Episode 14 part1
“ขึ้นไปข้างบนดีกว่าไหม?”
กรรณกระซิบถามข้างหูของภูขณะที่มือซึ่งโอบกอดผู้ถูกถามเอาไว้เริ่มลูบคลำสะเปะสะปะไปทั่วพื้นที่บนร่างกายเท่าที่จะเอื้อมไปถึง หากเป็นเมื่อหลายเดือนก่อน เด็กหนุ่มคงคิดว่ามันคงเป็นอีกความกำกวมชวนเข้าใจผิดที่อีกฝ่ายแสดงออกมา โดยเจตนาที่แท้จริงคือต้องการให้ขึ้นไปใช้ประตูฉุกเฉินกลับสู่บ้านตนเอง แต่ไม่ใช่สำหรับวันนี้ ในขณะนี้ หลังจากช่วงเวลาแห่งความเปิดเผยความในใจที่เพิ่งผ่านพ้นไป ภูมั่นใจ อาจจะมากที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ว่าครั้งนี้ตนเข้าใจนัยยะของมันได้อย่างถูกต้องแล้ว
มือของทั้งสองเกาะกุมกันเอาไว้ไม่ปล่อยขณะที่กรรณออกเดินนำจูงมือภูขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน ตรงไปยังห้องนอนด้านในสุด เมื่อผลักประตูเปิดเข้าไปข้างใน บรรยากาศในห้องยังคงเหมือนเมื่อครั้งที่เด็กหนุ่มเคยมาเยือนเมื่อหลายเดือนก่อน จะมีเพิ่มขึ้นมาก็คือความรกของเสื้อผ้าที่วางไว้อย่างเกลื่อนกลาด รวมไปถึงอุปกรณ์การทำงานต่างๆที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโต๊ะและบริเวณโดยรอบ
“โทษทีนะ รกไปหน่อย ไม่คิดว่าจะต้องพาใครขึ้นมาวันนี้” กรรณบอกพร้อมกับรีบเก็บกางเกงยีนตัวที่พาดอยู่ปลายเตียงแล้วโยนหลบไปไว้อีกมุม
“ไม่เป็นไร ไม่ต่างกับห้องผมหรอก” ภูพยายามเดินเลี่ยงไม่ให้เผลอเตะกล่องอะไรบางอย่างที่วางอยู่ข้างเท้า
“ปกติก็ไม่รกเท่านี้หรอก พอดีช่วงหัวค่ำมันหงุดหงิด คิดอะไรไม่ออก หยิบจับโน่นนี่ไปเรื่อย สุดท้ายก็เละไปหมด” กรรณกวาดของกระจุกกระจิกจำพวกปากกาและม้วนฟิล์มลงจากบนเตียงใส่เข้าไปในกล่องที่ภูเพิ่งเดินหลบมาเมื่อครู่
“หงุดหงิดเรื่องอะไรครับ?” ภูแกล้งถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ
“ยังจะมีหน้ามาถามอีก ดูเอาสิว่ากี่สายที่โทรไป” กรรณตอบเขินๆ “เป็นห่วงแทบตาย นึกว่าโดนใครเอาตัวไปแล้ว”
เมื่ออีกฝ่ายพูดขึ้นมา ภูก็นึกย้อนไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น สิ่งที่ตนกำลังทำอยู่กับจอส ถึงจะพยายามบอกตัวเองด้วยเหตุผลที่ฟังดูดีแค่ไหน แต่เมื่อทุกอย่างมาลงเอยที่จุดนี้แล้วแน่นอนว่าความรู้สึกผิดย่อมเกิดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ ถึงแม้ตอนนี้จะสายเกินกลับไปแก้ไข แต่ภูก็ตั้งใจกับตนเองว่านั่นจะต้องเป็นครั้งสุดท้ายที่มันเกิดขึ้น เรื่องทั้งหมดต้องเป็นความลับตลอดไปต่อจากนี้
“แล้วตกลงว่าหายไปไหนมาล่ะ?” กรรณวกกลับมาถามถึงสิ่งที่ภูยังติดค้างคำตอบตั้งแต่อยู่ชั้นล่าง
“ก็…” ภูเลือกจะไม่โกหกทั้งหมด เพราะนั่นจะทำให้รู้สึกผิดเกินไป “ผมไปกับเพื่อนที่มาส่งบ้านวันนั้น”
“เด็กแว้นนั่นน่ะเหรอ?” กรรณจำได้ “แล้วไปด้วยกันได้ยังไง?”
“เค้ารถล้มมา ก็เลยพาไปทำแผล เย็บตั้งหลายเข็ม แล้วก็เลยไปนั่งเล่นบ้านเค้าต่อ” ภูเล่าแต่เลือกจะเว้นจุดที่อาจก่อให้เกิดปัญหาเอาไว้ “เผอิญเล่นเกมกันติดลมไปหน่อย ก็เลยกลับมาดึก”
“แน่ใจนะว่าแค่เล่นเกมกัน?” กรรณเข้ามาประชิดภูและดันให้นั่งลงบนขอบเตียง
“ก็แค่นั้นแหละ ที่ไม่กล้าบอกตอนแรกก็เห็นพี่กำลังโมโห เลยพูดแบบที่น่าจะเข้าใจได้ง่ายสุดไปดีกว่า” ภูละอายนิดหน่อยที่การโกหกเริ่มสมจริงขึ้นทีละน้อย
“ช่างมันเถอะ ยังไงนายก็กลับมาแล้ว” กรรณก้มลงจูบเบาๆที่หน้าผากของภู “ต่อไปห้ามทำแบบนี้อีกเข้าใจรึเปล่า?”
ภูพยักหน้า กรรณยิ้มออกมาอย่างพอใจกับความว่านอนสอนง่ายก่อนจะนั่งลงข้างๆเด็กหนุ่มบนขอบเตียง ช่วงเวลาแห่งความเคอะเขินกลับมาอีกครั้ง และเหมือนจะทวีความรุนแรงยิ่งกว่าที่เคยผ่านมา ด้วยครั้งนี้ทั้งสองต่างรู้อยู่เต็มอกว่าสิ่งใดกำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ แม้จะเฝ้ารอคอยมานานแต่ด้วยไร้ซึ่งประสบการณ์ภูจึงไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต่อจากจุดนี้เช่นไร เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจเริ่มจากก้าวเล็กๆที่ดูไม่กระเหี้ยนกระหือรือจนเกินไป ด้วยการค่อยๆยื่นปลายเท้าเข้าไปแตะปลายเท้าของอีกฝ่าย กรรณสะดุ้งแต่ไม่หลบ เขารั้งรอจนมั่นใจในเจตนาของสิ่งที่ภูกำลังทำอยู่แล้วจึงค่อยตอบสนองด้วยการขยับตอบเบาๆ ภูกระเถิบให้ร่างของตนและกรรณเข้าชิดใกล้กันมากกว่าเดิม จากนั้นก็ทำเหมือนเมื่อครั้งที่ยังมีกำแพงพี่น้องคั่นขวางระหว่างความสัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่ นั่นคือเอียงคอซบศรีษะลงบนไหล่ของอีกฝ่าย
“เรื่องแบบนี้ เป็นเด็กเป็นเล็กอย่ามาเริ่มก่อนสิ” กรรณเสตามองไปทางอื่น ชัดเจนว่ากำลังขัดเขิน
ภูไม่ตอบสนองประโยคนั้นด้วยคำพูดใดๆ เด็กหนุ่มเพียงแค่ปรับองศาของศรีษะที่เอียงซบอยู่ให้ใบหน้าหันเข้าหาต้นแขนของอีกฝ่ายก่อนจะใช้ปลายจมูกดุนสูดดมกลิ่นอายอันคุ้นเคยจากร่างกายของกรรณที่เฝ้าคิดถึงมาตลอด กลิ่นจางๆของสบู่ที่ติดอยู่บนผิวกาย กรรณสั่นสะท้านไปทั้งร่างอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆของเด็กหนุ่มที่รินรดต้นแขน เขายกแขนขึ้นโอบกอดเข้าที่เอวของภูก่อนที่ปลายนิ้วจะซอกซอนล่วงล้ำผ่านชายเสื้อที่สวมอยู่เข้าไปถึงในร่มผ้าและลูบไล้วนเวียนอยู่บนผิวหน้าท้อง สัมผัสแผ่วเบานั้นทำให้เส้นขนทั่วร่างพร้อมใจกันลุกชัน
“แน่ใจแล้วเหรอว่าต้องการแบบนี้?” กรรณถาม
“ครับ” ภูก้มพยักใบหน้าที่กำลังแดงก่ำ สำทับยืนยันถึงความยินยอมพร้อมใจขณะที่รู้สึกได้ว่ามือของอีกฝ่ายเริ่มไต่ระดับขึ้นสูงจนเกือบถึงแผ่นอกของตนแล้ว
“หันหน้ามามองพี่สิ” กรรณสั่ง จนเมื่อเด็กหนุ่มยอมทำตามแล้วจึงเปลี่ยนจากคำสั่งมาเป็นคำขอ “จูบได้ใช่มั้ย?”
ภูเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาแต่ยั้งไว้ได้ทัน ด้วยขบขันกับความคิดที่ว่าถึงขั้นนี้แล้วอีกฝ่ายจะยังต้องขออนุญาตใดๆอีก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นกรรณเองก็ดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจจะรอคำตอบมากนัก เพราะยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะได้พยักหน้าตอบ เขาก็ประคองใบหน้าอีกฝ่ายให้เชิดขึ้นและก้มลงประกบริมฝีปากของตนแนบเข้ามาแล้ว วินาทีแรกที่มันเกิดขึ้นภูยังคงไม่ทันตั้งตัว หากแต่ในวินาทีถัดมาเด็กหนุ่มก็ตอบสนองกลับด้วยการเผยอปากอ้ารับปลายลิ้นของอีกฝ่ายเข้ามาข้างในและโอบกอดต้อนรับด้วยลิ้นของตนเองอย่างดูดดื่ม กรรณออกแรงโน้มร่างกดให้ภูเอนนอนลงบนเตียงทั้งที่ปากของทั้งสองยังประกบกันแนบแน่น จนเมื่อเห็นเด็กหนุ่มลงไปนอนแผ่หราทั้งตัวแล้วเขาจึงถอนปากออกและลุกขึ้นยืนตัวตรงและถอดเสื้อที่ใส่อยู่ออก ภูจ้องมองร่างท่อนบนที่เพิ่งเผยตัวออกมาจากใต้ร่มผ้าของอีกฝ่าย มันคือร่างกายของชายหนุ่มที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว มีกล้ามเนื้อแข็งแรงพอประมาณตามแบบคนที่ออกกำลังกาย ไม่ได้วิจิตรสมบูรณ์แบบราวกับรูปปั้น หากแต่รับกันอย่างเหมาะเจาะกับใบหน้าหล่อเปี่ยมเสน่ห์นั้น
กรรณโน้มตัวกลับลงมาหาภูที่นอนรออยู่บนเตียงอีกครั้ง ริมฝีปากมุ่งเข้าประกบยังที่เดิมซึ่งจากมาเมื่อครู่ ภูยกสองแขนขึ้นโอบกอดแผ่นหลังของอีกฝ่ายต้อนรับการกลับมาอย่างยินดี ริมฝีปากร้อนเร่านั้นเริ่มรุกคืบเปลี่ยนจากจุมพิตมาเป็นโลมเล้าซุกไซร้ลงมายังลำคอและไล่ต่ำลงมาเรื่อยๆ ร่างของกรรณค่อยๆขยับเดินทางอย่างเชื่องช้าจนในที่สุดก็มาหยุดที่ชายเสื้อของเด็กหนุ่ม ก่อนที่มือข้างหนึ่งของเขาจะยกขึ้นมาเลิกเปิดมันขึ้นจนเห็นหน้าท้องแบนราบที่ถูกปกปิดเอาไว้ กรรณก้มลงจูบเบาๆเข้าที่สะดือซึ่งอยู่ตรงกึ่งกลางของมันก่อนจะใช้ปลายลิ้นลากไล้ไปตามแนวหน้าท้อง ภูสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ปากระงับเสียงครางต่ำที่หลุดรอดจากลำคอออกมาเอาไว้ไม่ทัน ใบหน้ายามนี้แดงก่ำไปด้วยเลือดที่สูบฉีดทั้งจากความเขินอายและกำหนัด กรรณดึงถอดเสื้อของภูออกโดยมีเจ้าตัวช่วยเหลือด้วยการชูแขนขึ้นจนหลุดออกไปโดยง่าย เขาโน้มตัวลงมาทับอีกครั้ง แผ่นอกร้อนแนบชิดติดกันเมื่อไร้ซึ่งอาภรณ์อันเป็นเครื่องกีดขวาง ภูรู้สึกถึงปลายจมูกโด่งสวยของอีกฝ่ายที่ไล้ไปตามแก้มลงมายังลำคอและซุกไซร้ดอมดมอยู่ใต้ไรผม เช่นเดียวกับบางสิ่งที่ตื่นตัวเต็มที่แล้วซึ่งกำลังดุนดันอยู่บนหน้าขา ภูเอื้อมแขนยื่นไปเกี่ยวขอบกางเกงของอีกฝ่ายและดึงลงจากสะโพก แต่ยังไม่ทันสำเร็จ กรรณก็หยุดทุกอย่างและลุกออกไปเสียดื้อๆ ทิ้งให้ภูนอนค้างเติ่งอยู่บนเตียง
“เดี๋ยวนะ…” ภูงงว่าเกิดอะไรขึ้นอีกกันแน่ หากประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยกับเหตุการณ์เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า ครั้งนี้ก็ต้องนับว่ามันยิ่งเลวร้ายลงไปอีกขั้นเพราะอย่างน้อยคราวก่อนภูก็ยังไม่โดนปลุกเร้าจนหมดท่าเช่นนี้ “คราวนี้อะไรอีก?”
“พอแค่นี้ก่อนดีกว่า” กรรณยังหอบหายใจอยู่ บ่งบอกว่าเขาก็ต้องใช้ความพยายามในการหยุดตัวเองมากพอสมควร “รีบนอนเอาแรงเถอะ พรุ่งนี้นายต้องตื่นแต่เช้า อย่าลืมสิว่าพี่ช้างนัดเอาไว้ให้เข้าไปหาที่ออฟฟิศ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้อ่ะ ทำแล้วค่อยนอนก็ได้” ภูแทบคลั่งด้วยอารมณ์ที่ถูกปลุกพลุ่งพล่านแต่ไม่ได้ถูกระบายออก ความอึดอัดที่ตึงเครียดไปทั่วร่างทำให้เขาแทบจะดิ้นพล่านอยู่บนเตียง
“เกี่ยวสิ ถ้าขืนทำตอนนี้ พรุ่งนี้นายไม่ต้องไปไหนแน่” ชายหนุ่มพูดพลางดึงขอบเอวกางเกงให้กลับขึ้นมาอยู่เหนือสะโพกตามเดิม
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ผมตื่นไหว เรื่องอดนอนผมถนัดมาก ขนาดนั่งปั่นงานส่งอาจารย์ทั้งคืนยังไปเรียนต่อไหวเลย” ภูยังดื้อ
“มันไม่ใช่แค่เรื่องอดนอนน่ะสิ” กรรณแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากคล้ายจะเก็บกวาดกลิ่นอายจากร่างกายภูที่ติดอยู่ให้หมด “มันเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บทางร่างกายด้วย”
“ยังไง?” ภูยังไม่เข้าใจ
“ต้องให้พูดชัดๆหรือไง นี่ก็อายเป็นนะ” กรรณอยากเขกหัวเด็กหนุ่มตรงหน้าใจจะขาด แต่เขาเลือกจะเปลี่ยนการกระทำนั้นมาเป็นการยื่นมือเข้าไปจับที่บั้นท้ายของภูแทน “ถ้ายังไม่เคยมาก่อน ตรงนี้มันจะเจ็บ”
“โธ่ ไม่สนแล้ว!” ภูดิ้นปั๊ดๆ เหมือนเด็กโดนขัดใจ
“เอาน่า ยังไงพรุ่งนี้ก็มีเวลาเหลือเฟือ เสร็จธุระทุกอย่างแล้วค่อยมาเริ่มกันใหม่ก็ได้” กรรณนั่งลงและยื่นมือมาลูบหัวเด็กหนุ่มที่กำลังงุ่นง่านจนหงุดหงิด การกระทำคล้ายจะปลอบโยนหากแต่สีหน้าก็แฝงด้วยเลศนัย “จะช้าจะเร็วยังไงก็ค่าเท่ากัน มาถึงขนาดนี้ยังไงนายก็ต้องเสร็จพี่อยู่แล้วล่ะ”
“ไม่รู้ล่ะ ไม่ทำแล้ว” ภูหันหน้าหนี แม้จะเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายแต่ก็ยังรู้สึกเสียหน้าอยู่ดี
“มาๆ นอนกันเถอะ” กรรณเอนลงนอนและสอดแขนกอดแนบร่างประกบภูจากข้างหลัง ปลายจมูกซุกลงที่ต้นคอของเด็กหนุ่มและสูดดมเบาๆ “คืนนี้ให้พี่นอนกอดให้สมกับที่รอมานานหน่อยเถอะนะ”
ภูหยุดอาการฮึดฮัดฟาดงวงฟาดงาที่กำลังเป็นอยู่ ประโยคสุดท้ายของกรรณทำให้เด็กหนุ่มระลึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายเฝ้ารอวันนี้มานานกว่าตนมาก เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็พาลให้เกิดละอายที่ทำตัวเหมือนพวกหิวโหยเนื้อหนังมังสาจนหน้ามืด ในยามนี้เมื่อเพลิงกำหนัดเริ่มมอดดับลง ประสาทรับรู้ของเด็กหนุ่มก็ตอบสนองกับสิ่งเร้ารอบกายในรูปแบบที่ต่างออกไปจากเดิม อ้อมกอดของกรรณที่โอบอยู่รอบตัวในยามนี้ไม่ได้ร้อนเร่าชวนโหยหาเหมือนเมื่ออึดใจก่อน แต่กลับอบอุ่นและพาให้รู้สึกปลอดภัย ลมหายใจอุ่นชื้นที่ไหลรดต้นคอไม่ได้ทำให้ใจเต้นแรงด้วยความพลุ่งพล่านอีกต่อไป หากแต่กลับเป็นดั่งสัญญาณให้อุ่นใจว่ายังมีใครบางคนคอยอยู่ข้างกาย ความตึงเครียดเกร็งเขม็งและความหงุดหงิดจากอารมณ์ที่ค้างเติ่งจางหายไปราวกับหมอกยามเช้าต้องแสงอาทิตย์ ภูปล่อยกายปล่อยใจนอนนิ่งทำตัวเป็นเหมือนหมอนข้างให้กรรณกอดตามคำขอ ให้เขาได้ดื่มด่ำกับวันเวลาที่รอคอยมานานนี้จนกระทั่งต่างฝ่ายต่างก็ผล็อยหลับไป
วันรุ่งขึ้นทั้งสองตื่นขึ้นมาพร้อมกันเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือของกรรณดังขึ้น สายเรียกเข้าจากพี่ช้างซึ่งถ้านับรวมกับที่โทรเข้าเครื่องของภูแต่เด็กหนุ่มไม่รู้ตัวเพราะปิดเสียงเอาไว้ด้วยก็ร่วมสิบสาย กรรณรีบทำภาษามือบุ้ยใบ้ให้ภูกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยที่บ้านของตนเองในขณะที่เขากำลังรับสายพี่ช้างและคุยถ่วงเวลาหาข้ออ้างการไปสายเอาไว้ให้ เด็กหนุ่มรีบกลับเข้าบ้านทางหน้าต่างห้องนอนและจัดการกับตัวเองแบบลวกๆจนเสร็จในเวลาเพียงสิบห้านาทีก่อนจะลงมาชั้นล่างเพื่อออกไปพบกับกรรณที่มารออยู่หน้าบ้านแล้ว
“หัวก็ไม่เช็ด เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำเลย” กรรณใช้มือยีเส้นผมบนศรีษะภูที่ยังคงเปียกจนมีหยดน้ำเกาะอยู่
“ก็รีบนี่นา” ภูแก้ตัว “เดี๋ยวนั่งรถไปถึงก็แห้งพอดีแหละครับ”
“ก็ทำตัวให้มันดูดีหน่อยไปเจอพี่เค้าทั้งที” กรรณลูบจัดทรงผมของภูให้เรียบเข้าที่
“เอาไว้วันที่ไม่รีบก็แล้วกัน” ภูทำท่าว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยอะไรไม่ได้
“แต่แบบนี้ก็ดีนะ” เมื่อมองดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น กรรณก็โอบเอวภูเอาไว้ขณะเดินออกไปด้วย “ดูดีมากคนก็มองมากตาม”
“หวงเหรอ?” ภูแอบยิ้ม
“ก็หวงอยู่ตลอดนั่นแหละ แต่เพิ่งแสดงออกได้” กรรณโอบเอวภูแน่นกว่าเดิม ก่อนจะปล่อยมือออกเมื่อเห็นรถจักรยานยนต์ที่วิ่งสวนเข้ามาในซอย “ตอนยังไม่เป็นอะไรกัน ใครจะกล้าไปหวงออกหน้าออกตาเหมือนที่นายทำ”
“หือ…” ภูมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความสงสัยว่าตนไปทำอะไรแบบนั้นตอนไหน
“คนอะไรหึงกระทั่งเพื่อนตัวเอง” กรรณพูดถึงเรื่องวันที่เขาไปรับภูจากมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก
“เงียบไปเลยไป” ภูเอาศอกยันถองสีข้างกรรณ เรื่องคราวนั้นเมื่อนึกขึ้นมาครั้งใดก็ยังน่าอับอายไม่น้อยลงแม้แต่นิด