้อง
   
แต่โชคชะตาก็เล่นตลก น้องของเขาถูกตัดสินให้ตายเพราะเป็นโอเมก้าคนแรกที่เกิดขึ้นในตระกูลนฤภัทรที่ประกอบไปด้วยอัลฟ่าเท่านั้น
   
ผลั่ก!
   
“มึงฆ่าพริมทำไม จันทร์ มึงฆ่าพริมทำไมวะ!”
   
ผลั่ก!
   
“กูไม่ได้ตั้งใจเพราะมึงนั่นแหละจ้าว เพราะมึง พริมถึงตาย!”
   
ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องจึงขาดสะบั้นนับตั้งแต่วันนั้น พวกเขาต้องการคนรับผิดชอบเรื่องนี้และคนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้สำหรับจ้าวก็คือจันทร์! จึงเอ่ยคำผรุสวาทสาปแช่งไปมากมาย ก่อนที่จะมารู้ตัวทีหลังว่าไม่มีประโยชน์ที่จะโทษจันทร์ จ้าวจึงพยายามลบเรื่องจินออกจากหัวให้หมด พยายามลืมให้มากที่สุดและทำดีกับจันทร์ให้มากที่สุดเพื่อทดแทนคำพูดร้ายๆ ในอดีตของเด็กไม่รู้จักประสีประสา
   
ส่วนจันทร์รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองไม่ได้ผิดก็พยายามสุดชีวิตเพื่อทำร้ายจ้าว คำพูดจากแฝดพี่ที่เคยรักที่สุดทำร้ายจันทร์จนจันทร์ร้องไห้แทบตาย โลกทั้งใบของเขามีแค่จ้าวกับไซมอนด์และในที่สุดมันก็เหลือเขาแค่คนเดียว ความเจ็บปวดมันร้ายแรงจนกลายเป็นความโกรธแค้น เขาไม่สนใจว่าจ้าวจะพยายามง้อหรือทำดีกับตัวเองมากแค่ไหน
เพราะเขายังจำได้ทุกคำพูดของจ้าวอย่างแม่นยำ
   
ถ้าจ้าวเลือกที่จะลืม จันทร์ก็คงเลือกที่จะจำ
   
จดจำทุกอย่างที่ทำให้ตัวเองเจ็บปวดเพื่อผลักดันให้มีชีวิตต่อไป!

-------------

ตอนนี้คาดว่าจะพีคที่สุดในเรื่องแล้ว 555 ความลับที่เก็บงำมานานได้เปิดเผยแล้ว  :katai5:

ตอนนี้อาจจะทำให้คนด่าจันทร์น้อยลงและคงทำให้เกิดความไม่มั่นใจว่าควรด่าต่อไปไหม

สำหรับคนเขียนแล้วทุกเรื่องย่อมมีที่มาค่ะ การกระทำของจันทร์มันไม่ได้ล่องลอย ทำไมถึงเกลียดพี่

ทุกอย่างมันมีเหตุผลในตัวอยู่เพียงแต่ไม่มีใครรู้ก็เท่านั้น  :katai4:

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ แจกหมูคนละตัวไว้ปิ้ง  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : อีกาที่เสียสติ p.6 (4/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 04-07-2018 04:45:00
หน่วงมากๆ :hao5:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : อีกาที่เสียสติ p.6 (4/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 04-07-2018 05:20:29
 :hao5:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : อีกาที่เสียสติ p.6 (4/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 04-07-2018 14:17:09
สาเหตุมาจากที่น้องตายนี่เอง
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : อีกาที่เสียสติ p.6 (4/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kanj1005 ที่ 04-07-2018 16:41:09
น้องตายจันทร์น่าจะโกรธพ่อแม่มากกว่านะ  กลับไปหลงเชื่อถวายชีวิต ถึงตอนนี้จะถอนตัวก็ไม่ได้ละ


หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 25 : อีกาที่เสียสติ p.6 (4/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 04-07-2018 23:00:33
เราก็ยังโทษพ่อแม่อยู่ดี
บ้าจริงงงงงง ทำไมเราอินขนาดนี้
สงสารเด็ก ๆ บ้านนี้อ่ะ
ยิ่งบวกกับตอนก่อนที่คุณแม่จะเสนอจันทร์ให้เหมันต์นะ
ยิ่งแบบ นั่นลูกไหมคะคู๊ณณณณ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 29 : หนอนบ่อนไส้ p.6 (7/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 07-07-2018 19:11:53
ตอนที่ 29
   

‘หายไปไหน หายไปไหน หายไปไหน’
   
ประโยคเดียวที่วนซ้ำในหัวเหมันต์ไม่หยุด แววตาดุดันเมื่อมาอยู่คนเดียวสั่นระริกอย่างเจ็บปวด ด่าทอถึงความโง่เขลาของตัวเองที่ไว้ใจคนผิดเพราะไม่คาดคิดว่าคนที่เป็นลูกน้องกันมาเป็นสิบปีจะหักหลังได้ลงคอ การได้รู้ข่าวว่าคนที่ตัวเองเฝ้าประคับประคองรักษาอย่างทะนุถนอมนั้นโดนพาตัวไป ชั่วเวลานั้นเหมือนโลกทั้งใบถล่มลงไปในพริบตา
   
เขาแทบจะกลายเป็นบ้า อยากจะฆ่ามันทุกตัวที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำให้คนของเขาเจ็บปวดกว่าเดิม ยิ่งได้ยินได้เห็นจ้าวพูดประโยคข้อความในโทรทัศน์ยิ่งทำให้เขาเดือดดาล บาดแผลที่เขาเคยรักษาให้จ้าวจนจางลงกลับมาเด่นชัดอีกครั้งราวกับเพิ่งออกจากคุกมาใหม่ๆ
   
มันจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อสิ่งที่เขาพยายามทำมาทั้งหมดถูกพังลงมาด้วยคนของเขาเอง ทุกวันนี้เขามีชีวิตอยู่ด้วยความโกรธแค้น ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าความลับเรื่องเบต้าตัวเองจะแตกหรือไม่ ในเมื่อคนที่เป็นสิ่งสวยงามที่สุดในชีวิตถูกช่วงชิงไปเหยียบย่ำแล้ว เขาจะเหลืออะไรให้ใส่ใจอีก
   
ความตึงเครียดจากสถานการณ์อันไม่สงบรวมถึงความเป็นห่วงในตัวจ้าว ทำให้เหมันต์อดหลับอดนอนไม่แพ้กันใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยไรหนวด นัยน์ตาสีเทาฉายถึงความเหนื่อยล้าเสมอแม้ปากจะพูดว่าพร้อมทำงานตลอดเวลาก็ตาม
   
สงครามกลางเมืองเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรัฐบาลไม่ยอมอ่อนข้อให้กับฝูงอีกา เหล่าผู้นำอัลฟ่าหวงแหนความสะดวกสบายและหน้าตาเป็นที่สุด พวกเขาย่อมไม่อยากให้เกิดความเท่าเทียมขึ้น แม้พลตำรวจเอกโลกันต์จะพยายามยื่นข้อเสนอให้กับคณะรัฐมนตรีเรื่องการพูดคุยแต่ทุกครั้งที่พูดก็ถูกปัดตกไปทันที ตราบใดที่พวกเขายังถือไพ่เหนือกว่าก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเจรจา
   
สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายกำลังรอก็คือเวลา รอว่าฝ่ายไหนที่จะเพลี่ยงพล้ำก่อน หากเปรียบเป็นหมากรุก รัฐบาลคงกำลังวางหมากอย่างใจเย็นและแสร้งเป็นรองเพื่อที่จะได้ล้มกระดานในคราวเดียวเป็นอันจบเกม หากแต่ฝูงอีกาก็ไม่ได้โง่เขล่า พวกมันเตรียมการกันมานานพอตัวจึงสามารถวางหมากต่อรองกับรัฐบาลได้อย่างสูสี พวกเขาใช้ม้าหรือพื้นที่สื่อในการรุกไล่รัฐบาล ใช้เบี้ยแทนผู้ที่สูญเสียของทุกฝ่ายเพื่อสนับสนุนให้ม้าสามารถรุกรัฐบาลได้ง่ายขึ้น และใช้หมากตัวอื่นๆ อย่างชาญฉลาดเพื่อให้บนกระดานเหลือเพียงหมากของตัวเองเพียงฝ่ายเดียว
   
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไม่เคยง่ายสักครั้งในประวัติศาสตร์ เป็นไปไม่ได้เลยที่แค่คำพูดปากเปล่าธรรมดาๆ จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้สวยงามเหมือนในเทพนิยายได้
   
และเพราะมันไม่เคยง่ายมันจึงทำให้เหมันต์กังวลจนไม่ได้สนใจร่างกายตนเองสักนิดว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ถึงแม้มันจะไม่มากแต่ถ้าหากสังเกตดีๆ ย่อมรู้สึกได้อย่างแน่นอน
   
“สวัสดีค่ะ คุณเหมันต์”
   
หยกเอ่ยทักทายด้วยความประหลาดใจแกมดีใจเมื่อพบว่าคุณเหมันต์มาตามที่ตัวเองนัดจริงๆ เธอยิ้มอย่างประหม่าเมื่อคิดถึงสิ่งที่ตัวเองจะพูดกับคุณเหมันต์ในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
   
“มีอะไรรีบว่ามา ฉันไม่ได้มีเวลาว่างทั้งวัน” เหมันต์ไม่แม้แต่จะปรายตามอง ร่างกายที่เหนื่อยล้าเต็มทนกำลังเรียกร้องหาการพักผ่อนแต่เจ้าของร่างก็ไม่คิดจะยินยอม
   
เขาไม่สามารถนอนหลับอย่างสบายใจในขณะที่จ้าวกำลังทุกข์ทรมานได้หรอก!
   
คิดถึงตรงนี้ก็ขบกรามกรอดหงุดหงิดงุ่นง่าน นัยน์ตาสีเทารียาวขึ้นราวกับสัตว์ป่า
   
หยกเห็นภาพนั้นก็ดีใจจนเนื้อเต้น “คุณเหมันต์ตอนนี้ร่างกายคุณตอบสนองกับฮอร์โมนอัลฟ่าแล้วค่ะ!”
   
เหมันต์ขมวดคิ้ว “อืม แค่นี้ใช่ไหม”
   
ถ้าสถานการณ์ยังปกติเหมันต์คงประหลาดใจมากกว่านี้แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาจริงๆ
   
“ไม่ใช่แค่นี้ค่ะ” หยกยิ้มละมุนก่อนที่เดินเข้าไปใกล้ร่างสูงใหญ่อย่างชาวยุโรป ละเลียดมองใบหน้าที่สามารถเห็นสันกรามได้ชัดเจน ในใจลึกๆ อยากยกมือลูบมันแต่ก็กลัวจะโดนจับได้ซะก่อนจึงอดใจไว้ ใบหน้าหวานอย่างชนโอเมก้าขึ้นสีเมื่อเห็นมัดกล้ามที่ซุกซ่อนไว้หลังเสื้อสูทที่แน่นตึง

“มีอะไร” เหมันต์มองด้วยสายตาดุดันไม่เป็นมิตร เริ่มรู้สึกอะไรไม่ชอบมาพากลเพราะหยกไม่เคยเข้าถึงตัวเขาในระยะที่ใกล้ขนาดนี้มาก่อน เขามีแพทย์ประจำตัวอยู่แล้วหยกจึงไม่มีหน้าที่ที่ต้องมายุ่มย่ามกับเขาสักเท่าไหร่นอกจากเรื่องผลเลือดเบต้าที่ไม่ยอมเปลี่ยนสักที
   
“…!”
   
กลิ่นหอมยั่วยวนประหลาดชัดเจนขึ้นเมื่อหยกเข้ามาใกล้เขา เหมันต์เริ่มหายใจติดขัดเพราะมันคล้ายกับกลิ่นของจ้าว คล้ายมากจนราวกับเป็นกลิ่นเดียวกัน ฉับพลันเขาก็นึกออกว่าชิ้นส่วนจิ๊กซอที่เขาหาแทบตายมันอยู่ที่ไหน!
   
แล็บที่วิทยาการสูงส่งพอๆ กับโครงการจีโนมมนุษย์มีไม่กี่ที่และหนึ่งในนั้นก็คือแล็บบ้านเขา ไหนจะการขนส่งน้ำหอมโอเมก้าที่เขาปิดจากภายนอกทุกทางแล้วก็ยังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ อย่างน่าอัศจรรย์ใจ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่เขามองข้ามมาตลอดอีกด้วย
   
หนอนบ่อนไส้อยู่ใกล้เพียงนิด แต่เขากลับโง่เขลา ไม่เคยคิดไม่เคยรู้ไม่เคยสงสัย ทั้งๆ ที่ได้บทเรียนราคาแพงเรื่องจ้าวแต่ก็ไม่เคยฉุกคิดสงสัยคนที่ใกล้ตัวถึงขนาดรู้ความลับสำคัญของตัวเอง
   
“หยก!!!”
   
เหมันต์คำรามอย่างเดือดดาลตั้งใจจะถลาเข้าไปจับกุมอีกฝ่ายแต่ก็พบว่าขยับร่างกายของตัวเองไม่ได้ นัยน์ตาสีเทาเบิกตากว้างเมื่อเห็นเข็มฉีดยาปักอยู่ที่แขนและมันก็ฉีดทุกอย่างเข้าไปแล้วโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว
   
ร่างกายเขาสั่นระริกราวกับหนาวสั่นแต่อุณหภูมิในร่างกลับเดือดดาล เขาหอบหายใจหนักรู้สึกกระสันจนปวดไปทั้งตัวโดยเฉพาะบริเวณนั้นที่ปวดจนทนแทบไม่ได้
   
“หยกชอบคุณเหมันต์นะคะ”
   
หยกหน้าแดงลูบใบหน้าคมคายของนายเหนือหัวตัวเองอย่างเผลอไผล
   
“อย่ามายุ่งกับฉัน” หมาป่าหนุ่มคำรามกรอดอย่างดุร้ายแต่หยกก็ไม่คิดจะกลัว เธอมองเหมันต์ด้วยสายตาลึกซึ้งที่ซุกซ่อนมาตลอดหลายปี เธอรู้ว่าเหมันต์รู้แต่ก็ไม่คิดจะสนใจ สิ่งที่ทำให้เธอและเหมันต์ยังพูดคุยกันก็เพราะเรื่องงานเท่านั้น
   
แต่แล้วยังไงล่ะ เธอก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รักตอบแทนกลับมาซะหน่อย ยิ่งเห็นสายตาที่เหมันต์มองจ้าว เธอก็ตระหนักถึงสถานะของตัวเองดี
   
“ต่อไปนี้คุณเหมันต์ไม่ต้องรับฮอร์โมนอัลฟ่าแล้วนะคะเพราะร่างกายคุณสามารถผลิตเองได้แล้ว” หยกยิ้มเศร้าๆ “หยกก็อยากอยู่ถึงตอนที่คุณเป็นอัลฟ่าเต็มตัวนะ แต่ตอนนี้หมดเวลาแล้ว”
   
“เธอ.. ฉีดอะไรให้ฉัน”
   
เหมันต์แค่นเสียงถามอย่างยากเย็น
   
“น้ำหอมโอเมก้าแบบพิเศษค่ะเพราะหยกรู้ว่าแบบทั่วไปไม่มีผลกับคุณ” หยกยิ้มนิดๆ แกล้งแตะลงบนแขนเหมันต์ก็พบว่าอีกฝ่ายสะดุ้งสุดตัวอีกทั้งตัวสั่นระริกราวกับหมาติดสัด
   
“..จ้าว เธอใช้เลือดจ้าวใช่ไหม”
   
“ใช่ค่ะ” หญิงสาวหัวเราะเสียงแผ่วไม่แปลกใจในความแม่นยำของเหมันต์นัก “ฉันมีข้อเสนอให้คุณ”
   
“…อะไร”
   
“นอนกับฉันแล้วฉันจะบอกว่าจ้าวซ่อนตัวอยู่ที่ไหนค่ะ”
   
หยกรู้ดีว่าจ้าวคือตัวแปรหลักสำหรับเรื่องทั้งหมดของเหมันต์รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายด้วย ร่างกายที่จืดชืดตายด้านมานานค่อยๆ มีปฎิกิริยาขึ้นมาเมื่อเหมันต์รับจ้าวมาดูแล เดิมทีร่างกายของเหมันต์ก็แสดงอัตลักษณ์ของอัลฟ่าพิเศษอยู่แล้วเพียงแต่ยังไม่ออกมาทางผลเลือดสักที เธอจึงพยายามหาสิ่งกระตุ้นควบคู่กับการให้ฮอร์โมนอัลฟ่ามาตลอด ทั้งฮอร์โมนโอเมก้าของเธอเอง ทั้งฮอร์โมนของโอเมก้าทั่วไป แต่มันก็ไม่เคยเกิดผล ร่างกายของเหมันต์ประสาทสัมผัสตายด้านราวกับคนอายุหกสิบ น้ำหอมฟีโรโมนที่เธอพยายามแทบตายในการผลิตจึงไม่มีผลต่อเหมันต์เลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งๆ ที่กับอัลฟ่าคนอื่นแค่กลิ่นนิดเดียวก็วูบไหวแล้ว
   
“..ไม่” เหมันต์แค่นเสียงพูดอย่างโกรธเคือง “ครอบครัวฉัน ดูแลเธอตั้งแต่เด็ก.. ทำไม ถึงทำแบบนี้” แม้จะรู้สึกกระหายอยากแต่ร่างสูงก็ไม่คิดจะเอาหยกมาเป็นที่ระบายอารมณ์ เขายอมทรมานแบบนี้จนตายดีกว่าที่จ้าวมารู้ทีหลังว่าเขาไปทำอะไรๆ กับคนอื่น
   
“คุณไม่ใช่โอเมก้า คุณไม่เข้าใจหรอกคุณเหมันต์” หยกยิ้มเศร้าสร้อยลูบใบหน้าคมอย่างอาลัยอาวรณ์ “พวกเรากระหายอิสรภาพ ใครก็รู้ทั้งนั้นว่าฆ่าคนเป็นความผิดร้ายแรงแต่เราก็ไม่มีทางเลือก พวกอัลฟ่าไม่คิดจะฟังสัตว์ที่เห่าไปวันๆ อย่างเราหรอก”
   
“… บอกฉันที ว่าจ้าวอยู่ไหน”
   
เหมันต์ไม่ได้สนใจสิ่งที่หยกพูดนักเขาเป็นห่วงจ้าวเหลือเกิน ไม่รู้ว่าคราวนี้กลับมาจ้าวจะยังสามารถยิ้มได้แบบเดิมไหม เขากลัวที่จะรอยยิ้มเศร้าๆ ของจ้าวเหลือเกิน ถึงจ้าวจะสนิทใจยอมเปิดเผยหลายๆ เรื่องให้เขาแต่เขาก็กลัวที่จ้าวจะคิดสั้นอีกครั้ง ของแบบนี้เมื่อมีครั้งแรก ครั้งอื่นๆ ที่ตามมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
   
“..คุณไม่รับข้อเสนอฉัน ฉันก็บอกไม่ได้หรอก มันไม่คุ้มค่ากับการเสี่ยง” หยกหัวเราะแผ่วเบาก่อนที่จะผละออกไปหยิบกระเป๋าสะพายที่บรรจุน้ำหอมล็อตสุดท้ายในแล็บไว้เต็มกระเป๋า ซึ่งน้ำหอมคราวนี้ก็เข้มข้นรุนแรงกว่าทุกครั้งเพราะใช้ฮอร์โมนของอัลฟ่าพิเศษ
   
“..ขอร้องล่ะ” แววตาสีเทาของเหมันต์สั่นระริก “จ้าวอยู่ไหน”
   
หยกเม้มปากก่อนที่จะส่ายหัว “ฉันบอกคุณไม่ได้” เธอหันมามองเหมันต์ครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเดินออกไปอย่างไม่ไยดีเพราะถ้าหากยืนนานกว่าเดิมเธออาจจะบังคับให้คุณเหมันต์มีอะไรกับตัวเองก็เป็นได้และแน่นอนว่าเธอไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ครอบครัวของคุณเหมันต์ดีกับเธอมาตลอดและเธอก็ทรยศมันไม่ได้
   
แค่เธอกล้าปลีกตัวออกมาเข้าร่วมกับกลุ่มอีกาก็นับว่าเต็มกลืนแล้ว แต่มันก็คงจะดีกว่าเห็นคนที่ตัวเองชอบมาไปรักคนอื่น ถึงเวลานั้นเธอคงเจ็บปวดจนทนไม่ได้มากกว่านี้
   
มือบางลูบท้องตัวเองอย่างอ้อยอิ่ง นึกเสียดายนิดหน่อยที่โดนปฏิเสธอย่างไยดีเพราะถ้าหากเหมันต์ตกลงและยอมทำมันขึ้นมา เธอคงจะดีใจมากเพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่เธอตกไข่พอดี หากได้เลี้ยงลูกของคุณเหมันต์ก็คงจะทำให้เธอมีความสุขไม่น้อย ต่อให้ไม่ได้ครอบครองหัวใจแต่ได้ดูแลเลือดเนื้อเชื้อไขของอีกฝ่ายก็ยังดี
   
เธอไม่สนใจหรอกว่าพ่อของเด็กจะรักเธอไหม ขอแค่ได้รับความใจดีสักนิดเธอก็พอใจแล้ว


   

“ฮึก ทำไมมึงต้องเกลียดกูขนาดนี้วะ จันทร์ กูรักมึงมากนะ ฮึก”
   
ในที่สุดจ้าวก็หยุดต่อยจันทร์ มองใบหน้าที่ละม้ายตัวเองด้วยความเจ็บปวด
   
“กูยอมรับว่าตอนนั้นกูพูดไม่ดี ถ้ามึงโกรธกูขนาดนั้น ทำไมไม่บอกกูวะ ฮึก เออ กูมันเลว กูยอมรับ แต่กูก็ไม่อยากให้มึงเกลียดกูขนาดนี้นี่หว่า เราเป็นพี่น้องกันนะ”
   
นัยน์ตาโศกที่อยู่หลังแว่นสั่นระริกเจ็บปวดไม่ต่างกัน
   
“มึงไม่เข้าใจหรอกจ้าว มึงน่ะ ได้ทุกอย่างไปหมดแล้ว มึงไม่เข้าใจกูหรอก ฮึก”
   
จันทร์ครวญครางออกมาอย่างเจ็บปวด เนื้อตัวสั่นสะท้านไปทั้งตัว แม้จะไม่มีบาดแผลที่มองเห็นบนร่างได้ชัดเจนเหมือนจ้าวแต่กลับมีบาดแผลเหวอะหวะภายในใจเต็มไปหมด
   
“พอมึงเกลียดกู มึงก็สั่งให้คนอื่นไม่คบกูตาม ฮึก มึงรู้ไหมว่ากูต้องทนอยู่คนเดียวตั้งแต่เด็กจนโต กูคุยกับคนอื่นไม่เป็น กูไม่รู้จะเข้าหาคนอื่นยังไง มึงรับผิดชอบได้ไหมล่ะ จ้าว”
   
เรี่ยวแรงมหาศาลที่จับคือเสื้อจ้าวตกลง จันทร์คู้ตัวฟุบสะอึกสะอื้นบนพื้นอย่างอดไม่ได้ ไหล่ที่เหยียดตรงเสมอตอนนี้แหลกเหลวเป็นน้ำไม่เหลือเค้าความเข้มแข็งใดๆ อีก
   
“ฮึก พ่อกับแม่ก็สนแต่มึง มึงทำอะไรก็เด่นก็ดังไปหมด แล้วกูล่ะ กูทำอะไรได้บ้าง ฮึก หัวมึงก็ดีกว่ากู สอบได้คะแนนดีกว่ากู พอกูตั้งใจอ่านหนังสือแล้วสอบเข้าหมอได้ก็ไม่เห็นมีใครดีใจกับกูเลย”
   
จันทร์สะอื้นจนเสียงแหบกอดตัวเองแน่น พยายามประคับประคองตัวเองเพราะไม่เคยมีใครคิดจะยื่นมือเข้ามาช่วยอยู่แล้ว
   
“กูถามอะไรอย่างนะจ้าว ฮึก มึงฆ่าไซมอนด์ใช่ไหม มึงเอาไซมอนด์ไปทำไมวะ ฮึก มันเป็นแมวนะ มึงทำมันลงได้ยังไง”
   
จวบจนถึงตอนนี้จันทร์ก็ยังคิดถึงเจ้าแมวสีส้มเปรอะของตัวเองทุกลมหายใจ มันอยู่กับเขาเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุกครั้งที่เขาร้องไห้ไม่ว่าจะเรื่องอะไร มันจะถูไถออดอ้อนเลียหน้าเขาราวกับปลอบประโลมตามประสาแมว
   
จ้าวเม้มปากแน่นกลั้นสะอื้นก่อนจะพยักหน้า
   
เพียงเท่านั้นแพทย์อันดับหนึ่งชื่อดังของประเทศไทยก็สะอื้นหนักกว่าเก่า ร่างกายที่สูงใหญ่จากการออกกำลังกายไม่ได้ทำให้จันทร์ดูเข้มแข็งขึ้นเลย มันกลับกลายเป็นแค่เปลือกนอกที่ใช้หลอกตาผู้คนเท่านั้นเพราะความจริงแล้วจิตใจเจ้าของร่างนั้นก็ไม่ได้ต่างไปจากเด็กนัก
   
“กูไม่ได้ฆ่ามัน จันทร์ กูไม่ได้ฆ่า” จ้าวไม่กล้าแม้แต่จะแตะตัวน้อง ลืมความเคียดแค้นของตัวเองไปแทบหมดเมื่อรับรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของเรื่องราว “กูเอามันไปฝากไว้กับไอ้เต้อแต่ไอ้เต้อลืมเอาเข้าบ้านมันเลยโดนหมาจรจัดกัดตาย”
   
“แล้วมันต่างอะไรจากเดิมวะ จ้าว” จันทร์หัวเราะในลำคอ “แค่มันไม่อยู่ กูก็ไม่เหลือใครแล้วไง ฮึก สะใจมึงรึยังล่ะจ้าว กูไม่ได้ฆ่าจินแต่มึงก็โทษว่ากูฆ่าจนทำกูเป็นแบบนี้ พอใจรึยังวะ”
   
“กูยอมรับว่ากูผิดเรื่องนี้แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่ามึงมีสิทธิ์มาทำกับกูแบบนี้ป่ะวะ” จ้าวกระชากปลอกคอเหล็กบนคอแล้วตวาดใส่ “ฮึก ถ้ามึงจะเอากูไปอยู่ในคุก มึงฆ่ากูยังดีกว่าอีก มึงเคยเหมือนตายทั้งเป็นทุกวันไหมล่ะ กูเป็นแบบนั้นแหละ กูโดนเหยียดหยาม กูจะโดนข่มขืน เฮียสามตายเพราะจะมาเยี่ยมกู อะไรเยอะแยะเหี้ยๆ มากมายเกิดขึ้นเพราะกูจนกูอยากจะตายแม่งทุกวัน”
   
“กูรู้สึกแบบนั้นตั้งแต่ที่มึงเอาไซมอนด์ไป” จันทร์สบกับนัยน์ตาโศกที่เหมือนกับตัวเองไม่ผิดเพี้ยน “จนถึงตอนนี้กูก็ยังรู้สึก ขนาดกูทำให้มึงตกต่ำแล้วกูก็ยังไม่รู้สึกดีใจเลย กูรู้ว่ากูไม่ได้มีความสุขจริงๆ หรอกที่ทำแบบนี้ แต่ถ้ากูไม่ทำ กูจะเกิดมาเพื่ออะไรวะ พ่อแม่เขายังไม่เห็นกูในสายตาเลยขนาดกูพยายามชิบหายขนาดนี้”
   
“แล้วมึงฆ่าพริมทำไม”
   
น้ำเสียงของจ้าวอ่อนลงมากเพราะสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดไม่ต่างกัน ทั้งๆ ที่พวกเขาเป็นฝาแฝดที่มีสายเลือดเดียวกันกลับผลัดกันทำร้ายกันไม่หยุดไม่หย่อน เขาแทงจันทร์บ้าง จันทร์แทงเขาบ้าง บาดแผลฉกรรจ์เกิดขึ้นเต็มตัว ทั้งๆ ที่พวกเขาทั้งสองเคยรักกันมากมาก่อน
   
เพราะอะไรกันนะ..
   
นายแพทย์หนุ่มผลุดลุกขึ้นนั่งและหัวเราะฝาดเฝื่อน อารมณ์โกรธแทบจะหายไปหมดเพราะความเศร้าที่กัดกินอยู่ในอกนั้นมากเกินกว่าจนทนได้ “เพราะมึงนั่นแหละจ้าว”
   
“..กูไม่เข้าใจ”
   
จันทร์มองหน้างุนงงของจ้าวแล้วหลุดหัวเราะออกมาและนั่นทำให้จ้าวประหลาดใจเอามากๆ เพราะเขาไม่เคยเห็นจันทร์หัวเราะอย่างจริงใจมานานมากแล้ว บรรยากาศในห้องที่เดือดพล่านราวกับอยู่กลางสงครามทุเลาลงเหลือเพียงบรรยากาศตึงเครียดจางๆ ไม่โหดร้ายนัก
   
“..วันนั้นกูตั้งใจจะเซอร์ไพรส์วันเกิดพริมก่อนที่มึงจะมา”
   
นัยน์ตาโศกที่อยู่เบื้องหลังแว่นทอดมองออกไปไกลราวกับกำลังจ้องมองภาพในอดีตของตัวเองอยู่
   
“มึงจำตอนที่กูโทรเช็คมึงได้ไหม นั่นแหละ กูโง่เผลอเปิดลำโพงไง พริมเลยรู้ว่ากูอยู่แล้วไล่กูออกจากห้องแต่กูไม่ยอม พริมเลยจับกูยัดอยู่ในตู้เก็บของในห้องรับแขก”
   
“..มึงชอบพริมเหรอ จันทร์” จ้าวถามเสียงแผ่ว เขายังจำช่อกุหลาบสีแดงสดในมือจันทร์ได้ดี
   
“อืม” จันทร์พยักหน้าเบาๆ พูดอย่างผ่อนคลายแต่จ้าวกับสังเกตเห็นความปลงตกที่ซุกซ่อนอยู่ในนัยน์ตาโศก “กูอยู่ในนั้นจนถึงตอนที่มึงมา โอเค กูรู้อยู่แล้วล่ะ ว่าพริมชอบมึงแต่มึงไม่ได้ชอบพริม ตลกไหมวะ กูกับมึงหน้าเหมือนกัน กูชอบพริมแต่พริมเสือกไม่ชอบกู ฮะๆ”
   
ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่ตลกแต่จ้าวก็หัวเราะตามเสียงแผ่ว ลุกขึ้นนั่งขยับเข้าไปใกล้จันทร์และหยิบมือสากเรียวขึ้นมากุมไว้แน่น อีกฝ่ายกระชับมือกลับแล้วหัวเราะเพราะตอนเด็กๆ ทั้งเขาและจันทร์มักจะทำแบบนี้อยู่เสมอ เวลาที่มีเรื่องไม่สบายใจ
   
“เหมือนพริมจะจงใจแสดงออกให้ชัดว่าชอบมึงก็เลยทำตัวเกินๆ เยอะๆ กับมึง เพื่อที่จะให้กูเจ็บ เออแม่งได้ผลว่ะ กูเจ็บจริง เจ็บชิบหายเลยตอนที่พริมหอมแก้มมึงก่อนกลับบ้าน” จันทร์ยังคงหัวเราะแม้มันจะไม่ตลกเลยก็ตาม ราวกับสูญเสียการควบคุมอารมณ์ปกติไปแล้ว “พอมึงกลับไป พริมก็ให้กูออกจากตู้แล้วพูดเยาะเย้ยกู เขาบอกว่ากูไม่มีวันเทียบกับมึงได้ กูมันเป็นไอ้เด็กเนิร์ดที่วันๆ เอาแต่เรียนไม่ทำห่าอะไร เพื่อนก็ไม่มี สังคมก็ไม่มี จะคบไปให้ได้เหี้ยอะไร”
   
จันทร์มองจ้าวแล้วยิ้มกว้างออกมา “ตลกดีที่พริมพูดแม่งเป็นความจริงหมดว่ะ เทียบกับมึงแล้วกูไม่มีอะไรดีเลย กูตอนนั้นโคตรเจ็บเลยจะขอตัวกลับบ้าน แต่พริมแม่งกวนตีนหยิบมีดขึ้นมากวนตีนกู บอกคนอย่างกูไม่มีวันสู้มึงได้ ต่อให้กูพยายามจนตายก็ไม่ได้เศษเสี้ยวของมึง!”
   
น้ำตาคลอเบ้าของนายแพทย์หนุ่ม จันทร์สะอึกสะอื้น “เออ กูรู้อยู่แล้ว ว่ากูมันกาก แต่ทำไมต้องซ้ำเติมวะ แค่แต่ละวันกูก็เจ็บจะตายห่าอยู่แล้วจะมาซ้ำเติมทำไมกันอีก พอกูจะหนีพริมแม่งก็ตามแกล้งเอามีดจี้กูเหมือนจะแทง บอกว่ากูอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ บนโลกนี้มีคนที่ชื่อจ้าวคนเดียวก็พอแล้วไม่จำเป็นต้องมีจันทร์หรอก”
   
มือสากลูบเอวตัวเองที่เป็นรอยแผลเป็นจนถึงวันนี้อย่างเจ็บปวด “พริมแทงกู! เหมือนอยากจะฆ่ากูให้ตาย ฮึก เลือดบนพื้นไม่ได้มีแค่เลือดมึงหรอกจ้าว มันมีเลือดกูด้วย กูโกรธเลยสู้กลับเผลอเอามีดแทงพริมคืนจนแม่งตาย กะ กูไม่ได้ตั้งใจปะวะ ฮึก เพราะมึงนั่นแหละจ้าว เพราะมึง พริมถึงจะ จะฆ่ากู กูไม่ได้ผิดซะหน่อย ฮึก ทำไมกูต้องติดคุกเพราะมึงด้วยล่ะ”
   
น่าแปลกที่พอรับรู้ความจริงที่เกิดขึ้นจ้าวกลับไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นเท่าที่ควร
   
เพราะเขารู้ตัวดีว่าตัวเองก็ทำร้ายจันทร์มากไม่พอแพ้กัน
   
แขนผอมที่เต็มไปด้วยรอยช้ำและบาดแผลยกขึ้นโอบกอดน้องชายตัวเอง ขนาดตัวที่ต่างกันเป็นอุปสรรคนิดหน่อยแต่จ้าวก็พยายามลูบหัวของจันทร์ที่ถูกเซ็ตมาอย่างดีตามนิสัยเนี๊ยบจัดให้ยุ่งเหยิง
   
น้องของเขาโตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ…
   
นัยน์ตาโศกคลอด้วยน้ำตา จ้าวสะอึกสะอื้นกอดจันทร์แน่นเช่นเดียวกับจันทร์ที่กอดจ้าวแน่นด้วยความไม่เข้าใจตัวเองนัก ทั้งๆ ที่คิดว่าเกลียดแทบตายจนไม่สามารถเผาผีกันได้
   
ใบหน้าที่ซุกอยู่ที่ไหลจ้าวบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวดเมื่อกอดพี่ชายตัวเองกลับและพบว่าผอมแห้งจนแทบเหลือแต่กระดูก หากร่างกระชากเสื้อออกคงไม่วายเห็นกระดูกไหปลาร้าที่พยายามแทงยอดออกจากผิวหนังบางๆ ที่กั้นอยู่
   
“ฮึก พี่ขอโทษ จันทร์”
   
จ้าวสะอื้นกอดน้องชายของตัวเองแน่น นึกเสียใจในความโง่เขลาของตัวเองที่ทำให้เรื่องทั้งหมดกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เขาไม่ควรโทษจันทร์เพราะจันทร์ไม่ได้ผิด
   
เพราะคนที่ผิดจริงๆ คือพ่อกับแม่พวกเขาต่างหาก…
   
กอดกันจนหนำใจจันทร์ก็ผละออกแล้วหัวเราะให้จ้าวพร้อมกับฉีกยิ้มเล็กๆ อย่างเหนื่อยล้า
   
“…แม่งแย่ว่ะ ว่าไหม จ้าว”
   
จ้าวกำลังจะตอบก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นไม้ท่อนใหญ่ทุบเข้าที่หัวของน้องตัวเอง จันทร์นอนแน่นิ่งไปทันที ใบหน้าที่เพิ่งแย้มยิ้มให้เขาในรอบหลายสิบปีแนบอยู่กับพื้นไร้ท่าทีตอบรับใดๆ อีก
   
“เป็นอะไรไหม จ้าว”
   
จ้าวเงยหน้าขึ้นมองคนลงมือด้วยอารมณ์ไม่ค่อยดีนักแต่ก็พอจะเข้าใจได้ถึงสาเหตุที่ทำ
   
“ผมโอเค”
   
ร่างผอมจัดน้องของตัวเองให้นอนท่าทางสบายๆ และหยิบหมอนบนเตียงมารองหัวให้
   
“เราต้องรีบจ้าว เวลาเราเหลิอน้อยแล้ว” ไอทีไม่ได้ใส่ใจอะไรจันทร์นักรีบลากตัวจ้าวออกจากห้องทันทีแน่นอนว่าจ้าวพยายามขัดขืนแต่ร่างกายที่เพิ่งใช้พลังในการต่อสู้ระยะประชิดและร้องไห้ไปทำให้จ้าวอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง
   
เดินมาหยุดที่หลังบ้านที่เคยจอดชาโคลว์ไว้ ไอทีก็หยุดเดินแล้วถอดเสื้อฮู้ดสุดรักของตัวเองออกมาคลุมตัวจ้าวก่อนที่จะเอื้อมมือไปจัดการกับปลอกคอเหล็กบนคอจ้าว
   
“กลั้นหายใจนะ” พูดเสียงกระซิบเมื่อเห็นว่าจ้าวทำตามก็รีบใช้วัสดุพิเศษที่ขโมยมาจากแผนกวิจัยตัดปลอกคอเหล็กของจ้าวให้แยกเป็นสองส่วนได้อย่างง่ายดาย
   
จ้าวเบิกตากว้างลูบคอตัวเองอย่างตื่นตระหนก รู้สึกไม่คุ้นชินเลยสักนิดเมื่อปลอกคอที่ล่ามตัวเองไว้ตลอดถูกปลดออก มันให้ความรู้สึกดีกว่าที่คิด ราวกับว่าเขาเป็นอิสระจากเรื่องทั้งปวง
   
แน่นอนว่าจ้าวดีใจจนเนื้อเต้นแทบจะร้องไห้ เขาตอนอยู่ในคุกตะกุยคอพยายามดึงมันออกแทบตายก็ไม่แม้แต่จะสร้างรอยขีดข่วน แต่ในตอนนี้เขาสามารถเอามันออกได้แล้ว…
   
“คุณช่วยผมทำไม”
   
ไอทียิ้มนิดๆ อย่างหาได้ยากก่อนจะยีหัวจ้าวอย่างเอ็นดู นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างเมื่อเพิ่งสังเกตเห็นใบหน้าของเจ้าหนุ่มแฮ็คเกอร์ลึกลับเป็นครั้งแรก ไอทีดูดีและหน้าเด็กมากจนคาดเดาอายุได้ยากแต่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคือบนลำคอที่มีปลอกคอเหล็กสนิมเขรอะที่คาดว่าจะเป็นรุ่นเก่าเมื่อหลายสิบปีก่อนที่ใช้ล่ามคอเหล่าโอเมก้าที่ต้องโทษหนัก
   
“ฉันก็เหมือนเธอจ้าว” ไอทียิ้มจนตาหยี “โดนคดีโง่ๆ ที่ตัวเองไม่ได้ทำ”
   
“…ขอบคุณที่ช่วยผมนะครับ” จ้าวแทบจะร้องไห้อีกรอบเพราะไม่คิดว่าจะเจอคนที่ใจดีกับตัวเองนอกจากคุณเหมันต์บนโลกนี้อีก
   
“ไม่เป็นไร แล้วก็นี่” มือเรียวหยิบกล้องขนาดเท่าฝ่ามือมาวางบนมือจ้าว เมื่อเห็นนัยน์ตาโศกมองมาอย่างงุนงงก็อธิบาย “ฉันอัดคลิปที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ไว้ตั้งแต่แรก เธอจะเอาไปทำอะไรก็ได้ ถือว่าเป็นคำขอโทษจากฉันที่สกัดจันทร์ไว้ไม่ทันแล้วกัน”
   
“…ขอบคุณครับ”
   
จ้าวยอมรับว่าถ้าหากเป็นเมื่อก่อนคงจะดีใจมากที่ได้หลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองสักทีแต่ตอนนี้กลับไม่รู้สึกแบบนั้น เขาเริ่มลังเลและไม่รู้จะทำยังไงกับมันดี
   
Rrrr
   
ไอทีสบถทันทีเมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและพบว่าใครโทรมา มือรีบผลักมือตัวจ้าวไปนั่งบนมอเตอร์ไซด์คันเก่าของตัวเองและยื่นกุญแจรถให้อย่างไม่คิดเสียดาย
   
“รีบไปซะ ก่อนที่พวกนั้นจะรู้ตัว”
   
จ้าวรู้ดีว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลามาพิรี้พีไรเกรงใจ หยิบหมวกกันน็อคขึ้นมาสวมกล่าวขอบคุณซ้ำอีกครั้งก่อนจะรีบบิดออกจากลานจอดรถด้านหลังบ้านทันที พยายามเพิ่มความเร็วเมื่อลัดเลาะออกทางหน้าบ้านแล้วมีคนที่ของฝูงอีกามายืนดักรอ
   
และต้องขอบคุณชาโคลว์ที่ทำให้จ้าวเป็นเด็กแว๊นมาแต่ไหนแต่ไรจึงสามารถซิ่งผ่านได้อย่างง่ายดาย
   
แฮ็คเกอร์หนุ่มมองตามหลังไวๆ นั่นด้วยความรู้สึกขบขันนิดๆ พอได้ยินเสียงฝีเท้าที่วิ่งเข้ามาก็แกล้งสลบบนพื้นโดยไม่ลืมที่จะทำให้เหมือนหัวแตกด้วยเลือดที่เตรียมมา
   
“เร็ว!! หัวหน้าบาดเจ็บมาช่วยกันหามเร็วเข้า!”
   
ร่างผอมทำตัวปวกเปียกไร้สติและเหล่าลูกน้องก็เชื่ออย่างง่ายดายโดยไม่ครุ่นคิดสักนิดว่านี่อาจจะเป็นการแสดงหลอกๆ ของใครบางคน
   
รอยยิ้มในมุมที่ไม่มีใครเห็นปรากฏ
   
เอาเข้าจริงถ้าเขาไม่เลือกเรียนสายโปรแกรมเมอร์ก็คงจะรุ่งในสายการแสดงแล้ว!

=============

พีคต้องพีคให้สุด 5555555  :katai5:
   
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 29 : หนอนบ่อนไส้ p.6 (7/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kanj1005 ที่ 07-07-2018 22:48:20
ลุ้นให้จ้าวกลับไปทันคุณเหมันต์ที่กำลังรัท  :hao6:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 29 : หนอนบ่อนไส้ p.6 (7/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-07-2018 23:24:50
 พ่อแม่บ้านนี้เลี้ยงลูกแบบรังแกลูก สงสารลูกๆบ้านนี้มากๆ
จ้าวหนีออกมาได้แล้ว หวังว่าจะไปหาคุณเหมันต์ทันนะ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 29 : หนอนบ่อนไส้ p.6 (7/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-07-2018 01:06:28
กลับไปหาคุณเหมันต์เร็วจ้าว :hao5:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 29 : หนอนบ่อนไส้ p.6 (7/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 08-07-2018 04:47:01
 o22 โอ้ คดีพลิกไปหมด  ด่าจันทร์ไปซะเยอะเลี้ยวกลับไม่ทันแล้ว

ส่วนจ้าว.. นะ ผิดเหมือนกันนะเรา แต่หนักสุดคงเป็นพ่อแม่เลย

ขนาดแค่เกิดเป็นโอเมก้าถึงกับยอมให้ลูกโดนฆ่า เห้อมม

แต่ยังไงตอนนี้ก็ลุ้นให้จ้าวไปหาคุณเหมันต์ไวๆอ่ะนะ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 29 : หนอนบ่อนไส้ p.6 (7/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 08-07-2018 14:13:37
ชอบว่ะ. รอนะ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 29 : หนอนบ่อนไส้ p.6 (7/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 09-07-2018 07:18:20
รอคับ  :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 29 : หนอนบ่อนไส้ p.6 (7/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 12-07-2018 21:08:45
โอ้โหหหห พริม  :katai1:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 29 : กลับบ้าน p.6 (14/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 14-07-2018 20:14:49
ตอนที่ 30
   

“เดี๋ยว เดี๋ยวจันทร์!”
   
ร่างผอมซึ่งคร่อมอยู่บนมอเตอร์ไซด์สะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ๆ กำลังจะออกจากซอยบ้านเขาก็มีชายร่างใหญ่กระโดดเข้ามาขวางทาง ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อจากไอแดดที่วันนี้ร้อนแรงเป็นพิเศษแน่นอนว่ามันไม่เข้ากับชุดสูทที่อีกฝ่ายสวมมาเลยสักนิด
   
และเคราะห์ดีที่จ้าวเบรกทันไม่อย่างนั้นคงจะเกิดโศกนาฏกรรมตั้งแต่ยังไม่ทันออกจากซอย
   
“ผมไม่ใช่จันทร์”
   
จ้าวตอบเสียงเรียบรู้สึกงุนงงนิดๆ ที่อีกฝ่ายดูเป็นห่วงจันทร์เสียเต็มประดา เมื่อกี้เขาเพิ่งได้ยินจันทร์พูดว่าไม่มีเพื่อน เข้าสังคมไม่เป็น แล้วนี่อะไร คนที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตาราวกับนายแบบในนิตยสารชื่อดัง อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงสเน่ห์รุนแรงที่แผ่ออกมาจากร่างราวกับดวงอาทิตย์ที่แผดเผาทุกสิ่งที่อยู่ใต้อาณาเขต
   
“อย่ามาโกหกผมสิ วันนี้เรามีนัดกินข้าวด้วยกันนะ” สุริยะยังคงขมวดคิ้วมุ่นอย่างเป็นห่วง “ทำไมอยู่ดีๆ คุณก็วางสายผมล่ะ ผมพูดอะไรไม่เข้าหูคุณหรือเปล่า บอกผมได้นะ ผมไม่อยากให้คุณโกรธเลย มันง้อยาก นะครับ อย่างอนผมเลยนะครับ คนดี”
   
“ผมไม่ใช่จันทร์!” จ้าวพูดเสียงแข็งเพราะไม่ได้มีเวลามากนัก ตัดสินใจถอดหมวดกันน็อคออกและพบว่ามันสามารถทำให้อีกฝ่ายช็อคได้พอตัว
   
“..จ้าว?” สุริยะครางในลำคอช็อคๆ ต้องยอมรับว่าหลังจากที่ได้รู้จักจันทร์แล้ว เขาก็ลืมสิ่งที่คุณเหมันต์สั่งไปโดยสิ้นเชิง ทั้งเรื่องการฆาตกรรมอันเลือดเย็นของจันทร์และคำสั่งทั้งหมดที่เกี่ยวกับการสืบค้นตัวจันทร์ เขาลืมไปหมดราวกับโดนมอมมัวด้วยอะไรสักอย่าง
   
แต่ถ้าให้เลือกทำอีกครั้ง เขาก็ทำแบบเดิมอยู่ดี
   
เขากำลังทำตัวเป็นดาวเทียมและสำรวจดาวที่เป็นบริวารของโลกด้วยความหลงใหลจนงอหัวไม่ขึ้น เขารู้ว่าดวงจันทร์นั้นช่างเย็นชาและเห็นไม่เคยเห็นประโยชน์ของตนเอง มองทุกอย่างมืดมัวราวกับไม่มีอนาคตหรือความฝันใดๆ ให้ใฝ่ฝัน ใช้ชีวิตอยู่เพื่ออะไรสักอย่างที่เขาไม่เข้าใจนัก แต่มันก็คืออีกเหตุผลที่ทำให้เขาหลงจันทร์นั่นแหละ เขาอยากให้ทำให้ดวงจันทร์ดวงนี้เปล่งประกายแม้ในวันที่มืดที่สุดก็ตาม
   
“ปล่อยผมไปได้รึยัง”
   
“..คุณ คุณมาที่นี่ได้ยังไง” สุริยะถามอย่างงุนงงและค่อนข้างตกใจกับบาดแผลฟกช้ำบนใบหน้าจ้าวหากแต่ปากกลับถามในสิ่งที่ต่างออกไป “แล้วจันทร์อยู่ที่บ้านไหม ผมอยากเจอจันทร์”
   
น้ำเสียงที่ของสุริยะทำให้อารมณ์หงุดหงิดระคนหวาดกลัวของจ้าวผ่อนลงยอมพูดด้วยดีๆ “จันทร์นอนอยู่ชั้นสอง ผมฝากคุณดูแลจันทร์ต่อด้วย”
   
ว่าเพียงเท่านั้นก่อนที่จ้าวจะผลักสุริยะออกให้พ้นทางสวมหมวกและรีบขับไปต่อ เสียงรถยนต์ดังกระหึ่มที่วิ่งไล่หลังบอกได้ดีว่ามีมอเตอร์ไซด์จำนวนไม่ต่ำกว่าสามคันกำลังตามล่าเขาอยู่!
   
จ้าวเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจนักแต่กลับรู้สึกสนุกเอาการ สำหรับจ้าวการขี่มอเตอร์ไซด์ก็เหมือนระบบการทำงานอย่างหนึ่งของร่างกาย สามารถทำได้ง่ายดายราวกับหายใจอยู่ทุกวัน
   
ร่างผอมแนบลำตัวกับตัวเครื่องทำตัวให้ต้านอากาศให้น้อยที่สุด นับถอยหลังในใจก่อนที่จะบิดวิ่งด้วยความเร็วสูง ถึงแม้รถของไอทีจะไม่แรงเท่าชาโคลว์แต่จ้าวก็สามารถดึงประสิทธิภาพของมันออกมาได้อย่างเต็มที่ วิ่งซอกแซกตามรถยนต์เพื่อให้โดนไล่ล่ายากกว่าเดิม เขาไม่สนใจเสียงแตรที่ถูกบีบพร้อมกับเสียงก่นด่าของคนขับ
   
ตูม!!
   
“!!”
   
เสียงระเบิดดังลั่นจนผู้คนบริเวณรอบๆ หูอื้ออึงซึ่งจ้าวก็ตกใจจนแทบสะดุ้งออกจากรถ นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างเมื่อหันกลับไปมองแล้วพบว่าธนาคารที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าหมู่บ้านตัวเองตอนนี้ควันขโมง มีเสียงกรีดร้องอย่างขวัญเสีย ผู้คนวิ่งกันอย่างจ้าละหวั่น มีเสียงตะโกนที่ดังชัดเจนออกมา
   
‘ถ้าพวกมึงไม่รับข้อเสนอพวกกู พวกกูก็จะไม่หยุด!!’
   
ตูม!!
   
แรงอัดมหาศาลระเบิดขึ้นอีกครั้งและอัดมาโดนร่างผอมจนเกือบล้ม จ้าวมองอย่างตื่นตระหนกเมื่อจู่ๆ ร้านสะดวกซื้อที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเองก็ระเบิดขึ้นมาเพราะระยะทางที่ใกล้มากทำให้คราวนี้จ้าวเห็นสภาพความเละเทะได้อย่างชัดเจน ลมวูบใหญ่ที่พัดมาชั่วขณะหนึ่งทำให้บริเวณนั้นปลอดโปร่งจนสามารถเห็น อะไรๆ ได้ชัดเจน
   
“!!!”
   
น้ำตาหยดนึงไหลออกจากนัยน์ตาโศกโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นร่างของหญิงสาวสวมชุดขาวนอนอยู่บนพื้นอย่างไร้ชีวิต กลุ่มเลือดกระจัดกระจายไปทั่วอย่างน่าสยดสยอง แขนและขาของเธอหายไปทิ้งแต่รอยคราบเลือดเอาไว้ มีอีกหลายชิ้นส่วนและหลายชีวิตที่เป็นแบบเดียวกับเธอ
   
แน่นอนว่ามันเป็นภาพที่สยดสยองจนจ้าวแทบอ้วกแต่ความรู้สึกสงสารกลับมีมากกว่า เมื่อเห็นเด็กชายอายุไม่ถึงห้าขวบดีวิ่งมาหาหญิงสาวแล้วร้องไห้เสียงดังลั่นอย่างใจสลาย
   
หัวใจในอกจ้าวบีบรัดและร่ำร้อง เขาทนไม่ได้ที่จะอยู่เฉยๆ กับเหตุการณ์แบบนี้ เขาไม่อยากจะเอาตัวรอดคนเดียวท่ามกลางความทุกข์ทรมานของผู้คนนับพันที่มีเขาเป็นส่วนเกี่ยวข้อง เขาทนไม่ได้จริงๆ
   
หากแต่เหนือสิ่งอื่นใดจ้าวกลับได้ยินเสียงเครื่องยนต์คำรามตามหลังอีกครั้ง ฉับพลันจ้าวก็ได้สติรีบขับรถหนีต่อทันที เก็บความรู้สึกอัดอั้นตันใจลงไปให้ลึกเพราะสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้เอื้ออำนวยให้เขาคิดอะไรทั้งนั้น สิ่งที่เขาต้องทำเพียงอย่างเดียวตอนนี้คือหนี หนีไปให้พ้น และมีเพียงจุดหมายเดียวที่จ้าวจะนึกถึง
   
รอยยิ้มบางปรากฎบนใบหน้าจ้าว
   
“ผมกำลังจะกลับไปหาแล้วนะ”
   
   

แน่นอนว่าทุกอย่างไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะพอจ้าวมาถึงกำแพงสูงบริเวณหน้าคฤหาสน์ตระกูลกิลลาสก็พบว่ามีคนลาดตระเวนเต็มไปหมด ยิ่งสถานการณ์ความไม่สงบในช่วงนี้ทำให้รัฐบาลประกาศอัยการศึก อนุญาตให้อัลฟ่าเบต้าสามารถฆ่าโอเมก้าได้อย่างถูกกฎหมาย
   
ทุกคนตรงหน้าจ้าวจึงมีปืนและอาวุธครบมือจนจ้าวเริ่มรู้สึกท้อ เขาไม่มีทางรู้เลยว่าจะมีพวกของกลุ่มอีกาแทรกซึมอยู่กับคนของคุณเหมันต์เหลืออยู่ไหม ถ้าเกิดเขาเข้าไปแล้วโดนจับได้ขึ้นมาทุกอย่างการเสียเปล่า เขาอาจจะโดนลากคอกลับไปอยู่ที่เดิม ซึ่งถ้ามันเกิดขึ้นจริงเขาต้องบ้าตายแน่ๆ
   
จ้าวนั่งซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้ในป่าอย่างใจเย็น พยายามเค้นสมองอย่างหนักว่าควรจะทำยังไงดีถึงจะเข้าไปหาคุณเหมันต์ได้อย่างรอดปลอดภัยครบสามสิบสอง ในตัวเขาตอนนี้นอกจากกล้องกับกุญแจรถก็ไม่มีอะไรแล้ว อาวุธที่มีก็มีแค่มือสองข้างที่ไม่น่าจะทำให้ใครเจ็บได้ด้วยซ้ำ
   
สถานการณ์ตอนนี้ของเขาเรียกได้ว่าย่ำแย่สุดๆ เหมือนหลุดออกจากกรงมาเจอฝูงแมวที่รอตะปปนกหน้าโง่ที่กล้าโผล่หน้าไปในอาณาเขตของพวกมัน
   
“มานั่งทำอะไรตรงนี้ครับ”
   
ภาษาไทยที่ติดสำเนียงเหน่อนิดๆ ดังจากข้างหลังเล่นเอาจ้าวแทบร้องลั่นพอหันไปมองก็พบว่าเป็นคนกันเอง ที่ถึงแม้จะไม่สนิทด้วยนักแต่ก็น่าจะพอไว้ใจได้มากกว่าคนอื่นๆ
   
“ผมจะเข้าไปแต่ผมไม่กล้าเข้า” จ้าวพูดเสียงเบาระวังตัวสุดขีด หากบอดี้การ์ดควบตำแหน่งเลขาของคุณเหมันต์คิดจะเล่นตุกติกเขาจะรีบวิ่งสี่คูณร้อยไปที่รถทันที
   
ออสตินยิ้มมุมปากอย่างยินดี เขาเป็นคนสนิทของเหมันต์ย่อมรับรู้ถึงความสัมพันธ์พิเศษระหว่างสองคนนั้นอยู่แล้ว มือหนารีบคว้าตัวจ้าวขึ้นพาดบ่าแล้วเดินดุ่มๆ เข้าประตูทันทีราวกับสิ่งที่อยู่บนบ่าตัวเองเป็นลูกแมวสักตัว
   
“เดี๋ยวคุณทำอะไรของคุณเนี่ย!”
   
จ้าวเพิ่งได้สติร้องว้ากเพราะภายในพริบตาเดียวเขาก็กลายเป็นกระสอบทรายแล้ว ความพยายามป้องกันตัวของเขาล้มเหลว เห็นได้ชัดว่าการเป็นบอดี้การ์ดนั้นมีทักษะการต่อสู้น่ากลัวเกินมนุษย์มนาจริงๆ
   
“คุณต้องขอบคุณผมด้วยซ้ำที่ผมเห็นคุณก่อนพวกมัน”
   
ออสตินว่าขณะที่กำลังพัลวันกับการแตะลายนิ้วมือและสแกนม่านตา หลังจากเหตุการณ์ที่ประชุมเกิดขึ้นทุกอย่างในอาณาบริเวณของตระกูลกิลลาสก็เข้มงวดขึ้นในพริบตา คนนอกเข้ายากคนในก็ออกยาก แทบไม่มีใครสามารถขยับตัวตามอำเภอใจได้ด้วยซ้ำถ้าท่านประธานใหญ่ไม่อนุญาต
   
แม้จะไม่เห็นสีหน้าของจ้าวแต่ออสตินก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงงุนงงกับอะไรหลายๆ ที่เปลี่ยนไปมากในสถานที่แห่งนี้ ทั้งจำนวนคนที่มารวมตัวมากขึ้น เต้นท์พยาบาล เต้นท์อาหาร ทุกสิ่งทุกอย่างที่เอื้ออำนวยต่อการอยู่อาศัยสำหรับคนจำนวนมากมารวมกันในที่แห่งนี้
   
“อย่างที่คุณเห็นตอนนี้กำลังเกิดสงครามกลางเมือง ท่านเหมันต์ไม่อยากให้คนของตัวเองต้องตายไปอย่างไร้เหตุผลเลยอนุญาตให้มาอยู่ในอาณาเขตของตัวเองแม้ว่ามันจะเสี่ยงกับตัวท่านมากก็ตาม”
   
ออสตินพูดด้วยความชื่นชมจากใจเพราะถ้าหากเป็นตัวเขาเองคงจะปิดตายสถานที่แห่งนี้ไปเลย ท่านเหมันต์สามารถอยู่ได้สบายๆ เป็นปีโดยไม่จำเป็นต้องออกไปหาอาหารภายนอกด้วยซ้ำ ที่นี่แห่งนี้มีทุกอย่าง ทั้งผักกางมุ้ง บ่อปลา ฟาร์มไก่ไข่ จำนวนที่มันผลิตแต่ละวันก็มากเกินกว่าความต้องการด้วยซ้ำ
   
“..มันเกิดขึ้นเพราะผม”
   
จ้าวพูดเสียงแผ่วสีหน้าหม่นหมอง
   
“ผมรู้คุณไม่ได้ตั้งใจหรอก ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่สภาพแย่แบบนี้” บอดี้การ์ดหนุ่มพยายามพูดถนอมน้ำใจในประโยคหลัง เอาเข้าจริงตอนนี้เขารู้สึกว่าจ้าวเหมือนซากศพมีชีวิตมากกว่า ผิวขาวซีดที่โดนทำร้ายมาซ้ำซากจนเป็นรอยช้ำม่วงน่ากลัว ไหนจะน้ำหนักที่น้อยจนเขารู้สึกเหมือนเดินตัวเปล่าไม่ได้แบกใครเอาไว้
   
“...คุณเหมันต์สบายดีไหม”
   
“ก็สภาพดีกว่าคุณ”
   
จ้าวหัวเราะไม่จริงจังนัก “ดีแล้ว..”
   
เพราะเขาไม่อยากให้ตัวเองเป็นต้นเหตุให้ใครต้องเจ็บปวดอีก เขาทำร้ายคนมามากพอแล้วและมันไม่มีวันชดใช้ได้ เขาทำผิดมากมายมหาศาล ทำจนไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงมีลมหายใจอยู่ ทั้งๆ ที่ควรตายไปตั้งนานแล้ว
   
นัยน์ตาโศกถึงแม้จะคิดเรื่องที่บั่นทอนจิตใจตัวเองแต่แววตากลับไม่ได้สิ้นหวังซะทีเดียว

เพราะในเมื่อเขายังไม่ตายเขาก็จะพยายามหาทางแก้ไขมันต่อไป

“!!!”
   
ออสตินสบถออกมาทันทีเมื่อลงมายังชั้นใต้ดินแล้วกลิ่นฟีโรโมนอัลฟ่าพิเศษฟุ้งกระจายอย่างชัดเจน ร่างกายที่แข็งแรงเต็มไปด้วยมัดกล้ามทรุดลงกับพื้นทันทีราวกับต้องคำสาป เนื้อตัวสั่นระริกอย่างหวาดกลัวตามสัญชาตญาณ ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้สึกกลัวเลยสักนิด นัยน์ตาสีน้ำข้าวมองไปยังสิ่งที่เป็นต้นตอของกลิ่นอย่างไม่เชื่อสายตา
   
“..ท่านเหมันต์”
   
สภาพของท่านประธานบริษัทนั้นต่างไปจากที่ออสตินรู้จักราวกับเป็นคนละคน แววตาสีเทานั้นขมุกขมัวมีก้ำกึ่งระหว่างมีสติกับไม่มีสติ เสื้อสูทดำตัวเก่งถูกถอดลวกๆ โยนออกจากตัวส่วนเสื้อกั๊กด้านในปลดกระดุมออกจนหมดเผยให้เห็นกล้ามเป็นมัดที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อ ส่วนบริเวณกางเกงนั้นก็มีอะไรบางอย่างที่แข็งขึงจนน่ากลัวอยู่
   
“ออกไปก่อน!”
   
เหมันต์ตะโกนไล่ทั้งๆ ที่พยายามหายใจลึกควบคุมตัวเองอยู่ พยายามลดความร้อนในร่างกายลงแต่ก็ไม่เป็นผล มันรู้สึกร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะทนไม่ไหว อากาศในห้องที่ควรจะหนาวจัดจากแอร์สำหรับเหมันต์แล้วมันร้อนระอุราวกับอยู่กลางแดดจ้าในเดือนเมษาของประเทศไทย
   
“คะ คุณเหมันต์”
   
เสียงเรียกที่คุ้นเคยเล่นเอาเหมันต์สะดุ้งและพอเห็นว่าใครที่นั่งอยู่ข้างๆ ตัวออสตินก็ยิ้มกว้างอย่างอดไม่อยู่ ลืมตัวไปชั่วขณะว่ากำลังสู้อยู่กับอะไร สาวเท้าเข้าไปหาจ้าวและดึงอีกฝ่ายขึ้นมากอดจนตัวลอย
   
“คิดถึง”
   
จ้าวหน้าแดงก่ำเมื่อถูกกระซิบซ้ำๆ ข้างหูไม่พอยังถูกคมเขี้ยวแหลมคมขูดตามลำคอ ร่างผอมสั่นระริกเมื่อได้กลิ่นประหลาดที่ฟุ้งมาจากตัวคุณเหมันต์และพบว่ามันทำให้ร่างกายร้อนระอุจนทนแทบไม่ได้
   
กลิ่นมันคล้ายกับวันที่คุณเหมันต์คลุ้มคลั่งอยู่ในห้อง..
   
“จ้าว..”
   
เหมันต์คำรามรู้สึกร้อนมากขึ้นไปอีกเมื่อได้กลิ่นหอมจากตัวจ้าวจริงๆ มันอาจจะไม่ใช่กลิ่นฉุนรุนแรงเพราะมันเป็นเพียงแค่กลิ่นจางๆ ที่มีผลทำให้คนได้กลิ่นอย่างเหมันต์แทบเป็นบ้า รู้สึกทรมานมากกว่าเดิมจนปลดกางเกงของตัวเองออกโดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีใครนอกจากจ้าวอยู่ด้วยรึเปล่า สิ่งที่ซ่อนอยู่หลังกางเกงมาตลอดแข็งขืนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดและก็จงใจเสียดสีที่ต้นขาขาวของจ้าว
   
“อือ ออสติน ออสตินยังอยู่ตรงนี้นะครับ”
   
จ้าวพยายามจับหน้าคุณเหมันต์ให้อยู่นิ่งๆ แม้จะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ก็ตามที เรื่องจะกินเขา เขาไม่ขัดข้องหรอกแต่ต้องไม่ใช่แบบหนังสดให้คนอื่นดูแบบนี้!
   
“ออสติน ออกไป!”
   
เหมันต์คำรามเพียงครั้งเดียวออสตินก็พยายามตะเกียกตะกายออกจากห้องทันที เอาเข้าจริงก็อยากออกไปตั้งแต่ตอนเห็นท่าทางแปลกๆ ของท่านเหมันต์แล้วแต่ขยับตัวไม่ได้เลยสักนิด แต่พอโดนคำรามใส่ร่างกายก็ตื่นกลัวจนลนลานออกมาแทบไม่ทัน ทั้งๆ ที่เป็นอัลฟ่าเหมือนกันแต่กลับรู้สึกหวาดกลับจนแทบทนไม่ได้
   
คล้ายกับกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่อยู่เหนือกว่าอัลฟ่า!
   
ออสตินขมวดคิ้วรู้สึกสงสัยแต่ก็ไม่กล้าถามอะไรตอนนี้ รีบปิดตายประตูข้างบนป้องกันไม่ให้คนลงไปขัดขวางหรือขัดจังหวะจนกว่าท่านเหมันต์จะขึ้นมาเอง
   
“ช้าๆ หน่อย อื้อ”
   
จ้าวจับแขนหนาของคุณเหมันต์แน่น รู้สึกหน้ามืดเป็นช่วงๆ จนแทบตามไม่ทันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาถูกคุณเหมันต์อุ้มไปวางบนเตียงคนป่วย กางเกงถูกกระชากขาดไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วเพราะเดิมทีก็ไม่ใช่ของที่มีราคาอะไรอยู่แล้ว เขาหน้ามืดไปสักพักและตอนนี้พบว่าตัวเองนั่งอยู่บนตักคุณเหมันต์และกำลังถูกขยำสะโพกจนครางหวิว
   
“ฉันไม่ไหวแล้ว”
   
ครั้งนี้เหมันต์ควบคุมตัวเองไม่ได้จริงๆ หลังจากสอดนิ้วเข้าไปในช่องทางเพื่อปรับสภาพให้จ้าวสักพักก็เสือกแทงเข้าไปในร่างของจ้าวทันที
   
“อื้อ!” จ้าวจิกแผ่นหลังเหมันต์แน่นหน้าเหยเก รู้สึกถึงตัวตนของคุณเหมันต์ที่ดูจะใหญ่โตและร้อนระอุกว่าครั้งแรกเสียอีก!
   
“อา..” เหมันต์ครางเสียงต่ำ ใบหน้าคมขมวดคิ้วเพราะมันยังไม่เพียงพอสำหรับเขา “ขอโทษนะจ้าว”
   
“อ๊า!”
   
จ้าวใช้มือข้างหน้าปิดปากอย่างอับอายเมื่อหลุดครางออกมาเสียงหลงเพราะถูกกระแทกแรงๆ เข้ามาและมันก็ไม่ใช่ครั้งเดียว ร่างผอมถูกกระแทกกระทั้นจนตัวโคลง หอบหายใจจนแทบไม่ทัน นัยน์ตาโศกคลอด้วยน้ำตากับความรู้สึกสุขสมและความเสียววาบในช่องท้อง
   
แน่นอนว่าจ้าวรู้ว่ามันคงไม่จบลงง่ายๆ เพราะเขาถูกบังคับให้นอนราบบนผ้าห่มกับหมอนที่สุมขึ้นมาให้สะโพกเขาเชิดขึ้นและร่างใหญ่ยักษ์ของหมาป่าตัวร้ายก็ขึ้นคร่อมเขาอีกครั้ง จ้าวหอบหายใจพยายามเอาอากาศเข้าไปในร่างทดแทนกับการต้องใช้พลังงานมหาศาลในชั่วพริบตา
   
“อื้ออ”
   
นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างเมื่อถูกมือหนาสอดมาเคล้งคลึงบริเวณหน้าอกหนำซ้ำยังไม่พอยังจงใจขยี้มันให้เขารู้สึกปั่นป่วนมากขึ้นไปอีก ไหนจะการที่จงใจกระแทกเข้ามาให้ลึกกว่าเดิมจนรู้สึกจุกในช่องท้อง
   
“..ฮื่อ เบาๆ หน่อยนะครับ”
   
ถึงจะรู้ว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์แต่จ้าวก็พยายามจะอ้อนวอนต่อรอง
   
“…ชู่ว”
   
เหมันต์กระซิบข้างหูจ้าวเลื่อนมือจากหน้าอกไปจับจ้าวตัวน้อยอย่างหยอกเย้า “พี่เหมันต์ยังไม่อิ่มเลย”
   
ความต้องการมหาศาลยังคงอดแน่นอยู่ในกาย เหมันต์เริ่มรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายเพราะไม่เคยมีสักครั้งที่เขารู้สึกต้องการใครบางคนมากขนาดนี้ มากเสียจนตัวเขาเองยังอดหวาดหวั่นกับความต้องการนั้นไม่ได้
   
เขาอยากจะกินจ้าวซ้ำๆ จนกว่าความเจ็บปวดทรมานจากความคิดถึงจะจางลง
   
เขารู้สึกได้ถึงร่างกายที่แข็งแรงขึ้นจากฮอร์โมนอัลฟ่าที่ณิชาพยายามพูดถึง เขาน่าจะกลายเป็นอัลฟ่าได้จริงๆ เผลอๆ อาจจะเป็นอัลฟ่าพิเศษด้วยซ้ำ แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นที่ต้องสนใจเพราะสิ่งที่เขาควรจะสนใจจริงๆ ก็คือร่างตรงหน้า
   
ร่างที่ส่งกลิ่นหอมเฉพาะตัวมายั่วยวนเขาไม่หยุด!
   
กลิ่นของจ้าวนั้นคล้ายกับกลิ่นของพวกโอเมก้าที่พยายามยั่วยวนเขาแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยสำเร็จเพราะร่างกายเขาแทบไม่ตอบสนองใดๆ กับฮอร์โมนอะไรเลย เรียกได้ว่าเป็นตัวตนที่ประหลาดและเอกเทศ ขนาดเบต้ายังแทบจะตายคลั่งตายเมื่อได้กลิ่นโอเมก้าเวลาฮีท แล้วเขาล่ะเป็นตัวอะไรถึงได้ตายด้านกับทุกอย่างขนาดนี้
   
“จ้าว จ้าว”
   
เหมันต์กระซิบเสียงพร่าอย่างพึงพอใจเมื่อสามารถทำให้จ้าวปลดปล่อยไปหลายครั้งและมันก็ทำให้กลิ่นเฉพาะตัวของจ้าวรุนแรงขึ้นมาอีกจนเขารู้สึกแข็งขืนมากกว่าเดิม
   
“..พี่ ไม่เหนื่อย ฮื่อ บ้างรึไง”
   
จ้าวเริ่มบ่นเมื่อโดนรีดน้ำจนแทบจะแห้งตายแต่เหมันต์ก็ไม่มีท่าทีที่จะหยุด สิ่งที่คั่งค้างอยู่ในร่างเขายังแข็งขืนเหมือนครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาไม่ได้เกิดอะไรขึ้น มันยังคงแข็งขืนจนน่ากลัวว่าจนถึงเช้ามันก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร
   
“ชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย”
   
“อื้อ อะไรนะ” จ้าวครางหวิวกอดหมอนในมือแน่น รู้สึกเหมือนจะเป็นลมเอาให้ได้ ถ้าคุณเหมันต์ยังไม่หยุดสักที
   
อย่าลืมสิว่าเขาไม่ได้กินข้าวเต็มมื้อหรือนอนเต็มอิ่มมาหลายอาทิตย์แล้วนะ…
   
“พี่ถามก็ตอบสิ”
   
“ผม ผมไม่เข้าใจ”
   
เหมันต์หัวเราะในลำคอไม่คิดจะขยายความให้จ้าวเข้าใจในคำพูดกำกวมของตัวเอง มองร่างผอมที่หมดสภาพใต้ร่างตัวเองด้วยสายตาเอ็นดูสุดๆ แม้ว่าตัวเองจะเป็นคนทำให้จ้าวตกอยู่ในสภาพนี้ก็ตามที
   
สำหรับเขาแล้วจ้าวคือคนเห็นแก่ตัวที่ซื้อคำว่าน่ารักไว้ใช้คนเดียว…
   
“ไม่ต้องเข้าใจหรอกจ้าว เดี๋ยวก็รู้ทีหลังเอง”
   
และที่แน่ๆ เขาอยากเห็นสีหน้าจ้าวตอนรู้ว่าเขาหมายถึงอะไรชะมัด

===============

จะมีใครเดาออกไหมนะ ว่าคำพูดนี้หมายถึงอะไร  :katai3:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 29 : กลับบ้าน p.6 (14/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Sorasora ที่ 14-07-2018 21:03:05
"...จ้าวจะท้องหรอ..."
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 29 : กลับบ้าน p.6 (14/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 15-07-2018 00:14:50
ขอตอบแทนจ้าวว่าอยากได้ทั้งคู่ จ้าวจะท้องใช่ไหม
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 29 : กลับบ้าน p.6 (14/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 15-07-2018 00:33:55
ในที่สุดก็กลับมาเจอกัน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 29 : กลับบ้าน p.6 (14/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 15-07-2018 01:08:12
จ้าวท้องแน่ๆแอร๊ยย :-[
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 29 : กลับบ้าน p.6 (14/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kanj1005 ที่ 15-07-2018 21:42:13
พี่เหมันต์จะทำจนกว่าน้องจะท้องเหรอ

หวังว่าชีวิตต่อจากนี้ไปของจ้าวและจันทร์ จะค่อยๆดีขึ้น
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 30 : คืนเดือนดับ p.6 (17/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 17-07-2018 23:47:40
ตอนที่ 31
   

นิยามของคำว่าความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

แต่สำหรับจันทร์ของแบบนั้นไม่เคยมีอยู่จริง



“จันทร์! คุณเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมไปนอนบนพื้นล่ะ จันทร์”

ทันที่เห็นร่างนายแพทย์หนุ่มนอนบนพื้นสุริยะก็อยู่แทบไม่เป็นสุข เอาเข้าจริงเขาก็เอะใจตั้งแต่แรกว่ามันมีอะไรแปลกๆ ตั้งแต่ตอนที่ขับมาแล้วมีรถมอเตอร์ไซด์กับพวกเบต้าร่างบึกบันขับสวนทางไปเป็นขโยงเหมือนกำลังไล่กวดใคร อีกทั้งสภาพหน้าบ้านก็ถูกเปิดเหมือนเพิ่งมีคนบุกรุกเข้ามาข้างในอย่างอุกอาจ

แต่แน่นอนว่าตามขนบทั่วไปตำรวจย่อมมาช้าไม่ทันกาลเสมอและสุริยะก็เป็นหนึ่งในนั้น มาถึงตอนที่ไม่เหลืออะไรแล้ว มีเพียงความว่างเปล่าเหลือให้นักสืบที่ถูกตามตัวมาทีหลังขบคิดว่าเกิดอะไรขึ้น

“..ผมสบายดี”

สุริยะสะดุ้งเมื่อคนที่คิดว่าสลบไปแล้วกลับไม่ได้สลบอย่างที่คิด นัยน์ตาโศกคู่สวยที่อยู่หลังแว่นจดจ้องเขาอย่างไร้อารมณ์แม้ว่าใบหน้าจะเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำม่วงก็ตามที

“เกิดอะไรขึ้น” คนที่ถูกตั้งฉายาว่าเป็นปีศาจพราวสเน่ห์ช่วงชิงลมหายใจเหยื่อผู้เป็นถึงดาวเด่นในวงการมายามานับไม่ถ้วนกำลังทำสีหน้าเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน

ทั้งๆ ที่มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากแต่จันทร์กลับไม่ยี่หระกับมันเลยสักนิด

“ทุกอย่างมันจบแล้วล่ะ”
   
สุริยะหน้าชาเมื่อเห็นรอยยิ้มของจันทร์
   
“ผมทนไม่ไหวแล้ว”
   
มันเป็นรอยยิ้มของคนที่ไม่คาดหวังอะไรกับอนาคตอีกต่อไป
   
“จันทร์ ไม่เอาสิ เกิดอะไรขึ้น บอกผมสิ ผมไม่เล่าให้ใครฟังหรอก” สุริยะดึงตัวจันทร์จากพื้นขึ้นมากอดและพบว่าถูกปัดแขนออกอย่างไม่ไยดี จันทร์ผลักตัวสุริยะออกและผลุดลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซแต่ก็ไม่คิดจะขอความช่วยเหลือจากใคร
   
นัยน์ตาโศกคู่เดียวกับพี่ชายฝาแฝดจดจ้องไปยังภาพบนผนังและแค่นเสียงหัวเราะฝาดเฝื่อน
   
ภาพนั้นยังคงเป็นภาพครอบครัวที่เขารัก มีพ่อ มีแม่ และมีเขา เป็นภาพรวมภาพเดียวที่เขามีและมันก็เป็นภาพล่าสุดที่เขาและครอบครัวได้ถ่ายด้วยกันอย่างส่วนตัว ไม่ใช่เพราะงานออกสื่อการกุศลหรือแถลงการณ์อะไรทำนองนั้น
   
ตอนนั้นเขารู้สึกมีความสุขมากที่พ่อกับแม่มายินดีกับเขา ถึงจะเป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ ไม่ถึงห้านาทีก็ตาม เขายังจำความประหม่า จังหวะลมหายใจตัวเองในตอนนั้นได้ จำได้ทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่เวลาที่ตัวเองเข้านอนวันนั้น
   
เขามีความสุขจนไม่แน่ใจว่าเขามีความสุขจริงๆ รึเปล่า เพราะหลังจากนั้นเขาก็จำความรู้สึกแบบนั้นแทบไม่ได้แล้ว เขาสามารถลบคนที่แย่งชิงทุกอย่างในชีวิตอย่างจ้าวออกไปได้ก็จริงแต่เขาก็ยังไม่มีความสุขเท่าวันนั้น
   
แล้วความสุขที่แท้จริงมันคืออะไรกันแน่? ทำไมเขาทำลายชีวิตจ้าวได้สำเร็จ เขาก็ยังไม่รู้สึกมีความสุข เขาไม่รู้สึกอยากยิ้มเลยสักนิด ทั้งๆ ที่สามารถพูดจาทับถมจ้าวได้อย่างคล่องแคล่วแต่ในใจลึกๆ เขากลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้น
   
เขาพยายามมาครึ่งค่อนชีวิตกับไล่ล่าบางอย่างที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไปทำไม
   
เขาได้รับคำชื่นชมจากผลการวิจัยที่แลกกับการอดหลับอดนอนร่างกายแทบพัง เขาก็ไม่รู้สึกดีใจเท่าไหร่ ต่อให้คนทั้งประเทศหรือคนทั้งโลกเขียนข่าวหรือพูดสรรเสริญเขา เขาก็ไม่ได้มีความสุขเท่านั้น
   
ความสุขที่มีเวลาเพียงห้านาทีก่อนที่มันจะสูญสลายไปตลอดกาล
   
หรือแม้แต่ความรู้สึกวันนั้นก็ไม่เป็นความจริง? ที่ผ่านมาเขาอาจจะแค่โกหกตัวเองมาตลอดเหมือนกับทุกเรื่องที่โกหกกับคนอื่น
   
จันทร์หัวเราะจนตัวโยนไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือรู้สึกอะไรใดๆ มีเพียงความรู้สึกชาในอกที่ชัดเจนจนรู้สึกเหมือนถูกช่วงชิงอารมณ์ทุกอย่างไปแล้ว
   
“ไม่มีอะไรหรอกแต่เดี๋ยวทุกอย่างก็จบลงแล้วล่ะ” จันทร์ผุดรอยยิ้มแล้วเดินออกไปโดยไม่แม้แต่ปรายตามองคนที่ตัวเองคิดว่าเป็นเพื่อนแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว
   
“จันทร์”
   
นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างเมื่อถูกกระชากไปกอด รู้สึกถึงความอบอุ่นจากแผ่นอกหนาของใครบางคนที่เคยมีคนกล่าวไว้ว่าสามารถแผดเผาผู้คนให้เป็นเถ้าถ่านได้
   
“ปล่อยผม คุณสุริยะ คุณไม่ได้มีค่าสำหรับผมขนาดนั้น”
   
“ไม่” สุริยะกอดแน่นยิ่งกว่าเก่า “อย่าทำเหมือนที่ผมพยายามมาทั้งหมดมันสูญเปล่าสิ ผมเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมคุณตั้งหลายมื้อนะ”
   
“ผมไม่เคยขอ” จันทร์พยายามแกะแขนนายแบบหนุ่มออกแน่นอนว่ามันเกือบจะสำเร็จถ้าไม่ถูกบิดแขนไพล่หลังเอาซะก่อน
   
“มีคนเต็มใจทำให้ คุณก็ควรรับไว้นะ จันทร์” สุริยะพยายามพูดติดตลกแม้จะไม่รู้สึกตลกเลยก็ตาม สีหน้าของจันทร์เมื่อกี้เป็นอะไรที่สุริยะรู้จักดี
   
มันเป็นสีหน้าของคนที่ละทิ้งทุกอย่างและพร้อมจะทำอะไรบ้าๆ คาดไม่ถึงได้ทุกเมื่อ แน่นอนว่าสุริยะไม่มีวันยอมให้มันเกิดขึ้นได้ง่ายๆ จึงพยายามรั้งตัวจันทร์เอาไว้อย่างสุดชีวิต
   
“ฉันรู้ จันทร์ ตอนนี้นายกำลังเจอกับอะไรบ้าง” ร่างสูงพูดเสียงนุ่มพยายามกล่อมให้ดวงจันทร์ในอ้อมกอดนั้นลดแรงเหวี่ยงลงก่อนที่จะหลุดออกไปจากระบบสุริยะตลอดกาล “พวกผู้ใหญ่กดดันนายก็จริงแต่นายก็ไม่จำเป็นต้องสนใจพวกเขาก็ได้นี่ ถ้าพวกเขาเก่งกันมากก็ปล่อยให้ทำกันเองไปเลย”
   
“นี่ไม่ใช่เรื่องของคุณนะ คุณสุริยะ” จันทร์พูดเสียงเย็นชา “ทางรัฐบาลประกาศแล้วนี้ว่าอัลฟ่าทั่วไปถ้าไม่เก็บตัวอยู่บ้านก็ไปรวมตัวกันที่ทางรัฐบาลจัดเตรียมไว้ให้ ทำไมคุณไม่ไปด้วยล่ะ คุณสุริยะ”
   
สุริยะรู้สึกคล้ายน้ำท่วมปากพูดไม่ออกเพราะสถานะของเขาเป็นตามที่จันทร์พูดจริงๆ
   
เขาควรจะหลบซ่อนตัวตามคำสั่งของรัฐบาลเพราะการออกมาข้างนอกในช่วงที่มีสงครามกลางเมืองแบบนี้นับว่าอันตรายเอามากๆ คนส่วนใหญ่ที่ยังกล้าออกจากบ้านก็จะเป็นพวกที่พอจะมีอาวุธหรือความสามารถติดตัวอยู่บ้างไม่เช่นนั้นคงจะรักษาชีวิตตัวเองไว้ไม่ได้
   
“ผมเป็นห่วงคุณไง จันทร์” สุริยะพูดอย่างเจ็บปวด “คุณไม่รู้จริงๆ เหรอว่าผมรู้สึกยังไงกับคุณ”
   
“มันอาจจะเป็นแรงผลักดันทางเพศที่คุณไม่รู้ตัว” จันทร์พูดหน้าตาเฉยแม้จะรู้สึกหวั่นไหวนิดๆ เพราะสุริยะเป็นคนแรกที่เข้าหาเขาเพื่อทำความรู้จักอย่างจริงจัง อาจจะเรียกว่าเป็นเพื่อนคนแรกก็ได้
   
แต่แล้วยังไงล่ะ… ในเมื่อทุกอย่างจะจบลงแล้ว เขาก็คงไม่มีความจำเป็นต้องสนใจอะไรอีก
   
“จันทร์ผมชอบคุณนะ” เสียงของสุริยะแผ่วเบาราวกับกระซิบ “อย่าใจร้ายกับผมนักเลย”
   
“ขอโทษด้วยที่ผมไม่สนใจ” จันทร์พูดเสียงแข็ง “ปล่อยผม!”
   
ถ้าหากว่านี่เป็นผลกรรมจากที่เคยทำมา สุริยะรู้สึกว่ามันร้ายแรงสุดๆ เพราะเขาคงจะเผลอไปชอบคนไร้หัวใจเข้าซะแล้วหนำซ้ำยังเป็นคนไร้หัวใจที่มีงานอดิเรกในการเหยียบย่ำหัวใจคนอื่นซะด้วย
   
“จันทร์..”
   
“ถ้าคุณยังอยากให้ผมยังคิดว่าคุณเป็นเพื่อนก็ปล่อยผม”
   
ท้ายที่สุดสุริยะก็ยอมแพ้ปล่อยมืออย่างไม่เต็มใจนัก มองตามแผ่นหลังโปร่งของจันทร์ที่ถึงแม้จะดูแข็งแรงแต่เขากลับรู้สึกว่ามันช่างอ้างว้างซะเหลือเกิน
   
“ทำไมถึงใจร้ายนักนะ”
   
สุริยะบ่นพึมพำกับตัวเองไม่จริงจังก่อนที่จะทรุดนั่งลงบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน เขายังไม่ยอมแพ้ในการรุกจีบจันทร์ก็จริงแต่ตอนนี้คงต้องขอเวลาพักก่อน ความจริงที่ว่าจันทร์ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยมันทำให้เขาเจ็บ ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาทุ่มเทเพื่อใครมากขนาดนี้ เขาไม่เคยจัดตารางงานตัวเองเพื่อหาเวลาปลีกตัวมาเกาะหนึบกับใครบางคน มันไม่เกี่ยวกับคำสั่งของคุณเหมันต์ด้วยซ้ำเพราะเขาลืมมันไปตั้งแต่เห็นหน้าจันทร์ครั้งแรกแล้ว
   
ไม่สิ.. ไม่ใช่แค่จันทร์
   
นายแบบหนุ่มยิ้มเล็กๆ เชิงทักทายร่างเลือนรางที่นั่งอยู่มุมห้องและกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน ใบหน้าที่เคยสวยหวานประดับอยู่บนโทรทัศน์และวงการมายาอยู่เสมอ ส่งสีหน้าเหมือนโลกถล่มลงมาให้เขาเห็น
   
“ผมกำลังช่วยอยู่ไง พริม ผมพยายามอยู่”
   
สุริยะเห็นพริมตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอจันทร์ เห็นเธอยืนใกล้ๆ และร้องไห้จนตัวโยน พร่ำขอโทษในสิ่งที่ทำลงไปและอยากให้จันทร์ยกโทษให้เธอแม้ว่ามันจะสายไปมากแล้วก็ตาม
   
คนเรามักจะรู้ตัวว่าผิดก็ตอนที่สายไปแล้วทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน เธอทำผิดใหญ่หลวงด้วยการทำลายชีวิตจันทร์ให้แตกเป็นเสี่ยง มันไม่มีประโยชน์อะไรที่เธอจะมายืนยันความบริสุทธิ์ให้จันทร์กับจ้าวด้วยคำพูดที่มีแต่เธอและเขาที่ได้ยิน
   
“ขอโทษ..”
   
“มันไม่ทันแล้วล่ะพริม” สุริยะหัวเราะเสียงแผ่วมองรูปจันทร์ที่ยิ้มอย่างสดใสในภาพด้วยความเจ็บปวด “ทุกอย่างกำลังจะจบลงแล้ว”
   
ใบหน้าคมคายหลับตาลงอย่างอ่อนล้าและจำยอมในโชคชะตา
   
เพราะเขารู้.. ว่าต่อให้พยายามให้ตายยังไง
   
สุริยันอย่างเขาก็ไม่มีวันเอื้อมถึงดวงจันทร์

   

“จันทร์! นี่แกหายหัวไปไหนมา รู้ไหมว่าพ่อแกต้องทำอะไรแทนแกบ้าง!”
   
ทันทีที่เข้าไปในห้องผู้บริหารระดับสูงจันทร์ก็ถูกกระชากคอเสื้อทันที เจ้าของนัยน์ตาโศกให้กับแฝดทั้งสองถลึงตามองแฝดน้องอย่างเกรี้ยวกราดสบถคำผรุสวาทไม่หยุด หมดมาดนายแพทย์หนุ่มผู้โอบอ้อมอารีกับทุกคนบนโลก
   
เหลือเพียงชายวัยกลางคนที่กำลังคลุ้มคลั่งและหาที่ระบายให้ตัวเอง
   
“ฉันถามก็ตอบสิวะ! แล้วเมื่อไหร่ยาต้านจะเสร็จสักที นี่มันก็จะเกือบเดือนแล้วนะ แกเคยพูดไม่ใช่เหรอว่าขอเวลาเดือนเดียวจะทำสำเร็จแน่นอนแล้วนี่อะไร ไม่ได้ห่าอะไรสักอย่าง ทำไมวะ จันทร์ ทำไมแกถึงทำให้คนเป็นพ่ออย่างฉันภูมิใจเหมือนคนอื่นไม่ได้วะ!”
   
นายแพทย์นพวิทย์พูดและสบถด่าโดยไม่ได้สังเกตสีหน้าลูกชายของตนเองสักนิดว่ากำลังทำสีหน้าแบบใดอยู่
   
น้ำตาหยดเล็กไหลพรมบนเครื่องสำอางที่จันทร์พยายามปกปิดบาดแผลจากการชกต่อย นัยน์ตาโศกสั่นระริกอย่างเจ็บปวด รู้สึกผิดหวังในตัวเองไม่แพ้พ่อของตัวเอง
   
ทำไมเขาถึงไม่เคยดีพอสักทีนะ…
   
“ขอโทษครับ ผมจะพยายามมากกว่านี้”
   
“ขอโทษทำไม! กูไม่ต้องการ ที่กูต้องการคือยาต้าน มึงรู้ไหมจันทร์ กูทนอยู่ร่วมกับพวกโอเมก้าไม่ไหวแล้ว! ทำไมพวกมันไม่ตายกันให้หมดสักทีวะ น่าขยะแขยงชิบหาย”
   
นพวิทย์สบถทุกอย่างในใจออกมาเพราะรู้ดีว่าเมื่อกลับไปรวมในสังคม คำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นคำต้องห้าม หากเขาเผลอหลุดแม้แต่คำเดียวสถานะทางสังคมที่เขาพยายามสร้างมาทั้งชีวิตก็จะหายไปทันที มีเพียงจันทร์เท่านั้นที่เขาสามารถระบายใส่และดุด่าได้อย่างสบายใจ
   
เพราะเขารู้ดีว่าลูกชายสุดรักคนนี้ไม่มีวันกล้าทรยศเขา!
   
“…ผมจะพยายามให้เสร็จภายในอาทิตย์นี้ครับ” จันทร์พูดเสียงแผ่วแทบจะหาเสียงของตัวเองไม่เจอ รู้สึกเจ็บปวดจนอยากให้มันจบลงสักที ทั้งๆ ที่เคยดีใจที่จบมาทำงานแล้วเจอพ่อบ่อยๆ กลับกลายเป็นว่าตอนนี้เขากลับรู้สึกตรงกันข้ามเสียอย่างงั้น
   
“เออ… พ่อคิดอะไรดีๆ ออกแล้วล่ะ จันทร์”
   
จันทร์ขนลุกชันเมื่อเห็นสีหน้าของพ่อตัวเอง
   
“ถ้าเราทำยาต้านไม่ได้ ทำไมเราไม่ทำยาฆ่าพวกมันล่ะ ยาที่มีแค่พวกโอเมก้าที่ตายน่ะ แกทำออกมาเลย มันน่าจะง่ายกว่ามานั่งทดลองยาปัญญาอ่อนของพวกมันแล้วคิดหายาต้านที่ไม่รู้ว่าชาติไหนจะเสร็จ”
   
นายแพทย์หนุ่มพูดออกมาด้วยสีหน้ายินดีราวกับว่าสิ่งที่ตนเองพูดนั้นคือเรื่องสภาพภูมิอากาศทั่วไป ไม่ใช่การวางแผนฆาตกรรมหมู่โอเมก้าอย่างเลือดเย็น
   
มือผอมที่จับมีดผ่าตัดอยู่เป็นนิจสั่นระริก จันทร์ซ่อนมือของตัวเองไว้ใต้เสื้อกาวน์มองคนเป็นพ่ออย่างผิดหวัง
   
เพราะคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยากเป็นแพทย์เพื่อรักษาคนอื่นก็คือพ่อ สุทรพจน์นั้นมีใครบ้างที่ฟังแล้วไม่ตราตรึงใจ คำพูดของพ่อถูกนักข่าวไปตั้งเป็นประเด็นให้ผู้คนในสังคมฉุกคิดเรื่องความเท่าเทียมในมนุษย์ ไม่ควรจะแบ่งแยกกันเพียงเพราะมีเพศที่ต่างกัน
   
ทั้งๆ ที่เป็นคนกล่าวสุนทรพจน์นั้นออกมาแต่กลับพูดเรื่องฆ่าโอเมก้าได้อย่างหน้าตาเฉย
   
ความผิดหวังระลอกแล้วระลอกเล่าซัดเข้าใส่จันทร์จนแทบล้มทั้งยืน สำหรับจันทร์แล้วถึงแม้จะเคยเกลียดพี่ชายเข้าไส้แต่ก็ไม่เคยเกลียดมนุษย์คนอื่นอย่างจริงจังนัก เขาให้ความสำคัญกับทุกชีวิตที่นอนอยู่ในห้องผ่าตัดหรือที่ใดก็ตาม เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคนๆ นั้นจะมีเงินจ่ายหรือไม่สำหรับการรักษาที่เขาทำให้ เขาเพียงแค่พอใจที่จะทำ มันก็แค่นั้น
   
แต่ตอนนี้คนที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขากลับเป็นคนพูดกลับกลอกเสียเอง เอาเข้าจริงเขาก็โตพอที่จะรู้ตั้งนานแล้วว่าสิ่งที่ครอบครัวเขาทำมาทั้งหมดนั้นไม่ใช่เพื่อสังคมหรืออุดมการณ์สวยหรูแต่เป็นเพราะสถานะทางสังคมต่างหาก
   
พ่อและแม่ของเขาทุ่มเทชีวิตกับงานเพื่อที่จะได้รับคำชื่นชม สิทธิพิเศษต่างๆ เหมือนดังเช่นตระกูลนฤภัทรคนก่อนๆ ที่พยายามหล่อหลอมให้ลูกหลานในตระกูลหลงใหลในชีวิตอันเลิศหรูที่ไม่มีอยู่จริง
   
รอยยิ้มบางปรากฎบนใบหน้าจันทร์
   
เขาพอแล้วล่ะ..
   
“ครับ ผมจะทำยาฆ่าพวกโอเมก้าครับ”
   
“เออดี! แบบนี้ถึงจะค่อยสมเป็นคนตระกูลนฤภัทรหน่อย แต่แกต้องรีบทำนะ จันทร์ เร็วเท่าไหร่ยิ่งดีเพราะฉันคงทนให้อัลฟ่าอย่างเรามีสิทธิเท่าเทียมกับพวกโอเมก้าไม่ได้”
   
รอยยิ้มยินดีที่ได้เจอลูกชายจึงค่อยปรากฎ นายแพทย์นพวิทย์หลังจากได้ระบายไปชุดใหญ่ก็รู้สึกโล่งขึ้นมาก แตะไหล่จันทร์อย่างคาดหวังแม้จะรู้ว่าก็คงจะผิดพลาดอีก แต่ไม่เป็นไรจนถึงตอนนั้นเขาก็คงแค่ด่ามันใหม่จนกว่าจะได้ในสิ่งที่เขาต้องการ
   
ทำไมเขาถึงไม่ลงมือทำเอง? ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำแต่ทำไม่ได้คงจะถูกกว่าเพราะการทำยาชนิดใหม่ๆ ให้สำเร็จนั้นถือเป็นเรื่องยากอีกทั้งยังใช้ความรู้ด้านเภสัชกรรมที่เขาไม่ได้เรียนอีก สิ่งที่เขาทำได้จึงมีแค่การคาดคั้นเอาจากลูกชายตัวเองที่อุตส่าห์ไปเรียนเพิ่มมาให้ตามที่ตนเองขอ
   
“ครับ”
   
“พ่อหวังกับแกไว้เยอะนะ จันทร์”
   
นพวิทย์กล่าวย้ำอีกครั้งเพื่อกดดันและก็ได้ผล สีหน้าของลูกชายเศร้าหมองลงถนัดตา ชั่วขณะหนึ่งคล้ายกับเห็นน้ำตาที่ไหลออกมาแต่นายแพทย์เลือกที่จะเมินมันเพราะคิดว่าไร้สาระเกินกว่าที่จะใส่ใจ
   
อายุก็ตั้งยี่สิบกว่า โตเกินกว่าที่จะต้องเอาใจตั้งนานแล้ว อีกทั้งยังเป็นลูกผู้ชายอีก ขืนทำตัวเป็นตุ๊ดแต๋วเขาคงจะรับไม่ได้ สิ่งที่คนเป็นลูกชายสมควรทำให้พ่อคนคือการกตัญญูให้ถึงที่สุด นั่นล่ะ สิ่งที่เขาต้องการจากจันทร์
   
“ครับ”
   
จันทร์ตอบเสียงเบาลงกว่าเดิมก่อนที่จะเดินเมินพ่อของตัวเองไปยังห้องทำงานของตัวเอง ไม่คิดจะลาเหมือนที่เคยเพียรทำมาตลอดชีวิต พยายามที่จะอยู่กับพ่อแม่ให้นานที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ก็เหมือนเป็นแค่ความพยายามโง่เง่าของคนโง่ที่รู้ว่าต่อให้ทำไปก็ไม่ได้ผลลัพธ์กลับมาอยู่ดี
   
และมันก็เป็นจริงเสียด้วย นายแพทย์นพวิทย์ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าจันทร์จะลาตัวเองหรือไม่ เมื่อดุด่าสั่งสอนเสร็จก็จัดเสื้อสูทราคาแพงระยับให้เข้าที่ก่อนที่จะออกไปข้างหน้าเพื่อที่จะทำหน้าที่ออกหน้าออกตาให้ตระกูลนฤภัทรอีกครั้งอย่างที่เจ้าตัวชื่นชอบ
   
เหล่าอัลฟ่าที่ทำงานในโรงพยาบาลต่างพากันแปลกใจเมื่อเห็นประธานควบตำแหน่งหัวหน้าใหญ่ของตัวเองเดินเข้าห้องด้วยท่าทางไร้วิญญาณ ไม่มีมาดสง่างามเหมือนแต่ก่อน หากแต่รู้มากไปก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีกับตัว ทุกคนเลยเลือกที่จะโยนประเด็นนี้ทิ้งไปและทำหน้าที่ของตัวเองอย่างตรากตรำต่อ
   
“…หึ”
   
จันท์หัวเราะเมื่อกลับยืนในห้องประจำตำแหน่งตัวเองตอนนี้ บนผนังก็ยังคงมีรูปของเขาและจ้าว มีถ้วยรางวัลของเขาเรียงรายอยู่เป็นแถว หากแต่เขากลับไม่รู้สึกยินดีหรือรู้สึกอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
   
หัวใจในอกเขาราวกับถูกช่วงชิงไปเหลือเพียงช่องกลวง ไม่มีสิ่งที่สูบฉีดเลือดเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายแล้ว แม้แต่วิญญาณของตัวเองจันทร์ก็รู้สึกว่าทำหายไป
   
มือผอมที่ยังคงสั่นระริกไม่หายหยิบรีโมทขึ้นมาเปิดทีวีเพื่อดูความเป็นไปของสถานการณ์ในช่วงนี้
   
‘ข่าวด่วนค่ะ! เกิดการวางระเบิดหน้าร้านสะดวกซื้อในย่านเศรษฐกิจค่ะ มีผู้เสียชีวิตห้าราย สามรายเป็นเบต้าและอีกสองรายเป็นอัลฟ่าและโอเมก้าค่ะ ทางกลุ่มอีกายื่นคำขาดว่าถ้าหากไม่ยอมรับฟังคำขอจะระเบิดโรงพยาบาลเป็นที่ต่อไปค่ะ!’
   
นัยน์ตาโศกเบิกตานิดๆ เมื่อเห็นว่าสถานที่วางระเบิดไม่ใช่ที่ไหนไกลแต่เป็นแถวบ้านของตัวเอง
   
จันทร์หลับตาลงแค่นเสียงหัวเราะอย่างยอมจำนน
   
เขารู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์ใกล้จะถึงช่วงที่อันตรายและเดือดพล่านที่สุด หลังจากนี้ถ้ายังไม่เกิดการเจรจาขึ้นคงจะมีคนตายมากกว่านี้ทั้งฝ่ายของเขาเองและฝ่ายตรงข้าม ซึ่งผลลัพธ์ท้ายที่สุดก็คือทุกคนมากองกันที่โรงพยาบาล
   
แน่ล่ะ ในฐานะที่เขาเรียนแพทย์มา จรรยาบรรณของเขาก็ย่อมมี เขาทนเห็นคนตายคราวละมากๆ แล้วมากองกันที่โรงพยาบาลไม่ได้ แค่ตอนนี้พวกเขาก็ทำงานไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาหลายคืนแล้ว
   
จันทร์ผุดยิ้มเมื่อนึกถึงเมื่อเช้าที่ส่องกระจกแล้วเจอหงอกหลายเส้นบนหัว เขาเครียดทั้งเรื่องคนไข้ การตามล่าหาตัวจ้าว การทำยาต้านให้พ่อ เขาแบกรับทุกอย่างไว้ที่ตัวจนใกล้จะเป็นบ้าเข้าไปทุกวัน
   
เขาแบกรับมากจนถึงจุดๆ หนึ่งที่เขารู้สึกว่าจะแบกรับมันทำไม
   
เพราะท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครเห็นค่าของเขา
   
เมื่อเห็นว่าข่าวต่อไปรายงานเกี่ยวกับยาต้านที่เขากำลังทำโดยมีพ่อเป็นคนบรรยาย จันทร์ก็ปิดทิ้งทันทีโดยไม่ลังเลก่อนที่จะมานั่งทิ้งตัวใส่เก้าอี้ประธานที่ตอนเด็กใฝ่ฝันที่จะนั่งนักหนาและพอโตมาก็พบว่ามันไม่ได้ดีมีความสุขอย่างที่คิด
   
จันทร์เกยคางบนโต๊ะ ท่าทางอ่อนแอไม่ต่างกับเด็กเล็กๆ
   
“…”
   
นัยน์ตาโศกมองหน้าจอโน๊ตบุ๊คและมันก็สะท้อนหน้าตัวเองกลับมาด้วยความรู้สึกว่างเปล่า
   
เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองโทรมขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน น้ำตาที่พร่างพรมทำให้เครื่องสำอางที่เขาใช้หลุดออกนิดหน่อยจนเห็นรอยช้ำม่วงจากการชกต่อย ร่องรอยของการนอนไม่พอและการร้องไห้
   
“…ฮึก”
   
จันทร์สะอื้นออกมาอย่างเศร้าโศกไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังเสียใจเรื่องอะไร รู้สึกเพียงว่าความโดดเดี่ยวและความว่างเปล่าของตัวเองมันช่างน่ากลัวและแสนเจ็บปวด
   
เขาทำทุกอย่างไปเพื่ออะไรนะ..?
   
มีใครบ้างที่สนใจเขา มีใครบ้างที่ยินดีกับเขาอย่างจริงใจ มีใครบ้างที่รักเขาจริงๆ ไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของตระกูล
   
ฉับพลันชื่อหนึ่งปรากฎในหัวของจันทร์แต่จันทร์ก็สลัดมันออกไปอย่างรวดเร็ว
   
เขาไม่กล้าเชื่อใครบนโลกที่แสนบิดเบี้ยวนี่หรอก
   
นัยน์ตาโศกเศร้าหมองก่อนจะหยิบผลการวิจัยลับๆ ที่ตัวเองกำลังศึกษาออกมาจากใต้กองเอกสารหลัก มันเป็นเอกสารที่เพิ่งถูกนำมาวางไว้ล่าสุดเพราะกระดาษยังมีอุณหภูมิอุ่นๆ ตัดกับอากาศที่หนาวเย็นในห้อง
   
“!”
   
ท่ามกลางความทุกข์ระทม จันทร์เผลอยิ้มกว้างออกมา
   
สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่สุดยิ่งกว่าการเปลี่ยนอัลฟ่าให้โอเมก้า
   
เขาทำสำเร็จแล้ว!

===========

น้องจันทร์แอบทำอะไรน้า

ปล. ใกล้ถึงช่วงพีคสุดๆ ของเรื่องแล้ว  :katai1:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 30 : คืนเดือนดับ p.6 (17/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 18-07-2018 01:12:08
ตอนที่แล้วมันก็จะเปลืองทิชชู่หน่อยๆ แต่มาตอนนี้คือปรับ

อารมณ์แทบไม่ทัน แล้วนี่จันทร์ทำอะไรสำเร็จอีกเนี่ย

จะมีอะไรที่พีคกว่านี้อี๊กกกกก  :katai1:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 30 : คืนเดือนดับ p.6 (17/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 18-07-2018 01:48:39
จันทร์จะทำอะไรอีกละเนี่ย? :hao4:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 30 : คืนเดือนดับ p.6 (17/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-07-2018 12:19:09
น้องงงงง ทำอะไรก็ได้แต่อย่าทำร้ายตัวเองนะ
เพิ่งได้มาอ่านสามตอนรวด งื้อออออออออ
พริม !!!! ตัวต้นเหตุ !!!!
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 30 : คืนเดือนดับ p.6 (17/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 18-07-2018 16:59:06
นี่ว่าก็พีคทุกตอน 555555555
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 30 : คืนเดือนดับ p.6 (17/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 19-07-2018 00:38:30
จันทร์ทำงานวิจัยอะไรไว้ล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 32 : อาบน้ำ p.6 (19/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 19-07-2018 01:08:07
ตอนที่ 32
   
ทันทีที่จันทร์อ่านเอกสารจบก็แทบจะปกปิดความปิติยินดีไว้ไม่อยู่แม้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำจะไม่ใช่สิ่งที่พ่อร้องขอก็ตาม จันทร์กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังห้องวิจัยซึ่งเป็นที่ทำงานของทุกคนในทีมรวมถึงเขาด้วยในบางเวลา

และเมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปก็พบว่าทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา กำลังดื่มฉลองให้กับความสำเร็จเล็กๆ ที่มีเพียงกลุ่มวิจัยรู้และแน่นอนว่าพวกเขาไม่อาจแพร่งพรายไปนอกจากเจ้าของโครงการอย่างจันทร์จะอนุญาต

ซึ่งเมื่อทุกคนเห็นหัวหน้าของตัวเองก็รีบวางแก้วและโน้มหัวเชิงทำความเคารพทันที แม้ว่าจะทำงานร่วมกันมานานแต่พวกเขาก็ไม่เคยรู้สึกสนิทสนมกับหัวหน้าของตัวเองสักนิด มีเพียงความเคารพทั้งในแง่หัวหน้าและความเฉลียวฉลาดจากก้นบึ้งของหัวใจ
จันทร์ที่ถึงแม้จะไม่ได้อายุมากที่สุดในกลุ่มวิจัยผงกหัวกลับอย่างมีมารยาท รอยยิ้มบนใบหน้าที่มักจะนิ่งเฉยทำให้ทุกคนในกลุ่มวิจัยประหลาดใจเพราะน้อยครั้งที่จะเห็นรอยยิ้มจากจันทร์

“ทุกคนทำได้ดีมาก” จันทร์ยิ้มกว้างกว่าเดิม “มันสามารถใช้ในมนุษย์ได้อย่างปลอดภัยแล้วใช่ไหม”

“ค่ะ ผลออกมาดีมาก”

หลังจากที่สบตากันในกลุ่มเชิงหารือว่าใครจะเป็นคนสรุป คนที่ก้าวออกมาคนแรกก็คือหญิงสาวผู้เป็นโอเมก้าหนึ่งเดียวในกลุ่มที่เพิ่งเข้ามาช่วยงานเมื่อไม่นานมานี้ แน่นอนว่ายาที่สามารถเปลี่ยนอัลฟ่าเป็นโอเมก้า เธอก็มีส่วนเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย

“กลุ่มทดลอง G17 รอดหมดทุกคนใช่ไหม”

สิ่งที่จันทร์พูดถึงนั้นคือกลุ่มอัลฟ่า เบต้า และโอเมก้าที่สมัครใจในการเข้าร่วมโครงการลับนี้โดยมีของล่อตาล่อใจเป็นเงินจำนวนมหาศาลแต่ก็มีหลายคนในกลุ่มที่ปฏิเสธที่จะรับมัน เพราะต้องการเข้าร่วมเพือผลประโยชน์ของมวลมนุษยชาติเฉยๆ สิ่งที่พวกเขาพยายามทำถ้าหากมันสำเร็จสามารถเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ได้เลย

สงครามจากความแตกต่างอาจจะยุติลง
   
พวกเขาหวังอย่างนั้นจึงไม่ลังเลที่จะอาสาและสละชีวิตถ้าเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา อย่างไรเสียไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็มีโอกาสตายกันหมดท่ามกลางสภาวะสงครามที่ไม่มีท่าทีจะจบลงง่ายๆ ไม่สู้ตายแล้วยังมีประโยชน์จะดีกว่าหรือ
   
“ค่ะ รอดหมดทุกคนแล้วเข้าสู่สภาวะที่ต้องการด้วยค่ะ”
   
ได้ยินดังนั้นจันทร์ก็ยิ้มมากกว่าเดิมด้วยความรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่ตัดสินใจขาดไปแล้วค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้นมาจนจันทร์อดดีใจและเศร้าใจในเวลาเดียวกันไม่ได้
   
“ขอบคุณสำหรับการพยายามอย่างหนักมาตลอดนะครับ ทุกคน” นัยน์ตาโศกกวาดตามองลูกทีมตัวเองที่มีอยู่จำนวนเจ็ดชีวิตด้วยสายตาภาคภูมิใจ ถึงแม้จะไม่ได้ไว้ใจถึงขั้นกล้าฝากชีวิตแต่จันทร์ก็ยังรู้สึกยินดีที่ได้รู้จักคนเหล่านี้ ในสายตาของทุกคนเขาอาจจะเป็นแค่หัวหน้าที่แสนเย่อหยิ่งและทิ้งระยะห่างแต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับคนอย่างเขา
   
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผม หลังจากนี้ผมคงต้องฝากโครงการนี้ไว้กับพวกคุณ พวกคุณทุกคนเป็นคนมีความสามารถระดับหัวกะทิ ไม่ว่าคุณจะเป็นอัลฟ่า เบต้า หรือโอเมก้า คุณอยู่ในทีมนี้ได้ถือว่าพวกคุณเก่งมากครับ ถ้าสิ่งที่พวกเราพยายามทำมาทั้งหมดสำเร็จหลังจากนี้ชีวิตของพวกคุณก็ง่ายขึ้นมาก”
   
เริ่มมีหลายคนในทีมเอะใจในสิ่งที่จันทร์พูด มีไม่กี่ครั้งที่พวกเขาจะถูกชมอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ ไม่ใช่เพราะจันทร์สงวนคำพูดหรือท่าทีอะไร แต่เพราะพวกเขารู้อยู่แล้วว่าหัวหน้าของพวกเขาเป็นคนที่สามารถเข้าใจได้ง่าย แม้จะไม่ได้เอ่ยชมพวกเขาตรงๆ แต่การได้เงินโบนัสพิเศษเพิ่มจากเงินเดือนทั่วไปก็ถือว่าชัดเจนมากพอแล้ว
   
“ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วล่ะ” จันทร์ยังคงยิ้มก่อนจะเหลือบมองหญิงสาวโอเมก้าเพียงหนึ่งเดียวที่ถือว่าเป็นสุดยอดหัวกะทิของกลุ่มวิจัย “หลังจากนี้ถ้าผมไม่อยู่แล้ว ผมฝากคุณด้วยล่ะ ณิชา”
   
“ค่ะ” ณิชายิ้มรับก่อนที่จะถามในสิ่งที่ทุกคนต้องการจะรู้พอดี “ขออนุญาตถามได้ไหมคะ”
   
“อืม ว่ามาสิ”
   
“ที่บอกว่าไม่อยู่นี่หมายความว่ายังไงเหรอคะ”
   
นัยน์ตาโศกหรี่ตามองคนพูดเล่นเอาคนถามเสียวสันหลังวาบ
   
“เดี๋ยวเธอก็รู้เอง อีกไม่นานหรอก แต่อย่าลืมที่ผมสั่งล่ะ ถ้าผมเป็นอะไรขึ้นมา ผมฝากให้ทุกคนดูแลโครงการนี้ต่อด้วย ผมรู้ว่าพวกคุณทำได้”
   
จันทร์ฉีกยิ้มเศร้าๆ ให้กับกลุ่มวิจัยที่คาดว่าน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเดินออกจากห้องและมุ่งหน้าออกจากตึก เสียงขวดยาที่ฉวยหยิบมาจากห้องวิจัยนับสิบขวดดังกระทบกันเมื่อร่างผอมกระโจนขึ้นมอเตอร์ไซด์ของพนักงาน ใช้ความเป็นประธานบริษัทในการขอยืม ทำให้เจ้าของรถลนลานขอโทษขอโพยให้ยืมแต่โดยดีแม้จะงุนงงว่าทำไมถึงไม่ยอมนั่งรถประจำตำแหน่งที่มีคนขับประจำ
   
“…”
   
น่าแปลกที่อยู่ๆ จันทร์ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมากับสิ่งที่ตัวเองคิดจะทำเพราะมันไม่เคยอยู่ในครรลองความคิดมาก่อน ว่าจะพาตัวเองมาเสี่ยงถึงขนาดนี้ ไม่สิ เขาไม่กล้าออกจากกรอบที่พ่อวางไว้ให้ด้วยซ้ำ
   
ตูม!
   
เสียงระเบิดดังจากไกลๆ ดึงสติที่ล่องลอยของจันทร์กลับมา
   
นัยน์ตาโศกฉายประกายความมุ่งมั่นและขับไปตามเสียงระเบิดทันที!

   

เป็นครั้งแรกที่จ้าวตื่นมาแล้วเหมือนร่างแหลกสลาย จ้าวหน้าเหยเกเมื่อลองหยั่งเท้าลงบนพื้นและพบว่าแข้งขาของตัวเองไร้เรี่ยวแรงไปซะแล้ว ดีหน่อยที่เหมือนคุณเหมันต์จะเช็ดตัวให้ก่อนนอน
   
แต่ก็ดูเหมือนจะไม่หมดจดสักเท่าไหร่นัก..
   
จ้าวรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างมากเมื่อรู้สึกว่ายังมีของเหลวคั่งค้างในตัวอยู่เป็นจำนวนมาก แหงสิ เมื่อวานกว่าเขาจะได้นอนก็เหมือนจะฟ้าสว่างคาตาพอดี เขาร้องขอแทบตายว่าพอแล้วๆ แต่ก็เหมือนคุยคนละภาษา คุณเหมันต์ทำหูทวนลมแล้วทำเอาแต่ใจตัวเองโดยไม่สนใจสักนิดว่าคนที่เพิ่งหนีมาจากขุมนรกหมาดๆ สภาพจะเป็นยังไง
   
“..โอย”
   
จ้าวหลุดเสียงร้องโอดโอยเมื่อพยายามตะกายไปห้องน้ำที่ระยะทางดูไกลกว่าทุกวัน ใบหน้าบูดบึ้งอย่างไม่พอใจนักเพราะครั้งแรกที่ทำกัน สภาพเขาไม่ปางตายขนาดนี้ ไหนจะเรื่องที่ไม่ยอมทำความสะอาดให้ครบอีกล่ะ

ถ้าเกิดว่าเขา...
   
ร่างผอมชะงักกึกกลางคัน จ้าวหน้าแดงเถือกเมื่อระลึกชาติได้ว่าเมื่อคืนโดนถามว่าอะไร เผลอเอามือกุมท้องโดยไม่รู้ตัว
   
‘ชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย?’
   
เสียงทุ้มเชิงหยอกล้อดังข้างหูราวกับถูกกระซิบอีกครั้ง
   
จ้าวหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าเดิมเพราะไม่คิดว่าคุณเหมันต์จะคิดเรื่องนี้เร็วขนาดนี้ บอกตามตรงว่าช่วงที่เขาหายไป เขาแค่อยากเจอคุณเหมันต์เท่านั้นไม่ได้คิดเรื่องอะไรแบบนี้สักนิด เขาก็แค่คิดถึงอ้อมกอดอุ่นๆ เท่านั้นเอง
   
แต่อย่างไรก็ตาม จ้าวก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรนักถ้าเกิดว่าเขาจะมีลูกจริงๆ เมื่อก่อนเขากลัวจนแทบเป็นบ้าเวลาที่เข้าใกล้พวกเบต้าในคุก กลัวว่าพวกมันจะข่มขืนเขาจนท้องเพราะมีนักโทษโอเมก้าหลายคนที่มีลูกและลูกของพวกเขาก็เติบโตในคุกอย่างน่าสงสาร ลำพังการใช้ชีวิตข้างนอกก็ยากแล้วยิ่งโตในคุกอย่าพูดถึงเลยว่าจะได้รับความเท่าเทียม แค่ได้รับโอกาสออกไปยังยากเลย
   
ถึงแม้จะไม่มั่นใจนักว่าตัวเองเป็นโอเมก้าเต็มตัวรึเปล่าแต่จ้าวก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก แค่ได้อยู่กับคุณเหมันต์สำหรับเขามันก็มากพอแล้ว เรื่องมีลูกไม่ใช่เรื่องใหญ่ ต่อให้มีหรือไม่มีก็ไม่ใช่ปัญหา
   
“ให้พี่ช่วยอาบไหม?”
   
ร่างผอมสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกกอดจากข้างหลัง ไรหนวดที่ถูไถหลังคอเล่นเอาจ้าวหลุดเสียงหัวเราะด้วยความจั๊กจี้ เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวทั้งๆ ที่คาดโทษอีกฝ่ายไว้ในใจ
   
“แค่พาผมไปส่งที่อาบอ่างน้ำก็พอ”
   
“ครับ”
   
เหมันต์อมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของจ้าว ค่อยๆ ประคองจ้าวอย่างใจเย็น “ให้พี่อุ้มไหม”
   
“เพราะพี่นั่นแหละ” จ้าวขู่แง่งหน้ายู่ “ผมเดินแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ”
   
“ก็พี่คิดถึง” เหมันต์หอมแก้มจ้าวดังฟอดอย่างหมั่นเขี้ยว ไม่รู้สึกผิดแม้แต่นิดเดียวว่าตัวเองเป็นสาเหตุทำให้จ้าวสภาพนี้ เอาเข้าจริงเขาจะทำมากกว่านั้นด้วยซ้ำถ้าจ้าวไม่งอแงจะพอเข้าซะก่อน “จะให้พี่อุ้มไหม”
   
“อือ ก็ได้ ผมขี้เกียจเดินแล้ว เหนื่อย”
   
ท้ายที่สุดแล้วจ้าวก็ยอมแพ้ทิ้งตัวใส่ร่างตัวต้นเหตุ เหมันต์หัวเราะในลำคอรวบตัวจ้าวขึ้นอุ้มอย่างไม่ยากเย็น พอเห็นสีหน้าเหนื่อยๆ ของจ้าวก็อดถามกระเซ้าไม่ได้
   
“อีกรอบไหมจ้าว ตอนเช้าพี่ก็ไหวนะ”
   
“ไม่ พี่ ไม่ พี่ไหวแต่ผมไม่ไหว ผมตายแน่” จ้าวพูดออกมาอย่างจริงจังและมองเหมันต์ตาขวาง “ผมไม่ได้แข็งแรงเหมือนพี่นะ”
   
“งั้นก็ทำบ่อยๆ จะได้แข็งแรง” เหมันต์พูดเรื่องลามกหน้าตาเฉยผิดวิสัยสุขุมดังปกติเพราะอารมณ์ดีมากๆ
   
“ทำอ่ะทำได้พี่ แต่ผมขอเถอะ อย่าเหมือนเมื่อคืนอีก ผมยังไม่อยากตายคาเตียง”
   
“งั้นคืนนี้?”
   
“ไม่” จ้าวหน้ายู่ “ถ้าพี่ทำ พี่ไม่ต้องมาคุยกับผมแล้ว ผมไม่อยากคุย”
   
เหมันต์หัวเราะก่อนที่จะวางจ้าวลงบนขอบอ่างล้างหน้า ถอดเสื้อคลุมอาบน้ำตัวเดียวของจ้าวออกและพาจ้าวลงในอ่างที่เปิดน้ำรอจ้าวไว้แล้วอย่างบรรจง กลีบกุหลาบที่ลอยบนผิวน้ำขับให้มีกลิ่นหอมละมุนชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย
   
จ้าวหลับตาพิงกับพนัก อุณหภูมิที่อุ่นกำลังพอดีทำให้กล้ามเนื้อที่เพิ่งถูกใช้งานอย่างหนักรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เสียงเปิดฝาแชมพูข้างตัวทำให้ร่างผอมลืมตาข้างนึงนัยน์ตาโศกข้างนึงเพื่อมองก็พบว่าคุณเหมันต์ถอดเสื้อสูทดำออกเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตข้างในที่ถูกถกแขนเสื้อขึ้น
   
“เดี๋ยวพี่สระผมให้”
   
จ้าวพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะหลับตาและไถลลงพนักมากกว่าเดิมด้วยความรู้สึกง่วงปนผ่อนคลาย สัมผัสแผ่วเบาลูบผมหยาบกระด้างของเขาอย่างบรรจง ค่อยๆ ใช้น้ำอุ่นล้างผมเขาโดยพยายามไม่ให้โดนใบหน้านักก่อนที่จะลงแชมพูที่มีกลิ่นหอมดอกไม้อ่อนๆ ที่มีสรรพคุณบำรุงมากมาย
   
นี่น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีของจ้าวที่มีคนสระผมให้เพราะปกติจ้าวมักจะเข้าร้านตัดผมเป็นว่าเล่น การตัดผมและย้อมผมถือว่าเป็นความชีวิตจิตใจของจ้าว ตอนที่เป็นนักร้องนำวงก่อนเปลี่ยนสีผมแทบทุกเดือน เบื่อสีนู้นก็ไปสีนี้จนไปลงตัวสีเทาที่รู้สึกว่าชอบมันสุดๆ จึงเลิกย้อมสีไปทั่ว
   
และต้องยอมรับว่าการสระผมของคุณเหมันต์อาจจะไม่ได้ดีเท่าช่างตัดผมร้านประจำของจ้าว แต่จ้าวกลับรู้สึกอุ่นใจและผ่อนคลายกว่าทุกครั้งที่เคยทำ
   
“อยากย้อมผมรึเปล่า”
   
เหมันต์ถามขณะที่กำลังลงครีมนวดผมให้จ้าวอย่างเพลินมือ สัมผัสหยาบกระด้างกับสีดำกระด่างชวนให้เขารู้สึกปวดใจไม่น้อย ผมของจ้าวตอนนี้ยาวและยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงเท่าไหร่นักถ้าไม่ถูกเซ็ตผม
   
“พี่อยากให้ผมย้อมไหม” จ้าวถามทั้งๆ ที่ยังหลับตา
   
“พี่แล้วแต่จ้าว” เหมันต์พูดน้ำเสียงนุ่มนวล “อะไรที่จ้าวชอบ พี่ก็ชอบทั้งนั้น”
   
“งะ งั้นเดี๋ยวผมจะย้อมเทานะ”
   
ร่างสูงผุดยิ้มเมื่อเห็นหูของจ้าวแดงก่ำเพียงเพราะเขาเย้าหยอกนิดหน่อย “ตัดผมด้วยล่ะหรือไม่ก็รวบก็ได้ เมื่อคืนผมก็ยาวจนปิดหน้า พี่มองไม่เห็นหน้าจ้าวเลย”
   
“..อือ จะตัดผมด้วย”
   
จ้าวก้มหน้างุดกดตัวต่ำกว่าเดิม
   
“อย่าก้มสิ พี่สระยาก” ไม่ว่าเปล่ามือหนาช้อนตัวใต้แขนจ้าวให้ขึ้นมานั่งดีๆ และจับใบหน้าจ้าวให้เอียงเข้าหาตัวเองและจูบริมฝีปากเล็กๆ อย่างอดไม่ได้
   
เหมันต์รู้ดีว่าตัวเองกำลังเผยธาตุแท้ให้จ้าวเห็น เขาไม่ใช่ผู้ชายสุภาพบุรุษที่จะอดทนอดกลั้นจนถึงวันแต่งงานหรอก เพราะเขามันก็
แค่ผู้ชายวัยกลางคนที่เพิ่งจะหาเมียได้อย่างจริงจัง
   
ไม่ต้องถามว่าที่ผ่านมาเขาอดอยากมากี่ปีเพราะจ้าวคงไม่อยากรู้คำตอบของมันนัก
   
“พอ พอแล้ว”
   
จ้าวหอบแฮ่กดันหน้าสากๆ ออกจากตัวราวกับต้องของร้อน
   
เห็นสีหน้าของจ้าวยิ่งทำให้เหมันต์พอใจแต่ก็แสร้งทำเป็นเลิกแกล้งและสระผมให้จ้าวต่อ มือหนาหยิบฝักบัวเปิดน้ำอุ่นและความแรงไม่มากนักค่อยๆ ล้างผมให้จ้าว ล้างจนฟองออกหมดจึงปิดและช้อนตัวจ้าวขึ้นมานั่งขอบอ่างอีกครั้ง น้ำที่ไหลพรมร่างขับให้จ้าวดูเร้าร่อนอย่างประหลาด
   
ยิ่งผมที่แนบกับลำคอที่คล้ายกับพยายามปกปิดร่องรอยบางอย่างได้ไม่มิด ตามร่างขาวที่มีร่องรอยการถูกขบกัด ถ้าหากจ้าวได้เห็นตัวเองในสภาพนี้คงไม่แปลกใจนักทำไมคุณเหมันต์ถึงได้มีความต้องการมากมายนัก
   
“อะไรอีก” จ้าวมองเหมันต์อย่างไม่ไว้ใจนัก “ผม ผมไม่ไหวนะ”
   
“ตอบพี่ได้ยังว่าชอบผู้หญิงผู้ชาย” เหมันต์ยิ้มนิดๆ ขณะเดียวกันก็ทรุดลงนั่งและดึงขาจ้าวมาชโลมด้วยสบู่เหลว นวดอย่างเบามือ
   
“ผมอาบ..เองได้” จ้าวหน้าแดงก่ำพยายามชักขากลับก็พบว่าขาตัวเองไม่มีแรงเลยสักนิด
   
“ตอบพี่สิ”

   
“ไม่รู้”
   
เหมันต์ที่ง่วนอยู่กับการนวดขาจ้าวเงยหน้ามองจ้าวก็พบว่าตัวเองได้ทำใครบางคนเขินจนตัวแดงก่ำเสียแล้ว ร่างผอมเอามือปิดหน้าอย่างอับอายไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเขาและนั่นยิ่งทำให้เหมันต์พอใจ
   
“พี่ชอบทั้งผู้หญิงผู้ชายนะ จะเป็นอะไรพี่เลี้ยงได้หมด”
   
“..ยังไม่รู้เลยว่าจะมีได้รึเปล่า”
   
จ้าวพูดขัดเสียงเบาซะยิ่งกว่าเบาและเผลอสบตากับร่างสูงโดยไม่ตั้งใจเข้า
   
นัยน์ตาสีเทาวาววับจนจ้าวขนลุกเกลียว
   
“ไม่มี พี่ก็จะทำจนกว่าจะมี”
   
นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างช็อคๆ กลืนน้ำลายเอือก ยกมือขึ้นปิดหูตัวเอง รู้สึกไม่อยากคุยหรือเสวนากับคุณเหมันต์เลยสักนิดเพราะยิ่งคุยก็เหมือนถูกต้อนให้หลังชนฝา เขาเขินจะตายอยู่แล้ว!
   
“…หยุดพูดสักที ผมไม่อยากฟัง”
   
จ้าวร้องฮือๆ หลับตา
   
“โอเคๆ พี่ไม่แกล้งแล้ว” เหมันต์ยิ้มละมุนก่อนจะดึงขาอีกข้างของจ้าวมานวดต่อ อารมณ์ที่ดีเอามากๆ จึงถูกขัดอีกครั้งด้วยเบาแผลช้ำตรงข้อเท้าที่ถูกทายาแล้วก็ยังไม่จางลงแต่เพื่อไม่ให้บรรยากาศแย่ลง เหมันต์จึงเลือกที่จะเมินมันแล้วลูบบริเวณต้นขาของจ้าว
   
ซึ่งก่อนที่จะมันจะเลื้อยสูงขึ้นมาเรื่อยๆ จ้าวจึงรีบชิงพูดตัดหน้าไปก่อน
   
“…พี่เหมันต์” จ้าวพูดเสียงเบา “จ้าวขออาบเองได้ไหมครับ”
   
แน่นอนว่ามันได้ผลชะงักเพราะจ้าวไม่เคยแทนตัวเองด้วยชื่อตัวเองสักครั้งตั้งแต่ที่รู้จักกันมา
   
“น้องจ้าวเหนื่อยอยู่ พี่เหมันต์ให้น้องอาบเองไม่ได้หรอกครับ” เหมันต์ยิ้มก่อนจะลากมือไปบริเวณหน้าท้องและจงใจเขี่ยผ่านยอดอกสีชมพูที่ยังเป็นร่องรอยถูกกัด
   
จ้าวสะดุ้งเฮือกจับแขนเหมันต์ไว้แน่น “ไม่เอานะ จ้าวไม่ไหวแล้ว ไว้วันหลังนะครับ”
   
เหมันต์แกล้งทำสีหน้ายุ่งยากใจให้จ้าวใจหายเล่นก่อนจะยอมพยักหน้า
   
“งั้นให้พี่ล้างให้ก่อนนะครับ”
   
เหมันต์กลั้นยิ้มเมื่อสีหน้างุนงงของจ้าว และแน่นอนคนอย่างเหมันต์ท่านประธานบริษัทมีนิสัยชอบปฏิบัติมากกว่าพูดจึงช้อนตัวจ้าวขึ้นมาด้วยมือข้างเดียว บังคับให้ร่างผอมโอบคอตัวเองเพื่อพยุงตัวก่อนที่จะใช้มืออีกข้างสอดนิ้วเข้าไปด้านหลังเพื่อล้วงเอาลูกๆ ของตัวเองออกมา
   
“ฮื่อ ผมจะโกรธจริงๆ แล้วนะ ถ้าไม่หยุดแกล้งกันสักที!” จ้าวหน้ายู่ทุบอกเหมันต์ดังอั่กๆ และเรี่ยวแรงก็เบาลงเมื่อถูก ล้วงเข้ามาลึกจนถึงข้างใน
   
“พี่แค่เอาออกให้เฉยๆ เดี๋ยวจะไม่สบายตัว” เหมันต์ไม่สะทกสะท้านสักนิดกับแรงของจ้าว ว่ากันตามตรงรู้สึกเหมือนถูกแมวตะปปมากกว่า
   
“ไม่ต้องหวังดีขนาดนั้นก็ได้” จ้าวซบหน้ากับไหล่เหมันต์พูดเสียงอ้อมแอ้ม “ครั้งที่แล้วผมก็เอาออกเอง”
   
“ครั้งนี้พี่ก็เอาเอาออกให้ไง จ้าวจะได้ไปกินข้าวไวๆ”
   
“ใครว่าผมหิว”
   
จ้าวทักท้วงแม้จะรู้ว่าตัวเองหิวจนตาลายก็ตาม
   
จ็อก
   
และร่างกายก็ไม่รักดีจนจ้าวเอาคางเกยเหมันต์อย่างอ่อนอกอ่อนใจ ปล่อยให้อีกฝ่ายทำความสะอาดให้โดยไม่สนใจที่จะขยับตัวทำอะไรอย่างเกียจคร้าน
   
“…พี่เหมันต์ ไม่เอาน่า” จ้าวมองเหมันต์อย่างไม่สบอารมณ์เมื่อรู้สึกเหมือนมีอะไรแข็งๆ โดนสะโพก “ผมจะไม่ล้างใหม่อีกรอบนะ ผมหิวข้าว”
   
“แต่พี่หิวจ้าว”
   
“ผมไม่ไหวแล้ว” จ้าวถอนหายใจเมื่อเห็นสีหน้าตัดพ้อของคุณเหมันต์“ก็ได้ๆ แค่มือนะ”
   
“ครับ”
   
เหมันต์ยิ้มพรายและนั่นทำให้จ้าวรู้สึกเหมือนตัวเองตกหลุมพรางอะไรสักอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่มีปัญญาตะเกียกตะกายออกมาอย่างแน่นอน
   
ร่างผอมถูกวางลงบนพื้นส่วนเหมันต์ก็สลับตำแหน่งไปนั่งบนขอบอ่างแทน นัยน์ตาสีเทามองจ้าวอย่างหยอกเย้า ชั่วขณะหนึ่งจ้าวเหมือนตาลายเห็นหูหมาป่าชั่วร้ายบนหัวคุณเหมันต์
   
“รีบทำสิ จะได้ไปกินข้าวกัน”
   
เอ่ยเร่งรัดราวกับว่าสิ่งที่พูดเป็นเรื่องทั่วไปทำให้จ้าวหน้ามุ่ยอย่างไม่ปิดบังเพราะโดนแกล้งไม่หยุดไม่หย่อน เพื่อตัดความรำคาญและความหิว จึงกะจะทำให้มันเสร็จๆ ไป
   
แต่พอเอาเข้าจริงแค่เอื้อมมือไปรูดซิปจ้าวยังไม่กล้าเลยสักนิด ประหม่าจนมือสั่นและสงสัยว่าไอ้ที่ซ่อนอยู่ใต้กางเกงนี่มันเข้าไปในตัวเองได้ยังไง ขนาดของมันไม่ได้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเลยสักนิด
   
“เร็วสิ”
   
หลังจากถอนหายใจไปหลายรอบก็ทำใจกล้าลองรูดซิปเปิดไปได้ครึ่งนึงก็ต้องพบว่ามันน่ากลัวมาก จ้าวหน้าซีดมองเหมันต์เชิงขอร้อง “จ้าวหิวข้าวแล้ว ขอไปกินข้าวก่อนได้ไหมครับ”
   
“พี่ไม่ให้จ้าวกินของพี่รองท้องก็ดีแค่ไหนแล้ว”
   
คำพูดสองแง่สองง่ามเล่นเอาจ้าวหน้าแดง เลยยอมรูดซิปและดึงออกมาจากเกงเกงให้จบๆ ไป
   
“…”
   
อุณหภูมิร้อนจัดที่อยู่ในมือทำเอาจ้าวแทบไม่รู้จะเอาหน้าตัวเองไปไว้ที่ไหน มือของเขาโอบแทบไม่มิดด้วยซ้ำ
   
“ถ้าหิวก็กินได้นะ พี่ไม่หวง”
   
“พี่เหมันต์ ถือว่าจ้าวขอนะ” จ้าวพูดเสียงเบา “หยุดพูดเถอะ”
   
“ก็ได้ พี่ไม่แกล้งก็ได้” เหมันต์หัวเราะลูบหัวจ้าวอย่างเอ็นดูก่อนที่จะปล่อยจ้าวให้จ้าวทำในสิ่งที่ต้องทำ ใบหน้าน่ามองนั้นแดงก่ำจนน่าสงสาร มือเล็กๆ ที่จับของเขาก็สั่นระริกจนอยากจะจับกินอีกครั้งให้รู้แล้วรู้รอด
   
“ทำไมพี่ถึงไม่เขินบ้างวะ”
   
จ้าวบ่นขรมพยายามทำให้เท่าที่ทำได้ บอกตามตรงว่าจ้าวอายจนอยากจะมุดแผ่นดินหนีที่ต้องมาทำแบบนี้ให้ใคร ถึงจะเป็นคุณเหมันต์ก็เถอะแต่จ้าวก็เขินมากๆ อยู่ดี
   
“แก่แล้ว หนังมันหนา” เหมันต์หัวเราะ
   
“…”
   
จ้าวหมดคำพูดก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาทำให้คุณเหมันต์อย่างจริงจังเพื่อที่เขาจะได้ผละไปทำอย่างอื่นกันสักที ผ่านไปสักพักนึงกว่ามังกรร้ายก็พ่นน้ำออกและแน่นอนว่ามันเลอะหน้าจ้าวไปครึ่งหน้า
   
“พี่ขอโทษๆ” เหมันต์รีบหยิบทิชชู่ที่พกไว้มาเช็ดหน้าให้จ้าวที่แดงจนน่ากลัวว่าจะกลายเป็นมะเขือเทศเข้าสักวัน เมื่อเช็ดออกจนหมดก็อุ้มจ้าวกลับเข้าใส่อ่างเพื่อล้างสบู่ออกจากตัว เห็นท่าทางที่ยังคงช็อคจนนั่งนิ่งๆของจ้าว เหมันต์ก็อดหอมแก้มจ้าวซ้ำไม่ได้
   
ฟอด
   
“อีกแล้วนะ!” จ้าวขมวดคิ้วกุมแก้มตัวเอง “พี่ออกไปเลย ผมจะแปรงฟัน”
   
ครั้งนี้เหมันต์ยกมือสองข้างเชิงยอมแพ้ “อยากกินอะไร เดี๋ยวพี่ให้คนทำให้”
   
“ข้าวต้ม ข้าวผัด อะไรก็ได้ เอามาเถอะ ผมหิวมาก”
   
จ้าวหันหลังให้หยิบฝักบัวขึ้นมาราดหัวตัวเองซ้ำพยายามใช้น้ำเรียกสติของตัวเองที่ไม่รู้ว่าเตลิดไปถึงไหน ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันทำไมถึงตกใจนักหนา ทั้งๆ ที่ก็มีเหมือนกัน
   
“งั้นพี่สั่งข้าวต้มให้นะ จะได้กินง่ายๆ”
   
“อือ”
   
ร่างผอมหลับตาหยีเอามือวักน้ำล้างหน้าตัวเอง เจอคุณเหมันต์ทีไรเขาลืมทุกอย่างในชีวิตทุกที ลืมความเจ็บปวดทรมาน ลืมความแค้น ลืมทุกอย่าง มีแต่เรื่องของคุณเหมันต์อยู่ในหัวเต็มไปหมด
   
จ้าวมองเงาสะท้อนตัวเองในน้ำพบว่าตัวเองเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
   
ถ้าถามเขาว่าชอบผู้หญิงผู้ชาย…
   
ก็คงจะต้องตอบว่าทั้งคู่

======

เอาจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจให้อารมณ์ตอนตัดกันขนาดนี้  :ling3: แต่ไม่คิดว่าน้องจ้าวกับพี่เหมจะหวานขนาดนี้

กลัวคนอ่านจะเป็นเบาหวาน 555 ไม่เป็นไร ในฐานะคนเขียนเราห่วงใยนักอ่าน

 ตอนหน้าหริอหน้าหน้าหน้าย่อมมีเค็มน้ำตาแน่นอน  :mew1:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 32 : อาบน้ำ p.6 (19/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 19-07-2018 01:22:29
โอ้ยยยยย พี่เหมันต์คนหื่น จ้าวช้ำหมดแล้ว 555555

ว่าแต่โครงการที่จันทร์ทำมันจะส่งผลดีใช่ไหม
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 32 : อาบน้ำ p.6 (19/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kanj1005 ที่ 19-07-2018 02:11:52
ขนาดของมันไม่ได้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเลยสักนิด....   :katai1:


ถ้าจะเค็มน้ำตา  ขอให้เป็นน้ำตาแห่งความสุขนะจ้ะ
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 32 : อาบน้ำ p.6 (19/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 19-07-2018 10:29:12
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 32 : อาบน้ำ p.6 (19/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 19-07-2018 12:15:10
สองคนนี้ดูมีความสุขมากก :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 32 : อาบน้ำ p.6 (19/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 20-07-2018 00:29:01
อ่านไปก็เจ็บปวดไป สงสารจันทร์มากจริงๆ
อยู่กับคนที่ไม่สนคนอื่นไม่กี่ชั่วโมงก็ว่าแย่แล้ว
แต่นี่จันทร์ต้องมาทนกับคนแบบนี้ทั้งชีวิต คงจะเจ็บเจียนตาย

ส่วนคุณเหมันต์ต้องบำรุงจ้าวเยอะๆนะเนี่ย
คือน้องเจ็บตัวมามั้ย ยังจะมาซ้ำเติมทั้งร่างกายและจิตใจให้ทำงานนักอีก
ที่ถามว่าชายหรือหญิงน่ะหยุดเลยค่ะ ถ้าจะทำน้องหนักขนาดนี้ก็ขอแฝดไปเลยดีกว่า ><
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 32 : อาบน้ำ p.6 (19/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 20-07-2018 09:16:39
เป็นตอนที่แฮ๊ปปี้ที่สุดแล้ว 5555555
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 32 : อาบน้ำ p.6 (19/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 20-07-2018 10:08:53
จะเป็นไบโพล่า แล้ว คับ..  :hao5:
เด่วเครียด เด่วนอยด์ เด่วน้ำตาไหล เด่วเศร้า เด่วลุ้น
เด่วหื่น เด่วหวาน เด่วเขิน.. อร๊ายยยย..  :hao7:
หัวข้อ: Re: ║PREY เหยื่อ ◑ ║ ตอนที่ 32 : อาบน้ำ p.6 (19/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 20-07-2018 19:48:01
เพิ่งตามอ่าน สนุกมากเลยค่า และก็เครียดมากด้วย5555
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 33 : คำขอ p.7 (25/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 25-07-2018 00:22:21
ตอนที่ 33
   

กลิ่นหอมกรุ่นของข้าวต้มทำให้จ้าวพยายามเดินไวขึ้นเพื่อไปนั่งตรงข้ามกับคุณเหมันต์ที่กำลังทำหน้าเคร่งเครียดกับโน๊ตบุ๊คในมือ จ้าวอยากจะถามถึงสาเหตุแต่ก็พ่ายแพ้ให้กับความหิวโหยจึงไม่รอช้าที่จะตักข้าวต้มกินทันที
   
อย่าลืมว่าเขาไม่ได้กินข้าวอย่างจริงจังมาหลายอาทิตย์แล้วนะ..
   
“อร่อยไหม”
   
“อือ”
   
จ้าวตอบรับอย่างขอไปที รู้สึกหิวจนตาลาย ถ้ายังไม่มีอาหารตกถึงท้องเร็วๆ นี้ เขาต้องเป็นลมหรือไม่ก็แห้งตายแน่ๆ เพียงชั่วพริบตาข้าวต้มหมูในถ้วยก็หมดและร่างผอมก็ยังไม่รู้สึกอิ่มนัก จึงจ้องถ้วยที่อยู่ตรงหน้าเหมันต์อย่างกดดัน
   
“…”
   
จ้าวเริ่มขมวดคิ้วเมื่อจ้องมานานแล้วเจ้าของถ้วยที่ยังไม่ได้แตะต้องแม้แต่คำเดียวก็ยังไม่สนใจ
   
“คุณเหมันต์”
   
“เรียกใหม่” เหมันต์พูดทั้งๆ ที่ไม่ได้ละสายตาจากจอสักนิด
   
“พี่เหมันต์” จ้าวรู้สึกเขินแปลกๆ เพราะมันดูสนิทสนมกว่าคำว่าคุณเยอะ “ผมขอกินถ้วยพี่ได้ไหม”
   
“เอาไปสิ พี่ก็เอามาเผื่อจ้าวไม่อิ่มนั่นแหละ”
   
ไม่ว่าเปล่าดันถ้วยไปตรงหน้าจ้าวและหยิบช่อดอกไม้ที่แอบไว้ข้างตัวยื่นให้จ้าว
   
นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างเพราะไม่ได้รับดอกไม้จากคุณเหมันต์มาพักใหญ่ๆ แล้ว แต่ทุกครั้งที่ได้ก็ล้วนทำให้ประทับใจเสมอ จ้าวรับช่อกุหลาบขาวมากอด รู้สึกคิดถึงบรรยากาศเดิมๆ อย่างน่าประหลาด
   
“ให้ผมทำไม ผมยังไม่ได้ร้องสักเพลงเลย”
   
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่จ้าวกลับควบคุมตัวไม่ให้ยิ้มไม่ได้ รู้สึกอบอุ่นและมีความสุข ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะหวาดกลัวว่าสักวันความสุขของตัวเองจะหายไปเพราะความสุขของเขามันไม่เคยแน่นอน เขารับความเกลียดชังมามากจนจำแทบไม่ได้ด้วยซ้ำว่าความสุขมันเป็นยังไง
   
แต่พอเจอคุณเหมันต์ ทุกอย่างที่เขากลัวกลับไม่มีผลอีกต่อไป เพราะเขาเชื่อว่าคุณเหมันต์ไม่มีวันทอดทิ้งเขาอย่างเด็ดขาด ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาที่คอยดูแลเขาอยู่ห่างๆ มันก็มีค่ามากพอให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว
   
มือผอมไล้กลีบกุหลาบสีขาวด้วยความคิดถึง
   
เขามักจะได้ดอกกุหลาบสีขาวนิรนามอย่างสม่ำเสมอ
   
“ถ้าเรื่องทุกอย่างจบลงแล้ว แต่งงานกับพี่นะ”
   
จ้าวชะงักไปสักพักก่อนจะมองคนพูดอย่างตื่นตระหนก ไม่แน่ใจว่าเขาฟังผิดหรือเปล่า แต่นี่เป็นเรื่องใหญ่ ใหญ่มากๆ สำหรับจ้าวที่เพิ่งมีแฟนอย่างจริงจัง
   
“พี่พูดว่าอะไรนะ”
   
“แต่งงานกัน” ใบหน้าคมคายยิ้มละมุนให้จ้าว “พี่อยากดูแลจ้าว”
   
“…ผม”
   
จ้าวหน้าแดงพูดไม่ออก
   
เขาไม่ได้ฟังผิดจริงๆ ด้วย
   
“พี่รู้ว่ามันอาจจะเร็วไปหน่อยที่จะบอกเรื่องนี้ แต่พี่ก็อยากบอกไว้ว่าพี่อยากแต่งงานกับจ้าว” เหมันต์ดึงมือจ้าวขึ้นมาจูบและยิ้ม “พร้อมใช้นามสกุลกิลลาสรึยังครับ”
   
“…ครับ”
   
จ้าวยิ้มทั้งๆ ที่น้ำตานองหน้า
   
ให้ตายสิ เขาชักจะมีความสุขมากเกินไปแล้ว..

   

สถานการณ์บริเวณย่านเศรษฐกิจตอนนี้นับว่าดุเดือดมาก เกิดการวางระเบิด การประท้วงและการก่อจราจลไม่หยุดไม่หย่อน จนคนที่เป็นผู้คอยควบคุมสถานการณ์อย่าง ‘อาทิตย์ วิริยะศักดิ์’ แทบประสาทกินเพราะไม่อาจเลือกฝ่ายได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังไม่อยากใช้ความรุนแรงในการยุติความรุนแรงจึงต้องทำงานอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ จะโต้กลับก็โต้ไม่สุดซึ่งผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนก็เข้าใจอาทิตย์แต่ก็มีอีกหลายคนไม่เข้าใจเช่นกัน จึงฆ่าโอเมก้าเบต้าอย่างสนุกสนานราวกับปลดปล่อยสันดารดิบออกจากตัว
   
แน่นอนว่าเพราะสถานการณ์ที่ไม่สงบ นายตำรวจฝีมือดีอย่างอาทิตย์จึงไม่มีเวลาไปขบคิดคดีของจ้าวอีกต่อไป ได้แต่ปล่อยให้ความสงสัยเกาะกุมในอก ปล่อยให้คดีนี้ผ่านไปอย่างน่าเสียดายแม้ว่าจะอยากรื้อฟื้นใจจะขาดก็ตาม
   
วันนี้ก็ยังคงเป็นอีกวันที่สุนัขตำรวจอย่างอาทิตย์ต้องลงพื้นที่ไปควบคุมความสงบที่ยากจะควบคุมขึ้นทุกที ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าเหตุการณ์มันเลวร้ายลงเรื่อยๆ เพราะรัฐบาลไม่ยอมรับข้อเสนอของกลุ่มกบฏ อีกทั้งยังดูถูกและทำให้เรื่องทุกอย่างแย่ลงไปอีก
   
ใบหน้าขึงขังของนายตำรวจถูกซุกซ่อนไว้ใต้ผ้าปิดปากและหมวก ดูน่าสงสัยไม่ต่างกับกลุ่มของพวกโอเมก้าเพราะครั้งนี้นายตำรวจอาทิตย์ตั้งใจแต่งนอกเครื่องแบบเพื่อเข้าไปในพื้นที่ที่ทางกลุ่มกบฏขู่ว่าจะวางระเบิดถ้าเกิดยังไม่มีการตอบรับใดๆ จากรัฐบาล
   
หากแต่ยังไม่ทันได้ไปถึงสถานที่ที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อม เสียงระเบิดกัมปนาทก็ดังลั่นต่อหน้าต่อตา นายตำรวจเบิกตากว้างจ้องมองซากปรักหักพังตรงหน้าอย่างตื่นกลัวเพราะเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว มันยังคงเป็นอาคารของรัฐบาลที่มีความสวยงามติดอันดับต้นๆ ของประเทศและเป็นของเก่าแก่มาครั้นตั้งแต่อดีต
   
หากแต่บัดนี้มันกลายเป็นเพียงเศษซากอารยธรรมเท่านั้น!
   
ฝุ่นผงกระจายทั่วเคราะห์ดีที่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บเพราะทางกลุ่มอีกาประกาศอย่างชัดเจนว่าจะระเบิดสถานที่นี้ จึงไม่มีใครคิดจะมาหลบภัยจากสงคราม การระเบิดครั้งนี้มีขึ้นเพื่อแสดงอำนาจของกลุ่มกบฏที่รัฐบาลยังไม่สามารถต่อกรได้ได้แม้ว่าจะลงแรงไปมากแล้วก็ตามที
   
การมาครั้งนี้อาทิตย์ไม่ได้คาดหวังอะไรนัก เพียงแค่คิดว่าตนอาจจะคนของฝั่งกบฏสักคนแต่ถ้าเจอจริง ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าตนเองจะทำยังไงเพราะจุดยืนของเขาก็ใช่ว่าจะมั่นคงนัก เขาแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะใช้คำว่ามีศีลธรรมกับฝั่งไหนเพราะแต่ละฝั่งก็ล้วนแต่ทำลายอีกฝั่งให้ย่อยยับไปข้างเพื่อให้บรรลุผลของตัวเอง
   
ถึงแม้ว่ากลุ่มกบฏจะอุดมการณ์สวยหรูแต่ทว่ามันก็เป็นการเรียกร้องที่รุนแรงเกินกว่าจะควบคุมได้ อีกไม่นานทางรัฐบาลจะขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศและพอถึงเวลานั้นคนก็คงจะตายกันเกลื่อนมากกว่านี้
   
อาทิตย์มองซากศพตามรายทางอย่างเศร้าสลด ตอนนี้แม้แต่หน่วยกู้ภัยยังไม่กล้ามาเก็บศพเลยด้วยซ้ำเพราะกลัวว่าจะโดนลูกหลงเข้าทำให้พื้นที่ในเมืองตอนนี้ค่อนข้างน่าสยดสยอง กลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้งทั้งเก่าและใหม่ เศษซากจากความเกลียดชังกระจัดกระจายไปทั่วจนยากที่จะจดจำได้ว่าเมื่อก่อนมันเป็นอย่างไรมาก่อน
   
โดยสัญชาตญาณอาทิตย์รู้สึกได้ว่าเรื่องนี้ใกล้จะมาถึงจุดจบเต็มทน ทุกอย่างได้เลยเส้นขีดจำกัดมานานมากแล้ว อีกไม่นานทุกอย่างจะจบลง ไม่ทางที่เลวร้ายที่สุดก็ทางที่ดีสุด
   
และแน่นอนว่าอาทิตย์ยังคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าใครจะเป็นคนกลางที่จะจบเรื่องทั้งหมดนี้ลง
   
คนกลางที่มีวาทศิลป์และความกล้ามากพอที่จะคุยกับทั้งฝ่ายเพื่อยุติสงครามที่เต็มไปด้วยความรุนแรง
   
คนกลางที่ต่อให้ปืนที่บรรจุกระสุนอยู่เต็มลำจ่อที่หน้าผากก็ยังไม่คิดจะเกรงกลัว
   
ซึ่งอาทิตย์ก็ยอมรับว่าตนเองไม่มีความกล้ามากขนาดนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะประกอบอาชีพตำรวจและคลุกคลีกับความเป็นความตายแทบทุกวัน เขาก็ยังกลัวที่จะตาย ลูกสาวของเขายังเรียนอยู่ เขายังมีครอบครัวที่ต้องดูแล เขายังตายไม่ได้ ถึงแม้ว่าการตายของเขาอาจจะยุติสงครามกลางเมืองนี่ลงแต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่ามันจะเกิดขึ้นจริง
   
ฉะนั้นเขาก็ยังไม่คิดจะลดตัวลงไปเสี่ยง ต่อให้สถานการณ์จวนตัวขนาดไหน เขาก็เลือกที่จะเอาตัวให้รอดก่อนคนอื่นๆ อย่างไรก็ตามเขาก็ยังเป็นอัลฟ่า ตราบใดที่ฝั่งอำนาจเดิมยังดำรงอยู่ เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำอะไรนอกจากทำตามคำสั่งของเบื้องบน
   
นายตำรวจขับรถวนรอบจุดเกิดเหตุได้สักพักก็ถอยออกมา ไม่กล้าลงไปสำรวจต่อเพราะกลัวว่าอาจจะมีคนของฝั่งกบฏแฝงตัวอยู่แถวนี้แล้วบุกเข้ามาทำร้าย
   
“คุณจันทร์! ”
   
อาทิตย์สบถออกมาอย่างตื่นตระหนกเมื่อเห็นร่างคนที่คิดว่าจะเห็นเป็นคนสุดท้ายที่นี่!
   
จากจะขับกลับรีบวนรถกลับไล่ตามอย่างไม่สนกฎจราจร สีหน้าของอาทิตย์ค่อนข้างเครียดเพราะคนที่มีส่วนขับเคลื่อนกลุ่มอำนาจของรัฐบาลก็คือจันทร์ ทุกคำที่กล่าวออกมาของตระกูลนฤภัทรแทบไม่มีความคิดไหนเลยที่รัฐบาลกล้าละเลย ยาทุกอย่างที่พวกเขาใช้กับโอเมก้าอย่างทารุณล้วนมาจากตระกูลนฤภัทรที่มักจะสรรหาคนเก่งๆ มาวิจัยงานได้อย่างน่าประหลาดใจ
   
เสียงเครื่องยนต์สองคันคำรามลั่นบนท้องถนนที่สภาพไม่ค่อยเป็นถนนนัก ทำให้คนที่ถูกไล่ตามเริ่มรู้ตัว จันทร์หันกลับไปมองเมื่อพบว่าเป็นใครก็ออกแรงบิดมากกว่าเดิม ไม่คิดจะเสวนาด้วยแต่อย่างใด
   
“คุณจันทร์! คุณมาทำอะไรที่นี่ มันอันตรายนะครับ”
   
อาทิตย์ตะโกนเมื่อลงจากรถและวิ่งไปหาร่างโปร่งที่กำลังจะเดินเข้าไปในกลุ่มควัน มือหนาเอื้อมแตะปืนพกที่เหน็บไว้ที่เอวเตรียมชักออกมายิงตลอดเวลาถ้าหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
   
“ไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องรู้”
   
ในที่สุดจันทร์ก็หยุดเดินเมื่อพบว่าท่ามกลางซากปรักหักพังนั้นไม่มีใครหลงเหลืออยู่ นัยน์ตาโศกฉายความผิดหวังแต่ก็ยังไม่หมดหวังซะทีเดียว
   
“ผมไม่สนหรอกว่า ผมควรจะรู้หรือไม่รู้ แต่ที่ผมมั่นใจคือคนอย่างจันทร์ นฤภัทรไม่ควรอยู่ตรงนี้ครับ” อาทิตย์พยายามหว่านล้อมให้จันทร์กลับด้วยความเป็นห่วง
   
“ไปให้พ้น” จันทร์ใช้หางตามอง “แล้วอย่าหาว่าผมไม่เตือน”
   
“จันทร์ ผมหวังดีกับคุณนะ คุณกลับรถผมก็ได้ เดี๋ยวผมไปส่ง ผมจะไม่พูดกับใครว่าผมเจอคุณที่นี่”
   
ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยของอาทิตย์แต่อาทิตย์ก็คงทนเห็นคนตายต่อหน้าต่อตาไม่ได้ ใครจะไปรู้ว่าในอีกนาทีสองนาทีข้างหน้าอาจจะฝั่งกบฏมาเจอเข้าอาจจะกราดยิงใส่ก็เป็นได้
   
“ถ้าคุณกลัวมากก็กลับบ้านไปซะ”
   
อาทิตย์ชะงักเมื่อโดนพูดแทงใจดำ ยอมรับอย่างหน้าไม่อายเลยว่าเขากลัวตามที่อีกฝ่ายว่าจริงๆ
   
“แล้วคุณจะทำอะไร ถ้าคุณจะมาหาพวกกลุ่มอีกา ผมบอกเลยว่าเสียเที่ยว”
   
“เรื่องของผม” จันทร์พูดเสียงลอดไรฟันอย่างรำคาญ “ไปให้พ้นก่อนที่ผมจะทนไม่ไหว”
   
“ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้นจนกว่าคุณจะบอกผมว่าคุณมาทำอะไรที่นี่”
   
จันทร์แค่นเสียงหัวเราะก่อนที่จะเดินไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ นัยน์ตาโศกพยายามกวาดตามองรอบๆ มองหากลุ่มกบฏที่คาดหวังให้มีโผล่หัวมาสักคน มันอาจจะเสี่ยงที่จะต้องทำแบบนี้ แต่สำหรับจันทร์แล้วความตายคงจะเป็นเรื่องที่เมตตากว่าการมีลมหายใจบนโลกอันเน่าเฟะแห่งนี้นัก
   
เขาทำผิดมามากพอแล้ว ถึงเวลาที่จะชำระบาปของเขาเสียที
   
จันทร์คิดอย่างเหม่อลอยก่อนจะถูกอาทิตย์ผลักจนล้มและกระชากไปหลบหลังรถที่จอดอยู่ใกล้ๆ
   
ปัง!
   
กระสุนเฉี่ยวหัวจันทร์ไปอย่างฉิวเฉียด คนที่สมควรจะกลัวจนตัวสั่นกลับคลี่ยิ้มออกมาอย่างพอใจ ร่างผอมที่ล้มคะมำอยู่บนพื้นค่อยๆ ลุกขึ้นมาและชูสองแขนขึ้นเหนือหัว
   
อาทิตย์เบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก “คุณทำบ้าอะไรจันทร์! พวกนั้นจะฆ่าคุณนะ คุณจะไปไหน” สองมือพยายามจะคว้าเสื้อจันทร์อีกครั้งแต่กลับไม่ได้ผล คว้าได้เพียงอากาศ
   
“ผมมาดี!”
   
จันทร์ตะโกนเมื่อเห็นกลุ่มอีกาที่ซุ่มอยู่ตามจุดต่างๆ กำลังเล็งกระบอกปืนมาที่ตนเอง ถึงแม้จะเห็นเพียงนัยน์ตาของกลุ่มกบฏแต่จันทร์ก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกโอเมก้าที่กำลังแค้นจัด มือที่ถือปืนสั่นอย่างเห็นได้ชัด
   
ซึ่งมันก็ไม่น่าแปลกใจนักเพราะตระกูลนฤภัทร ฉากหน้าเป็นตระกูลผู้ดีมีประวัติสวยหรูแต่ฉากหลังนั้นเต็มไปด้วยความฟ่อนเฟะ มีโอเมก้าถูกจับไปทดลองยาต่างๆ จนตายนับไม่ถ้วน แต่สาเหตุหลักที่โอเมก้าโกรธกันจริงๆ คือการที่จันทร์และเหล่าอัลฟ่าประกาศอย่างชัดเจนว่าสามารถฆ่าโอเมก้าได้โดยไม่มีความผิดแม้แต่เด็กก็ไม่เว้นสามารถฆ่าได้ อีกทั้งยังมีการตบรางวัลให้สำหรับคนที่สามารถฆ่าได้มากที่สุดด้วย
   
แน่นอนว่านโยบายโหดร้ายเหล่านั้นไม่ได้มาจากจันทร์โดยตรง เพียงแต่จันทร์เป็นผู้ประกาศใช้เท่านั้น ถึงแม้จะรู้สึกต่อต้านในใจแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จันทร์คนเก่านั้นก็เป็นแค่เด็กดีที่เชื่อฟังพ่อแม่ทุกอย่าง ไม่เคยคิดไม่เคยสนใจว่าผลที่ตามมามันจะร้ายแรง ผิดศีลธรรมแค่ไหน เพราะเชื่อใจในพ่อแม่ของตนเอง
   
หากแต่เมื่อความเชื่อใจพังทลายลงสิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็เป็นเพียงเด็กน้อยในร่างของผู้ใหญ่ที่พยายามจะชดใช้ความผิดของตัวเองให้มากที่สุดโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะตายหรือไม่
   
“คิดให้ดีนะว่าระหว่างเอาผมไปเป็นตัวประกันกับฆ่าผมตอนนี้เลย อันไหนคุ้มค่ากว่ากัน!”
   
จันทร์ก็คือจันทร์ ถึงแม้จะมองว่าตัวเองโง่เง่ากว่าจ้าวขนาดไหนแต่ความจริงก็ยังคงเป็นความจริง เพราะสติปัญญาและวาทศิลป์ของจันทร์ไม่ได้ด้อยไปกว่าจ้าวเลยแม้แต่นิดเดียว!
   
คำพูดตรงประเด็นของจันทร์เล่นเอาเหล่าโอเมก้าเบต้าที่มารับหน้าที่วันนี้ลังเลที่จะยิง พวกเขาเป็นเพียงแนวหน้าที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรนักจึงไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจ ขืนถ้าพวกเขากราดยิงจนทำจันทร์ตายเข้า อาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นและแผนการที่หัวหน้ากลุ่มของพวกเขาก็พังหมด
   
ปรึกษากันพักใหญ่ ในที่สุดก็มีโอเมก้าคนนึงเดินออกมารับจันทร์ด้วยสีหน้าไม่ไว้วางใจนัก
   
“จันทร์! โอกาสสุดท้ายแล้วนะที่คุณจะหนี!”
   
อาทิตย์ตะโกนดังลั่นพร้อมกับควักปืนออกมาเล็งหัวโอเมก้าที่ออกมารับจันทร์ ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ควรเสี่ยงแต่ก็อดไม่ได้ที่จะช่วยอีกฝ่ายอยู่ดี ยังไงซะทั้งเขาและจันทร์ก็ถือเป็นคนกันเองที่พบหน้ากันบ่อยพอตัว
   
ซึ่งพออาทิตย์ควักปืนขึ้นมาคนอื่นๆ ก็เล็งไปที่อาทิตย์และจันทร์เช่นกัน ปลายนิ้วเหนี่ยวไกเตรียมจะปลิดชีพถ้าเกิดนายตำรวจคิดจะเล่นตุกติกอะไร
   
หากแต่ความหวังดีกลับไม่ได้ผลตอบรับที่ดีเท่าใดนัก สุนัขตำรวจอย่างอาทิตย์ตกใจจนหน้าซีดเมื่อเห็นสีหน้าโกรธจัดของจันทร์จ้องมายังตัวเองอย่างดุดัน นัยน์ตาโศกนั้นแทบจะลุกเป็นไฟและแผดเผาเขาทั้งเป็น!
   
“กูบอกว่าอย่ามายุ่งไงวะ!”

นายตำรวจยอมลดปืนลงอย่างไม่เต็มใจนัก มองตามแผ่นหลังผอมที่เดินไปกับพวกกลุ่มกบฏอย่างไม่เข้าใจ
   
“คิดจะทำอะไรกันแน่ จันทร์..”
   
อาทิตย์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะกลับขึ้นรถเพื่อไปรายงาน ‘ข่าวใหญ่’ กับนายของตนเอง

   

แกร๊ง!
   
“…”
   
จันทร์จดจ้องโซ่ที่ล่ามข้อมือข้อเท้าตัวเองด้วยความรู้สึกแปลกๆ เพราะเขาไม่เคยแม้แต่จะเคยแตะต้องของพวกนี้ด้วยซ้ำ สิ่งของพวกนี้มีไว้ใช้เฉพาะกับชนชั้นเบต้าและโอเมก้าเท่านั้น ของสำหรับอัลฟ่าล้วนเป็นของที่ดีที่สุดเสมอ
หากแต่สิ่งที่อยู่บนร่างผอมของนายแพทย์กลับตรงกันข้ามเพราะมันเป็นแค่เหล็กเก่าๆ ที่หลอมผสมด้วยหลายอย่างถึงแม้จะมีคุณสมบัติในการตรวนผู้คนแต่ก็เก่าจนสนิมเกรอะและเมื่อต้องผิวหนังก็ชอบทิ้งคราบสนิทอันสกปรกเอาไว้ ข้อมือและข้อเท้าของจันทร์จึงกลายเป็นสีส้มน้ำตาลของสนิม

“พี่คุณก็โดนโซ่อันนี้ตรวนเหมือนกัน”

จันทร์เหลือบมองเบต้าร่างใหญ่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสบายใจในมือถือบุหรี่และพ่นควันออกมาเป็นพักๆ ทั้งๆ ที่อยู่ในห้องมืดสลัวแคบๆ และไม่มีช่องระบายอากาศ

“คุณรับข้อเสนอของผมใช่ไหม”

ถึงแม้จะโดนตรวนร่างกายแต่จันทร์ก็ไม่ได้สนใจและไม่ได้คิดจะดิ้นรนโง่ๆ อย่างการพยายามตะเกียกตะกายออกให้เกิดบาดแผล เขาเป็นคนตัดสินใจเข้ามาเองจึงไม่รู้จะขัดขืนไปทำไม

อีกอย่างกับการไม่ถูกค้นตัวแลกกับการถูกตรวนข้อมือข้อเท้าตลอดเวลาก็ถือว่าคุ้มค่ามากพอแล้วสำหรับเขา

“บอกตามตรงว่าจนถึงตอนนี้ผมก็ไม่เข้าใจความคิดคุณเลย คุณจันทร์” สิตพ่นควันออกมาอีกครั้งก่อนที่จะโยนก้นบุหรี่ทิ้งลงพื้นและใช้เท้าขยี้มันเพื่อดับไฟ “คุณอยู่บนวิมานสวรรค์นะจันทร์ ต่อให้เรื่องนี้จบลงยังไง คุณก็สามารถอยู่รอดได้สบายๆ อยู่ดี”

จันทร์หัวเราะเสียงแผ่ว “ถ้าคุณเป็นผม คุณจะไม่เรียกมันว่าสวรรค์หรอก”

สิตขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียดเพราะคาดเดาความคิดจันทร์ไม่ออกจริงๆ สิ่งที่พอจะคิดออกก็มีแค่จันทร์มาเป็นไส้ศึกด้วยตัวเองและแน่นอนว่ามันไม่เนียนเลยสักนิด “เอาเข้าจริงถ้าคุณจะจบลงนี้ คุณไม่จำเป็นต้องลดตัวลงมาทำมันเองด้วยซ้ำ”

“เพราะผมเป็นคนทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ผมถึงต้องมาจบมันด้วยตัวเอง”

“มันก็ใช่แต่ก็ไม่ใช่คุณคนเดียวหรอก จันทร์ ที่ทำให้เรื่องบ้าๆ นี่เกิดขึ้นและเลวร้ายขนาดนี้” หัวหน้ากลุ่มอีกาหัวเราะด้วยความเศร้าหมอง “บอกตามตรงนะว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนี้ ผมไม่ได้อยากให้มีใครตาย ผมก็แค่อยากให้พวกโอเมก้าที่เป็นครอบครัวของผม เพื่อนๆ ของผม หรือจะเป็นใครก็ได้ที่เป็นโอเมก้าได้มีชีวิตที่ดีและอิสระมากกว่านี้ คุณอยากไม่รู้หรอกว่าผมทนเห็นโอเมก้าเด็กๆ โดนข่มขืนจนท้องไปกี่คน ผมเคยเห็นแววตาใสซื่อพวกนั้นบอกกล่าวถึงความฝันตัวเองว่าอยากทำอะไรตั้งมากมายแต่พอพวกเขาโตขึ้น พวกเขาก็รู้ความจริงว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้”

ร่างสูงใหญ่ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นฐานหลักของกลุ่มอีกาสั่นระริก ใบหน้าคมเข้มที่มีหนวดเคราบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวด ต่อหน้าเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา เขาต้องเป็นคนที่เข้มแข็งที่สุดเพื่อที่จะนำพากลุ่มไปสู่ชัยชนะ ไปสู่จุดหมายที่แทบจะไม่มีทางเป็นไปได้ จุดหมายที่ดูเหมือนฝันมากกว่าความจริง

และเพราะมันเป็นไปไม่ได้ เขาถึงต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มันมา ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม พวกเขามาไกลเกินกว่าที่จะถอยแล้ว หากถอยตอนนี้คงไม่วายถูกกลุ่มรัฐบาลบดขยี้และกดลงให้ลึกกว่าเดิม ไม่มีวันเงยหน้าขึ้นจากพื้นดินได้อีก

“ระบบชนชั้นบ้านี้ทำลายแม้แต่เด็กตัวเล็กๆ ผมไม่เข้าใจสักนิดว่าเราจะมีมันไปทำไมกัน ทั้งๆ ที่เราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน มีความฝันเหมือนกัน ทำไมกับแค่การเป็นโอเมก้าถึงต้องเลวร้ายถึงขนาดนั้น ผมไม่เข้าใจ”

“เพราะแบบนี้แหละ คุณถึงต้องรับข้อเสนอของผม” จันทร์ไม่ได้คล้อยตามสิตเลยแม้แต่นิดเดียวเพราะไม่เคยสนใจความเป็นไปของคนอื่นมากขนาดนั้น สิ่งที่อยู่ในหัวจันทร์แต่ละวันก็มีแต่งานวิจัย การรักษา การออกสื่อ ทุกอย่างเป็นระบบระเบียบจนความรู้สึกกลายเป็นเรื่องไม่จำเป็นไปเสียแล้ว

แต่จันทร์ก็รู้ดีว่าตัวเองไม่ได้สูญเสียความรู้สึกไปจริงๆ เพียงแต่เพิกเฉยต่อมันเท่านั้น

“คุณจะบ้าเหรอ จันทร์” สิตสบถไม่จริงจังนัก “นัดพวกรัฐบาลมาเจรจากันหน้าทำเนียบรัฐบาล คุณคิดว่าพวกเขาจะปล่อยให้พวกเรารอดเหรอ เผลอๆ ยังไม่ทันคุยก็กราดยิงใส่ด้วยซ้ำ ผมไม่อยากเอาคนของผมไปเสี่ยงด้วยหรอกนะ”

“คุณก็แค่นัด” จันทร์พูดอย่างสุขุม “ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ผม”

“จะบอกว่าจะเป็นตัวแทนให้กลุ่มเราแทนจ้าวว่างั้น?”

“ผมไม่ใช่ตัวแทนใคร” นัยน์ตาโศกมองสิตอย่างไม่พอใจนัก “ที่ผมมาที่นี่ มันยังไม่ชัดพอรึไงว่าผมสมัครใจเป็นพวกคุณ”

“ใครจะไปรู้ คุณอาจจะตั้งใจมาสืบพวกเราก็ได้”

บรรยากาศกึ่งผ่อนคลายหายไปเหลือเพียงความตึงเครียดแทบทุกตารางนิ้วในอากาศ กลิ่นบุหรี่ที่ยังอวลอยู่ในห้องเล่นเอาคนที่เกลียดกลิ่นบุหรี่เข้าไส้อย่างจันทร์หงุดหงิดขึ้นอีกหลายระดับ

“ผมจะสืบพวกคุณไปทำไม” จันทร์พูดเสียงแข็ง “บอกตามตรงว่าตอนนี้ต่อให้รู้ข้อมูลการเคลื่อนไหวของพวกคุณมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ผมไม่เห็นฝั่งรัฐบาลจะหยุดระเบิดมือที่พวกคุณทำได้สักรอบ ยาต้านน้ำหอมพวกนั้นก็ไม่มี ยิ่งขาดผมแล้วพวกนั้นก็คงจะทำอะไรต่อไม่ได้”

“ผมไว้ใจใครไม่ได้ จันทร์” สิตยิ้มบางๆ “ผมมีคนในการดูแลอีกเป็นพันๆ คน ผมจะไม่เสี่ยงกับอะไรที่ไม่แน่นอน ข้อเสนอของคุณ ผมคงจะรับไว้ไม่ได้”

“แล้วจะปล่อยให้สงครามมันยืดเยื้อไปถึงไหนวะ!” นัยน์ตาโศกของจันทร์ขึ้นสีแดงก่ำอย่างดุร้าย “ปากบอกว่าหวังดีแต่มึงก็ไม่เคยคิดจะหยุดสงคราม มึงลองมาอยู่ในโรงพยาบาลแล้วเห็นคนหามทั้งศพทั้งคนเข้ามาตลอดเวลาไหมวะ รู้ไหมว่าโรงพยาบาลทุกที่แทบจะทุกเตียงเต็มหมดแล้วเพราะอุดมการณ์ของมึง ถ้ามึงยังไม่หยุดวางระเบิดฆ่าพวกอัลฟ่า รัฐบาลก็ไม่หยุดฆ่าพวกมึงเหมือนกัน เอาสิ มึงจะให้ตายกันทั้งประเทศเลยไหมล่ะ”

เพี๊ยะ

ใบหน้าของจันทร์สะบัดตามแรงตบ กลิ่นเลือดฉุนในปากแต่จันทร์ก็ยังรู้สึกเดือดดาล

เขาโกรธที่ปฏิเสธข้อเสนอของเขาอย่างไม่ไยดี ทั้งๆ ที่เขาคิดและไตร่ตรองมาแล้วว่ามันต้องสำเร็จ อีกทั้งยังไม่น่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียเลือดเนื้อด้วย มันเป็นวิธีที่ดีและปลอดภัยอีกทั้งยังมีโอกาสที่จะสำเร็จสูงด้วย

“มึงจะพูดอะไร มึงก็ระวังปากหน่อยแล้วกัน” สิตขบกรามกรอด “ถ้ากูนัดให้มึงแล้วมึงจะทำยังไงต่อ แค่คำพูดสุนทรพจน์ที่มึงชอบพูด มันไม่ช่วยอะไรหรอกนะ”

“จับกูเป็นตัวประกัน” จันทร์เหยียดยิ้ม “แล้วพวกนั้นจะไม่กล้าทำอะไรมึง”

สิตชะงักปากที่กำลังจะด่าและครุ่นคิดเพราะความคิดของจันทร์ถือว่าน่าสนใจไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงคาดเดาแผนของจันทร์ไม่ออกอยู่ดี พูดตามตรงว่าตอนนี้เขายังคิดหาทางยุติสงครามนี้ไม่ได้เลยนอกจากจะทำลายอีกฝ่ายให้ย่อยยับจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะยอมแพ้

และแน่นอนว่าจะไม่ใช่กลุ่มของอีกาอย่างแน่นอน!

“ถ้ากูนัดให้แล้วมึงจะทำยังไงต่อ”

“ก่อนอื่นกูขอถามตรงๆ นะ” จันทร์จ้องตาคนเป็นหัวหน้ากลุ่มอีกาเขม็งอย่างไม่เกรงกลัวแม้ว่าจะโดนตบหน้าไปครั้งนึงแล้วก็ตามที “ถ้ารัฐบาลยอมหยุดแล้วมึงจะยอมหยุดบ้างไหม”

สิตขมวดคิ้ว “ถ้าพวกมันไม่เล่นตุกติกกูก็จะหยุด”

“บอกตามตรงว่ากูก็ไม่มั่นใจหรอกว่าจะยุติสงครามบ้าๆ นี่ได้ไหม” นัยน์ตาโศกสั่นระริกชั่วครู่ก่อนที่จันทร์จะหลับตาเพื่อซ่อนมันเอาไว้ “แต่กูก็แค่คิดว่าวิธีการของกูมันน่าจะลดความรุนแรงได้บ้าง ถ้าต้นเหตุของสงครามคือความแตกต่างระหว่างชนชั้น ถ้าเกิดว่ากูทำลายมันได้ แต่ละฝ่ายก็ไม่น่าจะมีข้ออ้างในการทำสงครามแล้ว”

“หมายความว่าไง? อย่าบอกว่านะว่าผลิตอะไรได้อีกแล้ว”

หัวหน้ากลุ่มอีกาถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักเพราะรู้ดีว่าคนตรงหน้าตัวเองเป็นเจ้าของผลงานอะไรบ้าง ผลงานวิจัยระดับโลกหลายอย่างๆ ก็ล้วนมี ‘จันทร์ นฤภัทร’ อยู่ในกลุ่มทั้งนั้น

“ใช่”

จันทร์ยิ้มเย็น

“กูสามารถทำให้อัลฟ่า เบต้า โอเมก้ากลายเป็นพวกสภาวะไร้เพศได้แล้ว!”

===========

คืออารมณ์ตอนตัดกันจนเกรงใจคนอ่านอ่ะ 5555 เนื้อเรื่องตอนต่อๆ ไปคงจะเข้มจนไม่รู้จะเข้มยังไงล่ะอ่ะ

ใกล้ถึงจุดจบของเรื่องขึ้นทุกทน ขอให้ทุกท่านโปรดทำใจรอเลย (?)

ปล ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ  :ling3: เป็นกำลังใจเขียนมากๆ เลยเพราะตอนนี้เขียนยากมากช่วงหลังและช่วงหลังจากนี้ก็คงยากขึ้นไปอีกเรื่อยๆ เพราะมันจะพีคที่สุด 5555








หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 33 : คำขอ p.7 (25/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 25-07-2018 03:13:39
สภาวะไร้เพศ  :m28: :confuse: เอ้ารอดูผลเลยจ้า
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 33 : คำขอ p.7 (25/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 25-07-2018 08:39:48
งานวิจัยของจันทร์เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เลย แต่ว่าวิธีของจันทร์จะช่วยหยุดสงครามได้รึป่าว

เขินพี่เหมันต์มากค่ะ ขอน้องจ้าวแต่งงานแล้ว ดีใจจจจจ
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 33 : คำขอ p.7 (25/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 25-07-2018 09:20:25
หายใจไม่อปเลยยยยย
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 33 : คำขอ p.7 (25/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kanj1005 ที่ 25-07-2018 20:07:45
สภาวะไร้เพศ  คือเหลือแต่เพศหญิงชาย  ไม่มีสถานะติดตัวเป็นอัลฟ่า เบต้า โอเมก้า ใช่ไหม
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 33 : คำขอ p.7 (25/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 26-07-2018 11:59:09
คอยดูกันต่อไป
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 34 : ลางสังหรณ์ p.7 (28/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 28-07-2018 01:58:28
ตอนที่ 34
   
การกลับมาครั้งนี้ของจ้าว เหมันต์สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เห็นได้ชัดเอามากๆ คือจ้าวติดเขามาก อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา ซึ่งเขาก็ไม่ได้แปลกใจอะไรนักเพราะจ้าวเพิ่งจะถูกลักพาตัว คงจะหวาดกลัวกับการอยู่คนเดียวไปอีกสักพักใหญ่ๆ
   
นัยน์ตาสีเทาเหลือบมองร่างผอมที่ลากโซฟามานอนข้างๆ โต๊ะทำงาน อีกทั้งยังยึดตักของเขาเป็นหมอน หลับสบายจนเหมันต์อดยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้ ลูบหัวจ้าวจนพอใจก็ทำงานต่อ
   
ซึ่งแน่นอนว่างานในช่วงนี้ของท่านประธานกิลลาสย่อมไม่ใช่เรื่องหุ้นหรือการค้าขายเป็นหลักเพราะเศรษฐกิจของประเทศนั้นชะงักงันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ทุกคนในประเทศกำลังสนใจคือสงครามที่ยังไม่ที่ท่าจะยุติลงสักที
   
สีหน้าของเหมันต์เคร่งเครียดเมื่อพบว่ายังไม่สามารถหาแหล่งกระจายน้ำหอมโอเมก้าได้ด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่รู้ตัวคนทำแล้วว่าเป็นใครแต่ก็ดูเหมือนจะเปล่าประโยชน์อยู่ดี ซึ่งเอาเข้าจริงต่อให้พบแหล่งกระจายน้ำหอมและขัดขวางการส่งได้ก็คงจะช่วยอะไรได้ไม่มากเพราะทุกอย่างได้ดำเนินมาถึงจุดที่เกินการจะควบคุมได้แล้ว
   
ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาทำได้ก็มีเพียงแค่ประคองสถานการณ์ต่อไปเรื่อยๆ และระมัดระวังตัวไม่ให้เผลอตายไปเสียก่อน
   
เหมันต์ถอนหายใจ รู้สึกจนตรอกจนพูดไม่ออก ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะไม่แย่ลงไปกว่านี้ อย่างไรก็ตามเป้าหมายการตามหาตัวจ้าวของเขาก็บรรลุผลแล้ว คงไม่มีอะไรที่แย่ไปกว่านี้แล้วจริงๆ
   
“..พี่เหมันต์”
   
“ครับ”
   
เจ้าของชื่อยิ้มบางๆ ทันทีเมื่อโดนเรียกชื่อ มองคนที่หลับมาครึ่งวันด้วยสายตารักใคร่อย่างไม่ปิดบังจนจ้าวเขินจนทำหน้าไม่ถูก เกือบลืมด้วยซ้ำว่าตัวเองจะพูดอะไร
   
“พี่ยังหาหลักฐานเรื่องของจันทร์อยู่รึเปล่า?”
   
สีหน้าของเหมันต์เคร่งเครียดขึ้นมาทันที แววตาสีเทาดุร้ายไม่ต่างกับหมาป่าที่กำลังโกรธจัด “หาสิ ถ้ามันทำจ้าว พี่ก็จะทำให้มันเจ็บกว่าจ้าวอีก”
   
“ถ้าจ้าวขอให้พี่หยุดล่ะ”
   
“…หมายความว่ายังไงครับ” เหมันต์เผลอเป๋ไปสักพักอย่างงุนงงเพราะเท่าที่จำได้ เขาจำได้ว่าจ้าวแค้นจันทร์มาก แค้นจนแทบไม่เผาผีกัน ร่องรอยความเจ็บปวดและโกรธแค้นก็ยังคงชัดเจนเป็นรอยแผลเป็นอยู่ตามร่างคอยตระหนักเตือนว่าไม่ให้ลืมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
   
“…ผมไม่อยากทำร้ายน้องไปมากกว่านี้แล้ว” จ้าวสะอื้นจนตัวโยน น้ำตาไหลพรากออกมาอย่างเจ็บปวด “ส่วนหนึ่งที่น้องทำผมก็เพราะผมทำน้องก่อน ฮึก พี่เหมันต์อย่าทำอะไรจันทร์เลยนะ ผมขอร้อง ฮึก ผมไม่โกรธน้องแล้ว ผมผิดเอง ผมผิดเอง”
   
เหมันต์รวบตัวจ้าวขึ้นมานั่งบนตักและกอดแน่น ใบหน้าน่ามองของจ้าวคลอด้วยน้ำตาจนน่าสงสาร มือหนาลูบหัวจ้าวพยายามใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาออกให้อย่างบรรจง
   
“ใจเย็นๆ จ้าว พี่จะไม่หาหลักฐานแล้ว อย่าร้องไห้เลยนะ”
   
จ้าวสะอื้นจนหายใจไม่ทัน รู้สึกเจ็บปวดที่ไปทำลายชีวิตน้องตัวเองทั้งชีวิตโดยไม่ตั้งใจ ยิ่งการพบกันครั้งล่าสุดก่อนที่จะลากัน เขาเห็นแววตาของจันทร์เหมือนกับเขาตอนนั้น
   
เขาที่หมดหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว…
   
มือผอมปิดหน้าตัวเองด้วยความรู้สึกผิดร้องไห้โฮออกมาอย่างใจสลาย เขาทนรับการสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ไหวหรอก แค่น้องจินโดนจับไปการุณฆาตเขาก็ร้องไห้แทบตายแล้ว ขืนถ้าจันทร์ตายอีก เขาคง..
   
“ทำไมผมกับจันทร์ต้องมาเกิดในครอบครัวนี้นะ”
   
จ้าวแนบหน้ากับอกคุณเหมันต์รู้สึกเสียใจจนพูดไม่ออก
   
ถ้าเขากับจันทร์แล้วก็น้องจินเกิดในครอบครัวเบต้าธรรมดาๆ ก็คงไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เขากับจันทร์ก็อาจจะเป็นแฝดที่รักกันมากๆ และมีน้องจินที่ต้องโตมาอย่างน่ารักและร่าเริง ไม่มีกฎเกณฑ์ใดในตระกูลที่มาตีกรอบชีวิตให้จมปลักอยู่กับแค่คำว่าชื่อเสียงและวงศ์ตระกูล
   
“ฮึก พ่อกับแม่เคยร้องไห้บ้างรึเปล่า ฮึก เคยรู้สึกอะไรบ้างไหม”
   
ร่างผอมสั่นสะท้านจนเหมันต์กอดจ้าวแน่นกว่าเดิม พยายามทำให้อีกาบาดเจ็บตัวน้อยในอ้อมกอดได้รับรู้ถึงความรักที่ตนเองมีให้และเน้นย้ำว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
   
จ้าวสูดน้ำมูกฟึดฟัด นัยน์ตาโศกแดงก่ำจากน้ำตา “ผมควรจะทำยังไงดี พี่เหมันต์ ฮึก ผมไม่อยากให้จันทร์ตาย ฮึก จันทร์จะต้องทำอะไรแน่ๆ ผมรู้“
   
ความจริงที่ว่าแฝดสามารถรับรู้ถึงกันได้ของจ้าวและจันทร์อาจจะได้เกินจริงไปบ้าง แต่สำหรับจ้าวกับจันทร์ย่อมรู้ดีว่ามันเป็นความจริงเพราะพวกเขาก็มีชีวิตร่วมกันมาเป็นยี่สิบปีแล้ว
   
อีกไม่นาน… จะเกิดเรื่องเลวร้ายกับจันทร์ขึ้น
   
นั่นเป็นสิ่งจ้าวรู้สึกได้อย่างชัดเจนเมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา แม้แต่ในฝันเขาก็ยังฝันถึงจันทร์ ฝันว่าพวกเขาสามพี่น้องในวัยไม่เกินสิบขวบกำลังนั่งกินข้าวด้วยกัน เล่นด้วยกัน หัวเราะด้วยกิน มีความสุขจนกลัวว่าจะเป็นฝันตื่นหนึ่ง
   
และตื่นขึ้นมาก็พบว่ามันเป็นแค่ฝันตื่นหนึ่งจริงๆ
   
ถึงแม้จะโตจนอายุขนาดนี้แล้วแต่จ้าวก็ยังแอบหวังว่าตัวเองจะนอนฝันได้นานกว่านี้ หัวเราะได้มากกว่านี้ เขาคิดถึงช่วงเวลาสั้นๆ อันล้ำค่าที่ไม่มีวันเกิดขึ้นอีก

หากแต่ความจริงก็โหดร้ายเสมอ

เขากำลังจะสูญเสียพี่น้องของตัวเองไปอีกคนแล้ว…

“จันทร์เป็นอะไรเหรอจ้าว เมื่อคืนพี่ยังเห็นแถลงข่าวอยู่เลย”

“ผมไม่รู้” จ้าวร้องไห้จนตาเริ่มบวม “แต่ผมรู้ว่าจันทร์จะไม่อยู่กับผมแล้ว”

ยิ่งจ้าวพูดเหมันต์ก็ยิ่งงง ไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียวว่าจ้าวหมายถึงอะไร เลยเลือกที่จะใช้มือโอบตัวจ้าวไว้ข้างนึงและอีกข้างก็ลองเช็คข่าวสารภายในกับโน๊ตบุ๊คตัวเอง

“…”

นัยน์ตาสีเทาเบิกตากว้างเมื่อเห็นคำแถลงการณ์ล่าสุดว่าด้วยการหายตัวไปของ ‘จันทร์ นฤภัทร’ และเรื่องสำคัญอีกอย่างคือการตกลงเจรจากับกลุ่มอีกาที่หน้าทำเนียบรัฐบาลโดยมีสื่อมวลชนและคนทั้งสองฝ่ายเป็นพยาน ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไรแต่ก็ถือว่าเป็นก้าวแรกที่ดีสำหรับการพูดคุยกัน

“ผมไม่อยากให้จันทร์ตาย” จ้าวพูดเสียงพร่า “ผมจะทำยังไงดี”

เหมันต์รู้สึกประหลาดใจกับเซนส์ที่แรงจนน่ากลัวของจ้าวเพราะจ้าวไม่ได้รับรู้ข่าวสารภายนอกเลยแม้แต่น้อยแต่กลับรู้ว่าจันทร์กำลังตกอยู่ในอันตรายหรืออะไรสักอย่าง การหายตัวไปในช่วงนี้ไม่ใช่เรื่องปกติอย่างแน่นอน

“พรุ่งนี้รัฐบาลกับกลุ่มอีกาจะเจรจากัน”

มือหนาลูบหัวจ้าวสั่นระริกจากการสะอื้น

“จ้าวอยากไปด้วยไหม”

“ไปครับ” จ้าวตอบโดยไม่ต้องคิดสัญชาตญาณเบื้องลึกบางอย่างกำลังกู่ร้องบอกเขาถึงลางร้ายที่สุดที่กำลังจะเกิดขึ้น ถ้าเกิดเขาไม่ไปเขาอาจจะเสียใจไปจนตายเลยก็ได้

แน่นอนว่าเพราะมันเป็นเพียงแค่ลางสังหรณ์จ้าวจึงไม่มีทางรู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างในพรุ่งนี้

และถ้าหากจ้าวรู้ก็คงเลือกที่จะไม่ไปเสียตั้งแต่ทีแรก…



ถึงแม้จะมีการประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่าการเจรจาครั้งนี้จะไม่ใช้ความรุนแรงแต่คนที่มาเข้าร่วมเป็นสักขีพยานครั้งนี้ก็มีไม่มากอยู่ดี ทุกอย่างดูบางตาไปหมดทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายกบฏ หากแต่แต่ละฝั่งก็ล้วนแต่มีบุคคลสำคัญในกลุ่มมาเพื่อลงนามหากว่าการเจรจาสำเร็จ

สนามหญ้าหน้าทำเนียบถูกจัดเป็นซุ้มง่ายๆ ไม่หรูหรานัก ท้องฟ้าวันนี้มืดครึ้มเป็นพิเศษราวกับว่าฝนจะตกตลอดเวลา บรรยากาศเป็นสีเทาหม่นหมอง ต้นไม้ที่พยายามเสียดแทงยอดขึ้นไปบนฟ้ามีกลุ่มเด็กนักเรียนที่สนับสนุนสันติภาพมาห้อยคำว่า ‘PEACE’ เต็มไปหมด พยายามวอนขอให้ทุกฝ่ายเจรจาด้วยเหตุผลมากกว่าอารมณ์ ความสูญเสียที่มากมายในตอนนี้ทำให้ทุกฝ่ายควรจะประจักษ์ได้แล้วว่าสิ่งที่ทำอยู่ไม่ใช่ความถูกต้อง แม้ว่าจะอ้างว่ามันคือความถูกต้องก็ตามที

แม้แต่กลุ่มนักข่าวที่หิวกระหายข่าวที่สุดตอนนี้ก็ยังมากันจำนวนไม่มากนัก เมื่อไม่มีอำนาจเงินมาล่อตาล่อใจก็แทบไม่มีใครกล้าออกจากที่ปลอดภัย มีเพียงนักข่าวที่ยังยึดมันในอุดมการณ์ความเที่ยงตรงที่ยอมมา ถึงแม้จะหวาดกลัวแต่พวกเขาก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกอย่างจะออกมาดี

เวลานัดใกล้ขึ้นมาทุกทีแต่คนสำคัญที่สุดของกลุ่มกบฏก็ยังไม่มา คนที่ถูกแต่งตั้งเป็นตัวแทนของกลุ่มอีกาและมีอำนาจในการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดโดยไม่ต้องปรึกษาคนอื่นเพราะได้รับความเชื่อมันในตัวร้อยเปอร์เซ็นโดยไม่มีข้อกังขา

จ้าวซึ่งซ่อนตัวในชุดคลุมดำทั้งตัวและสวมหน้ากากที่ถูกทำขึ้นมาเพื่อให้อัลฟ่าใช้ต้านน้ำหอมชั่วคราว กัดปากแน่นอย่างตึงเครียด รู้สึกเครียดจัดแม้ว่าจะนั่งบริเวณที่นั่งพิเศษติดกับขอบโต๊ะเจรจาก็ตาม ลึกๆ รู้สึกอยากจะจับมือร่างสูงข้างๆ เพื่อสงบสติอารมณ์แต่ก็ไม่กล้าทำ เพราะประธานบริษัทกิลลาสไม่เคยเปิดเผยมาก่อนว่าคนรักหรือไม่ การกระทำเพียงเล็กๆ น้อยๆ ของ

จ้าวก็อาจจะเป็นเป้าสายตาได้ในพริบตา อย่างไรก็ตามเหล่าเหยี่ยวข่าวบางคนก็ชื่นชอบข่าวเกี่ยวกับความสัมพันธ์มนุษย์อยู่แล้วเพราะมันขายได้ราคาและสนุกที่จะทำมากกว่าข่าวการเมืองเป็นไหนๆ

ร่างผอมจึงได้แต่นวดมือตัวเองอย่าประหม่า หายใจได้ไม่เต็มปอดราวกับมีฝูงผีเสื้อบินว่อนอยู่ในท้อง นัยน์ตาโศกที่อยู่หลังหน้ากากน้ำตาคลออย่างหวาดกลัว

กลัวว่าสิ่งที่ตัวเองกลัวจะเกิดขึ้น..

“ใจเย็นๆ พี่อยู่ตรงนี้”
   
ในที่สุดเหมันต์ก็ทนเห็นจ้าวนั่งสั่นไม่ไหวตัดสินใจขยับเก้าอี้ตัวเองไปชิดกับจ้าว โอบตัวและจับมือจ้าว พยายามถ่ายทอดความอบอุ่นให้ร่างเย็นเฉียบของอีกฝ่ายโดยไม่สนใจสายตาคนภายนอกสักนิด อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเหมันต์ก็คือจ้าว
   
เหมันต์ย่อมไม่ปล่อยให้คนนอกมาอิทธิพลในการตัดสินใจอย่างแน่นอน!
   
นัยน์ตาโศกสั่นระริกเมื่อเห็นนาฬิกาเรือนยักษ์ที่แขวนอยู่บนต้นไม้แสดงเวลาที่ใกล้เข้ามาทุกที
   
11 : 58
   
อีกเพียงสองนาทีเท่านั้น..
   
“ฝ่ายอีกามาแล้ว! ขอพื้นที่หน่อยนะครับ ขอทางหน่อยครับ”
   
ชายในชุดดำซึ่งคาดเดาเพศไม่ได้ป่าวประกาศเสียงดัง พยายามกันที่ทางให้กว้างเพื่อให้กลุ่มคนที่กำลังจะลงจากรถตู้ได้เดินกันสบายๆ
   
เสียงฝีเท้าคู่แรกดังลั่นตามด้วยเสียงฝีเท้าที่ดังสม่ำเสมอ กลุ่มกบฏสองคนได้มาถึงงานเจรจาเป็นที่เรียบร้อย เสียงพูดคุยที่ยังพอมีบ้างค่อยๆ เงียบจนแทบไม่ไดยินเสียงลมหายใจของใคร ทุกสายตาจับจ้องไปยังร่างผอมในเสื้อกาวน์อย่างไม่เชื่อสายตา
   
“…จันทร์?”
   
นักข่าวคนนึงเผลอพูดออกมาอย่างตื่นตระหนกและราวกับไปสะดุดปลั๊กอะไรบางอย่าง คนอื่นๆ ต่างมีปฏิกิริยาตามๆ กัน เกิดเสียงฮือฮาดังลั่น ความสงบเริ่มหายไปแทนที่ด้วยความสับสนระคนไม่พอใจของกลุ่มคนที่กำลังคาดเดาไปต่างๆ นานาว่ากลุ่มอีกาเล่นตุกติกอะไรถึงเอาคนสำคัญของฝ่ายรัฐบาลไปอยู่ด้วย
   
เสียงโซ่กระทบกันดังเป็นจังหวะเข้ากันกับเสียงฝีเท้า ปลอกคอเหล็กที่จันทร์สวมอยู่นั้นล่ามเอาไว้กับข้อเท้าจนก้าวยาวๆ ไม่ได้ เรื่องหลบหนีจึงเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย
   
เหล่าผู้คนตอนนี้เริ่มมีคนส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายเพราะมีหลายคนที่ศรัทธาในตัวจันทร์ ยึดมันในคำพูดของจันทร์ที่มักจะออกสื่ออยู่บ่อยๆ ว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้และฝ่ายรัฐบาลต้องได้รับชัยชนะในที่สุด
   
หากแต่บุคคลสำคัญทั้งสองก็ไม่สนใจเดินไปนั่งประจำที่ของตัวเองที่มีสองที่นั่งพอดี บนโต๊ะมีป้ายคำว่ากลุ่มอีกาตั้งอยู่ เหล่าสื่อมวลชนเริ่มรู้ตัวทำหน้าที่ของตัวเอง ถ่ายทอดสดไปยังสถานี นักข่าวหลายสำนักต่างพากันรายงานกันใหญ่ว่า ‘จันทร์ นฤภัทร’ ได้ถูกฝ่ายกบฏจับตัวเป็นตัวประกัน หากรัฐบาลคิดจะช่วงชิงโอกาสเพื่อฆ่าฝั่งกบฏจึงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำเพราะไม่มีทางรู้เลยว่าหากทำไปแล้ว ชีวิตนายแพทย์จันทร์จะเหลือรอดหรือไม่ ทันทีที่ควักอาวุธออกมาในชั่วพริบตาฝั่งกบฏก็อาจฆ่าจันทร์ในเสี้ยววินาที นับว่าเป็นการกระทำที่ได้ไม่คุ้มเสียอย่างแน่นอน
   
“ขอความสงบด้วยครับ”
   
คนที่ตกเป็นประเด็นของพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ดังกังวาน ใบหน้าที่ควรจะหวาดกลัวกลับนิ่งสงบอย่างไม่ควรจะเป็น นัยน์ตาโศกกวาดตามองรอบๆ ก่อนจะหยุดอยู่ที่ร่างหนึ่งที่แม้จะไม่เห็นหน้าแต่ก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร
   
ชั่วขณะหนึ่งนัยน์ตาโศกวูบไหวแต่ระยะเวลาของมันกว่าสั้นเกินกว่าที่ใครจะมาสังเกตเห็น
   
พี่ไม่ควรมาอยู่ที่นี่..
   
จันทร์นึกในใจทั้งๆ ที่อยากจะวิ่งไปไล่ให้จ้าวกลับบ้านหรือไปที่ไหนก็ได้เพราะวันนี้มันไม่ใช่วันที่สองพี่น้องจะเจอกันสักนิด เขากำลังจะทำในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าทำ ทำในสิ่งที่ไม่ควรมีคนในครอบครัวมาอยู่ใกล้ๆ เพราะอาจจะทำให้การตัดสินใจไขว้เขได้
   
เพียงไม่นานทุกอย่างก็อยู่ในความสงบตามที่จันทร์ร้องขอ จันทร์เหลือบมองเบต้าร่างใหญ่ที่มาเจรจาด้วยตนเอง ทั้งๆ ที่โดนคนในกลุ่มคัดค้านจนหัวชนฝา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราวันนี้ก็ยังคงเป็นเช่นเดิมหากแต่สวมชุดที่ดูเป็นทางการขึ้น สีหน้านิ่งสงบแม้ว่าคนของทางการยังไม่มานั่งก็ตามที
   
หนึ่งนาทีที่เหลือและกำลังไล่ลงในที่สุดกลุ่มของทางการก็เปิดปากเอ่ยทักทาย
   
“สวัสดีครับ วันนี้ผมเป็นหัวหน้าฝ่ายเจรจาจากรัฐบาล ยินดีที่พบกันครับ”
   
น้ำเสียงราบเรียบที่เอ่ยทักทายเป็นของหนึ่งในบุคคลสำคัญของฝ่ายรัฐบาล หรือนายปตินันท์ผู้เป็นรัฐมนตรีผู้มีสิทธิ์มีเสียงสำคัญในรัฐบาลชุดนี้ ร่างสูงใหญ่อย่างพวกอัลฟ่าอยู่ในชุดสูทสีดำปลอดเข้าคู่กันดีกับผู้คุ้มกันสองคนที่นั่งประกบซ้ายขวา ใบหน้าของรัฐมนตรีผู้สูงส่งนั้นแม้จะไม่แสดงความรู้สึกอะไรแต่แววตากลับมองเหยียดกลุ่มอีกาอย่างไม่ปิดบัง ไม่เว้นแม้แต่จันทร์ที่เคยพูดคุยกันมาก่อน
   
สำหรับเขาแล้วคนที่โดนกลุ่มกบฏจับตัวได้นั้นก็มีค่าไม่ต่างกับเศษสวะนัก…
   
แน่นอนว่าสิตก็ไม่ได้โง่จึงพอจะรับรู้สายตาเหยียดหยามอยู่บ้าง หากแต่ก็สามารถควบคุมอารมณ์ไม่ให้โกรธได้อย่างสมบูรณ์แบบ การที่เขายอมมาด้วยตัวเองย่อมแสดงถึงอะไรหลายๆ อย่างได้ดีอยู่แล้ว
   
สิตจึงจับมือที่ยืนมาเต็มมือโดยไม่แสดงความไม่พอใจด้วยการบีบกลับแรงๆ อย่างที่ควรจะทำ
   
“ยินดีที่ได้พบกันเช่นกันครับ ผมชื่อสิต เป็นหัวหน้ากลุ่มอีกาครับ”
   
เมื่อสิตพูดจบลงก็เกิดเสียงฮือฮาไม่เว้นแม้แต่ปตินันท์ที่ยังหลุดสีหน้าเหวอๆ ออกมาเพราะไม่คาดคิดว่าคนที่ถือเป็นบุคคลสำคัญสุดๆ ของกลุ่มอีกาจะลงมาเจรจาวันนี้ด้วยตัวเอง
   
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับว่าถ้าผมตายกลุ่มอีกาจะเป็นยังไงต่อ กลุ่มของผมมีหัวหน้าหลายคนครับ พวกเขาสามารถบริหารงานแทนผมได้อย่างแน่นอน” สิตยิ้มเย็นเยียบ นัยน์ตาเย็นชาสบตากับนายรัฐมนตรีที่ตอนนี้ไม่กล้ามองมาอย่างสมเพชอีกต่อไป
   
เพราะรู้ว่าคนตรงหน้าก็คือคนที่สามารถฆ่าอัลฟ่าได้โดยไม่กระพริบตาและรู้สึกรู้สาอะไร เป็นมนุษย์ที่เจนโลกและจมลงในบ่อความเกลียดชังจนตายทั้งเป็นในนั้น
   
บรรยากาศการพูดคุยที่เริ่มร้อนระอุทำให้เบต้าในชุดทางการเรียบร้อยรีบเข้ามาสงบศึกก่อนที่จะเกิดสงครามขึ้นมาจริงๆ “งั้นผมที่อาสาเป็นคนกลาง ขอให้ทั้งสองฝ่ายเริ่มเจรจาเลยครับ”
   
สิตวางเอกสารที่เตรียมมาบนโต๊ะและดันมันไปตรงหน้าฝ่ายรัฐบาล “สิ่งที่กลุ่มของผมต้องการก็ตามที่เอกสารในฉบับนี้ว่าไว้ ซึ่งพวกคุณก็น่าจะได้รับตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว สิ่งแรกที่พวกผมต้องการคือการให้สิทธิเท่าเทียมกันจริงๆ ขอเป็นข้อกฏหมายคุ้มครองพวกโอเมก้าและเบต้าไม่ให้โดนอัลฟ่าดูหมิ่น ผมไม่ต้องการคำมั่นปากเปล่าเพราะพวกคุณไม่เคยสามารถทำให้มันเป็นจริงแม้แต่ครั้งเดียว”
   
“ถ้าผมตกลงเซ็นแล้วทางผมจะได้อะไร” ปตินันท์ตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมา
   
แน่นอนว่าคำตอบเล่นเอาสิตเหยียดยิ้ม “พวกคุณไม่ได้อะไรหรอกครับ เสียใจด้วย ฝ่ายที่ได้ก็คือพวกผมหรือพวกเบต้าและโอเมก้าที่พวกคุณรังเกียจนักหนา พวกเราก็แค่มีสิทธิเท่าเทียมกับคุณ พวกเราสามารถทำอะไรก็ได้เหมือนที่อัลฟ่าทำ”
   
“ข้อเสนอต่อไป”
   
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 34 : ลางสังหรณ์ p.7 (28/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 28-07-2018 02:02:17
ปตินันท์ตัดบทเพราะแค่ข้อเสนอแรกก็ไม่เข้าหูแล้ว ยิ่งได้ฟังจากปากฝั่งกบฏจริงๆ ยิ่งรู้สึกเดือดดาลเพราะไม่ควรมีเบต้าคนไหนกล้าต่อกรกับอัลฟ่าผู้สูงส่งอย่างพวกเขา
   
“สนับสนุนการศึกษาเด็กทุกคนเหมือนที่พวกคุณสนับสนุนอัลฟ่า” สิตพูดอย่างใจเย็นแม้จะเริ่มรู้สึกถึงอารมณ์กรุ่นโกรธของตัวเอง ในวัยเด็กเขาได้เรียนถึงแค่ประถมปลายเพราะมีพ่อแม่เป็นโอเมก้า “เด็กทุกคนที่เกิดมาล้วนมีความสามารถเฉพาะตัวของตัวเอง ขอแค่พวกเขาได้อยู่ในสังคมและสภาพแวดล้อมที่ดีไม่ยากหรอกที่พวกเขาจะเปล่งประกายออกมา”
   
“ผมขออ้างอิงจากการวิจัยของสหรัฐอเมริกา” นายรัฐมนตรีดันแว่นสายตาตัวเองขึ้นก่อนที่จะพูดเสียงแข็ง “โดยเฉลี่ยแล้วแปดสิบเปอร์เซ็นอัลฟ่าจะมีสติปัญญาที่ดีกว่าโอเมก้าและเบต้า ไอคิวโดยเฉลี่ยสูงกว่าเกณฑ์ทั่วไป ผมขอถามคุณสิตว่าทำไมเราต้องลงทุนกับเด็กทุกคนที่มีประสิทธิภาพทางสมองไม่เท่ากับอัลฟ่าด้วย”
   
“เพราะพวกเขาเป็นมนุษย์” สิตตอบ “มนุษย์ทุกคนควรได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นเพศอะไร ไม่มีใครเลือกเกิดได้หรอก คุณปตินันท์ คุณจะบอกว่าเด็กพวกนั้นผิดเหรอที่เกิดมาเป็นโอเมก้า”
   
“ถ้าเป็นผม ผมจะลงทุนกับสิ่งที่น่าจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด”
   
“แต่ถ้าเป็นผม ผมจะให้โอกาสกับทุกคน”
   
สิตเริ่มควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ เขาเจ็บปวดที่ยังคงถูกปฏิบัติอย่างดูถูกเช่นเดิมทั้งๆ ที่นี่เป็นการคุยเจรจาเรื่องความเท่าเทียมกัน
   
“ในทีมวิจัยของผม มีผู้หญิงคนนึงเป็นโอเมก้า”
   
เสียงทุ้มนุ่มนวลราบเรียบพูดขึ้นมา เรียกความสนใจจากทุกคน ทุกสายตาจดจ้องไปยังร่างที่โดนคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าถูกจับเป็นตัวประกัน
   
จันทร์ยังคงสุขุมแม้ว่าจะถูกมองด้วยเกลียดชังจากฝ่ายรัฐบาล “เธอเป็นโอเมก้าที่เก่งมาก เก่งกว่าเบต้าและอัลฟ่าในทีมของผมซะอีก ถ้าคุณไม่เชื่อในคำพูดของผมก็ลองไปดูในรายชื่อนักวิจัยดู เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวในทีมของผมครับ”
   
“สถานะของคุณตอนนี้คืออะไร จันทร์”
   
ปตินันท์ถามและมันก็คือสิ่งที่ทุกคนอยากรู้พอดี เพราะการสนับสนุนคำพูดฝ่ายกบฏนั่นก็ทำให้ความเป็นไปได้ที่จันทร์จะอยู่ฝั่งกบฏก็นับว่าสูงมาก
   
“ผมก็แค่พูดความจริง” จันทร์เลือกที่จะไม่ตอบ “หน้าที่ของผมวันนี้ก็แค่พูดความจริงเท่านั้น” นัยน์ตาโศกจ้องมองนายปตินันท์ที่มักจะพูดพะเน้าพะนอตัวเองมาตลอดด้วยความสมเพช “ในฐานะที่ผมเป็นแพทย์และอยู่ในวงการสายสุขภาพมานาน ผมสามารถยืนยันได้ว่าทุกคนที่มีความสามารถครับ อัลฟ่าที่โง่เง่าใช้แต่กำลังก็มีเยอะแยะถมไป งานวิจัยที่คุณอ้างมามันก็เป็นของสำนักข่าวที่ชอบเขียนข่าวอวยอัลฟ่าครับ เขียนแล้วได้เงินกับได้หน้าน่ะ คุณเคยได้ยินไหม”
   
นายรัฐมนตรีรู้สึกชาไปทั้งหน้าและขบกรามกรอดอย่างไม่พอใจ แทบจะกระชากตัวออกจากที่นั่งถ้าไม่ถูกคนคุ้มกันสองคนรั้งตัวเอาไว้ สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือการโดนทำให้ขายหน้าต่อหน้าสาธารณชน!
   
“งั้นผมจะพูดข้อเสนอข้อที่สามเลยแล้วกันนะครับ” สิตพูดเพื่อเรียกความสนใจกลับมาที่ตัวเอง อย่างไรก็ตามการเสี่ยงมาวันนี้ก็เพื่อเจรจาและมันก็ต้องสำเร็จ “พวกเราขอให้พวกคุณอนุญาตให้โอเมก้าได้รับการบริการทางด้านสาธารณสุขทุกอย่างเทียบเท่ากับอัลฟ่าและเบต้า ขอให้พวกโอเมก้าได้ใช้โรงพยาบาลเดียวกับพวกคุณและหมอที่รักษาคนเดียวกันไม่มีการแบ่งแยก”
   
“คุณเสียสติไปแล้วเหรอ คุณสิต” ปตินันท์แค่นเสียงพูดยากเย็น “โอเมก้าไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยซ้ำ แค่จำศีลนิดหน่อยพวกโอเมก้าก็หายแล้ว”
   
นัยน์ตาของสิตวาวโรจน์ “ผมขอถามหน่อยนะว่าถ้าคุณโดนแทงเป็นสิบๆ แผล คุณจะยังนอนให้ร่างกายรักษาตัวเองได้ไหม! คุณไม่รู้หรอกว่ามีโอเมก้ากี่คนที่พยายามเข้าโรงพยาบาลรัฐของพวคุณแล้วโดนไล่ตะเพิดออกมาเหมือนหมูเหมือนหมา พวกเราพยายามรักษาให้กันเองแต่มันก็ได้ผลดีไม่เท่าไหร่ ในที่สุดแผลก็ติดเชื้อแล้วพวกเขาก็ตาย!”
   
ภาพที่โอเมก้าร้องครวญครางนอนสิ้นหวังอยู่บนพื้นยังปรากฎชัดในความทรงจำของสิต ความไม่เท่าเทียมมันเป็นความโหดร้ายอย่างหนึ่งจนเขารู้สึกให้อภัยมันไม่ได้เพราะไม่มีใครสมควรตาย
   
“พูดข้อเสนอต่อไป”
   
ปตินันท์ตัดบทอย่างรำคาญ ไม่คิดจะฟังตั้งแต่รู้ว่าสิตกำลังพูดถึงโอเมก้าที่โดนแทง สำหรับเขาแล้วโอเมก้าก็ไม่ได้มีค่าอะไรมากมายนัก นอกจากเป็นตัวเลือกในการเป็นทายาทสำหรับคนที่มีลูกยาก
   
สิตขบกรามกรอดตัวสั่นระริกอย่างเดือดดาล
   
“พวกเราอยากให้อัลฟ่าได้รับบทลงโทษเท่าเทียมกับพวกโอเมก้า”
   
ข้อกฎหมายที่ถูกเขียนขึ้นมาในตอนนี้นั้นแม้แต่เด็กก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงความไม่ชอบธรรม ยกตัวอย่างเช่นคดีลักขโมย หากเป็นโอเมก้าขโมยจะถูกจำคุกสิบปีอีกทั้งยังโดนริบทรัพย์สินทั้งหมดและถูกสวมปลอกคอสำหรับนักโทษโดยเฉพาะเป็นการประจานเมื่อพ้นโทษ แต่ถ้าเป็นอัลฟ่าขโมยจะมีโทษร้ายแรงมากสุดแค่ปีเดียวเท่านั้นอีกทั้งยังสามารถผ่อนผันหรือจ่ายเงินแทนเข้าคุกก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้อย่างชอบธรรมเพราะสังคมเชื่อว่าอัลฟ่ามีความสูงส่งกว่าเบต้าและโอเมก้า ย่อมมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้
   
ถึงแม้จะรู้ว่าฝั่งกบฏจะพูดถึงข้อเสนอนี้แต่ปตินันท์ก็ยังคงรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดีเพราะทุกข้อเสนอล้วนแล้วแต่เป็นการล้มล้างอำนาจของอัลฟ่าทั้งนั้น ความสะดวกสบายและสิทธิพิเศษของพวกเขากำลังจะช่วงชิง แน่นอนว่าในฐานะตัวแทนกลุ่มจึงเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้อย่างเด็ดขาด
   
“ผมไม่คิดว่าโอเมก้าที่จะมีสติปัญญาหรือศีลธรรมเทียบเท่ากับอัลฟ่า”
   
“ผมไม่ได้มาเพื่อถามความคิดของคุณ วันนี้ผมมาเพื่อยื่นข้อเสนอที่จะทำให้เราทุกคนเท่าเทียม ผมไม่อยากให้โอเมก้าทรมานจากผลกรรมที่ไม่ได้ก่ออีกแล้ว พวกเขาสมควรได้รับชีวิตที่ดีและปลอดภัย ผมถามคุณจริงๆ เถอะ คุณไม่สงสารพวกเขาบ้างเหรอ”
   
“ในนามของรัฐบาลผมก็ขอถามคุณกลับว่าคุณคิดจริงๆ เหรอว่าที่คุณขอมาทั้งหมดมันจะทำได้จริง ขอโทษนะคุณสิต คุณควรตื่นจากฝันได้แล้ว อะไรที่เป็นไปไม่ได้มันก็คือเป็นไปไม่ได้อยู่วันยันค่ำนั่นแหละ”
   
สิตตัวสั่นระริกกระอักกับความจริงจนพูดเสียงพร่าออกมา
   
ใช่… เขารู้อยู่เต็มอกว่าสิ่งที่พวกเขาร้องขอนั้นเป็นความจริงได้ยากมาก และนี่ไม่ใช่ความพยายามครั้งแรกของโอเมก้า พวกเขาก็เป็นแค่อีกครั้งหนึ่งของพยายามเท่านั้น
   
“ผมรู้.. มันยาก ผมรู้ แต่ที่ผมพยายามถึงตอนนี้ก็เพื่อให้มันเป็นจริง!”
   
ทั้งชีวิตที่ไม่เคยจะฆ่าใครเขายังต้องทำ ในเมื่อมือของเขาเปื้อนเลือดแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่เขาต้องล้างมันออกตราบใดที่ความพยายามของเขายังไม่บรรลุผล เขาไม่สนใจหรอกว่าตัวเองจะตายหรือไม่ แต่ทุกอย่างมันควรจะมีอะไรคืบหน้าได้แล้ว นอกจากเลขจำนวนผู้เสียชีวิตที่มากขึ้นทุกทีในแต่ละวัน
   
“ข้อเสนอสุดท้ายของกลุ่มอีกา ขอให้โอเมก้าได้มีสิทธิ์สมัครลงเลือกตั้งเป็นนายกครับ”
   
ปัง!!
   
ปตินันท์ทุบโต๊ะเสียงดังลั่นอย่างเดือดดาลเมื่อได้ยินข้อเสนอสุดท้ายที่ไม่ได้อยู่ในเอกสารแต่กลับเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุด “แกเสียสติไปแล้วรึไงวะ! มีแค่อัลฟ่าเท่านั้นที่จะขึ้นตำแหน่งนายกได้ ขนาดเบต้าเก่งๆ ยังเป็นไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับพวกโอเมก้าสวะอย่างพวกแก”
   
“เอาสิ! ถ้าไม่รับข้อเสนอผม ผมก็จะไม่รับประกันความปลอดภัยของคนที่หลบอยู่ในเขตปลอดภัยหรอกนะ”
   
การใช้อารมณ์ในการตัดสินใจมักนำพาไปสู่การตัดสินใจที่เลวร้ายที่สุด สิตหัวเราะในลำคอนัยน์ตาขึ้นสีแดงก่ำอย่างดุร้าย เผยแผนลับของตัวเองออกมาถ้าหากวันนี้การเจรจาไม่สำเร็จ
   
“..เป็นไปไม่ได้ แกไม่มีทางเข้าไปในนั้นได้ มีแค่อัลฟ่าเท่านั้นที่มีสิทธิ์”
   
“ถ้าอยากรู้ก็ลองดู!” สิตลุกพรวดถลึงตามอง  ทั้งๆ ที่ตั้งใจมาเจรจาด้วยสันติแต่กลับโดนดูถูกไม่หยุดไม่หย่อนและไม่มีทีท่าว่าจะเข้าใจจุดประสงค์ของการเจรจาครั้งนี้ด้วย
   
“พอ”
   
น้ำเสียงทุ้มราบเรียบพูดพร้อมกับดึงชายเสื้อสิตให้กลับมานั่งลง แน่นอนว่าคนที่ขีดอารมณ์ขึ้นสูงไปแล้วก็ยากที่จะลงมา จันทร์จึงถูกตบมือที่แตะเสื้อทันที
   
เพี๊ยะ
   
“อย่าเสือก!”
   
สีหน้าราบเรียบของนายแพทย์หนุ่มเริ่มกระตุก นัยน์ตาโศกเริ่มรู้สึกเดือดดาล
   
“ผมจะพูดอีกแค่ครั้งเดียว สิต ผมขอให้คุณนั่งลง”
   
“กูบอกว่าอย่าเสือกไ—“
   
สิตเบิกตาค้างเมื่อปากกระบอกปืนจ่อที่หัวตัวเอง
   
“จะนั่งดีๆ รึยัง” จันทร์พูดเสียงเย็น
   
และแน่นอนว่ามันทำเอาทุกคนตื่นตระหนกเพราะไม่คาดคิดว่าคนอย่างจันทร์จะใช้อาวุธข่มขู่ใคร ส่วนบอดี้การ์ดทั้งสองที่มากับปตินันท์ก็ต่างพากันหยิบปืนออกมาเช่นกัน แม้จะไม่ได้เล็งมาที่จันทร์แต่ก็เพื่อแสดงว่าทางฝ่ายนั้นก็มีอาวุธ อย่าได้คิดเล่นตุกติกที่จะยิงมาทางฝั่งนี้โดยเด็ดขาด
   
“เออ!”
   
สิตขบเคี้ยวฟันกระแทกตัวนั่งกับเก้าอี้ รู้สึกพลาดที่ไม่ยอมค้นตัวจันทร์ดีๆ เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายพกขวดยากับอะไรไม่รู้มาเต็มไปหมดที่คาดว่าน่าจะมาใช้สำหรับการเจรจา
   
“ต่อไปนี้ผมจะเป็นตัวแทนกลุ่มอีกาในการเจรจา” จันทร์ประกาศกร้าวในมือยังคงถือปืนไม่ปล่อย นัยน์ตาโศกสบกับแววตาสมเพชที่มองมาที่ตัวเองอย่างไม่ปิดบัง “ผมจะขอถามพวกคุณอีกครั้งว่าจะไม่รับข้อเสนอของฝั่งเราสักข้อเลยใช่ไหม”
   
“ใช่ ข้อเสนอปัญญาอ่อนพวกนั้น แกคิดเหรอว่ามันจะเกิดขึ้นได้จริงๆ ”
   
“ครับ ผมคิดว่ามันเกิดขึ้นได้จริงๆ ถ้าพวกเราร่วมมือกัน” ทั้งๆ ที่ถูกเหยียดหยามซึ่งๆ หน้าแต่จันทร์ก็เลือกที่จะไม่สนใจเพราะสิ่งที่พูดมันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะมาสนใจอัลฟ่าไร้ค่าที่อคติกับโอเมก้ามาตลอดชีวิต
   
และในเมื่อไม้อ่อนไม่สามารถใช้ในการพูดคุยได้ จันทร์จึงเลือกที่จะใช้ไม้แข็งในการเจรจา
   
นัยน์ตาโศกตอนนี้ดุดันไม่ต่างกับราชสีห์ พยายามเชือดเฉือนสายตากับปตินันท์จนฝ่ายหลังเริ่มหวั่นและหลบสายตาอย่างหวาดกลัว
   
“ถ้าพวกคุณเลือกที่จะอคติและไม่ฟังสิ่งที่กลุ่มอีกาพูดเลย ผมก็ต้องขอแสดงความยินดีด้วยเพราะสงครามกลางเมืองมันจะไม่จบแค่นี้ พวกคุณจะตายกันอีก ตายกันให้หมดทั้งประเทศ รู้อะไรไหมว่าในกลุ่มรัฐบาลของพวกคุณมีคนของกลุ่มอีกาแทรกซึมอยู่แทบทุกตารางนิ้ว”

จันทร์หัวเราะในลำคอเมื่อสีหน้าของกลุ่มรัฐบาลที่เริ่มจะซีดเผือด เพราะมันเป็นดังที่จันทร์ว่าจริงๆ ทุกวันนี้ฝ่ายรัฐบาลนั้นแทบจะตกเป็นรองในทุกเรื่อง จับตัวสำคัญในฝ่ายกบฏไม่ได้สักที
   
“ผมขออ้างอิงจากงานวิจัยในสหรัฐอเมริกา” นายแพทย์หนุ่มกล่าวยอกย้อนด้วยสีหน้ายียวน “จากผลการวิจัยจำนวนของอัลฟ่ามีน้อยกว่าเบต้าและโอเมก้าหลายเท่า ถ้านับเป็นเปอร์เซ็น อัลฟ่าก็มีจำนวนแค่เจ็ดเปอร์เซ็นจากจำนวนทั้งหมด ผมอยากให้คุณปตินันท์ลองคิดดูว่าจริงๆ แล้วอัลฟ่านี่มีกี่คนและเหตุผลอะไรที่เพศอื่นๆ ต้องรับใช้อัลฟ่าที่มีอยู่จำนวนน้อยนิดด้วย”
   
“แน่สิ เพราะพวกเรามีค่ามากกว่าพวกเบต้าและโอเมก้าชั้นต่ำไง”
   
คำตอบที่พูดออกมาทันทีดูเหมือนจะไม่เข้าหูบอดี้การ์ดทั้งสองนัก ทั้งสองคนจ้องหน้ากันเชิงหารือเมื่อคิดเมื่อพบว่าคิดเหมือนกันจึงเลือกที่จะถอยออกไปรวมกับกลุ่มอีกา โดยทิ้งให้รัฐมนตรีวัยกลางคนยืนอยู่คนเดียวด้วยสีหน้างุนงงระคนหวาดกลัว
   
“เดี๋ยว เดี๋ยวสิ! พวกแกกลับมาเดี๋ยวนี้นะ อย่าลืมนะว่าฉันเป็นคนจ่ายเงินเดือนให้พวกแกนะเว้ย”
   
ความปลอดภัยของปตินันท์หายไปทันทีเมื่อไร้คนคุ้มกัน รู้สึกหวาดกลัวสายตาที่มองมาอย่างเกลียดชังจากรอบตัวอย่างน่าประหลาดเพราะจำนวนเบต้าและโอเมก้าในสถานที่แห่งนี้มีมากกว่าอัลฟ่านัก
   
“ดูเหมือนว่าคุณจะตกอยู่ในอันตรายนะ คุณรัฐมนตรี” จันทร์ยิ้มก่อนที่จงใจจ่อปลายกระบอกไปที่อีกฝ่าย “ผมขอถามคุณอีกครั้งนะครับว่าจะรับข้อเสนอของเราไหม ถ้าคำตอบยังคงคือไม่สักข้อ ผมก็คงจะรับประกันความปลอดภัยของคุณและคนอื่นๆ ไม่ได้”
   
“แก แกจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ อย่า อย่าคิดนะว่าฉันจะยอมเซ็นสัญญาบ้าๆ นี่เพราะแกจะฆ่าฉัน” คนเป็นอัลฟ่าพูดเสียงสั่นสีหน้าหวาดกลัวจนหมดมาดรัฐมนตรีผู้น่าเกรงขาม
   
“ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อที่จะฆ่าคุณ” เพื่อแสดงความจริงใจจันทร์จึงวางปืนลงบนโต๊ะและมองปตินันท์ด้วยสายตาว่างเปล่า “ผมแค่ต้องการให้สงครามยุติเท่านั้น ผมไม่อยากให้มีใครตายเพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว”
   
จันทร์ลุกขึ้นยืนและล้วงหยิบขวดยาซึ่งบรรจุน้ำแดงก่ำขึ้นมาถือและเขย่ามันเบาๆ จนมันกลายเป็นสีม่วงเข้ม
   
“สิ่งที่อยู่ในมือของผมคือยาปรับฮอร์โมน มันสามารถทำให้คนทุกเพศกลายเป็นคนสภาวะไร้เพศ” ร่างผอมเว้นระยะหายใจก่อนที่จะพูดต่อ “สภาวะไร้เพศที่ผมหมายถึงไม่ใช่แค่การทำให้เหลือแค่เพศชาย เพศหญิง แต่กลายเป็นสภาวะไร้เพศจริงๆ ทุกเพศสามารถตั้งครรภ์และเป็นฝ่ายทำให้อีกคนตั้งครรภ์ได้ ทำให้แม้แต่เบต้าหญิงที่ปกติไม่สามารถทำให้ใครตั้งครรภ์ได้ ถ้าได้ยาปรับฮอร์โมนของผมหนึ่งเดือนแล้วเข้าสู่สภาวะไร้เพศ คุณก็จะสามารถทำให้คู่รักของคุณตั้งครรภ์ได้และแน่นอนว่าการที่คุณเข้าสู่สภาวะไร้เพศแล้ว คุณจะไม่มีโอกาสกลับไปเป็นเพศเดิมของคุณได้อีก”
   
เมื่อเห็นสีหน้าไม่ค่อยเข้าใจของกลุ่มคนจันทร์จึงอธิบายต่ออย่างใจเย็น
   
“ผมสร้างมันขึ้นมาเพื่อเป็นตัวเลือกให้กับโอเมก้าและเบต้าครับ ถ้าการเป็นอัลฟ่าคือทำให้เพศอื่นตั้งครรภ์ได้ ยาของผมก็สามารถทำให้คุณเป็นอัลฟ่าได้โดยไม่ต้องกลายเป็นอัลฟ่า ถ้าทุกคนทำเหมือนที่อัลฟ่าทำได้ ความแตกต่างก็จะลดน้อยลงเพราะไม่รู้ว่าอัลฟ่ากับพวกสภาวะไร้เพศต่างกันตรงไหน”
   
“…แล้วลูกที่เกิดมาล่ะ จะโง่เหมือนพวกโอเมก้ารึเปล่า”
   
แน่นอนว่าคำถามมาจากคนเดิม
   
จันทร์มองคนถามด้วยหางตา “ไม่ครับ เด็กทุกคนมีประสิทธิภาพของตัวเอง ไม่ว่าคุณจะเป็นเพศไหน คุณก็สามารถฉลาดและมีความสามารถได้ทั้งนั้น ขอแค่คุณอยู่ในสังคมที่ดีและให้โอกาสมากพอ”
   
ปตินันท์รู้สึกอึดอัดน้ำท่วมปากพูดไม่ออกเพราะไม่ว่าจะพูดสิ่งใดก็ดูจะขัดหูขัดตาคนอื่นไปหมด ซึ่งเขาก็ทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆ ที่จะอยู่ร่วมกับเหล่าเบต้าและโอเมก้าอย่างเท่าเทียมกัน มันไม่ควรจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ
   
“สิ่งที่กลุ่มอีการ้องขอมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย พวกเขาก็แค่ขอสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ทั่วไปให้กับโอเมก้า ให้พวกเขามีโอกาสในการใช้ชีวิตและตามล่าความฝันของตัวเอง คุณจะให้พวกเขาไม่ได้จริงๆ เหรอ” จันทร์พูดเสียงเบาลง “ตลอดหลายร้อยปีที่พวกคุณกดหัวพวกเขาลงให้ต่ำลงแล้วเหยียบย่ำ พวกคุณยังไม่สาแก่ใจอีกเหรอ ผมว่ามันถึงเวลาที่ควรจะพอได้แล้ว”
   
ถึงแม้จันทร์จะพูดเสียงเบาลงแต่ไมค์ที่ติดอยู่บริเวณโต๊ะก็สามารถขยายเสียงได้เป็นอย่างดี เหตุการณ์ที่เป็นไปทั้งหมดในตอนนี้ล้วนอยู่ในสายตาของทุกคนที่กำลังดูอยู่ ทั้งผ่านทางวิทยุ โทรทัศน์ และการไลฟ์สด
   
“ไม่มีใครอยากตกเป็นเหยื่อ”
   
จันทร์หลับตาซ่อนนัยน์ตาโศกที่วูบไหว
   
“โอเมก้าไม่ได้ทำอะไรผิด พวกเขาไม่สมควรถูกทำร้าย ไม่ควรถูกข่มขืน ไม่ควรถูกทำอะไรทั้งนั้น พวกเขาเป็นมนุษย์เหมือนพวกเรา พวกเขาร้องไห้เป็น พวกเขาเจ็บเป็น และผมขอพูดครั้งสุดท้ายแทนกลุ่มอีกาว่าขอโอกาสให้พวกเขาด้วย ผมไม่อยากให้มีคนตายไปมากกว่านี้อย่างไร้เหตุผล”
   
เมื่อจันทร์พูดจบก็เกิดความเงียบไปทั่วบริเวณเพราะมันคือความจริงที่ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ พวกเขาล่วงละเมิดสิทธิของโอเมก้ามานานแล้วและควรที่จะเลิกทำมันสักที มีโอเมก้าหลายคนที่นั่งฟังอยู่ที่ปลอดภัยร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวดเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนเองต้องพบเจอตั้งแต่จำความได้
   
โลกใบนี้มันโหดร้ายและก็มีคนมากมายเลือกที่จะปลิดชีวิตตัวเองเพื่อหนีมัน แต่ก็มีหลายคนที่ยังคงอดทนหวังว่าสักวันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง หวังว่าพวกเขาจะได้มีความสุขมากกว่านี้หนึ่งวันก็ยังดี
   
“สิ่งที่ผมจะทำได้ก็มีเท่านี้” จันทร์พูดเสียงพร่าและลืมตาขึ้นมา นัยน์ตาโศกฉายความเด็ดเดี่ยวจ้องมองไปที่ร่างผอมที่รู้จักกันมาเป็นอย่างดีตลอดยี่สิบห้าปี “สุดท้ายนี้ผมมีอะไรจะสารภาพ”
   
หัวใจในอกจ้าวคล้ายกับเต้นช้าลงเมื่อถูกจันทร์จดจ้อง
   
ความเศร้าอันยากที่จะอธิบายอัดแน่นในอกจนหายใจไม่ออก
   
“ผมเป็นคนฆ่าพริมเอง”

ทุกคนต่างพากันฮือฮอาขึ้นมาอย่างตื่นตระหนกกับความจริงที่ปรากฎ พวกเขาล้วนแล้วแต่ปักใจเชื่อมาตลอดว่าจ้าวเป็นคนทำแม้ว่าจ้าวจะพยายามหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองแล้วก็ตามที

“จ้าวไม่ได้ทำ ผมเป็นคงแทงเป็นพริมเอง จ้าวเป็นคนบริสุทธิ์ ที่ผมทำมาทั้งหมดมันก็แค่เป็นการใส่ร้ายจ้าวเท่านั้น ผมเคยคิดว่าตัวเองเกลียดพี่นะแต่จริงๆ ผมเกลียดตัวเองมากกว่า”

“…”

จ้าวพูดอะไรไม่ออกเมื่อจันทร์พูดแก้ต่างให้ตัวเอง ล้างมลทินให้เขาออกอย่างหมดจดด้วยการโยนตัวเองเข้าไปในบ่อโคลนที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

“ผมรักพี่นะ จ้าว รักมาก ขอโทษที่ผมทำตัวไม่ดีใส่พี่มาตลอด”

จันทร์ยิ้มออกมาอย่างจริงใจหากแต่การกระทำกลับสวนทาง

นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างตื่นตกใจสุดขีด

“ผมรักพี่นะ“

ปัง

“ไม่!!” จ้าวกรีดร้องออกมาก่อนที่จะกระโจนเข้าไปหาร่างที่ทรุดไปกองบนพื้น กลุ่มเลือดสีแดงที่ไหลออกมาจากศีรษะอาบไปทั้งร่างของจันทร์และจ้าว จ้าวถอดหน้ากากตัวเองออกร้องไห้โหยหวนออกมาอย่างทนไม่ได้

“ไม่ จันทร์ อย่าทำแบบนี้ อย่าทิ้งพี่ไป ฮึก พี่ไม่ได้โกรธจันทร์ พี่ขอโทษ ฮืออ ที่ทำให้เรื่องทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ พี่ขอโทษ”
จ้าวช็อคจนไม่ได้สติ พูดแทบไม่เป็นภาษาเมื่อลางสังหรณ์ของตัวเองเป็นจริง ทำได้เพียงร้องไห้คร่ำครวญอย่างขวัญเสียและรู้สึกเจ็บปวดจนทนแทบไม่ได้

“ไม่เอา จันทร์ ฮึก ไม่เอาแบบนี้”

ยิ่งเห็นเลือดที่ไหลบ่าออกมาย้อมเสื้อกาวน์ หัวใจของจ้าวสลาย เขาสูญเสียคนในครอบตัวเองอีกแล้ว มันเกิดขึ้นอีกแล้วและทำไมต้องเกิดขึ้นกับเขาด้วย

“ฮึก ไม่เอา จันทร์ อย่าทิ้งพี่ไว้คนเดียว” จ้าวกอดตัวจันทร์แน่นสะอื้นจนตัวโยน เจ็บปวดจนแทบคลุ้มคลั่ง

เขาทนไม่ไหวแล้ว…

เหมันต์ซึ่งมีสติที่สุดตะโกนเรียกออสตินให้เตรียมรถทันทีส่วนตัวเองก็รีบก้าวไวๆ มาหาจ้าวแต่กลับถูกเหล่าอัลฟ่าเบต้าโอเมก้าที่อยากรู้อยากเห็นเหตุการณ์มายืนออขวางทางเต็มไปหมด

“ถอยไป!”

คำรามเพียงครั้งเดียวทุกคนที่ขวางทางก็หลบกันจ้าละหวั่นอย่างหวาดกลัวราวกับเผชิญหน้ากับสัตว์ร้าย ไม่เว้นแม้แต่อัลฟ่าที่ไม่เคยก้มหัวให้ใครก็ต่างพากันกลัวจนหงอ
   
ร่างสูงทรุดตัวข้างๆ กำลังจะกอดปลอบจ้าวก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบว่าจ้าวนั้นได้ช็อคจนสลบไปแล้ว ไม่ต้องคิดเหมันต์รีบรวบตัวจ้าวขึ้นมาอุ้มและให้ไลอ้อนที่ตามมาด้วยรีบจัดการกับร่างของจันทร์ทันที

   
‘จันทร์เอ๋ยจันทร์จ้าว’
   
‘มันต้องเจ้าไม่ใช่เหรอ จ้าว’
   
‘งือ งั้นมันก็ไม่ใช่เพลงของเราสิ จันทร์’
   
‘ก็ได้ งั้นก็ร้องว่าจ้าวนั่นแหละ จะได้เป็นเพลงของเราสองคน’
   
‘ชอบจัง จันทร์จ้าวๆ เหมือนเขาแต่งให้เราเลย’
   
‘อือ จันทร์ก็ชอบเหมือนกัน’

   
ร่างผอมที่เหมันต์คิดว่าสลบไปแล้วก็ยังไม่วายสะอื้นออกมาอย่างเจ็บปวด
   
นัยน์ตาโศกหมองเศร้าสั่นระริก
   
“ถ้าไม่มีจันทร์แล้ว จ้าวจะอยู่ยังไง..”

TBC.


   





หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 34 : ลางสังหรณ์ p.7 (28/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 28-07-2018 02:21:26
ทำไมจันทร์ทำแบบนี้ :hao5:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 34 : ลางสังหรณ์ p.7 (28/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 28-07-2018 04:14:45
ไม่อยากให้จันทร์ตายเลย
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 34 : ลางสังหรณ์ p.7 (28/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 28-07-2018 10:59:37
น้องงงงงงง ไม่เอาแบบนี้ได้ไหม
สงสารจันทร์ ตั้งแต่เกิดมาแทบไม่เคยมีความสุขเลย
งื้อออออออ
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 34 : ลางสังหรณ์ p.7 (28/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 28-07-2018 15:56:40
เอ้า  :katai1:  :o12: ไม่นะ ฮืออ ถึงจะไม่ชอบจันทร์

แต่ก็ไม่ได้อยากให้ตายนะ  :hao5: สงสารจ้าว

ต้องเสียน้องอีกคนไปต่อหน้าต่อตา
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 34 : ลางสังหรณ์ p.7 (28/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 28-07-2018 16:54:42
หน่วง บีบรัดไม่ทุกอณู การหักหลังเป็นไปได้ง่ายมาก
คนที่เหมันต์ไว้ใจ ก็เปลี่ยนฝ่ายไปแล้ว แบบนี้จะไว้ใจใครได้อีก

จ้าวอาจจะเคยพลาด เพราะคำพูดและการกระทำที่ไม่ตั้งใจ
แล้วความไม่ตั้งใจกลับสร้างแผลที่ลึกให้จันทร์
กลายเป็นต้องเจอความทุกข์ทรมานจากสิ่งที่ไม่ได้ทำ
จ้าวเจ็บปวดไม่แพ้กัน มีชีวิตรอด แบบสภาพจิตใจถูกทำร้าย
และร่างกายไม่พร้อม จ้าวถือว่าเก่งมาก

จันทร์เป็นเด็กดีนะ พยายามมาตลอด อยากให้ทุกคนยอมรับ
แต่ก็พลาดเพราะความคิดและความเจ็บปวดมันฝังรากลึก

คำพูดไม่กี่คำ เป็นการสร้างจุดจบของหลายคน

พี่เหมันต์คนดียังอยู่นะจ้าว อย่าพึ่งทิ้งกันไป

คนเกี่ยวพันกับเรื่องนี้เยอะมาก คนเดินเกมส์เยอะมาก
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 34 : ลางสังหรณ์ p.7 (28/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 28-07-2018 17:52:03
ฮือออออ มันหดหู่ มันเศร้า มันเสียใจ ไปหมดเลย :hao5:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 34 : ลางสังหรณ์ p.7 (28/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 28-07-2018 19:55:44
ตอนจบเรื่องนี้จะมีคนรอดไหมหน๋อ :ling3:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 34 : ลางสังหรณ์ p.7 (28/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 29-07-2018 07:57:58
ถึงตอนแรกจะไม่ชอบในสิ่งที่จันทร์ทำ แต่ก็ไม่อยากให้จันทร์ตายแบบนี้นะ
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 34 : ลางสังหรณ์ p.7 (28/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 29-07-2018 11:39:09
พีคคคคคคคคค กลายเป็นนิยายรักพี่น้องได้ยังไงงงงง

สวยงามจัง รอนะคะะะ
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 34 : ลางสังหรณ์ p.7 (28/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 30-07-2018 06:48:50
ใต้หลังคาทุกแห่ง มีปัญหา
คนเลวก็มีจุดดี คนดีก็มีจุดเลวซุกซ่อนอยู่

อยู่ที่ใจล่ะเนอะ ว่าจะควบคุมให้อะไรโผล่พ้น ให้อะไรซ่อนลึก

หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 35 : สัญญาณชีพ p.7 (31/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 31-07-2018 01:08:06
ตอนที่ 35

เป็นอีกครั้งที่จ้าวตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสิ้นหวัง นัยน์ตาโศกแทบไร้ประกายจ้องมือตัวเองที่สั่นระริกไม่หยุด เสียงปืนลั่นไกดังข้างหูซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับมันเกิดขึ้นตรงหน้า มือทั้งสองข้างของเขาชุ่มไปด้วยเลือด กลิ่นคาวอบอวล ในอ้อมแขนของเขายังมีร่างของจันทร์
   
น้องชายฝาแฝดเพียงคนเดียวของเขา…
   
“ไม่!!!”
   
จ้าวกุมหัวกรีดร้องออกมาอย่างทนไม่ได้
   
ไม่ มันไม่จริง จันทร์ไม่ได้ตาย จันทร์ไม่ได้ตาย!
   
ร่างผอมสั่นระริกกอดตัวเองแน่น สะอึกสะอื้นออกมาอย่างขวัญเสียเพราะรู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ที่จันทร์จะรอดเพราะเลือดที่ออกมานั้นมากเหลือเกิน
   
“ฮึก ไม่เอาแบบนี้สิ จันทร์ มันไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลยนะ”
   
มือผอมเผลอจิกแขนตัวเองโดยไม่รู้ตัวจนเลือดไหลซึมออกมา นิสัยเก่าของจ้าวกำลังกลับมาอีกครั้ง นัยน์ตาโศกสั่นระริกอย่างใจสลาย ตั้งคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าทำไมถึงต้องเกิดเรื่องพวกนี้กับตัวเองด้วย
   
มันมากเกินไป..
   
จ้าวสะอื้นออกมารู้สึกเสียใจจนอยากเป็นบ้าให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ทำไม่ได้เพราะรู้ว่าตัวเองยังมีคุณเหมันต์อยู่ ที่เขาทนเจ็บทนเรื่องทุกอย่างได้ก็เพราะมีคุณเหมันต์ ขืนคุณเหมันต์ลองทิ้งเขา เขาคงจะใจสลายตั้งแต่วันแรก
   
หากไม่มีคุณเหมันต์อยู่ จ้าวก็ไม่มั่นใจนักว่าตัวเองจะประคองชีวิตได้ไปอีกนานเท่าไหร่เพราะเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเขามันช่างโหดร้ายเหลือเกิน ความฝันของเขาก็พังทลายไปแล้ว ชีวิตเขาไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
   
“ฮึก จันทร์ พี่ขอโทษจริงๆ”
   
จ้าวสะอื้นยังคงเห็นเหตุการณ์ที่จันทร์ฆ่าตัวตายซ้ำๆ ในหัว
   
เขาไม่กล่าวโทษจันทร์ที่จันทร์เลือกที่จะฆ่าตัวตาย สำหรับจันทร์แล้วการมีชีวิตอยู่คงจะเจ็บปวดกว่าการตายที่ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที แต่เขาก็ยังเจ็บปวดมากๆ อยู่ดี เขายังคาดหวังที่จะได้คืนดีกับจันทร์ ได้ไปกินข้าวหรือคุยสัพเพเหระกันตามประสาพี่น้องฝาแฝดที่ไม่ได้เจอกันนาน เขามีเรื่องที่จะคุยเยอะมากๆ จนน่าใช้เวลาหลายวันถึงจะหมดและแน่นอนว่าจันทร์ก็คงจะมีเหมือนกัน
   
น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสนั้นแล้ว…
   
“ฮึก จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า”
   
จ้าวหลับตาลงร้องเพลงเสียงแผ่วไม่เป็นจังหวะนัก หัวใจในอกบีบรัดแน่นเมื่อนึกถึงตอนที่ตัวเองร้องเพลงนี้ให้จันทร์ที่ร้องไห้อยู่ฟัง
   
“ขอข้าวขอแกง ฮึก”
   
เขาเป่าข้าวต้มจนเย็นและป้อนจันทร์ที่หน้าเปื้อนด้วยน้ำตาแห่งความน้อยใจที่พ่อแม่ไม่ยอมมาฉลองวันเกิดตามที่ได้รับปากกันไว้
   
“ขอแหวนทองแดง ผูก ฮึก มือน้องข้า”
   
เขาสวมกำไลประจำตระกูลของเขาให้กับจันทร์อย่างไม่นึกเสียดาย ใบหน้าพิมพ์เดียวกับเขายิ้มออกมาจนเขาอดยิ้มตามไม่ได้
   
“ฮึก ขอช้างขอม้า ให้น้องข้าขี่”
   
เพราะจันทร์ขี่จักรยานไม่เป็นเขาถึงไปคอยจับหลังไม่ให้น้องล้มอยู่เป็นเดือน
   
“ขอเก้าอี้ ฮึก”
   
จ้าวร้องไห้ต่อไม่ออกสะอื้นจนตัวโยนเมื่อจินตนาการว่าต่อไปนี้เขากับน้องจะไม่มีวันได้เจอกันแล้ว จันทร์ได้ไปที่ๆ ไกลเอามากๆ ที่ๆ น้องจินได้ล่วงหน้าไปก่อนเป็นยี่สิบปี
   
“อย่าไปเลยนะ จันทร์ ฮึก อย่าไปเลย อย่าทิ้งพี่ไว้คนเดียว”
   
สุดท้ายแล้วจ้าวก็ไม่สามารถร้องไห้จนจบ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังพังทลายอย่างช้าๆ แม้ว่าจะมีคุณเหมันต์คอยประคองหลังอยู่ก็ตาม แต่ความจริงมันช่างเจ็บปวด เจ็บปวดจนคนที่ยังอยู่ทนแทบไม่ได้
   
นี่สินะ ผลของการฆ่าตัวตาย…
   
ความเจ็บปวดมหาศาลที่กัดกินคนที่ยังไม่ตายให้ตายทั้งเป็น!
   
“ฮือ จันทร์ พี่จะไม่ไหวแล้วนะ”
   
กลิ่นเลือดคละคลุ้งขึ้นเมื่อจ้าวจิกแขนตัวเองแน่นกว่าเดิมเพื่อระบายความเจ็บปวดในใจ
   
ปัง!
   
“จ้าว!”
   
ประตูถูกเปิดออกแบบรีบๆ พร้อมกับไฟที่ถูกเปิด ความสว่างนั้นมากจนทำจ้าวที่ตาเริ่มจะคุ้นชินกับความมืดพร่ามัว ยังไม่ทันเห็นหน้าคนที่เข้ามาก็ถูกเอ็ดเสียงดุ
   
“ทำอะไร”
   
จ้าวก้มหน้าต่ำจนแทบชิดกับอก ไม่กล้ามองหน้าคุณเหมันต์ที่โกรธจนตัวสั่น ยอมให้ตัวเองถูกดึงแขนไปดูอย่างว่าง่ายและแน่นอนว่าต้องไม่ได้รับคำชมอย่างแน่นอน
   
“พี่ว่าพี่เคยบอกแล้วนะ ว่าถ้าทำร้ายตัวเองอีก พี่จะโกรธ”
   
“…”
   
จ้าวเม้มปากพยักหน้าหงึกๆ น้ำตายังไหลอาบใบหน้า ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ กับเลือดที่ไหลชุ่มแขน
   
“จ้าวมองหน้าพี่”
   
“จ้าว”
   
จ้าวค่อยๆ เงยหน้ามองหน้าเหมันต์อย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่พอสบกับนัยน์ตาสีเทาเข้าจริงๆ กลับรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด หัวใจในอกที่แหลกเหลวเหมือนถูกประคับประคองเอาไว้อย่างอ่อนโยน
   
“พี่บอกแล้วไง ว่าจ้าวยังมีพี่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พี่จะไม่ทิ้งจ้าวไปไหน”
   
เหมันต์พรมจูบบนมือจ้าว สัมผัสแผ่วเบาราวกับผีเสื้อที่แตะผิวน้ำ
   
บางเบาหากแต่เปี่ยมแน่นไปด้วยความรู้สึก
   
“เข้าใจไหมครับ”
   
“ฮึก” ร่างผอมพยักหน้าหงึกหงักแล้วโผกอดเหมันต์แน่น พยายามซุกหาความอบอุ่นเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตตัวเองที่เหลืออยู่

“จันทร์ ฮึก จันทร์”
   
“จันทร์ยังไม่ตาย จ้าว”
   
เหมันต์ไม่สนใจสีหน้าของจ้าวรีบรวบตัวจ้าวขึ้นอุ้มและกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังห้องผ่าตัดที่ผ่าตัดกันมาไม่ต่ำกว่าเจ็ดชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่จันทร์เข้าไปในนั้น
   
“พี่ไม่ได้โกหกจ้าว ใช่ไหม”
   
จ้าวถามเสียงพร่าตัวยังสั่นระริกไม่หยุด
   
“จันทร์ยังอยู่ในห้องผ่าตัดแต่พี่ไม่รู้ว่าจันทร์จะไหวรึเปล่า”
   
“…อือ”
   
จ้าวซุกหน้ากับบ่าเหมันต์สะอื้นออกมาหนักกว่าเดิม
   
การยังมีลมหายใจแต่ยังอยู่ในห้องผ่าตัดนี่ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาสักนิด…
   
มันก็แค่ความหวังวูบเดียวที่เขาไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะหายไปตอนไหน

   

สัญญานชีพเบาลงเรื่อยๆ ขัดกับบรรยากาศในห้องผ่าตัดที่ตึงเครียดขึ้นทุกขณะ สีหน้าหัวหน้าทีมผ่าตัดที่ซ่อนอยู่หลังแมสปิดปากบึงตึ้งจนแทบบิดเบี้ยวด้วยความเครียดและกังวล แต่ก็ยังไม่หยุดมือที่กำลังยื้อชีวิตคนตรงหน้าอย่างสุดความสามารถแม้ว่าจะมีความหวังเพียงน้อยนิด
   
แต่ก็เพราะมีความหวังเพียงน้อยนิดเขาจึงทุ่มเททุกอย่างในชีวิตในการผ่าตัดครั้งนี้
   
สีหน้าของผู้ช่วยแต่ละคนไม่สู้ดีนักเมื่อเห็นสัญญาณชีพที่เต้นแผ่วจนจะกลายเป็นเส้นตรง
   
“เขาต้องรอด”
   
สุริยะพูดออกมาแม้ว่าตัวเองแทบจะขาดใจตายอยู่รอมร่อ หัวใจในอกแทบสลายเมื่อเห็นภาพที่ฉายทางโทรทัศน์เป็นภาพของจันทร์ที่เอาปืนจ่อหัวตัวเองและยิงมันออกมา
   
ณ วินาทีนั้นเขาเหมือนตายทั้งเป็น
   
หลังจากนั้นเขาจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างแต่รู้ตัวอีกทีก็มาโผล่ที่คฤหาสน์ตระกูลกิลลาสและอาสาเป็นหัวหน้าทีมผ่าตัดให้กับจันทร์ ซึ่งก็ได้รับอนุญาตอย่างรวดเร็วเพราะเขาเคยขึ้นชื่อว่าเป็นศัลยแพทย์มือดีมาก่อน
   
เวลาเจ็ดชั่วโมงสำหรับเขานั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาพยายามทำทุกอย่างตามกระบวนการและให้เร็วที่สุดแต่ก็ดูเหมือนจะไม่เร็วและดีมากพอ เพราะเมื่อจัดการเย็บหนังศีรษะเสร็จทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ชีพจรของจัทร์ยังคงแผ่วเบาแม้ว่าเขาจะกระตุ้นไปแล้วก็ตาม
   
และเพียงแค่ชั่ววินาทีที่เขากระพริบตา
   
มันก็กลายเป็นเส้นตรง
   
“…ไม่”
   
นายแบบหนุ่มไม่เหลือมาดใดๆ อีก น้ำตาไหลออกจากดวงตาคมดุโดยไม่รู้ตัว ความเศร้าถาโถมกัดกินไปทั้งร่างจนทนแทบไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้จักกันได้ไม่นานแต่สุริยะกลับรู้สึกรักจันทร์มาก รักจนอยากจะแลกชีวิตตัวเองให้กับอีกฝ่ายด้วยซ้ำไป เผื่อว่าจันทร์จะมีความสุขขึ้นมาบ้าง
   
ทุกวันที่เขาไปตามจีบจันทร์ เขาเห็นความพยายามความทุ่มเทที่จะทำให้ทุกอย่างดีที่สุดของจันทร์ จันทร์เหมือนกับเด็กที่คาดหวังว่าตัวเองจะสามารถทำทุกอย่างได้ ทั้งๆ ที่มันเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้จันทร์จะไม่ร้องไห้ให้เขาเห็นแต่เขาก็มั่นใจว่าจันทร์ต้องผิดหวังกับตัวเองและร้องไห้ออกมา
   
ในสายตาเขานั้นจันทร์ก็เป็นแค่เด็กที่ขาดความรักคนนึงเท่านั้น
   
แต่น่าเสียดายที่เขาคงไม่มีโอกาสนั้นแล้ว…
   
สุริยะอยากจะลองกระตุ้นหัวใจจันทร์ดูอีกครั้งแต่ก็เจ็บปวดจนพูดไม่ออก รับรู้แต่ความอึดอัดในอกที่ทนแทบไม่ได้ มันมากเกินไป เขารับไม่ได้ที่จะเห็นคนที่เขารักตายไปซึ่งๆ หน้าโดยที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้สักนิด
   
ทำไม… ทำไมต้องเป็นจันทร์
   
เป็นเขาไม่ได้หรือที่ต้องตายแทน
   
“ฝีมือไม่เลวนะ คุณหมอ”
   
นัยน์ตาคมเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงกระซิบคุ้นหู
   
ติ๊ด
   
และสัญญาณชีพจรที่กลับมาเดินอีกครั้ง!
   
“ฮึก จันทร์ คุณกลับมาแล้ว!”
   
สุริยะร้องไห้ออกมาอย่างดีใจแม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าการกลับมาครั้งนี้ของจันทร์ไม่มีวันเหมือนเดิม
   
ในชั่ววินาทีที่ลั่นไกคล้ายกับยังมีความลังเล
   
ลูกกระสุนจึงไม่เจาะเข้ากลางกะโหลกแต่ก็ถากออกไปทางส่วนอื่นที่สำคัญน้อยกว่า เนื้อสมองส่วนที่ได้รับความเสียหายนั้นได้ถูกผ่าตัดออกเป็นบางส่วนซึ่งก็นับว่าโชคดีที่ยังรักษาชีวิตของจันทร์เอาไว้ได้
   
แต่นั่นก็แลกกับการที่ ‘จันทร์ นฤภัทร’ ไม่สามารถกลับไปเป็นคนเดิมได้อีกตลอดกาล
   
ผลจากการผ่าตัดสมองมีหลายแบบไม่ว่าจะ การพูดช้าลง ความจำไม่ค่อยดี สูญเสียการทรงตัวหรือทักษะการสื่อสาร แขนขาอ่อนแรง หรือแม้กระทั่งเป็นอัมพาต
   
ซึ่งสุริยะก็ได้แต่สวดภาวนาให้มันไม่เลวร้ายถึงเพียงนั้น
   
เพราะเขาไม่อยากให้จันทร์เจ็บปวดไปกว่านี้แล้ว

   

เสียงตะโกนด้วยความดีใจของสุริยะดังมาถึงข้างนอก ทำเอาคนที่นั่งรอฟังผลอย่างวิตกจริตสะดุ้งและโวยวายดังลั่นอีกทั้งยังกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจไม่ต่างกับเด็กๆ
   
“จันทร์ไม่ตาย! พี่เหมันต์ จันทร์ยังไม่ตาย!”
   
จ้าวดีใจจนอยู่เฉยไม่ได้เขย่ามือเหมันต์ไม่หยุด รอยยิ้มกว้างปรากฎบนใบหน้าที่ยังเลอะน้ำตา นัยน์ตาโศกเปล่งประกายระยิบระยับอย่างมีความสุขราวกับสุมดวงดาวทั้งจักรวาลไว้ภายใน
   
เหมันต์เผลอมองตาค้างอย่างไม่รู้ตัวแต่ที่แน่ชัดในใจคือจ้าวเหมาะกับรอยยิ้มมากว่าเป็นไหนๆ เห็นรอยยิ้มของจ้าวทำเหมันต์นึกถึงช่วงที่ชีวิตของจ้าวรุ่งโรจน์ จ้าวในตอนนั้นดังมากและเปี่ยมไปด้วยความสุข เป็นคนที่ยิ้มแล้วโลกสว่างไสวราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าที่เปล่งประกายชวนให้หลงใหล
   
และตอนนี้ดวงดาวดวงนี้ก็เป็นของเขาเพียงคนเดียว
   
“…เอ่อ พี่เหมันต์”
   
จากที่ดีใจมากๆ ตอนนี้เริ่มประหม่าเมื่อโดนจ้องเอามากๆ
   
“ครับ”
   
“มองจ้าวทำไม อื้อ”
   
เหมันต์ไม่ตอบแต่เลือกที่จะจูบจ้าวหนักๆ อย่างหมั่นเขี้ยว อย่างไรก็ตามบริเวณหน้าห้องผ่าตัดก็ไม่มีใครอยู่แล้วนอกจากพวกเขาสองคนเพราะการผ่าตัดครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นความลับ
   
สำหรับโลกภายนอกนั้น ‘จันทร์ นฤภัทร’ ได้ตายไปแล้ว ด้วยฝีมือการปล่อยข่าวออสตินและไลอ้อน ไม่ว่าผลการผ่าตัดจะเป็นอย่างไรแต่การที่จันทร์ถูกมองว่าตายแล้วถือจะเป็นเรื่องดีที่สุด อย่างไรซะต่อให้รอดสังคมก็คงไม่ต้อนรับกลับไปอยู่ดี โลกภายนอกสำหรับจันทร์นั้นได้กลายเป็นสถานที่อันตรายไปแล้ว
   
สถานที่ที่จันทร์ต้องอยู่ในช่วงชีวิตที่เหลือนั้นคือ ‘กรง’
   
จูบจนหนำใจเหมันต์จึงจะยอมปล่อยให้จ้าวหอบหายใจหน้าแดงก่ำ นัยน์ตาโศกมองมาอย่างไม่พอใจนักจนเหมันต์หลุดยิ้มมากกว่าเดิม
   
“มองคนน่ารักไงครับ”
   
“ฮื่อ”
   
จ้าวแค่นเสียงขึ้นจมูกแก้เขิน รู้สึกแปลกๆ ที่อยู่ดีๆ ก็โดนชมอย่างไร้เหตุผล นัยน์ตาโศกเหลือบมองประตูห้องผ่าตัดและยิ้มออกมาอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
   
อีกครึ่งหนึ่งของชีวิตเขากลับมาแล้ว..
   
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ จันทร์”

   

ท่ามกลางความสุขสันต์ย่อมมีความทุกข์โศก
   
บรรยากาศภายในห้องประชุมรัฐมนตรีระดับสูงตอนนี้เย็นเยียบจนยากที่จะหายใจ สีหน้าอัลฟ่าแต่ละคนไม่ค่อยดีนักเพราะกำลังตกเป็นรองฝ่ายอีกาแบบสุดๆ ยิ่งหัวเรี่ยวหัวแรงอย่างจันทร์ถูกดึงตัวไปอยู่ฝั่งนั้น ก็เท่ากับว่าพวกเขาได้ขาดทีมวิจัยฝีมือดีไปแล้ว พวกเขาคงไม่มีโอกาสได้ผลิตยาต้านน้ำหอมโอเมก้าสำเร็จ
   
ความพ่ายแพ้จึงรุกคืบเข้ามาใกล้ทุกที สถานที่นี้เป็นฐานมั่นสุดท้ายที่ตั้งอยู่กลางเมือง ถึงแม้ภายนอกจะเป็นตึกเก่าๆ โทรมๆ ไร้ราคาแต่ภายในนั้นหรูหราไม่ใช่เล่น แต่ก็ไม่มีใครมั่นใจว่าที่นี่แห่งนี้ปลอดภัย ถึงแม้คนที่อาศัยอยู่ตึกนี้ทั้งหมดเป็นอัลฟ่าก็ตาม พวกเขาไม่มีวันรู้เลยว่าคนที่อยู่ข้างตัวเองนั้นมีความคิดจะทรยศหรือไม่
   
“คุณจะทำยังไงต่อ คุณนพวิทย์”
   
หัวหน้าฝ่ายรัฐบาลหรือภคินเอ่ยถามคนสนิทด้วยสีหน้ากังวล ถึงแม้จะเขาจะออกคำสั่งกำจัดกลุ่มกบฏทุกคนที่เจอแล้วแต่ก็ดูเหมือนไม่มีผลอะไรสักนิด กลุ่มอีกายังคงอยู่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหนำซ้ำยังจับอัลฟ่าหลายคนเป็นตัวประกันเพื่อข่มขู่ฝ่ายรัฐบาลกลับ

ซึ่งมันก็ทำให้เกิดเสียงเรียกร้องประท้วงมากมายให้ยอมรับในข้อเสนอของกลุ่มอีกาเพราะกลุ่มอำนาจเก่าอย่างอัลฟ่าได้ถึงคราวอวสานแล้ว ทุกคนกำลังจนตรอกแม้ว่าจะร่างกายที่แข็งแร็งกว่า จำนวนของอัลฟ่าน้อยเกินกว่าที่จะไล่ต่อกรเหล่าเบต้าและโอเมก้าที่มีจำนวนมากกว่าเป็นเท่าตัว

ถึงแม้จะยากที่จะยอมรับข้อเสนอแต่พวกเขาก็จำเป็นต้องกล้ำกลืนยอมรับ พวกเขาไม่มีทางเลือกแล้ว หากมัวดันทุรังต่อไปเรื่อยๆ ในไม่ช้าคงจะถูกกระบอกปืนจ่อเข้าที่ศีรษะและลั่นไก

นพวิทย์ในตอนนี้ดูแก่ชราขึ้นเป็นสิบปี จากชายวัยห้าสิบกว่าที่มักจะรักษาเนื้อตัวให้ดูดีอยู่เสมอตอนนี้ปล่อยให้มีผมหงอกให้เห็นอีกทั้งยังมีสภาพโทรมจัด ใบหน้าที่เป็นต้นแบบให้กับแฝดทั้งสองมีร่องรอยของการนอนไม่พอ หากแต่นัยน์ตาโศกที่ควรจะฝ้าฟางกลับเปล่งประกายระยับอย่างไม่ยอมแพ้แม้ว่าจะใกล้จนตรอกเข้าทุกทีแล้วก็ตาม

“คำตอบของผมก็คือฆ่าโอเมก้าทุกคนที่หลงเหลืออยู่ครับ ตราบใดที่พวกมันมีลมหายใจ อัลฟ่าอย่างเราก็ไม่มีวันปลอดภัย”

“ผมเกรงว่าจะไม่มีคนตามคำสั่งของเรา” ร่างสูงในชุดทหารพร้อมเหรียญตราเกียรติยศต่างๆ พูดสีหน้าเงียบขรึม “กองกำลังของผมมีเบต้าเก้าสิบเปอร์เซ็นและเพราะเราไม่มีเงินจ่ายเงินเดือน เบต้ากว่าครึ่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นทหารฝีมือดีถึงแยกตัวออกไปหมด”
“บอกตามตรงว่าเราหมดทางรอดแล้ว คุณนพวิทย์”

หัวหน้ารัฐบาลพูดออกมาอย่างสิ้นหวัง พวกเขาได้พยายามกันจนถึงขีดสุดแล้วแต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไม่เป็นใจไม่ซะหมด ตั้งแต่ตลาดหุ้นยันธนาคารที่อยู่ดีๆ ก็ล่มจนใช้งานทางอินเล็กทรอนิกส์แทบไม่ได้ กองกำลังที่คอยลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยก็หายตัวไปและตายไปอีกครึ่ง แต่ส่วนใหญ่แล้วล้วนถูกชักจูงโดยฝ่ายอีกาให้เข้าร่วมด้วยแม้ว่าจะมีกฎหมายออกมาอย่างเด็ดขาดแล้วก็ตามว่ามีโทษถึงชีวิตถ้าคิดก่อการกบฏ

แต่ในเมื่อผู้รักษากฎหมายไม่มีปัญญารักษาจึงแทบไม่มีใครสนใจมันเลย พวกเขาสนเพียงข้อเสนอห้าข้อที่ฝ่ายอีกาเสนอขึ้นมา ความเท่าเทียมที่มาพร้อมกับสันติภาพ คำพูดอันสวยหรูที่ดูเหมือนอยู่ในเทพนิยายมากกว่าความเป็นจริง
พวกเขาไม่คิดว่ามันจะเป็นจริงได้จนกระทั่งเมื่อวานที่เห็นจันทร์ฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตา

มันเป็นการตายที่มาพร้อมกับผลกระทบระลอกใหญ่ กลุ่มเบต้าอัลฟ่าบางคนที่เคยสนับสนุนจันทร์เต็มที่ถึงกับคลุ้มคลั่งรับไม่ได้กับการตัดสินใจของจันทร์ พวกเขาต่างพากันออกมาโวยวายแต่กว่าครึ่งก็สงบลงทันทีเมื่อเจอกลุ่มอีกาเดินเข้ามาและพอพวกเขาเห็นสภาพร่างกายอันบอบช้ำของโอเมก้าจริงๆ ก็พูดอะไรไม่ออก

พวกเขาโหดร้ายกับมนุษย์ด้วยกันเองจริงๆ

บีบบังคับให้จนตรอกและกลับมาแว้งกัดโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะตายหรือไม่

“คุณคะ” คุณหญิงวิภาดาหรือภรรยานายแพทย์นพวิทย์แตะแขนสามีเชิงให้กำลังใจ ไม่ว่าในที่ประชุมสามีเธอจะถูกกดดันมากขนาดไหนแต่เธอก็จะยังอยู่ตรงนี้เสมอ คอยสนับสนุนทุกอย่างเพื่อการดำรงอยู่ของระบบชนชั้น

นพวิทย์พยักหน้าก่อนที่จะเชิดหน้าพูดอย่างมั่นใจ “อย่าลืมสิว่าพวกเราเป็นอัลฟ่า พวกเราสามารถใช้กลิ่นฟีรีโมนของเราข่มพวกมันได้ ยิ่งอัลฟ่าพิเศษยิ่งดีเลย ผมพอจะยาของผมอยู่”

แน่นอนว่ายาที่นายแพทย์นพวิทย์ว่านั้นไม่ใช่ฝีมือตนเองแต่นพวิทย์ก็ยังสามารถพูดต่อได้อย่างคล่องแคล่วราวกับว่าตนเองเป็นคนผลิตยานั้นขึ้นมาเอง

“สรรพคุณของยานั้นจะเหมือนยากระตุ้น มันจะทำให้พวกเราหรืออัลฟ่าปล่อยกลิ่นออกมารุนแรงกว่าเดิมหลายสิบเท่าจนพวกโอเมก้าเบต้ากลัวจนตัวสั่น”

“แต่กลุ่มอีกามีน้ำหอมโอเมก้านะครับ” อัลฟ่าคนหนึ่งพูดขึ้นมา

นัยน์ตาโศกหรี่เล็กลงกว่าจะยิ้มออกมา

“งั้นเราก็จะปล่อยข่าวตกลงรับข้อเสนอแต่มีข้อแม้ว่าหัวหน้ากลุ่มทุกคนของกลุ่มอีกาต้องมาเซ็นรับรองด้วยตัวเอง” นพวิทย์ผลุดลุกขึ้นยืนอย่างอดไม่ได้ “หลังจากนั้นที่พวกมันมากันครบเราก็แค่ใช้ยาของเราจัดการพวกมันแล้วฆ่ามันให้หมด กลุ่มอีกาถ้าขาดหัวหน้าไป พวกมันก็คงทำอะไรต่อไม่ได้อีก”

“ผมว่าแผนคุณมีข้อบกพร่องหลายจุดนะ คุณนพวิทย์” ปตินันท์แย้งทันที “กลุ่มอีกามีอัลฟ่าอยู่ด้วยนะ ถ้าคุณไม่ลืม แล้วผมก็ไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนั้นด้วย”

“หรือว่าคุณมีแผนอื่นอีกล่ะ!” นพวิทย์ทุบโต๊ะคำรามออกมาอย่างกราดเกรี้ยว ความโกรธและอับอายในตัวจันทร์นั้นมากจนนพวิทย์แทบกระอักเลือดตายตั้งแต่เมื่อวาน เขาพยายามกดมันไว้ให้ลึกแต่สุดท้ายก็อดไม่ได้อยู่ดีเมื่อถูกจี้ประเด็น ถึงแม้จะรู้ว่าอัลฟ่าที่ปตินันท์หมายถึงไม่ใช่จันทร์ แต่เขาก็ยังหงุดหงิดมากอยู่ดี

“ผมเห็นด้วยกับแผนของคุณนพวิทย์นะ เราไม่มีทางเลือกแล้วนอกจากรอวันที่พวกนั้นมาฆ่าเรา”

ภคินเอ่ยสนับสนุนด้วยสีหน้าเงียบขรึม

“มันจะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของเรา ถ้าไม่ใช่กลุ่มกบฏที่ตายก็เป็นเราเนี่ยแหละที่ตาย”

=======

ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ  :heaven

ในที่สุดเรื่องนี้ก็ใกล้จบแล้ว  :mc4:


หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 35 : สัญญาณชีพ p.7 (31/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 31-07-2018 07:09:31
ขนาดนี้แล้วพวกอัลฟ่ารัฐบาลยังคงเห็นแก่ตัวอยู่เลย :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 35 : สัญญาณชีพ p.7 (31/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 31-07-2018 17:52:37
อ้อหอออ  :z6: ขนาดลูกตายทั้งคนไม่มีแม้แต่พูดถึง

ดีแล้วล่ะที่จันทร์ไปอยู่อีกฝั่ง มีจ้าว มีสุริยะรักและดูแล

อย่ามีเลยพ่อแม่แบบนี้
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 35 : สัญญาณชีพ p.7 (31/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 31-07-2018 18:01:38
พ่อแม่ ของจ้าวกับจันทร์ สะท้อนภาพของครอบครัวยุคปัจจุบันได้ดี :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 36 : วีรบุรุษ (1) p.7 (9/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 09-08-2018 23:17:43
ตอนที่ 36
   

“สิต นายเชื่อใจพวกนั้นจริงๆ เหรอ”
   
หนุ่มแฮ็คเกอร์เอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไม่ยอมละสายตาจากจอมอนิเตอร์แม้แต่วินาทีเดียว ในเวลานี้ถึงภายนอกกลุ่มอีกาจะดูได้เปรียบแต่สำหรับไอทีแล้วนั้นตรงกันข้าม จำนวนคนที่มีน้อยกว่าทำให้งานแฮ็คระบบเขาล้มเหลวมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะแต่ละที่ที่โดนแฮ็คระบบนั้นเริ่มรับมือได้แล้ว
   
“บอกตามตรงว่าฉันไม่อยากไปเลยสักนิด อยู่ดีๆ ก็ตกลงรับข้อเสนอทั้งหมดแต่มีข้อแม้ว่ากลุ่มเราต้องไปทั้งหมด เอาเข้าจริงเด็กอนุบาลยังรู้เลยน่าว่ามันมีอะไรแปลกๆ ”
   
คราวนี้ขุนหรืออัลฟ่าหนุ่มไฮโซซึ่งเป็นหนึ่งไส้ศึกสำคัญของกลุ่มอีกากอดอกพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก เพราะถ้าหากเขายอมรับว่าตนเองอยู่กลุ่มอีกานั่นก็เท่ากับว่าโอกาสที่เขาจะแทรกซึมในกลุ่มรัฐบาลอาจจะถูกจับตามองมากขึ้นและมันก็จะทำให้การส่งข่าวสารยากขึ้นไปอีก แค่ข่าววงในที่สุดตอนนี้คนของเขายังส่งข่าวไม่ได้เลย พวกรัฐบาลระวังตัวกันแจตรวจค้นร่างกายกันทุกวันและตรวจรหัสคนเข้าออกตลอดเวลา ทำให้คราวนี้กลุ่มอีกาไม่ล่วงรู้แผนที่รัฐบาลวางเอาไว้ ได้แต่คาดคะเนกันเอาเอง
   
สิตที่กำลังจัดแจงเสื้อผ้าอยู่นั้นแค่นเสียงหัวเราะเรียกสีหน้าประหลาดใจของสมาชิกกลุ่มได้ดี
   
“พูดตรงๆ นะ แค่เมื่อวานกูไม่ตายก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว”
   
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราตอนนี้ถูกโกนออกจนหมดจด สิตเอียงหน้าซ้ายขวาพยายามทำตัวให้อยู่ในสภาพดีที่สุดเพราะนี่จะเป็นการลงนามครั้งแรก เขาอยากให้เกียรติกับสิ่งที่กลุ่มอีกาพยายามร้องขอมาตลอด ถึงแม้จะไม่รู้ว่าการไปครั้งนี้จะเป็นเรื่องหลอกหรือเรื่องจริงแต่สิตก็ไม่คิดจะกลัว
   
เขาเห็นความตายมามากจนไม่รู้สึกอะไรถ้าตัวเองจะเป็นอีกศพในการปฏิวัติครั้งนี้ เขาฆ่าคนมามากแล้วเพื่อที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ถ้าหากการตายของเขาสามารถทำให้รัฐบาลตกลงรับข้อเสนอก็ถือเป็นเรื่องที่ควรจะยินดีมากกว่าเสียใจด้วยซ้ำ
   
“ผมไม่อยากให้พี่ตายเหมือนจันทร์” เงินซึ่งเป็นอัลฟ่าอีกคนในกลุ่มพูดด้วยสีหน้าอ่านยาก ภาพที่จันทร์ยิงหัวตัวเองต่อหน้าสาธารณชนยังติดตาเขาไม่หาย ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แต่ก็รับรู้ได้ถึงอุดมการณ์อันแรงกล้าของจันทร์ก่อนตาย มันเป็นอะไรที่ทรงพลังมากเพราะถ้าจันทร์อยากจะฆ่าตัวตายจริงๆ ไม่จำเป็นต้องไปพูดเพื่อกลุ่มอีกาด้วยซ้ำ
   
“ใครจะไปเซ็นลงนามกับพี่บ้าง”
   
เมื่อผูกเนคไทเสร็จสิตก็กวาดสายตามองคนที่นั่งในห้องประชุมไม่สนใจคำคัดค้านของแต่ละคนแม้แต่นิดเดียว
   
“ผม”
   
วุ้นซึ่งแต่งตัวด้วยชุดสูทครีมเรียบๆ ยกมือตอบ ผ้าปิดตาที่ปกปิดความผิดปกติไม่ได้ทำให้ใบหน้าของวุ้นดูน่ามองขึ้นแต่อย่างใด หนำซ้ำยังเน้นยำถึงความรุนแรงของสังคมที่บีบบังคับให้คนๆ นึงต้องสูญเสียอะไรในชีวิตมากมายเพื่อแลกกับการมีชีวิตรอดในแต่ละวัน

“พี่ขออีกคน”
   
“เฮ้ย พี่สิต พี่ไม่คิดจะฟังที่พวกผมพูดเลยใช่ไหมวะ!” ในที่สุดเงินก็ระงับอารมณ์ตัวเองไม่อยู่กระชากคอเสื้อสิตและตะคอกใส่เสียงแข็งอย่างผิดวิสัย หากแต่ก็ไม่มีใครกล้าห้ามเพราะแววตาที่ขมขื่นของเงิน “พี่ไม่คิดบ้างเหรอว่าผมจะรู้สึกยังไง ถ้าพี่ตาย”
   
“ก็เพราะพี่สนใจ พี่ถึงไป” สิตถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ไม่คิดจะขัดขืนแต่อย่างใดแม้คอเสื้อจะถูกกำแรงขึ้นทุกที
   
“แล้วถ้าพี่ตายล่ะ พวกผมจะทำกันยังไง.. มันไม่เหมือนกันหรอกนะ มีกับไม่มีน่ะ” น้ำตาค่อยๆ ไหลออกจากนัยน์ตาของเงิน อัลฟ่าหนุ่มร่างโปร่งที่กำพร้าพ่อแม่แต่ได้รับการอุปถัมภ์จากครอบครัวโอเมก้าและครอบครัวที่ว่านั้นก็คือครอบครัวของสิต
   
“พี่ว่าพี่เคยคุยเรื่องนี้กันแล้วนะ” สิตลูบหัวเงินเบาๆ “ถ้าพี่ตาย พี่ฝากกลุ่มไว้กับเงินและทุกคนด้วย”
   
“…ไม่ พี่ต้องไม่ตายสิ ฮึก”
   
“ถ้าพี่ไม่ไป พวกเราก็ไม่มีโอกาสแล้วนะ เงิน และพี่ก็ไม่อยากให้ใครไปเสี่ยงแทนพี่ด้วย”
   
สิตแกะมือของคนที่เปรียบเสมือนเป็นน้องชายตัวเองออกจากคอเสื้อ ครั้งนี้เงินยอมแต่ตัวสั่นระริกพยายามใช้หลังมือปาดน้ำตาตัวเองที่ไหลไม่หยุด
   
“ผมพี่ ผมไปเอง”
   
คิงซึ่งนั่งเงียบมาตลอดพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ใบหน้าที่เคยหล่อขึ้นปกนิตยสารบ่อยๆ ตอนนี้เหลือเพียงเค้าโครง บริเวณดวงตาฉายชัดถึงความนอนไม่พอและแน่นอนว่ามันเป็นแบบนี้นับตั้งแต่วันที่จ้าวหลุดออกไป
   
คนที่เป็นแสงสว่างที่สุดในชีวิตของเขาได้หนีจากเขาไปตลอดกาลแล้ว…
   
เขามันก็แค่หมาตัวหนึ่งที่เห่าไปวันๆ พยายามรอให้เจ้าของกลับมาทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่มีวันกลับมา ภาพในข่าวมันชัดเจนจนทำให้เขาร้องไห้กับความจริงที่ว่าจ้าวไม่เคยรักเขาเลย ไม่เคยเลยจริงๆ
   
“โอเค งั้นลุกเลย พี่อยากไปก่อนเวลานัด”
   
สิตพยักหน้าจัดเน็คไทให้เข้าทรงเหมือนเดิมและก่อนที่จะก้าวออกจากห้องก็ไม่ลืมที่จะกล่าวลาด้วยน้ำเสียงติดตลกเหมือนที่เคยเป็นทุกครั้ง
   
“ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเราได้เจอกัน พี่ขอบคุณทุกคนจริงๆ ที่กล้าเอาตัวเองมาเสี่ยงกับเรื่องที่ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้จริงรึเปล่า”
   
นัยน์ตาที่ไม่มีใครเห็นของสิตนั้นวูบไหว เอาเข้าจริงแล้วเขาก็อยากจะอยู่จนถึงตอนจบของเรื่องทุกอย่างเหมือนกัน แต่มันก็คงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เขาเผื่อใจเอาไว้แล้วกับการลงนามครั้งนี้ ถ้าเกิดเขาตายจริงๆ ก็คงสามารถสร้างแรงผลักดันครั้งใหญ่ได้ไม่น้อยเหมือนที่จันทร์ทำ
   
“ที่เหลือต่อจากนี้พี่ขอฝากความฝันของพี่ไว้กับทุกคนด้วย”
   
ทุกอย่างในห้องประชุมตกลงอยู่ในความเงียบ ทุกคนล้วนเข้าใจในการกระทำของสิตแต่ก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้อยู่ดี มันช่างโหดร้ายเหลือเกินที่เรื่องทุกอย่างที่เลวร้ายที่สุดมักจะเกิดกับฝ่ายที่อ่อนแอกว่าและถูกต้องกว่าอยู่เสมอ
   
“งั้นพี่ไปแล้วนะ”
   
สิตพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่พูดเสียงสั่น เขายังอยากปกป้องทุกคนมากกว่านี้แต่โอกาสที่เขาจะรอดก็น้อยนิดเหลือเกิน
   
“แล้วพี่จะเอาน้ำหอมโอเมก้าไปไหม”
   
เงินถามขึ้นมาจ้องมองแผ่นหลังที่ใหญ่โตราวกับเป็นอัลฟ่าด้วยความเจ็บปวด
   
“ไม่ เราจะไม่เล่นสกปรกกับการลงนามครั้งนี้”
   
“แต่พวกมันจะเล่นสกปรกนะ พี่สิต” เงินทักท้วง “ทำไมเราต้องปล่อยให้มันทำเราอยู่ฝ่ายเดียวละ พี่สิต มันไม่ยุติธรรมเลย ถ้าพวกมันจะฆ่าพี่ เราก็ต้องโต้กลับสิ”
   
“พอเถอะ เงิน” สิตพูดเสียงหนักแน่น “อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ถ้าเราเล่นงานพวกมันคืน เราจะต่างอะไรจากพวกนั้นล่ะ เล่นสกปรกเหมือนกัน หายกันงั้นเหรอ พี่ไม่เอาด้วยหรอก อีกอย่างงานนี้นักข่าวน่าจะเยอะกว่างานเจรจาอีก ถ้าพวกมันคิดจะทำจริงๆ ก็ปล่อยมันทำเถอะ”
   
“แต่..”
   
“ไม่มีแต่ครับ เงิน พี่ขอตัวก่อนนะ”
   
สิตตัดบทและออกจากห้องทันทีแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าที่เงินพูดมานั้นเพราะเป็นห่วงตนเอง แต่เขาก็มีทางเลือกไม่มากนัก หากเลือกที่จะโต้กลับจริงๆ พวกเขาทั้งฝ่ายอาจจะไม่มีวันได้เจรจากันอีกและมันก็จะลามไปเป็นสงครามครั้งใหญ่ ถึงแม้กลุ่มอีกาจะยังได้เปรียบแต่เขาก็ไม่แน่ใจสักนิดว่าจะยังคงความได้เปรียบได้ไหม ถ้าหากต่างชาติยื่นมือลงมาช่วยและทำให้ทุกอย่างเลวร้ายขึ้นกว่าเดิม
   
เขาจึงเลือกที่จะเสี่ยงในครั้งนี้
   
แม้ว่ามันอาจจะต้องเดิมพันด้วยชีวิตเขาก็ตาม

   

เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ ‘จันทร์ นฤภัทร’ เสียชีวิต ทางรัฐบาลก็ยื่นข้อเสนอให้กับกลุ่มอีกาและฝ่ายหลังก็ตอบตกลงอย่างรวดเร็ว การลงนามครั้งนี้จึงได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากสื่อมวลชนต่างๆ ที่กระหายข่าวถึงขีดสุด มีหลายคนที่นึกเสียดายที่ไม่ได้มาเป็นนักข่าวเพื่อถ่ายทอดสดด้วยตัวเองตอนที่จันทร์ฆ่าตัวตายเพราะมันกลายเป็นกระแสที่รุนแรงมากในโซเชียลมีเดียทุกแพลทฟอร์ม
   
เม็ดเงินที่สะพัดอยู่ในระบบนับเป็นอะไรที่ล่อตาล่อใจเหล่านักข่าวผู้หิวกระหายเงินไม่น้อยเพราะเหล่าธนาคารและตลาดหุ้นเริ่มสามารถกู้ระบบกลับมาได้แล้ว พวกเขาจึงเลือกที่จะพาตัวเองมาอยู่ในที่อันตรายไม่สนใจความเสี่ยงใดๆ เพราะเงินที่เสนอมานั้นคุ้มค่าเกินกว่าจะคิดอะไรมากมาย
   
บริเวณทำเนียบรัฐบาลจึงคราคร่ำไปด้วยผู้คนผิดกับครั้งก่อนลิบลับ สื่อมวลชนเดินกันเอกเขนกต่างพากันรายงานสดกันอย่างกระตือรือร้น สัมภาษณ์รายงานสถานการณ์ตลอดเวลาจนเป็นที่รำคาญของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานการจริงๆ
   
หากแต่ถึงแม้ผู้คนจะมากมายถึงเพียงนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้ร่างผอมที่ปลอมตัวเป็นสื่อมวลชนรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาแต่อย่างใด หนำซ้ำยังกังวลว่ามันจะแย่ยิ่งกว่าเดิมเพราะรู้ดีว่าฝีมือการเขียนข่าวแต่ละสำนักจะเป็นยังไง หากเลือกที่จะโจมตีแล้วยากที่จะถูกมองว่าเป็นคนดีได้อีกแม้ว่าจะไม่ได้ทำผิดจริงๆ ก็ตามที
   
ร่างผอมที่กำไมค์อยู่สั่นระริกมองบริเวณที่จันทร์ยิงตัวตายด้วยความเจ็บปวด ตอนนี้มันถูกเอาน้ำฉีดล้างเลือดออกแล้วแต่ก็ยังถูกกักกันไม่ให้คนเข้าไปยุ่งกับบริเวณนั้น แต่นักข่าวผู้ต้องการข่าวก็ยังสามารถทำข่าวได้แม้แต่กับหญ้าสีเขียวที่มีเลือดติดอยู่เบาบาง
   
“อย่าไปสนใจพวกนั้นนักสิ”
   
อีกคนที่ปลอมตัวเป็นคนแบกกล้องกระซิบเสียงดุ ใบหน้าแทบทั้งหมดถูกปิดบังด้วยแมสสีดำและแว่นดำอีกทั้งยังสวมหมวกทับอีกชั้นด้วยเพื่อความแนบเนียน
   
และมันก็เนียนมากจริงๆ จนจ้าวมั่นใจว่าถ้าเจอกันโดยบังเอิญคงจำไม่ได้
   
“ผมแค่เสียใจ”
   
“พี่รู้”
   
เหมันต์รู้สึกเศร้าไปด้วยเมื่อเห็นนัยน์ตาโศกของจ้าวหม่นหมอง ทั้งๆ ที่เห็นแค่เพียงดวงตาแต่กลับสัมผัสถึงความผิดหวังล้ำลึกซึ่งเหมันต์ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรนัก
   
เพราะจ้าวก็เป็นอีกคนที่ถูกสื่อทำร้ายมาอย่างหนักหน่วง
   
“อย่าลืมว่าเรามาวันนี้เพราะอะไร”
   
เหมันต์เปลี่ยนเรื่องพยายามย้ำเตือนสติจ้าวไม่ให้หมกมุ่นกับความทุกข์ระทมในอดีตที่แสนเจ็บปวด
   
“อือ ผมจะไม่ยอมให้พ่อผมทำอะไรกลุ่มอีกาเด็ดขาด”
   
จ้าวพูดด้วยสีหน้าจริงจังแม้ว่าจะรู้สึกไม่มั่นใจนักว่าตัวเองจะทำได้ตามที่พูดหรือเปล่า หากแต่ข่าววงในที่เหมันต์สืบมาได้นั้นก็เลวร้ายเกินกว่าที่จ้าวจะนิ่งเฉยจนเรื่องทั้งหมดจบลง
   
“จันทร์ยอมเอาชีวิตของตัวเองมาลงทุนกับสิ่งนี้ ผมจะไม่ให้มันสูญเปล่าเด็ดขาด”
   
[ ขอให้ทุกท่านอยู่ในความสงบครับ ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายได้มาถึงแล้ว ]
   
เสียงลำโพงดังลั่นทำให้เหล่านักข่าวที่รายงานข่าวกันเกรียวกราวยอมสงบลงเพียงชั่วครู่ เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาก็มีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวต่อจนเหล่าเจ้าหน้าที่ยังยอมปฏิบัติงานตะคอกด่าอย่างหัวเสียและพยายามกันออกจากทางเดินไม่ให้ลุกล้ำเข้ามาได้
   
แต่จำนวนที่ต่างกันหลายเท่าก็ทำให้กล้องที่ถ่ายทอดสดนั้นรุกล้ำเข้ามาอยู่ดี ในตอนนี้ทุกคนแทบไม่สนใจเรื่องมารยาทแต่สนใจมากกว่าว่าตัวเองจะนำเสนอได้มากกว่าสำนักข่าวคู่แข่งหรือเปล่า พวกเขาพยายามแย่งชิงพื้นที่สื่อกันโดยลืมไปโดยสิ้นเชิงว่าวัตถุประสงค์ของงานนี้คืออะไร
   
จ้าวพยายามแทรกซึมเข้าไปแถวหน้าแต่ก็โดนชนจนเกือบล้ม จึงเปลี่ยนใจออกมายืนข้างนอกแทนและมองสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ด้วยความรู้สึกไม่สบายใจนัก
   
ทั้งสองฝ่ายเดินกันอย่างสงบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ กลุ่มของรัฐบาลนั้นได้สวมเสื้อคลุมสีดำและมีตราสัญลักษณ์อัลฟ่าสีทองที่สักบนมืออัลฟ่าทุกคน เป็นอัลฟ่าร่างใหญ่สามร่างประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน รองผู้บัญชาการตำรวจ และนายแพทย์ที่ทุกคนที่เป็นอัลฟ่าล้วนรู้จักกันเป็นได้อย่างดี
   
“พ่อ..”
   
นัยน์ตาโศกสั่นระริก จ้าวนวดมือตัวเองอย่างตึงเครียดและมองทางฝ่ายอีกาบ้างและพบว่าเป็นอีกสามคนที่คุ้นตาเหมือนกัน คนแรกเป็นหัวหน้าฝ่ายอีกาซึ่งสวมเสื้อสูทดำน่าเกรงขามบริเวณหน้าอกถูกประดับด้วยสัญลักษณ์ของกลุ่มอีกาซึ่งเป็นอีกาขนาดใหญ่ที่กำลังกางปีกบิน มันถูกหลอมขึ้นมาจากเหล็กและเป็นประกายเมื่อต้องแสงอาทิตย์ คนที่สองเป็นโอเมก้าร่างผอมสวมสูทสีสบายตาแต่กลับแสดงความรุนแรงออกมาอย่างเห็นได้ชัดด้วยการตัดแขนเสื้อสูทอีกข้างออกและเหลือไว้เพียงแค่ปลายเสื้อที่เปิดให้เห็นไหล่มนที่มีปลายกระดูกแทงออกมาให้เห็น ตอกย้ำถึงความไม่สบประกอบของร่างกายตัวเอง
   
และคนสุดท้าย..
   
จ้าวเผลอผงะถอยหลังเมื่อเผลอไปสบตาเข้าและฝ่ายหลังก็ยิ้มบางๆ ให้
   
“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่..”
   
พึมพำกับตัวเองอย่างสับสน ถึงแม้การเจอกันล่าสุดนั้นจะไม่ใช่เรื่องที่น่าประทับใจเท่าไหร่แต่อย่างไรก็ตามเขากับคิงก็เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากๆ ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจรอยยิ้มของคิงเมื่อกี้เลยสักนิดว่ามันหมายถึงอะไร สำหรับคิงแล้วเขาควรจะเป็นตัวร้าย เป็นคนที่สมควรถูกเกลียดที่สุดไม่ใช่เหรอ
   
เขาไม่เข้าใจและไม่ไว้ใจรอยยิ้มนั้นเลยสักนิด
   
“เป็นอะไรรึเปล่า?”
   
“เปล่าครับ”
   
จ้าวส่ายหัวแล้วหันไปยิ้มให้คุณเหมันต์กลบเกลื่อนความรู้สึกขมุกขมัวของตัวเอง ก่อนที่จะเบิกตากว้างเมื่อได้เห็นภาพที่คิดว่าตัวเองไม่มีวันได้เห็นมาก่อนในชีวิต!
   
“เพิ่งเห็นเหรอจ้าว พี่ว่าพี่สะกิดให้ดูตั้งหลายรอบแล้วนะ”
   
เหมันต์พูดกลั้วหัวเราะด้วยรอยยิ้ม
   
“ครั้งนี้ไม่ได้มีแค่พวกเราสู้อยู่ฝ่ายเดียวหรอก”
   
สิ่งที่จ้าวเห็นนั้นคือคนจำนวนมากที่เพิ่งเคลื่อนขบวนตามมาสบทบที่ทำเนียบได้สักพัก ถึงแม้จะปักหลักกันอยู่ข้างหน้าแต่ก็ไม่ได้ทำให้ปณิธานอันแรงกล้าของพวกเขาแผ่วลงสักนิด เสียงตะโกนปลุกระดมดังลั่นจากเหล่านิสิตนักศึกษาที่พยายามเรียกร้องความยุติธรรมคืนมาให้กับเหล่าโอเมก้า พวกเขาทุกคนที่มานั้นล้วนมาเพื่อเป็นสักขีพยานและป้องกันให้ไม่ให้รัฐบาลเล่นตุกติก
ถึงแม้จะมีปลายกระบอกปืนเล็งไปที่พวกเขาอยู่ก็ตามแต่พวกเขาก็ไม่คิดจะหวาดหวั่น โอเมก้าร่างเล็กซึ่งเป็นนักศึกษาปีนขึ้นไปบนรถโดยไร้ที่กำบังและตะโกนใส่เหล่าตำรวจที่ยังจงรักภักดีกับรัฐบาลอย่างไม่กลัวตาย
   
“ระบบชนชั้นจงพินาศ ความเสมอภาคจงเจริญ!”
   
ตำรวจซึ่งโดนตะโกนใส่เริ่มชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจหากแต่พอขยับตัว กลุ่มมวลประชาก็กู่ร้องตะโกนออกมาเป็นประโยคเดียวกันซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด
   
“ระบบชนชั้นจงพินาศ ความเสมอภาคจงเจริญ!”
   
นัยน์ตาของทุกคนล้วนเป็นเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่นเพราะพวกเขาทั้งหมดล้วนมาด้วยอุดมการณ์อันแรงกล้าที่เกิดจากการตายของนายแพทย์จันทร์ นฤภัทร

หรือคนที่ถูกยกย่องให้เป็น ‘วีรบุรุษ’ ของเหล่าโอเมก้า
   
คนที่ยอมตายเพื่ออุดมการณ์ของตัวเอง
   
การฆ่าตัวตายของจันทร์ท่ามกลางสาธารณชนนั้นได้สร้างอิทธิพลต่อผู้คนอย่างมากมายมหาศาล ถึงแม้ภาพการฆ่าตัวตายจะไม่น่าดูนักแต่เหตุผลของการกระทำนั้นสำคัญยิ่งกว่าจนคนเลือกที่จะมองข้ามไป
   
เหล่าโอเมก้าที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ในที่ปลอดภัยจึงพากันออกมาในชุมนุมกันจำนวนมากในวันนี้ ถึงแม้จะไม่ใช่จำนวนทั้งหมดที่มีแต่ก็เป็นตัวเลขที่น่าจะมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่มีโอเมก้ามาชุมนุมกันมากขนาดนี้
   
พวกเขาล้วนกลัวตายแต่พวกเขาก็คาดหวังอนาคตมากกว่า พวกเขาอยากให้เด็กๆ และลูกๆ ของตัวเองได้มีชีวิตที่ดีกว่าตัวเอง ได้รับโอกาสอย่างที่ตนเองไม่เคยรับ อยากให้พวกเขาเกิดมาได้วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานมากกว่ากังวลว่าแต่ละวันว่าจะมีข้าวกินไหม
   
หากพวกเขาทำสำเร็จมันก็คุ้มค่ามากพอที่จะตาย!
   
เสียงกู่ร้องของเหล่ามวลชนดังกึกก้องชวนให้คนฟังรู้สึกขนลุก เหล่าสื่อมวลชนบางส่วนเริ่มออกไปถ่ายทำข้างนอกบรรยายสถานการณ์ตอนนี้ที่ค่อนข้างตึงเครียดแต่คงไม่เท่ากับบริเวณที่นั่งของเหล่าผู้มาลงนามในวันนี้
   
[ ขอความสงบด้วยครับ การลงนามจะเริ่มต้นแล้ว ]
   
โฆษกกล่าวซ้ำอีกสองสามครั้งเสียงกู่ร้องจึงหยุดลง ทุกสายตาจับจ้องไปที่จอโปรเจ็คเตอร์ที่กลุ่มนักศึกษาเอามากันเองเพราะไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
   
ภาพบนจอที่พวกเขาเห็นนั้นเป็นภาพที่หัวหน้ากลุ่มอีกาและนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันกำลังจับมือกันด้วยรอยยิ้ม พวกเขาทักทายกันสองสามประโยคก่อนที่ทุกคนจะไปนั่งประจำที่และเริ่มต้นการลงนาม
   
เอกสารสองชุดซึ่งถูกเตรียมมานั้นถูกแจกจ่ายและไล่เรียงกันตามลำดับความสำคัญจากน้อยไปมาก เหล่าพยานทั้งสองที่ติดตามมาด้วยต่างพากันเซ็นด้วยลายมือบรรจงก่อนที่มันจะหยุดลงที่บุคคลสำคัญที่สุดทั้งสองฝ่าย
   
สิตรับมันมาด้วยความรู้สึกประหลาด
   
ไม่น่าเชื่อว่าแค่เพียงลายเซ็นอีกสองลายเซ็นก็จะสามารถทำให้ความฝันของเขาและเหล่าโอเมก้าเป็นจริง…
   
ความตื้นตันดีใจทำให้สิตอดไม่ได้ที่จะขอพูดปราศรัยขอบคุณทุกคนสักครั้งก่อนที่จะเซ็นลงนาม เพราะหากไม่มีความพยายามของทุกคนมันก็คงไม่มีวันเป็นความจริงได้
   
ร่างสูงใหญ่ที่ดูคล้ายกับอัลฟ่าผลุดลุกขึ้นยืนและยิ้มบางๆ ออกมาอย่างยินดี ยิ่งเห็นกลุ่มมวลชนที่ตัวเองพยายามเรียกร้องสิทธิ์มาให้ตลอดมาร่วมด้วยยิ่งรู้สึกดีใจเข้าไปใหญ่
   
วันนี้เป็นวันที่ดีเอามากๆ จนเขากลัวว่ามันจะเป็นเพียงแค่ความฝัน
   
แต่สิตก็รู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้คือความจริง
   
สิตหยิบไมค์ลอยซึ่งตั้งอยู่ตรงหน้าตัวเองขึ้นมาและพูดด้วยรอยยิ้มกว้างที่คาดว่าจะเป็นรอยยิ้มแรกในรอบหลายเดือน “ผมขอขอบคุณทุกคนจริงๆ ที่พยายามมาด้วยกันตลอด ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่มันยากและไม่เคยมีประเทศไหนทำสำเร็จมาก่อน แต่เราก็ทำได้ มันก็กำลังจะกลายเป็นจริงแล้วครับ ไม่ว่าจะอัลฟ่า เบต้า หรือโอเมก้า ทุกคนจะเท่าเทียมกัน เริ่มต้นแรกอาจจะยากแต่ถ้าเราพยายามปรับเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ อีกไม่เกินสิบปี ผมมั่นใจว่าสังคมของเราต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน”
   
เสียงปรบมือดังเกรียวกราวจนสิตต้องยกมือขึ้นเชิงให้หยุดเพื่อขอพูดต่อ
   
“แต่คนที่ผมต้องขอบคุณที่สุดคงจะต้องเป็นจันทร์---“
   
ปัง!
   
ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ทันทีที่สิตกำลังจะไปแตะประเด็นของจันทร์ นายแพทย์นพวิทย์ก็ให้สัญญาณกับมือปืนที่ซุ่มยิงอยู่บริเวณบนตึกทันทีอย่างเผลอตัว ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะเซ็นให้เสร็จก่อนแล้วค่อยปิดบัญชีทีเดียว
   
และแน่นอนว่านักแม่นปืนที่ส่งตรงมาจากสหรัฐอเมริกาพันธมิตรหลักของรัฐบาลชุดนี้ย่อมไม่มีวันยิงพลาด ลูกกระสุนเพียงนัดเดียวแต่สามารถเจาะเข้ากลางหน้าผากตัดผ่านกะโหลกศีรษะและสมองส่วนสำคัญทันที
   
ร่างหัวหน้ากลุ่มอีกาที่ถือได้ว่าเป็นคนที่สำคัญมากที่สุดคนนึงสำหรับการปฏิวัติครั้งนี้ล้มโครมใส่โต๊ะอย่างเสียศูนย์ ช่วงขณะนึงก่อนที่สติจะสูญหายไปตลอดกาล สิตมองเอกสารสำคัญในมือตัวเองด้วยความเจ็บปวด
   
กระดาษที่เหลืออีกเพียงสองลายเซ็นตอนนี้ได้ชุ่มโชกไปด้วยเลือดของเขาเสียแล้ว
   
คงจะการใช้ไม่ได้และเขาก็คงทำไม่สำเร็จเหมือนกับคณะปฏิวัติกลุ่มอื่นๆ
   
ช่างน่าเสียดายที่เขาพยายามมาจนถึงขนาดนี้ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของฝั่งรัฐบาลได้
   
ช่างน่าเสียดาย..
   
ลมหายใจขาดหายไปพร้อมกับนัยน์ตาที่ยังเบิกค้างด้วยความเศร้าโศกระคนผิดหวัง
   
เหล่าผู้ชุมนุมและทุกคนอาณาบริเวณต่างกรีดร้องตื่นตระหนกด้วยความตกใจ บางส่วนก็พากันหนีกันจ้าละหวั่นหากแต่ระเบิดควันที่ผสมอะไรบางอย่างมาด้วยนั้นกลับทำให้แข้งขาอ่อนจนล้มไปกองบนพื้นและตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว พวกเขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองหวาดกลัวอะไรรู้เพียงสติถูกมอมเมาด้วยกลิ่นประหลาด
   
ไม่เว้นแม้แต่ตำรวจที่เป็นเบต้าของฝ่ายรัฐบาลที่ล้มไปกองบนพื้น มีเพียงอัลฟ่าและอัลฟ่าพิเศษที่ยังคนยืนหยัดถือปืนอย่างขึงขังและกลุ่มที่ถือว่าเป็นกำลังสำคัญที่สุดของรัฐบาลในวันนี้ หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากกลุ่มนี้ทางรัฐบาลก็ไม่มีวันพลิกเกมกลับมาเป็นฝ่ายคุมเกมได้
   
นายแพทย์นพวิทย์ส่งยิ้มให้กับทีมหน่วยซีลและกองทัพที่ทางสหรัฐส่งมาให้เพื่อเป็นการสนับสนุน โชคดีที่มาได้ทันเวลาพอดีก่อนที่พวกเขาจะพลาดท่าไปมากกว่านี้

==========

ตอนนี้ยาวมากกกกกกก  :ling2:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 36 : วีรบุรุษ (1) p.8 (9/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 10-08-2018 01:35:20
 :o12: กรี๊ดดดดดด  ทำไมผู้แต่งทำกันแบบนี้ ฮือ กำลังเข้มข้น

แต่ไฉนดันมาตัดไปตอนนี้ แง้ๆ ค้างมากค่ะ  :serius2:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 36 : วีรบุรุษ (1) p.8 (9/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kanj1005 ที่ 10-08-2018 03:04:30
ไม่ยาวเลย  สั้นจุ๊ดๆ ยังไม่อิ่ม  :ling1:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 36 : วีรบุรุษ (1) p.8 (9/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 10-08-2018 06:57:29
พ่อจันทร์กับจ้าวเลวมาก รวมถึงคนของฝ่ายรัฐบาลด้วย
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 36 : วีรบุรุษ (1) p.8 (9/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 10-08-2018 10:28:01
คุณพ่อเลวมาก
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 36 : วีรบุรุษ (1) p.8 (9/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 11-08-2018 23:02:41
เลววววววว
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 36 : วีรบุรุษ (1) p.8 (9/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: 小苹果 ที่ 14-08-2018 18:20:30
 :katai4: 
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 36 : วีรบุรุษ (2) p.8 (14/8/61) {เต็มตอน}
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 14-08-2018 23:44:36
“อย่า อย่าทำผมเลย”
   
โอเมก้าคนนึงตะโกนดังลั่นเมื่อนอนขวางทางแล้วโดนอัลฟ่าที่มาจากหน่วยซีลเตะจนกระเด็นเพื่อเปิดพื้นที่ให้ทหารหน่วยซีลและกองทัพได้เข้ามาควบคุมสถานการณ์ เครื่องแบบสีดำมันขลับทั้งตัวนั้นทำจากวัสดุกันกระสุนชั้นดีอีกทั้งยังมีอาวุธที่ทันสมัยที่สุดในตอนนี้อีกด้วย การปลิดชีพใครสักคนจึงเป็นเรื่องที่ง่ายเอามากๆ สำหรับพวกเขาในตอนนี้
   
พวกเขาแทรกตัวและยืนล้อมกลุ่มนักมวลชน กระจายกำลังตามที่ต่างๆ เพื่อแสดงอำนาจของตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่แม้แต่จะสนใจว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำจะแทรกแซงประเทศอื่นอยู่หรือไม่ เพราะสำหรับพวกเขาอำนาจเงินตรามีค่าเหนือกว่าชีวิตโอเมก้าสวะไร้ค่าตัวนึงเป็นไหนๆ
   
เหล่ามวลชนต่างพากันขดตัวชิดกันตามสัญชาตญาณ พวกเขากอดกันแน่นแม้จะไม่รู้จักกันมาก่อนและร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด ในสถานการณ์แบบนี้ย่อมมีผลลัพธ์เดียวที่พวกเขารับรู้คือพวกเขาได้พ่ายแพ้ให้กับฝั่งรัฐบาลแล้ว ความฝันต่างๆ ที่เคยวาดฝันเอาไว้พังทลาย มีเพียงความเป็นจริงที่น่าเจ็บปวดที่ต้องยอมรับว่าพวกเขาต้องกลับไปเป็นทาสให้กับเหล่าเบต้าและอัลฟ่าอีกครั้งโดยไม่สามารถขัดขืนได้
   
ความสิ้นหวังค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาไม่เว้นแม้กระทั่งเหล่าผู้นำของกลุ่มอีกา แววตาของสมาชิกในกลุ่มนั้นล้วนสั่นระริกด้วยความเจ็บปวด ถึงแม้จะทำใจมาแล้วว่าหัวหน้ากลุ่มของตัวเองอาจจะตายก็ได้แต่ก็ไม่คิดว่าฝั่งรัฐบาลจะโหดร้ายขนาดนี้
   
พวกเขาไม่มีอาวุธสักอย่างไม่มีแม้แต่คัตเตอร์ด้วยซ้ำ..
   
ทั้งๆ ที่พวกเขาพยายามจะทำให้มันสันติที่สุดแต่ฝั่งรัฐบาลกลับใช้วิธีที่โหดร้ายและรุนแรงที่สุด ใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาที่แก้ไม่ตกด้วยการปลิดชีวิตคนที่คิดต่าง ทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนต้องยอมก้มหัวให้กับความไม่ยุติธรรมด้วยความรักตัวกลัวตาย
   
“ทำไม.. ถึงทำแบบนี้”
   
วุ้นซึ่งยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้และพยายามประคองสติตัวเองอย่างสุดความสามารถแม้ว่าร่างกายจะกลัวจนตัวสั่น หากแต่ภายในอกกำลังพังทลายด้วยความเศร้าโศก
   
“สิตเป็นคนดี ฮึก ทำไมต้องฆ่าเขาด้วย”
   
วุ้นไม่สามารถทำใจมองร่างของหัวหน้ากลุ่มตัวเองได้ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนคนตรงหน้าเขายังพูดปราศรัยด้วยท่าทีดีอกดีใจแต่เพียงไม่ถึงชั่ววินาทีให้หลังเขาก็ได้สูญเสียคนที่เป็นเสาหลักของกลุ่มไปตลอดกาล
   
มันเป็นแค่ช่วงวินาทีสั้นๆ แต่สามารถสร้างความเจ็บปวดได้อย่างมหาศาล
   
นัยน์ตาของวุ้นแดงก่ำ คนที่ห้ามเขาไม่ให้ฆ่าตัวตายก็คือสิตและยังเป็นคนชวนให้มาทำงานกับกลุ่มอีกาด้วย สิตทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองยังมีตัวตนอยู่บนโลกอันบิดเบี้ยวนี้อีกครั้ง ได้สัมผัสถึงคำว่าครอบครัวครั้งแรกในชีวิต
   
กลุ่มอีกาที่ทางรัฐบาลมองว่าเป็นกลุ่มกบฏชั่วร้ายบ้าสงครามแต่สำหรับวุ้นแล้ว มันคือครอบครัวที่อบอุ่น เป็นครอบครัวที่ยอมอ้าแขนรับเหล่าโอเมก้าไร้ที่ไปมาอยู่ด้วย ถึงแม้วิธีการในโต้กลับอาจจะดีบ้างแย่บ้างแต่วัตถุประสงค์หลักก็เพื่อให้ทุกคนได้บรรลุเป้าหมายสูงสุดของกลุ่ม
   
“พวกผมก็ขอแค่ในสิ่งที่มนุษย์ควรได้เท่านั้นเอง ฮึก” วุ้นสะอื้นจนตัวโยนยิ่งนึกถึงตอนที่ตัวเองเสียแขนไปข้างหนึ่งก็รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ได้ “พวกเราขอมากเกินไปเหรอครับ ฮึก รู้อะไรไหม ผมเสียแขนไปข้างหนึ่งกับการโดนพวกอัลฟ่าหักแขนเล่นเพราะพวกเขาบอกว่าแขนของผมเกะกะ”
   
“เสียใจด้วยที่ทางเราไม่รับฟังคำพูดของโอเมก้า”
   
นายแพทย์นพวิทย์พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาเจือเยาะเย้ย ไม่มีความรู้สึกผิดใดๆ ในอก มีเพียงความภาคภูมิใจที่สามารถกอบกู้สถานการณ์ของอัลฟ่าให้กลับมาได้
   
เอาเข้าจริงนพวิทย์ก็ขอบคุณวาทศิลป์ของตัวเองด้วยที่ดีพอจะสามารถกล่อมให้รัฐบาลสหรัฐยอมยื่นมือลงมาช่วยด้วยทฤษฏีโดมิโน เพราะถ้าหากประเทศไทยเข้าสู่ระบบความเท่าเทียมสำเร็จ เหล่าเบต้าโอเมก้าในสหรัฐหรือประเทศอื่นๆ ก็อาจจะได้แรงบันดาลใจแล้วลองทำดูบ้าง
   
แน่นอนว่าเหล่าอัลฟ่าที่ครอบครองชนชั้นปกครองมานานย่อมไม่อยากให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น ทหารและอาวุธที่นายแพทย์นพวิทย์ต้องการจึงส่งตรงมาจากอเมริกาในทันที
   
อำนาจทั้งหมดจึงตกอยู่ในมืออัลฟ่าอีกครั้งอย่างไม่ยากเย็น นพวิทย์ที่มองตนเองเป็นหัวหน้าฝ่ายรัฐบาลเดินเข้าไปหยิบกระดาษเอกสารที่ตัวเองเพิ่งเซ็นไปอย่างถือวิสาสะและชูมันขึ้นมาให้กล้องเห็น
   
“มันเป็นไปไม่ได้หรอก ที่โอเมก้าชั้นต่ำจะมาเทียบชั้นกับพวกเราได้”
   
ว่าจบก็ฉีกกระดาษออกเป็นชิ้นๆ ด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น นัยน์ตาโศกมองไปที่เหล่าโอเมก้าด้วยสายตาสมเพชแกมสะใจเมื่อเห็นความสิ้นหวังของกลุ่มกบฏ มีหลายคนที่พยายามจะประคองตัวเองขึ้นมาสู้แต่ก็ทำไม่ได้เพราะถูกกลิ่นฮอร์โมนอัลฟ่ากดทับเอาไว้
   
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงันและผิดหวัง
   
เสียงร่ำไห้ดังขึ้นเรื่อยๆ จากทุกข์สารทิศ ไม่ว่าจะบริเวณทำเนียบเอย เหล่าผู้คนที่ซ่อนตัวอยู่เอย พวกเขารับรู้ถึงชะตากรรมของตนเองแล้ว
   
พวกเขาพ่ายแพ้ พ่ายแพ้อีกแล้ว
   
พวกเขาต้องกลับไปเป็นเศษสวะอีกครั้ง…
   
ทันใดนั้นน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลก็ดังขึ้นมาท่ามกลางความสิ้นหวัง ราวกับเป็นแสงสว่างดวงเล็กๆ ในหลุมดำที่ไม่มีแสงสว่างใดกล้าพาดผ่านเพราะเกรงกลัวว่าจะถูกกลืนกิน
   
“ถึงเวลาพอแล้วหรือยัง? กับสงครามที่ไม่มีวันจบ”
   
ร่างผอมบางซึ่งไร้การปกปิดตัวตนใดๆ ยืนหยัดขึ้นมาท่ามกลางความสิ้นหวัง แม้ว่าจะทรมานจนหายใจลำบากแต่ก็พยายามร้องเพลงออกมา ทำในสิ่งที่ตนเองถนัดที่สุดในชีวิตเพื่อสร้างความหวัง
   
ความหวังที่อาจจะนำพาไปสู่ความเท่าเทียมที่จันทร์ฝันถึง
   
นัยน์ตาโศกเปล่งประกายฉายแววความมุ่งมั่นออกมา ร้องด้วยน้ำเสียงที่ดังมากกว่าเดิม แม้ว่าจะเป็นเพลงที่เพิ่งถูกแต่งขึ้นได้ไม่กี่วันแต่จ้าวก็สามารถร้องออกมาได้อย่างทรงพลังและคล่องแคล่วอย่างที่เป็นมาโดยตลอด
   
“เราต่างก็เป็นสิ่งสวยงามบนโลกใบนี้ เป็นสิ่งสวยงามล้ำค่าที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้”
   
จ้าวก้าวเข้าไปหานายแพทย์นพวิทย์ช้าๆ พร้อมกับร้องเพลงออกมา นัยน์ตาโศกสบกับเจ้าของนัยน์ตาที่มอบให้กับตนเองโดยไม่มีความเกรงกลัว มีเพียงความกล้าความอัดอั้นตัดใจที่อัดแน่นอยู่ในอกและระเบิดออกมาด้วยเสียงเพลง
   
เมื่อก่อนเขาอาจจะรู้สึกกลัวและเกรงใจพ่อของตนเองเอามากๆ หากแต่เมื่อมาถึงจุดหนึ่งก็ค้นพบว่ามันไม่ค่าใดๆ ที่จะรู้สึกแบบนั้นเพราะอีกฝ่ายไม่เคยคิดแม้แต่จะแยแสเราเลย
   
ขนาดจันทร์ตายยังไม่คิดจะเอ่ยถึงด้วยซ้ำ…
   
จ้าวคิดด้วยความขุ่นข้องในใจ รู้สึกเจ็บปวดที่ต้องมารับรู้อะไรแบบนี้ของครอบครัวตนเอง ครอบครัวของเขามันช่างบิดเบี้ยวเหลือเกินเมื่อมาขบคิดดูดีๆ
   
“นี่คือบทเพลงของเหล่าคนที่ไม่ต้องการตกลงเป็นทาสอีกครั้ง!”
   
จ้าวตวาดเสียงดังก้องเมื่อมาหยุดตรงหน้าร่างสูงที่เป็นพ่อแท้ๆ ของตัวเอง แม้ว่าร่างกายจะหนักอึ้งแต่สิ่งที่ผลักดันภายในนั้นรุนแรงจนยืนแทบไม่อยู่
   
“หากคุณกำลังเฝ้ารอโอกาสที่จะเป็นอิสระ จงร่วมโผบินไปกับเรา!”
   
“คิดจะทำอะไร”
   
น้ำเสียงราบเรียบที่เอ่ยถามไม่ได้ทำให้จ้าวสั่นคลอนหนำซ้ำยังร้องต่ออย่างหน้าตาเฉย
   
“อย่ากลัวที่จะต่อสู้ในเมื่อวันพรุ่งนี้ที่มาถึงจะสวยงามกว่าวันนี้!”
   
เสียงของจ้าวเริ่มปลุกความหวังเล็กๆ ให้กับกลุ่มกบฏ เหล่านักศึกษาที่ยังร้องไห้กอดกันกลมพยายามร้องตามจ้าวเมื่อจ้าวร้องเพลงที่ตัวเองแต่งซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุดราวกับกำลังปลุกระดมและสร้างความหวังให้กับพวกเขา
   
เพียงไม่นานมันก็กลายเป็นเสียงเพลงที่ถึงแม้จะไม่ได้ดังกึกก้องแต่ก็ยังดังซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด เมื่อมีคนหนึ่งหยุดร้องก็จะมีคนร้องต่อ พยายามประคับประคองบทเพลงที่เป็นความหวังสุดท้ายของกลุ่มให้คงอยู่   

“ถ้ายังไม่หุบปาก ผมจะยิงหัวคุณ”

ไม่ว่าเปล่านพวิทย์หยิบปืนออกมาจากเอวขึ้นมาถือและเล็งไปที่จ้าว

“จินก็ตายแล้ว จันทร์ก็ตายแล้ว เหลือผมใช่ไหมที่ยังไม่ตาย”

ร่างผอมถามเสียงเรียบโดยไม่ลืมส่งสายตาให้คุณเหมันต์เชิงว่าตัวเองสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ไม่ต้องเป็นห่วง แต่ถึงอย่างนั้นเหมันต์ก็ไม่ไว้วางใจมายืนข้างๆ จ้าวและส่งสัญญาณให้ออสตินเตรียมพร้อมตลอดเวลา เพราะเขาไม่มีวันให้จ้าวตายหรือได้รับบาดเจ็บโดยเด็ดขาด

“พูดพล่อยๆ แกไม่ใช่ลูกฉันสักหน่อย” นพวิทย์พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “ฉันไม่มีลูกเป็นโอเมก้า! ”

จ้าวน้ำตารื้นโดยไม่รู้ตัว “พ่อก็รู้แล้วนี่ว่าผมไม่ได้ฆ่าพริม ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ผมไม่ใช่ฆาตกร! “

“ฉันไม่สนใจ แค่แกไปประกวดร้องเพลงแทนที่จะเรียนหมอฉันก็รับไม่ได้แล้ว! ”

“ถ้าเป็นแล้วต้องมาเป็นแบบพ่อ ผมก็ไม่เป็นหรอก!”

จ้าวพูดเสียงพร่า ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองไม่สนใจอีกฝ่ายแต่พอได้ยินกลับรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน ทำไมเขาถึงได้คาดหวังความรักจากคนๆ นี้นักนะ

“โอเมก้ามันมีอะไรดีนัก แกถึงไปสนใจมันอยู่ได้”

นพวิทย์มองจ้าวด้วยสายตารังเกียจ

“อยากโดนรุมโทรมตอนฮีทเหรอ ฉันว่าถ้าแกยอมไปโครงการที่ฉันส่งไปตั้งแต่แรกก็ได้ ที่นั่นมีอัลฟ่าเยอะแยะให้แกเลือกเลยล่ะ”

“พ่อไม่คิดมั้งเหรอว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันร้ายแรงขนาดไหน”

จ้าวโกรธจนตัวสั่นเมื่อโดนดูถูก ความทรงจำอันเลวร้ายในคุกยังคงตามหลอกหลอนเขาเสมอยามที่เขาอ่อนแอ ประสบการณ์เหล่านั้นมันเลวร้ายจนเกือบจะทำเขาตายไปแล้วหลายครั้งแต่คนเป็นพ่อแท้ๆ ของเขากลับพูดมันเหมือนเป็นเรื่องตลก

“อัลฟ่าก็คืออัลฟ่า” นพวิทย์พูดด้วยความภาคภูมิใจเมื่อได้พูดถึงเผ่าพันธุ์อันสูงส่งของตนเอง “ไม่ว่าพวกเราจะทำอะไรก็ถูกต้องเสมอ คนที่ต้องทำตามก็คือเบต้ากับโอเมก้า พวกนั้นมันเป็นพวกโง่ที่คิดได้แต่อะไรโง่ๆ จนอัลฟ่าอย่างเราต้องคอยชักจูงให้ไปในทางที่ถูกที่ควรตลอด”

“เงินกับชื่อเสียงมันสำคัญกับพ่อมากเลยเหรอ”

จ้าวพูดเสียงแข็งแม้ว่าน้ำตาจะไหลอาบใบหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธและผิดหวัง

“แน่สิ ไม่อย่างนั้นฉันจะยอมลดตัวมาเกลือกกลั้วกับโอเมก้าอย่างพวกแกทำไม”

“แล้วถ้าผมยังเป็นอัลฟ่าอยู่ พ่อจะรักผมไหม”

เป็นคำถามที่ทำให้นพวิทย์ชะงักก่อนที่จะตอบออกมาโดยไม่ต้องคิด

“ไม่ สำหรับฉันแกมันก็แค่ผลผลิตที่ผิดพลาดของตระกูล แกไม่สมควรเกิดมาด้วยซ้ำ”

แม้จะรู้คำตอบอยู่แก่ใจแต่เมื่อได้ยินชัดๆ กลับทำให้จ้าวสะอื้นจนตัวโยน

“แล้วทำไมพ่อไม่ฆ่าผมตั้งแต่แรก.. ฮึก ปล่อยให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อทำไม”

ถึงแม้จะมีคุณเหมันต์อยู่เคียงข้างแต่มันก็คนละเรื่องกับชีวิตครอบครัวของเขา เขาเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียน้องสาว เจ็บปวดที่มีพ่อแม่ที่ไม่เคยสนใจอะไรเลยนอกจากชื่อเสียงและเงินตรา เจ็บปวดที่ต้องมาเจอเรื่องร้ายๆ ทั้งหมดเหล่านี้

เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมสิ่งเร้าภายนอกเหล่านั้นถึงได้มีอิทธิพลกับผู้คนมากมายนัก ทั้งๆ ที่เขาก็เคยอยู่จุดสูงสุดเหมือนกันมาก่อน มันมีความสุขก็จริงแต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจเสมอว่ามันไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้ มันสามารถทำให้เรามีความสุขได้แต่ในขณะเดียวกันมันก็สามารถทำลายตัวเราได้เช่นกัน

แน่นอนว่ามันเจ็บปวดจนเขาทนแทบไม่ไหวแต่เขาก็ผ่านมันมาได้…
   
เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะโทษอะไร ต้องโทษระบบทุนนิยมหรือเปล่า ที่สามารถสร้างปีศาจกระหายเงินและอำนาจได้เป็นแสนเป็นล้านคนบนโลก หรือควรจะโทษตัวเองที่โง่เกินกว่าจะทำความเข้าใจคนเหล่านี้ได้
   
“แกพูดเองนะ”
   
“…?”
   
จ้าวเบิกตากว้างเมื่ออยู่ๆ ได้ยินเสียงบรรจุกระสุนเข้ารังเพลิงและสมองยังไม่ทันได้ประมวลอะไรก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นอย่างรวดเร็ว
   
ปัง!
   
เสียงปืนดังลั่นกลิ่นเลือดคาวคลุ้งไปทั่วบริเวณ บนพื้นปรากฎอีกร่างที่โดนยิง
   
แน่นอนว่าไม่มีใครคาดคิดว่านายแพทย์นพวิทย์ อัลฟ่าผู้มีชื่อเสียงในสังคมในด้านดีมาตลอดจะยิงลูกชายแท้ๆ ของตนเองได้ลงคอ!
   
ทั่วบริเวณตกอยู่ในความเงียบมีเพียงเสียงสะอื้นของจ้าวที่ดังชัดเจน
   
“…ทำไมถึงต้องทำแบบนี้”
   
จ้าวร้องไห้ออกมาอย่างใจสลายขณะที่กำลังประคองอัลฟ่าร่างใหญ่ในอ้อมกอดแน่น พยายามใช้มืออุดแผลไม่ให้เลือดไหลทะลักออกมาแต่ก็ไม่เป็นผล เลือดยังคงไหลออกมาจนทำให้มือของจ้าวย้อมด้วยเลือด
   
“…อย่าร้องไห้”
   
ใบหน้าที่แทบไม่เหลือเค้าโครงของความคมคายพยายามฝืนยิ้มออกมา มือสากที่จับเบสมานานหลายปีจนด้านลูบหน้าจ้าวอย่างเบามือโดยไม่สนใจบาดแผลของตนเองสักนิด
   
“ชีวิตกูถ้าไม่มีมึงอยู่ด้วย.. กูก็ไม่อยากอยู่หรอก”
   
คิงพูดเสียงพร่า นัยน์ตาสีดำสะท้อนภาพใบหน้าของจ้าวอย่างชัดเจน
   
บาดแผลทั้งกายและใจคล้ายกับทุเลาลงเมื่อสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงของจ้าว
   
สำหรับคิงแล้ว การโดนยิงเข้าที่อกไม่ใช่เรื่องบังเอิญหากแต่เป็นการตั้งใจ เขารู้อยู่แล้วว่าพ่อจ้าวคงจะเล่นตุกติกจึงรอจังหวะมาตลอด หากจะผลักเพื่อที่จะเบี่ยงเบนวิถีกระสุนเขาก็สามารถทำได้แต่เขาก็ไม่คิดจะทำ
   
ชีวิตของเขามันพังทลายไปตั้งนานแล้ว เขาไม่มีที่ไหนให้กลับไปอีกแล้ว
   
ฉะนั้นในช่วงชีวิตสุดท้ายของเขา… การได้ตายในอ้อมกอดของคนที่ชอบก็นับว่าเป็นอะไรที่คุ้มค่าไม่เลว
   
“ฮึก มึงจะตายไม่ได้นะ”
   
จ้าวสะอื้นและรู้สึกผิดที่ตัวเองอคติกับคิงเมื่อเผลอไปสบตากับอีกฝ่ายเข้า
   
เขาไม่รู้ ไม่รู้เลยจริงๆ ว่ามันจะจบแบบนี้อีกแล้ว
   
เขาเกือบจะสูญเสียจันทร์ไปแล้วคนนึง ตอนนี้เขาต้องสูญเสียเพื่อนในวงไปอีกคนงั้นเหรอ เขาทนไม่ได้หรอก
   
“..กูเลือกเอง จ้าว มึงไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก”
   
คิงหลับตาพูดเสียงเบา รู้สึกถึงสติที่ค่อยๆ จางหายไปทีละเล็กละน้อย
   
“ที่ผ่านมา.. กูขอโทษ”
   
น่าเสียดายที่เขามันก็แค่คนโง่งมคนนึง ใช้แต่วิธีโง่ๆ ในการเรียกร้องความสนใจจากจ้าวและแน่นอนว่ามันไม่สำเร็จ จ้าวก็มีคนของตัวเองอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะมาสนใจหมาอย่างเขาหรอก
   
เขามันก็แค่ไอ้โง่… ที่เอาแต่คาดหวังว่าสักวันจ้าวจะรักตัวเองบ้าง
   
คิงพยายามประคองสติมองไปด้านข้างของจ้าวแล้วหัวเราะเสียงแผ่ว
   
“…ขอให้รักกันนานๆ นะ”
   
ความสัมพันธ์พิเศษที่เห็นได้ชัดเจนทำให้คิงรู้สึกปวดใจ นัยน์ตาสีเทานั่นมองมาที่เขาอย่างไม่พอใจ แม้ว่าสีหน้าจะยังนิ่งสงบแต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความโกรธที่แฝงออกมา
   
ซึ่งคิงก็ไม่แปลกใจนักเพราะสิ่งที่ตนเองทำคือการตอกย้ำแผลใจของจ้าวที่เพิ่งสูญเสียพี่น้องของตัวเองไป
   
“…มีความสุขมากๆ นะ”
   
คิงพูดทั้งๆ ที่น้ำตาไหลออกมาและลมหายใจขาดห้วง เจ็บปวดจนไม่อาจรักษาท่าทีเยือกเย็นได้อีกแต่ก็พยายามเค้นคำพูดออกมา
   
“กูชอบตอนที่มึงยิ้ม”
   
เขาหลงรักจ้าวเพราะรอยยิ้ม หลงใหลในตัวตนของจ้าวจนถอนตัวไม่ขึ้น เขาถูกรอยยิ้มของจ้าวมอมมัวราวกับคนเมา เกาะติดจ้าวแทบตลอดเวลาตอนที่ยังเป็นวงมูนไลท์ เขาใช้ชีวิตแต่ละวันในการทุ่มเทกับวงเพื่อที่จ้าวของเขาจะได้ยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อมันประสบความสำเร็จ
   
“ฮึก นี่ไง กูยิ้มแล้ว มึงอย่าตายนะคิง”
   
คิงมองสีหน้าของจ้าวก่อนที่จะฉีกยิ้มบางๆ ออกมาและหยุดนิ่งไปในที่สุด
   
“…คิง”
   
จ้าวมองมือเบสประจำวงตัวเองอย่างเจ็บปวดและค่อยๆ เบือนสายตาไปมองต้นเหตุที่ทำให้คิงตายด้วยความไม่พอใจ ซึ่งก็พบว่าอีกฝ่ายมองมาที่ตนเองเช่นกันแต่เป็นสีหน้าเบื่อหน่าย ทำราวกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องของตนเอง แต่เป็นเพียงละครน้ำเน่าฉากหนึ่งในละครที่คนดูกันจนเบื่อ
   
“…ต่อไปตาแก”
   
นพวิทย์เล็งกระบอกปืนไปทางจ้าว หมายมั่นว่าครั้งนี้ไม่มีวันพลาดเป้าอีกเด็ดขาด สิ่งที่เขาต้องการเห็นมากที่สุดคือสีหน้าสิ้นหวังของจ้าวที่กล้าขัดคำสั่งของเขาตั้งแต่แรก เขามั่นใจว่าถ้าจ้าวเป็นเด็กดีเชื่อฟังที่เขาสั่งทุกอย่าง เรื่องทั้งหมดอาจจะไม่จบลงแบบนี้อย่างแน่นอน
   
“ถ้าคุณขยับ ผมยิง”
   
เหมันต์พูดเสียงกร้าว มอบคำสั่งให้กับคนใต้บังคับบัญชาที่กระจายแทรกซึมอยู่กลางกลุ่มคนต่างๆ ให้เผยปืนออกมาเตรียมยิงหากนายแพทย์นพวิทย์ ถ้าอีกฝ่ายคิดจะยิงคนของเขา
   
“คุณยังเปลี่ยนใจทันนะ คุณเหมันต์”
   
นพวิทย์ก็คือนพวิทย์ สิ่งที่เห็นอยู่ในสายตาและพูดคุยได้ในฐานะเดียวกันคืออัลฟ่า แน่นอนว่าฉายาสาริกาลิ้นทองไม่ได้เป็นคำกล่าวลอยๆ ความสามารถในการพูดโน้มน้าวของนพวิทย์นับว่าเหนือชั้นเป็นอย่างมาก
   
“สำหรับผม การที่คุณยอมร่วมมือกับพวกโอเมก้าไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำเลยสักนิด คุณมีค่ามากกว่านั้น คุณเหมันต์ ผมเชื่อว่าผมสามารถสร้างโอกาสดีๆ ให้คุณได้มากกว่าพวกกลุ่มกบฏหัวรุนแรงพวกนี้แน่ๆ ”
   
“ผมไม่ต้องการ”
   
เหมันต์ตัดบทด้วยสีหน้าเย็นชา
   
“งั้นก็ตายไปด้วยกันทั้งคู่ซะ!”
   
ทันทีที่นพวิทย์ตะโกนสั่ง พลแม่นปืนก็ยิงทันที เสียงปืนดังระรัวจนหูอื้ออึง เหมันต์รีบรวบตัวจ้าวไปหลบหลังโต๊ะปล่อยให้คนของตัวเองและสถานการณ์นำพาไป โชคดีหน่อยที่เขากับจ้าวไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
   
เหมันต์ลูบหัวจ้าวที่ตัวสั่นระริก นัยน์ตาโศกหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
   
“…พี่เหมันต์ ผมกลัว”
   
“ไม่ต้องกลัวเดี๋ยวมันก็จบแล้ว จ้าว” เหมันต์พูดเสียงกระซิบก่อนที่จะผลุดลุกขึ้นยืนและก้าวออกไปข้างนอกเพื่อที่จะจบเรื่องทั้งหมดนี้ลงเสียที
   
“ไม่ ผมไม่ให้ไป ฮึก ไม่เอานะ”
   
จ้าวโถมตัวไปกอดเอวร่างสูงตัวสั่นเทาหนักกว่าเดิม ถ้าคุณเหมันต์ตายอีกคนเขาคงอยู่ไม่ได้แน่ๆ จ้าวพยายามกอดแม้ว่าจะโดนแกะมือออกอย่างง่ายดายก็ตาม
   
“ไม่เอา ผมขอร้อง..”
   
“เชื่อใจพี่”
   
“…ฮึก”
   
ถึงแม้จะรู้สึกไม่เต็มใจแต่จ้าวก็เลือกที่จะเคารพการตัดสินใจของคุณเหมันต์อยู่ดี ปล่อยแขนออกจากเอวมาก่อนตัวเองที่ตัวสั่นระริกไม่หยุดแทน
   
เขากลัว..

จ้าวนั่งน้ำตาคลอบนพื้นอย่างน่าสงสาร มองคุณเหมันต์อย่างตัดพ้อ
   
“เชื่อใจพี่นะครับ จ้าว”
   
เหมันต์ลูบหัวจ้าวก่อนที่จะจูบหัวจ้าวเบาๆ อย่างอ่อนโยน เมื่อเห็นจ้าวพยักหน้าด้วยท่าทีที่อ่อนลงจึงเดินออกจากที่กำบังโดยไม่เกรงกลัวอะไร
   
ปัง!
   
กระสุนนัดหนึ่งเฉี่ยวแก้มร่างสูงไปอย่างฉิวเฉียดแต่เพียงเสี้ยววินาทีต่อมามือปืนที่ยิงก็ถูกยิงเข้ากลางกะโหลกแน่นิ่งไปทันที มีมือปืนของฝั่งรัฐบาลถูกเก็บไปกว่าครึ่งด้วยฝีมือคนของตระกูลกิลลาสและกลุ่มบางอย่างที่แทรกซึมอยู่ท่ามกลางโอเมก้าอย่างแนบเนียน
   
เหมันต์กวาดตามองสถานการณ์รอบๆ ที่ชุลมุนขึ้นทุกวินาทีด้วยความรู้สึกรำคาญ เสียงกรีดร้องดังระงมจนหูอื้ออึง ฤทธิ์ยาของฝั่งรัฐบาลที่ใกล้จะหมดทำให้โอเมก้าเบต้าบางคนเริ่มขยับตัวได้และหนีตายกันจ้าละหวั่น
   
“เงียบ!!”
   
ตะคอกเสียงดังลั่นพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นฟีโรโมนออกมา  เพียงชั่วพริบตาคนทุกคนไม่ว่าจะเพศอะไรก็ต่างล้มไปกองบนพื้นด้วยความหวาดกลัว เหล่าอัลฟ่าผู้ถือดีพยายามจะขัดขืนแต่ก็ไม่สามารถทำได้ นอนตะเกียกตะกายอยู่บนพื้นอย่างน่าสมเพช
   
พวกพลแม่นปืนที่อยู่ไกลเกินกว่าจะได้กลิ่นรีบเล็งมาที่ร่างสูงทันทีหากแต่ยังไม่ทันเกี่ยวไกปืนก็ถูกยิงเข้าที่อกจนยิงต่อไม่ได้ กลุ่มคนที่ซุกซ่อนอยู่พากันเผยตัวกันออกมาจนเหล่ารัฐบาลที่มาในวันนี้เริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดี
   
ทหารสหรัฐกว่าครึ่งตายหมดแล้วในช่วงชุลมุนและอีกครึ่งหนึ่งก็ถูกคุมตัวออกมาข้างนอกโดยทหารอีกกลุ่ม นพวิทย์ซึ่งล้มกองอยู่บนพื้นโกรธจนหน้าแดงพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมายืนแต่ก็ทำไม่ได้
   
“ยินดีที่ได้พบครับ ท่านนพวิทย์”
   
เสียงทักทายที่แสนจะเย็นชาดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของพลตำรวจเอกที่หายตัวไปตั้งแต่เกิดเรื่อง ร่างสูงใหญ่ยังคงอยู่ในชุดตำรวจเต็มยศและประดับประดาไปด้วยเหรียญตราประดับอกเพื่อแสดงยศศักดิ์ของตนเอง ในมือนั้นได้ลากร่างของใครบางคนมาด้วย
   
“แก แกหายหัวไปไหน”
   
นพวิทย์แค่นเสียงพูดอย่างยากเย็นยิ่งเห็นสิ่งที่อยู่ในมือโลกันต์ก็ยิ่งตกใจ
   
เพราะคนที่โดนลากนั้นคือ ‘นายกรัฐมนตรี’ คนปัจจุบัน!
   
สภาพของนายภคินนั้นสะบักสะบอมจนดูแทบไม่ได้ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา
   
พลตำรวจเอกแสยะยิ้มแม้ว่ามันจะถูกซ่อนภายใต้หน้ากากรุ่นล่าสุดก็ตามซึ่งโลกันต์ก็ไม่ลืมที่จะค้อมหัวเชิงขอบคุณให้กับเหมันต์ที่คอยควบคุมสถานการณ์มาให้จนถึงตอนนี้ เพราะหากไม่มีการเปิดฉากการยิงกันก่อนของฝั่งรัฐบาล พวกเขาก็ไม่มีวันรู้เลยว่าทหารสหรัฐที่แฝงตัวปะปนอยู่คือคนไหนและอยู่ที่ใด
   
เรียกได้ว่าเหมันต์ก็ถือเป็นคนที่สำคัญมากสำหรับวันนี้เช่นกัน
   
“มาคุยเรื่องของเราดีกว่าครับ ท่านนายกรัฐมนตรี ว่ามาเลยว่าท่านจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ของท่านในตอนนี้”
   
โลกันต์โยนร่างภคินใส่เก้าอี้ โบกมือให้กลุ่มทหารตำรวจอัลฟ่าที่แปรพักตร์มาอยู่ฝั่งตนเองสวมหน้ากากป้องกันกลิ่นให้กับพวกสื่อมวลชนเพื่อที่จะถ่ายทอดสดสถานการณ์ในตอนนี้
   
ท่านนายกรัฐมนตรีซึ่งถูกจับตัวมาระหว่างหลบหนีออกนอกประเทศตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว มองเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่เคยรับคำสั่งของตนเองอย่างเคร่งครัดด้วยความเกลียดชัง
   
เขาเข้าใจผิดว่าพวกอัลฟ่าเบต้าฝีมือดีที่หายไปเพราะรัฐบาลไม่มีเงินจ่าย ทั้งๆ ที่ความจริงคือพวกเขาเหล่านั้นไปเข้าร่วมกับโลกันต์ พลตำรวจเอกที่ยึดมั่นเอาแนวคิดความเสมอภาคมาเป็นหลักในการทำงาน เขาพยายามจะเขี่ยโลกันต์ออกจากตำแหน่งหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล ยังคงมีคนในหลายคนที่ยังพอใจในการทำงานของโลกันต์อยู่ มันจึงยังสามารถอยู่รอดในโลกการเมืองที่เต็มไปด้วยความฉ้อฉลได้
   
“ฉันไม่มีวันยอมรับว่าโอเมก้าเท่าเทียบกับอัลฟ่า! ”
   
จนถึงตอนนี้ภคินก็ยังยึดมั่นในอุดมการณ์แม้ว่าจะกลัวจนตัวสั่น แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือการต้องยอมรับว่าคนชั้นต่ำอย่างโอเมก้าจะมามีสิทธิ์มีเสียงมีความเสมอภาคของกับตัวเอง แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่เขายอมรับไม่ได้
   
“งั้นผมคงต้องบอกท่านนายกว่าท่านได้พ่ายแพ้แล้ว” โลกันต์หัวเราะในลำคอ “เอาเข้าจริงตอนนี้เราไม่มีความจำเป็นต้องฟังความเห็นของท่านนายกด้วยซ้ำ การปฏิวัติครั้งนี้สำเร็จแล้วครับ โอเมก้าจะมีโลกใบใหม่ให้อยู่แล้ว”
   
เพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของตัวเอง โลกันต์ออกคำสั่งให้ลูกน้องของตนเองโยนร่างของเหล่าอัลฟ่าตำแหน่งใหญ่ไปนอนแทบเท้าท่านนายก พวกเขาแต่ละคนล้วนถูกตรวนด้วยโซ่ไม่ต่างอะไรกับโอเมก้าที่กระทำผิดเลยสักนิด
   
“ท่านอาจจะคิดว่ามีสหรัฐลงมาช่วยท่านก็ชนะแล้วแต่ท่านก็คงจะลืมว่าบนโลกนี้ไม่ได้อยู่ประเทศเดียว”
   
“อย่าบอกนะว่าแก...”
   
ยิ่งฟังภคินก็ยิ่งหมดหวัง
   
บนโลกนี้ประกอบด้วยสองฝ่ายคือสนับสนุนระบบชนชั้นและต่อต้านระบบชนชั้น สหรัฐอเมริกาอยู่ในฝ่ายแรกส่วนฝ่ายที่สองนั้นคือกลุ่มประเทศที่มีแนวคิดสร้างความเท่าเทียมในสังคมแต่ก็ยังได้ไม่สำเร็จ การได้ประเทศไทยมาเป็นต้นแบบในการปฏิวัติจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเสี่ยงพอตัว
   
“ครับ ผมได้กลุ่มสัมพันธมิตรมาช่วยครับ”
   
“แกทรยศบ้านเกิดงั้นเหรอ โลกันต์”
   
ในขณะที่ภคินสิ้นหวังแล้วแต่นายแพทย์นพวิทย์ยังไม่สิ้นหวัง แม้ว่าภรรยาของตนเองจะนอนล้มอยู่ข้างๆ ก็ตามที เขายังคงพยายามสุดชีวิตเพื่อที่จะรักษาสถานะทางสังคมของตนเองไว้
   
“ผมไม่ได้ทรยศบ้านเกิดครับ” โลกันต์พูดด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย “แล้วคุณก็ช่วยหุบปากสักทีก่อนที่ผมจะหมดคำอดทน”
   
“แก แก”
   
โลกันต์ควักปืนออกมาจ่อหัวนายแพทย์นพวิทย์ทันทีโดยไม่มีการกล่าวเตือนซ้ำ
   
“ผมจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะครับ”
   
ใบหน้าคมคายหันไปยิ้มให้กับกล้องแม้ว่าตัวเองกำลังจะเอานิ้วเกี่ยวไกปืนอยู่ก็ตาม
   
“การปฏิวัติครั้งนี้สำเร็จแล้ว!”

==============

ตอนนี้ช้าเพราะเขียนยากกกกกกกกกกกมาก  :mew5: คิดว่าตอนจันทร์ยากแล้วตอนนี้ยากกว่าอีก แหง่กๆ

ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 36 : วีรบุรุษ (2) p.8 (14/8/61) {เต็มตอน}
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 15-08-2018 02:08:32
ทั้งดีใจ ทั้งสะใจ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 36 : วีรบุรุษ (2) p.8 (14/8/61) {เต็มตอน}
เริ่มหัวข้อโดย: kanj1005 ที่ 15-08-2018 12:06:00
จากบทนี้ไปขอให้แฮปปี้ตลอดนะจ๊ะ อย่าได้มีการพลิกโผ
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 36 : วีรบุรุษ (2) p.8 (14/8/61) {เต็มตอน}
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 15-08-2018 17:39:04
อย่าให้ตายง่ายๆ จิ ต้องทรมานมันให้สำนึก อินพ นิมันน่าจิงๆ
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 36 : วีรบุรุษ (2) p.8 (14/8/61) {เต็มตอน}
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 15-08-2018 23:51:49
 :z6: ไม่รู้จะด่าพ่อจ้าวยังไงแล้ว มันเกินจะหาคำด่าอะสำหรับเรา

แต่บทนี้สงสารคิงอ่ะ  :hao5: นึกว่าจะไม่มีใครเป็นอะไรอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 36 : วีรบุรุษ (2) p.8 (14/8/61) {เต็มตอน}
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 17-08-2018 09:31:29
สงสารจ้าว จันทร์ จิน
พ่อแม่ใช้ชีวิตมาแบบไหนน่ะ ถึงเป็นได้ขนาดนี้

เหมันต์ไม่ทอดทิ้งน้องจริงๆ ค่ะ และสู้กับน้องด้วย
จ้าวเอ้ยย สูญเสียไปเท่าไหร่แล้ว แต่แลกกับคนอีกหลายล้าน

จันทร์เป็นยังไงบ้างคะ สุริยะมาช่วยไว้ได้ด้วย
หรือว่าจันทร์ไม่ได้ตั้งใจให้ถึงตาย
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 36 : วีรบุรุษ (2) p.8 (14/8/61) {เต็มตอน}
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 18-08-2018 12:47:27
อ่านรวดเดียวจนถึงตอนปัจจุบัน ขอบคุณมากๆสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้  เหมือนเข้าไปยืนอยู่ในเหตุการณ์ทุกๆช่วงด้วย  ตอนจ้าวหนีจากการไปเป็นตัวทดลอง ก็ลุ้นจนเกร็งกล้ามกระตุกเลยทีเดียว  ตอนจ้าวคุ้มคลั่งเหมือนได้ยินเสียงกรีดร้องดังอยู่ในอกไปด้วย  รอนะคะ
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 36 : วีรบุรุษ (2) p.8 (14/8/61) {เต็มตอน}
เริ่มหัวข้อโดย: princeofdark ที่ 18-08-2018 20:46:55
 o13 สงสารจ้าว หวังว่าจ้าวจะมีความสุขหลังจากนี้ กรี้ดพี่เหมันต์มากค่ะผู้ชายในอุดมคติเลย
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 37 : คำลวง p.8 (22/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 22-08-2018 00:05:07
ตอนที่ 37
   
หลังจากคณะปฏิวัติได้ประกาศชัยชนะผ่านสื่อได้ไม่นาน คณะรัฐมนตรีชุดเก่าทั้งหมดก็ถูกถอดถอนออกจากระบบและถูกบังคับให้ลี้ภัยต่างประเทศโดยไม่มีสิทธิ์โต้แย้งใดๆ หากจะยังดื้อดึงอยู่ในประเทศก็อยู่ได้เพียงร่างที่ไร้วิญญาณเท่านั้น
   
เหล่าคณะรัฐมนตรีผู้เป็นอัลฟ่าบางส่วนตัดสินใจฆ่าตัวตายเพราะทนไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลง แต่ก็มีหลายส่วนที่รักชีวิตของตนเองมากกว่า เลือกที่จะยอมรับข้อตกลงและไปสร้างชีวิตใหม่ที่นั่นโดยละทิ้งตัวตนดั้งเดิมเอาไว้
   
ซึ่งนั่นก็รวมถึงนายแพทย์นพวิทย์ นฤภัทรด้วย
   
ถึงแม้จะยังมีชีวิตรอดแต่นพวิทย์ก็ยังรู้สึกเดือดดาลตลอดเวลา หมายมั่นที่จะไปสหรัฐอเมริกาเพื่อหารวบรวมกำลังหาโอกาสกลับมาปฏิวัติอีกครั้ง
   
หากเขายังมีลมหายใจอยู่… อัลฟ่าก็ไม่มีวันตกเป็นทาสใคร!
   
นั่นคือสิ่งที่นายแพทย์นพวิทย์คิดเมื่อตอนไปถึงศูนย์วิจัยที่เป็นเจ้าของโครงการจีโนมมนุษย์ โครงการที่ชื่อดังก้องโลกและเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของนพวิทย์ตอนนี้
   
เขาเชื่อว่าเวลาหลายสิบปีที่เขาทุ่มเทเงินและมนุษย์ให้โครงการนี้จะสัมฤทธิ์ผล เขาลงทุนกับมันมามากแม้ว่าทุกอย่างจะดูเหนือจริงมากก็ตาม ไม่ว่าการทำให้มนุษย์ไม่มีวันแก่ รักษาโรคมะเร็งระยะสุดท้ายได้ หรือแม้แต่ทำให้มนุษย์เบต้าธรรมดากลายเป็นมนุษย์จอมพลังที่มีพละกำลังมหาศาล
   
นัยน์ตาโศกจ้องมองอาคารสูงรูปร่างทันสมัยและมีพนักงานรักษาความปลอดภัยแน่นหนาด้วยความพึงพอใจ ก่อนที่จะแสดงบัตรประจำตัวและเข้าไปในอาคารเพื่อพูดคุยถึงวัตถุประสงค์ของตนเอง ซึ่งแน่นอนว่าระบบการรักษาความปลอดภัยย่อมไม่มีเพียงชั้นเดียว นพวิทย์จึงต้องใช้บัตรที่ได้มาเมื่อนานมาแล้วยืนยันตัวตนอีกสามครั้งกว่าจะถึงประตูห้องวิจัยที่สร้างจากเหล็กกล้าดูแข็งแรงและน่าหวาดหวั่นในเวลาเดียวกัน
   
ไม่ต้องเสียเวลาคิดนพวิทย์ผลักเข้าไปทันทีเพราะคิดถึงวันเวลาในอดีตเต็มแก่แล้ว เขาต้องการสถานะทางสังคมของเขาคืนมา ต้องการเงินและอำนาจที่สามารถทำให้ผู้คนยอมจำนนกับเขาอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเสียงแรงพูด
   
หากแต่เมื่อเปิดประตูสิ่งที่อยู่ในภายในกลับไม่เป็นอย่างที่คิด
   
“…”
   
นายแพทย์นพวิทย์ถึงกับเข่าอ่อนทรุดไปกองบนพื้นด้วยสีหน้าซีดเซียว
   
ทั้งๆ ที่หน้าประตูถูกเขียนไว้ว่าเป็นห้องวิจัยแต่ภายในกลับว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดนอกจากห้องที่โล่งเอามากๆ จนสามารถเอาคนนับร้อยไปบรรจุไว้ภายในได้
   
“…ไม่”
   
นพวิทย์พูดก่อนจะสบถคำหยาบคายยาวเหยียด
   
เอาเข้าจริงเขาควรจะแปลกใจตั้งแต่เข้ามาแล้วไม่มีใครนอกจากยามแล้ว…
   
ร่างของนายแพทย์สั่นระริกก่อนจะคำรามออกมาเสียงดังลั่นราวกับสัตว์ป่าคลุ้มคลั่ง นพวิทย์โกรธจนเลือดขึ้นหน้าใช้มือต่อยพื้นอย่างเดือดดาลไม่หยุด ไม่สนใจว่ามือของตัวเองจะแตกหรือไม่ มีเพียงความโกรธในเลือดที่ลุกไหม้จนแทบจะแผดเผาทุกอย่างบนโลกนี้ให้เป็นจุล!
   
โครงการจีโนมมนุษย์ที่เขาใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับมัน ความจริงแล้วเป็นเรื่องลวกโลกที่เอามาหลอกใช้ให้ผู้คนที่หลงเชื่อมาร่วมลงทุนด้วยเงินและมนุษย์จำนวนมหาศาล ซึ่งแน่นอนว่าเงินทุนนั้นก็คงเข้ากระเป๋าใครสักคนและโอเมก้าที่ถูกส่งมาก็ถูกเอาไปใช้สอยต่างๆ ตามใจชอบ
   
เลือดไหลอาบมือแต่นพวิทย์ก็ยังบ้าคลั่งสับสนและจนตรอก
   
เขาเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งแน่นอนว่ามันถูกจัดฉากอย่างดี ทุกอย่างแนบเนียนราวกับฉากในหนังฮอลลีวูด มีทุกสิ่งทุกอย่างที่สถาบันวิจัยพึงมี อีกทั้งยังหาร่างโอเมก้าพิกลพิการที่นำมาแอบอ้างว่าเป็นผลข้างเคียงของการทดลองที่ล้มเหลว เขาในตอนนั้นเชื่อสนิทใจเพราะทางนั้นก็เอานักวิจัยอันดับหนึ่งของประเทศตัวเองมาบรรยาย มันดูน่าเชื่อถือจนทุกคนหลงเชื่อและไม่ตั้งคำถามอะไรกับโครงการมากมายนัก
   
เพราะพวกเขาเชื่อมันในตัว ‘อัลฟ่า’ ว่าจะไม่หักหลังพวกเดียวกันเอง
   
นพวิทย์คำรามออกมาจนเสียงแหบ รู้สึกโกรธจนอยากจะฆ่าเหล่านักวิจัยที่ทางสหรัฐขยันส่งมากล่อมให้เขาว่าง่ายและยอมส่งเงินทุนกับโอเมก้าให้ง่ายๆ ราวกับปลอกกล้วย
   
เขาโกรธที่ตนเองยอมเชื่ออีกทั้งยังทำให้คนอื่นเชื่อตามอีกด้วย!
   
การยอมมาเป็นพันธมิตรในตอนปฏิวัติก็อาจจะไม่ได้ช่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจแต่เป็นการรอฉวยโอกาสเมื่อมีโอกาส ไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้นว่าประเทศไทยนั้นมีตำแหน่งภูมิประเทศค่อนข้างสมบูรณ์แบบเหมาะกับการใช้สอยต่างๆ อย่างยิ่ง
   
คลิ๊ก
   
“คุณหมดประโยชน์แล้ว คุณนพวิทย์”
   
อังกฤษสำเนียงอเมริกาแท้ที่ดังข้างหูทำให้นพวิทย์แค่นเสียงหัวเราะฝาดเฝื่อน โลหะเย็นเฉียบที่จ่อบริเวณขมับหมุนเป็นวงกลมช้าๆ ราวกับต้องการจะยียวน
   
“ต้องการจะสั่งเสียอะไรไหม ก่อนที่ผมจะเก็บคุณเหมือนกับคนอื่นๆ ที่รู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้”
   
นพวิทย์หัวเราะในลำคอและฉวยโอกาสในการปัดกระบอกปืนออกจากศีรษะตัวเอง ก่อนที่จะกระโจนใส่คนที่ถือเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในโครงการ
ทอมหรือบุคคลที่ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์และหลอกลวงให้เหล่านักลงทุน!
   
ปัง!
   
กระสุนเจาะเข้าที่อกของนายแพทย์นพวิทย์จากด้านหลัง เลือดกลุ่มหนึ่งสาดกระเซ็นอาบใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนที่นพวิทย์โกรธแค้นจนอยากฆ่าให้ตาย
   
“..แก แก”
   
นพวิทย์กุมอกตัวเองด้วยมืออันสั่นระริกมองบาดแผลตนเองอย่างไม่เชื่อสายตา
   
“คุณเป็นคนฉลาดนะ คุณนพวิทย์”
   
ทอมใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวเช็ดเลือดออกจากใบหน้าตัวเองอย่างใจเย็นและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ที่มักจะใช้เป็นน้ำเสียงโทนหลักในการหลอกลวงผู้คนที่แสนโง่งมมาหลงเชื่อบ่อยๆ
   
“แต่คุณโง่ไปนิดที่คิดว่ามีผมอยู่คนเดียวในห้องและคุณก็โง่มากที่หลงเชื่อพวกผมมาเป็นสิบปีโดยไม่สงสัยอะไร ผมอยากรู้จริงๆ เลยว่าตอนคุณเรียนแพทย์อยู่ คุณแอบจดโพยเข้าไปในห้องรึเปล่า”
   
ทอมหัวเราะในลำคอมองร่างนายแพทย์ที่นอนจมกองเลือดด้วยสายตาสมเพช
   
“ทำไม ทำไมแกถึงทำกับฉันที่เป็นอัลฟ่าแบบนี้” นพวิทย์พูดออกมาอย่างข้องใจแม้ว่าจะพูดออกมาเป็นประโยคได้ยากมากก็ตาม
   
“บอกตามตรงว่าพวกผมไม่ได้สนใจว่าคุณเป็นอะไรด้วยซ้ำ แค่คุณมีเงินกับมีของให้พวกเรา คุณก็มีค่ามากพอที่จะเจรจาด้วยแล้ว แต่ถ้าคุณไม่มี พวกเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องคุยกันอีก”
   
ทอมเดินไปหยุดตรงหน้าของนายนพวิทย์และนั่งยองๆ โดยจงใจให้ปลายเท้าเฉียดจมูกนพวิทย์
   
“และตอนนี้คุณก็ไม่มีอะไรให้เราแล้ว”
   
นพวิทย์กัดฟันกรอดๆ แต่กลับไร้เรี่ยวแรงที่จะดิ้นรน เลือดที่ไหลบ่าออกจากร่างอย่างรวดเร็วราวกับลูกโป่งที่มีรอยรั่ว อีกเพียงไม่นานร่างของเขาก็จะขาดเลือดและเมื่อถึงเวลานั้นนพวิทย์ก็รู้ดีว่าชะตากรรมของตนจะเป็นยังไง
   
“ฉัน ฉันหาให้ได้”
   
แม้จะเจ็บปวดแทบขาดใจกับคำพูดแต่ละคำที่กล่าวออกไป แต่นพวิทย์ก็ไม่สนใจเพราะมันเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะต่อชีวิตเขา
   
นัยน์ตาสีน้ำข้าวสบกับนัยน์ตาโศกครู่หนึ่ง ก่อนที่ทอมจะยิ้มออกมาและผลุดลุกขึ้นปัดฝุ่นที่เปรอะอยู่ตามตัวออกโดยไม่สนใจสีหน้าของนพวิทย์เลยสักนิดว่าจะถมึงทึงขนาดไหน
   
“ไม่ล่ะ คราวนี้ฝั่งเราสูญเสียไปเยอะ ผมไม่เสี่ยงกับคุณหรอก คุณนพวิทย์”
   
ทอมไหวไหล่และสาวเท้าออกไปโดยมีผู้ติดตามที่เป็นคนลงมือเมื่อกี้สาวเท้าตามไปติดๆ
   
“เดี๋ยว..”
   
นพวิทย์แค่นเสียงพูดแต่ก็ไม่เป็นผล ประตูห้องนั้นปิดสนิทพร้อมกับห้องที่ถูกปิดไฟจนมืดสลัวไม่เห็นแม้แต่มือของตนเอง ร่างบาดเจ็บพยายามตะเกียกตะกายไปยังประตูแต่กลับหลงทิศไปชนกลับกำแพงซะหลายครั้ง พื้นห้องที่เคยเป็นสีขาวสะอาดต่อถูกรอยเลือดเป็นทางยาวแต่งเติมจนน่าสยดสยอง
   
“…ไม่”
   
ในที่สุดนพวิทย์ก็ไม่สามารถฝืนร่างกายตนเองได้อีก ความเจ็บปวดในอกมันมากจนอยากจะตายในวินาทีนั้น มันเจ็บปวดจนเขาทนแทบไม่ได้แต่เขาก็ไม่อยากตาย เขายังอยากได้อำนาจและเงินของเขาคืนมา
   
“..ไม่”
   
สติปัญญาของนพวิทย์ตอนนี้ถูกทำลายไปกว่าครึ่ง นัยน์ตาโศกเลื่อนลอยแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะขยับก็ไม่มีเหลือแล้ว ร่างกายอันบอบช้ำของนายแพทย์นอนหงายอยู่บนพื้นบริเวณหน้าประตู ใบหน้าที่มีริ้วรอยของความชรายังคงนิ่งสงบแม้ว่าการหายใจจะยากขึ้นทุกที
   
“…อัลฟ่า”
   
นพวิทย์รำพันเมื่อสมองได้ประมวลภาพสุดท้ายขึ้นมา เป็นภาพที่กลุ่มรัฐบาลโต้กลับได้สำเร็จ โอเมก้าเบต้าและกลุ่มกบฏทุกคนตายในพื้นที่เกิดเหตุ เหล่าอัลฟ่าที่ยังหลงเหลืออยู่กล่าวชื่นชมเขาไม่หยุด สีหน้าของนายแพทย์มีความสุขมากกับชัยชนะของตนเองแม้ว่าจะแลกมาด้วยชีวิตของคนนับร้อยก็ตาม
   
รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฎก่อนที่จะแปรเป็นสีหน้าบิดเบี้ยว
   
เพียงชั่ววินาทีต่อมาภาพในหัวก็เปลี่ยนไป เกิดการยิงกราดเข้ามาจนโดนท่านนายกล้ม นพวิทย์ที่ยืนกำลังจะออกคำสั่งให้เหล่าทหารสหรัฐจัดการพวกมันกลับกลายเป็นว่าปลายกระบอกปืนนับสิบเล็งมาที่ตนเอง ยังไม่ทันได้ไหวตัวทันห่ากระสุนก็ยิงมาที่ร่างของตนเองจนพรุน
   
ในฝันนั้นนพวิทย์ล้มกองลงกับพื้นร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด
   
ความผิดหวังในสิ่งที่ต้องการนั้นเจ็บปวดจนสะอื้นออกมาจริงๆ ด้วยน้ำเสียงดังเสียดหู
   
“..ฮึก”
   
นพวิทย์ร้องไห้อย่างใจสลายโดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าลมหายใจของตนเองนั้นน้อยลงทุกที อัตราการหายใจช้าลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดนิ่งในที่สุดแต่สีหน้าของนพวิทย์ก็ยังคงเจ็บปวดเช่นเดิม
   
ความฝันที่อัลฟ่าจะเป็นใหญ่ตลอดกาลของนพวิทย์ได้สูญสลายไปเสียแล้ว

   

เพียงสองวันให้หลังประเทศไทยก็มีรัฐบาลชุดใหม่ซึ่งเป็นรัฐบาลชั่วคราวโดยมีคนในกลุ่มอีกาเป็นแกนนำหลักสามคนได้แก่ วุ้น ขุนและเงิน กฎหมายเดิมที่ลิดรอนสิทธิ์ของโอเมก้าถูกโละออกแทนที่ด้วยข้อกฏหมายที่กลุ่มอีการ้องขอมาตลอดอีกทั้งยังตรากฏหมายขึ้นมาใหม่อีกหลายมาตราเพื่อที่จะคุ้มครองทุกคนให้มีความเท่าเทียมกันโดยไม่แบ่งแยก
   
หากแต่สิ่งกฎหมายที่ทำให้ทุกคนฮือฮาที่สุดคือกฎหมายที่ว่าด้วยการกระทำผิดที่เกี่ยวข้องกับการเหยียดหยาม ดูหมิ่น ข่มขืนหรืออะไรใดๆ ก็ตามที่เป็นไปในทางรังแกผู้อื่น หากกระทำผิดครบสามครั้งจะถูกบังคับเป็นสภาวะไร้เพศ ไม่ว่าจะเป็นอัลฟ่า โอเมก้าหรือแม้แต่เบต้า หากกระทำผิดตามที่กฎหมายข้อนี่ว่าไว้ก็ไม่มีการยกเว้น
   
แน่นอนว่ารัฐบาลชั่วคราวของกลุ่มอีกาไม่ได้ตั้งจะครองอำนาจตลอดไป ในอีกหนึ่งเดือนครั้งหน้าจะมีการเลือกตั้งใหม่อีกครั้งโดยไม่แบ่งแยกเพศอะไรใดๆ ผู้ที่มีคุณสมบัติมากเพียงพอไม่ว่าใครก็สามารถลงสมัครได้ทั้งนั้น อีกทั้งการเลือกตั้งยังเป็นระบบที่โปร่งใสด้วยการอ่านผลการเลือกตั้งต่อหน้าสื่อมวลชนและนับคะแนน จะไม่มีการทุจริตหรือการคดโกงอะไรใดๆ ทั้งนั้นกับการเลือกตั้งครั้งนี้
   
ส่วนผู้ที่อยู่เบื้องหลังคอยดูแลรัฐบาลชั่วคราวชุดนี้ก็คือพลตำรวจเอกโลกันต์ คอยให้คำปรึกษาและดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองอย่างเคร่งครัด พยายามกระจายกำลังของตนไปตามจุดต่างๆ ที่ได้รับความเสียหายจากสงครามกลางเมืองเพื่อฟื้นฟูให้แต่ละสถานที่ได้กลับมาชีวิตชีวาอีกครั้ง
   
ทุกอย่างกำลังเริ่มต้นใหม่อย่างช้าๆ โดยเฉพาะกับเหล่าโอเมก้าที่โดนกดขี่มานาน ทันทีที่ทุกคนรู้คราวก็ร้องไห้ออกมา พวกเขากำลังจะได้รับอิสรภาพ อิสรภาพที่เฝ้าฝันถึงมานานและไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะเป็นจริงได้ แต่มันก็เป็นจริงแล้วด้วยความเสียสละของหลายๆ คนที่ยอมแลกแม้แต่ชีวิตของตนเองเพื่ออุดมการณ์
   
ชื่อทุกชื่อที่สูญเสียไปกับการปฎิวัติครั้งนี้ถูกรวบรวมเพื่อนำไปใส่ในอณุสรณ์สถานและตำราเรียน ถึงแม้จะสูญเสียชีวิตของพวกเขาไปแล้วแต่พวกเขาก็ไม่มีวันจางหาย เหล่านักเรียนนักศึกษาในรุ่นต่อๆ ไปจะได้รับการสอนเรื่องความเท่าเทียมและเรื่องเล่าเกี่ยวกับการปฎิวัติครั้งนี้
   
พวกเขาจะได้เรียนรู้ถึงสงคราม ความโหดร้าย การแก่งแย่ง และความเห็นแก่ตัวของผู้คน หากประจักษ์ในสิ่งเหล่านี้ได้ก็จะทำให้การให้เกียรติ์และเคารพซึ่งกันและกันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ง่ายขึ้น
   
และท้ายที่สุดสังคมในอุดมคติที่ทุกคนเท่าเทียมกันก็อาจจะเป็นไปได้จริงๆ
   
   

เพียงสองเดือนจำนวนสภาวะไร้เพศก็เพิ่มขึ้นเท่าตัวหลังจากที่รัฐบาลชั่วคราวประกาศว่าสามารถเปลี่ยนได้ฟรีๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เหล่าโอเมก้าและเบต้าคือผู้ใช้บริการหลัก สาเหตุที่โอเมก้ามานั้นเพราะเบื่อหน่ายกับการฮีททุกเดือนแต่ก็มีบางส่วนที่ยอมรับในเพศสภาพของตัวเองและตั้งใจจะเป็นแบบนั้นไปจนวันตาย ซึ่งก็มีผู้คนอีกบางส่วนที่อยากสนับสนุนความเท่าเทียมจึงมาแปลงเพศสภาพของตัวเอง
   
รัฐบาลชุดใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งนั้นประกอบด้วยเบต้า อัลฟ่า และโอเมก้า เป็นสัดส่วนแทบจะเท่ากัน ซึ่งครั้งนี้ก็คงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีโอเมก้าเป็นนายกรัฐมนตรี แต่นายกที่ว่าก็ไม่มีได้มีรูปลักษณ์คล้ายกับโอเมก้านัก ร่างกายที่สูงใหญ่กว่าเบต้าทั่วไปนั้นยากที่จะสังเกตว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นโอเมก้า น้ำเสียงยามที่กล่าวปราศรัยนั้นสุขุมเยือกเย็น นัยน์ตาสีกระจ่างฉายประกายความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาประเทศไปในทางที่ดีที่สุด
   
ในส่วนของอัลฟ่าบางตระกูลที่ถือเป็นตระกูลใหญ่และถือครองธุรกิจใหญ่ยักษ์ในประเทศถูกตรวจสอบและพบว่ามีการทุจริตและเล่นพลิกแพลงกับข้อกฎหมายเป็นเงินมหาศาล มีอัลฟ่าหลายคนที่เลือกที่จะหลบหนีไปที่อื่นแต่ก็มีบางส่วนหลบหนีไม่ทันต้องติดคุกเสียค่าปรับชดใช้การกระทำไป
   
แน่นอนว่าตระกูลนฤภัทรก็ไม่รอดเช่นกัน โรงเรียนเครือนฤภัทรถูกเปิดโปงว่าเป็นสถานฟอกเงินขนาดใหญ่ระดับประเทศ ทรัพย์สินของตระกูลนฤภัทรจึงถูกยึดไปแทบจะทั้งหมดเข้ารัฐบาล สร้างความอับอายให้กับคนที่ใช้นามสกุลนฤภัทรเป็นอย่างมาก ญาติคนอื่นๆ ในตระกูลที่ไม่รู้เรื่องด้วยพากันไปเปลี่ยนนามสกุลเพื่อที่จะหลีกหนีมลทินที่ตนเองไม่ได้ก่อด้วยความโกรธเคือง
   
ซึ่งการถูกจับได้คราวนี้ก็เป็นข่าวใหญ่พอตัว คุณหญิงวิภาดาที่เพิ่งสูญเสียสามีไปถูกจับในบ้านพักอากาศของตนเองด้วยสีหน้าซีดเซียว ไม่เหลือเค้าคนเคยมีอำนาจเลยแม้แต่นิดเดียว ชีวิตบั้นปลายของเธอจึงต้องจบลงที่การถูกกักขังหลายสิบปีที่ไม่น่าเหลือเวลาให้เธอได้ออกมาเริ่มต้นชีวิตใหม่อีก
   
ส่วนในวงการเพลงที่ซบเซาไปนั้นค่อยๆ กำลังมาครึกครื้นอีกครั้งด้วยเพลงของเหล่าโอเมก้าที่เก็บงำฝีมือกันมานาน เมื่อมีโอกาสเข้าพวกเขาก็ปล่อยของกันเต็มที่ ละทิ้งอาชีพเดิมซึ่งเป็นการร้องเพลงพร้อมขายเรือนร่างมาใช้ทักษะของตนเองจริงๆ กลุ่มนักลงทุนเริ่มหันไปสนใจปั้นเหล่าโอเมก้าและเหล่าผู้มีความสามารถมาเป็นนักร้องให้กับค่ายตัวเอง
   
แต่น่าเสียดายที่ทุกการคาดหวังก็ย่อมมีความผิดหวัง
   
ข้าวซึ่งสามารถปีนป่ายยกระดับตัวเองขึ้นไปสูงด้วยการเป็นเด็กของเจ้าของค่ายเพลงตกลงมาจากเบื้องบน หลังกระแทกพื้นจนจุกและกระดูกแตกไปทั้งตัว เมื่อคนที่เป็นฐานให้ตัวเองถูกจับไปทุกอย่างก็ต้องเริ่มต้นใหม่และข้าวก็พบว่าตนเองดูจะไม่ได้ที่เป็นชื่นชอบของคนในค่ายนักจากการที่เคยแผลงฤทธิ์เอาไว้ จึงจำต้องยอมออกจากค่ายเพลงเดียวที่เคยเป็นค่ายเพลงของพี่จ้าวไปออกไปอยู่ค่ายอื่น
   
ด้วยความสามารถและฝีไม้ลายมือที่การร้องที่คล้ายกับจ้าว ข้าวจึงถูกค่ายเพลงที่เป็นคู่แข่งค่ายเพลงของจ้าวพาตัวไปอยู่ด้วยและปั้นเป็นดาวดวงใหม่ที่สามารถเปล่งประกายได้ แต่น่าเสียดายที่นิสัยเก่าอย่างการกระหายชื่อเสียงและเงินตรามากเกินไปก็ทำลายตัวข้าวเองจนกลายเป็นดาวที่เปล่งแสงมากเกินไปจนทำลายตนเอง ชีวิตนักร้องของข้าวจึงไปได้ไม่สวยนัก ข้าวจึงถือโอกาสลาออกและเป็นอาสาสมัครให้กับโครงการจิตอาสาต่างๆ เพื่อให้รู้สึกว่าตนเองยังมีคุณค่าอยู่บ้าง

   

แสงอาทิตย์อุ่นๆ อาบร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง บริเวณหน้าผากมีรอยแผลเป็นเล็กๆ จากการผ่าตัดแต่ก็ไม่ได้ดูขัดตาอะไรนัก ริมฝีปากบางเฉียบที่เคยพูดจาเชือดเฉือนผู้คนตอนนี้ยังคงปิดสนิท ชีพจรในร่างยังคงเต้นปกติแม้ว่ามันจะเคยหยุดเต้นไปเกือบนาทีแล้วก็ตาม
   
ร่างที่เริ่มกลับมามีเนื้อมีหนังนั่งข้างอยู่ข้างๆ กุมมือของคนป่วยแน่น ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลยก็ตามที นัยน์ตาโศกคลอด้วยน้ำตา ทั้งๆ ที่ยังรับรู้ถึงการคงอยู่ของอีกฝ่ายแต่กลับไม่รู้สึกว่าอยู่บนโลกใบเดียวกัน
   
การกลับมาครั้งนี้จันทร์ไม่มีวันเหมือนเดิม…
   
“จันทร์เป็นยังไงบ้าง พี่ซัน”
   
ข่าวการฟื้นของจันทร์เมื่อวานเล่นเอาจ้าวที่กำลังสับสนในชีวิตตัวเองรีบมาหาในเช้าวันต่อมาทันที แม้จะรู้มาก่อนบ้างถึงอาการของที่แปลกไปของจันทร์แต่จ้าวก็ไม่คิดจะเชื่อนอกจากจะได้ยินและเห็นได้ด้วยตาของตนเอง
   
เขาไม่เชื่อหรอกว่าจันทร์จะเป็นอะไร จันทร์แข็งแรงจะตายไป
   
สุริยะซึ่งละทิ้งอาชีพนายแบบมารับเป็นเจ้าของไข้ให้กับจันทร์เต็มตัวมองร่างที่อยู่บนเตียงนิ่งก่อนที่จะพูดออกมา น่าแปลกนักที่ทั้งๆ ที่คิดว่าตนเองทำใจได้แต่เสียงที่พูดออกไปก็ยังสั่นพร่าอยู่ดี “จันทร์จำอะไรไม่ได้เลย พูดไม่ได้ อีกทั้งยังมีอาการแขนขาอ่อนแรงจนต้องนอนอยู่บนเตียงไม่ก็นั่งรถเข็นตลอดเวลา ต้องกายภาพบำบัดอีกหลายปีถึงจะกลับมาทำอะไรได้บ้าง”
   
“..พี่ขอโทษ จันทร์ พี่ขอโทษ”
   
จ้าวสะอื้นจนตัวโยนเมื่อได้ฟัง ถึงแม้จะหลอกตัวเองว่ามันไม่จริงแต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นความจริง จันทร์ไม่มีวันเป็นเหมือนเดิม การกลับมาครั้งนี้สำหรับจันทร์แล้วอาจจะเป็นความทุกข์ทรมานมากกว่าความสุขก็เป็นได้
   
บางทีเขาก็คิดในชั่วขณะหนึ่งว่าความตายอาจจะเมตตากับจันทร์มากกว่าการต้องมามีสภาพตายทั้งเป็นแบบนี้ มันจะมีประโยชน์อะไรกับการมีชีวิตรอดแต่ได้สูญเสียร่างกายและตัวตนไปแทบทั้งหมด
   
“..อือ”
   
เสียงครางในลำคอเบาๆ เรียกความสนใจจากคนในห้องและในที่สุดคนที่ตกเป็นประเด็นก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาโศกกระพริบถี่ๆ อย่างไม่คุ้นชินกับแสงสว่างเมื่อผ่านไปได้สักพักถึงกลอกตามองผู้คนที่ยืนอยู่รอบเตียงตนเองด้วยแววตาสับสนระคนหวาดกลัว มือที่ถูกจ้าวกอบกุมเอาไว้พยายามขัดขืนออกแม้ว่าจะขยับมันแทบไม่ได้เลยก็ตาม
   
“..จันทร์ นี่พี่ไง จันทร์ ฮึก นี่พี่จ้าวไง”
   
จ้าวยอมปล่อยมือออกแต่สะอื้นไม่หยุด รู้สึกทรมานจนทนแทบไม่ได้ ราวกับผลกรรมในสิ่งที่เขาทำเอาไว้กับจันทร์กำลังเล่นงานเขากลับอย่างเลือดเย็น เขาทำให้จันทร์ไม่มีสังคมและตอนนี้จันทร์ก็กำลังทำให้เขาเป็นคนอื่น ที่ไม่ใช่คนรู้จักของตนเอง ไม่ใช่ฝาแฝด ไม่ใช่คนรู้จัก แต่เป็นคนที่ไม่สมควรมาอยู่ในชีวิตด้วยซ้ำ
   
“…”
   
แม้จะพูดและขยับร่างกายไม่ได้มากนักแต่ท่าทีหวาดกลัวของจันทร์นั้นชัดเจนจนน่าสงสาร นัยน์ตาโศกที่ไม่มีกรอบแว่นเพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างจันทร์กับจ้าวขับให้ใบหน้าของจันทร์ดูเด็กลงไปอีก แววตาสีดำขลับนั้นใสซื่อราวกับย้อนกลับไปในวัยเพียงไม่กี่ขวบ เป็นวัยที่ขาดวิจารณญาณในการใช้ชีวิตและบอบบางเกินกว่าจะดำรงอยู่บนโลกใบนี้
   
“…จันทร์”
   
จ้าวครางเสียงแผ่วรู้สึกเจ็บจนแทบคลั่ง เขาเจ็บปวดเหลือเกินที่เห็นอีกฝ่ายยังมีลมหายใจ มีรูปลักษณ์แบบเดิม แต่กลับไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
   
หรือความจริงแล้วการกลับมาครั้งนี้สำหรับจันทร์แล้วคงไม่ได้ตายทั้งเป็นแต่เป็นผู้คนรอบๆ ต่างหากที่ค่อยๆ ตายอย่างช้าๆ กับความเจ็บปวดที่ถูกหลงลืมและหวาดกลัว
   
“..พี่ขอโทษสำหรับเรื่องทุกอย่างนะ”
   
จ้าวพยายามยิ้มแม้น้ำตาจะยังอาบใบหน้า ความตั้งใจที่จะรอจวบจนกระทั่งจันทร์ฟื้นเพื่อเป็นสักขีพยานในงานแต่งงานเริ่มไขว้เขว บางทีแล้วจันทร์อาจจะไม่อยากร่วมงานกับเขาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เขาในวัยเด็ก วัยที่แสนโง่งมคึกคะนองได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่มหันต์
   
ถึงเวลาสักทีที่เขาจะยอมรับมันไม่ใช่การผลักไสออกและหลอกตนเองว่าได้ทำดีชดใช้แล้ว
   
เขาไม่สามารถแก้ไขในสิ่งที่ตนเองได้ทำลงไปหรอก เขาพังชีวิตวัยเด็กของจันทร์ไปแล้วและมันก็ไม่มีวันที่จะถูกแก้ไขได้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นใดแล้วนอกจากจะก้มหัวจำยอม ต่อให้หัวใจแหลกสลายซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาก็ต้องทนรับมันให้ได้
   
“…”
   
อดีตนายแพทย์ชื่อดังก็ยังคงมีท่าทีหวาดกลัว น้ำตาไหลอาบใบหน้าเมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ทั้งๆ ที่อยากลุกหนีหรือไปที่อื่นใจแทบขาด ในหัวคิดเพียงอย่างไปให้พ้นๆ จากสถานที่แห่งนี้เพราะทุกคนที่อยู่รอบตัวช่างดูน่ากลัวและไม่น่าไว้ใจ โดยเฉพาะร่างที่กำลังร้องไห้เป็นเผาเต่าที่เขาไม่รู้จักและไม่เข้าใจสักนิดว่าจะมายุ่งกับเขาทำไม
   
เขาอยากจะตะโกนว่าไปให้พ้นแต่กลับพบว่าการเปล่งเสียงเป็นเรื่องยากเหลือเกิน ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกจากริมฝีปากทั้งๆ ที่ในหัวก็คิดประมวลผลออกมามากมายแต่กลับเรียบเรียงคำพูดไม่ได้
   
เขาเป็นใครกัน… ทำไมมาอยู่ตรงนี้
   
จันทร์คิดอย่างหวาดกลัวกว่าเดิม รู้สึกว่างเปล่า ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในร่างของตนเองแต่กลับรู้สึกเหมือนถูกกักขังในกรงมนุษย์ที่มีร่างของตนเองเป็นกรงอันแน่นหนาและไม่มีทางปีนหนีออกไปได้
   
“…”
   
มีเพียงนัยน์ตาของจันทร์เท่านั้นที่ยังคงเป็นอิสระจากพันธะของร่างกาย นัยน์ตาโศกมองทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวด้วยความหวาดกลัว เขาไม่คุ้นชินกับสิ่งใดเลย ไม่เข้าใจอะไรเลย
   
“..ผมควรไปสินะ”
   
จ้าวหัวเราะเสียงแผ่วไม่รอคำตอบจากใคร รีบเดินออกจากห้องจนเกือบจะล้มจนเหมันต์ต้องมาช่วยประคองและโอบแน่นพยายามปลอบประโลมแต่ก็ดูเหมือนจะไม่เข้าหูของจ้าวนัก มีเพียงความเค็มของน้ำตาที่ชัดเจนจนจ้าวทนแทบไม่ได้
   
ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นรอยยิ้มของจันทร์ปรากฏในหัวจนจ้าวสะอื้นหนักกว่าเดิม
   
เขาไม่โทษใครหรอกสำหรับเรื่องนี้…
   
มันสาสมแล้วที่เขาจะได้รับมัน

=======

ใกล้จบเราก็สามารถพีคได้  :a9:

   
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 37 : คำลวง p.8 (22/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 22-08-2018 00:58:52
หูยยย  พีคหนักมาก รอคุณเหมันต์ อยู่นะ
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 37 : คำลวง p.8 (22/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 22-08-2018 02:04:07
 :a5: ไม่รู้จะสงสารใคร  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 37 : คำลวง p.8 (22/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 22-08-2018 13:44:06
สงสารจ้าวกับจันทร์มากเลย
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 38 : งานแต่งงาน p.8 (30/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 30-08-2018 21:04:57
ตอนที่ 38
   
อาการของจันทร์ยังไม่ค่อยดีนักแม้ว่าจะผ่านเกือบเดือนแล้วก็ตาม ทุกครั้งที่จ้าวไปเยี่ยมก็มักจะแสดงท่าทีหวาดกลัว ไม่มีท่าทีจะจดจำใครได้เลยแม้แต่นิดเดียว จนสุริยะตัดสินใจพาตัวจันทร์ไปอยู่ที่บ้านกับตัวเองเพื่อที่จะเปลี่ยนสภาพแวดล้อมและดูแลได้ง่ายขึ้น
   
หากแต่เรื่องที่จันทร์จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้สักทีเดียว หลังจากที่สุริยะลองกระตุ้นความทรงจำบางส่วนซ้ำๆ ก็พบว่าจันทร์ยังสามารถจดจำเรื่องบางเรื่องได้ หนำซ้ำยังสามารถแก้โจทย์ฟิสิกส์ได้ราวกับเป็นเพียงการบวกลบเลขธรรมดา ซึ่งมันก็ทำให้ทั้งจ้าวและสุริยะเกิดความหวังขึ้นมา ถึงแม้จะเป็นเพียงความหวังเล็กๆ เพียงเสี้ยวเดียวแต่ก็นับเป็นความหวัง
   
สิ่งที่พวกเขาทำได้ตอนนี้ก็คือรอเวลาเท่านั้น..
   
จะอีกสิบปี ยี่สิบปี พวกเขาไม่รู้แต่พวกเขาก็คาดหวังว่ามันจะไม่มากถึงเพียงนั้น
   
“พี่กลับแล้วนะ จันทร์” จ้าวฉีกยิ้มให้จันทร์จนตาหยีแม้ว่าอีกฝ่ายจะหันหลังให้ก็ตาม
   
“..อือ”
   
“…”
   
จ้าวที่กำลังจะก้าวออกจากห้องถึงกับชะงักและหันไปมองจันทร์อย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนที่ความรู้สึกยินดีที่ถาโถมเข้าทับจนแทบยืนไม่อยู่ รู้ตัวอีกทีก็ยิ้มกว้างทั้งๆ ที่น้ำตาไหลอาบใบหน้า
   
ในที่สุดจันทร์ก็รับรู้ถึงการมีตัวตนของเขาแล้ว…

   


สำหรับจ้าวแล้วการแต่งงานเป็นเรื่องไกลตัว เหมือนเรื่องเพ้อฝันในภาพยนตร์มากกว่าที่จะเกิดขึ้นตัวเองเพราะคงจะหาคนที่เข้าในจนตัวตนของเขายาก เขาเป็นนักร้องที่หลงใหลในเสียงดนตรีจนแทบถวายชีวิตให้กับมัน เขาสามารถถูกขังในห้องกับเครื่องดนตรีสักชิ้นได้ทั้งวันโดยไม่มีเบื่อหนำซ้ำอาจจะแต่งเพลงได้อีกสักสองสามเพลงด้วย
   
แต่นั้นก็ไม่ใช่ประเด็นหลักเสียทีเดียว
   
จ้าวมองตัวเองในกระจกด้วยความรู้สึกประหม่ากว่าทุกวัน รู้สึกทุกอย่างในร่างกายดูเกะกะไปหมดไม่เว้นแม้แต่มือของตัวเองที่จับนู้นจับนี่ไปทั่ว พยายามทำตัวให้ปกติที่สุดแม้ว่ามันจะยากมากก็ตาม
   
“…แม่ง”
   
สบถออกมาอย่างเหลืออดเมื่อพบว่าตัวเองหน้าแดงก่ำ รู้สึกขวยเขินมากทีเดียวเมื่อมาอยู่ในชุดสูทสีขาวเรียบๆ เข้ากันดีกับสีผมที่คราวนี้ถูกย้อมเป็นสีชมพูอ่อน ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไรดลใจให้ย้อมผมสีนี้ก่อนวันแต่งไม่กี่วัน แต่ที่รู้ๆ คือใครบางคนชอบเอามากๆ จนเอ่ยปากชมไม่หยุด
   
จ้าวพยายามจัดคอเสื้อตัวเองให้ปกปิดบริเวณลำคอที่ยังมีร่องรอยบางอย่างก่อนที่จะมองหน้าตัวเองอีกครั้งเพื่อสำรวจความเรียบร้อย
   
ชั่วขณะหนึ่งที่จ้าวนึกถึงภาพตอนที่ตัวเองส่องกระจกหลังจากออกจากคุกมาได้วันแรก
   
ตอนนั้นสภาพเขาราวกับซากศพอะไรสักอย่าง ไม่มีเค้าของความเป็นมนุษย์เลยสักนิด ร่างกายผอมจนเหลือแต่กระดูก แก้มตอบ ร่องรอยบาดแผลจากการทรมานต่างๆ ที่ส่วนใหญ่มาจากการทำร้ายตัวเอง
   
เขาในตอนนั้นสภาพย่ำแย่และสิ้นหวังเกินกว่าจะมีลมหายใจด้วยซ้ำ ทุกอย่างดำมืดไปหมด เขาไม่มีใครเลย ต่อให้ซินจะพยายามช่วยเขามากแค่ไหนมันก็ไม่สามารถสู้กับอิทธิพลของตระกูลนฤภัทรได้ ตระกูลของเขายิ่งใหญ่จนยากที่จะหาใครกล้าเข้ามาเสี่ยงกับเขา
   
แต่ก็มีใครบางคนที่กล้าและโอบอุ้มประคับประคองเขาไว้อย่างทะนุถนอม ทั้งๆ ที่เขาเป็นเพียงอีกาพิกลพิการโดนหักปีกทั้งสองข้างจนแหลกละเอียดจนไม่มีวันที่จะได้โผบินได้อีก แต่คนๆ นั้นก็ยังเชื่อมั่นในตัวเขาแม้ว่าจะหลักฐานทุกอย่างจะมัดตัวเขาไว้อย่างแน่นหนาก็ตามที
   
รอยยิ้มบางปรากฎบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว
   
จ้าวมองตัวเองในกระจกและยิ้มให้กับมัน รู้สึกดีที่ตอนนี้ตนเองได้กลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง ร่างกายของเขากลับมาแข็งแรง เขาป่วยน้อยลง อีกทั้งยังอ้วนขึ้นจนทำซี่โครงที่มักจะปรากฎให้เห็นหายไปด้วย
   
น่าแปลกที่ครั้งนี้จ้าวกลับมั่นใจว่าความสุขจะไม่หายไปอีก ไม่เหมือนกับตอนที่ยังเป็นนักร้องทุกอย่างดูจะไม่แน่นอนไปหมด เขามีความสุขวันนี้ก็จริงแต่วันพรุ่งนี้ก็อาจจะทุกข์ตรมจนไม่อาจจะประคองหายใจตัวเองได้
   
ก็อกๆ
   
ประตูถูกเคาะด้วยจังหวะหนักหน่วง
   
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ คุณจ้าว”
   
ออสตินซึ่งถูกมอบหมายให้มาตามจ้าวถามด้วยความเป็นห่วง งานแต่งงานจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่นาทีนี้แต่คนที่เป็นตัวหลักของงานกลับมาอยู่ในห้องน้ำเกือบครึ่งชั่วโมง
   
“ผมสบายดี ขอโทษที่ผมเตรียมตัวนานไปหน่อย”
   
จ้าวหัวเราะแห้งๆ เมื่อเปิดประตูออกมาและเดินนำออกไปข้างนอก พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ประหม่าเพราะนี่เป็นไม่กี่ครั้งในชีวิตที่ได้ร่วมงานแต่งงานซึ่งครั้งนี้ก็เป็นงานแต่งงานของตัวเองเสียด้วย
   
นัยน์ตาโศกกวาดตามองพื้นที่จัดงานอย่างขวยเขิน ถึงแม้งานแต่งงานครั้งนี้จะไม่เน้นความหรูหราใหญ่โตแต่ทุกตารางนิ้วในงานกลับสัมผัสได้ถึงความอ่อนหวานของพิธี
   
ห้องโถงขนาดกลางที่มักจะใช้สำหรับประชุมย่อยๆ ระดับผู้บริหารคนสำคัญของตระกูลกิลลาสในวันนี้ถูกแปลงโฉมให้เป็นพื้นที่จัดงานแต่งงานของประธานบริษัทกิลลาส พื้นถูกปูด้วยพรมสีสะอาด รอบๆ ห้องถูกประดับประดาด้วยกุหลาบสีขาวจนคล้ายกับสวนดอกไม้ในเทพนิยาย บริเวณโต๊ะต่างๆ ถูกจับจองไปด้วยผู้คนที่เป็นคนสนิทของจ้าวและเหมันต์ซึ่งก็มากันครบทุกคน
   
ซินซึ่งอยู่ในชุดสูทดำเรียบร้อยเอ่ยทักจ้าวทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาในงาน ถึงแม้จะถ่ายรูปอวยพรไปแล้วแต่ซินก็ยังอยากที่จะคุยกับจ้าวอีกอยู่ดี
   
“วันนี้หล่อเลยนะ จ้าว”
   
สำหรับซินแล้ววันนี้เป็นวันที่แอบร้องไห้ไปหลายรอบ การได้เห็นคนที่แทบหมดหวังในการมีชีวิตได้กลับมามีความสุขอีกครั้ง มันก็เหมือนกับฝัน เขาดีใจมากที่จ้าวมีกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อ
   
“ขอบคุณ” จ้าวยิ้มเขินๆ ทำตัวไม่ถูกเมื่อคุณเหมันต์ที่ยืนอยู่อีกมุมห้องและกำลังคุยกับเพื่อนตัวเองส่งยิ้มให้ ซึ่งวันนี้คุณเหมันต์ก็แปลกไปกว่าทุกวันทั้งรูปลักษณ์ที่ดูดีเอามากๆ ราวกับหลุดมาจากนิตยสารชื่อดังสักฉบับ ใบหน้าคมเข้ากันดีกับผมที่ถูกเซ็ตให้เห็นโครงหน้าชัดขึ้น นัยน์ตาสีเทาที่มักจะถูกมองว่าดุดันจนคล้ายกับหมาป่าวันนี้ดูอ่อนละมุนกว่าทุกวัน
   
“ขอให้มีความสุขมากๆ นะ มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาได้”
   
แน่นอนว่าซินรู้ว่าจ้าวเขินอะไรแต่ก็ไม่คิดจะแซวเพิ่มความประหม่าให้กับจ้าว
   
“อือ เราก็ขอให้ซินมีความสุขมากๆ เหมือนกัน”
   
จ้าวมองหน้าซินได้ไม่นานก็อดที่จะโผกอดราวกับเด็กๆ ไม่ได้
   
“ขอบคุณ.. ขอบคุณจริงๆ ฮึก ที่อยู่ด้วยกันมาถึงตอนนี้นะ”
   
เอาเข้าจริงจ้าวคิดว่าตัวเองคงจะตายไปตั้งนานแล้วถ้าซินไม่คอยช่วยประคับประคองเขาอยู่ตลอด การอยู่ในคุกมันโดดเดี่ยวและโหดร้ายเกินไป ถ้าไม่มีซินคอยเตือนสติเขา เขาก็คงทนไม่ได้ไหวจนมาถึงตอนนี้
   
“วันแต่งงานนะ อย่าร้องไห้ดิวะ”
   
ซินเอ็ดทั้งๆ ที่ตัวเองก็ร้องไห้เหมือนกัน
   
ร้องไปได้สักพักจ้าวก็ตัดสินใจผละออกเพราะงานแต่งงานจะเริ่มต้นในอีกไม่ช้า ใช้มือเช็ดน้ำตาตัวเองออกลวกๆ แล้วเดินเข้าไปหาคุณเหมันต์ที่เดินมาหาด้วยสีหน้าเป็นห่วง
   
“ร้องไห้ทำไม”
   
ไม่ว่าเปล่าใช้มือเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ ไล้นิ้วบริเวณขอบตานัยน์ตาโศกที่ยังมีน้ำตาหลงเหลืออยู่
   
“ไม่มีอะไรครับ”
   
เมื่อเห็นจ้าวไม่อยากพูดถึงเหมันต์ก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อ
   
“งั้นพี่จะเริ่มงานเลยนะ”
   
“ครับ”
   
จ้าวพยักหน้าหงึกหงักวางมือบนมือคุณเหมันต์ที่ยื่นมาให้ อุณหภูมิอุ่นร้อนจากฝ่ามือทำให้จ้าวรู้สึกสงบใจขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด รู้ประหม่าน้อยลงและถูกปกป้องในคราวเดียวกัน
   
ความวุ่นวายในงานค่อยๆ เงียบสงบลงเมื่อคู่บ่าวสาวก้าวขึ้นไปบนเวที บรรยากาศในงานดูจะละมุนละไมขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัวเมื่อจ้าวและเหมันต์ยืนข้างกันด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
   
ออสตินยืนไมค์ให้นายของตนเองก่อนที่จะถอยออกมายืนข้างๆ มองสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยความตื้นตันใจ การติดตามคุณเหมันต์มานานนับสิบปีทำให้ออสตินรู้ดีว่านายของตนเองเป็นคนที่ถูกใจคนยาก ถึงแม้จะใจดีแต่ก็ไม่ได้มีมันให้กับทุกคน จ้าวน่าจะเป็นคนแรกและคนเดียวที่นายของเขาให้ความสำคัญมากขนาดนี้
   
“ขอบคุณทุกคนที่มาร่วมงานกันในครั้งนี้นะครับ”
   
น้ำเสียงทุ้มของเหมันต์ยังคงทรงพลังเสมอแค่ได้ฟังก็รู้สึกครั่นคร้าม นัยน์ตาสีเทาดุจหมาป่ากวาดตามองแขกเหรื่อที่มาร่วมงานก็เผลอหลุดยิ้มออกมาเมื่อเห็นใบไม้แลบลิ้นใส่
   
แม้แต่งานสำคัญของพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองใบไม้ก็ยังไม่เลิกซนหนำซ้ำยังได้ใจไปก่อกวนจ้าวเป็นพักๆ จนโดนนทีลากออกมาคุมตัวเอาไว้อย่างหนาแน่น
   
“ก็อย่างที่รู้ว่าผมไม่ใช่คนที่ชอบงานพิธีการใหญ่โต งานแต่งงานครั้งนี้สำหรับผมมันไม่ใช่การป่าวประกาศความสัมพันธ์แต่มันคือการให้สัญญากับจ้าวว่าผมจะไม่มีวันทิ้งเขาไปไหน”
   
เหมันต์มองจ้าวอย่างไม่ปิดบังพยายามถ่ายทอดคำพูดของตัวเองออกมาอย่างซื่อตรงและจริงใจมากที่สุด
   
“ผมจะดูแลจ้าวให้ดีที่สุดในฐานะของคนรัก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ผมก็จะรักและดูแลจ้าวตลอดไปครับ”
   
สำหรับเหมันต์แล้วการพูดครั้งนี้ยากกว่าทุกครั้งในชีวิตเลยทีเดียว ไม่มีครั้งไหนที่เขาคิดและไตร่ตรองกับการพูดแต่ละคำขนาดนี้มาก่อน ทั้งๆ ที่ในใจเขายังอยากพูดอีกนับร้อยประโยคแต่กลับพูดไม่ออกสักคำเมื่อมองหน้าจ้าว
   
เขารู้เพียงว่าตัวเองรัก.. รักคนๆ นี้มากกว่าใครบนโลกก็เท่านั้น
   
“ผม.. จะไม่มีวันทำให้จ้าวเสียใจ”
   
เหมันต์อดไม่ได้ที่จะดึงมือจ้าวมาจูบเบาๆ อย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบประโลม สีหน้าของจ้าวตอนนี้เหมือนจะร้องไห้ได้ตลอดเวลาเลยทีเดียว
   
“ครั้งแรกที่ผมรู้จักจ้าวคือตอนที่น้องเข้าชมรมร้องเพลงครับ ตอนนั้นผมชอบน้องแค่เพราะน้องร้องเพลงเพราะดีและผมก็ติดตามผลงานน้องมาตลอดจนน้องได้กลายเป็นนักร้องจริงๆ ”
   
นัยน์ตาสีเทามองร่างในชุดสูทขาวนิ่งก่อนจะยิ้มละมุน ไม่มีภาพอื่นใดนอกจากจ้าวอยู่ในสายตาก่อนจะเผยความลับที่เก็บงำไว้กับตัวเองมานานให้ผู้อื่นได้ล่วงรู้
   
“หลังจากที่เรียนจบม.ปลายมา ผมต้องทุ่มเทกับการเรียนและการรับช่วงต่อบริษัทจากพ่อ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมเครียดมากจนเกือบจะฆ่าตัวตายไปหลายครั้ง”
   
ผู้คนในงานรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยเพราะภาพที่พวกเขาเห็นมาตลอดคือเก่งกาจและเข้มแข็งของเหมันต์ ประธานบริษัทกิลลาสผู้เก่งกาจที่ติดอันดับนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองทุกปี ผลกำไรมหาศาลของบริษัททำให้ทุกคนแทบจะมองประธานบริษัทคนนี้ไม่ใช่คนแต่เป็นอัจฉริยะที่อยู่เหนือขึ้นไปไม่อาจจับต้องได้
   
ไม่ว่าใครก็ต้องมองขึ้นไปอย่างอิจฉาเท่านั้น พวกเขาล้วนเอาแต่คิดว่าการมีเงินมากคือความสุขและคนที่รวยล้นฟ้าก็ไม่มีวันเข้าใจคนจนที่แม้แต่ข้าวสักมื้อไม่มีปัญญาจะซื้อกิน
   
สีหน้าแตกตื่นแกมเป็นห่วงของจ้าวทำให้เหมันต์รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เลือกคนผิด
   
ทุกคนเอาแต่คิดว่าเขาเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งและเข้มแข็ง แม้กระทั่งแม่ของเขาก็ยังไม่อาจล่วงรู้ถึงการแตกสลายของตัวตนของเขาอย่างช้าๆ
   
“ผมใช้ชีวิตไปกับการทำงานจนแทบจำไม่ได้ว่าตัวเองชอบอะไร มีงานอดิเรกอะไร ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวันหยุดยาวครั้งสุดท้ายของตัวเองวันไหน”
   
ภาระหน้าที่ในตอนนั้นสำหรับเหมันต์ที่เพิ่งอายุไม่เท่าไหร่มันช่างหนักหนาสาหัส กว่าจะปรับตัวได้ก็ใช้เวลาหลายปีแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกผู้เป็นพ่ออย่างนายศตคุณด่าไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งๆ ที่คิดว่าทำได้ดีมากพอแล้วแต่มันก็ไม่เพียงพอสำหรับคุณศตคุณอยู่ดี
   
“แต่ทุกครั้งที่ผมจะคิดทำอะไรโง่ๆ ผมก็จะเห็นหน้าน้องก่อนเสมอ พอผมเห็นรอยยิ้มของน้อง ผมก็รู้สึกว่ายังอยากเห็นรอยยิ้มนี้นานกว่านี้ ผมไม่รู้พวกคุณเคยได้ยินไหมตอนที่จ้าวดังมากแล้วมีคนพูดว่ารอยยิ้มกับเพลงของจ้าวเหมือนทำให้โลกสดใสและน่าอยู่ขึ้น สำหรับผมมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ”
   
เหมันต์ยิ้มออกมาเมื่อถูกจ้าวโถมตัวเข้ากอด มือหนาลูบผมนิ่มเบาๆ อย่างเพลินมือ
   
“สำหรับผมจ้าวเป็นสิ่งที่เดียวที่ผมจำได้ว่าตัวเองชอบและชอบมาตลอด ต่อให้น้องจะโดนจับหรือเปลี่ยนไปแค่ไหนผมก็ยังชอบน้อง ผมไม่เชื่อหรอกว่าจ้าวที่ผมรู้จักมาเกือบสิบปีจะทำอะไรที่ไม่ดี ผมชอบน้องและพยายามปกป้องมาตลอดแต่ผมก็ทำได้ไม่ดีพอจนเกือบจะสูญเสียน้องไปหลายครั้ง”
   
กล่าวถึงตรงนี้ก็รู้สึกแย่จนต้องหายใจลึกๆ หลายครั้ง
   
เขาอยากช่วยจ้าวมาตลอดแต่ก็ทำไม่ได้ เขาถูกโล่ตรวนที่ขึ้นชื่อตระกูลกิลลาสล่ามเอาไว้จนไม่อาจขยับตัวทำตามใจได้ ทำได้เพียงเฝ้ามองจ้าวอยู่ห่างๆ และช่วยเหลือเท่าที่ทำได้เท่านั้น
   
“แต่ตอนนี้ผมมั่นใจว่าผมสามารถปกป้องจ้าวได้”
   
เหมันต์ดึงจ้าวออกจากตัวอย่างเบามือเพื่อให้เห็นแววตาเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นของตนเอง
   
แต่น่าเสียดายที่แค่ไม่กี่วินาทีให้หลังจ้าวก็หลุดสะอื้น
   
ร่างโปร่งสะอื้นจนตัวโยนแม้ว่าจะไม่อยากร้องไห้ก็ตาม ความรู้สึกที่ห่างหายไปนานจนเกือบจะลืมกลับมาอีกครั้ง
   
“..ขอบคุณนะ พี่เหมันต์”
   
นัยน์ตาโศกคลอหน่วงด้วยน้ำตาขัดกับใบหน้าที่พยายามยิ้มให้เหมันต์จนตาหยี
   
“ขอบคุณที่รักผม”
   
สำหรับจ้าวแล้วสิ่งที่เหมันต์พูดนั้นมีความหมายกับตัวเองมาก คนอื่นอาจจะมองว่ามันเป็นคำพูดทั่วไปแต่สำหรับจ้าวมันคือการให้ความสำคัญอย่างหนึ่ง มันทำให้เขารู้สึกอุ่นๆ ในอกซึ่งมันก็เป็นความรู้สึกดีจนต้องร้องไห้ออกมา
   
“ฮึก พี่รู้ไหมว่าผมคิดว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ที่จะหายใจบนโลกนี้ด้วยซ้ำ มันไม่มีที่สำหรับผมหรอกบนโลกนี้น่ะ ผมอึดอัด ผมอยากตาย ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะอยู่ไปทำไมในเมื่อไม่มีที่ไหนต้องการผม”
   
จ้าวเผยความในใจตัวเองออกมาอย่างไม่ปิดบังผิดกับเมื่อก่อนที่มักจะยิ้มกลบเกลื่อนปัญหาของทุกอย่างของตนเอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจ้าวก็มักจะยิ้มรับและให้กำลังใจคนอื่นเสมอ ทั้งๆ ที่ตัวตนข้างในร้องไห้ไม่หยุดแต่ก็ไม่คิดจะเปิดเผยให้ใครรับรู้เพราะเชื่อว่าไม่มีใครสามารถช่วยเหลือตัวเองนอกจากตัวเราเอง
   
“แต่พอวันนั้นพี่ช่วยผม มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองยังมีค่าอยู่บนโลกนี้อยู่บ้าง ฮึก พี่ก็ทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อเหมือนกัน รู้ไหมว่าที่ผมไม่ยอมเป็นบ้าหรือตายไปก่อนก็เพราะกุหลาบของพี่”
   
ทั้งจ้าวทั้งเหมันต์ต่างล้วนเคยแตกสลายกันมาก่อน ย่อมเข้าใจถึงความเจ็บปวดนั้นดีว่ามันเจ็บปวดมากขนาดไหนกับการที่ต้องฝืนทำเป็นเข้มแข็งต่อหน้าคนอื่น มันเป็นเรื่องที่ยากแต่พวกเขาก็ต้องทำเพราะสถานะทางสังคมที่พวกเขาต้องรักษาเอาไว้ด้วยชีวิต

ซึ่งตอนนี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นแล้ว พวกเขามีคนที่สามารถแสดงตัวตนของตัวเองออกมาได้จริงๆ คนที่คอยดูแลเอาใจใส่กันและกัน คนที่เป็นแรงบันดาลใจให้อีกคนมีชีวิตต่อไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คนที่เข้าใจการกระทำทุกอย่างแม้ว่าการกระทำนั้นจะเข้าใจได้ยากมากก็ตาม

พวกเขาต่างเป็นส่วนประกอบของกันและกัน ไม่อาจขาดคนใดคนนึงได้ไม่เช่นนั้นคงจะแตกสลายไปทั้งคู่
   
เหมันต์กอดจ้าวแน่นลูบหัวน้องซึ่งจ้าวก็กอดร่างสูงกลับโดยไม่ขวยเขิน เกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ในอกมีเพียงความยินดีที่รับรู้ว่าตัวเองยังมีใครคอยเคียงข้าง
   
โดยที่ไม่รู้ตัวจ้าวก็ถูกสวมของบางอย่างเข้าที่คอก่อนที่เสียงเฮจะดังขึ้นมา
   
“…?”
   
จ้าวกระพริบตาปริบเมื่อผละออกมาและพบว่าตัวเองกำลังสวมสร้อยเงินที่ห้อยด้วยเขี้ยวของอะไรบางอย่างที่ดูเก่าแก่และสลักตัวอักษรสีทองคำว่ากิลลาสไว้บนเขี้ยวด้วย
   
“สร้อยประจำตระกูลพี่เอง”
   
เหมันต์ยิ้มไม่ขยายความมากกว่านั้นเพราะเพียงเท่านี้จ้าวก็สามารถรับรู้ได้ถึงความเก่าแก่ของสิ่งที่สวมอยู่ที่คอแล้ว
   
ตระกูลกิลลาสถึงแม้จะเพิ่งมารุ่งเรืองในไม่กี่รุ่นที่ผ่านมาแต่เชื้อสายเดิมนั้นกลับมีวัฒนธรรมอันเหนียวแน่น เขี้ยวหมาป่าที่ถูกทำเป็นสร้อยประจำตระกูลถูกส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น ถ้าหากให้นับจริงๆ เหมันต์ก็คงเป็นรุ่นที่เจ็ดพอดีนับจากนายศตคุณที่เพิ่งเสียชีวิตไป ซึ่งปกติแล้วสร้อยนี้จะถูกสวมเฉพาะผู้นำตระกูลในเวลานั้นเท่านั้นเพื่อแสดงอำนาจแต่เหมันต์ก็ไม่ได้ค่อยสวมมันนักเพราะมองว่ามันควรถูกเก็บรักษาไว้มากกว่าจะพกไว้กับตัว
   
“พี่อยากให้จ้าวดูแลมันแทนพี่”
   
จ้าวพยักหน้าหงึกหงักหน้าแดงก่ำเพราะเคยได้ยินมาว่าเขี้ยวหมาป่านี้จะถูกส่งต่อกับคนในตระกูลเท่านั้นต่อให้ในอนาคตใช้นามสกุลเดียวกันก็ตามที
   
“รู้ไหมทำไมพี่ถึงให้กุหลาบสีขาวจ้าวมาตลอด”
   
คนโดนถามส่ายหัวดิกอย่างประหม่า ใบหน้าเห่อร้อนด้วยความขวยเขินเมื่อสบกับนัยน์ตาสีเทาที่วาววับกว่าทุกวันซึ่งเมื่อรวมกับรูปลักษณ์ในวันนี้ก็ยิ่งทำให้จ้าวเหมือนถูกช่วงชิงลมหายใจทุกครั้งที่เผลอสบตา
   
วันนี้ต้องยอมรับว่าพี่เหมันต์ดูดีเอามากๆ สูทดำที่สวมอยู่ไม่ได้บดบังร่างกายสมบูรณ์แบบที่ซ่อนไว้ใต้เนื้อผ้าแต่อย่างใดเพราะจ้าวยังจดจำได้ดีถึงมัดกล้ามแข็งแกร่งที่วางตัวอย่างเหมาะเจาะอยู่บนหน้าท้อง จดจำได้ถึงกล้ามเนื้อที่พยุงตัวเขาไม่ให้ตกเมื่ออยู่ในท่าที่ล่อแหลม
   
แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือใบหน้าคมคายที่มีส่วนผสมระหว่างเอเชียและยุโรปอย่างลงตัว ผมสีดำที่ถูกเซ็ตมาอย่างดีทำให้เหมันต์ดูเด็กลงกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งๆ ที่อายุล่วงเลยไปที่เลขสามแล้วก็ตามที
   
นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างเมื่อเหมันต์ล้วงเอากุหลาบขาวจากในอกเสื้อออกมาให้
   
จ้าวรับมันมาถือด้วยมืออันสั่นเทา รู้สึกเหมือนจะร้องไห้อีกครั้งและคงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่จะร้องสำหรับวันนี้
   
กลิ่นหอมจางลอยแตะจมูก กลีบดอกสีขาวที่เรียงตัวกันอย่างสลับซับซ้อนดูสวยงามและน่าหลงใหล เรียวก้านที่ถูกตัดแต่งหนามและใบออกจนเหลือเพียงแค่ใบประดับอยู่ไม่กี่ใบแต่ก็ขับให้ดอกกุหลาบดอกนี้ดูสวยงามกว่าปกติ
   
ถึงแม้ว่ามันจะมีสภาพช้ำนิดหน่อยเพราะถูกทับก็ตามที
   
“จ้าวคือคนที่พี่ชื่นชมมาตลอด”
   
เหมันต์ยิ้มละมุนเมื่อนึกถึงความทรงจำเก่าๆ ที่มักจะส่งกุหลาบให้จ้าวทุกครั้งที่ขึ้นแสดงไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรืองานใหญ่เขาก็ไม่เคยพลาด ซึ่งบางครั้งเขาก็เอาไปให้ด้วยตัวเองแต่ส่วนใหญ่จะฝากลูกน้องไปให้ซะมากกว่า
   
“เป็นดาวบนท้องฟ้าที่แค่ได้เห็นก็ดีใจมากๆ แล้ว”
   
ถึงแม้จะมีสถานะเป็นอัลฟ่าเหมือนกันแต่เหมันต์กลับรู้สึกว่าตัวเองกับจ้าวนั้นราวกับอยู่คนละโลก จ้าวนั้นอยู่บนโลกของแสงสีและเสียงดนตรี ในขณะที่เขาอยู่ในสายธุรกิจทำงานตรากตรำไม่เว้นแต่ละวัน
   
“พี่อยากคุยกับจ้าวมาตลอดนะแต่พี่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรพอ” เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของจ้าวทำเอาเหมันต์หลุดหัวเราะ “เพราะจ้าวคือจ้าว คนที่เป็นดาวคอยเปล่งประกายบนท้องฟ้าให้คนอื่นได้ชื่นชมได้มีแรงบันดาลใจ แล้วพี่เป็นใครล่ะ พี่เป็นแค่อดีตรุ่นพี่ในโรงเรียน พี่ไม่กล้าเข้าไปคุยกับจ้าวหรอก จ้าวไม่รู้จักพี่ด้วยซ้ำ”
   
แน่นอนว่าสิ่งที่เหมันต์พูดนั้นเป็นความจริงทุกส่วน จ้าวในวัยมัธยมต้นวันๆ นอกจากดนตรีก็แทบจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ในหัวมีแต่ความใฝ่ฝันเต็มไปหมด
   
“สิ่งที่พี่พอจะทำได้ก็มีแค่ให้อะไรสักอย่างเหมือนที่แฟนคลับเขาชอบทำกัน” ใบหน้าคมคายของคนพูดติดจะเขินนิดๆ เมื่อต้องพูดถึงประเด็นที่ตัวเองเคยเป็นแฟนคลับตัวยงของจ้าวมาก่อน “สำหรับพี่ พี่เป็นคนทำพวกของเล็กๆ น้อยๆ ไม่ค่อยเก่ง พี่วาดรูปไม่เป็น พี่ร้องเพลงไม่ได้ พี่ทำอะไรไม่ได้เลย พี่เลยรู้สึกว่าพี่ควรจะซื้อดอกไม้ให้”
   
นัยน์ตาสีเทาสะท้อนภาพจ้าวในแววตา
   
สำหรับเหมันต์แล้วจ้าวไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด
   
“พี่เลือกกุหลาบสีขาวเพราะจ้าวเป็นคนบริสุทธิ์ เป็นความดีงามของโลกใบนี้ที่พี่รู้จัก พี่ไม่สนว่าจ้าวจะเคยเห็นกุหลาบของพี่ไหมหรือเอาไปทิ้งหรือเปล่า พี่ไม่สนเพราะพี่รู้ว่าจ้าวไม่ได้เป็นคนแบบนั้น ต่อให้คนทั้งโลกจะเกลียดจ้าวบอกว่าจ้าวเลวร้ายขนาดไหนพี่ก็ไม่เชื่อ ตราบใดที่พี่ยังมีลมหายใจอยู่พี่ก็จะอยู่ตรงนี้เสมอ”
   
“..พี่พูดขนาดนี้คงไม่เหลืออะไรให้ผมพูดแล้วมั้ง”
   
จ้าวหัวเราะเสียงแผ่วรู้สึกชอบกุหลาบสีขาวมากขึ้นไปอีก มือผอมแย่งไมค์จากเหมันต์มาถือและเดินเยื้องไปหน้าเวที แสงไฟสีอ่อนที่สาดมาที่ร่างชวนให้คิดถึงความหลัง เลือดนักร้องที่แห้งขอดมานานค่อยๆ ไหลเวียนและกลับมาร้อนระอุเมื่อจ้าวให้สัญญาณกับตุลย์ที่ถูกยืมตัวมาเล่นกีตาร์ให้
   
ซึ่งวันนี้ตุลย์ก็อยู่ในชุดที่สุภาพกว่าทุกวันแต่ก็ยังไม่วายปลดกระดุมคอเสื้อออกจนเผยให้เห็นอกสีแทนและรอยสักใหม่ที่เยื้องมาถึงลำคอ ใบหูประดับด้วยต่างหูสีดำและหมุดเหล็ก ใบหน้าคมดุที่ยังคงความน่ากลัวไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย นัยน์ตาสีดำที่ดุจกับนัยน์ตาเสือนั้นจดจ้องไปที่จ้าวอย่างนึกเสียดายเพราะมีช่วงหนึ่งที่เผลอใจให้จ้าวเหมือนกันแต่ก็เพราะรู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นไปได้ยาก จึงเลือกที่จะตัดใจตั้งแต่เนิ่นๆ
   
แต่ที่ตุลย์เผลอชอบก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกนักเพราะไม่ว่าใครที่เคยใกล้ชิดและรับรู้ตัวตนของจ้าวก็ล้วนแต่หลงใหลกันทั้งนั้น ราวกับแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟอย่างโง่เขลา พวกมันย่อมรู้ดีว่าแสงสว่างที่ตัวเองกำลังจะบินเข้าไปในร้อนจนไม่อาจดำรงชีวิตอยู่ได้แต่พวกมันก็ยังคงเลือกที่จะทำแบบเดิม ทำแบบโง่ๆ ที่หวังว่าจะถูกเห็นใจเข้าสักวัน
   
“..หึ”
   
ตุลย์แค่นเสียงใส่อย่างหงุดหงิดเมื่อโดนคนเป็นเจ้าบ่าวในงานนี้จ้องเขม็งเหมือนรู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ทั้งๆ ที่ความจริงไม่ควรจะเป็นต้องสนใจเขาด้วยซ้ำเพราะเขามันก็พ่ายแพ้และถูกกองไฟแผดเผาไปตั้งนานแล้ว
   
เขาในตอนนี้มันก็เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยววิญญาณของเจ้าแมงเม่าหน้าโง่ตัวนั้นเท่านั้นเอง
   
แม้ว่าในใจจะรู้สึกไม่พอใจมากแค่ไหนแต่ตุลย์ก็ยังทำหน้าที่ของตนเองได้ดี มือเริ่มเกากีตาร์และสร้างเสียงเพลงออกมาตามโน๊ตที่จ้าวแต่ง ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่เล่นแต่ตุลย์ก็ทำได้ดีราวกับมืออาชีพที่เล่นเพลงนี้ทุกวัน
   
สเน่ห์ของกีตาร์คือสามารถสร้างเสียงได้มากมายมหาศาลจากคอร์ดจำนวนหนึ่ง
   
ทำนองเศร้าหมองขัดกับสไตล์การเล่นของตุลย์ที่ดุดันจึงถูกบรรเลงออกมาอย่างง่ายดาย
   
ในช่วงที่ดนตรียังอยู่ในช่วงโซโล่จ้าวตัดสินใจพูดสั้นๆ เกี่ยวกับแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้ที่แตกต่างจากเพลงอื่นๆ นัยน์ตาโศกกวาดตามองเหล่าผู้มาเป็นสักขีพยานด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะมาหยุดที่ร่างสูง
   
“ผมไม่เคยแต่งเพลงให้ใครมาก่อน”
   
จ้าวหลับตาลงหลบซ่อนตัวเองจากภายนอกเพื่อที่จะเข้าถึงอารมณ์ของบทเพลงให้ได้มากที่สุด
   
“พี่เหมันต์เป็นคนแรกที่ผมแต่งให้ครับ”
   
เมื่อเสียงกีตาร์เบาลงจ้าวก็เปล่งเสียงร้องออกมา น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลยังคงมีสเน่ห์ชวนให้หลงใหลอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ทุกท่วงท่าการขยับตัว ริมฝีปาก หรือแม้แต่เสียงหายใจที่หลุดให้ได้ยินเบาๆ ก็ยังทำให้คนฟังรู้สึกพอใจ
   
ไม่ว่าใครก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจ้าวคือนักร้องที่มากด้วยพรสวรรค์ หากเรื่องทุกอย่างไม่เกิดก็ยังคงสามารถเปล่งประกายเป็นดาวบนท้องฟ้าให้ทุกคนได้ชื่นชม
   
จ้าวกระชับมือที่จับไมค์แน่นและแค่นเสียงออกมา
   
“โลกของฉันมันล่มสลายไปตั้งนานแล้ว.. ทุกอย่างกลายเป็นสีดำ”
   
ภาพที่ตัวเองถูกทอดทิ้งไว้ในคุกยังคงชัดเจนในความทรงจำของจ้าว มันเจ็บปวดที่ไม่มีแสงสว่างใดเลยที่จะส่องถึงเขา ไม่มีใครเลยที่สามารถช่วยตัวเขาได้
   
“ที่ตรงนั้นไม่มีใคร.. ไม่มีเธอ ไม่มีฉัน มีเพียงความทรมานแสนสาหัสที่ฉันต้องรับรู้ทุกครั้งเมื่อลืมตาตื่น”
   
โดยที่ไม่รู้ตัวจ้าวเผลอคู้ตัวกอดตัวเองแน่นอย่างน่าสงสาร ถึงแม้จะหลุดพ้นจากสถานะตอนนั้นมาตั้งนานแล้วแต่ก็ยังหวาดกลัวการที่ต้องฝันเห็นถึงมันในบางครั้งอยู่ดี
   
ความโดดเดี่ยวสิ้นหวังมันช่างน่ากลัว มันสามารถฆ่าคนได้นับพัน
   
“มีคนกล่าวว่าความตายนั้นมันแสนน่ากลัว.. แต่สิ่งที่ฉันกลัวมากกว่ากลับเป็นตอนที่รู้ว่าตัวเองต้องตื่นมาเจอกันความทุกข์ทรมานไปอีกวัน”
   
รอยแผลเป็นต่างๆ ตามข้อมือข้อเท้าลำคอและตามร่างกายคือหลักฐานชั้นดีที่แสดงให้เห็นถึงการพยายามพาตัวเองให้พ้นจากความทรมานของจ้าว
   
เสียงกีตาร์ที่ดังแผ่วคลอมาตลอดค่อยๆ กระชากขึ้นตามอารมณ์ของเพลงที่รุนแรงขึ้น
   
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 38 : งานแต่งงาน p.8 (30/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 30-08-2018 21:05:22
“ได้โปรดรับมีดของฉันแล้วแทงฉันให้ตายทีเถิด! ได้โปรดเพราะฉันทนความเจ็บปวดพวกนี้ไม่ไหวแล้ว.. ได้โปรดก่อนที่ฉันจะเจ็บปวดจนตาย”
   
จ้าวตัวสั่นสะท้านเมื่อร้องถึงตรงนี้ หัวใจในอกเจ็บปวดราวกับถูกมีดแทงย้ำๆ ไปที่อก เลือดที่สูบฉีดในตัวอาบร่างอย่างน่าสยดสยอง
   
“..มีเพียงความตายอันเป็นนิรันดร์เท่านั้นที่ปลดปล่อยฉันออกจากความเจ็บปวดได้ มีเพียงมันเท่านั้น..”
   
บรรยากาศภายในเงียบสงัดทุกคนจดจ้องไปที่จ้าวด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย เสียงโซโล่กีตาร์ดังคลอขับให้อากาศภายในห้องหม่นหมองมากขึ้นไปอีกราวกับไม่ใช่วันที่มีงานรื่นเริง
   
“ความสุขของฉันมันลดลงเรื่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ ทั้งที่ฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น ใครก็ได้ช่วยหยุดมันที ใครก็ได้เพราะฉันจะทนมันไม่ไหวแล้ว”
   
เสียงของจ้าวนั้นช่างเจ็บปวด แตกสลายและร้าวรานจนคนฟังบางคนเริ่มน้ำตารื้น แม้แต่ตุลย์ที่รู้เนื้อเพลงและเคยซ้อมกับจ้าวมาก่อนแล้วยังรู้สึกหน่วงในอกกับความทุกข์ทรมานที่จ้าวเคยเจอ เอาเข้าจริงเขาไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าตัวเองจะทนมันได้หรือเปล่าถ้าต้องเจอแบบสิ่งที่จ้าวต้องเจอ
   
ความเจ็บปวดที่รุนแรงจนสามารถทำให้คนบ้าคลั่ง
   
มันคงไม่ใช่ความเจ็บปวดธรรมดาๆ อย่างแน่นอน
   
“และเป็นคุณที่เข้ามา คุณแย่งมีดจากผมแล้วสวมกอดอย่างอบอุ่น”
   
จ้าวค่อยๆ ลืมตาและมองไปยังร่างสูงที่ถูกกล่าวถึงในบทเพลง
   
นัยน์ตาโศกคลอหน่วงด้วยน้ำตา นึกขอบคุณโชคชะตา ความบังเอิญ หรืออะไรก็ตามที่นำพาตัวเองมาเจอคนๆ นี้ ขอบคุณที่ทำให้เขาสามารถกลับมามีความสุขจริงๆ ได้อีกครั้ง
   
เขาจินตนาการไม่ออกสักนิดว่าถ้าไม่มีพี่เหมันต์เขาจะเป็นยังไงต่อไป
   
ดีไม่ดีเขาอาจจะตายตั้งแต่วันที่ถูกส่งไปเป็นสัตว์ทดลองก็ได้…
   
“คุณพร่ำบอกความดีงามในตัวผมที่ผมไม่เคยคิดจะเห็นค่ามัน”
   
ขอบคุณที่คอยประคับประคองและเชื่อใจเขามาตลอด
   
“คุณโอบกอดผม บอกรักผม ทำดีกับผม ทั้งๆ ที่จะปล่อยให้ผมตายไปเลยก็ได้”
   
จ้าวพยายามจะร้องต่อแม้ว่าเสียงจะพร่าขึ้นทุกที นัยน์ตาโศกสบกับดวงตาสีเทาที่ดูทรงสเน่ห์และเร่าร้อนกว่าทุกวันจนแทบจะหลอมละลาย ใบหน้าของจ้าวขึ้นสีแต่ก็ไม่คิดจะหลบสายตา
   
“ผมอยากจะขอบคุณที่โลกไม่ใจร้ายกับผม ขอบคุณแรงโน้มถ่วงที่เหวี่ยงพี่มาเจอผม ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ผมได้มาเจอพี่”
   
เสียงกีตาร์หยุดลงเมื่อมาถึงท่อนสุดท้าย
   
“ขอบคุณที่พี่รักผม”
   
ณ วินาทีนั้นราวกับเวลาหยุดเคลื่อนไหว

ทั้งจ้าวกับเหมันต์ต่างยิ้มกว้างออกมาพร้อมกัน

แววตาทั้งคู่เปี่ยมไปด้วยความสุข

บรรยากาศในห้องกลับมามีสีสันอีกครั้ง เหล่าสักขีพยานร้องเฮโดยมีเพื่อนสนิทของเหมันต์ที่ชูแก้วไวน์ขึ้นแล้วร้องว่าไชโยๆ ไม่หยุดเพื่อเป็นเกียรติ์ให้กับคู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามัน

จ้าวและเหมันต์กล่าวขอบคุณเหล่าผู้ร่วมงานไม่กี่คำก็ขอตัวซึ่งก็ไม่ได้มีใครทักท้วงกับความเรียบง่ายจนเกินไปของงานแต่งงาน ที่ดูเหมือนเป็นงานเลี้ยงธรรมดาๆ มากกว่างานแต่ง ไม่มีพิธีกร ไม่มีโฆษก ไม่มีวงดนตรี ไม่มีความหรูหราโอ่อาอะไรทั้งนั้นนอกจากความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นคู่บ่าวสาว

บริเวณด้านหลังซึ่งเป็นห้องสำหรับเตรียมตัว จ้าวกำลังยืนยิ้มให้กับร่างโปร่งที่นั่งอยู่บนรถเข็นถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะยังจดจำตนเองไม่ได้ก็ตาม

“…ขอบคุณที่พาจันทร์มานะ พี่ซัน”

จ้าวยิ้มให้กับอดีตนายแบบที่ผันตัวกลับไปเป็นแพทย์เต็มตัวเพื่อดูแลจันทร์ ใบหน้าของสุริยะยังคงดูดีเสมอแม้ว่าจะถูกละเลยไปบ้างเพราะต้องทุ่มเวลาแทบทั้งหมดของตัวเองให้กับจันทร์

“โอเคไหม จ้าว”

เหมันต์ลูบหัวจ้าวอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นท่าทีของจันทร์ที่วันนี้ดูไม่ค่อยมีปฏิกิริยาอะไรนัก นัยน์ตาโศกที่คล้ายกับคนรักของเขาดูล่องลอยไม่จับจ้องอะไรเลย

“ผมไม่เป็นไร”

จ้าวส่ายหัวดิกมองสุริยะที่ยังคงกอดอกมองคนไข้ในการดูแลตัวเองด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ช่อดอกไม้สีขาวที่เตรียมมายังอยู่บนตักจันทร์แต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจ ยังคงอยู่ในภวังก์และวังวนที่คนภายนอกไม่อาจเข้าใจได้

“จันทร์จะดีขึ้น”

สุริยะว่าอย่างนั้นทั้งๆ ที่ไม่มั่นใจสักนิดเพราะอาการของจันทร์ในช่วงนี้ไม่ค่อยเสถียรสักเท่าไหร่ ถึงแม้จะมีสัญญาณที่ดีในการกลับมาเป็นปกติแต่ก็เหมือนถูกเล่นตลกเพราะอาการไม่ปกติของจันทร์ก็เริ่มปรากฎเหมือนกัน

ยกตัวอย่างเช่นช่วงสองสามวันนี้ที่เซื่องซึมเป็นพิเศษ แทบไม่ตอบสนองอะไรเลย แม้แต่การกินข้าวก็ยังกินน้อยลงมากชวนให้คนดูแลอย่างสุริยะปวดใจแต่ก็ไม่ได้สิ้นหวัง

“สิ่งที่เราต้องทำคือรอเวลา..”

คำพูดนั้นพูดง่ายแต่เมื่อตีความกลับรู้สึกว่ามันยากเหลือเกินที่จะทำแบบนั้น การรออย่างไร้จุดหมายมันน่าเจ็บปวดพอๆ กับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังตายทั้งเป็นเพราะถูกพวกเขาฉุดรั้งลมหายใจเอาไว้อย่างเห็นแก่ตัว
   
“อือ ผมรอได้ พี่ซัน ผมเชื่อว่าจันทร์จะหาย” จ้าวพยายามยิ้มแล้วหยิบดอกไม้ออกจากตักของจันทร์ ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าคนซื้อคือสุริยะแต่ก็อดไม่ได้ที่จะขอบคุณจันทร์อยู่ดี “ขอบคุณที่มางานแต่งพี่นะ พี่ดีใจมากๆ เลยที่จันทร์มาแล้วยังเอาดอกไม้มาให้พี่ด้วย”
   
ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองทำใจได้แต่น้ำตากลับไหลโดยไม่รู้ตัว
   
จ้าวพยายามยิ้มแม้ว่าน้ำตาจะคลอเบ้า
   
ถ้าจันทร์ยังเป็นเหมือนเดิม เขาคงจะดีใจมากกว่านี้..
   
“!”
   
ฉับพลันจ้าวต้องเบิกตากว้างและสะดุ้งจนสุดตัวเมื่อจันทร์ที่ตกอยู่ในภวังก์ของตัวเองมาตลอด จดจ้องมาที่ตัวเองและยิ้มให้ นัยน์ตาโศกสะท้อนภาพของพี่ชายตัวเองที่ร้องไห้จนตัวโยน
   
“..ฮึก ขอบคุณที่มานะ จันทร์”
   
จ้าวกอดแขนเหมันต์ที่มาประคองตัวเองแน่น รู้สึกดีใจจนต้องร้องไห้ออกมา
   
สักวันจันทร์จะต้องหายแน่ๆ เขาเชื่ออย่างนั้น
   
“ไม่ต้องร้องไห้แล้ว”
   
เหมันต์เอ็ดเสียงดุเช็ดน้ำตาออกจากนัยน์ตาโศกอย่างเบามือก่อนที่จะโอบตัวจ้าวและบังคับให้เดินตามตัวเอง ซึ่งเหมันต์ก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยลาสุริยะตามมารยาทที่ควรมี
   
“..พี่รีบไปไหนเนี่ย ผมยังคุยกับน้องไม่เสร็จเลยนะ”
   
จ้าวพยายามตะเกียกตะกายออกโดยไม่ทราบชะตากรรมของตนเองสักนิดว่ากำลังจะโดนทำอะไร
   
“ลืมแล้วเหรอว่าพี่อยากได้อะไร”
   
“…” จ้าวกระพริบตาปริบคิดตามเมื่อนึกออกก็สะดุ้งและหน้าแดงเถือก “พี่ พี่จะทำจริงๆ เหรอ”
   
แน่นอนว่าจ้าวไม่มีวันลืมว่าพี่เหมันต์อยากได้อะไรจากตัวเองที่สุดตอนนี้
   
“เดี๋ยวคนจะหาว่าพี่แก่แล้วเชื้อไม่แรง”
   
“ไม่มีคนกล้าว่าพี่แน่ๆ ผมมั่นใจ”
   
จ้าวหน้าซีดเผือดกุมท้องตัวเองทันที เขาก็โดนจับกินไปหลายรอบแล้วแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักที
   
“พี่อยากได้แฝด”
   
ไม่ปล่อยให้จ้าวทักท้วงอะไรเหมันต์ก็จู่โจมจ้าวทันทีเมื่อพาเข้าห้องตัวเองได้ เพียงไม่นานคนที่บอกว่าลังเลที่จะทำกลับขึ้นควบอยู่บนตัวร่างสูง ทำให้ห้องทั้งห้องแทบจะหลอมละลายไปกับความเร่าร้อนของร่างทั้งสองที่อยู่ในห้อง
   
จ้าวหลุดครางเสียงแผ่วเมื่อโดนดูดบริเวณสะโพกที่มีไฝอยู่สามจุด เป็นบริเวณที่ทั้งลับและยากที่จะเห็นแต่ก็มีคนค้นพบและในไม่ถึงนาทีให้หลังก็จุกจนน้ำตารื้นก่อนที่จะผันแปรเป็นความสุขสม
   
“ตอบพี่ได้รึยังว่าอยากอะไร”
   
จ้าวซึ่งถูกบีบเค้นสะโพกอยู่ตอบอะไรแทบไม่ได้นอกจากเสียงคราง
   
“ฮื่อ จ้าวอยากได้ผู้ชาย”
   
สติสัมปะชัญญะที่หลุดลอยไปชั่วครู่ได้คายคำตอบที่ซุกซ่อนไว้ในใจออกมา
   
จังหวะเร่าร้อนในห้องหยุดไปครู่หนึ่งเมื่อเหมันต์ชะงักและหัวเราะกับใบหน้าแดงเถือกของจ้าว
   
“พี่จะพยายามครับ”
   
ยิ้มพรายก่อนที่จะปฏิบัติหน้าที่ต่ออย่างเคร่งครัดเพื่อที่ความต้องการของเขาทั้งคู่จะสำเร็จเสียที


=========

ตอนนี้ช้ามาก  :hao5: และข่าวดีคือตอนหน้าน่าจะเป็นตอนจบค่ะ 555

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาตลอดนะคะ ฮือออ  :call:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 38 : งานแต่งงาน p.8 (30/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 31-08-2018 03:49:36
ท้องฝาแฝดเลยงานนี้
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 38 : งานแต่งงาน p.8 (30/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 31-08-2018 20:52:58
งื้อออออ กว่าจะผ่านมรสุมมาได้
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 38 : งานแต่งงาน p.8 (30/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 01-09-2018 10:41:26
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 38 : งานแต่งงาน p.8 (30/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: tawanna ที่ 01-09-2018 14:36:59
 o13 ในที่สุดก็ฟ้าเปิดเสียที่ ว่าแต่ตัวพ่อตายง่ายไปนะ น่าจะอยู่ทรมาณให้นานๆหน่อย
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 38 : งานแต่งงาน p.8 (30/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 01-09-2018 19:30:00
มีความสุข

ในชีวิตซะทีนะหนูจ้าว หนูจันทร์

หลุดจากหลุมดำของครอบครัวใจร้ายซะที
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 38 : งานแต่งงาน p.8 (30/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 02-09-2018 17:04:34
รอท้องแฝดของน้องจ้าว :-[  :3123:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 38 : งานแต่งงาน p.8 (30/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 06-09-2018 13:06:28
กรี้ด รอเบบี๋เลยค่ะ ต้องแฝดสมใจคุณพ่อคุณแม่นะคะ
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 39 : ความสุข p.8 (17/9/61) {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 17-09-2018 21:13:55
ตอนที่ 39
   

เสียงดนตรีดังกระหึ่มในห้องโถงที่บรรจุผู้คนไว้นับพัน ทุกคนในที่นั้นล้วนจับจ้องไปยังจุดๆ เดียวและเปล่งเสียงร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง ผู้คนต่างพากันกระโดดเป็นจังหวะเดียวกันอย่างลืมตายเมื่อร่างที่อยู่บนเวทียังคงนำการกระโดดไม่หยุด เบสเสียงหนักแน่นเต้นแทบจะเป็นจังหวะเดียวกันกับหัวใจของผู้คนและมันก็คอยชักนำให้หัวใจเต้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
   
เหล่านักดนตรีที่อยู่บนเวทีก็ล้วนบ้าคลั่งไม่ต่างกัน ถึงแม้จะสวมชุดสบายๆ ดูเรียบร้อยแต่ก็ไม่อาจขัดขวางความมันส์ได้ มือเบสที่ถูกนำมาช่วยงานเหยียบบนลำโพงและโซโล่เสียงไม่หยุด ปล่อยให้เสียงดนตรีนำพาไปสู่การปลดปล่อยตัวตนและเข้าสู่โลกสมมุติที่ใครบางคนสร้างขึ้นมา
   
‘ใคร’ ที่สามารถกลับมาครองบัลลังก์ราชาแห่งเสียงเพลงอีกครั้ง!
   
การติดอยู่ในคุกแม้มันจะกัดกินตัวตนแต่เมื่อรอดออกมาได้ก็ควรจะดีใจกับชีวิตใหม่ของตัวเอง
   
หลังจากลังเลสองจิตสองใจในที่สุดจ้าวก็ทนสัญชาตญาณตัวเองไม่ไหว ตัดสินใจหวนคืนสู่วงการอีกครั้งโดยครั้งนี้ผันตัวเป็นเจ้าของค่ายเพลง จัดการทุกอย่างเองและเปลี่ยนตัวจากผู้รับโอกาสเป็นฝ่ายให้โอกาสคนอื่นด้วยการจัดงานประกวดต่างๆ ขึ้นมาเพื่อเฟ้นหานักร้องนักดนตรีที่มากความสามารถได้มาอยู่ในค่ายเพื่อพัฒนาฝีมือกันต่อไป
   
แม้แต่ตอนนี้เหล่านักดนตรีที่อยู่ร่วมเวทีก็ล้วนแล้วแต่เป็นเด็กในค่ายของจ้าวทั้งหมด มีหลากหลายเพศและหลากหลายอายุ บริเวณเวทีด้านข้างมีวงคอรัสซึ่งทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นโอเมก้าที่เคยทำงานขายเสียงเพลงพร้อมเรือนร่างมาก่อน ส่วนวงเครื่องสายที่ประกอบไวโอลีน วิโอลา เชลโล คนที่เล่นเป็นวงของขนมที่จ้าวเคยมีเรื่องกันมาก่อนนิดหน่อยก่อนที่จะมาทำงานร่วมกันและยังมีเครื่องดนตรีอีกหลายแบบที่จ้าวนำมาอยู่ในคอนเสิร์ตตัวเองด้วย
   
สิ่งที่จ้าวกำลังทำอยู่นั้นคือการสร้างดนตรีรูปแบบใหม่ๆ ขึ้นมา ฉีกความกลัวตอนที่ยังอยู่วงมูนไลท์ที่มักจะทำเพลงตามแนวกระแสนิยมและทำในสิ่งที่ตลาดเพลงส่วนใหญ่ต้องการ
   
ซึ่งแน่นอนว่าการลงทุนหรือการทำอะไรใหม่ๆ ย่อมมีความเสี่ยงแต่จ้าวก็สามารถทำได้สำเร็จ หลังจากที่ผันตัวมาเป็นศิลปินเดี่ยวได้สี่ห้าปีก็จัดคอนเสิร์ตใหญ่ขึ้นมาและผลลัพธ์ก็เกินกว่าที่จ้าวคาดการณ์ไว้มาก
   
บัตรทุกรอบทุกที่นั่งโซล์เอาท์ทั้งหมด!
   
ทันทีที่รู้ข่าวใจจ้าวดีใจแทบคลั่งก่อนที่จะเปลี่ยนความดีใจมาผลักดันในการทำให้การแสดงทุกรอบให้ดีที่สุด เหล่าแฟนคลับที่เคยทอดทิ้งจ้าวเริ่มกลับมาหาจ้าวอีกครั้งและแน่นอนว่าการกลับมาครั้งที่สองที่ยิ่งใหญ่กว่าครั้งแรกที่ให้จ้าวดังกว่าเดิมมากๆ จนมีฐานแฟนคลับในต่างประเทศด้วย
   
“สุดท้ายนี้ผมขอให้ทุกคนหลับตาครับ”
   
ไฟในฮอลล์ทั้งหมดดับลงเหลือเพียงไฟดวงเดียวที่ฉายไปยังจ้าวซึ่งอยู่ในชุดสีสันสดใสเข้ากันดีกับผมที่ถูกย้อมเป็นสีเทา ใบหน้าของจ้าวเมื่อถูกแสงไฟนั้นก่อให้เสน่ห์อย่างน่าประหลาดสำหรับผู้คนบางคนที่แอบมองจ้าวไม่ยอมทำตามคำขอ
   
“ผมขอบคุณทุกคนมากๆ นะครับ ที่ให้การสนับสนุนผมมาตลอด”
   
นัยน์ตาโศกเปล่งประกายระยับอย่างมีความสุขเมื่อพูดถึงท่อนนี้ ถึงแม้จะกล่าวขอบคุณไปหลายครั้งแล้วแต่ก็อยากขอบคุณอีกอยู่ดี การที่ความฝันในวัยเยาว์ได้ถูกเติมเต็มมันเป็นความรู้สึกที่ดีจนยากที่จะอธิบายได้
   
“ความฝันของผมตอนเด็กๆ ก็แค่อยากร้องเพลงที่ตัวเองชอบ ไม่น่าเชื่อเลยว่าการทำสิ่งที่ผมชอบจะทำให้ผมมีวันนี้ได้ ผมขอขอบคุณทุกคนจริงๆ ครับ”
               
จ้าวระบายยิ้มออกมาหากแต่เป็นรอยยิ้มที่เศร้าจนคนมองทนไม่ได้
   
“แต่คนที่ผมอยากขอบคุณที่สุดคือเฮียสามครับ”
   
เพราะนี่เป็นคอนเสิร์ตปิดท้ายจ้าวจึงตัดสินใจพูดในสิ่งที่ตัวเองซุกซ่อนไว้ในใจออกมา แน่นอนว่ามันเป็นการผิดคิวอย่างแน่นอน เหล่าแบ็คสเตจจึงเริ่มตื่นตัวกันเตรียมรับคำสั่งจากจ้าวหากจ้าวต้องการอะไรเพิ่มนอกจากแสงไฟเพียงดวงเดียว
   
“ตอนนั้นผมชนะการประกวดก็จริงแต่ผมก็ทำอะไรไม่เป็นเลย คนแรกที่เข้ามาช่วยสอนงานให้ผมก็คือเฮียสามครับ เฮียสอนผมแต่งเพลง สอนผมฟอร์มวง สอนผมทุกอย่างๆ ที่ผมไม่เคยทำมาก่อนและไม่คิดว่าผมจะทำได้ด้วย เฮียเชื่อมั่นในตัวผมจนทำให้ผมสามารถมีวันนี้ได้ ผมต้องขอบคุณเฮียจริงๆ ครับ”
   
ถึงแม้จะยังสามารถพูดได้ปกติแต่จ้าวก็สัมผัสได้ถึงความอึดอัดที่จุกอยู่ในลำคอ
   
ความสำเร็จทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นมาได้เลยถ้าไม่มีเฮียสาม.. แต่ตอนนี้เฮียสามกลับไม่อยู่แล้ว เฮียสามได้ล่วงหน้าไปยังที่ไกลแสนไกล ที่ๆ คนทั่วไปไม่สามารถจินตนาการถึงได้
   
ที่ๆ จ้าวเคยอยากไปแต่ก็ไม่ได้ไป
   
“ฉะนั้นเพลงที่ผมกำลังจะร้องนี้ ผมขอมอบให้เฮียสามครับ”
   
กล่าวจบจ้าวก็เลือกที่จะหลับตาบ้าง
   
ปลดปล่อยห้วงอารมณ์ให้ตกอยู่ในภวังก์แห่งโลกสมมุติ
   
โลกที่ทุกๆ คนที่เขารักยังคงดำรงอยู่
   
จ้าวใช้สองมือรวบไมค์และใช้ฐานไมค์ประคับประคองจิตวิญญาณที่เคยแหลกสลายของตนเองไม่ให้เผลอหลุดหายไปไหนเสียก่อน
   
“..ผมตกอยู่ในห้วงฝัน”
   
เพียงคำแรกที่เปล่งออกมาก็จับใจคนฟัง ถึงแม้จะไม่มีทำนองเพลงประกอบแต่จ้าวก็ยังสามารถถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างดีเยี่ยม
   
ความเจ็บปวดคราแรกตราตรึงในจิตวิญญาณของคนฟัง มันทำให้ทุกคนหวนนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเคยรัก สิ่งที่เคยดำรงอยู่ตรงนั้นมาตลอดแต่ก็ไม่เคยคิดจะใส่ใจอย่างจริงจัง
   
“ในฝันของผมมีแต่สิ่งที่ไม่เป็นจริง ที่ตรงนั้นมีผม ผมที่อยู่ในโลกประหลาด โลกที่มีแต่อดีตอันแสนหวานที่ไม่มีวันเป็นจริง”
จ้าวพยายามควบคุมลมหายใจของตัวเองให้ไม่สั่นพร่า

“ผมหลงทางอยู่ในนั้น หลงระเริงไปกับสิ่งสวยงาม.. แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นเรื่องโกหก”
   
โลกที่จ้าวกำลังกล่าวถึงนั้นคือชีวิตจ้าวในช่วงห้าปีก่อนที่เรื่องเลวร้ายทั้งหมดจะเกิดขึ้น ตอนที่ทุกคนยังให้ความรักของเขาอย่างเต็มที่ ตอนที่ทุกคนที่เขารักยังอยู่ ตอนที่เฮียสามพาเขาไปกินข้าว ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่มื้ออาหารธรรมดาๆ แต่สำหรับจ้าวแล้วมันมีค่าเอามากๆ

“ผมหัวเราะไปกับมัน.. ร้องไห้ไปกับมัน เชื่อในสิ่งที่ฝันแม้ความจริงจะตอกย้ำผมทุกวินาที”
   
เพราะความจริงนั้นเจ็บปวดเกินไปจ้าวจึงเลือกที่จะจมไปกับห้วงฝัน หลอกตัวเองว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิมเพื่อให้รู้สึกมีความสุขมากขึ้นสักนิดก็ยังดี
               
จ้าวสูดหายใจลึกรับรู้ถึงความเค็มปร่าจากน้ำตาของตัวเอง
   
“ทั้งๆ ที่รู้ ผมก็ยังเต็มใจที่จะจม จมลงไปห้วงภวังก์สมมุติที่ไม่มีวันเป็นจริง”
             
ในขณะที่หลับตาจ้าวเห็นตัวเองอยู่ในอ่างอาบน้ำ กำลังทอดตัวนอนอยู่ในอ่างโดยที่ระดับน้ำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และอีกไม่นานก็จะท่วมถึงใบหน้าที่หลับตานอนอย่างผ่อนคลาย
               
“ชีวิตของผมมันจบไปนานแล้ว แต่ตอนนี้ผมมีความสุข ต่อให้ผมตายก็คงไม่มีใครสนใจ”
               
น้ำจำนวนหนึ่งเริ่มไหลเข้าไปในหลอดลมแทนอากาศแต่ร่างผอมก็ไม่คิดจะเงยหน้าให้พ้นน้ำ ยินยอมต่อมัจจุราชที่จะมารับดีกว่าต้องทนอยู่ในโลกที่แสนเจ็บปวด
             
“แต่ในชั่วขณะที่ผมกำลังจะตาย เขาคนนั้นกลับไม่ยินยอม”
             
มือแข็งแกร่งที่แสนคุ้นเคยกระชากเขาออกจากห้วงน้ำ ใบหน้าคมคายที่ถูกขนานนามว่าดุเหมือนหมาร็อตไวเลอร์ตะคอกใส่เขาเสียงดังลั่น
             
ทั้งๆ ที่กำลังถูกด่าจ้าวกลับหัวเราะออกมา
             
“เขาด่าผม หาว่าผมมันโง่เง่า ชีวิตมันมีมีค่ามากกว่ามานั่งเศร้า”
             
คำร้องที่ถูกร้องออกมานั้นล้วนเป็นคำด่าทอที่เกิดขึ้นจริงๆ ตอนที่เฮียสามรู้ว่าจ้าวพยายามฆ่าตัวตายในคุก เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่รู้ข่าวเฮียสามก็มาเยี่ยมจ้าวและยอมจ่ายเงินสินบนจำนวนมากเพื่อที่จะเข้าไปด่าทอเรียกสติน้องรักของตัวเองถึงในห้องขัง
             
ทั้งๆ ที่เขานั้นสิ้นหวังในตัวเองนานแล้วแต่เฮียสามกลับไม่เลิกหวัง พยายามให้กำลังใจเขาให้เขาได้มีชีวิตต่อ เฮียเคยพูดไว้มากมายว่าจะพาเขาไปทำนู่นนี่นั่นหลังจากออกจากคุก
   
แต่เฮียกลับผิดสัญญา..
   
นัยน์ตาโศกคลอด้วยหยาดน้ำตานับไม่ถ้วนแต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้ไร้ประกายอย่างที่ควรเป็น ถึงแม้ว่ามันจะเจ็บปวดเจียนตายจนไม่อยากอยู่มาหลายครั้งแต่เขาก็ผ่านมันมาได้
   
หมอกขมุกขมัวในภวังก์อันสิ้นหวังของจ้าวค่อยๆ จางลง

แววตาของจ้าวเปล่งประกายขึ้นเรื่อยๆ ยามที่เอื้อนเอ่ยคำร้องแต่ละคำ เหล่าผู้คนเริ่มฝ่าฝืนคำสั่งของจ้าวเมื่อเสียงของจ้าวนั้นน่าฟังและน่าหลงใหลเกินไป มันเป็นเสียงที่ช่วยปลุกให้คนที่สิ้นหวังในชีวิตได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

แม้ว่ามันอาจจะเป็นเพียงช่วงเวลาไม่กี่วินาทีก็ตามทีแต่นั่นก็นับเป็นเวลาที่มีมูลค่ามหาศาล
จ้าวรู้ดีถึงความเจ็บปวดที่ต้องทนอยู่อย่างสิ้นหวังและเดียวดายจึงอยากจะมอบบทเพลงของตัวเองให้คนอื่น หวังเพียงสักนิดว่า

มันจะสร้างแรงบันดาลใจหรือแรงจูงใจในการใช้ชีวิตได้บ้างไม่มากก็น้อย

เมื่อร้องจนจบก็เกิดเสียงปรบมือดังเกรียวกราวพักใหญ่ จ้าวหัวเราะก่อนที่จะให้สัญญาณให้แบ็คสเตจคืนไฟให้กับฮอลล์เพื่อให้ฮอลล์กลับมาสว่างไสวอีกครั้ง

พอเสียงปรบมือหยุดลงจ้าวก็พูดต่อด้วยรอยยิ้ม “ผมแต่งเพลงนี้ขึ้นมาให้เฮียสามก็จริงแต่ผมก็อยากให้มันเป็นเพลงของทุกๆ คนด้วยครับ ผมรู้ว่าทุกคนก็ต้องมีวันที่เหนื่อย วันที่อยากอยู่นิ่งๆ ไม่อยากทำอะไร วันที่ไม่มีใครเข้าใจ หรือแม้แต่วันที่ไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ผมเข้าใจเป็นอย่างดีเลยว่ามันเจ็บปวดมากเพราะผมก็เคยผ่านมันมาแล้ว”

จ้าวระบายยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อเห็นร่างสูงที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีกำลังขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจนักที่เห็นเขาร้องไห้

“แต่ก็เพราะผมรู้ว่ามันเจ็บปวดมากนั่นแหละ ผมเลยอยากจะเป็นกำลังใจให้ทุกคนครับว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลก เชื่อผมสิว่าโลกใบนี้มันไม่ได้ใจร้ายกับคุณเกินไปหรอก ผมเชื่อว่าสักวันโลกที่คุณมองว่ามันห่วยนักหนาจะเหวี่ยงคนที่ทำให้โลกของคุณเปลี่ยนไปมาให้ อาจจะไม่ใช่ในรูปแบบแฟนหรือเชิงชู้สาว แต่เชื่อผมสิว่าเรื่องร้ายๆ ที่พวกคุณเจอเดี๋ยวมันก็ผ่านไป มันอาจจะเป็นช่วงเวลาที่ยากหน่อยแต่แค่อึดใจเดียวมันก็จบลงแล้ว”

ถึงแม้ว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองกำลังพูดในสิ่งที่เป็นไปได้ยากในโลกความเป็นจริงแต่จ้าวก็ยังอยากพูดอยู่ดี เพราะมันก็คงจะดีกว่าการที่เขาอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรและปล่อยให้คนที่สิ้นหวังตายไปต่อหน้าจำนวนนับไม่ถ้วน

อย่าลืมว่าแม้ว่ามันจะเป็นเพียงความหวังเพียงเล็กน้อยแต่มันก็คือความหวังและมันก็มากเพียงพอให้คนที่โลกทั้งใบถล่มลงมาพยายามตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดต่อไปได้

มีทั้งเด็กทั้งคนวัยทำงานและคนอีกหลายวัยที่ได้ยินคำพูดของจ้าวรู้สึกดีขึ้นมานิดๆ ที่มีคนเข้าใจความทุกข์ทรมานของตัวเอง ความทุกข์ทรมานที่มีเพียงแต่ตัวเองที่เข้าใจและแอบหวังว่าจะมีใครสักคนสังเกตเห็นบ้าง

“แล้วอีกเรื่องที่ผมอยากจะพูดทิ้งท้ายคือเรื่องของความฝัน”

จ้าวกระชับไมค์แน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัวเมื่อเผลอนึกถึงนายแพทย์นพวิทย์ที่คัดค้านการเป็นนักร้องของเขาจนหัวชนฝาแต่เขาก็ยังดันทุรังไปประกวดร้องเพลงจนได้เป็นนักร้องสมใจและแน่นอนว่ามันก็แลกกับการเกลียดชังของนายแพทย์นพวิทย์ไปตลอดชีวิต
สำหรับจ้าวแล้วคงจะบอกได้ไม่แน่ชัดว่ามันคุ้มหรือไม่คุ้มเพราะความรู้สึกนั้นมีตีมูลค่าไม่ได้และถ้าให้เลือก เขาก็อยากจะเลือกในสิ่งที่ทุกฝ่ายมีความสุขมากกว่า

“ผมอยากจะบอกทุกๆ คนที่มีความฝันเลยว่าอย่าทิ้งความฝันของตัวเองนะครับ ถึงแม้ว่ามันอาจจะดูเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่เกินตัวเราแต่มันก็คือเป็นความฝันของเรา ถ้าเราทำมันแล้วไม่มีใครเดือดร้อนก็ทำมันเถอะครับ ทำไปเลย มันอาจจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ได้ ขอแค่เรามีความสุขกับมันก็พอแล้ว—“

จ้าวยังพูดไม่ทันจบเสียงปรบมือก็ดังเกรียวกราวจนสนั่นฮอลล์

เพราะไม่ว่าใครก็รู้กันทั้งนั้นว่าจ้าวนั้นได้ผ่านช่วงเวลาที่ยากเอามากๆ กับการล่าฝันหรือการเป็นนักร้อง ช่วงเวลาห้าปีที่แสนทุกข์ทรมาน มีหลายคนในฮอลล์ที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำลายความฝันของจ้าวจนย่อยยับ จงใจเหยียบย่ำและหวังว่าจ้าวจะไม่มีวันเงยหน้าขึ้นมาได้อีกแต่จ้าวก็สามารถทำได้อย่างน่าประหลาดใจ และเมื่อความจริงถูกเปิดเผยพวกเขาก็รู้สึกละอายใจจนต้องมาสนับสนุนความฝันจ้าวใหม่เพื่อชดเชยความผิดในใจของตัวเอง

ซึ่งสำหรับจ้าวแล้วมันก็ไม่ได้มีผลอะไรสักนิดเพราะจ้าวนั้นได้พบกับสิ่งที่มีค่ากับตัวเองมากที่สุดแล้ว

“ขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนผมมาตลอด ขอบคุณจริงๆ ครับ แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้าครับ”

สุดท้ายจ้าวก็ตัดสินใจไหว้ขอบคุณเหล่าผู้ชมอีกรอบและกล่าวลาสั้นๆ ก่อนที่จะเดินออกมา ร่างผอมที่กลับคืนสู่บัลลังก์อีกครั้งเอ่ยขอบคุณเหล่าทีมงานที่มาช่วยงานระหว่างที่เดินไปห้องส่วนตัว มอบรอยยิ้มให้กับทุกคนที่เห็นอยู่ในสายตาแม้ว่าจะหอบจนตัวโยนจากการขึ้นร้องเพลงหลายชั่วโมงก็ตาม

นัยน์ตาโศกยังคลอด้วยน้ำตาและยังคงรู้สึกแปลกใจกับความพลิกผันของชีวิตตัวเองที่ถ้าเทียบเป็นกราฟคงจะพุ่งสุดและดิ่งสุดไม่มีความสมดุลเลยสักนิด ซึ่งถ้าให้เลือกเขาก็ขอเลือกชีวิตที่เรียบง่ายธรรมดาๆ ดีกว่า แบบนั้นมันออกจะดุดันเกินไปหน่อยราวกับถูกคนบนฟ้ากลั่นแกล้งยังไงยังงั้น

คิดเรื่อยเปื่อยได้ไม่นานก็ถึงห้องพักชั่วคราวและเมื่อเปิดเข้าไปก็โดนมุ่งร้ายทันที

“ปีศาจปลาหมึกมาแล้วโจมตี! ”

กองกำลังลับที่ตั้งขึ้นมากันเองสองคนตะโกนลั่นพร้อมกันแล้วกระโดดเกาะขาเป้าหมายคนละข้าง ถึงแม้จะอยู่ในชุดนอกเครื่องแบบแต่ก็ยังสามารถอินกับการเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ได้

“โอ๊ย ยอมแล้วๆ ”

จ้าวหัวเราะพยายามเดินไปนั่งที่โซฟาที่มีเด็กชายอีกคนกำลังนั่งยิ้มจนตาหยีให้ เมื่อพาตัวมานั่งบนโซฟาได้จ้าวก็ทิ้งตัวใส่พนักพิงหมดมาดราชานักร้องที่กลับมาครองบัลลังก์เหลือเพียงสภาพผู้ปกครองที่มีสภาพยับยู่ยี่หลังจากโดนเหล่าลูกๆ ซนใส่ทั้งวัน

“ถามจริงเถอะ ทำไมต้องให้แม่เป็นปีศาจปลาหมึกด้วย”

จ้าวลูบหัวเจ้าตัวยุ่งทั้งสองที่เพิ่งอายุสามขวบได้หมาดๆ และกำลังบ้าพลังสุดๆ เล่นตั้งแต่เช้ายันเย็นกันยังไม่เหนื่อย ผิดกับคนโตที่มีนิสัยค่อนข้างเรียบร้อย ซึ่งเจ้าตัวยุ่งก็แย่งกันนั่งตักเขาเหมือนว่ามันมีดีนักหนา

“ก็แม่ใจร้ายไม่ยอมให้เมฆกับหมอกไปร้องเพลงด้วยนี่นา! ” เจ้าตัวเล็กที่มีใบหน้าพิมพ์เดียวกับเหมันต์แต่นิสัยผิดกันลิบลับร้องแว้ก

“ใช่ๆ พี่น่านบ่นคิดถึงแม่ทุกวันเลย แม่ไม่ยอมกลับบ้าน! ” หมอกที่เห็นแฝดตัวเองโวยวายแล้วเลือกที่จะโวยวายบ้างเพราะทั้งเมฆและพี่น่านติดแม่เอามากๆ แค่สองสามวันที่ไม่เจอกันก็เหมือนไม่ได้เจอกันมาทั้งปี

“จริงเหรอ น่าน”

จ้าวมองลูกชายคนโตที่แทบจะทุกคนบอกว่าหน้าคล้ายกับตัวเองโดยเฉพาะกับนัยน์ตาโศกที่ติดจะดูเศร้าๆ ตลอดเวลาหากแต่มันกลับเป็นสีเทาสุกสว่างน่ามองแทน

“..ครับ”

น่านพยักหน้ารับพูดเสียงเบาขยับเข้าไปกอดแม่ตัวเองบ้างเมื่อเจ้าแฝดยอมสละที่ให้ ถึงแม้จะโตกว่าเจ้าแฝดสองปีแต่น่านก็ยังเป็นเด็กและยังติดจ้าวเอามากๆ ด้วย

จ้าวลูบทุยๆ ของน่านอย่างเอ็นดู รู้สึกมีความสุขมาก ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำอะไร รู้สึกมีความสุขยิ่งกว่าการได้ยืนอยู่บนเวที การได้รับรางวัล หรือแม้แต่การถูกขนานนามว่าเป็นราชาแห่งเสียงเพลง

มันอาจจะเป็นแค่เรื่องธรรมดาทั่วไปแต่จ้าวกลับมีความสุขเอามากๆ

ซึ่งจ้าวก็นึกขอบคุณทั้งตัวเองและเฮียสามที่ผลักดันให้เขาร้องเพลงต่อ ถึงแม้การตามล่าฝันอาจจะทำให้เขาเจอเรื่องยุ่งยากเจ็บปวดนับพันแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันก็ทำให้เขามีวันนี้เช่นกัน

“ขอบคุณนะครับ เฮีย”

จ้าวพูดเสียงเบากับตัวเองขณะที่หอมหน้าผากน่านที่นั่งนิ่งไม่ยอมลงจากตักจนเจ้าแฝดเริ่มโวยวายเพราะนั่งนานเกินไป ก่อนที่จ้าวจะตัดสินใจโอบทั้งสามคนไว้หลวมๆ เพื่อตัดปัญหาและวางคางบนไหล่น่านอย่างเหนื่อยอ่อน

นั่งสงบได้ไม่เท่าไหร่เจ้าแฝดก็ปีนลงจากตักจ้าวลงไปเล่นวิ่งไล่จับในห้องส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวโดยมีน่านที่ยังนั่งอยู่บนตักจ้าวปรามอยู่เป็นพักๆ

จ้าวมองความวุ่นวายตรงหน้าด้วยความรู้สึกอุ่นวาบในอก

น่าเสียดายนิดหน่อยที่เฮียอยู่ไม่ทันเห็นความสำเร็จและครอบครัวของเขา..

ในขณะที่เหม่อก็ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าใครบางคนมาถึงห้องแล้วและมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อถูกมือหนาเกลี่ยน้ำตาที่คลออยู่บริเวณเบ้าตาอย่างบรรจง

“…พี่”

จ้าวมองใบหน้าคมคายด้วยความคิดถึง ถึงแม้ว่าจะอายุเข้าเลขสี่แล้วแต่พี่เหมันต์ก็ยังไม่ละทิ้งความหล่อเหลาหนำซ้ำอายุที่มากขึ้นดูจะทำให้อะไรๆ ดิบเถื่อนมากขึ้นอีกด้วย

“กลับบ้านกัน”

เหมันต์พูดอย่างอ่อนโยนอย่างที่เป็นมาตลอด แม้ว่าจะไม่ค่อยสบอารมณ์นักที่จ้าวร้องไห้แต่ก็เข้าใจดีถึงสาเหตุจึงไม่ได้ว่าอะไรเพราะสิ่งที่จ้าวเจอนั้นเป็นอะไรที่เกินกว่าเขาจะควบคุมได้จริงๆ สิ่งที่เขาต้องทำก็คือคอยอยู่ข้างๆ และคอยให้กำลังใจจ้าวเท่านั้น

“ครับ” จ้าวรับคำแนบใบหน้ากับฝ่ามืออุ่นและหลับตา รู้สึกผ่อนคลายจนแทบจะหลับซะเดียวนั้น ความเหนื่อยล้าตลอดหลายวันนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นจริงๆ ซึ่งถ้าเป็นเมื่อตอนที่ยังมีแค่เขากับพี่เหมันต์ เขาคงจะไม่ลังเลปล่อยให้ตัวเองถูกอุ้มกลับบ้านแล้ว

ซึ่งเอาเข้าจริงตอนนี้เขาก็ยังกล้าทำอยู่แต่..

“พ่ออุ้มหน่อย อุ้มหมอกหน่อย”
   
“อุ้มเมฒด้วย อุ้มๆ ”
   
เหมันต์หัวเราะในลำคอเมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของจ้าวเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายตอนนี้คงจะเหนื่อยจนไม่อยากขยับตัว แค่สามารถประคองสติไม่ให้หลับขณะที่พูดนี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว ร่างสูงใหญ่คุกเข่าลงเพื่อที่จะช้อนตัวเด็กน้อยขึ้นและลุกขึ้นเพื่อที่จะพาลูกๆ กลับไปซนต่อที่บ้าน
   
“ไปครับ คุณแม่ ลุกได้แล้ว”
   
จ้าวครางฮื่อในลำคอเชิงประท้วงไม่ยอมขยับตัวซึ่งนั่งขี้เกียจได้ไม่นานเจ้าแฝดที่ถูกอุ้มก็โวยวายขึ้นมา
   
“แม่ วันนี้มีการ์ตูนนน เมฒจะดูการ์ตูน แงงง”
   
“อยากกินขนม แง”
   
“โอเคๆ ยอมแล้วครับ ยอมแล้ว”
   
จ้าวถอนหายใจเฮือกใหญ่ยอมลุกขึ้นตามแรงดึงน้อยๆ ของน่านที่ลุกไปยืนรอได้สักพักแล้ว มือบางกระชับมือเล็กๆ ของน่านและเดินตามพี่เหมันต์ไปด้วยสีหน้าง่วงงุน
   

“แม่ครับ..”
   
“มีอะไรเหรอ น่าน”
   
จ้าวซึ่งนั่งสะลึมสะลืออยู่เบาะหลังตอบน่านที่ปีนขึ้นมาเกาะเบาะเรียกตัวเองเสียงอ่อย เปลือกตาแทบจะปิดอยู่รอมร่อแต่ก็พยายามฝืนเพราะรู้ว่าการถูกเมินในวัยเด็กมันเจ็บยังไง จ้าวจึงพยายามไม่ทำสิ่งนั้นกับลูกๆ ของตัวเอง
   
“วันนี้คุณครูให้ผมวาดรูปอะไรก็ได้” ใบหน้าเล็กๆ น่ารักของน่านขึ้นสีอย่างขวยเขิน “ผมวาดรูปแม่ด้วย”
   
“ขอพ่อดูก่อนได้ไหม”
   
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขัดขึ้นมาทำให้น่านหน้ายู่จนเหมันต์ที่นั่งข้างๆ จ้าวหัวเราะออกมาเช่นเดียวกับจ้าวที่หัวเราะออกมาไม่ต่างกัน
   
สถานะในบ้านในสายตาลูกๆ ถ้าเทียบเป็นพีระมิดจ้าวนั้นอยู่จุดสูงสุดเลยทีเดียว เพราะความเข้มงวดกวดขันในบางเรื่องทำให้เด็กๆ ติดจ้าวมากกว่า
   
“ไม่ได้ ผมจะให้แม่ดูก่อน” น่านหยิบกระดาษที่ถูกพับไว้สองทบออกมายื่นให้จ้าว
   
“พี่น่าน พี่น่านวาดผมไหม”
   
“พี่ต้องวาดผมหล่อๆ นะ พี่น่าน”
   
แน่นอนว่าไม่มีงานไหนที่เจ้าแฝดจะพลาดขึ้นไปเกาะเบาะกันคนละข้าง ลุ้นเอามากๆ ว่าภาพที่พี่น่านวาดนั้นคืออะไรเพราะปกติแล้วพี่น่านจะชอบอ่านหนังสือเงียบๆ คนเดียว
   
“…”
   
จ้าวนั่งนิ่งทันทีที่เห็นรูปในกระดาษก่อนที่จะรับรู้ถึงความเค็มในลำคอ
   
มันเป็นภาพวาดจากสีเทียนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้สวยเลิศเลอเหมือนสุดยอดศิลปินกลับชาติมาเกิดวาด แต่ด้วยความที่มันเป็นภาพธรรมดาๆ เนี่ยแหละ มันถึงทำให้จ้าวแทบจะร้องไห้ออกมา
   
“สวยมากเลย น่าน..”
   
ภาพที่น่านวาดนั้นคือภาพครอบครัวของเขา มีพี่เหมันต์ยืนอยู่ตรงกลางซึ่งถูกวาดด้วยสีฟ้าเข้มและข้างๆ กันนั้นเป็นตัวเขาเองซึ่งถูกวาดด้วยสีชมพูและมีหัวใจรอบๆ หลายอัน ส่วนบริเวณที่เยื้องมาจากด้านบนนั้นเป็นน่านที่ยืนยิ้มอยู่ตรงกลางและสองฝั่งเป็นเจ้าแฝดในชุดยอดมนุษย์ที่กำลังติดกันงอมแงม
   
“ผมให้แม่นะ ถ้าแม่ชอบ” น่านยิ้มจนตาหยีเมื่อถูกชม
   
“..ขอบคุณนะ”
   
จ้าวพึมพำตอบรู้สึกดีใจเอามากๆ ราวกับส่วนที่ขาดหายในตัวได้ถูกเติมเต็ม
   
เพราะเขาก็เคยวาดรูปครอบครัวเหมือนกัน.. ในภาพนั้นมีเขา มีจันทร์ มีจิน มีแม่และมีพ่อ ในภาพมีทุกๆ คนอยู่ในนั้นแต่เมื่อเขาเอาไปให้พ่อ พ่อกลับไม่ได้สนใจอะไรนักและไล่เขาให้ไปตั้งใจเรียนดีกว่ามานั่งวาดรูปไร้สาระ
   
นัยน์ตาโศกเริ่มสั่นระริก
   
“นั่งดีๆ พ่อเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าเวลารถวิ่งให้ทำยังไง”
   
เมื่อจ้าวทำท่าจะร้องไห้เหมันต์จึงเอ็ดลูกให้นั่งดีๆ ทันที แน่นอนว่าทั้งเจ้าแฝดและน่านส่งเสียงงอแงกันระงมแต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งเพราะรู้ดีว่าเวลาพ่อโกรธนั้นจะเป็นยังไง
   
เหมันต์ดึงหัวจ้าวให้มาซบไหล่ตัวเองและกระชับมือของจ้าวแน่น ถ่ายทอดความอบอุ่นให้กับร่างของจ้าวที่มักจะเย็นเฉียบ ซึ่งจ้าวก็หลับตาซุกหัวกับตัวอีกฝ่ายตามความเคยชิน
   
“เป็นอะไร”
   
เหมันต์ถามเสียงกระซิบและใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาของจ้าวออก
   
“ผมแค่ดีใจ”
   
จ้าวยิ้มออกมา
   
“…อืม”
   
เหมันต์ไม่ได้ถามอะไรต่อเพียงแค่จูบหน้าผากจ้าวก่อนที่จะบังคับให้นอนตักตัวเองเพื่อที่จะได้พักผ่อนจริงๆ สักที มือหนาพาดตัวจ้าวและจับมือไว้หลวมๆ
   
ผ่านไปพักใหญ่จนเหมันต์เผลอหลับไปแล้วแต่จ้าวก็ยังไม่หลับ นัยน์ตาโศกที่ซ่อนอยู่หลังเปลือกตายังคงสั่นระริกอย่างเสียใจแม้ว่าจะบอกเหมันต์ไปว่าดีใจก็ตาม
   
“..ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ เฮีย”
   
จ้าวพึมพำเสียงแผ่วแอบคาดหวังเล็กน้อยว่าคำพูดของตัวเองจะไปถึงคนที่อยากให้ได้ยิน

เขาขอบคุณที่เฮียเชื่อมั่นในตัวเขามาตลอดและทำให้เขาได้เจอสิ่งดีๆ เหล่านี้ สิ่งที่ดีจนไม่คิดว่าชีวิตนี้จะสามารถหาได้จากที่ไหนแล้ว

“ตอนนี้ผมมีความสุขมาก”
   
โดยที่ไม่รู้ตัวจ้าวเผลอยิ้มออกมา ทุกอย่างในชีวิตเขาตอนนี้ลงตัวมากทั้งในด้านความรัก ครอบครัว การงาน ตอนนี้แทบจะไม่มีอะไรที่สามารถทำร้ายเขาให้ร้องไห้อย่างเจ็บปวดได้แล้ว
   
“เฮียไม่ต้องห่วงผมแล้วนะ”
   
เพราะเขารู้ดีว่าถ้าตัวเองพลาดพลั้งหรือเจ็บปวดเมื่อไหร่ เขาก็มั่นใจได้ว่าข้างหลังตัวเองมีคุณเหมันต์คอยประคองแน่ๆ ผู้ชายที่อบอุ่นและดูแลเขามาตลอดโดยไม่ปริปากบ่นสักคำแม้ว่าเขาจะงี่เง่าแค่ไหนก็ตาม
   
อย่างตอนนั้นช่วงที่ท้องน่านอยู่แล้วเขาร้องไห้จะเป็นจะตายกับแค่พี่เหมันต์ปิดประตูเสียงดังจนเผลอตื่นขึ้นมา พี่เหมันต์ยังไม่โกรธเลยสักนิด ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นเขาโดนคงทนไม่ได้แล้วเพราะมันไร้สาระเกินกว่าจะมานั่งทะเลาะกันมาก
   
“ผมมีพี่เหมันต์ดูแลแทนเฮียแล้ว..”
   
ชั่วขณะหนึ่งจ้าวคล้ายกับถูกลูบหัวเบาๆ แต่มันก็เป็นเพียงเสี้ยววินาทีจนจ้าวคิดว่าตัวเองคิดไปเอง ด้วยความง่วงทำให้จ้าวเผลอหาวหวอดออกมาและเผลอหลับไปในที่สุด

ซึ่งถึงแม้จะเข้าห้วงฝันไปแล้วทั้งคู่แต่มือก็ยังกอบกุมกันแน่น

และจะไม่มีสิ่งใดมาพรากพวกเขาทั้งสองออกจากกันได้อีก

หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 39 : ความสุข p.8 (17/9/61) {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 17-09-2018 21:14:45
   

แสงแดดอ่อนโลมเลียร่างโปร่งซึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางฝูงกระต่ายอย่างอ่อนโยน ใบหน้าแตะแต้มไปด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ยามที่เจ้ากระต่ายสีขาวในมือไถหัวกับอกอย่างออดอ้อน มือบางพยายามลูบหัวเจ้ากระต่ายแม้ว่าจะมีเรี่ยวแรงเพียงน้อยนิดและควบคุมได้ยากหากแต่มันก็ไม่สามารถทำให้นัยน์ตาโศกที่เปล่งประกายระยับหมองลงสักนิด
   
เสียงนกกระจอกที่มาเยี่ยมเยียนสวนในบ้านพักตากอากาศส่วนตัวของสุริยะดังเจื้อยแจ้ว มันกระโดดเข้าไปใกล้ร่างโปร่งเพื่อที่จะจิกกินเศษผลไม้ที่ถูกนำมาให้ฝูงกระต่ายกิน
   
หากแต่ความสงบสุขก็ดำเนินได้ไม่นานเมื่อคนที่เป็นเจ้าของไข้กลับมาเห็นแล้วตะโกนดังลั่น
   
“จันทร์! ”
   
สุริยะซึ่งมาพร้อมกับคุกกี้เพิ่งอบใหม่ๆ ร้องลั่นเพราะคนที่ควรจะนั่งอยู่บนรถเข็นกลับลงไปอยู่บนพื้นแถมยังถูกฝูงกระต่ายรุมล้อมเหมือนเป็นจ่าฝูงด้วย!
   
เร็วเท่าความคิดสุริยะวางถาดคุกกี้ไว้บนโต๊ะใกล้ๆ และรีบถลาเข้าไปหาจันทร์ทันที ในหัวมีเพียงความร้อนรนกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของจันทร์ที่ในระยะนี้ดูแปลกไปจนน่าเป็นห่วง นัยน์ตาโศกที่เคยล่องลอยในเวลานี้กลับแจ่มชัดราวกับซ่อนความคิดนับพันไว้ข้างใน
   
ฝูงกระต่ายที่รุมล้อมจันทร์วงแตกทันทีวิ่งกระเจิงไปคนละทางไม่เว้นแม้แต่ตัวที่นอนอยู่บนตักจันทร์ ทำเอานัยน์ตาโศกฉายแววความไม่สบอารมณ์ไปวูบหนึ่งเลยทีเดียว
   
“..จันทร์ เจ็บตรงไหนไหม คุณลงไปข้างล่างทำไม ถ้าอยากอุ้มกระต่ายก็บอกผมก็ได้นี่ เดี๋ยวผมทำให้” สุริยะรัวคำถามแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าจันทร์ตอบตัวเองไม่ได้แต่ก็ยังถามออกไปอยู่ดีตามความเคยชิน ในอกมีแต่ความเป็นห่วงและกังวลเต็มไปหมดเพราะตลอดหกปีนี้หมกมุ่นอยู่เพียงเรื่องเดียว
   
ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก ‘จันทร์ นฤภัทร’

คนที่สุริยะหลงรักจนยอมทิ้งอาชีพนายแบบเพื่อมาอยู่กับจันทร์ตลอดเวลา ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาใกล้ชิดกับจันทร์มากกว่าตัวเอง
   
เมื่อเห็นท่าทีนิ่งงันไม่ตอบรับอะไรของจันทร์ สุริยะก็ยิ่งใจฝ่อกระวนกระวายว่าจันทร์จะเป็นอะไรรึเปล่าเพราะช่วงล่างของจันทร์เพิ่งจะกลับมาขยับได้คล่องเมื่อไม่นานมานี้แต่แน่นอนว่ามันก็ไม่ได้ถึงขั้นสามารถเดินเหินปกติได้
   
ใบหน้าของสุริยะดุดันขึ้นโดยไม่รู้ตัวอีกทั้งยังเผลอกำแขนจันทร์แน่นขึ้นด้วย
   
“..จันทร์”
   
สุริยะครางในลำคอมองใบหน้าของจันทร์ที่มองตัวเองด้วยสีหน้านิ่งเฉยไร้อารมณ์ ดูเย็นชา เหยียดหยันและห่างเหินจนรู้สึกปวดใจแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยอมรับความจริงที่ว่าเปอร์เซ็นที่จันทร์จะกลับมาปกตินั้นน้อยมากซึ่งหลายครั้งมันก็ทำให้สุริยะรู้สึกท้อใจเพราะบางครั้งจันทร์ก็เหมือนจะจำเขาได้แต่ในวันถัดมาก็เหมือนเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน บางวันเขาอาจจะหน้าตาเหมือนอันธพาลจันทร์ถึงได้ร้องไห้ไม่หยุดตอนที่เห็นเขา
   
เขาเคยรักษาเคยผ่าตัดเคสยากๆ มามากในตอนที่ยังรับงานโรงพยาบาลแต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่ทำให้เขาเครียดจนอยากร้องไห้แบบนี้ ไม่มีเลยสักครั้งจริงๆ
   
ระยะเวลาหกปีอาจจะแสนสั้นในสายตาใครบางคนแต่สำหรับสุริยะนั้นมันแสนยาวนาน มันคือช่วงเวลาที่ต้องจมอยู่กับความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าทุกอย่างจะดีขึ้นโดยไม่มีอะไรเป็นหลักประกันเลยสักนิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริง
   
นัยน์ตาสีดำดุดันที่เคยมีคนกล่าวไว้ว่ามันร้อนแรงจนสามารถแผดเผาทุกคนที่เผลอจ้องมองมัน

หากแต่ในเวลานี้มันกลับมอดไหม้ตัวมันเองและคงจะดับสูญในไม่ช้าหากไม่มีใครหยุดมัน
   
เหล่ากระต่ายที่สุริยะซื้อมาเลี้ยงเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการบำบัดรักษาอาการป่วยของจันทร์คล้ายกับสัมผัสได้ถึงความเศร้าของเจ้าของ พวกมันพากันกระโดดโหยงเหยงกลับมาล้อมรอบทั้งสองคน เจ้ากระต่ายตัวเดิมที่เชื่องกับจันทร์เป็นพิเศษกระโดดขึ้นตักแสนอุ่นของร่างโปรงอีกครั้งเพื่อออดอ้อนขอความรัก ก่อนที่มันจะจ้องสุริยะตาแป๋วเมื่อเห็นหยดน้ำตาหยดลงใส่หัวเพื่อนๆ ของมัน
   
มือจนถึงตัวของสุริยะสั่นระริก เริ่มรู้สึกสิ้นหวังลงทุกชั่วขณะ
   
ดวงอาทิตย์แห่งจักรวาลกำลังจะมอดดับ ความร้อนที่มากเกินไปทำให้ไฮโดรเจนซึ่งเป็นเชื้อเพลิงไม่พอใช้จนอาจจะต้องถึงวาระสุดท้ายและในที่สุดมันก็อาจจะต้องหลุดอาจจากวงโคจรที่ประกอบไปด้วยโลกและดวงจันทร์ตลอดกาล
   
“..กับแค่ผมจำคุณไม่ได้ ถึงกับต้องร้องไห้เลยเหรอ คุณสุริยะ”
   
แต่น่าเสียดายที่ดวงจันทร์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลไม่ได้ใจร้ายนักเพราะมันโทรหาร้านแก๊ส ให้ส่งแก๊สไฮโดรเจนจำนวนมหาศาลไปยังดวงอาทิตย์เพื่อที่มันจะไม่มอดดับไปซะก่อน
   
จันทร์คลี่ยิ้มละมุนวางมือบนหัวสุริยะที่จ้องหน้าตัวเองอึ้งๆ เหมือนยังปรับสมองตามไม่ทัน
   
“ขอบคุณที่พยายามมาตลอดนะ”
   
นัยน์ตาโศกเปล่งประกายระยับเจือด้วยความสุขล้นจนคนมองสัมผัสได้
   
“พี่ซัน”

 
END

===========

จบแล้วววว  :z13: หลังจากสู้ฟัดกับเรื่องนี้มาอย่างยาวนาน ขอบคุณทุกๆ คนที่ติดตามนะคะ //แจกดอกไม้  :L2:

สำหรับตอนพิเศษใครอย่างอ่านอะไรก็เสนอได้นะคะ ว่าจะมาลงให้อ่านฟรีสองตอนอีกสามตอนอยู่ในเล่ม  :katai3:

ปล ใครมีอะไรขัดๆ แปลกๆ ในเรื่องท้วงติงได้นะคะ ยินดีน้อมรับกราบกรานเลยค่ะ

ปล2. คิดถึงทุกคนมากๆๆ เลย  :hao5: :hao5: คุณ lizzii เรายังไม่ตายนะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 39 : ความสุข p.8 (17/9/61) {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 17-09-2018 22:00:21
ว้าว  มีความสุขกันซักที
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 39 : ความสุข p.8 (17/9/61) {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-09-2018 22:15:30
ปลื้มปริ่ม  จบด้วยดี :katai2-1:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 39 : ความสุข p.8 (17/9/61) {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 17-09-2018 23:29:30
ดีใจที่ทุกคนมีความสุขสักที ขอบคุณมากเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 39 : ความสุข p.8 (17/9/61) {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-09-2018 00:11:56
จันทร์กลับมาแล้วววววววว งื้ออออ ดีใจมากกกก
อยากเห็นคู่จันทร์วิ่งในทุ่งลาเวนเดอร์มั่ง อิอิ
ส่วนเด็กๆ ก็น่ารักจริงๆ ดีใจที่สุดท้ายแล้วทุกคนมีความสุข
ปล.มีคำผิดนิดนึงนะคะ ชื่อน้องเมฆสองสาสที่ แล้วก็ตอนที่คุณเหมันต์ขอดูรูปที่น้องน่านเอามาอวดจ้าว
ปล2. เราก็คิดถึงคุณ foggy time มากๆ ช่วงนี้งานเข้าแบบร่างจะแหลกสุดๆ

หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 39 : ความสุข p.8 (17/9/61) {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 18-09-2018 00:29:51
ฮอลลลล จบแล้วติดตามมาตั้งแต่ตอนแรกๆ

ดรามาหนักมาก แต่สุดท้ายก็แฮปปี้

ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆมาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 39 : ความสุข p.8 (17/9/61) {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 18-09-2018 03:25:31
 :o12: น้ำตาคลอตามสุริยะ  :sad4: ดีใจที่จันทร์หายดี

ดีใจที่ในที่สุดจ้าวก็มีความสุขจริงๆ สักที และในที่สุดก็มาถึง

ตอนจบ ขอบคุณนะคะ ขอบคุณมากเลย  :hao5:

ต่อไปคงคิดถึงเรื่องนี้มากแน่เลย ฮือ เหมือนอยู่ด้วยกันมานานมาก

หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 39 : ความสุข p.8 (17/9/61) {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 18-09-2018 12:52:18


ร้องไห้แปป

คือมันดีอ่ะ

มันแตกต่าง

แต่มันใช่

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 39 : ความสุข p.8 (17/9/61) {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 18-09-2018 18:56:24
เย้ๆ
พี่ซัน ทำสำเร็จ
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 39 : ความสุข p.8 (17/9/61) {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: Another Night ที่ 19-09-2018 02:22:58
โอ้โห เป็นนิยายอีกหนึ่งเรื่องที่บีบใจน้องมาก อ่านไปน้ำตาซึมไป
เนื้อเรื่องก็พลิกมากค่ะ อ่านๆไปพลิกไปซ้าย อ่านๆไปพลิกไปอีกทาง //ปาดเหงื่อ กว่าจะจบอ่านนี่ลุ้นแล้วลุ้นอีก
ขอบคุณนักเขียนที่แต่งนิยายเรื่องนี้ขึ้นมานะคะ //ไหว้ย่อ

Love
Another Night
 :L2: :pig4: :L1: :3123: :กอด1:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 39 : ความสุข p.8 (17/9/61) {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: it.the.world ที่ 19-09-2018 03:41:49
เป็นเรื่องที่สนุกมั่กๆเลย บีบหัวใจด้วย แงงง เสียน้ำตาไปหลายตอนเลยย สงสารทั้งจันทร์และจ้าวเลย แต่พอจบแบบแฮปปี้ก็สบายใจ โล่งเลยค่ะ  :hao5:

ปล.มีพี่เสือกับกวางน้อยโผ่ลมาด้วย พี่เสือดุดันเหมือนเดิมเลยย ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ  :3123: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 39 : ความสุข p.8 (17/9/61) {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 19-09-2018 11:54:26
อ่านรวดเดียวจบเลย
ติดงอมแงมมาก
อยากอ่านตอนพิเศษจัง
อยากอ่านจันทร์กับจ้าวเจอกันอีกครั้ง
รออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 39 : ความสุข p.8 (17/9/61) {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 19-09-2018 22:02:07
จบแล้วยังไม่อยากให้จบเลย สนุกมากๆ รออ่านตอนพิเศษอยู่นะคะ  :oni2: อยากอ่านตอนพิเศษของจันทร์+พี่ซันมากๆเลยค่ะ :impress2:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 39 : ความสุข p.8 (17/9/61) {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 20-09-2018 15:04:04
โอ้ ดราม่าหนัก แต่ก็สนุก
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 39 : ความสุข p.8 (17/9/61) {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: dadt ที่ 24-09-2018 05:03:31
อยากอ่านเรื่องนี้อีกรอบในมุมมองของจันทร์ จ้าวคงกลายเป็นตัวละครที่ร้ายกาจน่าดู // ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 39 : ความสุข p.8 (17/9/61) {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 28-09-2018 23:02:56
เรื่องนี้มีคนผิดมากมาย ยกเว้นน้องสาวของจ้าว
จ้าวผิดที่ละเลยและใจร้ายไปตอนเด็ก ด้วยความคิดไม่ถึง
จันทร์ก็ฝังใจจากพี่ที่รักและพึ่งพาได้ กลายเป็นคนชัง

วันเวลาผ่านไป คนนึงคิดทำลาย คนนึงเข้าใจไปเองว่าทุกอย่างดี
สุดท้าย พ่อแม่คือคนร้ายที่แท้จริง ที่ไม่แก้ปัญหา และไม่ช่วยเหลือ

จ้าวกับจันทร์ร้ายคนละอย่าง เจ็บคนละแบบ
และทำร้ายกันเองทั้งคู่

เห็นมุมจ้าวแล้ว คือเจ็บปวด เคยทำผิดก็จริง
แต่ถึงขั้นจะทำลายกันแบบนี้เลยหรอ
แต่พอดูจากมุมจันทร์นิดนึง ความคิดวัยเด็ก
ล่อหลอมให้จันทร์เจ็บปวดมาก และแค้นหนัก

เหมันต์เป็นคนที่เข้ามาได้ถูกเวลา และให้ใจมาก
มั่นคงและไม่คาดหวัง รอคอยถึงจะไม่รู้ผล
จ้าวได้เจอเหมันต์คือความโชคดีมากแล้ว
น่านเหมือนเป็นเฮียสามไหม ให้อารมณ์แบบนั้น
เด็กน้อยสามหน่อ ติดแม่น่าดู
ปลื้มค่ะ ทำจ้าวมีความสุขเพิ่มขึ้นจากที่มีเหมันต์อยู่แล้ว

ว้าวว จันทร์เซอร์ไพรส์พี่ซันหนักมากค่ะ ช็อคไปแล้วมั้ง

ขอบคุณมากนะคะ เรื่องราวพีคตลอดเวลาเลย
บางอย่างคิดไม่ถึงเลยด้วยค่ะ เช่น เรื่องพ่อจ้าวจันทร์
ตอนพิเศษ อยากอ่านตอนจ้าวจันทร์เจอกันตอนหาย
และมาจากมุมของจันทร์ อยากให้เจอหลานด้วยค่ะ



หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 39 : ความสุข p.8 (17/9/61) {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 30-09-2018 12:27:29
น้ำตาแตกทุกตอน ไม่เศร้ามากๆ ก็ กดดันมากๆ โอ๊ยยย หน่วง จิตตกทุกตอนเลย สนุกมากๆด้วย
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 39 : ความสุข p.8 (17/9/61) {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 30-09-2018 13:26:56
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 39 : ความสุข p.8 (17/9/61) {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 04-10-2018 22:56:50
รอตอนพิเศษน๊าาาาาาาาาา
สนุกมากๆๆ :z3:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 39 : ความสุข p.8 (17/9/61) {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: Riik ที่ 05-10-2018 18:04:48
ปูเรื่องดีมากกกกกกกกก ปรบมือ
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนที่ 39 : ความสุข p.8 (17/9/61) {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 06-10-2018 15:13:31
สนุก เข้มข้นมากค่ะ สงสารทั้งจ้าวและจันทร์ที่มีพ่อแม่แบบนี้
สงสารพวกโอเมก้าที่โดนทำร้ายอย่างไร้เหตุผลด้วย
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : ครอบครัวสุขสันต์ p.8 (8/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 08-11-2018 23:43:28
ตอนพิเศษ : ครอบครัวสุขสันต์
   
ครั้งแรกที่จ้าวรู้ว่าตัวเองท้องคือตอนที่กำลังนั่งแต่งเพลงอยู่ในสวนหลังบ้านแล้วเผลอวูบไปกลางคันทั้งๆ ที่อากาศไม่ได้ร้อนและกินอาหารครบทุกมื้อดี
   
“ยินดีด้วยนะครับ คุณจ้าว”
   
“..ครับ”
   
จ้าวกระพริบตาปริบขณะที่นอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาลและมองหน้าออสตินที่ส่งยิ้มบางมาให้อย่างเอ๋อๆ ยังคงงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและตามไม่ทัน ถึงแม้จะพูดเรื่องท้องกันบ่อยมากกับพี่เหมันต์แต่นี่ก็เขาก็ไม่ท้องสักทีจนเขามักจะแซวพี่เหมันต์อยู่บ่อยๆ ว่าแก่แล้วเชื้อไม่แรง
   
ซึ่งแรงไม่แรงไม่รู้แต่ที่แน่ๆ อายุครรภ์ของเขาก็มากพอที่จะตรวจเพศได้แล้วและในมือเขาตอนนี้ก็คือภาพอัลตราซาวด์ลูกที่หมอแถมมาหลังจากที่พาเขาทำอะไรไม่รู้เยอะแยะมากมาย
   
“พี่เหมันต์ใกล้ถึงรึยัง ออสติน”
   
จ้าวถามขณะที่ดูรูปในมือรู้สึกประหลาดใจนิดๆ ที่มีเจ้าตัวเล็กอยู่ในท้องแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาดสำหรับเขาเพราะเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์อย่างคนอื่น เขาเคยชินกับการใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาตลอดยี่สิบสองปี ถึงแม้จะมีผู้คนมากมายรอบตัวแต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันจะมากพอที่จะทำให้ความฝันเล็กๆ ของเขาเป็นจริง
   
ตอนเด็กๆ เขามักจะฝันถึงครอบครัวที่สมบูรณ์ อาจจะไม่ใช่ในรูปของการมีลูก เขาแค่อยากได้ครอบครัวที่อบอุ่น ที่ๆ อยู่แล้วชวนให้รู้สึกสบายใจไม่โดดเดี่ยว ซึ่งพี่เหมันต์ก็ได้เข้ามาเติมเต็มส่วนนั้นของเขาพอดี ทำให้ตัวตนที่ขาดวิ่นของเขากลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง
   
“อีกสามชั่วโมงครับ”
   
“..อืม”
   
จ้าวพยักหน้ารับรู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่พี่เหมันต์ไม่ได้อยู่ตอนที่รู้ว่าเขาท้องซึ่งทั้งเขาทั้งออสตินก็ไม่ได้คาดการณ์ถึงเรื่องท้องเหมือนกัน คิดว่าเป็นลมธรรมดาๆ แต่ที่ไหนได้เมื่อลองตรวจดูกลับพบว่าสิ่งที่เฝ้ารอมาตลอดกลายเป็นความจริง
   
มือบางลูบท้องตัวเองเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม
   
ในนี้มีเจ้าตัวเล็กอยู่สินะ
   
“จ้าว! ”
   
จ้าวสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆ ประตูเปิดออกมาพร้อมกับร่างของคนที่เพิ่งบินไปคุยงานที่ฮ่องกงแต่กลับมาอยู่ที่นี่ซะได้ นัยน์ตาโศกมองค้อนออสตินที่หัวเราะหึๆ โดยไม่ปิดบังหัวเราะได้สักพักออสตินก็ขออนุญาตออกไปรอนอกห้องเพื่อให้เวลาส่วนตัวกับนายทั้งสองของตัวเอง
   
“พี่ไม่คุยงานแล้วเหรอ”
   
“พี่แคนเซิลงานไปแล้ว”
   
เหมันต์ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ และดึงมือจ้าวมากุมด้วยรอยยิ้มทั้งแววตาจนคนมองอดหน้าแดงไม่ได้ ถึงแม้พี่เหมันต์จะไม่ได้พูดอะไรแต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความสุขที่พี่เหมันต์กำลังรู้สึก
เพราะมันก็เป็นความรู้สึกแบบเดียวกับเขา
 
“พี่ดีใจมากเลยจ้าว”

เหมันต์พูดเสียงพร่ามือที่กุมจ้าวอยู่สั่นเทา แทบควบคุมตัวเองให้อยู่เฉยๆ ไม่ได้

“ผมก็ดีใจเหมือนกัน” จ้าวพูดด้วยรอยยิ้มดึงมือหนาของเหมันต์มาวางบนหน้าท้องของตัวเองซึ่งดูแทบไม่ออกเลยสักนิดว่ากำลังมีเจ้าตัวเล็กซุกซ่อนตัวอยู่ข้างใน

“ผู้ชายใช่ไหม”

เหมันต์ยิ้มพูดเสียงนุ่ม

เขากำลังจะเป็นพ่อคนสินะ…

นัยน์ตาสีเทาเปล่งประกายระยับอย่างมีความสุข หลายสิ่งหลายอย่างถาโถมเข้ามาในหัว ทั้งเรื่องการเลี้ยงลูก ชื่อลูก ของเล่นเด็ก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวของกับลูกอยู่ในหัวของเหมันต์จนกระทั่งมาหยุดที่ความคิดหนึ่งที่ทำเอาใบหน้าคมคายเริ่มขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ

 “ครับ หมอบอกว่าเป็นโอเมก้าด้วย”

จ้าวเลิกคิ้วแปลกใจนิดๆ เมื่อเห็นพี่เหมันต์มีสีหน้าบึ้งตึงและยังไม่ทันถามก็โดนถามเข้าซะก่อน

“จ้าวว่าพี่ตอนไว้หนวดน่ากลัวไหม”

จ้าวหลุดหัวเราะทันที “พี่ค่อยถามผมตอนลูกโตดีกว่าไหม” นัยน์ตาโศกมองคนที่หวงลูกตั้งแต่อยู่ในท้องเชิงล้อเลียนแกมขบขัน
ใบหน้าคมคายหลุดมาดนิดหน่อยเมื่อถูกหัวเราะ “อย่าขำสิ พี่จริงจังนะ พี่ไม่ยอมให้ใครมาทำลูกร้องไห้หรอก”

“ครับๆ ไม่ขำก็ไม่ขำ” จ้าวยังคมยิ้มจนตาหยี “ผมเลือกชื่อได้แล้วนะ”

นัยน์ตาโศกเหลือบมองหน้าต่างเห็นท้องฟ้าที่ดูจะปลอดโปร่งกว่าทุกวัน

“ลูกจะชื่อว่าน่านฟ้า”

ชื่อที่เขาและจันทร์เคยคิดเอาไว้ถ้าเกิดว่าน้องที่เกิดมานั้นเป็นผู้ชาย



“ฮึก ผมบอกแล้วพี่ว่าอย่าปิดประตูเสียงดัง ฮืออ ผมไม่ชอบ”

“เอ่อ จ้าว พี่ขอโทษ”

เหมันต์นั่งหน้าซีดอยู่บนพื้นอย่างพินอบพิเทา แทบจะกราบจ้าวเพื่อขออภัยในความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตเพราะเผลอปิดประตูเสียงดังตอนที่จ้าวกำลังนอนอยู่ เล่นเอาอีกฝ่ายสะดุ้งตื่นมาโวยวายเขาเลยทีเดียว
ซึ่งปกติจ้าวของเขาก็ไม่ได้ร้องไห้ง่ายแบบนี้หรอก

“ฮึก ทำไมพี่กลับมาไวล่ะ พี่บอกว่าวันนี้ไม่กลับไม่ใช่เหรอ”

นัยน์ตาโศกคลอไปด้วยน้ำตาที่ไม่แน่ใจว่าพรั่งพรูมาจากไหนนักหนา ร่างโปร่งตอนนี้อ้วนขึ้นมากเพราะต้องกินให้มากขึ้นและถูกบำรุงอย่างดีแต่ถึงกระนั้นสภาพอารมณ์ของจ้าวนั้นก็แกว่งจนน่ากลัว

“พอดีลูกค้ายกเลิกกะทันหันครับ พี่เลยรีบกลับมาหาจ้าว”

เหมันต์พูดอย่างละมุนละม่อม ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วตัวเองหงุดหงิดมากกับการโดนเลื่อนนัดซ้ำๆ ของลูกค้ารายใหญ่ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สามแล้ว ราวกับว่ากำลังเล่นสนุกและวัดว่าเขาจะทนได้ขนาดไหน แน่นอนว่าด้วยวุฒิภาวะของเขา เขาก็ต้องอดทนเพราะเขากับลูกค้ารายนี้ยังต้องพึ่งพากันอีกมาก

แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเผลอหงุดหงิดใส่ประตูอยู่ดี

“ฮึก ผมงี่เง่ามากใช่ไหม พี่เหมันต์”

เหมันต์ย้ายตัวเองจากพื้นไปบนเตียงแล้วดึงตัวจ้าวมากอดซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรเพราะกำลังร้องไห้จนตัวโยน มือกำแน่นจนเหมันต์ต้องรีบแกะมือจ้าวออกมากุมเองเพราะรู้ดีว่าลึกๆ จ้าวยังคงติดนิสัยทำร้ายตัวเองอยู่

“ไม่ครับ ไม่งี่เง่า”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลทำให้อารมณ์ของจ้าวดีขึ้นนิดๆ

“ผมขอโทษนะ ฮึก จริงๆ ผมก็ไม่อยากงี่เง่าหรอกแต่ผมควบคุมตัวเองไม่ได้เลย”

จ้าวพยายามใช้หลังมือเช็ดน้ำตาตัวเองออก ถึงแม้จะรู้ว่าทั้งหมดทั้งมวลเกิดจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปของร่างกายซึ่งตอนนี้ก็นับว่าดีกว่าเมื่อเดือนสองเดือนก่อนมากเพราะเขาแทบไม่ให้พี่เหมันต์ไปไหนเลย ถ้าพี่เหมันต์ไม่อยู่เขาจะรู้สึกไม่ปลอดภัยและหวาดกลัวขึ้นมาทันที ต้องมีพี่เหมันต์อยู่ใกล้ๆ หรือเสื้อที่มีกลิ่นของพี่เหมันต์เท่านั้นถึงทำให้เขาสงบลงได้
แม้แต่เสื้อที่เขาสวมนอนอยู่ตอนนี้ก็คือชุดนอนที่พี่เหมันต์ใส่เมื่อคืน

“ไม่เป็นไรครับ จ้าว พี่เข้าใจ”

มือหนาที่ลูบตัวเองทำให้จ้าวรู้สึกผ่อนคลาย จ้าวกอดเหมันต์แน่นจนใบหน้าจมไปกับแผ่นอกและได้กลิ่นเฉพาะตัวของเหมันต์อย่างชัดเจนจนครางฮือในลำคออย่างพอใจราวกับแมวขี้เกียจสักตัว

“วันนี้อ้อนจัง”

เหมันต์พูดเสียงพร่า มั่นใจมากถ้าหากว่าจ้าวไม่ได้ท้องอยู่หลังจากนี้ต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ

“ผมคิดถึงพี่”

ไม่ว่าเปล่ามือที่เล็กกว่าเอื้อมไปปลดเข็มขัดอย่างซุกซน เสื้อสูทสีดำยับย่นเมื่อถูกร่างโปร่งผลักให้นอนลงบนเตียง จ้าวทิ้งสะโพกตักของร่างสูงและจงใจบดเบียดกับส่วนที่แข็งขืน

“จ้าว” เหมันต์เรียกเสียงเข้มและรั้งมือของจ้าวเอาไว้

“ครับ”

จ้าวหัวเราะก่อนจะโน้มตัวลงจูบปลายคางเหมันต์ นัยน์ตาโศกพราวระยับ

“เดี๋ยววันนี้จ้าวทำให้ครับ”

   

ผ่านไปไม่นานน่านฟ้าก็โตพอที่จะเดินได้ จ้าวลูบหัวเจ้าแฝดที่นอนอยู่ในเปลด้วยรอยยิ้มบางขณะที่มองผู้ชายร่างใหญ่ยักษ์ที่กำลังสวมรองเท้าคู่เล็กให้กับเด็กชาย
   
มันเป็นภาพที่ประหลาดและชวนให้ใจสั่นในขณะเดียวกัน
   
พี่เหมันต์ตัวใหญ่มากเมื่อเทียบกับน่านฟ้าในวัยเพียงขวบเดียวแต่ความใหญ่โตของร่างกายก็ไม่ได้ทำอะไรอีกฝ่ายหยาบกระด้างสักนิด บรรจงจูบฝ่าเท้าลูกชายด้วยความเอ็นดูก่อนจะสวมรองเท้าใบเล็กน่ารักให้
   
“..พ่อ พ่อ”
   
น่านฟ้าพูดงึมงำขณะที่พยายามเดินเตาะแตะไปหาเหมันต์ที่ยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าวซึ่งในสายตาของเด็กแล้วมันไกลเอามากๆ จนน้ำตาเริ่มคลอนัยน์ตาโศก
   
“ไม่ร้องนะครับ น้องน่าน” เหมันต์พูดด้วยรอยยิ้มละมุน “เดินมาหาพ่อเร็ว”
   
“งื้อ”
   
น่านฟ้าพยายามฮึบก่อนจะเดินเตาะแตะไปพ่อซึ่งเมื่อพอเดินถึงก็โดนพ่ออุ้มจนตัวลอย เด็กชายหันมาทางจ้าวพยายามอวดจ้าวว่าตัวเองสามารถเดินได้แล้ว
   
“เก่งมากๆ “ จ้าวปรบมือให้ “ไหนลองเดินมาหาแม่บ้างสิ”
   
“พ่ออ งื้อ”
   
น่านฟ้าตีพ่อตัวเองเมื่อถูกหอมแก้มจนรู้สึกเจ็บแถมยังไม่ยอมปล่อยให้เดินไปหาแม่อีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าแรงเด็กๆ ของน่านนั้นไม่ได้ทำให้เหมันต์รู้สึกอะไรสักนิด
   
“คุณพ่ออย่าแกล้งลูกสิครับ” จ้าวเอ็ดเพราะเห็นใบหน้าเล็กๆ ที่มีเค้าคล้ายตัวเองนั้นทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ นัยน์ตาโศกนั้นสั่นระริกไม่หยุด
   
“ก็น่านฟ้าน่ารัก”
   
ไม่ว่าเปล่าเหมันต์หอมแก้มน่านฟ้าอีกฟอดอย่างหมั่นเขี้ยว สำหรับเหมันต์แล้วน่านฟ้านั้นราวกับจ้าวฉบับย่อส่วน ดูน่าเอ็นดูไปแทบทุกส่วน ซึ่งตอนที่เขาเลี้ยงใบไม้ก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน นี่อาจจะเป็นความรู้สึกของพ่อคนก็เป็นได้
   
“ฮืออ แม่”
   
ในที่สุดน่านฟ้าก็สะอื้นมือเล็กๆ พยายามดันแก้มพ่อออกอย่างสุดชีวิต
   
“พี่ปล่อยลูก ไม่งั้นผมจะโกรธจริงๆ แล้วนะ”
   
จ้าวพูดเสียงแข็งจนเหมันต์หน้าซีด
   
“พี่ขอโทษๆ โอ๋ๆ น่านอย่าร้องเลยนะครับ พ่อไม่หอมแล้ว พ่อไม่แกล้งแล้ว”
   
จากนักธุรกิจชื่อดังที่มักจะถูกนำไปเป็นปกนิตยสารและให้สัมภาษณ์ตามรายการโทรทัศน์บ่อยๆ ตอนนี้กลายเป็นเพียงพ่อลูกอ่อนที่เลี้ยงลูกไม่ค่อยเป็นและใกล้ถูกไล่ออกจากบ้าน
   
เหมันต์นั่งคอตกดูลูกตัวเองหงอยๆ
   
“ฮึก แม่”
   
ทันทีที่ถูกพ่อปล่อยตัวน่านรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปจ้าวทันที จ้าวรีบอุ้มน่านขึ้นมาโอ๋และมองต้นเหตุตาเขียว พยายามลูบหัวทุยๆ ของน่านฟ้าให้สงบลง
   
“ผมว่าผมบอกพี่หลายรอบแล้วนะ ว่าอย่าแกล้งลูก”
   
“ก็น่านน่ารักนี่นา”
   
เหมันต์แก้ตัวซึ่งมันก็ดูเหมือนจะฟังไม่ขึ้นเท่าไหร่นักเพราะจ้าวยังคงหน้าบึ้ง แต่แน่นอนว่าหลังจากอยู่ด้วยกันมาหลายปีเหมันต์ย่อมมีพัฒนาการและทักษะติดตัวที่แพรวพราว
   
“ไม่โกรธพี่นะครับ”
   
ไม่ว่าเปล่าเหมันต์ก็เดินเข้าไปใกล้และหอมแก้มจ้าวแทนน่าน แน่นอนว่ามันทำให้จ้าวหน้าแดงเถือกเพราะไม่บ่อยนักที่อีกฝ่ายจะแสดงความรักแบบตรงๆ แบบนี้
   
“..ถ้าพี่ไม่อยากให้ผมโกรธก็เลิกแกล้งลูกสักที”
   
สุดท้ายจ้าวก็อดที่จะบ่นอุบไม่ได้อยู่ดีเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเก็บกดมาจากไหนถึงได้ชอบแกล้งลูกจนร้องไห้บ่อยๆ ทั้งๆ ที่ก็ดูไม่ใช่คนที่ขี้แกล้งอะไรขนาดนั้น
   
“พี่ไม่ได้แกล้ง พี่แค่เล่นกับลูก”
   
จ้าวยังไม่ทันเอ็ดเหมันต์ต่อก็มีเสียงเล็กๆ ขัดขึ้นมา
   
“โป้ง!”
   
น่านฟ้าชูนิ้วโป้งใส่เหมันต์ด้วยสีหน้าบึ้งตึง
   
จ้าวเบิกตากว้างก่อนที่จะหลุดหัวเราะออกมาผิดกับเหมันต์ที่ทำหน้าไม่ค่อยถูกนัก
   
เพราะถ้าจะนับจริงๆ นี่คงจะเป็นคำที่สามที่น่านพูดได้และมันก็เป็นคำที่จ้าวลองสอนน่านไปเล่นๆ ไม่กี่ครั้งเท่านั้น ซึ่งเขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าน่านฟ้าจะจำได้และเอามาใช้จริงๆ
   
ซึ่งมันก็ทำให้จ้าวขำจนตัวสั่น
   
“พ่อนิสัยไม่ดีใช่ไหมครับ น่าน คนแบบนี้เราต้องโป้งเนอะ”   
   
“โป้ง!”
   
น่านฟ้าพยักหน้าหงึกๆ ชูนิ้วโป้งใส่พ่อตัวเองที่ชอบแกล้งไม่หยุด
   
“โป้งพ่อไม่ได้นะครับ น่าน”
   
เหมันต์จับมือเล็กๆ ของน่านมาจูบซึ่งมันก็ทำให้เด็กชายหัวเราะคิกคักด้วยความจั๊กจี๊
   
“โป้ง พ่อ ระวังพ่อร้องไห้นะ”
   
พูดถึงตรงนี้เหมันต์ก็หยุดจูบมือลูกและตีหน้าเศร้า
   
“…พ่อ”
   
แน่นอนว่าน่านฟ้ายังเด็กจึงเชื่ออย่างสนิทใจว่าพ่อจะร้องไห้จริงๆ จึงรีบเก็บมือแล้วกอดมือพ่อเอาไว้ ใบหน้าเล็กๆ เบะออกจะร้องไห้อีกครั้งเมื่อเพราะไม่อยากให้พ่อต้องร้องไห้
   
“พ่อ พ่อ”
   
“ครับ พ่อไม่ร้องไห้แล้ว”
   
เหมันต์หัวเราะอย่างเอ็นดูก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างออกมาซึ่งนั่นก็ทำให้จ้าวอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
   
เพราะเขาเหมือนจะเห็นพ่อที่มีความสุขที่สุดในโลกอยู่ตรงหน้า

   
ฮอลล์ขนาดใหญ่ถูกปรับแต่งให้หรูหราเมื่อเป็นงานประกวดวาดภาพระดับประเทศภายใต้หัวข้อ ‘อนาคตในฝัน’ เนื่องด้วยเงินรางวัลที่มากและมีคนใหญ่คนโตมาร่วมงานทำให้งานค่อนข้างฟุ้งเฟ้อเพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้กับประเทศนอกจากนี้ยังมีการเรียนเชิญให้เหล่าศิลปินต่างประเทศชื่อดังมาร่วมเปิดงานและกล่าวสุนทรพจน์เพื่อสร้างแรงบันดาลใจกับเหล่าเยาวชนที่จะมาเป็นแรงขับเคลื่อนประเทศในอนาคต
   
ซึ่งแน่นอนว่าการที่งานประกวดวาดภาพนี้ได้การเป็นงานระดับประเทศได้นั้นล้วนมีเหตุผลมาจากนโยบายใหม่ของรัฐบาลชุดใหม่ที่เลือกที่จะสนับสนันประสิทธิภาพเด็กทุกๆ คนในทุกด้าน ไม่ว่าจะไหนศาสตร์ใดๆ ก็ตาม ผิดกับในรัฐบาลยุคก่อนการปฏิวัติที่เน้นสนับสนันด้านทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาตร์เพียงอย่างเดียวซึ่งก็สนับสนุนแค่เพียงไปแข่งขันเพื่อเอาเหรียญรางวัลเท่านั้น เหล่าเยาวชนที่เปี่ยมไปด้วยทักษะและคุณภาพนั้นก็ไม่ได้รับโอกาสในการพัฒนาตัวเองและประเทศชาติต่อจนในที่สุดก็ไปจบแค่เป็นนักวิชาการหรือข้าราชการในสายงานทั่วไปเท่านั้น
   
ทำให้ในงานประกวดครั้งนี้นั้นคราคร่ำไปด้วยเยาวชนจำนวนมาก ทุกคนเปี่ยมไปด้วยฝันและพลังอันเต็มเปี่ยมเพราะหากชนะการแข่งขันได้ก็จะได้รับทุนการศึกษาซึ่งสามารถเอาไปใช้ต่อยอดในการศึกษาด้านศิลปะหรือแขนงอื่นที่ตัวเองชื่นชอบได้อีกด้วย
   
และแน่นอนว่าเมื่อมีงานใหญ่เกิดขึ้นของคู่กันก็ย่อมเป็นนักข่าวที่มาคอยทำงานเพื่อประชาสัมพันธ์และเพิ่มเรตติ้งให้กับรายการของตัวเอง บริเวณหน้างานจึงมีนักข่าวมาสัมภาษณ์เหล่าคนดังและนักการเมืองอยู่เป็นพักๆ ซึ่งก็มีหลายคนที่เหล่านักข่าวเมินและก็มีอีกหลายคนเช่นกันที่ให้ความสนใจจนมากเกินความจำเป็น
   
หากแต่เวลาก็เหมือนหยุดลงเมื่อรถคันหนึ่งมาหยุดที่พรมแดงและแต่ละร่างก้าวลงจากลงรถด้วยตัวเองโดยไม่รอให้คนติดตามมาเปิดประตูรถให้เหมือนคันอื่นๆ
   
“…คุณเหมันต์ก็มาด้วย?”
   
นักข่าวหนุ่มคนหนุ่มหลุดเหวออกมาอย่างตกตะลึงเพราะไม่รู้ข่าวมาก่อนว่าคุณเหมันต์จะมา ไม่สิ ไม่รู้เลยว่าจะมากันทั้งครอบครัวแบบนี้!   
   
ร่างสูงใหญ่ที่สุดในบรรดาหกคนอยู่ในชุดสูทสีดำซึ่งถูกสั่งตัดด้วยช่างตัดเสื้อประจำตระกูล การตัดเสื้อสูทจึงเต็มไปด้วยความประณีตและพิถีถันเพื่อทำให้ผู้ที่สวมใส่ออกมาดูดีที่สุด ทำให้เหมันต์ที่แม้จะเข้าสู่อายุห้าสิบกว่าแล้วก็ยังคงความสมบูรณ์แบบเอาไว้ได้อย่างเต็มครบครันไม่ต่างกับตอนที่ยังเป็นวัยกลางคนเลยแม้แต่นิดเดียว ใบหน้าหล่อเหลาคมคายนั้นถึงแม้จะมีร่องรอยของการเวลาแต่กลับทำให้ใบหน้านั้นดูทรงภูมิมากยิ่งขึ้น นัยน์ตาสีเทาอันเป็นเอกลักษณ์ของตระกูลกิลลาสยังคงเป็นทอความดุดันออกมายามที่สบสายตากับผู้อื่น หากแต่สิ่งที่ทำให้คนสนใจมากที่สุดคือมือหนาที่กอบกุมมือเล็กๆ ของเด็กหญิงหน้าตาน่ารักในชุดกระโปรงสีขาว
   
ซึ่งก็คือน้อง ‘พอใจ’ นั่นเอง
   
นักข่าวพากันลั่นชัตเตอร์กันแทบจะทันทีโดยไม่ต้องคิดเพราะหลังจากที่จ้าววางมือจากเป็นนักร้องไปอยู่เบื้องหลังแทนก็แทบจะไม่มีข่าวคราวของครอบครัวนี้หลุดออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว เอาเข้าจริงแค่ข่าวการแต่งงานของจ้าวกับเหมันต์กว่าที่นักข่าวและสังคมภายนอกรู้ก็สองสามปีให้หลังแล้วอีกทั้งเพิ่งรู้ตอนที่เหมันต์เป็นคนบอกเองด้วย
   
เรียกว่าตระกูลกิลลาสตอนนี้ค่อนข้างลึกลับสุดๆ แทบไม่มีนักข่าวสำนักไหนที่สามารถหาข่าววงในจากตระกูลนี้ได้เลย สิ่งที่พวกเขาทำได้ก็มีแค่พยายามทำข่าวตอนที่พวกเขาเหล่านี้ปรากฏตัวเท่านั้น
   
“ขอทางหน่อยครับ”
   
เสียงพูดอย่างเย็นชาดังขึ้นเมื่อมีนักข่าวบางส่วนพยายามที่จะเข้าไปสัมภาษณ์คนของตระกูลกิลลาสแต่น่าเสียดายที่พวกเขาก็ช้าไปกว่าเหล่าบอดี้การ์ที่ถูกจัดจ้างมา เพียงแค่ขยับตัวพวกเขาก็จะเข้ามาขวางทันทีเพราะมันเป็นคำสั่งของนายใหญ่ที่สั่งไว้ว่าห้ามใครก็ตาม ‘แตะต้อง’ ครอบครัวของเขาไม่ว่าจะในรูปแบบใดๆ ก็ตาม
   
“คนเยอะชะมัด”
   
เมฆหรือหนึ่งในเจ้าแฝดบ่นอุบเมื่อเห็นคนจำนวนมากในงาน ซึ่งเจ้าตัวนั้นก็อยู่ในชุดสูทสีเทาลายทางที่ขนาดเข้ากับรูปร่างสูงใหญ่แบบเดียวกับพ่อ ผมที่ถูกเซ็ตมาอย่างดีนั้นขับให้รูปลักษณ์ของเมฆนั้นดูโดดเด่นออกมาแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงก็ตาม นัยน์ตาสีเทาหม่นกลอกไปมาอย่างเบื่อหน่ายเพราะงานสังคมเป็นงานที่ทั้งเขาทั้งหมอกเกลียดเข้าไส้ ก่อนที่ร่างใหญ่ๆ ของเมฆจะขยับไปบังแม่ของตัวเองไว้อย่างหวงแหนช่วยเหล่าบอดี้การ์ดอีกแรง
   
“ขอบคุณนะ เมฆ”
   
จ้าวพูดด้วยรอยยิ้มนุ่มนวลขณะที่เดินตามหลังคนรักของตัวเองไปอย่างใจเย็นและส่งยิ้มให้กับเหล่าสื่อมวลชนอยู่เป็นช่วง อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเขาจะประกาศถอนตัวจากการเป็นนักร้องเต็มตัวมาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแทนก็ยังต้องพึ่งพาเหล่านักข่าวอยู่ดี ซึ่งในระหว่างที่เดินก็แอบจัดคอเสื้อสูทสีชมพูอ่อนของตัวเองให้ตรงขึ้นเพราะเมื่อกี้เผลองีบบนรถจนทำให้เสื้อยับไปหมด
   
“ไหวไหมครับ?”
   
หมอกซึ่งเดินกั้นอยู่อีกฝั่งถามจ้าวอย่างเป็นห่วงเพราะช่วงนี้เริ่มเข้าหน้าหนาวและอากาศค่อนข้างเย็นทำให้แม่ของเขาเป็นหวัดมาได้สองสามวันแล้ว นัยน์ตาสีเทาที่หม่นพอๆ กับเมฆมองทางจ้าวเดินไม่วางตาพยายามช่วยระมัดระวังไม่ให้สะดุดอะไร
   
“ไหวครับ ไหว”
   
จ้าวหัวเราะในลำคอกับความเป็นห่วงเกินเหตุของเจ้าแฝดที่ยอมลงทุนมางานสังคมที่เกลียดกันนักหนา ซึ่งเจ้าแฝดทั้งสองของเขาก็ดูดีมากเพราะแทบไม่มีอะไรเหมือนเขาเลยแม้แต่นิดเดียว จนเขาอยากรู้ว่ารับพันธุกรรมมาจากพ่ออย่างเดียวหรือยังไง
   
แต่ในความเป็นแฝดเจ้าแฝดก็ยังไม่พอใจในความเป็นแฝด เมฆเลือกที่จะใส่สูทสีเทาลายทางในขณะที่หมอกใส่สูทสีน้ำเงินอีกทั้งยังจงใจสวมแว่นกรอบบางที่ขับให้ใบหน้าดูต่างกับอีกคนแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทรงสเน่ห์พอๆ กัน
   
“..ซิน?”
   
หากแต่เมื่อเข้ามาในงานและลงทะเบียนเสร็จ โลกก็ยังคงความกลมได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายเพราะข้างๆ ที่กำลังลงทะเบียนอยู่ก็คือซินที่มาคนเดียวพอดีซึ่งจ้าวก็ค่อนข้างมั่นใจว่าคงจะคุยกันอีกสักพักใหญ่ๆ เนื่องจากไม่ได้เจอตัวจริงกันมาค่อนข้างนานมากจึงหันไปลูบหัวน่านฟ้าหรือ ‘ตัวเอก’ ของงานประกวดวาดภาพในวันนี้เพื่อให้กำลังใจก่อนที่ลูกชายคนโตของเขาจะแยกตัวออกไป
   
“สู้ๆ นะครับ น่านฟ้า”
   
จ้าวยิ้มขณะสบกับนัยน์ตาโศกแบบเดียวกับตนที่ดูมีความกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด แววตาสีเทาสั่นระริกอย่างประหม่าและตื่นคน ผมสีดำขลับยุ่งเหยิงนิดๆ จนจ้าวอดไม่ได้ที่จะช่วยจัดให้อย่างเบามือ
   
“ผม ผมกลัวพูดไม่ได้”
   
น่านฟ้าพูดเสียงเบา มือบางกำชายเสื้อสูทสีขาวสะอาดตาของตัวเองแน่นโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าของน่านฟ้านั้นยิ่งโตก็ยิ่งคล้ายกับจ้าวโดยเฉพาะกับนัยน์ตาโศกที่ตอนนี้แทบบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
   
ทั้งๆ ที่อายุมากกว่าเจ้าแฝดแต่จ้าวกลับมองว่าน่านฟ้าเด็กกว่าซะอีก
   
“ไม่ต้องกลัว แค่เต็มที่กับมันก็พอ”
   
จ้าวดึงตัวน่านฟ้ามากอดปลอบอย่างอดไม่ได้เพราะเข้าใจความรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองของน่านฟ้าดี มันมักจะเกิดขึ้นกับเขาอยู่เสมอในตอนที่ยังอายุเท่าน่านฟ้า ภายนอกเขาอาจจะดูมั่นใจทุกครั้งที่ร้องเพลงแต่ทุกครั้งที่ร้องจบเขาก็มักจะมานั่งทบทวนว่าตัวเองร้องได้ดีจริงๆ อย่างที่คนอื่นว่าหรือเปล่า ซึ่งของแบบนี้ก็ใช้เวลาพักใหญ่กว่าที่เขาจะยอมรับว่าตัวเองสามารถร้องเพลงได้ดีจริงๆ ไม่ใช่เพราะโดนยอ
   
“กลัวอะไรพี่น่าน เมื่อคืนผมกับหมอกก็ซ้อมให้พี่ไปแล้วนะ”
   
เมฆเลิกคิ้วพูดกวนๆ โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นพี่ตัวเองหรือไม่และแน่นอนว่าโดนมองค้อนทันทีที่พูดจบ
   
“มันไม่เหมือนกัน”
   
น่านฟ้ามองน้องชายตัวเองอย่างเหนื่อยใจแต่ก็รู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อยเมื่อเจ้าแฝดพยายามจะยัดตัวเองเข้ามาในงานด้วย
   
“ไม่เหมือนอะไร พี่ก็แค่พูดๆ อะไรไม่รู้ของพี่ที่ผมฟังแล้วงงอ่ะ อันนั้นแหละ พูดเลยเยอะๆ คนชอบ”
   
“หมอก..”
   
จากอารมณ์ประหม่าเริ่มกลายเป็นเซ็ง น่านฟ้าถอนหายใจแรงๆ กับความกวนระดับร้อยของเหล่าน้องชายแต่ถึงกระนั้นมันก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเยอะ
   
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
   
น่านฟ้าพูดก่อนที่จะเดินไปหาสตาฟ์ที่มายืนรอได้สักพักโดยลืมบางอย่างไปเสียสนิทเลยทีเดียว
   
“จ้าว แล้วน่านล่ะ”
   
เหมันต์ซึ่งพาพอใจไปห้องน้ำกลับมาด้วยสีหน้างุนงงเพราะเตรียมคำพูดมาพูดให้กำลังใจลูกแล้วและพบว่าลูกชายสุดรักสุดหวงหายไป
   
“ไปเตรียมตัวแล้ว พี่กลับมาไม่ทัน” จ้าวหัวเราะและจัดการดันหลังเจ้าแฝดทั้งสองไปกองรวมกับพ่อและพอใจ “ไปนั่งกันก่อนไป ขอแม่คุยกับเพื่อนก่อน”
   
“ครับ”
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : ครอบครัวสุขสันต์ p.9 (8/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 08-11-2018 23:49:46
สองแฝดพยักหน้าหงึกหงักอย่างเชื่อฟังผิดกับพอใจที่ใช้จังหวะที่พ่อเผลอวิ่งมาหาจ้าวและซิน ซึ่งเป้าหมายของพอใจก็คือซินที่กำลังยืนยิ้มนิดๆ ด้วยความอารมณ์ดี
   
“พี่ซินน”
   
พอใจเกาะหมับที่ขาซินราวกับลูกโคอาล่าและเรียกซินด้วยน้ำเสียงดีใจเอามากๆ
   
“คิดถึงพอใจไหมคะ”
   
“ครับๆ พี่ซินคิดถึงพอใจครับ”
   
ปกติแล้วซินจะมีสีหน้าไม่ค่อยรับแขกนักเมื่ออยู่กับเด็กคนอื่นที่ไม่ใช่ลูกของตัวเองแต่ถ้าเด็กคนนั้นเข้าหาอย่างถูกวิธีด้วยการเรียกว่า ‘พี่ซิน’ ซินจะค่อนข้างอารมณ์ดีมากๆ เพราะตอนนี้ช่วงอายุเริ่มไกลคำว่าพี่เข้าไปทุกที
   
ซินเอ่ยทักทายและเล่นกับพอใจได้สักพัก จ้าวก็ให้เหมันต์เอาพอใจไปดูแลต่อเพราะค่อนข้างอยากคุยกับซินที่ไม่ได้เจอกันมานานมากจริงๆ ซึ่งเหมันต์ก็ไม่ได้เอ่ยทักท้วงอะไรยอมพาลูกๆ ไปนั่งก่อนแต่โดยดี
   
“ช่วงนี้เป็นไงบ้าง”
   
เป็นซินที่เปิดประเด็นขึ้นมาก่อนและมองจ้าวที่แปลกตาไปจากครั้งล่าสุดที่เจอกัน เพราะจ้าวในตอนนี้นั้นไว้ผมยาวถึงกลางหลังและรวบไว้หลวมๆ ด้วยริบบิ้นสีเรียบขาวซึ่งก็ดูเข้ากันดีกับสีของสูทที่ค่อนข้างสบายตา แต่สิ่งที่ยังคงเหมือนเดิมก็นัยน์ตาโศกและรอยยิ้มที่ระบายบนใบหน้า
   
จ้าวในตอนนี้ยังคงมีความสุขเหมือนครั้งที่ล่าสุดที่เจอกัน..
   
ความคิดนี้ทำให้ซินรู้สึกใจอุ่นวาบ สัมผัสได้ถึงความปิติยินดีเงียบๆ ของตัวเอง
   
“ก็ดี ทุกอย่างก็เรื่อยๆ ”
   
จ้าวตอบเสียงเนือยก่อนที่เป็นฝ่ายสังเกตซินบ้างและพบว่าซินไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิดนอกจากบุคลิกที่ดูเหมือนจะใจเย็นขึ้น “แล้วซินล่ะ”
   
ซินไหวไหล่ “ลีโอกำลังเรียนดนตรีอยู่แต่พ่อมันไม่อยากให้เรียนเลยโวยวายจะไม่ส่ง แต่ไม่ต้องห่วงนี่จัดการพ่อมันละ ถ้าพ่อมันไม่ส่งก็เรื่องของมัน เดี๋ยวนี่ส่งเอง”
   
จ้าวหลุดหัวเราะเพราะคำตอบสมกับเป็นซินมากจริงๆ
   
นัยน์ตาโศกมองซินด้วยความรู้สึกชื่นชม  ไม่ว่าตอนไหนซินที่เขารู้จักก็เป็นคนที่เก่งและยืนได้ด้วยตัวเองเสมอ เป็นคนที่สามารถถีบตัวเองจากจุดที่ต่ำต้อยที่สุดไปยังจุดที่แทบจะสูงสุดของสังคมได้อย่างเก่งกาจ
   
“เออ แล้ววันนี้มาได้ไง”
   
ซินสังเกตเห็นถึงท่าทีของจ้าวก็อดรู้สึกเขินไม่ได้จึงพยายามเบี่ยงประเด็นไปที่อื่น
   
“น่านฟ้าเข้ารอบแปดคนสุดท้ายน่ะ เลยได้รับเชิญมาร่วมด้วย”
   
แน่นอนว่าซินไม่ได้ประหลาดใจนักเพราะน่านฟ้าก็มีดูมีแววมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ไหนจะของขวัญที่เขาซื้อให้เป็นสมุดรวมภาพของต่างประเทศทุกปีอีก
   
“แล้วเลิกย้อมผมแล้วเหรอ”
   
ซินยิงคำถามอีกซึ่งอันนี้เป็นคำถามไร้สาระมากกว่าจริงจัง
   
จ้าวหัวเราะและใช้นิ้วม้วนปลายผมสีดำของตัวเองเล่น “อยากย้อมนะแต่พี่เหมันต์ไม่ให้ย้อมแล้ว”
   
“คำถามสุดท้าย” ซินถามอย่างระมัดระวังเพราะข่าวคราวที่รับล่าสุดเกี่ยวกับจันทร์คืออีกฝ่ายกลับมาเดินได้ปกติแล้ว “จันทร์เป็นยังไงบ้าง”
   
“ตอนนี้ก็ยังคบกับคุณสุริยะอยู่” จ้าวตอบแทบจะทันทีด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอยากเจอก็ต้องลงไปแถวเกาะพีพี คุณสุริยะมีบ้านพักตากอากาศที่นั่นก็เลยพาจันทร์ไปอยู่ด้วย”
   
ท่าทีตอบรับของจ้าวทำซินประหลาดใจเพราะคิดว่าทั้งคู่ยังคงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกันนัก ถึงแม้เรื่องทุกอย่างเหมือนจะคลี่คลายแต่เขาก็รู้ว่าความสัมพันธ์ที่เคยแตกฉานมันก็ยากที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมทุกประการ
   
“เมื่อเดือนก่อนก็เพิ่งไปเยี่ยมมา จันทร์เปิดร้านอาหารด้วยล่ะ ซิน คนเยอะมาก”
   
ซึ่งจ้าวก็รู้ความจริงข้อเดียวกับซินดีจึงพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับจันทร์ด้วยการไปเยี่ยมอีกฝ่ายบ่อยๆ และพาครอบครัวไปด้วย แน่นอนว่าครั้งนี้ไม่ใช่เป็นความพยายามเพียงฝ่ายเดียวของจ้าวอีกต่อไปเพราะจันทร์ก็ยอมให้อภัยตัวเองและกลับมาคืนดีกับจ้าว
   
มันอาจจะเป็นอะไรที่ยากแต่ต่างฝ่ายก็ต่างแก่ลงทุกวัน มันจึงไม่มีประโยชน์อะไรที่มาจดจ่ออยู่กับความแค้นที่เคยทำร้ายกันมาก่อน โดยเฉพาะกับจันทร์ที่เคยผ่านความตายมาแล้วครั้งหนึ่งย่อมรู้ค่าของเวลาดีว่าควรเอาไปทำอย่างอื่น
   
พวกเขาใช้ชีวิตอยู่กับความแค้นและความเกลียดชังมามากเกินพอแล้วจริงๆ
   
“เหรอ ดีจัง” ซินยิ้มออกมาอย่างยินดีโดยไม่ปิดบัง “งั้นขอตัวก่อนนะจ้าว ไว้คุยกันใหม่ งานใกล้จะเริ่มแล้ว”
   
“โอเค ไว้ค่อยคุยกัน”
   
จ้าวพยักหน้ารับก่อนที่จะเดินไปยังที่นั่งของตัวเองโดยมีสตาฟ์คอยนำทางให้ซึ่งที่นั่งก็อยู่บริเวณแถวหน้าใกล้กับเวทีและแน่นอนว่าโดนล็อคที่ให้นั่งข้างคุณเหมันต์ที่นั่งขมวดคิ้วอยู่
   
“โกรธใครเหรอครับ”
   
เมื่อทิ้งตัวข้างๆ จ้าวก็แกล้งถามทันทีถึงแม้จะรู้ว่าเหตุผลมาจากตัวเองก็ตาม
   
“ไม่ได้โกรธแค่เป็นห่วง จำไม่ได้เหรอว่าตัวเองยังไม่หายเป็นหวัดเลย”
   
เหมันต์พูดก่อนที่จะใช้หลังมืออังตามคอของจ้าวตามความเคยชินซึ่งอุณภูมิร่างกายที่ยังคงอุ่นๆ เหมือนมีไข้ของจ้าวก็ทำให้คิ้วที่เริ่มคลายออกขมวดอีกครั้ง
   
“ผมแค่เป็นหวัดเอง”
   
จ้าวบ่นไม่จริงจังนักและใช้ประโยชน์จากความมืดสลัวในห้องโถงซบกับไหล่อีกฝ่าย
   
“เป็นมาสามวันแล้ว”
   
เหมันต์ก็ยังคงเอ็ดเสียงดุแต่จ้าวก็ไม่สนใจเพราะมัวแต่มองเหล่านักดนตรีในชูทสูทเรียบร้อยกำลังบรรเลงดนตรีสดด้วยความเพลิดเพลินซึ่งเหล่านักดนตรีนั้นก็ได้จับจองพื้นที่บริเวณมุมซ้ายของเวทีคอยขับกล่อมบรรยากาศไม่ให้น่าเบื่อหรือตึงเครียดเกินไป
   
และเมื่อถึงเวลาเสียงของเครื่องดนตรีก็ค่อยๆ เบาลงพร้อมกับไฟในห้องโถงที่ดับไปก่อนที่จะปรากฎเป็นเพียงวงเดียวบริเวณที่พิธีกรหนุ่มสาวในชุดสูทดำและเดรสสีขาวยืนอยู่
   
[ ก็ต้องขอกราบสวัสดีและยินดีต้อนรับเหล่าผู้มีเกียรติ์ทุกท่านที่ได้มาให้เกียรติ์มาร่วมงานในวันนี้นะคะ ]
   
เสียงพิธีกรดังขึ้นอันเป็นสัญญาณของการเริ่มงาน เหล่าผู้ชมที่เคยมีท่าทีเบื่อหน่ายบางส่วนก็กลับมาให้ความสนใจกับงานอีกครั้งด้วยการดำเนินรายการของพิธีกรมากฝีมือทั้งสองคน ถึงแม้จะเป็นงานที่ค่อนข้างเป็นทางการแต่ก็ยังสามารถทำให้ผู้มาชมงานนั้นรู้สึกสนุกไปด้วยได้
   
แต่น่าเสียดายที่ทุกอย่างก็ล้วนมีข้อยกเว้นเช่นกัน
   
“…ถ้าถึงคิวน่านพูด ปลุกผมด้วยนะ”
   
ถึงแม้จะรู้ว่าเสียมารยาทแต่จ้าวก็ทนความง่วงของตัวเองไม่ไหว จัดการดึงแขนหนาของเหมันต์มากอดและยึดบ่าที่ไม่ค่อยนุ่มสักเท่าไหร่เป็นหมอน
   
“..อืม”
   
ภายใต้ความมืดสลัวที่แทบจะมองมือตัวเองไม่เห็นแต่เหมันต์กลับเห็นคนรักของตัวเองได้อย่างชัดเจนและอดไม่ได้ที่จะลูบหัวเบาๆ อย่างเอ็นดู เอาเข้าจริงถ้าหากวันนี้ไม่ใช่วันสำคัญของน่าน เขาคงไม่อนุญาตให้จ้าวออกจากห้องซ้ำเพราะอาการหวัดของจ้าวที่ดูไม่ค่อยดีนัก
   
“ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่หาย พี่จะให้หมอมาตรวจแล้วนะ”
   
ร่างสูงพูดเสียงกระซิบกับจ้าวก่อนที่จะพบว่าอีกฝ่ายผลอยหลับไปแล้วจึงไม่ได้พูดอะไรต่อและตั้งใจดูสิ่งที่อยู่บนเวทีแทน ซึ่งตอนนี้ก็ดำเนินไปสักพักหนึ่งแล้ว มีคนดังมากมายที่มาช่วยเปิดงานทั้งศิลปินแห่งชาติ ศิลปินจากต่างประเทศ และนายกคนปัจจุบันที่หนึ่งในแรงสนับสนุนสำคัญสำหรับงานในวันนี้
   
เหมันต์มองสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่ได้รู้สึกสนุกหรืออะไรมากมายนัก แต่ก็ยังคงจดจ่อและเฝ้ารอลูกชายของตัวเองออกมายืนในเวทีบ้าง ถึงแม้ภายนอกจะดูเฉยๆ แต่ในใจของเหมันต์นั้นกลับดีใจเอามากๆ ที่น่านฟ้าติดการประกวดในวันนี้
   
รอไปพักใหญ่ในที่สุดก็มาถึงช่วงที่เหล่าเยาวชนจะได้ขึ้นเวทีเพื่อโชว์ผลงานและกล่าวถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้สร้างสรรค์งานเหล่านี้ออกมา ซึ่งคนที่ได้นำเสนอผลงานเป็นคนแรกในแปดคนนั้นคืออัลฟ่าร่างโปร่งวัยสิบแปดปี ร่างโปร่งพูดทักทายเหล่าผู้ชมและคณะกรรมการอย่างคล่องแคล่วตามที่ได้ซักซ้อมมาก่อนที่จะแนะนำตัวเอง
   
 “สวัสดีครับ ผมชื่อชวิศา เจนตุรงค์”
   
ชวิศาหรือเจ้าแห่งเชาวน์ปัญญาพูดรอยยิ้มมีเลศนัยก่อนที่จะผายมือไปด้านหลัง
   
“และนี่คือผลงานของผมครับ”
   
เพียงชั่วพริบตาที่แสงสว่างสาดไปที่ผลงานก็เกิดเสียงฮือฮาของเหล่าผู้ชมดังกึกก้อง ความยิ่งใหญ่ของผลงานเล่นเอาเหล่าสื่อมวลชนที่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายทอดสดควบคุมมือของตัวเองกันแทบไม่ได้รีบกดชัตเตอร์กันยกใหญ่
   
เพราะสิ่งที่ชวิศาได้รังสรรค์ออกมานั้นเป็นภาพวาดสีน้ำอะคริลิคบนผืนผ้าขนาดห้าเมตรคูณห้าเมตรด้วยรายละเอียดที่เยอะมากในทุกตารางนิ้วและการใช้สีคู่ตรงข้ามที่จัดจ้านซึ่งทำให้เหล่าศิลปินมองอย่างสนใจ
   
“ชื่อของผลงานก็คือ ‘แหล่งสถิตของอีกา’ ครับ”
   
เหล่าอีกาที่ชวิศากล่าวถึงนั้นคืออีกาสีขาวและดำจำนวนมหาศาลที่ปรากฎบนผืนผ้า มันเกาะอยู่ทุกหนทุกแห่งไม่ว่าจะบนตึกอารามบ้านช่องสีสันสดใสที่ดูทันสมัย รถราสีประหลาดที่วิ่งอยู่บนถนนหรือไม่เว้นแม้แต่บนหัวของผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ในภาพแต่กลับไม่รับรู้สักนิดถึงตัวตนของเหล่าอีกา
   
“แรงบันดาลใจที่ทำให้ผมวาดภาพนี้ขึ้นมาคือครอบครัวของผมครับ” ชวิศาหลับตาเพื่อหวนนึกถึงครอบครัวเองเพียงครู่เดียวก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งด้วยอารมณ์ที่เปลี่ยนไป “ครอบครัวของผมเป็นครอบที่ครัวที่ตายไปในการปฏิวัติครับ ผมเสียไปทั้งพ่อและแม่เพียงเพราะตอนนั้นท่านเป็นอัลฟ่าครับ แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนั้นผมก็เข้าใจได้ว่าอัลฟ่าส่วนใหญ่ได้ทำผิดร้ายแรงจริงๆ และพ่อแม่ของผมท่านก็เข้าข่ายด้วยเหมือนกัน”
   
แววตาของชวิศานั้นไม่มีความแค้นใดๆ จนคนมองหลายคนประหลาดใจ
   
“พวกท่านตายในเหตุการณ์วางระเบิดของกลุ่มอีกาครับ ผมหาศพของพวกท่านไม่เจอด้วยซ้ำเพราะตึกถล่มลงมาจนมีคนเสียชีวิตเยอะมาก” เมื่อพูดถึงตรงนี้แววตาของชวิศาก็สั่นระริก “ผมยอมรับว่าตอนเด็กๆ ผมแทบกลายเป็นบ้าเพราะพวกท่านดีกับผมมากและผมยังเด็กเกินกว่าที่จะยอมรับความสูญเสียได้”
   
ชั่ววินาทีหนึ่งที่เกือบจะร้องไห้ออกมาชวิศาก็รับรู้ถึงอะไรบางอย่างที่ลูบหัวตัวเองเบาๆ อย่างอ่อนโยน นัยน์ตาสีน้ำตาลจึงกลับมาเป็นประกายเข้มแข็งอีกครั้ง
   
“แต่ในที่สุดผมก็ผ่านมันมาได้ครับและสิ่งที่ผมอยากจะบอกทุกคนผ่านผลงานของผมคือผมไม่อยากให้ทุกคนลืมเหล่าวีรบุรุษและบุคคลที่สูญเสียไปกับเหตุการณ์ปฏิวัติครับ ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมวาดอาจจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับหัวข้อเท่าไหร่แต่สำหรับผมแล้ว ผมอยากให้อนาคตของผมในวันข้างหน้าและทุกๆ วันที่ผมยังมีหายใจ ผมอยากให้ทุกคนระลึกถึงกลุ่มคนฝั่งอัลฟ่าที่สูญเสียไปด้วยครับ ถ้ากลุ่มอีกาเป็นอีกาดำแสนอิสระ ผมก็อยากให้พ่อแม่ของผมและเหล่าอัลฟ่าเป็นอีกาสีขาวบริสุทธิ์บินร่วมกับทุกคน”
   
ในห้องโถงตกอยู่ในความเงียบตั้งแต่ที่ชวิศาเริ่มพูดจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมาเช่นเดิมเพราะประเด็นนี้ประเด็นที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนและมีหลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยจึงอดสะเทือนใจไม่ได้ ถึงแม้เหตุการณ์จะผ่านมาร่วมสิบปีแล้วแต่เหตุการณ์เหล่านั้นก็ยังชัดเจนในความทรงจำหลายๆ คน หากแต่ขณะเดียวหลายๆ คนก็เริ่มลืมเลือนแม้ว่าจะมีการจัดงานรำลึกทุกปีก็ตาม
   
พวกเขาเพิกเฉยกับเรื่องเหล่านี้มานานจนตอนนี้ต้องมารู้สึกหน้าชาเมื่อถูกเด็กที่เป็นคราวลูกของตัวเองมาย้ำเตือนถึงสิ่งสำคัญเหล่านี้ที่ต้องแลกด้วยชีวิตคนนับพันไปซึ่งหนึ่งในคณะกรรมการก็เป็นอีกคนที่หน้าชาเช่นกัน จึงค่อนข้างประทับใจกับภาพของชวิศาและเพิ่มชวิศาเป็นคนที่มีโอกาสได้รับรางวัลในใจ
   
ชวิศาพูดบรรยายต่ออีกสักพักก่อนที่จะลงจากเวทีไปพร้อมกับเสียงปรบมือกึกก้องของเหล่าผู้ชม แน่นอนว่ามันเป็นไม่กี่ครั้งในชีวิตชวิศาที่ได้รับการตอบรับที่ดีขนาดนี้จึงอดที่จะหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจไม่ได้ เพราะทุ่มเทพลังไปกับผลงานชิ้นนี้มากพอสมควร ทั้งการลงฝีแปรงที่อัดแน่นไปด้วยอารมณ์  การใช้ทดลองใช้เทคนิคใหม่ๆ ในผลงาน การผสมสีสันจัดจ้านที่ไม่ใช่แนวทางที่ตัวเองถนัดแต่ก็พยายามที่จะทำมันออกมาเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด ซึ่งนอกจากนี้แล้วยังมีปัญหาเรื่องของขนาดผืนผ้าที่ใหญ่มากอีก
   
เห็นได้ชัดว่าการจะสร้างผลงานชิ้นนี้ขึ้นมานั้นเป็นเรื่องยากและปัญหาเต็มไปหมดแต่เขาก็เลือกที่จะทำมันจนในที่สุดเขาก็ผ่านมันมาได้

ชวิศาฉีกยิ้มรู้สึกภูมิใจในตัวเอง
   
เขาไม่ได้สนใจหรอกว่าตัวเองจะชนะงานประกวดหรือไม่ แค่การที่เขาได้มายืนอยู่บนเวทีเพื่อแสดงแนวคิดของตัวเองก็นับว่ามีค่าพอให้คุ้มค่าเหนื่อยแล้ว
   
นัยน์ตาสีน้ำตาลของชวิศาเป็นประกายอย่างมีความสุขและจดจ้องคู่แข่งของตัวเองที่ใช้เวลาร่วมกันมาหลายวันเดินขึ้นเวทีไปอย่างตื่นเต้นเพราะคนๆ นี้ก็นับว่าเป็นอีกคนที่ผลงานน่าสนใจมากเช่นกัน
   
[ งั้นขอเชิญคนต่อไปเลยค่ะ ]
   
พิธีกรสาวดำเนินรายกายต่อหลังจากที่สตาฟฟ์ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีในการเก็บผลงานของชวิศาออกและแทนที่ด้วยรูปปั้นบางอย่างที่มีลักษณะค่อนข้างพิลึกแต่กลับไม่ได้สามารถถอนสายตาออกไปได้
   
“..แค่ก”
   
เสียงไอค่อกแค่กดังขึ้นระหว่างที่เหมันต์กำลังตั้งใจฟังเบต้าหนุ่มอธิบายผลงานของตัวเอง ใบหน้าคมคายขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจนักและถอดเสื้อสูทตัวนอกของตัวเองออกมาคลุมตัวให้จ้าวโดยไม่ลังเล มือหนาอังตามใบหน้าของจ้าวก็พบว่าเริ่มร้อนคล้ายกับมีไข้ซึ่งก็น่าจะมีที่มาจากแอร์ที่ค่อนข้างเย็นในฮอลล์
   
“ไหวไหม”
   
เหมันต์กระซิบถามคนรักของตัวเอง
   
“..เจ็บคอ”
   
จ้าวพูดเสียงแหบพยายามใช้มือปิดปากตัวเองไม่ให้ไอเสียงดังเพราะอากาศที่แห้งลงจนรู้สึกคันคอ นัยน์ตาโศกคลอด้วยน้ำตาเนื่องจากความรู้สึกไม่สบายตัว
   
“แต่ผมไหว ผมอยากดูน่าน”
   
“แต่น่านคนสุดท้ายเลยนะ” เหมันต์ลูบหัวจ้าวเบาๆ และหยิบกระติกน้ำอุ่นจากกระเป๋าพอใจออกมาให้จ้าวจิบซึ่งร่างโปร่งก็รับไปจิบแต่โดยดีก่อนที่จะมาซบเหมันต์เหมือนเดิมตามความเคยชิน
   
“ทำไมผมต้องมาป่วยช่วงนี้ด้วยนะ” จ้าวบ่นอุบขณะที่กอดแขนเหมันต์แน่นเหมือนเดิมเพื่อแย่งชิงอุณหภูมิร่างกายที่อุ่นกำลังพอดีผิดกับชื่อมาไว้ที่ตัวเองบ้าง
   
“อาทิตย์ที่แล้วเหมือนมีคนพาลูกเล่นน้ำทั้งวัน”
   
เหมันต์พูดราวกับว่าไม่ใช่เรื่องของคนในครอบครัวแต่แน่นอนว่ามันคือเรื่องของคนในครอบครัวแน่ๆ เพราะนัยน์ตาสีเทาจดจ้องจ้าวนิ่งด้วยแววตาหยอกล้อนิดๆ
   
“ก็พอใจชอบเล่นน้ำ พี่ไม่ว่างผมก็ต้องพาลูกเล่นสิ”
   
จ้าวนึกขอบคุณที่แสงไฟในฮอลล์น้อยไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายคงเห็นใบหน้าแดงก่ำของตัวเอง
   
“คราวหลังก็ขึ้นก่อนลูกบ้างก็ได้ ก็รู้อยู่ว่าตัวเองไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” เหมันต์ลูบหัวจ้าวเบาๆ อย่างเป็นห่วงเพราะหลังๆ มานี้สุขภาพของจ้าวไม่ค่อยดีนัก อาจจะด้วยอายุที่มากขึ้นทำให้ไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน ทำให้จ้าวต้องวางมือจากหลายๆ อย่างไปมากทีเดียวเพื่อรักษาสุขภาพของตัวเอง
   
“อือ พี่ก็หาเวลามาเล่นกับลูกบ้าง”
   
จ้าวพึมพำเสียงเบาไม่ได้ปฏิเสธความเป็นห่วงของเหมันต์เพราะตัวเองสุขภาพตัวเองก็แย่ลงจริงๆ แต่ก็โชคดีหน่อยที่เป็นหนักๆ อย่างมากก็แค่หอบกับหวัดเท่านั้น ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
   
“จะพยายามครับ”
   
เหมันต์รับคำเสียงละมุนและปล่อยให้จ้าวหลับต่อซึ่งเมื่อมองไปที่เวทีก็พบว่าถึงคนที่สี่แล้ว คงใช้เวลาอีกไม่นานนักก็คงจะถึงคิวของน่านฟ้าพอดี
   
“จ้าว”
   
“อือ”
   
จ้าวขยี้ตาหาวหวอดก่อนที่จะขยับตัวขึ้นนั่งดีๆ และมองไปยังเวทีด้วยความตื่นเต้น เพราะเห็นเจ้าตัวเล็กของเขากำลังเตรียมตัวขึ้นเวทีด้วยท่าทีที่ดูมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ทั้งๆ ที่ปกติแล้วแค่การรายงานหน้าห้องยังทำให้น่านฟ้าครียดไปหลายวันเพราะเป็นคนที่ค่อนข้างขี้อายและไม่มั่นใจในตัวเอง
   
[ และแล้วก็มาถึงคนสุดท้ายนะคะ ขอเชิญคนต่อไปขึ้นเวทีเลยค่ะ ]

“สู้ๆ น่าน”
   
สองแฝดเผลอพูดออกมาพร้อมกันขณะที่มองพี่ชายตัวเองด้วยความเป็นห่วงก่อนที่จะหันไปแย่งกันขู่แง่งใส่ ‘เพื่อน’ พี่ชายที่อุตสาห์สละเวลามานั่งเชียร์ด้วย
   
“เมฆ มึงว่าวันนี้มีคนมาเกินป่ะ”
   
หมอกพูดกับเมฆแต่กลับวางสายตาอยู่ที่รุ่นพี่ในโรงเรียนที่ยิ้มชื่นมื่นให้อย่างไม่สะทกสะท้าน
   
“เออ กูก็ว่าเกิน ทำไมคนนอกต้องมายุ่งด้วยวะ”
   
เมฆซึ่งหวงพี่ไม่ต่างกันขู่แง่ง เอาเข้าจริงแล้วสำหรับสองแฝดพี่น่านก็คือของที่หวงที่สุดเลยก็ว่าได้ ไม่อนุญาตให้ใครแย่งหรือครอบครองโดยเด็ดขาด จนน่านฟ้าต้องปวดหัวอยู่เป็นพักๆ เวลาเจ้าแฝดโวยวายเพียงเพราะอยู่กับเพื่อนสนิทสองต่อสอง
   
“หมายถึงพี่เหรอ” ขุนพลหรือ ‘เพื่อนสนิท’ ที่สุดของน่านในตอนนี้ถามด้วยสีหน้างุนงง “แต่น่านเป็นคนชวนพี่มานะแล้วน่านก็หน้าแดงมากๆ ด้วย”
   
“ผมไม่ได้อยากรู้สักหน่อยว่าพี่น่านเขินไม่เขิน ที่ผมอยากคือผมอยากให้พี่เลิกยุ่งกับพี่น่านของผมสักที! ”
   
“เลิกยุ่งไม่ได้หรอก เดี๋ยวน่านร้องไห้”
   
สิ่งที่ทำให้สองแฝดหงุดหงิดมากคือการที่ไม่สามารถรับมือขุนพลได้เพราะเจ้าตัวค่อนเซ่อและมองโลกในแง่ดีเกินไป ต่างจากคนอื่นๆ ที่ใช้เวลาไม่ถึงสองอาทิตย์ก็ยอมตัดใจเลิกยุ่งกับน่านได้
   
“พี่น่านไม่ร้องหรอก พี่น่านเพื่อนเยอะจะตายไป”
   
หมอกบ่นอุบ เขาไม่อยากแบ่งพี่ชายที่น่ารักของเขาให้ใครเลย
   
“แต่พี่เป็นแฟนน่านนะ”
   
“!!!”
   
“!!!”
   
“ล้อเล่น”  ใบหน้าคมคายหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสีหน้าช็อกโลกของแฝดทั้งสอง นัยน์ตาสีดำขลับที่สะท้อนความใสซื่อให้เจ้าแฝดเห็นมีชั่ววูบหนึ่งที่ส่องประกายเจ้าเล่ห์ออกมาก่อนที่มันจะกลับมาเป็นแบบเดิม “ถ้าอยากคุยกับพี่ก็ไว้ทีหลังนะ ตอนนี้น่านจะเริ่มพูดแล้ว”
   
ขุนพลตัดสินใจเอ่ยตัดบทสองแฝดและจับจ้องไปยัง ‘ว่าที่แฟน’ ของตัวเอง
   
“สวัสดีครับ …ผมชื่อนายน่านฟ้า กิลลาสครับ”
   
แน่นอนว่าการพูดคนสุดท้ายนั้นทำให้น่านฟ้ารู้สึกค่อนข้างกดดันจนไม่กล้าพูดเต็มเสียง ถึงแม้จะมั่นใจในผลงานตัวเองระดับหนึ่งแต่เมื่อเห็นผลงานของผู้เข้าร่วมแข่งขันคนอื่นที่ดีมากๆ เหมือนกันก็อดใจฝ่อลงไม่ได้
   
หากแต่กว่าจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้ก็ผ่านความพยายามมาอย่างแสนสาหัสเช่นกัน นัยน์ตาโศกจึงเริ่มเป็นประกายจริงจังจับไมค์ให้กระชับแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจมากยิ่งขึ้น
   
“ชื่อผลงานของผมคือ ‘ความจริง’ ครับ”
   
สิ้นคำพูดของร่างโปร่งไฟบนเวทีก็สาดไปที่ภาพวาดทันที ซึ่งด้วยขนาดที่เล็กกว่าผลงานชิ้นแรกทำให้มีการฉายภาพขึ้นจอโปรเจคเตอร์ขนาดยักษ์ด้านหลังเพื่อให้เห็นกันหมดทุกคน
   
“…”
   
ฮอลล์ขนาดยักษ์เต็มไปด้วยความเงียบอีกครั้งไม่ต่างกับผลงานอื่นๆ ที่เหล่าเยาวชนกล้าคิดกล้าแสดงออกความคิดของตัวเองมากขึ้นจนเหล่าผู้ใหญ่หลายคนที่ยังมีความคิดยุคสมัยเก่าอยู่แทบลมจับ
   
ภาพที่น่านฟ้ารังสรรค์ขึ้นนั้นเป็นภาพขาวดำตึกอารามบ้านเมืองที่มีผู้คนเดินกันขวักไขว่หากแต่เนื้อตัวของผู้คนบางคนกลับเต็มไปด้วยบาดแผลเต็มไปหมด บ้างก็มากบ้างน้อยบ้างก็ไม่มีแตกต่างกันไปซึ่งในส่วนนี้ก็ถูกระบายด้วยสีที่ค่อนข้างจัดเพื่อทำให้เหล่าผู้คนโดดเด่นขึ้นมา
   
“สำหรับผม อนาคตในฝันที่แสนสวยงามเหมือนในอุดมคติไม่มีจริงครับ”
   
เพียงแค่ประโยคแรกที่เอ่ยออกมาก็ทำให้เหล่าคณะกรรมการชะงักไปทันทีแต่ก็ไม่มีใครเอ่ยคัดค้านอะไรเพราะการประกวดครั้งนี้ไม่มีการปิดกั้นจินตนาการว่าผิดหรือถูก วัตถุประสงค์ของโครงการนี้มีเพียงแค่ต้องการให้เยาวชนมามีส่วนร่วม ถกเถียงและแสดงออกถึงแนวคิดว่าควรจะปฎิรูปสังคมให้ดีขึ้นด้วยวิธีไหน ซึ่งหากความคิดไหนทรงพลังมากพอก็อาจจะทำให้เป็นข้อถกเถียงในสังคมจนอาจเกิดความเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ
   
“เพราะผมเชื่อว่ามนุษย์ก็คือมนุษย์ เราไม่มีทางที่จะทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่คิดหรอกครับ ภายใต้ความเท่าเทียมที่ทุกคนพยายามรณรงค์ผมก็ยังเชื่อว่ามุมใดมุมหนึ่งในสังคมที่ยังซุกซ่อนการกระทำอันเลวร้ายนี้อยู่ในรูปแบบอื่นๆ ”
   
ถึงแม้ว่าน่านฟ้าจะเติบโตภายใต้ระบบการปกครองที่เปลี่ยนไปแต่สิ่งชั่วร้ายบางอย่างก็ยังคงดำรงอยู่ไม่ไปไหน และทุกคนก็ทำคล้ายกับมองไม่เห็นมันเสียด้วย
   
“ทำไมผมถึงวาดแผลบนคน สาเหตุคือผมรู้ว่ามีบางคนในสังคมกำลังถูกทำร้ายหรือเอารัดเอาเปรียบอยู่ครับ”
   
แม้ว่าจะเป็นการเลือกตั้งอย่างโปร่งใสหากแต่เมื่อเวลาผ่านไป สันดารดิบที่แท้จริงของเหล่ามนุษย์ก็เริ่มออก ความสงบสุขทำให้เหล่าคนทั่วไปเริ่มนิ่งนอนใจและเกิดการคอร์รัปชั่นอย่างเงียบเชียบ ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่งสังคมก็อาจจะไม่สงบสุขอีกต่อไปและน่านฟ้าก็ได้สังเกตเห็นถึงเรื่องนี้พอดีจึงตัดสินใจพูดมันออกมา
   
“ผมไม่รู้หรอกว่าคำพูดของผมจะดังได้แค่ไหน แต่ที่ผมอยากจะบอกคือมีคนที่ผมรู้จักหลายๆ คนหรือแม้แต่เพื่อนของผมกำลังถูกเอาเปรียบครับ สังคมของเรามันกำลังจะกลับไปเป็นแบบเดิมเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งผมก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น ผมไม่อยากให้ใครต้องเจ็บปวดอีกแล้ว”
   
นัยน์ตาโศกของน่านยังคงความเด็ดเดี่ยวยามที่พูดมันออกมา
   
“อนาคตในฝันสำหรับผม ผมอยากให้สังคมของเราปลอดการคอร์รัปชั่นครับ”
   
“…”
   
ทั้งฮอลล์ตกอยู่ในความเงียบซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับหนังฉายซ้ำเพราะในวันนี้เกิดเหตุการณ์มากมายเหลือเกิน ระบบการศึกษาที่เปลี่ยนไปทำให้เด็กกล้าพูดความจริงมากขึ้น แน่นอนว่าเยาวชนทั้งแปดคนที่ถูกคัดเลือกมานั้นล้วนแล้วแต่พูดถึงระบบการปกครอง ระบบเศรษฐกิจ ภูมิหลังประเทศ และประเด็นสำคัญต่างๆ ที่ผู้ใหญ่พยายามเลี่ยงยกออกไม่ให้เด็กมีส่วนเกี่ยวข้องมาตลอด
   
ซึ่งวันนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเหล่าเยาวชนไม่ได้เขลาจนไม่สามารถทำความเข้าใจกับระบบสังคมในปัจจุบันได้ พวกเขาล้วนแล้วแต่เข้าใจและสัมผัสมาด้วยตัวเองตลอด และแน่นอนว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็ทำให้กรรมการค่อนข้างคิดหนักพอตัวเพราะไม่คิดว่าหัวข้อที่ควรจะได้คำตอบโลกสวยกลับได้คำตอบเป็นความจริงที่ตอบได้ยากเสียได้
   
น่านฟ้าพูดปิดท้ายอีกสองสามประโยคก่อนที่จะไปยืนรวมตัวกับผู้เข้าแข่งขันอื่นๆ หลังเวที ปล่อยให้พิธีกรดำเนินรายการต่อด้วยการเอาการแสดงของเหล่าศิลปินดังมาคั่นสักพัก เพื่อให้คณะกรรมการได้มีเวลารวบรวมคะแนนและสรุปผลออกมา
   
“นายพูดดีมากเลย น่าน”
   
เมื่อเข้ามาหลังเวทีน่านฟ้าก็โดนทักทันทีจากเหล่าผู้ร่วมแข่งขันที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมาหลายวัน พวกเขาล้วนแต่ผ่านการซักซ้อมมาอย่างหนักหน่วงเพื่อให้ทุกอย่างวันนี้ไม่มีอะไรผิดพลาด
   
“อือ นายก็เก่งเหมือนกัน”
   

หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : ครอบครัวสุขสันต์ p.9 (8/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 08-11-2018 23:51:53
น่านฟ้ายิ้มบางๆ ให้และรีบไปยืนหลบมุมเพื่อโทรหา ‘เพื่อนสนิท’ ตามที่ถูกกำชับไว้
   
[ ฮัลโหล ]
   
ใบหน้าของน่านแดงนิดๆ เมื่อได้ยินเสียงทุ้มแหบกระซิบจากปลายสาย
   
“…น่านพูดดีไหมอ่ะ ขุน”
   
ความมั่นอกมั่นใจในตัวเองคล้ายกับหายไปหมดเมื่อลงจากเวที ใบหน้าของน่านกลับมาประหม่าอีกครั้งพร้อมกับตัวที่สั่นเทาเล็กๆ
   
[ ดีแล้วน่าน ต่อให้กรรมการไม่ชอบแต่เราชอบนะ ]
   
“..แต่”
   
น่านฟ้าพยายามหาเหตุผลมาพูดเพื่อบั่นทอนความสามารถตัวเองตามนิสัยไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ถึงแม้จะรู้ว่าตัวเองสามารถวาดรูปได้ดีแต่น่านก็ไม่สามารถยอมรับได้สักทีว่าตัวเองสามารถวาดมันได้ดีจริงๆ เหมือนที่คนอื่นชม
   
[ น่านลืมแล้วเหรอว่าเพราะงานนี้น่านไม่ได้นอนมาเกือบอาทิตย์นะ ]
   
“…”
   
[ ความพยายามไม่เคยทำร้ายใครหรอกน่าน ต่อให้น่านไม่ชนะงานประกวดแต่เราเชื่อนะว่าผลงานของน่านมันจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้จริงๆ ]
   
“..อือ”
   
น่านฟ้าพยักหน้าเบาๆ โดยไม่รู้ตัวก่อนที่จะสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินเสียงสตาฟฟ์ตะโกนไล่ให้ไปเข้าแถวเพื่อขึ้นเวทีเตรียมฟังผลประกาศรางวัล
   
“น่านวางก่อนนะ”
   
[ รักน่านนะครับ ]
   
“…”
   
แน่นอนว่าน่านได้ยินคำพูดของขุนพลชัดเจนจนเผลอเหม่อไปครู่หนึ่งก่อนที่จะรีบยัดสมาร์ทโฟนเข้ากระเป๋ากางเกงลวกๆ แล้ววิ่งไปเข้าแถวที่กำลังเดินขึ้นเวทีกัน
   
“ไม่สบายเหรอ หน้าแดงๆ ”
   
“อือ เราหนาวน่ะ”
   
น่านฟ้าโกหกคำโตเพราะไม่กล้าบอกความจริงกับคนอื่นว่าตัวเองเขินเพื่อนสนิทตัวเอง เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองต้องเขินทุกครั้งที่ได้ยินพูดด้วยเสียงนุ่มๆ กับประโยคบอกรักที่เจ้าตัวมักพูดหยอดคนนู้นคนนี้เป็นประจำในห้อง ซึ่งเรื่องแปลกอีกอย่างคือเขาไม่เข้าใจสักนิดว่าคนที่เพื่อนเยอะอย่างขุนพลมายุ่งกับเขาที่โลกส่วนตัวสูงทำไม
   
แต่เอาเข้าจริงเขาดีใจมากนะที่มีคนมาคุยด้วยนอกจากกลุ่มของเขาที่มีเพื่อนอยู่สองสามคนและมีนิสัยคล้ายๆ กัน
   
[ และแล้วก็ถึงช่วงเวลาที่ทุกท่านรอคอยนะคะ ช่วงประกาศผลรางวัลค่ะ! มาเริ่มกันที่รางวัลแรกเลยนะคะ เป็นรางวัลรองชนะเลิศอันดับสองและรางวัลนี้ก็ต้องเป็นของ—]
   
น่านฟ้าพยายามรักษาท่าทีนิ่งสงบแม้ว่าหัวใจในอกเต้นไม่เป็นส่ำ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับเหล่าบรรดาคนที่มาเชียร์นัก โดยเฉพาะกับเหล่าแฝดที่ตื่นเต้นเป็นพิเศษ
   
“พี่น่านพูดดีแบบนี้ต้องรางวัลที่หนึ่งแล้ว”
   
เมฆออกความเห็นด้วยสีหน้าปลื้มปิติในพี่ตัวเองสุดๆ ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วไม่ว่าน่านฟ้าจะทำอะไรในสายตาสองแฝดก็ล้วนเห็นดีเห็นงามด้วยทั้งนั้น
   
“ถ้าไม่ได้ที่หนึ่งเดี๋ยวกูให้เอง เมฆ พี่น่านของกูต้องเก่งที่สุด”
   
หมอกก็มีสภาพไม่ต่างกันนักอวยพี่ตัวเองแบบสุดๆ
   
[ นางสาวนิชนันท์ โรจน์วัจนะค่ะ! ]
   
เสียงปรบมือดังเกรียวกราวในขณะที่น่านฟ้ายังคงรู้สึกลุ้นจนแทบไม่ได้ยินอะไร นัยน์ตาโศกจับจ้องไปที่พิธีกรอย่างรอคอยซึ่งด้วยนิสัยที่ไม่มั่นใจในตัวเองของน่านฟ้า ทำให้เจ้าตัวไม่ได้คาดหวังถึงรางวัลใหญ่ แค่ได้รางวัลชมเชยก็ดีใจมากๆ แล้ว
   
ใช้เวลามอบรางวัลอยู่ครู่หนึ่งก็ถึงลำดับถัดมา พิธีกรหนุ่มเผยยิ้มออกมาเมื่อเห็นนามสกุลที่ค่อนข้างคุ้นหน้าคุ้นตาในสื่อใหญ่แต่อีกใจก็อดเสียดายนิดๆ ด้วยไม่ได้เพราะชอบผลงานนี้ตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ในช่วงที่ซักซ้อมคิวแล้ว
   
[ รางวัลรองชนะเลิศตกเป็นของนายน่านฟ้า กิลลาส ครับ! ]
   
“!!”
   
นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนกแต่ก็เดินไปรับรางวัลด้วยความยินดี แม้ว่าจะไม่ได้เป็นรางวัลชนะเลิศก็ตาม ใบหน้าที่เค้าละม้ายกับจ้าวจึงเผยยิ้มน่ารักออกมาให้เหล่าสื่อมวลชนเก็บภาพกันสนุกมือ ซึ่งแน่นอนว่าเพราะไม่ใช่อันดับที่หนึ่งน่านฟ้าจึงไม่ต้องตอบคำถามหรือความรู้สึกอะไร เพียงแค่รับรางวัล ถ่ายรูป และไปยืนรวมกับเหล่าผู้แข่งขันเท่านั้น
   
แต่ถึงอย่างนั้นน่านฟ้าก็ยังคงรู้สึกมีความสุขมากๆ อยู่ดี นัยน์ตาโศกเป็นประกายราวกับสุมดาวนับพันไว้ข้างใน ในชั่วขณะหนึ่งที่น่านฟ้ารู้สึกเข้าใจถึงความรู้สึกของแม่ตัวเองตอนที่ได้ยืนอยู่บนเวทีท่ามกลามผู้คนนับพันก่อนที่จะลาวงการไป
   
มันเป็นความรู้สึกที่ดีจนอยากจะยืนอยู่ตรงนี้อีกหลายๆ ครั้งเลยทีเดียว
   
น่านฟ้ายังคงยิ้มจนตาหยีโดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าตัวเป็นจุดสนใจของสื่อขนาดไหน

“เมฆ กูไม่ไหวแล้ว”
   
“เออ กูก็ไม่ไหว พี่น่านโคตรน่ารักเลย”
   
สองแฝดพยายามอย่างยิ่งในการไม่ลุกออกจากที่นั่งแล้วโผไปกระโดดกอดพี่น่านอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน เวลาที่ต้องการแสดงความชื่นชมในตัวพี่น่าน
   
“ทำไมน่านไม่เลิกยิ้มสักทีวะ”
   
ใบหน้าคมคายของขุนพลไม่เปื้อนยิ้มโง่ๆ อีกต่อไปเมื่อเห็นน่านฟ้ายังคงยิ้มให้กับกล้องไม่หยุด รู้สึกหึงหวงจนอยากจะเอาน่านฟ้าไปซ่อนให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นัก
   
[ รู้สึกยังไงกับการได้รับรางวัลชนะเลิศบ้างครับ ]
   
น่านฟ้ามองเบต้าร่างเล็กซึ่งเป็นเจ้าของรางวัลด้วยความชื่นชมเพราะงานของอีกฝ่ายนั้นดีสมกับรางวัลจริงๆ ทั้งความแปลกใหม่ของเทคนิคที่ใช้และแนวคิดในการวาดที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา
   
“ก็ค่อนข้างตกใจครับแต่ก็ดีใจและภูมิใจมากๆ ครับที่ได้รับรางวัลนี้”
   
เบต้าหนุ่มเจ้าของรางวัลพูดด้วยรอยยิ้มเขินๆ ขณะที่ตอบคำถามพิธีกร ซึ่งหลังจากตอบคำถามอีกสองสามคำถามเสร็จก็เข้าสู่ช่วงพิธีปิดของงานที่ใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมง ก่อนที่ม่านจะปิดลงเป็นอันจบงานประกวดภาพวาดในวันนี้
   
“น่าน”
   
น่านฟ้าซึ่งแวะเข้าห้องน้ำก่อนที่จะไปขึ้นรถมองเพื่อนสนิทตัวเองด้วยความแปลกใจนิดๆ ก่อนที่จะยิ้มออกมา “ยังไม่กลับบ้านเหรอ ขุน นี่เกือบสามทุ่มแล้วนะ”
   
ขุนพลไม่ตอบแต่ขยับเข้าไปใกล้น่านและลูบหัวเล็กๆ อย่างเบามือ นัยน์ตาสีดำฉายชัดถึงความอ่อนโยน “วันนี้เก่งมาก”
   
“อือ”
   
ไม่แน่ใจเพราะบรรยากาศหรืออะไรที่ทำให้น่านฟ้าเผลอหน้าแดงอีกครั้งจนขุนพลทนแทบไม่ได้อยากจะทำอะไรมากกว่านั้น แต่ก็ทำได้เพียงแค่คิดเพราะน่านฟ้าก็คือน่านฟ้า
   
เขายังทำใจให้สิ่งที่บริสุทธิ์ขนาดนี้มัวหมองไม่ได้และอีกเหตุผลใหญ่ๆ ก็…
   
ปัง!
   
ประตูเปิดผ่างออกพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของเมฆกับหมอกที่หอบแฮ่กจากการวิ่ง
   
“พี่น่าน! พี่มาอยู่กับมันสองต่อสองอีกแล้ว! ”
   
“พี่น่าน พี่ทำแบบนี้กับผมไม่ได้! ”
   
สองแฝดราวกับมีญาณทิพย์มาถึงห้องน้ำด้านในที่ไม่ค่อยมีใครเข้าในพริบตา หนำซ้ำยังทันเห็นฉากเด็ดพอดีอีกเล่นเอาร่างที่สูงใหญ่ดิ้นเร่าๆ ราวกับโดนลนไฟ
   
“…”
   
ขุนพลลอบกลอกตาด้วยความเหนื่อยหน่าย ถึงแม้เขาจะมั่นใจว่าจะสามารถจีบน่านติดแต่ก็ติดด่านใหญ่ๆ ที่มีชื่อว่าเมฆกับหมอกซึ่งมีฉายาในโรงเรียนว่าสององครักษ์พิทักษ์น่านฟ้า โดยเจ้าพวกนี้มีหน้าที่หลักเพียงหนึ่งเดียวคือไล่ทุกคนที่ทำท่าจะมาจีบพี่ชายตัวเองและเรื่องแปลกคือพวกนี้เซนส์แรงมาก ดูออกว่าใครคิดซื่อใครคิดไม่ซื่อ คนที่ไม่โดนสองแฝดนี่รังควานคือคนที่มองว่าน่านฟ้าเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น
   
“เรียกมันได้ยังไง ขุนพลเป็นเพื่อนพี่นะ”
   
น่านฟ้าเอ็ดเสียงดุแต่ก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรมากมายนัก
   
“ก็เขาจะแย่งพี่น่านไปจากพวกผม”
   
“และพวกผมก็จะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น”
   
“…หึ”
   
ขุนพลหลุดขำเมื่อเจ้าแฝดทำตัวเหมือนแก๊งร็อคเก็ตในโปเกม่อนซึ่งคนที่น่าจะเป็นเนียสก็น่าจะเป็นน่านฟ้าที่ถอนหายใจเหนื่อยๆ ใส่แฝด
   
“เมื่อไหร่จะโตกันสักที” น่านฟ้าบ่นอุบกอดรางวัลตัวเองและเดินตัดผ่านแฝดทั้งสองมาหาร่างสูง “งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ ขุน เรากลับบ้านก่อนนะ”
   
“อืม เจอกันพรุ่งนี้” ขุนพลพูดยิ้มๆ “ฝันดีครับ”
   
“…ฝันดี”
   
น่านฟ้าพยักหน้าเร็วๆ ก่อนที่จะจากห้องไปด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ซึ่งขุนพลเห็นแบบนั้นก็อดยิ้มกว้างกว่าเดิมไม่ได้และมันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้โดนสายตาสองคู่ค้อนในพริบตา
   
“ผมไม่ยกพี่น่านให้หรอก”
   
สองแฝดขู่แง่งใส่ก่อนที่จะรีบวิ่งไล่หลังตามพี่ชายตัวเองไป
   
“…”
   
ถึงแม้ร่างเล็กๆ จะหายไปจากครรลองสายตาไปนานแล้วแต่ขุนพลก็ยังเห็นยิ้มโง่ๆ ของตัวเองในกระจกและรอยยิ้มของเขาก็กว้างกว่าเดิมเมื่อตัดสินใจอะไรได้
   
“แฝดก็แฝดเถอะ หึ”
   
ขุนพลหลุดหัวเราะเมื่อเผลอจินตนาการถึงหน้าแฝดตอนที่เขาประกาศตัวจีบน่านฟ้าอย่างเป็นทางการ แน่นอนว่าสองแฝดนั่นต้องไม่พอใจแน่

แต่ใครสนล่ะในเมื่อเขาอยากชอบน่านจนจะบ้าอยู่แล้ว!

=========

ตอนนี้ยาวมากกกกก  :mew5: 

ปล ดีใจที่ทุกคนชอบนะคะ  :hao5: ตอนพิเศษตอนหน้าเป็นจันทร์กับพี่ซันค่ะ

หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : ครอบครัวสุขสันต์ p.9 (8/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 09-11-2018 23:28:23
ตอนพิเศษน่ารักมาก
รออ่านของจันทร์-พี่ซัน
เผื่อคู่นี้มีลูกด้วยกัน
อยากอ่านมากๆ
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : ครอบครัวสุขสันต์ p.9 (8/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 10-11-2018 17:31:43
แฝดหวงพี่เวอร์มาก 5555555
น่ารัก :o8:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : ครอบครัวสุขสันต์ p.9 (8/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ஓMaRiShiTenSM ที่ 10-11-2018 18:09:46
สนุกมากๆ ดีมากๆๆๆๆๆๆ
น้ำตาแตก สงสารจ้าว
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : ครอบครัวสุขสันต์ p.9 (8/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 12-11-2018 18:40:08
รออ่านพี่ซันกับจันทร์


และก็รอ อ่านภาคต่อของพวกเด็กๆอยู่จร้า


รักและรอเด็กๆทั้งสามคน
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : ครอบครัวสุขสันต์ p.9 (8/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 12-11-2018 20:24:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : ครอบครัวสุขสันต์ p.9 (8/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 13-11-2018 03:19:48
เป็นการเล่านิยาย อย่างมีนัยยะสอดแทรกอยู่ :hao3:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : ครอบครัวสุขสันต์ p.9 (8/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 14-11-2018 02:18:59
ว้าว   :katai2-1:  ดีต่อใจมากค่ะ ครอบครัวอบอุ่นเว่อร์

ขอบคุณนะคะ ชอบมากค่ะ
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : moonmoon p.9 (14/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 14-11-2018 20:56:52
ตอนพิเศษ : MOONMOON
   
   
ครืนนน
   
กลุ่มเมฆครึ้มคำรามเสียงดังจนเหล่านกที่เกาะหลบฝนอยู่ตามกิ่งไม้บินต่างพากันบินหนีด้วยความแตกตื่น ฝนห่าใหญ่ตกกระทบกับหาดทรายในจังหวะเดียวกับที่คลื่นทะเลลูกใหญ่ซัดเข้าฝั่ง กวาดเอาทรายและเหล่าสัตว์ทะเลน้อยใหญ่เข้าสู่มวลน้ำเพื่อที่จะซัดเข้าฝั่งใหม่อย่างรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าพายุจะหมดลง
   
ซึ่งแน่นอนว่าบรรยากาศพายุเข้าแบบนี้สำหรับคนทั่วไปแล้วการอยู่ในห้องและห่มผ้าอุ่นๆ ดูทีวี น่าจะเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุดแต่สำหรับ ‘ใคร’ บางคนที่เคยผ่านความตายมาครั้งหนึ่งแล้วการกระทำแบบนั้นก็ดูน่าจะเบื่อเกินไป
   
“…”
   
ร่างโปร่งของชายหนุ่มอายุไม่เกินสี่สิบปียังคงนั่งอยู่บนโขดหิน แม้ว่าเสื้อขาวบางของตัวเองจะเปียกโชกจนแนบไปกับลำตัวแล้วก็ตาม นัยน์ตาโศกเหม่อมองพระจันทร์สีขาวนวลสุกสว่างที่โดนกลุ่มเมฆครึ้มบดบังได้สักพักก็เผยยิ้มมุมปากออกมา เมื่อหมู่เมฆยอมเคลื่อนตัวออกให้มองเห็นดวงจันทร์ได้อย่างชัดเจน
   
สวย
   
คำๆ นี้ปรากฎในหัวจันทร์ซึ่งจันทร์ก็ค่อนข้างเห็นด้วยกับมัน จึงไม่คิดจะขยับไปไหนปล่อยให้ตัวเองตากฝนไปเรื่อยๆ จนกว่าตัวเองจะพอใจ
   
แต่น่าเสียดายในเรื่องที่จันทร์พอใจก็ย่อมมีคนไม่พอใจ
   
“จันทร์!! “
   
เสียงตะโกนเรียกดังลั่นพร้อมๆ กับนายแบบชื่อดังที่วิ่งมาพร้อมกับร่มคันโตในมือ ใบหน้าคมคายที่เปี่ยมไปด้วยสเน่ห์อันล้นเหลือมองจันทร์อย่างตำหนิ
   
“ผมบอกแล้วไงว่าห้ามออกมาข้างนอกตอนกลางคืนคนเดียว แล้วนี่ตากฝนทำไมครับ ผมจำไม่ได้นะว่าผมอนุญาตให้จันทร์ตากฝนด้วย” สุริยะบ่นไปพร้อมๆ กับดึงจันทร์เข้ามาอยู่ใต้ร่มของตัวเองและหยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดไว้บนไหล่มาเช็ดหน้าที่เปียกชุ่มของจันทร์อย่างใส่ใจ
   
จันทร์หลับตาทำหูทวนลมและปล่อยให้สุริยะเช็ดหัวเช็ดหน้าให้ตัวเองด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
   
“จันทร์ ถ้ามีคราวหน้าอีกผมจะโกรธแล้วนะ”
   
ถึงแม้จะเห็นจันทร์ทำสีหน้าน่ารักแต่สุริยะก็ยังไม่ลืมวัตถุประสงค์ที่จะดัดนิสัยของอีกฝ่าย เพราะเดี๋ยวนี้จันทร์มีนิสัยที่ค่อนข้างดื้อดึงพอตัว ราวกับแมวเปอร์เซียตัวโตที่วันๆ เอาแต่ทำตามใจตัวเองและรอให้ทาสมาคอยเอาอกเอาใจ
   
ซึ่งแน่นอนว่าสุริยะพอจะเดาได้ว่าทาสคนนั้นมันคือใคร
   
“จันทร์”
   
เจ้าของชื่อลืมนัยน์ตาโศกเพียงข้างเดียวขึ้นมามองและถอนหายใจ “แค่ตากฝนนิดเดียวมันไม่ได้ทำให้ ผมป่วยหรอกนะ คุณสุริยะ”
   
“ครับ ผมเข้าใจดีครับแต่คุณจันทร์เคยสัญญากับผมแล้วไงครับ ว่าจะไม่ดื้อกับผม” สุริยะหน้าบูดก่อนที่จะรวบเอวจันทร์มาเข้าร่มเพื่อที่จะบังคับให้เดินกลับบ้านพักตากอากาศส่วนตัวที่ไม่ได้อยู่ไกลจากชายหาดนัก
   
แน่นอนว่าจันทร์ไม่ได้ขัดขืนอะไรหนำซ้ำยังซบกับตัวอุ่นๆ ของสุริยะอีกอย่างพึงพอใจ เอาเข้าจริงแล้วการมานั่งดูพระจันทร์เล่นวันนี้ก็ออกจะเป็นการจงใจซะมากกว่า เพราะหลังๆ มานี้สุริยะกลับไปรับงานถ่ายแบบบ้างเป็นครั้งคราวจนทำให้เขาต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียวซะหลายวัน การได้ปั่นหัวสุริยะบ้างก็นับเป็นเรื่องที่ทำให้จันทร์สนุกมากทีเดียว
   
นัยน์ตาโศกเหลือบมองเสี้ยวใบหน้าคมคายที่ยังไม่หยุดบ่นกระปอดประแปด
   
“ซัน”
   
“ครับ” สุริยะจริงจังขึ้นมาทันทีเพราะไม่บ่อยนักที่จันทร์จะเรียกชื่อเล่น ส่วนใหญ่จะเรียกคุณสุริยะให้ฟังดูห่างเหินเล่นๆ มากกว่า
   
“ดีใจที่กลับมานะ”
   
“อือ ดีใจเหมือนกัน”
   
ร่างสูงดึงมือจันทร์ไปจูบเบาๆ อย่างอดไม่ได้ ถึงแม้ว่าจันทร์จะยังคงมีท่าทีไม่ยินดียินร้ายอะไรเหมือนเมื่อก่อน แต่หลังจากที่คบกันมาและอยู่ด้วยกันมานานก็ทำให้สุริยะสามารถอ่านจันทร์ออกได้ง่ายๆ
   
สำหรับสุริยะแล้วจันทร์เป็นคนที่ค่อนข้างหัวแข็ง กว่าที่จันทร์จะยอมให้อภัยตัวเองจากอดีตที่ผ่านมาก็ใช้เวลาอีกหลายปีเพราะจันทร์เอาแต่มองว่าตัวเองเป็นคนผิดที่สุดในเรื่องนี้ เป็นฆาตกรที่ไม่สมควรได้รับการให้อภัย จันทร์ในตอนนั้นไม่อนุญาตให้ตัวเองยิ้มหรือมีความสุขด้วยซ้ำ เอาแต่มองโลกด้วยความทุกข์โศกและเฝ้ารอความตายที่คิดว่าตัวเองควรจะได้รับทุกวัน
   
แต่น่าเสียดายที่ความหัวแข็งของจันทร์ก็พ่ายแพ้ให้กับลูกตื้อของสุริยะ เพราะสุริยะยอมทิ้งอาชีพตัวเองเพื่อมาอยู่กับจันทร์แทบจะตลอดเวลา คอยดูแลพร่ำบอกขอบคุณที่อีกฝ่ายเกิดมาบนโลกใบนี้ทุกวัน จนในที่สุดความแน่วแน่ในอุดมการณ์ของจันทร์ก็เริ่มไขว้เขและสุดท้ายจันทร์ก็ยอมให้อภัยตัวเอง
   
สุริยะยังคงจำวินาทีที่จันทร์ยอมยิ้มให้ตัวเองได้ ถึงแม้ตอนนั้นจะไม่ใช่ตอนที่ได้คบกันเป็นแฟนแต่เขาก็ดีใจมากๆ ที่จันทร์อนุญาตให้ตัวเองมีความสุข ได้ใช้ชีวิตตามความฝันของตัวเอง ไม่ใช่การไถ่โทษกับเรื่องราวอดีตที่ไม่มีใครอยากให้เกิด เขาไม่ได้ขอให้จันทร์ลืมมันแต่เขาอยากให้จันทร์ใช้ชีวิตต่อไป
   
ทุกคนเคยผิดพลาด เขาก็เคยผิดพลาด ไม่ว่าใครก็เคยผิดพลาด สิ่งที่เราต้องทำต่อจากนั้นคือแก้ไขและไม่ทำพลาดอีก ไม่ใช่การจมปลักอยู่กับความผิดพลาดของตัวเองไปจนวันตาย
   
เขาดีใจมากจริงๆ ที่ตัวเองสามารถทำให้จันทร์เปลี่ยนความคิดได้
   
“พรุ่งนี้จะเข้าร้านไหม”
   
สุริยะถามขึ้นมาเมื่อเข้ามาในบ้านและฝูงกระต่ายจำนวนหนึ่งก็กรูเข้าหาจันทร์
   
“เข้าสิ ยังไงก็ว่างๆ ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว” จันทร์เดินหนีกระต่ายเข้าห้องนอนโดยทิ้งหยดน้ำไว้เป็นทางซึ่งมั่นก็ทำให้คนเป็นเจ้าของสุริยะขมวดคิ้วมุ่น
   
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปรถผมนะ”
   
“อือ”
   
เมื่อร่างโปร่งเข้าไปในห้องสุริยะก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาและเดินไปหยิบไม้ถูพื้นที่เก็บไว้ในตู้มาถูพื้น เพราะกลัวว่าจันทร์หรือไม่ก็เขาจะมาลื่นเอาตอนดึกๆ ถ้าเดินมาแถวนี้ ซึ่งระหว่างที่ถูสุริยะก็อดนึกเสียใจไม่ได้ที่ตัวเองรักความเป็นส่วนตัวมากเกินไปจึงไม่มีแม่บ้านประจำ มีแต่แม่บ้านที่จ้างมาทำความสะอาดทุกอาทิตย์เท่านั้น
   
ใช้เวลาไม่นานนักสุริยะก็ถูเสร็จและเดินเข้าไปในห้องนอนเพื่อที่จะถูพื้นต่อ
   
“…จันทร์”
   
สุริยะแทบหาเสียงของตัวเองไม่เจอเมื่อเข้าไปในห้องและเห็นจันทร์กำลังนั่งดูข่าวช่องต่างประเทศด้วยสีหน้าผ่อนคลายอยู่ สิ่งที่ทำให้ร่างสูงหายใจติดขัดคือจันทร์สวมเพียงกางเกงนอนขาสั้นเท่านั้น อวดเรียวขาและแผ่นอกขาวที่เปลือยเปล่าอวดกล้ามเนื้อสมบูรณ์แบบที่เมื่อก่อนไม่มีใครได้เห็นเพราะถูกซ่อนไว้ใต้เสื้อกาวน์ตลอดเวลา
   
เจ้าของชื่อเหลือบมองคนเรียกและยิ้มมุมปากราวกับท้าทาย
   
ซึ่งนั่นก็ทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของสุริยะขาดผึง โยนไม้ถูพื้นทิ้งก่อนที่จะจู่โจมจันทร์ เสียงเฉอะแฉะฟังดูลามกดังขึ้นพร้อมๆ กับร่างของนายแบบที่แทบจะบดขยี้อดีตนายแพทย์ชื่อดังให้แหลกละเอียดบนเตียง
   
ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของอดีตนายแพทย์ผุดพรายไปด้วยเหงื่อเมื่อถูกกระแทกหนักๆ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีเสียงครางเล็ดลอดออกมาให้สุริยะได้ยินแม้แต่คำเดียว มีเพียงเสียงหอบหายใจที่ยังคงดังหนักแน่นกับนัยน์ตาโศกซึ่งคลอไปด้วยน้ำตาที่แสดงให้เห็นถึงความไม่เยือกเย็นดังเดิมของจันทร์
   
ผ่านไปครู่ใหญ่ในที่สุดทุกอย่างก็หยุดลงและมันก็ทำให้จันทร์เอ่ยทักท้วงออกมาด้วยน้ำเสียงดุๆ ไม่ต่างกับตอนที่เจอกับสุริยะครั้งแรก
   
“ซัน”
   
“ขอโทษครับ”
   
สุริยะรีบขอโทษขอโพยดักไว้ทันทีเพราะรู้ดีว่าคราวนี้จันทร์โกรธจริง เนื่องจากเขาเผลอไปทำรอยบนแผ่นอกขาวๆ ของจันทร์เยอะมาก ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้อีกเพราะเขามักจะควบคุมตัวเองไม่ได้ตอนที่ได้กลิ่นฮอร์โมนอัลฟ่าของจันทร์ ราวกับว่าสัญชาตญาณส่วนลึกของร่างกายต้องการให้เขาครอบครองและแสดงความเป็นเจ้าของจันทร์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
   
“มันเจ็บ”
   
จันทร์ยังคงหน้าบึ้งไม่พอใจนักแต่ก็ไม่ได้ตำหนิสุริยะจริงจังเพราะมันก็จบลงแบบนี้แทบทุกรอบ ซึ่งเขาก็ควรจะชินกับมันได้แล้วแต่ก็ไม่เคยชินสักที
   
“..ไม่โกรธใช่ไหมครับ”
   
จากพญาราชสีห์บนเตียงเมื่อหลายนาทีก่อนตอนนี้เป็นลูกแมวเชื่องๆ ที่มาซบตัวจันทร์เพื่อขอความเห็นใจ นัยน์ตาที่ผู้คนมักว่ากันว่าสามารถแผดเผาคนมองให้ละลายตอนนี้มองจันทร์นิ่ง
   
แต่แน่นอนว่าจันทร์ก็คือจันทร์ นอกจากจะไม่ละลายแล้วหนำซ้ำยังเย็นเยือกราวกับน้ำแข็งพันปี
   
“โกรธ”
   
อดีตนายแพทย์เสยผมที่ปรกหน้าและถอนหายใจแรงๆ ด้วยความหงุดหงิดเพราะคราวนี้สุริยะทำรอยเต็มไปหมดไม่เว้นแม้แต่ลำคอของเขา และยังทำเยอะจนเหมือนกับว่าจะป่าวประกาศให้ทั้งโลกรู้ไปเลยว่าตัวเองเป็นเจ้าของของเขา
   
“ขอโทษครับ”
   
“ช่างมันเถอะ”
   
ใจแข็งได้ไม่เท่าไหร่สุดท้ายจันทร์ก็พ่ายแพ้ให้กับแววตาซึมๆ ของสุริยะอยู่ดี
   
ซึ่งเอาเข้าจริงก็อาจจะแพ้มาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันด้วยซ้ำ หากแต่ทิฐิที่มากมายในตอนนั้นก็มากเกินกว่าที่จะยอมรับความรู้สึกตัวเองได้ แค่เขาอนุญาตให้สุริยะเข้ามาจุ้นจ้านในชีวิตในช่วงนั้นก็นับว่าพิเศษมากแล้วเพราะเขาไม่เคยให้ใครมายุ่งกับตัวเองขนาดนั้นมาก่อน
   
และสุริยะก็คงจะเป็นคนแรกและคนเดียวที่เขาอนุญาตด้วย
   
“งั้นผมไปอาบน้ำก่อนนะ”
   
สุริยะเห็นสีหน้าที่ดูอ่อนลงของจันทร์ก็ยิ้มออก เอาเข้าจริงแล้วถ้าจับจุดจันทร์ได้ถูกก็สามารถรับมือจันทร์ได้ง่ายมากๆ เลยทีเดียว ซึ่งสุริยะก็รู้ดีว่าการที่จันทร์ยอมรับตัวเองเป็นแฟนนั่นก็หมายถึงการยอมรับให้ไปอยู่ในโลกของอีกฝ่ายแล้ว แน่นอนว่าภายใต้ท่าทีเย็นชาใส่เขา จันทร์ก็ยังค่อนข้างใส่ใจเขามากเลยทีเดียว
   
“อือ”
   
จันทร์ครางรับในลำคอส่งๆ เลิกสนใจสุริยะมาใส่ใจกับการพักผ่อนของตัวเองแทน ถึงแม้เขาจะเป็นอัลฟ่าแต่การโดนกระทำตลอดหลายชั่วโมงก็ทำเอาร่างกายอ่อนล้าไปหมดโดยเฉพาะช่วงเอวกับสะโพกที่มีอาการปวดอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าเกลี้ยงเกลาขมวดคิ้วไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้ปริปากบ่นเพราะไม่อยากทะเลาะกับสุริยะ
   
ซึ่งพอนึกถึงอีกฝ่ายนัยน์ตาโศกก็เหลือบมองแผ่นหลังใหญ่ของร่างสูงที่เดินเข้าไปในห้องน้ำพอดี ก่อนที่จะรีบหลบตาแกล้งหลับเพราะคนที่ถูกมองคล้ายกับรู้ตัวหันมาเลิกคิ้วให้กวนๆ
   
“ฝันดีนะครับ”
   
สุริยะฉีกยิ้มที่จันทร์ชอบนิยามว่าเป็น ‘ยิ้มโง่ๆ ’ ให้กับจันทร์
   
“…”
   
ไม่มีเสียงตอบรับจากคนบนเตียงแต่สุริยะกลับค่อนข้างมั่นใจว่าคนรักของตัวเองกำลังยิ้มมุมปากอยู่

   

เสียงเคาะตะหลิวกับกระทะดังมาหลายชั่วโมงหลังจากที่ร้านตำรับไทยเปิด พ่อครัวซึ่งเป็นอัลฟ่าร่างโปร่งนั้นสวมผ้าคลุมผมและสวมผ้าปิดปาก ปกปิดร่างกายอย่างแน่นหนาเพื่อสุขอนามัยของผู้ที่จะได้รับประทานอาหาร มือที่แต่ก่อนมักจะหยิบมีดผ่าตัดอยู่เป็นนิจในเวลานี้หยิบมีดทำครัวและสับผักหั่นเนื้ออย่างคล่องแคล่ว ซึ่งอาจจะคล่องกว่าตอนผ่าตัดคนด้วยซ้ำไป แม้ว่าจะเพิ่งมาจริงจังกับสายอาชีพนี้ได้ไม่กี่ปีก็ตามเมื่อเทียบกับอาชีพเก่า
   
แต่ที่แน่ๆ คือความสุขในการทำงานที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เพราะคนเป็นพ่อครัวไม่เคยแสดงท่าทีเคร่งเครียดหรือหนักใจกับอาชีพนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียวแม้ว่ามันจะเหนื่อยมากก็ตาม หนำซ้ำยังสนุกกับมันเอามากๆ จนเผลอยิ้มอย่างผิดวิสัยอยู่บ่อยครั้ง เวลาที่มีคนชมว่าอาหารอร่อย
   
“พ่อครัว ลูกค้าอยากกินจันทร์”
   
สุริยะซึ่งเท้าคางมองคนรักตัวเองที่ขะมักขเม้นกับการทำอาหารก็อดแซวไม่ได้ เอาเข้าจริงแล้วเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจันทร์จะเคยอยากเป็นเชฟและค่อนข้างมีพรสวรรค์ในการทำอาหารมากทีเดียว ถึงแม้จะเป็นอาหารธรรมดาๆ อย่างข้าวผัดแต่ด้วยรสมือของจันทร์กลับทำให้มันมีรสชาติที่อร่อยและค่อนข้างเฉพาะตัว ทำเอาร้านที่เพิ่งเปิดได้ไม่ถึงปีมีลูกค้าแน่นขนัดทุกวันที่เปิดจนสุริยะต้องเกณฑ์คนที่ไว้ใจได้มาช่วยเป็นลูกมือ
   
“ถ้ามาแล้วไม่ช่วยก็ออกไปครับ พ่อครัวรำคาญ”
   
จันทร์ตอกกลับไม่จริงจังนักเพราะยังยุ่งอยู่กับผัดกะเพราหมูที่เป็นซิกเนเจอร์ของร้านและยังเป็นเมนูที่จันทร์ชอบมากที่สุดด้วย ซึ่งแน่นอนว่ากะเพราหมูร้านตำรับไทยนั้นใช้แค่ใบกะเพราไม่มีผักอื่นๆ เป็นส่วนประกอบให้รำคาญใจอย่างแน่นอน
   
ใช้เวลาไม่นานกะเพราะหมูไข่ดาวของโต๊ะสุดท้ายที่เพิ่งสั่งก็พร้อมเสิร์ฟ เด็กร้านซึ่งเป็นลูกน้องของเหมันต์อีกทีรีบมารับจานเพื่อไปเสิร์ฟอย่างขะมักเขม้น ส่วนเด็กร้านคนอื่นๆ อีกสองสามคนก็ยังวุ่นอยู่กับการเช็ดโต๊ะ เก็บเงินจนมือเป็นประวิง
   
“พี่ พี่ว่างแล้ว”
   
เสียงเล็กๆ ดังเจื้อยแจ้วก่อนจะผลุบหัวออกจากประตูพร้อมกับเพื่อนอีกสองสามคน
   
“…มาอีกแล้วเหรอ”
   
จันทร์บ่นเสียงเบาและทิ้งตัวนั่งพักบนเก้าอี้ตรงข้ามกับสุริยะด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก นัยน์ตาโศกเหลือบมองสุริยะเชิงขอความช่วยเหลือเพราะไม่ถนัดกับการรับมือกับเด็กนัก
   
“มาจากไหนกันครับเนี่ย”
   
นอกจากจะไม่ช่วยแล้วสุริยะยังหันไปถามแก๊งค์เด็กที่มีอายุไม่น่าเกินแปดขวบอย่างเป็นมิตร ซึ่งแต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่ใส่เสื้อลายยอดมนุษย์สีสันแสบตาที่น่าจะเรืองแสงแม้แต่ตอนกลางคืนและดูเหมือนแต่ละคนก็จะคีพคาแรคเตอร์ของตัวเองด้วย เพราะเลือกใส่กันมาคนละสีเลยทีเดียว
   
“พวกผมแก๊งค์เสือดุอยู่แถวนี้ครับ”
   
เด็กชายคนหนึ่งซึ่งโตสุดในกลุ่มเป็นคนตอบ
   
“แล้วมาทำอะไรกันครับ”
   
“ผมมาขอบคุณลูกพี่ครับ ลูกพี่สอนดีมากเลย” ไม่ว่าเปล่าหยิบสมุดการบ้านในกระเป๋าออกมาโชว์คะแนนสิบเต็มสิบหลังจากการทดสอบในห้องเรียนครั้งล่าสุด “ผมชอบลูกพี่สอนสุดๆ ลูกพี่สอนเข้าใจกว่าครูผมอีก”
   
“ลูกพี่? ”
   
สุริยะทวนคำเสียงสูงพยายามกลั้นหัวเราะเพราะจันทร์หน้าบูดบึ้งอย่างเห็นได้ชัดกับคำเรียกอย่างเชิดชูของพวกเด็กๆ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนักเพราะในสายตาคนทั่วไปแล้วจันทร์ในตอนนี้ดูเป็นคนที่น่าเอาเป็นแบบอย่างคนหนึ่ง ถึงแม้จันทร์จะมีใบหน้าพิมพ์เดียวกับจ้าวแต่เมื่อเปลี่ยนทรงผมและอะไรอีกหลายๆ อย่างก็ทำให้ยากที่จะมองออกว่าเป็นคนที่ตัดสินใจยิงตัวตายไปแล้วตั้งแต่วันนั้น
   
หากแต่ในสายตาของสุริยะแล้วจันทร์ไม่เคยเปลี่ยน เขาจดจำจันทร์ได้ในทุกรูปแบบและชอบในทุกแบบด้วย เขารักในตัวตนของจันทร์จริงๆ โดยไม่สนใจว่ารูปลักษณ์ภายนอกของจันทร์จะเปลี่ยนไปแค่ไหน ขอแค่คนนั้นๆ คือ ‘จันทร์ นฤภัทร’ เขาก็พร้อมที่จะรักและประคับประคองความสัมพันธ์นี้ไปจบวันตาย
   
เขารู้ว่าเนื้อแท้ของจันทร์ไม่ใช่คนใจร้ายเพราะถ้าใจร้ายจริงเด็กพวกนี้ก็คงจะโดนไล่ตะเพิดออกจากร้านไปแล้ว ซึ่งนอกจากนี้แล้วจันทร์ยังแวะไปที่คฤหาสน์ตระกูลกิลลาสทุกเดือนเพื่อเยี่ยมหลานและวิจัยเกี่ยวกับยาบางชนิด พยายามที่จะทำให้มันผลิตในประเทศให้ได้เพื่อที่ราคาของยาจะได้ถูกลงและคนที่ต้องการมันจริงๆ สามารถซื้อได้โดยไม่ต้องขายทรัพย์สินทั้งหมดของตัวเองเพื่อที่จะได้มันมา
   
“ใช่ พวกผมให้พี่ชายเป็นลูกพี่”
   
เด็กชายอีกคนพูดอย่างภาคภูมิใจในตัวจันทร์สุดๆ ถึงแม้จะไม่เคยให้จันทร์สอนการบ้านแต่ฟังจากหัวหน้ากลุ่มแล้ว ลูกพี่ต้องเป็นคนที่เท่และฉลาดมากแน่ๆ
   
“มีอะไรก็รีบหน่อยแล้วกัน ลูกค้าพี่เข้าแล้ว”
   
จันทร์ผลุดลุกขึ้นยืนเมื่อมีคนมาส่งออเดอร์ เตรียมจะเข้าครัวต่อและหลีกเลี่ยงแก๊งค์เด็กไปในตัว
   
“ลูกพี่อย่าเพิ่งไปปป”
   
เด็กน้อยสามคนล้อมจันทร์ไม่ให้เดินต่อก่อนที่จะยื่นกระดาษซึ่งวาดรูปจันทร์ในชุดซุปเปอร์ฮีโร่กับขนมกล่องหนึ่งที่รวมเงินกันซื้อมาให้จันทร์
   
“ผมขอบคุณลูกพี่มากๆ นะฮะ” เด็กชายเจ้าของคะแนนเต็มพูดด้วยรอยยิ้มจนตาหยีตอนที่ยอมรับมันไปถือ
   
“…”
   
จันทร์ดูได้สักพักก็ฝากมันไว้กับสุริยะและลูบหัวแก๊งค์เสือดุอย่างเอ็นดูด้วยรอยยิ้มที่ซ่อนอยู่หลังผ้าปิดปาก ซึ่งถึงแม้จะจันทร์จะไม่ได้พูดอะไรแต่ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ดูละมุนละไมขึ้นของจันทร์
   
“ลูกพี่ พวกผมไปแล้วนะต้องไปคุ้มครองคุณทาโร่ต่อ! ”
   
“เดี๋ยวพวกผมมาหาใหม่นะฮะ! ”
   
เด็กชายโบกมือลาหยอยๆ ก่อนที่จะพากันไปวิ่งเล่นที่อื่นต่อโดยมีเป้าหมายเป็นบ้านใกล้ๆ ซึ่งมีหมาพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ชื่อทาโร่คอยเล่นด้วยอยู่
   
จันทร์มองตามโดยที่ไม่รู้ตัวสักนิดว่าตัวเองยิ้มกว้างอยู่
   
“ชอบเด็กเหรอ”
   
สุริยะแกล้งแหย่แต่ก็ไม่จริงจังนักเพราะไม่ได้ถือว่าชีวิตคู่ที่สมบูรณ์ต้องมีลูกเสมอไป แค่เขากับจันทร์ได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตซึ่งกันและกันนั้นก็นับว่าสมบูรณ์แบบมากเกินพอแล้วสำหรับเขา
   
“เปล่า”
   
จันทร์ตอบส่งๆ หันมาใส่ใจกับการทำอาหารต่อ
   
“ถ้าลูกพี่ชอบผมช่วยทำลูกให้ได้นะ”
   
“ซัน”
   
“ก็ผมเห็นจันทร์ชอบเล่นกับเด็ก”
   
ยังพูดไม่ทันจบประโยคดีจันทร์ก็ตัดบทขึ้นมาทันทีด้วยสีหน้าแข็งกระด้างต่างกับเมื่อกี้ลิบลับ
   
“ไม่ได้ชอบ”
   
“ครับๆ ไม่ได้ชอบก็ไม่ได้ชอบ” นายแบบหนุ่มยกมือเชิงยอมแพ้เมื่อเห็นท่าไม่ดีเพราะจันทร์เริ่มจะอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาจริงๆ ซึ่งมันก็เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เขาพูดถึงประเด็นเกี่ยวกับลูกหรือเด็ก
   
และดูเหมือนครั้งนี้เขาก็ล้ำเส้นมากเกินไปเสียด้วย
   
นัยน์ตาโศกที่มักจะเข้มแข็งเยือกเย็นตอนนี้มองเขานิ่งชั่วขณะหนึ่งที่สุริยะคล้ายกับเห็นความกลัวซ่อนอยู่ในนั้น
   
“อยากมีลูกเหรอ”
   
จันทร์ถามด้วยน้ำเสียงปกติราวกับเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไปไม่มีอะไรต้องกังวลหรือใส่ใจ
   
“เปล่า”
   
สุริยะตอบเสียงเบารู้สึกคอแห้งผากอย่างน่าประหลาด ความอึดอัดที่เขาเป็นตัวต้นเหตุแผ่กระจายไปทั่วจนเด็กเสิร์ฟที่มารอรับอาหารที่จันทร์ทำหน้าซีดเลยทีเดียว
   
“ถ้าอยากมีจะไปรับยาปรับฮอร์โมน”
   
น้ำเสียงของจันทร์ยังคงราบเรียบแม้ว่ากำลังพูดถึงยาที่ตัวเองคิดค้นขึ้นมาและตอนนี้ก็ถูกพัฒนาจนใช้กันแพร่หลายทั่วโลก มือที่กำลังถือขวดปรุงรสและเหยาะใส่อาหารสั่นน้อยๆ โดยที่จันทร์ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
   
“จันทร์”
   
“นัดวันมา เดี๋ยวถ้าวันไหนว่างจะไป”
   
“จันทร์”
   
“วันนี้ก็ได้ถ้าอยากไป”
   
“จันทร์! มองหน้าซัน! ”
   
สุริยะมองลูกมือในครัวอีกคนของจันทร์เชิงสั่งให้จัดการต่อแล้วลากจันทร์เข้าไปในห้องเก็บของใกล้ๆ ทันทีและจัดการล็อกประตูอย่างแน่นหนาเพื่อไม่ให้มีใครมาขัดจังหวะตอนที่พูดคุยเรื่องสำคัญกัน
   
“…”
   
“ร้องไห้ทำไมจันทร์”
   
ถึงแม้จะอยู่ด้วยกันกับจันทร์มานานแต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่จันทร์ซุกซ่อนกลบเกลื่อนไว้ไม่ยอมบอกใครแม้แต่กับ ‘สุริยะ’ ก็ตามที
   
“ร้องไห้ทำไมครับ คนดี”
   
แม้แต่ตอนที่ร้องไห้สีหน้าของจันทร์ก็ยังเรียบเฉยราวกับไร้อารมณ์ มีเพียงนัยน์ตาโศกที่ฉาบไปด้วยความเจ็บปวดที่ยากที่จะคาดเดาได้ว่าเจ็บปวดเพราะอะไร
   
สุริยะใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาของจันทร์ออกอย่างเจ็บปวด นึกเสียใจที่ตัวเองเล่นมากเกินไป
   
“ซัน ไม่ได้อยากมีลูกนะ จันทร์ ซันโอเคนะกับการอยู่กับจันทร์สองคนเพราะแค่นี้ซันก็มีความสุขมากๆ แล้ว”
   
“…”
   
“ตอบอะไรหน่อยสิ จันทร์ โกรธซันเหรอ”
   
สุริยะเริ่มกระวนกระวายใจและดึงตัวจันทร์มากอดแน่น
   
“..ขอโทษ”
   
จันทร์พูดเสียงแผ่ว
   
“เราคงมีลูกให้ซันไม่ได้”

ทั้งๆ ที่พยายามกลั้นเสียงร้องแต่สุดท้ายจันทร์ก็หลุดสะอื้นออกมาเสียงเบา นัยน์ตาโศกคลอด้วยน้ำตา “เราขอโทษที่เห็นแก่ตัวนะ ซัน แต่เราไม่อยากมีลูกจริงๆ ฮึก เราไม่อยากให้ลูกโดนเหมือนที่เราโดน เรากลัว ฮึก เราไม่อยากให้ลูกต้องมาเจอแบบเรา”
แม้ว่าเรื่องราวในอดีตจะผ่านมาเกือบสามสิบกว่าปีแล้วแต่ความเจ็บปวดเหล่านั้นยังคงฝังลึกอยู่ในใจของจันทร์ไม่ไปไหน คอยตอกย้ำถึงความโหดร้ายของโลกใบนี้ที่เขาเผชิญว่ามันช่างเจ็บปวดและโดดเดี่ยวมากขนาดไหน ถึงแม้เรื่องราวทุกอย่างจะคลี่คลายและจบลงนานแล้วแต่เขาก็ยังคงกลัว กลัวว่ามันจะเกิดขึ้นกับใครอีก แน่นอนว่าแค่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับลูกของเขา เขาก็ทนไม่ได้แล้ว

เขาถึงพยายามเลี่ยงที่จะคุยเรื่องนี้มาตลอด

“จันทร์ มองหน้าซัน”

สุริยะรู้สึกเจ็บปวดที่เห็นคนที่เข้มแข็งและเยือกเย็นมาตลอดอย่างจันทร์เผยความอ่อนแอออกมาแต่อีกใจหนึ่งก็ดีใจที่ใจยอมพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาสักที

“…”

นัยน์ตาโศกที่ยังคลอด้วยน้ำตาสบกับนัยน์ตาของสุริยะนิ่ง

“ซัน สาบานเลยนะว่า ซัน ไม่ได้อยากมีลูก”

สุริยะพยายามพูดด้วยสีหน้าจริงจังที่สุดเพื่อให้จันทร์จะได้เชื่อและสบายใจ

“ความรักมันมีหลายรูปแบบนะ จันทร์ อย่าติดภาพว่าครอบครัวที่สมบูรณ์ต้องเป็นพ่อแม่ลูกสิ”

“…อือ”

จันทร์พยักหน้าเบาๆ เชิงรับรู้แต่ก็รู้สึกดีขึ้นมากเมื่อได้ระบายมันออกมา ก่อนที่จะหลับตารับริมฝีปากที่บดเบียดเข้ามาอย่างแผ่วเบาด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย ทั้งๆ ที่ปกติแล้วไม่เคยยอมสุริยะแม้แต่ครั้งเดียวถ้าไม่ได้อยู่ที่บ้าน

อุณหภูมิในห้องคล้ายกับร้อนขึ้นมาทันทีเมื่อร่างอัลฟ่าสองร่างเริ่มบดเบียดใส่กันอย่างไม่ยอมแพ้ อาจจะเพราะด้วยสายเลือดอัลฟ่าแท้ๆ ที่ทำให้ทั้งสองต่างฟาดฟันกันอย่างดุเดือดทุกครั้งอย่างควบคุมไม่ได้

หากแต่ก่อนที่สุริยะจะกลืนกินดวงจันทร์ก็ถูกขัดจังหวะเข้าเสียก่อน

ก็อกๆ

“คือ คือผมไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนนะครับ แต่ลูกค้ามาเต็มเลย พวกผมจะคุมไม่ไหวแล้ว”

ซึ่งน้ำเสียงของคนเคาะนั้นก็น่าสงสารเกินกว่าที่จะด่าได้เต็มปาก สุริยะจึงบ่นสบถกับตัวเองสองสามคำแต่ก็ยอมปล่อยให้จันทร์ออกและแต่งตัวให้กลับมาดูเรียบร้อยแม้ว่าอารมณ์จะยังคงค้างคาอยู่ก็ตาม

“..คืนนี้”

จันทร์พูดขึ้นมาลอยๆ เมื่อแต่งตัวเสร็จและกำลังจะออกจากห้อง

ทำให้สุริยะที่อารมณ์บูดกลับมายิ้มกว้างทันที

“โอเค เจอกันคืนนี้ครับ จันทร์”


=========

ตอนพิเศษตอนสุดท้ายแล้ววว  o22

ดีใจที่ทุกคนชอบนะคะ  :ling3:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : moonmoon p.10 (14/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 14-11-2018 22:00:51
 :o8: :o8: เขิล เขิล เขิลตัวแตกแล้ว
ซันดีกับจันทร์เหลือเกิน
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : moonmoon p.10 (14/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: milkshake✰ ที่ 16-11-2018 01:29:25
เนื้อแท้จริงๆ ของจันทร์คือเหมือนแมวจริงๆ นั่นแหละ
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : moonmoon p.10 (14/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 16-11-2018 05:09:25
ถถถถถ แก๊งค์เสือดุ  :laugh: น่าเอ็นดูแท้
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : moonmoon p.10 (14/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 16-11-2018 12:55:08
อยากอ่านคู่นี้อีก
ขอเพิ่มอีกซักนิดนะคะ
พลีส ฟินคู่นี้มาก
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : moonmoon p.10 (14/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 16-11-2018 14:48:49
ดีใจที่จันทร์ได้รับความสุข


และได้รับความรักที่มากมายจากพี่ซัน


รักกันมากๆแบบนี้ดูแลกันและกันให้ดีตลอดไปนะ
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : moonmoon p.10 (14/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 16-11-2018 23:26:19
 :pig4: :mew1:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : moonmoon p.10 (14/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 17-11-2018 01:52:38
มีน้ำตาตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบเรื่อง เศร้าบ้างซึ้งบ้าง ยิ้มบ้าง เหมือนคนอารมณ์แปรปรวนไปแล้ว555 ขอบคุณคนเขียนมากแต่งได้ดีจนไม่อินและไม่รู้สึกขัดอะไรเลย ขอบคุณสำหรับผลงานดีๆนะ
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : moonmoon p.10 (14/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 19-11-2018 07:10:42
ขอบคุณค่ะ 
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : moonmoon p.10 (14/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 23-11-2018 12:29:02
อบบบบบ มากกกกกก เป็นเรื่องที่นำเสนอความรักในหายรูปแบบจริง   :pig4:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : DAWN p.10 (2/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 02-12-2018 01:01:21
***** เป็นตอนจบที่ค่อนข้างดาร์กและเต็มไปด้วยความรุนแรง *****

ตอนพิเศษ : DAWN

   
กลุ่มควันลอยขโมงเหนือบริเวณลานจัดพิธีการลงนาม ท่ามกลางเสียงคร่ำครวญร้องไห้ระงมของเหล่าผู้คนซึ่งโดนลูกหลงจากกระสุนปืนที่ยังคงไม่หยุดยิงเพราะเหล่าผู้นำของกลุ่มกบฏยังไม่ตาย
   
“ฆ่าพวกมันให้หมด! ”
   
นพวิทย์ตะโกนออกมาอย่างสะใจเมื่อมีโอเมก้านับสิบคนถูกยิงตามจุดสำคัญจนเสียชีวิตคาที่หลายคน นอกจากนี้แล้วบริเวณปลายเท้าของนายแพทย์ยังมีอีกหลายศพที่หนึ่งในนั้นเป็น ‘ลูกชาย’ แท้ๆ ของตัวเอง
   
กลิ่นคาวเลือดลอยอบอวล เหล่าผู้ชุมที่หนีตายต่างร่วงโรยไม่ต่างจากใบไม้ในเดือนตุลา มีหลายส่วนที่ถูกไฟคลอกจนเสียชีวิตและมีอีกหลายส่วนที่ถูกแขวนคอก่อนที่จะนำศพไปประจานตามที่ต่างๆ เพื่อเป็นการประจานและขู่ไม่ให้ใครก็ตามกล้าลุกขึ้นมาต่อสู้อีก
   
“อย่าฆ่าพวกเราเลย! ฮึก อย่าฆ่าเลย”
   
ผู้ชุมนุมคนหนึ่งซึ่งยังไม่ถูกยิงร้องออกมาอย่างขวัญเสีย รู้สึกเจ็บปวดที่พวกพ้องของตัวเองที่เปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์อันแข็งกล้าในเวลานี้กลายเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณ อีกทั้งยังมีสภาพศพที่อเนจอนาถจนยากที่จะตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคลได้ หากแต่ร้องอ้อนวอขอชีวิตได้ไม่ถึงนาทีกระสุนอีกนัดก็เจาะเข้าที่กลางอกทำให้เสียชีวิตทันที
   
เหล่าทหารของทางการที่ยังคงภักดีในระบอบการปกครองแบบเดิมต่างพากันส่งเสียงเฮออกมาอย่างแข็งขันเมื่อท่านรัฐมนตรีประกาศออกมาว่าใครสามารถฆ่าเหล่ากลุ่มกบฎมากที่สุดจะได้รางวัล ห่ากระสุนปืนเดิมที่มากอยู่แล้วมากขึ้นไปอีกเมื่อมีแรงจูงใจ
   
ศพแล้วศพเล่าที่ร่วงโรยไปบนพื้น เหล่าผู้ชุมนุมต่างพากันวิ่งหนีไปตามไปหลบตามสถานที่ต่างๆ พยายามอ้อนวอนร้องขอให้เหล่าชาวบ้านเปิดประตูให้ตัวเองได้เข้าไปหลบซ่อนเพื่อรักษาชีวิต แต่ก็มีส่วนน้อยเหลือเกินที่อ้อนวอนได้สำเร็จเพราะทุกคนล้วนรักตัวกลัวตายกันทั้งนั้น ทันทีที่เหล่าทหารทั้งจากทางการและประเทศที่สนับสนุนเข้ามาประชิดตัวพวกเขาก็ตายแทบจะทันที
   
ในเวลานี้กลิ่นที่รุนแรงกว่ากลิ่นคาวเลือดและควันไฟคือกลิ่นแห่งความสิ้นหวัง ความตายที่มากมายรอบตัวทำให้อุดมการณ์ของเหล่าผู้ชุมนุมนั้นเริ่มจะสั่นคลอน มีบางคนที่พยายามขอร้องอ้อนวอนให้เหล่าทางการไว้ชีวิตแต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏและการฆ่ากบฏก็ถือว่าไม่เป็นบาป หนำซ้ำยังถูกยกย่องเชิดชูเกียรติ์อย่างมากจากบางศาสนาที่ได้รับการสนับสนุนมาอย่างดีตลอดจากรัฐบาล
   
เพราะคำว่า ‘ไม่บาป’ ทำให้ศีลธรรมอันดีงามในใจของเหล่าคนทั่วไปเริ่มเบาบางลง
   
กลุ่มอัลฟ่าและเบต้าที่ยังได้ประโยชน์จากระบอบการปกครองนี้จึงต่างพากันมาช่วยฆ่าล้างบางเหล่ากบฏที่จะมาทำลายความมั่นคงของชาติ เพื่อที่ระบอบการปกครองที่เอื้อหนุนพวกเขาได้ดำรงอยู่ต่อ
   
“ระบบชนชั้นจงพินาศ ความเสมอภาคจงเจริญ! ”
   
โอเมก้าคนหนึ่งซึ่งกำลังถูกรุมประชาทัณฑ์จากประชาชนบางส่วนกู่ร้องออกมาเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่ยังยึดมั่นในอุดมการณ์และมีลมหายใจ แต่น่าเสียดายที่เสียงตะโกนที่เคยมากมายท่วมท้นค่อยๆ หายไปทีละส่วน เหล่าสื่อมวลชนที่ควรทำหน้าที่สื่อที่ดีประกาศความจริงให้ประชาชนทั่วไปรับรู้ในเวลานี้ก็ต่างพากันปิดสัญญาณ ไม่มีใครกล้าถ่ายทอดสดแม้แต่คนเดียวเพราะถูกปลายกระบอกปืนจ่อหัว
   
เวลาค่อยๆ ไหลเลื่อนไปหากแต่ในสายตาของกลุ่มอีกานั้นราวกับนานชั่วกัลป์ ไอทีซึ่งแฮ็คระบบกล้องวงจรปิดบริเวณงานจ้องมองภาพที่ปรากฎบนหน้าจออย่างสิ้นหวัง รับรู้ถึงน้ำตาที่ไหลรินออกจากดวงตาไม่หยุดเมื่อเห็นถึงการฆ่าล้างมนุษย์ด้วยกันเองราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คน
   
“…ฮึก”
   
เหล่าโอเมก้าที่พอจะรู้ข่าวจากการแอบไลฟ์สดของกลุ่มอีกาที่ยังเหลือรอดอยู่ร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง พวกเขาไม่มีอะไรที่สามารถไปต่อกรกับฝ่ายรัฐบาลได้ด้วยซ้ำ กลุ่มคนที่เคยมีใจเอนเอียงมาฝั่งกบฏเมื่อประจักษ์ถึงความรุนแรงต่างก็พากันแปรพักตร์กลับอย่างรักตัวกลัวตาย อย่างไรก็ตามคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในกลุ่มนี้คือเบต้า ไม่ว่าใครจะได้รับชัยชนะจากการต่อสู้พวกเขาก็ได้รับประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยเท่านั้น ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะมาทิ้งชีวิตให้กับอุดมการณ์เลื่อนลอยที่ขายฝันและความสวยงามของสังคม
   
เพียงไม่กี่ชั่วโมงจำนวนตัวเลขของสมาชิกกลุ่มอีกาก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ทั้งจากการเสียชีวิต การถอนตัว การยอมจำนนต่อรัฐบาลเพื่อรักษาชีวิตตัวเอง หากแต่ความไม่สงบก็ยังไม่จบลงเมื่อยังมีปลาใหญ่เล็ดรอดออกจากแหของเพชฆาตในนามของรัฐบาลยังมีชีวิตรอดอยู่
   
“พวกเราก็แค่ร้องขอความเท่าเทียมเท่านั้นเอง”
   
วุ้นซึ่งขโมยชุดทหารสหรัฐที่พลาดยิงกันเองตายมาใส่ตะโกนออกมา ขณะที่ยืนอยู่บนรถยนต์คันหรูที่พาเหล่าคนสำคัญของฝ่ายรัฐบาลมายังสนามที่เป็นลานประหารในวันนี้ มือที่เหลือเพียงข้างเดียวกำธงของกลุ่มอีกาแน่นและชูมันขึ้นมาแม้ว่าธงจะถูกเผาไปไปครึ่งหนึ่งแล้วก็ตาม
   
ปลายกระบอกจากเหล่าทหารทั้งหน่วยซีลและรัฐบาลที่กำลังเล็งไปยังเหล่าผู้ชุมนุมจึงเบนมาทางวุ้นทันที หากแต่ก็ยังไม่มีใครกล้ายิงเมื่อหัวหน้าฝ่ายรัฐมนตรีอย่างภคินยกมือขึ้นห้ามเพราะอยากจะรู้ว่ากบฏไร้ค่าอย่างวุ้นต้องการจะพูดอะไรอีก
   
“ฮึก พวกเรา พวกเราก็เป็นคนนะ ทำไมถึงต้องทำขนาดนี้”
   
นัยน์ตาของวุ้นแดงก่ำเมื่อมองไปเห็นผู้นำของกลุ่มตัวเองถูกแขวนคอไว้ที่ต้นไม้ต้นหนึ่งกลางสนามและถูกล้อมรอบด้วยผู้คนมากมาย มีหลายคนที่ขว้างปาหินใส่และมีบางคนที่หยิบเก้าอี้ออกมาฟาดระบายความโกรธแค้นออกมา ซึ่งไม่ใช่เพียงสิตคนเดียวที่ถูกกระทำใส่อย่างต่ำช้า เหล่าเพื่อนร่วมอุดมการณ์คนสำคัญของเขาอีกหลายคนก็ถูกกระทำกับศพอย่างน่าสะพรึงกลัว ทั้งถูกตอกลิ่มที่อก ปัสสาวะรด เผาทั้งเป็น หรือแม้แต่การลากศพไปตามพื้นราวกับไม่ได้เป็นมนุษย์มาก่อนแต่เป็นสัตว์บางอย่างที่ไร้ค่าและสมควรตาย
   
“ทำไมพวกเราถึงต้องตาย! ฮึก พวกเราก็ขอแค่ความเท่าเทียมเท่านั้นเอง มันไม่ได้มากอะไรเลย ฮึก มันไม่ได้มากอะไรเลยจริงๆ.. ทำไมต้องทำถึงกับพวกเราขนาดนี้”
   
เสียงของวุ้นเบาลงเรื่อยๆ ตามความหวังที่ใกล้มอดลงทุกทีและในที่สุดขาทั้งสองก็ไม่อาจประคองร่างของวุ้นได้อีกต่อไปเมื่อถูกห่ากระสุนยิงใส่ตามคำสั่งของฝ่ายรัฐบาล
   
“..ระบบชนชั้นจงพินาศ ความเสมอภาคจงเจริญ”
   
ถึงแม้ร่างกายบางส่วนจะถูกกระสุนแต่วุ้นก็ยังพยายามยืนหยัดในอุดมการณ์ สองมือยังประคับประคองให้ธงแห่งความเสมอภาคตั้งฉากกับรถของเหล่ารัฐบาล พยายามประกาศถึงเจตนารมณ์จวบจนถึงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต
   
ปัง!
   
กระสุนนัดหนึ่งเจาะเข้าที่หัวของหนึ่งในความหวังของกลุ่มกบฏ
   
ร่างสูงโปร่งของวุ้นล้มหงายหลังตกลงจากหลังคารถไปพร้อมกับธง
   
โดยมีฉากหลังเป็นความยินดีปรีดาของเหล่ารัฐบาล

   

ทันทีที่หัวหอกของกลุ่มกบฏถูกฆ่าและจับกุมจนหมด ทางรัฐบาลก็ประกาศชัยชนะโดยอาศัยสื่อทุกช่องทางและมีการจัดงานเฉลิมฉลองให้กับระบบการปกครองแบบเดิมที่ยังคงสามารถดำรงอยู่พร้อมกับประกาศใช้กฎหมายใหม่ที่มีความเข้มงวดกวดขันมากกว่าเดิม
   
เหล่าโอเมก้าทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อกบฏนั้นมีโทษจำคุกตลอดชีวิตและริบทรัพย์สินทั้งหมดให้เป็นของรัฐบาล ส่วนเบต้าและอัลฟ่าที่มีส่วนเกี่ยวข้องนั้นได้ถูกลดหลั่นโทษลงมาด้วยการจำคุกสี่ห้าปีเท่านั้นแต่ต้องติดตั้งอุปกรณ์ติดตามตัวของรัฐบาลไว้ตลอดเวลาเพื่อแสดงความภักดีต่อทางการ
   
แน่นอนว่าชีวิตหลังการพยายามปฏิวัตินั้นเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละขั้วจากเมื่อก่อน จากที่คิดว่ามันจะเลวร้ายกว่านี้ไม่ได้ตอนนี้กลับเลวร้ายมากกว่าเดิมอีกนับพันเท่า เหล่าโอเมก้าที่ไม่ถูกจับกุมนั้นต่างพากันใช้ชีวิตเคล้าน้ำตา พวกเขาไม่มีสิทธิ์ในการศึกษาร่ำเรียนในช่วงมัธยมปลายอีกต่อไปเพราะทางการไม่อนุญาต หนำซ้ำยังไม่มีสิทธิ์มีเสียงในการเลือกตั้งและถูกบีบให้ประกอบอาชีพที่มีรายได้ต่ำเท่านั้น
   
ส่วนเงิน ไอที และเหล่าสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่มกบฏนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ในพื้นที่ที่ไกลออกไป พยายามสานต่อเจตนารมณ์ของกลุ่มอีกาด้วยการโน้มน้าวชักจูงผู้คนใหม่อีกครั้ง แต่ก็เป็นไปได้ยากเหลือเกินเพราะความรุนแรงที่เกิดทำให้เหล่าผู้คนนั้นกลัวจนหัวหด
   
ซึ่งคนที่มีอำนาจพอจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้างก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงเพราะยังคงได้รับประโยชน์จากระบอบการปกครองแบบนี้อยู่ และสิ่งที่แย่ไปกว่านั้นคือทางรัฐบาลก็ฉลาดพอที่จะสนับสนุนคนกลุ่มนี้ให้รวยมากขึ้นไปอีก โดยการออกนโยบายต่างๆ ที่เกื้อหนุนต่ออุปโภคบริโภคของประชาชนที่มีฉากหน้าเพื่อให้ความช่วยเหลือหากแต่ความจริงแล้วเป็นการบีบบังคับให้ประชาชนใช้จ่ายกับสิ่งกลุ่มทุนที่เกี่ยวข้องจนเหล่านายทุนนี้รวยขึ้นไปเรื่อยๆ
   
แน่นอนว่านโยบายเหล่านี้คล้ายจะทำให้ประชาชนสุขสบายแต่ความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะความจริงแล้วมันคือระเบิดเวลา ระเบิดที่สามารถทำลายล้างทุกอย่างได้ในพริบตา
   
มันจะฆ่าเหล่าเบต้าที่นิ่งนอนใจปล่อยให้ตัวเองสิทธิ์ของตัวเองถูกลิดรอนอย่างทองไม่รู้ร้อน
   
มันจะหลอมละลายลายเหล่าโอเมก้าที่น่าสงสารให้มีชีวิตที่แย่ยิ่งกว่าเดิม
   
สิ่งมีชีวิตเดียวที่จะเหลือรอดคือเหล่าอัลฟ่าผู้สูงส่งที่แสร้งตกอกตกใจกับระเบิด หากแต่ความจริงแล้วเป็นผู้จุดระเบิดด้วยซ้ำไป
   
ซึ่งระเบิดเวลาที่ว่านี่ก็คือ ‘เศรษฐกิจ’
   
ระบบการปกครองที่ไม่โปร่งใสและไร้การตรวจสอบจะทำให้เกิดการคอร์รัปชั่น เหล่าคณะกรรมการตรวจสอบที่ถูกจัดตั้งขึ้นก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรนักเพราะถูกป้อนคำตอบสำเร็จรูปให้แล้ว หากตอบคำตอบอื่นก็จะถูกปลดออกและนำคนที่หัวอ่อนกว่านี้เข้ามาเสียบแทน
   
แน่นอนว่าผลเสียของการคอร์รัปชั่นคือการที่ประเทศสูญเสียผลประโยชน์ให้กับคนกลุ่มเดียวอย่างมหาศาล การไม่สามารถตรวจสอบที่มาที่ไปของสิ่งต่างๆ ทำให้เหล่าผู้มีอำนาจในมือจับจ่ายใช้สอยกันอย่างสนุกสนานจนทำให้เงินในคลังร่อยหรอจนต้องไปกู้ธนาคารต่างประเทศ เพิ่มหนี้ให้กับประเทศและคนที่ชดใช้ก็ไม่ใช่ใครนอกจากประชาชน
   
หนี้ต่อหัวที่มากขึ้นทำให้ภาษีต่างๆ เพิ่มมากขึ้น
   
เหล่าประชาชนที่ปกติปากกัดตีนถีบอยู่แล้วในเวลาก็ถึงคราวต้องล้มตาย ถึงแม้จะมีการช่วยเหลือจากรัฐบาลเป็นเงินจำนวนหนึ่งทุกเดือนแต่มันก็ไม่เพียงพอ เพราะพวกเขาต้องใช้เงินมากกว่านั้นในแต่ละวันกับค่าครองชีพที่สูงเทียมฟ้าในประเทศที่ระบบการปกครองต่ำช้ายิ่งกับที่ใด
   
“ผม ผมขอเพิ่มเงินเดือนได้ไหม”
   
โอเมก้าคนหนึ่งซึ่งทำงานเป็นคนรับใช้เอ่ยขออัลฟ่าซึ่งเป็นนายตัวเองอย่างน่าอดสู ใบหน้าของโอเมก้าคนหนึ่งตอบจนแทบไม่มีกล้ามเนื้อ แววตาหมองคล้ำอย่างคนนอนน้อยเพราะทำงานหนักทุกวันจนมีเวลานอนไม่ถึงสี่ชั่วโมง แต่ถึงกระนั้นเงินที่ได้แต่วันก็ไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัวของเขา
   
“ไม่! ”
   
อัลฟ่าซึ่งเป็นนายคำรามออกมาอย่างกราดเกรี้ยวเมื่อโอเมก้าที่น่าขยะแขยงทำท่าจะถลาเข้ามากอดขาข้อร้อง เคราะห์ดีที่บอดี้การ์ดคนสนิทเตะออกไปก่อน ขาของเขาจึงยังคงสะอาดสะอ้านเหมือนเดิม
   
“ฮึก ขอร้องล่ะ ครอบครัวผมไม่มีอะไรกินกันแล้ว”
   
โอเมก้าวัยกลางคนร้องไห้คร่ำครวญออกมาอย่างใจสลาย ลูกชายคนโตของเขากำลังจะอดตายเหมือนลูกสาวคนเล็กที่เพิ่งเสียไปเมื่อสามเดือนก่อน เขาไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมข้าวของที่เคยถูกถึงได้แพงจนน่าใจหายขนาดนี้ เงินที่ได้ในแต่ละวันแทบไม่พอซื้อข้าวมื้อหนึ่งด้วยซ้ำ
   
“เอามันออกไป” อัลฟ่าหนุ่มเอ่ยปากไล่อย่างไม่ใส่ใจซึ่งคำสั่งนี้ก็มีผลให้คนสนิทลากตัวหัวหน้าครอบครัวที่น่าสงสารออกไปทันที
   
คนที่ใช้ชีวิตอยู่แต่บนสรวงสรรค์ย่อมไม่เข้าใจถึงความทุกข์ยากในนรกกาล พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความหิวความอดอยากคืออะไร หนำซ้ำพวกเขามีความคิดแบบเดียวกับพระนางมารี อังตัวแน็ตที่มีวลีดังว่า ‘ถ้าขนมปังแพง ก็กินเค้กแทนสิ’
   
แน่นอนว่าพวกเขาคือพวกที่สามารถกินขนมปังได้ตลอดชีวิต ไม่จำเป็นต้องกินเค้กที่มีราคาถูกกว่าแต่อย่างใด
   
“ไม่ ไม่! ฮึก ผมขอร้อง อย่าทำแบบนี้”
   
เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายร้องออกมาดังลั่น เมื่อถูกโยนออกมาจากคฤหาสน์หลังโตที่ต่อให้ใช้เงินเก็บทั้งชีวิตก็ไม่สามารถซื้อได้แม้แต่หน้าต่างสักบาน ใบหน้าของเขาเปื้อนด้วยน้ำตาที่เป็นเลือด ทั้งเนื้อทั้งตัวคลุกด้วยดินสกปรกที่ถมทางเท้า
   
เขารู้สึกอึดอัด เจ็บปวด ไม่เข้าใจ
   
แต่สิ่งชัดเจนในใจของเขาคือความเหลื่อมล้ำที่มากพอที่คร่าชีวิตครอบครัวของเขาได้ทั้งครอบครัว
   
เขาร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวังขณะที่เดินกลับไปหาครอบครัวของตัวเองซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของเมือง ย่านนั้นเป็นย่านใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับการอยู่ของเหล่าโอเมก้าโดยเฉพาะ แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้เพียงพอต่อประชากรโอเมก้าที่เริ่มมีจำนวนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
   
นับว่าเป็นเรื่องตลกร้ายที่ไม่มีโอเมก้าคนไหนขำออกสักคน
   
“..ไม่เป็นไร มันต้องไม่เป็นไร อีกไม่นานต้องหางานใหม่ได้แน่”
   
เขายังคงจมจ่ออยู่กับความทุกข์โศก พยายามปลอบประโลมตัวเองทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าต่อให้ได้งานเขาก็ไม่มีวันหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวได้ไหวอยู่ดี ถ้าเกิดเงินที่เขาได้ยังเป็นเศษเงินของเหล่าเศรษฐีอยู่ ยิ่งคิดถึงเรื่องเหล่านี้ก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดถึงความอยุติธรรมในสังคมที่เกิดขึ้นอย่างปกติจนกลายเป็นความผิดปกติที่กลายเป็นตรรกะถูกต้องในสังคมไปเสียแล้ว
   
เอาเข้าจริงเขาเชื่อว่าตัวเองจะไม่เจ็บปวดขนาดนี้ ถ้าไม่เคยสัมผัสความเท่าเทียมมาก่อน ถึงแม้มันจะเกิดขึ้นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ในช่วงปฏิวัติแต่มันก็ทำให้เขามีความสุข มีความหวังว่าตัวเองจะสามารถหลุดพ้นจากชีวิตห่วยๆ สวัสดิการรัฐโหลยโท่ย ระบบการขนส่งมวลชนที่แสนจะกะโหลกกะลาและความเหลื่อมล้ำที่นับวันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
   
ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ในที่สุดก็มาถึงที่หน้าห้องซอมซ่อของตัวเองที่เคยมีสมาชิกครอบครัวอาศัยถึงสี่คนในนั้น
   
“..ไม่เป็นไร มันจะไม่เป็นไร”
   
เขากล่อมตัวเองด้วยคำว่าไม่เป็นไรมาตลอด แม้ว่าเขาจะรู้ว่าคำว่าไม่เป็นไรของตัวเองนั้นไม่เคยช่วยทำให้อะไรดีขึ้นเลย แต่แล้วยังไงล่ะ แค่เขาสามารถประคองสติตัวเองไม่ให้เสียสติไปก่อนก็นับว่าเป็นบุญโขแค่ไหนแล้ว
   
มือหยาบกร้านผลักประตูไม้เก่าเข้าไปก่อนที่จะพบว่าภรรยาของตัวเองนั่งกอดลูกไว้แนบอกตัวสั่นระริก แน่นอนว่าเขาพุ่งตัวเข้าไปหาอีกฝ่ายโดยไม่ต้องคิดทันที
   
“เกิดอะไรขึ้น หม่อน”
   
เขาถามอย่างตื่นตระหนก รับรู้ถึงการหายใจอันหอบกระชั้นของตัวเอง
   
เขากำลังหวาดกลัว
   
“ฮึก กอล์ฟไปแล้วพี่” ภรรยาที่เคยแสนสวยของเขาพูดด้วยสีหน้าราวกับโลกกำลังจะถล่มลงไปมาในอีกไม่ช้า “กอล์ฟไปอยู่กับน้องบีแล้ว”
   
“…”
   
ลางสังหรณ์ของเขาเป็นจริง ลูกชายคนโตของเขาตายแล้วด้วยความอดอยากและอาการป่วยเรื้อรังที่เขาไม่มีปัญหาหาเงินมารักษาได้แต่ประคับประคองอาการไปเรื่อยๆ
   
“ฮึก”
   
เขาโถมกอดภรรยาร้องไห้ออกมาอย่างใจสลาย
   
   
ผ่านไปสิบห้าปีหลังการปฏิวัติ ความโกรธเคืองคับแค้นใจของโอเมก้านับวันก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าจะถูกรัฐบาลจับตามองตลอดเวลาแต่เหล่าโอเมก้าก็มีวิธีการของตัวเองในการติดต่อสื่อสารกัน พวกเขาใช้กระดาษพูดคุยและนัดหมายกันถึงการก่อการปฏิวัติครั้งใหม่
   
วาดฝันถึงอนาคตแม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่ามันอาจจะไม่สำเร็จอีก พวกเขาอาจจะโดนฆ่ากันอีก แต่แล้วยังไงล่ะ สิ่งที่กำลังทุกข์ทนอยู่ต่อนี้ก็เหมือนตายทั้งเป็นไม่ใช่หรือ การถูกกดหัวให้ต่ำเยี่ยงสัตว์ ไม่ให้การศึกษา ทำให้โง่เขลาและควบคุมง่าย
   
พวกเขาทนกันมามากพอแล้วและมันถึงเวลาสักทีที่พวกเขาจะโต้กลับบ้าง
   
“บอกตามตรงว่าผมไม่มั่นใจว่าการปฏิวัติครั้งนี้จะสำเร็จไหม”
   
น้ำเสียงทุ้มต่ำดังกังวานต่อหน้าผู้คนนับหมื่นที่มารวมตัวกันเพื่อที่จะกล่าววาทกรรมชุดสุดท้ายก่อนที่จะเดินขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาลเพื่อประท้วงอย่างสันติ ซึ่งคนที่พูดนั้นก็คือไอทีที่ผันตัวมาเป็นหนึ่งในผู้นำการปฏิวัติครั้งนี้ เฉกเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในกลุ่มปฏิวัติครั้งเก่าที่ยังเหลือรอด พวกเขาล้วนเติบโตกันหมดแล้วและเฝ้ารอที่จะทำการปฏิวัติอีก
   
“ครั้งที่แล้วผมเสียเพื่อน เสียครอบครัว สูญเสียทุกๆ อย่างไปมากเหมือนที่พวกคุณเคยเสีย”
   
แววตาของไอทีนิ่งสงบยามที่นึกถึงความสูญเสียครั้งใหญ่เมื่อตอนนั้นที่ทำให้คนหลายคนแทบเสียสติ ซึ่งหนึ่งนั้นก็รวมถึงเขาด้วย แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้บ้า เขาเลยเลือกที่จะสานต่อเจตนารมณ์และอุดมการณ์ของผู้คนในอดีต
   
“จนถึงตอนนี้พวกเราก็สูญเสียกันมามากและไม่เคยหยุดสูญเสีย ตราบใดที่รัฐบาลนี้ยังคงดำรงอยู่ ชีวิตของพวกเราก็จะไม่มีวันดีไปมากกว่านี้”
   
ไอทีพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวขึ้นเพื่อปลุกกำลังใจให้กับพวกพ้องใหม่ของเขาในคราวนี้
   
“ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเปลี่ยนแปลงมัน ถึงเวลาแล้วที่ระบอบการปกครองที่เต็มไปด้วยความผิดปกตินี่จะหยุดสักที ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะเท่าเทียมกัน! ”
   
เสียงเฮรับดังกึกก้องก่อนที่เคลื่อนขบวนจะเดินจากย่านถิ่นที่อยู่พวกโอเมก้าไปยังทำเนียบรัฐบาลที่ในเวลานี้กำลังต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองจากนานาประเทศที่มาประชุมเรื่องสันติภาพในวันนี้
   
“หวังว่าครั้งนี้จะสำเร็จ”
   
เงินเปรยขึ้นเบาๆ ยามที่มองกลุ่มชนที่กำลังเดินเข้าในเมือง
   
ไอทีหัวเราะในลำคอขณะที่มองดวงอาทิตย์สีแดงก่ำที่กำลังจะขึ้นในอีกไม่ช้า
   
“ต่อให้ครั้งนี้ไม่สำเร็จ ครั้งหน้าก็อาจจะสำเร็จ”
   
รัฐบาลอาจจะคิดว่าแค่การฆ่าเหล่าหัวหน้ากลุ่มปฏิวัติก็เพียงพอแล้วสำหรับการหยุดความกล้าของประชาชน แต่แน่นอนว่ามันเป็นความคิดที่ผิด เพราะตราบใดที่ความคิดและอุดมการณ์ยังดำรงอยู่ การปฏิวัติก็จะเกิดขึ้นได้เสมอ
   
ถึงแม้ครั้งนี้ไม่สำเร็จ ครั้งหน้าจะไม่สำเร็จ
   
พวกเขาก็จะพยายามต่อไป
   
จนกว่าความอยุติธรรมจะหายไป

=======

ตอนนี้ไม่ใส่ในรวมเล่มนะคะ

ถือว่าอ่านสนุกๆ แล้วกันค่ะ  :z10:

หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : DAWN p.10 (2/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-12-2018 16:10:44
ดราม่าสุดๆ
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : DAWN p.10 (2/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 02-12-2018 23:02:51
 :z10: :z10: :z10: :z10:
6 ต.ค.2516  :z10: 16 ต.ค. 2519

สงสารคนที่อดอยากแล้วตายกัน งืออออ
ดราม่าหนัก  :katai5:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : DAWN p.10 (2/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Bebii123 ที่ 25-02-2020 20:49:59
สนุกง่าาาา  :pig4:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : DAWN p.10 (2/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 29-02-2020 09:51:45
บอกเลยอ่านเรื่องนี้มีหลายอารมณ์มากเศร้าแต่น้ำตาไหลไม่ออก เจ็บปวดความเห็นแก่ตัวของพ่อแม่จ้าวจันทร์เลื้ยงลูกแบบพ่อแม่รังแกฉันเต็มๆ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : DAWN p.10 (2/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 03-03-2020 12:55:34
อ่านเรื่องนี้แล้ว เกลียดพ่อแม่ จันทร์กับจ้าวมาก
พ่อแม่รังแกฉัน
ดาร์กมากเลยเรื่องนี้ แต่สนุกมากค่ะ อ่านแล้งวางไม่ลงจริงๆ
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : DAWN p.10 (2/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-03-2020 00:14:13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ ตอนพิเศษ : DAWN p.10 (2/12/61)
เริ่มหัวข้อโดย: BuzZenitH ที่ 17-03-2020 13:53:36
อ่านรวดเดียวจบ สนุกกกกก ไม่อยากให้จบเลย  :ling1:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ แจ้งข่าวรวมเล่ม p.10
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 17-03-2020 22:50:26
หายไปนานมาก วันนี้มาแจ้งข่าวว่าได้รวมเล่มกับทางสำนักพิมพ์ Lavender Publishing By B2S ค่ะ  :hao5:


ซื้อก่อนสิ้นเดือนนี้จะอยู่ที่ 359 บาทค่ะ

(https://sv1.picz.in.th/images/2020/03/17/Q1HEBQ.jpg)


ไม่มีใครอยากตกเป็น 'เหยื่อ'

‘จ้าว’ อัลฟ่าหนุ่มหรืออดีตนักร้องดังผู้โดนกล่าวหาในคดีฆ่าคนตาย หลังจากถูกปล่อยตัวออกจากคุกได้ไม่นานจ้าวก็พบว่าสิ่งที่รอเขาอยู่ไม่ใช่อิสรภาพอย่างที่ฝันแต่กลับเป็นความจริงที่ต้องเผชิญ เพราะนอกจากจะถูกทำให้กลายเป็นโอเมก้าแล้วเขายังต้องถูกส่งตัวไปโครงการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ที่ทำให้โอเมก้าตายนับพัน
ความสิ้นหวังเกาะกุมจิตใจของจ้าวจนเจ้าตัวทนรับแทบไม่ไหว สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวเขาเอาไว้คือกุหลาบสีขาวจากอัลฟ่าลึกลับคนหนึ่งที่ช่วยประคับประคองเขาไม่ให้เสียสติไปซะก่อน

“จ้าว”
“ผมเชื่อนะว่าคุณไม่ได้ทำ”

“…”

PREY เหยื่อ { OMEGAVERSE }
ผู้แต่ง :Foggy Time.
ISBN : 9786164990630
ราคา : 399 บาท
สิ้นเดือนนี้เจอกันที่ร้าน B2S ทุกสาขาและร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศไทย

ทางออนไลน์ส่งข้อความหาแอดมินทางเพจ

ช่องทาง Shopee (ช้อปปี้) ลิงก์นี้

https://bit.ly/39T0vVg

หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ แจ้งข่าวรวมเล่ม p.10
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 18-03-2020 22:18:28
 :pig4:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ แจ้งข่าวรวมเล่ม p.10
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 20-03-2020 00:12:15
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ แจ้งข่าวรวมเล่ม p.10
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 26-03-2020 12:46:38
สายดาร์กมาเลย อ่านจนจบ ดีใจที่จ้าว มีความสุข พี่เหมันต์ดูแลน้องดีมาก รัก..รัก..รัก นะคนเขียน
 :mew1: :mew1: :mew1: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ แจ้งข่าวรวมเล่ม p.10
เริ่มหัวข้อโดย: nuch-p ที่ 29-03-2020 07:15:40
 :hao5:สุดๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ แจ้งข่าวรวมเล่ม p.10
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 11-03-2024 14:05:48
ดีแทค ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 803บ./90วัน กด *104*591*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,284บ./180วัน กด *104*592*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,926บ./365วัน กด *104*593*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,069บ./90วัน กด *104*594*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,498บ./180วัน กด *104*595*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 2,675บ./365วัน กด *104*596*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *104*388*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *104*389*8488034#
เน็ตดีแทค 8 Mbps(เม็ก) 95บ./8วัน กด *104*897*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,711บ./90วัน กด *104*598*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 2,139บ./180วัน กด *104*578*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 3,745บ./365วัน กด *104*579*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *104*398*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,188บ./30วัน กด *104*597*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 139บ./7วัน กด *104*77*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 535บ./30วัน กด *104*97*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 246บ./7วัน กด *104*78*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 696บ./30วัน กด *104*98*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 375บ./7วัน กด *104*79*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*798*8488034#
เน็ตดีแทค 2 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 380บ./30วัน กด *104*237*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 470บ./30วัน กด *104*236*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 193บ./7วัน กด *104*841*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*842*8488034#
ยกเลิกเน็ต  กด  *103*0# โทรออก
ดีแทค  เช็คเน็ต คงเหลือ กด *101*1# โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง กด *102# โทรออก
ยกเลิก SMS กินเงิน กด *137 โทรออก
เช็คเงิน คงเหลือ กด *101# โทรออก 
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ กด 1678 โทรออก
เน็ตไม่อั้น ไม่ลดสปีด  โปรรวม
สมัครง่ายๆ กดตามได้เลยค่ะ
#โปรเน็ตสุดฮิต  DTAC
โปรที่คุ้มที่สุดของการใช้เน็ต
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด #โปรเน็ตดีแทค #เน็ตดีแทคเติมเงิน #โปรดีแทครายสัปดาห์ #โปรดีแทครายวัน #โปรแทครายเดือน #โปรเน็ตDTAC #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน #DTAC #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #โปรเสริมDTAC #โปรเสริมดีแทค
https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368 (https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I (https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg (https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg (https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg)


ดีแทค ระบบเติมเงิน Dtac เน็ตไม่อั้น เร็ว 12 Mbps เม็ก หมดเขต 30 เมษายน 2567
https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc (https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc)


ดีแทค ระบบเติมเงิน เน็ตไม่อั้น เร็ว 30 Mbps(เม็ก) นาน 30 วัน ราคา 350 บาท แถมโทรฟรีทุกค่าย
https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA (https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA)