My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (พิเศษส่งท้าย) 7/2/62 P.6 -จบ-
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (พิเศษส่งท้าย) 7/2/62 P.6 -จบ-  (อ่าน 51318 ครั้ง)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เด็กขาดความอบอุ่นหรือเปล่าเนี่ย

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ kaokorn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 903
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
ว้าวววว ตามมาอ่านเพราะชื่อ nicedog แล้วก็ไม่ผิดหวัง ชอบมาก
เนื้อเรื่องแปลกดีฮะตั้งแต่ครอบครัวของไธม์แล้ว เบซิลก้อเก่งแถมน่าร้ากกกกกด้วย
ชอบเรื่องนี้มากๆเลย มาอัพบ่อยๆนะฮะ
 :pig4:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เบนซิลขี้อ้อนมากกกกก

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
สนุกดี น่าติดตามเรื่อยๆ ว่าเบซินจะทำอะไรอีก

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
สนุกค่ะ  รอตอนต่อไป   :3123:

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
สืบรัก彡คดีที่5



ความมืดของท้องฟ้าในยามราตรีแผ่ขยายปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่แม้แต่ภายในห้องนอนใหม่ของผู้ต้องหาในคดีนับสิบอย่างผม เมเกอร์คือฉายาที่ได้รับมาจากใครสักคนซึ่งผมไม่ได้สนใจอะไรนัก รู้แค่ว่าฉายานั้นมอบให้กับผู้มีความสามารถในการแฮ็กระบบคอมพิวเตอร์และการล่อลวงผู้คนด้วยวาจา


หลังจากถูกจับ ไม่สิ ควรพูดว่ายอมให้จับอยู่นานก็ได้มีออกกาศออกมายังโลกภายนอกอีกครั้งนึง ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม อาจเพราะผมพึ่งได้เข้าไปอยู่ในเรือนจำไม่กี่เดือนเลยไม่มีอะไรเปลี่ยนมากนัก


ที่เปลี่ยนคงเป็นความรู้สึกภายในอกนี่ละมั้ง


เพราะความเบื่อจากการแฮ็กระบบความปลอดภัยรวมถึงการพูดจาล่อหลอกทำให้ตัดสินใจเข้าไปบอกกับตำรวจว่าคนที่แฮ็กระบบธนาคารเอาเงินออกไปโปรยว่อนคือตัวผมเอง การอยู่ในเรือนจำไม่ได้แย่เพราะผมได้สิทธิ์พิเศษมีห้องเดี่ยวไม่ต้องอยู่ร่วมกับใคร ถึงความจริงคือคนอื่นไม่สามารถอยู่ร่วมกับผมได้ก็ตาม


ชีวิตในแต่ละวันผ่านไปเรื่อยๆโดยไม่ต้องทำอะไรก็มีของให้กิน สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องดิ้นรนมาสบายจะตายแถมยังมีอิสระในการจะทำอะไรก็ได้เนื่องจากไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาเหมือนอย่างคนอื่นที่ต้องออกไปทำงาน


ข้อจำกัดที่มีคือผนังห้องกับสิ่งอำนวยความสะดวกละมั้ง


ไม่จำเป็นต้องมีคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุกผมก็สามารถคิดหรือสร้างโปรแกรมหรือแม้แต่การฝึกแฮ็กเข้าระบบต่างๆได้ด้วยวิธีง่ายๆคือใช้หัว ว่ากันว่าภายในสมองมีพื้นที่ความจำอยู่แบบอินฟินิตี้ ดังนั้นการจะใช้หน่วยความจำเพียงไม่กี่กิ๊กในการทดลองเขียนโปรแกรมและจำลองาพการแฮ็กเข้าระบบก็ไม่ใช่เรื่องยาก


ผ่านไปไม่นานกลับมีบางอย่างมาทำลายความสงบและเวลาของผม ของคนทางการขอเข้าพบผมโดยไม่ขอความสมัครใจก่อนจะเสนอให้เข้าร่วมกับทางนั้นเพื่อลดโทษจำคุกแลกกับการใช้ความสามารถและทักษะที่มีช่วยทางการ


เชื่อไหมว่าผมหัวเราะลั่นห้อง


ในเมื่อคนที่เดินเข้ามาให้ถูกจับคือตัวผมก็น่าจะเข้าใจได้นะว่าผมเข้ามาอยู่ในเรือนจำนี่ด้วยตัวเองไม่ใช่ถูกจับ การลดโทษไม่จำเป็นสำหรับผมเลยสักนิดเดียว อาจเพราะได้รับการปฏิเสธทางการจึงส่งคนมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือทหาร น่าเบื่อจนอยากหลับคาโต๊ะให้รู้แล้วรู้รอด


การใช้คำพูดหวาดล้อมเองก็ไม่ได้เรื่อง พอเข้ามาก็เอาแต่พูดเหมือนๆกันไม่ลดโทษก็ใช้ความสามารถที่มีเพื่อประโยชน์ของประเทศ


ดูยิ่งใหญ่ดี


ซึ่งทุกคนถูกผมตอกกลับไปหมดจนไม่มาให้เห็นหน้าอีกเป็นครั้งที่2 แต่แล้ววันหนึ่งผู้มาเยือนกลับสร้างความสนใจให้ผมโดยไม่รู้ตัว ในตอนแรกตัวตนของเขาแทบไม่อยู่ในสายตาทว่าดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องประสานมายังดวงตาสีเขียวมรกตของผมนิ่งๆนานหลายนาทีนั้นทำให้ผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง


บรรยากาศรอบๆตัวคนคนนี้ต่างจากคนอื่นอย่างชัดเจน


สงบและน่าอยู่ใกล้ๆ


ตราสัญลักษณ์บริเวณปกเสื้อเห็นครั้งแรกอาจต้องขมวดคิ้วแต่เมื่อมีเวลาได้คิดสักคืนสองคืนก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายทำงานอะไร
หน่วยสืบสวนพิเศษ


เป็นหน่วยเฉพาะที่ไม่ขึ้นตรงกับใคร มีหัวหน้าเพียงคนเดียวซึ่งกุมอำนาจมากสุด หน้าที่ของหน่วยคือการจัดการคดีหรือเรื่องต่างๆจากที่ทำไม่สำเร็จหรือทำไม่ได้


ผมมองว่าหน่วยนี้เป็นเหมือนถังขยะที่ใครทำอะไรไม่ได้ก็โยนสุมๆไว้ในนี้ เพียงแต่ด้วยความสามารถของคนในหน่วยทำให้ขยะเหล่านั้นถูกนำไปรีไซเคิ้ลก่อนจะปากลับใส่หน้าเจ้าของอย่างจัง


ใบไธม์


คือชื่อเล่นของรองหัวหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษที่เรียกความสนใจจากผมได้เสมอ เขาเป็นคนธรรมดาแต่แฝงไว้ด้วยความไม่ธรรมดาอย่างมหาศาล


ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งไม่อยากห่าง


ทั้งที่ไม่อยากถูกจูงไปบนเส้นทางไหนแต่กลับโดนข้อเสนอง่ายๆอย่างการได้เจอกันทุกวันดึงดูดจนต้องตกลง น่าขายหน้าจริงๆ
ไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่ตัวเองรู้สึกสนใจและเรียกร้องสิ่งใดมากขนาดนี้


อยากให้ใบหน้านิ่งๆนั่นหันมาสน


อยากให้ริมฝีปากบางๆนั่นเผยรอยยิ้มออกมา


อยากให้ในดวงตาสีน้ำตาลนั่นสะท้อนภาพตัวเอง


“ใบไธม์”ผมพึมพำเสียงเบาหวิวโดยทอดสายตามองไปยังสวนตรงหน้า


พอได้ออกมาจากเรือนจำห้องพักของผมจึงเปลี่ยนมาเป็นที่นี่ ห้องด้านในสุดของตัวตึกมีเตียงนอนและโซฟาเล็กๆตั้งอยู่ด้านข้าง นอกจานี้ยังมีตู้เสื้อผ้าให้ ขนาดเองก็ไม่ใหญ่มากแต่นอนคนเดียวนับว่ากว้างอยู่


ต้องรออีกกี่ชั่วโมงถึงจะเช้าเนี่ย


คิดพลางหันไปมองนาฬิกาบนหัวเตียงซึ่งบอกเวลาตี4ครึ่ง ผมนอนหลับไปช่วงหัวค่ำและตื่นมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อน น่าแปลกที่ความงัวเงียแทบไม่มีเลย


และเพราะตื่นเต็มตาแล้วผมจึงตัดสินใจพาตัวเองออกไปจากห้องโดยมีจุดหมายอยู่ที่โซฟายาวในห้องทำงาน จากมุมนี้มองเห็นทั้งห้องได้อย่างชัดเจนแม้จะอยู่ในความมืด แสงจันทร์สลัวๆนี่คล้ายกำลังขับกล่อมให้คนมองหลับใหลอีกครา


เมื่อดวงตาสีเขียวของผมลืมขึ้นอีกครั้งแสงอาทิตย์ก็ส่องสว่างเข้ามาในห้องแล้ว ความเงียบยังคงเหมือนเดิมก่อนจะเผลอหลับไปแต่เพียงไม่นานประตูห้องก็ถูกเปิดอ้าออกพร้อมร่างโปร่งผิวสีขาวเหลืองก้าวเดินเข้าในห้อง ดวงตาสีน้ำตาลนั้นมองไปรอบห้องราวกับกำลังหาบางอย่างก่อนจะหลุดลงยังตัวผม


“เบซิล”เช้าวันแรกเสียงแรกที่ได้ยินคือเสียงของคนที่เรียกความสนใจผมได้เสมอ


“ใบไธม์”ผมเรียกอีกฝ่าย สัมผัสได้ว่าปากกำลังคลี่ยิ้มอยู่


“ไม่อยู่ห้องนึกว่าจะหนีไปซะอีก”


“จะหนีไปทำไม”ผมถามกลับ จริงอยู่ว่าผมสามารถหนีออกไปได้ง่ายๆเพราะไม่มีการจับตามดูใดๆแต่ผมไม่คิดจะหนีหรอกนะ


จะหนีทำไมล่ะในเมื่อสิ่งที่ผมต้องการคือการได้อยู่ใกล้ๆคนคนนี้ และหัวหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษก็คงคิดแบบนั้นถึงได้ไม่มีการใส่กุญแจมือหรือเฝ้าระวังอะไรสักอย่าง


“นอนหลับสนิทไหม”ไม่รู้ว่าเพราะเข้าใจคำพูดผมหรืออะไรอีกฝ่ายจึงเปลี่ยนคำถาม


“เป็นห่วงผมเหรอ”


“ไม่ต้องมาทำหน้าดีใจเลย”


“ผมทำ?”


“...มีโจ๊กจะกินไหม”ใบไธม์ไปตอบแต่ยกถุงในมือขึ้นสูงจนเห็นถุงโจ๊กสีขาวขุ่นภายใน


“กิน”ผมพยักหน้า อุตส่าห์ซื้อมาเผื่อจะไม่กินได้ยังไง


“พวกชามอยู่ตรงนั้น กินบนโต๊ะนู้นนะ”ใบไธม์อธิบายพร้อมชี้นิ้วไปยังห้องครัวเล็กๆด้านข้าง ไม่ไกลมีโต๊ะสำหรับกินข้าวตั้งอยู่


“แล้วของคุณล่ะ”ผมถามเมื่อรับถุงมาแล้วภายในมีโจ๊กอยู่แค่ถุงเดียว


“ผมกินมาแล้ว”


“ครั้งหน้าซื้อมากินด้วยกันก็ได้”


“ไม่ล่ะ”


“จะให้กินคนเดียวไม่กลัวผมเหงารึไง”


“พูดเหมือนมีเพื่อนกินด้วยทุกวันงั้นแหละ”อีกฝ่าบถาม


อย่างที่พูดแหละอยู่ในเรือนจำไม่มีเพื่อนกินหรอก


“อยากกินกับใบไธม์”


“...”ใบไธม์เงียบ ดวงตาสีน้ำตาลนั่นมองมายังผมนิ่งๆ


“หน้าผมมีอะไรติดถึงได้มองแบบนั้น”เห็นจ้องเอาๆ


“แค่คิดว่าตัวเองกำลังคุยกับเด็ก5ขวบอยู่รึเปล่า”อีกฝ่ายพูดต่อ


“หมายถึงผม?”


“ไม่ใช่มั้ง”


“โอเค ไม่ใช่ผม”ผมยกยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มทำหน้าบึ้งขึ้นเล็กน้อย ใบไธม์เป็นคนหน้านิ่ง และนิ่งมากจนแทบไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่แต่พอลองแหย่หรือกวนก็มักจะแสดงสีหน้าใหม่ๆออกมาเสมอ


มื้อเช้านี้อิ่มท้องไปได้เพราะโจ๊กหมูร้อนๆ ระหว่างกำลังตักกินคนในหน่วยก็เริ่มทยอยกันมาเรื่อยๆทั้งจิว เบียร์และซัน แต่ละคนต่างมีโต๊ะเป็นของตัวเองในการจัดการงานซึ่งผมไม่เห็นว่าจะมีอะไร บางโต๊ะเรียกว่าไม่มีอะไรวางเลยด้วยซ้ำ ผมเองก็มีโต๊ะเช่นเดียวกับคนอื่นเพียงแต่โต๊ะนี้อยู่ตรงข้ามกับใบไธม์สุดๆ


ใบไธม์นั่งอยู่หัวโต๊ะส่วนผมอยู่ท้ายสุด


ไม่เถียงว่ามุมนี้สามารถมองอีกฝ่ายได้ตรงๆแต่มันไกลเกินไป


และเพราะไกลเกินไปผมเลยค่อยๆไถลเก้าอี้นิดละนิดผ่านหน้าซันที่มองมางงๆไปจนถึงด้านหลังของใบไธม์ที่กำลังง่วงกับการเปิดเอกสารอะไรสักอย่างอ่านอยู่


ดูเผินๆรู้สึกว่าจะเป็นคดีที่ถูกส่งมาจากทางการ


“คดีนั้นน่าจะเหมาะกับอาร์มและจิวนะ”ผมพูดลอยๆหลังข้อมูลของคดีอยู่ในระดับสายตาที่สามารถอ่านได้พอดี


“กลับไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง”ใบไธม์วางเองสารลงบนโต๊ะแล้วใช้สายตามองมาเป็นเชิงบอกให้ผมกลับไปนั่งที่โต๊ะ


“ไม่เอา”


“ผมไม่มีเวลามาเล่นกับเด็กหรอกนะ”


“งั้นเปลี่ยนมาเล่นกับผู้ใหญ่แทนก็ได้นะ”ผมส่งยิ้มมุมปากกลับไป


“ผู้ใหญ่ที่ไหนทำตัวเหมือนเด็กกัน”ใบไธม์พูดต่อ


“ผู้ใหญ่ที่นี่แหละ”


“จะอยู่ก็เงียบๆหน่อยผมต้องใช้สมาธิ”


“ให้ช่วยไหม”ผมถาม


“ช่วยได้?”อีกฝ่ายถามกลับ


“ได้สิ บอกแล้วว่าคดีนี้ลองให้อาร์มกับจิวไป”ผมบอกอีกรอบ


ดคีในเอกสารนั่นคือการฆาตกรรมนักศึกษาสาวคนนึงแล้วเอาไปทิ้งในทะเลผลจากการหาหลักฐานและพิสูจพยานของทางการทำให้รู้ว่าเป็นหนึ่งในแฟนของเธอซึ่งเธอคนนี้คบกับผู้ชายอยู่หลายคน เมื่อการสืบสวนเริ่มวุ่นวายแล้วยากขึ้นก็จะถูกตัดมาอยู่ในคดีที่ไม่สามารถหาหลักฐานได้ก่อนจะทำมาให้หน่วยสืบสวนพิเศษจัดการต่อ


ผมสรุปทุกอย่างตามที่เข้าใจได้ประมาณนี้


“...ทำไมถึงเป็นสองคนนี้”ใบไธม์ขมวดคิ้วคล้ายตกใจปนอึ้งที่ได้ยินผมเสนอออกไปแบบนั้น


“เหมือนจิวจะเก่งด้านข้อมูล ส่วนอาร์มร่างกายแบบนั้นแค่ดูก็รู้แล้วว่าแข็งแกร่ง คดีฆาตรกรรมที่มีผู้ต้องสงสัยมากจำเป็นต้องให้คนที่เก่งในการหาหรือรวบรวมข้อมูลจัดการ แต่ดูจากวิธีฆาตกรรมแปลว่าฝ่ายคนร้ายต้องแข็งแรงพอดูหากให้จิวไปคนเดียวอาจอันตรายเลยน่าจะให้อาร์มตามไปด้วย”ผมอธิบายตามที่คิดไปตรงๆ


“ทำไมถึงเป็นอาร์มไม่ใช่ซัน”ใบไธม์ถามต่ออีก


รูปร่างของอาร์มและซันไม่ต่างการกันมากดูเผินๆอาจคล้ายกันแต่ถ้าสังเกตหลายๆอย่างจะรู้ว่าทั้งคู่ถนัดในสิ่งที่ต่างกันคนละแบบ


“การจะเข้าไปทำคดีตามย่านนั้นสิ่งที่ควรทำคือไม่เป็นจุดเด่นซันอาจเก่งด้านการต่อสู้แต่อาวุธติดมือตลอดนั่นสร้างความน่าสงสัยเกินไปแต่หากเป็นอาร์มแม้จะร่างกายบึกบึนสักหน่อยแต่พอเดินกับจิวดูเผินๆแล้วเหมือนดูเหมือนบอดี้การ์ดที่พ่อจ้างให้ตามติดลูกชาย”


“คิก...บอดี้การ์ดที่พ่อจ้างเหรอ คิดได้ไงเนี่ย”ดูเหมือนคำพูดผมจะทำให้คนฟังอย่างใบไธม์หลุดหัวเราะจนต้องยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองไว้ แต่ถึงไม่เห็นปากแต่สายตานั้นกำลังยิ้มอยู่


ไม่น่ายกมือขึ้นมาเลย ไม่งั้นผมคงได้เห็นรอยยิ้มนั้นไปแล้ว


“อีกอย่างหากต้องปะทะกันในบ้านหรือตึกการเคลื่อนไหวในระยะประชิดอาร์มจะได้เปรียบกว่า”ผมพูดต่ออีก


“พึ่งเจอกันแค่วันเดียวทำไมรู้ได้ขนาดนั้น”ใบไธม์หรี่ตามองมาคล้ายกำลังจับสังเกต


“แค่มองก็รู้แล้ว คนเราน่ะมักเผลอแสดงตัวตนของตัวเองออกมาโดยไม่รู้ตัวทั้งนั้นแหละ อย่างจิวเป็นคนที่มีความรู้ในด้านข้อมูลต่างๆดูจากการพูดเมื่อวานก็รู้แล้วทว่าทั้งกระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกงหรือแม้แต่บนโต๊ะกลับไม่มีสิ่งที่ใช้จดข้อมูลเหล่านั้นแสดงว่ามีความจำเป็นเลิศ”


“...ใช่ จิวมีความจำดีมากแค่ได้ฟังหรือเห็นอะไรก็จะจำได้ในเวลาอันรวดเร็ว”


“ว่าแล้ว”พียงแค่ใช้การสังเกตผิวเผินผมก็สามารถวิเคราะห์อีกฝ่ายได้ ถึงได้บอกไงว่าคนเราน่ะดูออกง่ายกว่าที่คิดต่อให้พยายามปกปิดสักเท่าไหร่ก็ตามที


“ใช้แค่การมองสามารถวิเคราะห์ได้ขนาดนี้เลย?”


“ก็ไม่ใช่เรื่องยาก”


“งั้นงานนี้คุณว่าควรให้ใครไป”ใบไธม์ยื่นเอกสารชุดนึงมาให้


ผมจะไล่อ่านและเสนอไปตามที่ตัวเองคิด คดีแต่ละคดีล้วนแตกต่างการไปการจะเลือกคนไปจัดการคดีเหล่านั่นจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่เพียงแค่เก่งแต่ต้องเข้ากันได้ดีในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น


“...ส่วนคดีนี้คุณควรไปทำ อ้อ ไปกับผมก็ดีนะ”ผมพูดเสนอคดีตามจับคนร้ายคดีลักพาตัวต่อเนื่องโดยเสนอชื่อใบไธม์ไป คดีนี้จำเป็นต้องใช้ไหวพริบและความคล่องแคล่วสูงในการตามหาและไล่จับ ที่สำคัญคือพวกคนร้ายคดีลักพาตัวมักจะมีความระมัดระวังตัวสูงจึงไม่ควรส่งคนที่เป็นจุดเด่นออกไป


ใบไธม์มีหน้าตามธรรมดาซึ่งกลืนไปตามฝูงชนได้โดยไม่ผิดแปลก


แต่ก็แปลกที่ผมรู้สึกว่าตัวตนของเขาเริ่มเด่นขึ้นเรื่อยๆ


“เสนอได้ดีที่จะให้ผมไปทำคดีนี้”ใบไธม์พยักหน้าพลางอ่านรายละเอียดในมืออย่างรอบคอบ คดีคนร้ายลักพาตัวต่อเนื่องนี่ถือเป็นคดียากเพราะมีเพียงหลักฐานเล็กๆผ้าชุบยาสลบที่ตกอยู่เท่านั้น แถมผ้านั่นยังเป็นเศษผ้าที่ตัดมาจากเสื้อจึงไม่สามารถหาร้านได้อีกทั้งยังไม่พบลายนิ้วมือหรือแม้แต่เนื้อเยื่อ


“ผมไปด้วย”ระหว่างพูดผมก็ชี้นิ้วมายังตัวเอง


“ไม่ล่ะ ผมจะไปคนเดียว”


“อ้าว ไม่ใช่ว่าต้องทำงานกันเป็นคู่เหรอ”เห็นคดีอื่นยังต้องใช้อย่างน้อย2คนเลย


“ปกติก็ใช่ แต่สำหรับผมการทำคนเดียวกับคดีแบบนี้จะสะดวกกว่า”คำพูดเหล่านั้นคล้ายจะแฝงความหมายอะไรบางอย่างไว้
คดีแบบนี้สะดวกกว่าเหรอ


อีกฝ่ายดูเหมือนมีความลับที่ไม่อยากบอกอยู่


สงสัยและอยากถาม


แต่ความรู้สึกผมมันบอกว่าถึงจะถามก็คงไม่ได้คำตอบ


“เสี่ยงไปรึเปล่า”คิดจะจัดการคดีตามลำพังมันค่อนข้างเสี่ยงต่อให้มีฝีมือแต่ส่วนมากก็ไม่โดดไปเสี่ยงทำคดีคนเดียวหรอก


“ไม่มีงานอะไรที่ไม่เสี่ยง ผมรับมือได้”ใบไธม์ตอบพร้อมเลื่อนแฟ้มเอกสารคดีไปวางไปด้านข้างโดยมีเอกสารประมาณ3คดีอยู่ในมือ


“จะไปเลย?”


“อืม ยิ่งจับคนร้ายได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ฝากเอาข้อมูลคดีพวกนี้ไปให้พวกเขาด้วยละกัน”เอกสารนั้นคือคดีที่ผมคุยกับอีกฝ่ายเมื่อครู่ว่าใครเหมาะสมจะไปทำคดีอะไร


“ได้ เดี๋ยว...คดีนั่นอยู่ไกลนี่ แปลว่าจะไม่อยู่หลายวันเหรอ”ผมเงยหน้าถามคนที่ลุกขึ้นยืนเตรียมตัวออกไป


“คงงั้น น่าจะ3หรือ4วัน”


“แล้วผมล่ะ”จะทิ้งกันไว้แบบนี้เหรอ


“ผมบอกให้แม็กซื้อของใส่ตู้เย็นไว้แล้วลองไปหยิบๆทำดู ทั้งกระทะทั้งหม้อหุงข้าวก็มีอยู่ในตู้ด้านล่าง”


“ไม่กลัวผมหนีรึไง”


“...คุณไม่มีเหตุให้ต้องหนีนี่”ใบไธม์นิ่งไปสักพักก่อนตอบกลับมา


“มีสิ ผมอาจหนีไปหาคุณก็ได้”


“...”อีกฝ่ายเลือกใช้ความเงียบแทนคำตอบ ดวงตาสีน้ำตาลนั่นฉายแววปลงปนขบขัน


“เปลี่ยนใจให้ผมไปด้วยได้นะ”ผมลองเสนออีกรอบเผื่อจะเปลี่ยนใจ


“จัดการคนเดียวเร็วกว่า รออยู่นี่เป็นเด็กดีละกัน”พูดจบก็หยิกแก้มผมเบาๆแล้วเดินออกจากห้องไป


พูดเหมือนผมเป็นเด็กอีกแล้ว...น่าแปลกที่ไม่รู้สึกโกรธเลยสักนิด


“ถ้าเป็นเด็กดีจะมีรางวัลให้รึเปล่า”ผมพึมพำพลางยืนมองจนแผ่นหลังนั่นลับตาไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ จะบอกว่าผิดหวังก็ไม่เชิงมันผสมกับความรู้สึกหนักๆบอกไม่ถูกเหมือนกัน


เอกสารในมือถกนำไปแจกจ่ายให้กับคนที่อยู่ มีหลายคนออกไปจัดการคดีอยู่ในห้องทำงานนี้จึงเหลือเพียงไม่กี่คนจากห้องที่โล่งอยู่แล้วก็ยิ่งโล่งเข้าไปใหญ่


หน่วยสืบสวนพิเศษถ้ารวมผมก็มี10คน


จะเรียกว่าน้อยก็ใช่ ถ้าเป็นหน่วยอื่นมีคนไม่รู้เป็นกี่เท่าของที่นี่


ปริมาณคนไม่ได้นำไปใช้วัดความสามารถ


แม้จะมี10หรือร้อยคนแต่หากเอาแต่เกี่ยงหรือโยนนู่นโยนนี่ให้กันก็มีสิทธิ์แพ้คนเพียงคนเดียวได้ไม่ยาก ซึ่งความสามารถเองเป็นสิ่งที่ไม่อาจสอนและเป็นกันได้เพียงชั่วข้ามคืน


ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับแต่ละคน


หลายคืนผ่านไปผมนั่งๆนอนๆด้วยความเบื่อหน่ายโดยยังไม่ได้เห็นใบหน้าของใบไธม์หรือรองหัวหน้าหน่วยสืบสวนคดีพิเศษเลย ไม่มีข่าวคราวติดต่อมานั่นแปลว่ากำลังยุ่งกับการจัดการคดี


“รองหัวหน้า? ฝีมือระดับนั้นแค่คนร้ายคดีลักพาตัวไม่เท่าไหร่หรอก”จิวบอกมาเมื่อเย็นวันหนึ่งที่ผมเข้าไปถาม


ดูเหมือนทุกคนในหน่วยจะรู้ดีถึงความสามารถของรองหัวหน้าหน่วยตัวเองดีเทียบกับผมที่ไม่รู้ฝีมือของอีกฝ่ายเลย แม้จะเดาได้จากการสังเหตุว่าฝีมือไม่ธรรมดาก็ตาม


“ความรู้สึกหน่วงๆโหวงๆนี่มันอะไรกัน”ผมพึมพำพลางนอนหงายอยู่บนโซฟาในห้องทำงาน


ห้องนอนที่เตรียมให้ใช่ว่าไม่ดี ทุกอย่างล้วนดีมากเพียงแค่ผมชอบที่จะได้นอนเฝ้าประตูอยู่ตรงนี้เวลาที่ใบไธม์กลับมาผมจะได้เห็นเป็นคนแรก ผมพลิกตัวหันหน้าไปทางกระจกซึ่งจากมุมนี้สามารถเห็นโต๊ะของอีกฝ่ายได้ชัดเจน


หากหลับแล้วลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นใบไธม์เป็นอย่างแรกก็คงจะดี



(มีต่อนะคะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อค่ะ)

กึก


เสียงฝีเท้าเบาๆดังขึ้นพร้อมกับสติผมที่เริ่มกลับเข้าร่างแต่ยังไม่ลืมตาทำเพียงปรือตาเพื่อมองเท่านั้น ความมืดที่ตรงหน้าแสดงให้เห็นถึงเวลาของการหลับใหลนั่นแปลว่ามีใครบางคนเข้ามาในตึกของหน่วยสืบสวนพิเศษ


โจรหรือว่าเป็นใคร


ระหว่างสมองกำลังคิดประมวลผลสัมผัสของผ้าก็คลุมทับร่างผมตั้งแต่ส่วนคอจนถึงปลายเท้า ดวงตาสีเขียวมรกตของผมลืมขึ้นเด้งตัวลุกนั่งพร้อมคว้าแขนเงยหน้ามองคนในความมืดนั่น แม้จะมืดทว่ายังมีแสงจากดวงจันทร์คอยให้ความสว่างอยู่แต่ถึงจะไม่มีแสงผมคิดว่าตัวเองรู้ถึงตัวตนของคนตรงหน้านี่


“ใบไธม์?”ผมพึมพำชื่อนั่นเสียงเบาหวิวคล้ายไม่แน่ใจว่าเป็นความจริงหรือความฝันกันแน่


“ผมทำให้ตื่นสินะ”อีกฝ่ายตอบกลับมา


ตัวจริง...ใบไธม์ตัวจริง


“ไม่...เอ่อ ก็ใช่”เป็นครั้งแรกที่พูดติดขัดได้อย่างน่าอายขนาดนี้


“ทำไมไม่นอนในห้อง”


“ไม่อยากนี่”


“แล้วเล่นเปิดแอร์แบบนี้ทำไมไม่ห่มผ้า”


“ห่วงผมเหรอ”รอยยิ้มผมปรากฏขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติกว่าครั้งไหนๆเพียงแค่ได้ยินประโยคแสดงความห่วงใยจากคนชื่อใบไธม์


ครอบครัวผมจากไปตั้งแต่ผมอยู่มัธยมปลาย ผมใช้ชีวิตโดยไม่มีญาติหรือใครคอยดูแล ใช้คำพูดวาจาเพื่อเอาตัวรอดในสังคม บางทีก็ไปอาศัยอยู่กับคนอื่นบ้าง บางทีก็หลอกเอามาแค่เงินไปหาซื้อห้องอยู่พอเบื่อก็เปลี่ยนที่ใหม่ ช่วยแก้เบื่อในชีวิตได้ดีไม่น้อย


เคยได้รับความห่วงใยจากบรรดาสาวๆหนุ่มๆหรือกระทั่งคนมีอายุมาไม่รู้เท่าไหร่แต่ไม่เคยรู้สึกดีเท่ากับเวลาได้ยินคำพูดเหล่าจากจากใบไธม์


“ไม่ได้ห่วง”


ไม่ได้พูดว่าเป็นห่วงแต่ถ้อยคำและประโยครวมไปถึงน้ำเสียงทั้งสื่อและแสดงความรู้สึกออกมาเต็มเปี่ยม


รู้สึกดีจนหุบยิ้มไม่ได้


ผมนี่ท่าจะบ้าไปแล้ว


“อย่าเขินน่า”


“ไม่ได้เขิน แล้วปล่อยมือผมด้วย”ใบไธม์บอกพร้อมชักมือที่ถูกจับแรงจนต้องต้องปล่อย


“กลับมาช้านะนึกว่าจะรอผมหนีไปหาซะอีก”


“ช้า? ผมไปแค่2คืนเองนะ”


“...”2คืนเองเหรอ...แล้วทำไมผมถึงรู้สึกว่ามันนานนัก


“นี่เบซิล”เสียงตะโกนเรียกดังขึ้นหลังจากใบไธม์เดนไปเปิดไฟแล้วเปิดตู้เย็นริมผนังห้องออก


“อะไร”ผมเดินไปหาอีกฝ่าย


“ทำไมของมันไม่พร่องเลยล่ะ มีแค่ไข่เองที่หายไป คุณทำอาหารเป็นแค่ไข่?”อีกฝ่ายหันมาถามตรงๆ


“อย่าดูถูกผม เห็นแบบนี้ผมทำอาหารเก่งนะขอบอก”อยู่คนเดียวมาตั้งนานทำไมจะทำอาหารไม่ได้


“แล้วทำไมกินแค่ไข่”


“ก็ขี้เกียจ”ทำอย่างอื่นวุ่นวายจะตายไป


“เดี๋ยวสารอาหารก็ได้ไม่ครบหรอก”


“บอกตัวเองใช่ไหม”ผมย้อนกลับ


“หมายความว่าไง”


“ก็ถ้าให้เทียบคุณยังตัวเล็กกว่าผมเลย น่าจะเป็นคุณมากกว่านะที่ขาดสารอาหาร”แม้จะไม่ได้ดูตัวเล็กบอบบางแต่ก็เล็กกว่าผม


“นั่นเพราะคุณมีเชื้ออิตาลี่ต่างหากเล่า”เหมือนคำพูดผมจะทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิดซะแล้วสิ


สงสัยจะไม่ชอบให้ใครบอกว่าตัวเล็กละมั้ง


“งั้นมั้ง จะว่าไปทำไมถึงกลับมานี่ดึกๆล่ะ”ผมถามบ้าง ต่อให้บอกว่าทำคดีเสร็จแต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องมาในเวลานี้ควรกลับห้องไปพักผ่อนซะจะดีกว่า


“มาดูเผื่อมีนักโทษหลบหนีจะได้ไล่ตามจับทัน”


“ไม่ต้องเสียเวลาไล่ตามหรอก แค่คุณยืนนิ่งๆเดี๋ยวผมก็วิ่งมาหาเองแหละ”


“ส่ายหางด้วยสินะ”


“ผมคนนะไม่ใช่สุนัข”


“อาจเป็นจิ้งจกก็ได้นะ”


“จิ้งจงที่ไหนส่ายหางกัน”


“เอาเถอะ ชักหิวแล้วสิ”ใบไธม์พึมพำพลางหันไปมองของในตู้เย็น


“ให้ผมทำให้ไหม”ผมเสนอตัว


“ทำได้แน่นะ”แววตาที่มองมานั่นดูไม่ไว้ใจในฝีมือการทำอาหารของผมอยู่พอสมควร


“แน่สิ”


“รู้ใช่ไหมว่าผมไม่...”


“คุณไม่กินเนื้อสัตว์”ผมพูดแทรกสิ่งที่ใบไธม์จะบอก


เรื่องนี้ผมรู้อยู่แล้ว ได้ยินครั้งเดียวก็มากพอให้จดจำ


“ไข่ก็ไม่ได้นะ”ใบไธม์บอกเพิ่ม


“ไข่ด้วย? งั้นผัดถั่วงอกใส่เต้าหู้ได้ไหม”มือผมที่กำลังจะหยิบไข่ถึงกับชะงัก โชคดีที่เหลือบไปเห็นเต้าหู้กับถั่วงอกที่แม็กพึ่งซื้อมาใส่ไว้เมื่อเช้าเข้า


“ได้”


“โอเค ไปนั่งรอที่โต๊ะก่อนเสร็จแล้วผมจะยกไปเสิร์ฟถึงที่เลย”


“ผมจะหุงข้าวละกัน แบ่งกันทำจะได้เสร็จเร็ว”ใบไธม์เสนอพลางก้มลงไปหยิบหม้อหุงข้าวด้านล่าง


“อืม”ผมพยักหน้าตกลง


พวกเราแยกกันทำหน้าที่ของตัวเองอย่างผมก็หยิบเต้าหู้กับถั่วงอกออกมาแช่น้ำ หั่นเต้าหู้แล้วลงมือตั้งกระทะใส่เต้าหู้ลงไปทอดให้กรอบก่อนเล็กน้อยก่อนจะเอาขึ้นไปพักไว้ตามด้วยเทถั่วงอกลงไปผัดเคล้าเครื่องปรุงรสเล็กน้อยปิดท้ายโดยการเทเต้าหู้ผัดเร็วๆเป็นอันเสร็จ


เวลาในการทำพอดีกับข้าวหุงสุก ใบไธม์ตักข้าวสองจานไปวางไว้บนโต๊ะเรียบร้อยพร้อมน้ำดื่มสองแก้ว ผมวางจานผัดถั่วงอกลงตรงกลาง


“น่าจะทำอีกสักอย่าง”ผมบอกระหว่างตักผัดถั่วงอกเข้าปาก


พึ่งมาคิดได้ว่าทำอย่างเดียวมันน้อยเกินไป


อีกสักอย่างพวกผัดผักน่าจะได้อยู่


“ไม่เป็นไรแค่นี้ก็พอแล้ว”อีกฝ่ายพูดพลางตักอาหารเข้ามาปาก


“เป็นไง ใช้ได้ไหม”ผมรอลุ้นว่ารสชาติจะออกมาเป็นยังไง ต่อให้พูดว่าทำอาหารเป็นแต่ใช่ว่ารสชาติจะถูกปากไปซะทุกคนแถมส่วนมากผมมักจะมีคนทำให้ไม่ก็ซื้อกิน


ไม่ค่อยได้ทำเองบ่อยนัก


“อือ...อุ๊บ”ยังไม่ทันพูดจบประโยคคนตรงหน้าก็ยกมือขึ้นมาปิดปากแน่นพร้อมกับรีบลุกขึ้นก้าวยาวๆไปที่ไหนสักแห่ง


“ใบไธม์ เป็นอะไร”ผมลุกตามอีกฝ่ายไปด้วยความเป็นห่วง


ท่าทางแบบนี้มันไม่ปกติ


“ไม่...อุก”ทั้งร่างทรุดลงกับพื้นพร้อมอาเจียนออกมาจนเลอะทั้งมือและพื้นไปหมด


“ใบไธม์”ผมเข้าไปช่วยพยุงอีกฝ่ายที่ดูเหมือนไม่สามารถทรงตัวได้เอาแต่ก้มหน้าอาเจียอยู่บนพื้น


“...แค่ก ห้องน้ำ พาผมไป”แม้จะพูดเว้นวรรคแต่ผมก็สามารถเข้าใจได้


“ได้...ค่อยๆเดินนะ”ผมพยุงร่างของใบไธม์ไปทางห้องน้ำระหว่างทางยังอาเจียนออกมาอยู่แต่เขาพยายามปิดปากตัวเองไว้แน่นจนมาถึงห้องน้ำก็รีบพุ่งตัวไปอาเจียนต่อในโถชักโครก


เหตุการณ์ตรงหน้าทำเอาผมทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง


สุดท้ายผมจึงเดินเข้าไปช่วยลูบแผ่นหลังที่กระเพื่อมขึ้นลงจากการอาเจียนเบาๆ เหมือนจะเคยได้ยินมาว่าเวลาอาเจียนควรมีคนช่วยลูบหลัง ท่าทางของใบไธม์ดูทรมานมาก เพียงแค่คำเดียวที่กินอาหารฝีมือผมกลับส่งผลให้เป็นหนักถึงขนาดนี้เลยเหรอ


ผมไม่ได้ใส่เนื้อสัตว์หรืออะไรแปลกๆลงไปเลยนะ


“น้ำไหม”ผมยื่นขัดน้ำไปให้อีกฝ่ายซึ่งหอบเหนื่อยอยู่บนพื้นของทุกอย่างในกระเพราะถูกอาเจียนออกมาจนหมดสิ้น


“...อือ”ใบไธม์รับขันน้ำนั่นไปบ้วนมากด้วยท่าทีเหนื่อยล้า


ระหว่างรอให้เขาอาการดีขึ้นผมก็จัดการทำความสะอาดพื้นแล้วกลับมานั่งข้างๆมองดูใบหน้าอิดโรยจากการอาเจียนติดต่อกันมาหลายสิบนาที


“ขอโทษ”ผมเอ่ยออกไป ดูจากรูปการต้องเป็นเพราะอาหารที่ผมทำแน่ๆ


แต่ทำไมผมถึงไม่เป็นอะไรเลยล่ะ


“...ไม่...ไม่เป็นไร”ใบไธม์ตอบพลางขยับตัวเล็กน้อยมองหน้ามองที่กำลังจับจ้องไป


“เกิดอะไรขึ้น”


“คงเพราะ...กินเนื้อสัตว์...”


“ผมไม่ได้ใส่เนื้อสัตว์ลงไปเลยนะ”ผมรีบค้าน ในผัดถั่วงอกมีแค่ถั่วงอกและเต้าหู้เท่านั้นที่เหลือก็พวกเครื่องปรุงแต่เครื่องปรุงพวกนั้นไม่มีเนื้อสัตว์ปนอยู่...


เดี๋ยวนะ


เครื่องปรุงที่มีเนื้อสัตว์งั้นเหรอ


“คงเป็นน้ำมันหอย”คนข้างพึมพำบอก


“...น้ำมันหอย”ใช่...น้ำมันหอยมีส่วนผสมของเนื้อหอยซึ่งผมใส่มันลงไปในผัดเต้าหู้ตามความเคยชินโดยลืมไปว่ามันมีเนื้อสัตว์ผสมอยู่


บ้าจริงๆเลย


เพราะผมทำให้ใบไธม์ต้องทรมานแบบนี้


“ไม่เป็นไร ผมไม่ได้บอกไว้เอง”


“เพราะผมไม่ได้ดูดีๆ...ขอโทษ ไหวไหม”ผมถามต่อ ท่าทางของใบไธม์ยังดูไม่ค่อยดีเลย


“ยังมึนหัวอยู่...”เสียงเหนื่อยๆมาพร้อมกับศีรษะที่เอนมาสบไหล่ผม


“ใบไธม์”ผมมองภาพอีกฝ่ายซบไหล่ตัวเองด้วยความรู้สึกหลากหลาย หัวใจอยู่ๆมันก็พองโตขึ้นมาแต่เพียงไม่นานความรู้สึกผิดก็เข้าจู่โจมอีกระรอกนึง


“...นี่เบซิล”


“อืม”ผมขานรับเสียงเรียก


“ผมไม่เป็นไร”


“...ขอโทษ”ความรู้สึกผิดยังคงไม่หายไปง่ายๆ


“อืม”


“ขอโทษนะ”


“อืม...ผมรับคำขอโทษ เลิกขอโทษได้แล้ว”


“ขอโทษนะ”


“เบซิล นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเป็นเพราะงั้นเลิกขอโทษแล้วก็ไม่ต้องทำหน้าเสียใจแบบนี้หรอก”ไม่พูดเปล่าใบไธม์ใช่มือข้างนึงยกขึ้นมาสัมผัสแก้มผมเบาๆพร้อมรอยยิ้มที่ได้เห็นเต็มตาเป็นครั้งแรก การกระทำเหล่านั้นคล้ายจะบอกว่าคลายใบหน้าเครียดๆนี่ลงเถอะ


สัมผัสขอฝ่ามือบนแก้มทำเอาทั้งร่างรู้สึกอุ่นขึ้น


เช่นเดียวกับรอยยิ้มที่ช่วยคลายความรู้สึกผิดไปได้มาก


“มันไม่ใช่แค่ไม่ชอบเนื้อหรือบนไว้ใช่ไหม”ผมถามกลับพลางประสานดวงตาของตัวเองเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลตรงหน้า


ผมอยากรู้แต่ก็พอเดาได้ว่าไม่ใช่สิ่งที่ควรถาม เพราะถึงถามคงไม่ได้คำตอบกลับมา


ไม่รู้เพราะอะไรผมถึงรู้สึกแบบนั้น


ทั้งที่รู้ว่าไม่ควรแต่ก็ยังเลือกที่จะถามออกไป


“...อืม”นิ่งไปสักพักผมก็ได้รับคำตอบที่คาใจกลับมา


“แล้วดูท่าคงไม่ใช่อาการป่วยด้วย”ผมยังคงถามต่อ


อาการที่กินเนื้อสัตว์ไม่ได้มันไม่น่าใช่อาการป่วยหรือโรคอะไร


“อืม”


“บอกผมได้ไหม”ผมกลั้นใจถามออกไป


อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


และตอนนี้ผมคงทำได้เพียงหวัง...


หวังให้ได้รับคำตอบนั้นกลับมา


“...ขอโทษ”ใบไธม์เงียบไปนานมากเหมือนกำลังคิดหลายๆอย่างก่อนจะตอบกลับมา


เป็นคำตอบที่ทำเอาหัวใจรู้สึกชาจนแทบหยุดเต้น


ทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้วแต่ก็ดันเผลอคาดหวัง


“วันนี้คุณไปนอนห้องผมเถอะ เดี๋ยวช่วยพยุงไป”ผมเปลี่ยนเรื่องพลางช่วยพยุงอีกฝ่ายไปจนถึงเตียงในห้องที่อยู่ถัดไปอีกสองห้อง


พอหัวถึงหมอนไม่รู้ว่าเพราะความเหนื่อยล้าจากการทำคดีหรืออาเจียนติดต่อการเกือบชั่วโมงทำให้อีกฝ่ายหลับสนิทไปอย่างรวดเร็ว


อาการของใบไธม์มันไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว


จะบอกว่าเพราะกินเนื้อสัตว์เหรอ


แต่ทำไมถึงอาเจียนขนาดนั้นกัน


ดวงตาสีเขียวของผมจับจ้องไปยังใบหน้าของใบไธม์ที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงด้วยความรู้สึกสงสัยและอยากรู้


สงสัยถึงความลับบางอย่างที่ยังปิดซ่อนไว้


อยากรู้ถึงความจริงทุกๆอย่างจากปากของเจ้าตัว


“คุณมีความลับอะไรอยู่กันแน่...ใบไธม์”

............................................................................

สุขสันต์วันสงกรานต์นะคะทุกคน

ถือเป็นการอัพฉลองได้ไหม 555

ตอนนี้ค่อนข้างแต่งยากเพราะเป็นบทที่เบซิลเป็นคนบรรยาย พึ่งเคยให้เบซิลเดินเรื่องครั้งแรกเลยรู้สึกแปลกๆ หน่อย

หลายคอมเม้นท์บอกว่าเบซิลน่ารัก ซึ่งเราก็ว่าน่ารักโดยเฉพาะเวลาขอรางวัล

เบซิลไม่ใช่สายบู๊เหมือนอย่างใบไธม์แต่เป็นสายใช้สมองเลยดูเหมือนอ่อนแอกว่าใบไธม์เยอะแต่เรื่องความเจ้าเล่ห์และกระล่อนต้องขอยกให้พ่อคนนี้เลย

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
นึกว่าจะได้เห็นเป็นร่างสัตว์กลับมาเสียอีก เสียดายจัง  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ดูแลดีๆ เลยนะเบนซิล

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ asmar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Autonomyz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
ถ้ากินน้ำมันหอย แล้วน้องต้องกลายเป็นหอยไหมอ่ะ

คงน่ารักน่ากินน่าดู หิวเลย...เอิ้กๆ

รอลุ้นอยู่นะคะ

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
สืบรัก彡คดีที่6



ดวงอาทิตย์สีเหลืองสดมาพร้อมกับแสงแดดรำไรในยามรุ่งสาง เป็นสัญญาณของการตื่นนอนทว่าสำหรับผมและน้องชายคนเล็กไม่ใช่ หมัดขวาตรงเหวี่ยงเข้าหาใบหน้าของคู่ต่อสู้โดยไม่มีการออมแรงเช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่เบี่ยงตัวหลบพร้อมยกขาขึ้นเตะสูงจนคนโจมตีต้องก้าวถอยหลังเพื่อตั้งหลัง


ผมไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวก้าวเข้าไปประชิดในจังหวะนั้นแล้วปล่อยหมัดซ้ายขวาใส่น้องชายตัวเอง แน่นอนว่าด้วยทักษะและเซ้นส์ทางด้านกีฬาทำให้ฝ่ายนั้นสามารถมองการเคลื่อนไหวของผมออกและหลบหมัดได้หมด


โป๊ยกั๊กหรือน้องชายคนสุดท้องของผมปัดหมัดที่เข้าปะทะออกก่อนพุ่งตัวเข้ามาพร้อมกับใช้ศอกโจมตี ผมรีบกระโดดไปข้างหลังเพื่อเว้นระยะห่างมากขึ้น


ศอกเมื่อครู่ถ้าเป็นคนอื่นมีได้แผลไปแล้ว


“เก่งขึ้นอีกแล้วนะ”ผมเอ่ยปากชมโดยสายตายังคงจับจ้องไปยังโป๊ยกั๊ก การต่อสู้นี้ยังไม่จบขืนผมประมาทคงไม่จบลงที่แผลถลอก


“พี่เองก็เก่งขึ้นมากกว่าครั้งก่อนที่เจอกันอีก ไปฝึกมาตอนไหนกัน”โป๊ยกั๊กถามกลับบ้าง พวกเรายังคงเว้นระยะห่างเพื่อรอดูเชิงว่าใครจะเป็นคนเปิดฉากบุกก่อน


“ตอนนออกไปทำคดีละมั้ง”ผมเองไม่มั่นใจนักหรอกว่าฝีมือเพิ่มขึ้นรึเปล่า


ไม่ได้มั่นใจถึงขนาดจะบอกว่าตัวเองเก่งแต่ก็ไม่ได้อ่อนแอ


“ทางการส่งคดียากๆให้พี่ทำอีกแล้วสินะ”


“อย่าพูดแบบนั้น คดีง่ายๆก็มีส่งมา”


“ทำกันเองไม่ได้เลยรึไง”โป๊กกั๊กพูดเสียงดัง


“โดนจับขึ้นมาพี่ไม่ช่วยนะ”ผมแกล้งพูดไปอย่างงั้น ถ้าน้องชายผมถูกจับขึ้นมาจริงๆผมคงเป็นคนแรกที่วิ่งไปจัดการ


“ผมรู้ว่าพี่ไม่ปล่อยผมไว้หรอก”


“รู้ดี”ผมยิ้มพลางลดการป้องกันลง


“เสร็จผมล่ะ”โป๊ยกั๊กเองก็รู้ว่าผมลดการป้องกันลงจึงใช้โอกาสนั้นวิ่งเข้ามาใกล้ ลูกแตะอันแรกผมเบี่ยงตัวหลบได้ไม่ยากนักทว่าลูกแตะอีกข้างกลับเฉียดหน้าท้องผมไปไม่กี่นิ้ว


โป๊ยกั๊กส่งลูกแตะมาอีกระลอกหนึ่งซึ่งผมเองก็เพ่งสมาธิไปกับการมองการเคลื่อนไหวและอาศัยช่วงว่างเล็กๆหลังจากเตะเสร็จใช้มือข้างนึงจับขาอีกฝ่ายแล้วบิดหมุนจนร่างกายเซใกล้ล้ม ผมคว้าแขนโป๊ยกั๊กเพื่อกันไม่ให้ล้มและเมื่อเขาทรงตัวได้แล้วผมจึงเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วใช้นิ้วดีดหน้าฝากนั่นเบาๆ


“พี่ชนะ”ผมยิ้มระหว่างบอก


“...ตัวแค่นี้เอาแรงมาจากไหนเนี่ย”โป๊กกั๊กนิ่งไปสักพักก่อนจะบ่นกลับมา


เป็นอย่างที่น้องชายผมว่า หากเทียบรูปร่างผมกับโป๊ยกั๊กนั้นต่างกันอยู่ค่อนข้างมาก โป๊ยกั๊กทั้งสูงกว่า ตัวใหญ่กว่าและมีเซ้นด้านกีฬามากกว่า ส่วนผมแม้จะไม่ได้ผอมแห้งแต่ก็ไม่ได้บึกบึนนัก มีกล้ามก็จริงทว่าไม่ได้มากมายขนาดจะโชว์ใครได้


“การเคลื่อนไหวเราก็ดีขึ้นเยอะนี่ จังหวะขาเหมือนคาราเต้เลย”จากการฝึกซ้อมต่อสู้เมื่อครู่ผมเห็นการเคลื่อนไหวของโป๊ยกั๊กค่อนข้างชัดเจน


“อ้อ คงเพราะต้องไปช่วยทีมคาราเต้แข่งเลยติดมา”อีกฝ่ายตอบตรงๆไม่มีการปิดบัง


น้องชายผมคนนี้ด้วยความที่มีเซ้นเรื่องการเคลื่อนไหวเป็นยอดประกอบกับทักษะด้านกีฬาที่ไม่ว่าจะเป็นกี่ฬาอะไรก็สามารถเล่นได้ทำให้ถูกแย่งชิงตัวตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียน แต่โป๊ยกั๊กเป็นคนที่ไม่ชอบความยุ่งยากเลยไม่เข้าชมรมไหนจริงจัง


ถ้าแค่ให้ไปช่วยแข่งก็ไม่มีปัญหาเลยมีหลายชมรมเข้ามาขอร้องให้ไปช่วยแข่งนับไม่ถ้วน


เรื่องพลังพิเศษของโป๊ยกั๊กคือการพูดคุยกับตัวเองอีกคนในกระจกได้ แม้จะเป็นตัวเองแต่กลับมีทั้งบุคลิกและนิสัยที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง อย่างโป๊ยกั๊กที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมเป็นคนที่ไม่ชอบเรื่องยุ่งยาก มีเซ้นและทักษะด้านกีฬาดี เวลามีเรื่องก็ไม่แพ้ใครแต่หากเป็นโป๊ยกั๊กในกระจกจะเป็นคนค่อนข้างเก็บตัวและไม่สู้คน


เป็นบุคลิกซึ่งต่างราวกับเป็นคนละคน


บางครั้งตัวตนในกระจกจะสลับออกมาเป็นตัวจริงซึ่งครอบครัวเราจะเรียนเขาว่าก้านพลู ผมเองก็เคยเจออยู่บ่อยๆ สำหรับผมไม่ว่าจะเป็นโป๊ยกั๊กหรือก้านพลูก็ยังคงเป็นน้องผมอยู่ดี


ถึงตัวโป๊ยกั๊กเองจะไม่ค่อยชอบตัวตนที่อ่อนแอของก้านพลูในกระจกก็ตาม แต่ผมคิดว่าต้องมีสักวันหนึ่งที่เขายอมรับตัวตนทั้งสองบุคลิกของตัวเอง


“โอ๊ะ ป่านนี้แล้ว?”ผมถึงกับตาโตเมื่อเห็นนาฬิกาบอกเวลา8โมงครึ่งบนหน้าปัด


ผมว่าตัวเองตื่นมาซ้อมกับโป๊ยกั๊กตอน6โมงครึ่งนะ แล้วทำไมแป๊บๆถึงกลายเป็น8โมงครึ่งไปได้ก็ไม่รู้


“กี่โมงแล้วพี่”โป๊ยกั๊กถามบ้าง


“8โมงครึ่ง มีเรียนกี่โมง?”ผมถามกลับ


“วันนี้โรงเรียนหยุด พี่เถอะสายแล้วนี่จะไม่เป็นไรเหรอ”


“ไม่เป็นไร ไม่มีรูดบัตรหรอก”หน่วยสืบสวนคดีพิเศษไม่เหมือนกับหน่วยอื่นๆ พวกเราต่างเป็นอิสระกว่า และเพราะความเป็นอิสระเหล่านั้นทำให้พวกเราสามารถจัดการคดีต่างๆได้โดยง่าย


ไม่มีข้อจำกัดด้านวิธีการ


ไม่มีการผูกมัดด้านเวลา


จะทำอะไรหรือใช้วิธีไหนนั้นเป็นเรื่องของแต่ละคน


“แลสบายจัง ถ้าผมเรียนจบแล้วไปสมัครพี่อย่าลืมรับผมด้วยล่ะ”โป๊ยกั๊กพูดติดตลก


“พี่ไม่ได้มีอำนาจขนาดนั้น”การจะรับใครเข้ามาต้องฝ่ายการอนุมัติจากหัวหน้าซะก่อน


“เป็นถึงรองหัวหน้าจะไม่มีอำนาจได้ไง”


“แลอยากมาอยู่นะโป๊ยกั๊ก”


“แค่เห็นพี่ดูชอบงานนี้เลยอยากรู้ว่ามีอะไรน่าสนใจเท่านั้นเอง”


“มันเหมาะกับพี่และพลังที่มี”ผมตอบไปตามตรง หน่วยสืบสวนพิเศษนี้เหมาะกับผมมากกว่าที่อื่น


ก่อนหน้าจะมาอยู่หน่วยสืบสวนพิเศษผมเคยอยู่กับทางการด้านบัญชีมาก่อนและด้วยผลงานที่มีแต่กลับยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ดูเตะตาหัวหน้าไพลสันต์เข้าจึงเรียกให้ผมไปเข้าร่วมหน่วยสืบสวนพิเศษซึ่งผมสามารถเป็นตัวเองได้มากกว่าตอนอยู่กับทางการส่งผลให้ผลงานโดดเด่นขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งถูกเลื่อนให้เป็รรองหัวหน้าทั้งที่ทำงานมาได้เพียงไม่กี่ปี


น่าแปลกที่คนในหน่วยกลับเห็นด้วยหมด


ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าผมเหมาะจะเป็นรอง บรรยากาศรอบๆตัวผมช่วยให้งานยากๆง่ายลง


พูดตรงๆว่าผมไม่เข้าใจสักนิดว่าพูดถึงเรื่องอะไรกัน


บรรยากาศรอบตัว?


จะว่าไปก็มีอีกคนที่บอกเป็นแนวๆเดียวกัน


เบซิล


พอพูดถึงภาพของเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนก็ปรากฏขึ้นมา หลังจากจัดการคดีเสร็จผมกลับมาดูยังตึกทำงานว่าอีกฝ่ายหนีไปรึยัง นอกจากจะไม่หนีแล้วยังนอนหลับตากแอร์อยู่ในห้องทำงานอีก เหตุการณ์หลังจากนั้นคือเบซิลทำอาหารให้กินและผมกลับอ้วกออกไปจนหมดกระเพาะเพียงเพราะร่างกายได้รับเนื้อสัตว์เข้าไป


น้ำมันหอยเป็นเครื่องปรุงยอดนิยมที่มีส่วนผสมของเนื้อหอย


ในเทศกาลกินเจมีหลายคนบอกว่าหอยนางรมถือเป็นของเจ แต่จะเจหรือไม่เจก็ไม่เกี่ยวกับผมเพราะหากมีเนื้อสัตว์ผมก็ไม่สามารถกินได้


ร่างกายเกิดอาการต่อต้านโดยอัตโนมัติ


ทั้งอาเจียนทั้งมึนทั้งปวดหัว


แทบไม่รับรู้อะไรรอบกาย


ยังดีที่มีเบซิลอยู่และช่วยพยุงผมไปนอนพักบนเตียงจนอาการดีขึ้น


ผมรู้ว่าเหตุการณ์นั้นทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสงสัย ไม่แปลกถ้าจะสงสัยแค่กินเนื้อสัตว์ไปแค่คำเดียวกลับมีการรุนแรงขนาดนั้น
มันไม่ปกติ


“พี่ไธม์”เสียงเรียกจากโป๊ยกั๊กเรียกสติผมให้กลับมา


“หืม?”


“ถึงจะไม่ต้องรูดบัตรแต่ไปสายคงไม่ดีมั้ง”โป๊ยกั๊กพูดต่อ


“นั่นสิ”


“น่าเสียดายจัง ผมอยากซ้อมอีกสักรอบ”


“เรียกกระวานให้ลงมาเป็นคู่ซ้อมสิ”ผมเสนอด้วยรอยยิ้ม


“อย่าว่าแต่เป็นคู่ซ้อมเลยแค่ชกครั้งเดียวก็ปลิวไปบ้านข้างๆแล้ว”


“เว่อไป ไม่ปลิวหรอก”น้ำหนักของกระวานไม่ได้จะชกปลิวได้ง่ายๆหรอกนะ แม้จะไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอมขนาดผม เรียกว่าอวบคงได้


“อีกอย่างเวลานี้ไม่ตื่นหรอก”


“ก็จริง”พวกเราพี่น้องต่างรู้ดีว่ากระวานขี้เซาขนาดไหน ยังดีที่ร้านเปิด10โมงเลยมีเวลาในนอนตื่นสายได้


“จะกลับบ้านอีกเมื่อไหร่”โป๊ยกั๊กถามต่อ


“นั่นสิ...คงสัก2อาทิตย์ไม่ก็เดือนหน้า”ผมลองนึกๆดู มีอีกหลายคดีที่ต้องเร่งจัดการ ปกติผมจะกลับบ้านประมาณ2-3ครั้งต่อเดือน หลังจากผมเรียนจบและมีงานทำก็ย้ายออกไปอยู่คอนโดคนเดียวแม้ตอนแรกจะถูกพ่อค้านเพราะความเป็นห่วงแต่สุดท้ายก็ยอมให้ผมออกไปอยู่คนเดียวในที่สุด


“นานๆจะมาทีแถมยังอยู่ค้างแค่ไม่กี่คืน หรือว่าพี่มีแฟนแล้ว?”โป๊ยกั๊กถามระหว่างพวกเราเดินกลับเข้าไปในบ้านโทนสีขาวดำที่บัดนี้มีสีชมพูวิ๋งๆประดับตกแต่งไปทั่วอย่างพรมเช็ดเท้านุ่มๆสีชมพูหรือที่จับลูกบิดประตูลายกระต่ายสีขาวผูกโบว์ชมพู


“มีที่ไหนล่ะ”


“ไม่แน่นี่”


“ไม่มีหรอก เราแหละที่น่าจะมีกว่าพี่อีก”หน้าตาของโป๊ยกั๊กเรียกว่าดีสุดในบันดาพี่น้องก็ไม่ผิด เป็นหน้าตาแบบที่สาวๆชอบ และคงมีคนมาขอเป็นแฟนอยู่ไม่น้อย


“ไม่เอาล่ะ แฟนน่ารำคาญจะตาย”โป๊ยกั๊กทำหน้ารำคาญทันทีที่ได้ยิน


“ก็พูดซะแบบนี้”


“ถ้าจะเอานมเมื่อไหร่บอกให้ผมไปส่งได้นะ”


“ได้ ขอบคุณนะโป๊ยกั๊ก”ผมส่งยิ้มบางๆไปให้


“เรื่องเล็กน้อยน่าพี่”


“ใบไธม์เดี๋ยวก่อน อย่าพึ่งไป”ยังไม่ทันได้ผมจะก้าวออกจากประตูบ้านเสียงของผู้เป็นพ่อก็ตะโกนเสียงลั่น


ร่างของผู้ชายวัยกลางคนที่น่าตายังดูเหมือนคนอายุราวๆ30กว่าวิ่งออกมาจากห้องครัวซึ่งอยู่ด้านในของบ้านก่อนจะยื่นกล่องข้าวสีชมพูอ่อนมาตรงหน้าผม คุณพ่อชื่อสีฟ้าเป็นเชฟร้านอาหารของครอบครัวที่ผมไปเอานมครั้งก่อนและกระวานน้องชายคนรองทำงานอยู่


ความจริงร้านนั้นเป็นของคุณตาแต่ตอนนี้คุณตาย้ายไปเปิดร้านที่กระบี่เลยมอบร้านนี้ให้คุณพ่อบริหารจัดการต่อ ด้วยฝีมือด้านการทำอาหารแนวไทยฟิวชั่นของคุณพ่อทำให้ร้านสามารถเปิดมาได้จนถึงทุกวันนี้


“ขอบคุณครับ พ่อน่าจะเอาเวลาไปนอนพักดีกว่านะ”ผมค่อนข้างเป็นห่วงเพราะคุณพ่อทำงานตั้งแต่10โมงจนถึง5ทุ่มแถมช่วง4โมงบางวันยังต้องไปรับเพกาจากโรงเรียนอีก ดูจากชุดที่ใส่อยู่แปลว่าพึ่งกลับมาจากส่งเพกา


ตอนแรกผมคิดจะไปส่งเพกาให้แต่สุดท้ายกลับสายป่านนี้ซะได้


“ไม่เป็นไร ลูกมาทั้งทีจะไม่ให้พ่อทำอาหารให้กินเลยได้ยังไง เนอะเจ้าหญิง”ประโยคสุดท้ายพ่อก้มลงไปขอความเห็นแมวสีดำสนิทมีขนสีขาวเหมือนถุงเท้าทั้ง4ข้าง บริเวณคอมีโบว์สีชมพูขนาดใหญ่ผูกติดไว้


ใครจะคิดล่ะว่านี่คือแมวตัวผู้


พ่อเป็นคนที่ทำงานบ้านรวมถึงเย็บปักถักร้อยเก่งและก็ชอบสีชมพูมาก เพราะแบบนั้นไม่ว่าจะเป็นของภายในบ้าน ในร้านหรือแม้แต่บนคือของแมวตัวผู้นามว่าเจ้าหญิงก็ล้วนเป็นฝีมือของพ่อทั้งสิ้น


เจ้าหญิงถูกพ่อเก็บมาเลี้ยงหลังจากผมออกไปอยู่คอนโดไม่ได้นาน บ้านของผมไม่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้เนื่องจากผมที่หากสัมผัสสัตว์ก็จะกลายเป็นสัตว์ชนิดนั้นไปแม้จะสามารถแตะได้เร็วๆ ทว่าทั้งพ่อและแม่กลับลงความเห็นกันว่าจะไม่เลี้ยงอะไร


“ผมไปก่อนนะเจ้าหญิง”ผมคุยพลางลูบหัวแมวสีดำด้านล่างที่บัดนี้กำลังใช้ลำตัวถูไปกับกางเกงขายาวของผมเล่น


หากไม่ถึง5วิต่อให้จับหรือสัมผัสก็ไม่มีปัญหา


“กลับมาอาทิตย์ละครั้งไม่ได้เหรอ”พ่อเอ่ยถามเสียงอ้อน


“พ่อก็รู้ว่าพี่เขางานยุ่ง”โป๊ยกั๊กตอบแทน


“อย่าที่โป๊ยกั๊กพูด ช่วงนี้มีคดีที่ต้องจัดการเยอะเลย คงอีกสักพักใหญ่กว่าจะได้กลับมา”


“แต่พ่อคิดถึงลูกนี่นา”พูดจบพ่อก็โผลเข้ากอดผมแน่นจนต้องรีบยกข้าวกล่องหนีแทบไม่ทัน


“ผมก็คิดถึงทุกคน ถ้ามีเวลาผมจะรีบกลับมาเลย”


“พูดแล้วนะ”


“ครับ”ผมพยักหน้าสัญญา


“ขับรถดีๆนะ”พอ่โบกมือลาด้วยใบหน้าเศร้าแกมเป็นห่วง


“ระวังตัวอย่าประมาทนะพี่ ถ้ามีอะไรโทรบอกผมเดี๋ยวจะรีบไปหา”โป๊ยกั๊กพูดต่อ ถึงจะไม่แสดงสีหน้าเศร้าหรือน้ำเสียงห่วงใยแต่ผมก็รู้ว่าน้องชายคนนี้เป็นห่วงผมเสมอ


พอขับรถมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านผมก็ตรงไปยังที่ทำงาน ระยะทางจากบ้านจนถึงที่ทำงานห่างกันค่อนข้างมากทำให้กว่าจะไปถึงเวลาก็ล่วงเลยไปจนถึง9โมงครึ่งแล้ว


ผมเปิดประตูห้องทำงานพร้อมก้าวยาวๆไปยังโต๊ะทำงานด้านในสุดโดยสัมผัสได้ถึงสายตาหลายคู่จับจ้องมา ไม่ว่าจะเป็นแม็ก จิวหรือสกายแต่ที่หนักสุดคือดวงตาสีเขียวมรกตของเบซิล เรียกว่าถ้าสายตาเป็นมีดผมคงสิ้นชีพไปแล้ว


“วันนี้ท่านรองมาสาย มีอะไรรึเปล่าเนี่ย”จิวเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก


“สายนิดหน่อยเอง ยังเทียบกับคนอื่นไม่ได้หรอก”ผมตอบกลับ


“คนอื่นน่ะไม่เป็นไรเพราะนิสัยเป็นซะแบบนั้นแต่ท่านรองมาสายนี่น่าสงสัยสุดๆ”


“ผมอาจแค่ตื่นสายก็ได้”แค่ผมมาสายทำไมถึงดูน่าสงสัยขนาดนั้นล่ะ


“ไม่ๆๆ รองหัวหน้าไม่มีทางตื่นสายหรอก...”


“ของในมือนั่นคืออะไร”เสียงทุ้มของเบซิลดังแทรกก่อนเขาจะเดินมาอยู่ด้านหลังผมโดยสายตานั้นจ้องเขม็งมายังกล่องข้าวสีชมพูอ่อนที่ผมวางไว้บนโต๊ะ


“หรือว่าจะเป็นแฟนของไธม์?”สกายพูดเสียงดังด้วยใบหน้าตื่นตกใจ


“แฟน? แฟนเหรอใบไธม์”เบซิลถามต่อทันที ตั้งแต่เบซิลมาชื่อเล่นของผมก็กลายเป็นที่รู้กันไปแล้ว ก่อนหน้านี้เคยบอกว่าจะไม่เรียกแต่สุดท้ายก็เรียกติดปากจนรู้กันทั้งหน่วยงาน


“ผมว่านี่มันเรื่องส่วนตัวนะ”ความหมายกลายๆคือผมไม่บอกนั่นเอง


“ใบไธม์...”


“มาแล้วเหรอไธม์...ฉันรออยู่เลย”เสียงอันทรงอำนาจจากหัวหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษเรียกสายตาของทั้งห้องให้จับจ้องไป


“ขอโทษที่มาช้าครับ”ผมลุกขึ้นทำความเคารพ


ต้องให้หัวหน้ามารอ...ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนดีเลยเนี่ย


“มาช้าบ้างไม่เห็นจะแปลกเลย”หัวหน้าพูดด้วยรอยยิ้ม


“มีเรื่องอะไรเหรอครับหรือว่ามีคดีใหม่”ตอนนี้คงไม่ใช่เวลามาสบายใจ


หากหัวหน้ารอผมแปลว่าต้องมีอะไรที่จำเป็นต้องให้ผมเป็นคนจัดการ ส่วนมากจะเป็นคดียากๆที่ส่งมาให้ทางหน่วยจัดการแบบฉุกเฉิน


“ประมาณนั้น อย่างที่รู้กันว่าตอนนี้การซื้อขายทางโซลเซียลกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก มูลค่าการซื้อขายนั้นมากเป็นอันดับ1ในตอนนี้และเพราะแบบนั้นทำให้มีคดีเกี่ยวกับการขายของมากขึ้นเรื่อยๆ”หัวหน้าอธิบาย


“ถ้าคดีนี้มาถึงหน่วยเราคงไม่ใช่แค่ขายเสื้อผ้าใช่ไหมครับ”ผมพูดอย่างรู้ทัน


“ใช่ เป็นของที่ร้ายแรงกว่านั้น ยาเสพติดน่ะ”คำตอบจากปากของหัวหน้าทำเอาทั้งห้องเงียบกริบในทันที


เล่นขายของผิดกฎหมายกันแบบโจ่งแจ้งขนาดนี้ให้ปล่อยไว้คงไม่ได้


“ทางการน่าจะขอความร่วมมือจากทางเว็บเพื่อหาต้นตอได้นี่ครับ”ยิ่งในปัจจุบันมีกฎหมายคอมพิวเตอร์ยิ่งทำให้ง่ายในการขอความร่วมมือ


“ใช่ ขอได้แต่ทางคนร้ายปกปิดไว้ เหมือนIDที่ควรจะระบุพิกัดกลับไปอยู่ต่างประเทศซะอย่างงั้น ทางการเลยไม่สามารถตามตัวได้”หัวหน้าอธิบายต่อ


“คงต้องให้ช่วยหน่อยนะเบซิล”ผมรู้เลยว่าหัวหน้าต้องการให้ทำอะไร ถ้าพูดถึงฝีมือการใช้คอมพิวเตอร์ไม่มีใครจะเก่งไปกว่าเมเกอร์อีกแล้ว


“...ผมยังไม่มีอารมณ์ทำ”คนถูกขอกลับทำหน้านิ่งแถมเบือนหน้าหนีผมคล้ายคนกำลังไม่พอใจอะไรบางอย่างอยู่


“นี่เป็นคดีที่เราต้องรีบจัดการ...”


“ไม่เกี่ยวกับผมนี่”


“ฝากจัดการหน่อยละกันไธม์ นี่ข้อมูลที่ทางเรามี”หัวหน้ายื่นเอกสารมาให้พร้อมรอยยิ้มและแตะไหล่ให้กำลังใจก่อนจะเดินออกจากห้องไป


เข้าใจแล้วว่ารอผมทำไม


ไม่มีใครเอาเมเกอร์อยู่


และคนที่มีหน้าที่ดูแลอย่างผมต้องเป็นคนจัดการทุกอย่าง


“หงุดหงิดอะไรเบซิล”ผมถามไปตามตรง ทั้งที่ตอนผมเดินเข้ามายังทำหน้ายิ้มดีใจอยู่เลยแต่อยู่ๆกลับทำหน้าตึงแถมดูเหมือนอารมณ์ไม่ดีอีก


“คุณไม่ตอบคำถามผม”


“คำถาม? คำถามอะไร”ผมขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน


“ข้าวกล่องนั่นแฟนทำให้เหรอ”เบซิลถามซ้ำด้วยน้ำเสียงจริงจังจนผมต้องมองกล่องข้าวสีชมพูอ่อนสลับกับหน้าอีกฝ่ายงงๆ


คำถามแค่นั้นถึงกับทำให้หงุดหงิดแล้วพาลขนาดนี้เลย?


อารมณ์แปรปรวนเกินไปแล้ว


“ถ้าผมตอบจะยอมช่วยจับพวกค้ายาทางอินเตอร์เน็ตไหม”


“ขึ้นอยู่กับคำตอบ”


“...”ขึ้นอยู่กับคำตอบ...แปลว่าถ้าตอบไม่ถูกใจคงไม่ได้เริ่มงานกันสักที


“อย่าคิดจะโกหกเชียวเพราะผมจับได้อยู่แล้ว”เบซิลพูดอีก


“ผมไม่ใช่คนที่จะพูดโกหก”หากมีเรื่องที่บอกไม่ได้ผมก็เลือกที่จะไม่บอก


ไม่มีการโกหกสิ่งที่ไม่เป็นจริงแน่นอน


“...นั่นสิ คุณไม่โกหกอยู่แล้ว”เบซิลพึมพำพลางมองมานิ่งๆเหมือนกำลังรอฟังคำตอบของคำถามเมื่อครู่อยู่


“ไม่ใช่แฟนทำให้”ผมตอบไปตามตรง


“ไม่ใช่แฟนแล้วก็ไม่ใช่ภรรยาด้วยใช่ไหม”เบซิลยังคงยิงคำถามต่อ


“อืม ข้าวกล่องนี่พ่อผมทำให้”ผมยังไม่เข้าใจเลยว่าแฟนกับภรรยามันต่างกันตรงไหน


“...”ไม่มีคำพูดอะไรออกมาจากเบซิลอีกนอกจากรอยยิ้มกว้างที่ปรากฏขึ้นพานให้หัวใจกระตุกไปวูบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว


รอยยิ้มนี้เป็นยิ้มแบบยิ้มจากใจไม่ใช่เสแสร้งเหมือนในตอนแรกที่เจอกัน


“คำตอบผมพอจะทำให้มีอารมณ์อยากช่วยผมขึ้นมาหน่อยไหม”ผมถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังยืนยิ้มไม่หยุด


“อืม ผมจะหาที่อยู่ให้ ขอโน๊ตบุ๊คหน่อย”


“สงสัยคงต้องหาซื้อโน๊ตบุ๊คให้สักเครื่องแล้วมั้ง”ยังไงเบซิลก็จำเป็นต้องมีโน้ตบุ๊คหรือคอมพิวเตอร์สักเครื่องไม่อย่างงั้นเวลาทำงานจะให้มายืมตลอดคงไม่เหมาะ


เบซิลรับโน๊ตบุ๊คที่ผมยื่นให้กางออกแล้วเปิดเครื่องอยู่ข้างๆผม จะเรียกว่าข้างคงไม่ถูกนักเพราะโน๊ตบุ๊คนั่นวางอยู่บนโต๊ะผมแถมยังไปลากเก้าอี้มานั่งจนเจ้าของโต๊ะอย่างผมต้องขยับไปอยู่มุมโต๊ะ


ทันทีที่ไวไฟถูกเชื่อมเบซิลพิมพ์หาเว็บขายยาเสพติดที่ว่า หน้าเว็บถูกทำให้เป็นหน้าว่างซึ่งต้องมีการใส่รหัสผ่านก่อนจึงจะสามารถเข้าไปดูเนื้อหาด้านในได้


เป็นการคัดกรองคนก่อนสินะ


“เราคงต้องไปขอรหัสก่อน”ผมพึมพำ


“ไม่จำเป็นหรอก รหัสแค่นี้เอง”เบซิลพูดพร้อมยกยิ้มขึ้น


หน้าจอของโค้ดนับพันบรรทัดปรากฏแก่สายตาทั้งโค้ดทั้งสัญลักษณ์เต็มไปหมด แค่มองยังรู้สึกงงและไม่เข้าใจทว่าเบซิลกลับพิมพ์อะไรบางอย่างลงไป หน้าต่างเล็กๆคล้ายเครื่องมือช่วยในการค้นหาปรากฎขึ้นก่อนจะพิมพ์สิ่งที่ต้องการลงไป


เบซิลคลิกเข้าไปด้านในลิ้งค์หนึ่งซึ่งในลิ้งค์นั้นมีโค้ดมากมายเรียงรายอยู่ ผมขมวดคิ้วมองหน้าจอที่ถูกคลิกและพิมพ์หลายๆอย่างลงไปด้วยความไม่เข้าใจ


ใช้เวลาไม่กี่นาทีรหัส10หลักก็ถูกใส่ลงในหน้าแรก แน่นอนว่ารหัสนั้นสามารถเข้าไปในเว็บได้โดยไม่ต้องไปขอรหัสใคร ด้านในเว็บมีสินค้าหรือก็คือยาเสพติดหลากหลายแบบให้กดเลือกซื้อทั้งแบบ1เม็ดไปจนถึง100,000เม็ด


เล่นขายเหมือนขายเสื้อผ้าให้เลือกไซส์เลยนะ


“จะหาที่อยู่ได้รึเปล่า”ผมถามต่อ ขนาดทางการไปขอความร่วมมือยังไม่สามารถระบุพิกัดแน่ชัดได้เลย


ต่อให้เบซิลมีฉายาว่าเมเกอร์แต่ก็มีข้อจำกัดด้านการเข้าถึงข้อมูลทำให้ยากกว่าในการหาพิกัด


“ไม่มีปัญหา ที่อยู่ของเครื่องน่ะต่อให้หลอกIDไปอยู่ต่างประเทศแต่เราสามารถย้อนกลับไปดูข้อมูลแรกก่อนทำการเปลี่ยนได้”


“ถ้าดูได้ทำไมทางการถึงบอกว่าหาไม่ได้ล่ะ”


“ก็ทำไม่เป็นน่ะสิ มันต้องมีหัวนิดมีทริกหน่อย...ได้ล่ะ”


“ได้แล้ว?”ผมแทบไม่อยากเชื่อ


คุยกันไม่กี่ประโยคกลับสามารถหาพิกัตได้สำเร็จ


“พิกัด203.003.66899.1.44115 อยู่ไกลจากนี่พอสมควร”


“เดี๋ยว เลขอะไรน่ะ”ผมถามกลับทันที ตัวเลขพวกนั้นมันบอกพิกัดตรงไหน


“เลขพวกนี้เป็นตัวบอกพิกัด ผมสามารถนำทางไปได้ จะไปจัดการเลยไหม”เบซิลถามกลับด้วยใบหน้านิ่งๆราวกับเป็นเรื่องง่ายๆในการแปลงตัวเลขเป็นพิกัดสถานที่จริง


“จะไปด้วย?”


“ใช่ ถ้าไม่ให้ผมไปด้วยก็อย่าหวังว่าผมจะบอกพิกัดว่าอยู่ไหน”


“ต่อรองสินะ”


“แหม วันนี้ก็มาสาย ขอเวลาผมอยู่กับคุณนานกว่านี้หน่อยเถอะ”


“ไม่ต้องมาเล่นมุกจีบหญิง”ผมไม่หลงกลคำพูดพวกนั้นหรอก


“ผมไม่ได้เล่น อยากอยู่ข้างๆคุณ”


“...บางทีผมอาจพาคุณไปตรวจสมองที่โรงพยาบาลขากลับ”ผมพูดพร้อมลุกขึ้นไปเตรียมตัว


“สมองผมดีเกินปกติเหอะ คุณจะเสียเงินเปล่านะใบไธม์”



(มีต่อนะคะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อค่า)



พวกเราพูดคุยกันต่ออีกสองสามประโยคก่อนจะออกเดินทางไปยังพิกัดเป้าหมายด้วยมอเตอร์ไซค์สีดำส่วนตัวของผม เบซิลไม่ได้พกโน๊ตบุ๊คมาด้วยเห็นบอกว่าสามารถจำพิกัดนั้นได้แล้วเลยไม่จำเป็นต้องเอาโน๊ตบุ๊คมาด้วยให้หนัก


ความจำของเบซิลดีมากพอๆกับการประมวลและวิเคราะห์


ถ้าใช้ถูกทางคงช่วยประเทศนี้ได้เยอะเลย


“เราจะไปมอเตอร์ไซค์ คุณซ้อนท้ายนะ”ผมบอกพลางยื่นหมวกกันน๊อกอีกอันไปให้


“ได้ คุณนี่เตรียมพร้อมเลยนะ หรือว่ามีคนมาซ้อนท้ายบ่อย”เบซิลรับหมวกไปสวมระหว่างถาม


“นานๆที แค่เตรียมเผื่อไว้”ปกติรถผมไม่ได้มีคนมานั่งบ่อยนักแต่ใช่ว่าจะไม่มีซะทีเดียว วันดีคืนดีก็มีไปกินข้าวกับคนในหน่วยข้างนอกบ้างจึงมีหมวกสำรองเตรียมไปตลอด


หลายคนไม่ชอบใส่หมวกกันน๊อคด้วยเหตุผลตลกๆคือผมจะฟูและไม่เป็นทรง


เอาชีวิตไปเสี่ยงกับเหตุผลแบบนั้นน่าตลกไหมล่ะ


“คราวหน้าผมเอาป้ายชื่อตัวเองมาติดไว้ดีไหม คนอื่นจะได้รู้ว่าหมวกนี่เป็นของผม”


“ผมบอกตอนไหนว่าเป็นของคุณ”แค่ให้ยืมใส่นะไม่ได้ให้เลย


“หลังจากนี้ผมคงได้ซ้อนบ่อยๆนี่นา”


“ก็ไม่แน่มั้ง”เรื่องของอนาคตเราไม่รู้หรอก


แต่ก็มีความเป็นไปได้อย่างที่เบซิลพูด ยังไงผมก็เป็นคนดูแลเบซิลในกรณีมีคดีที่ต้องอาศัยความสามารถของเขาผมต้องตามไปด้วยอยู่แล้ว


ผมขึ้นมอเตอร์ไซค์เตรียมขับออกไปโดยมีเบซิลขึ้นมาซ้อนท้ายก่อนมอเตอร์คันสีดำจะแล่นออกสู่ถนนใหญ่ ที่ทำงานของหน่วยสืบสวนพิเศษตั้งอยู่ใจกลางเมืองด้วยเหตุผลที่ว่าในกรณีมีเหตุฉุกเฉินจะได้มุ่งหน้าไปรวดเร็วขึ้น


“ไปทางไหนเบซิล”ผมตะโกนถามโดยสายตามองถนนตรงหน้า


“พูดอะไรนะ”เบซิลถามกลับพลางขยับตัวเข้ามาใกล้มากขึ้นจนหน้าอีกฝ่ายแทบจะเกยไหล่ผมอยู่รอมร่อ


“ผมถามว่าไปทางไหน”


“ฮะ?”เบซิลยังคงขยับเข้ามาแนบชิดไม่เพียงแค่ร่างกายแต่ยังมีมือสองข้างที่โอบเอวผมโดยไม่ทันตั้งตัวอีก


“เบซิล เอามือออกไปเลย”ถ้าไม่ติดว่ากำลังขี่มอเตอร์ไซค์อยู่อีกฝ่ายได้โดยศอกสวนกลับไปแล้ว


“ไม่เอา ขับเร็วผมกลัวตกนี่”นอกจากจะไม่ปล่อยมือแล้วยังกอดแน่นกว่าเดิมอีก


“ก็ได้ยินนี่”แปลว่าก่อนหน้านี้จงใจทำเป็นไม่ได้ยินสินะ


“แยกหน้าเลี้ยวซ้าย”เบซิลได้จังหวะเปลี่ยนเรื่อง


“ปล่อยมือจากเอวผม”พอเลี้ยวซ้ายตามที่บอกเสร็จผมก็เอ่ยบอกคนด้านหลังเสียงเข้ม


อย่าคิดว่าผมจะปล่อยให้อีกฝ่ายทำเนียนต่อได้นะ


“บอกแล้วไงว่าผมกลัวตก”


“ไม่ตกหรอก”


“แรงลมมันโดนผมเป็นคนขี้หนาว”นอกจากพูดแล้วยังเอาหน้ามาซุกผมอีก


“งั้นผมจะขับช้าๆ”


“การขับรถช้าทำให้เกิดการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ รู้ไหมว่าน้ำมันกว่าจะกลั่นออกมาได้แต่ละลิตรต้องผ่านขั้นตอนอะไรมาบ้าง คุณต้องใช้อย่างคุ้มค่าที่สุดสิ”น้ำเสียงจริงจังนั่นทำให้ผมเผลอบิดคันเร่งโดยไม่รู้ตัว


อยากจอดรถแล้วจับคนทุ่มข้ามหลังสักทีจริงๆ


กว่าจะถึงที่หมายผมต้องข่มอารมณ์สุดฤทธิ์แต่ดูเหมือนเบซิลจะไม่รู้เลยว่าทำให้ผมเริ่มหงุดหงิด เพราะถ้าเขารู้คงไม่แหย่ผมเล่นตลอดทางแบบนี้


สถานที่ที่เบซิลพามาคือถนนย่านการค้าขนาดใหญ่ ท้องข้างถนนเต็มไปด้วยร้านค้าขายเติมเต็ม2ข้างทางไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านขนม ร้านขายผักไปจนถึงร้านสะดวกซื้อและไปรษณีย์ บริเวณนี้เป็นหนึ่งในย่านการค้าซึ่งมีผู้คนมามากที่สุด


จะบอกว่าพวกค้ายาเสพติดนั่นมาอยู่ใจกลางเมืองแบบนี้เลยเหรอ


“ใบไธม์ ช้าลงหน่อยอยู่ใกล้ๆนี่แหละ บล็อกที่ห้าถัดจากซอยนั้น”เบซิลกระซิบข้างใบหูทำเอาขนทั้งร่างผมลุกชันด้วยความรู้สึกแปลกๆ


“เบซิล”ผมเรียกคนด้านหลังเสียงเข้ม


แกล้งแหย่กันได้ตลอดทางจริงๆ


“อย่ามัวแต่ทำหน้าดุ จะเลยแล้วนะ...ร้านนี่เลย”


มอเตอร์ไซค์สีดำของผมจอดลงตามคำบอกของเบซิล ทว่าร้านตรงหน้ากลับไม่ใช่บ้านร้างหรือตึกปิดน่าสงสัยแต่อย่างใด กระจกสีใสสะท้อนภาพผนังสีฟ้าสว่างและเครื่องคอมพิวเตอร์หลายสิบเครื่องเรียงรายอยู่ติดสองฟากของผนัง


แค่ยืนมองจากตรงนี้ก็สามารถเห็นสภาพของภายในร้านได้อย่างชัดเจน


“ร้านอินเตอร์เน็ต?”ผมพึมพำเสียงเบา


ร้านตรงหน้าผมคือร้านอิเตอร์เน็ตชั่วโมงละ15บาท มีทั้งคอมพิวเตอร์และที่นั่งให้พร้อม ด้านในมีเคาน์เตอร์สำหรับคิดเงินและเครื่องพิมพ์พร้อมด้วยเครื่องถ่ายเอกสารไว้อำนวยความสะดวกลูกค้า


“อืม...ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น”


“แน่ใจนะว่าเป็นที่นี่”ผมถามกลับ


ดูยังไงก็ไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดได้เลย


“ถ้าเอาตามพิกัดที่ได้เป็นที่นี่แน่นอน”น้ำเสียงเบซิลดูมั่นใจมาก


“มีสิทธิ์ที่จะใช้เครื่องที่นี่ทำแต่คนร้ายเป็นคนอื่นรึเปล่า”


“เป็นไปได้...แต่เปอร์เซ็นต์น้อยมาก คงไม่มีคนค้ายาที่ไหนใช้คอมสาธารณะแบบนี้สร้างเว็บแล้วต้องมาคอยจัดการเช็คหรือเพิ่มข้อมูลที่นี่ทุกวันหรอก”


“ก็จริงอย่างที่ว่า”น่าสงสัยเกินไปถ้าจะให้มาร้านนี้ทุกวัน


“ผมเช็คได้ แต่ต้องเข้าไปในร้านก่อน”เบซิลพูดต่อ


“อืม ไปกัน”ผมพยักหน้าเห็นด้วย


การเข้าไปในร้านไม่ใช่เรื่องยากอะไรในเมื่อเป็นร้านเปิดที่พร้อมต้อนรับลูกค้าอยู่ตลอดแบบนี้ ภายในร้านมีลูกค้านั่งอยู่ประมาณ5คนซึ่งถือว่าไม่มากเนื่องจากเป็นช่วงเที่ยงของวันทำงาน เด็กๆคงยังไม่เลิกเรียนด้วย


เมื่อเปิดประตูเข้ามาในร้านเบซิลก็นั่งลงยังคอมพิวเตอร์ริมนอกสุดติดกับประตูแล้วเริ่มเปิดหน้าเว็บไซส์ขึ้นมาอีกครั้ง ระหว่างนั้นผมหันไปมองทางเคาน์เตอร์ด้านใน เจ้าของร้านเป็นชายรูปร่างปกติไม่ได้กำยำอะไร เขามองหน้าเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มมาให้เป็นเชิงบอกว่ายินดีต้อนรับแล้วพิมพ์บางอย่างลงไปในคอมพิวเตอร์ด้านหน้าตัวเอง


ร้านอินเตอ์เน็ตส่วนมากจะคิดเงินหลังจากลูกค้าลุกออก มีการลงเวลาเข้าเพื่อใช้เวลานั้นคำนวณเป็นเงินที่ต้องเสีย


“เป็นไงเซิล”ผมให้เวลาเบซิลเล็กน้อยถึงก้มลงไปถามเสียงเบา


“เป็นอย่างที่คิด เรามาถูกที่แล้ว”เบซิลเงยหน้าขึ้นมามองผมนิ่งๆ


“...จะบอกว่าเป็นหนึ่งในลูกค้า?”


“ไม่ใช่ลูกค้าแต่เป็นคนที่อยู่เคาน์เตอร์ ผมเจาะเข้าไปในระบบของเว็บจนรู้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องไหนที่ใช้เชื่อมต่อมากที่สุด และก็เป็นคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น”เบซิลอธิบาย


“เขาอาจเป็นลูกจ้าง...ไม่สิ เป็นเจ้าของร้าน”พอลองมาคิดดูดีๆหากคอมนั่นเป็นตัวหลักในการเชื่อมต่อคงไม่มีใครจ้างคนอื่นมายืนอยู่หน้าเครื่องหรอก


“อืม วิเสฐ จันแก้ว อายุ43ปี เจ้าของร้านอินเตอร์เน็ต ประวัติอาชญากรรมหรือติดคุกไม่มี ทว่าเงินในบัญชีกลับมีการเข้าออกในจำนวนเงินซึ่งมากกว่าธุรกิจนี้จะมีได้”


“ประวัติของคนคนนั้นสินะ”ผมขยับหน้าไปอยู่ในระดับเดียวกับหน้าจอเพื่อดูข้อมูลตามที่เบซิลพูดให้ฟัง


บนหน้าจอคอมพิวเตอร์บัดนี้มีหน้าต่างของตารางบัญชีเงินเข้าออกปรากฏอยู่ เป็นประวัติของการใช้เงินซึ่งไม่มีทางที่จะขอดูได้ง่ายๆแต่เบซิลกลับทำให้ดูได้ในเวลาไม่กี่นาที


ต่อให้ไม่บอกผมก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงแฮ็กเข้าระบบของธนาคารเพื่อเปิดดูข้อมูล


ถ้าไม่มีความเชี่ยวชาญจริงๆไม่สามารถทำแบบนี้ได้หรอก ต่อให้ทำได้คงใช้เวลานานกว่านี้โข


“จะทำยังไงต่อ”


“คงเข้าไปจัดการล่ะนะ”จะปล่อยให้ลอยนวลทั้งที่รู้แน่ชัดแล้วคงไม่ดีเท่าไหร่


“เขาอาจมีอาวุธ อีกอย่างเราไม่รู้ว่าด้านหลังนั่นจะมีอีกกี่คน”เบซิลบอกพลางใช้หางตามองไปยังประตูด้านหลังเคาน์เตอร์


“จะจัดการทีละคน”ผมบอกก่อนจะเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ท่ามกลางเสียงเรียกตื่นๆของเบซิลที่ไล่หลังมาแต่อาจเพราะกลัวเป็นจุดสนใจจึงไม่กล้าเรียกเสียงดังนัก


“ใช้คอมเสร็จแล้วเหรอครับ”เจ้าของร้านถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ


“ครับ”


“ค่าอินเตอร์เน็ต 10 บาทครับ”


“ผมคงต้องขอให้คุณปิดร้านแล้วมาด้วยกันหน่อยนะครับ คุณวิเสฐ จันแก้ว”


“...คุณหมายถึงอะไรครับ”อีกฝ่ายถึงกับชะงักเมื่อได้ยินผมเรียกชื่อจริงของตนออกไป


“ผมขอชื่นชมความใจกล้าของคุณ คงไม่มีใครที่ขายยาเสพติดในร้านเปิดโล่งแบบนี้เหมือนกันคุณอีกแล้วล่ะ”ผมพูดนิ่งๆโดยสายตากำลังจับจ้องเพื่อดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย


“พูดบ้าอะไรน่ะ ผมฟ้องคุณได้นะ”ดวงตาส่ายไปมาแสดงถึงความร้อนรนและกังวล


อาการส่อพิรุจมากพอดู


“ฟ้องมาเลยสิ แล้วมาดูกันว่าข้อหาของใครจะหนักกว่า”คำพูดนี้ผมไม่ได้พูดแต่เป็นเบซิลที่เดินตามมาด้านหลังต่างหาก


“...พวกแกเป็นใครกัน”


“ผมคงลืมแนะนำตัว รองหัวหน้าของหน่วยสืบสวนพิเศษ ทัณฑธร ครับ”ไม่พูดเปล่าผมโชว์สัญลักษณ์ของหน่วยสืบสวนพิเศษให้อีกฝ่ายดูด้วย แต่อย่างที่เคยบอกไปคนปกติไม่รู้หรอกว่ามีหน่วยนี้อยู่ด้วย


“โกหก ผมไม่ได้ทำ”


“งั้นขอค้นข้างหลังนั่นหน่อยคงได้นะ”ผมพูดต่อ


“บ้าเอ้ย ถ้าขยับผมยิงแน่”เมื่อคำพูดใช้ไม่ได้ผลอีกฝ่ายจึงหยิบปืนจากในลิ้นชักจ่อมาทางผมและเบซิล


ลูกค้าในร้านคนอื่นๆเมื่อได้ยินเสียงเอะอะจึงหันมามองและพอเห็นเจ้าของร้ายถือปืนพวกเขาก็พากับวิ่งหนีออกไปด้านนอกด้วยความตื่นกลัว


ดวงตาสีน้ำตาลของผมมองไปยังปืนกระบอกสีดำตรงหน้านิ่งๆ ปืนขนาดเล็กมีไว้สำหรับยิงในระยะใกล้จนถึงประมาณ10เมตร แรงดีดหลังจากยิงแทบไม่มีเป็นปืนที่หาซื้อได้ง่ายและเป็นที่นิยมในการพกพาของคนทั่วไป


ใครก็ตามที่ถูกปืนจ่อคงมีความตกใจและกังวลทว่าผมไม่ใช่


หน่วยสืบสวนพิเศษเป็นหน่วยที่เจอแต่กับคดียากๆ แน่นอนว่าการปะทะกับศัตรูเป็นเรื่องธรรมดามาก ผมเจอสถานการณ์เพลี่ยงพล้ำมามากแต่ก็สามารถจัดการมาได้ตลอด


ไม่ใช่เพราะความเก่งแต่เป็นสติที่มีแม้กระทั้งตอนอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ห่างหาก


“ใบไธม์”เบซิลเรียกผมเยงเบาหวิวแล้วพยายามดันผมไปอยู่ด้านหลังทว่าผมกลับเป็นฝ่ายก้าวไปด้านหน้ามากขึ้นจนปากประบอกปืนอยู่ในระยะยิงที่ต่อให้หลับตาก็ยังโดน


“...”ผมไม่เอ่ยคำพูดในมีเพียงจับจ้องไปยังทุกการเคลื่อนไหวไม่ว่าจะเป็นสายตาหรือนิ้วมือที่เหนี่ยวไกปืนอยู่ในขณะนี้


“แก อย่าคิดว่าฉันไม่กล้ายิงนะ”อีกฝ่ายเริ่มร้อนรนและตื่นตระหนกเมื่อเห็นว่าผมยังคงใจเย็นและไม่มีท่าทีตื่นกลัวสักนิดเดียว
“...”เป็นอีกครั้งที่ผมเลือกใช้ความเงียบแทบคำตอบ


“บ้าเอ้ย ตายไปซะ”ในที่สุดฝ่ายที่สติแตกก่อนก็เป็นทางนั้น ในจังหวะที่เจ้าของร้านกำลังจะเหนี่ยวไกผืนผมใช้เท้าแตะปืนสีดำนั่นจนกลิ้งไปทางประตูร้าน


และไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัววิ่งเข้าไปใกล้พร้อมกำหมัดชกเข้ายังท้องน้อยของคนตรงหน้าจนกระอักเลือกออกมาเล็กน้อยแล้วหมดสติไปอย่างง่ายดาย


“เสร็จไปหนึ่ง”ผมพึมพำพลางทิ้งร่างชายเจ้าของร่างที่หมดสติลงกับพื้น


“...ตายรึเปล่าเนี่ย”เบซิลพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆคล้ายตกใจปนตื่นกลัวกับภาพที่เห็นเมื่อครู่


“แค่ชกท้องไม่ทำให้ใครตายหรอก”ไม่ได้เล็งไปที่จุดตาย


แต่แรงขนาดนั้นคงสลบไปนานพอดู


บานประตูด้านหลังถูเปิดแง้มออกเล็กน้อยเพื่อลอบมองด้านในที่มีคนอีก3คนอยู่ รูปร่างกำยำแบบนั้นคงไม่พ้นถูกจ้างมาให้ดูแลยาเสพติดพวกนี้แถมในมือยังมีปืนอีก


ในเมื่อทางนั้นมีอาวุธจะไม่ให้ทางนี้มีเลยก็ใช่ที่


ผมหยิบปืนพกด้านหลังออกมาเตรียมพร้อมยิง ใช้เวลาเล็งเป้าไม่ถึงนาทีก็เหนี่ยวไกยิงกระสุนออกไปโดนปืนกระบอกใหญ่ในมือของชายคนนึงจนกระเด็นไปอีกทาง เหตุการณ์นั้นเรียกทุกสายตาให้หันมามองเป็นตาเดียว ซึ่งผมใช้จังหวะนั้นวิ่งเข้าไปด้านในจับคอเสื้อของชายคนหน้าสุดแน่นในจัวหวะเดียวกับแตะไปยังหัวเข่าจนอีกฝ่ายเสียการทรงตัว เพียงเสี้ยววินาทีร่างกำยำของผู้ชายก็ถูกทุ่มข้ามหลังลงพื้นอย่างสวยงามท่ามกลางสายตาตื่นตกใจ


อีกสองคนหันปืนมาทางผมแล้วกราดยิงทว่าผมเบี่ยงหลบกระสุนเหล่านั้นด้วยการใช้กล่องลังไม้ด้านข้างช่วยเป็นตัวกัน แน่นอนว่าผมไม่รออยู่เฉยๆให้อีกฝ่ายเข้ามาจัดการแต่กระโดดขึ้นไปบนกล่องลังไม้ ตั้งท่าและยิงไปยังปืนกระบอกแรกจนกระเด็นใส่มือของอีกคนทำให้ปืนทั้งสองกระบอกหล่นไปกองอยู่บนพื้น


หากปราศจากอาวุธผมก็ไม่จำเป็นต้องรออะไรอีก ชายคนแรกถูกผมใช้ศอกซัดเข้าบริเวณใบหน้าอย่างแรงแล้วตามเข่าลอย ส่วนคนสุดท้ายผมทำเพียงใช้ฝ่ามือสับบริเวณต้นคอแรงๆจนหมดสติไปอย่างรวดเร็ว


“ไม่อยากใช้ปืนแท้ๆนะ”ผมถอนหายใจหลังจัดการทุกอย่างเสร็จ


ค่ากระสุนมันแพงหัวหน้าเลยบอกให้พวกเราช่วยประหยัด


ถ้าไม่จำเป็นก็จะใช้อาวุธอย่างอื่นแทนปืน


“...ใบไธม์”เบซิลก้าวเข้ามาใกล้โดยมองไปยังร่างของชายกำยำสามคนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น


“ไม่ได้โดนกระสุนใช่ไหม”ผมถามกลับ ระหว่างการต่อสู้ผมไม่ได้มองว่าเบซิลโดยลูกหลงอะไรไปด้วยไหมแต่ดูแล้วคงไม่ได้บาดเจ็บอะไร


“ไม่โดน แต่...ฝีมือคุณจะสูงเกินไปหน่อยรึเปล่า”เบซิลยังคงมีท่าทางตกใจไม่เลิก


“ขอบคุณสำหรับคำชม”


“ถ้าผมแหย่อะไรคุณก็อย่าให้ถึงกับต้องใช้กำลังเลยเนอะ”


“อ้อ จะว่าไปผมมีเรื่องจะพูดกับคุณด้วยนี่นะ”พออีกฝ่ายพูดมาผมก็นึกได้ว่าจะบอกอะไร


“พูดกับผม?”


“ถ้าขากลับยังแหย่ผมเล่นไม่เลิก เตรียมตัวถูกถีบตกไปข้างทางได้เลย”ผมพูดเสียงเข้ม


“ไม่ได้แหย่ ผมแค่หนาวเลยอยากได้ไออุ่น”เบซิลพูดแก้


“เบซิล”ยังจะกวนกันไม่เลิกอีก


“ต่อให้เห็นฝีมือแบบนั้นผมก็ยังอยากอยู่ข้างๆคุณอยู่ดี”


“เป็นมาโซรึไง”


“อืม อยากถูกใบไธม์สัมผัสจังเลย อ่า...ใบไธม์”เบซิลพูดเสียงแหบพล่าและสายตาหวานเยิ้มก่อนจะวิ่งเข้ามาโผลกอดผมเต็มแรง


“อึก...ปล่อยเบซิล”เพราะท่าทางกวนประสาทนั่นทำให้ผมลดการระวังตัวลงจนถูกกอดได้ง่ายๆ


ครั้งนี้ผมประมาทไป


“ไม่ปล่อย อุ่นจังเลย...อยากกอดทั้งวัน”


“เบซิล”ผมเรียกเสียงดังขึ้น ไม่รู้ทำไมว่าผมถึงรู้สึกร้อนๆบนใบหน้าได้


“ผมว่าตัวเองจะรู้สึก...ชอบคุณขึ้นมาแล้วสิ”เสียงอู้อี้ดังขึ้นในจังหวะที่ผมพยายามใช้แรงสะบัดตัวหนีการเกาะกุม


“พูดอะไรนะ”ผมถามอีกครั้งเพราะได้ยินไม่ชัด


“คุณตัวหอมจังเลยใบไธม์”พูดจบยังมีการใช้จมูกแนบกับลำคอผมแล้วหายใจเข้าแรงๆจนร่างกายผมถึงกับสะดุ้ง


“เบซิล”ในเมื่อพูดกับำม่รู้เรื่องผมจึงต้องใช้วิธีสุดท้ายคือชกเข้าไปยังชายโครงอีกฝ่ายแรงๆจนเบซิลทรุดลงไปกุมบริเวณที่ถูกชกบนพื้น ดวงตาสีมรกตแหงนขึ้นมามองคล้ายจะถามว่าทำอะไรผิดถึงต้องรุนแรงถึงขนาดนี้


ถ้าให้ผมร่ายกระดาษหนึ่งแรมก็คงไม่พอ


และคดีค้ายาเสพติดทางอินเตอร์เน็ตก็จบลงด้วยประการละฉะนี้
.............................................................
สวัสดีค่า

มาต่อแล้วกับเรื่องนี้ เบซิลหนุ่มสุดกวนก็ยังคงกวนอย่างต่อเนื่องพ่วงด้วยความเจ้าเล่ห์อันไม่มีที่สิ้นสุด

บอกตามตรงว่าตอนที่แต่งอยู่ค่อนข้างกังวลว่าจะแต่งเบซิลที่คาแร็กเตอร์ค่อนข้างแตกต่างจากพระเอกคนอื่นๆ ที่เคยแต่งมายังไงดี แต่พอได้ลองแต่งไปรู้สึกว่าง่ายกว่าที่คิดไว้เยอะเลยยิ่งได้ใบไธม์มาคู่ยิ่งรู้สึกว่าคู่นี้แหละเหมาะสมกันเหลือเกิน 555

อ่านหลายๆ คอมเม้นมีคอมเม้นท์นึงถามว่ากินน้ำมันหอยแล้วไม่กลายเป็นหอยเหรอ

ไม่กลายค่ะ จะกลายร่างก็ต่อเมื่อสัมผัสถึงสัตว์ที่มีชีวิตค่ะในกรณีที่สัตว์ตายหรือเป็นพวกอาหารต่อให้แตะหรือจับก็จะไม่กลายร่างเป็นสัตว์นั้นๆ ค่ะ ตอนวางโครงเรื่องเคยคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกันผลสรุปก็ออกมาตามนี้แหละค่ะ แฮะๆ

หวังว่าทุกคนจะสนุกสนานไปกับตอนนี้นะคะ

ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นท์และทุกๆ กำลังใจที่มีให้เสมอค่ะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
เบซิลนี่แกล้งหยอก(?)ใบไธม์ตลอดดด

ระวังโดนถีบลงระหว่างทางนะ 555 :hao3:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
คดีนี้ จิ๊บๆ ซินะ  :laugh:

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ใบไทม์เหนื่อยกับเบซินมากกว่าสู้กับคนร้ายซะอีก5555

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ asmar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ระวังใบไธม์จะเขินแรงใส่จนกระอักเลือดนะเบซิล

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
เบซินน่ารักจังเลยยยย
ตอนที่อ่าน1-2ตอนแรกแอบคิดเล่นๆ
ว่าพระเอกจะเป็นผู้ร้ายรึป่าวนะ
แล้วก้เป็นจริงๆด้วยยย
แต่คนร้ายจำเป็นต้องนิสัยน่ารักขนาดนี้มั้ย
ติสส์แตกสุดๆอีกต่างหาก เบื่อๆเลยไปมอบตัวงี้
อยากอยู่กับไธม์เลยยอมมาด้วยงี้ วุ้ยยย ปวดหัวแทนเลย

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
สืบรัก彡คดีที่7



หากจัดลำดับการเข้างานของทุกคนในหน่วยสืบสวนพิเศษรองหัวหน้าอย่างผมคงติดเป็นอันดับต้นๆ ด้วยนิสัยที่ชอบตื่นเช้าเป็นทุนเดิมทำให้มีเวลาในการทำหลายๆอย่างในช่วงเช้าก่อนออกมาทำงานได้มากกว่าคนอื่น ซึ่งปกติผมจะมาถึงที่ทำงานประมาณ7โมง45หรือ8โมง


มีไม่น้อยเลยที่จะมีคนมาถึงก่อนโดยเฉพาะจิว ขานี้อาจมาถึงเป็นคนแรกๆของหน่วย พวกเราจะมาในเวลาใกล้เคียงกัน บางครั้งผมมาถึงก่อน บางครั้งก็มาช้ากว่า


อย่างวันนี้ผมผมมาถึงที่ทำงานเวลา8โมง แน่นอนว่านอกจากจิวแล้วยังมีเบซิลที่อาศัยอยู่ในห้องพักด้านในสุดติดกับห้องทดลองของจูน ความจริงทางการได้บอกให้ทำการคุมตัวเมเกอร์ให้ดีอย่าให้หนีออกไปได้แต่สำหรับผมและหัวหน้ากลับมองว่าไม่จำเป็นเลย


ถ้าจะหนีต่อให้เราคุมขังแน่นหน้ายังก็ไร้ประโยชน์


ระบบรักษาความปลอดภัยระดับนี้ฉายาเมเกอร์สามารถแฮ็กได้ในเวลาไม่กี่วินาทีด้วยซ้ำ อีกอย่างคือเบซิลไม่มีเหตุอะไรให้ต้องหนี ยังไงข้อตกลงของเขาคือผม


ตราบเท่าที่ผมอยู่นี่เขาก็ไม่หนีไปไหนหรอก


พูดเองก็รู้สึกแปลกเอง


“คิดถึงจังเลยใบไธม์”ประโยคทักทายแรกของวันยังคงเป็นประโยคเดิมๆเพิ่มเติมคือรอยยิ้มกว้างและแขนสองข้างที่กางออกหมายจะรวบตัวผมเข้าไปกอด แน่นอนว่าผมเบี่ยงตัวหลบในจังหวะประชิดจนอีกฝ่ายเสียหลักหัวเกือบไปโขกประตูเลยทีเดียว


“วันนี้มาเช้านะเบียร์”ผมทักทายเบียร์ที่นั่งอยู่บนโซฟาโดยบนโต๊ะใกล้ๆมีเกมหมากรุกเปิดกางไว้ เบียร์มีความสามรถด้านการมองภาพรวมและการวางแผน มีไม่น้อยที่ทางการจะเรียกตัวเขาไปช่วยวางแผนกลยุทธ์การต่อสู้ อย่างล่าสุดพึ่งไปเป็นที่ปรึกษาของกองกำลังพิเศษในจังหวัดชายแดนใต้


ด้วยความที่แผนการประสบความสำเร็จอย่างร้นหลามจึงได้มีใบประกาศส่งตรงมาให้เบียร์เมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะวางกองๆไว้บนโต๊ะไม่ได้ใส่ใจนัก


“อยากเล่นหมากรุกน่ะเลยมาเร็วหน่อย”เบียร์ตอบพลางทำหน้าครุ่นคิดกับกระดานตรงหน้า


หมากรุกเป็นเกมที่ต้องใช้สมองในการเล่นมาก ตัวหมากแต่ละตัวมีวิธีการเดินแตกต่างกันทำให้มีรูปแบบการเล่นซับซ้อนและเดาทางยาก เหมาะกับคนที่ต้องการฝึกด้านการวางแผนกลยุทธ์และวิเคราะห์สภาพโดยรวม


ตัวหมากก็เปรียบเหมือนคน


จะวางแผนหรือนำทัพยังไงให้ฝ่ายตัวเองได้รับชัยชนะ


ผมเคยเล่นกับเบียร์อยู่เหมือนกันแต่แพ้มากกว่าชนะอีก


“เล่นคนเดียว?”ผมถามกลับเมื่อเห็นเบียร์เดินตัวม้าสีขาวไปข้างหน้า


“เปล่า เล่นกับซิล ตานายแล้วนะ”เบียร์ตอบผมเสร็จก็หันไปเรียกเบซิลที่ลูบแก้มตัวเองไปมา แก้มปะทะเข้ากับประตูเต็มๆจนเกิดรอยแดงขึ้น


รู้สึกผิดอยู่หน่อยๆแฮะ


เดี๋ยวนะ บอกว่าเล่นกับเบซิล?


“ตัวควีนเดินทะแยงไปทางซ้ายแล้วก็รุกฆาต”ไม่ต้องเดินมามองกระดานอีกฝ่ายก็บอกตัวที่ใช้เดินหน้าตาเฉยแถมยังรุกฆาตอีก
ผมขมวดคิ้วมองกระดานหมากรุกตรงหน้า ตัวควีนสีดำเดินทแยงไปทางซ้ายตามตำพูดของเบซิล และเป็นอย่างที่เขาพูดตัวควีนสีดำรุกฆาตคิงสีขาว ต่อให้ขยับคิงหนีไปก็จะถูกตัวม้าสีขาวที่รอดักอยู่ใกล้ๆนั่นจับกิน


หมดทางหนี


“...ยอมแพ้”เบียร์ยกมือสองข้างขึ้นพร้อมถอนหายใจเสียงเบา


ขนาดเบียร์ยังแพ้?


“ต่อให้เหรอ”ผมถามเบียร์ออกไปตามตรง


“เอ้ยๆ พูดแบบนี้ดูถูกผมเหรอใบไธม์”เบซิลที่ได้ยินก้าวยาวๆมาหาผมด้วยใบหน้าเคืองๆ


“ไม่ได้ดูถูกแต่เกมหมากรุกน่ะเบียร์เก่งที่สุดในหน่วยเรา”ก่อนหน้านี้กิจกรรมประจำเดือนของหน่วยเราคือการแข่งขันหมากรุกโดยสมาชิกกในหน่วยทุกคนรวมทั้งหัวหน้าต้องจับฉลากแข่งขันกัน


ผู้ที่ได้รับชัยชนะเป็นคนสุดท้ายจะได้ของรางวัลพิเศษไป ซึ่งเบียร์กับหัวหน้าต่างผลัดกันแพ้ชนะอยู่ตลอด ถ้าให้นับจำนวนครั้งที่ชนะเบียร์จะมากกว่าหัวหน้าอยู่


สองคนนี้ฝีมือสูงมาก


ด้วยฝีมือที่โดดเด่นกันอยู่สองคนเลยยกเลิกการแข่งขันนี้ไปในที่สุด


เพราะแบบนั้นผมจึงไม่คิดว่าเบซิลจะสามารถชนะเบียร์ได้ง่ายๆ มันไม่เกี่ยวกับความฉลาดแต่เป็นไหวพริบและการวางแผน คนหัวดีหลายคนก็ไม่ได้จะช่วยให้เล่นหมากรุกเก่ง


“แต่ยังไงผมก็ชนะ”เบซิลพูด


“ไธม์...ผมไม่ได้ออมมือหรอกนะ เขาเก่งมากจริงๆ ตอนแรกยังแพ้อยู่เลยแต่พอเข้ากระดานที่4กลับเริ่มชนะติดต่อกันเรื่อยๆ น่าแปลกใจ”เบียร์อธิบายด้วยแววตาแพรวพราวคล้ายกำลังดีใจที่ได้เจอคู่ปรับผู้มีฝีมือทัดเทียบ


“ตอนแรกแพ้งั้นเหรอ”แต่พอชนะกลับชนะรวด


น่าแปลกใจจริงๆนั่นแหละ


“ก็ผมพึ่งเคยเล่นนี่ต้องขอเวลาศึกษาหน่อย”


“พึ่งเคยเล่น?”ผมแทบจะหลุดตะโกนออกไป คนพึ่งเคยเล่นไม่กี่ครั้งกลับสามารถเอาชนะเบียร์ที่เล่นมาไม่รู้กี่ปีเนี่ยนะ


ไม่ตลกสักนิด


“สงสัยผมคงต้องสละบัลลังค์แล้วละมั้ง แต่ไม่ยอมง่ายๆหรอกนะ มาเล่นกันอีกตา”เบียร์ชี้หน้าท้าเบซิลแข่งหมากรุกกันอีกรอบ


“ไม่เอา แค่เล่นฆ่าเวลารอใบไธม์เท่านั้น”เบียร์ถึงกับหน้าจ๋อยเมื่อได้ยินประโยคปฏิเสธตรงๆ


“งั้นมาเล่นกับผมไหม”ผมเสนอเบียร์ พอเห็นเล่นกันความรู้สึกอยากเล่นก็ผุดขึ้นมา


“เอาสิ มาเล่นกันไธม์”เบียร์พยักหน้ารัวๆด้วยความดีใจ


“ถ้าใบไธม์เล่นผมก็เล่นด้วย”


“เล่น3คนได้ที่ไหนล่ะ”ผมตอบกลับ


หมากรุกเป็นเกมที่เล่น2คน ถ้ามีคนเพิ่มจะแข่งได้ยังไง


“เอาแบบนี้ดีไหม เล่นคนละ2กระดานใครชนะมากสุดก็เป็นผู้ชนะไป”เบียร์เสนอ


“ก็ดี”ผมเห็นด้วย


สุดท้ายการแข่งหมากรุกก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้อย่างราบคาบของผมไม่ว่าจะแข่งกับเบียร์หรือเบซิล กับเบียร์ผมพอจะเดาผลออกอยู่แล้วเพราะผมไม่เล่นหมากรุกมานานมากแล้วแค่ตัวไหนเดินยังไงยังต้องใช้เวลานึกอยู่นานกว่าจะเดินได้


แต่กับเบซิลผมแข่งหลังจากเบียร์ ดังนั้นสภาพผมค่อนข้างพร้อมมากกว่าตอนแข่งกระดานแรกทว่าเดินไม่กี่ครั้งผมกลับถูกรุกฆาตอย่างรวดเร็ว ถูกหลอกล่อให้เดินไปตามที่อีกฝ่ายต้องการรู้ตัวอีกทีก็โดยรุกฆาตไปซะแล้ว


บอกตรงๆว่าผมไม่อยากเชื่อว่าเบซิลพึ่งเล่นวันนี้เป็นวันแรก


ฝีมือต่างกันเกินไป


“เบซิล”ผมเรียกคนที่พุบนอนอยู่ข้างโต๊ะ ช่วงเช้าผมนั่งทำงานพร้อมแจกจ่ายงานให้กับทุกคนและตัวเองจนกระทั่งนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงซึ่งเป็นเวลาพักแล้ว


ตลอดเวลาเบซิลนั่งพุบอยู่ข้างๆไม่รู้ว่าหลับจริงหรือแค่แกล้งกันแน่


“ฮืม”คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมามองเล็กน้อย


“เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ”


“...ใบไธม์เป็นห่วงผม”


“ผมไม่ได้พูดนะ”ผมส่ายหัวไปมาเพื่อย้ำ


แค่ถามไม่ได้แปลว่าเป็นห่วงสักหน่อย


“คนไม่ห่วงเขาไม่ถามกันหรอก”อีกฝ่ายบอกพร้อมคลี่ยิ้มออกมา


“...”ความเงียบถูกใช้แทนคำตอบเพราะผมไม่รู้จะตอบอะไรกลับไป


อาจเป็นอย่างที่เบซิลพูด...ถ้าไม่ห่วงคงไม่ถาม


“ดีใจจัง”


“เลิกยิ้มได้แล้ว”เล่นยิ้มกว้างเหมือนถูกหวยรางวัลที่หนึ่งแบบนั้นผมก็ไปต่อไม่ถูกสิ


“เขินเหรอ”


“ผมจะเขินทำไม”ไม่มีอะไรให้เขินสักนิด


“น่ารัก”


“เบซิล”ผมถึงกับหน้าตึงเมื่อได้ยินคำว่าน่ารักออกมาจากปากเบซิล


น่ารักบ้าอะไรกัน


“แล้วเรียกผมมีอะไร”อีกฝ่ายคงรู้ว่าไม่ควรแหย่ผมต่อจึงได้เปลี่ยนเรื่องคุยซึ่งก็นับว่าคิดถูก


“ไปข้างนอกกัน”


“ชวนผมเดท?”เบซิลด้วยน้ำเสียงกึ่งตกใจ


“ใช่มั้ง”ผมเผยรอยยิ้มมุมปากขึ้นระหว่างพูด ท่าทางของเบซิลดูตลกจนผมทนไม่ไหว ดวงตาสีเขียวมรกตเบิกกว้างด้วยความตึกตะลึง เช่นเดียวกับปากที่อ้าออกกว้างคล้ายกำลังอึ้งสุดๆ


นี่ผมดูตลกอยู่ใช่ไหม


“พูดจริงรึเปล่า”เบซิลถามย้ำ


“ไม่จริง”ผมตอบตามตรง


“...การทำคนใจสลายมันเป็นบาปนะรู้ไหม”น้ำเสียงอ่อนแรงนั่นเรียกรอยยิ้มผมได้อีกรอบในระยะเวลาไม่กี่วินาที


ปกติผมไม่ใช่คนชอบยิ้ม ถ้าจะยิ้มก็จะเป็นช่วงที่อยู่กับครอบครัวซะมากกว่า


“แล้วจะไปไหม”ผมถามพลางใช้มือข้างนึงดึงแก้มอีกฝ่ายยืดเล่น


“ไป...แล้วอย่าทำเหมือนผมเป็นเด็กสิ”


“เปลี่ยนไปลูบหัวดีกว่าใช่ไหม”


“ก็ดีกว่า...ไม่ใช่สิ ผมไม่ใช่สุนัข”เบซิลส่งสายตาเคืองๆมาให้


“คิก...”ผมถึงกับหลุดขำออกมาแล้วเปลี่ยนจากดึงแก้มเป็นลูบเส้นผมสีเทาเข้มสองสามครั้งก่อนลุกขึ้นเดินไปทางประตูโดยไม่หันไปดูว่าอีกฝ่ายตามมาไหม


ไม่ต้องหันไปดูผมก็รู้ว่ายังไงเขาต้องตามมาแน่


มอเตอร์ไซค์คันสีดำแล่นไปตามถนนใหญ่ใจกลางเมือง จุดหมายในครั้งนี้ไม่ใช่ร้านอาหารเหมือนอย่างทุกทีแต่เป็นร้านไอทีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้นๆของเมือง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค โทรศัพท์หรือชิ้นส่วนต่างๆล้วนมีครบทุกอย่างในร้านเดียว
วันนี้ผมพาเบซิลมาเลือกซื้อโน๊ตบุ๊คหรือคอมพิวเตอร์แล้วแต่เจ้าตัวต้องการ


ยังไงแฮ็กเกอร์ก็จำเป็นต้องมีติดตัวไว้สักเครื่อง กว่าผมจะทำเรื่องเบิกงบประมาณได้ก็ใช้เวลาไปนานใช่เล่น


“นี่ที่...”เบซิลหันไปมองรอบร้านยามก้าวเข้ามาด้านใน ผมสังเกตเห็นแววตาที่ทอประกายขึ้นได้ชัดเจนทีเดียว


ดูท่าจะถูกใจ


“ผมทำเรื่องเบิกงบมาได้สองหมื่น ลองดูว่าอยากได้เป็นโน๊ตบุ๊คหรือเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้าเกินงบนิดหน่อยก็ได้ไม่เป็นไร”ส่วนเกินผมพอจะออกให้ได้


คนที่ชำนาญด้านคอมพิวเตอร์ส่วนมากมักจะใช้เครื่องที่มีราคาสูงกว่าปกติ


“โน๊ตบุ๊คดีกว่า พกพาไปไหนได้สะดวกแถมยังยากในการติดตามค้นหา”เบซิลให้เหตุผล


“ถ้าโน๊ตบุ๊คก็ทางนั้น”ผมชี้ไปยังโซนโน๊ตบุ๊คข้างๆ พนักงานของร้านไม่ได้เดินเข้ามาให้บริการซึ่งถือเป็นหนึ่งในการบริการที่หลายคนติดใจ ลูกค้าหลายคนไม่ได้ต้องการคำแนะนำแต่ต้องการเดินดูด้วยตัวเอง ทางร้านจึงได้มีพนักงานประจำจุดสำหรับเวลาลูกค้าเกิดข้อสงสัยจะได้เรียกถามได้สะดวก


โน๊ตบุ๊คหลายสิบสิบยี่ห้อทั้งในประเทศและนำเข้าเรียงรายกันอย่างเป็นแถวยาวถึง5แถวอย่างระเบียบ ราคาเองก็เริ่มต้นที่หลักพันบาทไปถึงหลายหมื่นบาท


เบซิลเดินมองแต่ละเครื่องไล่ตั้งแต่แถวแรกจนหมดแถวสุดท้ายก่อนจะเดินกลับมาตรงหน้าผม


“สนใจอันไหน”


“ไม่ล่ะ”


“ไม่ถูกใจเลย?”นี่เป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในระแวกนี้แล้วนะ


“ประมาณนั้น บอกว่ามีงบสามหมื่นใช่ไหม”เบซิลถามกลับ


“ใช่”


“งั้นผมขอซื้อไปประกอบเอง”


“...ก็ได้”ผมพยักหน้าอีกฝ่ายจึงเดินไปเลือกชิ้นส่วนต่างๆในโซนด้านใน


เบซิลนี่ยังมีหลายอย่างที่ผมไม่รู้อีกเยอะเลย


รู้ว่าเขาเก่งด้านการแฮ็กข้อมูลและพูดล่อหลอก


แต่ไม่รู้ว่าจะเล่นหมากรุกเก่งหรือสามารถประกอบโน๊ตบุ๊คเองได้


ยิ่งรู้จักยิ่งรู้สึกว่าไม่ธรรมดาจริงๆ


จะให้บอกอีกกี่ทีก็ได้ว่าฝีมือและทักษะระดับนี้ไม่ควรจบอยู่ในคุก


การให้เขาออกมาเป็นสิ่งที่ถูกแล้ว


ชิ้นส่วนต่างๆของโน๊ตบุ๊คถูกเลือกใส่ตระกร้าจนเต็ม เห็นแรกผมนึกว่างบสามหมื่นคงไม่พอแต่ที่ไหนได้กลับอยู่ในราคาประมาณสองหมื่นเก้าหน่อยๆ  ดูท่าว่าเบซิลคงคำนวณราคาระหว่างหยิบไปด้วย



หลายวันต่อมาผมยังคงนั่งอ่านเอกสารของคดีต่างๆที่ถูกส่งมาให้ไม่เว้นแต่ละวัน ตั้งแต่ซื้อของชิ้นส่วนโน๊ตบุ๊คให้เบซิลก็เริ่มประกอบทุกอย่างเข้าด้วยกัน เพียงคืนเดียวโน๊ตบุ๊คสีเงินก็เสร็จสมบูรณ์ และไม่รู้ว่าไปลงวินโด้หรือโปรแกรมจากทางไหนถึงได้พร้อมใช้งานรวดเร็วขนาดนี้


“ปวชานนท์ วิภาพศิลป์”ผมเอ่ยชื่อบุกคคนในเอกสารคดีตรงหน้า


“อายุ48ปี เกิดที่กาญจนบุรี ทำธุรกิจค้าขายผลไม้จนกระทั่งเมื่อ4ปีก่อนได้เริ่มเปิดฟาร์มผลไม้ของตัวเองขึ้น ที่น่าสงสัยคือมีภาพจากดาวเทียมถ่ายเห็นพ่อค้ายาชื่อดังขับรถเข้าไปในฟาร์มพอดี มีความเป็นไปได้สูงว่าจะมีเอี่ยวในคดียาเสพติด”เบซิลพิมพ์หาข้อมูลพร้อมอธิบายเป็นฉากๆ


“ดูภาพจากดาวเทียมได้ด้วย”มันชักจะน่าตกใจเกินไปแล้วมั้ง


“ไม่อยากนี่ ต่อให้ทำป็นภาพดำแต่ก็แก้ให้มองเห็นได้ไม่ยากแต่นี่แค่เข้าไปดูภาพตรงๆเอง”เบซิลพูดด้วยสีหน้าสบายๆราวกับกำลังทำเรื่องง่าที่ใครๆก็ทำได้


ผมคนนึงแหละที่ทำไม่ได้


ต่อให้ดูภาพจากดาวเทียมได้แต่เราจะรู้ได้ยังไงว่าต้องไปดูเวลาไหนถึงจะเห็นภาพที่เกี่ยวข้อง


ถ้าไม่ใช่ระดับเมเกอร์คงทำไม่ได้


“เก่งจริงๆนะ”


“ผมดีใจที่คุณชม”รอยยิ้มกว้างจากคนข้างๆทำให้ความรู้สึกแปลกๆปรากฏขึ้นจนต้องรีบเบือนหน้าหนีไปอีกทาง


“คดีนี้คงต้องให้เบียร์กับซันจัดการ”ผมพึมพำพลางเขียนชื่อทั้งสองคนลงไป


ช่วงนี้ผมได้เบซิลช่วยหาข้อมูลของคดีให้จึงทุนเวลาไปได้เยอะ ก่อนหน้านี้ผมมักจะถามจิวแต่จิวจะรู้ข้อมูลแบบปกติอย่างชื่อที่อยู่ อาชีพ โรงเรียนที่จบหรือพวกญาติพี่น้องแม้กระทั่งพวกข่าวลือต่างๆไม่ได้รู้เจาะลึกอย่างข้อมูลของเบซิล อีกอย่างช่วงนี้จิวกับแม็กออกไปทำคดีสำคัญด้วยกันอยู่กว่าจะกลับคงอาทิตย์หน้าได้


หลายคดีผ่านไปผมยังคงให้เบซิลคอยช่วยเช็คหรือหาข้อมูล นอกจากจะมีเป็นคดีมากแล้วยังมีเอกสารขอความร่วมมือด้วย

สำหรับเอกสารขอความร่วมมือก็ตรงตามชื่อเป็นเอกสารที่ทางการไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหารหรือองค์กรอื่นๆของรัฐเขียนส่งมาเพื่อขอความร่วมมืออย่างเอกสารในมือผมตอนนี้พูดถึงการแลกเปลี่ยนความรู้กับทางแทบยุโรปในเรื่องระเบิด และต้องการให้จูนเข้าร่วมกับคนของทางการอีก5คนไปยังฝรั่งเศสด้วยในอาทิตย์หน้า


“จูนติดงานกู้ระเบิดอยู่นี่นา”ผมพึมพำเสียงเบา แต่งานนี้ก็เริ่มอาทิตย์หน้าคงมาทันอยู่แล้ว


งั้นตอบตกลงละกัน


ความจริงหน้าที่แจกจ่ายงานเป็นของหัวหน้าไพลสันต์ทว่าพอผมขึ้นมาเป็นรอหัวหน้าได้ไม่กี่เดือนหน้าที่นี้ก็กลายเป็นของผมอย่างรวดเร็ว


เอกสารมากมายถูกแบ่งให้แต่ละคนตามความถนัดโดยผมจะให้พวกเขาทำเป็นคู่เผื่อในกรณีฉุกเฉินจะได้จัดการสถานการณ์เหล่านั้นได้ ต่างกับผมที่มักจะออกไปทำคดีคนเดียวเพราะความสะดวกในหลายๆเรื่องแต่ใช่ว่าจะไม่เคยออกไปทำงานร่วมกับใคร


ยิ่งตอนนี้ได้ออกไปทำคดีร่วมกับเบซิลอยู่บ่อยๆ


หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมงในที่สุดก็มาถึงเอกสารฉบับสุดท้าย ทั้งที่น่าจะใช้เวลาไม่นานในการอ่านเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ทว่ารายละเอียดของเนื้อหากลับทำให้ผมต้องอ่านทบทวนซ้ำอยู่หลายรอบพร้อมคิ้วสองข้างเริ่มขมวดเข้าหากันมากขึ้นเรื่อยๆ


ปรีชาชาติ ตันติศิรินทร์พ่อค้าอัญมณีอันดับต้นๆของประเทศมีเหมืองและโรงงานเจียระไนเป็นของตัวเองซึ่งสินค้านี้ได้รับความนิยมทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นอย่างมากทำให้มีรายได้ไม่รู้กี่พันล้านต่อปี นอกจากบ้านแล้วยังมีคฤหาสน์หลังใหญ่อยู่หลายหลัง


“หมอนี่...ดูท่าจะเจอเรื่องอันตรายแล้ว”เบซิลที่เห็นผมนิ่งจึงขยับเข้ามาใกล้พร้อมไล่อ่านข้อมูลในเอกสารแบบผ่านๆ ชื่อปรีชาชาติ ตันติศิรินทร์ถูกค้าหาอย่างรวดเร็ว และพอข้อมูลปรากฏขึ้นใบหน้ากวนๆก็เปลี่ยนเป็นจริงจังทันที


แน่นอนว่าถ้าทำธุรกิจธรรมดาคงไม่มาถึงหน่วยสืบสวนคดีพิเศษ เบื้องหน้าอาจเป็นการค้าขายอัญมณีแต่ความจริงเป็นตัวเบ้งในการขายอาวุธผิดกฎหมาย


“นั่นสิ”อันตรายใช่เล่น


ปรีชาชาติ ตันติศิรินทร์สร้างภาพได้อย่างดีเยี่ยมจนต้องปรบมือให้ ภายนอกไม่มีใครเชื่อหรอกว่ามาดนักธุรกิจนั่นจะซ่อนความร้ายกาจไว้ภายใน ทางการที่เข้าไปสืบหาหลักฐานอย่างลับๆขาดการติดต่อไปกะทันหัน ไม่ต้องสืบก็รู้ว่าถูกจัดการไปแล้ว


การแฝงตัวเข้าไปสืบคงไม่ง่ายเผลอเผยพิรุจเพียงเสี้ยววินาทีก็ถือเป็นจุดจบของชีวิตเลย


และเพราะทางการทำไม่สำเร็จจึงได้ส่งคดีนี้มาให้หน่วยสืบสวนพิเศษทำ


ขอบคุณจริงๆ


ผมแอบประชดในใจ


สิ่งที่ต้องการคือข้อมูลผิดการค้าอาวุธผิดกฎหมาย


“พอจะดึงข้อมูลพวกนั้นออกมาได้ไหม”ผมหันไปถามเบซิล ต่อให้ไม่อธิบายอะไรเบซิลคงเข้าใจอยู่แล้วว่าผมต้องการให้ทำอะไร
ในเมื่อทางเรามีแฮ็กเกอร์อัจริยะฉายาเมเกอร์อยู่ก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตเข้าไปเจออันตรายแค่ดึงข้อมูลพวกนั้นออกมาเป็นอันเสร็จสิ้น


“...ลองทำอยู่ตั้งแต่เมื่อครู่แล้วแต่ไม่ได้ เข้าไปดึงข้อมูลพวกนั้นไม่ได้”เบซิลขมวดคิ้วแน่นระหว่างมือทั้งสองข้างยังคงคีย์บางอย่างลงไปในหน้าจอ


“เข้าไปไม่ได้? หมายถึงมีการป้องกันแน่นหนารึเปล่า”


“ไม่ใช่ ต่อให้มีการป้องกันสัก10ชั้นผมก็มั่นใจว่าสามารถเจาะเข้าไปได้ ที่บอกว่าเข้าไม่ได้คือคอมพิวเตอร์ที่ใส่ข้อมูลนั่นไม่ได้เชื่อมอินเตอร์เน็ต ระบบของเครื่องถูกปิดการเชื่อมต่อจากภายนอกเพราะแบบนั้นถึงเข้าไปดูไม่ได้”เบซิลอธิบายต่อ


“...แปลว่าคงไม่มีทางเลือกนอกจากเข้าไปเอาข้อมูลนั่นโดยตรงสินะ”ถ้าฝีมือระดับเมเกอร์ยังบอกว่าไม่ได้คงไม่มีใครทำได้แล้วล่ะ


“อืม...จะให้ใครไปล่ะ”เบซิลถามต่อ


“ผมจะไปเอง”ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ถ้าคิดถึงความเป็นไปผมคงมีโอกาสในการทำสำเร็จมากกว่าใครในหน่วย พลังของผมมีไว้ใช้ในสถานการณ์พวกนี้


หากกลายเป็นสัตว์ต่อให้เป็นการป้องกันที่แน่นหนายังไงก็ต้องมีช่องว่างให้สัตว์ตัวเล็กๆเข้าไปบ้างแหละน่า


“ห้ามไปนะ มันอันตรายเกินไป”เบซิลค้านสุดเสียง


“ถ้าให้คนอื่นไปจะอันตรายกว่านี้อีก”ผมไม่คิดจะเสี่ยงให้คนอื่นทำในเมื่อความสามารถผมเหมาะสมที่สุด


“แล้วถ้าพวกนั้นเห็นคุณขึ้นมาล่ะ แค่จำนวนคนเฝ้าก็ปาไป20คนแล้วนะ”เบซิลไม่พูดเปล่าหับหน้าจอโน๊ตบุ๊คที่มีภาพระบบรักษาความปลอดภัยของคฤหาสน์เป้าหมายมาให้ดูตรงหน้า


ภาพนี่เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดซึ่งอยู่ใกล้ๆ เบซิลคงแฮ็กเพื่อจะได้มองสถานการณ์อย่างเป็นปัจจุบันมากที่สุด ด้านหน้ารั้วมีชายเสื้อดำรูปร่างกำยำยืนเว้นระยะห่างกันทุก5เมตรรอบกำแพงคฤหาสน์ ดูยังไงก็ไม่มีทางรอบเข้าไปด้านในได้


นี่ยังเป็นแค่ด้านนอกสุดไม่รู้ว่าข้างในต้องเจออะไรอีก


“ไม่เป็นไร ผมจัดการได้”ถ้าเป็นผมจำนวนไม่ใช่ปัญหา


“มั่นใจในฝีมือตัวเองมากไปรึเปล่า ต่อให้เก่งขนาดไหนแต่การต่อสู้กับคนจำนวนขนาดนี้ดูยังไงก็แทบไม่มีโอกาสชนะได้เลย”คำบ่นมากมายถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงร้อนรนปนกังวลใจ


“เป็นห่วงผมเหรอ”ครั้งนี้ผมย้อนถามสิ่งที่อีกฝ่ายมักพูด


“ก็ใช่น่ะสิ เป็นห่วงมากๆด้วย”


“ผมจัดการได้”ไม่ใช่การโอ้อวดแต่ผมรู้ว่าสามารถจัดการได้จริงตามที่พูดไป


“ได้ ถ้ายืนยันที่จะไปผมก็จะไปด้วย”เบซิลพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาสีเขียวมรกตหันมาประสานคล้ายจะไม่ยอมให้ผมปฏิเสธ


“คุณจะไปทำไม”ทักษะการต่อสู้ก็ทำไม่ได้ดี การเคลื่อนไหวนี่ผมให้คะแนนติดลบลย


ขืนเข้าไปทั้งแบบนี้ได้โดนถีบกระเด็นภายในนาทีเดียวแน่


“ต่อให้คุณสามารถผ่านระบบรักษาความปลอดภัยพวกนั้นไปได้แต่ถ้าข้อมูลที่ต้องการถูกใส่รหัสผ่านหรือโปรแกรมป้องกันไว้ล่ะ”


“...”ผมถึงกับเงียบเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย


เป็นอย่าที่เบบซิลพูด ต่อให้คอมพิวเตอร์ไม่ได้เชื่อมอินเตอร์เน็ตแต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการป้องกันนี่


ถ้ามีการป้องกันด้วยรหัสผ่านผมคงจัดการไม่ไหว และถ้าจะให้เอาออกมาทั้งคอมเลยยิ่งเป็นไปไม่ได้


“ถ้าผมไปด้วยไม่ว่าจะเป็นรหัสหรือโปรแกรมป้องกันอะไรผมก็มั่นใจว่าสามารถจัดการเคลียร์ได้”น้ำเสียงมั่นใจนั่นทำให้ผมเริ่มคิดหนัก


เรื่องการแฮ็กไม่มีใครเก่งไปกว่าเบซิลอีกแล้ว แต่หากให้เบซิลไปจัดการด้วยผมก็ไม่สามารถกลายร่างเป็นสัตว์เพื่อหลบหนีการป้องกันได้ ระบบรักษาความปลอดภัยขนาดนั้นคงแทบไม่มีช่องว่างให้มนุษย์สองคนลอบเข้าไป


“...มันต้องเสี่ยงนะ”พวกเราจะเสี่ยงด้วยกันทั้งคู่


“ผมพร้อมจะเสี่ยงกับใบไธม์”


“เข้าใจแล้ว...เรามาเสี่ยงไปพร้อมกันเถอะ”ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากไปกว่านี้ ท่าทางบองเบซิลไม่มีความกลัวหรือแม้แต่ลังเล
เขาพร้อมกับไปกับผมต่อให้รู้ว่าตรงหน้าจะเต็มไปด้วยอันตรายก็ตาม


พวกเราไม่มีเวลาเตรียมตัวหรือวางแผนกันมากนักเนื่องจากข้อมูลที่เบซิลหามาได้นั้นบอกว่าปรีชาชาติ ตันติศิรินทร์จะไม่อยู่คฤหาสน์ในวันนี้ และเป็นงานใหญ่ทำให้มีคนกลุ่มนึงต้องคอยตามอาลักขามากกว่าเวลาปกติ เพราะแบบนั้นระยะห่างของแต่ละคนเลยเพิ่มขึ้นแถมเบซิลยังเจอมุมอับที่เราสามารถแอบลอบเข้าไปได้ด้วย


กุญแจสำคัญไม่ใช่คนแต่เป็นเวลา


ไม่ใช่จะรู้ได้ง่ายๆว่าช่วงเวลาไหนที่เหมาะแก่การลอบเข้าไป



(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


ท้องฟ้าในยามดึกถูกย้อมเป็นสีดำสนิทแม้แต่แสงจากดวงจันทร์ยังมีให้เห็นเพียงริบหรี่ช่วยให้กลุ่มคนเฝ้าหน้ารั้วคฤหาสน์ไม่ทันสังเกตถึงการมาเยือนของแขกแปลกหน้าทั้งสองคน บริเวณที่พวกเราเลือกจะลอบเข้าไปคือรั้วด้านข้างสวนซึ่งเป็นหัวมุมของคฤหาสน์สามารถแอบปืนเข้าไปได้ และสำคัญคือมีเสาร์ไฟฟ้าคั่นอยู่ระหว่างคนสองคน


อาจเพราะความมืดทำให้การมาเยือนของผมไม่แตะตาใคร หนึ่งในคนคุ้มกับถูกล๊อคคอแรงๆจนสลบคาทีก่อนผมจะลากร่างนั้นไปพิงกับเสาไฟแล้วกวักมือเรียกเบซิลให้ตามมา


ด้านในรั้วคือสวนรกค่อนข้างทึบขนาดไม่ใหญ่มากทว่าเมื่อก้าวไปได้ไม่กี่ก้าวเสียงบางอย่างก็พานให้ขาที่กำลังก้าวหยุดชะงัก


กรรร


ผมหันซ้ายขวาเพื่อมองหาที่มาของเสียงโดยมีเบซิลตามหลังมาติดๆ มองหาไม่นานร่างสีดำเงาของสัตว์สี่เท้าก็ก้าวเข้ามาใกล้แถมไม่ใช่แค่ตัวหรือสองตัว


5ตัว


ตรงหน้าผมมีสุนัขล่าเนื้ออยู่5ตัว


“ใบไธม์”เบซิลกระซิบเรียกพลางดึงผมให้เตรียมหลบทว่าผมกลับขืนแล้วเดินตรงเข้าไปหาสุนัขทั้ง5ตัว ดวงตาสีน้ำตาลของผมและพวกมันประสานกันนิ่งๆ เชื่อไหมว่าพวกมันเริ่มก้าวถอยหลังไป


พลังของผมคือสามารถกลายร่างเป็นสัตว์ได้ ความพิเศษนี้ทำให้สัตว์ไม่ว่าจะเป็นอะไรจะรับรู้ถึงตัวตนผมได้มากกว่ามนุษย์ปกติ สัตว์มักจะสัมผัสถึงจิตใจของมนุษย์ได้ด้วยสัญชาตญาณ เช่นเดียวกับสุนัขตรงหน้านี้ที่สัมผัสได้ว่าผมไม่ใช่มนุษย์ปกติจึงไม่กล้าพุ่งเข้าใส่


“เบซิล ตามผมมา”ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงเบาพร้อมกวักมือ


และแล้วพวกเราก็สามารถผ่านมาได้อีกด่านโดยไม่ต้องออกแรงอะไรมากมายนัก ทางเข้าตัวคฤหาสน์มีหลายทางซึ่งทางเข้าที่ผมเลือกคือหน้าต่างบานหนึ่งซึ่งอยู่ไกลจากประตูหลังพอสมควร บริเวณประตูจะมีคนเฝ้าอยู่มากจึงต้องหลีกเลี่ยงไว้เป็นดีที่สุดเพื่อความปลอดภัย


“เบซิล”ผมเรียกคนด้านหลังอีกครั้ง


“รู้แล้ว”เบซิลพยักหน้าแล้วก้าวมานำหน้าผม ในห้องนี้เป็นห้องครัวขนาดกลางเปิดโล่งให้ความรู้สึกสบายตา


เบซิลเดินมองซ้ายขวารอบห้องก่อนจะหยุดอยู่หน้าเครื่องเล็กๆคล้ายโทรศัพท์บริเวณเคาทน์เตอร์ทำอาหาร สายที่เสียบถูกดึงออกพร้อมเสียบเชื่อมกับตัวโน๊ตบุ๊คที่เบซิลพกมาด้วย เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดดังติดกันสักพักใหญ่และหยุดลง


“ทางไหน”ผมถามต่อทันที สิ่งที่เบซิลทำคือการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ในคฤหาสน์เพื่อหาจุดที่อยู่ของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราต้องการ ต่อให้เครื่องไม่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตไม่ได้หมายความว่าจะหาไม่เจอ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดถูดเชื่อมกันไว้ยกเว้นแต้เครื่องซึ่งเป็นเป้าหมาย


หากรู้จุดของอุปกรณ์อื่นๆการจะคำนวณหาก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร


“อยู่ไม่ไกล ออกจากห้องนี้แล้วตรงไปตามทาง พอเจอแยกสองให้เลี้ยวซ้ายห้องอยู่ทางขวามือ”เบซิลอธิบายระหว่างดึงเสียบสายกลับไปคืนที่เดิม


ผมเดินนำหน้าเบซิลเพื่อดูต้นทางในกรณีมีใครเดินตรวจตราซึ่งก็มีตามที่คาดไว้แต่พวกเราสามารถหลงเลี่ยงมาได้โดยไม่เกิดการปะทะจนมาถึงห้องซึ่งเป็นเป้าหมายบริเวณใจกลางของคฤหาสน์


ถือเป็นจุดที่เหมาะที่สุดสำหรับการซ่อนอะไรบางอย่าง คงมีแทบนับคนได้ที่จะฝ่ายระบบรักษาความปลอดภัยพวกนั้นมาได้โดยไม่ถูกจับได้ซะก่อน


ภายในห้องมืดสนิทจากการปิดไฟ แม้จะไม่มีไฟทว่าแสงจากภายนอกทำให้สามารถมองเห็นห้องกว้างอันเต็มไปด้วยกล่องลังไม้และคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องตั้งอยู่ชิดผนัง เบซิลเดินตรงไปยังคอมพิวเตอร์นั้นแล้วเริ่มทำการเปิดหาและขโมยข้อมูล


ตัวผมยืนพิงประตูไว้เผื่อมีใครคิดจะเข้ามา


กึก


ยังไม่ทันไรเสียงฝีเท้าพร้อมแรงดึงบริเวณลูกบิดก็ทำเอาผมและเบซิลสะดุ้งพลางหันไปมองทางประตู เป็นอย่างที่ผมคิด...ไม่มีทางที่ห้องสำคัญขนาดนี้จะไม่มีคนคอยเฝ้าหรือคุ้มกัน


คนด้านนอกเริ่มออกแรงดันประตูมากขึ้นเมื่อไม่สามารถเปิดประตูได้ตามปกติเนื่องจากมีผมขืนเอาไว้


“ไม่ต้องมา”ผมพึมพำกลับไปให้เบซิลที่กำลังลุกกลับไปจัดการหน้าที่ตัวเอง


“แต่คนเดียวจะต้านไม่ไหว”เบซิลตอบกลับเสียงเบา


“ผมจะล่อพวกมันเอง รีบจัดการเอาข้อมูลมา”


“ล่อ? มันอันตรายไป”


“ผมไม่เป็นไร เสร็จแล้วไปเจอกันตรงสวนที่พวกเราลอบเข้ามา ถ้าเกิน10นาทีแล้วยังไม่เจอผมก็กลับไปซะ”ผมรีบพูดต่อ


“ใครจะกลับกัน ถ้าไม่เจอผมจะกลับเข้ามาในคฤหาสน์อีกรอบ”


“รีบเอาข้อมูลกลับไป”


“งั้นก็มาเจอกันผมจะได้ไม่ต้องกลับเข้ามาตาม”เบซิลตัดบนแล้วหันหน้ากลับไปจัดการกับรหัสผ่านตรงหน้าจอต่อ


“...เข้าใจแล้ว”


กึก


แรงปะทะจากด้านนอกเริ่มมากขึ้นผมจึงเลิกขืนแรงแล้วปล่อยให้คนด้านนอกกระแทกประตูเข้ามาจนหน้าทิ่ม ชายสองคนในชุดบอดี้การ์ดถูกผมจัดการให้สลบแล้ววางร่างที่สลบนั่นไว้ข้างประตูก่อนจะออกไปด้านนอกปล่อยให้เบซิลจัดการเรื่องข้อมูลตามลำพัง


กว่าจะเจาะเข้าไปได้คงใช้เวลาพอสมควร มีความเป็นไปได้ที่จะมีคนมาอีก


ถ้าเป็นแบบนั้นเบซิลคงอันตรายผมเลยตัดสินใจที่จะเป็นตัวล่อ สร้างความกลหนให้เกิดขึ้นและทุกคนจะพุ่งความสนใจมายังผม ทำแบบนั้นจะถ่วงเวลาได้มาก


เมื่อคิดได้แบบนั้นผมไม่รอช้าวิ่งเข้าใส่ชายคนแรกที่เจอ หมัดหนักๆปล่อยโดยใบหน้าอย่างตั้งใจส่งผลให้พวกที่อยู่ด้านหลังรีบติดต่อกับคนอื่นๆว่ามีคนบุกรุกเข้ามาบริเวณนี้


ผมยกยิ้มเล็กน้อยก่อนหันหลังวิ่งหนีไปทางใต้ของคฤหาสน์ซึ่งเป็นคนละทิศกับที่เบซิลอยู่ ภายในคฤหาสน์มีทางเลี้ยวหรือสี่แยกอยู่นับไม่ถ้วน หากวิ่งมั่วๆได้วนกลับมาที่เดิมเป็นแน่


หน้าต่างด้านหน้าแตกละเอียดจากแรงกระแทกจากทั้งร่างของผม นอกตัวคฤหาสน์เองก็เต็มไปด้วยกลุ่มชายวิ่งตามมากันให้ควัก ความเร็วที่ชะลอไว้เร่งขึ้นมาจนสุดยามต้องการสลัดคนด้านหลังทิ้ง แต่รู้ดีว่าหากวิ่งไปเรื่อยๆต้องเจอเข้ากับอีกกลุ่มที่วิ่งมาดักจากอีกทาง


เพราะแบบนั้นผมเลยเลือกที่จะเปิดหน้าต่างห้องหนึ่งออกแล้วเข้าไปหลบชั่วคราว


ก่อกวนประมาณนี้คงมีเวลามากพอให้เบซิลจัดการกับข้อมูลได้สำเร็จ คนจากในคฤหาสน์ออกมารวมตัวกับด้านนอกก่อนจะกระจายกันค้นหาตามสวนและบริเวณโดยรอบคฤหาสน์


การกระทำของพวกนั้นอยู่ในสายตาผมที่แอบมองผ่านหน้าต่างอยู่ทั้งหมด


เมี๊ยว


กึก


ทั้งร่างผมถึงกับชงักเมื่อได้ยินเสียงร้องที่นับว่าคุ้นเคยอยู่ไม่น้อย พอหันกลับไปมองแมว ไม่สิ กองทัพแมวกว่า20ตัวก็เดินมาคลอเคลียตามขาและเท้า บางตัวถึงกับกระโดดขึ้นมาเกาะตาตัว


อาจเพราะความสามารถพิเศษที่มีทำให้สัตว์ส่วนมากรู้สึกคุ้นเคยกับผมได้ง่าย แต่มันก็ถือเป็นข้อเสียเช่นกัน แมวสีส้มลายเสือตัวนึงกระโดดจากโต๊ะข้างๆมายังใบหน้าผมเต็มๆ แม้จะรีบจับแล้ววางแต่ก็ยังไม่ทันเวลา 5 วินาทีซึ่งถือเป็นข้อจำกัดของการกลายร่าง


“ซวยแล้ว...”


ยังไม่ทันเอ่ยจบประโยคร่างเนื้อของมนุษย์ก็เริ่มหดเล็กลง ขนสีส้มลายเสือขึ้นมาปกคลุมร่างกายขนาดเล็กแทบทุกส่วน สัมผัสของส่วนหางกำลังส่ายไปมาเล็กน้อย ดวงตาสีทองของผมในร่างแมวมองไปรอบห้องหลังจากมุดออกมาจากเสื้อผ้าตัวเองที่ไม่ได้หดตามมาด้วย


ข้อเสียอีกอย่างคือเวลากลายร่างเสื้อผ้ามักจะหลุดเรี่ยราด


“เมี๊ยว”ผมพยายามออกเสียง แน่นอนว่าในร่างนี้ไม่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้


เมี๊ยว


กลุ่มแมวกว่า20ตัววิ่งกรูกันเข้ามาทำความรู้จักคล้ายผมเป็นดาราในหมูแมวเหมี๊ยว ตอนนี้ผมไม่มีเวลามาสบายใจอีกต่อไป เมื่อมาอยู่ในร่างนี้ก็ควรหาทางใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด


ผมในร่างแมวใช้ปากเล็กๆคาบเสื้อผ้ากระโดดขึ้นไปยังโต๊ะต่อไปยังขอบหน้าต่างแล้วใช้ส่วนลำตัวดันอ้าจนหน้าต่างเปิดแง้มออก เสื้อสีดำถูกทิ้งลงไปทางหน้าต่างตามมาด้วยกางเกงในรอบต่อมา


ไม่รู้ทำไมด้านนอกที่ควรจะมีกลุ่มบอดี้การ์ดอยู่กลับหายเงียบจนไม่เหลือแม้แต่เงาแบบนี้


เหมือนมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น


เสื้อและกางเกงถูกลากไปตามพื้นจนถึงบริเวณสวนที่นัดกับเบซิลไว้ แน่นอนผมซ่อนเสื้อผ้าไว้ในพุ่มไม้ไม่ให้ใครเห็นได้ เมื่อซ่อนเสื้อผ้าเรียบร้อนผมใช้ร่างแมวนี้ในการหาข้อมูลว่าเกิดอะไรขึ้น


วิ่งเรียบคฤหาสน์มาจนถึงด้านหน้าก็พบเข้ากับปรีชาชาติ ตันติศิรินทร์กำลังลงจากรถมาโดยมีบอดี้การ์ดล้อมรอบทำการต้อนรับ
“วันนี้กลับมาเร็วนะครับ”ชายคนที่ยิงคำถามได้ตรงใจผมคนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนสนิท จากข้อมูลวันนี้ปรีชาชาติ ตันติศิรินทร์น่าจะไปค้างคืนยังต่างจังหวัดไม่ใช่กลับมาในช่วงใกล้รุ่งสางแบบนี้


“มีลูกค้าเพิ่มฉันเลยต้องรีบมาอัพเดทข้อมูลสักหน่อย”ปรีชาชาติเอ่ยตอบลูกน้อง


แย่แล้ว


แบบนี้เขาต้องไปเจอกับเบซิลแน่


ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เบซิลจัดการเสร็จรึยัง คงทำได้แค่ภวนาให้เสร็จแล้ว


บอกตรงๆว่าผมไม่ชอบการพึ่งสิ่งเหล่านั้นโดยไม่พยายามให้เต็มที่ซะก่อน


“เมี๊ยว”ผมร้องเสียงแมวระหว่างวิ่งตรงเข้าไปยังปรีชาชาติ ส่วนลำตัวสีส้มลายเสือคลอเคลียบริเวณขากางเกงเพื่อดึงความสนใจ


“ฮืม...อ้าว มาทำอะไรตรงนี้ล่ะกูลลิโกะ”เจ้าของคฤหสน์หลังยักษ์ก้มลงมาอุ้มผมขึ้นไปไว้ในอ้อมกอด


กูลลิโกะ?


ชื่อแมวตัวนี้?


“มะ...เมี๊ยว”ผมพยายามอย่างมากที่จะส่งเสียงออดอ้อนให้ดูน่าเอ็นดู


“บอส ผมมีเรื่องด่วนต้องรายงาน”ชายคนเดิมเอ่ยเสียงเครียด


“ว่ามา”


“มีใครบางคนบุกรุกเข้ามาครับ”


“ว่าไงนะ จับมันได้รึยัง”ปรีชาชาติที่ได้ยินถึงกับทำหน้าตึงผมจึงอาศัยโอกาสกระโดดลงไปบนพื้นตามเดิม


หวังว่าถ่วงเวลาให้ประมาณนี้คงจะพอนะเบซิล


ผมค่อนข้างเชื่อว่าเบซิลจะจัดการเสร็จแล้ว


จากการทำงานร่วมกันไม่มีครั้งไหนที่เบซิลให้เวลาในการจัดการนาน แม้จะเป็นระบบที่ไม่มีการเชื่อมต่ออินเตอร์ผมคิดว่าไม่น่าจะมีผลอะไรต่อความสามารถระดับนั้น


ถึงแบบนั้นจะไม่ให้ห่วงหรือกังวลเลยคงไม่ได้


ทักษะหรือฝีมือในการต่อสู้ก็ไม่มี


หรือถึงเวลาแล้วละมั้งที่ผมจะสอนการต่อสู้ให้เบซิล


ทำงานอยู่หน่วยสืบสวนพิเศษแต่ต่อสู้ไม่ได้มันดูไม่ดี


ผมคิดหลายสิ่งหลายอย่างระหว่างเดินกลับไปยังพุ่มไม้เดิมซึ่งมีเสื้อผ้าผมซ่อนอยู่ ข้อกำจัดของผมคือเวลา...5วินาทีที่สัมผัสทำให้กลายร่างเป็นสัตว์ชนิดนั้นๆทว่าหากจะกลับร่างมนุษย์ต้องรอให้เวลาผ่านไปสักพักก่อนจึงจะสามารถกลับได้


อย่างน้อยๆต้องอยู่ในร่างสัตว์ประมาณ15นาทีแล้วค่อยเริ่มรวบรวมสมาธิ การฝึกสมาธิช่วยให้ผมสามารถควบคุมตัวเองได้ง่ายขึ้น เมื่อรับรู้ถึงตัวเองการจะกลับร่างเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก


ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็มีไม่น้อยเลยที่ต้องรอจนกว่างจะกลับร่างเอง


ร่างสัตว์สี่ขาส้นปุยสีส้มลายเสือค่อยๆแปรเปลี่ยนไปทีละน้อย เนื้อหนังสีเนื้อของมนุษย์เข้ามาแทนที่เช่นเดียวกับร่างการเริ่มขยายจนกลับมาสู่ขนาดของมนุษย์ปกติ สิ่งเดียวที่ไม่ปกติคือร่างกายอันเปลือยเปล่าปราศจากสิ่งบดบังนี่ต่างหาก


“ต้องรีบใส่เสื้อ...”ผมพึมพำพลางหยิบเสื้อตัวเดิมมาใส่ทว่าเสียงฝีเท้าจากด้านหลังทำให้ผมรับหันควับกลับไปมองก่อนดวงตาสีน้ำตาลผมจะเบิกกว้างด้วยความตกใจ


ตรงหน้าผมไม่ใช่ปรีชาชาติ ตันติศิรินทร์หรือเหล่าลูกสมุนที่กำลังตามหาผู้บุกรุกแต่เป็นเบซิลที่เดินออกมาจากด้านหลังต้นไม้ ดวงตาสีเขียวมรกตจับจ้องมายังร่างผมที่นั่งกองอยู่บนพื้นโดยปราศจากเสื้อผ้าใดๆ


เป็นสภาพที่ไม่ว่าใครเห็นเป็นต้องตกใจก่อนความตกใจนั่นจะกลายเป็นความสงสัย


ยิ่งกับเบซิลยิ่งแล้วใหญ่


ไม่มีทางที่เขาจะมองข้ามเรื่องนี้ไปหรอก


ความลับนี้ผมไม่เคยบอกใคร ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิท หัวหน้าหรือแม้แต่คนในหน่วย และต่อให้ผมมีแฟนหรือแต่งานผมก็ไม่คิดที่จะบอกใครทว่าตอนนี้ผมกับอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อความลับนี้เป็นอย่างมาก


ผมมี2ทางเลือก


จะปิดและเก็บทุกสิ่งไว้เป็นความลับต่อให้ถูกถามหรือซักไซ้ขนาดไหนก็ตาม


หรืออีกทางคือ...


เล่าและบอกทุกอย่างให้กับคนที่พึ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงปีอย่างเบซิล


ช่างเป็นสองทางเลือกที่พานให้ผมคิดหนักซะเหลือเกิน
.............................................................................

มาแล้วกับตอนที่7

เรื่องนี้ไม่ได้ยาวมากแต่ก็ไม่ได้สั้นจนเกินไป

เนื้อเรื่องก็มาถึงประมาณครึ่งนึงแล้ว

หลังอ่านจนหลายคนอาจคิดว่ามันค้าง ซึ่งก็ไม่ปฏิเสธค่ะเพราะว่าค้างจริงๆ 555

เนื้อเรื่องกำลังเข้มข้นขึ้นตอนต่อไปถือเป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องต่อจากนี้

หากไม่ติดอะไรจะรีบมาอัพหลังแต่งจบนะคะ

ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเม้นท์และทุกๆ กำลังใจที่มอบให้เสมอน้าาา

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ asmar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
สงสัยเนี่ยเบซินสงสัยอยู่แล้ว
แต่เหนือกว่านั้นเนี่ยคือ เห็นตอนแก้ผ้า
คือคงค้างอยู่ซักพักเลยมั้ยอะ55555

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด