พิมพ์หน้านี้ - My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (พิเศษส่งท้าย) 7/2/62 P.6 -จบ-

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: nicedog ที่ 14-02-2018 22:35:10

หัวข้อ: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (พิเศษส่งท้าย) 7/2/62 P.6 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 14-02-2018 22:35:10
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับ

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น 

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้   

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว  ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


**********************************************



สวัสดีนะคะนักอ่านทุกท่าน

วันนี้มาเปิดนิยายเรื่องใหม่

หลายคนคงจะพอคุ้นหน้าคุ้นตากับเรากันมาบ้างแล้ว

ดีใจที่ทุกคนเปิดเข้ามาอ่านเรื่องนี้กัน

สำหรับเรื่องนี้เป็นนิยายใหม่ที่ทำเป็นโปรเจ็คร่วมกับกับสำนักพิมพ์ MAZE Novel ร่วมกับนักเขียนอีก2ท่านคือ AiaeaAiaea และ Sine นะคะ โดยตัวหลักขอองทั้ง3เรื่องจะเป็นพี่น้องกันจะแบ่งออกเป็นทั้งหมด3คู่นะคะ โปรเจ็ค My Family จะประกอบด้วย3คู่คือ

พี่คนโต 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก by nicedog

น้องชายคนรอง "Hidden Secret ลับซ่อนรัก" by AiaeaAiaea

น้องชายคนเล็ก "Secret Me คนนี้ต้องลับ!"  by Sine

สามารถตามเข้าไปอ่านอีก2คู่ได้นะคะ

ฝากผลงานโปรเจ็คร่วมครั้งแรกของเราด้วยน้าาา
 
ภาษาในการแต่งของเราอาจยังไม่สละสลวยแต่จะพยายามสื่อออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ
หวังว่าทุกคนจะสนุกและตื่นเต้นไปพร้อมๆกันกับ...

My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก
 
ขอฝากผลงานใหม่ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของทุกคนด้วยนะคะ


*ผลงานที่ผ่านมา*

   ✉ CorrespondencE สื่อรักทางจดหมาย!✉ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=45471.0)

    ◣♥◥ Precinct ►◄ อาณาเขตรักของหัวใจ ◣♥◥ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47133.0)

(http://www.navaraclubthailand.com/images/icon_hot3.gif)   ✥ Jurassic Heart ✥ดวงใจ กลายพันธุ์รัก
 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47401.0)

(http://www.navaraclubthailand.com/images/icon_hot3.gif)   ✣Jurassic Confidant✣ คู่หู กลายพันธุ์รัก
 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51956.msg3307933#msg3307933)

(http://www.navaraclubthailand.com/images/icon_hot3.gif)   ❣Secret heart❣ หัวใจ แอบรัก
 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50864.msg3262162#msg3262162)

    Find Love  ▪พบรัก▪
 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55504.msg3462361#msg3462361)

.。.:*・ ۩ Creative สรรค์สร้างรัก۩・*:.。. (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57551.0)

♧♣Touch Love♣♧ สัมผัสรัก ด้วยหัวใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59707.msg3626975#msg3626975)

◈Jurassic Foster◈ กลายพันธุ์รัก ใต้ธารา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64185.0)


สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของนิยายได้ในเพจนะคะ>>nicedog (https://www.facebook.com/novelistnicedog/)<<

ขอบคุณทุกที่ติดตามค่ะ

*นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล สถาบันหรือสถานที่ใดทั้งสิ้น*


สารบัญ

=ปฐมบท (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66210.msg3789759#msg3789759)=คดีที่1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66210.msg3795806#msg3795806)=
=คดีที่2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66210.msg3801963#msg3801963)=คดีที่3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66210.msg3807325#msg3807325)=
=คดีที่4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66210.msg3812599#msg3812599)=คดีที่5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66210.msg3817390#msg3817390)=
=คดีที่6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66210.msg3822965#msg3822965)=คดีที่7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66210.msg3828217#msg3828217)=
=คดีที่8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66210.msg3833100#msg3833100)=คดีที่9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66210.msg3839627#msg3839627)=
=คดีที่10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66210.msg3846456#msg3846456)=คดีที่11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66210.msg3853546#msg3853546)=
=คดีที่12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66210.msg3859969#msg3859969)=คดีที่13 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66210.msg3866653#msg3866653)=
=คดีที่14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66210.msg3872588#msg3872588)=คดีที่15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66210.msg3878093#msg3878093)=
=คดีที่16 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66210.msg3884254#msg3884254)=คดีสุดท้าย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66210.msg3889234#msg3889234/)=
=ส่งท้าย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66210.msg3942474#msg3942474)=


(http://dl10.glitter-graphics.net/pub/692/692180nw5c9beoeu.gif)(http://dl10.glitter-graphics.net/pub/692/692180nw5c9beoeu.gif)(http://dl10.glitter-graphics.net/pub/692/692180nw5c9beoeu.gif)

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (ปฐมบท) 14/02/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 14-02-2018 22:49:25
ปฐมบท〝¸ครั้งแรกที่รับรู้¸〞



บางคนเชื่อว่าคนเราเกิดมาพร้อมสิ่งพิเศษที่จะมีเฉพาะแต่ละคนไม่ซ้ำกัน สิ่งเหล่านั้นอาจเป็นสติปัญญา ทักษะหรือความสามารถบางอย่างซึ่งหลับใหลอยู่และเตรียมจะตื่นขึ้นมายามถึงเวลาอันเหมาะสม


ตัวผมเองอาจเป็นหนึ่งในคนที่สิ่งพิเศษนั้นตื่นขึ้นมาเร็วกว่าคนอื่นและถือว่าแปลกกว่าคนปกติอยู่สักหน่อย แต่หากเทียบในครอบครัวแล้วถือเป็นเรื่องปกติเพราะทั้งคุณตาและคุณแม่ต่างก็มีสิ่งพิเศษเฉพาะตัวนี้กันทั้งนั้น


สิ่งพิเศษ ไม่สิ ควรเรียกว่าเป็นพลังพิเศษซะมากกว่า


ดูเหมือนพลังนั้นจะสืบทอดจากทางคุณแม่ต่อมายังลูกอย่างผมและเหล่าน้องๆ อีก 3 คนซึ่งมีผมเป็นพี่คนโต น้องชายคนแรกชื่อกระวาน เป็นเด็กเกรียนๆ ที่มีมุมทั้งน่ารักและน่าถีบ ทำอะไรไม่ค่อยคิดชอบทำให้ผมเป็นห่วงอยู่เรื่อย ยิ่งพลังที่เขามีคือการได้ยินเสียงในใจเฉพาะเรื่องลามกของอื่นผมก็ยิ่งห่วงเพราะไม่รู้ว่าจะหลุดปากไปสร้างเรื่องให้คนอื่นเมื่อไหร่


น้องชายคนที่สองชื่อ โป๊ยกั๊ก เด็กกวนๆ ที่พร้อมจะมีเรื่องกับคนอื่นได้เสมอ น่าแปลกที่ถึงเขาจะกวนไปทั่วแต่กลับดูอ่อนน้อมเวลาอยู่กับผม อีกเรื่องที่ผมค่อยข้างกังวลคือพลังของโป๊ยกั๊กที่ค่อยข้างซับซ้อน ตัวตนด้านหนึ่งแข็งแกร่งและไม่ยอมใครแต่อีกตัวตนที่สะท้อนอยู่ในกระจกและมักจะสลับออกมานั้นทั้งอ่อนแอและเหยาะแหยะ หากเกิดเรื่องในบุคลิกนี้อาจเสียท่าได้ง่ายๆ บุคลิกที่อยู่ในกระจกครอบครัวผมต่างเรียกเขาว่าก้านพลู


น้องคนสุดท้องคือน้องสาวเพียงคนเดียวของครอบครัว เพกา คือชื่อแสนน่ารักของนางฟ้าตัวน้อยๆของพวกเรา พลังพิเศษของเธอเรียกว่าดีที่สุดในบ้านคือการปลูกอะไรก็สามารถเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ทั้งเร่งดอกเร่งผลจนคุณพ่อมักจะบอกให้ช่วยปลูกผักสำหรับใช้ในการทำอาหารหน่อย


หากใครสังเกตคงจะรู้ว่าชื่อของพวกเรา4พีน้องล้วนแต่เป็นชื่อสมุนไพรทั้งสิ้น ชื่อเหล่านี้มีคุณตาซึ่งมีพลังในการแยกแยะเครื่องเทศหรือส่วนผสมจากการดมกลิ่นจึงได้ตั้งชื่อพวกเราตามชื่อของสมุนไพรต่างๆ กันไปทั้งในประเทศและต่างประเทศ


ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้มีสิ่งนึงที่ผมสามารถรับรู้ได้คือรสชาติของอาหารหรือสิ่งที่กินเข้าไป ความคาวจากสิ่งมีชีวิตที่ปะปนอยู่สร้างความพะอืดพะอมจนต้องคายออกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะได้รับอาหารที่เหมาะสมซึ่งนั่นเป็นเรื่องในช่วงเป็นเด็กวัยแบเบาะของผม


ครั้งแรกที่รับรู้ถึงพลังนี้เป็นช่วงวัยเด็กอายุประมาณ 7 ขวบเป็นช่วงเวลาของการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในโรงเรียนมีวิชาหนึ่งพูดถึงความสามัคคีและการมีส่วนร่วมซึ่งภายในห้องได้ตกลงที่จะเลี้ยงกระต่าย ทุกๆวันได้มีการผลัดกันดูแลกระตายตัวขาวในช่วงหลังเลิกเรียน


ผ่านไปวันแล้ววันเล่าจนกระทั่งวันนี้เป็นเวรของผมที่ต้องทำความสะอาดกรงกระต่ายและให้อาหาร กระต่ายสีขาวตัวอ้วนกำลังทำจมูกฟุดฟิดยามกรงถูกเปิดอ้าออกด้วยฝีมือของผมและก้าวเข้าไปด้านใน กรงนี้เป็นกรงเหล็กขนาดไม่ใหญ่มาก มีบ้านไม้สีน้ำตาลไว้สำหรับให้กระต่ายนอนถัดไปไม่ไกลมีหญ้าสีเขียวสด น้ำและถาดอาหารเม็ดที่บัดนี้ว่างเปล่าวางไว้ให้


ดวงตากลมโตสีดำสนิทเงยหน้าขึ้นมาประสานกับดวงตาสีน้ำตาลของผมราวกับกำลังถามว่าอาหารเม็ดของมันอยู่ที่ไหน ผมอมยิ้มเล็กๆ ก่อนจะก้มลงไปอุ้มกระต่ายตัวนั้นไปใส่ไว้ในตะกร้าที่เตรียมไว้อย่างเร่งรีบเนื่องจากมีเวลาเหลืออีกไม่มากก่อนคุณพ่อจะมารับกลับบ้าน


“ไม้กวาดๆ”ผมพึมพำพลางเดินไปหยิบไม้กวาดจัดการกับเศษหญ้า น้ำในชามถูกเปลี่ยนใหม่เช่นเดียวกับหญ้าสดที่อาจารย์ประจำชั้นเตรียมไว้ให้ ปิดท้ายด้วยการเทอาหารเม็ดลงไปในถาดสีเงิน


เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จผมเดินไปอุ้มกระต่ายสีขาวมาปล่อยไว้ในกรงตามเดิมทว่าก่อนจะปิดกรงสายตาของกระต่ายตัวขาวที่จ้องมองมาทำให้ผมค่อยๆนั่งคุกเข่าลงกับพื้นแล้วแบมือออกติดกับพื้นด้านล่าง


กระต่ายเพียงตัวเดียวเอียงคอเล็กน้อยแล้วจึงวิ่งเข้ามาใช้จมูกสีชมพูอ่อนดมมือพร้อมกับวางคางลงบนฝ่ามือผม ความนุ่มของขนเรียกรอยยิ้มจากผมได้ มืออีกข้างที่ว่างเปลี่ยนมาลูบยังเส้นขนสีขาวเบาๆ


ในจังหวะนั้นเองทั่วทั้งร่างกลับเกิดอาการแปลกๆขึ้น ความมึนงงบวกกับความปวดหัวแล่นเข้ามาจนทนไม่ไหวทรุดลงไปกองอยู่กับพื้นพร้อมร่างกายที่ค่อยๆแปรเปลี่ยนไปทีละน้อย ผิวหนังนิ่มๆเริ่มมีขนสีขาวปกคลุม เช่นเดียวกับร่างกายเองก็หดเล็กลงเรื่อยๆ
ทุกอย่างอยู่ในสภาวะสับสนและไม่เข้าใจ


ส่วนหัวซึ่งปกคลุมด้วยขนสีขาวหันมองซ้ายขวาด้วยความตื่นตระหนก ร่างกายขยับวิ่งโดยใช้สี่ขาออกไปจากบริเวณนี้ ด้วยความสับสนทำให้ไม่รู้แม้แต่เส้นทางที่ตัวเองวิ่งผ่านจนกระทั่งพลังงานในร่างหมดลง ผมอยู่นิ่งๆปล่อยร่างสีขาวอันไม่คุ้นชินนี้ให้ได้พักสักเล็กน้อย


“กระต่าย?”เสียงเรียกจากเด็กวัยเดียวกันเรียกขนสีขาวให้ลุกฟูด้วยความตกใจและตื่นกลัว ดวงตาสีดำของผมในร่างกระต่ายหันไปมองภาพของเด็กในวัยเดียวกันก้มหน้าลงมามองก่อนจะเอื้อมมือสองข้างมาคว้าตัวผมไปอุ้มไว้แนบอก


งี๊ด


ไม่นะ


ผมพยายามดิ้นแล้วส่งเสียงร้องบอกให้ปล่อย  แต่แน่นอนว่าด้วยภาษาที่ต่างกันส่งผลให้คนตรงหน้าไม่สามารถเข้าใจถึงสิ่งที่ผมต้องการสื่อสาร


“กระต่ายของใครกัน?”เสียงเดิมดังขึ้นระหว่างลูบขนสีขาวของผมไปมาคล้ายจะปลอบโยนว่าไม่เป็นไร ไม่มีอะไรต้องกลัว


สัมผัสของฝ่ามือนั่นช่วยให้ความตื่นตกใจกลัวค่อยๆกลับเข้ามาสู่สภาวะปกติอีกครั้ง


“ไม่เป็นไรนะ”


งี๊ด


การแสดงออกอย่างการพยักหน้าเรียกคิ้วของข้างของคนอุ้มขมวดเข้าหากันแน่น คงไม่มีใครคิดว่าจะได้รับคำตอบจากสัตว์ในอ้อมแขนจริงๆหรอก


พอสติเริ่มกลับมาผมก็สามารถผูกเรื่องหลายๆอย่างได้ ครอบครัวผมมีพ่อที่ชื่นชอบสีชมพูและมีแม่ที่บางครั้งก็ชอบพูดคุยหรือตะโกนพูดกับใครก็ไม่รู้ ในตอนนี้ผมกำลังคิดว่านั่นอาจไม่ใช่แค่การพูดกับตัวเองแต่เป็นอะไรบางอย่างที่คนอื่นไม่สามารถมองเห็นได้


อาจเป็นไปได้ว่ามีบางอย่าง...


อะไรที่ผมก็ไม่สามารถบอกได้ในวัยเพียงเท่านี้


หากต้องการจะรู้คงมีแต่ต้องไปถามพ่อกับแม่เท่านั้น


งี๊ด


ผมร้องแล้วเริ่มดิ้นอีกครั้ง แต่เพราะดิ้นยังไงอีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อยผมจึงใช้ฟันทื่อๆขบเข้ายังแขนเบาๆแต่เพราะอีกฝ่ายตกใจจึงปล่อยร่างผมล่วงสู่พื้นทันที ผมอาศัยโอกาสนั้นวิ่งหน้าตั้งไปจนถึงถนนเส้นใหญ่ อาจเป็นโชคดีที่ผมจำได้ว่าถนนเส้นนี้อยู่ถัดจากโรงเรียนผมแค่ซอยเดียวเท่านั้น


ระหว่างการวิ่งกลับไปยังโรงเรียนความผิดปกติบางอย่างก็เริ่มเกิดขึ้น ความรู้สึกมึนงงปนปวดหัวนี่เหมือนก่อนหน้าที่จะกลายเป็นกระต่าย


“...ไธม์ ใบไธม์”เสียงเรียกอันแสนคุ้นเคยของคุณพ่อเรียกให้ผมฝืนทนพาร่างกายขนปุกปุยของตัวเองเดินไปหาเสียงนั้น


งี๊ด


ร่างกายเล็กๆพยายามส่งเสียงเรียกผู้เป็นพ่อแต่เรียกได้ไม่นานก็ต้องหยุดเนื่องจากขนสีขาวที่ปกคลุมร่างกายเริ่มกลับไปเป็นสีผิวของมนุษย์ปกติ นั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่คุณพ่อหันมาเจอผมพอดี


“ใบไธม์”คุณพ่อวิ่งเข้ามารับร่างผมที่เซล้มลงไป พลังงานในร่างราวกับถูกใช้จนหมดสิ้น สติที่มีก็เลือนรางจนแทบไม่รับรู้อะไรนอกจากเสียงเรียกอันเต็มไปด้วยความเป็นห่วงของพ่อ


อยากจะบอกว่าไม่ต้องห่วงแต่ร่างกายผมไม่มีแรงแม้กระทั่งขยับตัวด้วยซ้ำ


และนั่นคือครั้งแรกที่ผมได้รู้ถึงพลังของตัวเอง

...............................................................

จบไปแล้วกับการเปิดฉากของเรื่องใหม่

หลายๆ คนคงจะเริ่มเดาได้ว่าเรื่องนี้เป็นแนวไหน

ออกแนวแฟนตาซีนิดๆแบบนี้เราค่อนข้างฟินในการแต่งเลยค่ะ

ในตอนแรกเกริ่นๆช่วงวัยเด็กก่อน ตอนต่อไปเตรียมพบกับพระเอกที่ไม่เหมือนเรื่องไหนๆ ของเราแน่นอนค่ะ

แค่คิดก็อยากรีบแต่งแล้วลงให้อ่านเลย 555

ขอฝากผลงานใหม่อีกเรื่องนะคะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (ปฐมบท) 14/02/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 14-02-2018 23:16:14
พระเอกจะเป็นยังไงหนอ
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (ปฐมบท) 14/02/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: sahatsawat ที่ 14-02-2018 23:57:10
พระเอ๊กกกกก ลุ้นนๆๆ :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (ปฐมบท) 14/02/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 15-02-2018 04:25:36
 :mc4:  :mc4:  :mc4: สู้ๆค่ะ ... ตามมาเชียร์ค่ะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (ปฐมบท) 14/02/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 16-02-2018 15:19:05
 :pig4: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (ปฐมบท) 14/02/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 17-02-2018 03:01:39
เปิดเรื่องน่าสนใจเลยทีเดียวค่ะ รอดูพระเอกของเรื่องเลย เดี๋ยวแว่บไปอ่านอีกสองเรื่องด้วย ขอบคุณมากค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (ปฐมบท) 14/02/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: kitty08 ที่ 17-02-2018 22:49:04
น่าสนใจมาก ลุ้นๆว่าพระเอกคืิคนที่อุ้มกรัต่ายแน่ๆชื่อน่ารัก ใบไธม์ คือไรอ่ะ
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (ปฐมบท) 14/02/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 17-02-2018 23:33:59
เห็นชื่อคนแต่ง จิ้มรอเลย  :z13:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (ปฐมบท) 14/02/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-02-2018 04:46:36
ตามติด ติดตาม ต่อ  ๆ ด่วน ๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (ปฐมบท) 14/02/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 19-02-2018 19:12:13
รอเรื่องพี่ไธม์อยู่เลยค่ะ ตอนแรกเราก็คิดว่าพี่ไธม์เป็นพระเอกแต่พอคุณนักเขียนบอกว่าจะมีพระเอกโผล่ตอนหน้านี่ เอ๊ะ เลย คนแบบไหนจะมาคู่กับพี่ไธม์นะ
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก(คดีที่1) 25/02/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 25-02-2018 11:27:32
สืบรัก彡คดีที่1



ดวงดาวสีขาวสว่างทอประกายอยู่ท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรีเป็นสัญญาณของเวลาที่มนุษย์ปกติมักจะนอนหลับสนิทบนเตียงทว่าไม่ใช่กับผม แม้จะได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์แต่บอกเลยว่าตัวผมค่อนข้างห่างไกลกับคำว่าปกตินักโดยเฉพาะกับรูปลักษณ์ในตอนนี้


เส้นขนสั้นเกรียนสีดำขลับกับหัวกะโหลกขนาดใหญ่บวกกับเขี้ยวสีขาวแยกออกเล็กน้อยเพื่อลดอุณหภูมิในร่างกายตอนกำลังวิ่งอยู่ในดงหญ้าสูงซึ่งอยู่ด้านหลังบ้านเดี่ยวหลังสีขาวที่เพิ่งเกิดคดีฆาตกรรมฆ่าโหดยกบ้านเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาและทางตำรวจเองไม่สามารถสืบสาวไปได้ไกลกว่านี้เนื่องจากคนร้ายไม่ทิ้งหลักฐานไว้แม้กระทั่งลายนิ้วมือ


และคดีนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกทำให้หลายหน่วยงานเริ่มตื่นกลัวและต้องการให้จับคนร้ายโดยเร็วที่สุดถึงขนาดมีการใช้สุนัขตามกลิ่น แน่นอนว่าไม่สามารถใช้ได้เพราะไม่มีกลิ่นตัวอย่างสำหรับให้ติดตาม เหตุการณ์เริ่มบานปลายและไม่มีใครสามารถหาเบาะแสหรืออะไรเลยจึงมีการส่งต่อคดีนี้มาจนถึงหน่วยงานของผม


ด้วยความที่ไม่มีหลักฐานหรือเบาะแสอะไรเลยผมจึงจำเป็นต้องใช้วิธีพิเศษในการสืบหาเบาะแสเหล่านั้น หรือก็คือผมในร่างของสัตว์สี่เท้านี่เป็นวิธีพิเศษที่มีเพียงผมเท่านั้นที่สามารถทำได้


กลายร่างเป็นสัตว์


ถ้าไปบอกใครคงมีแต่โดยหัวเราะและพูดว่ามุกนี้ขำใช้ได้


แต่ถึงยังไงการที่ผมสามารถเปลี่ยนร่างเป็นได้ก็คือเรื่องจริง ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวธรรมดา ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมธรรมดา มีฐานะธรรมดา


ทุกอย่างล้วนธรรมดายกเว้นอย่างเดียวคือครอบครัวผมมีพลังที่ไม่ธรรมดาซึ่งเป็นพลังเฉพาะของแต่ละบุคคล ไม่สามารถถ่ายทอดพลังนั้นไปให้คนอื่นได้ อย่างแม่ผมมีพลังในการมองเห็นวิญญาณ ผมซึ่งเป็นลูกก็ไม่ได้มองเห็นวิญาณไปด้วย ส่วนน้องๆแต่ละคนเองก็มีพลังในแบบที่ไม่เหมือนใคร


กึก!


ร่างสีดำขลับของผมหยุดการเคลื่อนไหวเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นของเลือดจางๆได้จากบริเวณหนึ่งในโพงหญ้า พอก้าวเข้าไปดูใกล้ๆก็พบกับท่อนไม้เก่าๆถูกโยนปะปนอยู่กับเศษขยะราวกับจงใจเอาขยะมาคลุกไว้ แต่ถึงจะพยายามยังไงก็ไม่สามารถหลอกประสาทสัมผัสของผมในร่างสุนัขได้


ก่อนมานี่ผมเข้าไปสำรวจกลิ่นต่างๆภายในบ้านไว้แล้ว กลิ่นเลือดนี่เป็นกลิ่นเดียวกับในบ้าน


ที่สำคัญไม่ได้มีแค่กลิ่นเลือดเดียวแต่เป็นของหลายๆ คนรวมทั้งกลิ่นจางๆ ที่ยังติดอยู่นี่ผมรู้สึกเหมือนได้กลิ่นนี้มาก่อนที่จะมานี่
ได้กลิ่นนี้จากที่ไหนนะ


คิดสิ


ต้องเป็นช่วงที่ผมอยู่ในร่างของสุนัขแปลว่าแถวนี้ จะว่าไปหลายคดีก่อนหน้านี้ก็อยู่ในละแวกทั้งนั้นเลย มีความเป็นไปได้สูงหากจะเป็นคนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียง


เมื่อคิดได้แบบนั้นผมจึงตัดสินใจใช้ปากคาบถุงขยะลากไปตามดงหญ้าจนถึงข้างทาง แสงสว่างจากหลอดไฟมีเว้นระยะอยู่ทุก5เมตร เรียกว่าค่อยข้างสลัวทีเดียว กลิ่นจางๆของเลือดลอยมาตามลมเรียกผมให้หันไปมองตามทิศทางนั้น ไม่เพียงแค่กลิ่นเลือดแต่ยังมีกลิ่นของคนที่กำลังตามหาด้วย


ผมวิ่งตรงไปยังจุดหมายก่อนร่างของสัตว์สี่ขาจะแปรเปลี่ยนกลับมาเป็นร่างกายของมนุษย์ปกติที่มีเนื้อหนัง เสื้อผ้าถูกพกไว้ในกระเป๋าเป้ใบเล็กสำหรับสถานการณ์เช่นนี้อยู่เป็นเรื่องปกติ


“กรี๊ด อุก”เสียงกรีดร้องดังขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะเงียบหายไปราวกับเกิดเหตุบางอย่างขัดขวางเสียงเรียกขอความช่วยเหลือ


“ต้องแจ้ง ไม่สิ ไม่มีเวลาแจ้งแล้ว”ผมบ่นกับตัวเองในขณะกระโดดข้ามรั้วเตี้ยแล้วพุ่งตัวกระแทกกระจกใสบริเวณระเบียงบ้านเข้าไปจัดการใช้หมัดเสยคางคนร้ายจนหงายหลังล้มลงไป


“แค่ก...แก เป็นใคร”น้ำเสียงเย็นๆกับอาวุธปลายทื่อในมือเป็นหลักฐานอย่างดีว่าคนคนนี้แหละคือคนร้านในคดีฆาตกรรมต่อเนื่องในช่วงนี้


“แล้วคุณล่ะเป็นใคร”ผมย้อนถามโดยไม่ลดการป้องกันลง ผู้หญิงด้านหลังผมที่ส่งเสียงเมื่อครู่ตอนนี้นอนสลบอยู่ด่นหลังผม


“อยากรนหาที่ก็จะสงเคราะห์ให้”พูดจบอีกฝ่ายก็พุ่งเข้ามา ไม้ขนาดกลางในมือทุบลงมายังหัวผมอย่างรวดเร็วแต่ด้วยทักษะที่มีทำให้หลบการจู่โจมนั่นด้วยการแตะสูงไปยังข้อมือจนไม้ในมือกลิ้งไปอยู่บนพื้นไกลจากบริเวณนี้พอสมควร


แน่นอนว่าผมไม่ปล่อยให้คนร้ายได้วิ่งไปหยิบอาวุธจัดการจับคอเสื้อทุ่มอีกฝ่ายข้ามหลังจนกระแทกกับพื้นอย่างแรง ด้วยแรงกระแทกทำเอาร่างนั้นสลบเหมือนไปในพริบตา


จะว่าอ่อนก็ไม่ผิดซะทีเดียว


หากแข็งแรงคงไม่สลบด้วยการถูกทุ่มข้ามหลังแบบนี้หรอก


จากนั้นรถตำรวจประมาณ3คันก็ถูกเรียกมาโดยผมและจับตัวคนร้ายในคดีไปจัดการต่อ นอกจากจะไม่ได้รับคำขอบคุณจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วยังได้คำบ่นประมาณว่าแย่งซีนปิดท้ายก่อนจากลาอีก


ตัวผมไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไปแม้ในฬ๗บ่นตลอดทางขับรถกลับมายังสถานที่ตั้งของหน่วยก็ตามที


คดีนี้ถ้ามีการสืบหาหลักฐานอย่างจริงจังหน่อยคงจัดการหาตัวคนร้ายได้ไม่ยากและไม่ต้องมาถึงมือของหน่วยผมด้วย แต่พอค้นบ้านแล้วไม่เจอหลักฐานก็คิดกันไปว่าหาต่อไปก็ไม่เจออะไรอยู่ดีเลยกลายเป็นคดีวุ่นวายขึ้นมา


สถานที่ตั้งของหน่วยงานผมคือตึกเดี่ยวชั้นเดียวสีขาวล้วนรอบๆมีสวนเต็มไปด้วยผืนหญ้า ดอกไม้และต้นไม้ใหญ่สำหรับให้ร่มเงา ด้านข้างมีลานจอดรถใหญ่4คันและมอเตอร์ไซค์อีก1แถว มองเผินๆดูเหมือนบ้านธรรมดาไม่ใช่ตึกที่เป็นที่ทำงานของหน่วยสืบสวนพิเศษ


หน่วยสืบสวนพิเศษเป็นหน่วยงานที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อสืบสวนและจัดการกับคดีที่ไม่สามารถปิดได้ด้วยวิธีปกติ อีกอย่างหน่วยสืบสวนพิเศษไม่ได้ขึ้นตรงกับทั้งตำรวจหรือทหาร แยกตัวออกเป็นอิสระแต่มีอำนาจทัดเทียมกัน


คดีส่วนมากจึงส่งมาจากตำรวจและทหารเกือบทั้งสิ้น


“อ้าว ท่านรองมาถึงเร็วนี่นึกว่าต้องไปให้ปากคำกับตำรวจของเขต1ซะอีก”คำทักทายแรกเมื่อผมเดินเข้ามาในห้องทำงานคือจิว หนึ่งในคนของหน่วยสืบสวนพิเศษ


“รู้เร็วจังนะจิว”ผมพูดพลางเดินไปยังโต๊ะด้านในที่เป็นโต๊ะทำงานส่วนตัว ในห้องทำงานนี้ถูกแบ่งเป็นสัดส่วนให้ใช้งานง่ายและประหยัดเนื้อที่มากที่สุดเนื่องจากมีพื้นที่จำกัด โต๊ะ4ชุดถูกหันหน้าชิดเข้าหากันโดยมีห้องครัวขนาดเล็กอยู่ด้านข้างติดกับโต๊ะยาว


“ดูไม่ตกใจเลยนะที่ผมรู้”จิวถามต่อ


“ไม่รู้สิแปลก”คนของหน่วยสืบสวนพิเศษไม่ใช่คนธรรมดา คำว่าไม่ธรรมดานั้นไม่ได้ถึงขั้นสามารถกลายร่างเป็นสุนัขได้แบบผมแต่มีความสามารถพิเศษมากกว่าคนทั่วไป


อย่างจิวเป็นชายไทยแท้รูปร่างท้วมอารมณ์ดีใครได้คุยด้วยเป็นต้องเผยความลับอะไรสักอย่างออกมา เขาจึงเป็นคนสืบข่าวทุกอย่างให้กับหน่วยสืบสวนพิเศษนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเขามีสายอยู่เท่าไหร่รู้แค่ว่าแม้จะเป็นข่าวที่พึ่งเกิดขึ้นไม่กี่นาทีที่ผ่านมาจิวก็ยังรู้


ดูอย่างเคสผมเป็นตัวอย่างก็ได้ ระยะเวลาในการเรียกตำรวจมายังที่เกิดเหตุ พูดคุยบอกเล่าเหตุการณ์จนขับรถมายังตึกนี่ราว2ชั่วโมงได้ แถมตอนเกิดเหตุยังไม่มีนักข่าวมาด้วย


อยากรู้จริงๆว่าไปเอาข้อมูลมาจากไหน


“ขอบคุณที่ชม”


“คนอื่นไปไหนหมด”ในห้องที่ควรจะมีคนในหน่วยนั่งประจำที่แต่กลับมีเพียงผมและจิวอยู่ในห้องตามลำพัง


จะบอกว่ายังเช้าอยู่ก็มีส่วนแต่ไม่น่าหายไปกันหมดแบบนี้


“สกายกับจูนออกไปจัดการคดีที่ค้างอยู่ อาร์มกับซันจับคู่กันไปทำคดีต่างจังหวัดด้วยกัน ส่วนแม็กนอนอยู่โรงแรมกับผู้หญิงและสุดท้ายเบียร์ถูกทางตำรวจเรียกตัวไปช่วยเมื่อ2ชั่วโมงก่อน”จิวไขข้อสงสัยทุกอย่างในพริบตาด้วยท่าทีสบายๆประหนึ่งว่าเรืองที่กำลังพูดออยู่เป็นเรื่องปกติที่ใครๆก็รู้กัน


สมแล้วกับที่อยู่หน่วยสืบสวนพิเศษ


แต่ละคนต่างมีความพิเศษแตกต่างกันไป


และเพราะแบบนั้นทำให้ไม่จำเป็นต้องมีสมาชิกในหน่วยเป็นสิบมากมายเหมือนอย่างหน่วยงานอื่นๆเพียงแค่9คนในหน่วยก็มากพอในการจัดการคดีทุกรูปแบบซึ่งผมค่อนข้างชอบการทำงานแบบนี้มากทีเดียว


“โทรไปตามแม็กบอกให้มาถึงนี่ภายใน10นาทีไม่งั้นก็เตรียมไปนั่งทำงานตากแดดในสวนได้เลย”บอกเสร็จผมก็เดินไปกดน้ำร้อนใส่แก้วที่มีซองชาเขียวใส่อยู่


คนอื่นออกไปทำงานจึงไม่มีเหตุผลให้เรียกกลับแต่กับแม็กไม่ใช่ เล่นอยู่โรงแรมกับสาวในเวลางานแบบนี้มันน่าโดนนัก แม็กเป็นผู้ชายสูง ผิวสีแทนแถมหน้าตายังดีจึงมีสาวๆตามติดอยู่แทบตลอดเพราะแบบนั้นจึงมีความสามารถในการเข้าถึงคนระดับสูงเป็นพิเศษ


หลายคนอาจคิดว่าการเข้าถึงพวกระดับไฮโซถือเป็นความสามารถพิเศษยังไง


บอกเลยว่าพิเศษมาก คดีกว่าครึ่งที่ถูกส่งมาเป็นคดีที่ถูกปกปิดไว้ด้วยอำนาจของเงินและอิทธิพลในแวดวงไฮโซทั้งนั้น ดังนั้นหากรู้จักใครสักคนในระดับเดียวกันก็สามารถเชื่อมโยงเข้าถึงตัวได้ไม่ยาก


อย่างครั้งก่อนคนร้ายเป็นสาวไฮโซลูกสาวเจ้าของร้านอาหารระดับหรูที่มีเพียงระดับไฮโซจึงจะเข้าไปทานได้แต่เพราะแม็กรู้จักกับคนระดับนั้นจึงสามารถแฝงตัวเข้าไปหาหลักฐานและจับกุมได้สำเร็จ


แม้จะทำงานสำเร็จด้วยดีแต่นิสัยเลื่อนลอยกับขี้หลีกลับแก้ไม่หายสักที


“ผมกว่าแม็กคงไม่กลัวบทลงโทษแค่นั้นหรอกมั้ง”


“งั้นควรจะลงโทษอะไรดีล่ะ”ผมถามความเห็น


“ลองบอกจะตัดเงินสิรับลงวิ่งสี่คูณร้อยมาแน่นอน”จิวเสนอ


“เอาสิ ลองดู”นึกภาพแล้วคงตลกพิลึก


“จะลองอะไรกัน”เสียงทุ้มจากบุคคลที่สามทำเอาผมและจิวถึงกับสะดุ้ง พอหันไปมองก็พบกับเจ้าของร่างสูงในชุดของหน่วยสืบสวนพิเศษเต็มยศก้าวเข้ามาด้วยรอยยิ้มมุมปาก ริ้วรอยบนใบหน้าบ่งบอกถูกอายุที่มาพอสมควร ถึงอย่างงั้นความน่าเกรงขามกลับมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม


“หัวหน้า”พวกเราทั้งคู่พูดขึ้นพร้อมกัน ไพลสันต์หรือไพล หัวหน้าของหน่วยสืบสวนพิเศษ


“มาเช้ากันดีนี่ แล้วจะลองอะไรกันขอฉันร่วมวงด้วยคน”หัวหน้าพูดต่อ


“กำลังจะโทรตามแม็กครับ ถ้าไม่มาใน10นาทีจะโดนหักเงิน”จิวบอกหัวหน้าโดยไม่ปิดบัง


“ฮืม...งั้นเพิ่มไปด้วยว่าถ้ายังไม่มาจะส่งไปเรือนจำชายในเขตใต้”นอกจากจะไม่ห้ามแล้วยังมีเพิ่มบทลงโทษด้วย


นี่แหละคือหัวหน้าที่พวกเราทุกคนให้ความเคารพ


“ได้ครับหัวหน้า”จิวทำท่าตะเบะก่อนเริ่มโทรตามแม็ก


“หัวหน้า ไปพักหน่อยไหมครับพึ่งกลับมาเมื่อคืนเองนี่ครับ”ผมบอกกับหัวหน้า ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาหัวหน้าได้รับเชิญไปเข้าร่วมการประชุมใหญ่ที่มีเพียงระดับหัวหน้าใหญ่เข้าไปร่วมประชุมกัน


“อยากพักอยู่แต่คงยังไม่ได้ ไธม์”


“ครับ”ผมขานรับชื่อตัวเอง ทัณฑธร เจริญกิจขจรกุลหรือใบไธม์เป็นชื่อของผมเอง ตำแหน่งในหน่วยสืบสวนพิเศษของผมคือรองหัวหน้าที่พึ่งเริ่มเป็นมาได้ไม่กี่ปีเท่านั้นเอง


“อยากให้มาด้วยกันหน่อยได้ไหม”


“แน่นอนครับ”ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิดคำตอบ น้ำเสียงของหัวหน้าเหมือกำลังเจอเรื่องหนักใจจะให้ปฏิเสธคงไม่ใช่เรื่อง


“งั้นไปกัน”พูดจบก็ก้าวเดินออกไปนอกห้องโดยมีผมตามไปติดๆ


“จะไปข้างนอกเหรอครับ”ผมถามเมื่อพวกเราเดินออกมายังลานจอดรถ ตอนนี้แรกผมนึกว่าจะไปคุยกันในห้องทำงานส่วนตัวของหัวหน้าซะอีก


“ใช่ เราจะไปเรือนจำกลางพิเศษที่3”คำพูดนั่นทำเอาผมขมวดคิ้วแน่นขึ้นมาทันที


ปัจจุบันมีเรือนจำอยู่แทบทุกเขต ทุกคนต่างรู้กันว่าเรือนจำคือสถานที่ขังผู้ต้องหาที่ต้องโทษในคดีเล็กน้อยอย่างลักขโมยไปจนถึงคดีร้ายแรงอย่างฆาตกรรม ในหมู่เรือนจำเองเรือนจำกลางพิเศษที่3เป็นที่รู้กันว่าเป็นสถานที่กักขังผู้ต้องหาในคดีร้ายแรงไม่ใช่เพียงแค่ฆ่าคนตายแต่มีคดีร้ายแรงอื่นๆอีก


เรือนจำกลางพิเศษที่3เป็นพื้นที่ขนาดกลางเป็นตึก2ชั้นมีรั้วล้อมรอบสูงมิดชิดกันการแหกคุก การจะเข้าไปด้านในได้ต้องเข้าทางด้านหน้าติดต่อเจ้าหน้าที่บริเวณเคาน์เตอร์และรอพบผู้ต้องหาในห้องด้านข้าง ห้องสำหรับการพบกันนั้นเป็นเหมือนในหนังหลายๆเรื่องคือมีกระจกกั้นและมีผู้คุมคอยเฝ้า


สำหรับพวกผมพอผู้คุมเห็นหน้าคุณไพลสันต์ก็รีบทำควรเคารพแล้วให้เข้าไปด้านในโดยดี พวกเราถูกพาลงบันไดไปยังชั้นใต้ดินโดยไม่มีบทสนทนาหรือพูดคุยคล้ายมีการทำเรื่องไว้เรียบร้อยแล้ว


ไม่ใช่ทุกเรือนจำที่จะมีชั้นใต้ดิน เรือนจำกลางพิเศษที่3เป็นเรือนจำพิเศษที่ขังแต่พวกร้ายๆ ใครที่ไม่สามารถอยู่ร่วมในห้องขังรวมได้หรือก่อปัญหาจะถูกจับมาขับเดี่ยว แต่หากยังมีปัญหาอีกก็จะถูกจับขังในชั้นใต้ดินไม่ให้เจอกับแสงอาทิตย์


“ไธม์”หัวหน้าเรียกระหว่างเดินตรงไปตามทาง ในเส้นทางที่กำลังเดินทางขวามือมีห้องขังเดี่ยวมืดทึบมีหน้าต่างสำหรับส่งน้ำอาหรอยู่ด้านใต้ของประตูเหล็กเท่านั้น


“ครับ”


“รู้จักเมเกอร์รึเปล่า”


“...แน่นอนครับ คงไม่ใครที่ไม่รู้จักฉายานั่น”เมเกอร์เป็นฉายาที่มอบให้กับคนร้ายรายหนึ่งที่มีความสามารถในการแฮ็กระบบคอมพิวเตอร์ของธนาคารแล้วนำเงินออกไปโปรยว่อนในช่วงต้นปีที่ผ่านมา  ระบบรักษาความปลอดภัยของธนาคารมีไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้นแต่กลับถูกทะลวงอย่างง่ายดายแถมยังไม่สามารถตามตัวจับคนร้ายได้อีก


เมเกอร์ เป็นคำย่อของ เมจิก แฮ็กเกอร์


ไม่เพียงแค่การแฮ็กแต่ยังพ่วงด้วยคดีล่อลวงและต้มตุ๋นอีกนับไม่ถ้วน ถือเป็นคนที่มีความสามารถในการใช้วาจาในระดับสูงเพื่อลวงหลอกคนอื่นให้ติดกับราวกับใช้เวทย์มนต์ ตามจับการแทบพลิกแผ่นดินแต่กลับไม่เจอร่องลอยทว่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อนกลับเดินเข้ามามอบตัวกับทางตำรวจหน้าตาเฉยจนต้องโทษถูกจำคุกในข้อหามากมายนับไม่ถ้วนรวมแล้วก็ต้องถูกจำคุกถึง20ปี


คนดังขนาดนั้นจะไม่รู้จักได้ยังไง


“แล้วรู้ไหมว่าเขาถูกจำคุกที่เรือนจำไหน”หัวหน้าไพลถามต่อ


“เรือนจำกลางพิเศษที่3”พอพูดมาถึงตรงนี้ผมก็เริ่มประติดประต่อเรื่องราวบางอย่างได้ หัวหน้าพูดถึงเมเกอร์ขึ้นมาแบบนี้แปลว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการมายังเรือนจำกลางพิเศษที่3ในวันนี้อย่างแน่นอน


ข่าวของเมเกอร์ที่ถูกจับส่งตัวมายังเรือนจำนี้เป็นที่รู้กันดี และที่รู้กันมากกว่านั้นคือเขาถูกจับขังเดี่ยวยังชั้นใต้ดินเนื่องจากนิสัยของเขานั้นทำให้ผู้ต้องหารายอื่นที่อยู่ด้วยถึงกับประสาทเสียจนขอแยกห้อง อีกทั้งยังมีการเอ่ยวาจายียวนต่อเจ้าหน้าที่เลยได้รับของขวัญเป็นการถูกจับขังเดี่ยว


“เรากำลังจะไปเจอเขา”


“ครับ”


“ดูไม่ตกใจเลยนะไธม์แปลว่าเดาไว้อยู่แล้วสินะ”หัวหน้าหันมามองผมเล็กน้อยระหว่างถาม


“หัวหน้าจงใจบอกข้อมูลนี่ครับ”ไม่ใช่เรื่องยากเลยในการเดา


“ฉันชอบเธอก็ตรงไหวพริบและการวิเคราะห์สถานการณ์นี่แหละ”


“คนอื่นก็ทำได้ดีไม่แพ้ผมหรอกครับ”คนในหน่วยส่วนมากมีไหวพริบและการวิเคราะห์ดีอยู่แล้ว ไม่งั้นพวกเราคงไม่สามารถจัดการกับคดียากที่ทางตำรวจหรือทหารจัดการไม่ได้จนสำเร็จหรอก


“ถ่อมตัวแบบนี้ก็เป็นข้อดีเช่นกัน แล้วเดาได้ไหมว่าพวกเรามาหาเมเกอร์กันทำไม”


“ถ้าไม่ได้มาเยี่ยมก็มีแค่มาเจรจาต่อรอง”ผมพูดติดตลกในประโยคแรก มีเพียงเหตุผลเดียวที่เราจะมาหาเขาถึงที่คือการเจรจา ซึ่งการเจรจาจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อทางการเล็งเห็นถึงความสามารถและความจำเป็นของความสามารถของผู้ต้องหาและต้องการให้มาช่วยเหลือพวกเราในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง


“ตามที่พูด เรามาเพื่อเจรจา ความสามารถของเมเกอร์นั้นหาตัวจับได้ยากไม่มีใครสามารถทำได้ขนาดนั้นทางการจึงอยากได้ความสามารถนั้นมาร่วมด้วย”หัวหน้าค่อยๆอธิบาย


“หากทางการต้องการคงไม่ให้พวกเรามาจัดการหรอกมั้ง หรือว่า...จัดการเองไม่ได้?”มีคำตอบเดียวที่คิดได้คือทางการส่งคนมาเจรจาแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จจึงต้องให้พวกเราซึ่งอาจเป็นตัวเลือกสุดท้ายมาจัดการต่อรอง


“ใช่ อย่างที่คิดแหละ ไม่ว่าใครก็ชอบโยนงานยากมาให้หน่วยเราซะจริงเนอะ”


“ถ้าไม่อยากโดนโยนงานครั้งหน้าลองให้พวกเราทำภารกิจไม่สำเร็จดีไหมครับจะได้โยนกลับไปให้เจ้าของคดีจัดการต่อ”สาเหตุที่พวกเขาโยนแต่งานยากๆมาให้เป็นที่รู้กันอยู่ว่าหน่วยสืบสวนพิเศษสามารถจัดการได้ทุกคดี ไม่ว่าจะเป็นฆาตกรรม ลักพาตัว จี้ปล้นหรือแม้แต่วางระเบิด


และเพราะความสำเร็จแทบจะ100เปอร์เซ็นต์นี่ไม่แปลกที่คนอื่นจะอยากทำลายมัน


“เป็นความคิดที่ดีแต่คนที่จะทำไม่ได้มากที่สุดก็คือเธอนะไธม์ จะปล่อยคดีตรงหน้าไว้เฉยๆได้รึเปล่าล่ะ”หัวหน้าพูดเหมือนรู้ทันซึ่งก็ไม่ผิด


 “...ผมคงปล่อยไม่ได้”ผมเป็นคนไม่ชอบปล่อยให้อะไรค้างคา หากมีคดีก็จะจัดการให้เสร็จไม่ใช่ปล่อยหมกทิ้งไว้เป็นเดือนๆค่อยทำ หากช้าแบบนั้นหลักฐานที่ควรจะได้ก็ชวดหมดพอดี


“ก็ว่าอยู่...”


“ถึงแล้วครับ เชิญในห้องนี้ได้เลย พวกเราได้พาตัวเมเกอร์มารอในห้องแล้วครับ”ผู้คุมที่เดินนำหน้าหยุดเมื่อถึงบนประตูสีขาวแตกต่างกับประตูบานอื่นๆตามทางเดินที่มีสีดำหรือเทา คงจะเอาไว้ใช้แยกว่าห้องนี้เป็นห้องอะไร


“ขอบใจ ไธม์”ก่อนจะเปิดประตูหัวหน้าหันมาหาผมอีกครั้ง


“ครับหัวหน้า”


“ถ้าฉันกล่อมไม่ได้ช่วยๆกันหน่อยนะ”พูดจบบานประตูสีขาวก็ค่อยๆเปิดอ้าออก


ด้านในห้องเป็นพื้นที่เล็กๆที่มีเพียงโต๊ะและเก้าอี้วางไว้สองตัว ไฟดวงเล็กห้อยอยู่ด้านบนคอยให้แสงสว่างรำไรจากความมืดของชั้นใต้ดิน เก้าอี้ตัวนึงมีร่างสูงโปร่งของชายคนหนึ่งนั่งก้มหน้าอยู่ พอได้ยินเสียงเดินเข้ามาใบหน้านั้นจึงค่อยๆเงยขึ้นมามองดวงตาสีเขียวมรกตกับใบหน้าเรียวได้รูปทำเอาผมแอบตกใจเล็กๆ


หน้าตาดีแบบนี้ไม่แปลกที่ใครๆจะหลงเชื่อ


แล้วยังมีเส้นผมสีเทาเข้มที่มองเผินๆจะนึกว่าเป็นสีดำแต่เมื่อถูกแสงไฟกระทบจะเห็นคล้ายผมเป็นสีเงิน มือทั้งสองข้างกุมกันไว้อยู่บนโต๊ะโดยมีกุญแจมือใส่ไว้ ถัดไปด้านหลังมีผู้คุม2คนยืนประจำตำแหน่งเพื่อเตรียมรับมือสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ


“สวัสดีเมเกอร์”หัวหน้าเป็นฝ่ายเริ่มเปิดการสนทนาแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม ผมเองเดินมาหยุดยืนเยื้องไปด้านหลังเล็กน้อย


“ช่วงนี้มีคนมาเยี่ยมบ่อยจังนะ ไม่รู้ว่าผมไปมีญาติพี่น้องเพิ่มตั้งแต่เมื่อไหร่”เพียงประโยคแรกของการพูดคุยทำให้ผมเข้าใจได้ทันทีว่าข่าวลือเรื่องปั่นหัวเพื่อนร่วมห้องขังจนต้องถูกแยกขังเดี่ยวเป็นเรื่องจริง


“ฮึฮึ...อย่าพูดแบบนั้นสิ เธอน่ะคงรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าพวกเรามาพบด้วยเรื่องอะไร”หัวหน้าเลือกที่มองข้ามประโยคกวนๆแล้วเปิดประเด็น


“พวกเรา? อ้อ...โทษทีนะคุณตำรวจ โอ๊ะ หรือว่าจะเป็นทหาร จะอย่างไหนก็ช่างคุณนี่ช่างไร้ตัวตนนจริงๆเลยนะขนาดยืนอยู่ตรงหน้ายังมองไม่เห็นเลย”


“...”ผมเลือกใช้ความเงียบแทนคำตอบทั้งที่ในหัวนั้นจินตนาการภาพตัวเองก้าวเข้าไปคว้าคออีกฝ่ายแล้วจับทุ่มลงพื้นสักที
ยียวน กวนประสาทได้เก่งมาก


ขนาดผมที่คิดว่าตัวเองใจเย็นยังเกิดอารมณ์ขึ้นมาง่ายๆ


“คำพูดพวกนั้นไม่ทำให้เราล่าถอยหรอกนะ เป็นไปไม่ได้เลยเหรอถ้าจะให้เธอใช้ความสามารถที่มีกับทางการ”หัวหน้าเอ่ยถามอย่างใจเย็น


“ไม่”คำตอบนั่นไม่มีความลังเลเลยสักนิด


“รู้ไหมว่าหากให้ความร่วมมือโทษจำคุก20ปีจะลดลง”


“รู้ แต่ยังไงคำตอบก็คือไม่”


“...ฉันคงแก่แล้วถึงรู้สึกอึดอัดเวลาอยู่ในห้องแคบๆนี่”หัวหน้ายิ้มพลางลุกขึ้นยืน


“ลองมาอยู่สักอาทิตย์สิรับรองว่าจะชินจนไม่อยากออกเลย ใช่ไหมล่ะผู้คุมทั้งสอง”น้ำเสียงยียวนยังตามมาไม่ขาดสาย แถมครั้งนี้ยังพาลไปถึงผู้คุมด้านหลังด้วย


“ไธม์ จัดการต่อที”หัวหน้าเดินมาแตะไหล่ผมเบาๆระหว่างพึมพำเสียงเหนื่อย พูดกันแค่ไม่กี่ประโยคหัวหน้ากลับทำหน้าคล้ายออกไปทำคดีมาหนึ่งสัปดาห์เศษ


“ผมไม่คิดว่าเขาจะยอมหรอกนะ”แค่ฟังดูก็รู้แล้ว


“น่า ถ้าไม่ได้ก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว ไม่คิดว่าจะขนาดนี้”หัวหน้าคงหมายถึงนิสัยของเมเกอร์ละมั้ง


“จะลองดูครับ”


“ดี ฝากหน่อยละกัน ขอสัก10นาทีเดี๋ยวฉันมาเปลี่ยน”


“...ครับ”5นาทีผมจะทนคุยกับเขาไหวไหมยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ


พอหัวหน้าเดินออกไปทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบราวกับไม่มีคนอยู่ ดวงตาสีเขียวฝั่งตรงข้ามจับจ้องมายังผมที่นั่งลงบนเก้าอี้แล้วเงยหน้าขึ้นไปสบดวงตานั้นอย่างไม่หลีกหนีแสดงให้เห็นว่าผมไม่ได้กลัวเขาแต่อย่างใด


ความเงียบเข้ากลืนกินห้องนาทีแล้วนาทีเล่าโดยไม่มีเสียงพูดคุยใดๆดังขึ้น มีเพียงดวงตาสองคู่ที่ประสานกันนิ่งท่ามกลางความเงียบสงัด


“หลงรักผมเหรอถึงจ้องกันขนาดนี้”ฝ่ายเมเกอร์ยอมเปิดปากก่อน


“งั้นมั้ง”ต้องมีสติอย่าไม่หลงกลกับคำพูดของอีกฝ่าย


“ดูจะกังวลน่าดูนะ ปิดผมไม่ได้หรอก”


“ใครบอกว่าผมต้องการจะปิดล่ะ”ได้ทีผมจึงสวนกลับไปบ้าง


“เห็นหน้านิ่งๆแต่ร้ายใช่เล่นนะคุณ”สายตาของอีกฝ่ายยังคงมองมายังผมคล้ายกำลังจับสังเกตทุกท่าทางหรือกริยาที่แสดออก


“พูดถึงตัวเอง?”


“ฉลาดเนอะ”แม้จะเป็นคำชมแต่ในประโยคนี้และน้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นไม่สามารถเรียกว่าคำชมได้


ถากถางกันชัดๆ


เจ็บกว่าถูกด่าว่าโง่อีก


“ขอบคุณ”แต่จะให้ใช้อารมณ์คงไม่ใช่ผม


“ด้วยความยินดี”เมเกอร์ไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยง่ายๆ สวนกลับถ้อยคำที่ไม่น่าจะเป็นคำด่าให้กลายเป็นคำด่าได้


น่าชื่นชมอะไรแบบนี้


“จะไม่คิดเปลี่ยนคำตอบใหม่จริงๆน่ะเหรอ”หลังจากเสียเวลานั่งจ้องแถมยังตอบโต้อย่างไร้สาระไปนานผมก็กลับเข้าเรื่อง


“ถ้าหมายถึงเรื่องการเข้าร่วมกับทางการละก็ใช่”


“ไม่อยากเป็นอิสระรึไง”นักโทษส่วนมาพอยกเรื่องอิสระหรือลดโทษก็มักจะตาลุกวาวด้วยความต้องการทั้งนั้นแต่กลับผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่


“ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ถือเป็นอิสระ”เป็นคำตอบที่คาดไม่ถึงจริงๆ


ไม่เข้าใจว่าการถูกจับขังเดี่ยว ใส่กุญแจมือ อยู่แต่ในความมืดแบบนี้เป็นอิสระตรงไหน


“หมอนี่มีปัญหาระบบประสาท?”ผมมองข้ามผู้สนทนาไปคุมกับผู้คุมด้านหลัง


“ไม่นะครับ เขาปกติแถมทั้งไอคิวและอีคิวยังเหนือว่าคนธรรมดาอีก”หนึ่งในผู้คุมตอบ


“อ้อ พวกฉลาดมักไม่เต็ม”


“นี่ เห็นผมเงียบก็ว่าเอาๆเลยนะ”


“หรือไม่จริง”


แกร็ก!


ประตูเปิดออกแทรกการสนทนาที่กำลังดำเนินไปอย่างไร้สิ้นสุด ร่างของหัวหน้าไพลสันต์เดินเข้ามาด้วยใบหน้าไม่สู้ดีนัก


“ไธม์”


“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นครับหัวหน้า”ดูหน้าก็รู้แล้วว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น


“พวกสกายต้องการความช่วยเหลือ”


“ผมจะรีบไป...แล้ว...”พอลุกขึ้นเตรียมจะออกไปนอกห้องก็นึกได้ว่ายังพูดคุยกับคนด้านในค้างไว้


“พอจะเปลี่ยนใจบ้างไหมเมเกอร์”หัวหน้าหันไปถามคนด้านใน


“ไม่...แต่คนคนนั้นทำให้ผมรู้สึกสนใจไม่เลว”ระหว่างพูดเขาจับจ้องมายังผมพร้อมรอยยิ้มมุมปาก


“เหรอ แบบนั้นก็ดี งั้นไว้พวกเราจะมาใหม่”


“...”ผมหันควับไปมองหน้าหัวหน้าตัวตัวเอง


มาใหม่?


ไม่อยากมาเจอหมอนี่อีกแล้ว


“หึหึ...ผมจะรออย่างใจจดใจจ่อเลย เนอะไธม์”


ทั้งรอยยิ้ม


น้ำเสียงและใบหน้า


จะกวนประสาทกันจนถึงวิธีนาทีสุดท้ายเลยสินะเมเกอร์!
..............................................................................
สวัสดีค่ะ

มาต่อตอนแรกกับการเปิดตัวพระเอกของเรื่อง

เปิดตัวแล้วก็จริงแต่ก็ยังไม่มีชื่อออกมาอยู่ดี มีแต่ฉายา 555

อาจจะสั้นไปนิดเนื้อหาของตอนยังมีไม่มากเท่าไหร่ค่ะ

แนวเรื่องนี้เป็นแนวที่ไม่เคยแต่งมาก่อนแถมค่อนข้างไกลตัวพอสมควรด้วยแต่ยังไงก็จะพยายามแต่งออกมาให้ดีที่สุดนะคะ

ในตอนนี้พระเอกอาจยังไม่มีบทบาทมากนักเดี๋ยวตอนหน้าจะมีบทเยอะกว่าหน่อย

หวังว่าทุกคนจะถูกใจผลงานใหม่ของเรากันนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่1) 25/02/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 26-02-2018 18:19:42
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่1) 25/02/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 03-03-2018 13:02:06
จริงๆก็ยังหวังไว้ว่าพี่ไธม์น่าจะเป็นพระเอก แต่พอมาเจอคุณเมเกอร์แล้วก็ อืมม....ช่างเป็นพระเอกที่เหมาะกับพี่ไธม์จริงๆ เรื่องนี้อ่านแล้วให้บรรยากาศแบบแนวสืบสวนสอบสวนมากค่ะ ชอบ
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่1) 25/02/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-03-2018 02:31:47
เมเกอร์คนนี้ จะเป็นคนนั้นที่ต่อยกับกั้กที่ห้องพักของไธม์หรือป่าวนะ  :m28:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่2) 9/3/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 09-03-2018 20:34:10
สืบรัก彡คดีที่2



เมื่อมีภารกิจหรือคดีเข้ามาหน่วยสืบสวนพิเศษจะเลือกคนที่มีความสามารถเหมาะสมเพื่อเพิ่มเปอร์เซ็นต์ในการเคลียร์ภารกิจ ส่วนมากจึงต้องทำงานกันเป็นทีม 2 คนแต่ก็มีไม่น้อยที่ทำงานคนเดียว อย่างตัวผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ชอบทำงานคนเดียว


ด้วยพลังพิเศษที่มีนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะป่าวประกาศให้ใครรู้ได้ง่ายๆ และไม่เพียงแค่ผมแต่ครอบครัวของผมแทบทุกคนมีพลังเป็นของตัวเอง ดูเหมือนว่าพลังนี้จะสืบทอดมาจากฝ่ายแม่เพราะคุณตาเองก็มีพลังเช่นกัน


พลังของผมคือการแปลงร่างเป็นสัตว์ ไม่เพียงแค่สุนัขแต่ได้ทุกชนิดทว่าพลังนี้กลับมีข้อกำจัดหลายๆอย่างหนึ่งในนั้นคือต้องสัมผัสสัตว์ที่ต้องการเปลี่ยนร่าง5วินาทีหากน้อยกว่านี้จะไม่มีผลอะไร ในครั้งแรกที่รับรู้ถึงพลังของตัวเองผมตกใจ สบสนและกังวลอยู่นานมาก


แต่พอเวลาผ่านไปผมเริ่มชินและเรียนรู้ในการใช้พลังนี้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ไม่ใช่เพียงผมแต่รวมถึงมีประโยชน์ต่อคนอื่นๆจนได้มาทำงานในหน่วยสืบสวนพิเศษนี้


คนร้ายที่ฉลาดและเชี่ยวชาญส่วนมากจะไม่เหลือหลักฐานทิ้งไว้ การจะตามรอยหรือหาตัวจึงเป็นเรื่องยาก ทว่าหากใช้พลังผมเข้าไปช่วยในการสืบสวน แม้จะทำความสะอาดดียังไงกลิ่นในที่เกิดเหตุก็ยังคงหลงเหลืออยู่แค่กลายร่างเป็นสุนัขก็สามารถระบุตัวคนร้ายได้ไม่ยาก หลังจากนั้นค่อยตามหาหลักฐานที่หลังก็ยังไม่สาย


กลับเข้ามาเรื่องของหน่วยสืบสวนพิเศษ เมื่อมีคดีที่ต้องการให้จัดการจะมีเอกสารส่งส่งมายังหน่วยสืบสวนพิเศษแต่หากเป็นคดีฉุกเฉินหรือคดีพิเศษหัวหน้าจะสั่งการลงมาว่าจะให้ใครไปทำโดยตรง คนถูกเลือกต้องเตรียมตัวไปยังสถานที่เกิดเหตุส่วนคนที่เหลือสามารถทำอะไรก็ได้ในช่วงเวลานั้น


ยังไงพวกเราก็ไม่มีเอกสารบนโต๊ะให้จัดการเหมือนเจ้าหน้าตำรวจหรือทหารปกติอยู่แล้ว มีแค่เขียนรายงานหลังจบคดีได้เท่านั้น
ยามว่างของแต่ละคนจะหมดไปกับกิจกรรมที่ไม่เหมือนกันอย่างจูน สาวห้าวประจำหน่วยเป็นหนึ่งในคนที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถเรื่องระเบิด ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการทำระเบิดไปจนถึงการกู้ระเบิด มีหลายคดีเลยที่ทางการเรียกจูนไปช่วยในการกู้ระเบิด


ส่วนตัวผมเวลาว่างแบบนี้ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสงบ ภายในสวนจะมีต้นไม้ใหญ่คอยให้ร่มเงาอยู่5ต้น หนึ่งในนั้นเป็นต้นไม้ประจำที่ผมมักจะนั่งพิงลำต้นอันแข็งแกร่งพร้อมกับหลับตาลงปล่อยสติให้ไหลไปตามส่วนต่างๆของร่างกายตั้งแต่หัว คอ ขาจนถึงเท้าแล้วไล่กลับจากเท้า ขา คอไปยังหัว ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาเพื่อฝึกสมาธิ


การจะควบคุมพลังการแปลงร่างของตัวเองต้องใช้สมาธิและพลังมาก ซึ่งไม่ใช่ตอนกลายร่างแต่เป็นตอนกลับร่างเป็นมนุษย์
หากสติหลุด รนหรือไม่มีสมาธิการกลับร่างจะไม่เสถียร


ประเทศไทยเป็นประเทศในเขตร้อนชื้นที่มีฤดูร้อนเป็นหลักไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้าหรือช่วงค่ำก็ยังร้อนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้เวลานั่งสมาธิในช่วงพระอาทิตย์อยู่เหนือศีรษะแม้จะอยู่ในร่มได้เหงื่อก็ยังคงไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง


บางคนพูดกันว่าหากเข้าสู่สมาธิจริงๆจะไม่รู้สึกร้อนหรือหนาว


ผมยังไม่ถึงขั้นนั้นแค่ฝึกเพื่อช่วยในการคุมพลังเท่านั้น


“ไธม์!”เสียงตะโกนเรียกประสานกันเรียกความสนใจให้ผมหันไปมอง ต้นเสียงมาจากทางตึกทำงานของหน่วยซึ่งหน้าต่างบานใหญ่ถูกเปิดอ้าออกโดยมีคนในหน่วย4คนโบกไม้โบกมือพลางส่งเสียงเรียกผมอีกรอบ


“อ่า...จะไปเดี๋ยวนี้”ผมลุกขึ้นก่อนเดินไปหาทั้ง4คน คนแรกที่ส่งยิ้มมาให้คือจิว เขาเป็นคนเดียวที่อยู่ห้องทำงานมากที่สุด คนต่อมาคืออาร์ม ชายสูงร่างกำยำมีทักษะในการต่อสู้เป็นยอดทั้วงมวยปล้ำ มวยหรือคาราเต้ซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นการต่อสู้โดยอาศัยร่างกายเป็นหลัก


ถ้าเป็นด้านพลังไม่มีใครสู้อาร์มได้หรอก


คนที่สามคือสกาย สาวหน้าหวานผู้มีเสน่ห์พิชิตใหญ่หนุ่มๆที่พบเห็นด้วยภาพลักษณ์ราวกับนางฟ้า ทั้งผิวสีขาวหรือแม้แต่เส้นผมยาวสีดำบวกกับรอยยิ้มสดใส แต่ใครจะรู้ว่าจริงๆแล้วเธอเชี่ยวชาญด้านการแฝงตัวและเป็นนกต่อ


ไม่รู้มีกี่ร้อยคนที่ติดกับดักแสนหอมหวานของเธอ


คนสุดท้ายคือแม็ก เคยพูดถึงไปแล้วว่ามีนิสัยขี้หลีสุดๆ แต่ในยามคับขันก็สามารถเชื่อใจได้


ผมกระโดดเข้าไปด้านในจากทางหน้าต่างที่ทุกคนเปิดไว้ บนโต๊ะทำงานผม ไม่สิ บนโต๊ะทำงานของผมและจิวซึ่งอยู่ติดกันมีกล่องพิซซ่า3ถาดวางเบียดกัน ไม่เพียงแค่นั้นทั้งขนมปังกระเทียมและปีกไก่ก็วางอยู่ใกล้ๆ


“มากินกันเถอะ กว่าจะมารอจนท้องร้องแล้ว”แม็กเปิดการสนทนาพลางลูบท้องตัวเอง


“นั่นสิ วันนี้โชคดีที่จิวบอกข่าวเรื่องโปรพิเศษซื้อ3ถาดจ่ายเงินแค่ครึ่งเดียวแถมยังได้เครื่องเคียงอีก”สกายพูดชมจิว


“แฮะๆ ไม่ขนาดนั้นหรอก”จิวที่ถูกชมถึงกับเกาหัวแก้เขิน


“...หิว”อาร์มไม่ได้พูดอะไรมากนอกจากจ้องไปยังถาดพิซซ่าคล้ายกำลังกินทางสายตา


“ซื้อมาเผื่อผม?”ผมถามทุกคน นึกว่ามีเรื่องอะไรถึงเรียกมาไม่คิดว่าจะชวนกิน


“ใช่เลย พิซซ่าต้องแย่งกันกินสิถึงจะอร่อย”สกายตอบผม


“แต่ผม...”


“ไม่กินเนื้อสัตว์ พวกเรารู้น่า”จิวพูดดักทันทีที่รู้ว่าผมจะเอ่ยอะไร


“แล้ว...”


“มีถาดนึงเป็นเวจจี้ ผักล้วนคงไม่เป็นไรใช่ไหมล่ะ”ยังไม่ทันได้ถามจบประโยคแม็กกลับพูดเสริมก่อนเปิดกล่องพิซซ่าตรงหน้าผมออก ผักชนิดต่างๆถูกใช้แทนเนื้อสัตว์วางบนหน้าแป้งโดยมีซอสมะเขือเทศทารองไว้


ทุกคนในหน่วยต่างรู้ดีว่าผมไม่กินเนื้อสัตว์ ความจริงไม่ใช่ว่าไม่กินแต่กินไม่ได้ต่างหาก ตั้งแต่จำความได้แล้วที่ร่างกายไม่รับเนื้อสัตว์ไม่ว่าจะเป็นปลา หมู วัว ไก่หรือแม้แต่ไข่ ผมก็ไม่สามารถกินได้ทั้งนั้น หากฝืนกินเข้าไปผลที่ได้คือจะอาเจียนออกมาไม่หยุด
พ่อกับแม่เองตกใจถึงขนาดพาไปหาหมอแต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติจนมารู้ถึงพลังที่ผมมีทุกอย่างจึงประกอบเข้าด้วยกัน ผมสามารถแปลงร่างเป็นสัตว์ได้จึงมีข้อจำกัดใหญ่คือเรื่องอาหารคือไม่สามารถกินสัตว์ได้


คงคล้ายๆกับการไม่กินพวกเดียวกันเอง อย่างมนุษย์ก็ยังไม่กินเนื้อมนุษย์ด้วยกัน


แต่เพราะผมไม่ได้กลายร่างเจาะจงจึงจำต้องไม่กินมันซะทุกอย่าง


จะว่าไม่ดีก็ไม่ใช่


จะว่าดีก็ไม่เชิง


“ขอบคุณ”ผมบอกกับทุกคน ปกติผมไม่ค่อยไปกินข้าวกับใครเนื่องด้วยข้อจำกัดนี้


คนที่ไม่สามารถกินเนื้อสัตว์ได้จะสร้างความลำบากและรำคาญให้กับคนอื่น


ผมจึงไม่ค่อยไปกินข้าวกับใคร


คนในหน่วยเองก็รู้จึงไม่ค่อยมีใครชวนผมไปไหนนักแต่ใช่ว่าจะไม่มีใครชวน


อย่างครั้งนี้ ทั้งที่พวกเขาจะสั่งมากินโดยไม่บอกหรือชวนผมก็ได้แต่ยังอุตส่าห์นึกถึงแล้วสั่งพิซ่าแบบไม่มีเนื้อสัตว์ให้อีก


ผมว่าตัวเองคิดถูกที่เรื่องทำงานในหน่วยสืบสวนพิเศษนี้


หลังจากมื้อเที่ยงผ่านพ้นพวกเราแต่ละคนต่างแยกย้ายไปทำสิ่งต่างๆ บางคนก็ออกไปทำคดีที่ถูกส่งมาหลังพิซซ่าชิ้นสุดท้ายหมดถาด วันนี้หัวหน้าไม่อยู่อำนาจในการตัดสินใจจึงกลายเป็นของผมไปโดยปริยาย และต่อให้อยู่หัวหน้าก็ให้ผมเป็นคนจัดการอยู่ดี ซึ่งจากข้อมูลของคดีผลได้ส่งให้สกายและแม็กออกไปทำคดีร่วมกัน ส่วนคนอื่นที่ไม่มีงานอะไรก็ออกไปข้างนอกบ้าง นั่งเลยบ้างสลับกันไป


สำหรับผมช่วงบ่ายมักจะใช้เวลาหมดไปกับโลกอินเตอร์เน็ต ในปัจจุบันเรารับรู้ข้อมูลไม่ได้ผ่านกระดาษเพียงอย่างเดียวทางหน้าจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์เองกลายเป็นแหล่งศึกษาข้อมูลชั้นยอดได้แถมยังอัพเดทกว่าพวกหนังสืออีก


ครืดดด ครืดดด


แรงสั่นจากเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงเรียกเจ้าของอย่างผมให้หยิบขึ้นมากดรับสายโดยไม่ได้ดูรายชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ


“ครับ”


(ไธม์) น้ำเสียงร้อนรนจากปลายสายทำเอาผมเริ่มขมวดคิ้วแน่น


“หัวหน้า? เกิดอะไรขึ้นครับ”ไม่บ่อยนักที่หัวหน้าจะใช้โทรศัพท์ติดต่อมาโดยตรงหากไม่ใช่เรื่องด่วนหรือมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น


(เปิดคอมอยู่รึเปล่า)


“ครับ”


(เข้าไปในเพจนี้เดี๋ยวนี้เลย) ระหว่างคุยหัวหน้าก็ส่งบางหน้ามาให้ทางข้อความเฟสบุ๊ก เมื่อคลิ๊กลิ้งหน้าเพจหนึ่งก็ปรากฏขึ้น เป็นเพจเกี่ยวกับการแฮกข้อมูลผ่านทางอินเตอร์เน็ตด้วยวิธีง่ายๆ


พอลองเลื่อนลงไปโพสล่าสุดของเพจก็พบกับการไลฟ์สดโดยมีภาพของหน้าจอคอมพิวเตอร์อันเต็มไปด้วยโค้ดมากมายที่ไม่สามารถบอกได้ว่าคืออะไร มองคร่าวๆดูเหมือนจะเป็นโค้ดของเว็บบางเว็บ


“...กำลังแฮ็กเว็บอยู่”ผมพึมพำเสียงเบา ความรู้ด้านนี้ผมไม่มีจึงไม่รู้ว่าในไลฟ์สดนี่กำลังทำอะไรอยู่แต่ถ้าให้เดาคงไม่พ้นการแฮ็กเว็บหรอก


(จะว่าเป็นเว็บก็ใช่ พวกเขากำลังแฮ็กเข้าฐานข้อมูลกลางของตำรวจ)


“ฐานข้อมูลกลาง? เป็นไปไม่ได้...ระบบของทางตำรวจไม่น่าหละหลวมแบบนั้น”ต่อให้มีฝีมือแต่การจะแฮ็กเข้าฐานข้อมูลกลางที่ใช้เป็นฐานในการเก็บและกระจายข้อมูลของทางตำรวจไม่ใช่เรื่องงาย


แถมนี่ยังทำโชว์อีก


(ฉันได้รับการติดต่อจากทางนั้นมาโดยตรงดูเหมือนว่าแฮกเกอร์นั่นจะเก่งพอดู คนที่ดูแลระบบตอนนี้พากันไปพักร้อนอยู่ต่างประเทศเหลือผู้ช่วยอยู่ก็จริงแต่ยังใหม่อยู่ มีความเป็นไปได้ว่าจะสกัดไว้ไม่ได้)คำอธิบายเหล่านั้นทำให้ผมคิดหนักว่าจะทำยังไงต่อไป


ไม่มีทางที่หัวหน้าจะให้ผมหรือคนในหน่วยที่เหลือไปช่วยเสริมจัดการกับแฮ็กเกอร์แน่ๆเพราะพวกเราอาจใช้คอมพิวเตอร์ได้แต่ใช่ว่าจะสามารถสกัดแฮ็กเกอร์ที่บุกเข้ามาทางเน็ตเวิคได้


นั่นหมายความว่าต้องมีอย่างอื่น


อะไรบางอย่างที่ผมสามารถช่วยเพื่อจัดการเรื่องนี้ได้


เดี๋ยวนะ...แฮ็กเกอร์เหรอ


“...จะให้ผมไปหาเมเกอร์?”ผมพึมพำเสียงเบาหวิว


เพียงแค่นึกถึงความกวนประสาทของผู้ต้องหาในคุกกลางที่3เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนผมก็อยากถอนหายใจออกมาดังๆสัก10รอบ


(สมกับเป็นเธอ เข้าใจเรื่องได้เร็วจริงๆ อย่างที่รู้ว่าฉันกำลังติดงานด่วนเลยอยากให้เธอไปกล่อมเมเกอร์ให้ช่วยจัดการที แต่ต่อให้ฉันไปคงกล่อมไม่สำเร็จอยู่ดี)


“ต่อให้เป็นผมก็ใช่ว่าจะสำเร็จนะครับ”ผมไม่มีความมั่นใจว่าจะทำสำเร็จเลยสักนิด


(ดูเขาสนใจไธม์นี่ ช่วยหน่อยละกัน)


“...ครับ”พูดมาขนาดนี้ผมจะตอบอะไรกลับไปได้อีกล่ะ


วางสายจากหัวหน้าเสร็จเสียงถอนหายใจแรงๆของผมก็ดังขึ้นทำเอาคนรอบๆถึงกับหันมามองเป็นตาเดียว ทว่าผมไม่มีเวลาแม้แต่จะอธิบายอะไร สถานการณ์ตอนนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนผมจึงรีบขับมอเตอร์ไซค์คันสีดำของตัวเองตรงไปยังเรือนจำกลางพิเศษที่3ทันที


การมาเยือนครั้งนี้ไม่มีการนัดหรือติดต่อล่วงหน้าทางเรือนจำจึงจะให้ผมทำเอกสารขอยื่นคำร้องให้เรียบร้อย แน่นอนว่าผมไม่มีเวลาจะมาทำอะไรเป็นขั้นตอนยืดเยื้อแบบนั้นเลยตัดสินใจยื่นตราประจำตัวไปตรงหน้า


ตราสัญลักษณ์รูปนกสองตัวเป็นที่รู้กันดีในแวดวงว่าหมายถึงหน่วยสืบสวนพิเศษ แล้วสีน้ำเงินด้านบนผ้าพันคอนอกนั่นบ่งบอกถึงระดับรองหัวหน้าซึ่งมีอำนาจทัดเทียบกับตำรวจระดับสูง ถ้าเป็นสีขาวจะทัดเทียบกับผู้นำบัญชาการของทั้งทหารและตำรวจ เป็นสีของหัวหน้า


ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ถ้าหัวหน้ามาเองคงใช้หน้าตาแทนบัตรผ่านเพราะมีใบหน้าลงอยู่ในหนังสือพิมพ์หรือตามโทรทัศน์บ่อยๆ
ส่วนคนอื่นๆจะเป็นสีเหลือง ถึงจะเป็นสีเหลืองแต่ก็มีอำนาจมากพอในการออกคำสั่งคนอื่นๆได้ เพราะยังไงพวกเราก็เป็นหน่วยงานพิเศษที่ใครๆต่างยอมรับในฝีมือ แม้จะมีถูกไม่ชอบหน้าบ้างก็ตาม พอผู้คุมเห็นตราประจำตัวผมก็ถึงกับเบิกตากว้างรีบเปิดทางให้ผ่านไปโดยดี ชั้นใต้ดินนี้ผมมาเยือนเป็นครั้งที่2แล้ว


“ขอโทษนะครับคือตอนนี้ห้องสำหรับพบผู้ต้องหากำลังถูกใช้อยู่ ถ้ายังไงรบกวนรอ...”


“ผมรอไม่ได้ เรื่องนี้ด่วนมาก”ผมไม่รอให้ผู้คุมที่วิ่งตามมาพูดจบรีบจัดการตอบกลับพร้อมก้าวขาเร็วๆตรงไปตามทาง


จะให้รอจนห้องว่างพวกนั้นคงแฮ็กระบบเข้าไปได้พอดี


“ถ้างั้นจะทำยังไง”


“เปิดห้องขัง”


“แต่นั่นมันผิดกฎแล้วถ้าเขาหนี...”


“ถ้ามีอะไรเกิดผมรับผิดชอบเอง เมเกอร์อยู่ห้องไหน”ผมตัดบทก่อนถามกลับ แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มาแต่ก็ไม่ได้รู้ว่าห้องขังของเมเกอร์อยู่ไหน


“...ห้องด้านในสุดครับ”


“กุญแจล่ะ”ผมถามต่อ


“นี่ครับ”


“ขอบคุณ”พูดจบผมก็เร่งความเร็วขึ้นโดยไม่รอผู้คุมที่ชะลอความเร็วลงจนมาถึงยังประตูบานใหญ่ด้านในสุด


ริมผนังด้านข้างประตูมีปุ่มไฟสำหรับใช้เปิดปิดไฟภายในห้องขังอยู่ประมาณ5ดวงซึ่งมีเขียนติดเลขห้องไว้ ผมไม่รอช้าเปิดไฟในห้องซึ่งเป็นป้าหมายก่อนจะไขกุญแจแล้วเปิดประตูเข้าไปโดยไม่มีการเคาะ


ด้านในห้องขังไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายนอกจากเตียงเก่าๆและห้องน้ำโทรมๆด้านข้าง เจ้าของห้องขังหรือเมเกอร์กำลังนอนหงายยกขากระดิกไปมาอย่างสบายอารมณ์ราวกับกำลังอยู่ในช่วงทัวร์ท่องเที่ยวไม่ใช่ในคุกที่แทบไม่มีแสงสว่างให้
เพราะเสียงเปิดประตูและไฟด้านบนที่สว่างขึ้นอย่างกะทันหันเรียกคนบนเตียงให้หันมามอง และพอเห็นว่าเป็นผมดวงตาสีเขียวนิ่งๆกลับทอประกายพร้อมรอยยิ้มมุมปาก


“มาหาผมถึงห้องแบบนี้คิดจะทำอะไรผมล่ะครับ”เมเกอร์ลุกขึ้นจากเตียงเดินตรงเข้ามาหาผม


แค่ประโยคแรกก็ทำเอาผมอยากหันหลังปิดประตูใส่ใบหน้ากวนๆนั่นซะเดี๋ยวนี้เลย


“ขอผมคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวได้ไหม”ผมหันไปบอกผู้คุมซึ่งกำลังยืนหอบจากการวิ่งตามมา


“ได้ครับ”อีกฝ่ายพยักหน้าเบาๆก่อนจะถอยออกไป


ประตูเหล็กถูกปิดโดยในห้องยังมีแสงสว่างจากหลอดไฟดวงเล็กๆด้านบน แม้จะมืดไปบ้างแต่ก็ไม่ได้มากจนไม่สามารถพูดคุยได้ ผมพยายามมองไปรอบห้องเพื่อหาที่นั่งแต่ไม่นานก็ต้องเลิกคิด


นี่ไม่ใช่เวลามาหาที่นั่ง


“เมเกอร์...”


“น้ำเสียงร้อนรนพอดูเลยนะ ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรจะคุยแต่คงต้องปฏิเสธ”ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรออกไปก็ถูกปฏิเสธซะแล้ว เขาคงอ่านท่าทีและน้ำเสียงที่แสดงออกของผมได้ว่ากำลังมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้น


“เรื่องนี้เป็นเหตุฉุกเฉิน ตอนนี้มีแฮ็กเกอร์พยายามแฮ็กเข้าไปในฐานข้อมูลกลางของตำรวจ และพวกเราต้องรีบหยุดพวกเขา”ผมอธิบายรัวๆ


“ไม่ใช่พวกเราแต่เป็นคุณต่างหาก อย่าเหมารวมว่าผมต้องไปช่วยตำรวจพวกนั้นสิ”


“ถ้าสกัดพวกนั้นไม่ได้ข้อมูลมากมายต้องรั่วไหลออกไปข้างนอกแน่”


“แล้วยังไงล่ะ ไม่เกี่ยวกับผมนี่ ดีซะอีกเรื่องการยักยอกเงินหรือยัดเงินใต้โต๊ะจะได้ถูกเปิดเผยซะบ้าง อีกอย่างมันไม่เกี่ยวกับคุณด้วยนี่”เมเกอร์จอบพลางยักไหล่อย่างไม่แยแสก่อนดวงตาสีเขียวนั่นจะหันมาสบตรงๆ


“ไม่เกี่ยวยังไง”ผมถามกลับ


“ก็คุณไม่ใช่ตำรวจสักหน่อยไม่เห็นต้องร้อนรนจัดการแทนเลย”


“ทำไมถึงรู้”ผมหรี่ตาจับจ้องไปยังคนตรงหน้าด้วยความสงสัย จริงอยู่ที่หน่วยสืบสวนคดีพิเศษไม่ได้เป็นหน่วยลับแต่หน่วยของเราก็ไม่ได้เปิดเผยตัวต่อสาธารณะนัก เวลาจัดการคดีได้ก็จะให้ทางเจ้าของคดีเป็นคนจัดการต่อ


“ตราสัญลักษณ์บนเสื้อครั้งก่อนที่มาก็คิดอยู่ว่าคุ้นๆ พึ่งนึกออกไม่กี่วันมานี่เองว่าเป็นสัญลักษณ์ของหน่วยสืบสวนพิเศษ”คำอธิบายทำเอาผมตกใจอยู่ไม่น้อย


สัญลักษณ์บนเสื้อที่ว่าเป็นเพียงเข็มกลัดลายนกสองตัวที่มีขนาดเล็กประมาณเหรียญ5บาท ขนาดผู้คุมด้านนอกยังไม่สังเกตเห็นจนผมต้องยื่นตราประจำตัวให้ แต่กลับเมเกอร์ได้เห็นเพียงครั้งเดียวกลับสามารถสังเกตและจำได้


ไม่ธรรมดาจริงๆ


“ถ้ารู้ว่าผมเป็นใครก็น่าจะรู้ว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับหน่วยสืบสวนพิเศษยังไง”


จริงอยู่ว่าเรื่องภายในของตำรวจไม่เกี่ยวกับหน่วยอื่น แต่อย่างที่เคยบอกไปว่าหน่วยสืบสวนพิเศษไม่ได้ขึ้นอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยกลางที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือเวลาถูกติดต่อมาไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือทหารก็ตาม


“ผมไม่ได้อยู่ในหน่วยด้วย”อีกฝ่ายตอบกลับทันทีราวกับแปลความหมายของประโยคก่อนหน้าได้ในเวลาอันรวดเร็ว


“ในเมื่อคุณมีความสามารถเหล่านั้นอยู่กับตัว ทำไมถึงไม่คิดใช่มันเพื่อช่วยคนอื่นบ้างล่ะ”


“เพราะผมไม่ได้มีจิตอาสาที่จะช่วยใครไปทั่ว”


“ประโยคนั้นแปลว่าไม่ได้ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง”ผมพูดต่อ คำว่าไม่ได้ช่วยใครไปทั่วแปลได้อีกความหมายคือสามารถช่วยได้หากอยู่เขตหรือขอบเขตที่กำหนด


“...คุณนี่แปลกคน”เมเกอร์นิ่งไปสักพักก่อนจะพูด


“ผมจะถือว่าเป็นคำชมละกัน”


“แถมยังคิดเข้าข้างตัวเองอีก”


“...”ผมเลือกที่จะใช้ความเงียบแทนคำตอบ ดวงตาสีน้ำตาลของผมจับจ้องไปยังอีกฝ่ายนิ่งๆ


“ก็ได้ ผมจะช่วยเพียงแต่มี2ข้อที่คุณต้องทำก่อน”เมเกอร์ตอบพร้อมชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว


“2ข้อ?”ผมชักรู้สึกหวั่นๆกับสิ่งที่จะต้องทำแล้วสิ


ไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหน


“ข้อแรกเมเกอร์เป็นฉายาไม่ใช่ชื่อผม ข้อสองผมต้องการให้คุณทายถึงเครื่องดื่มที่ผมอยากกิน ถ้าทายถูกก็ต้องเอามาให้ด้วย ง่ายๆใช่ไหมล่ะ”ทั้งสองข้อถูกเอ่ยออกมาตามลำดับ


คิ้วสองข้างของผมขมวดเข้าหากันแน่นเพื่อคิด วิเคราะห์คำพูดของเมเกอร์ และเพียงไม่กี่อึดใจผมก็สามารถเข้าใจความหมายทุกอย่างได้


“ได้เบซิล”ผมเรียกชื่ออีกฝ่าย ไม่ใช่ฉายาแต่เป็นชื่อจริงๆ


ตั้งแต่ครั้งก่อนที่เจอกันผมได้ลองสืบหาข้อมูลของเขาไว้บ้าง หนึ่งในข้อมูลที่รู้มาคือชื่อเล่นจริงๆของเมเกอร์คือเบซิล เขาเป็นลูกครึ่งอิตาลี่ มีแม่เป็นคนไทยและมีพ่อเป็นคนอิตาลี่ รวมถึงข้อมูลที่ครอบครัวได้จากไปหมดแล้วตั้งแต่ยังวัยรุ่น


“...คุณนี่น่าสนใจจริงๆ รู้ด้วยเหรอว่าผมต้องการอะไร”เบซิลดูเหมือนจะอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินผมเรียกชื่อ


“ไม่เห็นยาก ในเมื่อฉายาไม่ใช่ชื่อความหมายเดียวก็คือต้องการให้เรียกชื่อไม่ใช่เหรอ”ไม่ใช่เรื่องที่ยากสักนิดแค่ค่อยๆทำความเข้าใจประโยคเหล่านั้นก็พอแล้ว


“คนอื่นมีแต่จะทำหน้างง ตอบก็ไม่ถูก”


“ในเมื่อผมตอบถูก ช่วยจัดการพวกแฮ็กเกอร์ให้หน่อย”ผมไม่รอช้าเปิดซิปกระเป้าเป้ซึ่งสะพายออกมาจากที่ทำงาน โน้ตบุกสีดำถูกหยิบออกมายื่นให้อีกฝ่ายทว่าเขากลับยื่นนิ่งๆไม่รับไป


“อีกข้อล่ะ”เบซิลทวงอีกข้อ


“ช่วยผมก่อน”ผมพยายามต่อรอง


ตอนนี้แทบจะไม่เหลือเวลาแล้ว


โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นไม่หยุด ผมรู้เลยว่าใครโทรเข้ามา


แทนที่จะรับผมอยากพูดกล่อมเบซิลให้สำเร็จก่อน


“คุณมีสิทธิ์ต่อรอง?”


“ไม่มีหรอก แต่ผมต้องการความสามารถของคุณจริงๆ” ถ้าผมทำได้คงทำไปแล้วแต่คนธรรมดาไม่ได้มีพื้นฐานทางคอมพิวเตอร์มากขนาดจะแฮ็กหรือป้องกันการแฮ็กระบบได้


ถ้าเป็นเบซิลจัดการได้อยู่แล้ว แฮ็กเข้าระบบที่ยากกว่านี้ยังทำมาแล้วเลย


“รู้ไหมว่าข้อสองของผมหมายถึงอะไร”เบซิลถามต่อ


“นม”


“ทำไมถึงเป็นนม”


“เพราะผมชอบ”เป็นคำตอบง่ายๆ ผมไม่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายชอบอะไรแถมไม่มีเวลาคิดเลยจำต้องตอบสิ่งที่ผุดเข้ามาในหัวเป็นอย่างแรก


ผมไม่กินพวกเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่างกาแฟ ถ้าเป็นชาก็ยังกินบ้างแต่จะให้ดีต้องเป็นนม ยิ่งเป็นนมสดที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์ยิ่งมีรสชาติอร่อย


“...หึ น่าสนใจจริงๆด้วย แต่ผมบอกแล้วนี่ว่าต้องการแค่ทายถูกไม่ได้แปลว่าจะจบแค่นั้นนะ”


“ช่วยจัดการแฮ็กเกอร์ก่อนแล้วผมจะให้คุณได้กินนมที่อร่อยที่สุด”


“ฮืม...อร่อยที่สุด? ผมไม่ได้หลงเชื่อใครง่ายๆหรอกนะ”อีกฝ่ายตอบกลับ


“เพราะเอาแต่หลอกคนอื่นเลยกลัวถูกหลอกกลับรึไง”


“ใช่ ยังไงการหลอกก็ทำได้ง่ายๆอยู่แล้ว แค่คำพูดปากเปล่ามันไม่มีความน่าเชื่อถือสักนิด”คำพูดของเขาทำให้ผมรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะเชื่อใจใคร ไม่สิ ไม่ใช่ไม่เชื่อแต่อาจจะไม่กล้าเชื่อก็เป็นได้


“นี่คือบัตรประจำตัวผมที่ต้องมีติดตัวอยู่ตลอด เวลาจะไปทำคดีจำเป็นต้องยื่นเพื่อยืนยันตัวตน”ผมพูดพลางหยิบบัตรประจำตัวหรือตราที่เคยยื่นให้ผู้คุมก่อนหน้านี้ขึ้นมา


“แล้ว?”เบซิลดูจะไม่เข้าใจว่าผมอธิบายทำไม


“ผมฝากไว้ที่คุณ ถ้าวันนี้ไม่ได้กินนมอร่อยๆก็ไม่ต้องคืน”


“...”ครั้งนี้เป็นฝ่ายเบซิลนิ่งไปบ้าง เขามองใบหน้าผมสลับกับบัตรประจำตัวที่ถูกยื่นไปตรงหน้า


ผมไม่สามารถทำให้คนที่ไม่รู้จักการเชื่อใจไว้ใจได้ง่ายๆจึงคิดได้แต่วิธีการแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียมเพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของผม


มันอาจดูเว่อร์ที่ต้องใช้บัตรประจำตัวแลกเปลี่ยนแต่ถ้าเป็นอย่างอื่นคงไม่มีความหมายเท่า


“ถ้าสัญญาว่าจะทำ ผมก็จะทำให้ได้...ไม่ผิดสัญญาแน่นอน”ผมพูดย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง


คำสัญญาไม่ใช่สิ่งที่ผมจะเอ่ยไปเล่นๆ ถ้าสัญญาแล้วว่าจะทำผมก็จะทำมันให้สำเร็จ


ดวงตาสีเขียวของเบซิลประสานเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลของผมสักพักก่อนจะเอื้อมมือมารับบัตรจำตัวและโน้ตบุกของผมไปกางนั่งบนเตียงพร้อมเปิดหน้าจอโน้ตบุกขึ้นมา ผมเองเดินตามไปดูเพื่อศึกษาวิธีการจัดการทว่าหน้าจออันเต็มไปด้วยรหัสนับพันๆแถวปรากฏขยับเลื่อนตามการใช้เมาส์ พอถึงบริเวณที่ต้องการเบซิลพิมพ์อะไรบางอย่างเข้าไปหน้าจอที่เต็มไปด้วยรหัสกลับเปลี่ยนเป็นหน้าจอหลักสีน้ำตาลแดงและมีตราของตำรวจแสดงอยู่กลางจอ


รหัสที่ล๊อคไว้ถูกแฮ็กอย่างรวดเร็วจนผมยังต้องเบิกตากว้าง ไม่เพียงแค่นั้นนิ้วมือที่คีย์โค้ดนับสิบยังหน้าต่างด้านข้างช่างเร็วจนมองตามแทบไม่ทันรู้ตัวอีกทีปุ่มเอนเทอร์ก็ถูกกดพร้อมหน้าเว็บไซต์ที่ถูกปิดลง


“เสร็จแล้ว”เบซิลบอกพลางเงยหน้ามองผมซึ่งกำลังอึ้งกับภาพอันน่าตกใจเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน


“...เสร็จแล้ว?”ผมถามอย่างไม่แน่ใจ


ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อในฝีมือแต่นี่มันเร็วไป


ถ้าจับเวลายังไม่ถึง5นาทีเลยด้วยซ้ำ


จะบอกว่าสามารถแฮ็กเข้าระบบฐานข้อมูลกลางของตำรวจและจัดการพวกแฮ็กเกอร์อีกฝั่งสำเร็จได้ด้วยเวลาแค่5นาทีเนี่ยนะ ต่อให้เป็นเจ้าของระบบผมยังไม่คิดว่าจะทำได้ในเวลาแค่นี้เลยด้วยซ้ำ


“อืม อย่าลืมสัญญาล่ะ ตัวประกันอยู่นี่นะ”ไม่พูดเปล่าเบซิลชูบัตรประจำตัวผมขึ้นมาโชว์


“รู้แล้วน่า เดี๋ยวกลับมาฝากโน้ตบุกก่อนละกัน”พูดจบผมจึงเดินออกไปจากห้องขัง


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่2) 9/3/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 09-03-2018 20:34:43
(ต่อนะคะ)


ระหว่างขับเมอร์เตอร์ไซต์ไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่งผมได้ติดต่อกับหัวหน้าและรายงานเรื่องทั้งหมดไปว่าสามารถจัดการเรื่องแฮ็กเกอร์ได้แล้ว คำชมที่ได้รับช่วยให้ความเหนื่อยคลายออกไปได้บ้าง


ร้านอาหารโทนสีขาวมีสวนขนาดเล็กล้อมรอบโดยมีทั้งโซนนั่งด้านนอกและในร้านตามความต้องการของผู้มาเยือน โต๊ะไม้สีน้ำตาลอ่อนตัดกับผนังสีขาวและเข้ากันได้ดีกับของประดับสีชมพูไม่ว่าจะเป็นแจกันดอกไม้เล็กๆบนโต๊ะ พรมด้านหน้าประตูหรือแม้แต่ผ้าม่านก็ล้วนเป็นสีชมพู


มอเตอร์ไซค์คันสีดำเลี้ยวไปจอดบริเวณหลังร้านก่อนจะเปิดประตูเข้าไปทางประตูหนังสำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เดินมาไม่นานก็เจอเข้ากับทางแยกสามทาง แยกแรกเป็นห้องครัว ฝั่งตรงข้ามเป็นทางไปหน้าร้านและถ้าตรงไปจะเป็นห้องพักและห้องเก็บของ
ผมเลือกที่จะเดินออกไปยังหน้าร้าน ตอนนี้เป็นช่วงเวลาประมาณบ่าย3แถมยังไม่ใช่วันหยุดจึงไม่มีลูกค้ามาก มีเพียง3โต๊ะเท่านั้น มองผ่านกลุ่มลูกค้าไปด้านข้างก็เจอเข้ากับโต๊ะไม้ที่ถูกปูทับด้วยผ้าสีชมพูนุ่มๆโดยมีร่างของชายรูปร่างท้วมนิดๆฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะ


“กระวาน”ผมเรียกพลางเดินเข้าไปหาน้องชายคนรองของตัวเอง ครอบครัวผมมีพี่น้อง4คนซึ่งผมเป็นคนโต และกระวานเป็นน้องคนแรกของผม


อย่างที่เคยบอกไปว่าครอบครัวของผมค่อนข้างพิเศษ สายเลือดจากทางฝั่งแม่ทำให้พวกเราทุกคนมีพลังพิเศษแตกต่างกันไป แม่ผมเองก็สามารถมองเห็นวิญญาณได้ ส่วนน้องชายคนนี้สามารถได้ยินเสียงในใจของคนอื่น...แต่จะได้ยินเฉพาะเรื่องลามก
เพราะเป็นพลังที่ไม่เสถียรแถมยังได้ยินตลอดจึงมักจะใส่หูฟังกันเสียงเหล่านั้นไว้ตลอด


เป็นพลังที่สร้างภาระให้การดำเนินชีวิตประจำวันพอสมควร


การใส่หูฟังช่วยกันเสียงได้ซึ่งก็ดีแต่เวลาจะเรียกก็ลำบากเหมือนกัน


“กระวาน”ครั้งนี้ผมเรียกพร้อมเขย่าร่างนั้นเบาๆก่อนดวงตาสีน้ำตาลเช่นเดียวกับผมจะค่อยๆปรือขึ้น พอเห็นว่าเป็นผมกระวานก็เงยหน้าขึ้นมามองผมงงๆ


“พะ...พี่ไธม์?”น้ำเสียงคล้ายเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อว่าเป็นผมจริงๆ


“มานอนตรงนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก แอร์มันลงหัวพอดี”บอกเสร็จผมจึงใช้สายตาบอกให้กระวานลุกขึ้นแล้วทำการเลื่อนโต๊ะไปด้านข้างอีกหน่อย


“โหย ห่วงเกินไปแล้วพี่”


“ก็เลิกทำตัวให้ห่วงสิ”ต่อให้น้องจะโตอายุเกิน20แล้วยังไงคนเป็นพี่ก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี


“ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย นึกว่าฝันซะอีกไหง๋พี่มาร้านได้ล่ะ”น้ำเสียงกึ่งกวนโอ้ยนั่นทำเอาผมคลี่ยิ้มบางๆกลับไป


“มีเรื่องนิดหน่อย”


“เรื่อง? ให้ผมไปเรียกโป๊ยกั๊กมาช่วยดีไหม ขานั้นแข็งแรงจะตาย เผื่อครอบครัวเราจะได้ออกไปปล่อยหมัดกัน”ระหว่างพูดกระวานทำท่าปล่อยหมดซ้ายขวาด้วยใบหน้าจริงจังจนหูฟังข้างนึงหลุดลงมา


“ให้โป๊ยกั๊กเรียนไปเถอะช่วงนี้ใกล้สอบแล้วด้วย”โป๊ยกั๊กที่พูดถึงคือน้องชายคนที่2ของผมเอง ซึ่งนอกจากจะมีความสามารถด้านกีฬาเป็นยอดแล้วยังมีเซนส์ในการต่อสู้ดีด้วย เวลาผมกลับบ้านมักจะพากันไปซ้อมต่อสู้บ่อยๆ อีกทั้งด้วยนิสัยที่ค่อนข้างใจร้อนทำให้ผมค่อนข้างเป็นห่วง ช่วงนี้กำลังยุ่งเพราะใกล้ช่วงเตรียมสอบเข้ามหาลัยด้วย


“ชิ หมดเวลาสนุกแล้วสิ”


“พูดถึงแต่คนอื่นแล้วเราล่ะไม่เป็นไรนะ”กับกระวานเองผมก็ห่วงไม่แพ้กันหรอก เสียงในใจที่ได้ยินมันส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตมาก ยิ่งอยู่กับคนเยอะๆความคิดของคนเหล่านั้นจะหลั่งไหลเข้ามาจนสร้างภาระหนักให้ร่างกาย


“เป็นสิ เป็นน้องพี่ไง”พูดไปหัวเราะไปนี่แหละน้องชายผม ร่าเริงดีจริงๆ


“เลิกกวนได้แล้ว”ผมขยี้เส้นผมดำนั่นด้วยความเอ็นดู


“ฮิ ผมไม่เป็นไรหรอกน่า ชินกับมันแล้วล่ะ พี่เถอะทำงานอันตรายน่าเป็นห่วงกว่าอีก”กระวานตอบกลับ


“นั่นคำพูดของโป๊ยกั๊กนี่”ผมจำได้ว่าเคยถูกน้องชายคนเล็กพูดประโยคนั้นมาหลายรอบแล้ว


“ยังไม่จดลิขสิทธิ์สักหน่อย ขอใช้หน่อยคงไม่ขี้หวงหรอก”


“ครับๆ ขอตัวไปหาพ่อก่อนล่ะ”ผมตัดบทแล้วเตรียมจะเดินกลับไปทางห้องครัว


“ตอนนี้พ่อไม่อยู่ไปรับเพกาน่ะ”กระวานพูดต่อ


“อ้อ...จริงด้วยเวลาเลิกเรียนนี่นา”เพกาคือน้องสาวเพียงคนเดียวของผม เธอยังอยู่ชั้นมัธยมต้นคุณพ่อเลยอาสาขับรถไปรับส่งเป็นบางครั้ง หากวันไหนโป๊ยกั๊กไม่ติดเข้าชมรมหรือมีธุระก็จะให้เพกากลับด้วย ทั้งคู่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน


“อยู่รอไหมจะได้ช่วยผมรับออร์เดอร์ด้วย”


“ไม่ล่ะ ฝากบอกพ่อด้วยว่าขอนมสักครึ่งโหล”


“เอาไปทั้งโหลเลยก็ได้”


“ไว้จะมาเอาใหม่น่า”


“ให้โป๊ยกั๊กไปส่งถึงห้องก็ได้นะ”


“ใช้น้องอีกแล้ว”ผมส่ายหัวอย่างปลงๆ กระวานกับโป๊ยกั๊กสนิทกันมากกว่าผมอาจเพราะนอนห้องเดียวกันมาตลอดก็เป็นได้


“น้องไม่ยอมให้ใช้ง่ายๆสักหน่อย แต่ถ้าบอกให้เอานมไปให้พี่คงรีบไปส่งเลยมั้ง”


“ก็อย่ากวนน้องให้มากนัก พี่ไปก่อนล่ะ แล้วเจอกัน”ผมหยิบหูฟังที่ตกใส่เข้ายังหูของกระวานก่อนจะเดินกลับไปทางห้องครัว
ในห้องครัวแบ่งเป็นส่วนของงานครัวและตู้เย็นขนาดใหญ่ หน้าตู้จะมีเขียนป้ายชี้บ่งไว้ว่าตู้นี้เป็นเนื้อสัตว์หรือผัก เนื่องจากบางทีคุพ่อก็โก๊ะเปิดผิดประจำ ตู้ที่ผมต้องการอยู่ทางริมสุดเป็นพวกนม ชีสและพวกแยมเรียงรายอยู่ด้านใน


นมวัวในขวดแก้วสีใสมีให้เลือกหลากหลายรสชาติ ผมหยิบมาเกือบทุกรสโดยเน้นรสจืดซึ่งผมชอบมากเป็นพิเศษให้เยอะหน่อย
พอได้ของเสร็จผมก็ขับมอเอตร์ไซค์กลับไปยังเรือนจำกลางพิเศษที่3 ห้องด้านในสุดของทางเดินทางชั้นใต้ดินถูกไขอีกครั้ง เบซิลนอนตะแคงเอามือข้างนึงหนุนหัวส่วนอีกข้างก็กำลังคีย์อะไรบางอย่างลงในโน้ตบุกผม ดวงตาสีเขียวนั้นจับจ้องไปยังหน้าจอก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม


เจ้าของข้อหามากมายนับ10หน้ากระดาษเอสี่ยกมือขึ้นแล้วแบออกตรงหน้าผมคล้ายจะบอกว่าให้เอาของนั่นมาเดี๋ยวนี้


“ผมไม่ใช่คนใช้คุณ ถ้าจะเอาก็ลุกขึ้นมาดีๆ”ผมบอกเสียงนิ่ง


“พอใช้ผมเสร็จก็ทำตัวเหนือกว่าเลยนะ อย่าลืมสิว่าผมมีเครื่องมือนี่อยู่ในมือจะทำลายระบบการป้องกันของสักที่เป็นเรื่องง่ายๆ”อีกฝ่ายเองไม่มีทีท่าจะยอมดีๆเช่นกัน


“เบซิล”


“คุณสั่งผมไม่ได้ แต่ครั้งนี้ยอมทำตามละกัน”พูดจบเขาจึงปิดหน้าจอโน้ตบุกแล้วลุกขึ้นมานั่งบนเตียงดีๆ


ท่าทางของเบซิลราวกับสัตว์ป่าที่ไม่ยอมสิโรราบให้แก่มนุษย์ เพียงแค่ยอมเพื่อประโยชน์เท่านั้น


การจะสร้างความไว้ใจไม่ใช่เรื่องง่าย


แต่ยังไงก็ไม่ไม่เกี่ยวกับผม เพราะไม่คิดจะสร้างสัมพันธ์อะไรมากไปกว่านี้


“เอารสอะไร”ผมกางถุงในมือเพื่อให้อีกฝ่ายได้เห็นนมด้านใน


“ทุกรส”


“จะกินให้จุกรึไง”


“แล้วคุณจะเก็บไว้เองให้เน่ารึไงล่ะ”พอถูกกวนไปเบซิลก็กวนกลับมาแทบจะทันที


“พอดีในห้องมีตู้เย็น”


“ผมก็กินหมดได้พอดีเหมือนกัน”


“...”เถียงกันไปไม่เคยจะชนะเลยสิน่า


จะว่าสมกับฉายาหรือนิสัยดีล่ะ


“เอารสหวานก่อน”


“เอาไปให้หมดเลย”ผมบอกพลางวางถุงไว้บนเตียงๆข้างตัวเบซิลโดยหยิบรสจืดออกมาแกะขวดนึง


ผมอาจไม่สามารถกินเนื้อสัตว์ได้แต่สามารถกินนมวัวได้ ยังไงนมไม่ก็ไม่ถือว่าเป็นการกินเนื้อแต่ถ้าเป็นไข่ ไม่ว่าจะเป็นไข่เป็ดหรือไข่ไก่ก็ไม่สามารถกินได้ทั้งนั้น


โปรตีนที่ผมสามารถกินได้เลยมีแค่นมและถั่ว


เบซิลหยิบนมออกมาเรียงกัน5ขวดก่อนจะเลือกแกะรสช็อกโกแล็ตแล้วกระดกดื่มทีเดียวหมดขวด ในขณะที่ผมค่อยๆยกขวดดื่มทีละนิดเพื่อลิ้มรสชาติของนม


“...ไปเอานี่มาจากไหน”ดื่มหมดขวดแล้วเบซินจึงถาม


นี่ที่ว่าคงหมายถึงนมละมั้ง


แววตาของเขาทอประกายขึ้นเล็กน้อยคล้ายกำลังบอกว่านมในมือมีรสชาติอร่อย


“ทำไม? อร่อยใช่ไหมล่ะ”ผมบอกแล้วว่าเป็นนมที่อร่อยที่สุด


คุณตาผมทำอาชีพเชฟ ก่อนหน้านี้เคยตะเวนไปทำอาหารรอบโลกก่อนจะกลับมาเปิดร้านเล็กๆเป็นของตัวเองทำให้รู้จักกับคนหลากหลายประเทศ และการรู้จักนั่นทำให้ได้แหล่งวัตถุดิบชั้นเลิศมาด้วย


ผมเองจะกินนมก็ต้องของร้าน อร่อยกว่าหลายเท่าเชียวล่ะ


“อืม อร่อย”


“...”ผมถึงกับเงียบที่เห็นคำพูดตรงๆไม่ใช่การกวนโอ้ยเหมือนอย่างทุกที


สงสัยคงจะชอบนม


เบซิลไม่มีญาติเลยไม่มีใครมาเยี่ยม แน่นอนว่าทางเรือนจำคงไม่ใจดีขนาดหาของที่นักโทษต้องการให้


“ไม่เคยกินนมอร่อยแบบนี้มาก่อน อยากกินอีก”เบซิลพูดพลางแกะนมรสหวานต่อ


“กินเยอะไปแล้วมั้ง”นี่มันขวดที่4แล้วนะ


“จะกิน”


“ไม่ใช่แค่จุกนะเดี๋ยวเกิดมวลท้องขึ้นมาจะทำยังไง”นมอาจมีประโยชน์และข้อดีมากมายแต่ใช่การกินในปริมาณมากจะไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย


“ช่างสิ”


“บอกให้พอไง”ผมก้าวเข้าไปใกล้คว้านมรสหวานในมือของเบซิลและถุงนมที่เหลืออีกเพียงขวดเดียวมาไว้ในมือตัวเอง


“เอาคืนมา”อีกฝ่ายเริ่มมองมาเขม็ง


“ไม่”ผมเองก็ไม่ใช่พวกโดนจ้องแล้วจะยอมแพ้ง่ายๆ


“คุณบอกเองว่าให้ผมทั้งหมด”


“ใช่ ผมไม่ได้จะแย่ง กินเข้าไปเยอะๆจะทำให้ท้องเสียได้ เดี๋ยวผมจะไปฝากผู้คุมแช่ไว้แล้วพรุ่งนี้ค่อยกินที่เหลือ”ตอนแรกกะจะแบ่งเอากลับไปกินห้องสักสองขวดแต่เอาเถอะ


เห็นทำหน้าอร่อยแบบนั้นคนให้ก็พลอยดีใจไปด้วย


“...ห่วงผม?”อีกฝ่ายนิ่งไปสักพักราวกับกำลังคิดหลายๆอย่างภายในหัว


“เปล่า”ผมพูดเต็มเสียง


ไม่ได้ห่วงสักนิด


“คำพูดของคุณมันสื่อว่าห่วงผมชัดๆ”


“บอกว่าไม่ได้ห่วงไง”


“ห่วงสิ”


“ไม่ได้ห่วง”


“ห่วง”


“ไม่...”


“ใบไธม์”


กึก


“...ทำไม”ถึงรู้ได้


ปากที่เตรียมจะสวนกลับถึงกับชะงักยามถูกเรียกชื่อเล่นเต็มๆ คนในหน่วยอาจรู้จักชื่อเล่นผมแต่เป็นไธม์ไม่ใช่ใบไธม์ หลายคนยังคิดว่าชื่อผมคือไทม์ที่แปลว่าเวลาด้วยซ้ำ


แต่คนที่พึ่งเจอกัน2ครั้งกลับรู้ชื่อเล่นจริงๆของผม


“แค่หาอะไรทำระหว่างรอคุณกลับมาแค่นั้นเอง”


“คุณหาข้อมูลผม?”นี่เป็นสิ่งเดียวที่คิดได้


ผมทิ้งโน้ตบุกไว้กับเขา คงอาศัยจังหวะนั้นหาข้อมูลแน่ๆ


ที่น่าตกใจคือสามารถหาข้อมูลส่วนตัวผมจากข้อมูลง่ายๆเพียงชื่อไธม์กับสังกัดหน่วยสืบสวนพิเศษได้ในเวลาไม่นาน หน่วยสืบสวนพิเศษไม่ได้มีแผนภูมิองค์กรหรือหน้าเว็บให้เข้าไปหาข้อมูลได้ เรื่องของพวกเราอาจไม่ได้ลับแต่ถ้าจะสืบหาก็ยากพอดู
ไม่คิดว่าจะหาได้ในเวลาแค่นี้


ตั้งแต่ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ก่อนหน้านี้แล้ว


เบซิลไม่ใช่คนระดับธรรมดา


ที่ว่าไอคิวกับอีคิวสูงกว่าปกติท่าจะจริง


“ก็มันว่าง”ข้อแก้ตัวอะไรสิ้นคิดชะมัด


“ทำอย่างอื่นไปสิ”


“อยากรู้เรื่องของคุณนี่นา”คำพูดพร้อมรอยยิ้มมุมปากนั่นถ้าเป็นสาวๆคงจะหน้าแดงกลายเป็นไอแต่สำหรับผมมันน่าโมโหสุดๆ


“ท่าจะว่างนะ”


“อืม ว่างมากด้วย ถ้าไงมาหาผมอีกนะ”


“จะเข้าร่วมกับทางการรึไง”ผมถามย้อน


“ไม่”เบซิลตอบทันที


“งั้นก็ไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องมาเจอคุณอีก”ผมตัดบทแล้วเก็บโน้ตบุ๊กเข้ากระเป๋า


“จะกล่อมผมไม่ใช่?”


“แต่ดูเหมือนคุณจะไม่ใช่คนที่ยอมให้ใครกล่อมได้นี่”ถ้ากล่อมได้คงไม่ต้องมาถึงมือของหน่วยสืบสวนพิเศษแบบนี้หรอก


“พูดถูก”


“แต่ทางการคงไม่ยอมลามือง่ายๆ”อีกไม่นานต้องมีคนใหม่มาทำหน้าที่กล่อมแน่


ทั้งทักษะ ฝีมือและความสามารถระดับนี้น่าเสียดายเกินไปที่จะให้นอนเล่นอยู่แต่ในคุก


“จะส่งมากี่คนผลก็ไม่เปลี่ยน ผมไม่คิดจะคุยกับใครอีก...ถ้าไม่ใช่ใบไธม์”น้ำเสียงยียวนบวกกับรอยยิ้มนั่นทำเอาผมอยากเขวี้ยงขวดนมในมือใส่หัวอีกฝ่ายจังๆสักที


“งั้นก็ไม่ต้องเปิดปากอีกตลอดการเลย!”

.................................................................

สวัสดีค่า

เราพึ่งสอบเสร็จวันนี้เลยมาอัพแทนการฉลองสักหน่อย555

เปิดตัวพระเอกอย่างเป็นทางการซึ่งชื่อเบซิลนี่ตั้งได้ตอนหาชื่อชื่อสมุนไพรอย่างใบไธม์พอดี ชื่อทั้งสองคนเลยเป็นสมุนไพรเหมือนกันทั้งคู่

ในช่วงแรกอาจยังไม่มีเนื้อหาอะไรนัก แต่จะค่อยๆ เข้มข้นขึ้นทีละนิดนะคะ

หวังว่าทุกคนจะสนุกไปกับการอ่านเรื่องนี้

ขอฝากตัวกับผลงานใหม่ด้วยนะ

ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นท์และทุกๆ กำลังใจที่มีให้นะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่2) 9/3/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 09-03-2018 21:21:24
 :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่2) 9/3/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-03-2018 03:12:01
ติดตามอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่2) 9/3/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-03-2018 03:37:32
สุดท้ายเบซิลก็ต้องช่วยงานไธม์จนได้ ใช่ป่ะ  o18
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่2) 9/3/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 11-03-2018 16:45:38
สนุกอ่าาา เบซิลกวนมากกก555555
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่3) 21/3/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 21-03-2018 20:10:54
สืบรัก彡คดีที่3



อ๊บ!


เสียงร้องของกบเป็นการบ่งบอกถึงฤดูฝนที่กำลังดำเนินอยู่ เพียงแค่เสียงกบนี้ไม่ใช่กบธรรมดาแต่เป็นผมซึ่งแปลงร่างเป็นกบ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาโดยผมนั้นกำลังนั่งเอาหลังพิงต้นไม้ข้างตึกทำงานตามปกติ


เพราะสายฝนที่พรำลงมาเล็กน้อยเรียกความชื้นรอบๆให้มีมากขึ้นเหล่าสัตว์ตัวเล็กๆอย่างกบ เขียดหรืออึ่งอ่างก็พากันออกมาเล่นน้ำฝน ภาพของเหล่าสัตว์ตัวเล็กๆพากันกระโดดท่ามกลางสายฝนน่ามองจนไม่ทันสังเกตว่ามีกบตัวนึงกระโดดขึ้นมาเกาะบนมือตัวเอง พอรู้ตัวแล้วปัดออกก็สายไปเสียแล้ว


เวลากลายร่างเป็นสัตว์จะเป็นกลายแค่ร่างกายไม่ใช่ทั้งเสื้อผ้า ดังนั้นหลังกลายร่างเสร็จร่างกายมักจะถูกเสื้อผ้าตัวเองคลุมไว้จนแทบมองไม่เห็น


ถ้ามีใครมาเห็นเข้าคงกลายเป็นข่าวฉาวหน้าหนึ่ง


รองหัวหน่วยหน่วยสืบสวนพิเศษมีงานอดิเรกถอดเสื้อผ้าโชว์


อาจเป็นโชคดีที่กลายร่างในมุมนี้ หากมองจากหน้าต่างคงมองเห็นเพียงลำต้นสีน้ำตาลของต้นไม้ใหญ่นี่


การจะกลับร่างมนุษย์ไม่ใช่เรื่องยากแต่ก็ไม่ง่ายเช่นกัน


ต้องมีสมาธิแล้วคิดถึงตัวเองที่อยู่ในร่างมนุษย์


แต่ต่อให้ฝึกมากมากขนาดไหนความผิดพลาดก็ยังเกิดขึ้นบ่อยๆ ระยะเวลาในการกลายร่างของผมคือประมาณ2ชั่วโมงขึ้นอยู่กับขนาดของสัตว์ที่แปลงหากเป็นสัตว์เล็กอย่างพวกกบหรือนกระจอกก็สามารถอยู่ได้นานกว่า2ชั่วโมงแต่ถ้าเป็นสัตว์ใหญ่อย่างม้าเวลาจะลดลง


ผมพยายามลองแตะสัตว์หลายๆชนิดเพื่อจะได้รู้ถึงขีดจำกัดของพลังตัวเองซึ่งกว่าจะเรียนรู้การควบคุมก็ใช้เวลาไปนานพอดู คุณพ่อเองก็เป็นห่วงมาก...มีหลายครั้งที่เขาไม่อยากให้ผมไปไหนไกลสายตาอย่างไปทัศนศึกษาหรือเดินทางไกลในสมัยเด็กๆ แต่พอโตขึ้นและเข้าใจพลังของตัวเองคุณพ่อถึงยอมปล่อยให้ออกมาใช้ชีวิตตามใจได้


บางทีแค่ปล่อยตัวสบายเดี๋ยวก็จะกลับร่างได้เองง่ายกว่าแถมไม่วุ่นวายด้วย


ระหว่างปล่อยให้เวลาไหลไปเรื่อยๆร่างกายซึ่งเป็นผิวหนังอ่อนนุ่มของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำก็ค่อยๆกลับมาเป็นผิวหนังของมนุษย์ปกติ


ผมรีบคว้าเสื้อผ้าข้างกายมาใส่แม้จะเปียกชื้นจากละอองน้ำอยู่บ้างก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด


พอทุกอย่างกลับมาอยู่ในสภาพปกติแล้วผมจึกลุกขึ้นปัดเศษหญ้าและฝุ่นบนตัวออกพร้อมเดินกลับไปยังห้องทำงาน ตึกนี้มีทางเข้าอยู่ทั้งหมด2ทางคือประตูหน้าบริเวณที่จอดรถกับประตูด้านหลังเผื่อกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน


“ท่านรอง”เสียงตะโกนดังขึ้นเมื่อผิดเปิดประตูเข้าในห้อง เจ้าของเสียงเรียกคือจูน สาวห้าวผมสีน้ำตาลซอยสั้นกุด ทรงผมของเธอสั้นกว่าผมอีก เคยคุยกันเรื่องนี้อยู่เหมือนกันเห็นบอกว่าถ้าไว้ยาวระหว่างแยกหรือประกอบระเบิดอาจส่งผลต่อชีวิตได้ง่ายๆเลยตัดซะสั้นเกรียน


จูนเป็นสาวที่มีความสามารถเรื่องระเบิดมากกว่าคนของหน่วยเก็บกู้ระเบิดซะอีก เพราะไม่เพียงทำการศึกษาระเบิดจากทั่วทุกทวีปแต่ยังมีการทดลองสร้างระเบิดใหม่ๆขึ้นมาอีก ถ้าไม่ได้เข้ามาอยู่หน่วยสืบสวนพิเศษอาจกลายเป็นมือวางระเบิดไปแล้วละมั้ง


“น่าแปลกที่เธอออกมาจากห้องทั้งที่ไม่มีงานได้”ผมถามด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กๆ ห้องภายในตึกของหน่วยสืบสวนพิเศษนี้มีห้องอยู่ประมาณ5ห้อง ห้องแรกเป็นห้องทำงานซึ่งมีขนาดใหญ่และกว้างที่สุดเนื่องจากเป็นห้องหลักในการทำงานของคนในหน่วยทั้ง8คนไม่รวมหัวหน้าที่มีห้องส่วนตัวอยู่ด้านข้าง


แม้จะมีโต๊ะสำหรับ8คนแต่จูนกลับแทบไม่นั่งอยู่โต๊ะทำงานของตัวเองเลย บนโต๊ะเธอนอกจากกล่องใส่ปากกากับสมุด1เล่มก็ไม่มีอะไรวางอยู่อีก หากไม่ได้มีภารกิจหรือคดีให้จัดการจูนจะไปอยู่ในห้องส่วนตัวถัดจากห้องหัวหน้าไปอีกสองห้อง


ห้องส่วนตัวนั้นถูกสร้างขึ้นให้มีความทนทานแรงระเบิดในระดับนึงเนื่องจากของด้านในล้วนแล้วแต่เป็นส่วนประกอบของระเบิดไม่ก็ระเบิดที่ถูกส่งมาให้ศึกษา เรียกว่าเป็นเขตแดนของกับระเบิด


ขืนเดินเข้าไปมั่วๆได้บึ้มแน่


“แหม...ก็มันมีงานนี่นา”จูนตอบเสียงใส


“งานใหม่?”ผมถามกลับ เหมือนจูนจะพึ่งจัดการคดีเสร็จไปเมื่อไม่กี่วันก่อนถ้าบอกว่ามีคดีนั่นแปลว่าต้องเป็นคดีใหม่


“ใช่ กำลังรอท่านรองอยู่เลย ไปกันเถอะ”พูดจบก็ยกเป้อันใหญ่ขึ้นสะพายก่อนเดินไปทางประตู


“...ผมไปด้วย?”


“อ้าว หัวหน้ายังไม่ได้บอกเหรอ”จูนหันกลับมาทำหน้างงใส่


“ยัง...หรือว่า...”เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ผมจึงรีบหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา และปรากฏว่ามีถึง5สายที่ยังไม่ได้รับ ทุกสายล้วนมาจากคนคนเดียวคือคือหัวหน้าไพลสันต์


คงโทรมาตอนผมอยู่ในร่างกบสินะถึงได้ไม่รู้ถึงแรงสั่น


นอกจากสายที่โทรเข้าแล้วยังมีข้อความทางไลน์ถูกส่งมา เนื้อหาพูดถึงภารกิจหรือคดีที่ให้ไปจัดการพร้อมกับจูน ดูเหมือนว่าจะมีการระเบิดขึ้นกลางเมืองโดยทางเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้วางระเบิดได้ทันทีทว่าคนร้ายกลับวางระเบิดไว้ที่อื่นอีก แม้จะเค้นคอถามหาที่วางระเบิดได้แต่รูปร่างของระเบิดไม่ใช่แบบปกติขนาดหน่วยเก็บกู้ระเบิดยังไม่ไม่มีข้อมูลจนต้องส่งเรื่องมาทางหน่วยสืบสวนพิเศษ


“ก็ตามที่หัวหน้าเขียนมาแหละ พวกหน่อยเก็บกู้นี่ก็ชอบเอาแต่พูดว่า ‘ไม่รู้’ ‘ทำไม่ได้’ ‘เรียกหน่วยสืบสวนพิเศษเถอะ’ พอเห็นอะไรไม่ปกติหน่อยก็โยนงานมาให้ฉันหมด เจ้าพวกบ้าเอ้ย!”จูนตะโกนเสียงดังลั่นระบายความหงุดหงิดออกมา


“น่า ถือเป็นประสบการณ์”ผมแตะหลังอีกฝ่ายเบาๆแทนการให้กำลังใจ


“อุตส่าห์อยากทดลองสร้างระเบิดใหม่แท้ๆ”


“ไว้กลับมาก็ได้”


“คงต้องแบบนั้นแหละ ถ้าเป็นระเบิดปกติฉันจะโยนใส่หัวพวกหน่วยเก็บกู้จริงๆด้วย”เธอบอกระหว่างพวกเราพากันเดินออกมาจากห้อง


“บอกกันก่อนล่ะผมจะได้วิ่งไปหลบทัน”ผมพูดติดตลก


“ไม่ต้องบอกก่อนก็หลบทันอยู่แล้วนี่ท่านรอง”


“เลิกเรียกท่านรองได้ไหมเนี่ย”พอได้ยินแล้วรู้สึกแปลกๆยังไงก็ไม่รู้ จิวก็อีกคนที่เรียกผมว่าท่านรอง


คนอื่นจะเรียกผมว่าไธม์หรือถ้าสุภาพหน่อยก็คุณไธม์


“ไม่ได้ๆ ความสามารถระดับคุณจะให้เรียกปกติได้ยังไง”


“ผมไม่ได้เก่งกาจอะไร”


“เหรอ”


สุดท้ายพวกเราก็พูดคุยกันไปตลอดการเดินทางโดยใช้รถของจูนเนื่องจากของที่ใช้สำหรับการเก็บกู้ระเบิดมีค่อนข้างมากถ้านั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ผมแล้วอุปกรณ์ตกหายไปสักอย่างผมโดนเก็บค่าชดเชยชัวร์ๆ


สถานที่วางระเบิดคือใจกลางเมืองบริเวณข้างเสาร์ไฟฟ้าติดกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ กลุ่มคนใส่ชุดสีดำเป็นของหน่วยเก็บกู้ส่วนสีกากีเป็นของตำรวจ พลาสติกสีเหลือสำหรับกั้นไม่ให้คนธรรมดาเข้าไปถูกยกขึ้นพร้อมผมและจูนก้าวเข้าไปด้านใน

เจ้าหน้าที่ทุกคนหันมามองพวกเราคล้ายเจอสัตว์ประหลาดสักตัวซึ่งผมไม่ได้สนใจสายตานั่นเท่าไหร่ จูนเองก็เช่นกันเมื่อเธอเห็นวัตถุที่คาดว่าจะเป็นระเบิดถูกบรรจุไว้ในกล่องเค้กก็พุ่งสมาธิไปส่วนนั้นจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง


จูนหยิบอุปกรต่างๆออกมาจากกระเป๋าใบใหญ่เพื่อใช้ในการตรวจสอบระเบิด ความรู้ด้านระเบิดผมพอมีอยู่แต่เป็นแค่ผิวเผินมากๆถ้าเทียบกับจูน ความสามารถของเธอเป็นที่1ของประเทศและอาจเป็นอันดับต้นๆของโลกก็เป็นได้


ทักษะและความสามารถนั่นไม่ใช่เพียงพรสวรรค์แต่เป็นการหมกวุ่นและคลั่งไคล้ในสิ่งนั้นมากๆ คอยศึกษา เฝ้ามองและลงมือปฏิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า


ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยไม่พยายาม


“เขาคือคือร้ายสินะ”ผมเดินไปยังกลุ่มของเจ้าหน้าที่ซึ่งมีชายคนนึงกำลังถูกจับเอามือไพร่หลังไว้


“ใช่ พวกเราเห็นตอนกำลังกดระเบิดพอดี”หนึ่งในหน้าที่เล่า


รูปร่างและหน้าตาดูเผินๆไม่มีทางรู้ว่าเป็นคนร้ายแต่กลิ่นดินปืนคลุ้งไปหมดแม้ไม่ต้องอยู่ในร่างสัตว์ผมก็ยังได้กลิ่นอย่างชัดเจน
ไม่แปลกถ้าจะถูกจับได้


ถ้าเป็นผมก่อนจะออกมาเดินคงล้างกลิ่นพวกนี้ออกให้หมด


แล้วไม่มีทางไปกดระเบิดต่อหน้าตำรวจหรอก


หรือว่าจงใจให้จับได้?


“คิดจะทำอะไร”ผมถามคนร้ายไปตรงๆ


“หึ...”ท่าทางนั่น...เป็นอย่างที่คิด


“ไม่รู้หรอกนะว่าคุณคิดจะทำอะไรแต่ผมคงไม่ยอมง่ายๆ จูน”บอกกับคนร้ายเสร็จจึงเข้าไปหาจูนที่กำลังแกะส่วนครอบของระเบิดออกเพื่อดูแผงวงจรภายใน


“...”สมาธิของจูนจับจ้องอยู่กับระเบิดตรงหน้า ไม่มีทีท่าว่าจะได้ยินเสียงผมเลย


“จูน”ผมเรียกเสียงดังขึ้น


“...ท่านรอง?”สุดท้ายเธอก็เงยหน้าขึ้นมามองผมงงๆ


“เป็นไงบ้าง พอจะหยุดได้ไหม”


“อืม...ไม่ใช่แบบที่ซับซ้อนอะไรจะว่าเหมือนปกติก็ใช่อยู่”


“แปลว่ามีส่วนที่ไม่เหมือนปกติสินะ”ผมแปลความหมายของประโยคนั้น


“ใช่...มีสามเส้นนี้ที่ไม่เหมือนปกติ ฉันลองไล่สายดูแล้วมันเหมือนเชื่อมเข้ากับเครื่องปล่อยสัญญาณ...มีความเป็นไปได้ที่จะมีระเบิดอยู่อีกลูกและระเบิดทั้งสองลูกถูกเชื่อมกันไว้ด้วยเครื่องปล่อยสัญญาณนี้ หากปลดฉนวนเพียงลูกเดียวมีสิทธิที่อีกเครื่องจะเบิด”คำอธิบายจากปากจูนทำเอาบรรยากาศโดยรอบเริ่มตื่นตระหนก


“เฮ้ย แกน่ะระเบิดอีกลูกอยู่ที่ไหน”เจ้าหน้าที่เริ่มเข้าไปกระชายคอเสื้อคนร้ายแรงๆให้บอกข้อมูลมา


“หึ...ตายกันซะให้หมดนี่แหละ”คำตอบจากปากคนร้ายยิ่งเพิ่มความตรึงเครียดให้มากขึ้นไปอีก


ไม่ให้เครียดคงไม่ได้ ระเบิดเชื่อมกันกันได้อาจไม่ใช่เรื่องแปลกแต่การที่ปลดลูกนี้แล้วทำให้อีกลูกระเบิดทำให้งานนี้ยากขึ้น


“มีวิธีจัดการไหม”ผมถามจูนต่อ


“ไม่ยาก แค่ตัดพร้อมกันสองลูกก็พอ”


“เธอคนเดียวจะไหวเหรอ”ตัดสองลูกพร้อมกันไม่ใช่เรื่องง่าย


“ไม่ไหวอยู่แล้ว เพราะงั้นท่านรองก็มาช่วยหน่อยละกัน”


“เดี๋ยว...ผมเหรอ ให้คนของหน่วยเก็บกู้ดีกว่ามั้ง”บอกตามตรงว่าทักษะด้านการกู้ระเบิดผมแทบไม่มีเลย


จะให้มาตัดสายพร้อมกันมันเสี่ยงเกินไป


“ฉันไม่ชอบพวกเขา”จูนจงใจพูดเสียงดังให้ของของหน่วยเก็บกู้ด้านหลังได้ยิน


“ใจเย็น อย่าสร้างศัตรูเพิ่มสิ”แค่นี้หน่วยเราก็แทบไม่มีพันธมิตรแล้วนะ


“เฮอะ...ถึงจะรู้วิธีจัดการแต่จะหาอีกลูกยังไง”


“นั่นสินะ”ไม่มีเวลาพอให้แปลงร่างเป็นสัตว์เพื่อตามกลิ่นหาด้วย


“ฉันพอจะจำกัดระยะได้ ไม่น่าอยู่เกินรัศมี400เมตรจากนี้หรอก”


“400เมตร”ผมพึมพำพลางมองไปทั่วบริเวณ


สถานที่ของการนำระเบิดไปว่างอาจดูกว้างแต่ถ้าในรัศมี400เมตรสามารถจำกัดให้แคบลงได้ ดูจากท่าทางของคนร้ายต้องเป็นคนที่คิดและเตรียมการมาแล้วหากต้องการล่อให้ตำรวจจับและบอกสถานที่ของลูกแรกแปลว่าอีกลูกต้องอยู่ในรัศมีการมองเห็น

ระเบิดมีขนาดประมาณกล่องใส่พิซซ่าแต่หนากว่า ถ้าวางไว้ทั่วไปอาจเป็นจุดเด่น ลูกแรกจงใจว่าไว้ข้างเสาเรียกสายตาของทุกคนให้มองไปเพื่อจะได้ซ่อนอีกลูกไว้ในตำแหน่องที่คาดไม่ถึง ถ้าถามถึงตำแหน่งที่คาดไม่ถึงก็ต้องเป็นข้างใต้อะไรสักอย่าง ใต้เก้าอี้ ใต้พุ่มไม้ ใต้เสื้อผ้าหรือว่าจะเป็น...


“ด้านล่าง...ด้านล่างของระเบิดลูกแรกมีอะไรรึเปล่า”ผมถามจูนเสียงดังพลางลอบสัตเกตคนร้ายที่มีทีท่าชะงักไป


เดาถูกจริงๆด้วย


“ด้านล่างหมายถึงอะไรน่ะ...โอ๊ะ ยกขึ้นได้ด้วย?”จูนทำหน้าประหลาดใจเมื่อสามารถยกระเบิดลูกแรกขึ้นมาได้ ด้านล่างของระเบิดลูกแรกมีระเบิดอีกลูกใส่ไว้


แบบนี้จะค้นหาบริเวณโดยรอบให้ตายยังไงก็คงไม่เจอ


“จัดการกันเลย”


“ได้ เอานี่ เริ่มจากเส้นสีฟ้าด้านนี้แล้วไปน้ำเงินอีกข้าง จากนั้นก็สีแดง เขียวและจบด้วยเหลืองที่อยู่ด้านใต้สุดนะ”จูนอธิบายรัวๆระหว่างส่งที่ตัดระเบิดมาให้


สมกับเป็นจูน สามารถมองระเบิดลูกนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งโดยไม่ต้องมีกระดาษจดด้วยซ้ำ


“อืม”ผมพยักหน้ารับแล้วเริ่มต้นจากเส้นสีฟ้าเป็นเส้นแรก


ทุกครั้งจูนจะให้สัญญาณทำให้สามารถตัดได้พร้อมกันจนถึงเส้นทุกท้ายเวลาซึ่งกำลังนับถอยหลังอยู่ที่1นาทีก็หยุดลง


เดี๋ยวนะ...เหมือนผมจะบอกให้หน่วยเก็บกู้มาเป็นคนทำไม่ใช่ผมนี่


ครืดดด~  ครืดดดด~


“ครับ”ผมรับสายโดยไม่ได้ดูชื่อ อาการล้าจากการเพ่งสมาธิตัดฉนวนระเบิดทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า


อยากกลับไปพักที่ห้องจะแย่แล้ว


เวลาก็ล่วงเลยมาถึง5โมงเย็น กลับไปเอามอเตอร์ไซค์แล้วกลับห้องเลยดีกว่า


(คุณทัณฑธร)เสียงผู้หญิงจากปลายสายทำเอาผมเริ่มขมวดคิ้วแน่นพร้อมความหงุดหงิดที่เริ่มเพิ่มพูนขึ้น


“...ครับ”ปลายสายนี้เป็นเสียงใครผมจำได้ คนของเรือนจำกลางพิเศษที่3


มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละที่จะโทรมา


(เมเกอร์อยากเจอคุณค่ะ)


ว่าแล้วเชียว


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พนักงานของเรือนจำกลางพิเศษที่3โทรมา ตั้งแต่วันนั้นที่ผมไปขอความช่วยเหลือจากเมเกอร์หรือเบซิลทางการได้ส่งคนอื่นเข้าไปเกลี่ยกล่อมซึ่งผลเป็นที่รู้กันอยู่ว่าคือไม่สำเร็จ แต่นอกจากจะไม่สำเร็จหมอนั่นดันพูดกวนประสาท เกลี่ยกล่อม หลอกลวงหรืออะไรก็ไม่รู้แหละทำให้ทางนั้นติดต่อมาว่าให้ผมจัดการเรื่องนี้ต่อ


นอกจากนี้ยังมีสายโทรเข้าโดยมีประโยคง่ายๆอย่าง เมเกอร์อยากเจอคุณ


แน่นอนผมไม่คิดจะไปเจอจนกระทั่งหัวหน้าเรียกผมไปคุยด้วยเป็นการส่วนตัว เนื้อหาหลักๆคือคนของทางการไม่สามารถกล่อมเมเกอร์ได้สำเร็จและมีเพียงผมคนเดียวที่ดูเหมือนจะมีเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้มากที่สุด


ดังนั้นผมเลยจำต้องยอมไปเจอหมอนั่นเรื่อยมา จนตอนนี้ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว


“วันนี้ผมไม่ว่าง”ผมตอบปลายสายไป


เหนื่อยขนาดนี้ไม่คิดจะไปปวดประสาทเพราะคนเจ้าเล่ห์แถมยังกวนโอ้ยแบบนั้นหรอกนะ


(แต่เขาบอก...)


“อย่าตามใจนักโทษเกินไปนัก ถ้าผมว่างเมื่อไหร่จะไปเอง”ไม่รู้ว่าเบซิลหวาดล้อมยังไงถึงได้ทำให้ผู้คุมทั้งชายหญิงช่วยกันโทรตามผมเป็นว่าเล่น


(อย่าใจร้ายสิ มาเจอผมหน่อยนะ) เสียงทุ้มๆออกแนวปลิ้นปล้อนมีแค่คนเดียวในโลกนี้


เบซิล


“ทำไมถึงมาอยู่ในสายได้”ผมถามกลับเสียงขุ่น เมื่อครู่ยังเป็นเสียงผู้หญิงอยู่เลย


จะบอกว่าอยู่ด้วยคงไม่ใช่


(ก็มันว่าง มีโน้ตบุกอยู่เลยแฮ็กเล่นนิดหน่อย) โน้ตบุกที่ว่าผมเป็นคนให้เขาไว้หาอะไรเล่นฆ่าเวลาแต่ไม่มีทั้งเน็ตและไวไฟแล้วจะแฮ็กเข้าระบบได้ยังไงกัน


“เบซิล”


(ถ้าจะบ่นก็มาบ่นต่อหน้าสิ บ่นทางโทรศัพท์ผมไม่ฟังหรอกนะ)


“วันนี้ผมไม่ว่าง”ไม่รู้ทำไมถึงวนมาเรื่องไปหาที่เรือนจำได้กัน


(เหนื่อยกับการกู้ระเบิดเหรอ)


“ทำไมถึงรู้ได้”เหตุการณ์นี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ไม่มีทางที่คนในเรือนจำจะรู้ได้ในเวลาแค่นี้


(อยากรู้ก็มาหาผมสิ) สุดท้ายก็วนมาเรื่องเดิม


“...พรุ่งนี้”ผมต่อรอง


ถ้าจะให้ไปวันนี้ยังไงก็ไม่ไหว


(ได้ อย่าลืมเอานมมาเป็นของฝากด้วยนะ)


“พูดเหมือนผมเป็นฝ่ายขออยากเจอคุณเลยเนอะ”


(ผมอยากเจอใบไธม์) พูดจบก็วางสายไปดื้อๆ


คำพูดของนักต้มตุ๋นใครจะไปเชื่อกัน


แต่ในเมื่อพูดว่าจะไปก็เหมือนกับเป็นสัญญา


หากสัญญาไปแล้วผมจะไม่ผิดคำสัญญานั้น



(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่3) 21/3/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 21-03-2018 20:11:13
(ต่อค่ะ)


วันรุ่งขึ้นผมมาเยือนเรือนจำกลางพิเศษที่3ในช่วงสายของวันหลังจากเคลียร์รายงานของคดีระเบิดเมื่อวานสำเร็จ ผมเดินเข้าไปด้านในโดยไม่จำเป็นต้องใช้บัตรแสดงตัวหรือติดต่อยังเคาน์เตอร์ด้านหน้าอีกเนื่องจากผมมาเยือนที่นี่เดือนละ3-4ครั้งจนใครๆเขาก็คิดว่ามีญาติติดอยู่ในเรือนจำนี้แล้ว


ห้องสำหรับนัดพบระหว่างนักโทษกับคนจากภายนอกไม่จำเป็นสำหรับผม ลูกกุญแจสำรองห้องด้านในสุดของชั้นใต้ดินผมได้รับมาตามคำสั่งของหัวหน้าทำให้สามารถเดินเข้าไปหาเบซิลในห้องได้ตลอด


แกร็ก


ไม่มีการเคาะหรือส่งเสียงใดๆผมไขประตูแล้วเปิดเข้าไปด้านในทันที ทุกอย่างในห้องยังคงเหมือนเดิมที่ต่างมีเพียงเจ้าของห้องกำลังส่งรอยยิ้มพรายพราวมาเมื่อเห็นผมเดินเข้าไป เบซิลปิดฝาโน้ตบุกก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้


“ใบไธม์”เสียงเรียกมาพร้อมกับแขนสองข้างอ้าออกกว้างเตรียมคว้าตัวผมเข้าไปกอดแน่นทว่าผมกลับหมุนตัวหลบแขนนั่นแล้วยืนถุงใส่นมไปให้แทน


“เอาไป”


“ไม่ได้เจอกันตั้งหลายอาทิตย์จะไม่กอดกันให้หายคิดถึงหน่อยเหรอ”อีกฝ่ายรับถุงไปเปิดอ้าดูของภายใน


“ผมไม่ได้คิดถึงคุณ”ผมส่ายหัวรัวๆแสดงออกถึงความจริงจัง


“ใจร้ายจังทั้งที่ผมคิดถึงคุณทุกวันแท้ๆ”


“ไม่มีใครให้กวนเล่นเหรอ”ผมถามกลับไปตามตรง


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอคำหวานพวกนี้ ทุกครั้งที่มาก็เป็นแบบนี้ตลอด...ผมคอยสังเกตเบซิลมาตลอดรู้ดีว่าคำพูดกวนประสาทกับรอยยิ้มนั่นมันไม่ใช่ของจริง ราวกับเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อปิดกั้นตัวเองกับอะไรสักอย่างแต่แล้วสิ่งที่สร้างนี้กลับกลืนกินตัวตนจริงๆไปจนหมด


“มีแต่ไม่สนุกเท่าคุณ”


“กลัวไม่มีอะไรพูดรึไง”ยิ้ม หัวเราะและกวนประสาทอยู่ตลอด สร้างเรื่องให้สมองต้องคิดเพื่อจะได้ไม่มีเวลาว่าง


“...คุณนี่พูดแทงใจจังนะ”เบซิลชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยิน


“พูดความจริงต่างหาก จะบอกให้ไหมว่าทำไมคุณถึงรู้สึกสนใจผม”


“รู้เหรอ”


“เพราะผมไม่เหมือนคนอื่นที่ดิ้นไปกับคำพูดกวนประสาทและล่อหลอกของคุณ”เป็นคำตอบง่ายๆ


“ก็อาจใช่...แต่ไม่ทั้งหมด จริงอยู่ที่คุณไม่แสดงออกเหมือนคนอื่นๆแต่มีบางอย่าง อะไรบางอย่างที่ทำให้ผมอยากเจอคุณอยู่ตลอด”เบซิลบอกพลางใช้ดวงตาสีเขียวมรกตประสานมายังดวงตาสีน้ำตาลของผมนิ่งๆ


ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดอะไรมากไปกว่านี้


บรรยากาศอันเต็มไปด้วยถ้อยคำกวนๆเริ่มสงบนิ่งลง


“อยู่เงียบๆแบบนี้ดีกว่าตั้งเยอะ”ผมพึมพำเสียงเบาระหว่างนั่งนิ่งๆอยู่บนเตียง


ในห้องนี้ไม่ได้มีเฟอร์นิเจอร์อะไร ที่นั่งจึงมีเพียงเตียงของเบซิลเท่านั้น


แม้พวกเราจะไม่ได้ตัวใหญ่นักแต่การที่ผู้ชายนั่งอยู่บนเตียงเดียวกันก็ทำให้เตียงแคบขึ้นมาก


“ผมอยู่เงียบๆมาหลายอาทิตย์แล้วเหอะ”เบซิลบอก


“ก็พูดคนเดียวได้นี่”ไม่เห็นต้องอยู่เงียบๆเลย


“ผมไม่ใช่คนบ้านะคุณที่จะคุยกับตัวเอง”


“ดีออก เผื่อคุณจะได้ย้ายไปอยู่โรงพยาบาลแทน”


“เดี๋ยวนี้กวนเก่งขึ้นนะ”


“ติดมาจากคนข้างๆมั้ง”ผมเองยังแปลกใจตัวเองเลย ปกติผมไม่ใช่คนพูดกวนคนอื่นแบบนี้


การได้อยู่นิ่งๆเป็นสิ่งที่ผมชอบมากกว่าการพูดคุยเรื่องไร้สาระทว่าตั้งแต่ได้มาเจอกับเบซิลถ้อยคำแสนกวนประสาทนั่นทำเอาอารมณ์ผมขึ้นจนต้องหาทางตอกกลับไปสักประโยค


“ดีใจนะเนี่ยที่สามารถแพร่เชื้อให้คุณได้”


“ผมไม่ได้ชม”


“ไม่ต้องเขินน่า”


“ใครเขินกัน”คำพูดผมมั่นสื่อไปในทางชื่นชมตรงไหน


ไม่มีสักนิด


“อยากคุยกับคุณทุกวันเลย”อยู่ๆเบซิลก็เปลี่ยนเรื่องพูด


“ผมไม่ได้ว่างขนาดนั้น จะว่าไปเมื่อวานคุณแฮ็กระบบโทรศัพท์ได้ยังกัน ทั้งเน็ตทั้งไวไฟก็ไม่มีสักหน่อย”กะจะถามตั้งแต่เจอหน้าแล้วแต่ถูกอีกฝ่ายชักจูงจนลืมไปเลยว่าต้องถาม ส่วนสาเหตุที่ผมให้โน๊ตบุ๊คทิ้งไว้ก็เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงจะเบื่อที่วันๆ เอาแต่นอนผมเลยให้ไว้เล่นฆ่าเวลาแต่ใครจะคิดล่ะว่าจะสามารถแฮ็กระบบได้อีก


วันนี้ผมต้องขอโน๊ตบุ๊คคืนแล้วล่ะ ขืนให้ใช้ต่ออาจมีเรื่องน่าปวดหัวเกิดขึ้น


“แค่มีเจ้านี่ก็มากพอแล้ว”เบซิลชี้ไปยังโน้ตบุกด้านข้าง


“ยังไง”


“ต่อให้ไม่มีเน็ตหรือไวไฟให้แต่ใช่ว่าจะแฮ็กไม่ได้นี่ ในเรือนจำนี้มีทั้งเน็ตและไวไฟถูกปล่อยเป็นจุดๆอยู่แล้ว...”


“แต่นั่นมีรหัสล๊อคไว้ไม่ทางที่คนนอกจะเข้าได้”เรื่องเน็ตและไวไฟของที่นี่ผมรู้อยู่แล้วตั้งแต่ก่อนจะให้โน้ตบุกอีกฝ่ายไว้ ต่อให้มีการปล่อยสัญญาแต่หากไม่มีรหัสค่าก็เท่ากันคือไม่สามารถเชื่อมต่อได้


“ทำไมจะไม่ได้ แค่รหัสน่ะเดาไม่ยากนี่”เบซิลตอบพร้อมยกยิ้มุมปากขึ้น


“เดา? จะบอกว่าคุณเดารหัสที่ไม่รู้ว่ากี่หลักเนี่ยนะ”ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยินจริงๆ


รหัสส่วนมากจะบังคับอยู่ที่6-12หลักซึ่งแม้จะตั้งไว้แค่6หลักแต่นอกจากต้องเดาตัวเลขแล้วยังมรภาษาไทยและอังกฤษเข้ามาร่วมด้วย แค่นั้นยังไม่พอตัวเล็กตัวใหญ่ก็ยังมีผล ต่อให้เดารหัสถูกแต่ไม่ได้เปลี่ยนเป็นตัวเล็กใหญ่ก็ไม่สามารถเข้าได้อยู่ดี


“ไม่ได้ยากขนาดนั้น แค่ทำความเข้าใจ หาความเป็นไปได้และวิเคราะห์มันออกมา ลองไม่กี่ครั้งก็สามารถเข้ารหัสได้แล้ว อย่างเรือนจำกลางพิเศษที่3นี่หากจะตั้งรหัสต้องเกี่ยวเนื่องกับเรือนจำซึ่งมีเลข3แน่นอน ในกรณีที่คนตั้งไม่ใช่คนคิดมากก็จะใช้คำภาษาอังกฤษของเรือนจำแล้วตามด้วยเลข3 และถ้าเป็นคนที่มีความรู้ในการตั้งภาษาอังกฤษส่วนมากจะใช้ตัวใหญ่นำหน้าไม่ก็ตัวสุดท้ายหากเป็นวัยรุ่นหน่อย ดังนั้นรหัสของเรือนจำสามจึงมีขอบเขตอยู่ไม่มาก พอเข้ารหัสได้จากนั้นจะแฮ็กอะไรมันก็ง่ายแล้ว”เบซิลอธิบายด้วยน้ำเสียงปกติคล้ายเรื่องที่เขาทำไม่ใช่เรื่องยากหรือซับซ้อนแม้แต่นิด


ทั้งระบบความคิด การวิเคราะห์และแยกแยะ รวมถึงการหาความเป็นไปได้


คนปกติไม่มีใครคิดไปถึงขั้นนั้นหรอก


หัวระดับนี้ไม่ควรมาจบลงด้วยการนอนเล่นอยู่ในห้องมืดนี่


“ทั้งที่มีความสามารถขนาดนี้แต่ทำไมถึงไม่ใช้มันให้ได้ประโยชน์กว่าการแฮ็กระบบเอาเงินคนอื่นล่ะ”ผมถามกลับ


“เพราะถ้าทำแบบนั้นมันน่าเบื่อไง ต้องอยู่ในขอบเขตของกรอบที่วางไว้มันน่าเบื่อจะตาย”ระหว่างพูดเขาก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงใช้สองแขนแทนหมอนหนุน


“ต้องการความสนุกไปทำไม ชีวิตสงบๆไม่ดีเหรอ”บอกตามตรงว่าไม่เข้าใจวิธีคิดของเบซิลเอาซะเลย


“ไม่ใช่ไม่ดี อย่างที่บอกมันน่าเบื่อ”


“ที่ยอมถูกจับเพราะเบื่อด้วยรึเปล่า”นี่เป็นอีกสิ่งที่ผมคาใจอยู่


เบซิลยอมออกมามอบตัวกับตำรวจเองโดยที่ทางการไม่สามารถตามจบตัวเขาได้


“ก็นะ แค่อยากหาที่อยู่สบายๆน่ะ”


“ในคุก?”สบายตรงไหน


“มีข้าวให้กิน มีห้องในอยู่ มีเตียงให้นอน สบายจะตาย”


“ไม่ลองเข้าร่วมกับทางการดูล่ะ หลายๆคดีที่คุณทำต้องมีสนุกบ้างแหละ”สำหรับคนไม่ชอบความน่าเบื่อคดีของทางการอาจท้าทายและทำให้เขารู้สึกสนุกขึ้นได้


“เลือกกล่อมได้ถูกจุดดี แต่ยังไงคำตอบก็ไม่เปลี่ยน ยิ่งตอนนี้ยิ่งไม่มีทางเปลี่ยน”


“ทำไมล่ะ”ผมไม่เข้าใจความหมายของประโยคนั้น


“เพราะถ้ายอมร่วมมือกับทางการก็ไม่ได้เจอคุณน่ะสิ”เป็นคำตอบที่ยากเกินคาดเดาจริงๆ


ก็จริงอย่างที่ว่าถ้าเขายอมตกลงร่วมมือกับทางการ ผมที่คอยเกลี่ยกล่อมคงไม่จำเป็นต้องมาพบเจอหรือพูดคุยอีกแล้ว พวกเราจะกลับไปต่างคนต่างอยู่เหมือนเมื่อก่อน


“ก็ดี”


“คุณดีแต่ผมไม่ดีนี่”


“ทำตัวเป็นเด็ก”ผมบ่นเสียงเบา


“เป็นเด็กก็ได้ ขอกอดหน่อยสิครับ”เบซิลดัดเสียงเด็กพลางเด้งตัวขึ้นมาคว้าเอวผมแล้วกอดไว้หลวมๆ


“ปล่อยเดี๋ยวนี้เบซิล”ผมไม่รอให้ถูกคุกคามมากไปกว่านี้รีบจัดการดันหัวอีกฝ่ายที่กำลังเกยขึ้นมาบนตักกดลงไปกองอยู่บนพื้นเตียงโดยมือที่กอดเอวนั้นถูกรวบแล้วบิดแรงๆ


“โอ้ยๆ เจ็บนะ”เบซิลถึงกับร้องเสียงหลง


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


เสียงเคาะประตูห้องเรียกสายตาของพวกเราทั้งคู่ให้หันไปมองเป็นตาเดียว ในหัวเองคงคิดประโยคเดียวกันว่าคนด้านนอกเป็นใคร จะบอกว่าเป็นผู้คุมก็ไม่ใช่เพราะนี่ไม่ใช่การเรียกพบนักโทษอย่างเป็นทางการที่มีเวลาจำกัด ต่อให้ผมอยู่สักครึ่งวันก็ไม่มีใครมาตามหรอก


ยังไม่ทันที่ความสงสัยจะคลายคนหน้าห้องก็เปิดประตูแล้วเดินเข้ามา ร่างสมส่วนของชายวัยกลางคนเดินเข้ามาพร้อมใช้ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องมายังผมและเบซิลก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาบางๆ


“สนิทกันดีนี่ไธม์”หัวหน้าไพลสันต์เอ่ยทักทาย


“ไม่เลยครับ”ผมกดหัวเบซิลลงกับเตียงแรงๆก่อนจะลุกขึ้นมาทำความเคารพหัวหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษ


“นี่ฉันคงไม่ได้มารบกวนเวลาของพวกเธอใช่ไหม”


“ไม่...”


“ในเมื่อรู้ก็ช่วยรีบกลับไปได้ไหมครับคุณหัวหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษ”เบซิลพูดแทรกปะโยคที่ผมกำลังจะพูด และประโยคนั้นผมถึงกลับหันควับไปมองใบหน้าของเบซิลที่กล้าเอ่ยประโยคนั้นออกไปด้วยความตกตะลึง


“หึ...ดูเหมือนไธม์จะมีผลต่อเธอไม่น้อยนะเมเกอร์”หัวหน้าพูดกับเบซิล


“ไม่ปฏิเสธ”


“งั้นเขาพอจะกล่อมให้เธอเข้าร่วมกับทางการได้รึเปล่าล่ะ”ยิงประเด็นตรงๆไม่อ้อมค้อมเลยนะหัวหน้า


“ไม่”คำตอบของเบซิลยังคงเด็ดขาดเหมือนเคย


“แล้วถ้าฉันเปลี่ยนคำถามคำตอบจะเปลี่ยนไปไหม”


“ต้องขอฟังคำถามก่อน”เบซิลไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครง่ายๆ เขาจะไม่ตอบไปมั่วๆถ้ายังไม่มีข้อมูลมากพอให้ตัดสินใจ


“อยากเข้าร่วมหน่วยสืบสวนพิเศษของฉันไหม”


“...”คำถามนั้นทำเอาผมและเบซิลขมวดคิ้วพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย


ฟังเผลินๆคำถามอาจเหมือนกันแต่ไม่ใช่ คำว่าทางการหมายถึงหน่วยของทหารหรือตำรวจแต่ถ้าเป็นหน่วยสืบสวนพิเศษเป็นหน่วยเฉพาะที่ไม่ได้ขึ้นตรงกับทางการหรือหน่วยใดๆ


จริงอยู่ความสามารถและทักษะระดับเบซิลสูงกว่าคนของตำตรวจหรือทหารหากให้ไปเข้าร่วมคงได้มีการกวนประสาทจนทำงานไม่ได้จึงเหมาะจะมาอยู่หน่วยสืบสวนพิเศษมากกว่า และหน่วยสืบสวนพิเศษก็เป็นแหล่งรวมของคนมีความสามารถพิเศษ พิเศษทั้งทักษะและนิสัยเลย


แต่ไม่เคยมีประวัติที่ทางหน่วยสืบสวนพิเศษให้นักโทษเข้าร่วมมาก่อน


“ไธม์เป็นรองหัวหน้าของหน่วยสืบสวนพิเศษซึ่งเธอน่าจะรู้อยู่แล้ว ถ้ายอมตกลงร่วมมือนอกจากจะได้ออกจากคุกแล้วยังสามารถเจอไธม์ได้เกือบทุกวันยังที่ทำงาน”


“หัวหน้า”ประโยคเกลี่ยกล่อมมันดูแปลกๆไปไหม


ขนาดยกเรื่องลดโทษยังไม่มีทีท่าสนใจสักนิด


แล้วยกเรื่องผมมาหลอกล่อแบบนี้มันจะได้ผลได้ยังไง


“ฮืม...น่าสนใจดีนี่ แต่คงไม่คิดว่าแค่นี้จะทำให้ผมตกลงหรอกใช่ไหม”ท่าทางของเบซิลเปลี่ยนไป เขาดูสนใจเรื่องที่หัวหน้ายกขึ้นมาอยู่ไม่น้อย ดวงตาสีเขียวกำลังทอประคล้ายกำลังวางแผนอะไรสักอย่างอยู่


“ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในหน่วยสืบสวนพิเศษไธม์จะเป็นคนคอยควบคุมและดูแลเธอ”


“เดี๋ยวหัวหน้า...”จะไม่ถามความสมัครใจสักหน่อยเหรอ


แล้วทำไมต้องยกเรื่องผมมาต่อรองอีกแล้วล่ะ


ต่อให้ยกมาแบบนั้นแต่เบซิลไม่มีทางยอมตกลง...


“ตกลง”


“...”ผมหันควับไปมองหน้าเบซิลด้วยความไม่เข้าใจ


ตกลง?


ตกลงเนี่ยนะ


ข้อเสนอของหัวหน้าไม่มีทั้งลดโทษจำคุกหรือให้อิสระใดๆมีแค่ผม


ผม


และผม


แล้วทำไมถึงยอมตกลงล่ะ


สายตาของเบซิลหรี่ลงเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มเหมือนกับว่าได้สิ่งที่ต้องการสมความตั้งใจ


อย่าบอกนะว่าวางแผนไว้ให้ได้ข้อเสนอแบบนี้น่ะ


“ดีจังเนอะจากนี้จะได้เจอกันทุกวันเลย”


“...”


“ผมค่อนข้างอ่อนแอเพราะงั้นดูแลผมดีๆด้วยนะ ฝากด้วยด้วยล่ะคุณรองหัวหน้า”


ในหัวตอนนี้ไม่ได้ยินทั้งน้ำเสียงหรือมองเห็นรอยยิ้มของเบซิล สิ่งเดียวที่ในหัวกำลังคิดและประเมินออกมาหลังจากได้ยินคำตกลงนั่นคือ...


ลาก่อน...ความสงบของผม
......................................................................
สวัสดีค่ะ

ให้รอกันนานเลยกับเรื่องนี้

ไม่รู้จะมีใครรออ่านกันอยู่บ้านไหม 555

เรื่องนี้เราแต่งไปยิ้มไปรู้สึกสนุกกับนิสัยทะเล้นๆ ของเบซิล

หวังว่าทุกคนจะอ่านแล้วจะชอบกันเน้อออ

ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นท์และทุกๆ กำลังใจที่ให้มานะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบายค่ะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่3) 21/3/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 21-03-2018 20:34:25
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่3) 21/3/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 21-03-2018 21:15:34
ตอนอ่านเจอเบซิลนึกว่าเบซิลเป็นรุก พอบทนี้อ่านเจอว่าแรงน้อยกว่าชักเขวละสิ
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่3) 21/3/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-03-2018 02:44:52
มันจะไปกันรอดไหมเนี่ยคู่นี้นะ  :ling3:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่4) 2/4/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 02-04-2018 20:05:40
สืบรัก彡คดีที่4



“ดูเธอจะไม่ค่อยเห็นด้วยที่ให้เมเกอร์มาอยู่หน่วยเรานะ”หัวหน้าไพลสันต์เอ่ยถามหลังจากผมถูกเรียกมายังห้องทำงานส่วนตัวในหลายวันต่อมา


“ไม่ใช่ไม่เห็นด้วยหรอกครับ ทั้งทักษะและความสามารถระดับนั้นเหมาะกับอยู่หน่วยสืบสวนพิเศษมากกว่า อีกอย่างหน่วยของเรายังไม่มีใครที่ชำนาญด้านคอมพิวเตอร์ การที่เขามาจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและขยายขอบเขตของการทำงานได้”ผมอธิบายไปตามตรง


“งั้นทำไมถึงทำหน้าเหมือนคนอ่อนล้าขนาดนั้นล่ะ วันนี้เมเกอร์จะมาวันแรกนี่”


“ผมแค่กำลังคิดถึงความเงียบสงบที่ผ่านมาน่ะครับ”เป็นอย่างที่หัวหน้าพูด วันนี้จะเป็นวันแรกของการมาร่วมหน่วยสืบสวนพิเศษของเมเกอร์หรือเบซิลนั่นเอง


“ไม่ได้เกลียดเมเกอร์สินะ”


“ไม่ครับ”ผมตอบทันที


ไม่ได้เกลียดเพียงแค่เป็นในแบบที่ไม่เคยเจอเลยรับมือยากแค่นั้นเอง


“แบบนั้นก็ดี ฉันอยากให้สนิทกันไว้”


“ผมเกรงว่าคงต้องใช้เวลามากกว่านี้”จะให้สนิทเลยคงไม่ได้


“แต่ทางนั้นดูเหมือนจะทั้งสนิทและเปิดใจให้เธอมากพอดูนี่”หัวหน้าถามต่อ


“ก็จริง”ท่าทางของเบซิลค่อยๆเปลี่ยนไปทีละน้อย เปิดใจรับฟังมากขึ้นแม้จะยังมีถ้อยคำกวนๆอยู่มากแต่โดยรวมถือว่าดีขึ้นมาก


“เธอเองก็ลองเปิดใจดูบ้างสิ”


“หัวหน้า...”


“หน้าที่รองหัวหน้าทำได้ดีมากแล้ว จากนี้ขอฝากให้ดูแลเมเกอร์ด้วยล่ะ ถ้ามีอะไรจัดการตามสมควรได้เลย”หัวหน้าอธิบายต่อ


“หัวหน้าวางแผนให้เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกเหรอครับ”ผมถามกลับไปตรงๆ เรื่องราวมันเหมาะเจาะเกินกว่าจะบอกว่าเป็นความบังเอิญที่พอเบซิลปฏิเสธเข้าร่วมกับทางการเลยเปลี่ยนมาให้เข้าร่วมกับหน่วยสืบสวนพิเศษแทน


ดูยังไงก็ต้องคาดการหรือวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว


“ไม่หรอก...พึ่งมาวางหลังจากเดินกลับเข้าไปในห้องแล้วเจอเธอกับเมเกอร์กำลังคุยกันน่ะ”เหตุการณ์นั้นคงเป็นวันแรกที่ผมได้เจอกับเบซิล


วางแผนไว้ตั้งแต่แรกจริงๆด้วย


“ทำไมถึงมั่นใจว่าจะสำเร็จเหรอครับ แถมยังใช้เรื่องผมมาเป็นข้อต่อรองอีก”


“ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาทางเรือนจำกลางพิเศษที่3ได้รายงานเรื่องเมเกอร์มาตลอด ด้วยนิสัยและท่าทางแบบนั้นทำให้การเกลี่ยกล่อมให้เข้าร่วมกับทางการเป็นเรื่องยาก พอฉันเห็นความเป็นไปได้จากเธอเลยไปเสนอกับทางที่ประชุมว่าจะขอรับตัวเมเกอร์มาไว้ในหน่วยเอง”


“ทางนั้นคงไม่ยอมง่ายๆ”ผมรู้แม้จะไม่ได้เข้าร่วมการประชุมก็ตาม


ทางการไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตำรวจต่างต้องการผู้มีทักษะและความสามารถเฉพาะด้านแบบนี้มาทำงานด้วยทั้งนั้น ไม่มีทางยอมยกเบซิลให้กับหน่วยสืบสวนพิเศษง่ายๆ


“ใช่ ทั้งทางตำรวจและทหารต่างแย่งกันโดยไม่มีใครยอมถอยให้ใคร ผลสรุปคือใครสามารถทำให้เมเกอร์ยอมตกลงไปอยู่ด้วยสำเร็จก็ยกให้เป็นของหน่วยนั้นไปเลย และเพราะเธอช่วยทำให้เมเกอร์เปิดใจจนยอมตกลง”


“อาจจะไม่ใช่เพราะผมก็ได้”บอกตรงๆว่าผมไม่ได้ทำอะไรนอกจากเอานมไปฝากหมอนั่น


“ใช่สิ บรรยากาศรอบตัวเธอมันสงบนิ่งใครที่อยู่ใกล้จะพลอยรู้สึกผ่อนคลายไปด้วย ทุกคนในหน่วยเองหากเลือกคนที่จะให้ร่วมทำคดีเกือบทั้งหมดคงเลือกเธอ”


“ชมเกินไปแล้วครับ”


“ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะเลือกคนผิดหรอกนะ”หัวหน้าส่งยิ้มมาให้ระหว่างพูด


“ผมจะพยายามดูแลพวกเขาให้ดีที่สุดครับ”ทั้งเบซิลและคนในหน่วยทุกคนด้วย


“ดีมาก ในตึกนี่มีห้องว่างอยู่ให้เมเกอร์พักในห้องนั้นละกัน”


“ครับ”


“ไธม์”ก่อนผมจะเอื้อมมือไปเปิดประตูห้องกับได้ยินเสียงเรียกอีกครั้ง


“ครับหัวหน้า”


“ฉันขอถามตามตรง คิดว่าสามารถเชื่อใจเมเกอร์ได้ไหม”คำถามนี้ดังขึ้นพร้อมดวงตาสีน้ำตาลที่ประสานมาอย่างจริงจัง
ผมเข้าใจสิ่งที่หัวหน้าต้องการจะสื่อ


หน่วยสืบสวนพิเศษนี้แม้จะมีจำนวนคนน้อยทว่ากลับมีเปอร์เซ็นต์ในการจัดการคดีต่างๆได้สูงกว่าทางการ ซึ่งมีสาเหตุมาจากความเชื่อใจ


ทุกอย่างจะไม่สามารถสำเร็จได้หากปราศจากความเชื่อใจ


ความลังเลแม้เพียงน้อยนิดอาจส่งผลต่อชีวิตได้


หากบอกให้ไปแล้วลังเลที่จะก้าวนอกจากแผนจะพลาดแล้วยงอาจส่งผลให้ทุกคนเอาชีวิตไปทิ้ง


เรื่องของเบซิลเองก็เช่นกัน ความสามารถและทักษะด้านคอมพิวเตอร์อาจอยู่ในระดับสูงก็จริงแต่หากไม่สามารถทำให้คนอื่นเชื่อใจได้ก็ไม่เหมาะสมที่จะอยู่หน่วยสืบสวนพิเศษ


ถ้าถามผมว่าสามารถเชื่อใจเบซิลได้ไหม


คำตอบของคำถามนั้นไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย...


“ได้ครับ”ผมสามารถเชื่อใจเบซิลได้


ท่าทาง คำพูดและนิสัยของเบซิลอาจดูไม่น่าเชื่อถือแถมยังน่าสงสัยยิ่งพ่วงด้วยคดีต้มตุ๋นและหลอกลวงเข้าไปความน่าเชื่อใจคงติดลบไปเป็นล้านทว่าพอได้มองนิสัยเหล่านั้นอย่างใกล้ชิดทำได้ผมได้รู้ว่าจริงๆแล้วเบซิลภายใต้ท่าทางแบบนั้นไม่ได้จะเลวร้ายไปซะทั้งหมด


และผมเชื่อว่าตัวเองมองคนไม่ผิด


“ได้ยินแบบนั้นฉันก็เบาใจ ฝากด้วยล่ะไธม์”


“ครับ ผมขอตัวก่อน”พูดจบผมจึงโค้งตัวลาก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานส่วนตัวของหัวหน้า


ถัดจากห้องทำงานของหัวหน้าคือห้องทำงานรวมของพวกเราทุกคน เนื่องจากวันนี้เป็นวันพิเศษที่จะมีคนใหม่เข้ามาในหน่วยทุกคนจึงต้องอยู่ทำความรู้จักกันถ้วนหน้า ทุกคนต่างรู้สึกสนใจเพื่อนร่วมงานคนใหม่ว่าจะมีทักษะพิเศษอะไรหรือมีนิสัยแบบไหน


“ไธม์ คนใหม่จะมารึยัง”เสียงนี้เป็นของเบียร์ ชายร่างสูงผิวขาวปกติ เขามีความสามารถในการวางแผนเป็นยอดทำให้ส่วนมากมักจะถูกส่งไปช่วยคิดกลยุทธ์วางแผนให้กับหน่วยจู่โจมของตำรวจและทหาร


“คงอีกสักพักนึง ตื่นเต้นกันเกินไปรึเปล่าเนี่ย”ผมพูดพลางมองไปรอบๆห้อง ภายในห้องทำงานตอนนี้ทุกคนต่างมีท่าทางตื่นเต้นกันถ้วนหน้า


ทั้งจิวและสกายแม้จะกำลังร่วมกันเขียนรายงานของคดีที่พึ่งจัดการเสร็จเมื่อวานก่อนแต่ก็ยังไม่วายเงยหน้าขึ้นมามองผมเป็นระยะๆ แม็กและอาร์มนั่งคุยเล่นกันอยู่บนโซฟาโดยมีจิวนั่งประกอบระเบิดอยู่ข้างๆ แค่จิวที่มักจะอยู่แต่ในห้องตัวเองออกมานั่งรอก็เรียกว่าน่าแปลกใจมากพอแล้ว


“ผู้หญิงหรือผู้ชาย?”ซันชายหนุ่มรูปร่างออกกำยำเล็กๆเดินเข้ามาถามผมพร้อมหมุนควงลูกตุ้มขนาดเล็กในมือเล่น เห็นลูกตุ้มเล็กๆแบบนั้นแต่มีน้ำหนักถึง50กิโลกรัม คนธรรมดาเหวี่ยงไม่ไปหรอก


ซันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้อาวุธ ไม่ว่าจะเป็นปืนสั้น ปืนยาว มีด ทวน ธนูหรือแม้แต่หอกซันสามารถใช้อาวุธได้ทุกแบบ ทุกวันนี้หากมีเวลาว่างผมยังขอให้เขาช่วยสอนการใช้มีดให้อยู่บ่อยๆ


ทักษะการใช้อาวุธผมค่อนข้างทำได้ดีทว่าไม่หลากหลาย ใช้ได้แค่ปืนกับมีดเท่านั้นเอง


“ผู้ชาย”ผมตอบซันกลับไป


“ผู้ชาย? เก่งไหมไธม์”คนถามไม่ใช่ซันแต่เป็นอาร์มที่นั่งอยู่ข้างแม็ก ดวงตาของอาร์มถึงกับตาลุกวาวเมื่อได้ยินว่าคนที่จะเข้ามาใหม่เป็นผู้ชาย


อาร์มอย่างที่เคยบอก เขามีทักษะในการต่อสู้และมีพละกำลังมากที่สุดในหน่วย เพราะชอบการต่อสู้จึงอยากหาคู่ซ้อม ปกติจะซ้อมกับซัน


คงคิดว่าอาจมีคู่ต่อสู้ใหม่ละมั้ง


“เก่งแต่ไม่ใช่ด้านการต่อสู้”จากการมองเบซิลรู้เลยว่าไม่มีทักษะการต่อสู้ แค่ผมเบี่ยงตัวหลบอีกฝ่ายก็แทบหัวคะมำ ไม่มีการตั้งท่าเหมือนคนต่อสู้เป็น


ขืนให้เป็นคู่ซ้อมกับอาร์มได้เรียกรถพยาบาลมาใช้บริการใน3วินาทีแน่


“อีกแล้วเหรอ มีแต่คนที่ไม่ถนัดใช้แรงทั้งนั้นเลย น่าเบื่อเนอะอาร์ม”ซันหันไปพูดกับอาร์ม


“อืม...นึกว่าจะได้มีคู่ซ้อมใหม่”


“พูดแบบนี้คงไม่ได้กระทบผมหรอกใช่ไหม”จิวเอ่ยถามบ้าง


“รู้ตัวนี่”ซันหันไปแขวะ


“ซัน สัณตินันท์ สิริวัฒนนท์ เกิดวันที่ 31 ตุลาคมที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดลำปาง น้ำหนักแรกเกิดคือ4200กรัม ชั้นประถมจนถึงมัธยมปลายเข้าเรียนยังโรงเรียนประจำจังหวัดและจบชั้นมัธยมปลายด้วยเกรดเฉลี่ย3.02ก่อนจะย้ายมาเรียนมหาลัยที่กรุงเทพในคณะ...”


“พอๆ ฉันขอโทษที่พูดกระทบนาย”ซันถึงกับยกมือสองข้างขึ้นแทนการขอยอมแพ้เมื่อประวัติส่วนตัวถูกเล่าออกมาราวกับเจ้าตัวเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ด้วย


“อยากให้พูดของอาร์มด้วยไหม”จิวหันไปถามอาร์มต่อด้วยรอยยิ้มกว้างทว่าดวงตานั้นไม่ได้กำลังยิ้มอยู่สักนิด


“...ไม่ล่ะ โทษที”


ขนาดผู้มีพลังกำลังมาที่สุดยังต้องพ่ายแพ้ให้กับจิวซึ่งต่อสู้ไม่เป็น ข้อมูลของจิวถือเป็นอาวุธพิเศษที่สามารถใช้ฆ่าคนได้โดยไม่ต้องเจ็บตัว


กิ๋งก่อง


เสียงกดกริ่งจากด้านหน้าประตูเรียกความสนใจของทุกคนให้กลับมาอยู่ในเรื่องเดียวกันอีกครั้ง ทุกสายตาจับจ้องมาทางผมให้เป็นคนออกไปรับผู้ร่วมหน่วยคนใหม่ซึ่งผมก็พยักหน้าเบาๆก่อนเดินไปเปิดประตูด้านออก


เจ้าหน้าที่ผู้คุมของเรือนจำกลางพิเศษที่3ทั้ง2คนพาผู้ต้องหาเบซิลหรือเมเกอร์มาส่ง กุญแจมือทั้งสองข้างถูกปลดออกพร้อมหนังสือหนึ่งฉบับถูกยื่นมาให้ผม


ไม่จำเป็นต้องเปิดอ่านผมก็รู้ว่าด้านในมีอะไรเขียนไว้ เนื้อหาภายในคงไม่พ้นพูดถึงความรับผิดชอบหากผู้ต้องหาหลบหนีหรือก่อนความเดือดร้อน ทุกอย่างจะถือเป็นความรับผิดชอบของหน่วยสืบสวนพิเศษแต่เพียงผู้เดียว


“พวกเราพาเมเกอร์มาส่งเรียบร้อยแล้ว ขอตัวครับ”พูดจบทั้งคู่จึงเดินกลับไปยังรถปล่อยให้นักโทษที่พึ่งได้รับอิสระยืนยิ้มกว้างคล้ายคนบ้าอยู่ตรงหน้าผม


การให้นักโทษมาเข้าร่วมในหน่วยไม่จำเป็นต้องได้รับอิสระเสมอไป โดยส่วนมากจะยังอยู่ในคุกพอมีคดีเข้ามาจึงจะได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวเป็นช่วงๆไปต่างจากของเบซิล ขอเสนอของหัวเป็นการหยิบยื่นอิสรภาพให้แม้จะต้องมาอยู่ในความดูแลของหน่วยสืบสวนพิเศษก็ตาม


“ยิ้มอะไรขนาดนั้น”ว่าจะไม่ถามแล้วแต่มันอดไม่ได้ ตั้งแต่มาเบซิลที่มักจะพูดกวนประสาททักทายกลับเอาแต่เงียบและส่งยิ้มกว้างมาให้


หรือทางเรือนจำฉีดยาอะไรให้ก่อนมารึเปล่านะ


“ดีใจก็ต้องยิ้มสิหรือคุณจะทำหน้าบึ้ง อ้อ ที่ทำหน้าบึ้งอยู่ตอนนี้แปลว่ากำลังดีใจที่เจอผมเหมือนกันใช่ไหม”พอเปิดปากเท่านั้นผมอยากจะย้อนเวลากลับไปและเลือกที่จะไม่ถาม


“...”ผมให้ความเงียบแทนคำตอบ


“จากนี้จะได้เห็นหน้าคุณทุกวันเลย”


“ผมว่าจะลาพักร้อนสัก2เดือน”ผมพูดลอยๆระหว่างเดินนำเบซิลเข้ามาข้างในตึก


“อ้าว ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาแบบนี้จะดีเหรอคุณรองหัวหน้า”อีกฝ่ายถามกลับด้วยใบหน้าจริงจังจนผมแทบจะหุบยิ้มเอาไว้ไม่ทัน


บทจะจริงจังก็จริงจังเหลือเกินนะ


“เดี๋ยวให้คนอื่นดูแลแทน”


“ไม่”


“เหมือนคุณจะไม่มีสิทธิ์เรียกร้องนะ”ผมบอก


“แต่ทางนั้นไม่ทำตามข้อตกลงก่อนนี่”เบซิลพูด ข้อตกลงที่ว่าคือผมต้องเป็นคอยควบคุมดูแลเบซิลด้วยตัวเองในขณะที่เขายังทำงานให้หน่วย


จะเรียกว่าข้อตกลงก็ไม่ผิดนัก เป็นข้อเสนอที่ทั้งสองผ่านตกลงกันโดยไม่ถามความเห็นผมต่างหาก


“นั่นคุณตกลงกับหัวหน้า ไม่ใช่ผม”


“ในเมื่อหัวหน้าพูดลูกต้องก็ควรทำตามสิ”อีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะยอมแพ้ง่ายๆ


“งั้นในตอนนี้คุณก็เหมือนเป็นลูกน้องผม  จะยอมทำตามที่ผมพูดรึเปล่าล่ะ”ได้จังหวะผมเลยขอสวนกลับไปบ้าง ในเมื่อเขาเป็นคนพูดเองว่าผมต้องฟังหัวหน้าและตอนนี้เขาก็เหมือนมาเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยโดยมีผมเป็นรองหัวหน้า


อยากจะรู้คำตอบของเบซิลจะเป็นยังไง


“...”ครั้งนี้เป็นเบซิลที่ใช้ความเงียบแทนคำตอบ ผมอยากจะส่ายหัวไปมากับท่าทางของเขาซะจริง


“ทำตัวดีๆหน่อยนะเบซิล”ผมพูดพลางเอื้อมมือไปดึงแก้มอีกฝ่ายแรงๆ


“เจ็บ...นี่ใบไธม์”


“เรียกผมว่าไธม์”


“ก็ได้ ไว้เรียกใบไธม์ตอนอยู่กันสองคนก็ได้ ไธม์”เบซิลเรียกผมซ้ำอีกรอบ


“อะไร”


“ถ้าทำตัวดีแล้วจะได้อะไร”


“...ฮะ”ขาที่กำลังก้าวถึงกับชะงักเมื่อได้ยิน


“ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ถ้าอยากให้ผมทำตัวดีก็ต้องมีของแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม”อยู่ๆเบซิลก็เข้าโหมดต่อรอง และเมื่ออยู่ในโหมดนี้คงไม่มีขาดทุน


“ต้องการอะไร”ผมไม่คิดจะเสียเวลาคิดเพราะได้อยู่แล้วว่าทางนั้นมีสิ่งที่ต้องการอยู่ในหัวตั้งแต่เริ่มตั้งคำถาม


“ไม่รู้สิ”


“...”เป็นอีกครั้งที่ผมไม่รู้จะพูดอะไร ถ้าเป็นปกติคงบอกมาแล้วว่าต้องการอะไรไม่ใช่คำตอบว่าไม่รู้


“คุณเป็นคนอยากให้ผมทำตัวดีก็ลองเสนอมาสิ”เบซิลพูดต่อ ดวงตาสีเขียวนั้นมองมายังผมคล้ายกำลังรอคอยคำตอบ


“ยังนึกไม่ออก ขอติดไว้ก่อน”ผมบอกปัด


“หมายความว่าจะให้ผมทำตัวดีทั้งที่ไม่รู้ว่าจะได้อะไรตอบแทนงั้นเหรอ”เบซิลสรุปทุกอย่างในประโยคเดียว


“คุณเป็นเด็กรึไงเบซิล”ท่าทางและคำพูดของเบซิลไม่ได้เหมือนนักธุรกิจที่เจรจาต่อรองกำไรจากการค้าแต่เหมือนเด็กที่กำลังขอขนมแลกกับให้ช่วยงานบ้าน


ท่าทางตอนต่อรองกับหัวหน้าต่างกับตอนต่อรองกับผมอย่างชัดเจน


“ถ้าเห็นผมเป็นเด็กก็ตามใจหน่อยสิ”


“ไม่ล่ะ เดี๋ยวจะโตมาเป็นเด็กเอาแต่ใจ”ผมบอกปัดตรงๆ


“ใจร้าย”


“ผมไปพูดตอนไหนว่าตัวเองใจดี”ผมย้อนถาม


“งั้นผมจะพูดปั่นหัวจนพวกเขาประสาทกินไปเลย”


“เด็ก”ไม่มีอะไรจะแสดงถึงตัวตนของเบซิลในตอนนี้ไปได้มากกว่าเด็กอีกแล้ว


“คอยดูละกัน”


“ผมบอกว่าขอติดไว้ก่อนไง ถ้าทำตัวไม่ดีคุณได้รอเปลี่ยนคนดูแลได้เลย”ผมทิ้งท้ายไว้แบบนั้นก่อนจะเปิดประตูห้องทำงานออก
ทั้ง7คนยืนรอกันอยู่หน้าประตูเพื่อรอพบผู้มาใหม่ เมื่อเบซิลเดินออกมาปรากฏตัวตรงหน้าสีหน้าของแต่ละคนก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างสกายทำหน้าเพ้อคล้ายกำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์รัก จิวหรี่ตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าของเบซิล คนอื่นเองก็มีทีท่าแตกต่างกันไป


“ขอแนะนำเขาจะมาเข้าร่วมหน่วยสืบสวนพิเศษของเราตั้งแต่วันนี้”พูดจบผมจึงใช้ศอกสะกิดเบซิลให้แนะนำตัว


“เบซิล”คำแนะนำตัวแสนสั้นทำเอาคนในห้องมีเครื่องหมายคำถามลอยขึ้นมาเหนือศีรษะกันถ้วนหน้า


เอาเข้าไปสิ แถมน้ำเสียงยังเหมือนเด็กถูกบังคับให้พูดอีก


ชักปวดหัวแล้วเนี่ย


“จะพาไปกินข้าวข้างนอก”ผมพึมพำเสียงเบาให้ได้กับกันแค่ผมและเบซิล


ถ้าเป็นเขาคงเดาไม่อยากว่าผมหมายถึงอะไร


ในเมื่อต้องการให้เสนอผมก็เสนอแล้ว เหลือแค่อีกฝ่ายจะยอมตกลงกับข้อเสนอง่ายๆนี้ไหม


“แค่สองคน”เบซิลต่อรองเสียงเบา


“...ได้”ผมคิดสักพักก่อนพยักหน้าตกลง


“สวัสดีทุกคน ผมชื่อเบซิล จากนี้ต้องทำงานร่วมกันอีกนานเพราะงั้นมาสนิทกันไว้เถอะ ขอฝากตัวด้วย”เบซิลกล่าวแนะนำตัวใหม่ด้วยน้ำเสียงร่าเริงต่างจากเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนราวกับเป็นคนละคน


ถ้าใครมองมาคงเห็นผมถอนหายใจอย่างปลงๆ


อ่านใจไม่ออกเลยว่าคิดอะไรอยู่


“ยินดีที่รู้จักฉันจูน”จูนเป็นแรกที่แนะนำตัว


“...นึกออกแล้ว!!”อยู่จิวก็ตะโกนเสียงดังขัดสกายที่กำลังจะอ้าปากแนะนำตัวต่อจากจูน


“นึกอะไรออกจิว”เบียร์หันไปถาม


“เขาไง ก็ว่าอยู่เคยเห็นที่ไหน นั่นไง...คนนั้นน่ะ”จิวพูดติดอ่างชี้นิ้วไปยังเบซิล


“คนนั้นคือคนไหนเล่า พูดดีๆสิ”แม็กถามต่อ เวลาจิวตื่นเต้นหรือเจอเรื่องตกใจมักจะพูดติดอ่างถือเป็นเรื่องปกติ

 
“ก็นั่นไง แฮ็กเกอร์อัจฉริยะ เมเกอร์ไงล่ะ”สิ้นคำเฉลยของจิวบรรยากาศในห้องก็เงียบกริบ ทุกสายตาจับจ้องมายังเบซิลที่ยืนยิ้มอยู่โดยไม่มีท่าทีสะทกสะท้านหรือตกใจเมื่อถูกรู้ถึงตัวจริง


จริงอยู่ผมอาจบอกว่าจะมีคนมาเข้าร่วมในหน่วยสืบสวนพิเศษแต่ไม่ได้บอกทั้งเป็นนักโทษหรือเป็นเมเกอร์แฮ็กเกอร์ผู้มากฝีมือในการแฮ็กระบบต่างๆ


ไม่แปลกถ้าพวกเขาจะตกใจ


“เดี๋ยว...เมเกอร์ หมายถึงคนที่แฮ็กเข้าระบบธนาคารเอาเงินออกไปโปรยว่อนถนนคนนั้นน่ะนะ”แม็กพูดเสริมด้วยสีหน้าไม่แน่ใจนัก


“ไม่ใช่แค่แฮ็กระบบแต่ยังมีคดีทั้งต้มตุ๋นและหลอกลองอีกนับไม่ถ้วน”จิวให้ข้อมูลต่ออีก


“ไธม์ทำไมหมอนี่ถึง...”อาร์มหันมาถามผม เพราะคำถามนั้นทำให้ทุกสายตาเปลี่ยนมาจับจ้องยังผมเพื่อรอคำตอบ


จะเริ่มอธิบายตั้งตอนไหนดีเนี่ย


“อย่างที่รู้กันเขาเป็นนักโทษที่ก่อคดีมามากมายจนมีโทษจำคุกถึง20ปีทว่าด้วยความสามารถและทักษะด้านคอมพิวเตอร์ที่เขามีมันน่าเสียดายเกินกว่าจะให้นอนอยู่ในคุกเฉยๆทางการจึงได้ทำการเกลี่ยกล่อมให้ร่วมมือช่วยในการจัดการคดีต่างๆ”


“ถ้าแบบนั้นก็ควรไปอยู่กับตำรวจไม่ก็ทหารสิ”เบียร์ถามต่อ


“ถ้าเขาตกลงก็คงจะใช่”ผมพูดต่อ


“หมายความว่าปฏิเสธข้อเสนอของทางการ?”


“อืม”


“ถ้าปฏิเสธข้อเสนอของทางการทำไมถึงยอมตกลงมาอยู่หน่วยเราล่ะ”ครั้งนี้เป็นจิวที่ถาม


“เพราะอยากเจอหน้าไธม์ทุกวันน่ะ”ยังไม่ทันที่ผมจะอ้าปากตอบเบซิลก็รีบตอบแทนแถมยังเป็นประโยคกำกวมทำเอาหลายคนยกมือขึ้นมาปิดปากกันเป็นแถว


“...แบบนี้นี่เอง ฉันอกหักตั้งแต่ยังไม่ได้สารภาพเลยเหรอเนี่ย”สกายพูดเสียงเบาโดยมีน้ำตาที่พึ่งบีบไหลออกมาบริเวณหางตา ความสามารถพิเศษอีกอย่างของเธอคือการบีบน้ำตาได้นี่แหละ


“เบซิล”ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงเข้ม


“ผมแค่พูดความจริงเองนะ”


“ไธม์มีบรรยากาศรอบตัวที่ใครก็อยากอยู่ด้วยนี่นะ ว่าแล้วต้องมีสักวันที่มีคนมาตามติดแต่ไม่คิดว่าจะเป็นเมเกอร์”ซันพูดบ้าง


“แนะนำตัวกันต่อได้แล้วมั้ง”นี่เลยเวลามามากแล้วขืนมัวแต่เล่นคนที่ต้องไปทำคดีได้ไปสายกันพอดี


“ไม่ปฏิเสธแปลว่าจริงเหรอที่ท่านรองเป็น...กับเมเกอร์”จิวยกมือขึ้นปิดปากพร้อมเบิกตากว้าง


ไม่รู้หรอกนะว่าที่เว้นไว้นั่นหมายถึงอะไรแต่ผมชักเริ่มหงุดหงิดแล้วสิ


จะปฏิเสธไปก็เหนื่อยแรง เดี๋ยวเรื่องก็ซาไปเองในไม่ช้าอยู่ดี


“คนที่พูดนี่คือจิว เรียงจากซ้ายไปขวาคือซัน สกาย อาร์ม แม็กและเบียร์”ผมตัดสินใจแนะนำทุกคนให้เบซิลรู้จักรวดเดียว


“ไธม์แนะนำรัวๆแบบนั้นเขาจะจำชื่อได้ยังไง”สกายพูด


“ผมจำได้”เบซิลตอบสกาย


“จำได้?”


“อย่าดูถูกสมองของเมเกอร์ดีกว่า จากข้อมูลไอคิวของเขาสูงกว่า200  อีคิวเองก็ไม่ใช่ระดับธรรมดาเป็นอัจฉริยะตัวจริง”จิวบอกข้อมูลเพิ่ม


“...สะ สองร้อย ฉันมีถึงครึ่งไหมเนี่ย”ซันถามตัวเองด้วยใบหน้าจริงจัง


“ครึ่งนึงของเมเกอร์ก็ยังถือเป็นระดับของคนปกติอยู่อย่าเสียใจเลย”จิวแตะไหล่ซันเป็นการปลอบใจ


“เฮ้ย ไม่แน่ว่าฉันอาจจะได้เกิน200ก็ได้”


“ไม่มีทาง”ทั้ง7คนในห้องส่ายหัวพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ผมแอบขำเล็กๆกับเหตุการณ์ตรงหน้า



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่4) 2/4/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 02-04-2018 20:06:01
(ต่อนะคะ)

จากนั้นพวกเราต่างแยกกันไปทำงานของตัวเองต่อ โดยซันกับแม็กออกไปทำคดีพิเศษที่ถูกส่งมาตั้งแต่เมื่อวาน คนอื่นมีทั้งนั่งอยู่ในห้องและกลับไปห้องตัวเองอย่างจูน


สำหรับผมนั้นกำลังนั่งเขียนรายงานของคดีที่ไปจัดการมาเมื่อวันก่อนอยู่ที่โต๊ะของตัวเอง


“ไธม์ เสร็จรึยัง”


ใช่โต๊ะของตัวเองที่น่าจะมีเพียงผมที่นั่งอยู่แต่กลับมาเบซิลเลื่อนก้าวอี้มาอยู่ด้านหลังผม ถ้าอยู่นิ่งๆคงไม่ว่าอะไรแต่นี่กลับพูดไม่หยุด สมาธิในการเขียนแตกซ่านจนกู่ไม่กลับ


“ผมต้องการสมาธิ อย่าพึ่งกวนได้ไหม”ผมบอกโดยไม่หันไปมองอีกฝ่าย


“หิวแล้ว”


“ถ้ากวนอีกข้อตกลงเป็นอันยกเลิก”


“แบบนั้นไม่ได้นะ คุณพูดแล้วห้ามคืนคำสิ”น้ำเสียงร้อนรนจากเบซิลขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น


“ถ้าไม่อยากให้คืนคำก็ช่วยอยู่เงียบๆสักพัก ผมต้องการใช้สมาธิ”


“ถ้าอยู่เงียบๆจะไปกินข้าวด้วยกันใช่ไหม”


“อืม”


“จะอยู่เงียบๆ”ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าว่าน้ำเสียงของเบซิลดูอ่อนลงยังไงบอกไม่ถูก


เพราะไม่มีเสียงก่อกวนสมาธิผมจึงสามารถจัดการเขียนรายงานเสร็จได้ในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ตลอดเวลาครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาเบซิลไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำและผมก็ไม่มีเวลาหันไปมอง แต่เมื่อจัดการรายงานเสร็จผมเลยได้โอกาสเลื่อนเก้าอี้หันไปมองว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่


เบซิลยังคงนั่งอยู่บนอี้ตัวเดิมเพียงแค่ขยับเข้ามาติดขนาดแค่หมุนเก้าอี้ก็โดนกันทันที โต๊ะผมอยู่บนเวณด้านในสุดซึ่งติดกับหน้าต่าง...เบซิลเท้าแขนกับขอบหน้าต่างใช้ดวงตาสีเขียวมรกตจับจ้องมายังผมนิ่งๆโดยไม่มีคำพูดใด


ท่าทางแบบนั้นคงไม่ได้พึ่งจ้องแต่จ้องมาตั้งนานแล้ว ถ้าให้เดาคงตั้งแต่ผมบอกให้เงียบ


อยู่ๆก็รู้สึกว่าความร้อนมารวมตัวกันอยู่บนใบหน้าเพียงแค่นึกถึงว่าตัวเองถูกสายตานั้นจับจ้องมาตลอดครึ่งชั่วโมง


“...ทำไมไม่หันไปมองสวนข้างนอกล่ะ”ผมถาม


“ผมพูดได้แล้ว?”อีกฝ่ายถามกลับ


“จะไม่พูดก็ได้นะ”


“ไม่เอาหรอก สวนน่ะจะดูเมื่อไหร่ก็ได้แต่การได้มองคุณมันน่าสนใจกว่า”


“ผมจะเอารายงานไปส่ง”ผมไม่คิดจะโต้ตอบประโยคหวานๆคล้ายจีบสาวนั่นหรอกนะ


พอกลับมาจากห้องหัวหน้าเบซิลยังคงนั่งอยู่ที่เดิมคือด้านหลังเก้าอี้ผม ตอนนี้คนในห้องออกไปกันหมดแล้วเนื่องจากเป็นช่วงพักส่วนมากจะออกไปกินตามถนนสายข้างๆแต่ก็มีหลายคนออกไปกินข้างนอกหรือตามห้างอะไรแบบนั้น


“ไปกินข้าวกันเบซิล”ผมเรียกคนด้านใน


“อืม จะพาผมไปกินไหน”เชื่อไหมว่าพอได้ยินคำพูดผมเบซิลถึงกับเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้เดินตรงมาหาด้วยความเร็วสูง


“อยากกินแนวไหน”ผมถามระหว่างพาเดินออกไปด้านนอก


“ชาบู”


“ชาบู? มีร้านนึงอยู่ตรงถนนข้างๆ อร่อยอยู่ไปที่นั่นละกัน”พอบอกแล้วเดินออกจากตึกมุ่งตรงไปยังซอยที่อยู่ถัดไปไม่ไกล


“เราจะเดินไป?”เบซิลวิ่งมาขนาบข้างก่อนจะถาม


“ใช่ อยู่ไม่ไกลเดินไปจะสะดวกกว่าแถมที่จอดรถแถวนั้นก็ไม่ค่อยมีด้วย”


ซอยที่ผมพาเบซิลไปเป็นซอยเล็กมีถนนเพียง2เลนส์ ปกติจะไม่อนุญาตให้รถใหญ่เข้าแต่มีชั่วโมงเร่งรีบอย่างช่วง7 - 8โมงสามารถให้รถใหญ่ผ่านได้ สองข้างของถนนเต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหาร ดูเผินๆเหมือนเป็นตลาดก็ไม่ผิดนัก


ร้านชาบูตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายของถนน ร้านมีขนาดไม่ใหญ่มากประมาณ2คูหาผนังชั้นล่างถูกทำใหม่ให้เป็นกระจกใสสามารถมองเห็นด้านในร้านได้ ภายในร้านมีทั้งแบบบาร์และแบบโต๊ะตามความต้องการของลูกค้า


“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าต้องการนั่งแบบไหนดีคะ”พนักงานสาวเดินมาทักทายทันทีที่พวกเราเดินเข้ามาด้านใน


“แบบบาร์ไหม”ผมหันไปขอความเห็น


“เอาสิจะได้นั่งใกล้ๆคุณด้วย”


“แบบบาร์ครับ”ผมกำมือแน่นแล้วชกชายโครงอีกฝ่ายแทนคำบ่น


“แบบบาร์สองที่นะคะ จะรับเป็นน้ำซุปแบบไหนดีคะมีน้ำใส น้ำข้น ต้มยำ มิโซะและน้ำซุปเห็ดค่ะ”พนักงานถามต่อ


“ขอเป็นมิโซะ”ผมเลือกน้ำซุปที่ไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ ความจริงก็มีอีหลายน้ำที่ไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์อย่างซุปเห็ดหอมหรือต้มยำ


“ผมอาเป็นต้มยำ”


“รับเป็นซุปมิโซะและต้มยำนะคะ เชิญด้านในเลยค่ะ”


พวกเราเลือกนั่งในมุมหนึ่งด้านในของร้านซึ่งผมนั่งติดกำแพงโดยมีเบซิลนั่งอยู่ข้างๆ หลังจากลุกไปตักน้ำแล้วพวกเราจึงเริ่มหยิบของบนสายพานมาใส่ต้มในหม้อของตัวเอง


ร้านนี้ไม่ใช่บุฟเฟ่ของบนสายพานจึงมีหลายหลายทว่าราคาไม่แพง ผัก เต้าหู้หรือพวกลูกชิ้นคิดจานละ10บาท ส่วนเนื้อจะ15-20บาทตามชนิดและรูปแบบของเนื้อนั้นๆ


จานแรกของผมคือหัวไซเท้าและแครอทช่วยเพิ่มความหวานให้กับน้ำซุปก่อนจะตามด้วยข้าวโพดและเผือกตามลำดับ อย่างที่เคยบอกว่าผมกินเนื้อสัตว์ไม่ได้จึงเลือกกินพวกผักแทน


ส่วนเบซิลหยิบเนื้อเป็นจานแรกใส่ลงในหม้อต้ม ตามด้วยลูกชิ้นและปลาหมึก หม้อของพวกเราต่างกันคนละขั้วเลย ต้มไม่นานผมก็ตักผักขึ้นมากินในถ้วยของตัวเอง


“ทำไมกินแต่ผักล่ะ เอาเนื้อนี่ไหม”เบซิลถามพลางหยิบเนื้อวัวสไลด์จากสายพานมาให้ด้วยความหวังดี


“ไม่ล่ะ ผมไม่กินเนื้อ”ผมบอกปฏิเสธ


“ไม่กินเนื้อวัว?”


“เปล่า...ทุกอย่างที่เป็นเนื้อสัตว์ผมไม่กิน”ผมบอกไปตามตรง


“...บนไว้เหรอหรือแค่ไม่ชอบ”เบซิลใช้ความคิดสักพักถึงจะถามกลับมา


“ราวๆนั้น”จะให้บอกความจริงไปก็ไม่ใช่เรื่อง


ความลับเรื่องการแปลงร่างเป็นสัตว์ของผมนั้นมีเพียงคนในครอบครัวเท่านั้นที่รู้


ผมไม่เสี่ยงให้คนอื่นรู้ความลับนี้หรอก


“ผมไม่ควรถามสินะ”เบซิลมองสังเกตผมแล้วพึมพำออกมาเบาๆจากนั้นก็หันไปตักเนื้อในหม้อของตัวเองขึ้นมากินต่อโดยไม่มีการซักไซ้หรือถามอะไรอีก


อยู่ด้วยกันไม่นานสามารถมองท่าทางผมออกได้ขนาดนี้เลยเชียว


ไม่สิ สำหรับเบซิลการลอบมองหรือสังเกตคู่สนทนาอาจเป็นเรื่องง่ายอยู่แล้ว


“...ขอบคุณ”ทั้งที่จะยิงคำถามต่อก็ได้แต่กลับไม่ทำ


รู้ว่าผมจะหนักใจงั้นเหรอ


พวกเรานั่งกินชาบูกันอยู่ประมาณชั่วโมงกว่าจึงจะเรียกมาคิดเงินแล้วเดินออกมาจากร้าน อาหารมื้อนี้ผมเป็นคนง่ายซึ่งก็เป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว นักโทษอย่างเบซิลจะมีเงินติดตัวได้ยังไง ต่อให้มาช่วยสืบสวนคดีแต่อย่าคิดว่าทางการหรือทางหน่วยผมจะใจดีจ่ายเงินให้นะ


ทุกวันนี้ลำพังแค่ค่าใช้จ่ายภายในหน่วยก็แทบจะติดลบอยู่ทุกเดือนไป


พวกเราอาจเป็นหน่วยที่ทำคดีสำเร็จมากที่สุดแต่ก็เป็นหน่วยที่สร้างความเสียหายมากที่สุดเช่นกัน ยกตัวอย่างง่ายๆอย่างสกาย สาวสวยแสนน่ารักที่ดูยังไงก็ไม่น่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อความเสียหาย แต่เธอกลับติดอันดับคนที่สร้างความเสียหามากที่สุดเป็นอันดับ1 ด้วยสาเหตุง่ายๆคือสถานที่ที่เธอมักจะเป็นนกต่อหรือตัวล่อมักจะเป็นโรงแรม ผับ ร้านอาหารหรือแม้แต่ห้างสรรพสินค้า หลังจากหลอกล่อจนทางการเข้าปะทะกับฝ่ายผู้ร้ายเกือบทุกครั้งมักจะสร้างความเสียหายให้บริเวณโดยรอบ ล่าสุดเป็นร้านทอง


ทั้งที่เป็นทางตำรวจยิงโต้ตอบกับคนร้ายแล้วไปโดยทองในร้านเข้าแต่กลับโยนค่าใช้จ่ายมาให้หน่วยสืบสวนพิเศษด้วยเหตุผลง่ายๆว่าไม่ยอมล่อไปบริเวณอื่น


“อร่อยดีเนอะ”เบซิลพูดระหว่างเดินกลับไปยังที่ทำงาน


เวลาพักปกติจะให้ประมาณ1ชั่วโมงแต่หน่วยสืบสวนพิเศษค่อนข้างจะแตกต่างจากหน่วยอื่น พวกเราจะออกไปพักแล้วกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้ตราบใดที่ทำงานเสร็จ ในกรณีมีงานหรือคดีด่วนจะใช้การติดต่อทางโทรศัพท์มากกว่า


“ไว้จะพามาอีก”ผมไม่ค่อยได้มากินข้าวกับใครบ่อยนักเลยไม่ค่อยรู้หรอกว่าร้านแบบไหนกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในช่วงนี้ ร้านส่วนมากที่ผมรู้จักจะเป็นร้านที่มีอาหารจำพวกผักหรือสามารถกินได้โดยไม่มีเนื้อสัตว์ซึ่งหาได้ยากในปัจจุบันนี้


“แลกกับให้ผมทำตัวดี?”


“ไม่ใช่ข้อแลกเปลี่ยนแต่เป็นรางวัลต่างหาก”ผมพูดแก้ ข้อแลกเปลี่ยนกับรางวัลแม้จะคล้ายกันแต่ให้ความรู้สึกคนละแบบ ข้อแลกเปลี่ยนนั้นคือความเท่าเทียมหากคิดว่าข้อตกลงมันไม่คุ้มค่าให้เราทำอย่างเต็มกำลังเราก็จะออมแรงเพราะยังไงก็รู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่แลกเปลี่ยนคืออะไร


ในทางกลับกันรางวัลคือการที่เราได้พยายามทำในสิ่งหนึ่งเต็มกำลังโดยไม่คาดหวังหรือรู้ล่วงหน้าว่าจะได้อะไรกลับมาตอบแทนในความพยายามนั้น


“...รางวัล เห็นผมเป็นเด็กจริงๆด้วย”


“ไม่ใช่?”


“ก็ไม่ใช่น่ะสิ”


“แต่นิสัยเด็ก”


“เขาเรียกว่าขี้อ้อน”เบซิลพยายามแก้ตัว


“ไม่ใช่แล้ว”ท่าทางไม่ได้สื่อไปในทางอ้อนสักนิด


ระหว่างพวกเรากำลังเดินคุยกันเสียงดังจ้อแจ้ด้านหน้าก็เรียกผมให้สนใจจนต้องหันไปมอง หญิงสาวสองคนกำลังถูกกลุ่มชายประมาณ4คนล้อมเอาไว้ แค่ดูก็รู้ว่าไม่ได้กำลังเรื่องดีอย่างช่วยเก็บกระเป๋าเงินแน่นอน เท่าที่ดูน่าจะรีดไถไม่ก็พยายามก่อกวน
ถนนสายนี้เป็นหนึ่งในแหล่งเศรษฐกิจจึงไม่แปลกหากจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ้าง


แถวนี้ไม่มีคนของทางการซะด้วย


ผมคงต้องจัดการเองแล้วสิ


“จะทำอะไรไธม์”เบซิลดึงแขนเสื้อเพื่อรั้งผมที่กำลังจะเดินไปทางกลุ่มชายตรงหน้า


“เข้าไปจัดการไง”ในเมื่อเห็นแล้วจะให้ผมเดินไปโดยไม่สนใจคงทำไม่ได้


“พวกนั้นอันตรายนะ”


“อืม แต่ถ้าไม่มีใครเข้าไปผู้หญิงพวกนั้นจะเป็นอันตราย”


“...ให้ผมจัดการเอง”นิ่งไปสักพักก่อนเบซิลจะพูดต่อ


“จะสู้ชนะ?”


“คุณก็น่าจะรู้ว่าผมสู้เก่งขนาดไหน”คำพูดของเบซิลทำเอาผมเกือบจะหลุดขำออกมา


“อ่า...เก่งมากเลยล่ะ”


“ขอบคุณที่ชม”อีกฝ่ายอืดอกรับคำชมด้วยรอยยิ้มภาคภูมิ


“คิดจะทำอะไร”


“อยากโชว์ทักษะส่วนตัวให้คุณดูหน่อยน่ะ”


“ทักษะ?”พอผมจะถามกลับเบซิลก็เดินตรงไปยังกลุ่มชายตรงหน้าซะแล้ว


ผมรีบก้าวตามไปเพื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้จัดการต่อได้ทันที จำนวนคน4คนไม่ได้ถือว่ามากโดยเฉพาะกับพวกที่ดูท่าทางเหมือนนักเลงและมาเป็นกลุ่ม ดังนั้นหากเกิดการต่อสู้ผมค่อนข้างมั่นใจว่าสามารถจัดการได้


“พอแค่นั้นดีกว่านะ”เบซิลใช้น้ำเสียงนิ่งๆในการพูด


“แกเป็นใคร มายุ่งอะไรด้วยวะ”ชายหนึ่งในกลุ่มเดินมาเผชิญหน้าตรงๆกับเบซิล แววตากะหาเรื่องเต็มที่


จะทำยังไงต่อล่ะเบซิล


“ไม่ยุ่งคงไม่ได้ในเมื่อมีคนกล้ามาหาเรื่องในอาณาเขตเราคงต้องกลับไปรายงานบอส”


“บอส?”ทั้ง4คนถึงกับขมวดคิ้วแน่น


บอสไหน


ผมถามประโยคนั้นในใจ


ตามข้อมูลที่รู้มาแถวนี้ไม่มีใครคุมสักหน่อย


“ใช่ แต่ไม่อยากจะให้เรื่องเล็กๆไปกวนอารมณ์บอสหรอกนะยิ่งขี้โมโหอยู่ด้วย ถ้ายอมกลับไปดีๆจะปล่อยไปสักครั้ง”เบซิลพูดต่อ ดวงตาสีเขียวหรี่ลงมองหน้าชายทั้ง4คนราวกับกำลังข่มขู่ทางสายตาจนฝ่ายนั้นผงะไปไม่น้อย


“กะ...กลับกันเหอะ”คนด้านหลังเริ่มกระตุกชายเสื้อคนด้านหน้า


“อย่าไปกลัวดิวะ มันแค่โกหกเท่านั้นแหละ”เหมือนชายคนหน้าสุดจะเป็นหัวหน้านะ ขอชื่นชมที่แสดงความกล้าออกมาแม้จะมีเหงื่อไหลซึมออกมาตามขมับแล้วก็ตาม


“แปลว่าอยากลองสินะ งั้นจะจัดให้ตามคำขอ...”


“บ้าเอ้ย ไปกันเร็ว”กลุ่มชาย4คนถึงกลับเผ่นหนีด้วยความเร็วสูงเมื่อเบซิลทำท่าจะหยิบบางอย่างออกมาจากด้านหลังของกางเกงขายาวที่ว่างเปล่า


บอกตรงๆว่าพอได้มาเห็นกับตาผมเชื่อเลยว่าฉายาเมเกอร์และคดีต้มตุ๋นพ่วงหลอกลวงอีกนับไม่ถ้วนเหล่านั้นไม่ใช่ได้มาเพราะความบังเอิญ


จัดการทุกอย่างได้โดยไม่ต้องใช้กำลังแค่คำพูดเท่านั้น


การแสดงของเบซิลมันสมจริงจนน่าเชื่อ


ทั้งน้ำเสียง การแสดงออกรวมถึงบรรยากาศอันตรายรอยๆที่แผ่ออกมาจนถึงเมื่อครู่


หลอกลวงด้วยวาจาจนคนฟังหลงเชื่อราวกับใช้เวทย์มนต์


“ไธม์”


“อะไร”


“กลับกันเถอะ ง่วงแล้ว”เบซิลบอกเสียงเหนื่อย ท่าทางน่าเกรงขามเมื่อครู่หายไปอย่างสิ้นเชิง


ผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรถึงได้ทำแบบนั้น แม้จะบอกว่าแค่อยากโชว์ทักษะตัวเองให้เห็นแต่ผมกลับคิดว่าเขาช่วยผมไม่ให้ต้องเผชิญหน้าหรือต่อสู้กับคนถึง4คน


อาจจะคิดผิดก็ได้


แต่...


“ขอบคุณเบซิล”ผมบอกเสียงเบาพร้อมเอื้อมมือไปลูบเส้นผมสีเทาเข้มตรงหน้าแทนรางวัล


“...นี่คือรางวัล?”เบซิลพึมพำเสียงเบา ดวงตาสีเขียวมรกตนั่นเหมือนกำลังสั่นด้วยสาเหตุบางอย่าง


“ลองคิดเอาเองสิ”ผมบอกพลางมองเบซิลใช้มือช้างนึงสัมผัสบริเวณที่ถูกผมลูบเมื่อครู่ นิ่งอยู่นานจนผมต้องเรียกอีกฝ่ายอีกรอบพวกเราถึงจะได้เดินกลับไปยังที่ทำงานกันสักที


ตลอดทางมีความคิดนึงผุดขึ้นมาในหัว...


การมีเบซิลอยู่ข้างๆแบบนี้ก็ไม่ได้แย่อะไร

........................................................................

ไม่ได้มาอัพสักพักใหญ่เลยกับเรื่องนี้

ในที่สุดวันที่เบซิลได้เข้ามาอยู่ในหน่วยก็มาถึง และจากนี้จะเริ่มเข้าสู่เนื้อหาในช่วงถัดไป

เนื้อหาในสามตอนก่อนหน้านี้ทั้งคู่จะมีบทสนากันในห้องขัง บอกตรงๆว่ารู้สึกตลกเวลาแต่งอยู่ไม่น้อย

หวังว่าทุกคนจะสนุกไปกับเรื่องนี้เหมือนกันนะคะ

ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเม้นท์และทุกๆ กำลังใจที่มีให้เสมอค่า

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบายค่ะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่4) 2/4/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 03-04-2018 02:49:37
เออ..... แล้วคุณผู้หญิงสองคนที่ช่วยไว้ ไม่มีบทพูดเลยหรือคะ บอกขอบคุณสักคำก็ไม่มี ชิ  :m16:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่4) 2/4/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 03-04-2018 10:00:16
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่4) 2/4/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-04-2018 12:13:28
เด็กขาดความอบอุ่นหรือเปล่าเนี่ย
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่4) 2/4/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 03-04-2018 14:21:46
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่4) 2/4/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 03-04-2018 15:43:22
ว้าวววว ตามมาอ่านเพราะชื่อ nicedog แล้วก็ไม่ผิดหวัง ชอบมาก
เนื้อเรื่องแปลกดีฮะตั้งแต่ครอบครัวของไธม์แล้ว เบซิลก้อเก่งแถมน่าร้ากกกกกด้วย
ชอบเรื่องนี้มากๆเลย มาอัพบ่อยๆนะฮะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่4) 2/4/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 03-04-2018 22:14:53
เบนซิลขี้อ้อนมากกกกก
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่4) 2/4/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 03-04-2018 23:24:57
สนุกดี น่าติดตามเรื่อยๆ ว่าเบซินจะทำอะไรอีก
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่4) 2/4/61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 12-04-2018 21:39:57
สนุกค่ะ  รอตอนต่อไป   :3123:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่5) 13/4/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 13-04-2018 20:06:48
สืบรัก彡คดีที่5



ความมืดของท้องฟ้าในยามราตรีแผ่ขยายปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่แม้แต่ภายในห้องนอนใหม่ของผู้ต้องหาในคดีนับสิบอย่างผม เมเกอร์คือฉายาที่ได้รับมาจากใครสักคนซึ่งผมไม่ได้สนใจอะไรนัก รู้แค่ว่าฉายานั้นมอบให้กับผู้มีความสามารถในการแฮ็กระบบคอมพิวเตอร์และการล่อลวงผู้คนด้วยวาจา


หลังจากถูกจับ ไม่สิ ควรพูดว่ายอมให้จับอยู่นานก็ได้มีออกกาศออกมายังโลกภายนอกอีกครั้งนึง ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม อาจเพราะผมพึ่งได้เข้าไปอยู่ในเรือนจำไม่กี่เดือนเลยไม่มีอะไรเปลี่ยนมากนัก


ที่เปลี่ยนคงเป็นความรู้สึกภายในอกนี่ละมั้ง


เพราะความเบื่อจากการแฮ็กระบบความปลอดภัยรวมถึงการพูดจาล่อหลอกทำให้ตัดสินใจเข้าไปบอกกับตำรวจว่าคนที่แฮ็กระบบธนาคารเอาเงินออกไปโปรยว่อนคือตัวผมเอง การอยู่ในเรือนจำไม่ได้แย่เพราะผมได้สิทธิ์พิเศษมีห้องเดี่ยวไม่ต้องอยู่ร่วมกับใคร ถึงความจริงคือคนอื่นไม่สามารถอยู่ร่วมกับผมได้ก็ตาม


ชีวิตในแต่ละวันผ่านไปเรื่อยๆโดยไม่ต้องทำอะไรก็มีของให้กิน สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องดิ้นรนมาสบายจะตายแถมยังมีอิสระในการจะทำอะไรก็ได้เนื่องจากไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาเหมือนอย่างคนอื่นที่ต้องออกไปทำงาน


ข้อจำกัดที่มีคือผนังห้องกับสิ่งอำนวยความสะดวกละมั้ง


ไม่จำเป็นต้องมีคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุกผมก็สามารถคิดหรือสร้างโปรแกรมหรือแม้แต่การฝึกแฮ็กเข้าระบบต่างๆได้ด้วยวิธีง่ายๆคือใช้หัว ว่ากันว่าภายในสมองมีพื้นที่ความจำอยู่แบบอินฟินิตี้ ดังนั้นการจะใช้หน่วยความจำเพียงไม่กี่กิ๊กในการทดลองเขียนโปรแกรมและจำลองาพการแฮ็กเข้าระบบก็ไม่ใช่เรื่องยาก


ผ่านไปไม่นานกลับมีบางอย่างมาทำลายความสงบและเวลาของผม ของคนทางการขอเข้าพบผมโดยไม่ขอความสมัครใจก่อนจะเสนอให้เข้าร่วมกับทางนั้นเพื่อลดโทษจำคุกแลกกับการใช้ความสามารถและทักษะที่มีช่วยทางการ


เชื่อไหมว่าผมหัวเราะลั่นห้อง


ในเมื่อคนที่เดินเข้ามาให้ถูกจับคือตัวผมก็น่าจะเข้าใจได้นะว่าผมเข้ามาอยู่ในเรือนจำนี่ด้วยตัวเองไม่ใช่ถูกจับ การลดโทษไม่จำเป็นสำหรับผมเลยสักนิดเดียว อาจเพราะได้รับการปฏิเสธทางการจึงส่งคนมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือทหาร น่าเบื่อจนอยากหลับคาโต๊ะให้รู้แล้วรู้รอด


การใช้คำพูดหวาดล้อมเองก็ไม่ได้เรื่อง พอเข้ามาก็เอาแต่พูดเหมือนๆกันไม่ลดโทษก็ใช้ความสามารถที่มีเพื่อประโยชน์ของประเทศ


ดูยิ่งใหญ่ดี


ซึ่งทุกคนถูกผมตอกกลับไปหมดจนไม่มาให้เห็นหน้าอีกเป็นครั้งที่2 แต่แล้ววันหนึ่งผู้มาเยือนกลับสร้างความสนใจให้ผมโดยไม่รู้ตัว ในตอนแรกตัวตนของเขาแทบไม่อยู่ในสายตาทว่าดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องประสานมายังดวงตาสีเขียวมรกตของผมนิ่งๆนานหลายนาทีนั้นทำให้ผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง


บรรยากาศรอบๆตัวคนคนนี้ต่างจากคนอื่นอย่างชัดเจน


สงบและน่าอยู่ใกล้ๆ


ตราสัญลักษณ์บริเวณปกเสื้อเห็นครั้งแรกอาจต้องขมวดคิ้วแต่เมื่อมีเวลาได้คิดสักคืนสองคืนก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายทำงานอะไร
หน่วยสืบสวนพิเศษ


เป็นหน่วยเฉพาะที่ไม่ขึ้นตรงกับใคร มีหัวหน้าเพียงคนเดียวซึ่งกุมอำนาจมากสุด หน้าที่ของหน่วยคือการจัดการคดีหรือเรื่องต่างๆจากที่ทำไม่สำเร็จหรือทำไม่ได้


ผมมองว่าหน่วยนี้เป็นเหมือนถังขยะที่ใครทำอะไรไม่ได้ก็โยนสุมๆไว้ในนี้ เพียงแต่ด้วยความสามารถของคนในหน่วยทำให้ขยะเหล่านั้นถูกนำไปรีไซเคิ้ลก่อนจะปากลับใส่หน้าเจ้าของอย่างจัง


ใบไธม์


คือชื่อเล่นของรองหัวหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษที่เรียกความสนใจจากผมได้เสมอ เขาเป็นคนธรรมดาแต่แฝงไว้ด้วยความไม่ธรรมดาอย่างมหาศาล


ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งไม่อยากห่าง


ทั้งที่ไม่อยากถูกจูงไปบนเส้นทางไหนแต่กลับโดนข้อเสนอง่ายๆอย่างการได้เจอกันทุกวันดึงดูดจนต้องตกลง น่าขายหน้าจริงๆ
ไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่ตัวเองรู้สึกสนใจและเรียกร้องสิ่งใดมากขนาดนี้


อยากให้ใบหน้านิ่งๆนั่นหันมาสน


อยากให้ริมฝีปากบางๆนั่นเผยรอยยิ้มออกมา


อยากให้ในดวงตาสีน้ำตาลนั่นสะท้อนภาพตัวเอง


“ใบไธม์”ผมพึมพำเสียงเบาหวิวโดยทอดสายตามองไปยังสวนตรงหน้า


พอได้ออกมาจากเรือนจำห้องพักของผมจึงเปลี่ยนมาเป็นที่นี่ ห้องด้านในสุดของตัวตึกมีเตียงนอนและโซฟาเล็กๆตั้งอยู่ด้านข้าง นอกจานี้ยังมีตู้เสื้อผ้าให้ ขนาดเองก็ไม่ใหญ่มากแต่นอนคนเดียวนับว่ากว้างอยู่


ต้องรออีกกี่ชั่วโมงถึงจะเช้าเนี่ย


คิดพลางหันไปมองนาฬิกาบนหัวเตียงซึ่งบอกเวลาตี4ครึ่ง ผมนอนหลับไปช่วงหัวค่ำและตื่นมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อน น่าแปลกที่ความงัวเงียแทบไม่มีเลย


และเพราะตื่นเต็มตาแล้วผมจึงตัดสินใจพาตัวเองออกไปจากห้องโดยมีจุดหมายอยู่ที่โซฟายาวในห้องทำงาน จากมุมนี้มองเห็นทั้งห้องได้อย่างชัดเจนแม้จะอยู่ในความมืด แสงจันทร์สลัวๆนี่คล้ายกำลังขับกล่อมให้คนมองหลับใหลอีกครา


เมื่อดวงตาสีเขียวของผมลืมขึ้นอีกครั้งแสงอาทิตย์ก็ส่องสว่างเข้ามาในห้องแล้ว ความเงียบยังคงเหมือนเดิมก่อนจะเผลอหลับไปแต่เพียงไม่นานประตูห้องก็ถูกเปิดอ้าออกพร้อมร่างโปร่งผิวสีขาวเหลืองก้าวเดินเข้าในห้อง ดวงตาสีน้ำตาลนั้นมองไปรอบห้องราวกับกำลังหาบางอย่างก่อนจะหลุดลงยังตัวผม


“เบซิล”เช้าวันแรกเสียงแรกที่ได้ยินคือเสียงของคนที่เรียกความสนใจผมได้เสมอ


“ใบไธม์”ผมเรียกอีกฝ่าย สัมผัสได้ว่าปากกำลังคลี่ยิ้มอยู่


“ไม่อยู่ห้องนึกว่าจะหนีไปซะอีก”


“จะหนีไปทำไม”ผมถามกลับ จริงอยู่ว่าผมสามารถหนีออกไปได้ง่ายๆเพราะไม่มีการจับตามดูใดๆแต่ผมไม่คิดจะหนีหรอกนะ


จะหนีทำไมล่ะในเมื่อสิ่งที่ผมต้องการคือการได้อยู่ใกล้ๆคนคนนี้ และหัวหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษก็คงคิดแบบนั้นถึงได้ไม่มีการใส่กุญแจมือหรือเฝ้าระวังอะไรสักอย่าง


“นอนหลับสนิทไหม”ไม่รู้ว่าเพราะเข้าใจคำพูดผมหรืออะไรอีกฝ่ายจึงเปลี่ยนคำถาม


“เป็นห่วงผมเหรอ”


“ไม่ต้องมาทำหน้าดีใจเลย”


“ผมทำ?”


“...มีโจ๊กจะกินไหม”ใบไธม์ไปตอบแต่ยกถุงในมือขึ้นสูงจนเห็นถุงโจ๊กสีขาวขุ่นภายใน


“กิน”ผมพยักหน้า อุตส่าห์ซื้อมาเผื่อจะไม่กินได้ยังไง


“พวกชามอยู่ตรงนั้น กินบนโต๊ะนู้นนะ”ใบไธม์อธิบายพร้อมชี้นิ้วไปยังห้องครัวเล็กๆด้านข้าง ไม่ไกลมีโต๊ะสำหรับกินข้าวตั้งอยู่


“แล้วของคุณล่ะ”ผมถามเมื่อรับถุงมาแล้วภายในมีโจ๊กอยู่แค่ถุงเดียว


“ผมกินมาแล้ว”


“ครั้งหน้าซื้อมากินด้วยกันก็ได้”


“ไม่ล่ะ”


“จะให้กินคนเดียวไม่กลัวผมเหงารึไง”


“พูดเหมือนมีเพื่อนกินด้วยทุกวันงั้นแหละ”อีกฝ่าบถาม


อย่างที่พูดแหละอยู่ในเรือนจำไม่มีเพื่อนกินหรอก


“อยากกินกับใบไธม์”


“...”ใบไธม์เงียบ ดวงตาสีน้ำตาลนั่นมองมายังผมนิ่งๆ


“หน้าผมมีอะไรติดถึงได้มองแบบนั้น”เห็นจ้องเอาๆ


“แค่คิดว่าตัวเองกำลังคุยกับเด็ก5ขวบอยู่รึเปล่า”อีกฝ่ายพูดต่อ


“หมายถึงผม?”


“ไม่ใช่มั้ง”


“โอเค ไม่ใช่ผม”ผมยกยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มทำหน้าบึ้งขึ้นเล็กน้อย ใบไธม์เป็นคนหน้านิ่ง และนิ่งมากจนแทบไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่แต่พอลองแหย่หรือกวนก็มักจะแสดงสีหน้าใหม่ๆออกมาเสมอ


มื้อเช้านี้อิ่มท้องไปได้เพราะโจ๊กหมูร้อนๆ ระหว่างกำลังตักกินคนในหน่วยก็เริ่มทยอยกันมาเรื่อยๆทั้งจิว เบียร์และซัน แต่ละคนต่างมีโต๊ะเป็นของตัวเองในการจัดการงานซึ่งผมไม่เห็นว่าจะมีอะไร บางโต๊ะเรียกว่าไม่มีอะไรวางเลยด้วยซ้ำ ผมเองก็มีโต๊ะเช่นเดียวกับคนอื่นเพียงแต่โต๊ะนี้อยู่ตรงข้ามกับใบไธม์สุดๆ


ใบไธม์นั่งอยู่หัวโต๊ะส่วนผมอยู่ท้ายสุด


ไม่เถียงว่ามุมนี้สามารถมองอีกฝ่ายได้ตรงๆแต่มันไกลเกินไป


และเพราะไกลเกินไปผมเลยค่อยๆไถลเก้าอี้นิดละนิดผ่านหน้าซันที่มองมางงๆไปจนถึงด้านหลังของใบไธม์ที่กำลังง่วงกับการเปิดเอกสารอะไรสักอย่างอ่านอยู่


ดูเผินๆรู้สึกว่าจะเป็นคดีที่ถูกส่งมาจากทางการ


“คดีนั้นน่าจะเหมาะกับอาร์มและจิวนะ”ผมพูดลอยๆหลังข้อมูลของคดีอยู่ในระดับสายตาที่สามารถอ่านได้พอดี


“กลับไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง”ใบไธม์วางเองสารลงบนโต๊ะแล้วใช้สายตามองมาเป็นเชิงบอกให้ผมกลับไปนั่งที่โต๊ะ


“ไม่เอา”


“ผมไม่มีเวลามาเล่นกับเด็กหรอกนะ”


“งั้นเปลี่ยนมาเล่นกับผู้ใหญ่แทนก็ได้นะ”ผมส่งยิ้มมุมปากกลับไป


“ผู้ใหญ่ที่ไหนทำตัวเหมือนเด็กกัน”ใบไธม์พูดต่อ


“ผู้ใหญ่ที่นี่แหละ”


“จะอยู่ก็เงียบๆหน่อยผมต้องใช้สมาธิ”


“ให้ช่วยไหม”ผมถาม


“ช่วยได้?”อีกฝ่ายถามกลับ


“ได้สิ บอกแล้วว่าคดีนี้ลองให้อาร์มกับจิวไป”ผมบอกอีกรอบ


ดคีในเอกสารนั่นคือการฆาตกรรมนักศึกษาสาวคนนึงแล้วเอาไปทิ้งในทะเลผลจากการหาหลักฐานและพิสูจพยานของทางการทำให้รู้ว่าเป็นหนึ่งในแฟนของเธอซึ่งเธอคนนี้คบกับผู้ชายอยู่หลายคน เมื่อการสืบสวนเริ่มวุ่นวายแล้วยากขึ้นก็จะถูกตัดมาอยู่ในคดีที่ไม่สามารถหาหลักฐานได้ก่อนจะทำมาให้หน่วยสืบสวนพิเศษจัดการต่อ


ผมสรุปทุกอย่างตามที่เข้าใจได้ประมาณนี้


“...ทำไมถึงเป็นสองคนนี้”ใบไธม์ขมวดคิ้วคล้ายตกใจปนอึ้งที่ได้ยินผมเสนอออกไปแบบนั้น


“เหมือนจิวจะเก่งด้านข้อมูล ส่วนอาร์มร่างกายแบบนั้นแค่ดูก็รู้แล้วว่าแข็งแกร่ง คดีฆาตรกรรมที่มีผู้ต้องสงสัยมากจำเป็นต้องให้คนที่เก่งในการหาหรือรวบรวมข้อมูลจัดการ แต่ดูจากวิธีฆาตกรรมแปลว่าฝ่ายคนร้ายต้องแข็งแรงพอดูหากให้จิวไปคนเดียวอาจอันตรายเลยน่าจะให้อาร์มตามไปด้วย”ผมอธิบายตามที่คิดไปตรงๆ


“ทำไมถึงเป็นอาร์มไม่ใช่ซัน”ใบไธม์ถามต่ออีก


รูปร่างของอาร์มและซันไม่ต่างการกันมากดูเผินๆอาจคล้ายกันแต่ถ้าสังเกตหลายๆอย่างจะรู้ว่าทั้งคู่ถนัดในสิ่งที่ต่างกันคนละแบบ


“การจะเข้าไปทำคดีตามย่านนั้นสิ่งที่ควรทำคือไม่เป็นจุดเด่นซันอาจเก่งด้านการต่อสู้แต่อาวุธติดมือตลอดนั่นสร้างความน่าสงสัยเกินไปแต่หากเป็นอาร์มแม้จะร่างกายบึกบึนสักหน่อยแต่พอเดินกับจิวดูเผินๆแล้วเหมือนดูเหมือนบอดี้การ์ดที่พ่อจ้างให้ตามติดลูกชาย”


“คิก...บอดี้การ์ดที่พ่อจ้างเหรอ คิดได้ไงเนี่ย”ดูเหมือนคำพูดผมจะทำให้คนฟังอย่างใบไธม์หลุดหัวเราะจนต้องยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองไว้ แต่ถึงไม่เห็นปากแต่สายตานั้นกำลังยิ้มอยู่


ไม่น่ายกมือขึ้นมาเลย ไม่งั้นผมคงได้เห็นรอยยิ้มนั้นไปแล้ว


“อีกอย่างหากต้องปะทะกันในบ้านหรือตึกการเคลื่อนไหวในระยะประชิดอาร์มจะได้เปรียบกว่า”ผมพูดต่ออีก


“พึ่งเจอกันแค่วันเดียวทำไมรู้ได้ขนาดนั้น”ใบไธม์หรี่ตามองมาคล้ายกำลังจับสังเกต


“แค่มองก็รู้แล้ว คนเราน่ะมักเผลอแสดงตัวตนของตัวเองออกมาโดยไม่รู้ตัวทั้งนั้นแหละ อย่างจิวเป็นคนที่มีความรู้ในด้านข้อมูลต่างๆดูจากการพูดเมื่อวานก็รู้แล้วทว่าทั้งกระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกงหรือแม้แต่บนโต๊ะกลับไม่มีสิ่งที่ใช้จดข้อมูลเหล่านั้นแสดงว่ามีความจำเป็นเลิศ”


“...ใช่ จิวมีความจำดีมากแค่ได้ฟังหรือเห็นอะไรก็จะจำได้ในเวลาอันรวดเร็ว”


“ว่าแล้ว”พียงแค่ใช้การสังเกตผิวเผินผมก็สามารถวิเคราะห์อีกฝ่ายได้ ถึงได้บอกไงว่าคนเราน่ะดูออกง่ายกว่าที่คิดต่อให้พยายามปกปิดสักเท่าไหร่ก็ตามที


“ใช้แค่การมองสามารถวิเคราะห์ได้ขนาดนี้เลย?”


“ก็ไม่ใช่เรื่องยาก”


“งั้นงานนี้คุณว่าควรให้ใครไป”ใบไธม์ยื่นเอกสารชุดนึงมาให้


ผมจะไล่อ่านและเสนอไปตามที่ตัวเองคิด คดีแต่ละคดีล้วนแตกต่างการไปการจะเลือกคนไปจัดการคดีเหล่านั่นจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่เพียงแค่เก่งแต่ต้องเข้ากันได้ดีในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น


“...ส่วนคดีนี้คุณควรไปทำ อ้อ ไปกับผมก็ดีนะ”ผมพูดเสนอคดีตามจับคนร้ายคดีลักพาตัวต่อเนื่องโดยเสนอชื่อใบไธม์ไป คดีนี้จำเป็นต้องใช้ไหวพริบและความคล่องแคล่วสูงในการตามหาและไล่จับ ที่สำคัญคือพวกคนร้ายคดีลักพาตัวมักจะมีความระมัดระวังตัวสูงจึงไม่ควรส่งคนที่เป็นจุดเด่นออกไป


ใบไธม์มีหน้าตามธรรมดาซึ่งกลืนไปตามฝูงชนได้โดยไม่ผิดแปลก


แต่ก็แปลกที่ผมรู้สึกว่าตัวตนของเขาเริ่มเด่นขึ้นเรื่อยๆ


“เสนอได้ดีที่จะให้ผมไปทำคดีนี้”ใบไธม์พยักหน้าพลางอ่านรายละเอียดในมืออย่างรอบคอบ คดีคนร้ายลักพาตัวต่อเนื่องนี่ถือเป็นคดียากเพราะมีเพียงหลักฐานเล็กๆผ้าชุบยาสลบที่ตกอยู่เท่านั้น แถมผ้านั่นยังเป็นเศษผ้าที่ตัดมาจากเสื้อจึงไม่สามารถหาร้านได้อีกทั้งยังไม่พบลายนิ้วมือหรือแม้แต่เนื้อเยื่อ


“ผมไปด้วย”ระหว่างพูดผมก็ชี้นิ้วมายังตัวเอง


“ไม่ล่ะ ผมจะไปคนเดียว”


“อ้าว ไม่ใช่ว่าต้องทำงานกันเป็นคู่เหรอ”เห็นคดีอื่นยังต้องใช้อย่างน้อย2คนเลย


“ปกติก็ใช่ แต่สำหรับผมการทำคนเดียวกับคดีแบบนี้จะสะดวกกว่า”คำพูดเหล่านั้นคล้ายจะแฝงความหมายอะไรบางอย่างไว้
คดีแบบนี้สะดวกกว่าเหรอ


อีกฝ่ายดูเหมือนมีความลับที่ไม่อยากบอกอยู่


สงสัยและอยากถาม


แต่ความรู้สึกผมมันบอกว่าถึงจะถามก็คงไม่ได้คำตอบ


“เสี่ยงไปรึเปล่า”คิดจะจัดการคดีตามลำพังมันค่อนข้างเสี่ยงต่อให้มีฝีมือแต่ส่วนมากก็ไม่โดดไปเสี่ยงทำคดีคนเดียวหรอก


“ไม่มีงานอะไรที่ไม่เสี่ยง ผมรับมือได้”ใบไธม์ตอบพร้อมเลื่อนแฟ้มเอกสารคดีไปวางไปด้านข้างโดยมีเอกสารประมาณ3คดีอยู่ในมือ


“จะไปเลย?”


“อืม ยิ่งจับคนร้ายได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ฝากเอาข้อมูลคดีพวกนี้ไปให้พวกเขาด้วยละกัน”เอกสารนั้นคือคดีที่ผมคุยกับอีกฝ่ายเมื่อครู่ว่าใครเหมาะสมจะไปทำคดีอะไร


“ได้ เดี๋ยว...คดีนั่นอยู่ไกลนี่ แปลว่าจะไม่อยู่หลายวันเหรอ”ผมเงยหน้าถามคนที่ลุกขึ้นยืนเตรียมตัวออกไป


“คงงั้น น่าจะ3หรือ4วัน”


“แล้วผมล่ะ”จะทิ้งกันไว้แบบนี้เหรอ


“ผมบอกให้แม็กซื้อของใส่ตู้เย็นไว้แล้วลองไปหยิบๆทำดู ทั้งกระทะทั้งหม้อหุงข้าวก็มีอยู่ในตู้ด้านล่าง”


“ไม่กลัวผมหนีรึไง”


“...คุณไม่มีเหตุให้ต้องหนีนี่”ใบไธม์นิ่งไปสักพักก่อนตอบกลับมา


“มีสิ ผมอาจหนีไปหาคุณก็ได้”


“...”อีกฝ่ายเลือกใช้ความเงียบแทนคำตอบ ดวงตาสีน้ำตาลนั่นฉายแววปลงปนขบขัน


“เปลี่ยนใจให้ผมไปด้วยได้นะ”ผมลองเสนออีกรอบเผื่อจะเปลี่ยนใจ


“จัดการคนเดียวเร็วกว่า รออยู่นี่เป็นเด็กดีละกัน”พูดจบก็หยิกแก้มผมเบาๆแล้วเดินออกจากห้องไป


พูดเหมือนผมเป็นเด็กอีกแล้ว...น่าแปลกที่ไม่รู้สึกโกรธเลยสักนิด


“ถ้าเป็นเด็กดีจะมีรางวัลให้รึเปล่า”ผมพึมพำพลางยืนมองจนแผ่นหลังนั่นลับตาไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ จะบอกว่าผิดหวังก็ไม่เชิงมันผสมกับความรู้สึกหนักๆบอกไม่ถูกเหมือนกัน


เอกสารในมือถกนำไปแจกจ่ายให้กับคนที่อยู่ มีหลายคนออกไปจัดการคดีอยู่ในห้องทำงานนี้จึงเหลือเพียงไม่กี่คนจากห้องที่โล่งอยู่แล้วก็ยิ่งโล่งเข้าไปใหญ่


หน่วยสืบสวนพิเศษถ้ารวมผมก็มี10คน


จะเรียกว่าน้อยก็ใช่ ถ้าเป็นหน่วยอื่นมีคนไม่รู้เป็นกี่เท่าของที่นี่


ปริมาณคนไม่ได้นำไปใช้วัดความสามารถ


แม้จะมี10หรือร้อยคนแต่หากเอาแต่เกี่ยงหรือโยนนู่นโยนนี่ให้กันก็มีสิทธิ์แพ้คนเพียงคนเดียวได้ไม่ยาก ซึ่งความสามารถเองเป็นสิ่งที่ไม่อาจสอนและเป็นกันได้เพียงชั่วข้ามคืน


ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับแต่ละคน


หลายคืนผ่านไปผมนั่งๆนอนๆด้วยความเบื่อหน่ายโดยยังไม่ได้เห็นใบหน้าของใบไธม์หรือรองหัวหน้าหน่วยสืบสวนคดีพิเศษเลย ไม่มีข่าวคราวติดต่อมานั่นแปลว่ากำลังยุ่งกับการจัดการคดี


“รองหัวหน้า? ฝีมือระดับนั้นแค่คนร้ายคดีลักพาตัวไม่เท่าไหร่หรอก”จิวบอกมาเมื่อเย็นวันหนึ่งที่ผมเข้าไปถาม


ดูเหมือนทุกคนในหน่วยจะรู้ดีถึงความสามารถของรองหัวหน้าหน่วยตัวเองดีเทียบกับผมที่ไม่รู้ฝีมือของอีกฝ่ายเลย แม้จะเดาได้จากการสังเหตุว่าฝีมือไม่ธรรมดาก็ตาม


“ความรู้สึกหน่วงๆโหวงๆนี่มันอะไรกัน”ผมพึมพำพลางนอนหงายอยู่บนโซฟาในห้องทำงาน


ห้องนอนที่เตรียมให้ใช่ว่าไม่ดี ทุกอย่างล้วนดีมากเพียงแค่ผมชอบที่จะได้นอนเฝ้าประตูอยู่ตรงนี้เวลาที่ใบไธม์กลับมาผมจะได้เห็นเป็นคนแรก ผมพลิกตัวหันหน้าไปทางกระจกซึ่งจากมุมนี้สามารถเห็นโต๊ะของอีกฝ่ายได้ชัดเจน


หากหลับแล้วลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นใบไธม์เป็นอย่างแรกก็คงจะดี



(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่5) 13/4/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 13-04-2018 20:07:11
(ต่อค่ะ)

กึก


เสียงฝีเท้าเบาๆดังขึ้นพร้อมกับสติผมที่เริ่มกลับเข้าร่างแต่ยังไม่ลืมตาทำเพียงปรือตาเพื่อมองเท่านั้น ความมืดที่ตรงหน้าแสดงให้เห็นถึงเวลาของการหลับใหลนั่นแปลว่ามีใครบางคนเข้ามาในตึกของหน่วยสืบสวนพิเศษ


โจรหรือว่าเป็นใคร


ระหว่างสมองกำลังคิดประมวลผลสัมผัสของผ้าก็คลุมทับร่างผมตั้งแต่ส่วนคอจนถึงปลายเท้า ดวงตาสีเขียวมรกตของผมลืมขึ้นเด้งตัวลุกนั่งพร้อมคว้าแขนเงยหน้ามองคนในความมืดนั่น แม้จะมืดทว่ายังมีแสงจากดวงจันทร์คอยให้ความสว่างอยู่แต่ถึงจะไม่มีแสงผมคิดว่าตัวเองรู้ถึงตัวตนของคนตรงหน้านี่


“ใบไธม์?”ผมพึมพำชื่อนั่นเสียงเบาหวิวคล้ายไม่แน่ใจว่าเป็นความจริงหรือความฝันกันแน่


“ผมทำให้ตื่นสินะ”อีกฝ่ายตอบกลับมา


ตัวจริง...ใบไธม์ตัวจริง


“ไม่...เอ่อ ก็ใช่”เป็นครั้งแรกที่พูดติดขัดได้อย่างน่าอายขนาดนี้


“ทำไมไม่นอนในห้อง”


“ไม่อยากนี่”


“แล้วเล่นเปิดแอร์แบบนี้ทำไมไม่ห่มผ้า”


“ห่วงผมเหรอ”รอยยิ้มผมปรากฏขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติกว่าครั้งไหนๆเพียงแค่ได้ยินประโยคแสดงความห่วงใยจากคนชื่อใบไธม์


ครอบครัวผมจากไปตั้งแต่ผมอยู่มัธยมปลาย ผมใช้ชีวิตโดยไม่มีญาติหรือใครคอยดูแล ใช้คำพูดวาจาเพื่อเอาตัวรอดในสังคม บางทีก็ไปอาศัยอยู่กับคนอื่นบ้าง บางทีก็หลอกเอามาแค่เงินไปหาซื้อห้องอยู่พอเบื่อก็เปลี่ยนที่ใหม่ ช่วยแก้เบื่อในชีวิตได้ดีไม่น้อย


เคยได้รับความห่วงใยจากบรรดาสาวๆหนุ่มๆหรือกระทั่งคนมีอายุมาไม่รู้เท่าไหร่แต่ไม่เคยรู้สึกดีเท่ากับเวลาได้ยินคำพูดเหล่าจากจากใบไธม์


“ไม่ได้ห่วง”


ไม่ได้พูดว่าเป็นห่วงแต่ถ้อยคำและประโยครวมไปถึงน้ำเสียงทั้งสื่อและแสดงความรู้สึกออกมาเต็มเปี่ยม


รู้สึกดีจนหุบยิ้มไม่ได้


ผมนี่ท่าจะบ้าไปแล้ว


“อย่าเขินน่า”


“ไม่ได้เขิน แล้วปล่อยมือผมด้วย”ใบไธม์บอกพร้อมชักมือที่ถูกจับแรงจนต้องต้องปล่อย


“กลับมาช้านะนึกว่าจะรอผมหนีไปหาซะอีก”


“ช้า? ผมไปแค่2คืนเองนะ”


“...”2คืนเองเหรอ...แล้วทำไมผมถึงรู้สึกว่ามันนานนัก


“นี่เบซิล”เสียงตะโกนเรียกดังขึ้นหลังจากใบไธม์เดนไปเปิดไฟแล้วเปิดตู้เย็นริมผนังห้องออก


“อะไร”ผมเดินไปหาอีกฝ่าย


“ทำไมของมันไม่พร่องเลยล่ะ มีแค่ไข่เองที่หายไป คุณทำอาหารเป็นแค่ไข่?”อีกฝ่ายหันมาถามตรงๆ


“อย่าดูถูกผม เห็นแบบนี้ผมทำอาหารเก่งนะขอบอก”อยู่คนเดียวมาตั้งนานทำไมจะทำอาหารไม่ได้


“แล้วทำไมกินแค่ไข่”


“ก็ขี้เกียจ”ทำอย่างอื่นวุ่นวายจะตายไป


“เดี๋ยวสารอาหารก็ได้ไม่ครบหรอก”


“บอกตัวเองใช่ไหม”ผมย้อนกลับ


“หมายความว่าไง”


“ก็ถ้าให้เทียบคุณยังตัวเล็กกว่าผมเลย น่าจะเป็นคุณมากกว่านะที่ขาดสารอาหาร”แม้จะไม่ได้ดูตัวเล็กบอบบางแต่ก็เล็กกว่าผม


“นั่นเพราะคุณมีเชื้ออิตาลี่ต่างหากเล่า”เหมือนคำพูดผมจะทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิดซะแล้วสิ


สงสัยจะไม่ชอบให้ใครบอกว่าตัวเล็กละมั้ง


“งั้นมั้ง จะว่าไปทำไมถึงกลับมานี่ดึกๆล่ะ”ผมถามบ้าง ต่อให้บอกว่าทำคดีเสร็จแต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องมาในเวลานี้ควรกลับห้องไปพักผ่อนซะจะดีกว่า


“มาดูเผื่อมีนักโทษหลบหนีจะได้ไล่ตามจับทัน”


“ไม่ต้องเสียเวลาไล่ตามหรอก แค่คุณยืนนิ่งๆเดี๋ยวผมก็วิ่งมาหาเองแหละ”


“ส่ายหางด้วยสินะ”


“ผมคนนะไม่ใช่สุนัข”


“อาจเป็นจิ้งจกก็ได้นะ”


“จิ้งจงที่ไหนส่ายหางกัน”


“เอาเถอะ ชักหิวแล้วสิ”ใบไธม์พึมพำพลางหันไปมองของในตู้เย็น


“ให้ผมทำให้ไหม”ผมเสนอตัว


“ทำได้แน่นะ”แววตาที่มองมานั่นดูไม่ไว้ใจในฝีมือการทำอาหารของผมอยู่พอสมควร


“แน่สิ”


“รู้ใช่ไหมว่าผมไม่...”


“คุณไม่กินเนื้อสัตว์”ผมพูดแทรกสิ่งที่ใบไธม์จะบอก


เรื่องนี้ผมรู้อยู่แล้ว ได้ยินครั้งเดียวก็มากพอให้จดจำ


“ไข่ก็ไม่ได้นะ”ใบไธม์บอกเพิ่ม


“ไข่ด้วย? งั้นผัดถั่วงอกใส่เต้าหู้ได้ไหม”มือผมที่กำลังจะหยิบไข่ถึงกับชะงัก โชคดีที่เหลือบไปเห็นเต้าหู้กับถั่วงอกที่แม็กพึ่งซื้อมาใส่ไว้เมื่อเช้าเข้า


“ได้”


“โอเค ไปนั่งรอที่โต๊ะก่อนเสร็จแล้วผมจะยกไปเสิร์ฟถึงที่เลย”


“ผมจะหุงข้าวละกัน แบ่งกันทำจะได้เสร็จเร็ว”ใบไธม์เสนอพลางก้มลงไปหยิบหม้อหุงข้าวด้านล่าง


“อืม”ผมพยักหน้าตกลง


พวกเราแยกกันทำหน้าที่ของตัวเองอย่างผมก็หยิบเต้าหู้กับถั่วงอกออกมาแช่น้ำ หั่นเต้าหู้แล้วลงมือตั้งกระทะใส่เต้าหู้ลงไปทอดให้กรอบก่อนเล็กน้อยก่อนจะเอาขึ้นไปพักไว้ตามด้วยเทถั่วงอกลงไปผัดเคล้าเครื่องปรุงรสเล็กน้อยปิดท้ายโดยการเทเต้าหู้ผัดเร็วๆเป็นอันเสร็จ


เวลาในการทำพอดีกับข้าวหุงสุก ใบไธม์ตักข้าวสองจานไปวางไว้บนโต๊ะเรียบร้อยพร้อมน้ำดื่มสองแก้ว ผมวางจานผัดถั่วงอกลงตรงกลาง


“น่าจะทำอีกสักอย่าง”ผมบอกระหว่างตักผัดถั่วงอกเข้าปาก


พึ่งมาคิดได้ว่าทำอย่างเดียวมันน้อยเกินไป


อีกสักอย่างพวกผัดผักน่าจะได้อยู่


“ไม่เป็นไรแค่นี้ก็พอแล้ว”อีกฝ่ายพูดพลางตักอาหารเข้ามาปาก


“เป็นไง ใช้ได้ไหม”ผมรอลุ้นว่ารสชาติจะออกมาเป็นยังไง ต่อให้พูดว่าทำอาหารเป็นแต่ใช่ว่ารสชาติจะถูกปากไปซะทุกคนแถมส่วนมากผมมักจะมีคนทำให้ไม่ก็ซื้อกิน


ไม่ค่อยได้ทำเองบ่อยนัก


“อือ...อุ๊บ”ยังไม่ทันพูดจบประโยคคนตรงหน้าก็ยกมือขึ้นมาปิดปากแน่นพร้อมกับรีบลุกขึ้นก้าวยาวๆไปที่ไหนสักแห่ง


“ใบไธม์ เป็นอะไร”ผมลุกตามอีกฝ่ายไปด้วยความเป็นห่วง


ท่าทางแบบนี้มันไม่ปกติ


“ไม่...อุก”ทั้งร่างทรุดลงกับพื้นพร้อมอาเจียนออกมาจนเลอะทั้งมือและพื้นไปหมด


“ใบไธม์”ผมเข้าไปช่วยพยุงอีกฝ่ายที่ดูเหมือนไม่สามารถทรงตัวได้เอาแต่ก้มหน้าอาเจียอยู่บนพื้น


“...แค่ก ห้องน้ำ พาผมไป”แม้จะพูดเว้นวรรคแต่ผมก็สามารถเข้าใจได้


“ได้...ค่อยๆเดินนะ”ผมพยุงร่างของใบไธม์ไปทางห้องน้ำระหว่างทางยังอาเจียนออกมาอยู่แต่เขาพยายามปิดปากตัวเองไว้แน่นจนมาถึงห้องน้ำก็รีบพุ่งตัวไปอาเจียนต่อในโถชักโครก


เหตุการณ์ตรงหน้าทำเอาผมทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง


สุดท้ายผมจึงเดินเข้าไปช่วยลูบแผ่นหลังที่กระเพื่อมขึ้นลงจากการอาเจียนเบาๆ เหมือนจะเคยได้ยินมาว่าเวลาอาเจียนควรมีคนช่วยลูบหลัง ท่าทางของใบไธม์ดูทรมานมาก เพียงแค่คำเดียวที่กินอาหารฝีมือผมกลับส่งผลให้เป็นหนักถึงขนาดนี้เลยเหรอ


ผมไม่ได้ใส่เนื้อสัตว์หรืออะไรแปลกๆลงไปเลยนะ


“น้ำไหม”ผมยื่นขัดน้ำไปให้อีกฝ่ายซึ่งหอบเหนื่อยอยู่บนพื้นของทุกอย่างในกระเพราะถูกอาเจียนออกมาจนหมดสิ้น


“...อือ”ใบไธม์รับขันน้ำนั่นไปบ้วนมากด้วยท่าทีเหนื่อยล้า


ระหว่างรอให้เขาอาการดีขึ้นผมก็จัดการทำความสะอาดพื้นแล้วกลับมานั่งข้างๆมองดูใบหน้าอิดโรยจากการอาเจียนติดต่อกันมาหลายสิบนาที


“ขอโทษ”ผมเอ่ยออกไป ดูจากรูปการต้องเป็นเพราะอาหารที่ผมทำแน่ๆ


แต่ทำไมผมถึงไม่เป็นอะไรเลยล่ะ


“...ไม่...ไม่เป็นไร”ใบไธม์ตอบพลางขยับตัวเล็กน้อยมองหน้ามองที่กำลังจับจ้องไป


“เกิดอะไรขึ้น”


“คงเพราะ...กินเนื้อสัตว์...”


“ผมไม่ได้ใส่เนื้อสัตว์ลงไปเลยนะ”ผมรีบค้าน ในผัดถั่วงอกมีแค่ถั่วงอกและเต้าหู้เท่านั้นที่เหลือก็พวกเครื่องปรุงแต่เครื่องปรุงพวกนั้นไม่มีเนื้อสัตว์ปนอยู่...


เดี๋ยวนะ


เครื่องปรุงที่มีเนื้อสัตว์งั้นเหรอ


“คงเป็นน้ำมันหอย”คนข้างพึมพำบอก


“...น้ำมันหอย”ใช่...น้ำมันหอยมีส่วนผสมของเนื้อหอยซึ่งผมใส่มันลงไปในผัดเต้าหู้ตามความเคยชินโดยลืมไปว่ามันมีเนื้อสัตว์ผสมอยู่


บ้าจริงๆเลย


เพราะผมทำให้ใบไธม์ต้องทรมานแบบนี้


“ไม่เป็นไร ผมไม่ได้บอกไว้เอง”


“เพราะผมไม่ได้ดูดีๆ...ขอโทษ ไหวไหม”ผมถามต่อ ท่าทางของใบไธม์ยังดูไม่ค่อยดีเลย


“ยังมึนหัวอยู่...”เสียงเหนื่อยๆมาพร้อมกับศีรษะที่เอนมาสบไหล่ผม


“ใบไธม์”ผมมองภาพอีกฝ่ายซบไหล่ตัวเองด้วยความรู้สึกหลากหลาย หัวใจอยู่ๆมันก็พองโตขึ้นมาแต่เพียงไม่นานความรู้สึกผิดก็เข้าจู่โจมอีกระรอกนึง


“...นี่เบซิล”


“อืม”ผมขานรับเสียงเรียก


“ผมไม่เป็นไร”


“...ขอโทษ”ความรู้สึกผิดยังคงไม่หายไปง่ายๆ


“อืม”


“ขอโทษนะ”


“อืม...ผมรับคำขอโทษ เลิกขอโทษได้แล้ว”


“ขอโทษนะ”


“เบซิล นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเป็นเพราะงั้นเลิกขอโทษแล้วก็ไม่ต้องทำหน้าเสียใจแบบนี้หรอก”ไม่พูดเปล่าใบไธม์ใช่มือข้างนึงยกขึ้นมาสัมผัสแก้มผมเบาๆพร้อมรอยยิ้มที่ได้เห็นเต็มตาเป็นครั้งแรก การกระทำเหล่านั้นคล้ายจะบอกว่าคลายใบหน้าเครียดๆนี่ลงเถอะ


สัมผัสขอฝ่ามือบนแก้มทำเอาทั้งร่างรู้สึกอุ่นขึ้น


เช่นเดียวกับรอยยิ้มที่ช่วยคลายความรู้สึกผิดไปได้มาก


“มันไม่ใช่แค่ไม่ชอบเนื้อหรือบนไว้ใช่ไหม”ผมถามกลับพลางประสานดวงตาของตัวเองเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลตรงหน้า


ผมอยากรู้แต่ก็พอเดาได้ว่าไม่ใช่สิ่งที่ควรถาม เพราะถึงถามคงไม่ได้คำตอบกลับมา


ไม่รู้เพราะอะไรผมถึงรู้สึกแบบนั้น


ทั้งที่รู้ว่าไม่ควรแต่ก็ยังเลือกที่จะถามออกไป


“...อืม”นิ่งไปสักพักผมก็ได้รับคำตอบที่คาใจกลับมา


“แล้วดูท่าคงไม่ใช่อาการป่วยด้วย”ผมยังคงถามต่อ


อาการที่กินเนื้อสัตว์ไม่ได้มันไม่น่าใช่อาการป่วยหรือโรคอะไร


“อืม”


“บอกผมได้ไหม”ผมกลั้นใจถามออกไป


อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


และตอนนี้ผมคงทำได้เพียงหวัง...


หวังให้ได้รับคำตอบนั้นกลับมา


“...ขอโทษ”ใบไธม์เงียบไปนานมากเหมือนกำลังคิดหลายๆอย่างก่อนจะตอบกลับมา


เป็นคำตอบที่ทำเอาหัวใจรู้สึกชาจนแทบหยุดเต้น


ทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้วแต่ก็ดันเผลอคาดหวัง


“วันนี้คุณไปนอนห้องผมเถอะ เดี๋ยวช่วยพยุงไป”ผมเปลี่ยนเรื่องพลางช่วยพยุงอีกฝ่ายไปจนถึงเตียงในห้องที่อยู่ถัดไปอีกสองห้อง


พอหัวถึงหมอนไม่รู้ว่าเพราะความเหนื่อยล้าจากการทำคดีหรืออาเจียนติดต่อการเกือบชั่วโมงทำให้อีกฝ่ายหลับสนิทไปอย่างรวดเร็ว


อาการของใบไธม์มันไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว


จะบอกว่าเพราะกินเนื้อสัตว์เหรอ


แต่ทำไมถึงอาเจียนขนาดนั้นกัน


ดวงตาสีเขียวของผมจับจ้องไปยังใบหน้าของใบไธม์ที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงด้วยความรู้สึกสงสัยและอยากรู้


สงสัยถึงความลับบางอย่างที่ยังปิดซ่อนไว้


อยากรู้ถึงความจริงทุกๆอย่างจากปากของเจ้าตัว


“คุณมีความลับอะไรอยู่กันแน่...ใบไธม์”

............................................................................

สุขสันต์วันสงกรานต์นะคะทุกคน

ถือเป็นการอัพฉลองได้ไหม 555

ตอนนี้ค่อนข้างแต่งยากเพราะเป็นบทที่เบซิลเป็นคนบรรยาย พึ่งเคยให้เบซิลเดินเรื่องครั้งแรกเลยรู้สึกแปลกๆ หน่อย

หลายคอมเม้นท์บอกว่าเบซิลน่ารัก ซึ่งเราก็ว่าน่ารักโดยเฉพาะเวลาขอรางวัล

เบซิลไม่ใช่สายบู๊เหมือนอย่างใบไธม์แต่เป็นสายใช้สมองเลยดูเหมือนอ่อนแอกว่าใบไธม์เยอะแต่เรื่องความเจ้าเล่ห์และกระล่อนต้องขอยกให้พ่อคนนี้เลย

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่5) 13/4/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 13-04-2018 20:31:07
นึกว่าจะได้เห็นเป็นร่างสัตว์กลับมาเสียอีก เสียดายจัง  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่5) 13/4/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 13-04-2018 21:24:04
ดูแลดีๆ เลยนะเบนซิล
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่5) 13/4/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-04-2018 00:23:39
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่5) 13/4/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: asmar ที่ 16-04-2018 20:53:39
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่5) 13/4/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 17-04-2018 10:45:44
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่5) 13/4/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Autonomyz ที่ 17-04-2018 21:42:36
ถ้ากินน้ำมันหอย แล้วน้องต้องกลายเป็นหอยไหมอ่ะ

คงน่ารักน่ากินน่าดู หิวเลย...เอิ้กๆ

รอลุ้นอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่6) 26/4/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 26-04-2018 19:38:59
สืบรัก彡คดีที่6



ดวงอาทิตย์สีเหลืองสดมาพร้อมกับแสงแดดรำไรในยามรุ่งสาง เป็นสัญญาณของการตื่นนอนทว่าสำหรับผมและน้องชายคนเล็กไม่ใช่ หมัดขวาตรงเหวี่ยงเข้าหาใบหน้าของคู่ต่อสู้โดยไม่มีการออมแรงเช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่เบี่ยงตัวหลบพร้อมยกขาขึ้นเตะสูงจนคนโจมตีต้องก้าวถอยหลังเพื่อตั้งหลัง


ผมไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวก้าวเข้าไปประชิดในจังหวะนั้นแล้วปล่อยหมัดซ้ายขวาใส่น้องชายตัวเอง แน่นอนว่าด้วยทักษะและเซ้นส์ทางด้านกีฬาทำให้ฝ่ายนั้นสามารถมองการเคลื่อนไหวของผมออกและหลบหมัดได้หมด


โป๊ยกั๊กหรือน้องชายคนสุดท้องของผมปัดหมัดที่เข้าปะทะออกก่อนพุ่งตัวเข้ามาพร้อมกับใช้ศอกโจมตี ผมรีบกระโดดไปข้างหลังเพื่อเว้นระยะห่างมากขึ้น


ศอกเมื่อครู่ถ้าเป็นคนอื่นมีได้แผลไปแล้ว


“เก่งขึ้นอีกแล้วนะ”ผมเอ่ยปากชมโดยสายตายังคงจับจ้องไปยังโป๊ยกั๊ก การต่อสู้นี้ยังไม่จบขืนผมประมาทคงไม่จบลงที่แผลถลอก


“พี่เองก็เก่งขึ้นมากกว่าครั้งก่อนที่เจอกันอีก ไปฝึกมาตอนไหนกัน”โป๊ยกั๊กถามกลับบ้าง พวกเรายังคงเว้นระยะห่างเพื่อรอดูเชิงว่าใครจะเป็นคนเปิดฉากบุกก่อน


“ตอนนออกไปทำคดีละมั้ง”ผมเองไม่มั่นใจนักหรอกว่าฝีมือเพิ่มขึ้นรึเปล่า


ไม่ได้มั่นใจถึงขนาดจะบอกว่าตัวเองเก่งแต่ก็ไม่ได้อ่อนแอ


“ทางการส่งคดียากๆให้พี่ทำอีกแล้วสินะ”


“อย่าพูดแบบนั้น คดีง่ายๆก็มีส่งมา”


“ทำกันเองไม่ได้เลยรึไง”โป๊กกั๊กพูดเสียงดัง


“โดนจับขึ้นมาพี่ไม่ช่วยนะ”ผมแกล้งพูดไปอย่างงั้น ถ้าน้องชายผมถูกจับขึ้นมาจริงๆผมคงเป็นคนแรกที่วิ่งไปจัดการ


“ผมรู้ว่าพี่ไม่ปล่อยผมไว้หรอก”


“รู้ดี”ผมยิ้มพลางลดการป้องกันลง


“เสร็จผมล่ะ”โป๊ยกั๊กเองก็รู้ว่าผมลดการป้องกันลงจึงใช้โอกาสนั้นวิ่งเข้ามาใกล้ ลูกแตะอันแรกผมเบี่ยงตัวหลบได้ไม่ยากนักทว่าลูกแตะอีกข้างกลับเฉียดหน้าท้องผมไปไม่กี่นิ้ว


โป๊ยกั๊กส่งลูกแตะมาอีกระลอกหนึ่งซึ่งผมเองก็เพ่งสมาธิไปกับการมองการเคลื่อนไหวและอาศัยช่วงว่างเล็กๆหลังจากเตะเสร็จใช้มือข้างนึงจับขาอีกฝ่ายแล้วบิดหมุนจนร่างกายเซใกล้ล้ม ผมคว้าแขนโป๊ยกั๊กเพื่อกันไม่ให้ล้มและเมื่อเขาทรงตัวได้แล้วผมจึงเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วใช้นิ้วดีดหน้าฝากนั่นเบาๆ


“พี่ชนะ”ผมยิ้มระหว่างบอก


“...ตัวแค่นี้เอาแรงมาจากไหนเนี่ย”โป๊กกั๊กนิ่งไปสักพักก่อนจะบ่นกลับมา


เป็นอย่างที่น้องชายผมว่า หากเทียบรูปร่างผมกับโป๊ยกั๊กนั้นต่างกันอยู่ค่อนข้างมาก โป๊ยกั๊กทั้งสูงกว่า ตัวใหญ่กว่าและมีเซ้นด้านกีฬามากกว่า ส่วนผมแม้จะไม่ได้ผอมแห้งแต่ก็ไม่ได้บึกบึนนัก มีกล้ามก็จริงทว่าไม่ได้มากมายขนาดจะโชว์ใครได้


“การเคลื่อนไหวเราก็ดีขึ้นเยอะนี่ จังหวะขาเหมือนคาราเต้เลย”จากการฝึกซ้อมต่อสู้เมื่อครู่ผมเห็นการเคลื่อนไหวของโป๊ยกั๊กค่อนข้างชัดเจน


“อ้อ คงเพราะต้องไปช่วยทีมคาราเต้แข่งเลยติดมา”อีกฝ่ายตอบตรงๆไม่มีการปิดบัง


น้องชายผมคนนี้ด้วยความที่มีเซ้นเรื่องการเคลื่อนไหวเป็นยอดประกอบกับทักษะด้านกีฬาที่ไม่ว่าจะเป็นกี่ฬาอะไรก็สามารถเล่นได้ทำให้ถูกแย่งชิงตัวตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียน แต่โป๊ยกั๊กเป็นคนที่ไม่ชอบความยุ่งยากเลยไม่เข้าชมรมไหนจริงจัง


ถ้าแค่ให้ไปช่วยแข่งก็ไม่มีปัญหาเลยมีหลายชมรมเข้ามาขอร้องให้ไปช่วยแข่งนับไม่ถ้วน


เรื่องพลังพิเศษของโป๊ยกั๊กคือการพูดคุยกับตัวเองอีกคนในกระจกได้ แม้จะเป็นตัวเองแต่กลับมีทั้งบุคลิกและนิสัยที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง อย่างโป๊ยกั๊กที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมเป็นคนที่ไม่ชอบเรื่องยุ่งยาก มีเซ้นและทักษะด้านกีฬาดี เวลามีเรื่องก็ไม่แพ้ใครแต่หากเป็นโป๊ยกั๊กในกระจกจะเป็นคนค่อนข้างเก็บตัวและไม่สู้คน


เป็นบุคลิกซึ่งต่างราวกับเป็นคนละคน


บางครั้งตัวตนในกระจกจะสลับออกมาเป็นตัวจริงซึ่งครอบครัวเราจะเรียนเขาว่าก้านพลู ผมเองก็เคยเจออยู่บ่อยๆ สำหรับผมไม่ว่าจะเป็นโป๊ยกั๊กหรือก้านพลูก็ยังคงเป็นน้องผมอยู่ดี


ถึงตัวโป๊ยกั๊กเองจะไม่ค่อยชอบตัวตนที่อ่อนแอของก้านพลูในกระจกก็ตาม แต่ผมคิดว่าต้องมีสักวันหนึ่งที่เขายอมรับตัวตนทั้งสองบุคลิกของตัวเอง


“โอ๊ะ ป่านนี้แล้ว?”ผมถึงกับตาโตเมื่อเห็นนาฬิกาบอกเวลา8โมงครึ่งบนหน้าปัด


ผมว่าตัวเองตื่นมาซ้อมกับโป๊ยกั๊กตอน6โมงครึ่งนะ แล้วทำไมแป๊บๆถึงกลายเป็น8โมงครึ่งไปได้ก็ไม่รู้


“กี่โมงแล้วพี่”โป๊ยกั๊กถามบ้าง


“8โมงครึ่ง มีเรียนกี่โมง?”ผมถามกลับ


“วันนี้โรงเรียนหยุด พี่เถอะสายแล้วนี่จะไม่เป็นไรเหรอ”


“ไม่เป็นไร ไม่มีรูดบัตรหรอก”หน่วยสืบสวนคดีพิเศษไม่เหมือนกับหน่วยอื่นๆ พวกเราต่างเป็นอิสระกว่า และเพราะความเป็นอิสระเหล่านั้นทำให้พวกเราสามารถจัดการคดีต่างๆได้โดยง่าย


ไม่มีข้อจำกัดด้านวิธีการ


ไม่มีการผูกมัดด้านเวลา


จะทำอะไรหรือใช้วิธีไหนนั้นเป็นเรื่องของแต่ละคน


“แลสบายจัง ถ้าผมเรียนจบแล้วไปสมัครพี่อย่าลืมรับผมด้วยล่ะ”โป๊ยกั๊กพูดติดตลก


“พี่ไม่ได้มีอำนาจขนาดนั้น”การจะรับใครเข้ามาต้องฝ่ายการอนุมัติจากหัวหน้าซะก่อน


“เป็นถึงรองหัวหน้าจะไม่มีอำนาจได้ไง”


“แลอยากมาอยู่นะโป๊ยกั๊ก”


“แค่เห็นพี่ดูชอบงานนี้เลยอยากรู้ว่ามีอะไรน่าสนใจเท่านั้นเอง”


“มันเหมาะกับพี่และพลังที่มี”ผมตอบไปตามตรง หน่วยสืบสวนพิเศษนี้เหมาะกับผมมากกว่าที่อื่น


ก่อนหน้าจะมาอยู่หน่วยสืบสวนพิเศษผมเคยอยู่กับทางการด้านบัญชีมาก่อนและด้วยผลงานที่มีแต่กลับยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ดูเตะตาหัวหน้าไพลสันต์เข้าจึงเรียกให้ผมไปเข้าร่วมหน่วยสืบสวนพิเศษซึ่งผมสามารถเป็นตัวเองได้มากกว่าตอนอยู่กับทางการส่งผลให้ผลงานโดดเด่นขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งถูกเลื่อนให้เป็รรองหัวหน้าทั้งที่ทำงานมาได้เพียงไม่กี่ปี


น่าแปลกที่คนในหน่วยกลับเห็นด้วยหมด


ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าผมเหมาะจะเป็นรอง บรรยากาศรอบๆตัวผมช่วยให้งานยากๆง่ายลง


พูดตรงๆว่าผมไม่เข้าใจสักนิดว่าพูดถึงเรื่องอะไรกัน


บรรยากาศรอบตัว?


จะว่าไปก็มีอีกคนที่บอกเป็นแนวๆเดียวกัน


เบซิล


พอพูดถึงภาพของเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนก็ปรากฏขึ้นมา หลังจากจัดการคดีเสร็จผมกลับมาดูยังตึกทำงานว่าอีกฝ่ายหนีไปรึยัง นอกจากจะไม่หนีแล้วยังนอนหลับตากแอร์อยู่ในห้องทำงานอีก เหตุการณ์หลังจากนั้นคือเบซิลทำอาหารให้กินและผมกลับอ้วกออกไปจนหมดกระเพาะเพียงเพราะร่างกายได้รับเนื้อสัตว์เข้าไป


น้ำมันหอยเป็นเครื่องปรุงยอดนิยมที่มีส่วนผสมของเนื้อหอย


ในเทศกาลกินเจมีหลายคนบอกว่าหอยนางรมถือเป็นของเจ แต่จะเจหรือไม่เจก็ไม่เกี่ยวกับผมเพราะหากมีเนื้อสัตว์ผมก็ไม่สามารถกินได้


ร่างกายเกิดอาการต่อต้านโดยอัตโนมัติ


ทั้งอาเจียนทั้งมึนทั้งปวดหัว


แทบไม่รับรู้อะไรรอบกาย


ยังดีที่มีเบซิลอยู่และช่วยพยุงผมไปนอนพักบนเตียงจนอาการดีขึ้น


ผมรู้ว่าเหตุการณ์นั้นทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสงสัย ไม่แปลกถ้าจะสงสัยแค่กินเนื้อสัตว์ไปแค่คำเดียวกลับมีการรุนแรงขนาดนั้น
มันไม่ปกติ


“พี่ไธม์”เสียงเรียกจากโป๊ยกั๊กเรียกสติผมให้กลับมา


“หืม?”


“ถึงจะไม่ต้องรูดบัตรแต่ไปสายคงไม่ดีมั้ง”โป๊ยกั๊กพูดต่อ


“นั่นสิ”


“น่าเสียดายจัง ผมอยากซ้อมอีกสักรอบ”


“เรียกกระวานให้ลงมาเป็นคู่ซ้อมสิ”ผมเสนอด้วยรอยยิ้ม


“อย่าว่าแต่เป็นคู่ซ้อมเลยแค่ชกครั้งเดียวก็ปลิวไปบ้านข้างๆแล้ว”


“เว่อไป ไม่ปลิวหรอก”น้ำหนักของกระวานไม่ได้จะชกปลิวได้ง่ายๆหรอกนะ แม้จะไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอมขนาดผม เรียกว่าอวบคงได้


“อีกอย่างเวลานี้ไม่ตื่นหรอก”


“ก็จริง”พวกเราพี่น้องต่างรู้ดีว่ากระวานขี้เซาขนาดไหน ยังดีที่ร้านเปิด10โมงเลยมีเวลาในนอนตื่นสายได้


“จะกลับบ้านอีกเมื่อไหร่”โป๊ยกั๊กถามต่อ


“นั่นสิ...คงสัก2อาทิตย์ไม่ก็เดือนหน้า”ผมลองนึกๆดู มีอีกหลายคดีที่ต้องเร่งจัดการ ปกติผมจะกลับบ้านประมาณ2-3ครั้งต่อเดือน หลังจากผมเรียนจบและมีงานทำก็ย้ายออกไปอยู่คอนโดคนเดียวแม้ตอนแรกจะถูกพ่อค้านเพราะความเป็นห่วงแต่สุดท้ายก็ยอมให้ผมออกไปอยู่คนเดียวในที่สุด


“นานๆจะมาทีแถมยังอยู่ค้างแค่ไม่กี่คืน หรือว่าพี่มีแฟนแล้ว?”โป๊ยกั๊กถามระหว่างพวกเราเดินกลับเข้าไปในบ้านโทนสีขาวดำที่บัดนี้มีสีชมพูวิ๋งๆประดับตกแต่งไปทั่วอย่างพรมเช็ดเท้านุ่มๆสีชมพูหรือที่จับลูกบิดประตูลายกระต่ายสีขาวผูกโบว์ชมพู


“มีที่ไหนล่ะ”


“ไม่แน่นี่”


“ไม่มีหรอก เราแหละที่น่าจะมีกว่าพี่อีก”หน้าตาของโป๊ยกั๊กเรียกว่าดีสุดในบันดาพี่น้องก็ไม่ผิด เป็นหน้าตาแบบที่สาวๆชอบ และคงมีคนมาขอเป็นแฟนอยู่ไม่น้อย


“ไม่เอาล่ะ แฟนน่ารำคาญจะตาย”โป๊ยกั๊กทำหน้ารำคาญทันทีที่ได้ยิน


“ก็พูดซะแบบนี้”


“ถ้าจะเอานมเมื่อไหร่บอกให้ผมไปส่งได้นะ”


“ได้ ขอบคุณนะโป๊ยกั๊ก”ผมส่งยิ้มบางๆไปให้


“เรื่องเล็กน้อยน่าพี่”


“ใบไธม์เดี๋ยวก่อน อย่าพึ่งไป”ยังไม่ทันได้ผมจะก้าวออกจากประตูบ้านเสียงของผู้เป็นพ่อก็ตะโกนเสียงลั่น


ร่างของผู้ชายวัยกลางคนที่น่าตายังดูเหมือนคนอายุราวๆ30กว่าวิ่งออกมาจากห้องครัวซึ่งอยู่ด้านในของบ้านก่อนจะยื่นกล่องข้าวสีชมพูอ่อนมาตรงหน้าผม คุณพ่อชื่อสีฟ้าเป็นเชฟร้านอาหารของครอบครัวที่ผมไปเอานมครั้งก่อนและกระวานน้องชายคนรองทำงานอยู่


ความจริงร้านนั้นเป็นของคุณตาแต่ตอนนี้คุณตาย้ายไปเปิดร้านที่กระบี่เลยมอบร้านนี้ให้คุณพ่อบริหารจัดการต่อ ด้วยฝีมือด้านการทำอาหารแนวไทยฟิวชั่นของคุณพ่อทำให้ร้านสามารถเปิดมาได้จนถึงทุกวันนี้


“ขอบคุณครับ พ่อน่าจะเอาเวลาไปนอนพักดีกว่านะ”ผมค่อนข้างเป็นห่วงเพราะคุณพ่อทำงานตั้งแต่10โมงจนถึง5ทุ่มแถมช่วง4โมงบางวันยังต้องไปรับเพกาจากโรงเรียนอีก ดูจากชุดที่ใส่อยู่แปลว่าพึ่งกลับมาจากส่งเพกา


ตอนแรกผมคิดจะไปส่งเพกาให้แต่สุดท้ายกลับสายป่านนี้ซะได้


“ไม่เป็นไร ลูกมาทั้งทีจะไม่ให้พ่อทำอาหารให้กินเลยได้ยังไง เนอะเจ้าหญิง”ประโยคสุดท้ายพ่อก้มลงไปขอความเห็นแมวสีดำสนิทมีขนสีขาวเหมือนถุงเท้าทั้ง4ข้าง บริเวณคอมีโบว์สีชมพูขนาดใหญ่ผูกติดไว้


ใครจะคิดล่ะว่านี่คือแมวตัวผู้


พ่อเป็นคนที่ทำงานบ้านรวมถึงเย็บปักถักร้อยเก่งและก็ชอบสีชมพูมาก เพราะแบบนั้นไม่ว่าจะเป็นของภายในบ้าน ในร้านหรือแม้แต่บนคือของแมวตัวผู้นามว่าเจ้าหญิงก็ล้วนเป็นฝีมือของพ่อทั้งสิ้น


เจ้าหญิงถูกพ่อเก็บมาเลี้ยงหลังจากผมออกไปอยู่คอนโดไม่ได้นาน บ้านของผมไม่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้เนื่องจากผมที่หากสัมผัสสัตว์ก็จะกลายเป็นสัตว์ชนิดนั้นไปแม้จะสามารถแตะได้เร็วๆ ทว่าทั้งพ่อและแม่กลับลงความเห็นกันว่าจะไม่เลี้ยงอะไร


“ผมไปก่อนนะเจ้าหญิง”ผมคุยพลางลูบหัวแมวสีดำด้านล่างที่บัดนี้กำลังใช้ลำตัวถูไปกับกางเกงขายาวของผมเล่น


หากไม่ถึง5วิต่อให้จับหรือสัมผัสก็ไม่มีปัญหา


“กลับมาอาทิตย์ละครั้งไม่ได้เหรอ”พ่อเอ่ยถามเสียงอ้อน


“พ่อก็รู้ว่าพี่เขางานยุ่ง”โป๊ยกั๊กตอบแทน


“อย่าที่โป๊ยกั๊กพูด ช่วงนี้มีคดีที่ต้องจัดการเยอะเลย คงอีกสักพักใหญ่กว่าจะได้กลับมา”


“แต่พ่อคิดถึงลูกนี่นา”พูดจบพ่อก็โผลเข้ากอดผมแน่นจนต้องรีบยกข้าวกล่องหนีแทบไม่ทัน


“ผมก็คิดถึงทุกคน ถ้ามีเวลาผมจะรีบกลับมาเลย”


“พูดแล้วนะ”


“ครับ”ผมพยักหน้าสัญญา


“ขับรถดีๆนะ”พอ่โบกมือลาด้วยใบหน้าเศร้าแกมเป็นห่วง


“ระวังตัวอย่าประมาทนะพี่ ถ้ามีอะไรโทรบอกผมเดี๋ยวจะรีบไปหา”โป๊ยกั๊กพูดต่อ ถึงจะไม่แสดงสีหน้าเศร้าหรือน้ำเสียงห่วงใยแต่ผมก็รู้ว่าน้องชายคนนี้เป็นห่วงผมเสมอ


พอขับรถมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านผมก็ตรงไปยังที่ทำงาน ระยะทางจากบ้านจนถึงที่ทำงานห่างกันค่อนข้างมากทำให้กว่าจะไปถึงเวลาก็ล่วงเลยไปจนถึง9โมงครึ่งแล้ว


ผมเปิดประตูห้องทำงานพร้อมก้าวยาวๆไปยังโต๊ะทำงานด้านในสุดโดยสัมผัสได้ถึงสายตาหลายคู่จับจ้องมา ไม่ว่าจะเป็นแม็ก จิวหรือสกายแต่ที่หนักสุดคือดวงตาสีเขียวมรกตของเบซิล เรียกว่าถ้าสายตาเป็นมีดผมคงสิ้นชีพไปแล้ว


“วันนี้ท่านรองมาสาย มีอะไรรึเปล่าเนี่ย”จิวเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก


“สายนิดหน่อยเอง ยังเทียบกับคนอื่นไม่ได้หรอก”ผมตอบกลับ


“คนอื่นน่ะไม่เป็นไรเพราะนิสัยเป็นซะแบบนั้นแต่ท่านรองมาสายนี่น่าสงสัยสุดๆ”


“ผมอาจแค่ตื่นสายก็ได้”แค่ผมมาสายทำไมถึงดูน่าสงสัยขนาดนั้นล่ะ


“ไม่ๆๆ รองหัวหน้าไม่มีทางตื่นสายหรอก...”


“ของในมือนั่นคืออะไร”เสียงทุ้มของเบซิลดังแทรกก่อนเขาจะเดินมาอยู่ด้านหลังผมโดยสายตานั้นจ้องเขม็งมายังกล่องข้าวสีชมพูอ่อนที่ผมวางไว้บนโต๊ะ


“หรือว่าจะเป็นแฟนของไธม์?”สกายพูดเสียงดังด้วยใบหน้าตื่นตกใจ


“แฟน? แฟนเหรอใบไธม์”เบซิลถามต่อทันที ตั้งแต่เบซิลมาชื่อเล่นของผมก็กลายเป็นที่รู้กันไปแล้ว ก่อนหน้านี้เคยบอกว่าจะไม่เรียกแต่สุดท้ายก็เรียกติดปากจนรู้กันทั้งหน่วยงาน


“ผมว่านี่มันเรื่องส่วนตัวนะ”ความหมายกลายๆคือผมไม่บอกนั่นเอง


“ใบไธม์...”


“มาแล้วเหรอไธม์...ฉันรออยู่เลย”เสียงอันทรงอำนาจจากหัวหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษเรียกสายตาของทั้งห้องให้จับจ้องไป


“ขอโทษที่มาช้าครับ”ผมลุกขึ้นทำความเคารพ


ต้องให้หัวหน้ามารอ...ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนดีเลยเนี่ย


“มาช้าบ้างไม่เห็นจะแปลกเลย”หัวหน้าพูดด้วยรอยยิ้ม


“มีเรื่องอะไรเหรอครับหรือว่ามีคดีใหม่”ตอนนี้คงไม่ใช่เวลามาสบายใจ


หากหัวหน้ารอผมแปลว่าต้องมีอะไรที่จำเป็นต้องให้ผมเป็นคนจัดการ ส่วนมากจะเป็นคดียากๆที่ส่งมาให้ทางหน่วยจัดการแบบฉุกเฉิน


“ประมาณนั้น อย่างที่รู้กันว่าตอนนี้การซื้อขายทางโซลเซียลกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก มูลค่าการซื้อขายนั้นมากเป็นอันดับ1ในตอนนี้และเพราะแบบนั้นทำให้มีคดีเกี่ยวกับการขายของมากขึ้นเรื่อยๆ”หัวหน้าอธิบาย


“ถ้าคดีนี้มาถึงหน่วยเราคงไม่ใช่แค่ขายเสื้อผ้าใช่ไหมครับ”ผมพูดอย่างรู้ทัน


“ใช่ เป็นของที่ร้ายแรงกว่านั้น ยาเสพติดน่ะ”คำตอบจากปากของหัวหน้าทำเอาทั้งห้องเงียบกริบในทันที


เล่นขายของผิดกฎหมายกันแบบโจ่งแจ้งขนาดนี้ให้ปล่อยไว้คงไม่ได้


“ทางการน่าจะขอความร่วมมือจากทางเว็บเพื่อหาต้นตอได้นี่ครับ”ยิ่งในปัจจุบันมีกฎหมายคอมพิวเตอร์ยิ่งทำให้ง่ายในการขอความร่วมมือ


“ใช่ ขอได้แต่ทางคนร้ายปกปิดไว้ เหมือนIDที่ควรจะระบุพิกัดกลับไปอยู่ต่างประเทศซะอย่างงั้น ทางการเลยไม่สามารถตามตัวได้”หัวหน้าอธิบายต่อ


“คงต้องให้ช่วยหน่อยนะเบซิล”ผมรู้เลยว่าหัวหน้าต้องการให้ทำอะไร ถ้าพูดถึงฝีมือการใช้คอมพิวเตอร์ไม่มีใครจะเก่งไปกว่าเมเกอร์อีกแล้ว


“...ผมยังไม่มีอารมณ์ทำ”คนถูกขอกลับทำหน้านิ่งแถมเบือนหน้าหนีผมคล้ายคนกำลังไม่พอใจอะไรบางอย่างอยู่


“นี่เป็นคดีที่เราต้องรีบจัดการ...”


“ไม่เกี่ยวกับผมนี่”


“ฝากจัดการหน่อยละกันไธม์ นี่ข้อมูลที่ทางเรามี”หัวหน้ายื่นเอกสารมาให้พร้อมรอยยิ้มและแตะไหล่ให้กำลังใจก่อนจะเดินออกจากห้องไป


เข้าใจแล้วว่ารอผมทำไม


ไม่มีใครเอาเมเกอร์อยู่


และคนที่มีหน้าที่ดูแลอย่างผมต้องเป็นคนจัดการทุกอย่าง


“หงุดหงิดอะไรเบซิล”ผมถามไปตามตรง ทั้งที่ตอนผมเดินเข้ามายังทำหน้ายิ้มดีใจอยู่เลยแต่อยู่ๆกลับทำหน้าตึงแถมดูเหมือนอารมณ์ไม่ดีอีก


“คุณไม่ตอบคำถามผม”


“คำถาม? คำถามอะไร”ผมขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน


“ข้าวกล่องนั่นแฟนทำให้เหรอ”เบซิลถามซ้ำด้วยน้ำเสียงจริงจังจนผมต้องมองกล่องข้าวสีชมพูอ่อนสลับกับหน้าอีกฝ่ายงงๆ


คำถามแค่นั้นถึงกับทำให้หงุดหงิดแล้วพาลขนาดนี้เลย?


อารมณ์แปรปรวนเกินไปแล้ว


“ถ้าผมตอบจะยอมช่วยจับพวกค้ายาทางอินเตอร์เน็ตไหม”


“ขึ้นอยู่กับคำตอบ”


“...”ขึ้นอยู่กับคำตอบ...แปลว่าถ้าตอบไม่ถูกใจคงไม่ได้เริ่มงานกันสักที


“อย่าคิดจะโกหกเชียวเพราะผมจับได้อยู่แล้ว”เบซิลพูดอีก


“ผมไม่ใช่คนที่จะพูดโกหก”หากมีเรื่องที่บอกไม่ได้ผมก็เลือกที่จะไม่บอก


ไม่มีการโกหกสิ่งที่ไม่เป็นจริงแน่นอน


“...นั่นสิ คุณไม่โกหกอยู่แล้ว”เบซิลพึมพำพลางมองมานิ่งๆเหมือนกำลังรอฟังคำตอบของคำถามเมื่อครู่อยู่


“ไม่ใช่แฟนทำให้”ผมตอบไปตามตรง


“ไม่ใช่แฟนแล้วก็ไม่ใช่ภรรยาด้วยใช่ไหม”เบซิลยังคงยิงคำถามต่อ


“อืม ข้าวกล่องนี่พ่อผมทำให้”ผมยังไม่เข้าใจเลยว่าแฟนกับภรรยามันต่างกันตรงไหน


“...”ไม่มีคำพูดอะไรออกมาจากเบซิลอีกนอกจากรอยยิ้มกว้างที่ปรากฏขึ้นพานให้หัวใจกระตุกไปวูบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว


รอยยิ้มนี้เป็นยิ้มแบบยิ้มจากใจไม่ใช่เสแสร้งเหมือนในตอนแรกที่เจอกัน


“คำตอบผมพอจะทำให้มีอารมณ์อยากช่วยผมขึ้นมาหน่อยไหม”ผมถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังยืนยิ้มไม่หยุด


“อืม ผมจะหาที่อยู่ให้ ขอโน๊ตบุ๊คหน่อย”


“สงสัยคงต้องหาซื้อโน๊ตบุ๊คให้สักเครื่องแล้วมั้ง”ยังไงเบซิลก็จำเป็นต้องมีโน้ตบุ๊คหรือคอมพิวเตอร์สักเครื่องไม่อย่างงั้นเวลาทำงานจะให้มายืมตลอดคงไม่เหมาะ


เบซิลรับโน๊ตบุ๊คที่ผมยื่นให้กางออกแล้วเปิดเครื่องอยู่ข้างๆผม จะเรียกว่าข้างคงไม่ถูกนักเพราะโน๊ตบุ๊คนั่นวางอยู่บนโต๊ะผมแถมยังไปลากเก้าอี้มานั่งจนเจ้าของโต๊ะอย่างผมต้องขยับไปอยู่มุมโต๊ะ


ทันทีที่ไวไฟถูกเชื่อมเบซิลพิมพ์หาเว็บขายยาเสพติดที่ว่า หน้าเว็บถูกทำให้เป็นหน้าว่างซึ่งต้องมีการใส่รหัสผ่านก่อนจึงจะสามารถเข้าไปดูเนื้อหาด้านในได้


เป็นการคัดกรองคนก่อนสินะ


“เราคงต้องไปขอรหัสก่อน”ผมพึมพำ


“ไม่จำเป็นหรอก รหัสแค่นี้เอง”เบซิลพูดพร้อมยกยิ้มขึ้น


หน้าจอของโค้ดนับพันบรรทัดปรากฏแก่สายตาทั้งโค้ดทั้งสัญลักษณ์เต็มไปหมด แค่มองยังรู้สึกงงและไม่เข้าใจทว่าเบซิลกลับพิมพ์อะไรบางอย่างลงไป หน้าต่างเล็กๆคล้ายเครื่องมือช่วยในการค้นหาปรากฎขึ้นก่อนจะพิมพ์สิ่งที่ต้องการลงไป


เบซิลคลิกเข้าไปด้านในลิ้งค์หนึ่งซึ่งในลิ้งค์นั้นมีโค้ดมากมายเรียงรายอยู่ ผมขมวดคิ้วมองหน้าจอที่ถูกคลิกและพิมพ์หลายๆอย่างลงไปด้วยความไม่เข้าใจ


ใช้เวลาไม่กี่นาทีรหัส10หลักก็ถูกใส่ลงในหน้าแรก แน่นอนว่ารหัสนั้นสามารถเข้าไปในเว็บได้โดยไม่ต้องไปขอรหัสใคร ด้านในเว็บมีสินค้าหรือก็คือยาเสพติดหลากหลายแบบให้กดเลือกซื้อทั้งแบบ1เม็ดไปจนถึง100,000เม็ด


เล่นขายเหมือนขายเสื้อผ้าให้เลือกไซส์เลยนะ


“จะหาที่อยู่ได้รึเปล่า”ผมถามต่อ ขนาดทางการไปขอความร่วมมือยังไม่สามารถระบุพิกัดแน่ชัดได้เลย


ต่อให้เบซิลมีฉายาว่าเมเกอร์แต่ก็มีข้อจำกัดด้านการเข้าถึงข้อมูลทำให้ยากกว่าในการหาพิกัด


“ไม่มีปัญหา ที่อยู่ของเครื่องน่ะต่อให้หลอกIDไปอยู่ต่างประเทศแต่เราสามารถย้อนกลับไปดูข้อมูลแรกก่อนทำการเปลี่ยนได้”


“ถ้าดูได้ทำไมทางการถึงบอกว่าหาไม่ได้ล่ะ”


“ก็ทำไม่เป็นน่ะสิ มันต้องมีหัวนิดมีทริกหน่อย...ได้ล่ะ”


“ได้แล้ว?”ผมแทบไม่อยากเชื่อ


คุยกันไม่กี่ประโยคกลับสามารถหาพิกัตได้สำเร็จ


“พิกัด203.003.66899.1.44115 อยู่ไกลจากนี่พอสมควร”


“เดี๋ยว เลขอะไรน่ะ”ผมถามกลับทันที ตัวเลขพวกนั้นมันบอกพิกัดตรงไหน


“เลขพวกนี้เป็นตัวบอกพิกัด ผมสามารถนำทางไปได้ จะไปจัดการเลยไหม”เบซิลถามกลับด้วยใบหน้านิ่งๆราวกับเป็นเรื่องง่ายๆในการแปลงตัวเลขเป็นพิกัดสถานที่จริง


“จะไปด้วย?”


“ใช่ ถ้าไม่ให้ผมไปด้วยก็อย่าหวังว่าผมจะบอกพิกัดว่าอยู่ไหน”


“ต่อรองสินะ”


“แหม วันนี้ก็มาสาย ขอเวลาผมอยู่กับคุณนานกว่านี้หน่อยเถอะ”


“ไม่ต้องมาเล่นมุกจีบหญิง”ผมไม่หลงกลคำพูดพวกนั้นหรอก


“ผมไม่ได้เล่น อยากอยู่ข้างๆคุณ”


“...บางทีผมอาจพาคุณไปตรวจสมองที่โรงพยาบาลขากลับ”ผมพูดพร้อมลุกขึ้นไปเตรียมตัว


“สมองผมดีเกินปกติเหอะ คุณจะเสียเงินเปล่านะใบไธม์”



(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่6) 26/4/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 26-04-2018 19:39:26
(ต่อค่า)



พวกเราพูดคุยกันต่ออีกสองสามประโยคก่อนจะออกเดินทางไปยังพิกัดเป้าหมายด้วยมอเตอร์ไซค์สีดำส่วนตัวของผม เบซิลไม่ได้พกโน๊ตบุ๊คมาด้วยเห็นบอกว่าสามารถจำพิกัดนั้นได้แล้วเลยไม่จำเป็นต้องเอาโน๊ตบุ๊คมาด้วยให้หนัก


ความจำของเบซิลดีมากพอๆกับการประมวลและวิเคราะห์


ถ้าใช้ถูกทางคงช่วยประเทศนี้ได้เยอะเลย


“เราจะไปมอเตอร์ไซค์ คุณซ้อนท้ายนะ”ผมบอกพลางยื่นหมวกกันน๊อกอีกอันไปให้


“ได้ คุณนี่เตรียมพร้อมเลยนะ หรือว่ามีคนมาซ้อนท้ายบ่อย”เบซิลรับหมวกไปสวมระหว่างถาม


“นานๆที แค่เตรียมเผื่อไว้”ปกติรถผมไม่ได้มีคนมานั่งบ่อยนักแต่ใช่ว่าจะไม่มีซะทีเดียว วันดีคืนดีก็มีไปกินข้าวกับคนในหน่วยข้างนอกบ้างจึงมีหมวกสำรองเตรียมไปตลอด


หลายคนไม่ชอบใส่หมวกกันน๊อคด้วยเหตุผลตลกๆคือผมจะฟูและไม่เป็นทรง


เอาชีวิตไปเสี่ยงกับเหตุผลแบบนั้นน่าตลกไหมล่ะ


“คราวหน้าผมเอาป้ายชื่อตัวเองมาติดไว้ดีไหม คนอื่นจะได้รู้ว่าหมวกนี่เป็นของผม”


“ผมบอกตอนไหนว่าเป็นของคุณ”แค่ให้ยืมใส่นะไม่ได้ให้เลย


“หลังจากนี้ผมคงได้ซ้อนบ่อยๆนี่นา”


“ก็ไม่แน่มั้ง”เรื่องของอนาคตเราไม่รู้หรอก


แต่ก็มีความเป็นไปได้อย่างที่เบซิลพูด ยังไงผมก็เป็นคนดูแลเบซิลในกรณีมีคดีที่ต้องอาศัยความสามารถของเขาผมต้องตามไปด้วยอยู่แล้ว


ผมขึ้นมอเตอร์ไซค์เตรียมขับออกไปโดยมีเบซิลขึ้นมาซ้อนท้ายก่อนมอเตอร์คันสีดำจะแล่นออกสู่ถนนใหญ่ ที่ทำงานของหน่วยสืบสวนพิเศษตั้งอยู่ใจกลางเมืองด้วยเหตุผลที่ว่าในกรณีมีเหตุฉุกเฉินจะได้มุ่งหน้าไปรวดเร็วขึ้น


“ไปทางไหนเบซิล”ผมตะโกนถามโดยสายตามองถนนตรงหน้า


“พูดอะไรนะ”เบซิลถามกลับพลางขยับตัวเข้ามาใกล้มากขึ้นจนหน้าอีกฝ่ายแทบจะเกยไหล่ผมอยู่รอมร่อ


“ผมถามว่าไปทางไหน”


“ฮะ?”เบซิลยังคงขยับเข้ามาแนบชิดไม่เพียงแค่ร่างกายแต่ยังมีมือสองข้างที่โอบเอวผมโดยไม่ทันตั้งตัวอีก


“เบซิล เอามือออกไปเลย”ถ้าไม่ติดว่ากำลังขี่มอเตอร์ไซค์อยู่อีกฝ่ายได้โดยศอกสวนกลับไปแล้ว


“ไม่เอา ขับเร็วผมกลัวตกนี่”นอกจากจะไม่ปล่อยมือแล้วยังกอดแน่นกว่าเดิมอีก


“ก็ได้ยินนี่”แปลว่าก่อนหน้านี้จงใจทำเป็นไม่ได้ยินสินะ


“แยกหน้าเลี้ยวซ้าย”เบซิลได้จังหวะเปลี่ยนเรื่อง


“ปล่อยมือจากเอวผม”พอเลี้ยวซ้ายตามที่บอกเสร็จผมก็เอ่ยบอกคนด้านหลังเสียงเข้ม


อย่าคิดว่าผมจะปล่อยให้อีกฝ่ายทำเนียนต่อได้นะ


“บอกแล้วไงว่าผมกลัวตก”


“ไม่ตกหรอก”


“แรงลมมันโดนผมเป็นคนขี้หนาว”นอกจากพูดแล้วยังเอาหน้ามาซุกผมอีก


“งั้นผมจะขับช้าๆ”


“การขับรถช้าทำให้เกิดการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ รู้ไหมว่าน้ำมันกว่าจะกลั่นออกมาได้แต่ละลิตรต้องผ่านขั้นตอนอะไรมาบ้าง คุณต้องใช้อย่างคุ้มค่าที่สุดสิ”น้ำเสียงจริงจังนั่นทำให้ผมเผลอบิดคันเร่งโดยไม่รู้ตัว


อยากจอดรถแล้วจับคนทุ่มข้ามหลังสักทีจริงๆ


กว่าจะถึงที่หมายผมต้องข่มอารมณ์สุดฤทธิ์แต่ดูเหมือนเบซิลจะไม่รู้เลยว่าทำให้ผมเริ่มหงุดหงิด เพราะถ้าเขารู้คงไม่แหย่ผมเล่นตลอดทางแบบนี้


สถานที่ที่เบซิลพามาคือถนนย่านการค้าขนาดใหญ่ ท้องข้างถนนเต็มไปด้วยร้านค้าขายเติมเต็ม2ข้างทางไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านขนม ร้านขายผักไปจนถึงร้านสะดวกซื้อและไปรษณีย์ บริเวณนี้เป็นหนึ่งในย่านการค้าซึ่งมีผู้คนมามากที่สุด


จะบอกว่าพวกค้ายาเสพติดนั่นมาอยู่ใจกลางเมืองแบบนี้เลยเหรอ


“ใบไธม์ ช้าลงหน่อยอยู่ใกล้ๆนี่แหละ บล็อกที่ห้าถัดจากซอยนั้น”เบซิลกระซิบข้างใบหูทำเอาขนทั้งร่างผมลุกชันด้วยความรู้สึกแปลกๆ


“เบซิล”ผมเรียกคนด้านหลังเสียงเข้ม


แกล้งแหย่กันได้ตลอดทางจริงๆ


“อย่ามัวแต่ทำหน้าดุ จะเลยแล้วนะ...ร้านนี่เลย”


มอเตอร์ไซค์สีดำของผมจอดลงตามคำบอกของเบซิล ทว่าร้านตรงหน้ากลับไม่ใช่บ้านร้างหรือตึกปิดน่าสงสัยแต่อย่างใด กระจกสีใสสะท้อนภาพผนังสีฟ้าสว่างและเครื่องคอมพิวเตอร์หลายสิบเครื่องเรียงรายอยู่ติดสองฟากของผนัง


แค่ยืนมองจากตรงนี้ก็สามารถเห็นสภาพของภายในร้านได้อย่างชัดเจน


“ร้านอินเตอร์เน็ต?”ผมพึมพำเสียงเบา


ร้านตรงหน้าผมคือร้านอิเตอร์เน็ตชั่วโมงละ15บาท มีทั้งคอมพิวเตอร์และที่นั่งให้พร้อม ด้านในมีเคาน์เตอร์สำหรับคิดเงินและเครื่องพิมพ์พร้อมด้วยเครื่องถ่ายเอกสารไว้อำนวยความสะดวกลูกค้า


“อืม...ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น”


“แน่ใจนะว่าเป็นที่นี่”ผมถามกลับ


ดูยังไงก็ไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดได้เลย


“ถ้าเอาตามพิกัดที่ได้เป็นที่นี่แน่นอน”น้ำเสียงเบซิลดูมั่นใจมาก


“มีสิทธิ์ที่จะใช้เครื่องที่นี่ทำแต่คนร้ายเป็นคนอื่นรึเปล่า”


“เป็นไปได้...แต่เปอร์เซ็นต์น้อยมาก คงไม่มีคนค้ายาที่ไหนใช้คอมสาธารณะแบบนี้สร้างเว็บแล้วต้องมาคอยจัดการเช็คหรือเพิ่มข้อมูลที่นี่ทุกวันหรอก”


“ก็จริงอย่างที่ว่า”น่าสงสัยเกินไปถ้าจะให้มาร้านนี้ทุกวัน


“ผมเช็คได้ แต่ต้องเข้าไปในร้านก่อน”เบซิลพูดต่อ


“อืม ไปกัน”ผมพยักหน้าเห็นด้วย


การเข้าไปในร้านไม่ใช่เรื่องยากอะไรในเมื่อเป็นร้านเปิดที่พร้อมต้อนรับลูกค้าอยู่ตลอดแบบนี้ ภายในร้านมีลูกค้านั่งอยู่ประมาณ5คนซึ่งถือว่าไม่มากเนื่องจากเป็นช่วงเที่ยงของวันทำงาน เด็กๆคงยังไม่เลิกเรียนด้วย


เมื่อเปิดประตูเข้ามาในร้านเบซิลก็นั่งลงยังคอมพิวเตอร์ริมนอกสุดติดกับประตูแล้วเริ่มเปิดหน้าเว็บไซส์ขึ้นมาอีกครั้ง ระหว่างนั้นผมหันไปมองทางเคาน์เตอร์ด้านใน เจ้าของร้านเป็นชายรูปร่างปกติไม่ได้กำยำอะไร เขามองหน้าเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มมาให้เป็นเชิงบอกว่ายินดีต้อนรับแล้วพิมพ์บางอย่างลงไปในคอมพิวเตอร์ด้านหน้าตัวเอง


ร้านอินเตอ์เน็ตส่วนมากจะคิดเงินหลังจากลูกค้าลุกออก มีการลงเวลาเข้าเพื่อใช้เวลานั้นคำนวณเป็นเงินที่ต้องเสีย


“เป็นไงเซิล”ผมให้เวลาเบซิลเล็กน้อยถึงก้มลงไปถามเสียงเบา


“เป็นอย่างที่คิด เรามาถูกที่แล้ว”เบซิลเงยหน้าขึ้นมามองผมนิ่งๆ


“...จะบอกว่าเป็นหนึ่งในลูกค้า?”


“ไม่ใช่ลูกค้าแต่เป็นคนที่อยู่เคาน์เตอร์ ผมเจาะเข้าไปในระบบของเว็บจนรู้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องไหนที่ใช้เชื่อมต่อมากที่สุด และก็เป็นคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น”เบซิลอธิบาย


“เขาอาจเป็นลูกจ้าง...ไม่สิ เป็นเจ้าของร้าน”พอลองมาคิดดูดีๆหากคอมนั่นเป็นตัวหลักในการเชื่อมต่อคงไม่มีใครจ้างคนอื่นมายืนอยู่หน้าเครื่องหรอก


“อืม วิเสฐ จันแก้ว อายุ43ปี เจ้าของร้านอินเตอร์เน็ต ประวัติอาชญากรรมหรือติดคุกไม่มี ทว่าเงินในบัญชีกลับมีการเข้าออกในจำนวนเงินซึ่งมากกว่าธุรกิจนี้จะมีได้”


“ประวัติของคนคนนั้นสินะ”ผมขยับหน้าไปอยู่ในระดับเดียวกับหน้าจอเพื่อดูข้อมูลตามที่เบซิลพูดให้ฟัง


บนหน้าจอคอมพิวเตอร์บัดนี้มีหน้าต่างของตารางบัญชีเงินเข้าออกปรากฏอยู่ เป็นประวัติของการใช้เงินซึ่งไม่มีทางที่จะขอดูได้ง่ายๆแต่เบซิลกลับทำให้ดูได้ในเวลาไม่กี่นาที


ต่อให้ไม่บอกผมก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงแฮ็กเข้าระบบของธนาคารเพื่อเปิดดูข้อมูล


ถ้าไม่มีความเชี่ยวชาญจริงๆไม่สามารถทำแบบนี้ได้หรอก ต่อให้ทำได้คงใช้เวลานานกว่านี้โข


“จะทำยังไงต่อ”


“คงเข้าไปจัดการล่ะนะ”จะปล่อยให้ลอยนวลทั้งที่รู้แน่ชัดแล้วคงไม่ดีเท่าไหร่


“เขาอาจมีอาวุธ อีกอย่างเราไม่รู้ว่าด้านหลังนั่นจะมีอีกกี่คน”เบซิลบอกพลางใช้หางตามองไปยังประตูด้านหลังเคาน์เตอร์


“จะจัดการทีละคน”ผมบอกก่อนจะเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ท่ามกลางเสียงเรียกตื่นๆของเบซิลที่ไล่หลังมาแต่อาจเพราะกลัวเป็นจุดสนใจจึงไม่กล้าเรียกเสียงดังนัก


“ใช้คอมเสร็จแล้วเหรอครับ”เจ้าของร้านถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ


“ครับ”


“ค่าอินเตอร์เน็ต 10 บาทครับ”


“ผมคงต้องขอให้คุณปิดร้านแล้วมาด้วยกันหน่อยนะครับ คุณวิเสฐ จันแก้ว”


“...คุณหมายถึงอะไรครับ”อีกฝ่ายถึงกับชะงักเมื่อได้ยินผมเรียกชื่อจริงของตนออกไป


“ผมขอชื่นชมความใจกล้าของคุณ คงไม่มีใครที่ขายยาเสพติดในร้านเปิดโล่งแบบนี้เหมือนกันคุณอีกแล้วล่ะ”ผมพูดนิ่งๆโดยสายตากำลังจับจ้องเพื่อดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย


“พูดบ้าอะไรน่ะ ผมฟ้องคุณได้นะ”ดวงตาส่ายไปมาแสดงถึงความร้อนรนและกังวล


อาการส่อพิรุจมากพอดู


“ฟ้องมาเลยสิ แล้วมาดูกันว่าข้อหาของใครจะหนักกว่า”คำพูดนี้ผมไม่ได้พูดแต่เป็นเบซิลที่เดินตามมาด้านหลังต่างหาก


“...พวกแกเป็นใครกัน”


“ผมคงลืมแนะนำตัว รองหัวหน้าของหน่วยสืบสวนพิเศษ ทัณฑธร ครับ”ไม่พูดเปล่าผมโชว์สัญลักษณ์ของหน่วยสืบสวนพิเศษให้อีกฝ่ายดูด้วย แต่อย่างที่เคยบอกไปคนปกติไม่รู้หรอกว่ามีหน่วยนี้อยู่ด้วย


“โกหก ผมไม่ได้ทำ”


“งั้นขอค้นข้างหลังนั่นหน่อยคงได้นะ”ผมพูดต่อ


“บ้าเอ้ย ถ้าขยับผมยิงแน่”เมื่อคำพูดใช้ไม่ได้ผลอีกฝ่ายจึงหยิบปืนจากในลิ้นชักจ่อมาทางผมและเบซิล


ลูกค้าในร้านคนอื่นๆเมื่อได้ยินเสียงเอะอะจึงหันมามองและพอเห็นเจ้าของร้ายถือปืนพวกเขาก็พากับวิ่งหนีออกไปด้านนอกด้วยความตื่นกลัว


ดวงตาสีน้ำตาลของผมมองไปยังปืนกระบอกสีดำตรงหน้านิ่งๆ ปืนขนาดเล็กมีไว้สำหรับยิงในระยะใกล้จนถึงประมาณ10เมตร แรงดีดหลังจากยิงแทบไม่มีเป็นปืนที่หาซื้อได้ง่ายและเป็นที่นิยมในการพกพาของคนทั่วไป


ใครก็ตามที่ถูกปืนจ่อคงมีความตกใจและกังวลทว่าผมไม่ใช่


หน่วยสืบสวนพิเศษเป็นหน่วยที่เจอแต่กับคดียากๆ แน่นอนว่าการปะทะกับศัตรูเป็นเรื่องธรรมดามาก ผมเจอสถานการณ์เพลี่ยงพล้ำมามากแต่ก็สามารถจัดการมาได้ตลอด


ไม่ใช่เพราะความเก่งแต่เป็นสติที่มีแม้กระทั้งตอนอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ห่างหาก


“ใบไธม์”เบซิลเรียกผมเยงเบาหวิวแล้วพยายามดันผมไปอยู่ด้านหลังทว่าผมกลับเป็นฝ่ายก้าวไปด้านหน้ามากขึ้นจนปากประบอกปืนอยู่ในระยะยิงที่ต่อให้หลับตาก็ยังโดน


“...”ผมไม่เอ่ยคำพูดในมีเพียงจับจ้องไปยังทุกการเคลื่อนไหวไม่ว่าจะเป็นสายตาหรือนิ้วมือที่เหนี่ยวไกปืนอยู่ในขณะนี้


“แก อย่าคิดว่าฉันไม่กล้ายิงนะ”อีกฝ่ายเริ่มร้อนรนและตื่นตระหนกเมื่อเห็นว่าผมยังคงใจเย็นและไม่มีท่าทีตื่นกลัวสักนิดเดียว
“...”เป็นอีกครั้งที่ผมเลือกใช้ความเงียบแทบคำตอบ


“บ้าเอ้ย ตายไปซะ”ในที่สุดฝ่ายที่สติแตกก่อนก็เป็นทางนั้น ในจังหวะที่เจ้าของร้านกำลังจะเหนี่ยวไกผืนผมใช้เท้าแตะปืนสีดำนั่นจนกลิ้งไปทางประตูร้าน


และไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัววิ่งเข้าไปใกล้พร้อมกำหมัดชกเข้ายังท้องน้อยของคนตรงหน้าจนกระอักเลือกออกมาเล็กน้อยแล้วหมดสติไปอย่างง่ายดาย


“เสร็จไปหนึ่ง”ผมพึมพำพลางทิ้งร่างชายเจ้าของร่างที่หมดสติลงกับพื้น


“...ตายรึเปล่าเนี่ย”เบซิลพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆคล้ายตกใจปนตื่นกลัวกับภาพที่เห็นเมื่อครู่


“แค่ชกท้องไม่ทำให้ใครตายหรอก”ไม่ได้เล็งไปที่จุดตาย


แต่แรงขนาดนั้นคงสลบไปนานพอดู


บานประตูด้านหลังถูเปิดแง้มออกเล็กน้อยเพื่อลอบมองด้านในที่มีคนอีก3คนอยู่ รูปร่างกำยำแบบนั้นคงไม่พ้นถูกจ้างมาให้ดูแลยาเสพติดพวกนี้แถมในมือยังมีปืนอีก


ในเมื่อทางนั้นมีอาวุธจะไม่ให้ทางนี้มีเลยก็ใช่ที่


ผมหยิบปืนพกด้านหลังออกมาเตรียมพร้อมยิง ใช้เวลาเล็งเป้าไม่ถึงนาทีก็เหนี่ยวไกยิงกระสุนออกไปโดนปืนกระบอกใหญ่ในมือของชายคนนึงจนกระเด็นไปอีกทาง เหตุการณ์นั้นเรียกทุกสายตาให้หันมามองเป็นตาเดียว ซึ่งผมใช้จังหวะนั้นวิ่งเข้าไปด้านในจับคอเสื้อของชายคนหน้าสุดแน่นในจัวหวะเดียวกับแตะไปยังหัวเข่าจนอีกฝ่ายเสียการทรงตัว เพียงเสี้ยววินาทีร่างกำยำของผู้ชายก็ถูกทุ่มข้ามหลังลงพื้นอย่างสวยงามท่ามกลางสายตาตื่นตกใจ


อีกสองคนหันปืนมาทางผมแล้วกราดยิงทว่าผมเบี่ยงหลบกระสุนเหล่านั้นด้วยการใช้กล่องลังไม้ด้านข้างช่วยเป็นตัวกัน แน่นอนว่าผมไม่รออยู่เฉยๆให้อีกฝ่ายเข้ามาจัดการแต่กระโดดขึ้นไปบนกล่องลังไม้ ตั้งท่าและยิงไปยังปืนกระบอกแรกจนกระเด็นใส่มือของอีกคนทำให้ปืนทั้งสองกระบอกหล่นไปกองอยู่บนพื้น


หากปราศจากอาวุธผมก็ไม่จำเป็นต้องรออะไรอีก ชายคนแรกถูกผมใช้ศอกซัดเข้าบริเวณใบหน้าอย่างแรงแล้วตามเข่าลอย ส่วนคนสุดท้ายผมทำเพียงใช้ฝ่ามือสับบริเวณต้นคอแรงๆจนหมดสติไปอย่างรวดเร็ว


“ไม่อยากใช้ปืนแท้ๆนะ”ผมถอนหายใจหลังจัดการทุกอย่างเสร็จ


ค่ากระสุนมันแพงหัวหน้าเลยบอกให้พวกเราช่วยประหยัด


ถ้าไม่จำเป็นก็จะใช้อาวุธอย่างอื่นแทนปืน


“...ใบไธม์”เบซิลก้าวเข้ามาใกล้โดยมองไปยังร่างของชายกำยำสามคนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น


“ไม่ได้โดนกระสุนใช่ไหม”ผมถามกลับ ระหว่างการต่อสู้ผมไม่ได้มองว่าเบซิลโดยลูกหลงอะไรไปด้วยไหมแต่ดูแล้วคงไม่ได้บาดเจ็บอะไร


“ไม่โดน แต่...ฝีมือคุณจะสูงเกินไปหน่อยรึเปล่า”เบซิลยังคงมีท่าทางตกใจไม่เลิก


“ขอบคุณสำหรับคำชม”


“ถ้าผมแหย่อะไรคุณก็อย่าให้ถึงกับต้องใช้กำลังเลยเนอะ”


“อ้อ จะว่าไปผมมีเรื่องจะพูดกับคุณด้วยนี่นะ”พออีกฝ่ายพูดมาผมก็นึกได้ว่าจะบอกอะไร


“พูดกับผม?”


“ถ้าขากลับยังแหย่ผมเล่นไม่เลิก เตรียมตัวถูกถีบตกไปข้างทางได้เลย”ผมพูดเสียงเข้ม


“ไม่ได้แหย่ ผมแค่หนาวเลยอยากได้ไออุ่น”เบซิลพูดแก้


“เบซิล”ยังจะกวนกันไม่เลิกอีก


“ต่อให้เห็นฝีมือแบบนั้นผมก็ยังอยากอยู่ข้างๆคุณอยู่ดี”


“เป็นมาโซรึไง”


“อืม อยากถูกใบไธม์สัมผัสจังเลย อ่า...ใบไธม์”เบซิลพูดเสียงแหบพล่าและสายตาหวานเยิ้มก่อนจะวิ่งเข้ามาโผลกอดผมเต็มแรง


“อึก...ปล่อยเบซิล”เพราะท่าทางกวนประสาทนั่นทำให้ผมลดการระวังตัวลงจนถูกกอดได้ง่ายๆ


ครั้งนี้ผมประมาทไป


“ไม่ปล่อย อุ่นจังเลย...อยากกอดทั้งวัน”


“เบซิล”ผมเรียกเสียงดังขึ้น ไม่รู้ทำไมว่าผมถึงรู้สึกร้อนๆบนใบหน้าได้


“ผมว่าตัวเองจะรู้สึก...ชอบคุณขึ้นมาแล้วสิ”เสียงอู้อี้ดังขึ้นในจังหวะที่ผมพยายามใช้แรงสะบัดตัวหนีการเกาะกุม


“พูดอะไรนะ”ผมถามอีกครั้งเพราะได้ยินไม่ชัด


“คุณตัวหอมจังเลยใบไธม์”พูดจบยังมีการใช้จมูกแนบกับลำคอผมแล้วหายใจเข้าแรงๆจนร่างกายผมถึงกับสะดุ้ง


“เบซิล”ในเมื่อพูดกับำม่รู้เรื่องผมจึงต้องใช้วิธีสุดท้ายคือชกเข้าไปยังชายโครงอีกฝ่ายแรงๆจนเบซิลทรุดลงไปกุมบริเวณที่ถูกชกบนพื้น ดวงตาสีมรกตแหงนขึ้นมามองคล้ายจะถามว่าทำอะไรผิดถึงต้องรุนแรงถึงขนาดนี้


ถ้าให้ผมร่ายกระดาษหนึ่งแรมก็คงไม่พอ


และคดีค้ายาเสพติดทางอินเตอร์เน็ตก็จบลงด้วยประการละฉะนี้
.............................................................
สวัสดีค่า

มาต่อแล้วกับเรื่องนี้ เบซิลหนุ่มสุดกวนก็ยังคงกวนอย่างต่อเนื่องพ่วงด้วยความเจ้าเล่ห์อันไม่มีที่สิ้นสุด

บอกตามตรงว่าตอนที่แต่งอยู่ค่อนข้างกังวลว่าจะแต่งเบซิลที่คาแร็กเตอร์ค่อนข้างแตกต่างจากพระเอกคนอื่นๆ ที่เคยแต่งมายังไงดี แต่พอได้ลองแต่งไปรู้สึกว่าง่ายกว่าที่คิดไว้เยอะเลยยิ่งได้ใบไธม์มาคู่ยิ่งรู้สึกว่าคู่นี้แหละเหมาะสมกันเหลือเกิน 555

อ่านหลายๆ คอมเม้นมีคอมเม้นท์นึงถามว่ากินน้ำมันหอยแล้วไม่กลายเป็นหอยเหรอ

ไม่กลายค่ะ จะกลายร่างก็ต่อเมื่อสัมผัสถึงสัตว์ที่มีชีวิตค่ะในกรณีที่สัตว์ตายหรือเป็นพวกอาหารต่อให้แตะหรือจับก็จะไม่กลายร่างเป็นสัตว์นั้นๆ ค่ะ ตอนวางโครงเรื่องเคยคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกันผลสรุปก็ออกมาตามนี้แหละค่ะ แฮะๆ

หวังว่าทุกคนจะสนุกสนานไปกับตอนนี้นะคะ

ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นท์และทุกๆ กำลังใจที่มีให้เสมอค่ะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่6) 26/4/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 26-04-2018 19:59:51
เบซิลนี่แกล้งหยอก(?)ใบไธม์ตลอดดด

ระวังโดนถีบลงระหว่างทางนะ 555 :hao3:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่6) 26/4/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-04-2018 20:15:33
คดีนี้ จิ๊บๆ ซินะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่6) 26/4/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 26-04-2018 21:50:49
ใบไทม์เหนื่อยกับเบซินมากกว่าสู้กับคนร้ายซะอีก5555
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่6) 26/4/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-04-2018 22:02:01
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่6) 26/4/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 26-04-2018 23:16:09
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่6) 26/4/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: asmar ที่ 27-04-2018 11:03:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่6) 26/4/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 27-04-2018 11:05:33
ระวังใบไธม์จะเขินแรงใส่จนกระอักเลือดนะเบซิล
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่6) 26/4/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 27-04-2018 14:10:54
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่6) 26/4/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 28-04-2018 03:53:59
เบซินน่ารักจังเลยยยย
ตอนที่อ่าน1-2ตอนแรกแอบคิดเล่นๆ
ว่าพระเอกจะเป็นผู้ร้ายรึป่าวนะ
แล้วก้เป็นจริงๆด้วยยย
แต่คนร้ายจำเป็นต้องนิสัยน่ารักขนาดนี้มั้ย
ติสส์แตกสุดๆอีกต่างหาก เบื่อๆเลยไปมอบตัวงี้
อยากอยู่กับไธม์เลยยอมมาด้วยงี้ วุ้ยยย ปวดหัวแทนเลย
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่7) 7/5/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 07-05-2018 21:36:18
สืบรัก彡คดีที่7



หากจัดลำดับการเข้างานของทุกคนในหน่วยสืบสวนพิเศษรองหัวหน้าอย่างผมคงติดเป็นอันดับต้นๆ ด้วยนิสัยที่ชอบตื่นเช้าเป็นทุนเดิมทำให้มีเวลาในการทำหลายๆอย่างในช่วงเช้าก่อนออกมาทำงานได้มากกว่าคนอื่น ซึ่งปกติผมจะมาถึงที่ทำงานประมาณ7โมง45หรือ8โมง


มีไม่น้อยเลยที่จะมีคนมาถึงก่อนโดยเฉพาะจิว ขานี้อาจมาถึงเป็นคนแรกๆของหน่วย พวกเราจะมาในเวลาใกล้เคียงกัน บางครั้งผมมาถึงก่อน บางครั้งก็มาช้ากว่า


อย่างวันนี้ผมผมมาถึงที่ทำงานเวลา8โมง แน่นอนว่านอกจากจิวแล้วยังมีเบซิลที่อาศัยอยู่ในห้องพักด้านในสุดติดกับห้องทดลองของจูน ความจริงทางการได้บอกให้ทำการคุมตัวเมเกอร์ให้ดีอย่าให้หนีออกไปได้แต่สำหรับผมและหัวหน้ากลับมองว่าไม่จำเป็นเลย


ถ้าจะหนีต่อให้เราคุมขังแน่นหน้ายังก็ไร้ประโยชน์


ระบบรักษาความปลอดภัยระดับนี้ฉายาเมเกอร์สามารถแฮ็กได้ในเวลาไม่กี่วินาทีด้วยซ้ำ อีกอย่างคือเบซิลไม่มีเหตุอะไรให้ต้องหนี ยังไงข้อตกลงของเขาคือผม


ตราบเท่าที่ผมอยู่นี่เขาก็ไม่หนีไปไหนหรอก


พูดเองก็รู้สึกแปลกเอง


“คิดถึงจังเลยใบไธม์”ประโยคทักทายแรกของวันยังคงเป็นประโยคเดิมๆเพิ่มเติมคือรอยยิ้มกว้างและแขนสองข้างที่กางออกหมายจะรวบตัวผมเข้าไปกอด แน่นอนว่าผมเบี่ยงตัวหลบในจังหวะประชิดจนอีกฝ่ายเสียหลักหัวเกือบไปโขกประตูเลยทีเดียว


“วันนี้มาเช้านะเบียร์”ผมทักทายเบียร์ที่นั่งอยู่บนโซฟาโดยบนโต๊ะใกล้ๆมีเกมหมากรุกเปิดกางไว้ เบียร์มีความสามรถด้านการมองภาพรวมและการวางแผน มีไม่น้อยที่ทางการจะเรียกตัวเขาไปช่วยวางแผนกลยุทธ์การต่อสู้ อย่างล่าสุดพึ่งไปเป็นที่ปรึกษาของกองกำลังพิเศษในจังหวัดชายแดนใต้


ด้วยความที่แผนการประสบความสำเร็จอย่างร้นหลามจึงได้มีใบประกาศส่งตรงมาให้เบียร์เมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะวางกองๆไว้บนโต๊ะไม่ได้ใส่ใจนัก


“อยากเล่นหมากรุกน่ะเลยมาเร็วหน่อย”เบียร์ตอบพลางทำหน้าครุ่นคิดกับกระดานตรงหน้า


หมากรุกเป็นเกมที่ต้องใช้สมองในการเล่นมาก ตัวหมากแต่ละตัวมีวิธีการเดินแตกต่างกันทำให้มีรูปแบบการเล่นซับซ้อนและเดาทางยาก เหมาะกับคนที่ต้องการฝึกด้านการวางแผนกลยุทธ์และวิเคราะห์สภาพโดยรวม


ตัวหมากก็เปรียบเหมือนคน


จะวางแผนหรือนำทัพยังไงให้ฝ่ายตัวเองได้รับชัยชนะ


ผมเคยเล่นกับเบียร์อยู่เหมือนกันแต่แพ้มากกว่าชนะอีก


“เล่นคนเดียว?”ผมถามกลับเมื่อเห็นเบียร์เดินตัวม้าสีขาวไปข้างหน้า


“เปล่า เล่นกับซิล ตานายแล้วนะ”เบียร์ตอบผมเสร็จก็หันไปเรียกเบซิลที่ลูบแก้มตัวเองไปมา แก้มปะทะเข้ากับประตูเต็มๆจนเกิดรอยแดงขึ้น


รู้สึกผิดอยู่หน่อยๆแฮะ


เดี๋ยวนะ บอกว่าเล่นกับเบซิล?


“ตัวควีนเดินทะแยงไปทางซ้ายแล้วก็รุกฆาต”ไม่ต้องเดินมามองกระดานอีกฝ่ายก็บอกตัวที่ใช้เดินหน้าตาเฉยแถมยังรุกฆาตอีก
ผมขมวดคิ้วมองกระดานหมากรุกตรงหน้า ตัวควีนสีดำเดินทแยงไปทางซ้ายตามตำพูดของเบซิล และเป็นอย่างที่เขาพูดตัวควีนสีดำรุกฆาตคิงสีขาว ต่อให้ขยับคิงหนีไปก็จะถูกตัวม้าสีขาวที่รอดักอยู่ใกล้ๆนั่นจับกิน


หมดทางหนี


“...ยอมแพ้”เบียร์ยกมือสองข้างขึ้นพร้อมถอนหายใจเสียงเบา


ขนาดเบียร์ยังแพ้?


“ต่อให้เหรอ”ผมถามเบียร์ออกไปตามตรง


“เอ้ยๆ พูดแบบนี้ดูถูกผมเหรอใบไธม์”เบซิลที่ได้ยินก้าวยาวๆมาหาผมด้วยใบหน้าเคืองๆ


“ไม่ได้ดูถูกแต่เกมหมากรุกน่ะเบียร์เก่งที่สุดในหน่วยเรา”ก่อนหน้านี้กิจกรรมประจำเดือนของหน่วยเราคือการแข่งขันหมากรุกโดยสมาชิกกในหน่วยทุกคนรวมทั้งหัวหน้าต้องจับฉลากแข่งขันกัน


ผู้ที่ได้รับชัยชนะเป็นคนสุดท้ายจะได้ของรางวัลพิเศษไป ซึ่งเบียร์กับหัวหน้าต่างผลัดกันแพ้ชนะอยู่ตลอด ถ้าให้นับจำนวนครั้งที่ชนะเบียร์จะมากกว่าหัวหน้าอยู่


สองคนนี้ฝีมือสูงมาก


ด้วยฝีมือที่โดดเด่นกันอยู่สองคนเลยยกเลิกการแข่งขันนี้ไปในที่สุด


เพราะแบบนั้นผมจึงไม่คิดว่าเบซิลจะสามารถชนะเบียร์ได้ง่ายๆ มันไม่เกี่ยวกับความฉลาดแต่เป็นไหวพริบและการวางแผน คนหัวดีหลายคนก็ไม่ได้จะช่วยให้เล่นหมากรุกเก่ง


“แต่ยังไงผมก็ชนะ”เบซิลพูด


“ไธม์...ผมไม่ได้ออมมือหรอกนะ เขาเก่งมากจริงๆ ตอนแรกยังแพ้อยู่เลยแต่พอเข้ากระดานที่4กลับเริ่มชนะติดต่อกันเรื่อยๆ น่าแปลกใจ”เบียร์อธิบายด้วยแววตาแพรวพราวคล้ายกำลังดีใจที่ได้เจอคู่ปรับผู้มีฝีมือทัดเทียบ


“ตอนแรกแพ้งั้นเหรอ”แต่พอชนะกลับชนะรวด


น่าแปลกใจจริงๆนั่นแหละ


“ก็ผมพึ่งเคยเล่นนี่ต้องขอเวลาศึกษาหน่อย”


“พึ่งเคยเล่น?”ผมแทบจะหลุดตะโกนออกไป คนพึ่งเคยเล่นไม่กี่ครั้งกลับสามารถเอาชนะเบียร์ที่เล่นมาไม่รู้กี่ปีเนี่ยนะ


ไม่ตลกสักนิด


“สงสัยผมคงต้องสละบัลลังค์แล้วละมั้ง แต่ไม่ยอมง่ายๆหรอกนะ มาเล่นกันอีกตา”เบียร์ชี้หน้าท้าเบซิลแข่งหมากรุกกันอีกรอบ


“ไม่เอา แค่เล่นฆ่าเวลารอใบไธม์เท่านั้น”เบียร์ถึงกับหน้าจ๋อยเมื่อได้ยินประโยคปฏิเสธตรงๆ


“งั้นมาเล่นกับผมไหม”ผมเสนอเบียร์ พอเห็นเล่นกันความรู้สึกอยากเล่นก็ผุดขึ้นมา


“เอาสิ มาเล่นกันไธม์”เบียร์พยักหน้ารัวๆด้วยความดีใจ


“ถ้าใบไธม์เล่นผมก็เล่นด้วย”


“เล่น3คนได้ที่ไหนล่ะ”ผมตอบกลับ


หมากรุกเป็นเกมที่เล่น2คน ถ้ามีคนเพิ่มจะแข่งได้ยังไง


“เอาแบบนี้ดีไหม เล่นคนละ2กระดานใครชนะมากสุดก็เป็นผู้ชนะไป”เบียร์เสนอ


“ก็ดี”ผมเห็นด้วย


สุดท้ายการแข่งหมากรุกก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้อย่างราบคาบของผมไม่ว่าจะแข่งกับเบียร์หรือเบซิล กับเบียร์ผมพอจะเดาผลออกอยู่แล้วเพราะผมไม่เล่นหมากรุกมานานมากแล้วแค่ตัวไหนเดินยังไงยังต้องใช้เวลานึกอยู่นานกว่าจะเดินได้


แต่กับเบซิลผมแข่งหลังจากเบียร์ ดังนั้นสภาพผมค่อนข้างพร้อมมากกว่าตอนแข่งกระดานแรกทว่าเดินไม่กี่ครั้งผมกลับถูกรุกฆาตอย่างรวดเร็ว ถูกหลอกล่อให้เดินไปตามที่อีกฝ่ายต้องการรู้ตัวอีกทีก็โดยรุกฆาตไปซะแล้ว


บอกตรงๆว่าผมไม่อยากเชื่อว่าเบซิลพึ่งเล่นวันนี้เป็นวันแรก


ฝีมือต่างกันเกินไป


“เบซิล”ผมเรียกคนที่พุบนอนอยู่ข้างโต๊ะ ช่วงเช้าผมนั่งทำงานพร้อมแจกจ่ายงานให้กับทุกคนและตัวเองจนกระทั่งนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงซึ่งเป็นเวลาพักแล้ว


ตลอดเวลาเบซิลนั่งพุบอยู่ข้างๆไม่รู้ว่าหลับจริงหรือแค่แกล้งกันแน่


“ฮืม”คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมามองเล็กน้อย


“เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ”


“...ใบไธม์เป็นห่วงผม”


“ผมไม่ได้พูดนะ”ผมส่ายหัวไปมาเพื่อย้ำ


แค่ถามไม่ได้แปลว่าเป็นห่วงสักหน่อย


“คนไม่ห่วงเขาไม่ถามกันหรอก”อีกฝ่ายบอกพร้อมคลี่ยิ้มออกมา


“...”ความเงียบถูกใช้แทนคำตอบเพราะผมไม่รู้จะตอบอะไรกลับไป


อาจเป็นอย่างที่เบซิลพูด...ถ้าไม่ห่วงคงไม่ถาม


“ดีใจจัง”


“เลิกยิ้มได้แล้ว”เล่นยิ้มกว้างเหมือนถูกหวยรางวัลที่หนึ่งแบบนั้นผมก็ไปต่อไม่ถูกสิ


“เขินเหรอ”


“ผมจะเขินทำไม”ไม่มีอะไรให้เขินสักนิด


“น่ารัก”


“เบซิล”ผมถึงกับหน้าตึงเมื่อได้ยินคำว่าน่ารักออกมาจากปากเบซิล


น่ารักบ้าอะไรกัน


“แล้วเรียกผมมีอะไร”อีกฝ่ายคงรู้ว่าไม่ควรแหย่ผมต่อจึงได้เปลี่ยนเรื่องคุยซึ่งก็นับว่าคิดถูก


“ไปข้างนอกกัน”


“ชวนผมเดท?”เบซิลด้วยน้ำเสียงกึ่งตกใจ


“ใช่มั้ง”ผมเผยรอยยิ้มมุมปากขึ้นระหว่างพูด ท่าทางของเบซิลดูตลกจนผมทนไม่ไหว ดวงตาสีเขียวมรกตเบิกกว้างด้วยความตึกตะลึง เช่นเดียวกับปากที่อ้าออกกว้างคล้ายกำลังอึ้งสุดๆ


นี่ผมดูตลกอยู่ใช่ไหม


“พูดจริงรึเปล่า”เบซิลถามย้ำ


“ไม่จริง”ผมตอบตามตรง


“...การทำคนใจสลายมันเป็นบาปนะรู้ไหม”น้ำเสียงอ่อนแรงนั่นเรียกรอยยิ้มผมได้อีกรอบในระยะเวลาไม่กี่วินาที


ปกติผมไม่ใช่คนชอบยิ้ม ถ้าจะยิ้มก็จะเป็นช่วงที่อยู่กับครอบครัวซะมากกว่า


“แล้วจะไปไหม”ผมถามพลางใช้มือข้างนึงดึงแก้มอีกฝ่ายยืดเล่น


“ไป...แล้วอย่าทำเหมือนผมเป็นเด็กสิ”


“เปลี่ยนไปลูบหัวดีกว่าใช่ไหม”


“ก็ดีกว่า...ไม่ใช่สิ ผมไม่ใช่สุนัข”เบซิลส่งสายตาเคืองๆมาให้


“คิก...”ผมถึงกับหลุดขำออกมาแล้วเปลี่ยนจากดึงแก้มเป็นลูบเส้นผมสีเทาเข้มสองสามครั้งก่อนลุกขึ้นเดินไปทางประตูโดยไม่หันไปดูว่าอีกฝ่ายตามมาไหม


ไม่ต้องหันไปดูผมก็รู้ว่ายังไงเขาต้องตามมาแน่


มอเตอร์ไซค์คันสีดำแล่นไปตามถนนใหญ่ใจกลางเมือง จุดหมายในครั้งนี้ไม่ใช่ร้านอาหารเหมือนอย่างทุกทีแต่เป็นร้านไอทีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้นๆของเมือง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค โทรศัพท์หรือชิ้นส่วนต่างๆล้วนมีครบทุกอย่างในร้านเดียว
วันนี้ผมพาเบซิลมาเลือกซื้อโน๊ตบุ๊คหรือคอมพิวเตอร์แล้วแต่เจ้าตัวต้องการ


ยังไงแฮ็กเกอร์ก็จำเป็นต้องมีติดตัวไว้สักเครื่อง กว่าผมจะทำเรื่องเบิกงบประมาณได้ก็ใช้เวลาไปนานใช่เล่น


“นี่ที่...”เบซิลหันไปมองรอบร้านยามก้าวเข้ามาด้านใน ผมสังเกตเห็นแววตาที่ทอประกายขึ้นได้ชัดเจนทีเดียว


ดูท่าจะถูกใจ


“ผมทำเรื่องเบิกงบมาได้สองหมื่น ลองดูว่าอยากได้เป็นโน๊ตบุ๊คหรือเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้าเกินงบนิดหน่อยก็ได้ไม่เป็นไร”ส่วนเกินผมพอจะออกให้ได้


คนที่ชำนาญด้านคอมพิวเตอร์ส่วนมากมักจะใช้เครื่องที่มีราคาสูงกว่าปกติ


“โน๊ตบุ๊คดีกว่า พกพาไปไหนได้สะดวกแถมยังยากในการติดตามค้นหา”เบซิลให้เหตุผล


“ถ้าโน๊ตบุ๊คก็ทางนั้น”ผมชี้ไปยังโซนโน๊ตบุ๊คข้างๆ พนักงานของร้านไม่ได้เดินเข้ามาให้บริการซึ่งถือเป็นหนึ่งในการบริการที่หลายคนติดใจ ลูกค้าหลายคนไม่ได้ต้องการคำแนะนำแต่ต้องการเดินดูด้วยตัวเอง ทางร้านจึงได้มีพนักงานประจำจุดสำหรับเวลาลูกค้าเกิดข้อสงสัยจะได้เรียกถามได้สะดวก


โน๊ตบุ๊คหลายสิบสิบยี่ห้อทั้งในประเทศและนำเข้าเรียงรายกันอย่างเป็นแถวยาวถึง5แถวอย่างระเบียบ ราคาเองก็เริ่มต้นที่หลักพันบาทไปถึงหลายหมื่นบาท


เบซิลเดินมองแต่ละเครื่องไล่ตั้งแต่แถวแรกจนหมดแถวสุดท้ายก่อนจะเดินกลับมาตรงหน้าผม


“สนใจอันไหน”


“ไม่ล่ะ”


“ไม่ถูกใจเลย?”นี่เป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในระแวกนี้แล้วนะ


“ประมาณนั้น บอกว่ามีงบสามหมื่นใช่ไหม”เบซิลถามกลับ


“ใช่”


“งั้นผมขอซื้อไปประกอบเอง”


“...ก็ได้”ผมพยักหน้าอีกฝ่ายจึงเดินไปเลือกชิ้นส่วนต่างๆในโซนด้านใน


เบซิลนี่ยังมีหลายอย่างที่ผมไม่รู้อีกเยอะเลย


รู้ว่าเขาเก่งด้านการแฮ็กข้อมูลและพูดล่อหลอก


แต่ไม่รู้ว่าจะเล่นหมากรุกเก่งหรือสามารถประกอบโน๊ตบุ๊คเองได้


ยิ่งรู้จักยิ่งรู้สึกว่าไม่ธรรมดาจริงๆ


จะให้บอกอีกกี่ทีก็ได้ว่าฝีมือและทักษะระดับนี้ไม่ควรจบอยู่ในคุก


การให้เขาออกมาเป็นสิ่งที่ถูกแล้ว


ชิ้นส่วนต่างๆของโน๊ตบุ๊คถูกเลือกใส่ตระกร้าจนเต็ม เห็นแรกผมนึกว่างบสามหมื่นคงไม่พอแต่ที่ไหนได้กลับอยู่ในราคาประมาณสองหมื่นเก้าหน่อยๆ  ดูท่าว่าเบซิลคงคำนวณราคาระหว่างหยิบไปด้วย



หลายวันต่อมาผมยังคงนั่งอ่านเอกสารของคดีต่างๆที่ถูกส่งมาให้ไม่เว้นแต่ละวัน ตั้งแต่ซื้อของชิ้นส่วนโน๊ตบุ๊คให้เบซิลก็เริ่มประกอบทุกอย่างเข้าด้วยกัน เพียงคืนเดียวโน๊ตบุ๊คสีเงินก็เสร็จสมบูรณ์ และไม่รู้ว่าไปลงวินโด้หรือโปรแกรมจากทางไหนถึงได้พร้อมใช้งานรวดเร็วขนาดนี้


“ปวชานนท์ วิภาพศิลป์”ผมเอ่ยชื่อบุกคคนในเอกสารคดีตรงหน้า


“อายุ48ปี เกิดที่กาญจนบุรี ทำธุรกิจค้าขายผลไม้จนกระทั่งเมื่อ4ปีก่อนได้เริ่มเปิดฟาร์มผลไม้ของตัวเองขึ้น ที่น่าสงสัยคือมีภาพจากดาวเทียมถ่ายเห็นพ่อค้ายาชื่อดังขับรถเข้าไปในฟาร์มพอดี มีความเป็นไปได้สูงว่าจะมีเอี่ยวในคดียาเสพติด”เบซิลพิมพ์หาข้อมูลพร้อมอธิบายเป็นฉากๆ


“ดูภาพจากดาวเทียมได้ด้วย”มันชักจะน่าตกใจเกินไปแล้วมั้ง


“ไม่อยากนี่ ต่อให้ทำป็นภาพดำแต่ก็แก้ให้มองเห็นได้ไม่ยากแต่นี่แค่เข้าไปดูภาพตรงๆเอง”เบซิลพูดด้วยสีหน้าสบายๆราวกับกำลังทำเรื่องง่าที่ใครๆก็ทำได้


ผมคนนึงแหละที่ทำไม่ได้


ต่อให้ดูภาพจากดาวเทียมได้แต่เราจะรู้ได้ยังไงว่าต้องไปดูเวลาไหนถึงจะเห็นภาพที่เกี่ยวข้อง


ถ้าไม่ใช่ระดับเมเกอร์คงทำไม่ได้


“เก่งจริงๆนะ”


“ผมดีใจที่คุณชม”รอยยิ้มกว้างจากคนข้างๆทำให้ความรู้สึกแปลกๆปรากฏขึ้นจนต้องรีบเบือนหน้าหนีไปอีกทาง


“คดีนี้คงต้องให้เบียร์กับซันจัดการ”ผมพึมพำพลางเขียนชื่อทั้งสองคนลงไป


ช่วงนี้ผมได้เบซิลช่วยหาข้อมูลของคดีให้จึงทุนเวลาไปได้เยอะ ก่อนหน้านี้ผมมักจะถามจิวแต่จิวจะรู้ข้อมูลแบบปกติอย่างชื่อที่อยู่ อาชีพ โรงเรียนที่จบหรือพวกญาติพี่น้องแม้กระทั่งพวกข่าวลือต่างๆไม่ได้รู้เจาะลึกอย่างข้อมูลของเบซิล อีกอย่างช่วงนี้จิวกับแม็กออกไปทำคดีสำคัญด้วยกันอยู่กว่าจะกลับคงอาทิตย์หน้าได้


หลายคดีผ่านไปผมยังคงให้เบซิลคอยช่วยเช็คหรือหาข้อมูล นอกจากจะมีเป็นคดีมากแล้วยังมีเอกสารขอความร่วมมือด้วย

สำหรับเอกสารขอความร่วมมือก็ตรงตามชื่อเป็นเอกสารที่ทางการไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหารหรือองค์กรอื่นๆของรัฐเขียนส่งมาเพื่อขอความร่วมมืออย่างเอกสารในมือผมตอนนี้พูดถึงการแลกเปลี่ยนความรู้กับทางแทบยุโรปในเรื่องระเบิด และต้องการให้จูนเข้าร่วมกับคนของทางการอีก5คนไปยังฝรั่งเศสด้วยในอาทิตย์หน้า


“จูนติดงานกู้ระเบิดอยู่นี่นา”ผมพึมพำเสียงเบา แต่งานนี้ก็เริ่มอาทิตย์หน้าคงมาทันอยู่แล้ว


งั้นตอบตกลงละกัน


ความจริงหน้าที่แจกจ่ายงานเป็นของหัวหน้าไพลสันต์ทว่าพอผมขึ้นมาเป็นรอหัวหน้าได้ไม่กี่เดือนหน้าที่นี้ก็กลายเป็นของผมอย่างรวดเร็ว


เอกสารมากมายถูกแบ่งให้แต่ละคนตามความถนัดโดยผมจะให้พวกเขาทำเป็นคู่เผื่อในกรณีฉุกเฉินจะได้จัดการสถานการณ์เหล่านั้นได้ ต่างกับผมที่มักจะออกไปทำคดีคนเดียวเพราะความสะดวกในหลายๆเรื่องแต่ใช่ว่าจะไม่เคยออกไปทำงานร่วมกับใคร


ยิ่งตอนนี้ได้ออกไปทำคดีร่วมกับเบซิลอยู่บ่อยๆ


หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมงในที่สุดก็มาถึงเอกสารฉบับสุดท้าย ทั้งที่น่าจะใช้เวลาไม่นานในการอ่านเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ทว่ารายละเอียดของเนื้อหากลับทำให้ผมต้องอ่านทบทวนซ้ำอยู่หลายรอบพร้อมคิ้วสองข้างเริ่มขมวดเข้าหากันมากขึ้นเรื่อยๆ


ปรีชาชาติ ตันติศิรินทร์พ่อค้าอัญมณีอันดับต้นๆของประเทศมีเหมืองและโรงงานเจียระไนเป็นของตัวเองซึ่งสินค้านี้ได้รับความนิยมทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นอย่างมากทำให้มีรายได้ไม่รู้กี่พันล้านต่อปี นอกจากบ้านแล้วยังมีคฤหาสน์หลังใหญ่อยู่หลายหลัง


“หมอนี่...ดูท่าจะเจอเรื่องอันตรายแล้ว”เบซิลที่เห็นผมนิ่งจึงขยับเข้ามาใกล้พร้อมไล่อ่านข้อมูลในเอกสารแบบผ่านๆ ชื่อปรีชาชาติ ตันติศิรินทร์ถูกค้าหาอย่างรวดเร็ว และพอข้อมูลปรากฏขึ้นใบหน้ากวนๆก็เปลี่ยนเป็นจริงจังทันที


แน่นอนว่าถ้าทำธุรกิจธรรมดาคงไม่มาถึงหน่วยสืบสวนคดีพิเศษ เบื้องหน้าอาจเป็นการค้าขายอัญมณีแต่ความจริงเป็นตัวเบ้งในการขายอาวุธผิดกฎหมาย


“นั่นสิ”อันตรายใช่เล่น


ปรีชาชาติ ตันติศิรินทร์สร้างภาพได้อย่างดีเยี่ยมจนต้องปรบมือให้ ภายนอกไม่มีใครเชื่อหรอกว่ามาดนักธุรกิจนั่นจะซ่อนความร้ายกาจไว้ภายใน ทางการที่เข้าไปสืบหาหลักฐานอย่างลับๆขาดการติดต่อไปกะทันหัน ไม่ต้องสืบก็รู้ว่าถูกจัดการไปแล้ว


การแฝงตัวเข้าไปสืบคงไม่ง่ายเผลอเผยพิรุจเพียงเสี้ยววินาทีก็ถือเป็นจุดจบของชีวิตเลย


และเพราะทางการทำไม่สำเร็จจึงได้ส่งคดีนี้มาให้หน่วยสืบสวนพิเศษทำ


ขอบคุณจริงๆ


ผมแอบประชดในใจ


สิ่งที่ต้องการคือข้อมูลผิดการค้าอาวุธผิดกฎหมาย


“พอจะดึงข้อมูลพวกนั้นออกมาได้ไหม”ผมหันไปถามเบซิล ต่อให้ไม่อธิบายอะไรเบซิลคงเข้าใจอยู่แล้วว่าผมต้องการให้ทำอะไร
ในเมื่อทางเรามีแฮ็กเกอร์อัจริยะฉายาเมเกอร์อยู่ก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตเข้าไปเจออันตรายแค่ดึงข้อมูลพวกนั้นออกมาเป็นอันเสร็จสิ้น


“...ลองทำอยู่ตั้งแต่เมื่อครู่แล้วแต่ไม่ได้ เข้าไปดึงข้อมูลพวกนั้นไม่ได้”เบซิลขมวดคิ้วแน่นระหว่างมือทั้งสองข้างยังคงคีย์บางอย่างลงไปในหน้าจอ


“เข้าไปไม่ได้? หมายถึงมีการป้องกันแน่นหนารึเปล่า”


“ไม่ใช่ ต่อให้มีการป้องกันสัก10ชั้นผมก็มั่นใจว่าสามารถเจาะเข้าไปได้ ที่บอกว่าเข้าไม่ได้คือคอมพิวเตอร์ที่ใส่ข้อมูลนั่นไม่ได้เชื่อมอินเตอร์เน็ต ระบบของเครื่องถูกปิดการเชื่อมต่อจากภายนอกเพราะแบบนั้นถึงเข้าไปดูไม่ได้”เบซิลอธิบายต่อ


“...แปลว่าคงไม่มีทางเลือกนอกจากเข้าไปเอาข้อมูลนั่นโดยตรงสินะ”ถ้าฝีมือระดับเมเกอร์ยังบอกว่าไม่ได้คงไม่มีใครทำได้แล้วล่ะ


“อืม...จะให้ใครไปล่ะ”เบซิลถามต่อ


“ผมจะไปเอง”ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ถ้าคิดถึงความเป็นไปผมคงมีโอกาสในการทำสำเร็จมากกว่าใครในหน่วย พลังของผมมีไว้ใช้ในสถานการณ์พวกนี้


หากกลายเป็นสัตว์ต่อให้เป็นการป้องกันที่แน่นหนายังไงก็ต้องมีช่องว่างให้สัตว์ตัวเล็กๆเข้าไปบ้างแหละน่า


“ห้ามไปนะ มันอันตรายเกินไป”เบซิลค้านสุดเสียง


“ถ้าให้คนอื่นไปจะอันตรายกว่านี้อีก”ผมไม่คิดจะเสี่ยงให้คนอื่นทำในเมื่อความสามารถผมเหมาะสมที่สุด


“แล้วถ้าพวกนั้นเห็นคุณขึ้นมาล่ะ แค่จำนวนคนเฝ้าก็ปาไป20คนแล้วนะ”เบซิลไม่พูดเปล่าหับหน้าจอโน๊ตบุ๊คที่มีภาพระบบรักษาความปลอดภัยของคฤหาสน์เป้าหมายมาให้ดูตรงหน้า


ภาพนี่เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดซึ่งอยู่ใกล้ๆ เบซิลคงแฮ็กเพื่อจะได้มองสถานการณ์อย่างเป็นปัจจุบันมากที่สุด ด้านหน้ารั้วมีชายเสื้อดำรูปร่างกำยำยืนเว้นระยะห่างกันทุก5เมตรรอบกำแพงคฤหาสน์ ดูยังไงก็ไม่มีทางรอบเข้าไปด้านในได้


นี่ยังเป็นแค่ด้านนอกสุดไม่รู้ว่าข้างในต้องเจออะไรอีก


“ไม่เป็นไร ผมจัดการได้”ถ้าเป็นผมจำนวนไม่ใช่ปัญหา


“มั่นใจในฝีมือตัวเองมากไปรึเปล่า ต่อให้เก่งขนาดไหนแต่การต่อสู้กับคนจำนวนขนาดนี้ดูยังไงก็แทบไม่มีโอกาสชนะได้เลย”คำบ่นมากมายถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงร้อนรนปนกังวลใจ


“เป็นห่วงผมเหรอ”ครั้งนี้ผมย้อนถามสิ่งที่อีกฝ่ายมักพูด


“ก็ใช่น่ะสิ เป็นห่วงมากๆด้วย”


“ผมจัดการได้”ไม่ใช่การโอ้อวดแต่ผมรู้ว่าสามารถจัดการได้จริงตามที่พูดไป


“ได้ ถ้ายืนยันที่จะไปผมก็จะไปด้วย”เบซิลพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาสีเขียวมรกตหันมาประสานคล้ายจะไม่ยอมให้ผมปฏิเสธ


“คุณจะไปทำไม”ทักษะการต่อสู้ก็ทำไม่ได้ดี การเคลื่อนไหวนี่ผมให้คะแนนติดลบลย


ขืนเข้าไปทั้งแบบนี้ได้โดนถีบกระเด็นภายในนาทีเดียวแน่


“ต่อให้คุณสามารถผ่านระบบรักษาความปลอดภัยพวกนั้นไปได้แต่ถ้าข้อมูลที่ต้องการถูกใส่รหัสผ่านหรือโปรแกรมป้องกันไว้ล่ะ”


“...”ผมถึงกับเงียบเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย


เป็นอย่าที่เบบซิลพูด ต่อให้คอมพิวเตอร์ไม่ได้เชื่อมอินเตอร์เน็ตแต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการป้องกันนี่


ถ้ามีการป้องกันด้วยรหัสผ่านผมคงจัดการไม่ไหว และถ้าจะให้เอาออกมาทั้งคอมเลยยิ่งเป็นไปไม่ได้


“ถ้าผมไปด้วยไม่ว่าจะเป็นรหัสหรือโปรแกรมป้องกันอะไรผมก็มั่นใจว่าสามารถจัดการเคลียร์ได้”น้ำเสียงมั่นใจนั่นทำให้ผมเริ่มคิดหนัก


เรื่องการแฮ็กไม่มีใครเก่งไปกว่าเบซิลอีกแล้ว แต่หากให้เบซิลไปจัดการด้วยผมก็ไม่สามารถกลายร่างเป็นสัตว์เพื่อหลบหนีการป้องกันได้ ระบบรักษาความปลอดภัยขนาดนั้นคงแทบไม่มีช่องว่างให้มนุษย์สองคนลอบเข้าไป


“...มันต้องเสี่ยงนะ”พวกเราจะเสี่ยงด้วยกันทั้งคู่


“ผมพร้อมจะเสี่ยงกับใบไธม์”


“เข้าใจแล้ว...เรามาเสี่ยงไปพร้อมกันเถอะ”ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากไปกว่านี้ ท่าทางบองเบซิลไม่มีความกลัวหรือแม้แต่ลังเล
เขาพร้อมกับไปกับผมต่อให้รู้ว่าตรงหน้าจะเต็มไปด้วยอันตรายก็ตาม


พวกเราไม่มีเวลาเตรียมตัวหรือวางแผนกันมากนักเนื่องจากข้อมูลที่เบซิลหามาได้นั้นบอกว่าปรีชาชาติ ตันติศิรินทร์จะไม่อยู่คฤหาสน์ในวันนี้ และเป็นงานใหญ่ทำให้มีคนกลุ่มนึงต้องคอยตามอาลักขามากกว่าเวลาปกติ เพราะแบบนั้นระยะห่างของแต่ละคนเลยเพิ่มขึ้นแถมเบซิลยังเจอมุมอับที่เราสามารถแอบลอบเข้าไปได้ด้วย


กุญแจสำคัญไม่ใช่คนแต่เป็นเวลา


ไม่ใช่จะรู้ได้ง่ายๆว่าช่วงเวลาไหนที่เหมาะแก่การลอบเข้าไป



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่7) 7/5/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 07-05-2018 21:38:00
(ต่อนะคะ)


ท้องฟ้าในยามดึกถูกย้อมเป็นสีดำสนิทแม้แต่แสงจากดวงจันทร์ยังมีให้เห็นเพียงริบหรี่ช่วยให้กลุ่มคนเฝ้าหน้ารั้วคฤหาสน์ไม่ทันสังเกตถึงการมาเยือนของแขกแปลกหน้าทั้งสองคน บริเวณที่พวกเราเลือกจะลอบเข้าไปคือรั้วด้านข้างสวนซึ่งเป็นหัวมุมของคฤหาสน์สามารถแอบปืนเข้าไปได้ และสำคัญคือมีเสาร์ไฟฟ้าคั่นอยู่ระหว่างคนสองคน


อาจเพราะความมืดทำให้การมาเยือนของผมไม่แตะตาใคร หนึ่งในคนคุ้มกับถูกล๊อคคอแรงๆจนสลบคาทีก่อนผมจะลากร่างนั้นไปพิงกับเสาไฟแล้วกวักมือเรียกเบซิลให้ตามมา


ด้านในรั้วคือสวนรกค่อนข้างทึบขนาดไม่ใหญ่มากทว่าเมื่อก้าวไปได้ไม่กี่ก้าวเสียงบางอย่างก็พานให้ขาที่กำลังก้าวหยุดชะงัก


กรรร


ผมหันซ้ายขวาเพื่อมองหาที่มาของเสียงโดยมีเบซิลตามหลังมาติดๆ มองหาไม่นานร่างสีดำเงาของสัตว์สี่เท้าก็ก้าวเข้ามาใกล้แถมไม่ใช่แค่ตัวหรือสองตัว


5ตัว


ตรงหน้าผมมีสุนัขล่าเนื้ออยู่5ตัว


“ใบไธม์”เบซิลกระซิบเรียกพลางดึงผมให้เตรียมหลบทว่าผมกลับขืนแล้วเดินตรงเข้าไปหาสุนัขทั้ง5ตัว ดวงตาสีน้ำตาลของผมและพวกมันประสานกันนิ่งๆ เชื่อไหมว่าพวกมันเริ่มก้าวถอยหลังไป


พลังของผมคือสามารถกลายร่างเป็นสัตว์ได้ ความพิเศษนี้ทำให้สัตว์ไม่ว่าจะเป็นอะไรจะรับรู้ถึงตัวตนผมได้มากกว่ามนุษย์ปกติ สัตว์มักจะสัมผัสถึงจิตใจของมนุษย์ได้ด้วยสัญชาตญาณ เช่นเดียวกับสุนัขตรงหน้านี้ที่สัมผัสได้ว่าผมไม่ใช่มนุษย์ปกติจึงไม่กล้าพุ่งเข้าใส่


“เบซิล ตามผมมา”ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงเบาพร้อมกวักมือ


และแล้วพวกเราก็สามารถผ่านมาได้อีกด่านโดยไม่ต้องออกแรงอะไรมากมายนัก ทางเข้าตัวคฤหาสน์มีหลายทางซึ่งทางเข้าที่ผมเลือกคือหน้าต่างบานหนึ่งซึ่งอยู่ไกลจากประตูหลังพอสมควร บริเวณประตูจะมีคนเฝ้าอยู่มากจึงต้องหลีกเลี่ยงไว้เป็นดีที่สุดเพื่อความปลอดภัย


“เบซิล”ผมเรียกคนด้านหลังอีกครั้ง


“รู้แล้ว”เบซิลพยักหน้าแล้วก้าวมานำหน้าผม ในห้องนี้เป็นห้องครัวขนาดกลางเปิดโล่งให้ความรู้สึกสบายตา


เบซิลเดินมองซ้ายขวารอบห้องก่อนจะหยุดอยู่หน้าเครื่องเล็กๆคล้ายโทรศัพท์บริเวณเคาทน์เตอร์ทำอาหาร สายที่เสียบถูกดึงออกพร้อมเสียบเชื่อมกับตัวโน๊ตบุ๊คที่เบซิลพกมาด้วย เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดดังติดกันสักพักใหญ่และหยุดลง


“ทางไหน”ผมถามต่อทันที สิ่งที่เบซิลทำคือการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ในคฤหาสน์เพื่อหาจุดที่อยู่ของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราต้องการ ต่อให้เครื่องไม่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตไม่ได้หมายความว่าจะหาไม่เจอ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดถูดเชื่อมกันไว้ยกเว้นแต้เครื่องซึ่งเป็นเป้าหมาย


หากรู้จุดของอุปกรณ์อื่นๆการจะคำนวณหาก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร


“อยู่ไม่ไกล ออกจากห้องนี้แล้วตรงไปตามทาง พอเจอแยกสองให้เลี้ยวซ้ายห้องอยู่ทางขวามือ”เบซิลอธิบายระหว่างดึงเสียบสายกลับไปคืนที่เดิม


ผมเดินนำหน้าเบซิลเพื่อดูต้นทางในกรณีมีใครเดินตรวจตราซึ่งก็มีตามที่คาดไว้แต่พวกเราสามารถหลงเลี่ยงมาได้โดยไม่เกิดการปะทะจนมาถึงห้องซึ่งเป็นเป้าหมายบริเวณใจกลางของคฤหาสน์


ถือเป็นจุดที่เหมาะที่สุดสำหรับการซ่อนอะไรบางอย่าง คงมีแทบนับคนได้ที่จะฝ่ายระบบรักษาความปลอดภัยพวกนั้นมาได้โดยไม่ถูกจับได้ซะก่อน


ภายในห้องมืดสนิทจากการปิดไฟ แม้จะไม่มีไฟทว่าแสงจากภายนอกทำให้สามารถมองเห็นห้องกว้างอันเต็มไปด้วยกล่องลังไม้และคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องตั้งอยู่ชิดผนัง เบซิลเดินตรงไปยังคอมพิวเตอร์นั้นแล้วเริ่มทำการเปิดหาและขโมยข้อมูล


ตัวผมยืนพิงประตูไว้เผื่อมีใครคิดจะเข้ามา


กึก


ยังไม่ทันไรเสียงฝีเท้าพร้อมแรงดึงบริเวณลูกบิดก็ทำเอาผมและเบซิลสะดุ้งพลางหันไปมองทางประตู เป็นอย่างที่ผมคิด...ไม่มีทางที่ห้องสำคัญขนาดนี้จะไม่มีคนคอยเฝ้าหรือคุ้มกัน


คนด้านนอกเริ่มออกแรงดันประตูมากขึ้นเมื่อไม่สามารถเปิดประตูได้ตามปกติเนื่องจากมีผมขืนเอาไว้


“ไม่ต้องมา”ผมพึมพำกลับไปให้เบซิลที่กำลังลุกกลับไปจัดการหน้าที่ตัวเอง


“แต่คนเดียวจะต้านไม่ไหว”เบซิลตอบกลับเสียงเบา


“ผมจะล่อพวกมันเอง รีบจัดการเอาข้อมูลมา”


“ล่อ? มันอันตรายไป”


“ผมไม่เป็นไร เสร็จแล้วไปเจอกันตรงสวนที่พวกเราลอบเข้ามา ถ้าเกิน10นาทีแล้วยังไม่เจอผมก็กลับไปซะ”ผมรีบพูดต่อ


“ใครจะกลับกัน ถ้าไม่เจอผมจะกลับเข้ามาในคฤหาสน์อีกรอบ”


“รีบเอาข้อมูลกลับไป”


“งั้นก็มาเจอกันผมจะได้ไม่ต้องกลับเข้ามาตาม”เบซิลตัดบนแล้วหันหน้ากลับไปจัดการกับรหัสผ่านตรงหน้าจอต่อ


“...เข้าใจแล้ว”


กึก


แรงปะทะจากด้านนอกเริ่มมากขึ้นผมจึงเลิกขืนแรงแล้วปล่อยให้คนด้านนอกกระแทกประตูเข้ามาจนหน้าทิ่ม ชายสองคนในชุดบอดี้การ์ดถูกผมจัดการให้สลบแล้ววางร่างที่สลบนั่นไว้ข้างประตูก่อนจะออกไปด้านนอกปล่อยให้เบซิลจัดการเรื่องข้อมูลตามลำพัง


กว่าจะเจาะเข้าไปได้คงใช้เวลาพอสมควร มีความเป็นไปได้ที่จะมีคนมาอีก


ถ้าเป็นแบบนั้นเบซิลคงอันตรายผมเลยตัดสินใจที่จะเป็นตัวล่อ สร้างความกลหนให้เกิดขึ้นและทุกคนจะพุ่งความสนใจมายังผม ทำแบบนั้นจะถ่วงเวลาได้มาก


เมื่อคิดได้แบบนั้นผมไม่รอช้าวิ่งเข้าใส่ชายคนแรกที่เจอ หมัดหนักๆปล่อยโดยใบหน้าอย่างตั้งใจส่งผลให้พวกที่อยู่ด้านหลังรีบติดต่อกับคนอื่นๆว่ามีคนบุกรุกเข้ามาบริเวณนี้


ผมยกยิ้มเล็กน้อยก่อนหันหลังวิ่งหนีไปทางใต้ของคฤหาสน์ซึ่งเป็นคนละทิศกับที่เบซิลอยู่ ภายในคฤหาสน์มีทางเลี้ยวหรือสี่แยกอยู่นับไม่ถ้วน หากวิ่งมั่วๆได้วนกลับมาที่เดิมเป็นแน่


หน้าต่างด้านหน้าแตกละเอียดจากแรงกระแทกจากทั้งร่างของผม นอกตัวคฤหาสน์เองก็เต็มไปด้วยกลุ่มชายวิ่งตามมากันให้ควัก ความเร็วที่ชะลอไว้เร่งขึ้นมาจนสุดยามต้องการสลัดคนด้านหลังทิ้ง แต่รู้ดีว่าหากวิ่งไปเรื่อยๆต้องเจอเข้ากับอีกกลุ่มที่วิ่งมาดักจากอีกทาง


เพราะแบบนั้นผมเลยเลือกที่จะเปิดหน้าต่างห้องหนึ่งออกแล้วเข้าไปหลบชั่วคราว


ก่อกวนประมาณนี้คงมีเวลามากพอให้เบซิลจัดการกับข้อมูลได้สำเร็จ คนจากในคฤหาสน์ออกมารวมตัวกับด้านนอกก่อนจะกระจายกันค้นหาตามสวนและบริเวณโดยรอบคฤหาสน์


การกระทำของพวกนั้นอยู่ในสายตาผมที่แอบมองผ่านหน้าต่างอยู่ทั้งหมด


เมี๊ยว


กึก


ทั้งร่างผมถึงกับชงักเมื่อได้ยินเสียงร้องที่นับว่าคุ้นเคยอยู่ไม่น้อย พอหันกลับไปมองแมว ไม่สิ กองทัพแมวกว่า20ตัวก็เดินมาคลอเคลียตามขาและเท้า บางตัวถึงกับกระโดดขึ้นมาเกาะตาตัว


อาจเพราะความสามารถพิเศษที่มีทำให้สัตว์ส่วนมากรู้สึกคุ้นเคยกับผมได้ง่าย แต่มันก็ถือเป็นข้อเสียเช่นกัน แมวสีส้มลายเสือตัวนึงกระโดดจากโต๊ะข้างๆมายังใบหน้าผมเต็มๆ แม้จะรีบจับแล้ววางแต่ก็ยังไม่ทันเวลา 5 วินาทีซึ่งถือเป็นข้อจำกัดของการกลายร่าง


“ซวยแล้ว...”


ยังไม่ทันเอ่ยจบประโยคร่างเนื้อของมนุษย์ก็เริ่มหดเล็กลง ขนสีส้มลายเสือขึ้นมาปกคลุมร่างกายขนาดเล็กแทบทุกส่วน สัมผัสของส่วนหางกำลังส่ายไปมาเล็กน้อย ดวงตาสีทองของผมในร่างแมวมองไปรอบห้องหลังจากมุดออกมาจากเสื้อผ้าตัวเองที่ไม่ได้หดตามมาด้วย


ข้อเสียอีกอย่างคือเวลากลายร่างเสื้อผ้ามักจะหลุดเรี่ยราด


“เมี๊ยว”ผมพยายามออกเสียง แน่นอนว่าในร่างนี้ไม่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้


เมี๊ยว


กลุ่มแมวกว่า20ตัววิ่งกรูกันเข้ามาทำความรู้จักคล้ายผมเป็นดาราในหมูแมวเหมี๊ยว ตอนนี้ผมไม่มีเวลามาสบายใจอีกต่อไป เมื่อมาอยู่ในร่างนี้ก็ควรหาทางใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด


ผมในร่างแมวใช้ปากเล็กๆคาบเสื้อผ้ากระโดดขึ้นไปยังโต๊ะต่อไปยังขอบหน้าต่างแล้วใช้ส่วนลำตัวดันอ้าจนหน้าต่างเปิดแง้มออก เสื้อสีดำถูกทิ้งลงไปทางหน้าต่างตามมาด้วยกางเกงในรอบต่อมา


ไม่รู้ทำไมด้านนอกที่ควรจะมีกลุ่มบอดี้การ์ดอยู่กลับหายเงียบจนไม่เหลือแม้แต่เงาแบบนี้


เหมือนมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น


เสื้อและกางเกงถูกลากไปตามพื้นจนถึงบริเวณสวนที่นัดกับเบซิลไว้ แน่นอนผมซ่อนเสื้อผ้าไว้ในพุ่มไม้ไม่ให้ใครเห็นได้ เมื่อซ่อนเสื้อผ้าเรียบร้อนผมใช้ร่างแมวนี้ในการหาข้อมูลว่าเกิดอะไรขึ้น


วิ่งเรียบคฤหาสน์มาจนถึงด้านหน้าก็พบเข้ากับปรีชาชาติ ตันติศิรินทร์กำลังลงจากรถมาโดยมีบอดี้การ์ดล้อมรอบทำการต้อนรับ
“วันนี้กลับมาเร็วนะครับ”ชายคนที่ยิงคำถามได้ตรงใจผมคนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนสนิท จากข้อมูลวันนี้ปรีชาชาติ ตันติศิรินทร์น่าจะไปค้างคืนยังต่างจังหวัดไม่ใช่กลับมาในช่วงใกล้รุ่งสางแบบนี้


“มีลูกค้าเพิ่มฉันเลยต้องรีบมาอัพเดทข้อมูลสักหน่อย”ปรีชาชาติเอ่ยตอบลูกน้อง


แย่แล้ว


แบบนี้เขาต้องไปเจอกับเบซิลแน่


ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เบซิลจัดการเสร็จรึยัง คงทำได้แค่ภวนาให้เสร็จแล้ว


บอกตรงๆว่าผมไม่ชอบการพึ่งสิ่งเหล่านั้นโดยไม่พยายามให้เต็มที่ซะก่อน


“เมี๊ยว”ผมร้องเสียงแมวระหว่างวิ่งตรงเข้าไปยังปรีชาชาติ ส่วนลำตัวสีส้มลายเสือคลอเคลียบริเวณขากางเกงเพื่อดึงความสนใจ


“ฮืม...อ้าว มาทำอะไรตรงนี้ล่ะกูลลิโกะ”เจ้าของคฤหสน์หลังยักษ์ก้มลงมาอุ้มผมขึ้นไปไว้ในอ้อมกอด


กูลลิโกะ?


ชื่อแมวตัวนี้?


“มะ...เมี๊ยว”ผมพยายามอย่างมากที่จะส่งเสียงออดอ้อนให้ดูน่าเอ็นดู


“บอส ผมมีเรื่องด่วนต้องรายงาน”ชายคนเดิมเอ่ยเสียงเครียด


“ว่ามา”


“มีใครบางคนบุกรุกเข้ามาครับ”


“ว่าไงนะ จับมันได้รึยัง”ปรีชาชาติที่ได้ยินถึงกับทำหน้าตึงผมจึงอาศัยโอกาสกระโดดลงไปบนพื้นตามเดิม


หวังว่าถ่วงเวลาให้ประมาณนี้คงจะพอนะเบซิล


ผมค่อนข้างเชื่อว่าเบซิลจะจัดการเสร็จแล้ว


จากการทำงานร่วมกันไม่มีครั้งไหนที่เบซิลให้เวลาในการจัดการนาน แม้จะเป็นระบบที่ไม่มีการเชื่อมต่ออินเตอร์ผมคิดว่าไม่น่าจะมีผลอะไรต่อความสามารถระดับนั้น


ถึงแบบนั้นจะไม่ให้ห่วงหรือกังวลเลยคงไม่ได้


ทักษะหรือฝีมือในการต่อสู้ก็ไม่มี


หรือถึงเวลาแล้วละมั้งที่ผมจะสอนการต่อสู้ให้เบซิล


ทำงานอยู่หน่วยสืบสวนพิเศษแต่ต่อสู้ไม่ได้มันดูไม่ดี


ผมคิดหลายสิ่งหลายอย่างระหว่างเดินกลับไปยังพุ่มไม้เดิมซึ่งมีเสื้อผ้าผมซ่อนอยู่ ข้อกำจัดของผมคือเวลา...5วินาทีที่สัมผัสทำให้กลายร่างเป็นสัตว์ชนิดนั้นๆทว่าหากจะกลับร่างมนุษย์ต้องรอให้เวลาผ่านไปสักพักก่อนจึงจะสามารถกลับได้


อย่างน้อยๆต้องอยู่ในร่างสัตว์ประมาณ15นาทีแล้วค่อยเริ่มรวบรวมสมาธิ การฝึกสมาธิช่วยให้ผมสามารถควบคุมตัวเองได้ง่ายขึ้น เมื่อรับรู้ถึงตัวเองการจะกลับร่างเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก


ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็มีไม่น้อยเลยที่ต้องรอจนกว่างจะกลับร่างเอง


ร่างสัตว์สี่ขาส้นปุยสีส้มลายเสือค่อยๆแปรเปลี่ยนไปทีละน้อย เนื้อหนังสีเนื้อของมนุษย์เข้ามาแทนที่เช่นเดียวกับร่างการเริ่มขยายจนกลับมาสู่ขนาดของมนุษย์ปกติ สิ่งเดียวที่ไม่ปกติคือร่างกายอันเปลือยเปล่าปราศจากสิ่งบดบังนี่ต่างหาก


“ต้องรีบใส่เสื้อ...”ผมพึมพำพลางหยิบเสื้อตัวเดิมมาใส่ทว่าเสียงฝีเท้าจากด้านหลังทำให้ผมรับหันควับกลับไปมองก่อนดวงตาสีน้ำตาลผมจะเบิกกว้างด้วยความตกใจ


ตรงหน้าผมไม่ใช่ปรีชาชาติ ตันติศิรินทร์หรือเหล่าลูกสมุนที่กำลังตามหาผู้บุกรุกแต่เป็นเบซิลที่เดินออกมาจากด้านหลังต้นไม้ ดวงตาสีเขียวมรกตจับจ้องมายังร่างผมที่นั่งกองอยู่บนพื้นโดยปราศจากเสื้อผ้าใดๆ


เป็นสภาพที่ไม่ว่าใครเห็นเป็นต้องตกใจก่อนความตกใจนั่นจะกลายเป็นความสงสัย


ยิ่งกับเบซิลยิ่งแล้วใหญ่


ไม่มีทางที่เขาจะมองข้ามเรื่องนี้ไปหรอก


ความลับนี้ผมไม่เคยบอกใคร ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิท หัวหน้าหรือแม้แต่คนในหน่วย และต่อให้ผมมีแฟนหรือแต่งานผมก็ไม่คิดที่จะบอกใครทว่าตอนนี้ผมกับอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อความลับนี้เป็นอย่างมาก


ผมมี2ทางเลือก


จะปิดและเก็บทุกสิ่งไว้เป็นความลับต่อให้ถูกถามหรือซักไซ้ขนาดไหนก็ตาม


หรืออีกทางคือ...


เล่าและบอกทุกอย่างให้กับคนที่พึ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงปีอย่างเบซิล


ช่างเป็นสองทางเลือกที่พานให้ผมคิดหนักซะเหลือเกิน
.............................................................................

มาแล้วกับตอนที่7

เรื่องนี้ไม่ได้ยาวมากแต่ก็ไม่ได้สั้นจนเกินไป

เนื้อเรื่องก็มาถึงประมาณครึ่งนึงแล้ว

หลังอ่านจนหลายคนอาจคิดว่ามันค้าง ซึ่งก็ไม่ปฏิเสธค่ะเพราะว่าค้างจริงๆ 555

เนื้อเรื่องกำลังเข้มข้นขึ้นตอนต่อไปถือเป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องต่อจากนี้

หากไม่ติดอะไรจะรีบมาอัพหลังแต่งจบนะคะ

ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเม้นท์และทุกๆ กำลังใจที่มอบให้เสมอน้าาา

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่7) 7/5/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: asmar ที่ 07-05-2018 23:31:29
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่7) 7/5/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 08-05-2018 01:02:34
สงสัยเนี่ยเบซินสงสัยอยู่แล้ว
แต่เหนือกว่านั้นเนี่ยคือ เห็นตอนแก้ผ้า
คือคงค้างอยู่ซักพักเลยมั้ยอะ55555
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่7) 7/5/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-05-2018 02:04:47
โอะโอ
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่7) 7/5/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-05-2018 03:41:55
ความลับแตกซะแล้วววววววววววววววววว  :katai1:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่7) 7/5/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 08-05-2018 11:49:26
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่7) 7/5/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 08-05-2018 19:23:49
คงโดนสงสัยว่าทำไมต้องโป๊ให้เห็น :hao6:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่7) 7/5/61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 13-05-2018 15:03:41
มาเจอตอนแก้ผ้าพอดีเลย 555
เบซิลเหมือนน้องหมาตัวโตขี้อ้อนอ่ะ เอ็นดูนางงงง
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่8) 18/5/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 18-05-2018 21:42:54
สืบรัก彡คดีที่8




ร่างเปลือยเปล่าของรองหัวหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษหรือใบไธม์นั่งอยู่บนพื้นหน้าตรงหน้าผมด้วยใบหน้าตกใจยามหันมาเห็นผมเดินออกไปหา หลังจากจัดการถอดรหัสเข้าเครื่องผมก็ได้ข้อมูลไม่ว่าจะเป็นเหล่าลูกค้าหรือสถานที่เก็บอาวุธที่กระจายอยู่ในบางจังหวัดเพื่อให้ง่ายต่อการขนย้ายซึ่งเรื่องข้อมูลพวกนั้นจะยังไงก็ช่าง


ตอนนี้สิ่งที่ผมสนใจคือใบไธม์ต่างหาก


เสื้อผ้าที่กองอยู่ด้านข้างดูยังไงก็ไม่ใช่การถอดเพราะหากถอดคงไม่กองรวมซ้อนทับกันแบบนั้น อีกอย่างในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการถูกจับจะมีใครกล้ามาถอดเสื้อผ้า


ไม่ว่าจะดูยังไงก็ต้องมีบางอย่างกับอีกฝ่ายแน่ ปัญหาคือผมไม่รู้ว่าบางอย่างนั่นคืออะไร


ดวงตาสีน้ำตาลของใบไธม์ยังคงจับจ้องมายังผมคล้ายกำลังคิดว่าจะทำยังไงต่อไป ความกังวลและความสับสนสื่อออกมาจนสามารถรับรู้ได้


เขาไม่อยากเล่าหรือบอกผม


อ่า...ความรู้สึกหนักๆภายในอกนี่คืออะไร


น้อยใจเหรอ


หรือแค่ผิดหวัง


“รีบใส่เสื้อผ้าเถอะ”ผมบอกใบไธม์ก่อนจะหันหลังไปทางตอนไม้ ให้เวลาอีกฝ่ายได้แต่งตัว


“เบซิล...”ไม่กี่นาทีเสียงเรียกก็ดังขึ้น


“เราต้องรีบออกจากที่นี่”ผมไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไรมากไปกว่านี้ พูดตรงๆว่าไม่อยากฟังคำว่าบอกไม่ได้หรือขอโทษ


ผมอยากรู้ทุกเรื่องของใบไธม์แต่ผมก็เข้าใจต่อให้อยากแค่ไหนความเป็นจริงมันไม่เหมือนจินตนาการ


จะให้บังคับให้บอกคงไม่ดีนักหรอก


อาจเพราะใบไธม์อ่านทางผมออกจึงเลือกที่จะเงียบแล้วกลับออกจากคฤหาสน์นี่ตรงกลับไปยังสำนักงานของหน่วยสืบสวนพิเศษ 7โมงเช้าคือเวลาที่พวกเรามาถึงซึ่งใช้เวลาในการเก็บข้อมูลนานถึง5ชั่วโมงแม้ในความเป็นจริงผมจะจัดการแฮ็กระบบนั่นในเวลาไม่นานทว่าการเข้าออกคฤหาสน์เป็นเรื่องยากโดยเฉพาะขาออกที่มีคนคอยคุ้มกันแน่นหนาขึ้น


ผมเดินตามใบไธม์เดินเข้าไปในห้องก่อนอีกฝ่ายจะลงมือเขียนรายงานด้วยใบหน้าจริงจังทว่าหากสังเกตมองดีๆจะเห็นว่าในความจริงจังนั่นแฝงไปด้วยความสับสนอยู่ไม่น้อย


คงไม่พ้นเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน


โต๊ะส่วนตัวของผมอยู่ฝั่งตรงข้ามกับใบไธม์อย่างสิ้นเชิง แน่นอนว่าระยะห่างไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใดผมลากเก้าอีกมานั่งมองอีกฝ่ายเขียนรายงานเหมือนอย่างทุกครั้งแม้จะเห็นว่าครั้งนี้ใบหน้านิ่งๆนั่นเริ่มมีความกังวลแผ่ออกมา


กังวลว่าผมจะถามละมั้ง


ความจริงต่อให้เป็นคนอื่นแล้วเห็นเหตุการณ์นั้นร้อยทั้งร้อยเป็นต้องถามชัวๆ แต่การที่ผมไม่ถามไม่ใช่ว่าไม่อยากรู้แต่เพราะรู้ดีว่าต่อให้ถามไปก็อาจไม่ได้คำตอบ


สำหรับผมตัวตนของใบไธม์มันค่อนข้างชัดเจน เวลาอยู่ใกล้ๆผมรู้สึกว่าสามารถเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมายเพียงแค่ได้นั่งเงียบๆอยู่ข้างกันก็ทำให้ผมรู้สึกดีได้


นานมากแล้วที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้


ตอนอยู่กับแม่ผมเคยมีความรู้สึกแบบนี้ทว่าหลังจากแม่ไม่อยู่ผมก็ต้องทำหลายๆอย่างเพื่ออยู่รอดและหาความสนุกไปวันๆ การแฮ็กเข้าระบบของทางการหรือล่อลวกคนอื่นต่างเป็นหนึ่งในความสนุกของผม


ผมไม่สนหรอกว่าจะถูกจับหรือติดคุก


ยังไงชีวิตในตอนนี้ก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ


แต่กับใบไธม์มันไม่ใช่ แค่ชื่อของเขาก็เรียกความสนใจจากผมได้แล้ว


ตั้งแต่เข้ามาอยู่ภายในหน่วยสืบสวนพิเศษได้เจอกับผู้คนแปลกๆหลายแบบ สิ่งหนึ่งที่พวกเขามักทำกันคือคุยเรื่องใบไธม์ในตอนที่เจ้าตัวไม่อยู่ ส่วนมากจะเป็นการพูดชมหรือไม่ก็อยากทำงานคู่ด้วย จากที่เคยถามหลายๆคนมาใบไธม์ถือเป็นผู้นำที่ทุกคนไว้ใจและอยากทำงานร่วมด้วยเพราะนอกจากจะไม่ใช้อารมณ์และยังมีสติในการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างแม่นยำ


คดีกว่าครึ่งที่ว่าเสี่ยงจนทางการยังต้องส่งมาให้หน่วยสืบสวนพิเศษทำกลับถูกรองหัวหน้าของหน่วยปิดได้ในเวลาอันสั้น โดยเฉพาะคดีสืบหาและจับกุมคนร้าย


ขนาดเบียร์ที่ว่าเก่งด้านการวางแผนยังบอกเลยว่าคดีพวกนั้นต่อให้เป็นตัวเขาเองยังไม่คิดว่าจะตามหาหรือจับคนร้ายได้ในระยะเวลาอันสั้น แถมทางการยังไม่มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันมาให้อีก


ทุกคนจึงชื่นชมรองหัวหน้าหน่วยคนนี้มาก


ผมเองก็ชื่นชมในทักษะและความสามารถนี้เช่นกัน


พอเวลาเริ่มเข้าสู่ช่วงสายของวันคนในหน่วยก็เริ่มทยอยกันเข้ามาทำงาน มีหลายคนมาเพียงแค่รับคดีและพากันออกไป ส่วนใหญ่ใบไธม์จะเป็นคนมอบคดีให้กับแต่ละคนไปทำ แต่มีบ้างที่ทางหัวหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษจะมีคดีพิเศษหรือฉุกเฉินส่งมาให้โดยตรงซึ่งหากเป็นคดีแบบนั้นส่วนมากจะเป็นใบไธม์ออกไปจัดการ


“...เลิกจ้องได้ไหม”เสียงพึมพำจากใบไธม์ดังขึ้นเบาๆโดยสายตายังคงจับจ้องอยู่กับเอกสาร


“ผมก็จ้องแบบนี้ตลอดนี่”ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมนั้งจ้องอีกฝ่ายแบบนี้ แต่หลายครั้งผมจะใช้การพุบหัวกับแขนทั้งสองข้างแล้วอาศัยช่องว่างระหว่างแขนแอบมองใบไธม์เพราะรู้ดีว่าถ้าจ้องแบบนี้ตลอดคงได้ถูกรำคาญกันไปข้าง


“จ้องแบบนั้นผมคิดไม่ออกพอดี”


“คิดอะไร ให้ผมช่วยไหม”ผมรีบถามต่อ


“...ไม่มีอะไร”ดวงตาสีน้ำตาลหันมาสบดวงตาสีเขียวของผมเพียวเสี้ยววินาทีก่อนจะหันกลับมองเองสารตามเดิม


ดูยังไงก็มีเรื่องคิดมากอยู่ชัดๆ


“การสังเกตผมน่ะเก่งมากนะรู้รึเปล่า”


“...”คิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยคล้ายจะถามว่าแล้วไง


“แค่คุณโกหกผมจับได้อยู่แล้ว”ยิ่งกับใบไธม์ยิ่งดูง่ายเพราะผมคอยเฝ้ามองและสังเกตเขามาตลอดตั้งแต่ได้เจอกัน หากมีอะไรผิดปกติมันไม่อยากที่ผมจะจับได้


“มันเป็นเรื่องที่ผมต้องคิดและหาคำตอบด้วยตัวเอง”อีกฝ่ายตอบกลับด้วยเสียงเบาหวิว


“เรื่องตอนอยู่ที่คฤหาสน์สินะ”คำพูดผมทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งเล็กน้อย เล็กน้อยจนหากไม่มองดีๆคงไม่เห็น แน่นอนว่าไม่สามารถตบตาผมได้


 “...”และความเงียบก็เหมือนเป็นเครื่องยืนยัน


เป็นอย่างที่คิด


ตอนนี้มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละ


“ใบไธม์...”


ตู้ม


ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคเสียงระเบิดดังกึกก้องก็มาพร้อมกับผนังตึกที่ถูกทำลายเพราะแรงปะทะ ใบไธม์ที่มีประสาทสัมผัสดีกว่าดึงผมให้หมอบต่ำลงกับพื้น หลายคนที่ยังอยู่ในห้องพากันส่งเสียงด้วยความตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น...


“ระเบิด? ใครมาเร่งงานเราถึงที่เนี่ย”


“ฝุ่นมันโดนหน้าฉันเต็มๆเลย ถ้าผิวเสียจะยังไงกัน”


“มันใช่เรื่องมาห่วงผิวไหมสกาย ตอนนี้ต้องเตรียมรับมือศัตรู ปืนอยู่ไหน”


ฟังจากเสียงทุกคนน่าจะปลอดภัยกันดี


“ใจเย็นๆกันก่อน ไม่มีศัตรูที่ไหนหรอก”เสียงตะโกนจากใบไธม์ทำให้เสียงตะโกนแข่งกันเงียบลง บรรยากาศโดยรอบเริ่มสงบเพียงแค่ประโยคเดียวที่ใบไธม์พูด


“ระเบิดมาจากด้านในตึก”ผมพึมพำพลางขยับเข้าไปใกล้ใบไธม์


ดูจากแรงระเบิดแล้วไม่ใช่จากด้านนอกแต่เป็นในตัวตึกด้านข้างห้องทำงานนี่


“อืม คนข้างนอกเข้ามาในนี้ไม่ได้ง่ายๆหรอกยิ่งมีคุณเข้ามาอยู่ในหน่วยยิ่งแล้วใหญ่”เป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูด ภายนอกอาจดูเหมือนตึกชั้นเดียวที่ระบบรักษาความปลอดภัยไม่มีแต่ความจริงแล้วไม่ใช่ ตั้งแต่ประตูหน้ามีการล๊อคด้วยรหัสและกุญแจต่อให้แงะกุญแจได้แต่ถ้าไม่มีรหัสก็จบเหตุ แถมเมื่อผมเข้ามาอยู่นี่รหัสง่ายๆอย่าง1234ถูผมรันรหัสให้แต่ละวันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ซึ่งรหัสที่เปลี่ยนจะส่งให้ทุกคนในหน่วยผ่านแอพพิเศษที่ผมสร้างขึ้น


ดังนั้นคนนอกไม่มีทางรู้รหัสผ่านแน่


“เป็นฝีมือคนใน”ผมสรุป


“ใช่ มีคนเดียวเท่านั้นแหละที่ทำอะไรแบบนี้”ใบไธม์พูดก่อนจะลุกขึ้นเดินตรงเข้าไปยังกลุ่มควันที่กำลังคลุ้ง แรงระเบิดเมื่อครู่ไม่ได้ทำลายแค่ผนังเชื่อมระหว่างห้องแตะยาวไปจนถึงผนังด้านข้างทำให้เมื่อหันไปทางซ้ายมือจะเห็นสวนหย่อมอยู่ตรงหน้าโดยไม่มีอะไรคั่นกลางเหมือนเคย


“ผมคงต้องขอคำอธิบายด้วย...จูน”เมื่อควันเริ่มจางร่างของสาวห้าวในชุดเสื้อผ้าและใบหน้าดำเขลอะก็เดินกระเพกมาตรงหน้าใบไธม์


จูน...สาวห้าวประหน่วย ผู้มีความเชี่ยวชาญในการสร้างระเบิดและเก็บกู้ระเบิด ห้องทดลองประกอบและแยกส่วนระเบิดของเธออยู่ข้างๆห้องนอนผม


พูดง่ายๆคือในตึกนี้มีห้องหลักๆอยู่4ห้องคือห้องทำงานรวม ห้องทำงานของหัวหน้า ห้องนอนผมและห้องทดลองระเบิดของจูนตามลำดับ การที่แรงระเบิดมาไกลถึงห้องแรงหมายความว่าห้องก่อนหน้านี้คงเละไม่เหลือแน่นอน


ยังดีที่จูนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่สภาพก็ดูไม่ค่อยได้เท่าไหร่


“...ฉันอยากรู้ว่าถ้าเราใส่ดินปืนร่วมกับการจุดชนวนด้วยเทคโนโลยีล่าสุดจะเป็นยังไง ไม่คิดว่าแรงระเบิดจะรุนแรงกว่าปกติและกระจายเป็นวงกว้างแบบนี้...ขอโทษค่ะท่านรอง”จูนก้มหน้ามองพื้นระหว่างอธิบายทุกอย่างด้วยท่าทางสำนึกผิด


“เฮ้อ ดีแล้วที่ไม่เป็นไร”ใบไธม์ถอนหายใจยาวพร้อมแตะไหล่จูนเบาๆ


“ครั้งหน้าจะลองลดดินปืนดูละกันเนอะ”


“ผมว่ามันไม่ใช่ทางแก้ที่ดีเท่าไหร่”


“งั้นจะเพิ่มความแม่นยำเข้าไปด้วย”


ผมแอบเห็นใบไธม์เริ่มทำหน้าเหนื่อยใจพลางส่ายหน้าปลงๆก่อนสถานการณ์จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ จูนโดนเพื่อนในหน่วยบ่นไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วตามด้วยถูกหัวหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษที่มาถึงในช่วงบ่ายตามรายงานทางโทรศัพท์ของใบไธม์บ่นยาวไปอีกหลายชั่วโมง


เนื้อหาแบบสรุปคือต้องการให้เพิ่มความปลอดภัยและไม่อนุญาตให้ทำการทดลองระเบิดถ้าไม่มีการป้องกันที่มากพอ เหมือนห้องที่ใช้ทดลองเองก็ถูกสร้างมาเพื่อรับมือกกับการระเบิดแต่เพราะระเบิดนี่มีความรุนแรงกว่าปกติส่งผลผนังห้องไม่สามารถต้านทานได้ พอจูนได้ยินก็ทำหน้าซีดคล้ายชีวิตใกล้จะจบลงแต่พอหัวหน้าบอกว่าให้ย้ายไปทดลองยังตึกของทางการซึ่งเป็นห้องเดี่ยวไม่มีใครมากวนเธอก็ยิ้มกว้างจนแก้มปริ


“ขอบคุณมากค่ะหัวหน้า ถ้ารู้ว่าจะได้ห้องใหม่ฉันจะคงจะรีบระเบิดที่นี่ โอ๊ะ ไม่ใช่”จูนถึงกับรีบใช้มือตะครุบปากตัวเองเมื่อเผลอหลุดปากออกมา


“ฉันให้ห้องเธอทดลองก็จริงแต่ค่าเสียหายและซ่อมอาคารใหม่จะหักออกจากเงินเดือน20%ทุกเดือน”หัวหน้าไพลสันต์บอกด้วยใบหน้าจริงจัง


“...ค่ะ”จูนทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มหน้ารับคำ


ถ้าเป็นผมทำคงเรียกเก็บค่าเสียหายอะไรไม่ได้หรอก


ก็ผมไม่ได้มีเงินเดือนเหมือนคนอื่นๆนี่นา


“พวกช่างซ่อมจะรีบมาจัดการซ่อมให้อย่างรวดเร็วที่สุด แต่สภาพแบบนี้คงมาทำงานกันไม่ได้”ระหว่างพูดสายตาคมๆไล่มองรอบห้องซึ่งเต็มไปด้วยข้าวของถูกแรงปะทะจนละเนระนาดเกลื่อนเต็มพื้น นี่ยังไม่รวมแสงแดดที่ส่องจ้าลงมาจากบริเวณที่เปิดโล่ง


“แปลว่าพวกเราจะได้หยุดยาว?”แม็กรีบเอ่ยถามด้วยแววตาเป็นประกาย


“แบบนี้ต้องรีบบอกคนอื่น”จิวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมกระจายข่าวให้ทุกคนในหน่วยได้รู้


“หัวหน้ายังไม่ได้บอกว่าจะให้หยุดสักหน่อย”คำพูดของใบไธม์เรียกให้บรรยากาศรื่นเริงชะงักค้าง


อย่างที่ว่า...ผมยังไม่ได้ยินสักคำว่าจะให้หยุด


“ตามที่ไธม์บอก ฉันไม่ได้บอกว่าจะให้หยุดนะ”


“แต่พวกเราก็มาทำงานนี่ไม่ได้นี่ครับ”ซันรีบถามต่อด้วยใบหน้าเปี่ยมหวัง


“ยุคนี้การสื่อสารมันกว้างมาก ต่อให้ไม่ได้มารวมกันที่นี่แต่ก็สามารถแจกจ่ายงานได้ ใช่ไหมไธม์”หัวหน้าหันไปถามใบไธม์ซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง


“ครับ ผมจะเป็นคนกระจายงานให้พวกเขาเอง ข้อมูลจะส่งให้ทางออนไลน์ถ้าจัดการคดีเสร็จก็ติดต่อมาแล้วอย่าลืมเขียนรายงานด้วยล่ะ”ใบไธม์ออธิบายให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน


“...ได้”ทุกคนขานรับด้วยน้ำเสียงไม่เต็มใจนัก


คงอยากหยุดยาวกันละมั้ง


ผมไม่เห็นจะอยากหยุดเลย


ถ้าหยุดก็ไม่เจอใบไธม์น่ะสิ


“ปัญหาเรื่องงานถือว่าจบ ที่เหลือคือปัญหาหลัก”หัวหน้าหน่วยพูดต่อ ดวงตาคมๆไล่มองตั้งแต่แม็กและมาหยุดอยู่ยังผมแล้วไม่ขยับออกไปไหนอีก


“ผมสินะ”จะบอกว่าปัญหาหลักคือผมก็คงใช่


ไม่แปลกใจเลย หากการทำงานไม่สามารถอยู่ในตัวตึกหรืออาคารแล้วนักโทษอย่างผมจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ


คำตอบนั้นแทบไม่ต้องถามกลับคำตอบก็สามารถเดาได้ไม่อยาก


คงไม่พ้นให้ผมกลับไปอยู่ในเรือนพิเศษที่3จนกว่าการซ่อมแซมจะเสร็จสิ้น ถ้าหากให้ลองประมาณการคงไม่ใช่ในอาทิตย์สองอาทิตย์หรอก นั่นหมายถึงผมจะต้องอยู่ในห้องขังไปเกือบเดือน


ผมไม่กลัวการกลับไปอยู่ในห้องขัง


ที่กลัวน่ะคืออการไม่ได้เจอใบไธม์ต่างหาก


ตอนนี้ผมมีเวลาประมาณ8ชั่วโมงหรือมากกว่านั้นตามแต่ละวันที่ได้อยู่กับอีกฝ่าย แต่ถ้าอยู่ในห้องขังคงกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนคือประมาณ2อาทิตย์จะได้เจอครั้ง แถมยังไม่นานด้วย


ให้ตายสิ...ผมจะไม่ไหวเพราะแบบนี้แหละ


ให้ผมช่วยกลุ่มช่างซ่อมผนังกับอาคารได้ไหมจะได้เสร็จเร็ว


“ไธม์ เธอคิดว่ายังไงดี”


“ถ้าเป็นทางการต้องให้เขากลับไปอยู่เรือนจำก่อน”ใบไธม์ตอบหัวหน้า


“แต่พวกเราไม่ใช่ทางการ”รอยยิ้มมุมปากนั่นคล้ายกำลังจะมีความคิดบางอย่างอยู่ในหัว


สำหรับผมคิดว่าคนคนนี้อ่านยากอยู่ไม่น้อย เหมือนจะเผยทุกอย่างออกมาแต่ความจริงแล้วไม่ใช่ซึ่งทำให้ผมเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายกำลังคิดวางแผนอะไรอยู่


“หัวหน้าต้องการให้ทำยังไงครับ”ดูเหมือนใบไธม์เองยังไม่สามารถอ่านความต้องการของหัวหน้าออกจึงต้องถามต่อเพื่อขอคำอธิบาย


“อืม...นั่นสินะ ลองถามเจ้าตัวดูดีกว่า อยากให้ทำยังไงล่ะเมเกอร์”เขาไม่ยอมตอบคำถามแต่เปลี่ยนมาถามผมแทน


“...ผมมีสิทธิ์เลือกได้?”นี่ไม่ใช่คำกวนแต่อย่างใด ใครๆก็รู้กันว่าไม่มีที่ไหนให้นักโทษออกความคิดหรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องแบบนี้หรอก


สั่งมายังไงก็ต้องทำตาม


“แน่นอน หน่วยสืบสวนพิเศษไม่เหมือนหน่วยงานอื่น เมื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยไมว่าจะเป็นใครก็มีสิทธิ์ออกความเห็นได้ทั้งนั้น”คำพูดเหล่านั้นแสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่ดีซึ่งหาได้ยากในปัจจุบัน


ความเท่าเทียม


ต่อให้เป็นนักโทษอย่างผมก็ตามงั้นเหรอ


ถ้าอยากรู้ว่าผมต้องการให้ทำยังไงก็จะบอกให้


“จะอยู่ที่นี่”ความหมายคือผมจะไม่กลับไป


ในเมื่อคำตอบของผมเป็นแบบนี้อยากรู้ว่าจะทำยังไงต่อ


“ได้ เพียงแค่ต้องมีคนคอยตามประกบไม่ก็ดูแล ในเมื่อห้องพักพังคงต้องให้ไปอยู่กับสักคนในหน่วยล่ะนะ ซันดีไหม...มีบ้านเป็นของตัวเองนี่”คำถามนั่นทำเอาผู้ถูกเอ่ยถึงอย่างซันถึงกับสะดุ้ง


“ไม่ๆ ไม่ไหวหรอก...เอ่อ ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้มาอยู่ด้วยหรอกนะ หัวหน้าก็รู้ว่าบ้านผมมีกันตั้ง8คน ถ้ามีมาเพิ่มอีกคงต้องให้นอนหน้าประตู”ซันรีบอธิบายพร้อมส่งสายตาขอโทษมาให้


ความจริงผมไม่ได้คิดมากอยู่แล้ว ใบไธม์เคยเล่าให้ฟังว่าบ้านซันเป็นครอบครัวใหญ่แต่ด้วยราคาบ้านที่พุ่งขึ้นสูงทำให้สามารถซื้อได้เพียงหน้าเดี่ยวสองชั้นขนาดไม่ใหญ่มาก นอกจากจะมีภรรยาและลูกอีก3คนยังมีแม่ของภรรยาและพ่อแม่ของตนเองมาอยู่ด้วย
ขืนมีผมเพิ่มเข้าไปคงต้องนอนหน้าประตูอย่างที่บอก


“งั้นแม็ก...ไม่ดีกว่า สกายเธอว่าไง”หัวหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษข้ามชื่อแม็กไปเพราะเป็นที่รู้กันดีว่าแต่ละคืนเขาจะไปค้างกับคนไม่ซ้ำหน้า


ไม่รู้ว่าเพราะต้องหาข้อมูลหรือไม่มีที่อยู่กันแน่


“ฉันเหรอคะ ความจริงก็ได้อยู่...ที่บ้านมีห้องว่างอยู่แต่มันคงดูไม่ดีเท่าไหร่”สกายตอบด้วยใบหน้าแดงก่ำ ดูเหมือนเธอจะเขินเอามากๆ


“หัวหน้าก็ให้เจ้าตัวเลือกเองเลยว่าอยากอยู่กับใคร เนอะ”จิวเสนอความเห็นขึ้นมา


“เป็นความคิดที่ดี ให้เธอเลือกเลยจะมาอยู่กับฉันก็ได้นะ”ทั้งคำพูดและใบหน้าของเขาที่อ่านยากตอนนี้กลับอ่านง่ายขึ้นมาทันตา สายตาคมๆกำลังทอประกายคล้ายดูละครตลก


แค่ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายเดาคำตอบผมได้อยู่แล้วแต่ยังมาแกล้งถาม


ไม่สิ ไม่ใช่แค่หัวหน้าแต่ทุกคนในหน่วยเองกำลังอมยิ้มพลางใช้สายตากรุ้มกริ้มมองมาทางผมแทนการสื่อความหมายว่า
พวกเรารู้นะว่านายจะเลือกไปอยู่กับใคร


ดูเหมือนทุกคนจะรู้ถึงความรู้สึกของผมที่มีต่อใบไธม์


ทุกคนรู้แต่ทำไมเจ้าตัวถึงไม่รู้เลยล่ะ


พอลองจีบด้วยคำหวานก็เอาแต่ทำหน้าเอือมใส่จนความมั่นใจผมติดลบแล้วเนี่ย


“ใบไธม์”


“อะไร”คนถูกเรียกหันกลับมาถาม


“ไม่ได้เรียกแต่เป็นคำตอบต่างหาก”คิ้วสองข้างที่ขมวดเข้าหากันแน่นราวกับกำลังประมวลคำพูดผมนั่นทำให้ผมหลุดยิ้มออกมา


“จะมาอยู่กับผม?”ใบไธม์ถึงกับทำตาโตเมื่อเข้าใจว่าผมต้องการจะสื่ออะไร


“อืม”ผมพยักหน้าตอบ


ทำไมถึงได้ทำหน้าตกใจราวกับคาดไม่ถึงแบบนั้นนะ


ดูหน้าของคนอื่นๆที่อยู่รอบตัวสิ ทำหน้าเหมือนถูกหวยกันเป็นแถว


“...ห้องผมมีแค่เตียงเดียว ถ้าไปอยู่ด้วยมันจะอึดอัดพอดู”ยิ่งพูดแบบนั้นยิ่งทำให้อยากอยู่ด้วยเข้าไปใหญ่


“ไม่เป็นไรผมอยู่ได้”


“ต้องนอนพื้นนะ”


“ได้ไม่มีปัญหา คุณเป็นคนดูแลผมนะ ต้องให้ผมอยู่ในสายตาตลอดสิ”ผมพูดต่ออีกหน่อย


“สรุปก็ให้เบซิลไปอยู่กับเธอนะไธม์”หัวหน้าสรุปให้อีกรอบ


“...ครับ”ใบไธม์ขานรับด้วยน้ำเสียงปลงๆ


จากนั้นแต่ละคนต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้านหรือห้องของตัวเอง ส่วนผมซ้อนท้ายใบไธม์มาถึงคอนโนกลางเมือง กะคร่าวๆสูงประมาณ7ชั้น เป็นคอนโดธรรมดาไม่ได้หรูหราหรือเก่าจนเกินไป เจ้าของห้องพาผมขึ้นมายังชั้น5และเปิดประตูห้องทางด้านในสุดของชั้น


ห้องขนาดกลางสามารถมองเห็นห้องครัวอยู่ด้านหน้าริมสุดในห้อง พอมองไปทางซ้ายมีตู้หนังสือกับเก้าอี้ตัวเล็กๆและตู้เสื้อผ้าตั้งอยู่ ถัดไปคือเตียงขนาด5ฟุตอยู่ชิดริมผนังโดยอีกฝากมีระเบียงประตูกระจก ดูจากตรงนี้เห็นกระถางและต้นไม้พุ่มเขียวปลูกเรียวรายไว้อย่างเป็นระเบียบ เมื่อหน้าไปมองทางขวามีประตูอยู่ประตูนึงซึ่งถ้าให้เดาคงเป็นห้องน้ำ


ห้องของใบไธม์บ่งบอกได้ถึงการใช้ชีวิตอันเรียบง่ายเพราะไม่ได้มีอุปกรณ์หรือเครื่องมืออะไรมากมาย เฟอร์นิเจอร์เองก็มีน้อย คอมพิวเตอร์กับโทรทัศน์ผมยังไม่เห็นเลย ส่วนที่น่าสุดใจมากสุดในห้องคงไม่พ้นห้องครัวที่มีพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ เคาน์เตอร์สีเงินแลดูสะอาดสะอ้านเข้าชุดกับตู้เย็นและบาร์เล็กๆสำหรับนั่งกินข้าวได้อย่างดี


“ไม่มีเบาะรองด้วย ผ้านวมปูไปก่อนได้ไหม เดี๋ยววันพรุ่งนี้จะออกไปซื้อเบาะให้”ใบไธม์พูดพลางเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วเอาผ้านวลสีเขียวอ่อนออกมาปูข้างเตียง


“ให้ผมนอนบนเตียงกับคุณก็ได้นะ”ผมพูดติดตลก


“ผมไม่ให้นอนหน้าห้องน้ำก็ดีเท่าไหร่แล้ว”


“คุณไม่ให้ผมนอนหน้าห้องน้ำหรอก”ทำงานอยู่ด้วยกันมาตั้งหลายเดือนทำไมผมจะไม่รู้นิสัยของอีกฝ่าย คำพูด น้ำเสียงที่แสดงว่าไม่ห่วงหรือไม่ใส่ใจแต่ท่าทางกลับแสดงออกคนละแบบ หลายครั้งที่ท่าทางกับคำพูดจะสลับกัน


ผมรู้ชัดๆเลยว่าเป็นคนใจดีและชอบเอาใจใส่


ปกติมีใครต้องมาหาอะไรอำนวยความสะดวกให้กับนักโทษที่ต้องมาคอยดูแลบ้างล่ะ ต่อให้ต้องนอนพื้นผมยังไม่มีสิทธิ์บ่นด้วยซ้ำ


“...ผมมีหมอนสองใบจะแบ่งให้อันนึง คุณติดหมอข้างไหม”ใบไธม์เบือนหน้าหนีเดินไปหยิบหมอนบนเตียงวางลงบนผ้านวมที่พึ่งปูเสร็จ


“ถ้าหมอนข้างเป็นใบไธม์ผมก็คงติด”


“ถือว่าผมไม่เคยพูดละกัน”


ถ้อยคำที่พยายามจีบหยอดดูเหมือนจะไม่ได้ผลอย่างที่คิด


ถ้าเป็นคนอื่นอย่างน้อยต้องแสดงท่าทางเขิน อายหรืออะไรก็ได้ไม่ใช่ทำหน้าเอือมปนระอาส่งมาแบบนี้


ทั้งจีบ ทั้งหยอดจนไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงแล้ว


หรือต้องพูดไปตรงๆว่าชอบถึงจะได้ผล


“ใบไธม์...”


“ในตู้มีแค่เต้าหู้กับผักบุ้ง ข้าวต้มกุ้ยกับผัดผักบุ้งโอเคไหม”ใบไธม์เปลี่ยนไปเปิดปตู้เย็นพร้อมหยิบของด้านในออกมา


“มีนมด้วย”ผมพึมพำเมื่อชะโงกหน้าเข้ามองภายในตู้เย็น ภายในนอกจากน้ำเปล่าแล้วยังมีนมบรรจุในขวดแก้ววางเรียงอยู่เป็นสิบขวด ชั้นล่างมีผักบุ้งวางอยู่หนึ่งกำ


พูดกันตรงๆคือค่อนข้างโล่งทีเดียวแถมไม่มีเนื้อสัตว์อะไรเลย


จะว่าไปเขาก็กินได้แค่พวกผักนี่นะ


“ผมกินได้หมด”


“ดีมาก งั้นล้างผักบุ้งให้หน่อย”ไม่พูดเปล่าผักบุ้งทั้งกำถูกยิ่นมาให้ตรงหน้า ผมไม่มีทางเลือกนอกจากรับแล้วเดินไปล้างยังซิ้งค์ข้างๆ


มื้อเย็นของพวกเราจึงเป็นอาหารง่ายๆอย่างข้าวต้มกุ้ยกับผัดผักบุ้งไฟแดงก่อนผมจะถูกผลักเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำด้านข้าง เสื้อผ้าผมกระจายไปกับระเบิดเลยจำต้องยืมเจ้าของห้องอย่างใบไธม์ใส่ชั่วคราว แม้จะใส่ได้แต่คับเล็กน้อย



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่8) 18/5/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 18-05-2018 21:43:21
(ต่อนะคะ)



พอตกดึกไฟในห้องถูกดับลงโดยผมนอนอยู่ข้างๆเตียง ใบไธม์ที่นอนอยู่ด้านบอนอนนิ่งไม่ขยับตัวทำให้ไม่รู้ว่าหลับไปแล้วหรือยังไม่หลับกันแน่ ตลอดทั้งวันท่าทางแปลกๆของอีกฝ่ายยังคงอยู่ในสายตาผมเสมอ


ผมสังเกตว่าอีกฝ่ายแอบมองผมบ่อยขึ้น และยังทำหน้าเหมือนคนกำลังกลุ้มใจด้วย


“หลับรึยังเบซิล”เสียงพึมพำเบาๆดังขึ้น


“ได้นอนห้องเดียวกับคนที่ชอบจะนอนหลับลงได้ยังไง”ผมคลี่ยิ้มท่ามกลางความมืด คำสารภาพรักแบบเนียนๆถูกส่งออกไปอย่างได้จังหวะ


“นี่ผมกำลังจริงจังนะ”


“ผมก็จริงจังเหมือนกัน”ใครบอกล่ะว่าผมพูดเล่นหรือไม่จริงจัง ระหว่างพูดหัวใจมันยังเต้นแรงแสดงถึงความตื่นเต้นอย่างไม่สามารถปิดได้


พึ่งเคยใจสั่นเวลาพูคำว่าชอบเป็นครั้งแรก


“...”


“มีเรื่องอะไรจะคุยเหรอ”ผมรีบถามต่อเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไป


“...น่าจะเป็นทางคุณนะที่อยากคุย”


“ฮืม?...หมายถึงอะไร”


“...จะบอกว่าไม่สงสัยเลยเหรอที่เห็นผมในสภาพ...”


“เปลืยเปล่า?”ผมต่อประโยคสุดท้ายที่หายไปให้


พอจะเข้าใจแล้วว่าใบไธม์ต้องการสื่อถึงอะไร


“ประมาณนั้น”


“ถ้าบอกว่าไม่สงสัยเลยคงจะโกหก”


“แล้วทำไมถึงได้ไม่ถามอะไรล่ะ”


“...คงเพราะกลัวละมั้ง”ครั้งนี้เป็นฝ่ายผมที่พึมพำเสียงเบากลับไป


“กลัวอะไร”


“กลัวจะไม่ได้คำตอบ ถ้าเป็นคนอื่นผมคงไม่รู้สึกอะไรแต่พอเป็นคุณถ้าถามแล้วสิ่งที่ได้กลับมาคือบอกไม่ได้หรือคำขอโทษผมคง...”


“คงอะไร”ใบไธม์ถามต่อเมื่อเห็นผมเป็นฝ่ายเงียบบ้าง


“คงเสียใจมาก”และอาจไม่ใช่แค่ความเสียใจแต่มีอีกหลายความรู้สึกปะปนกัน


ผมยังไม่อยากรู้สึกแบบนั้น


เหมือนไม่ได้รับความเชื่อใจ


ราวกับถูกบอกว่าตัวเองไม่ได้สำคัญพอที่จะรู้ความลับนั้น


น่าแปลกที่พอเป็นเรื่องของใบไธม์กลับทำให้ผมเป็นมากขนาดนี้


“...ผมไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร ไม่ว่าจะเป็นคนในหน่วย หัวหน้าหรือแม้แต่เพื่อนที่สนิทด้วยที่สุด”


“อืม”แปลว่าคงเป็นความลับที่สำคัญมาก


“...”


“ไม่จำเป็นต้องคิดมากหรอก ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก...ผมจะไม่ถาม จะไม่ซักไซ้แค่อยากอยู่ข้างๆใบไธม์แบบนี้ต่อไปก็แค่นั้น”


ไม่จำเป็นต้องเล่าหรืออธิบายอะไร


ผมไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องมาคิดมากหรือสับสน


“...ผมจะบอก”


“ว่าอะไรนะ”ผมเด้งตัวขึ้นมามองคนบนเตียงด้วยความไม่แน่ใจ


หูผมฟังเพี้ยนหรือเปล่าถึงได้ยินว่าจะบอก


“ผมจะบอกเบซิล”


“...ไม่คิดว่าผมจะเอาความลับนั้นไปบอกคนอื่นเหรอ”ทั้งที่ควรจะเงียบเพื่อให้อีกฝ่ายได้เล่าทว่าผมกลับเลือกที่จะถามถึงสิ่งที่คาใจแทน


ขนาดคนในหน่วยหรือแม้แต่หัวหน้าเขายังไม่บอก


แล้วกับผมที่พึ่งเจอกันได้ไม่ถึงปีกลับมาบอกเนี่ยนะ


แถมผมยังได้ชื่อว่าเป็นนักโทษในคดีต้มตุ๋น หลอกลวงมาแล้วสารพัด


จะไว้ใจคนง่ายเกินไปมั้งใบไธม์


“ผมคิดเรื่องนี้มาตลอดตั้งแต่กลับจากคฤหาสน์นั่นว่าผมจะเลือกปิดทุกอย่างไว้แบบนี้หรือจะเปิดเผยทุกอย่างให้คุณรู้ จะไว้ใจได้ไหม จะเอาไปบอกคนอื่นรึเปล่าหรือจะคิดยังไงหลังได้ยินเรื่องนี้ บอกตรงๆว่าผมไม่รู้ว่าจะตอบคำถามเหล่านั้นกับตัวเองยังไง ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนจากหลายๆคำถามให้เหลือเพียงคำถามเดียว คือผมสามารถเชื่อใจเบซิลได้ไหม”ใบไธม์ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงระหว่างพูด ดวงตาสีน้ำตาลแม้จะอยู่ในความมืดยังคงสามารถรับรู้ได้ว่าดวงตาของเรากำลังประสานกัน


“แล้วคำตอบที่ได้คืออะไร”หัวใจของผมมันกำลังเต้นแรงขึ้นคล้ายกำลังลุ้นไปกับคำตอบที่กำลังจะได้ยิน


“...คุณอาจชอบพูดจาไม่น่าเชื่อถือ...”


ฉึก


ลูกศรที่ตามองไม่เห็นพุ่งเข้าเสียบบริเวณหลังผมจนเจ็บชาไปทั้งตัว


“ชอบพูดหยอดน่ารำคาญ...”


ฉึก


ลูกศรอีกดอกพุ่งเข้าใส่ตามลูกศรดอกแรกมาติดๆ


“ทำตัวไร้สาระ...”


“ไม่รู้ว่าอะไรที่พูดหลอกหรือจริง”


ผมไม่รู้ว่าตัวเองถูกลูกศรซัดใส่เข้ากี่ดอก รู้แค่ว่าถ้าเป็นลูกศรจริงๆผมคงตายเพราะเลือดไหลนองอาบพื้นไปหมดแล้ว


“แต่ถึงแบบนั้นผมกลับไม่ลังเลในคำตอบเลย...ผมเชื่อใจเบซิล”


“...ใบไธม์”ราวกับแผลเลือดสาดถูกรักษาหายด้วยเวทย์มนต์ในพริบตาที่ได้ยินคำว่าเชื่อใจจากปากของอีกฝ่าย


รู้สึกดีที่ได้รับความเชื่อใจ


“คุณเชื่อเรื่องพลังพิเศษไหม”ใบไธม์นิ่งไปสักพักก่อนจะเริ่มเปิดเรื่อง


“พลังพิเศษ?”


“ใช่ อย่างพวกอ่านใจคนได้หรือมองเห็นผี”อีกฝ่ายเกริ่นยกตัวอย่าง


“ผมจะเชื่อในสิ่งที่ตัวได้เห็นหรือสัมผัสเท่านั้น ถ้าอ่านใจได้จริงผมก็อยากลองพิสูจน์หากทำได้ผมก็จะเชื่อ”ผมไม่ใช่คนที่เชื่ออะไรง่ายๆ ต้องลองและรับรู้ด้วยตนเองผมจึงจะบอกได้ว่าควรเชื่อหรือไม่


คำพูดเป็นเหมือนเวทย์มนต์ เราจะพูดอะไรออกมาก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นความจริงเสมอไป คนที่เก่งด้านใช้คำพูดต่อให้ไม่มีอาวุธก็อาจชนะคนที่มีอาวุธเต็มสองมือได้ ความหน้าเชื่อถือเองขึ้นอยู่กับวิธีการพูดของแต่ละคน


“...แล้วถ้าผมพูดว่าตัวเองมีพลังพิเศษล่ะ”


คิ้วสองข้างของผมเริ่มขมวดเข้าหากันเรื่อยๆยามในหัวกำลังประมวลสิ่งที่ได้ยินจากใบไธม์ น้ำเสียงไม่ได้เหมือนกำลังโกหกแปลว่าเป็นเรื่องจริง


เห็นแบบนี้ผมเก่งเรื่องการอ่านคน ถ้าอ่านคนอื่นไม่ออกจะหลอกลวงหรือต้มตุ๋นได้ยังไงล่ะจริงไหม


พลังพิเศษงั้นเหรอ


ต่อให้มีจริงพลังของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน แล้วใบไธม์จะมีพลังแบบไหนกันนะ


เดี๋ยวนะ...


คดีตามหาและจับกุมที่อีกฝ่ายมักออกไปจัดการตามลำพัง และสามารถปิดคดีได้ในระยะเวลาอันสั้นแม้จะเป็นคดีที่แทบไม่มีหลักฐานก็ตาม


อาการอาเจียนยามได้รับส่วนหนึ่งของเนื้อสัตว์ทำให้รู้ว่าไม่สามารถกินเนื้อสั้ตว์ได้ ไม่สิ ถ้าเป็นอย่างที่ผมคิดไม่ใช่ไม่กินแต่เป็นกินไม่ได้มากกว่า


แล้วร่างกายที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้นแถมยังเปลือยเปล่านั่นอีก


ถ้าบอกว่ามีพลังพิเศษข้อสงสัยทั้งหมดนั่นก็จะถูกไขกระจ่าง


ชิ้นส่วนที่กระจายเริ่มต่อเข้าด้วยกันจนเป็นรูปร่าง


ผมค่อนข้างมั่นใจในความคิดของตัวเองทว่าจะให้บอกว่าถูกคงไม่ได้


ทางเดียวที่จะรู้คือถามออกไปตรงๆ


“...คุณกลายร่างเป็นสัตว์ได้”ผมพึมพำคำตอบนั้นออกไปพร้อมเงยหน้าสบดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องมาท่ามกลางความมืดมิด
เมื่อนำทุกอย่างมารวมกันคำตอบเดียวที่หาได้คือนี่แหละ


พลังพิเศษกลายร่างเป็นสัตว์


“ทำไมถึงคิดแบบนั้น”น้ำเสียงปนตกใจนั่นทำให้ผมเดาได้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นเข้าเคร้าไม่ก็ต้องถูก


“เพราะความสามารถเด่นของสัตว์แทบทุกชนิดคือการดมกลิ่นซึ่งดีกว่ามนุษย์ไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า หลักฐานที่ไม่สามารถหาได้จะปรากฏขึ้นมา ดีไม่ดีจะสามารถระบุตัวคนได้เลย ยิ่งกับการตามหาคงไม่ต้องพูดถึง ใบไธม์มีทักษะด้านการคิดวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ดีอยู่แล้ว บวกกับประสาทสัมผัสอันยอดเยี่ยมต่อให้หนีไปสุดขอบโลกก็คงไม่มีวันพ้น”


“และเพราะความสามารถนั้นเลยมีข้อจำกัดอันใหญ่หลวงคือห้ามกินเนื้อสัตว์ ดูจากการอาเจียนตอนนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าใบไธม์สามารถกลายร่างเป็นสัตว์ได้หลายชนิด เพราะไม่รู้ว่าจะกลายร่างเป็นอะไรร่างกายจึงทำปฏิกิริยากับเนื้อสัตว์ทุกชนิดคล้ายจะบอกว่าไม่ควรกินพวกเดียวกัน”ใบไธม์นั่งฟังผมอธิบายเงียบๆไม่ได้พูโตอบโตอะไรกลับมา


“สุดท้ายร่างกายเปลือยเปล่านั่นคงเป็นผลหลังจากกลับร่างมนุษย์ ในร่างของสัตว์เสื้อผ้าของมนุษย์คงจะใหญ่เกินไป”ผมอธิบายทุกอย่างออกไป


นี่คือทุกอย่างที่ผมคิดได้


ไม่รู้ว่าจะใช่ทั้งหมดไหมแต่ผมค่อนข้างมั่นใจอยู่ไม่น้อย


“...คุณใช้แค่คำพูดผมกับข้อมูลแค่นั้นมาวิเคราะห์ทั้งหมดนี่งั้นเหรอ”ใบไธม์ดูจะอึ้งอยู่ไม่น้อย


“ประมาณนั้น”โดยเฉพาะกับเรื่องของเขาผมอยากรู้ทุกเรื่องดังนั้นถ้ามีข้อมูลอะไรผมไม่พลาดที่จะเก็บไว้หรอก


“สุดยอดไปเลย”


“ผมพูดถูกรึเปล่า”


“...อืม ผมมีพลังที่หากสัมผัสสัตว์ชนิดใดก็จะกลายร่างเป็นสัตว์ชนิดนั้นได้”อีกฝ่ายพยักหน้าพลางอธิบายเพิ่ม


“เป็นพลังที่เหมาะกับคุณมาก”ราวกับพลังที่มีสื่อถึงตัวตนของคนคนนั้น


คล้ายกระจกซึ่งจะสะท้อนตัวเองออกมาในรูปแบบของพลัง


นิสัยไม่ยอมแพ้ มุ่งมั่นและอบอุ่นมาพร้อมกับความเป็นผู้นำ เป็นที่รักและเป็นศูนย์กลางของทุกๆคนเหมือนจ่าฝูงที่คอยนำและขับเคลื่อนฝูงไปในทางอันสมควรด้วยความห่วงใจแต่ไม่มากจนทำให้เหลิง


ไม่มีพลังไหนเหมาะกับใบไธม์ไปมากกว่านี้แล้ว


“แค่นั้นเหรอ”


“หมายถึงอะไร”น้ำเสียงของอีกฝ่ายดูไม่ปกตินัก เหมือนคิดไว้แล้วว่าจะได้ยินผมพูดอะไรแต่สิ่งที่ผมพูดยังไม่ใช่สิ่งที่คิดไว้


“คิดแค่ว่ามันเหมาะเหรอ ไม่รู้สึกอย่างอื่นบ้างเลย?”


“จะมีก็มี”


“อะไรล่ะ”


“น่าสนใจ เป็นพลังที่น่าสนใจมาก ผมล่ะอยากเห็นตอนคุณกลายร่างจริงๆ”


“ไม่ใช่...”


“ฮืม?”


“ไม่ใช่ ไม่รู้สึกว่ามันผิดแปลก! น่าเกลียดหรือขยะแขยงบ้างรึไง!”ใบไธม์ตะโกนเสียงดังเสร็จก็หอบเบาๆอยู่บนเตียง


หลายสิ่งหลายอย่างที่อัดอั้นไว้คงระเบิดออกมา


ความแตกต่างไม่ได้ทำให้รู้สึกพิเศษแต่เป็นแตกแยกกับคนอื่น


เก็บงำความรู้สึกแย่ๆมาทีละนิดจนกระทั่งระเบิดออกมาในที่สุด


“ผมคิดว่าทุกอย่างมันมีเหตุผลในตัวของมัน อย่างทำไมยีราฟจึงคอยาว มีทฤษฏีนึงบอกว่าเมื่ออดีตกาลยีราฟมีคอที่สัตว์เหมือนสัตว์ทั่วไปซึ่งมีสัตว์กินพืชตัวอื่นมาแย่งกินใบไม้ในบริเวณเดียวกัน ยีราฟจึงได้เริ่มยืดคอตัวเองเพื่อจะได้กินใบไม้บนกิ่งที่สูงขึ้นและสูงขึ้น เป็นวิวัฒนาการนับหลายร้อยล้านปีจนกระทั่งเป็นยีราฟในปัจจุบัน คุณเองก็เหมือนกัน...สิ่งที่มีมันไม่ใช่ความผิดแปลกแต่เป็นความพิเศษที่จะมอบให้กับผู้ที่เหมาะสมและใช้พลังนั่นได้เกิดประโยชน์มากที่สุด”ผมบอกพลางขยับตัวขึ้นไปนั่งบนเตียงเดียวกัน ใบไธม์มองมายังผมนิ่งๆโดยดวงตานั้นกำลังสั่นมากขึ้นคล้ายคำพูดผมส่งผลกระทบอะไรบางอย่างต่อจิตใจ


“เบซิล”เงียบไปนานก่อนเสียงเรียกจะดังขึ้น


“อืม”


“...ขอบคุณ”


“...”คำพูดสั้นๆทำเอาผมถึงกับพูดไม่ออก


“ขอบคุณนะ ผมดีใจที่คนแรกที่รู้เรื่องนี้เป็นเบซิล”จังหวะที่ใบไธม์พูดเมฆที่บังแสงจากดวงจันทร์เคลื่อนที่อดีทำให้แสงสีนวลของดวงจันทร์ส่องสว่างเข้ามาจนเห็นรอยยิ้มอันเปี่ยมด้วยความรู้สึกหลายส่งมาให้


หัวใจที่สงบนิ่งเต้นรัวขึ้น


สัมผัสทุกอย่างจดจ่ออยู่เพียงใบหน้าและรอยยิ้มของใบไธม์ราวกับกำลังต้องมนต์


ความรู้สึกผมในตอนนี้ทำให้รู้ว่าการตกหลุมรักซ้ำซ้อนมันเป็นยังไง


ยินยอมตกลงด้วยความเต็มใจ


ไม่มีแม้ความพยายามจะตะเกียดตะกายขึ้นมาจากหลุมด้วยซ้ำ

.......................................................................

สำหรับตอนนี้จบแบบไม่ค้างคา

และแล้วเบซิลก็ได้เข้ามาอยู่ในห้องของใบไธม์จนได้ (คิดเหรอว่าเข้ามาแล้วจะยอมออกไปง่ายๆ // ความคิดในหัวเบซิล)

เรานึกภาพเบซิลในชุดช่างซ่อมทาสีแล้วตลกมาก น่าจะจับมาช่วยก่อสร้างกำแพงจัง

ชอบโมเม้นที่แบบว่าอยากรู้แทบขาดใจแต่กลับเลือกที่จะเงียบไว้เพราะกลัวคำตอบของเบซิลมาก รู้สึกว่าเป็นมุมที่น่ารักน่าเอ็นดูดี ยิ่งแต่งยิ่งหลงรักเบซิลมากขึ้นทุกที 555

เราค่อนข้างชอบความลงตัวของคู่นี้ คนนึงคอยหยอดอีกคนทำหน้านิ่งใส่ แต่งเองตลกเอง

เรื่องราวหลังจากนี้จะเป็นยังไง

ไว้ติดตามกันใหม่ตอนหน้านะคะ

ปล.แจ้งข่าวนิดนึงค่ะ ตอนนี้นิยายเรื่องพบรักของเรากำลังเปิดพรีอยู่ใครสนใจสามารถสั่งซื้อได้นะคะ

ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเม้นท์และทุกๆ กำลังใจที่มีให้เสมอค่ะ

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่8) 18/5/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: เสพศิลป์ ที่ 18-05-2018 22:54:31
 :ling1: โถ้ไบไทลูกกก ขุดหลุมแล้ว ขุออีก นี้นายโปรแกรมเมอร์ของเรา แทบไม่อยากขึ้นจากหลุมเลย

น่ารักกก มากคู่นี้ ชอบสไตล์เขียนมาก เพราะเรา ชอบเคะแก่กว่า ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่8) 18/5/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-05-2018 01:32:41
เก่งมาก
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่8) 18/5/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-05-2018 02:31:26
นี่เขาไว้วางใจซึ่งกันและกันแล้วหรือเนี่ย ไม่ธรรมดา ๆ จริง ๆ คู่นี้  :hao3:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่8) 18/5/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 19-05-2018 02:49:54
เราชอบมากกกกกกก
คือชอบความลงตัว ความมีเหตมีผลของตัวละครเรื่องนี้ทาก
เป็นเรื่องที่ตัวละครและเหตุผลความเป็นเค้าเด่นชัดสุดๆเลยค่ะ
ทำไมเบซิลถึงมีความคิดแบบนี้ ที่เชื่อในการกระทำที่พิสูจน์ได้มากกว่าคำพูด
เพราะเค้าคือนักต้มตุ๋นที่มล้คำพูดเป็นอาวุธ พลิกลิ้นง่ายเหมือนหายใจ
เพราะฉะนั้น คำพูดใดๆล้วนไม่มีน้ำหนัก
เพราะสิ่งที่เป็นเป้าหมายในชีวิตไม่เคยมีอยู่ สิ่งปกติที่ทำคือหาความสนุก
พอเจอคนที่สนใจ มีสิ่งน่าสนใจ บวกกับนิสัยช่างสังเกต
ที่ทำให้เบซิลมองโลกได้กว้าง และมีความคิดกว้างกว่าคนทั่วไป
พอมารู้ความลับของใบไธม์เข้า
ก้เลยกลายเป็นว่ามัวแต่สนใจตื่นเต้นในเรื่องใหม่ของคนพิเศษ
แถมเป็นเรื่องที่น่าสนใจ น่าพิสูจน์ เคสหายากเข้าไปอีก
ความมองโลกกว้างและคงคิดอะไรได้ดยอะจากการสังเกต ทำให้เบซิลน่ารักขนาดนี้
ส่วนใบไธม์ ตอนนี้เราได้เห็นปมในใจของใบไธม์แหละ
การระเบิดออกมาแบบนี้ มันคือความกลัวในสิ่งที่อาจจะต้องเจอ
คนที่เข้มแข็ง เก่ง ฉลาดแบบนี่ ก้มีมุมอ่อนแอเหมือนกันนะ
เนี่ยเราชอบมิติของตัวละครเรื่องนี้มาก
ยิ่งอ่านยิ่งตกหลุมรัก รอค่าาา
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่8) 18/5/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 19-05-2018 13:22:28
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่8) 18/5/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 19-05-2018 13:42:11
 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่8) 18/5/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 19-05-2018 21:48:45
คู่นี้คือลงตัวมากถ้าทำงานด้วยกันยังไงก็สำเร็จ เร็วด้วย เบซิลเก่งมากรู้แค่นี้วิเคราะห์ได้ถูกหมดเลย หลุ่มนี้ลงแล้วขึ้นไม่ได้นะจ๊ะเบซิล
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่8) 18/5/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-05-2018 11:38:47
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่8) 18/5/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 25-05-2018 23:43:54
อ้าว แอบงงนิดๆเห็นสารบัญอัพไว้ถึงตอนที่ 15 แต่ลงไว้แค่ถึงตอนแปด อันนี้คือทำไว้ล่วงหน้าใช่ไหมคะ คือเราจะได้สบายใจว่าเนื้อหาไม่ได้หายไปไหน
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่8) 18/5/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: เสพศิลป์ ที่ 25-05-2018 23:49:01
มาต้อเถอะคู่นี้ รอนานมากแล้วววววววววววว
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่9) 1/6/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 01-06-2018 20:31:40
สืบรัก彡คดีที่9



กิจวัตรประจำวันเดิมๆเริ่มไม่เหมือนเดิมเมื่อมีเบซิลเข้ามาอยู่ด้วย หลายวันก่อนจูนได้ทดลองระเบิดพลาด...และความพลาดนั่นทำให้ตึก อาคารหายไปกว่าครึ่ง ซึ่งหัวหน้าให้เบซิลเลือกเองว่าจะไปอยู่กับใคร แน่นอนว่าการที่เขามาอยู่ห้องผมคำตอบก็เป็นที่รู้กันอยู่แล้ว


ห้องของผมไม่ได้ใหญ่โต มองจากหน้าประตูก็สามารถเห็นทั้งห้องได้


ช่วงเช้าประมาณ6โมงร่างกายเหมือนจะรู้ว่าถึงเวลาตื่น ผมลืมตาขึ้นพร้อมค่อยๆลุกขึ้นนั่ง ด้านข้างเยื้องไปด้านล่างมีร่างของเบซิลนอนตะแคงหลับสนิทอยู่บนผ้านวม แม้จะผ่านมาหลายวันแต่ผมก็ยังไม่มีโอกาสออกไปซื้อฟูกให้เลย


ไหนๆวันนี้ก็ว่างออกไปซื้อน่าจะดี


ของในตู้ก็หมดแล้วด้วย


ระหว่างหัวกำลังคิดเรื่อยเปื่อยมือผมก็ไม่ได้ว่างถือที่รดน้ำอัดเล็กๆเดินรดน้ำต้นไม้บริเวณระเบียงไล่ไปตามแนวของรั้ว ด้วยความที่ผมกินได้แต่ผักผมจึงชอบปลูกผักเหล่านั้นด้วยตนเอง ตอนนี้ตามแนวระเบียงก็มีพืชผักอยู่นับสิบชนิดตั้งแต่กระเพรา โหรพา พริกไปจนถึงมะเขือเทศจิ๋ว


ถ้ามีที่กว้างกว่านี้อีกหน่อยผมคงปลูกมะนาวไว้ด้วย


“ตื่นเช้าจังใบไธม์”เสียงอู้อี้ที่ไล่หลังมามีใช่ใครอื่นนอกจากเบซิล เขาเดินหน้างัวเงียออกมาหาผมด้วยดวงตาปรือๆคล้ายคนนอนละเมอ จากการอยู่ด้วยกันมาหลายวันทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ถนัดเรื่องการตื่นเช้าเท่าไหร่


ทั้งที่ไม่ถนัดก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ตื่นตามผมมาได้ทุกวัน


“ตอนนี้ไม่มีงาน ไปนอนต่ออีกหน่อยก็ได้”ผมบอกพร้อมเลื่อนที่รดน้ำไปยังต้นใบชะพลูต่อ


เมื่อวาน ไม่สิ ควรพูดว่าเมื่อคืนผมและเบซิลเพิ่งกลับจากทำคดีปล้นห้างทองทองในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองไป หลักฐานเดียวที่มีคือภาพกล้องวรจรปิดของห้างนั้นที่ปรากฏภาพของกลุ่มชาย4คนถือปืนปล้นร้านทอง กวาดไปได้ประมาณ10ล้านบาท


อีกทั้งกล้องวรจรบริเวณรอบๆห้างกลับไม่สามารถถ่ายตัวคนร้ายไว้ได้ราวกับอีกฝ่ายสำรวจจุดของกล้องมาอย่างดีแล้ว และเพราะสาเหตุนั้นคดีจึงถูกส่งมาให้ทางหน่วยสืบสวนพิเศษจัดการในไม่กี่วันหลังเกิดคดี


และเมื่อได้คลิปกล้องวงจรมาเบซิลทำอะไรสักอย่างบนจอโน๊ตบุ๊กอยู่ไม่นานเขาก็บอกว่าสามารถระบุพิกัดคร่าวๆที่คนร้ายไปได้แล้ว


แค่นั้นยังไม่น่าตกใจเท่ากับการที่เบซิลแฮ็กเข้าไปยังระบบของกล้องวรจรปิดพร้อมย้อนเวลากลับไปในช่วงที่เกิดเหตุ คลิปจากหลายๆกล้องถูกโหลดเข้ามาไว้ในเครื่องก่อนเบซิลจะเริ่มเปิดคลิปพวกนั้น เมื่อหยุดคลิปเบซิลขยายภาพบริเวณกระจกซึ่งอยู่เกือบหลุดมุมกล้องอยู่รอมร่อ ภาพเบลอๆนั่นถูกตัดแล้วเปิดใหม่ยังโปรแกรมที่เบซิลสร้างขึ้น


ภาพเบลอและแตกจากการขยายไม่รู้กี่รอยเท่ากลับมาคมชัดจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นภาพขยาย


พวกเราจึงได้ทะเบียนรถปลอมของคนร้ายมาจากภาพนั้น


หลังจากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องอยากในการตามหาทะเบียน ต่อให้เป็นทะเบียนปลอมแต่การจะตามสืบหาเจ้าของรถรูปแบบนี้ในบริเวณใกล้เคียงไม่ใช้เรื่องยากอะไรเลย


ข้อมูลหลักฐานรวมถึงตัวคนร้ายถูกสืบได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน ช่วงดึกพวกเราจึงออกไปจับคนร้ายทั้ง4คนที่กำลังจะเตรียมแยกย้ายกันหนีไปต่างจังหวัดได้สำเร็จ เชื่อไหมว่าพอโทรไปรายงานหัวหน้าเสียงแทรกจากผู้มีอำนาจสูงสุดของฝ่ายตำรวจก็ถึงกับเอ่ยชมเสียงดังฝ่ายโทรศัพท์


คำชมนั้นผมน้อมรับด้วยความยินดีแต่ประโยคต่อมาที่พูดว่า ถ้ามีคดีอะไรจะส่งมาให้อีก นี่ขอไม่รับไว้ได้ไหม


เพราะคดีเมื่อคืนทำให้พวกเรากกลับมานอนตอนประมาณตีหนึ่งเศษได้ หน่วยสืบสวนพิเศษไม่มีวันหยุดต่อให้เป็นวันอาทิตย์แต่ใช่ว่าจะไม่มีงาน หน้าที่ผมคือการแจกจ่ายงานให้กับทุกคนในหน่วย...น่าแปลกที่เช้านี้กลับไม่มีงานอะไรเข้ามา


ไม่มีมาตอนเช้าไม่ได้แปลว่าทั้งวันจะไม่มี


“ผมเริ่มหิวแล้ว”เสียงท้องร้องจากเบซิลดังประกอบสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคำพูดได้อย่างดี


“ลองเปิดตู้ดูว่ามีอะไรพอจะทำได้บ้าง”


“เปิดแล้ว เจอแต่น้ำเปล่า...พวกผักก็ไม่เหลือเลย”เบซิลตอบ


“...งั้นไปอาบน้ำแต่งตัว”ผมน่าจะคิดได้ตั้งแต่เบซิลบอกหิวแล้ว หน้าที่ผมไม่ใช่คนทำอหารและไม่ใช่หน้าที่ของเบซิลเช่นเดียวกัน พวกเราจะสลับกันทำหรือบางครั้งก็แยกกันทำของใครของมัน


“เราจะไปเดทกัน?”ดวงตาสีเขียวมรกตสลัดความงัวเงียออกแทบจะทันที


“เปล่า...จะพาไปกินข้างนอก”ผมส่ายหัว


“นั่นก็คือเดทแหละ”


“ไม่ใช่เดท”ผมยืนกราน


แค่ออกไปกินข้าวข้างนอกเพราะในตู้ไม่เหลือของที่พอจะทำกินได้ต่างหาก


“เดทสิ เดทแน่ๆ ผมใส่สูทไปดีไหม จะจัดทรงผมให้หล่อๆเลย”เบซิลพูดไม่หยุดพลางหันหลังไปคว้าผ้าเช็ดตัวเดินฮำเพลงไปยังห้องน้ำด้วยท่าทางอารมณ์ดี


“ก็บอกว่าไม่ใช่ไง”ดูเหมือนคำพูดผมจะสื่อไปไม่ถึงอีกฝ่ายในขณะนี้


เอาเถอะ


จะคิดว่าเดทก็ตามใจละกัน


สุดท้ายพวกเราก็พากับออกจากห้องมายังห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ใจกลางเมือง อาจเป็นโชคดีที่ผมขี่มอเตอร์ไซค์ทำให้หาที่จอดรถได้ง่ายกว่ารถยนต์ หลายคนเห็นผมขับแต่มอเตอร์ไซค์แต่จริงๆผมมีรถเก๋งอีกคันนึงจอดไว้ในโรงรถของคอนโด


หากมีคดีที่จำเป็นต้องไปต่างจังหวัดและค้างคืนผมก็จะไปด้วยรถยนต์นี่แหละ


“กินอะไรดีใบไธม์”เบซิลหันมาถามระหว่างพวกเรากำลังขึ้นลิฟท์ไปยังชั้น5ซึ่งเป็นโซนอาหาร


“เอาที่คุณอยากกินเถอะ”ถ้าถามผมคงมีไม่กี่ร้านในนี้ที่กินได้


แทบนับร้านได้เลยที่จะมีเมนูผักอย่างเดียวโดยไม่มีเนื้อสัตว์


ผมไม่ค่อยชอบมากินบนห้างเพราะสาเหตุนี้


“เอาเป็น Sizzler ไหม มีสลัดบาร์ให้กินไม่อั้นคุณที่กินเนื้อไม่ได้น่าจะชอบ”เบซิลคิดสักพักจึงเสนอร้าน Sizzler ซึ่งอยู่หน้าพวกเราไปประมาณ 10 ก้าวได้


“ไม่ต้องเอาใจผมขนาดนั้นก็ได้”นานๆจะออกมากินข้างนอกทีก็อยากให้เขาเลือกร้านที่อยากกิน เพราะทุกวันนี้เขาแทบไม่ได้กินเนื้อเลย


“จะไม่เอาใจได้ไง เรามาเดทกันนี่”


“...ผมบอกว่าไม่ได้เดทไง”


สรุปไม่ได้ฟังกันเลยใช่ไหม


“Sizzlerแหละ มาเถอะ”


“เฮ้ย...เดี๋ยว ปล่อยมือ”อยู่ๆเบซิลก็คว้ามือผมดึงเดินไปยังร้านท่ามกลางสายตาหลายที่เริ่มหันมามอง ถ้าไม่เอะอะคงไม่มีใครมองหรอกแต่ผมตกใจนี่นา


“ไม่ปล่อย”นอกจากจะหันกลับมาโชว์รอยยิ้มกว้างแล้วยังกำมือผมแน่น


“เบซิล”ผมเริ่มขืนแรงขึ้น


“เสียงดังแบบนั้นคนอื่นจะมองมานะ โอ๊ะ...หรืออยากเปิดตัวกับผมใช่ไหมล่ะ”


“ไม่ใช่”ผมรีบตอบพร้อมก้าวยาวไปเดินขนาบข้างเบซิลทำให้มือที่ถูกจับอยู่ในมุมที่คนอื่นมองได้ยาก


สุดท้ายผมก็ถูกเบซิลจับมือจนกระทั่งเข้าร้าน ร้านนี้มีจุดเด่นอยู่ที่เคาท์เตอร์สลัดบาร์ตรงกลางที่สามารถตักได้ไม่อั้น อีกทั้งยังมีมุมส่วนตัวและเบาะนั่งนิ่งๆอีกด้วย เบซิลเลือกนั้งบริเวณโซฟาติดกับกระจกใสบานใหญ่ เมื่อมองลงไปจะเห็นตึก บ้านและอาคารพาณิชย์เรียงรายอยู่อีกฝั่งของถนน


มองจากด้านบนเห็นตึก3ชั้นดูเล็กลงทันตา


“เอาสเต็กเนื้อนี่กับน้ำเปล่า อ้อ ขอน้ำแข็งด้วย”เบซิลสั่งอาหาร


“ค่ะ รับทานคู่กับอะไรดีคะ”


“มันอบ”


“ได้ค่ะ”รอยยิ้มและสายตาของพนักงานทำให้ผมรู้ทันทีว่าเธอตกหลุมรักเบซิลเข้าแล้ว


ด้วยรูปลักษณ์ของเบซิลไม่แปลกเลยถ้าจะมีใครมาหลงหรือมาชอบ


“ผมเอาแค่สลัดบาร์กับน้ำเปล่าครับ”ผมสั่งต่อ ยังไงได้ชื่อว่าเป็นสเต็กคงไม่พ้นเนื้อสัตว์ซึ่งผมไม่สามารถกินได้


“ค่ะ ระหว่างรออาหารสามารถตักสลัดบาร์ทานได้เลยนะคะ”พนักงานสาวเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม


ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าประโยคเมื่อครู่ไม่ได้พูดกับผม


ผมลุกขึ้นเดินไปหยิบจานเพื่อตักผักสดบนบาร์ที่อยากกินใส่จาน มะเขือเทศลูกจิ๋วกับแครอทถือเป็นผักโปรดของผม สลัดมะเขือเทศเองเป็นอีกอย่างที่ผมไม่พลาด ใช้เวลาไม่นานบนโต๊ะก็มีจานสลัดและถ้วยซุปเห็ดวางอยู่ ฝั่งของเบซิลมีซุปต้มยำไก่กับพาสต้าแซลมอน


“มีอะไรใบไธม์”เบซิลถามระหว่างผมกำลังตักซุปเห็ดเข้าปาก


“มีอะไรคืออะไร”ผมขมวดคิ้วส่งไปให้


“ท่าทางแปลกไป”


“...”ผมเงียบเมื่อเริ่มเข้าใจความหมายของคำพูดนั้น


สายตาของเบซิลจะบอกว่าดีหรือช่างสังเกตดีนะ


สามารถรับรู้ถึงความผิดปกติเล็กๆได้อย่างเม่นยำ แถมความมั่นใจนั่นราวกับจะบอกว่าต่อให้โกหกยังไงก็ไม่สามารถตบตาอีกฝ่ายได้


ควรบอกว่าสมแล้วกับที่เป็นเมเกอร์หรือเบซิลดีล่ะ


“ว่ายังไง”


“ผมก็มีเรื่องต้องคิดบ้าง”


“แต่มันเรื่องที่เกี่ยวกับผมนี่”


“...ทำไมถึงคิดแบบนั้น”ถ้าบอกว่าอีกฝ่ายมีพลังพิเศษที่สามารถอ่านใจได้ผมคงเชื่อ


“ไม่รู้ตัวเหรอว่าคุณมองหน้าผมแล้วก้มลงมองจานโดยไม่พูดอะไรมากี่รอบแล้วน่ะ”


“...”คำอธิบายทำเอาผมถึงกับพูดไม่ออก


ตัวผมทำแบบนั้นเหรอ


ไม่เห็นรู้ตัวเลย


“มีอะไรก็พูดมาใบไธม์”


“รู้ขนาดนี้แล้วก็ลองหาเองสิ”อยากจะยิ้มอยู่หรอกแต่ดันยิ้มไม่ออกเลยนี่สิ


“ใบไธม์”


“ผมแค่สงสัย...”


“สงสัยอะไร”เบซิลรีบถามต่อ สลัดในจานแทบไม่พร่องลงไปเลย


“รูปลักษณ์ของคุณนี่ดึงดูดให้คนสนใจจังนะ”ไม่รู้ว่าจะเรียกคำถามหรือความสงสัยได้รึเปล่า


แค่รู้สึกว่ารูปลักษณ์แบบนี้คงมีคนตกหลุมไม่รู้กี่รายต่อกี่รายแล้ว


“...”นอกจากจะไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาแล้วดวงตาสีมรกตนั่นเบิกกว้างขึ้นคล้ายกำลังตกใจกับสิ่งที่พึ่งได้ยิน ซึ่งถ้าให้เดาคงเป็นคำพูดผมล่ะมั้ง


“อะไร”เพราะทนสายตาที่จับจ้องมาไม่ไหวผมจึงถามกลับไป


มาจ้องหน้าแบบนี้มันพานให้รู้สึกแปลกๆ


จะว่าเขินก็ไม่เชิง จะว่าทำตัวไม่ถูกก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ


“คุณหึงผมด้วย”รอยยิ้มมุมปากของเบซิลไม่ได้ดูกวนโอ้ยเหมือนปกติแต่เป็นรอยยิ้มที่เพิ่มจังหวะเต้นของหัวใจผมได้


“มะ...ไม่ได้หึง”ผมรีบตอบ ด้วยน้ำเสียงติดขัดเพราะความเร่งรีบในช่วงแรกส่งผลให้เบซิลยิ้มกว้างข้าไปอีก


“ดีใจจังเลย”


“ผมบอกว่าไม่ได้หึง”ทำไมถึงสรุปออกมาได้ว่าผมหึงนะ


ใครจะหึง...ผมไม่ได้หึงสักหน่อย


ในเมื่อไม่ได้ชอบแล้วจะถึงได้ยังไงกัน


“คนอื่นผมไม่สนหรอก ตอนนี้คนที่ผมสนใจมีแค่คนเดียว”ระหว่างพูดสายตาของเบซิลก็จับจ้องมายังผม


“...”ผมเลือกที่จะเงียบแล้วใช้ช้อนตักซุปเห็ดเข้าปาก


“ไม่ถามเหรอว่าคนคนนั้นเป็นใคร”พอเห็นผมไม่ถามต่ออีกฝ่ายเลยเปิดคำถามเอง


“...ไม่ล่ะ”ผมว่าตัวเองพอรู้คำตอบขอคำถามนั้นแล้ว


“คนที่ผมสนใจอยู่คือคุณ...ใบไธม์”น้ำเสียงโทนทุ้มออกนุ่มเอ่ยประโยคสั้นๆที่ทำผมต้องรีบเบนสายตาไปทางกระจกแทน


จะให้สบตากับอีกฝ่ายตอนนี้ไม่เอาด้วยหรอก


ไม่ปลอดภัย...ต่อตัวผมเอง


สายตาผมมองไปยังตึกอาคารพาณิชย์ด้านล่างก่อนจะเห็นรถขนของสีขาวแล่นมาจอดด้านหน้าอาคารพาณิชย์สีครีม คนด้านในเดินออกมาเปิดประตูหลังหลังรถอแล้วเริ่มยกกล่องบางอย่างเข้าไปในบ้าน


“เบซิล”ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงจริงจังเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง


“จะสารภาพรักผมเหรอ”


“ไม่ใช่เวลามาเล่นนะ คิดยังไงกับนั่น”ผมใช้สายตามองไปยังรถคันสีขาวต้องสงสัย


ความสามารถของเบซิลต้องช่วยผมวิเคราะห็เรื่องนี้ได้แน่


“รถขนของปกติ ที่ไม่ปกติคงเป็นของในกล่องละมั้ง”ใช้เวลาไม่นานเบซิลก็เอ่ยสิ่งที่วิเคราะห์ออกมาโดยสายตายังคงจับจ้องไปด้านล่างเพื่อเก็บข้อมูล


“คิดเหมือนกัน”ลักษณะของกล่องเป็นสี่เหลี่ยมและมีรูเจาะอยู่ราวกับเอาไว้ให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก


“การที่จะใช้กล่องในลักษณะนี้ถ้าไม่ใช่ของกินที่ต้องการการระบายอากาศ...”


“ก็ต้องเป็นสัตว์”ผมต่อคำสุดท้ายให้เบซิล


ดูเหมือนผมและเบซิลจะคิดเหมือนกัน


จำนวนกล่องไม่ใช่น้อยๆ ต่อให้เป็นอาหารคงไม่มาส่งให้ที่เดียวเยอะขนาดนี้แถมขนาดขงกล่องก็ดูจะใหญ่เกินปกติของอาหารไปไม่น้อย


น่าสงสัยเกินไป


แบบนี้จะให้ปล่อยคงไม่ได้


“คิดจะทำอะไร”เบซิลถาม


“ต้องไปดูให้เห็นกับตา”ผมตอบตามตรง


จะให้ผมปล่อยความสงสัยนี่ไปคงไม่ได้


“มีสิทธิ์ที่พวกนั้นจะเป็นพวกลักลอบค้าสัตว์”


“อืม เพราะงั้นเลยต้องไปดู”สมกับเป็นเบซิล


สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว


“เรียกตำรวจไม่ดีกว่าเหรอ”


“สนิทกับทางการแล้ว?”ได้โอกาสผมจึงขอกวนสักหน่อย


ปกติไม่เห็นชอบคนของทางการแต่ตอนนี้กลับบอกให้เรียกตำรวจมา


“เปล่า แต่นี่มันเวลาเดทของผมนี่ นานๆทีจะได้ออกมาเดทกับคุณ”


“ไว้คราวหน้าค่อยมาใหม่ อีกอย่างไม่ใช่เดทสักหน่อย...”


“ได้ ครั้งหน้าค่อยมาเดทกันใหม่”เบซิลพยักหน้าตกลงด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข


นี่ไม่ได้ฟังประโยคสุดท้ายผมเลยใช่ไหม


“เฮ้อ...”เอาเถอะ


เดทก็เดท


ผมลุกขึ้นเตรียมไปคิดเงินทว่ายังไม่ทันที่ผมจะหยิบเงินออกมาจ่ายแบ็งค์พันจากเบซิลก็วางลงบนเคาน์เตอร์คิดเงิน


“เอามาจากไหน”ผมรีบถาม


เบซิลที่ไม่มีเงินเดือนจะมีรายได้มาจ่ายค่าอาหารให้ผมได้ที่ไหน


“ผมหามา”


“คงไม่ใช่ว่า...”ผมหรี่ตามองอีกฝ่ายเขม็ง


ถ้าพูดว่าหาเงิน สำหรับเมเกอร์ผมคงคิดออกแค่ไม่กี่อย่าง


ถ้าไม่ไปหลอกใครก็คงแฮ็กเข้าระบบธนาคาร


“ไม่ต้องห่วงผมไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นหรอก ผมแค่หยิบเงินคุณไปนิดหน่อย”


“ฮะ? เงินผม?”


“รู้ไหมว่าการเก็บเงินไว้ในตู้เสื้อผ้ามันหาง่ายน่ะ”อีกฝ่ายส่งรอยยิ้มมาให้


“คุณขโมย?”อย่างที่เบซิลพูด ผมมีเงินส่วนหนึ่งเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าด้านในสุดของตู้


เป็นความลับที่ผมไม่เคยบอกใคร


แล้วทำไมเบซิลที่อยู่ได้ไม่ถึงเดือนถึงรู้ได้เล่า


จะบอกว่าใช้การสังเกตอีกรึไง


“แค่ยืมไปลงทุนนิดหน่อย เอาไปคืนแล้วน่า”


“ลงทุนอะไร”ผมรีบถามต่อ ใช้เวลาไม่กี่วันสามารถคืนทุนได้ นึกไม่ออกเลยว่าเป็นการลงทุนอะไร


“ความลับ”เสียงหัวเราะหึหึปิดท้ายทำเอาผมรู้สึกอยากเตะคออีกฝ่ายสักที


“เบซิล”


“มีเรื่องต้องรีบไปจัดการไม่ใช่”


“ไว้เรื่องของนายค่อยจัดการทีหลัง”



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่9) 1/6/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 01-06-2018 20:32:05
(ต่อนะคะ)


หลังจากจ่ายเงินเสร็จพวกเราลงมายังชั้นล่างสุดออกทางประตูหลังซึ่งอีกฝากของถนนเป็นตึกอาคารพาณิชย์เรียงรายเป็นแถวยาวเป็นสิบๆหลัง มีทั้งแบบมีรั้วและไม่มี อาคารพาณิชย์ต้องสงสัยไม่มีรั้วล้อมรอบ ดูเผินๆเป็นอาคารสำหรับอยู่อาศัยปกติ


ถือเป็นย่านใจกลางเมืองที่ผมไม่คิดว่าจะมีใครกล้าลักลอบค้าสัตว์ที่บริเวณนี้มันเป็นจุดสนใจเกินไป ทว่าในทางกลับกันก็เป็นสถานที่ที่ทางการปล่อยผ่านได้ง่ายกว่าแถบชานเมือง


เดี๋ยวนี้พวกคนร้ายก็เริ่มมีการพลิกแพลงทำให้ตามจับยากขึ้น


“จะยังไงต่อ”เบซิลถามยามพวกเรายืนบนฟุตบาทฝั่งตรงข้ามกับรถขนของสีขาวพอดี


“ก็ต้องเข้าไปสิ”น่าจะเป็นวิธีที่เร็วและดีที่สุดในตอนนี้


“ว่าแล้ว”


“อยู่ข้างหลังผมไว้”ผมบอกก่อนพวกเราจะข้ามถนนไปยังอีกฝั่ง


ทั้งผมและเบซิลก้าวช้าๆผ่านรถขนของสีขาวเข้าไปในตัวบ้านที่ปูด้วยกระเบื้องสีฟ้าอ่อน กล่องลังสีน้ำตาลถูกตั้งกองสูงจนแทบติดเพดานเพื่อหลอกสายตาของผู้คนที่เดินผ่านมา ด้านหลังก่องนั่นมีกรงของสัตว์หลากหลายชนิดตั้งแต่นกยันลูกเสือซึ่งถูกจับใส่กรงในสภาพหมดสติ


ถัดไปไม่ไกลมีชายคนนึงกำลังนักพิพม์บางอย่างลงในคอมพิวเตอร์ พอได้ยินเสียงฝีเท้าของผมและเบซิลก็เงยหน้าขึ้นมา


“พวกแกเป็นใคร”ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างระหว่างถามด้วยน้ำเสียงไม่รับแขก


“คนของทางการ...ไม่สิ หน่วยสืบสวนพิเศษครับ”เบซิลตอบพร้อมรอยยิ้ม


“หน่วยสืบสวนพิเศษ? บ้าเอ้ย รีบหนีเร็ว”ทันทีที่เสียงตะโกนดังขึ้นกลุ่มคนด้านหลังก็พากันวิ่งหนีออกทางประตูหลังไม่เว้นแม้แต่คนตะโกน


“เบซิล โอ๊ะ...”หวังหวะที่กำลังจะไล่ตามรองเท้าผมก็ดันลื่นน้ำที่นองอยู่บนพื้นจนไม่สามารถจับตัวคนร้ายไว้ได้ น้ำนั่นมาจากตู้เต่าซึ่งถูกชายคนนั้นผลักจนล้มสกัดไม่ให้ผมตามไปได้


ทางฝ่ายเบซิลวิ่งเข้าไปยังคอมพิวเตอร์ที่ถูกเปิดทิ้งไว้และเริ่มดูข้อมูลภายในเครื่อง ผมเดินอ้อมไปด้านหลังเพื่อดูหน้าจออันเต็มไปด้วยรายชื่อผู้คนหลายพันคน ถ้าให้เดาคงเป็นผู้ซื้อ เบซิลคลิกเข้าไปยังรายชื่อหนึ่งทว่ากลับขึ้นช่องให้ใส่รหัส


“ของง่ายๆ”พึมพำจบหน้าต่างของรหัสหลายพันบรรทัดก็ปรากฏขึ้น เบซิลใช้เวลาในการคีย์บางอย่างลงไปไม่ถึงสิบวิก็ได้รหัสที่ใช้เปิดสำเร็จ


“มีบอกไหมว่าไปเอาสัตว์พวกนี้มาจากไหน”ผมถามต่อ


“น่าจะมีอยู่ ตรงนี้น่าจะเป็นตำแหน่งที่พวกนั้นไปเอาสัตว์มาแต่แค่นี้คงใช้จับตัวไม่ได้”


“ต้องจับพวกที่หนีไปมาสอบสวน”หากต้องการข้อมูลที่ตรงและแม่นยำที่สุดคงต้องถามจากมนุษย์มากกว่าเครื่องจักร


“ตามไปตอนนี้ไม่ทันแล้วมั้ง”


“ถ้าใช้ขาคงไม่ทันหรอก”ผมตอบพลางเดินเข้าไปยังกรงกรงหนึ่งด้านข้าง


“...นี่คิดจะใช้พลัง?”เบซิลเดาสิ่งที่ผมกำลังจะทำล่วงหน้า


“อยากเห็นไม่ใช่เหรอตอนผมกลายร่างน่ะ”ตั้งแต่วันที่บอกความจริงกับเบซิลผมก็ไม่เคยได้กลายร่างเป็นสัตว์อีก ไม่ใช่ไม่กลายแต่ไม่มีความจำเป็นให้ต้องกลาย


เบซิลยังคงเป็นเบซิลแม้จะรู้ว่าผมมีบางอย่างไม่เหมือนมนุษย์ปกติ


ผมอาจจะกลัวมาตลอดจึงไม่กล้าบอกให้ใครรู้ถึงพลังนี้


ความไม่ปกติที่สืบทอดมาตั้งแต่รุ่นปู่มันไม่อาจเรียกว่าเป็นพลังแสนสะดวกเหมือนเวทย์มนต์แต่เป็นสิ่งที่ต้องควบคุมและปรับใช้อย่างเหมาะสม


ผมไม่คิดว่าจะมีใครที่รู้เรื่องนี้แล้วจะทำตัวปกติได้


แต่เบซิลกลับดูไม่ตกใจแถมท่าทางของเขาคล้ายจะบอกว่าสิ่งที่ผมมีมันเป็นสิ่งพิเศษไม่ใช่ผิดแปลก


เพราะแบบนั้นผมจึงดีใจที่คนแรกที่รับรู้ถึงพลังนี่คือเบซิล


ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายได้เห็นพลังผมเต็มๆตา


ผมอยากรู้ว่าจะยังคิดว่าพลังนี่เป็นสิ่งพิเศษอยู่ไหม


กรงของนกแก้วสีสันสดใสถูกเปิดออกพร้อมผมที่เอื้อมมือไปสัมผัสเส้นขนนั้นอย่างเบามือ เพียง5วินาทีร่างกายก็เริ่มเปลี่ยนแปลง นิ้วมือทั้ง5ของมนุษย์หดเล็กลงเช่นเดียวกับร่างกายที่เริ่มมีขนสีฉูดฉาดปกคลุมทั่วทั้งตัว เสื้อผ้าหลุดลงไปกองบนพื้นท่ามกลางดวงตาสีมรกตที่จับจ้องมาไม่วางตา


“ใบไธม์”ผมในร่างนกแก้วหันไปมองตามเสียงเรียกก่อนจะกระพือปีกบินไปเกาะไหล่เบซิล


“ไป...ไป”นกแก้วเป็นหนึ่งในสัตว์ไม่กี่ชนิดที่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้หากฝึกสอน นั่นทำให้ผมสามารถเปล่งคำพูดง่ายๆออกมาได้แม้จะอยู่ในร่างสัตว์


“จะใช้ร่างนี้ตามหา?”


“ใช่...ตามหา”เสียงผมในร่างนกดูจะแหลมแถมยังเปล่งคำพูดได้ยากอีก


พรึ่บ


ผมกางปีกสีสดออกกว้างพร้อมบินออกไปทางประตูหลังโดยมีเบซิลวิ่งหอบเสื้อผ้าผมตามมา ด้านหลังของอาคารพาณิชย์มีประตูเล็กๆเอาไว้ใช้สำหรับหนี ด้วยความที่เป็นนกการที่จะให้ดมกลิ่นอาจจะได้แต่ไม่สะดวกเท่ากับใช้สายตามองหาจากที่สูง


ดวงตาของนกมีความสามารถในการมองเป็นมุมกว้างได้ดีกว่าสัตว์อื่นเพราะต้องบินบนท้องฟ้าอยู่ตลอด ต่อให้เป็นการเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อยจากด้านล่างผมก็สามารถจับได้


ไม่กี่นาทีก็พบเห็นกลุ่มชายกำลังพากันวิ่งไปแย่งรถยนต์ที่กำลังจอดติ๊กแตณกซื้อของ ชายคนแรกเปิดประตูดึงเจ้าของรถออกมาก่อนจะขึ้นไปแทนที่ คนอื่นๆเองต่างพากับขึ้นรถ ผมมองรถยนต์คันสีขาวที่แล่นออกถนนก่อนจะหันไปมองด้านหลัง


เบซิลไม่ได้วิ่งตามมาแต่ขับรถขนของสีขาวของคนร้ายมาแทน นับว่าคิดถูกเพราะถ้าวิ่งตามคงไม่มีทางทัน


ผมในร่างนกแก้วสีแดงสดร่อนลงต่ำลงในระยะที่เบซิลสามารถมองเห็นได้ง่ายขึ้นจนแต่ก็ยังสูงพอที่จะมองเห็นว่าคนร้ายขับรถไปทางไหน เบซิลสามารถตามรถยนต์คันสีขาวมาทันในเวลาไม่นานเนื่องจากการจราจรอันติดขัดใจกลางเมือง


ปีกสีแดงสดสยายออกกว้างพุ่งเข้าใส่หน้ารถของคนร้ายในจังหวะเลี้ยวทำให้รถหักเลี้ยวจนชนเข้ากับรั้วกั้นสีเงิน เมื่อรถไม่สามารถขับต่อไปพวกนั้นจึงลงแล้วพากันเข้าไปแฝงตัวในย่านการค้า


คงคิดว่าไม่มีใครตามมาเลยไม่มีการหลบหนีต่อ


ด้านเบซิลจอดรถไว้ข้างทางแล้ววิ่งเข้ามายังฝูงคนซึ่งผมบินลงไปเกาะบนไหล่เขา


“เร็วไปแล้ว รู้ไหมผมเกือบตามไม่ทัน”เบซิลบ่นเสียงเบา


ผมไม่สนใจคำบ่นนั่นส่งเสียงร้องเพื่อพาอีกฝ่ายเข้าไปยังซอยข้างๆซึ่งปราศจากคนเดิน มีเพียงสุนัขโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวหนึ่งกำลังอยู่อยู่หน้าประตูรั้วที่ถูกเปิดเอาไว้ ถัดไปไม่ไกลมีหมาไทยหลังอานถูกขังอยู่ในบ้าน


ใช้เวลาคิดไม่กี่วินาทีผมก็พาร่างตัวเองบินไปเกาะบนหลังของสุนัขพันธ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ ส่วนขาของสัตว์ปีกแปรเปลี่ยนเป็นอุ้มเท้าขนาดใหญ่ขึ้น ขนสีทองปกคลุมร่างกายท่ามกลางดวงตาสีเขียวมรกตที่เบิกกว้างเมื่อเห็นผมในร่างนกแก้วกลายเป็นสุนัข


“คุณสามารถเปลี่ยนได้หลายร่าง?”เบซิลคงคิดว่าต้องสัมผัสในร่างมนุษย์จึงสามารถกลายร่างได้ทว่าความจริงไม่ใช่


ต่อให้ผมอยู่ในร่างสัตว์หากแตะต้องสัตว์อื่นก็จะกลายร่างเป็นสัตว์อีกชนิดนึงได้


นี่ถือเป็นข้อดีเพราะผมสามารถตามคนร้ายไปได้แทบทุกที่ในระยะเวลาจำกัด


โฮ่ง


เสียงเห่าของผมเป็นคำตอบว่าใช่ก่อนจะวิ่งออกจากซอยโดยมีเบซิลตามมาติดๆ การที่ผมเลือกกลายร่างเป็นโกลเด้นรีทรีฟเวอร์มีสาเหตุง่ายๆคือถ้าเป็นสุนัขพันธุ์ไทยผมอาจโดนกัดจมเขี้ยวก่อนจะสัมผัสถึง5วินาที


อีกอย่างถ้าสุนัขพันธ์นี้เป็นมิตรกับคนรอบข้างทำให้ไม่สร้างความตื่นกลัวให้กับใครหลายๆคนตามทางที่ผมวิ่งผ่าน กลิ่นของคนร้ายผมสามารถจำได้ตั้งแต่อยู่ในร่างนกแล้วจึงไม่ยากเลยหากจะตามหา


วิ่งตามมาไม่นานผมก็เลี้ยวเข้าไปในซอยเปลี่ยวจนเจอเข้ากับกลุ่มคนร้ายกำลังประชุมหาทางว่าจะทำยังไงต่อไปดี


กรรร


เสียงขู่คำรามของผมดังขึ้นในจังหวะเดียวกับกระโจนใส่คนที่อยู่ใกล้สุดจนล้มลงไปกระแทกกับพื้น อีก4คนที่เหลือหันมามองผมในร่างสุนัขด้วยสายตาตกใจ


“ชิ่ว ไปไกลๆเลยไอ้หมาบ้า”


กรรร


เขียวสีขาวเผยออกมาแสดงให้เห็นว่าไม่เกรงกลัวต่อคำพูดนั่นแม้แต่น้อย


ต้องรีบจัดการก่อนจะหมดเวลา


เมื่อคิดแบบนั้นผมจึงวิ่งเข้าใส่ชายอีกคนพร้อมอ้าปากกัดเข้ายังหน้าแข้งจนฝ่ายนั้นเซล้มไป


“โอ๊ย ไอ้หมาบ้า”


“แกต้องเจอนี่”


โป๊ก


ในจังหวะที่อีกคนกำลังยกขาเตะผมวัตถุบางอย่างก็ลอยมากระแทกหัวอีกฝ่ายอย่างจัง พอหันไปมองต้นทางร่างของเบซิลก็ยืนหอบอยู่ไม่ไกล


โฮ่ง


จะมาทำไม รีบไปหลบเร็ว


ผมพยายามตะโกนบอกทว่าสิ่งที่ดังออกมามีเพียงเสียงเห่า มนุษย์ไม่ทางเดาออกถึงความหมายของเสียงเห่านี้


“แกเป็นคนให้ไอ้สุนัขนี่ตามมาสินะ จะจัดการแกจนไม่สามารถกลับไปบอกพวกของแกได้เลย”พูดจบชายร่างกำยำก็พุ่งเป้าไปยังเบซิล


โฮ่ง


หนีไป


คำพูดผมเหมือนจะสื่อไปไม่ถึง เบซิลนอกจากจะไม่หนีแล้วยังยกแขนสองข้างขึ้นตั้งท่าคล้ายจะเตรียมป้องกันและจู่โจมกลับในเวลาเดียวกัน สายตาแน่วแน่กับมือที่กำแน่นนั่นทำให้ผมรู้สึกแปลกใจมาก


อย่าบอกนะว่าจะสู้น่ะ


หรือว่าความจริงเขามีทักษะการต่อสู้แต่ไม่ยอมแสดงออกมา


ผมในร่างสุนัขกระโดดใช้หัวกระแทกเข้ายังท้องคนคนร้ายคนสุดท้ายพลางมองภาพชายร่างกำยำเหวี่ยงหมัดใส่เบซิลในระยะประชิด ในจังหวะนั้นเบซิลเบี่ยงตัวหลบจนฝ่ายโจมตีเซไปเล็กน้อย แต่ไม่นานหมัดอีกข้างก็ถูกเหวี่ยงใส่อีกรอบ


เบซิลก้าวถอยหลังและถอยออกห่างเว้นระยะไปเรื่อยๆ ไม่นานดวงตาของเบซิลก็หันมาประสาน...ความแน่วแน่ในแววตากลายเป็นแววตาของคนร้องขอความช่วยเหลืออย่างฉับพลัน


อย่าบอกนะว่า...กำลังแกล้งหลอกคู่ต่อสู้ว่ามีฝีมือน่ะ


“จัดการเลยปีเตอร์”เบซิลตะโกนเสียงดังพร้อมชี้ไปทางหน้าปากซอย คู่ต่อสู้รีบหันไปป้องกันด้านข้างซึ่งนั่นเปิดโอกาสให้ผมพุ่งเข้าใส่ร่างกำยำนั่น ขาของสุนัขอาจไม่ยาวพอให้เตะทว่าหากใช้4ข้างก็สามารถทำให้ร่างนั้นล้มกระแทกพื้นได้ไม่ยาก


กลุ่มคนร้ายพยายามจะลุกขึ้นยืนแต่โชคร้ายเพราะตำรวจในเครื่องแบบ5คนวิ่งเข้ามาภายในซอยพอดี ไม่จำเป็นต้องเดาก็รู้ว่าเบซิลเป็นคนโทรไปบอกพิกัดให้ตำรวจมาจัดการ


“คุณเป็นคนโทรเรียกสินะ คุณเป็นใครกัน”นายตำรวจรายหนึ่งหันไปถามเบซิล


การที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนล้มลงไปกองบนพื้นคงทำให้ผู้พบเห็นคิดว่าเขาเป็นคนจัดการทุกอย่าง แม้ในความเป็นจริงจะเป็นฝีมือของสัตว์สีขาขนทองอย่างผมก็ตาม


“คนของหน่วยสืบสวนพิเศษ”ไม่พูดเปล่าตราของหน่วยสืบสวนพิเศษยังถูกโชว์แทนหลักฐานอีกต่างหาก


นั่นมันตราของผมที่ใช่ไว้ในกระเป๋ากางเกงนี่


“สีนี่...คุณเป็นรองหัวหน้า?”นายตำรวจคนเดิมถามกลับ


“หึ...”เบซิลทำเพียงยกยิ้มซึ่งก็มากพอให้ตำรวจที่เหลือเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันว่าเขาเป็นรองหัวหน้าของหน่วยสืบสวนพิเศษ


โฮ่ง


ผมเห่าใส่เบซิลเสียงดัง แอบอ้างชัดๆ


“นี่เป็นคู่หูของคุณสินะ”นายตำรวจอีกคนเดินมาลูบหัวผมด้วยรอยยิ้มแสนเป็นมิตร


“คนรักผมเอง เนอะปีเตอร์”


ใครปีเตอร์


ถ้าผมพูดได้คงจะถามออกไปชัดๆแล้ว


อีกอย่างใครเป็นคนรักคุณกัน


“เจ้าของรักมากเลยนะ ต้องรักเจ้าของมากๆรู้ไหม”


“ไม่ต้องห่วงเขารักผมมากๆเลยล่ะ”เบซิลตอบแทน


ได้ทีล่ะพูดใหญ่เลยนะ


พูดเองเออเอง


“ที่เหลือพวกเราจะจัดการต่อเอง”


“ได้ อ้อ...ที่อาคารพาณิชย์หลังห้างเป็นที่กบดาน คอมที่ตั้งอยู่มีรายชื่อของผู้ซื้อและตำแหน่งที่จับสัตว์พวกนี้มา ผมเปิดไว้ให้แล้ว”เบซิลอบอกต่อ


“ครับ เดี๋ยวพวกเราจะจัดการเอง”


“ดี...ปีเตอร์ไปกันเถอะ”


แล้วใครมันชื่อปีเตอร์เล่า


ต่อให้อยากทำเมินแต่ในสถานการณ์นี้ผมทำได้เพียงเดินขนาบข้างเบซิลไปเรื่อยๆ จุดหมายของเบซิลคงไม่พ้นห้างที่พวกเราจากมา มอเตอร์ไซค์ผมจอดไว้ที่นั่นซะด้วย


อึก


ระหว่างกำลังก้าวกลับไปยังห้างสรรพสิ้นค้าร่างกายผมก็เริ่มมีปฏิกิริยา ความรู้สึกใกล้จะถึงขีดจำกัดของการกลายร่างแล้ว
ไม่มีเวลาพอจะให้กลับไปถึงห้องหรอก


เพราะรู้ผมถึงตัดสินใจวิ่งไปยังบริเวณปลอดคน ขนสีทองค่อยๆหายไปพร้อมร่างกายที่แปรเปลี่ยนกลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง


“แฮ่ก...”ความเหนื่อยล้าเข้าจู่โจมจนไม่อาจทรงตัวได้ หลังจากกลายร่างผมมักจะเหนื่อแบบนี้เสมอยิ่งกลายร่างเป็นสัตว์2ชนิดในเวลาไล่เลี่ยกันยิ่งสร้างภาระให้กับร่างกายมากขึ้นไปอีก


“ใบไธม์”เบซิลเรียกพลางเดินเข้ามาใกล้ร่างผมที่ทรุดลงกองบนพื้นในสภาพเปลือยเปล่า


“...ขอเสื้อผ้า”ผมไม่คิดจะอยู่ในสภาพน่าอายนี้นานนักโดยเฉพาะดวงตาสีเขียวมรกตที่จับจ้องมาคล้ายกำลังจดจำทุกส่วนที่เห็น


“น่าเสียดาย อยากมองอีกนิดแท้ๆ”


“อย่าพึ่งมากวนเบซิล”ตอนนี้ผมแทบไม่เหลือพลังงานแล้ว


“คุณฝืนไปแล้ว”เบซิลเข้ามาช่วยพยุงหลังผมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย


“ก็คุณช่วยผมไม่ได้นี่”ผมตอบกลับ จัดการแค่คนเดียวยังไม่ได้เลย


ถ้ารู้ว่าช่วยอะไรไม่ได้ก็ไม่ควรออกมาเพราะจะกลายเป็นเป้าได้ง่ายๆ


แต่ใช่ว่าผมจะไม่เข้าใจว่าเขาออกมาทำไมหรอกนะ


“อย่างน้อยผมก็ช่วยล่อได้เหอะ”


“...ไม่เถียง”เบซิลพูดถูก ถ้าเป็นเรื่องหลอกล่อเขาทำได้ดีมากจนต้องชื่นชม


ทักษะการต่อสู้ก็ไม่มีแต่กลับทำท่าราวกับมีฝีมือสูงกว่าอย่างชัดเจน อีกฝ่ายเลยเพิ่มการระมัดระวังตัวเพ่งสมาธิไปยังเบซิลเปิดช่องให้ผมสามารถเข้าจู่โจมได้


“พลังของคุณนี่ยอดเลยนะ”


“...คิดแบบนั้นเหรอ”ใช่ว่าผมจะไม่ชอบพลังตัวเอง แต่มีบ้างที่คิดว่าพลังนี้ทำให้การใช้ชีวิตลำบากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารที่ไม่สามารถกินเนื้อสัตว์ได้ หรือจะเป็นข้อจำกัดในการสัมผัสสัตว์แต่ละตัว


5วินาทีอาจดูช้าแต่ก็เร็วมาก ถ้าเผลอไปอาจกลายร่างได้ง่ายๆ


ถ้ากลายร่างในห้องหรือสถานที่ปลอดคนคงไม่มีผลอะไรทว่าส่วนมากผมมักจะกลายร่างข้างนอกมากกว่าไม่ว่าจะเป็นด้วยอุบัติเหตุหรือทำคดีก็ตาม


“อืม คนรักผมนี่สุดยอด”


“พูดเรื่องนี้ก็ดี ใครเป็นคนรักคุณกันแถมยังชื่อปีเตอร์นั่นอีก”ผมรีบถามประเด็นที่คาใจมากที่สุด


“ตอนนั้นมันเป็นจังหวะรีบเร่งเลยคิดชื่อเพราะๆไม่ได้ ครั้งหน้าเป็นอเล็กซานเดอร์เนอะ”


“...เฮ้อ”ผมส่ายหน้าพลางถอนหายใจอย่างปลงๆ


จะปีเตอร์หรืออเล็กซานเดอร์ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก


“วันนี้เป็นวันที่ผมมีความสุขจริงๆเลยนะ”


“มีความสุขยังไง?”ผมถามพลางเงยหน้ามองอีกฝ่าย


“ก็ได้มาเดทกับคุณ มีโอกาสได้เห็นพลังแถมยังเห็นร่างเปลือยเปล่าของใบไธม์อีก  แบบนี้จะไม่มีความสุขได้ยังไง”รอยยิ้มกว้างนั่นทำเอาผมทนไม่ไหวใช้มือข้างนึงดึงแก้มอีกฝ่ายแรงๆ


“สรุปว่าจะให้เป็นเดทใช่ไหม”


“ใช่”เบซิลพยักหน้า


“คำว่าเดทน่ะมันมีไว้ใช้กับคนที่ชอบกันไม่ใช่รึไง”


“อืม เข้าใจถูกแล้ว”


“แล้วมาใช้กับผู้ชายแบบผมมันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ”ผมถามตามตรง


“จะแปลกหรือไม่แปลกมันไม่ได้อยู่ที่อีกฝ่ายเป็นเพศอะไร”เบซิลบอก


“แล้วอยู่ที่อะไร”


“อยู่ที่ตรงนี้”พูดจบเบซิลก็ชี้มาบริเวณหัวใจ


“...”ผมขมวดคิ้วแน่นแทนคำพูดว่าไม่เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ


“มันอยู่ที่หัวใจ”


“เบซิล...”


“คุณพูดว่าเดทเอาไว้ใช้กับคนที่ชอบกันใช่ไหมสินะ”


“อืม”ผมพยักหน้าเบาๆ


“ใช่ ผมชอบคุณเลยอยากเดทด้วยและเพราะชอบถึงได้อยากอยู่ใกล้ๆ อยากมอง อยากให้มาสนใจ อยากให้มีตัวเองอยู่ในสายตาของคนที่ชอบบ้างแม้เพียงสักนิดก็ยังดี”คำพูดพร้อมรอยยิ้มแสนอ่อนโยนที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักทำเอาใบหน้าผมเริ่มร้อนขึ้น


วันนี้ผมได้ยินคำหวานมาหลายรอบแล้ว


และผมรู้ว่าเบซิลมีความสามารถในการกล่อมรวมถึงทำให้คนอื่นเชื่อในวาจานั้นได้ง่ายๆ


เพราะแบบนั้นผมจึงไม่ควรเชื่อคำพูดเหล่านั้น


ไม่ควรเอาเก็บมาคิด


ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ


แต่ไม่รู้ว่าทำไมหัวใจมันถึงไม่ฟัง


ราวกับหัวใจค้านกับความคิดในสมองโดยสิ้นเชิง


ผมไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อน


ความรู้สึกนี่มันคืออะไรกัน

....................................................................................

สวัสดีค่าา

ตอนนี้มันส์ไหม ถือว่าค่อนข้างบู๊ทีเดียว

ครั้งนี้ใบไธม์ได้กลายร่างเป็นสัตว์ให้เบซิลเห็นสักทีแถมกลายร่างตั้ง 2 ครั้ง

แต่งไปก็ขำเบซิลไป คนที่ไม่มีทักษะการต่อสู้ทำได้แค่นี้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว 555

เราค่อนข้างใช้เวลานานในการคิดชื่อตอนใบไธม์กลายร่างเป็นสุนัขนานทีเดียว อยากได้อยู่หลายชื่อแต่สุดท้ายเราลองคิดว่าถ้าตัวเองเป็นเบซิลในสถานการณ์แบบนั้นจะหลุดชื่ออะไรออกมา เลยมาจบที่ชื่อปีเตอร์นี่แหละค่ะ

ขอบคุณทุกคนสำหรับคอมเม้นท์และกำลังใจนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่9) 1/6/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 01-06-2018 21:30:11
 :pig4: :pig4: :pig4:

ให้ชื่อปีเตอร์  แว่บแรกนึกถึงเจ้าม้าแลงสาปเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่9) 1/6/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 01-06-2018 22:46:17
ลุ้นแทน นึกว่าเบนซิลจะโดนสอยซะแล้ว
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่9) 1/6/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-06-2018 03:04:01
ไปเดทก็ได้คดีเฉยเลย
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่9) 1/6/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-06-2018 03:39:03
ต้องไปเรียนศิลปป้องกันตัวแล้วนะเบซิล จะได้ไว้ปกป้องคนรัก  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่9) 1/6/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 02-06-2018 09:39:23
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่9) 1/6/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 11-06-2018 11:17:35
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่9) 1/6/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 14-06-2018 19:29:29
ขำเบซิลมีความระริกระรี้มากแล้วอะไรคือการพูดเองเออเองคะ ไม่ทันจีบเลยก็เป็นแฟนซะแล้วเหรอ
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่10) 14/6/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 14-06-2018 20:51:58
สืบรัก彡คดีที่10



วันเวลาผ่านพ้นจากวันเป็นสัปดาห์จนกระทั่งหนึ่งเดือนผ่านไปในที่สุดอาคารของหน่วยสืบสวนพิเศษก็ซ่อมเสร็จ พวกเราในหน่วยต่างทำงานผ่านการสื่อสารทางโทรศัพท์มาเป็นเดือนเลยเกิดความเคยชินส่งผลให้แม้จะเป็นช่วงสายของวันก็แทบไม่มีใครมาเลย
ไม่แน่ว่าอาจเพราะเป็นวันแรกทุกคนคงยังอยากนอนเล่นอยู่บ้านแทนที่จะมาทำงาน


ผมยืนมองห้องอันปราศจากคนไม่นานจึงเปลี่ยนออกไปยังสวนด้านข้างแทน ด้านหลังผมมีเบซิลเดินตามมาติดๆโดยเจ้าตัวยังคงมีใบหน้างัวเงียสลับกับอ้าปากหาว ขนาดผมมาเกือบ9โมงแล้วนะเนี่ย


“ออกมาทำอะไรตรงนี้ล่ะ”เบซิลถามเมื่อเห็นผมหยุดยืนในเงาของอาคารที่พาดผ่าน


“จะฝึกคุณ”ผมตอบเสียงนิ่งแล้วเริ่มยืดกล้ามเนื้อทั้งแขนและขา


“...เดี๋ยว ฝึกผม?”ใบหน้างัวเงียดูมีชีวิตชีวาขึ้นทันตาเห็น


“ใช่ ต่อให้คุณมีความสามารถด้านคอมขนาดไหนแต่สิ่งที่ต้องมีในการอยู่หน่วยสืบสวนพิเศษคือทักษะการต่อสู้และป้องกันตัว จะตั้งการ์ดไปทำไมถ้าชกไม่เป็น”


หลายๆคดีที่ผ่านมาเกือบทุกครั้งต้องเกิดการปะทะและต่อสู้ ทว่าสิ่งที่เบซิลทำมีเพียงยกมือขึ้นตั้งการ์ดด้วยใบหน้าเปี่ยมความมั่นใจแล้วหลบการจู่โจมด้วยสิ่งที่อาจเรียกว่าโชคช่วย มีหลายครั้งเขาลองเหวี่ยงหมัดโต้ตอบซึ่งหมัดนั่นวืดจนผมต้องรีบตามเข้าช่วยเพราะเจ้าตัวล้มลงไปกองกับพื้นเรียบร้อยแล้ว


คนของหน่วยสืบสวนพิเศษที่แทบไม่มีเปอร์เซ็นต์การทำผิดพลาดจะให้คนในหน่วยอ่อนแอจนกระทั่งปกป้องตัวเองไม่ได้แบบนี้ได้ยังไง


ผมในฐานะรองหัวหน้าหน่วยไม่สามารถปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้


ดังนั้นผมจึงจะช่วยฝึกเบซิลเอง


“ผมไม่เก่งด้านใช้กำลัง”เบซิลก้าวถอยหลังเมื่อเห็นผมกำหมัดขึ้น


“มันไม่ใช่การใช้กำลังแต่เป็นการป้องกันตัว”หากมีคดีไหนที่ผมไม่สามารถเข้าไปช่วยได้เขาต้องจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง เพราะงั้นการมีทักษะพวกนี้ติดตัวเป็นเรื่องสมควรอย่างมาก


สิ่งสำคัญไม่ใช่การทำภารกิจสำเร็จแต่เป็นการรักษาชีวิตตัวเองไว้ให้ได้ต่างหาก


คำพูดนั้นมาจากหัวหน้าไพลสันต์ และเป็นประโยคที่ผมชอบมาก


ดวงตาสีน้ำตาลของผมมองการเคลื่อนไหวของเบซิลพร้อมก้าวเข้าไปประชิดปล่อยหมัดขวาเข้าไปหน้าอย่างจังทว่าเบซิลกลับเบี่ยงตัวหลบได้ ผมไม่ปล่อยให้เขาได้มีเวลาพักปล่อยหมัดซ้ายต่อสลับกับใช้ลูกเตะ


ไม่รู้ว่าเป็นเซ้นต์ โชคช่วยหรืออะไรที่ทำให้เบซิลสามารถปัดป้องการโจมตีผมได้ทั้งหมด


“ตอบโต้กลับมาสิ”แค่หลบการโจมตีได้มันยังไม่ดีพอ


“ผมปล่อยหมัดใส่คนที่รักไม่ลงหรอก...เฮ้ย!”ผมไม่รอให้เบซิลพูดจบประโยคเตะสูงเฉี่ยวใบหน้าอันหล่อเหลาไปเพียงไม่กี่มิล


“คำพูดพวกนั้นใช้กับผมไม่ได้หรอก”


ยังไงเบซิลก็มีฉายาว่าเมเกอร์ คำพูดหวาดล้อมพวกนั้นเชื่อไม่ได้


อาจมีที่หวั่นไหวบ้างแต่ใช่ว่าจะเป็นทุกครั้ง


คำพูดไหนเป็นความหรือหรือแค่พูดลอยๆผมก็ไม่รู้


อาจต้องการเวลาในการอยู่ร่วมกันมากกว่าเพื่อจะได้เข้าใจเบซิลมากขึ้น


เบซิลก้าวถอยหลังต่อไปจนแผ่นหลังสัมผัสกับกำแพงสีขาว ผมอาศัยโอกาสนั่นปล่อยหมัดตรงเข้าใบหน้า การกระทำของผมดูเหมือนอีกฝ่ายจะอ่านออกเพราะเบซิลทำเพียงเองคอหลบเล็กน้อยก่อนมือทั้งสองข้างจะเอื้อมมาคว้าดึงตัวผมเข้าไปประชิดตัวในระยะใกล้จนสามารถสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่แผ่ออกมา


“อย่าชกกันเลย กอดกันดีกว่าเนอะ”ไม่พูดเปล่าเบซิลซุกใบหน้าลงยังลำคอผม


“ปล่อยเดี๋ยวนี้”ผมเอ่ยเสียงเข้ม


“ไม่ปล่อย ผมจับคุณได้นะให้รางวัลผมหน่อยสิ”


“...นี่คงไม่ได้แกล้งทำเป็นสู้ไม่เป็นหรอกใช่ไหม”ผมถามต่อ


“ใครจะแกล้งเรื่องแบบนี้”


“แล้วทำไมถึงได้อ่านการเคลื่อนไหวผมได้ง่ายๆแถมยังสวนกลับมาได้จังหวะพอดีอีก”นี่ไม่ใช่เรื่องปกติที่ใครก็สามารถทำได้ ยิ่งกับคนที่ไร้ทักษะการต่อสู้ด้วย


“...คงเพราะเป็นใบไธม์มั้ง”เบซิลหยุดคิดก่อนตอบด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจนัก


“อธิบาย”ผมไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร


“อธิบายก็ได้แต่ต้องขอรางวัลก่อน”


“จะเอารางวัลอะไรอีกแค่ที่กอดอยู่นี่ยังไม่พอรึไง”ผมขึ้นเสียงเล็กน้อย จนถึงตอนนี้ผมก็ยังถูกอีกฝ่ายกอดแน่นอยู่ ด้วยแรงของผมอาจไม่มากแต่ถ้าแค่หลุดจากการจับกุมนี่ไม่ใช่เรื่องยากเลย


ถึงแบบนั้นผมก็ยังเลือกจะปล่อยให้เบซิลกอดโดยไม่ขัดขืนอะไรมากมาย


ยอมให้ถึงขนาดนี้ยังจะมาขอรางวัลอีก


น่าชกให้ซี่โครงหักสักซี่นึงจริงๆ


“ผมมันคนโลภมาก แค่นี้ไม่พอหรอก”เบซิลกระซิบเบาๆพลางกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น


“เบซิล”


“ก็ได้ ผมยอมพอก็ได้...แต่ขออยู่แบบนี้อีกแป๊บนะ”


แบบนี้มันเรียกพอตรงไหนกัน


“อธิบายมาได้แล้ว”ผมกลัวอีกฝ่ายตีเนียนแล้วไม่ตอบเหลือเกิน


“ได้ครับ ที่บอกว่าเพราะใบไธม์ก็ง่ายๆ ผมอยู่กับคุณมาหลายเดือนทั้งท่าทาง การเคลื่อนไหวหรือนิสัยเล็กๆน้อยอยู่ในสายตาผมตลอด อย่างเวลาคุณก้าวเข้ามาประชิดมักจะเริ่มต้นด้วยหมัดขวา ถ้าถูกหลบได้จะต่อด้วยใช้มืออีกข้างสลับกับใช้ขาเตะ บางทีก็จะเปิดช่องล่อให้เข้าไปโจมตีแต่เพราะผมเอาแต่ถอยหนีเลยต้องก้าวตามมาติดๆจนกระทั่งผมหมดทาง ด้วยนิสัยของคุณคงไม่ใช้ขาในการเตะจึงเหลือแค่หมัด ที่รู้ว่าเป็นหมัดขวาก็อย่างที่เคยบอกไปว่าคุณมักจะเริ่มปล่อยหมัดขวาก่อนเสมอ”คำอธิบายทุกอย่างค่อยๆดังขึ้น


ทุกประโยคผ่านเข้ามาในหูและยังคงดังก้องอยู่ในสมอง


ทั้งที่เป็นการอธิบายแต่ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอยู่ๆถึงรู้สึกอายขึ้นมา


ขนาดตัวเองยังไม่เคยรู้เลยว่ามีนิสัยที่จะปล่อยหมัดขวาก่อนติดตัว


ช่างสังเกตจริงๆ


แปลว่าการที่สามารถหลบการโจมตีหลายๆครั้งได้อาจไม่ใช่ฟลุกหรือโชคช่วยแต่เป็นการสังเกตการเคลื่อนไหวฝ่ายตรงข้าม


“...น่าทึ่งเกินไปมั้ง”คนอะไรจะเก่งได้ขนาดนี้


“ชมผมเหรอ”


“เปล่า”ผมส่ายหัวดิ๊กๆ


“จะชมก็พูดมาตรงๆน่า อย่าเขินเลย”


“ใครเขินกัน”


“คุณไงใบไธม์”เบซิลย้อนด้วยน้ำเสียงร่าเริง


“ปล่อยผมได้แล้ว”คิดจะกอดไปถึงเมื่อไหร่กัน


“ยังไม่อยากปล่อยเลย”


“เบซิล...”


“เอ่อ...ขอโทษที่ต้องขัดจังหวะความหวานของทั้งคู่นะแต่หัวหน้าเรียกรวมตัวแน่ะ”เสียงของบุคคลที่สามทำเอาผมรีบผลักเบซิลออกห่างทันควัน


พอหันไปมองยังกระจกด้านข้างก็พบกับจิวที่เปิดหน้าต่างออกมาพูดเมื่อครู่แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมเขินอายเท่ากับด้านในห้องมีหัวหน้าไพลสันต์และสมาชิกในหน่วยทุกคนยืนมองมาด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มระเรื่อยคล้ายกำลังแซวผมผ่านสายตา


“มากันตั้งแต่ตอนไหน”ก่อนหน้านี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงาเลยสักคน


“ตอนที่เบซิลขอรางวัล”หัวหน้าไพลสันต์เอ่ย


“ของผมมาตอนเบซิลพูดว่าปล่อยหมัดใส่คนรักไม่ลง”จิวพูดต่อ


“...”ได้ยินตั้งแต่ตอนนั้นเลย?


นี่ผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเนี่ย


ใบหน้าผมตอนนี้คงเห่อแดงด้วยความอายอย่างไม่เคยเป็น


“ใบไธม์หน้าแดงด้วย น่ารักจัง”เบซิลมองมายังใบหน้าเห่อแดงผมด้วยรอยยิ้ม


“เพราะคุณนั่นแหละ”


“ยิ่งบอกว่าเพราะผมแบบนี้ก็ยิ่งดีใจน่ะสิ”


“อึก...พอๆ ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว จิวถอยไป”ผมบอกให้จิวถอยห่างจากหน้าต่างก่อนจะกระโดดเข้าไปด้านใน เบซิลเองก็ตามเข้ามาเช่นกัน


ภายในห้องทำงานบัดนี้มีสมาชิกของหน่วยสืบสวนพิเศษอยู่กันครบทุกคน ถือเป็นเรื่องน่าแปลกใจที่พวกเราสามารถมารวมกันได้ครบทุกคน คงไม่ใช่ความบังเอิญ


มีทางเดียวคือหัวหน้าเรียกทุกคนมา


และหากเป็นเช่นนั้นแปลว่าต้องมีบางอย่างกำลังเกิดขึ้น ไม่ก็เกิดขึ้นแล้ว


“มีเรื่องอะไรครับหัวหน้า”ผมตั้งสติสักพักก่อนจะเริ่มเปิดประเด็น


ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้ทำเป็นประหนึ่งว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


อยากบ่นตัวเองว่าทำไมถึงรับรู้ถึงสายตาที่จับจ้องมาไม่ได้


นี่อาจเป็นเรื่องที่น่าอายที่สุดในชีวิตเลย


ทางเดียวที่จะหนีจากสถานการณ์นี้คือการเปลี่ยนเรื่องโดยเร็วที่สุด


“อ่า...การที่เรียกทุกคนมารวมกันคงเดากันได้ว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น”หัวหน้าเกริ่นพลางใช้สายตามองไล่พวกเราทีละคนคล้ายกำลังจัลสังเกตอะไรบางอย่าง


“ให้เดาคงเป็นเรื่องใหญ่”ผมพูดต่อ ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่หัวหน้าคงเรียกผมไปคุยก่อนจะให้กระจายข่าวบอกทุกคนให้ทั่วถึงไม่ใช่เรียกทุกคนมาพร้อมหน้า


“คิดถูกแล้วไธม์ เรื่องนี้ใหญ่มากจริงๆและอาจถือเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่สามารถสั่นคลอนประเทศได้เลย”


“...”คำพูดของหัวหน้าทำเอาทุกคนไม่เว้นแม้แต่เบซิลมีใบหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที


เหตุการณ์ที่สามารถสั่นคลอนประเทศได้งั้นเหรอ


เรื่องราวท่าจะใหญ่กว่าที่ผมคิดไว้อีก


“ทุกคนคงรู้ดีว่าทางการอย่างเราถูกแบ่งง่ายๆออกเป็น3หน่วยคือตำรวจ ทหารและหน่วยสืบสวนพิเศษที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใคร แต่ละหน่วยอยู่ได้ด้วยการถ่วงดุลซึ่งกันและกันโดยมีพวกเราอยู่ตรงกลางของดุลนั่นทว่าในตอนนี้กลับมีใครบางคนกำลังพยายามดึงสมดุลนั่นไปยังฝั่งตัวเอง”


“ดึงไปยังฝั่งตัวเอง?”


“ใช่...ด้วยการทำลายอีกฝั่งนึง ตอนนี้มีการปล่อยทั้งข่าวและความลับของทางตำรวจเผยแพร่ออกตามสื่อต่างๆ กว่าทางตำรวจจะสกัดได้ข่าวพวกนั้นก็กระจายเป็นวงกว้างเกินไปแล้ว”หัวหน้าอธิบายต่อ


“แปลว่าฝ่ายที่เป็นผู้ทำลายคือทหาร?”ผมเอยถามด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่น


เรื่องนี้มันชักจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆแล้วสิ


“ถ้าให้เดาจากเหตุการณ์ตอนนี้ก็คงใช่ แต่ฉันไม่คิดแบบนั้น”


“จะบอกว่ามีความเป็นไปได้ที่เหตุการณ์จะพลิกกลับ?”ครั้งนี้เบซิลพูดบ้าง


“เข้าใจถูกแล้ว”


ความหมายของเหตุการณ์พลิกกลับคือแพะที่เราคิดว่าเป็นตำรวจกลับกลายเป็นแกะซึ่งวางแผนการทั้งหมดไว้เพื่อซื้อความเชื่อใช่ของประชาชนพร้อมทั้งทำลายอีกฝั่งนึงไปพร้อมกัน หรือถ้าคิดพลิกอีกครั้งนี่อาจเป็นแผนที่ถูกซ้อนไปอีกชั้นคือต้องการให้คิดว่าตำรวจแป็นคนปล่อยข่าวตัวเองทว่าความจริงกลับเป็นแผนการของทางทหาร


หากคิดเป็นนั้นก็จะกลายเป็นลูปวนไม่มีวันจบ


“เฮอะ ก็แต่ละฝ่ายมีเรื่องให้แฉเยอะจะตาย แค่เปิดเผยออกมาหน่อยคงไม่เป็นผลเท่าไหร่มั้ง”เบซิลยักไหล่คล้ายไม่แคร์ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น


“แค่ระรอกแรกเท่านั้นแหละ”


“แปลว่าครั้งนี้เป็นแค่บทนำ?”เบียร์ที่ยืนขมวดคิ้วมานานออกความเห็นบ้าง


“จะว่าแบบนั้นก็คงใช่”


“แต่ถ้าคิดในกรณีเหตุการณ์พลิกการเปิดเผยเรื่องของฝั่งตัวเองมันจะไม่แย่เอารึไง”ซันพูดต่อ


“ไม่แย่หรอกหากทำให้ทุกคนเชื่อว่าตัวเองโดนเร่งงานหรือถูกกล่าวหาอยู่ ทุกคนจะคิดว่าข้อมูลที่แพร่ออกไปทั้งหมดถูกใส่สีตีไข่ อีกอย่างถ้าเราอยู่เบื้องหลังคงเลือกปล่อยข่าวที่ไม่สามารถตามสืบได้ในภายหลัง”จิวตอบคำถามของซัน


“ประเด็นหลักตอนนี้คือเราไม่รู้ว่าฝ่ายไหนที่เป็นตัวการณ์ของเรื่องทั้งหมด ซึ่งตอนนี้ทั้งสองหน่วยไม่อยากปะทะกันเองเลยเป็นได้ว่าพวกเขาอาจหันสงสัยพวกเราแทน”หัวหน้าไพลสันต์พูดต่อ


“งานเข้า”แม็กถึงกับยกมือขึ้นกุมหัว


“...ซวยพวกเราชัดๆ”สกายกับจูนบอกพร้อมกัน


“พวกเราต้องสืบหาเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด”หัวหน้าออกคำสั่ง


“นี่พวกเราไม่มีพันธมิตรเลยสินะ”สกายพึมพำเสียงเบา


“พวกเราเคยมีที่ไหนล่ะสิ่งที่เรียกว่าพันธมิตร”อาร์มบอกสกาย


รู้สึกปวดหัวอย่างบอกไม่ถูก


“จะให้พวกเราเริ่มจากฝั่งไหนครับ”ผมเอ่ยถามหัวหน้า


ในเมื่อตอนนี้มี2ฝั่งที่ต้องสงสัยดังนั้นพวกเราจำเป็นต้องเล็งไปที่ฝ่ายไหนสักฝ่ายก่อนเพื่อค้นหน้าความจริง หากไม่พบอะไรก็ต้องเปลี่ยนไปสืบหาอีกฝั่ง ซึ่งหากเลือกถูกฝั่งเราจะทำงานน้อยลง


คงเหมือนการเสี่ยงดวงหรือใช้เซ้นต์ในการตัดสินใจว่าจะเลือกฝั่งไหนดี


“ฉันอยากขอความเห็นจากทุกคน ถ้าเป็นเรื่องเซ้นต์กับการวิเคราะห์บวกกับโชคฉันคิดว่าคงไม่มีใครแม่นไปกว่าพวกเรา”หัวหน้าบอกพร้อมสบตากับพวกเราทีละคน


ผมไม่เถียงในคำพูดของหัวหน้าไพลสันต์


พวกเราไม่ได้เหย่อหยิ่งหรือเข้าข้างตัวเองแต่หน่วยสืบสวนพิเศษเป็นสถานที่ที่รวบรวมคนซึ่งไม่ธรรมดาไม่ว่าจะเป็นความสามารถหรือความคิด ถ้าพวกเราไม่มีดีสถิติของหน่วยคงไม่มีเปอร์เซ็นต์สำเร็จถึงร้อย


ต่อให้พูดว่าใช้เซ้นต์หรือโชคซึ่งอาจดูเหมือนเป็นการคาดเดา


ก็ถูก...มันเป็นการคาดเดา


เพียงแต่เป็นการคาดเดาที่มีหลักการและการวิเคราะห์ก่อนจะเลือกทางที่คิดว่าดีหรือเหมาะสมที่สุด


ถ้าถามว่าใช้ได้100เปอร์เซ็นต์ไหมคงตอบว่าไม่


เพราะแบบนั้นจึงต้องให้ทุกคนออกความเห็น


สมาชิกของหน่วยสืบสวนพิเศษเดิมมี9คน นับรวมเบซิลที่พึ่งมาใหม่จะกลายเป็น10คนพอดี


สามารถตีได้เลยว่า100เปอร์เซ็นต์มีกี่เปอร์เซ็นต์ที่คิดแบบไหนเพื่อจะเลือกคำตอบที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด


ถือเป็นวิธีที่ดีและเหมาะกับหน่วยกับสืบสวนพิเศษมากที่สุด


“ใครคิดว่าฝั่งทหาร”ผมให้เวลาทุกคนคิดสักพักก่อนจะเริ่มถาม


“ใครคิดว่าฝั่งตำรวจ”ผมทิ้งระยะให้ทุกคนยกมือทว่าไม่มีใครยกผมจึงเอ่ยถามต่อ ซึ่งครั้งนี้เบซิลเป็นคนแรกที่ยกมือตามมาด้วยผมและซัน รวมทั้งเบียร์ จูน สกาย จิว อาร์ม ซันและหัวหน้าที่ยกมือขึ้นพร้อมๆ กัน


มติเป็นเอกฉันท์


0ต่อ10


“พวกเรานี่สามัคคีกันดีเนอะ”เบียร์ยิ้มระหว่างพูด


“แบบนี้แทนค่าความผิดพลาดเป็น0ได้เลยใช่ไหมท่านรอง”จิวหันมาถามผม


“ก็ยังไม่แน่”


“แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่พวกเรามีความเห็นตรงกันทุกคนแบบนี้”


“...นั่นสิ”นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการลงความเห็นกันซึ่งแต่ละครั้งพวกเรามักจะมีการแยกฝั่งกันอยู่เสมอ มีเดาผิดบ้างประปรายส่วนมากจะถูกเพราะอย่างที่บอกไปว่าพวกเราหน่วยสืบสวนพิเศษมีการคิดวิเคราะห์ที่ดีกว่า


หากทุกคนลงความเห็นไปในทางเดียวกันผมเดาไม่ออกเลยว่าจะมีการผิดพลาดได้ยังไง


“สรุปคือพวกเราจะสืบไปทางฝั่งของตำรวจ”หัวหน้าสรุป


“ปัญหาอยู่ที่พวกเราจะเริ่มยังไง ถ้าทางนั้นอยู่เบื้องหลังคงไม่มีทางปล่อยให้เราเดินเข้าไปสืบง่ายๆ”เบียร์บอกด้วยใบหน้าใช้ความคิด


“ปลอมตัวนิดหน่อยคงได้มั้ง”เบซิลออกความเห็นบ้าง


“เป็นความคิดที่เยี่ยมมาก”ซันชูนิ้วโป้งส่งให้เบซิล


“แล้วจะปลอมตัวไปไหนล่ะ เข้ากระทรวงแล้วถามว่าคุณเป็นคนต้นคิดใช่ไหมงั้นเหรอ?”


“ใครจะไปทำอะไรแบบนั้นเล่า”สกายหันไปบอกอาร์ม


“เหมือนผมจะได้ยินข่าวลือในจากมหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งที่มีข่าวลือในวงในว่าเป็นสถานที่ฟอกเงินอยู่”จิวบอกพร้อมขมวดคิ้วแน่นเหมือนกำลังใช้ความคิด


“...ฟอกเงินเหรอ อาจไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เราต้องจัดการก็ได้”เบียร์พูดตอบ


ตอนนี้บรรยากาศทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยการใช้ความคิดและการวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ ทุกคนล้วนแสดงความคิดของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่โดยไม่มีท่าทีเกรงหรือไม่กล้าเหมือนอย่างหน่วยงานอื่น เวลามีการประชุมหน่วยงานปกติจะมีผู้นำซึ่งจะคอยพูดเสนอสิ่งต่างๆโดยคนอื่นที่เข้าร่วมจะไม่ออกความเห็นอะไรเนื่องจากกลัวว่าจะเด่นเกินหน้าเกินตาหรือไม่กล้าทว่าในหน่วยสืบสวนพิเศษไม่ใช่


ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมไม่เว้นแม้แต่ผมหรือหัวหน้าไพลสันต์ พวกเรารับฟังความคิดเห็นของทุกคนอย่างเท่าเทียมหากเป็นความคิดที่ดีก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะไม่ทำตาม


“การฟอกเงินส่วนมากจะเกี่ยวกับรัฐบาลไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับตำรวจหรือทหาร”จูนพูดความคิดของตัวเองบ้าง


“ข่าวลือนั่นมีอย่างอื่นอีกไหม”ผมถามจิวเพื่อขอข้อมูลเพิ่ม


ข้อมูลแค่นี้ยังน้อยเกินไปให้ตัดสินใจว่าอะไรเป็นยังไง


“จะว่ามีก็มี แต่เป็นข่าวลือจากวงในของในนะ”


“จะในขนาดไหนก็บอกมาเถอะ”แม็กเร่ง


“กำลังจะบอกอยู่นี่ไง มีข่าวลือว่าอธิการบดีของที่นั่นเป็นกิ๊กของนายตำรวจทรงอิทธิพลคนนึง”


“คนนั้นที่ว่าคือใคร”


“ไม่รู้เหมือนกัน”จิวส่ายหน้าไปมา


“เรื่องสำคัญแบบนี้ทำไมไม่รู้เล่า”ซันบ่นอุบอิบ


“ผมอยากรู้จะตาย อีกอย่างผมพึ่งได้ข่าวนี้มาเมื่อเช้ามืดนี่เองไม่มีเวลาแม้จะตรวจสอบดูด้วยซ้ำว่าเชื่อถือได้ไหม”


“...น่าจะเป็นพลตรีไม่ก็พลโท”คำพูดของเบซิลเรียกสายตาของทุกคนให้หันไปมองเป็นตาเดียว


“อะไรที่ทำให้คิดแบบนั้น”ผมเป็นฝ่ายเปิดฉากถาม


ดูจากท่าทางคงไม่ใช่แค่การคาดเดา เบซิลมีข้อมูลบางอย่างถึงได้สามารถวิเคราะห์หรือจำกัดขอบเขตได้ว่าอยู่ในยศหรือตำแหน่งอะไร


“ถ้าเป็นอธิการบดีของมหาลัยชื่อดังนั่นวันก่อนผมเห็นภาพหลุดของเธอถูกเผยแพร่ก่อนจะโดนลบออกในเวลาอันรวดเร็ว”


“จะบอกว่าในรูปนั่นมีใบหน้าของใครบางคนอยู่?”


“ไม่ใช่ใบหน้าแต่เป็นสัญลักษณ์ของยศรูปดาวมีปีก”เบซิลขยายาความต่อ


“สีเงินหรือทอง”เบียร์ถามต่อทันที


“เงิน”


“...”บรรยากาศในห้องเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเมื่อได้รับข้อมูลจากเบซิล ทุกคนต่างรู้ดีว่าสัญลักษณ์สีเงินเป็นของตำรวจและหากพูดถึงดาวมีปีกจะเป็นสัญลักษณ์ของพลจัตวาเป็นต้นไป


ถ้าเบซิลจำกัดขอบเขตอยู่ที่พลตรีหรือโทรแปลว่าในรูประหว่างดาวต้องมีช่องว่างอยู่ ถ้าเป็นของพลจัตวาบนดาวมีปีกจะมีสัญลักษณ์คล้ายหมวกหรือมงกุฏอยู่ติดด้านบน


นี่ได้หลักฐานชั้นยอดมาเลยนะเนี่ย


“รูปนั่นยังอยู่ในเครื่องใช่ไหม”หัวหน้าไพลสันต์ถาม


“ไม่มีหรอก บอกแล้วว่าถูกลบไปในพริบตาหลังจากเห็นรูปนั่นแหละ อีกอย่างไม่คิดว่ามีความจำเป็นเลยไม่ได้บันทึกรูปไว้”เบซิลตอบพลางยักไหล่เบาๆ


“ถ้าเป็นคุณต่อให้ลบไปแล้วแต่ก็สามารถกู้กลับมาได้ใช่ไหม”ผมถามพร้อมหันไปสบกับดวงตาสีเขียวมรกตด้านข้าง


ผมเชื่อเกิน95เปอร์เซ็นต์ว่าเบซิลสามารถหาไฟล์รูปมาให้พวกเราได้


“...การจะย้อนกลับการลบมันเสียเวลามากอยู่ยิ่งต้องแฮ็กเข้าไปในระบบของทางเว็บนั่นแล้วกู้รูปกลับมาไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าคุณบอกว่าอยากได้รูปนั่นผมก็จะทำให้”


“ผมต้องการรูปนั่น”ผมรีบพูดย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง


ตอนนี้เราต้องการหลักฐานสักชิ้นเพื่อจะได้รู้ทิศทางว่าเราจะสืบต่อไปในทิศทางไหน


“ได้ ผมจะจัดการให้”


“...แค่นี้?”ผมขวมดคิ้วแน่นขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายพูดจบประโยคแล้ว


“ฮืม...ผมต้องพูดอะไรอีกเหรอ”


“ปกติต้องมีข้อต่อรองไม่ก็ขอรางวัล”พึ่งเคยเจอที่ยอมทำให้ง่ายๆแบบนี้


จะว่าแปลกใจก็ใช่


เรียกว่าคาดไม่ถึงจะเหมาะกว่า


“อ้อ ผมลืมไปเลย...ขอบคุณที่เตือนนะ”


“...”คำตอบนั่นทำเอาผมถึงกับพูดไม่ออก


ไม่น่าเลย...อยู่เฉยๆก็ดีอยู่แล้วเชียว


“ก่อนจะกลับเข้าเรื่องผมอยากถามอะไรหน่อย”เบซิลพูดก่อนจะหันไปทางหัวหน้าไพลสันต์


“ว่ามา”


“ในเมื่อซ่อมที่นี่เสร็จแล้วแปลว่าผมต้องกลับมาอยู่นี่ใช่ไหม”เบซิลถามตรงๆ


จริงสิ...ผมลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง


การที่เบซิลมาอยู่ห้องผมเป็นเพราะเหตุการณ์ระเบิดเมื่อเดือนก่อนแต่ตอนนี้ทุกอย่างซ่อมเสร็จหมดแล้ว


น่าแปลกที่อยู่ๆใจผมมันก็รู้สึกโหวงๆขึ้นมา


ในห้องผมตอนนี้ข้าวของเกือบทุกอย่างมี2ชิ้น ชิ้นแรกเป็นของผมและชิ้นที่2ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเบซิล ฟูกปูนอนตอนนี้ก็ยังคงปูอยู่ข้างเตียงผม ถ้าเบซิลไม่อยู่ผมคงรู้สึกเหงาอยู่ไม่น้อย


“ทั้งใช่และไม่ใช่ เธอต้องการอะไรล่ะกลับมามีทั้งห้องและพื้นที่ส่วนตัวกว้างๆหรือจะอยู่ในห้องกับไธม์ต่อ แต่ถ้าจะอยู่ก็ต้องขอเจ้าตัวเพราะฉันไม่เกี่ยวด้วยแล้ว”หัวหน้าไพลสันต์โยนเรื่องมาทางผม


“ผมยังอยู่กับคุณได้รึเปล่า”เบซิลไม่ตอบหัวหน้าแต่หันมาถามผม


“...ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”ผมตอบพร้อมยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย


อยู่ด้วยกันมาขนาดนี้จะให้อยู่ต่ออีกสักหน่อยจะเป็นไรไป


“เยี่ยม คนรักของผมน่ารักที่สุด”ไม่พูดเปล่าเบซิลอ้าแขนสองข้างออกพร้อมพุ่งตัวเข้าหาผมหมายจะคว้าตัวผมเข้าไปกอดทว่ากลับถูกผมเบี่ยงตัวหลบจนไปโผลกอดอาร์มแทน


“กลับเข้าเรื่อง สรุปคือถ้าเรื่องกิ๊กเป็นความจริงมีความเป็นไปได้ที่นายตำรวจคนนั้นอาจเป็นต้นตอหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำลายสมดุล หากต้องการปล่อยข่าวคงไม่มีที่ไหนรวดเร็วไปกว่าในมหาวิทยาลัยอีกแล้ว อีกอย่างการฟอกเงินนั่นอาจกลายเป็นหลักฐานที่จะทำให้ฝ่ายนั้นดิ้นไม่หลุด”ผมเอ่ยสรุปทุกอย่างออกไปตามความคิด


“เห็นด้วยกับท่านรอง เราต้องเข้าไปขโมยข้อมูลนั่น ดีไม่ดีเราอาจได้หลักฐานเด็ดหรืออาจได้เห็นว่าใครเป็นกิ๊กของอธิการบดีก็ได้นะ”จิวพยักหน้าพร้อมพูดเสริม


“...ดูจากรูปการณ์คนที่ต้องเข้าไปหาข้อมูลคงต้องเป็นผมกับเบซิลสินะ”ใช้เวลาไม่กี่นาทีผมก็สามารถหาได้ว่าใครเหมาะกับภารกิจนี้มากที่สุด


งานขโมยข้อมูลไม่มีใครเก่งเท่ากับเบซิล


ดังนั้นตัวยืนเลยเป็นเขา


ส่วนการตามหาล่าหลักฐานเพื่อหาผู้อยู่เบื้องหลังคงไม่พ้นผมที่มีพลังซึ่งสามารถช่วยจัดการกับสถานการณ์หลายๆอย่างได้


“ทางนี้จะหาข้อมูลอย่างอื่นเพิ่มให้เอง”เบียร์บอก


“มหาลัยนั่นเหมือนจะมีการเปิดรับสมัครอาจารย์อยู่ลองไปสมัครดูสิเผื่อจะสามารถเดินเข้าไปตรงๆได้”จิวพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง





(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่10) 14/6/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 14-06-2018 20:52:32
(ต่อนะคะ)


หลายวันผ่านไปในที่สุดพวกเราก็ได้ก้าวเดินเข้ามาภายในมหาวิทยาลัยโดยไม่ต้องแอบลักลอบเข้ามา วันก่อนที่มีการรับสมัครอาจารย์เบซิลได้เข้าไปสัมภาษณ์และโชคดีทางมหายลัยยอมรับให้เขาสอนการเขียนโปรแกรมให้กับเด็กปี3 ในวันนี้เบซิลจึงอยู่ในชุดแสนเรียบร้อยอย่างเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวกับกางเกงสีน้ำเงินเข้ม แว่นตาปลอมๆถูกนิ้วกลางดันเล็กน้อยเรียกเสียงกรี๊ดจากนักศึกษาโดยรอบได้


ส่วนตัวผมน่ะเหรอ แม้จะเข้ารับการสัมภาษณ์เป็นครูและผ่านเหมือนกันแต่ไม่ใช่เป็นครูคอยสอนนักศึกษาหรอกนะ


เสื้อสีน้ำตาลเข้มกับกางเกงเข้าชุดเป็นชุดฟอร์มประจำของคนสวนประจำมหาวิทยาลัยแห่งนี้ สงสัยเพราะผมพูดเรื่องงานอดิเรกปลูกพืชผักเลยถูกจับให้มาอยู่ในตำแหน่งนี้


ผมแอบเห็นสายตาของเบซิลมองมาด้วยประกายขบขันระหว่างกำลังอยู่ในคาบเรียนบนตึก หน้าที่ของผมคือการกวาดใบไม้ ตัดกิ่งหรือใบไม้ไปจนถึงการรดน้ำต้นไปบริเวณสวนของมหาวิทยาลัยซึ่งมีขนาดใหญ่ซะเหลือเกิน


การทำงานในสายอาชีพใหม่ดูน่าสนใจอยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะเวลาใช้กรรไกรตัดกิ่งก้านของไม้พุ่มสีเขียวขจีที่กำลังแตกยอดออกมาจนดูรกไปหมด หรือนี่อาจทำให้ผมค้นพบว่าความจริงตัวเองเหมาะกับงานแบบนี้มากกว่า?


แม้จะอยู่ในอากาศค่อนข้างร้อนหรือตากแดดใช่ช่วงสายของวันทว่าผมก็ยังคงไม่ลืมเป้าหมายของการมาทำงานยังมหาวิทยาลัยแห่งนี้ หากมีเวลาผมมักจะสอดส่องดูความเคลื่อนไหวรอบตัวเพื่อเก็บข้อมูลเล็กๆน้อยๆจากวันเป็นอาทิตย์


และแล้วผมก็ได้ข้อมูลบางอย่างที่น่าสนใจมากจากเพื่อนรุ่นคุณตาที่ทำหน้าที่คอยเฝ้าดูแลสวนในช่วงกลางคืน เหมือนว่าทุกๆเดือนจะมีรถคันสีดำเข้ามาในช่วงกลางดึกเสมอส่วนทางเบซิลได้ข้อมูลของการฟอกเงินมาแต่ที่ได้คือจำนวนเงินที่ไหลเข้ามาในบัญชีเป็นจำนวนมากแต่ไม่รู้ว่ามีใครบ้าง


ข้อมูลส่วนของชื่อถูกปิดไว้ด้วยรหัสหลายต่อหลายครั้ง ขนาดเบซิยังต้องขอเวลา แต่ถ้าสามารถใช้คอมพิวเตอร์ของเจ้าตัวได้คงสามารถแฮ็กเข้ารหัสได้ง่ายกว่านี้ พอใช้คอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊คมันมีข้อจำกัดอยู่ในกรณีที่ทางเครื่องนั้นไม่มีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต


คืนนี้ผมกะไว้ว่าจะบุกเข้าไปบุกหาข้อมูลตรงๆสักหน่อย อยู่มาครบอาทิตย์ทำให้ผมรู้ตารางเวรของยามในช่วงค่ำของทั้งอาทิตย์แล้ว ระหว่างกำลังคิดวิธีและขั้นตอนต่างๆมือผมก็ไม่ได้ว่าง ไม่กวาดด้ามใหญ่กวาดใบไม้แห้งมารวมกันอยู่เป็นจุดเดียวจะช่วยให้เก็บง่ายขึ้น


“อ๊ะ หลุดไปแล้ว”เสียงของนักศึกษาดังเข้ามาในหูผมแว่วๆจากด้านข้างของตัวตึกซึ่งเป็นส่วนของการปลูกพืชผักและเลี้ยงสัตว์อย่างพวกไก่ไข่หรือวัวนม ในทุกๆวันจะมีนักศึกษาผลัดกันมาให้อาหารและทำความสะอาดรวมถึงเก็บพวกผักที่โตเต็มที่หรือนมไปให้ห้องครัวทำอาหารต่อไป


ผมเงี่ยหูฟังเสียงโวยวายปนตื่นตระหนกที่แว่วเข้ามาเผื่อจะได้ยินอะไรมากขึ้น แต่แล้วในจังกวะที่ผมกำลังเดินไปทางต้นเสียงร่างของสัตว์สองเท้าตัวเต็มไว้ก็โผล่ส่วนหัวซึ่งมีหงอนสีแดงตามมาด้วยร่างอันปกคลุมด้วยขนสีน้ำตาลแซมขาว


ถ้าเพียงแค่ตัวเดียวคงไม่มีปัญหาทว่าพอตัวแรกโผล่ออกมาตัวที่สอง สามและสี่ก็ตามออกมาเล่นเอาผมเบี่ยงตัวหลบแทบไม่ทัน และอาจเพราะเพ่งสายตาไปยังไก่ตัวเต็มวัยเลยไม่ทันสังเกตเหล่าลูกเจี๊ยบตัวสีเหลืองขนปุกปุยที่ตามเหล่าแม่ๆมาเป็นขบวนส่งผลให้ขาไขว่กันเองในจังหวะเบี่ยงตัวหลบลูกเจี๊ยบ


ร่างของผมเซล้มลงไปตรงพุ่มไม้พร้อมเหล่าลูกเจี๊ยบกระโดดขึ้นมาบนตักเพื่อจะตามแม่ของตัวเองไป เสื้อสีเข้มที่ใส่อยู่บัดนี้ถกขึ้นเล็กน้อยจะแรกล้มทำให้ผิวผมสัมผัสกับลูกเจี๊ยบโดยตรง


“ซวยแล้ว...”ยังไม่ได้ทำพูดจบประโยคร่างกายก็เริ่มมีปฏิกิริยาหดเล็กลงพร้อมขนสีเหลืองปุกปุยขึ้นปกคลุมไปทั่วทั้งร่าง ในความโชคร้ายดูเหมือนจะมีความโชคดีอยู่บ้างคือเสื้อผ้าผมร่วงลงไปอยู่ใต้พุ่มไม้พอดีถ้าไม่มีใครมาแหวกดูคงไม่เห็นหรอก


แต่ในสถานการณ์นี้ไม่ใช่เวลามาห่วงเรื่องเสื้อผ้า


“รีบจับเร็วเข้า”


“ลูกเจี๊ยบ จับลูกเจี๊ยบก่อน”เสียงตะโกนของเหล่านักศึกษามาพร้อมกับฝ่ามือที่รวบตัวผมขึ้นไป แน่นอนว่าผมคงไม่ยอมให้ถูกจับได้เลยจำต้องดิ้นจนหลุดออกมาได้


พอได้จังหวะผมในร่างลูกเจี๊ยบตัวสีเหลืองก็วิ่งสุดแรงไปหาที่หลบภัยรอให้เหตุการณ์นี้ผ่านไปแล้วค่อยแอบกลับมาเอาเสื้อผ้าทีหลัง


“อย่าหนีเลยลูกเจี๊ยบ”นักศึกษาสาวกลุ่มหนึ่งวิ่งมาดักหน้าฝูงไก่และเหล่าลูกเจี๊ยบ พวกเธอก้มลงต่ำแล้วอ้ามือออกเตรียมคว้าตัวสัตว์ตรงหน้า


ถือเป็นวิธีจับที่ดี


แย่แล้ว...มาทั้งด้านหน้าและด้านหลังเลย


แบบนี้ถูกจับได้แน่


ผมในร่างลูกเจี๊ยบหันซ้ายขวาเพื่อมองหาทางออกก่อนเสียงเปิดบาดเกร็ดจะดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงเหมือนของหล่นและฝ่ามือที่อุ้มร่างผมขึ้นไปกุมไว้แนบอก สัมผัสของไออุ่นกับกลิ่นนี่ผมรู้จักดี


ไม่จำเป็นต้องเงยหน้ามองก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร


มีเพียงคนเดียวเท่านั้นแหละ


เบซิล


“อาจารย์ซิล?”นักศึกษาหลายคนมีทีท่าตกใจเมื่อเห็นอาจารย์สอบวิชาเขียนโปรแกรมกระโดดออกมาจากด้านในตัวตึกเพื่อมาอุ้มลูกเจี๊ยบตัวนึง


“เดี๋ยวอาจารย์จะช่วย”เบซิลคลี่ยิ้มสะกดใจสาวๆได้ในพริบตา


เสน่ห์เหลือล้นจริงๆ


เบซิลทำตามคำพูดคือจับไก่อีกตัวอุ้มแนบกับเอวเดินไปยังกรงไก่ไข่ที่เปิดอ้าออก ไก่หลายตัวบัดนี้ถูกนำกลับมาไว้ในกรงเหมือนเดิมแล้ว เมื่อวางแม่ไก่ตัวโตลงเรียบร้อยเบซิลจึงเดินออกมาจากกรงโดยแอบอุ้มผมออกมา


ตั้งมาเข้ามาทำงานยังมหาวิทยาลัยแห่งนี้พวกผมไม่ได้กลับไปนอนคอนโดอีกเนื่องจากมีห้องพักสำหรับอาทิตย์ให้ ได้ชื่อว่าห้องพักอาจารย์คงไม่รวมผมด้วยทว่าเบซิลดันไปบอกกับทางนั้นว่าอยากให้ผมมาอยู่ร่วมห้องด้วย ซึ่งผมไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนัก รู้อีกทีคือได้รับอนุญาตให้มาอยู่ห้องเดียวกับเบซิลแล้ว


ด้วยระดับของการหวาดล้อมทางวาจาคงไม่มีใครเก่งไปกว่าเบซิล


เขาสามารถพูดสิ่งที่ผิดให้กลายเป็นถูกได้


ผมเชื่อแบบนั้น และคิดว่าจริงด้วย


ห้องพักขนาดกลางไม่ได้กว้างเท่าห้องผมแต่ก็ถือว่าอยู่กัน2คนได้อย่างไม่แคบมากนัก ปัญหามีเพียงเตียงเดี่ยวขนาด3ฟุตที่ดูยังไงก็นอนได้แค่คนเดียว แต่ฝ่ายเบซิลกลับบอกให้นอนด้วยกัน


มันจะอัดกันนอนได้ยังไงล่ะ


สุดท้ายเรื่องนี้เลยจบลงที่ผมกับเบซิลสลับกันนอนพื้นกับเตียงคนละวัน


“ใบไธม์...สินะ”พอเข้ามาอยู่ในห้องแล้วเบซิลวางผมลงบนเตียงแล้วขยับหน้าเข้ามามองใกล้ๆคล้ายกำลังสังเกตว่าเป็นผมจริงๆรึเปล่า


ในเมื่อไม่สามารถพูดภาษาเดียวกันได้ผมเลยจำต้องใช้ภาษาร่างกายคือผงกหัวขึ้นลงเพื่อตอบว่าใช่


“ดีนะที่พามาไม่ผิด ขืนผิดคงต้องกลับไปกรงไก่”สีหน้าเบซิลดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย


ถ้าผมสามารถพูดได้ผมจะถามเขารู้ได้ยังไงว่าผมเป็นลูกเจี๊ยบตัวไหน


ตัวกลมๆมีขนสีเหลืองปกคลุม ร่างผมในตอนนี้ไม่มีอะไรแตกต่างกับลูกเจี๊ยบตัวอื่นสักนิด


“ต้องใช้เวลาสักพักถึงจะกลับร่างได้ใช่ไหม”เบซิลถามต่อ


ผมพยักหน้าส่งไปให้ก่อนจะพยายามตั้งสมาธิเผื่อจะช่วยให้สามารถกลับร่างได้เร็วขึ้นแม้เพียงสักนิดก็ยังดี อย่างที่เคยบอกไปปมไม่สามารถควบคุมการกลับร่างได้ดีนัก มันไม่ได้มีกฎตายตัวว่าถ้าทำแบบนี้แล้วจะกลับร่างได้เลย


กว่าร่างขนปุกปุยสีเหลืองจะกลับคืนมาเป็นเนื้อหนังของมนุษย์ก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมง ตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงเบซิลยังคงอยู่ข้างๆและคุยด้วยเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งผมคืนร่างดวงตาสีเขียวก็ยังจับต้องมาอย่างไม่ละสายตา


“...มองพอรึยัง”ต่อให้ไม่มีส่วนเว้าส่วนโค้งเหมือนผู้หญิงแต่ใช่ว่าโดนมองขนาดนี้แล้วจะทำเฉยได้


โดนมองมากๆเข้าความรู้สึกแปลกๆก็แล่นเข้ามาไม่หยุด


“ยัง”


“เบซิล”ผมคว้าหมอนเหวี่ยงใส่อีกฝ่ายเต็มแรง และใช้โอกาสนั้นวิ่งไปเอาเสื้อผ้ามาสวม


“...จะรีบใส่ทำไม ขอผมมองอีกหน่อยเถอะ”


“คุณเป็นโรคจิตรึไง”


“อย่าเรียกว่าโรคจิต แค่สโตรเกอร์ของคุณเอง”


“...”ผมมอบความเงียบและสายตาเอือมๆให้เบซิล


“ถ้าเป็นคนอื่นคงหน้าแดงไม่ใช่ทำหน้าเอือมแบบนี้”


“ผมไม่ใช่ผู้หญิง”จะให้หน้าแดงกับคำพูดคล้ายคนโรคจิตแบบนั้น?


ไม่มีทางซะล่ะ


“เรื่องนั้นผมรู้...แค่อยากให้เขินกันบ้างผมจะได้มีความหวังขึ้นมาหน่อย”


“หวังอะไร?”ผมขมวดคิ้วระหว่างถามกลับ


“นี่ใบไธม์...คุณไม่ได้ฟังคำสารภาพรักของผมเหรอ”เบซิลเองเริ่มจ้องเขม็งมาทางผม


“สารภาพรัก?”พูดถึงตอนไหน


เมื่อไหร่


และที่ไหน


ไม่เห็นจำได้เลย


“นี่คุณเมินคำสารภาพรักของผม?”


“...เปล่า ตอนนี้เราต้องสืบข้อมูลให้ได้ก่อน”ผมเปลี่ยนเรื่อง นาฬิกาตอนนี้บอกเวลา20.00หรทอสองทุ่มแล้วนั่นเอง


เวลาแบบนี้เหมาะแก่การออกไปสืบข้อมูล ยิ่งได้ข้อมูลมาเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งปลอดภัยมากเท่านั้น


ไม่รู้ว่าจะปิดบังตัวตนไปได้อีกนานเท่าไหร่


ผมคิดว่าทางมหาวิทยาลัยคงมีการสืบข้อมูลของผู้สมัครทุกคนอยู่แล้วแต่เพราะได้เบซิลช่วยสร้างตัวตนใหม่ขึ้นมาทั้งชื่อ สกุล ที่อยู่หรือแม้แต่ประวัติการศึกษา เพราะถ้ารู้ว่าผมสังกัดอยู่หน่วยสืบสวนพิเศษไม่มีทางที่จะรับผมเข้าทำงาน


“จัดการให้เสร็จทีละเรื่องก็ได้ วันนี้ดูเหมือนน่าจะมีคนมาหาอธิการบดีนะ”


“ได้แหล่งข่าวมาจากไหน”


“ดักฟังโทรศัพท์ช่วงพักกลางวัน”เบซิลตอบหน้าตาเฉย วันแรกที่มาถึงผมได้แอบรอบเอาเครื่องดักฟังไปติดไว้ในห้องของอธิการบดีซึ่งเครื่องนั่นเชื่อมต่อกับโน้จบุ๊คของเบซิลทำให้สามารถฟังเสียงหรือเหตุการณ์ในห้องได้


“แล้วมีข้อมูลอะไรเพิ่มบ้าง”ผมถามต่อ


“วันนี้ประมาณ4ทุ่มจะเข้ามาหา...เราอาจรู้ว่าคนคนนั้นเป็นใครกันแน่”


“แต่จะรู้ก็ต่อเมื่อเราไปดักรอดูหน้า”


“มีโอกาสทั้งทีก็บุกขึ้นไปดูหน้าจังๆเลยสิ ผมจะได้เอาข้อมูลที่คอมนั่นด้วย”เบซิลเสนอ


“ตอนแรกก็คิดไว้แบบนั้นแต่ถ้าพวกเขาอยู่ในห้องแล้วจะเข้าไปเอาข้อมูลยังไงล่ะ...คิดจะแยกกันไป?”ผมเริ่มเข้าใจว่าเบซิลต้องการสื่ออะไร


“ใช่ พวกเขาน่าจะพบกันในห้องส่วนตัวด้านข้างคุณก็จัดการทางนั้นส่วนผมจะลอบเข้าไปเอาข้อมูลเอง คุณคงจะแปลงเป็นนกสินะ”เบซิลถามต่อ


“อืม นกคงจะทำให้งานง่ายขึ้น”ยังไงสัตว์ปีกถ้ามีอะไรเกิดขึ้นแค่บินขึ้นฟ้าก็ไม่มีใครจับได้แล้ว


“นี่เป็นกล้องขนาดจิ๋ว พอกลายเป็นนกแล้วผมจะติดนี่ไว้ที่คอคุณ”กล้องขนาดจิ๋วบนมือเบซิลนั้นคล้ายเขาจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าแผนจะเป็นยังไง


“ตามนั้น”


พวกเราพูดคุยกันเรื่องแผนไม่นานต่างฝ่ายต่างก็แยกไปทำหน้าที่ของตัวเอง บางทีการแยกกันทำงานก็ทำให้ความสำเร็จเพิ่มขึ้น ยิ่งกับงานที่จำเป็นต้องอาศัยทักษะเฉพาะตัวแบบนี้ด้วย


ร่างผมตอนนี้กำลังสยายปีกสีเทาโบยบินขึ้นไปด้านบนตึกในชั้น9ซึ่งเป็นชั้นส่วนตัวของอธิการบดี ไม่ว่าจะเป็นห้องไหนก็ต้องมีหน้าต่าง ผมเกาะอยู่ที่ขอบระเบียงโดยหันหน้าเข้าไปในห้องมองภาพชายหญิงคู่นึงกำลังยืนจับมือพูดคุยและส่งยิ้มหวานให้กัน


ใบหน้าของฝ่ายหญิงรู้ๆกันอยู่ว่าเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ แต่ด้านของฝ่ายชายนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นเต็มๆตา ใบหน้าของชายมีอายุกับรอยปานบริเวณแก้มนั่นสร้างความตกใจให้ผมพอสมควร


พลตำรวจโท เกษมศักดิ์ จิระการณ์


นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ได้ชื่อว่ารักสันติมากกว่าใคร ไม่ชอบการใช้กำลังหรือปรักปรำคนผิด มีผู้ต้องสงสัยหลายคนถูกเขาช่วยให้รอดพ้นความผิด อีกทั้งยังเป็นคนรักครอบครัว เขามีภรรยาอายุน้อยกว่าและลูกอีก2คน


คนเรานี่มองแต่ภาพลักษณ์ภายนอกไม่ได้จริงๆ


ภาพลักษณ์แสนงดงามนั่นสร้างขึ้นปิดบังความจริงอันคาดไม่ถึงไม่ว่าจะเป็นการฟอกเงินหรือการนอกใจภรรยา ยังไงตอนนี้ก็มีหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอแล้ว เหลือแค่หลักฐานการฟอกเงินในคอมพิวเตอร์ด้านนอกนั่นเท่านั้น


ผมไม่ค่อยเป็นห่วงว่าเบซิลจะทำพลาดเพราะทั้งตารางเวรของยามหรือที่อยู่ของกล้องวงจรปิดเขาต่างรู้ดีอยู่แล้ว เบซิลจะแฮ็กเข้าระบบรักษาความปลอดภัยเพื่อใช้ภาพซ้อนการทำงานของกล้องวรจรปิดแต่ละตัว พูดง่ายๆคือต่อให้เดินผ่านกล้องวงจรปิดก็จะไม่ปรากฏภาพของเรา


เป็นวิธีแสนสะดวกที่หากจบงานคงต้องขอให้สอนบ้าง


ผมเก็บภาพเหล่านั้นสักระยะก่อนจะบินกลับลงมายังห้องพักที่เปิดกระจกหน้าต่างแง้มเอาไว้ล่วงหน้า หว่างบินผมป่านกระจกบานข้างๆและเห็นเบซิลกำลังออกจาห้องพอดี


สงสัยว่าจะจัดการข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้ว


ร่างของนกพิราบกลับคืนเป็นมนุษย์ในเวลาต่อมาแต่เบซิลที่ควรจะกลับมาในเวลาไล่เรี่ยกันกลับยังไม่เห็นแม้แต่เงาผมจึงตัดสินใจลอบเข้าไปตัวอาคารอีกครั้งทว่าครั้งนี้ผมมาในร่างของมนุษย์


เข้ามาได้ไม่ไกลจากประตูนักก็พบเบซิลกำลังปะทะกับยามคนหนึ่ง สองร่างล้มลงและกลิ้งไปตามพื้น ผมไม่รอช้าวิ่งเข้าไปดึงร่างของยามให้แยกออกจากเบซิลพร้อมคว้ามือที่เหน็บเอวอยู่โยนออกไปไกลๆกันไม่ให้มีการใช้อาวุธเกิดขึ้น


“แค่ก...”เบซิลไปออกมาเล็กน้อยระหว่างมองผ่านความมืดมายังผมที่เป็นฝ่ายปะทะกับคนร้ายแทน


“หยุดอยู่กับที่ถ้าไม่อยากโดนยิง”เสียงของยามอีกคนดังขึ้นพร้อมปืนกระบอกดำที่เล็งมาทางผม


“ถ้าทางนั้นยิง ทางนี้ก็จะยิงเหมือนกัน”เบซิลเอ่ย ปืนที่ผมปัดไปเมื่อครู่ตอนนี้อยู่ในมือของเบซิลแถมยังเล็งไปทางยามผู้มาใหม่อีกต่างหาก


เบซิลยิงปืนเป็น?


ผมขมวดคิ้วท่ามกลางความมืด ในหัวมีประโยคเดิมๆรอยมาไม่ขาด


“อยากให้ฉันยิงเพื่อนแกรึไง”


“มาลุ้นกันไหมล่ะว่าใครจะโดนยิงก่อน”น้ำเสียงเปี่ยมความมั่นใจทำให้อีกฝ่ายเริ่มแสดงอาการตระหนกปนลังเล


ส่วนตัวผมไม่คิดจะรอวัดฝีมือปืนของเบซิลจึงชกเข้ายังท้องของยามคนแรกจนสลบไป และอาศัยจังหวะที่เบซิลกำลังดึงดูดสายตาให้พุ่งตัวเข้าไปใช้เท้าเตะสูงไปยังกระบอกปืน


“มาเร็ว”ผมตะโกนเรียกพร้อมคว้าข้อมือเบซิลวิ่งหนี


ขืนปล่อยไว้นานกว่านี้คงได้มียามมารวมตัวกันมากขึ้น


“...มีคนบุกรุก รีบมารวมตัวที่เขต3ด่วน”พูดไม่ทันขาดคำฝ่ายนั้นก็เริ่มติดต่อกับพรรคพวกแล้ว


“ใช้ปืนยิงไปที่วิทยุสื่อสารเลย”ผมหันไปบอกเบซิล


“ได้”เบซิลพยักหน้าเข้าใจก่อนจะยกมือขึ้นเล็งเป้าและยิง


ปัง


กระสุนนัดแรกถูกยิงออกไปทว่าวิทยุสื่อสารในมือของยามยังคงปลอดภัย ไม่นานหลอดไฟที่ห้อยอยู่ด้านบนก็ตกลงมาบนพื้นอย่างแรงจนแตกละเอียด


อย่าบอกนะว่าเล็งไปที่วิทยุสื่อสารแต่กระสุนดันไปโดนหลอดไฟ?


ต่อให้ไม่แม่นมันก็ไม่น่าจะพลาดขนาดนี้มั้ง


“เดี๋ยวผมจัดการเอง”ผมพูดแล้วเตรียมคว้าปืนมา


“ผมขอแก้ตัวอีกนัด รับรองโดนแน่ๆ”เบซิลบอกพร้อมยิงกระสุนออกไปอีกนัด แต่แล้ววิทยุสื่อสารก็ยังคงทำงาน เสียงจากปลายสัญญาณดังขึ้นว่ากำลังรีบตามมาสมทบ


“พอเลย เอามาเร็วเข้า”ถ้าไม่รีบจัดการอีกฝ่ายคงได้ตามคนมาดักทางจนหนีไม่รอดแน่ๆ


ไม่รู้ว่านัดนั้นไปโดนอะไรเข้าแต่ไม่เกิดความเสียหายก็นับว่าดีแล้ว


“อีกรอบ ขออีกรอบ”


“ไม่ใช่เวลาเล่นนะ”นี่คิดว่าเรากำลังเล่นเกมอยู่รึไง


“ครั้งนี้โดนแน่”เบซิลพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจก่อนกระบอกปืนสีดำจะถูกยกขึ้นเหนือหัว ผมขมวดคิ้มองตามภาพนั้นก่อนดวงตาสีน้ำตาลของผมจะเบิกกว้างเมื่อเบซิลขว้างกระบอกปืนนั่นใส่วิทยุสื่อสารจนกระเด็นไปไกล


ใช้กระสุนไม่โดยแต่กลับใช้มือขว้างแล้วโดนเนี่ยนะ


ไม่รู้ว่าควรชมหรือบ่นดีแถมยังโยนหลักฐานลายนิ้วมือไปให้ฝ่ายนั้นอีก


จะยังไงก็ช่างตอนนี้เราได้หลักฐานมาแล้วต้องรีบกลับไปรายงานพร้อมวิเคราะห์หลักฐานที่ได้


ไม่สิ...ที่ต้องทำเป็นอย่างแรกคือพาเบซิลไปฝึกยิงปืนต่างหาก


ฝีมือระดับนั้นผมไม่กล้าปล่อยให้เขาถือปืนอีกแน่!

..............................................................

สวัสดีค่ะ

ตอนนี้ได้ครบทุกรสชาติเลยทั้งฉากกลายร่างทั้งฉากบู๊

แต่งไปก็ตลกไปโดยเฉพาะตอนสุดท้ายที่เบซิลเขวี้ยงปืนใส่วิทยุสื่อสาร ถึงจะวางคาแร็กเตอร์ไว้ว่าเบซิลไม่เก่งด้านการต่อสู้แต่พอมาลงลึกรายละเอียดก็รู้สึกขำ ยิงปืนได้แต่ไม่โดยดลยให้ปาเอา

เราชอบฉากนี้มากพูดเลย 555

เนื้อหาของเรื่องเข้าสู่ช่วงเข้มข้นแล้ว เราวางเรื่องไม่ให้หนักเกินไปจะค่อยๆ กระจ่างทีละน้อยนะคะ

มีคำถามถามเข้ามาจากเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนเกี่ยวกับใบไธม์ เรื่องอาหารที่ใบไธม์กินได้นั้นนอกจากพืชผักแล้วก็จะมีนมค่ะ แน่นอนว่าไข่ก็ไม่สามารถกินได้เนื่องจากถือเป็นเนื้อสัตว์เช่นกันค่ะ

หวังว่าตอนนี้จะทำให้ทุกคนสนุกตื่นได้นะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊สยบายค่า

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่10) 14/6/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 14-06-2018 21:13:41
จะโดนจับได้ไหมนะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่10) 14/6/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-06-2018 21:50:55
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่10) 14/6/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 14-06-2018 22:08:06
 :pig4: :pig4: :pig4:

จะเรียกว่า "อวดเก่ง" ได้ไหมเนี่ย?

ยิงกี่ครั้งก็พลาดแต่ยังยืนกรานจะทำให้สำเร็จด้วยการขว้างหลักฐานมัดตัวไปให้อีกฝ่ายเนี่ยนะ?
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่10) 14/6/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 15-06-2018 11:11:18
ซิลเอ้ยยยยย สงสารใบไธม์เลย
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่10) 14/6/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 15-06-2018 11:42:07
จะซวยเพราะรอยนิ้วมือบนปืนไหมล่ะนั่น ยิงไม่แม่นแต่ขว้างแม่นซะงั้น

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่10) 14/6/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 15-06-2018 19:04:47
 :3123: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่10) 14/6/61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Toon_TK ที่ 18-06-2018 18:21:51
สนุกกกก
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่11) 29/6/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 29-06-2018 22:25:23
สืบรัก彡คดีที่11




**ก่อนจะอ่านกันต่อเราขอชี้แจงอะไรนิดนึงนะคะเพราะไม่ได้มีเขียนอธิบายไว้ตอน จากตอนที่แล้วเบซิลโยนปืนไปให้ยามหลายคนคงคิดว่ามีรอยนิ้วมือของเบซิลอยู่แต่ความจริงแล้วไม่มีค่ะ การแฮ็กข้อมูลของเบซิลจำเป็นต้องแตะต้องคอมบนห้องเลยมีการเคลือบนิ้วกันเรื่องลายนิ้วมือไว้ล่วงหน้าแล้วไม่งั้นทางนั้นสามารถตรวจสอบลายนิ้วมือจากคอมได้ค่ะ จบการแก้ข่าวให้เบซิลค่าาา เชิญทุกท่านอ่านต่อได้เลยนะคะ**




ชีวิตของคนวัยทำงานมักเริ่มต้นในช่วงเช้าเสมอ แม้จะเป็นหน่วยสืบสวนพิเศษที่มีการผ่อนผันทว่าในเวลาที่กำลังมีเหตุการณ์ความไม่สงบซึ่งอาจส่งผลต่อประเทศได้ง่ายๆถือเป็นข้อยกเว้น ข้อมูลจากการเข้าไปแอบสืบในมหาวิยาลับชื่อดังเมื่ออาทิตย์ก่อนถูกนำมารวมกับข้อมูลอื่นๆที่ทุกคนช่วยกันหาโดยเร็ว


เพราะแบบนั้นวันนี้ทุกคนในหน่วยจึงมาอยู่กับพร้อมหน้าไม่เว้นแม้แต่หัวหน้าไพลสันต์ ห้องทำงานใหม่พึ่งถูกซ่อมแซมครั้งใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ และได้มีชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับใช้ประชุมเพิ่มเข้ามา


เอกสารมากมายวางกระจายอยู่บนโต๊ะเพื่อใช้ดูข้อมูลและหาความสัมพันธ์ของของคนแต่ละคน ด้านหลังบริเวณกำแพงสีขาวมีจอโปรเจ็กเตอร์เปิดฉายคลิปแอบถ่ายที่ถูกตัดเฉพาะช่วงช่วงสำคัญ


จะให้เห็นตอนผมในร่างนกบินขึ้นลงไม่ได้เบซิลจึงจัดการเรื่องนี้ให้


“นี่อาจเป็นคดีที่ใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี”หัวหน้าไพลสันต์เปิดเอกสารในมือพลางเอ่ยเสียงเรียบ


“ควรพูดว่าใหญ่ที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งหน่วยเลยดีกว่าครับ”จิวพูดต่อ ใต้ตาของจิวเริ่มคล้ายหมีแพนด้าเข้าไปทุกทียิ่งช่วงนี้ต้องสืบข่าวเขาแทบไม่มีเวลานอนด้วยซ้ำ


“...นั่นเวอร์ไปมั้งจิว ง่วงชะมัด”แม็กเองก็มีสภาพไม่ต่างกับจิวนัก ใต้ตาสุดคล้ำนั่นทำเอาผมรู้สึกอยากให้พวกเขาไปนอนพักผ่อนสัก2ชัวโมงแต่เรื่องนี้ต้องรีบจัดการโดยเร็วที่สุด เพราะงั้นขอโทษนะจิวแม็ก


อดทนอีกสักนิดเถอะ


“ถ้าพูดถึงคดีที่ยากที่สุดคงต้องเป็นคดีจับแก็งอาวุธข้ามชาติเมื่อ3ปีก่อน”เบียร์พูดพลงหมุนปากกาในมือเล่น


“ใช่ๆ คดีนั้นน่ะกว่าจะหาข้อมูล กว่าจะวางแผน กว่าจะบุกเข้าไปจับตัวคนร้ายใช้เวลาไปถึง4เดือนแถมทางเรายังได้รับความเสียหายกลับมาอีก”สกายพยักหน้าเห็นด้วยกับเบียร์


“ความเสียหาย?”เบซิลขมวดคิ้วถาม ดูเหมือนจะเป็นประเด็นน่าสนใจสำหรับเบซิลถึงได้ถามต่อ


ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่น่าสนใจเขาคงปล่อยผ่านไปแล้ว


“อืม พวกเราที่บุกเข้าไปปะทะกับแก็งนั้นตรงๆ หัวหน้าถูกยิงเข้าที่ขาโชคดีที่ไม่โดยเส้นประสานเลยไม่ส่งผลกระทบอะไรกับการใช้ชีวิต ไธม์เองก็เข้ามาปกป้องพวกเราจนกระดูกแขนหัก ต้องเข้าเฝือกไปถึง2เดือนเต็ม”สกายอธิบายให้เบซิลฟังเป็นฉากๆ


“คุณพลาดท่าด้วย?”เบวิลหันมามองหน้าอย่างไม่ค่อยเชื่อคำพูดสกายนัก


“ผมก็คนนะคุณ อย่าเรียกว่าพลาดท่าเลย ในสถานการณ์นั้นแขนหักน่ะถือว่าเป็นอาการเบาที่สุดแล้ว”ผมในตอนนั้นวิ่งเข้าไปช่วยแม็กที่กำลังจะโดนยิงเลยต้องปะทะกับคู่ต่อสู้ถึง5คนพร้อมกัน ถึงจะสามารถจัดการได้แต่ระหว่างการต่อสู้แขนผมกระแทกเข้ากับชั้นกล่องเหล็กอย่างรุนแรงจนกระดูกหัก


เรื่องราวก็ประมาณนี้


“ถ้าผมอยู่ด้วยคงไม่ปล่อยให้คุณแขนหักแบบนั้น”


“...ด้วยฝีมือการยิงปืนอันแสนแม่นยำ?”ผมยกยิ้มมุมปากระหว่างถาม


คำพูดแสนมั่นใจนั่นไม่ได้สร้างความน่าเชื่อสักนิดหากฝีมือและทักษะการต่อสู้รวมถึงการใช้ปืนยังเป็นเหมือนที่ผมเห็นก่อนหน้านี้


“แขวะกันอีกแล้ว”


“ผมแค่พูดความจริง”ความจริงล้วนๆแบบไม่มีการปรุงแต่งด้วย


“น่าจะพาเขาไปฝึกยิงปืนนะไธม์”หัวหน้าเอ่ยแทรก


“ผมก็คิดไว้แต่ต้องรอให้เราได้ข้อมูลมัดตัวที่แน่นอนกว่านี้ก่อน”ผมคิดไว้แล้วว่าถ้ามีเวลาต้องพาเบซิลไปสนามยิงปืนให้ได้ แต่ช่วงนี้ยังไม่พร้อมถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้นผมคงจะหาของแถวนั้นให้เบซิลขว้างใส่ศัตรูไปก่อน


ฝีมือการขว้างค่อนข้างแม่นมากทีเดียว


“นั่นสิ ต่อให้เราจะได้ชื่อของพลตำรวจโท เกษมศักดิ์ จิระการณ์มาแต่ใช่ว่าเขาจะเป็นตัวการณ์ของเรื่องราวทั้งหมด อาร์มคิดว่าไง”หัวหน้าหันไปขอความเห็นอาร์มซึ่งนั่งเงียบมาตั้งแต่เริ่มประชุม


ถ้าถามว่าทำไมถึงเงียบ เหตุผลง่ายๆก็คือหลับอยู่ไงล่ะ แถมยังเป็นการหลับแบบโจ่งแจ้งด้วย มือสองข้างยกขึ้นกอดอกตัวแน่นไว้แน่นพร้อมเอียงคอเล็กน้อยให้อยู่ในจังหวะพอดี ที่นั่งของอาร์มอยู่ตรงข้ามกับหัวหน้าจึงเป็นไปไม่ได้ที่หัวหน้าจะมองไม่เห็น


ขนาดผมนั่งเฉียงยังเห็นปากที่อ้าออกกว้างนั่นชัดเจนเลย


“ฮะ? ฮือ?...เอ่อ ขออีกรอบครับหัวหน้า”คนถูกเรียกสะดุ้งตัวโยน


“ฉันถามว่าเธอคิดว่ายังไง”หัวหน้าดูเหมือนใจดีที่ถามซ้ำแต่เล่นถามแค่นั้นคนที่ไม่ได้ฟังตั้งแต่ต้นจะตอบได้ยังไงล่ะ


“...ผมคิดว่าควรหาข้อมูลให้มากกว่านี้ก่อน ใช่ไหมซัน”อาร์มใช้ศอกแตะซันเป็นเชิงขอให้ช่วย


“ไม่รู้ ตอบเองสิ”


“อย่าทิ้งกันสิเพื่อน”


“อยากหลับเองนี่ช่วยไม่ได้”คำพูดของซันทำเอาคนแอบหลับแบบโจ่งแจ้งถึงกับพูดไม่ออก


“กลับเข้าเรื่องก่อน จากที่พวกเราหาข้อมูลมาเหมือนพลตำรวจโท เกษมศักดิ์ จิระการณ์จะเป็นตัวหนักในการฟอกเงิน ใช่ไหมเบซิล”เบียร์ปล่อยผ่านเรื่องอาร์มแล้ววกกลับเข้ามาประเด็นหลัก


“อืม จากการแฮ็กดูบัญชีของอธิการมหาลัยนั่นมีหลายบัญชีที่โอนเงินเข้ามาในวงเงินซึ่งมากว่าปกติหนึ่งในประวิติมีชื่อของพลตำรวจโท เกษมศักดิ์ จิระการณ์อยู่เกือบทุกสัปดาห์ พอลองเจาะเข้าไปดูในบัญชีของ เกษมศักดิ์ก็พบว่ามีบางคนโอนเงินพวกนั้นมาอีกต่อนึง”


“หมายความว่ามีคนอื่นอยู่เบื้องหลังอีก”ผมมสรุปเสียงเบา


พวกเราอาจมากันถูกทางแล้ว เหลือแค่สาวเข้าไปใกล้ผู้อยู่เบื้องหลังมากว่านี้


“ให้เดาต้องมียศเป็นพลเอก”จิวออกความเห็น


“คิดเหมือนกัน”เบียร์พยักหน้าเห็นด้วยกับจิว


“นี่พวกเราต้องเจอกับหนึ่งในขั้วอำนาจของฝั่งตำรวจเหรอเนี่ย”จูนพูดบ้าง


ปัจจุบันคนที่มียศพลเอกไม่ได้มีแค่คนเดียวแต่มีมากหลายสิบคนซึ่งในหมู่พลเอกจะมีคนหนึ่งถูกแต่งตั้งขึ้นมาให้เป็นศูนย์รวมของอำนาจ ส่วนมากจะเป็นคนที่มีฐานลูกน้องดีและมีความน่าเชื่อถือ เรียงง่ายคือเป็นผู้บัญชาการตำรวจนั่นเอง


“มีสองทางที่เป็นไปได้ตอนนี้...”ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคอยู่ๆร่างกายผมก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ในเสี้ยววินาทีผมก็กลายร่างเป็นสัตว์ตัวเล็กมีหางเป็นพวงยาวหรือกระรอก เบซิลที่เห็นถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตื่นตกใจแต่คนอื่นๆกำลังก้มอ่านเอกสารและเสนอความเห็นต่างๆกันโดยไม่ทันสังเกตุถึงสภาพผม


โต๊ะสำหรับประชุมค่อนข้างกว้างพวกเราเลยเว้นระยะกันพอสมควร


“พูดต่อสิไธม์ฉันฟังอยู่”หัวหน้าไพลสันต์ถามระหว่างก้มหน้าอ่านเอกสารในมือ


ซวยแล้ว


จะให้พูดต่อได้ยังไงในสภาพนี้ล่ะ


แต่ผมยังไม่ได้สัมผัสกระรอกเลยนะแล้วทำไมถึงได้กลายร่างเองได้...


อย่าบอกนะว่าถึงช่วงเวลานั้นแล้ว?


พลังของผมเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นการกลายร่างเป็นสัตว์ที่สัมผัสตัว ซึ่งแต่ละครั้งในการกลายร่างเหมือนร่างกายจะสะสมตะกอนของพลังในร่างสัตว์นั้นๆไว้จนกระทั่งเอ่อล้นออกมา


อธิบายง่ายๆคือใน1ปีจะมีประมาณ2ครั้งที่ผมจะกลายร่างเป็นสัตว์โดยไม่จำเป็นต้องสัมผัสสัตว์ใดๆ ที่แย่คือไม่ใช่แปลงครั้งเดียวและจะจบ ผ่านไปสักระยะผมจะเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์ตัวอื่นที่ผมสัมผัสในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา


ปกติจะเป็นช่วงเดือน6และเดือน12 ถ้าใกล้ๆเวลาผมมักจะลาหยุดแล้วอยู่แต่ในห้องทว่าครั้งนี้มีคดีใหญ่เข้ามาจนผมลืมเวลาไปเลย


“มีสองทางที่เป็นไปได้คือผู้บัญชาการตำรวจมีส่วนรู้เห็นในการกระทำครั้งนี้ อีกทางคือมีหนึ่งในระดับพลเอกมีส่วนร่วมและต้องการจะโค่นล้มอำนาจสูงสุดเผื่อตัวเองจะได้ขึ้นไปดำรงค์ตำแหน่งนั้นแทน”เบซิลพูดต่อแทนผมระหว่างนั้นอีกฝ่ายค่อยๆลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินมาคว้าทั้งเสื้อผ้าและตัวผมกลับไปนั่งอยู่เก้าอี้ตัวเดิมอย่างเนียนๆ


“ฮืม?...ไธม์ไปไหน”พอหัวหน้าเงยหน้าขึ้นจากเอกสารแล้วไม่เห็นผมจึงเอ่ยถามขึ้น และเพราะคำถามนั่นทำให้ทุกคนหันมามองที่นั่งผมเป็นตาเดียว


จะทำยังไงต่อล่ะเบซิล


ในสถานการณ์แบบนี้จะจัดการด้วยวิธีไหนกัน


“ผมกำลังจะบอกอยู่พอดี”เบซิลปรับใบหน้าและน้ำเสียงให้เหมือนยามปกติในพริบตา


“บอกอะไร?”


“ผมกำลังจะทำการวิเคราะห์ที่มาของเงินในบัญชีของ เกษมศักดิ์ จิระการณ์ อยู่...ไม่แน่ว่าเราอาจรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังจากการวิเคราะห์นี่ แต่ผมจำเป็นต้องใช้สมาธิเลยอยากขอกลับไปทำที่ห้อง ผมเลยให้ใบไธม์ออกไปที่รถก่อน”เบซิลอธิบายทุกอย่างด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ไม่มีอการตื่นตระหนกหรือติดขัดเลยสักนิด


คล้ายกำลังพูดเรื่องจริงอยู่


“ไม่มีปัญหา ถ้าได้ข้อมูลรีบมาบอกเลยนะ”


“เข้าใจแล้ว หวังว่าคุณคงไม่โกรธใบไธม์ที่ไปก่อนโดยไม่ลา?”


“ไม่นี่ เรื่องเล็กน้อยฉันไม่คิดมากหรอก ยังดีกว่าคนที่หลับอย่างโจ่งแจ้งตรงหน้านี่เยอะ”หัวหน้าตอบกลับ คนที่ว่าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอาร์ม เมื่อครู่ยังตื่นอยู่เลยแต่ตอนนี้กลับนั่งหลับอีกรอบ


“งั้นผมขอตัวก่อน”พอหัวหน้าพยักหน้าและทุกคนก้มลงอ่านเอกสารในมือพร้อมเสนอความคิดต่อเบซิลก็รีบหอบเสื้อผ้าโดยมีผมอยู่ด้านในเดินออกไปจากห้องโดยไม่ลืมกระเป๋าผมและของตัวเอง


ไม่รู้ว่าถือเป็นใชคดีหรืออะไรที่วันนี้ผมเอารถยนต์ออกมาใช้หลังจากไม่ได้ขับมาหลายอาทิตย์ เบซิลวางผมในร่างกระรอกและเสื้อผ้ากองไว้บนเบาะข้างคนขับแล้วขับรถกลับไปยังห้องพัก


ระหว่างการเดินทางร่างของกระรอกตัวเล็กก็แปรเปลี่ยนเป็นแมวสีส้มขนฟูฟ่องทำเอาเบซิลที่หันมามองถึงกับขมวดคิ้วแน่น


“แมว?...เกิดอะไรขึ้นกันแน่น่ะใบไธม์”


เหมี๊ยว


อยากจะอธิบายนะแต่รู้ๆกันอยู่ว่าในสภาพนี้ต่อให้อธิบายยังไงอีกฝ่ายก็ไม่เข้าใจอยู่ดี


“...เสียงร้องคุณน่ารักจัง”


แหง๊ว


ผมรีบส่งเสียงขู่พลางยกเท้าเผยกรงเล็บเล็กโชว์เพื่อสื่อว่าถ้ายังพูดต่อมากกว่านี้ได้เจอดีแน่


“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ไม่พูดแล้วก็ได้”สุดท้ายเบลซิลจึงยอมหยุด


พวกเรากลับมาถึงห้องในเวลาค่อนข้างนาน การจราจรในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ค่อนข้างติดโดยเฉพาะช่วงกลางวันที่ผู้คนพากันออกไปเที่ยวหรือกินข้าว เบซิลแอบอุ้มผมที่บัดนี้ร่างแมวเปลี่ยนแปลงเป็นนกพิราบหลบคนดูแลและกล้องมาจนถึงบนห้อง


ร่างของผมถูกปล่อยลงบนพื้นซึ่งผมกางปีกออกพร้อมบินไปเกาะยังขอบโซฟาตัวเล็กด้านข้างชั้นหนังสือ ข้าวของทุกอย่างเบซิลเป็นคนขนมาเพียงลำพัง


ถ้าไม่ได้เบซิลผมคงไม่สามารถกลับมาห้องได้โดยไม่มีใครเห็นแบบนี้


แล้วคงไม่รอดตั้งแต่นั่งประชุมแล้วด้วย


“เอาล่ะ ผมต้องทำยังไงต่อดีล่ะ ปล่อยไว้แบบนี้?”เบซิลมองมายังร่างนกของผม


ในเมื่อไม่สามารถพูดได้ผมจึงใช้ภาษกายอย่างการพยักหน้าแทนคำพูด ทันใดนั้นร่างของนกก็เริ่มขยายออก ขนสีเทาถูกแทนที่ด้วยผิวหนังของมนุษย์ ด้วยน้ำหนักซึ่งมากกว่าตอนเป็นนกทำให้ทั้งร่างร่วงลงมาอยู่บนพื้นในสภาพเปลือยเปล่า


“...ขอเสื้อให้ผม”ผมทำเป็นไม่สนใจสายตาที่จับจ้องมา ตั้งแต่รู้จักกันมาผมเปลือยต่อหน้าอีกฝ่ายไปกี่ครั้งแล้วเนี่ย


อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว


ต่อให้เป็นผู้ชายเหมือนกันใช่ว่าจะไม่รู้สึกอายยิ่งสายตาของเบซิลนั่นทำเอาร่างกายผมรู้สึกร้อนขึ้นอย่างบอกไม่ถูก


“นี่มันเรื่องอะไรกัน”เสื้อเชิ้ตสีอ่อนถูกส่งมาให้พร้อมคำถาม


“เป็นปกติน่ะ”สวมเสื้อเสร็จก็เดินไปหยิบท่อนร่างมาสวมต่อ


“ปกติ? จะบอกว่าเป็นนี้ตลอด?”


“ไม่ตลอด...น่าจะปีละ2ครั้ง”


“หมายถึงทุกครั้งที่เปลี่ยนร่างเป็นสัตว์ร่างกายจะทำการจดจำสัตว์เหล่านั้นไว้และพอถึงขีดจำกัดก็จะเกิดการปะทุออกมาในรูปแบบนี้...ผมเข้าใจถูกไหม”เบซิลวิเคราะห์ทุกอย่างก่อนจะเอ่ยออกมา


“...คุณวิเคราะห์ทุกอย่างได้จากคำพูดไม่กี่คำของผม?”รู้ว่าเบซิลเก่งการวิเคราะห์และฉลาดในเรื่องการเชื่อมโยงเรื่องราวแต่นี่ดูจะน่าตกใจเกินไปหน่อย ผมพูดกับเขาไม่ถึง5ประโยคแถมแต่ละคำที่เอ่ยแทบไม่ได้บอกข้อมูลอะไรเลย


“ส่วนนึง ผมเริ่มติดใจตั้งแต่ตอนเห็นร่างแมวและนก สองร่างนั้นผมเคยเห็นคุณเป็นมาก่อนเลยคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่ร่างกายจะจดจำสัตว์ทุกตัวยามสัมผัสหรือกลายร่าง”


“ถ้าคุณใช้ความสามารถนี่ในทางที่ดีหน่อยคงรวยล้นฟ้าไปแล้วไม่ใช่ต้องมาเสียเวลา20ปีไปกับการนั่งเล่นในคุกเหมือนในตอนนี้” ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะสามารถอ่านทุกอย่างได้ราวกับเป็นเรื่องง่ายแบบนี้


จะให้พูดอีกกี่ครั้งก็ได้ว่าเสียดายความสามารถนี่จริงๆ


“ต่อให้ย้อนกับไปได้ผมก็ไม่คิดจะเปลี่ยนเส้นทางหรอก”


“ทำไมล่ะ”ผมถามกลับด้วยความอยากรู้


“เพราะถ้าเปลี่ยนผมอาจไม่ได้เจอใบไธม์ ไม่ได้พูดคุย ไม่ได้เจอหน้า ไม่ได้อยู่ด้วยเหมือนในตอนนี้ ผมไม่คิดจะแลกช่วงเวลาที่ได้อยู่กับคุณกับของพรรนั้นหรอกนะ ไม่มีทาง”คำพูดพร้อมรอยยิ้มจากเบซิลทำเอาผมถึงกับทำตัวไม่ถูก


ถ้อยคำเหล่านั้นผมสัมผัสได้ถึงความจริงใจอันแฝงไปด้วยจริงจังกว่าทุกที


ผมรู้ว่าเขายึดติดกับผม แต่ไม่คิดว่าจะมากขนาดนี้


“...คุณยึดติดกับผมมากเกินไปนะ”คำพูดของเมเกอร์เป็นเหมือนเวทนมต์ที่ทำให้ทุกคนหลงกลและเชื่อไปกับประโยคเหล่านั้น
ผมไม่ควรเชื่อ


แม้จะรู้ทว่าน่าแปลก...ลึกๆผมกลับไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าคำพูดเหล่านั้นคือความจริง


“อาจจะเป็นแบบนั้น ผมไม่รู้ว่ามันถือเป็นการยึดติดหรืออะไร...แต่ผมไม่คิดจะเปลี่ยนความรู้สึก ต่อให้คุณจะทำเป็นเมินไปมากแค่ไหนผมก็จะบอก...ผมชอบคุณ”ดวงตาสีเขียวมรกตหันมาสบระหว่างเบซิลเดินก้าวเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น


ทั้งที่ควรจะถอยหลังหนีแต่ขากลับไม่ขยับราวกับถูกสายตานั่นตรึงไว้ไม่ให้ขยับไปไหน


จริงอย่างคำพูดของเขา...ผมทำเป็นเมินและเฝ้าบอกว่ามันเป็นเพียงคำพูดที่ไม่อาจเชื่อได้แม้จะรู้ดีอยู่แล้วว่ามันเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจของเบซิล


ไม่ใช่คำโกหกหรือหลอกลวง


“...เบซิล”


“ช่วยรับความรู้สึกนี้ของผมเถอะ อย่าเมินมันอีกเลย”


“...ถ้าผมรับรู้แล้วจะทำยังไงต่อ”ผมถามเสียงเบา พูดถึงขนาดผมไม่สามารถทำเป็นเมินหรือบอกกับตัวเองว่าคำพูดนั่นเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นได้อีกแล้ว


“มาคบกัน”


“ข้ามขั้นไป”


“เป็นแฟนกัน”


“ความหมายไม่ได้ต่างเลย”คบกันกับเป็นแฟนกันความหมายมันต่างกันตรงไหน


“คุณเกลียดผมเหรอใบไธม์”เบซิลถามกลับบ้าง


“ไม่ได้เกลียด”ผมส่ายหน้าเบาๆ ไม่จำเป็นต้องโกหกความรู้สึกตัวเอง


“แปลว่าชอบผม?”


ผมไม่ได้เกลียดเบซิลแต่ในขณะเดียวกันก็ยังไม่ได้ชอบถึงขนาดจะยอมตกลงคบด้วย


ความจริงผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกนี้มันมากพอที่จะให้คบกันรึยังเพราะประสบการณ์ด้านความรักของผมไม่ได้มีมาก อาจเคยคบกับผู้หญิงมาหลายคนก็จริงแต่ทุกคนเป็นฝ่ายมาขอคบและบอกเลิกในเวลาไม่นาน


ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะผมที่น่าสนใจไม่พอหรือไม่ได้เหมือนกับที่พวกเธอหวังไว้ละมั้ง


แต่ถึงจะเลิกผมไม่ได้รู้สึกหรือเสียใจมากมายนัก


พอมานึกดูตอนนี้ เป็นได้ว่าผมอาจไม่ได้รู้สึกชอบพวกเธอเลยถูกบอกเลิกแบบนั้น


ว่ากันว่าผู้หญิงมีเซ้นต์ด้านนี้ดีซะด้วย


“ยังไม่ถึงขั้นนั้น นี่เบซิล...คุณเจอกับคนมามากมาย เคยคบกับคนอื่นมาก็เยอะผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นผม ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา นิสัยหรืออย่างอื่นผมไม่ได้ดูโดดเด่นหรือน่าสนใจ คุณมีคนอีกมากที่เหมาะสมมากกว่า”ต่อให้เชื่อคำพูดของเบซิลแต่ใช่ว่าผมจะไม่สงสัย


คนธรรมดา มีชีวิตแสนธรรมดา


ที่ไม่ธรรมดาคงมีเพียงพลังนี้


ซึ่งผมไม่รู้ว่าอะไรที่ดึงดูดให้อีกฝ่ายสนใจ


“ใบไธม์...”ยังไม่ทันที่เบซิลจะจะอ้าปากร่างกายผมก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงผิวหนังของมนุษย์เริ่มมีขนสีขาวปุกปุยปกคลุมทั่วร่าง


ใช้เวลาไม่กี่วินาทีก่อนผมจะกลายร่างเป็นกระต่ายตัวขาวอ้วนกลมอย่างสมบูรณ์


กำลังคุยเรื่องสำคัญแท้ๆดันมากลายร่างซะได้


“อยู่ในร่างนี้ก็ดีเลย”อยู่ๆเบซิลก็เผยรอยยิ้มมุมปากพร้อมใช้มือสองข้างค่อยอุ้มร่างอันปกคลุมด้วยขนขึ้นมาในระดับสายตา ดวงตาสีเขียวมรกตของเบซิลประสานมายังดวงตาผมในร่างกระต่าย


ดียังไง


ผมอยากถามแต่ด้วยข้อจำกัดของสัตว์ทำให้ไม่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้


“ใบไธม์ ฟังผมนะ”


งี๊ด


ทั้งมือทั้งสายตามาขนาดนี้ผมคงจะไม่ฟังได้หรอก


“คุณคงรู้ดีว่าผมเจอกับผู้คนมามาก เคยคบกับชายหญิงมาก็เยอะซึ่งการกระทำเหล่านั้นอาจทำให้คุณไม่เชื่อว่าความรู้สึกชอบที่ผมมีต่อคุณเป็นของจริง...”


ใช่


ผมเผลอพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว


“ผมอยากให้มองแบบนี้ เพราะผมได้คบกับพวกเขามาทำให้ผมรู้ว่าความรู้สึกที่มีต่อคุณมันไม่เหมือนกับคนอื่น แตกต่างอย่างชัดเจน ผู้คนมากมายพอเห็นรูปลักษณ์ผมมักจะเข้าหาด้วยวิธีต่างๆไม่ว่าจะเชิญชวน ยั่วยวนหรือแม้แต่เรียกร้องความสนใจแต่กลับคุณไม่จำเป็นต้องทำอะไร แค่อยู่เฉยๆทำหน้านิ่งๆ...แค่นั้นก็ทำให้หัวใจผมมันพองโตได้แล้ว”


“ไม่จำเป็นต้องโดดเด่น ไม่จำเป็นต้องดูดีเพราะผมไม่ได้มองสิ่งเหล่านั้น ที่ผมมองมีเพียงคุณ...ตัวตนของคุณ ทุกอย่างนั้นทำให้ผมรักและอยากอยู่ใกล้ๆตลอดเวลา ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนนอจากคุณ...เพราะงั้นเชื่อเถอะ เชื่อคำว่ารักที่ผมพูดที”เบซิลเอ่ยทุกอย่างระหว่างประสานดวงตามา พอพูดจบเขาขยับมือที่อุ้มผมให้เข้าใกล้พร้อมมอบจุมพิตเบาๆแนบลงบนริมฝีปากผมในร่างของกระต่าย


ทุกประโยค


ทุกถ้อยคำ


ทุกการกระทำ


ทุกอย่างเบซิลสื่อความรู้สึกและความจริงใจออกมาเต็มเปี่ยม ราวกับเป็นกระแสน้ำเชี่ยวกราดที่ซัดเกราะป้องกันบริเวณหัวใจให้พังทลายโดยไม่ทันรู้ตัว


หัวใจเต้นรัวขึ้นและแรงขึ้นไปอีกเมื่อได้รับจูบเบาๆนั่น


มันไม่ได้จาบจ้วงแถมยังอยู่ในร่างสัตว์อีกแต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าร่างกายร้อนจนแทบไหม้


ผมรู้ทันทีว่าต้องจริงจังกับการคิดเรื่องนี้สักนี้


จะมัวแต่เมินและทำเป็นไม่สนใจไม่ได้อีกต่อไปแล้ว


เพราะถ้าปล่อยไว้ไม่ใช่แค่เบซิลที่จะต้องรอแต่เป็นผมเองที่สับสนกับความรู้สึกของตัวเองซึ่งบัดนี้กำลังตีกันจนคิดอะไรแทบไม่ออก


เกลียดไหม


ตอบได้เลยว่าไม่


ชอบไหม


อาจต้องคิดสักนิดแต่ตอบคงเป็น...ชอบ


ในตอนแรกผมอาจมองเขาเหมือนเป็นตัวกวนที่คอยปั่นหัวผมเล่นทุกครั้งเวลาเจอหน้ากันทว่าตอนนี้เมื่อได้อยู่ด้วยกันมากขึ้นมันมีความผูกพันธ์ที่ค่อยๆก่อนตัวขึ้น ภายใต้ความกวนแฝงไปด้วยความอ่อนโยนและจริงจัง


ยิ่งอยู่ด้วยกันมากเท่าไหร่ผมยิ่งสัมผัสได้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายที่เผยออกมามากขึ้นเรื่อยๆราวกับเบซิลยอมเผยนิสัยต่างๆให้ได้เห็น เป็นนิสัยที่คนอื่นอาจไม่เคยได้รู้มาก่อนซึ่งผมเผลอยิ้มไปกับนิสัยเหล่านั้นตลอด


ความรู้ดีๆนี่มันคงไม่ง่ายหากจะให้จางหายไป


หรือผมจะชอบเบซิลไปโดยไม่รู้ตัวกันนะ


หรือเป็นแค่ความรู้สึกที่มีต่อเพื่อน


ครั้งล่าสุดที่ได้คบใครก็เกิน5ปีมาแล้ว ผมจำความรู้สึกในตอนนั้นแทบไม่ได้จึงเปรียบเทียบไม่ได้



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่11) 29/6/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 29-06-2018 22:26:23
(ต่อนะคะ)


กริ๋งงงง กริ๋งงงง


เสียงกดออดหน้าห้องเรียกผมที่จมอยู่ในความคิดตัวเองขึ้นมา เบซิลหันไปมองบานประตูพร้อมขมวดคิ้วแน่นคล้ายกำลังสงสัย ถ้าไม่สงสัยคงแปลกตั้งแต่เขามาอยู่ห้องผมไม่เคยมีใครมากดกริ่งสักครั้ง


“ผมไปเปิดนะ”เบซิลหันมามองผมในร่างกระก่ายพร้อมกับเอ่ยถาม


งี๊ด


ผมพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงอนุญาตเบซิลจึงวางผมลงบนพื้นแล้วเดินไปยังหน้าห้อง เมื่อเปิดประตูออกร่างของเด็กหนุ่มในวัยเรียนซอยผมสีดำสั้นในชุดลำลองก็ปรากฏเข้ามาในสายตา ในมือของเขามีถุงกระดาษซึ่งถ้าให้เดาด้านในคงเป็นกล่องข้าวกับนมเป็นแน่


เด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากโป๊ยกั๊ก น้องชายของผมเอง นานๆครั้งพ่อจะทำกับข้าวแล้วให้เขานำมาส่งให้ที่ห้องเหมือนอย่างในตอนนี้ ทว่าเมื่อผมอยู่ในร่างนี้ทำให้ใบหน้าแรกที่โป๊ยกั๊กเห็นเป็นเบซิล แน่นอนว่าทั้งคู่ไม่เคยเจอกันมาก่อน


“...เอ่อ นี่เป็นห้องของพี่ไธม์ คุณเป็นใครกัน”น้ำเสียงเรียบร้อยและท่าทางตื่นๆปนทำตัวไม่ถูกนั่นทำให้ผมรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่โป๊ยกั๊กแต่เป็นก้านพลู


อย่างที่เคยอธิบายคือป๊ยกั๊กมีพลังพิเศษที่สามารถพูดคุยกับตัวเองในกระจกได้ ว่ากันง่ายๆคือมี2บุคลิคในร่างเดียว แต่ไม่ว่าจะเป็นร่างก็ถือเป็นคนคนเดียวกันเพียงแค่มีนิสัยแตกต่างกัน พวกเราเลยตั้งชื่อให้อีกคนนึงว่าก้านพลูเพื่อให้ง่ายต่อการแยก


นิสัยของทั้งคู่เองมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โป๊ยกั๊กเป็นคนนิสัยห้าวๆหน่อย เก่งด้านกีฬาและการเป็นผู้นำ ทว่าด้านก้านพลูกลับเป็นตัวตนซึ่งตรงกันข้ามคือมีความเรียบร้อย ไม่กล้าแสดงออกและค่อนข้างขี้กลัว


มีไม่น้อยที่ทั้งคู่จะสลับกันออกมาแต่ผมไม่คิดว่าพ่อจะให้ก้านพลูออกมาส่งของถึงห้องผมแบบนี้


ถ้าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทางจะทำยังไงเล่า


พ่อนะพ่อ


สงสัยคงต้องโทรไปบ่นหน่อยแล้ว


“ฉันเป็นคนรักของพี่นายน่ะ เข้ามาสิโป๊ยกั๊ก”คำพูดของเบซิลไม่ได้ทำให้แค่ก้านพลูในร่างโป๊ยกั๊กขมวดคิ้วแน่นด้วยความสงสัยแต่ยังมีผมอีกคนที่อยากถามเหลือเกินว่ารู้เรื่องครอบครัวผมได้ยังไง


ให้เดาคงไม่พ้นสืบหาข้อมูลผมจากทางโน๊ตบุ๊คแน่


เรื่องข้อมูลผมยังไม่น่าโมโหเท่าประกาศเป็นคนรัก


งี๊ดด~


ผมไปเป็นคนรักของคุณตอนไหนกัน


ร่างกระต่ายขนปุกปุยสีขาวของผมส่งเสียงร้องให้อีกฝ่ายรู้ว่าผมไม่พอใจที่มาแอบอ้างเอาดื้อๆ


“พะ...พี่ไธม์ ร่างนั้น แถมยังมีคนคนนี้ นี่คุณรู้ว่า...พี่ไธม์...”ก้านพลูมองมายังผมในร่างกระต่ายสลับกับเบซิลด้วยความสับสน


“ใช่ ฉันรู้ว่าเขาสามารถกลายร่างเป็นสัตว์ได้”เบซิลอธิบายให้ก้านพลูฟัง


“พี่เป็นคนบอกเหรอ”


“อืม...เขาบอกฉันเมื่อหลายเดือนก่อน”


“...พี่ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครมาก่อน ทำไมถึงบอกคุณ...อีกอย่างทำไมถึงมาอยู่ห้องพี่ได้”ก้านพลูยิงคำถามรัวๆ ผมทนเห็นน้องมีท่าทีแบบนั้นไม่ไหวเลยวิ่งเข้าไปใกล้ใช้สองขาหน้ากระโดดเกาะขากางเกงของก้านพลู


พอเขาเห็นผมก็ก้มลงมาอุ้มผมขึ้นไปกอดแน่น


“บอกแล้วไงว่าฉันเป็นคนรักของใบไธม์”


งี๊ดดด~


ผมส่งเสียงค้านพลางส่ายหน้ารัวๆ


“พี่เขาบอกว่าไม่ใช่...ถ้าคุณคิดจะทำอะไรพี่ผม...ผมจะไม่ยอมอยู่เฉย จะเรียกโป๊ยกั๊กออกมาจัดการ”ก้านพลูบอกเสี่ยงสั่น ด้านลักษณะนิสัยไม่สู้คนและไม่มีทักษะด้านการต่อสู้คงไม่มีทางเลือกนอกจากสลับตัวกับโป๊ยกั๊กให้จัดการต่อ


“เรียก? นายคือโป๊ยกั๊กนี่ หน้าแบบนี้เหมือนกับรูปที่เจอเลย”เบซิลเริ่มมีทีท่าสงสัย


“...พี่ไธม์...”ก้านพลูเรียกผมระหว่างร่างกระต่ายแปลเปลี่ยนกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์อีกครั้งนึง เบซิลโยนเสื้อผ้ามาให้ซึ่งผมก็รับแล้วรีบสวมโดยเร็วที่สุด


“โทษที ตกใจสินะก้านพลู”ผมบอกพลางลูบเส้นผมสีดำนั่นเบาๆให้คลายความกังวลออก


“พี่อยู่ในช่วงนั้นของปีเหรอ”ก้านพลูถามต่อ ช่วงนั้นของปีเป็นชื่อเรียกช่วงเวลาที่ผมจะกลายร่างเป็นสัตว์สลับไปมากับมนุษย์เหมือนในวันนี้


“อืม เราเองก็เถอะ ออกมาข้างนอกคนเดียวไม่ค่อยปลอดภัยนะ น่าจะโทรมาพี่จะได้ไปหา”จะว่าผมขี้ห่วงก็ไม่ผิดหรอก ก้านพลูค่อนข้างน่าห่วงกว่าโป๊ยกั๊กเยอะ ถ้าเกิดเจออะไรขึ้นมาจะจัดการด้วยตัวเองไม่ค่อยได้


“ผมโทรแล้วแต่พี่ไม่รับผมเห็นว่าไม่ได้ไกลมากเลยมาหา...พ่อเองก็ฝากข้าวกล่องกับนมมาให้”


“ขอบคุณที่มาหานะ”


“ผมอยากเจอพี่เหมือนกัน เอ่อ...เขาเป็นใครเหรอ”ประโยคสุดท้ายก้านพลูหันไปมองหน้าเบซิลด้วยสายตาสั่นๆ คงเพราะถูกจ้องเขม็งมาเลยทำตัวไม่ถูก


เบซิลกำลังฟังข้อมูลที่ผมกับก้านพลูพูดพร้อมกับคิด วิเคราะห์ อีกไม่นานเขาคงสามารถสรุปเรื่องราวได้ทั้งหมดแม้ผมจะไม่อธิบาย


“เขาชื่อเบซิล ทำงานอยู่ที่เดียวกันเลยมาอยู่กับพี่ชั่วคราวน่ะ”


“แล้วที่บอกว่าเป็น...คนรัก?”


“อย่าเชื่อคำพูดของเขานักจะดีกว่า”


“เดี๋ยวสิใบไธม์ พูดแบบนี้เหมือนผมโกหกน่ะสิ”เบซิลเอ่ยค้าน


“ก็โกหกจริงๆนี่”ใครเป็นคนรักของคุณกัน


แค่ยอรับความรู้สึกรักมาไม่ได้ว่าผมจะยอมตกลงเป็นคนรักสักหน่อย


“ผมพูดเรื่องในอนาคตของเราต่างหาก”


“เบซิล”ผมกดเสียงต่ำเป็นเชิงบอกให้เลิกพูด


“...หยุดก็ได้ ว่าแต่น้องชายคุณเองก็มีพลังพิเศษเหมือนกันใช่ไหม”เบซิลเปลี่ยนเรื่องคุย คำพูดนั่นทำเอาก้านพลูถึงกับสะดุ้งแล้วหันมามองหน้าผม


“เขาไม่ใช่คนที่จะเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร ไว้ใจเรื่องนี้ได้”ผมแตะไหล่ก้านพลูเบาๆ


เรื่องอื่นอาจไม่น่าไว้ใจแต่ถ้สเป็นเรื่องพวกนี้เบซิลถือเป็นคนที่ไว้ใจได้คนหนึ่งเลยล่ะ


“ไม่บอกใครหรอก เป็นพลังที่สุดยอดไปเลยนะ...มี2ตัวตนในร่างเดียว คงเป็นบุคลิกที่แตกต่างกันพอดูถึงทำให้ใบไธม์เป็นห่วงขนาดนี้”


“...พี่บอกเรื่องพลังของผม?”ก้านพลูหันมาถาม


“เปล่า พี่ไม่เคยบอก”


“แต่ว่าเขา...”


“คงเพราะฟังคำพูดของพวกเราเลยได้ข้อสรุปออกมาแบบนั้น”ต่อให้มีเหตุผลยังไงก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าการคิดวิเคราะห์ของเขาช่างยอดเยี่ยม


“แค่ฟังก็รู้แล้วเหรอ”ก้านพลูทำหน้าไม่อยากเชื่อ


“ไม่อยากนี่ ฉันมีข้อมูลของคนรอบตัวใบไธม์อยู่แล้ว โป๊ยกั๊กเป็นน้องชายคนที่สองซึ่งมีทักษะด้านกีฬาไม่เป็นรองใครและมีความเป็นผู้นำสูง นั่นเป็นข้อมูลของโป๊ยกั๊กที่มีแต่พอเจอกันแม้จะมีรูปร่างเป็นโป๊ยกั๊กแต่ลักษณะนิสัยไม่ใช่ จะบอกว่ามีฝาแฝดก็ไม่ใช่อีก”


“อีกอย่างยังมีชื่อก้านพลูที่ใบไธม์เรียกด้วย เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกันมีเพียงอย่างเดียวคือโป๊ยกั๊กมีพลังพิเศษเช่นเดียวกับใบไธม์และพลังพิเศษนั่นคงไม่พ้นมี2บุคลิกในร่างเดียว”เบซิลอธิบายทุกอย่างออกมาให้ก้านพลูฟัง


“อย่างที่บอกไปว่าไม่ต้องกังวล เขาเชื่อใจได้”ผมย้ำให้ก้านพลูฟังอีกรอบ


“อืม ถ้าพี่ไธม์บอกว่าเชื่อใจได้ผมก็จะเชื่อ ช่วงนี้ไม่ค่อยกลับเลยทุกคนเป็นห่วงนะพี่”


“มีคดียุ่งยากเข้ามาน่ะ ถ้ามีเวลาจะกลับไปนะ”ผมตอบพร้อมรอยยิ้ม


“ระวังตัวด้วยนะพี่ไธม์”


“ขอบคุณ พี่จะไปส่งบ้าน”


“ไม่เป็นไรผมกลับได้ ไม่ไกลสักหน่อย”ก้านพลูส่ายหน้าปฏิเสธ


“แต่...”ยังไม่ทันได้เอ่ยจบร่างมนุษย์ของผมก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง ครั้งนี้ไม่ใช่แมวหรือกระต่ายแต่เป็นลูกเจี๊ยบตัวสีเหลือง
ลืมไปสนิทเลยว่าตัวผมเองไม่สามารถออกไปส่งใครได้ในตอนนี้


ขืนขับรถไปส่งแล้วเกิดกลายร่างในระหว่างนั้นคงขำไม่ออก


อันตรายกว่าให้ก้านพลูกลับเองอีก


“ผมเอารถมา แถมยังขับแข็งแล้วด้วยไม่มีปัญหา พี่อย่าห่วงเลย”ก้านพลูก้มลงมาบอกผมที่กำลังส่งเสียงเพื่อบอกบางอย่าง แต่รู้ๆกันว่ามนุษย์และสัตว์ไม่ได้พูดภาษเดียวกันจึงไม่อาจสื่อไปถึงได้


“งั้นถ้าถึงบ้านส่งไลน์มาบอกพี่เขาหน่อยละกัน”เบซิลเป็นคนพูดสิ่งที่ผมต้องการจะบอก


ดีจริงๆที่ตอนนี้มีเบซิลอยู่ด้วย


เขาสามารถอ่านท่าทางแล้ววิเคราะห์สิ่งต่างๆออกมาได้อย่างแม่นยำ


“ได้ครับ เอ่อ...ฝากดูแลพี่ไธม์ด้วยนะครับ”ก้านพลูสบตากับเบซิลตรงๆระหว่างพูด


“แน่นอน จะดูแลทั้งร่างกายและหัวใจเลย”


“...ถ้าคุณคิดจะเล่นๆผมว่าหาคนอื่นเถอะครับ”ผมตกใจไม่น้อยที่ได้ยินคำพูดนี้จากก้านพลู เขาไม่ค่อยกล้าแสดงความรู้สึกตัวเองออกมาเท่าไหร่ ทว่าครั้งนี้กลับมีน้ำเสียงจริงจังขึ้นมา


“ฉันจริงจัง”


“ได้ยินแบบนี้ก็ดีครับ งั้นผมขอตัว ไปก่อนนะครับพี่ไธม์”ก้านพลูส่งยิ้มบอกลาผมก่อนจะเดินออกจากห้องไป


ถุงกระดาษขนาดใหญ่วางอยู่บนพื้นถัดจากร่างลูกเจี๊ยบไปไม่ไกลนัก เบซิลเดินมาเปิดถุงออกแล้วหยิบกล่องข้าวสีชมพูออกมาวาง ตามมาด้วยถุงในนมในขวดแก้วรสชาติต่างๆวางเรียงรายอยู่ประมาณ10ขวดได้


“เหมือนผมจะผ่านด่านคุณน้องนะใบไธม์”เบซิลพูดหลังจากเอาของทุกอย่างไปเก็บเรียบร้อย


“คิดแบบนั้นเหรอ”ผมพึ่งกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์หลังกลายเป็นสุนัขสีน้ำตาลมาเป็นสิบนาที


“แน่นอน”


“ผ่านด่านน้องได้แต่ยังไม่ผ่านด่านผมสักหน่อย”


“ผมปูทางไว้ต่างหาก พอเป็นคนรักกันน้องๆจะได้ไม่ตกใจ”เบซิลเผยรอยยิ้มระหว่างพูด


“แล้วถ้าไม่ได้เป็นล่ะ”ผมถามต่อ


เอาความมั่นใจมากจากไหนนักนะ


“เรื่องจีบผมเก่งนะ ยังไม่เคยมีใครที่ผมจีบแล้วไม่ติด”


“ผมอาจเป็นคนแรกก็ได้”ของแบบนี้มันไม่แน่นอน ความรู้สึกของแต่ละคนแตกต่างกัน


บังคับให้ชอบหรือรักไม่ได้หรอก


“คุณน่ะเป็นทั้งคนแรกและเป็นคนสุดท้ายด้วย”ดวงตาสีมรกตเบนมาสบพร้อมกับเบซิลที่เดินเข้ามาใกล้มากขึ้น ตอนนี้ผมนั่งอยู่บนโซฟาในมือมีหนังสืออ่านเล่นอยู่เล่มนึง


“คนแรก...คนสุดท้าย?”หมายถึงอะไร


“ใช่ คุณจะคนแรกที่ผมรักและก็จะเป็นคนสุดท้ายที่ผมจีบอย่างจริงจังด้วย”พูดจบใบหน้าคมคายนั่นก็ขยับเข้ามาประชิด และเพียงพริบตาเดียวริมฝีปากผมก็ถูกช่วงชิงสระภาพโดยไม่ทันตั้งตัว


สัมผัสอุ่นๆของริมฝีปากที่แนบสนิทจนไม่เหลือช่องว่างเรียกหัวใจให้เต้นแรงขึ้น ทั้งที่ควรจะผลักอีกฝ่ายออกไปแต่ไม่รู้ว่าเพราะถูกดวงตาสีเขียวหรือเพราะคำพูดของอีกฝ่ายตรึงไว้ผมถึงได้แต่ปล่อยให้เบซิลทำตามใจจนกระทั่งยอมถอยออกไปเอง


ผมไม่รังเกียจสัมผัสเวลาจูบกับเบซิล


นี่อาจเป็นคำตอบอย่างดีถึงความรู้สึกของตัวเอง


แต่ผมยังไม่แน่ใจ


และผมคงไม่คิดจะบอกอีกฝ่ายจนกว่าจะแน่ใจว่าความรู้สึกนี่มันคืออะไรกันแน่
............................................................

มาต่อแล้วค่ะ

ครั้งนี้รอกันนานหน่อยกว่าจะอัพตอนต่อไป

เราไม่ค่อยได้พูดถึงน้องๆ วันนี้เลยเขียนให้มีฉากพบปะของน้องคนสุดท้องกับเบซิลบ้าง

แต่งแล้วก็สนุกไปอีกแบบ

นิสัยของใบไธม์เป็นคนคิดเยอะ เลยต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะเข้าใจความรู้สึกที่มีต่อเบซิล

เรื่องราวในตอนต่อไปจะเป็นยังไง...ไว้รอลุ้นกันนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ค่ะ

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่11) 29/6/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 29-06-2018 23:48:46
เขาจูบกันแล้ววววว
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่11) 29/6/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 30-06-2018 02:10:01
ตกลงใครรัก ใครหลงกันก่อนเนี่ย  :katai3:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่11) 29/6/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 30-06-2018 09:32:36
 :pig4: :pig4: :pig4:

งุ้ย ๆ  เขาจูจุ๊บกัน
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่11) 29/6/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 30-06-2018 11:48:39
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่11) 29/6/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 30-06-2018 20:35:17
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่11) 29/6/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 01-07-2018 21:11:39
เบซิลยังเก่งเรื่องวิเคราะห์และคิดเอาเองเหมือนเดิม ส่วนพี่ไธม์จะเรียกว่ากำลังเปิดใจได้รึเปล่าแต่ก็เหมือนยังลังเลอยู่นิดๆนะ
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่11) 29/6/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-07-2018 23:24:11
 :call: :call: :call:

หลังจากได้ดู The Guardian ฉบับซับไทย

ก็ให้ตระหนักว่า  หน่วยสืบสวนนี้มีกลิ่นอายของสมาชิกคล้ายกับหน่วยสืบสวนคดีพิเศษในเรื่องนั้นเลย
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่12) 14/7/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 14-07-2018 12:56:18
สืบรัก彡คดีที่12




“กางขาออกเล็กน้อย  มือจับปืนให้มั่น ตั้งสมาธิแล้วเล็งไปยังเป้าหมาย พอได้จังหวะก็ยิงเลย” เสียงของใบไธม์คอยบอกทุกการเคลื่อนไหวเพื่อให้ผมที่พึ่งมาฝึกยิงปืนครั้งแรกเข้าใจ


ในมือผมตอนนี้มีกระบอกปืนสีดำเล็งไปยังเป้าด้านหน้าซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 5 เมตร สถานที่ที่พวกเราอยู่ตอนนี้คือสนามยิงปืนขนาดกลางซึ่งอยู่แถวชานเมืองทำให้ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าจะมีใครแตกตื่นกับเสียงปืนพวกนี้


ปัง!


เมื่อตั้งสมาธิได้ผมจึงเหนี่ยวไกยิงกระสุนไปยังเป้าหมายตรงหน้า ด้วยระยะ 5 เมตรทำให้การเล็งค่อนข้างยากกว่าที่คิดไว้มากแต่เหมือนพอได้ลองยิงไปหลายๆ ครั้งก็เริ่มจับความรู้สึกและกะระยะได้แม่นยำขึ้นทีละนิด จากที่ไม่โดนอะไรเลยเริ่มเข้ามาอยู่ในเป้าและตอนนี้...


“สุดยอด...ไม่อยากเชื่อ” ใบไธม์ยืนมองกระดาษเป้าที่มีรอยกระสุนอยู่ในวงตรงกลางกว่า 10 นัดด้วยสายตาคาดไม่ถึง


“ใช้เวลานานกว่าที่คิดไว้เยอะเลย” ผมเอ่ยเสียงเบา ตอนแรกที่ได้ยินว่าใบไธม์จะพามาฝึกผมกะจะทำเท่ยิงให้โดนกลางเป้าในครั้งสองครั้งแรกแท้ๆ แต่กลับต้องใช้เวลาขนาดนี้


“เยอะ? ผมจะบอกให้นะว่าใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงยิงได้แม่นระดับนี้ไม่ใช่ใครก็ทำได้”


“...จะบอกว่าผมเก่งใช่ไหม”


“ระดับนึง แต่นี่แค่ระยะ 5 เมตร ลองสัก 20 เมตรสิ ถ้าทำได้ในวันนี้ถึงจะเรียกว่าเก่งของจริง” อีกฝ่ายบอก


“20เมตร” ไกลอยู่เหมือนกัน


คงยากถ้าจะเล็งให้เข้าเป้าได้


“ค่อยๆ ฝึกไป ไม่มีใครแม่นได้ในระยะนั้นของการฝึกครั้งแรกหรอก”


“ถ้าผมทำได้...มีรางวัลให้ไหม” ผมนิ่งไปสักพักก่อนจะหันไปมองหน้าใบไธม์ตรงๆ


ตั้งแต่ผมสารภาพรักอย่างจริงจังก็ผ่านไปหลายอาทิตย์แล้ว ใบไธม์ไม่ได้ทำเป็นเมินแต่รับความรู้สึกนั้นของผมไว้เพียงแต่ยังไม่ตอบกลับมาว่ารู้สึกยังไงกับผมกันแน่ มีหลายครั้งที่ผมเห็นเขาทำหน้าคิดหนัก ไม่ต้องเข้าไปถามผมก็พอจะเดาได้ว่าเป็นเรื่องอะไร


ใบไธม์เป็นคนจริงจัง หากเขารับความรู้สึกนี้ของผมไปเขาต้องคิดมันอย่างจริงจังที่สุด ดังนั้นไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไรผมก็มีแต่ต้องยอมรับเท่านั้น ในเมื่อช่วงนี้ยังมีโอกาสให้ใกล้ชิดผมคงไม่ยอมปล่อยให้ผ่านไป


“รางวัล? แค่ยิงปืนยังต้องขอรางวัลอีกนะเบซิล”


“ไม่ได้เหรอ”


“อยากได้รางวัลอะไรล่ะ” ใบไธม์ถามต่อ


“อยากได้คุณ”


“...” นอกจากจะได้ความเงียบแล้วยังมีใบหน้าเอือมๆ ส่งมาให้อีก


ถ้าเป็นคนอื่นคงหน้าแดงใกล้ระเบิดแล้ว


เอาเถอะ ผมชอบใบไธม์ที่เป็นแบบนี้แหละ


ไม่ต้องเหมือนคนอื่น เป็นตัวของตัวเองก็พอแล้ว


“อย่าทำหน้าเอือมได้ไหม ความมั่นใจผมหายหมดละเนี่ย” จะยิงคำหวานๆ ไม่ได้เลย สายตาเอือมๆ นั่นทำเอาผมไม่รู้จะเอาอะไรไปจีบ


“ก็เลิกพูดหยอดสิ”


“ผมพูดจริงต่างหาก” อยากได้ใบไธม์เป็นรางวัล ถ้าเป็นแบบนั้นจริงผมยอมยืนลั่นไกปืนทั้งวันจนกว่าจะยิงได้กลางเป้าเลย


ถ้าไม่ได้ไม่เลิก!


“ขอมากไป”


“งั้นจูบล่ะ”


“มากไป”


“หอมแก้มล่ะ”


“...ก็ยังมากอยู่”


“แล้วอะไรที่ได้บ้าง?” ผมเปลี่ยนคำถาม เสนออะไรไปก็โดนปฏิเสธกลับมาหมด


“นี่คือผมต้องให้ตัวเองเป็นรางวัล?” ใบไธม์ถามกลับบ้าง


“ใช่ ถ้ามีคุณเป็นรางวัลผมว่าตัวเองสามารถทำได้” ต่อให้ไม่ได้ผมก็จะทำให้ได้


สรุปคือยังไงก็ต้องได้ล่ะน่า!


“ถ้าแค่...”


“แค่อะไร?” ผมเร่ง


“ถ้าแค่กอดละก็...”


“โอเค ตกลง” ผมรีบผมพยักตกลงก่อนอีกฝ่ายจะมีโอกาสเปลี่ยนใจ


“ทำหน้าจริงจังไปมั้งเบซิล”


“ผมจริงจังเรื่องคุณเสมอ”


“...คุณนี่ท่าจะชอบผมจริงๆ นะ” แม้จะพูดเสียงเบาแต่เพราะอยู่ใกล้กันทำให้ผมได้ยินคำพูดนั่นเต็มสองหู


“ชอบสิ รักด้วย” ความรู้สึกนี้ผมมั่นใจ


“แล้วถ้าผมไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกันล่ะ” อีกฝ่ายถามต่อ


“ถึงตอนนั้นค่อยให้ผมในตอนนั้นตอบเถอะ เพราะผมในตอนนี้ยังไม่ได้คำตอบจากคุณ”


“นั่นสิ...ผมยังไม่ได้ให้คำตอบ”


“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหรอกใบไธม์ ระหว่างนี้ผมจะจีบคุณเอง”


“มั่นใจจังนะ วิธีที่ใช้จีบคนอื่นใช้กับผมไม่ได้หรอกนะ”


“เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้ว”


“จะจีบยังไงล่ะ” ใบไธม์ดูมีสีหน้าสงสัยอยู่ไม่น้อย


“ผมรักใบไธม์ รับรักผมหน่อยนะครับ” พูดจบผมก็อ้าแขนออกเตรียมวิ่งเข้าไปกอดอีกฝ่ายทว่าใบไธม์กลับเบี่ยงตัวหลบจนผมเกือบหน้าทิ่ม


“บ้ารึเปล่าเนี่ยเบซิล” ถึงจะเป็นคำบ่นแต่สายตาปนขบขันนั่นก็ถือว่าผมประสบความสำเร็จในระดับนึงแล้ว


“ผมยอมบ้าถ้าได้รักคุณ”


“เลิกพูดเลย ไปฝึกยิงปืนต่อได้แล้ว” ไม่พูดเปล่าเขาใช้มือดันไหล่ผมให้กลับไปยังสนามฝึกอีกครั้ง


“อยากกอดผมเร็วๆ ก็ไม่บอก ผมยอมให้กอดเลยก็ได้นะ”


“เบซิล!”


“ใบหน้าบึ้งๆนั่นก็น่ามอง”


“คุณนี่มัน” ใบหน้าเหมือนอยากด่าแต่ด่าไม่ออกนั่นเรียกรอยยิ้มจากผมได้ แต่ยิงได้ไม่นานก็ต้องหุบเมื่อถูกสายตาเย็นๆ มองมา


การฝึกยิงปืนในเวลาต่อมาได้เลื่อเป้าออกไปเป็น20เมตรซึ่งกว่าผมจะยิงได้แม่นก็ใช้เวลาไปหลายชั่วโมงจึงจะขยับเป็น 15 เมตรตามลำดับ พอมาถึงระยะ 20 เมตรก็เป็นช่วงหัวค่ำที่เริ่มมีผู้คนทยอยเข้ามาฝึกยิงกันมากขึ้น ไฟรอบๆ เปิดสว่างเพิ่มเพื่อแสงยังสนามด้านนอก


“วันนี้พอได้แล้ว” เบซิลใช้มือข้างนึงแตะไหล่เป็นเชิงบอกให้ผมหยุด


“ผมกำลังจะเริ่มระยะ20เมตรเอง ขออีกสักชั่วโมง”


“คุณฝืนมากเกินไปแล้ว ยืนถือปืนหลายชั่วโมงติดร่างกายจะทนไม่ไหวเอา”


“ผมไหว” ความปวดระดับนี้ยังไหวอยู่


“บอกว่าอย่าฝืนไง” ใบไธม์รีบคว้าปืนในมือไปเมื่อเห็นว่าผมกำลังจะยิง


“ไม่ได้ฝืน ผมไหวจริงๆ ”


“รอให้ร่างกายพักสัก 10 นาทีสิได้ปวดทั้งไหล่และกล้ามเนื้อจนขยับไม่ได้แน่” ใบไธม์บ่นพลางมองมายังบริเวณไหล่ผม


“ขออีกแค่ 10 นัด” ใน 10 นัดผมต้องทำได้แน่


“แค่นัดเดียวก็ไม่ให้ จะฝืนเพื่ออะไรน่ะเบซิล...อย่าบอกนะว่ารางวัลจากผม?” น้ำเสียงอีกฝ่ายดูไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นัก ความเงียบของผมทำเอาอีกฝ่ายถึงกับเบนหน้าหนี ทว่าใบหน้าด้านข้างที่เริ่มเห่อแดงขึ้นไม่สามารถหลบสายตาผมได้


“เขินเหรอ”


“เงียบเลย”


“หน้าแดงนะ” ผมยังแหย่ไม่เลิก ตอนนี้คงเห็นว่าผมยิ้งกว้างออกมาอย่างห้ามไม่อยู่


“เบซิล!” เสียงดังๆ นั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกกลัวสักนิด


“ครับผม”


“เลิกกวนได้แล้ว”


“...” ผมยอมหยุดให้


“เลิกยิ้มด้วย” ใบไธม์พูดต่อเมื่อเห็นว่าผมกำลังเผยรอยยิ้มกว้างอยู่


“คนมีความสุขก็ต้องยิ้มสิ”


“...จะเอาปืนไปคืน”


“ไม่ถามเหรอว่าผมมีความสุขเรื่องอะไร” ผมเดินตามหลังใบไธม์โดยไม่ปล่อยให้บทสนทนาถูกตัดขาดอย่างที่อีกฝ่ายตั้งใจ


“ไม่”


“ไม่อยากรู้เหรอ”


“ไม่อยาก”


“แต่ผมอยากบอก”


“เบซิล คุณเลิกกวนผมเล่นเลยนะ” ใบไธม์หยุดเดินก่อนจะหันหน้ากลับมาเผชิญกับผมตรงๆ


“แค่อยากบอกว่าผมมีความสุขที่ได้เห็นท่าทางแบบนั้นของคุณ” ใบหน้าแดงๆ นั่นผมสามารถหวังได้ไหมนะ


หวังว่าความรู้สึกเราอาจจะเหมือนกัน


“เบ...โอ๊ะ!” เรียหผมยังไม่จบประโยคอยู่ๆ ใบไธม์ก็รีบก้าวถอยหลังพร้อมก้มหน้ามองยังบริเวณเท้า เมื่อผมมองตามลงไปก็ต้องตกใจเมื่อพบกับสัตว์เลื้อยคลานสีดำเงาตัวหนึ่งเลื้อยวนอยู่บริเวณข้อเท้า


“งู...ใบไธม์” ผมรู้ได้ในทันทีว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดังนั้นผมจึงไม่รอช้ารีบเข้าไปไกลอีกฝ่ายแล้วใช้ร่างกายตัวเองบังในขณะร่างมนุษย์ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปเป็นงูสีดำขนาดเล็ก เสื้อผ้าทุกอย่างร่วงลงไปกองอยู่บนพื้นโดยด้านล่างกองเสื้อผ้ามีงูสองตัวพันขดกันอยู่


แม้จะมีรูปร่างลักษณะแต่ผมก็รู้ได้ว่าใบไธม์คือตัวไหน ผมไม่เสี่ยงเข้าไปแยกงูสองตัวแต่ก้มนั่งลงคุกเข่าบนพื้นแล้วรอให้งูตัวหนึ่งเลื้อยมาหา ซึ่งผมใช้เสื้อผ้าเป็นเหมือนเบาะรองก่อนจะอุ้มกองผ้าที่มีใบไธม์อยู่ด้านในขึ้น


งูอีกตัวบัดนี้เลื้อยออกไปทางสนามหญ้าด้านข้างเรียบร้อยแล้ว ใบไธม์เคยพูดให้ฟังว่าการกลายร่างเป็นสัตว์ได้ทำให้ในร่างมีฟีโรโมนที่ทำให้สัตว์ต่างๆ เข้าหาได้ง่าย อย่างงูตัวนั้งไม่แน่ว่าอาจเข้ามาหาความอบอุ่นจากหน้าหนาวที่กำลังมาเยือนก็เป็นได้


ซู่~


“เงียบก่อนใบไธม์ เดี๋ยวผมจะพาออกไปนะ” ผมกระซิบบอกพลางนำปืนไปคืนแล้วเดินตรงไปยังรถทันที เป็นครั้งที่ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างเพราะวันนี้เอารถใหญ่มา เดินทางใกล้ใบไธม์จึงไม่อยากใช้มอเตอร์ไซค์


ระหว่างเดินทางกลับผมหันไปมองใบไธม์ซึ่งโผล่ส่วนหัวสีดำขึ้นมาจากกองผ้า ลิ้นสองแฉกเผยออกมาเล็กน้อย เช่นเดียวกับดวงตาสีดำขลับมองมายังผมนิ่งๆ


“หนาวไปรึเปล่า ผมเบาแอร์ให้นะ” ผมไม่รอให้ตอบจัดการเบาแอร์ให้ เหมือนงูจะเป็นสัตว์ที่ไม่ชอบอากาศเย็นนัก


ใช้เวลาไม่นานนักผมก็สามารถพาใบไธม์ในร่างงูมาถึงห้องจนได้ พอถึงห้องได้ไม่นานใบไธม์ก็กลับร่างมนุษย์ในสภาพเปลือยเปล่า ผิวของเขาไม่ได้ขาวมากแต่เมื่อเห่อแดงก็สามารถมองออกได้ไม่ยาก เป็นสีผิวที่ผมมองว่ามีเสน่ห์น่าดึงดูดอย่างบอกไม่ถูก
เห็นทีไรเป็นต้องมอง


ไม่สามารถละสายตาออกมาได้


ยิ่งเวลามองแล้วผิวนั่นจะค่อยๆ แดงขึ้นผมยิ่งไม่อยากละสายตาออกมาเลย


“...จะมองอีกนานไหม” ใบไธม์เอ่ยพลางใช้มือปกปิดร่างกายตัวเองโดยไม่รู้เลยว่านั่นยิ่งทำให้น่ามองเข้าไปใหญ่


ราวกับกำลังถูกเชิญชวน


“อืม...นาน”


“ลามก!” ถ้ามีอะไรให้คว้าได้ป่านนี้หัวผมคงแตกเพราะถูกเขวี้ยงข้าวของใส่แล้วแต่เพราะตอนนี้ใบไธม์อยู่บนพื้น รอบๆ ไม่มีของอะไรจึงได้แต่พูดเสียงดังเท่านั้น


“คงใช่” จะให้ปฏิเสธทั้งที่ในหัวกำลังคิดจินตนาการก็คงไม่ดี


“...ขอเสื้อผ้าคืนด้วย”


“ไม่ให้ได้ไหม” ยังอยากมองอยู่อีกหน่อย


“เบซิล!”


“ครับๆ ผมให้ก็ได้อย่าทำหน้าเหมือนจะลุกขึ้นมาจับผมทุ่มแบบนั้นสิ” สุดท้ายผมต้องจำยอมส่งเสื้อผ้าไปให้ใบไธม์


“เดาผิดแล้ว ไม่ใช่จับทุ่มแต่เป็นเตะสูงไปยังใบหน้าต่างหาก”


“โหด”


“หึ...ผมจะอาบน้ำ” ใบไธม์ใส่เสื้อลวกๆ แล้วเดินไปยังห้องน้ำ


“อาบด้วย...” ผมยังพูดไม่ทันจบประโยคดวงตาสีน้ำตาลคมๆ ก็เบนมาสบ ทำเอาผมไม่กล้าพูดอะไรต่อเลย


เขินโหดจริงๆ เลยนะ


เมื่อใบไธม์อาบน้ำเสร็จผมจึงเข้าไปอาบต่อ ออกมาบนโต๊ะข้างห้องครัวก็มีอาหารวางอยู่ 2 จานเรียบร้อยแล้ว ในจานมีแฮมเบอร์เกอร์ที่ทำจากเต้าหู้ผสมกับเห็นและปรุงรสราดซอสสีน้ำตาลกลิ่นหอมน่ากิน ด้านข้างมีผักต้มผัดกับเนยและปิดท้ายด้วยมะเขือเทศอบทั้งลูก


อาหารทุกอย่างล้วนแต่ไม่มีเนื้อสัตว์ทั้งสิ้น ตอนแรกผมไม่ชินกับการกินแต่ผักหรือเต้าหู้ก็จริงทว่าพอได้ลองชิมอาหารฝีมือใบไธม์ซึ่งบอกได้เลยว่าไม่ธรรมดา เขามีวิธีการทำให้ของง่ายๆ อย่างเต้าหู้หรือแป้งให้ออกมามีรสชาติแสนอร่อย


ได้ลองสักครั้งเป็นต้องจิตใจ


หลายเดือนมานี่ผมจึงไม่ได้แตะเนื้อสัตว์เลยสักครั้งเดียว


ตกดึกพวกเราต่างแยกย้ายกันนอนโดยผมนอนอยู่บนฟูกด้านข้างเตียงขนาด 5 ฟุตที่มีใบไธม์นอนอยู่ ความเงียบแบบนั้นทำให้ผมคิดไปถึงการฝึกยิงปืน เป็นอย่างที่ใบไธม์บอกพอผมได้พักสักหน่อยอาการปวดร้าวตามร่างกายโดยเฉพาะช่วงหัวไหล่และข้อมือก็เล่นซะผมไม่อยากขยับตัว


หลังจากมื้อเย็นใบไธม์ให้ผมกินยาแก้ปวดและคลายกล้ามเนื้อซึ่งก็ช่วยผมได้ไม่น้อย ถ้าไม่ได้ยาช่วยผมคงนอนนิ่งๆ แบบนี้ไม่ได้


“เบซิล หลับรึยัง” เสียงจากเจ้าของห้องเรียกผมให้หันไปมองยังร่างบนเตียงที่ค่อยๆ ขยับตัว


“ยัง นอนไม่หลับเหรอ”


“นิดนึง”


“คิดเรื่องอะไรอยู่” สาเหตุของการนอนไม่หลับนั้นมีไม่กี่สาเหตุ หนึ่งในนั้นคือมีเรื่องให้คิด


“...เรื่องรางวัลของคุณ” ใบไธม์ทิ้งช่วงไปสักพักใหญ่จึงขะเอ่ยออกมา


“...แต่ผมยังยิงระยะ 20 เมตรไม่ได้” ผมพึมพำตาม หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นทีละน้อย


“ก็ใช่...แต่คุณก็พยายามได้ดีมาก อยากได้รางวัลไหม” พูดจบใบไธม์ก็พลิกตัวหันหน้ามามองผม ความมืดในยามราตรีไม่สามารถปิดบังประกายของดวงตานั้นได้


“...อยากได้สิ” ทำไมจะไม่อยากล่ะ


“งั้นก็...มาสิ” ไม่ต้องรอให้เวลาผ่านไปนานกว่านี้ผมรีบกระโจนขึ้นไปบนเตียงพร้อมคว้าตัวอีกฝ่ายมากอดไว้แน่นแม้ร่างกายจะปวดระบมจนแทบขยับไม่ได้ก็ตาม


สัมผัสของไออุ่นยามร่างกายแนบชิดช่างรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่และแชมพูประสานกันได้อย่างลงตัวพานให้สติคล้ายจะจมดิ่งลงไปในห้วงแห่งอารมณ์ ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดผมกำลังมีความสุข ใบไธม์ไม่ใช่คนที่จะยอมอะไรง่ายๆ ทว่าเขากลับเป็นฝ่ายพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเอง


แบบนี้จะไม่ให้ดีใจได้ยังไง


ผมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นพลางถ่ายเทน้ำหนักตัวไปยังอีกฝ่ายทำให้ร่างของใบไธม์ค่อยๆ เอนลงจนแผ่นหลังแนบสนิทกับเตียงโดยมีผมคร่อมอยู่ด้านบน ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วว่าคงถูกถีบกลับแต่ในความเป็นจริงนอกจากจะไม่ถีบหรือชกแล้วใบไธม์ยังใช้มือสองข้างกอดตอบผมอีกต่างหาก


ความรู้สึกยามถูกกอดตอบช่างรู้สึกดีจนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ คล้ายถูกยอมรับในตัวตน


“ใบไธม์” ผมกระซิบเรียกเสียงเบา


“...พอรึยัง”


“ยัง...ยังไม่พอ” ไม่มีวันพอหรอก


อยากกอดแบบนี้ไปตลอดเลย


“จะกอดอีกนานไหม”


“นาน” ผมตอบทันที


“คุณนี่ทำตัวเป็นเด็กจริงๆ นะ” เสียงพึมพำเอ่ยท่ามกลางความมืดและเงียบ


“คงงั้น” แม้แต่ตัวเองยังสัมผัสได้ถึงความเด็กนี่เลย


ทั้งเรียกร้องความสนใจ


ทั้งขอรางวัล


ทั้งทำท่าทางคล้ายกำลังออดอ้อน


เด็กว่านี้คงไม่มีแล้ว


น่าแปลกเวลาอยู่กับคนอื่นผมกลับไม่มีท่าทางหรือนิสัยแบบนี้


มีแค่ตอนอยู่กับใบไธม์เท่านั้น


“ผมหนักนะเบซิล”


“แบบนี้คงไม่หนักแล้วใช่ไหม” ผมพลิกตัวเล็กน้อยให้พวกเราเปลี่ยนมากอดกันในท่าที่สบายขึ้น


“...สรุปคือจะไม่ปล่อยผม?”


“อืม” ผมบอกพร้อมกับขยับตัวเข้าไปแนบชิดอีกฝ่ายมากขึ้น


รู้สึกดีขนาดนี้ผมไม่ยอมปล่อยง่ายๆ หรอก


“อยากถูกถีบรึไง”


“ถ้าได้กอดคุณทั้งคืนผมยอม”


“...บ้า”


“หึ” ขนาดคำว่าบ้ายังเรียกร้อยยิ้มจากผมได้คิดดูละกันว่าอาการหนักขนาดไหน


“ให้แค่คืนนี้”


“ขอบคุณ” ทำไมอยู่ๆ ถึงได้ยอมง่ายๆ แบบนี้นะ


ถ้าบอกว่านี่คือความฝันผมคงเชื่อ


และถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่อยากจะตื่นจากความฝันนี้เลย



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่12) 14/7/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 14-07-2018 12:57:00
(ต่อนะคะ)


หลายอาทิตย์ต่อมาพวกเราก็ยังคงมาทำงานกันตามปกติ บรรยากาศในช่วงนี้ค่อนข้างตึงเครียดเนื่องจากต้องจัดการคดีที่เข้ามาไม่หยุดหย่อนพร้อมกับสืบหาเบาะแสหรือหลักฐานเพื่อสาวตัวคนที่อยู่เบื้องหลังออกมาให้ได้ ซึ่งด้านผมเองก็ได้แฮ็กเข้าไปในระบบธนาคารดูรายชื่อที่โอนเงินเข้ามาให้พลตำรวจโท เกษมศักดิ์ จิระการณ์ทว่ากลับไม่ได้สิ่งที่ต้องการเนื่องจากชื่อบัญชีเหล่านั้นว่างเปล่า


พูดกันง่ายๆ คือมีการเปิดบัญชีเปล่าขึ้นมาเผื่อในกรณีถูกแฮ็กเข้ามาดู  นั่นหมายถึงมีการวางแผนมาเป็นอย่างดีบวกกับต้องมีเส้นสายกับทางธนาคารไม่อย่างงั้นการเปิดบัญชีเปล่าเป็นสิบๆ อันคงทำได้ง่ายๆ


ตอนนี้ผมจำสืบหาข้อมูลผู้มีอำนาจหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับธนาคาร จากการตัดความเป็นไปได้ออกตอนนี้เหลือเพียง 3 คนเท่านั้น แน่นอนว่าเรื่องนี้ได้รายงานในการประชุมเมื่อวันก่อนเรียบร้อยแล้ว ทุกคนในหน่วยจึงได้กระจายกันออกมาหาเบาะแสเพื่อระบุให้ได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นตัวการณ์อยู่เบื้องหลังเหตุการ์ทั้งหมด


“ใบไธม์...” ผมที่กำลังเรียกคนตรงหน้าถึงกับชะงักเมื่อเห็นใบว่าใบไธม์กำลังยืนคุยกับหัวหน้าและจิวอยู่บริเวณมุมหนึ่งของตึก ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังแต่ร่างกายมันขยับไปหลบมุมเอง


“ผมจะไป” ใบไธม์บอกกับคู่หลังจากนิ่งมาสักพัก


ไปไหน?


ผมขมวดคิ้ววิเคราะห์ประโยคดังกล่าวด้วยความอยากรู้


“ไม่แปลกใจเลย มีสาวๆ น่ารักมาชอบจะไม่ไปได้ยังไง” จิวพูดพร้อมรอยยิ้ม สายตานั่นคล้ายกำลังแซวใบไธม์อยู่


“ฉันไม่คิดว่าเธอจะตกลงนะเนี่ย” หัวหน้าพูดบ้าง


“ถือเป็นโอกาสนี่ครับ ผมไม่ปฏิเสธหรอก” ใบไธม์ตอบ


“งั้นฉันจะไปตอบตกลงให้ พรุ่งนี้สัก 10 โมงที่ห้างกลางเมืองได้รึเปล่า” หัวหน้าไพลสันต์ถามต่อ


“ครับ ไม่มีปัญหา” พอใบไธม์พยักหน้าตกหัวหน้าจึงเดินกลับไปยังต้องตัวเองซึ่งอยู่คนละฟากกับที่ผมแอบฟังอยู่


“จะไปจริงเหรอท่านรอง”


“อืม”


“คิดว่าจะหลบเบซิลออกไปได้?” เมื่อมีชื่อผมอยู่ในบทสนทนาความสงสัยก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ


“ได้สิ”


“ถ้ารู้หมอนั่นโกรธแน่ที่ท่านรองจะไปดูตัวกับผู้หญิง”


ดูตัว?


“ไม่ใช่ดูตัวแค่ออกไปเจอและเที่ยวด้วยกันแค่นั้น” ใบไธม์แก้ แต่คำอธิบายเหล่านั้นไม่ได้ทำให้ความหนักบริเวณหัวใจลดน้อยลงเลยสักนิด


“นั่นเรียกว่าเดทนะท่านรอง”


“เดท?...ก็ดีเลยนี่” สีหน้าของใบไธม์เหมือนคนกำลังคิดอะไรหลายๆ อย่างอยู่ในหัว เพียงแค่ผมไม่อาจรู้ได้ว่าความคิดเหล่านั้นคืออะไรจากการมองและฟัง


“ท่านรองนอกใจรึเนี่ย” จิวทำหน้าตกใจ


“ใครนอกใจกัน!”


“เอ้า ก็ไปเดทกับผู้หญิงอื่นทั้งที่คบอยู่กับเบซิลแบบนี้ถ้าไม่นอกใจจะเรียกว่าอะไร”


“ผมไม่ได้คบกับเบซิล” ใบไธม์ค้านเสียงดัง


“ไม่มั้ง ดูสวีทกันขนาดนั้น”


“ผมขอตัวไปทำงานต่อล่ะ” ใบไธม์เดินหนีออกมาจากสถานการณ์จนกระทั่งผ่านผมที่กำลังแอบอยู่ ด้วยทักษของใบไธม์ไม่มีทางปล่อยให้ผมหลุดรอดไปได้อยู่แล้ว ดวงตาสีน้ำตาลนั่นคล้ายจะมีความตกใจปนอยู่ในความสงสัย


“ผมมาตามคุณ ได้เวลาพักกลางวันแล้ว” ผมบอกสาเหตุที่มาอยู่ตรงนี้ให้อีกฝ่ายฟัง


“อ่า ไปกินข้าวข้างนอกกัน” ใบไธม์ไม่ได้ทำท่าทีมีพิรุจอะไร พวกเราจึงพากันเดินออกจากตัวอาคารไปยังตลาดที่อยู่ไม่ไกลนัก


“คุยอะไรกันเหรอ” ผมเปิดฉากถามระหว่างเดินไปยังจุดหมาย


ด้วยประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่ยังไม่มากพอให้ผมคิด วิเคราะห์เรื่องราวทั้งหมดได้


ต้องรวบรวมข้อมูลมากกว่านี้


“เรื่องทั่วๆ ไป ไม่มีอะไรหรอก” อีกฝ่ายบอกปัดพลางตรงเข้าไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆ ร้านหนึ่ง


ร้านอาหารญี่ปุ่นตรงหน้าเป็นร้านขนาดเล็กประมาณ1ห้องของอาคารพาณิชย์ ด้านในตกแต่งเป็นโทนสีเขียวและน้ำตาลอ่อน มีการแบ่งโต๊ะนั่งออกเป็น 4 โต๊ะโดยมีที่กั้นไม้เพิ่มความเป็นส่วนตัว พวกเราเดินเข้าไปด้านในก่อนใบไธม์จะสั่งสลัดผักในเมนูตามมาด้วยผมสั่งเป็นเซตปลาย่างเกลือ


พวกเรานั่งกินอาหารของตัวเองเงียบๆ หน้าของใบไธม์ดูก็รู้ว่ากำลังคิดบางอย่างอยู่แถมยังเป็นเรื่องที่ทำให้คิดหนักด้วย หรือจะเกี่ยวกับบทสนทนากับจิวและหัวหน้าก่อนหน้านี้


“ให้ผมช่วยคิดได้นะ” ผมลองเกริ่นออกไปแม้จะรู้คำตอบดี


“...ไม่เป็นไร คิดตอนนี้คงหาคำตอบไม่ได้แต่พรุ่งนี้อาจจะได้คำตอบ”


“พรุ่งนี้?”


“ไม่รีบกินเดี๋ยวปลาเย็นหมดหรอก” ใบไธม์เปลี่ยนเรื่อง


“บอกตัวเองเถอะใบไธม์ ข้าวยังไม่แหว่งเลยนะ” ผมพูดระหว่างมองไปยังข้าวที่อีกฝ่ายสั่งมากินคู่กับสลัดผัก


ร้านอาหารส่วนมากไม่ได้มีเมนูปราศจากเนื้อสัตว์ อาจมีบางร้านที่เจ แต่เจไม่ได้แปลว่าใบไธม์จะกินได้ ขนาดไข่หรือน้ำมันหอยยังไม่กินไม่ได้เลย


“ผมแค่ไม่ค่อยหิว”


“กินน้อยตัวเลยผอม กอดไปทีเจอแต่กระดูกกินเยอะๆ หน่อย”


“ใครอยากให้คุณกอดกัน”


“แล้วใครหลับสนิทอยู่ในอ้อมกอดผมเมื่อวันก่อนนะ” ผมยกยิ้มพลางนึกถึงเรื่องคืนนั้นที่ได้กอดใบไธม์จนถึงเช้าของวันต่อมา


“เบซิล!” พออีกฝ่ายเริ่มทำเสียงเข้มผมเลยจำต้องยอมเงียบแต่ยังไม่วายแอบมองใบหน้าที่เริ่มแดงขึ้นเล็กนั่น


อาการเขินแบบนั้นน่ามองซะจริงๆ


วันต่อมาผมยังคงมาทำงานกับใบไธม์ตามปกติทว่าประมาณ 10 โมงใบไธม์ก็ขอตัวออกไปทำคดีโดยบอกว่าจะไปทำคนเดียว ผมทำทีเป็นถามต่อแม้จะรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังจะไปเจอผู้หญิงคนนึงตอน 11 โมง บอกตามตรงว่าผมอยากถามทุกอย่างออกไปตรงๆ ทว่าผมรู้ดีว่าตัวเองยังไม่มีสิทธิ์ขนาดนั้น


ไม่มีสิทธิ์ที่จะหวงหรือแสดงความเป็นเจ้าของในสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเอง


ผมอาจสารภาพรักกับใบไธม์ไปแล้วแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคำตอบของเขาจะเป็นตกลง ไม่รู้ว่าเพราะความสงสัยหรืออะไรที่ทำให้ผมแอบตามอีกฝ่ายออกมาโดยการยืมมอเตอร์ไซค์ของแม็ก วิธีการหว่านล้อมจนได้มอเตอร์ไซค์มาไม่ได้ใช้เวลานานเลย


และแล้วผมก็แอบตาใบไธม์มาจนถึงห้างขนาดใหญ่ใจกลางเมือง สถานที่นัดพบคือบริเวณประตูกระจกทางเข้าห้าง หญิงสาวในชุดเดรสสีฟ้าอ่อนวิ่งเหยาะๆ เข้ามาหาใบไธม์ด้วยรอยยิ้มหวาน ทั้งคู่ทักทายกันสักพักก่อนจะเดินเข้าไปด้านในโดยไม่มีใครสังเกตุว่าผมแอบเดินตามหลังไปอยู่ไม่ห่าง


ท่าทางของใบไธม์ยามอยู่กับผู้หญิงคนนั้นดูผ่อนคลายและมีรอยยิ้มประดับอยู่เกือบตลอดเวลาต่างจากเวลาอยู่กับผมที่อีกฝ่ายมักจะใช้ความเงียบไม่ก็ใบหน้าเอือมๆ


“...ต่างกันจังนะ” ผมพึมพำเสียงเบา


ยังไงผู้หญิงก็ดีกว่าจริงๆ ละนะสำหรับใบไธม์


พอได้มาเห็นกับตาแล้วรู้สึกแย่กว่าที่คิด


ชั่ววูบหนึ่งผมอยากวิ่งเข้าไปดึงใบไธม์ออกมาจากผู้หญิงคนนั้นแต่ในความจริงนั้นผมทำได้เพียงกำมือตัวเองให้แน่นที่สุดเพื่อระงับอารมณ์ที่กำลังพลุกพล่านอยู่ภายในอก


ผมรักใบไธม์


และความรักนั้นมันอาจมากจนสามารถกลืนสติที่มีอยู่ในหายไปในพริบตา


อยากให้ดวงตานั้นมองมาแค่ผม


อยากให้รอยยิ้มนั่นเผยออกมาเพียงแค่ผม


อยากครอบครองพื้นที่ในหัวใจนั้นให้มีเพียงผมคนเดียว


ทั้งละโมบและโลภมาก


ผมแอบตามทั้งคู่เดินเข้าไปกินอาหารในร้านสเต็กไปจนถึงเดินเล่นดูข้าวของต่างๆ ด้วยหัวใจที่เจ็บแปล๊บมากขึ้นเรื่อยๆ  อยู่กับผมมาเกือบจะปีแล้วผมยังไม่เคยเห็นเขายิ้มมากขนาดนี้มาก่อน


ใบไธม์บอกว่าอาจได้คำตอบในสิ่งที่คิดอยู่ในวันนี้


ไม่จำเป็นต้องรอคำตอบผมก็พอจะเดาได้แล้วว่าความรักครั้งแรกต้องจบลงด้วยความพ่ายแพ้และผิดหวัง


“วันนี้ฉันดีใจมากๆ ที่ได้ออกมากับคุณแบบนี้ ไว้เจอกันไหมนะคะ” เสียงนุ่มๆ ของหญิงสาวนในชุดเดรสสีฟ้าเข้ากับผมสั้นประบ่าสีดำอย่างลงตัว


“แน่ใจนะว่าไม่ให้ผมไปส่ง” ใบไธม์ถามต่อ


“ไม่เป็นไรค่ะ บ๊ายบาย” เธอโบกมือลาสักพักก่อนจะเดินลงบันไดด้านข้างห้างไป


ใบไธม์ยืนนิ่งๆ อยู่สักพักจึงหันหลังกลับเดินตรงมายังบันไดทางออกอีกฝั่งซึ่งผมเบี่ยงตัวหลบไปยังอีกด้านของเสาเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายมองเห็นทว่าใบไธม์กลับเดินตรงเข้ามาหาผมแม้จะหลบอยู่ก็ตาม


“เบซิล” เสียงเรียกจากใบไธม์ทำเอาผมสะดุ้ง ไม่คิดว่าทักษะการติดตามของตัวเองจะแย่ขนาดนี้


ไม่รู้ว่าความแตกตั้งแต่ตอนไหน รู้แค่ว่าคงไม่ใช่พึ่งรู้หรอก


“...ไง” ผมก้าวออกจากเสาเดินไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ


“แอบตามผมมา?”


“...ประมาณนั้น”


“คิดว่าผมจะไม่รู้เหรอ” ใบไธม์ถามต่อ


“อืม” ตอนแรกคิดว่าไม่มีทางรู้แน่นอนแต่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนใจแล้ว


“การแอบสะกดรอยตามในสถานที่แบบห้างไม่มีใครเขาไปหลบหลังเสาแบบนั้นหรอกนะ กระจกจากร้านค้าหรือตัวห้างสะท้อนภาพส่อพิรุจนั่น ต่อให้ไม่ใช่ผมคงถูกจับได้ไม่ยาก” คำอธิบายนั้นทำเอาผมอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปซะเดี๋ยวนี้เลย


อย่างที่ว่า ภายในห้างมีกระจกอยู่มากมายท่าทางส่อพิรุจของผมต่อให้เป็นคนที่ไม่ระวังตัวก็มีต้องระแคะระคายกันบ้างแหละ ยิ่งกับใบไธม์ยิงไม่ต้องพูดถึงคงเห็นผมตั้งแต่เข้ามาในห้าง


“แล้วเป็นไง” ผมไม่มีคำแก้ตัวใดๆ จึงเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องแทน


“อะไรเป็นไง?”


“เดทไง วันนี้คุณมาดูตัวไม่ใช่เหรอ” ผมขยายความใบไธม์ที่ทำหน้างง


“ไม่ใช่ทั้งเดทและดูตัว แค่มาเจอเท่านั้น” ใบไธม์รีบพูดแก้


“ความหมายไม่ต่างเลย” มาเจอ มาเดทหรือมาดูตัว


สำหรับผมในตอนนี้ความหมายไม่ได้ต่างเลย


“ทำไมถึงรู้เรื่องนี้...อย่าบอกนะว่าเมื่อวานได้ยินที่ผมคุย?” ใบไธม์คิดไม่นานก็ได้ข้อสรุปออกมา


“ได้ยินแค่ช่วงท้ายๆ ” ผมบอกไปตามตรง


“เลยแอบตามมา?”


“อืม...คุณดูมีความสุขต่างจากเวลาอยู่กับผม”


“ทำไมคิดแบบนั้น”


“เพราะคุณยิ้มแทบตลอดเวลา ทีตอนอยู่กับผมกว่าจะยิ้มได้แต่ละครั้งผมใช้เวลาไปรู้ตั้งเท่าไหร่” พอมาเห็นคนอื่นทำให้เขายิ้มได้ง่ายๆ ก็พานให้รู้สึกแย่ขึ้นมา


“ผมจำต้องยิ้ม ไม่ได้ยิ้มเพราะอยากยิ้ม”


“หมายถึงยังไง” ผมถามกลับพลางขมวดคิ้วแน่น


ไม่ได้ยิ้มเพราะอยากยิ้มงั้นเหรอ


“รู้ไหมว่าผู้หญิงที่เจอวันนี้เป็นใคร” ใบไธม์ไม่ตอบแต่ถามกลับแทน


“...ลูกสาวคนที่สองของพลเอกสุภชัย ไกรศรศักดิ์” เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นลูกของใครผมก็เดาเรื่องราวหลายๆ อย่างออกทันที พลเอกสุภชัย ไกรศรศักดิ์เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยซึ่งอาจเป็นคนบงการคดีโค่นล้มอำนาจในครั้งนี้


“คุณคงเดาเรื่องราวทุกอย่างได้แล้ว การที่ผมมาเจอเธอมี 3 เหตุผล เหตุผลแรกคือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีเพื่อในอนาคตพวกเราจะสามารถทำการสืบสวนได้ง่ายขึ้น...” ใบไธม์เอ่ยเหตุผลแรกให้ฟัง


“เหตุผลที่ 2 คือการหาเบาะแสและข้อมูลที่อาจรั่วไหลออกมาจากการพูดคุย เรื่องนี้หัวหน้าไพลสันต์คงเป็นคนจัดการดำเนินเรื่องทั้งหมด และสเปกของเธอคงเป็นใบไธม์พอดีเลยสามารถสานสัมพันธ์กันได้อย่งรวดเร็ว” ผมบอกเหตุข้อที่สองออกไปตามที่คิด


“ใช่ หัวหน้ากับจิวเป็นจัดการเรื่องนี้รวมถึงสร้างสถานการณ์ให้ผมได้มีโอกาสช่วยเธอจากโจรวิ่งราวเมื่ออาทิตย์ก่อน เมื่อเธอรู้ว่าผมเป็นคนของหน่วยจึงได้ติดต่อมาผ่านพ่อของเธอเพื่อตอบแทนที่ผมช่วยเหลือเธอไว้ การนัดเจอกันในวันนี้จึงเกิดขึ้น” ใบไธม์อธิบายในจุดที่ผมสงสัยทั้งหมด


ความจริงผมน่าจะคิดได้ตั้งแต่ได้ยินบทสนทนาเมื่อวานแล้ว ยิ่งได้เห็นใบหน้าของเธอผมควรจะรู้ในทันทีว่าเรื่องราวทุกอย่งเป็นยังไง ในช่วงนี้คงไม่มีใครคิดจะออกมาเดทหรอก ยิ่งกับใบไธม์ด้วยแล้ว ไม่คิดว่าพอในสมองมีแต่เรื่องของใบไธม์จะทำให้การวิเคราะห์สถานการณ์ด้อยลงไปถึงขนาดนี้


“แล้วเหตุผลสุดท้ายล่ะคืออะไร” ผมถามโดยในหัวกำลังคิด จากที่วิเคราะห์ออกมาน่าจะมีเพียงสองเหตุผลแต่อีกฝ่ายกลับบอกว่ามีถึงสามเหตุผล


“เหตุผลท้ายนั่นเป็นเหตุผลส่วนตัว แต่เหตุผลนั่นกลับกลายเป็นเหตุผลอันดับหนึ่งที่ทำให้ผมยอมตกลงมาเจอเธอในครั้งนี้” ประโยคของใบไธม์คล้ายจะเป็นคำบอกใบ้เพื่อให้ผมได้คิดหาความจริงเอง


เหตุผลอันดับหนึ่งที่ยอมตกลงงั้นเหรอ


“...ผมไม่รู้” คิดไม่ออกเลยสักนิด


“เบซิล”


“ฮืม?...อะไร” เรียกผมทำไม


“ไม่ได้เรียกสักหน่อย”


“ไม่ได้เรียก?” หมายความว่ายังไง


“คุณเก่งเรื่องการคิดวิเคราะห์นี่ เรื่องยากๆ ยังคิดได้แค่เรื่องง่ายๆ คงไม่ต้องให้ผมเฉลยหรอกมั้ง” ใบไธม์พูดพลางยกยิ้มมุมปากขึ้น


“...เดี๋ยวนี้กวนนะ” ไม่ยอมเฉลยแต่ให้ผมคิดหาคำตอบเองราวกับกำลังทดสอบ


“ถ้าให้ผมเฉลยอดรางวัลนะ”


“มีรางวัลให้ด้วย?” ผมรีบถามกลับ ไม่บ่อยนักที่ใบไธม์จะเอ่ยถึงรางวัลขึ้นมาเองแบบนี้


“ถ้าตอบถูก”


เมื่อได้ยินแบบนั้นผมจึงรวบรวมสมาธิเพื่อคิกหาคำตอบ ภายในหัวรวบรวมข้อมูลทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นคำพูด บทสนทนาหรือแม้แต่ท่าทางเล็กน้อยระหว่างนั้น เหตุผลของการมาเจอหญิงสาวนในวันนี้มีเพื่อสานสัมพันธ์และสืบหาข้อมูล อีกเหตุผลนึงมีคำใบ้เพียงแค่ ‘เบซิล’ หรือชื่อผมนั่นเอง


เดี๋ยวนะ


ชื่อผมงั้นเหรอ...อย่าบอกนะว่าเหตุผลข้อสุดท้ายคือ...


“ผม?” ระหว่างตอบผมใช้นิ้วชี้มายังตัวอย่างด้วยความไม่แน่ใจ


“ใช่ เหตุผลสุดท้ายคือคุณ...เบซิล” ใบไธม์พยักหน้าเล็กน้อย


“ทำไมถึงเป็นผม”


“ตั้งแต่ได้ยินคำสารภาพนั่นผมคิด และคิดมาตลอดว่าความรู้สึกที่มีให้คุณมันเป็นเพียงความผูกพันหรืออย่างอื่น ถ้าให้เลือกระหว่างชอบหรือเกลียดผมคงไม่ลังเลที่จะตอบว่าชอบ ทว่าชอบนั่นเป็นความหมายเดียวกับรักรึเปล่าเรื่องนี้ผมไม่สามารถหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง...”


“เพราะไม่สามารถหาได้ด้วยเองจึงได้คิดว่าถ้าไม่รู้ก็ลองหาสิ่งเปรียบเทียบดูสิ ลองดูว่าหากอยู่กับคนอื่นความรู้สึกของผมจะบอกยังไง จะเหมือนกับตอนที่อยู่กับเบซิลไหม เพราะแบบนั้นผมจึงได้ยอมตกลงมาเจอเธอนวันนี้เพื่อหาคำตอบว่าความรู้สึกที่มีต่อคุณมันคืออะไรกันแน่” ใบไธม์อธิบายทุกอย่างให้ฟัง ซึ่งระหว่างฟังผมสัมผัสได้ถึงหัวใจตัวเองที่เต้นถี่เร็วขึ้น


ใบไธม์ไม่ได้เมินคำสารภาพรักของผมแต่ยังคิด...คิดอย่างจริงจังเพื่อหาคำตอบที่ชัดเจนให้ผมที่กำลังรออยู่


“แล้วหาคำตอบเจอไหม”


“...เหมือนเจอแล้วแต่ก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่” ใบไธม์เว้นช่วงก่อนจะตอบกลับมา


“บอกผมได้รึเปล่า” ในตอนนี้ผมอยากรู้ว่าคำตอบที่หาเจอนั่นเป็นยังไง


ผมยังมีสิทธิ์ที่จะหวังอยู่ไหม


หรือทำได้เพียงแค่ต้องตัดใจ


“คุณอยากฟังคำตอบที่ผมยังไม่ค่อยแน่ใจงั้นเหรอ”


“อืม” อยากฟัง


แม้จะไม่แน่ใจก็ไม่เป็นไร


“ผมคิดว่า...”


“ว่าอะไร” ผมเร่ง


“ใจเย็นเบซิลผมกำลังจะตอบนี่ไง”


“ผมใจเย็นในสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้หรอกนะ” ใครจะใจเย็นได้กัน


“ผมคิดว่าตัวเอง...อาจจะชอบคุณก็เป็นได้”


สิ้นสุดคำพูดของใบไธม์ความเงียบก็ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ผมในตอนนี้กำลังประมวลประโยคสั้นๆ ด้วยหัวใจที่เต้นรัวไม่หยุด ไม่ง่ายเลยที่จะใช้ความคิดในสถานการณ์แบบนี้


“...ใบไธม์” อยากจะบอกให้พูดซ้ำอีกครั้งเผื่อว่าเสียงนั่นจะเป็นเพียงจินตนาการของผมคนเดียว


“ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ”


“ไม่ใช่ไม่เชื่อ...แค่ไม่แน่ใจว่าได้ยินมันถูกรึเปล่า”


“ผมบอกว่าอาจจะชอบคุณก็เป็นได้ อ๊ะ!” ผมไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบคว้าร่างนั้นมากอดไว้แนบอกโดยไม่แคร์ว่าตอนนี้จะมีสายตาหลายสิบคู่จับจ้องมา


“ผมรักคุณใบไธม์” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมสารภาพรักออกไปอีกรอบ


รู้แค่ว่าผมควรจะพูดอะไรออกไปสักอย่าง


“ปล่อยก่อนเบซิล คนมองแล้วเนี่ย!” ใบไธม์พยายามผลักผมออกเมื่อเห็นว่าหลายคนเริ่มซุบซิบยามหันมามองทางพวกเราแล้ว


“ผมยังอยากกอดคุณอยู่นี่” และไม่มีแววว่าจะยอมปล่อยเร็วๆ นี้ด้วย


“เบซิล!” น้ำเสียงเข้มๆ นั่นไม่ด้ำให้ผมกลัวสักนิด


“ในเมื่อพวกเราใจตรงกัน...มาคบกันนะ” เป็นประโยคขอคบที่ขาดความโรแมนติกที่สุดในชีวิตเลย ถ้ามีเวลาเตรียมตัวมากกว่านี้ผมคงพูดได้ดีกว่าประโยคธรรมดาแบบนี้


เป็นแบบนี้ทุกที พออีกฝ่ายคือใบไธม์สิ่งที่คิดกับสิ่งที่ทำออกไปมักจะไม่เป็นไปตามที่คิดเสมอ อยากจะดูเท่แต่กลับทำได้เพียงแค่นี้


“...ผมบอกว่าแค่อาจจะชอบ ไม่ได้พูดว่าชอบสักหน่อย” อีกฝ่ายพูดค้านพลางดิ้นแรงขึ้นทว่าผมกลับยิ่งกอดร่างนั้นไว้แน่นเข้าไปอีก


ใบไธม์เป็นคนจริงจัง เมื่อเขาพูดออกมานั่นแปลว่าต้องมีความเป็นไปได้มากกว่าครึ่งที่สิ่งนั้นจะเป็นจริง ในเมื่อเขาพูดว่าอาจก็มีความเป็นไปได้ที่คำพูดนั่นจะเป็นจริง หรือต่อให้ไม่เป็นจริงผมนี่แหละที่จะทำให้เป็นจริงเอง


“ผมจะทำให้คุณชอบ ไม่สิ จะทำให้คุณรักเอง...เตรียมใจไว้ได้เลย”


เขายอมเปิดใจให้ผมขนาดนี้จะให้ถอยกลับคงไม่ได้


และไม่อยากถอยด้วย


จะเดินหน้าทลายกำแพงทุกอย่างจนกว่าจะได้หัวใจดวงนั้นมาครอบครอง!

...............................................

มาต่อแล้วค่าาา

ตอนนี้เป็นบทพูดของเบซิลที่ไม่ได้แต่งมาสักพัก

พอมาแต่งโดยให้เบซิลดำเนินเรื่องแล้วไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเขินๆ 555

ยิ่งแต่งยิ่งรู้สึกชอบตัวตนของเบซิลมากขึ้น

และหวังว่าทุกคนจะชอบพระเอกคนนี้มากขึ้นเช่นกันนะคะ

ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นท์และทุกๆ กำลังใจเลยนะคะ

ถึงช่วงนี้เหมือนจะน้อยลงT^T แต่เราก็จะพยายามแต่งให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่12) 14/7/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 14-07-2018 13:33:32
 :pig4: :pig4: :pig4:

งุย ๆ  ใจตรงกัน   อิอิ
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่12) 14/7/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-07-2018 13:42:48
ใจหายแว๊บบ นึกว่าเขาจะทะเลาะกันซะแล้ว

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่12) 14/7/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 14-07-2018 13:59:40
เบซิลเป็นพระเอกที่ขี้อ้อนมากและตรงไปตรงมาสุดๆ แบบนี้จะไม่ให้ไธม์หวั่นไหวได้ไง
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่12) 14/7/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-07-2018 14:21:47
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่12) 14/7/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 14-07-2018 16:26:00
เบซิลนี่ถ้ากลายร่างได้ ก็หมาขี้อ้อนตัวโตดีๆ นี่เอง  :laugh:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่12) 14/7/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 14-07-2018 19:52:16
หวายๆๆๆ
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่12) 14/7/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 15-07-2018 11:58:47
หลังจากนั้นทำไมเรามองเห็นเบซิลลงไปกองอยู่ที่พื้นใกล้ๆ เท้าใบไธม์ล่ะ


มโนแว้บเข้ามาเลย 555
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่13) 28/7/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 28-07-2018 11:36:06
สืบรัก彡คดีที่13



“ดูเหมือนว่าพวกเราจะได้ข้อสรุปของเรื่องราวทั้งหมดแล้วสินะ” น้ำเสียงทุ้มต่ำของหัวหน้าไพลสันต์ดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดที่แผ่ออกมาจากทุกคนในหน่วยสืบสวนพิเศษ


สถานที่ประชุมยังคงเป็นโต๊ะยาวบริเวณห้องทำงานเหมือนอย่างทุกครั้งเพียงแต่ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งอื่น เนื่องจากพวกเรานั้นได้ข้อสรุปของทุกอย่างแล้วหลังจากใช้เวลาในการสืบสวนเรื่องนี้นานเป็นเดือน


พวกเราต่างแยกย้ายกันออกไปหาข้อมูล หลักฐานรวมถึงการเชื่อมโยงต่างๆ โดยมีพลตำรวจโท เกษมศักดิ์ จิระการณ์เป็นเหมือนแกนหลักในการสืบหา จากการสืบหาไม่ว่าจะทางการแฮ็กข้อมูลของเบซิล การสืบถามจากผู้คนด้วยฝีมือของจิวและแม็ก กระทั่งเบียร์และคนอื่นๆ เองก็แยกกันไปจนได้ข้อมูลพวกนี้มา ยิ่งมีข้อมูลมากขึ้นพวกเราก็ยิ่งมองภาพทุกอย่างได้ชัดเจนขึ้นไม่ว่าจะเป็นคนบงการหรือแม้แต่เหตุการณ์ต่อไปที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า


“ไม่อยากเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ ข้อมูลที่พวกเราได้มาบวกกับการคิดและวิเคราะห์หลายๆ อย่างทำให้ตอนนี้ทุกอย่างเชื่อมโยงกันหมด” เบียร์เปิดประเด็นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพอสมควร


“ใครจะคิดว่าเบื้องหลังเรื่องนี้จะเป็นฝีมือของพลเอกกิติเพชร เศมาลาณหนึ่งในเพื่อนสนิทพ่วงด้วยตำแหน่งเลขาของผู้บัญชาการภีรภัณฑ์ เกตเสรีรัตน์ล่ะ” สกายเป็นอีกคนที่ช่วยเข้าไปสืบกับใกล้ชิดจนได้รู้ข้อมูลลับมามากมาย


ผู้บัญชาการพลเอกภีรภัณฑ์ เกตเสรีรัตน์อย่างที่หลายคนเดาได้คือเขาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของตำรวจครอบคลุมตำรวจทุกหน่วยงาน ซึ่งเขาถูกแต่งตั้งให้ดำรงญ์ตำแหน่งนี้มาเกิน 10 ปีแล้วด้วยความสามารถในระดับหาตัวจับยาก ที่สำคัญคือเขามีความเป็นผู้นำที่เหมาะสมกับการคุมอำนาจนี้ไว้ในมือ


เหล่าพลเอกจึงได้ยอมรับพลเอกภีรภัณฑ์ เกตเสรีรัตน์ขึ้นเป็นผู้บัญชากรโดยปราศจากการคัดค้าน แน่นอนว่าด้วยตำแหน่งที่อยู่จุดสูงสุดทำให้ต้องมีผู้ช่วยคอยดูแลและช่วยเหลือในด้านต่างๆ หนึ่งในผู้ช่วยคนสนิทของผู้บัญชาการคือพลเอกกิติเพชร เศมาลาณ เพื่อนร่วมรุ่นตั้งแต่เข้าโรงเรียนตำรวจ ด้วยความสนิทสนมเขาจึงได้เป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจมากกว่าใคร ตำแหน่งเลขาที่ได้มาก็เพราะความเชื่อใจนั่น แต่ใครจะคิดล่ะว่าความจริงเพื่อนสนิทที่ไว้ใจจะคิดโค่นล้มอำนาจเพื่อขึ้นครองตำแหน่งแทน


“เป็นแผนการที่วางไว้อย่างแยบยลมาก” ผมบอกออกไปตามตรง ตอนแรกที่สรุปเรื่องราวทั้งหมดได้ผมยังคิดเลยว่าแผนการนี้ถูกวางแผนมาอย่างดีจนแทบไม่มีข้อผิดพลาดเลย


“เห็นด้วยกับท่านรอง ใช้ตำแหน่งเลขาที่มีเพื่อหาคนมาทำงานให้จนได้เจอกับพลตำรวจโท เกษมศักดิ์ จิระการณ์ที่มีกิ๊กลับๆ เป็นถึงอธิการบดีของมหาวิทยาลัยชื่อดัง ใช้การข่มขู่เพื่อให้ยอมทำตาม ในตอนแรกทำเพียงแค่ฟอกเงินจากการยักยอกบัญชีอย่างลับๆ ” จิวเริ่มอธิบายข้อมูลให้ทุกคนฟัง


“แต่ดูเหมือนแค่การฟอกเงินจะเป็นเพียงแผนการแรกเท่านั้น จากนั้นจึงใช้มหาลัยเป็นแหล่งในการกระจายข่าวข้อมูลลับของทางตำรวจออกไปเพื่อสั่นคลอนตำแหน่งของผู้บัญชาการสูงสุดภีรภัณฑ์ อีกทั้งยังมีการจ้างนักข่าวให้เขียนข่าวโจมตีโดยไม่มีหลักฐานทำให้ตอนนี้ความน่าเชื่อถือของผู้บัญชาการตกลงฮวบ” เบียร์พูดขยายต่อจากจิวอีกที


“ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงน้ำจิ้มซึ่งแผนการจริงๆ ไม่ใช่การให้ผู้บัญชาออกจากตำแหน่ง” ครั้งนี้เบซิลที่นั่งฟังอยู่นานพูดขึ้นบ้าง


“เมื่อมีเหตุการณ์ที่อาจสั่นคลอนอำนาจเกิดขึ้นทางผู้บัญชาการต้องเคลื่อนไหวเพื่อหาตัวคนร้ายแน่ แต่ด้วยการจำกัดข้อมูลที่พลเอกกิติเพชรทำนั้นต่อให้สืบหายังไงคงไม่มีทางรู้ผู้อยู่เบื้องหลัง ในกรณีนั้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการจัดประชุดใหญ่เพื่อขอความร่วมมือกับทางทหารและพวกเราโดยตรง การจัดประชุมนอกจากเพื่อขอความร่วมมือแล้วยังต้องการแสดงความจริงใจว่าตนเองไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในเหตุการณ์ครั้งนี้เพราะทั้งทางฝ่ายทหารเองเหมือนจะคิดว่าเหตุการณ์นี้ต้องการสร้างกระแสเพื่อรวมอำนาจไว้เป็นของตนเอง” ผมอธิบายต่อจากเบซิล บนโต๊ะของพวกเราไม่ได้มีเอกสารอยู่มากมายเหมือนก่อนหน้านี้เนื่องจากข้อมูลทุกอย่างอยู่ในหัวพวกเราหมดแล้ว


ตอนนี้ที่พวกเราทำคือการวิเคราะห์สรุปทุกอย่างจากการหาข้อมูล


ดูเหมือนว่าพวกเราจะคิดไปในทางเดียวกันหมด


“และทางพลเอกกิติเพชรก็เล็งโอกาสนี้ใช่ไหม” ซันถามพลางชี้นิ้วไปด้านหน้าคล้ายจะบอกว่ารู้แล้วถึงเหตุการณ์ต่อไปที่จะเกิดขึ้น


“ดูเหมือนแผนทุกอย่างจะวางไว้เพื่อให้มีการจัดประชุมขึ้น” จูนเองก็ระแคะระคายอยู่พอสมควรเหมือนกัน


“คิดเหมือนกัน ถ้าให้เดาว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นคงไม่พ้น...” เบียร์ไม่ต่อประโยคสุดท้ายแต่หันไปทางหัวหน้าไพลสันต์ที่นั่งเงียบมาตั้งแต่เปิดการประชุมขึ้น


“คิดจะลอบสังหารผู้บัญชาการภีรภัณฑ์สินะ” หัวหน้าบอกเสียงนิ่ง เป็นไปได้ว่าหัวหน้าจะคาดเดาไว้แล้ว


“ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว สังหารคนเดียวได้ทั้งขึ้นครองตำแหน่งเพราะใครๆ ต่างรู้กันว่าถ้าพลเอกภีรภัณฑ์ไม่ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการคนที่จะได้ขึ้นคือพลเอกกิติเพรช อีกอย่างถ้าลอบสังหารในการประชุมจะสร้างความแตกแยกให้กับทุกฝั่งเนื่องจากทุกคนมีสิทธิ์จะเป็นคนร้ายได้ทั้งนั้น”


“อาจเป็นไปได้ว่าเหตุการณ์นั้นอาจส่งผลต่อความเชื่อใจและสายสัมพันธ์ในระยะยาว ดีไม่ดีอาจอาศัยความกลหนนี้ชิงอำนาจจากทุกฝั่งไปเลยก็ได้” นี่คือเรื่องราวทั้งหมดจากการสืบหาข้อมูล


“นั่นหมายถึงในกรณีที่ทางฝ่ายนั้นทำสำเร็จละก็นะ...ใช่ไหมไธม์” หัวหน้าหันมามองผมระหว่างพูดประโยคสุดท้าย รอยยิ้มมุมปากนั่นแสดงให้เห็นถึงความนัยบางอย่าง


“ครับ ทุกอย่างสามารถแก้ได้ง่ายๆ เพียงแค่ปกป้องผู้บัญชาการภีรภัณฑ์เท่านั้น” หากไม่เกิดการลอบสังหารแผนการต่อไปของพลเอกกิติเพรชก็จะไม่เกิด


“พูดเหมือนง่ายนะไธม์” อาร์มบอกพร้อมกับถอนหายใจ คงเดาได้ว่าเรื่องนี้คงไม่ง่าย


“ง่ายมากเลยแหละแค่เราหาตัวคนลอบสังหารจากผู้เข้าร่วมประชุม 500 คนและจัดการให้ได้ก่อนผู้บัญชาการจะถูกโจมตีแค่นั้นเอง แถมการประชุมจะจัดขึ้นในอีก 2 วันพวกเรามีเวลาเตรียมตัวและวางแผนกันสบายๆ ” แม็กพูดประชดพร้อมส่งเสียงหัวเราะฝืดๆ


อย่างที่แม็กพูด การประชุดนี้จะถูกจัดขึ้นในอีก 2 วัน สถานที่คือบนเรือสำราญที่จะแล่นผ่านทะเลกว่า 6 ชั่วโมงถึงจะวนกลับมาที่เดิม การจะหาคนร้ายและเข้าไปจัดการในระยะเวลา 6 ชั่วโมงท่ามกลางผู้คน 500 คนยากพอๆ กับการป้องกันผู้บัญชาการเพราะไม่รู้ว่าฝ่ายศัตรูจะลงมือเมื่อไหร่


“พวกเราจะไม่ใช่แค่ปกป้องผู้บัญชาการแต่ต้องจับตัวพลเอกกิติเพรชพร้อมบอกสถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ทุกคนบนเรือฟัง” คำพูดแกมคำสั่งของหัวหน้าไพลสันต์ทำเอาพวกเราทั้ง 9 คนถึงกับพูดไม่ออก


ไม่ใช่งานง่ายๆ จริงๆ นั่นแหละ อยู่ๆ จะให้เข้าไปจับกุมพลเอกกิติเพชรคนของฝ่ายนั้นคงยอมหรอก ดีไม่ดีท่างทหารเองอาจมองว่าพวกเรากำลังใส่ร้ายหรือจับกุมโดยไม่มีหลักฐาน


ไม่ง่ายเลยที่จะอธิบายทุกคนพร้อมกัน


“น่าสนุกดีนี่นา ให้ผมจัดการเรื่องนี้ได้ไหม” อยู่ๆ เบซิลก็พูดพร้อมรอยยิ้มร้ายๆ มุมปาก ใบหน้าแบบนั้นแปลว่ามีแผนการอะไรอยู่


“มีแผนสินะ”


“แบบนี้ค่อยน่าสนุกหน่อย แต่ขอคนช่วยสักหน่อยได้รึเปล่า” เบซิลพูดต่อ


“ไม่มีปัญหา จะให้ไธม์ช่วยเหรอ” หัวหน้าถามกลับ


“เปล่า ใบไธม์น่ะให้จัดการเจ้าตัวตรงๆ ดีกว่า อยากให้จิวกับอาร์มมาช่วยหน่อย” พูดจบก็หันไปมองทั้งสองคน


“ต้องการให้ทำอะไรว่ามาเลย” จิวพยักหน้าตอบ


“ได้เลย” อาร์มเองก็เช่นกัน


เบซิลดูเหมือนจะมีความสามารถในการเป็นผู้นำอยู่ไม่น้อย สามารถคิดวางแผนในสถานการณ์คับขับหรือจวนตัวได้อย่างดี


Put the right man on the right job.


คำพูดนี้แปลได้ว่า “เลือกคนให้เหมาะกับงาน”


เบซิลมีทักษะในการมองคนและเลือกดูความเหมาะสมของคนที่เข้าร่วมในแผนการเพื่อให้ประสบความสำเร็จมากที่สุด ขนาดรู้จักกันไม่นานยังมีความเข้าใจมากขนาดนี้อีกไม่นานเขาน่าจะกลายเป็นผู้นำของทุกคนได้แน่


“การประชุมจะจัดขึ้นในอีก 2 วัน ช่วง 5 โมงเป็นต้นไป พวกเราต้องทำงานกันอย่างรอบครอบถ้าฝั่งนั้นรู้ตัวเป้าอาจจะตกอยู่ที่พวกเราแทน เมื่อขึ้นไปบนเรือจงลับประสาทสัมผัสทั้งหมดให้คมและหากเกิดสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลให้จัดการตามความเหมาะสมได้เลย ฉันจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง” หัวหน้าไพลสันต์ลุกขึ้นยืน กวาดตามองพวกเราแต่ละคนระหว่างพูด


“ครับ!” พวกเราทุกคนขานรับคำพูดนั่นอย่างพร้อมเพียง ขนาดเบซิลที่ในตอนแรกไม่มีทีท่าจะยอมให้หัวหน้าตอนนี้กลับมีแนวโน้มในการฟังมากขึ้น


ถือเป็นเรื่องดี


หัวหน้ารู้ดีอยู่แล้วว่าอาจมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ หากรอให้มารายงานคงสายเกินไป  สมกับที่เป็นหัวหน้าของพวกเราหน่วยสืบสวนพิเศษ


ตกดึกผมและเบซิลต่างนั่งจัดการเรื่องของตัวโดยไม่มีการพูดคุยอะไรนัก แผนการของเบซิลคืออะไรผมไม่รู้แค่พอเดาได้ และเพราะแผนการนั่นเบซิลจึงนั่งคร่ำเร่งกับหน้าจอโน๊ตบุ๊คอยู่ ผมเองก็ใช่ว่าจะนั่งว่างแม้จะนั่งสมาธิทว่าในหัวกลับคิดถึงความเป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมหาทางรับมือสถานการณ์เหล่านั้น


อย่างน้อยถ้ามีการคาดเดาไว้กรณีเกิดเหตุการณ์ซึ่งอาจไม่เหมือนแต่แค่มีเคร้าก็สามารถปรับแผนรับมือได้ทันถ้วงที ทั้งผมและเบซิลพวกเราต่างยังเหมือนเดิมแม้ผมจะให้คำตอบเขาไปแล้วก็ตาม คำตอบที่ผมเองยังไม่แน่ใจแต่เมื่อถูกถามด้วยใบหน้าและท่าทางจริงจังผมจึงไม่สามารถปฏิเสธได้


บอกตรงๆ ว่ารู้สึกผิดอยู่ค่อนข้างมากที่ใช้ผู้หญิงคนนึงเพื่อเปรียบเทียบความรู้สึกที่มีเบซิล เธอเป็นคนน่ารักและยิ้มง่าย อีกทั้งยังมีความเป็นมิตรและบรรยากาศที่เข้าถึงได้ง่าย ทั้งที่มีข้อดีมากขนาดนั้นแต่ตลอดการดินเที่ยวผมกลับนึกถึงผู้ชายที่มักจะเอ่ยประโยคด้วยน้ำเสียงจีบหญิงซึ่งมีหลายครั้งที่ผมเผลอใจเต้นไปกับมัน


ตลอดเวลาเกือบปีผมคลุกคลีและอยู่กับเบซิลมาตลอด ตัวตนของเขาผมรู้ดีและดีมากขึ้นเรื่อยๆ กำแพงที่เคยมีพังทลายลง...ที่พูดถึงกำแพงไม่ใช่ของเบซิลแต่เป็นของตัวผมเอง ก้าวเข้ามาด้วยความมั่นใจและทลายกำแพงหนาที่ผมใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตสร้างขึ้นอย่างง่ายดาย


เขายอมรับผมที่เป็นผม


ไม่ว่าจะเป็นท่าทาง กิริยาหรือกระทั่งความลับที่ไม่เคยบอกใครนอกจากครอบครัว


เมื่อย้อนกลับไปดูเรื่องราวทั้งหมดและคิด ผมว่าคำตอบมันเด่นชัดอยู่แล้ว


ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่เผลอยิ้มไปกับคำพูดและการกระทำของอีกฝ่าย


ไม่รู้แม้กระทั่งมีความรู้สึกชอบตั้งแต่ตอนไหนด้วยซ้ำ รู้อีกทีตัวตนของเบซิลก็ใหญ่ขึ้นมาจนไม่สามารถเอาออกไปจากใจได้
ผมชอบเบซิล


แต่ถึงจะยอมรับแต่จะให้ผมเป็นฝ่ายพูดเลยมันก็อายเกินไป


รออีกสักพักผมค่อยบอกก็ยังไม่สาย  ปล่อยให้ฉายาเมเกอร์เล่นมุกจีบต่ออีกสักหน่อยก็ไม่เลว


“ยิ้มอะไรน่ะใบไธม์” เบซิลที่มองหน้าจอโน๊ตบุ๊คเมื่อครู่บัดนี้กลับหันมามองหน้าผมตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้


“เปล่านี่” ผมเบนหน้าหนีไปอีกฝั่ง


เผลอยิ้มออกไปเหรอเนี่ย


ไม่รู้ตัวสักนิด


“โกหกผมไม่ได้หรอกนะ”


“ผมเปล่าโกหกนี่”


“เห็นอยู่ชัดๆ ว่ายิ้ม” เบซิลยังคงไม่ยอมแพ้


“ทำเสร็จแล้วรึไง” ผมเปลี่ยนเรื่อง สิ่งที่เบซิลกำลังทำอยู่ไม่น่าจะเสร็จในเวลาไม่กี่ชั่วโมง


“เอาไว้ค่อยทำทีหลัง”


“รีบทำให้เสร็จเลย” ไว้ค่อยทำทีหลังอะไร เวลามีตั้งเยอะค่อยๆ ทำไปอีกไม่นานคงเสร็จจะปล่อยให้ค้างคาไปทำไมล่ะ


“งั้นก็บอกมาว่ายิ้มอะไร”


“เบซิล แค่ผมยิ้มนี่มันเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นเลย?” ผมถามกลับไปตามตรง


“ใช่ ใหญ่มาก คุณไม่ใช่คนยิ้มบ่อยดังนั้นผมเลยอยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้ใบไธม์ของผมยิ้มได้แถมยังเป็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนกำลังสนุกด้วย” คำพูดของเบซิลไม่ใช่คำพูดจีบสาวเหมือนทุกที


น่าแปลกที่ผมกลับรู้สึกเขินขึ้นมา


“รีบทำงานให้เสร็จซะ” จะให้ผมพูดว่ากำลังคิดเรื่องของอีกฝ่ายอยู่ก็คงไม่ใช่


“ไม่ทำแล้ว” เบซิลปิดฝาโน๊ตบุ๊คก่อนจะขยับตัวลุกขึ้น ดวงตาสีเขียวมรกตมองประสานมาไม่นานทางนั้นก็กระโดดขึ้นมาบนเตียงโดยใช้มือของข้างนั้นกอดเอวผมไว้แน่น


“เบซิล!” ผมถึงกับร้อนลั่นแล้วพยายามขยับตัวหนีแต่ด้วยความที่ถูกมือทั้งสองข้างกอดเอวไว้แน่นทำให้ผมไม่สามารถหลีกหนีได้ตามต้องการ เผลอไปเพียงเสี้ยววินาทีเบซิลก็ไม่ยอมปล่อยโอกาสเลยนะ


“อ่า กลิ่นใบไธม์หอมจัง” ไม่พูดเปล่าเจ้าตัวยังขยับใบหน้าซุกไซร้ไปมาอยู่บริเวณหน้าท้องผม ความรู้สึกแปลกๆแล่นไปทั่วร่างแม้จะมีเสื้อกั้นอยู่แต่ยังสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวรอดผ่านเข้ามา


“เบซิลลุกออกไปเลย” ขืนให้ผมอยู่แบบนี้ต่อไปผมคงทำตัวไม่ถูก


ทั้งไม่ชิน ทั้งอายและทั้งเขิน


“ไม่ลุก ไหนๆ ก็ไหนๆ ผมขอทวงรางวัลเลยละกันนะ” ใบหน้าซึ่งซุกอยู่เงยขึ้นมามองผมเล็กน้อยระหว่างพูด


“รางวัล?” รางวัลอะไร


“จำไม่ได้เหรอ ทั้งที่คุณเป็นฝ่ายพูดเองแท้ๆ ว่าถ้าทายถูกจะมีรางวัลให้” เบซิลบอกใบ้เพิ่มให้


ผมเป็นคนพูด...อย่าบอกนะว่าเป็นตอนอยู่ห้างเมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะ จะว่าไปผมก็พูดเป็นเชิงว่าถ้าเดาถูกจะให้รางวัลจริงๆ นั่นแหละ
เห็นไม่ทวงนึกว่าจะลืมไปแล้วซะอีก


“...จำแม่นจริงนะ” เรื่องแบบนี้


ผมต่อประโยคที่เหลือในใจ


“แน่นอน รางวัจากใบไธม์ใช่ว่าจะได้ง่ายๆ นี่”


“จะเอาอะไร อาหารเปียก อาหารเม็ดหรือว่ากระดูกผูก” ผมเสนอไปสามอย่าง


“ใบไธม์” ครั้งนี้ฝ่ายเบซิลถึงกับเรียกผมเสียงแข็ง


“งั้นเปลี่ยนก็ได้ ลูบหัว ลูบท้องหรือเกาคางดีล่ะ?”


“ลูบหัวก็ดี...ไม่ใช่สิ ผมไม่ใช่หมานะ”


“คิก!” สายตาเคืองๆ จากด้านล่างเรียกรอยยิ้มมุมปากผมให้ยกขึ้นทีละนิด


“จริงจังหน่อยสิ”


“อยากได้รางวัลอะไร เสนอมาเลย” ให้ผมคิดคงคิดไม่ออกหรอกว่าจะให้อะไรดี


“อะไรก็ได้?” เบซิลทำตาโตทันทีที่ได้ยิน


“ถ้าอยู่ในขอบเขตที่ทำได้น่ะนะ” ผมรีบพูดดักทางไว้เพราะอยู่ๆ ก็รู้สึกหนาวขึ้นมาอย่างกะทันหัน


“โหย ใจปล้ำหน่อยสิ”


“ไม่ต้องมาโอดครวญ”


“เป็นแฟนกัน”


“...” ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งห้องอย่างรวดเร็วหลังได้ยินประโยคเมื่อครู่จากเบซิล


“ผมบอกสิ่งที่อยากได้ไปแล้ว” เบซิลพูดทำลายความเงียบคล้ายจะเร่งให้ผมตอบเร็วขึ้น


“...ตอนนี้ผมอยากจัดการคดีให้เสร็จก่อน” แม้ในหัวจะคิดเรื่องของเบซิลอยู่มากแค่ไหนทว่าเหตุการณ์ที่พวกเรากำลังเผชิญเองก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องจัดการให้สำเร็จ เหลือเวลาอีกเพียง 2 วันก่อนจุดจบของเรื่องราวจะมาถึง ซึ่งผมไม่รู้ว่าตอนจบจะเป็นฝ่ายไหนที่ได้รับชัยชนะผมจึงอยากใช้เวลาที่เหลือนี้เตรียมการทุกอย่างเท่าที่จะทำได้


“ความหมายคือหลังจากปิดคดีได้ผมก็จะได้รับคำตอบใช่ไหม” เบซิลพูดต่อ เขาสามารถเข้าใจได้ทันทีว่าผมต้องการเวลา


“อืม...หลังจากจบเรื่องผมจะให้คำตอบกับคุณ” เรื่องนี้ผมเคยคิดไว้บ้างแล้วเพียงแค่ยังไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน แบบนี้ดีแล้ว


“ทั้งที่รักผมขนาดนี้จะยืดเวลาออกไปทำไมกัน”


“เบซิล!” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงดัง ไม่สนว่าข้างห้องจะได้ยินไหม รู้แค่ตอนนี้จะให้ผมระงับสติคงไม่ง่าย


“หน้าแดงนะ ผมพูดถูกล่ะสิ” รอยยิ้มของเบซิลยิ่งทำให้ความร้อนบริเวณใบหน้าสูงเข้าไปอีก


“หยุดพูดเลย”


“ให้หยุดพูดว่าคุณรักผมน่ะเหรอ”


“เบซิล!” สองครั้งแล้วนะ


ถ้ามีอีกครั้งผมไม่ยอมอยู่เฉยแน่ๆ


“น่ารัก ใบไธม์ของผมน่ารักที่สุดเลย” ระหว่างพูดฝ่ามือข้างหนึ่งก็เอื้อมขึ้นมาสัมผัสใบหน้าแล้วเกลี่ยเบาๆ ให้หัวใจเต้นระรัวขึ้น


“...ผมไม่ได้เป็นของคุณ”


“เป็นสิ หัวใจคุณน่ะเป็นของผมแล้วใบไธม์” น้ำเสียงอันทรงเสน่ห์บวกกับรอยยิ้มแพรวพราวทำเอาผมอยากจะกลายร่างเป็นนกแล้วบินหนีจากสถานการณ์นี่เดี๋ยวนี้เลย


กล้าพูดประโยคนั้นออกมาได้ยังไง


แค่ฟังยังทำเอาผมถึงกับหน้าร้อนผ่าวด้วยความเขินอายเลย


“...งั้นหัวใจของเบซิลก็เป็นของผมเหมือนกัน” ใครจะยอมเป็นฝ่ายอายอยู่คนเดียวกัน


ผมไม่ยอมหรอกนะ


ถ้าจะเขินอายก็ต้องด้วยกันไม่ใช่แค่ผมคนเดียว


ท่าทางของเบซิลดูจะอึ้งปนตกใจกับคำพูดผมอยู่ไม่น้อย ดวงตาสีเขียวมรกตสั่นระริกไม่นานก็ทอประกายของความดีใจออกมาเต็มเปี่ยมจนผมอยากจะเบนหน้าหนีทว่ากลับถูกมือข้างเดิมที่เกลี่ยบริเวณแก้มรั้งไว้เลยจำต้องให้ดวงตาของเราสอดประสานกันอยู่แบบนั้น


ไม่มีคำพูดอะไรดังออกมาจากเบซิลและผมอีก


มีเพียงใบหน้าคมคายนั่นขยับขึ้นมาแนบริมฝีปากลงมาแนบชิดโดยปราศจากการรุกล้ำใดๆ ความร้อนลุ่มแผ่กะจายผ่านจุดที่เชื่อมต่อกันไปทั่วร่างกาย รู้ตัวอีกทีผมก็เป็นฝ่ายนอนแผ่อยู่บนเตียงและมีเบซิลขึ้นคร่อมอยู่ทั้งที่ริมฝีปากยังคงประสาน


จูบเบาๆ เริ่มทวีความร้อนแรงขึ้นยามปลายลิ้นของพวกเราสัมผัสโดนกัน เบซิลรุกล้ำเข้ามาอย่างร้อนแรงและดุดันจนผมได้แต่หลับตาลงยอมรับทุกการสัมผัสโดยไม่ขัดขืน เป็นจูบที่ร้อนแรงที่สุดเท่าที่ผมเคยจูบมา


มันเต็มไปด้วยอารมณ์


ความรู้สึกและตัวตนของเบซิล


เขาต้องการผม


นั่นเป็นสิ่งที่ผมสัมผัสได้ผ่านการจูบนี่


รอให้คดีนี้จบลงผมจะเป็นฝ่ายบอกเองถึงความรู้สึกภายในหัวใจดวงนี้




(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่13) 28/7/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 28-07-2018 11:36:34
(ต่อนะคะ)


วันเวลาได้ไหลผ่านไปเพียงพริบตาเดียววันประชุมก็มาถึง ตั้งแต่เช้า ไม่สิ ต้องพูดว่าตั้งแต่เมื่อคืนทั้งผมและเบซิลต่างตรวจดูทุกอย่างให้พร้อมมากที่สุด คนอื่นๆ ในหน่วยสืบสวนพิเศษเองก็ไม่ต่างกันแค่ดูบริเวณใต้ตาคล้ำๆ นั่นก็รู้ได้ทันที พวกเราตอนนี้สามารถเป็นเพื่อนกับหมีแพนด้าได้โดยไม่ต้องทาขอบตาสีดำเพิ่มด้วยซ้ำ


“ทุกคน” ผมเรียกทุกคนที่อยู่ในห้องทำงาน ช่วงเช้าแบบนี้มีเพียงจิว เบียร์และสกายเท่านั้นที่มา ส่วนแม็ก ซันและอาร์มคงยังนอนหลับสบายไม่ตื่น สำหรับจูนตอนนี้คงกำลังทำระเบิดอยู่ในห้องทดลองนั่นแหละ


“ครับท่านรอง” เสียงของจิวดูเลื่อยลอยจนไม่แน่ใจว่าเขาละเมอรึเปล่า อีกสองคนที่เหลือทำเพียงเงยหน้ามามองผมด้วยสายตาอิดโรยเท่านั้น


“ไม่นอนพักสัก 2-3 ชั่วโมงเถอะ” ขืนให้อยู่ในสภาพนี้ต่อไปพอถึงช่วงเย็นคงหลับกันเป็นแถว


“แต่ว่าพวกเราต้องเตรียมรับมือสถานการณ์ ตอนนี้ผมกับเบียร์และสกายกำลังหาข้อมูลของทุกคนที่เข้าร่วม...” พูดยังไม่ทันจบประโยคอีกฝ่ายก็ฟุบหัวลงบนโต๊ะก่อนจะเด้งหัวขึ้นมาอีกรอบเนื่องจากแรงกระแทกทำให้ความง่วงหายไปชั่วคราว


“เรื่องนั้นไว้ค่อยทำหลังจากตื่น  ฝืนทำตอนนี้ไปข้อมูลอาจผิดพลาดได้ง่ายๆ จิวกับเบียร์ไปพักที่ห้องด้านข้าง สกายนอนบนโซฟานั่นเลย” ผมบอกกับทุกคน สาเหตุที่ผมให้จิวกับเบียร์ไปนอนในห้องเพราะเป็นผู้ชายเหมือนกัน เตียงในห้องนั้นมีขนาดแค่ 3 ฟุตจะให้ผู้ชายกับผู้หญิงนอนด้วยกันคงไม่ดี และจะใช้ผู้ชายสองคนอัดกันนอนบนโซฟาก็คงไม่เหมาะด้วย


“...” ทั้ง 3 คนพยักหน้าหงึกๆ ก่อนพาร่างอันโซเซของตัวเองไปยังที่นอน หน่วยสืบสวนพิเศษใกล้จะกลายเป็นซอมบี้เข้าไปทุกทีแล้ว


“ห่วงแต่คนอื่น ตัวคุณเองเถอะตาจะปิดแล้ว” เบซิลพูดพลางเลื่อนเก้าอี้เข้ามาใกล้


“ไม่ง่วงเหรอเบซิล” หันไปมองหน้าอีกฝ่ายแล้วดูไม่ง่วงหรือพลังงานหมดเลย


“ง่วงสิ”


“ไม่เห็นเหมือน”


“จะบอกว่าผมหล่อล่ะสิ”


“ไม่ได้พูดนะ” ผมส่ายหัวปฏิเสธถึงจะไม่เถียงเรื่องเบซิลหล่อก็เถอะ


“พักหน่อยเถอะ งีบสักพักก็ได้” เบซิลบอก


“ไม่มีเตียงหรือโซฟาเหลือแล้ว” จะให้ฟุบหลับกับโต๊ะก็ไม่ค่อยชอบด้วย


“อะไรใบไธม์ คุณคงไม่ลืบเตียงส่วนตัวหรอกใช่ไหม”


“เตียงส่วนตัว?” ผมขมวดคิ้วแน่น ใช้ความคิดช่วงง่วงๆ นี่หัวไม่แล่นเอาซะเลย


“นี่ไง เชิญซบอกผมแล้วหลับฝันดีได้เลย” พูดจบเบซิลจึใช้มือตบเบาๆ ไปยังแผ่นอกตัวเอง


“หึ...คนบ้า” ผมถึงกับหลุดขำออกมาทั้งที่เพลียจนใกล้สลบเต็มที


“ยอมบ้าก็ได้ พักหน่อยเถอะ”


“จะให้ผมซบอก?”


“ใช่” เบซิลพยักหน้ารัวๆ


“ไม่เอาล่ะ ขอแค่นี้ก็พอ...” ผมพึมพำพลางเลื่อนเก้าอี้ไปใกล้เบซิลมาขึ้นแล้วเอนหัวพิงไหล่อีกฝ่ายพร้อมหลับตาลง จะให้หนุนอกคงไม่กล้าขนาดนั้นแต่ถ้าแค่ไหล่...ก็ไม่เห็นเป็นจะเป็นไร


“ฝันดีใบไธม์” เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือน้ำเสียงที่พานให้สติหลุดลอยไปหลายชั่วโมง


ตกเย็นพวกเราหน่วยสืบสวนพิเศษได้มาถึงจุดหมายของการประชุม เรือสำราญสีขาวสะอาดตาบัดนี้ถูกย้อมไปดูสีแสดยามพระอาทิตย์กำลังตกดิน ทั้งดูงดงามและแสบตาไปพร้อมๆ กัน รอบๆ ตัวเรือมีการวางกำลังคอยดูแลความปลอดภัยอย่างใกล้ชิดชนิดที่แม้แต่หนูก็คงยังไม่ยอมให้ขึ้นโดนเฉพาะในส่วนของทางขึ้นไปด้านบนของเรื่องที่พวกเรากำลังรวมตัวกันอยู่ในตอนนี้


ดวงตาสีน้ำตาลของผมเงยขึ้นไปจับจ้องยังเหล่าทาหารและตำรวจที่พากันเดินขึ้นไปด้านบนเรือโดยถ้าจะเข้าไปด้านในได้จำเป็นต้องมีบัตรเชิญเพื่อแสดงตัวตน และด้านในเองคงมีการตรวจเช็คอาวุธด้วยเป็นแน่


“แม็กถึงไหนแล้ว” หัวหน้าไพลสันต์เอ่ยถามพลางมองนาฬิกาเรือนเงินบนข้อมือ พวกเราไม่ได้มาจากที่อาคารพร้อมกันแต่แยกกันมารวมตัวตามเวลาที่นัดไว้ทว่ากลับมีเพียงแม็กที่ยังมาไม่ถึงสักที


“ติดต่ออยู่ครับหัวหน้าแต่ไม่รับเลย” ซันตอบแทนเบียร์ที่โทรตามอยู่


“อีกประมาณ 5 นาทีน่าจะมาถึง” คำพูดของเบซิลเรียกทุกสายตาให้หันไปมองด้วยความสนใจ


“รู้ได้ยังไง...แล้วทำอะไรอยู่น่ะเบซิล” ผมเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาแล้วมองหน้าจอโน๊ตบุ๊คที่ถูกเปิดอยู่ บนหน้าจอมีภาพของแผนที่และสัญลักษณ์คล้าย GPS ปรากฏอยู่


“ดูพิกัดของแม็กจากแอพที่ผมทำไว้ แอพนั่นนอกจากจะใช้เป็นฐานในการพูดคุยหรือส่งข้อความแล้วยังมีการระบุตำแหน่งของแต่ละคนไว้ด้วย ต่อให้เจ้าตัวไม่ได้เปิด GPS แต่ถ้าเปิดเน็ตหรือไวไฟอยู่ผมก็สามารถหาตำแหน่งได้ไม่ยาก” เบซิลอธิบายพลางปิดโน๊ตบุ๊คเนื่องจากใช้งานเสร็จเรียบร้อยแล้ว


“สมกับเป็นเมเกอร์ สุดยอดมาก” จิวยกนิ้วโป้งส่งให้เบซิลพร้อมรอยยิ้มชื่นชม


ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องชื่นชมในความสามารถของเบซิลทั้งนั้นแหละ ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ โปรแกรมหรืออื่นๆ ที่เกี่ยวกับกับข้อมูลบนระบบโซเซียลเขาล้วนแล้วแต่มีความเชี่ยวชาญในระดับสูง ต่อให้เป็นคนที่จบด้านนี้มาโดยตรงคงทำขนาดนี้ไม่ได้ง่ายๆ


“ก็ธรรมดานี่” ดูเหมือนเบซิลจะไม่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำสุดยอดนัก จะเรียกว่าถ่อมตัวคงไม่ถูกนัก เขาไม่คิดว่าตัวเองเก่งทั้งที่ในความจริงทักษะระดับนั้นคงมีไม่กี่คนในประเทศนี้


“ทุกคน มาเร็วกันจัง” เสียงของแม็กซึ่งทุกคนกำลังรอคอยดังพร้อมกับร่างในชุดเต็มยศของหน่วยวิ่งโบกมือมาทางที่พวกเราอยู่
การประชุมในครั้งนี้ถือเป็นการประชุมสำคัญดังนั้นชุดที่ใส่เองก็ต้องเป็นชุดให้เกรียติต่อการประชุมนี่ ทางตำรวจเองก็มีสีกากี ทางทหารเองก็มีสีเขียว สำหรับหน่วยสืบสวนพิเศษเองก็มีสีประจำซึ่งก็คือสีเทา


ถึงจะบอกว่าเป็นสีเทาแต่ก็ไม่ได้เป็นสีเทาทั้งชุดเหมือนอย่างสีกากีของตำรวจหรือสีเขียวของทหาร สำหรับผู้ชายจะสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวด้านในและเสื้อนอกสีเทาที่ออกแบบให้มีความทนทานและคล่องตัวสูง มีแผ่นรองสำหรับกันกระแทกอีกทั้งยังถูกออกแบบมาให้สามารถใส่ร่วมงานเลี้ยงได้ เรียกว่ามีเสื้อเพียงตัวเดียวก็เพียงพอแล้ว


สำหรับผู้หญิงเองแม้จะเป็นเสื้อนอกเหมือนกันแต่ออกแบบให้มีความเป็นผู้หญิงมากขึ้นอย่างเข้ารูปนิดมีการพับแขนขึ้นสักหน่อย พอใส่กับชุดเดรสแล้วดูเหมือนพวกเธอกำลังจะเข้าร่วมงานเต้นรำที่ไหนสักแห่ง


“มาช้านะแม็ก” ผมยืนกอดอกรอต้อนรับอีกฝ่าย


“ขอโทษๆ เพื่อเป็นการไถ่โทษฉันจะบอกข้อมูลที่พึ่งได้มาให้ฟัง”


“ข้อมูล?”


“อ่าฮะ ฉันได้ข่าวมาเมื่อช่วงบ่ายมีการเปลี่ยนหน่วยรักษาความปลอดภัย” ทันทีที่แม็กบอกข้อมูลคิ้วของทุกคนก็เริ่มขมวดเข้าหากันทันที


ทุกคนในหน่วยรู้สถานการณ์ปัจจุบันโดยไม่ต้องมีการพูดคุยใดๆ


การเปลี่ยนหน่วยรักษาความปลอดภัยของเรืออย่างกระทันหันนั่นมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นฝีมือของผู้อยู่เบื้องหลังคดีในครั้งนี้พลเอกกิติเพชร เศมาลาณ และถ้าเป็นไปตามคาดหน่วยรักษาความปลอดภัยชุดใหม่คงไม่ได้มีหน้าที่เพียงรักษาความปลอดภัยของเรือสำราญแต่เป็นลอบสังหารผู้บัญชาการสูงสุด พลเอกภีรภัณฑ์ เกตเสรีรัตน์


“แบบนี้แย่แน่” เบียร์พึมพำเสียงเบาอยู่ด้านข้างผม


เป็นอย่างที่เบียร์ว่าแหละ แย่จริงๆ


ถ้าคนของหน่วยรักษาความปลอดภัยอยู่ฝ่ายเดียวกับพลเอกกิติเพชร เศมาลาณ ก็หมายถึงพวกเรามีผู้ต้องสงสัยและศัตรูกว่า 80 คน ตอนนี้เราไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนลงมือแต่ถ้าให้เดาคงไม่พ้นคนที่รักษาความปลอดภัยอยู่ด้านในแต่ก็ไม่ควรทิ้งความเป็นไปได้ที่จะยิงไกลมาจากด้านนอก


“พวกเราคงทำงานกันยากขึ้น ไธม์” หัวหน้าเรียกพลางพยักหน้าส่งมา


“ครับ ทุกคนคนเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้แล้ว หลังจากเข้าไปด้านในผมอยากให้ทุกคนคอยสังเกตความผิดปกติไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม พวกเราต้องจัดการให้เรื่องทุกอย่างจบลงในวันนี้” ผมบอกกับทุกคน วันนี้อาจเป็นเพียงโอกาสเดียวที่จะจับพลเอกกิติเพชร เศมาลาณอย่างคาหนังคาเขาและเปิดเผยทุกอย่างให้กับผู้เข้าร่วมประชุม


ต่อให้รู้ว่าจะมีอันตรายแต่พวกเราก็ถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว


“อืม” ทุกคนพยักหน้าตอบรับ


หัวหน้าไพลสันต์เป็นคนนำพวกเราเข้าไปด้านในของเรือเนื่องจากมีบัตรเชิญ รายชื่อของผู้ติดตามทั้ง 9 มีอยู่ในบัตรเชิญอยู่แล้วจึงสามารถผ่านเข้ามาได้โดยไม่มีปัญหา ทว่าจุดตรวจเช็คอาวุธทำให้ซันต้องฝากอาวุธเกือบ 10 ชนิดไว้ พวกผมเองก็ต้องวางปืนไว้เช่นกัน พูดง่ายๆ คือไม่สามารถพกอะไรที่เป็นอาวุธเข้าไปได้เลย


วางแผนมาดีนี่พลเอกกิติเพชร หากการลอบสังหารผู้บัญชาการสำเร็จจะไม่มีใครสงสัยเขาแน่เพราะอาวุธทุกอย่างถูกลิบไว้หมด
ห้องประชุมในครั้งนี้ไม่ใช่โต๊ะยาวที่มีเก้าอี้ให้นั่งล้อมวงแต่เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ มีโต๊ะอาหารและเครื่องดื่มให้บริการผู้เข้าร่วมอย่างไม่มีที่ติ ดูเผินๆ เหมือนมางานเลี้ยงมากกว่างานประชุม


บรรยากาศรื่นเริงและเสียงหัวเราะคิกคักเงียบลงทันทีที่หน่วยสืบสวนพิเศษก้าวเข้าไป สมาชิกเพียง 10 คนของหน่วยสืบสวนพิเศษแม้จะแยกกันก็มีบรรยากาศพิเศษแผ่ออกมาทำให้พอมาอยู่รวมกันบรรยากาศนั่นก็ยิ่งแผ่ขยายเรียกสายตาของคนทั้งห้องให้จับจ้องมา


ไม่ใช่แค่บรรยากาศแต่รูปลักษณ์ภายนอกเองก็เป็นอีกสิ่งที่เรียกสายตาทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสองสาวสวยของหน่วยสกายและจูน สำหรับสกายหลายคนต่างหลงใหลกับรูปลักษณ์ของนางฟ้ายิ่งเธอสวมชุดเดรสสั้นเหนือเข่าสายตาของพวกผู้ชายก็เหมือนจะวิ่งเข้ามาหา ส่วนจูน เธออาจเป็นสาวห้าวประจำหน่วยแต่ไม่มีใครบอกว่าเธอไม่สวย...แม้จะตัดผมซอยสั้นแต่เมื่อมีการเสริมผ้าคาดผมบวกกับการแต่งหน้าจากสกายและชุดเดรสยาวพอดีเข่า พูดได้แค่ผู้ชายหลายๆ คนจ้องจูนแทบตาถลน


จริงอยู่ที่ผู้หญิงสองคนของหน่วยเป็นเป้าสายตาของเหล่าชายหนุ่มในงานทว่าในความเป็นจริงแขกในงานเป็นผู้หญิงมากกว่าครึ่ง แน่นอนว่าพวกเธอไม่ได้มองสกายและจูนแต่เป็นพวกเราชายทั้ง 8 คนต่างหาก โดยเฉพาะหัวหน้าไพลสันต์ เบียร์และแม็กรวมไปถึงหน้าใหม่ของหน่วยอย่างเบซิล


เริ่มจากหัวหน้าไพลสันต์ ด้วยรูปลักษณ์ดูภูมิฐานสมวัยพ่วงด้วยรอยยิ้มแฝงความขี้เล่นเรียกเสียงกรี๊ดจากเหล่าสาวใหญ่ไปตลอดทาง เห็นแบบนี้หัวหน้ามีภรรยาและลูก 2 แล้ว แต่อย่างว่ารูปลักษณ์ภายนอกเป็นที่ต้องตาซะขนาดนั้นเรื่องอื่นไว้ค่อยว่ากัน
เบียร์และแม็กนั้นเป็นที่รู้กันดีในเรื่องความหล่อเหลาโดยเบียร์จะเป็นแนวของความสะอาด เงียบขรึมและจริงใจส่วนแม็กจะเป็นเพลย์บอย เจ้าเล่ห์และน่าหลงใหล เป็นสองคาแร็กเตอร์ที่ทำให้สาวๆ หลายคนเลือกไม่ถูกว่าจะชอบใครดี


สุดท้ายเบซิล ข่าวลือของเมเกอร์กระจายไปทั่วทั้งฝั่งของตำรวจและทหาร ทุกคนจึงรู้ว่าเขามาอยู่ในหน่วยสืบสวนพิเศษ เรื่องภาพลักษณ์แทบไม่ต้องพูดถึง...ทั้งโครงหน้าอันหล่อเหลา เส้นผมสีเทาและดวงตาสีเขียวมรกตของลูกครึ่งก็พานให้สาวๆ แทบลงไปดิ้นบนพื้นแล้วทว่าด้วยมายาของคำพูด น้ำเสียงหรือการกระทำยิ่งส่งผลให้ทั้งสาวใหญ่ สาวเล็กหรือแม้แต่ผู้ชายต่างตกหลุมอย่างง่ายดาย พอรวมทั้งชายและหญิงของหน่วยสืบสวนพิเศษผมก็ไม่แปลกใจเลยที่ทุกสายตาจะจับจ้องมา


“ใบไธม์ห้ามมองคนอื่นนะ” อยู่ๆ เบซิลก็ขยับตัวเข้ามากระซิบ


“...ฮะ อะไร” ผมขยับหน้าหนีเล็กน้อยตามความเคยชิน


“ผมหึงนะถ้าคุณมองคนอื่นนอกจากผม”


“เลิกเล่นมุขจีบหญิงเดี๋ยวนี้เลย” สถานการณ์ในตอนนี้มันใช่เวลามาหยอดหรือจีบผมไหม


“ใครว่าผมเล่น ผมจริงจังนะ...ยิ่งกับคนที่รักผมหึงแรงด้วยนะจะบอกให้” อีกฝ่ายยังคงขยับใบหน้าเข้ามาใกล้แม้ผมจะขยับหนีเท่าไหร่ก็ตาม


“...อยากเห็นจังนะ ผมไปหาสาวสักคนดีไหม” ผมลองแหย่กลับ


“...” ความเงียบและสายตาคมที่สัมผัสได้ทำเอาผมขนลุกไปทั้งตัว


เบซิลไม่เล่นด้วยเหมือนทุกที


จริงจังสินะ


“โทษที ผมไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก” ผมบอกพลางใช้มือข้างนึงดึงแก้มของเบซิลให้คลายความตึงเครียดลง


“แน่ใจนะ”


“อืม สัญญาเลย” ไม่มีเวลาไปหาใครทั้งนั้นแหละ


หัวหน้าไพลสันต์พาพวกเราเดินผ่านสายตาทั้งสองฟากไปยังด้าหน้าของห้องซึ่งดูเหมือนผู้บัญชาการสูงสุดของฝ่ายตำรวจและทหารจะมารวมตัวกันอยู่ที่นั่นโดยมีคนสนิทหรือผู้คุ้มกันส่วนตัวอยู่ด้านหลังฝั่งละ 10 คนได้


ระแวงระวังกันพอดูถึงได้ต้องมีคนติดตามขนาดนั้น


ไม่แปลกหรอกเพราะสถานการณ์ในตอนนี้ไม่สู้ดีนัก วันก่อนพึ่งมีการนำเรื่องการฝึกทหารที่โหดจนมีคนตายออกไปเผยแพร่ต่อสาธารณะชน ฝั่งทหารคงคิดว่าฝั่งตำรวจทำซึ่งทางตำรวจเองก็คิดว่าฝั่งทหารทำในการกระจายข้อมูลความลับเช่นกัน


ต่างฝ่ายต่างระแวงซึ่งกันและกัน


“สวัสดีผู้บัญชาการภีรภัณฑ์และผู้บัญชาการอภินันท์ ไม่ได้เจอกันนานนะ” หัวหน้าไพลสันต์เอ่ยทักทายทั้งคู่ท่ามกลางบรรยากาศตึงๆ สำหรับผู้บัญชาการภีรภัณฑ์เป็นที่รู้กันว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายตำรวจอยู่ในขณะนี้ ส่วนผู้บัญชาการอภินันท์หรือชื่อเต็มๆ คือพลเอกอภินันท์ ขันติเจริญผู้บัญชาการสูงสุดของฝั่งทหาร


ตอนนี้ผู้บัญชาการสูงสุดทั้ง 3 คนกำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่


เป็นบรรยากาศที่หนักอึ้งจริงๆ


ทั้ง 3 คนมียศและตำแหน่งเทียบเท่ากันคือผู้บัญชาการและพลเอก ต่างกันแค่มีลูกน้องอยู่คนละฝั่งกัน สำหรับหน่วยสืบสวนพิเศษถึงจะมีหัวหน้าไพลสันต์เป็นถึงพลเอกแต่ทั้งผมหรือหลายๆ คนไม่ได้มียศพลโท พลตรีหรือพลอะไรเนื่องจากพวกเราในตอนแรกไม่ได้สังกัดอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อย่างตัวผมแม้จะเคยทำงานให้กับทางการแต่ไม่ใช่ตำรวจหรือทหาร เป็นเพียงส่วนหนึ่งของฝ่ายบัญชีของทางการเท่านั้นเอง


คนอื่นๆ อย่างจิวหรือแม็กแม้แต่อาร์มหรือจูนล้วนไม่ใช่คนที่มียศกันทั้งนั้น พวกเราถูกหัวหน้าไพลสันต์ทาบทามมาจากหลากหลายอาชีพ คนที่มียศดูเหมือนจะมีแค่ซันกับเบียร์ เป็นยศพลโทด้วยกันทั้งคู่


หน่วยสืบสวนพิเศษอาจดูแปลกซึ่งก็จริง ไม่มีใครยอมรับคนที่แม้แต่ยศยังไม่มีหรอกแต่เมื่อได้เห็นทักษะและความสามารถในการทำงานความคิดของพวกเราก็เริ่มเปลี่ยนไปจนตอนนี้กลายเป็นอิจฉาไปแล้ว เรียนหรือฝึกมาก็ไม่ใช่แต่ดันจัดการคดีที่เจ้าตัวปิดไม่ได้ในเวลาไม่นาน ถูกมองแรงมาตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงตอนนี้เลยล่ะหน่วยสืบสวนพิเศษ


“มาสายรึเปล่าผู้บัญชาการไพลสันต์” ผู้บัญชาการอภินันท์เอ่ยทักทาย


“ทันเรือออกพอดี” หัวหน้ายิ้มระหว่างตอบ เห็นได้ชัดว่าสาเหตุที่ทำให้พวกเรามาช้าอย่างแม็กถึงกับสะดุ้ง


“พามาทั้งหน่วยแบบนี้เหมือนมีงานใหญ่เลยนะ” ทางผู้บัญชาการภีรภัณฑ์ถามบ้าง


ไม่บ่อยนักที่หัวหน้าจะให้พวกเราทุกคนตามมาพร้อมหน้า ตัวตนของเราดูเหมือนจะข่มทางผู้คุ้มกันของทั้งสองฝั่งได้มากพอดู สายตาจากทั้งสองฝั่งจากที่ระแวงกันเองเปลี่ยนมาจับจ้องหน่วยสืบสวนพิเศษเป็นตาเดียว


น่าดีใจจริงๆ


“ทั้งสองคนเองก็เช่นกัน ผู้เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ดูจะมากเป็นพิเศษ” หัวหน้าพูดพลางใช้สายตามองไปรอบๆ จำนวนของผู้เข้าร่วมกะด้วยสายต่าคงประมาณ 400 คนรวมพวกเราบวกกับพนักกงานรักษาความปลอดภัยบนเรือและพนักงานเสิร์ฟอีก 100 คน บนเรือนี่ก็จะมีคนอยู่ประมาณ 500 คน แน่นอนว่าคนของหน่วยสืบสวนพิเศษมีแค่ 10 คนดังนั้นที่เหลืออีก 390 คนเป็นของฝ่ายตำรวจและทหารอย่างละครึ่งๆ


“พวกเราต้องรีบหาทางยุติเหตุการณ์นี้โดยเร็วที่สุด”


“เรื่องนั้นเห็นด้วย”


“ฉันอยากคุยเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวก่อนจะเปิดการประชุมกับทุกคน” หัวหน้าไพลสันต์บอกกับอีกสองคน


“คุยเป็นการส่วนตัวหมายถึงไม่มีลูกน้อง?” ผู้บัญชาการธีรภัณฑ์ถาม


“ใช่”


“อันตรายเกินไป” พลเอกกิติเพชรรีบพูดแย้ง


ผมว่าที่อันตรายคือตัวคนพูดเองมากกว่ามั้ง


คงกลัวว่าหัวหน้าจะบอกข้อมูลอะไรน่ะสิ


หน่วยสืบสวนพิเศษขึ้นชื่อเรื่องความเร็วในการสืบสวน รวบรวมหลักฐานและจัดการคนร้าย ทางนั้นคงเดาได้ว่าพวกเราไม่มีทางปล่อยคดีนี้ไปนานนัก


“ไธม์” หัวหน้าไม่สนคำพูดคนอื่นเรียกผมพร้อมพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้จัดการต่อ


“ครับ ทุกคนไปกันเถอะ” ผมหันไปบอกแล้วพาทั้ง 8 คนออกมาจากวง


เรื่องนี้อยู่ในแผนการของเรา หัวหน้าบอกว่าในตอนแรกให้พวกเราทุกคนเดินรวมกันเพื่อเรียกสายตาทุกคนและสร้างบรรยากาศแสดงให้ทุกคนรู้สึกไม่ปลอดภัยก่อนจะสลายตัวไปจัดการแผนต่อไป


ไม่ต้องมีคำพูดหรือการแสดงออกใดๆ เพียงแค่ดวงตาสีเขียวมรกตของเบซิลเบนมาสบผมก็รู้ได้ทันทีว่าเขาจะออกไปจัดการอะไรบางอย่าง เจ้าตัวขอให้จิวและอาร์มเป็นผู้ช่วยในการทำอะไรสักอย่างเพื่อให้คนทั้งงานรู้ว่าใครเป็นคนร้าย จะพูดออกลำโพงหรือทำอะไรกันนะเบซิล


ต่อให้อยากรู้แต่ผมก็ไม่ได้ตามอีกฝ่ายไปเนื่องจากมีงานสำคัญต้องจัดการ ตอนนี้พวกเราทั้ง 6 คนเดินกระจาย ปะปนกับกลุ่มคนในงานซึ่งมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การหาตัวคนลงมือรอบสังหาร การจะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก


พนักงานรักษาความปลอดภัยแค่ในห้องก็มีอยู่ 30 คนได้แล้ว ต่อให้มีกัน 6 คนใช่ว่าจะรู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร ผมคอยสังเกตท่าทีของพนักงานรักษาความปลอดภัยด้วยหางตา


ถ้าผมเป็นคนร้ายจะทำยังไง


มีวิธีไหนที่ใช้ได้บ้าง


และแบบไหนที่เหมาะกับสถานการณ์นี้มากที่สุด


สมมุติว่าผมเป็นคนร้ายคงไม่ถือปืนยิงโต้งๆ ท่ามกลางตำรวจและทหารหลายร้อยคนหรอก เพราะถ้าทำจริงต่อให้สังหารสำเร็จคงไม่รอดอยู่ดี ดังนั้นถ้าจะให้ดีควรจะเล็งมากจากระยะไกลหน่อย แต่ถ้าเล็งจากข้างนอกมามีโอกาสสูงเมื่อกระสุนทะลุกระจกเข้ามาแล้วจะส่งผลให้เป้าหมายไหวตัวทัน ดังนั้นก็ควรหามุมที่สามารถเล็งยิงจากระยะไกลได้โดยไม่มีสิ่งกีดขวาง


เมื่อได้ข้อสรุปผมไม่รอช้ารีบมองไปรอบๆ ห้องโถง ด้านหน้าของห้องโถงเป็นเวทีขนาดใหญ่ที่มีผ้าม่านถูกรวบไว้บริเวณสองข้าง ถัดมาทางฝั่งซ้ายมือเป็นกระจกใสยาวเผยให้เห็นบรรยากาศด้านนอกทั้งขอบเรือและทะเลยามค่ำคืน ด้านหลังเป็นพื้นที่โล่งมีเพียงประตูเล็กอยู่ตรงกลาง ส่วนฝั่งขวามือผมเป็นผนังสีครีมซึ่งมีบานประตูขนาดกลางอยู่ 2 จุด แต่ละจุดเปิดอ้าไว้สำหรับให้ผู้ร่วมง่ายเดินเข้าออกได้ตามสะดวก แม้จะมองทั้ง 4 ทิศแต่ก็ยังหาจุดน่าสงสัยไม่เจอ


ด้วยความสว่างภายในห้องหากมีคนหยิบปืนสีดำออกมาต้องมีคนสังเกตเห็นบางล่ะ ดังนั้นไม่ใช่ในห้องโถงนี่แน่นอน ด้านหลังเองก็ว่างเกินไปไม่มีที่กำบัง เหลือเพียงฝั่งกระจกใสกระประตูเข้าออก


ถ้าให้ผมเลือกคงเลือกทางฝั่งกระจกใสเนื่องจากช่วงเวลานี้สามารถพรางร่างกายไว้ในความมืดได้ แต่อย่างที่บอกไปว่าหากยิงมาทางกระจก เสียงจากการแตกอาจทำให้เป้าหมายไหวตัวทันหรือวิถีของกระสุนเบี่ยงเบนไป...เดี๋ยวนะ ถ้าไม่ต้องยิงผ่านกระจกล่ะ


เมื่อคิดได้ผมรีบเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนเพดานตั้งแต่มุมขวาสุดไปถึงอีกฝั่งและก็พบสิ่งที่ตามหาจนได้ กระจกด้านบนติดกับเพดานถูกสร้างให้สามารถเปิดปิดได้เพื่อระบายอากาศซึ่งหากเปิดแอร์คงไม่จำเป็นต้องเปิดกระจกทว่ากลับมีบานนึงที่ถูกเปิดอ้าไว้เล็กน้อยราวกับจงใจ


ความกว้างแค่นั้นเพียงพอให้กระสุนสามารถรอดผ่านได้ ผมเอนหลังติดกับบานกระพลางใช้สายตาลอบมองด้านนอก ด้วยมืดอาจทำให้มองลำบากแต่เงาของการเคลื่อนไหวบริเวณด้านบนกล่องลังไม่อาจเล็ดลอดสายตาผมได้ ผมไม่รอช้าก้าวเดินไปทางประตูทางออก ระหว่างนั้นมีเพียงเบียร์ที่รู้การเคลื่อนไหวของผมจึงทำเป็นถือแก้วเครื่องดื่มจิบอยู่ริมผนังห้อง


“ทางกระจก” เพียงแค่คำเดียวที่บอกระว่างผมก้าวผ่านเบียร์ก็มากพอให้อีกฝ่ายหาคำตอบทุกอย่างแล้ว


เบียร์เป็นคนฉลาดและมีการคิด วิเคราะห์เป็นอันดับต้นๆ ของหน่วยแค่คำเดียวเขาสามารถตีความออกมาได้ว่าศัตรูจะยิงมาจากทางกระจก และการที่ผมออกไปหมายความว่าให้เขาเป็นคนคอยคุ้มกันถ้าเกิดอะไรขึ้นโดยผมจะเป็นคนไปจัดการด้านนอกเอง


บรรยากาศด้านนอกค่อนข้างเย็นและมีคนรักษาความปลอดภัยอยู่ตามจุดต่างๆ ผมอาศัยช่องว่างเล็กๆ หลบพวกเขามาจนถึงจุดหมาย ลังไม้ขนาดใหญ่ซ้อนทับกัน 2 ชั้นคล้ายถูกทำขึ้นเป็นที่กำบังโดยเฉพาะ ผมย่องเบาๆ ไปด้านหลังลังนั่นแล้วปีนขึ้นไปด้านบน หากจะยิงผ่านช่องว่างของกระจกการอยู่ในระนาบพื้นไม่สามารถทำได้ พื้นบริเวณนี้ถูกยกให้สูงกว่าด้านในเรืออยู่แต่แค่นั้นยังไม่จึงต้องใช้กล่องลังนี่เป็นฐานอีกที


วางแผนได้สุดยอด ร่างของคนร้ายนอนหมอบเล็กลำกล้องไปยังผู้บัญชาการธีรภัณฑ์พร้อมกับเหนี่ยวไกยิง


ปัง!


เพล้ง!


ในจังหวะที่ยิงผมแตะเข้าบริเวณชายโครงของอีกฝ่ายพอดี กะว่าจะหยุดแต่ดันยิงออกไปได้สำเร็จ ถึงจะยิงไปได้วิถีกระสุนน่าจะถูกเบี่ยงไปไม่น้อย ได้ยินเสียงกระจกแตกด้วย หมายความว่าวิถียิงไปโดนกระจกจนทะลุ ผมเชื่อว่าเบียร์และคนอื่นๆ ในหน่วยสามารถจัดการกับสถานการณ์นี่ได้


“แกเป็นใคร!” คนร้ายใช้มือข้างนึงกุมบริเวณที่ถูกเตะ เขาพยายามจะลุกขึ้นหนีแต่คงทำไม่ได้


“คนของหน่วยสืบสวนพิเศษ” ผมบอกไปตามตรง


ไม่จำเป็นต้องปิดบังนี่นะ


“บ้าเอ้ย!” อีกฝ่ายใช้ปืนยาวเล็งมายังพร้อมแล้วกะจะกราดยิงทว่าผมไม่ปล่อยให้เป็นแบบนั้น เมื่อถูกหันปืนมาผมก็ไม่รอช้าที่จะเตะกระบอกปืนให้ตกลงไปด้านล่าง


เมื่อปราศจากอาวุธแถมร่างกายยังบาดเจ็บผลลัพธ์สุดท้ายคือผมพาตัวอีกฝ่ายกลับเข้าไปในเรือแต่พนักงานรักษาความปลอดภัยดูเหมือนจะไม่ยอมปล่อยให้ผมผ่านง่ายๆ จึงต้องใช้กำลังสักพักกว่าจะมาถึงห้องโถงได้


ทั้งที่คิดว่าทุกสายตาจะจับจ้องมาทางผมที่ลากตัวคนร้ายเข้ามาแต่ความจริงทุกสายตากลับกำลังจับจ้องไปยังคลิปวิดีโอที่ถูกฉายบนหน้าจอโปรเจ็กเตอร์ขนาดใหญ่ด้านหน้าเวที ตัวคลิปฉายภาพของพลเอกกิติเพชร เศมาลาณตอนกำลังข่มขู่พลตำรวจโทเกษมศักดิ์พร้อมทั้งภาพบัญชีของพลเอกกิติเพชรอันเต็มไปด้วยจำนวนเงินไม่รู้กี่ร้อนล้านซึ่งมีการโอนมาจากพวกพ่อค้ายาและอาวุธแทนคำขอบคุณที่ให้ความช่วยเหลือจนสามารถนำของเหล่านั้นเข้ามาในเมืองได้ง่ายๆ


ยิ่งสืบลงไปลึกมากเท่าไหร่การกระทำผิดของพลเอกกิติเพชรก็ยิ่งเด่นชัดขึ้น ไม่เพียงแค่คิดจะยึดอำนาจแต่ยังมีการค้าสมาคมกับพ่อค้ายาเสพติดและอาวุธผิดกฏหมาย


ทุกคนในห้องโถงต่างดูคลิปนั่นด้วยความตกตะลึง ส่วนเจ้าตัวดูเหมือนจะไม่ยอมง่ายๆ เลยถูกซันจับล๊อคไว้ ไม่ต้องถามผมก็รู้ว่าใครเป็นคนทำคลิปนี่ ไม่มีใครนอกจากเมเกอร์ ที่ให้จิวกับอาร์มไปช่วยคงต้องการคนที่ช่วยเปิดทางห้องโสตกับข้อมูลเชิงลึกจากจิว รวมกับความสามารถของเบซิลทุกอย่างเลยสำเร็จออกมาด้วยดี


ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้มากเพราะหลักฐานเห็นอยู่คาตา


น่าเสียดายที่ผมไม่ได้อยู่เห็นตั้งแต่เริ่ม


“ท่านรองมาแล้ว” เสียงของจูนเรียกสายตาเกือบทุกคู่หันมามองผมที่พาตัวคนร้ายเข้ามา


“จัดการกันเร็วดีนี่” ผมเอ่ยชมเบซิลที่ยืนอยู่ด้านข้างและทุกๆ คน กระสุนเมื่อครู่ยิงฝังลงมาบนพรหมทำให้ไม่มีผู้บาดเจ็บ


“แน่นอน ขอรางวัลด้วย” เบซิลไม่รอช้ารีบเดินยิ้มเข้ามาหา


“เหมือนเราจะไม่ได้ตกลงกันนะ”


“ให้รางวัลผมฉลองที่จับคนร้ายได้หน่อยสิ อย่าใจร้ายน่าใบไธม์”


“ไม่ต้องมาโอดครวญเลย”


และแล้วคดีใหญ่สุดในรอบหลายปีก็ปิดฉากลง ผู้บัญชาการภีรภัณฑ์มีท่าทีตกใจมากเมื่อรู้เรื่องราวทุกอย่างทว่าไม่นานก็ตัดสินใจให้กฏหมายลงโทษตามความผิดที่ได้ก่อไว้พร้อมทั้งปลดออกจากราชการ ดังนั้นต่อให้พ้นโทษก็ไม่สามารถกลับมาเป็นตำรวจได้อีกแล้ว


ความหวาดระแวงของทางฝั่งตำรวจและทหารคลี่คลายลงโดยครั้งนี้หน่วยสืบสวนพิเศษได้รับคำชื่นชมจากผู้บัญชาการสูงสุดของทั้งสองฝั่งเต็มๆ ที่น่าดีใจคือหัวหน้าไพลสันต์แม้จะมีตำแหน่งเท่ากันกับผู้บัญชาการอีก 2 คนแต่ดูเหมือนพวกเขาจะให้ความเคารพและเกรงใจขึ้นมามากจนจิวกับเบียร์แอบกระซิบว่าผู้นำสูงสุดตัวจริงก็คือหัวหน้าไพลสันต์ของหน่วยสืบสวนพิเศษนี่แหละ

...............................................................

สวัสดีค่ะ

มาต่อแล้วกับฉากความมันส์ของการรวมตัวกันของหน่วยสืบสวนพิเศษ

พอแต่งไปก็รู้สึกเหมือนเราจะชอบแนวนี้แฮะ

ค่อนข้างถูกใจความสัมพันธุ์ของทั้งคู่ในตอนนี้มากเลย ฟินนนน

เนื้อเรื่องดำเนินมาเกินกว่าครึ่งแล้วอีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้วค่ะ

น่าจะจบใกล้ๆ กับอีกเรื่องที่แต่งอยู่

ไม่ม่อะไรจะพูดนอกจากขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเม้นท์และกำลังใจที่ให้เสมอนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบายค่า

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่13) 28/7/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 28-07-2018 12:10:40
ตอนแรกคิดว่าจะมีการบู๊มากกว่านี้นะไม่คิดว่าจะปิดคดีกันเร็วแบบนี้ แต่ไม่ใช่ไม่ดีนะเพราะต่อจากนี้จะได้เห็นความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้นของใบไธม์กับเบซิลแล้ว  รางวัลของการจับคนร้ายได้คือการตอบตกลงเป็นแฟนรึเปล่า
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่13) 28/7/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-07-2018 13:17:27
 :pig4: :pig4: :pig4:

ปิดคดีไวมากกกกกกกก
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่13) 28/7/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-07-2018 18:45:41
คดีต่อไป ส่งมาด่วนเลย  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่13) 28/7/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 28-07-2018 20:08:06
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่13) 28/7/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 28-07-2018 20:51:15
เบซิลทำให้ปิดคดีได้เร็วมาก
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่13) 28/7/61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 10-08-2018 20:38:09
สืบรัก彡คดีที่14



“พี่ไธม์!” เสียงหวานจากจากน้องสาวเพียงคนเดียวของผมดังขึ้นทันทีที่เปิดประตูบ้านเข้าไป เธอวิ่งออกจากห้องนั่งเล่นพร้อมโผลเข้ากอดผมเต็มแรง


“เพกา? ไม่ใช่ว่าป่วย?” ผมใช้มือข้างนึงแตะบริเวณหน้าผากเพื่อวัดไข้ซึ่งอุณหภูมิที่สัมผัสได้นั้นไม่ได้ร้อนขนาดเป็นไข้สูง


อะไรกันเนี่ย


ผมขมวดคิ้วแน่นเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้า ก่อนหน้านี้หลังจากจัดการคดีใหญ่บนเรือสำราญเสร็จผมและเบซิลก็กลับไปยังห้องบนคอนโดตามปกติทว่าตอนกำลังขึ้นไปบนห้องกระวานก็โทรมาบอกว่าเพกาไข้ขึ้นสูงมากรีบให้ผมกลับบ้านด่วน


เพราะคำพูดนั่นทำให้ผมต้องรีบขับรถกลับบ้านมาทั้งที่เพลียเต็มที ยิ่งเวลานี้เป็นเวลาเกือบห้าทุ่มแล้วด้วย ตลอดหลายวันทั้งผมและคนในหน่วยแทบไม่ได้นอน ดังนั้นผมเลยกะจะพักให้หายเหนื่อยสักหน่อย แน่นอนว่าต่อให้เหนื่อยยังไงแต่ถ้าน้องผมไม่สบายผมก็ไม่ลังเลที่จะรีบกลับไปหา


แต่นี่มันแปลกๆ


เพกาไม่ได้ป่วย ไข้ขึ้นนี่


“พี่ไธม์คิดถึงจังเลย” เพกายังคงกอดผมไม่ปล่อย


“พี่ก็คิดถึงเหมือนกัน เข้าไปในบ้านเถอะ” ผมปิดประตูก่อนจะพากันเข้ามาในห้องรับแขกด้านข้างที่ตอนนี้มีครอบครัวของผมนั่งอยู่กันพร้อมหน้าตั้งแต่กระวาน โป๊ยกั๊ก พ่อและแม่รวมไปถึงเจ้าหญิงสัตว์เลี้ยงเพียงหนึ่งเดียวของบ้าน


“กลับมาจริงๆ ด้วย” แม่ดูมีทีท่าตกใจไม่น้อยที่เห็นผมเข้ามา


“ผมบอกแล้วว่าพี่ต้องรีบมาแน่” กระวานหันไปพูดกับแม่ด้วยรอยยิ้ม


“พ่อว่าเราทำไม่ถูกนะ” ใบหน้าของพ่อดูเจื่อนๆ คล้ายกำลังรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย


“ผมก็บอกอยู่ว่าอย่าเลย พี่ไธม์ยิ่งงานยุ่งๆ อยู่ด้วย” โป๊ยกั๊กเป็นอีกหนึ่งเสียงที่ดูไม่เห็นด้วยแถมยังมองมาทางผมเป็นเชิงขอโทษอีก


“นี่อย่าบอกนะว่า...โกหกเพื่อให้ผมกลับมาน่ะ” ผมถามตามตรงโดยสายตาเลื่อนไปหยุดอยู่ที่กระวานซึ่งผมคิดว่าคนต้นคิดของเรื่องนี้แน่ๆ


“...โทษทีพี่ชายก็พวกเราไม่ได้เจอกันตั้งนานนี่แถม...”


“หนูคิดถึงพี่ไธม์” ยังไม่ทันที่กระวานจะพูดจบเพกาก็ตะโกนแทรกพร้อมกอดผมไม่ปล่อย เพกาเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของครอบครัวเราที่พึ่งอายุ 13 ปีเท่านั้น ด้วยความน่ารักและขี้อ้อนนั้นทำให้เธอเป็นเหมือนนางฟ้าของบ้านหลังนี้ก็ไม่ผิด


แน่นอนว่าเพกาเองมีพลังแบบเดียวกับผมและน้องชายทั้ง 2 คนทว่าเป็นพลังที่มีประโยชน์กว่ามาก พลังนั้นคือหากลงมือปลูกต้นไม้ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ดอกไม้หรืออะไรก็ตามต้นไม้นั้นจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและเร่งให้ออกดอกออกผล ในสวนเล็กๆ ของบ้านเองตอนนี้ก็มีการปลูกพืชผักต่างๆ สำหรับเอาไว้ใช้ในร้านอาหารของพ่อโดยมีเพกาเป็นคนช่วยปลูก ส่วนใหญ่จะเป็นต้นไม้ที่ให้ผลอย่างแอปเปิ้ลหรือมะม่วง


“เข้าใจแล้ว พี่เองก็ขอโทษที่ไม่ได้มาหาเลยนะเพกา” ผมย่อตัวลงให้อยู่ในระนาบเดียวกับน้องสาวพร้อมกับวางมือลงบนเส้นผมสีดำยาวแล้วลูบเบาๆ


ผมเข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว เพกาคงอยากเจอผมเลยให้กระวานช่วย กระวานจึงโทรมาหลอกว่าเพกาป่วยเพื่อให้ผมรีบกลับมาเพราะถ้าแค่โทรมาหาปกติผมอาจจะไม่มาก็เป็นได้ ยิ่งช่วงที่คดียุ่งๆ มีไม่น้อยที่ผมไม่กลับบ้าน แม่เองคงไม่คิดว่าแผนตื้นๆ จะเรียกผมให้กลับมาได้ ส่วนพ่อกับโป๊ยกั๊กคงไม่เห็นด้วยกับแผนการนี่นัก เพราะถ้าเห็นด้วยคงไม่ทำหน้าสำนึกผิดกันขนาดนี้หรอก
ความจริงผมไม่โกรธอะไรหรอก ออกจะเข้าใจด้วยซ้ำ


“พี่ไม่ได้ทิ้งคดีอะไรมาใช่ไหม” โป๊ยกั๊กถามต่อ


“พึ่งเสร็จไปเมื่อตอน 4 ทุ่ม” ผมบอกพลางนั่งลงยังโซฟาข้างๆ แม่โดยมีเพกากระโดดขึ้นมานั่งบนตัก ด้วยอายุที่ต่างกันเป็น 10 ปีของผมและเพกาทำให้บางทีผมรู้สึกเอ็นดูเธอคล้ายลูกมากกว่าน้องสาว


“ท่าจะคดีที่เกี่ยวกับทางการสินะ” แม่ถามบ้าง สายตาของแม่มองมายังชุดที่ผมใส่อยู่ แค่นั้นก็มาพอให้เดาได้แล้วว่าเป็นคดีอะไร เพราะถ้าเป็นคดีปกติผมจะไม่ใช่เสื้อนอกของหน่วยสืบสวนพิเศษ


“ครับ ค่อนข้างยากทีเดียว” กว่าจะสืบสาวจนรู้เรื่องทุกอย่างใช้เวลานานมาก


“ใช่คดีที่ออกข่าวว่าฝั่งตำรวจกับทหารโจมตีกันเองรึเปล่าพี่” สมแล้วกับที่เป็นโป๊ยกั๊กเชื่อมโยงเหตุการณ์และความน่าจะเป็นได้ดีมาก


“ใช่ แต่จบแล้วล่ะ”


“พี่ผมสุดยอดที่สุด แล้วจะได้เห็นพี่ในโทรทัศน์ไหม” ท่าทางของกระวานทำเอาผมหลุดหัวเราะออกมา


“ไม่เห็นแน่นอน” ผมฟันธง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะเผยแพร่ออกสื่อได้ง่ายๆ ต่อให้มีเผยแพร่คงไม่มีติดชื่อผมหรือคนในหน่วยสืบสวนพิเศษ มากสุดคงเป็นชื่อของหัวหน้าไพลสันต์


“ว้า เสียงดายจัง”


“หิวไหมไธม์” พ่อที่นั่งอยู่ถัดจากแม่ชะโงกหน้ามาถาม


“นิดหน่อยครับ” จะว่าไปตั้งแต่ขึ้นเรือไปก็ไม่ได้แตะทั้งเครื่องดื่มหรืออาหารเลย


“งั้นพ่อจะทำมื้อดึกให้ ทุกคนเอาด้วยไหม” พ่อลุกขึ้นพลางถามทุกคน


“ก็ดีนะ ขอของที่เบาๆ ละกัน” แม่พูดคนแรก


“อยากกินเนื้อ” กระวานยกมือเสนอพร้อมเอฟเฟ็กเสียงท้องร้อง


“พี่ไธม์กินเนื้อไม่ได้ เอาอย่างอื่นดีกว่ามั้ง” โป๊ยกั๊กหันไปบอกกระวาน


“ไม่เป็นไร พี่กินอย่างอื่นได้ พ่อไม่ได้ทำอย่างเดียวนี่” เรื่องหารผมค่อนข้างเป็นปัญหาเวลากินข้าวพร้อมหน้ากัน เพราะแบบนั้นผมเลยมักให้พ่อทำอาหารที่ผมกินได้แค่อย่างเดียวที่เหลือก็ให้น้องๆ เลือกกันไปว่าอยากกินอะไร


“หนูอยากกินของหวานเป็นพุดดิ้ง” เพกาเสนอบ้าง


“ได้เลยเดี๋ยวพ่อจะทำสุดฝีมือเลยนะทุกคน” ใบหน้าของพ่อดูมีความสุขมากที่จะได้ทำอาหารให้ทุกคนในครอบครัวกิน มีไม่บ่อยนักที่พวกเราจะได้กินอาหารกันพร้อมหน้า


หลังจากผมเรียนจบก็ออกจากบ้านไปอยู่คอนโดทำให้เวลาในการมาเจอไม่ค่อยตรงกัน บางครั้งที่มาเจอแค่พ่อคนเดียวบ้าง แม่ออกไปโรงพยาบาลบ้างหรือโป๊ยกั๊กและเพกาไปเรียนบ้าง ผมเลยรู้สึกดีใจที่วันนี้ได้มารวมกันพร้อมหน้า


เหมี๊ยว~


“ไม่ได้เจอกันนานเลยเจ้าหญิง” ผมก้มลงไปทักทายแมวสีดำผูกโบว์สีชมพูด้านข้างโซฟา


“วันนี้ค้างเนอะไธม์” แม่ขยับเข้ามาถาม แม่ของผมเองมีพลังที่สามารถมองเห็นวิญาณหรือผีได้ และแม่ก็ดันทำงานอยู่ในโรงพยาบาลทำให้มีหลายครั้งที่จะมีวิณญาณตามมาถึงบ้านด้วย จำได้เลยว่าตอนเด็กๆ ผมยืนมองแม่คุณกับใครสักคนทั้งที่บริเวณนั้นไม่มีใครอยู่เลยนอกจากแม่


“ได้ครับ” ผมพยักหน้าตอบ ดึกขนาดนี้จะให้ขับกลับคงได้แต่อยากอยู่กับครอบครัวนานกว่านี้อีกสักหน่อย


“นอนกับหนูไหม” เพกาพูดพลางเงยหน้าขึ้นมองผม


“ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่จะตอนกับกระวานและโป๊ยกั๊ก” ผมยิ้มให้เพการะหว่างตอบ โป๊ยกั๊กกับกระวานนอนห้องเดียวกันผมเลยจะเอาผ้านวมไปปูนอนตรงกลาง ส่วนผมตอนอยู่บ้านนี้มีห้องส่วนตัวอยู่ก็จริงแต่ตอนนี้กลายเป็นห้องของเพกาไปแล้ว


“อยากนอนกับพี่ไธม์จัง แต่ไม่เป็นไร ตอนเช้าพี่ไธมต้องไปดูสวนกับหนูนะ” เพกาทำหน้าเศร้าไม่นานก็กลับมาร่าเริงอีกครั้ง


“ได้สิ” ผมพยักหน้าตกลง


จากนั้นไม่นานพ่อก็ทำอาหารทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายแบบไม่ว่าจะเป็นผักโขมอบชีส ยำเนื้อย่าง มันบดราสซอสพริกไทยดำและอื่นๆ อีกหลายอย่าง แม้จะดูน่ากินและอร่อยมากแค่ไหนแต่มื้อดึกเล่นของหนักๆ แบบนี้พ่อเลยถูกแม่บ่นไปหนึ่งยกก่อนพวกเราจะลงมือกิน


ฝีมือของพ่อไม่ต้องพูดถึงรสชาติเพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็อร่อยอยู่แล้ว


เชื่อไหมว่าอาหาร 8 อย่างบนโต๊ะเกลี้ยงในเวลาไม่กี่ชั่วโมง กว่าจะได้เข้านอนเวลาก็ล่วงเลยมาถึงตี 1 ในห้องนอนของน้อยชายถูกแบ่งเป็นสองฝากซึ่งโป๊ยกั๊กเป็นคนปูฟูกให้ผมนอนตรงกลางระหว่างทั้งสองเตียง


“พี่ขึ้นมานอนข้างบนไหม ผมจะนอนข้างล่างเอง” โป๊ยกั๊กถามท่ามกลางความมืด ตอนนี้พวกเราปิดไฟเข้านอนกันเรียบร้อยแล้ว


“ไม่เป็นไร นอนไปเถอะโป๊ยกั๊กพรุ่งนี้มีเรียนนี่เดี๋ยวตื่นสายหรอก” นอนพื้นแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยแถมมีฟูกปูให้อีก


“แหม ให้พี่ไธม์นอนได้ ทีฉันขอไปนอนบ้างนี่แทบจะถีบกระเด็น พี่ไธม์ผมถูกน้องแกล้ง” กระวานได้ทีฟ้องเรื่องโป๊ยกั๊กให้ผมฟังยกใหญ่


“นอนน้ำลายยืดแบบนั้นใครจะให้มานอนล่ะ” โป๊ยกั๊กพูดสวน


“ไม่ได้น้ำลายยืดสักหน่อย”


“งั้นก็น้ำลายหก”


“พี่ไธม์ผมถูกใส่ร้าย” เมื่อรู้ว่าเถียงไม่ชนะก็รีบมาขอขอความเป็นธรรม


“พี่ว่าพูดจริงมั้ง”


“หึ เห็นไหมพี่ไธม์ยังรู้เลย”


“พี่เข้าข้างโป๊ยกั๊ก แล้วผมล่ะ ผมไม่ใช่น้องรักพี่แล้วเหรอ” กระวานไม่ยอมง่ายๆ เด้งตัวลุกขึ้นมานั่งบนเตียง แม้จะอยู่ในความมืดแต่ผมสัมผัสได้ว่าสายตาที่ส่งมาให้นั่นคล้ายเด็กอายุ 5 ขวบ


“คิก พี่รักทุกคนแหละน่า นอนได้แล้ว” เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขมาก เป็นความสุขคนละแบบกับตอนที่อยู่กับเบซิล แม้จะคนละแบบแต่ก็พานให้หัวใจรู้สึกอิ่มเอมขึ้นมา


“พี่ไธม์ พรุ่งนี้เช้าไปซ้อมกันหน่อยไหม” โป๊ยกั๊กถามต่อ ซ้อมที่ว่าหมายถึงการฝึกซ้อมการต่อสู้ในช่วงเช้า ทุกครั้งที่ผมมาค้างมักจะซ้อมช่วงเช้ากับโป๊ยกั๊กเสมอ


“ได้เลย เช้าหน่อยก็ดีนะเพราะพี่ต้องไปดูสวนกับเพกาต่อ”


“ไม่มีปัญหา”


“พี่กลับมาทีนี่ถูกแย่งตัวตลอดเลยนะเนี่ย ทั้งเพกาทั้งโป๊ยกั๊ก” กระวานที่นอนอยู่พูดขึ้น


อย่างว่าแหละ ผมกลับมาทีไรมักถูกยื้อแย่งตัว...บางวันไม่ใช่แค่เพกาหรือโป๊ยกั๊กแต่เป็นพ่อที่ให้ช่วยเข้าครัวทำมื้อเช้าควบทำปิ่นโตให้กับทุกคนไปกินมื้อกลางวัน


“เราก็ตื่นเช้าสิ เดี๋ยวพี่เล่นเกมด้วย” ผมลองเสนอ


“ไม่เอาหรอกพี่ เช้าขนาดนั้นหัวผมไม่แล่น...ขืนเล่นแพ้พี่ทุกตาชัวร์” กระวานส่ายหัวไปมาอยู่บนหมอนตัวเอง ท่าทางแบบนั้นทำเอาผมหลุดขำออกมาอีกรอบ


“ตื่นทุกวันเดี๋ยวก็ชิน” ตื่นเช้าๆ น่ะพอทำบ่อยๆ ทุกวันเราจะตื่นได้เองเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องพยายามตื่นหรือตั้งนาฬิกาปลุกให้ดังทุก 5 นาที


“ไม่ไหววว~”


“เดี๋ยวพี่ปลุก”


“ไม่เอานะพี่ ผมต้องนอนให้ครบ 8 ชั่วโมงเพื่อสุขภาพที่ดี”


“พี่จะปลุกตอน7โมง แล้วเราไปสวนกับเพกากัน” ผมสรุปแทน


“พี่ไธม์อ่า”


“เดี๋ยวผมช่วยพี่ปลุกอีกแรง” โป๊ยกั๊กพูดเสริม


“ไม่ต้องเลยนะ”


“นอนได้แล้วทั้งคู่”


“ครับ”


สุดท้ายค่ำคืนอันแสนยาวนานก็ได้ผ่านพ้นไปจนถึงรุ่งสางของวันต่อไป แสงสว่างจากด้วยอาทิตย์ส่องผ่านผ้าม่านเข้ามาถึงด้านในห้องเรียกสติที่จมดิ่งอยู่ในห้วงนิทราให้ตื่นขึ้น ผมลุกขึ้นนั่งพลางลูบใบหน้าตัวเองไปมาคลายความงัวเงียในยามเช้า


พอผมเริ่มขยับตัวโป๊ยกั๊กที่หลับสนิทจนถึงเมื่อครู่ก็เริ่มขยับตัวตาม ไม่ช้าโป๊ยกั๊กลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยความงัวเงียไม่ต่างจากผมนัก อาจเพราะเมื่อคืนพวกเราอยู่ถีงตี1กว่าทำให้ยังรู้สึกว่านอนไม่เต็มอิ่มเท่าที่ควร


“นอนต่อก็ได้นะ ต้องเรียนทั้งวันนี่ ซ้อมไว้คราวหน้าก็ได้” ผมลุกขึ้นยืนระหว่างพูดกับโป๊ยกั๊ก


“ผมไหว นานๆ ทีจะได้ซ้อมกับพี่จะให้รอคราวหน้าได้ยังไง”


“งั้นพี่ลงไปก่อน ล้างหน้าเสร็จตามไปที่สวนนะ”


“ครับ”


ผมก้าวลงบันไดไปล้างหน้าที่ห้องครัวก่อนจะเปิดประตูตรงระเบียงออกไปยังสวนด้านข้างตัวบ้าน กระแสลมเย็นๆ พัดเข้าร่างทันทีที่เปิด ความเย็นแต่ไม่มากถึงขั้นหนาวช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นไม่น้อย


เหมี๊ยว~


“อรุณสวัสดิ์เจ้าหญิง” ผมทักทายแมวดำที่มีเอกลักษณ์ตรงมีลายคล้ายถุงเท้าสีขาวอยู่ทั้ง 4 ข้าง เจ้าหญิงเงยหน้าขึ้นมามองผมเล็กน้อยจึงกระโดดออกไปยังสวน


รอไม่กี่นาโป๊ยกั๊กก็ตามลงมา พวกเราจึงเริ่มฝึกซ้อมในช่วงเช้าโดยเริ่มจากการยืดกล้าเนื้อเบาๆ ไปจนถึงการฝึกซ้อมต่อสู้ของจริง ส่วนตัวผมอยากให้น้องๆ ทุกคนเป็นการต่อสู้ ไม่ใช่เพื่อเอาไว้ทำเท่แต่มีไว้เพื่อป้องกันตัวเวลามีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นจะได้เอาตัวรอดได้


ผมใช้เวลาในการฝึกซ้อมกับโป๊ยกั๊กเกือบชั่วโมงจึงขึ้นไปหาเพกาทว่าเธอกำลังนอนหลับสนิทจนไม่เปลี่ยนใจที่จะไม่ปลุก เมื่อคืนอยู่รอผมถึง 5 ทุ่มแถมยังกินมื้อดึกจนถึงเที่ยงคืนอีกคงจะหนักเกินไปสำหรับเด็กในวัยเพียง 13 ในเมื่อไม่ควรปลุกเพกาผมเลยเปลี่ยนไปปลุกกระวานแทน เชื่อไหมว่าผมทั้งใช้เสียงปลุก ทั้งเขย่าตัวหรือแม้แต่ดึงผ้าห่มออกเจ้าตัวก็ยังคงหลับต่อโดยไม่มีทีท่าจะตื่นสักนิด พอผมไปบอกเรื่องนี้กับโป๊ยกั๊กเขาจึงอาสาเป็นคนไปปลุกให้


ไม่อยากเชื่อว่าไม่กี่นาทีต่อมาโป๊ยกั๊กจะลงมากับกระวานในสถาพหัวพูเหมือนรังนกโดยมีพ่อเดินตามลงมาอีกคน เหมือนวันนี้แม่จะเข้ากะสายเลยมีเวลานอนพักอีกหน่อย


มื้อเช้าของครอบครัวผมช่วยพ่อทำอาหารง่ายๆ อย่างขนมปังปิ้งบวกกับแฮม ไส้กรอกและไข่ดาว ส่วนของตัวผมเองนั้นเป็นคอนเฟรกธัญพืชกินคู่กับนม เพกาที่ตื่นมาช่วง 7 โมงครึ่งทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ที่ไม่ได้ออกไปดูสวนกับผมอย่างที่ตั้งใจ


ผมได้แต่บอกว่าครั้งหน้าแล้วให้โป๊ยกั๊กไปส่งเพกาที่โรงเรียนด้วย ทั้งคู่อยู่โรงเรียนเดียวกันโป๊ยกั๊กจึงไปส่งเพกาให้ได้มีช่วงเลิกเรียนบางวันที่ต้องทำกิจกรรมต่อจะให้พ่อขับรถไปรับเพกาก่อน ในช่วงสายผมบอกลาทุกคนในบ้านแล้วขับรถมุ่งหน้ากลับคอนโด
หวังว่าเบซิลจะไม่เป็นไรนะ


ตอนแรกผมคิดไว้แล้วว่าหลังจากจบเรื่องจะบอกคำตอบให้อีกฝ่ายฟังทว่ากลับมีเรื่องให้ต้องรีบกลับบ้าน ถ้าเป็นแบบนี้เมื่อเจอหน้ากันผมต้องให้คำตอบที่ชัดเจนไปเลย ปล่อยให้เวลาผ่านไปเป็นวันเหมือนผมผิดสัญญาซึ่งผมไม่ชอบเลยเวลาทำผิดสัญญาไม่ว่าจะเป็นสัญญากับตัวเองหรือคนอื่นก็ตาม


แกร็ก!


“เบซิลโทษทีที่...อ๊ะ!” ทันทีที่เปิดประตูห้องเข้าไปร่างของผมก็ถูกดึงเข้าไปด้านในพร้อมกับอ้อมแขนที่โอบรัดแน่นจนแทบขยับตัวไปไหนไม่ได้ แม้จะไม่เห็นหน้าแต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายคือเบซิล


สัมผัสและกลิ่นไอนี่ต่อให้ไม่อยู่ในร่างสัตว์ผมก็ยังจำได้


วิธีการกอดของเบซิลต่างจากคนอื่นคนละขั้ว คนอื่นเวลากอดก็จะทำเพียงใช้แขนโอบกอดธรรมดาทว่าเบซิลกลับกอดรัดแน่นราวกับผมเป็นสิ่งสำคัญที่จะไม่ยอมปล่อยให้หายไปไหน อีกทั้งยังซุกใบหน้าลงมาคลอเคลียกับต้นคอผมให้ขนลุกเล่น


“ช้า” นี่คือคำทักทายแรกจากเบซิล


“โทษทีพอดีช่วยพ่อนิดหน่อยน่ะ เสียงดูวังเงียนะ...พึ่งตื่น?”


“ไม่ใช่พึ่งตื่น ยังไม่ได้นอนต่างหาก” เบซิลพึมพำตอบกลับมา


“ยังไม่ได้นอน? ผมบอกแล้วนี่ว่าอาจไม่กลับให้นอนไปก่อนเลยน่ะ” ผมเริ่มบ่นเมื่อได้ยินคำตอบเมื่อครู่ ตลอดหลายวันที่ผ่านมาก็แทบไม่ได้นอนกัน พอเรื่องจบแล้วทั้งที่จะนอนหลับพักให้หายเหนื่อยกลับไม่ยอมนอนอีก


“พยายามนอนแล้ว แต่ไม่หลับ...ถ้าไม่มีใบไธม์อยู่ข้างๆ ”


“...ไปนอนเถอะ ผมกลับมาแล้วนี่ไง” ใจจริงผมอยากสวนกลับว่าอย่ามาหยอดทั้งๆ ที่ตายังลืมแทบไม่ขึ้นแต่ก็ต้องเปลี่ยนคำพูดเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้หยอดแต่เป็นความจริงที่บอกออกมา ผมอยู่กับเบซิลมานานจนรู้ว่าอะไรคือหยอดและอะไรคือความจริง

 แม้จะรู้ว่าเป็นความจริงแต่คำพูดนั่นยังไงก็เหมือนกำลังโดนหยอดจีบอยู่ดี


“จะให้ผมนอนคนเดียว?”


“หมายถึงอะไร”


“ใช่สิ คุณนอนหลับสนิทอย่างมีความสุขมีแค่ผมที่คิดถึงคุณจนนอนไม่หลับ แบบนี้มันไม่แฟร์” เบซิลพูดพร้อมกับคลายอ้อมกอดออกแล้วดึงผมไปยังเตียง


“ไม่แฟร์ยังไง”


“รับผิดชอบด้วยที่ทำให้ผมนอนไม่หลับ”


“รับผิดชอบ? มันไม่ใช่ความผิดผม...เฮ้ย!” ผมถึงกับร้องลั่นเมื่ออยู่ๆ ก็ถูกเบซิลดึงขึ้นไปนอนด้วยกันบนเตียงโดยมีอีกฝ่ายขยับตัวเข้ามากอดผมแน่นพร้อมซุกตัวคล้ายกำลังควานหาไออุ่นจากร่างกายผม


“ความผิดคุณนั่นแหละ ผิดที่อ่อนโยนจนผมตกหลุมรัก...”


“เบซิล” ผมเรียกอีกฝ่ายที่ทำเสียงงัวเงียเหมือนคนใกล้หลับเต็มที


“ผิดที่ทำให้ผมหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น...”


“...” ผมเงียบลงเพื่อจะได้ฟังสิ่งที่เบซิลกำลังพูด


“ผิดที่ทำให้ผมรักจนหมดหัวใจ” แม้น้ำเสียงจะเต็มไปด้วยความงัวเงียแต่ผมไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคำพูดเหล่านั้นมีพลังในการทำลายไม่น้อยกว่าน้ำเสียงตอนปกติเลย ตั้งแต่ได้ยินประโยคแรกหัวใจมันก็เริ่มเต้นเร็วขึ้น


ประโยคที่สองทำเอาความร้อนจากทั่วร่างกายมาปรากฏอยู่บริเวณใบหน้า และทันทีที่ได้ยินคำพูดสุดท้ายตัวผมก็คล้ายกับระเบิดเวลาที่นับถอยหลังรอการปะทุ


ความรู้สึกของเบซิลผมรับรู้ได้อย่างชัดเจนเช่นเดียวกับความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ กับเบซิลเริ่มต้นจากคนธรรมดาที่ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรต่อผมสักนิด แต่เพราะโชคชะตาหรือพรหมลิขิตก็ไม่รู้ทำให้พวกเราต้องมาทำงานร่วมกันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จนกระทั่งเข้ามาอยู่ร่วมห้องเดียวกัน ได้รู้จักและคลุกคลีด้วยกันแทบทุกนาที


จากไม่มีอิทธิพลใดๆ กลับกลายเป็นมีอิทธิพลอย่างมหาศาลตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้


รู้เพียงตัวตนของอีกฝ่ายมีมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่อาจหยุดได้เพียงแค่คำว่าเพื่อนร่วมง่านหรือเพื่อนสนิท มันเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนและลึกล้ำกว่านั้นมาก ไม่สิ คิดอีกแง่มันก็เป็นเพียงความรู้สึกง่ายๆ ที่สามารถมองข้ามไปได้ไม่ยาก


“ชอบ...ชอบคุณ” ผมกระซิบเสียงเบาอยู่ในอ้อมกอดของเบซิล


ชอบเบซิล


รักเบซิล


ผมรักเขา



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่14) 10/8/61 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 10-08-2018 20:38:39
(ต่อนะคะ)


“ฟรี้~...” เสียงกรนเบาๆ แว่วเข้าหูผม นั่นเป็นสัญญาณว่าอีกฝ่ายกำลังหลับสนิท


ดูเหมือนจะไม่ได้นอนเลยทั้งคืนจริงๆด้วย


น่าเสียดายที่เสียงของผมไปไม่ถึงในเวลานี้


แต่ไม่เป็นไร


ถ้าเขาตื่นผมจะบอกอีกครั้งเอง...


จะบอกถึงความรู้สึกที่ชัดเจนแล้วนี่


พวกเราจะได้ก้าวเดินไปข้างหน้ากันสักที


ในตอนแรกผมทำเพียงนอนนิ่งๆ เป็นหมอนข้างรอให้เบซิลต่อแต่ไม่นานผมก็เป็นฝ่ายผล๋อยหลับไปด้วยอีกคน ความเหนื่อยล้าจากการโหมงานทำให้พวกเราหลับยาวตั้งแต่ 10 โมงยันบ่าย 3 โดยไม่มีการสะดุ้งตื่นใดๆ แม้จะตื่นขึ้นมาแต่ตัวผมยังคงถูกอ้อมกอดของเบซิลกอดแน่นและไม่มีทีท่าจะคลายอ้อมกอดนี้ง่ายๆ


“คุณกลัวผมจะหายไปรึไงกันเบซิล” ผมพึมพำระหว่างขยับตัวเพื่อออกจากอ้อมแขนนี่ อยู่ท่าเดิมมาตลอดหลายชั่วโมงร่างกายฝั่งซ้ายชาไปหมดแล้ว


“...อื้อ” เสียงครางคล้ายคำตอบนั่นทำให้ผมหลุดยิ้มออกมา


ขนาดหลับอยู่ยังตอบได้อีกนะคนเรา


ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าผมจะสามารถพาตัวเองออกมาจากเบซิลได้ สิ่งแรกที่ผมทำคือไปอาบน้ำและออกมาเตรียมอาหารเย็น ผมพอจะเดาได้ว่าเบซิลนอกจากจะไม่ได้นอนแล้วคงยังไม่ได้กินอะไรแน่ ตื่นมาผมคงบ่นเรื่องนี้ก่อนจะพูดเรื่องอื่น


สิ่งที่ร่างกายของมนุษย์จะขาดไม่ได้คืออาหารและการพักผ่อน เล่นขัดมันซะทุกอย่างแบบนี้ถ้าไม่ป่วยก็แปลว่าทำบ่อยจนร่างกายชินชา อาหารเย็นผมเลือกจะทำของง่ายๆ อย่างพวกต้มจืดผักกาดขาวใส่ไส้ห่อด้วยเต้าหู้ปรุงรสและทำกระเพราเห็ดกับเต้าหู้อบวุ้นเส้น ข้าวหอมมะลิที่หุ้งตั้งแต่ก่อนอาบน้ำบัดนี้สุกเรียบร้อย ที่เหลือก็แค่เอาอาหารไปตั้งบนโต๊ะแล้วไปปลุกเบซิล...


“ใบไธม์” พูดยังไม่ขาดคำเสียงเรียกก็ดังขึ้นพร้อมกับแขนสองข้างที่หมายจะสวมกอด แต่เพราะรู้ทันผมจึงเบี่ยงหลบก่อนยกผัดกระเพราะปละเต้าหู้อบวุ้นเส้นไปตั้งโต๊ะ


“ไปล้างหน้าแล้วค่อยมากินข้าว” ผมหันไปบอดเบซิลที่เกือนหน้าคะมำ


“ให้ผมกอดหน่อยสิ ไม่ได้เจอกัน 11 ชั่วโมงกับอีก 47 นาทีเลยนะ”


“พูดขนาดนั้นบอกวินาทีมาด้วยก็ได้”


“ได้ ผมไม่เจอใบไธม์มา 11 ชั่วโมง 47 นาทีกับ 39 วินาที” คำพูดประชดของผมถูกสวนกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง นี่จับเวลาอยู่จริงๆ เหรอเนี่ย


“ไปล้างหน้าแล้วอาบน้ำด้วย เสื้อผ้ายังชุดเดิมกับเมื่อวานอยู่เลย ซกมก!” ผมเพิ่มคำสั่ง พึ่งสังเกตเสื้อผ้าอีกฝ่ายตรงๆ ก็ตอนนี้เอง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเชิ้ตด้านในหรือเสื้อนอกแม้แต่กางเกงก็ยังเป็นตัวเดิมที่ใส่เมื่อวาน


นี่หมกมากเป็นสิบชั่วโมงโดยไม่อาบน้ำได้ยังไงเนี่ย


ถ้ารู้แบบนี้ผมถีบตกเตียงไปแล้วไม่ยอมให้กอดอยู่เป็นชั่วโมงหรอก


“...ก็ได้” เมื่อเห็นใบหน้าจริงจังของผมเบซิลจึงต้องยอมเดินเข้าไปในห้องน้ำโดยดี


อยากจะถอนหายใจดังๆ


นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากจะทำสักหน่อย


เบซิลใช้เวลาในการจัดการทุกอย่างไม่ถึง 20 นาทีก็เดินออกมาจากห้องน้ำในชุดลำลองในยามปกติ เส้นผมสีเทาที่เปียกปอนนั่นแปลว่าคงสระผมด้วย เอาล่ะ ถ้าเป็นตอนนี้คงไม่มีอะไรมาขัดอีก


ผมจะให้คำตอบเบซิลแล้วนะ


“เบซิล”


“ฮืม?”


“คือ...”


โครกกกก~


เสียงท้องร้องจากเบซิลดังขึ้นตัดประโยคที่ผมใช้ความกล้าอย่างมากกว่าจะเอ่ยออกไปได้ สภาพผมในตอนนี้เหมือนรูปปั้นที่ยืนนิ่งค้างไม่ขยับเขยื่อน


“โทษทีผมไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน มีอะไรพูดมาได้เลย”


“...กินข้าวกันก่อนเถอะ” สุดท้ายผมกต้องเปลี่ยนคำพูด จะให้พูดต่อทั้งที่ท้องอีกฝ่ายยังส่งเสียงประท้วงก็คงไม่ดีนัก


“คุณเหมือนกำลังเครียดนะ” เบซิลพูดระหว่างตักเต้าหู้อบวุ้นเส้นเข้าปาก


“อืม” เครียดมากเลยแหละ


จะจริงจังทีไรดันมีเรื่องมาขัดตลอด


“เรื่องเกี่ยวกับผมสินะ”


“...มองออกเหรอ” รู้อยู่แล้วว่าคงปิดบังหรือตบตาอะไรเบซิลไม่ได้


“มองออกอยู่แล้ว เพราะผมมองใบไธม์มาตลอดนี่”


“เบซิล...”


“ถ้าเรื่องของผมทำให้เครียดก็ปล่อยมันไปเถอะ คำตอบไม่ต้องให้ผมก็ได้” อยู่น้ำเสียงของเบซิลก็เริ่มเปลี่ยนไปจะว่าเศร้าก็ไม่ใช่คล้ายกับกำลังปลงซะมากกว่า


“เข้าใจผิดแล้ว” ผมว่าเบซิลกำลังเข้าใจผิด ที่ผมเครียดไม่ใช่เพราะหาคำตอบไม่ได้หรือไม่แน่ใจในคำตอบแต่เป็นไม่มีโอกาสได้พูดออกไปต่างหาก


“...ผมว่าเข้าใจถูกนะ เพราะใบไธม์ดูมีสีหน้ากังวลอยู่ไม่น้อย”


“เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว ฟังผมนะเบซิล...ที่ผมเครียดไม่ใช่เพราะหาคำตอบไม่เจอแต่เป็นเพราะผมตั้งใจจะพูดแต่ดันมีอย่างอื่นมาขัดตลอด” ผมแทบจะตบโต๊ะอยู่รอมล่อ


“จะพูดอะไรใบไธม์”


“รางวัลที่คุณขอก่อนหน้านี่ผมตกลง”


“รางวัลก่อนหน้านี้หมายถึงเรื่องไหนล่ะ” เบซิลถามต่อ


“อ่ะ...คุณกำลังแกล้งผมใช่ไหมเบซิล” ผมไม่คิดว่าเขาจะลืมหรือจำไม่ได้หรอกนะ


“ผมขอรางวัลคุณเยอะจะตาย ผมจำไม่ได้หรอก”


ผมไม่รู้ว่าเบซิลกำลังแหย่ แกล้งหรือพูดเรื่องจริง สถานการณ์ในตอนนี้ผมไม่มีสติมากพอจะวิเคราะห์ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ แค่คำพูดง่ายๆ อย่าง “ตกลง” ผมก็ใช้ความกล้าทั้งหมดแล้วถ้าต้องทำมากกว่านั้น...


แต่จะให้เป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่ได้


ความสัมพันธ์ของพวกเราในตอนนี้ไม่คืบหน้าไปไหนเพราะตัวผมที่เอาแต่ไม่ชัดเจนและยืดเวลาออกไปตลอด เพราะงั้นในวันนี้ผมจะทำให้พวกเราก้าวไปข้างหน้า...


ก้าวไปด้วยกัน!


“เป็นแฟนกัน นั่นคือรางวัลที่คุณบอกว่าต้องการ...” ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกก่อนจะค่อยๆ เอ่ยทุกอย่างออกไป เบซิลไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาทำเพีบงจับจ้องมายังผมคล้ายกำลังจะตั้งใจฟังประโยคต่อไป...


“และผมตกลงที่จะเป็นแฟนคุณ...เบซิล”


“ยังมีอย่างอื่นที่ต้องบอกผมอีกไม่ใช่เหรอ” เบซิลพูดต่อราวกับล่วงรู้ถึงความคิดของผม


ทั้งอายและเขินแต่ผมรู้ดีว่าถ้าตัวเองไม่พูดทุกอย่างก็จะไม่เปลี่ยน ดังนั้นผมจะพูด...พูดในสิ่งที่ผมได้ใช้เวลาจนหาคำตอบเจอแล้ว


“ผมชอบคุณ”


“แค่ชอบ?”


“...รัก...รักเบซิล” ทั้งร่างกายเกร็งไปหมด ไม่รู้ต้องแสดงท่าทางอะไรออกไปอีกไหม ไม่รู้อะไรทั้งนั้นในตอนนี้


ความรู้สึกแรกหลังพูดออกไปคือความโล่งก่อนจะตามมาด้วยความเขินอายที่พานให้อยากวิ่งหนีออกไปจากสถานการณ์นี้สักสองสามชั่วโมง


ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเบซิลด้วยซ้ำ


“ใบไธม์” เสียงของเบซิลดังขึ้นในระยะประชิดเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นไปก่อนจะต้องชะงักเมื่อถูกฝ่ามือทั้งสองข้างสัมผัสบริเวณแก้มซึ่งกำลังเห่อแดงพร้อมกัน


“...อืม”


“ในทีสุดก็ยอมพูดสักทีนะ ผมรอจนเกือบจะปล้ำคุณก่อนฟังคำตอบแล้ว” ใบหน้านิ่งๆ อยู่ๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ในชั่วพริบตาราวกับทุกอย่างก่อนหน้านี้เป็นเพียงการแสดง...


เดี๋ยวนะ?


นี่อย่าบอกนะว่าตั้งแต่แรกจนถึงผมสารภาพรัก...เป็นแผนการของเบซิลทั้งหมดเลยน่ะ!


“ทั้งหมดนั่นเป็นการแสดงสินะ” ผมกัดฟัดถามออกไป ทั้งน้ำเสียงเศร้าคล้ายปลงกับผมที่ไม่ยอมให้คำตอบซะเต็มประดาตลอดจนคำล่อลอกให้ผมพูดประโยคหน้าอายออกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทุกอย่างนั่นเบซิลจงใจทำเพื่อให้ผมพูด


“อย่าเรียกว่าการแสดงเลย แค่อยากได้ยินคำตอบเร็วๆ เท่านั้นเอง ไม่งอนเนอะที่รัก” เบซิลดูปฏิกิริยาของผมว่าจะเป็นยังไงต่อไป


“ไม่งอนหรอก แต่โกรธ” พูดจบผมไม่รอช้าเหวี่ยงหมัดใส่ใบหน้าอีกฝ่ายเต็มแรงทว่าการฝึกวิชาการต่อสู้ให้ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาส่งผลให้เบซิลสามารถเบี่ยงตัวหลบหมัดได้แม้จะเป็นระยะประชิด


“คิดจะชกแฟนได้ลงคอเหรอใบไธม์” เบซิลพยายามทำให้ผมใจเย็นลงด้วยคำพูด


“ชกเสร็จจะแถมลูกถีบให้ด้วย”


“เขินแรงน่ะเนี่ย”


“เบซิล!” นี่จะกวนอารมณ์ผมจนถึงที่สุดเลยใช่ไหม


“อย่าโกรธผมเลย คุณก็รู้ว่าผมรอคำตอบมานานแค่ไหน...แค่คำว่าตกลงมันไม่พอหรอกนะ”


“เบซิล...”


“ผมรักคุณ...ใบไธม์ ในที่สุดคุณก็ยอมตกลงเป็นแฟนผม” รอยยิ้มของเบซิลต่างจากทุกที ดูอ่อนโยนขึ้นและเปี่ยมไปด้วยความสุขจนทำเอาคนมองอย่างผมถึงกับหน้าเห่อร้อนตาม


“ขอโทษที่ให้รอนานนะ” นานจริงๆ กว่าผมจะหาคำตอบให้ตัวเอง ถึงจะยอมรับแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมให้คำตอบเอาแต่หาทางยืดเวลาออกไปเรื่อยๆ เบซิลต้องรอผมด้วยความรู้สึกแบบไหนกันนะ


ถ้าให้เดาคงไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนักหรอก


“รู้สึกผิดเล็กๆ สินะ” เบซิลเดินเข้ามาประชิดพร้อมกระซิบข้างใบหู


“ถอยออกไป อ๊ะ!” ผมเตรียมจะดันอีกฝ่ายให้ขยับออกห่างแต่เบซิลกลับก้าวเข้ามาใกล้จนผมต้องก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ ไม่นานแผ่นหลังก็สัมผัสกับเคาท์เตอร์เตรียมอาหาร


“ถ้ารู้สึกผิดก็ช่วยตามใจผมสักนิดนะ” ระหว่าพูดมือข้างนึงของเบซิลเริ่มลูบไล้หน้าท้องผมและเลื่อนต่ำลงไปสัมผัสส่วนร้อนใต้กางเกงที่เริ่มตื่นตัวขึ้นทีละน้อยจากการถูกกระตุ้นด้วยความช่ำชอง


“อ๊ะ! ไม่เบซิล ตอนนี้มัน...อื้อออ~”  ริมฝีปากถูกทาบทับและจาบจ้วงโดยไม่ได้รับอนุญาตสร้างความรู้สึกหยาบโลนแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิต จูบอันร้อนแรงนั่นพานให้สมองเริ่มขาวโพลน เช่นเดียวกับท่อนล่างที่ถูกถอดลงไปกองอยู่ที่ข้อเท้าเมื่อไหร่ก็ไม่รู้


รู้แค่ความรู้สึกวาบหวามกระตุ้นทุกประสาทสัมผัสให้โลดแล่นขึ้นไปเรื่อยๆ ร่างกายไม่มีแรงแม้แต่จะผลักอีกฝ่ายออกไปด้วยซ้ำ


“น่ารักจังใบไธม์ ท่าทางคุณในตอนนี้สุดยอดเลย” เบซิลพูดโดยพรหมจูบตั้งแต่หน้าผากลงมาจนถึงแผ่นอก ยอดอกถูกขบเม้มและดูดรั้งคล้ายจะทำให้สติหลุดลอย


“อ๊า!ไม่เอาเบซิล อื้อ! อ๊ะ...หยุด อึก...” นี่พวกเรากำลังกินอาหารมื้อเย็นกันอยู่ทำไมเรื่องราวถึงเลยเถิดมาถึงนี่ได้กัน


“หยุดไม่ได้แล้ว คุณเล่นส่งเสียงครางซะขนาดนี้รู้สึกดีใช่ไหม” เสียงซิบข้างใบหูมาพร้อมกับฝ่ามือรูดรั้งกระตุ้นส่วนร้อนไม่หยุด


“ไม่...อ๊ะ!”


“โกหก”


“อื้อออ~ อย่าขยับแบบนั้น อ๊า...” ความรู้สึกดีแล่นเข้ามาจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ถ้าไม่ได้เบซิลคอยช่วย เบซิลสัมผัสผมราวกับกำลังกลืนกิน ปลุกเร้าและกระตุ้นจนสมองคิดอะไรไม่ออก ยิ่งเจ้าตัวแนบส่วนร้อนของตัวเองกับของผมดวงตาสีน้ำตาลของผมก็เบิกกว้างขึ้นทันควัน


ความแข็งขืนนั่นคล้ายกำลังเต็มเปี่ยมไปด้วยแรงอารมณ์จนหยุดไม่อยู่ ผมปล่อยให้เบซิลทำตามใจเพราะตัวผมในตอนนี้ไม่มีกำลังพอที่จะหยุด และในส่วนลึกของผมก็ไม่คิดจะหยุดเช่นกัน ผมเคยคิดว่าเบซิลที่ผ่านคนมากมายเขาจะรู้สึกกับร่างกายของผู้ชายธรรมดาๆ อย่างผมได้งั้นเหรอ ร่างกายที่ไม่ได้แตกต่างจากของเขาจะทำให้เกิดความต้องการได้รึเปล่า


คำตอบเหล่านั้นผมได้รับแล้ว


“ใบไธม์ อ่า...ใบไธม์” เบซิลรวบส่วนร้อนของผมและเขาไว้แนบชิดกันก่อนจะขยับไปตามแรงอารมณ์ที่ใกล้จะปะทุเต็มที


“อึก...เบซิล...ไม่ไหว” ร่างกายผมใกล้จะถึงขีดจำกัดเต็มที


“ผมก็ไม่ไหวแล้ว” เสียงและลมหายใจของเบซิลดังหอบอยู่ข้างใบหู แรงเสียดสีและเคลื่อนไหวของฝ่ามือเร่งเร้าจนความต้องการปะทุออกมาในหวะเดียวกับเลซิลจูบผมอย่างดูดดื่มอีกรอบ


แม้ทุกอย่างจะสิ้นสุดทว่าความร้อนรุ่มภายในร่างกายนี้ยังคงอยู่ ทุกที่ที่เบซิลสัมผัสร้อน...ร้อนราวกับจะบอกว่ายังไม่พอ นี่ร่างกายผมเป็นเอามากขนาดนี้เลยเหรอ


“ใบไธม์...ต่อกันไหม” ดวงตาสีเขียวมรกตประสานมายังดวงตาสีน้ำตาลของผมสื่อความนัยว่ายังต้องการมากกว่านี้อีก


“...พอแล้ว” แค่นี้ก็สูบกำลังผมจนหมดตัวขืนมากกว่านี้ผมคงลุกไปทำงานไม่ไหว


“แต่ผมยังไม่พอนี่”


“หื่น” ผมนึกคำอื่นนอกจากนี้ไม่ออกแล้ว


“ไม่ปฏิเสธ...ที่หื่นก็เพราะคุณแหละใบไธม์ รู้ไหมว่าผมต้องอดกลั้นมากแค่ไหน อยู่กับคนที่รักมาตลอดมันก็ต้องมีอยากสัมผัสกันบ้าง ในเมื่อคุณยอมตกลงเป็นแฟนผมแล้วขอ...”


“หยุดพูดเลยเบซิล! นี่คุณคิดอะไรลามกมาตลอดงั้นเหรอเนี่ย!” ผมพึ่งรู้เลยนะว่าอีกฝ่ายคิดแบบนี้มาตลอด


“เพราะรักถึงต้องการ มันผิดตรงไหนล่ะ”


“ไม่ได้บอกว่าผิดเพียงแค่มันเร็วไป...ผมพึ่งตกลงเป็นแฟน” ตกลงยังไม่ถึงนาทีก็มาถึงขั้นนี้แล้ว


เรื่องการเล้าโลมให้คล้อยตามนี่ไม่มีใครเกินเบซิลจริงๆ


“ทั้งที่รักผมมาตั้งนานแล้วแท้ๆ ”เบซิลพูดลอยๆ ด้วยใบหน้ายียวน


“เบซิล!” นี่คิดจะหาเรื่องกันสินะ


“ผมจะรออีกสักหน่อยเพราะผมไม่ได้ต้องการแค่เซ็กซ์ แต่เป็นหัวใจของใบไธม์” ทั้งคำพูดและสายตาที่ประสานมาเรียกหัวใจให้เต้นเร็วขึ้น


เขารู้ว่าผมกำลังคิดหรือกังวลเรื่องไหนจึงได้อธิบายทุกอย่างออกมาโดยที่ผมไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากถาม ต้องบอกว่าสมแล้วกับที่เป็นเบซิล


“จะรอได้นานแค่ไหนกัน” ขนาดวันนี้ยังทำผมซะแทบแย่ อยากจะอาบน้ำอีกรอบแล้วด้วยความเปียกเยิ้มจากการถูกสัมผัสและปลดปล่อยทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ถ้าปล่อยไว้แบบนี้


“สักสองวันมั้ง”


“ความอดทนต่ำไปแล้ว” แค่สองวันเนี่ยนะ


“แค่เรื่องคุณหรอกที่ผมอดทนไม่ได้”


“...ถ้าทำตัวเป็นเด็กดีจะลองคิดดูก็ได้นะ” ผมพึมพำเสียงเบาหวิวก่อนจะดึงกางเกงขึ้นมาสวมแล้วตรงไปยังห้องน้ำ


“พูดจริงเหรอใบไธม์” เบซิลก้าวตามหลังมาด้วยใบหน้ามีความหวัง ยิ่งรอยยิ้มแพรวพราวนั่นยิ่งน่าโมโหซะเหลือเกิน ราวกับเด็กที่ตาเป็นประกายยามผู้ใหญ่บอกจะซื้อของที่ต้องการให้


“โกหกมั้ง” ตอนนี้ไม่ใช่เวลามากินอาหารแต่ค้องหาคำตอบให้ได้ว่าอะไรดลใจผมถึงกล้าเอ่ยประโยคบ้าๆ นั่นออกไปได้

...................................................

สวัสดีค่าา

มาอัพต่อแล้ว

เรื่องนี้เนื้อหาค่อนข้างเบาสมองเรียกว่าอ่านได้เรื่อยๆ ก็ว่าได้

แต่งมาจนถึงตอนนี้แทบไม่อยากเชื่อว่าเราเคยวางนิสัยให้เบซิลเป็นคนเย็นชา

ลองมาดูตอนนี้สิ...ช่างกวยโอ้ยได้ใจซะเหลือเกิน

น่าจะกวนที่สุดในบรรดาพระเอกทุกคนที่แต่งมาเลยก็ว่าได้

หวังว่าทุกคนจะชอบตอนนี้นะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบายค่ะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่14) 10/8/61 P.4-5
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-08-2018 20:54:10
เหมือนเป็นพี่เลี้ยงเลย  :laugh:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่14) 10/8/61 P.4-5
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 10-08-2018 20:55:10
 :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่14) 10/8/61 P.4-5
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-08-2018 20:56:38
 :pig4: :pig4: :pig4:

เค้าตกลงเป็นแฟนกันแล้ว  อิอิ
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่14) 10/8/61 P.4-5
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 11-08-2018 19:36:44
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่14) 10/8/61 P.4-5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-08-2018 21:53:10
หื่นได้เป็นแฟนกันแล้ว
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่14) 10/8/61 P.4-5
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 19-08-2018 16:58:17
เบซิลจะไวไฟเกินไปแล้วพี่ไธม์เพิ่งจะตอบตกลงเป็นแฟนเองนะ แล้วนี่ถ้าผ่านไปสองวันพี่ไธม์จะรอดมือเบซิลมั้ยเนี่ย
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่15) 24/8/61 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 24-08-2018 21:22:14
สืบรัก彡คดีที่15



แม้หน่วยสืบสวนพิเศษจะเหนื่อยล้าจากการจัดการปิดคดีใหญ่ได้สำเร็จแต่ใช่ว่าพวกเรานั้นจะได้หยุดพักยาว หัวหน้าไพลสันต์อนุญาตให้พวกเราหยุดเพียงแค่ 2 วันซึ่งเท่ากับว่าวันนี้ทั้งผม เบซิลและทุกคนในหน่วยต้องมาทำงานทั้งที่เป็นวันศุกร์


เมื่อทำงานในราชการพวกเราได้รับสิทธิ์ในการหยุดเสาร์อาทิตย์อยู่แล้วทว่ามีหลายๆ ครั้งที่ต้องรีบเร่งจัดการคดีพานให้ไม่ได้หยุดเลยสักวันก็มีโดยเฉพาะผมเป็นพวกไม่ชอบให้อะไรค้างคา อย่างกำลังสืบคดีอยู่แล้วติดวันหยุดจะให้นอนพักอยู่ห้องจนถึงวันจันทร์ก็ไม่ใช่นิสัย


“ยังอยากนอนอยู่เลย” เสียงหาวเบาๆ ดังขึ้นด้านข้างผมที่กำลังเปิดแฟ้มเอกสารดูคดีต่างๆ ที่พึ่งส่งเข้ามาเมื่อไม่กี่นาทีก่อน


“ไปฟุบนอนที่โต๊ะไปเบซิล” มาหาวข้างๆ แถมยังทำเสียงงัวเงียแบบนั้นเดี๋ยวผมได้ง่วงตามไปด้วยพอดี อีกอย่างโต๊ะของเจ้าตัวก็อยู่ฝั่งตรงข้ามกับผมไม่รู้ทำไมต้องมานั่งติดๆ กันให้คนอื่นมองด้วย


“ไม่เอา จะอยู่กับใบไธม์”


“เว่อร์ไปแล้ว” พูดอย่างกับผมบอกให้ไปอยู่อีกห้องงั้นแหละ


“แหม ขอสวีทกันหน่อยสิ ยังไงพวกเราก็เป็นคนรักกันแล้วนี่นา!” ไม่รู้ว่าจงใจหรืออะไรอีกฝ่ายถึงพูดเน้นคำว่าคนรักเสียงดังจนสายตาของทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว


“คนรัก? แต่งงานกันแล้วเหรอเนี่ย” แม็กถึงกับตาลุกวาวทันทีที่ได้ยิน


“ไม่เชิญพวกเราไปร่วมงาน เสียใจจังเลย” สกายยกมือขึ้นปิดปากพร้อมบีบน้ำตาให้ไหลลงอาบแก้ม


“แอบแต่งกันแบบนี้ไม่ดีนะ บอกพวกเราด้วยสิท่านรอง” จิวก็เข้ามาร่วมวงด้วยอีกคน


เอาเข้าไปสิ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ผมคบกับเบซิลแถมข้ามขั้นเป็นแต่งงานอีก!


“คิดข้ามขั้นกันไปไหม อย่างน้อยก็ให้เริ่มจากคบกันก่อน” ผมบอกทุกคนเสียงเนือย


“นี่อย่าบอกนะว่าพึ่งคบกัน?” ซันที่นั่งฟังอยู่ถึงกับลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ


“...แล้วทำไม” พึ่งคบกันแล้วมันน่าตกใจขนาดนั้นเลย


“ก็ท่านรองใจตรงกับเบซิลตั้งนานแล้วทำไมถึงพึ่งมาคบกันล่ะ” จิวเปิดฉากถามผมด้วยใบหน้าสงสัยเต็มเปี่ยม


“จิว!” ผมขึ้นเสียงใส่คนพูดทันที ปกติผมไม่ใช่พวกชอบตะโกนแต่ในสถานการณ์นี้จะให้อยู่เฉยคงไม่ได้


นี่อย่าบอกนะว่าไม่ใช่แค่เบซิลที่รู้แต่จิวเองก็รู้ด้วยถึงความรู้สึกของผมน่ะ หรือผมจะเผลอแสดงอะไรผิดปกติออกไป


“เขารู้กับทั้งหน่วยแล้วท่านรอง ไม่ต้องอายๆ ” คำปลอบใจนั่นยิ่งส่งผลให้ใบหน้าผมแดงซ่านเข้าไปใหญ่


“อึก...” อยากหนีออกไปจากห้องเดี๋ยวนี้เลย


สายตากรุ๋มกริ่มของแต่ละคนที่มองมากะจะแหย่ให้ผมเขินตายชัดๆ


“ไธม์คิดว่าจะหลอกสายตาพวกเราหน่วยสืบสวนพิเศษได้เหรอ” เบียร์พูดพลางส่งยิ้มมาให้ เป็นรอยยิ้มที่ดูกวนโอ๊ยที่สุดเท่าที่รู้จักเบียร์มาเลย


ก็จริงมันยากถ้าจะตบตาหน่วยสืบสวนพิเศษ ด้วยสายตาของพวกเขาบางทีแค่มองก็เหมือนถูกล้วงความลับอยู่ ต่อให้ผมจะพยายามนิ่งยังไงคงตบตาอีกฝ่ายไม่ได้


“...ช่างสังเกตกันจังนะ” ผมบ่นเสียงเบาหวิว


“ไม่ต้องสังเกตพวกเราก็รู้ ไธม์ที่มักจะทำหน้านิ่งๆ กลับแสดงสีหน้าหลากหลายออกมาเวลาอยู่กับเบซิล” เบียร์อธิบายเพิ่ม


“แถมยังมีการยอมให้ในหลายๆ เรื่องอย่างให้เลื่อนเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างๆ แบบนี้ไง” จิวพูดเสริมแล้วชี้นิ้วมายังเบซิลที่เอียงคอรอดูว่าผมจะตอบกลับไปยังไง


“ผมทั้งบ่นแล้วก็ไล่ให้กลับไปนั่งที่หลายรอบแล้วเถอะ” ไม่ได้ยอมให้นั่งสักนิด ทั้งบอกทั้งบ่นไปไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้งตั้งแต่เบซิลเข้ามาอยู่ที่นี่จนถึงวันนี้ผมยังไม่หยุดบ่นเลย


“พูดด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังแบบนั้นใครจะยอมทำตามล่ะ ถ้าไม่อยากให้นั่งจริงๆ มีอีกหลายวิธีที่จะจัดการให้เด็ดขาดไม่ใช่แค่บ่นแล้วก็ปล่อยไว้เหมือนเดิม การกระทำนั่นราวกับจะบอกว่าอยู่ข้างๆ ผมเถอะ เนอะเบซิล” เบียร์อธิบายการกระทำของผมได้อย่างทะลุประโปร่งแถมยังส่งยิ้มให้เบซิลอีก


“ใช่ เพราะแบบนั้นผมเลยมาอยู่ข้างๆ ไงล่ะ”


“ไม่ต้องมาพูดเสริมเลย” เข้ากันได้ดีเป็นปรี่เป็นขลุ่ยจริงๆ


“อ๊ะ อ๊ะ เขินเหรอใบไธม์” น้ำเสียงยียวนกับรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์นั่นทำเอาผมทนไม่ไหวต้องผลักหัวอีกฝ่ายแรงๆ สักที


นี่ผมรักคนแบบนี้ไปได้ยังไงเนี่ย!


“พอเลย หัวหน้าสวัสดีครับ” ผมก้มหัวทักทายหัวหน้าไพลสันต์ที่เดินเข้ามาทางประตู


“อยู่กันพร้อมหน้าเลยนะ ยกเว้นอยู่คนนึงสินะ” คนที่หัวหน้าไพลสันต์พูดคือจูน สาวห้าวประจำหน่วย ตอนนี้คงกำลังง่วนกับการทำระเบิดอยู่ในห้องทดลอง


“มีคดีเหรอครับ” ผมถามตามตรง


“เธอนี่อยากทำคดีตลอดเลยนะ วันนี้ไม่มีคดีพิเศษหรอกแต่มีเรื่องพิเศษแทน”


“เรื่องพิเศษ?” คำพูดของหัวหน้าเรียกใบหน้าสงสัยจากทุกคนในห้องได้ทันที


เรื่องพิเศษงั้นเหรอ...นึกไม่ออกเลยว่าเป็นเรื่องอะไร


ช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงเทศกาลอะไรด้วย


“ไม่รู้จะเรียกเรื่องพิเศษได้ไหม เป็นเรื่องของเธอน่ะเบซิล” สิ้นประโยคนั้นทุกคนในห้องก็หันมามองหน้าเบซิลพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย แม้แต่ผมยังหันไปมองเลย


“ผม?” เบซิลเองดูจะคิดไม่ออกเหมือนกันว่ามีเรื่องอะไร


“ใช่ ตั้งแต่ที่เธอตอบรับข้อเสนอและเข้ามาทำงานในหน่วยสืบสวนพิเศษก็ผ่านมาครบปีแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเธอได้ช่วยจัดการคดีมามากมายโดยเฉาะคดีใหญ่ที่พึ่งจบไปเมื่อไม่กี่วันก่อนถือเป็นฝีมือของเธอกว่าครึ่ง...การแอบแฮ็กเข้าในระบบเพื่อสืบหาข้อมูลอาจถือเป็นความผิดทว่าการกระทำเหล่านั้นก็ช่วยให้พวกเรามีหลักฐานแน่นหนามากพอในการพาตัวคนผิดมาลงโทษ” หัวหน้าไพลสันต์กล่าวชื่นชมในความสามารถของเบซิลอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก


ทุกคนในที่นี้ต่างรู้ถึงทักษะและความสามารถของเบซิลอยู่แล้ว และยิ่งได้อยู่หรือทำทำคดีด้วยกันความสามารถของเขาก็ยิ่งเผยให้เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแค่ทักษะด้านคอมพิวเตอร์แต่ยังมีทั้งการสังเกตรอบตัว การวิเคราะห์สถานการณ์ไปจนถึงการวางแผนจัดการอย่างรอบครอบ


“เข้าเรื่องเลยเถอะ” ใบหน้าของเบซิลยังคงเต็มไปด้วยความสงสัยเช่นเดียวกับพวกเราในห้อง


เรื่องที่พูดมานั่นดูยังไงก็เป็นเพียงแค่การเกริ่นนำก่อนจะเข้าสู้เนื้อหาหลัก


“ดูเหมือนเธอจะลืมฐานะของตัวเองไปแล้วสินะ”


“หมายถึงนักโทษ?” เบซิลถามกลับคล้ายจะบอกอีกฝ่ายว่าไม่ได้ลืมฐานะของตัวเองอย่างที่หัวหน้าพูด


“จำได้นี่ ตัวเธอที่เป็นนักโทษได้เข้ามาอยู่ในหน่วยสืบสวนพิเศษเพื่อคอยช่วยเหลือและให้ความร่วมมือพวกเราในการทำคดีต่างๆ โดยแลกกับการได้ไธม์เป็นคนดูแล...”


“เรื่องนั้นรู้แล้ว” ตั้งแต่แรกที่เบซิลยอมรับข้อเสนอก็เพราะสาเหตุนี้


“แต่นั่นเป็นเพียงข้อแลกเปลี่ยนพิเศษระหว่างหน่วยสืบสวนพิเศษกับเธอเท่านั้น”


“จะบอกว่ามีข้อแลกเปลี่ยนอื่นอีกสินะ” น้ำเสียงของเบซิลเริ่มนิ่งลงคล้ายกำลังเริ่มการวิเคราะห์หลายๆ อย่าง


“ถูกแล้ว ยังไงการที่นักโทษยอมให้ความร่วมมือจะมีอย่างหนึ่งที่จะได้รับไม่ว่าจะไปอยู่ที่หน่วยไหนก็ตาม นั่นคือการลดโทษของนักโทษคนนั้นตามคดีที่ช่วยจัดการ” พอหัวหน้าอธิบายมาถึงตรงหน้าหลายๆ คนในห้องรวมถึงตัวผมและเบซิลต่างเดากันได้แล้วว่าหัวหน้ากำลังจะสื่อถึงอะไร


หัวใจผมที่สงบนิ่งค่อยๆ เต้นรัวขึ้น ทว่าไม่ใช่เพราะความเขินหรืออายแต่เป็นความรู้สึกที่อธิบายยากกว่านั้น เหมือนกับความตื่นเต้นปะปนกับความกังวล


“แปลว่าเรื่องพิเศษคือการลดโทษของผม”


“ใช่ คดีที่เธอเป็นตัวหลักในการจัดการรวมจนถึงวันนี้ก็มีทั้งหมด 103 คดีรวมกับคดีที่คอยช่วยซับพอทหรือสนับสนุนคนในหน่วยอีก 128 คดีรวมทั้งสิ้น 231 คดี เรียกว่ามากมายจนหลายคนต้องตะลึงยิ่งกับคดีล่าสุดการเผยความจริงด้วยวิธีการเปิดคลิปเป็นทางเลือกที่ดีมากแถมหลักฐานยังแน่นหนาจนเจ้าตัวพูดไม่ออก ดังนั้นพวกเราจึงมีการลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ในที่ประชุมว่าโทษจำคุก 20 ปีถูกลดลงจนเหลือ 0 นั่นหมายถึงนักโทษฉายาเมเกอร์จะถูกปล่อยตัวเป็นอิสระในวันนี้” สิ้นคำประกาศจากหัวหน้าไพลสันต์ทั้งห้องก็ต้องอยู่ในความเงียบ


ความยินดีในการพ้นโทษไม่มีใครแสดงออกมาแม้แต่แม็กหรือสกายที่ชื่นชอบเรื่องพวกนี้ ทุกคนต่างเข้าใจความหมายของการพ้นโทษกันดี เมื่อนักโทษที่ทำความดีจนได้รับการปล่อยตัวจะสามารถออกไปใช้ชีวิตอิสระได้อีกครั้ง นั่นหมายความว่าเบซิลต้องออกจากหน่วยสืบสวนพิเศษ


ภายในหัวใจผมรู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมาทั้งที่ควรจะแสดงความยินดีกับการพ้นโทษของอีกฝ่าย พวกเราพึ่งตกลงคบกันได้ไม่กี่วันก็เกิดเรื่องที่พานให้ต้องแยกกันซะแล้ว จริงอยู่การออกจากหน่วยไม่ได้หมายความว่าต้องเลิกกัน เพียงแต่จากนี้ผมจะไม่ได้มีอีกฝ่ายคอยนั่งกวนอยู่ข้างๆ หรือส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้อีกแล้ว


โล่งใจเหรอ


ไม่ใช่!


สบายใจเหรอ


ไม่มีทาง!


ใครจะไปรู้สึกแบบนั้นล่ะ ผมอาจไม่ชอบให้ใครมากวนเล่นตอนทำงานแต่พอถูกทำซ้ำๆ มาเป็นปีทำให้เกิดความเคยชินขึ้นมา อีกอย่างผมไม่ได้คิดว่าการกระทำเหล่านั้นน่ารำคาญสักนิด


“...เบซิล” ผมหันไปมองคนข้างกายเพื่อรับฟังว่าเขาจะทำยังไงต่อไปกับสถานการณ์นี้


“ขอเวลาสัก 5 นาทีได้ไหม” เบซิลพูดกับหัวหน้าไพลสันต์


“ไม่มีปัญหา ว่าแต่จะเอาเวลาแค่นั้นไปทำอะไร”


“ถามความเห็นคนรัก” พูดจบเบซิลก็คว้ามือผมก่อนจะดึงให้เดินตามออกไปด้านนอก


ผมถูกเบซิลกุมมือพาเดินไปตามทางจนถึงด้านในห้องอาหารซึ่งตอนนี้ไม่มีใครอยู่ ด้วยแรงของเขาผมสามารถสบัดมือหนีได้ง่ายทว่าผมกลับทำเพียงจับมือนั่นแน่นขึ้น แม้แต่ตัวเองยังไม่เข้าใจการกระทำของตัวเองเลย


“เอาล่ะ ตรงนี้น่าจะได้”


“เบซิล...จะทำยังต่อไป” เมื่อหยุดเดินผมจึงเอ่ยถามทันที ตอนนี้ผมไม่อยากรอ...อยากรู้ว่าทางที่อีกฝ่ายจะก้าวต่อไปจะเป็นแบบไหน แล้วพวกเราจะเป็นยังไงต่อไป


“คุณอยากให้ผมทำยังไงล่ะใบไธม์”


“...นั่นเป็นสิ่งที่ต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง” จะมาถามผมทำไม


“ผมอยากรู้ถึงความรู้สึกของคุณ”


“...ยินดีด้วยที่พ้นโทษ หลังจากนี้ก็จะเป็นอิสระ สามารถทำสิ่งที่อยากทำได้โดยไม่ต้องมีคนมาบังคัญ...แต่อย่าไปแฮ็กระบบหรือหลอกลวงใครอีกรู้ไหม ด้วยความสามารถและทักษะที่คุณมีสามารถต่อยอดทำหลายๆ อย่างได้...” ผมหยุดพูดเมื่อเงยหน้าขึ้นไปสบดวงตาสีเขียวมรกตที่มองมาอยู่ก่อน สายตาของเบซิลกำลังสื่อบอกว่าไม่ได้ต้องการฟังคำพูดพวกนี้แต่เป็นอย่างอื่น


“ที่ผมพูดว่าความรู้สึกไม่ใช่ความรู้สึกจากสมองแต่เป็นตรงนี้” เบซิลพูดแล้วใช้นิ้วชี้มายังหัวใจของผม


“...เบซิล”


“ผมไม่ต้องการคำพูดที่มาจากการคิดหรือไตร่ตรอง ผมต้องการความรู้สึกจริงๆ ที่มาจากหัวใจ” น้ำเสียงจริงจังนั่นราวกับกำลังปลุกเร้าให้ผมกล้าพูดความรู้สึกจริงๆ ออกไป


“ความรู้สึกจริงๆ ผมสามารถพูดได้งั้นเหรอ”


“ผมอยากได้ยิน”


“แม้จะความเอาแต่ใจของผม?” ไม่ยากพูดเพราะมันเหมือนผมกำลังเผยด้านแย่ๆ ให้อีกฝ่ายเห็น


ความเห็นแก่ตัวและความเอาแต่ใจของตัวเอง


“อืม...พูดสิใบไธม์ ความรู้สึกจริงๆ ของคุณคืออะไร” เบซิลไม่ได้บังคับหรือไล่ต้อนให้ผมตอบแต่ค่อยๆ กล่อม...กล่อมตัวผมที่ไม่กล้าให้เผยความรู้สึกจริงๆ ออกมาทีละนิด


“อย่า...อย่าไป อยู่กับผมอย่าไปเลย คอยกวน คอยยิ้ม คอยแหย่อยู่ข้างๆ ผมสิ” ผมพูดสิ่งที่อยู่ภายในหัวใจออกมา ความเห็นแก่ตัวอันแสนเอาแต่ใจนี่ผมไม่อยากจะแสดงมันออกมาแต่สุดท้ายพูดถูกเบซิล...กลับยอมแสดงทุกอย่างออกมาโดยไม่ขัดขืน


“ในที่สุดก็ยอมพูดจนได้ ให้รอนานเลยนะ” รอยยิ้มจากริมฝีปากนั่นอ่อนโยนจนแทบหลอมละลาย


“...เบซิล”


“ดีใจมากเลยที่ได้ฟัง ใบไธม์รักผมมากว่าที่คิดไว้อีกนะเนี่ย”


“อึก...เลิกแหย่สักที” นี่ไม่ใช่เวลาจะมาแหย่ผมสักหน่อย


“ก็อยากน่ารักทำไมล่ะ”


“เบซิล!” นี่จงใจกวนโมโหกันใช่ไหม


“ผมจะทำตามที่คุณต้องการ” อยู่ๆ เบซิลก็กลับไปมีสีหน้าจริงจัง


“หมายถึงยังไง”


“ถ้าคุณอยากให้อยู่ข้างๆ ผมก็จะอยู่...แต่ต่อให้คุณบอกว่าให้ผมไปผมก็ไม่ไปหรอกนะ” รอยยิ้มอ่อนโยนถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ในเวลาไม่วินาที


“อะ...” แล้วจะถามผมทำไมเนี่ย?!


“งั้นเรากลับไปจัดการเรื่องนี้กันเถอะ” เบซิลกุมมือผมพาเดินกลับไปทางเดิม


“จะจัดการยังไง” ผมเอ่ยถามระหว่างทาง


“คิดว่าผมเป็นใครล่ะ” นอกจากไม่ตอบแล้วยังหันมาถามกลับอีก


เป็นใครงั้นเหรอ


“เป็นคนบ้า”


“หึ...ผมยอมบ้าถ้าได้คุณเป็นคนดูแลตลอดชีวิต”


“ใครจะดูแลตลอดชีวิตกัน?”


“ไม่ต้องดูแลผมก็ได้ เดี๋ยวผมจะดูแลใบไธม์ตลอดชีวิตเอง” เบซิลส่งยิ้มมุมปากมาให้ ทั้งที่น่าจะโมโหแต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเขินขึ้นมาดื้อๆ


เบซิลและผมกลับมายังห้องทำงานที่ทุกคนยังคงรวมตัวกันอยู่ภายใน หัวหน้าไพลสันต์เมื่อเห็นเบซิลเดินเข้ามาก็เริ่มเปิดฉากการสนทนาอีกครั้ง


“ดูเหมือนจะได้คำตอบแล้วใช่ไหม”


“อืม...ได้แล้ว”


“งั้นฉันขอฟังในฐานะหัวหน้าของหน่วยสืบสวนพิเศษละกัน” หัวหน้าไพลสันต์ยืนนิ่งรอให้เบซิลพูดทุกอย่างโดยไม่เร่งรัด


“ผมจะอยู่ในหน่วยสืบสวนพิเศษต่อไป” เบซิลพูดเพียงประโยคสั้นๆ


“ทำไมฉันถึงต้องรับเธอเข้ามาล่ะ หลังจากวันนี้เธอจะได้มีอิสระ จะทำอะไรก็ได้ไม่จำเป็นต้องมานั่งเบื่อหรือออกไปทำคดีเสี่ยงๆ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ทักษะในด้านการต่อสู้นัก จริงอยู่ที่ทักษะทางด้านคอมพิวเตอร์นั้นเยี่ยมยอดแต่แค่นั้นไม่เพียงพอให้ฉันรับเข้าหน่วยหรอกนะ” คำถามนั่นคล้ายกำลังทดสอบเบซิลอยู่


ผมอยากจะช่วยตอบแต่ก็รู้ว่าไม่ควร


เขาต้องผ่านการทดสอบนี่ด้วยตัวเอง และผมคิดว่าเบซิลสามารถทำได้แน่ๆ


“คุณก็รู้ดีว่านอกจากทักษะด้านคอมพิวเตอร์แล้วผมยังมีความสามารถในการมอง อ่านและสังเกตผู้คน ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ไหนผมมั่นใจว่าตัวเองสามารถหาวิธีจัดการรวมทั้งเอาตัวรอดไม่ใช่แค่ตัวเองแต่เป็นทุกคนในทีม...”


“การอยู่ในหน่วยนี้ไม่ใช่แค่ความสามารถหรือทักษะเฉพาะตัวแต่ต้องมีความเชื่อใจที่จะฝากชีวิตไว้กับเพื่อนหรือทีมได้ ก่อนหน้านี้ผมอาจไม่มีความเชื่อใจนั้นแต่ในตอนนี้ผมกล้าพูดว่าผมเชื่อใจทุกคนที่นี่และพร้อมที่จะฝากทุกอย่างไว้กับหน่วยนี้” สิ้นคำพูดของเบซิลทั้งแม็ก จิว ซันและทุกคนรวมไปถึงสกายวิ่งกรูกันเข้ามากอดเบซิลกับพร้อมหน้า


“เราก็เชื่อใจนายนะเมเกอร์!” จิวพูดพลางสูดน้ำมูกที่กำลังไหลจากความซาบซึ้ง


“มาเลย มาอยู่ด้วยกันเถอะ!”


“นี่สินะคือความรู้ของแม่ที่เห็นลูกเติบโต!” สกายกอดแขนเบซิลด้วยน้ำตา


“เธอไม่ใช่แม่ของเบซิลสักหน่อย” แม็กพูดแย้งสกายในสิ่งเดียวกับที่ผมกำลังคิดอยู่พอดี


“ก็บอกอยู่ว่าเป็นความรู้สึกน่ะ เข้าใจฟีลลิ่งไหม” สกายตอบกลับแม็ก


“หัวหน้า...คำตอบนี่น่าจะเพียงพอแล้วมั้งครับ” เบียร์หันไปสบตากับหัวหน้าคล้ายจะเดาเรื่องราวทั้งหมดได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้


“นั่นสินะ เธอตอบได้ดีมากเบซิล ไม่คิดว่าจะได้ยินคำว่าเชื่อใจจากปากของเธอแบบนี้ การมาอยู่นี่คงจะได้รับประสบการณ์ในการทำงานพร้อมกับสร้างสายสัมพันธ์กับคนอื่นควบคู่กันไป ฉันดีใจที่จะได้คนที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถและความคิดเข้าร่วมในหน่วยสืบสวนพิเศษ” หัวหน้าไพลสันต์พูดพลางยื่นมือข้างนึงไปตรงหน้าเบซิลที่บัดนี้ยังคงถูกทุกคนรุมกอดอยู่


“ฝากตัวด้วย” เบซิลเอื่อมมือไปจับมือที่ยืนมาด้วยรอยยิ้ม


“เช่นกันสมาชิกใหม่ แต่คงไม่ต้องแนะนำแต่ละคนแล้วเนอะ” หัวหน้าไพลสันต์พูดติดตลก


“ครับ แล้วผมจะได้เงินเดือนใช่ไหม” คำถามนั้นเรียกบรรยากาศรอบๆ เปลี่ยนไป


“เงินเดือน? ได้แน่นอนแต่คงยังไม่มากเท่าคนอื่น ไม่คิดว่าเธอจะสนใจเรื่องพวกนี้นะ” ไม่ใช่แค่หัวหน้าที่สงสัย ผมเองก็คิดเหมือนกันว่าเบซิลไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องเงินทองหรือลาภยศ เพราะถ้าสนใจคงหาธุรกิจทำเป็นหลักแหล่งไม่ใช่เล่นแฮ็กระบบไปวันๆ


“เมื่อก่อนคงไม่สน แต่ตอนนี้ผมมีคนรักที่ต้องดูแลเพราะงั้นต้องมีงานที่มั่นคงจะได้ดูแค่เขาได้ตลอดชีวิต” ไม่พูดเปล่าเบซิลคว้าตัวผมเข้าไปกอดแน่นท่ามกลางเสียงวี๊วิ้วของทุกคนในหน่วย ด้วยความที่เหตุการณ์เกิดขึ้นกระทันหันผมเลยไม่ได้ขัดขืนนั่นกลายเป็นว่าผมสมยอมซะอย่างงั้น


“เบซิล!” พอสติกลับมาผมรีบดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนทว่าอีกฝ่ายกลับกอดแน่นเข้าไปอีก


“ขยับไม่จริงจังแบบนั้นผมไม่ปล่อยหรอกนะ”


“รักกันดีนี่ พวกเธอทั้งคู่เหมือนกันมาก คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ให้เจอกัน” หัวหน้าไพลสันต์พยักหน้าพอใจยามมองดูผมถูกเบซิลกอด


“เหมือนกัน?” หมายถึงผมเหมือนกับเบซิล?


เหมือนตรงไหนกัน


อย่าเอาผมไปรวมกับพวกกวนประสาท เจ้าเล่ห์แถมยังเหลี่ยมจัดแบบเบซิลนะ!


“ไม่ใช่เหมือนที่นิสัยแต่เป็นภายในจิตใจแต่ต่างฝ่ายต่างสร้างกำแพงสูงชัดเอาไว้ แต่เมื่อได้เจอกันต่างฝ่ายต่างช่วยกันทำลายกำแพงนั่นลง ไธม์ที่มักจะนิ่งๆ เอาจริงเอาจังและเต็มไปด้วยบรรยากาศของความลับตอนนี้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น แสดงอารมณ์ไม่ว่าจะโกรธ โมโหหรือดีใจได้อย่างเป็นธรรมชาติ สำหรับเบซิลคงไม่ต้องพูดเพราะเห็นๆ กันอยู่ถึงความเปลี่ยนแปลง พอพวกเธออยู่ด้วยกันแล้วแผ่บรรยากาศดีๆ ออกมาทำให้หน่วยเราน่าอยู่ขึ้นเยอะเลย” หัวหน้าไพลสันต์ดูมีความสุขมากเมื่อมองมาทางผมและเบซิล


หัวหน้าเป็นคนมองการณ์ไกล เขารู้ว่าผมมีสิ่งที่ปิดบังและไม่อยากบอกซึ่งเขาไม่เคยถามหรือพูดอะไร ทำเพียงแค่มองดู และเขาคาดไว้แล้วว่าการที่พาเบซิลมาจะทำให้ผมเปลี่ยนไป เป็นหัวหน้าที่สุดยอดจริงๆ


“ขอบคุณครับ” ขอบคุณที่ให้ผมและเบซิลได้เจอกัน


“เอาล่ะ แบบนี้ต้องฉลอง ได้ใช่ไหมครับหัวหน้า” จิวหันไปถามหัวหน้าด้วยแววตาทอประกาย


“เอาสิ ไปฉลองกัน”


“เดี๋ยว แล้วงานล่ะ มีคดีที่ต้องจัดการ...”


“อย่าพูดเรื่องเครียดตอนนี้สิท่านรอง ไปฉลองการพ้นโทษของเบซิลและรับน้องใหม่กันดีกว่า!” จิวตะโกนเสียงดังนำทุกคนให้ออกไปด้านนอก


“แต่นี่มันเวลางาน...” ถ้าไม่ให้พูดตอนนี้แล้วจะให้พูดตอนไหนเล่า!


“ไม่เห็นเป็นไร ผ่อนคลายอีกสักวันก็ได้”


“แล้วคดี...”


“คุณจริงจังไปแล้ว เอางี้สิลองคิดว่าคุณส่งคดีกลับไปให้เจ้าของจัดการต่อก็ได้ เพราะยังไงเดี๋ยวคงส่งกลับมาในอีกไม่กี่วันอยู่ดี” เบซิลเสนอความคิดเพื่อไม่ให้ผมคิดมาก


“อย่าไปว่าสิ พวกเขาก็พยายามแล้ว” แม้จะยังพยายามไม่เต็มที่ก็ตาม อีกอย่างคนเก่งก็มีอยู่ไม่น้อยเพียงแค่อาจทำไม่ทันเท่านั้นเอง


“ก็ได้ๆ ไปฉลองที่ใบไธม์คบกับผมกัน”


“ไม่ใช่ฉลองเรื่องนั้นสักหน่อย!” นี่เพิ่มหัวข้อฉลองได้เองตามใจชอบเลยเหรอเนี่ย


“ต้องโทรตามจูนด้วยนี่!” สกายตะโกนขึ้น


“จริงด้วย โทรเลยแม็ก” จิวหันไปบอกแม็ก


“โทรศัพท์ฉันเงินหมด นายโทรเลย” แม็กชูโทรศัพท์มือถือที่ปราศเงินเงินโทรออกให้ทุกคนในหน่วยดูด้วยรอยยิ้มเริงร่า


“เอาน่าไธม์ ไปกันเถอะ” หัวหน้าแตะไหล่ผมเบาๆ แทนการพูดว่าอยากคิดมาก


ขนาดหัวหน้ายังพูดผมคงทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจแล้วเดินตามทุกคนออกไปด้านนอก ด้วยจำนวนคนที่เยอะพอสมควรทำให้พวกเราต่างแยกกันเดินทางโดยมีจุดหมายอยู่ที่ร้านอาหารบุฟเฟ่ขนาดใหญ่ใจกลางเมือง ร้านนี้มีดีไซน์ทันสมัย ตัวอาคารเป็นสีขาวสะอาดด้านในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้


ในส่วนของอาหารร้านนี้ค่อนข้างพิเศษเพราะไม่ได้มีให้ตักแต่จะมีเมนูให้พวกเราเลือกว่าต้องการกินอะไรซึ่งสามารถบอกได้ว่าเราอยากได้อยากหารแบบไหน อย่างในเมนูมีเห็ดประมาณ 6 ชนิดผมก็บอกพนักงานว่าอยากได้ซุปเห็ดไม่ใส่เนื้อสัตว์ น้ำปลาและซอสที่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ พนักงานที่รับออร์เดอร์ทำน้าสงสัยเล็กน้อยแต่ก็จดเมนูตามความต้องการ




(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่15) 24/8/61 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 24-08-2018 21:22:41
(ต่อนะคะ)



จูนมาถึงช้ากว่าคนอื่นประมาณครึ่งชั่วโมงได้ งานเลี้ยงฉลองของหน่วยสืบสวนพิเศษจึงเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่หัววันกว่าจะเลิกลาก็เกือบถึงเวลาเลิกงานคือ 4 โมงเย็น ถึงจะเป็นงานเลี้ยงทว่าพวกของมึนเมาตัดไปได้เลย เห็นแบบนี้หน่วยผมไม่ชอบกินกันถ้าไม่ใช่เรื่องงานที่มีความจำเป็นต้องดื่มเล็กน้อย ผมและเบซิลบอกลาทุกคนก่อนขี่รถมอเตอร์ไซค์กลับมายังคอนโดและเดินคุยเรื่องไร้สาระมาถึงชั้นที่ 5 เหมือนอย่างทุกวัน


“พรุ่งนี้วันหยุด เราไปเดทกันเถอะ” อยู่ๆ เบซิลก็พูดเรื่องเดทขึ้นทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังคุยเรื่องงานเลี้ยงเมื่อไม่กี่นาทีก่อนอยู่เลย


“เดท?...พรุ่งนี้ผมว่าจะเข้าไปดูคดี วันนี้ยังจัดการไม่เสร็จ”


“จริงจังไปแล้ว วันหยุดก็ต้องหยุดสิ อีกอย่างพวกเราพึ่งเป็นแฟนกันการไปเดทถือเป็นเรื่องปกติ”


“ทำหน้าจริงจังเชียวนะ” ตอนทำงานถ้าทำหน้าจริงจังแบบนี้บ้างก็คงดี


“ไปเดทกัน”


“นี่คือวิธีขอเดทของเมเกอร์เหรอเนี่ย ไม่คิดว่าจะธรรมดาแบบนี้นะ” ได้ทีผมเลยขอแหย่อีกฝ่ายกลับบ้าง


“อยากให้ผมจัดเต็ม?”


“...ไม่ดีกว่า” ดวงตาสีเขียวมรกตที่ทอประกายนั่นทำให้ผมก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว รู้สึกได้ว่าถ้าให้จัดเต็มคงเป็นฝ่ายผมเองที่จะแย่ ฉายาเมเกอร์ไม่ใช่ฉายาที่ตั้งไปงั้นๆ เทคนิคการพูด การใช้น้ำเสียงรวมถึงการกระทำทั้งหมดนั่นล่อหลอกให้ทุกคนติดกับอย่างง่ายดาย แม้แต่ผมเองก็โดนเหมือนกันเพียงแต่ที่ผมติดกับไม่ใช่การลวงหลอกของเมเกอร์แต่เป็นชายที่ชื่อเบซิล


“งั้นคำตอบล่ะ” เบซิลถามย้ำ


“...ได้ ไปเดทกัน” ผมคิดสักพักจึงพยักหน้าตอบ


อย่างที่เบซิลพูด ในเมื่อเป็นแฟนก็ต้องมีการเดท ว่ากันตรงๆ คือไม่ค่อยชินกับเรื่องพวกนี้เท่าไหร่แต่ละวันของผมหมดไปกับการทำงานรู้ตัวอีกทีอายุก็ปาไปจะ 30 แล้ว


“เยี่ยม! งั้นคืนนี้เรามาต่อจากวันนั้นกันดีกว่า” รอยยิ้มมีเลศนัยนั่นทำเอาผมขนลุกทั้งร่าง ภาพของเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนปรากฎขึ้นมาเป็นฉากๆ ตั้งแต่การสารภาพรักและตกลงเป็นแฟนกันลามไปถึงเหตุการณ์หยาบโลนที่พานให้ร่างกายหลอมละลาย


“ไม่!” ผมปฏิเสธเสียงจริงจัง จะให้ต่อจากนั้นผมในตอนนี้ไม่ไหวหรอก


“ใบไธม์” น้ำเสียงกึ่งออดอ้อนกึ่งน้อยใจนั่นไม่ได้ทำให้ผมเอ็นดูสักนิด


“พวกเราพึ่งคบกัน”


“ทั้งที่รักกันมาตั้งนาน?”


“ไม่ต้องย้ำเรื่องนี้ได้ไหม” ทั้งเบซิลทั้งคนในหน่วยต่างพูดย้ำเรื่องผมกับเบซิลรักกันมานานแล้วอยู่นั่นแหละ คนอื่นรู้แต่ผมไม่รู้นี่ก็ถือว่าผมพึ่งรักละกัน


“ยังไม่ทำต่อก็ได้ ขืนทำต่อพรุ่งนี้คงไปได้ไม่ไหว”


“นี่คิดจะทำขนาดไหนกันน่ะ” ถึงขนาดจะลุกไม่ไหวเลยเหรอ


“เพราะผมอดกลั้นมานาน ยิ่งอดทนเวลาอารมณ์ปะทุออกมามันจะห้ามไม่อยู่...ดังนั้นรีบหน่อยก็ดีไม่งั้นผมได้เผลอทำให้คุณเป็นของตัวเองโดยไม่รู้ตัวแน่” ทั้งพูด ใบหน้าหรือแม้แต่รอยยิ้มแสดงความจริงจังออกมาจนผมถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก


“หมกวุ่นไปแล้ว”


“ไม่ปฏิเสธ”


“หื่น”


“ใช่”


“ลากมก”


“รู้ดีนี่” รอยยิ้มปิดท้ายกวนโอ้ยกว่าปกติหลายเท่า


“รีบเข้าห้องเลย” นี่พวกเรามายืนคุยเรื่องแบบนี้กลางทางเดินได้ยังไง


“จะรีบทำต่อใช่ไหมล่ะใบไธม์” เบซิลที่ก้าวตามมาส่งเสียงหัวเราะหึๆ ปิดท้าย


“เบ...เพกา?” ผมซึ่งกำลังจะหันไปบ่นคนด้านหลังถึงกับชะงักเมื่อเห็นว่าหน้าห้องตัวเองตอนนี้มีร่างของสาวน้อยในชุดนักเรียนสีขาวกระโปรงสีน้ำเงินยืนพิงหลังอยู่หน้าประตู เส้นผมสีดำยาวถูกมัดรวบขึ้นเช่นเดียวกับดวงตาสีน้ำตาลที่หันมาตามเสียงเรียก


“พี่ไธม์!” น้องสาวผมเพกาวิ่งปรี่เข้ามากอดเอวผมแน่นแล้วซุกใบหน้านั่นกับเสื้อผม


“ทำไมมาอยู่นี่” ผมถาม ในหัวกำลังเรียบเรียงความเป็นไปได้หลายๆ อย่าง ความจริงตอนนี้เพกาควรจะอยู่ที่โรงเรียนรอพ่อหรือโป๊ยกั๊กมารับกลับไม่ใช่มาอยู่ห้างห้องผม


“อยากเจอพี่ไธม์นี่” เธอตอบ


“พึ่งเจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อนเองนะ” ผมลูบเส้นผมสีดำนั่นเบาๆ


“ก็วันก่อนยังไม่ได้คุยอะไรกันเลยพี่ไธม์ก็กลับแล้ว...ยังอยากคุยเล่นกันนี่นา” เพกาตอบเสียงอ้อนพลางเอียงคอเล็กน้อย เป็นท่าทางที่ใครเห็นเป็นต้องเอ็นดู


“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แอบมาเองใช่ไหม” ดูจากรูปการพ่อหรือโป๊ยกั๊กคงไม่ได้มาส่ง เพราะถ้ามาส่งคงยืนรออยู่ด้วยไม่ใช้ทิ้งให้เพกายืนอยู่คนเดียวหน้าห้อง


“...ค่ะ ขอโทษ” เพกาก้มหน้าลงเมื่อรู้ว่าตัวเองทำผิด


“พี่จะโทรบอกพ่อกับโป๊ยกั๊ก เข้ามาในห้องก่อนเถอะ” ผมเปิดประตูห้องพาเพกาเข้าไปด้านใน


“พี่ไธม์...คนนั้น...” สายตาของเพกามองไปยังเบซิลที่ก้าวตามเข้าในห้องด้วยความไม่ไว้ใจ


จะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกที่เพกาเจอเบซิลซินะ


“ไม่ต้องห่วงเขาเป็นเพื่อนพี่ชื่อเบซิล เบซิลนี่คือเพกาน้องสาวผมเอง” ผมแนะนำทั้งคู่ให้รู้จักกันแม้จะมั่นใจเกินครึ่งว่าเจ้าตัวรู้จักอยู่แล้วก็ตาม


“ยินดีที่รู้จักนะเพกา พี่ชื่อเบซิล เป็นทั้งพื่อนและคนรักของพี่ไธม์ ฝากตัวด้วยนะ” เบซิลนั่งยองๆ กับพื้นระหว่างพูดเพื่อจะได้อยู่ในระดับเดียวกับเพกา


“เบซิล” แนะนำตัวอะไรน่ะ


“พี่เบซิลก็รักพี่ไธม์เหรอ” เพกาถามเสียงใสตามประสาเด็ก


“ใช่...รักมากเลย”


“แต่หนูรักพี่ไธม์กว่า” เพกาไม่ยอมแพ้


“พี่รักมากกว่าเพกา 10 เท่า”


“งั้นหนูก็รักมากกว่าพี่เบซิล 100 เท่าเลย” เพกายกมือขึ้นแล้วกางออกแสดงความรักที่มีต่อผม


“ของพี่แค่มือไม่พอจะบรรยายความรักที่มีต่อเขาหรอก”


“หยุดเลย...ทั้งคู่แหละ” ผมรู้สึกเหมือนเป็นพี่เลี้ยงคอยดูเด็ก 2 คน


มันใช่เรื่องที่ต้องข่มกันไหม


“พวกเรามาสนิทกันไว้เถอะ ในฐานนะคนที่รักพี่ไธม์มาก” เบซิลส่งยิ้มให้เพกา


“อืม ได้เลยค่ะ” เพกายอมพยักหน้าโดยดี


จากนั้นเบซิลจึงพาเพกาไปยังห้องครัว เปิดตู้เย็นแล้วถามว่ามื้อเย็นอยากกินอะไรโดยมีผมยืนดูอยู่ห่างๆ ในมือกำลังถือโทรศัพท์ติดต่อพ่อเป็นคนแรก


(ใบไธม์ เพกาหายไป!) ประโยคแรกที่ดังขึ้นทำเอาผมต้องเลื่อนโทรศัพท์ให้ห่างหูไปเล็กน้อย


“ใจเย็นก่อนครับพ่อ เพกาอยู่ที่ห้องผม” พ่อคงกำลังร้อนรนที่ไปรับแล้วไม่เจอ


(ห้องลูก? ไธม์มารับน้องเหรอ)


“เปล่าครับ ดูเหมือนเพกาจะมาเอง” พูดถึงตอนนี้ก็อดที่จะตกใจไม่ได้ โรงเรียนของเพกาอยู่ใกล้บ้านก็จริงแต่เป็นคนละฝั่งกับคอนโดผมการจะมาถึงคงต้องขึ้นหลายต่อ มาได้โดยไม่หลงแบบนี้น่าชื่นชม


(ไปเอง? อันตรายเกินไปแล้ว เดี๋ยวพ่อจะไปรับเดี๋ยวนี้ล่ะ)


“เดี๋ยวครับ วันนี้ให้เพกาค้างกับผมเถอะ” ผมคิดเรื่องนี้ตั้งแต่ก่อนโทรหาพ่อแล้ว การที่เพกามาถึงนี่ส่วนนึงเป็นความผิดของผมเองที่มีเวลาให้น้องน้อยเกินไป ไหนๆ ก็มาถึงนี่จะให้กลับทันทีคงไม่ดีเท่าไหร่


(แต่ลูกต้องทำงานรึเปล่า) ปลายสายดูกังวลเรื่องผมอยู่ไม่น้อย คงกลัวเพกาจะมากวนผมตอนกำลังทำงาน


“ไม่เป็นไรครับ พรุ่งนี้ผมหยุด ช่วงเย็นๆ จะพาไปส่งนะครับ”


(ถ้าไธม์ว่าแบบนั้นพ่อก็ไม่มีปัญหาหรอก เดี๋ยวจะบอกที่บ้านให้)


“ครับ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะครับ” คุยเสร็จผมเดินไปหาเบซิลกับเพกาที่กำลังทำบางอย่างอยู่ในห้องครัว


เพกานั่งอยู่บนเก้าอี้โดยในมือกำลังใช้ตะกร้อตีของแหลวสีนวลในชามพลาสติกขนาดกลาง มีเบซิลคอยยืนมองดูอยู่ด้านหลัง จากที่มองทั้งสองคนเข้ากันได้ดีเลยซึ่งไม่ถือเป็นเรื่องแปลกสำหรับเบซิล เขาสามารถเข้ากับใครก็ได้ถ้าอยากจะเข้าแต่กับเพกาค่อนข้างระแวงคนที่พึ่งเจอกันครั้งแรงอยู่พอสมควรผมจึงค่อนข้างตกใจที่สนิทกับเบซิลได้เร็วขนาดนี้


“ทำอะไรกันอยู่น่ะ” ผมเอ่ยถามทั้งคู่


“ทำแพนเค้กค่ะพี่ไธม์” เพกาหันมาตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง


“แพนเค้กเหรอ”


“ไม่ได้ใส่ไข่ลงไป คุณกินได้” เหมือนเบซิลจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรเลยรีบอธิบายเพิ่ม


ส่วนผสมของเพนเค้กหลักๆ จะมีแป้ง นม ไข่ น้ำตาลและกลิ่นวนิลา ในกรณีที่ไม่ใส่ไข่ไก่จะใช้เป็นผงฟูช่วยแทน ผมเองทำกินบ่อยๆ แต่ช่วงนี้ไม่ได้กินเลย


รู้สึกอยากกินเหมือนกันแฮะ


อีกอย่างถ้าทำอาหารหนักๆ พวกเราคงกินกันไม่ไหวเพราะกำลังจุกกับงานเลี้ยงเมื่อชั่วโมงก่อนอยู่เลย


“ใกล้ได้ที่รึยัง”


“พักไว้สักครึ่งชั่วโมงน่าจะโอเคแล้ว เก่งมาเลยเพกา” เบซิลก้มลงไปชมน้องผมก่อนจะถือชามพลาสติกไปแช่ไว้ในตู้เย็น


“ระหว่างรอทำอะไรกันดี ดูการ์ตูนไหมหรือจะทำอย่างอื่น” ผมถามเพกา ถ้าจะดูการ์ตูนคงต้องเปิดโน๊ตบุ๊กเอาเพราะในห้องผมไม่มีโทรทัศน์ เวลาว่างๆ ผมมักจะเปิดข่าวผ่านทางโน๊ตบุ๊กทิ้งไว้ ในเมื่อดูทางโน๊ตบุ๊คได้ผมเลยไม่คิดจะซื้อโทรทัศน์


“ทำอะไรดี...ระเบียงมีต้นไม้ด้วย” สายตาของเพกาทอประกายขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นต้นไม้ที่ปลูกอยู่ตรงระเบียงห้องผม เพกาเป็นเด็กผู้หญิงที่ชอบต้นไม้และธรรมชาติมาก


“ไปดูไหม”


“ไปค่า”


ผมพาเพกาเดินมาถึงระเบียงห้องอัเต็มไปด้วยต้นโหรพา กระเพราและพริกส่วนมากจะเป็นพืชผักสวนครัวที่สามารถตัดมาทำอาหารได้เลย เมื่อไม่นานมานี้ผมพึ่งนำตำลึงมาปลูกโดยทำไม้มาปักไว้ให้ตำลึงเลื้อยไปได้ตามต้องการ


“ต้นเล็กนิดเดียว” เพกานั่งลงมองต้นตำลึง


“พี่พึ่งเอามาปลูก” ขนาดของต้นยังไม่ถึงหนึ่งไม้บรรทัดเลย


“หนูจะช่วยปลูกนะ” พูดจบเพกาใช้มือทั้งสองข้างกวาดดินรอบๆ มารวมยังโคนต้นตำลึง สัมผัสใบสีเขียวอ่อนและแก่เพียงแค่นั้นต้นตำลึงก็เล่มมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อพลังของเพกา ส่วนยอดอ่อนเริ่มแตกยอดออกแล้วพันเข้ากับไม้ที่ผมเตรียมไว้อย่างเชื่องช้า


นี่แหละคือพลังของน้องคนสุดท้องของครอบครัวผม


ไม่ว่าจะปลูกต้นอะไรก็จะโตขึ้นและเร่งการออกผล เป็นพลังที่ดูจะมีประโยชน์ที่สุดในบรรดาพวกเราสี่พี่น้อง ต่อให้ไม่มีเงินก็คงไม่อดตายเพราะสามารถปลูกผักกินได้ตลอด


“นั่นคือพลังของเธอสินะ” เสียงของเบซิลจากด้านหลังทำให้ยอดอ่อนตำลึงที่กำลังแตกออกหยุดการเจริญเติบโต เพกาหันไปมองเบซิลที่ยืนกอดอกพิงประตูระเบียงด้วยสีหน้าตื่นตกใจและเต็มไปด้วยความกังวล


เรื่องของพลังนี้พวกเราไม่อยากให้ใครรู้ ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทหรือใครก็ตาม เพราะพวกเราต่างรู้ดีกว่าพลังเหล่านี้หากมีคนอื่นรู้อาจเกิดปัญหาขึ้นได้


“พะ...พี่ไธม์” เพกาลุกขึ้นแล้ววิ่งมาหาผมด้วยใบหน้ากระวนกระวาย


“ไม่เป็นไร เบซิลรู้อยู่แล้วเรื่องที่เพกามีพลัง” ที่รู้คงเป็นรูปแบบของพลัง


“รู้เหรอ” เพกาเงยหน้าขึ้นถาม


“อืม รู้สิ ทั้งของพี่ไธม์ทั้งของโป๊ยกั๊กรู้หมดแหละ” เบซิลบอก แปลว่าเหลือแค่กระวานกับแม่และคุณตาที่เบซิลยังไม่รู้สินะ


“รู้ของพี่โป๊ยกั๊กด้วย? ไม่คิดว่าแปลกเหรอคะ”


“คิดว่าน่าอิจฉามากกว่า ของเพกาเป็นพลังที่ทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตสินะ” เบซิลก้มมองตำลึงที่โตขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ด้วยสายตาคล้ายกำลังวิเคราะห์


“ใช่ค่ะ ถ้าหนูกวาดดินรอบๆ มาแบบนี้แล้วสัมผัสกับต้นไม้พวกเขาจะเติบโตขึ้น ถ้ามีผลก็เร่งผลด้วย” เพกาที่ระแวงกลับวิ่งไปยังต้นมะเขือเทศจิ๋วเพื่อสาทิตพลังให้ดู ดอกสีขาวของมะเขือเทศเริ่มแห้งลงและถูกแทนที่ด้วยผลสีเขียวและแดงขึ้นในเวลาไม่กี่นาที


“สุดยอดไปเลยพลังนี่”


“ไม่หรอกค่ะ ทุกครั้งที่ใช้พลังจเหมือนโดนสูบพลังไป บางทีก็เหนื่อยมากเลย”


“พลังของเพกาก็เหมือนกับปุ๋ยชั้นดี ซึ่งปุ๋ยที่ดีจะเปี่ยมไปด้วยสารอาหารจำนวนมากซึ่งเพกาเปลี่ยนพลังกายให้กลายเป็นปุ๋ยเพื่อให้ต้นไม้เติบโต” คำอธิบายเปรียบเทียบของเบซิลคล้ายกับรู้จักพลังของเพกาเป็นยังทีทั้งที่พึ่งได้เห็นครั้งแรก ตัวผมยังไม่คิดว่าจะอธิบายแบบนั้นได้เลย


“พี่เบซิลอธิบายเข้าใจง่ายจัง”


“ขอบคุณสำหรับชม แพนเค้กได้แล้วมั้ง หิวรึยัง” เบซิลถามเพกาต่อ


“หิวแล้วค่ะ”


“ไปทำแพนเค้กกันเถอะ หยิบเนยให้ด้วยเบซิล” ผมบอกเบซิลที่เดินนำหน้าไป


“รับทราบครับที่รัก...โอ๊ย!” ยังไม่ทันที่คำว่ารักจะถูกเอ่ยจบผมก็ใช้หมัดชกเข้าไปที่แขนอีกฝ่ายแรงๆ


“มาทำด้วยกันเนอะ” ผมคุยกับเพกาต่อโดยไม่สนใจเบซิลที่ทำสีหน้าเจ็บปวดจากการถูกชกแขน


“หนูจะทำให้พี่ไธม์กับพี่เบซิลด้วยได้ไหมคะ”


“ได้สิ”


หลังจากนั้นผมก็ยืนดูเพกาทอดแพนเค้กให้พวกเราทีละชิ้น ในตอนแรกอาจมีทั้งชิ้นไหม้และรูปร่างเละๆแต่พอผ่านไปสักระยะรูปร่างก็เริ่มดูดีขึ้น สีเองก็เป็นสีน้ำตาลทองน่ากินมากทีเดียว ท๊อปปิ้งที่ใช้ราดมีทั้งเนย น้ำผึ้งและแยมตามความชอบของแต่ละคน อย่างเพกาชอบกินหวานหน่อยก็จะราดแยมสตอเบอร์รี่


“เบซิล ช่วยหาข้อมูลของคนชื่อจักพรรดิให้ทีสิ” พอออกมาจากห้องน้ำก็เห็นเบซิลกำลังเปิดจอโน๊ตบุ๊คอยู่โดยเพกาเดินเข้าไปอาบน้ำต่อจากผม เมื่อหลายวันก่อนเพกาโทรมาบอกผมว่าโป๊ยกั๊กบุกไปพาตัวกระวานกลับมาจากที่ทำงาน เหมือนกระวานจะไปทำแหวนมูลค่า 10 ล้านหายเลยต้องทำงานที่คลับนั้น


"ได้ จักพรรดิ บริบรรณ ชื่อเล่นหนึ่ง เจ้าของคลับอาบอบนวด wonderful land เกิดวันที่ 1 มกราคม ครอบครัวเสียหมดแล้ว มีบอดี้การ์ดคนสนิทชื่อดนัย จารุรักษ์ หรือดีนเคยอยู่หน่วยสวาทมาก่อน”


“ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องผิดกฎหมายรึเปล่า มีอิทธิพลระดับไหน” ผมถามต่ออีก


“ตัวจักรพรรดิไม่มีเรื่องผิดกฎหมายแต่ในอดีตของรุ่นปู่ก็มีอยู่บ้างนิดหน่อยแต่คงไม่เกี่ยวกัน อิทธิพลปานกลางแต่ไม่ควรเข้าไปยุ่งตรงๆ แล้วน้องคุณไปเกี่ยวข้องกับหมอนี่ได้ยังไงล่ะ”


“ทำแหวน 10 ล้านของเขาหายน่ะสิ”


“10 ล้าน? ผมสามารถหาเงิน 10 ล้านให้คุณได้นะ” อีกฝ่ายเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์


“ผมไม่คิดจะรับเงินจากการแฮ็กระบบธนาคารของคุณหรอกนะ”


“ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นธนาคารเสมอไปนี่ แค่หยิบจากพวกเศรษฐีคนละล้านสองล้านพวกเขาไม่รู้หรอก”


“เบซิล” เดี๋ยวพวกเราได้เข้าไปนอนในคุกสักวันนึงแน่


“ผมล้อเล่นน่า ดูแล้วไม่น่าใช่คนมีอันตรายอะไร”


“อืม ต้องดูต่อไปถ้ากระวานเป็นอะไรขึ้นมาผมคงไม่ยอมอยู่เฉย”


“ถ้าแบบนั้นให้ผมช่วยแหย่นิดหน่อยก็ได้นะ แค่แฮ็กเข้าไปรวนระบบการเงินหรือระบบสั่งสินค้าคงสร้างความเสียหายได้พอดู” ใบหน้าของเบซิลดูสนุกที่ได้ก่อกวนคนอื่นเล่น


“หวังว่าจะไม่ต้องให้คุณทำแบบนั้นนะ”


ตกดึกผมปูผ้านวมข้างเตียงเป็นแนวยาวต่างจากทุกครั้งที่เบซิลนอนเนื่องจากวันนี้ผมจะนอนพื้นกับเบซิลด้วย เพกาถึงจะบอกว่าให้ผมขึ้นไปนอนด้วยกันได้แต่จะให้นอนกับเด็กผู้หญิงแม้จะเป็นน้องสาวก็รู้สึกแปลกๆ อยู่ดี


“พี่ไธม์ไม่ขึ้นมานอนด้วยกันจริงๆ เหรอ” เพกาถามทั้งที่ซุกใบหน้าลงบนหมอน เพกาค่อนข้างเหนื่อยมากเพราะพลังงานถูกใช้อย่างต่อเนื่องทั้งปลูกผัก ทำแพนเค้กแถมยังเล่นกับพวกเราจนดึกอีก


“ไม่ล่ะ นอนเถอะพี่จะปิดไฟแล้วนะ” ผมบอกแล้วเอื้อมมือไปยังโคมไฟข้างหัวเตียง


“ค่ะ ฝันดีนะคะพี่ไธม์ พี่เบซิล”


“ฝันดีเช่นกัน” ผมและเบซิลตอบพร้อมกัน


ตัวผมนอนชิดกับเตียงซึ่งเพกานอนอยู่โดยข้างๆ มีเบซิลขยับตัวเข้ามาแนบชิด ในช่วงแรกๆ ผมยังไม่คิดอะไรและปล่อยไว้แบบนั้นทว่ามือฝ่ายกลับไม่ยอมอยู่เฉยกอดเอวผมจากด้านหลังพร้อมขยับตัวเข้าแนบสนิทจนสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาได้อย่างชัดเจน


“เบซิล” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงเบาเพราะกลัวว่าเพกาจะตื่น


“ขอผมกอดหน่อยน่า วันนี้ยังไม่ได้กอดกันเลย”


“ผมให้พูดใหม่” จำได้ว่ากอดไปหลายรอบแล้วนะ


“อยากสวีทนี่”


“พอเลย เดี๋ยวเพกาตื่น” ผมขยับตัวหนีไม่ให้อีกฝ่ายกอดแน่นมากไปกว่านี้


“ถ้าขยับหนีผมจะกอดให้แน่นกว่านี้อีก”


“เบซิล” กล้าขู่ผม?


“พรุ่งนี้พาเพกาไปเดทกับเราด้วยเนอะ” เบซิลทำเมินเปลี่ยนเรื่องทั้งที่แขนยังคงกอดผมไว้แน่น


“จะออกไปข้างนอก? ผมกะจะอยู่แค่ในห้องแล้วตอนเย็นจะพาเพกาไปส่งบ้าน”


“น้องมาทั้งทีจะให้อยู่แต่ในห้องได้ยังไง”


“เบซิล...ขอบคุณ” ผมรู้สึกว่าต้องพูดออกไป เบซิลมองคนเก่ง เขารู้ว่าเพกาเป็นยังไงและพยายามเข้าหาอย่างถูกวิธีจนได้รับความเชื่อใจ มันไม่ง่ายเลยที่จะสร้างความสนิทสนมกับคนอื่นในเวลาอันสั้น อีกอย่างเบซิลไม่จำเป็นต้องสนิทกับน้องผมก็ได้แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำและสานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้นโดยการเข้าครัวหรือเล่นเกม


ผมถึงรู้สึกขอบคุณที่ใส่ใจไม่ใช่แค่ผมแต่รวมถึงครอบครัวผมด้วย


“เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นจูบสักทีผมคงจะหลับฝันดีทั้งคืน” เสียงพึมพำจากเบซิลเรียกรอยยิ้มบางๆ ให้ปรากฏขึ้น ผมอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายคลายอ้อมกอดพลิกตัวไปเผชิญหน้ากับเบซิลตรงๆ และฉวยโอกาสที่เขากำลังคิดแนบริมฝีปากลงตัวลงบนริมฝีปากอีกฝ่าย


ไม่เพียงแค่แนบแต่ผมส่งปลายลิ้นเข้าไปพัวพันกับเบซิลสักพักแล้วจึงถอนจูบออก เป็นจูบแบบจริงจังครั้งแรกของผมเลยค่อนข้างตื่นเต้นและไม่มั่นใจ


“แบบนี้ก็ฝันดีทั้งคืนแล้วนะ” พูดจบผมพลิกตัวกลับไปนอนตามเดิม ไม่กี่วินาทีต่อมาอ้อมแขนของเบซิลก็รัดแน่นพร้อมลมหายใจร้อนมาคลอเคลียอยู่บริเวณแก้ม


“เล่นทีเผลอขี้โกงนี่ ขออีกรอบทันไหม”


“ของดีมีครั้งเดียว” ให้ผมทำอีกรอบ...ฝันไปเถอะ


แค่นี้ก็อายจะแย่แล้ว


“ถ้าน้องคุณไม่อยู่ละก็...”


“ก็อะไร” ผมถามกลับเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหยุดพูดไปดื้อๆ


“ถ้าน้องคุณไม่อยู่คุณเสร็จผมแน่ใบไธม์” แม้จะเป็นเพียงเสียงกระซิบแต่ก็เป็นเสียงที่ทำเอาร่างกายผมรู้สึกร้อนขึ้นมาอย่างกระทันหัน


“ถ้ายังไม่นอนคุณได้สลบด้วยศอกผมแน่”


“เปลี่ยนจากศอกเป็นปากได้ไหม”


“เบซิล!”


พวกเราต่างถกเถียงกันด้วยประโยคไร้สาระไปอีกไม่กี่ประโยคความง่วงก็เข้ามาโจมตีทำให้พวกเราหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันไปจนถึงรุ่งเช้าของวันต่อไป

..........................................................

สวัสดีค่า

มาต่อแล้วกับตอนต่อไป

เนื้อเรื่องดูไม่ค่อยมีอะไรให้ดราม่าหรือตื่นเต้นสักเท่าไหร่เราเลยเขียนให้เนื้อหาเหมือนคลื่นเล็กๆ จะได้ไม่เบื่อกันเกินไป

อีกอย่างพอแต่งมาใกล้จบก็รู้สึกว่าไม่ค่อยจะมีฉากที่ครอบครัวมาเจอกับเบซิลสักเท่าไหร่เลยนะ

ก็เลยแต่งตอนนี้ออกมาโดยพูดถึงน้องสาวคนเล็กของครอบครัวสักหน่อย

แต่งไปแต่งมาทำไมดูกลายเป็นพวกเดียวกับเบซิลซะอย่างงั้น 555

สำหรับเรื่องนี้มีบรีฟปกออกมาแล้วใครสนใจอยากเห็นสามารถเข้าไปดูในเพจได้นะคะ

ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตามเสมอ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบายค่ะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่15) 24/8/61 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 24-08-2018 22:56:49
 :pig4: :pig4: :pig4:

เพกาหนีมาหาด้วยเหตุผลแค่คิดถึงเนี่ยนะ   ไม่น่าใช่อ่ะ


มันต้องมีวาระซ่อนเร้นอื่นแอบแฝงอยู่แน่ ๆ
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่15) 24/8/61 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-08-2018 23:27:52
เหตุผลของเพกามันน่าจะมากกว่านั้นสิ
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่15) 24/8/61 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-08-2018 04:02:10
หรือว่าเพกาจะมีความรักกกกก  o18
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่15) 24/8/61 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 25-08-2018 10:24:05
ไม่ใช่ว่ามีใครรู้เรื่องพลังของเพกาเหรอ เพกาถึงมาหาพี่ใบไธม์ อาจมีอะไรสักอย่างที่มากกว่าความคิดถึงอ่ะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่15) 24/8/61 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 26-08-2018 14:17:28
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่16) 8/09/61 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 08-09-2018 13:17:25
สืบรัก彡คดีที่16



ในวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดของใครหลายๆ คนทำให้สถานที่ส่วนมากเต็มไปด้วยผู้คนไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คนรักหรือครอบครัว ผม เบซิลและน้องสาวเพกาออกมาเดินเล่นยังสวนสาธารณะใจกลางเมืองในช่วงสายของวัน สาเหตุที่เลือกสวนสาธาระเพราะว่าเพกาอยากไปที่ที่มีต้นไม้เยอะๆ นั่นเอง


“มีคนเต็มเลย” เพกาวิ่งไปพูดไป


“ระวังหกล้มนะ!” ผมตะโกนตามไปแล้วพยายามก้าวยาวๆ ตามหลังเพกา


“เด็กๆ ก็ต้องให้ล้มบ้างจะได้แข็งแกร่ง” เบซิลพูด


“แต่เพกาเป็นเด็กผู้หญิง” ถ้าเป็นผู้ชายผมคงไม่ห่วงขนาดนี้


“ต่อให้เป็นผู้หญิงก็ต้องมีกันบ้าง มันเป็นประสบการณ์ที่ดี”


“ถ้าบาดเจ็บไปจะทำยังไง”


“หวงน้องกว่าที่คิดนะใบไธม์”


“เรียกว่าห่วงจดีกว่านะ” ใช้คำว่าหวงแล้วรู้สึกแปลกๆ


“ผมอยากให้ทั้งหวงและห่วงผมบ้างจัง”


“ทำไมวกไปเรื่องนั้นได้?” คุยเรื่องเพกาอยู่ดีๆ กลายเป็นเรื่องเบซิลไปได้ยังไง


“เรามาเดทกันนี่”


“ไม่ได้มาสองคนสักหน่อย” มีเพกามาด้วยอีกคน


“ไม่เห็นเป็นไร การได้ออกมากับใบไธม์สำหรับผมถือเป็นเดท”


“เดทก็เดท...เฮ้ย!”


โฮ่ง!


แรงกระแทกจากด้านหลังมาพร้อมกับเสียงเห่าของสัตว์สี่ขา ด้วยแรงกระแทกที่ไม่ทันตั้งตัวทำให้ผมเซล้มไปยังพุ่มไม้ข้างต้นไม้ใหญ่ ทันใดนั้นร่างของสัตว์สี่ขาขนฟูสองสีก็ขยับเข้ามาเลียหน้าผมจนเปียกเยิ้ม ไม่มีเวลาแม้แต่จะขยับหนีรู้ตัวอีกทีร่างผมก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสุนัขขนฟูสีขาวแซมดำ หูที่ตั้งฉากเป็นรูปสามเหลี่ยมกระดิกไปมาท่ามกลางเสียงถอนหายใจของผมในร่างสุนัขพันธ์ไซบีเรี่ยนฮัสกี้


กลายเป็นหมาซะแล้ว


อ่า...ประมาทจนได้เรื่องทุกทีสิน่า


“ใบไธม์” เบซิลรีบตามเข้ามาดูสถานการณ์


“พี่ไธม์เหรอ? น่ารักจัง” เพกาเองส่งยิ้มหวานมาให้แล้วก้าวเข้ามากอดคอสุนัขพันธุ์ไซบีเรี่ยนตัวสีขาวดำ ที่เพกากอดไม่ใช่ผมแต่เป็นสุนัขของจริง อาจเพราะผมและสุนัขขาวดำมีรูปร่างเหมือนกันเป๊ะเลยยากถ้าจะแยก


“ทำหน้าเหนื่อยใจนะใบไธม์” เบซิลก้าวเข้ามาลูบแฝงคอผมพร้อมรอยยิ้ม


หงิ๋ง!


รู้ด้วยเหรอว่าผมเป็นตัวไหน


“เดาไม่ยากนี่มีแค่ตัวเดียวที่ที่เหมือนอยู่ในเสื้อผ้า อีกอย่างสุนัขตัวนั้นเป็นตัวเมียส่วนคุณเป็นผู้ชาย” เบซิลอธิบายทุกอย่างออกมาราวกับเข้าใจว่าผมถามอะไร


“อ้าว นี่ไม่ใช่พี่ไธม์เหรอ” เพกาหยุดกอดสุนัขตัวโตแล้วหันไปถามเบซิล


“อืม ใบไธม์นะอยู่นี่”


“พี่ไธม์ นุ่มจังเลย” เพการีบพุ่งตัวมากอดผมทันที ใบหน้าเล็กๆ ซุกไซร้ยังขนสองชั้นแสนนุ่มฟูซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสายพันธ์ไซบีเรี่ยนฮัสกี้ การกลายร่างเป็นสัตว์ของผมอาจก๊อปปี้ได้เหมือนตัวจริงเด๊ะๆ ทว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเพศเดิมได้ นั่นคือต่อให้ผมไปแตะนกหรือกระรอกตัวเมียก็ไม่ได้ทำให้ผมกลายเป็นตัวเมียตามไป


“จูลี่ อ๊ะ...มีสองตัว?” ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้จะเป็นเจ้าของสุนัขพันธ์ไซบีเรี่ยนตัวนี้ และคงตกใจที่เห็นว่ามีสุนัขที่เหมือนกับเปี๊ยบอยู่ 2 ตัว


สถานการณ์ท่าจะจัดการยากแล้วสิ


แต่คงไม่มีปัญหาเพราะมีเบซิลอยู่ ต่อให้อยู่ในสถานการณ์แบบไหนเบซิลสามารถจัดการได้อยู่แล้ว


“สวัสดีครับ สุนัขแสนสวยนี่เป็นของคุณสินะครับ” เบซิลก้าวไปด้านหน้าเพื่อบังเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้นเช่นเดียวกับผมที่ขยับตัวออกมาอยู่ด้านหน้า


“ใช่ค่ะ จูลี่...ฉันพึ่งเคยเห็นสุนัขที่เหมือนกันขนาดนี้ครั้งแรก” เธอลูบทักทายสุนัขเพศเมียชื่อจูลี่ก่อนจะมองมายังผมที่มีเพกากอดฟัดอยู่


“นั่นสิครับ คล้ายกับปีเตอร์ของผมมากเลย”


เอาแล้วไง ปีเตอร์มาอีกแล้ว


ไม่มีชื่ออื่นที่ดีกว่าปีเตอร์แล้วใช่ไหมเบซิล


“เหมือนเปี๊ยบเลยค่ะ ฉันว่าตาฝาดซะอีก”


“ของคุณสวยส่วนของผมหล่อ” เบซิลยิ้มพลางหันมาลูบหัวผมในร่างสุนัข


“จริงด้วย พอมองดีๆ แล้วหล่อมากเลยนะปีเตอร์” เธอก้มหน้าลงมามองผมชัดๆ คำพูดของเบซิลเป็นเหมือนเวทย์มนต์ที่จะชักนำคนให้เป็นไปตามที่ต้องการได้


ควรจะพูดว่าน่าทึ่งหรือน่ากลัวดีล่ะ


“พวกเราคงต้องขอตัว” เบซิลพยายามปิดฉากการสนทนาโดยมีเพกาที่รู้งานค่อยๆ หยิบเสื้อผ้าผมขึ้นมาไว้ในมือ


“นี่อาจเป็นโชคชะตาก็ได้ ถ้ายังไงเราให้ทั้งคู่มามีลูกกันดีไหมคะ” คำถามนี่ทำเอาผมในร่างสุนัขถึงกับสะดุ้ง


“เรื่องนี้คงต้องขอปฏิเสธ” น้ำเสียงของเบซิลไม่มีทีท่าตกใจเลยสักนิด เก็บอารมณ์ได้ดีมาก


“ทำไมล่ะคะ หรือว่ามีอีกตัวอยู่แล้ว”


“ไม่ใช่หรอกครับ เพราะผมรักเขามากและคงยอมให้ผู้หญิงคนอื่นมาแตะต้องไม่ได้” ไม่พูดเปล่าเบซิลก้มลงมาจูบเบาๆ ยังบริเวณแก้มอันเต็มไปด้วยขนสีขาวเบาๆ


“แหม...น่ารักจังเลยค่ะ ฉันเองก็รักจูลี่มากเหมือนกัน ถ้ามีโอกาสเราคงได้เจอกันอีก ฉันขอตัวก่อนนะคะ” เธอกล่าวลาพร้อมใส่สายจูงพาสุนัขพันธ์ไซบีเรี่ยนฮัสกี้เดินกลับไปทางเดิม


โฮ่ง!


ผมเห่าใส่เบซิลเสียงดังลั่นโดยไม่สนว่าเพกาจะมองว่ายังไง รู้แค่ตอนนี้ผมอยู่นิ่งไม่ได้


คำพูดพวกนั้นกล้าพูดออกไปได้นะ


ถึงจะไม่อายผมแต่ก็ช่วยอายคนอื่นบ้างเถอะ


คนฟังอย่างผมยังอายแทนเลย


โฮ่ง!


“ไม่ต้องเขินน่าใบไธม์”


โฮ่ง!


ใครเขินกัน! ไม่ต้องมาทำเป็นรู้ทันเลยนะ!


“ผมไม่ยอมให้ใครมาแตะคุณหรอกต่อให้เป็นสุนัขตัวเมียก็ตาม” รอยยิ้มของเบซิลเด่นชัดราวกับจะเน้นย้ำคำสัญญา


สุดท้ายการเดินเล่นในสวนสาธารณะก็ต้องหยุดกลางครันเพราะการกลายร่างของผม จากนั้นพวกเราพาเพกาไปเดินห้างกินข้าวในร้านอาหารญี่ปุ่นและพาเดินเที่ยวตามชั้นต่างๆ ตกเย็นผมขับรถพาเพกามาส่งที่บ้านโดยมีเบซิลตามลงจากรถมาด้วย


“รออยู่นี่ดีกว่ามั้ง” ผมยังไม่ได้เตรียมใจจะแนะนำเบซิลกับครอบครัวเลย ผมรู้ว่าถ้าเจออีกฝ่ายต้องบอกแน่ว่าผมเป็นคนรักของเขา จริงอยู่พ่อกับแม่ไม่ได้ซีเรียสเรื่องพวกนี้แต่ผมอยากมีเวลาพูดเกริ่นกับพ่อแม่ก่อนจะพาเบซิลมาให้รู้จัก


“ผมยังไม่พูดเรื่องเราหรอก”


“ให้จริงเถอะ” ทำไมผมรู้สึกว่าเชื่อไม่ได้กันนะ


“พี่ ยืนทำอะไรหน้าบ้าน...” เสียงของกระวานดังขึ้นก่อนจะเปิดประตูบ้าน และทันทีที่ก้าวเข้ามาใกล้ดวงตาสีน้ำตาลของกระวานก็เบิกกว้างราวกับกำลังตกใจกับบางสิ่งบางอย่าง


ถ้าให้เดาคงเป็นเบซิล แต่แค่เบซิลไม่เห็นต้องทำหน้าตกใจแบบนั้นแถมยังหน้าแดง


“กระวาน...”


“โป๊ยกั๊ก!” กระวานตะโกนแทรกเสียงแรกผมด้วยการเรียกน้อยชายคนที่สองอย่างโป๊ยกั๊ก


เสียงฝีเท้าวิ่งลงมาจากบันไดดังขึ้นไม่นานประตูบ้านก็ถูกเปิดอ้าออกพร้อมโป๊ยกั๊กในชุดลำลองอยู่บ้านก้าวมาหยุดยืนอยู่ข้างกระวานโดยใช้สายตาคมๆ จ้องมองไปยังเบซิล จริงอยู่ทั้งคู่อาจเคยเจอกันแล้วแต่ในครั้งแรกนั้นไม่ใช่โป๊ยกั๊ก พลังของโป๊ยกั๊กคือสามารถสลับกับตัวเองที่อยู่ในกระจกได้ทว่าโป๊ยกั๊กไม่ชอบตัวตนที่อ่อนแอของตัวเองนักจึงมีไม่บ่อยนักที่สลับตัวยกเว้นถึงคืนเดือนมืดก้านพลูจะสลับออกมาทันที


อธิบายง่ายๆ คือโป๊ยกั๊กไม่มีความทรงจำตอนที่ก้านพลูเจอกับเบซิลในครั้งก่อน ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานโป๊ยกั๊กได้มาหาผมที่ห้องอีกครั้งและได้เจอกับเบซิลแล้ว นี่จึงเป็นครั้งที่ 2 ที่ทั้งคู่ได้เจอกัน


“เกิดอะไรขึ้น หมอนั่น...” โป๊ยกั๊กแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรออกมาทันที ตั้งแต่เจอกันครั้งก่อนก็มีท่าทีไม่เป็นมิตรตลอด คงสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างในตัวเบซิล


“เอ่อ...”


“จัดการหมอนั่นเลยโป๊ยกั๊ก!” เป็นอีกครั้งที่คำพูดผมถูกขัดโดยกระวาน


“หมายความว่ายังไง” โป๊ยกั๊กหันไปถามกระวาน


“หมอนั่นมัน...มัน...”


“มันอะไรล่ะ” โป๊ยกั๊กเร่ง


“มันคิดลามกกับพี่ไธม์อยู่เต็มหัวไปหมดเลย!” สิ้นคำพูดของกระวานโป๊ยกั๊กไม่รอช้าเหวี่ยงหมัดซ้ายใส่เบซิลทันที โชคดีที่เบซิลเก่งเรื่องการหลบหลีกเลยลอดหมัดนั้นไปได้ ถ้าโดนได้สลบแน่


หมัดของโป๊ยกั๊กยิ่งแรงๆ อยู่ด้วย


เดี๋ยวนะ...กระวานพูดว่าเบซิลคิดเรื่องลามกกับผมอยู่เต็มหัวไปหมด?


“อย่าเอาหลบสิ” โป๊ยกั๊กเริ่มอารมณ์เสียที่เบซิลเอาแต่เบี่ยงตัวหลบการจู่โจมไม่ว่าจะเป็นหมัดหรือขา ผมรู้ว่าการหลบมันกวนอารมณ์คู่ต่อสู้แต่ในตอนนี้เบซิลทำได้ดีสุดแค่นี้แหละ จะให้ชกกลับด้วยหมัดเบาๆ ที่ตั้งท่ายังไม่คล่องนั่นได้ถูกโป๊ยกั๊กหลบแล้วจู่โจมสวนกลับด้วยการทุ่มข้ามหลังแน่ หรือเบซิลจะรู้เลยทำเพียงหลบไปมาอยู่แบบนี้


“พอได้แล้วโป๊ยกั๊ก” ผมรีบเข้าไปห้ามเพราะขืนให้ต่อสู้ระยะยาวเบซิลจะเสียเปรียบในด้านกำลังกายและความคล่องตัว


“พี่ปกป้องหมอนั่นทำไม มันคิดลามกกับพี่ขนาดไหนรู้ไหม” กระวานชี้หน้าเบซิลพร้อมจ้องเขม็งอย่างไม่ยอมถอย


“เบซิล” จะมาคิดลามกอะไรตอนนี้


“ไม่ได้ตั้งใจคิดสักหน่อย มันเป็นไปเอง” เบซิลแก้ตัว


“เบซิล”


“รู้แล้วน่า”


“...ไม่ได้ยินแล้ว” กระวานพึมพำเสียงเบา


“เฮ้อ...ขอแนะนำนะ นี่เพื่อนพี่ชื่อเบซิล เบซิลคุณคงรู้อยู่แล้ว...โป๊ยกั๊กคงรู้จักอยู่แล้ว ส่วนนี่กระวานน้องชายอีกคนของผม” ผมพยายามทำให้บรรยากาศดีขึ้นโดยเริ่มจากการแนะนำตัวทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน


“เรียกพี่เบซิลก็ได้นะ”


“คุณไม่ใช่เพื่อนพี่ไธม์” กระวานดูเหมือนจะยังไม่ยอมรับเบซิลง่ายๆ


“ใช่ ผมเป็นคนรักของใบไธม์น่ะ”


“เบซิล!” ไหนบอกว่าจะไม่พูดไง


“น้องชายคุณเซ้นต์ดีจะตายอย่าโกหกดีกว่า” เบซิลพูดตามที่คิด


“เขาเป็นคนรักของพี่จริงเหรอ” โป๊ยกั๊กหันมาถามราวกับไม่เชื่อในคำพูดของเบซิลเท่าไหร่ อย่างที่เบซิลพูดโป๊ยกั๊กเซ้นต์ดีมากต่อให้ผมเลือกที่จะโกหกเขาคงรู้ทันที


“อืม...แฟนพี่เอง” ไม่ได้ตั้งใจจะเปิดตัวแต่ดูเหมือนจะทำอะไรไม่ได้แล้ว


“คงไม่ได้คิดจะคบเล่นๆ หรอกใช่ไหม” โป๊ยกั๊กจ้องเขม็งไปทางเบซิลอีกรอบ บรรยากาศที่สื่ออกมาคล้ายจะบอกว่าถ้าตอบไม่ดีได้มีคนถูกหามส่งโรงพยาบาลแน่


“จริงด้วย เอาแค่คิดลามกแบบนั้นถ้าคิดจะหลอกพี่ไธม์พวกเราไม่อยู่เฉยแน่!” กระวานเข้ามาร่วมวงด้วยอีกคน ตอนนี้เพกาที่เด็กสุดได้แต่ยืนเงียบมองพี่ชายตัวเองกับเบซิลคุยกันด้วยใบหน้างงๆ


“พูดเหมือนก้านพลูเลยนะ”


“...ทำไมถึงรู้เรื่องนั้นได้” โป๊ยกั๊กเริ่มรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ไม่ได้เมื่อได้ยินชื่อก้านพลู


“ก็เคยเจอกันครั้งนึง การที่โป๊ยกั๊กจำไม่ได้หมายความว่าความทรงจำไม่ได้เชื่อมกันสินะ” เบซิลวิเคราะห์พลังของโป๊ยกั๊กได้อย่างยอดเยี่ยม ถูกต้องทุกอย่าง...ความทรงจำตอบก้านพลูอยู่ในร่างโป๊ยกั๊กจะจำไม่ได้ในทางตรงกันข้ามก้านพลูกลับสามารถจดจำทุกอย่างได้แม้จะไม่ได้ออกมาก็ตาม


“...” โป๊ยกั๊กถึงกับอึ้งที่ถูกคนที่พึ่งเจอกันแทบนับครั้งได้พูดถึงพลังของตัวเองได้เป็นฉากๆ


“ส่วนพลังของกระวานคงเป็นการอ่านใจไม่ก็ความคิดแน่ๆ และคงอ่านได้แค่พวกเรื่องลามกเพราะตอนนี้ผมคิดเรื่องอื่นอยู่ในหัวเต็มไปหมดแต่กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลย อ้อ คงมีขอบเขตของการอ่านด้วยน่าจะไม่กี่เมตรใช่ไหม” หลังจากวิเคราะห์พลังของโป๊ยกั๊กเสร็จก็ต่อด้วยพลังของกระวานทันที น้ำเสียงและแววตานั่นแสดงความมั่นใจว่าสิ่งที่พูดออกไปจะไม่ผิด


“...หมอนี่เป็นใครกัน” กระวานมองไปทางเบซิลด้วยความรู้สึกหลากหลาย คงไม่เคยเจอคนที่สามารถใช้แค่การสังเกตและเก็บข้อมูลคำพูดต่างในเสี้ยวนาทีและมาวิเคราะห์แบบนี้


“เขาชื่อเบซิล ถ้าจะให้ชัดฉายาเขาคือเมเกอร์” ผมตอบคำถามของกระวานแทนเบซิล


“เมเกอร์...ไม่จริงน่า นักโทษคดีหลอกลวง ตุ้มตุ๋นและแฮ็กระบบธนาคารนำเงินออกมาโปรยว่อนคนนั้นน่ะนะ” กระวานถึงกับก้าวถอยหลังเมื่อรู้ว่าตัวจริงของเบซิลเป็นใคร


“ใช่แล้ว คนนั้นคือพี่เอง” เบซิลชี้มายังตัวเองโดยไม่มีการปิดบัง


“ไม่ใช่ว่าอยู่ในคุกเหรอ” โป๊ยกั๊กพูดบ้าง


“ออกมาด้วยพลังแห่งรัก...โอ๊ย!” ผมชกเข้าที่ท้องอีกฝ่ายแรงๆ เพื่อไม่ให้พูดออกมามากกว่านี้


“หน่วยพี่ต้องการความสามารถและทักษะของเมเกอร์เลยได้มาทำงานร่วมกันน่ะ” ผมอธิบายความจริงให้น้องๆ ฟัง


“คนแบบนี้พี่เชื่อใจได้งั้นเหรอ ไม่แน่เขาอาจจะหลอกพี่อยู่ก็ได้” ผมเข้าใจความเป็นห่วงของน้องชายดี ไม่ว่าใครที่รู้ว่าเบซิลคือเมเกอร์สิ่งแรกที่จะถามหาคือความเชื่อใจ


จะเชื่อใจได้เหรอ


จะหลอกลวงรึเปล่า


สำหรับผมได้คำตอบมานานแล้ว


“พี่เชื่อใจเขา” เชื่อว่าคำพูดที่บอกว่ารักจะไม่ใช่คำโกหกหรือหลอกลวง


“...พี่ไธม์ พวกเรายังไม่ได้ฟังคำตอบของคุณเลยนะ” ประโยคสุดท้ายโป๊ยกั๊กและกระวานหันไปทางเบซิล


“ใบไธม์เป็นคนที่ฉันรักมากที่สุด” ไม่จำเป็นต้องอธิบายเวิ้นเว้อเพียงแค่ประโยคเดียวก็มาพอในการสื่อความรู้สึกและความจริงใจออกมาได้


“...พวกเรายังไม่เชื่อใจคุณ แต่เชื่อใจพี่ไธม์ที่เชื่อคุณ” โป๊ยกั๊กนิ่งไปสักพักก่อนจะสบตากับผมสลับกับเบซิลระหว่างพูด


“แค่นั้นก็พอแล้ว ความเชื่อใจที่ได้รับจากใบไธม์จะไม่ทำให้ผิดหวังเด็ดขาด” เบซิลไม่ได้พูดกับโป๊ยกั๊กหรือกระวานแต่เป็นผม ดวงตาสีเขียวมรกตจับจ้องมาราวกับกำลังสัญญา


“ถ้าทำให้พี่เสียใจผมจะไม่ยอมอยู่เฉยแน่!” โป๊ยกั๊กย้ำ


“ได้ ถ้าถึงตอนนั้นจะยอมเป็นกระสอบให้ซ้อมโดยไม่ขัดขืนเลย”


“เบซิล” ใจกล้าไปแล้วที่สัญญาแบบนั้น


“กลับกันเลยไหม”


“พาเพกามาส่งแล้ว พี่ขอตัวก่อน” ผมบอกกับน้องๆ ทุกคน


“ไม่เข้าไปข้างในก่อนล่ะ เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็กลับแล้วจะได้แนะนำคนคนนั้นให้รู้จักไปเลย” กระวานเสนอ


“ครั้งหน้าพี่จะคุยกับพ่อแม่เอง”


“ตามใจพี่ละกัน งั้นพวกเราจะปิดเงียบเรื่องนี้ไว้ก่อน เนอะ” กระวานใช้ศอกกระทุ้งแขนโป๊ยกั๊กเพื่อขอความเห็น


“จะยังไม่บอกพ่อกับแม่” โป๊ยกั๊กพยักหน้าตอบเบาๆ


“อืม ไว้เจอกันใหม่” ผมบอกลาน้องทั้งสามคนก่อนจะขับรถตรงกลับคอนโด


(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่16) 8/09/61 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 08-09-2018 13:17:56
(ต่อนะคะ)


ไม่กี่วันต่อมาผมและเบซิลมีคดีที่ต้องไปจัดการแถวชานเมืองซึ่งเป็นคดีที่ผมแทบไม่มีส่วนร่วมสักเท่าไหร่เพราะการช่วยจัดการระบบที่ถูกเหล่าแฮ็กเกอร์จู่โจมทั้งแบบจริงจังและแบบเล่นนั้นแค่มีเบซิลอยู่ก็ถือว่าภารกิจนี้เป็นอันเสร็จสิ้น ในโลกยุคปัจจุบันแทบไม่มีกำแพงกั้นในเรื่องของความรู้ ไม่ว่าจะเป็นใครหรือเด็กแค่ไหนก็สามารถศึกษาหาความรู้ได้ เช่นเดียวกับการแฮ็กเข้าระบบ


โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยปกติไม่มีทางที่จะสอนในเรื่องพวกนี้แต่บนเว็บไซต์นั่นมีสอนกันเป็นเหมือนรายวิชาหนึ่งที่ต้องเรียน
และคนที่เรียนก็มักจะอยากลองให้ภูมิโดยการหาระบบอะไรสักอย่างมาแฮ็กข้อมูลเล่นๆ หรือไม่ก็ต้องการข้อมูลของทางบริษัทจริงๆ ผมเองก็ไม่รู้เหตุผลรู้แค่ว่าการกระทำเหล่านั้นส่งผลให้ระบบการป้องกันของฐานข้อมูลต่ำลงจนใกล้จะถูกทำลายทางบริษัทจึงได้ต่อผ่านทางหัวหน้าไพลสันต์ให้ช่วยเรื่องนี้หน่อย

ดูเหมือนว่าจะเป็นคนรู้จักของหัวหน้าพวกเราเลยมาจัดการเรื่องนี้ให้ ทีมงานของทางบริษัทก็มีอยู่แต่ไม่ว่าจะทำการซ่อมแซมสักกี่ครั้งก็โดนเข้าแฮ็กอยู่ตลอด


ทันทีที่เบซิลเดินเข้ามา เขาขอดูระบบของทางบริษัทเป็นอย่างแรก ดวงตาสีเขียวมรกตไล่มองไปยังโค้ดต่างๆ นันพันนับหมื่นบรรทัดแถมยังมีหน้าต่างแยกอีกไม่รู้กี่ร้อยหน้าซึ่งเบซิลทำเพียงเปิดดูผ่านๆ และสรุปออกมาให้ทุกคนที่จับจ้องไปฟังว่าสาเหตุที่ถูกแฮ็กบ่อยเพราะระบบของทางบริษัทถูกเขียนไว้ตามแบบแพทเทิ้น แปลง่ายๆ คือหากเรียนรู้วิธีการแฮ็กข้อมูลมาจำเป็นต้องมาหาหบริษัทที่มีการวางระบบง่ายๆ เพื่อทดลองการแฮ็ก บริษัทนี้จึงตกเป็นเป้านั่นเอง


การแก้ไขนั้นทำได้ง่ายมากแค่วางระบบใหม่ให้มีความซับซ้อนขึ้นจนไม่สามารถเจาะเข้ามาได้เป็นอันจบ แต่การวางระบบใหม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการทำนานเบซิลจึงทำเพียงฐานหลักให้ ในส่วนย่อยๆ ให้ทางบริษัทไปจัดการต่อเอง


พวกเรามาถึงบริษัทนี้ในช่วงประมาณ 9 โมงกว่าเบซิลจะจัดการวางฐานให้เสร็จก็ใช้เวลาไปถึง 3 ชั่วโมงเต็ม สำหรับมุมมองผมคิดว่าค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับคดีอื่นๆ ที่ได้เบซิลช่วยแต่ในมุมมองของนักคอมทีมบริษัทนั้นมีปฏิกิริยาแต่งต่างกันอย่างสุดขั้ว ตรงกันข้ามกับผมโดยสิ้นเชิง ทุกคนต่างทำตาโตเท่าไข่ห่านระหว่างดูเบซิลจัดการคีย์วางระบบและดวงตานั่นยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปุ่มเอนเทอร์ตัวสุดท้ายถูกกดตาของพวกเขาก็แทบจะถลนออกมา


“คุณทำได้ยังไง?!”


“นี่มันสุดยอด!”


“มีการใช้วิธีลัดแบบนั้นได้ด้วยเหรอ?!”


คำพูดของทุกคนแสดงความชื่นชมเบซิลอยู่ไม่ขาดแถมยังมีคนมาขอเป็นลูกศิษย์เบซิลด้วย อาจเพราะมีความรู้และทักษะทางด้านคอมอยู่แล้วเลยรับรู้ถึงความสามารถของเบซิลได้ชัดเจนขึ้นกว่าคนที่ไม่ค่อยรู้อะไรแบบผม


“ดีจังนะได้ลูกศิษย์ด้วย” ผมเอ่ยระหว่างขับรถ


“ผมปฎิเสธไปแล้วนี่”


“น่าเสียดายออก” เป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูดแหละคือปฎิเสธไปแล้วแต่ยังไงผมก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่ดี ในเมื่อมีความสามารถระดับนี้ผมก็อยากให้เขาถ่ายทอดมันให้กับคนที่ต้องการ


“ต่อให้สอนไปก็เท่านั้น ทุกอย่างที่ผมทำมันไม่สามารถสอนเป็นแบบแผนได้เหมือนอย่างอาจารย์หรือคนอื่น ในกรณีของผมใช้การทำเป็นลัดขั้นตอนหากไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการทำหรือคิดผิดสเต็ปไปรับรองว่าออกมาเละแน่” เบซิลอธิบายเพิ่ม


“ก็คงใช่” ดูจากที่ผ่านๆ มาก็เดาได้ว่าอีกฝ่ายใช้การจัดการที่ต่างจากคนอื่นถึงใช้เวลาน้อยขนาดนั้น


“แล้วนี่เรากำลังจะไปไหนกัน”


“รู้ด้วยเหรอว่าผมไม่ได้กลับห้องหรือที่ทำงาน” ผมหันไปถาม


“รู้สิ เส้นทางนี้อาจไปถึงห้องกับที่ทำงานได้ก็จริงแต่ปกติคุณจะขับเลนส์กลางไม่ใช่ริมขวามือคล้ายจะเตรียมเลี้ยวแบบนี้”


“สุดยอด” แค่ความผิดปกติเล็กๆ ยังสามารถดูออกได้อีกนะ


สมแล้วจริงๆ


“เปลี่ยนจากคำชมเป็นจูบหวานๆ สักทีได้ไหม”


“ถ้าเป็นหมัดแรงๆ สักทีผมจะให้เดี๋ยวนี้แหละ” ผมอาศัยช่วงติดไฟแดงยกกำปั้นขึ้น


“...ผมล้อเล่นน่า สรุปเราจะไปไหนกัน”


“ไปร้านพ่อผม”


“ฮืม พาผมไปพบพ่อตาแบบนี้น่าจะให้เตรียมตัวหน่อยสิ”


ผมมอบความเงียบให้อีกฝ่ายพร้อมเลี้ยวขวาเข้าไปซอยจนถึงร้านอาหารโทนสีขาวที่มีสวนขนาดเล็กอยู่ด้านข้าง จากด้านนอกจะเห็นด้านในได้จากกระจกใสซึ่งภายในมีโต๊ะโทนสีน้ำตาลและอุปกรณ์ตกแต่งสีชมพูประดับอยู่เต็มไปหมด ผมจอดรถดไว้ชิดรั้วร้านก่อนจะเดินนำเบซิลที่ตามหลังมาเข้าไปด้านใน


กระวานไม่ได้ทำงานอยู่ที่นี่แล้วตั้งแต่เผลอไปทำแหวนมูลค่ากว่า 10 ล้านหายพ่อเลยมีการจ้างผู้ช่วยและพนักงานเสิร์ฟเพิ่ม และเนื่องจากผมไม่ได้ร้านนี้บ่อยขนาดนั้นพนักงานใหม่ๆ เลยไม่รู้ว่าผมเป็นลูกชายของเจ้าของร้าน ครั้งนี้ผมเลือกโต๊ะนั่งด้านในสุดเป็นมุมที่ค่อนข้างส่วนตัวมากทีเดียว เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่ช่วงพักแถมยังเป็นวันธรรมดาเลยไม่มีลูกค้ามานั่งแต่ถ้ามาช่วงเย็นอาจไม่มีโต๊ะนั่งก็เป็นได้


“ยินดีต้อนรับ...พี่ไธม์?” เจ้าของคำพูดต้อนรับปรากฏตัวออกมาพร้อมเมนูอาหาร ร่างสูงที่ดูจะมากกว่าผมอยู่เล็กน้อยแถมหน้าตาไม่ค่อยรับแขกนั่นผมเคยเจออีกฝ่ายมาก่อนที่บ้าน ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนของโป๊ยกั๊ก


ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจำผมได้ การพบกันของผมและเขาไม่ค่อนข้างแปลกพอสมควรเพราะผมในตอนนั้นอยู่ในสภาพเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าขนหนูพาดเอวเท่านั้น ช่วยไม่ได้นี่ก็ก่อนหน้านั้นผมดันอยู่ในร่างแมวพอกลับร่างมนุษย์เลยไม่มีเสื้อผ้าใส่


“คำนับสินะ” ผมไม่ค่อยแน่ใจในชื่อของอีกฝ่ายนักแต่ไม่น่าจะจำผิด


“อืม เอ้ย...ครับ ตอนนี้คนอื่นออกไปพัก อาฟ้าเองก็เห็นว่าจะออกไปไหนสักที่ผมเลยอยู่ดูร้านคนเดียว”


“ใส่ชุดแบบนั้น ทำอาหารได้สินะ” ผมมองชุดครัวที่อีกฝ่ายใส่ระหว่างถาม


“ได้ครับ พวกพี่จะเอาอะไรดี...ครับ”


“สลัดเต้าหู้ผักรวม เบซิลเอาอะไร” พอบอกของตัวเองเสร็จก็หันไปถามเบซิลบ้าง


“เอาเป็น Frikadelle กับ Linsensuppe อ้อ...เครื่องดื่มขอเป็น Der Rotwein นะ” ไม่เพียงแค่คำนับที่หรี่ตามมองราวกับกำลังฟังภาษาต่างดาวแต่คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างผมเองก็ถึงกับถอนหายใจเบาๆ


“เลิกแกล้งน้องเขาเบซิล”


“ไม่ได้แกล้งสักหน่อย ดูจากร้านนอกจากอาหารไทยน่าจะมีอาหารอย่างอื่นอีกผมเลยสั่งอาหารเยอรมันแค่นั้นเอง”


“มีแค่ในเมนู” ผมแบมือของเมนูจากคำนับแล้วยื่นให้เบซิลเปิดดู


“ข้าวกระเพราไก่ใส่เครื่องใน ไข่ดาวด้วย”


“สั่งแต่แรกก็จบแล้ว” ผมแอบบ่น


“ก็เผื่อมี เหมือนเราจะพึ่งเจอกันครั้งแรกสินะ...เรียกพี่เบซิลก็ได้ คำนับ” เบซิลแนะนำตัวพร้อมรอยยิ้มมุมปากทำทำให้คำนับขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม


“น้ำเอาเป็นอะไรดีครับ” คำนับถามต่อ


“Der Rotwein...”


“น้ำเปล่าละกัน” ไม่ต้องรอให้เบซิลพูดจบประโยคผมก็รีบหันไปตอบคำนับ


“...ครับ” เมื่อทวนรายการอาหารเสร็จอีกฝ่ายก็หันหลังกลับเดินเข้าห้องครัวด้านหลังไป


หลังจากนั้นไม่นานข้าวกระเพราไก่ใส่เครื่องในไข่ดาวของเบซิลก็ถูกยกมาเสิร์ฟเป็นอย่างแรก ไม่กี่นาทีต่อมาสลัดเต้าหู้ผักรวมของผมพร้อมน้ำสลัดที่มีให้เลือก 2 แบบทั้งแบบน้ำใส่และน้ำข้น


“เอาน้ำสลัดนั่นคืนไป” เบซิลหยิบถ้วยน้ำสลัดน้ำข้นกลับไปวางบนจานถาดของคำนับ


“น้ำสลัดแบบข้นของที่ร้านอร่อยมากนะ...ครับ ได้รสชาติของมายองเนสกับไข่กุ้งด้วย” คำนับพูดอธิบายเพิ่ม คงคิดว่าเบซิลเอาคืนเพราะดูไม่อร่อยน่ะสิ


“เพราะมีทั้งมายองเนสทั้งไข่กุ้งเลยให้เอาคืนไป ไว้เสิร์ฟโต๊ะอื่นที่กินได้เถอะ” เบซิลพูดต่อ


“โต๊ะอื่นที่กินได้?” คำพูดของเบซิลทำให้คำนับถึงกับทำหน้างง


“พี่กินเนื้อสัตว์ไม่ได้น่ะ ทั้งไข่ไก่หรือไข่กุ้งก็กินไม่ได้ทั้งนั้น” ผมตัดสินใจอธิบายเหตุผลจริงๆ ออกไปแม้จะไม่ได้บอกเรื่องพลังของตัวเองก็ตาม


“...ผมไม่รู้ ขอโทษครับ”


“ไม่เป็นไร โป๊ยกั๊กตอนอยู่ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง”


“...ก็ดีพอสมควร แต่บ้างครั้งก็มาวุ่นวายเกินไปจนน่ารำคาญ” ประโยคท้ายๆ อีกฝ่ายเข้าข่ายระบายเรื่องโป๊ยกั๊กให้ผมฟัง


“แปลว่าสนิทกันดีนี่”


“ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นสักหน่อย”


“ถ้าไม่เป็นเพื่อนสนิทหรือคนที่ให้ความสำคัญจริงๆ ขานั้นไม่เข้าไปยุ่งด้วยหรอก” ด้วยนิสัยของโป๊ยกั๊กถ้าไม่เห็นว่าคนคนนั้นมีความสำคัญต่อตัวเองส่วนมากก็จะปล่อยไป ประมาณว่าไม่สนใจแต่เมื่อเป็นคนสนิทหรือคนสำคัญจะเข้าไปยุ่งแทบทุกอย่างเลยล่ะ


“...จะแกล้งผมน่ะสิ” อีกฝ่ายดูไม่เชื่อสิ่งที่ผมพูดไปนัก


“ลองอยู่ด้วยกันอีกสักพักคำนับจะเข้าใจนิสัยของโป๊ยกั๊กเอง”


“...ครับ” แม้จะดูไม่มั่นใจแต่คำนับก็ยอมพยักหน้าตอบรับ


“น่าสนใจดีแฮะ” เบซิลพึมพำพร้อมยกยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นโดยที่สายตาจับจ้องไปยังแผ่นหลังของคำนับที่เดินไปรับออร์เดอร์อีกโต๊ะอยู่ถัดไปไม่ไกลนัก


“สนใจคำนับ?”


“อะไร...นี่คุณหึงผมเหรอใบไธม์” รอยยิ้มแพรวพราวนั่นทำเอาอยากยกถ้วยน้ำสลัดสาดใส่ใบหน้าอันหล่อเหล่าให้เปียกโชกไปยันกางเกงจริงๆ


“ไม่ได้หึง”


“แต่ท่าทางของคุณบอกว่าหึงนะ”


“เบซิล!” ผมเริ่มเสียงดังใส่อีกฝ่าย


“โอ๊ะ จะประกาศให้คนอื่นรู้เหรอว่าหึงผม แบบนี้ผมก็อายแย่สิ” ไม่พูดเปล่าเบซิลแกล้งยกมือสองข้างขึ้นปิดหน้าด้วย


“ถ้ายังไม่หยุด...”


“จะทำไมเหรอ?” เบซิลดูสนุกที่จะได้ฟังคำขู่ของผม รอยยิ้มนั่นน่าหงุดหงิดชะมัด


“นอนนอกห้อง” คำขู่เดียวที่นึกออกก็ดูเด็กซะเหลือเกิน


“ถ้าจะทำแบบนั้นชกผมให้สลบแทนเถอะ”


“ได้” ผมพยักหน้าตกลง


จะให้ชกจนสลบใช่ไหม...จัดให้ตามคำขอ!


“ช่วงลังเลสักนิดได้รึเปล่า นี่เราเป็นแฟนกันนะใบไธม์”


“ก็ใครล่ะที่กวนก่อน”


“ผมแค่พูดว่าคุณหึง...ก็ได้ ไม่พูดแล้ว” เมื่อถูกสายตาผมจ้องเขม็งไปเบซิลจึงยอมหยุด


“แล้วที่บอกว่าคำนับน่าสนใจหมายถึงอะไร” ผมวกบทสนทนากลับเข้ามายังประเด็นสำคัญหลังจากออกนอกทะเลไปไกล


“คุณไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”


“รู้สึกอะไร” ผมต้องรู้สึกอะไรด้วย?


“ก็เวลาคุยกันเรื่องของโป๊ยกั๊กน่ะ”


“ยังไง” นี่ผมยังไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่างนะ


“ไม่แน่ว่าคำนับอาจอยู่ฝ่ายเดียวกับคุณก็ได้”


“ฮะ?”


“แล้วดูเหมือนโป๊ยกั๊กจะอยู่ฝ่ายเดี๋ยวกับผมละนะ” เบซิลพูดสลับกับตักข้าวกระเพราเข้าปาก


“หมายถึงอะไร ไปสนิทกับโป๊ยกั๊กตอนไหนถึงอยู่ฝ่ายเดียวกันน่ะ” เจอกันครั้งก็แทบจะนองเลือดแล้ว แบบนั้นเรียกอยู่ฝ่ายเดียวกันตรงไหน


“ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย”


“งั้นหมายถึงแบบไหน”


“ไว้รอให้โป๊ยกั๊กพูดเองดีกว่ามั้ง” รอยยิ้มของเบซิลเหมือนกำลังรู้สึกสนุกกับเรื่องในอนาคตอันใกล้


“แล้วทำไมคุณถึงพูดไม่ได้ล่ะ” ต้องให้ผมไปถามโป๊ยกั๊ก?


ต่อให้ไปถามจริงจะให้ผมถามว่ายังไง...


‘เบซิลให้มาถามว่าการที่โป๊ยกั๊กอยู่ฝ่ายเดียวกับเบซิลคืออะไร’ งั้นเหรอ


คงได้คำตอบกลับมาหรอก


“มันเป็นเรื่องส่วนตัว”


“แล้วคุณก็ดันรู้เรื่องส่วนตัวนั้น?” ผมย้อนถาม


“ประมาณนั้น”


“ไม่ต้องมาทำวางท่าเลยนะ”


“เรื่องของคนอื่นผมไม่ค่อยสนใจหรอก”


“เหรอ” ผมพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรเลยเลือกที่จะไม่ถามกลับ


“ไม่ถามเหรอว่าอะไรที่ผมสนใจ”


“ไม่ล่ะ” คำตอบน่ะผมพอจะเดาได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเล่นไปตามบทที่อีกฝ่ายต้องการนี่


“ผมสนแค่คุณ...ใบไธม์” ต่อให้ผมไม่ถามแต่เบซิลก็พูดพร้อมใช้ดวงตาสีเขียวมรกตสอดประสานมา เสียงหัวใจที่พยายามควบคุมกลับเต้นเร็วขึ้น แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้วแต่ทั้งน้ำเสียง ท่าทางหรือแม้แต่สายตาที่เบนมาสบ ทุกอย่างนั่นทำให้ผมรู้สึกใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


ไม่เข้าใจว่าจะเขินเพื่อ?


“...รีบกินจะได้รีบกลับ” ผมเปลี่ยนเรื่องคุย


“อยากรีบกลับห้องจู๋จี๋กันสองคนใช่มะ” เบซิลเล่นเสียงในคำสุดท้าย


“กลับไปที่ทำงาน มีคดีกองอยู่อีกเป็นสิบและผมจะให้คุณไปจัดการด้วย”


“ไม่มีปัญหา ถ้าได้ทำคดีกับคุณจะยังไงก็ได้” อีกฝ่ายยักไหล่คล้ายไม่แคร์เรื่องการทำคดีนับสิบเท่าไหร่


“ผมจะให้คุณไปทำกับเบียร์”


“ใบไธม์” เบซิลถึงกับเงยหน้าขึ้นมาจ้องผมเขม็ง


“เป็นคดีที่ต้องออกไปค้างคืนข้างนอกสักสองสามอาทิตย์”


“ได้ แต่ถ้าผมกลับมาคุณเตรียมยื่นใบลาพักร้อนได้เลย”


“ทำไม?” ผมขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่เข้าใจ ทำไมต้องยื่นใบลาพักร้อนด้วย


“เพราะจะฟัดคุณจนลุกไม่ขึ้นไปทั้งอาทิตย์เลย” น้ำเสียงจริงจังของเบซิลทำเอาผมขนลุกขึ้นมาแต่ใครจะยอมง่ายๆ ล่ะ


ไม่มีทาง!


“ทำอย่างกับผมจะยอมงั้นแหละ”


“คุณก็รู้ว่าผมทำให้คุณยอมได้”


“มั่นใจจังนะ”


“ลองไหมล่ะ” คำพูดท้าทายนั่นมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่พานให้ผมรู้สึกไม่ปลอดภัย


“...ไม่ล่ะ” ดูอันตรายเกินไปสำหรับตัวผม


“ลองหน่อยน่า”


“ไม่”


“น่านะ”


“เบซิล!” แค่มองก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกสนุกแค่ไหนที่ได้เห็นท่าทางกระวนกระวายของผม


เดี๋ยวคงได้มีสักวันที่ผมจะเผลอลงมือกับอีกฝ่ายเพราะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้แน่!

................................................

สวัสดีค่ะ

มาต่อแล้วกับตอนต่อไป

ตอนนี้จะเป็นการรวมตัวของพี่น้องที่ไม่ค่อยจะได้พูดถึงนักแถมยังมีกระวานที่เพิ่งได้เจอกับเบซิลครั้งแรก

แต่งไปก็ขำไป ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าเบซิลดูจะเข้ากับน้องๆ ได้ดีกว่าที่คิด 555

ขอบคุณทุกๆ กำลังใจที่มีให้เสมอนะคะ

ไว้เจอกันใหม่กับตอนหน้าซึ่งเป็นตอนจบ

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่16) 8/9/61 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 08-09-2018 15:42:46
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่16) 8/9/61 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 08-09-2018 15:48:59
สงสันกระวานคงตะลึงกับความคิดในหัวเบนซิลมากจริง ๆ 5555
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่16) 8/9/61 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-09-2018 15:49:17
 เหลือพ่อกับแม่ที่ยังไม่ได้แนะนำตัว  :hao3:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่16) 8/9/61 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 08-09-2018 17:06:31
 :mew1:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่16) 8/9/61 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-09-2018 20:56:10
 :pig4: :pig4: :pig4:

ทำเป็นไร้เดียงสานะ ใบไธม์

ฝ่ายเดียวกันเนี่ย  เบซิลเขาหมายถึงฝ่ายรุก ฝ่ายรับ อ่ะจิ  อิอิ
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่16) 8/9/61 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 10-09-2018 17:15:58
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีที่16) 8/9/61 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 14-09-2018 19:17:10
5555 ใบไธม์น่ารัก ตอนยังไม่เจอเบซิล
ก็เข้าใจว่าจะเป็นพระเอกค่ะ ลุยมาก มาดแมนเหลือเกิน
แล้วรู้ว่าเบซิลแหย่ แต่ก็ของขึ้นตลอดเลย สมควรโดนแกล้ง
ใบไธม์มาเหนือมากค่ะ ทำเบซิลยอมได้ ตามติดยิ่งกว่าลูกเป็ด
แต่ที่แน่มากกว่า คือ หัวหน้าค่ะ มองได้แม่นมาก ส่งไปถูกคน

เบซิลบอกคำนับเป็นพวกเดียวกับใบไธม์ 55555
ใบไธม์ไม่ทันจริง อะไรจริง แต่เรื่องงานไม่ต้องให้บอกเลย

เบซิลคือตัวร้าย หลอกล่อให้ใบไธม์เผยตัวตลอด
แต่มันดี เพราะหลุดออกจากกรอบตัวเองทั้งคู่
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีสุดท้าย) 19/9/61 P.5 จบ
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 19-09-2018 20:00:41
สืบรัก彡คดีสุดท้าย




ยามค่ำคืนเป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบที่สุดของวัน ยิ่งเวลาล่วงเลยเกินกว่าตี 2 ยิ่งแทบไม่มีการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตใดๆ ยกเว้นสัตว์ซึ่งหากินกลางคืนอย่างค้างคาวตัวสีดำสนิทที่กลังกางปีกร่อนจากด้านบนของต้นไม้เข้าสู่คฤหาสน์อันเต็มไปด้วยการป้องกัน ไม่เพียงแค่มีคนแต่ยังมีการวางเซ็นเซอร์ตรวจจับเมื่อเผลอไปโดนเข้าเซ็นเซอร์นั่จะส่งสัญญาณเตือนเรียกกลุ่มคนที่ทำหน้าที่อยู่ไม่ไกลมารวมตัวกัน


ดังนั้นการจะหลบผ่านทั้งกำลังคน เซ็นเซอร์และกล้องวงจรปิดจนเข้ามาถึงยังห้องซึ่งเป็นเป้าหมายได้นั้นหากอยู่ในร่างค้างคาวเหมือนในตอนนี้สามารถทำได้ง่ายกว่าร่างมนุษย์ที่ทั้งใหญ่และเตะตาได้ง่าย


เป้าหมายของภารกิจในครั้งนี้คือการเปิดโปงหนึ่งในเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำการลักลอบค้ามนุษย์จากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามายังประเทศรวมไปถึงการนำคนในประเทศส่งออกไปต่างประเทศด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายในการเข้าถึงข้อมูลเพราะทางคนทำผิดไม่ยอมปล่อยให้ใครล่วงรู้ความลับนี้ได้ง่ายๆ ข้อมูลแทบทุกอย่างเห็นว่ามีการจ้างผู้เชี่ยวชาญทางด้านคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะมาจัดทำระบบทำให้ไม่สามารถแฮ็กจากภายนอกได้


ใช่ คนอื่นอาจทำไม่ได้แต่ถ้าเป็นเบซิลที่มีฉายาว่าเมเกอร์ต่อให้เป็นระบบป้องกันที่แน่นหนาหรือรัดกุมยังไงก็สามารถทะลวงเข้าไปได้แน่เพียงแค่ทางฝั่งของเจ้าหน้าที่รัฐคนนี้ไม่ได้เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับอินเตอร์เน็ตหรือไวไฟมาหลายอาทิตย์แล้วราวกับรู้ว่ากำลังถูกจ้องอยู่ เพราะงั้นผมและเบซิลจึงได้วางแผนการนี้ขึ้นมา หากกคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นยังไม่มีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตหรือไวไฟก็ทำให้เชื่อมกันซะสิ แค่นี้เบซิลก็สามารถจัดการแฮ็กระบบและดึงข้อมูลที่จำเป็นออกมาได้แล้ว


ในตอนนี้ผมในร่างของค้างคาวสีดำจึงบินหลบเซ็นเซอร์ที่กางไว้รอบๆ ห้องเข้าไปจนถึงหน้าประตูบานสีดำสนิทที่มีการให้ใส่รหัสจึงจะสามารถเปิดประตูเข้าไปได้ โครงสร้างของคฤหาสน์หลังนี้พวกเราทำการตรวจสอบมาอย่างดีทำให้ง่ายต่อการบุกเข้ามา ด้วยสายตาของค้างคาวเซ็นเซอร์ระบบแบบนี้สามารถมองเห็นได้โดยไม่ต้องใส่กล้อง


ปัญหาหลักอยู่ที่รหัสเปิดประตูนี่แหละ ในแต่ละวันรหัสจะถูกเปลี่ยนโดยอัตโนมัติซึ่งเป็นการสุ่มตัวเลข 4 หลักวนไปมาจึงอยากในการหารหัส แต่หากผมไม่มีวิธีจัดการคงไม่บุกเข้ามาถึงนี่หรอก


(...รหัสคือ 8903) เสียงจากลำโพงขนาดจิ๋วซึ่งคล้องคอผมในร่างค้างคาวอยู่ดังขึ้นเพื่อบอกรหัส คนปลายสัญญาณไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเบซิลที่รออยู่บนรถถัดออกจากคฤหาสน์ไปไกลพอสมควร


เบซิลทำการหารหัสโดยการแฮ็กเข้าไปในโทรศัพท์ผ่านทางแอพพิเศษสำหรับบอกรหัสโดยเฉพาะ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ง่ายเลยถ้าจะแฮ็กผ่านระบบเหล่านั้นเข้าไปแต่เบซิลกลับบอกว่าทำได้ให้ผมรอฟังรหัสอยู่เฉยๆ รหัสใหม่จะถูกเปลี่ยนใหม่ในทุกๆ ตี2 เห็นว่าช่วงเวลาที่รหัสเปลี่ยนและส่งเข้าไปให้ทางนั้นดูจะเปิดช่องให้ทำการแฮ็กง่ายขึ้น


แม้ในร่างค้างคาวจะไม่มีนิ้วให้กดรหัสแต่ใช่ว่าจะจัดการไม่ได้ ผมใช้ส่วนเท้าแทนนิ้วในการกดตัวเลข 4 หลักลงไปแล้วยืนยัน เสียงของระบบทำการอ่านค่าสักพักก็ทำการปลดล๊อดพร้อมประตูที่เลื่อนออกทำให้ผมสามารถบินเข้าไปด้านในได้ ในกรณีที่เป็นประตูแบบผลักคงเป็นงานหินสำหรับร่างค้างคาวนี่แน่นอน


ภายในห้องถูกตกแต่งแบบเรียบง่ายในทนสีดำทั้งโซฟาหรือแม้แต่โต๊ะหรือตู้ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นสีดำทั้งสิ้น ผมมองหาสิ่งที่ต้องการก่อนจะพาร่างแสนเบาหวิวบินลงมาเกาะยังโต๊ะคอมพิวเตอร์ ผมใช้ส่วนหัวในการเปิดทั้งปุ่มบนซีพียูและหน้าจอ เมื่อเข้าสู่หน้าจอปกติผมก็ส่งเสียงครางเบาๆ เพื่อให้เบซิลได้ยิน


(เปิดเสร็จแล้วสินะ...อย่างแรกเข้าไปเชื่อมต่อไวไฟที่ชื่อว่า home’sse44 โดยใส่พาสเวิด Nopp4451 ตัวเอ็นตัวแรกใช้เป็นตัวใหญ่) เบซิลอธิบายการเชื่อมไวไฟและพาสเวิดอย่างไม่รีบร้อนเพราะรู้ว่าผมที่อยู่ในร่างนี้ค่อนข้างลำบากในการใช้เม้าส์คลิกเข้าไปยังตำแหน่งต่างๆ


กว่าจะใช้คีย์บอร์ดพิมพ์พาสเวิดเสร็จก็ใช้เวลาไปค่อนข้างนาน พวกเรามีเวลาอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมงในการลอบเข้ามาดึงข้อมูลและจากไปโดยไม่ให้ใครรู้แต่กว่าจะเข้ามาด้านในและเตรียมคอมพิวเตอร์ตรงหน้าให้พร้อมใช้งานเวลาก็ผ่านไปครึ่งนึงได้แล้ว


(ไม่ต้องห่วง ต่อให้เป็นระบบที่ป้องกันแน่นหนาขนาดไหนก็กันผมไม่ได้หรอก) เสียงของเบซิลดังขึ้นราวกับล่วงรู้ถึงความคิดในหัวของผม


เมื่อทำการเชื่อมต่อไวไฟเสร็จขั้นต่อไปก็ต้องยกให้เป็นฝีมือของเบซิลจัดการต่อทั้งหมด ผมไม่รู้ว่าเบซิลใช้วิธีการแฮ็กเข้ามายังไง รู้แค่ว่าอยู่ๆ สัญลักษณ์ลูกศรบนหน้าจอก็ขยับเองพร้อมหน้าต่างนับสิบที่รับเปิดขึ้นเป็นแท็บๆ คล้ายหน้าจอในหนังที่เคยดูเมื่อก่อน


ตลอดการเจาะข้อมูลผมเบซิลไม่ได้พูดอะไรมีเพียงเสียงการใช้แป้นพิมพ์บนโน๊ตบุ๊คที่แล่นเข้ามาเป็นระยะๆ ผมเองพยายามดูและเรียนรู้เพื่อเพิ่มทักษะให้กับตัวเองแต่ไม่ว่าจะดูมากี่สิบครั้งทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิมของผมไม่สามารถเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ทุกคนสามารถเชี่ยวชาญได้แต่เป็นทักษะเฉพาะซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นความสามารถพิเศษหรือพรสวรรค์ของแต่ละคน


เบซิลมีหัวทางด้านนี้มากคล้ายกับในหัวเขามีโครงสร้างของระบบอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องใช้การตรวจสอบนาน แค่มองผ่านๆ ก็สามารถจัดการทุกอย่างให้ได้ดังใจ


ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงในที่สุดข้อมูลทุกอย่างที่จำเป็นก็ถูกโหลดจนเสร็จสิ้น ที่ใช้เวลานานไม่ใช่การแฮ็กเข้าระบบหรือเจาะฝ่าด่านการป้องกันหลายต่อหลายชั้นแต่เป็นเวลาในการคัดลอกหรือย้ายข้อมูลไปยังเครื่องโน๊ตบุ๊คของเบซิลต่างหาก ดูเหมือนว่าข้อมูลจะมีมากทำให้ใช้เวลานานกว่าที่คาดการไว้


ด้วยประสาทสัมผัสของผมในร่างค้างคาวทำให้ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นในระยะไม่ไกลมาจากห้อง มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นเจ้าของคฤหาสน์นี้ เวลา 2 ชั่วโมงผมใช้จนถึงวินาทีสุดท้ายที่ประตูห้องถูกเปิดด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่ดึงข้อมูลไปแล้วเสร็จแต่ผมต้องรอให้เครื่องดับแล้วปิดหน้าจอให้อยู่ในสภาพเดิมราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น


ผมอาศัยความมืดกลืนร่างตัวเองและบินออกจากห้องไปก่อนไฟในห้องจะเปิดตามไล่หลังมา เมื่อผ่านเซ็นเซอร์ตัวจับไปได้ทุกอย่างก็ง่ายขึ้น เหลือแค่หาช่องลอดออกไปเท่านั้น ตอนแรกที่เข้ามาผมใช้จังหวะที่บอดี้การ์ดคนนึงเปิดประตูบินเข้ามา ตอนขาออกค่อนข้างใช้เวลานานกว่ามากทำให้พอบินกลับเข้ามาถึงรถที่มีเบซิลรออยู่ร่างของค้างคาวก็แปรเปลี่ยนกลับสู่ร่างมนุษย์ตามเดิม


ถ้าช้ากว่านี้แค่วินาทีเดียวคงได้แก้ผ้านอกรถไปแล้ว


“แฮ่ก...” ผมหายใจแรงขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากการพยายามฝืนร่างให้อยู่นานกว่าปกติส่งผลต่อเรี่ยวแรงอยู่พอสมควร


“ไหวไหมใบไธม์ เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าคุณออกมาช้ากว่าที่ผมคำนวณตั้งนาน” เบซิลหันมาถามพร้อมกางเสื้อคลุมร่างเปลือยเปล่าของผมให้


“ใช้เวลาหาทางออกนานไปหน่อยน่ะ” ผมตอบกลับไปตามตรง


“ถ้ามาช้ากว่านี้อีกหน่อยผมจะตามเข้าไปหาคุณในคฤหาสน์แล้ว”


“เข้าไปให้ถูกจับน่ะเหรอ” ด้วยการรักษาความปลอดภัยระดับนั้นเบซิลไม่มีทางเข้าถึงด้านในตัวคฤหาสน์ที่ผมอยู่ได้แน่ ถ้าเป็นเรื่องการใช้คอมหรือโน๊ตบุ๊คเขาอาจจะชำนาญและไว้ใจได้แต่ถ้าเป็นเรื่องทักษะการย่องเบาเข้าคฤหาสน์ผมก็ขอส่ายหน้ารัวๆ


“ดูถูก”


“ก็ถูกจริงไหมล่ะ” แค่พูดความจริงไม่ได้โกหกสักนิด


“ต่อให้ไม่ใช่ผมก็เข้าไปด้านในไม่ได้เหมือนกันเถอะ”


“จริงอย่างที่พูด” ต่อให้เป็นคนอื่นการจะแอบเข้าไปฝ่าด่านบอดี้การ์ดและระบบเซ็นเซอร์ไปจนถึงห้องคนธรรมดาไม่มีทางทำได้ แต่เพราะผมไม่ธรรมดาเลยสามารถฝ่าทุกการป้องกันเข้าไปได้ พลังพิเศษที่มีหากนำมาใช้อย่างเหมาะสมก็จะเป็นเหมือนอาวุธแต่หากนำไปใช้โดยไม่รู้อะไรมันอาจกลายเป็นระเบิดเวลาที่พร้อมจะทำลายตัวเองได้ทุกเมื่อเช่นกัน


“จะเอายังไงต่อ กลับห้องหรือไปที่ทำงาน” เบซิลหันมาถามหลังผมสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย


“ไปที่ทำงาน” ตอนนี้เป็นเวลา 6 โมงเช้าจะให้กลับไปห้องแล้วออกมาใหม่ก็ดูจะเสียเวลาเกินไป


“คุณนี่นะ พักๆ บ้างก็ได้มั้ง งานมันไม่หนีไปไหนหรอก”


“งานไม่หนีหรอกผมแค่อยากจัดการคดีที่รับมาให้เสร็จโดยเร็วที่สุดแค่นั้นเอง” ทุกคดีย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดยิ่งเราปล่อยให้คดียืดนานไปมากเท่าไหร่การหาหลักฐานหรือตามจับคนร้ายก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น


“ถ้ามีคนแบบคุณอยู่สัก 100 คนคงทำงานง่ายขึ้นเยอะ”


“ผมก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน”


“หมายถึงพลังในการแยกร่างตัวเอง?” เบซิลหันมามองผมระหว่างติดไฟแดง


“ใช่” ผมพยักหน้า


“ฟังดูน่าสนุกดีนี่ ถ้าผมมีพลังแบบนั้นนะคงจะให้คนนึงกอดคุณจากด้านหลัง สองคนแยกกันจับแขนทั้งซ้ายขวาโดยให้ผมอยู่ตรงกลางได้มองคุณกำลังถูกตัวเองสัมผัส...”


“ลามก!” ผมตบไหล่อีกฝ่ายแรงๆ ด้วยใบหน้าแดงก่ำ


นี่เบซิลกล้าพูดประโยคลามกพวกนั้นออกมาได้ยังไงกัน


“ไม่ปฏิเสธ” เจ้าตัวดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านกับคำบ่นผมเลยสักนิด


ผมได้แต่นั่งนิ่งหยุดการสนทนานี่ลงก่อนจะติดเรทมากไปกว่านี้ เมื่อมาถึงที่ทำงานผมและเบซิลต่างเข้าไปนอนพักงีบยังห้องนอนด้านในซึ่งเมื่อก่อนเป็นห้องที่เบซิลเคยอยู่ ตอนนี้เปิดเป็นห้องพักให้ทุกคนสามารถมานอนหรืองีบได้ ตลอดทั้งคืนพวกเราไม่ได้นอนกันเลยส่งผลให้เมื่อหัวถึงหมอนสติอันเลือนรางก็หายไปอย่างรวดเร็ว


ใช้เวลานอนพักประมาณ 4 ชั่วโมงผมตื่นขึ้นมาก่อนเบซิล ทั้งที่คิดว่าจะออกไปนั่งโต๊ะเขียนรายงานก่อนแต่กลับถูกแขนของเบซิลกอดเอวไว้แน่นแถมยังขยับหัวมาซุกราวกับเด็กที่ขาดความอบอุ่นอีก ผมรู้ว่าเจ้าตัวหลบจริงเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น มีหลายวันในช่วงเช้าพอผมตื่นและทำท่าจะลุกอีกฝ่ายจะเอื้อมแขนมากอดเอวผมรั้งไม่ให้ไปไหน ตอนแรกผมนึกว่าถูกแกล้งแต่พอดูดีๆ ก็รู้ว่าเป็นนิสัยของเบซิล


นิสัยเด็กๆ ที่ไม่เหมาะกับหน้าตาอันหล่อเหลานั่นเลยสักนิด


ตกบ่ายผมนั่งเขียนรายงานของคดีเมื่อคืนเรื่อยๆ ท่ามกลางความสงสัยที่เพิ่มขึ้นทีละนิด ผ่านไปสักพักความสงสัยก็ชนะผมปล่อยรายงานที่ยังเขียนไม่จบเดินไปหาเบซิลที่นั่งทำบางอย่างบนโน๊ตบุ๊คมาสักพักใหญ่แล้ว ปกติเขาจะมานั่งๆ นอนๆ เล่นอยู่ข้างๆ ผมทว่าครั้งนี้กลับไม่มาอยู่ด้วยเหมือนปกติแถมยังทำหน้าจริงจังด้วย


“ทำอะไรอยู่น่ะเบซิล” ผมเอ่ยถามเพื่อคลายความสงสัย


“จัดการอะไรนิดหน่อย”


“นิดหน่อยที่ว่าคือ? นี่มันบัญชีธนาคาร ทำอะไรน่ะเบซิล” ผมรีบถามซ้ำเมื่อเห็นหน้าจอของอีกฝ่ายปรากฏตัวเลขของจำนวนเงินที่มากกว่า 6 หลักอยู่หลายสิบบรรทัด


“ช่วยน้องคุณนิดหน่อย”


“น้องผม? อธิบายมามาเดี๋ยวนี้เบซิล” เมื่อมีคำว่าน้องผมเข้ามาเกี่ยวจะให้ปล่อยผ่านคงทำไม่ได้


“วันก่อนโป๊ยกั๊กโทรมาหาคุณตอนอาบน้ำผมเลยรับแทนให้ ดูเหมือนคำนับจะถูกคนตามกวนอยู่น้องชายคุณเลยวานให้ผมจัดการหน่อย”


“คุณยอมทำตามโป๊ยกั๊ก?” ผมค่อนข้างแปลกใจที่อีกฝ่ายจะยอมทำตามคำขอใครง่ายๆ แบบนี้


“เปล่า ผมแค่บอกว่าถ้ามีอารมณ์จะจัดการให้ แล้วพอดีผมดันมีอารมณ์ขึ้นมาแค่นั้นเอง” เบซิลยักไหล่เล็กน้อยระหว่างตอบ


“คนที่ตามกวนอยู่เป็นใคร เกี่ยวข้องกับตัวเลขมากมายในบัญชีนี่ใช่ไหม” ผมค่อยๆ ประติดประต่อเรื่องราวเข้าด้วยกัน


“ใช่ เป็นครอบครัวน่ะ คนที่ตามกวนอยู่คือนาย ปฏิวัติ กิตติยุทธ ลูกชายคนเล็กของบ้านที่ทำธุรกิจส่งออกอาหารกระป๋อง”


“น่าจะเป็นยี่ห้อดังถึงได้มีเงินไหลเวียนมากขนาดนี้” ผมตั้งข้อสังเกต


“หึ...คิดผิดแล้วใบไธม์ธุรกิจอาหารหระป๋องนั่นเป็นแค่ฉากหน้าต่างห่างล่ะ”


“จะบอกว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำผิดกฎหมายสินะ”


“เข้าใจถูกแล้ว ผมลองหาข้อมูลเล่นๆ แล้วไปเจอเรื่องน่าสนใจเข้า ครอบครัวกิตติยุทธนอกจากจะมีธุรกิจอาหารกระป๋องเป็นของตัวเองแล้วยังมีการค้ายาเสพติดด้วย” เบซิลอธิบายต่อด้วยใบหน้านิ่งๆ


“คุณจะแจ้งความ?”


“ใบไธม์ก็รู้ว่าผมไม่ได้ชอบทางการขนาดนั้น” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเบซิลทำให้ผมรู้สึกสงสารครอบครัวกิตติยุทธขึ้นมาจับใจ เบซิลต้องกำลังคิดอะไรบางอย่างที่คนปกติธรรมดิดไม่ออกแน่


“คิดจะทำอะไร” ผมถามกลับตามตรง ต่อให้พยายามคิดยังไงก็ไม่มีทางรู้ความคิดแปลกๆ ของเบซิลได้หรอก


“ง่ายๆ ”


“ง่ายแค่คุณคนเดียวน่ะสิ” ทุกครั้งที่บอกว่าง่ายไม่เคยมีครั้งไหนง่ายจริง หมายถึงกับคนอื่นคงทำให้เป็นเรื่องง่ายไม่ได้แต่เบซิลสามารถทำเรื่องพวกนั้นให้กลายเป็นเรื่องง่าย


“คุณคิดงั้นเหรอ ผมแค่จะแฮ็กบัญชีพวกนี้เพื่อเอาเงินออกมาไปแบ่งให้คนที่มีฐานนะไม่ค่อยดีอย่างเท่าเทียม จากนั้นก็จัดการเข้าไปเยี่ยมชมระบบการผลิตพร้อมทำการแก้ไขนิดหน่อย ดูเหมือนว่าทางนั้นจะไม่ค่อยรอบคอบเลยเปิดโล่งให้ผมดึงข้อมูลของผู้ค้ารายย่อยออกมาได้ง่ายๆ ผมเลยคัดลอกข้อมูลพวกนั้นส่งต่อให้ทางตำรวจและทหารโดยลบข้อมูลพวกนั้นออกจากเครื่อง อ้อ ถ้ามีเวลาผมจะเข้าไปในระบบของโรงเรียนแล้วส่งจดหมายเตือนภายใต้ชื่อของผู้อำนวยการเป็นของแถมสักนิด ทุกอย่างที่ผมทำเป็นแค่การก่อกวนเล็กน้อยเท่านั้นเอง” ทั้งน้ำเสียง ท่าทาง สายตาหรือแม้แต่รอยยิ้มทำเอาผมเสียวสันหลังวาบ


สิ่งที่พูดออกไปนั่นเรียกว่าการก่อกวนเล็กน้อยได้ที่ไหนกัน!


กะจะทำลายครอบครัวกิตติยุทธให้ย่อยยับชัดๆ เมื่อไม่มีเงินที่สะสมมานอกจากจะส่งผลต่อธุรกิจแล้วยังมีในเรื่องของความหน้าเชื่อถือและอื่นๆ อีกมากมายซึ่งทางครอบครัวนั้นคงไม่กล้าพอที่จะแจ้งให้ตำรวจจัดการเพราะกลัวว่าข้อมูลเรื่องยาเสพติดจะรั่วไหล ทั้งที่แค่นั้นก็น่าจะพอแล้วยังเข้าไปแก้ไขระบบการผลิตส่งผลต่อออร์เดอร์ยาวไปจนถึงพ่อค้ารายย่อยที่รอสินค้าอยู่ กว่าจะแก้ไขสถานการณ์นั้นได้คงไม่ใช่แค่อาทิตย์สองอาทิตย์แต่เบซิลยังไม่ยอมหยุดส่งข้อมูลผู้ค้ายาเสพติดทั้งหมดให้ทางการ นั่นหมายถึงตัดช่องทางการค้ายาเสพติดทั้งหมด หากไม่มีคนซื้อยาเสพติดกำไรหรือเงินที่ได้ประจำก็จะหายเกลี้ยง นี่ยังไม่รวมกับแฮ็กเข้าระบบของโรงเรียนแอบอ้างเป็นผู้อำนวยการและเขียนจดหมายข่มขู่อีกนะ


ถ้าให้ตั้งข้อหาเบซิลอาจมากกว่าที่ครอบครัวกิตติยุทธจะโดนด้วยซ้ำมั้งเนี่ย


“นี่เบซิล...ผมจับคุณได้รู้ไหม” ตอนนี้ผมแทบจะยกมือก่ายหน้าผากตัวเองอยู่รอมร่อแล้ว


“รู้สิ ไม่ใช่แค่จับแต่คุณยังกอด ยังจูบผมได้ด้วย”


“ไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย” ทำไมตีความหมายไปได้แบบนั้นกัน


“เหรอ” รอยยิ้มนั่นแค่ดูก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายจงใจแหย่ผมเล่น


“ถ้าถูกจับรู้ไหมจะโดนกี่ข้อหา”


“ไม่รู้สิ แค่ไม่โดนจับก็พอนี่ ถ้าจะมองภาพรวมผมช่วยทางการอยู่นะ รายชื่อคนค้ายาเสพติดพวกนี้มีทั้งเบอร์ติดต่อไปจนถึงจังหวัดที่พวกเขาอยู่ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาข้อมูลสำคัญขนาดนี้มาได้อีกทั้งยังปิดช่องทางการซื้อขายยาได้จำนวนมาก ดูประโยนชน์ที่ได้สิว่าส่งผลต่อประเทศเราขนาดไหน” ต้องบอกว่าสมกับเป็นเมเกอร์ การกล่อมให้คนคล้อยตามนี่ไม่เป็นลองใคร


ขนาดทำผิดเต็มๆ ยังพูดให้ผมรู้สึกว่าเขาทำในสิ่งที่ถูกได้อีก


“เฮ้อ...เอาเถอะ” ยังไงก็มีผลดีมากกว่าผลเสียล่ะนะ ก็ผลเสียดูเหมือนจะตกไปอยู่กับครอบครับกิตติยุทธฝ่ายเดียวซะแล้วล่ะ


สงสารอยู่แต่ก็ช่วยไม่ได้ ไม่บ่อยนักที่โป๊ยกั๊กจะมาขอให้ช่วยโดยเฉพาะกับเบซิลที่เรียกได้ว่าค่อนข้างจะไม่ถูกกัน นั่นแปลว่าเรื่องนี้ต้องสำคัญมากถึงขนาดยอมเอ่ยปากให้เบซิลช่วย


“น้องสะใภ้มาขอให้ช่วยทั้งทีจะปฎิเสธได้ไงล่ะจริงไหม” เบซิลพูดระหว่างจัดการดึงเงินในบัญชีธนาคารออกมา


“น้องสะใภ้?”


“เอ้า โป๊ยกั๊กเป็นน้องคุณนี่จะไม่ให้เรียกว่าน้องสะใภ้แล้วจะให้เรียกว่าอะไร” ดวงตาสีมรกตเงยขึ้นมาสบพร้อมรอยยิ้มกวนๆ


“ไม่ต้องเรียกอะไรทั้งนั้นแหละ” ขืนไปเรียกน้องสะใภ้ต่อหน้าโป๊ยกั๊กเบซิลได้โดยเตะสูงภายในสามวิแน่


“ครับๆ รออีกแป๊บนะเดี๋ยวจัดการเสร็จจะไปนั่งด้วย”


“ใครรอคุณกัน” เสียงผมดังจนหลายคนที่นั่งทำงานอยู่หันมามองเป็นตาเดียว


“เหงาที่ผมไม่ไปนั่งข้างๆ ใช่ไหมล่ะ”


“ผมไม่ได้เหงาสักหน่อย”


“ไม่เกิน 10 นาทีเดี๋ยวไปหานะที่รัก”


“เบซิล!” ผมตะโกนลั่นด้วยใบหน้าแดงก่ำโดยไม่สนว่าใครจะได้ยินหรือหันมาเห็นใบหน้าแดงๆ ของตัวเอง


ไม่เข้าใจว่าทำไมชอบทำให้ผมเขินนักนะ


เบซิลรู้อยู่แล้วว่าทำไมผมถึงเดินมาหาต่อให้ผมปฏิเสธเสียงแข็งยังไงความจริงก็ไม่เปลี่ยนแต่ไม่ต้องพูดออกมาก็ได้ไหม แค่นั่งนิ่งๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ได้รึไงถึงต้องมาแหย่ให้ผมหน้าแดงต่อหน้าคนอื่นอยู่ตลอดน่ะ


ผมมันไม่เก่งเรื่องแบบนี้ จะให้บอกว่ารออยู่หรือเหงาก็ไม่ใช่นิสัย


ผมอยากเปลี่ยนและพูดสิ่งที่ตรงกับที่ตัวตัวเองคิดออกไปบ้าง


ตอนนี้ผมและเบซิลเป็นคนรักกัน ถ้าขืนผมยังคงทำนิสัยแบบนี้เบซิลอาจจะ...ไม่ชอบในสักวันนึง


นอกจากเรื่องนี้ยังมีอีกเรื่องที่ผมกำลังคิดหนักมาตลอดหลายอาทิตย์เพื่อหาคำตอบ แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้สักทีผมเลยกะว่าจะเลิกคิดแล้ว เลิกคิดด้วยหัวแต่ใช้ตรงอื่นคิดแทน



(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีสุดท้าย) 19/9/61 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 19-09-2018 20:01:06
(ต่อนะคะ)


เมื่อกลับมาถึงห้องในตอนเย็นผมเข้าครัวทำอาหารง่ายๆ โดยมีเบซิลเป็นลูกมือ กินมื้อเย็นเสร็จก็อาบน้ำและนั่งเล่นอยู่บนเตียงจนถึงเวลาเข้านอน กิจวัตรทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องปกติที่ทำอยู่ในทุกวัน สิ่งที่ต่างไปคงเป็นความรู้สึกของผมในตอนนี้ละมั้ง


“นี่ เบซิล” ผมส่งเสียงเรียกพลางหันไปมองเบซิลที่กำลังทำอะไรสักอย่างกับโน๊ตบุ๊ค ตั้งแต่เบซิลมาอยู่ด้วยข้าวของ เฟอร์นิเจอร์หลายๆ อย่างเริ่มเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กสำหรับวางโน๊ตบุ๊กซึ่งผมเคยบอกว่าจะซื้อเป็นโต๊ะทำงานให้แต่อีกฝ่ายปฏิเสธบอกชอบนั่งทำกับพื้นมากกว่า แล้วก็พวกข้าวของเล็กๆ น้อยๆ อย่างจาน ชาม แก้วน้ำ


พอมานึกย้อนดูพวกเรานี่เหมือนคู่รักที่แต่งงานแล้วอยู่ร่วมกันเลย


“ฮืม มีอะไรใบไธม์ เหงาเหรอ” คนถูกเรียกเอียงคอถามด้วยรอยยิ้มแพรวพราว


“หยอดไม่หยุดเลยนะ อยู่ใกล้แค่นี้จะเหงาทำไม”


“แต่ผมเหงานะ ตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ได้สวีทกันเลย”


“คุณก็รู้ว่าผมไม่ใช่พวกชอบแสดงความรู้สึกออกมาแบบนั้น” จะให้เอ่ยคำหวานหรือออดอ้อนผมไม่ถนัด จะพูดว่าทำไม่เป็นก็ได้ ดังนั้นเรื่องการสวีทก็คง...


“ผมรู้ เอาเถอะเพราะยังไงผมก็ชอบคุณที่เป็นแบบนี้ ไม่ต้องออดอ้อน ไม่ต้องอ่อนหวาน ไม่ต้องเอาใจ ไม่ต้องพยายามทำอะไรแค่เป็นตัวคุณอย่างที่เป็น...แค่นั้นก็พอแล้ว”ดวงตาสีมรกตขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นรู้ตัวอีกทีเบซิลได้ขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงข้างๆ ผมแล้ว


หัวใจมันเต้นแรง แรงอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใคร


เบซิลเป็นคนแรก และอาจเป็นคนเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้


เขาชอบที่ผมเป็นผม ไม่ใช่ตัวผมที่พยายามเป็นแบบคนอื่น


ผมเป็นพวกคิดเยอะและคิดมาก เวลาจะทำอะไรสักอย่างผมมักจะใช้เวลาอยู่กับมัน ไตร่ตรองจนกว่าจะแน่ใจถึงจะทำหรือพูดออกไป ตอนหาความรู้สึกที่มีต่อเบซิลเองก็เช่นกันผมใช้เวลานานมากแม้จะระแคะระคายหรือยอมรับแต่ผมก็ยังต้องใช้เวลาในการไตร่ตรองจนมั่นใจในระดับนึงจึงจะกล้าพูด


มันเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียในเวลาเดียวกัน


การคิดก่อนทำเป็นเรื่องดีทว่าการคิดมากเกินไปอาจทำให้พลาดบางอย่างไปเช่นกัน


เบซิลบอกว่าอย่าใช้สมองในการบอกความรู้สึกแต่ให้ใช้หัวใจ


ถ้าครั้งนี้ผมเลือกที่จะใช้หัวใจเพื่อบอกบางอย่างออกไปผมจะออกมายังไงกันนะ


“เบซิล” ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกพร้อมกับเงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีเขียวมรกตตรงๆ


“ฮืม? ดูเหมือนมีเรื่องสำคัญจะบอกผมสินะ” สมกับเป็นเบซิล เพียงแค่ใช้การมองและสังเกตก็สามารถคาดการได้ตรง


“ที่กระวานพูดเป็นความจริงรึเปล่า” ผมเอ่ยถามเสียงเบาโดยดวงตาของเรายังคงสอดประสานกันอยู่ แม้การมาถามหลังจากผ่านไปหลายอาทิตย์มันออกจะแปลกๆ หน่อยก็ตามที


“หมายถึงเรื่องไหนล่ะ”


กวน!


ผมขอมอบคำนั้นให้เลย ดวงตาและรอยยิ้มนั่นสื่อความหมายว่ารู้อยู่แล้วถึงเรื่องที่ผมต้องการจะถามแต่อีกฝ่ายกลับทำเป็นไม่รู้เพื่อให้ผมเป็นฝ่ายพูดขยายความด้วยตัวเอง


ขอเพิ่มคำว่าเจ้าเล่ห์ให้อีกคำ


“...เรื่องที่คุณคิดลามกกับผม” ถึงจะอายทว่าความอยากรู้มีมากกว่าทำให้ผมมีความกล้าในการถาม


“ถ้าเป็นเรื่องนั้นก็อย่างที่น้องคุณพูดแหละ ผมคิดลามกกับคุณจริงๆ คงไม่ชอบใช่ไหมล่ะ”


“...นิดหน่อย” ผมหลบสายตาอีกฝ่าย


“ตกใจแฮะ นึกว่าจะบอกว่าไม่ชอบแล้วถีบผมตกเตียงซะอีก” เบซิลเลิกคิ้วขึ้นคล้ายกำลังดูท่าทีอันไม่เป็นไปตามที่คิด


“อยากให้ทำแบบนั้นมากกว่า?” ถ้าชอบแบบนั้นผมจะได้จัดให้


“ไม่เอา” เบซิลส่ายหน้าปฏิเสธจริงจัง


“ผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีหรอกนะ”


“หมายถึงที่ผมคิดลามกกับใบไธม์?”อีกฝ่ายเอียงคอถาม


“อืม...เพราะถ้าคิดมันหมายถึงชอบผมมากจนต้องการครอบครอง” ถ้าเป็นแบบนั้นทำไมผมต้องไม่ชอบล่ะในเมื่อเบซิลแสดงออกว่าชอบผมขนาดนี้ ผมรู้ว่าเขาชอบแต่ไม่คิดว่าจะมากถึงขนาดคิดลามกถ้าไม่ได้กระวานบอกผมคงคิดว่าที่บอกเรื่องปล้ำอะไรนั่นเป็นแค่เรื่องล้อเล่น


“พูดผิดไปหน่อยนะใบไธม์”


“ผิดยังไง” ผมคิดว่าที่ตัวเองคิดน่าจะถูกต้องแล้ว


“ที่คิดไม่ใช่เพราะชอบแต่เป็นเพราะรักต่างหากล่ะ เพราะรักถึงต้องการครอบครองให้มาเป็นของตัวเอง ในเมื่อตอนนี้ยังไม่ได้อย่างน้อยก็ขอคิดแค่ในหัวละกันเนอะ” เบซิลส่งยิ้มมาให้ประโยคสุดท้าย ไม่มีการเร่งหรือบังคับสักนิด


ถ้าจะทำจริงๆ เขามีวิธีเป็นร้อยพันที่จะพูด โน้มน้าวหรือจู่โจมให้ผมยอมแต่กลับไม่ทำ การกระทำในตอนผมยอมตกลงเป็นแฟนอีกฝ่ายใช้คำพูดกึ่งบังคับผมให้สมยอมแถมยังสัมผัสผมโดยไม่ขออนุญาติอีก ไม่แน่ว่าอาจกำลังรู้สึกผิดอยู่ก็เป็นไปได้


“อยากจะคิดแค่ในหัวเหรอ” ครั้งนี้ผมอยากจะลองดู จะไม่ใช่สมองในการพูดแต่เป็นความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองในตอนนี้


“ใบไธม์...พูดแบบนี้ผมคิดจริงจังนะ” ดวงตาสีเขียวมรกตหรี่ลงเล็กน้อยระหว่างพูด


“ก็จงใจพูดให้คิดไง” เบซิลสามารถแปลความหมายของสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อได้อยู่แล้ว


“...พูดจริงเหรอ” เบซิลขยับใบหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จนผมเห็นภาพของตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น


“อืม บอกผมหน่อยว่าในหัวคุณกำลังคิดเรื่องลามกแบบไหนอยู่...อื้อออ~” ไม่ทันได้เอ่ยจบริมฝีปากก็ถูกช่วงชิง กลืนกินทุกคำพูดให้เลือนหายไปและแทนที่ด้วยสัมผัสอันร้อนแรงที่พานให้อารมณ์เปิดเปิง รสสัมผัสของจูบไม่ได้รีบเร่งแต่ค่อยๆ คืบคลานอย่างเชื่องช้าก่อนจะกดย้ำเรียวลิ้นที่สอดประสานราวกับกำลังกลั่นให้ขาดใจกันไปข้าง


พวกเราจูบกันอยู่นานมากโดยไม่มีการละริมฝีปากออกจากกัน แม้กระทั่งตอนแผ่นหลังผมแนบลงบนเตียงเบซิลก็ยังคงมอบจูบแสนดูดดื่มให้ผมไม่ขาด เพียงแค่ส่วนเดียวที่เชื่อมต่อกลับสร้างความร้อนแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่างกาย


“...ไม่หยุดกลางครันหรอกนะ” เบซิลเอ่ยด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยอารมณ์ที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ


“ผมไม่บอกให้หยุดนี่ อ๊ะ!” ผมถึงกับสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ เสื้อถูกถกขึ้นตามมาด้วยฝ่ามือร้อนๆ ลูบไล้ทั่วหน้าท้องและแผ่นอก มือนั่นปัดป่ายไปมาก่อนจะหยุดลงอยู่บริเวณหน้าอกผม บีบเค้น ตอกย้ำสัมผัสที่พานให้ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ ปลายลิ้นร้อนๆ ขบเม้มบริเวณแผ่นอกรามไปถึงหน้าท้องและเลียยาวขึ้นมาถึงหน้าอกอีกข้างแล้วมอบความเปียกชื้นละเลงไปทั่วทั้งร่างกาย


“อึก...เบซิล อ๊ะ! อื้อ!” ผมพยายามที่จะกลั้นเสียงโดยการยกมือปิดปกตัวทว่ากลับถูกเบซิลดึงมือนั่นออกพร้อมก้มลงไล้เลียหน้าอกผมต่อ ท่าทางของเบซิลดูลามกจนคนมองยังรู้สึกร้อนตามไปด้วย


“ได้ฟังเสียงแบบนี้ดีกว่าเยอะเลย”


“อื้ออ~ ไม่...ตรงนั้น อ๊า!” แม้จะพยายามสะกดกลั้นมาเท่าไหร่แต่ยามถูกริมฝีปากนั่นไล่ลงมาจนถึงช่วงกลางหว่างขาเสียงครางก็ดังขึ้นตามอารมณ์ที่พุ่งทะยานสูง กางเกงถูกปลดแล้วส่วนร้อนถูกครอบครองด้วยปากเน้นย้ำสัมผัสที่พานให้ร่างกายบิดเร้าโดยไม่รู้ตัว


ผมรู้ว่าต้องทำยังไงแต่ไม่คิดว่เขาจะใช้ปากกับตรงนั้น


ระหว่างริมฝีปากกำลังมอบความสุขสมจนแทบทนไม่ไหวมือทั้งสองข้างของเบซิลไม่ได้อยู่เฉย ขยับสะโพกผมเล็กน้อยก่อนจะสัมผัสได้ถึงปลายนิ้วที่แทรกเข้ามาเพื่อเตรียมพร้อมรองรับสิ่งที่ใหญ่กว่า


“อ๊ะ! เบซิล ช้าหน่อย อื้ออ~” ผมปัดป่ายมืออันไร้เรี่ยวแรงของตัวเองเพื่อบอกอีกฝ่ายให้ชะลอความเร็วแต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม ความเร็วไม่เพียงแค่เพิ่มขึ้นแต่ยังหยอกล้อจนแทบหยุดหายใจ


“ผมทนไม่ไหวแล้ว...ทั้งเสียง ทั้งร่างกาย ทุกอย่างของใบไธม์ทำให้ผมทนไม่ไหว” ใบหน้าคมคายมีเหงื่อผุดขึ้นประปรายช่างดูมีเสน่ห์อย่างล้นเหลือ


“...อ๊ะ! ถุงยาง” ผมพูดเสียงกระเส่า เขาคงไม่คิดว่าผมจะยอมให้เข้าไปตรงๆ หรอกใช่ไหมเวลาทำความสะอาดมันยากจะตายไป


“ผมเตรียมไว้แล้ว” ลิ้นชักข้าหัวเตียงถูกเลื่อนออกพร้อมกล่องถุงยาง เบซิลจัดการฉีกแต่สวมใส่ก่อนจะค่อยๆ แทรกตัวเข้ามาในตัวผม


“อื้อ! ไปเตรียมมาตอนไหน” ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลยว่ามีของแบบนี้อยู่ในลิ้นชักข้างหัวเตียงด้วย


“หลายเดือนก่อน”


“อึก...คนลามก อ๊า!” นี่เตรียมไว้นานขนาดนั้นเลย


“อืม” เบซิลพยักหน้าตอบพลางเริ่มขยับสะโพกช้าๆ ความรู้สึกดีแล่นเข้ามาถึงสมอง และยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นยามอีกฝ่ายขยับตัวเร็วขึ้น


“หื่น!” ผมพูดเมื่อความแข็งขืนด้านในอยู่ๆ ก็ขยายขึ้นอีก


“อ่า...ตอนนี้ผมทั้งลามกทั้งหื่นเลย เพราะคุณนะใบไธม์ รับผิดชอบด้วย” เสียงอันเต็มไปด้วยอารมณ์กระตุ้นอารมณ์ให้หลุดลอยไป


ความร้อนรุ่มยามร่างกายแนบชิดจนไม่เหลือแม้ช่องว่างทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังหลอมละลายกลายเป็นไอน้ำล่องลอยอยู่บนอากาศแต่ไม่นานก็ถูกดึงลงมาให้จมดึ่งไปกับห้วงอารมณ์ของความกระสันแสนหยาบโลนจากการถูกเล้าโลมแผ่นอกและส่วนร้อนที่ชูชันอยู่ตรงหว่างขาด้วยมือและริมฝีปากของคนด้านบน


“อ๊ะ! อ๊า...ไม่ไหว เบซิล อื้ออ~” เล่นกระตุ้นทุกที่พร้อมกันแบบนั้นร่างกายผมทนไม่ไหว


“ใบไธม์...สุดยอด ผมรู้สึกดีสุดๆ เลย”


“เบซิล อื้อ! จะ...ไม่...อ๊ะ”


“ผมก็ไม่ไหวแล้ว” เบซิลเคลื่อนไหวและขยับสะโพกเร็วขึ้นด้วยใบหน้าอันเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์จนกระทั่งปลดปล่อยออกมาพร้อมๆ กัน...ดวงตาสีเขียวมรกตประสานมาพร้อมกับฝ่ามือข้างนึงลูบใบหน้าผมอย่างแผ่วเบาและปิดท้ายด้วยรอยยิ้มกว้างที่ทำเอาหัวใจเต้นรัวมากขึ้นไปอีก


เสียงหอบหายใจของเราทั้งคู่ดังก้องไปทั่วห้อง น่าแปลกที่แม้จะเหนื่อยจนแทบหมดสติแต่ดวงตากลับไม่สามารถละออกจากรอยยิ้มของเบซิลได้


มันเปี่ยมไปด้วยความสุขและความพึงพอใจราวกับได้ครอบครองสิ่งที่ต้องการที่สุดแล้ว


เป็นรอยยิ้มที่ช่างสว่างไสวจนอดไม่ได้ที่เผลอยิ้มตามไป


“ผมรักคุณใบไธม์ รักมากๆ เลย” เบซิลพูดพลางซุกใบหน้าลงยังไหล่ผม


“...อืม รู้อยู่แล้ว” ความรักที่เบซิลมีให้ผมตอนนี้ผมสามารถสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน


“ขอโทษที่ฝืนคุณมากไปนะ”


“ถ้ารู้ตัวก็ช่วยถนอมผมหน่อยเถอะ” บอกให้เบากลับรุนแรงขึ้น บอกว่าให้หยุดกลับยิ่งกระตุ้นปลุกเร้า


จะทำให้ผมขาดใจเลยใช่ไหม


“หยุดไม่ได้นี่ ใบไธม์อยากน่ารักเอง”


“มีแต่คุณแหละที่บอก” ผมพึ่งได้ฟังคำว่าน่ารักจากเบซิลเป็นคนแรก หน้าตาผมไม่ได้หล่อหรือน่ารัก เป็นหน้าตาธรรมดาที่สามารถหาได้ทั่วไป จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าที่น่ารักมันคือตรงไหน


“ดีแล้ว ให้มีแต่ผมที่รู้ถึงความน่ารักของคุณเถอะ”


“ขี้หวงนะ” ผมยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย


“นอกจากขี้หวงแล้วยังขี้หึงด้วยนะ ถ้านอกใจผมล่ะก็...”


“จะไปชกกับคนที่ผมนอกใจด้วยฝีมืออันเก่งอาจ?” ได้ทีผมเลยขอแหย่สักหน่อย


“แดกดันเข้าไป เดี๋ยวผมจะเก่งจนชนะคุณให้ดู” น้ำเสียงเปี่ยมความมั่นใจนั่นกระตุ้นความไม่ยอมแพ้ในตัวผมให้ตื่นขึ้น


“โห่...จะชนะผมเหรอ เอาสิ” มาดูกันว่าใครกันแน่ที่จะหมอบก่อน


“...อย่าทำหน้าจริงจังสิ”


“ผมจริงจังเสมอ”


“ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม?” เบซิลถามต่อ


“ใช่ ไม่ว่าเรื่องอะไรผมก็จริงจังเสมอ” ผมพยักหน้าตอบ


“แปลว่าเรื่องรักผมก็จริงจังด้วยใช่ไหม” น้ำเสียงยามถามแตกต่างไปจากทุกที


“จริงจังสิ...ถ้าไม่จริงจังผมคงไม่ยอมให้คุณได้ครอบครองผมแบบนี้หรอก” เพราะเป็นเบซิลผมถึงได้ยอม


สำหรับผมที่มีพลังซึ่งไม่สามารถบอกกับใครได้กลับถูกนักโทษคนนึงเข้ามาปั่นหัวและป่วนจนหัวใจเริ่มแปลกไป พวกเราเหมือนกันตรงที่ต่างฝ่ายต่างมีกำแพงสูงและหนาคอยกั้นไม่ให้ใครเข้ามาล่วงล้ำได้ แต่แล้ววันเวลาที่ได้อยู่ร่วมกัน


ทุกรอยยิ้ม ทุกคำพูด ทุกการกระทำต่างเป็นเหมือนอาวุธที่คอยทำลายกำแพงสูงที่ขวางกั้นพวกเราไว้ เมื่อทลายกำแพงนั่นลงมาสิ่งที่รออยู่ตรงหน้าคือความรู้สึกแสนล้ำค่าที่ไม่เคยรับรู้มาก่อน


พวกเราไม่ได้ทำลายกำแพงของกันและกันแต่ช่วยกันทำลายกำแพงไปพร้อมๆ กัน


พลังของผมนั้นผมเคยคิดว่าทำไมต้องมี


ผมอยากเป็นปกติ อยากเป็นคนธรรมดา


แต่แล้วในวันนี้ผมกลับดีใจที่มีพลังนี้


และขอบคุณพลังนี้ที่ทำให้ผมได้มาเจอกับคนสำคัญที่สุด


คนที่พร้อมจะอยู่ข้างๆ ไม่ว่าผมจะอยู่ในร่างไหน


คนที่พร้อมจะก้าวไปพร้อมกันไม่ว่าต้องเจอกับอะไร


คนที่พร้อมจะยอมรับทุกอย่างที่ผมเป็น


ผมอาจไม่ใช่คนที่ออดอ้อนหรือแสดงความรู้สึกเก่ง แต่ตอนนี้ผมอยากบอกให้เบซิลรู้ถึงความรู้สึกของผมที่มีต่อเขา


“...เบซิล” ผมเรียกพลางโอบคออีกฝ่ายให้ก้มลงมาหา ดวงตาของเราทั้งคู่ประสานราวกับกำลังดึงดูดซึ่งกันและกัน


“ฮืม?”


“...รักนะ รักเบซิลมากๆ เลย”


“ผมก็รักใบไธม์”

..............................จบบริบูรณ์............................

มาต่อแล้วกับตอนจบของเรื่อง

เพราะอัพอาทิตย์เว้นอาทิตย์เลยรู้สึกเหมือนนานมาก

ขอบคุณทุกคนที่ยังคอยติดตามมาจนถึงตอนนี้นะคะ

ถึงเรื่องราวจะจบลงแต่ทั้งเบซิลและใบไธม์จะคงก้าวเดินต่อไปเคียงข้างกัน

แค่คิดก็มีความสุขแล้วค่ะ

อีกไม่นานจะมีเรื่องการรวมเล่มซึ่งจะแจ้งให้ทราบในภายหลังนะคะ

ตอนนี้มีเรื่องใหม่ที่เราเพิ่งเปิดไปชื่อเรื่อง Defeat Heart เสี่ยงรัก สยบหัวใจ เป็นเรื่องราวของนักฆ่าที่ไม่มีใครล่วงรู้ตัวตน หากสนใจสามารถเข้าไปอ่านกันได้นะทุกคน

ขอฝากผลงานต่อๆไปด้วยค่ะ

แล้วเจอกันใหม่ในผลงานต่อๆ ไป

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีสุดท้าย) 19/9/61 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-09-2018 21:53:12
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีสุดท้าย) 19/9/61 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-09-2018 04:27:54
จบไปแล้วคู่พี่ใหญ่ ต่อไปจะเป็นคู่ของใครน่ะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีสุดท้าย) 19/9/61 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-09-2018 07:58:45
 :pig4: :pig4: :pig4:

ปิดจบด้วยการฟีเจอริ่ง
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีสุดท้าย) 19/9/61 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-09-2018 10:07:18
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีสุดท้าย) 19/9/61 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-09-2018 18:50:27
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีสุดท้าย) 19/9/61 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 22-09-2018 19:14:30
อื้อหือ จบส่งท้ายได้ทั้งอบอุ่น ทั้งแอบเรท
ใบไธม์น่ารักนะ คิดว่าตัวเองไม่น่ารัก หรือเพราะไม่ยุ่งกับใคร
เบซิลมาทำใบไธม์หลุดตัวตนออกมาได้เยอะมาก
และกลับกันเบซิลก็ยอมลงให้ใบไธม์เยอะเหมือนกัน

คนในครอบครัวเค้าต้องดูแลกันเนาะ เบซิลเนาะ
งานนี้ได้ใจโป๊ยกั๊กไปเต็มๆ ละมั้ง

ขอบคุณมากนะคะ เรื่องสนุกมาก จอมวางแผนและมือโปร
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีสุดท้าย) 19/9/61 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 23-09-2018 18:42:45
 :o8: :o8: :jul1: เข้ามาอ่านตั้งแต่ตอนที่ค้างไว้มาจนจบ แถมเป็นตอนจบที่อีโรติกมากจริงๆสมใจเบซิลแล้วสินะ ตอนแรกก็คิดว่าเบซิลเพิ่งมาอยู่กับพี่ไธม์ไม่นานนี่เองนะแต่พอเห็นจำนวนคดีที่เบซิลทำแล้วก็รู้เลยว่าเวลาคงผ่านไปนานมากจริงๆ ตอนนี้น้องๆรู้ความสัมพันธ์ของพี่ไธม์กับเบซิลแล้วก็เหลือแค่พอกับแม่นี่แหละ ไม่รู้จะมีตอนพิเศษตอนนี้ให้อ่านมั้ยแต่คิดว่าพ่อกับแม่ไม่น่าจะมีปัญหาหรอกมั้งก็เพราะพี่ไธม์โตแล้ว มีงานทำรับผิดชอบตัวเองได้
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีสุดท้าย) 19/9/61 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 25-09-2018 14:55:58
เย้ ดีใจกับทั้งคู่ด้วย
เบซิลน่ารักมากๆๆๆๆๆ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆฮะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีสุดท้าย) 19/9/61 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 27-09-2018 00:00:13
สนุกมากเลย ขอบคุณจ้า  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีสุดท้าย) 19/9/61 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 23-10-2018 03:29:49
ปิดท้ายเรื่องได้เผ็ซซซซซซมากกก
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีสุดท้าย) 19/9/61 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 26-10-2018 01:57:16
 :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีสุดท้าย) 19/9/61 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 29-10-2018 20:41:16
น่ารักมาก ๆ ......



ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีสุดท้าย) 19/9/61 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: sira_nann ที่ 14-11-2018 21:49:30
ขอบคุณค่ะ
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีสุดท้าย) 19/9/61 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 16-11-2018 20:17:22
คู่พี่ใหญ่เป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว  :hao7:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีสุดท้าย) 19/9/61 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 20-11-2018 07:41:46
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีสุดท้าย) 19/9/61 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 30-11-2018 22:37:21
น่ารักดีค่ะ
ชอบใบไธม์
ขอบคุณนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (คดีสุดท้าย) 19/9/61 P.5 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: HappyYaoi ที่ 31-01-2019 11:20:55
สนุกมาก ๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (ส่งท้าย) 7/2/62 P.6 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 07-02-2019 12:54:32
สืบรัก彡ส่งท้าย



“ไปเลยปีเตอร์!” เสียงตะโกนของคู่หูอย่างเบซิลดังขึ้ทำให้ผมในร่างแมวสีดำล้วนกระโจนจากบนรั้วกำแพงหนาพุ่งเข้าใส่คนร้ายในคดีต้มตุ๋นจนฝ่ายนั้นเซล้มลงไปกับพื้น


“เฮ้ย! ออกไปนะ ไอ้แมวบ้า!” คนร้ายยังไม่ยอมจนมุมง่ายๆ เขาพยายามสะบัดให้ผมตกลงไปแต่เมื่อถูกกรงเล็บๆ คมนั่นจิกเสียงโอดครวญก็ดังขึ้น เหมือนว่าความกลัวจะมีพลังในการกระตุ้นมากกว่าที่คิด ฝ่ายคนร้ายใช้มือดึงผมในร่างแมวก่อนจะเหวี่ยงไปจนร่างกระแทกเข้ากับกำแพงหนา


งี๊ด!


เพราะอยู่ในร่างกายอันแสนบอบบางอย่างแมวทำให้แรงกระแทกที่ปกติจะทนได้ดูจะสาหัดกว่าที่คาด แม้จะพยายามลดความรุนแรงโดยการเบี่ยงหลบส่วนสำคัญแล้วก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ไม่น้อย


“ใบไธม์!” อาจเพราะความตกใจทำให้ชื่อที่มักจะใช้เรียกผมในร่างสัตว์อย่างปีเตอร์กลายเป็นชื่อผมจริงๆ ไป


ผมพยายามจะยืนขึ้นอีกครั้งทว่าส่วนแผ่นหลังกลับรู้สึกเจ็บจนทรุดร่างลงกับพื้น ด้วยฝีมือของเบซิลในตอนนี้ยังไม่เก่งถึงขั้นที่จะปล่อยให้สู้ตัวต่อตัวกับคนร้ายได้จึงต้องมีคนที่เก่งการต่อสู้ประกบตอนไปทำคดีดีด้วยตลอด


ครั้งนี้ผมประมาทเองที่ใช้ร่างนี้สู้ ถ้ากลับร่างมนุษย์ละก็แค่โดยเหวี่ยงผมไม่เป็นไรแน่


เหมี๊ยว!


ปล่อยมันหนีไปก่อนเบซิล รอผมลุกได้ค่อยตามต่อก็ยังไม่สาย


ทั้งที่คิดว่าเบซิลจะเข้าใจแต่เขากลับวิ่งเข้าใส่คนร้ายแทน ผมเบิกตากว้างมองภาพนั่นด้วยความตกใจคนร้ายปล่อยหมัดใส่เบซิลแล้วพยายามจะวิ่งหนีซึ่งเบซิลน่าจะคาดการเรื่องนี้ได้จึงได้เบี่ยงตัวหลบพร้อมใช้ขาสะกัดอีกฝ่ายที่กำลังจะวิ่งจนหัวคะมำอย่างแรง


“ผมคงปล่อยคนที่ทำให้คนรักผมเจ็บไปไม่ได้หรอกนะ” คำพูดปิดท้ายนอาจดูแปลกๆ แต่พวกเราก็สามารถจัดการคดีได้สำเร็จในที่สุด


คนร้ายในคดีต้มตุ๋นถูกเบซิลจับกุมพร้อมส่งตัวให้ตำรวจประจำเขตจัดการต่อ ระหว่างดำเนินการเรื่องทั้งหมดเบซิลคอยอุ้มผมในร่างแมวที่นอนขดตัวอยู่บนผ้าด้วยสายตาเป็นห่วงตลอด ความจริงผมอยากกลับร่างมนุษย์แต่ถ้ากลับร่างกายผมอาจเจ็บจนเดินไม่ไหว เพราะงั้นเลยอยู่ในร่างแมวไปก่อน


การควบคุมการกลายร่างผมทำได้แต่ใช่ว่าจะได้ผลทุกครั้ง เบซิลพาผมในร่างแมวกลับมาถึงห้องแล้ววางลงบนโซฟาเพียงหนึ่งเดียวของห้องก่อนจะนั่งลงบนพื้นจนดวงตาสีเขียวมรกตมองมาในระดับเดียวกัน


“ใบไธม์ เจ็บมากไหม” น้ำเสียงห่วงใยช่างดูราวกับกำลังแบกรับความเจ็บปวดไปพร้อมกับผมด้วย


เหมี๊ยว~


ไม่เป็นไร เจ็บนิดหน่อยเอง


ผมขยับใบหน้าไปใกล้และเลียจมูกอีกฝ่ายเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องห่วง


“ผมจะไปซื้อพวกยามา คุณรออยู่เฉยๆ ห้ามขยับตัวนะ” เบซิลรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปนอกห้อง ผมได้ยินเสียงปิดประตูดังไล่หลังมา


นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ผมเจ็บจนขยับตัวไม่ได้ในร่างสัตว์แบบนี้ โชคยังดีที่ถึงจะเจ็บแต่ก็ไม่ได้มีบาดแผลลึกหรือเลือดออก ให้เดาคงเป็นอาการช้ำ


กว่าเบซิลจะกลับมาร่างแมวของผมก็แปรเปลี่ยนกลับมาเป็นร่างมนุษย์เรียบร้อย ถุงยาขนาดใหญ่นั่นสร้างความสงสัยให้ผมได้มากพอสมควร และพอเปิดถุงนั่นดูก็พบกับยาแก้ปวด อักเสบ อาการช้ำมากมากมายไม่ใช่แค่ชนิดกินหรือทาแต่ยังมีแบบแปะหรือพ่นอีก นับรวมก็มากกว่า 20 อย่าง


ดูท่าผมจะทำให้เบซิลห่วงมากเลยแฮะ


“ซื้อมาเยอะไปแล้ว” ผมบ่นแม้ภายในใจจะรู้สึกดีที่ถูกห่วงใยขนาดนี้ก็ตาม


“ก็ผมไม่แน่ใจว่าอาการเป็นยังไงนี่นา”


“เลยซื้อมาหมดเลย?” ผมถามกลับ แค่ยาเม็ดยังมีแยกเลยว่าเป็นปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูกหรือแม้แต่ปวดเส้นเอ็น เรียกว่าเหมามาหมดร้านจริงๆ


“อืม แล้วสรุปอาการเป็นยังไง”


“แรงกระแทกนั่นทำให้หลังช้ำน่ะ” ผมบอกพลางถกเสื้อด้านหลังให้อีกฝ่ายเห็น รอยจ้ำสีเขียวแผ่กระจายไปทั่วแผ่นหลัง ไม่อยากคิดเลยว่าตอนกลายเป็นสีม่วงจะดูน่ากลัวขนาดไหน


“เป็นเยอะมากเลย” เบซิลขยับตัวเข้ามาถือวิสาสะถกเสื้อผมพร้อมใช้มือลูบเบาๆ บริเวณรอยช้ำบนแผ่นหลัง เพียงแค่แรงจากฝ่ามือยังเล่นเอาผมสะดุ้งด้วยความเจ็บ


“...สงสัยพรุ่งนี้ต้องหยุดพัก”


“แผลขนาดนี้ถ้าคุณยังฝืนไปทำงานผมจะจับคุณมัดกับหัวเตียง” เบซิลยื่นคำขาด


“ผมเจ็บอยู่นะ” จะจับมัดเลยเหรอ


“เพราะรู้ว่าเจ็บถึงอยากให้พักไง คุณน่ะชอบคิดว่าไม่เป็นไรๆ แล้วก็ฝืนจนได้เรื่องทุกที”


“ผมพึ่งเคยบาดเจ็บในร่างสัตว์เหอะ” อย่าพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติได้ไหม


“ไม่ได้พูดถึงในร่างไหนแต่พูดถึงนิสัยคุณต่างหากล่ะ ชอบฝืนตัวเองเพื่อทำงาน” เบซิลยังคงบ่นผมไม่หยุด บัดนี้เสื้อคอกลมถูกถอดออกก่อนเบซิลจะทายาบริเวณแผ่นหลังอันเต็มไปด้วยรอยช้ำให้อย่างเบามือ


เบาจนแทบไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด


“มือเบาดีนี่เบซิล”


“ขอบคุณ...นี่อย่าเปลี่ยนเรื่องนะ ผมกำลังบ่นคุณอยู่...”


“รู้แล้ว พรุ่งนี้ผมจะพักอยู่เฉยๆ ละกัน” ผมรีบพูดขัดเพราะเดาได้ว่าอีกฝ่ายต้องพูดอีกยาวแน่ๆ


“3 วัน”


“อะไร”


“คุณต้องพักอย่างน้อย 3 วันใบไธม์” เบซิลชู 3 นิ้วระหว่างพูด


“พูดบ้าๆ น่ะ ให้พัก 3 วันเนี่ยนะแค่วันเดียวก็พอแล้ว”


“ผมจะไปบอกหัวหน้าไพลสันต์เอง” เบซิลไม่สนใจคำพูดค้านของผม


“เบซิล” จะให้ผมหยุด 3 วันจริงๆน่ะเหรอ


“พรุ่งนี้รอยพวกนั้นต้องบวมแน่ กว่าจะหายคงไม่ต่ำกว่า1อาทิตย์แต่ผมรู้ว่าขืนให้คุณหยุดทั้งอาทิตย์ได้ขาดใจตายแน่เลยลดให้เหลือแค่ 3 วัน เข้าใจไหม” สายตาและน้ำเสียงจริงจังของเบซิลทำเอาผมไม่กล้าขัด


“...ก็ได้”


“รู้ไหมว่าผมห่วงคุณ” เบซิลถามต่อ


“อืม” รู้ดีเลยล่ะ คนที่ไม่ห่วงน่ะคงไม่มาพูดหรือออกไปซื้อยาให้เสียเวลาหรอก


“โกรธผมรึเปล่า” น้ำเสียงกึกไม่แน่ใจกับสายตาหวั่นๆ คล้ายเด็กกำลังขัดใจพ่อแม่ครั้งแรกทำให้ผมหลุดยิ้มออกไป


“นี่ ถ้าจะจริงจังก็ทำให้สุดสิ” เล่นมากลัวตอนท้ายจะได้ผลอะไรเล่า


“ก็กลัวคุณเกลียดนี่นา” อยู่ๆ จากคำว่าโกรธก็กลายเป็นเกลียดซะอย่างงั้น


ไม่รู้ใช้อะไรคิด


ไอคิวหลายร้อยนั่นคิดเรื่องง่ายๆ แค่นี้ไม่ได้รึไงนะ


“ไม่เกลียดหรอก” ใครจะเกลียดลง


ขนาดโกรธยังทำไม่ลงเลย


“...จริงนะ” น้ำเสียงหง๋อยนี่ตลกจนผมหยุดหัวไม่ได้ ดวงตาสีเขียวมรกตหรี่ลงคล้ายจะถามว่ามีอะไรน่าขำ


“ใครจะเกลียดคนที่ห่วงตัวเองกัน”


“แปลว่าชอบผม?” ไม่รู้ว่าการสนทนาของพวกเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง


เล่นเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาฉับพลันแล้วดันวกไปคำถามนั้นได้นี่ถือว่าสุดยอด


“ไม่ได้ชอบ” ผมส่ายหัวเบาๆ ระหว่างตอบ


“...” ความเงีบเข้าปกคลุมท่ามกลางใบหน้าที่ค่อยๆ นิ่งขึ้น


เบซิลรู้ว่าสิ่งที่ผมพูดคือความจริงไม่ได้เล่นหรือโกหก


ผมไม่ได้ชอบเขา


ไม่ได้ชอบเบซิลแต่...


“รัก” ผมพูดพร้อมสบดวงตาสีเขียวมรกตตรงๆ เป็นเพียงคำสั้นๆ ที่ต้องใช้ความกล้ามากมายจึงจะเอ่ยออกไปได้


“...ใบไธม์” ใบหน้าของเบซิลเหมือนกำลังทำความเข้าใจประโยคที่ผมพึ่งพูดออกไป ไม่รู้ว่าเข้าใจแบบไหนถึงได้ยิ้มกว้างแถมยังดึงตัวผมเข้าไปกอดแน่นอีก


“โอ๊ย! เจ็บนะ” แผลที่หลังผมยังไม่ได้หายต่อให้ทายาก็ทำได้เพียงบรรเทาความเจ็บปวดให้เบาลงเท่านั้น


“พูดอีกทีนึง” เบซิลกระซิบขอ


“ไม่ ปล่อยได้แล้วผมจะไปนอนพัก” ใครจะกล้าพูดคำน่าอายแบบนั้นสองรอบติดกัน


“ถ้าไม่พูดผมก็ไม่ปล่อย”


“เดี๋ยวนี้กล้าต่อลองผม?”


“ผมกล้าต่อลองมาตั้งแต่อยู่ในห้องขังแล้ว” คำพูดของเบซิลเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ก็จริงเขาต่อลองมาตั้งแต่ตอนเจอกันครั้งแรก และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งที่สองหรือสามแต่มากกว่านั้นไม่รู้กี่เท่า


ไม่ยอมถูกเอาเปรียบ ต้องได้สิ่งที่เท่าเทียมเป็นของตอบแทน


คนที่เอาแต่คิดแบบนั้นอย่างเบซิลตอนนี้กลับกำลังต่อรองเพื่อให้ผมพูดคำเพียงคำเดียว


น่าดีใจสุดๆ


ไม่ใช่แค่เบซิลที่เปลี่ยนไปแต่ผมเองก็เช่นกัน


พวกเราต่างเปลี่ยนไปเพราะได้รู้จักกันและกัน


“อยากให้ผมพูดเหรอ”


“ใช่”


“ครั้งน่าละกัน” ผมอาศัยช่วงที่เบซิลผ่อนแรงกอดลุกขึ้นเดินหนีไปนอนคว่ำหน้าลงบนเตียงของตัวเองโดยมีเสียงฝีเท้าของเบซิลตามมาติดๆ


“ขี้โกงนี่ใบไธม์”


“ผมเจ็บอยู่นะ”


“ใบไธม์...” ผมเงยหน้าขึ้นพร้อมดึงอีกฝ่ายให้ก้มลงมาในระดับเดียวกัน ในตอนนั้นเองที่ผมจูบเบาๆ ยังริมฝีปากของเบซิลแทนคำบอกให้หยุดพูด


คำว่ารักน่ะผมยังไม่เก่งพอที่จะพูดติดๆ กันได้หลายครั้ง เพราะงั้นรอก่อนนะเบซิลไว้ผมชินเมื่อไหร่จะพูดให้ฟังจนเบื่อไปข้างถึงแม้ภายในใจผมจะไม่คิดว่าวันนั้นจะมาถึงก็ตาม


เมื่อไหร่ที่ชินก็เท่ากับเราไม่รู้สึกอะไรต่อคำว่ารักอีกแล้ว


ในทางกลับกันถ้ายังใจเต้นทุกครั้งที่เอ่ยคำว่ารัก...


ก็เท่ากับผมไม่มีทางหมดรักเบซิลนั่นเอง

..................................................


(https://sv1.picz.in.th/images/2019/02/07/TUKz0q.jpg)

วันนี้มาอัพตอนพิเศษส่งท้าย+กับแจ้งข่าวนะคะ

ตอนนี้กำเปิดพรีอยู่ค่ะ

พรีออเดอร์ 5/2/62 - 5/3/62
สำนักพิมพ์ MAZE Novels Publishing

ชี้แจงเล็กน้อย โปรเจคนี้จะมีทั้งหมด 3 คู่นะคะ คู่ละเล่ม
ของเราจะแต่งเป็นพี่ชายคนโตของบ้านหรือใบไธม์ค่ะ

เซตนิยาย 3 เล่ม
- Secrets Ground สืบลับเชื่อมใจรัก
- Hidden Secret ลับซ่อนรัก
- Secret Me คนนี้ต้องลับ
ของแถม : Postcard 3 ลาย + ที่คั่น 3 ลาย
ราคาไม่มีบ๊อก : เฉพาะรอบพรี 980 บาท
ราคามีบ๊อก : เฉพาะรอบพรี 1,180 บาท แถมพรี Mini novel เมื่อพลังพิเศษของคนในครอบครัวสลับกัน พลังของใบไธม์จะสลับกับของโป๊ยกั๊กซึ่งเป็นพลังที่ได้ยินเรื่องลามก พูดถึงคนที่คิดเรื่องลามกใกล้ๆ ใบไธม์ก็มีแค่คนเดียวนั่นก็คือเบซิล ใบไธม์จะรับมือกับคำพูดลามกที่ลอยมาเข้าหูตลอดได้อย่างไร หรือจะเกิดอะไรขึ้น...ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงค่ะ

Secrets Ground สืบลับเชื่อมใจรัก
นักเขียน : Nicedog
นักวาด : NAYUMI
จำนวนหน้า : 441 หน้า
ราคา : เฉพาะรอบพรี 405 บาท
สั่งซื้อได้ที่ : http://mazenovels.lnwshop.com/
สอบถามหรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.facebook.com/MazePublishing/
ตอนพิเศษ : 6 ตอน(ซึ่งบอกเลยว่าแซ่บมากกก)
                สปอยตอนพิเศษ1 คดีลักลอบค้าสัตว์
                - “แย่จังนะ มีหนูคิดจะเข้ามาในดงแมวเหมี๊ยวด้วยเหรอเนี่ย” เบซิลเปรียบเทียบด้วยน้ำเสียงขบขัน
                  “ต้องพูดว่าดงราชสีห์สิ” ดงแมวเหมี๊ยวอะไรดูไม่น่ากลัวสักนิด
                  “ก็ใบไธม์น่ารักจะตาย แถมยังปากไม่ตรงกับใจเหมือนแมวเหมี๊ยวเลย มามะเดี๋ยวผมจะเกาคางให้ทั้งคืนเลย”
                  “ถ้ายังไม่หยุดกวนผมจะจัดการคุณเป็นคนแรก” ตอนนี้มันใช่เวลามากวนผมไหม
                  “...ได้กลิ่นอะไรไหม้รึเปล่า” ใบหน้ายิ้มแย้มของเบซิลเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที
                  “อืม มาจากด้านประตู” ผมพยักหน้าตอบเบซิล
                  “ไม่คิดว่าจะใช้วิธีจุดไฟครอกพวกเรานะเนี่ย”
                  “รีบออกไปข้างนอกเถอะ” ขืนยังมัวรอช้าได้ถูกย่างจนไหม้แน่
                  “ทางหน้าต่าง?”
                  “พูดเหมือนเราเปิดประตูออกไปได้งั้นแหละ” ทางเดียวในตอนนี้คือออกไปทางหน้าต่าง
                  “เชื่อไหมว่าต้องมีคนดักซุ่มอยู่”
                  “น่าจะไปเป็นหมอดูนะเบซิล”
              .............................................................
                   สปอยตอนพิเศษ2 ป่วย
                   - “อะไร...ความรู้สึกแปลกๆ นี่มันคืออะไร” รู้สึกราวกับร่างกายไม่ใช่ของตัวเอง
                     “การซิงค์โครงกับสัตว์ตัวนั้นละมั้ง”
                     “หมายถึง...ผมกับกระต่าย?”
                     “ใช่ นอกจากจะมีหูงอกขึ้นมาแล้วความรู้สึกยังเชื่อมต่อกันด้วย ใบไธม์รู้ไหมว่ากระต่ายเป็นสัตว์แบบไหน” ไม่เพียงแค่กระซิบข้างใบหูแต่เบซิลยังลากปลายจมูกตั้งแต่บริเวณคอลงมาแล้วขบเม้มเบาๆ บริเวณไหล่ เสื้อเชิ้ตที่ใส่อยู่ไม่รู้ว่าถูกปลดออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่
                      “อึก! ไม่รู้” ตอนนี้ในหัวแทบคิดอะไรไม่ออก
                      “มีหลายคนพูดว่ากระต่ายเป็นสัตว์ที่เซ็กจัดมาก มีความตื่นตัวและต้องการอยู่ตลอด”
                      “อ๊ะ...หยุดเบซิล ผมไม่ อื้อ!”
                 ..........................................................
                      สปอยตอนพิเศษ3 วันพิเศษ
                      - “วันนี้ฉันจะให้เธอหยุดและไปกับเบซิลซะ” คำสั่งต่อมาเรียกดวงตาสีน้ำของใบไธม์หันมาจ้องผมเขม็ง
                        “เบซิลไปพูดอะไรกับหัวหน้าครับ” เพียงเสี้ยววินาทีอีกฝ่ายก็สามารถสรุปออกมาได้ทันที
                        “ไม่ได้พูดแค่มาบอกเฉยๆ และฉันก็ตกลงแค่นั้นเอง”
                        “บอกอะไรกับหัวหน้า” ใบไธม์มองหน้าผมระหว่างถาม
                        “นิดหน่อย”
                        “นิดหน่อยที่ว่าคืออะไร”
                        “บอกไม่ได้” ผมส่ายหัวเล็กน้อยระหว่างตอบ
                        “เบซิล...”
                        “เอาน่า ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไรหรอกฉันรับประกันได้”
                        “แต่...”
                        “ไปกันได้แล้วมั้ง”
                        “งั้นพวกเราขอตัว” ผมบอกหัวหน้าไพลสันต์พร้อมก้มหัวลงเล็กน้อยแทนการขอบคุณ อาทิตย์ก่อนที่เข้าไปคุยกับเขาไม่คิดว่าจะยอมช่วยจริงๆ แถมยังให้คำแนะนำหลายๆ อย่างอีกต่างหาก
                         “ถือเป็นของขวัญจากฉัน” เสียงกระซิบเบาๆ ระหว่างเดินผ่านกัน
                    ............................................
                         สปอยตอนพิเศษ4 คดีและความหึง
                         - “...กลิ่นน้ำหอม” ผมขยับตัวเข้าไปซบไหล่เบซิลพร้อมกับพึมพำเสียงเบา
                           “ใบไธม์...”
                           “ผมไม่คิดว่าตัวเองจะอาการหนักได้ขนาดนี้”
                           “อาการอะไร...หึงผมน่ะเหรอ”
                           “...อืม ผมหึง”
                    ....................................................
                          สปอยตอนพิเศษ5 พบครอบครัว
                          - “คบกันมานานรึยัง”
                            “ถ้าถามถึงระยะเวลาที่คบเกือบปีแล้วครับ”
                            “หมายความว่าไงที่ถามถึงระยะเวลาที่คบ” แม่ถามต่อ คิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่นแสดงว่ากำลังสงสัยกับคำพูดของเบซิลอยู่
                            “ถ้าถามถึงระยะเวลาที่คบผมก็คงประมาณ 1 ปี แต่ถ้าถามถึงระยะเวลาที่รักอาจเป็นตั้งวันแรกที่ผมเจอ” คำพูดของเบซิลทำเอาคุณพ่อที่นั่งอยู่ถึงกับอ้าปากค้างด้วยใบหน้าเห่อแดงราวกับคนในประโยคนั้นคือตัวเอง
                            “เบซิล!” เว่อร์ไปแล้ว
                            “อะไร ผมพูดจริงหรอก ผมสนใจคุณตั้งแต่วันแรกที่เจอกันจริงๆ นี่” อีกฝ่ายหันมบอกคล้ายอ่านความคิดผมออก
                            “พูดตามตรงฉันไม่เชื่อในคำว่ารักที่คุณพูดสักเท่าไหร่ ทั้งบุคลิก ท่าทางหรือเบื้องหลังแววตานั่นมันเหมือนคุณสามารถเล่นกับความรู้สึกของใครก็ได้”
                       .........................................
                            สปอยตอนพิเศษ6 กุญแจมือ
                            - แกร็ก!
                              “จับคุณได้แล้วใบไธม์” เสียงของกุญแจมือคล้องล๊อคยังข้อมือผมทำเอาผมเบิกตากว้างขึ้นทว่าหลังจากนั้นไม่ถึงวินาทีกุญแจมืออีกฝั่งที่ว่างอยู่เบซิลกลับล๊อคมันเข้ากับข้อมือตัวเองซะอย่างงั้น
                              “ทำอะไรเนี่ยเบซิล!” ผมรีบสะบัดมือพร้อมแง๊ะกุญแจมองเผื่อว่ายังสามารถเอาออกได้ทั้งที่รู้ตั้งแต่ได้ยินเสียงล๊อคแล้วว่าคงสลัดไม่หลุดเป็นแน่
                              “ผมแค่แหย่เล่นเอง ทำไมต้องทำหน้าตื่นตกใจขนาดนั้นด้วย เดี๋ยวเอากุญแจไขก็ได้แล้ว”
                              “ก็มันไม่มีน่ะสิ กุญแจน่ะ!”
                          ..........................................

ขอฝากเบซิลและใบไธม์รวมไปน้องๆ ไว้ในอ้อมอกด้วยนะคะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (พิเศษส่งท้าย) 7/2/62 P.6 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-02-2019 22:33:55
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (พิเศษส่งท้าย) 7/2/62 P.6 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 16-02-2019 14:49:06
เป็นเรื่องที่ดีต่อใจอะไรขนาดนี้ ชอบบุคลิกของตัวละครทุกตัวเลย ขอบคุณคนเขียนมากเลยนะ ใบไธม์กับเบซิล
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (พิเศษส่งท้าย) 7/2/62 P.6 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: MaidenQueen ที่ 14-05-2019 20:43:39
ดีมากๆเลย ทั้งเบซิลทั้งใบไธม์   นิสัยความนึกคิดที่ทำให้ทั้งคู่ดูลงตัว
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (พิเศษส่งท้าย) 7/2/62 P.6 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: New_atcha ที่ 14-07-2019 15:31:33
 :-[ :-[ ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (พิเศษส่งท้าย) 7/2/62 P.6 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 11:41:41
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (พิเศษส่งท้าย) 7/2/62 P.6 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 01-02-2022 23:15:21
ตัวละครในเรื่องนี้ น่ารักทุกคนเลย    ชอบมากๆเลยครับ
หัวข้อ: Re: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (พิเศษส่งท้าย) 7/2/62 P.6 -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 08-02-2022 17:22:09
สนุกค่ะ น่ารักทั้งใบไทม์ทั้งเบซิลเลย ติดตามครอบครัวนี้ต่อค่ะ :mew1: