ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน
ภู หนุ่มหน้าใสวัย 19 ขวบปี เป็นถึงขวัญใจสาวๆทั้งมหาวิทยาลัย
แต่ถ้าถามถึงคนที่ใช่กลับหาไม่เจอซักที
ครองโสดมานานจนคิดว่าตัวเองตายด้าน
แต่จู่ๆฟ้าก็ส่ง กรรณ หนุ่มหล่อรุ่นพี่มาอยู่ชิดติดขอบรั้ว
เมื่อเคมีมันใช่ ก็ถึงเวลาเปิดซิงหัวใจให้กับความรักครั้งแรก
จะลงเอยอย่างไรก็คงต้องเสี่ยง เพราะคนที่ใช่มีไว้พุ่งชน!!
Episode 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3789537#msg3789537)
Episode 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3790002#msg3790002)
Episode 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3792042#msg3792042)
Episode 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3794288#msg3794288)
Episode 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3798116#msg3798116)
Episode 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3800606#msg3800606)
Episode 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3801690#msg3801690)
Episode 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3803693#msg3803693)
Episode 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3804383#msg3804383)
Episode 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3805917#msg3805917)
Episode 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3807336#msg3807336)
Episode 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3809604#msg3809604)
Episode 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3811146#msg3811146)
Episode 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3812496#msg3812496)
Episode 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3813774#msg3813774)
Episode 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3815652#msg3815652)
Episode 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3817060#msg3817060)
Episode 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3818700#msg3818700)
Episode 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3819589#msg3819589)
Episode 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3821568#msg3821568)
Episode 21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3823270#msg3823270)
Episode 22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3825785#msg3825785)
Episode 23 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3827754#msg3827754)
Episode 24 finale (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3829692#msg3829692)
Extra : วันพักร้อนของจอส part1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3831555#msg3831555)
เป็นผลงานแนววายครั้งแรกในชีวิตเลยครับ ยังไงก็ขอฝากเอาไว้ให้พิจารณา
เรื่องทั้งหมดถูกแต่งขึ้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลใดทั้งสิ้น
จบแล้วจ้า :bye2:
คืนนั้นหลังจากกรรณกลับไปยังบ้านของตนเองแล้ว แม่ของภูก็เข้ามาในห้องนอนของเด็กหนุ่มอีกครั้งเพื่อนำยาที่ต้องกินก่อนนอนมาให้ เขารับมาใส่ปากและกลืนน้ำตามขณะที่ตาก็มองดูแม่ของตนที่กำลังเก็บเสื้อผ้าที่ใช้แล้วเข้าตะกร้าเตรียมนำลงไปข้างล่างเพื่อซักตากในวันรุ่งขึ้น แม่ยังดูมีท่าทีปกติเหมือนที่ผ่านมา เป็นปกติเสียจนภูอดสงสัยไม่ได้ว่าเรื่องทั้งหมดที่ได้ยินจากกรรณเมื่อช่วงเย็นนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่
“แม่ครับ” ภูเรียก
“ว่าไง?” แม่ตอบรับ แต่มือยังไม่หยุดรื้อกองเสื้อผ้าที่สุมอยู่
“แม่รู้แล้วเหรอ?” เด็กหนุ่มถามแบบลองหยั่งเชิงดูโดยไม่ระบุว่ารู้เรื่องอะไร
“รู้เรื่องอะไร?” แม่หันกลับมาถาม
“แม่รู้อะไรมาบ้างล่ะ?” ภูถามย้อนกลับไป
“รู้มาหลายเรื่องเลย ทั้งรู้เอง ทั้งที่มีคนมาบอก” แม่ถอนหายใจคล้ายจะโล่งใจที่ในที่สุดลูกชายก็ยอมปริปากคุยเรื่องนี้ด้วยตัวเองเสียที ก่อนจะวางตะกร้าผ้าในมือลงและเดินมานั่งที่ขอบเตียง “ว่าแต่ภูเถอะ ไม่คิดจะบอกแม่เองเลยหรือไง?”
“ผมกลัว… ไม่กล้าบอก… “ภูหลบสายตาของแม่
“กลัวทำไม? คิดว่าแม่จะดุจะตีเราเพราะเรื่องนี้งั้นเหรอ?” แม่ถามกลับมา
“เปล่าครับ” ภูรู้ดีว่าแม่ไม่มีวันโกรธเขาจากสิ่งที่เขาเป็น “แค่กลัวว่าแม่จะเสียใจ แล้วแม่เสียใจไหมล่ะครับ?”
“โล่งใจมากกว่า” แม่ตอบพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า “กำลังห่วงว่านิสัยแบบนี้จะหาแฟนได้ไหมอยู่เลย”
“ไม่อยากอุ้มหลานแล้วเหรอ?” ภูถามต่อ
“ก็อยากนะ แต่ในเมื่อมันคือความสุขของลูก ลูกเลือกแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องคัดค้าน” แม่ยกมือขึ้นมาลูบศรีษะของภูอย่างอ่อนโยน “ไหนๆ ตั้งแต่เล็กจนโต ภูก็อุตส่าห์เป็นเด็กดีมาตลอด ไม่เคยทำอะไรให้กังวล เรื่องแค่นี้ทำไมจะยอมรับให้ไม่ได้”
“ขอบคุณครับ” ภูหลับตา สัมผัสมือที่อยู่บนศรีษะทำให้รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปเป็นเด็กเล็กๆ อีกครั้ง “แล้วพ่อล่ะครับเป็นไงบ้าง?”
“ก็โอเค ดูรับได้ไม่มีปัญหา ก็ทำตัวปกติกันไป แต่อย่าไปพูดถามอย่าไปสะกิดแผลก็พอ” แม่ถอนหายใจออกมา เมื่อนึกถึงทิฏฐิอันปล่อยวางไม่ได้ของผู้เป็นสามี “ยังไงพ่อเค้าก็เสียดายที่ลูกชายคนเดียวจะไม่ได้สืบสกุลต่อ เดี๋ยวสักระยะนึงก็ทำใจได้เอง”
“พ่อคงโกรธมาก…” ภูพอจะเข้าใจความรู้สึกของพ่อ
“ใช่ แต่เป้าหมายความโกรธนั่นไม่ใช่ลูกหรอกนะ แต่เป็นพ่อหนุ่มข้างบ้านของเราต่างหาก” แม่ตอบ
“พี่กรรณโดนพ่อเฉ่งเละเลยสิท่า” ภูนึกภาพออกเลยทีเดียว
“ไม่เหลือหรอก พ่อเรียกกรรณว่าพวกแมวขโมยปลาย่าง” แม่เล่าด้วยน้ำเสียงขบขัน “แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร บางทีถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่กรรณ พ่อคงอาจจะยอมรับได้ยากกว่านี้ด้วยซ้ำ”
“ต่อไปนี้คงต้องปรับตัวกันอีกมาก” ภูเหนื่อยใจเมื่อนึกถึงวันข้างหน้า
“คนเราก็ปรับตัวกันอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ” แม่วางมือลงบนหลังมือของภู “แม่ในตอนนี้ ก็ไม่ใช่แม่คนเดียวกับเมื่อสิบปีก่อน”
“ใช่ แม่ตีนกาเยอะขึ้น” ภูหยอกแม่ตัวเอง
“ปากเก่งได้แบบนี้ คงหายแล้วล่ะสิ” แม่เขกหัวลูกชายเบาๆ “นอนเถอะลูก เดี๋ยวพรุ่งนี้ยังหยุดอีกวันหนึ่งใช่ไหม?”
“ใช่ครับ” ภูพยักหน้า
แสงไฟในห้องนอนดับมืดลงเมื่อแม่กดปิดสวิทช์ก่อนจะหิ้วตะกร้าผ้าออกไปจากห้อง ภูดึงผ้าห่มขึ้นมาถึงคอ ตามองเงาของกิ่งไม้จากด้านนอกหน้าต่างที่ทาบทับอยู่บนเพดานห้อง ในหัวยังคงครุ่นคิดถึงสิ่งที่แม่พูดเกี่ยวกับความรู้สึกของพ่อ เด็กหนุ่มไม่แปลกใจเลยกับการที่พ่อของตนจะทำใจกับเรื่องนี้ได้ยากกว่าคนอื่น ในเมื่อที่ผ่านมาภูเป็นเสมือนดั่งความภาคภูมิใจของพ่อมาโดยตลอด ลูกชายคนเดียวที่ญาติทุกคนในตระกูลเอ็นดูและชื่นชมทุกครั้งที่กลับไปงานรวมญาติ ทั้งเรื่องรูปร่างหน้าตาที่ถอดแบบพ่อสมัยหนุ่มๆ มาทุกกระเบียดนิ้ว ทั้งความประพฤติที่ไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง การเรียนที่อยู่ในเกณฑ์ดีมาโดยตลอด แต่จู่ๆ วันหนึ่งโดยที่ไม่คาดฝัน กุลบุตรผู้ไร้ที่ติคนนั้นก็กลับมีตัวตนอีกด้านที่ยากจะหาคนเข้าใจและยอมรับได้ แน่นอนว่าสำหรับภูการรักใครสักคนแม้ว่าจะเป็นเพศเดียวกับตนเองนั้นมันไม่ใช่ปัญหาเลย เขาไม่เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ผิดปกติ แต่ภูก็เข้าใจหากคนอื่นจะไม่รู้สึกหรือคิดเช่นเดียวกับตน ขอเพียงยังเคารพในสิทธิและความเป็นมนุษย์ของกันและกันก็พอ
ยาที่กินเข้าไปเมื่อครู่เริ่มออกฤทธิ์ เปลือกตาของเด็กหนุ่มเริ่มหนักขึ้นจากอาการง่วงซึมที่เกิดจากยา ในขณะที่กำลังจะปล่อยตัวเองให้หลับไปนั้นเสียงลูกบิดประตูห้องนอนก็ดังขึ้น บานประตูเปิดอ้าออกพร้อมกับร่างของพ่อที่เดินเข้ามาข้างในอย่างเงียบเชียบ ภูรีบหลับตาแกล้งทำเป็นว่าตนหลับไปแล้วหลังจากตัดสินใจกับตัวเองได้ว่ายังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับพ่อในตอนนี้ สัมผัสของที่นอนที่ยวบยุบลงบ่งบอกให้เด็กหนุ่มรู้ว่าพ่อของตนได้หย่อนกายลงนั่งอยู่ข้างๆ แล้วในเวลานี้ ก่อนที่ในวินาทีต่อมาสัมผัสเบาๆ ของมือที่ลูบลงบนศรีษะและเสียงถอนหายใจหนักๆ ที่ดังขึ้นจะช่วยยืนยันอีกทาง
“ยังไม่หลับเหรอ?” พ่อถาม เมื่อรู้สึกได้ว่าลูกชายของตนไม่ได้หลับเหมือนอย่างที่พยายามทำให้เห็น
“กำลังจะหลับครับ” ภูเลิกเกร็งตัวนิ่งเพราะรู้ว่าโดนจับได้แล้ว
“แม่บอกว่าแกดีขึ้นเยอะแล้วนี่” พ่อถาม “ขอพ่อคุยด้วยหน่อยได้ไหม?”
“ถ้าบอกว่าไม่ได้ พ่อจะรอคุยวันหลังหรือเปล่าล่ะครับ?” ภูถาม และได้รับการส่ายหน้ากับสายตาดุๆ ที่จ้องมาเป็นคำตอบแทบจะทันที “โอเค คุยก็คุย…”
“คิดดีแล้วเหรอว่าจะเป็นแบบนี้?” พ่อถามถึงเรื่องที่เพิ่งรับรู้มา “อยากลองให้ครบทุกแบบก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกทีไหม? พ่อพาไปได้นะ ลงอ่างอะไรแบบนั้น”
“เก็บเงินไว้เติมน้ำมันรถเหอะพ่อ อย่าหาเรื่องให้แม่องค์ลงเลย” ภูเหนื่อยใจกับความพยายามของพ่อ
“ก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้นี่นา” พ่อถอนหายใจออกมาอีก
“ก็มันเป็นไปแล้วอ่ะ…” ภูก็ไม่รู้จะช่วยอะไรได้มากกว่านี้ “ขอโทษที่ทำให้พ่อผิดหวังนะครับ”
“พ่อไม่ได้ผิดหวังเลย” พ่อแก้ไขความเข้าใจของภูใหม่ให้ถูกต้อง “ก็แค่เป็นห่วง กลัวว่าสักวันอาจจะต้องเห็นลูกเสียใจ”
“แล้วทำไมถึงคิดว่าผมจะเสียใจล่ะ?” ภูไม่เข้าใจความคิดของพ่อ
“ก็เห็นพวกนี้ชีวิตเจอแต่ความผิดหวัง เจอแต่เรื่องเสียใจ” พ่ออธิบาย
“นี่ไปจำมาจากในหนังในละครใช่ไหม?” ภูพอจะเดาออก “จะเกิดมาเป็นเพศไหนชีวิตก็มีโอกาสเสียใจหรือเจอความผิดหวังได้ทั้งนั้นแหละครับ”
“ใช่ ก็ถูกของแก” พ่อเห็นด้วย
“ผมจะไม่เสียใจกับสิ่งที่ผมเป็นหรอกครับ ในอนาคตผมอาจจะผิดหวัง อกหัก หรือเจออะไรร้ายๆ ผมอาจจะเสียใจกับเรื่องพวกนั้น แต่จะไม่มีสักวินาทีที่ผมเสียใจกับการเป็นตัวของตัวเอง” ภูยืนยันให้พ่อหายห่วง “ถ้าจะมีสักเรื่องที่ผมเสียใจในตอนนี้ ก็คือเสียใจที่พ่อจะไม่เห็นผมเป็นลูกหลังจากรู้ว่าผมเป็นแบบนี้”
“ทำไมจะไม่เห็นล่ะ ทำออกมาเอง ยังไงลูกก็คือลูก ต่อให้โตมาจะเป็นยังไงก็ยังเป็นลูก” พ่อสูดหายใจเข้าคล้ายพยายามเรียกกำลังใจให้ตัวเอง “แล้วหาแฟนไกลๆ บ้านหน่อยไม่ได้หรือไง?”
“ก็ชอบคนนี้” ภูตอบแบบดื้อตาใส
“แน่ใจว่าชอบ?” พ่อถามเพิ่ม “มันไม่ได้มาล่อลวงลูกแน่นะ?”
“พ่ออยากรู้ไหมล่ะว่าผมชอบเขาตั้งแต่ตอนไหน?” ภูเสนอจะบอกข้อมูลให้ลองพิจารณาดูเอาเอง
“ไม่ต้อง ไม่อยากรู้ แค่นี้ก็รู้เยอะเกินไปแล้ว” พ่อรีบปฏิเสธเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่จะได้ยินต้องไม่ส่งผลดีต่ออารมณ์เป็นแน่
“ก็จะได้เลิกว่าพี่เค้าสักทีไง” ภูแสดงจุดยืนชัดเจนว่าปกป้องแฟนตัวเอง
“เอาเถอะ… จะเป็นอะไรก็เป็นไป จะคบใครก็คบ เอาแค่ดูแลตัวเองให้ดีๆ แล้วกัน” พ่อพูด สีหน้าเหมือนจะทำใจได้บ้างแล้วขณะที่ลุกออกไปจากเตียง
“ครับ ทราบแล้วครับ” ภูตอบรับ
“แล้วก็… “พ่อหยุดอยู่ที่ประตูก่อนจะพูดต่อโดยไม่ได้หันมามองหน้าภู “ถ้าไอ้แมวขโมยปลาย่างนั่นมันทำให้เสียใจ ต้องบอกให้พ่อรู้เข้าใจไหม?”
“อื้ม… ต้องบอกอยู่แล้ว” ภูพยักหน้า แม้ไม่เห็นใบหน้าของผู้เป็นพ่อขณะพูด แต่ก็รับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่อยู่ในทุกถ้อยคำนั้น
วันรุ่งขึ้นเป็นอีกหนึ่งวันที่เกือบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ อาการไข้ของภูหายไปจนเรียกได้ว่ากลับสู่สภาพปกติแล้ว ในขณะที่กรรณก็มีเวลาว่างโดยไม่คาดฝันเมื่องานที่วางคิวเอาไว้ในวันนี้ถูกยกเลิกอย่างกะทันหัน ชายหนุ่มผู้หวาดกลัวว่าที่พ่อตาของตนรอจนกระทั่งพ่อของภูออกไปทำงานแล้วจึงค่อยโผล่หน้ามาในช่วงสาย ก่อนที่ทั้งสองจะออกจากบ้านไปด้วยกันในช่วงบ่ายเพื่อหาซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ให้กับภูแทนเครื่องเก่าที่ตอนนี้เปียกน้ำจนพังใช้การไม่ได้ไปแล้ว เนื่องจากต้องไปในที่ชุมนุมชน ด้วยเจตนาจะถนอมความเป็นส่วนตัวเอาไว้ วันนี้เด็กหนุ่มจึงอำพรางตัวด้วยการรวบผมยาวของตนขึ้นแล้วสวมทับด้วยหมวกจากนั้นก็ใส่แว่นเพื่อลดโอกาสที่คนจะจำได้ ซึ่งก็ถือว่าประสบผลสำเร็จเพราะตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในศูนย์การค้าก็แทบจะไม่มีใครจำเขาได้เลย เว้นแต่จะเห็นในระยะประชิดจริงๆ เท่านั้นเอง
ภูได้โทรศัพท์เครื่องใหม่ที่ถูกใจ ส่วนกรรณก็ได้มีช่วงเวลาแห่งความสุขแบบคู่รักทั่วไปอย่างที่ต้องการจนสมอยาก ไม่ว่าจะเป็นการแอบจับมือกันในโรงภาพยนตร์ แวะทานอาหารร้านที่อยากไปลองชิมมานาน การเดินเที่ยวถ่ายรูปเล่นยามเย็นด้วยกันในย่านเมืองเก่า ก่อนที่อารมณ์แห่งความรักใคร่จะสุกงอมจนลงเอยด้วยการทำตัวเหมือนเด็กๆ โดยการแอบจูบเด็กหนุ่มคนรักอย่างดูดดื่มในที่ลับตาคน
มันเกือบจะเป็นวันที่สมบูรณ์แบบสำหรับคู่รัก
หากเพียงแค่ว่า จูบนั้นจะไม่ได้ถูกใครบางคนบันทึกภาพเอาไว้ได้อย่างชัดเจน…
To be continued...
5 Episodes Left...
ระหว่างการเดินทางกลับบ้าน แม้จะตกปากรับคำยอมตกลงกับจอสไปแล้ว แต่ในใจของภูก็ยังครุ่นคิดไม่หยุดว่าการตัดสินใจของตนนั้นถูกต้องแน่แล้วหรือ เด็กหนุ่มพยายามครุ่นคิดว่ายังมีหนทางอื่นอีกไหมที่จะจบเรื่องทั้งหมดนี้ได้โดยไม่ต้องเอาตัวเข้าแลก แวบหนึ่งของความคิดภูก็อยากจะบอกเรื่องทั้งหมดนี้กับกรรณให้รู้แล้วรู้รอดเพื่อที่จอสจะได้หมดหนทางที่จะใช้แบล๊คเมล์ตนอีกต่อไป แต่ถ้าต้นไม้ถูกดึงถอนรากก็ย่อมหลุดออกมาด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกัน หากภูยอมเปิดเผยเรื่องคืนนั้นระหว่างตนเองกับจอส ก็เท่ากับกรรณจะต้องรู้โดยปริยายว่าที่ผ่านมาเขาสร้างเรื่องโกหกปิดบังความจริงเอาไว้เยอะแค่ไหน แล้วหากนำทั้งหมดนั้นมาผนวกเข้ากับอุปนิสัยขี้หึงของกรรณ เด็กหนุ่มก็พอจะคาดเดาได้ว่าผลลัพท์ของสมการนี้ย่อมไม่ส่งผลดีต่อความสัมพันธ์เป็นแน่
เมื่อคำนวณจากระยะทางที่เหลือ อีกไม่กี่นาทีก็คงจะถึงบ้านแล้ว ภูพยายามนึกหาข้ออ้างดีๆ สักข้อที่จะใช้บอกกับกรรณเพื่อเป็นเหตุผลในการที่ตนจะไม่อยู่บ้านทั้งคืน แต่เมื่อกลับมาถึงและเข้าไปในบ้านแล้วนั้นเขาก็พบว่าข้ออ้างเหล่านั้นคงไม่จำเป็นเสียแล้วในเวลานี้ เมื่อวันนี้กรรณไม่ได้มาร่วมโต๊ะอาหารมื้อค่ำที่บ้านเหมือนเช่นทุกวัน
“พี่กรรณล่ะครับ?” ภูถามแม่ทันทีที่เจอหน้า
“กลับมาถึงก็ถามหาแฟนอย่างเดียวเลยนะ พ่อแม่เป็นยังไงอยู่ดีไหมไม่เคยถาม” แม่ว่าให้ก่อนจะตอบคำถามของภู “วันนี้พี่เค้าโทรมาบอกแล้วว่าจะไม่ได้กลับมานอนบ้าน เห็นว่าทางคนดูแลโทรมาแจ้งว่าคุณแม่ประสบอุบัติเหตุพลัดตกบันไดที่บ้านอาการไม่ค่อยดีตอนนี้อยู่ห้องไอซียู เค้าเลยยกเลิกงานของวันนี้หมดเลยแล้วรีบไปดูอาการแม่ที่สุโขทัย”
“ไม่เห็นเค้าจะโทรมาบอกผมเลย” แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องฉุกละหุกแต่ภูก็อดรู้สึกน้อยใจขึ้นมาไม่ได้ที่กรรณไปโดยไม่บอกตน
“ก็ตอนบ่ายเราทำงานอยู่ไม่ใช่หรือไง? โทรไปยังไงก็รับสายไม่ได้อยู่ดี พี่เค้าก็เลยฝากแม่ให้มาบอกแทน” แม่ช่วยเตือนความจำให้ลูกชายจอมคิดมาก “ตอนนี้สะดวกคุยแล้วก็โทรหาเค้าเองก็ได้นี่ ได้ความยังไงก็บอกแม่ด้วยล่ะ แม่ก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน”
ภูพยักหน้าก่อนจะเลี่ยงออกจากห้องครัวขึ้นไปยังห้องนอนของตน หลังจากเก็บของและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่จนเรียบร้อยแล้วเด็กหนุ่มจึงค่อยหยิบโทรศัพท์มือถือมากดโทรหากรรณ เสียงสัญญาณรอสายดังขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียวปลายทางก็กดรับสายราวกับกำลังเฝ้ารออยู่แล้ว
“อ่า.. ฮัลโหล” ภูตั้งตัวไม่ทันด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรับสายแบบทันทีทันควันแบบนี้
“กำลังรออยู่เลย” เสียงทุ้มๆ ของกรรณดังออกมาจากลำโพง “เสร็จงานแล้วเหรอ?”
“ครับ เพิ่งถึงบ้านแล้วก็เพิ่งรู้เรื่องพี่จากแม่” ภูตอบกลับไปขณะนั่งลงบนขอบเตียงนอนของตนเอง “พี่ถึงที่สุโขทัยแล้วเหรอครับ?”
“ถึงแล้ว… ถึงแล้วล่ะ” เสียงของกรรณขาดห้วงไป จังหวะการพูดที่ผิดปกติราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้ส่งผลให้ผู้ฟังเช่นภูเกิดรู้สึกใจคอไม่ดีตามไปด้วย
“พี่โอเคไหม? คุณแม่เป็นอะไรมากหรือเปล่า?” ภูรู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ
“ไม่รู้สิ… ตอนนี้ยัง…” ประโยคคำตอบนั้นถูกคั่นด้วยก้อนสะอื้นลูกใหญ่ “ตอนนี้ยังไม่รู้ หมอยังไม่ออกมาเลย”
“พี่กรรณ…” ภูไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใดออกไปดี ด้วยนิสัยส่วนตัวที่ไม่เก่งเรื่องการปลอบใจผู้คน หากทั้งสองอยู่ด้วยกันในเวลานี้เขาคงจะเพียงแค่โอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้ และเท่านั้นก็คงมากพอจะทำให้กรรณรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง “ทุกอย่างต้องโอเคครับ พี่ทำใจดีๆ เอาไว้ก่อนเถอะ”
“อยากให้นายมาด้วยจัง” กรรณพูด ภูได้ยินเสียงสูดน้ำมูกดังปะปนมากับประโยคนั้นด้วย “อยากให้แม่ได้เจอหน้านายสักครั้ง เผื่อว่าเกิดอะไรขึ้น…”
“พี่อย่าพูดแบบนั้น แม่พี่ไม่เป็นอะไรหรอกครับ” ภูพยายามฉุดให้กรรณเลิกจิตตก
“มาหาพี่ได้ไหม?” กรรณถาม “เหมาแท็กซี่มาเลยก็ได้ เดี๋ยวพี่จ่ายค่ารถให้เอง”
“ผมก็อยากไปแต่…” เมื่อได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เลวร้ายเช่นนี้ การโกหกออกไปก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ทำยากขึ้นหลายเท่าตัว “คือ…”
“อ้อใช่ เรื่องงาน พี่ขอโทษที” กรรณเข้าใจว่าภูลำบากใจเพราะเรื่องงาน “ขอโทษที่เอาแต่ใจตัวเองไปหน่อย พี่เครียดจนไม่เป็นตัวของตัวเองเลยตอนนี้”
“ขอโทษครับ แต่พรุ่งนี้ผมเสร็จงานแล้วจะรีบไปหาพี่เลย ผมสัญญา” ภูให้คำมั่น การที่แม้กระทั่งในเวลาที่อ่อนแอเช่นนี้กรรณก็ยังพยายามที่จะไม่ทำให้อีกฝ่ายต้องลำบากใจ ทำให้ในอกของเด็กหนุ่มจุกแน่นไปด้วยความรู้สึกผิด
“พี่จะรอนะ” กรรณสูดหายใจเข้าคล้ายจะพยายามปลุกให้ตัวเองเข้มแข็งขึ้น “วันนี้นายพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเจอกัน”
กรรณวางสายไปแล้ว แต่ภูยังนั่งนิ่งตาจ้องมองที่หน้าจอโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น จากการสนทนาเมื่อครู่ใช่ว่าเด็กหนุ่มจะไม่รู้ตัวว่าในฐานะคนรักเขาควรให้กำลังใจอีกฝ่ายมากกว่านี้สำหรับสถานการณ์ที่จัดได้ว่าเป็นวิกฤติทางจิตใจ แต่เขาจะเอากำลังใจจากที่ไหนมาให้กรรณได้ในเมื่อแม้กระทั่งกำลังใจสำหรับตนเองในตอนนี้มันก็ยังแห้งเหือดไปจนหมดแล้ว เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนกำลังจะต้องไปเผชิญหลังจากนี้ภูก็อยากสาปให้ตัวเองกลายเป็นหินไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด ต่อให้ต้องกลายเป็นรูปปั้นนั่งคาขอบเตียงอยู่อย่างนี้ไปจนอีกร้อยปีข้างหน้าบางทีก็อาจจะทรมานน้อยกว่าต้องเอาตัวเองไปถูกกระทำย่ำยีเป็นของเล่นโดยคนน่ารังเกียจพรรค์นั้น
เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้นพร้อมกับเบอร์ของจอสที่สว่างวาบอยู่บนหน้าจอ ภูไม่อยากแม้กระทั่งจะได้ยินเสียงอีกฝ่ายในตอนนี้เขาจึงกดตัดสายทิ้งแล้วพิมพ์เป็นข้อความส่งกลับไปว่ากำลังจะออกจากบ้าน เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อรวบรวมเรี่ยวแรงก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงและลงไปชั้นล่าง เขาบอกเล่าสถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับแม่ของกรรณเท่าที่รู้มาให้แม่ฟังก่อนจะขอตัวออกจากบ้านโดยอ้างว่าจะไปนอนค้างบ้านเพื่อนเพื่อเร่งทำงานให้เสร็จส่งทันเส้นตายของอาจารย์
ไม่ต้องคิดมากหรอก ตัวเราเองก็ไม่ใช่ผู้หญิงซักหน่อยจะเสียหายสักแค่ไหนกัน ปล่อยมันทำไปเดี๋ยวก็จบ… ภูพร่ำบอกกับตัวเองไปตลอดทางเพื่อเตรียมใจให้พร้อมเผชิญกับฝันร้ายที่รออยู่ในอีกไม่กี่กิโลเมตรข้างหน้า การจราจรค่อนข้างคล่องตัวเหมือนเป็นใจให้กับจอส ทำให้ภูมีเวลาสำหรับเตรียมใจเพียงไม่กี่นาทีก่อนที่รถจะวิ่งเข้ามาจอดยังหน้าอาคารคอนโดมิเนียมอันเป็นจุดหมาย เด็กหนุ่มจ่ายค่าโดยสารและลงจากรถก่อนจะเดินผ่านล๊อบบี้เข้าไปข้างใน แต่เมื่อประตูก่อนถึงทางขึ้นลิฟท์จำเป็นต้องใช้คีย์การ์ดในการเปิดเข้าไปภูก็จำใจต้องโทรเรียกให้จอสลงมารับ ทว่ายังไม่ทันจะได้กดโทรออกพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ประจำอยู่ก็สังเกตเห็นภูและรีบมากดปุ่มเปิดประตูจากด้านในให้ผ่านเข้าไปได้
“เอ่อ คือผมจำชั้นไม่ได้” ถึงแม้จะเข้ามาข้างในได้แล้วแต่ภูก็ยังจำไม่ได้อยู่ดีว่าจอสอยู่ชั้นที่เท่าไหร่
“ไม่มีปัญหาครับ” เจ้าหน้าที่ประจำลิฟท์บอกก่อนจะจัดการกดชั้นให้ด้วยตัวเอง
ประตูลิฟท์เปิดออกภูเดินออกไปจนถึงประตูทางเข้าห้อง ความเงียบรอบตัวทำให้รู้สึกกดดันจนเหมือนกำลังเดินเข้าลานประหาร แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วก็คงถอยหลังกลับไม่ได้ มีแต่จะต้องจัดการให้เรื่องอันแสนจะยืดเยื้อคาราคาซังนี้จบลงเสียที แม้ในความเป็นจริงอาจจะเรียกได้ไม่เต็มปากว่าทั้งหมดนี้ทำลงไปเพื่อกรรณ แต่เด็กหนุ่มก็อยากจะให้ตัวเองเชื่อเช่นนั้นเพื่อจะได้มีกำลังใจอดทนต่อจากนี้ ภูกลั้นใจยื่นมือไปกดกริ่งที่หน้าประตูแล้วยืนรอ ไม่นานก็ได้ยินเสียงปลดโซ่ล๊อคจากด้านในก่อนที่บานประตูจะเปิดอ้าออกโดยมีจอสในสภาพเกือบเปลือยมีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวปกปิดร่างกายยืนต้อนรับอยู่
“อ่ะฮะ” จอสทักด้วยวลีประจำตัว “มาถึงเร็วจัง ดีนะอาบน้ำเสร็จพอดี”
“ไม่ดีหรือไงล่ะ?” ภูพยายามไม่มองกล้ามเนื้อสวยงามที่พราวไปด้วยหยดน้ำนั้น
“ก็ดี จะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันเยอะๆ” จอสผายมือเชิญให้แขกผู้มาเยือนเข้ามาด้านใน
ภูถอนหายใจออกมาขณะก้าวขาเดินเข้าไปในห้องอันจะกลายเป็นนรกสำหรับตนในอีกหลายชั่วโมงต่อจากนี้ บรรยากาศในห้องยังโอบล้อมไปด้วยความเงียบงันเหมือนเช่นครั้งก่อนที่มาเยือน จะต่างออกไปก็เพียงแค่ความรู้สึกที่มีต่อเจ้าบ้านที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้าไปแล้ว ภูหย่อนกายที่หนักอึ้งลงพักที่โซฟาในห้องรับแขกตัวเดิมที่ตนเคยใช้เป็นที่งีบหลับในขณะที่จอสซึ่งใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วเริ่มทำการต้อนรับแขกด้วยการเสิร์ฟวิสกี้ออนเดอะร๊อค ซึ่งภูก็รับมาด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งเพราะต่อจากนี้ยิ่งสติสัมปชัญญะของตนรางเลือนมากเพียงใด ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อจิตใจมากเท่านั้น
“ใจเย็นๆ กระรอก” จอสทำตาโตเมื่อเห็นภูกระดกรวดเดียวหมดเหลือแต่น้ำแข็ง “คอทองแดงมาเองเลยนะเนี่ย”
“ขออีกแก้ว” ภูส่งแก้วคืนให้ รสขมยังติดลิ้นแต่เด็กหนุ่มก็รู้ดีว่าเพียงเท่านี้ยังไม่พอจะทำให้ตนเองเมาได้ “หรือจะเอามาทั้งขวดเลยก็ได้ เดี๋ยวจัดการเอง”
“ก็ได้ แต่ไปอาบน้ำก่อนไป” จอสรับแก้วกลับมาพร้อมกับส่งผ้าเช็ดตัวให้แทน
“ไม่ต้องอาบหรอก” ภูไม่รับผ้านั้น “สกปรกๆ แบบนี้แหละ เหมาะกับนายดี”
“บอกให้ทำอะไรก็ทำ อย่ามาดื้อได้ป่ะ?” จอสโยนผ้าใส่ “ถ้าไม่อาบเอง เดี๋ยวจะอาบให้ เลือกเอาเองแล้วกันว่าอยากได้แบบไหน”
ภูหมดทางเลือกจำต้องยอมทำตามคำสั่ง เขาลุกจากโซฟาโดยแสดงอาการกระฟัดกระเฟียดแบบจงใจให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าไม่เต็มใจก่อนจะตรงไปยังห้องน้ำ ภูกดล๊อคที่ประตูขังตัวเองเอาไว้ข้างในห้องสีขาวอันเย็นเยียบนั้น แขนทั้งสองข้างยันวางบนอ่างล้างหน้า ตามองไปยังกระจกเงาบานใหญ่อันเป็นประตูของตู้ที่ติดตั้งอยู่เหนืออ่างนั้น เงาภาพของตนเองที่สะท้อนออกมานั้นดูอิดโรยและเศร้าซึม เป็นใบหน้าของผู้ที่กำลังจะผ่านการทรมานตนเพื่อไถ่บาป เด็กหนุ่มพยายามเบี่ยงเบนความสนใจตนเองออกจากความตึงเครียดโดยการกวาดสายตามองไปยังข้าวของที่วางเรียงรายอยู่หน้ากระจกก่อนจะไปสะดุดเข้ากับขวดพลาสติกสีชาใบเล็กๆ ที่วางแอบอยู่ บางอย่างกระตุ้นให้เขายื่นมือออกไปหยิบมันขึ้นมาดู
“Fluoxetine…” ภูอ่านชื่อตัวยาที่ระบุเอาไว้บนฉลากซึ่งมีชื่อของจอสเป็นคนไข้ แม้จะรู้จักและร่วมงานกันมานาน แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ภูได้รับรู้ชื่อจริงของอีกฝ่ายแบบเต็มๆ “หัสนัยน์ โจเซฟ เวย์โอลต์”
ไม่ใช่ชื่อเต็มของจอสที่ทำให้ภูแปลกใจ สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มติดใจสงสัยมากกว่าคือชื่อของตัวยาที่คุ้นหู เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงและพิมพ์ชื่อยาบนขวดนั้นลงค้นหาในกูเกิล ข้อมูลปรากฏขึ้นมาในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที ภูกวาดสายตาอ่านอย่างละเอียดและได้ข้อสรุปว่ามันคือยาแก้อาการโรคซึมเศร้า ลางสังหรณ์บางอย่างเกิดขึ้นในหัวของภูบอกว่ายังมีบางสิ่งที่มากกว่านี้รอให้เขาค้นพบ ความคิดนั้นสั่งให้เด็กหนุ่มยื่นมือออกไปดันเปิดประตูกระจกของตู้ที่อยู่เบื้องหน้าตน เพียงกดปลายนิ้วลงไปสปริงของบานพับก็ทำงานและดันกระจกทั้งบานให้อ้าออกอย่างช้าๆ และภาพที่ปรากฏสู่สายตาก็ทำให้เขารู้สึกเย็นเยียบตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อสิ่งที่เรียงรายอยู่เต็มทุกชั้นของตู้ใบใหญ่นั้นคือขวดยาสีชาแบบเดียวกับที่วางอยู่ข้างนอก
ภูหยิบมันออกมาดูทีละขวดด้วยมือที่สั่นเทา ชื่อของตัวยาที่ระบุเอาไว้แตกต่างออกไปในบางขวดเช่น Lithium ซึ่งข้อมูลระบุว่าใช้ในการคงสภาวะอารมณ์ให้คงที่ และRisperidoneที่มีฤทธิ์ลดการสำแดงของอาการทางจิต แต่ที่มีจำนวนมากที่สุดก็คือFluoxetine ซึ่งข้อมูลทางแพทย์ระบุเอาไว้ว่ายาทั้งสามตัวนี้มักถูกใช้ร่วมกันเพื่อบำบัดรักษาอาการโรคอารมณ์สองขั้วหรือไบโพลาร์ ทั้งหมดถูกสั่งจ่ายจากโรงพยาบาลเดียวกันและจ่ายให้กับผู้ป่วยรายเดียวคือจอส เสียงเคาะประตูห้องน้ำดังขึ้น ภูตกใจสะดุ้งสุดตัวเผลอปล่อยขวดในมือตกลงพื้น เสียงพลาสติกกระทบกับพื้นดังก้องไปทั่วห้องน้ำ
“นานจัง เป็นอะไรหรือเปล่า?” เสียงจอสตะโกนถามมาจากนอกประตู
“มะ..ไม่เป็นไร เดี๋ยวออกไป” ภูรีบหยิบขวดนั้นขึ้นมาและเก็บกลับเข้าตู้ไปตามเดิม
“อย่าถ่วงเวลามากนัก รีบออกมาได้แล้ว” จอสเร่งก่อนที่ภูจะได้ยินเสียงฝีเท้าอีกฝ่ายเดินห่างออกไป
เด็กหนุ่มรีบถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกและเปิดฝักบัวราดน้ำพอให้ร่างกายเปียกชุ่มก่อนจะออกมาเช็ดตัวและสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่วางจัดเตรียมไว้โดยทิ้งเส้นผมให้ยังชื้นหมาดอยู่เพื่อให้อีกฝ่ายไม่ผิดสังเกต ภูไม่ลืมที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงตัวที่ถอดมาพกติดตัวไว้เผื่อจำเป็นต้องใช้ในกรณีฉุกเฉิน เพราะเมื่อรู้ว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับผู้มีอาการผิดปกติทางจิต ความรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างรุนแรงก็เกิดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
“กว่าจะออกมาได้ นี่ว่าจะเอาหมอนเอาผ้าห่มไปให้แล้ว เผื่อจะนอนในนั้น” จอสไม่รีรอที่จะประชดประชันใส่ทันทีเมื่อเห็นภูเดินกลับเข้ามาในห้องรับแขก
“โทษที...” ภูไม่กล้าที่จะพูดประชดประชันกลับไปเพราะกลัวจะเป็นการกระตุ้นอีกฝ่าย
“มาแปลกแฮะ…” จอสดูแปลกใจที่ภูดูสงบปากสงบคำไม่ต่อล้อต่อเถียงเหมือนทุกครั้ง แต่ก็เหมือนจะไม่ได้ใส่ใจจะเก็บมาคิดเป็นจริงเป็นจังอะไร เขาตบเบาะโซฟาเรียกให้ภูเข้ามาหา “มานี่สิ มานั่งนี่ก่อน”
ภูเดินเข้าไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ จอสยื่นมือมาฉุดแขนให้อีกฝ่ายนั่งลงข้างๆ ตนก่อนจะยกแขนขึ้นมาโอบกอดเอาไว้นานไม่ให้ขยับหนีไปไหน ภูนั่งนิ่งทำตัวแข็งไม่กล้ากระทำการขัดขืนใดๆ ความจริงที่เพิ่งได้รับรู้มานอกจากจะข่มขวัญเขาได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังช่วยอธิบายให้ภูเข้าใจถึงสาเหตุแห่งพฤติกรรมแบบสุดโต่งในสารพัดอารมณ์ที่จอสแสดงออกมา ทำให้ในเวลานี้นอกจากเด็กหนุ่มจะกังวลในสวัสดิภาพของตนเองแล้วอีกส่วนหนึ่งลึกๆ ก็ยังอดเป็นห่วงจอสไม่ได้ ความโกรธที่เคยมีจางหายไปจนเกือบหมดเมื่อรู้ว่าทุกความก้าวร้าวรุนแรงที่อีกฝ่ายแสดงออกมาบางทีอาจเป็นเพราะเขาบกพร่องความสามารถในการควบคุมอารมณ์ตัวเอง
“พอเลิกพยศแล้วน่ารักกว่าเดิมเยอะเลยนะเนี่ย เวลาอยู่กับแฟนคงว่านอนสอนง่ายแบบนี้ตลอดเลยสิท่า เข้าใจแล้วว่าทำไมไอ้ลุงนั่นถึงได้หลงนักหนา” จอสกระซิบข้างหู
“ก็… คงจะอย่างนั้นมั้ง… “ภูเออออห่อหมกไปไม่กล้าขัด ในขณะที่ตาเหลียวมองรอบระยะสายตาหาบางอย่างที่พอจะฉวยมาใช้เป็นเครื่องป้องกันตัวได้ในกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
“อ่ะนี่ ตามที่ขอ” จอสยื่นวิสกี้ออนเดอะร๊อคแก้วที่สองให้ แต่เมื่อภูจะยื่นมือไปคว้าไว้เขาก็ดึงมันกลับและทำท่าจะป้อนให้เสียเอง
จอสยื่นปากแก้วมาจนจ่อชิดกับริมฝีปากของภูก่อนจะเอียงขึ้นปล่อยให้ของเหลวสีอำพันข้างในไหลออกมา เด็กหนุ่มอ้าปากรับเอาไว้และดื่มลงคอไปอย่างจำยอม เมื่อปราศจากความอยากรสขมของมันก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเป็นร้อยเท่าพันทวี จริงอยู่ที่เมื่อครู่นี้เขาอาจจะอยากเมาเพื่อจะได้ไม่มีสติรับรู้และไม่ต้องจดจำทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่ตอนนี้เมื่อสติอาจเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยเหลือให้ตนรอดพ้นจากวิกฤติเบื้องหน้าได้ แอลกอฮอล์จึงเป็นสิ่งสุดท้ายบนโลกนี้ที่ภูจะต้องการรับมันเข้าไปในร่างกาย
หลังจากป้อนจนหมดแก้วจอสก็หยุดมือ เขาวางแก้วลงที่โต๊ะกระจกข้างหน้าก่อนจะหันมาสนใจกับภูต่อ มือข้างหนึ่งยกขึ้นปัดเส้นผมที่ปรกใบหน้าของอีกฝ่ายออกไปทัดไว้บนหลังใบหูก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใช้ปลายจมูกไล้ดมตั้งแต่ใบหูเรื่อยมาจนถึงแก้ม ในขณะที่มืออีกข้างก็ไม่อยู่เฉยมุดล้วงผ่านชายเสื้อยืดที่เด็กหนุ่มสวมใส่อยู่เข้าไปลูบไล้ผิวเนื้อเนียนละเอียดใต้ร่มผ้า ภูหลับตานิ่ง ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามต้องการหากแต่ไม่ใช่เพราะเงื่อนไขสัญญาใดๆ ที่ให้ไว้ต่อกันก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเพื่อรักษาตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัยไปถึงวันพรุ่งนี้โดยปราศจากการเสียเลือดเสียเนื้อ
To be continued...
4 Episodes left...
Episode 21
ไม่น่าเลย ไม่น่าเลย ไม่น่าเลย… ภูรำพึงกับตัวเองในใจซ้ำไปซ้ำมาขณะที่ริมฝีปากถูกจูบประกบพันธนาการเอาไว้จนไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้ ลิ้นของจอสที่ชอนไชอยู่ในปากพยายามปลุกเร้าให้เด็กหนุ่มตอบสนองแต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อภูเอาแต่แน่นิ่งไม่ไหวติงเหมือนเป็นอัมพาต หลังจากพยายามอยู่ครู่ใหญ่จนกรามเริ่มเมื่อยปวดและรู้สึกว่าลิ้นกำลังจะเป็นตะคริวเขาก็หมดความอดทนและถอนปากออกมา
“เหมือนจูบกับศพเลยอ่ะ…” จอสให้คำนิยามจูบเมื่อครู่
“ขอบคุณที่ชม” ภูใช้หลังมือเช็ดคราบน้ำลายของจอสที่ชุ่มอยู่บนริมฝีปากของตนออก
“ถ้ามันทำใจยากนัก นายก็หลับตาแล้วคิดว่าเราเป็นเค้าไม่ได้หรือไง?” จอสเสนอหนทางแก้ปัญหา
“ไม่ได้อ่ะ ยังไงก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นนาย” ภูบอกตามตรง
“พวกไร้จินตนาการ” จอสว่าก่อนจะถอดเสื้อที่สวมอยู่ออกแล้วโยนทิ้งไปหลังโซฟา “ถอดเสื้อสิ…”
ภูอิดออดอยู่ได้เพียงไม่นานก็จำต้องทำตามที่อีกฝ่ายสั่งเพราะรู้ดีว่าไม่อยู่ในสถานะที่สามารถขัดขืนได้ แต่ด้วยความอายแม้จะถอดออกแล้วเด็กหนุ่มก็ยังพยายามใช้เสื้อมาปิดบังเนื้อหนังของตนไว้จนจอสทนรำคาญไม่ไหวแย่งเสื้อไปจากมือและโยนทิ้งให้ไปกองอยู่กับเสื้อของตนที่หลังโซฟา แม้จะไม่มีเสื้อแล้วแต่ภูก็ยังไม่ละความพยายามที่จะปกปิดร่างกาย เขายกแขนทั้งสองข้างขึ้นกอดอกตัวเองเอาไว้แต่จอสก็จัดการจับมันแยกออกในทันที เมื่อแขนทั้งสองข้างถูกตรึงกดเอาไว้เด็กหนุ่มก็หมดหนทางจะป้องกันตัว ทำได้แต่เพียงนอนนิ่งยอมรับชะตากรรม จอสค่อยๆ ก้มหน้าลงมาอีกครั้งและซุกไซร้เข้าไปยังซอกคอของภูก่อนจะลากปลายลิ้นไล้ลงมาตามลำคอ สัมผัสนั้นทำเอาร่างกายของภูถึงกับสั่นสะท้านเฮือกใหญ่ แม้จะไม่ได้มีอารมณ์ร่วมด้วยแต่ก็ไม่สามารถห้ามปฏิกิริยาตอบสนองอันเป็นไปโดยธรรมชาติได้
อย่าหวั่นไหว อย่าเคลิ้ม อย่าคล้อยตามเด็ดขาด ภูบอกกับตัวเองขณะสูดหายใจเข้าลึกๆ เตรียมใจให้พร้อมรับมือการปลุกเร้าระลอกต่อไปของจอส แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ต่อจากนั้น จอสเพียงแค่หยุดนิ่งและแช่ใบหน้าคาเอาไว้ที่ข้างซอกคอ ก่อนที่ภูจะสังเกตเห็นว่าร่างกายของอีกฝ่ายกำลังสั่นเทา จากเริ่มแรกเพียงเล็กน้อยก่อนจะเริ่มสั่นแรงขึ้นจนตัวโยนและลงเอยด้วยการเด้งผลุดลุกขึ้นระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
“อะไร… อะไรกันเนี่ย?” ภูงงเป็นไก่ตาแตก แม้จะเพิ่งได้รู้ข้อมูลมาว่าอีกฝ่ายมีปัญหาทางด้านอารมณ์สองขั้ว แต่สิ่งที่พบเจอตอนนี้มันก็ออกจะพลิกผันแบบสุดขั้วเกินไป
“โทษที ตอนแรกเรานึกว่าเราจะทำได้” จอสพยายามกลั้นหัวเราะเพื่อให้เสียงพูดออกมาฟังรู้เรื่อง “แต่พอเอาจริงๆ ทำไม่ได้ว่ะ ไม่ไหวจริงๆ นายทำหน้าโคตรตลกเลย”
ภูฉุนกึก จริงอยู่ที่ในความเป็นจริงเรื่องนี้ควรจะทำให้เขาโล่งใจถ้ามองในแง่ที่ว่าตนไม่ได้ต้องการจะโดนอีกฝ่ายกระทำชำเรา แต่การที่ต้องลงเอยด้วยการกลับกลายจากเหยื่อเป็นตัวตลกในสถานการณ์ที่สร้างความเครียดให้กับตนอย่างมหาศาลเช่นนี้ก็ทำให้ต่อมความอดทนของภูระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ เข้าทำนองฆ่าได้หยามไม่ได้ เด็กหนุ่มไม่สนอีกต่อไปว่าอีกฝ่ายจะมีอาการทางจิตประเภทไหน เขาบันดาลโทสะยกขาขึ้นยันโครมสุดแรงเข้ากลางยอดอกของจอสจนหงายหลังตกโซฟาลงไปนอนอยู่กับพื้นเบื้องล่าง
“ถีบทำไมเนี่ย? !” จอสผลุดลุกขึ้นมาโวยลั่น
“ไอ้โรคจิต!” ภูว๊ากกลับไป ก่อนจะหยิบเสื้อขึ้นมาสวม
“โกรธทำไมอ่ะ? ไม่อยากให้ทำก็ไม่ทำแล้วไง ไม่ดีเหรอ?” จอสไม่เข้าใจสาเหตุความโกรธของภู
“ไม่ทำมันก็ดี! แต่…” ภูไม่รู้จะอธิบายความอับอายของตนยังไงดี “นายจะมาทำตลกกับความรู้สึกของคนอื่นแบบนี้ไม่ได้นะ”
“เราไม่ได้ตลกความรู้สึกนาย เราตลกหน้านาย หน้าเหมือนกำลังจะโดนฆ่าเลย” จอสหัวเราะออกมาอีกชุดใหญ่ก่อนจะหยุดเมื่อโดนภูหยิบหมอนใบเล็กบนโซฟาเขวี้ยงใส่เข้าเต็มหน้า “เฮ้ย! หยุด!”
“ไม่หยุดโว้ย!!” ภูหยิบหมอนขว้างออกไปอีกใบ แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายตั้งรับรอเอาไว้แล้วจึงป้องกันได้ทัน “นายไม่รู้หรอกว่าเรากลัวแค่ไหน เครียดแค่ไหนกับสิ่งที่นายกำลังบังคับให้เรายอมให้นายทำ แล้วสุดท้ายนายกลับมาทำยังกับว่านี่เป็นแค่เรื่องเล่นสนุกแล้วก็หัวเราะเยาะเหมือนเราเป็นตัวตลกในเกมงี่เง่าปัญญาอ่อนของนายเนี่ยนะ!”
“ก็หน้ามันตลกจริงๆ นี่” จอสตั้งท่าจะขำอีกแต่ก็รีบกลั้นเอาไว้เมื่อเห็นภูคว้าแก้วเหล้าไว้ในมือ เขาพยายามทำเสียงให้จริงจังขึ้นขณะเริ่มพูดต่อ “แล้วอีกอย่าง ต่อให้นายไม่ได้ทำให้เราขำ เราก็รู้ตัวตั้งนานแล้วล่ะว่าเราทำไม่ได้แน่นอน”
“ทำไม?” ภูถามขณะพยายามสงบสติอารมณ์ลง ในใจก็คาดหวังซึ่งคำตอบที่อาจจะฟื้นฟูความรู้สึกดีๆ ให้กับตนได้
“ก็แค่ทำไม่ได้…” จอสยักไหล่แล้วถอนหายใจออกมาคล้ายจะบอกว่าตนก็จนปัญญาจะตอบคำถามนั้น ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มแต่จู่ๆ ก็เกิดปรากฎแววแห่งความเศร้าฉายวาบขึ้นมาจนน่าใจหาย “แค่รู้ว่านายไม่เต็มใจ เราก็ทำไม่ได้แล้ว”
จอสหยิบโทรศัพท์มือถือของตนที่หล่นไปอยู่ในซอกโซฟาขึ้นมาและกดบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่งมาให้ภู เด็กหนุ่มรับมาดูและพบว่าบนหน้าจอมีคลิปวีดีโอจากกล้องวงจรปิดในคืนวันนั้นปรากฎอยู่พร้อมกับคำถามจากระบบที่รอคำตอบจากผู้ใช้ว่าต้องการลบไฟล์นี้ออกไปจากเครื่องหรือไม่ ภูเงยขึ้นมามองหน้าของอีกฝ่ายด้วยไม่มั่นใจว่าหากทำตามต้องการจะเกิดอะไรขึ้นตามมา ก่อนที่จะตัดสินใจกดตกลงเมื่อเห็นจอสพยักหน้ายินยอม มันถูกลบหายไปในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที ภูถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อสิ่งที่ทำให้ตนเป็นกังวลมานานหลายเดือนได้ถูกทำลายทิ้งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะไม่เหลือสิ่งที่ยังค้างคารอให้สะสางทำความเข้าใจอยู่
“ถ้านายคิดจะลบมันทิ้งอยู่แล้ว นายจะบังคับให้เรามาทำไม?” ภูถามขณะส่งโทรศัพท์คืนให้กับเจ้าของ
“ก็แค่อยากมีคนอยู่ด้วยสักคืน เบื่อจะอยู่คนเดียวแล้ว” จอสรับมันมาและโยนลงไปไว้ที่โซฟาเหมือนเดิม “แล้วอีกอย่างก็รู้ๆ กันดีว่าถ้าขอให้นายมา นายไม่มีทางยอมมาอยู่แล้ว ก็ต้องทำแบบนี้แหละ”
“ก็จริง…” ภูยอมรับ
“ที่ผ่านมาก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่ากำลังทำตัวไม่ดี แต่รู้ทั้งรู้ว่าเป็นไปไม่ได้เราก็ยังไม่พร้อมจะปล่อยนายไป ถึงจะเสียใจที่ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ นายก็ยิ่งเกลียดเรามากขึ้น แต่เราก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่าให้เค้าเกลียดอยู่ข้างๆ ก็ยังดีกว่าต้องกลับมาตัวคนเดียว” น้ำเสียงของจอสเหมือนกำลังสมเพชตัวเอง “จนกระทั่งเกิดเรื่องวันฝนตกนั่น เราก็รู้ตัวว่าเราทำแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะนายจะไม่ใช่แค่เกลียดเรา แต่เราจะเป็นอันตรายกับตัวนายด้วย”
“เพราะนายป่วยใช่ไหม?” ภูตัดสินใจถามออกไปตรงๆ
โกรธ โมโห โวยวาย ทำลายข้าวของ หรืออาการเกรี้ยวกราดชนิดใดก็ตามที่ภูเตรียมใจเอาไว้ว่าจะต้องพบเจอหลังเอ่ยปากถามคำถามซึ่งเป็นเหมือนมีดสะกิดแผลของอีกฝ่ายออกไปเช่นนั้น ทว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้น มีแต่เพียงความเงียบงันอันน่าอึดอัดเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในสูญญากาศ จอสยืนนิ่งอึ้งเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ถึงความผิดที่ปกปิดซ่อนเอาไว้ แววตาเต็มไปด้วยความสับสนและหวาดหวั่น ไม่ใช่ในสิ่งที่ตนกระทำลงไป แต่เป็นความหวาดหวั่นที่มีต่อสายตาของผู้ที่มองมายังตนเพราะไม่อาจรู้ว่าเขาจะเข้าใจและรับได้หรือไม่
“นายรู้ได้ยังไง?” จอสถามออกมาด้วยเสียงอันเรียบต่ำ
“เรา… เราเห็นขวดยาของนายในห้องน้ำ” ภูพูดตะกุกตะกัก การที่จอสตอบสนองกลับมาด้วยความเงียบและนิ่งเช่นนี้ยิ่งข่มขวัญเขาได้มากกว่าโวยวายหลายเท่า “ถ้านายไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ เราไม่พูดก็ได้ ขอโทษนะที่ถามเรื่องส่วนตัว”
“สอดรู้สอดเห็นนักนะ…” จอสเดินย่างสามขุมตรงเข้ามาหาภู
“ขอโทษ…” ภูถอยหนีแต่ก็ไปได้ไม่ไกลเพราะสะดุดขาตัวเองจนหงายหลังล้มลงก้นกระแทกพื้น
เด็กหนุ่มแหงนหน้ามองอย่างหวาดผวาไปยังจอสที่กำลังเดินกำหมัดแน่นตรงเข้ามาหา ในหัวพยายามนึกหาคำพูดที่จะช่วยให้อีกฝ่ายสงบสติอารมณ์ลง ก่อนจะเลิกล้มกระบวนการนั้นเปลี่ยนมาเป็นเตรียมใจรับความเจ็บปวดแทนเมื่อเห็นจอสย่อตัวลงมาและเงื้อกำปั้นขึ้น ภูหลับตาปี๋เตรียมใจรับแรงกระแทกจากกำปั้นที่อาจจะซัดลงตรงไหนสักแห่งบนร่างกายของตน เสียงตึ๊บหนักๆ ดังขึ้นหลังจากนั้นไม่กี่วินาที ภูสะดุ้งด้วยความตกใจแต่ไม่นานนักก็เปลี่ยนเป็นประหลาดใจแทนเมื่อลืมตาขึ้นมาและพบว่าเหยื่อกำปั้นนั้นกลับเป็นหมอนที่หล่นอยู่เบื้องล่างไม่ใช่ตน
“กลัวจริงๆ ด้วยสินะ” จอสหัวเราะหึออกมาเบาๆ ก่อนจะนั่งลงบนพื้นเหมือนกับภู “ก็ไม่แปลกใจหรอก ใครรู้เค้าก็กลัวกันหมด”
“ขอโทษ.. ก็นายน่ากลัว” ภูรู้ดีว่าการแสดงออกของตนทำให้จอสรู้สึกแย่
“ไม่ต้องกลัวหรอก ยากับการบำบัดมันก็ช่วยได้เยอะ ตอนนี้เราควบคุมตัวเองได้สบายมาก” จอสฉีกยิ้มพยายามแสดงสัญญาณเป็นมิตรให้อีกฝ่ายเลิกกลัว “ต้องเจอเรื่องแบบสุดติ่งกระดิ่งแมวจริงๆ แบบวันนั้นน่ะถึงจะหลุด… ดีแล้วล่ะที่นายหนีไปได้ ไม่งั้นเจ็บหนักแน่ๆ”
“นายเป็นมานานแค่ไหนแล้ว?” ภูถาม
“ไม่รู้สิ ตั้งแต่เรียนจบมัธยมมั้ง เราเข้าเรียนมหาลัยแล้วก็เบื่อเลยดรอปออกมา อยู่บ้านกินเที่ยวไปวันๆ นอนหลับไปแล้วก็ตื่นขึ้นมา ใช้ชีวิตเหมือนไม่มีจุดหมาย แล้วจู่ๆ วันนึงก็รู้สึกขึ้นมาว่าโลกไม่น่าอยู่อีกต่อไปแล้ว…” จอสตอบพร้อมกับชูแขนข้างที่มีรอยสักให้ภูดูสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้สีและลวดลายของน้ำหมึกนั้น มันคือรอยแผลเป็นจากการถูกสิ่งมีคมบาดนับสิบแผล “โชคดีที่แม่บ้านลืมของเลยย้อนกลับเข้ามา ไม่อย่างนั้นเราก็กลายเป็นผีสิงคอนโดไปแล้ว”
ภูใจหายวาบ เพียงมองดูพวกมันด้วยตาก็แทบจะรู้สึกเจ็บตามไปด้วย รอยแผลเหล่านั้นนูนสูงต่ำไม่เท่ากันตามความร้ายแรงของมันเมื่อครั้งที่ถูกทำให้เกิดขึ้น พวกมันดูเด่นชัดเสียจนภูนึกสงสัยว่าทำไมตนจึงไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มยื่นมือออกไปก่อนจะหยุดและมองไปยังจอสเพื่อขออนุญาต จนเมื่อเจ้าตัวพยักหน้ายินยอมเขาจึงค่อยจรดปลายนิ้วลงแตะมันอย่างแผ่วเบาและระมัดระวังราวกับกลัวว่าความเจ็บปวดอาจจะยังคงอยู่ ปลายนิ้วไล้ลากผ่านแผลเป็นที่ใหญ่ที่สุดและสัมผัสบริเวณกลางแผลที่แข็งเป็นไตขึ้นมา
“นั่นคือแผลที่สาหัสที่สุด” จอสบอกกับภูเมื่อเห็นท่าทีสนใจเป็นพิเศษนั้น “เราใช้ปลายมีดแทงลงไปแล้วคว้านจนโดนเส้นเลือดใหญ่ หมอยังบอกเลยว่าไม่เคยเจอใครที่มุ่งมั่นกับการทำแบบนี้เท่าเรามาก่อน”
“นี่ไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจเลยนะ” ภูไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนที่ทำแบบนี้กับตนเองได้ “ทำลงไปทำไม?”
“เราก็อยากจะรู้เหตุผลของตัวเองในตอนนั้นเหมือนกัน” จอสส่ายหน้า “เรารักษาตัวจนออกจากโรงพยาบาลแล้วก็เข้ารับการบำบัด หมอช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เรื่องสภาพแวดล้อมที่เราต้องอยู่คนเดียว แต่ก็แนะนำให้รับยาควบคู่ไปกับการเพ่งความสนใจไปที่กิจกรรมอะไรสักอย่างแทน ผลก็เลยได้กล้ามงามๆ พวกนี้มาไงล่ะ”
แม้อีกฝ่ายจะพยายามพูดให้เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือหนักหนาสาหัสอะไร แต่ภูก็มองออกถึงความเจ็บปวดที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของทุกคำที่ออกมา แสงอันมืดสลัวของห้องในยามนี้ทำให้จอสยิ่งดูเปราะบางและบอบช้ำ แผลเป็นเหล่านั้นเป็นดั่งร่องรอยจารึกแห่งการเดินทางผ่านวันเวลามาอย่างโดดเดี่ยว เด็กหนุ่มพยายามนึกจินตนาการถึงชิวิตของอีกฝ่ายในรูปแบบที่ต่างออกไป หากจอสได้มีครอบครัวที่อยู่พร้อมหน้าเหมือนปกติ รอยแผลนี้คงไม่มี… หากมีใครสักคนคอยรับฟังสิ่งที่เขาอยากพูด รอยแผลนี้คงไม่เกิดขึ้น… ภูคิดขณะลากนิ้วผ่านแผลอื่นๆ บนท้องแขนนั้น และมาจบที่แผลใหญ่ที่สุดอันเป็นจุดเริ่มต้น ถ้าเพียงแต่เขาจะมีเพื่อนสักคนที่ช่วยหยุดเขาจากความคิดชั่ววูบพวกนั้น…
“เฮ้…” ภูเรียกจอส
“อ่ะฮะ?” จอสเงยหน้าขึ้นมาสบตาอีกฝ่าย คล้ายจะถามว่ามีอะไร
“เลิกคุยเรื่องพวกนี้กันดีกว่า วันนี้ไหนๆ ก็มาแล้ว นายอยากทำอะไรบ้าง?” ภูตัดสินใจจะใช้เวลาที่เหลือของคืนนี้สร้างเรื่องราวดีๆ ไว้ในความทรงจำของจอสเพื่อให้อีกฝ่ายได้ใช้ระลึกถึงในวันที่ความมืดมิดเหล่านั้นกลับมาอีกครั้ง “นายรักษาสัญญาที่ให้กับเรา เราก็ไม่เบี้ยวนายหรอก วันนี้จะอยู่ด้วยจนกว่าจะเช้า”
“อยากทำอะไรเหรอ…” จอสทำท่านึกก่อนจะส่งรอยยิ้มชั่วร้ายอันเป็นเอกลักษณ์มา “ต่อจากเมื่อกี้ดีไหมล่ะ?”
“ไม่เลิกใช่ไหม?” ภูยิ้มเหี้ยมเกรียมเป็นสัญญาณเตือนให้อีกฝ่ายหยุดหื่น “ถ้ายังคิดเรื่องนั้นอยู่เราก็กลับเลยแล้วกัน”
“ล้อเล่น…” จอสจ๋อยลงไปทันตา “ขอนอนกอดเฉยๆ ก็พอ สัญญาจะไม่ทำเกินกว่านั้นถ้านายไม่อนุญาต”
“ก็ได้” ภูยอมตกลง “แต่ก่อนอื่นเลย ไปใส่เสื้อก่อน”
“ทำไมล่ะ?” จอสทำหน้างงก่อนจะชี้ไปที่ซิกแพคของตน “ไม่ชอบเหรอ เซ็กซี่จะตาย”
“เก็บไว้ดูคนเดียวเถอะ” ภูลุกขึ้นมาหยิบเสื้อและโยนส่งให้
จอสไม่ยอมเสียเวลาอันมีค่าไปอีกแม้แต่วินาทีเดียว เขาสวมเสื้อกลับคืนก่อนจะจูงมือภูพาเดินเข้าไปยังห้องนอนของตน เมื่อบานประตูเปิดออกภูก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้างกับจำนวนอันมากมายของฟิกเกอร์และโมเดลของเล่นต่างๆ ที่วางเรียงรายอยู่เต็มตู้กระจกใหญ่ตลอดจนทั่วทุกอาณาบริเวณของห้อง ซึ่งเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเมื่อเห็นท่าทีสนอกสนใจที่แขกผู้มาเยือนมีต่อคอลเลคชั่นของสะสมของตนก็รีบพาเดินดูจนทั่วพร้อมกับบรรยายประวัติของแต่ละชิ้นโดยละเอียดอย่างภาคภูมิใจ
“น่าเปิดพิพิธภัณฑ์เนอะ” ภูพูดแซวหลังจากการทัวร์อันยาวนานได้จบลง
“ไม่อ่ะ ของส่วนตัว ไม่ชอบเอาไปอวดใคร” จอสบอกขณะนั่งลงบนขอบเตียงตามภู
“ขนาดไม่ชอบอวดนะเนี่ย…” ภูนึกถึงการกระทำที่ขัดแย้งกับคำพูดอย่างชัดเจนของอีกฝ่าย
“ก็ยกเว้นถ้าคนนั้นพิเศษกับเราจริงๆ เราก็อยากแชร์ทุกอย่างในชีวิตเราให้เค้ามีส่วนร่วมนะ” จอสยังไม่วาย
“พอเลย…” ภูส่ายหน้าเพลียจิต อยากให้จอสเข้าใจเสียทีว่าการเป็นคนที่ต้องคอยปฏิเสธก็ทำให้รู้สึกเจ็บปวดได้ไม่แพ้คนโดนปฏิเสธ “ทำแบบนี้ต่อไปไม่ดีหรอกนะ”
“แค่คืนนี้ก็พอแล้วล่ะ” จอสขอซื้อเวลาเป็นครั้งสุดท้าย “แล้วตั้งแต่พรุ่งนี้ เราจะไม่กวนใจนายอีกแล้ว”
ภูไม่ปฏิเสธคำขอร้องนั้น ด้วยใจก็อยากจะชดเชยให้จอสในสิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิต แม้จะรู้ดีว่าด้วยเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงถัดจากนี้คงไม่อาจเติมเต็มจิตใจอันแหลกสลายเพราะถูกสนิมแห่งความโดดเดี่ยวอ้างว้างเกาะกินมานานนับปีของอีกฝ่ายได้ แต่อย่างน้อยภูก็ยังอยากจะฝากร่องรอยบางอย่างเอาไว้ เป็นร่องรอยที่เมื่อวันเวลาผ่านพ้นไป เมื่อความมืดอันน่ากลัวได้กลับมาทำให้จิตใจของชายผู้โดดเดี่ยวเกิดความรู้สึกว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่อีกครั้ง เขาจะเดินย่ำย้อนกลับมายังต้นทางแห่งร่องรอยทั้งหมดและระลึกได้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีใครบางคนอยู่กับเขาตรงนี้ มันอาจจะนานและลางเลือนจนเหมือนภาพฝัน แต่สิ่งเหล่านั้นก็เคยเกิดขึ้นจริง และหากโลกไม่ชิงแตกไปเสียก่อนมันก็จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ถ้าเคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้ว สักวันมันจะต้องเกิดขึ้นอีกครั้ง ขอเพียงเขาใช้ชีวิตที่มีให้ดีที่สุดเพื่ออดทนรอเวลาอันล้ำค่านั้น
เป็นค่ำคืนที่มีเรื่องให้คิดมากมายเหลือเกิน มากจนเกินไป อ้อมแขนของจอสโอบกอดร่างของภูเอาไว้เหมือนเป็นหมอนข้างขณะที่เจ้าตัวเริ่มส่งเสียงกรนออกมาเบาๆ ทว่าภูกลับยังไม่อาจทำใจให้หลับลงได้ ด้วยจิตใจยังคงพะวงเป็นห่วงกรรณที่กำลังเผชิญช่วงเวลาอันยากลำบากอยู่ตามลำพังโดยที่ตนไม่อาจจะไปอยู่เคียงข้างได้ ภูรู้สึกเหมือนทุกอย่างผิดที่ผิดทางไปจากที่ควรจะเป็นทั้งหมด ชีวิตคงจะเป็นเรื่องง่ายกว่านี้มากหากเขายังคงเป็นแค่นักศึกษาธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลมากไปกว่าการเรียนอันเป็นหน้าที่หลัก และสามารถใช้เวลาของชีวิตไปกับครอบครัว เพื่อนฝูง คนรักหรือสิ่งใดๆ ที่ตนต้องการจะทำอย่างแท้จริงได้โดยไม่ต้องมาคอยคำนึงถึงปัจจัยจุกจิกมากมายอันเป็นดั่งกรงที่โอบล้อมเอาไว้และคอยบีบคั้นชีวิตจนน่าอึดอัดขึ้นเรื่อยๆ ในทุกลมหายใจเข้าออกเช่นนี้
เวลาล่วงมาจนถึงตีห้าแล้ว แสงแห่งรุ่งอรุณของวันใหม่กำลังจะปรากฏฉายจับขอบฟ้าในอีกไม่ช้า ภูค่อยๆ ยกแขนของจอสที่พาดทับร่างกายอยู่ออกและย่องลงจากเตียงก่อนจะเปิดประตูเดินออกมายังบริเวณห้องรับแขกอย่างเงียบเชียบ เด็กหนุ่มเลื่อนเปิดประตูและก้าวออกไปยังระเบียงด้านนอก กระแสลมด้านนอกยังคงพัดตึงเหมือนเช่นเมื่อครั้งก่อน ภูเอนกายลงยืนพิงเข้ากับขอบระเบียงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดหาเบอร์ของกรรณแล้วโทรออก เสียงรอสายดังขึ้นหลายครั้งแต่ไม่มีคนรับจนเขาเริ่มคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะกำลังหลับอยู่หรือไม่สะดวกจะรับสาย แต่ในขณะที่กำลังจะถอดใจและกดวางสายนั้นเครื่องโทรศัพท์ในมือก็สั่นเตือนเบาๆ หนึ่งครั้งเป็นสัญญาณว่ามีผู้รับสายแล้ว
“ฮัลโหล…” ภูพูดกรอกไป
“ว่าไง โทรมาแต่เช้ามืดเลย” เสียงของกรรณที่ตอบกลับมาจากปลายสายทั้งอ่อนล้าและโรยแรง เพียงเท่านั้นภูก็พอรับรู้ได้ว่ายังคงไม่มีข่าวดีเกิดขึ้น
“ผมเป็นห่วงพี่ ห่วงแม่พี่ด้วย” ภูบอกกับกรรณ “ตอนนี้เป็นยังไงบ้างแล้วครับ?”
“ก็… หมอออกมาแล้วล่ะ แต่ก็ยังต้องคอยดูอาการ” กรรณตอบเสียงเศร้า “ถ้าผ่านสิบสองชั่วโมงนี้ไปได้ก็ถือว่าพ้นขีดอันตราย”
“ต้องได้สิ” ภูพยายามให้กำลังใจ “ต้องได้อยู่แล้วล่ะ บอกท่านว่าวันนี้ผมจะไปหานะครับ”
“จะให้บอกว่าไง ลูกสะใภ้จะมาเหรอ?” กรรณเย้ามาด้วยเสียงเศร้าๆ นั้น
“บอกว่าแฟนก็พอ ไม่ต้องเจาะจงสถานะขนาดนั้น” ภูโล่งใจที่อย่างน้อยกำลังใจของกรรณก็ยังดีพอจะพูดเล่นได้
“ได้ เดี๋ยวจะบอกให้” กรรณรับปาก
“งั้นแค่นี้ก่อนนะครับ ผมจะเตรียมของเอาไว้ เสร็จงานจะได้ออกเดินทางได้เลย พี่อยู่ทางนั้นก็พักผ่อนบ้างนะ” ภูบอกขณะที่ตาเริ่มมองเห็นแสงสีทองซึ่งจับขอบฟ้าอยู่ไกลออกไป
“แค่ได้ยินเสียงนายก็เหมือนได้พักผ่อนแล้ว รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย” กรรณพูดด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ผู้ฟังนึกออกถึงรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า “แล้วเจอกันนะครับ”
“ครับ เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว จะรีบไปให้เร็วที่สุดครับ” ภูบอกก่อนจะวางสาย
ภูเก็บโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋ากางเกงแล้วหันกลับมาตั้งท่ากลับเข้าใปข้างใน แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจเมื่อเจอะเข้ากับจอสที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูระเบียง เด็กหนุ่มทำตัวไม่ถูกด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ตรงนั้นมานานแค่ไหนแล้ว แต่เมื่อสังเกตจากสีหน้าอันเศร้าสร้อยนั้นภูก็พอจะคาดเดาได้ว่าคงจะนานพอที่จะได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่นี้ทั้งหมด
“ตื่นแล้วเหรอ?” ภูถามพร้อมกับชี้แจงตนเอง “เรา.. ออกมาคุยโทรศัพท์เรื่องธุระนิดหน่อยน่ะ”
“ตื่นมาไม่เจอ นึกว่าหนีไปแล้วซะอีก” จอสยิ้มแห้งๆ
“ไม่หนีหรอก ก็สัญญาเอาไว้แล้ว” ภูยืนยันคำพูดตนเอง
“แล้วนั่นน่ะ…” จอสถามถึงสิ่งที่ตนได้ยินเมื่อครู่ “มีธุระสำคัญต้องไปทำไมไม่บอกเราล่ะ ถ้าบอกกันตรงๆ เราก็ไม่รั้งนายไว้ทั้งคืนแบบนี้หรอก”
“ถึงจะไม่ได้อยู่กับนาย ยังไงก็ยังไปไหนไม่ได้อยู่ดี วันนี้ยังมีคิวงานช่วงบ่ายของวันนี้อีกงานนึงต้องจัดการให้เสร็จก่อน” ภูอธิบายให้จอสเข้าใจจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิด
“อีเวนท์?” จอสถามเมื่อเห็นภูพยักหน้าว่าใช่จึงค่อยเสนอตัว “เราไปแทนให้ก็ได้นะ”
“จริงเหรอ?” ภูดีใจสุดๆ เพราะนั่นจะช่วยประหยัดเวลาไปได้มากทีเดียว หากจอสยอมไปงานแทนเขาก็จะสามารถออกเดินทางได้ตั้งแต่ช่วงเช้าและคงไปถึงสุโขทัยก่อนเวลาจะล่วงเข้าสู่ช่วงบ่ายด้วยซ้ำ
“เพื่อนายเราทำได้อยู่แล้ว” จอสรับคำ “แต่ขออะไรบางอย่างเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนนิดหน่อย”
“อะไรอีกอ่ะ?” ภูใจคอไม่ดี
“ไม่ต้องทำหน้าไม่ไว้ใจแบบนั้นหรอกน่า กระรอกตื่นตูมเอ๊ย…” จอสทำหน้าเซ็งกับการถูกหวาดระแวง “แค่อยู่ดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันตรงนี้ก่อนก็พอ”
จอสเลื่อนปิดประตูขณะเดินออกมายืนข้างๆ ภูที่ขอบระเบียง ทั้งสองยืนจ้องมองออกไปยังสุดปลายของทิวทัศน์เบื้องหน้า เฝ้ารอให้พระอาทิตย์ปรากฏขึ้นสู่สายตา ในใจรู้แจ้งแน่ชัดว่าบางสิ่งได้เปลี่ยนไปแล้ว ภูรู้สึกเช่นนั้น นับจากนี้จะไม่มีความผิดพลาดจากอดีตให้ต้องกังวล มีแต่อนาคตที่รอให้ไปพบเจอ และเหนือสิ่งอื่นใด มิตรภาพระหว่างเขาและจอสจะยังคงอยู่และอาจจะแนบแน่นยิ่งกว่าที่เคยเป็นมาด้วยซ้ำ
“นี่ ขอบคุณมากนะ” ภูบอกกับจอสขณะที่ตาก็ยังมองไปยังนอกระเบียง
“เรื่อง?” จอสหันมาถาม
“สำหรับทุกอย่าง ที่เก็บนาฬิกาเอาไว้ให้ ที่ไปส่งบ้าน แล้วก็ที่ช่วยในเรื่องงานอีกไม่รู้กี่ครั้ง” ภูหันมาเช่นกัน “แล้วก็ขอโทษที่เป็นในสิ่งที่นายต้องการไม่ได้”
“แล้วนายจะเสียดายที่ปล่อยให้เราหลุดมือไป” จอสยกหางตัวเองเต็มที่
“ก็อาจจะ…” ภูยอมรับ “ถึงเราจะเป็นในสิ่งที่นายอยากให้เราเป็นไม่ได้ แต่เราก็มีบางสิ่งที่จะทดแทนให้”
“มาอีกแล้ว รางวัลชมเชย” จอสพ่นลมออกจากปาก
“ฟังให้มันจบก่อนเส่ะ!” ภูถองข้อศอกใส่ชายโครงอีกฝ่ายใส่ด้วยความโมโห
“ก็ว่ามาเส่ะ!” จอสว๊ากกลับ “พวกซาดิสต์…”
“ชอบทำให้เสียบรรยากาศ” ภูสูดหายใจเข้าพยายามเรียบเรียงคำพูดในหัวใหม่อีกรอบ “ถึงเราจะเป็นในสิ่งที่นายอยากให้เป็นไม่ได้ แต่เราก็มีบางอย่างจะทดแทนให้นาย”
“คือ?” จอสถาม
“ต่อไปนี้นายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราแล้วนะ” ภูยื่นมือไปแตะที่บ่าของอีกฝ่าย “นายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะร้ายหรือดี เราจะอยู่ข้างนายเสมอ ต่อไปนี้จะไม่มีการหลบหน้ากันอีกแล้ว เราสัญญา”
ภูยื่นมือออกไปตั้งใจจะจับมือทำสัญญาแต่ก็ถูกอีกฝ่ายฉวยกระชากร่างเข้าไปสวมกอดไว้เสียก่อน เมื่อหายตกใจเด็กหนุ่มจึงรู้สึกได้ว่าร่างที่โอบรัดตนอยู่นั้นกำลังสั่นเทา แก้มและต้นคอด้านขวาของเขาถูกลมหายใจและน้ำตาร้อนผ่าวของจอสราดรดจนชุ่ม มือข้างหนึ่งของจอสขยุ้มเส้นผมของภูเอาไว้ในมือ ไม่มีการฟูมฟาย ไม่มีความเจ็บปวดในน้ำตาเหล่านั้น มีเพียงความตื้นตันจากการได้รับในสิ่งที่ตนปรารถนาอย่างสุดหัวใจ เป็นช่วงเวลาอันเนิ่นนานและราบเรียบราวกับนิรันดร์กาล ภูทอดสายตามองออกไปที่ปลายขอบฟ้า พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว พร้อมกันกับที่วันใหม่ของเด็กหนุ่มทั้งสองที่ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างสมบูรณ์เช่นกัน…
To be continued...
3 Episodes Left
[/i]
เมื่อกลับมาถึงบ้าน พ่อกับแม่ดูจะมีความรู้สึกกับข่าวใหญ่นี้ในด้านบวกจนเหมือนลืมคำนึงถึงศักยภาพของลูกตัวเอง ภูปวดหัวขึ้นมาติดหมัดที่ทุกคนดูจะเห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้กันไปเสียหมด ทันทีที่ขึ้นมาอยู่ตามลำพังในห้องนอนของตนเอง เด็กหนุ่มก็รีบโยนบทละครที่เพิ่งได้รับมาไปไว้บนโต๊ะแล้ววางทับด้วยตำราเรียนเพื่อหลอกตัวเองว่ามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นก่อนจะเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คขึ้นเพื่อเตรียมทำการทักทายเหล่าแฟนคลับของตนตามตารางที่วางเอาไว้กับส้มและพิมผู้เป็นหัวเรือใหญ่ประจำเว็บเพจ แต่เมื่อพบว่ายังเหลือเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัดเขาจึงฆ่าเวลาด้วยการเข้าใปเยี่ยมชมในเว็บบอร์ดหลังจากที่ไม่ได้แวะเวียนเข้าไปมานาน
ท่ามกลางกระทู้ที่ดูจะเป็นหัวข้อสนทนาปกติทั่วไปนั้น มีกระทู้หนึ่งที่เพิ่งถูกตั้งขึ้นไม่นานก่อนที่ภูจะเข้ามา หัวข้อมีเพียงเครื่องหมายคำถามสามตัวที่เรียงติดกันทำให้ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเนื้อหาข้างในเกี่ยวกับอะไร ภูเลื่อนคลิกเมาส์ผ่านมันไปแล้วรอบหนึ่งแต่ความรู้สึกแปลกๆ ที่บรรยายไม่ถูกซึ่งรบกวนจิตใจอยู่กลับไม่ยอมให้มันผ่านเลยไปง่ายๆ เมื่อคิดว่าไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจกดเข้าไปดูเพื่อจะได้ไม่ต้องมีอะไรค้างคาใจอีกต่อไป
หากว่าหัวข้อของกระทู้นั้นดูไร้แก่นสารแล้ว เนื้อหาข้างในยิ่งเป็นขั้นกว่าของมัน ทั้งกระทู้มีเพียงลิงค์ของอินสตาแกรมวางเอาไว้ซึ่งเมื่อกดตามเข้าไปดูก็พบว่าเป็นเพียงแอคเคาท์ใหม่ที่เพิ่งเปิดขึ้นและยังไม่มีการอัพโหลดภาพหรือเนื้อหาใดๆ ลงไปเลย แต่ถึงกระนั้นบางอย่างก็ยังรบกวนจิตใจของภูจนไม่อาจจะกดปิดหน้าจอนั้นลงได้
“ดูอะไรอยู่?” เสียงของกรรณร้องถามพร้อมๆ กับที่เจ้าตัวเข้ามาสวมกอดภูจากทางด้านหลัง
“ปะ.. เปล่าครับ” ภูรีบกดซ่อนหน้าจอนั้นทั้งที่ไม่มีอะไรที่ต้องปิดเป็นความลับ ทั้งหมดเป็นปฏิกิริยาตอบสนองจากความตกใจล้วนๆ “พี่กลับมาแล้วเหรอ?”
“กลับมาแล้วครับ กว่าจะได้กลับมาเหนื่อยแทบตาย” กรรณหอมแก้มเด็กหนุ่มฟอดใหญ่ก่อนจะย้ายมาฝังจมูกลงบนเส้นผมและส่ายหน้าไปมาเบาๆ “คิดถึงจังเลย”
“คิดถึงแต่ไม่ค่อยจะโทรมาหาเลยนะ ถ้าผมไม่โทรหาเองก็คงไม่ได้คุยกันเลยล่ะมั้ง” ภูบ่นตัดพ้อกับพฤติกรรมเงียบหายของกรรณตลอดช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
“ยุ่งทั้งวันเลยครับ ขอโทษนะ” กรรณก้มหน้านิ่ง “บางวันกว่าจะว่างก็ดึกมากแล้ว กลัวว่าโทรมาจะรบกวนเวลาพักผ่อนนายเปล่าๆ”
“แล้วนี่จัดการทุกอย่างเสร็จหมดแล้วเหรอครับ?” ภูเลิกงอนเพราะไม่อยากทำตัวงี่เง่าให้เสียบรรยากาศ
“เสร็จหมดแล้ว ตอนนี้ก็เป็นเด็กกำพร้าโดยสมบูรณ์แบบ” กรรณล้อเลียนตัวเอง
“มีใครที่ไหนเค้าทำตลกกับเรื่องแบบนี้ออกกันด้วยหรือไง?” ภูขำไม่ออก
“หมดเวลาเศร้าแล้วล่ะ แม่ไม่อยู่แล้ว พี่สิต้องอยู่ต่อไป” กรรณสูดหายใจเข้าปลุกใจตัวเอง “จะมีเสียดายอยู่บ้างก็ตรงที่แม่ไม่ทันได้เห็นว่าลูกชายได้เมียน่ารักขนาดไหน”
“อาจจะเป็นโชคดีของแม่พี่แล้วล่ะที่ไม่ได้เห็น” ภูอดโล่งใจไม่ได้
“แล้วเมื่อกี้ทำอะไรอยู่ ทำไมพี่เข้ามาต้องรีบกดปิด?” กรรณถาม แต่คำถามนั้นเหมือนจะเป็นแค่การปูทางไปสู่สิ่งอื่นเพราะตอนนี้มือของผู้ถามได้ล้วงเข้าไปในเสื้อของผู้ถูกถามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“พี่อย่า ไม่เอา พ่อกับแม่อยู่ข้างล่าง” ภูพยายามหยุดการเล้าโลมนั้นแต่ก็ดูไม่ค่อยเข้มแข็งเท่าที่ควรเนื่องจากเกิดอ่อนระทวยขึ้นมากระทันหันเมื่อกรรณจูบเข้าที่ต้นคอเบาๆ
“ล๊อคห้องแล้ว ไม่ต้องกลัวหรอก” กรรณเสริมความมั่นใจให้ขณะที่มือขยันก็ไม่หยุดความพยายามที่จะล้วงผ่านขอบเอวกางเกงของภูเข้าไปแม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามต่อต้านอย่างสุดชีวิต “แล้วยังไม่ตอบเลยเมื่อกี้แอบทำอะไร?”
“เปล่าครับ…” ภูไม่รู้จะตอบอะไรซ้ำยังโดนลูบคลำจนหัวมึนตื้อคิดอะไรไม่ออก “พี่ไปหื่นมาจากไหนเนี่ย?”
“ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ตั้งนาน ตอนนั้นที่สุโขทัยก็หนีไปนอนโรงแรมกับพ่อแม่ ไม่ยอมมานอนบ้านด้วยกัน” กรรณยิ้มออกมาหลังจากได้ยินเสียงครางอ่อยๆ ของภูดังแว่วหลุดออกมาจากปาก
“พูดยังกับตัวเองในตอนนั้นมีอารมณ์จะทำงั้นแหละ” ภูนึกถึงสีหน้าเหมือนแบกน้ำทะเลทั้งมหาสมุทรเอาไว้บนบ่าที่ประดับอยู่บนใบหน้าของกรรณตลอดช่วงงานศพแม่
“อย่างน้อยได้นอนกอดก็ยังดีนี่นา” กรรณใจเต้นโครมคราม อาการเหนียมอายอันเป็นจริตโดยธรรมชาติของภูทำให้เขาตื่นตัวจนแทบคลั่งได้เสมอ “เพราะงั้นวันนี้ต้องมีการชดเชยเกิดขึ้นหน่อยแล้ว…”
“อย่าดิ ผมจะไลฟ์เพจ ได้เวลาแล้ว” ภูอ้าง ทั้งที่ความจริงยังเหลือเวลาอยู่นิดหน่อย
“ไลฟ์เลย เค้าจะได้รู้กันสักทีว่าไอ้หน้าหวานๆ อย่างเนี้ย มีเจ้าของแล้ว” กรรณไม่หยุดแถมตั้งท่าจะแย่งการควบคุมของคอมพิวเตอร์มาให้ตนเอง
“ไม่เอา เดี๋ยวชดเชยให้ก็ได้ แต่ดึกๆ ก่อนนะ ให้พ่อกับแม่นอนก่อน” ภูต่อรองหลังจากนึกทบทวนดูจนมั่นใจแล้วว่าพรุ่งนี้ไม่มีการเรียนหรือคิวงานรออยู่
“ก็ได้…” กรรณยอมตกลง แต่ถึงกระนั้นก็ยังนัวเนียไม่ยอมไปไหน “บางทีก็เสียดายนะ มีแฟนน่ารักแต่อวดใครไม่ได้”
“ตกลงมีผมไว้อวดคนอื่นเหรอ?” ภูถามน้ำเสียงเอาเรื่อง
“ไม่ใช่อย่างนั้น จะว่าไงดีล่ะ เวลามีคนมารุมล้อมมากๆ มันก็หวงเป็นนะ บางเวลาก็อยากแสดงความเป็นเจ้าของบ้าง” กรรณยิ้มเขินกับการทำตัวเป็นเด็กจนเกินวัยของตน
“ก็ทำสิ ใครว่าอะไรล่ะ” ภูไม่ขัด “ไม่กลัวพี่ช้างแหกอกก็เอาเลย ทำไปเลย ผมไม่ว่า”
เมื่อได้ยินชื่อพี่ช้างกรรณก็ถึงกับหมดอารมณ์ ชายหนุ่มผละออกจากหลังเก้าอี้ไปล้มตัวลงนอนบนเตียงซึ่งอยู่ข้างๆ ขณะที่ภูเหลือบมองเวลาและพบว่าถึงกำหนดการณ์ที่นัดเอาไว้กับทางเพจพอดี เขารีบกดเปิดหน้าจอที่พับซ่อนเอาไว้ขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะพบว่าหน้าจออินสตาแกรมลึกลับที่ถูกเปิดค้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อครู่ บัดนี้มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม รูปภาพใหม่หนึ่งรูปถูกอัพโหลดเข้ามา ครั้นมองดูแวบแรกเด็กหนุ่มยังคงไม่รู้ว่ามันคือรูปอะไร จนกระทั่งกดเข้าไปดูภาพขยายใหญ่สิ่งที่เห็นก็ทำให้อุณหภูมิของร่างกายตกฮวบลงในทันที เมื่อบุคคลที่กำลังยืนจูบกันอยู่ในภาพนั้นคือเขาและกรรณ
“อะไรกันเนี่ย…” ภูไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง แต่เด็กหนุ่มในรูปนั้นคือตนไม่ผิดแน่ ช่วงเวลาที่ถูกบันทึกภาพน่าจะเป็นวันที่ทั้งสองออกไปซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่หลังจากที่ภูหายป่วย ไม่ผิดแน่เมื่อดูจากทั้งการรวบผมที่ซ่อนเอาไว้ใต้หมวกกับแว่นที่ใส่เพื่อพรางใบหน้านั้น
“หือ?” กรรณเริ่มผิดสังเกตกับท่าทีของภูจึงลุกจากเตียงขึ้นมาดูที่หน้าจอบ้าง และทันทีที่ได้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองของเขาก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับภูไม่มีผิดเพี้ยน “เวรแล้วไง…”
โดยไม่รอให้ทั้งสองตั้งตัวได้ทันตั้งตัว หน้าจอรีเฟรชตัวเองอีกครั้งพร้อมกับภาพใหม่ที่ถูกอัพโหลดเพิ่มเข้ามา เป็นภาพเดิม ถ่ายจากมุมเดิม แต่ในระยะการซูมที่ใกล้มากขึ้นกว่าเก่าทำให้สามารถระบุรูปพรรณสัณฐานของบุคคลในภาพได้ง่ายยิ่งขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยภาพที่สามในอีกไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น และภาพที่สี่ จนมาจบที่ภาพสุดท้ายซึ่งระยะการซูมสูงสุดจนเห็นใบหน้าของทั้งคู่ได้อย่างชัดเจน ทันทีที่ดึงสติกลับมาเข้าตัวได้ภูรีบเลื่อนหน้าจอขึ้นไปดูจำนวนผู้ติดตามของแอคเคาท์นี้ก่อนจะต้องสะพรึงเมื่อพบว่ารูปทั้งหมดน่าจะออกสู่สายตาผู้ใช้งานอินสตาแกรมไปแล้วอย่างน้อยหกร้อยคน
ภูรีบกลับเข้าไปในเว็บเพจเพื่อควบคุมความเสียหาย แต่ก็พบว่าช้าเกินไปเสียแล้ว เมื่อภาพเหล่านั้นถูกแชร์ออกไปในระยะเวลาไล่เลี่ยกับที่ถูกอัพโหลดขึ้นในอินสตาแกรม เสียงเตือนข้อความเข้าจากกล่องข้อความส่วนตัวในเพจดังขึ้นรัวสนั่นจนภูเสียขวัญต้องรีบกดปิดหน้าจอหนีออกไปตั้งสติ แต่ก็ใช่ว่าจะหนีพ้นเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือของภูก็ดังขึ้นตามมาในเวลาไม่กี่นาที เป็นเบอร์ของพี่ช้างที่โทรเข้ามา ภูไม่กล้ารับสายด้วยไม่รู้จะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นว่าอย่างไร เสียงเรียกเข้าดังขึ้นจนเงียบไปก่อนจะไปดังต่อที่เครื่องของกรรณ
“สวัสดีครับพี่” กรรณตัดสินใจรับสาย เขาส่งสัญญาณให้ภูอยู่เงียบๆ เอาไว้ขณะที่ตนตอบคำถามของพี่ช้างที่ยิงกระหน่ำมาเป็นชุดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ครับ เห็นแล้วครับพี่ ใช่ครับ ผมเอง… ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครเป็นคนถ่ายครับ… น้องไม่รู้เรื่องครับ… ขอโทษครับ ไม่มีอะไรจะแก้ตัวเลยครับ”
เป็นเวลาหลายนาทีเลยทีเดียวที่กรรณมีเพียงคำขอโทษและการก้มหน้ายอมรับสิ่งใดก็ตามที่พี่ช้างกำลังโวยวายอยู่ในสายโทรศัพท์ แต่ภูก็รู้ดีว่านี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของความวินาศสันตะโรครั้งใหญ่ที่กำลังจะตามมา ไม่ต้องห่วงเลยว่าอีกไม่นานเกินรอเขาจะต้องถูกทางช่องเรียกเข้าไปชี้แจงถึงที่มาของภาพเหล่านี้เป็นแน่ และหากเท่านั้นยังไม่มากพอ นอกจากต้นสังกัดแล้วก็ยังมีเพื่อนที่มหาวิทยาลัยอีกเป็นฝูงตลอดจนคนรู้จักและบรรดาญาติที่ภูจะต้องคอยชี้แจงตัวเองผ่านการตอบคำถามทิ่มแทงใจที่พวกนั้นจะรุมกระหน่ำถามเข้ามาอีก แต่ในขณะที่เด็กหนุ่มมัวแต่กังวลถึงปัญหาที่จะมาจากภายนอกนั้น เขาก็ลืมคิดไปว่าบางทีสิ่งที่น่าเป็นกังวลที่สุดในยามนี้อาจจะอยู่ในบ้านของตนเอง ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตรที่ห้องรับแขกชั้นล่าง
“พ่อนายต้องไม่ชอบใจแน่…” กรรณพูดขึ้นมาอย่างหวาดหวั่นหลังจากวางสายพี่ช้างไปแล้ว
“พ่อไม่เล่นโซเชียลครับ คงเห็นยากหน่อย ถ้าปิดดีๆ ก็พอได้ หวังแค่ให้มันไม่เป็นข่าวใหญ่ก็พอ” ภูบอกทั้งตัวเองและกรรณไปพร้อมๆ กัน
เสียงฝีเท้าที่เดินขึ้นบันไดมาทำให้การสนทนาของทั้งคู่หยุดลงทันที ภูเงี่ยหูฟังจนกระทั่งมันมาหยุดที่หน้าห้องของตน ลูกบิดถูกหมุนแต่ติดที่กรรณลงกลอนเอาไว้จึงไม่อาจเปิดเข้ามาได้
“ภู ล๊อคห้องทำไม?” เสียงของแม่ดังมาจากหลังประตู
“แป๊ปนึงครับ” ภูส่งเสียงตอบก่อนจะตรวจดูสภาพของตนจนมั่นใจว่าเรียบร้อยดีจึงค่อยเดินไปเปิดประตู “แม่มีอะไรรึเปล่าครับ?”
“มีสิ…” สีหน้าแม่ดูไม่สบายใจ สายตามองข้ามไหล่ภูเข้ามาหากรรณที่ยืนหน้าซีดอยู่ข้างใน “ลงมาข้างล่างหน่อย ทั้งคู่เลย”
ภูพยักหน้า ใจพยายามคิดในแง่ดีว่าการเรียกพบของผู้ปกครองในครั้งนี้คงเป็นแค่จังหวะประจวบเหมาะบังเอิญพอดี ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับรูปสุดฉาวที่เพิ่งถูกปล่อยให้ออนไลน์ไปหมาดๆ เด็กหนุ่มเดินตามหลังแม่ลงไปยังห้องรับแขกชั้นล่างโดนมีกรรณตามหลังมาติดๆ สีหน้ากระวนกระวายใจของแม่บ่งบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่และเมื่อเห็นสีหน้าโกรธจัดของพ่อที่นั่งรออยู่ในห้องรับแขก ภูก็ยิ่งมั่นใจกว่าเดิมว่านอกจากจะไม่ใช่เรื่องดีแล้วมันยังต้องเลวร้ายมากอย่างแน่นอน
“พ่อมีอะไรเหรอครับ?” ภูพยายามทำใจดีสู้เสือเผื่อว่าลางสังหรณ์ของตนจะผิดพลาด
“มีอะไรจะอธิบายเรื่องนี้ไหม?” พ่อเข้าประเด็นทันทีไม่มีอ้อมค้อม ไม่ให้เวลาใครได้เตรียมใจทั้งสิ้น
“เรื่องอะไรครับ?” ภูทำไขสือ
“ก็เรื่องฉากรักบันลือโลกของแกไง ความจำเสื่อมเหรอทำอะไรลงไปถึงจำไม่ได้?” พ่อถามกลับมาเสียงเกือบจะเป็นตวาด
“ผมขอโทษครับ ผมคิดน้อยเกินไป ไม่คิดว่าจะมีคนเห็นเข้า” กรรณรีบออกตัวรับแทน
“เออ ง่ายดี” พ่อพูดเสียงขึ้นจมูก โมโหสุดขีด “ขอโทษแล้วมันทำให้ชื่อเสียงตระกูลชั้นมันหยุดเสียหายไหม? รู้ไหมว่าตอนนี้เค้ารู้กันทั้งโครตแล้ว ถ้าชั้นไม่ปิดมือถือ ไม่ยกหูโทรศัพท์ออก ป่านนี้ก็ยังโทรมากันไม่หยุด”
“แล้วเค้ารู้กันได้ยังไง…?” ภูไม่เข้าใจว่าทำไมมันจึงเผยแพร่ออกไปไวและกว้างมากถึงขนาดที่ญาติของตนจะรับรู้ได้
“ก็มันโผล่เต็มหน้าจอทีวีขนาดนั้นมันจะไม่ไปไวได้ไง แกนี่ปัญญาอ่อนรึเปล่าหา?” พ่อคำรามถามเสียงดังลั่นจนภูสะดุ้งเฮือก
คำตอบนั้นทำให้ทั้งภูและกรรณเข้าใจในทันทีว่าพวกตนประเมินความร้ายแรงของเรื่องนี้ต่ำไปกว่าความเป็นจริงมาก ไม่ว่าเจ้าของรูปถ่ายพวกนี้จะเป็นใคร เขาไม่ได้เพียงแค่ปล่อยมันลงในอินเตอร์เน็ต แต่ยังส่งต่อให้กับสื่อและพวกนักข่าวอีกด้วย
“ผมขอโทษครับ ทุกอย่างผมผิดเอง อย่าว่าน้องเลยครับ” กรรณรับผิดทั้งหมดด้วยตนเองเพื่อปกป้องภู
“แกน่ะผิดแน่อยู่แล้ว!” พ่อของภูตวาดกลับมา “โตเป็นผู้ใหญ่แล้วซะเปล่า ไม่รู้จักว่าอะไรควรไม่ควร ไม่รู้จักปกป้องชื่อเสียงให้น้อง”
“ขอโทษจริงๆ ครับ” กรรณไม่มีอะไรจะแก้ตัว
“วันนั้นที่คุยกันชั้นก็บอกแกแล้วใช่ไหม? ถ้าแกมาทำให้ลูกชั้นเสียหายหรือเสียใจ ชั้นไม่เอาแกไว้แน่!” พ่อขู่
“พ่อ… พอเถอะ เด็กมันก็ยอมรับผิดแล้ว เค้าก็ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้หรอกนะ” แม่พยายามเกลี้ยกล่อมอีกแรง
“คนที่ควรจะเครียดเรื่องนี้จริงๆ น่าจะเป็นผมมากกว่านะพ่อ” ภูทนไม่ไหว “ที่เป็นอยู่ตอนนี้ พ่อก็แค่อายเท่านั้นแหละ”
“เงียบไปเลย” พ่อหันมาชี้หน้าภู “ขึ้นไปรอบนห้อง เดี๋ยวพ่อจะไปเคลียร์กับแกทีหลัง ตอนนี้ขอจัดการไอ้เหลือขอนี่ก่อน”
“ก็คุยตรงนี้เลยสิ!” ภูขึ้นเสียงกลับ “ผมยอมให้เค้าทำเองอ่ะ เค้าไม่ได้บังคับ ถ้าผิดก็ผิดด้วยกันนี่แหละ”
แม่รีบดึงภูออกมาจากห้องรับแขก เด็กหนุ่มพยายามขัดขืนแต่แม่ก็พยักหน้าบอกให้ทำตามและพาขึ้นไปยังห้องนอนชั้นสอง จากบนนั้นภูยังคงได้ยินเสียงโวยวายของพ่อที่สาดอารมณ์ใส่กรรณราวกับพายุคลั่ง นี่มันไม่ยุติธรรมเลย… ภูคิดขณะที่มือทั้งสองปิดหูเอาไว้กั้นไม่ให้เสียงแห่งการทะเลาะวิวาทนั้นเล็ดลอดเข้ามาได้ เด็กหนุ่มรู้สึกแย่ที่พ่อเลือกจะโทษว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของกรรณ ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ความผิดของใครเลย พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
เมื่อคลายมือออก เสียงจากชั้นล่างก็เงียบไปแล้ว ภูมองออกไปยังนอกหน้าต่างห้องนอนก่อนจะพบว่าแสงไฟจากทางฝั่งของกรรณเปิดอยู่ เขาคงกลับไปยังบ้านของตนเองแล้ว ภูรู้ดีว่าตอนนี้อีกฝ่ายคงรู้สึกแย่ไม่น้อยไปกว่าตนเป็นแน่ บางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำจากการโดนต่อว่าอย่างรุนแรงจากทุกทิศทางเช่นนี้ เด็กหนุ่มเปิดหน้าต่างออกไปยังระเบียงแล้วจึงข้ามไปยังอีกฝั่งก่อนจะเคาะเบาๆ เข้าที่ประตูทางเข้าบ้านจากชั้นสอง
“พี่กรรณ เปิดหน่อยครับ” ภูร้องเรียกเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมเปิด
“นายกลับไปก่อนเถอะ” เสียงแผ่วเบาของกรรณตอบกลับมาจากด้านใน “ขอพี่อยู่คนเดียวสักพักนะ”
“พี่อย่าคิดมากนะ พ่อก็แค่โกรธ เดี๋ยวหายก็ไม่มีอะไรแล้ว” ภูพยายามบอกให้กรรณไม่ต้องใส่ใจ
“พ่อนายก็พูดถูก… พี่ทำให้นายกับครอบครัวเสื่อมเสียชื่อเสียง” กรรณยอมรับ “ขอโทษนะ พี่น่าจะคิดให้เยอะกว่านี้ก่อนทำอะไรลงไป”
“นี่มันไม่ใช่ความผิดเราสองคนด้วยซ้ำ…” ภูหดหู่ใจที่กรรณกลับมาอยู่ในสภาวะจิตตกอีกแล้ว
“นายกลับไปเถอะ พ่อกำลังโกรธ ถ้าขึ้นมาเจอว่านายแอบมานี่จะยิ่งไปกันใหญ่นะ” กรรณเตือน
ในเมื่ออีกฝ่ายยังเอาแต่หลบอยู่หลังประตู ภูก็จนปัญญาจะทำให้กรรณรู้สึกดีขึ้น อีกทั้งคำเตือนที่ได้รับก็ควรค่าแก่การพิจารณา เด็กหนุ่มตัดสินใจถอยกลับไปก่อนเพื่อรอให้ความคุกรุ่นในบรรยากาศลดลงกว่านี้ ให้อารมณ์ของกรรณสงบกว่านี้แล้วจึงค่อยมาสานต่อปรับความเข้าใจกันอีกครั้ง
ภูปีนขึ้นบนขอบรั้วไม้ของระเบียงเตรียมจะข้ามกลับไปยังฝั่งบ้านของตน มันคงราบรื่นไม่มีปัญหาเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาหากจิตใจของเด็กหนุ่มไม่ได้กำลังว้าวุ่นสับสนเช่นนี้ จะด้วยการคะเนระยะพลาดหรือเพราะใจที่ลอยห่างออกจากตัวก็ตามแต่ แต่ผลของมันก็คือร่างของภูได้หล่นวูบร่วงลงไปกระแทกกับกำแพงด้านล่าง เคราะห์ดีที่จุดปะทะเกิดขึ้นบริเวณลำแขนอาการบาดเจ็บที่ได้รับจึงไม่ถึงขั้นสาหัส แต่มันก็ร้ายแรงพอจะทำให้เขาไม่อาจจะขยับพาตัวเองออกจากตรงนั้นได้
เสียงร้องโอดโอยของภูเรียกให้ทั้งพ่อและแม่ออกมาดู กรรณก็เช่นกัน เขารีบวิ่งลงมาหาภูที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นหญ้า จากการประเมินด้วยสายตากระดูกแขนของเด็กหนุ่มน่าจะหัก แต่ด้วยไม่มั่นใจว่ายังมีกระดูกส่วนอื่นที่หักอีกไหมเขาจึงไม่เสี่ยงที่จะเคลื่อนย้ายหรือขยับตัวคนเจ็บในตอนนี้ แม่ที่ตกใจสุดขีดรีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับน้ำตานองหน้าในขณะที่พ่อโวยวายใส่โทรศัพท์เรียกให้รถพยาบาลมารับ จนเมื่อวางสายจึงเดินตามแม่เข้ามาหาลูกชายที่นอนหอบหายใจด้วยความเจ็บอยู่บนพื้น
“ขอโทษครับ เดี๋ยวผมจะรับผิดชอบค่ารักษาให้ทั้งหมดเอง” กรรณแสดงความรับผิดชอบ
พ่อของภูตอบรับความปรารถนาดีนั้นด้วยฝ่ามือที่ตบเข้าข้างแก้มของกรรณอย่างแรงจนหน้าหัน ภูอ้าปากจะร้องห้ามแต่ก็เจ็บเกินกว่าจะทำอะไรไหว ได้แต่มองดูกรรณที่ยืนก้มหน้านิ่งตัวสั่นอยู่ต่อหน้าตนโดยไม่อาจช่วยอะไรได้
“พอกันที… ต่อไปนี้แกห้ามมายุ่งกับลูกชั้นอีก” พ่อยื่นคำขาดกับกรรณ
“พ่อ… นี่มันไม่เกี่ยวกับพี่เค้านะ มันเป็นอุบัติเหตุ” ภูพยายามอธิบาย
“แกก็ด้วยไอ้ภู” พ่อหันมาหาภู “ถ้าแกยังคิดว่าตัวเองเป็นลูกพ่อ ต่อไปห้ามแกยุ่งกับมันอีกเด็ดขาด…”
รถพยาบาลของหน่วยกู้ภัยมาถึงพร้อมกับเจ้าหน้าที่สองคนที่ช่วยกันปฐมพยาบาลเบื้องต้นและนำร่างของเด็กหนุ่มผู้บาดเจ็บขึ้นเปลนำไปใส่ท้ายรถเตรียมส่งโรงพยาบาล ภูไม่มีโอกาสที่จะได้พูดอะไรกับกรรณอีกแม้แต่คำเดียว ทั้งหมดที่ทำได้คือเพียงแค่จ้องมองดูอีกฝ่ายที่มายืนส่งอยู่จนกระทั่งประตูท้ายรถปิดลงกั้นทั้งสองออกจากกัน
To be continued...
2 Episodes left
“ฮัลโหล…” แม้จะพยายามอดกลั้นอย่างเต็มที่แต่เสียงที่พูดออกไปนั้นก็ยังเจือด้วยลูกสะอื้นจนสัมผัสได้
“ภู ยังรออยู่หรือเปล่า?” เสียงร้อนรนของกรรณถามมาจากปลายสาย “พี่เพิ่งเห็นข้อความตอนกลับมาถึงบ้านเนี่ย ไม่ได้เช็คโทรศัพท์เลยตั้งแต่ตอนทำงานเสร็จ แล้วนั่นเป็นอะไร? ร้องไห้เหรอ?”
“ไม่อ่ะ แต่เกือบแล้ว” ภูสูดน้ำมูกที่ทำท่าจะไหลออกมา “พี่รีบมานะ ผมยังรออยู่”
“ครับ รอแป๊ปนะ พี่จะรีบไป” กรรณบอกก่อนจะรีบวางสายไป
กรรณมาถึงที่นั่นในอีกไม่กี่นาทีต่อมาด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่มอเตอร์ไซค์รับจ้างจะพามาได้ เขาเดินเข้าไปในสวนสาธารณะพลางชะเง้อมองซ้ายขวาหาภูอยู่ตลอดทาง จนกระทั่งเห็นอีกฝ่ายที่โบกมือเป็นสัญญาณบอกตำแหน่งตนเองอยู่จึงรีบเดินเข้าไปหา
“นึกว่าพี่จะไม่มาแล้วซะอีก” ภูบอกกับกรรณที่เพิ่งมาถึง
“ขอโทษนะ พี่ไม่ได้เช็คข้อความ ทำงานเสร็จก็นั่งหลับบนรถตลอดทางกลับบ้านเลย” กรรณมองไปที่เฝือกบนแขนของภู “แล้วนี่เป็นยังไงบ้าง? ยังเจ็บอยู่ไหม?”
“นิดหน่อยครับ รำคาญเฝือกมากกว่า” ภูชูแขนอวดลวดลายบนเฝือกให้อีกฝ่ายดู “สนใจจะแสดงฝีมือบ้างไหมครับ? ยังมีที่เหลืออีกนิดนึง”
“ขอโทษนะ เมื่อคืนพี่น่าจะออกมาพานายกลับไปส่งบ้านดีๆ” สีหน้าของกรรณบ่งบอกถึงความรู้สึกผิด “ตอนนั้นพี่คิดอะไรไม่ออกแล้ว ทุกอย่างมันรุมเข้ามาพร้อมกันหมดทุกทางเลย”
“ผมเข้าใจ” ภูยื่นมือไปจับมืออีกฝ่าย กรรณสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะยอมให้จับเมื่อเหลียวมองรอบตัวแล้วไม่พบว่ามีใครอยู่ เด็กหนุ่มจูงมืออีกฝ่ายและพาไปนั่งลงบนม้านั่งริมน้ำ “ผมก็เจอมาหนักเหมือนกันวันนี้”
“ทางช่องเค้าว่ายังไงบ้าง?” กรรณถามถึงปฏิกิริยาตอบรับจากต้นสังกัดของภู
“ก็ตอนนี้ให้งดออกสื่อ ห้ามให้สัมภาษณ์กับสื่อเจ้าไหนทั้งนั้น พี่ช้างก็เลยยกเลิกคิวอีเวนท์ทั้งหมดไปเลย” ภูดูโล่งใจมากกว่าจะเสียดาย “ก็เหลือแค่ละครที่ยังต้องถ่ายอยู่ ก็จะเปิดกล้องเดือนหน้าแล้ว แต่ผมคงต้องไปตามถ่ายทีหลังเพราะแขนคงยังถอดเฝือกไม่ได้”
“แล้ว… เพื่อนๆ นายล่ะ?” กรรณถามเพราะเท่าที่เขารู้ในบรรดาเพื่อนของภูทั้งหมดมีสาลี่เพียงคนเดียวที่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองอยู่แล้ว “ข่าวออกไปแบบนั้น เพื่อนนายรับได้กันไหม?”
“สบายๆ” ภูทำท่าเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ “ก็มีตกใจกัน ก็แน่ล่ะใครจะไม่ตกใจกับเรื่องแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับความเป็นเพื่อนหรอกครับ”
“แล้วพวกแฟนคลับล่ะ?” กรรณไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปอ่านกระแสตอบรับของบรรดาแฟนคลับที่มีต่อเรื่องนี้ในเว็บเพจของภูเลยด้วยซ้ำ
“ก็ดูจะรับได้กันนะครับ แต่ก็มีบางกลุ่มที่อยากให้คนในข่าวนี้เป็นจอสมากกว่า” ภูกำลังจะหัวเราะแต่พอเห็นหน้าไม่พอใจของกรรณเมื่อได้ยินชื่อจอสก็รีบเปลี่ยนเรื่อง “พี่ล่ะครับ โอเคไหม?”
“เรื่องไหนล่ะ?” กรรณถามกลับมา
“ก็ทุกเรื่องนั่นแหละ” ภูบอก
“ถ้าเรื่องโดนเอาหน้า เอาประวัติ ชื่อพ่อชื่อแม่ การศึกษา ยันบ้านเลขที่ไปลงเน็ต ก็โอเค พยายามทำเป็นมองไม่เห็นอยู่ ปิดตาตัวเองให้ไม่รับไม่รู้ซะ” กรรณยังรับไม่ได้กับการที่ต้องกลายเป็นบุคคลสาธารณะในชั่วข้ามคืน “ที่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นยากหน่อยก็สายตาคนมองกับเสียงซุบซิบนินทาแบบซึ่งหน้านี่แหละ”
“ทีนี้เข้าใจความรู้สึกผมรึยังล่ะ ว่าการถูกคนจับตามองมันอึดอัดแค่ไหน” ภูพูดพลางยิ้มออกมาอย่างขบขันกับสีหน้าท่าทางลำบากใจของกรรณกับเรื่องนี้ ก่อนจะกลับมาจริงจังอีกครั้งกับสิ่งที่จะถามต่อไป “แล้วเรื่องพ่อผมล่ะครับ?”
“น่ากลัว… ตบแรงมากด้วย” กรรณตอบมาประโยคเดียวแต่เท่านั้นก็ชัดเจนจนไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่ม “แต่ก็ดูแลลูกเค้าไม่ดีเอง โดนตบแบบนั้นก็สมควรแล้ว”
“มันไม่ใช่ความผิดของพี่นะครับ…” ภูเอนศรีษะไปพิงไหล่อีกฝ่ายเอาไว้ “พ่อพูดแรงเกินไป ไม่จำเป็นต้องว่าพี่ขนาดนั้นเลย”
“นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของพ่อนายเหมือนกัน” กรรณยกแขนขึ้นมาวางมือบนศรีษะของเด็กหนุ่มที่พิงอยู่บนไหล่ของตนก่อนจะลูบเบาๆ “ที่เป็นไปแบบนั้น ก็เพราะท่านรักนายมากนะ”
“ก็รู้… แต่เล่นใหญ่เกินไปป่ะ” ภูทำหน้ามุ่ย “พี่ก็ไม่ต้องไปคิดมากกับคำพูดพ่อหรอกนะครับ เค้าก็โวยวายโชว์พาวไปอย่างนั้นแหละ เดี๋ยวพอหายโกรธก็ไม่มีอะไรแล้ว”
กรรณเพียงแค่พยักหน้าว่ารับทราบแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมามากกว่านั้น ภูดูเวลาจากนาฬิกาที่ข้อมือ ตอนนี้เพิ่งจะหนึ่งทุ่มตรง และเนื่องจากเขาขอร้องให้สาลี่ช่วยโกหกกับทางบ้านว่าจะนอนค้างกับเธอที่บ้าน อีกทั้งการไปนอนค้างบ้านกรรณก็สุ้มเสี่ยงเกินไปที่พ่อจะจับได้และยิ่งโมโหหนักขึ้น ดังนั้นตอนนี้ภูจึงต้องพยายามนึกหาสักที่ๆ เขาทั้งสองจะใช้เวลาร่วมกันผ่านพ้นคืนนี้ไปได้อย่างเป็นส่วนตัว
“ไปโรงแรมกันไหมครับ?” ภูหันไปถามกรรณ ก่อนที่ใบหน้าที่แสดงถึงความตื่นตกใจของอีกฝ่ายจะทำให้รู้ว่าคำถามนั้นฟังดูสองแง่สองง่ามจนเกินไป “ห้ามคิดลามกนะ…”
“ไม่ให้คิดได้ไง ถามซะขนาดนี้” กรรณหัวเราะออกมาจนได้
“ยังไงผมก็กลับบ้านไม่ได้อยู่แล้วจนกว่าจะเช้า นอนบ้านพี่ก็เสี่ยงเกินไป ก็ต้องหาที่นอนค้างอ่ะถ้าไม่อยากจะเร่ร่อนอยู่ข้างถนนกันทั้งคืน” ภูอธิบายเจตนาของตนให้ชัดเจน
“ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องไปโรงแรมหรอก เสี่ยงให้คนเห็นเปล่าๆ” กรรณบอกพร้อมกับหยิบเอาโทรศัพท์ออกมากดโทรหาใครบางคน เขาคุยกับคนในสายอยู่พักหนึ่ง บทสนทนาปิดท้ายด้วยคำขอบคุณชุดใหญ่ก่อนจะวางสายไป “เรียบร้อยแล้วล่ะ ไปกันเถอะ”
“ไปไหนเหรอครับ?” ภูไม่รู้ว่ากรรณกำลังจะพาตนไปไหนและเกี่ยวข้องอะไรกับคนที่เขาคุยด้วยทางโทรศัพท์เมื่อกี้นี้หรือไม่
“ตามมาเถอะน่ะ ไม่หลอกไปฆ่าหรอก”
คำพูดนั้นทำให้ภูยิ้มออกมาเพราะนึกถึงเดทแรกอันแสนมึนงงของทั้งสอง เดทแรกในวันนั้นจบลงที่สวนสาธารณะแห่งนี้ด้วยเหตุอันสุดวิสัย แต่สำหรับวันนี้ สวนแห่งนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น กรรณตัดสินใจเช่ารถเพราะสถานที่ๆ จะไปในวันนี้นั้นไกลจนอาจเดินทางด้วยแท็กซี่ไม่สะดวก แต่เนื่องจากเขาไม่มีใบขับขี่ของประเทศไทย ภูจึงใช้ใบขับขี่ของตัวเองเป็นชื่อผู้เช่าแทน
“ว่าจะถามหลายรอบแล้ว” ภูหันไปถามกรรณที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย “ทำไมพี่ไม่ซื้อรถ เห็นขึ้นแต่แท็กซี่บ้าง รถไฟฟ้าบ้าง งานแบบพี่ไปไหนก็ต้องเอาของเอาอุปกรณ์ไปเยอะแยะ บางทีมีรถน่าจะสะดวกกว่านะครับ”
“พี่ไม่ชอบขับรถน่ะ ชอบเป็นผู้โดยสารมากกว่า ความรับผิดชอบน้อยดี” เหตุผลของกรรณช่างเรียบง่าย “รถของพ่อก็มี จอดทิ้งไว้บ้านที่สุโขทัย แต่ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่ขับ เพราะไม่มีใบขับขี่ แล้วอีกอย่างก็ไปอยู่ต่างประเทศมานาน พี่เลยไม่ถนัดขับพวงมาลัยขวาแบบรถในไทย”
“อ้าว.. แล้วไม่บอก ผมก็ขับแทนไม่ได้ด้วยนะแขนเป็นแบบนี้” ภูเริ่มห่วงสวัสดิภาพขึ้นมาหลังจากได้ยินแบบนั้น
“ไม่เป็นไร เส้นนี้รถไม่เยอะ สบายๆ” กรรณขยิบตาให้ว่ายังไหวอยู่
เมื่อพ้นออกจากเขตกรุงเทพมหานครได้ประมาณสองชั่วโมงกว่า กรรณก็จำต้องยอมรับความจริงว่าตนกำลังหลงทาง เขาจอดแวะที่ปั๊มน้ำมันใหญ่อันเป็นจุดสำหรับพักรถเพื่อโทรถามเส้นทางอีกรอบ ภูใช้เวลาขณะที่รอเดินเข้าร้านสะดวกซื้อเพื่อหาอะไรกินแก้ท้องว่างเพราะดูทรงแล้วคงอีกนานกว่าจะไปถึงจุดหมาย เด็กหนุ่มเดินเลือกของขบเคี้ยวที่วางเรียงรายละลานตาอยู่บนชั้นก่อนจะเบี่ยงสายตาออกมองไปยังทิศทางอื่นแทนเมื่อเจอเข้ากับยี่ห้อหนึ่งที่ตนเป็นพรีเซนเตอร์ร่วมกับจอส
ภูมองไปยังพนักงานประจำร้านที่อยู่หน้าแคชเชียร์ หญิงสาวสองคนอายุไม่น่าจะมากหรือน้อยไปกว่าเขาสักเท่าไหร่นัก ทั้งคู่กำลังมองมาทางตนพร้อมกับกระซิบกระซาบบางอย่าง ในขณะที่อีกคนมองไปยังกรรณซึ่งกำลังยืนคุยโทรศัพท์ถามเส้นทางอยู่ด้านนอกร้านสลับกับภูที่ยืนอยู่ข้างในราวกับกำลังสงสัยไม่แน่ใจ ภูคุ้นเคยกับสายตารูปแบบนี้และรู้ดีว่าทั้งสองกำลังจำตนกับกรรณได้อีกทั้งคงกำลังพยายามประติดประต่อคาดเดาเรื่องตามข่าวที่ได้รับมา ภูถอนหายใจออกมาอย่างเพลียจิตที่แม้จะมาไกลบ้านถึงขนาดนี้แล้วแต่ก็ยังหลีกหนีสายตาที่จับจ้องได้ไม่พ้น เขารีบหยิบขนมสองสามอย่างก่อนจะตรงไปจ่ายเงินแล้วออกไปจากที่นั่นก่อนที่ใครสักคนจะหยิบกล้องหรืออุปกรณ์บันทึกภาพใดๆ ขึ้นมาสวมบทปาปาราสซี่จนได้เรื่องขึ้นมาอีก
“พี่เสร็จรึยัง? รีบไปกันเถอะครับ” ภูเดินมาเร่งกรรณที่ยังติดสายอยู่
“ครับ ไปถูกแล้วครับ ขอบคุณมากครับพี่” กรรณบอกขอบคุณคนที่ปลายสายก่อนจะกดวางและหันมาหาภูที่ยืนเร่งยิกๆ อยู่ “อีกนิดเดียวก็ถึงแล้วล่ะ เมื่อกี้พี่ขับเลยตรงจุดกลับรถมา เดี๋ยวย้อนไปหน่อยก็เข้าเส้นทางหลักแล้ว”
เป็นจริงดังที่กรรณว่า หลังจากกลับมาเข้าเส้นทางหลักได้ มุ่งตรงมาอีกเพียงนิดเดียวก็ถึงทางแยกที่จะเข้าไปยังอำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ อันเป็นที่ตั้งของจุดหมายปลายทาง กรรณหักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้ามายังถนนส่วนบุคคลที่ตัดกลางทุ่งกว้างอันเป็นไร่ของพืชบางอย่างซึ่งภูไม่อาจจำแนกชนิดของมันออกได้ในความมืด จนกระทั่งมาสุดทางยังบ้านปูนทรงลอฟท์หลังหนึ่งซึ่งอยู่ท้ายไร่ ประตูรั้วถูกเลื่อนเปิดออกโดยแม่บ้านวัยกลางคนที่รีบวิ่งมาทันทีที่เห็นแสงไฟรถมาจ่อหน้าประตู
“คุณป้อมโทรมาบอกให้จัดห้องให้แล้วค่ะ” ป้าแม่บ้านคนเดิมบอกกับกรรณที่เพิ่งลงมาจากรถพร้อมกับส่งกุญแจบ้านให้หนึ่งชุด “ป้าเปิดแอร์ในบ้านเตรียมรอไว้แล้ว ถ้ามีอะไรหรือต้องการอะไรเพิ่มเติมก็เรียกได้นะคะ ป้าอยู่ข้างๆ นี่เอง”
“คุณป้อมนี่ใครเหรอครับ?” ภูถามกรรณขณะเดินตามหลังไปที่ประตูบ้าน
“พี่ในวงการช่างภาพที่เคยทำโปรเจคด้วยกัน สนิทกันมาก แต่ตอนนี้เค้าไปมีครอบครัวอยู่ที่เยอรมัน” กรรณตอบพร้อมกับไขเปิดประตูเข้าไปข้างใน “บ้านนี้ก็ของเค้านั่นแหละ แต่เค้าจะมาอยู่ก็เฉพาะเวลามีธุระต้องกลับมาทำที่ไทยหรือมาพักผ่อน ปกติแล้วก็จะมีแต่แม่บ้านคนเมื่อกี้ที่คอยอยู่ประจำดูแลทำความสะอาด แต่ก่อนจะไปพี่เค้าก็บอกเอาไว้แล้วว่าถ้าจะมาใช้สถานที่ก็โทรบอกเขาได้ เขาจะจัดการให้ มาได้ทุกเวลา”
บรรยากาศภายในมืดสนิทมีเพียงเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอยู่ ความเย็นทำให้ขนแขนของเด็กหนุ่มลุกชันในขณะที่เท้าก้าวพลาดเตะบางอย่างบนพื้นจนเกือบหัวคะมำ ภูพยายามคลำหาสวิทช์ไฟบนผนังบ้านแต่ก็ไม่เจอ จนกระทั่งกรรณปรบมือดังๆ สองครั้งหลอดไฟทุกดวงในบ้านจึงสว่างขึ้นโดยพร้อมเพียงกัน
ถุงหิ้วซึ่งบรรจุของกินที่ภูซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อเมื่อสักครู่ถูกกรรณคว้าเอาไปวางไว้บนโต๊ะก่อนที่จะหยิบของที่จำเป็นต้องเก็บไว้ในตู้เย็นออกมาแช่ เมื่อตอนที่เห็นว่าสถานที่นี้ห่างไกลจากตัวเมืองและถนนใหญ่มากแค่ไหนภูก็อดกังวลใจไม่ได้ว่าของกินเล่นที่ซื้อมาอาจจะเป็นเสบียงทั้งหมดเท่าที่มีในคืนนี้ แต่เมื่อเห็นบรรดาอาหารกล่องที่แช่อยู่แน่นขนัดเต็มด้านในตู้เย็นขนาดใหญ่แบบสองประตูนั้นแล้ว ความกังวลที่มีก็คลี่คลายลงในทันที
“ขึ้นไปรอชั้นบนก่อนเถอะ เดี๋ยวพี่ทำอะไรเสร็จจะตามขึ้นไป” กรรณชี้ไปทางบันได
ภูพยักหน้าก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปตามที่อีกฝ่ายบอก ชั้นสองของบ้านหลังนี้ไม่ได้ถูกกั้นเป็นห้อง ทั้งชั้นเป็นพื้นที่โล่งๆ มีเพียงเครื่องเรือนไม่กี่ชิ้นซึ่งถูกคลุมไว้ด้วยผ้าขาวกันฝุ่นจับ กรรณตามขึ้นมาในอีกไม่กี่นาทีหลังจากนั้นพร้อมด้วยอาหารกล่องซึ่งผ่านการอุ่นเรียบร้อยแล้วในมือ เมื่อเห็นภูยังคงยืนเก้ๆ กังๆ หาที่ลงให้ตัวเองไม่ได้อยู่เขาจึงวางกล่องอาหารเหล่านั้นลงกับพื้นแล้วเดินไปเปิดตู้ลากเอาที่นอนแบบพับได้ขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างในออกมาปูวางบนพื้น
“ทำไมพี่เหมือนรู้จักที่นี่ดีจังเลยครับ?” ภูสงสัยกับการที่กรรณดูจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับที่นี่ ตั้งแต่วิธีการเปิดไฟยันตู้เก็บที่นอน
“เคยมากับทีมงานเพื่อติดต่อขอใช้เป็นสถานที่ถ่ายงานอยู่หลายรอบแล้วล่ะ” กรรณตอบขณะหยิบกล่องข้าวมาและนั่งลงข้างๆ ภูบนที่นอน "แล้วก็เคยมาใช้เป็นที่กบดาน ทำใจให้สงบ ตอนที่เผลอไปจับนายจูบสมัยที่ยังโดนพี่ช้างสั่งห้ามคบกันอยู่”
“อ้อ ที่แท้ก็หลบมาอยู่ที่นี่เอง" ภูได้คำตอบที่สงสัยมานาน
“ช่วงนั้นพี่ป้อมเค้ามาทำงานที่ไทยพอดี ก็เลยไปนั่งรอจนเค้าเลิกงานแล้วก็ขอติดรถเค้ามาด้วย ถ้ารู้ว่าต้องมาอีกวันนี้จำเส้นทางเอาไว้ซะตั้งแต่วันนั้นแล้วก็ดี จะได้ไม่หลงจนเสียฟอร์มแบบนี้” กรรณพูดติดตลก
กรรณส่งกล่องข้าวให้กับภูหนึ่งกล่อง เด็กหนุ่มเพียงแค่มองแต่ไม่รับมาก่อนจะชูแขนข้างที่ใส่เฝือกขึ้นแทนคำอธิบาย กรรณหัวเราะออกมาหลังจากเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการให้ตนทำอะไร จากนั้นจึงค่อยเปิดกล่องข้าวและตักมาป้อนให้แบบถึงปาก
“ค่อยๆ กินก็ได้ ไม่ต้องรีบเคี้ยวขนาดนั้นหรอก” กรรณบอกขณะที่มือก็ป้อนไม่หยุด
“หิวครับ…” ภูตอบทั้งที่ข้าวยังเต็มปาก “ตั้งแต่กลับมาจากที่ผู้ใหญ่เรียบพบเมื่อเช้า ก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย”
“แล้วก็ไม่บอก จะได้พากินตั้งแต่ก่อนจะออกเดินทาง” กรรณป้อนไปอีกคำใหญ่
“ไม่เป็นไร กินที่นี่แหละดีแล้ว” ภูอ้าปากรับก่อนจะรีบเคี้ยวและกลืนลงคอ “ถ้ากินข้างนอกที่อื่นก็อ้อนให้พี่มาป้อนแบบนี้ไม่ได้น่ะสิ”
“แขนหักแค่ข้างเดียวก็กินอะไรเองไม่ได้แล้วแบบนี้ ถ้าพี่ไม่อยู่ใครจะมาป้อนนายล่ะ?” กรรณหยุดป้อนแล้วถาม
“พี่ก็ต้องอยู่สิ ห้ามไปไหน” ภูเอาแต่ใจตัวเองเต็มที่เหมือนทุกครั้งที่อยู่กันตามลำพังเพราะรู้ว่ากรรณต้องยอมตามใจตนอยู่เสมอ
“พี่ก็อยากอยู่…” กรรณตอบด้วยน้ำเสียงที่ซึมเซาจนภูผิดสังเกต
นี่ไม่ใช่สัญญาณแรกแห่งความผิดปกติที่ภูรู้สึกถึงมันได้ในค่ำคืนนี้ ตั้งแต่ตอนอยู่ที่สวนสาธารณะ เด็กหนุ่มก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่ผิดไปจากเดิม มีบางสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ในสีหน้าและแววตาของกรรณยามเมื่อจับจ้องมาทางตน แม้อีกฝ่ายจะพยายามทำท่าทีเหมือนปกติเพื่อกลบเกลื่อนมันเอาไว้แต่ภูก็ยังคงสัมผัสถึงมันได้อย่างชัดเจน แรกเริ่มภูคิดว่าคงเป็นความรู้สึกหดหู่ที่ตกค้างจากการโดนพ่อของตนต่อว่าอย่างรุนแรงเมื่อคืนก่อน แต่มาถึงตอนนี้เขามั่นใจว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้นอย่างแน่นอน
“ข้าวติดมุมปากแน่ะ…” กรรณบอกกับภูหลังจากป้อนคำสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย
ภูตั้งท่าจะยกมือขึ้นปาดเม็ดข้าวออกปากมุมปากตามที่กรรณบอก ทว่าอีกฝ่ายกลับจับมือของเขาเอาไว้ไม่ให้ทำตามต้องการก่อนจะขยับโน้มตัวเข้ามาใช้ริมฝีปากเล็มเก็บมันออกมาให้แทน
“หิวมากหรือไง…” ภูหน้าแดงก่ำจากสิ่งที่กรรณทำเมื่อครู่ จริงอยู่ที่ตั้งแต่คบหากันมาการจูบก็เหมือนจะเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่การโดนกระทำโดยไม่ทันตั้งตัวก็ยังทำให้ความเขินอายเกิดขึ้นได้เสมอ
กรรณตอบโต้คำพูดนั้นด้วยการกระทำแทน เขาโน้มตัวเข้ามาหาภูอีกครั้งและประกบริมฝีปากเข้ามาพร้อมกับใช้น้ำหนักตัวของตนโถมดันให้อีกฝ่ายเอนกายหงายลงบนที่นอนนั้น ภูมองดูทุกการเคลื่อนไหวขณะที่กรรณถอนริมฝีปากออก ยันตัวลุกขึ้นและชูแขนขึ้นถอดเสื้อยืดที่สวมใส่อยู่ออก และเพียงแค่เขาเอื้อมสุดแขนออกไปใช้ปลายนิ้วลากไล้สัมผัสไปตามร่องแนวของกล้ามเนื้อหน้าท้องที่อยู่ตรงหน้านั้น ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของมันก็ถึงกับหลุดส่งเสียงครางต่ำออกมาอย่างสุดจะกลั้น ภูรู้จักเสียงครางแบบนี้ดีจึงหลับตาเตรียมใจรับการจู่โจมระลอกถัดไปของกรรณที่จะต้องมีความรุนแรงเจือปนมาด้วยอย่างแน่นอน
ภูรู้สึกตัวในอีกไม่กี่วินาทีต่อมาว่าการคาดการณ์ของตนนั้นผิด เมื่อฉากวาบหวิวติดเรทที่คิดเอาไว้กลับไม่เกิดขึ้น กรรณผละออกจากร่างของภูและเพียงแค่ขยับมานั่งอยู่ข้างๆ สิ่งนี้ยิ่งทำให้ภูมั่นใจว่าความรู้สึกของตนนั้นถูกต้อง มีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับกรรณ
“พี่อย่าทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ สิครับ..” ภูยื่นมือไปแตะแผ่นหลังของกรรณ เป็นความพยายามอย่างสิ้นหวังที่จะทำทุกอย่างให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติให้ได้
“อย่าเลย อย่า…” กรรณขยับหนี “ขอโทษนะ เมื่อกี้พี่ลืมตัวไป…”
“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ” ภูพยายามข่มความรู้สึกแย่ๆ ที่กำลังล้นเอ่อออกมาเอาไว้ในอก เด็กหนุ่มกำลังทุ่มเทความพยายามทั้งหมดที่มีเพื่อทำให้ลางร้ายของตนนั้นไม่กลายเป็นเรื่องจริง เขายันตัวลุกขึ้นและโอบกอดร่างของอีกฝ่ายเอาไว้จากข้างหลัง “ถ้าพี่อยากทำ พี่ก็ทำได้เลย พี่ก็รู้ว่าผมยอมให้พี่ทำอยู่แล้ว…”
“พี่ว่า…” กรรณสูดหายใจเข้าเหมือนว่าถ้อยคำที่จะพูดต่อจากนี้ต้องใช้กำลังมากมายเหลือเกินในการจะเปล่งเสียงมันออกมา “เราอย่าเจอกันอีก… จะดีกว่านะ”
เป็นวินาทีที่เหมือนโลกได้ล่มสลายลงตรงหน้า และเป็นวินาทีที่ภูได้รู้ซึ้งว่าลางสังหรณ์ของตนนั้นแม่นยำจนน่ากลัว…
To be continued...
1 Episode Left