สืบรัก彡คดีที่11
**ก่อนจะอ่านกันต่อเราขอชี้แจงอะไรนิดนึงนะคะเพราะไม่ได้มีเขียนอธิบายไว้ตอน จากตอนที่แล้วเบซิลโยนปืนไปให้ยามหลายคนคงคิดว่ามีรอยนิ้วมือของเบซิลอยู่แต่ความจริงแล้วไม่มีค่ะ การแฮ็กข้อมูลของเบซิลจำเป็นต้องแตะต้องคอมบนห้องเลยมีการเคลือบนิ้วกันเรื่องลายนิ้วมือไว้ล่วงหน้าแล้วไม่งั้นทางนั้นสามารถตรวจสอบลายนิ้วมือจากคอมได้ค่ะ จบการแก้ข่าวให้เบซิลค่าาา เชิญทุกท่านอ่านต่อได้เลยนะคะ**
ชีวิตของคนวัยทำงานมักเริ่มต้นในช่วงเช้าเสมอ แม้จะเป็นหน่วยสืบสวนพิเศษที่มีการผ่อนผันทว่าในเวลาที่กำลังมีเหตุการณ์ความไม่สงบซึ่งอาจส่งผลต่อประเทศได้ง่ายๆถือเป็นข้อยกเว้น ข้อมูลจากการเข้าไปแอบสืบในมหาวิยาลับชื่อดังเมื่ออาทิตย์ก่อนถูกนำมารวมกับข้อมูลอื่นๆที่ทุกคนช่วยกันหาโดยเร็ว
เพราะแบบนั้นวันนี้ทุกคนในหน่วยจึงมาอยู่กับพร้อมหน้าไม่เว้นแม้แต่หัวหน้าไพลสันต์ ห้องทำงานใหม่พึ่งถูกซ่อมแซมครั้งใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ และได้มีชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับใช้ประชุมเพิ่มเข้ามา
เอกสารมากมายวางกระจายอยู่บนโต๊ะเพื่อใช้ดูข้อมูลและหาความสัมพันธ์ของของคนแต่ละคน ด้านหลังบริเวณกำแพงสีขาวมีจอโปรเจ็กเตอร์เปิดฉายคลิปแอบถ่ายที่ถูกตัดเฉพาะช่วงช่วงสำคัญ
จะให้เห็นตอนผมในร่างนกบินขึ้นลงไม่ได้เบซิลจึงจัดการเรื่องนี้ให้
“นี่อาจเป็นคดีที่ใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี”หัวหน้าไพลสันต์เปิดเอกสารในมือพลางเอ่ยเสียงเรียบ
“ควรพูดว่าใหญ่ที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งหน่วยเลยดีกว่าครับ”จิวพูดต่อ ใต้ตาของจิวเริ่มคล้ายหมีแพนด้าเข้าไปทุกทียิ่งช่วงนี้ต้องสืบข่าวเขาแทบไม่มีเวลานอนด้วยซ้ำ
“...นั่นเวอร์ไปมั้งจิว ง่วงชะมัด”แม็กเองก็มีสภาพไม่ต่างกับจิวนัก ใต้ตาสุดคล้ำนั่นทำเอาผมรู้สึกอยากให้พวกเขาไปนอนพักผ่อนสัก2ชัวโมงแต่เรื่องนี้ต้องรีบจัดการโดยเร็วที่สุด เพราะงั้นขอโทษนะจิวแม็ก
อดทนอีกสักนิดเถอะ
“ถ้าพูดถึงคดีที่ยากที่สุดคงต้องเป็นคดีจับแก็งอาวุธข้ามชาติเมื่อ3ปีก่อน”เบียร์พูดพลงหมุนปากกาในมือเล่น
“ใช่ๆ คดีนั้นน่ะกว่าจะหาข้อมูล กว่าจะวางแผน กว่าจะบุกเข้าไปจับตัวคนร้ายใช้เวลาไปถึง4เดือนแถมทางเรายังได้รับความเสียหายกลับมาอีก”สกายพยักหน้าเห็นด้วยกับเบียร์
“ความเสียหาย?”เบซิลขมวดคิ้วถาม ดูเหมือนจะเป็นประเด็นน่าสนใจสำหรับเบซิลถึงได้ถามต่อ
ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่น่าสนใจเขาคงปล่อยผ่านไปแล้ว
“อืม พวกเราที่บุกเข้าไปปะทะกับแก็งนั้นตรงๆ หัวหน้าถูกยิงเข้าที่ขาโชคดีที่ไม่โดยเส้นประสานเลยไม่ส่งผลกระทบอะไรกับการใช้ชีวิต ไธม์เองก็เข้ามาปกป้องพวกเราจนกระดูกแขนหัก ต้องเข้าเฝือกไปถึง2เดือนเต็ม”สกายอธิบายให้เบซิลฟังเป็นฉากๆ
“คุณพลาดท่าด้วย?”เบวิลหันมามองหน้าอย่างไม่ค่อยเชื่อคำพูดสกายนัก
“ผมก็คนนะคุณ อย่าเรียกว่าพลาดท่าเลย ในสถานการณ์นั้นแขนหักน่ะถือว่าเป็นอาการเบาที่สุดแล้ว”ผมในตอนนั้นวิ่งเข้าไปช่วยแม็กที่กำลังจะโดนยิงเลยต้องปะทะกับคู่ต่อสู้ถึง5คนพร้อมกัน ถึงจะสามารถจัดการได้แต่ระหว่างการต่อสู้แขนผมกระแทกเข้ากับชั้นกล่องเหล็กอย่างรุนแรงจนกระดูกหัก
เรื่องราวก็ประมาณนี้
“ถ้าผมอยู่ด้วยคงไม่ปล่อยให้คุณแขนหักแบบนั้น”
“...ด้วยฝีมือการยิงปืนอันแสนแม่นยำ?”ผมยกยิ้มมุมปากระหว่างถาม
คำพูดแสนมั่นใจนั่นไม่ได้สร้างความน่าเชื่อสักนิดหากฝีมือและทักษะการต่อสู้รวมถึงการใช้ปืนยังเป็นเหมือนที่ผมเห็นก่อนหน้านี้
“แขวะกันอีกแล้ว”
“ผมแค่พูดความจริง”ความจริงล้วนๆแบบไม่มีการปรุงแต่งด้วย
“น่าจะพาเขาไปฝึกยิงปืนนะไธม์”หัวหน้าเอ่ยแทรก
“ผมก็คิดไว้แต่ต้องรอให้เราได้ข้อมูลมัดตัวที่แน่นอนกว่านี้ก่อน”ผมคิดไว้แล้วว่าถ้ามีเวลาต้องพาเบซิลไปสนามยิงปืนให้ได้ แต่ช่วงนี้ยังไม่พร้อมถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้นผมคงจะหาของแถวนั้นให้เบซิลขว้างใส่ศัตรูไปก่อน
ฝีมือการขว้างค่อนข้างแม่นมากทีเดียว
“นั่นสิ ต่อให้เราจะได้ชื่อของพลตำรวจโท เกษมศักดิ์ จิระการณ์มาแต่ใช่ว่าเขาจะเป็นตัวการณ์ของเรื่องราวทั้งหมด อาร์มคิดว่าไง”หัวหน้าหันไปขอความเห็นอาร์มซึ่งนั่งเงียบมาตั้งแต่เริ่มประชุม
ถ้าถามว่าทำไมถึงเงียบ เหตุผลง่ายๆก็คือหลับอยู่ไงล่ะ แถมยังเป็นการหลับแบบโจ่งแจ้งด้วย มือสองข้างยกขึ้นกอดอกตัวแน่นไว้แน่นพร้อมเอียงคอเล็กน้อยให้อยู่ในจังหวะพอดี ที่นั่งของอาร์มอยู่ตรงข้ามกับหัวหน้าจึงเป็นไปไม่ได้ที่หัวหน้าจะมองไม่เห็น
ขนาดผมนั่งเฉียงยังเห็นปากที่อ้าออกกว้างนั่นชัดเจนเลย
“ฮะ? ฮือ?...เอ่อ ขออีกรอบครับหัวหน้า”คนถูกเรียกสะดุ้งตัวโยน
“ฉันถามว่าเธอคิดว่ายังไง”หัวหน้าดูเหมือนใจดีที่ถามซ้ำแต่เล่นถามแค่นั้นคนที่ไม่ได้ฟังตั้งแต่ต้นจะตอบได้ยังไงล่ะ
“...ผมคิดว่าควรหาข้อมูลให้มากกว่านี้ก่อน ใช่ไหมซัน”อาร์มใช้ศอกแตะซันเป็นเชิงขอให้ช่วย
“ไม่รู้ ตอบเองสิ”
“อย่าทิ้งกันสิเพื่อน”
“อยากหลับเองนี่ช่วยไม่ได้”คำพูดของซันทำเอาคนแอบหลับแบบโจ่งแจ้งถึงกับพูดไม่ออก
“กลับเข้าเรื่องก่อน จากที่พวกเราหาข้อมูลมาเหมือนพลตำรวจโท เกษมศักดิ์ จิระการณ์จะเป็นตัวหนักในการฟอกเงิน ใช่ไหมเบซิล”เบียร์ปล่อยผ่านเรื่องอาร์มแล้ววกกลับเข้ามาประเด็นหลัก
“อืม จากการแฮ็กดูบัญชีของอธิการมหาลัยนั่นมีหลายบัญชีที่โอนเงินเข้ามาในวงเงินซึ่งมากว่าปกติหนึ่งในประวิติมีชื่อของพลตำรวจโท เกษมศักดิ์ จิระการณ์อยู่เกือบทุกสัปดาห์ พอลองเจาะเข้าไปดูในบัญชีของ เกษมศักดิ์ก็พบว่ามีบางคนโอนเงินพวกนั้นมาอีกต่อนึง”
“หมายความว่ามีคนอื่นอยู่เบื้องหลังอีก”ผมมสรุปเสียงเบา
พวกเราอาจมากันถูกทางแล้ว เหลือแค่สาวเข้าไปใกล้ผู้อยู่เบื้องหลังมากว่านี้
“ให้เดาต้องมียศเป็นพลเอก”จิวออกความเห็น
“คิดเหมือนกัน”เบียร์พยักหน้าเห็นด้วยกับจิว
“นี่พวกเราต้องเจอกับหนึ่งในขั้วอำนาจของฝั่งตำรวจเหรอเนี่ย”จูนพูดบ้าง
ปัจจุบันคนที่มียศพลเอกไม่ได้มีแค่คนเดียวแต่มีมากหลายสิบคนซึ่งในหมู่พลเอกจะมีคนหนึ่งถูกแต่งตั้งขึ้นมาให้เป็นศูนย์รวมของอำนาจ ส่วนมากจะเป็นคนที่มีฐานลูกน้องดีและมีความน่าเชื่อถือ เรียงง่ายคือเป็นผู้บัญชาการตำรวจนั่นเอง
“มีสองทางที่เป็นไปได้ตอนนี้...”ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคอยู่ๆร่างกายผมก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ในเสี้ยววินาทีผมก็กลายร่างเป็นสัตว์ตัวเล็กมีหางเป็นพวงยาวหรือกระรอก เบซิลที่เห็นถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตื่นตกใจแต่คนอื่นๆกำลังก้มอ่านเอกสารและเสนอความเห็นต่างๆกันโดยไม่ทันสังเกตุถึงสภาพผม
โต๊ะสำหรับประชุมค่อนข้างกว้างพวกเราเลยเว้นระยะกันพอสมควร
“พูดต่อสิไธม์ฉันฟังอยู่”หัวหน้าไพลสันต์ถามระหว่างก้มหน้าอ่านเอกสารในมือ
ซวยแล้ว
จะให้พูดต่อได้ยังไงในสภาพนี้ล่ะ
แต่ผมยังไม่ได้สัมผัสกระรอกเลยนะแล้วทำไมถึงได้กลายร่างเองได้...
อย่าบอกนะว่าถึงช่วงเวลานั้นแล้ว?
พลังของผมเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นการกลายร่างเป็นสัตว์ที่สัมผัสตัว ซึ่งแต่ละครั้งในการกลายร่างเหมือนร่างกายจะสะสมตะกอนของพลังในร่างสัตว์นั้นๆไว้จนกระทั่งเอ่อล้นออกมา
อธิบายง่ายๆคือใน1ปีจะมีประมาณ2ครั้งที่ผมจะกลายร่างเป็นสัตว์โดยไม่จำเป็นต้องสัมผัสสัตว์ใดๆ ที่แย่คือไม่ใช่แปลงครั้งเดียวและจะจบ ผ่านไปสักระยะผมจะเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์ตัวอื่นที่ผมสัมผัสในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ปกติจะเป็นช่วงเดือน6และเดือน12 ถ้าใกล้ๆเวลาผมมักจะลาหยุดแล้วอยู่แต่ในห้องทว่าครั้งนี้มีคดีใหญ่เข้ามาจนผมลืมเวลาไปเลย
“มีสองทางที่เป็นไปได้คือผู้บัญชาการตำรวจมีส่วนรู้เห็นในการกระทำครั้งนี้ อีกทางคือมีหนึ่งในระดับพลเอกมีส่วนร่วมและต้องการจะโค่นล้มอำนาจสูงสุดเผื่อตัวเองจะได้ขึ้นไปดำรงค์ตำแหน่งนั้นแทน”เบซิลพูดต่อแทนผมระหว่างนั้นอีกฝ่ายค่อยๆลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินมาคว้าทั้งเสื้อผ้าและตัวผมกลับไปนั่งอยู่เก้าอี้ตัวเดิมอย่างเนียนๆ
“ฮืม?...ไธม์ไปไหน”พอหัวหน้าเงยหน้าขึ้นจากเอกสารแล้วไม่เห็นผมจึงเอ่ยถามขึ้น และเพราะคำถามนั่นทำให้ทุกคนหันมามองที่นั่งผมเป็นตาเดียว
จะทำยังไงต่อล่ะเบซิล
ในสถานการณ์แบบนี้จะจัดการด้วยวิธีไหนกัน
“ผมกำลังจะบอกอยู่พอดี”เบซิลปรับใบหน้าและน้ำเสียงให้เหมือนยามปกติในพริบตา
“บอกอะไร?”
“ผมกำลังจะทำการวิเคราะห์ที่มาของเงินในบัญชีของ เกษมศักดิ์ จิระการณ์ อยู่...ไม่แน่ว่าเราอาจรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังจากการวิเคราะห์นี่ แต่ผมจำเป็นต้องใช้สมาธิเลยอยากขอกลับไปทำที่ห้อง ผมเลยให้ใบไธม์ออกไปที่รถก่อน”เบซิลอธิบายทุกอย่างด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ไม่มีอการตื่นตระหนกหรือติดขัดเลยสักนิด
คล้ายกำลังพูดเรื่องจริงอยู่
“ไม่มีปัญหา ถ้าได้ข้อมูลรีบมาบอกเลยนะ”
“เข้าใจแล้ว หวังว่าคุณคงไม่โกรธใบไธม์ที่ไปก่อนโดยไม่ลา?”
“ไม่นี่ เรื่องเล็กน้อยฉันไม่คิดมากหรอก ยังดีกว่าคนที่หลับอย่างโจ่งแจ้งตรงหน้านี่เยอะ”หัวหน้าตอบกลับ คนที่ว่าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอาร์ม เมื่อครู่ยังตื่นอยู่เลยแต่ตอนนี้กลับนั่งหลับอีกรอบ
“งั้นผมขอตัวก่อน”พอหัวหน้าพยักหน้าและทุกคนก้มลงอ่านเอกสารในมือพร้อมเสนอความคิดต่อเบซิลก็รีบหอบเสื้อผ้าโดยมีผมอยู่ด้านในเดินออกไปจากห้องโดยไม่ลืมกระเป๋าผมและของตัวเอง
ไม่รู้ว่าถือเป็นใชคดีหรืออะไรที่วันนี้ผมเอารถยนต์ออกมาใช้หลังจากไม่ได้ขับมาหลายอาทิตย์ เบซิลวางผมในร่างกระรอกและเสื้อผ้ากองไว้บนเบาะข้างคนขับแล้วขับรถกลับไปยังห้องพัก
ระหว่างการเดินทางร่างของกระรอกตัวเล็กก็แปรเปลี่ยนเป็นแมวสีส้มขนฟูฟ่องทำเอาเบซิลที่หันมามองถึงกับขมวดคิ้วแน่น
“แมว?...เกิดอะไรขึ้นกันแน่น่ะใบไธม์”
เหมี๊ยว
อยากจะอธิบายนะแต่รู้ๆกันอยู่ว่าในสภาพนี้ต่อให้อธิบายยังไงอีกฝ่ายก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
“...เสียงร้องคุณน่ารักจัง”
แหง๊ว
ผมรีบส่งเสียงขู่พลางยกเท้าเผยกรงเล็บเล็กโชว์เพื่อสื่อว่าถ้ายังพูดต่อมากกว่านี้ได้เจอดีแน่
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ไม่พูดแล้วก็ได้”สุดท้ายเบลซิลจึงยอมหยุด
พวกเรากลับมาถึงห้องในเวลาค่อนข้างนาน การจราจรในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ค่อนข้างติดโดยเฉพาะช่วงกลางวันที่ผู้คนพากันออกไปเที่ยวหรือกินข้าว เบซิลแอบอุ้มผมที่บัดนี้ร่างแมวเปลี่ยนแปลงเป็นนกพิราบหลบคนดูแลและกล้องมาจนถึงบนห้อง
ร่างของผมถูกปล่อยลงบนพื้นซึ่งผมกางปีกออกพร้อมบินไปเกาะยังขอบโซฟาตัวเล็กด้านข้างชั้นหนังสือ ข้าวของทุกอย่างเบซิลเป็นคนขนมาเพียงลำพัง
ถ้าไม่ได้เบซิลผมคงไม่สามารถกลับมาห้องได้โดยไม่มีใครเห็นแบบนี้
แล้วคงไม่รอดตั้งแต่นั่งประชุมแล้วด้วย
“เอาล่ะ ผมต้องทำยังไงต่อดีล่ะ ปล่อยไว้แบบนี้?”เบซิลมองมายังร่างนกของผม
ในเมื่อไม่สามารถพูดได้ผมจึงใช้ภาษกายอย่างการพยักหน้าแทนคำพูด ทันใดนั้นร่างของนกก็เริ่มขยายออก ขนสีเทาถูกแทนที่ด้วยผิวหนังของมนุษย์ ด้วยน้ำหนักซึ่งมากกว่าตอนเป็นนกทำให้ทั้งร่างร่วงลงมาอยู่บนพื้นในสภาพเปลือยเปล่า
“...ขอเสื้อให้ผม”ผมทำเป็นไม่สนใจสายตาที่จับจ้องมา ตั้งแต่รู้จักกันมาผมเปลือยต่อหน้าอีกฝ่ายไปกี่ครั้งแล้วเนี่ย
อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
ต่อให้เป็นผู้ชายเหมือนกันใช่ว่าจะไม่รู้สึกอายยิ่งสายตาของเบซิลนั่นทำเอาร่างกายผมรู้สึกร้อนขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”เสื้อเชิ้ตสีอ่อนถูกส่งมาให้พร้อมคำถาม
“เป็นปกติน่ะ”สวมเสื้อเสร็จก็เดินไปหยิบท่อนร่างมาสวมต่อ
“ปกติ? จะบอกว่าเป็นนี้ตลอด?”
“ไม่ตลอด...น่าจะปีละ2ครั้ง”
“หมายถึงทุกครั้งที่เปลี่ยนร่างเป็นสัตว์ร่างกายจะทำการจดจำสัตว์เหล่านั้นไว้และพอถึงขีดจำกัดก็จะเกิดการปะทุออกมาในรูปแบบนี้...ผมเข้าใจถูกไหม”เบซิลวิเคราะห์ทุกอย่างก่อนจะเอ่ยออกมา
“...คุณวิเคราะห์ทุกอย่างได้จากคำพูดไม่กี่คำของผม?”รู้ว่าเบซิลเก่งการวิเคราะห์และฉลาดในเรื่องการเชื่อมโยงเรื่องราวแต่นี่ดูจะน่าตกใจเกินไปหน่อย ผมพูดกับเขาไม่ถึง5ประโยคแถมแต่ละคำที่เอ่ยแทบไม่ได้บอกข้อมูลอะไรเลย
“ส่วนนึง ผมเริ่มติดใจตั้งแต่ตอนเห็นร่างแมวและนก สองร่างนั้นผมเคยเห็นคุณเป็นมาก่อนเลยคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่ร่างกายจะจดจำสัตว์ทุกตัวยามสัมผัสหรือกลายร่าง”
“ถ้าคุณใช้ความสามารถนี่ในทางที่ดีหน่อยคงรวยล้นฟ้าไปแล้วไม่ใช่ต้องมาเสียเวลา20ปีไปกับการนั่งเล่นในคุกเหมือนในตอนนี้” ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะสามารถอ่านทุกอย่างได้ราวกับเป็นเรื่องง่ายแบบนี้
จะให้พูดอีกกี่ครั้งก็ได้ว่าเสียดายความสามารถนี่จริงๆ
“ต่อให้ย้อนกับไปได้ผมก็ไม่คิดจะเปลี่ยนเส้นทางหรอก”
“ทำไมล่ะ”ผมถามกลับด้วยความอยากรู้
“เพราะถ้าเปลี่ยนผมอาจไม่ได้เจอใบไธม์ ไม่ได้พูดคุย ไม่ได้เจอหน้า ไม่ได้อยู่ด้วยเหมือนในตอนนี้ ผมไม่คิดจะแลกช่วงเวลาที่ได้อยู่กับคุณกับของพรรนั้นหรอกนะ ไม่มีทาง”คำพูดพร้อมรอยยิ้มจากเบซิลทำเอาผมถึงกับทำตัวไม่ถูก
ถ้อยคำเหล่านั้นผมสัมผัสได้ถึงความจริงใจอันแฝงไปด้วยจริงจังกว่าทุกที
ผมรู้ว่าเขายึดติดกับผม แต่ไม่คิดว่าจะมากขนาดนี้
“...คุณยึดติดกับผมมากเกินไปนะ”คำพูดของเมเกอร์เป็นเหมือนเวทนมต์ที่ทำให้ทุกคนหลงกลและเชื่อไปกับประโยคเหล่านั้น
ผมไม่ควรเชื่อ
แม้จะรู้ทว่าน่าแปลก...ลึกๆผมกลับไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าคำพูดเหล่านั้นคือความจริง
“อาจจะเป็นแบบนั้น ผมไม่รู้ว่ามันถือเป็นการยึดติดหรืออะไร...แต่ผมไม่คิดจะเปลี่ยนความรู้สึก ต่อให้คุณจะทำเป็นเมินไปมากแค่ไหนผมก็จะบอก...ผมชอบคุณ”ดวงตาสีเขียวมรกตหันมาสบระหว่างเบซิลเดินก้าวเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น
ทั้งที่ควรจะถอยหลังหนีแต่ขากลับไม่ขยับราวกับถูกสายตานั่นตรึงไว้ไม่ให้ขยับไปไหน
จริงอย่างคำพูดของเขา...ผมทำเป็นเมินและเฝ้าบอกว่ามันเป็นเพียงคำพูดที่ไม่อาจเชื่อได้แม้จะรู้ดีอยู่แล้วว่ามันเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจของเบซิล
ไม่ใช่คำโกหกหรือหลอกลวง
“...เบซิล”
“ช่วยรับความรู้สึกนี้ของผมเถอะ อย่าเมินมันอีกเลย”
“...ถ้าผมรับรู้แล้วจะทำยังไงต่อ”ผมถามเสียงเบา พูดถึงขนาดผมไม่สามารถทำเป็นเมินหรือบอกกับตัวเองว่าคำพูดนั่นเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นได้อีกแล้ว
“มาคบกัน”
“ข้ามขั้นไป”
“เป็นแฟนกัน”
“ความหมายไม่ได้ต่างเลย”คบกันกับเป็นแฟนกันความหมายมันต่างกันตรงไหน
“คุณเกลียดผมเหรอใบไธม์”เบซิลถามกลับบ้าง
“ไม่ได้เกลียด”ผมส่ายหน้าเบาๆ ไม่จำเป็นต้องโกหกความรู้สึกตัวเอง
“แปลว่าชอบผม?”
ผมไม่ได้เกลียดเบซิลแต่ในขณะเดียวกันก็ยังไม่ได้ชอบถึงขนาดจะยอมตกลงคบด้วย
ความจริงผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกนี้มันมากพอที่จะให้คบกันรึยังเพราะประสบการณ์ด้านความรักของผมไม่ได้มีมาก อาจเคยคบกับผู้หญิงมาหลายคนก็จริงแต่ทุกคนเป็นฝ่ายมาขอคบและบอกเลิกในเวลาไม่นาน
ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะผมที่น่าสนใจไม่พอหรือไม่ได้เหมือนกับที่พวกเธอหวังไว้ละมั้ง
แต่ถึงจะเลิกผมไม่ได้รู้สึกหรือเสียใจมากมายนัก
พอมานึกดูตอนนี้ เป็นได้ว่าผมอาจไม่ได้รู้สึกชอบพวกเธอเลยถูกบอกเลิกแบบนั้น
ว่ากันว่าผู้หญิงมีเซ้นต์ด้านนี้ดีซะด้วย
“ยังไม่ถึงขั้นนั้น นี่เบซิล...คุณเจอกับคนมามากมาย เคยคบกับคนอื่นมาก็เยอะผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นผม ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา นิสัยหรืออย่างอื่นผมไม่ได้ดูโดดเด่นหรือน่าสนใจ คุณมีคนอีกมากที่เหมาะสมมากกว่า”ต่อให้เชื่อคำพูดของเบซิลแต่ใช่ว่าผมจะไม่สงสัย
คนธรรมดา มีชีวิตแสนธรรมดา
ที่ไม่ธรรมดาคงมีเพียงพลังนี้
ซึ่งผมไม่รู้ว่าอะไรที่ดึงดูดให้อีกฝ่ายสนใจ
“ใบไธม์...”ยังไม่ทันที่เบซิลจะจะอ้าปากร่างกายผมก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงผิวหนังของมนุษย์เริ่มมีขนสีขาวปุกปุยปกคลุมทั่วร่าง
ใช้เวลาไม่กี่วินาทีก่อนผมจะกลายร่างเป็นกระต่ายตัวขาวอ้วนกลมอย่างสมบูรณ์
กำลังคุยเรื่องสำคัญแท้ๆดันมากลายร่างซะได้
“อยู่ในร่างนี้ก็ดีเลย”อยู่ๆเบซิลก็เผยรอยยิ้มมุมปากพร้อมใช้มือสองข้างค่อยอุ้มร่างอันปกคลุมด้วยขนขึ้นมาในระดับสายตา ดวงตาสีเขียวมรกตของเบซิลประสานมายังดวงตาผมในร่างกระต่าย
ดียังไง
ผมอยากถามแต่ด้วยข้อจำกัดของสัตว์ทำให้ไม่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้
“ใบไธม์ ฟังผมนะ”
งี๊ด
ทั้งมือทั้งสายตามาขนาดนี้ผมคงจะไม่ฟังได้หรอก
“คุณคงรู้ดีว่าผมเจอกับผู้คนมามาก เคยคบกับชายหญิงมาก็เยอะซึ่งการกระทำเหล่านั้นอาจทำให้คุณไม่เชื่อว่าความรู้สึกชอบที่ผมมีต่อคุณเป็นของจริง...”
ใช่
ผมเผลอพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
“ผมอยากให้มองแบบนี้ เพราะผมได้คบกับพวกเขามาทำให้ผมรู้ว่าความรู้สึกที่มีต่อคุณมันไม่เหมือนกับคนอื่น แตกต่างอย่างชัดเจน ผู้คนมากมายพอเห็นรูปลักษณ์ผมมักจะเข้าหาด้วยวิธีต่างๆไม่ว่าจะเชิญชวน ยั่วยวนหรือแม้แต่เรียกร้องความสนใจแต่กลับคุณไม่จำเป็นต้องทำอะไร แค่อยู่เฉยๆทำหน้านิ่งๆ...แค่นั้นก็ทำให้หัวใจผมมันพองโตได้แล้ว”
“ไม่จำเป็นต้องโดดเด่น ไม่จำเป็นต้องดูดีเพราะผมไม่ได้มองสิ่งเหล่านั้น ที่ผมมองมีเพียงคุณ...ตัวตนของคุณ ทุกอย่างนั้นทำให้ผมรักและอยากอยู่ใกล้ๆตลอดเวลา ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนนอจากคุณ...เพราะงั้นเชื่อเถอะ เชื่อคำว่ารักที่ผมพูดที”เบซิลเอ่ยทุกอย่างระหว่างประสานดวงตามา พอพูดจบเขาขยับมือที่อุ้มผมให้เข้าใกล้พร้อมมอบจุมพิตเบาๆแนบลงบนริมฝีปากผมในร่างของกระต่าย
ทุกประโยค
ทุกถ้อยคำ
ทุกการกระทำ
ทุกอย่างเบซิลสื่อความรู้สึกและความจริงใจออกมาเต็มเปี่ยม ราวกับเป็นกระแสน้ำเชี่ยวกราดที่ซัดเกราะป้องกันบริเวณหัวใจให้พังทลายโดยไม่ทันรู้ตัว
หัวใจเต้นรัวขึ้นและแรงขึ้นไปอีกเมื่อได้รับจูบเบาๆนั่น
มันไม่ได้จาบจ้วงแถมยังอยู่ในร่างสัตว์อีกแต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าร่างกายร้อนจนแทบไหม้
ผมรู้ทันทีว่าต้องจริงจังกับการคิดเรื่องนี้สักนี้
จะมัวแต่เมินและทำเป็นไม่สนใจไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
เพราะถ้าปล่อยไว้ไม่ใช่แค่เบซิลที่จะต้องรอแต่เป็นผมเองที่สับสนกับความรู้สึกของตัวเองซึ่งบัดนี้กำลังตีกันจนคิดอะไรแทบไม่ออก
เกลียดไหม
ตอบได้เลยว่าไม่
ชอบไหม
อาจต้องคิดสักนิดแต่ตอบคงเป็น...ชอบ
ในตอนแรกผมอาจมองเขาเหมือนเป็นตัวกวนที่คอยปั่นหัวผมเล่นทุกครั้งเวลาเจอหน้ากันทว่าตอนนี้เมื่อได้อยู่ด้วยกันมากขึ้นมันมีความผูกพันธ์ที่ค่อยๆก่อนตัวขึ้น ภายใต้ความกวนแฝงไปด้วยความอ่อนโยนและจริงจัง
ยิ่งอยู่ด้วยกันมากเท่าไหร่ผมยิ่งสัมผัสได้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายที่เผยออกมามากขึ้นเรื่อยๆราวกับเบซิลยอมเผยนิสัยต่างๆให้ได้เห็น เป็นนิสัยที่คนอื่นอาจไม่เคยได้รู้มาก่อนซึ่งผมเผลอยิ้มไปกับนิสัยเหล่านั้นตลอด
ความรู้ดีๆนี่มันคงไม่ง่ายหากจะให้จางหายไป
หรือผมจะชอบเบซิลไปโดยไม่รู้ตัวกันนะ
หรือเป็นแค่ความรู้สึกที่มีต่อเพื่อน
ครั้งล่าสุดที่ได้คบใครก็เกิน5ปีมาแล้ว ผมจำความรู้สึกในตอนนั้นแทบไม่ได้จึงเปรียบเทียบไม่ได้
(มีต่อค่ะ)