My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (พิเศษส่งท้าย) 7/2/62 P.6 -จบ-
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก (พิเศษส่งท้าย) 7/2/62 P.6 -จบ-  (อ่าน 51387 ครั้ง)

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
ซิลเอ้ยยยยย สงสารใบไธม์เลย

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
จะซวยเพราะรอยนิ้วมือบนปืนไหมล่ะนั่น ยิงไม่แม่นแต่ขว้างแม่นซะงั้น

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Toon_TK

  • เ ด็ ก อ้ ว น
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
สืบรัก彡คดีที่11




**ก่อนจะอ่านกันต่อเราขอชี้แจงอะไรนิดนึงนะคะเพราะไม่ได้มีเขียนอธิบายไว้ตอน จากตอนที่แล้วเบซิลโยนปืนไปให้ยามหลายคนคงคิดว่ามีรอยนิ้วมือของเบซิลอยู่แต่ความจริงแล้วไม่มีค่ะ การแฮ็กข้อมูลของเบซิลจำเป็นต้องแตะต้องคอมบนห้องเลยมีการเคลือบนิ้วกันเรื่องลายนิ้วมือไว้ล่วงหน้าแล้วไม่งั้นทางนั้นสามารถตรวจสอบลายนิ้วมือจากคอมได้ค่ะ จบการแก้ข่าวให้เบซิลค่าาา เชิญทุกท่านอ่านต่อได้เลยนะคะ**




ชีวิตของคนวัยทำงานมักเริ่มต้นในช่วงเช้าเสมอ แม้จะเป็นหน่วยสืบสวนพิเศษที่มีการผ่อนผันทว่าในเวลาที่กำลังมีเหตุการณ์ความไม่สงบซึ่งอาจส่งผลต่อประเทศได้ง่ายๆถือเป็นข้อยกเว้น ข้อมูลจากการเข้าไปแอบสืบในมหาวิยาลับชื่อดังเมื่ออาทิตย์ก่อนถูกนำมารวมกับข้อมูลอื่นๆที่ทุกคนช่วยกันหาโดยเร็ว


เพราะแบบนั้นวันนี้ทุกคนในหน่วยจึงมาอยู่กับพร้อมหน้าไม่เว้นแม้แต่หัวหน้าไพลสันต์ ห้องทำงานใหม่พึ่งถูกซ่อมแซมครั้งใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ และได้มีชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับใช้ประชุมเพิ่มเข้ามา


เอกสารมากมายวางกระจายอยู่บนโต๊ะเพื่อใช้ดูข้อมูลและหาความสัมพันธ์ของของคนแต่ละคน ด้านหลังบริเวณกำแพงสีขาวมีจอโปรเจ็กเตอร์เปิดฉายคลิปแอบถ่ายที่ถูกตัดเฉพาะช่วงช่วงสำคัญ


จะให้เห็นตอนผมในร่างนกบินขึ้นลงไม่ได้เบซิลจึงจัดการเรื่องนี้ให้


“นี่อาจเป็นคดีที่ใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี”หัวหน้าไพลสันต์เปิดเอกสารในมือพลางเอ่ยเสียงเรียบ


“ควรพูดว่าใหญ่ที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งหน่วยเลยดีกว่าครับ”จิวพูดต่อ ใต้ตาของจิวเริ่มคล้ายหมีแพนด้าเข้าไปทุกทียิ่งช่วงนี้ต้องสืบข่าวเขาแทบไม่มีเวลานอนด้วยซ้ำ


“...นั่นเวอร์ไปมั้งจิว ง่วงชะมัด”แม็กเองก็มีสภาพไม่ต่างกับจิวนัก ใต้ตาสุดคล้ำนั่นทำเอาผมรู้สึกอยากให้พวกเขาไปนอนพักผ่อนสัก2ชัวโมงแต่เรื่องนี้ต้องรีบจัดการโดยเร็วที่สุด เพราะงั้นขอโทษนะจิวแม็ก


อดทนอีกสักนิดเถอะ


“ถ้าพูดถึงคดีที่ยากที่สุดคงต้องเป็นคดีจับแก็งอาวุธข้ามชาติเมื่อ3ปีก่อน”เบียร์พูดพลงหมุนปากกาในมือเล่น


“ใช่ๆ คดีนั้นน่ะกว่าจะหาข้อมูล กว่าจะวางแผน กว่าจะบุกเข้าไปจับตัวคนร้ายใช้เวลาไปถึง4เดือนแถมทางเรายังได้รับความเสียหายกลับมาอีก”สกายพยักหน้าเห็นด้วยกับเบียร์


“ความเสียหาย?”เบซิลขมวดคิ้วถาม ดูเหมือนจะเป็นประเด็นน่าสนใจสำหรับเบซิลถึงได้ถามต่อ


ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่น่าสนใจเขาคงปล่อยผ่านไปแล้ว


“อืม พวกเราที่บุกเข้าไปปะทะกับแก็งนั้นตรงๆ หัวหน้าถูกยิงเข้าที่ขาโชคดีที่ไม่โดยเส้นประสานเลยไม่ส่งผลกระทบอะไรกับการใช้ชีวิต ไธม์เองก็เข้ามาปกป้องพวกเราจนกระดูกแขนหัก ต้องเข้าเฝือกไปถึง2เดือนเต็ม”สกายอธิบายให้เบซิลฟังเป็นฉากๆ


“คุณพลาดท่าด้วย?”เบวิลหันมามองหน้าอย่างไม่ค่อยเชื่อคำพูดสกายนัก


“ผมก็คนนะคุณ อย่าเรียกว่าพลาดท่าเลย ในสถานการณ์นั้นแขนหักน่ะถือว่าเป็นอาการเบาที่สุดแล้ว”ผมในตอนนั้นวิ่งเข้าไปช่วยแม็กที่กำลังจะโดนยิงเลยต้องปะทะกับคู่ต่อสู้ถึง5คนพร้อมกัน ถึงจะสามารถจัดการได้แต่ระหว่างการต่อสู้แขนผมกระแทกเข้ากับชั้นกล่องเหล็กอย่างรุนแรงจนกระดูกหัก


เรื่องราวก็ประมาณนี้


“ถ้าผมอยู่ด้วยคงไม่ปล่อยให้คุณแขนหักแบบนั้น”


“...ด้วยฝีมือการยิงปืนอันแสนแม่นยำ?”ผมยกยิ้มมุมปากระหว่างถาม


คำพูดแสนมั่นใจนั่นไม่ได้สร้างความน่าเชื่อสักนิดหากฝีมือและทักษะการต่อสู้รวมถึงการใช้ปืนยังเป็นเหมือนที่ผมเห็นก่อนหน้านี้


“แขวะกันอีกแล้ว”


“ผมแค่พูดความจริง”ความจริงล้วนๆแบบไม่มีการปรุงแต่งด้วย


“น่าจะพาเขาไปฝึกยิงปืนนะไธม์”หัวหน้าเอ่ยแทรก


“ผมก็คิดไว้แต่ต้องรอให้เราได้ข้อมูลมัดตัวที่แน่นอนกว่านี้ก่อน”ผมคิดไว้แล้วว่าถ้ามีเวลาต้องพาเบซิลไปสนามยิงปืนให้ได้ แต่ช่วงนี้ยังไม่พร้อมถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้นผมคงจะหาของแถวนั้นให้เบซิลขว้างใส่ศัตรูไปก่อน


ฝีมือการขว้างค่อนข้างแม่นมากทีเดียว


“นั่นสิ ต่อให้เราจะได้ชื่อของพลตำรวจโท เกษมศักดิ์ จิระการณ์มาแต่ใช่ว่าเขาจะเป็นตัวการณ์ของเรื่องราวทั้งหมด อาร์มคิดว่าไง”หัวหน้าหันไปขอความเห็นอาร์มซึ่งนั่งเงียบมาตั้งแต่เริ่มประชุม


ถ้าถามว่าทำไมถึงเงียบ เหตุผลง่ายๆก็คือหลับอยู่ไงล่ะ แถมยังเป็นการหลับแบบโจ่งแจ้งด้วย มือสองข้างยกขึ้นกอดอกตัวแน่นไว้แน่นพร้อมเอียงคอเล็กน้อยให้อยู่ในจังหวะพอดี ที่นั่งของอาร์มอยู่ตรงข้ามกับหัวหน้าจึงเป็นไปไม่ได้ที่หัวหน้าจะมองไม่เห็น


ขนาดผมนั่งเฉียงยังเห็นปากที่อ้าออกกว้างนั่นชัดเจนเลย


“ฮะ? ฮือ?...เอ่อ ขออีกรอบครับหัวหน้า”คนถูกเรียกสะดุ้งตัวโยน


“ฉันถามว่าเธอคิดว่ายังไง”หัวหน้าดูเหมือนใจดีที่ถามซ้ำแต่เล่นถามแค่นั้นคนที่ไม่ได้ฟังตั้งแต่ต้นจะตอบได้ยังไงล่ะ


“...ผมคิดว่าควรหาข้อมูลให้มากกว่านี้ก่อน ใช่ไหมซัน”อาร์มใช้ศอกแตะซันเป็นเชิงขอให้ช่วย


“ไม่รู้ ตอบเองสิ”


“อย่าทิ้งกันสิเพื่อน”


“อยากหลับเองนี่ช่วยไม่ได้”คำพูดของซันทำเอาคนแอบหลับแบบโจ่งแจ้งถึงกับพูดไม่ออก


“กลับเข้าเรื่องก่อน จากที่พวกเราหาข้อมูลมาเหมือนพลตำรวจโท เกษมศักดิ์ จิระการณ์จะเป็นตัวหนักในการฟอกเงิน ใช่ไหมเบซิล”เบียร์ปล่อยผ่านเรื่องอาร์มแล้ววกกลับเข้ามาประเด็นหลัก


“อืม จากการแฮ็กดูบัญชีของอธิการมหาลัยนั่นมีหลายบัญชีที่โอนเงินเข้ามาในวงเงินซึ่งมากว่าปกติหนึ่งในประวิติมีชื่อของพลตำรวจโท เกษมศักดิ์ จิระการณ์อยู่เกือบทุกสัปดาห์ พอลองเจาะเข้าไปดูในบัญชีของ เกษมศักดิ์ก็พบว่ามีบางคนโอนเงินพวกนั้นมาอีกต่อนึง”


“หมายความว่ามีคนอื่นอยู่เบื้องหลังอีก”ผมมสรุปเสียงเบา


พวกเราอาจมากันถูกทางแล้ว เหลือแค่สาวเข้าไปใกล้ผู้อยู่เบื้องหลังมากว่านี้


“ให้เดาต้องมียศเป็นพลเอก”จิวออกความเห็น


“คิดเหมือนกัน”เบียร์พยักหน้าเห็นด้วยกับจิว


“นี่พวกเราต้องเจอกับหนึ่งในขั้วอำนาจของฝั่งตำรวจเหรอเนี่ย”จูนพูดบ้าง


ปัจจุบันคนที่มียศพลเอกไม่ได้มีแค่คนเดียวแต่มีมากหลายสิบคนซึ่งในหมู่พลเอกจะมีคนหนึ่งถูกแต่งตั้งขึ้นมาให้เป็นศูนย์รวมของอำนาจ ส่วนมากจะเป็นคนที่มีฐานลูกน้องดีและมีความน่าเชื่อถือ เรียงง่ายคือเป็นผู้บัญชาการตำรวจนั่นเอง


“มีสองทางที่เป็นไปได้ตอนนี้...”ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคอยู่ๆร่างกายผมก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ในเสี้ยววินาทีผมก็กลายร่างเป็นสัตว์ตัวเล็กมีหางเป็นพวงยาวหรือกระรอก เบซิลที่เห็นถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตื่นตกใจแต่คนอื่นๆกำลังก้มอ่านเอกสารและเสนอความเห็นต่างๆกันโดยไม่ทันสังเกตุถึงสภาพผม


โต๊ะสำหรับประชุมค่อนข้างกว้างพวกเราเลยเว้นระยะกันพอสมควร


“พูดต่อสิไธม์ฉันฟังอยู่”หัวหน้าไพลสันต์ถามระหว่างก้มหน้าอ่านเอกสารในมือ


ซวยแล้ว


จะให้พูดต่อได้ยังไงในสภาพนี้ล่ะ


แต่ผมยังไม่ได้สัมผัสกระรอกเลยนะแล้วทำไมถึงได้กลายร่างเองได้...


อย่าบอกนะว่าถึงช่วงเวลานั้นแล้ว?


พลังของผมเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นการกลายร่างเป็นสัตว์ที่สัมผัสตัว ซึ่งแต่ละครั้งในการกลายร่างเหมือนร่างกายจะสะสมตะกอนของพลังในร่างสัตว์นั้นๆไว้จนกระทั่งเอ่อล้นออกมา


อธิบายง่ายๆคือใน1ปีจะมีประมาณ2ครั้งที่ผมจะกลายร่างเป็นสัตว์โดยไม่จำเป็นต้องสัมผัสสัตว์ใดๆ ที่แย่คือไม่ใช่แปลงครั้งเดียวและจะจบ ผ่านไปสักระยะผมจะเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์ตัวอื่นที่ผมสัมผัสในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา


ปกติจะเป็นช่วงเดือน6และเดือน12 ถ้าใกล้ๆเวลาผมมักจะลาหยุดแล้วอยู่แต่ในห้องทว่าครั้งนี้มีคดีใหญ่เข้ามาจนผมลืมเวลาไปเลย


“มีสองทางที่เป็นไปได้คือผู้บัญชาการตำรวจมีส่วนรู้เห็นในการกระทำครั้งนี้ อีกทางคือมีหนึ่งในระดับพลเอกมีส่วนร่วมและต้องการจะโค่นล้มอำนาจสูงสุดเผื่อตัวเองจะได้ขึ้นไปดำรงค์ตำแหน่งนั้นแทน”เบซิลพูดต่อแทนผมระหว่างนั้นอีกฝ่ายค่อยๆลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินมาคว้าทั้งเสื้อผ้าและตัวผมกลับไปนั่งอยู่เก้าอี้ตัวเดิมอย่างเนียนๆ


“ฮืม?...ไธม์ไปไหน”พอหัวหน้าเงยหน้าขึ้นจากเอกสารแล้วไม่เห็นผมจึงเอ่ยถามขึ้น และเพราะคำถามนั่นทำให้ทุกคนหันมามองที่นั่งผมเป็นตาเดียว


จะทำยังไงต่อล่ะเบซิล


ในสถานการณ์แบบนี้จะจัดการด้วยวิธีไหนกัน


“ผมกำลังจะบอกอยู่พอดี”เบซิลปรับใบหน้าและน้ำเสียงให้เหมือนยามปกติในพริบตา


“บอกอะไร?”


“ผมกำลังจะทำการวิเคราะห์ที่มาของเงินในบัญชีของ เกษมศักดิ์ จิระการณ์ อยู่...ไม่แน่ว่าเราอาจรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังจากการวิเคราะห์นี่ แต่ผมจำเป็นต้องใช้สมาธิเลยอยากขอกลับไปทำที่ห้อง ผมเลยให้ใบไธม์ออกไปที่รถก่อน”เบซิลอธิบายทุกอย่างด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ไม่มีอการตื่นตระหนกหรือติดขัดเลยสักนิด


คล้ายกำลังพูดเรื่องจริงอยู่


“ไม่มีปัญหา ถ้าได้ข้อมูลรีบมาบอกเลยนะ”


“เข้าใจแล้ว หวังว่าคุณคงไม่โกรธใบไธม์ที่ไปก่อนโดยไม่ลา?”


“ไม่นี่ เรื่องเล็กน้อยฉันไม่คิดมากหรอก ยังดีกว่าคนที่หลับอย่างโจ่งแจ้งตรงหน้านี่เยอะ”หัวหน้าตอบกลับ คนที่ว่าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอาร์ม เมื่อครู่ยังตื่นอยู่เลยแต่ตอนนี้กลับนั่งหลับอีกรอบ


“งั้นผมขอตัวก่อน”พอหัวหน้าพยักหน้าและทุกคนก้มลงอ่านเอกสารในมือพร้อมเสนอความคิดต่อเบซิลก็รีบหอบเสื้อผ้าโดยมีผมอยู่ด้านในเดินออกไปจากห้องโดยไม่ลืมกระเป๋าผมและของตัวเอง


ไม่รู้ว่าถือเป็นใชคดีหรืออะไรที่วันนี้ผมเอารถยนต์ออกมาใช้หลังจากไม่ได้ขับมาหลายอาทิตย์ เบซิลวางผมในร่างกระรอกและเสื้อผ้ากองไว้บนเบาะข้างคนขับแล้วขับรถกลับไปยังห้องพัก


ระหว่างการเดินทางร่างของกระรอกตัวเล็กก็แปรเปลี่ยนเป็นแมวสีส้มขนฟูฟ่องทำเอาเบซิลที่หันมามองถึงกับขมวดคิ้วแน่น


“แมว?...เกิดอะไรขึ้นกันแน่น่ะใบไธม์”


เหมี๊ยว


อยากจะอธิบายนะแต่รู้ๆกันอยู่ว่าในสภาพนี้ต่อให้อธิบายยังไงอีกฝ่ายก็ไม่เข้าใจอยู่ดี


“...เสียงร้องคุณน่ารักจัง”


แหง๊ว


ผมรีบส่งเสียงขู่พลางยกเท้าเผยกรงเล็บเล็กโชว์เพื่อสื่อว่าถ้ายังพูดต่อมากกว่านี้ได้เจอดีแน่


“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ไม่พูดแล้วก็ได้”สุดท้ายเบลซิลจึงยอมหยุด


พวกเรากลับมาถึงห้องในเวลาค่อนข้างนาน การจราจรในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ค่อนข้างติดโดยเฉพาะช่วงกลางวันที่ผู้คนพากันออกไปเที่ยวหรือกินข้าว เบซิลแอบอุ้มผมที่บัดนี้ร่างแมวเปลี่ยนแปลงเป็นนกพิราบหลบคนดูแลและกล้องมาจนถึงบนห้อง


ร่างของผมถูกปล่อยลงบนพื้นซึ่งผมกางปีกออกพร้อมบินไปเกาะยังขอบโซฟาตัวเล็กด้านข้างชั้นหนังสือ ข้าวของทุกอย่างเบซิลเป็นคนขนมาเพียงลำพัง


ถ้าไม่ได้เบซิลผมคงไม่สามารถกลับมาห้องได้โดยไม่มีใครเห็นแบบนี้


แล้วคงไม่รอดตั้งแต่นั่งประชุมแล้วด้วย


“เอาล่ะ ผมต้องทำยังไงต่อดีล่ะ ปล่อยไว้แบบนี้?”เบซิลมองมายังร่างนกของผม


ในเมื่อไม่สามารถพูดได้ผมจึงใช้ภาษกายอย่างการพยักหน้าแทนคำพูด ทันใดนั้นร่างของนกก็เริ่มขยายออก ขนสีเทาถูกแทนที่ด้วยผิวหนังของมนุษย์ ด้วยน้ำหนักซึ่งมากกว่าตอนเป็นนกทำให้ทั้งร่างร่วงลงมาอยู่บนพื้นในสภาพเปลือยเปล่า


“...ขอเสื้อให้ผม”ผมทำเป็นไม่สนใจสายตาที่จับจ้องมา ตั้งแต่รู้จักกันมาผมเปลือยต่อหน้าอีกฝ่ายไปกี่ครั้งแล้วเนี่ย


อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว


ต่อให้เป็นผู้ชายเหมือนกันใช่ว่าจะไม่รู้สึกอายยิ่งสายตาของเบซิลนั่นทำเอาร่างกายผมรู้สึกร้อนขึ้นอย่างบอกไม่ถูก


“นี่มันเรื่องอะไรกัน”เสื้อเชิ้ตสีอ่อนถูกส่งมาให้พร้อมคำถาม


“เป็นปกติน่ะ”สวมเสื้อเสร็จก็เดินไปหยิบท่อนร่างมาสวมต่อ


“ปกติ? จะบอกว่าเป็นนี้ตลอด?”


“ไม่ตลอด...น่าจะปีละ2ครั้ง”


“หมายถึงทุกครั้งที่เปลี่ยนร่างเป็นสัตว์ร่างกายจะทำการจดจำสัตว์เหล่านั้นไว้และพอถึงขีดจำกัดก็จะเกิดการปะทุออกมาในรูปแบบนี้...ผมเข้าใจถูกไหม”เบซิลวิเคราะห์ทุกอย่างก่อนจะเอ่ยออกมา


“...คุณวิเคราะห์ทุกอย่างได้จากคำพูดไม่กี่คำของผม?”รู้ว่าเบซิลเก่งการวิเคราะห์และฉลาดในเรื่องการเชื่อมโยงเรื่องราวแต่นี่ดูจะน่าตกใจเกินไปหน่อย ผมพูดกับเขาไม่ถึง5ประโยคแถมแต่ละคำที่เอ่ยแทบไม่ได้บอกข้อมูลอะไรเลย


“ส่วนนึง ผมเริ่มติดใจตั้งแต่ตอนเห็นร่างแมวและนก สองร่างนั้นผมเคยเห็นคุณเป็นมาก่อนเลยคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่ร่างกายจะจดจำสัตว์ทุกตัวยามสัมผัสหรือกลายร่าง”


“ถ้าคุณใช้ความสามารถนี่ในทางที่ดีหน่อยคงรวยล้นฟ้าไปแล้วไม่ใช่ต้องมาเสียเวลา20ปีไปกับการนั่งเล่นในคุกเหมือนในตอนนี้” ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะสามารถอ่านทุกอย่างได้ราวกับเป็นเรื่องง่ายแบบนี้


จะให้พูดอีกกี่ครั้งก็ได้ว่าเสียดายความสามารถนี่จริงๆ


“ต่อให้ย้อนกับไปได้ผมก็ไม่คิดจะเปลี่ยนเส้นทางหรอก”


“ทำไมล่ะ”ผมถามกลับด้วยความอยากรู้


“เพราะถ้าเปลี่ยนผมอาจไม่ได้เจอใบไธม์ ไม่ได้พูดคุย ไม่ได้เจอหน้า ไม่ได้อยู่ด้วยเหมือนในตอนนี้ ผมไม่คิดจะแลกช่วงเวลาที่ได้อยู่กับคุณกับของพรรนั้นหรอกนะ ไม่มีทาง”คำพูดพร้อมรอยยิ้มจากเบซิลทำเอาผมถึงกับทำตัวไม่ถูก


ถ้อยคำเหล่านั้นผมสัมผัสได้ถึงความจริงใจอันแฝงไปด้วยจริงจังกว่าทุกที


ผมรู้ว่าเขายึดติดกับผม แต่ไม่คิดว่าจะมากขนาดนี้


“...คุณยึดติดกับผมมากเกินไปนะ”คำพูดของเมเกอร์เป็นเหมือนเวทนมต์ที่ทำให้ทุกคนหลงกลและเชื่อไปกับประโยคเหล่านั้น
ผมไม่ควรเชื่อ


แม้จะรู้ทว่าน่าแปลก...ลึกๆผมกลับไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าคำพูดเหล่านั้นคือความจริง


“อาจจะเป็นแบบนั้น ผมไม่รู้ว่ามันถือเป็นการยึดติดหรืออะไร...แต่ผมไม่คิดจะเปลี่ยนความรู้สึก ต่อให้คุณจะทำเป็นเมินไปมากแค่ไหนผมก็จะบอก...ผมชอบคุณ”ดวงตาสีเขียวมรกตหันมาสบระหว่างเบซิลเดินก้าวเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น


ทั้งที่ควรจะถอยหลังหนีแต่ขากลับไม่ขยับราวกับถูกสายตานั่นตรึงไว้ไม่ให้ขยับไปไหน


จริงอย่างคำพูดของเขา...ผมทำเป็นเมินและเฝ้าบอกว่ามันเป็นเพียงคำพูดที่ไม่อาจเชื่อได้แม้จะรู้ดีอยู่แล้วว่ามันเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจของเบซิล


ไม่ใช่คำโกหกหรือหลอกลวง


“...เบซิล”


“ช่วยรับความรู้สึกนี้ของผมเถอะ อย่าเมินมันอีกเลย”


“...ถ้าผมรับรู้แล้วจะทำยังไงต่อ”ผมถามเสียงเบา พูดถึงขนาดผมไม่สามารถทำเป็นเมินหรือบอกกับตัวเองว่าคำพูดนั่นเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นได้อีกแล้ว


“มาคบกัน”


“ข้ามขั้นไป”


“เป็นแฟนกัน”


“ความหมายไม่ได้ต่างเลย”คบกันกับเป็นแฟนกันความหมายมันต่างกันตรงไหน


“คุณเกลียดผมเหรอใบไธม์”เบซิลถามกลับบ้าง


“ไม่ได้เกลียด”ผมส่ายหน้าเบาๆ ไม่จำเป็นต้องโกหกความรู้สึกตัวเอง


“แปลว่าชอบผม?”


ผมไม่ได้เกลียดเบซิลแต่ในขณะเดียวกันก็ยังไม่ได้ชอบถึงขนาดจะยอมตกลงคบด้วย


ความจริงผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกนี้มันมากพอที่จะให้คบกันรึยังเพราะประสบการณ์ด้านความรักของผมไม่ได้มีมาก อาจเคยคบกับผู้หญิงมาหลายคนก็จริงแต่ทุกคนเป็นฝ่ายมาขอคบและบอกเลิกในเวลาไม่นาน


ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะผมที่น่าสนใจไม่พอหรือไม่ได้เหมือนกับที่พวกเธอหวังไว้ละมั้ง


แต่ถึงจะเลิกผมไม่ได้รู้สึกหรือเสียใจมากมายนัก


พอมานึกดูตอนนี้ เป็นได้ว่าผมอาจไม่ได้รู้สึกชอบพวกเธอเลยถูกบอกเลิกแบบนั้น


ว่ากันว่าผู้หญิงมีเซ้นต์ด้านนี้ดีซะด้วย


“ยังไม่ถึงขั้นนั้น นี่เบซิล...คุณเจอกับคนมามากมาย เคยคบกับคนอื่นมาก็เยอะผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นผม ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา นิสัยหรืออย่างอื่นผมไม่ได้ดูโดดเด่นหรือน่าสนใจ คุณมีคนอีกมากที่เหมาะสมมากกว่า”ต่อให้เชื่อคำพูดของเบซิลแต่ใช่ว่าผมจะไม่สงสัย


คนธรรมดา มีชีวิตแสนธรรมดา


ที่ไม่ธรรมดาคงมีเพียงพลังนี้


ซึ่งผมไม่รู้ว่าอะไรที่ดึงดูดให้อีกฝ่ายสนใจ


“ใบไธม์...”ยังไม่ทันที่เบซิลจะจะอ้าปากร่างกายผมก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงผิวหนังของมนุษย์เริ่มมีขนสีขาวปุกปุยปกคลุมทั่วร่าง


ใช้เวลาไม่กี่วินาทีก่อนผมจะกลายร่างเป็นกระต่ายตัวขาวอ้วนกลมอย่างสมบูรณ์


กำลังคุยเรื่องสำคัญแท้ๆดันมากลายร่างซะได้


“อยู่ในร่างนี้ก็ดีเลย”อยู่ๆเบซิลก็เผยรอยยิ้มมุมปากพร้อมใช้มือสองข้างค่อยอุ้มร่างอันปกคลุมด้วยขนขึ้นมาในระดับสายตา ดวงตาสีเขียวมรกตของเบซิลประสานมายังดวงตาผมในร่างกระต่าย


ดียังไง


ผมอยากถามแต่ด้วยข้อจำกัดของสัตว์ทำให้ไม่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้


“ใบไธม์ ฟังผมนะ”


งี๊ด


ทั้งมือทั้งสายตามาขนาดนี้ผมคงจะไม่ฟังได้หรอก


“คุณคงรู้ดีว่าผมเจอกับผู้คนมามาก เคยคบกับชายหญิงมาก็เยอะซึ่งการกระทำเหล่านั้นอาจทำให้คุณไม่เชื่อว่าความรู้สึกชอบที่ผมมีต่อคุณเป็นของจริง...”


ใช่


ผมเผลอพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว


“ผมอยากให้มองแบบนี้ เพราะผมได้คบกับพวกเขามาทำให้ผมรู้ว่าความรู้สึกที่มีต่อคุณมันไม่เหมือนกับคนอื่น แตกต่างอย่างชัดเจน ผู้คนมากมายพอเห็นรูปลักษณ์ผมมักจะเข้าหาด้วยวิธีต่างๆไม่ว่าจะเชิญชวน ยั่วยวนหรือแม้แต่เรียกร้องความสนใจแต่กลับคุณไม่จำเป็นต้องทำอะไร แค่อยู่เฉยๆทำหน้านิ่งๆ...แค่นั้นก็ทำให้หัวใจผมมันพองโตได้แล้ว”


“ไม่จำเป็นต้องโดดเด่น ไม่จำเป็นต้องดูดีเพราะผมไม่ได้มองสิ่งเหล่านั้น ที่ผมมองมีเพียงคุณ...ตัวตนของคุณ ทุกอย่างนั้นทำให้ผมรักและอยากอยู่ใกล้ๆตลอดเวลา ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนนอจากคุณ...เพราะงั้นเชื่อเถอะ เชื่อคำว่ารักที่ผมพูดที”เบซิลเอ่ยทุกอย่างระหว่างประสานดวงตามา พอพูดจบเขาขยับมือที่อุ้มผมให้เข้าใกล้พร้อมมอบจุมพิตเบาๆแนบลงบนริมฝีปากผมในร่างของกระต่าย


ทุกประโยค


ทุกถ้อยคำ


ทุกการกระทำ


ทุกอย่างเบซิลสื่อความรู้สึกและความจริงใจออกมาเต็มเปี่ยม ราวกับเป็นกระแสน้ำเชี่ยวกราดที่ซัดเกราะป้องกันบริเวณหัวใจให้พังทลายโดยไม่ทันรู้ตัว


หัวใจเต้นรัวขึ้นและแรงขึ้นไปอีกเมื่อได้รับจูบเบาๆนั่น


มันไม่ได้จาบจ้วงแถมยังอยู่ในร่างสัตว์อีกแต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าร่างกายร้อนจนแทบไหม้


ผมรู้ทันทีว่าต้องจริงจังกับการคิดเรื่องนี้สักนี้


จะมัวแต่เมินและทำเป็นไม่สนใจไม่ได้อีกต่อไปแล้ว


เพราะถ้าปล่อยไว้ไม่ใช่แค่เบซิลที่จะต้องรอแต่เป็นผมเองที่สับสนกับความรู้สึกของตัวเองซึ่งบัดนี้กำลังตีกันจนคิดอะไรแทบไม่ออก


เกลียดไหม


ตอบได้เลยว่าไม่


ชอบไหม


อาจต้องคิดสักนิดแต่ตอบคงเป็น...ชอบ


ในตอนแรกผมอาจมองเขาเหมือนเป็นตัวกวนที่คอยปั่นหัวผมเล่นทุกครั้งเวลาเจอหน้ากันทว่าตอนนี้เมื่อได้อยู่ด้วยกันมากขึ้นมันมีความผูกพันธ์ที่ค่อยๆก่อนตัวขึ้น ภายใต้ความกวนแฝงไปด้วยความอ่อนโยนและจริงจัง


ยิ่งอยู่ด้วยกันมากเท่าไหร่ผมยิ่งสัมผัสได้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายที่เผยออกมามากขึ้นเรื่อยๆราวกับเบซิลยอมเผยนิสัยต่างๆให้ได้เห็น เป็นนิสัยที่คนอื่นอาจไม่เคยได้รู้มาก่อนซึ่งผมเผลอยิ้มไปกับนิสัยเหล่านั้นตลอด


ความรู้ดีๆนี่มันคงไม่ง่ายหากจะให้จางหายไป


หรือผมจะชอบเบซิลไปโดยไม่รู้ตัวกันนะ


หรือเป็นแค่ความรู้สึกที่มีต่อเพื่อน


ครั้งล่าสุดที่ได้คบใครก็เกิน5ปีมาแล้ว ผมจำความรู้สึกในตอนนั้นแทบไม่ได้จึงเปรียบเทียบไม่ได้



(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


กริ๋งงงง กริ๋งงงง


เสียงกดออดหน้าห้องเรียกผมที่จมอยู่ในความคิดตัวเองขึ้นมา เบซิลหันไปมองบานประตูพร้อมขมวดคิ้วแน่นคล้ายกำลังสงสัย ถ้าไม่สงสัยคงแปลกตั้งแต่เขามาอยู่ห้องผมไม่เคยมีใครมากดกริ่งสักครั้ง


“ผมไปเปิดนะ”เบซิลหันมามองผมในร่างกระก่ายพร้อมกับเอ่ยถาม


งี๊ด


ผมพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงอนุญาตเบซิลจึงวางผมลงบนพื้นแล้วเดินไปยังหน้าห้อง เมื่อเปิดประตูออกร่างของเด็กหนุ่มในวัยเรียนซอยผมสีดำสั้นในชุดลำลองก็ปรากฏเข้ามาในสายตา ในมือของเขามีถุงกระดาษซึ่งถ้าให้เดาด้านในคงเป็นกล่องข้าวกับนมเป็นแน่


เด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากโป๊ยกั๊ก น้องชายของผมเอง นานๆครั้งพ่อจะทำกับข้าวแล้วให้เขานำมาส่งให้ที่ห้องเหมือนอย่างในตอนนี้ ทว่าเมื่อผมอยู่ในร่างนี้ทำให้ใบหน้าแรกที่โป๊ยกั๊กเห็นเป็นเบซิล แน่นอนว่าทั้งคู่ไม่เคยเจอกันมาก่อน


“...เอ่อ นี่เป็นห้องของพี่ไธม์ คุณเป็นใครกัน”น้ำเสียงเรียบร้อยและท่าทางตื่นๆปนทำตัวไม่ถูกนั่นทำให้ผมรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่โป๊ยกั๊กแต่เป็นก้านพลู


อย่างที่เคยอธิบายคือป๊ยกั๊กมีพลังพิเศษที่สามารถพูดคุยกับตัวเองในกระจกได้ ว่ากันง่ายๆคือมี2บุคลิคในร่างเดียว แต่ไม่ว่าจะเป็นร่างก็ถือเป็นคนคนเดียวกันเพียงแค่มีนิสัยแตกต่างกัน พวกเราเลยตั้งชื่อให้อีกคนนึงว่าก้านพลูเพื่อให้ง่ายต่อการแยก


นิสัยของทั้งคู่เองมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โป๊ยกั๊กเป็นคนนิสัยห้าวๆหน่อย เก่งด้านกีฬาและการเป็นผู้นำ ทว่าด้านก้านพลูกลับเป็นตัวตนซึ่งตรงกันข้ามคือมีความเรียบร้อย ไม่กล้าแสดงออกและค่อนข้างขี้กลัว


มีไม่น้อยที่ทั้งคู่จะสลับกันออกมาแต่ผมไม่คิดว่าพ่อจะให้ก้านพลูออกมาส่งของถึงห้องผมแบบนี้


ถ้าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทางจะทำยังไงเล่า


พ่อนะพ่อ


สงสัยคงต้องโทรไปบ่นหน่อยแล้ว


“ฉันเป็นคนรักของพี่นายน่ะ เข้ามาสิโป๊ยกั๊ก”คำพูดของเบซิลไม่ได้ทำให้แค่ก้านพลูในร่างโป๊ยกั๊กขมวดคิ้วแน่นด้วยความสงสัยแต่ยังมีผมอีกคนที่อยากถามเหลือเกินว่ารู้เรื่องครอบครัวผมได้ยังไง


ให้เดาคงไม่พ้นสืบหาข้อมูลผมจากทางโน๊ตบุ๊คแน่


เรื่องข้อมูลผมยังไม่น่าโมโหเท่าประกาศเป็นคนรัก


งี๊ดด~


ผมไปเป็นคนรักของคุณตอนไหนกัน


ร่างกระต่ายขนปุกปุยสีขาวของผมส่งเสียงร้องให้อีกฝ่ายรู้ว่าผมไม่พอใจที่มาแอบอ้างเอาดื้อๆ


“พะ...พี่ไธม์ ร่างนั้น แถมยังมีคนคนนี้ นี่คุณรู้ว่า...พี่ไธม์...”ก้านพลูมองมายังผมในร่างกระต่ายสลับกับเบซิลด้วยความสับสน


“ใช่ ฉันรู้ว่าเขาสามารถกลายร่างเป็นสัตว์ได้”เบซิลอธิบายให้ก้านพลูฟัง


“พี่เป็นคนบอกเหรอ”


“อืม...เขาบอกฉันเมื่อหลายเดือนก่อน”


“...พี่ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครมาก่อน ทำไมถึงบอกคุณ...อีกอย่างทำไมถึงมาอยู่ห้องพี่ได้”ก้านพลูยิงคำถามรัวๆ ผมทนเห็นน้องมีท่าทีแบบนั้นไม่ไหวเลยวิ่งเข้าไปใกล้ใช้สองขาหน้ากระโดดเกาะขากางเกงของก้านพลู


พอเขาเห็นผมก็ก้มลงมาอุ้มผมขึ้นไปกอดแน่น


“บอกแล้วไงว่าฉันเป็นคนรักของใบไธม์”


งี๊ดดด~


ผมส่งเสียงค้านพลางส่ายหน้ารัวๆ


“พี่เขาบอกว่าไม่ใช่...ถ้าคุณคิดจะทำอะไรพี่ผม...ผมจะไม่ยอมอยู่เฉย จะเรียกโป๊ยกั๊กออกมาจัดการ”ก้านพลูบอกเสี่ยงสั่น ด้านลักษณะนิสัยไม่สู้คนและไม่มีทักษะด้านการต่อสู้คงไม่มีทางเลือกนอกจากสลับตัวกับโป๊ยกั๊กให้จัดการต่อ


“เรียก? นายคือโป๊ยกั๊กนี่ หน้าแบบนี้เหมือนกับรูปที่เจอเลย”เบซิลเริ่มมีทีท่าสงสัย


“...พี่ไธม์...”ก้านพลูเรียกผมระหว่างร่างกระต่ายแปลเปลี่ยนกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์อีกครั้งนึง เบซิลโยนเสื้อผ้ามาให้ซึ่งผมก็รับแล้วรีบสวมโดยเร็วที่สุด


“โทษที ตกใจสินะก้านพลู”ผมบอกพลางลูบเส้นผมสีดำนั่นเบาๆให้คลายความกังวลออก


“พี่อยู่ในช่วงนั้นของปีเหรอ”ก้านพลูถามต่อ ช่วงนั้นของปีเป็นชื่อเรียกช่วงเวลาที่ผมจะกลายร่างเป็นสัตว์สลับไปมากับมนุษย์เหมือนในวันนี้


“อืม เราเองก็เถอะ ออกมาข้างนอกคนเดียวไม่ค่อยปลอดภัยนะ น่าจะโทรมาพี่จะได้ไปหา”จะว่าผมขี้ห่วงก็ไม่ผิดหรอก ก้านพลูค่อนข้างน่าห่วงกว่าโป๊ยกั๊กเยอะ ถ้าเกิดเจออะไรขึ้นมาจะจัดการด้วยตัวเองไม่ค่อยได้


“ผมโทรแล้วแต่พี่ไม่รับผมเห็นว่าไม่ได้ไกลมากเลยมาหา...พ่อเองก็ฝากข้าวกล่องกับนมมาให้”


“ขอบคุณที่มาหานะ”


“ผมอยากเจอพี่เหมือนกัน เอ่อ...เขาเป็นใครเหรอ”ประโยคสุดท้ายก้านพลูหันไปมองหน้าเบซิลด้วยสายตาสั่นๆ คงเพราะถูกจ้องเขม็งมาเลยทำตัวไม่ถูก


เบซิลกำลังฟังข้อมูลที่ผมกับก้านพลูพูดพร้อมกับคิด วิเคราะห์ อีกไม่นานเขาคงสามารถสรุปเรื่องราวได้ทั้งหมดแม้ผมจะไม่อธิบาย


“เขาชื่อเบซิล ทำงานอยู่ที่เดียวกันเลยมาอยู่กับพี่ชั่วคราวน่ะ”


“แล้วที่บอกว่าเป็น...คนรัก?”


“อย่าเชื่อคำพูดของเขานักจะดีกว่า”


“เดี๋ยวสิใบไธม์ พูดแบบนี้เหมือนผมโกหกน่ะสิ”เบซิลเอ่ยค้าน


“ก็โกหกจริงๆนี่”ใครเป็นคนรักของคุณกัน


แค่ยอรับความรู้สึกรักมาไม่ได้ว่าผมจะยอมตกลงเป็นคนรักสักหน่อย


“ผมพูดเรื่องในอนาคตของเราต่างหาก”


“เบซิล”ผมกดเสียงต่ำเป็นเชิงบอกให้เลิกพูด


“...หยุดก็ได้ ว่าแต่น้องชายคุณเองก็มีพลังพิเศษเหมือนกันใช่ไหม”เบซิลเปลี่ยนเรื่องคุย คำพูดนั่นทำเอาก้านพลูถึงกับสะดุ้งแล้วหันมามองหน้าผม


“เขาไม่ใช่คนที่จะเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร ไว้ใจเรื่องนี้ได้”ผมแตะไหล่ก้านพลูเบาๆ


เรื่องอื่นอาจไม่น่าไว้ใจแต่ถ้สเป็นเรื่องพวกนี้เบซิลถือเป็นคนที่ไว้ใจได้คนหนึ่งเลยล่ะ


“ไม่บอกใครหรอก เป็นพลังที่สุดยอดไปเลยนะ...มี2ตัวตนในร่างเดียว คงเป็นบุคลิกที่แตกต่างกันพอดูถึงทำให้ใบไธม์เป็นห่วงขนาดนี้”


“...พี่บอกเรื่องพลังของผม?”ก้านพลูหันมาถาม


“เปล่า พี่ไม่เคยบอก”


“แต่ว่าเขา...”


“คงเพราะฟังคำพูดของพวกเราเลยได้ข้อสรุปออกมาแบบนั้น”ต่อให้มีเหตุผลยังไงก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าการคิดวิเคราะห์ของเขาช่างยอดเยี่ยม


“แค่ฟังก็รู้แล้วเหรอ”ก้านพลูทำหน้าไม่อยากเชื่อ


“ไม่อยากนี่ ฉันมีข้อมูลของคนรอบตัวใบไธม์อยู่แล้ว โป๊ยกั๊กเป็นน้องชายคนที่สองซึ่งมีทักษะด้านกีฬาไม่เป็นรองใครและมีความเป็นผู้นำสูง นั่นเป็นข้อมูลของโป๊ยกั๊กที่มีแต่พอเจอกันแม้จะมีรูปร่างเป็นโป๊ยกั๊กแต่ลักษณะนิสัยไม่ใช่ จะบอกว่ามีฝาแฝดก็ไม่ใช่อีก”


“อีกอย่างยังมีชื่อก้านพลูที่ใบไธม์เรียกด้วย เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกันมีเพียงอย่างเดียวคือโป๊ยกั๊กมีพลังพิเศษเช่นเดียวกับใบไธม์และพลังพิเศษนั่นคงไม่พ้นมี2บุคลิกในร่างเดียว”เบซิลอธิบายทุกอย่างออกมาให้ก้านพลูฟัง


“อย่างที่บอกไปว่าไม่ต้องกังวล เขาเชื่อใจได้”ผมย้ำให้ก้านพลูฟังอีกรอบ


“อืม ถ้าพี่ไธม์บอกว่าเชื่อใจได้ผมก็จะเชื่อ ช่วงนี้ไม่ค่อยกลับเลยทุกคนเป็นห่วงนะพี่”


“มีคดียุ่งยากเข้ามาน่ะ ถ้ามีเวลาจะกลับไปนะ”ผมตอบพร้อมรอยยิ้ม


“ระวังตัวด้วยนะพี่ไธม์”


“ขอบคุณ พี่จะไปส่งบ้าน”


“ไม่เป็นไรผมกลับได้ ไม่ไกลสักหน่อย”ก้านพลูส่ายหน้าปฏิเสธ


“แต่...”ยังไม่ทันได้เอ่ยจบร่างมนุษย์ของผมก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง ครั้งนี้ไม่ใช่แมวหรือกระต่ายแต่เป็นลูกเจี๊ยบตัวสีเหลือง
ลืมไปสนิทเลยว่าตัวผมเองไม่สามารถออกไปส่งใครได้ในตอนนี้


ขืนขับรถไปส่งแล้วเกิดกลายร่างในระหว่างนั้นคงขำไม่ออก


อันตรายกว่าให้ก้านพลูกลับเองอีก


“ผมเอารถมา แถมยังขับแข็งแล้วด้วยไม่มีปัญหา พี่อย่าห่วงเลย”ก้านพลูก้มลงมาบอกผมที่กำลังส่งเสียงเพื่อบอกบางอย่าง แต่รู้ๆกันว่ามนุษย์และสัตว์ไม่ได้พูดภาษเดียวกันจึงไม่อาจสื่อไปถึงได้


“งั้นถ้าถึงบ้านส่งไลน์มาบอกพี่เขาหน่อยละกัน”เบซิลเป็นคนพูดสิ่งที่ผมต้องการจะบอก


ดีจริงๆที่ตอนนี้มีเบซิลอยู่ด้วย


เขาสามารถอ่านท่าทางแล้ววิเคราะห์สิ่งต่างๆออกมาได้อย่างแม่นยำ


“ได้ครับ เอ่อ...ฝากดูแลพี่ไธม์ด้วยนะครับ”ก้านพลูสบตากับเบซิลตรงๆระหว่างพูด


“แน่นอน จะดูแลทั้งร่างกายและหัวใจเลย”


“...ถ้าคุณคิดจะเล่นๆผมว่าหาคนอื่นเถอะครับ”ผมตกใจไม่น้อยที่ได้ยินคำพูดนี้จากก้านพลู เขาไม่ค่อยกล้าแสดงความรู้สึกตัวเองออกมาเท่าไหร่ ทว่าครั้งนี้กลับมีน้ำเสียงจริงจังขึ้นมา


“ฉันจริงจัง”


“ได้ยินแบบนี้ก็ดีครับ งั้นผมขอตัว ไปก่อนนะครับพี่ไธม์”ก้านพลูส่งยิ้มบอกลาผมก่อนจะเดินออกจากห้องไป


ถุงกระดาษขนาดใหญ่วางอยู่บนพื้นถัดจากร่างลูกเจี๊ยบไปไม่ไกลนัก เบซิลเดินมาเปิดถุงออกแล้วหยิบกล่องข้าวสีชมพูออกมาวาง ตามมาด้วยถุงในนมในขวดแก้วรสชาติต่างๆวางเรียงรายอยู่ประมาณ10ขวดได้


“เหมือนผมจะผ่านด่านคุณน้องนะใบไธม์”เบซิลพูดหลังจากเอาของทุกอย่างไปเก็บเรียบร้อย


“คิดแบบนั้นเหรอ”ผมพึ่งกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์หลังกลายเป็นสุนัขสีน้ำตาลมาเป็นสิบนาที


“แน่นอน”


“ผ่านด่านน้องได้แต่ยังไม่ผ่านด่านผมสักหน่อย”


“ผมปูทางไว้ต่างหาก พอเป็นคนรักกันน้องๆจะได้ไม่ตกใจ”เบซิลเผยรอยยิ้มระหว่างพูด


“แล้วถ้าไม่ได้เป็นล่ะ”ผมถามต่อ


เอาความมั่นใจมากจากไหนนักนะ


“เรื่องจีบผมเก่งนะ ยังไม่เคยมีใครที่ผมจีบแล้วไม่ติด”


“ผมอาจเป็นคนแรกก็ได้”ของแบบนี้มันไม่แน่นอน ความรู้สึกของแต่ละคนแตกต่างกัน


บังคับให้ชอบหรือรักไม่ได้หรอก


“คุณน่ะเป็นทั้งคนแรกและเป็นคนสุดท้ายด้วย”ดวงตาสีมรกตเบนมาสบพร้อมกับเบซิลที่เดินเข้ามาใกล้มากขึ้น ตอนนี้ผมนั่งอยู่บนโซฟาในมือมีหนังสืออ่านเล่นอยู่เล่มนึง


“คนแรก...คนสุดท้าย?”หมายถึงอะไร


“ใช่ คุณจะคนแรกที่ผมรักและก็จะเป็นคนสุดท้ายที่ผมจีบอย่างจริงจังด้วย”พูดจบใบหน้าคมคายนั่นก็ขยับเข้ามาประชิด และเพียงพริบตาเดียวริมฝีปากผมก็ถูกช่วงชิงสระภาพโดยไม่ทันตั้งตัว


สัมผัสอุ่นๆของริมฝีปากที่แนบสนิทจนไม่เหลือช่องว่างเรียกหัวใจให้เต้นแรงขึ้น ทั้งที่ควรจะผลักอีกฝ่ายออกไปแต่ไม่รู้ว่าเพราะถูกดวงตาสีเขียวหรือเพราะคำพูดของอีกฝ่ายตรึงไว้ผมถึงได้แต่ปล่อยให้เบซิลทำตามใจจนกระทั่งยอมถอยออกไปเอง


ผมไม่รังเกียจสัมผัสเวลาจูบกับเบซิล


นี่อาจเป็นคำตอบอย่างดีถึงความรู้สึกของตัวเอง


แต่ผมยังไม่แน่ใจ


และผมคงไม่คิดจะบอกอีกฝ่ายจนกว่าจะแน่ใจว่าความรู้สึกนี่มันคืออะไรกันแน่
............................................................

มาต่อแล้วค่ะ

ครั้งนี้รอกันนานหน่อยกว่าจะอัพตอนต่อไป

เราไม่ค่อยได้พูดถึงน้องๆ วันนี้เลยเขียนให้มีฉากพบปะของน้องคนสุดท้องกับเบซิลบ้าง

แต่งแล้วก็สนุกไปอีกแบบ

นิสัยของใบไธม์เป็นคนคิดเยอะ เลยต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะเข้าใจความรู้สึกที่มีต่อเบซิล

เรื่องราวในตอนต่อไปจะเป็นยังไง...ไว้รอลุ้นกันนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ค่ะ

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ ma-prang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
เขาจูบกันแล้ววววว

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ตกลงใครรัก ใครหลงกันก่อนเนี่ย  :katai3:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

งุ้ย ๆ  เขาจูจุ๊บกัน

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เบซิลยังเก่งเรื่องวิเคราะห์และคิดเอาเองเหมือนเดิม ส่วนพี่ไธม์จะเรียกว่ากำลังเปิดใจได้รึเปล่าแต่ก็เหมือนยังลังเลอยู่นิดๆนะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :call: :call: :call:

หลังจากได้ดู The Guardian ฉบับซับไทย

ก็ให้ตระหนักว่า  หน่วยสืบสวนนี้มีกลิ่นอายของสมาชิกคล้ายกับหน่วยสืบสวนคดีพิเศษในเรื่องนั้นเลย

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
สืบรัก彡คดีที่12




“กางขาออกเล็กน้อย  มือจับปืนให้มั่น ตั้งสมาธิแล้วเล็งไปยังเป้าหมาย พอได้จังหวะก็ยิงเลย” เสียงของใบไธม์คอยบอกทุกการเคลื่อนไหวเพื่อให้ผมที่พึ่งมาฝึกยิงปืนครั้งแรกเข้าใจ


ในมือผมตอนนี้มีกระบอกปืนสีดำเล็งไปยังเป้าด้านหน้าซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 5 เมตร สถานที่ที่พวกเราอยู่ตอนนี้คือสนามยิงปืนขนาดกลางซึ่งอยู่แถวชานเมืองทำให้ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าจะมีใครแตกตื่นกับเสียงปืนพวกนี้


ปัง!


เมื่อตั้งสมาธิได้ผมจึงเหนี่ยวไกยิงกระสุนไปยังเป้าหมายตรงหน้า ด้วยระยะ 5 เมตรทำให้การเล็งค่อนข้างยากกว่าที่คิดไว้มากแต่เหมือนพอได้ลองยิงไปหลายๆ ครั้งก็เริ่มจับความรู้สึกและกะระยะได้แม่นยำขึ้นทีละนิด จากที่ไม่โดนอะไรเลยเริ่มเข้ามาอยู่ในเป้าและตอนนี้...


“สุดยอด...ไม่อยากเชื่อ” ใบไธม์ยืนมองกระดาษเป้าที่มีรอยกระสุนอยู่ในวงตรงกลางกว่า 10 นัดด้วยสายตาคาดไม่ถึง


“ใช้เวลานานกว่าที่คิดไว้เยอะเลย” ผมเอ่ยเสียงเบา ตอนแรกที่ได้ยินว่าใบไธม์จะพามาฝึกผมกะจะทำเท่ยิงให้โดนกลางเป้าในครั้งสองครั้งแรกแท้ๆ แต่กลับต้องใช้เวลาขนาดนี้


“เยอะ? ผมจะบอกให้นะว่าใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงยิงได้แม่นระดับนี้ไม่ใช่ใครก็ทำได้”


“...จะบอกว่าผมเก่งใช่ไหม”


“ระดับนึง แต่นี่แค่ระยะ 5 เมตร ลองสัก 20 เมตรสิ ถ้าทำได้ในวันนี้ถึงจะเรียกว่าเก่งของจริง” อีกฝ่ายบอก


“20เมตร” ไกลอยู่เหมือนกัน


คงยากถ้าจะเล็งให้เข้าเป้าได้


“ค่อยๆ ฝึกไป ไม่มีใครแม่นได้ในระยะนั้นของการฝึกครั้งแรกหรอก”


“ถ้าผมทำได้...มีรางวัลให้ไหม” ผมนิ่งไปสักพักก่อนจะหันไปมองหน้าใบไธม์ตรงๆ


ตั้งแต่ผมสารภาพรักอย่างจริงจังก็ผ่านไปหลายอาทิตย์แล้ว ใบไธม์ไม่ได้ทำเป็นเมินแต่รับความรู้สึกนั้นของผมไว้เพียงแต่ยังไม่ตอบกลับมาว่ารู้สึกยังไงกับผมกันแน่ มีหลายครั้งที่ผมเห็นเขาทำหน้าคิดหนัก ไม่ต้องเข้าไปถามผมก็พอจะเดาได้ว่าเป็นเรื่องอะไร


ใบไธม์เป็นคนจริงจัง หากเขารับความรู้สึกนี้ของผมไปเขาต้องคิดมันอย่างจริงจังที่สุด ดังนั้นไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไรผมก็มีแต่ต้องยอมรับเท่านั้น ในเมื่อช่วงนี้ยังมีโอกาสให้ใกล้ชิดผมคงไม่ยอมปล่อยให้ผ่านไป


“รางวัล? แค่ยิงปืนยังต้องขอรางวัลอีกนะเบซิล”


“ไม่ได้เหรอ”


“อยากได้รางวัลอะไรล่ะ” ใบไธม์ถามต่อ


“อยากได้คุณ”


“...” นอกจากจะได้ความเงียบแล้วยังมีใบหน้าเอือมๆ ส่งมาให้อีก


ถ้าเป็นคนอื่นคงหน้าแดงใกล้ระเบิดแล้ว


เอาเถอะ ผมชอบใบไธม์ที่เป็นแบบนี้แหละ


ไม่ต้องเหมือนคนอื่น เป็นตัวของตัวเองก็พอแล้ว


“อย่าทำหน้าเอือมได้ไหม ความมั่นใจผมหายหมดละเนี่ย” จะยิงคำหวานๆ ไม่ได้เลย สายตาเอือมๆ นั่นทำเอาผมไม่รู้จะเอาอะไรไปจีบ


“ก็เลิกพูดหยอดสิ”


“ผมพูดจริงต่างหาก” อยากได้ใบไธม์เป็นรางวัล ถ้าเป็นแบบนั้นจริงผมยอมยืนลั่นไกปืนทั้งวันจนกว่าจะยิงได้กลางเป้าเลย


ถ้าไม่ได้ไม่เลิก!


“ขอมากไป”


“งั้นจูบล่ะ”


“มากไป”


“หอมแก้มล่ะ”


“...ก็ยังมากอยู่”


“แล้วอะไรที่ได้บ้าง?” ผมเปลี่ยนคำถาม เสนออะไรไปก็โดนปฏิเสธกลับมาหมด


“นี่คือผมต้องให้ตัวเองเป็นรางวัล?” ใบไธม์ถามกลับบ้าง


“ใช่ ถ้ามีคุณเป็นรางวัลผมว่าตัวเองสามารถทำได้” ต่อให้ไม่ได้ผมก็จะทำให้ได้


สรุปคือยังไงก็ต้องได้ล่ะน่า!


“ถ้าแค่...”


“แค่อะไร?” ผมเร่ง


“ถ้าแค่กอดละก็...”


“โอเค ตกลง” ผมรีบผมพยักตกลงก่อนอีกฝ่ายจะมีโอกาสเปลี่ยนใจ


“ทำหน้าจริงจังไปมั้งเบซิล”


“ผมจริงจังเรื่องคุณเสมอ”


“...คุณนี่ท่าจะชอบผมจริงๆ นะ” แม้จะพูดเสียงเบาแต่เพราะอยู่ใกล้กันทำให้ผมได้ยินคำพูดนั่นเต็มสองหู


“ชอบสิ รักด้วย” ความรู้สึกนี้ผมมั่นใจ


“แล้วถ้าผมไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกันล่ะ” อีกฝ่ายถามต่อ


“ถึงตอนนั้นค่อยให้ผมในตอนนั้นตอบเถอะ เพราะผมในตอนนี้ยังไม่ได้คำตอบจากคุณ”


“นั่นสิ...ผมยังไม่ได้ให้คำตอบ”


“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหรอกใบไธม์ ระหว่างนี้ผมจะจีบคุณเอง”


“มั่นใจจังนะ วิธีที่ใช้จีบคนอื่นใช้กับผมไม่ได้หรอกนะ”


“เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้ว”


“จะจีบยังไงล่ะ” ใบไธม์ดูมีสีหน้าสงสัยอยู่ไม่น้อย


“ผมรักใบไธม์ รับรักผมหน่อยนะครับ” พูดจบผมก็อ้าแขนออกเตรียมวิ่งเข้าไปกอดอีกฝ่ายทว่าใบไธม์กลับเบี่ยงตัวหลบจนผมเกือบหน้าทิ่ม


“บ้ารึเปล่าเนี่ยเบซิล” ถึงจะเป็นคำบ่นแต่สายตาปนขบขันนั่นก็ถือว่าผมประสบความสำเร็จในระดับนึงแล้ว


“ผมยอมบ้าถ้าได้รักคุณ”


“เลิกพูดเลย ไปฝึกยิงปืนต่อได้แล้ว” ไม่พูดเปล่าเขาใช้มือดันไหล่ผมให้กลับไปยังสนามฝึกอีกครั้ง


“อยากกอดผมเร็วๆ ก็ไม่บอก ผมยอมให้กอดเลยก็ได้นะ”


“เบซิล!”


“ใบหน้าบึ้งๆนั่นก็น่ามอง”


“คุณนี่มัน” ใบหน้าเหมือนอยากด่าแต่ด่าไม่ออกนั่นเรียกรอยยิ้มจากผมได้ แต่ยิงได้ไม่นานก็ต้องหุบเมื่อถูกสายตาเย็นๆ มองมา


การฝึกยิงปืนในเวลาต่อมาได้เลื่อเป้าออกไปเป็น20เมตรซึ่งกว่าผมจะยิงได้แม่นก็ใช้เวลาไปหลายชั่วโมงจึงจะขยับเป็น 15 เมตรตามลำดับ พอมาถึงระยะ 20 เมตรก็เป็นช่วงหัวค่ำที่เริ่มมีผู้คนทยอยเข้ามาฝึกยิงกันมากขึ้น ไฟรอบๆ เปิดสว่างเพิ่มเพื่อแสงยังสนามด้านนอก


“วันนี้พอได้แล้ว” เบซิลใช้มือข้างนึงแตะไหล่เป็นเชิงบอกให้ผมหยุด


“ผมกำลังจะเริ่มระยะ20เมตรเอง ขออีกสักชั่วโมง”


“คุณฝืนมากเกินไปแล้ว ยืนถือปืนหลายชั่วโมงติดร่างกายจะทนไม่ไหวเอา”


“ผมไหว” ความปวดระดับนี้ยังไหวอยู่


“บอกว่าอย่าฝืนไง” ใบไธม์รีบคว้าปืนในมือไปเมื่อเห็นว่าผมกำลังจะยิง


“ไม่ได้ฝืน ผมไหวจริงๆ ”


“รอให้ร่างกายพักสัก 10 นาทีสิได้ปวดทั้งไหล่และกล้ามเนื้อจนขยับไม่ได้แน่” ใบไธม์บ่นพลางมองมายังบริเวณไหล่ผม


“ขออีกแค่ 10 นัด” ใน 10 นัดผมต้องทำได้แน่


“แค่นัดเดียวก็ไม่ให้ จะฝืนเพื่ออะไรน่ะเบซิล...อย่าบอกนะว่ารางวัลจากผม?” น้ำเสียงอีกฝ่ายดูไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นัก ความเงียบของผมทำเอาอีกฝ่ายถึงกับเบนหน้าหนี ทว่าใบหน้าด้านข้างที่เริ่มเห่อแดงขึ้นไม่สามารถหลบสายตาผมได้


“เขินเหรอ”


“เงียบเลย”


“หน้าแดงนะ” ผมยังแหย่ไม่เลิก ตอนนี้คงเห็นว่าผมยิ้งกว้างออกมาอย่างห้ามไม่อยู่


“เบซิล!” เสียงดังๆ นั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกกลัวสักนิด


“ครับผม”


“เลิกกวนได้แล้ว”


“...” ผมยอมหยุดให้


“เลิกยิ้มด้วย” ใบไธม์พูดต่อเมื่อเห็นว่าผมกำลังเผยรอยยิ้มกว้างอยู่


“คนมีความสุขก็ต้องยิ้มสิ”


“...จะเอาปืนไปคืน”


“ไม่ถามเหรอว่าผมมีความสุขเรื่องอะไร” ผมเดินตามหลังใบไธม์โดยไม่ปล่อยให้บทสนทนาถูกตัดขาดอย่างที่อีกฝ่ายตั้งใจ


“ไม่”


“ไม่อยากรู้เหรอ”


“ไม่อยาก”


“แต่ผมอยากบอก”


“เบซิล คุณเลิกกวนผมเล่นเลยนะ” ใบไธม์หยุดเดินก่อนจะหันหน้ากลับมาเผชิญกับผมตรงๆ


“แค่อยากบอกว่าผมมีความสุขที่ได้เห็นท่าทางแบบนั้นของคุณ” ใบหน้าแดงๆ นั่นผมสามารถหวังได้ไหมนะ


หวังว่าความรู้สึกเราอาจจะเหมือนกัน


“เบ...โอ๊ะ!” เรียหผมยังไม่จบประโยคอยู่ๆ ใบไธม์ก็รีบก้าวถอยหลังพร้อมก้มหน้ามองยังบริเวณเท้า เมื่อผมมองตามลงไปก็ต้องตกใจเมื่อพบกับสัตว์เลื้อยคลานสีดำเงาตัวหนึ่งเลื้อยวนอยู่บริเวณข้อเท้า


“งู...ใบไธม์” ผมรู้ได้ในทันทีว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดังนั้นผมจึงไม่รอช้ารีบเข้าไปไกลอีกฝ่ายแล้วใช้ร่างกายตัวเองบังในขณะร่างมนุษย์ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปเป็นงูสีดำขนาดเล็ก เสื้อผ้าทุกอย่างร่วงลงไปกองอยู่บนพื้นโดยด้านล่างกองเสื้อผ้ามีงูสองตัวพันขดกันอยู่


แม้จะมีรูปร่างลักษณะแต่ผมก็รู้ได้ว่าใบไธม์คือตัวไหน ผมไม่เสี่ยงเข้าไปแยกงูสองตัวแต่ก้มนั่งลงคุกเข่าบนพื้นแล้วรอให้งูตัวหนึ่งเลื้อยมาหา ซึ่งผมใช้เสื้อผ้าเป็นเหมือนเบาะรองก่อนจะอุ้มกองผ้าที่มีใบไธม์อยู่ด้านในขึ้น


งูอีกตัวบัดนี้เลื้อยออกไปทางสนามหญ้าด้านข้างเรียบร้อยแล้ว ใบไธม์เคยพูดให้ฟังว่าการกลายร่างเป็นสัตว์ได้ทำให้ในร่างมีฟีโรโมนที่ทำให้สัตว์ต่างๆ เข้าหาได้ง่าย อย่างงูตัวนั้งไม่แน่ว่าอาจเข้ามาหาความอบอุ่นจากหน้าหนาวที่กำลังมาเยือนก็เป็นได้


ซู่~


“เงียบก่อนใบไธม์ เดี๋ยวผมจะพาออกไปนะ” ผมกระซิบบอกพลางนำปืนไปคืนแล้วเดินตรงไปยังรถทันที เป็นครั้งที่ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างเพราะวันนี้เอารถใหญ่มา เดินทางใกล้ใบไธม์จึงไม่อยากใช้มอเตอร์ไซค์


ระหว่างเดินทางกลับผมหันไปมองใบไธม์ซึ่งโผล่ส่วนหัวสีดำขึ้นมาจากกองผ้า ลิ้นสองแฉกเผยออกมาเล็กน้อย เช่นเดียวกับดวงตาสีดำขลับมองมายังผมนิ่งๆ


“หนาวไปรึเปล่า ผมเบาแอร์ให้นะ” ผมไม่รอให้ตอบจัดการเบาแอร์ให้ เหมือนงูจะเป็นสัตว์ที่ไม่ชอบอากาศเย็นนัก


ใช้เวลาไม่นานนักผมก็สามารถพาใบไธม์ในร่างงูมาถึงห้องจนได้ พอถึงห้องได้ไม่นานใบไธม์ก็กลับร่างมนุษย์ในสภาพเปลือยเปล่า ผิวของเขาไม่ได้ขาวมากแต่เมื่อเห่อแดงก็สามารถมองออกได้ไม่ยาก เป็นสีผิวที่ผมมองว่ามีเสน่ห์น่าดึงดูดอย่างบอกไม่ถูก
เห็นทีไรเป็นต้องมอง


ไม่สามารถละสายตาออกมาได้


ยิ่งเวลามองแล้วผิวนั่นจะค่อยๆ แดงขึ้นผมยิ่งไม่อยากละสายตาออกมาเลย


“...จะมองอีกนานไหม” ใบไธม์เอ่ยพลางใช้มือปกปิดร่างกายตัวเองโดยไม่รู้เลยว่านั่นยิ่งทำให้น่ามองเข้าไปใหญ่


ราวกับกำลังถูกเชิญชวน


“อืม...นาน”


“ลามก!” ถ้ามีอะไรให้คว้าได้ป่านนี้หัวผมคงแตกเพราะถูกเขวี้ยงข้าวของใส่แล้วแต่เพราะตอนนี้ใบไธม์อยู่บนพื้น รอบๆ ไม่มีของอะไรจึงได้แต่พูดเสียงดังเท่านั้น


“คงใช่” จะให้ปฏิเสธทั้งที่ในหัวกำลังคิดจินตนาการก็คงไม่ดี


“...ขอเสื้อผ้าคืนด้วย”


“ไม่ให้ได้ไหม” ยังอยากมองอยู่อีกหน่อย


“เบซิล!”


“ครับๆ ผมให้ก็ได้อย่าทำหน้าเหมือนจะลุกขึ้นมาจับผมทุ่มแบบนั้นสิ” สุดท้ายผมต้องจำยอมส่งเสื้อผ้าไปให้ใบไธม์


“เดาผิดแล้ว ไม่ใช่จับทุ่มแต่เป็นเตะสูงไปยังใบหน้าต่างหาก”


“โหด”


“หึ...ผมจะอาบน้ำ” ใบไธม์ใส่เสื้อลวกๆ แล้วเดินไปยังห้องน้ำ


“อาบด้วย...” ผมยังพูดไม่ทันจบประโยคดวงตาสีน้ำตาลคมๆ ก็เบนมาสบ ทำเอาผมไม่กล้าพูดอะไรต่อเลย


เขินโหดจริงๆ เลยนะ


เมื่อใบไธม์อาบน้ำเสร็จผมจึงเข้าไปอาบต่อ ออกมาบนโต๊ะข้างห้องครัวก็มีอาหารวางอยู่ 2 จานเรียบร้อยแล้ว ในจานมีแฮมเบอร์เกอร์ที่ทำจากเต้าหู้ผสมกับเห็นและปรุงรสราดซอสสีน้ำตาลกลิ่นหอมน่ากิน ด้านข้างมีผักต้มผัดกับเนยและปิดท้ายด้วยมะเขือเทศอบทั้งลูก


อาหารทุกอย่างล้วนแต่ไม่มีเนื้อสัตว์ทั้งสิ้น ตอนแรกผมไม่ชินกับการกินแต่ผักหรือเต้าหู้ก็จริงทว่าพอได้ลองชิมอาหารฝีมือใบไธม์ซึ่งบอกได้เลยว่าไม่ธรรมดา เขามีวิธีการทำให้ของง่ายๆ อย่างเต้าหู้หรือแป้งให้ออกมามีรสชาติแสนอร่อย


ได้ลองสักครั้งเป็นต้องจิตใจ


หลายเดือนมานี่ผมจึงไม่ได้แตะเนื้อสัตว์เลยสักครั้งเดียว


ตกดึกพวกเราต่างแยกย้ายกันนอนโดยผมนอนอยู่บนฟูกด้านข้างเตียงขนาด 5 ฟุตที่มีใบไธม์นอนอยู่ ความเงียบแบบนั้นทำให้ผมคิดไปถึงการฝึกยิงปืน เป็นอย่างที่ใบไธม์บอกพอผมได้พักสักหน่อยอาการปวดร้าวตามร่างกายโดยเฉพาะช่วงหัวไหล่และข้อมือก็เล่นซะผมไม่อยากขยับตัว


หลังจากมื้อเย็นใบไธม์ให้ผมกินยาแก้ปวดและคลายกล้ามเนื้อซึ่งก็ช่วยผมได้ไม่น้อย ถ้าไม่ได้ยาช่วยผมคงนอนนิ่งๆ แบบนี้ไม่ได้


“เบซิล หลับรึยัง” เสียงจากเจ้าของห้องเรียกผมให้หันไปมองยังร่างบนเตียงที่ค่อยๆ ขยับตัว


“ยัง นอนไม่หลับเหรอ”


“นิดนึง”


“คิดเรื่องอะไรอยู่” สาเหตุของการนอนไม่หลับนั้นมีไม่กี่สาเหตุ หนึ่งในนั้นคือมีเรื่องให้คิด


“...เรื่องรางวัลของคุณ” ใบไธม์ทิ้งช่วงไปสักพักใหญ่จึงขะเอ่ยออกมา


“...แต่ผมยังยิงระยะ 20 เมตรไม่ได้” ผมพึมพำตาม หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นทีละน้อย


“ก็ใช่...แต่คุณก็พยายามได้ดีมาก อยากได้รางวัลไหม” พูดจบใบไธม์ก็พลิกตัวหันหน้ามามองผม ความมืดในยามราตรีไม่สามารถปิดบังประกายของดวงตานั้นได้


“...อยากได้สิ” ทำไมจะไม่อยากล่ะ


“งั้นก็...มาสิ” ไม่ต้องรอให้เวลาผ่านไปนานกว่านี้ผมรีบกระโจนขึ้นไปบนเตียงพร้อมคว้าตัวอีกฝ่ายมากอดไว้แน่นแม้ร่างกายจะปวดระบมจนแทบขยับไม่ได้ก็ตาม


สัมผัสของไออุ่นยามร่างกายแนบชิดช่างรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่และแชมพูประสานกันได้อย่างลงตัวพานให้สติคล้ายจะจมดิ่งลงไปในห้วงแห่งอารมณ์ ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดผมกำลังมีความสุข ใบไธม์ไม่ใช่คนที่จะยอมอะไรง่ายๆ ทว่าเขากลับเป็นฝ่ายพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเอง


แบบนี้จะไม่ให้ดีใจได้ยังไง


ผมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นพลางถ่ายเทน้ำหนักตัวไปยังอีกฝ่ายทำให้ร่างของใบไธม์ค่อยๆ เอนลงจนแผ่นหลังแนบสนิทกับเตียงโดยมีผมคร่อมอยู่ด้านบน ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วว่าคงถูกถีบกลับแต่ในความเป็นจริงนอกจากจะไม่ถีบหรือชกแล้วใบไธม์ยังใช้มือสองข้างกอดตอบผมอีกต่างหาก


ความรู้สึกยามถูกกอดตอบช่างรู้สึกดีจนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ คล้ายถูกยอมรับในตัวตน


“ใบไธม์” ผมกระซิบเรียกเสียงเบา


“...พอรึยัง”


“ยัง...ยังไม่พอ” ไม่มีวันพอหรอก


อยากกอดแบบนี้ไปตลอดเลย


“จะกอดอีกนานไหม”


“นาน” ผมตอบทันที


“คุณนี่ทำตัวเป็นเด็กจริงๆ นะ” เสียงพึมพำเอ่ยท่ามกลางความมืดและเงียบ


“คงงั้น” แม้แต่ตัวเองยังสัมผัสได้ถึงความเด็กนี่เลย


ทั้งเรียกร้องความสนใจ


ทั้งขอรางวัล


ทั้งทำท่าทางคล้ายกำลังออดอ้อน


เด็กว่านี้คงไม่มีแล้ว


น่าแปลกเวลาอยู่กับคนอื่นผมกลับไม่มีท่าทางหรือนิสัยแบบนี้


มีแค่ตอนอยู่กับใบไธม์เท่านั้น


“ผมหนักนะเบซิล”


“แบบนี้คงไม่หนักแล้วใช่ไหม” ผมพลิกตัวเล็กน้อยให้พวกเราเปลี่ยนมากอดกันในท่าที่สบายขึ้น


“...สรุปคือจะไม่ปล่อยผม?”


“อืม” ผมบอกพร้อมกับขยับตัวเข้าไปแนบชิดอีกฝ่ายมากขึ้น


รู้สึกดีขนาดนี้ผมไม่ยอมปล่อยง่ายๆ หรอก


“อยากถูกถีบรึไง”


“ถ้าได้กอดคุณทั้งคืนผมยอม”


“...บ้า”


“หึ” ขนาดคำว่าบ้ายังเรียกร้อยยิ้มจากผมได้คิดดูละกันว่าอาการหนักขนาดไหน


“ให้แค่คืนนี้”


“ขอบคุณ” ทำไมอยู่ๆ ถึงได้ยอมง่ายๆ แบบนี้นะ


ถ้าบอกว่านี่คือความฝันผมคงเชื่อ


และถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่อยากจะตื่นจากความฝันนี้เลย



(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


หลายอาทิตย์ต่อมาพวกเราก็ยังคงมาทำงานกันตามปกติ บรรยากาศในช่วงนี้ค่อนข้างตึงเครียดเนื่องจากต้องจัดการคดีที่เข้ามาไม่หยุดหย่อนพร้อมกับสืบหาเบาะแสหรือหลักฐานเพื่อสาวตัวคนที่อยู่เบื้องหลังออกมาให้ได้ ซึ่งด้านผมเองก็ได้แฮ็กเข้าไปในระบบธนาคารดูรายชื่อที่โอนเงินเข้ามาให้พลตำรวจโท เกษมศักดิ์ จิระการณ์ทว่ากลับไม่ได้สิ่งที่ต้องการเนื่องจากชื่อบัญชีเหล่านั้นว่างเปล่า


พูดกันง่ายๆ คือมีการเปิดบัญชีเปล่าขึ้นมาเผื่อในกรณีถูกแฮ็กเข้ามาดู  นั่นหมายถึงมีการวางแผนมาเป็นอย่างดีบวกกับต้องมีเส้นสายกับทางธนาคารไม่อย่างงั้นการเปิดบัญชีเปล่าเป็นสิบๆ อันคงทำได้ง่ายๆ


ตอนนี้ผมจำสืบหาข้อมูลผู้มีอำนาจหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับธนาคาร จากการตัดความเป็นไปได้ออกตอนนี้เหลือเพียง 3 คนเท่านั้น แน่นอนว่าเรื่องนี้ได้รายงานในการประชุมเมื่อวันก่อนเรียบร้อยแล้ว ทุกคนในหน่วยจึงได้กระจายกันออกมาหาเบาะแสเพื่อระบุให้ได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นตัวการณ์อยู่เบื้องหลังเหตุการ์ทั้งหมด


“ใบไธม์...” ผมที่กำลังเรียกคนตรงหน้าถึงกับชะงักเมื่อเห็นใบว่าใบไธม์กำลังยืนคุยกับหัวหน้าและจิวอยู่บริเวณมุมหนึ่งของตึก ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังแต่ร่างกายมันขยับไปหลบมุมเอง


“ผมจะไป” ใบไธม์บอกกับคู่หลังจากนิ่งมาสักพัก


ไปไหน?


ผมขมวดคิ้ววิเคราะห์ประโยคดังกล่าวด้วยความอยากรู้


“ไม่แปลกใจเลย มีสาวๆ น่ารักมาชอบจะไม่ไปได้ยังไง” จิวพูดพร้อมรอยยิ้ม สายตานั่นคล้ายกำลังแซวใบไธม์อยู่


“ฉันไม่คิดว่าเธอจะตกลงนะเนี่ย” หัวหน้าพูดบ้าง


“ถือเป็นโอกาสนี่ครับ ผมไม่ปฏิเสธหรอก” ใบไธม์ตอบ


“งั้นฉันจะไปตอบตกลงให้ พรุ่งนี้สัก 10 โมงที่ห้างกลางเมืองได้รึเปล่า” หัวหน้าไพลสันต์ถามต่อ


“ครับ ไม่มีปัญหา” พอใบไธม์พยักหน้าตกหัวหน้าจึงเดินกลับไปยังต้องตัวเองซึ่งอยู่คนละฟากกับที่ผมแอบฟังอยู่


“จะไปจริงเหรอท่านรอง”


“อืม”


“คิดว่าจะหลบเบซิลออกไปได้?” เมื่อมีชื่อผมอยู่ในบทสนทนาความสงสัยก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ


“ได้สิ”


“ถ้ารู้หมอนั่นโกรธแน่ที่ท่านรองจะไปดูตัวกับผู้หญิง”


ดูตัว?


“ไม่ใช่ดูตัวแค่ออกไปเจอและเที่ยวด้วยกันแค่นั้น” ใบไธม์แก้ แต่คำอธิบายเหล่านั้นไม่ได้ทำให้ความหนักบริเวณหัวใจลดน้อยลงเลยสักนิด


“นั่นเรียกว่าเดทนะท่านรอง”


“เดท?...ก็ดีเลยนี่” สีหน้าของใบไธม์เหมือนคนกำลังคิดอะไรหลายๆ อย่างอยู่ในหัว เพียงแค่ผมไม่อาจรู้ได้ว่าความคิดเหล่านั้นคืออะไรจากการมองและฟัง


“ท่านรองนอกใจรึเนี่ย” จิวทำหน้าตกใจ


“ใครนอกใจกัน!”


“เอ้า ก็ไปเดทกับผู้หญิงอื่นทั้งที่คบอยู่กับเบซิลแบบนี้ถ้าไม่นอกใจจะเรียกว่าอะไร”


“ผมไม่ได้คบกับเบซิล” ใบไธม์ค้านเสียงดัง


“ไม่มั้ง ดูสวีทกันขนาดนั้น”


“ผมขอตัวไปทำงานต่อล่ะ” ใบไธม์เดินหนีออกมาจากสถานการณ์จนกระทั่งผ่านผมที่กำลังแอบอยู่ ด้วยทักษของใบไธม์ไม่มีทางปล่อยให้ผมหลุดรอดไปได้อยู่แล้ว ดวงตาสีน้ำตาลนั่นคล้ายจะมีความตกใจปนอยู่ในความสงสัย


“ผมมาตามคุณ ได้เวลาพักกลางวันแล้ว” ผมบอกสาเหตุที่มาอยู่ตรงนี้ให้อีกฝ่ายฟัง


“อ่า ไปกินข้าวข้างนอกกัน” ใบไธม์ไม่ได้ทำท่าทีมีพิรุจอะไร พวกเราจึงพากันเดินออกจากตัวอาคารไปยังตลาดที่อยู่ไม่ไกลนัก


“คุยอะไรกันเหรอ” ผมเปิดฉากถามระหว่างเดินไปยังจุดหมาย


ด้วยประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่ยังไม่มากพอให้ผมคิด วิเคราะห์เรื่องราวทั้งหมดได้


ต้องรวบรวมข้อมูลมากกว่านี้


“เรื่องทั่วๆ ไป ไม่มีอะไรหรอก” อีกฝ่ายบอกปัดพลางตรงเข้าไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆ ร้านหนึ่ง


ร้านอาหารญี่ปุ่นตรงหน้าเป็นร้านขนาดเล็กประมาณ1ห้องของอาคารพาณิชย์ ด้านในตกแต่งเป็นโทนสีเขียวและน้ำตาลอ่อน มีการแบ่งโต๊ะนั่งออกเป็น 4 โต๊ะโดยมีที่กั้นไม้เพิ่มความเป็นส่วนตัว พวกเราเดินเข้าไปด้านในก่อนใบไธม์จะสั่งสลัดผักในเมนูตามมาด้วยผมสั่งเป็นเซตปลาย่างเกลือ


พวกเรานั่งกินอาหารของตัวเองเงียบๆ หน้าของใบไธม์ดูก็รู้ว่ากำลังคิดบางอย่างอยู่แถมยังเป็นเรื่องที่ทำให้คิดหนักด้วย หรือจะเกี่ยวกับบทสนทนากับจิวและหัวหน้าก่อนหน้านี้


“ให้ผมช่วยคิดได้นะ” ผมลองเกริ่นออกไปแม้จะรู้คำตอบดี


“...ไม่เป็นไร คิดตอนนี้คงหาคำตอบไม่ได้แต่พรุ่งนี้อาจจะได้คำตอบ”


“พรุ่งนี้?”


“ไม่รีบกินเดี๋ยวปลาเย็นหมดหรอก” ใบไธม์เปลี่ยนเรื่อง


“บอกตัวเองเถอะใบไธม์ ข้าวยังไม่แหว่งเลยนะ” ผมพูดระหว่างมองไปยังข้าวที่อีกฝ่ายสั่งมากินคู่กับสลัดผัก


ร้านอาหารส่วนมากไม่ได้มีเมนูปราศจากเนื้อสัตว์ อาจมีบางร้านที่เจ แต่เจไม่ได้แปลว่าใบไธม์จะกินได้ ขนาดไข่หรือน้ำมันหอยยังไม่กินไม่ได้เลย


“ผมแค่ไม่ค่อยหิว”


“กินน้อยตัวเลยผอม กอดไปทีเจอแต่กระดูกกินเยอะๆ หน่อย”


“ใครอยากให้คุณกอดกัน”


“แล้วใครหลับสนิทอยู่ในอ้อมกอดผมเมื่อวันก่อนนะ” ผมยกยิ้มพลางนึกถึงเรื่องคืนนั้นที่ได้กอดใบไธม์จนถึงเช้าของวันต่อมา


“เบซิล!” พออีกฝ่ายเริ่มทำเสียงเข้มผมเลยจำต้องยอมเงียบแต่ยังไม่วายแอบมองใบหน้าที่เริ่มแดงขึ้นเล็กนั่น


อาการเขินแบบนั้นน่ามองซะจริงๆ


วันต่อมาผมยังคงมาทำงานกับใบไธม์ตามปกติทว่าประมาณ 10 โมงใบไธม์ก็ขอตัวออกไปทำคดีโดยบอกว่าจะไปทำคนเดียว ผมทำทีเป็นถามต่อแม้จะรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังจะไปเจอผู้หญิงคนนึงตอน 11 โมง บอกตามตรงว่าผมอยากถามทุกอย่างออกไปตรงๆ ทว่าผมรู้ดีว่าตัวเองยังไม่มีสิทธิ์ขนาดนั้น


ไม่มีสิทธิ์ที่จะหวงหรือแสดงความเป็นเจ้าของในสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเอง


ผมอาจสารภาพรักกับใบไธม์ไปแล้วแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคำตอบของเขาจะเป็นตกลง ไม่รู้ว่าเพราะความสงสัยหรืออะไรที่ทำให้ผมแอบตามอีกฝ่ายออกมาโดยการยืมมอเตอร์ไซค์ของแม็ก วิธีการหว่านล้อมจนได้มอเตอร์ไซค์มาไม่ได้ใช้เวลานานเลย


และแล้วผมก็แอบตาใบไธม์มาจนถึงห้างขนาดใหญ่ใจกลางเมือง สถานที่นัดพบคือบริเวณประตูกระจกทางเข้าห้าง หญิงสาวในชุดเดรสสีฟ้าอ่อนวิ่งเหยาะๆ เข้ามาหาใบไธม์ด้วยรอยยิ้มหวาน ทั้งคู่ทักทายกันสักพักก่อนจะเดินเข้าไปด้านในโดยไม่มีใครสังเกตุว่าผมแอบเดินตามหลังไปอยู่ไม่ห่าง


ท่าทางของใบไธม์ยามอยู่กับผู้หญิงคนนั้นดูผ่อนคลายและมีรอยยิ้มประดับอยู่เกือบตลอดเวลาต่างจากเวลาอยู่กับผมที่อีกฝ่ายมักจะใช้ความเงียบไม่ก็ใบหน้าเอือมๆ


“...ต่างกันจังนะ” ผมพึมพำเสียงเบา


ยังไงผู้หญิงก็ดีกว่าจริงๆ ละนะสำหรับใบไธม์


พอได้มาเห็นกับตาแล้วรู้สึกแย่กว่าที่คิด


ชั่ววูบหนึ่งผมอยากวิ่งเข้าไปดึงใบไธม์ออกมาจากผู้หญิงคนนั้นแต่ในความจริงนั้นผมทำได้เพียงกำมือตัวเองให้แน่นที่สุดเพื่อระงับอารมณ์ที่กำลังพลุกพล่านอยู่ภายในอก


ผมรักใบไธม์


และความรักนั้นมันอาจมากจนสามารถกลืนสติที่มีอยู่ในหายไปในพริบตา


อยากให้ดวงตานั้นมองมาแค่ผม


อยากให้รอยยิ้มนั่นเผยออกมาเพียงแค่ผม


อยากครอบครองพื้นที่ในหัวใจนั้นให้มีเพียงผมคนเดียว


ทั้งละโมบและโลภมาก


ผมแอบตามทั้งคู่เดินเข้าไปกินอาหารในร้านสเต็กไปจนถึงเดินเล่นดูข้าวของต่างๆ ด้วยหัวใจที่เจ็บแปล๊บมากขึ้นเรื่อยๆ  อยู่กับผมมาเกือบจะปีแล้วผมยังไม่เคยเห็นเขายิ้มมากขนาดนี้มาก่อน


ใบไธม์บอกว่าอาจได้คำตอบในสิ่งที่คิดอยู่ในวันนี้


ไม่จำเป็นต้องรอคำตอบผมก็พอจะเดาได้แล้วว่าความรักครั้งแรกต้องจบลงด้วยความพ่ายแพ้และผิดหวัง


“วันนี้ฉันดีใจมากๆ ที่ได้ออกมากับคุณแบบนี้ ไว้เจอกันไหมนะคะ” เสียงนุ่มๆ ของหญิงสาวนในชุดเดรสสีฟ้าเข้ากับผมสั้นประบ่าสีดำอย่างลงตัว


“แน่ใจนะว่าไม่ให้ผมไปส่ง” ใบไธม์ถามต่อ


“ไม่เป็นไรค่ะ บ๊ายบาย” เธอโบกมือลาสักพักก่อนจะเดินลงบันไดด้านข้างห้างไป


ใบไธม์ยืนนิ่งๆ อยู่สักพักจึงหันหลังกลับเดินตรงมายังบันไดทางออกอีกฝั่งซึ่งผมเบี่ยงตัวหลบไปยังอีกด้านของเสาเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายมองเห็นทว่าใบไธม์กลับเดินตรงเข้ามาหาผมแม้จะหลบอยู่ก็ตาม


“เบซิล” เสียงเรียกจากใบไธม์ทำเอาผมสะดุ้ง ไม่คิดว่าทักษะการติดตามของตัวเองจะแย่ขนาดนี้


ไม่รู้ว่าความแตกตั้งแต่ตอนไหน รู้แค่ว่าคงไม่ใช่พึ่งรู้หรอก


“...ไง” ผมก้าวออกจากเสาเดินไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ


“แอบตามผมมา?”


“...ประมาณนั้น”


“คิดว่าผมจะไม่รู้เหรอ” ใบไธม์ถามต่อ


“อืม” ตอนแรกคิดว่าไม่มีทางรู้แน่นอนแต่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนใจแล้ว


“การแอบสะกดรอยตามในสถานที่แบบห้างไม่มีใครเขาไปหลบหลังเสาแบบนั้นหรอกนะ กระจกจากร้านค้าหรือตัวห้างสะท้อนภาพส่อพิรุจนั่น ต่อให้ไม่ใช่ผมคงถูกจับได้ไม่ยาก” คำอธิบายนั้นทำเอาผมอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปซะเดี๋ยวนี้เลย


อย่างที่ว่า ภายในห้างมีกระจกอยู่มากมายท่าทางส่อพิรุจของผมต่อให้เป็นคนที่ไม่ระวังตัวก็มีต้องระแคะระคายกันบ้างแหละ ยิ่งกับใบไธม์ยิงไม่ต้องพูดถึงคงเห็นผมตั้งแต่เข้ามาในห้าง


“แล้วเป็นไง” ผมไม่มีคำแก้ตัวใดๆ จึงเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องแทน


“อะไรเป็นไง?”


“เดทไง วันนี้คุณมาดูตัวไม่ใช่เหรอ” ผมขยายความใบไธม์ที่ทำหน้างง


“ไม่ใช่ทั้งเดทและดูตัว แค่มาเจอเท่านั้น” ใบไธม์รีบพูดแก้


“ความหมายไม่ต่างเลย” มาเจอ มาเดทหรือมาดูตัว


สำหรับผมในตอนนี้ความหมายไม่ได้ต่างเลย


“ทำไมถึงรู้เรื่องนี้...อย่าบอกนะว่าเมื่อวานได้ยินที่ผมคุย?” ใบไธม์คิดไม่นานก็ได้ข้อสรุปออกมา


“ได้ยินแค่ช่วงท้ายๆ ” ผมบอกไปตามตรง


“เลยแอบตามมา?”


“อืม...คุณดูมีความสุขต่างจากเวลาอยู่กับผม”


“ทำไมคิดแบบนั้น”


“เพราะคุณยิ้มแทบตลอดเวลา ทีตอนอยู่กับผมกว่าจะยิ้มได้แต่ละครั้งผมใช้เวลาไปรู้ตั้งเท่าไหร่” พอมาเห็นคนอื่นทำให้เขายิ้มได้ง่ายๆ ก็พานให้รู้สึกแย่ขึ้นมา


“ผมจำต้องยิ้ม ไม่ได้ยิ้มเพราะอยากยิ้ม”


“หมายถึงยังไง” ผมถามกลับพลางขมวดคิ้วแน่น


ไม่ได้ยิ้มเพราะอยากยิ้มงั้นเหรอ


“รู้ไหมว่าผู้หญิงที่เจอวันนี้เป็นใคร” ใบไธม์ไม่ตอบแต่ถามกลับแทน


“...ลูกสาวคนที่สองของพลเอกสุภชัย ไกรศรศักดิ์” เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นลูกของใครผมก็เดาเรื่องราวหลายๆ อย่างออกทันที พลเอกสุภชัย ไกรศรศักดิ์เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยซึ่งอาจเป็นคนบงการคดีโค่นล้มอำนาจในครั้งนี้


“คุณคงเดาเรื่องราวทุกอย่างได้แล้ว การที่ผมมาเจอเธอมี 3 เหตุผล เหตุผลแรกคือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีเพื่อในอนาคตพวกเราจะสามารถทำการสืบสวนได้ง่ายขึ้น...” ใบไธม์เอ่ยเหตุผลแรกให้ฟัง


“เหตุผลที่ 2 คือการหาเบาะแสและข้อมูลที่อาจรั่วไหลออกมาจากการพูดคุย เรื่องนี้หัวหน้าไพลสันต์คงเป็นคนจัดการดำเนินเรื่องทั้งหมด และสเปกของเธอคงเป็นใบไธม์พอดีเลยสามารถสานสัมพันธ์กันได้อย่งรวดเร็ว” ผมบอกเหตุข้อที่สองออกไปตามที่คิด


“ใช่ หัวหน้ากับจิวเป็นจัดการเรื่องนี้รวมถึงสร้างสถานการณ์ให้ผมได้มีโอกาสช่วยเธอจากโจรวิ่งราวเมื่ออาทิตย์ก่อน เมื่อเธอรู้ว่าผมเป็นคนของหน่วยจึงได้ติดต่อมาผ่านพ่อของเธอเพื่อตอบแทนที่ผมช่วยเหลือเธอไว้ การนัดเจอกันในวันนี้จึงเกิดขึ้น” ใบไธม์อธิบายในจุดที่ผมสงสัยทั้งหมด


ความจริงผมน่าจะคิดได้ตั้งแต่ได้ยินบทสนทนาเมื่อวานแล้ว ยิ่งได้เห็นใบหน้าของเธอผมควรจะรู้ในทันทีว่าเรื่องราวทุกอย่งเป็นยังไง ในช่วงนี้คงไม่มีใครคิดจะออกมาเดทหรอก ยิ่งกับใบไธม์ด้วยแล้ว ไม่คิดว่าพอในสมองมีแต่เรื่องของใบไธม์จะทำให้การวิเคราะห์สถานการณ์ด้อยลงไปถึงขนาดนี้


“แล้วเหตุผลสุดท้ายล่ะคืออะไร” ผมถามโดยในหัวกำลังคิด จากที่วิเคราะห์ออกมาน่าจะมีเพียงสองเหตุผลแต่อีกฝ่ายกลับบอกว่ามีถึงสามเหตุผล


“เหตุผลท้ายนั่นเป็นเหตุผลส่วนตัว แต่เหตุผลนั่นกลับกลายเป็นเหตุผลอันดับหนึ่งที่ทำให้ผมยอมตกลงมาเจอเธอในครั้งนี้” ประโยคของใบไธม์คล้ายจะเป็นคำบอกใบ้เพื่อให้ผมได้คิดหาความจริงเอง


เหตุผลอันดับหนึ่งที่ยอมตกลงงั้นเหรอ


“...ผมไม่รู้” คิดไม่ออกเลยสักนิด


“เบซิล”


“ฮืม?...อะไร” เรียกผมทำไม


“ไม่ได้เรียกสักหน่อย”


“ไม่ได้เรียก?” หมายความว่ายังไง


“คุณเก่งเรื่องการคิดวิเคราะห์นี่ เรื่องยากๆ ยังคิดได้แค่เรื่องง่ายๆ คงไม่ต้องให้ผมเฉลยหรอกมั้ง” ใบไธม์พูดพลางยกยิ้มมุมปากขึ้น


“...เดี๋ยวนี้กวนนะ” ไม่ยอมเฉลยแต่ให้ผมคิดหาคำตอบเองราวกับกำลังทดสอบ


“ถ้าให้ผมเฉลยอดรางวัลนะ”


“มีรางวัลให้ด้วย?” ผมรีบถามกลับ ไม่บ่อยนักที่ใบไธม์จะเอ่ยถึงรางวัลขึ้นมาเองแบบนี้


“ถ้าตอบถูก”


เมื่อได้ยินแบบนั้นผมจึงรวบรวมสมาธิเพื่อคิกหาคำตอบ ภายในหัวรวบรวมข้อมูลทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นคำพูด บทสนทนาหรือแม้แต่ท่าทางเล็กน้อยระหว่างนั้น เหตุผลของการมาเจอหญิงสาวนในวันนี้มีเพื่อสานสัมพันธ์และสืบหาข้อมูล อีกเหตุผลนึงมีคำใบ้เพียงแค่ ‘เบซิล’ หรือชื่อผมนั่นเอง


เดี๋ยวนะ


ชื่อผมงั้นเหรอ...อย่าบอกนะว่าเหตุผลข้อสุดท้ายคือ...


“ผม?” ระหว่างตอบผมใช้นิ้วชี้มายังตัวอย่างด้วยความไม่แน่ใจ


“ใช่ เหตุผลสุดท้ายคือคุณ...เบซิล” ใบไธม์พยักหน้าเล็กน้อย


“ทำไมถึงเป็นผม”


“ตั้งแต่ได้ยินคำสารภาพนั่นผมคิด และคิดมาตลอดว่าความรู้สึกที่มีให้คุณมันเป็นเพียงความผูกพันหรืออย่างอื่น ถ้าให้เลือกระหว่างชอบหรือเกลียดผมคงไม่ลังเลที่จะตอบว่าชอบ ทว่าชอบนั่นเป็นความหมายเดียวกับรักรึเปล่าเรื่องนี้ผมไม่สามารถหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง...”


“เพราะไม่สามารถหาได้ด้วยเองจึงได้คิดว่าถ้าไม่รู้ก็ลองหาสิ่งเปรียบเทียบดูสิ ลองดูว่าหากอยู่กับคนอื่นความรู้สึกของผมจะบอกยังไง จะเหมือนกับตอนที่อยู่กับเบซิลไหม เพราะแบบนั้นผมจึงได้ยอมตกลงมาเจอเธอนวันนี้เพื่อหาคำตอบว่าความรู้สึกที่มีต่อคุณมันคืออะไรกันแน่” ใบไธม์อธิบายทุกอย่างให้ฟัง ซึ่งระหว่างฟังผมสัมผัสได้ถึงหัวใจตัวเองที่เต้นถี่เร็วขึ้น


ใบไธม์ไม่ได้เมินคำสารภาพรักของผมแต่ยังคิด...คิดอย่างจริงจังเพื่อหาคำตอบที่ชัดเจนให้ผมที่กำลังรออยู่


“แล้วหาคำตอบเจอไหม”


“...เหมือนเจอแล้วแต่ก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่” ใบไธม์เว้นช่วงก่อนจะตอบกลับมา


“บอกผมได้รึเปล่า” ในตอนนี้ผมอยากรู้ว่าคำตอบที่หาเจอนั่นเป็นยังไง


ผมยังมีสิทธิ์ที่จะหวังอยู่ไหม


หรือทำได้เพียงแค่ต้องตัดใจ


“คุณอยากฟังคำตอบที่ผมยังไม่ค่อยแน่ใจงั้นเหรอ”


“อืม” อยากฟัง


แม้จะไม่แน่ใจก็ไม่เป็นไร


“ผมคิดว่า...”


“ว่าอะไร” ผมเร่ง


“ใจเย็นเบซิลผมกำลังจะตอบนี่ไง”


“ผมใจเย็นในสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้หรอกนะ” ใครจะใจเย็นได้กัน


“ผมคิดว่าตัวเอง...อาจจะชอบคุณก็เป็นได้”


สิ้นสุดคำพูดของใบไธม์ความเงียบก็ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ผมในตอนนี้กำลังประมวลประโยคสั้นๆ ด้วยหัวใจที่เต้นรัวไม่หยุด ไม่ง่ายเลยที่จะใช้ความคิดในสถานการณ์แบบนี้


“...ใบไธม์” อยากจะบอกให้พูดซ้ำอีกครั้งเผื่อว่าเสียงนั่นจะเป็นเพียงจินตนาการของผมคนเดียว


“ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ”


“ไม่ใช่ไม่เชื่อ...แค่ไม่แน่ใจว่าได้ยินมันถูกรึเปล่า”


“ผมบอกว่าอาจจะชอบคุณก็เป็นได้ อ๊ะ!” ผมไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบคว้าร่างนั้นมากอดไว้แนบอกโดยไม่แคร์ว่าตอนนี้จะมีสายตาหลายสิบคู่จับจ้องมา


“ผมรักคุณใบไธม์” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมสารภาพรักออกไปอีกรอบ


รู้แค่ว่าผมควรจะพูดอะไรออกไปสักอย่าง


“ปล่อยก่อนเบซิล คนมองแล้วเนี่ย!” ใบไธม์พยายามผลักผมออกเมื่อเห็นว่าหลายคนเริ่มซุบซิบยามหันมามองทางพวกเราแล้ว


“ผมยังอยากกอดคุณอยู่นี่” และไม่มีแววว่าจะยอมปล่อยเร็วๆ นี้ด้วย


“เบซิล!” น้ำเสียงเข้มๆ นั่นไม่ด้ำให้ผมกลัวสักนิด


“ในเมื่อพวกเราใจตรงกัน...มาคบกันนะ” เป็นประโยคขอคบที่ขาดความโรแมนติกที่สุดในชีวิตเลย ถ้ามีเวลาเตรียมตัวมากกว่านี้ผมคงพูดได้ดีกว่าประโยคธรรมดาแบบนี้


เป็นแบบนี้ทุกที พออีกฝ่ายคือใบไธม์สิ่งที่คิดกับสิ่งที่ทำออกไปมักจะไม่เป็นไปตามที่คิดเสมอ อยากจะดูเท่แต่กลับทำได้เพียงแค่นี้


“...ผมบอกว่าแค่อาจจะชอบ ไม่ได้พูดว่าชอบสักหน่อย” อีกฝ่ายพูดค้านพลางดิ้นแรงขึ้นทว่าผมกลับยิ่งกอดร่างนั้นไว้แน่นเข้าไปอีก


ใบไธม์เป็นคนจริงจัง เมื่อเขาพูดออกมานั่นแปลว่าต้องมีความเป็นไปได้มากกว่าครึ่งที่สิ่งนั้นจะเป็นจริง ในเมื่อเขาพูดว่าอาจก็มีความเป็นไปได้ที่คำพูดนั่นจะเป็นจริง หรือต่อให้ไม่เป็นจริงผมนี่แหละที่จะทำให้เป็นจริงเอง


“ผมจะทำให้คุณชอบ ไม่สิ จะทำให้คุณรักเอง...เตรียมใจไว้ได้เลย”


เขายอมเปิดใจให้ผมขนาดนี้จะให้ถอยกลับคงไม่ได้


และไม่อยากถอยด้วย


จะเดินหน้าทลายกำแพงทุกอย่างจนกว่าจะได้หัวใจดวงนั้นมาครอบครอง!

...............................................

มาต่อแล้วค่าาา

ตอนนี้เป็นบทพูดของเบซิลที่ไม่ได้แต่งมาสักพัก

พอมาแต่งโดยให้เบซิลดำเนินเรื่องแล้วไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเขินๆ 555

ยิ่งแต่งยิ่งรู้สึกชอบตัวตนของเบซิลมากขึ้น

และหวังว่าทุกคนจะชอบพระเอกคนนี้มากขึ้นเช่นกันนะคะ

ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นท์และทุกๆ กำลังใจเลยนะคะ

ถึงช่วงนี้เหมือนจะน้อยลงT^T แต่เราก็จะพยายามแต่งให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

งุย ๆ  ใจตรงกัน   อิอิ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ใจหายแว๊บบ นึกว่าเขาจะทะเลาะกันซะแล้ว

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เบซิลเป็นพระเอกที่ขี้อ้อนมากและตรงไปตรงมาสุดๆ แบบนี้จะไม่ให้ไธม์หวั่นไหวได้ไง

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เบซิลนี่ถ้ากลายร่างได้ ก็หมาขี้อ้อนตัวโตดีๆ นี่เอง  :laugh:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
หลังจากนั้นทำไมเรามองเห็นเบซิลลงไปกองอยู่ที่พื้นใกล้ๆ เท้าใบไธม์ล่ะ


มโนแว้บเข้ามาเลย 555

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
สืบรัก彡คดีที่13



“ดูเหมือนว่าพวกเราจะได้ข้อสรุปของเรื่องราวทั้งหมดแล้วสินะ” น้ำเสียงทุ้มต่ำของหัวหน้าไพลสันต์ดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดที่แผ่ออกมาจากทุกคนในหน่วยสืบสวนพิเศษ


สถานที่ประชุมยังคงเป็นโต๊ะยาวบริเวณห้องทำงานเหมือนอย่างทุกครั้งเพียงแต่ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งอื่น เนื่องจากพวกเรานั้นได้ข้อสรุปของทุกอย่างแล้วหลังจากใช้เวลาในการสืบสวนเรื่องนี้นานเป็นเดือน


พวกเราต่างแยกย้ายกันออกไปหาข้อมูล หลักฐานรวมถึงการเชื่อมโยงต่างๆ โดยมีพลตำรวจโท เกษมศักดิ์ จิระการณ์เป็นเหมือนแกนหลักในการสืบหา จากการสืบหาไม่ว่าจะทางการแฮ็กข้อมูลของเบซิล การสืบถามจากผู้คนด้วยฝีมือของจิวและแม็ก กระทั่งเบียร์และคนอื่นๆ เองก็แยกกันไปจนได้ข้อมูลพวกนี้มา ยิ่งมีข้อมูลมากขึ้นพวกเราก็ยิ่งมองภาพทุกอย่างได้ชัดเจนขึ้นไม่ว่าจะเป็นคนบงการหรือแม้แต่เหตุการณ์ต่อไปที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า


“ไม่อยากเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ ข้อมูลที่พวกเราได้มาบวกกับการคิดและวิเคราะห์หลายๆ อย่างทำให้ตอนนี้ทุกอย่างเชื่อมโยงกันหมด” เบียร์เปิดประเด็นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพอสมควร


“ใครจะคิดว่าเบื้องหลังเรื่องนี้จะเป็นฝีมือของพลเอกกิติเพชร เศมาลาณหนึ่งในเพื่อนสนิทพ่วงด้วยตำแหน่งเลขาของผู้บัญชาการภีรภัณฑ์ เกตเสรีรัตน์ล่ะ” สกายเป็นอีกคนที่ช่วยเข้าไปสืบกับใกล้ชิดจนได้รู้ข้อมูลลับมามากมาย


ผู้บัญชาการพลเอกภีรภัณฑ์ เกตเสรีรัตน์อย่างที่หลายคนเดาได้คือเขาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของตำรวจครอบคลุมตำรวจทุกหน่วยงาน ซึ่งเขาถูกแต่งตั้งให้ดำรงญ์ตำแหน่งนี้มาเกิน 10 ปีแล้วด้วยความสามารถในระดับหาตัวจับยาก ที่สำคัญคือเขามีความเป็นผู้นำที่เหมาะสมกับการคุมอำนาจนี้ไว้ในมือ


เหล่าพลเอกจึงได้ยอมรับพลเอกภีรภัณฑ์ เกตเสรีรัตน์ขึ้นเป็นผู้บัญชากรโดยปราศจากการคัดค้าน แน่นอนว่าด้วยตำแหน่งที่อยู่จุดสูงสุดทำให้ต้องมีผู้ช่วยคอยดูแลและช่วยเหลือในด้านต่างๆ หนึ่งในผู้ช่วยคนสนิทของผู้บัญชาการคือพลเอกกิติเพชร เศมาลาณ เพื่อนร่วมรุ่นตั้งแต่เข้าโรงเรียนตำรวจ ด้วยความสนิทสนมเขาจึงได้เป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจมากกว่าใคร ตำแหน่งเลขาที่ได้มาก็เพราะความเชื่อใจนั่น แต่ใครจะคิดล่ะว่าความจริงเพื่อนสนิทที่ไว้ใจจะคิดโค่นล้มอำนาจเพื่อขึ้นครองตำแหน่งแทน


“เป็นแผนการที่วางไว้อย่างแยบยลมาก” ผมบอกออกไปตามตรง ตอนแรกที่สรุปเรื่องราวทั้งหมดได้ผมยังคิดเลยว่าแผนการนี้ถูกวางแผนมาอย่างดีจนแทบไม่มีข้อผิดพลาดเลย


“เห็นด้วยกับท่านรอง ใช้ตำแหน่งเลขาที่มีเพื่อหาคนมาทำงานให้จนได้เจอกับพลตำรวจโท เกษมศักดิ์ จิระการณ์ที่มีกิ๊กลับๆ เป็นถึงอธิการบดีของมหาวิทยาลัยชื่อดัง ใช้การข่มขู่เพื่อให้ยอมทำตาม ในตอนแรกทำเพียงแค่ฟอกเงินจากการยักยอกบัญชีอย่างลับๆ ” จิวเริ่มอธิบายข้อมูลให้ทุกคนฟัง


“แต่ดูเหมือนแค่การฟอกเงินจะเป็นเพียงแผนการแรกเท่านั้น จากนั้นจึงใช้มหาลัยเป็นแหล่งในการกระจายข่าวข้อมูลลับของทางตำรวจออกไปเพื่อสั่นคลอนตำแหน่งของผู้บัญชาการสูงสุดภีรภัณฑ์ อีกทั้งยังมีการจ้างนักข่าวให้เขียนข่าวโจมตีโดยไม่มีหลักฐานทำให้ตอนนี้ความน่าเชื่อถือของผู้บัญชาการตกลงฮวบ” เบียร์พูดขยายต่อจากจิวอีกที


“ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงน้ำจิ้มซึ่งแผนการจริงๆ ไม่ใช่การให้ผู้บัญชาออกจากตำแหน่ง” ครั้งนี้เบซิลที่นั่งฟังอยู่นานพูดขึ้นบ้าง


“เมื่อมีเหตุการณ์ที่อาจสั่นคลอนอำนาจเกิดขึ้นทางผู้บัญชาการต้องเคลื่อนไหวเพื่อหาตัวคนร้ายแน่ แต่ด้วยการจำกัดข้อมูลที่พลเอกกิติเพชรทำนั้นต่อให้สืบหายังไงคงไม่มีทางรู้ผู้อยู่เบื้องหลัง ในกรณีนั้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการจัดประชุดใหญ่เพื่อขอความร่วมมือกับทางทหารและพวกเราโดยตรง การจัดประชุมนอกจากเพื่อขอความร่วมมือแล้วยังต้องการแสดงความจริงใจว่าตนเองไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในเหตุการณ์ครั้งนี้เพราะทั้งทางฝ่ายทหารเองเหมือนจะคิดว่าเหตุการณ์นี้ต้องการสร้างกระแสเพื่อรวมอำนาจไว้เป็นของตนเอง” ผมอธิบายต่อจากเบซิล บนโต๊ะของพวกเราไม่ได้มีเอกสารอยู่มากมายเหมือนก่อนหน้านี้เนื่องจากข้อมูลทุกอย่างอยู่ในหัวพวกเราหมดแล้ว


ตอนนี้ที่พวกเราทำคือการวิเคราะห์สรุปทุกอย่างจากการหาข้อมูล


ดูเหมือนว่าพวกเราจะคิดไปในทางเดียวกันหมด


“และทางพลเอกกิติเพชรก็เล็งโอกาสนี้ใช่ไหม” ซันถามพลางชี้นิ้วไปด้านหน้าคล้ายจะบอกว่ารู้แล้วถึงเหตุการณ์ต่อไปที่จะเกิดขึ้น


“ดูเหมือนแผนทุกอย่างจะวางไว้เพื่อให้มีการจัดประชุมขึ้น” จูนเองก็ระแคะระคายอยู่พอสมควรเหมือนกัน


“คิดเหมือนกัน ถ้าให้เดาว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นคงไม่พ้น...” เบียร์ไม่ต่อประโยคสุดท้ายแต่หันไปทางหัวหน้าไพลสันต์ที่นั่งเงียบมาตั้งแต่เปิดการประชุมขึ้น


“คิดจะลอบสังหารผู้บัญชาการภีรภัณฑ์สินะ” หัวหน้าบอกเสียงนิ่ง เป็นไปได้ว่าหัวหน้าจะคาดเดาไว้แล้ว


“ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว สังหารคนเดียวได้ทั้งขึ้นครองตำแหน่งเพราะใครๆ ต่างรู้กันว่าถ้าพลเอกภีรภัณฑ์ไม่ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการคนที่จะได้ขึ้นคือพลเอกกิติเพรช อีกอย่างถ้าลอบสังหารในการประชุมจะสร้างความแตกแยกให้กับทุกฝั่งเนื่องจากทุกคนมีสิทธิ์จะเป็นคนร้ายได้ทั้งนั้น”


“อาจเป็นไปได้ว่าเหตุการณ์นั้นอาจส่งผลต่อความเชื่อใจและสายสัมพันธ์ในระยะยาว ดีไม่ดีอาจอาศัยความกลหนนี้ชิงอำนาจจากทุกฝั่งไปเลยก็ได้” นี่คือเรื่องราวทั้งหมดจากการสืบหาข้อมูล


“นั่นหมายถึงในกรณีที่ทางฝ่ายนั้นทำสำเร็จละก็นะ...ใช่ไหมไธม์” หัวหน้าหันมามองผมระหว่างพูดประโยคสุดท้าย รอยยิ้มมุมปากนั่นแสดงให้เห็นถึงความนัยบางอย่าง


“ครับ ทุกอย่างสามารถแก้ได้ง่ายๆ เพียงแค่ปกป้องผู้บัญชาการภีรภัณฑ์เท่านั้น” หากไม่เกิดการลอบสังหารแผนการต่อไปของพลเอกกิติเพรชก็จะไม่เกิด


“พูดเหมือนง่ายนะไธม์” อาร์มบอกพร้อมกับถอนหายใจ คงเดาได้ว่าเรื่องนี้คงไม่ง่าย


“ง่ายมากเลยแหละแค่เราหาตัวคนลอบสังหารจากผู้เข้าร่วมประชุม 500 คนและจัดการให้ได้ก่อนผู้บัญชาการจะถูกโจมตีแค่นั้นเอง แถมการประชุมจะจัดขึ้นในอีก 2 วันพวกเรามีเวลาเตรียมตัวและวางแผนกันสบายๆ ” แม็กพูดประชดพร้อมส่งเสียงหัวเราะฝืดๆ


อย่างที่แม็กพูด การประชุดนี้จะถูกจัดขึ้นในอีก 2 วัน สถานที่คือบนเรือสำราญที่จะแล่นผ่านทะเลกว่า 6 ชั่วโมงถึงจะวนกลับมาที่เดิม การจะหาคนร้ายและเข้าไปจัดการในระยะเวลา 6 ชั่วโมงท่ามกลางผู้คน 500 คนยากพอๆ กับการป้องกันผู้บัญชาการเพราะไม่รู้ว่าฝ่ายศัตรูจะลงมือเมื่อไหร่


“พวกเราจะไม่ใช่แค่ปกป้องผู้บัญชาการแต่ต้องจับตัวพลเอกกิติเพรชพร้อมบอกสถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ทุกคนบนเรือฟัง” คำพูดแกมคำสั่งของหัวหน้าไพลสันต์ทำเอาพวกเราทั้ง 9 คนถึงกับพูดไม่ออก


ไม่ใช่งานง่ายๆ จริงๆ นั่นแหละ อยู่ๆ จะให้เข้าไปจับกุมพลเอกกิติเพชรคนของฝ่ายนั้นคงยอมหรอก ดีไม่ดีท่างทหารเองอาจมองว่าพวกเรากำลังใส่ร้ายหรือจับกุมโดยไม่มีหลักฐาน


ไม่ง่ายเลยที่จะอธิบายทุกคนพร้อมกัน


“น่าสนุกดีนี่นา ให้ผมจัดการเรื่องนี้ได้ไหม” อยู่ๆ เบซิลก็พูดพร้อมรอยยิ้มร้ายๆ มุมปาก ใบหน้าแบบนั้นแปลว่ามีแผนการอะไรอยู่


“มีแผนสินะ”


“แบบนี้ค่อยน่าสนุกหน่อย แต่ขอคนช่วยสักหน่อยได้รึเปล่า” เบซิลพูดต่อ


“ไม่มีปัญหา จะให้ไธม์ช่วยเหรอ” หัวหน้าถามกลับ


“เปล่า ใบไธม์น่ะให้จัดการเจ้าตัวตรงๆ ดีกว่า อยากให้จิวกับอาร์มมาช่วยหน่อย” พูดจบก็หันไปมองทั้งสองคน


“ต้องการให้ทำอะไรว่ามาเลย” จิวพยักหน้าตอบ


“ได้เลย” อาร์มเองก็เช่นกัน


เบซิลดูเหมือนจะมีความสามารถในการเป็นผู้นำอยู่ไม่น้อย สามารถคิดวางแผนในสถานการณ์คับขับหรือจวนตัวได้อย่างดี


Put the right man on the right job.


คำพูดนี้แปลได้ว่า “เลือกคนให้เหมาะกับงาน”


เบซิลมีทักษะในการมองคนและเลือกดูความเหมาะสมของคนที่เข้าร่วมในแผนการเพื่อให้ประสบความสำเร็จมากที่สุด ขนาดรู้จักกันไม่นานยังมีความเข้าใจมากขนาดนี้อีกไม่นานเขาน่าจะกลายเป็นผู้นำของทุกคนได้แน่


“การประชุมจะจัดขึ้นในอีก 2 วัน ช่วง 5 โมงเป็นต้นไป พวกเราต้องทำงานกันอย่างรอบครอบถ้าฝั่งนั้นรู้ตัวเป้าอาจจะตกอยู่ที่พวกเราแทน เมื่อขึ้นไปบนเรือจงลับประสาทสัมผัสทั้งหมดให้คมและหากเกิดสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลให้จัดการตามความเหมาะสมได้เลย ฉันจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง” หัวหน้าไพลสันต์ลุกขึ้นยืน กวาดตามองพวกเราแต่ละคนระหว่างพูด


“ครับ!” พวกเราทุกคนขานรับคำพูดนั่นอย่างพร้อมเพียง ขนาดเบซิลที่ในตอนแรกไม่มีทีท่าจะยอมให้หัวหน้าตอนนี้กลับมีแนวโน้มในการฟังมากขึ้น


ถือเป็นเรื่องดี


หัวหน้ารู้ดีอยู่แล้วว่าอาจมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ หากรอให้มารายงานคงสายเกินไป  สมกับที่เป็นหัวหน้าของพวกเราหน่วยสืบสวนพิเศษ


ตกดึกผมและเบซิลต่างนั่งจัดการเรื่องของตัวโดยไม่มีการพูดคุยอะไรนัก แผนการของเบซิลคืออะไรผมไม่รู้แค่พอเดาได้ และเพราะแผนการนั่นเบซิลจึงนั่งคร่ำเร่งกับหน้าจอโน๊ตบุ๊คอยู่ ผมเองก็ใช่ว่าจะนั่งว่างแม้จะนั่งสมาธิทว่าในหัวกลับคิดถึงความเป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมหาทางรับมือสถานการณ์เหล่านั้น


อย่างน้อยถ้ามีการคาดเดาไว้กรณีเกิดเหตุการณ์ซึ่งอาจไม่เหมือนแต่แค่มีเคร้าก็สามารถปรับแผนรับมือได้ทันถ้วงที ทั้งผมและเบซิลพวกเราต่างยังเหมือนเดิมแม้ผมจะให้คำตอบเขาไปแล้วก็ตาม คำตอบที่ผมเองยังไม่แน่ใจแต่เมื่อถูกถามด้วยใบหน้าและท่าทางจริงจังผมจึงไม่สามารถปฏิเสธได้


บอกตรงๆ ว่ารู้สึกผิดอยู่ค่อนข้างมากที่ใช้ผู้หญิงคนนึงเพื่อเปรียบเทียบความรู้สึกที่มีเบซิล เธอเป็นคนน่ารักและยิ้มง่าย อีกทั้งยังมีความเป็นมิตรและบรรยากาศที่เข้าถึงได้ง่าย ทั้งที่มีข้อดีมากขนาดนั้นแต่ตลอดการดินเที่ยวผมกลับนึกถึงผู้ชายที่มักจะเอ่ยประโยคด้วยน้ำเสียงจีบหญิงซึ่งมีหลายครั้งที่ผมเผลอใจเต้นไปกับมัน


ตลอดเวลาเกือบปีผมคลุกคลีและอยู่กับเบซิลมาตลอด ตัวตนของเขาผมรู้ดีและดีมากขึ้นเรื่อยๆ กำแพงที่เคยมีพังทลายลง...ที่พูดถึงกำแพงไม่ใช่ของเบซิลแต่เป็นของตัวผมเอง ก้าวเข้ามาด้วยความมั่นใจและทลายกำแพงหนาที่ผมใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตสร้างขึ้นอย่างง่ายดาย


เขายอมรับผมที่เป็นผม


ไม่ว่าจะเป็นท่าทาง กิริยาหรือกระทั่งความลับที่ไม่เคยบอกใครนอกจากครอบครัว


เมื่อย้อนกลับไปดูเรื่องราวทั้งหมดและคิด ผมว่าคำตอบมันเด่นชัดอยู่แล้ว


ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่เผลอยิ้มไปกับคำพูดและการกระทำของอีกฝ่าย


ไม่รู้แม้กระทั่งมีความรู้สึกชอบตั้งแต่ตอนไหนด้วยซ้ำ รู้อีกทีตัวตนของเบซิลก็ใหญ่ขึ้นมาจนไม่สามารถเอาออกไปจากใจได้
ผมชอบเบซิล


แต่ถึงจะยอมรับแต่จะให้ผมเป็นฝ่ายพูดเลยมันก็อายเกินไป


รออีกสักพักผมค่อยบอกก็ยังไม่สาย  ปล่อยให้ฉายาเมเกอร์เล่นมุกจีบต่ออีกสักหน่อยก็ไม่เลว


“ยิ้มอะไรน่ะใบไธม์” เบซิลที่มองหน้าจอโน๊ตบุ๊คเมื่อครู่บัดนี้กลับหันมามองหน้าผมตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้


“เปล่านี่” ผมเบนหน้าหนีไปอีกฝั่ง


เผลอยิ้มออกไปเหรอเนี่ย


ไม่รู้ตัวสักนิด


“โกหกผมไม่ได้หรอกนะ”


“ผมเปล่าโกหกนี่”


“เห็นอยู่ชัดๆ ว่ายิ้ม” เบซิลยังคงไม่ยอมแพ้


“ทำเสร็จแล้วรึไง” ผมเปลี่ยนเรื่อง สิ่งที่เบซิลกำลังทำอยู่ไม่น่าจะเสร็จในเวลาไม่กี่ชั่วโมง


“เอาไว้ค่อยทำทีหลัง”


“รีบทำให้เสร็จเลย” ไว้ค่อยทำทีหลังอะไร เวลามีตั้งเยอะค่อยๆ ทำไปอีกไม่นานคงเสร็จจะปล่อยให้ค้างคาไปทำไมล่ะ


“งั้นก็บอกมาว่ายิ้มอะไร”


“เบซิล แค่ผมยิ้มนี่มันเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นเลย?” ผมถามกลับไปตามตรง


“ใช่ ใหญ่มาก คุณไม่ใช่คนยิ้มบ่อยดังนั้นผมเลยอยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้ใบไธม์ของผมยิ้มได้แถมยังเป็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนกำลังสนุกด้วย” คำพูดของเบซิลไม่ใช่คำพูดจีบสาวเหมือนทุกที


น่าแปลกที่ผมกลับรู้สึกเขินขึ้นมา


“รีบทำงานให้เสร็จซะ” จะให้ผมพูดว่ากำลังคิดเรื่องของอีกฝ่ายอยู่ก็คงไม่ใช่


“ไม่ทำแล้ว” เบซิลปิดฝาโน๊ตบุ๊คก่อนจะขยับตัวลุกขึ้น ดวงตาสีเขียวมรกตมองประสานมาไม่นานทางนั้นก็กระโดดขึ้นมาบนเตียงโดยใช้มือของข้างนั้นกอดเอวผมไว้แน่น


“เบซิล!” ผมถึงกับร้อนลั่นแล้วพยายามขยับตัวหนีแต่ด้วยความที่ถูกมือทั้งสองข้างกอดเอวไว้แน่นทำให้ผมไม่สามารถหลีกหนีได้ตามต้องการ เผลอไปเพียงเสี้ยววินาทีเบซิลก็ไม่ยอมปล่อยโอกาสเลยนะ


“อ่า กลิ่นใบไธม์หอมจัง” ไม่พูดเปล่าเจ้าตัวยังขยับใบหน้าซุกไซร้ไปมาอยู่บริเวณหน้าท้องผม ความรู้สึกแปลกๆแล่นไปทั่วร่างแม้จะมีเสื้อกั้นอยู่แต่ยังสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวรอดผ่านเข้ามา


“เบซิลลุกออกไปเลย” ขืนให้ผมอยู่แบบนี้ต่อไปผมคงทำตัวไม่ถูก


ทั้งไม่ชิน ทั้งอายและทั้งเขิน


“ไม่ลุก ไหนๆ ก็ไหนๆ ผมขอทวงรางวัลเลยละกันนะ” ใบหน้าซึ่งซุกอยู่เงยขึ้นมามองผมเล็กน้อยระหว่างพูด


“รางวัล?” รางวัลอะไร


“จำไม่ได้เหรอ ทั้งที่คุณเป็นฝ่ายพูดเองแท้ๆ ว่าถ้าทายถูกจะมีรางวัลให้” เบซิลบอกใบ้เพิ่มให้


ผมเป็นคนพูด...อย่าบอกนะว่าเป็นตอนอยู่ห้างเมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะ จะว่าไปผมก็พูดเป็นเชิงว่าถ้าเดาถูกจะให้รางวัลจริงๆ นั่นแหละ
เห็นไม่ทวงนึกว่าจะลืมไปแล้วซะอีก


“...จำแม่นจริงนะ” เรื่องแบบนี้


ผมต่อประโยคที่เหลือในใจ


“แน่นอน รางวัจากใบไธม์ใช่ว่าจะได้ง่ายๆ นี่”


“จะเอาอะไร อาหารเปียก อาหารเม็ดหรือว่ากระดูกผูก” ผมเสนอไปสามอย่าง


“ใบไธม์” ครั้งนี้ฝ่ายเบซิลถึงกับเรียกผมเสียงแข็ง


“งั้นเปลี่ยนก็ได้ ลูบหัว ลูบท้องหรือเกาคางดีล่ะ?”


“ลูบหัวก็ดี...ไม่ใช่สิ ผมไม่ใช่หมานะ”


“คิก!” สายตาเคืองๆ จากด้านล่างเรียกรอยยิ้มมุมปากผมให้ยกขึ้นทีละนิด


“จริงจังหน่อยสิ”


“อยากได้รางวัลอะไร เสนอมาเลย” ให้ผมคิดคงคิดไม่ออกหรอกว่าจะให้อะไรดี


“อะไรก็ได้?” เบซิลทำตาโตทันทีที่ได้ยิน


“ถ้าอยู่ในขอบเขตที่ทำได้น่ะนะ” ผมรีบพูดดักทางไว้เพราะอยู่ๆ ก็รู้สึกหนาวขึ้นมาอย่างกะทันหัน


“โหย ใจปล้ำหน่อยสิ”


“ไม่ต้องมาโอดครวญ”


“เป็นแฟนกัน”


“...” ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งห้องอย่างรวดเร็วหลังได้ยินประโยคเมื่อครู่จากเบซิล


“ผมบอกสิ่งที่อยากได้ไปแล้ว” เบซิลพูดทำลายความเงียบคล้ายจะเร่งให้ผมตอบเร็วขึ้น


“...ตอนนี้ผมอยากจัดการคดีให้เสร็จก่อน” แม้ในหัวจะคิดเรื่องของเบซิลอยู่มากแค่ไหนทว่าเหตุการณ์ที่พวกเรากำลังเผชิญเองก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องจัดการให้สำเร็จ เหลือเวลาอีกเพียง 2 วันก่อนจุดจบของเรื่องราวจะมาถึง ซึ่งผมไม่รู้ว่าตอนจบจะเป็นฝ่ายไหนที่ได้รับชัยชนะผมจึงอยากใช้เวลาที่เหลือนี้เตรียมการทุกอย่างเท่าที่จะทำได้


“ความหมายคือหลังจากปิดคดีได้ผมก็จะได้รับคำตอบใช่ไหม” เบซิลพูดต่อ เขาสามารถเข้าใจได้ทันทีว่าผมต้องการเวลา


“อืม...หลังจากจบเรื่องผมจะให้คำตอบกับคุณ” เรื่องนี้ผมเคยคิดไว้บ้างแล้วเพียงแค่ยังไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน แบบนี้ดีแล้ว


“ทั้งที่รักผมขนาดนี้จะยืดเวลาออกไปทำไมกัน”


“เบซิล!” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงดัง ไม่สนว่าข้างห้องจะได้ยินไหม รู้แค่ตอนนี้จะให้ผมระงับสติคงไม่ง่าย


“หน้าแดงนะ ผมพูดถูกล่ะสิ” รอยยิ้มของเบซิลยิ่งทำให้ความร้อนบริเวณใบหน้าสูงเข้าไปอีก


“หยุดพูดเลย”


“ให้หยุดพูดว่าคุณรักผมน่ะเหรอ”


“เบซิล!” สองครั้งแล้วนะ


ถ้ามีอีกครั้งผมไม่ยอมอยู่เฉยแน่ๆ


“น่ารัก ใบไธม์ของผมน่ารักที่สุดเลย” ระหว่างพูดฝ่ามือข้างหนึ่งก็เอื้อมขึ้นมาสัมผัสใบหน้าแล้วเกลี่ยเบาๆ ให้หัวใจเต้นระรัวขึ้น


“...ผมไม่ได้เป็นของคุณ”


“เป็นสิ หัวใจคุณน่ะเป็นของผมแล้วใบไธม์” น้ำเสียงอันทรงเสน่ห์บวกกับรอยยิ้มแพรวพราวทำเอาผมอยากจะกลายร่างเป็นนกแล้วบินหนีจากสถานการณ์นี่เดี๋ยวนี้เลย


กล้าพูดประโยคนั้นออกมาได้ยังไง


แค่ฟังยังทำเอาผมถึงกับหน้าร้อนผ่าวด้วยความเขินอายเลย


“...งั้นหัวใจของเบซิลก็เป็นของผมเหมือนกัน” ใครจะยอมเป็นฝ่ายอายอยู่คนเดียวกัน


ผมไม่ยอมหรอกนะ


ถ้าจะเขินอายก็ต้องด้วยกันไม่ใช่แค่ผมคนเดียว


ท่าทางของเบซิลดูจะอึ้งปนตกใจกับคำพูดผมอยู่ไม่น้อย ดวงตาสีเขียวมรกตสั่นระริกไม่นานก็ทอประกายของความดีใจออกมาเต็มเปี่ยมจนผมอยากจะเบนหน้าหนีทว่ากลับถูกมือข้างเดิมที่เกลี่ยบริเวณแก้มรั้งไว้เลยจำต้องให้ดวงตาของเราสอดประสานกันอยู่แบบนั้น


ไม่มีคำพูดอะไรดังออกมาจากเบซิลและผมอีก


มีเพียงใบหน้าคมคายนั่นขยับขึ้นมาแนบริมฝีปากลงมาแนบชิดโดยปราศจากการรุกล้ำใดๆ ความร้อนลุ่มแผ่กะจายผ่านจุดที่เชื่อมต่อกันไปทั่วร่างกาย รู้ตัวอีกทีผมก็เป็นฝ่ายนอนแผ่อยู่บนเตียงและมีเบซิลขึ้นคร่อมอยู่ทั้งที่ริมฝีปากยังคงประสาน


จูบเบาๆ เริ่มทวีความร้อนแรงขึ้นยามปลายลิ้นของพวกเราสัมผัสโดนกัน เบซิลรุกล้ำเข้ามาอย่างร้อนแรงและดุดันจนผมได้แต่หลับตาลงยอมรับทุกการสัมผัสโดยไม่ขัดขืน เป็นจูบที่ร้อนแรงที่สุดเท่าที่ผมเคยจูบมา


มันเต็มไปด้วยอารมณ์


ความรู้สึกและตัวตนของเบซิล


เขาต้องการผม


นั่นเป็นสิ่งที่ผมสัมผัสได้ผ่านการจูบนี่


รอให้คดีนี้จบลงผมจะเป็นฝ่ายบอกเองถึงความรู้สึกภายในหัวใจดวงนี้




(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


วันเวลาได้ไหลผ่านไปเพียงพริบตาเดียววันประชุมก็มาถึง ตั้งแต่เช้า ไม่สิ ต้องพูดว่าตั้งแต่เมื่อคืนทั้งผมและเบซิลต่างตรวจดูทุกอย่างให้พร้อมมากที่สุด คนอื่นๆ ในหน่วยสืบสวนพิเศษเองก็ไม่ต่างกันแค่ดูบริเวณใต้ตาคล้ำๆ นั่นก็รู้ได้ทันที พวกเราตอนนี้สามารถเป็นเพื่อนกับหมีแพนด้าได้โดยไม่ต้องทาขอบตาสีดำเพิ่มด้วยซ้ำ


“ทุกคน” ผมเรียกทุกคนที่อยู่ในห้องทำงาน ช่วงเช้าแบบนี้มีเพียงจิว เบียร์และสกายเท่านั้นที่มา ส่วนแม็ก ซันและอาร์มคงยังนอนหลับสบายไม่ตื่น สำหรับจูนตอนนี้คงกำลังทำระเบิดอยู่ในห้องทดลองนั่นแหละ


“ครับท่านรอง” เสียงของจิวดูเลื่อยลอยจนไม่แน่ใจว่าเขาละเมอรึเปล่า อีกสองคนที่เหลือทำเพียงเงยหน้ามามองผมด้วยสายตาอิดโรยเท่านั้น


“ไม่นอนพักสัก 2-3 ชั่วโมงเถอะ” ขืนให้อยู่ในสภาพนี้ต่อไปพอถึงช่วงเย็นคงหลับกันเป็นแถว


“แต่ว่าพวกเราต้องเตรียมรับมือสถานการณ์ ตอนนี้ผมกับเบียร์และสกายกำลังหาข้อมูลของทุกคนที่เข้าร่วม...” พูดยังไม่ทันจบประโยคอีกฝ่ายก็ฟุบหัวลงบนโต๊ะก่อนจะเด้งหัวขึ้นมาอีกรอบเนื่องจากแรงกระแทกทำให้ความง่วงหายไปชั่วคราว


“เรื่องนั้นไว้ค่อยทำหลังจากตื่น  ฝืนทำตอนนี้ไปข้อมูลอาจผิดพลาดได้ง่ายๆ จิวกับเบียร์ไปพักที่ห้องด้านข้าง สกายนอนบนโซฟานั่นเลย” ผมบอกกับทุกคน สาเหตุที่ผมให้จิวกับเบียร์ไปนอนในห้องเพราะเป็นผู้ชายเหมือนกัน เตียงในห้องนั้นมีขนาดแค่ 3 ฟุตจะให้ผู้ชายกับผู้หญิงนอนด้วยกันคงไม่ดี และจะใช้ผู้ชายสองคนอัดกันนอนบนโซฟาก็คงไม่เหมาะด้วย


“...” ทั้ง 3 คนพยักหน้าหงึกๆ ก่อนพาร่างอันโซเซของตัวเองไปยังที่นอน หน่วยสืบสวนพิเศษใกล้จะกลายเป็นซอมบี้เข้าไปทุกทีแล้ว


“ห่วงแต่คนอื่น ตัวคุณเองเถอะตาจะปิดแล้ว” เบซิลพูดพลางเลื่อนเก้าอี้เข้ามาใกล้


“ไม่ง่วงเหรอเบซิล” หันไปมองหน้าอีกฝ่ายแล้วดูไม่ง่วงหรือพลังงานหมดเลย


“ง่วงสิ”


“ไม่เห็นเหมือน”


“จะบอกว่าผมหล่อล่ะสิ”


“ไม่ได้พูดนะ” ผมส่ายหัวปฏิเสธถึงจะไม่เถียงเรื่องเบซิลหล่อก็เถอะ


“พักหน่อยเถอะ งีบสักพักก็ได้” เบซิลบอก


“ไม่มีเตียงหรือโซฟาเหลือแล้ว” จะให้ฟุบหลับกับโต๊ะก็ไม่ค่อยชอบด้วย


“อะไรใบไธม์ คุณคงไม่ลืบเตียงส่วนตัวหรอกใช่ไหม”


“เตียงส่วนตัว?” ผมขมวดคิ้วแน่น ใช้ความคิดช่วงง่วงๆ นี่หัวไม่แล่นเอาซะเลย


“นี่ไง เชิญซบอกผมแล้วหลับฝันดีได้เลย” พูดจบเบซิลจึใช้มือตบเบาๆ ไปยังแผ่นอกตัวเอง


“หึ...คนบ้า” ผมถึงกับหลุดขำออกมาทั้งที่เพลียจนใกล้สลบเต็มที


“ยอมบ้าก็ได้ พักหน่อยเถอะ”


“จะให้ผมซบอก?”


“ใช่” เบซิลพยักหน้ารัวๆ


“ไม่เอาล่ะ ขอแค่นี้ก็พอ...” ผมพึมพำพลางเลื่อนเก้าอี้ไปใกล้เบซิลมาขึ้นแล้วเอนหัวพิงไหล่อีกฝ่ายพร้อมหลับตาลง จะให้หนุนอกคงไม่กล้าขนาดนั้นแต่ถ้าแค่ไหล่...ก็ไม่เห็นเป็นจะเป็นไร


“ฝันดีใบไธม์” เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือน้ำเสียงที่พานให้สติหลุดลอยไปหลายชั่วโมง


ตกเย็นพวกเราหน่วยสืบสวนพิเศษได้มาถึงจุดหมายของการประชุม เรือสำราญสีขาวสะอาดตาบัดนี้ถูกย้อมไปดูสีแสดยามพระอาทิตย์กำลังตกดิน ทั้งดูงดงามและแสบตาไปพร้อมๆ กัน รอบๆ ตัวเรือมีการวางกำลังคอยดูแลความปลอดภัยอย่างใกล้ชิดชนิดที่แม้แต่หนูก็คงยังไม่ยอมให้ขึ้นโดนเฉพาะในส่วนของทางขึ้นไปด้านบนของเรื่องที่พวกเรากำลังรวมตัวกันอยู่ในตอนนี้


ดวงตาสีน้ำตาลของผมเงยขึ้นไปจับจ้องยังเหล่าทาหารและตำรวจที่พากันเดินขึ้นไปด้านบนเรือโดยถ้าจะเข้าไปด้านในได้จำเป็นต้องมีบัตรเชิญเพื่อแสดงตัวตน และด้านในเองคงมีการตรวจเช็คอาวุธด้วยเป็นแน่


“แม็กถึงไหนแล้ว” หัวหน้าไพลสันต์เอ่ยถามพลางมองนาฬิกาเรือนเงินบนข้อมือ พวกเราไม่ได้มาจากที่อาคารพร้อมกันแต่แยกกันมารวมตัวตามเวลาที่นัดไว้ทว่ากลับมีเพียงแม็กที่ยังมาไม่ถึงสักที


“ติดต่ออยู่ครับหัวหน้าแต่ไม่รับเลย” ซันตอบแทนเบียร์ที่โทรตามอยู่


“อีกประมาณ 5 นาทีน่าจะมาถึง” คำพูดของเบซิลเรียกทุกสายตาให้หันไปมองด้วยความสนใจ


“รู้ได้ยังไง...แล้วทำอะไรอยู่น่ะเบซิล” ผมเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาแล้วมองหน้าจอโน๊ตบุ๊คที่ถูกเปิดอยู่ บนหน้าจอมีภาพของแผนที่และสัญลักษณ์คล้าย GPS ปรากฏอยู่


“ดูพิกัดของแม็กจากแอพที่ผมทำไว้ แอพนั่นนอกจากจะใช้เป็นฐานในการพูดคุยหรือส่งข้อความแล้วยังมีการระบุตำแหน่งของแต่ละคนไว้ด้วย ต่อให้เจ้าตัวไม่ได้เปิด GPS แต่ถ้าเปิดเน็ตหรือไวไฟอยู่ผมก็สามารถหาตำแหน่งได้ไม่ยาก” เบซิลอธิบายพลางปิดโน๊ตบุ๊คเนื่องจากใช้งานเสร็จเรียบร้อยแล้ว


“สมกับเป็นเมเกอร์ สุดยอดมาก” จิวยกนิ้วโป้งส่งให้เบซิลพร้อมรอยยิ้มชื่นชม


ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องชื่นชมในความสามารถของเบซิลทั้งนั้นแหละ ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ โปรแกรมหรืออื่นๆ ที่เกี่ยวกับกับข้อมูลบนระบบโซเซียลเขาล้วนแล้วแต่มีความเชี่ยวชาญในระดับสูง ต่อให้เป็นคนที่จบด้านนี้มาโดยตรงคงทำขนาดนี้ไม่ได้ง่ายๆ


“ก็ธรรมดานี่” ดูเหมือนเบซิลจะไม่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำสุดยอดนัก จะเรียกว่าถ่อมตัวคงไม่ถูกนัก เขาไม่คิดว่าตัวเองเก่งทั้งที่ในความจริงทักษะระดับนั้นคงมีไม่กี่คนในประเทศนี้


“ทุกคน มาเร็วกันจัง” เสียงของแม็กซึ่งทุกคนกำลังรอคอยดังพร้อมกับร่างในชุดเต็มยศของหน่วยวิ่งโบกมือมาทางที่พวกเราอยู่
การประชุมในครั้งนี้ถือเป็นการประชุมสำคัญดังนั้นชุดที่ใส่เองก็ต้องเป็นชุดให้เกรียติต่อการประชุมนี่ ทางตำรวจเองก็มีสีกากี ทางทหารเองก็มีสีเขียว สำหรับหน่วยสืบสวนพิเศษเองก็มีสีประจำซึ่งก็คือสีเทา


ถึงจะบอกว่าเป็นสีเทาแต่ก็ไม่ได้เป็นสีเทาทั้งชุดเหมือนอย่างสีกากีของตำรวจหรือสีเขียวของทหาร สำหรับผู้ชายจะสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวด้านในและเสื้อนอกสีเทาที่ออกแบบให้มีความทนทานและคล่องตัวสูง มีแผ่นรองสำหรับกันกระแทกอีกทั้งยังถูกออกแบบมาให้สามารถใส่ร่วมงานเลี้ยงได้ เรียกว่ามีเสื้อเพียงตัวเดียวก็เพียงพอแล้ว


สำหรับผู้หญิงเองแม้จะเป็นเสื้อนอกเหมือนกันแต่ออกแบบให้มีความเป็นผู้หญิงมากขึ้นอย่างเข้ารูปนิดมีการพับแขนขึ้นสักหน่อย พอใส่กับชุดเดรสแล้วดูเหมือนพวกเธอกำลังจะเข้าร่วมงานเต้นรำที่ไหนสักแห่ง


“มาช้านะแม็ก” ผมยืนกอดอกรอต้อนรับอีกฝ่าย


“ขอโทษๆ เพื่อเป็นการไถ่โทษฉันจะบอกข้อมูลที่พึ่งได้มาให้ฟัง”


“ข้อมูล?”


“อ่าฮะ ฉันได้ข่าวมาเมื่อช่วงบ่ายมีการเปลี่ยนหน่วยรักษาความปลอดภัย” ทันทีที่แม็กบอกข้อมูลคิ้วของทุกคนก็เริ่มขมวดเข้าหากันทันที


ทุกคนในหน่วยรู้สถานการณ์ปัจจุบันโดยไม่ต้องมีการพูดคุยใดๆ


การเปลี่ยนหน่วยรักษาความปลอดภัยของเรืออย่างกระทันหันนั่นมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นฝีมือของผู้อยู่เบื้องหลังคดีในครั้งนี้พลเอกกิติเพชร เศมาลาณ และถ้าเป็นไปตามคาดหน่วยรักษาความปลอดภัยชุดใหม่คงไม่ได้มีหน้าที่เพียงรักษาความปลอดภัยของเรือสำราญแต่เป็นลอบสังหารผู้บัญชาการสูงสุด พลเอกภีรภัณฑ์ เกตเสรีรัตน์


“แบบนี้แย่แน่” เบียร์พึมพำเสียงเบาอยู่ด้านข้างผม


เป็นอย่างที่เบียร์ว่าแหละ แย่จริงๆ


ถ้าคนของหน่วยรักษาความปลอดภัยอยู่ฝ่ายเดียวกับพลเอกกิติเพชร เศมาลาณ ก็หมายถึงพวกเรามีผู้ต้องสงสัยและศัตรูกว่า 80 คน ตอนนี้เราไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนลงมือแต่ถ้าให้เดาคงไม่พ้นคนที่รักษาความปลอดภัยอยู่ด้านในแต่ก็ไม่ควรทิ้งความเป็นไปได้ที่จะยิงไกลมาจากด้านนอก


“พวกเราคงทำงานกันยากขึ้น ไธม์” หัวหน้าเรียกพลางพยักหน้าส่งมา


“ครับ ทุกคนคนเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้แล้ว หลังจากเข้าไปด้านในผมอยากให้ทุกคนคอยสังเกตความผิดปกติไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม พวกเราต้องจัดการให้เรื่องทุกอย่างจบลงในวันนี้” ผมบอกกับทุกคน วันนี้อาจเป็นเพียงโอกาสเดียวที่จะจับพลเอกกิติเพชร เศมาลาณอย่างคาหนังคาเขาและเปิดเผยทุกอย่างให้กับผู้เข้าร่วมประชุม


ต่อให้รู้ว่าจะมีอันตรายแต่พวกเราก็ถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว


“อืม” ทุกคนพยักหน้าตอบรับ


หัวหน้าไพลสันต์เป็นคนนำพวกเราเข้าไปด้านในของเรือเนื่องจากมีบัตรเชิญ รายชื่อของผู้ติดตามทั้ง 9 มีอยู่ในบัตรเชิญอยู่แล้วจึงสามารถผ่านเข้ามาได้โดยไม่มีปัญหา ทว่าจุดตรวจเช็คอาวุธทำให้ซันต้องฝากอาวุธเกือบ 10 ชนิดไว้ พวกผมเองก็ต้องวางปืนไว้เช่นกัน พูดง่ายๆ คือไม่สามารถพกอะไรที่เป็นอาวุธเข้าไปได้เลย


วางแผนมาดีนี่พลเอกกิติเพชร หากการลอบสังหารผู้บัญชาการสำเร็จจะไม่มีใครสงสัยเขาแน่เพราะอาวุธทุกอย่างถูกลิบไว้หมด
ห้องประชุมในครั้งนี้ไม่ใช่โต๊ะยาวที่มีเก้าอี้ให้นั่งล้อมวงแต่เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ มีโต๊ะอาหารและเครื่องดื่มให้บริการผู้เข้าร่วมอย่างไม่มีที่ติ ดูเผินๆ เหมือนมางานเลี้ยงมากกว่างานประชุม


บรรยากาศรื่นเริงและเสียงหัวเราะคิกคักเงียบลงทันทีที่หน่วยสืบสวนพิเศษก้าวเข้าไป สมาชิกเพียง 10 คนของหน่วยสืบสวนพิเศษแม้จะแยกกันก็มีบรรยากาศพิเศษแผ่ออกมาทำให้พอมาอยู่รวมกันบรรยากาศนั่นก็ยิ่งแผ่ขยายเรียกสายตาของคนทั้งห้องให้จับจ้องมา


ไม่ใช่แค่บรรยากาศแต่รูปลักษณ์ภายนอกเองก็เป็นอีกสิ่งที่เรียกสายตาทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสองสาวสวยของหน่วยสกายและจูน สำหรับสกายหลายคนต่างหลงใหลกับรูปลักษณ์ของนางฟ้ายิ่งเธอสวมชุดเดรสสั้นเหนือเข่าสายตาของพวกผู้ชายก็เหมือนจะวิ่งเข้ามาหา ส่วนจูน เธออาจเป็นสาวห้าวประจำหน่วยแต่ไม่มีใครบอกว่าเธอไม่สวย...แม้จะตัดผมซอยสั้นแต่เมื่อมีการเสริมผ้าคาดผมบวกกับการแต่งหน้าจากสกายและชุดเดรสยาวพอดีเข่า พูดได้แค่ผู้ชายหลายๆ คนจ้องจูนแทบตาถลน


จริงอยู่ที่ผู้หญิงสองคนของหน่วยเป็นเป้าสายตาของเหล่าชายหนุ่มในงานทว่าในความเป็นจริงแขกในงานเป็นผู้หญิงมากกว่าครึ่ง แน่นอนว่าพวกเธอไม่ได้มองสกายและจูนแต่เป็นพวกเราชายทั้ง 8 คนต่างหาก โดยเฉพาะหัวหน้าไพลสันต์ เบียร์และแม็กรวมไปถึงหน้าใหม่ของหน่วยอย่างเบซิล


เริ่มจากหัวหน้าไพลสันต์ ด้วยรูปลักษณ์ดูภูมิฐานสมวัยพ่วงด้วยรอยยิ้มแฝงความขี้เล่นเรียกเสียงกรี๊ดจากเหล่าสาวใหญ่ไปตลอดทาง เห็นแบบนี้หัวหน้ามีภรรยาและลูก 2 แล้ว แต่อย่างว่ารูปลักษณ์ภายนอกเป็นที่ต้องตาซะขนาดนั้นเรื่องอื่นไว้ค่อยว่ากัน
เบียร์และแม็กนั้นเป็นที่รู้กันดีในเรื่องความหล่อเหลาโดยเบียร์จะเป็นแนวของความสะอาด เงียบขรึมและจริงใจส่วนแม็กจะเป็นเพลย์บอย เจ้าเล่ห์และน่าหลงใหล เป็นสองคาแร็กเตอร์ที่ทำให้สาวๆ หลายคนเลือกไม่ถูกว่าจะชอบใครดี


สุดท้ายเบซิล ข่าวลือของเมเกอร์กระจายไปทั่วทั้งฝั่งของตำรวจและทหาร ทุกคนจึงรู้ว่าเขามาอยู่ในหน่วยสืบสวนพิเศษ เรื่องภาพลักษณ์แทบไม่ต้องพูดถึง...ทั้งโครงหน้าอันหล่อเหลา เส้นผมสีเทาและดวงตาสีเขียวมรกตของลูกครึ่งก็พานให้สาวๆ แทบลงไปดิ้นบนพื้นแล้วทว่าด้วยมายาของคำพูด น้ำเสียงหรือการกระทำยิ่งส่งผลให้ทั้งสาวใหญ่ สาวเล็กหรือแม้แต่ผู้ชายต่างตกหลุมอย่างง่ายดาย พอรวมทั้งชายและหญิงของหน่วยสืบสวนพิเศษผมก็ไม่แปลกใจเลยที่ทุกสายตาจะจับจ้องมา


“ใบไธม์ห้ามมองคนอื่นนะ” อยู่ๆ เบซิลก็ขยับตัวเข้ามากระซิบ


“...ฮะ อะไร” ผมขยับหน้าหนีเล็กน้อยตามความเคยชิน


“ผมหึงนะถ้าคุณมองคนอื่นนอกจากผม”


“เลิกเล่นมุขจีบหญิงเดี๋ยวนี้เลย” สถานการณ์ในตอนนี้มันใช่เวลามาหยอดหรือจีบผมไหม


“ใครว่าผมเล่น ผมจริงจังนะ...ยิ่งกับคนที่รักผมหึงแรงด้วยนะจะบอกให้” อีกฝ่ายยังคงขยับใบหน้าเข้ามาใกล้แม้ผมจะขยับหนีเท่าไหร่ก็ตาม


“...อยากเห็นจังนะ ผมไปหาสาวสักคนดีไหม” ผมลองแหย่กลับ


“...” ความเงียบและสายตาคมที่สัมผัสได้ทำเอาผมขนลุกไปทั้งตัว


เบซิลไม่เล่นด้วยเหมือนทุกที


จริงจังสินะ


“โทษที ผมไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก” ผมบอกพลางใช้มือข้างนึงดึงแก้มของเบซิลให้คลายความตึงเครียดลง


“แน่ใจนะ”


“อืม สัญญาเลย” ไม่มีเวลาไปหาใครทั้งนั้นแหละ


หัวหน้าไพลสันต์พาพวกเราเดินผ่านสายตาทั้งสองฟากไปยังด้าหน้าของห้องซึ่งดูเหมือนผู้บัญชาการสูงสุดของฝ่ายตำรวจและทหารจะมารวมตัวกันอยู่ที่นั่นโดยมีคนสนิทหรือผู้คุ้มกันส่วนตัวอยู่ด้านหลังฝั่งละ 10 คนได้


ระแวงระวังกันพอดูถึงได้ต้องมีคนติดตามขนาดนั้น


ไม่แปลกหรอกเพราะสถานการณ์ในตอนนี้ไม่สู้ดีนัก วันก่อนพึ่งมีการนำเรื่องการฝึกทหารที่โหดจนมีคนตายออกไปเผยแพร่ต่อสาธารณะชน ฝั่งทหารคงคิดว่าฝั่งตำรวจทำซึ่งทางตำรวจเองก็คิดว่าฝั่งทหารทำในการกระจายข้อมูลความลับเช่นกัน


ต่างฝ่ายต่างระแวงซึ่งกันและกัน


“สวัสดีผู้บัญชาการภีรภัณฑ์และผู้บัญชาการอภินันท์ ไม่ได้เจอกันนานนะ” หัวหน้าไพลสันต์เอ่ยทักทายทั้งคู่ท่ามกลางบรรยากาศตึงๆ สำหรับผู้บัญชาการภีรภัณฑ์เป็นที่รู้กันว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายตำรวจอยู่ในขณะนี้ ส่วนผู้บัญชาการอภินันท์หรือชื่อเต็มๆ คือพลเอกอภินันท์ ขันติเจริญผู้บัญชาการสูงสุดของฝั่งทหาร


ตอนนี้ผู้บัญชาการสูงสุดทั้ง 3 คนกำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่


เป็นบรรยากาศที่หนักอึ้งจริงๆ


ทั้ง 3 คนมียศและตำแหน่งเทียบเท่ากันคือผู้บัญชาการและพลเอก ต่างกันแค่มีลูกน้องอยู่คนละฝั่งกัน สำหรับหน่วยสืบสวนพิเศษถึงจะมีหัวหน้าไพลสันต์เป็นถึงพลเอกแต่ทั้งผมหรือหลายๆ คนไม่ได้มียศพลโท พลตรีหรือพลอะไรเนื่องจากพวกเราในตอนแรกไม่ได้สังกัดอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อย่างตัวผมแม้จะเคยทำงานให้กับทางการแต่ไม่ใช่ตำรวจหรือทหาร เป็นเพียงส่วนหนึ่งของฝ่ายบัญชีของทางการเท่านั้นเอง


คนอื่นๆ อย่างจิวหรือแม็กแม้แต่อาร์มหรือจูนล้วนไม่ใช่คนที่มียศกันทั้งนั้น พวกเราถูกหัวหน้าไพลสันต์ทาบทามมาจากหลากหลายอาชีพ คนที่มียศดูเหมือนจะมีแค่ซันกับเบียร์ เป็นยศพลโทด้วยกันทั้งคู่


หน่วยสืบสวนพิเศษอาจดูแปลกซึ่งก็จริง ไม่มีใครยอมรับคนที่แม้แต่ยศยังไม่มีหรอกแต่เมื่อได้เห็นทักษะและความสามารถในการทำงานความคิดของพวกเราก็เริ่มเปลี่ยนไปจนตอนนี้กลายเป็นอิจฉาไปแล้ว เรียนหรือฝึกมาก็ไม่ใช่แต่ดันจัดการคดีที่เจ้าตัวปิดไม่ได้ในเวลาไม่นาน ถูกมองแรงมาตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงตอนนี้เลยล่ะหน่วยสืบสวนพิเศษ


“มาสายรึเปล่าผู้บัญชาการไพลสันต์” ผู้บัญชาการอภินันท์เอ่ยทักทาย


“ทันเรือออกพอดี” หัวหน้ายิ้มระหว่างตอบ เห็นได้ชัดว่าสาเหตุที่ทำให้พวกเรามาช้าอย่างแม็กถึงกับสะดุ้ง


“พามาทั้งหน่วยแบบนี้เหมือนมีงานใหญ่เลยนะ” ทางผู้บัญชาการภีรภัณฑ์ถามบ้าง


ไม่บ่อยนักที่หัวหน้าจะให้พวกเราทุกคนตามมาพร้อมหน้า ตัวตนของเราดูเหมือนจะข่มทางผู้คุ้มกันของทั้งสองฝั่งได้มากพอดู สายตาจากทั้งสองฝั่งจากที่ระแวงกันเองเปลี่ยนมาจับจ้องหน่วยสืบสวนพิเศษเป็นตาเดียว


น่าดีใจจริงๆ


“ทั้งสองคนเองก็เช่นกัน ผู้เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ดูจะมากเป็นพิเศษ” หัวหน้าพูดพลางใช้สายตามองไปรอบๆ จำนวนของผู้เข้าร่วมกะด้วยสายต่าคงประมาณ 400 คนรวมพวกเราบวกกับพนักกงานรักษาความปลอดภัยบนเรือและพนักงานเสิร์ฟอีก 100 คน บนเรือนี่ก็จะมีคนอยู่ประมาณ 500 คน แน่นอนว่าคนของหน่วยสืบสวนพิเศษมีแค่ 10 คนดังนั้นที่เหลืออีก 390 คนเป็นของฝ่ายตำรวจและทหารอย่างละครึ่งๆ


“พวกเราต้องรีบหาทางยุติเหตุการณ์นี้โดยเร็วที่สุด”


“เรื่องนั้นเห็นด้วย”


“ฉันอยากคุยเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวก่อนจะเปิดการประชุมกับทุกคน” หัวหน้าไพลสันต์บอกกับอีกสองคน


“คุยเป็นการส่วนตัวหมายถึงไม่มีลูกน้อง?” ผู้บัญชาการธีรภัณฑ์ถาม


“ใช่”


“อันตรายเกินไป” พลเอกกิติเพชรรีบพูดแย้ง


ผมว่าที่อันตรายคือตัวคนพูดเองมากกว่ามั้ง


คงกลัวว่าหัวหน้าจะบอกข้อมูลอะไรน่ะสิ


หน่วยสืบสวนพิเศษขึ้นชื่อเรื่องความเร็วในการสืบสวน รวบรวมหลักฐานและจัดการคนร้าย ทางนั้นคงเดาได้ว่าพวกเราไม่มีทางปล่อยคดีนี้ไปนานนัก


“ไธม์” หัวหน้าไม่สนคำพูดคนอื่นเรียกผมพร้อมพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้จัดการต่อ


“ครับ ทุกคนไปกันเถอะ” ผมหันไปบอกแล้วพาทั้ง 8 คนออกมาจากวง


เรื่องนี้อยู่ในแผนการของเรา หัวหน้าบอกว่าในตอนแรกให้พวกเราทุกคนเดินรวมกันเพื่อเรียกสายตาทุกคนและสร้างบรรยากาศแสดงให้ทุกคนรู้สึกไม่ปลอดภัยก่อนจะสลายตัวไปจัดการแผนต่อไป


ไม่ต้องมีคำพูดหรือการแสดงออกใดๆ เพียงแค่ดวงตาสีเขียวมรกตของเบซิลเบนมาสบผมก็รู้ได้ทันทีว่าเขาจะออกไปจัดการอะไรบางอย่าง เจ้าตัวขอให้จิวและอาร์มเป็นผู้ช่วยในการทำอะไรสักอย่างเพื่อให้คนทั้งงานรู้ว่าใครเป็นคนร้าย จะพูดออกลำโพงหรือทำอะไรกันนะเบซิล


ต่อให้อยากรู้แต่ผมก็ไม่ได้ตามอีกฝ่ายไปเนื่องจากมีงานสำคัญต้องจัดการ ตอนนี้พวกเราทั้ง 6 คนเดินกระจาย ปะปนกับกลุ่มคนในงานซึ่งมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การหาตัวคนลงมือรอบสังหาร การจะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก


พนักงานรักษาความปลอดภัยแค่ในห้องก็มีอยู่ 30 คนได้แล้ว ต่อให้มีกัน 6 คนใช่ว่าจะรู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร ผมคอยสังเกตท่าทีของพนักงานรักษาความปลอดภัยด้วยหางตา


ถ้าผมเป็นคนร้ายจะทำยังไง


มีวิธีไหนที่ใช้ได้บ้าง


และแบบไหนที่เหมาะกับสถานการณ์นี้มากที่สุด


สมมุติว่าผมเป็นคนร้ายคงไม่ถือปืนยิงโต้งๆ ท่ามกลางตำรวจและทหารหลายร้อยคนหรอก เพราะถ้าทำจริงต่อให้สังหารสำเร็จคงไม่รอดอยู่ดี ดังนั้นถ้าจะให้ดีควรจะเล็งมากจากระยะไกลหน่อย แต่ถ้าเล็งจากข้างนอกมามีโอกาสสูงเมื่อกระสุนทะลุกระจกเข้ามาแล้วจะส่งผลให้เป้าหมายไหวตัวทัน ดังนั้นก็ควรหามุมที่สามารถเล็งยิงจากระยะไกลได้โดยไม่มีสิ่งกีดขวาง


เมื่อได้ข้อสรุปผมไม่รอช้ารีบมองไปรอบๆ ห้องโถง ด้านหน้าของห้องโถงเป็นเวทีขนาดใหญ่ที่มีผ้าม่านถูกรวบไว้บริเวณสองข้าง ถัดมาทางฝั่งซ้ายมือเป็นกระจกใสยาวเผยให้เห็นบรรยากาศด้านนอกทั้งขอบเรือและทะเลยามค่ำคืน ด้านหลังเป็นพื้นที่โล่งมีเพียงประตูเล็กอยู่ตรงกลาง ส่วนฝั่งขวามือผมเป็นผนังสีครีมซึ่งมีบานประตูขนาดกลางอยู่ 2 จุด แต่ละจุดเปิดอ้าไว้สำหรับให้ผู้ร่วมง่ายเดินเข้าออกได้ตามสะดวก แม้จะมองทั้ง 4 ทิศแต่ก็ยังหาจุดน่าสงสัยไม่เจอ


ด้วยความสว่างภายในห้องหากมีคนหยิบปืนสีดำออกมาต้องมีคนสังเกตเห็นบางล่ะ ดังนั้นไม่ใช่ในห้องโถงนี่แน่นอน ด้านหลังเองก็ว่างเกินไปไม่มีที่กำบัง เหลือเพียงฝั่งกระจกใสกระประตูเข้าออก


ถ้าให้ผมเลือกคงเลือกทางฝั่งกระจกใสเนื่องจากช่วงเวลานี้สามารถพรางร่างกายไว้ในความมืดได้ แต่อย่างที่บอกไปว่าหากยิงมาทางกระจก เสียงจากการแตกอาจทำให้เป้าหมายไหวตัวทันหรือวิถีของกระสุนเบี่ยงเบนไป...เดี๋ยวนะ ถ้าไม่ต้องยิงผ่านกระจกล่ะ


เมื่อคิดได้ผมรีบเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนเพดานตั้งแต่มุมขวาสุดไปถึงอีกฝั่งและก็พบสิ่งที่ตามหาจนได้ กระจกด้านบนติดกับเพดานถูกสร้างให้สามารถเปิดปิดได้เพื่อระบายอากาศซึ่งหากเปิดแอร์คงไม่จำเป็นต้องเปิดกระจกทว่ากลับมีบานนึงที่ถูกเปิดอ้าไว้เล็กน้อยราวกับจงใจ


ความกว้างแค่นั้นเพียงพอให้กระสุนสามารถรอดผ่านได้ ผมเอนหลังติดกับบานกระพลางใช้สายตาลอบมองด้านนอก ด้วยมืดอาจทำให้มองลำบากแต่เงาของการเคลื่อนไหวบริเวณด้านบนกล่องลังไม่อาจเล็ดลอดสายตาผมได้ ผมไม่รอช้าก้าวเดินไปทางประตูทางออก ระหว่างนั้นมีเพียงเบียร์ที่รู้การเคลื่อนไหวของผมจึงทำเป็นถือแก้วเครื่องดื่มจิบอยู่ริมผนังห้อง


“ทางกระจก” เพียงแค่คำเดียวที่บอกระว่างผมก้าวผ่านเบียร์ก็มากพอให้อีกฝ่ายหาคำตอบทุกอย่างแล้ว


เบียร์เป็นคนฉลาดและมีการคิด วิเคราะห์เป็นอันดับต้นๆ ของหน่วยแค่คำเดียวเขาสามารถตีความออกมาได้ว่าศัตรูจะยิงมาจากทางกระจก และการที่ผมออกไปหมายความว่าให้เขาเป็นคนคอยคุ้มกันถ้าเกิดอะไรขึ้นโดยผมจะเป็นคนไปจัดการด้านนอกเอง


บรรยากาศด้านนอกค่อนข้างเย็นและมีคนรักษาความปลอดภัยอยู่ตามจุดต่างๆ ผมอาศัยช่องว่างเล็กๆ หลบพวกเขามาจนถึงจุดหมาย ลังไม้ขนาดใหญ่ซ้อนทับกัน 2 ชั้นคล้ายถูกทำขึ้นเป็นที่กำบังโดยเฉพาะ ผมย่องเบาๆ ไปด้านหลังลังนั่นแล้วปีนขึ้นไปด้านบน หากจะยิงผ่านช่องว่างของกระจกการอยู่ในระนาบพื้นไม่สามารถทำได้ พื้นบริเวณนี้ถูกยกให้สูงกว่าด้านในเรืออยู่แต่แค่นั้นยังไม่จึงต้องใช้กล่องลังนี่เป็นฐานอีกที


วางแผนได้สุดยอด ร่างของคนร้ายนอนหมอบเล็กลำกล้องไปยังผู้บัญชาการธีรภัณฑ์พร้อมกับเหนี่ยวไกยิง


ปัง!


เพล้ง!


ในจังหวะที่ยิงผมแตะเข้าบริเวณชายโครงของอีกฝ่ายพอดี กะว่าจะหยุดแต่ดันยิงออกไปได้สำเร็จ ถึงจะยิงไปได้วิถีกระสุนน่าจะถูกเบี่ยงไปไม่น้อย ได้ยินเสียงกระจกแตกด้วย หมายความว่าวิถียิงไปโดนกระจกจนทะลุ ผมเชื่อว่าเบียร์และคนอื่นๆ ในหน่วยสามารถจัดการกับสถานการณ์นี่ได้


“แกเป็นใคร!” คนร้ายใช้มือข้างนึงกุมบริเวณที่ถูกเตะ เขาพยายามจะลุกขึ้นหนีแต่คงทำไม่ได้


“คนของหน่วยสืบสวนพิเศษ” ผมบอกไปตามตรง


ไม่จำเป็นต้องปิดบังนี่นะ


“บ้าเอ้ย!” อีกฝ่ายใช้ปืนยาวเล็งมายังพร้อมแล้วกะจะกราดยิงทว่าผมไม่ปล่อยให้เป็นแบบนั้น เมื่อถูกหันปืนมาผมก็ไม่รอช้าที่จะเตะกระบอกปืนให้ตกลงไปด้านล่าง


เมื่อปราศจากอาวุธแถมร่างกายยังบาดเจ็บผลลัพธ์สุดท้ายคือผมพาตัวอีกฝ่ายกลับเข้าไปในเรือแต่พนักงานรักษาความปลอดภัยดูเหมือนจะไม่ยอมปล่อยให้ผมผ่านง่ายๆ จึงต้องใช้กำลังสักพักกว่าจะมาถึงห้องโถงได้


ทั้งที่คิดว่าทุกสายตาจะจับจ้องมาทางผมที่ลากตัวคนร้ายเข้ามาแต่ความจริงทุกสายตากลับกำลังจับจ้องไปยังคลิปวิดีโอที่ถูกฉายบนหน้าจอโปรเจ็กเตอร์ขนาดใหญ่ด้านหน้าเวที ตัวคลิปฉายภาพของพลเอกกิติเพชร เศมาลาณตอนกำลังข่มขู่พลตำรวจโทเกษมศักดิ์พร้อมทั้งภาพบัญชีของพลเอกกิติเพชรอันเต็มไปด้วยจำนวนเงินไม่รู้กี่ร้อนล้านซึ่งมีการโอนมาจากพวกพ่อค้ายาและอาวุธแทนคำขอบคุณที่ให้ความช่วยเหลือจนสามารถนำของเหล่านั้นเข้ามาในเมืองได้ง่ายๆ


ยิ่งสืบลงไปลึกมากเท่าไหร่การกระทำผิดของพลเอกกิติเพชรก็ยิ่งเด่นชัดขึ้น ไม่เพียงแค่คิดจะยึดอำนาจแต่ยังมีการค้าสมาคมกับพ่อค้ายาเสพติดและอาวุธผิดกฏหมาย


ทุกคนในห้องโถงต่างดูคลิปนั่นด้วยความตกตะลึง ส่วนเจ้าตัวดูเหมือนจะไม่ยอมง่ายๆ เลยถูกซันจับล๊อคไว้ ไม่ต้องถามผมก็รู้ว่าใครเป็นคนทำคลิปนี่ ไม่มีใครนอกจากเมเกอร์ ที่ให้จิวกับอาร์มไปช่วยคงต้องการคนที่ช่วยเปิดทางห้องโสตกับข้อมูลเชิงลึกจากจิว รวมกับความสามารถของเบซิลทุกอย่างเลยสำเร็จออกมาด้วยดี


ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้มากเพราะหลักฐานเห็นอยู่คาตา


น่าเสียดายที่ผมไม่ได้อยู่เห็นตั้งแต่เริ่ม


“ท่านรองมาแล้ว” เสียงของจูนเรียกสายตาเกือบทุกคู่หันมามองผมที่พาตัวคนร้ายเข้ามา


“จัดการกันเร็วดีนี่” ผมเอ่ยชมเบซิลที่ยืนอยู่ด้านข้างและทุกๆ คน กระสุนเมื่อครู่ยิงฝังลงมาบนพรหมทำให้ไม่มีผู้บาดเจ็บ


“แน่นอน ขอรางวัลด้วย” เบซิลไม่รอช้ารีบเดินยิ้มเข้ามาหา


“เหมือนเราจะไม่ได้ตกลงกันนะ”


“ให้รางวัลผมฉลองที่จับคนร้ายได้หน่อยสิ อย่าใจร้ายน่าใบไธม์”


“ไม่ต้องมาโอดครวญเลย”


และแล้วคดีใหญ่สุดในรอบหลายปีก็ปิดฉากลง ผู้บัญชาการภีรภัณฑ์มีท่าทีตกใจมากเมื่อรู้เรื่องราวทุกอย่างทว่าไม่นานก็ตัดสินใจให้กฏหมายลงโทษตามความผิดที่ได้ก่อไว้พร้อมทั้งปลดออกจากราชการ ดังนั้นต่อให้พ้นโทษก็ไม่สามารถกลับมาเป็นตำรวจได้อีกแล้ว


ความหวาดระแวงของทางฝั่งตำรวจและทหารคลี่คลายลงโดยครั้งนี้หน่วยสืบสวนพิเศษได้รับคำชื่นชมจากผู้บัญชาการสูงสุดของทั้งสองฝั่งเต็มๆ ที่น่าดีใจคือหัวหน้าไพลสันต์แม้จะมีตำแหน่งเท่ากันกับผู้บัญชาการอีก 2 คนแต่ดูเหมือนพวกเขาจะให้ความเคารพและเกรงใจขึ้นมามากจนจิวกับเบียร์แอบกระซิบว่าผู้นำสูงสุดตัวจริงก็คือหัวหน้าไพลสันต์ของหน่วยสืบสวนพิเศษนี่แหละ

...............................................................

สวัสดีค่ะ

มาต่อแล้วกับฉากความมันส์ของการรวมตัวกันของหน่วยสืบสวนพิเศษ

พอแต่งไปก็รู้สึกเหมือนเราจะชอบแนวนี้แฮะ

ค่อนข้างถูกใจความสัมพันธุ์ของทั้งคู่ในตอนนี้มากเลย ฟินนนน

เนื้อเรื่องดำเนินมาเกินกว่าครึ่งแล้วอีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้วค่ะ

น่าจะจบใกล้ๆ กับอีกเรื่องที่แต่งอยู่

ไม่ม่อะไรจะพูดนอกจากขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเม้นท์และกำลังใจที่ให้เสมอนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบายค่า

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ตอนแรกคิดว่าจะมีการบู๊มากกว่านี้นะไม่คิดว่าจะปิดคดีกันเร็วแบบนี้ แต่ไม่ใช่ไม่ดีนะเพราะต่อจากนี้จะได้เห็นความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้นของใบไธม์กับเบซิลแล้ว  รางวัลของการจับคนร้ายได้คือการตอบตกลงเป็นแฟนรึเปล่า

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ปิดคดีไวมากกกกกกกก

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
คดีต่อไป ส่งมาด่วนเลย  :katai2-1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
เบซิลทำให้ปิดคดีได้เร็วมาก
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
สืบรัก彡คดีที่14



“พี่ไธม์!” เสียงหวานจากจากน้องสาวเพียงคนเดียวของผมดังขึ้นทันทีที่เปิดประตูบ้านเข้าไป เธอวิ่งออกจากห้องนั่งเล่นพร้อมโผลเข้ากอดผมเต็มแรง


“เพกา? ไม่ใช่ว่าป่วย?” ผมใช้มือข้างนึงแตะบริเวณหน้าผากเพื่อวัดไข้ซึ่งอุณหภูมิที่สัมผัสได้นั้นไม่ได้ร้อนขนาดเป็นไข้สูง


อะไรกันเนี่ย


ผมขมวดคิ้วแน่นเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้า ก่อนหน้านี้หลังจากจัดการคดีใหญ่บนเรือสำราญเสร็จผมและเบซิลก็กลับไปยังห้องบนคอนโดตามปกติทว่าตอนกำลังขึ้นไปบนห้องกระวานก็โทรมาบอกว่าเพกาไข้ขึ้นสูงมากรีบให้ผมกลับบ้านด่วน


เพราะคำพูดนั่นทำให้ผมต้องรีบขับรถกลับบ้านมาทั้งที่เพลียเต็มที ยิ่งเวลานี้เป็นเวลาเกือบห้าทุ่มแล้วด้วย ตลอดหลายวันทั้งผมและคนในหน่วยแทบไม่ได้นอน ดังนั้นผมเลยกะจะพักให้หายเหนื่อยสักหน่อย แน่นอนว่าต่อให้เหนื่อยยังไงแต่ถ้าน้องผมไม่สบายผมก็ไม่ลังเลที่จะรีบกลับไปหา


แต่นี่มันแปลกๆ


เพกาไม่ได้ป่วย ไข้ขึ้นนี่


“พี่ไธม์คิดถึงจังเลย” เพกายังคงกอดผมไม่ปล่อย


“พี่ก็คิดถึงเหมือนกัน เข้าไปในบ้านเถอะ” ผมปิดประตูก่อนจะพากันเข้ามาในห้องรับแขกด้านข้างที่ตอนนี้มีครอบครัวของผมนั่งอยู่กันพร้อมหน้าตั้งแต่กระวาน โป๊ยกั๊ก พ่อและแม่รวมไปถึงเจ้าหญิงสัตว์เลี้ยงเพียงหนึ่งเดียวของบ้าน


“กลับมาจริงๆ ด้วย” แม่ดูมีทีท่าตกใจไม่น้อยที่เห็นผมเข้ามา


“ผมบอกแล้วว่าพี่ต้องรีบมาแน่” กระวานหันไปพูดกับแม่ด้วยรอยยิ้ม


“พ่อว่าเราทำไม่ถูกนะ” ใบหน้าของพ่อดูเจื่อนๆ คล้ายกำลังรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย


“ผมก็บอกอยู่ว่าอย่าเลย พี่ไธม์ยิ่งงานยุ่งๆ อยู่ด้วย” โป๊ยกั๊กเป็นอีกหนึ่งเสียงที่ดูไม่เห็นด้วยแถมยังมองมาทางผมเป็นเชิงขอโทษอีก


“นี่อย่าบอกนะว่า...โกหกเพื่อให้ผมกลับมาน่ะ” ผมถามตามตรงโดยสายตาเลื่อนไปหยุดอยู่ที่กระวานซึ่งผมคิดว่าคนต้นคิดของเรื่องนี้แน่ๆ


“...โทษทีพี่ชายก็พวกเราไม่ได้เจอกันตั้งนานนี่แถม...”


“หนูคิดถึงพี่ไธม์” ยังไม่ทันที่กระวานจะพูดจบเพกาก็ตะโกนแทรกพร้อมกอดผมไม่ปล่อย เพกาเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของครอบครัวเราที่พึ่งอายุ 13 ปีเท่านั้น ด้วยความน่ารักและขี้อ้อนนั้นทำให้เธอเป็นเหมือนนางฟ้าของบ้านหลังนี้ก็ไม่ผิด


แน่นอนว่าเพกาเองมีพลังแบบเดียวกับผมและน้องชายทั้ง 2 คนทว่าเป็นพลังที่มีประโยชน์กว่ามาก พลังนั้นคือหากลงมือปลูกต้นไม้ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ดอกไม้หรืออะไรก็ตามต้นไม้นั้นจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและเร่งให้ออกดอกออกผล ในสวนเล็กๆ ของบ้านเองตอนนี้ก็มีการปลูกพืชผักต่างๆ สำหรับเอาไว้ใช้ในร้านอาหารของพ่อโดยมีเพกาเป็นคนช่วยปลูก ส่วนใหญ่จะเป็นต้นไม้ที่ให้ผลอย่างแอปเปิ้ลหรือมะม่วง


“เข้าใจแล้ว พี่เองก็ขอโทษที่ไม่ได้มาหาเลยนะเพกา” ผมย่อตัวลงให้อยู่ในระนาบเดียวกับน้องสาวพร้อมกับวางมือลงบนเส้นผมสีดำยาวแล้วลูบเบาๆ


ผมเข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว เพกาคงอยากเจอผมเลยให้กระวานช่วย กระวานจึงโทรมาหลอกว่าเพกาป่วยเพื่อให้ผมรีบกลับมาเพราะถ้าแค่โทรมาหาปกติผมอาจจะไม่มาก็เป็นได้ ยิ่งช่วงที่คดียุ่งๆ มีไม่น้อยที่ผมไม่กลับบ้าน แม่เองคงไม่คิดว่าแผนตื้นๆ จะเรียกผมให้กลับมาได้ ส่วนพ่อกับโป๊ยกั๊กคงไม่เห็นด้วยกับแผนการนี่นัก เพราะถ้าเห็นด้วยคงไม่ทำหน้าสำนึกผิดกันขนาดนี้หรอก
ความจริงผมไม่โกรธอะไรหรอก ออกจะเข้าใจด้วยซ้ำ


“พี่ไม่ได้ทิ้งคดีอะไรมาใช่ไหม” โป๊ยกั๊กถามต่อ


“พึ่งเสร็จไปเมื่อตอน 4 ทุ่ม” ผมบอกพลางนั่งลงยังโซฟาข้างๆ แม่โดยมีเพกากระโดดขึ้นมานั่งบนตัก ด้วยอายุที่ต่างกันเป็น 10 ปีของผมและเพกาทำให้บางทีผมรู้สึกเอ็นดูเธอคล้ายลูกมากกว่าน้องสาว


“ท่าจะคดีที่เกี่ยวกับทางการสินะ” แม่ถามบ้าง สายตาของแม่มองมายังชุดที่ผมใส่อยู่ แค่นั้นก็มาพอให้เดาได้แล้วว่าเป็นคดีอะไร เพราะถ้าเป็นคดีปกติผมจะไม่ใช่เสื้อนอกของหน่วยสืบสวนพิเศษ


“ครับ ค่อนข้างยากทีเดียว” กว่าจะสืบสาวจนรู้เรื่องทุกอย่างใช้เวลานานมาก


“ใช่คดีที่ออกข่าวว่าฝั่งตำรวจกับทหารโจมตีกันเองรึเปล่าพี่” สมแล้วกับที่เป็นโป๊ยกั๊กเชื่อมโยงเหตุการณ์และความน่าจะเป็นได้ดีมาก


“ใช่ แต่จบแล้วล่ะ”


“พี่ผมสุดยอดที่สุด แล้วจะได้เห็นพี่ในโทรทัศน์ไหม” ท่าทางของกระวานทำเอาผมหลุดหัวเราะออกมา


“ไม่เห็นแน่นอน” ผมฟันธง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะเผยแพร่ออกสื่อได้ง่ายๆ ต่อให้มีเผยแพร่คงไม่มีติดชื่อผมหรือคนในหน่วยสืบสวนพิเศษ มากสุดคงเป็นชื่อของหัวหน้าไพลสันต์


“ว้า เสียงดายจัง”


“หิวไหมไธม์” พ่อที่นั่งอยู่ถัดจากแม่ชะโงกหน้ามาถาม


“นิดหน่อยครับ” จะว่าไปตั้งแต่ขึ้นเรือไปก็ไม่ได้แตะทั้งเครื่องดื่มหรืออาหารเลย


“งั้นพ่อจะทำมื้อดึกให้ ทุกคนเอาด้วยไหม” พ่อลุกขึ้นพลางถามทุกคน


“ก็ดีนะ ขอของที่เบาๆ ละกัน” แม่พูดคนแรก


“อยากกินเนื้อ” กระวานยกมือเสนอพร้อมเอฟเฟ็กเสียงท้องร้อง


“พี่ไธม์กินเนื้อไม่ได้ เอาอย่างอื่นดีกว่ามั้ง” โป๊ยกั๊กหันไปบอกกระวาน


“ไม่เป็นไร พี่กินอย่างอื่นได้ พ่อไม่ได้ทำอย่างเดียวนี่” เรื่องหารผมค่อนข้างเป็นปัญหาเวลากินข้าวพร้อมหน้ากัน เพราะแบบนั้นผมเลยมักให้พ่อทำอาหารที่ผมกินได้แค่อย่างเดียวที่เหลือก็ให้น้องๆ เลือกกันไปว่าอยากกินอะไร


“หนูอยากกินของหวานเป็นพุดดิ้ง” เพกาเสนอบ้าง


“ได้เลยเดี๋ยวพ่อจะทำสุดฝีมือเลยนะทุกคน” ใบหน้าของพ่อดูมีความสุขมากที่จะได้ทำอาหารให้ทุกคนในครอบครัวกิน มีไม่บ่อยนักที่พวกเราจะได้กินอาหารกันพร้อมหน้า


หลังจากผมเรียนจบก็ออกจากบ้านไปอยู่คอนโดทำให้เวลาในการมาเจอไม่ค่อยตรงกัน บางครั้งที่มาเจอแค่พ่อคนเดียวบ้าง แม่ออกไปโรงพยาบาลบ้างหรือโป๊ยกั๊กและเพกาไปเรียนบ้าง ผมเลยรู้สึกดีใจที่วันนี้ได้มารวมกันพร้อมหน้า


เหมี๊ยว~


“ไม่ได้เจอกันนานเลยเจ้าหญิง” ผมก้มลงไปทักทายแมวสีดำผูกโบว์สีชมพูด้านข้างโซฟา


“วันนี้ค้างเนอะไธม์” แม่ขยับเข้ามาถาม แม่ของผมเองมีพลังที่สามารถมองเห็นวิญาณหรือผีได้ และแม่ก็ดันทำงานอยู่ในโรงพยาบาลทำให้มีหลายครั้งที่จะมีวิณญาณตามมาถึงบ้านด้วย จำได้เลยว่าตอนเด็กๆ ผมยืนมองแม่คุณกับใครสักคนทั้งที่บริเวณนั้นไม่มีใครอยู่เลยนอกจากแม่


“ได้ครับ” ผมพยักหน้าตอบ ดึกขนาดนี้จะให้ขับกลับคงได้แต่อยากอยู่กับครอบครัวนานกว่านี้อีกสักหน่อย


“นอนกับหนูไหม” เพกาพูดพลางเงยหน้าขึ้นมองผม


“ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่จะตอนกับกระวานและโป๊ยกั๊ก” ผมยิ้มให้เพการะหว่างตอบ โป๊ยกั๊กกับกระวานนอนห้องเดียวกันผมเลยจะเอาผ้านวมไปปูนอนตรงกลาง ส่วนผมตอนอยู่บ้านนี้มีห้องส่วนตัวอยู่ก็จริงแต่ตอนนี้กลายเป็นห้องของเพกาไปแล้ว


“อยากนอนกับพี่ไธม์จัง แต่ไม่เป็นไร ตอนเช้าพี่ไธมต้องไปดูสวนกับหนูนะ” เพกาทำหน้าเศร้าไม่นานก็กลับมาร่าเริงอีกครั้ง


“ได้สิ” ผมพยักหน้าตกลง


จากนั้นไม่นานพ่อก็ทำอาหารทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายแบบไม่ว่าจะเป็นผักโขมอบชีส ยำเนื้อย่าง มันบดราสซอสพริกไทยดำและอื่นๆ อีกหลายอย่าง แม้จะดูน่ากินและอร่อยมากแค่ไหนแต่มื้อดึกเล่นของหนักๆ แบบนี้พ่อเลยถูกแม่บ่นไปหนึ่งยกก่อนพวกเราจะลงมือกิน


ฝีมือของพ่อไม่ต้องพูดถึงรสชาติเพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็อร่อยอยู่แล้ว


เชื่อไหมว่าอาหาร 8 อย่างบนโต๊ะเกลี้ยงในเวลาไม่กี่ชั่วโมง กว่าจะได้เข้านอนเวลาก็ล่วงเลยมาถึงตี 1 ในห้องนอนของน้อยชายถูกแบ่งเป็นสองฝากซึ่งโป๊ยกั๊กเป็นคนปูฟูกให้ผมนอนตรงกลางระหว่างทั้งสองเตียง


“พี่ขึ้นมานอนข้างบนไหม ผมจะนอนข้างล่างเอง” โป๊ยกั๊กถามท่ามกลางความมืด ตอนนี้พวกเราปิดไฟเข้านอนกันเรียบร้อยแล้ว


“ไม่เป็นไร นอนไปเถอะโป๊ยกั๊กพรุ่งนี้มีเรียนนี่เดี๋ยวตื่นสายหรอก” นอนพื้นแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยแถมมีฟูกปูให้อีก


“แหม ให้พี่ไธม์นอนได้ ทีฉันขอไปนอนบ้างนี่แทบจะถีบกระเด็น พี่ไธม์ผมถูกน้องแกล้ง” กระวานได้ทีฟ้องเรื่องโป๊ยกั๊กให้ผมฟังยกใหญ่


“นอนน้ำลายยืดแบบนั้นใครจะให้มานอนล่ะ” โป๊ยกั๊กพูดสวน


“ไม่ได้น้ำลายยืดสักหน่อย”


“งั้นก็น้ำลายหก”


“พี่ไธม์ผมถูกใส่ร้าย” เมื่อรู้ว่าเถียงไม่ชนะก็รีบมาขอขอความเป็นธรรม


“พี่ว่าพูดจริงมั้ง”


“หึ เห็นไหมพี่ไธม์ยังรู้เลย”


“พี่เข้าข้างโป๊ยกั๊ก แล้วผมล่ะ ผมไม่ใช่น้องรักพี่แล้วเหรอ” กระวานไม่ยอมง่ายๆ เด้งตัวลุกขึ้นมานั่งบนเตียง แม้จะอยู่ในความมืดแต่ผมสัมผัสได้ว่าสายตาที่ส่งมาให้นั่นคล้ายเด็กอายุ 5 ขวบ


“คิก พี่รักทุกคนแหละน่า นอนได้แล้ว” เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขมาก เป็นความสุขคนละแบบกับตอนที่อยู่กับเบซิล แม้จะคนละแบบแต่ก็พานให้หัวใจรู้สึกอิ่มเอมขึ้นมา


“พี่ไธม์ พรุ่งนี้เช้าไปซ้อมกันหน่อยไหม” โป๊ยกั๊กถามต่อ ซ้อมที่ว่าหมายถึงการฝึกซ้อมการต่อสู้ในช่วงเช้า ทุกครั้งที่ผมมาค้างมักจะซ้อมช่วงเช้ากับโป๊ยกั๊กเสมอ


“ได้เลย เช้าหน่อยก็ดีนะเพราะพี่ต้องไปดูสวนกับเพกาต่อ”


“ไม่มีปัญหา”


“พี่กลับมาทีนี่ถูกแย่งตัวตลอดเลยนะเนี่ย ทั้งเพกาทั้งโป๊ยกั๊ก” กระวานที่นอนอยู่พูดขึ้น


อย่างว่าแหละ ผมกลับมาทีไรมักถูกยื้อแย่งตัว...บางวันไม่ใช่แค่เพกาหรือโป๊ยกั๊กแต่เป็นพ่อที่ให้ช่วยเข้าครัวทำมื้อเช้าควบทำปิ่นโตให้กับทุกคนไปกินมื้อกลางวัน


“เราก็ตื่นเช้าสิ เดี๋ยวพี่เล่นเกมด้วย” ผมลองเสนอ


“ไม่เอาหรอกพี่ เช้าขนาดนั้นหัวผมไม่แล่น...ขืนเล่นแพ้พี่ทุกตาชัวร์” กระวานส่ายหัวไปมาอยู่บนหมอนตัวเอง ท่าทางแบบนั้นทำเอาผมหลุดขำออกมาอีกรอบ


“ตื่นทุกวันเดี๋ยวก็ชิน” ตื่นเช้าๆ น่ะพอทำบ่อยๆ ทุกวันเราจะตื่นได้เองเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องพยายามตื่นหรือตั้งนาฬิกาปลุกให้ดังทุก 5 นาที


“ไม่ไหววว~”


“เดี๋ยวพี่ปลุก”


“ไม่เอานะพี่ ผมต้องนอนให้ครบ 8 ชั่วโมงเพื่อสุขภาพที่ดี”


“พี่จะปลุกตอน7โมง แล้วเราไปสวนกับเพกากัน” ผมสรุปแทน


“พี่ไธม์อ่า”


“เดี๋ยวผมช่วยพี่ปลุกอีกแรง” โป๊ยกั๊กพูดเสริม


“ไม่ต้องเลยนะ”


“นอนได้แล้วทั้งคู่”


“ครับ”


สุดท้ายค่ำคืนอันแสนยาวนานก็ได้ผ่านพ้นไปจนถึงรุ่งสางของวันต่อไป แสงสว่างจากด้วยอาทิตย์ส่องผ่านผ้าม่านเข้ามาถึงด้านในห้องเรียกสติที่จมดิ่งอยู่ในห้วงนิทราให้ตื่นขึ้น ผมลุกขึ้นนั่งพลางลูบใบหน้าตัวเองไปมาคลายความงัวเงียในยามเช้า


พอผมเริ่มขยับตัวโป๊ยกั๊กที่หลับสนิทจนถึงเมื่อครู่ก็เริ่มขยับตัวตาม ไม่ช้าโป๊ยกั๊กลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยความงัวเงียไม่ต่างจากผมนัก อาจเพราะเมื่อคืนพวกเราอยู่ถีงตี1กว่าทำให้ยังรู้สึกว่านอนไม่เต็มอิ่มเท่าที่ควร


“นอนต่อก็ได้นะ ต้องเรียนทั้งวันนี่ ซ้อมไว้คราวหน้าก็ได้” ผมลุกขึ้นยืนระหว่างพูดกับโป๊ยกั๊ก


“ผมไหว นานๆ ทีจะได้ซ้อมกับพี่จะให้รอคราวหน้าได้ยังไง”


“งั้นพี่ลงไปก่อน ล้างหน้าเสร็จตามไปที่สวนนะ”


“ครับ”


ผมก้าวลงบันไดไปล้างหน้าที่ห้องครัวก่อนจะเปิดประตูตรงระเบียงออกไปยังสวนด้านข้างตัวบ้าน กระแสลมเย็นๆ พัดเข้าร่างทันทีที่เปิด ความเย็นแต่ไม่มากถึงขั้นหนาวช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นไม่น้อย


เหมี๊ยว~


“อรุณสวัสดิ์เจ้าหญิง” ผมทักทายแมวดำที่มีเอกลักษณ์ตรงมีลายคล้ายถุงเท้าสีขาวอยู่ทั้ง 4 ข้าง เจ้าหญิงเงยหน้าขึ้นมามองผมเล็กน้อยจึงกระโดดออกไปยังสวน


รอไม่กี่นาโป๊ยกั๊กก็ตามลงมา พวกเราจึงเริ่มฝึกซ้อมในช่วงเช้าโดยเริ่มจากการยืดกล้าเนื้อเบาๆ ไปจนถึงการฝึกซ้อมต่อสู้ของจริง ส่วนตัวผมอยากให้น้องๆ ทุกคนเป็นการต่อสู้ ไม่ใช่เพื่อเอาไว้ทำเท่แต่มีไว้เพื่อป้องกันตัวเวลามีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นจะได้เอาตัวรอดได้


ผมใช้เวลาในการฝึกซ้อมกับโป๊ยกั๊กเกือบชั่วโมงจึงขึ้นไปหาเพกาทว่าเธอกำลังนอนหลับสนิทจนไม่เปลี่ยนใจที่จะไม่ปลุก เมื่อคืนอยู่รอผมถึง 5 ทุ่มแถมยังกินมื้อดึกจนถึงเที่ยงคืนอีกคงจะหนักเกินไปสำหรับเด็กในวัยเพียง 13 ในเมื่อไม่ควรปลุกเพกาผมเลยเปลี่ยนไปปลุกกระวานแทน เชื่อไหมว่าผมทั้งใช้เสียงปลุก ทั้งเขย่าตัวหรือแม้แต่ดึงผ้าห่มออกเจ้าตัวก็ยังคงหลับต่อโดยไม่มีทีท่าจะตื่นสักนิด พอผมไปบอกเรื่องนี้กับโป๊ยกั๊กเขาจึงอาสาเป็นคนไปปลุกให้


ไม่อยากเชื่อว่าไม่กี่นาทีต่อมาโป๊ยกั๊กจะลงมากับกระวานในสถาพหัวพูเหมือนรังนกโดยมีพ่อเดินตามลงมาอีกคน เหมือนวันนี้แม่จะเข้ากะสายเลยมีเวลานอนพักอีกหน่อย


มื้อเช้าของครอบครัวผมช่วยพ่อทำอาหารง่ายๆ อย่างขนมปังปิ้งบวกกับแฮม ไส้กรอกและไข่ดาว ส่วนของตัวผมเองนั้นเป็นคอนเฟรกธัญพืชกินคู่กับนม เพกาที่ตื่นมาช่วง 7 โมงครึ่งทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ที่ไม่ได้ออกไปดูสวนกับผมอย่างที่ตั้งใจ


ผมได้แต่บอกว่าครั้งหน้าแล้วให้โป๊ยกั๊กไปส่งเพกาที่โรงเรียนด้วย ทั้งคู่อยู่โรงเรียนเดียวกันโป๊ยกั๊กจึงไปส่งเพกาให้ได้มีช่วงเลิกเรียนบางวันที่ต้องทำกิจกรรมต่อจะให้พ่อขับรถไปรับเพกาก่อน ในช่วงสายผมบอกลาทุกคนในบ้านแล้วขับรถมุ่งหน้ากลับคอนโด
หวังว่าเบซิลจะไม่เป็นไรนะ


ตอนแรกผมคิดไว้แล้วว่าหลังจากจบเรื่องจะบอกคำตอบให้อีกฝ่ายฟังทว่ากลับมีเรื่องให้ต้องรีบกลับบ้าน ถ้าเป็นแบบนี้เมื่อเจอหน้ากันผมต้องให้คำตอบที่ชัดเจนไปเลย ปล่อยให้เวลาผ่านไปเป็นวันเหมือนผมผิดสัญญาซึ่งผมไม่ชอบเลยเวลาทำผิดสัญญาไม่ว่าจะเป็นสัญญากับตัวเองหรือคนอื่นก็ตาม


แกร็ก!


“เบซิลโทษทีที่...อ๊ะ!” ทันทีที่เปิดประตูห้องเข้าไปร่างของผมก็ถูกดึงเข้าไปด้านในพร้อมกับอ้อมแขนที่โอบรัดแน่นจนแทบขยับตัวไปไหนไม่ได้ แม้จะไม่เห็นหน้าแต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายคือเบซิล


สัมผัสและกลิ่นไอนี่ต่อให้ไม่อยู่ในร่างสัตว์ผมก็ยังจำได้


วิธีการกอดของเบซิลต่างจากคนอื่นคนละขั้ว คนอื่นเวลากอดก็จะทำเพียงใช้แขนโอบกอดธรรมดาทว่าเบซิลกลับกอดรัดแน่นราวกับผมเป็นสิ่งสำคัญที่จะไม่ยอมปล่อยให้หายไปไหน อีกทั้งยังซุกใบหน้าลงมาคลอเคลียกับต้นคอผมให้ขนลุกเล่น


“ช้า” นี่คือคำทักทายแรกจากเบซิล


“โทษทีพอดีช่วยพ่อนิดหน่อยน่ะ เสียงดูวังเงียนะ...พึ่งตื่น?”


“ไม่ใช่พึ่งตื่น ยังไม่ได้นอนต่างหาก” เบซิลพึมพำตอบกลับมา


“ยังไม่ได้นอน? ผมบอกแล้วนี่ว่าอาจไม่กลับให้นอนไปก่อนเลยน่ะ” ผมเริ่มบ่นเมื่อได้ยินคำตอบเมื่อครู่ ตลอดหลายวันที่ผ่านมาก็แทบไม่ได้นอนกัน พอเรื่องจบแล้วทั้งที่จะนอนหลับพักให้หายเหนื่อยกลับไม่ยอมนอนอีก


“พยายามนอนแล้ว แต่ไม่หลับ...ถ้าไม่มีใบไธม์อยู่ข้างๆ ”


“...ไปนอนเถอะ ผมกลับมาแล้วนี่ไง” ใจจริงผมอยากสวนกลับว่าอย่ามาหยอดทั้งๆ ที่ตายังลืมแทบไม่ขึ้นแต่ก็ต้องเปลี่ยนคำพูดเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้หยอดแต่เป็นความจริงที่บอกออกมา ผมอยู่กับเบซิลมานานจนรู้ว่าอะไรคือหยอดและอะไรคือความจริง

 แม้จะรู้ว่าเป็นความจริงแต่คำพูดนั่นยังไงก็เหมือนกำลังโดนหยอดจีบอยู่ดี


“จะให้ผมนอนคนเดียว?”


“หมายถึงอะไร”


“ใช่สิ คุณนอนหลับสนิทอย่างมีความสุขมีแค่ผมที่คิดถึงคุณจนนอนไม่หลับ แบบนี้มันไม่แฟร์” เบซิลพูดพร้อมกับคลายอ้อมกอดออกแล้วดึงผมไปยังเตียง


“ไม่แฟร์ยังไง”


“รับผิดชอบด้วยที่ทำให้ผมนอนไม่หลับ”


“รับผิดชอบ? มันไม่ใช่ความผิดผม...เฮ้ย!” ผมถึงกับร้องลั่นเมื่ออยู่ๆ ก็ถูกเบซิลดึงขึ้นไปนอนด้วยกันบนเตียงโดยมีอีกฝ่ายขยับตัวเข้ามากอดผมแน่นพร้อมซุกตัวคล้ายกำลังควานหาไออุ่นจากร่างกายผม


“ความผิดคุณนั่นแหละ ผิดที่อ่อนโยนจนผมตกหลุมรัก...”


“เบซิล” ผมเรียกอีกฝ่ายที่ทำเสียงงัวเงียเหมือนคนใกล้หลับเต็มที


“ผิดที่ทำให้ผมหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น...”


“...” ผมเงียบลงเพื่อจะได้ฟังสิ่งที่เบซิลกำลังพูด


“ผิดที่ทำให้ผมรักจนหมดหัวใจ” แม้น้ำเสียงจะเต็มไปด้วยความงัวเงียแต่ผมไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคำพูดเหล่านั้นมีพลังในการทำลายไม่น้อยกว่าน้ำเสียงตอนปกติเลย ตั้งแต่ได้ยินประโยคแรกหัวใจมันก็เริ่มเต้นเร็วขึ้น


ประโยคที่สองทำเอาความร้อนจากทั่วร่างกายมาปรากฏอยู่บริเวณใบหน้า และทันทีที่ได้ยินคำพูดสุดท้ายตัวผมก็คล้ายกับระเบิดเวลาที่นับถอยหลังรอการปะทุ


ความรู้สึกของเบซิลผมรับรู้ได้อย่างชัดเจนเช่นเดียวกับความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ กับเบซิลเริ่มต้นจากคนธรรมดาที่ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรต่อผมสักนิด แต่เพราะโชคชะตาหรือพรหมลิขิตก็ไม่รู้ทำให้พวกเราต้องมาทำงานร่วมกันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จนกระทั่งเข้ามาอยู่ร่วมห้องเดียวกัน ได้รู้จักและคลุกคลีด้วยกันแทบทุกนาที


จากไม่มีอิทธิพลใดๆ กลับกลายเป็นมีอิทธิพลอย่างมหาศาลตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้


รู้เพียงตัวตนของอีกฝ่ายมีมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่อาจหยุดได้เพียงแค่คำว่าเพื่อนร่วมง่านหรือเพื่อนสนิท มันเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนและลึกล้ำกว่านั้นมาก ไม่สิ คิดอีกแง่มันก็เป็นเพียงความรู้สึกง่ายๆ ที่สามารถมองข้ามไปได้ไม่ยาก


“ชอบ...ชอบคุณ” ผมกระซิบเสียงเบาอยู่ในอ้อมกอดของเบซิล


ชอบเบซิล


รักเบซิล


ผมรักเขา



(มีต่อค่ะ)

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด