My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (พิเศษส่งท้าย) 7/2/62 P.6 -จบ-
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (พิเศษส่งท้าย) 7/2/62 P.6 -จบ-  (อ่าน 51540 ครั้ง)

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ความลับแตกซะแล้วววววววววววววววววว  :katai1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
คงโดนสงสัยว่าทำไมต้องโป๊ให้เห็น :hao6:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ma-prang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
มาเจอตอนแก้ผ้าพอดีเลย 555
เบซิลเหมือนน้องหมาตัวโตขี้อ้อนอ่ะ เอ็นดูนางงงง

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
สืบรัก彡คดีที่8




ร่างเปลือยเปล่าของรองหัวหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษหรือใบไธม์นั่งอยู่บนพื้นหน้าตรงหน้าผมด้วยใบหน้าตกใจยามหันมาเห็นผมเดินออกไปหา หลังจากจัดการถอดรหัสเข้าเครื่องผมก็ได้ข้อมูลไม่ว่าจะเป็นเหล่าลูกค้าหรือสถานที่เก็บอาวุธที่กระจายอยู่ในบางจังหวัดเพื่อให้ง่ายต่อการขนย้ายซึ่งเรื่องข้อมูลพวกนั้นจะยังไงก็ช่าง


ตอนนี้สิ่งที่ผมสนใจคือใบไธม์ต่างหาก


เสื้อผ้าที่กองอยู่ด้านข้างดูยังไงก็ไม่ใช่การถอดเพราะหากถอดคงไม่กองรวมซ้อนทับกันแบบนั้น อีกอย่างในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการถูกจับจะมีใครกล้ามาถอดเสื้อผ้า


ไม่ว่าจะดูยังไงก็ต้องมีบางอย่างกับอีกฝ่ายแน่ ปัญหาคือผมไม่รู้ว่าบางอย่างนั่นคืออะไร


ดวงตาสีน้ำตาลของใบไธม์ยังคงจับจ้องมายังผมคล้ายกำลังคิดว่าจะทำยังไงต่อไป ความกังวลและความสับสนสื่อออกมาจนสามารถรับรู้ได้


เขาไม่อยากเล่าหรือบอกผม


อ่า...ความรู้สึกหนักๆภายในอกนี่คืออะไร


น้อยใจเหรอ


หรือแค่ผิดหวัง


“รีบใส่เสื้อผ้าเถอะ”ผมบอกใบไธม์ก่อนจะหันหลังไปทางตอนไม้ ให้เวลาอีกฝ่ายได้แต่งตัว


“เบซิล...”ไม่กี่นาทีเสียงเรียกก็ดังขึ้น


“เราต้องรีบออกจากที่นี่”ผมไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไรมากไปกว่านี้ พูดตรงๆว่าไม่อยากฟังคำว่าบอกไม่ได้หรือขอโทษ


ผมอยากรู้ทุกเรื่องของใบไธม์แต่ผมก็เข้าใจต่อให้อยากแค่ไหนความเป็นจริงมันไม่เหมือนจินตนาการ


จะให้บังคับให้บอกคงไม่ดีนักหรอก


อาจเพราะใบไธม์อ่านทางผมออกจึงเลือกที่จะเงียบแล้วกลับออกจากคฤหาสน์นี่ตรงกลับไปยังสำนักงานของหน่วยสืบสวนพิเศษ 7โมงเช้าคือเวลาที่พวกเรามาถึงซึ่งใช้เวลาในการเก็บข้อมูลนานถึง5ชั่วโมงแม้ในความเป็นจริงผมจะจัดการแฮ็กระบบนั่นในเวลาไม่นานทว่าการเข้าออกคฤหาสน์เป็นเรื่องยากโดยเฉพาะขาออกที่มีคนคอยคุ้มกันแน่นหนาขึ้น


ผมเดินตามใบไธม์เดินเข้าไปในห้องก่อนอีกฝ่ายจะลงมือเขียนรายงานด้วยใบหน้าจริงจังทว่าหากสังเกตมองดีๆจะเห็นว่าในความจริงจังนั่นแฝงไปด้วยความสับสนอยู่ไม่น้อย


คงไม่พ้นเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน


โต๊ะส่วนตัวของผมอยู่ฝั่งตรงข้ามกับใบไธม์อย่างสิ้นเชิง แน่นอนว่าระยะห่างไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใดผมลากเก้าอีกมานั่งมองอีกฝ่ายเขียนรายงานเหมือนอย่างทุกครั้งแม้จะเห็นว่าครั้งนี้ใบหน้านิ่งๆนั่นเริ่มมีความกังวลแผ่ออกมา


กังวลว่าผมจะถามละมั้ง


ความจริงต่อให้เป็นคนอื่นแล้วเห็นเหตุการณ์นั้นร้อยทั้งร้อยเป็นต้องถามชัวๆ แต่การที่ผมไม่ถามไม่ใช่ว่าไม่อยากรู้แต่เพราะรู้ดีว่าต่อให้ถามไปก็อาจไม่ได้คำตอบ


สำหรับผมตัวตนของใบไธม์มันค่อนข้างชัดเจน เวลาอยู่ใกล้ๆผมรู้สึกว่าสามารถเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมายเพียงแค่ได้นั่งเงียบๆอยู่ข้างกันก็ทำให้ผมรู้สึกดีได้


นานมากแล้วที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้


ตอนอยู่กับแม่ผมเคยมีความรู้สึกแบบนี้ทว่าหลังจากแม่ไม่อยู่ผมก็ต้องทำหลายๆอย่างเพื่ออยู่รอดและหาความสนุกไปวันๆ การแฮ็กเข้าระบบของทางการหรือล่อลวกคนอื่นต่างเป็นหนึ่งในความสนุกของผม


ผมไม่สนหรอกว่าจะถูกจับหรือติดคุก


ยังไงชีวิตในตอนนี้ก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ


แต่กับใบไธม์มันไม่ใช่ แค่ชื่อของเขาก็เรียกความสนใจจากผมได้แล้ว


ตั้งแต่เข้ามาอยู่ภายในหน่วยสืบสวนพิเศษได้เจอกับผู้คนแปลกๆหลายแบบ สิ่งหนึ่งที่พวกเขามักทำกันคือคุยเรื่องใบไธม์ในตอนที่เจ้าตัวไม่อยู่ ส่วนมากจะเป็นการพูดชมหรือไม่ก็อยากทำงานคู่ด้วย จากที่เคยถามหลายๆคนมาใบไธม์ถือเป็นผู้นำที่ทุกคนไว้ใจและอยากทำงานร่วมด้วยเพราะนอกจากจะไม่ใช้อารมณ์และยังมีสติในการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างแม่นยำ


คดีกว่าครึ่งที่ว่าเสี่ยงจนทางการยังต้องส่งมาให้หน่วยสืบสวนพิเศษทำกลับถูกรองหัวหน้าของหน่วยปิดได้ในเวลาอันสั้น โดยเฉพาะคดีสืบหาและจับกุมคนร้าย


ขนาดเบียร์ที่ว่าเก่งด้านการวางแผนยังบอกเลยว่าคดีพวกนั้นต่อให้เป็นตัวเขาเองยังไม่คิดว่าจะตามหาหรือจับคนร้ายได้ในระยะเวลาอันสั้น แถมทางการยังไม่มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันมาให้อีก


ทุกคนจึงชื่นชมรองหัวหน้าหน่วยคนนี้มาก


ผมเองก็ชื่นชมในทักษะและความสามารถนี้เช่นกัน


พอเวลาเริ่มเข้าสู่ช่วงสายของวันคนในหน่วยก็เริ่มทยอยกันเข้ามาทำงาน มีหลายคนมาเพียงแค่รับคดีและพากันออกไป ส่วนใหญ่ใบไธม์จะเป็นคนมอบคดีให้กับแต่ละคนไปทำ แต่มีบ้างที่ทางหัวหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษจะมีคดีพิเศษหรือฉุกเฉินส่งมาให้โดยตรงซึ่งหากเป็นคดีแบบนั้นส่วนมากจะเป็นใบไธม์ออกไปจัดการ


“...เลิกจ้องได้ไหม”เสียงพึมพำจากใบไธม์ดังขึ้นเบาๆโดยสายตายังคงจับจ้องอยู่กับเอกสาร


“ผมก็จ้องแบบนี้ตลอดนี่”ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมนั้งจ้องอีกฝ่ายแบบนี้ แต่หลายครั้งผมจะใช้การพุบหัวกับแขนทั้งสองข้างแล้วอาศัยช่องว่างระหว่างแขนแอบมองใบไธม์เพราะรู้ดีว่าถ้าจ้องแบบนี้ตลอดคงได้ถูกรำคาญกันไปข้าง


“จ้องแบบนั้นผมคิดไม่ออกพอดี”


“คิดอะไร ให้ผมช่วยไหม”ผมรีบถามต่อ


“...ไม่มีอะไร”ดวงตาสีน้ำตาลหันมาสบดวงตาสีเขียวของผมเพียวเสี้ยววินาทีก่อนจะหันกลับมองเองสารตามเดิม


ดูยังไงก็มีเรื่องคิดมากอยู่ชัดๆ


“การสังเกตผมน่ะเก่งมากนะรู้รึเปล่า”


“...”คิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยคล้ายจะถามว่าแล้วไง


“แค่คุณโกหกผมจับได้อยู่แล้ว”ยิ่งกับใบไธม์ยิ่งดูง่ายเพราะผมคอยเฝ้ามองและสังเกตเขามาตลอดตั้งแต่ได้เจอกัน หากมีอะไรผิดปกติมันไม่อยากที่ผมจะจับได้


“มันเป็นเรื่องที่ผมต้องคิดและหาคำตอบด้วยตัวเอง”อีกฝ่ายตอบกลับด้วยเสียงเบาหวิว


“เรื่องตอนอยู่ที่คฤหาสน์สินะ”คำพูดผมทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งเล็กน้อย เล็กน้อยจนหากไม่มองดีๆคงไม่เห็น แน่นอนว่าไม่สามารถตบตาผมได้


 “...”และความเงียบก็เหมือนเป็นเครื่องยืนยัน


เป็นอย่างที่คิด


ตอนนี้มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละ


“ใบไธม์...”


ตู้ม


ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคเสียงระเบิดดังกึกก้องก็มาพร้อมกับผนังตึกที่ถูกทำลายเพราะแรงปะทะ ใบไธม์ที่มีประสาทสัมผัสดีกว่าดึงผมให้หมอบต่ำลงกับพื้น หลายคนที่ยังอยู่ในห้องพากันส่งเสียงด้วยความตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น...


“ระเบิด? ใครมาเร่งงานเราถึงที่เนี่ย”


“ฝุ่นมันโดนหน้าฉันเต็มๆเลย ถ้าผิวเสียจะยังไงกัน”


“มันใช่เรื่องมาห่วงผิวไหมสกาย ตอนนี้ต้องเตรียมรับมือศัตรู ปืนอยู่ไหน”


ฟังจากเสียงทุกคนน่าจะปลอดภัยกันดี


“ใจเย็นๆกันก่อน ไม่มีศัตรูที่ไหนหรอก”เสียงตะโกนจากใบไธม์ทำให้เสียงตะโกนแข่งกันเงียบลง บรรยากาศโดยรอบเริ่มสงบเพียงแค่ประโยคเดียวที่ใบไธม์พูด


“ระเบิดมาจากด้านในตึก”ผมพึมพำพลางขยับเข้าไปใกล้ใบไธม์


ดูจากแรงระเบิดแล้วไม่ใช่จากด้านนอกแต่เป็นในตัวตึกด้านข้างห้องทำงานนี่


“อืม คนข้างนอกเข้ามาในนี้ไม่ได้ง่ายๆหรอกยิ่งมีคุณเข้ามาอยู่ในหน่วยยิ่งแล้วใหญ่”เป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูด ภายนอกอาจดูเหมือนตึกชั้นเดียวที่ระบบรักษาความปลอดภัยไม่มีแต่ความจริงแล้วไม่ใช่ ตั้งแต่ประตูหน้ามีการล๊อคด้วยรหัสและกุญแจต่อให้แงะกุญแจได้แต่ถ้าไม่มีรหัสก็จบเหตุ แถมเมื่อผมเข้ามาอยู่นี่รหัสง่ายๆอย่าง1234ถูผมรันรหัสให้แต่ละวันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ซึ่งรหัสที่เปลี่ยนจะส่งให้ทุกคนในหน่วยผ่านแอพพิเศษที่ผมสร้างขึ้น


ดังนั้นคนนอกไม่มีทางรู้รหัสผ่านแน่


“เป็นฝีมือคนใน”ผมสรุป


“ใช่ มีคนเดียวเท่านั้นแหละที่ทำอะไรแบบนี้”ใบไธม์พูดก่อนจะลุกขึ้นเดินตรงเข้าไปยังกลุ่มควันที่กำลังคลุ้ง แรงระเบิดเมื่อครู่ไม่ได้ทำลายแค่ผนังเชื่อมระหว่างห้องแตะยาวไปจนถึงผนังด้านข้างทำให้เมื่อหันไปทางซ้ายมือจะเห็นสวนหย่อมอยู่ตรงหน้าโดยไม่มีอะไรคั่นกลางเหมือนเคย


“ผมคงต้องขอคำอธิบายด้วย...จูน”เมื่อควันเริ่มจางร่างของสาวห้าวในชุดเสื้อผ้าและใบหน้าดำเขลอะก็เดินกระเพกมาตรงหน้าใบไธม์


จูน...สาวห้าวประหน่วย ผู้มีความเชี่ยวชาญในการสร้างระเบิดและเก็บกู้ระเบิด ห้องทดลองประกอบและแยกส่วนระเบิดของเธออยู่ข้างๆห้องนอนผม


พูดง่ายๆคือในตึกนี้มีห้องหลักๆอยู่4ห้องคือห้องทำงานรวม ห้องทำงานของหัวหน้า ห้องนอนผมและห้องทดลองระเบิดของจูนตามลำดับ การที่แรงระเบิดมาไกลถึงห้องแรงหมายความว่าห้องก่อนหน้านี้คงเละไม่เหลือแน่นอน


ยังดีที่จูนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่สภาพก็ดูไม่ค่อยได้เท่าไหร่


“...ฉันอยากรู้ว่าถ้าเราใส่ดินปืนร่วมกับการจุดชนวนด้วยเทคโนโลยีล่าสุดจะเป็นยังไง ไม่คิดว่าแรงระเบิดจะรุนแรงกว่าปกติและกระจายเป็นวงกว้างแบบนี้...ขอโทษค่ะท่านรอง”จูนก้มหน้ามองพื้นระหว่างอธิบายทุกอย่างด้วยท่าทางสำนึกผิด


“เฮ้อ ดีแล้วที่ไม่เป็นไร”ใบไธม์ถอนหายใจยาวพร้อมแตะไหล่จูนเบาๆ


“ครั้งหน้าจะลองลดดินปืนดูละกันเนอะ”


“ผมว่ามันไม่ใช่ทางแก้ที่ดีเท่าไหร่”


“งั้นจะเพิ่มความแม่นยำเข้าไปด้วย”


ผมแอบเห็นใบไธม์เริ่มทำหน้าเหนื่อยใจพลางส่ายหน้าปลงๆก่อนสถานการณ์จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ จูนโดนเพื่อนในหน่วยบ่นไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วตามด้วยถูกหัวหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษที่มาถึงในช่วงบ่ายตามรายงานทางโทรศัพท์ของใบไธม์บ่นยาวไปอีกหลายชั่วโมง


เนื้อหาแบบสรุปคือต้องการให้เพิ่มความปลอดภัยและไม่อนุญาตให้ทำการทดลองระเบิดถ้าไม่มีการป้องกันที่มากพอ เหมือนห้องที่ใช้ทดลองเองก็ถูกสร้างมาเพื่อรับมือกกับการระเบิดแต่เพราะระเบิดนี่มีความรุนแรงกว่าปกติส่งผลผนังห้องไม่สามารถต้านทานได้ พอจูนได้ยินก็ทำหน้าซีดคล้ายชีวิตใกล้จะจบลงแต่พอหัวหน้าบอกว่าให้ย้ายไปทดลองยังตึกของทางการซึ่งเป็นห้องเดี่ยวไม่มีใครมากวนเธอก็ยิ้มกว้างจนแก้มปริ


“ขอบคุณมากค่ะหัวหน้า ถ้ารู้ว่าจะได้ห้องใหม่ฉันจะคงจะรีบระเบิดที่นี่ โอ๊ะ ไม่ใช่”จูนถึงกับรีบใช้มือตะครุบปากตัวเองเมื่อเผลอหลุดปากออกมา


“ฉันให้ห้องเธอทดลองก็จริงแต่ค่าเสียหายและซ่อมอาคารใหม่จะหักออกจากเงินเดือน20%ทุกเดือน”หัวหน้าไพลสันต์บอกด้วยใบหน้าจริงจัง


“...ค่ะ”จูนทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มหน้ารับคำ


ถ้าเป็นผมทำคงเรียกเก็บค่าเสียหายอะไรไม่ได้หรอก


ก็ผมไม่ได้มีเงินเดือนเหมือนคนอื่นๆนี่นา


“พวกช่างซ่อมจะรีบมาจัดการซ่อมให้อย่างรวดเร็วที่สุด แต่สภาพแบบนี้คงมาทำงานกันไม่ได้”ระหว่างพูดสายตาคมๆไล่มองรอบห้องซึ่งเต็มไปด้วยข้าวของถูกแรงปะทะจนละเนระนาดเกลื่อนเต็มพื้น นี่ยังไม่รวมแสงแดดที่ส่องจ้าลงมาจากบริเวณที่เปิดโล่ง


“แปลว่าพวกเราจะได้หยุดยาว?”แม็กรีบเอ่ยถามด้วยแววตาเป็นประกาย


“แบบนี้ต้องรีบบอกคนอื่น”จิวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมกระจายข่าวให้ทุกคนในหน่วยได้รู้


“หัวหน้ายังไม่ได้บอกว่าจะให้หยุดสักหน่อย”คำพูดของใบไธม์เรียกให้บรรยากาศรื่นเริงชะงักค้าง


อย่างที่ว่า...ผมยังไม่ได้ยินสักคำว่าจะให้หยุด


“ตามที่ไธม์บอก ฉันไม่ได้บอกว่าจะให้หยุดนะ”


“แต่พวกเราก็มาทำงานนี่ไม่ได้นี่ครับ”ซันรีบถามต่อด้วยใบหน้าเปี่ยมหวัง


“ยุคนี้การสื่อสารมันกว้างมาก ต่อให้ไม่ได้มารวมกันที่นี่แต่ก็สามารถแจกจ่ายงานได้ ใช่ไหมไธม์”หัวหน้าหันไปถามใบไธม์ซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง


“ครับ ผมจะเป็นคนกระจายงานให้พวกเขาเอง ข้อมูลจะส่งให้ทางออนไลน์ถ้าจัดการคดีเสร็จก็ติดต่อมาแล้วอย่าลืมเขียนรายงานด้วยล่ะ”ใบไธม์ออธิบายให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน


“...ได้”ทุกคนขานรับด้วยน้ำเสียงไม่เต็มใจนัก


คงอยากหยุดยาวกันละมั้ง


ผมไม่เห็นจะอยากหยุดเลย


ถ้าหยุดก็ไม่เจอใบไธม์น่ะสิ


“ปัญหาเรื่องงานถือว่าจบ ที่เหลือคือปัญหาหลัก”หัวหน้าหน่วยพูดต่อ ดวงตาคมๆไล่มองตั้งแต่แม็กและมาหยุดอยู่ยังผมแล้วไม่ขยับออกไปไหนอีก


“ผมสินะ”จะบอกว่าปัญหาหลักคือผมก็คงใช่


ไม่แปลกใจเลย หากการทำงานไม่สามารถอยู่ในตัวตึกหรืออาคารแล้วนักโทษอย่างผมจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ


คำตอบนั้นแทบไม่ต้องถามกลับคำตอบก็สามารถเดาได้ไม่อยาก


คงไม่พ้นให้ผมกลับไปอยู่ในเรือนพิเศษที่3จนกว่าการซ่อมแซมจะเสร็จสิ้น ถ้าหากให้ลองประมาณการคงไม่ใช่ในอาทิตย์สองอาทิตย์หรอก นั่นหมายถึงผมจะต้องอยู่ในห้องขังไปเกือบเดือน


ผมไม่กลัวการกลับไปอยู่ในห้องขัง


ที่กลัวน่ะคืออการไม่ได้เจอใบไธม์ต่างหาก


ตอนนี้ผมมีเวลาประมาณ8ชั่วโมงหรือมากกว่านั้นตามแต่ละวันที่ได้อยู่กับอีกฝ่าย แต่ถ้าอยู่ในห้องขังคงกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนคือประมาณ2อาทิตย์จะได้เจอครั้ง แถมยังไม่นานด้วย


ให้ตายสิ...ผมจะไม่ไหวเพราะแบบนี้แหละ


ให้ผมช่วยกลุ่มช่างซ่อมผนังกับอาคารได้ไหมจะได้เสร็จเร็ว


“ไธม์ เธอคิดว่ายังไงดี”


“ถ้าเป็นทางการต้องให้เขากลับไปอยู่เรือนจำก่อน”ใบไธม์ตอบหัวหน้า


“แต่พวกเราไม่ใช่ทางการ”รอยยิ้มมุมปากนั่นคล้ายกำลังจะมีความคิดบางอย่างอยู่ในหัว


สำหรับผมคิดว่าคนคนนี้อ่านยากอยู่ไม่น้อย เหมือนจะเผยทุกอย่างออกมาแต่ความจริงแล้วไม่ใช่ซึ่งทำให้ผมเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายกำลังคิดวางแผนอะไรอยู่


“หัวหน้าต้องการให้ทำยังไงครับ”ดูเหมือนใบไธม์เองยังไม่สามารถอ่านความต้องการของหัวหน้าออกจึงต้องถามต่อเพื่อขอคำอธิบาย


“อืม...นั่นสินะ ลองถามเจ้าตัวดูดีกว่า อยากให้ทำยังไงล่ะเมเกอร์”เขาไม่ยอมตอบคำถามแต่เปลี่ยนมาถามผมแทน


“...ผมมีสิทธิ์เลือกได้?”นี่ไม่ใช่คำกวนแต่อย่างใด ใครๆก็รู้กันว่าไม่มีที่ไหนให้นักโทษออกความคิดหรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องแบบนี้หรอก


สั่งมายังไงก็ต้องทำตาม


“แน่นอน หน่วยสืบสวนพิเศษไม่เหมือนหน่วยงานอื่น เมื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยไมว่าจะเป็นใครก็มีสิทธิ์ออกความเห็นได้ทั้งนั้น”คำพูดเหล่านั้นแสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่ดีซึ่งหาได้ยากในปัจจุบัน


ความเท่าเทียม


ต่อให้เป็นนักโทษอย่างผมก็ตามงั้นเหรอ


ถ้าอยากรู้ว่าผมต้องการให้ทำยังไงก็จะบอกให้


“จะอยู่ที่นี่”ความหมายคือผมจะไม่กลับไป


ในเมื่อคำตอบของผมเป็นแบบนี้อยากรู้ว่าจะทำยังไงต่อ


“ได้ เพียงแค่ต้องมีคนคอยตามประกบไม่ก็ดูแล ในเมื่อห้องพักพังคงต้องให้ไปอยู่กับสักคนในหน่วยล่ะนะ ซันดีไหม...มีบ้านเป็นของตัวเองนี่”คำถามนั่นทำเอาผู้ถูกเอ่ยถึงอย่างซันถึงกับสะดุ้ง


“ไม่ๆ ไม่ไหวหรอก...เอ่อ ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้มาอยู่ด้วยหรอกนะ หัวหน้าก็รู้ว่าบ้านผมมีกันตั้ง8คน ถ้ามีมาเพิ่มอีกคงต้องให้นอนหน้าประตู”ซันรีบอธิบายพร้อมส่งสายตาขอโทษมาให้


ความจริงผมไม่ได้คิดมากอยู่แล้ว ใบไธม์เคยเล่าให้ฟังว่าบ้านซันเป็นครอบครัวใหญ่แต่ด้วยราคาบ้านที่พุ่งขึ้นสูงทำให้สามารถซื้อได้เพียงหน้าเดี่ยวสองชั้นขนาดไม่ใหญ่มาก นอกจากจะมีภรรยาและลูกอีก3คนยังมีแม่ของภรรยาและพ่อแม่ของตนเองมาอยู่ด้วย
ขืนมีผมเพิ่มเข้าไปคงต้องนอนหน้าประตูอย่างที่บอก


“งั้นแม็ก...ไม่ดีกว่า สกายเธอว่าไง”หัวหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษข้ามชื่อแม็กไปเพราะเป็นที่รู้กันดีว่าแต่ละคืนเขาจะไปค้างกับคนไม่ซ้ำหน้า


ไม่รู้ว่าเพราะต้องหาข้อมูลหรือไม่มีที่อยู่กันแน่


“ฉันเหรอคะ ความจริงก็ได้อยู่...ที่บ้านมีห้องว่างอยู่แต่มันคงดูไม่ดีเท่าไหร่”สกายตอบด้วยใบหน้าแดงก่ำ ดูเหมือนเธอจะเขินเอามากๆ


“หัวหน้าก็ให้เจ้าตัวเลือกเองเลยว่าอยากอยู่กับใคร เนอะ”จิวเสนอความเห็นขึ้นมา


“เป็นความคิดที่ดี ให้เธอเลือกเลยจะมาอยู่กับฉันก็ได้นะ”ทั้งคำพูดและใบหน้าของเขาที่อ่านยากตอนนี้กลับอ่านง่ายขึ้นมาทันตา สายตาคมๆกำลังทอประกายคล้ายดูละครตลก


แค่ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายเดาคำตอบผมได้อยู่แล้วแต่ยังมาแกล้งถาม


ไม่สิ ไม่ใช่แค่หัวหน้าแต่ทุกคนในหน่วยเองกำลังอมยิ้มพลางใช้สายตากรุ้มกริ้มมองมาทางผมแทนการสื่อความหมายว่า
พวกเรารู้นะว่านายจะเลือกไปอยู่กับใคร


ดูเหมือนทุกคนจะรู้ถึงความรู้สึกของผมที่มีต่อใบไธม์


ทุกคนรู้แต่ทำไมเจ้าตัวถึงไม่รู้เลยล่ะ


พอลองจีบด้วยคำหวานก็เอาแต่ทำหน้าเอือมใส่จนความมั่นใจผมติดลบแล้วเนี่ย


“ใบไธม์”


“อะไร”คนถูกเรียกหันกลับมาถาม


“ไม่ได้เรียกแต่เป็นคำตอบต่างหาก”คิ้วสองข้างที่ขมวดเข้าหากันแน่นราวกับกำลังประมวลคำพูดผมนั่นทำให้ผมหลุดยิ้มออกมา


“จะมาอยู่กับผม?”ใบไธม์ถึงกับทำตาโตเมื่อเข้าใจว่าผมต้องการจะสื่ออะไร


“อืม”ผมพยักหน้าตอบ


ทำไมถึงได้ทำหน้าตกใจราวกับคาดไม่ถึงแบบนั้นนะ


ดูหน้าของคนอื่นๆที่อยู่รอบตัวสิ ทำหน้าเหมือนถูกหวยกันเป็นแถว


“...ห้องผมมีแค่เตียงเดียว ถ้าไปอยู่ด้วยมันจะอึดอัดพอดู”ยิ่งพูดแบบนั้นยิ่งทำให้อยากอยู่ด้วยเข้าไปใหญ่


“ไม่เป็นไรผมอยู่ได้”


“ต้องนอนพื้นนะ”


“ได้ไม่มีปัญหา คุณเป็นคนดูแลผมนะ ต้องให้ผมอยู่ในสายตาตลอดสิ”ผมพูดต่ออีกหน่อย


“สรุปก็ให้เบซิลไปอยู่กับเธอนะไธม์”หัวหน้าสรุปให้อีกรอบ


“...ครับ”ใบไธม์ขานรับด้วยน้ำเสียงปลงๆ


จากนั้นแต่ละคนต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้านหรือห้องของตัวเอง ส่วนผมซ้อนท้ายใบไธม์มาถึงคอนโนกลางเมือง กะคร่าวๆสูงประมาณ7ชั้น เป็นคอนโดธรรมดาไม่ได้หรูหราหรือเก่าจนเกินไป เจ้าของห้องพาผมขึ้นมายังชั้น5และเปิดประตูห้องทางด้านในสุดของชั้น


ห้องขนาดกลางสามารถมองเห็นห้องครัวอยู่ด้านหน้าริมสุดในห้อง พอมองไปทางซ้ายมีตู้หนังสือกับเก้าอี้ตัวเล็กๆและตู้เสื้อผ้าตั้งอยู่ ถัดไปคือเตียงขนาด5ฟุตอยู่ชิดริมผนังโดยอีกฝากมีระเบียงประตูกระจก ดูจากตรงนี้เห็นกระถางและต้นไม้พุ่มเขียวปลูกเรียวรายไว้อย่างเป็นระเบียบ เมื่อหน้าไปมองทางขวามีประตูอยู่ประตูนึงซึ่งถ้าให้เดาคงเป็นห้องน้ำ


ห้องของใบไธม์บ่งบอกได้ถึงการใช้ชีวิตอันเรียบง่ายเพราะไม่ได้มีอุปกรณ์หรือเครื่องมืออะไรมากมาย เฟอร์นิเจอร์เองก็มีน้อย คอมพิวเตอร์กับโทรทัศน์ผมยังไม่เห็นเลย ส่วนที่น่าสุดใจมากสุดในห้องคงไม่พ้นห้องครัวที่มีพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ เคาน์เตอร์สีเงินแลดูสะอาดสะอ้านเข้าชุดกับตู้เย็นและบาร์เล็กๆสำหรับนั่งกินข้าวได้อย่างดี


“ไม่มีเบาะรองด้วย ผ้านวมปูไปก่อนได้ไหม เดี๋ยววันพรุ่งนี้จะออกไปซื้อเบาะให้”ใบไธม์พูดพลางเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วเอาผ้านวลสีเขียวอ่อนออกมาปูข้างเตียง


“ให้ผมนอนบนเตียงกับคุณก็ได้นะ”ผมพูดติดตลก


“ผมไม่ให้นอนหน้าห้องน้ำก็ดีเท่าไหร่แล้ว”


“คุณไม่ให้ผมนอนหน้าห้องน้ำหรอก”ทำงานอยู่ด้วยกันมาตั้งหลายเดือนทำไมผมจะไม่รู้นิสัยของอีกฝ่าย คำพูด น้ำเสียงที่แสดงว่าไม่ห่วงหรือไม่ใส่ใจแต่ท่าทางกลับแสดงออกคนละแบบ หลายครั้งที่ท่าทางกับคำพูดจะสลับกัน


ผมรู้ชัดๆเลยว่าเป็นคนใจดีและชอบเอาใจใส่


ปกติมีใครต้องมาหาอะไรอำนวยความสะดวกให้กับนักโทษที่ต้องมาคอยดูแลบ้างล่ะ ต่อให้ต้องนอนพื้นผมยังไม่มีสิทธิ์บ่นด้วยซ้ำ


“...ผมมีหมอนสองใบจะแบ่งให้อันนึง คุณติดหมอข้างไหม”ใบไธม์เบือนหน้าหนีเดินไปหยิบหมอนบนเตียงวางลงบนผ้านวมที่พึ่งปูเสร็จ


“ถ้าหมอนข้างเป็นใบไธม์ผมก็คงติด”


“ถือว่าผมไม่เคยพูดละกัน”


ถ้อยคำที่พยายามจีบหยอดดูเหมือนจะไม่ได้ผลอย่างที่คิด


ถ้าเป็นคนอื่นอย่างน้อยต้องแสดงท่าทางเขิน อายหรืออะไรก็ได้ไม่ใช่ทำหน้าเอือมปนระอาส่งมาแบบนี้


ทั้งจีบ ทั้งหยอดจนไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงแล้ว


หรือต้องพูดไปตรงๆว่าชอบถึงจะได้ผล


“ใบไธม์...”


“ในตู้มีแค่เต้าหู้กับผักบุ้ง ข้าวต้มกุ้ยกับผัดผักบุ้งโอเคไหม”ใบไธม์เปลี่ยนไปเปิดปตู้เย็นพร้อมหยิบของด้านในออกมา


“มีนมด้วย”ผมพึมพำเมื่อชะโงกหน้าเข้ามองภายในตู้เย็น ภายในนอกจากน้ำเปล่าแล้วยังมีนมบรรจุในขวดแก้ววางเรียงอยู่เป็นสิบขวด ชั้นล่างมีผักบุ้งวางอยู่หนึ่งกำ


พูดกันตรงๆคือค่อนข้างโล่งทีเดียวแถมไม่มีเนื้อสัตว์อะไรเลย


จะว่าไปเขาก็กินได้แค่พวกผักนี่นะ


“ผมกินได้หมด”


“ดีมาก งั้นล้างผักบุ้งให้หน่อย”ไม่พูดเปล่าผักบุ้งทั้งกำถูกยิ่นมาให้ตรงหน้า ผมไม่มีทางเลือกนอกจากรับแล้วเดินไปล้างยังซิ้งค์ข้างๆ


มื้อเย็นของพวกเราจึงเป็นอาหารง่ายๆอย่างข้าวต้มกุ้ยกับผัดผักบุ้งไฟแดงก่อนผมจะถูกผลักเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำด้านข้าง เสื้อผ้าผมกระจายไปกับระเบิดเลยจำต้องยืมเจ้าของห้องอย่างใบไธม์ใส่ชั่วคราว แม้จะใส่ได้แต่คับเล็กน้อย



(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)



พอตกดึกไฟในห้องถูกดับลงโดยผมนอนอยู่ข้างๆเตียง ใบไธม์ที่นอนอยู่ด้านบอนอนนิ่งไม่ขยับตัวทำให้ไม่รู้ว่าหลับไปแล้วหรือยังไม่หลับกันแน่ ตลอดทั้งวันท่าทางแปลกๆของอีกฝ่ายยังคงอยู่ในสายตาผมเสมอ


ผมสังเกตว่าอีกฝ่ายแอบมองผมบ่อยขึ้น และยังทำหน้าเหมือนคนกำลังกลุ้มใจด้วย


“หลับรึยังเบซิล”เสียงพึมพำเบาๆดังขึ้น


“ได้นอนห้องเดียวกับคนที่ชอบจะนอนหลับลงได้ยังไง”ผมคลี่ยิ้มท่ามกลางความมืด คำสารภาพรักแบบเนียนๆถูกส่งออกไปอย่างได้จังหวะ


“นี่ผมกำลังจริงจังนะ”


“ผมก็จริงจังเหมือนกัน”ใครบอกล่ะว่าผมพูดเล่นหรือไม่จริงจัง ระหว่างพูดหัวใจมันยังเต้นแรงแสดงถึงความตื่นเต้นอย่างไม่สามารถปิดได้


พึ่งเคยใจสั่นเวลาพูคำว่าชอบเป็นครั้งแรก


“...”


“มีเรื่องอะไรจะคุยเหรอ”ผมรีบถามต่อเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไป


“...น่าจะเป็นทางคุณนะที่อยากคุย”


“ฮืม?...หมายถึงอะไร”


“...จะบอกว่าไม่สงสัยเลยเหรอที่เห็นผมในสภาพ...”


“เปลืยเปล่า?”ผมต่อประโยคสุดท้ายที่หายไปให้


พอจะเข้าใจแล้วว่าใบไธม์ต้องการสื่อถึงอะไร


“ประมาณนั้น”


“ถ้าบอกว่าไม่สงสัยเลยคงจะโกหก”


“แล้วทำไมถึงได้ไม่ถามอะไรล่ะ”


“...คงเพราะกลัวละมั้ง”ครั้งนี้เป็นฝ่ายผมที่พึมพำเสียงเบากลับไป


“กลัวอะไร”


“กลัวจะไม่ได้คำตอบ ถ้าเป็นคนอื่นผมคงไม่รู้สึกอะไรแต่พอเป็นคุณถ้าถามแล้วสิ่งที่ได้กลับมาคือบอกไม่ได้หรือคำขอโทษผมคง...”


“คงอะไร”ใบไธม์ถามต่อเมื่อเห็นผมเป็นฝ่ายเงียบบ้าง


“คงเสียใจมาก”และอาจไม่ใช่แค่ความเสียใจแต่มีอีกหลายความรู้สึกปะปนกัน


ผมยังไม่อยากรู้สึกแบบนั้น


เหมือนไม่ได้รับความเชื่อใจ


ราวกับถูกบอกว่าตัวเองไม่ได้สำคัญพอที่จะรู้ความลับนั้น


น่าแปลกที่พอเป็นเรื่องของใบไธม์กลับทำให้ผมเป็นมากขนาดนี้


“...ผมไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร ไม่ว่าจะเป็นคนในหน่วย หัวหน้าหรือแม้แต่เพื่อนที่สนิทด้วยที่สุด”


“อืม”แปลว่าคงเป็นความลับที่สำคัญมาก


“...”


“ไม่จำเป็นต้องคิดมากหรอก ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก...ผมจะไม่ถาม จะไม่ซักไซ้แค่อยากอยู่ข้างๆใบไธม์แบบนี้ต่อไปก็แค่นั้น”


ไม่จำเป็นต้องเล่าหรืออธิบายอะไร


ผมไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องมาคิดมากหรือสับสน


“...ผมจะบอก”


“ว่าอะไรนะ”ผมเด้งตัวขึ้นมามองคนบนเตียงด้วยความไม่แน่ใจ


หูผมฟังเพี้ยนหรือเปล่าถึงได้ยินว่าจะบอก


“ผมจะบอกเบซิล”


“...ไม่คิดว่าผมจะเอาความลับนั้นไปบอกคนอื่นเหรอ”ทั้งที่ควรจะเงียบเพื่อให้อีกฝ่ายได้เล่าทว่าผมกลับเลือกที่จะถามถึงสิ่งที่คาใจแทน


ขนาดคนในหน่วยหรือแม้แต่หัวหน้าเขายังไม่บอก


แล้วกับผมที่พึ่งเจอกันได้ไม่ถึงปีกลับมาบอกเนี่ยนะ


แถมผมยังได้ชื่อว่าเป็นนักโทษในคดีต้มตุ๋น หลอกลวงมาแล้วสารพัด


จะไว้ใจคนง่ายเกินไปมั้งใบไธม์


“ผมคิดเรื่องนี้มาตลอดตั้งแต่กลับจากคฤหาสน์นั่นว่าผมจะเลือกปิดทุกอย่างไว้แบบนี้หรือจะเปิดเผยทุกอย่างให้คุณรู้ จะไว้ใจได้ไหม จะเอาไปบอกคนอื่นรึเปล่าหรือจะคิดยังไงหลังได้ยินเรื่องนี้ บอกตรงๆว่าผมไม่รู้ว่าจะตอบคำถามเหล่านั้นกับตัวเองยังไง ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนจากหลายๆคำถามให้เหลือเพียงคำถามเดียว คือผมสามารถเชื่อใจเบซิลได้ไหม”ใบไธม์ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงระหว่างพูด ดวงตาสีน้ำตาลแม้จะอยู่ในความมืดยังคงสามารถรับรู้ได้ว่าดวงตาของเรากำลังประสานกัน


“แล้วคำตอบที่ได้คืออะไร”หัวใจของผมมันกำลังเต้นแรงขึ้นคล้ายกำลังลุ้นไปกับคำตอบที่กำลังจะได้ยิน


“...คุณอาจชอบพูดจาไม่น่าเชื่อถือ...”


ฉึก


ลูกศรที่ตามองไม่เห็นพุ่งเข้าเสียบบริเวณหลังผมจนเจ็บชาไปทั้งตัว


“ชอบพูดหยอดน่ารำคาญ...”


ฉึก


ลูกศรอีกดอกพุ่งเข้าใส่ตามลูกศรดอกแรกมาติดๆ


“ทำตัวไร้สาระ...”


“ไม่รู้ว่าอะไรที่พูดหลอกหรือจริง”


ผมไม่รู้ว่าตัวเองถูกลูกศรซัดใส่เข้ากี่ดอก รู้แค่ว่าถ้าเป็นลูกศรจริงๆผมคงตายเพราะเลือดไหลนองอาบพื้นไปหมดแล้ว


“แต่ถึงแบบนั้นผมกลับไม่ลังเลในคำตอบเลย...ผมเชื่อใจเบซิล”


“...ใบไธม์”ราวกับแผลเลือดสาดถูกรักษาหายด้วยเวทย์มนต์ในพริบตาที่ได้ยินคำว่าเชื่อใจจากปากของอีกฝ่าย


รู้สึกดีที่ได้รับความเชื่อใจ


“คุณเชื่อเรื่องพลังพิเศษไหม”ใบไธม์นิ่งไปสักพักก่อนจะเริ่มเปิดเรื่อง


“พลังพิเศษ?”


“ใช่ อย่างพวกอ่านใจคนได้หรือมองเห็นผี”อีกฝ่ายเกริ่นยกตัวอย่าง


“ผมจะเชื่อในสิ่งที่ตัวได้เห็นหรือสัมผัสเท่านั้น ถ้าอ่านใจได้จริงผมก็อยากลองพิสูจน์หากทำได้ผมก็จะเชื่อ”ผมไม่ใช่คนที่เชื่ออะไรง่ายๆ ต้องลองและรับรู้ด้วยตนเองผมจึงจะบอกได้ว่าควรเชื่อหรือไม่


คำพูดเป็นเหมือนเวทย์มนต์ เราจะพูดอะไรออกมาก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นความจริงเสมอไป คนที่เก่งด้านใช้คำพูดต่อให้ไม่มีอาวุธก็อาจชนะคนที่มีอาวุธเต็มสองมือได้ ความหน้าเชื่อถือเองขึ้นอยู่กับวิธีการพูดของแต่ละคน


“...แล้วถ้าผมพูดว่าตัวเองมีพลังพิเศษล่ะ”


คิ้วสองข้างของผมเริ่มขมวดเข้าหากันเรื่อยๆยามในหัวกำลังประมวลสิ่งที่ได้ยินจากใบไธม์ น้ำเสียงไม่ได้เหมือนกำลังโกหกแปลว่าเป็นเรื่องจริง


เห็นแบบนี้ผมเก่งเรื่องการอ่านคน ถ้าอ่านคนอื่นไม่ออกจะหลอกลวงหรือต้มตุ๋นได้ยังไงล่ะจริงไหม


พลังพิเศษงั้นเหรอ


ต่อให้มีจริงพลังของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน แล้วใบไธม์จะมีพลังแบบไหนกันนะ


เดี๋ยวนะ...


คดีตามหาและจับกุมที่อีกฝ่ายมักออกไปจัดการตามลำพัง และสามารถปิดคดีได้ในระยะเวลาอันสั้นแม้จะเป็นคดีที่แทบไม่มีหลักฐานก็ตาม


อาการอาเจียนยามได้รับส่วนหนึ่งของเนื้อสัตว์ทำให้รู้ว่าไม่สามารถกินเนื้อสั้ตว์ได้ ไม่สิ ถ้าเป็นอย่างที่ผมคิดไม่ใช่ไม่กินแต่เป็นกินไม่ได้มากกว่า


แล้วร่างกายที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้นแถมยังเปลือยเปล่านั่นอีก


ถ้าบอกว่ามีพลังพิเศษข้อสงสัยทั้งหมดนั่นก็จะถูกไขกระจ่าง


ชิ้นส่วนที่กระจายเริ่มต่อเข้าด้วยกันจนเป็นรูปร่าง


ผมค่อนข้างมั่นใจในความคิดของตัวเองทว่าจะให้บอกว่าถูกคงไม่ได้


ทางเดียวที่จะรู้คือถามออกไปตรงๆ


“...คุณกลายร่างเป็นสัตว์ได้”ผมพึมพำคำตอบนั้นออกไปพร้อมเงยหน้าสบดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องมาท่ามกลางความมืดมิด
เมื่อนำทุกอย่างมารวมกันคำตอบเดียวที่หาได้คือนี่แหละ


พลังพิเศษกลายร่างเป็นสัตว์


“ทำไมถึงคิดแบบนั้น”น้ำเสียงปนตกใจนั่นทำให้ผมเดาได้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นเข้าเคร้าไม่ก็ต้องถูก


“เพราะความสามารถเด่นของสัตว์แทบทุกชนิดคือการดมกลิ่นซึ่งดีกว่ามนุษย์ไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า หลักฐานที่ไม่สามารถหาได้จะปรากฏขึ้นมา ดีไม่ดีจะสามารถระบุตัวคนได้เลย ยิ่งกับการตามหาคงไม่ต้องพูดถึง ใบไธม์มีทักษะด้านการคิดวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ดีอยู่แล้ว บวกกับประสาทสัมผัสอันยอดเยี่ยมต่อให้หนีไปสุดขอบโลกก็คงไม่มีวันพ้น”


“และเพราะความสามารถนั้นเลยมีข้อจำกัดอันใหญ่หลวงคือห้ามกินเนื้อสัตว์ ดูจากการอาเจียนตอนนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าใบไธม์สามารถกลายร่างเป็นสัตว์ได้หลายชนิด เพราะไม่รู้ว่าจะกลายร่างเป็นอะไรร่างกายจึงทำปฏิกิริยากับเนื้อสัตว์ทุกชนิดคล้ายจะบอกว่าไม่ควรกินพวกเดียวกัน”ใบไธม์นั่งฟังผมอธิบายเงียบๆไม่ได้พูโตอบโตอะไรกลับมา


“สุดท้ายร่างกายเปลือยเปล่านั่นคงเป็นผลหลังจากกลับร่างมนุษย์ ในร่างของสัตว์เสื้อผ้าของมนุษย์คงจะใหญ่เกินไป”ผมอธิบายทุกอย่างออกไป


นี่คือทุกอย่างที่ผมคิดได้


ไม่รู้ว่าจะใช่ทั้งหมดไหมแต่ผมค่อนข้างมั่นใจอยู่ไม่น้อย


“...คุณใช้แค่คำพูดผมกับข้อมูลแค่นั้นมาวิเคราะห์ทั้งหมดนี่งั้นเหรอ”ใบไธม์ดูจะอึ้งอยู่ไม่น้อย


“ประมาณนั้น”โดยเฉพาะกับเรื่องของเขาผมอยากรู้ทุกเรื่องดังนั้นถ้ามีข้อมูลอะไรผมไม่พลาดที่จะเก็บไว้หรอก


“สุดยอดไปเลย”


“ผมพูดถูกรึเปล่า”


“...อืม ผมมีพลังที่หากสัมผัสสัตว์ชนิดใดก็จะกลายร่างเป็นสัตว์ชนิดนั้นได้”อีกฝ่ายพยักหน้าพลางอธิบายเพิ่ม


“เป็นพลังที่เหมาะกับคุณมาก”ราวกับพลังที่มีสื่อถึงตัวตนของคนคนนั้น


คล้ายกระจกซึ่งจะสะท้อนตัวเองออกมาในรูปแบบของพลัง


นิสัยไม่ยอมแพ้ มุ่งมั่นและอบอุ่นมาพร้อมกับความเป็นผู้นำ เป็นที่รักและเป็นศูนย์กลางของทุกๆคนเหมือนจ่าฝูงที่คอยนำและขับเคลื่อนฝูงไปในทางอันสมควรด้วยความห่วงใจแต่ไม่มากจนทำให้เหลิง


ไม่มีพลังไหนเหมาะกับใบไธม์ไปมากกว่านี้แล้ว


“แค่นั้นเหรอ”


“หมายถึงอะไร”น้ำเสียงของอีกฝ่ายดูไม่ปกตินัก เหมือนคิดไว้แล้วว่าจะได้ยินผมพูดอะไรแต่สิ่งที่ผมพูดยังไม่ใช่สิ่งที่คิดไว้


“คิดแค่ว่ามันเหมาะเหรอ ไม่รู้สึกอย่างอื่นบ้างเลย?”


“จะมีก็มี”


“อะไรล่ะ”


“น่าสนใจ เป็นพลังที่น่าสนใจมาก ผมล่ะอยากเห็นตอนคุณกลายร่างจริงๆ”


“ไม่ใช่...”


“ฮืม?”


“ไม่ใช่ ไม่รู้สึกว่ามันผิดแปลก! น่าเกลียดหรือขยะแขยงบ้างรึไง!”ใบไธม์ตะโกนเสียงดังเสร็จก็หอบเบาๆอยู่บนเตียง


หลายสิ่งหลายอย่างที่อัดอั้นไว้คงระเบิดออกมา


ความแตกต่างไม่ได้ทำให้รู้สึกพิเศษแต่เป็นแตกแยกกับคนอื่น


เก็บงำความรู้สึกแย่ๆมาทีละนิดจนกระทั่งระเบิดออกมาในที่สุด


“ผมคิดว่าทุกอย่างมันมีเหตุผลในตัวของมัน อย่างทำไมยีราฟจึงคอยาว มีทฤษฏีนึงบอกว่าเมื่ออดีตกาลยีราฟมีคอที่สัตว์เหมือนสัตว์ทั่วไปซึ่งมีสัตว์กินพืชตัวอื่นมาแย่งกินใบไม้ในบริเวณเดียวกัน ยีราฟจึงได้เริ่มยืดคอตัวเองเพื่อจะได้กินใบไม้บนกิ่งที่สูงขึ้นและสูงขึ้น เป็นวิวัฒนาการนับหลายร้อยล้านปีจนกระทั่งเป็นยีราฟในปัจจุบัน คุณเองก็เหมือนกัน...สิ่งที่มีมันไม่ใช่ความผิดแปลกแต่เป็นความพิเศษที่จะมอบให้กับผู้ที่เหมาะสมและใช้พลังนั่นได้เกิดประโยชน์มากที่สุด”ผมบอกพลางขยับตัวขึ้นไปนั่งบนเตียงเดียวกัน ใบไธม์มองมายังผมนิ่งๆโดยดวงตานั้นกำลังสั่นมากขึ้นคล้ายคำพูดผมส่งผลกระทบอะไรบางอย่างต่อจิตใจ


“เบซิล”เงียบไปนานก่อนเสียงเรียกจะดังขึ้น


“อืม”


“...ขอบคุณ”


“...”คำพูดสั้นๆทำเอาผมถึงกับพูดไม่ออก


“ขอบคุณนะ ผมดีใจที่คนแรกที่รู้เรื่องนี้เป็นเบซิล”จังหวะที่ใบไธม์พูดเมฆที่บังแสงจากดวงจันทร์เคลื่อนที่อดีทำให้แสงสีนวลของดวงจันทร์ส่องสว่างเข้ามาจนเห็นรอยยิ้มอันเปี่ยมด้วยความรู้สึกหลายส่งมาให้


หัวใจที่สงบนิ่งเต้นรัวขึ้น


สัมผัสทุกอย่างจดจ่ออยู่เพียงใบหน้าและรอยยิ้มของใบไธม์ราวกับกำลังต้องมนต์


ความรู้สึกผมในตอนนี้ทำให้รู้ว่าการตกหลุมรักซ้ำซ้อนมันเป็นยังไง


ยินยอมตกลงด้วยความเต็มใจ


ไม่มีแม้ความพยายามจะตะเกียดตะกายขึ้นมาจากหลุมด้วยซ้ำ

.......................................................................

สำหรับตอนนี้จบแบบไม่ค้างคา

และแล้วเบซิลก็ได้เข้ามาอยู่ในห้องของใบไธม์จนได้ (คิดเหรอว่าเข้ามาแล้วจะยอมออกไปง่ายๆ // ความคิดในหัวเบซิล)

เรานึกภาพเบซิลในชุดช่างซ่อมทาสีแล้วตลกมาก น่าจะจับมาช่วยก่อสร้างกำแพงจัง

ชอบโมเม้นที่แบบว่าอยากรู้แทบขาดใจแต่กลับเลือกที่จะเงียบไว้เพราะกลัวคำตอบของเบซิลมาก รู้สึกว่าเป็นมุมที่น่ารักน่าเอ็นดูดี ยิ่งแต่งยิ่งหลงรักเบซิลมากขึ้นทุกที 555

เราค่อนข้างชอบความลงตัวของคู่นี้ คนนึงคอยหยอดอีกคนทำหน้านิ่งใส่ แต่งเองตลกเอง

เรื่องราวหลังจากนี้จะเป็นยังไง

ไว้ติดตามกันใหม่ตอนหน้านะคะ

ปล.แจ้งข่าวนิดนึงค่ะ ตอนนี้นิยายเรื่องพบรักของเรากำลังเปิดพรีอยู่ใครสนใจสามารถสั่งซื้อได้นะคะ

ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเม้นท์และทุกๆ กำลังใจที่มีให้เสมอค่ะ

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ เสพศิลป์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 277
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
 :ling1: โถ้ไบไทลูกกก ขุดหลุมแล้ว ขุออีก นี้นายโปรแกรมเมอร์ของเรา แทบไม่อยากขึ้นจากหลุมเลย

น่ารักกก มากคู่นี้ ชอบสไตล์เขียนมาก เพราะเรา ชอบเคะแก่กว่า ฮ่าๆๆๆ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
นี่เขาไว้วางใจซึ่งกันและกันแล้วหรือเนี่ย ไม่ธรรมดา ๆ จริง ๆ คู่นี้  :hao3:

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1751
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
เราชอบมากกกกกกก
คือชอบความลงตัว ความมีเหตมีผลของตัวละครเรื่องนี้ทาก
เป็นเรื่องที่ตัวละครและเหตุผลความเป็นเค้าเด่นชัดสุดๆเลยค่ะ
ทำไมเบซิลถึงมีความคิดแบบนี้ ที่เชื่อในการกระทำที่พิสูจน์ได้มากกว่าคำพูด
เพราะเค้าคือนักต้มตุ๋นที่มล้คำพูดเป็นอาวุธ พลิกลิ้นง่ายเหมือนหายใจ
เพราะฉะนั้น คำพูดใดๆล้วนไม่มีน้ำหนัก
เพราะสิ่งที่เป็นเป้าหมายในชีวิตไม่เคยมีอยู่ สิ่งปกติที่ทำคือหาความสนุก
พอเจอคนที่สนใจ มีสิ่งน่าสนใจ บวกกับนิสัยช่างสังเกต
ที่ทำให้เบซิลมองโลกได้กว้าง และมีความคิดกว้างกว่าคนทั่วไป
พอมารู้ความลับของใบไธม์เข้า
ก้เลยกลายเป็นว่ามัวแต่สนใจตื่นเต้นในเรื่องใหม่ของคนพิเศษ
แถมเป็นเรื่องที่น่าสนใจ น่าพิสูจน์ เคสหายากเข้าไปอีก
ความมองโลกกว้างและคงคิดอะไรได้ดยอะจากการสังเกต ทำให้เบซิลน่ารักขนาดนี้
ส่วนใบไธม์ ตอนนี้เราได้เห็นปมในใจของใบไธม์แหละ
การระเบิดออกมาแบบนี้ มันคือความกลัวในสิ่งที่อาจจะต้องเจอ
คนที่เข้มแข็ง เก่ง ฉลาดแบบนี่ ก้มีมุมอ่อนแอเหมือนกันนะ
เนี่ยเราชอบมิติของตัวละครเรื่องนี้มาก
ยิ่งอ่านยิ่งตกหลุมรัก รอค่าาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
คู่นี้คือลงตัวมากถ้าทำงานด้วยกันยังไงก็สำเร็จ เร็วด้วย เบซิลเก่งมากรู้แค่นี้วิเคราะห์ได้ถูกหมดเลย หลุ่มนี้ลงแล้วขึ้นไม่ได้นะจ๊ะเบซิล

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
อ้าว แอบงงนิดๆเห็นสารบัญอัพไว้ถึงตอนที่ 15 แต่ลงไว้แค่ถึงตอนแปด อันนี้คือทำไว้ล่วงหน้าใช่ไหมคะ คือเราจะได้สบายใจว่าเนื้อหาไม่ได้หายไปไหน

ออฟไลน์ เสพศิลป์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 277
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
มาต้อเถอะคู่นี้ รอนานมากแล้วววววววววววว

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
สืบรัก彡คดีที่9



กิจวัตรประจำวันเดิมๆเริ่มไม่เหมือนเดิมเมื่อมีเบซิลเข้ามาอยู่ด้วย หลายวันก่อนจูนได้ทดลองระเบิดพลาด...และความพลาดนั่นทำให้ตึก อาคารหายไปกว่าครึ่ง ซึ่งหัวหน้าให้เบซิลเลือกเองว่าจะไปอยู่กับใคร แน่นอนว่าการที่เขามาอยู่ห้องผมคำตอบก็เป็นที่รู้กันอยู่แล้ว


ห้องของผมไม่ได้ใหญ่โต มองจากหน้าประตูก็สามารถเห็นทั้งห้องได้


ช่วงเช้าประมาณ6โมงร่างกายเหมือนจะรู้ว่าถึงเวลาตื่น ผมลืมตาขึ้นพร้อมค่อยๆลุกขึ้นนั่ง ด้านข้างเยื้องไปด้านล่างมีร่างของเบซิลนอนตะแคงหลับสนิทอยู่บนผ้านวม แม้จะผ่านมาหลายวันแต่ผมก็ยังไม่มีโอกาสออกไปซื้อฟูกให้เลย


ไหนๆวันนี้ก็ว่างออกไปซื้อน่าจะดี


ของในตู้ก็หมดแล้วด้วย


ระหว่างหัวกำลังคิดเรื่อยเปื่อยมือผมก็ไม่ได้ว่างถือที่รดน้ำอัดเล็กๆเดินรดน้ำต้นไม้บริเวณระเบียงไล่ไปตามแนวของรั้ว ด้วยความที่ผมกินได้แต่ผักผมจึงชอบปลูกผักเหล่านั้นด้วยตนเอง ตอนนี้ตามแนวระเบียงก็มีพืชผักอยู่นับสิบชนิดตั้งแต่กระเพรา โหรพา พริกไปจนถึงมะเขือเทศจิ๋ว


ถ้ามีที่กว้างกว่านี้อีกหน่อยผมคงปลูกมะนาวไว้ด้วย


“ตื่นเช้าจังใบไธม์”เสียงอู้อี้ที่ไล่หลังมามีใช่ใครอื่นนอกจากเบซิล เขาเดินหน้างัวเงียออกมาหาผมด้วยดวงตาปรือๆคล้ายคนนอนละเมอ จากการอยู่ด้วยกันมาหลายวันทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ถนัดเรื่องการตื่นเช้าเท่าไหร่


ทั้งที่ไม่ถนัดก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ตื่นตามผมมาได้ทุกวัน


“ตอนนี้ไม่มีงาน ไปนอนต่ออีกหน่อยก็ได้”ผมบอกพร้อมเลื่อนที่รดน้ำไปยังต้นใบชะพลูต่อ


เมื่อวาน ไม่สิ ควรพูดว่าเมื่อคืนผมและเบซิลเพิ่งกลับจากทำคดีปล้นห้างทองทองในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองไป หลักฐานเดียวที่มีคือภาพกล้องวรจรปิดของห้างนั้นที่ปรากฏภาพของกลุ่มชาย4คนถือปืนปล้นร้านทอง กวาดไปได้ประมาณ10ล้านบาท


อีกทั้งกล้องวรจรบริเวณรอบๆห้างกลับไม่สามารถถ่ายตัวคนร้ายไว้ได้ราวกับอีกฝ่ายสำรวจจุดของกล้องมาอย่างดีแล้ว และเพราะสาเหตุนั้นคดีจึงถูกส่งมาให้ทางหน่วยสืบสวนพิเศษจัดการในไม่กี่วันหลังเกิดคดี


และเมื่อได้คลิปกล้องวงจรมาเบซิลทำอะไรสักอย่างบนจอโน๊ตบุ๊กอยู่ไม่นานเขาก็บอกว่าสามารถระบุพิกัดคร่าวๆที่คนร้ายไปได้แล้ว


แค่นั้นยังไม่น่าตกใจเท่ากับการที่เบซิลแฮ็กเข้าไปยังระบบของกล้องวรจรปิดพร้อมย้อนเวลากลับไปในช่วงที่เกิดเหตุ คลิปจากหลายๆกล้องถูกโหลดเข้ามาไว้ในเครื่องก่อนเบซิลจะเริ่มเปิดคลิปพวกนั้น เมื่อหยุดคลิปเบซิลขยายภาพบริเวณกระจกซึ่งอยู่เกือบหลุดมุมกล้องอยู่รอมร่อ ภาพเบลอๆนั่นถูกตัดแล้วเปิดใหม่ยังโปรแกรมที่เบซิลสร้างขึ้น


ภาพเบลอและแตกจากการขยายไม่รู้กี่รอยเท่ากลับมาคมชัดจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นภาพขยาย


พวกเราจึงได้ทะเบียนรถปลอมของคนร้ายมาจากภาพนั้น


หลังจากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องอยากในการตามหาทะเบียน ต่อให้เป็นทะเบียนปลอมแต่การจะตามสืบหาเจ้าของรถรูปแบบนี้ในบริเวณใกล้เคียงไม่ใช้เรื่องยากอะไรเลย


ข้อมูลหลักฐานรวมถึงตัวคนร้ายถูกสืบได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน ช่วงดึกพวกเราจึงออกไปจับคนร้ายทั้ง4คนที่กำลังจะเตรียมแยกย้ายกันหนีไปต่างจังหวัดได้สำเร็จ เชื่อไหมว่าพอโทรไปรายงานหัวหน้าเสียงแทรกจากผู้มีอำนาจสูงสุดของฝ่ายตำรวจก็ถึงกับเอ่ยชมเสียงดังฝ่ายโทรศัพท์


คำชมนั้นผมน้อมรับด้วยความยินดีแต่ประโยคต่อมาที่พูดว่า ถ้ามีคดีอะไรจะส่งมาให้อีก นี่ขอไม่รับไว้ได้ไหม


เพราะคดีเมื่อคืนทำให้พวกเรากกลับมานอนตอนประมาณตีหนึ่งเศษได้ หน่วยสืบสวนพิเศษไม่มีวันหยุดต่อให้เป็นวันอาทิตย์แต่ใช่ว่าจะไม่มีงาน หน้าที่ผมคือการแจกจ่ายงานให้กับทุกคนในหน่วย...น่าแปลกที่เช้านี้กลับไม่มีงานอะไรเข้ามา


ไม่มีมาตอนเช้าไม่ได้แปลว่าทั้งวันจะไม่มี


“ผมเริ่มหิวแล้ว”เสียงท้องร้องจากเบซิลดังประกอบสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคำพูดได้อย่างดี


“ลองเปิดตู้ดูว่ามีอะไรพอจะทำได้บ้าง”


“เปิดแล้ว เจอแต่น้ำเปล่า...พวกผักก็ไม่เหลือเลย”เบซิลตอบ


“...งั้นไปอาบน้ำแต่งตัว”ผมน่าจะคิดได้ตั้งแต่เบซิลบอกหิวแล้ว หน้าที่ผมไม่ใช่คนทำอหารและไม่ใช่หน้าที่ของเบซิลเช่นเดียวกัน พวกเราจะสลับกันทำหรือบางครั้งก็แยกกันทำของใครของมัน


“เราจะไปเดทกัน?”ดวงตาสีเขียวมรกตสลัดความงัวเงียออกแทบจะทันที


“เปล่า...จะพาไปกินข้างนอก”ผมส่ายหัว


“นั่นก็คือเดทแหละ”


“ไม่ใช่เดท”ผมยืนกราน


แค่ออกไปกินข้าวข้างนอกเพราะในตู้ไม่เหลือของที่พอจะทำกินได้ต่างหาก


“เดทสิ เดทแน่ๆ ผมใส่สูทไปดีไหม จะจัดทรงผมให้หล่อๆเลย”เบซิลพูดไม่หยุดพลางหันหลังไปคว้าผ้าเช็ดตัวเดินฮำเพลงไปยังห้องน้ำด้วยท่าทางอารมณ์ดี


“ก็บอกว่าไม่ใช่ไง”ดูเหมือนคำพูดผมจะสื่อไปไม่ถึงอีกฝ่ายในขณะนี้


เอาเถอะ


จะคิดว่าเดทก็ตามใจละกัน


สุดท้ายพวกเราก็พากับออกจากห้องมายังห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ใจกลางเมือง อาจเป็นโชคดีที่ผมขี่มอเตอร์ไซค์ทำให้หาที่จอดรถได้ง่ายกว่ารถยนต์ หลายคนเห็นผมขับแต่มอเตอร์ไซค์แต่จริงๆผมมีรถเก๋งอีกคันนึงจอดไว้ในโรงรถของคอนโด


หากมีคดีที่จำเป็นต้องไปต่างจังหวัดและค้างคืนผมก็จะไปด้วยรถยนต์นี่แหละ


“กินอะไรดีใบไธม์”เบซิลหันมาถามระหว่างพวกเรากำลังขึ้นลิฟท์ไปยังชั้น5ซึ่งเป็นโซนอาหาร


“เอาที่คุณอยากกินเถอะ”ถ้าถามผมคงมีไม่กี่ร้านในนี้ที่กินได้


แทบนับร้านได้เลยที่จะมีเมนูผักอย่างเดียวโดยไม่มีเนื้อสัตว์


ผมไม่ค่อยชอบมากินบนห้างเพราะสาเหตุนี้


“เอาเป็น Sizzler ไหม มีสลัดบาร์ให้กินไม่อั้นคุณที่กินเนื้อไม่ได้น่าจะชอบ”เบซิลคิดสักพักจึงเสนอร้าน Sizzler ซึ่งอยู่หน้าพวกเราไปประมาณ 10 ก้าวได้


“ไม่ต้องเอาใจผมขนาดนั้นก็ได้”นานๆจะออกมากินข้างนอกทีก็อยากให้เขาเลือกร้านที่อยากกิน เพราะทุกวันนี้เขาแทบไม่ได้กินเนื้อเลย


“จะไม่เอาใจได้ไง เรามาเดทกันนี่”


“...ผมบอกว่าไม่ได้เดทไง”


สรุปไม่ได้ฟังกันเลยใช่ไหม


“Sizzlerแหละ มาเถอะ”


“เฮ้ย...เดี๋ยว ปล่อยมือ”อยู่ๆเบซิลก็คว้ามือผมดึงเดินไปยังร้านท่ามกลางสายตาหลายที่เริ่มหันมามอง ถ้าไม่เอะอะคงไม่มีใครมองหรอกแต่ผมตกใจนี่นา


“ไม่ปล่อย”นอกจากจะหันกลับมาโชว์รอยยิ้มกว้างแล้วยังกำมือผมแน่น


“เบซิล”ผมเริ่มขืนแรงขึ้น


“เสียงดังแบบนั้นคนอื่นจะมองมานะ โอ๊ะ...หรืออยากเปิดตัวกับผมใช่ไหมล่ะ”


“ไม่ใช่”ผมรีบตอบพร้อมก้าวยาวไปเดินขนาบข้างเบซิลทำให้มือที่ถูกจับอยู่ในมุมที่คนอื่นมองได้ยาก


สุดท้ายผมก็ถูกเบซิลจับมือจนกระทั่งเข้าร้าน ร้านนี้มีจุดเด่นอยู่ที่เคาท์เตอร์สลัดบาร์ตรงกลางที่สามารถตักได้ไม่อั้น อีกทั้งยังมีมุมส่วนตัวและเบาะนั่งนิ่งๆอีกด้วย เบซิลเลือกนั้งบริเวณโซฟาติดกับกระจกใสบานใหญ่ เมื่อมองลงไปจะเห็นตึก บ้านและอาคารพาณิชย์เรียงรายอยู่อีกฝั่งของถนน


มองจากด้านบนเห็นตึก3ชั้นดูเล็กลงทันตา


“เอาสเต็กเนื้อนี่กับน้ำเปล่า อ้อ ขอน้ำแข็งด้วย”เบซิลสั่งอาหาร


“ค่ะ รับทานคู่กับอะไรดีคะ”


“มันอบ”


“ได้ค่ะ”รอยยิ้มและสายตาของพนักงานทำให้ผมรู้ทันทีว่าเธอตกหลุมรักเบซิลเข้าแล้ว


ด้วยรูปลักษณ์ของเบซิลไม่แปลกเลยถ้าจะมีใครมาหลงหรือมาชอบ


“ผมเอาแค่สลัดบาร์กับน้ำเปล่าครับ”ผมสั่งต่อ ยังไงได้ชื่อว่าเป็นสเต็กคงไม่พ้นเนื้อสัตว์ซึ่งผมไม่สามารถกินได้


“ค่ะ ระหว่างรออาหารสามารถตักสลัดบาร์ทานได้เลยนะคะ”พนักงานสาวเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม


ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าประโยคเมื่อครู่ไม่ได้พูดกับผม


ผมลุกขึ้นเดินไปหยิบจานเพื่อตักผักสดบนบาร์ที่อยากกินใส่จาน มะเขือเทศลูกจิ๋วกับแครอทถือเป็นผักโปรดของผม สลัดมะเขือเทศเองเป็นอีกอย่างที่ผมไม่พลาด ใช้เวลาไม่นานบนโต๊ะก็มีจานสลัดและถ้วยซุปเห็ดวางอยู่ ฝั่งของเบซิลมีซุปต้มยำไก่กับพาสต้าแซลมอน


“มีอะไรใบไธม์”เบซิลถามระหว่างผมกำลังตักซุปเห็ดเข้าปาก


“มีอะไรคืออะไร”ผมขมวดคิ้วส่งไปให้


“ท่าทางแปลกไป”


“...”ผมเงียบเมื่อเริ่มเข้าใจความหมายของคำพูดนั้น


สายตาของเบซิลจะบอกว่าดีหรือช่างสังเกตดีนะ


สามารถรับรู้ถึงความผิดปกติเล็กๆได้อย่างเม่นยำ แถมความมั่นใจนั่นราวกับจะบอกว่าต่อให้โกหกยังไงก็ไม่สามารถตบตาอีกฝ่ายได้


ควรบอกว่าสมแล้วกับที่เป็นเมเกอร์หรือเบซิลดีล่ะ


“ว่ายังไง”


“ผมก็มีเรื่องต้องคิดบ้าง”


“แต่มันเรื่องที่เกี่ยวกับผมนี่”


“...ทำไมถึงคิดแบบนั้น”ถ้าบอกว่าอีกฝ่ายมีพลังพิเศษที่สามารถอ่านใจได้ผมคงเชื่อ


“ไม่รู้ตัวเหรอว่าคุณมองหน้าผมแล้วก้มลงมองจานโดยไม่พูดอะไรมากี่รอบแล้วน่ะ”


“...”คำอธิบายทำเอาผมถึงกับพูดไม่ออก


ตัวผมทำแบบนั้นเหรอ


ไม่เห็นรู้ตัวเลย


“มีอะไรก็พูดมาใบไธม์”


“รู้ขนาดนี้แล้วก็ลองหาเองสิ”อยากจะยิ้มอยู่หรอกแต่ดันยิ้มไม่ออกเลยนี่สิ


“ใบไธม์”


“ผมแค่สงสัย...”


“สงสัยอะไร”เบซิลรีบถามต่อ สลัดในจานแทบไม่พร่องลงไปเลย


“รูปลักษณ์ของคุณนี่ดึงดูดให้คนสนใจจังนะ”ไม่รู้ว่าจะเรียกคำถามหรือความสงสัยได้รึเปล่า


แค่รู้สึกว่ารูปลักษณ์แบบนี้คงมีคนตกหลุมไม่รู้กี่รายต่อกี่รายแล้ว


“...”นอกจากจะไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาแล้วดวงตาสีมรกตนั่นเบิกกว้างขึ้นคล้ายกำลังตกใจกับสิ่งที่พึ่งได้ยิน ซึ่งถ้าให้เดาคงเป็นคำพูดผมล่ะมั้ง


“อะไร”เพราะทนสายตาที่จับจ้องมาไม่ไหวผมจึงถามกลับไป


มาจ้องหน้าแบบนี้มันพานให้รู้สึกแปลกๆ


จะว่าเขินก็ไม่เชิง จะว่าทำตัวไม่ถูกก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ


“คุณหึงผมด้วย”รอยยิ้มมุมปากของเบซิลไม่ได้ดูกวนโอ้ยเหมือนปกติแต่เป็นรอยยิ้มที่เพิ่มจังหวะเต้นของหัวใจผมได้


“มะ...ไม่ได้หึง”ผมรีบตอบ ด้วยน้ำเสียงติดขัดเพราะความเร่งรีบในช่วงแรกส่งผลให้เบซิลยิ้มกว้างข้าไปอีก


“ดีใจจังเลย”


“ผมบอกว่าไม่ได้หึง”ทำไมถึงสรุปออกมาได้ว่าผมหึงนะ


ใครจะหึง...ผมไม่ได้หึงสักหน่อย


ในเมื่อไม่ได้ชอบแล้วจะถึงได้ยังไงกัน


“คนอื่นผมไม่สนหรอก ตอนนี้คนที่ผมสนใจมีแค่คนเดียว”ระหว่างพูดสายตาของเบซิลก็จับจ้องมายังผม


“...”ผมเลือกที่จะเงียบแล้วใช้ช้อนตักซุปเห็ดเข้าปาก


“ไม่ถามเหรอว่าคนคนนั้นเป็นใคร”พอเห็นผมไม่ถามต่ออีกฝ่ายเลยเปิดคำถามเอง


“...ไม่ล่ะ”ผมว่าตัวเองพอรู้คำตอบขอคำถามนั้นแล้ว


“คนที่ผมสนใจอยู่คือคุณ...ใบไธม์”น้ำเสียงโทนทุ้มออกนุ่มเอ่ยประโยคสั้นๆที่ทำผมต้องรีบเบนสายตาไปทางกระจกแทน


จะให้สบตากับอีกฝ่ายตอนนี้ไม่เอาด้วยหรอก


ไม่ปลอดภัย...ต่อตัวผมเอง


สายตาผมมองไปยังตึกอาคารพาณิชย์ด้านล่างก่อนจะเห็นรถขนของสีขาวแล่นมาจอดด้านหน้าอาคารพาณิชย์สีครีม คนด้านในเดินออกมาเปิดประตูหลังหลังรถอแล้วเริ่มยกกล่องบางอย่างเข้าไปในบ้าน


“เบซิล”ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงจริงจังเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง


“จะสารภาพรักผมเหรอ”


“ไม่ใช่เวลามาเล่นนะ คิดยังไงกับนั่น”ผมใช้สายตามองไปยังรถคันสีขาวต้องสงสัย


ความสามารถของเบซิลต้องช่วยผมวิเคราะห็เรื่องนี้ได้แน่


“รถขนของปกติ ที่ไม่ปกติคงเป็นของในกล่องละมั้ง”ใช้เวลาไม่นานเบซิลก็เอ่ยสิ่งที่วิเคราะห์ออกมาโดยสายตายังคงจับจ้องไปด้านล่างเพื่อเก็บข้อมูล


“คิดเหมือนกัน”ลักษณะของกล่องเป็นสี่เหลี่ยมและมีรูเจาะอยู่ราวกับเอาไว้ให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก


“การที่จะใช้กล่องในลักษณะนี้ถ้าไม่ใช่ของกินที่ต้องการการระบายอากาศ...”


“ก็ต้องเป็นสัตว์”ผมต่อคำสุดท้ายให้เบซิล


ดูเหมือนผมและเบซิลจะคิดเหมือนกัน


จำนวนกล่องไม่ใช่น้อยๆ ต่อให้เป็นอาหารคงไม่มาส่งให้ที่เดียวเยอะขนาดนี้แถมขนาดขงกล่องก็ดูจะใหญ่เกินปกติของอาหารไปไม่น้อย


น่าสงสัยเกินไป


แบบนี้จะให้ปล่อยคงไม่ได้


“คิดจะทำอะไร”เบซิลถาม


“ต้องไปดูให้เห็นกับตา”ผมตอบตามตรง


จะให้ผมปล่อยความสงสัยนี่ไปคงไม่ได้


“มีสิทธิ์ที่พวกนั้นจะเป็นพวกลักลอบค้าสัตว์”


“อืม เพราะงั้นเลยต้องไปดู”สมกับเป็นเบซิล


สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว


“เรียกตำรวจไม่ดีกว่าเหรอ”


“สนิทกับทางการแล้ว?”ได้โอกาสผมจึงขอกวนสักหน่อย


ปกติไม่เห็นชอบคนของทางการแต่ตอนนี้กลับบอกให้เรียกตำรวจมา


“เปล่า แต่นี่มันเวลาเดทของผมนี่ นานๆทีจะได้ออกมาเดทกับคุณ”


“ไว้คราวหน้าค่อยมาใหม่ อีกอย่างไม่ใช่เดทสักหน่อย...”


“ได้ ครั้งหน้าค่อยมาเดทกันใหม่”เบซิลพยักหน้าตกลงด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข


นี่ไม่ได้ฟังประโยคสุดท้ายผมเลยใช่ไหม


“เฮ้อ...”เอาเถอะ


เดทก็เดท


ผมลุกขึ้นเตรียมไปคิดเงินทว่ายังไม่ทันที่ผมจะหยิบเงินออกมาจ่ายแบ็งค์พันจากเบซิลก็วางลงบนเคาน์เตอร์คิดเงิน


“เอามาจากไหน”ผมรีบถาม


เบซิลที่ไม่มีเงินเดือนจะมีรายได้มาจ่ายค่าอาหารให้ผมได้ที่ไหน


“ผมหามา”


“คงไม่ใช่ว่า...”ผมหรี่ตามองอีกฝ่ายเขม็ง


ถ้าพูดว่าหาเงิน สำหรับเมเกอร์ผมคงคิดออกแค่ไม่กี่อย่าง


ถ้าไม่ไปหลอกใครก็คงแฮ็กเข้าระบบธนาคาร


“ไม่ต้องห่วงผมไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นหรอก ผมแค่หยิบเงินคุณไปนิดหน่อย”


“ฮะ? เงินผม?”


“รู้ไหมว่าการเก็บเงินไว้ในตู้เสื้อผ้ามันหาง่ายน่ะ”อีกฝ่ายส่งรอยยิ้มมาให้


“คุณขโมย?”อย่างที่เบซิลพูด ผมมีเงินส่วนหนึ่งเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าด้านในสุดของตู้


เป็นความลับที่ผมไม่เคยบอกใคร


แล้วทำไมเบซิลที่อยู่ได้ไม่ถึงเดือนถึงรู้ได้เล่า


จะบอกว่าใช้การสังเกตอีกรึไง


“แค่ยืมไปลงทุนนิดหน่อย เอาไปคืนแล้วน่า”


“ลงทุนอะไร”ผมรีบถามต่อ ใช้เวลาไม่กี่วันสามารถคืนทุนได้ นึกไม่ออกเลยว่าเป็นการลงทุนอะไร


“ความลับ”เสียงหัวเราะหึหึปิดท้ายทำเอาผมรู้สึกอยากเตะคออีกฝ่ายสักที


“เบซิล”


“มีเรื่องต้องรีบไปจัดการไม่ใช่”


“ไว้เรื่องของนายค่อยจัดการทีหลัง”



(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


หลังจากจ่ายเงินเสร็จพวกเราลงมายังชั้นล่างสุดออกทางประตูหลังซึ่งอีกฝากของถนนเป็นตึกอาคารพาณิชย์เรียงรายเป็นแถวยาวเป็นสิบๆหลัง มีทั้งแบบมีรั้วและไม่มี อาคารพาณิชย์ต้องสงสัยไม่มีรั้วล้อมรอบ ดูเผินๆเป็นอาคารสำหรับอยู่อาศัยปกติ


ถือเป็นย่านใจกลางเมืองที่ผมไม่คิดว่าจะมีใครกล้าลักลอบค้าสัตว์ที่บริเวณนี้มันเป็นจุดสนใจเกินไป ทว่าในทางกลับกันก็เป็นสถานที่ที่ทางการปล่อยผ่านได้ง่ายกว่าแถบชานเมือง


เดี๋ยวนี้พวกคนร้ายก็เริ่มมีการพลิกแพลงทำให้ตามจับยากขึ้น


“จะยังไงต่อ”เบซิลถามยามพวกเรายืนบนฟุตบาทฝั่งตรงข้ามกับรถขนของสีขาวพอดี


“ก็ต้องเข้าไปสิ”น่าจะเป็นวิธีที่เร็วและดีที่สุดในตอนนี้


“ว่าแล้ว”


“อยู่ข้างหลังผมไว้”ผมบอกก่อนพวกเราจะข้ามถนนไปยังอีกฝั่ง


ทั้งผมและเบซิลก้าวช้าๆผ่านรถขนของสีขาวเข้าไปในตัวบ้านที่ปูด้วยกระเบื้องสีฟ้าอ่อน กล่องลังสีน้ำตาลถูกตั้งกองสูงจนแทบติดเพดานเพื่อหลอกสายตาของผู้คนที่เดินผ่านมา ด้านหลังก่องนั่นมีกรงของสัตว์หลากหลายชนิดตั้งแต่นกยันลูกเสือซึ่งถูกจับใส่กรงในสภาพหมดสติ


ถัดไปไม่ไกลมีชายคนนึงกำลังนักพิพม์บางอย่างลงในคอมพิวเตอร์ พอได้ยินเสียงฝีเท้าของผมและเบซิลก็เงยหน้าขึ้นมา


“พวกแกเป็นใคร”ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างระหว่างถามด้วยน้ำเสียงไม่รับแขก


“คนของทางการ...ไม่สิ หน่วยสืบสวนพิเศษครับ”เบซิลตอบพร้อมรอยยิ้ม


“หน่วยสืบสวนพิเศษ? บ้าเอ้ย รีบหนีเร็ว”ทันทีที่เสียงตะโกนดังขึ้นกลุ่มคนด้านหลังก็พากันวิ่งหนีออกทางประตูหลังไม่เว้นแม้แต่คนตะโกน


“เบซิล โอ๊ะ...”หวังหวะที่กำลังจะไล่ตามรองเท้าผมก็ดันลื่นน้ำที่นองอยู่บนพื้นจนไม่สามารถจับตัวคนร้ายไว้ได้ น้ำนั่นมาจากตู้เต่าซึ่งถูกชายคนนั้นผลักจนล้มสกัดไม่ให้ผมตามไปได้


ทางฝ่ายเบซิลวิ่งเข้าไปยังคอมพิวเตอร์ที่ถูกเปิดทิ้งไว้และเริ่มดูข้อมูลภายในเครื่อง ผมเดินอ้อมไปด้านหลังเพื่อดูหน้าจออันเต็มไปด้วยรายชื่อผู้คนหลายพันคน ถ้าให้เดาคงเป็นผู้ซื้อ เบซิลคลิกเข้าไปยังรายชื่อหนึ่งทว่ากลับขึ้นช่องให้ใส่รหัส


“ของง่ายๆ”พึมพำจบหน้าต่างของรหัสหลายพันบรรทัดก็ปรากฏขึ้น เบซิลใช้เวลาในการคีย์บางอย่างลงไปไม่ถึงสิบวิก็ได้รหัสที่ใช้เปิดสำเร็จ


“มีบอกไหมว่าไปเอาสัตว์พวกนี้มาจากไหน”ผมถามต่อ


“น่าจะมีอยู่ ตรงนี้น่าจะเป็นตำแหน่งที่พวกนั้นไปเอาสัตว์มาแต่แค่นี้คงใช้จับตัวไม่ได้”


“ต้องจับพวกที่หนีไปมาสอบสวน”หากต้องการข้อมูลที่ตรงและแม่นยำที่สุดคงต้องถามจากมนุษย์มากกว่าเครื่องจักร


“ตามไปตอนนี้ไม่ทันแล้วมั้ง”


“ถ้าใช้ขาคงไม่ทันหรอก”ผมตอบพลางเดินเข้าไปยังกรงกรงหนึ่งด้านข้าง


“...นี่คิดจะใช้พลัง?”เบซิลเดาสิ่งที่ผมกำลังจะทำล่วงหน้า


“อยากเห็นไม่ใช่เหรอตอนผมกลายร่างน่ะ”ตั้งแต่วันที่บอกความจริงกับเบซิลผมก็ไม่เคยได้กลายร่างเป็นสัตว์อีก ไม่ใช่ไม่กลายแต่ไม่มีความจำเป็นให้ต้องกลาย


เบซิลยังคงเป็นเบซิลแม้จะรู้ว่าผมมีบางอย่างไม่เหมือนมนุษย์ปกติ


ผมอาจจะกลัวมาตลอดจึงไม่กล้าบอกให้ใครรู้ถึงพลังนี้


ความไม่ปกติที่สืบทอดมาตั้งแต่รุ่นปู่มันไม่อาจเรียกว่าเป็นพลังแสนสะดวกเหมือนเวทย์มนต์แต่เป็นสิ่งที่ต้องควบคุมและปรับใช้อย่างเหมาะสม


ผมไม่คิดว่าจะมีใครที่รู้เรื่องนี้แล้วจะทำตัวปกติได้


แต่เบซิลกลับดูไม่ตกใจแถมท่าทางของเขาคล้ายจะบอกว่าสิ่งที่ผมมีมันเป็นสิ่งพิเศษไม่ใช่ผิดแปลก


เพราะแบบนั้นผมจึงดีใจที่คนแรกที่รับรู้ถึงพลังนี่คือเบซิล


ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายได้เห็นพลังผมเต็มๆตา


ผมอยากรู้ว่าจะยังคิดว่าพลังนี่เป็นสิ่งพิเศษอยู่ไหม


กรงของนกแก้วสีสันสดใสถูกเปิดออกพร้อมผมที่เอื้อมมือไปสัมผัสเส้นขนนั้นอย่างเบามือ เพียง5วินาทีร่างกายก็เริ่มเปลี่ยนแปลง นิ้วมือทั้ง5ของมนุษย์หดเล็กลงเช่นเดียวกับร่างกายที่เริ่มมีขนสีฉูดฉาดปกคลุมทั่วทั้งตัว เสื้อผ้าหลุดลงไปกองบนพื้นท่ามกลางดวงตาสีมรกตที่จับจ้องมาไม่วางตา


“ใบไธม์”ผมในร่างนกแก้วหันไปมองตามเสียงเรียกก่อนจะกระพือปีกบินไปเกาะไหล่เบซิล


“ไป...ไป”นกแก้วเป็นหนึ่งในสัตว์ไม่กี่ชนิดที่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้หากฝึกสอน นั่นทำให้ผมสามารถเปล่งคำพูดง่ายๆออกมาได้แม้จะอยู่ในร่างสัตว์


“จะใช้ร่างนี้ตามหา?”


“ใช่...ตามหา”เสียงผมในร่างนกดูจะแหลมแถมยังเปล่งคำพูดได้ยากอีก


พรึ่บ


ผมกางปีกสีสดออกกว้างพร้อมบินออกไปทางประตูหลังโดยมีเบซิลวิ่งหอบเสื้อผ้าผมตามมา ด้านหลังของอาคารพาณิชย์มีประตูเล็กๆเอาไว้ใช้สำหรับหนี ด้วยความที่เป็นนกการที่จะให้ดมกลิ่นอาจจะได้แต่ไม่สะดวกเท่ากับใช้สายตามองหาจากที่สูง


ดวงตาของนกมีความสามารถในการมองเป็นมุมกว้างได้ดีกว่าสัตว์อื่นเพราะต้องบินบนท้องฟ้าอยู่ตลอด ต่อให้เป็นการเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อยจากด้านล่างผมก็สามารถจับได้


ไม่กี่นาทีก็พบเห็นกลุ่มชายกำลังพากันวิ่งไปแย่งรถยนต์ที่กำลังจอดติ๊กแตณกซื้อของ ชายคนแรกเปิดประตูดึงเจ้าของรถออกมาก่อนจะขึ้นไปแทนที่ คนอื่นๆเองต่างพากับขึ้นรถ ผมมองรถยนต์คันสีขาวที่แล่นออกถนนก่อนจะหันไปมองด้านหลัง


เบซิลไม่ได้วิ่งตามมาแต่ขับรถขนของสีขาวของคนร้ายมาแทน นับว่าคิดถูกเพราะถ้าวิ่งตามคงไม่มีทางทัน


ผมในร่างนกแก้วสีแดงสดร่อนลงต่ำลงในระยะที่เบซิลสามารถมองเห็นได้ง่ายขึ้นจนแต่ก็ยังสูงพอที่จะมองเห็นว่าคนร้ายขับรถไปทางไหน เบซิลสามารถตามรถยนต์คันสีขาวมาทันในเวลาไม่นานเนื่องจากการจราจรอันติดขัดใจกลางเมือง


ปีกสีแดงสดสยายออกกว้างพุ่งเข้าใส่หน้ารถของคนร้ายในจังหวะเลี้ยวทำให้รถหักเลี้ยวจนชนเข้ากับรั้วกั้นสีเงิน เมื่อรถไม่สามารถขับต่อไปพวกนั้นจึงลงแล้วพากันเข้าไปแฝงตัวในย่านการค้า


คงคิดว่าไม่มีใครตามมาเลยไม่มีการหลบหนีต่อ


ด้านเบซิลจอดรถไว้ข้างทางแล้ววิ่งเข้ามายังฝูงคนซึ่งผมบินลงไปเกาะบนไหล่เขา


“เร็วไปแล้ว รู้ไหมผมเกือบตามไม่ทัน”เบซิลบ่นเสียงเบา


ผมไม่สนใจคำบ่นนั่นส่งเสียงร้องเพื่อพาอีกฝ่ายเข้าไปยังซอยข้างๆซึ่งปราศจากคนเดิน มีเพียงสุนัขโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวหนึ่งกำลังอยู่อยู่หน้าประตูรั้วที่ถูกเปิดเอาไว้ ถัดไปไม่ไกลมีหมาไทยหลังอานถูกขังอยู่ในบ้าน


ใช้เวลาคิดไม่กี่วินาทีผมก็พาร่างตัวเองบินไปเกาะบนหลังของสุนัขพันธ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ ส่วนขาของสัตว์ปีกแปรเปลี่ยนเป็นอุ้มเท้าขนาดใหญ่ขึ้น ขนสีทองปกคลุมร่างกายท่ามกลางดวงตาสีเขียวมรกตที่เบิกกว้างเมื่อเห็นผมในร่างนกแก้วกลายเป็นสุนัข


“คุณสามารถเปลี่ยนได้หลายร่าง?”เบซิลคงคิดว่าต้องสัมผัสในร่างมนุษย์จึงสามารถกลายร่างได้ทว่าความจริงไม่ใช่


ต่อให้ผมอยู่ในร่างสัตว์หากแตะต้องสัตว์อื่นก็จะกลายร่างเป็นสัตว์อีกชนิดนึงได้


นี่ถือเป็นข้อดีเพราะผมสามารถตามคนร้ายไปได้แทบทุกที่ในระยะเวลาจำกัด


โฮ่ง


เสียงเห่าของผมเป็นคำตอบว่าใช่ก่อนจะวิ่งออกจากซอยโดยมีเบซิลตามมาติดๆ การที่ผมเลือกกลายร่างเป็นโกลเด้นรีทรีฟเวอร์มีสาเหตุง่ายๆคือถ้าเป็นสุนัขพันธุ์ไทยผมอาจโดนกัดจมเขี้ยวก่อนจะสัมผัสถึง5วินาที


อีกอย่างถ้าสุนัขพันธ์นี้เป็นมิตรกับคนรอบข้างทำให้ไม่สร้างความตื่นกลัวให้กับใครหลายๆคนตามทางที่ผมวิ่งผ่าน กลิ่นของคนร้ายผมสามารถจำได้ตั้งแต่อยู่ในร่างนกแล้วจึงไม่ยากเลยหากจะตามหา


วิ่งตามมาไม่นานผมก็เลี้ยวเข้าไปในซอยเปลี่ยวจนเจอเข้ากับกลุ่มคนร้ายกำลังประชุมหาทางว่าจะทำยังไงต่อไปดี


กรรร


เสียงขู่คำรามของผมดังขึ้นในจังหวะเดียวกับกระโจนใส่คนที่อยู่ใกล้สุดจนล้มลงไปกระแทกกับพื้น อีก4คนที่เหลือหันมามองผมในร่างสุนัขด้วยสายตาตกใจ


“ชิ่ว ไปไกลๆเลยไอ้หมาบ้า”


กรรร


เขียวสีขาวเผยออกมาแสดงให้เห็นว่าไม่เกรงกลัวต่อคำพูดนั่นแม้แต่น้อย


ต้องรีบจัดการก่อนจะหมดเวลา


เมื่อคิดแบบนั้นผมจึงวิ่งเข้าใส่ชายอีกคนพร้อมอ้าปากกัดเข้ายังหน้าแข้งจนฝ่ายนั้นเซล้มไป


“โอ๊ย ไอ้หมาบ้า”


“แกต้องเจอนี่”


โป๊ก


ในจังหวะที่อีกคนกำลังยกขาเตะผมวัตถุบางอย่างก็ลอยมากระแทกหัวอีกฝ่ายอย่างจัง พอหันไปมองต้นทางร่างของเบซิลก็ยืนหอบอยู่ไม่ไกล


โฮ่ง


จะมาทำไม รีบไปหลบเร็ว


ผมพยายามตะโกนบอกทว่าสิ่งที่ดังออกมามีเพียงเสียงเห่า มนุษย์ไม่ทางเดาออกถึงความหมายของเสียงเห่านี้


“แกเป็นคนให้ไอ้สุนัขนี่ตามมาสินะ จะจัดการแกจนไม่สามารถกลับไปบอกพวกของแกได้เลย”พูดจบชายร่างกำยำก็พุ่งเป้าไปยังเบซิล


โฮ่ง


หนีไป


คำพูดผมเหมือนจะสื่อไปไม่ถึง เบซิลนอกจากจะไม่หนีแล้วยังยกแขนสองข้างขึ้นตั้งท่าคล้ายจะเตรียมป้องกันและจู่โจมกลับในเวลาเดียวกัน สายตาแน่วแน่กับมือที่กำแน่นนั่นทำให้ผมรู้สึกแปลกใจมาก


อย่าบอกนะว่าจะสู้น่ะ


หรือว่าความจริงเขามีทักษะการต่อสู้แต่ไม่ยอมแสดงออกมา


ผมในร่างสุนัขกระโดดใช้หัวกระแทกเข้ายังท้องคนคนร้ายคนสุดท้ายพลางมองภาพชายร่างกำยำเหวี่ยงหมัดใส่เบซิลในระยะประชิด ในจังหวะนั้นเบซิลเบี่ยงตัวหลบจนฝ่ายโจมตีเซไปเล็กน้อย แต่ไม่นานหมัดอีกข้างก็ถูกเหวี่ยงใส่อีกรอบ


เบซิลก้าวถอยหลังและถอยออกห่างเว้นระยะไปเรื่อยๆ ไม่นานดวงตาของเบซิลก็หันมาประสาน...ความแน่วแน่ในแววตากลายเป็นแววตาของคนร้องขอความช่วยเหลืออย่างฉับพลัน


อย่าบอกนะว่า...กำลังแกล้งหลอกคู่ต่อสู้ว่ามีฝีมือน่ะ


“จัดการเลยปีเตอร์”เบซิลตะโกนเสียงดังพร้อมชี้ไปทางหน้าปากซอย คู่ต่อสู้รีบหันไปป้องกันด้านข้างซึ่งนั่นเปิดโอกาสให้ผมพุ่งเข้าใส่ร่างกำยำนั่น ขาของสุนัขอาจไม่ยาวพอให้เตะทว่าหากใช้4ข้างก็สามารถทำให้ร่างนั้นล้มกระแทกพื้นได้ไม่ยาก


กลุ่มคนร้ายพยายามจะลุกขึ้นยืนแต่โชคร้ายเพราะตำรวจในเครื่องแบบ5คนวิ่งเข้ามาภายในซอยพอดี ไม่จำเป็นต้องเดาก็รู้ว่าเบซิลเป็นคนโทรไปบอกพิกัดให้ตำรวจมาจัดการ


“คุณเป็นคนโทรเรียกสินะ คุณเป็นใครกัน”นายตำรวจรายหนึ่งหันไปถามเบซิล


การที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนล้มลงไปกองบนพื้นคงทำให้ผู้พบเห็นคิดว่าเขาเป็นคนจัดการทุกอย่าง แม้ในความเป็นจริงจะเป็นฝีมือของสัตว์สีขาขนทองอย่างผมก็ตาม


“คนของหน่วยสืบสวนพิเศษ”ไม่พูดเปล่าตราของหน่วยสืบสวนพิเศษยังถูกโชว์แทนหลักฐานอีกต่างหาก


นั่นมันตราของผมที่ใช่ไว้ในกระเป๋ากางเกงนี่


“สีนี่...คุณเป็นรองหัวหน้า?”นายตำรวจคนเดิมถามกลับ


“หึ...”เบซิลทำเพียงยกยิ้มซึ่งก็มากพอให้ตำรวจที่เหลือเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันว่าเขาเป็นรองหัวหน้าของหน่วยสืบสวนพิเศษ


โฮ่ง


ผมเห่าใส่เบซิลเสียงดัง แอบอ้างชัดๆ


“นี่เป็นคู่หูของคุณสินะ”นายตำรวจอีกคนเดินมาลูบหัวผมด้วยรอยยิ้มแสนเป็นมิตร


“คนรักผมเอง เนอะปีเตอร์”


ใครปีเตอร์


ถ้าผมพูดได้คงจะถามออกไปชัดๆแล้ว


อีกอย่างใครเป็นคนรักคุณกัน


“เจ้าของรักมากเลยนะ ต้องรักเจ้าของมากๆรู้ไหม”


“ไม่ต้องห่วงเขารักผมมากๆเลยล่ะ”เบซิลตอบแทน


ได้ทีล่ะพูดใหญ่เลยนะ


พูดเองเออเอง


“ที่เหลือพวกเราจะจัดการต่อเอง”


“ได้ อ้อ...ที่อาคารพาณิชย์หลังห้างเป็นที่กบดาน คอมที่ตั้งอยู่มีรายชื่อของผู้ซื้อและตำแหน่งที่จับสัตว์พวกนี้มา ผมเปิดไว้ให้แล้ว”เบซิลอบอกต่อ


“ครับ เดี๋ยวพวกเราจะจัดการเอง”


“ดี...ปีเตอร์ไปกันเถอะ”


แล้วใครมันชื่อปีเตอร์เล่า


ต่อให้อยากทำเมินแต่ในสถานการณ์นี้ผมทำได้เพียงเดินขนาบข้างเบซิลไปเรื่อยๆ จุดหมายของเบซิลคงไม่พ้นห้างที่พวกเราจากมา มอเตอร์ไซค์ผมจอดไว้ที่นั่นซะด้วย


อึก


ระหว่างกำลังก้าวกลับไปยังห้างสรรพสิ้นค้าร่างกายผมก็เริ่มมีปฏิกิริยา ความรู้สึกใกล้จะถึงขีดจำกัดของการกลายร่างแล้ว
ไม่มีเวลาพอจะให้กลับไปถึงห้องหรอก


เพราะรู้ผมถึงตัดสินใจวิ่งไปยังบริเวณปลอดคน ขนสีทองค่อยๆหายไปพร้อมร่างกายที่แปรเปลี่ยนกลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง


“แฮ่ก...”ความเหนื่อยล้าเข้าจู่โจมจนไม่อาจทรงตัวได้ หลังจากกลายร่างผมมักจะเหนื่อแบบนี้เสมอยิ่งกลายร่างเป็นสัตว์2ชนิดในเวลาไล่เลี่ยกันยิ่งสร้างภาระให้กับร่างกายมากขึ้นไปอีก


“ใบไธม์”เบซิลเรียกพลางเดินเข้ามาใกล้ร่างผมที่ทรุดลงกองบนพื้นในสภาพเปลือยเปล่า


“...ขอเสื้อผ้า”ผมไม่คิดจะอยู่ในสภาพน่าอายนี้นานนักโดยเฉพาะดวงตาสีเขียวมรกตที่จับจ้องมาคล้ายกำลังจดจำทุกส่วนที่เห็น


“น่าเสียดาย อยากมองอีกนิดแท้ๆ”


“อย่าพึ่งมากวนเบซิล”ตอนนี้ผมแทบไม่เหลือพลังงานแล้ว


“คุณฝืนไปแล้ว”เบซิลเข้ามาช่วยพยุงหลังผมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย


“ก็คุณช่วยผมไม่ได้นี่”ผมตอบกลับ จัดการแค่คนเดียวยังไม่ได้เลย


ถ้ารู้ว่าช่วยอะไรไม่ได้ก็ไม่ควรออกมาเพราะจะกลายเป็นเป้าได้ง่ายๆ


แต่ใช่ว่าผมจะไม่เข้าใจว่าเขาออกมาทำไมหรอกนะ


“อย่างน้อยผมก็ช่วยล่อได้เหอะ”


“...ไม่เถียง”เบซิลพูดถูก ถ้าเป็นเรื่องหลอกล่อเขาทำได้ดีมากจนต้องชื่นชม


ทักษะการต่อสู้ก็ไม่มีแต่กลับทำท่าราวกับมีฝีมือสูงกว่าอย่างชัดเจน อีกฝ่ายเลยเพิ่มการระมัดระวังตัวเพ่งสมาธิไปยังเบซิลเปิดช่องให้ผมสามารถเข้าจู่โจมได้


“พลังของคุณนี่ยอดเลยนะ”


“...คิดแบบนั้นเหรอ”ใช่ว่าผมจะไม่ชอบพลังตัวเอง แต่มีบ้างที่คิดว่าพลังนี้ทำให้การใช้ชีวิตลำบากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารที่ไม่สามารถกินเนื้อสัตว์ได้ หรือจะเป็นข้อจำกัดในการสัมผัสสัตว์แต่ละตัว


5วินาทีอาจดูช้าแต่ก็เร็วมาก ถ้าเผลอไปอาจกลายร่างได้ง่ายๆ


ถ้ากลายร่างในห้องหรือสถานที่ปลอดคนคงไม่มีผลอะไรทว่าส่วนมากผมมักจะกลายร่างข้างนอกมากกว่าไม่ว่าจะเป็นด้วยอุบัติเหตุหรือทำคดีก็ตาม


“อืม คนรักผมนี่สุดยอด”


“พูดเรื่องนี้ก็ดี ใครเป็นคนรักคุณกันแถมยังชื่อปีเตอร์นั่นอีก”ผมรีบถามประเด็นที่คาใจมากที่สุด


“ตอนนั้นมันเป็นจังหวะรีบเร่งเลยคิดชื่อเพราะๆไม่ได้ ครั้งหน้าเป็นอเล็กซานเดอร์เนอะ”


“...เฮ้อ”ผมส่ายหน้าพลางถอนหายใจอย่างปลงๆ


จะปีเตอร์หรืออเล็กซานเดอร์ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก


“วันนี้เป็นวันที่ผมมีความสุขจริงๆเลยนะ”


“มีความสุขยังไง?”ผมถามพลางเงยหน้ามองอีกฝ่าย


“ก็ได้มาเดทกับคุณ มีโอกาสได้เห็นพลังแถมยังเห็นร่างเปลือยเปล่าของใบไธม์อีก  แบบนี้จะไม่มีความสุขได้ยังไง”รอยยิ้มกว้างนั่นทำเอาผมทนไม่ไหวใช้มือข้างนึงดึงแก้มอีกฝ่ายแรงๆ


“สรุปว่าจะให้เป็นเดทใช่ไหม”


“ใช่”เบซิลพยักหน้า


“คำว่าเดทน่ะมันมีไว้ใช้กับคนที่ชอบกันไม่ใช่รึไง”


“อืม เข้าใจถูกแล้ว”


“แล้วมาใช้กับผู้ชายแบบผมมันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ”ผมถามตามตรง


“จะแปลกหรือไม่แปลกมันไม่ได้อยู่ที่อีกฝ่ายเป็นเพศอะไร”เบซิลบอก


“แล้วอยู่ที่อะไร”


“อยู่ที่ตรงนี้”พูดจบเบซิลก็ชี้มาบริเวณหัวใจ


“...”ผมขมวดคิ้วแน่นแทนคำพูดว่าไม่เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ


“มันอยู่ที่หัวใจ”


“เบซิล...”


“คุณพูดว่าเดทเอาไว้ใช้กับคนที่ชอบกันใช่ไหมสินะ”


“อืม”ผมพยักหน้าเบาๆ


“ใช่ ผมชอบคุณเลยอยากเดทด้วยและเพราะชอบถึงได้อยากอยู่ใกล้ๆ อยากมอง อยากให้มาสนใจ อยากให้มีตัวเองอยู่ในสายตาของคนที่ชอบบ้างแม้เพียงสักนิดก็ยังดี”คำพูดพร้อมรอยยิ้มแสนอ่อนโยนที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักทำเอาใบหน้าผมเริ่มร้อนขึ้น


วันนี้ผมได้ยินคำหวานมาหลายรอบแล้ว


และผมรู้ว่าเบซิลมีความสามารถในการกล่อมรวมถึงทำให้คนอื่นเชื่อในวาจานั้นได้ง่ายๆ


เพราะแบบนั้นผมจึงไม่ควรเชื่อคำพูดเหล่านั้น


ไม่ควรเอาเก็บมาคิด


ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ


แต่ไม่รู้ว่าทำไมหัวใจมันถึงไม่ฟัง


ราวกับหัวใจค้านกับความคิดในสมองโดยสิ้นเชิง


ผมไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อน


ความรู้สึกนี่มันคืออะไรกัน

....................................................................................

สวัสดีค่าา

ตอนนี้มันส์ไหม ถือว่าค่อนข้างบู๊ทีเดียว

ครั้งนี้ใบไธม์ได้กลายร่างเป็นสัตว์ให้เบซิลเห็นสักทีแถมกลายร่างตั้ง 2 ครั้ง

แต่งไปก็ขำเบซิลไป คนที่ไม่มีทักษะการต่อสู้ทำได้แค่นี้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว 555

เราค่อนข้างใช้เวลานานในการคิดชื่อตอนใบไธม์กลายร่างเป็นสุนัขนานทีเดียว อยากได้อยู่หลายชื่อแต่สุดท้ายเราลองคิดว่าถ้าตัวเองเป็นเบซิลในสถานการณ์แบบนั้นจะหลุดชื่ออะไรออกมา เลยมาจบที่ชื่อปีเตอร์นี่แหละค่ะ

ขอบคุณทุกคนสำหรับคอมเม้นท์และกำลังใจนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ให้ชื่อปีเตอร์  แว่บแรกนึกถึงเจ้าม้าแลงสาปเลยอ่ะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ลุ้นแทน นึกว่าเบนซิลจะโดนสอยซะแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ไปเดทก็ได้คดีเฉยเลย

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ต้องไปเรียนศิลปป้องกันตัวแล้วนะเบซิล จะได้ไว้ปกป้องคนรัก  :katai2-1:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ขำเบซิลมีความระริกระรี้มากแล้วอะไรคือการพูดเองเออเองคะ ไม่ทันจีบเลยก็เป็นแฟนซะแล้วเหรอ

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
สืบรัก彡คดีที่10



วันเวลาผ่านพ้นจากวันเป็นสัปดาห์จนกระทั่งหนึ่งเดือนผ่านไปในที่สุดอาคารของหน่วยสืบสวนพิเศษก็ซ่อมเสร็จ พวกเราในหน่วยต่างทำงานผ่านการสื่อสารทางโทรศัพท์มาเป็นเดือนเลยเกิดความเคยชินส่งผลให้แม้จะเป็นช่วงสายของวันก็แทบไม่มีใครมาเลย
ไม่แน่ว่าอาจเพราะเป็นวันแรกทุกคนคงยังอยากนอนเล่นอยู่บ้านแทนที่จะมาทำงาน


ผมยืนมองห้องอันปราศจากคนไม่นานจึงเปลี่ยนออกไปยังสวนด้านข้างแทน ด้านหลังผมมีเบซิลเดินตามมาติดๆโดยเจ้าตัวยังคงมีใบหน้างัวเงียสลับกับอ้าปากหาว ขนาดผมมาเกือบ9โมงแล้วนะเนี่ย


“ออกมาทำอะไรตรงนี้ล่ะ”เบซิลถามเมื่อเห็นผมหยุดยืนในเงาของอาคารที่พาดผ่าน


“จะฝึกคุณ”ผมตอบเสียงนิ่งแล้วเริ่มยืดกล้ามเนื้อทั้งแขนและขา


“...เดี๋ยว ฝึกผม?”ใบหน้างัวเงียดูมีชีวิตชีวาขึ้นทันตาเห็น


“ใช่ ต่อให้คุณมีความสามารถด้านคอมขนาดไหนแต่สิ่งที่ต้องมีในการอยู่หน่วยสืบสวนพิเศษคือทักษะการต่อสู้และป้องกันตัว จะตั้งการ์ดไปทำไมถ้าชกไม่เป็น”


หลายๆคดีที่ผ่านมาเกือบทุกครั้งต้องเกิดการปะทะและต่อสู้ ทว่าสิ่งที่เบซิลทำมีเพียงยกมือขึ้นตั้งการ์ดด้วยใบหน้าเปี่ยมความมั่นใจแล้วหลบการจู่โจมด้วยสิ่งที่อาจเรียกว่าโชคช่วย มีหลายครั้งเขาลองเหวี่ยงหมัดโต้ตอบซึ่งหมัดนั่นวืดจนผมต้องรีบตามเข้าช่วยเพราะเจ้าตัวล้มลงไปกองกับพื้นเรียบร้อยแล้ว


คนของหน่วยสืบสวนพิเศษที่แทบไม่มีเปอร์เซ็นต์การทำผิดพลาดจะให้คนในหน่วยอ่อนแอจนกระทั่งปกป้องตัวเองไม่ได้แบบนี้ได้ยังไง


ผมในฐานะรองหัวหน้าหน่วยไม่สามารถปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้


ดังนั้นผมจึงจะช่วยฝึกเบซิลเอง


“ผมไม่เก่งด้านใช้กำลัง”เบซิลก้าวถอยหลังเมื่อเห็นผมกำหมัดขึ้น


“มันไม่ใช่การใช้กำลังแต่เป็นการป้องกันตัว”หากมีคดีไหนที่ผมไม่สามารถเข้าไปช่วยได้เขาต้องจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง เพราะงั้นการมีทักษะพวกนี้ติดตัวเป็นเรื่องสมควรอย่างมาก


สิ่งสำคัญไม่ใช่การทำภารกิจสำเร็จแต่เป็นการรักษาชีวิตตัวเองไว้ให้ได้ต่างหาก


คำพูดนั้นมาจากหัวหน้าไพลสันต์ และเป็นประโยคที่ผมชอบมาก


ดวงตาสีน้ำตาลของผมมองการเคลื่อนไหวของเบซิลพร้อมก้าวเข้าไปประชิดปล่อยหมัดขวาเข้าไปหน้าอย่างจังทว่าเบซิลกลับเบี่ยงตัวหลบได้ ผมไม่ปล่อยให้เขาได้มีเวลาพักปล่อยหมัดซ้ายต่อสลับกับใช้ลูกเตะ


ไม่รู้ว่าเป็นเซ้นต์ โชคช่วยหรืออะไรที่ทำให้เบซิลสามารถปัดป้องการโจมตีผมได้ทั้งหมด


“ตอบโต้กลับมาสิ”แค่หลบการโจมตีได้มันยังไม่ดีพอ


“ผมปล่อยหมัดใส่คนที่รักไม่ลงหรอก...เฮ้ย!”ผมไม่รอให้เบซิลพูดจบประโยคเตะสูงเฉี่ยวใบหน้าอันหล่อเหลาไปเพียงไม่กี่มิล


“คำพูดพวกนั้นใช้กับผมไม่ได้หรอก”


ยังไงเบซิลก็มีฉายาว่าเมเกอร์ คำพูดหวาดล้อมพวกนั้นเชื่อไม่ได้


อาจมีที่หวั่นไหวบ้างแต่ใช่ว่าจะเป็นทุกครั้ง


คำพูดไหนเป็นความหรือหรือแค่พูดลอยๆผมก็ไม่รู้


อาจต้องการเวลาในการอยู่ร่วมกันมากกว่าเพื่อจะได้เข้าใจเบซิลมากขึ้น


เบซิลก้าวถอยหลังต่อไปจนแผ่นหลังสัมผัสกับกำแพงสีขาว ผมอาศัยโอกาสนั่นปล่อยหมัดตรงเข้าใบหน้า การกระทำของผมดูเหมือนอีกฝ่ายจะอ่านออกเพราะเบซิลทำเพียงเองคอหลบเล็กน้อยก่อนมือทั้งสองข้างจะเอื้อมมาคว้าดึงตัวผมเข้าไปประชิดตัวในระยะใกล้จนสามารถสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่แผ่ออกมา


“อย่าชกกันเลย กอดกันดีกว่าเนอะ”ไม่พูดเปล่าเบซิลซุกใบหน้าลงยังลำคอผม


“ปล่อยเดี๋ยวนี้”ผมเอ่ยเสียงเข้ม


“ไม่ปล่อย ผมจับคุณได้นะให้รางวัลผมหน่อยสิ”


“...นี่คงไม่ได้แกล้งทำเป็นสู้ไม่เป็นหรอกใช่ไหม”ผมถามต่อ


“ใครจะแกล้งเรื่องแบบนี้”


“แล้วทำไมถึงได้อ่านการเคลื่อนไหวผมได้ง่ายๆแถมยังสวนกลับมาได้จังหวะพอดีอีก”นี่ไม่ใช่เรื่องปกติที่ใครก็สามารถทำได้ ยิ่งกับคนที่ไร้ทักษะการต่อสู้ด้วย


“...คงเพราะเป็นใบไธม์มั้ง”เบซิลหยุดคิดก่อนตอบด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจนัก


“อธิบาย”ผมไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร


“อธิบายก็ได้แต่ต้องขอรางวัลก่อน”


“จะเอารางวัลอะไรอีกแค่ที่กอดอยู่นี่ยังไม่พอรึไง”ผมขึ้นเสียงเล็กน้อย จนถึงตอนนี้ผมก็ยังถูกอีกฝ่ายกอดแน่นอยู่ ด้วยแรงของผมอาจไม่มากแต่ถ้าแค่หลุดจากการจับกุมนี่ไม่ใช่เรื่องยากเลย


ถึงแบบนั้นผมก็ยังเลือกจะปล่อยให้เบซิลกอดโดยไม่ขัดขืนอะไรมากมาย


ยอมให้ถึงขนาดนี้ยังจะมาขอรางวัลอีก


น่าชกให้ซี่โครงหักสักซี่นึงจริงๆ


“ผมมันคนโลภมาก แค่นี้ไม่พอหรอก”เบซิลกระซิบเบาๆพลางกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น


“เบซิล”


“ก็ได้ ผมยอมพอก็ได้...แต่ขออยู่แบบนี้อีกแป๊บนะ”


แบบนี้มันเรียกพอตรงไหนกัน


“อธิบายมาได้แล้ว”ผมกลัวอีกฝ่ายตีเนียนแล้วไม่ตอบเหลือเกิน


“ได้ครับ ที่บอกว่าเพราะใบไธม์ก็ง่ายๆ ผมอยู่กับคุณมาหลายเดือนทั้งท่าทาง การเคลื่อนไหวหรือนิสัยเล็กๆน้อยอยู่ในสายตาผมตลอด อย่างเวลาคุณก้าวเข้ามาประชิดมักจะเริ่มต้นด้วยหมัดขวา ถ้าถูกหลบได้จะต่อด้วยใช้มืออีกข้างสลับกับใช้ขาเตะ บางทีก็จะเปิดช่องล่อให้เข้าไปโจมตีแต่เพราะผมเอาแต่ถอยหนีเลยต้องก้าวตามมาติดๆจนกระทั่งผมหมดทาง ด้วยนิสัยของคุณคงไม่ใช้ขาในการเตะจึงเหลือแค่หมัด ที่รู้ว่าเป็นหมัดขวาก็อย่างที่เคยบอกไปว่าคุณมักจะเริ่มปล่อยหมัดขวาก่อนเสมอ”คำอธิบายทุกอย่างค่อยๆดังขึ้น


ทุกประโยคผ่านเข้ามาในหูและยังคงดังก้องอยู่ในสมอง


ทั้งที่เป็นการอธิบายแต่ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอยู่ๆถึงรู้สึกอายขึ้นมา


ขนาดตัวเองยังไม่เคยรู้เลยว่ามีนิสัยที่จะปล่อยหมัดขวาก่อนติดตัว


ช่างสังเกตจริงๆ


แปลว่าการที่สามารถหลบการโจมตีหลายๆครั้งได้อาจไม่ใช่ฟลุกหรือโชคช่วยแต่เป็นการสังเกตการเคลื่อนไหวฝ่ายตรงข้าม


“...น่าทึ่งเกินไปมั้ง”คนอะไรจะเก่งได้ขนาดนี้


“ชมผมเหรอ”


“เปล่า”ผมส่ายหัวดิ๊กๆ


“จะชมก็พูดมาตรงๆน่า อย่าเขินเลย”


“ใครเขินกัน”


“คุณไงใบไธม์”เบซิลย้อนด้วยน้ำเสียงร่าเริง


“ปล่อยผมได้แล้ว”คิดจะกอดไปถึงเมื่อไหร่กัน


“ยังไม่อยากปล่อยเลย”


“เบซิล...”


“เอ่อ...ขอโทษที่ต้องขัดจังหวะความหวานของทั้งคู่นะแต่หัวหน้าเรียกรวมตัวแน่ะ”เสียงของบุคคลที่สามทำเอาผมรีบผลักเบซิลออกห่างทันควัน


พอหันไปมองยังกระจกด้านข้างก็พบกับจิวที่เปิดหน้าต่างออกมาพูดเมื่อครู่แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมเขินอายเท่ากับด้านในห้องมีหัวหน้าไพลสันต์และสมาชิกในหน่วยทุกคนยืนมองมาด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มระเรื่อยคล้ายกำลังแซวผมผ่านสายตา


“มากันตั้งแต่ตอนไหน”ก่อนหน้านี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงาเลยสักคน


“ตอนที่เบซิลขอรางวัล”หัวหน้าไพลสันต์เอ่ย


“ของผมมาตอนเบซิลพูดว่าปล่อยหมัดใส่คนรักไม่ลง”จิวพูดต่อ


“...”ได้ยินตั้งแต่ตอนนั้นเลย?


นี่ผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเนี่ย


ใบหน้าผมตอนนี้คงเห่อแดงด้วยความอายอย่างไม่เคยเป็น


“ใบไธม์หน้าแดงด้วย น่ารักจัง”เบซิลมองมายังใบหน้าเห่อแดงผมด้วยรอยยิ้ม


“เพราะคุณนั่นแหละ”


“ยิ่งบอกว่าเพราะผมแบบนี้ก็ยิ่งดีใจน่ะสิ”


“อึก...พอๆ ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว จิวถอยไป”ผมบอกให้จิวถอยห่างจากหน้าต่างก่อนจะกระโดดเข้าไปด้านใน เบซิลเองก็ตามเข้ามาเช่นกัน


ภายในห้องทำงานบัดนี้มีสมาชิกของหน่วยสืบสวนพิเศษอยู่กันครบทุกคน ถือเป็นเรื่องน่าแปลกใจที่พวกเราสามารถมารวมกันได้ครบทุกคน คงไม่ใช่ความบังเอิญ


มีทางเดียวคือหัวหน้าเรียกทุกคนมา


และหากเป็นเช่นนั้นแปลว่าต้องมีบางอย่างกำลังเกิดขึ้น ไม่ก็เกิดขึ้นแล้ว


“มีเรื่องอะไรครับหัวหน้า”ผมตั้งสติสักพักก่อนจะเริ่มเปิดประเด็น


ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้ทำเป็นประหนึ่งว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


อยากบ่นตัวเองว่าทำไมถึงรับรู้ถึงสายตาที่จับจ้องมาไม่ได้


นี่อาจเป็นเรื่องที่น่าอายที่สุดในชีวิตเลย


ทางเดียวที่จะหนีจากสถานการณ์นี้คือการเปลี่ยนเรื่องโดยเร็วที่สุด


“อ่า...การที่เรียกทุกคนมารวมกันคงเดากันได้ว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น”หัวหน้าเกริ่นพลางใช้สายตามองไล่พวกเราทีละคนคล้ายกำลังจัลสังเกตอะไรบางอย่าง


“ให้เดาคงเป็นเรื่องใหญ่”ผมพูดต่อ ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่หัวหน้าคงเรียกผมไปคุยก่อนจะให้กระจายข่าวบอกทุกคนให้ทั่วถึงไม่ใช่เรียกทุกคนมาพร้อมหน้า


“คิดถูกแล้วไธม์ เรื่องนี้ใหญ่มากจริงๆและอาจถือเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่สามารถสั่นคลอนประเทศได้เลย”


“...”คำพูดของหัวหน้าทำเอาทุกคนไม่เว้นแม้แต่เบซิลมีใบหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที


เหตุการณ์ที่สามารถสั่นคลอนประเทศได้งั้นเหรอ


เรื่องราวท่าจะใหญ่กว่าที่ผมคิดไว้อีก


“ทุกคนคงรู้ดีว่าทางการอย่างเราถูกแบ่งง่ายๆออกเป็น3หน่วยคือตำรวจ ทหารและหน่วยสืบสวนพิเศษที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใคร แต่ละหน่วยอยู่ได้ด้วยการถ่วงดุลซึ่งกันและกันโดยมีพวกเราอยู่ตรงกลางของดุลนั่นทว่าในตอนนี้กลับมีใครบางคนกำลังพยายามดึงสมดุลนั่นไปยังฝั่งตัวเอง”


“ดึงไปยังฝั่งตัวเอง?”


“ใช่...ด้วยการทำลายอีกฝั่งนึง ตอนนี้มีการปล่อยทั้งข่าวและความลับของทางตำรวจเผยแพร่ออกตามสื่อต่างๆ กว่าทางตำรวจจะสกัดได้ข่าวพวกนั้นก็กระจายเป็นวงกว้างเกินไปแล้ว”หัวหน้าอธิบายต่อ


“แปลว่าฝ่ายที่เป็นผู้ทำลายคือทหาร?”ผมเอยถามด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่น


เรื่องนี้มันชักจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆแล้วสิ


“ถ้าให้เดาจากเหตุการณ์ตอนนี้ก็คงใช่ แต่ฉันไม่คิดแบบนั้น”


“จะบอกว่ามีความเป็นไปได้ที่เหตุการณ์จะพลิกกลับ?”ครั้งนี้เบซิลพูดบ้าง


“เข้าใจถูกแล้ว”


ความหมายของเหตุการณ์พลิกกลับคือแพะที่เราคิดว่าเป็นตำรวจกลับกลายเป็นแกะซึ่งวางแผนการทั้งหมดไว้เพื่อซื้อความเชื่อใช่ของประชาชนพร้อมทั้งทำลายอีกฝั่งนึงไปพร้อมกัน หรือถ้าคิดพลิกอีกครั้งนี่อาจเป็นแผนที่ถูกซ้อนไปอีกชั้นคือต้องการให้คิดว่าตำรวจแป็นคนปล่อยข่าวตัวเองทว่าความจริงกลับเป็นแผนการของทางทหาร


หากคิดเป็นนั้นก็จะกลายเป็นลูปวนไม่มีวันจบ


“เฮอะ ก็แต่ละฝ่ายมีเรื่องให้แฉเยอะจะตาย แค่เปิดเผยออกมาหน่อยคงไม่เป็นผลเท่าไหร่มั้ง”เบซิลยักไหล่คล้ายไม่แคร์ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น


“แค่ระรอกแรกเท่านั้นแหละ”


“แปลว่าครั้งนี้เป็นแค่บทนำ?”เบียร์ที่ยืนขมวดคิ้วมานานออกความเห็นบ้าง


“จะว่าแบบนั้นก็คงใช่”


“แต่ถ้าคิดในกรณีเหตุการณ์พลิกการเปิดเผยเรื่องของฝั่งตัวเองมันจะไม่แย่เอารึไง”ซันพูดต่อ


“ไม่แย่หรอกหากทำให้ทุกคนเชื่อว่าตัวเองโดนเร่งงานหรือถูกกล่าวหาอยู่ ทุกคนจะคิดว่าข้อมูลที่แพร่ออกไปทั้งหมดถูกใส่สีตีไข่ อีกอย่างถ้าเราอยู่เบื้องหลังคงเลือกปล่อยข่าวที่ไม่สามารถตามสืบได้ในภายหลัง”จิวตอบคำถามของซัน


“ประเด็นหลักตอนนี้คือเราไม่รู้ว่าฝ่ายไหนที่เป็นตัวการณ์ของเรื่องทั้งหมด ซึ่งตอนนี้ทั้งสองหน่วยไม่อยากปะทะกันเองเลยเป็นได้ว่าพวกเขาอาจหันสงสัยพวกเราแทน”หัวหน้าไพลสันต์พูดต่อ


“งานเข้า”แม็กถึงกับยกมือขึ้นกุมหัว


“...ซวยพวกเราชัดๆ”สกายกับจูนบอกพร้อมกัน


“พวกเราต้องสืบหาเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด”หัวหน้าออกคำสั่ง


“นี่พวกเราไม่มีพันธมิตรเลยสินะ”สกายพึมพำเสียงเบา


“พวกเราเคยมีที่ไหนล่ะสิ่งที่เรียกว่าพันธมิตร”อาร์มบอกสกาย


รู้สึกปวดหัวอย่างบอกไม่ถูก


“จะให้พวกเราเริ่มจากฝั่งไหนครับ”ผมเอ่ยถามหัวหน้า


ในเมื่อตอนนี้มี2ฝั่งที่ต้องสงสัยดังนั้นพวกเราจำเป็นต้องเล็งไปที่ฝ่ายไหนสักฝ่ายก่อนเพื่อค้นหน้าความจริง หากไม่พบอะไรก็ต้องเปลี่ยนไปสืบหาอีกฝั่ง ซึ่งหากเลือกถูกฝั่งเราจะทำงานน้อยลง


คงเหมือนการเสี่ยงดวงหรือใช้เซ้นต์ในการตัดสินใจว่าจะเลือกฝั่งไหนดี


“ฉันอยากขอความเห็นจากทุกคน ถ้าเป็นเรื่องเซ้นต์กับการวิเคราะห์บวกกับโชคฉันคิดว่าคงไม่มีใครแม่นไปกว่าพวกเรา”หัวหน้าบอกพร้อมสบตากับพวกเราทีละคน


ผมไม่เถียงในคำพูดของหัวหน้าไพลสันต์


พวกเราไม่ได้เหย่อหยิ่งหรือเข้าข้างตัวเองแต่หน่วยสืบสวนพิเศษเป็นสถานที่ที่รวบรวมคนซึ่งไม่ธรรมดาไม่ว่าจะเป็นความสามารถหรือความคิด ถ้าพวกเราไม่มีดีสถิติของหน่วยคงไม่มีเปอร์เซ็นต์สำเร็จถึงร้อย


ต่อให้พูดว่าใช้เซ้นต์หรือโชคซึ่งอาจดูเหมือนเป็นการคาดเดา


ก็ถูก...มันเป็นการคาดเดา


เพียงแต่เป็นการคาดเดาที่มีหลักการและการวิเคราะห์ก่อนจะเลือกทางที่คิดว่าดีหรือเหมาะสมที่สุด


ถ้าถามว่าใช้ได้100เปอร์เซ็นต์ไหมคงตอบว่าไม่


เพราะแบบนั้นจึงต้องให้ทุกคนออกความเห็น


สมาชิกของหน่วยสืบสวนพิเศษเดิมมี9คน นับรวมเบซิลที่พึ่งมาใหม่จะกลายเป็น10คนพอดี


สามารถตีได้เลยว่า100เปอร์เซ็นต์มีกี่เปอร์เซ็นต์ที่คิดแบบไหนเพื่อจะเลือกคำตอบที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด


ถือเป็นวิธีที่ดีและเหมาะกับหน่วยกับสืบสวนพิเศษมากที่สุด


“ใครคิดว่าฝั่งทหาร”ผมให้เวลาทุกคนคิดสักพักก่อนจะเริ่มถาม


“ใครคิดว่าฝั่งตำรวจ”ผมทิ้งระยะให้ทุกคนยกมือทว่าไม่มีใครยกผมจึงเอ่ยถามต่อ ซึ่งครั้งนี้เบซิลเป็นคนแรกที่ยกมือตามมาด้วยผมและซัน รวมทั้งเบียร์ จูน สกาย จิว อาร์ม ซันและหัวหน้าที่ยกมือขึ้นพร้อมๆ กัน


มติเป็นเอกฉันท์


0ต่อ10


“พวกเรานี่สามัคคีกันดีเนอะ”เบียร์ยิ้มระหว่างพูด


“แบบนี้แทนค่าความผิดพลาดเป็น0ได้เลยใช่ไหมท่านรอง”จิวหันมาถามผม


“ก็ยังไม่แน่”


“แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่พวกเรามีความเห็นตรงกันทุกคนแบบนี้”


“...นั่นสิ”นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการลงความเห็นกันซึ่งแต่ละครั้งพวกเรามักจะมีการแยกฝั่งกันอยู่เสมอ มีเดาผิดบ้างประปรายส่วนมากจะถูกเพราะอย่างที่บอกไปว่าพวกเราหน่วยสืบสวนพิเศษมีการคิดวิเคราะห์ที่ดีกว่า


หากทุกคนลงความเห็นไปในทางเดียวกันผมเดาไม่ออกเลยว่าจะมีการผิดพลาดได้ยังไง


“สรุปคือพวกเราจะสืบไปทางฝั่งของตำรวจ”หัวหน้าสรุป


“ปัญหาอยู่ที่พวกเราจะเริ่มยังไง ถ้าทางนั้นอยู่เบื้องหลังคงไม่มีทางปล่อยให้เราเดินเข้าไปสืบง่ายๆ”เบียร์บอกด้วยใบหน้าใช้ความคิด


“ปลอมตัวนิดหน่อยคงได้มั้ง”เบซิลออกความเห็นบ้าง


“เป็นความคิดที่เยี่ยมมาก”ซันชูนิ้วโป้งส่งให้เบซิล


“แล้วจะปลอมตัวไปไหนล่ะ เข้ากระทรวงแล้วถามว่าคุณเป็นคนต้นคิดใช่ไหมงั้นเหรอ?”


“ใครจะไปทำอะไรแบบนั้นเล่า”สกายหันไปบอกอาร์ม


“เหมือนผมจะได้ยินข่าวลือในจากมหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งที่มีข่าวลือในวงในว่าเป็นสถานที่ฟอกเงินอยู่”จิวบอกพร้อมขมวดคิ้วแน่นเหมือนกำลังใช้ความคิด


“...ฟอกเงินเหรอ อาจไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เราต้องจัดการก็ได้”เบียร์พูดตอบ


ตอนนี้บรรยากาศทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยการใช้ความคิดและการวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ ทุกคนล้วนแสดงความคิดของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่โดยไม่มีท่าทีเกรงหรือไม่กล้าเหมือนอย่างหน่วยงานอื่น เวลามีการประชุมหน่วยงานปกติจะมีผู้นำซึ่งจะคอยพูดเสนอสิ่งต่างๆโดยคนอื่นที่เข้าร่วมจะไม่ออกความเห็นอะไรเนื่องจากกลัวว่าจะเด่นเกินหน้าเกินตาหรือไม่กล้าทว่าในหน่วยสืบสวนพิเศษไม่ใช่


ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมไม่เว้นแม้แต่ผมหรือหัวหน้าไพลสันต์ พวกเรารับฟังความคิดเห็นของทุกคนอย่างเท่าเทียมหากเป็นความคิดที่ดีก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะไม่ทำตาม


“การฟอกเงินส่วนมากจะเกี่ยวกับรัฐบาลไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับตำรวจหรือทหาร”จูนพูดความคิดของตัวเองบ้าง


“ข่าวลือนั่นมีอย่างอื่นอีกไหม”ผมถามจิวเพื่อขอข้อมูลเพิ่ม


ข้อมูลแค่นี้ยังน้อยเกินไปให้ตัดสินใจว่าอะไรเป็นยังไง


“จะว่ามีก็มี แต่เป็นข่าวลือจากวงในของในนะ”


“จะในขนาดไหนก็บอกมาเถอะ”แม็กเร่ง


“กำลังจะบอกอยู่นี่ไง มีข่าวลือว่าอธิการบดีของที่นั่นเป็นกิ๊กของนายตำรวจทรงอิทธิพลคนนึง”


“คนนั้นที่ว่าคือใคร”


“ไม่รู้เหมือนกัน”จิวส่ายหน้าไปมา


“เรื่องสำคัญแบบนี้ทำไมไม่รู้เล่า”ซันบ่นอุบอิบ


“ผมอยากรู้จะตาย อีกอย่างผมพึ่งได้ข่าวนี้มาเมื่อเช้ามืดนี่เองไม่มีเวลาแม้จะตรวจสอบดูด้วยซ้ำว่าเชื่อถือได้ไหม”


“...น่าจะเป็นพลตรีไม่ก็พลโท”คำพูดของเบซิลเรียกสายตาของทุกคนให้หันไปมองเป็นตาเดียว


“อะไรที่ทำให้คิดแบบนั้น”ผมเป็นฝ่ายเปิดฉากถาม


ดูจากท่าทางคงไม่ใช่แค่การคาดเดา เบซิลมีข้อมูลบางอย่างถึงได้สามารถวิเคราะห์หรือจำกัดขอบเขตได้ว่าอยู่ในยศหรือตำแหน่งอะไร


“ถ้าเป็นอธิการบดีของมหาลัยชื่อดังนั่นวันก่อนผมเห็นภาพหลุดของเธอถูกเผยแพร่ก่อนจะโดนลบออกในเวลาอันรวดเร็ว”


“จะบอกว่าในรูปนั่นมีใบหน้าของใครบางคนอยู่?”


“ไม่ใช่ใบหน้าแต่เป็นสัญลักษณ์ของยศรูปดาวมีปีก”เบซิลขยายาความต่อ


“สีเงินหรือทอง”เบียร์ถามต่อทันที


“เงิน”


“...”บรรยากาศในห้องเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเมื่อได้รับข้อมูลจากเบซิล ทุกคนต่างรู้ดีว่าสัญลักษณ์สีเงินเป็นของตำรวจและหากพูดถึงดาวมีปีกจะเป็นสัญลักษณ์ของพลจัตวาเป็นต้นไป


ถ้าเบซิลจำกัดขอบเขตอยู่ที่พลตรีหรือโทรแปลว่าในรูประหว่างดาวต้องมีช่องว่างอยู่ ถ้าเป็นของพลจัตวาบนดาวมีปีกจะมีสัญลักษณ์คล้ายหมวกหรือมงกุฏอยู่ติดด้านบน


นี่ได้หลักฐานชั้นยอดมาเลยนะเนี่ย


“รูปนั่นยังอยู่ในเครื่องใช่ไหม”หัวหน้าไพลสันต์ถาม


“ไม่มีหรอก บอกแล้วว่าถูกลบไปในพริบตาหลังจากเห็นรูปนั่นแหละ อีกอย่างไม่คิดว่ามีความจำเป็นเลยไม่ได้บันทึกรูปไว้”เบซิลตอบพลางยักไหล่เบาๆ


“ถ้าเป็นคุณต่อให้ลบไปแล้วแต่ก็สามารถกู้กลับมาได้ใช่ไหม”ผมถามพร้อมหันไปสบกับดวงตาสีเขียวมรกตด้านข้าง


ผมเชื่อเกิน95เปอร์เซ็นต์ว่าเบซิลสามารถหาไฟล์รูปมาให้พวกเราได้


“...การจะย้อนกลับการลบมันเสียเวลามากอยู่ยิ่งต้องแฮ็กเข้าไปในระบบของทางเว็บนั่นแล้วกู้รูปกลับมาไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าคุณบอกว่าอยากได้รูปนั่นผมก็จะทำให้”


“ผมต้องการรูปนั่น”ผมรีบพูดย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง


ตอนนี้เราต้องการหลักฐานสักชิ้นเพื่อจะได้รู้ทิศทางว่าเราจะสืบต่อไปในทิศทางไหน


“ได้ ผมจะจัดการให้”


“...แค่นี้?”ผมขวมดคิ้วแน่นขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายพูดจบประโยคแล้ว


“ฮืม...ผมต้องพูดอะไรอีกเหรอ”


“ปกติต้องมีข้อต่อรองไม่ก็ขอรางวัล”พึ่งเคยเจอที่ยอมทำให้ง่ายๆแบบนี้


จะว่าแปลกใจก็ใช่


เรียกว่าคาดไม่ถึงจะเหมาะกว่า


“อ้อ ผมลืมไปเลย...ขอบคุณที่เตือนนะ”


“...”คำตอบนั่นทำเอาผมถึงกับพูดไม่ออก


ไม่น่าเลย...อยู่เฉยๆก็ดีอยู่แล้วเชียว


“ก่อนจะกลับเข้าเรื่องผมอยากถามอะไรหน่อย”เบซิลพูดก่อนจะหันไปทางหัวหน้าไพลสันต์


“ว่ามา”


“ในเมื่อซ่อมที่นี่เสร็จแล้วแปลว่าผมต้องกลับมาอยู่นี่ใช่ไหม”เบซิลถามตรงๆ


จริงสิ...ผมลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง


การที่เบซิลมาอยู่ห้องผมเป็นเพราะเหตุการณ์ระเบิดเมื่อเดือนก่อนแต่ตอนนี้ทุกอย่างซ่อมเสร็จหมดแล้ว


น่าแปลกที่อยู่ๆใจผมมันก็รู้สึกโหวงๆขึ้นมา


ในห้องผมตอนนี้ข้าวของเกือบทุกอย่างมี2ชิ้น ชิ้นแรกเป็นของผมและชิ้นที่2ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเบซิล ฟูกปูนอนตอนนี้ก็ยังคงปูอยู่ข้างเตียงผม ถ้าเบซิลไม่อยู่ผมคงรู้สึกเหงาอยู่ไม่น้อย


“ทั้งใช่และไม่ใช่ เธอต้องการอะไรล่ะกลับมามีทั้งห้องและพื้นที่ส่วนตัวกว้างๆหรือจะอยู่ในห้องกับไธม์ต่อ แต่ถ้าจะอยู่ก็ต้องขอเจ้าตัวเพราะฉันไม่เกี่ยวด้วยแล้ว”หัวหน้าไพลสันต์โยนเรื่องมาทางผม


“ผมยังอยู่กับคุณได้รึเปล่า”เบซิลไม่ตอบหัวหน้าแต่หันมาถามผม


“...ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”ผมตอบพร้อมยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย


อยู่ด้วยกันมาขนาดนี้จะให้อยู่ต่ออีกสักหน่อยจะเป็นไรไป


“เยี่ยม คนรักของผมน่ารักที่สุด”ไม่พูดเปล่าเบซิลอ้าแขนสองข้างออกพร้อมพุ่งตัวเข้าหาผมหมายจะคว้าตัวผมเข้าไปกอดทว่ากลับถูกผมเบี่ยงตัวหลบจนไปโผลกอดอาร์มแทน


“กลับเข้าเรื่อง สรุปคือถ้าเรื่องกิ๊กเป็นความจริงมีความเป็นไปได้ที่นายตำรวจคนนั้นอาจเป็นต้นตอหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำลายสมดุล หากต้องการปล่อยข่าวคงไม่มีที่ไหนรวดเร็วไปกว่าในมหาวิทยาลัยอีกแล้ว อีกอย่างการฟอกเงินนั่นอาจกลายเป็นหลักฐานที่จะทำให้ฝ่ายนั้นดิ้นไม่หลุด”ผมเอ่ยสรุปทุกอย่างออกไปตามความคิด


“เห็นด้วยกับท่านรอง เราต้องเข้าไปขโมยข้อมูลนั่น ดีไม่ดีเราอาจได้หลักฐานเด็ดหรืออาจได้เห็นว่าใครเป็นกิ๊กของอธิการบดีก็ได้นะ”จิวพยักหน้าพร้อมพูดเสริม


“...ดูจากรูปการณ์คนที่ต้องเข้าไปหาข้อมูลคงต้องเป็นผมกับเบซิลสินะ”ใช้เวลาไม่กี่นาทีผมก็สามารถหาได้ว่าใครเหมาะกับภารกิจนี้มากที่สุด


งานขโมยข้อมูลไม่มีใครเก่งเท่ากับเบซิล


ดังนั้นตัวยืนเลยเป็นเขา


ส่วนการตามหาล่าหลักฐานเพื่อหาผู้อยู่เบื้องหลังคงไม่พ้นผมที่มีพลังซึ่งสามารถช่วยจัดการกับสถานการณ์หลายๆอย่างได้


“ทางนี้จะหาข้อมูลอย่างอื่นเพิ่มให้เอง”เบียร์บอก


“มหาลัยนั่นเหมือนจะมีการเปิดรับสมัครอาจารย์อยู่ลองไปสมัครดูสิเผื่อจะสามารถเดินเข้าไปตรงๆได้”จิวพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง





(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


หลายวันผ่านไปในที่สุดพวกเราก็ได้ก้าวเดินเข้ามาภายในมหาวิทยาลัยโดยไม่ต้องแอบลักลอบเข้ามา วันก่อนที่มีการรับสมัครอาจารย์เบซิลได้เข้าไปสัมภาษณ์และโชคดีทางมหายลัยยอมรับให้เขาสอนการเขียนโปรแกรมให้กับเด็กปี3 ในวันนี้เบซิลจึงอยู่ในชุดแสนเรียบร้อยอย่างเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวกับกางเกงสีน้ำเงินเข้ม แว่นตาปลอมๆถูกนิ้วกลางดันเล็กน้อยเรียกเสียงกรี๊ดจากนักศึกษาโดยรอบได้


ส่วนตัวผมน่ะเหรอ แม้จะเข้ารับการสัมภาษณ์เป็นครูและผ่านเหมือนกันแต่ไม่ใช่เป็นครูคอยสอนนักศึกษาหรอกนะ


เสื้อสีน้ำตาลเข้มกับกางเกงเข้าชุดเป็นชุดฟอร์มประจำของคนสวนประจำมหาวิทยาลัยแห่งนี้ สงสัยเพราะผมพูดเรื่องงานอดิเรกปลูกพืชผักเลยถูกจับให้มาอยู่ในตำแหน่งนี้


ผมแอบเห็นสายตาของเบซิลมองมาด้วยประกายขบขันระหว่างกำลังอยู่ในคาบเรียนบนตึก หน้าที่ของผมคือการกวาดใบไม้ ตัดกิ่งหรือใบไม้ไปจนถึงการรดน้ำต้นไปบริเวณสวนของมหาวิทยาลัยซึ่งมีขนาดใหญ่ซะเหลือเกิน


การทำงานในสายอาชีพใหม่ดูน่าสนใจอยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะเวลาใช้กรรไกรตัดกิ่งก้านของไม้พุ่มสีเขียวขจีที่กำลังแตกยอดออกมาจนดูรกไปหมด หรือนี่อาจทำให้ผมค้นพบว่าความจริงตัวเองเหมาะกับงานแบบนี้มากกว่า?


แม้จะอยู่ในอากาศค่อนข้างร้อนหรือตากแดดใช่ช่วงสายของวันทว่าผมก็ยังคงไม่ลืมเป้าหมายของการมาทำงานยังมหาวิทยาลัยแห่งนี้ หากมีเวลาผมมักจะสอดส่องดูความเคลื่อนไหวรอบตัวเพื่อเก็บข้อมูลเล็กๆน้อยๆจากวันเป็นอาทิตย์


และแล้วผมก็ได้ข้อมูลบางอย่างที่น่าสนใจมากจากเพื่อนรุ่นคุณตาที่ทำหน้าที่คอยเฝ้าดูแลสวนในช่วงกลางคืน เหมือนว่าทุกๆเดือนจะมีรถคันสีดำเข้ามาในช่วงกลางดึกเสมอส่วนทางเบซิลได้ข้อมูลของการฟอกเงินมาแต่ที่ได้คือจำนวนเงินที่ไหลเข้ามาในบัญชีเป็นจำนวนมากแต่ไม่รู้ว่ามีใครบ้าง


ข้อมูลส่วนของชื่อถูกปิดไว้ด้วยรหัสหลายต่อหลายครั้ง ขนาดเบซิยังต้องขอเวลา แต่ถ้าสามารถใช้คอมพิวเตอร์ของเจ้าตัวได้คงสามารถแฮ็กเข้ารหัสได้ง่ายกว่านี้ พอใช้คอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊คมันมีข้อจำกัดอยู่ในกรณีที่ทางเครื่องนั้นไม่มีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต


คืนนี้ผมกะไว้ว่าจะบุกเข้าไปบุกหาข้อมูลตรงๆสักหน่อย อยู่มาครบอาทิตย์ทำให้ผมรู้ตารางเวรของยามในช่วงค่ำของทั้งอาทิตย์แล้ว ระหว่างกำลังคิดวิธีและขั้นตอนต่างๆมือผมก็ไม่ได้ว่าง ไม่กวาดด้ามใหญ่กวาดใบไม้แห้งมารวมกันอยู่เป็นจุดเดียวจะช่วยให้เก็บง่ายขึ้น


“อ๊ะ หลุดไปแล้ว”เสียงของนักศึกษาดังเข้ามาในหูผมแว่วๆจากด้านข้างของตัวตึกซึ่งเป็นส่วนของการปลูกพืชผักและเลี้ยงสัตว์อย่างพวกไก่ไข่หรือวัวนม ในทุกๆวันจะมีนักศึกษาผลัดกันมาให้อาหารและทำความสะอาดรวมถึงเก็บพวกผักที่โตเต็มที่หรือนมไปให้ห้องครัวทำอาหารต่อไป


ผมเงี่ยหูฟังเสียงโวยวายปนตื่นตระหนกที่แว่วเข้ามาเผื่อจะได้ยินอะไรมากขึ้น แต่แล้วในจังกวะที่ผมกำลังเดินไปทางต้นเสียงร่างของสัตว์สองเท้าตัวเต็มไว้ก็โผล่ส่วนหัวซึ่งมีหงอนสีแดงตามมาด้วยร่างอันปกคลุมด้วยขนสีน้ำตาลแซมขาว


ถ้าเพียงแค่ตัวเดียวคงไม่มีปัญหาทว่าพอตัวแรกโผล่ออกมาตัวที่สอง สามและสี่ก็ตามออกมาเล่นเอาผมเบี่ยงตัวหลบแทบไม่ทัน และอาจเพราะเพ่งสายตาไปยังไก่ตัวเต็มวัยเลยไม่ทันสังเกตเหล่าลูกเจี๊ยบตัวสีเหลืองขนปุกปุยที่ตามเหล่าแม่ๆมาเป็นขบวนส่งผลให้ขาไขว่กันเองในจังหวะเบี่ยงตัวหลบลูกเจี๊ยบ


ร่างของผมเซล้มลงไปตรงพุ่มไม้พร้อมเหล่าลูกเจี๊ยบกระโดดขึ้นมาบนตักเพื่อจะตามแม่ของตัวเองไป เสื้อสีเข้มที่ใส่อยู่บัดนี้ถกขึ้นเล็กน้อยจะแรกล้มทำให้ผิวผมสัมผัสกับลูกเจี๊ยบโดยตรง


“ซวยแล้ว...”ยังไม่ได้ทำพูดจบประโยคร่างกายก็เริ่มมีปฏิกิริยาหดเล็กลงพร้อมขนสีเหลืองปุกปุยขึ้นปกคลุมไปทั่วทั้งร่าง ในความโชคร้ายดูเหมือนจะมีความโชคดีอยู่บ้างคือเสื้อผ้าผมร่วงลงไปอยู่ใต้พุ่มไม้พอดีถ้าไม่มีใครมาแหวกดูคงไม่เห็นหรอก


แต่ในสถานการณ์นี้ไม่ใช่เวลามาห่วงเรื่องเสื้อผ้า


“รีบจับเร็วเข้า”


“ลูกเจี๊ยบ จับลูกเจี๊ยบก่อน”เสียงตะโกนของเหล่านักศึกษามาพร้อมกับฝ่ามือที่รวบตัวผมขึ้นไป แน่นอนว่าผมคงไม่ยอมให้ถูกจับได้เลยจำต้องดิ้นจนหลุดออกมาได้


พอได้จังหวะผมในร่างลูกเจี๊ยบตัวสีเหลืองก็วิ่งสุดแรงไปหาที่หลบภัยรอให้เหตุการณ์นี้ผ่านไปแล้วค่อยแอบกลับมาเอาเสื้อผ้าทีหลัง


“อย่าหนีเลยลูกเจี๊ยบ”นักศึกษาสาวกลุ่มหนึ่งวิ่งมาดักหน้าฝูงไก่และเหล่าลูกเจี๊ยบ พวกเธอก้มลงต่ำแล้วอ้ามือออกเตรียมคว้าตัวสัตว์ตรงหน้า


ถือเป็นวิธีจับที่ดี


แย่แล้ว...มาทั้งด้านหน้าและด้านหลังเลย


แบบนี้ถูกจับได้แน่


ผมในร่างลูกเจี๊ยบหันซ้ายขวาเพื่อมองหาทางออกก่อนเสียงเปิดบาดเกร็ดจะดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงเหมือนของหล่นและฝ่ามือที่อุ้มร่างผมขึ้นไปกุมไว้แนบอก สัมผัสของไออุ่นกับกลิ่นนี่ผมรู้จักดี


ไม่จำเป็นต้องเงยหน้ามองก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร


มีเพียงคนเดียวเท่านั้นแหละ


เบซิล


“อาจารย์ซิล?”นักศึกษาหลายคนมีทีท่าตกใจเมื่อเห็นอาจารย์สอบวิชาเขียนโปรแกรมกระโดดออกมาจากด้านในตัวตึกเพื่อมาอุ้มลูกเจี๊ยบตัวนึง


“เดี๋ยวอาจารย์จะช่วย”เบซิลคลี่ยิ้มสะกดใจสาวๆได้ในพริบตา


เสน่ห์เหลือล้นจริงๆ


เบซิลทำตามคำพูดคือจับไก่อีกตัวอุ้มแนบกับเอวเดินไปยังกรงไก่ไข่ที่เปิดอ้าออก ไก่หลายตัวบัดนี้ถูกนำกลับมาไว้ในกรงเหมือนเดิมแล้ว เมื่อวางแม่ไก่ตัวโตลงเรียบร้อยเบซิลจึงเดินออกมาจากกรงโดยแอบอุ้มผมออกมา


ตั้งมาเข้ามาทำงานยังมหาวิทยาลัยแห่งนี้พวกผมไม่ได้กลับไปนอนคอนโดอีกเนื่องจากมีห้องพักสำหรับอาทิตย์ให้ ได้ชื่อว่าห้องพักอาจารย์คงไม่รวมผมด้วยทว่าเบซิลดันไปบอกกับทางนั้นว่าอยากให้ผมมาอยู่ร่วมห้องด้วย ซึ่งผมไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนัก รู้อีกทีคือได้รับอนุญาตให้มาอยู่ห้องเดียวกับเบซิลแล้ว


ด้วยระดับของการหวาดล้อมทางวาจาคงไม่มีใครเก่งไปกว่าเบซิล


เขาสามารถพูดสิ่งที่ผิดให้กลายเป็นถูกได้


ผมเชื่อแบบนั้น และคิดว่าจริงด้วย


ห้องพักขนาดกลางไม่ได้กว้างเท่าห้องผมแต่ก็ถือว่าอยู่กัน2คนได้อย่างไม่แคบมากนัก ปัญหามีเพียงเตียงเดี่ยวขนาด3ฟุตที่ดูยังไงก็นอนได้แค่คนเดียว แต่ฝ่ายเบซิลกลับบอกให้นอนด้วยกัน


มันจะอัดกันนอนได้ยังไงล่ะ


สุดท้ายเรื่องนี้เลยจบลงที่ผมกับเบซิลสลับกันนอนพื้นกับเตียงคนละวัน


“ใบไธม์...สินะ”พอเข้ามาอยู่ในห้องแล้วเบซิลวางผมลงบนเตียงแล้วขยับหน้าเข้ามามองใกล้ๆคล้ายกำลังสังเกตว่าเป็นผมจริงๆรึเปล่า


ในเมื่อไม่สามารถพูดภาษาเดียวกันได้ผมเลยจำต้องใช้ภาษาร่างกายคือผงกหัวขึ้นลงเพื่อตอบว่าใช่


“ดีนะที่พามาไม่ผิด ขืนผิดคงต้องกลับไปกรงไก่”สีหน้าเบซิลดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย


ถ้าผมสามารถพูดได้ผมจะถามเขารู้ได้ยังไงว่าผมเป็นลูกเจี๊ยบตัวไหน


ตัวกลมๆมีขนสีเหลืองปกคลุม ร่างผมในตอนนี้ไม่มีอะไรแตกต่างกับลูกเจี๊ยบตัวอื่นสักนิด


“ต้องใช้เวลาสักพักถึงจะกลับร่างได้ใช่ไหม”เบซิลถามต่อ


ผมพยักหน้าส่งไปให้ก่อนจะพยายามตั้งสมาธิเผื่อจะช่วยให้สามารถกลับร่างได้เร็วขึ้นแม้เพียงสักนิดก็ยังดี อย่างที่เคยบอกไปปมไม่สามารถควบคุมการกลับร่างได้ดีนัก มันไม่ได้มีกฎตายตัวว่าถ้าทำแบบนี้แล้วจะกลับร่างได้เลย


กว่าร่างขนปุกปุยสีเหลืองจะกลับคืนมาเป็นเนื้อหนังของมนุษย์ก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมง ตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงเบซิลยังคงอยู่ข้างๆและคุยด้วยเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งผมคืนร่างดวงตาสีเขียวก็ยังจับต้องมาอย่างไม่ละสายตา


“...มองพอรึยัง”ต่อให้ไม่มีส่วนเว้าส่วนโค้งเหมือนผู้หญิงแต่ใช่ว่าโดนมองขนาดนี้แล้วจะทำเฉยได้


โดนมองมากๆเข้าความรู้สึกแปลกๆก็แล่นเข้ามาไม่หยุด


“ยัง”


“เบซิล”ผมคว้าหมอนเหวี่ยงใส่อีกฝ่ายเต็มแรง และใช้โอกาสนั้นวิ่งไปเอาเสื้อผ้ามาสวม


“...จะรีบใส่ทำไม ขอผมมองอีกหน่อยเถอะ”


“คุณเป็นโรคจิตรึไง”


“อย่าเรียกว่าโรคจิต แค่สโตรเกอร์ของคุณเอง”


“...”ผมมอบความเงียบและสายตาเอือมๆให้เบซิล


“ถ้าเป็นคนอื่นคงหน้าแดงไม่ใช่ทำหน้าเอือมแบบนี้”


“ผมไม่ใช่ผู้หญิง”จะให้หน้าแดงกับคำพูดคล้ายคนโรคจิตแบบนั้น?


ไม่มีทางซะล่ะ


“เรื่องนั้นผมรู้...แค่อยากให้เขินกันบ้างผมจะได้มีความหวังขึ้นมาหน่อย”


“หวังอะไร?”ผมขมวดคิ้วระหว่างถามกลับ


“นี่ใบไธม์...คุณไม่ได้ฟังคำสารภาพรักของผมเหรอ”เบซิลเองเริ่มจ้องเขม็งมาทางผม


“สารภาพรัก?”พูดถึงตอนไหน


เมื่อไหร่


และที่ไหน


ไม่เห็นจำได้เลย


“นี่คุณเมินคำสารภาพรักของผม?”


“...เปล่า ตอนนี้เราต้องสืบข้อมูลให้ได้ก่อน”ผมเปลี่ยนเรื่อง นาฬิกาตอนนี้บอกเวลา20.00หรทอสองทุ่มแล้วนั่นเอง


เวลาแบบนี้เหมาะแก่การออกไปสืบข้อมูล ยิ่งได้ข้อมูลมาเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งปลอดภัยมากเท่านั้น


ไม่รู้ว่าจะปิดบังตัวตนไปได้อีกนานเท่าไหร่


ผมคิดว่าทางมหาวิทยาลัยคงมีการสืบข้อมูลของผู้สมัครทุกคนอยู่แล้วแต่เพราะได้เบซิลช่วยสร้างตัวตนใหม่ขึ้นมาทั้งชื่อ สกุล ที่อยู่หรือแม้แต่ประวัติการศึกษา เพราะถ้ารู้ว่าผมสังกัดอยู่หน่วยสืบสวนพิเศษไม่มีทางที่จะรับผมเข้าทำงาน


“จัดการให้เสร็จทีละเรื่องก็ได้ วันนี้ดูเหมือนน่าจะมีคนมาหาอธิการบดีนะ”


“ได้แหล่งข่าวมาจากไหน”


“ดักฟังโทรศัพท์ช่วงพักกลางวัน”เบซิลตอบหน้าตาเฉย วันแรกที่มาถึงผมได้แอบรอบเอาเครื่องดักฟังไปติดไว้ในห้องของอธิการบดีซึ่งเครื่องนั่นเชื่อมต่อกับโน้จบุ๊คของเบซิลทำให้สามารถฟังเสียงหรือเหตุการณ์ในห้องได้


“แล้วมีข้อมูลอะไรเพิ่มบ้าง”ผมถามต่อ


“วันนี้ประมาณ4ทุ่มจะเข้ามาหา...เราอาจรู้ว่าคนคนนั้นเป็นใครกันแน่”


“แต่จะรู้ก็ต่อเมื่อเราไปดักรอดูหน้า”


“มีโอกาสทั้งทีก็บุกขึ้นไปดูหน้าจังๆเลยสิ ผมจะได้เอาข้อมูลที่คอมนั่นด้วย”เบซิลเสนอ


“ตอนแรกก็คิดไว้แบบนั้นแต่ถ้าพวกเขาอยู่ในห้องแล้วจะเข้าไปเอาข้อมูลยังไงล่ะ...คิดจะแยกกันไป?”ผมเริ่มเข้าใจว่าเบซิลต้องการสื่ออะไร


“ใช่ พวกเขาน่าจะพบกันในห้องส่วนตัวด้านข้างคุณก็จัดการทางนั้นส่วนผมจะลอบเข้าไปเอาข้อมูลเอง คุณคงจะแปลงเป็นนกสินะ”เบซิลถามต่อ


“อืม นกคงจะทำให้งานง่ายขึ้น”ยังไงสัตว์ปีกถ้ามีอะไรเกิดขึ้นแค่บินขึ้นฟ้าก็ไม่มีใครจับได้แล้ว


“นี่เป็นกล้องขนาดจิ๋ว พอกลายเป็นนกแล้วผมจะติดนี่ไว้ที่คอคุณ”กล้องขนาดจิ๋วบนมือเบซิลนั้นคล้ายเขาจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าแผนจะเป็นยังไง


“ตามนั้น”


พวกเราพูดคุยกันเรื่องแผนไม่นานต่างฝ่ายต่างก็แยกไปทำหน้าที่ของตัวเอง บางทีการแยกกันทำงานก็ทำให้ความสำเร็จเพิ่มขึ้น ยิ่งกับงานที่จำเป็นต้องอาศัยทักษะเฉพาะตัวแบบนี้ด้วย


ร่างผมตอนนี้กำลังสยายปีกสีเทาโบยบินขึ้นไปด้านบนตึกในชั้น9ซึ่งเป็นชั้นส่วนตัวของอธิการบดี ไม่ว่าจะเป็นห้องไหนก็ต้องมีหน้าต่าง ผมเกาะอยู่ที่ขอบระเบียงโดยหันหน้าเข้าไปในห้องมองภาพชายหญิงคู่นึงกำลังยืนจับมือพูดคุยและส่งยิ้มหวานให้กัน


ใบหน้าของฝ่ายหญิงรู้ๆกันอยู่ว่าเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ แต่ด้านของฝ่ายชายนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นเต็มๆตา ใบหน้าของชายมีอายุกับรอยปานบริเวณแก้มนั่นสร้างความตกใจให้ผมพอสมควร


พลตำรวจโท เกษมศักดิ์ จิระการณ์


นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ได้ชื่อว่ารักสันติมากกว่าใคร ไม่ชอบการใช้กำลังหรือปรักปรำคนผิด มีผู้ต้องสงสัยหลายคนถูกเขาช่วยให้รอดพ้นความผิด อีกทั้งยังเป็นคนรักครอบครัว เขามีภรรยาอายุน้อยกว่าและลูกอีก2คน


คนเรานี่มองแต่ภาพลักษณ์ภายนอกไม่ได้จริงๆ


ภาพลักษณ์แสนงดงามนั่นสร้างขึ้นปิดบังความจริงอันคาดไม่ถึงไม่ว่าจะเป็นการฟอกเงินหรือการนอกใจภรรยา ยังไงตอนนี้ก็มีหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอแล้ว เหลือแค่หลักฐานการฟอกเงินในคอมพิวเตอร์ด้านนอกนั่นเท่านั้น


ผมไม่ค่อยเป็นห่วงว่าเบซิลจะทำพลาดเพราะทั้งตารางเวรของยามหรือที่อยู่ของกล้องวงจรปิดเขาต่างรู้ดีอยู่แล้ว เบซิลจะแฮ็กเข้าระบบรักษาความปลอดภัยเพื่อใช้ภาพซ้อนการทำงานของกล้องวรจรปิดแต่ละตัว พูดง่ายๆคือต่อให้เดินผ่านกล้องวงจรปิดก็จะไม่ปรากฏภาพของเรา


เป็นวิธีแสนสะดวกที่หากจบงานคงต้องขอให้สอนบ้าง


ผมเก็บภาพเหล่านั้นสักระยะก่อนจะบินกลับลงมายังห้องพักที่เปิดกระจกหน้าต่างแง้มเอาไว้ล่วงหน้า หว่างบินผมป่านกระจกบานข้างๆและเห็นเบซิลกำลังออกจาห้องพอดี


สงสัยว่าจะจัดการข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้ว


ร่างของนกพิราบกลับคืนเป็นมนุษย์ในเวลาต่อมาแต่เบซิลที่ควรจะกลับมาในเวลาไล่เรี่ยกันกลับยังไม่เห็นแม้แต่เงาผมจึงตัดสินใจลอบเข้าไปตัวอาคารอีกครั้งทว่าครั้งนี้ผมมาในร่างของมนุษย์


เข้ามาได้ไม่ไกลจากประตูนักก็พบเบซิลกำลังปะทะกับยามคนหนึ่ง สองร่างล้มลงและกลิ้งไปตามพื้น ผมไม่รอช้าวิ่งเข้าไปดึงร่างของยามให้แยกออกจากเบซิลพร้อมคว้ามือที่เหน็บเอวอยู่โยนออกไปไกลๆกันไม่ให้มีการใช้อาวุธเกิดขึ้น


“แค่ก...”เบซิลไปออกมาเล็กน้อยระหว่างมองผ่านความมืดมายังผมที่เป็นฝ่ายปะทะกับคนร้ายแทน


“หยุดอยู่กับที่ถ้าไม่อยากโดนยิง”เสียงของยามอีกคนดังขึ้นพร้อมปืนกระบอกดำที่เล็งมาทางผม


“ถ้าทางนั้นยิง ทางนี้ก็จะยิงเหมือนกัน”เบซิลเอ่ย ปืนที่ผมปัดไปเมื่อครู่ตอนนี้อยู่ในมือของเบซิลแถมยังเล็งไปทางยามผู้มาใหม่อีกต่างหาก


เบซิลยิงปืนเป็น?


ผมขมวดคิ้วท่ามกลางความมืด ในหัวมีประโยคเดิมๆรอยมาไม่ขาด


“อยากให้ฉันยิงเพื่อนแกรึไง”


“มาลุ้นกันไหมล่ะว่าใครจะโดนยิงก่อน”น้ำเสียงเปี่ยมความมั่นใจทำให้อีกฝ่ายเริ่มแสดงอาการตระหนกปนลังเล


ส่วนตัวผมไม่คิดจะรอวัดฝีมือปืนของเบซิลจึงชกเข้ายังท้องของยามคนแรกจนสลบไป และอาศัยจังหวะที่เบซิลกำลังดึงดูดสายตาให้พุ่งตัวเข้าไปใช้เท้าเตะสูงไปยังกระบอกปืน


“มาเร็ว”ผมตะโกนเรียกพร้อมคว้าข้อมือเบซิลวิ่งหนี


ขืนปล่อยไว้นานกว่านี้คงได้มียามมารวมตัวกันมากขึ้น


“...มีคนบุกรุก รีบมารวมตัวที่เขต3ด่วน”พูดไม่ทันขาดคำฝ่ายนั้นก็เริ่มติดต่อกับพรรคพวกแล้ว


“ใช้ปืนยิงไปที่วิทยุสื่อสารเลย”ผมหันไปบอกเบซิล


“ได้”เบซิลพยักหน้าเข้าใจก่อนจะยกมือขึ้นเล็งเป้าและยิง


ปัง


กระสุนนัดแรกถูกยิงออกไปทว่าวิทยุสื่อสารในมือของยามยังคงปลอดภัย ไม่นานหลอดไฟที่ห้อยอยู่ด้านบนก็ตกลงมาบนพื้นอย่างแรงจนแตกละเอียด


อย่าบอกนะว่าเล็งไปที่วิทยุสื่อสารแต่กระสุนดันไปโดนหลอดไฟ?


ต่อให้ไม่แม่นมันก็ไม่น่าจะพลาดขนาดนี้มั้ง


“เดี๋ยวผมจัดการเอง”ผมพูดแล้วเตรียมคว้าปืนมา


“ผมขอแก้ตัวอีกนัด รับรองโดนแน่ๆ”เบซิลบอกพร้อมยิงกระสุนออกไปอีกนัด แต่แล้ววิทยุสื่อสารก็ยังคงทำงาน เสียงจากปลายสัญญาณดังขึ้นว่ากำลังรีบตามมาสมทบ


“พอเลย เอามาเร็วเข้า”ถ้าไม่รีบจัดการอีกฝ่ายคงได้ตามคนมาดักทางจนหนีไม่รอดแน่ๆ


ไม่รู้ว่านัดนั้นไปโดนอะไรเข้าแต่ไม่เกิดความเสียหายก็นับว่าดีแล้ว


“อีกรอบ ขออีกรอบ”


“ไม่ใช่เวลาเล่นนะ”นี่คิดว่าเรากำลังเล่นเกมอยู่รึไง


“ครั้งนี้โดนแน่”เบซิลพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจก่อนกระบอกปืนสีดำจะถูกยกขึ้นเหนือหัว ผมขมวดคิ้มองตามภาพนั้นก่อนดวงตาสีน้ำตาลของผมจะเบิกกว้างเมื่อเบซิลขว้างกระบอกปืนนั่นใส่วิทยุสื่อสารจนกระเด็นไปไกล


ใช้กระสุนไม่โดยแต่กลับใช้มือขว้างแล้วโดนเนี่ยนะ


ไม่รู้ว่าควรชมหรือบ่นดีแถมยังโยนหลักฐานลายนิ้วมือไปให้ฝ่ายนั้นอีก


จะยังไงก็ช่างตอนนี้เราได้หลักฐานมาแล้วต้องรีบกลับไปรายงานพร้อมวิเคราะห์หลักฐานที่ได้


ไม่สิ...ที่ต้องทำเป็นอย่างแรกคือพาเบซิลไปฝึกยิงปืนต่างหาก


ฝีมือระดับนั้นผมไม่กล้าปล่อยให้เขาถือปืนอีกแน่!

..............................................................

สวัสดีค่ะ

ตอนนี้ได้ครบทุกรสชาติเลยทั้งฉากกลายร่างทั้งฉากบู๊

แต่งไปก็ตลกไปโดยเฉพาะตอนสุดท้ายที่เบซิลเขวี้ยงปืนใส่วิทยุสื่อสาร ถึงจะวางคาแร็กเตอร์ไว้ว่าเบซิลไม่เก่งด้านการต่อสู้แต่พอมาลงลึกรายละเอียดก็รู้สึกขำ ยิงปืนได้แต่ไม่โดยดลยให้ปาเอา

เราชอบฉากนี้มากพูดเลย 555

เนื้อหาของเรื่องเข้าสู่ช่วงเข้มข้นแล้ว เราวางเรื่องไม่ให้หนักเกินไปจะค่อยๆ กระจ่างทีละน้อยนะคะ

มีคำถามถามเข้ามาจากเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนเกี่ยวกับใบไธม์ เรื่องอาหารที่ใบไธม์กินได้นั้นนอกจากพืชผักแล้วก็จะมีนมค่ะ แน่นอนว่าไข่ก็ไม่สามารถกินได้เนื่องจากถือเป็นเนื้อสัตว์เช่นกันค่ะ

หวังว่าตอนนี้จะทำให้ทุกคนสนุกตื่นได้นะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊สยบายค่า

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จะโดนจับได้ไหมนะ  :hao4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

จะเรียกว่า "อวดเก่ง" ได้ไหมเนี่ย?

ยิงกี่ครั้งก็พลาดแต่ยังยืนกรานจะทำให้สำเร็จด้วยการขว้างหลักฐานมัดตัวไปให้อีกฝ่ายเนี่ยนะ?

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด