ตอนที่ 32
ทันทีที่จันทร์อ่านเอกสารจบก็แทบจะปกปิดความปิติยินดีไว้ไม่อยู่แม้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำจะไม่ใช่สิ่งที่พ่อร้องขอก็ตาม จันทร์กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังห้องวิจัยซึ่งเป็นที่ทำงานของทุกคนในทีมรวมถึงเขาด้วยในบางเวลา
และเมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปก็พบว่าทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา กำลังดื่มฉลองให้กับความสำเร็จเล็กๆ ที่มีเพียงกลุ่มวิจัยรู้และแน่นอนว่าพวกเขาไม่อาจแพร่งพรายไปนอกจากเจ้าของโครงการอย่างจันทร์จะอนุญาต
ซึ่งเมื่อทุกคนเห็นหัวหน้าของตัวเองก็รีบวางแก้วและโน้มหัวเชิงทำความเคารพทันที แม้ว่าจะทำงานร่วมกันมานานแต่พวกเขาก็ไม่เคยรู้สึกสนิทสนมกับหัวหน้าของตัวเองสักนิด มีเพียงความเคารพทั้งในแง่หัวหน้าและความเฉลียวฉลาดจากก้นบึ้งของหัวใจ
จันทร์ที่ถึงแม้จะไม่ได้อายุมากที่สุดในกลุ่มวิจัยผงกหัวกลับอย่างมีมารยาท รอยยิ้มบนใบหน้าที่มักจะนิ่งเฉยทำให้ทุกคนในกลุ่มวิจัยประหลาดใจเพราะน้อยครั้งที่จะเห็นรอยยิ้มจากจันทร์
“ทุกคนทำได้ดีมาก” จันทร์ยิ้มกว้างกว่าเดิม “มันสามารถใช้ในมนุษย์ได้อย่างปลอดภัยแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ ผลออกมาดีมาก”
หลังจากที่สบตากันในกลุ่มเชิงหารือว่าใครจะเป็นคนสรุป คนที่ก้าวออกมาคนแรกก็คือหญิงสาวผู้เป็นโอเมก้าหนึ่งเดียวในกลุ่มที่เพิ่งเข้ามาช่วยงานเมื่อไม่นานมานี้ แน่นอนว่ายาที่สามารถเปลี่ยนอัลฟ่าเป็นโอเมก้า เธอก็มีส่วนเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย
“กลุ่มทดลอง G17 รอดหมดทุกคนใช่ไหม”
สิ่งที่จันทร์พูดถึงนั้นคือกลุ่มอัลฟ่า เบต้า และโอเมก้าที่สมัครใจในการเข้าร่วมโครงการลับนี้โดยมีของล่อตาล่อใจเป็นเงินจำนวนมหาศาลแต่ก็มีหลายคนในกลุ่มที่ปฏิเสธที่จะรับมัน เพราะต้องการเข้าร่วมเพือผลประโยชน์ของมวลมนุษยชาติเฉยๆ สิ่งที่พวกเขาพยายามทำถ้าหากมันสำเร็จสามารถเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ได้เลย
สงครามจากความแตกต่างอาจจะยุติลง
พวกเขาหวังอย่างนั้นจึงไม่ลังเลที่จะอาสาและสละชีวิตถ้าเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา อย่างไรเสียไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็มีโอกาสตายกันหมดท่ามกลางสภาวะสงครามที่ไม่มีท่าทีจะจบลงง่ายๆ ไม่สู้ตายแล้วยังมีประโยชน์จะดีกว่าหรือ
“ค่ะ รอดหมดทุกคนแล้วเข้าสู่สภาวะที่ต้องการด้วยค่ะ”
ได้ยินดังนั้นจันทร์ก็ยิ้มมากกว่าเดิมด้วยความรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่ตัดสินใจขาดไปแล้วค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้นมาจนจันทร์อดดีใจและเศร้าใจในเวลาเดียวกันไม่ได้
“ขอบคุณสำหรับการพยายามอย่างหนักมาตลอดนะครับ ทุกคน” นัยน์ตาโศกกวาดตามองลูกทีมตัวเองที่มีอยู่จำนวนเจ็ดชีวิตด้วยสายตาภาคภูมิใจ ถึงแม้จะไม่ได้ไว้ใจถึงขั้นกล้าฝากชีวิตแต่จันทร์ก็ยังรู้สึกยินดีที่ได้รู้จักคนเหล่านี้ ในสายตาของทุกคนเขาอาจจะเป็นแค่หัวหน้าที่แสนเย่อหยิ่งและทิ้งระยะห่างแต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับคนอย่างเขา
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผม หลังจากนี้ผมคงต้องฝากโครงการนี้ไว้กับพวกคุณ พวกคุณทุกคนเป็นคนมีความสามารถระดับหัวกะทิ ไม่ว่าคุณจะเป็นอัลฟ่า เบต้า หรือโอเมก้า คุณอยู่ในทีมนี้ได้ถือว่าพวกคุณเก่งมากครับ ถ้าสิ่งที่พวกเราพยายามทำมาทั้งหมดสำเร็จหลังจากนี้ชีวิตของพวกคุณก็ง่ายขึ้นมาก”
เริ่มมีหลายคนในทีมเอะใจในสิ่งที่จันทร์พูด มีไม่กี่ครั้งที่พวกเขาจะถูกชมอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ ไม่ใช่เพราะจันทร์สงวนคำพูดหรือท่าทีอะไร แต่เพราะพวกเขารู้อยู่แล้วว่าหัวหน้าของพวกเขาเป็นคนที่สามารถเข้าใจได้ง่าย แม้จะไม่ได้เอ่ยชมพวกเขาตรงๆ แต่การได้เงินโบนัสพิเศษเพิ่มจากเงินเดือนทั่วไปก็ถือว่าชัดเจนมากพอแล้ว
“ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วล่ะ” จันทร์ยังคงยิ้มก่อนจะเหลือบมองหญิงสาวโอเมก้าเพียงหนึ่งเดียวที่ถือว่าเป็นสุดยอดหัวกะทิของกลุ่มวิจัย “หลังจากนี้ถ้าผมไม่อยู่แล้ว ผมฝากคุณด้วยล่ะ ณิชา”
“ค่ะ” ณิชายิ้มรับก่อนที่จะถามในสิ่งที่ทุกคนต้องการจะรู้พอดี “ขออนุญาตถามได้ไหมคะ”
“อืม ว่ามาสิ”
“ที่บอกว่าไม่อยู่นี่หมายความว่ายังไงเหรอคะ”
นัยน์ตาโศกหรี่ตามองคนพูดเล่นเอาคนถามเสียวสันหลังวาบ
“เดี๋ยวเธอก็รู้เอง อีกไม่นานหรอก แต่อย่าลืมที่ผมสั่งล่ะ ถ้าผมเป็นอะไรขึ้นมา ผมฝากให้ทุกคนดูแลโครงการนี้ต่อด้วย ผมรู้ว่าพวกคุณทำได้”
จันทร์ฉีกยิ้มเศร้าๆ ให้กับกลุ่มวิจัยที่คาดว่าน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเดินออกจากห้องและมุ่งหน้าออกจากตึก เสียงขวดยาที่ฉวยหยิบมาจากห้องวิจัยนับสิบขวดดังกระทบกันเมื่อร่างผอมกระโจนขึ้นมอเตอร์ไซด์ของพนักงาน ใช้ความเป็นประธานบริษัทในการขอยืม ทำให้เจ้าของรถลนลานขอโทษขอโพยให้ยืมแต่โดยดีแม้จะงุนงงว่าทำไมถึงไม่ยอมนั่งรถประจำตำแหน่งที่มีคนขับประจำ
“…”
น่าแปลกที่อยู่ๆ จันทร์ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมากับสิ่งที่ตัวเองคิดจะทำเพราะมันไม่เคยอยู่ในครรลองความคิดมาก่อน ว่าจะพาตัวเองมาเสี่ยงถึงขนาดนี้ ไม่สิ เขาไม่กล้าออกจากกรอบที่พ่อวางไว้ให้ด้วยซ้ำ
ตูม!
เสียงระเบิดดังจากไกลๆ ดึงสติที่ล่องลอยของจันทร์กลับมา
นัยน์ตาโศกฉายประกายความมุ่งมั่นและขับไปตามเสียงระเบิดทันที!
เป็นครั้งแรกที่จ้าวตื่นมาแล้วเหมือนร่างแหลกสลาย จ้าวหน้าเหยเกเมื่อลองหยั่งเท้าลงบนพื้นและพบว่าแข้งขาของตัวเองไร้เรี่ยวแรงไปซะแล้ว ดีหน่อยที่เหมือนคุณเหมันต์จะเช็ดตัวให้ก่อนนอน
แต่ก็ดูเหมือนจะไม่หมดจดสักเท่าไหร่นัก..
จ้าวรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างมากเมื่อรู้สึกว่ายังมีของเหลวคั่งค้างในตัวอยู่เป็นจำนวนมาก แหงสิ เมื่อวานกว่าเขาจะได้นอนก็เหมือนจะฟ้าสว่างคาตาพอดี เขาร้องขอแทบตายว่าพอแล้วๆ แต่ก็เหมือนคุยคนละภาษา คุณเหมันต์ทำหูทวนลมแล้วทำเอาแต่ใจตัวเองโดยไม่สนใจสักนิดว่าคนที่เพิ่งหนีมาจากขุมนรกหมาดๆ สภาพจะเป็นยังไง
“..โอย”
จ้าวหลุดเสียงร้องโอดโอยเมื่อพยายามตะกายไปห้องน้ำที่ระยะทางดูไกลกว่าทุกวัน ใบหน้าบูดบึ้งอย่างไม่พอใจนักเพราะครั้งแรกที่ทำกัน สภาพเขาไม่ปางตายขนาดนี้ ไหนจะเรื่องที่ไม่ยอมทำความสะอาดให้ครบอีกล่ะ
ถ้าเกิดว่าเขา...
ร่างผอมชะงักกึกกลางคัน จ้าวหน้าแดงเถือกเมื่อระลึกชาติได้ว่าเมื่อคืนโดนถามว่าอะไร เผลอเอามือกุมท้องโดยไม่รู้ตัว
‘ชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย?’
เสียงทุ้มเชิงหยอกล้อดังข้างหูราวกับถูกกระซิบอีกครั้ง
จ้าวหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าเดิมเพราะไม่คิดว่าคุณเหมันต์จะคิดเรื่องนี้เร็วขนาดนี้ บอกตามตรงว่าช่วงที่เขาหายไป เขาแค่อยากเจอคุณเหมันต์เท่านั้นไม่ได้คิดเรื่องอะไรแบบนี้สักนิด เขาก็แค่คิดถึงอ้อมกอดอุ่นๆ เท่านั้นเอง
แต่อย่างไรก็ตาม จ้าวก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรนักถ้าเกิดว่าเขาจะมีลูกจริงๆ เมื่อก่อนเขากลัวจนแทบเป็นบ้าเวลาที่เข้าใกล้พวกเบต้าในคุก กลัวว่าพวกมันจะข่มขืนเขาจนท้องเพราะมีนักโทษโอเมก้าหลายคนที่มีลูกและลูกของพวกเขาก็เติบโตในคุกอย่างน่าสงสาร ลำพังการใช้ชีวิตข้างนอกก็ยากแล้วยิ่งโตในคุกอย่าพูดถึงเลยว่าจะได้รับความเท่าเทียม แค่ได้รับโอกาสออกไปยังยากเลย
ถึงแม้จะไม่มั่นใจนักว่าตัวเองเป็นโอเมก้าเต็มตัวรึเปล่าแต่จ้าวก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก แค่ได้อยู่กับคุณเหมันต์สำหรับเขามันก็มากพอแล้ว เรื่องมีลูกไม่ใช่เรื่องใหญ่ ต่อให้มีหรือไม่มีก็ไม่ใช่ปัญหา
“ให้พี่ช่วยอาบไหม?”
ร่างผอมสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกกอดจากข้างหลัง ไรหนวดที่ถูไถหลังคอเล่นเอาจ้าวหลุดเสียงหัวเราะด้วยความจั๊กจี้ เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวทั้งๆ ที่คาดโทษอีกฝ่ายไว้ในใจ
“แค่พาผมไปส่งที่อาบอ่างน้ำก็พอ”
“ครับ”
เหมันต์อมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของจ้าว ค่อยๆ ประคองจ้าวอย่างใจเย็น “ให้พี่อุ้มไหม”
“เพราะพี่นั่นแหละ” จ้าวขู่แง่งหน้ายู่ “ผมเดินแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“ก็พี่คิดถึง” เหมันต์หอมแก้มจ้าวดังฟอดอย่างหมั่นเขี้ยว ไม่รู้สึกผิดแม้แต่นิดเดียวว่าตัวเองเป็นสาเหตุทำให้จ้าวสภาพนี้ เอาเข้าจริงเขาจะทำมากกว่านั้นด้วยซ้ำถ้าจ้าวไม่งอแงจะพอเข้าซะก่อน “จะให้พี่อุ้มไหม”
“อือ ก็ได้ ผมขี้เกียจเดินแล้ว เหนื่อย”
ท้ายที่สุดแล้วจ้าวก็ยอมแพ้ทิ้งตัวใส่ร่างตัวต้นเหตุ เหมันต์หัวเราะในลำคอรวบตัวจ้าวขึ้นอุ้มอย่างไม่ยากเย็น พอเห็นสีหน้าเหนื่อยๆ ของจ้าวก็อดถามกระเซ้าไม่ได้
“อีกรอบไหมจ้าว ตอนเช้าพี่ก็ไหวนะ”
“ไม่ พี่ ไม่ พี่ไหวแต่ผมไม่ไหว ผมตายแน่” จ้าวพูดออกมาอย่างจริงจังและมองเหมันต์ตาขวาง “ผมไม่ได้แข็งแรงเหมือนพี่นะ”
“งั้นก็ทำบ่อยๆ จะได้แข็งแรง” เหมันต์พูดเรื่องลามกหน้าตาเฉยผิดวิสัยสุขุมดังปกติเพราะอารมณ์ดีมากๆ
“ทำอ่ะทำได้พี่ แต่ผมขอเถอะ อย่าเหมือนเมื่อคืนอีก ผมยังไม่อยากตายคาเตียง”
“งั้นคืนนี้?”
“ไม่” จ้าวหน้ายู่ “ถ้าพี่ทำ พี่ไม่ต้องมาคุยกับผมแล้ว ผมไม่อยากคุย”
เหมันต์หัวเราะก่อนที่จะวางจ้าวลงบนขอบอ่างล้างหน้า ถอดเสื้อคลุมอาบน้ำตัวเดียวของจ้าวออกและพาจ้าวลงในอ่างที่เปิดน้ำรอจ้าวไว้แล้วอย่างบรรจง กลีบกุหลาบที่ลอยบนผิวน้ำขับให้มีกลิ่นหอมละมุนชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย
จ้าวหลับตาพิงกับพนัก อุณหภูมิที่อุ่นกำลังพอดีทำให้กล้ามเนื้อที่เพิ่งถูกใช้งานอย่างหนักรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เสียงเปิดฝาแชมพูข้างตัวทำให้ร่างผอมลืมตาข้างนึงนัยน์ตาโศกข้างนึงเพื่อมองก็พบว่าคุณเหมันต์ถอดเสื้อสูทดำออกเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตข้างในที่ถูกถกแขนเสื้อขึ้น
“เดี๋ยวพี่สระผมให้”
จ้าวพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะหลับตาและไถลลงพนักมากกว่าเดิมด้วยความรู้สึกง่วงปนผ่อนคลาย สัมผัสแผ่วเบาลูบผมหยาบกระด้างของเขาอย่างบรรจง ค่อยๆ ใช้น้ำอุ่นล้างผมเขาโดยพยายามไม่ให้โดนใบหน้านักก่อนที่จะลงแชมพูที่มีกลิ่นหอมดอกไม้อ่อนๆ ที่มีสรรพคุณบำรุงมากมาย
นี่น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีของจ้าวที่มีคนสระผมให้เพราะปกติจ้าวมักจะเข้าร้านตัดผมเป็นว่าเล่น การตัดผมและย้อมผมถือว่าเป็นความชีวิตจิตใจของจ้าว ตอนที่เป็นนักร้องนำวงก่อนเปลี่ยนสีผมแทบทุกเดือน เบื่อสีนู้นก็ไปสีนี้จนไปลงตัวสีเทาที่รู้สึกว่าชอบมันสุดๆ จึงเลิกย้อมสีไปทั่ว
และต้องยอมรับว่าการสระผมของคุณเหมันต์อาจจะไม่ได้ดีเท่าช่างตัดผมร้านประจำของจ้าว แต่จ้าวกลับรู้สึกอุ่นใจและผ่อนคลายกว่าทุกครั้งที่เคยทำ
“อยากย้อมผมรึเปล่า”
เหมันต์ถามขณะที่กำลังลงครีมนวดผมให้จ้าวอย่างเพลินมือ สัมผัสหยาบกระด้างกับสีดำกระด่างชวนให้เขารู้สึกปวดใจไม่น้อย ผมของจ้าวตอนนี้ยาวและยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงเท่าไหร่นักถ้าไม่ถูกเซ็ตผม
“พี่อยากให้ผมย้อมไหม” จ้าวถามทั้งๆ ที่ยังหลับตา
“พี่แล้วแต่จ้าว” เหมันต์พูดน้ำเสียงนุ่มนวล “อะไรที่จ้าวชอบ พี่ก็ชอบทั้งนั้น”
“งะ งั้นเดี๋ยวผมจะย้อมเทานะ”
ร่างสูงผุดยิ้มเมื่อเห็นหูของจ้าวแดงก่ำเพียงเพราะเขาเย้าหยอกนิดหน่อย “ตัดผมด้วยล่ะหรือไม่ก็รวบก็ได้ เมื่อคืนผมก็ยาวจนปิดหน้า พี่มองไม่เห็นหน้าจ้าวเลย”
“..อือ จะตัดผมด้วย”
จ้าวก้มหน้างุดกดตัวต่ำกว่าเดิม
“อย่าก้มสิ พี่สระยาก” ไม่ว่าเปล่ามือหนาช้อนตัวใต้แขนจ้าวให้ขึ้นมานั่งดีๆ และจับใบหน้าจ้าวให้เอียงเข้าหาตัวเองและจูบริมฝีปากเล็กๆ อย่างอดไม่ได้
เหมันต์รู้ดีว่าตัวเองกำลังเผยธาตุแท้ให้จ้าวเห็น เขาไม่ใช่ผู้ชายสุภาพบุรุษที่จะอดทนอดกลั้นจนถึงวันแต่งงานหรอก เพราะเขามันก็
แค่ผู้ชายวัยกลางคนที่เพิ่งจะหาเมียได้อย่างจริงจัง
ไม่ต้องถามว่าที่ผ่านมาเขาอดอยากมากี่ปีเพราะจ้าวคงไม่อยากรู้คำตอบของมันนัก
“พอ พอแล้ว”
จ้าวหอบแฮ่กดันหน้าสากๆ ออกจากตัวราวกับต้องของร้อน
เห็นสีหน้าของจ้าวยิ่งทำให้เหมันต์พอใจแต่ก็แสร้งทำเป็นเลิกแกล้งและสระผมให้จ้าวต่อ มือหนาหยิบฝักบัวเปิดน้ำอุ่นและความแรงไม่มากนักค่อยๆ ล้างผมให้จ้าว ล้างจนฟองออกหมดจึงปิดและช้อนตัวจ้าวขึ้นมานั่งขอบอ่างอีกครั้ง น้ำที่ไหลพรมร่างขับให้จ้าวดูเร้าร่อนอย่างประหลาด
ยิ่งผมที่แนบกับลำคอที่คล้ายกับพยายามปกปิดร่องรอยบางอย่างได้ไม่มิด ตามร่างขาวที่มีร่องรอยการถูกขบกัด ถ้าหากจ้าวได้เห็นตัวเองในสภาพนี้คงไม่แปลกใจนักทำไมคุณเหมันต์ถึงได้มีความต้องการมากมายนัก
“อะไรอีก” จ้าวมองเหมันต์อย่างไม่ไว้ใจนัก “ผม ผมไม่ไหวนะ”
“ตอบพี่ได้ยังว่าชอบผู้หญิงผู้ชาย” เหมันต์ยิ้มนิดๆ ขณะเดียวกันก็ทรุดลงนั่งและดึงขาจ้าวมาชโลมด้วยสบู่เหลว นวดอย่างเบามือ
“ผมอาบ..เองได้” จ้าวหน้าแดงก่ำพยายามชักขากลับก็พบว่าขาตัวเองไม่มีแรงเลยสักนิด
“ตอบพี่สิ”
“ไม่รู้”
เหมันต์ที่ง่วนอยู่กับการนวดขาจ้าวเงยหน้ามองจ้าวก็พบว่าตัวเองได้ทำใครบางคนเขินจนตัวแดงก่ำเสียแล้ว ร่างผอมเอามือปิดหน้าอย่างอับอายไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเขาและนั่นยิ่งทำให้เหมันต์พอใจ
“พี่ชอบทั้งผู้หญิงผู้ชายนะ จะเป็นอะไรพี่เลี้ยงได้หมด”
“..ยังไม่รู้เลยว่าจะมีได้รึเปล่า”
จ้าวพูดขัดเสียงเบาซะยิ่งกว่าเบาและเผลอสบตากับร่างสูงโดยไม่ตั้งใจเข้า
นัยน์ตาสีเทาวาววับจนจ้าวขนลุกเกลียว
“ไม่มี พี่ก็จะทำจนกว่าจะมี”
นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างช็อคๆ กลืนน้ำลายเอือก ยกมือขึ้นปิดหูตัวเอง รู้สึกไม่อยากคุยหรือเสวนากับคุณเหมันต์เลยสักนิดเพราะยิ่งคุยก็เหมือนถูกต้อนให้หลังชนฝา เขาเขินจะตายอยู่แล้ว!
“…หยุดพูดสักที ผมไม่อยากฟัง”
จ้าวร้องฮือๆ หลับตา
“โอเคๆ พี่ไม่แกล้งแล้ว” เหมันต์ยิ้มละมุนก่อนจะดึงขาอีกข้างของจ้าวมานวดต่อ อารมณ์ที่ดีเอามากๆ จึงถูกขัดอีกครั้งด้วยเบาแผลช้ำตรงข้อเท้าที่ถูกทายาแล้วก็ยังไม่จางลงแต่เพื่อไม่ให้บรรยากาศแย่ลง เหมันต์จึงเลือกที่จะเมินมันแล้วลูบบริเวณต้นขาของจ้าว
ซึ่งก่อนที่จะมันจะเลื้อยสูงขึ้นมาเรื่อยๆ จ้าวจึงรีบชิงพูดตัดหน้าไปก่อน
“…พี่เหมันต์” จ้าวพูดเสียงเบา “จ้าวขออาบเองได้ไหมครับ”
แน่นอนว่ามันได้ผลชะงักเพราะจ้าวไม่เคยแทนตัวเองด้วยชื่อตัวเองสักครั้งตั้งแต่ที่รู้จักกันมา
“น้องจ้าวเหนื่อยอยู่ พี่เหมันต์ให้น้องอาบเองไม่ได้หรอกครับ” เหมันต์ยิ้มก่อนจะลากมือไปบริเวณหน้าท้องและจงใจเขี่ยผ่านยอดอกสีชมพูที่ยังเป็นร่องรอยถูกกัด
จ้าวสะดุ้งเฮือกจับแขนเหมันต์ไว้แน่น “ไม่เอานะ จ้าวไม่ไหวแล้ว ไว้วันหลังนะครับ”
เหมันต์แกล้งทำสีหน้ายุ่งยากใจให้จ้าวใจหายเล่นก่อนจะยอมพยักหน้า
“งั้นให้พี่ล้างให้ก่อนนะครับ”
เหมันต์กลั้นยิ้มเมื่อสีหน้างุนงงของจ้าว และแน่นอนคนอย่างเหมันต์ท่านประธานบริษัทมีนิสัยชอบปฏิบัติมากกว่าพูดจึงช้อนตัวจ้าวขึ้นมาด้วยมือข้างเดียว บังคับให้ร่างผอมโอบคอตัวเองเพื่อพยุงตัวก่อนที่จะใช้มืออีกข้างสอดนิ้วเข้าไปด้านหลังเพื่อล้วงเอาลูกๆ ของตัวเองออกมา
“ฮื่อ ผมจะโกรธจริงๆ แล้วนะ ถ้าไม่หยุดแกล้งกันสักที!” จ้าวหน้ายู่ทุบอกเหมันต์ดังอั่กๆ และเรี่ยวแรงก็เบาลงเมื่อถูก ล้วงเข้ามาลึกจนถึงข้างใน
“พี่แค่เอาออกให้เฉยๆ เดี๋ยวจะไม่สบายตัว” เหมันต์ไม่สะทกสะท้านสักนิดกับแรงของจ้าว ว่ากันตามตรงรู้สึกเหมือนถูกแมวตะปปมากกว่า
“ไม่ต้องหวังดีขนาดนั้นก็ได้” จ้าวซบหน้ากับไหล่เหมันต์พูดเสียงอ้อมแอ้ม “ครั้งที่แล้วผมก็เอาออกเอง”
“ครั้งนี้พี่ก็เอาเอาออกให้ไง จ้าวจะได้ไปกินข้าวไวๆ”
“ใครว่าผมหิว”
จ้าวทักท้วงแม้จะรู้ว่าตัวเองหิวจนตาลายก็ตาม
จ็อก
และร่างกายก็ไม่รักดีจนจ้าวเอาคางเกยเหมันต์อย่างอ่อนอกอ่อนใจ ปล่อยให้อีกฝ่ายทำความสะอาดให้โดยไม่สนใจที่จะขยับตัวทำอะไรอย่างเกียจคร้าน
“…พี่เหมันต์ ไม่เอาน่า” จ้าวมองเหมันต์อย่างไม่สบอารมณ์เมื่อรู้สึกเหมือนมีอะไรแข็งๆ โดนสะโพก “ผมจะไม่ล้างใหม่อีกรอบนะ ผมหิวข้าว”
“แต่พี่หิวจ้าว”
“ผมไม่ไหวแล้ว” จ้าวถอนหายใจเมื่อเห็นสีหน้าตัดพ้อของคุณเหมันต์“ก็ได้ๆ แค่มือนะ”
“ครับ”
เหมันต์ยิ้มพรายและนั่นทำให้จ้าวรู้สึกเหมือนตัวเองตกหลุมพรางอะไรสักอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่มีปัญญาตะเกียกตะกายออกมาอย่างแน่นอน
ร่างผอมถูกวางลงบนพื้นส่วนเหมันต์ก็สลับตำแหน่งไปนั่งบนขอบอ่างแทน นัยน์ตาสีเทามองจ้าวอย่างหยอกเย้า ชั่วขณะหนึ่งจ้าวเหมือนตาลายเห็นหูหมาป่าชั่วร้ายบนหัวคุณเหมันต์
“รีบทำสิ จะได้ไปกินข้าวกัน”
เอ่ยเร่งรัดราวกับว่าสิ่งที่พูดเป็นเรื่องทั่วไปทำให้จ้าวหน้ามุ่ยอย่างไม่ปิดบังเพราะโดนแกล้งไม่หยุดไม่หย่อน เพื่อตัดความรำคาญและความหิว จึงกะจะทำให้มันเสร็จๆ ไป
แต่พอเอาเข้าจริงแค่เอื้อมมือไปรูดซิปจ้าวยังไม่กล้าเลยสักนิด ประหม่าจนมือสั่นและสงสัยว่าไอ้ที่ซ่อนอยู่ใต้กางเกงนี่มันเข้าไปในตัวเองได้ยังไง ขนาดของมันไม่ได้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเลยสักนิด
“เร็วสิ”
หลังจากถอนหายใจไปหลายรอบก็ทำใจกล้าลองรูดซิปเปิดไปได้ครึ่งนึงก็ต้องพบว่ามันน่ากลัวมาก จ้าวหน้าซีดมองเหมันต์เชิงขอร้อง “จ้าวหิวข้าวแล้ว ขอไปกินข้าวก่อนได้ไหมครับ”
“พี่ไม่ให้จ้าวกินของพี่รองท้องก็ดีแค่ไหนแล้ว”
คำพูดสองแง่สองง่ามเล่นเอาจ้าวหน้าแดง เลยยอมรูดซิปและดึงออกมาจากเกงเกงให้จบๆ ไป
“…”
อุณหภูมิร้อนจัดที่อยู่ในมือทำเอาจ้าวแทบไม่รู้จะเอาหน้าตัวเองไปไว้ที่ไหน มือของเขาโอบแทบไม่มิดด้วยซ้ำ
“ถ้าหิวก็กินได้นะ พี่ไม่หวง”
“พี่เหมันต์ ถือว่าจ้าวขอนะ” จ้าวพูดเสียงเบา “หยุดพูดเถอะ”
“ก็ได้ พี่ไม่แกล้งก็ได้” เหมันต์หัวเราะลูบหัวจ้าวอย่างเอ็นดูก่อนที่จะปล่อยจ้าวให้จ้าวทำในสิ่งที่ต้องทำ ใบหน้าน่ามองนั้นแดงก่ำจนน่าสงสาร มือเล็กๆ ที่จับของเขาก็สั่นระริกจนอยากจะจับกินอีกครั้งให้รู้แล้วรู้รอด
“ทำไมพี่ถึงไม่เขินบ้างวะ”
จ้าวบ่นขรมพยายามทำให้เท่าที่ทำได้ บอกตามตรงว่าจ้าวอายจนอยากจะมุดแผ่นดินหนีที่ต้องมาทำแบบนี้ให้ใคร ถึงจะเป็นคุณเหมันต์ก็เถอะแต่จ้าวก็เขินมากๆ อยู่ดี
“แก่แล้ว หนังมันหนา” เหมันต์หัวเราะ
“…”
จ้าวหมดคำพูดก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาทำให้คุณเหมันต์อย่างจริงจังเพื่อที่เขาจะได้ผละไปทำอย่างอื่นกันสักที ผ่านไปสักพักนึงกว่ามังกรร้ายก็พ่นน้ำออกและแน่นอนว่ามันเลอะหน้าจ้าวไปครึ่งหน้า
“พี่ขอโทษๆ” เหมันต์รีบหยิบทิชชู่ที่พกไว้มาเช็ดหน้าให้จ้าวที่แดงจนน่ากลัวว่าจะกลายเป็นมะเขือเทศเข้าสักวัน เมื่อเช็ดออกจนหมดก็อุ้มจ้าวกลับเข้าใส่อ่างเพื่อล้างสบู่ออกจากตัว เห็นท่าทางที่ยังคงช็อคจนนั่งนิ่งๆของจ้าว เหมันต์ก็อดหอมแก้มจ้าวซ้ำไม่ได้
ฟอด
“อีกแล้วนะ!” จ้าวขมวดคิ้วกุมแก้มตัวเอง “พี่ออกไปเลย ผมจะแปรงฟัน”
ครั้งนี้เหมันต์ยกมือสองข้างเชิงยอมแพ้ “อยากกินอะไร เดี๋ยวพี่ให้คนทำให้”
“ข้าวต้ม ข้าวผัด อะไรก็ได้ เอามาเถอะ ผมหิวมาก”
จ้าวหันหลังให้หยิบฝักบัวขึ้นมาราดหัวตัวเองซ้ำพยายามใช้น้ำเรียกสติของตัวเองที่ไม่รู้ว่าเตลิดไปถึงไหน ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันทำไมถึงตกใจนักหนา ทั้งๆ ที่ก็มีเหมือนกัน
“งั้นพี่สั่งข้าวต้มให้นะ จะได้กินง่ายๆ”
“อือ”
ร่างผอมหลับตาหยีเอามือวักน้ำล้างหน้าตัวเอง เจอคุณเหมันต์ทีไรเขาลืมทุกอย่างในชีวิตทุกที ลืมความเจ็บปวดทรมาน ลืมความแค้น ลืมทุกอย่าง มีแต่เรื่องของคุณเหมันต์อยู่ในหัวเต็มไปหมด
จ้าวมองเงาสะท้อนตัวเองในน้ำพบว่าตัวเองเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
ถ้าถามเขาว่าชอบผู้หญิงผู้ชาย…
ก็คงจะต้องตอบว่าทั้งคู่
======
เอาจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจให้อารมณ์ตอนตัดกันขนาดนี้

แต่ไม่คิดว่าน้องจ้าวกับพี่เหมจะหวานขนาดนี้
กลัวคนอ่านจะเป็นเบาหวาน 555 ไม่เป็นไร ในฐานะคนเขียนเราห่วงใยนักอ่าน
ตอนหน้าหริอหน้าหน้าหน้าย่อมมีเค็มน้ำตาแน่นอน
