# How to read [....เนื้อหา.... ] :: เนื้อหาในช่องแบบนี้ คือ แชทคุยกันนะคะ ไม่เห็นหน้า
ตอนที่ 14
ปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ลงหลังจากผ่านช่วงเวลาเลิกงานไปแล้วเกือบสามสิบนาที ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะล้มตัวลงนอนฟุบกับโต๊ะอย่างหมดแรง พักสายตาด้วยการหลับตาลงสักพัก ไอร้อนจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งปิดไป บอกถึงการทำงานอย่างหนักหน่วงของเราที่ลากยาวตั้งแต่หลังกลับมาจากพักแบบไม่ได้หยุด
งานสุมหัวที่แทบจะสูงกว่าส่วนของผมถูกเคลียร์ไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่งานที่เพิ่งถูกส่งมาใหม่ ผมลืมตาขึ้นก่อนจะดึงตัวเองขึ้นมาพิงร่างกับพนักพิงของเก้าอี้ บิดเอวไปมาคลายความเมื่อยล้าก่อนจะหันไปเหล่กองเอกสารที่พี่ซองผู้จัดการร้านเพิ่งเอามาส่งก่อนหน้านี้ 15 นาที แล้วถอนหายใจออกมาใส่พวกมันทั้งๆที่มันก็ไม่ได้มีความผิดอะไร
“ งานเยอะชิบ “ บ่นออกมาเบาๆ ตอนที่หยิบเอกสารนั่นมาดูคร่าวๆ ทุกอย่างถูกจดสรุปลงไปในกระดาษแผ่นนี้ ทั้งรายการของขาดที่ต้องสั่งเข้าร้านในทันเวลาเปิด รวมถึงรายรับประจำวัน เงินจำนวนนึงที่ถูกระบุอยู่ในช่องรายรับ แบ่งออกเป็นทั้งเงินสดและจ่ายผ่านบัตร
ผมหยิบเครื่องคิดเลข ลองเอาจำนวนเงินที่ได้รับของวันนี้ตั้งแล้วลองคิดเป็นเดือน เป็นปี เพื่อสมมุติรายได้ที่อีกฝ่ายจะได้รับว่าเป็นเงินจำนวนเท่าไหร่ ตัวเลขที่อยู่ในหลักเจ็ดหลักแถมยังขึ้นต้นหลักด้วยตัวเลขปลายๆสำหรับรายได้หนึ่งปี ทำให้ผมตาโตขึ้นมาด้วยความตกใจพอตัว ก็พอรู้ว่ารายได้มันดี แต่ไม่คิดว่าจะดีขนาดนี้
เปลี่ยนว่าเรียกจาก เชี้ยอาฟ เป็น เสี่ยอาฟ ยังทันมั้ยวะ
“ คนเราแม่งกินเหล้าทำไมวะ “ มันเป็นคำถามที่ผมเคยตั้งคำถาม ถามตัวเองอยู่บ่อยๆ เพราะตัวเองไม่ใช่สายดื่ม สายผับ ผมกินแอลกฮอล์นิดเดียวก็เมาไม่ได้สติแล้ว เป็นพวกคออ่อนอย่างที่สุด เลยไม่ค่อยเข้าใจว่า คนเราจะเสียเงินไปกับของไร้สาระพวกนี้ทำไม กินไปก็ไม่ได้สติ เมาหนักๆบางทีก็อ้วกออกมา ไม่ได้ทำให้ร่างกายมีสุขภาพดีขึ้นเลย ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากมันเลยสักอย่าง แต่ก็นะ คิดอย่างผมทั้งโลกไอ้อาฟคงไม่รวย
ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่ตัวเองนั่ง ผมถ่ายภาพเอกสารสั่งของวันนี้ใส่ลงไปในมือถือเก่าๆของตัวเอง ปิดคอมที่เมื่อครู่ผมกดแชร์ข้อมูลกับอีเมล์ตัวเองเรียบร้อย เผื่อว่าจะได้เอาเวลาว่างๆอย่างตอนนั่งในรถมาทำงาน เพราะยังไงก็ไม่รู้จะสนทนาอะไรกับไอ้คนปากหมานั่นอยู่แล้ว ผมเผลอนึกถึงมันตอนที่หันไปเหล่ถุงเซเว่นที่ใช้ปิดหัวผมมาจากข้างนอกตอนฝนตกพร่ำก็ได้แต่ยิ้ม
“ พับเก็บไว้ดีกว่า “ หยิบถุงเซเว่นนั่นมาพับเก็บไว้เป็นสามเหลี่ยม ไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับความห่วงใยนั่นหรอก แม้ว่าตอนนี้จะพับไปยิ้มไปก็เถอะ ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่เหมือนถูกใส่ใจแบบพิเศษอยู่ยังไงก็ไม่รู้
ผมเองก็พยายามเถียงตัวเองว่าอย่าคิดอะไรเข้าข้างตัวเองให้มันมาก พยายามคิดเอาเหตุผลมารองรับว่าสิ่งที่อีกคนมันก็แค่ทั่วไป แม้มันจะไม่ทั่วไปก็เถอะ ไม่มีใครเดินเข้าไปซื้อทิชชูให้คนที่ไม่รู้สึกอะไรเพียงแค่จะเอาถุงมาคลุมหัวให้เพราะไม่อยากจะให้โดนฝนหรอกมั้ง
“ พอๆ เลิกคิดน่า ไร้สาระ “ บอกตัวเองก่อนจะสูดลมหายใจแล้วเก็บเอาถุงพลาสติกนั่นหย่นลงไปในกล่องใสใบเล็กๆที่วางอยู่ตรงหน้า
จ้องมองมันอยู่สักพักสลับกับไอ้ม้วนทิชชูแพ็คหกชิ้นที่ก็ยังตั้งอยู่บนโต๊ะ ตอนที่ขึ้นมาถึงชั้นสามหลังจากแวะแจกจ่ายเครปให้กับคนที่สั่งจนครบ อาฟก็ยื่นทิชชูมาให้ก่อนจะบอกแค่ว่า ‘ ให้ ’ แล้วมันก็เดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานของมัน นั่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไร ตั้งใจทำงานของตัวเองไปแบบเงียบๆ ด้วยสายตาเคร่งเครียด แต่หูกลับแดงจนไม่กล้าเอ่ยแซวอะไร เพราะตัวผมตอนนั้นก็ไม่ต่าง ก่อนสายโทรศัพท์มือถือของมันจะดังขึ้น ร่างสูงโต้ตอบกับปลายสายอยู่สักพักก่อนจะกดวางแล้วหันมาบอกผม
“ เซลล์บริษัทเหล้ามา เค้าเอาเหล้ามาเสนอ เดี๋ยวกูมา “ มันที่บอกกันแค่นั้น ผมก็ทำทีเป็นจะลุก เพราะคิดว่าเป็นเลขายังไงก็ต้องตามลงไปจดนู้นจดนี่ให้อยู่แล้ว แต่อีกคนกลับห้ามไว้ “ มึงไม่ต้องมา ทำงานไปเถอะ เดี๋ยวเสร็จไม่ทัน จัดสต๊อกบาร์ได้ไม่ถึงครึ่งเลยไม่ใช่รึไง “ ก็จริงอย่างที่อีกคนพูดผมพยักหน้ารับ “ งั้นมึงก็ทำไปก่อน เดี๋ยวกูไปจัดการเอง จะสั่งไม่สั่งเอายังไงจะมาบอกมึงอีกที “
“ อื้ม โอเค “ พยักหน้ารับมันอีกครั้ง อาฟลุกขึ้นจากโต๊ะตอนที่มันจะเดินออกไปมือหนาก็ยื่นมาขยี้หัวผม
“ ตั้งใจทำงานไป “ หัวใจที่อยู่ๆก็เต้นแรงขึ้นมานั้น ผมเผลอกลั้นหายใจไปชั่วขณะ ก่อนจะผ่อนออกมาในตอนที่อีกคนเดินออกจากห้องไปแล้ว เอื้อมมือไปจับหัวของตัวเองตรงที่ที่อีกคนจับเมื่อครู่
“ อย่าทำแบบนี้สิวะ กูแพ้คนอบอุ่นมึงไม่รู้รึไง “
สลัดความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองออก ผมหันไปมองรอบห้องเช็คดูความเรียบร้อย ว่าไม่ได้ลืมอะไรสำคัญเอาไว้ ก่อนจะหันไปเห็นซองเอกสารสีน้ำตาลที่ในนั้นมีเงินอยู่จำนวนนึง เงินรายรับที่เป็นเงินสดทั้งหมดของวันนี้อยู่ในนี้ ผมหยิบมือถือขึ้นมาคิดจะส่งข้อความเข้าไปถามเจ้าของเงินว่า เงินนี้จะได้จัดเก็บยังไง แต่ทว่า อีกฝ่ายกลับเป็นฝ่ายทักขึ้นมาก่อน
‘ AFTER ‘
[ จะกลับมั้ย บ้านน่ะ หรือว่าจะนอนที่นี่ ] ก็ยังเป็นคนเดิมที่ไม่เคยพูดจาดีๆเลยสักครั้ง ผมถอนหายใจก่อนจะกดปลดล็อคแล้วพิมพ์ตอบอีกคนกลับไป
[ กำลังจะลงไปแล้ว ว่าแต่มึง ซองสีน้ำตาลที่เป็นรายรับของวันนี้จะให้เอาไปเก็บไว้ไหน ]
[ เอาลงมาด้วย จะเอาไปฝากธนาคารพรุ่งนี้ ]
[ โอเค รับทราบ ] ตอบรับอีกฝ่ายไปแบบนั้น อาฟก็ส่งข้อความเร่งผมอีกครั้ง
[ ลงมาเร็วๆ นับหนึ่งถึงสาม ถ้ากูยังไม่เห็นหน้ามึง กูจะทิ้งมึงไว้ที่นี่ ]
[ เชี้ยยยย กูวิ่งลงไปแล้ว ]
[ อย่าวิ่ง..เดี๋ยวล้ม ]
[ อะไรของมึง ไหนบอกนับหนึ่งถึงสามต้องถึง ถ้านับหนึ่งสามยังไงก็ต้องวิ่งมั้ย เดี๋ยวไม่ทัน ]
[ เปลี่ยนเป็นนับหนึ่งถึงยี่สิบ อย่าวิ่งเดี๋ยวล้ม แล้วรีบลงมา ] แอบยิ้มใส่ข้อความที่ดูห่วงใยนั่น ผมส่งสติกเกอร์ไลน์ไปให้มันเป็นการตอบรับว่าโอเค ก่อนจะหยิบเอาซองสีน้ำตาลใส่เงินสดนั้นขึ้นมาถือ หยิบกระเป๋าเป้ของตัวเองขึ้นมาสะพายไหล่ เช็คไปรอบๆห้องว่าตัวเองไม่ได้ลืมของสำคัญอะไรไว้ ผมเดินออกไปจากห้องหลังจากที่ล็อคเรียบร้อย
แต่จะว่าไป มาอยู่ห้องนี้ได้สักพักแล้ว ก็ยังมีเรื่องที่อยากจะถามเจ้าของห้องอยู่อย่าง ในเมื่อชั้นสามของผับมันเป็นออฟฟิศ แล้วทำไมหลังม่านมู่ลี่คริสตัลนั่น ถึงมีเตียงขนาดใหญ่วะ มันมีไว้ทำไม
“ ก็ไม่น่าจะขยันขนาดทำงานหามรุ่งหามค่ำนะ คนอย่างงั้นอะ “
เดินลงมาจากชั้นสามของผับ ตอนนี้เหลืออยู่แค่พนักงานเสิร์ฟบางคน ผู้จัดการแบบพี่ซองที่ยังคงเช็คความเรียบร้อย แล้วก็บาร์อย่างน้องเดย์น้องอัยย์ที่ยังคงเช็ดล้างทำความสะอาดกันอยู่
“ พี่ซอง เมดกลับแล้วนะ “ ผมบอกก่อนจะยกมือไหว้เค้า อีกคนก็ก้มหน้าลงยิ้มกว้างให้
“ กลับบ้านดีๆนะน้องเมด “
“ พี่ซองด้วยนะ “ ยิ้มให้อีกคนก่อนจะหันไปบอกเจ้าเด็กขี้เล่นสุดหล่อสองคนที่บาร์ “ น้องเดย์ น้องอัยย์ พี่เมดกลับบ้านแล้วนะ “
“ ครับผม อย่าลืมฝันถึงน้องเดย์นะครับ เพราะคืนนี้น้องเดย์จะเข้าไปหาพี่เมดในฝัน “ น้องชายเจ้าของผับบอกผมก็ยิ้มกว้างออกมากับความขี้เล่นนั้น พยักหน้ารับอีกคนอย่างจำยอมน้องอัยย์ก็บอก
“ งั้นคืนนี้น้องอัยย์จะเข้าไปปกป้องพี่เมดให้ฝันเองครับ จะเข้าไปฆ่าไอ้เดย์ให้เอง “
“ โอเค งั้นเจอกันในฝันนะ “ ผมว่า น้องสองคนก็เบิกตาขึ้นก่อนจะหันมามองหน้ากันแล้วยิ้มกว้างออกมา
“ พี่เมดอ่า เจอกันพรุ่งนี้น้า “
“ เจอกันนะครับพี่เมดของน้องเดย์ บอกให้สัดพี่ขับรถดีๆนะ “
“ เราสองคนก็ขับรถกลับบ้านกันดีๆนะ “
“ ครับผม “ พยักหน้ารับพร้อมกันสองคน ผมก็หันไปบอกพนักงานเสิร์ฟที่เหลือ
“ เจอกันนะครับทุกคน กลับบ้านดีๆนะ “ ผมตะโกนบอกคนที่อยู่ ก่อนจะโบกมือไปให้ทุกคนที่ก็พยักหน้ารับก่อนจะโบกมือกลับ
เดินออกมาจากทางหลังร้าน ผมที่กำลังเดินตรงไปที่รถ ชะงักตัวเองนิดหน่อยตอนที่เห็นร่างสูงเจ้าของผับที่บอกให้ผมรีบลงมาแต่ตัวเองกลับยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับผู้หญิงสวยคนนึง
เสียงพูดคุยที่ผมไม่ได้ยิน เห็นแค่เพียงรอยยิ้มของสาวสวยในชุดเดรสรัดรูปสีดำที่สั้นมากจนรู้สึกสงสัยว่า เธอลุกนั่งได้อย่างสะดวกได้ยังไง โครงใบหน้าสวยแต่งอย่างพอดีให้รับกับลิปสติกสีแดงที่เจ้าตัวทามา มือเรียวคู่นั้นเอื้อมไปจับอกชายหนุ่มตรงหน้า จัดเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายด้วยความยั่วยวน ทั้งๆที่ก็ไม่มีให้จัดทั้งนั้น ไทด์ก็ไม่ใส่ สูทก็ไม่มี เดี๋ยวก็ต้องไปอาบน้ำนอนแล้วจะจัดทำไมวะ
ผมเผลอแบะปากออกมาอย่างไม่รู้ตัว ไม่ชอบใจยังไงก็ไม่รู้ ผมไม่ชอบผู้หญิงแบบนี้ แล้วก็ไม่ชอบผู้ชายแบบนั้นด้วย ผู้ชายที่ยืนนิ่งไม่ได้ห้ามปรามอะไรอีกคนสักคำทั้งๆที่กำลังโดนเชื้อเชิญทั้งด้วยสายตาแล้วก็ท่าทาง ก็น่าจะบอกให้ออกไปห่างๆ อย่าเข้ามาใกล้ อะไรแบบนี้ แต่ไม่เห็นมันจะทำอะไรเลย
ก็นะ..มันเป็นผู้ชายที่ท่าทางก็ดูชอบคนสไตส์นั้นอยู่แล้วด้วย แล้วพอหวนกลับไปคิดถึงความใส่ใจ แล้วเผลอเข้าข้างตัวเองว่ามันอาจจะชอบกัน ผมก็ได้แต่ส่ายหน้า ‘ แม่งคงไม่มาชอบคนจืดๆแบบนี้หรอก ‘
“ สัด หงุดหงิด “ พูดกับตัวเองคนเดียวในใจ ผมไม่รู้ตัวเองทำหน้างอหนักขนาดไหนแล้วในตอนนี้ หัวใจมันคันยิบๆไปหมด แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ผมหันซ้ายดูขวา ไม่มีอะไรมาสะดุดให้เกิดเสียงบ้างรึไงวะ มันจะได้ห่างๆออกจากกันสักที หน้าด้าน แม่งมาอ่อยกันถึงลานจอดรถเลยเหรอวะ ผู้หญิงสมัยนี้น่ากลัว เหอะ แต่ผู้ชายก็เล่นด้วยละนะ ยืนนิ่งเชียว ก็น่าจะปฎิเสธสักหน่อย
ในระหว่างที่ยืนมองอยู่ ผมถอนหายใจออกมาตอนที่เห็นว่าอีกสักครู่ อาฟคงหันมาเห็นผมแล้วขอชวนให้สาวคนนี้ขึ้นรถไปด้วยกันกับเราแน่ มันคงไปต่อกับเธอที่ไหนสักที่
แล้วถ้าเป็นแบบนั้น.. จะรั้งไม่ให้ไป ยังไงดีวะ
“ นี่คุณอาฟ..” เสียงที่ดังขึ้นของเธอ ชวนให้ผมที่กำลังคิดอะไรหลายอย่างอยู่ในสมองหันไปมอง แววตาที่กำลังออดอ้อนคนที่เธอเอ่ยชื่อเรียก แววตาคมนั้นก็หันไปมองก่อนจะยกยิ้มให้อีกฝ่าย ผมไม่ได้ยินประโยคยาวๆที่เธอพูด เห็นก็แค่อาฟที่ส่ายหน้าไปมาปฎิเสธเธอไป
ใบหน้าสวยงอง้ำลงเธอถอนหายใจก่อนจะพยักหน้ายอมรับ ราวกับว่ามันนานแล้วที่เธออ้อนอีกฝ่าย แล้วก็ควรยอมแพ้สักที ในเมื่อมันไม่มีสำเร็จ ร่างสวยดึงตัวเองออกห่างชายหนุ่มก่อนจะก้มลงมาหมายจะใช้ริมฝีปากเคลือบสีแดงนั่นประทับลงบนแก้มของอีกคน ตัวผมที่ยืนมองดูภาพนั้นด้วยสีหน้าเลิกลั่ก ก่อนจะส่งเสียงจามออกไปดังๆด้วยความสิ้นคิด
“ ฮัดชิ้ว!! “ เสียงจามของผม มองมาจากดาวอังคารก็ยังรู้ว่าแกล้งทำ ท่าทีที่ทำเป็นก้มหน้าเอามือปิดปากเงยหน้าขึ้นมองคนสองคนที่ก็หันมามองผมเช่นกัน ร่างสูงที่หันมา อาฟยกยิ้ม ผิดกับสาวเจ้าที่ทำหน้าหงุดหงิดใส่
“ มาได้สักทีนะมึง กูนับหนึ่งถึงยี่สิบ รอบที่สามสิบแล้ว “ มันบอกยิ้มๆ ผมก็ปั้นหน้าหงุดหงิดใส่ อยากจะตะโกนไปมากว่า ไม่ต้องมายิ้มมึงนับเหี้ยอะไร กูเห็นยืนออเซาะกับคนตรงหน้าจนแทบจะแดกกันเข้าไปอยู่แล้ว
“ เปิดล็อคประตูให้หน่อย จะกลับบ้านแล้ว ง่วง “ ผมบอกมัน ด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์เท่าไหร่ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องหน้างอด้วย ตอนที่เดินไปยืนข้างรถของตัวเอง ตรงฝั่งข้างคนขับแต่ร่างสูงก็เอ่ยบอก
“ มานี่ก่อน “ อาฟขยับหน้าบอกตำแหน่งให้ผมมายืนข้างมัน แอบถอนหายใจออกมานิดๆไม่ค่อยอยากจะเดินไปเท่าไหร่ แต่ก็ขัดแม่งที่เป็นเจ้านายไม่ได้อยู่ดี “ นี่คุณฮารุ เป็นเซลล์ขายเหล้าของบริษัทที่เราดีลอยู่ “ ยกมือไหว้เธอ อีกคนก็ก้มหน้ารับไหว้ผม “ ส่วนคุณฮารุครับ นี่เมดเลขาของผม “
“ เดี๋ยวนี้มีเลขาแล้วเหรอคะคุณอาฟ “ เธอยิ้มแซวอีกฝ่ายก็ที่ก็ยกยิ้ม “ เมื่อก่อนฮารุขอมาสมัครเป็นเลขาแล้วไม่ให้นะ แสดงว่าตอนนี้งานเยอะมากเลยละสิ “
“ ก็คงงั้น “ อีกฝ่ายตอบ
“ แบบนี้ผับชั้นสามก็ไม่ว่างแล้วสินะคะ “ แววตามีเสน่ห์มองอีกฝ่ายที่ก็ไม่ตอบอะไร อาฟแค่ยิ้มให้เธอก่อนจะหันมาบอกผม
“ กลับกันเถอะ “ พยักหน้ารับอีกคนผมเดินกลับมายืนที่ประตูฝั่งคนนั่งข้างเหมือนเดิม แล้วตอนนั้นคุณฮารุก็ได้โอกาสเข้ามาใกล้มันอีกครั้ง
“ ขับรถดีๆนะคะคุณอาฟ ไว้ว่างๆเจอกัน “ เธอบอกว่าแบบนั้นก่อนจะเอียงหน้ายิ้มให้ “ ยังไงถ้าอยากจะเปลี่ยนเลขาเมื่อไหร่โทรบอกกันได้ตลอดเลยนะ ถ้าเป็นคุณอาฟจะลาออกจากงานเซลล์มาเป็นให้เลย “
“ มันไม่ใช่ตำแหน่งที่ใครก็ได้จะเป็นได้หรอกครับ “ อาฟยิ้มให้เธออีกครั้ง “ มันมีไว้ให้เฉพาะบางคนที่พิเศษเท่านั้น “
รถถูกปลดล็อค ผมที่ยืนนิ่งประมวลผลคำพูดของที่ได้ฟังอยู่นาน อยากจะเข้าข้างตัวเองนะ แต่ตอนรับตำแหน่งเป็นเลขาจากมัน ตอนนั้นอาฟมันก็แค่ไม่อยากจะประกาศเรื่องงานด้วยตัวเองลงในกรุ๊ปสต๊าฟก็แค่นั้น ก็เลยเอาเงินมาฟาดหัวผมแล้วยัดตำแหน่งนี้ให้ ไม่มีอะไรพิเศษอย่างที่บอกสาวคนนั้นสักนิด แล้วก็มาบอกเค้าว่า ตำแหน่งพิเศษมีไว้ให้แค่เฉพาะบางคนเท่านั้น
‘ เหอะ.. ไอ้หน้าม่อ ’
“ จะขึ้นมั้ยรถน่ะ บ้านอะ จะกลับมั้ย “ หันมามองหน้าคนพูดด้วยสายตาหงุดหงิดอีกครั้ง ผมเข้าไปนั่งในรถเงียบๆ ดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดก่อนจะกดเปิดเพลงที่ใส่เอาไว้ แต่ทว่าคนขับกลับกดปิดมันเสียอย่างงั้น
“ มึง “
“ เป็นอะไร หงุดหงิดอะไร “
“ ใครหงุดหงิด “ ผมหันไปถามมัน อีกคนก็ยกยิ้ม เอาจริงๆผมเริ่มจะโคตรเกลียดไอ้รอยยิ้มแบบนี้ของมันขึ้นมาแล้ว รอยยิ้มที่ดูฉลาดเหมือนรู้เท่าทันคนทั้งโลก
“ พูดอยู่กับมึง กูคงหมายถึงคนอื่นมั้ง “
“ กูไม่ได้หงุดหงิด มีเหตุผลอะไรที่กูต้องหงุดหงิดวะ “ ผมถามมัน “ มึงคิดว่ากูหงุดหงิดเรื่องที่เห็นมึงยือออเซาะกับผู้หญิงคนนั้นเหรอ มึงคิดผิดแล้ว กูไม่ได้สนอยู่แล้วว่ามึงจะทำอะไรกับเธอ ไม่ได้แคร์ด้วยว่าเธอจะเอานมมาหนีบหน้ามึงอยู่แล้ว แถมยังเอามือมาจัดเสื้อมึงทั้งๆที่ไม่มีเหี้ยอะไรให้ต้องจัดสักนิดเดียว แล้วตอนที่เธอจะหอมแก้มมึง กูแค่คันจมูกขึ้นมาเฉยๆ ไม่ได้อยากจะขัดให้ออกห่างกันเลยแม้แต่นิดเดียว “ หันไปมองหน้ามันที่ก็มองหน้าผมก่อนจะหลุดหัวเราะ “ หัวเราะเหี้ยอะไรของมึง “
“ เปล่า “ มันบอกก่อนจะหันไปสนใจด้านหน้าของตัวเอง อาฟสตาร์ทเครื่องยนต์ของรถ มันที่ถอยหลังรถก่อนจะเลี้ยวออกจากเส้นจอดแล้วขับออกไปจากผับ
ทุกอย่างในรถนั่นเงียบ ผมอยากจะเปิดเพลงนะ แต่ว่าก็มีสิ่งที่อยากจะรู้อยู่ อยากจะถามมันเกี่ยวกับเรื่องหญิงคนนั้น แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดอะไร ถอนหายใจออกดังๆผมหันไปมองนอกหน้าต่าง ก่อนจะบ่นกับตัวเองเบาๆ
“ ทำไมต้องหงุดหงิดด้วยวะ “ สันดานแม่งเป็นไงดูภายนอกก็น่าจะรู้อยู่แล้ว วิวน้องชายของผมมันก็บอกกรอกหูอยู่เมื่อเช้าว่าอีกคนเป็นยังไง คนทำงานผับแบบนั้นมันก็ไม่แปลกหรอกจะมีสาวสวยอยู่ล้อมรอบตัวเอง ไม่แปลกเลยด้วยซ้ำที่จะมีคนมาเสนอตัวให้ แล้วก็ไม่แปลกด้วยที่อีกคนจะเจ้าชู้ แต่ที่กำลังอยากรู้ ที่กำลังหงุดหงิด มันเพราะอะไรวะ เพราะการกระทำใส่ใจที่เค้าทำกับเราเหรอ คำพูดที่พูดกับเราเหรอ หรือเพราะเรากำลังรู้สึกว่า อยากให้ทุกอย่างนั้นมันเกิดขึ้นกับเราแค่คนเดียว
‘ ก็แค่คำพูดของคนเจ้าชู้ทั่วไปนั่นแหละ ใส่ใจอะไรวะเมด เพื่อนในกลุ่มเค้าก็ยังเต๊าะเราเล่นๆตามประสาคนมาทำงานใหม่เลย แล้วทำไมเค้าจะไม่เป็นวะ ’
“ หน้าบูดอะไรขนาดนั้น ปวดขี้เหรอ “
“ ไอ้สัด ไม่ใช่สักหน่อย “ หันไปเถียงมัน อีกคนก็เงียบ ผมเหลือบมองอาฟ “ นี่.. ถามอะไรหน่อยสิ “
“ ว่า “
“ มึงกับผู้หญิงคนนั้นมันยังไงกันวะ “
“ อะไรยังไง “ มันถามกลับ
“ กูหมายถึงความสัมพันธ์ แบบว่าเป็นอะไรกัน “
“ กูเป็นคนซื้อเหล้า มันเป็นเซลล์ “
“ ไม่ใช่แบบนั้น แบบ.. แบบว่าเคยนอนด้วยกันเหรอวะ “ ผมถามออกไปในที่สุด อาฟก็หันมามองก่อนจะพยักหน้ารับง่ายๆแบบไม่ได้คิดอะไรมากมายทั้งนั้น เหมือนถามว่ากินข้าวยัง อีกคนก็พยักหน้ารับว่ากินแล้ว
“ ทำไม ? “
“ เปล่า งั้นเมื่อกี้เธอก็ชวนมึงสินะ แบบว่า...ไปทำเรื่องอย่างงั้น “
“ อื้ม “
“ แล้ว แล้วทำไมไม่ไปวะ “ คำถามที่ทำให้คนที่กำลังขับรถหันมามองหน้าผม แต่เป็นผมเองที่กลับเอาแต่มองไปบนถนนข้างหน้า
อยู่ๆก็รู้สึกว่าไม่อยากจะมองหน้ามันขึ้นมา ก็ยอมรับว่ากลัวคำตอบ คำตอบที่อีกอาจจะพูดว่า
‘ ก็เดี๋ยวส่งมึงเสร็จกูถึงจะไป’
ไม่ก็
‘ ก็เดี๋ยวไป ‘
อะไรทำนองนั้น
ผมแค่รู้สึกว่าไม่อยากจะฟังอะไรแบบนั้น จะบอกว่าหวงรถไม่อยากจะให้อีกคนเอาไปรับคนอื่นก็ไม่น่าใช่.. ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า หวงอะไรอยู่..
“ ไม่ไป ตอนนี้มีอะไรที่อยากจะทำมากกว่าเรื่องแบบนั้นแล้ว “
“ เรื่องอะไรวะ “ หันไปถามมัน อีกคนก็หันมาบอกแบบย้ำคำ
“ เสือก “
“ สัด กูถามดีๆ ไม่บอกก็ไม่ต้องบอก ไม่ได้อยากจะรู้สักหน่อย “ หันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง ผมพ่นคำด่าตัวเองในใจ ตอแหล มึงน่ะตัวอยากรู้เลยเมด แต่ถึงอย่างงั้นผมถอนหายใจโล่งอกออกมา อย่างน้อยมันก็ไม่ไป ดีเหมือนกัน.. ยังคิดคำพูดรั้งไว้ไม่ออกเลย
เราสองคนนั่งรถกันไปเงียบๆ ผมที่เอื้อมมือไปเปิดเพลงก่อนจะกดเสียงให้เบาลง หันไปมองนอกหน้าต่างที่วิวทิวทัศน์ที่วุ่นวายใจเมื่อกี้เปลี่ยนไปฉับพลันหลังจากที่ถามคำถามพวกนั้นออกไป ก่อนที่ผมจะคิดขึ้นมาได้ ว่ามีอีกหนึ่งคำถามที่ตัวเองก็ยังอยากรู้
“ อาฟ ถามอะไรหน่อย “
“ ว่า “
“ ทั้งๆที่ชั้นสามของผับเรามันเป็นออฟฟิศ แล้วทำไมมันถึงมีเตียงละ มึงชอบทำงานหามรุ่งหามค่ำเหรอ หรือว่าชอบมานอนที่ throw up “ คำถามที่ทำให้คนฟังยกยิ้ม อาฟหันมามองหน้าผม น่าแปลกที่ตอนนั้นผมรู้สึกว่ามันมองผมด้วยสายตากรุ่มกริ่มเหลือเกิน ลิ้นที่เลียเข้ากับริมฝีปาก ใบหน้าคมยกยิ้ม
“ มึงอยากรู้เหรอ ? ไว้อีกไม่นานกูจะพาไปหาคำตอบ “
“ ไม่อยากรู้แล้ว “ ผมบอกมันแค่นั้นเพราะรับรู้ถึงภัยที่จะเข้ามาใกล้ตัวยังไงก็ไม่รู้
ผู้ชายคนนี้อันตรายไม่ต่างกับเอามือไปเล่นไฟหรอก ประคับประคองให้ดีมันก็อบอุ่น และแน่นอนถ้าไม่ระวังหรือเผลอตัวเข้า มันอาจจะเผาไหม้ตัวเราไปทั้งหมด อาฟที่หัวเราะขึ้นมาเบาๆ มันหันไปมองตรงถนนข้างหน้าอีกครั้ง
“ อยากรู้เถอะ เพราะถึงไม่อยากรู้ยังไง ก็ต้องได้รู้อยู่แล้ว “
.......................................................................
ขับรถถึงหน้าคอนโดในช่วงเวลาเกือบตีห้า โชคดีที่พรุ่งนี้ไม่มีเรียน ไม่งั้นคงต้องแบกสภาพชีวิตที่ใต้ตาดำคล้ำไปเรียนแน่นอน วันนี้เป็นวันแรกที่ผมรู้สึกง่วงหลังจากที่ไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนี้มาสักพัก
บางทีการที่เกิดเรื่องวุ่นวายในชีวิตตอนนี้ก็เหมือนไม่ได้แย่ไปทั้งหมดหรอก คิดดูดีๆ ก็รู้สึกว่า ถ้าตอนนี้ไม่ต้องมาใช้หนี้อยู่ในผับ ตัวผมคงเอาแต่นั่งซึมอยู่ในห้องไม่ออกไปไหน อาจจะดรอปเรียนไปแล้วเพราะทนรับสภาพที่ต้องเห็นทั้งอดีตเพื่อนและอดีตคนรักไม่ไหว แต่เพราะเป็นหนี้ ชีวิตก็เลยได้มาเจอกับสภาพแวดล้อมอื่น ได้เจอคนใหม่ๆที่ทำให้ยิ้มได้ แล้วบางคนก็ทำให้เข้มแข็งขึ้นทั้งๆที่ไม่คาดคิดเลยว่า คนอย่างมันจะทำให้รู้สึกแบบนั้น
กลั้นยิ้มก่อนจะถอนหายใจออกมาตอนที่คิดถึงคนข้างๆที่กำลังชะลอรถลงหน้าคอนโดของผม ถึงสักทีตอนนี้ใจขึ้นไปอยู่ในห้องแล้ว จะอาบน้ำทาแป้งให้หอมๆ นอนตาแอร์ให้ฉ่ำปอดแล้วค่อยตื่นมาตอนใกล้เวลางาน
“ ถึงสักที “ บิดขี้เกียจแรงๆ ผมก้มลงเปิดกระเป๋าเป้เพื่อหยิบคีย์การ์ดขึ้นมาเตรียมเปิดประตู อาฟขับรถรถเข้าไปใกล้ทางเข้าของคอนโดมากขึ้น
“ เมด “ เสียงทุ้มของคนขับที่เอ่ยเรียกผม
“ ว่า “ ขานรับมันพร้อมกับยื่นซองสีน้ำตาลที่ใส่เงินไปให้มัน ผมชะงักไปตอนที่อาฟเชิดหน้าไปข้างหน้า มองตามสายตานั้นของมันไปก่อนจะเจอเข้ากับคนที่ไม่อยากจะเจออีกครั้ง
“ บิน “
“ กัดไม่ปล่อยจริงๆนะ ผัวเก่ามึงน่ะ.. ด้านดี “ อาฟหันมาบอกผมที่ตอนนั้นก็ทำได้แค่ถอนหายใจออกมายาวๆ
ร่างสูงดีกรีนักบาสมหาลัยอยู่ในชุดหล่อเหลาที่ผมเคยซื้อให้แต่มันโคตรเกลียดเพราะเคยบอกว่าไม่เข้ากับสไตส์ของมันเลยสักนิด รองเท้านั้นก็ด้วย ครั้งนึงมันก็เคยบอกว่าเชยซะจนไม่กล้าใส่ บินไม่เคยหยิบพวกมันมาใส่เลย ไม่เคยเลยสักครั้งจนกระทั้งวันนี้ ในมือของมันถือช่อดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ เดินวนไปวนมาอยู่หน้าประตูทางเข้าคอนโด
เป็นเหมือนอย่างที่คิดไม่มีผิด ผมรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์นี้มันต้องเกิดขึ้นสักวัน มันก็เหมือนทุกครั้งที่เราโกรธกัน มันจะเริ่มจากการพูดขอคืนดีก่อน ออดอ้อน ถ้าไม่ได้ผล บินจะจะขอให้ผมมองตามัน รำพันคำสัญญามากมายว่าตัวมันเองจะปรับตัว จะไม่ทำเรื่องที่อะไรทำให้ผมเสียใจอีก และถ้าแผนนี้ไม่ได้ผล มันก็จะซื้อดอกไม้มาง้อ ดอกไม้สีแดงช่อใหญ่ และตัวผมเองตลอดมา ก็ไม่เคย ชนะ แผนสุดท้ายนี้ได้สักที
“ อาฟ เอาไงดีวะ “ ผมเอ่ยถามคนข้างๆเสียงเบา ทั้งๆที่ก็มีคำตอบอยู่ในใจตัวเองอยู่แล้ว นั่นคือการลงไปเผชิญหน้ากับมันแล้วคุยกันให้รู้เรื่อง แต่ว่ามันก็ดูเป็นการกระทำที่เด็ดเดี่ยวจนต้องเอ่ยถามคนที่เข้มแข็งกว่า ว่าควรหรือไม่ควรสำหรับความคิดนี้ “ ลงไปคุยกับมันดีมั้ยวะ คุยกันให้รู้เรื่องไปเลย มันอยากจะพูดอะไรก็ให้มันพูด บอกเลิกกันให้ชัดๆ ไปเลย “
“ แน่ใจว่าจะบอกเลิก ? “ ผมหันไปมองมันที่ถามขึ้นมาแบบนั้น อาฟถอนหายใจออกมาสายตาของมันไม่ได้มองผม แต่กลับหันไปทางอื่น เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่ามันมีคำบางคำอยากจะพูดออกมา แต่ไม่กล้าพูด “ แน่ใจเหรอ ว่าทำได้ “
“ กูอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้ว “ บอกมันแค่นั้นก่อนจะหันไปมองที่ผู้ชายคนนั้นเหมือนเดิม “ ไม่อยากจะหนีแล้ว ไม่อยากจะหลบ ไม่อยากจะอ้าง อยากจะพูดตรงๆกับมันสักครั้ง พูดเรื่องของเรา แล้วก็พูดถึงเรื่องของเพื่อนกูกับมัน มึงว่าดีมั้ย “
“ ไม่รู้ “ อีกคนตอบนิ่งๆ “ ถ้ามึงมั่นใจว่าตัวเองจะไม่กลับไป คำตอบของกูคือดี แต่ถ้ามึงคิดจะกลับไป คำตอบของกูคือไม่ดีและไม่ต้องลงไป “ ทุกอย่างเงียบไปหลังจากที่อีกคนพูดแบบนั้น มันเงียบจนภายในรถรู้สึกอึดอัด “ ทำไมถึงคิดจะลงไปคุยกับมัน “
“ กูคิดว่า กูรู้จักคนแบบบินอยู่นะ มันเป็นคนไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ แล้วอีกอย่างคือ กูคิดว่า มันคงคิดว่ากูยังรักมันอยู่ แล้วพร้อมจะให้อภัยมันทุกอย่างเหมือนที่ผ่านมา แค่อ้อน แค่ขอร้องทำตัวเหมือนหมาเหมือนแมวแบบที่กูชอบ มันรู้จักกูดี มันรู้จุดอ่อนของกูว่ากูแพ้ทุกทีเวลามันง้อ และเพราะมันรู้ ก็เลยยังหน้าด้านมาง้อกู ทั้งๆที่ทำเรื่องเหี้ยๆนั่นไง เพราะมันยังคิดอยู่ตลอดว่า กูรักมันมากและให้อภัยมันได้ทุกอย่าง “
“ ไม่จริงหรอก “ อาฟหันมาบอกผม “ มึงเป็นคนที่จะยอมให้ผัวไปเอากับเพื่อน แล้วก็กลับมาเอาตัวเองในวันที่ผัวมึงอยากงั้นเหรอ เป็นของตายของมันอยู่แต่ในห้องเชื่อฟัง ทำดีกับมันสารพัดเหมือนเป็นคนใช้มัน เค้าใช้ให้ทำอะไรมึงก็ทำตาม จะทำให้เสียใจแค่ไหนก็ไม่แคร์งั้นเหรอ มึงรับมันได้ทุกอย่างเพราะรักมากๆให้อภัยได้หมด มึงเป็นแบบนั้นเหรอ มึงเป็นแบบนั้นเหรอเมด “ ผมส่ายหน้าตอนที่มองอีกคนที่พูดออกมาแบบนั้น “ ถ้าไม่ใช่ งั้นก็แสดงให้มันเห็น ว่ามันไม่ได้รู้จักมึงดี จำคำกูไว้นะ มึงรู้จักตัวมึงดีที่สุด อย่าให้ใครมาคิดว่าเค้ารู้จักตัวมึงดี แล้วจะทำอะไรกับมึงก็ได้ ถ้าจะลงไป ก็ลงไปเพื่อบอกให้มันรู้ว่า คนอย่างมันไม่เคยรู้จักคนอย่างมึงเลยสักนิด “
“ อื้ม “ พยักหน้ารับให้อีกคน มันจริงอย่างที่อาฟพูดทั้งหมด เพราะบินคิดแบบนั้น คิดว่าจะทำอะไรก็ได้ สุดท้ายผมก็ยังรักและยังกลับไปหามันอยู่ แล้ววันนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ผมจะทำให้มันรู้ว่า ผมไม่ได้เป็นแบบนั้นอีกต่อไป ผมรักมันก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้น
ขยับตัวเตรียมลงจากรถ ผมที่กำลังเอื้อมมือไปเปิดประตูแต่มือหนาของอีกคนที่นั่งข้างกันกลับเอื้อมมาจับไว้ก่อน ผมหันไปมองอาฟ มันที่เหมือนจะพูดอะไรออกมาสักอย่างแต่กลับนิ่งไป มือที่จับมือผมอยู่นั้น มันใช้นิ้วโป้งลูบเบาๆที่หลังฝ่ามือ เอ่ยถามมันผ่านทางสายตาอีกคนก็เอาแต่เม้มริมฝีปากก่อนจะถอนหายใจออกมาหลังจากกลืนน้ำลายลงไป
“ กลับมานะ กูจะคอยมึงอยู่ตรงนี้ “ เผลอยิ้มออกมากับคำพูดสั้นๆ แต่กลับพูดยากเย็นเหลือเกินสำหรับบางคน ผมพยักหน้ารับให้มัน
“ อื้ม “ หันไปมองนอกหน้าต่างรถอีกครั้ง เผลอคิดว่าเป็นโชคดีของผมที่รถติดฟิล์มดำแบบที่คนข้างนอกจะมองเข้ามาไม่เห็น แต่ที่โชคดียิ่งกว่าคือ คนที่ยืนอยู่ข้างนอก ไม่ใส่ใจกันจนแทบจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำ ว่าทะเบียนรถผม มันเลขอะไร