My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (พิเศษส่งท้าย) 7/2/62 P.6 -จบ-
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (พิเศษส่งท้าย) 7/2/62 P.6 -จบ-  (อ่าน 51385 ครั้ง)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับ

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น 

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้   

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว  ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


**********************************************



สวัสดีนะคะนักอ่านทุกท่าน

วันนี้มาเปิดนิยายเรื่องใหม่

หลายคนคงจะพอคุ้นหน้าคุ้นตากับเรากันมาบ้างแล้ว

ดีใจที่ทุกคนเปิดเข้ามาอ่านเรื่องนี้กัน

สำหรับเรื่องนี้เป็นนิยายใหม่ที่ทำเป็นโปรเจ็คร่วมกับกับสำนักพิมพ์ MAZE Novel ร่วมกับนักเขียนอีก2ท่านคือ AiaeaAiaea และ Sine นะคะ โดยตัวหลักขอองทั้ง3เรื่องจะเป็นพี่น้องกันจะแบ่งออกเป็นทั้งหมด3คู่นะคะ โปรเจ็ค My Family จะประกอบด้วย3คู่คือ

พี่คนโต 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก by nicedog

น้องชายคนรอง "Hidden Secret ลับซ่อนรัก" by AiaeaAiaea

น้องชายคนเล็ก "Secret Me คนนี้ต้องลับ!"  by Sine

สามารถตามเข้าไปอ่านอีก2คู่ได้นะคะ

ฝากผลงานโปรเจ็คร่วมครั้งแรกของเราด้วยน้าาา
 
ภาษาในการแต่งของเราอาจยังไม่สละสลวยแต่จะพยายามสื่อออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ
หวังว่าทุกคนจะสนุกและตื่นเต้นไปพร้อมๆกันกับ...

My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก
 
ขอฝากผลงานใหม่ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของทุกคนด้วยนะคะ


*ผลงานที่ผ่านมา*

   ✉ CorrespondencE สื่อรักทางจดหมาย!✉

    ◣♥◥ Precinct ►◄ อาณาเขตรักของหัวใจ ◣♥◥

   ✥ Jurassic Heart ✥ดวงใจ กลายพันธุ์รัก


   ✣Jurassic Confidant✣ คู่หู กลายพันธุ์รัก


   ❣Secret heart❣ หัวใจ แอบรัก


    Find Love  ▪พบรัก▪


.。.:*・ ۩ Creative สรรค์สร้างรัก۩・*:.。.

♧♣Touch Love♣♧ สัมผัสรัก ด้วยหัวใจ

◈Jurassic Foster◈ กลายพันธุ์รัก ใต้ธารา


สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของนิยายได้ในเพจนะคะ>>nicedog<<

ขอบคุณทุกที่ติดตามค่ะ

*นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล สถาบันหรือสถานที่ใดทั้งสิ้น*


สารบัญ

=ปฐมบท=คดีที่1=
=คดีที่2=คดีที่3=
=คดีที่4=คดีที่5=
=คดีที่6=คดีที่7=
=คดีที่8=คดีที่9=
=คดีที่10=คดีที่11=
=คดีที่12=คดีที่13=
=คดีที่14=คดีที่15=
=คดีที่16=คดีสุดท้าย=
=ส่งท้าย=




nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-02-2019 12:54:53 โดย nicedog »

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
ปฐมบท〝¸ครั้งแรกที่รับรู้¸〞



บางคนเชื่อว่าคนเราเกิดมาพร้อมสิ่งพิเศษที่จะมีเฉพาะแต่ละคนไม่ซ้ำกัน สิ่งเหล่านั้นอาจเป็นสติปัญญา ทักษะหรือความสามารถบางอย่างซึ่งหลับใหลอยู่และเตรียมจะตื่นขึ้นมายามถึงเวลาอันเหมาะสม


ตัวผมเองอาจเป็นหนึ่งในคนที่สิ่งพิเศษนั้นตื่นขึ้นมาเร็วกว่าคนอื่นและถือว่าแปลกกว่าคนปกติอยู่สักหน่อย แต่หากเทียบในครอบครัวแล้วถือเป็นเรื่องปกติเพราะทั้งคุณตาและคุณแม่ต่างก็มีสิ่งพิเศษเฉพาะตัวนี้กันทั้งนั้น


สิ่งพิเศษ ไม่สิ ควรเรียกว่าเป็นพลังพิเศษซะมากกว่า


ดูเหมือนพลังนั้นจะสืบทอดจากทางคุณแม่ต่อมายังลูกอย่างผมและเหล่าน้องๆ อีก 3 คนซึ่งมีผมเป็นพี่คนโต น้องชายคนแรกชื่อกระวาน เป็นเด็กเกรียนๆ ที่มีมุมทั้งน่ารักและน่าถีบ ทำอะไรไม่ค่อยคิดชอบทำให้ผมเป็นห่วงอยู่เรื่อย ยิ่งพลังที่เขามีคือการได้ยินเสียงในใจเฉพาะเรื่องลามกของอื่นผมก็ยิ่งห่วงเพราะไม่รู้ว่าจะหลุดปากไปสร้างเรื่องให้คนอื่นเมื่อไหร่


น้องชายคนที่สองชื่อ โป๊ยกั๊ก เด็กกวนๆ ที่พร้อมจะมีเรื่องกับคนอื่นได้เสมอ น่าแปลกที่ถึงเขาจะกวนไปทั่วแต่กลับดูอ่อนน้อมเวลาอยู่กับผม อีกเรื่องที่ผมค่อยข้างกังวลคือพลังของโป๊ยกั๊กที่ค่อยข้างซับซ้อน ตัวตนด้านหนึ่งแข็งแกร่งและไม่ยอมใครแต่อีกตัวตนที่สะท้อนอยู่ในกระจกและมักจะสลับออกมานั้นทั้งอ่อนแอและเหยาะแหยะ หากเกิดเรื่องในบุคลิกนี้อาจเสียท่าได้ง่ายๆ บุคลิกที่อยู่ในกระจกครอบครัวผมต่างเรียกเขาว่าก้านพลู


น้องคนสุดท้องคือน้องสาวเพียงคนเดียวของครอบครัว เพกา คือชื่อแสนน่ารักของนางฟ้าตัวน้อยๆของพวกเรา พลังพิเศษของเธอเรียกว่าดีที่สุดในบ้านคือการปลูกอะไรก็สามารถเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ทั้งเร่งดอกเร่งผลจนคุณพ่อมักจะบอกให้ช่วยปลูกผักสำหรับใช้ในการทำอาหารหน่อย


หากใครสังเกตคงจะรู้ว่าชื่อของพวกเรา4พีน้องล้วนแต่เป็นชื่อสมุนไพรทั้งสิ้น ชื่อเหล่านี้มีคุณตาซึ่งมีพลังในการแยกแยะเครื่องเทศหรือส่วนผสมจากการดมกลิ่นจึงได้ตั้งชื่อพวกเราตามชื่อของสมุนไพรต่างๆ กันไปทั้งในประเทศและต่างประเทศ


ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้มีสิ่งนึงที่ผมสามารถรับรู้ได้คือรสชาติของอาหารหรือสิ่งที่กินเข้าไป ความคาวจากสิ่งมีชีวิตที่ปะปนอยู่สร้างความพะอืดพะอมจนต้องคายออกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะได้รับอาหารที่เหมาะสมซึ่งนั่นเป็นเรื่องในช่วงเป็นเด็กวัยแบเบาะของผม


ครั้งแรกที่รับรู้ถึงพลังนี้เป็นช่วงวัยเด็กอายุประมาณ 7 ขวบเป็นช่วงเวลาของการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในโรงเรียนมีวิชาหนึ่งพูดถึงความสามัคคีและการมีส่วนร่วมซึ่งภายในห้องได้ตกลงที่จะเลี้ยงกระต่าย ทุกๆวันได้มีการผลัดกันดูแลกระตายตัวขาวในช่วงหลังเลิกเรียน


ผ่านไปวันแล้ววันเล่าจนกระทั่งวันนี้เป็นเวรของผมที่ต้องทำความสะอาดกรงกระต่ายและให้อาหาร กระต่ายสีขาวตัวอ้วนกำลังทำจมูกฟุดฟิดยามกรงถูกเปิดอ้าออกด้วยฝีมือของผมและก้าวเข้าไปด้านใน กรงนี้เป็นกรงเหล็กขนาดไม่ใหญ่มาก มีบ้านไม้สีน้ำตาลไว้สำหรับให้กระต่ายนอนถัดไปไม่ไกลมีหญ้าสีเขียวสด น้ำและถาดอาหารเม็ดที่บัดนี้ว่างเปล่าวางไว้ให้


ดวงตากลมโตสีดำสนิทเงยหน้าขึ้นมาประสานกับดวงตาสีน้ำตาลของผมราวกับกำลังถามว่าอาหารเม็ดของมันอยู่ที่ไหน ผมอมยิ้มเล็กๆ ก่อนจะก้มลงไปอุ้มกระต่ายตัวนั้นไปใส่ไว้ในตะกร้าที่เตรียมไว้อย่างเร่งรีบเนื่องจากมีเวลาเหลืออีกไม่มากก่อนคุณพ่อจะมารับกลับบ้าน


“ไม้กวาดๆ”ผมพึมพำพลางเดินไปหยิบไม้กวาดจัดการกับเศษหญ้า น้ำในชามถูกเปลี่ยนใหม่เช่นเดียวกับหญ้าสดที่อาจารย์ประจำชั้นเตรียมไว้ให้ ปิดท้ายด้วยการเทอาหารเม็ดลงไปในถาดสีเงิน


เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จผมเดินไปอุ้มกระต่ายสีขาวมาปล่อยไว้ในกรงตามเดิมทว่าก่อนจะปิดกรงสายตาของกระต่ายตัวขาวที่จ้องมองมาทำให้ผมค่อยๆนั่งคุกเข่าลงกับพื้นแล้วแบมือออกติดกับพื้นด้านล่าง


กระต่ายเพียงตัวเดียวเอียงคอเล็กน้อยแล้วจึงวิ่งเข้ามาใช้จมูกสีชมพูอ่อนดมมือพร้อมกับวางคางลงบนฝ่ามือผม ความนุ่มของขนเรียกรอยยิ้มจากผมได้ มืออีกข้างที่ว่างเปลี่ยนมาลูบยังเส้นขนสีขาวเบาๆ


ในจังหวะนั้นเองทั่วทั้งร่างกลับเกิดอาการแปลกๆขึ้น ความมึนงงบวกกับความปวดหัวแล่นเข้ามาจนทนไม่ไหวทรุดลงไปกองอยู่กับพื้นพร้อมร่างกายที่ค่อยๆแปรเปลี่ยนไปทีละน้อย ผิวหนังนิ่มๆเริ่มมีขนสีขาวปกคลุม เช่นเดียวกับร่างกายเองก็หดเล็กลงเรื่อยๆ
ทุกอย่างอยู่ในสภาวะสับสนและไม่เข้าใจ


ส่วนหัวซึ่งปกคลุมด้วยขนสีขาวหันมองซ้ายขวาด้วยความตื่นตระหนก ร่างกายขยับวิ่งโดยใช้สี่ขาออกไปจากบริเวณนี้ ด้วยความสับสนทำให้ไม่รู้แม้แต่เส้นทางที่ตัวเองวิ่งผ่านจนกระทั่งพลังงานในร่างหมดลง ผมอยู่นิ่งๆปล่อยร่างสีขาวอันไม่คุ้นชินนี้ให้ได้พักสักเล็กน้อย


“กระต่าย?”เสียงเรียกจากเด็กวัยเดียวกันเรียกขนสีขาวให้ลุกฟูด้วยความตกใจและตื่นกลัว ดวงตาสีดำของผมในร่างกระต่ายหันไปมองภาพของเด็กในวัยเดียวกันก้มหน้าลงมามองก่อนจะเอื้อมมือสองข้างมาคว้าตัวผมไปอุ้มไว้แนบอก


งี๊ด


ไม่นะ


ผมพยายามดิ้นแล้วส่งเสียงร้องบอกให้ปล่อย  แต่แน่นอนว่าด้วยภาษาที่ต่างกันส่งผลให้คนตรงหน้าไม่สามารถเข้าใจถึงสิ่งที่ผมต้องการสื่อสาร


“กระต่ายของใครกัน?”เสียงเดิมดังขึ้นระหว่างลูบขนสีขาวของผมไปมาคล้ายจะปลอบโยนว่าไม่เป็นไร ไม่มีอะไรต้องกลัว


สัมผัสของฝ่ามือนั่นช่วยให้ความตื่นตกใจกลัวค่อยๆกลับเข้ามาสู่สภาวะปกติอีกครั้ง


“ไม่เป็นไรนะ”


งี๊ด


การแสดงออกอย่างการพยักหน้าเรียกคิ้วของข้างของคนอุ้มขมวดเข้าหากันแน่น คงไม่มีใครคิดว่าจะได้รับคำตอบจากสัตว์ในอ้อมแขนจริงๆหรอก


พอสติเริ่มกลับมาผมก็สามารถผูกเรื่องหลายๆอย่างได้ ครอบครัวผมมีพ่อที่ชื่นชอบสีชมพูและมีแม่ที่บางครั้งก็ชอบพูดคุยหรือตะโกนพูดกับใครก็ไม่รู้ ในตอนนี้ผมกำลังคิดว่านั่นอาจไม่ใช่แค่การพูดกับตัวเองแต่เป็นอะไรบางอย่างที่คนอื่นไม่สามารถมองเห็นได้


อาจเป็นไปได้ว่ามีบางอย่าง...


อะไรที่ผมก็ไม่สามารถบอกได้ในวัยเพียงเท่านี้


หากต้องการจะรู้คงมีแต่ต้องไปถามพ่อกับแม่เท่านั้น


งี๊ด


ผมร้องแล้วเริ่มดิ้นอีกครั้ง แต่เพราะดิ้นยังไงอีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อยผมจึงใช้ฟันทื่อๆขบเข้ายังแขนเบาๆแต่เพราะอีกฝ่ายตกใจจึงปล่อยร่างผมล่วงสู่พื้นทันที ผมอาศัยโอกาสนั้นวิ่งหน้าตั้งไปจนถึงถนนเส้นใหญ่ อาจเป็นโชคดีที่ผมจำได้ว่าถนนเส้นนี้อยู่ถัดจากโรงเรียนผมแค่ซอยเดียวเท่านั้น


ระหว่างการวิ่งกลับไปยังโรงเรียนความผิดปกติบางอย่างก็เริ่มเกิดขึ้น ความรู้สึกมึนงงปนปวดหัวนี่เหมือนก่อนหน้าที่จะกลายเป็นกระต่าย


“...ไธม์ ใบไธม์”เสียงเรียกอันแสนคุ้นเคยของคุณพ่อเรียกให้ผมฝืนทนพาร่างกายขนปุกปุยของตัวเองเดินไปหาเสียงนั้น


งี๊ด


ร่างกายเล็กๆพยายามส่งเสียงเรียกผู้เป็นพ่อแต่เรียกได้ไม่นานก็ต้องหยุดเนื่องจากขนสีขาวที่ปกคลุมร่างกายเริ่มกลับไปเป็นสีผิวของมนุษย์ปกติ นั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่คุณพ่อหันมาเจอผมพอดี


“ใบไธม์”คุณพ่อวิ่งเข้ามารับร่างผมที่เซล้มลงไป พลังงานในร่างราวกับถูกใช้จนหมดสิ้น สติที่มีก็เลือนรางจนแทบไม่รับรู้อะไรนอกจากเสียงเรียกอันเต็มไปด้วยความเป็นห่วงของพ่อ


อยากจะบอกว่าไม่ต้องห่วงแต่ร่างกายผมไม่มีแรงแม้กระทั่งขยับตัวด้วยซ้ำ


และนั่นคือครั้งแรกที่ผมได้รู้ถึงพลังของตัวเอง

...............................................................

จบไปแล้วกับการเปิดฉากของเรื่องใหม่

หลายๆ คนคงจะเริ่มเดาได้ว่าเรื่องนี้เป็นแนวไหน

ออกแนวแฟนตาซีนิดๆแบบนี้เราค่อนข้างฟินในการแต่งเลยค่ะ

ในตอนแรกเกริ่นๆช่วงวัยเด็กก่อน ตอนต่อไปเตรียมพบกับพระเอกที่ไม่เหมือนเรื่องไหนๆ ของเราแน่นอนค่ะ

แค่คิดก็อยากรีบแต่งแล้วลงให้อ่านเลย 555

ขอฝากผลงานใหม่อีกเรื่องนะคะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
พระเอกจะเป็นยังไงหนอ

ออฟไลน์ sahatsawat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พระเอ๊กกกกก ลุ้นนๆๆ :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 578
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 :mc4:  :mc4:  :mc4: สู้ๆค่ะ ... ตามมาเชียร์ค่ะ  :hao7:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เปิดเรื่องน่าสนใจเลยทีเดียวค่ะ รอดูพระเอกของเรื่องเลย เดี๋ยวแว่บไปอ่านอีกสองเรื่องด้วย ขอบคุณมากค่ะ :กอด1:

ออฟไลน์ kitty08

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1952
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-4
น่าสนใจมาก ลุ้นๆว่าพระเอกคืิคนที่อุ้มกรัต่ายแน่ๆชื่อน่ารัก ใบไธม์ คือไรอ่ะ

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เห็นชื่อคนแต่ง จิ้มรอเลย  :z13:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ตามติด ติดตาม ต่อ  ๆ ด่วน ๆ  :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
รอเรื่องพี่ไธม์อยู่เลยค่ะ ตอนแรกเราก็คิดว่าพี่ไธม์เป็นพระเอกแต่พอคุณนักเขียนบอกว่าจะมีพระเอกโผล่ตอนหน้านี่ เอ๊ะ เลย คนแบบไหนจะมาคู่กับพี่ไธม์นะ

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
สืบรัก彡คดีที่1



ดวงดาวสีขาวสว่างทอประกายอยู่ท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรีเป็นสัญญาณของเวลาที่มนุษย์ปกติมักจะนอนหลับสนิทบนเตียงทว่าไม่ใช่กับผม แม้จะได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์แต่บอกเลยว่าตัวผมค่อนข้างห่างไกลกับคำว่าปกตินักโดยเฉพาะกับรูปลักษณ์ในตอนนี้


เส้นขนสั้นเกรียนสีดำขลับกับหัวกะโหลกขนาดใหญ่บวกกับเขี้ยวสีขาวแยกออกเล็กน้อยเพื่อลดอุณหภูมิในร่างกายตอนกำลังวิ่งอยู่ในดงหญ้าสูงซึ่งอยู่ด้านหลังบ้านเดี่ยวหลังสีขาวที่เพิ่งเกิดคดีฆาตกรรมฆ่าโหดยกบ้านเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาและทางตำรวจเองไม่สามารถสืบสาวไปได้ไกลกว่านี้เนื่องจากคนร้ายไม่ทิ้งหลักฐานไว้แม้กระทั่งลายนิ้วมือ


และคดีนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกทำให้หลายหน่วยงานเริ่มตื่นกลัวและต้องการให้จับคนร้ายโดยเร็วที่สุดถึงขนาดมีการใช้สุนัขตามกลิ่น แน่นอนว่าไม่สามารถใช้ได้เพราะไม่มีกลิ่นตัวอย่างสำหรับให้ติดตาม เหตุการณ์เริ่มบานปลายและไม่มีใครสามารถหาเบาะแสหรืออะไรเลยจึงมีการส่งต่อคดีนี้มาจนถึงหน่วยงานของผม


ด้วยความที่ไม่มีหลักฐานหรือเบาะแสอะไรเลยผมจึงจำเป็นต้องใช้วิธีพิเศษในการสืบหาเบาะแสเหล่านั้น หรือก็คือผมในร่างของสัตว์สี่เท้านี่เป็นวิธีพิเศษที่มีเพียงผมเท่านั้นที่สามารถทำได้


กลายร่างเป็นสัตว์


ถ้าไปบอกใครคงมีแต่โดยหัวเราะและพูดว่ามุกนี้ขำใช้ได้


แต่ถึงยังไงการที่ผมสามารถเปลี่ยนร่างเป็นได้ก็คือเรื่องจริง ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวธรรมดา ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมธรรมดา มีฐานะธรรมดา


ทุกอย่างล้วนธรรมดายกเว้นอย่างเดียวคือครอบครัวผมมีพลังที่ไม่ธรรมดาซึ่งเป็นพลังเฉพาะของแต่ละบุคคล ไม่สามารถถ่ายทอดพลังนั้นไปให้คนอื่นได้ อย่างแม่ผมมีพลังในการมองเห็นวิญญาณ ผมซึ่งเป็นลูกก็ไม่ได้มองเห็นวิญาณไปด้วย ส่วนน้องๆแต่ละคนเองก็มีพลังในแบบที่ไม่เหมือนใคร


กึก!


ร่างสีดำขลับของผมหยุดการเคลื่อนไหวเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นของเลือดจางๆได้จากบริเวณหนึ่งในโพงหญ้า พอก้าวเข้าไปดูใกล้ๆก็พบกับท่อนไม้เก่าๆถูกโยนปะปนอยู่กับเศษขยะราวกับจงใจเอาขยะมาคลุกไว้ แต่ถึงจะพยายามยังไงก็ไม่สามารถหลอกประสาทสัมผัสของผมในร่างสุนัขได้


ก่อนมานี่ผมเข้าไปสำรวจกลิ่นต่างๆภายในบ้านไว้แล้ว กลิ่นเลือดนี่เป็นกลิ่นเดียวกับในบ้าน


ที่สำคัญไม่ได้มีแค่กลิ่นเลือดเดียวแต่เป็นของหลายๆ คนรวมทั้งกลิ่นจางๆ ที่ยังติดอยู่นี่ผมรู้สึกเหมือนได้กลิ่นนี้มาก่อนที่จะมานี่
ได้กลิ่นนี้จากที่ไหนนะ


คิดสิ


ต้องเป็นช่วงที่ผมอยู่ในร่างของสุนัขแปลว่าแถวนี้ จะว่าไปหลายคดีก่อนหน้านี้ก็อยู่ในละแวกทั้งนั้นเลย มีความเป็นไปได้สูงหากจะเป็นคนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียง


เมื่อคิดได้แบบนั้นผมจึงตัดสินใจใช้ปากคาบถุงขยะลากไปตามดงหญ้าจนถึงข้างทาง แสงสว่างจากหลอดไฟมีเว้นระยะอยู่ทุก5เมตร เรียกว่าค่อยข้างสลัวทีเดียว กลิ่นจางๆของเลือดลอยมาตามลมเรียกผมให้หันไปมองตามทิศทางนั้น ไม่เพียงแค่กลิ่นเลือดแต่ยังมีกลิ่นของคนที่กำลังตามหาด้วย


ผมวิ่งตรงไปยังจุดหมายก่อนร่างของสัตว์สี่ขาจะแปรเปลี่ยนกลับมาเป็นร่างกายของมนุษย์ปกติที่มีเนื้อหนัง เสื้อผ้าถูกพกไว้ในกระเป๋าเป้ใบเล็กสำหรับสถานการณ์เช่นนี้อยู่เป็นเรื่องปกติ


“กรี๊ด อุก”เสียงกรีดร้องดังขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะเงียบหายไปราวกับเกิดเหตุบางอย่างขัดขวางเสียงเรียกขอความช่วยเหลือ


“ต้องแจ้ง ไม่สิ ไม่มีเวลาแจ้งแล้ว”ผมบ่นกับตัวเองในขณะกระโดดข้ามรั้วเตี้ยแล้วพุ่งตัวกระแทกกระจกใสบริเวณระเบียงบ้านเข้าไปจัดการใช้หมัดเสยคางคนร้ายจนหงายหลังล้มลงไป


“แค่ก...แก เป็นใคร”น้ำเสียงเย็นๆกับอาวุธปลายทื่อในมือเป็นหลักฐานอย่างดีว่าคนคนนี้แหละคือคนร้านในคดีฆาตกรรมต่อเนื่องในช่วงนี้


“แล้วคุณล่ะเป็นใคร”ผมย้อนถามโดยไม่ลดการป้องกันลง ผู้หญิงด้านหลังผมที่ส่งเสียงเมื่อครู่ตอนนี้นอนสลบอยู่ด่นหลังผม


“อยากรนหาที่ก็จะสงเคราะห์ให้”พูดจบอีกฝ่ายก็พุ่งเข้ามา ไม้ขนาดกลางในมือทุบลงมายังหัวผมอย่างรวดเร็วแต่ด้วยทักษะที่มีทำให้หลบการจู่โจมนั่นด้วยการแตะสูงไปยังข้อมือจนไม้ในมือกลิ้งไปอยู่บนพื้นไกลจากบริเวณนี้พอสมควร


แน่นอนว่าผมไม่ปล่อยให้คนร้ายได้วิ่งไปหยิบอาวุธจัดการจับคอเสื้อทุ่มอีกฝ่ายข้ามหลังจนกระแทกกับพื้นอย่างแรง ด้วยแรงกระแทกทำเอาร่างนั้นสลบเหมือนไปในพริบตา


จะว่าอ่อนก็ไม่ผิดซะทีเดียว


หากแข็งแรงคงไม่สลบด้วยการถูกทุ่มข้ามหลังแบบนี้หรอก


จากนั้นรถตำรวจประมาณ3คันก็ถูกเรียกมาโดยผมและจับตัวคนร้ายในคดีไปจัดการต่อ นอกจากจะไม่ได้รับคำขอบคุณจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วยังได้คำบ่นประมาณว่าแย่งซีนปิดท้ายก่อนจากลาอีก


ตัวผมไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไปแม้ในฬ๗บ่นตลอดทางขับรถกลับมายังสถานที่ตั้งของหน่วยก็ตามที


คดีนี้ถ้ามีการสืบหาหลักฐานอย่างจริงจังหน่อยคงจัดการหาตัวคนร้ายได้ไม่ยากและไม่ต้องมาถึงมือของหน่วยผมด้วย แต่พอค้นบ้านแล้วไม่เจอหลักฐานก็คิดกันไปว่าหาต่อไปก็ไม่เจออะไรอยู่ดีเลยกลายเป็นคดีวุ่นวายขึ้นมา


สถานที่ตั้งของหน่วยงานผมคือตึกเดี่ยวชั้นเดียวสีขาวล้วนรอบๆมีสวนเต็มไปด้วยผืนหญ้า ดอกไม้และต้นไม้ใหญ่สำหรับให้ร่มเงา ด้านข้างมีลานจอดรถใหญ่4คันและมอเตอร์ไซค์อีก1แถว มองเผินๆดูเหมือนบ้านธรรมดาไม่ใช่ตึกที่เป็นที่ทำงานของหน่วยสืบสวนพิเศษ


หน่วยสืบสวนพิเศษเป็นหน่วยงานที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อสืบสวนและจัดการกับคดีที่ไม่สามารถปิดได้ด้วยวิธีปกติ อีกอย่างหน่วยสืบสวนพิเศษไม่ได้ขึ้นตรงกับทั้งตำรวจหรือทหาร แยกตัวออกเป็นอิสระแต่มีอำนาจทัดเทียมกัน


คดีส่วนมากจึงส่งมาจากตำรวจและทหารเกือบทั้งสิ้น


“อ้าว ท่านรองมาถึงเร็วนี่นึกว่าต้องไปให้ปากคำกับตำรวจของเขต1ซะอีก”คำทักทายแรกเมื่อผมเดินเข้ามาในห้องทำงานคือจิว หนึ่งในคนของหน่วยสืบสวนพิเศษ


“รู้เร็วจังนะจิว”ผมพูดพลางเดินไปยังโต๊ะด้านในที่เป็นโต๊ะทำงานส่วนตัว ในห้องทำงานนี้ถูกแบ่งเป็นสัดส่วนให้ใช้งานง่ายและประหยัดเนื้อที่มากที่สุดเนื่องจากมีพื้นที่จำกัด โต๊ะ4ชุดถูกหันหน้าชิดเข้าหากันโดยมีห้องครัวขนาดเล็กอยู่ด้านข้างติดกับโต๊ะยาว


“ดูไม่ตกใจเลยนะที่ผมรู้”จิวถามต่อ


“ไม่รู้สิแปลก”คนของหน่วยสืบสวนพิเศษไม่ใช่คนธรรมดา คำว่าไม่ธรรมดานั้นไม่ได้ถึงขั้นสามารถกลายร่างเป็นสุนัขได้แบบผมแต่มีความสามารถพิเศษมากกว่าคนทั่วไป


อย่างจิวเป็นชายไทยแท้รูปร่างท้วมอารมณ์ดีใครได้คุยด้วยเป็นต้องเผยความลับอะไรสักอย่างออกมา เขาจึงเป็นคนสืบข่าวทุกอย่างให้กับหน่วยสืบสวนพิเศษนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเขามีสายอยู่เท่าไหร่รู้แค่ว่าแม้จะเป็นข่าวที่พึ่งเกิดขึ้นไม่กี่นาทีที่ผ่านมาจิวก็ยังรู้


ดูอย่างเคสผมเป็นตัวอย่างก็ได้ ระยะเวลาในการเรียกตำรวจมายังที่เกิดเหตุ พูดคุยบอกเล่าเหตุการณ์จนขับรถมายังตึกนี่ราว2ชั่วโมงได้ แถมตอนเกิดเหตุยังไม่มีนักข่าวมาด้วย


อยากรู้จริงๆว่าไปเอาข้อมูลมาจากไหน


“ขอบคุณที่ชม”


“คนอื่นไปไหนหมด”ในห้องที่ควรจะมีคนในหน่วยนั่งประจำที่แต่กลับมีเพียงผมและจิวอยู่ในห้องตามลำพัง


จะบอกว่ายังเช้าอยู่ก็มีส่วนแต่ไม่น่าหายไปกันหมดแบบนี้


“สกายกับจูนออกไปจัดการคดีที่ค้างอยู่ อาร์มกับซันจับคู่กันไปทำคดีต่างจังหวัดด้วยกัน ส่วนแม็กนอนอยู่โรงแรมกับผู้หญิงและสุดท้ายเบียร์ถูกทางตำรวจเรียกตัวไปช่วยเมื่อ2ชั่วโมงก่อน”จิวไขข้อสงสัยทุกอย่างในพริบตาด้วยท่าทีสบายๆประหนึ่งว่าเรืองที่กำลังพูดออยู่เป็นเรื่องปกติที่ใครๆก็รู้กัน


สมแล้วกับที่อยู่หน่วยสืบสวนพิเศษ


แต่ละคนต่างมีความพิเศษแตกต่างกันไป


และเพราะแบบนั้นทำให้ไม่จำเป็นต้องมีสมาชิกในหน่วยเป็นสิบมากมายเหมือนอย่างหน่วยงานอื่นๆเพียงแค่9คนในหน่วยก็มากพอในการจัดการคดีทุกรูปแบบซึ่งผมค่อนข้างชอบการทำงานแบบนี้มากทีเดียว


“โทรไปตามแม็กบอกให้มาถึงนี่ภายใน10นาทีไม่งั้นก็เตรียมไปนั่งทำงานตากแดดในสวนได้เลย”บอกเสร็จผมก็เดินไปกดน้ำร้อนใส่แก้วที่มีซองชาเขียวใส่อยู่


คนอื่นออกไปทำงานจึงไม่มีเหตุผลให้เรียกกลับแต่กับแม็กไม่ใช่ เล่นอยู่โรงแรมกับสาวในเวลางานแบบนี้มันน่าโดนนัก แม็กเป็นผู้ชายสูง ผิวสีแทนแถมหน้าตายังดีจึงมีสาวๆตามติดอยู่แทบตลอดเพราะแบบนั้นจึงมีความสามารถในการเข้าถึงคนระดับสูงเป็นพิเศษ


หลายคนอาจคิดว่าการเข้าถึงพวกระดับไฮโซถือเป็นความสามารถพิเศษยังไง


บอกเลยว่าพิเศษมาก คดีกว่าครึ่งที่ถูกส่งมาเป็นคดีที่ถูกปกปิดไว้ด้วยอำนาจของเงินและอิทธิพลในแวดวงไฮโซทั้งนั้น ดังนั้นหากรู้จักใครสักคนในระดับเดียวกันก็สามารถเชื่อมโยงเข้าถึงตัวได้ไม่ยาก


อย่างครั้งก่อนคนร้ายเป็นสาวไฮโซลูกสาวเจ้าของร้านอาหารระดับหรูที่มีเพียงระดับไฮโซจึงจะเข้าไปทานได้แต่เพราะแม็กรู้จักกับคนระดับนั้นจึงสามารถแฝงตัวเข้าไปหาหลักฐานและจับกุมได้สำเร็จ


แม้จะทำงานสำเร็จด้วยดีแต่นิสัยเลื่อนลอยกับขี้หลีกลับแก้ไม่หายสักที


“ผมกว่าแม็กคงไม่กลัวบทลงโทษแค่นั้นหรอกมั้ง”


“งั้นควรจะลงโทษอะไรดีล่ะ”ผมถามความเห็น


“ลองบอกจะตัดเงินสิรับลงวิ่งสี่คูณร้อยมาแน่นอน”จิวเสนอ


“เอาสิ ลองดู”นึกภาพแล้วคงตลกพิลึก


“จะลองอะไรกัน”เสียงทุ้มจากบุคคลที่สามทำเอาผมและจิวถึงกับสะดุ้ง พอหันไปมองก็พบกับเจ้าของร่างสูงในชุดของหน่วยสืบสวนพิเศษเต็มยศก้าวเข้ามาด้วยรอยยิ้มมุมปาก ริ้วรอยบนใบหน้าบ่งบอกถูกอายุที่มาพอสมควร ถึงอย่างงั้นความน่าเกรงขามกลับมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม


“หัวหน้า”พวกเราทั้งคู่พูดขึ้นพร้อมกัน ไพลสันต์หรือไพล หัวหน้าของหน่วยสืบสวนพิเศษ


“มาเช้ากันดีนี่ แล้วจะลองอะไรกันขอฉันร่วมวงด้วยคน”หัวหน้าพูดต่อ


“กำลังจะโทรตามแม็กครับ ถ้าไม่มาใน10นาทีจะโดนหักเงิน”จิวบอกหัวหน้าโดยไม่ปิดบัง


“ฮืม...งั้นเพิ่มไปด้วยว่าถ้ายังไม่มาจะส่งไปเรือนจำชายในเขตใต้”นอกจากจะไม่ห้ามแล้วยังมีเพิ่มบทลงโทษด้วย


นี่แหละคือหัวหน้าที่พวกเราทุกคนให้ความเคารพ


“ได้ครับหัวหน้า”จิวทำท่าตะเบะก่อนเริ่มโทรตามแม็ก


“หัวหน้า ไปพักหน่อยไหมครับพึ่งกลับมาเมื่อคืนเองนี่ครับ”ผมบอกกับหัวหน้า ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาหัวหน้าได้รับเชิญไปเข้าร่วมการประชุมใหญ่ที่มีเพียงระดับหัวหน้าใหญ่เข้าไปร่วมประชุมกัน


“อยากพักอยู่แต่คงยังไม่ได้ ไธม์”


“ครับ”ผมขานรับชื่อตัวเอง ทัณฑธร เจริญกิจขจรกุลหรือใบไธม์เป็นชื่อของผมเอง ตำแหน่งในหน่วยสืบสวนพิเศษของผมคือรองหัวหน้าที่พึ่งเริ่มเป็นมาได้ไม่กี่ปีเท่านั้นเอง


“อยากให้มาด้วยกันหน่อยได้ไหม”


“แน่นอนครับ”ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิดคำตอบ น้ำเสียงของหัวหน้าเหมือกำลังเจอเรื่องหนักใจจะให้ปฏิเสธคงไม่ใช่เรื่อง


“งั้นไปกัน”พูดจบก็ก้าวเดินออกไปนอกห้องโดยมีผมตามไปติดๆ


“จะไปข้างนอกเหรอครับ”ผมถามเมื่อพวกเราเดินออกมายังลานจอดรถ ตอนนี้แรกผมนึกว่าจะไปคุยกันในห้องทำงานส่วนตัวของหัวหน้าซะอีก


“ใช่ เราจะไปเรือนจำกลางพิเศษที่3”คำพูดนั่นทำเอาผมขมวดคิ้วแน่นขึ้นมาทันที


ปัจจุบันมีเรือนจำอยู่แทบทุกเขต ทุกคนต่างรู้กันว่าเรือนจำคือสถานที่ขังผู้ต้องหาที่ต้องโทษในคดีเล็กน้อยอย่างลักขโมยไปจนถึงคดีร้ายแรงอย่างฆาตกรรม ในหมู่เรือนจำเองเรือนจำกลางพิเศษที่3เป็นที่รู้กันว่าเป็นสถานที่กักขังผู้ต้องหาในคดีร้ายแรงไม่ใช่เพียงแค่ฆ่าคนตายแต่มีคดีร้ายแรงอื่นๆอีก


เรือนจำกลางพิเศษที่3เป็นพื้นที่ขนาดกลางเป็นตึก2ชั้นมีรั้วล้อมรอบสูงมิดชิดกันการแหกคุก การจะเข้าไปด้านในได้ต้องเข้าทางด้านหน้าติดต่อเจ้าหน้าที่บริเวณเคาน์เตอร์และรอพบผู้ต้องหาในห้องด้านข้าง ห้องสำหรับการพบกันนั้นเป็นเหมือนในหนังหลายๆเรื่องคือมีกระจกกั้นและมีผู้คุมคอยเฝ้า


สำหรับพวกผมพอผู้คุมเห็นหน้าคุณไพลสันต์ก็รีบทำควรเคารพแล้วให้เข้าไปด้านในโดยดี พวกเราถูกพาลงบันไดไปยังชั้นใต้ดินโดยไม่มีบทสนทนาหรือพูดคุยคล้ายมีการทำเรื่องไว้เรียบร้อยแล้ว


ไม่ใช่ทุกเรือนจำที่จะมีชั้นใต้ดิน เรือนจำกลางพิเศษที่3เป็นเรือนจำพิเศษที่ขังแต่พวกร้ายๆ ใครที่ไม่สามารถอยู่ร่วมในห้องขังรวมได้หรือก่อปัญหาจะถูกจับมาขับเดี่ยว แต่หากยังมีปัญหาอีกก็จะถูกจับขังในชั้นใต้ดินไม่ให้เจอกับแสงอาทิตย์


“ไธม์”หัวหน้าเรียกระหว่างเดินตรงไปตามทาง ในเส้นทางที่กำลังเดินทางขวามือมีห้องขังเดี่ยวมืดทึบมีหน้าต่างสำหรับส่งน้ำอาหรอยู่ด้านใต้ของประตูเหล็กเท่านั้น


“ครับ”


“รู้จักเมเกอร์รึเปล่า”


“...แน่นอนครับ คงไม่ใครที่ไม่รู้จักฉายานั่น”เมเกอร์เป็นฉายาที่มอบให้กับคนร้ายรายหนึ่งที่มีความสามารถในการแฮ็กระบบคอมพิวเตอร์ของธนาคารแล้วนำเงินออกไปโปรยว่อนในช่วงต้นปีที่ผ่านมา  ระบบรักษาความปลอดภัยของธนาคารมีไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้นแต่กลับถูกทะลวงอย่างง่ายดายแถมยังไม่สามารถตามตัวจับคนร้ายได้อีก


เมเกอร์ เป็นคำย่อของ เมจิก แฮ็กเกอร์


ไม่เพียงแค่การแฮ็กแต่ยังพ่วงด้วยคดีล่อลวงและต้มตุ๋นอีกนับไม่ถ้วน ถือเป็นคนที่มีความสามารถในการใช้วาจาในระดับสูงเพื่อลวงหลอกคนอื่นให้ติดกับราวกับใช้เวทย์มนต์ ตามจับการแทบพลิกแผ่นดินแต่กลับไม่เจอร่องลอยทว่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อนกลับเดินเข้ามามอบตัวกับทางตำรวจหน้าตาเฉยจนต้องโทษถูกจำคุกในข้อหามากมายนับไม่ถ้วนรวมแล้วก็ต้องถูกจำคุกถึง20ปี


คนดังขนาดนั้นจะไม่รู้จักได้ยังไง


“แล้วรู้ไหมว่าเขาถูกจำคุกที่เรือนจำไหน”หัวหน้าไพลถามต่อ


“เรือนจำกลางพิเศษที่3”พอพูดมาถึงตรงนี้ผมก็เริ่มประติดประต่อเรื่องราวบางอย่างได้ หัวหน้าพูดถึงเมเกอร์ขึ้นมาแบบนี้แปลว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการมายังเรือนจำกลางพิเศษที่3ในวันนี้อย่างแน่นอน


ข่าวของเมเกอร์ที่ถูกจับส่งตัวมายังเรือนจำนี้เป็นที่รู้กันดี และที่รู้กันมากกว่านั้นคือเขาถูกจับขังเดี่ยวยังชั้นใต้ดินเนื่องจากนิสัยของเขานั้นทำให้ผู้ต้องหารายอื่นที่อยู่ด้วยถึงกับประสาทเสียจนขอแยกห้อง อีกทั้งยังมีการเอ่ยวาจายียวนต่อเจ้าหน้าที่เลยได้รับของขวัญเป็นการถูกจับขังเดี่ยว


“เรากำลังจะไปเจอเขา”


“ครับ”


“ดูไม่ตกใจเลยนะไธม์แปลว่าเดาไว้อยู่แล้วสินะ”หัวหน้าหันมามองผมเล็กน้อยระหว่างถาม


“หัวหน้าจงใจบอกข้อมูลนี่ครับ”ไม่ใช่เรื่องยากเลยในการเดา


“ฉันชอบเธอก็ตรงไหวพริบและการวิเคราะห์สถานการณ์นี่แหละ”


“คนอื่นก็ทำได้ดีไม่แพ้ผมหรอกครับ”คนในหน่วยส่วนมากมีไหวพริบและการวิเคราะห์ดีอยู่แล้ว ไม่งั้นพวกเราคงไม่สามารถจัดการกับคดียากที่ทางตำรวจหรือทหารจัดการไม่ได้จนสำเร็จหรอก


“ถ่อมตัวแบบนี้ก็เป็นข้อดีเช่นกัน แล้วเดาได้ไหมว่าพวกเรามาหาเมเกอร์กันทำไม”


“ถ้าไม่ได้มาเยี่ยมก็มีแค่มาเจรจาต่อรอง”ผมพูดติดตลกในประโยคแรก มีเพียงเหตุผลเดียวที่เราจะมาหาเขาถึงที่คือการเจรจา ซึ่งการเจรจาจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อทางการเล็งเห็นถึงความสามารถและความจำเป็นของความสามารถของผู้ต้องหาและต้องการให้มาช่วยเหลือพวกเราในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง


“ตามที่พูด เรามาเพื่อเจรจา ความสามารถของเมเกอร์นั้นหาตัวจับได้ยากไม่มีใครสามารถทำได้ขนาดนั้นทางการจึงอยากได้ความสามารถนั้นมาร่วมด้วย”หัวหน้าค่อยๆอธิบาย


“หากทางการต้องการคงไม่ให้พวกเรามาจัดการหรอกมั้ง หรือว่า...จัดการเองไม่ได้?”มีคำตอบเดียวที่คิดได้คือทางการส่งคนมาเจรจาแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จจึงต้องให้พวกเราซึ่งอาจเป็นตัวเลือกสุดท้ายมาจัดการต่อรอง


“ใช่ อย่างที่คิดแหละ ไม่ว่าใครก็ชอบโยนงานยากมาให้หน่วยเราซะจริงเนอะ”


“ถ้าไม่อยากโดนโยนงานครั้งหน้าลองให้พวกเราทำภารกิจไม่สำเร็จดีไหมครับจะได้โยนกลับไปให้เจ้าของคดีจัดการต่อ”สาเหตุที่พวกเขาโยนแต่งานยากๆมาให้เป็นที่รู้กันอยู่ว่าหน่วยสืบสวนพิเศษสามารถจัดการได้ทุกคดี ไม่ว่าจะเป็นฆาตกรรม ลักพาตัว จี้ปล้นหรือแม้แต่วางระเบิด


และเพราะความสำเร็จแทบจะ100เปอร์เซ็นต์นี่ไม่แปลกที่คนอื่นจะอยากทำลายมัน


“เป็นความคิดที่ดีแต่คนที่จะทำไม่ได้มากที่สุดก็คือเธอนะไธม์ จะปล่อยคดีตรงหน้าไว้เฉยๆได้รึเปล่าล่ะ”หัวหน้าพูดเหมือนรู้ทันซึ่งก็ไม่ผิด


 “...ผมคงปล่อยไม่ได้”ผมเป็นคนไม่ชอบปล่อยให้อะไรค้างคา หากมีคดีก็จะจัดการให้เสร็จไม่ใช่ปล่อยหมกทิ้งไว้เป็นเดือนๆค่อยทำ หากช้าแบบนั้นหลักฐานที่ควรจะได้ก็ชวดหมดพอดี


“ก็ว่าอยู่...”


“ถึงแล้วครับ เชิญในห้องนี้ได้เลย พวกเราได้พาตัวเมเกอร์มารอในห้องแล้วครับ”ผู้คุมที่เดินนำหน้าหยุดเมื่อถึงบนประตูสีขาวแตกต่างกับประตูบานอื่นๆตามทางเดินที่มีสีดำหรือเทา คงจะเอาไว้ใช้แยกว่าห้องนี้เป็นห้องอะไร


“ขอบใจ ไธม์”ก่อนจะเปิดประตูหัวหน้าหันมาหาผมอีกครั้ง


“ครับหัวหน้า”


“ถ้าฉันกล่อมไม่ได้ช่วยๆกันหน่อยนะ”พูดจบบานประตูสีขาวก็ค่อยๆเปิดอ้าออก


ด้านในห้องเป็นพื้นที่เล็กๆที่มีเพียงโต๊ะและเก้าอี้วางไว้สองตัว ไฟดวงเล็กห้อยอยู่ด้านบนคอยให้แสงสว่างรำไรจากความมืดของชั้นใต้ดิน เก้าอี้ตัวนึงมีร่างสูงโปร่งของชายคนหนึ่งนั่งก้มหน้าอยู่ พอได้ยินเสียงเดินเข้ามาใบหน้านั้นจึงค่อยๆเงยขึ้นมามองดวงตาสีเขียวมรกตกับใบหน้าเรียวได้รูปทำเอาผมแอบตกใจเล็กๆ


หน้าตาดีแบบนี้ไม่แปลกที่ใครๆจะหลงเชื่อ


แล้วยังมีเส้นผมสีเทาเข้มที่มองเผินๆจะนึกว่าเป็นสีดำแต่เมื่อถูกแสงไฟกระทบจะเห็นคล้ายผมเป็นสีเงิน มือทั้งสองข้างกุมกันไว้อยู่บนโต๊ะโดยมีกุญแจมือใส่ไว้ ถัดไปด้านหลังมีผู้คุม2คนยืนประจำตำแหน่งเพื่อเตรียมรับมือสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ


“สวัสดีเมเกอร์”หัวหน้าเป็นฝ่ายเริ่มเปิดการสนทนาแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม ผมเองเดินมาหยุดยืนเยื้องไปด้านหลังเล็กน้อย


“ช่วงนี้มีคนมาเยี่ยมบ่อยจังนะ ไม่รู้ว่าผมไปมีญาติพี่น้องเพิ่มตั้งแต่เมื่อไหร่”เพียงประโยคแรกของการพูดคุยทำให้ผมเข้าใจได้ทันทีว่าข่าวลือเรื่องปั่นหัวเพื่อนร่วมห้องขังจนต้องถูกแยกขังเดี่ยวเป็นเรื่องจริง


“ฮึฮึ...อย่าพูดแบบนั้นสิ เธอน่ะคงรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าพวกเรามาพบด้วยเรื่องอะไร”หัวหน้าเลือกที่มองข้ามประโยคกวนๆแล้วเปิดประเด็น


“พวกเรา? อ้อ...โทษทีนะคุณตำรวจ โอ๊ะ หรือว่าจะเป็นทหาร จะอย่างไหนก็ช่างคุณนี่ช่างไร้ตัวตนนจริงๆเลยนะขนาดยืนอยู่ตรงหน้ายังมองไม่เห็นเลย”


“...”ผมเลือกใช้ความเงียบแทนคำตอบทั้งที่ในหัวนั้นจินตนาการภาพตัวเองก้าวเข้าไปคว้าคออีกฝ่ายแล้วจับทุ่มลงพื้นสักที
ยียวน กวนประสาทได้เก่งมาก


ขนาดผมที่คิดว่าตัวเองใจเย็นยังเกิดอารมณ์ขึ้นมาง่ายๆ


“คำพูดพวกนั้นไม่ทำให้เราล่าถอยหรอกนะ เป็นไปไม่ได้เลยเหรอถ้าจะให้เธอใช้ความสามารถที่มีกับทางการ”หัวหน้าเอ่ยถามอย่างใจเย็น


“ไม่”คำตอบนั่นไม่มีความลังเลเลยสักนิด


“รู้ไหมว่าหากให้ความร่วมมือโทษจำคุก20ปีจะลดลง”


“รู้ แต่ยังไงคำตอบก็คือไม่”


“...ฉันคงแก่แล้วถึงรู้สึกอึดอัดเวลาอยู่ในห้องแคบๆนี่”หัวหน้ายิ้มพลางลุกขึ้นยืน


“ลองมาอยู่สักอาทิตย์สิรับรองว่าจะชินจนไม่อยากออกเลย ใช่ไหมล่ะผู้คุมทั้งสอง”น้ำเสียงยียวนยังตามมาไม่ขาดสาย แถมครั้งนี้ยังพาลไปถึงผู้คุมด้านหลังด้วย


“ไธม์ จัดการต่อที”หัวหน้าเดินมาแตะไหล่ผมเบาๆระหว่างพึมพำเสียงเหนื่อย พูดกันแค่ไม่กี่ประโยคหัวหน้ากลับทำหน้าคล้ายออกไปทำคดีมาหนึ่งสัปดาห์เศษ


“ผมไม่คิดว่าเขาจะยอมหรอกนะ”แค่ฟังดูก็รู้แล้ว


“น่า ถ้าไม่ได้ก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว ไม่คิดว่าจะขนาดนี้”หัวหน้าคงหมายถึงนิสัยของเมเกอร์ละมั้ง


“จะลองดูครับ”


“ดี ฝากหน่อยละกัน ขอสัก10นาทีเดี๋ยวฉันมาเปลี่ยน”


“...ครับ”5นาทีผมจะทนคุยกับเขาไหวไหมยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ


พอหัวหน้าเดินออกไปทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบราวกับไม่มีคนอยู่ ดวงตาสีเขียวฝั่งตรงข้ามจับจ้องมายังผมที่นั่งลงบนเก้าอี้แล้วเงยหน้าขึ้นไปสบดวงตานั้นอย่างไม่หลีกหนีแสดงให้เห็นว่าผมไม่ได้กลัวเขาแต่อย่างใด


ความเงียบเข้ากลืนกินห้องนาทีแล้วนาทีเล่าโดยไม่มีเสียงพูดคุยใดๆดังขึ้น มีเพียงดวงตาสองคู่ที่ประสานกันนิ่งท่ามกลางความเงียบสงัด


“หลงรักผมเหรอถึงจ้องกันขนาดนี้”ฝ่ายเมเกอร์ยอมเปิดปากก่อน


“งั้นมั้ง”ต้องมีสติอย่าไม่หลงกลกับคำพูดของอีกฝ่าย


“ดูจะกังวลน่าดูนะ ปิดผมไม่ได้หรอก”


“ใครบอกว่าผมต้องการจะปิดล่ะ”ได้ทีผมจึงสวนกลับไปบ้าง


“เห็นหน้านิ่งๆแต่ร้ายใช่เล่นนะคุณ”สายตาของอีกฝ่ายยังคงมองมายังผมคล้ายกำลังจับสังเกตทุกท่าทางหรือกริยาที่แสดออก


“พูดถึงตัวเอง?”


“ฉลาดเนอะ”แม้จะเป็นคำชมแต่ในประโยคนี้และน้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นไม่สามารถเรียกว่าคำชมได้


ถากถางกันชัดๆ


เจ็บกว่าถูกด่าว่าโง่อีก


“ขอบคุณ”แต่จะให้ใช้อารมณ์คงไม่ใช่ผม


“ด้วยความยินดี”เมเกอร์ไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยง่ายๆ สวนกลับถ้อยคำที่ไม่น่าจะเป็นคำด่าให้กลายเป็นคำด่าได้


น่าชื่นชมอะไรแบบนี้


“จะไม่คิดเปลี่ยนคำตอบใหม่จริงๆน่ะเหรอ”หลังจากเสียเวลานั่งจ้องแถมยังตอบโต้อย่างไร้สาระไปนานผมก็กลับเข้าเรื่อง


“ถ้าหมายถึงเรื่องการเข้าร่วมกับทางการละก็ใช่”


“ไม่อยากเป็นอิสระรึไง”นักโทษส่วนมาพอยกเรื่องอิสระหรือลดโทษก็มักจะตาลุกวาวด้วยความต้องการทั้งนั้นแต่กลับผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่


“ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ถือเป็นอิสระ”เป็นคำตอบที่คาดไม่ถึงจริงๆ


ไม่เข้าใจว่าการถูกจับขังเดี่ยว ใส่กุญแจมือ อยู่แต่ในความมืดแบบนี้เป็นอิสระตรงไหน


“หมอนี่มีปัญหาระบบประสาท?”ผมมองข้ามผู้สนทนาไปคุมกับผู้คุมด้านหลัง


“ไม่นะครับ เขาปกติแถมทั้งไอคิวและอีคิวยังเหนือว่าคนธรรมดาอีก”หนึ่งในผู้คุมตอบ


“อ้อ พวกฉลาดมักไม่เต็ม”


“นี่ เห็นผมเงียบก็ว่าเอาๆเลยนะ”


“หรือไม่จริง”


แกร็ก!


ประตูเปิดออกแทรกการสนทนาที่กำลังดำเนินไปอย่างไร้สิ้นสุด ร่างของหัวหน้าไพลสันต์เดินเข้ามาด้วยใบหน้าไม่สู้ดีนัก


“ไธม์”


“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นครับหัวหน้า”ดูหน้าก็รู้แล้วว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น


“พวกสกายต้องการความช่วยเหลือ”


“ผมจะรีบไป...แล้ว...”พอลุกขึ้นเตรียมจะออกไปนอกห้องก็นึกได้ว่ายังพูดคุยกับคนด้านในค้างไว้


“พอจะเปลี่ยนใจบ้างไหมเมเกอร์”หัวหน้าหันไปถามคนด้านใน


“ไม่...แต่คนคนนั้นทำให้ผมรู้สึกสนใจไม่เลว”ระหว่างพูดเขาจับจ้องมายังผมพร้อมรอยยิ้มมุมปาก


“เหรอ แบบนั้นก็ดี งั้นไว้พวกเราจะมาใหม่”


“...”ผมหันควับไปมองหน้าหัวหน้าตัวตัวเอง


มาใหม่?


ไม่อยากมาเจอหมอนี่อีกแล้ว


“หึหึ...ผมจะรออย่างใจจดใจจ่อเลย เนอะไธม์”


ทั้งรอยยิ้ม


น้ำเสียงและใบหน้า


จะกวนประสาทกันจนถึงวิธีนาทีสุดท้ายเลยสินะเมเกอร์!
..............................................................................
สวัสดีค่ะ

มาต่อตอนแรกกับการเปิดตัวพระเอกของเรื่อง

เปิดตัวแล้วก็จริงแต่ก็ยังไม่มีชื่อออกมาอยู่ดี มีแต่ฉายา 555

อาจจะสั้นไปนิดเนื้อหาของตอนยังมีไม่มากเท่าไหร่ค่ะ

แนวเรื่องนี้เป็นแนวที่ไม่เคยแต่งมาก่อนแถมค่อนข้างไกลตัวพอสมควรด้วยแต่ยังไงก็จะพยายามแต่งออกมาให้ดีที่สุดนะคะ

ในตอนนี้พระเอกอาจยังไม่มีบทบาทมากนักเดี๋ยวตอนหน้าจะมีบทเยอะกว่าหน่อย

หวังว่าทุกคนจะถูกใจผลงานใหม่ของเรากันนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
จริงๆก็ยังหวังไว้ว่าพี่ไธม์น่าจะเป็นพระเอก แต่พอมาเจอคุณเมเกอร์แล้วก็ อืมม....ช่างเป็นพระเอกที่เหมาะกับพี่ไธม์จริงๆ เรื่องนี้อ่านแล้วให้บรรยากาศแบบแนวสืบสวนสอบสวนมากค่ะ ชอบ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เมเกอร์คนนี้ จะเป็นคนนั้นที่ต่อยกับกั้กที่ห้องพักของไธม์หรือป่าวนะ  :m28:

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
สืบรัก彡คดีที่2



เมื่อมีภารกิจหรือคดีเข้ามาหน่วยสืบสวนพิเศษจะเลือกคนที่มีความสามารถเหมาะสมเพื่อเพิ่มเปอร์เซ็นต์ในการเคลียร์ภารกิจ ส่วนมากจึงต้องทำงานกันเป็นทีม 2 คนแต่ก็มีไม่น้อยที่ทำงานคนเดียว อย่างตัวผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ชอบทำงานคนเดียว


ด้วยพลังพิเศษที่มีนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะป่าวประกาศให้ใครรู้ได้ง่ายๆ และไม่เพียงแค่ผมแต่ครอบครัวของผมแทบทุกคนมีพลังเป็นของตัวเอง ดูเหมือนว่าพลังนี้จะสืบทอดมาจากฝ่ายแม่เพราะคุณตาเองก็มีพลังเช่นกัน


พลังของผมคือการแปลงร่างเป็นสัตว์ ไม่เพียงแค่สุนัขแต่ได้ทุกชนิดทว่าพลังนี้กลับมีข้อกำจัดหลายๆอย่างหนึ่งในนั้นคือต้องสัมผัสสัตว์ที่ต้องการเปลี่ยนร่าง5วินาทีหากน้อยกว่านี้จะไม่มีผลอะไร ในครั้งแรกที่รับรู้ถึงพลังของตัวเองผมตกใจ สบสนและกังวลอยู่นานมาก


แต่พอเวลาผ่านไปผมเริ่มชินและเรียนรู้ในการใช้พลังนี้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ไม่ใช่เพียงผมแต่รวมถึงมีประโยชน์ต่อคนอื่นๆจนได้มาทำงานในหน่วยสืบสวนพิเศษนี้


คนร้ายที่ฉลาดและเชี่ยวชาญส่วนมากจะไม่เหลือหลักฐานทิ้งไว้ การจะตามรอยหรือหาตัวจึงเป็นเรื่องยาก ทว่าหากใช้พลังผมเข้าไปช่วยในการสืบสวน แม้จะทำความสะอาดดียังไงกลิ่นในที่เกิดเหตุก็ยังคงหลงเหลืออยู่แค่กลายร่างเป็นสุนัขก็สามารถระบุตัวคนร้ายได้ไม่ยาก หลังจากนั้นค่อยตามหาหลักฐานที่หลังก็ยังไม่สาย


กลับเข้ามาเรื่องของหน่วยสืบสวนพิเศษ เมื่อมีคดีที่ต้องการให้จัดการจะมีเอกสารส่งส่งมายังหน่วยสืบสวนพิเศษแต่หากเป็นคดีฉุกเฉินหรือคดีพิเศษหัวหน้าจะสั่งการลงมาว่าจะให้ใครไปทำโดยตรง คนถูกเลือกต้องเตรียมตัวไปยังสถานที่เกิดเหตุส่วนคนที่เหลือสามารถทำอะไรก็ได้ในช่วงเวลานั้น


ยังไงพวกเราก็ไม่มีเอกสารบนโต๊ะให้จัดการเหมือนเจ้าหน้าตำรวจหรือทหารปกติอยู่แล้ว มีแค่เขียนรายงานหลังจบคดีได้เท่านั้น
ยามว่างของแต่ละคนจะหมดไปกับกิจกรรมที่ไม่เหมือนกันอย่างจูน สาวห้าวประจำหน่วยเป็นหนึ่งในคนที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถเรื่องระเบิด ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการทำระเบิดไปจนถึงการกู้ระเบิด มีหลายคดีเลยที่ทางการเรียกจูนไปช่วยในการกู้ระเบิด


ส่วนตัวผมเวลาว่างแบบนี้ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสงบ ภายในสวนจะมีต้นไม้ใหญ่คอยให้ร่มเงาอยู่5ต้น หนึ่งในนั้นเป็นต้นไม้ประจำที่ผมมักจะนั่งพิงลำต้นอันแข็งแกร่งพร้อมกับหลับตาลงปล่อยสติให้ไหลไปตามส่วนต่างๆของร่างกายตั้งแต่หัว คอ ขาจนถึงเท้าแล้วไล่กลับจากเท้า ขา คอไปยังหัว ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาเพื่อฝึกสมาธิ


การจะควบคุมพลังการแปลงร่างของตัวเองต้องใช้สมาธิและพลังมาก ซึ่งไม่ใช่ตอนกลายร่างแต่เป็นตอนกลับร่างเป็นมนุษย์
หากสติหลุด รนหรือไม่มีสมาธิการกลับร่างจะไม่เสถียร


ประเทศไทยเป็นประเทศในเขตร้อนชื้นที่มีฤดูร้อนเป็นหลักไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้าหรือช่วงค่ำก็ยังร้อนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้เวลานั่งสมาธิในช่วงพระอาทิตย์อยู่เหนือศีรษะแม้จะอยู่ในร่มได้เหงื่อก็ยังคงไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง


บางคนพูดกันว่าหากเข้าสู่สมาธิจริงๆจะไม่รู้สึกร้อนหรือหนาว


ผมยังไม่ถึงขั้นนั้นแค่ฝึกเพื่อช่วยในการคุมพลังเท่านั้น


“ไธม์!”เสียงตะโกนเรียกประสานกันเรียกความสนใจให้ผมหันไปมอง ต้นเสียงมาจากทางตึกทำงานของหน่วยซึ่งหน้าต่างบานใหญ่ถูกเปิดอ้าออกโดยมีคนในหน่วย4คนโบกไม้โบกมือพลางส่งเสียงเรียกผมอีกรอบ


“อ่า...จะไปเดี๋ยวนี้”ผมลุกขึ้นก่อนเดินไปหาทั้ง4คน คนแรกที่ส่งยิ้มมาให้คือจิว เขาเป็นคนเดียวที่อยู่ห้องทำงานมากที่สุด คนต่อมาคืออาร์ม ชายสูงร่างกำยำมีทักษะในการต่อสู้เป็นยอดทั้วงมวยปล้ำ มวยหรือคาราเต้ซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นการต่อสู้โดยอาศัยร่างกายเป็นหลัก


ถ้าเป็นด้านพลังไม่มีใครสู้อาร์มได้หรอก


คนที่สามคือสกาย สาวหน้าหวานผู้มีเสน่ห์พิชิตใหญ่หนุ่มๆที่พบเห็นด้วยภาพลักษณ์ราวกับนางฟ้า ทั้งผิวสีขาวหรือแม้แต่เส้นผมยาวสีดำบวกกับรอยยิ้มสดใส แต่ใครจะรู้ว่าจริงๆแล้วเธอเชี่ยวชาญด้านการแฝงตัวและเป็นนกต่อ


ไม่รู้มีกี่ร้อยคนที่ติดกับดักแสนหอมหวานของเธอ


คนสุดท้ายคือแม็ก เคยพูดถึงไปแล้วว่ามีนิสัยขี้หลีสุดๆ แต่ในยามคับขันก็สามารถเชื่อใจได้


ผมกระโดดเข้าไปด้านในจากทางหน้าต่างที่ทุกคนเปิดไว้ บนโต๊ะทำงานผม ไม่สิ บนโต๊ะทำงานของผมและจิวซึ่งอยู่ติดกันมีกล่องพิซซ่า3ถาดวางเบียดกัน ไม่เพียงแค่นั้นทั้งขนมปังกระเทียมและปีกไก่ก็วางอยู่ใกล้ๆ


“มากินกันเถอะ กว่าจะมารอจนท้องร้องแล้ว”แม็กเปิดการสนทนาพลางลูบท้องตัวเอง


“นั่นสิ วันนี้โชคดีที่จิวบอกข่าวเรื่องโปรพิเศษซื้อ3ถาดจ่ายเงินแค่ครึ่งเดียวแถมยังได้เครื่องเคียงอีก”สกายพูดชมจิว


“แฮะๆ ไม่ขนาดนั้นหรอก”จิวที่ถูกชมถึงกับเกาหัวแก้เขิน


“...หิว”อาร์มไม่ได้พูดอะไรมากนอกจากจ้องไปยังถาดพิซซ่าคล้ายกำลังกินทางสายตา


“ซื้อมาเผื่อผม?”ผมถามทุกคน นึกว่ามีเรื่องอะไรถึงเรียกมาไม่คิดว่าจะชวนกิน


“ใช่เลย พิซซ่าต้องแย่งกันกินสิถึงจะอร่อย”สกายตอบผม


“แต่ผม...”


“ไม่กินเนื้อสัตว์ พวกเรารู้น่า”จิวพูดดักทันทีที่รู้ว่าผมจะเอ่ยอะไร


“แล้ว...”


“มีถาดนึงเป็นเวจจี้ ผักล้วนคงไม่เป็นไรใช่ไหมล่ะ”ยังไม่ทันได้ถามจบประโยคแม็กกลับพูดเสริมก่อนเปิดกล่องพิซซ่าตรงหน้าผมออก ผักชนิดต่างๆถูกใช้แทนเนื้อสัตว์วางบนหน้าแป้งโดยมีซอสมะเขือเทศทารองไว้


ทุกคนในหน่วยต่างรู้ดีว่าผมไม่กินเนื้อสัตว์ ความจริงไม่ใช่ว่าไม่กินแต่กินไม่ได้ต่างหาก ตั้งแต่จำความได้แล้วที่ร่างกายไม่รับเนื้อสัตว์ไม่ว่าจะเป็นปลา หมู วัว ไก่หรือแม้แต่ไข่ ผมก็ไม่สามารถกินได้ทั้งนั้น หากฝืนกินเข้าไปผลที่ได้คือจะอาเจียนออกมาไม่หยุด
พ่อกับแม่เองตกใจถึงขนาดพาไปหาหมอแต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติจนมารู้ถึงพลังที่ผมมีทุกอย่างจึงประกอบเข้าด้วยกัน ผมสามารถแปลงร่างเป็นสัตว์ได้จึงมีข้อจำกัดใหญ่คือเรื่องอาหารคือไม่สามารถกินสัตว์ได้


คงคล้ายๆกับการไม่กินพวกเดียวกันเอง อย่างมนุษย์ก็ยังไม่กินเนื้อมนุษย์ด้วยกัน


แต่เพราะผมไม่ได้กลายร่างเจาะจงจึงจำต้องไม่กินมันซะทุกอย่าง


จะว่าไม่ดีก็ไม่ใช่


จะว่าดีก็ไม่เชิง


“ขอบคุณ”ผมบอกกับทุกคน ปกติผมไม่ค่อยไปกินข้าวกับใครเนื่องด้วยข้อจำกัดนี้


คนที่ไม่สามารถกินเนื้อสัตว์ได้จะสร้างความลำบากและรำคาญให้กับคนอื่น


ผมจึงไม่ค่อยไปกินข้าวกับใคร


คนในหน่วยเองก็รู้จึงไม่ค่อยมีใครชวนผมไปไหนนักแต่ใช่ว่าจะไม่มีใครชวน


อย่างครั้งนี้ ทั้งที่พวกเขาจะสั่งมากินโดยไม่บอกหรือชวนผมก็ได้แต่ยังอุตส่าห์นึกถึงแล้วสั่งพิซ่าแบบไม่มีเนื้อสัตว์ให้อีก


ผมว่าตัวเองคิดถูกที่เรื่องทำงานในหน่วยสืบสวนพิเศษนี้


หลังจากมื้อเที่ยงผ่านพ้นพวกเราแต่ละคนต่างแยกย้ายไปทำสิ่งต่างๆ บางคนก็ออกไปทำคดีที่ถูกส่งมาหลังพิซซ่าชิ้นสุดท้ายหมดถาด วันนี้หัวหน้าไม่อยู่อำนาจในการตัดสินใจจึงกลายเป็นของผมไปโดยปริยาย และต่อให้อยู่หัวหน้าก็ให้ผมเป็นคนจัดการอยู่ดี ซึ่งจากข้อมูลของคดีผลได้ส่งให้สกายและแม็กออกไปทำคดีร่วมกัน ส่วนคนอื่นที่ไม่มีงานอะไรก็ออกไปข้างนอกบ้าง นั่งเลยบ้างสลับกันไป


สำหรับผมช่วงบ่ายมักจะใช้เวลาหมดไปกับโลกอินเตอร์เน็ต ในปัจจุบันเรารับรู้ข้อมูลไม่ได้ผ่านกระดาษเพียงอย่างเดียวทางหน้าจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์เองกลายเป็นแหล่งศึกษาข้อมูลชั้นยอดได้แถมยังอัพเดทกว่าพวกหนังสืออีก


ครืดดด ครืดดด


แรงสั่นจากเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงเรียกเจ้าของอย่างผมให้หยิบขึ้นมากดรับสายโดยไม่ได้ดูรายชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ


“ครับ”


(ไธม์) น้ำเสียงร้อนรนจากปลายสายทำเอาผมเริ่มขมวดคิ้วแน่น


“หัวหน้า? เกิดอะไรขึ้นครับ”ไม่บ่อยนักที่หัวหน้าจะใช้โทรศัพท์ติดต่อมาโดยตรงหากไม่ใช่เรื่องด่วนหรือมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น


(เปิดคอมอยู่รึเปล่า)


“ครับ”


(เข้าไปในเพจนี้เดี๋ยวนี้เลย) ระหว่างคุยหัวหน้าก็ส่งบางหน้ามาให้ทางข้อความเฟสบุ๊ก เมื่อคลิ๊กลิ้งหน้าเพจหนึ่งก็ปรากฏขึ้น เป็นเพจเกี่ยวกับการแฮกข้อมูลผ่านทางอินเตอร์เน็ตด้วยวิธีง่ายๆ


พอลองเลื่อนลงไปโพสล่าสุดของเพจก็พบกับการไลฟ์สดโดยมีภาพของหน้าจอคอมพิวเตอร์อันเต็มไปด้วยโค้ดมากมายที่ไม่สามารถบอกได้ว่าคืออะไร มองคร่าวๆดูเหมือนจะเป็นโค้ดของเว็บบางเว็บ


“...กำลังแฮ็กเว็บอยู่”ผมพึมพำเสียงเบา ความรู้ด้านนี้ผมไม่มีจึงไม่รู้ว่าในไลฟ์สดนี่กำลังทำอะไรอยู่แต่ถ้าให้เดาคงไม่พ้นการแฮ็กเว็บหรอก


(จะว่าเป็นเว็บก็ใช่ พวกเขากำลังแฮ็กเข้าฐานข้อมูลกลางของตำรวจ)


“ฐานข้อมูลกลาง? เป็นไปไม่ได้...ระบบของทางตำรวจไม่น่าหละหลวมแบบนั้น”ต่อให้มีฝีมือแต่การจะแฮ็กเข้าฐานข้อมูลกลางที่ใช้เป็นฐานในการเก็บและกระจายข้อมูลของทางตำรวจไม่ใช่เรื่องงาย


แถมนี่ยังทำโชว์อีก


(ฉันได้รับการติดต่อจากทางนั้นมาโดยตรงดูเหมือนว่าแฮกเกอร์นั่นจะเก่งพอดู คนที่ดูแลระบบตอนนี้พากันไปพักร้อนอยู่ต่างประเทศเหลือผู้ช่วยอยู่ก็จริงแต่ยังใหม่อยู่ มีความเป็นไปได้ว่าจะสกัดไว้ไม่ได้)คำอธิบายเหล่านั้นทำให้ผมคิดหนักว่าจะทำยังไงต่อไป


ไม่มีทางที่หัวหน้าจะให้ผมหรือคนในหน่วยที่เหลือไปช่วยเสริมจัดการกับแฮ็กเกอร์แน่ๆเพราะพวกเราอาจใช้คอมพิวเตอร์ได้แต่ใช่ว่าจะสามารถสกัดแฮ็กเกอร์ที่บุกเข้ามาทางเน็ตเวิคได้


นั่นหมายความว่าต้องมีอย่างอื่น


อะไรบางอย่างที่ผมสามารถช่วยเพื่อจัดการเรื่องนี้ได้


เดี๋ยวนะ...แฮ็กเกอร์เหรอ


“...จะให้ผมไปหาเมเกอร์?”ผมพึมพำเสียงเบาหวิว


เพียงแค่นึกถึงความกวนประสาทของผู้ต้องหาในคุกกลางที่3เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนผมก็อยากถอนหายใจออกมาดังๆสัก10รอบ


(สมกับเป็นเธอ เข้าใจเรื่องได้เร็วจริงๆ อย่างที่รู้ว่าฉันกำลังติดงานด่วนเลยอยากให้เธอไปกล่อมเมเกอร์ให้ช่วยจัดการที แต่ต่อให้ฉันไปคงกล่อมไม่สำเร็จอยู่ดี)


“ต่อให้เป็นผมก็ใช่ว่าจะสำเร็จนะครับ”ผมไม่มีความมั่นใจว่าจะทำสำเร็จเลยสักนิด


(ดูเขาสนใจไธม์นี่ ช่วยหน่อยละกัน)


“...ครับ”พูดมาขนาดนี้ผมจะตอบอะไรกลับไปได้อีกล่ะ


วางสายจากหัวหน้าเสร็จเสียงถอนหายใจแรงๆของผมก็ดังขึ้นทำเอาคนรอบๆถึงกับหันมามองเป็นตาเดียว ทว่าผมไม่มีเวลาแม้แต่จะอธิบายอะไร สถานการณ์ตอนนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนผมจึงรีบขับมอเตอร์ไซค์คันสีดำของตัวเองตรงไปยังเรือนจำกลางพิเศษที่3ทันที


การมาเยือนครั้งนี้ไม่มีการนัดหรือติดต่อล่วงหน้าทางเรือนจำจึงจะให้ผมทำเอกสารขอยื่นคำร้องให้เรียบร้อย แน่นอนว่าผมไม่มีเวลาจะมาทำอะไรเป็นขั้นตอนยืดเยื้อแบบนั้นเลยตัดสินใจยื่นตราประจำตัวไปตรงหน้า


ตราสัญลักษณ์รูปนกสองตัวเป็นที่รู้กันดีในแวดวงว่าหมายถึงหน่วยสืบสวนพิเศษ แล้วสีน้ำเงินด้านบนผ้าพันคอนอกนั่นบ่งบอกถึงระดับรองหัวหน้าซึ่งมีอำนาจทัดเทียบกับตำรวจระดับสูง ถ้าเป็นสีขาวจะทัดเทียบกับผู้นำบัญชาการของทั้งทหารและตำรวจ เป็นสีของหัวหน้า


ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ถ้าหัวหน้ามาเองคงใช้หน้าตาแทนบัตรผ่านเพราะมีใบหน้าลงอยู่ในหนังสือพิมพ์หรือตามโทรทัศน์บ่อยๆ
ส่วนคนอื่นๆจะเป็นสีเหลือง ถึงจะเป็นสีเหลืองแต่ก็มีอำนาจมากพอในการออกคำสั่งคนอื่นๆได้ เพราะยังไงพวกเราก็เป็นหน่วยงานพิเศษที่ใครๆต่างยอมรับในฝีมือ แม้จะมีถูกไม่ชอบหน้าบ้างก็ตาม พอผู้คุมเห็นตราประจำตัวผมก็ถึงกับเบิกตากว้างรีบเปิดทางให้ผ่านไปโดยดี ชั้นใต้ดินนี้ผมมาเยือนเป็นครั้งที่2แล้ว


“ขอโทษนะครับคือตอนนี้ห้องสำหรับพบผู้ต้องหากำลังถูกใช้อยู่ ถ้ายังไงรบกวนรอ...”


“ผมรอไม่ได้ เรื่องนี้ด่วนมาก”ผมไม่รอให้ผู้คุมที่วิ่งตามมาพูดจบรีบจัดการตอบกลับพร้อมก้าวขาเร็วๆตรงไปตามทาง


จะให้รอจนห้องว่างพวกนั้นคงแฮ็กระบบเข้าไปได้พอดี


“ถ้างั้นจะทำยังไง”


“เปิดห้องขัง”


“แต่นั่นมันผิดกฎแล้วถ้าเขาหนี...”


“ถ้ามีอะไรเกิดผมรับผิดชอบเอง เมเกอร์อยู่ห้องไหน”ผมตัดบทก่อนถามกลับ แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มาแต่ก็ไม่ได้รู้ว่าห้องขังของเมเกอร์อยู่ไหน


“...ห้องด้านในสุดครับ”


“กุญแจล่ะ”ผมถามต่อ


“นี่ครับ”


“ขอบคุณ”พูดจบผมก็เร่งความเร็วขึ้นโดยไม่รอผู้คุมที่ชะลอความเร็วลงจนมาถึงยังประตูบานใหญ่ด้านในสุด


ริมผนังด้านข้างประตูมีปุ่มไฟสำหรับใช้เปิดปิดไฟภายในห้องขังอยู่ประมาณ5ดวงซึ่งมีเขียนติดเลขห้องไว้ ผมไม่รอช้าเปิดไฟในห้องซึ่งเป็นป้าหมายก่อนจะไขกุญแจแล้วเปิดประตูเข้าไปโดยไม่มีการเคาะ


ด้านในห้องขังไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายนอกจากเตียงเก่าๆและห้องน้ำโทรมๆด้านข้าง เจ้าของห้องขังหรือเมเกอร์กำลังนอนหงายยกขากระดิกไปมาอย่างสบายอารมณ์ราวกับกำลังอยู่ในช่วงทัวร์ท่องเที่ยวไม่ใช่ในคุกที่แทบไม่มีแสงสว่างให้
เพราะเสียงเปิดประตูและไฟด้านบนที่สว่างขึ้นอย่างกะทันหันเรียกคนบนเตียงให้หันมามอง และพอเห็นว่าเป็นผมดวงตาสีเขียวนิ่งๆกลับทอประกายพร้อมรอยยิ้มมุมปาก


“มาหาผมถึงห้องแบบนี้คิดจะทำอะไรผมล่ะครับ”เมเกอร์ลุกขึ้นจากเตียงเดินตรงเข้ามาหาผม


แค่ประโยคแรกก็ทำเอาผมอยากหันหลังปิดประตูใส่ใบหน้ากวนๆนั่นซะเดี๋ยวนี้เลย


“ขอผมคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวได้ไหม”ผมหันไปบอกผู้คุมซึ่งกำลังยืนหอบจากการวิ่งตามมา


“ได้ครับ”อีกฝ่ายพยักหน้าเบาๆก่อนจะถอยออกไป


ประตูเหล็กถูกปิดโดยในห้องยังมีแสงสว่างจากหลอดไฟดวงเล็กๆด้านบน แม้จะมืดไปบ้างแต่ก็ไม่ได้มากจนไม่สามารถพูดคุยได้ ผมพยายามมองไปรอบห้องเพื่อหาที่นั่งแต่ไม่นานก็ต้องเลิกคิด


นี่ไม่ใช่เวลามาหาที่นั่ง


“เมเกอร์...”


“น้ำเสียงร้อนรนพอดูเลยนะ ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรจะคุยแต่คงต้องปฏิเสธ”ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรออกไปก็ถูกปฏิเสธซะแล้ว เขาคงอ่านท่าทีและน้ำเสียงที่แสดงออกของผมได้ว่ากำลังมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้น


“เรื่องนี้เป็นเหตุฉุกเฉิน ตอนนี้มีแฮ็กเกอร์พยายามแฮ็กเข้าไปในฐานข้อมูลกลางของตำรวจ และพวกเราต้องรีบหยุดพวกเขา”ผมอธิบายรัวๆ


“ไม่ใช่พวกเราแต่เป็นคุณต่างหาก อย่าเหมารวมว่าผมต้องไปช่วยตำรวจพวกนั้นสิ”


“ถ้าสกัดพวกนั้นไม่ได้ข้อมูลมากมายต้องรั่วไหลออกไปข้างนอกแน่”


“แล้วยังไงล่ะ ไม่เกี่ยวกับผมนี่ ดีซะอีกเรื่องการยักยอกเงินหรือยัดเงินใต้โต๊ะจะได้ถูกเปิดเผยซะบ้าง อีกอย่างมันไม่เกี่ยวกับคุณด้วยนี่”เมเกอร์จอบพลางยักไหล่อย่างไม่แยแสก่อนดวงตาสีเขียวนั่นจะหันมาสบตรงๆ


“ไม่เกี่ยวยังไง”ผมถามกลับ


“ก็คุณไม่ใช่ตำรวจสักหน่อยไม่เห็นต้องร้อนรนจัดการแทนเลย”


“ทำไมถึงรู้”ผมหรี่ตาจับจ้องไปยังคนตรงหน้าด้วยความสงสัย จริงอยู่ที่หน่วยสืบสวนคดีพิเศษไม่ได้เป็นหน่วยลับแต่หน่วยของเราก็ไม่ได้เปิดเผยตัวต่อสาธารณะนัก เวลาจัดการคดีได้ก็จะให้ทางเจ้าของคดีเป็นคนจัดการต่อ


“ตราสัญลักษณ์บนเสื้อครั้งก่อนที่มาก็คิดอยู่ว่าคุ้นๆ พึ่งนึกออกไม่กี่วันมานี่เองว่าเป็นสัญลักษณ์ของหน่วยสืบสวนพิเศษ”คำอธิบายทำเอาผมตกใจอยู่ไม่น้อย


สัญลักษณ์บนเสื้อที่ว่าเป็นเพียงเข็มกลัดลายนกสองตัวที่มีขนาดเล็กประมาณเหรียญ5บาท ขนาดผู้คุมด้านนอกยังไม่สังเกตเห็นจนผมต้องยื่นตราประจำตัวให้ แต่กลับเมเกอร์ได้เห็นเพียงครั้งเดียวกลับสามารถสังเกตและจำได้


ไม่ธรรมดาจริงๆ


“ถ้ารู้ว่าผมเป็นใครก็น่าจะรู้ว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับหน่วยสืบสวนพิเศษยังไง”


จริงอยู่ว่าเรื่องภายในของตำรวจไม่เกี่ยวกับหน่วยอื่น แต่อย่างที่เคยบอกไปว่าหน่วยสืบสวนพิเศษไม่ได้ขึ้นอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยกลางที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือเวลาถูกติดต่อมาไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือทหารก็ตาม


“ผมไม่ได้อยู่ในหน่วยด้วย”อีกฝ่ายตอบกลับทันทีราวกับแปลความหมายของประโยคก่อนหน้าได้ในเวลาอันรวดเร็ว


“ในเมื่อคุณมีความสามารถเหล่านั้นอยู่กับตัว ทำไมถึงไม่คิดใช่มันเพื่อช่วยคนอื่นบ้างล่ะ”


“เพราะผมไม่ได้มีจิตอาสาที่จะช่วยใครไปทั่ว”


“ประโยคนั้นแปลว่าไม่ได้ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง”ผมพูดต่อ คำว่าไม่ได้ช่วยใครไปทั่วแปลได้อีกความหมายคือสามารถช่วยได้หากอยู่เขตหรือขอบเขตที่กำหนด


“...คุณนี่แปลกคน”เมเกอร์นิ่งไปสักพักก่อนจะพูด


“ผมจะถือว่าเป็นคำชมละกัน”


“แถมยังคิดเข้าข้างตัวเองอีก”


“...”ผมเลือกที่จะใช้ความเงียบแทนคำตอบ ดวงตาสีน้ำตาลของผมจับจ้องไปยังอีกฝ่ายนิ่งๆ


“ก็ได้ ผมจะช่วยเพียงแต่มี2ข้อที่คุณต้องทำก่อน”เมเกอร์ตอบพร้อมชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว


“2ข้อ?”ผมชักรู้สึกหวั่นๆกับสิ่งที่จะต้องทำแล้วสิ


ไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหน


“ข้อแรกเมเกอร์เป็นฉายาไม่ใช่ชื่อผม ข้อสองผมต้องการให้คุณทายถึงเครื่องดื่มที่ผมอยากกิน ถ้าทายถูกก็ต้องเอามาให้ด้วย ง่ายๆใช่ไหมล่ะ”ทั้งสองข้อถูกเอ่ยออกมาตามลำดับ


คิ้วสองข้างของผมขมวดเข้าหากันแน่นเพื่อคิด วิเคราะห์คำพูดของเมเกอร์ และเพียงไม่กี่อึดใจผมก็สามารถเข้าใจความหมายทุกอย่างได้


“ได้เบซิล”ผมเรียกชื่ออีกฝ่าย ไม่ใช่ฉายาแต่เป็นชื่อจริงๆ


ตั้งแต่ครั้งก่อนที่เจอกันผมได้ลองสืบหาข้อมูลของเขาไว้บ้าง หนึ่งในข้อมูลที่รู้มาคือชื่อเล่นจริงๆของเมเกอร์คือเบซิล เขาเป็นลูกครึ่งอิตาลี่ มีแม่เป็นคนไทยและมีพ่อเป็นคนอิตาลี่ รวมถึงข้อมูลที่ครอบครัวได้จากไปหมดแล้วตั้งแต่ยังวัยรุ่น


“...คุณนี่น่าสนใจจริงๆ รู้ด้วยเหรอว่าผมต้องการอะไร”เบซิลดูเหมือนจะอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินผมเรียกชื่อ


“ไม่เห็นยาก ในเมื่อฉายาไม่ใช่ชื่อความหมายเดียวก็คือต้องการให้เรียกชื่อไม่ใช่เหรอ”ไม่ใช่เรื่องที่ยากสักนิดแค่ค่อยๆทำความเข้าใจประโยคเหล่านั้นก็พอแล้ว


“คนอื่นมีแต่จะทำหน้างง ตอบก็ไม่ถูก”


“ในเมื่อผมตอบถูก ช่วยจัดการพวกแฮ็กเกอร์ให้หน่อย”ผมไม่รอช้าเปิดซิปกระเป้าเป้ซึ่งสะพายออกมาจากที่ทำงาน โน้ตบุกสีดำถูกหยิบออกมายื่นให้อีกฝ่ายทว่าเขากลับยื่นนิ่งๆไม่รับไป


“อีกข้อล่ะ”เบซิลทวงอีกข้อ


“ช่วยผมก่อน”ผมพยายามต่อรอง


ตอนนี้แทบจะไม่เหลือเวลาแล้ว


โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นไม่หยุด ผมรู้เลยว่าใครโทรเข้ามา


แทนที่จะรับผมอยากพูดกล่อมเบซิลให้สำเร็จก่อน


“คุณมีสิทธิ์ต่อรอง?”


“ไม่มีหรอก แต่ผมต้องการความสามารถของคุณจริงๆ” ถ้าผมทำได้คงทำไปแล้วแต่คนธรรมดาไม่ได้มีพื้นฐานทางคอมพิวเตอร์มากขนาดจะแฮ็กหรือป้องกันการแฮ็กระบบได้


ถ้าเป็นเบซิลจัดการได้อยู่แล้ว แฮ็กเข้าระบบที่ยากกว่านี้ยังทำมาแล้วเลย


“รู้ไหมว่าข้อสองของผมหมายถึงอะไร”เบซิลถามต่อ


“นม”


“ทำไมถึงเป็นนม”


“เพราะผมชอบ”เป็นคำตอบง่ายๆ ผมไม่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายชอบอะไรแถมไม่มีเวลาคิดเลยจำต้องตอบสิ่งที่ผุดเข้ามาในหัวเป็นอย่างแรก


ผมไม่กินพวกเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่างกาแฟ ถ้าเป็นชาก็ยังกินบ้างแต่จะให้ดีต้องเป็นนม ยิ่งเป็นนมสดที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์ยิ่งมีรสชาติอร่อย


“...หึ น่าสนใจจริงๆด้วย แต่ผมบอกแล้วนี่ว่าต้องการแค่ทายถูกไม่ได้แปลว่าจะจบแค่นั้นนะ”


“ช่วยจัดการแฮ็กเกอร์ก่อนแล้วผมจะให้คุณได้กินนมที่อร่อยที่สุด”


“ฮืม...อร่อยที่สุด? ผมไม่ได้หลงเชื่อใครง่ายๆหรอกนะ”อีกฝ่ายตอบกลับ


“เพราะเอาแต่หลอกคนอื่นเลยกลัวถูกหลอกกลับรึไง”


“ใช่ ยังไงการหลอกก็ทำได้ง่ายๆอยู่แล้ว แค่คำพูดปากเปล่ามันไม่มีความน่าเชื่อถือสักนิด”คำพูดของเขาทำให้ผมรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะเชื่อใจใคร ไม่สิ ไม่ใช่ไม่เชื่อแต่อาจจะไม่กล้าเชื่อก็เป็นได้


“นี่คือบัตรประจำตัวผมที่ต้องมีติดตัวอยู่ตลอด เวลาจะไปทำคดีจำเป็นต้องยื่นเพื่อยืนยันตัวตน”ผมพูดพลางหยิบบัตรประจำตัวหรือตราที่เคยยื่นให้ผู้คุมก่อนหน้านี้ขึ้นมา


“แล้ว?”เบซิลดูจะไม่เข้าใจว่าผมอธิบายทำไม


“ผมฝากไว้ที่คุณ ถ้าวันนี้ไม่ได้กินนมอร่อยๆก็ไม่ต้องคืน”


“...”ครั้งนี้เป็นฝ่ายเบซิลนิ่งไปบ้าง เขามองใบหน้าผมสลับกับบัตรประจำตัวที่ถูกยื่นไปตรงหน้า


ผมไม่สามารถทำให้คนที่ไม่รู้จักการเชื่อใจไว้ใจได้ง่ายๆจึงคิดได้แต่วิธีการแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียมเพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของผม


มันอาจดูเว่อร์ที่ต้องใช้บัตรประจำตัวแลกเปลี่ยนแต่ถ้าเป็นอย่างอื่นคงไม่มีความหมายเท่า


“ถ้าสัญญาว่าจะทำ ผมก็จะทำให้ได้...ไม่ผิดสัญญาแน่นอน”ผมพูดย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง


คำสัญญาไม่ใช่สิ่งที่ผมจะเอ่ยไปเล่นๆ ถ้าสัญญาแล้วว่าจะทำผมก็จะทำมันให้สำเร็จ


ดวงตาสีเขียวของเบซิลประสานเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลของผมสักพักก่อนจะเอื้อมมือมารับบัตรจำตัวและโน้ตบุกของผมไปกางนั่งบนเตียงพร้อมเปิดหน้าจอโน้ตบุกขึ้นมา ผมเองเดินตามไปดูเพื่อศึกษาวิธีการจัดการทว่าหน้าจออันเต็มไปด้วยรหัสนับพันๆแถวปรากฏขยับเลื่อนตามการใช้เมาส์ พอถึงบริเวณที่ต้องการเบซิลพิมพ์อะไรบางอย่างเข้าไปหน้าจอที่เต็มไปด้วยรหัสกลับเปลี่ยนเป็นหน้าจอหลักสีน้ำตาลแดงและมีตราของตำรวจแสดงอยู่กลางจอ


รหัสที่ล๊อคไว้ถูกแฮ็กอย่างรวดเร็วจนผมยังต้องเบิกตากว้าง ไม่เพียงแค่นั้นนิ้วมือที่คีย์โค้ดนับสิบยังหน้าต่างด้านข้างช่างเร็วจนมองตามแทบไม่ทันรู้ตัวอีกทีปุ่มเอนเทอร์ก็ถูกกดพร้อมหน้าเว็บไซต์ที่ถูกปิดลง


“เสร็จแล้ว”เบซิลบอกพลางเงยหน้ามองผมซึ่งกำลังอึ้งกับภาพอันน่าตกใจเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน


“...เสร็จแล้ว?”ผมถามอย่างไม่แน่ใจ


ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อในฝีมือแต่นี่มันเร็วไป


ถ้าจับเวลายังไม่ถึง5นาทีเลยด้วยซ้ำ


จะบอกว่าสามารถแฮ็กเข้าระบบฐานข้อมูลกลางของตำรวจและจัดการพวกแฮ็กเกอร์อีกฝั่งสำเร็จได้ด้วยเวลาแค่5นาทีเนี่ยนะ ต่อให้เป็นเจ้าของระบบผมยังไม่คิดว่าจะทำได้ในเวลาแค่นี้เลยด้วยซ้ำ


“อืม อย่าลืมสัญญาล่ะ ตัวประกันอยู่นี่นะ”ไม่พูดเปล่าเบซิลชูบัตรประจำตัวผมขึ้นมาโชว์


“รู้แล้วน่า เดี๋ยวกลับมาฝากโน้ตบุกก่อนละกัน”พูดจบผมจึงเดินออกไปจากห้องขัง


(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


ระหว่างขับเมอร์เตอร์ไซต์ไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่งผมได้ติดต่อกับหัวหน้าและรายงานเรื่องทั้งหมดไปว่าสามารถจัดการเรื่องแฮ็กเกอร์ได้แล้ว คำชมที่ได้รับช่วยให้ความเหนื่อยคลายออกไปได้บ้าง


ร้านอาหารโทนสีขาวมีสวนขนาดเล็กล้อมรอบโดยมีทั้งโซนนั่งด้านนอกและในร้านตามความต้องการของผู้มาเยือน โต๊ะไม้สีน้ำตาลอ่อนตัดกับผนังสีขาวและเข้ากันได้ดีกับของประดับสีชมพูไม่ว่าจะเป็นแจกันดอกไม้เล็กๆบนโต๊ะ พรมด้านหน้าประตูหรือแม้แต่ผ้าม่านก็ล้วนเป็นสีชมพู


มอเตอร์ไซค์คันสีดำเลี้ยวไปจอดบริเวณหลังร้านก่อนจะเปิดประตูเข้าไปทางประตูหนังสำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เดินมาไม่นานก็เจอเข้ากับทางแยกสามทาง แยกแรกเป็นห้องครัว ฝั่งตรงข้ามเป็นทางไปหน้าร้านและถ้าตรงไปจะเป็นห้องพักและห้องเก็บของ
ผมเลือกที่จะเดินออกไปยังหน้าร้าน ตอนนี้เป็นช่วงเวลาประมาณบ่าย3แถมยังไม่ใช่วันหยุดจึงไม่มีลูกค้ามาก มีเพียง3โต๊ะเท่านั้น มองผ่านกลุ่มลูกค้าไปด้านข้างก็เจอเข้ากับโต๊ะไม้ที่ถูกปูทับด้วยผ้าสีชมพูนุ่มๆโดยมีร่างของชายรูปร่างท้วมนิดๆฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะ


“กระวาน”ผมเรียกพลางเดินเข้าไปหาน้องชายคนรองของตัวเอง ครอบครัวผมมีพี่น้อง4คนซึ่งผมเป็นคนโต และกระวานเป็นน้องคนแรกของผม


อย่างที่เคยบอกไปว่าครอบครัวของผมค่อนข้างพิเศษ สายเลือดจากทางฝั่งแม่ทำให้พวกเราทุกคนมีพลังพิเศษแตกต่างกันไป แม่ผมเองก็สามารถมองเห็นวิญญาณได้ ส่วนน้องชายคนนี้สามารถได้ยินเสียงในใจของคนอื่น...แต่จะได้ยินเฉพาะเรื่องลามก
เพราะเป็นพลังที่ไม่เสถียรแถมยังได้ยินตลอดจึงมักจะใส่หูฟังกันเสียงเหล่านั้นไว้ตลอด


เป็นพลังที่สร้างภาระให้การดำเนินชีวิตประจำวันพอสมควร


การใส่หูฟังช่วยกันเสียงได้ซึ่งก็ดีแต่เวลาจะเรียกก็ลำบากเหมือนกัน


“กระวาน”ครั้งนี้ผมเรียกพร้อมเขย่าร่างนั้นเบาๆก่อนดวงตาสีน้ำตาลเช่นเดียวกับผมจะค่อยๆปรือขึ้น พอเห็นว่าเป็นผมกระวานก็เงยหน้าขึ้นมามองผมงงๆ


“พะ...พี่ไธม์?”น้ำเสียงคล้ายเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อว่าเป็นผมจริงๆ


“มานอนตรงนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก แอร์มันลงหัวพอดี”บอกเสร็จผมจึงใช้สายตาบอกให้กระวานลุกขึ้นแล้วทำการเลื่อนโต๊ะไปด้านข้างอีกหน่อย


“โหย ห่วงเกินไปแล้วพี่”


“ก็เลิกทำตัวให้ห่วงสิ”ต่อให้น้องจะโตอายุเกิน20แล้วยังไงคนเป็นพี่ก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี


“ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย นึกว่าฝันซะอีกไหง๋พี่มาร้านได้ล่ะ”น้ำเสียงกึ่งกวนโอ้ยนั่นทำเอาผมคลี่ยิ้มบางๆกลับไป


“มีเรื่องนิดหน่อย”


“เรื่อง? ให้ผมไปเรียกโป๊ยกั๊กมาช่วยดีไหม ขานั้นแข็งแรงจะตาย เผื่อครอบครัวเราจะได้ออกไปปล่อยหมัดกัน”ระหว่างพูดกระวานทำท่าปล่อยหมดซ้ายขวาด้วยใบหน้าจริงจังจนหูฟังข้างนึงหลุดลงมา


“ให้โป๊ยกั๊กเรียนไปเถอะช่วงนี้ใกล้สอบแล้วด้วย”โป๊ยกั๊กที่พูดถึงคือน้องชายคนที่2ของผมเอง ซึ่งนอกจากจะมีความสามารถด้านกีฬาเป็นยอดแล้วยังมีเซนส์ในการต่อสู้ดีด้วย เวลาผมกลับบ้านมักจะพากันไปซ้อมต่อสู้บ่อยๆ อีกทั้งด้วยนิสัยที่ค่อนข้างใจร้อนทำให้ผมค่อนข้างเป็นห่วง ช่วงนี้กำลังยุ่งเพราะใกล้ช่วงเตรียมสอบเข้ามหาลัยด้วย


“ชิ หมดเวลาสนุกแล้วสิ”


“พูดถึงแต่คนอื่นแล้วเราล่ะไม่เป็นไรนะ”กับกระวานเองผมก็ห่วงไม่แพ้กันหรอก เสียงในใจที่ได้ยินมันส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตมาก ยิ่งอยู่กับคนเยอะๆความคิดของคนเหล่านั้นจะหลั่งไหลเข้ามาจนสร้างภาระหนักให้ร่างกาย


“เป็นสิ เป็นน้องพี่ไง”พูดไปหัวเราะไปนี่แหละน้องชายผม ร่าเริงดีจริงๆ


“เลิกกวนได้แล้ว”ผมขยี้เส้นผมดำนั่นด้วยความเอ็นดู


“ฮิ ผมไม่เป็นไรหรอกน่า ชินกับมันแล้วล่ะ พี่เถอะทำงานอันตรายน่าเป็นห่วงกว่าอีก”กระวานตอบกลับ


“นั่นคำพูดของโป๊ยกั๊กนี่”ผมจำได้ว่าเคยถูกน้องชายคนเล็กพูดประโยคนั้นมาหลายรอบแล้ว


“ยังไม่จดลิขสิทธิ์สักหน่อย ขอใช้หน่อยคงไม่ขี้หวงหรอก”


“ครับๆ ขอตัวไปหาพ่อก่อนล่ะ”ผมตัดบทแล้วเตรียมจะเดินกลับไปทางห้องครัว


“ตอนนี้พ่อไม่อยู่ไปรับเพกาน่ะ”กระวานพูดต่อ


“อ้อ...จริงด้วยเวลาเลิกเรียนนี่นา”เพกาคือน้องสาวเพียงคนเดียวของผม เธอยังอยู่ชั้นมัธยมต้นคุณพ่อเลยอาสาขับรถไปรับส่งเป็นบางครั้ง หากวันไหนโป๊ยกั๊กไม่ติดเข้าชมรมหรือมีธุระก็จะให้เพกากลับด้วย ทั้งคู่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน


“อยู่รอไหมจะได้ช่วยผมรับออร์เดอร์ด้วย”


“ไม่ล่ะ ฝากบอกพ่อด้วยว่าขอนมสักครึ่งโหล”


“เอาไปทั้งโหลเลยก็ได้”


“ไว้จะมาเอาใหม่น่า”


“ให้โป๊ยกั๊กไปส่งถึงห้องก็ได้นะ”


“ใช้น้องอีกแล้ว”ผมส่ายหัวอย่างปลงๆ กระวานกับโป๊ยกั๊กสนิทกันมากกว่าผมอาจเพราะนอนห้องเดียวกันมาตลอดก็เป็นได้


“น้องไม่ยอมให้ใช้ง่ายๆสักหน่อย แต่ถ้าบอกให้เอานมไปให้พี่คงรีบไปส่งเลยมั้ง”


“ก็อย่ากวนน้องให้มากนัก พี่ไปก่อนล่ะ แล้วเจอกัน”ผมหยิบหูฟังที่ตกใส่เข้ายังหูของกระวานก่อนจะเดินกลับไปทางห้องครัว
ในห้องครัวแบ่งเป็นส่วนของงานครัวและตู้เย็นขนาดใหญ่ หน้าตู้จะมีเขียนป้ายชี้บ่งไว้ว่าตู้นี้เป็นเนื้อสัตว์หรือผัก เนื่องจากบางทีคุพ่อก็โก๊ะเปิดผิดประจำ ตู้ที่ผมต้องการอยู่ทางริมสุดเป็นพวกนม ชีสและพวกแยมเรียงรายอยู่ด้านใน


นมวัวในขวดแก้วสีใสมีให้เลือกหลากหลายรสชาติ ผมหยิบมาเกือบทุกรสโดยเน้นรสจืดซึ่งผมชอบมากเป็นพิเศษให้เยอะหน่อย
พอได้ของเสร็จผมก็ขับมอเอตร์ไซค์กลับไปยังเรือนจำกลางพิเศษที่3 ห้องด้านในสุดของทางเดินทางชั้นใต้ดินถูกไขอีกครั้ง เบซิลนอนตะแคงเอามือข้างนึงหนุนหัวส่วนอีกข้างก็กำลังคีย์อะไรบางอย่างลงในโน้ตบุกผม ดวงตาสีเขียวนั้นจับจ้องไปยังหน้าจอก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม


เจ้าของข้อหามากมายนับ10หน้ากระดาษเอสี่ยกมือขึ้นแล้วแบออกตรงหน้าผมคล้ายจะบอกว่าให้เอาของนั่นมาเดี๋ยวนี้


“ผมไม่ใช่คนใช้คุณ ถ้าจะเอาก็ลุกขึ้นมาดีๆ”ผมบอกเสียงนิ่ง


“พอใช้ผมเสร็จก็ทำตัวเหนือกว่าเลยนะ อย่าลืมสิว่าผมมีเครื่องมือนี่อยู่ในมือจะทำลายระบบการป้องกันของสักที่เป็นเรื่องง่ายๆ”อีกฝ่ายเองไม่มีทีท่าจะยอมดีๆเช่นกัน


“เบซิล”


“คุณสั่งผมไม่ได้ แต่ครั้งนี้ยอมทำตามละกัน”พูดจบเขาจึงปิดหน้าจอโน้ตบุกแล้วลุกขึ้นมานั่งบนเตียงดีๆ


ท่าทางของเบซิลราวกับสัตว์ป่าที่ไม่ยอมสิโรราบให้แก่มนุษย์ เพียงแค่ยอมเพื่อประโยชน์เท่านั้น


การจะสร้างความไว้ใจไม่ใช่เรื่องง่าย


แต่ยังไงก็ไม่ไม่เกี่ยวกับผม เพราะไม่คิดจะสร้างสัมพันธ์อะไรมากไปกว่านี้


“เอารสอะไร”ผมกางถุงในมือเพื่อให้อีกฝ่ายได้เห็นนมด้านใน


“ทุกรส”


“จะกินให้จุกรึไง”


“แล้วคุณจะเก็บไว้เองให้เน่ารึไงล่ะ”พอถูกกวนไปเบซิลก็กวนกลับมาแทบจะทันที


“พอดีในห้องมีตู้เย็น”


“ผมก็กินหมดได้พอดีเหมือนกัน”


“...”เถียงกันไปไม่เคยจะชนะเลยสิน่า


จะว่าสมกับฉายาหรือนิสัยดีล่ะ


“เอารสหวานก่อน”


“เอาไปให้หมดเลย”ผมบอกพลางวางถุงไว้บนเตียงๆข้างตัวเบซิลโดยหยิบรสจืดออกมาแกะขวดนึง


ผมอาจไม่สามารถกินเนื้อสัตว์ได้แต่สามารถกินนมวัวได้ ยังไงนมไม่ก็ไม่ถือว่าเป็นการกินเนื้อแต่ถ้าเป็นไข่ ไม่ว่าจะเป็นไข่เป็ดหรือไข่ไก่ก็ไม่สามารถกินได้ทั้งนั้น


โปรตีนที่ผมสามารถกินได้เลยมีแค่นมและถั่ว


เบซิลหยิบนมออกมาเรียงกัน5ขวดก่อนจะเลือกแกะรสช็อกโกแล็ตแล้วกระดกดื่มทีเดียวหมดขวด ในขณะที่ผมค่อยๆยกขวดดื่มทีละนิดเพื่อลิ้มรสชาติของนม


“...ไปเอานี่มาจากไหน”ดื่มหมดขวดแล้วเบซินจึงถาม


นี่ที่ว่าคงหมายถึงนมละมั้ง


แววตาของเขาทอประกายขึ้นเล็กน้อยคล้ายกำลังบอกว่านมในมือมีรสชาติอร่อย


“ทำไม? อร่อยใช่ไหมล่ะ”ผมบอกแล้วว่าเป็นนมที่อร่อยที่สุด


คุณตาผมทำอาชีพเชฟ ก่อนหน้านี้เคยตะเวนไปทำอาหารรอบโลกก่อนจะกลับมาเปิดร้านเล็กๆเป็นของตัวเองทำให้รู้จักกับคนหลากหลายประเทศ และการรู้จักนั่นทำให้ได้แหล่งวัตถุดิบชั้นเลิศมาด้วย


ผมเองจะกินนมก็ต้องของร้าน อร่อยกว่าหลายเท่าเชียวล่ะ


“อืม อร่อย”


“...”ผมถึงกับเงียบที่เห็นคำพูดตรงๆไม่ใช่การกวนโอ้ยเหมือนอย่างทุกที


สงสัยคงจะชอบนม


เบซิลไม่มีญาติเลยไม่มีใครมาเยี่ยม แน่นอนว่าทางเรือนจำคงไม่ใจดีขนาดหาของที่นักโทษต้องการให้


“ไม่เคยกินนมอร่อยแบบนี้มาก่อน อยากกินอีก”เบซิลพูดพลางแกะนมรสหวานต่อ


“กินเยอะไปแล้วมั้ง”นี่มันขวดที่4แล้วนะ


“จะกิน”


“ไม่ใช่แค่จุกนะเดี๋ยวเกิดมวลท้องขึ้นมาจะทำยังไง”นมอาจมีประโยชน์และข้อดีมากมายแต่ใช่การกินในปริมาณมากจะไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย


“ช่างสิ”


“บอกให้พอไง”ผมก้าวเข้าไปใกล้คว้านมรสหวานในมือของเบซิลและถุงนมที่เหลืออีกเพียงขวดเดียวมาไว้ในมือตัวเอง


“เอาคืนมา”อีกฝ่ายเริ่มมองมาเขม็ง


“ไม่”ผมเองก็ไม่ใช่พวกโดนจ้องแล้วจะยอมแพ้ง่ายๆ


“คุณบอกเองว่าให้ผมทั้งหมด”


“ใช่ ผมไม่ได้จะแย่ง กินเข้าไปเยอะๆจะทำให้ท้องเสียได้ เดี๋ยวผมจะไปฝากผู้คุมแช่ไว้แล้วพรุ่งนี้ค่อยกินที่เหลือ”ตอนแรกกะจะแบ่งเอากลับไปกินห้องสักสองขวดแต่เอาเถอะ


เห็นทำหน้าอร่อยแบบนั้นคนให้ก็พลอยดีใจไปด้วย


“...ห่วงผม?”อีกฝ่ายนิ่งไปสักพักราวกับกำลังคิดหลายๆอย่างภายในหัว


“เปล่า”ผมพูดเต็มเสียง


ไม่ได้ห่วงสักนิด


“คำพูดของคุณมันสื่อว่าห่วงผมชัดๆ”


“บอกว่าไม่ได้ห่วงไง”


“ห่วงสิ”


“ไม่ได้ห่วง”


“ห่วง”


“ไม่...”


“ใบไธม์”


กึก


“...ทำไม”ถึงรู้ได้


ปากที่เตรียมจะสวนกลับถึงกับชะงักยามถูกเรียกชื่อเล่นเต็มๆ คนในหน่วยอาจรู้จักชื่อเล่นผมแต่เป็นไธม์ไม่ใช่ใบไธม์ หลายคนยังคิดว่าชื่อผมคือไทม์ที่แปลว่าเวลาด้วยซ้ำ


แต่คนที่พึ่งเจอกัน2ครั้งกลับรู้ชื่อเล่นจริงๆของผม


“แค่หาอะไรทำระหว่างรอคุณกลับมาแค่นั้นเอง”


“คุณหาข้อมูลผม?”นี่เป็นสิ่งเดียวที่คิดได้


ผมทิ้งโน้ตบุกไว้กับเขา คงอาศัยจังหวะนั้นหาข้อมูลแน่ๆ


ที่น่าตกใจคือสามารถหาข้อมูลส่วนตัวผมจากข้อมูลง่ายๆเพียงชื่อไธม์กับสังกัดหน่วยสืบสวนพิเศษได้ในเวลาไม่นาน หน่วยสืบสวนพิเศษไม่ได้มีแผนภูมิองค์กรหรือหน้าเว็บให้เข้าไปหาข้อมูลได้ เรื่องของพวกเราอาจไม่ได้ลับแต่ถ้าจะสืบหาก็ยากพอดู
ไม่คิดว่าจะหาได้ในเวลาแค่นี้


ตั้งแต่ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ก่อนหน้านี้แล้ว


เบซิลไม่ใช่คนระดับธรรมดา


ที่ว่าไอคิวกับอีคิวสูงกว่าปกติท่าจะจริง


“ก็มันว่าง”ข้อแก้ตัวอะไรสิ้นคิดชะมัด


“ทำอย่างอื่นไปสิ”


“อยากรู้เรื่องของคุณนี่นา”คำพูดพร้อมรอยยิ้มมุมปากนั่นถ้าเป็นสาวๆคงจะหน้าแดงกลายเป็นไอแต่สำหรับผมมันน่าโมโหสุดๆ


“ท่าจะว่างนะ”


“อืม ว่างมากด้วย ถ้าไงมาหาผมอีกนะ”


“จะเข้าร่วมกับทางการรึไง”ผมถามย้อน


“ไม่”เบซิลตอบทันที


“งั้นก็ไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องมาเจอคุณอีก”ผมตัดบทแล้วเก็บโน้ตบุ๊กเข้ากระเป๋า


“จะกล่อมผมไม่ใช่?”


“แต่ดูเหมือนคุณจะไม่ใช่คนที่ยอมให้ใครกล่อมได้นี่”ถ้ากล่อมได้คงไม่ต้องมาถึงมือของหน่วยสืบสวนพิเศษแบบนี้หรอก


“พูดถูก”


“แต่ทางการคงไม่ยอมลามือง่ายๆ”อีกไม่นานต้องมีคนใหม่มาทำหน้าที่กล่อมแน่


ทั้งทักษะ ฝีมือและความสามารถระดับนี้น่าเสียดายเกินไปที่จะให้นอนเล่นอยู่แต่ในคุก


“จะส่งมากี่คนผลก็ไม่เปลี่ยน ผมไม่คิดจะคุยกับใครอีก...ถ้าไม่ใช่ใบไธม์”น้ำเสียงยียวนบวกกับรอยยิ้มนั่นทำเอาผมอยากเขวี้ยงขวดนมในมือใส่หัวอีกฝ่ายจังๆสักที


“งั้นก็ไม่ต้องเปิดปากอีกตลอดการเลย!”

.................................................................

สวัสดีค่า

เราพึ่งสอบเสร็จวันนี้เลยมาอัพแทนการฉลองสักหน่อย555

เปิดตัวพระเอกอย่างเป็นทางการซึ่งชื่อเบซิลนี่ตั้งได้ตอนหาชื่อชื่อสมุนไพรอย่างใบไธม์พอดี ชื่อทั้งสองคนเลยเป็นสมุนไพรเหมือนกันทั้งคู่

ในช่วงแรกอาจยังไม่มีเนื้อหาอะไรนัก แต่จะค่อยๆ เข้มข้นขึ้นทีละนิดนะคะ

หวังว่าทุกคนจะสนุกไปกับการอ่านเรื่องนี้

ขอฝากตัวกับผลงานใหม่ด้วยนะ

ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นท์และทุกๆ กำลังใจที่มีให้นะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ติดตามอ่านค่ะ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
สุดท้ายเบซิลก็ต้องช่วยงานไธม์จนได้ ใช่ป่ะ  o18

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 933
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
สนุกอ่าาา เบซิลกวนมากกก555555

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
สืบรัก彡คดีที่3



อ๊บ!


เสียงร้องของกบเป็นการบ่งบอกถึงฤดูฝนที่กำลังดำเนินอยู่ เพียงแค่เสียงกบนี้ไม่ใช่กบธรรมดาแต่เป็นผมซึ่งแปลงร่างเป็นกบ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาโดยผมนั้นกำลังนั่งเอาหลังพิงต้นไม้ข้างตึกทำงานตามปกติ


เพราะสายฝนที่พรำลงมาเล็กน้อยเรียกความชื้นรอบๆให้มีมากขึ้นเหล่าสัตว์ตัวเล็กๆอย่างกบ เขียดหรืออึ่งอ่างก็พากันออกมาเล่นน้ำฝน ภาพของเหล่าสัตว์ตัวเล็กๆพากันกระโดดท่ามกลางสายฝนน่ามองจนไม่ทันสังเกตว่ามีกบตัวนึงกระโดดขึ้นมาเกาะบนมือตัวเอง พอรู้ตัวแล้วปัดออกก็สายไปเสียแล้ว


เวลากลายร่างเป็นสัตว์จะเป็นกลายแค่ร่างกายไม่ใช่ทั้งเสื้อผ้า ดังนั้นหลังกลายร่างเสร็จร่างกายมักจะถูกเสื้อผ้าตัวเองคลุมไว้จนแทบมองไม่เห็น


ถ้ามีใครมาเห็นเข้าคงกลายเป็นข่าวฉาวหน้าหนึ่ง


รองหัวหน่วยหน่วยสืบสวนพิเศษมีงานอดิเรกถอดเสื้อผ้าโชว์


อาจเป็นโชคดีที่กลายร่างในมุมนี้ หากมองจากหน้าต่างคงมองเห็นเพียงลำต้นสีน้ำตาลของต้นไม้ใหญ่นี่


การจะกลับร่างมนุษย์ไม่ใช่เรื่องยากแต่ก็ไม่ง่ายเช่นกัน


ต้องมีสมาธิแล้วคิดถึงตัวเองที่อยู่ในร่างมนุษย์


แต่ต่อให้ฝึกมากมากขนาดไหนความผิดพลาดก็ยังเกิดขึ้นบ่อยๆ ระยะเวลาในการกลายร่างของผมคือประมาณ2ชั่วโมงขึ้นอยู่กับขนาดของสัตว์ที่แปลงหากเป็นสัตว์เล็กอย่างพวกกบหรือนกระจอกก็สามารถอยู่ได้นานกว่า2ชั่วโมงแต่ถ้าเป็นสัตว์ใหญ่อย่างม้าเวลาจะลดลง


ผมพยายามลองแตะสัตว์หลายๆชนิดเพื่อจะได้รู้ถึงขีดจำกัดของพลังตัวเองซึ่งกว่าจะเรียนรู้การควบคุมก็ใช้เวลาไปนานพอดู คุณพ่อเองก็เป็นห่วงมาก...มีหลายครั้งที่เขาไม่อยากให้ผมไปไหนไกลสายตาอย่างไปทัศนศึกษาหรือเดินทางไกลในสมัยเด็กๆ แต่พอโตขึ้นและเข้าใจพลังของตัวเองคุณพ่อถึงยอมปล่อยให้ออกมาใช้ชีวิตตามใจได้


บางทีแค่ปล่อยตัวสบายเดี๋ยวก็จะกลับร่างได้เองง่ายกว่าแถมไม่วุ่นวายด้วย


ระหว่างปล่อยให้เวลาไหลไปเรื่อยๆร่างกายซึ่งเป็นผิวหนังอ่อนนุ่มของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำก็ค่อยๆกลับมาเป็นผิวหนังของมนุษย์ปกติ


ผมรีบคว้าเสื้อผ้าข้างกายมาใส่แม้จะเปียกชื้นจากละอองน้ำอยู่บ้างก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด


พอทุกอย่างกลับมาอยู่ในสภาพปกติแล้วผมจึกลุกขึ้นปัดเศษหญ้าและฝุ่นบนตัวออกพร้อมเดินกลับไปยังห้องทำงาน ตึกนี้มีทางเข้าอยู่ทั้งหมด2ทางคือประตูหน้าบริเวณที่จอดรถกับประตูด้านหลังเผื่อกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน


“ท่านรอง”เสียงตะโกนดังขึ้นเมื่อผิดเปิดประตูเข้าในห้อง เจ้าของเสียงเรียกคือจูน สาวห้าวผมสีน้ำตาลซอยสั้นกุด ทรงผมของเธอสั้นกว่าผมอีก เคยคุยกันเรื่องนี้อยู่เหมือนกันเห็นบอกว่าถ้าไว้ยาวระหว่างแยกหรือประกอบระเบิดอาจส่งผลต่อชีวิตได้ง่ายๆเลยตัดซะสั้นเกรียน


จูนเป็นสาวที่มีความสามารถเรื่องระเบิดมากกว่าคนของหน่วยเก็บกู้ระเบิดซะอีก เพราะไม่เพียงทำการศึกษาระเบิดจากทั่วทุกทวีปแต่ยังมีการทดลองสร้างระเบิดใหม่ๆขึ้นมาอีก ถ้าไม่ได้เข้ามาอยู่หน่วยสืบสวนพิเศษอาจกลายเป็นมือวางระเบิดไปแล้วละมั้ง


“น่าแปลกที่เธอออกมาจากห้องทั้งที่ไม่มีงานได้”ผมถามด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กๆ ห้องภายในตึกของหน่วยสืบสวนพิเศษนี้มีห้องอยู่ประมาณ5ห้อง ห้องแรกเป็นห้องทำงานซึ่งมีขนาดใหญ่และกว้างที่สุดเนื่องจากเป็นห้องหลักในการทำงานของคนในหน่วยทั้ง8คนไม่รวมหัวหน้าที่มีห้องส่วนตัวอยู่ด้านข้าง


แม้จะมีโต๊ะสำหรับ8คนแต่จูนกลับแทบไม่นั่งอยู่โต๊ะทำงานของตัวเองเลย บนโต๊ะเธอนอกจากกล่องใส่ปากกากับสมุด1เล่มก็ไม่มีอะไรวางอยู่อีก หากไม่ได้มีภารกิจหรือคดีให้จัดการจูนจะไปอยู่ในห้องส่วนตัวถัดจากห้องหัวหน้าไปอีกสองห้อง


ห้องส่วนตัวนั้นถูกสร้างขึ้นให้มีความทนทานแรงระเบิดในระดับนึงเนื่องจากของด้านในล้วนแล้วแต่เป็นส่วนประกอบของระเบิดไม่ก็ระเบิดที่ถูกส่งมาให้ศึกษา เรียกว่าเป็นเขตแดนของกับระเบิด


ขืนเดินเข้าไปมั่วๆได้บึ้มแน่


“แหม...ก็มันมีงานนี่นา”จูนตอบเสียงใส


“งานใหม่?”ผมถามกลับ เหมือนจูนจะพึ่งจัดการคดีเสร็จไปเมื่อไม่กี่วันก่อนถ้าบอกว่ามีคดีนั่นแปลว่าต้องเป็นคดีใหม่


“ใช่ กำลังรอท่านรองอยู่เลย ไปกันเถอะ”พูดจบก็ยกเป้อันใหญ่ขึ้นสะพายก่อนเดินไปทางประตู


“...ผมไปด้วย?”


“อ้าว หัวหน้ายังไม่ได้บอกเหรอ”จูนหันกลับมาทำหน้างงใส่


“ยัง...หรือว่า...”เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ผมจึงรีบหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา และปรากฏว่ามีถึง5สายที่ยังไม่ได้รับ ทุกสายล้วนมาจากคนคนเดียวคือคือหัวหน้าไพลสันต์


คงโทรมาตอนผมอยู่ในร่างกบสินะถึงได้ไม่รู้ถึงแรงสั่น


นอกจากสายที่โทรเข้าแล้วยังมีข้อความทางไลน์ถูกส่งมา เนื้อหาพูดถึงภารกิจหรือคดีที่ให้ไปจัดการพร้อมกับจูน ดูเหมือนว่าจะมีการระเบิดขึ้นกลางเมืองโดยทางเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้วางระเบิดได้ทันทีทว่าคนร้ายกลับวางระเบิดไว้ที่อื่นอีก แม้จะเค้นคอถามหาที่วางระเบิดได้แต่รูปร่างของระเบิดไม่ใช่แบบปกติขนาดหน่วยเก็บกู้ระเบิดยังไม่ไม่มีข้อมูลจนต้องส่งเรื่องมาทางหน่วยสืบสวนพิเศษ


“ก็ตามที่หัวหน้าเขียนมาแหละ พวกหน่อยเก็บกู้นี่ก็ชอบเอาแต่พูดว่า ‘ไม่รู้’ ‘ทำไม่ได้’ ‘เรียกหน่วยสืบสวนพิเศษเถอะ’ พอเห็นอะไรไม่ปกติหน่อยก็โยนงานมาให้ฉันหมด เจ้าพวกบ้าเอ้ย!”จูนตะโกนเสียงดังลั่นระบายความหงุดหงิดออกมา


“น่า ถือเป็นประสบการณ์”ผมแตะหลังอีกฝ่ายเบาๆแทนการให้กำลังใจ


“อุตส่าห์อยากทดลองสร้างระเบิดใหม่แท้ๆ”


“ไว้กลับมาก็ได้”


“คงต้องแบบนั้นแหละ ถ้าเป็นระเบิดปกติฉันจะโยนใส่หัวพวกหน่วยเก็บกู้จริงๆด้วย”เธอบอกระหว่างพวกเราพากันเดินออกมาจากห้อง


“บอกกันก่อนล่ะผมจะได้วิ่งไปหลบทัน”ผมพูดติดตลก


“ไม่ต้องบอกก่อนก็หลบทันอยู่แล้วนี่ท่านรอง”


“เลิกเรียกท่านรองได้ไหมเนี่ย”พอได้ยินแล้วรู้สึกแปลกๆยังไงก็ไม่รู้ จิวก็อีกคนที่เรียกผมว่าท่านรอง


คนอื่นจะเรียกผมว่าไธม์หรือถ้าสุภาพหน่อยก็คุณไธม์


“ไม่ได้ๆ ความสามารถระดับคุณจะให้เรียกปกติได้ยังไง”


“ผมไม่ได้เก่งกาจอะไร”


“เหรอ”


สุดท้ายพวกเราก็พูดคุยกันไปตลอดการเดินทางโดยใช้รถของจูนเนื่องจากของที่ใช้สำหรับการเก็บกู้ระเบิดมีค่อนข้างมากถ้านั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ผมแล้วอุปกรณ์ตกหายไปสักอย่างผมโดนเก็บค่าชดเชยชัวร์ๆ


สถานที่วางระเบิดคือใจกลางเมืองบริเวณข้างเสาร์ไฟฟ้าติดกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ กลุ่มคนใส่ชุดสีดำเป็นของหน่วยเก็บกู้ส่วนสีกากีเป็นของตำรวจ พลาสติกสีเหลือสำหรับกั้นไม่ให้คนธรรมดาเข้าไปถูกยกขึ้นพร้อมผมและจูนก้าวเข้าไปด้านใน

เจ้าหน้าที่ทุกคนหันมามองพวกเราคล้ายเจอสัตว์ประหลาดสักตัวซึ่งผมไม่ได้สนใจสายตานั่นเท่าไหร่ จูนเองก็เช่นกันเมื่อเธอเห็นวัตถุที่คาดว่าจะเป็นระเบิดถูกบรรจุไว้ในกล่องเค้กก็พุ่งสมาธิไปส่วนนั้นจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง


จูนหยิบอุปกรต่างๆออกมาจากกระเป๋าใบใหญ่เพื่อใช้ในการตรวจสอบระเบิด ความรู้ด้านระเบิดผมพอมีอยู่แต่เป็นแค่ผิวเผินมากๆถ้าเทียบกับจูน ความสามารถของเธอเป็นที่1ของประเทศและอาจเป็นอันดับต้นๆของโลกก็เป็นได้


ทักษะและความสามารถนั่นไม่ใช่เพียงพรสวรรค์แต่เป็นการหมกวุ่นและคลั่งไคล้ในสิ่งนั้นมากๆ คอยศึกษา เฝ้ามองและลงมือปฏิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า


ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยไม่พยายาม


“เขาคือคือร้ายสินะ”ผมเดินไปยังกลุ่มของเจ้าหน้าที่ซึ่งมีชายคนนึงกำลังถูกจับเอามือไพร่หลังไว้


“ใช่ พวกเราเห็นตอนกำลังกดระเบิดพอดี”หนึ่งในหน้าที่เล่า


รูปร่างและหน้าตาดูเผินๆไม่มีทางรู้ว่าเป็นคนร้ายแต่กลิ่นดินปืนคลุ้งไปหมดแม้ไม่ต้องอยู่ในร่างสัตว์ผมก็ยังได้กลิ่นอย่างชัดเจน
ไม่แปลกถ้าจะถูกจับได้


ถ้าเป็นผมก่อนจะออกมาเดินคงล้างกลิ่นพวกนี้ออกให้หมด


แล้วไม่มีทางไปกดระเบิดต่อหน้าตำรวจหรอก


หรือว่าจงใจให้จับได้?


“คิดจะทำอะไร”ผมถามคนร้ายไปตรงๆ


“หึ...”ท่าทางนั่น...เป็นอย่างที่คิด


“ไม่รู้หรอกนะว่าคุณคิดจะทำอะไรแต่ผมคงไม่ยอมง่ายๆ จูน”บอกกับคนร้ายเสร็จจึงเข้าไปหาจูนที่กำลังแกะส่วนครอบของระเบิดออกเพื่อดูแผงวงจรภายใน


“...”สมาธิของจูนจับจ้องอยู่กับระเบิดตรงหน้า ไม่มีทีท่าว่าจะได้ยินเสียงผมเลย


“จูน”ผมเรียกเสียงดังขึ้น


“...ท่านรอง?”สุดท้ายเธอก็เงยหน้าขึ้นมามองผมงงๆ


“เป็นไงบ้าง พอจะหยุดได้ไหม”


“อืม...ไม่ใช่แบบที่ซับซ้อนอะไรจะว่าเหมือนปกติก็ใช่อยู่”


“แปลว่ามีส่วนที่ไม่เหมือนปกติสินะ”ผมแปลความหมายของประโยคนั้น


“ใช่...มีสามเส้นนี้ที่ไม่เหมือนปกติ ฉันลองไล่สายดูแล้วมันเหมือนเชื่อมเข้ากับเครื่องปล่อยสัญญาณ...มีความเป็นไปได้ที่จะมีระเบิดอยู่อีกลูกและระเบิดทั้งสองลูกถูกเชื่อมกันไว้ด้วยเครื่องปล่อยสัญญาณนี้ หากปลดฉนวนเพียงลูกเดียวมีสิทธิที่อีกเครื่องจะเบิด”คำอธิบายจากปากจูนทำเอาบรรยากาศโดยรอบเริ่มตื่นตระหนก


“เฮ้ย แกน่ะระเบิดอีกลูกอยู่ที่ไหน”เจ้าหน้าที่เริ่มเข้าไปกระชายคอเสื้อคนร้ายแรงๆให้บอกข้อมูลมา


“หึ...ตายกันซะให้หมดนี่แหละ”คำตอบจากปากคนร้ายยิ่งเพิ่มความตรึงเครียดให้มากขึ้นไปอีก


ไม่ให้เครียดคงไม่ได้ ระเบิดเชื่อมกันกันได้อาจไม่ใช่เรื่องแปลกแต่การที่ปลดลูกนี้แล้วทำให้อีกลูกระเบิดทำให้งานนี้ยากขึ้น


“มีวิธีจัดการไหม”ผมถามจูนต่อ


“ไม่ยาก แค่ตัดพร้อมกันสองลูกก็พอ”


“เธอคนเดียวจะไหวเหรอ”ตัดสองลูกพร้อมกันไม่ใช่เรื่องง่าย


“ไม่ไหวอยู่แล้ว เพราะงั้นท่านรองก็มาช่วยหน่อยละกัน”


“เดี๋ยว...ผมเหรอ ให้คนของหน่วยเก็บกู้ดีกว่ามั้ง”บอกตามตรงว่าทักษะด้านการกู้ระเบิดผมแทบไม่มีเลย


จะให้มาตัดสายพร้อมกันมันเสี่ยงเกินไป


“ฉันไม่ชอบพวกเขา”จูนจงใจพูดเสียงดังให้ของของหน่วยเก็บกู้ด้านหลังได้ยิน


“ใจเย็น อย่าสร้างศัตรูเพิ่มสิ”แค่นี้หน่วยเราก็แทบไม่มีพันธมิตรแล้วนะ


“เฮอะ...ถึงจะรู้วิธีจัดการแต่จะหาอีกลูกยังไง”


“นั่นสินะ”ไม่มีเวลาพอให้แปลงร่างเป็นสัตว์เพื่อตามกลิ่นหาด้วย


“ฉันพอจะจำกัดระยะได้ ไม่น่าอยู่เกินรัศมี400เมตรจากนี้หรอก”


“400เมตร”ผมพึมพำพลางมองไปทั่วบริเวณ


สถานที่ของการนำระเบิดไปว่างอาจดูกว้างแต่ถ้าในรัศมี400เมตรสามารถจำกัดให้แคบลงได้ ดูจากท่าทางของคนร้ายต้องเป็นคนที่คิดและเตรียมการมาแล้วหากต้องการล่อให้ตำรวจจับและบอกสถานที่ของลูกแรกแปลว่าอีกลูกต้องอยู่ในรัศมีการมองเห็น

ระเบิดมีขนาดประมาณกล่องใส่พิซซ่าแต่หนากว่า ถ้าวางไว้ทั่วไปอาจเป็นจุดเด่น ลูกแรกจงใจว่าไว้ข้างเสาเรียกสายตาของทุกคนให้มองไปเพื่อจะได้ซ่อนอีกลูกไว้ในตำแหน่องที่คาดไม่ถึง ถ้าถามถึงตำแหน่งที่คาดไม่ถึงก็ต้องเป็นข้างใต้อะไรสักอย่าง ใต้เก้าอี้ ใต้พุ่มไม้ ใต้เสื้อผ้าหรือว่าจะเป็น...


“ด้านล่าง...ด้านล่างของระเบิดลูกแรกมีอะไรรึเปล่า”ผมถามจูนเสียงดังพลางลอบสัตเกตคนร้ายที่มีทีท่าชะงักไป


เดาถูกจริงๆด้วย


“ด้านล่างหมายถึงอะไรน่ะ...โอ๊ะ ยกขึ้นได้ด้วย?”จูนทำหน้าประหลาดใจเมื่อสามารถยกระเบิดลูกแรกขึ้นมาได้ ด้านล่างของระเบิดลูกแรกมีระเบิดอีกลูกใส่ไว้


แบบนี้จะค้นหาบริเวณโดยรอบให้ตายยังไงก็คงไม่เจอ


“จัดการกันเลย”


“ได้ เอานี่ เริ่มจากเส้นสีฟ้าด้านนี้แล้วไปน้ำเงินอีกข้าง จากนั้นก็สีแดง เขียวและจบด้วยเหลืองที่อยู่ด้านใต้สุดนะ”จูนอธิบายรัวๆระหว่างส่งที่ตัดระเบิดมาให้


สมกับเป็นจูน สามารถมองระเบิดลูกนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งโดยไม่ต้องมีกระดาษจดด้วยซ้ำ


“อืม”ผมพยักหน้ารับแล้วเริ่มต้นจากเส้นสีฟ้าเป็นเส้นแรก


ทุกครั้งจูนจะให้สัญญาณทำให้สามารถตัดได้พร้อมกันจนถึงเส้นทุกท้ายเวลาซึ่งกำลังนับถอยหลังอยู่ที่1นาทีก็หยุดลง


เดี๋ยวนะ...เหมือนผมจะบอกให้หน่วยเก็บกู้มาเป็นคนทำไม่ใช่ผมนี่


ครืดดด~  ครืดดดด~


“ครับ”ผมรับสายโดยไม่ได้ดูชื่อ อาการล้าจากการเพ่งสมาธิตัดฉนวนระเบิดทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า


อยากกลับไปพักที่ห้องจะแย่แล้ว


เวลาก็ล่วงเลยมาถึง5โมงเย็น กลับไปเอามอเตอร์ไซค์แล้วกลับห้องเลยดีกว่า


(คุณทัณฑธร)เสียงผู้หญิงจากปลายสายทำเอาผมเริ่มขมวดคิ้วแน่นพร้อมความหงุดหงิดที่เริ่มเพิ่มพูนขึ้น


“...ครับ”ปลายสายนี้เป็นเสียงใครผมจำได้ คนของเรือนจำกลางพิเศษที่3


มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละที่จะโทรมา


(เมเกอร์อยากเจอคุณค่ะ)


ว่าแล้วเชียว


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พนักงานของเรือนจำกลางพิเศษที่3โทรมา ตั้งแต่วันนั้นที่ผมไปขอความช่วยเหลือจากเมเกอร์หรือเบซิลทางการได้ส่งคนอื่นเข้าไปเกลี่ยกล่อมซึ่งผลเป็นที่รู้กันอยู่ว่าคือไม่สำเร็จ แต่นอกจากจะไม่สำเร็จหมอนั่นดันพูดกวนประสาท เกลี่ยกล่อม หลอกลวงหรืออะไรก็ไม่รู้แหละทำให้ทางนั้นติดต่อมาว่าให้ผมจัดการเรื่องนี้ต่อ


นอกจากนี้ยังมีสายโทรเข้าโดยมีประโยคง่ายๆอย่าง เมเกอร์อยากเจอคุณ


แน่นอนผมไม่คิดจะไปเจอจนกระทั่งหัวหน้าเรียกผมไปคุยด้วยเป็นการส่วนตัว เนื้อหาหลักๆคือคนของทางการไม่สามารถกล่อมเมเกอร์ได้สำเร็จและมีเพียงผมคนเดียวที่ดูเหมือนจะมีเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้มากที่สุด


ดังนั้นผมเลยจำต้องยอมไปเจอหมอนั่นเรื่อยมา จนตอนนี้ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว


“วันนี้ผมไม่ว่าง”ผมตอบปลายสายไป


เหนื่อยขนาดนี้ไม่คิดจะไปปวดประสาทเพราะคนเจ้าเล่ห์แถมยังกวนโอ้ยแบบนั้นหรอกนะ


(แต่เขาบอก...)


“อย่าตามใจนักโทษเกินไปนัก ถ้าผมว่างเมื่อไหร่จะไปเอง”ไม่รู้ว่าเบซิลหวาดล้อมยังไงถึงได้ทำให้ผู้คุมทั้งชายหญิงช่วยกันโทรตามผมเป็นว่าเล่น


(อย่าใจร้ายสิ มาเจอผมหน่อยนะ) เสียงทุ้มๆออกแนวปลิ้นปล้อนมีแค่คนเดียวในโลกนี้


เบซิล


“ทำไมถึงมาอยู่ในสายได้”ผมถามกลับเสียงขุ่น เมื่อครู่ยังเป็นเสียงผู้หญิงอยู่เลย


จะบอกว่าอยู่ด้วยคงไม่ใช่


(ก็มันว่าง มีโน้ตบุกอยู่เลยแฮ็กเล่นนิดหน่อย) โน้ตบุกที่ว่าผมเป็นคนให้เขาไว้หาอะไรเล่นฆ่าเวลาแต่ไม่มีทั้งเน็ตและไวไฟแล้วจะแฮ็กเข้าระบบได้ยังไงกัน


“เบซิล”


(ถ้าจะบ่นก็มาบ่นต่อหน้าสิ บ่นทางโทรศัพท์ผมไม่ฟังหรอกนะ)


“วันนี้ผมไม่ว่าง”ไม่รู้ทำไมถึงวนมาเรื่องไปหาที่เรือนจำได้กัน


(เหนื่อยกับการกู้ระเบิดเหรอ)


“ทำไมถึงรู้ได้”เหตุการณ์นี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ไม่มีทางที่คนในเรือนจำจะรู้ได้ในเวลาแค่นี้


(อยากรู้ก็มาหาผมสิ) สุดท้ายก็วนมาเรื่องเดิม


“...พรุ่งนี้”ผมต่อรอง


ถ้าจะให้ไปวันนี้ยังไงก็ไม่ไหว


(ได้ อย่าลืมเอานมมาเป็นของฝากด้วยนะ)


“พูดเหมือนผมเป็นฝ่ายขออยากเจอคุณเลยเนอะ”


(ผมอยากเจอใบไธม์) พูดจบก็วางสายไปดื้อๆ


คำพูดของนักต้มตุ๋นใครจะไปเชื่อกัน


แต่ในเมื่อพูดว่าจะไปก็เหมือนกับเป็นสัญญา


หากสัญญาไปแล้วผมจะไม่ผิดคำสัญญานั้น



(มีต่อนะคะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อค่ะ)


วันรุ่งขึ้นผมมาเยือนเรือนจำกลางพิเศษที่3ในช่วงสายของวันหลังจากเคลียร์รายงานของคดีระเบิดเมื่อวานสำเร็จ ผมเดินเข้าไปด้านในโดยไม่จำเป็นต้องใช้บัตรแสดงตัวหรือติดต่อยังเคาน์เตอร์ด้านหน้าอีกเนื่องจากผมมาเยือนที่นี่เดือนละ3-4ครั้งจนใครๆเขาก็คิดว่ามีญาติติดอยู่ในเรือนจำนี้แล้ว


ห้องสำหรับนัดพบระหว่างนักโทษกับคนจากภายนอกไม่จำเป็นสำหรับผม ลูกกุญแจสำรองห้องด้านในสุดของชั้นใต้ดินผมได้รับมาตามคำสั่งของหัวหน้าทำให้สามารถเดินเข้าไปหาเบซิลในห้องได้ตลอด


แกร็ก


ไม่มีการเคาะหรือส่งเสียงใดๆผมไขประตูแล้วเปิดเข้าไปด้านในทันที ทุกอย่างในห้องยังคงเหมือนเดิมที่ต่างมีเพียงเจ้าของห้องกำลังส่งรอยยิ้มพรายพราวมาเมื่อเห็นผมเดินเข้าไป เบซิลปิดฝาโน้ตบุกก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้


“ใบไธม์”เสียงเรียกมาพร้อมกับแขนสองข้างอ้าออกกว้างเตรียมคว้าตัวผมเข้าไปกอดแน่นทว่าผมกลับหมุนตัวหลบแขนนั่นแล้วยืนถุงใส่นมไปให้แทน


“เอาไป”


“ไม่ได้เจอกันตั้งหลายอาทิตย์จะไม่กอดกันให้หายคิดถึงหน่อยเหรอ”อีกฝ่ายรับถุงไปเปิดอ้าดูของภายใน


“ผมไม่ได้คิดถึงคุณ”ผมส่ายหัวรัวๆแสดงออกถึงความจริงจัง


“ใจร้ายจังทั้งที่ผมคิดถึงคุณทุกวันแท้ๆ”


“ไม่มีใครให้กวนเล่นเหรอ”ผมถามกลับไปตามตรง


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอคำหวานพวกนี้ ทุกครั้งที่มาก็เป็นแบบนี้ตลอด...ผมคอยสังเกตเบซิลมาตลอดรู้ดีว่าคำพูดกวนประสาทกับรอยยิ้มนั่นมันไม่ใช่ของจริง ราวกับเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อปิดกั้นตัวเองกับอะไรสักอย่างแต่แล้วสิ่งที่สร้างนี้กลับกลืนกินตัวตนจริงๆไปจนหมด


“มีแต่ไม่สนุกเท่าคุณ”


“กลัวไม่มีอะไรพูดรึไง”ยิ้ม หัวเราะและกวนประสาทอยู่ตลอด สร้างเรื่องให้สมองต้องคิดเพื่อจะได้ไม่มีเวลาว่าง


“...คุณนี่พูดแทงใจจังนะ”เบซิลชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยิน


“พูดความจริงต่างหาก จะบอกให้ไหมว่าทำไมคุณถึงรู้สึกสนใจผม”


“รู้เหรอ”


“เพราะผมไม่เหมือนคนอื่นที่ดิ้นไปกับคำพูดกวนประสาทและล่อหลอกของคุณ”เป็นคำตอบง่ายๆ


“ก็อาจใช่...แต่ไม่ทั้งหมด จริงอยู่ที่คุณไม่แสดงออกเหมือนคนอื่นๆแต่มีบางอย่าง อะไรบางอย่างที่ทำให้ผมอยากเจอคุณอยู่ตลอด”เบซิลบอกพลางใช้ดวงตาสีเขียวมรกตประสานมายังดวงตาสีน้ำตาลของผมนิ่งๆ


ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดอะไรมากไปกว่านี้


บรรยากาศอันเต็มไปด้วยถ้อยคำกวนๆเริ่มสงบนิ่งลง


“อยู่เงียบๆแบบนี้ดีกว่าตั้งเยอะ”ผมพึมพำเสียงเบาระหว่างนั่งนิ่งๆอยู่บนเตียง


ในห้องนี้ไม่ได้มีเฟอร์นิเจอร์อะไร ที่นั่งจึงมีเพียงเตียงของเบซิลเท่านั้น


แม้พวกเราจะไม่ได้ตัวใหญ่นักแต่การที่ผู้ชายนั่งอยู่บนเตียงเดียวกันก็ทำให้เตียงแคบขึ้นมาก


“ผมอยู่เงียบๆมาหลายอาทิตย์แล้วเหอะ”เบซิลบอก


“ก็พูดคนเดียวได้นี่”ไม่เห็นต้องอยู่เงียบๆเลย


“ผมไม่ใช่คนบ้านะคุณที่จะคุยกับตัวเอง”


“ดีออก เผื่อคุณจะได้ย้ายไปอยู่โรงพยาบาลแทน”


“เดี๋ยวนี้กวนเก่งขึ้นนะ”


“ติดมาจากคนข้างๆมั้ง”ผมเองยังแปลกใจตัวเองเลย ปกติผมไม่ใช่คนพูดกวนคนอื่นแบบนี้


การได้อยู่นิ่งๆเป็นสิ่งที่ผมชอบมากกว่าการพูดคุยเรื่องไร้สาระทว่าตั้งแต่ได้มาเจอกับเบซิลถ้อยคำแสนกวนประสาทนั่นทำเอาอารมณ์ผมขึ้นจนต้องหาทางตอกกลับไปสักประโยค


“ดีใจนะเนี่ยที่สามารถแพร่เชื้อให้คุณได้”


“ผมไม่ได้ชม”


“ไม่ต้องเขินน่า”


“ใครเขินกัน”คำพูดผมมั่นสื่อไปในทางชื่นชมตรงไหน


ไม่มีสักนิด


“อยากคุยกับคุณทุกวันเลย”อยู่ๆเบซิลก็เปลี่ยนเรื่องพูด


“ผมไม่ได้ว่างขนาดนั้น จะว่าไปเมื่อวานคุณแฮ็กระบบโทรศัพท์ได้ยังกัน ทั้งเน็ตทั้งไวไฟก็ไม่มีสักหน่อย”กะจะถามตั้งแต่เจอหน้าแล้วแต่ถูกอีกฝ่ายชักจูงจนลืมไปเลยว่าต้องถาม ส่วนสาเหตุที่ผมให้โน๊ตบุ๊คทิ้งไว้ก็เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงจะเบื่อที่วันๆ เอาแต่นอนผมเลยให้ไว้เล่นฆ่าเวลาแต่ใครจะคิดล่ะว่าจะสามารถแฮ็กระบบได้อีก


วันนี้ผมต้องขอโน๊ตบุ๊คคืนแล้วล่ะ ขืนให้ใช้ต่ออาจมีเรื่องน่าปวดหัวเกิดขึ้น


“แค่มีเจ้านี่ก็มากพอแล้ว”เบซิลชี้ไปยังโน้ตบุกด้านข้าง


“ยังไง”


“ต่อให้ไม่มีเน็ตหรือไวไฟให้แต่ใช่ว่าจะแฮ็กไม่ได้นี่ ในเรือนจำนี้มีทั้งเน็ตและไวไฟถูกปล่อยเป็นจุดๆอยู่แล้ว...”


“แต่นั่นมีรหัสล๊อคไว้ไม่ทางที่คนนอกจะเข้าได้”เรื่องเน็ตและไวไฟของที่นี่ผมรู้อยู่แล้วตั้งแต่ก่อนจะให้โน้ตบุกอีกฝ่ายไว้ ต่อให้มีการปล่อยสัญญาแต่หากไม่มีรหัสค่าก็เท่ากันคือไม่สามารถเชื่อมต่อได้


“ทำไมจะไม่ได้ แค่รหัสน่ะเดาไม่ยากนี่”เบซิลตอบพร้อมยกยิ้มุมปากขึ้น


“เดา? จะบอกว่าคุณเดารหัสที่ไม่รู้ว่ากี่หลักเนี่ยนะ”ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยินจริงๆ


รหัสส่วนมากจะบังคับอยู่ที่6-12หลักซึ่งแม้จะตั้งไว้แค่6หลักแต่นอกจากต้องเดาตัวเลขแล้วยังมรภาษาไทยและอังกฤษเข้ามาร่วมด้วย แค่นั้นยังไม่พอตัวเล็กตัวใหญ่ก็ยังมีผล ต่อให้เดารหัสถูกแต่ไม่ได้เปลี่ยนเป็นตัวเล็กใหญ่ก็ไม่สามารถเข้าได้อยู่ดี


“ไม่ได้ยากขนาดนั้น แค่ทำความเข้าใจ หาความเป็นไปได้และวิเคราะห์มันออกมา ลองไม่กี่ครั้งก็สามารถเข้ารหัสได้แล้ว อย่างเรือนจำกลางพิเศษที่3นี่หากจะตั้งรหัสต้องเกี่ยวเนื่องกับเรือนจำซึ่งมีเลข3แน่นอน ในกรณีที่คนตั้งไม่ใช่คนคิดมากก็จะใช้คำภาษาอังกฤษของเรือนจำแล้วตามด้วยเลข3 และถ้าเป็นคนที่มีความรู้ในการตั้งภาษาอังกฤษส่วนมากจะใช้ตัวใหญ่นำหน้าไม่ก็ตัวสุดท้ายหากเป็นวัยรุ่นหน่อย ดังนั้นรหัสของเรือนจำสามจึงมีขอบเขตอยู่ไม่มาก พอเข้ารหัสได้จากนั้นจะแฮ็กอะไรมันก็ง่ายแล้ว”เบซิลอธิบายด้วยน้ำเสียงปกติคล้ายเรื่องที่เขาทำไม่ใช่เรื่องยากหรือซับซ้อนแม้แต่นิด


ทั้งระบบความคิด การวิเคราะห์และแยกแยะ รวมถึงการหาความเป็นไปได้


คนปกติไม่มีใครคิดไปถึงขั้นนั้นหรอก


หัวระดับนี้ไม่ควรมาจบลงด้วยการนอนเล่นอยู่ในห้องมืดนี่


“ทั้งที่มีความสามารถขนาดนี้แต่ทำไมถึงไม่ใช้มันให้ได้ประโยชน์กว่าการแฮ็กระบบเอาเงินคนอื่นล่ะ”ผมถามกลับ


“เพราะถ้าทำแบบนั้นมันน่าเบื่อไง ต้องอยู่ในขอบเขตของกรอบที่วางไว้มันน่าเบื่อจะตาย”ระหว่างพูดเขาก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงใช้สองแขนแทนหมอนหนุน


“ต้องการความสนุกไปทำไม ชีวิตสงบๆไม่ดีเหรอ”บอกตามตรงว่าไม่เข้าใจวิธีคิดของเบซิลเอาซะเลย


“ไม่ใช่ไม่ดี อย่างที่บอกมันน่าเบื่อ”


“ที่ยอมถูกจับเพราะเบื่อด้วยรึเปล่า”นี่เป็นอีกสิ่งที่ผมคาใจอยู่


เบซิลยอมออกมามอบตัวกับตำรวจเองโดยที่ทางการไม่สามารถตามจบตัวเขาได้


“ก็นะ แค่อยากหาที่อยู่สบายๆน่ะ”


“ในคุก?”สบายตรงไหน


“มีข้าวให้กิน มีห้องในอยู่ มีเตียงให้นอน สบายจะตาย”


“ไม่ลองเข้าร่วมกับทางการดูล่ะ หลายๆคดีที่คุณทำต้องมีสนุกบ้างแหละ”สำหรับคนไม่ชอบความน่าเบื่อคดีของทางการอาจท้าทายและทำให้เขารู้สึกสนุกขึ้นได้


“เลือกกล่อมได้ถูกจุดดี แต่ยังไงคำตอบก็ไม่เปลี่ยน ยิ่งตอนนี้ยิ่งไม่มีทางเปลี่ยน”


“ทำไมล่ะ”ผมไม่เข้าใจความหมายของประโยคนั้น


“เพราะถ้ายอมร่วมมือกับทางการก็ไม่ได้เจอคุณน่ะสิ”เป็นคำตอบที่ยากเกินคาดเดาจริงๆ


ก็จริงอย่างที่ว่าถ้าเขายอมตกลงร่วมมือกับทางการ ผมที่คอยเกลี่ยกล่อมคงไม่จำเป็นต้องมาพบเจอหรือพูดคุยอีกแล้ว พวกเราจะกลับไปต่างคนต่างอยู่เหมือนเมื่อก่อน


“ก็ดี”


“คุณดีแต่ผมไม่ดีนี่”


“ทำตัวเป็นเด็ก”ผมบ่นเสียงเบา


“เป็นเด็กก็ได้ ขอกอดหน่อยสิครับ”เบซิลดัดเสียงเด็กพลางเด้งตัวขึ้นมาคว้าเอวผมแล้วกอดไว้หลวมๆ


“ปล่อยเดี๋ยวนี้เบซิล”ผมไม่รอให้ถูกคุกคามมากไปกว่านี้รีบจัดการดันหัวอีกฝ่ายที่กำลังเกยขึ้นมาบนตักกดลงไปกองอยู่บนพื้นเตียงโดยมือที่กอดเอวนั้นถูกรวบแล้วบิดแรงๆ


“โอ้ยๆ เจ็บนะ”เบซิลถึงกับร้องเสียงหลง


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


เสียงเคาะประตูห้องเรียกสายตาของพวกเราทั้งคู่ให้หันไปมองเป็นตาเดียว ในหัวเองคงคิดประโยคเดียวกันว่าคนด้านนอกเป็นใคร จะบอกว่าเป็นผู้คุมก็ไม่ใช่เพราะนี่ไม่ใช่การเรียกพบนักโทษอย่างเป็นทางการที่มีเวลาจำกัด ต่อให้ผมอยู่สักครึ่งวันก็ไม่มีใครมาตามหรอก


ยังไม่ทันที่ความสงสัยจะคลายคนหน้าห้องก็เปิดประตูแล้วเดินเข้ามา ร่างสมส่วนของชายวัยกลางคนเดินเข้ามาพร้อมใช้ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องมายังผมและเบซิลก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาบางๆ


“สนิทกันดีนี่ไธม์”หัวหน้าไพลสันต์เอ่ยทักทาย


“ไม่เลยครับ”ผมกดหัวเบซิลลงกับเตียงแรงๆก่อนจะลุกขึ้นมาทำความเคารพหัวหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษ


“นี่ฉันคงไม่ได้มารบกวนเวลาของพวกเธอใช่ไหม”


“ไม่...”


“ในเมื่อรู้ก็ช่วยรีบกลับไปได้ไหมครับคุณหัวหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษ”เบซิลพูดแทรกปะโยคที่ผมกำลังจะพูด และประโยคนั้นผมถึงกลับหันควับไปมองใบหน้าของเบซิลที่กล้าเอ่ยประโยคนั้นออกไปด้วยความตกตะลึง


“หึ...ดูเหมือนไธม์จะมีผลต่อเธอไม่น้อยนะเมเกอร์”หัวหน้าพูดกับเบซิล


“ไม่ปฏิเสธ”


“งั้นเขาพอจะกล่อมให้เธอเข้าร่วมกับทางการได้รึเปล่าล่ะ”ยิงประเด็นตรงๆไม่อ้อมค้อมเลยนะหัวหน้า


“ไม่”คำตอบของเบซิลยังคงเด็ดขาดเหมือนเคย


“แล้วถ้าฉันเปลี่ยนคำถามคำตอบจะเปลี่ยนไปไหม”


“ต้องขอฟังคำถามก่อน”เบซิลไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครง่ายๆ เขาจะไม่ตอบไปมั่วๆถ้ายังไม่มีข้อมูลมากพอให้ตัดสินใจ


“อยากเข้าร่วมหน่วยสืบสวนพิเศษของฉันไหม”


“...”คำถามนั้นทำเอาผมและเบซิลขมวดคิ้วพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย


ฟังเผลินๆคำถามอาจเหมือนกันแต่ไม่ใช่ คำว่าทางการหมายถึงหน่วยของทหารหรือตำรวจแต่ถ้าเป็นหน่วยสืบสวนพิเศษเป็นหน่วยเฉพาะที่ไม่ได้ขึ้นตรงกับทางการหรือหน่วยใดๆ


จริงอยู่ความสามารถและทักษะระดับเบซิลสูงกว่าคนของตำตรวจหรือทหารหากให้ไปเข้าร่วมคงได้มีการกวนประสาทจนทำงานไม่ได้จึงเหมาะจะมาอยู่หน่วยสืบสวนพิเศษมากกว่า และหน่วยสืบสวนพิเศษก็เป็นแหล่งรวมของคนมีความสามารถพิเศษ พิเศษทั้งทักษะและนิสัยเลย


แต่ไม่เคยมีประวัติที่ทางหน่วยสืบสวนพิเศษให้นักโทษเข้าร่วมมาก่อน


“ไธม์เป็นรองหัวหน้าของหน่วยสืบสวนพิเศษซึ่งเธอน่าจะรู้อยู่แล้ว ถ้ายอมตกลงร่วมมือนอกจากจะได้ออกจากคุกแล้วยังสามารถเจอไธม์ได้เกือบทุกวันยังที่ทำงาน”


“หัวหน้า”ประโยคเกลี่ยกล่อมมันดูแปลกๆไปไหม


ขนาดยกเรื่องลดโทษยังไม่มีทีท่าสนใจสักนิด


แล้วยกเรื่องผมมาหลอกล่อแบบนี้มันจะได้ผลได้ยังไง


“ฮืม...น่าสนใจดีนี่ แต่คงไม่คิดว่าแค่นี้จะทำให้ผมตกลงหรอกใช่ไหม”ท่าทางของเบซิลเปลี่ยนไป เขาดูสนใจเรื่องที่หัวหน้ายกขึ้นมาอยู่ไม่น้อย ดวงตาสีเขียวกำลังทอประคล้ายกำลังวางแผนอะไรสักอย่างอยู่


“ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในหน่วยสืบสวนพิเศษไธม์จะเป็นคนคอยควบคุมและดูแลเธอ”


“เดี๋ยวหัวหน้า...”จะไม่ถามความสมัครใจสักหน่อยเหรอ


แล้วทำไมต้องยกเรื่องผมมาต่อรองอีกแล้วล่ะ


ต่อให้ยกมาแบบนั้นแต่เบซิลไม่มีทางยอมตกลง...


“ตกลง”


“...”ผมหันควับไปมองหน้าเบซิลด้วยความไม่เข้าใจ


ตกลง?


ตกลงเนี่ยนะ


ข้อเสนอของหัวหน้าไม่มีทั้งลดโทษจำคุกหรือให้อิสระใดๆมีแค่ผม


ผม


และผม


แล้วทำไมถึงยอมตกลงล่ะ


สายตาของเบซิลหรี่ลงเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มเหมือนกับว่าได้สิ่งที่ต้องการสมความตั้งใจ


อย่าบอกนะว่าวางแผนไว้ให้ได้ข้อเสนอแบบนี้น่ะ


“ดีจังเนอะจากนี้จะได้เจอกันทุกวันเลย”


“...”


“ผมค่อนข้างอ่อนแอเพราะงั้นดูแลผมดีๆด้วยนะ ฝากด้วยด้วยล่ะคุณรองหัวหน้า”


ในหัวตอนนี้ไม่ได้ยินทั้งน้ำเสียงหรือมองเห็นรอยยิ้มของเบซิล สิ่งเดียวที่ในหัวกำลังคิดและประเมินออกมาหลังจากได้ยินคำตกลงนั่นคือ...


ลาก่อน...ความสงบของผม
......................................................................
สวัสดีค่ะ

ให้รอกันนานเลยกับเรื่องนี้

ไม่รู้จะมีใครรออ่านกันอยู่บ้านไหม 555

เรื่องนี้เราแต่งไปยิ้มไปรู้สึกสนุกกับนิสัยทะเล้นๆ ของเบซิล

หวังว่าทุกคนจะอ่านแล้วจะชอบกันเน้อออ

ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นท์และทุกๆ กำลังใจที่ให้มานะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบายค่ะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ตอนอ่านเจอเบซิลนึกว่าเบซิลเป็นรุก พอบทนี้อ่านเจอว่าแรงน้อยกว่าชักเขวละสิ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
มันจะไปกันรอดไหมเนี่ยคู่นี้นะ  :ling3:

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
สืบรัก彡คดีที่4



“ดูเธอจะไม่ค่อยเห็นด้วยที่ให้เมเกอร์มาอยู่หน่วยเรานะ”หัวหน้าไพลสันต์เอ่ยถามหลังจากผมถูกเรียกมายังห้องทำงานส่วนตัวในหลายวันต่อมา


“ไม่ใช่ไม่เห็นด้วยหรอกครับ ทั้งทักษะและความสามารถระดับนั้นเหมาะกับอยู่หน่วยสืบสวนพิเศษมากกว่า อีกอย่างหน่วยของเรายังไม่มีใครที่ชำนาญด้านคอมพิวเตอร์ การที่เขามาจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและขยายขอบเขตของการทำงานได้”ผมอธิบายไปตามตรง


“งั้นทำไมถึงทำหน้าเหมือนคนอ่อนล้าขนาดนั้นล่ะ วันนี้เมเกอร์จะมาวันแรกนี่”


“ผมแค่กำลังคิดถึงความเงียบสงบที่ผ่านมาน่ะครับ”เป็นอย่างที่หัวหน้าพูด วันนี้จะเป็นวันแรกของการมาร่วมหน่วยสืบสวนพิเศษของเมเกอร์หรือเบซิลนั่นเอง


“ไม่ได้เกลียดเมเกอร์สินะ”


“ไม่ครับ”ผมตอบทันที


ไม่ได้เกลียดเพียงแค่เป็นในแบบที่ไม่เคยเจอเลยรับมือยากแค่นั้นเอง


“แบบนั้นก็ดี ฉันอยากให้สนิทกันไว้”


“ผมเกรงว่าคงต้องใช้เวลามากกว่านี้”จะให้สนิทเลยคงไม่ได้


“แต่ทางนั้นดูเหมือนจะทั้งสนิทและเปิดใจให้เธอมากพอดูนี่”หัวหน้าถามต่อ


“ก็จริง”ท่าทางของเบซิลค่อยๆเปลี่ยนไปทีละน้อย เปิดใจรับฟังมากขึ้นแม้จะยังมีถ้อยคำกวนๆอยู่มากแต่โดยรวมถือว่าดีขึ้นมาก


“เธอเองก็ลองเปิดใจดูบ้างสิ”


“หัวหน้า...”


“หน้าที่รองหัวหน้าทำได้ดีมากแล้ว จากนี้ขอฝากให้ดูแลเมเกอร์ด้วยล่ะ ถ้ามีอะไรจัดการตามสมควรได้เลย”หัวหน้าอธิบายต่อ


“หัวหน้าวางแผนให้เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกเหรอครับ”ผมถามกลับไปตรงๆ เรื่องราวมันเหมาะเจาะเกินกว่าจะบอกว่าเป็นความบังเอิญที่พอเบซิลปฏิเสธเข้าร่วมกับทางการเลยเปลี่ยนมาให้เข้าร่วมกับหน่วยสืบสวนพิเศษแทน


ดูยังไงก็ต้องคาดการหรือวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว


“ไม่หรอก...พึ่งมาวางหลังจากเดินกลับเข้าไปในห้องแล้วเจอเธอกับเมเกอร์กำลังคุยกันน่ะ”เหตุการณ์นั้นคงเป็นวันแรกที่ผมได้เจอกับเบซิล


วางแผนไว้ตั้งแต่แรกจริงๆด้วย


“ทำไมถึงมั่นใจว่าจะสำเร็จเหรอครับ แถมยังใช้เรื่องผมมาเป็นข้อต่อรองอีก”


“ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาทางเรือนจำกลางพิเศษที่3ได้รายงานเรื่องเมเกอร์มาตลอด ด้วยนิสัยและท่าทางแบบนั้นทำให้การเกลี่ยกล่อมให้เข้าร่วมกับทางการเป็นเรื่องยาก พอฉันเห็นความเป็นไปได้จากเธอเลยไปเสนอกับทางที่ประชุมว่าจะขอรับตัวเมเกอร์มาไว้ในหน่วยเอง”


“ทางนั้นคงไม่ยอมง่ายๆ”ผมรู้แม้จะไม่ได้เข้าร่วมการประชุมก็ตาม


ทางการไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตำรวจต่างต้องการผู้มีทักษะและความสามารถเฉพาะด้านแบบนี้มาทำงานด้วยทั้งนั้น ไม่มีทางยอมยกเบซิลให้กับหน่วยสืบสวนพิเศษง่ายๆ


“ใช่ ทั้งทางตำรวจและทหารต่างแย่งกันโดยไม่มีใครยอมถอยให้ใคร ผลสรุปคือใครสามารถทำให้เมเกอร์ยอมตกลงไปอยู่ด้วยสำเร็จก็ยกให้เป็นของหน่วยนั้นไปเลย และเพราะเธอช่วยทำให้เมเกอร์เปิดใจจนยอมตกลง”


“อาจจะไม่ใช่เพราะผมก็ได้”บอกตรงๆว่าผมไม่ได้ทำอะไรนอกจากเอานมไปฝากหมอนั่น


“ใช่สิ บรรยากาศรอบตัวเธอมันสงบนิ่งใครที่อยู่ใกล้จะพลอยรู้สึกผ่อนคลายไปด้วย ทุกคนในหน่วยเองหากเลือกคนที่จะให้ร่วมทำคดีเกือบทั้งหมดคงเลือกเธอ”


“ชมเกินไปแล้วครับ”


“ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะเลือกคนผิดหรอกนะ”หัวหน้าส่งยิ้มมาให้ระหว่างพูด


“ผมจะพยายามดูแลพวกเขาให้ดีที่สุดครับ”ทั้งเบซิลและคนในหน่วยทุกคนด้วย


“ดีมาก ในตึกนี่มีห้องว่างอยู่ให้เมเกอร์พักในห้องนั้นละกัน”


“ครับ”


“ไธม์”ก่อนผมจะเอื้อมมือไปเปิดประตูห้องกับได้ยินเสียงเรียกอีกครั้ง


“ครับหัวหน้า”


“ฉันขอถามตามตรง คิดว่าสามารถเชื่อใจเมเกอร์ได้ไหม”คำถามนี้ดังขึ้นพร้อมดวงตาสีน้ำตาลที่ประสานมาอย่างจริงจัง
ผมเข้าใจสิ่งที่หัวหน้าต้องการจะสื่อ


หน่วยสืบสวนพิเศษนี้แม้จะมีจำนวนคนน้อยทว่ากลับมีเปอร์เซ็นต์ในการจัดการคดีต่างๆได้สูงกว่าทางการ ซึ่งมีสาเหตุมาจากความเชื่อใจ


ทุกอย่างจะไม่สามารถสำเร็จได้หากปราศจากความเชื่อใจ


ความลังเลแม้เพียงน้อยนิดอาจส่งผลต่อชีวิตได้


หากบอกให้ไปแล้วลังเลที่จะก้าวนอกจากแผนจะพลาดแล้วยงอาจส่งผลให้ทุกคนเอาชีวิตไปทิ้ง


เรื่องของเบซิลเองก็เช่นกัน ความสามารถและทักษะด้านคอมพิวเตอร์อาจอยู่ในระดับสูงก็จริงแต่หากไม่สามารถทำให้คนอื่นเชื่อใจได้ก็ไม่เหมาะสมที่จะอยู่หน่วยสืบสวนพิเศษ


ถ้าถามผมว่าสามารถเชื่อใจเบซิลได้ไหม


คำตอบของคำถามนั้นไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย...


“ได้ครับ”ผมสามารถเชื่อใจเบซิลได้


ท่าทาง คำพูดและนิสัยของเบซิลอาจดูไม่น่าเชื่อถือแถมยังน่าสงสัยยิ่งพ่วงด้วยคดีต้มตุ๋นและหลอกลวงเข้าไปความน่าเชื่อใจคงติดลบไปเป็นล้านทว่าพอได้มองนิสัยเหล่านั้นอย่างใกล้ชิดทำได้ผมได้รู้ว่าจริงๆแล้วเบซิลภายใต้ท่าทางแบบนั้นไม่ได้จะเลวร้ายไปซะทั้งหมด


และผมเชื่อว่าตัวเองมองคนไม่ผิด


“ได้ยินแบบนั้นฉันก็เบาใจ ฝากด้วยล่ะไธม์”


“ครับ ผมขอตัวก่อน”พูดจบผมจึงโค้งตัวลาก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานส่วนตัวของหัวหน้า


ถัดจากห้องทำงานของหัวหน้าคือห้องทำงานรวมของพวกเราทุกคน เนื่องจากวันนี้เป็นวันพิเศษที่จะมีคนใหม่เข้ามาในหน่วยทุกคนจึงต้องอยู่ทำความรู้จักกันถ้วนหน้า ทุกคนต่างรู้สึกสนใจเพื่อนร่วมงานคนใหม่ว่าจะมีทักษะพิเศษอะไรหรือมีนิสัยแบบไหน


“ไธม์ คนใหม่จะมารึยัง”เสียงนี้เป็นของเบียร์ ชายร่างสูงผิวขาวปกติ เขามีความสามารถในการวางแผนเป็นยอดทำให้ส่วนมากมักจะถูกส่งไปช่วยคิดกลยุทธ์วางแผนให้กับหน่วยจู่โจมของตำรวจและทหาร


“คงอีกสักพักนึง ตื่นเต้นกันเกินไปรึเปล่าเนี่ย”ผมพูดพลางมองไปรอบๆห้อง ภายในห้องทำงานตอนนี้ทุกคนต่างมีท่าทางตื่นเต้นกันถ้วนหน้า


ทั้งจิวและสกายแม้จะกำลังร่วมกันเขียนรายงานของคดีที่พึ่งจัดการเสร็จเมื่อวานก่อนแต่ก็ยังไม่วายเงยหน้าขึ้นมามองผมเป็นระยะๆ แม็กและอาร์มนั่งคุยเล่นกันอยู่บนโซฟาโดยมีจิวนั่งประกอบระเบิดอยู่ข้างๆ แค่จิวที่มักจะอยู่แต่ในห้องตัวเองออกมานั่งรอก็เรียกว่าน่าแปลกใจมากพอแล้ว


“ผู้หญิงหรือผู้ชาย?”ซันชายหนุ่มรูปร่างออกกำยำเล็กๆเดินเข้ามาถามผมพร้อมหมุนควงลูกตุ้มขนาดเล็กในมือเล่น เห็นลูกตุ้มเล็กๆแบบนั้นแต่มีน้ำหนักถึง50กิโลกรัม คนธรรมดาเหวี่ยงไม่ไปหรอก


ซันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้อาวุธ ไม่ว่าจะเป็นปืนสั้น ปืนยาว มีด ทวน ธนูหรือแม้แต่หอกซันสามารถใช้อาวุธได้ทุกแบบ ทุกวันนี้หากมีเวลาว่างผมยังขอให้เขาช่วยสอนการใช้มีดให้อยู่บ่อยๆ


ทักษะการใช้อาวุธผมค่อนข้างทำได้ดีทว่าไม่หลากหลาย ใช้ได้แค่ปืนกับมีดเท่านั้นเอง


“ผู้ชาย”ผมตอบซันกลับไป


“ผู้ชาย? เก่งไหมไธม์”คนถามไม่ใช่ซันแต่เป็นอาร์มที่นั่งอยู่ข้างแม็ก ดวงตาของอาร์มถึงกับตาลุกวาวเมื่อได้ยินว่าคนที่จะเข้ามาใหม่เป็นผู้ชาย


อาร์มอย่างที่เคยบอก เขามีทักษะในการต่อสู้และมีพละกำลังมากที่สุดในหน่วย เพราะชอบการต่อสู้จึงอยากหาคู่ซ้อม ปกติจะซ้อมกับซัน


คงคิดว่าอาจมีคู่ต่อสู้ใหม่ละมั้ง


“เก่งแต่ไม่ใช่ด้านการต่อสู้”จากการมองเบซิลรู้เลยว่าไม่มีทักษะการต่อสู้ แค่ผมเบี่ยงตัวหลบอีกฝ่ายก็แทบหัวคะมำ ไม่มีการตั้งท่าเหมือนคนต่อสู้เป็น


ขืนให้เป็นคู่ซ้อมกับอาร์มได้เรียกรถพยาบาลมาใช้บริการใน3วินาทีแน่


“อีกแล้วเหรอ มีแต่คนที่ไม่ถนัดใช้แรงทั้งนั้นเลย น่าเบื่อเนอะอาร์ม”ซันหันไปพูดกับอาร์ม


“อืม...นึกว่าจะได้มีคู่ซ้อมใหม่”


“พูดแบบนี้คงไม่ได้กระทบผมหรอกใช่ไหม”จิวเอ่ยถามบ้าง


“รู้ตัวนี่”ซันหันไปแขวะ


“ซัน สัณตินันท์ สิริวัฒนนท์ เกิดวันที่ 31 ตุลาคมที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดลำปาง น้ำหนักแรกเกิดคือ4200กรัม ชั้นประถมจนถึงมัธยมปลายเข้าเรียนยังโรงเรียนประจำจังหวัดและจบชั้นมัธยมปลายด้วยเกรดเฉลี่ย3.02ก่อนจะย้ายมาเรียนมหาลัยที่กรุงเทพในคณะ...”


“พอๆ ฉันขอโทษที่พูดกระทบนาย”ซันถึงกับยกมือสองข้างขึ้นแทนการขอยอมแพ้เมื่อประวัติส่วนตัวถูกเล่าออกมาราวกับเจ้าตัวเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ด้วย


“อยากให้พูดของอาร์มด้วยไหม”จิวหันไปถามอาร์มต่อด้วยรอยยิ้มกว้างทว่าดวงตานั้นไม่ได้กำลังยิ้มอยู่สักนิด


“...ไม่ล่ะ โทษที”


ขนาดผู้มีพลังกำลังมาที่สุดยังต้องพ่ายแพ้ให้กับจิวซึ่งต่อสู้ไม่เป็น ข้อมูลของจิวถือเป็นอาวุธพิเศษที่สามารถใช้ฆ่าคนได้โดยไม่ต้องเจ็บตัว


กิ๋งก่อง


เสียงกดกริ่งจากด้านหน้าประตูเรียกความสนใจของทุกคนให้กลับมาอยู่ในเรื่องเดียวกันอีกครั้ง ทุกสายตาจับจ้องมาทางผมให้เป็นคนออกไปรับผู้ร่วมหน่วยคนใหม่ซึ่งผมก็พยักหน้าเบาๆก่อนเดินไปเปิดประตูด้านออก


เจ้าหน้าที่ผู้คุมของเรือนจำกลางพิเศษที่3ทั้ง2คนพาผู้ต้องหาเบซิลหรือเมเกอร์มาส่ง กุญแจมือทั้งสองข้างถูกปลดออกพร้อมหนังสือหนึ่งฉบับถูกยื่นมาให้ผม


ไม่จำเป็นต้องเปิดอ่านผมก็รู้ว่าด้านในมีอะไรเขียนไว้ เนื้อหาภายในคงไม่พ้นพูดถึงความรับผิดชอบหากผู้ต้องหาหลบหนีหรือก่อนความเดือดร้อน ทุกอย่างจะถือเป็นความรับผิดชอบของหน่วยสืบสวนพิเศษแต่เพียงผู้เดียว


“พวกเราพาเมเกอร์มาส่งเรียบร้อยแล้ว ขอตัวครับ”พูดจบทั้งคู่จึงเดินกลับไปยังรถปล่อยให้นักโทษที่พึ่งได้รับอิสระยืนยิ้มกว้างคล้ายคนบ้าอยู่ตรงหน้าผม


การให้นักโทษมาเข้าร่วมในหน่วยไม่จำเป็นต้องได้รับอิสระเสมอไป โดยส่วนมากจะยังอยู่ในคุกพอมีคดีเข้ามาจึงจะได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวเป็นช่วงๆไปต่างจากของเบซิล ขอเสนอของหัวเป็นการหยิบยื่นอิสรภาพให้แม้จะต้องมาอยู่ในความดูแลของหน่วยสืบสวนพิเศษก็ตาม


“ยิ้มอะไรขนาดนั้น”ว่าจะไม่ถามแล้วแต่มันอดไม่ได้ ตั้งแต่มาเบซิลที่มักจะพูดกวนประสาททักทายกลับเอาแต่เงียบและส่งยิ้มกว้างมาให้


หรือทางเรือนจำฉีดยาอะไรให้ก่อนมารึเปล่านะ


“ดีใจก็ต้องยิ้มสิหรือคุณจะทำหน้าบึ้ง อ้อ ที่ทำหน้าบึ้งอยู่ตอนนี้แปลว่ากำลังดีใจที่เจอผมเหมือนกันใช่ไหม”พอเปิดปากเท่านั้นผมอยากจะย้อนเวลากลับไปและเลือกที่จะไม่ถาม


“...”ผมให้ความเงียบแทนคำตอบ


“จากนี้จะได้เห็นหน้าคุณทุกวันเลย”


“ผมว่าจะลาพักร้อนสัก2เดือน”ผมพูดลอยๆระหว่างเดินนำเบซิลเข้ามาข้างในตึก


“อ้าว ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาแบบนี้จะดีเหรอคุณรองหัวหน้า”อีกฝ่ายถามกลับด้วยใบหน้าจริงจังจนผมแทบจะหุบยิ้มเอาไว้ไม่ทัน


บทจะจริงจังก็จริงจังเหลือเกินนะ


“เดี๋ยวให้คนอื่นดูแลแทน”


“ไม่”


“เหมือนคุณจะไม่มีสิทธิ์เรียกร้องนะ”ผมบอก


“แต่ทางนั้นไม่ทำตามข้อตกลงก่อนนี่”เบซิลพูด ข้อตกลงที่ว่าคือผมต้องเป็นคอยควบคุมดูแลเบซิลด้วยตัวเองในขณะที่เขายังทำงานให้หน่วย


จะเรียกว่าข้อตกลงก็ไม่ผิดนัก เป็นข้อเสนอที่ทั้งสองผ่านตกลงกันโดยไม่ถามความเห็นผมต่างหาก


“นั่นคุณตกลงกับหัวหน้า ไม่ใช่ผม”


“ในเมื่อหัวหน้าพูดลูกต้องก็ควรทำตามสิ”อีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะยอมแพ้ง่ายๆ


“งั้นในตอนนี้คุณก็เหมือนเป็นลูกน้องผม  จะยอมทำตามที่ผมพูดรึเปล่าล่ะ”ได้จังหวะผมเลยขอสวนกลับไปบ้าง ในเมื่อเขาเป็นคนพูดเองว่าผมต้องฟังหัวหน้าและตอนนี้เขาก็เหมือนมาเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยโดยมีผมเป็นรองหัวหน้า


อยากจะรู้คำตอบของเบซิลจะเป็นยังไง


“...”ครั้งนี้เป็นเบซิลที่ใช้ความเงียบแทนคำตอบ ผมอยากจะส่ายหัวไปมากับท่าทางของเขาซะจริง


“ทำตัวดีๆหน่อยนะเบซิล”ผมพูดพลางเอื้อมมือไปดึงแก้มอีกฝ่ายแรงๆ


“เจ็บ...นี่ใบไธม์”


“เรียกผมว่าไธม์”


“ก็ได้ ไว้เรียกใบไธม์ตอนอยู่กันสองคนก็ได้ ไธม์”เบซิลเรียกผมซ้ำอีกรอบ


“อะไร”


“ถ้าทำตัวดีแล้วจะได้อะไร”


“...ฮะ”ขาที่กำลังก้าวถึงกับชะงักเมื่อได้ยิน


“ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ถ้าอยากให้ผมทำตัวดีก็ต้องมีของแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม”อยู่ๆเบซิลก็เข้าโหมดต่อรอง และเมื่ออยู่ในโหมดนี้คงไม่มีขาดทุน


“ต้องการอะไร”ผมไม่คิดจะเสียเวลาคิดเพราะได้อยู่แล้วว่าทางนั้นมีสิ่งที่ต้องการอยู่ในหัวตั้งแต่เริ่มตั้งคำถาม


“ไม่รู้สิ”


“...”เป็นอีกครั้งที่ผมไม่รู้จะพูดอะไร ถ้าเป็นปกติคงบอกมาแล้วว่าต้องการอะไรไม่ใช่คำตอบว่าไม่รู้


“คุณเป็นคนอยากให้ผมทำตัวดีก็ลองเสนอมาสิ”เบซิลพูดต่อ ดวงตาสีเขียวนั้นมองมายังผมคล้ายกำลังรอคอยคำตอบ


“ยังนึกไม่ออก ขอติดไว้ก่อน”ผมบอกปัด


“หมายความว่าจะให้ผมทำตัวดีทั้งที่ไม่รู้ว่าจะได้อะไรตอบแทนงั้นเหรอ”เบซิลสรุปทุกอย่างในประโยคเดียว


“คุณเป็นเด็กรึไงเบซิล”ท่าทางและคำพูดของเบซิลไม่ได้เหมือนนักธุรกิจที่เจรจาต่อรองกำไรจากการค้าแต่เหมือนเด็กที่กำลังขอขนมแลกกับให้ช่วยงานบ้าน


ท่าทางตอนต่อรองกับหัวหน้าต่างกับตอนต่อรองกับผมอย่างชัดเจน


“ถ้าเห็นผมเป็นเด็กก็ตามใจหน่อยสิ”


“ไม่ล่ะ เดี๋ยวจะโตมาเป็นเด็กเอาแต่ใจ”ผมบอกปัดตรงๆ


“ใจร้าย”


“ผมไปพูดตอนไหนว่าตัวเองใจดี”ผมย้อนถาม


“งั้นผมจะพูดปั่นหัวจนพวกเขาประสาทกินไปเลย”


“เด็ก”ไม่มีอะไรจะแสดงถึงตัวตนของเบซิลในตอนนี้ไปได้มากกว่าเด็กอีกแล้ว


“คอยดูละกัน”


“ผมบอกว่าขอติดไว้ก่อนไง ถ้าทำตัวไม่ดีคุณได้รอเปลี่ยนคนดูแลได้เลย”ผมทิ้งท้ายไว้แบบนั้นก่อนจะเปิดประตูห้องทำงานออก
ทั้ง7คนยืนรอกันอยู่หน้าประตูเพื่อรอพบผู้มาใหม่ เมื่อเบซิลเดินออกมาปรากฏตัวตรงหน้าสีหน้าของแต่ละคนก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างสกายทำหน้าเพ้อคล้ายกำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์รัก จิวหรี่ตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าของเบซิล คนอื่นเองก็มีทีท่าแตกต่างกันไป


“ขอแนะนำเขาจะมาเข้าร่วมหน่วยสืบสวนพิเศษของเราตั้งแต่วันนี้”พูดจบผมจึงใช้ศอกสะกิดเบซิลให้แนะนำตัว


“เบซิล”คำแนะนำตัวแสนสั้นทำเอาคนในห้องมีเครื่องหมายคำถามลอยขึ้นมาเหนือศีรษะกันถ้วนหน้า


เอาเข้าไปสิ แถมน้ำเสียงยังเหมือนเด็กถูกบังคับให้พูดอีก


ชักปวดหัวแล้วเนี่ย


“จะพาไปกินข้าวข้างนอก”ผมพึมพำเสียงเบาให้ได้กับกันแค่ผมและเบซิล


ถ้าเป็นเขาคงเดาไม่อยากว่าผมหมายถึงอะไร


ในเมื่อต้องการให้เสนอผมก็เสนอแล้ว เหลือแค่อีกฝ่ายจะยอมตกลงกับข้อเสนอง่ายๆนี้ไหม


“แค่สองคน”เบซิลต่อรองเสียงเบา


“...ได้”ผมคิดสักพักก่อนพยักหน้าตกลง


“สวัสดีทุกคน ผมชื่อเบซิล จากนี้ต้องทำงานร่วมกันอีกนานเพราะงั้นมาสนิทกันไว้เถอะ ขอฝากตัวด้วย”เบซิลกล่าวแนะนำตัวใหม่ด้วยน้ำเสียงร่าเริงต่างจากเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนราวกับเป็นคนละคน


ถ้าใครมองมาคงเห็นผมถอนหายใจอย่างปลงๆ


อ่านใจไม่ออกเลยว่าคิดอะไรอยู่


“ยินดีที่รู้จักฉันจูน”จูนเป็นแรกที่แนะนำตัว


“...นึกออกแล้ว!!”อยู่จิวก็ตะโกนเสียงดังขัดสกายที่กำลังจะอ้าปากแนะนำตัวต่อจากจูน


“นึกอะไรออกจิว”เบียร์หันไปถาม


“เขาไง ก็ว่าอยู่เคยเห็นที่ไหน นั่นไง...คนนั้นน่ะ”จิวพูดติดอ่างชี้นิ้วไปยังเบซิล


“คนนั้นคือคนไหนเล่า พูดดีๆสิ”แม็กถามต่อ เวลาจิวตื่นเต้นหรือเจอเรื่องตกใจมักจะพูดติดอ่างถือเป็นเรื่องปกติ

 
“ก็นั่นไง แฮ็กเกอร์อัจฉริยะ เมเกอร์ไงล่ะ”สิ้นคำเฉลยของจิวบรรยากาศในห้องก็เงียบกริบ ทุกสายตาจับจ้องมายังเบซิลที่ยืนยิ้มอยู่โดยไม่มีท่าทีสะทกสะท้านหรือตกใจเมื่อถูกรู้ถึงตัวจริง


จริงอยู่ผมอาจบอกว่าจะมีคนมาเข้าร่วมในหน่วยสืบสวนพิเศษแต่ไม่ได้บอกทั้งเป็นนักโทษหรือเป็นเมเกอร์แฮ็กเกอร์ผู้มากฝีมือในการแฮ็กระบบต่างๆ


ไม่แปลกถ้าพวกเขาจะตกใจ


“เดี๋ยว...เมเกอร์ หมายถึงคนที่แฮ็กเข้าระบบธนาคารเอาเงินออกไปโปรยว่อนถนนคนนั้นน่ะนะ”แม็กพูดเสริมด้วยสีหน้าไม่แน่ใจนัก


“ไม่ใช่แค่แฮ็กระบบแต่ยังมีคดีทั้งต้มตุ๋นและหลอกลองอีกนับไม่ถ้วน”จิวให้ข้อมูลต่ออีก


“ไธม์ทำไมหมอนี่ถึง...”อาร์มหันมาถามผม เพราะคำถามนั้นทำให้ทุกสายตาเปลี่ยนมาจับจ้องยังผมเพื่อรอคำตอบ


จะเริ่มอธิบายตั้งตอนไหนดีเนี่ย


“อย่างที่รู้กันเขาเป็นนักโทษที่ก่อคดีมามากมายจนมีโทษจำคุกถึง20ปีทว่าด้วยความสามารถและทักษะด้านคอมพิวเตอร์ที่เขามีมันน่าเสียดายเกินกว่าจะให้นอนอยู่ในคุกเฉยๆทางการจึงได้ทำการเกลี่ยกล่อมให้ร่วมมือช่วยในการจัดการคดีต่างๆ”


“ถ้าแบบนั้นก็ควรไปอยู่กับตำรวจไม่ก็ทหารสิ”เบียร์ถามต่อ


“ถ้าเขาตกลงก็คงจะใช่”ผมพูดต่อ


“หมายความว่าปฏิเสธข้อเสนอของทางการ?”


“อืม”


“ถ้าปฏิเสธข้อเสนอของทางการทำไมถึงยอมตกลงมาอยู่หน่วยเราล่ะ”ครั้งนี้เป็นจิวที่ถาม


“เพราะอยากเจอหน้าไธม์ทุกวันน่ะ”ยังไม่ทันที่ผมจะอ้าปากตอบเบซิลก็รีบตอบแทนแถมยังเป็นประโยคกำกวมทำเอาหลายคนยกมือขึ้นมาปิดปากกันเป็นแถว


“...แบบนี้นี่เอง ฉันอกหักตั้งแต่ยังไม่ได้สารภาพเลยเหรอเนี่ย”สกายพูดเสียงเบาโดยมีน้ำตาที่พึ่งบีบไหลออกมาบริเวณหางตา ความสามารถพิเศษอีกอย่างของเธอคือการบีบน้ำตาได้นี่แหละ


“เบซิล”ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงเข้ม


“ผมแค่พูดความจริงเองนะ”


“ไธม์มีบรรยากาศรอบตัวที่ใครก็อยากอยู่ด้วยนี่นะ ว่าแล้วต้องมีสักวันที่มีคนมาตามติดแต่ไม่คิดว่าจะเป็นเมเกอร์”ซันพูดบ้าง


“แนะนำตัวกันต่อได้แล้วมั้ง”นี่เลยเวลามามากแล้วขืนมัวแต่เล่นคนที่ต้องไปทำคดีได้ไปสายกันพอดี


“ไม่ปฏิเสธแปลว่าจริงเหรอที่ท่านรองเป็น...กับเมเกอร์”จิวยกมือขึ้นปิดปากพร้อมเบิกตากว้าง


ไม่รู้หรอกนะว่าที่เว้นไว้นั่นหมายถึงอะไรแต่ผมชักเริ่มหงุดหงิดแล้วสิ


จะปฏิเสธไปก็เหนื่อยแรง เดี๋ยวเรื่องก็ซาไปเองในไม่ช้าอยู่ดี


“คนที่พูดนี่คือจิว เรียงจากซ้ายไปขวาคือซัน สกาย อาร์ม แม็กและเบียร์”ผมตัดสินใจแนะนำทุกคนให้เบซิลรู้จักรวดเดียว


“ไธม์แนะนำรัวๆแบบนั้นเขาจะจำชื่อได้ยังไง”สกายพูด


“ผมจำได้”เบซิลตอบสกาย


“จำได้?”


“อย่าดูถูกสมองของเมเกอร์ดีกว่า จากข้อมูลไอคิวของเขาสูงกว่า200  อีคิวเองก็ไม่ใช่ระดับธรรมดาเป็นอัจฉริยะตัวจริง”จิวบอกข้อมูลเพิ่ม


“...สะ สองร้อย ฉันมีถึงครึ่งไหมเนี่ย”ซันถามตัวเองด้วยใบหน้าจริงจัง


“ครึ่งนึงของเมเกอร์ก็ยังถือเป็นระดับของคนปกติอยู่อย่าเสียใจเลย”จิวแตะไหล่ซันเป็นการปลอบใจ


“เฮ้ย ไม่แน่ว่าฉันอาจจะได้เกิน200ก็ได้”


“ไม่มีทาง”ทั้ง7คนในห้องส่ายหัวพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ผมแอบขำเล็กๆกับเหตุการณ์ตรงหน้า



(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)

จากนั้นพวกเราต่างแยกกันไปทำงานของตัวเองต่อ โดยซันกับแม็กออกไปทำคดีพิเศษที่ถูกส่งมาตั้งแต่เมื่อวาน คนอื่นมีทั้งนั่งอยู่ในห้องและกลับไปห้องตัวเองอย่างจูน


สำหรับผมนั้นกำลังนั่งเขียนรายงานของคดีที่ไปจัดการมาเมื่อวันก่อนอยู่ที่โต๊ะของตัวเอง


“ไธม์ เสร็จรึยัง”


ใช่โต๊ะของตัวเองที่น่าจะมีเพียงผมที่นั่งอยู่แต่กลับมาเบซิลเลื่อนก้าวอี้มาอยู่ด้านหลังผม ถ้าอยู่นิ่งๆคงไม่ว่าอะไรแต่นี่กลับพูดไม่หยุด สมาธิในการเขียนแตกซ่านจนกู่ไม่กลับ


“ผมต้องการสมาธิ อย่าพึ่งกวนได้ไหม”ผมบอกโดยไม่หันไปมองอีกฝ่าย


“หิวแล้ว”


“ถ้ากวนอีกข้อตกลงเป็นอันยกเลิก”


“แบบนั้นไม่ได้นะ คุณพูดแล้วห้ามคืนคำสิ”น้ำเสียงร้อนรนจากเบซิลขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น


“ถ้าไม่อยากให้คืนคำก็ช่วยอยู่เงียบๆสักพัก ผมต้องการใช้สมาธิ”


“ถ้าอยู่เงียบๆจะไปกินข้าวด้วยกันใช่ไหม”


“อืม”


“จะอยู่เงียบๆ”ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าว่าน้ำเสียงของเบซิลดูอ่อนลงยังไงบอกไม่ถูก


เพราะไม่มีเสียงก่อกวนสมาธิผมจึงสามารถจัดการเขียนรายงานเสร็จได้ในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ตลอดเวลาครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาเบซิลไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำและผมก็ไม่มีเวลาหันไปมอง แต่เมื่อจัดการรายงานเสร็จผมเลยได้โอกาสเลื่อนเก้าอี้หันไปมองว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่


เบซิลยังคงนั่งอยู่บนอี้ตัวเดิมเพียงแค่ขยับเข้ามาติดขนาดแค่หมุนเก้าอี้ก็โดนกันทันที โต๊ะผมอยู่บนเวณด้านในสุดซึ่งติดกับหน้าต่าง...เบซิลเท้าแขนกับขอบหน้าต่างใช้ดวงตาสีเขียวมรกตจับจ้องมายังผมนิ่งๆโดยไม่มีคำพูดใด


ท่าทางแบบนั้นคงไม่ได้พึ่งจ้องแต่จ้องมาตั้งนานแล้ว ถ้าให้เดาคงตั้งแต่ผมบอกให้เงียบ


อยู่ๆก็รู้สึกว่าความร้อนมารวมตัวกันอยู่บนใบหน้าเพียงแค่นึกถึงว่าตัวเองถูกสายตานั้นจับจ้องมาตลอดครึ่งชั่วโมง


“...ทำไมไม่หันไปมองสวนข้างนอกล่ะ”ผมถาม


“ผมพูดได้แล้ว?”อีกฝ่ายถามกลับ


“จะไม่พูดก็ได้นะ”


“ไม่เอาหรอก สวนน่ะจะดูเมื่อไหร่ก็ได้แต่การได้มองคุณมันน่าสนใจกว่า”


“ผมจะเอารายงานไปส่ง”ผมไม่คิดจะโต้ตอบประโยคหวานๆคล้ายจีบสาวนั่นหรอกนะ


พอกลับมาจากห้องหัวหน้าเบซิลยังคงนั่งอยู่ที่เดิมคือด้านหลังเก้าอี้ผม ตอนนี้คนในห้องออกไปกันหมดแล้วเนื่องจากเป็นช่วงพักส่วนมากจะออกไปกินตามถนนสายข้างๆแต่ก็มีหลายคนออกไปกินข้างนอกหรือตามห้างอะไรแบบนั้น


“ไปกินข้าวกันเบซิล”ผมเรียกคนด้านใน


“อืม จะพาผมไปกินไหน”เชื่อไหมว่าพอได้ยินคำพูดผมเบซิลถึงกับเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้เดินตรงมาหาด้วยความเร็วสูง


“อยากกินแนวไหน”ผมถามระหว่างพาเดินออกไปด้านนอก


“ชาบู”


“ชาบู? มีร้านนึงอยู่ตรงถนนข้างๆ อร่อยอยู่ไปที่นั่นละกัน”พอบอกแล้วเดินออกจากตึกมุ่งตรงไปยังซอยที่อยู่ถัดไปไม่ไกล


“เราจะเดินไป?”เบซิลวิ่งมาขนาบข้างก่อนจะถาม


“ใช่ อยู่ไม่ไกลเดินไปจะสะดวกกว่าแถมที่จอดรถแถวนั้นก็ไม่ค่อยมีด้วย”


ซอยที่ผมพาเบซิลไปเป็นซอยเล็กมีถนนเพียง2เลนส์ ปกติจะไม่อนุญาตให้รถใหญ่เข้าแต่มีชั่วโมงเร่งรีบอย่างช่วง7 - 8โมงสามารถให้รถใหญ่ผ่านได้ สองข้างของถนนเต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหาร ดูเผินๆเหมือนเป็นตลาดก็ไม่ผิดนัก


ร้านชาบูตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายของถนน ร้านมีขนาดไม่ใหญ่มากประมาณ2คูหาผนังชั้นล่างถูกทำใหม่ให้เป็นกระจกใสสามารถมองเห็นด้านในร้านได้ ภายในร้านมีทั้งแบบบาร์และแบบโต๊ะตามความต้องการของลูกค้า


“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าต้องการนั่งแบบไหนดีคะ”พนักงานสาวเดินมาทักทายทันทีที่พวกเราเดินเข้ามาด้านใน


“แบบบาร์ไหม”ผมหันไปขอความเห็น


“เอาสิจะได้นั่งใกล้ๆคุณด้วย”


“แบบบาร์ครับ”ผมกำมือแน่นแล้วชกชายโครงอีกฝ่ายแทนคำบ่น


“แบบบาร์สองที่นะคะ จะรับเป็นน้ำซุปแบบไหนดีคะมีน้ำใส น้ำข้น ต้มยำ มิโซะและน้ำซุปเห็ดค่ะ”พนักงานถามต่อ


“ขอเป็นมิโซะ”ผมเลือกน้ำซุปที่ไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ ความจริงก็มีอีหลายน้ำที่ไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์อย่างซุปเห็ดหอมหรือต้มยำ


“ผมอาเป็นต้มยำ”


“รับเป็นซุปมิโซะและต้มยำนะคะ เชิญด้านในเลยค่ะ”


พวกเราเลือกนั่งในมุมหนึ่งด้านในของร้านซึ่งผมนั่งติดกำแพงโดยมีเบซิลนั่งอยู่ข้างๆ หลังจากลุกไปตักน้ำแล้วพวกเราจึงเริ่มหยิบของบนสายพานมาใส่ต้มในหม้อของตัวเอง


ร้านนี้ไม่ใช่บุฟเฟ่ของบนสายพานจึงมีหลายหลายทว่าราคาไม่แพง ผัก เต้าหู้หรือพวกลูกชิ้นคิดจานละ10บาท ส่วนเนื้อจะ15-20บาทตามชนิดและรูปแบบของเนื้อนั้นๆ


จานแรกของผมคือหัวไซเท้าและแครอทช่วยเพิ่มความหวานให้กับน้ำซุปก่อนจะตามด้วยข้าวโพดและเผือกตามลำดับ อย่างที่เคยบอกว่าผมกินเนื้อสัตว์ไม่ได้จึงเลือกกินพวกผักแทน


ส่วนเบซิลหยิบเนื้อเป็นจานแรกใส่ลงในหม้อต้ม ตามด้วยลูกชิ้นและปลาหมึก หม้อของพวกเราต่างกันคนละขั้วเลย ต้มไม่นานผมก็ตักผักขึ้นมากินในถ้วยของตัวเอง


“ทำไมกินแต่ผักล่ะ เอาเนื้อนี่ไหม”เบซิลถามพลางหยิบเนื้อวัวสไลด์จากสายพานมาให้ด้วยความหวังดี


“ไม่ล่ะ ผมไม่กินเนื้อ”ผมบอกปฏิเสธ


“ไม่กินเนื้อวัว?”


“เปล่า...ทุกอย่างที่เป็นเนื้อสัตว์ผมไม่กิน”ผมบอกไปตามตรง


“...บนไว้เหรอหรือแค่ไม่ชอบ”เบซิลใช้ความคิดสักพักถึงจะถามกลับมา


“ราวๆนั้น”จะให้บอกความจริงไปก็ไม่ใช่เรื่อง


ความลับเรื่องการแปลงร่างเป็นสัตว์ของผมนั้นมีเพียงคนในครอบครัวเท่านั้นที่รู้


ผมไม่เสี่ยงให้คนอื่นรู้ความลับนี้หรอก


“ผมไม่ควรถามสินะ”เบซิลมองสังเกตผมแล้วพึมพำออกมาเบาๆจากนั้นก็หันไปตักเนื้อในหม้อของตัวเองขึ้นมากินต่อโดยไม่มีการซักไซ้หรือถามอะไรอีก


อยู่ด้วยกันไม่นานสามารถมองท่าทางผมออกได้ขนาดนี้เลยเชียว


ไม่สิ สำหรับเบซิลการลอบมองหรือสังเกตคู่สนทนาอาจเป็นเรื่องง่ายอยู่แล้ว


“...ขอบคุณ”ทั้งที่จะยิงคำถามต่อก็ได้แต่กลับไม่ทำ


รู้ว่าผมจะหนักใจงั้นเหรอ


พวกเรานั่งกินชาบูกันอยู่ประมาณชั่วโมงกว่าจึงจะเรียกมาคิดเงินแล้วเดินออกมาจากร้าน อาหารมื้อนี้ผมเป็นคนง่ายซึ่งก็เป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว นักโทษอย่างเบซิลจะมีเงินติดตัวได้ยังไง ต่อให้มาช่วยสืบสวนคดีแต่อย่าคิดว่าทางการหรือทางหน่วยผมจะใจดีจ่ายเงินให้นะ


ทุกวันนี้ลำพังแค่ค่าใช้จ่ายภายในหน่วยก็แทบจะติดลบอยู่ทุกเดือนไป


พวกเราอาจเป็นหน่วยที่ทำคดีสำเร็จมากที่สุดแต่ก็เป็นหน่วยที่สร้างความเสียหายมากที่สุดเช่นกัน ยกตัวอย่างง่ายๆอย่างสกาย สาวสวยแสนน่ารักที่ดูยังไงก็ไม่น่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อความเสียหาย แต่เธอกลับติดอันดับคนที่สร้างความเสียหามากที่สุดเป็นอันดับ1 ด้วยสาเหตุง่ายๆคือสถานที่ที่เธอมักจะเป็นนกต่อหรือตัวล่อมักจะเป็นโรงแรม ผับ ร้านอาหารหรือแม้แต่ห้างสรรพสินค้า หลังจากหลอกล่อจนทางการเข้าปะทะกับฝ่ายผู้ร้ายเกือบทุกครั้งมักจะสร้างความเสียหายให้บริเวณโดยรอบ ล่าสุดเป็นร้านทอง


ทั้งที่เป็นทางตำรวจยิงโต้ตอบกับคนร้ายแล้วไปโดยทองในร้านเข้าแต่กลับโยนค่าใช้จ่ายมาให้หน่วยสืบสวนพิเศษด้วยเหตุผลง่ายๆว่าไม่ยอมล่อไปบริเวณอื่น


“อร่อยดีเนอะ”เบซิลพูดระหว่างเดินกลับไปยังที่ทำงาน


เวลาพักปกติจะให้ประมาณ1ชั่วโมงแต่หน่วยสืบสวนพิเศษค่อนข้างจะแตกต่างจากหน่วยอื่น พวกเราจะออกไปพักแล้วกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้ตราบใดที่ทำงานเสร็จ ในกรณีมีงานหรือคดีด่วนจะใช้การติดต่อทางโทรศัพท์มากกว่า


“ไว้จะพามาอีก”ผมไม่ค่อยได้มากินข้าวกับใครบ่อยนักเลยไม่ค่อยรู้หรอกว่าร้านแบบไหนกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในช่วงนี้ ร้านส่วนมากที่ผมรู้จักจะเป็นร้านที่มีอาหารจำพวกผักหรือสามารถกินได้โดยไม่มีเนื้อสัตว์ซึ่งหาได้ยากในปัจจุบันนี้


“แลกกับให้ผมทำตัวดี?”


“ไม่ใช่ข้อแลกเปลี่ยนแต่เป็นรางวัลต่างหาก”ผมพูดแก้ ข้อแลกเปลี่ยนกับรางวัลแม้จะคล้ายกันแต่ให้ความรู้สึกคนละแบบ ข้อแลกเปลี่ยนนั้นคือความเท่าเทียมหากคิดว่าข้อตกลงมันไม่คุ้มค่าให้เราทำอย่างเต็มกำลังเราก็จะออมแรงเพราะยังไงก็รู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่แลกเปลี่ยนคืออะไร


ในทางกลับกันรางวัลคือการที่เราได้พยายามทำในสิ่งหนึ่งเต็มกำลังโดยไม่คาดหวังหรือรู้ล่วงหน้าว่าจะได้อะไรกลับมาตอบแทนในความพยายามนั้น


“...รางวัล เห็นผมเป็นเด็กจริงๆด้วย”


“ไม่ใช่?”


“ก็ไม่ใช่น่ะสิ”


“แต่นิสัยเด็ก”


“เขาเรียกว่าขี้อ้อน”เบซิลพยายามแก้ตัว


“ไม่ใช่แล้ว”ท่าทางไม่ได้สื่อไปในทางอ้อนสักนิด


ระหว่างพวกเรากำลังเดินคุยกันเสียงดังจ้อแจ้ด้านหน้าก็เรียกผมให้สนใจจนต้องหันไปมอง หญิงสาวสองคนกำลังถูกกลุ่มชายประมาณ4คนล้อมเอาไว้ แค่ดูก็รู้ว่าไม่ได้กำลังเรื่องดีอย่างช่วยเก็บกระเป๋าเงินแน่นอน เท่าที่ดูน่าจะรีดไถไม่ก็พยายามก่อกวน
ถนนสายนี้เป็นหนึ่งในแหล่งเศรษฐกิจจึงไม่แปลกหากจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ้าง


แถวนี้ไม่มีคนของทางการซะด้วย


ผมคงต้องจัดการเองแล้วสิ


“จะทำอะไรไธม์”เบซิลดึงแขนเสื้อเพื่อรั้งผมที่กำลังจะเดินไปทางกลุ่มชายตรงหน้า


“เข้าไปจัดการไง”ในเมื่อเห็นแล้วจะให้ผมเดินไปโดยไม่สนใจคงทำไม่ได้


“พวกนั้นอันตรายนะ”


“อืม แต่ถ้าไม่มีใครเข้าไปผู้หญิงพวกนั้นจะเป็นอันตราย”


“...ให้ผมจัดการเอง”นิ่งไปสักพักก่อนเบซิลจะพูดต่อ


“จะสู้ชนะ?”


“คุณก็น่าจะรู้ว่าผมสู้เก่งขนาดไหน”คำพูดของเบซิลทำเอาผมเกือบจะหลุดขำออกมา


“อ่า...เก่งมากเลยล่ะ”


“ขอบคุณที่ชม”อีกฝ่ายอืดอกรับคำชมด้วยรอยยิ้มภาคภูมิ


“คิดจะทำอะไร”


“อยากโชว์ทักษะส่วนตัวให้คุณดูหน่อยน่ะ”


“ทักษะ?”พอผมจะถามกลับเบซิลก็เดินตรงไปยังกลุ่มชายตรงหน้าซะแล้ว


ผมรีบก้าวตามไปเพื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้จัดการต่อได้ทันที จำนวนคน4คนไม่ได้ถือว่ามากโดยเฉพาะกับพวกที่ดูท่าทางเหมือนนักเลงและมาเป็นกลุ่ม ดังนั้นหากเกิดการต่อสู้ผมค่อนข้างมั่นใจว่าสามารถจัดการได้


“พอแค่นั้นดีกว่านะ”เบซิลใช้น้ำเสียงนิ่งๆในการพูด


“แกเป็นใคร มายุ่งอะไรด้วยวะ”ชายหนึ่งในกลุ่มเดินมาเผชิญหน้าตรงๆกับเบซิล แววตากะหาเรื่องเต็มที่


จะทำยังไงต่อล่ะเบซิล


“ไม่ยุ่งคงไม่ได้ในเมื่อมีคนกล้ามาหาเรื่องในอาณาเขตเราคงต้องกลับไปรายงานบอส”


“บอส?”ทั้ง4คนถึงกับขมวดคิ้วแน่น


บอสไหน


ผมถามประโยคนั้นในใจ


ตามข้อมูลที่รู้มาแถวนี้ไม่มีใครคุมสักหน่อย


“ใช่ แต่ไม่อยากจะให้เรื่องเล็กๆไปกวนอารมณ์บอสหรอกนะยิ่งขี้โมโหอยู่ด้วย ถ้ายอมกลับไปดีๆจะปล่อยไปสักครั้ง”เบซิลพูดต่อ ดวงตาสีเขียวหรี่ลงมองหน้าชายทั้ง4คนราวกับกำลังข่มขู่ทางสายตาจนฝ่ายนั้นผงะไปไม่น้อย


“กะ...กลับกันเหอะ”คนด้านหลังเริ่มกระตุกชายเสื้อคนด้านหน้า


“อย่าไปกลัวดิวะ มันแค่โกหกเท่านั้นแหละ”เหมือนชายคนหน้าสุดจะเป็นหัวหน้านะ ขอชื่นชมที่แสดงความกล้าออกมาแม้จะมีเหงื่อไหลซึมออกมาตามขมับแล้วก็ตาม


“แปลว่าอยากลองสินะ งั้นจะจัดให้ตามคำขอ...”


“บ้าเอ้ย ไปกันเร็ว”กลุ่มชาย4คนถึงกลับเผ่นหนีด้วยความเร็วสูงเมื่อเบซิลทำท่าจะหยิบบางอย่างออกมาจากด้านหลังของกางเกงขายาวที่ว่างเปล่า


บอกตรงๆว่าพอได้มาเห็นกับตาผมเชื่อเลยว่าฉายาเมเกอร์และคดีต้มตุ๋นพ่วงหลอกลวงอีกนับไม่ถ้วนเหล่านั้นไม่ใช่ได้มาเพราะความบังเอิญ


จัดการทุกอย่างได้โดยไม่ต้องใช้กำลังแค่คำพูดเท่านั้น


การแสดงของเบซิลมันสมจริงจนน่าเชื่อ


ทั้งน้ำเสียง การแสดงออกรวมถึงบรรยากาศอันตรายรอยๆที่แผ่ออกมาจนถึงเมื่อครู่


หลอกลวงด้วยวาจาจนคนฟังหลงเชื่อราวกับใช้เวทย์มนต์


“ไธม์”


“อะไร”


“กลับกันเถอะ ง่วงแล้ว”เบซิลบอกเสียงเหนื่อย ท่าทางน่าเกรงขามเมื่อครู่หายไปอย่างสิ้นเชิง


ผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรถึงได้ทำแบบนั้น แม้จะบอกว่าแค่อยากโชว์ทักษะตัวเองให้เห็นแต่ผมกลับคิดว่าเขาช่วยผมไม่ให้ต้องเผชิญหน้าหรือต่อสู้กับคนถึง4คน


อาจจะคิดผิดก็ได้


แต่...


“ขอบคุณเบซิล”ผมบอกเสียงเบาพร้อมเอื้อมมือไปลูบเส้นผมสีเทาเข้มตรงหน้าแทนรางวัล


“...นี่คือรางวัล?”เบซิลพึมพำเสียงเบา ดวงตาสีเขียวมรกตนั่นเหมือนกำลังสั่นด้วยสาเหตุบางอย่าง


“ลองคิดเอาเองสิ”ผมบอกพลางมองเบซิลใช้มือช้างนึงสัมผัสบริเวณที่ถูกผมลูบเมื่อครู่ นิ่งอยู่นานจนผมต้องเรียกอีกฝ่ายอีกรอบพวกเราถึงจะได้เดินกลับไปยังที่ทำงานกันสักที


ตลอดทางมีความคิดนึงผุดขึ้นมาในหัว...


การมีเบซิลอยู่ข้างๆแบบนี้ก็ไม่ได้แย่อะไร

........................................................................

ไม่ได้มาอัพสักพักใหญ่เลยกับเรื่องนี้

ในที่สุดวันที่เบซิลได้เข้ามาอยู่ในหน่วยก็มาถึง และจากนี้จะเริ่มเข้าสู่เนื้อหาในช่วงถัดไป

เนื้อหาในสามตอนก่อนหน้านี้ทั้งคู่จะมีบทสนากันในห้องขัง บอกตรงๆว่ารู้สึกตลกเวลาแต่งอยู่ไม่น้อย

หวังว่าทุกคนจะสนุกไปกับเรื่องนี้เหมือนกันนะคะ

ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเม้นท์และทุกๆ กำลังใจที่มีให้เสมอค่า

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบายค่ะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เออ..... แล้วคุณผู้หญิงสองคนที่ช่วยไว้ ไม่มีบทพูดเลยหรือคะ บอกขอบคุณสักคำก็ไม่มี ชิ  :m16:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด