พิมพ์หน้านี้ - FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: lolito ที่ 14-02-2018 16:48:18

หัวข้อ: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 14-02-2018 16:48:18
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน

ภู หนุ่มหน้าใสวัย 19 ขวบปี เป็นถึงขวัญใจสาวๆทั้งมหาวิทยาลัย
แต่ถ้าถามถึงคนที่ใช่กลับหาไม่เจอซักที
 ครองโสดมานานจนคิดว่าตัวเองตายด้าน
 แต่จู่ๆฟ้าก็ส่ง กรรณ หนุ่มหล่อรุ่นพี่มาอยู่ชิดติดขอบรั้ว
เมื่อเคมีมันใช่ ก็ถึงเวลาเปิดซิงหัวใจให้กับความรักครั้งแรก
 จะลงเอยอย่างไรก็คงต้องเสี่ยง เพราะคนที่ใช่มีไว้พุ่งชน!!

Episode 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3789537#msg3789537)
Episode 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3790002#msg3790002)
Episode 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3792042#msg3792042)
Episode 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3794288#msg3794288)
Episode 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3798116#msg3798116)
Episode 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3800606#msg3800606)
Episode 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3801690#msg3801690)
Episode 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3803693#msg3803693)
Episode 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3804383#msg3804383)
Episode 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3805917#msg3805917)
Episode 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3807336#msg3807336)
Episode 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3809604#msg3809604)
Episode 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3811146#msg3811146)
Episode 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3812496#msg3812496)
Episode 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3813774#msg3813774)
Episode 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3815652#msg3815652)
Episode 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3817060#msg3817060)
Episode 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3818700#msg3818700)
Episode 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3819589#msg3819589)
Episode 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3821568#msg3821568)
Episode 21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3823270#msg3823270)
Episode 22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3825785#msg3825785)
Episode 23 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3827754#msg3827754)
Episode 24 finale (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3829692#msg3829692)
Extra : วันพักร้อนของจอส part1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.msg3831555#msg3831555)

เป็นผลงานแนววายครั้งแรกในชีวิตเลยครับ ยังไงก็ขอฝากเอาไว้ให้พิจารณา
เรื่องทั้งหมดถูกแต่งขึ้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลใดทั้งสิ้น

จบแล้วจ้า  :bye2:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 1 ☆ [14-Feb-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 14-02-2018 17:07:08
EPISODE 1 part1   

        วันนี้เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว คุณกำลังทำอะไรอยู่?

        ภูก็อาจจะเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ เขาจำไม่ได้ว่าวันนี้เมื่อปีที่ผ่านมาเขากำลังทำอะไรอยู่

        แต่ถ้ามีใครถามคำถามนี้กับเขาในอีกหนึ่งปีข้างหน้า เขาคงตอบได้แบบไม่ต้องเสียเวลาคิดนานเลย

        เพราะวันนี้คือวันที่เขาโดนตำรวจจับเป็นครั้งแรกในชีวิต…


        ก่อนหน้าที่เหตุการณ์อันน่าอัปยศซึ่งจะต้องถูกจารึกเป็นตราบาปในจิตใจของเขาไปตลอดกาลจะเริ่มขึ้น ภูเองก็เป็นเพียงแค่นักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นปีที่สองคนหนึ่ง เด็กหนุ่มอายุสิบเก้าปีเศษคนนี้รู้ตัวเองว่าจัดอยู่ในจำพวกคนหน้าตาดี ซึ่งมีหลักฐานอ้างอิงว่าไม่ได้คิดไปเองได้จากการสังเกตท่าทีของบรรดารุ่นพี่รุ่นน้องทั้งสาวแท้สาวเทียมในมหาวิทยาลัยที่พากันแสดงออกว่าปลาบปลื้มเขาจนออกนอกหน้า ไม่เว้นแม้กระทั่งในคืนนี้ ณ ร้านคาราโอเกะสำหรับชาวเกย์และสาวประเภทสองย่านสีลม ที่ซึ่งถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานวันเกิดของพี่หญิงใหญ่ เจ้าของฉายาสตรีมีกล้าม เทพีลูกกระเดือกงาม ดาวเด่นของคณะสถาปัตยกรรม ภูยอมแหกเคอร์ฟิวของที่บ้านมางานนี้เพราะ สาลี่ เพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาลชวนให้มาเป็นเพื่อน แต่ดูๆ ไปแล้ว สถานการณ์โดยรวมกลับออกมาเหมือนว่าเขาถูกหลอกมาเป็นของบรรณาการให้เจ้าของวันเกิดเสียมากกว่า แถมตอนนี้ยัยเพื่อนตัวแสบผู้เป็นตัวตั้งตัวตีชวนเขามาก็ไม่รู้หายหัวไปไหน

        “น้องภูนี่หน้าเหมือนพ่อหรือแม่อ่ะคะ?” พี่หญิงใหญ่ รุ่นพี่ปีสี่ ผู้มีเพศสภาพไม่ตรงกับชื่อ เอ่ยถามขึ้นมาพร้อมกับส่งสายตาหวานเยิ้มให้

        “เหมือนพ่อครับ” ภูตอบแบบไม่ต้องคิดนาน บรรดาญาติหรือใครที่ใกล้ชิดกับครอบครัวของเขา ก็มักจะบอกเสมอว่าภูได้หน้าตาทางพ่อมามากกว่าแม่ หากว่าจะมีสิ่งใดที่ได้แม่มามากกว่าพ่อ ก็คงเป็นผิวพรรณที่เนียนขาวดูสะอาดตาตามแบบคนเหนือ

        “งั้นคุณพ่อต้องหล่อมากแน่เลยอ่ะ ลูกถึงออกมาหน้าเป๊ะขนาดนี้” รุ่นพี่คนเดิมไม่พูดเปล่า ยังยื่นมือมาหยิกแก้มเนียนใสของเขาด้วย “อยากให้คุณพี่ไปเป็นแม่เลี้ยงรึเปล่าคะ? คุณพี่เทคแคร์ดี มีเวลาให้นะ เอามะ?”

        “ไม่เป็นไรครับพี่หญิง แม่ผมยังใช้การได้ครับ ยังไม่ต้องเปลี่ยน” ภูโปรยยิ้มหวานตอบกลับไป เป็นรอยยิ้มแบบที่ทำให้พวกสาวๆ แทบจะหยุดหายใจได้ทุกครั้งที่เห็น

        “ไม่เป็นไร เป็นแม่ไม่ได้ เป็นลูกสะไภ้ของคุณแม่แทนก็แล้วกัน” คราวนี้พี่หญิงใหญ่โผเข้ามากอดภูไว้แน่น จนเด็กหนุ่มแทบจะขาดอากาศหายใจตายคาสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าหน้าอกหรือกล้ามอกของเธอดี

        หลังจากดิ้นรนจนหลุดจากอ้อมกอดมรณะของพี่หญิงใหญ่มาได้ ภูก็ลุกจากโต๊ะแล้วเดินออกมายังนอกร้านเพื่อหาจุดที่เสียงรอบตัวเงียบพอจะใช้โทรศัพท์ได้ เขาเลื่อนนิ้วไปบนหน้าจอเพื่อค้นหาเบอร์โทรในสมุดรายชื่อ จนมาหยุดที่ชื่อ “ลี่” แล้วจึงกดโทรออก เสียงสัญญาณรอสายดังขึ้นแต่ไม่มีใครรับสายจนกระทั่งสายตัดไป ภูไม่ยอมแพ้ เขากดโทรใหม่อีกครั้ง คราวนี้จึงมีคนรับ

        “ไอ้ลี่ แกอยู่ไหนวะ?” ภูยิงคำถามใส่โดยไม่เสียเวลาทักทาย “ไหนบอกไปซื้อของเซเว่นแป๊ปเดียวไง”

        “เฮ้ยยยย ภู ใจเย็นก่อน ชั้นอธิบายได้เว้ย” ปลายสายตอบกลับมา น้ำเสียงเจื่อนสนิทบ่งบอกได้ว่าขณะนี้หน้าตาของผู้พูดคงหดเหลือเพียงสองนิ้ว

        “แกไม่ต้องมาบอกให้ชั้นใจเย็นเลยนะ เย็นบ้าเย็นบออะไร แกชวนชั้นมาเองนะงานนี้ แล้วแกหายไปไหนเนี่ย ปล่อยชั้นไว้กับพี่หญิงจนจะได้กันเป็นผัวเมียอยู่แล้ว” ภูโวยวายใส่โทรศัพท์

        “คืออออ แก…” สาลี่ลากเสียงยาวแล้วหยุดพูดกลางคัน มีเสียงคล้ายกำลังสูดหายใจรวบรวมความกล้าเพื่อจะสารภาพบาปดังมาจากปลายสาย “แบบว่า ตอนนี้ชั้นกลับมาบ้านแล้วว่ะ คืองี้ แบบชั้นเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องมารอกดบัตรคอนเสิร์ตอ่ะแก EXO เลยนะเว้ย ไม่รีบกดบัตรหมดแน่นอน”

        “สรุป นี่แกเทชั้นใช่มั้ยเนี่ย” ภูส่ายหน้าด้วยความระอาใจ “แล้วดึกป่านนี้ชั้นจะกลับบ้านยังไงอ่ะ ไหนว่างานนี้มาด้วยกันกลับด้วยกัน แกไปส่งชั้นที่บ้านไง”

        “แกก็นั่งแท็กซี่สิวะ อูเบอร์ แกรบ เยอะแยะเลยเว้ย เดี๋ยวเจอกันที่มหาลัยชั้นเอาค่ารถคืนให้” ลี่เสนอหนทางเยียวยาให้

        “เอาเหอะ จำไว้เลยนะ ทิ้งกันได้” ภูกดตัดสายทิ้งด้วยความหงุดหงิดเมื่อรู้ความจริงว่ามิตรภาพตั้งแต่สมัยอนุบาลมีค่าน้อยกว่าวงบอยแบนด์

        เขายกแขนขึ้นดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือที่สวมอยู่ ขณะนี้ล่วงเข้าวันใหม่จนเกือบจะตีหนึ่งแล้ว พ่อกับแม่คงล๊อกประตูบ้านตามกฎเคอร์ฟิวไปเรียบร้อย ณ เวลานี้ภูมีทางเลือกสำหรับคืนนี้อยู่สองทาง หนึ่งคือไปนอนค้างบ้านของพี่หญิงใหญ่ซึ่งมีอัตราความเสี่ยงต่อการเสียอธิปไตยทางร่างกายถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซนต์ กับสอง คือนั่งแท็กซี่กลับเองแล้วปีนเข้าบ้านทางประตูฉุกเฉิน ซึ่งเมื่อประเมินดูอย่างถ้วนถี่แล้ว ทางที่สองดูจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและปลอดภัยต่อพรหมจรรย์กว่ามาก

        ภูกลับเข้าไปในร้านเพื่อลาพี่หญิงใหญ่เจ้าภาพวันเกิดและบรรดารุ่นพี่คนอื่นๆ ที่มาร่วมงาน จากนั้นจึงออกมาเรียกแท็กซี่ที่ถนนใหญ่ด้านหน้า เมื่อรถวิ่งเข้ามาเกือบจะสุดซอยซึ่งเป็นที่หมาย เด็กหนุ่มก็บอกให้คนขับจอดก่อนจะถึงบ้านตัวเอง เขาจ่ายเงินค่าโดยสารและลงจากรถ รอจนกระทั่งแท๊กซี่คันที่นั่งมาขับออกจากซอยจนพ้นสายตาไปแล้วจึงค่อยกลับหลังหันเดินตรงไปยังประตูฉุกเฉิน

        ประตูฉุกเฉินที่ว่านั้นคือบ้านไม้สภาพกลางเก่ากลางใหม่ซึ่งตั้งอยู่แทบจะชิดติดกับบ้านของภู มีเพียงกำแพงเล็กๆ ที่คั่นเป็นพรมแดนระหว่างทั้งสองหลัง จากความสนิทสนมของทั้งสองครอบครัว ทำให้เจ้าของบ้านหลังนี้ยินยอมให้ทางครอบครัวของเด็กหนุ่มต่อเติมบ้านล้ำอาณาเขตรั้วเพื่อทำระเบียงสำหรับห้องนอน และผลลัพท์ของมันนั้นก็ทำให้บริเวณนี้กลายเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างทั้งสองบ้านไปโดยปริยาย ซึ่งด้วยระยะห่างระหว่างสุดทางเดินบนระเบียงชั้นสองกับระเบียงห้องนอนของภูที่กว้างเพียงแค่สามคืบ จึงไม่ยากเลยสำหรับคนตัวสูงแขนขายาวอย่างเขาที่จะปีนข้ามฝั่งจากระเบียงทางเดินไปยังระเบียงห้องนอนของตน จากนั้นก็ดึงเปิดหน้าต่างที่ปลดล๊อคเตรียมเอาไว้แล้วเข้าไปข้างใน แน่นอนว่าเป็นการกระทำที่เสี่ยงต่อการตกลงมาขาแข้งหักหรือถูกใครเข้าใจผิดว่าเป็นพวกย่องเบามาก แต่เด็กหนุ่มไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว พ่อกับแม่ของเขาเคร่งครัดมากเรื่องเวลาในการกลับถึงบ้านของลูก ทั้งสองมีความคิดที่ตรงกันว่าเยาวชนอายุไม่ถึงยี่สิบปีไม่ควรจะเตร็ดเตร่อยู่นอกบ้านหลังพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว และจะไม่มีวันสนับสนุนการกลับบ้านดึกของบุตรหลานด้วยการรอเปิดประตูบ้านให้อย่างแน่นอน ดังนั้นหากภูกลับมาไม่ทันกำหนดเส้นตายก็เท่ากับคืนนั้นต้องหาที่ซุกหัวนอนเอาเองหรือไม่ก็นอนตบยุงอยู่หน้าบ้านจนเช้า ซึ่งกำหนดเส้นตายที่ว่านั้นไม่มีระบุเวลาไว้แน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าละครหลังข่าวจบตอนไหน

        แรกเริ่มเดิมทีหลังจากที่ครอบครัวประกาศใช้นโยบายนี้ ภูรับมือกับมันด้วยการเช่าห้องพักรายวันนอนรอจนเช้าแล้วค่อยกลับบ้าน จนกระทั่งเมื่อเงินค่าขนมรายเดือนที่พ่อกับแม่ให้เริ่มไม่พอต่อการใช้จ่าย เขาจึงต้องปรับเปลี่ยนหนทางแก้ปัญหาไปเป็นการอาศัยค้างคืนที่บ้านของเพื่อนสนิทอย่างสาลี่ซึ่งอยู่ถัดออกไปสองซอยแทน ทว่าหลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มมีข่าวลือหนาหูแพร่สะพัดไปทั่วมหาวิทยาลัยว่าทั้งสองแอบคบหาอยู่กินกันฉันผัวเมีย วิธีนี้จึงต้องล้มพับไปเพื่อรักษาชื่อเสียงทางสังคมให้ครอบครัวเพื่อน และก็ตั้งแต่ตอนนั้นเองที่ประตูฉุกเฉินเริ่มถูกนำมาใช้งาน

        สำหรับบ้านหลังนี้นั้น ครอบครัวที่เคยอาศัยอยู่ได้ย้ายออกไปตั้งแต่ภูยังเรียนไม่จบมัธยมปลาย แม้ว่าผู้ใหญ่ของทั้งสองบ้านจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันแต่ในมุมของเด็กอย่างภูเองนั้นก็ไม่ได้มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับพวกเขามากมายนัก เท่าที่จำได้คือครอบครัวนี้มีลูกชายหนึ่งคนที่อายุน่าจะมากกว่าเขาพอสมควร ผู้ซึ่งไปเรียนต่อที่ต่างประเทศก่อนที่ทั้งครอบครัวจะย้ายออกไปเพียงไม่กี่ปี และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บ้านหลังนี้ก็ถูกปล่อยว่างไม่มีใครมาอาศัยอยู่ มีเพียงแม่บ้านจากบริษัทรับจ้างทำความสะอาดที่จะเข้ามาดูแลเพียงเดือนละหนึ่งครั้งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ภูจึงไม่มีอะไรต้องกังวลเลยในขณะที่พาตัวเองปีนป่ายข้ามประตูรั้วเข้ามาในบริเวณบ้าน ขึ้นบันไดที่อยู่นอกตัวบ้านไปยังชั้นสอง แล้วเดินเลาะไปตามทางเดินของระเบียงนอกชานซึ่งทอดยาวไปสุดยังระเบียงหน้าต่างห้องนอนของตัวเอง

        แต่ภูไม่ได้เอะใจเลยแม้แต่น้อย ว่าคืนนี้อาจไม่เหมือนกับทุกคืนที่ผ่านมา…

        เด็กหนุ่มชะล่าใจจนไม่ทันได้สังเกตเห็นด้วยซ้ำว่าหลอดไฟที่นอกระเบียงเปิดอยู่ และไม่ได้เอะใจกับเสียงเพลงที่แว่วออกมาเข้าหูจากในตัวบ้าน เขาปฏิบัติการอย่างใจเย็น จริงอยู่ที่ระยะห่างระหว่างระเบียงของบ้านทั้งสองหลังนั้นไม่ได้กว้างมาก แต่หากรีบร้อนก็อาจพลาดตกลงไปจูบพื้นได้ง่ายๆ ภูเอื้อมมือขึ้นไปจับยังราวไม้ด้านบน จากนั้นจึงเหวี่ยงตัวปีนขึ้นบนระแนงรั้วไม้ของระเบียงเตรียมจะก้าวข้ามไปอีกฝั่ง ทันใดนั้นเองคอเสื้อนักศึกษาที่สวมใส่อยู่ก็ถูกกระชากอย่างแรงจากด้านหลังจนร่างของเขาหงายท้องร่วงลงมาจากขอบรั้วที่กำลังปีน วินาทีที่แผ่นหลังกระแทกพื้นนั้นเขารู้สึกเหมือนในหัวมีแสงไฟกระพริบวูบวาบพร้อมเสียงไซเรนดังก้องสะท้อนไปมาในแก้วหู ในตอนนี้แม้จะยังไม่อาจทราบได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เด็กหนุ่มก็พอจะรับรู้ได้จากสัญชาติญาณว่าความบรรลัยกำลังจะบังเกิดขึ้นแล้ว ถึงเวลาต้องเอาตัวรอดโดยด่วน ดังนั้นแม้จะยังจุกไม่หายจากแรงกระแทกเมื่อครู่แต่ภูก็พยายามยันตัวลุกขึ้นเตรียมใส่เกียร์หมาวิ่งหนีลงบันใดไปชั้นล่าง ทว่ายังไม่ทันจะตั้งหลักยืนตรงได้ก็โดนจู่โจมซ้ำด้วยศอกอีกชุดซัดเข้ากลางแผ่นหลังอย่างแรงจนต้องทรุดกลับลงไปกองที่เดิม

        “หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะไอ้โจรกระจอก ไม่งั้นโดนอีกแน่” เจ้าของศอกที่ซัดภูจนหมอบกระแตชี้หน้าขู่เสียงเหี้ยมเกรียมก่อนจะหันไปพูดใส่โทรศัพท์มือถือ “แจ้งเหตุครับ มีพวกย่องเบาบุกรุกเข้ามา บ้านเลขที่101ครับ หลังสุดท้ายก่อนถึงท้ายซอยเอื้ออัมพร ใช่ครับ… ตอนนี้จับตัวคนร้ายไว้แล้วครับ”

        “พี่ครับ ไม่นะ ไม่ใช่แบบที่พี่กำลังคิดอยู่นะ” ภูรีบระล่ำระลักแก้ตัว เพราะเท่าที่ได้ยินจากบทสนทนาเมื่อครู่ ไม่ว่าชายคนนี้จะเป็นใคร เขากำลังคิดว่าภูเป็นโจรย่องเบาและกำลังจะส่งมอบตัวสู่เงื้อมมือกฎหมาย เด็กหนุ่มผู้กำลังดวงตกอย่างหนักรีบชี้ไปทางหน้าต่างห้องนอนตัวเองพร้อมกับอธิบายตามความจริง “นี่บ้านผมเองครับ ผมกำลังจะเข้าบ้านตัวเอง แค่อาศัยบ้านนี้เป็นทางผ่านเฉยๆ”

        “บ้านตัวเองแล้วทำไมต้องมาทำลับๆ ล่อๆ แบบนี้?” ชายคนนั้นหันกลับมาถามหลังจากวางสายจากตำรวจ

        “ก็…” ภูอึกอัก เนื่องจากตระหนักขึ้นมาได้ว่าในสภาพการณ์เช่นนี้ ต่อให้พูดความจริงออกไปทั้งหมด มันก็ยังฟังดูไม่น่าเชื่อถือเลยแม้แต่น้อย

        “ถามไม่ได้ยินหรือไง?” เขาทำเสียงดุ เค้นจะเอาคำตอบให้ได้

        “ก็บ้านผมอ่ะ! ผมจะเข้าทางไหนมันก็เรื่องของผม!” ภูสติหลุดเถียงกลับไปแบบข้างๆ คูๆ ด้วยความโมโหจากการถูกกระทำดุจเป็นอาชญากร

        นั่นเป็นประโยคสุดท้ายระหว่างการสนทนาของทั้งคู่ เพราะอีกสิบนาทีหลังจากนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาถึง ภูก็ถูกจับกุมทันทีและไม่มีโอกาสได้ชี้แจงอะไรอีกต่อไป ระหว่างทางขณะที่นั่งอยู่ข้างกรวยจราจรบนท้ายกระบะรถสายตรวจ เด็กหนุ่มก้มลงมองข้อมือตัวเองที่โดนสวมด้วยกุญแจมือสีเงินวาววับอยู่แล้วอดนึกขึ้นมาไม่ได้ว่าถ้าภาพนี้ถูกอัพโหลดลงเฟสบุ๊ค เพื่อนๆ จะฮือฮากันขนาดไหน และพ่อกับแม่จะรู้สึกเช่นไรที่นโยบายของทั้งคู่พาลูกตัวเองมาถึงจุดนี้
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 1 ☆ [14-Feb-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 14-02-2018 17:09:02
EPISODE 1 part2   
   
        เมื่อมาถึงโรงพัก ภูพยายามติดต่อพ่อกับแม่ด้วยโทรศัพท์มือถือเพื่อจะได้ยืนยันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตามคำกล่าวอ้างว่ากำลังจะปีนเข้าบ้านตัวเองจริงๆ แต่ผลลัพท์ก็คือไม่มีใครรับสายแม้แต่คนเดียว ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากที่คาดการณ์เอาไว้ซักเท่าไหร่นัก เพราะเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ทั้งสองจะปิดเสียงโทรศัพท์ก่อนเข้านอนเพื่อป้องกันลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกระหน่ำโทรมาปลุกกลางดึกเพื่ออ้อนวอนให้เปิดประตูบ้านให้อย่างที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งประกาศใช้นโยบายช่วงแรกๆ ดังนั้นคืนนี้สิ่งสุดท้ายที่เขาพอจะทำได้ก็เหลือแค่เพียงนอนตบยุงในมุ้งสายบัวรอจนกว่าจะเช้า

        “เด็กสมัยนี้นี่จริงๆ เลยนะ หน้าตาก็ดี ใฝ่ต่ำคิดริเป็นโจรซะได้” เจ้าหน้าที่ตำรวจบ่นอย่างเหนื่อยหน่ายใจขณะดันตัวภูเข้าประตูไปยังหลังลูกกรง

        “โจรบ้าอะไรล่ะ! นั่นน่ะบ้านผม!” ภูหันกลับมาว๊ากใส่

        “พิสูจน์สิ” คุณตำรวจท้าทายกลับมาพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยันชวนเจ็บใจ “โกหกอะไรก็ให้มันเนียนๆ หน่อยไอ้น้อง ดูบัตรประชาชน ที่อยู่ก็ไม่ตรงกับบ้านนั้น แถมที่บอกว่าจะโทรหาคนนั้นคนนี้ ก็ติดต่อไม่ได้ซักคน ใครมันจะไปบ้าเชื่อได้ลง”

        “ไม่ต้องเชื่อหรอก แต่เดี๋ยวพอเช้าได้รู้แน่ รู้กันเลย”

        ภูเดินกระฟัดกระเฟียดไปนั่งกอดเข่าอยู่มุมห้อง เมื่อความเดือดดาลลดลง เขาก็เพิ่งจะได้ทันเห็นสภาพแวดล้อมอันน่าสยดสยองที่รายล้อมรอบตัวอยู่ นี่มันไม่เหมือนห้องขังในหนังฝรั่งที่เคยดูเลยแม้แต่นิดเดียว ข้างซ้ายของเขาเป็นผู้ชายผมเผ้ารุงรังเนื้อตัวมอมแมมเต็มไปด้วยฝุ่น ส่วนทางขวาเป็นคนเมาที่ฉี่ราดกางเกงและกำลังนั่งร้องไห้ไม่หยุด กลิ่นฉี่โชยมาเข้าจมูก เด็กหนุ่มพยายามพาตัวเองออกจากความเป็นจริงอันโหดร้าย เขาจินตนาการว่าตัวเองอยู่ในช่วงวันหยุดพักผ่อนในประเทศทางตอนใต้ของอเมริกา และกำลังโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นจับกุมตัวในข้อหาอันแสนจะน่าขบขัน ทั้งหมดนี่จะเป็นแค่การผจญภัยในวันหยุดอันแสนสนุกสนานซึ่งจะเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ ได้ทุกครั้งที่นำมาเล่า แต่พอเกือบจะทำสำเร็จเมื่อใด กลิ่นฉี่ก็พาเขากลับมาสู่ความเป็นจริงอันน่าสะพรึงตรงหน้าได้ทุกครั้ง

        ขณะที่ภูเริ่มทำใจรับสภาพได้และเตรียมจะเอนหลังลงนอนบนพื้นเย็นๆ ของห้องขัง ตั้งใจจะพยายามข่มตานอนให้หลับเพื่อรอจนกว่าจะถึงเวลาเช้านั้นเอง เหมือนเกิดมีปาฏิหาริย์บันดาลให้ เมื่อจู่ๆ พ่อกับแม่ของเขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่โรงพัก หากแต่ความดีใจที่กำลังมีอยู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นประหลาดใจแทน เมื่อพบว่าบุคคลที่พาทั้งสองมานั้นไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่เป็นชายลึกลับข้างบ้านผู้ซึ่งเพิ่งจับเขาส่งตำรวจหมาดๆ เมื่อครู่นี้เอง ทั้งสามคนคุยกับตำรวจอยู่พักหนึ่งก่อนที่เจ้าหน้าที่คนเดิมที่พาภูมาที่นี่เมื่อครู่จะถือกุญแจมาไขประตูห้องขัง

        “ตกลงว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันใช่ไหมครับ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถามขณะไขกุญแจปล่อยตัวภูออกจากห้องกรง

        “ใช่ค่ะ นี่ลูกชายดิฉันเอง แกเข้าบ้านไม่ได้ก็เลยปีนเข้าทางบ้านข้างๆ” แม่ของภูอธิบาย

        “เห็นมั้ย บอกแล้วไงเดี๋ยวรู้เลย” ภูหันไปมองคุณตำรวจแล้วทำหน้าตายียวนจนโดนพ่อถองด้วยข้อศอกไปหนึ่งที

        “แต่ถึงยังไงก็ยังเหลือข้อหาบุกรุกในยามวิกาลอยู่ดี” คุณตำรวจยังไม่ยอมเลิกรา เขาหันไปถามชายข้างบ้านผู้เป็นเจ้าทุกข์ “จะยังดำเนินคดีข้อหานี้ไหมครับ”

        “ไม่เป็นไรครับ ถ้ารู้ว่าเป็นเพื่อนบ้านผมก็คงไม่แจ้งตำรวจตั้งแต่แรกแล้วล่ะ” เขาคนนั้นตอบพร้อมกับเหลือบมองมาทางภูแวบหนึ่ง

        ท่ามกลางแสงไฟอันสว่างจ้าของสถานีตำรวจ ภูเพิ่งจะได้เห็นใบหน้าและรูปพรรณสันฐานของชายข้างบ้านคนนี้อย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก เขาตัวสูง เท่าที่ประมาณด้วยสายตาก็น่าจะสูงกว่าภูพอสมควร จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมถึงเล่นงานเด็กหนุ่มจนหมอบได้ ผิวเป็นสีแทนจางๆ แบบที่พอมองออกว่าเกิดจากการตากแดดไม่ใช่สีผิวธรรมชาติตามพันธุกรรม ภูลอบมองผิวในร่มผ้าของอีกฝ่ายขณะเขายกมือขึ้นไหว้ขอโทษพ่อกับแม่ เนื้อกายที่เผยออกมานั้นเป็นสีขาวและดูอ่อนนุ่ม เด็กหนุ่มจับจ้องดูชายผู้เป็นคู่กรณีของตนอย่างไม่วางตา เหมือนต้องมนต์สะกดบางอย่าง เพียงได้เห็นใบหน้านั้น ความขุ่นเคืองทั้งหลายดูจะจางลงไปแทบหมดสิ้น และเมื่อสายตาของทั้งคู่หันมาสบประสานกันโดยบังเอิญ แม้จะเพียงครู่เดียว เพียงเท่านั้นก็มากพอที่จะทำให้เลือดลมทั่วร่างปั่นป่วน เกิดวูบวาบในท้องขึ้นมาราวกับมีผีเสื้อทั้งฝูงเข้าไปบินวนอยู่อย่างหาสาเหตุไม่ได้

        “ภู ขอโทษพี่เค้า แล้วจะได้กลับบ้านกันซักที” พ่อหันมาสั่งภู โดยมีแม่ผู้ซึ่งยังไม่แกะโรลม้วนผมออกจากหัวยืนทำหน้าทำตาเห็นสมควรด้วยอยู่ข้างๆ

        “พ่อว่าไงนะ?” ภูทนไม่ได้ รู้สึกเหมือนถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม “จะให้ผมขอโทษเรื่องอะไร เรื่องที่พยายามเข้าบ้านตัวเองแล้วโดนเค้าซ้อมก่อนจับส่งตำรวจน่ะเหรอ?”

        “ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ทางผมเองก็ยอมรับว่าทำเกินกว่าเหตุไปนิด” ชายคนนั้นรีบบอกปัดว่าไม่ถือสาหาความใดๆ

        “นิดเหรอ? ไม่นิดแล้วมั้ง ดูนี่สิ…” ภูถอดเสื้อออกโชว์รอยช้ำจากการโดนประเคนศอกลงบนแผ่นหลังให้พ่อกับแม่ดู พร้อมกับพยายามปั้นสีหน้าให้ดูน่าสงสารที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อเรียกคะแนนสงสาร “ดูสิแม่ เจ็บอ่ะ”

        “โดนซะมั่งก็ดี ใครใช้ให้กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ แถมยังไปปีนบ้านคนอื่นเค้าล่ะ” แม่ตอบอย่างไร้วี่แววความเมตตา

        แม้ว่าคำตอบของแม่จะแสดงให้เห็นว่าที่ลงทุนเล่นใหญ่รัชดาลัยไปเมื่อครู่ไม่มีผลอะไรแม้แต่น้อย แต่ในเวลาเดียวกันนั้นก็เหมือนมันยังส่งผลกับใครบางคนอยู่ ภูแอบสังเกตุเห็นสายตาที่ชายคนนั้นมองมาที่เขา แววตาที่จรดลงบนร่างท่อนบนอันเปลือยเปล่า ก่อนจะรีบละสายตามองออกไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว ภูรู้จักแววตาแบบนั้น หากแต่ไม่อาจมั่นใจได้ถึงความหมายของมัน มันเป็นสายตาที่ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างความประหม่ากับระอิดระอาอีกทั้งยังกลั้วไปด้วยความรู้สึกผิดจางๆ

        “หูยแม่อ่ะ! ไหงงั้นอ่ะ! นี่ลูกนะ!” ภูโวยวายเป็นเด็กถูกขัดใจลั่นโรงพัก รู้สึกเหมือนโดนหักหลังโดยครอบครัวตัวเอง

        “นี่พี่เค้าไม่เอาเรื่องก็บุญหัวแล้วนะ ใส่เสื้อให้เรียบร้อยแล้วขอโทษเค้าซะ จะได้กลับบ้านกันซักที” พ่อโยนเสื้อให้พร้อมกับส่งเสียงดุมาสำทับ

        เมื่อมาถึงจุดนี้ก็ดูเหมือนทางเลือกอื่นใดจะไม่มีอีกแล้ว ภูส่ายหน้าแล้วหยิบเสื้อกลับมาสวมพลางแอบเหล่สายตามองไปยังใบหน้าของคู่กรณีอีกครั้ง หล่อเหลา คำนี้คงฟังดูน้ำเน่าเกินกว่าจะใช้ในศตวรรษที่ยี่สิบแล้ว แต่สำหรับใบหน้าของชายคนนี้ หากไม่ใช่คำนี้ก็ไม่รู้ว่าจะใช้คำไหนมาแทนที่ เขามีหน้าตาแบบที่ชวนให้นึกถึงกระดูกภายใต้ผิวหนัง ภูเชื่อจริงๆ ว่าต่อให้เหลือแต่กะโหลกเขาคนนี้ก็จะยังดูหล่อได้อยู่ จมูกโด่งเป็นสัน ปลายจมูกเป็นมันเล็กน้อย เค้าหน้าคมเข้มคล้ายเสือ คิ้วเรียวยาว ริมฝีปากได้รูปพอเหมาะพอเจาะราวกับเคาะออกมาจากแม่พิมพ์ ใต้ตามีรอยคล้ำจางๆ อาจเกิดจากภูมิแพ้หรือการอดหลับอดนอน สีหน้าบูดบึ้งยังคงถูกฉาบเอาไว้บนใบหน้าเหมือนเดิมเมื่อครั้งแรกเห็น หมอนี่ยิ้มเป็นไหมนะ ไหนบอกเองว่าแค่เรื่องเข้าใจผิดไง ไม่เห็นจะต้องหงุดหงิดขนาดนั้นเลย ภูคิดในใจ มันอาจฟังดูผิดที่ผิดเวลาไปนิด แต่ภูอยากเห็นเขายิ้มซักครั้ง

        “ผมขอโทษครับ” ภูพูดพร้อมกับบรรจงไหว้แบบที่สวยสุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่สายตาลอบชำเลืองมองดูท่าทีตอบสนองของอีกฝ่าย

        “ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” เขาตอบกลับมาน้ำเสียงราบเรียบ แต่ใบหน้ายังตึงเครียดคงเส้นคงวา

        จ้า ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่จับอีกฝ่ายส่งตำรวจ ภูนึกในใจหากแต่ไม่ได้พูดออกเสียง รู้สึกผิดหวังนิดหน่อยที่แม้จะยอมขอโทษแล้วแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่วางท่าทีปั้นปึ่งลงแม้แต่น้อย

        เมื่อเสร็จธุระเรื่องคดีความของตัวเองแล้ว ภูผู้ซึ่งเหม็นเบื่อโรงพักเต็มทีก็ขอตัวแยกออกมารอที่รถก่อน ในขณะที่พ่อกับแม่ยังคงคุยอะไรบางอย่างกับชายข้างบ้านคนนั้นอยู่อีกครู่หนึ่งจึงค่อยตามมาสมทบ และเป็นไปตามคาด เมื่อระหว่างทางกลับบ้านภูก็โดนแม่เป็นเจ้าภาพเดี่ยวจัดเทศนากัณฑ์ใหญ่กรอกหูมาตลอดทางจนหูชา เนื้อหาหลักๆ โดยรวมคือการพร่ำพรรณนาว่าแม่อับอายแค่ไหนกับการที่ต้องมารับลูกชายจากโรงพักกลางดึกด้วยข้อหาแบบนี้ โครตเหง้าศักราชของเราไม่เคยฉาวโฉ่ขนาดนี้มาก่อน และภูจะเป็นรอยด่างพร้อยแห่งวงศ์ตระกูลที่ซักไม่ออกเหมือนคราบน้ำยาขนมจีนบนเสื้อขาว ส่วนพ่อไม่พูดอะไรเลย

        “ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าจู่ๆ บ้านนั้นจะมีคนมาอยู่” ภูพยายามอธิบายแต่ก็เหมือนจะไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เขาจึงเบี่ยงประเด็นไปคุยเรื่องอื่นซึ่งตนเองก็กำลังสนใจใคร่รู้อยู่เช่นกัน “ว่าแต่ผู้ชายคนนั้นน่ะ ใครกันครับ?”

        “พี่เค้าชื่อกรรณ เป็นลูกชายของครอบครัวที่เคยอยู่บ้านหลังนั้นไง แกคงจำเค้าไม่ได้หรอกมั้ง เพราะเค้าไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่แกยังหัวเกรียนอยู่เลย แล้วพอเรียนจบก็ทำงานอยู่ที่นั่นซะตั้งหลายปี ตอนนี้เห็นว่าคุณพ่อเค้าเสียเลยกลับมาจัดการงานศพ แล้วก็ถือโอกาสกลับมาอยู่บ้านเดิมด้วยเลย “พ่อผู้ซึ่งนั่งเงียบมาตลอดทางยอมเปิดปากตอบคำถามของภู แต่ก็ไม่วายแว้งกัดลูกชายตัวเอง “น่าคิดนะ อยู่บ้านข้างกันแท้ๆ แต่อนาคตต่างกันลิบลับ ลูกเค้าเรียนจบเมืองนอกเมืองนา ส่วนลูกเราสิ ฉายแววเป็นตีนแมวย่องเบา”

        “พ่อตั้งใจขับรถต่อเถอะครับ เดี๋ยวชนหมา” ภูรีบตัดบทก่อนจะโดนบ่นยาว ตัดสินใจแล้วว่าการนั่งเงียบๆ ไม่พูดอะไรอีกเลยจนกว่าจะถึงบ้านน่าจะเป็นตัวเลือกที่ฉลาดกว่า

        เมื่อกลับมาถึงบ้าน ภูพาร่างอันกระปรกกระเปรี้ยของตัวเองขึ้นไปยังห้องนอน นาฬิกาที่หัวเตียงบ่งบอกว่าเวลาขณะนี้เกือบจะตีสามแล้ว นี่เป็นค่ำคืนที่ยาวนานและน่าหงุดหงิดที่สุดในชีวิตนับตั้งแต่เขาจำความได้ เด็กหนุ่มถอดเสื้อกับกางเกงออกแล้วโยนลงตะกร้าข้างเตียง เตรียมตัวเข้านอนในกางเกงบ๊อกเซอร์ลายทางตัวเดียวเหมือนเช่นทุกวัน ในตอนนั้นเองที่เขานึกขึ้นมาได้ว่าบ้านข้างๆ ไม่ได้ว่างไร้คนอยู่เหมือนที่ผ่านมาแล้ว ภูจึงลุกจากเตียงเดินไปที่หน้าต่างเพื่อปิดม่าน เมื่อมองออกไปทางห้องซึ่งอยู่เยื้องออกไปยังฝั่งตรงกันข้ามนั้น ก็พบว่าห้องที่เคยปิดไฟมืดมานานนับปี บัดนี้มีแสงไฟเปิดสว่างอยู่

        “กลับมาถึงก่อนอีกแฮะ…” ภูพึมพำกับตัวเอง

        ขณะที่ภูกำลังจะรูดผ้าม่านปิดนั้น พลันเด็กหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวบางอย่างจากอีกฟากหนึ่ง เสียงบานประตูอ้าออกและงับปิดดังแว่วออกมาจากห้องนั้น ชายข้างบ้านคนนั้น คนที่ภูเพิ่งได้รู้จากพ่อว่าเขาชื่อกรรณเดินเข้ามาข้างในห้องในสภาพเกือบเปลือยเหลือเพียงผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนเดียวที่ห่อหุ้มร่างกายอยู่ เนื้อตัวและเรือนผมเปียกชุ่มไปด้วยหยดน้ำ เขาคงเพิ่งจะอาบน้ำมาเสร็จหมาดๆ ภูหยุดมือตัวเองชะงักเอาไว้แค่นั้นก่อนจะตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองด้วยการขยับตัวปรับหามุมที่มองเห็นภาพในห้องนั้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

        ในห้องนั้น กรรณกำลังก้มหน้าก้มตารื้อค้นหาบางอย่างจากกองสัมภาระของตนเอง ทุกการเคลื่อนไหวของเขาในขณะนี้ไร้ซึ่งความระมัดระวังตัว ด้วยคงไม่คาดคิดว่าจะมีใครบางคนเฝ้ามองอยู่จากฝั่งตรงข้าม ทุกครั้งที่เขาลุกขึ้นยืนหรือก้มลง เนื้อหนังในร่มผ้าส่วนที่ถูกปกปิดในเวลาปกติก็กลับเผยพ้นเงาผ้าออกมาโดยไม่รู้ตัว แม้จะไม่อยากยอมรับซักเท่าใดนัก แต่ภูก็รู้ตัวเองดีว่ากำลังทำพฤติกรรมเป็นพวกถ้ำมองอยู่ ทุกอิริยาบถของชายหนุ่มข้างบ้านในสภาพกึ่งเปลือยที่ผ่านสายตานั้นยิ่งทำให้ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวมากขึ้นเรื่อยๆ

        นี่มันช่างน่าละอายและขายขี้หน้า ภูด่าตัวเองในใจ ไม่อาจรู้ได้ว่าศักดิ์ศรีที่เคยมีตอนนี้หนีหายไปอยู่ที่ไหนหมด ทั้งที่ถ้ามองจากเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น การพบกันครั้งแรกอันไม่น่าประทับใจนี้ควรจะส่งผลทางอารมณ์ในด้านลบจนแทบไม่อยากมองหน้าอีกฝ่ายด้วยซ้ำ แต่นี่กลับตรงกันข้ามกัน เขากลับมายืนส่องดูอีกฝ่ายนุ่งผ้าเช็ดตัวเผยผิวกายวับๆ แวมๆ มองไปใจก็เต้นโครมครามไปไม่ต่างอะไรกับพวกโรคจิต ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสายตาของภูเรียกร้องหากรรณอยู่ตลอดนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นอีกฝ่ายชัดเจนเต็มสองตาในสถานีตำรวจ ความโกรธขึ้งหายไป เหลือเพียงความหงุดหงิดอันเกิดจากท่าทีปั้นปึ่งของอีกฝ่ายเท่านั้น เป็นความไม่พอใจอันมีรากเหง้าจากการที่ไม่อาจทำให้อีกฝ่ายพอใจได้ ด้วยเหตุนั้นภูถึงกับยอมลดทิฏฐิขอโทษแม้ใจจะคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ว่าไม่ได้ทำผิด ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีวันจะเกิดขึ้นในเวลาปกติ ทั้งหมดนี้ก็เพื่ออยากให้กรรณเลิกวางท่าไม่เป็นมิตรเสียที แต่เปล่าประโยชน์ ในเมื่ออีกฝ่ายดูจะไม่เห็นความสำคัญของคำขอโทษที่เค้นออกมาอย่างยากลำบากเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย

        หลังจากสาละวนรื้อค้นอยู่พักใหญ่ กรรณก็หยิบเอาเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงนอนออกมาจากในกระเป๋าเดินทาง ก่อนจะหันกลับเดินมาปิดม่านที่หน้าต่าง สายตาของทั้งสองเกือบจะสบกันเข้าพอดีในเวลานั้น ภูรีบเร้นกายหลบเข้ายังมุมอับสายตาด้วยระแวงว่าอีกฝ่ายจะทันสังเกตุเห็น คืนนี้แค่โดนตราหน้าว่าเป็นตีนแมวก็เป็นตราบาปแก่ชีวิตของเขามากพอแล้ว อย่าให้มีข้อหาถ้ำมองมาแปะหน้าผากอีกกระทงเลย ภูแอบนิ่งอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งแสงไฟจากฝั่งตรงข้ามดับลงจึงค่อยออกจากที่กำบัง เวลานี้สรรพเสียงรอบตัวเงียบสงัดราวกับเวลาหยุดนิ่ง เหลือเพียงแต่เสียงหัวใจของเด็กหนุ่มที่ยังคงเต้นโครมครามจนแทบจะหลุดออกมานอกอก ไม่ว่าจะพยายามเอาธรรมะเข้าข่มเพียงใดมันก็ยังไม่ยอมแผ่วเบาลงเลยแม้แต่น้อย ภาพล่อแหลมของชายหนุ่มรุ่นพี่ที่ได้เห็นเมื่อครู่นี้ยังคงติดตรึงในดวงตาพาให้อารมณ์พลุ่งพล่าน ภูพยายามทำใจให้สงบขณะทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ทันทีที่แผ่นหลังสัมผัสกับที่นอนความเจ็บปวดจากรอยช้ำที่ยังคงสดใหม่ก็พุ่งจี๊ดตรงขึ้นมายังสมอง ความฟุ้งซ่านที่กำลังคลุ้งตลบอยู่จางหายไปแทบจะในทันที ภูครางโอดโอยเหมือนคนแก่สะโพกเคลื่อนอยู่พักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจและหลับตาลง ความเหนื่อยล้าเริ่มกลับมามีชัยเหนือร่างกายอีกครั้ง เด็กหนุ่มพลิกตัวลงนอนคว่ำหน้าลงกับหมอนก่อนจะผล็อยหลับไปในอีกไม่กี่นาทีต่อมา


To be continued...
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 1 ☆ [14-Feb-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 15-02-2018 10:19:49
Episode 2 part1

        ถึงแม้ว่าเมื่อคืนกว่าจะได้เข้านอนก็เกือบจะฟ้าสางแล้ว แต่วันรุ่งขึ้นภูก็ต้องถูกปลุกขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่โดยพ่อกับแม่ผู้มุ่งมั่นจะนำพาลูกไปสู่เส้นทางแห่งบุญกุศลที่มีชื่อว่าทริปทำบุญเก้าวัดประจำปีของสมาคมแม่บ้านชุมชนซอยเอื้ออัมพร ภูเคยหลวมตัวไปร่วมทริปนี้ครั้งหนึ่ง เด็กหนุ่มให้คำจำกัดความมันว่าฝันร้ายของวัยรุ่น ผู้ร่วมเดินทางล้วนแล้วแต่มีอายุมากกว่าเขาสองถึงสามรอบขึ้นไปทั้งสิ้น ทุกคนคุยกันเรื่องเบาหวานและโรคเกาต์ กลิ่นยาหม่องฟุ้งไปทั่วรถ แต่แค่นั้นยังไม่อาจเรียกได้ว่าเลวร้ายถึงขีดสุด นรกของจริงเริ่มขึ้นเมื่อคุณป้าที่เบาะข้างๆ เขาเกิดอาการเมารถขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แกคลื่นไส้อาเจียนอย่างหนักจนลงเอยด้วยการขย้อนเอามื้อเช้าออกมาเต็มหน้าตักของเด็กหนุ่ม หลังจากเหตุการณ์นั้นภูไม่เคยอยากกินผัดถั่วงอกอีกเลย

        ด้วยเหตุนี้ภูจึงรีบเผ่นหนีออกมาขลุกอยู่ที่บ้านของสาลี่ตั้งแต่เช้า โดยอ้างพ่อกับแม่ว่าจะมาอ่านหนังสือเตรียมสอบ ทั้งคู่ดูมีท่าทีไม่เชื่อแต่ก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร เด็กหนุ่มหยิบตำราเรียนและสมุดเลคเชอร์ติดมือมาด้วยสองสามเล่มเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ และตอนนี้ทั้งหมดนั้นวางกองอยู่บนพื้นในขณะที่เขานอนกลิ้งไปมาบนพรมขนสัตว์เทียมที่ทำเลียนแบบซากหมีขั้วโลกที่โดนถลกหนัง ภูชอบพรมผืนนี้ สาลี่สั่งมันมาจากต่างประเทศเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้กับแฟนเก่า ก่อนที่จะพบคาหนังคาเขาว่าแฟนหนุ่มสุดที่รักกำลังนอนทับบางอย่างที่นุ่มและมีส่วนเว้าส่วนโค้งมากกว่าพรม เธอจึงใช้ถังดับเพลิงทุบไฟหน้ารถเขาและหอบพรมผืนนี้กลับมาใช้เอง ภูเคยเอ่ยปากขอซื้อมันต่อแต่สาลี่ปฏิเสธ เธอต้องการจะเก็บมันไว้เป็นอนุสรณ์เตือนใจถึงพวกผู้ชายขี้เอา

        “ก็สรุปว่า… แกเข้าปิ้งฟรีๆ แถมยังต้องขอโทษเค้าด้วยเหรอ?” สาลี่ถามขึ้นมาหลังจากนั่งฟังภูเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ฟังจนจบ

        “เออสิ ดูเอาแล้วกันว่าการที่แกเทชั้น ชิ่งหนีกลับบ้านไปก่อนน่ะมันทำให้เกิดความฉิบหายอะไรขึ้นได้บ้าง” ภูโยนความผิดทุกอย่างใส่หัวเพื่อน

        “ต่อให้ชั้นไปส่งแกตามที่คุยกันไว้ แกก็ต้องปีนเข้าบ้านเหมือนเดิมอยู่ดี ต่างกันตรงไหนวะ” สาลี่ไม่ยอมรับข้อกล่าวหาที่เพื่อนซี้ยัดเยียดให้ “แล้วตกลงพี่กรรณอะไรนี่ก็คือพี่ข้างบ้านที่เคยอยู่ที่นั่นเมื่อหลายปีก่อนใช่ป่ะ?”

        “อืม… เห็นพ่อว่างั้นนะ” ภูพยักหน้าตอบ “แต่ไม่เห็นจะคุ้นหน้าเลย”

        “ถ้าเป็นคนนั้นจริง ชั้นคุ้นนะ ชั้นรู้จัก” ลี่พูดแต่ตายังไม่ละจากจอคอมพิวเตอร์ ตอนนี้เลยดูเหมือนคู่สนทนาของเธอเป็นหน้าจอมากกว่าจะเป็นภูที่กำลังนอนแผ่มองเพดานอยู่บนพื้นข้างหลัง

        “แล้วแกไปสาระแนรู้จักเค้าได้ไง?” ภูผลุดลุกขึ้นนั่ง “ชั้นอยู่บ้านข้างๆ ยังไม่รู้จักเลย”

        “อันที่จริงไม่เชิงว่ารู้จักหรอก แค่เคยเห็นเวลาพี่เค้าเอาหนังมาคืนร้านตอนนั่งเฝ้าแทนป๊าอ่ะ” ลี่ขยายความเพิ่ม “ตัวสูงๆ เข้มๆ หล่อดี”

        “เรื่องผู้ชายนี่ไม่เคยจะพลาดสายตา” ภูหยิบตุ๊กตาขว้างใส่ แต่สาลี่เอียงหัวหลบได้แบบสบายๆ

        “ว่าแต่… พี่กรรณเค้ากลับมาอยู่บ้านแล้วแบบนี้ ต่อไปแกก็กลับดึกไม่ได้แล้วสิ ไม่มีประตูฉุกเฉินแล้ว” สาลี่ถามพลางโยนตุ๊กตาตัวเมื่อครู่กลับมาหาภู

        “กลับดึกได้ แต่ต้องหาที่ซุกหัวนอนเอาเอง” ภูยักไหล่ทำท่าเหมือนไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร “ดิ้นรนไม่ยากเท่าไหร่ ถ้าจนปัญญาจริงๆ ก็แค่มาสิงบ้านแกเหมือนเมื่อก่อน”

        เหมือนได้ยินเรื่องคอขาดบาดตาย สาลี่หยุดทุกสิ่งที่กำลังกระทำ วางมือจากแป้นพิมพ์ของคอมพิวเตอร์แล้วหันมาหาภูด้วยสีหน้าจริงจัง “หยุดความคิดนั้นบัดเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้ภู”

        “หยุดอะไร?” ภูงง เมื่อจู่ๆ บรรยากาศในการสนทนาก็ตึงเครียดขึ้นมาอย่างกะทันหัน

        “แกมานอนค้างบ้านชั้นไม่ได้อีกแล้ว” สาลี่ยกแขนขึ้นไขว้กันเป็นรูปกากบาท “ถึงการโดนเข้าใจผิดจากคนทั้งมหาวิทยาลัยว่าแกเป็นผัวชั้นเนี่ยจะมีข้อดีตรงที่ทำให้ชั้นรู้สึกว่าตัวเองสวยมาก จากการเป็นที่อิจฉาของบรรดาไก่แก่แม่ปลาช่อนที่จ้องจะเคลมแกอยู่ แต่พิษภัยของมันร้ายแรงพอๆ กับยาบ้าเลยนะเว้ย มันทำให้ชั้นกลายเป็นสุภาพสตรีที่มีผัวแต่เพียงในนาม ตกเป็นข่าวกับแกแบบนี้ผู้ชายที่ไหนมันจะกล้ามาจีบชั้นวะ”

        “แกไม่คิดบ้างเหรอว่าที่ไม่มีใครมาจีบทุกวันนี้มันอาจจะเพราะตัวแกเอง” ภูนำเสนอความเป็นไปได้ในอีกมุมมองนึง

        “ไม่รู้ ไม่สน” สาลี่ทำท่ากากบาทอีกรอบ “แต่ชั้นยืนยันคำเดิม ไม่ได้ก็คือไม่ได้เว้ย”

        “งั้นชั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากทำตัวเป็นเด็กดี กลับบ้านแต่หัววันไปก่อนนั่นแหละ” ภูฟุบหน้าลงกับหัวหมีของพรม ถอนหายใจเมื่อนึกถึงสารพัดงานปาร์ตี้ที่นับจากนี้คงไม่ได้ไปเยือนอีกแล้ว

        “ทำไมแกไม่หาแฟนซักคนวะภู?” อยู่ๆ สาลี่ก็ถามขึ้นมาโต้งๆ

        “เพื่อ?” ภูตั้งตัวไม่ทันกับคำถามนี้

        “ก็ถ้าแกมีแฟน แกก็นอนค้างบ้านแฟนแกได้ ไม่ต้องมารบกวนชาวบ้านชาวช่องเค้าหรือปีนบ้านใครให้ติดคุกอีกไง” สาลี่ร่ายยาวถึงประโยชน์ของการมีแฟนสำหรับภู “แล้วอีกอย่างเราน่ะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก แล้วชั้นก็ใช่ว่าจะไม่เห็นว่าตั้งแต่แกโตเป็นหนุ่มมา แกยังไม่เคยมีแฟนเลยซักคน ทั้งที่ถ้าจะหาจริงๆ ก็ไม่น่ายาก”

        “เพราะชั้นหล่อใช่มั้ยล่ะ?” ภูไม่พลาดโอกาสในการยกหางตัวเอง

        “หน้าหวานๆ ตัวขาวๆ ก็คงหล่อสำหรับแม่พวกผู้หญิงจิตอ่อนพวกนั้นน่ะนะ แต่สำหรับชั้นที่เห็นไส้เห็นพุงแกมาหลายปี บอกเลยว่ามันเลยจุดที่คิดว่าแกหล่อไปแล้วล่ะว่ะ” สาลี่ตอบกลับมาอย่างอิดหนาระอาใจในความหลงตัวเองของเพื่อน

        “เออน่ะ ชมกันมั่งก็ไม่ได้” ภูจิ๊ปาก แสดงอาการว่าไม่ได้ดั่งใจ “แล้วอีกอย่าง ใจคอแกจะให้ชั้นมีแฟนแค่เพื่อจะได้มีที่นอนงั้นเหรอ จิตใจทำด้วยอะไร ทำไมเหี้ยมเกรียมขนาดนี้”

        “จะมีเพื่ออะไรก็เรื่องของแกเถอะ ชั้นก็แค่อยากจะเห็นซักทีว่าแฟนแกจะหน้าตาเป็นยังไง” สาลี่อยากจะหักคอเพื่อนซี้จอมบ่ายเบี่ยงของเธอใจจะขาด “สรุปว่าเมื่อไหร่จะมีซักทีล่ะ?”

        “เดี๋ยวถ้ามันจะมีก็มีเองแหละ” ภูตอบไปเหมือนทุกครั้งที่มีคนถามคำถามนี้

        “หรือแกเป็นเกย์?” สาลี่ตีเข้าตรงจุดพอดี

        “ไม่มั้ง หรืออาจจะเป็นก็ได้ กำลังตัดสินใจอยู่” ภูสะดุ้งนิดหน่อย แต่ก็แกล้งตอบไปแบบติดตลก

        “ทำกะล่อนไปเรื่อย เอาเหอะ จะเป็นอะไรก็เป็นไป ชั้นขี้เกียจเซ้าซี้กับแกแล้ว” สาลี่ทำหน้าตาเหนื่อยหน่ายแล้วหันกลับไปสนใจจอคอมพิวเตอร์ดังเดิม

        คำตอบเมื่อครู่แม้ว่าจะฟังดูเหมือนพูดเล่นเอาสนุก แต่แท้จริงแล้วมันคือสมรภูมิทางอารมณ์ที่ภูกำลังเผชิญอยู่เพียงลำพังเงียบๆ นับตั้งแต่เริ่มเป็นวัยรุ่นเขาก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องความสัมพันธ์พวกนี้มาก่อน เขาไม่เคยพบเจอผู้หญิงคนไหนที่น่าสนใจพอจะคบหาลึกซึ้งมากกว่าเพื่อน แต่ก็ไม่เคยมีความคิดว่าอยากจะมีคนรักเป็นผู้ชาย บางครั้งเขาคิดว่าตัวเองเป็นพวกตายด้านด้วยซ้ำ จนกระทั่งถึงเมื่อคืนที่ผ่านมา การได้พบกับกรรณเป็นเสมือนบานประตูสู่โลกใหม่ที่เพิ่งเปิดออก แม้จะผ่านเลยมาจนอีกวันแล้ว แต่เพียงแค่หวนคิดถึงเพียงนิดเดียว ภาพทั้งหมดทั้งมวลที่เฝ้าแอบมองจากหน้าต่างห้องนอนก็กลับมาสว่างจ้าเต็มสองตาของเด็กหนุ่มอีกครั้ง ทั้งยังคงชัดเจนสดใหม่เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นหมาดๆ ความถวิลหาอย่างรุนแรงจนน่าละอายบังเกิดขึ้น เหมือนเปลวไฟประทุบนดินปืน สำหรับภูแล้วความปรารถนาในตัวใครคนใดคนหนึ่งถือเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่ ทั้งเย้ายวนและชวนให้หวาดหวั่น มันทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผีเสื้อตัวน้อยที่เพิ่งออกจากดักแด้ เจ้าผีเสื้อรู้ว่าโลกกว้างใหญ่และมีอะไรมากมาย แต่กลับไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นค้นหาอย่างไรดี

        เสียงสัญญาณเตือนของโทรศัพท์มือถือดังขึ้น แจ้งว่ามีการอัพเดทเนื้อหาจากอินสตาแกรมที่เขาติดตามอยู่ ภูรีบกดเข้าไปดูอย่างสนใจ หลังจากไม่มีความเคลื่อนไหวมาเกือบจะสองสัปดาห์ กลับมาครั้งนี้LonelyVoyager ช่างภาพชื่อดังในอินสตาแกรมได้อัพโหลดผลงานใหม่รวดเดียวนับสิบรูป และที่น่าตื่นเต้นสำหรับภูก็คือ ทั้งหมดเป็นรูปที่ถ่ายในกรุงเทพมหานครเมืองฟ้าอมรแห่งนี้นี่เอง รูปทั้งหมดถูกเรียงเป็นไทม์ไลน์ไล่ตามการเดินทาง นับตั้งแต่สนามบินสุวรรณภูมิจนกระทั่งมาถึงในตัวเมือง ภูติดตามอินสตาแกรมของเขามาตั้งแต่ยังมีคนติดตามไม่ถึงสองหมื่นจนตอนนี้เพิ่มขึ้นจนเกือบจะเก้าแสนคนแล้ว ซึ่งเมื่อดูจากคุณภาพของผลงานแล้วก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่ยอดคนติดตามจะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมื่อภูได้มองดูกรุงเทพอันเป็นบ้านเกิดของตัวเองผ่านภาพถ่ายของเขา ก็ดูราวกับเมืองทั้งเมืองถูกเนรมิตขึ้นมาใหม่โดยอาศัยมุมมองส่วนบุคคล ท้องถนนตลอดจนตึกระฟ้าที่เคยผ่านตาจนคุ้นชินก็กลับกลายเป็นแปลกตาน่าค้นหา ภาพของบ้านไม้เก่าคร่ำคร่าที่ใครหลายคนอาจเดินผ่านเลยมันไปโดยไม่แม้แต่จะหยุดมอง เขาก็กลับทำให้มันแสดงพลังแห่งอดีตอันเรืองรองของยุคสมัยออกมาได้ ซึ่งความพิเศษอันหาได้ยากจากภาพถ่ายทั่วไปเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ภูติดตามเขามาตั้งแต่เริ่มแรก เพราะบางครั้งเมื่อโลกที่โอบล้อมอยู่รอบตัวมันแคบและจำเจเสียจนน่าอึดอัด การได้รับรู้สิ่งแปลกใหม่ผ่านสายตาคนอื่นเสียบ้างก็ช่วยเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้นได้มาก
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 1 ☆ [14-Feb-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 15-02-2018 10:25:35
Episode 2 part2


        ภูกลับจากบ้านของสาลี่ตอนช่วงเที่ยงวัน เป็นเวลาที่ปลอดภัยที่สุดเพราะพ่อกับแม่คงออกจากบ้านไปไกลเกินกว่าจะย้อนกลับมาแล้ว เขาแวะซื้อนมอัดเม็ดกับชารสพีชของโปรดจากร้านสะดวกซื้อก่อนจะเข้าบ้าน เมื่อไปถึงก็พบว่าแม่ได้เตรียมอาหารสำหรับทั้งวันไว้ให้แล้ว ทั้งหมดที่ต้องทำก็มีแค่ตักข้าวใส่จานและนำกับข้าวไปอุ่นในไมโครเวฟเท่านั้นเอง ขณะที่ภูกำลังนั่งจ้องดูเลขบนหน้าปัดของเตาไมโครเวฟนับถอยหลังจนถึงศูนย์อย่างใจจดใจจ่ออยู่นั้น เสียงออดจากหน้าประตูรั้วก็ดังขึ้นมาขัดเป็นมารคอหอยเสียกลางคัน เด็กหนุ่มผู้ซึ่งกำลังหิวจนแสบท้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะรีบเดินออกไปดูยังหน้าบ้านว่าใครมา ถ้าเป็นบุรุษไปรษณีย์หรือพวกขายของก็จะได้รีบจัดการให้เสร็จๆ จะได้มากินข้าวเสียที แต่ทันทีที่เปิดประตูบ้านออกไปภาพที่ได้เห็นก็ทำให้เขาต้องรีบปิดกลับเข้ามาแทบไม่ทัน กรรณยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับชะเง้อคอมองข้ามประตูรั้วเข้ามาดูความเคลื่อนไหวที่เห็นแวบๆ เมื่อครู่ก่อนจะกดออดเรียกซ้ำอีกครั้ง ภูพยายามตั้งสติให้มั่น สูดหายใจรับอากาศเข้าเต็มปอดพลางพยายามลบเรื่องลามกในหัวอันเกิดจากภาพเมื่อคืนออกไปให้หมดจด หลังจากปั้นสีหน้าให้ดูปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วจึงค่อยเปิดประตูบ้านออกไปอีกรอบ

        “มีอะไรครับพี่?” ภูถามโดยตั้งใจทำเสียงให้ฟังดูกระด้างเล็กน้อย

        “ไปไหนมาน่ะ?” กรรณย้อนถามกลับมา “พี่แวะมาดูตั้งหลายรอบไม่เจอใครเลย”

        “ธุระ” ภูตอบห้วนๆ ในใจนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายมีเรื่องอะไรถึงต้องการพบเจอตนขนาดนี้

        “ธุระอะไร? นี่วันอาทิตย์นะ” กรรณยังไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับ

        “ธุระส่วนตัว” ภูเน้นเสียงตรงคำว่าส่วนตัวเป็นพิเศษ “ว่าแต่พี่เถอะครับ มีธุระอะไรหรือเปล่า?”

        “มาก็ต้องมีสิ ไม่มีก็ไม่มาหรอก” เขาหยิบถุงกระดาษของร้านขายยาออกมาจากกระเป๋าหลังของกางเกง “เอายาแก้ฟกช้ำมาให้ เดี๋ยวจะหาว่าพี่ทำนายเจ็บตัวแล้วไม่รับผิดชอบ”

        กรรณสอดห่อยาเข้ามาทางช่องของประตูรั้ว ภูรับมาแล้วเปิดดู ข้างในมีหลอดยาสำหรับทาหนึ่งหลอดและยากินอีกแผงหนึ่ง

        “ขอบคุณครับ” ภูบอกขอบคุณเสียงอ้อมแอ้มไม่เต็มปาก

        แม้ว่าจะเสร็จสิ้นธุระตามที่บอกเอาไว้ข้างต้นแล้วแต่กรรณก็ยังคงยืนอยู่หน้าประตูรั้วไม่ยอมไปไหน แสงแดดที่สาดส่องยามเที่ยงวันทำให้ภูมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้ชัดเจนกว่าเมื่อคืน เด็กหนุ่มไล่สายตามองดูอีกฝ่ายเพื่อเก็บรายละเอียดให้มากที่สุด เส้นผมเกือบตรงที่หยักศกตรงปลายเพียงเล็กน้อยของกรรณนั้นยามนี้ถูกเสยรวบขึ้นไปข้างบน สีดำขลับของมันส่องประกายสะท้อนกับแสงอาทิตย์ แนวคิ้วหนาเข้มสอดรับกับนัยน์ตาคมที่ประดับประดาด้วยแผงขนตาหนา จมูกโด่งมีปลายงุ้มลงจรดทำองศาพอดิบพอดีกับริมฝีปากได้รูปพอเหมาะพอเจาะราวกับปั้นแต่งมา ใครคนใดคนหนึ่งในต้นตระกูลของกรรณคงจะมีเชื้อสายตะวันตก เขาถึงได้มรดกตกทอดทางพันธุกรรมมาเป็นโครงหน้าที่โดดเด่นชวนมองเช่นนี้

        “มองอะไรนัก?” กรรณถามขึ้นมาหลังจากไม่เห็นท่าทีว่าเด็กหนุ่มจะเลิกจ้องหน้าตนในระยะเวลาอันสั้น

        ภูสะดุ้งเฮือกเหมือนโดนสะกิดปลุกให้ตื่นจากอาการละเมอ เพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองกำลังจ้องหน้าผู้ชายด้วยกันอย่างไม่ลดละสายตา ความอายพุ่งเข้าโจมตีอย่างหนักจนเด็กหนุ่มคิดอะไรไม่ออก เลือดสูบฉีดทั่วใบหน้าจนร้อนผ่าว ภูรู้สึกได้ชัดเจนว่าตอนนี้มันคงจะแดงจนอีกฝ่ายสังเกตุเห็นแน่ๆ

        “จะไม่ชวนพี่เข้าไปหน่อยเหรอ?” กรรณถามอีกครั้งด้วยคำถามใหม่

        “หือ?” ภูไม่อยากเชื่อหูตัวเอง “พี่ว่าไงนะครับ?”

        “เข้าไปได้มั้ย?” กรรณชี้เข้าไปในบ้าน

        ช่างเป็นคำถามสั้นๆ แบบปลายเปิดที่ทำให้ผู้ฟังคิดจินตนาการต่อไปได้ล้านแปด ด้วยไม่อาจล่วงรู้เจตนาของอีกฝ่ายว่าต้องการอะไรกันแน่ ภูจึงเกิดสับสนว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธดี หากแต่เพียงไม่นานจิตใต้สำนึกอันแสนจะแก่แดดก็ได้เร่งเร้าจนเขายอมพยักหน้าตกลง ประตูรั้วเปิดอ้าออกและร่างสูงของกรรณเดินลอดผ่านเข้ามาข้างใน ขณะที่แขกผู้มาเยือนเดินผ่านหน้าไปภูยังคงยืนอยู่ตรงที่เดิม มองแผ่นหลังและไหล่กว้างในเสื้อยืดนั้น พลางกลืนน้ำลายลงสู่ลำคออันแสนจะฝืดเคือง ในสมองพยายามคิดรับมือกับสถานการณ์อันไม่ทันตั้งตัวนี้ กรรณเดินไปหยุดรอตรงหน้าประตูบ้าน หมอนี่ควรจะแค่เอายามาให้แล้วก็รีบกลับไปไม่ใช่หรือไง? ภูนึกสงสัยในใจขณะที่รีบจ้ำเท้าเดินตามอีกฝ่ายจนทัน เมื่อเข้ามาข้างในตัวบ้านเด็กหนุ่มพยายามทำตัวเป็นเจ้าของบ้านที่ดีด้วยการพาเขาไปนั่งยังห้องรับแขกและต้อนรับด้วยน้ำดื่มแต่ดูเหมือนกรรณจะไม่ได้มาที่นี่เพื่อนั่งเล่นหรือดื่มน้ำ ภูดูออกโดยไม่ต้องใช้ความพยายามสังเกตุเลยว่าเขามีจุดประสงค์บางอย่างในการมาที่ชัดเจนอยู่แล้ว

        “ขึ้นไปข้างบนได้มั้ย?” กรรณชี้ไปที่บันใดทางขึ้นชั้นสองของบ้าน “พี่อยากดูห้องนอนนายหน่อย”

        คำถามนี้ทำให้ใจภูยิ่งเต้นแรงกว่าเดิม จริงอยู่ที่เขาอาจจะไม่เคยมีแฟนหรือพบเจอประสบการณ์เชิงสังวาสมาก่อน แต่ก็เคยผ่านตาผ่านหูเรื่องทำนองนี้มาบ้าง จึงพอจะรู้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้มันคือพล๊อตเรื่องของหนังผู้ใหญ่ชัดๆ ชายข้างบ้านจอมวางแผนกับเด็กหนุ่มไร้เดียงสาที่กำลังจะโดนพรากพรหมจรรย์ นี่คือสัญญาณการเสียตัว ไม่มีอะไรจะชัดไปกว่านี้อีกแล้ว ถ้านี่คือเหยื่อล่อ ภูก็เป็นปลาที่งับเหยื่อเข้าเต็มเปา ใจคิดว่าไม่มีอะไรเสียหาย ถ้าจะต้องมีอะไรกับใครซักคนเป็นครั้งแรก กรรณเองก็ถือเป็นตัวเลือกที่น่าประทับใจไม่น้อย การตัดสินใจถูกครอบงำด้วยสัญชาติญาณการสืบพันธุ์ไปเป็นที่เรียบร้อย เด็กหนุ่มยังลังเลอยู่นิดหน่อยกับการมีแขกขึ้นไปเยือนยังห้องของตนที่รกหาความเป็นระเบียบไม่เจอแถมตะกร้าก็เต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซัก แต่ก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายก็เป็นผู้ชายเหมือนกันคงไม่มานั่งสนใจเรื่องจุกจิกพรรค์นั้นหรอก เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็จึงพยักหน้าตกลงและออกเดินนำหน้าพากรรณขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน

        “รกหน่อยนะครับ” ภูบอกกับกรรณก่อนจะเปิดประตูห้องนอนของตัวเอง

        กรรณเดินเข้ามาในห้องนอนของภูและมองไปรอบๆ เด็กหนุ่มรีบตามเข้ามาแล้วเอาเท้าเขี่ยกางเกงบ๊อกเซอร์ตัวที่เพิ่งถอดทิ้งไว้บนพื้นเมื่อเช้าเข้าไปซ่อนใต้เตียง ชายหนุ่มรุ่นพี่ยังคงยืนนิ่งอยู่กลางห้องในขณะที่ภูทำตัวไม่ถูก ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวทำอะไรเพราะเกรงว่าจะถูกตีความเป็นการให้ท่า จริงอยู่ที่การยอมให้อีกฝ่ายขึ้นมาถึงห้องนอนนั้นสามารถมองเป็นการทอดสะพานสมยอมไปเสียครึ่งตัวแล้ว แต่มันก็คงจะดีกว่าถ้าเรื่องทั้งหมดต่อจากนี้เขาจะปล่อยให้กรรณที่เป็นผู้ใหญกว่าเป็นคนเริ่มเอง อย่างน้อยถ้าใครรู้เข้าก็จะได้ไม่ถูกมองว่าทำตัวง่ายเกินไปนัก เด็กหนุ่มยืนนิ่งเป็นรูปปั้นรออะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้น อาจจะเป็นการกอด จูบ ลูบคลำ แต่ยิ่งเวลาผ่านพ้นไปมากนาทีขึ้น ภูก็ตระหนักว่ามันช่างเป็นความตื่นเต้นที่เสียเปล่า ไม่มีวี่แววว่าอะไรจะเกิดขึ้นทั้งนั้น กรรณแค่ยืนนิ่งมองไปที่นอกหน้าต่างราวกับกำลังพินิจพิเคราะห์บางอย่างอยู่ จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่งจึงหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาเข้าโหมดกล้องและตั้งค่าอยู่ประมาณสองสามนาทีจากนั้นจึงค่อยกดถ่าย เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นสองครั้งก่อนที่เขาจะเก็บโทรศัพท์กลับที่เดิมแล้วหันมาหาภูซึ่งกำลังยืนงงเป็นไก่ตาแตก

        “เสร็จแล้ว ขอบใจมาก” กรรณตบไหล่เด็กหนุ่มจนตัวโคลง

        “นะ … นี่มันอะไรกันครับ?” ภูมึนงงสับสนไปหมด รู้สึกเหมือนเป็นชาวพื้นเมืองที่ขึ้นเรือพร้อมความหวังจะไปสู่ดินแดนใหม่ ก่อนจะรู้ตัวอีกทีว่ากำลังลอยเคว้งคว้างไร้ทิศทางอยู่กลางมหาสมุทร “ตกลงว่าพี่ขึ้นมาห้องผมเพื่ออะไรเนี่ย?”

        “ถ่ายรูปไง” อีกฝ่ายตอบหน้าตาเฉยเหมือนการขึ้นมาถ่ายรูปบนห้องนอนคนอื่นเป็นเรื่องปกติสามัญที่ใครก็ทำกัน

        “ถ่ายรูปเหรอ?” ภูยังต้องการคำอธิบายมากกว่านี้ “พี่ขึ้นมาถึงนี่เพื่อจะถ่ายรูปเนี่ยนะ?”

        “ใช่” กรรณพยักหน้า เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดอัลบั้มภาพที่เพิ่งถ่ายเมื่อครู่แล้วยื่นให้เด็กหนุ่มดู มันคือภาพของทางเดินระเบียงชั้นสองของบ้านข้างๆ ที่ซึ่งภูเคยใช้เป็นทางผ่านเข้าห้องตัวเองมาหลายครั้งหลายครา “นี่ไง พอใช้มุมมองจากหน้าต่างห้องนายมันได้องค์ประกอบภาพลงตัวกว่าเดิมเยอะเลย”

        “เหอะ” ภูทำเสียงขึ้นจมูก รู้สึกทั้งผิดหวังและเสียหน้าไปพร้อมๆ กัน ด้วยไม่คาดคิดว่าจะมีคนประเภทนี้อยู่บนโลก คนประเภทที่ขอเข้าบ้านคนอื่นเพื่อจะมาถ่ายรูปบ้านตัวเองในอีกมุม เด็กหนุ่มนึกสงสัยว่าจะมีกี่คนแล้วนะที่ตกเป็นเหยื่อการกระทำชวนเข้าใจผิดของกรรณแบบนี้ นับว่ายังพอโชคดีอยู่บ้างที่ภูยังสงวนท่าทีไม่ยอมเป็นฝ่ายเปิดฉากเริ่มก่อน ไม่เช่นนั้นคงไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ตรงไหน

        “ทำไม? นายคิดว่าพี่จะขึ้นมาทำอะไร?” กรรณถามกลับ น้ำเสียงเย้าแหย่ คล้ายจะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร

        “สาแก่ใจแล้ว หมดธุระแล้วก็เชิญลงครับ” ภูผายมือไปทางประตูห้อง

        กรรณหัวเราะชอบใจก่อนจะเดินนำลงไปยังชั้นล่าง ภูรีบเก็บเศษหน้าตัวเองแล้วเดินตามลงไป เมื่อลงไปถึงก็พบว่าอีกฝ่ายหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องครัว

        “กำลังจะกินข้าวเหรอ?” เขาชี้ไปยังมื้อเที่ยงที่วางค้างไว้บนโต๊ะกินข้าว

        “อือฮึ” ภูพยักหน้าตอบ ไม่มีอารมณ์จะเสวนาด้วย

        “จะไม่ชวนแขกทานข้าวด้วยหน่อยหรือไง เป็นเจ้าบ้านประสาอะไร” กรรณยังแซะอีก

        “จะอยู่รับประทานอาหารเที่ยงก่อนไหมครับท่าน?” ภูถามประชดด้วยน้ำเสียงแบบบริกรพูดกับลูกค้า

        “ไม่ล่ะ พี่มีงานตอนบ่าย ไว้คราวหน้านะ” เขาตอบทันควันราวกับเตรียมคำตอบเอาไว้แล้ว “ไม่ต้องไปส่งก็ได้ เดี๋ยวปิดประตูรั้วให้ นายกินข้าวเถอะ”

        กรรณพูดเพียงเท่านั้นเดินออกไปจากตัวบ้าน ทิ้งภูไว้ลำพังกับความรู้สึกอันค้างเติ่งที่ยากจะบรรยาย ใจหนึ่งโมโหและขายขี้หน้าอย่างสุดซึ้ง แต่อีกใจหนึ่งก็โล่งอก ถึงแม้จะหน้าแตกชนิดที่หมอไม่รับเย็บและตกเป็นตัวตลกสำหรับเรื่องนี้ แต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มขบขันของกรรณเมื่อครู่ก็ช่วยได้มากทีเดียว อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะยังคงเกลียดตนอยู่จากเรื่องเมื่อคืนนี้แล้ว ตอนนี้เด็กหนุ่มรู้สึกเป็นอิสระเสียยิ่งกว่านกบนท้องฟ้า ประตูสู่ทุกความเป็นไปได้เปิดอ้าออก และแม้ว่าบานแรกที่เลือกเดินเข้าไปจะเจอกับความน่าอับอายรออยู่ในนั้น แต่ก็ยังมีอีกหลายบานให้เสี่ยงดวง

        หลังจากจัดการกับมื้อเที่ยงเสร็จ ภูกลับขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเอง ลากเก้าอี้จากโต๊ะอ่านหนังสือไปยังริมหน้าต่าง ห้องฝั่งตรงข้ามเงียบสนิทไร้ความเคลื่อนไหว คงไม่มีใครอยู่บ้าน กรรณมีงานตอนช่วงบ่ายเขาว่าอย่างนั้น เด็กหนุ่มนั่งเอนหลังและยกขาขึ้นพาดไปยังขอบหน้าต่างพลางนึกทบทวนความรู้สึกอันแปลกใหม่ที่ตนเพิ่งได้เรียนรู้ในช่วงสิบสองชั่วโมงที่ผ่านมาดูอีกครั้ง สำหรับในมุมของตัวเองนั้นไม่มีอะไรต้องสงสัยเลย ถ้ามองจากการที่เอาตัวเองใส่พานถวายให้เขาจนหน้าแตกไปเมื่อครู่ ภูมั่นใจว่าในโลกนี้คงไม่มีใครต้องการกรรณอย่างไม่อายฟ้าอายดินได้มากไปกว่าตนอีกแล้ว รักแรกพบ มันก็เป็นแค่อีกหนึ่งคำน้ำเน่าต่อจากหล่อเหลา แต่ทั้งสองคำนี้ล้วนเป็นคำบรรยายความรู้สึกที่ภูมีต่อกรรณ ยังไม่รวมถึงตัณหาและราคะ ซึ่งนั่นน่าละอายเกินกว่าจะนำมารวมไว้ในความคิดเดียวกัน คนอื่นๆ อาจจะมีวิธีการแสดงออกต่อความรู้สึกเช่นนี้ในรูปแบบเฉพาะของตน แต่สำหรับภูเขาเลือกที่จะกลบเกลื่อนปกปิดเอาไว้ ได้แต่เก็บกรรณเอาไว้ในสายตาอย่างมิดชิด อย่างน้อยก็ในตอนนี้

        แต่สำหรับกรรณล่ะ เด็กหนุ่มมืดแปดด้านไม่อาจรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไรกับตนกันแน่ การคาดหวังว่าคนสองคนจะคิดตรงกันนั้นก็เป็นเรื่องเพ้อฝันและไร้เดียงสาเกินไปหน่อย ถึงแม้ว่าภูจะยังใหม่กับเรื่องความสัมพันธ์แต่เขาก็ไม่ได้เป็นพวกยึดติดกับความหวังลมๆ แล้งๆ เด็กหนุ่มเลือกจะใช้ชีวิตอยู่กับความเป็นจริงแม้จะตระหนักดีว่าความเป็นจริงมักโหดร้ายต่อใจเสมอ อาทิเช่นความเป็นจริงที่ว่ากรรณอาจจะมีแฟนอยู่แล้ว ใช่สิ เขาก็อายุตั้งยี่สิบกว่าแล้ว โอกาสที่จะยังเป็นโสดอยู่ก็คงน้อยลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น หรืออีกความเป็นจริงที่น่าจะเป็นไปได้คือเขาอาจจะยังโสดอยู่ไม่ได้มีความสนใจในตัวของภูเลยแม้แต่น้อย อาจจะเห็นเขาเป็นแค่เด็กข้างบ้านตัวแสบ นักย่องเบาตัวฉกาจ หรืออะไรอีกมากมายแต่ไม่ใช่คนรัก ซึ่งนั่นน่าช้ำยิ่งกว่า เด็กหนุ่มลดความคาดหวังลงชั่วคราว แน่นอนว่าที่สุดแล้วภูอยากให้กรรณชอบตนเหมือนที่ตนชอบเขา หากแต่ถ้ามันจะเป็นไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอแค่ได้เก็บเขาไว้ใกล้สายตาแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็พอ เพราะเดิมทีทั้งภูและกรรณต่างก็เป็นแค่คนแปลกหน้า แต่เพราะเรื่องเมื่อคืนที่ทำให้เกิดต้องมาข้องเกี่ยวกัน ภูเข้าใจดี จะคาดหวังความสัมพันธ์ลึกซึ้งกินใจอะไรให้งอกเงยได้จากเหตุการณ์อันไม่น่าอภิรมย์แบบนี้ แค่ไม่เกลียดกันก็ดีถมถืดแล้ว

        ภูแกะห่อนมอัดเม็ดที่ซื้อมา ละเลียดอมทีละเม็ดให้ค่อยๆ ละลายในปากอย่างใจเย็นแม้ว่าภายในใจจะร้อนรุ่มเหมือนไฟเผา ตาจับจ้องที่หน้าต่างห้องฝั่งตรงข้ามเฝ้ารอที่จะเห็นแสงไฟเปิดหรือความเคลื่อนไหวใดๆ กระทั่งเวลาคล้อยจากบ่ายเข้าสู่ยามเย็น นมอัดเม็ดหมดไปนานแล้ว ชารสพีชที่ซื้อมาก็ไม่มีเหลือ หากแต่ก็ยังไม่มีวี่แววการปรากฏตัวของชายหนุ่มข้างบ้าน ภูส่ายหัวยอมแพ้ ตัดสินใจแล้วว่าไม่อยากคิดอะไรต่อให้ใจฟุ้งซ่านเพิ่มขึ้นอีก เด็กหนุ่มลุกจากเก้าอี้ตรงไปที่เตียง ทิ้งตัวลงนอนคว่ำหน้าฟุบกับหมอนแล้วส่งเสียงโวยวายอยู่ในลำคอเพื่อระบายความอัดอั้นที่แน่นอยู่ในอกก่อนจะผล็อยหลับไป

        ความรู้สึกร้อนวูบวาบและสัมผัสแผ่วเบาบนแผ่นหลังปลุกภูให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากหมอนแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าภายนอกมืดแล้ว เขาคงเผลอหลับไปนานทีเดียว เด็กหนุ่มยังคงสะลึมสะลือตอนที่รู้สึกตัวว่าด้านหลังเสื้อของตนถูกถลกเปิดขึ้น และมือของใครบางคนกำลังเคลื่อนไหวอยู่บนแผ่นหลังเปล่าเปลือยนั้น มันเกือบจะเหมือนว่าเป็นความฝันแต่ชัดเจนกว่านั้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัมผัสอันเปียกชื้น ลื่น และอุ่นจนถึงร้อนวูบวาบ เขาพยายามรวบรวมสติสัมปชัญญะเพื่อหมุนพลิกตัวหงายจากท่านอนคว่ำขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง และเมื่อทำสำเร็จภาพที่ได้เห็นก็ทำให้ถึงกับตาสว่างหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง

        “พี่กรรณ!!!” ภูร้องลั่น รีบดึงเสื้อซึ่งถูกถลกขึ้นจนเกือบถึงคอลงมาปิดเนื้อหนังมังสาตัวเองตามเดิม “ทำบ้าอะไรของพี่เนี่ย?!”

        “ทายาไง” กรรณตอบพร้อมกับชูหลอดยาแก้ฟกช้ำที่ให้ภูไว้เมื่อตอนกลางวัน “ช้ำจนม่วงแล้ว ไม่ได้ทาเลยสิท่า”

        “แล้วเข้ามาในบ้านคนอื่นตามใจชอบได้ไงเนี่ย! ทำไมอุกอาจแบบนี้” ภูถอยกรูดจนหลังชิดหัวเตียง พลางก้มลงตรวจสภาพตัวเองว่ามีร่องรอยถูกกระทำใดๆ อีกหรือไม่ จริงอยู่ที่เมื่อตอนกลางวันเขาอาจจะอยากเสียตัวให้อีกฝ่ายใจจะขาด แต่ถ้ามันเกิดขึ้นในรูปแบบการฉวยโอกาสขณะไม่มีสติรับรู้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับได้

        “ทีตัวเองยังปีนบ้านชาวบ้านเค้าได้” กรรณพ่นลมออกจากปาก “แล้วนี่ก็ไม่ได้แอบเข้ามาซักหน่อย พี่ซื้อขนมมาฝาก คุณลุงกับคุณป้าบอกว่านายนอนหลับอยู่ข้างบน เลยวานพี่ขึ้นมาปลุกให้ลงไปกินข้าวกินปลาได้แล้ว”

        ภูพยายามประติดประต่อเรื่องราวจากคำบอกเล่าทั้งหมด เขาคงจะเผลอหลับไปนานมากจนกระทั่งพ่อกับแม่กลับจากทริปทำบุญแล้วก็ยังไม่ตื่น เด็กหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาที่หัวเตียง สามทุ่มกว่าแล้ว ไม่น่าสงสัยเลย…

        “แล้วปลุกแบบธรรมดาอย่างที่คนปกติเค้าทำกันไม่ได้หรือไง” ภูหน้าแดงเมื่อนึกถึงสัมผัสบนแผ่นหลังเมื่อครู่

        “ก็ปลุกแล้ว ไม่ตื่น แล้วก็เห็นหลอดยาหล่นข้างเตียง อยู่ดีไม่บุบสลาย สงสัยจะลืมทาก็เลยทาให้ ไหนๆ ก็นอนคว่ำอยู่พอดี” ชายหนุ่มแก้ตัวแล้วเสริมต่อ “หลับลึกนะเราน่ะ ไวต่อความรู้สึกอีกต่างหาก โดนลูบหลังก็ครางอือๆ อาๆ ดีนะไม่ใช่ผู้หญิง ไม่งั้นขายไม่ออกไปแล้ว”

        “ปลุกเสร็จแล้วก็ลงไปเลย!” ภูขู่ฟ่อใส่ อับอายเหมือนโดนจับแก้ผ้ากลางสี่แยก

        กรรณยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้ก่อนจะเดินถอยหลังออกจากห้องไป ภูตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกจากเตียงแล้วตามลงมาสมทบกับพ่อและแม่ซึ่งนั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ เด็กหนุ่มมองค้นหาไปรอบๆ แต่ก็ไม่เจอกรรณ หรือว่าเมื่อครู่นี้มันจะเป็นแค่ความฝัน ภูคิด ก่อนที่พ่อผู้ซึ่งเห็นลูกชายตัวเองเหลียวมองรอบตัวไม่หยุดจนทนรำคาญไม่ไหวจะพูดขึ้นมา “พี่เค้ากลับไปแล้ว”

        “อ้าวเหรอ” ภูโล่งใจ เพราะถ้ายังอยู่ก็ไม่รู้จะกล้ามองหน้าเขามั้ย “แล้วพ่อกับแม่ปล่อยให้เค้าขึ้นไปห้องผมได้ไงอ่ะ”

        “ไม่เห็นเป็นไรนี่ ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน เค้าก็เห็นแกมาตั้งแต่เล็กๆ” พ่อตอบ “ทำไม เค้าทำอะไรแกเหรอ?”

        “เปล่า” ภูตอบห้วนๆ พยายามไม่นึกถึงสัมผัสวูบวาบบนแผ่นหลังที่เกิดขึ้นบนห้องนอน

        “เค้าฝากของไว้ให้น่ะ” แม่ชี้ไปที่ถุงกระดาษใบใหญ่บนโต๊ะ “ตื่นมาแล้วก็ไปกินข้าวกินปลาซะ นอนซะยังกับโลกจะไม่มีพรุ่งนี้แล้วอย่างงั้นล่ะ”

        “ทราบแล้วคร้าบบบ” ภูตอบเสียงยานคางขณะลุกไปหยิบถุงกระดาษใบนั้นมาเปิดดู

        ข้างในถุงมีกล่องขนมทาร์ตยี่ห้อดังจากต่างประเทศ บนกล่องมีการ์ดใบหนึ่งพับอยู่ ในแวบแรกที่เห็นภูไม่ได้ให้ความสนใจมากเพราะเห็นว่าเป็นบัตรสะสมแต้มของทางร้าน แต่เมื่อจ้องดูดีๆ ก็พบว่าข้างในมีข้อความถูกเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ซ่อนอยู่ เด็กหนุ่มสอดมือเข้าไปล้วงหยิบมันออกมาเปิดอ่าน

        พรุ่งนี้ถ้าว่าง ไปด้วยกันหน่อย เจอกันตอนสิบโมงเช้า

        ทันทีที่อ่านจบ ภูก็รู้ตัวทันทีว่าคืนนี้คงจะข่มใจให้หลับลงยากเสียแล้ว…


To be continued...

   

หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 2 ☆ [15-Feb-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 18-02-2018 21:29:25
Episode 3 part1

 
        คืนนั้นทั้งคืน เวลาที่ควรจะใช้ไปกับการนอนหลับพักผ่อนของภูได้หมดไปกับการเปิดและปิดตู้เสื้อผ้า เครื่องแต่งกายตั้งแต่หัวจรดเท้าชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกนำออกมาลองและเก็บกลับเข้าไปดังเดิม เด็กหนุ่มนึกแปลกใจกับตนเองที่ไม่อาจพึงพอใจกับเสื้อผ้าที่มีอยู่ได้แม้แต่ชุดใดชุดหนึ่ง ทั้งที่ตอนซื้อมาเขาก็คัดแล้วคัดอีก เลือกจนมั่นใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าถูกใจทั้งสิ้น แต่พอมาถึงตอนนี้กลายเป็นว่าชุดนั้นก็ดูเยอะไป ชุดนี้ก็ดูทางการเกินไป ข้อติมากมายผุดขึ้นมาไม่หยุดหย่อนราวกับน้ำผุดจากตาน้ำพุ จนกระทั่งย่างเข้ารุ่งสางฟ้าสว่างคาตา ภูโยนเสื้อตัวสุดท้ายที่หยิบออกมาจากในตู้ทิ้งไปยังเบื้องหลังพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยอมแพ้กับความอ่อนเพลียทั้งร่างกายและสมอง ตั้งใจจะพักสายตาสักครู่ค่อยเริ่มใหม่ พลันหูก็แว่วได้ยินเสียงใครบางคนเรียกจากนอกหน้าต่าง เด็กหนุ่มแหงนหน้าชะเง้อมองออกไปและพบกับกรรณที่ยืนจ้องเข้ามาจากระเบียงอีกฝั่ง หล่อเหลาเหมือนประติมากรรมเช่นเคย แถมยังดูสดชื่นเหมือนคนพักผ่อนเต็มที่ ความสดใสที่แผ่ออกมายิ่งทำให้ภูรู้สึกว่าตัวเองทรุดโทรมเหมือนป้ายรถเมล์เก่าๆ

        “ตื่นเช้าเหมือนกันนี่” กรรณร้องทักเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสังเกตเห็นตนแล้ว

        “อือ” ภูพยักหน้าตอบ คิดเอาเองว่าให้กรรณเข้าใจไปแบบนั้นน่าจะดีกว่ารู้ความจริงว่าตนมัวแต่ตื่นเต้นจนไม่ได้นอนทั้งคืน

        “ตกลงวันนี้ว่างหรือเปล่า?” กรรณถาม ก่อนจะขยายความคำถามอีกครั้งเมื่อไม่มีการตอบสนองจากเด็กหนุ่มผู้ที่สมองกำลังมึนงงจากการอดหลับอดนอน “ได้อ่านข้อความที่ฝากให้ไว้ในถุงแล้วใช่มั้ย?”

        “อ๋อ สิบโมง” ภูแสร้งทำเหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วนี่คือเรื่องเดียวที่วนเวียนอยู่ในจิตใต้สำนึกมาตลอดทั้งคืน

        “ใช่ สิบโมง อย่าลืมล่ะ มารอหน้าบ้านพี่เลยก็ได้”

        “แล้วพี่จะพาผมไปไหนอ่ะ?” ภูถาม คาดหวังว่าคำตอบที่ได้คงจะช่วยให้ตัดสินใจเรื่องการแต่งตัวได้ง่ายขึ้น

        “เดี๋ยวรู้เองน่ะ” กรรณอมพะนำไม่ยอมบอก “ไม่ได้พาไปฆ่าหรอก”

        “ใครจะไปรู้ จับส่งตำรวจก็ทำมาแล้วนี่” ภูบ่นพึมพำ สุดท้ายก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี

        กรรณแค่นหัวเราะฝืดๆ ทำเป็นขำกับคำเสียดสีของเด็กหนุ่ม ก่อนจะเดินหายกลับเข้าไปในตัวบ้าน ภูมองนาฬิกา เหลืออีกแค่สามชั่วโมงก็จะถึงเวลานัด หากงีบหลับตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่ามันจะไม่ยาวไปยันบ่ายสาม คงเป็นการดีกว่าถ้าจะหาอะไรทำฆ่าเวลาจนกว่าจะถึงสิบโมง อาจจะเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือ หรืออาบน้ำให้ตาสว่าง นั่นเป็นความคิดที่ดี เด็กหนุ่มหยิบผ้าเช็ดตัวและตรงดิ่งเข้าห้องน้ำ สายน้ำเย็นจากฝักบัวช่วยได้มากในเรื่องการปลุกประสาทสัมผัสให้ร่างกายกระปรี้กระเปล่าขึ้น แต่ยังไม่เต็มร้อย หลังอาบน้ำเสร็จเขาตัดสินใจพึ่งตัวช่วยอย่างเช่นคาเฟอีน แม่ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตกที่เห็นลูกชายผู้มีลิ้นอ่อนไหวต่อรสขม กินไม่ได้แม้กระทั่งชาเขียว ที่บัดนี้กำลังนั่งซดกาแฟดำเหมือนน้ำเปล่าอยู่ในครัว สีหน้าดูทรมานแต่มุ่งมั่น

        “ผีอะไรเข้าสิงล่ะเนี่ย ตื่นแต่เช้าเองได้ไม่ต้องให้ใครปลุกก็ว่าแปลกแล้วนะ นี่ยังมานั่งกินกาแฟอีก” แม่ถาม

        “โตแล้วไงครับ คนเราต้องมีการเปลี่ยนแปลงนะแม่” ภูวางท่าใหญ่โตเหมือนผู้บรรลุแล้วซึ่งสัจธรรม

        “โตซะมั่งก็ดี กลัวจะโตแต่ตัวน่ะสิ” แม่พ่นลมออกจากปาก สีหน้าดูขบขัน “แล้ววันนี้ไม่มีเรียนหรือไง?”

        “อ่า… ไม่มีครับ” ภูอ้อมแอ้มโกหกไป ทั้งที่ความจริงตารางเรียนแน่นตั้งแต่เช้าจรดค่ำ

        แม่ไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียงอะไรต่อ ภูรีบหลบกลับขึ้นมาบนห้องนอนของตัวเองก่อนที่จะโดนจับพิรุธได้ ในสองชั่วโมงที่เหลือนั้นเด็กหนุ่มตะลึงพรึงเพลิดไปกับฤทธิ์เดชของคาเฟอีนเข้มข้นที่กำลังไหลเวียนในกระแสเลือด เหมือนมีพลุระเบิดอยู่ในหัว ร่างกายตื่นตัวจนอยู่ไม่สุข งานบ้านต่างๆ ซึ่งไม่เคยหยิบจับในยามปกติถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือฆ่าเวลา ตั้งแต่เก็บกวาดข้าวของที่รกเต็มห้องจนเป็นระเบียบ ซ้ำยังปัดฝุ่นเช็ดถูซะเรี่ยม ภูมองดูผลงานของตัวเองอย่างปลาบปลื้ม ห้องไม่เคยสะอาดแบบนี้มาหลายปีแล้วนับตั้งแต่แม่โยนหน้าที่การทำความสะอาดห้องมาให้เขารับผิดชอบเอง แต่ถึงกระนั้นพลังแห่งกาแฟดำยังไม่เจือจางลงเลยแม้แต่น้อย หากไม่ติดว่าเหลืออีกเพียงสิบห้านาทีก็จะถึงเวลานัด ห้องพ่อกับแม่คงจะสะอาดเอี่ยมเป็นที่ถัดไป

        ด้วยมัวแต่เพลิดเพลินกับการทำงานบ้านจนลืมเสียสนิทว่ายังหาชุดใส่สำหรับวันนี้ไม่ได้ หลังอาบน้ำเสร็จภูจึงตัดสินใจแต่งตัวด้วยเครื่องแบบอันเป็นที่ยอมรับจากสากลโลก เข้ากันได้กับทุกที่ทุกโอกาส ชุดนักศึกษานั่นเอง เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวพอดีตัวถูกหยิบออกมาสวมใส่คู่กับกางเกงยีนสีอ่อนขาเดฟ เขาพับแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความคล่องตัวและลดความเป็นทางการลง หลังจากเช็คภาพตัวเองที่เห็นในกระจกจนมั่นใจว่าทุกอย่างดูดีแล้วจึงค่อยออกจากบ้าน ทางสะดวกปลอดคนเหมือนรู้เห็นเป็นใจให้เด็กหนุ่มหนีเที่ยว พ่อออกไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้วส่วนแม่กำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ในครัว ภูส่งเสียงบอกให้ผู้ปกครองรู้ว่าตนกำลังจะออกไปข้างนอกก่อนจะสวมรองเท้าผ้าใบแล้วรีบเผ่นออกจากบ้านมาโดยไม่รอฟังคำอนุญาต

        แสงแดดยามสายเสียดแทงดวงตาอันเหนื่อยล้าจากการอดนอน ภูหรี่ตาหลบแสงจนแทบปิดขณะเดินออกจากบ้านและพาตัวเองมุ่งไปยังที่อันเป็นจุดนัดพบ กรรณยืนรออยู่ตรงนั้นแล้ว ร่างสูงเด่นเป็นสง่าสวมเสื้อยืดสีขาวแล้วทับด้วยแจ๊กเก็ตหนังกลับสีน้ำตาลเข้ม กางเกงยีนแบบเข้ารูปยิ่งทำให้ขายาวสมส่วนของเขาดูดีขึ้นอีกหลายเท่า ทั้งหมดทั้งมวลเป็นภาพที่ดูแล้วลงตัวไปหมดทุกอย่างราวกับถูกออกแบบจัดวางมาแล้ว แสงแดดไม่อาจบดบังรัศมีอันดึงดูดสายตาที่เจิดจ้าออกมาจากตัวของเขาได้เลย ตรงเวลาเป็นบ้า... ภูคิดในใจขณะเร่งฝีเท้าเดินตรงเข้าไปหาอีกฝ่าย

        “มาสายนะ” กรรณบ่นพร้อมกับชี้ที่นาฬิกาข้อมือ

        “โห ห้านาทีเองเหอะ” ภูโอด

        “แล้วนี่เป็นอะไร เดินตาปิดมาเชียว”

        ไม่พูดเปล่า กรรณยื่นมือมาปัดเส้นผมที่ปรกหน้าของภูอยู่ออกแล้วก้มลงมาเพื่อจะดูให้ชัดๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับดวงตา ภูซึ่งตั้งตัวไม่ทันผงะถอยออกด้วยความตกใจ ปฏิกิริยานั้นทำให้อีกฝ่ายคล้ายจะชะงักไปครู่หนึ่ง

        “ไม่เป็นไรครับ แดดมันแรง ผมแสบตา” ภูบอกพลางหันหน้าหนีด้วยไม่มั่นใจว่าที่ใบหน้าร้อนขึ้นมาวูบวาบมันเพราะเปลวแดดหรือเลือดในกายมันสูบฉีดจากการเผลอสบตาอีกฝ่ายในระยะประชิด

        “ไม่ค่อยออกมาเจอแดดล่ะสิท่า พวกคุณหนูตัวขาวอมชมพู” กรรณพูดน้ำเสียงล้อเลียน “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว รีบไปกันเถอะ”

        ภูพยักหน้าตกลงตามนั้น กรรณหยิบของที่วางหลบแดดเอาไว้ข้างประตูรั้วออกมาและส่งให้ภู มันเป็นกระเป๋าใส่ขาตั้งกล้องและอุปกรณ์ถ่ายภาพอื่นๆ ส่วนตัวเขาเองสะพายกระเป๋าใส่กล้องใบใหญ่ไว้ข้างกาย แรกเริ่มภูยังคงมึนงงทั้งจากการอดหลับอดนอนและความเร่งรีบจนไม่อาจประติดประต่อทุกอย่างได้ทัน ได้แต่หิ้วของพะรุงพะรังตามหลังอีกฝ่ายขึ้นแท๊กซี่ไป จนกระทั่งทั้งสองเดินทางมาจนถึงอาคารสำนักงานของบริษัทผู้ผลิตอาหารรายใหญ่เจ้าหนึ่งของประเทศไทย กรรณพาภูขึ้นลิฟท์มายังชั้นยี่สิบซึ่งทั้งชั้นเป็นห้องสตูดิโอโล่งๆ เมื่อเข้ามาข้างในเขาก็แยกตัวเดินไปคุยกับกลุ่มคนที่นั่งรออยู่ก่อนหน้าแล้ว พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งกรรณก็ผายมือชี้มาทางภูซึ่งนั่งรออยู่ แล้วคนที่เหลือก็พยักหน้าคล้ายกับพึงพอใจ

        “นี่เรามาทำอะไรที่นี่อ่ะครับ?” ภูทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวรีบถามออกไปทันทีที่อีกฝ่ายเดินกลับมา เนื่องด้วยสถานการณ์ตอนนี้ดูละม้ายคล้ายว่าตนกำลังตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์

        “คืออย่างนี้… พอดีนายแบบที่ทางทีมงานติดต่อมาถ่ายงานในวันนี้เกิดอุบัติเหตุจนต้องขอยกเลิกงานกะทันหัน” กรรณเริ่มอธิบาย

        “แล้ว?” ภูยังไม่เข้าใจ

        “ทางลูกค้าเค้าก็เลยถามมาว่าพี่พอจะมีนายแบบมาถ่ายงานแทนมั้ย” ชายหนุ่มอธิบายต่อ “พี่ก็เลยพานายมา”

        “ไม่ถงไม่ถามสุขภาพกันซักคำ” ภูบ่นอุบ “ไม่เอาอ่ะพี่ ผมไม่เคยทำ ทำไม่ได้หรอก”

        “ไม่ยากหรอกน่า นั่งรอตรงนี้นะ เดี๋ยวพี่บอกให้ทำอะไรก็ทำ” เขาสั่งขณะรับกระเป๋าใส่อุปกรณ์คืนจากภู

        กรรณสาละวนจัดแสงและปรับตั้งค่ากล้องอยู่ไม่นานก็กวักมือเรียกภูให้เข้าไปด้านใน เด็กหนุ่มอิดออดในตอนแรกด้วยไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าดุใส่ก็จำใจต้องทำตามคำสั่ง เขาเดินเข้าไปนั่งยังเก้าอี้ที่จัดเอาไว้ตรงกลางเซ็ทไฟ บรรดาทีมงานคนอื่นๆ กรูกันเข้ามาจัดแจงผมเผ้าและใบหน้าให้ ด้วยผิวหน้าที่หมดจดอยู่แล้วการแต่งหน้าจึงไม่ต้องการความปกปิดอะไรมาก เพียงแค่ให้รับกับแสงที่จัดเอาไว้สำหรับการถ่ายทำ ผมยาวระต้นคอของภูถูกจัดทรงให้ดูมีสไตล์มากขึ้น ส่วนเรื่องเสื้อผ้า ทุกคนมีความเห็นตรงกันว่าชุดนักศึกษาที่ใส่มานั้นโอเคแล้ว ตรงกับคอนเซปต์ หลังจากกระบวนการเตรียมตัวนายแบบเสร็จสิ้น กรรณก็ส่งเครื่องดื่มอันเป็นสินค้าที่จะใช้ถ่ายในงานนี้ให้หนึ่งขวด

        “นั่งจิบไปเรื่อยๆ ไม่ต้องสนใจพี่ คิดซะว่ากำลังนั่งอยู่คนเดียวในบ้าน แต่พยายามให้ด้านหน้าของโปรดักส์หันมาทางกล้องตลอดนะ” กรรณบอกแล้วเดินไปยืนรออยู่หลังกล้อง

        “ผมไม่ค่อยหิว” ภูกินอะไรไม่ลงเมื่อต้องนั่งอยู่ท่ามกลางแสงไฟ โดนกล้องจ่อประชิด แถมยังมีคนแปลกหน้าอีกฝูงใหญ่นั่งจ้องอยู่ห่างๆ แบบนี้

        “กินไปเหอะน่า แค่น้ำอัดลม ไม่ได้วางยาหรอก หรือจะให้เข้าไปป้อน” กรรณตั้งท่าจะเดินเข้ามาทำตามที่พูด

        ได้อย่างนั้นก็ดีสิ... ภูนึกในใจ และพลันตระหนักได้ว่ามาถึงขนาดนี้แล้วถึงจะขัดขืนดึงดันไปก็คงไม่มีประโยชน์ รีบทำรีบเสร็จดีกว่าจะได้รีบไปให้พ้นๆจากสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนนี่เสียที เด็กหนุ่มยกขวดขึ้นมามองสำรวจผ่านปากขวดก่อนจะยกขึ้นจิบไปหนึ่งอึก รสชาติไม่เลวร้าย แถมความรู้สึกซาบซ่าที่ลิ้นยังช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้น เสียงรัวชัตเตอร์ดังมาเข้าหูให้วอกแวกเป็นระยะๆ แต่นายแบบจำเป็นก็ทำตามคำแนะนำที่ได้รับมาคือไม่สนใจความเคลื่อนไหวใดๆ รอบตัว จินตนาการว่ากำลังนั่งอยู่คนเดียวในห้อง มือยกขวดสินค้าขึ้นลงอย่างประดักประเดิดตามที่ตากล้องสั่งกำกับ เพียงไม่นานทุกอย่างก็เสร็จสิ้น ตากล้องหนุ่มหยุดถ่ายแล้วเดินมาบอกให้ภูกลับไปนั่งรอที่เดิมตรงมุมห้อง ทีมงานอีกคนนำเอกสารบางอย่างมาให้ภูเซ็นชื่อก่อนจะนำกลับไปโดยที่เขายังไม่ทันได้อ่านเนื้อหาข้างใน
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 2 ☆ [15-Feb-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 18-02-2018 21:43:28
Episode 3 part2


       เหตุการณ์ต่อจากนั้นคือกรรณเดินหายออกไปพร้อมกับคนกลุ่มนั้น ปล่อยให้ภูนั่งรออยู่คนเดียวในสตูดิโอ การรอคอยเพิ่มระยะเวลายาวนานขึ้นเรื่อยๆ จากนาทีเป็นชั่วโมง จนย่างเข้าสองชั่วโมง เด็กหนุ่มกระสับกระส่ายที่ถูกปล่อยทิ้งไว้คนเดียว คอยแต่ชะเง้อมองหาอยู่ตลอด จนเมื่อเริ่มทำใจได้ว่าวันนี้คงจะต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดทั้งวันเสียแล้ว กรรณก็เดินยิ้มร่ากลับเข้ามาและจัดการเก็บอุปกรณ์ทั้งหลายที่นำมากลับเข้ากระเป๋า

       “อยากกลับไวก็มาช่วยกันเก็บหน่อยสิ” กรรณหันไปบอกกับเด็กหนุ่มผู้กำลังนั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตรงมุมห้อง

       “สรุปว่านี่เหรอคือทั้งหมดของวันนี้?” ภูถามเสียงเบื่อหน่าย

       “สำหรับเรื่องงานก็เท่านี้แหละ ต่อไปก็ว่างแล้ว เดี๋ยวไปหาอะไรกินกัน พี่เลี้ยงเอง” กรรณตอบพร้อมกับยักคิ้วให้

       แหงล่ะ ลองไม่เลี้ยงสิ พวกใช้แรงงานเด็ก… ภูนึกในใจ ยังโมโหไม่หายที่ถูกทำให้หลงคิดไปเองว่านัดวันนี้จะเป็นเดทแรกในชีวิต อุตส่าห์อดหลับอดนอนเลือกเสื้อผ้าทั้งคืน ซดกาแฟจนใจสั่น สุดท้ายกลับกลายเป็นโดนหลอกมาใช้งานเสียอย่างนั้น กรรณใช้เวลาไม่นานก็เก็บของเสร็จ เขาโยนกระเป๋าใบเดิมให้ภูถือ เด็กหนุ่มถลาเข้ามารับจนเกือบล้ม พยายามสะกดกลั้นตัวเองอย่างเต็มที่ไม่ให้โผเข้าขย้ำคออีกฝ่าย ด้วยเหลือทนกับพฤติกรรมขยันทำตัวชวนให้เข้าใจผิดแบบนี้ เรื่องขอขึ้นห้องนอนก็ทีหนึ่ง ผ่านไปไม่ทันจะครบยี่สิบสี่ชั่วโมงก็เอาอีกรอบแล้ว ไหนจะท่าทีเป็นทองไม่รู้ร้อน เหมือนไม่รู้ตัวว่าได้ทำเรื่องร้ายแรงต่อความรู้สึกชาวบ้านเขาลงไปแบบนี้อีก

       ต้องขอบคุณรถไฟฟ้ามหานครที่ทำให้ทั้งสองมีหนทางหนีการจราจรที่ติดขัดย่านสุขุมวิทจนมาถึงศูนย์การค้าใหญ่ที่ใกล้ที่สุดได้ในเวลาไม่กี่นาที เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายคำว่าเลี้ยงข้าว แน่นอนสิ่งแรกที่ภูนึกถึงคือร้านอาหารดีๆ ทั้งหลาย ซูชิ สุกี้ ชาบู เนื้อย่าง และสารพันบุฟเฟต์ต่างๆ ผุดขึ้นมาเต็มหัว ภารกิจล้มทับให้หมดตัวเพื่อชำระแค้นถูกแพลนขึ้นมาเป็นฉากๆ แต่นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ความผิดหวังมาเยือน เมื่อหลังจากถูกพาเดินเตร่ในห้างอยู่พักใหญ่ สิ่งที่พบเจอในเวลาต่อมาคือกรรณยื่นถุงกระดาษใส่แฮมเบอร์เกอร์ของแมคโดนัลด์ให้

       “แค่เนี้ย!” ภูโวยลั่น

       “มีเฟรนช์ฟรายด้วยนะ” กรรณตอบหน้าตาเฉย

       “เอาผมมาถ่ายงาน ค่าตัวแค่เบอร์เกอร์กับเฟรนช์ฟรายเนี่ยเหรอ?” ภูชูถุงใส่หน้าอีกฝ่าย โดนหลอกมาทำงานยังไม่น่าช้ำใจเท่ารู้ว่าค่าตัวตัวเองเท่ากับอาหารขยะ “ไหนเค้าบอกว่างานพวกนี้รายได้ดีไง”

       “นายแบบหน้าตาบูดบึ้งน่ะเรียกร้องค่าตัวมากไม่ได้หรอกนะ” กรรณยู่หน้าจนย่นล้อเลียนภู “ถ่ายไปร้อยกว่ารูป มีใช้ได้อยู่หยิบมือเดียว นอกนั้นหน้าตาเหมือนเด็กโดนแม่จับได้ว่าสอบตก”

       ภูหน้าแดง ส่วนนึงเพราะอายที่โดนล้อ และอีกส่วนหนึ่งคือการได้เห็นกับตาว่าหนุ่มรุ่นพี่คนนี้ไม่ว่าจะพยายามทำหน้าตาให้ตลกหรือกวนโมโหแค่ไหนก็ยังดูดีได้อยู่ ถัดจากนั้นไม่กี่นาที ภูก็เริ่มรู้สึกวิงเวียนศรีษะขึ้นมานิดหน่อย เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงความอ่อนเพลียที่คืบคลานกลับเข้ามาปกคลุมร่างกายอีกครั้ง อาจจะเพราะคาเฟอีนที่โด๊ปมาเมื่อเช้าเริ่มหมดฤทธิ์ เขาเซไปวูบหนึ่งจนต้องพาตัวเองเข้าหาข้างทางเพื่อหลักยึดเกาะ

       “เป็นอะไร หน้ามืดเหรอ?” กรรณสังเกตเห็นความผิดปกติ เขารีบเดินเข้ามาพยุงแขนเอาไว้และคว้ากระเป๋าอุปกรณ์ที่ภูสะพายอยู่มาถือไว้เอง

       “ครับ” ภูพยักหน้า เดิมทีอาการหน้ามืดก็หนักหนาพอแล้ว นี่ยังต้องมาใจเต้นรัวจากไออุ่นและกลิ่นน้ำหอมที่โชยมาจากร่างกายของอีกฝ่ายที่เข้ามาแนบชิดอีก อานุภาพมันรุนแรงจนทำให้ขาทั้งสองข้างแทบจะหมดแรงทรงตัวเลยทีเดียว

       “พี่พานายออกไปข้างนอกดีกว่า ในนี้คนเยอะ อากาศก็ไม่ค่อยถ่ายเท”

       กรรณพยุงภูพาเดินออกไปข้างนอก ภูได้แต่ปล่อยตัวเองให้ไหลไปตามการนำของอีกฝ่ายอย่างไร้แรงต้านทาน เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะพาตนไปที่ไหน ทั้งยังไม่สนใจที่จะรู้ เด็กหนุ่มรับรู้ว่าตนออกจากห้างสรรพสินค้าแล้วเมื่อสัมผัสได้ว่าความเย็นจากเครื่องปรับอากาศหายไป และมีลมเบาๆ โชยมาแทน ยิ่งก้าวเดินต่อเสียงรถราและผู้คนก็ยิ่งฟังดูคล้ายอยู่ห่างออกไปเรื่อยๆ เมื่อได้มาอยู่ในที่เปิดโล่งและอากาศปลอดโปร่ง อาการโดยรวมก็เหมือนจะดีขึ้นมาก จะเหลือก็เพียงแค่หัวใจที่ยังคงเต้นรัวไม่หยุดเมื่อรับรู้ได้ว่าอ้อมแขนของอีกฝ่ายยังคงเกาะกุมประคองตัวเขาไว้ไม่ยอมปล่อยจนกระทั่งทิ้งตัวเอนหลังลงสัมผัสกับพื้นหญ้า ไอเย็นลอยตามสายลมมาปะทะใบหน้า ภูปรือตาขึ้นมองบรรยากาศที่โอบล้อมอยู่รอบตัว ทั้งสองอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ริมบึงน้ำ คงเป็นสวนสาธารณะข้างๆ ห้างที่เดินผ่านตอนลงจากรถไฟฟ้าสินะ… เขาคิด ในที่สุดแม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่กรรณก็ทำอะไรที่ใกล้เคียงกับการเดทเสียที

       “ดีขึ้นไหม?” กรรณซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ โน้มตัวก้มลงมาถามเสียงเกือบจะกระซิบ

       ภูพยักหน้าแทนคำตอบ เลือดสูบฉีดขึ้นหน้าอีกครั้งเมื่อเห็นใบหน้าอีกฝ่ายมาจ่อประชิดจนจมูกแทบจะชนกัน

       “หน้ายังแดงอยู่เลย เดี๋ยวรอตรงนี้ พี่ไปหาซื้อยาดมให้” กรรณตั้งท่าจะลุกออกไป แต่ภูยกแขนขึ้นฉวยข้อมือเอาไว้

       “ไม่เป็นไรแล้วครับ ผมดีขึ้นเยอะแล้ว” ภูตอบ ใจนึกอยากให้ความคิดของตัวเองมีเสียง กรรณจะได้รู้เสียทีว่าอาการหน้าแดงนี้เกิดจากอะไร และมันคงรักษาไม่ได้ด้วยยาดม

       “ไม่เป็นไรแล้วแน่นะ?” กรรณถามย้ำเพื่อความมั่นใจ

       “อืม แค่อยู่ตรงนี้ไปก่อนก็พอ”

       เมื่อได้มานั่งอยู่ตามลำพังสองต่อสอง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูแตกต่างออกไป ความวุ่นวายและเรื่องน่าหงุดหงิดต่างๆ ที่พบเจอมาตั้งแต่ช่วงเช้าดูริบหรี่เลือนรางราวกับไม่เคยเกิดขึ้น ความกังวลสารพัดอันเกาะกุมใจอยู่ได้คลี่คลายออก ภูหลับตาและสูดอากาศบริสุทธิ์อันเจือไปด้วยละอองน้ำเย็นชื้นที่ลมพัดพามาเข้าไปเต็มปอด เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นหนึ่งครั้ง กรรณหยิบกล้องออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบและตอนนี้เขากำลังใช้มันถ่ายภาพบึงน้ำของสวนสาธารณะที่อยู่เบื้องหน้า

       “พี่เป็นช่างภาพเหรอ?” ภูถามเพื่อความแน่ใจ แม้ทุกสิ่งที่ได้เห็นจะยืนยันคำตอบได้อยู่แล้ว

       “มืออาชีพเลยล่ะ” กรรณตอบก่อนจะวางกล้องลงแล้วเอนตัวลงนอนตะแคงหันมาทางภู เด็กหนุ่มต้องใช้ความพยายามอย่างมากทีเดียวที่จะสะกดกลั้นไม่ให้ตัวเองหน้าแดงขึ้นมาอีกรอบ

       “ทำมานานเท่าไหร่แล้ว?” ภูถามต่อ

       “ก็เริ่มมาตั้งแต่มัธยม เป็นงานอดิเรก ถ่ายส่งประกวดไปเรื่อย จนโชคดีชนะได้ทุนไปเรียนต่อสาขาศิลปะการถ่ายภาพที่อเมริกา แล้วก็ได้ใช้วิชาที่เรียนมาแบบจริงจังตอนไปฝึกงานกับนิตยสาร พอเรียนจบก็ทำงานเป็นช่างภาพที่นั่นต่อจนกระทั่งกลับมานี่แหละ”

       ภูฟังเส้นทางชีวิตของอีกฝ่ายแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกเทียบกับของตัวเอง กรรณวางแผนอนาคตตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆ เขารู้ว่าตัวเองชอบอะไรและไม่รีรอพาตัวเองไปให้ถึงจุดสูงสุดของเส้นทางนั้น ในขณะที่ภูนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองชอบหรือสนใจอะไร เขาเข้าเรียนคณะสถาปัตย์กรรมก็เพราะสาลี่ชวน จริงอยู่ที่การสอบผ่านเข้ามาเรียนได้ก็อาจจัดเป็นหลักฐานยืนยันว่าเขาพอมีฝีมือทางด้านงานศิลปะอยู่บ้าง แต่ก็ยังห่างไกลกับคำว่าพรสวรรค์ อีกทั้งผลงานที่สร้างสรรค์ออกมาก็ดูธรรมดาสามัญเกินกว่าจะใช้ชูโรงทำมาหากิน

       กรรณยกกล้องขึ้นถ่ายอีกครั้งเมื่อเห็นแมวสีเทากระโดดขึ้นเกาะปีนต้นไม้ เมื่อลั่นชัตเตอร์เสร็จก็ส่งให้ภูดูผลงาน สมกับราคาคุยที่ว่าเป็นมืออาชีพ ขนาดว่าถ่ายโดยไม่ได้จัดแสงภาพที่ได้ยังออกมาดูดี เป็นภาพถ่ายที่เปี่ยมไปด้วยมุมมองอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจนเด็กหนุ่มอดรู้สึกขึ้นมาไม่ได้ว่าเคยผ่านตาผลงานแบบนี้มาจากที่ไหนสักที่ หากแต่สมองที่ล้าจากการอดหลับอดนอนไม่มีศักยภาพพอจะระลึกย้อนไปถึงได้

       “ที่นี่ไม่ค่อยมีคนเข้ามาเลยเนอะ” ภูพูดขึ้นหลังจากสังเกตเห็นว่าเขาและกรรณแทบจะเป็นแขกผู้มาเยือนเพียงกลุ่มเดียวของสวนสาธารณะแห่งนี้

       “นั่นสินะ” กรรณเห็นด้วย

       “ทั้งที่อยู่กลางเมือง อยู่ติดกับศูนย์การค้าที่มีคนพลุกพล่านแท้ๆ”

       “คนสมัยนี้ติดการอยู่ห้องแอร์ซะจนคิดว่าอากาศข้างนอกร้อนเกินไป” กรรณแสดงความคิดเห็น “เพราะงั้นพวกเขาจะมาเดินในสวนให้เหงื่อออกทำไม ในเมื่อมีห้างติดแอร์ให้เดิน”

       “แล้วพี่ไม่ชอบเดินห้างหรือไง?” ภูย้อนถามกลับ

       “ไม่นะ ถ้าจะไปคือต้องมีธุระ” กรรณตอบ “อย่างวันนี้ที่มาก็เพราะพานายมาเฉยๆ”

       “ผมก็ไม่ชอบเดินห้าง” ภูพูดถึงตัวเองบ้าง

       “ทำไมล่ะ เด็กวัยรุ่นแบบนายส่วนมากเค้าชอบกันไม่ใช่เหรอ?”

       “ไม่ใช่ผมคนนึงล่ะ” ภูส่ายหน้า “แบบนี้ดีกว่าเยอะเลย”

       “เด็กประหลาด” กรรณยิ้มน้อยๆ “แล้วจะนอนอยู่แบบนั้นหรือไง? เดี๋ยวเสื้อนักศึกษาก็เลอะหมดหรอก”

       “ไม่เป็นไรหรอกครับ” ภูหลับตา “อยู่กันแบบนี้อีกสักพักเถอะ”

       กรรณไม่ตอบรับหรือพูดอะไรต่อ เขาเพียงแค่เอนหลังลงนอนราบกับพื้นตามภู เด็กหนุ่มเอียงคอหันไปมองและพบว่าอีกฝ่ายกำลังหลับตาอยู่ มือของเขาหงายแบลงบนผิวหญ้า จะเป็นอะไรไหมนะถ้าเขายื่นมือออกไปจับมันเอาไว้ ภูเขยิบมือเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนปลายนิ้วสัมผัสโดนมือข้างนั้น จงใจให้ดูคล้ายเป็นความบังเอิญพลางหยุดดูท่าที กรรณยังคงนิ่งไม่ขยับหลีกหนี นัยน์ตาคู่นั้นยังปิดอยู่เหมือนเดิมราวกับไม่รับรู้ถึงการถูกเนื้อต้องตัว ได้คืบต้องเอาศอก จากเพียงแตะเมื่อครู่ คราวนี้ภูใช้นิ้วเรียวยาวของตนขยับขึ้นเกาะกุมฝ่ามือชายหนุ่มเอาไว้ ในแวบแรกมันเหมือนเป็นการกระทำเพียงฝ่ายเดียว แต่เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา นิ้วของกรรณก็ตอบสนองต่อสัมผัสด้วยการขยับเข้าโอบกระชับมือของเขาเอาไว้ มือทั้งสองข้างโอบกอดกันแนบสนิท ไม่แน่นจนน่าอึดอัดแต่ก็ไม่หละหลวมจนดูไม่เจตนา แรงกระชับเกิดขึ้นเป็นจังหวะคล้ายการบีบนวด เป็นสัมผัสที่พอดีและน่าพึงใจ ชวนให้เด็กหนุ่มผู้ซึ่งไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ทางกายกับใครเช่นภูเพลิดเพลินไปกับมันด้วยได้อย่างง่ายดาย

       ไม่มีอะไรมากเกินไปกว่านั้น มือของทั้งสองยังคงเกาะกุมกันไว้ในท่าเดิมจนกระทั่งอารมณ์อันแสนจะพลุ่งพล่านในตอนแรกของภูเริ่มสงบลงตามบรรยากาศรอบข้าง หูของเด็กหนุ่มเพลิดเพลินไปกับเสียงลมพัดใบไม้ไหวในขณะที่สองตาจับจ้องมองดูก้อนเมฆสีขาวที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่บนท้องฟ้า เป็นความนิ่งสงบอันเนิบนาบและเนิ่นนาน ภูซึ่งฝืนสังขารอดหลับอดนอนมาจนถึงขีดสุดได้ปล่อยตัวเองให้ผ่อนคลายจนเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น กว่าจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกที ก็ย่างเข้าสู่ช่วงเย็นจนเกือบจะพลบค่ำแล้ว เขารีบหันไปดูข้างตัว บรรดาสัมภาระเครื่องมือทำงานของกรรณยังอยู่ที่เดิมหากแต่ชายผู้เป็นเจ้าของได้เปลี่ยนอิริยาบถจากนอนเป็นนั่ง ภูก้มลงมองดูที่มือของตัวเองแล้วรู้สึกไม่แน่ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มือของทั้งคู่ที่เกาะกุมกัน มันเกิดขึ้นจริงหรือเป็นแค่ละอองแห่งความฝันอันเกิดจากสัมปชัญญะที่กำลังจะหลุดลอย

       “นอนกินบ้านกินเมือง” กรรณว่าเข้าให้เมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมตื่นขึ้นมาเสียที

       “คำทักทายเวลาคนอื่นเค้าเพิ่งตื่นมันควรเป็นอรุณสวัสดิ์ไม่ใช่เหรอ?” ภูบิดขี้เกียจแก้เก้อพลางจัดผมเผ้าให้เข้าที่

       “นี่มันสายัณห์แล้วมั่งเถอะ” กรรณชี้ไปบนฟ้า “ดาวจะโผล่มาทิ่มหัวอยู่แล้ว”

       “แล้วทำไมไม่ปลุก?” ภูยิ้มแหย รู้สึกอายขึ้นมา

       “เห็นกรนซะลั่นสวน ท่าทางจะเพลียมาก ก็เลยปล่อยให้นอนดีกว่า” กรรณบอก “อีกอย่างวันนี้ก็ไม่มีเรื่องต้องไปไหนต่ออยู่แล้ว อยู่นี่ก็ดี อย่างน้อยก็ถ่ายรูปเล่นฆ่าเวลาได้”

       “เบื่อแย่” เด็กหนุ่มรู้สึกผิดขึ้นมาที่เผลอหลับไปจนทำให้อีกฝ่ายต้องรอจนเกือบครึ่งค่อนวัน

       “ตอนแรกก็เบื่อ แต่พอมีคนเริ่มละเมอ ก็หายเบื่อแล้ว” กรรณแกล้งพูดยั่ว

       “ละเมออะไร?” ภูหันขวับ “ผมละเมอด้วยเหรอ?”

       กรรณผงกหัวตอบรับ หน้าตาอมยิ้มเจ้าเล่ห์

       “ละเมอว่าอะไร?” ภูอยากรู้

       “ไม่บอกหรอก เก็บไว้ขำคนเดียวดีกว่า” กรรณไม่ยอมปริปาก ยิ่งยั่วให้อีกฝ่ายอยากรู้มากขึ้น

       “บอกมา!” ภูดึงดันจะเอาคำตอบให้ได้

       “พูดขอร้องเพราะๆ สิ แล้วจะบอก” กรรณยื่นเงื่อนไข

       “ฝันไปเถอะ ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก เก็บเอาไว้จนตายก็เอาใส่โลงไปด้วยเลยแล้วกัน” ภูเลิกตื้อ ถนอมศักดิ์ศรีตัวเองเอาไว้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็แอบกลัวเช่นกันว่าหากได้รู้แล้วจะอายยิ่งกว่าเดิม

       “อยากกลับรึยัง?” กรรณถามแล้วส่งมือมาให้ภูจับเป็นหลักพยุงตัวลุกขึ้น

       ภูลังเลอยู่ที่จะจับมือนั้น ด้วยไม่อยากให้สัมผัสที่จะเกิดขึ้นมากลายเป็นสิ่งยืนยันว่าความทรงจำอันเลือนรางก่อนจะผล็อยหลับไปเมื่อตอนกลางวันมันเป็นความจริงหรือมโนภาพ บางครั้งการอยู่กับความไม่แน่ใจก็ทำให้เป็นสุขยิ่งกว่า เหมือนความคลุมเครืออันแสนหวาน อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังมีสิทธิ์เลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ว่ามันเกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องถูกตรึงกับความเป็นจริงอย่างหนึ่งอย่างใดด้วยจำนนต่อสัมผัสพยาน

       เด็กหนุ่มยันตัวลุกขึ้นเอง กรรณเลิกคิ้วใส่เหมือนประหลาดใจแต่แล้วก็หันไปเก็บกระเป๋าอุปกรณ์ทั้งหลายของตนขึ้นจากพื้น เขาสะพายแบกมันทั้งหมดเอาไว้เองด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะยังไม่แข็งแรงพอจะหิ้วของหนัก อีกทั้งยังยืนกรานจะใช้บริการแท๊กซี่เดินทางกลับบ้าน โดยให้เหตุผลว่าไม่อยากให้ภูต้องไปแย่งอากาศหายใจกับคนอื่นบนขบวนรถไฟฟ้าที่ตอนนี้คงแน่นขนัดจากผู้คนที่เพิ่งเลิกงาน การจราจรติดขัดราวกับไฟแดงค้าง กว่าทั้งคู่จะมาถึงบ้านก็เกือบสามทุ่มแล้ว ถึงตอนนี้ภูเพิ่งนึกขึนได้ว่าตัวเองกำลังหิวโซ เนื่องจากตั้งแต่เช้านอกจากเครื่องดื่มที่ใช้ในการถ่ายงานแล้ว ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันตกถึงท้องเลย

       “อย่าลืมนี่สิ เอากลับไปด้วย คนเค้าอุตส่าห์เลี้ยงทั้งที” กรรณส่งถุงแฮมเบอร์เกอร์ที่ภูเกิดเป็นลมขึ้นมาก่อนจะได้กินเมื่อตอนกลางวันให้เมื่อทั้งสองลงมาจากรถเรียบร้อยแล้ว

       “ยังจะเก็บมาอีก เหี่ยวหมดแล้วมั้ง” ภูรับมาด้วยความเสียดาย

       “อย่าลืมกินล่ะ ข้างในมีเซอร์ไพรส์ด้วย” กรรณย้ำพร้อมกับขยิบตาให้ก่อนจะแยกเดินไปเข้าบ้านตัวเอง

       ภูไขประตูกลับเข้ามาในบ้าน ไฟในบ้านปิดมืด แม่คงออกไปหาอะไรกินข้างนอกกับพ่อเพราะเห็นว่าเขาไม่อยู่บ้าน เด็กหนุ่มรื้อค้นตู้เย็นจนทั่วก็ไม่เจออะไรที่พอจะประทังความหิวได้และเขาก็เหนื่อยเพลียจนเกินกว่าจะออกไปร้านสะดวกซื้อแล้ว ตอนนั้นเองที่ถุงใส่แฮมเบอร์เกอร์เย็นชืดดูมีคุณค่าขึ้นมาราวกับทองคำ เขาแกะถุงกระดาษแล้วล้วงเอาของที่อยู่ข้างในออกมาวางบนโต๊ะ จึงได้พบว่านอกจากแฮมเบอร์เกอร์กับมันฝรั่งทอดที่ตอนนี้สภาพเหมือนหญ้าเหี่ยวๆ แล้ว ในนั้นยังมีซองกระดาษอยู่อีกหนึ่งซอง เขารีบเปิดออกดู ภายในมีธนบัตรใบละหนึ่งพันบาทอยู่ปึกหนึ่ง ภูหยิบมันออกมานับทั้งหมดได้สามหมื่นห้าพันบาทพอดิบพอดี นอกจากนั้นยังมีกระดาษอีกหนึ่งแผ่นซึ่งมีลายมือหวัดๆ อันแสนคุ้นตาขีดเขียนอยู่ เด็กหนุ่มรีบคลี่มันออกอ่านด้วยความตื่นเต้น

       ค่าตัวสำหรับงานแรกในชีวิตของนายแบบหน้าบึ้ง ถ้ายิ้มซะมั่งลูกค้าคงให้เยอะกว่านี้ไปแล้ว

       ภูตกใจกับจำนวนเงินที่ได้รับ แน่นอนว่าเขาเคยได้ยินได้ฟังมาว่างานประเภทนี้นั้นรายได้ดี แต่ไม่คาดคิดว่าจะดีถึงขนาดนี้ เด็กหนุ่มพับเงินเก็บเข้ากระเป๋าสตางค์อย่างทะนุถนอม ขณะนั้นเสียงน้ำย่อยในท้องโครกครากราวกับเด็กน้อยร้องขออาหารก็ช่วยดึงสติให้หลุดจากความตื่นเต้นมาจดจ่อยังความหิวที่กำลังเผชิญ ภูก้มหน้าลงมองดูมันฝรั่งทอดสภาพเหมือนวัชพืชยืนต้นตายแล้วถอนหายใจ ก่อนจะกลั้นใจหยิบเข้าปากไปหนึ่งชิ้นหวังประทังความหิว รสเค็มของเกลือเจือกับความมันและกลิ่นดิบของมันฝรั่งแผ่ซ่านไปทั่วปาก อาจเพราะความหิวที่รุนแรงจึงทำให้อาหารอันเย็นชืดรสชาติไม่เลวร้ายเท่าที่คิด หลังจากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นสำหรับอาหารส่วนที่เหลือที่จะทยอยตามลงกระเพาะไปจนหมด

To be continued...
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 3 ☆ [18-Feb-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 19-02-2018 10:57:47
ตามจ้าาา
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 3 ☆ [18-Feb-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 19-02-2018 12:23:08
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 3 ☆ [18-Feb-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 19-02-2018 21:57:13
ตามจ้าาา

ขอบคุณครับที่ติดตาม ตอนต่อไปอีกไม่นานครับ กำลังตรวจทานอยู่
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 3 ☆ [18-Feb-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 19-02-2018 22:01:42
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ขอบคุณที่ร่วมติดตามนะครับ  :impress2:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 3 ☆ [18-Feb-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 22-02-2018 19:57:50
Episode 4 part1

     นับตั้งแต่วันที่กลับมาจากสวนสาธารณะ เวลาก็ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว เป็นหนึ่งสัปดาห์ที่ชีวิตของภูมีอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นหลายอย่างทีเดียว อย่างเช่นสมาชิกใหม่ของครอบครัว เมื่อกรรณกลายมาเป็นแขกประจำร่วมโต๊ะอาหารมื้อเย็นของบ้านเขา ตามคำเชิญของพ่อกับแม่ที่ดูจะหลงใหลได้ปลื้มกับเพื่อนบ้านหนุ่มคนนี้อย่างออกนอกหน้าจนลูกแท้ๆแบบภูแทบจะตกกระป๋อง ซึ่งเมื่อภูมาลองคิดดูแล้วก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะหากกรรณสามารถสร้างความประทับใจให้เขาได้ตั้งแต่แรกเจอ กับคนอื่นมันก็คงไม่ต่างกัน

     “ถามจริงเหอะแม่ ทำไมต้องให้เค้ามากินข้าวบ้านเราทุกวันด้วย?” ภูถามขึ้นในคืนหนึ่งหลังจากที่กรรณเพิ่งกลับบ้านตัวเองไป
     “ก็เค้าน่าสงสารออก อยู่ตัวคนเดียว ไม่ได้มีคนหาข้าวปลาให้กินแบบเธอนี่” แม่ตอบ ยามอารมณ์ดีบางครั้งแม่จะแทนตัวภูว่าเธอในการสนทนา “แล้วเค้าก็ชมด้วยว่าแม่ทำอาหารเก่ง”
     “ประจบสอพลอ” ภูเบ้ปาก มั่นใจมากว่าเหตุผลในการตัดสินใจของแม่ที่แท้จริงคือประโยคท้ายสุด “แล้วพ่อกับแม่เค้าไปไหนแล้วล่ะครับ”
     “พ่อเค้ารู้สึกจะเพิ่งเสียไปไม่กี่เดือน ก็นี่แหละสาเหตุที่เค้าย้ายกลับมาอยู่ไทย คงเพราะไม่มีใครดูแลแม่แล้ว”
     “แล้วตอนนี้แม่เค้าอยู่ที่ไหนล่ะ?” ภูถามต่อด้วยสงสัยว่าหากกรรณกลับมาดูแลแม่ แล้วทำไมเขาถึงอยู่บ้านนี้เพียงคนเดียว
     “ไม่รู้สิ แม่ไม่อยากถามเค้าเท่าไหร่ ไม่อยากยุ่ง” แม่ทำหน้าจริงจัง “เราก็อย่าไปถามพี่เค้าล่ะ เรื่องนี้มันค่อนข้างละเอียดอ่อนพอสมควร”
     “ละเอียดอ่อนยังไง?” ภูยิ่งสงสัยหนักขึ้นกับประวัติครอบครัวที่ดูจะลึกลับขึ้นในทุกขณะ
     “คุณแม่ของกรรณเค้าเป็นอัลไซเมอร์ ตอนนั้นที่เค้ากับสามีย้ายบ้านออกไปนั่นก็อาการหนักมากจนแทบจะจำอะไรไม่ได้แล้ว เห็นว่าย้ายไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดแต่แม่ก็ไม่รู้หรอกว่าจังหวัดไหน พี่เค้าเองกลับมาก็อยากจะไปดูแลแม่เอง แต่ก็ต้องจ้างพยาบาลทำแทนเพราะตัวเค้าต้องอยู่กรุงเทพทำงานหาเงิน ค่ายาแต่ละเดือนของแม่ก็ไม่ใช่น้อยๆ รายจ่ายรวมๆแล้วหนักเอาการ ความจริงทำงานอยู่ที่อเมริกาก็รายได้ดีกว่า แต่อยู่ไทยยังไงก็อุ่นใจกว่าว่าถ้ามีอะไรฉุกเฉินก็จะได้ไปถึงได้ทันท่วงที”
     “แม่รู้มาขนาดนี้แล้วยังกล้าพูดนะว่าไม่อยากยุ่งเรื่องเค้า” ภูกระเซ้าแม่ตัวเองถึงข้อมูลอันแน่นยิ่งกว่าแฟ้มข่าว
     “อันนี้เค้าเล่าให้ฟังเองหรอก เด็กบ้านี่” แม่ฟาดเข้าที่แขนลูกชายตัวแสบดังเพี๊ยะก่อนจะพูดต่อ “ก็นี่แหละ แม่ก็เลยชวนให้เขามาทานข้าวบ้านเรา พี่เค้ามีเรื่องเครียดเยอะนะ พ่อกับแม่เองก็เห็นเค้ามาแต่เด็ก จะนิ่งเฉยก็ทำไม่ลงหรอก”

     ภูพยักหน้าว่ารับทราบและเข้าใจ อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ต่อต้านความคิดนี้ชองพ่อแม่ เพราะการมีกรรณร่วมโต๊ะอาหารก็นับว่ามีข้อดีหลายอย่าง ถ้าไม่นับข้อที่ว่าภูสามารถมีเขาอยู่ในสายตาได้ทุกวัน หรือสัมผัสอันชวนใจเต้นเมื่อเท้าของทั้งสองบังเอิญเขยิบมาโดนกันใต้โต๊ะ ก็ยังมีข้อที่ว่าพ่อของภูได้มีเพื่อนอยู่เชียร์ฟุตบอลรอบดึก หรือแม่ผู้ชอบทำอาหารก็ได้มีใครซักคนมาเป็นหนูทดลองสูตรใหม่ๆของเธอ มีครั้งหนึ่งที่แม่ของภูทดลองทำคัพเค้กตามสูตรจากในโทรทัศน์ แน่นอนกรรณได้สิทธิ์ในการทดลองชิมเป็นคนแรกเพราะสามีและลูกชายของเธอขอสละสิทธิ์นั้น ซึ่งหลังจากการกินรวดเดียวจนหมดชิ้นอันเป็นเรื่องที่น่าพึงพอใจสำหรับแม่ของภูมากแล้ว เขายังแถมโบนัสส่งท้ายให้ด้วยการดูดกินเศษของมันที่ติดอยู่ตามนิ้วอีก ทำเอาหล่อนแทบจะตัวลอยด้วยความปลาบปลื้ม

     หากจะมีสิ่งใดที่เป็นปัญหาสำหรับเรื่องนี้ ก็คงจะมีแค่ตัวของภูเองที่มักจะเกร็งและทำตัวไม่ถูกจนน่าอึดอัดอยู่เสมอเมื่อต้องมาอยู่ร่วมชายคากับกรรณ เมื่ออยู่ในระยะสายตาของอีกฝ่ายเด็กหนุ่มก็ไม่สามารถทำตัวตามสบายได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว ลืมเรื่องการนุ่งกางเกงบ๊อกเซอร์ตัวเดียวนอนในห้องตัวเองไปได้เลย หลังจากการโดนลอบเข้ามาทายาที่หลังตอนหลับในวันนั้นซึ่งทำให้ได้รู้ว่าพ่อกับแม่ให้สิทธิ์ในการเข้านอกออกในบ้านนี้กับกรรณมากแค่ไหน ทำให้การนอนทุกครั้งต่อจากนั้นไม่ว่าจะแค่งีบพักสายตาตอนกลางวันหรือหลับยาวพักผ่อนยามค่ำคืนเขาก็ต้องเปลี่ยนมาใส่ชุดนอนที่มิดชิดแทนเพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้เห็นตนในสภาพไม่ชวนมอง หนำซ้ำเด็กหนุ่มต้องคอยปั้นสีหน้าเก็บท่าทางการแสดงออกไม่ให้ใครสังเกตเห็นได้ถึงความหลงไหลที่มีอยู่แน่นอก ทั้งนี้ความอึดอัดทั้งหลายทั้งปวงนั้นล้วนมีมูลเหตุมาจากความคลุมเครือในเรื่องความรู้สึก สำหรับภูนั้นมันชัดเจนไม่มีอะไรต้องสงสัย เขาหลงรักเพื่อนบ้านหนุ่มคนนี้แบบหัวปักหัวปำ หากแต่อีกฝ่ายล่ะแท้จริงคิดเช่นไรอยู่ ไหนจะเรื่องการนอนจับมือกันในสวนสาธารณะในวันนั้นที่อาจจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ก็ได้ ซึ่งหากมันเกิดขึ้นจริง(ซึ่งภูก็อยากให้เป็นเช่นนั้น)มันจะเป็นการกระทำในฐานะอะไร มันอาจเป็นสัมผัสแบบพี่น้อง เป็นการปลอบโยนคนป่วย หรือการหยอกเย้าเล่นเหมือนกับการขยับเท้ามาเบียดกันใต้โต๊ะอาหารที่เกิดขึ้นอยู่แทบทุกเย็น ภูอยากรู้ใจจะขาดว่าในขณะที่สิ่งเหล่านี้รบกวนใจเขาจนแทบบ้า สำหรับกรรณมันมีความหมายอะไรบ้างหรือไม่ หากแต่ก็ไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ เพราะถึงแม้ว่ากรรณจะมาฝากท้องกับมื้อเย็นและใช้เวลาช่วงหลังกลับจากทำงานที่บ้านของภูตลอด แต่ทั้งสองก็ไม่ได้อยู่กันลำพังเป็นการส่วนตัวเลย เด็กหนุ่มมักจะหนีขึ้นห้องนอนตัวเองเมื่อทานอาหารเสร็จในขณะที่กรรณอยู่ข้างล่างช่วยแม่ของภูล้างจาน หรือไม่ก็ดูข่าวในโทรทัศน์กับพ่อของภูและผลัดกันวิพากษ์วิจารณ์ถึงสถานการณ์บ้านเมืองอย่างออกรส

     อีกหนึ่งสิ่งใหม่ๆที่เกิดขึ้นในสัปดาห์คือการได้ครอบครองหมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัวของกรรณ ภูได้มันมาด้วยการอ้างว่าจะเอาไว้โทรถามเผื่อว่าเขาจะกลับมาไม่ทันมื้อเย็น จะได้รู้ว่าต้องจัดโต๊ะเตรียมเผื่อหรือไม่ ซึ่งเป็นข้ออ้างที่สมเหตุสมผลและไม่ส่อไปถึงเจตนาอื่นๆอันแอบแฝงอยู่ ซึ่งการได้ครอบครองมันก็มาพร้อกับภาระอันหนักหนาที่ภูต้องพยายามหักห้ามใจไม่ให้กดเบอร์โทรไปหาอีกฝ่ายโดยไม่จำเป็น ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากและฝืนความรู้สึกพอดู ไม่มีใครรู้ได้ว่ากี่สิบกี่ร้อยครั้งแล้วที่เบอร์ของกรรณถูกเด็กหนุ่มผู้ใจคะนองกดโทรออกแล้ววินาทีต่อมาเกิดใจหดเหลือเท่ามดจนรีบตัดสายวางทันทีก่อนที่ต่อติด ด้วยไม่กล้าและไม่รู้ว่าถ้าอีกฝ่ายรับสายจะพูดอะไรต่อจากนั้น

     เสียงนาฬิกาปลุกสั่งให้เด็กหนุ่มจำต้องลุกจากเตียงอย่างไม่เต็มใจนัก เขากดปิดเสียงมันอย่างแรงจนเกือบจะเป็นการทุบก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืนโงนเงน มือลูบสะเปะสะปะไปตามผนังขณะเดินไปยังห้องอาบน้ำ น้ำเย็นจัดจากฝักบัวทำให้ความง่วงมึนสร่างหายไปแต่ความเพลียยังฝังแน่นอยู่กับร่างกายที่ขาดแคลนการพักผ่อน ผลจากการลนลานนั่งปั่นงานส่งจนดึก ด้วยวันจันทร์ที่แล้วโดดเรียนไปกับกรรณ ภูจึงไม่รู้ว่าในทั้งสามคาบเรียนนั้นอาจารย์แต่ละวิชาได้สั่งงานมาคนละอย่าง และสาลี่เองก็ไม่ได้บอกจนกระทั่งถึงเมื่อวานนี้ แน่นอนว่าด้วยเวลาเพียงคืนเดียวจะให้ทำทั้งหมดคงไม่ทัน แต่ด้วยแรงอุตสาหะอันเกิดจากสภาวะไฟลนก้น อย่างน้อยวันนี้เขาก็มีชิ้นงานสำหรับวิชาการออกแบบสถาปัตยกรรมซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องความโหดของอาจารย์ผู้สอนไปส่ง

     เมื่อมาถึงมหาวิทยาลัย ยังเหลือเวลามากกว่าที่คาดเอาไว้ก่อนที่คาบเรียนแรกจะเริ่ม ภูตัดสินใจเติมกระเพาะที่ว่างเปล่าของตนด้วยอะไรบางอย่างที่ง่ายและสามารถจัดการให้หมดได้ในเวลาอันรวดเร็ว นมซักขวดก็ถือเป็นความคิดที่เข้าท่า เด็กหนุ่มคว้านมช๊อกโกแลตหนึ่งขวดแล้วส่งเงินให้กับคนขายก่อนจะบิดเปิดฝาเกลียวของมันแล้วยกขึ้นกระดกดื่ม ขณะนั้นสายตาพลันเหลือบไปเห็นโปสเตอร์โฆษณาเล็กๆที่เพิ่งถูกนำมาติดตั้งด้านหน้าร้านสะดวกซื้อ ในโปสเตอร์นั้นมีภาพของใครบางคนที่แสนจะคุ้นหน้าคุ้นตานั่งเต๊ะท่าอยู่ ภูแทบจะสำลักนมที่กำลังกระเดือกลงคอเมื่อสังเกตจนพบว่ามันคือตัวของเขาเอง
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 4 ☆ [22-Feb-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 22-02-2018 20:06:31
Episode 4 part2

     ภูเดินเข้าไปดูใกล้ๆและสำรวจมันอย่างถ้วนถี่ก่อนจะลงมติได้อย่างเป็นเอกฉันท์ ไม่ต้องสงสัยเลย นี่คือผลงานที่จะทำให้เพื่อนๆและรุ่นพี่ทุกคนในคณะล้อเลียนอย่างสนุกปากไปได้อีกตลอดทั้งปีการศึกษา ทางที่ดีคือต้องกำจัดมันโดยด่วน เขามองซ้ายมองขวาเมื่อเห็นว่าปลอดคนก็รีบปลดดึงเอาโปสเตอร์นั้นออกแล้วขยำโยนทิ้งถังขยะ ก่อนจะพบว่าช่างเป็นการกระทำที่เสียแรงเปล่า เมื่อแผ่นที่ถูกขยำทิ้งไปเมื่อครู่นั้นเป็นเพียงแค่หนึ่งในนับสิบๆแผ่นที่กระจายอยู่ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยและบริเวณโดยรอบ ทุกเสียงในหัวกรีดร้องพร้อมกันว่าบรรลัยแล้ว ต้องมีใครซักคนให้คำตอบกับเรื่องนี้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ภูรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาค้นหาเบอร์ของกรรณแล้วกดโทรออก เสียงสัญญาณรอสายดังขึ้น หากไม่ได้กำลังลนลานเพราะความโมโหอยู่ ภูคงนึกขึ้นมาได้ว่านี่คือครั้งแรกที่เขาโทรหากรรณอย่างเป็นทางการ

     “สวัสดีครับ” เสียงจากปลายทางพูดขึ้นหลังจากกดรับสาย
     “พี่ นี่มันอะไรกันอ่ะ!!?” ภูโวยวายเหมือนเพิ่งถูกโจรปล้นบ้าน
     “นั่นใครพูดน่ะ? ภูเหรอ?” กรรณถามเพื่อความแน่ใจเพราะไม่คุ้นตากับหมายเลขที่โทรมา
     “ก็ใช่ดิ จะใครล่ะ” ภูตอบกลับไป
     “แล้วมีอะไร ให้เบอร์ไปตั้งนานก็ไม่เคยโทรมา พอโทรมาก็โวยวายเลย” กรรณบ่น
     “ก็รูปที่พี่ถ่ายผมไว้อาทิตย์ก่อนอ่ะ ทำไมพี่ไม่บอกว่ามันจะแปะหราทั่วบ้านทั่วเมืองแบบนี้!” ภูระล่ำระลักพูดพลางดึงโปสเตอร์ทุกแผ่นที่เดินผ่าน
     “อ้าว ก็บอกไปแล้วนี่ว่าถ่ายงาน ค่าจ้างก็เอาไปแล้ว ตอนเซ็นเอกสารไม่ได้อ่านหรือไง เรตค่าจ้างนั้นมันสำหรับนำภาพไปใช้ในงานโฆษณา ตั้งแต่ไวนิลยันบิลบอร์ดเลยนะ” เขาตอบ น้ำเสียงดูขบขันกับอาการตื่นตระหนกของอีกฝ่าย “นี่คงไม่คิดว่าบริษัทเค้าจะจ่ายเงินเป็นสองสามหมื่นเพื่อถ่ายรูปเราเล่นๆหรอกใช่มั้ย?”
     “โห ถ้ารู้แบบนี้ไม่เอาด้วยหรอก!!” ภูรู้สถานะของตัวเองทันทีว่างานนี้พลาดเองโทษใครไม่ได้แล้ว

     เสียงหัวเราะของกรรณดังลั่นออกมาจากหูโทรศัพท์ ชายหนุ่มยังพูดอะไรอีกสองสามประโยคแต่ภูไม่ได้รอฟัง เขากดวางสายและกวาดตามองหารอบตัวว่ายังมีโปสเตอร์หลงเหลืออยู่ที่ไหนอีกบ้าง ในตอนนั้นเองไหล่ข้างหนึ่งก็ถูกสะกิดโดยนิ้วมือใครบางคน เด็กหนุ่มรีบหันไปมองและพบกลุ่มเพื่อนร่วมชั้นปีเกือบสิบคนที่ยืนยิ้มอย่างน่าสยดสยองอยู่ข้างหลัง

     “คุณพิภูครับ หาอะไรอยู่เอ่ย?” หนุ่มตี๋ใส่แว่นผู้ดูเหมือนจะเป็นแกนนำเอ่ยปากถามขึ้น ก่อนจะชูบางสิ่งที่ซ่อนไว้ข้างหลังออกมา “หาไอ้นี่ใช่มั้ย ไอ้นายแบบ”

     ภูขนลุกตั้งแต่หัวจรดเท้า สำหรับตัวของเขาที่แสดงจุดยืนว่าไม่สนใจงานประเภทนี้มาโดยตลอด คราวนี้นับเป็นการกลืนน้ำลายตัวเองอึกใหญ่เลยทีเดียว
     
     “เดี๋ยวนะทุกคน ไม่ใช่อย่างที่พวกแกคิดนะเว้ย” ภูพูดพลางยกมือขึ้นคล้ายจะร้องขอความเมตตา
     “คุณพิภูผู้แอนตี้งานอันฉาบฉวยของวงการบันเทิง ผู้ซึ่งประกาศกร้าวว่ายอมอดตายดีกว่าต้องไปยืนทำตามคำสั่งเหมือนหมาที่ถูกฝึกมาอยู่หน้ากล้อง” หนุ่มแว่นยื่นโปสเตอร์เข้ามาจ่อเกือบติดหน้าผาก สิ่งที่ภูกลัวที่สุดได้เริ่มขึ้นแล้ว “ทำไมวันนี้คุณมานั่งหล่ออยู่ในโฆษณาได้ครับ”

     ภูเถียงไม่ออก หมดปัญญาจะสู้รบปรบมือ ได้แต่ทำให้พวกเพื่อนๆสาแก่ใจด้วยการยอมแพ้อย่างหมดรูปโดยวิ่งหนีไปหลบในห้องน้ำจนกว่าจะได้เวลาเข้าเรียน แต่ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นลอยนวลไปได้ง่ายๆ เมื่อแม้กระทั่งในคาบเรียนอาจารย์ก็ยังหยิบยกเอาเรื่องนี้มากัดแซะอย่างสนุกปาก วันนั้นทั้งวันภูรู้สึกแปลกแยกเหมือนตัวเองเป็นเด็กประถมที่ใส่ชุดลูกเสือมาในวันธรรมดาเพราะจำวันผิด การแซวหยอกเย้าทำเป็นเรื่องตลกขบขันเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด ทุกเรื่องทุกประเด็นที่พูดคุยสุดท้ายโยงเข้ามาหาโปสเตอร์แผ่นนั้นได้หมด เด็กหนุ่มนึกโมโหความปากไวของตัวเอง หากย้อนเวลาไปได้จะไม่มีวันพูดประโยคนั้นออกมาอีกเด็ดขาด 

     “เออ สนุกกันพอรึยัง เอาแค่หอมปากหอมคอพอประมาณดีป่ะ ใจคอวันนี้จะไม่พูดไม่คุยเรื่องอื่นกันเลยหรือไง” ภูเบรกเพื่อนหลังจากโดนกัดเรื่องโปสเตอร์เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่ทราบของวันนี้
     “ก็ไม่มีอะไรน่าคุยเท่าเรื่องนี้แล้วนี่หว่า คุณพิภูของพวกเราอุตส่าห์ตะกายไปเป็นดาวโดดเด่นบนฟากฟ้าทั้งที นี่ถ้ามีเงินกูจ่ายหนังสือพิมพ์ให้เอาลงหน้าหนึ่งไปแล้วนะเนี่ย” นฤดล หนุ่มแว่นหน้าตี๋ พูดแล้วหัวเราะจนตาหยีเป็นสระอิ
     “เก็บไว้ลงข่าวงานศพแม่มึงเถอะ” ภูย้อนกลับไป พลางหลบก้อนน้ำแข็งที่นฤดลเขวี้ยงใส่เป็นค่าตอบแทนสำหรับการเล่นลามปามถึงบุพการี
     “แหมไอ้ภู เพื่อนๆเค้าก็แค่แปลกใจ ที่จู่ๆผีตัวไหนมาดลใจแกให้ไปทำอะไรแบบนี้ได้ เมื่อก่อนรุ่นพี่มาลากมาดึง ขอร้องอ้อนวอนให้ไปช่วยงานละครเวทีก็ไม่ไป ขนาดมีเจ๊ดันมาถึงที่บอกให้ไปแคสต์หน้ากล้องที่นั่นที่นี่ การันตีว่าได้งานแน่นอน ก็ไม่เห็นจะยอมไปซักครั้ง” สาลี่แสดงออกชัดเจนว่างานนี้ไม่ได้ยืนข้างเดียวกับเพื่อนซี้

     ไม่ใช่ผีหรอกที่ดลใจ คนนี่แหละ ออกไปทางเทพบุตรเลยด้วยซ้ำ ภูนึกในใจ

     “ไปครั้งแรกแล้วได้งานแบบนี้เลย แสดงว่าแบคต้องดี มึงสารภาพมาไอ้ภู มึงเอาตัวเข้าแลกใช่มั้ย?” ตฤณ หนุ่มเซอร์ผมยาว เปิดประเด็นให้บานปลายต่อไปอีก
     “กูหล่อไง จบมะ แล้วผมกูก็จัดทรงง่ายกว่ามึงด้วย เค้าเลยเลือกกู” ภูสรุปให้

     เป็นบทสรุปที่เรียกเสียงโห่จากกลุ่มเพื่อนได้อย่างพร้อมเพรียงกัน ภูถอยหนีหลบฉากออกมายังซุ้มบริการรับถ่ายเอกสาร เขาส่งสมุดเลคเชอร์ที่ยืมเพื่อนมาให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อทำสำเนาทั้งเล่มเอาไว้อ่านเตรียมสอบ ระหว่างรอดำเนินการนั้นสาลี่ก็เดินมายืนข้างๆและยกศอกขึ้นพาดบนไหล่ของเขา ทำท่าเหมือนกำลังยืนเท้าคางโดยมีภูเป็นหลักยัน

     “พวกมันก็แค่แซวเล่น แกก็อย่าไปโมโหเลย” เธอพูดขึ้น ด้วยมองออกถึงอาการไม่สะดวกสบายใจของภูที่มีต่อเรื่องนี้
     “ไม่ได้โมโห ชั้นอาย” ภูแก้ไขให้ถูกต้อง “ชั้นเองก็โดนมัดมือชกเหมือนกัน ถ้ารู้ว่าจะโดนพาไปถ่ายอะไรแบบนี้ ชั้นไม่ไปด้วยหรอก”
     “ใครพาแกไปวะ?” สาลี่สงสัย “อย่าบอกนะที่โดดเรียนเมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะ…”
     “อือ” ภูพยักหน้า “ไปกับพี่กรรณ”
     “พี่กรรณ? พี่ข้างบ้านที่คิดว่าแกเป็นตีนแมวเลยจับส่งตำรวจน่ะนะ?” สาลี่นึกออก “แล้วอีท่าไหนถึงไปด้วยกันได้ ชั้นนึกว่าพอเกิดเรื่องแบบนั้นแล้วแกจะไม่กินเส้นกับเค้าซะอีก”
     “มันก็แค่เรื่องเข้าใจผิดที่บานปลาย ไม่รู้จะโกรธกันไปทำไม ใช่ว่าเค้าตั้งใจซะเมื่อไหร่ล่ะ”
     “แล้วนึกยังไงไปกับเค้า” สาลี่ยังซักต่อ
     “ก็เค้าชวน ตอนแรกที่ชวนน่ะไม่ได้บอกว่าจะไปไหน เพิ่งมารู้ตอนไปถึงแล้วนี่แหละ” ภูบอกตามความจริง
     “เค้าชวนไปไหนก็ไม่รู้แต่ก็ไปกับเค้า แถมยังยอมโดดเรียนไปด้วยอีกต่างหาก” สาลี่ทำเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
     “อือ” ภูพยักหน้า ไม่รู้จะพูดอะไร ในเมื่อมันก็จริงตามที่เพื่อนว่ามา
     “ปกติถึงแกจะไม่ได้ขยันอะไรนักหนา มาเรียนสายก็บ่อย แต่แกไม่เคยโดดเรียนเลยนะ วันนั้นที่แกไม่มาชั้นยังนึกว่าแกไม่สบายกะจะไปเยี่ยมด้วยซ้ำ” สาลี่ทำหน้าตาสงสัย “นี่ถ้าพี่กรรณอะไรนั่นเค้าเป็นผู้หญิง ชั้นคงฟันธงได้ไปแล้วนะเนี่ยว่าแกต้องแอบชอบเค้าอยู่แน่ๆ”
     “บ้าแล้ว คิดอะไรประสาทๆแบบนั้นวะ” ภูรีบเฉไฉกลบเกลื่อน
     “อ้าวไม่รู้หรือไง คนเราน่ะ จะยอมแหกกฎของตัวเอง ทำอะไรที่ไม่เคยหรือไม่ชอบทำ ก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นมีคนที่ชอบมาเกี่ยวข้องด้วยเท่านั้นแหละ” สาลี่อธิบายดั่งเป็นกูรูเรื่องความรัก
     “พอเลย เพ้อเจ้อใหญ่แล้วแก” ภูตัดบท ไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย ด้วยหวั่นเกรงจะถูกล่วงรู้ว่าปิดบังบางอย่างเอาไว้

     งานถ่ายเอกสารที่กำลังทำอยู่เสร็จพอดี ภูรับปึกกระดาษกลับมาพร้อมกับสมุดเลคเชอร์แล้วรีบเดินหนีออกมาก่อนจะโดนสาลี่พูดต้อนให้จนมุมมากกว่านั้น ใช่ว่าจะต้องการเก็บงำเป็นความลับจากเพื่อนสนิทแต่อย่างใด หากภูจะมีใครซักคนเข้ามาในชีวิตจริงๆ สาลี่ก็อยู่ในรายชื่อของบุคคลกลุ่มแรกๆที่จะได้รับรู้ ถ้าเขาสามารถเปิดปากคุยเรื่องนี้กับสาลี่ได้อย่างสนิทใจ และหากอีกฝ่ายรับรู้แล้วไม่สติแตกไปเสียก่อน คำแนะนำหรือชี้แนะใดๆที่เธอจะให้ในฐานะผู้ที่ผ่านประสบการณ์ความรักมาก่อนก็คงช่วยให้อะไรๆง่ายขึ้นมาก หากแต่เขายังคงต้องการเวลา แม้แต่อีกเพียงนิดก็ยังดี ด้วยเหตุที่ว่าตอนนี้แม้จะอยากพูดอยากบอก แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มยังไง 

     ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า บรรยากาศรอบตัวในมหาวิทยาลัยตอนนี้เกือบจะเงียบสนิท ด้วยใกล้ช่วงการสอบทำให้งานกิจกรรมต่างๆเริ่มสร่างซาลง คงจะเหลือเพียงแต่กลุ่มเพื่อนๆของภูเท่านั้นที่ยังคงสรวลเสเฮฮากันราวกับไม่รู้ร้อนรู้หนาว เมื่อทั้งสองกลับมาถึงโต๊ะหน้าคณะอันเป็นจุดชุมนุมก็พบว่าบรรดาเพื่อนกลุ่มที่รออยู่ได้ลงมติสำหรับกิจกรรมที่จะทำหลังจากนี้เอาไว้แล้ว

     “แดกเหล้าอีกแล้วเหรอ? วันนี่วันจันทร์นะเว้ย พรุ่งนี้ก็มีเรียน” ภูคัดค้าน
     “แต่วันนี้มันโอกาสพิเศษ เพื่อนเป็นดารา เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ต้องฉลองเว้ย” ตฤณไม่ยอมให้มตินี้ตกไปง่ายๆ
     “เออ แบบนี้แหละกูจะยิ่งไม่ไป” ภูเริ่มโมโหขึ้นมา
     “โอ๋ๆๆ ไม่เอา ไม่โกรธ เอางี้ ถ้าวันนี้มึงไปด้วย พวกกูสัญญา นับแต่พรุ่งนี้ไป พวกกูจะทำเหมือนมึงไม่เคยปรากฏตัวอยู่บนโปสเตอร์นั่นมาก่อนเลย โอเคป่ะ?” หนุ่มผมยาวยื่นข้อเสนอล่อใจในขณะที่คนอื่นที่เหลือพยักหน้าเหมือนตกลงร่วมด้วย
     “แน่นะ” ภูเลิกคิ้วมองหน้าเพื่อนแบบไม่มั่นใจในสัจจะ “อีกอย่าง ถ้ากูไป กูกลับดึกมากไม่ได้นะ”
     “เออ มึงก็ไม่ต้องกลับดึก เดี๋ยวสี่ทุ่มกูจับมึงยัดขึ้นแท็กซี่เองเลย” ตฤณรับปาก
     “สี่ทุ่ม ไม่เกินนั้นเด็ดขาดนะเว้ย” ภูยืนกราน
     “เออ ตามนั้น!!” ทุกคนรับปากหนักแน่น

     ในช่วงเวลาถัดจากนั้นที่บาร์เหล้าย่านถนนพระอาทิตย์ ภูดื่มแต่น้อยเพื่อประคองสติไม่ให้เผลอเมาจนปล่อยตัวสนุกเลยเถิดจนเกินเวลาเคอร์ฟิว หากแต่เขาลืมไปว่าสิ่งที่น่ากังวลจริงๆนั้นไม่ใช่ความมึนเมา แต่เป็นความง่วงเพลียที่แอบเร้นอยู่ใต้การรับรู้ของประสาท เขาไม่ระแคะระคายเลยแม้แต่น้อยว่าร่างกายที่เบาหวิวไร้เรี่ยวแรงและสายตาที่เริ่มเบลอจนเห็นภาพแยกเป็นสองจอนั้นเกิดจากความล้าไม่ใช่ฤทธิ์แอลกอฮอล์ เสียงบางอย่างกระทบกระแทกกันตามด้วยของเหลวสัมผัสอุ่นวูบวาบที่สาดรดลงบนเสื้อนักศึกษาจนเปียกชุ่ม คำขอโทษแว่วมาเข้าหูแต่ภูกลับรู้สึกว่ามันเลื่อนลอยและห่างไกลเกินกว่าจะสนใจ ท่วงทำนองจากวงดนตรีสดที่เล่นเพลงอะคูสติกยิ่งเป็นบทบรรเลงขับกล่อมชั้นเยี่ยม สิ่งสุดท้ายที่ภูจำได้คือนาฬิกาดิจิตอลบนผนังบอกเวลาสามทุ่มสี่สิบห้านาที แล้วทุกอย่างก็ดับวูบไป
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 4 ☆ [22-Feb-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 22-02-2018 22:25:30
เอาแล้ววววว จะโดนหิ้วไหมม
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 4 ☆ [22-Feb-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 23-02-2018 06:48:04
เอาแล้ววววว จะโดนหิ้วไหมม

.
.

ต้องติดตามดูครับ  :hao3:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 4 ☆ [22-Feb-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 23-02-2018 07:20:50
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 4 ☆ [22-Feb-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 23-02-2018 14:03:29
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 4 ☆ [22-Feb-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 24-02-2018 12:04:49
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ขอบคุณที่ยังติดตามนะครับ​  :-[
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 4 ☆ [22-Feb-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 24-02-2018 12:05:43
:pig4: :pig4: :pig4:

ขอบ​คุ​ณที่​ยัง​ติดตา​มนะครับ​  :impress2:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 4 ☆ [22-Feb-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 01-03-2018 12:58:33
Episode 5 part1

     สมัยเรียนชั้นประถม ภูเคยแอบปีนต้นไม้หลังโรงเรียนเพียงเพื่อจะเก็บลูกขนไก่ของเพื่อนที่ขึ้นไปค้างอยู่บนนั้น เท้าเล็กๆของเขาค่อยๆเหยียบกิ่งที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเหลือระยะห่างอีกเพียงแค่เอื้อมมือก็จะคว้าลูกขนไก่อันเป็นเป้าหมายได้ แต่แล้วกิ่งไม้อันแสนบอบบางที่รองอยู่ใต้ฝ่าเท้าก็เกิดหักเสียงลั่นดังเปรี๊ยะ และสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้นก็เป็นไปตามกฎแห่งแรงโน้มถ่วง ร่างเล็กๆของเด็กชายร่วงตรงดิ่งย้อนกลับลงไปยังทิศทางที่ขึ้นมา ในขณะที่ร่างกายฝ่าอากาศลงไปนั้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นช่างน่าพิศวง มันไม่นานพอจะก่อให้เกิดความกลัว เป็นเพียงความรู้สึกที่ว่าบางสิ่งอันไม่ถูกไม่ควรได้เกิดขึ้นแล้ว และเขาไม่อาจจะควบคุมหรือหยุดยั้งมันได้เลย
 
     บัดนี้ความรู้สึกนั้นได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง เมื่อภูพบว่าตนเองตื่นขึ้นมาในบาร์เหล้าที่เดิม เพื่อนในกลุ่มยังคงอยู่ล้อมรอบไม่ห่าง หากแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาดิจิตอลบนผนังร้านซึ่งเปลี่ยนจากสามทุ่มสี่สิบห้านาทีมาเป็นตีหนึ่งพอดิบพอดี

     “ตื่นแล้วเหรอวะ เสียงดังขนาดนี้มึงนี่ก็นอนไปได้เนอะ” ตฤณร้องทักเมื่อเห็นภูลืมตาขึ้นมานั่งทำหน้างัวเงียอยู่
     “มึงไม่ปลุกกูวะ บอกแล้วไงว่ากลับดึกไม่ได้” ภูสะบัดหัวไล่ความง่วงที่ยังตกค้างอยู่ออกไป
     “กูบอกไอ้ลี่ว่าถ้ามันจะกลับให้ปลุกเอามึงกลับไปด้วย” ตฤณโบ้ยความผิดไปให้สาลี่
     “แล้วมันไปไหนแล้วล่ะ?” ภูหันมองหารอบๆตัวแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่วี่แวว “เทกูอีกแล้วสิเนี่ย”
     “คาดว่าจะเป็นเช่นนั้น” ตฤณยกแก้วขึ้นซดของเหลวสีเหลืองที่เหลือติดอยู่ก้นแก้วจนหมดก่อนจะเอ่ยปากเชิญชวน “ไหนๆก็ดึกแล้ว มึงก็เอาให้สุดเลยดีมั้ยเพื่อน?”
     “ไม่เอาอ่ะ กูกลับเลยดีกว่า งานกูยังค้างส่งอีกสองวิชาเนี่ย”

     ตฤณยักไหล่ไม่รั้งตัวเพื่อนไว้ต่อ ภูรีบออกจากร้านแล้วนั่งแท็กซี่ตรงดิ่งจากท่าพระอาทิตย์กลับไปถึงบ้าน เขาลองเสี่ยงดวงด้วยการใช้กุญแจที่พกติดตัวอยู่ไขประตู แต่ถึงจะปลดล๊อกได้ก็พบว่ามันยังถูกลงกลอนจากด้านในอยู่ดี เป็นไปตามที่คาดคะเนเอาไว้แบบไม่มีผิดเพี้ยน ภูถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่กับวันนี้ที่ทุกอย่างดูจะขัดใจตนไปเสียหมด ตามองไปยังชั้นสองของบ้านหลังข้างๆ ไฟยังคงเปิดอยู่ กรรณคงยังไม่หลับ ลืมเรื่องคิดจะแอบปีนเข้าไปใช้ประตูฉุกเฉินได้เลย ครั้งสุดท้ายที่ทำผลของมันพาเขาไปถึงโรงพัก ครั้งนี้คงต้องยอมแบกหน้าไปใช้วิธีเจรจาขอผ่านทางแต่โดยดี โดยคิดบอกกับตัวเองให้กำลังใจชุ่มชื้นขึ้นว่าครั้งนี้เขากับอีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันแล้ว คงไม่มีปัญหาอะไร อย่างมากก็คงโดนบ่นเรื่องมารบกวนในยามวิกาล ซึ่งนับว่าจิ๊บจ๊อยมากหากเทียบกับการนอนตากยุงรออยู่หน้าบ้านจนเช้า

     เด็กหนุ่มพาร่างตัวเองไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูรั้วของบ้านข้างๆ พลางมองปุ่มกดของกริ่งสัญญาณที่ประตูรั้วอย่างกล้าๆกลัวๆ ก่อนจะกลั้นใจกดลงไปหนึ่งครั้ง ในยามดึกที่เงียบสงัดเช่นนี้เสียงออดฟังดูดังกว่าปกติหลายเท่า ภูชะโงกหน้ารอการตอบสนองจากข้างในอย่างกระวนกระวาย ตาเหลือบมองซ้ายขวาเป็นระยะกลัวว่าจะมีบางสิ่งซุ่มจู่โจมอยู่ เป็นอาการวิตกจริตอันเกิดจากมายาคติเกี่ยวกับยามค่ำคืน ที่ระเบียงชั้นสองของบ้านมีความเคลื่อนไหว ร่างสูงของชายหนุ่มเจ้าของบ้านโผล่ออกมาชะโงกดูก่อนจะกลับเข้าไป ไม่กี่วินาทีต่อมาแสงไฟในบ้านชั้นล่างก็สว่างขึ้นแทบจะพร้อมๆกับที่ประตูหน้าบ้านเปิดออก

     กรรณเดินตรงดิ่งมาที่ประตูรั้ว หากแต่ยังรีรอไม่ยอมเปิดออกรับ ภูไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายด้วยละอายกับเหตุผลแห่งการมาเยือนของตน อีกทั้งยังเจือไปด้วยความประหม่าอันเกิดขึ้นเป็นธรรมดายามเมื่อทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันในระยะสายตา ภูลอบมองดูชายหนุ่มเจ้าของบ้านผ่านทางช่องของประตูรั้ว กรรณในเวลานี้แต่งตัวเหมือนพร้อมจะเข้านอนได้ทุกเมื่อ เสื้อยืดสีขาวเนื้อผ้าบาง กับกางเกงวอร์มแบบเนื้อผ้าบางสีเทา ผมบนศรีษะปรกลงตามธรรมชาติเมื่อไม่ได้ถูกจัดทรงเหมือนยามปกติ สีหน้าไม่มีร่องรอยแห่งความงัวเงีย เขาคงยังไม่ได้หลับตอนที่ภูกดออดเรียก ความเคร่งเครียดทีฉาบเอาไว้บนใบหน้ามากพอให้สังเกตเห็นว่ากำลังพบเจอเรื่องไม่สบอารมณ์ อาจจะฟังดูไร้สำนึก หากแต่เด็กหนุ่มอดหวามไหวใจสั่นไปกับภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ได้จริงๆ

     “ไปไหนมา?” กรรณถามขึ้นหลังจากยืนมองภูก้มหน้าก้มตาทำกระมิดกระเมี้ยนไม่ยอมพูดอะไรเสียที
     “ทำงานที่บ้านเพื่อน” ภูปด
     “โกหก ยืนตรงนี้ยังได้กลิ่นเหล้าเลย” กรรณย่นจมูก

     กลิ่นเหล้า…  ภูนึกประหลาดใจ กลิ่นเหล้าที่รุนแรงนี้มาจากไหน ในเมื่อเขาเองก็ดื่มไปเพียงสองแก้วก่อนจะหลับไป แถมยังเป็นสองแก้วที่ผสมด้วยน้ำอัดลมจนรสแอลกอฮอล์เบาบางลงมากสุดเท่าที่จะทำได้ ภูพยายามนึกย้อนไปก่อนที่ตนจะหลับ ภาพความทรงจำเริ่มประติดประต่อเข้าด้วยกันทีละชิ้นเหมือนจิ๊กซอว์ ภาพของนฤดลที่ถือขวดเหล้าอยู่ข้างๆ พยายามแสดงบางอย่างโชว์สาวๆในร้าน เสียงโลหะกับแก้วกระทบกัน ขวดหลุดจากมือของเพื่อนหน้าตี๋ก่อนที่ของเหลวสีอำพันข้างในจะเทกระฉอกออกมาราดรดเสื้อนักศึกษาของภู

     “ไงล่ะขี้เมา จะพูดความจริงมั้ย?” กรรณทำหน้าเหมือนเบื่อหน่ายจนเหลือจะทน
     “ก็ไปกินเหล้ากับเพื่อนมา” ภูยอมสารภาพด้วยจำนนต่อหลักฐานแวดล้อม “แต่กินแค่สองแก้วเอง ไอ้ที่เหม็นหึ่งนี่เพื่อนทำหกใส่เสื้อ”
     “แล้วมากดออดบ้านพี่ดึกๆดื่นๆจะเอาอะไร? ที่นี่ไม่มียาแก้เมาค้างขายนะ” กรรณแสร้งทำไม่รู้เจตนาของเด็กหนุ่ม
     “ขอผ่านทางเข้าบ้านหน่อยครับ” ภูขออนุญาต

     กรรณถอนหายใจก่อนจะเปิดประตูรั้วให้ภูเข้ามาข้างใน เด็กหนุ่มรีบเดินไปยังบันไดไม้ที่อยู่นอกตัวบ้านซึ่งเมื่อก่อนเคยใช้เป็นเส้นทางประจำในการขึ้นไปยังระเบียงทางเดินชั้นสอง แต่กลับถูกกรรณดึงแขนลากให้เข้ามาในบ้านแทน

     “ผมขึ้นทางนั้นก็ได้ ไม่กวนพี่แล้ว” ภูชี้ไปนอกบ้าน
     “ตรงนั้นมันมืด หลอดไฟเสีย พี่ยังไม่ได้เปลี่ยน เมาแอ๋แบบนี้เดี๋ยวก็เดินพลาดกลิ้งตกลงมาคอหัก” กรรณไม่ยอม “ขึ้นบันใดในบ้านนี่แหละ ทำตัวให้ไม่เหมือนโจรบ้าง”
     “ไม่ได้เมาซักหน่อย แล้วโจรที่ไหนจะมาขออนุญาตเข้าบ้านคนอื่น” ภูเถียงแต่ก็ต้องรีบหุบปากเงียบเมื่อเห็นหน้าดุๆของอีกฝ่ายจ้องเขม็งมา
     “คนเมาน่ะไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองเมา” กรรณพูดพลางเดินไปหยิบกระป๋องบางอย่างออกมาจากในตู้เย็นแล้วโยนให้ภู เด็กหนุ่มรับพลาด มันกระเด็นตกไปกลิ้งอยู่กับพื้นด้านหลัง กรรณส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่าย “เห็นมั้ย แค่นี้ยังรับไม่ได้เลย”
     “ก็จู่ๆก็โยนมา ไม่ทันตั้งตัวเลยนี่นา” ภูบ่นอุบขณะลุกไปหยิบกระป๋องบนพื้นขึ้นมาประคองไว้ในมือ
     “เปิดกินซะ พรุ่งนี้ตื่นมาจะได้ไม่ปวดหัว นั่งกินให้หมดตรงนี้แหละเดี๋ยวพี่มา” กรรณสั่งก่อนจะเดินหายขึ้นไปชั้นบน
     “ก็บอกว่าไม่ได้เมา”

     ภูบ่นมุบมิบกับตัวเองขณะดึงเปิดฝากระป๋องนั้นออก กลิ่นหวานฟุ้งพุ่งทะยานขึ้นมาเตะจมูกจนน้ำลายสอ เขายกกระป๋องขึ้นอ่านรายละเอียดก่อนดื่มเพื่อป้องกันการบริโภคสิ่งอันไม่พึงประสงค์ลงท้อง แต่เท่าที่เห็นก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ก็แค่น้ำผลไม้ผสมวิตามินรวมเท่านั้น เด็กหนุ่มยกขึ้นจิบพลางเหลียวมองรอบตัว หลังจากที่เคยลัดเลาะผ่านระเบียงชั้นสองมาไม่รู้กี่ครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้ามาข้างในบ้านหลังนี้ บรรยากาศภายในค่อนข้างโปร่งโล่งไม่มีเครื่องเรือนอื่นๆนอกจากชุดรับแขก กรรณคงยังไม่ได้เริ่มทำการตกแต่งหรืออาจจะไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลยก็เป็นได้ เมื่อประกอบเข้ากับความเงียบของยามค่ำคืนแล้ว กลิ่นอายแห่งชีวิตอันโดดเดี่ยวก็ลอยละล่องอยู่ในทุกอณูอากาศ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 5 ☆ [1-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 01-03-2018 13:05:20
Episode 5 part2

     น้ำผลไม้พร่องไปได้เพียงครึ่งกระป๋องเมื่อตอนที่กรรณกลับลงมายังชั้นล่างอีกครั้ง ภูวางกระป๋องลงบนโต๊ะและลุกขึ้นเตรียมตัวจะขอขึ้นไปยังระเบียงชั้นบนเพื่อกลับเข้าบ้านตัวเอง แต่ทว่ายังไม่ทันจะได้เอ่ยปากพูดอะไร กรรณก็โยนผ้าเช็ดตัวสีขาวมาให้เสียก่อน ครั้งนี้ภูรับได้ทัน ภาพในคืนนั้นย้อนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง รวดเร็วดุจรอจะปรากฏตัวมาเนิ่นนาน ไม่ผิดแน่ หากชายคนนี้ไม่ได้มีผ้าแบบนี้หลายผืน นี่ก็ต้องเป็นผืนที่ภูเห็นเขาใช้ในคืนนั้น

     “ถอดเสื้อออกแล้วไปอาบน้ำไป” กรรณสั่ง “ผ้าเช็ดตัวพี่ไม่มีสำรอง ใช้ของพี่ไปก่อนก็ได้ เพิ่งซักเมื่อเช้า ใช้ไปรอบเดียวเมื่อตอนหัวค่ำ นี่ก็แห้งแล้วล่ะ”
     “ไม่เอาอ่ะ ผมอาบบ้านตัวเองดีกว่า” ภูเกือบจะเผลอตัวยกผ้าในมือขึ้นดมเมื่อได้ยินว่าเป็นผ้าที่เพิ่งผ่านการใช้จากอีกฝ่ายมาหมาดๆ ยังดีที่ยั้งตัวเองไว้ทันก่อนภาพอันไม่น่ามองจะออกสู่สายตา
     “ไม่ได้หรอก เมาแบบนี้จะไปปีนระเบียงได้ยังไง เป็นอะไรขึ้นมาพี่ซวยอีก” กรรณไม่ยอม
     “บอกว่าไม่ได้เมา… แล้วผมก็ปีนมาหลายครั้งแล้ว ไม่เป็นไรหรอกเชื่อสิ” ภูอุทธรณ์
     “ไม่ ก็คือ ไม่” กรรณไม่ใจอ่อน “อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ แล้วนอนค้างที่นี่แหละ เช้าค่อยกลับบ้าน”
     “ผมไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน” เด็กหนุ่มยังพยายามหาทางหลีกเลี่ยง
     “พี่มีให้ ห้องน้ำใช้ชั้นบนแล้วกันข้างล่างมันไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น” กรรณบอกพร้อมกับเดินนำขึ้นไปชั้นสอง

     ภูหมดทางเลือกจำใจต้องเดินตามขึ้นไป ไม่ใช่ว่าเขารังเกียจรังงอนที่จะต้องนอนค้างร่วมชายคากับเพื่อนบ้านสุดเสน่หาคนนี้ หากแต่เป็นความกังวลเสียมากกว่าที่รุมเร้าจิตใจอยู่ กรรณแสดงออกชัดเจนเหลือเกินว่าไม่พอใจกับการมาเยือนยามดึกของเขาในวันนี้ เพราะอย่างนั้นเขาถึงกลัวเหลือเกินว่าจะเผลอหลุดทำอะไรที่ดูไม่ดีหรือไม่เข้าท่าให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกแย่กับตนมากขึ้นไปกว่าที่เป็นอยู่  อีกทั้งยังตระหนักดีว่าหากต้องค้างคืนที่นี่ คงลืมเรื่องการพักผ่อนนอนหลับไปได้เลย เขาจะไปหลับลงได้อย่างไรในเมื่อรับรู้ว่ากรรณอยู่ใกล้ๆ ไม่แคล้วคงต้องนอนตาค้างจนฟ้าสางนั่นแหละ

     เมื่อขึ้นมาถึงยังชั้นสองของบ้านกรรณก็หยิบเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นที่เตรียมไว้มาส่งให้ เด็กหนุ่มรับมาแล้วแต่อีกฝ่ายก็ยังยืนนิ่งไม่ยอมขยับไปไหน

     “ผมอาบน้ำก่อนนะ” ภูชี้ไปทางห้องน้ำที่เปิดไฟรอไว้แล้ว
     “ถอดเสื้อสิ” กรรณบอก “พี่จะเอาไปใส่เครื่องซัก”
     “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกลับบ้านไปซักเอง” ภูอิดออด

     เมื่อเห็นสายตาคมกริบที่จ้องเขม็งมา ภูก็หมดกำลังจะต่อต้าน ได้แต่กระมิดกระเมี้ยนเหนียมอายค่อยๆปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาออกทีละเม็ดแล้วถอดมันส่งให้อีกฝ่ายที่ยืนรอรับอยู่ ในขณะที่กำลังจะหันหลังกลับเพื่อเดินเข้าไปในห้องน้ำนั้น พลันข้อมือก็ถูกคว้าดึงเอาไว้ก่อน ภูหัวใจเกือบจะหยุดเต้นเมื่อถูกอีกฝ่ายเข้าถึงเนื้อตัวแบบไม่คาดฝัน ได้แต่หลับตาปี๋ไม่กล้าและไม่อยากรับรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

     “ปล่อยดิ ผมจะไปอาบน้ำแล้วไง” เด็กหนุ่มร้องขอ

     กรรณไม่ปล่อยมือหากแต่กลับขยับเข้ามาใกล้จนตัวแทบจะชิดกัน ภูสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างกายของอีกฝ่ายที่แผ่ออกมา กลิ่นหอมจางๆ โลชั่นหรือสบู่ ไม่อาจรู้ได้ เมื่อจิตใจกระเจิงไปกับสัมผัสที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา มือของกรรณอีกข้างที่ไม่ได้เกาะกุมข้อมือของภูไว้เริ่มลูบคลำบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเขาอย่างแผ่วเบา

     “พี่กรรณอย่า…” ภูวิงวอนทั้งที่ตายังปิดแน่น
     “ไม่เคยเลยใช่มั้ย” กรรณถามเสียงเกือบจะเป็นกระซิบ

     ไม่เคย ไม่เคยอะไร? คำถามระเบิดขึ้นในสมองของภู เด็กหนุ่มรู้ตัวว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้มันเกินจะทานทนไหว อีกไม่นานสติของเขาคงกระเจิดกระเจิง ประสบการณ์แบบผู้ใหญ่ครั้งแรกในชีวิต คืนนี้ ที่นี่ กับเขาคนนี้อย่างนั้นเหรอ? เสียงในใจภูร้องโหวกเหวกถามอย่างตื่นเต้นระคนตื่นตระหนก ด้วยประสบการณ์ที่เป็นศูนย์ทำให้เขาไม่มั่นใจว่าตนพร้อมหรือยังสำหรับเรื่องพรรค์นี้ แต่ถ้าถามถึงความเต็มใจ แน่นอน ถ้าเป็นกับชายคนนี้ ยิ่งกว่าเต็มใจเสียอีก เด็กหนุ่มพยายามบังคับตัวเองไม่ให้เสียงสั่นตอนถามออกไป “พี่พูดเรื่องอะไรครับ?”

     “ยังจะมาถามอีก” กรรณไม่ยอมตอบคำถามนั้นตรงๆ ในขณะที่มือก็ยังคงป้วนเปี้ยนอยู่บนแผ่นหลังของภูไม่เลิก

     ภูค่อยๆลืมตาขึ้นมองดูใบหน้าของอีกฝ่าย เมื่อสายตาสบกันเข้าพอดี กรรณชะงักไปคล้ายได้สติและกลับเป็นฝ่ายหลบตาเด็กหนุ่มเสียเอง รวมถึงสัมผัสแผ่วเบาบนแผ่นหลังที่หยุดลงด้วยเช่นกัน
     
     “ยาที่ให้ไปน่ะไม่เคยทาเลยใช่มั้ย?” กรรณถามอีกครั้งด้วยคำถามที่ชัดเจนขึ้น
     “ยา?” ภูเบิกตาโพลง เริ่มงงว่าอีกฝ่ายพูดถึงอะไรกันแน่
     “ก็ยาแก้ฟกช้ำไง ไม่เคยทาเลยล่ะสิถึงยังเขียวเป็นจ้ำขนาดนี้ ถ้าทาทุกวันป่านนี้หายไปหมดแล้ว” กรรณปล่อยมือให้ภูเป็นอิสระ
     “เหรอ ไม่บอกไม่รู้เลยนะเนี่ย”

     ภูปิดประตูห้องน้ำดังลั่น โมโหจนเกือบจะกลายเป็นเคียดแค้น รู้สึกเหมือนถูกจับแก้ผ้าประจานซ้ำแล้วซ้ำเล่า มาอีกแล้วพฤติกรรมชวนเข้าใจผิด มีใครที่ไหนถามเรื่องทายาด้วยน้ำเสียงแบบนั้น ด้วยสัมผัสมือปลุกเร้าแบบนั้นกันบ้าง ภูระเบิดความเกรี้ยวกราดอยู่เงียบๆคนเดียวในห้องน้ำขณะปล่อยให้สายน้ำจากเครื่องทำน้ำอุ่นไหลรดดับความรุ่มร้อนที่คั่งค้างอยู่ทั่วร่าง เขาเอนหลังพิงเข้ากับผนังกระเบื้องของห้องน้ำ ความเดือดดาลลดทอนลงทีละน้อยเหลือเพียงความหวาดหวั่นและไม่เข้าใจว่าสิ่งที่โยงใยทั้งคู่อยู่ในตอนนี้คืออะไรกันแน่ ภูรู้สึกเหมือนตกอยู่ในเกมชักเย่อทางอารมณ์ วินาทีนึงเหมือนความสุขสมหวังจะโน้มเอียงมาทางเขา แต่ไม่เลย ในเมื่ออีกวินาทีต่อมาอีกฝ่ายก็พร้อมจะกระชากเขากลับออกมาสู่ความโหดร้ายที่เรียกว่าความเป็นจริงได้เสมอ

     หลังจากเสร็จสิ้นการชำระล้างร่างกายและสงบสติอารมณ์ ภูเช็ดตัวแบบลวกๆแล้วสวมเสื้อผ้าที่กรรณให้มา มันใหญ่กว่าตัวเขาไปมากหากแต่ถ้ามองว่าเป็นชุดนอนก็ไม่ถือเป็นข้อเสีย เขาเปิดประตูกลับออกมาจากห้องน้ำ สุดทางเดินมีห้องที่เปิดประตูแง้มเอาไว้อยู่ คงจะเป็นห้องนั้นสินะ เขานึกในใจขณะเดินไปผลักบานประตูที่แง้มอยู่ให้อ้ากว้างออก มันคือห้องที่ภูเห็นจากหน้าต่างห้องตัวเอง สังเกตได้จากบานหน้าต่างและกองสัมภาระที่วางสุมอยู่ หากแต่เมื่อมาอยู่ตรงนี้เขาจึงได้เห็นว่ายังมีมุมที่ไม่อาจมองเห็นได้จากหน้าต่างห้องนอนตนอีก เช่นเตียงนอนที่ตั้งอยู่ชิดกับมุมห้อง ชุดเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอชและอุปกรณ์การทำภาพกราฟฟิก ตลอดจนภาพถ่ายที่กรรณติดประดับไว้บนกำแพงห้อง ภูถือวิสาสะเข้าไปดูใกล้ๆทีละภาพอย่างสนใจ ส่วนใหญ่เป็นภาพถ่ายทิวทัศน์ของเมืองในต่างประเทศ หากแต่มีบางภาพที่ภูรู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก หากแต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน จนกระทั่งสายตาเลื่อนมาเจอเข้ากับภาพของบ้านไม้เก่าๆที่ถูกขนาบด้วยตึกสถาปัตยกรรมสมัยใหม่นั่นเอง เขาจึงได้คำตอบ

     “Lonelyvoyager” ภูรำพึงชื่อนั้นออกมาเบาๆน้ำเสียงคล้ายไม่อยากจะเชื่อ

     เพื่อความแน่ใจ ภูหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาและเข้าอินสตาแกรมของ Lonelyvoyager เพื่อนำมาเปรียบเทียบกันแบบภาพต่อภาพ ผลที่ได้ไม่ผิดเป็นแน่แท้ เพราะนอกจากภาพของบ้านไม้ที่ว่าแล้ว ยังมีอีกหลายภาพทีเดียวที่ตรงกัน

     “กว่าจะอาบเสร็จ นึกว่าจะนอนในนั้นซะแล้ว” กรรณเปิดประตูกลับเข้ามาในห้อง ในมือถือถ้วยกาแฟใบใหญ่
     “พี่กรรณ…” ภูชูโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอเปิดอินสตาแกรมค้างอยู่ให้อีกฝ่ายดู “พี่คือเค้าเหรอ?”
     “อืม ทำไมเหรอ?” กรรณพยักหน้ารับ
     “ผมติดตามพี่อยู่ ติดตามมาตั้งนานแล้ว” ภูระล่ำระลักบอก ไม่คิดว่าจะได้เจอไอดอลของตัวเองอยู่ตรงหน้า
     “จริงเหรอ” กรรณเลิกคิ้วเหมือนไม่อยากเชื่อ
     “จริงสิ ติดตามตั้งแต่พี่มีคนฟอลโลว์แค่ไม่กี่หมื่นเลย” ภูคุยฟุ้ง
     “แฟนพันธุ์แท้เลยนะนั่น” กรรณอมยิ้ม “แต่ตอนนี้แฟนพันธุ์แท้ต้องนอนได้แล้วล่ะ”

     ภูหุบยิ้ม ผิดหวังกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย เขาคิดว่ากรรณจะตกใจ ประหลาดใจ หรือดีใจมากกว่านี้เสียอีก หากแต่เมื่อคิดดูในอีกมุมหนึ่ง คนที่มีผู้ติดตามเฉียดล้านคน คงไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับการบังเอิญมาเจอผู้ติดตามคนหนึ่งของตัวเองในโลกความเป็นจริง

     “นอนบนเตียงพี่ไปนั่นแหละ” กรรณชี้ไปทางเตียงเดี่ยวที่อยู่มุมห้อง
     “แล้วพี่จะนอนไหนล่ะครับ?” ภูสงสัย
     “คงไม่ได้นอนน่ะ คืนนี้งานเร่ง ต้องอีดิตภาพส่งให้ลูกค้า เส้นตายมาจ่อคอหอยแล้ว” กรรณยกกาแฟในมือขึ้นซดเข้าไปอึกใหญ่

     ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าบ้านกดปิดสวิทช์ไฟเหลือไว้เพียงโคมไฟตั้งโต๊ะข้างเครื่องคอมพิวเตอร์ ภูนั่งลงบนเตียง บอกไม่ถูกว่าโล่งใจหรือเสียดายที่สถานการณ์อันถูกคาดการณ์เอาไว้ได้กลายเป็นอื่น เขาเอนตัวลงนอนบนที่นอนนุ่ม หมอนใบใหญ่ให้สัมผัสที่สบายราวกับศรีษะจมลงไปในปุยเมฆ แต่สิ่งที่วิเศษยิ่งกว่านั้นคือกลิ่นอายของกรรณที่แฝงอยู่ในเครื่องนอนทุกชิ้น กลิ่นแชมพูจากเรือนผมที่ติดบนหมอน กลิ่นเหงื่ออ่อนๆที่ติดในผ้าห่ม ภูสูดดมมันเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รังเกียจ รู้สึกดีจนเกินจะบรรยายเมื่อได้รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งในโลกส่วนตัวของกรรณ

     “ผมชอบรูปของพี่มากเลยรู้มั้ย?” ภูบอกกรรณที่กำลังสาละวนตกแต่งภาพมือเป็นระวิงอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์
     “ขอบคุณมาก” กรรณตอบ
     “บังเอิญจังเนอะ ใครจะไปรู้ว่าพี่จะเป็นคนๆเดียวกันกับเค้า”
     “บังเอิญเหรอ ไม่หรอก มีอีกคำที่ใกล้เคียงกว่า” ครั้งนี้กรรณหันหน้ากลับมา “คำว่าพรหมลิขิต”

     ภูแค่นหัวเราะออกมาด้วยคิดว่าอีกฝ่ายแกล้งพูดให้เป็นมุกตลก หากแต่วินาทีต่อมาเขาจึงสังเกตรู้ได้ ไม่มีเค้าแววแห่งการล้อเล่นในดวงตาคู่นั้น มีแต่ทะเลแห่งความรู้สึกอันกว้างใหญ่ที่เขาไม่อาจหยั่งถึง ทั้งสองจ้องตากันอยู่อย่างนั้น น่าแปลกที่ครั้งนี้ความตื่นตูมที่ภูเคยมีเหมือนได้จางหายไปหมด ในอกของเขาที่แม้หัวใจจะเต้นโครมครามอยู่แต่อารมณ์กลับสงบจนน่าประหลาด กรรณหยุดนิ่งไม่พูดอะไรต่อ สายตายังอ้อยอิ่งมองมาทางเด็กหนุ่มคล้ายรอคอยการตอบสนอง หากแต่เมื่อไม่เห็นวี่แววเขาก็ยิ้มออกมาน้อยๆที่มุมปาก และเป็นฝ่ายตัดบทเสียเอง “นอนได้แล้วล่ะ พี่จะทำงานต่อแล้ว”

     ภูพยักหน้า เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดจนเกือบจะคลุมโปง หัวใจยังคงเต้นรัวไม่หยุด สองตาที่โผล่พ้นผ้าออกมาลอบมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ บางสิ่งที่คล้ายกับความหวังได้เบ่งบานขึ้นมากลางใจ คำว่าพรหมลิขิตที่กรรณพูดเมื่อครู่ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท เวลาที่เหลือในค่ำคืนนั้น ภูจับจ้องดูกรรณทำงานอย่างตั้งใจ เฝ้ารออย่างคาดหวังว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเขาอาจจะปิดหน้าจอและเดินกลับมาพักผ่อนที่เตียง แต่จนกระทั่งย่ำรุ่งก็ยังไม่มีวี่แววที่ว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้น ภูจึงได้ยอมแพ้และปล่อยตัวเองให้หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

     ภูลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงแสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา เกือบสิบเอ็ดโมงเช้าแล้ว เด็กหนุ่มรีบลงจากเตียงเตรียมตัวจะกลับไปบ้านตัวเองเพื่อไปเรียนต่อในช่วงบ่าย เมื่อหันมองไปรอบๆ กรรณไม่อยู่ในห้อง เสื้อนักศึกษาที่ถูกซักและทำให้แห้งเรียบร้อยกับกางเกงยีนของเขาแขวนอยู่ที่ลูกบิดประตู ภูจัดแจงใช้โอกาสที่ไม่มีใครอยู่ในห้องนั้นเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมาใส่ชุดนักศึกษาตามเดิมก่อนจะลงมายังชั้นล่าง ที่ห้องรับแขก กรรณหลับอยู่ที่โซฟา ขาเหยียดยาวจนพ้นขอบออกมา ข้างกายมีโทรศัพท์มือถือที่วางหมิ่นเหม่พร้อมจะร่วงสู่พื้นได้ทุกเวลา ภูนึกสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมาหลับอยู่ตรงนี้ บางทีกรรณอาจจะลงมาคุยโทรศัพท์แล้วเผลอหลับไป แต่จะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งภูเลือกจะเชื่อว่าเป็นเรื่องงานเพื่อสุขภาพจิตของตนเอง แน่นอนว่าเขาไม่ได้กำลังคิดทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของชายหนุ่มข้างบ้านผู้ซึ่งไม่เคยแสดงท่าทีอะไรให้ชัดเจนสักอย่างคนนี้ แต่การจินตนาการว่ากรรณกำลังคุยกับใครซักคนที่ทำให้เขายิ้มได้ บทสนทนาออดอ้อนออเซาะหวานเลี่ยนในยามค่ำคืน มันก็เป็นเรื่องที่ชวนปวดใจอย่างมาก

     Lonelyvoyager นักเดินทางผู้โดดเดี่ยว… ภูนึกถึงความหมายของชื่ออินสตาแกรมของกรรณ พลางนึกหาแรงจูงใจในการตั้งชื่อนี้ ซึ่งก็คาดเดาไม่ยาก คงเนื่องมาจากการที่กรรณต้องไปใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังในต่างประเทศตั้งแต่เพิ่งพ้นจากวัยมัธยม เด็กหนุ่มรู้สึกเศร้าใจแทนอีกฝ่ายเมื่อนึกขึ้นได้ว่าแม้กระทั่งในยามนี้ที่กรรณกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอนแล้ว ความโดดเดี่ยวแห่งชีวิตลำพังก็ยังไม่ยอมจางหายไปจากชีวิตของเขาเสียที อัลไซเมอร์ โรคร้ายที่ไม่ได้บั่นทอนแค่ร่างกายของผู้ป่วยเพียงอย่างเดียว แต่ยังบั่นทอนจิตใจของผู้คนที่อยู่รอบข้างด้วย ภูได้ลองจินตนาการโดยนำตนเองไปแทนที่ในจุดที่กรรณยืนอยู่ มันจะน่าเจ็บปวดแค่ไหนนะ เมื่อต้องมารับรู้ว่าคนที่รักเรามากที่สุด คนที่ดูแลอุ้มชูเรามาตั้งแต่เด็ก ครอบครัวที่เหลืออยู่คนสุดท้ายในชีวิต บัดนี้จำเราไม่ได้แล้ว ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นแม้รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเรื่องสมมุติ แต่ก็ยังเจ็บปวดจนเกินจะรับ ด้วยเหตุนี้ภูจึงไม่นึกโทษกรรณเลยที่เขาเลือกมาทำงานและใช้ชีวิตคนเดียวที่กรุงเทพและปล่อยหน้าที่การดูแลแม่ให้เป็นของพยาบาลพิเศษ เพราะเข้าใจดีว่ามันเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสเอาการต่อสภาพจิตใจ กับการที่ต้องเห็นผู้หญิงที่รักที่สุดในชีวิตจ้องมองมายังตนด้วยสายตาว่างเปล่าดุจคนแปลกหน้า

     เด็กหนุ่มเดินเข้าไปใกล้จนเกือบประชิดกับโซฟาที่กรรณนอนเหยียดยาวอยู่ เขายังคงหลับตานิ่งสนิทไม่รู้สึกรู้สาถึงการมาของภู ปลายนิ้วเท้าที่ยื่นออกมาจากโซฟากระดิกเล็กน้อย การกระตุกของกล้ามเนื้อ เขาอาจจะกำลังฝัน ภูมองดูร่างที่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้าด้วยความรู้สึกหวามไหวเกินจะบรรยาย หลงใหลอย่างบ้าคลั่งต่อทุกสิ่งอันที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวตนของกรรณ นิ้วเท้า ข้อเท้า กับหัวเข่านั้น แผ่นอกกว้างในเสื้อยืด และริมฝีปากที่เผยออ้าน้อยๆยามไร้ซึ่งสัมปชัญญะ ภูมั่นใจเหลือเกินว่าเขาจะจูบและสัมผัสมันได้อย่างไม่มีวันเบื่อ เปลือกตาทั้งสองของกรรณยังคงปิดสนิทอยู่ ชายหนุ่มจะไม่มีวันรู้ว่าถูกเขาจ้องมองด้วยสายตาอันหิวกระหายจากตรงนี้ เช่นเดียวกับที่ภูไม่มีวันล่วงรู้ถึงภาพฝันของกรรณที่ฉายอยู่ใต้เปลือกตาคู่นั้น
พรหมลิขิต ภูนึกถึงคำที่กรรณพูดเอาไว้เมื่อคืน หลังจากตัวตนอีกด้านของเขาถูกล่วงรู้ นั่นคือสัญญาณของอะไรบางอย่างหรือเปล่า ภูไม่อยากเข้าข้างตัวเองเพราะกลัวที่จะต้องเจ็บแบบกล่าวโทษใครไม่ได้ แต่หากคำนั้นใช่สัญญาณที่กรรณส่งมาจริง บางทีอาจเป็นตัวของภูเองที่ไม่ชัดเจนพอถึงทิศทางของเรื่องทั้งหมดนี้ ต่อหน้ากรรณภูสวมหน้ากากแห่งความเมินเฉยเพื่อปิดบังความเครียดและกระดากอาย หากแต่เมื่อความใกล้ชิดเริ่มมากขึ้นจนถึงการสัมผัส หน้ากากนั้นก็แตกเป็นผุยผง เพียงปล่อยให้กรรณแตะเนื้อต้องตัวเพียงบางจุด ภูก็อ่อนปวกเปียกเหมือนก้อนขี้ผึ้งกลางเปลวแดด หากแต่ภูไม่อาจปล่อยใจแสดงความปรารถนาออกไปให้อีกฝ่ายได้รับรู้ อาจเป็นเพราะอับอายเกินกว่าจะยอมรับและหวาดกลัวถึงผลที่จะตามมา กรรณอาจจะเมินเฉยต่อความรู้สึกที่ภูมีให้ด้วยข้ออ้างว่าเขาเด็กเกินไป หรืออาจหัวเราะเยาะด้วยคิดว่าเขาเป็นพวกแก่แดด หรือร้ายที่สุดคืออาจจะบอกเล่าเรื่องนี้แก่ผู้อืนในทิศทางแห่งเรื่องตลกขบขัน

     ภูมองนาฬิกาที่ผนังบ้าน เกือบเที่ยงวันแล้ว ถึงเวลาต้องกลับบ้านหากยังคิดจะไปเรียนให้ทันช่วงบ่าย ติดอยู่ตรงที่เด็กหนุ่มยังลังเลใจอยู่ว่าจะแอบกลับออกไปแบบเงียบๆ หรือจะปลุกอีกฝ่ายขึ้นมาขอบคุณที่(บังคับ)ให้พักค้างอ้างแรม

     “พี่กรรณ” ภูตัดสินใจลองเรียกปลุกอีกฝ่ายดู
     “หือ…” กรรณตอบสนองด้วยการขยับตัวและค่อยๆลืมตาขึ้น เขากระพริบตาถี่ๆราวกับยังมึนงงอยู่ “ว่าไง?”
     “ผมกลับแล้วนะ มีเรียนตอนบ่าย ขอบคุณที่ให้นอนค้างครับ” ภูยกมือไหว้ ตั้งใจสร้างภาพจำที่ดีเกี่ยวกับตนเองให้กรรณเห็นบ้าง หลังจากที่ผ่านมาเหมือนจะมีแต่มุมแย่ๆเจ้าปัญหามาตลอด “แล้วทำไมพี่มานอนอยู่นี่ล่ะ?”
     “ลงมาคุยโทรศัพท์น่ะ สายจากต่างประเทศ คุยเสร็จกะจะพักสายตาซักแป๊ปนึง เผลอหลับยาวเลย” กรรณยิ้มเจื่อนๆ
     “แล้วงานทำเสร็จหมดแล้วเหรอ?” ภูจำได้ว่าเมื่อคืนกรรณบอกว่ากำลังเร่งมือทำงานให้ทันกำหนดเส้นตาย
     “เหลือนิดนึง” เขาเหลือบมองนาฬิกา “น่าจะทันแบบเส้นยาแดงผ่าแปด”
     “งั้นผมไม่กวนพี่แล้ว พี่ทำงานต่อเถอะครับ”
     “ออกไปเองได้ใช่มั้ย พี่คงไม่ได้ออกไปส่งนะ”

     เด็กหนุ่มพยักหน้า กรรณลุกขึ้นจากโซฟาแล้วบิดตัวไปมาเพื่อคลายเส้นที่ยึดก่อนจะเดินขึ้นบันไดกลับไปยังชั้นสอง ภูยืนมองอีกฝ่ายจนพ้นสายตาจึงค่อยออกมา เมื่อกลับมาถึงบ้านของตัวเองก็พบกับแม่ที่กำลังโมโหสุดๆยืนรอต้อนรับอยู่ แต่ด้วยเวลาที่มีจำกัดภูจึงไม่มีเวลาพอจะอยู่ฟังแม่บ่นจนจบ หลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนชุดนักศึกษาเป็นชุดใหม่แล้ว เขาก็ต้องรีบออกจากบ้านอีกครั้งเพื่อไปเรียนให้ทันบ่ายโมง ภูดูเวลาจากนาฬิกาที่ข้อมือขณะออกจากบ้าน ไม่ทันแน่ เขาคิด จากเวลาที่เหลืออีกเพียงสิบห้านาที ยังไงคลาสนี้คงไม่แคล้วต้องโดนอาจารย์หักคะแนนเก็บจากการเข้าสาย ภูเดินคอตกพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างท้อแท้ งานที่ต้องส่งก็ยังไม่มี แถมยังไปเรียนไม่ทัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวันนี้คงเป็นอีกวันที่ไม่ใช่วันของเขา จนเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบกรรณที่กำลังหอบหิ้วแฟ้มงานเตรียมจะออกจากบ้านของตนพอดี 

     “อ้าว พี่นึกว่าออกไปเรียนแล้วซะอีก” กรรณร้องทักเมื่อเห็นภูที่กำลังเดินหน้ามุ่ยอยู่
     “กำลังไปครับ แม่มัวแต่บ่นอ่ะ สายแล้วเนี่ย” ภูถอนหายใจอีก
     “มหาลัยฯเราอยู่แถวไหนล่ะ?” กรรณถามขณะที่มือก็ล๊อกกุญแจประตูรั้วไปด้วย
     “ท่าพระจันทร์ครับ” ภูตอบ
     “งั้นเดี๋ยวนั่งรถไปกับพี่ก็ได้ พี่ต้องไปส่งงานแล้วก็วางบิลใกล้ๆแถวนั้นพอดี” กรรณเสนอ

     เป็นคำเชื้อเชิญที่มีอานุภาพเหลือร้าย ความรู้สึกเกิดแบ่งออกเป็นสองฟากสองฝ่ายในจิตใจของภู เป็นสองความรู้สึกที่ผูกสนิทแนบแน่นกับตัวเขามานับตั้งแต่ได้พบกับกรรณ ความกลัวและความหวัง และตอนนี้พวกมันทั้งสองก็กำลังเฝ้าดูการตัดสินใจของเขา ความกลัวคอยข่มขู่ให้รักษาระยะห่างกับชายผู้นี้ มันคอยย้ำเตือนกับภูถึงโอกาสแห่งความเป็นไปได้ที่ภูจะผิดหวังในทุกวิถีทาง ในขณะที่ความหวังคอยยุยงให้เดินหน้า เลิกวิตกจริตและซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตนเองเสียที จริงแท้อย่างที่สุด หากเมื่อตอนที่ยืนจับจ้องกรรณขณะกำลังหลับใหล ตอนนั้นภูตระหนักได้ว่าที่ผ่านมาอาจเป็นตนที่ไม่ได้แสดงท่าทีออกไปให้อีกฝ่ายรับรู้อย่างชัดเจน แล้วเมื่อไหร่ล่ะ? หากเขายังเอาแต่หลบเลี่ยง ปิดบัง ทำตัวปากไม่ตรงกับใจแบบนี้ เมื่อไหร่กันที่ความชัดเจนระหว่างทั้งสองจะเกิดขึ้น ความชัดเจนว่าท้ายที่สุดแล้วเขากับกรรณจะเป็นได้มากแค่ไหน ทุกอย่างบนโลกนี้ตั้งอยู่บนความเสี่ยงทั้งสิ้น ไม่สมหวังก็ผิดหวัง หากแต่ครั้งนี้ความหวังชนะความกลัว ภูหันไปสบตากรรณ แล้วพยักหน้าตอบตกลง

หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 5 ☆ [1-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 02-03-2018 09:42:09
ชอบเรืีองนี้อ่ะ ติดตามๆ ^^
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 5 ☆ [1-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-03-2018 11:04:07
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 5 ☆ [1-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 03-03-2018 00:35:59
กรรณ!!!!!  ออกตัวแรงนะ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 5 ☆ [1-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 03-03-2018 17:21:41
ชอบเรืีองนี้อ่ะ ติดตามๆ ^^


ขอบคุณที่ติดตามครับ ดีใจมีคนชอบ ตอนแรกแอบกัลวลเพราะคิดว่าสำนวนเราไม่ค่อยถูกใจนักอ่าน
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 5 ☆ [1-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 03-03-2018 17:22:31
:pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณที่นยังติดตามกันตลอดนะครับ  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 5 ☆ [1-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 03-03-2018 17:24:17
กรรณ!!!!!  ออกตัวแรงนะ

ีมันต้องมีกันมั่ง หุหุหุ

ขอบคุณที่ยังติดตามกันเสมอนะครับ  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 5 ☆ [1-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 03-03-2018 18:25:17
 :o8:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 5 ☆ [1-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-03-2018 14:56:07
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 5 ☆ [1-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 05-03-2018 05:32:21
:o8:

ขอบคุณที่ติดตามกันน่ะครับ​  :impress2:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 5 ☆ [1-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 05-03-2018 05:33:20
:L2: :pig4:

สวัสดีครับ​ ขอบคุณ​ที่ติดตามกันครับ​  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 5 ☆ [1-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 06-03-2018 09:33:54
Episode 6 part1

        ถึงแม้เมื่อครู่ในใจของภูจะเปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิมเพียงใด หากแต่เมื่อต้องมานั่งชิดติดกันบนเบาะหลังของรถแท็กซี่ กลิ่นอายจากร่างกายของอีกฝ่ายและสัมผัสแห่งความใกล้ชิดอันเป็นสิ่งที่ภูแพ้ทางมาโดยตลอดก็ทำให้เขาเกิดประหม่าขึ้นมาจนตัวแข็ง เด็กหนุ่มนั่งนิ่งตัวไม่กระดิก หน้าหันออกมองนอกหน้าต่างจนคอเกร็งค้าง ในหัวพยายามงมหาซักเรื่องมาเริ่มบทสนทนาเพื่อทำลายความเงียบน่าอึดอัดที่อบอวลอยู่เต็มห้องโดยสารของรถแท๊กซี่ในขณะนี้ หากแต่กลับเป็นกรรณที่เป็นฝ่ายเริ่มขึ้นก่อนเอง

        “เรื่องเมื่อวาน ตกลงไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ย?” กรรณถามขึ้น
        “เรื่องเมื่อวาน? เรื่องอะไรครับ?” ภูสะดุ้ง ด้วยเมื่อวานนี้มีหลายเรื่องเกิดขึ้นเหลือเกิน
        “ก็เรื่องโปสเตอร์โฆษณา เห็นนายโทรมาโวยวายใหญ่โต” กรรณชี้ชัดลงไปว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร
        “อ๋อ…” ภูนึกขึ้นได้ “ก็คงไม่เป็นไรแล้วมั้งครับ เมื่อวานผมก็แค่ตกใจ ไม่ได้ตั้งใจจะโทรไปโวยวาย”
        “ก็ดีแล้ว” น้ำเสียงของกรรณมีเสียงหัวเราะกลั้วอยู่ในลำคอ “โวยวายซะพี่ตกอกตกใจหมด นึกว่าโดนใครต่อว่ามา”
        “ไม่มีอ่ะ มีแต่โดนเพื่อนล้อ” ภูบอกตามความจริง
        “ล้อเรื่องอะไร เรื่องนายแบบหน้าบูดหน้าบึ้งน่ะเหรอ?” กรรณแหย่
        “เรื่องได้ตากล้องไม่โปร ถ่ายออกมาดูแย่กว่าตัวจริง” ภูเย้าอีกฝ่ายกลับไป
        “ขนาดไม่โปร ยังมีเด็กที่ไหนไม่รู้มาบอกว่าติดตามผลงานมาตั้งแต่เริ่ม” กรรณยกเอาเรื่องเมื่อคืนมาข่มทับ

        ภูหน้าแดง เลิกต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย ที่พูดไปเมื่อครู่ก็เพียงแค่อยากจะเอาคืนที่โดนล้อ ความจริงนั้นโต้แย้งไม่ได้เลยว่าฝีมือของกรรณไม่มีข้อให้ติ ผลงานโฆษณาชิ้นแรกของเขาที่เพิ่งเปิดตัวไปได้พิสูจน์ทุกอย่างแล้ว เพราะถึงแม้สภาพอารมณ์ขณะทำงานจะไม่ได้มีความเต็มใจแม้แต่น้อย  แต่ช่างภาพหนุ่มก็สามารถหามุมเก็บภาพที่ดูแล้วเหมือนเขายินยอมพร้อมใจเต็มที่มาจนได้ แวบแรกที่เห็นภาพในโปสเตอร์นั้น เขายังคิดว่าไม่ใช่ตนเองเลยด้วยซ้ำ

        “แต่วันนั้นลูกค้าเค้าชอบนายมากเลยนะ” กรรณยังคงพูดต่อ “ถ้าจะเอาดีทางนี้ก็ไม่น่าจะยาก แค่ต้องไปหัดทำหน้าให้รับแขกซะบ้าง”
        “ขนาดนั้นเชียว…” ภูไม่อยากจะเชื่อ เพราะเท่าที่จำได้ทุกสิ่งที่เขาทำลงไปในวันนั้น ไม่น่าจะก่อเกิดความประทับใจใดๆให้กับใครทั้งสิ้น
        “ช่าย…” กรรณลากเสียง “ถ้ามีงานแบบนี้อีกจะทำมั้ยล่ะ? เพราะงานโฆษณา แคทตาล๊อก หรือพวกแฟชั่นเซ็ท บางทีถ้าพี่รู้จักกับลูกค้า พี่ก็เสนอคนมาเป็นแบบให้เค้าเองได้เลย ไม่ต้องผ่านพวกโมเดลลิ่งเอเจนซี่”
       
        ต้องชัดเจน ถึงเวลาต้องชัดเจนแล้ว ภูย้ำเตือนตัวเองเมื่อเงาแห่งความปากไม่ตรงกับใจเริ่มตั้งเค้าจะปรากฎตัวออกมา
       
        “ก็ได้” ภูตอบตกลง หากแต่เสียงที่หลุดออกจากปากนั้นเบาจนเกือบจะเป็นกระซิบ
        “ถ้าไม่อยากทำก็ไม่เป็นไรนะ” กรรณถามความสมัครใจ
       
        มากกว่านั้นอีก ต้องชัดเจนมากกว่านั้น ภูผลักดันตัวเองให้พูดในสิ่งที่คิดออกไป อาจไม่ใช่ความในใจทั้งหมด เพราะความกล้ายังไม่มากพอ แต่ก็ขอให้มันฟังดูเป็นเบาะแสให้อีกฝ่ายระแคะระคายได้

        “ถ้าพี่อยากให้ผมทำ ผมก็จะทำ” ภูกลั้นใจบอกออกไป ใจนึกสงสัยว่าตอนนี้ใบหน้าของตนกำลังแดงอยู่หรือไม่
        “งั้นเหรอ…” กรรณจ้องหน้าของเด็กหนุ่ม นัยน์ตาคมคู่นั้นคล้ายจับสังเกตบางสิ่งที่เจือปนอยู่ในน้ำเสียงอีกฝ่ายได้
        “อืม” ภูพยักหน้าสำทับ
        “ติดใจรายได้ล่ะสิ” กรรณทำหน้าเหมือนรู้ทัน “ของคราวก่อนสงสัยลงขวดหมดแล้วมั้งเนี่ย เมื่อวานถึงได้อาบเหล้าจนชุ่มมาแบบนั้น”
        “ไม่ใช่แบบนั้นนะ!! ผมหมายถึง… ” ภูอ้าปากจะปฏิเสธ หากแต่รถก็มาถึงที่หน้ามหาวิทยาลัยเสียก่อน
        “โดนรู้ทันแล้ว ไม่ต้องมาแก้ตัว รีบไปเรียนได้แล้ว” กรรณดันเร่งให้เด็กหนุ่มลงจากรถ ก่อนจะปิดประตูเขาชะโงกหน้ามาพูดทิ้งท้าย “แล้วถ้ามีเวลาว่างก็หัดยิ้มให้คล่อง งานต่อไปถ้าหน้าบึ้งอีก จะหักค่าจ้างแล้วนะ”

        ภูได้แต่ยืนมองรถแท๊กซี่สีเขียวเหลืองคันนั้นวิ่งหายไปจนลับตา ถ้อยคำที่เตรียมเอาไว้ทั้งหมดยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก ถ้าทำแล้วพี่พอใจ ผมก็จะทำ ค่าจ้างน่ะผมไม่สนหรอก… เมื่อขาดประโยคนี้ ก็ไม่แปลกที่กรรณจะเข้าใจไปว่าเขายอมรับข้อเสนอก็เพราะเงินทองมันล่อใจ ทว่าตอนนี้ก็คงช้าไปเสียแล้ว แต่ถึงกระนั้นภูก็ค่อนข้างพอใจกับความสำเร็จเล็กๆของตน อย่างน้อยวันนี้เขาก็กล้าพอจะพูดอะไรที่ตรงกับใจออกไป กล้าพอที่จะทำตัวชัดเจน แม้จะยังไม่มากพอที่จะให้อีกฝ่ายเข้าใจได้อย่างถูกต้องก็เถอะ เรื่องเข้าใจผิดเอาไว้แก้ไขกันในโอกาสหน้าก็ไม่สาย   

        เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถัดมาในวันนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น ถ้าไม่นับเรื่องการถูกหักคะแนนเก็บเนื่องจากเข้าห้องเรียนช้ากว่าเวลาไปเกือบยี่สิบนาทีแล้ว ทุกสิ่งนอกจากนั้นก็ดำเนินไปตามวิถีของชีวิตนักศึกษาอย่างที่เคยเป็นมา ภูแก้ตัวกับอาจารย์ประจำวิชาและขอต่อรองเลื่อนการส่งงานไปเป็นคาบเรียนหน้า ในขณะที่บรรดาเพื่อนร่วมคณะก็ดูจะทำตามสัญญาที่ให้เอาไว้ คือเลิกล้อเลียน ทำเหมือนภูไม่เคยปรากฏตัวอยู่บนโปสเตอร์โฆษณานั้น อาจจะมีบางคนที่เป็นพวกพูดก่อนคิดทีหลังเช่นนฤดลที่หลุดแซวออกมาบ้างแต่ก็อยู่ในระดับที่พอขำออก ไม่ได้พร่ำเพรื่อจนน่าเบื่อแบบเมื่อวาน ทั้งหมดนี้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนได้ชีวิตปกติกลับคืนมาอีกครั้ง

        “รอดตัวไปนะแก ดีนะที่อาจารย์ยอมเลื่อนกำหนดส่งให้” สาลี่พูดขณะเดินตามหลังภูลงมาจากอาคารเรียน
        “ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีเลยแกน่ะ ถ้าเมื่อวานไม่ทิ้งให้ชั้นหลับในร้านเหล้า ป่านนี้ชั้นก็มีงานมาส่งอาจารย์แล้ว ไม่ต้องมาโดนบ่นแบบนี้หรอก” ภูช่วยเตือนความจำให้เพื่อนซี้ผู้ซึ่งเหมือนจะลืมไปแล้วว่าก่อวีรกรรมอะไรไว้
        “แล้วก็เป็นชั้นอีกนั่นแหละ ที่ไปช่วยพูดกับอาจารย์อู๋จนยอมเพิ่มเวลาส่งงานให้แก” สาลี่เอาความดีความชอบมาป้องกันตัว
        “เออ แล้วแกไปพูดยังไงวะ? อาจารย์เค้าถึงยอม” ภูสงสัย เนื่องจากกิตติศัพท์ของอาจารย์อู๋เป็นที่เลื่องลือรู้กันดีว่าเด็ดขาดไม่มีการผ่อนปรน
        “ก็คนเรามันต้องมีวาทศิลป์เว้ย เวลาคุยน่ะเราต้องรู้จักอ่อนน้อม” สาลี่แสดงท่าทางประกอบด้วยการน้อมตัวลงจนคอเสื้อนักศึกษาเปิดเห็นชั้นใน “การแต่งตัวก็มีส่วนช่วยได้มาก แต่งตัวเหมาะสมกับโอกาสก็มีชัยไปกว่าครึ่ง ก่อนเข้าห้องพักอาจารย์น่ะ กระดุมเม็ดบนแกะออกซักสองเม็ด เท่านี้คุยอะไรอีกฝ่ายก็ยอมหมดแล้ว”
        “นี่มหาลัยฯนะ ไม่ใช่ซ่อง” ภูส่ายหน้าระอากับความกร้านโลกของเพื่อน
        “ผลลัพท์สำคัญกว่าวิธีการ ไม่เคยได้ยินคำนี้หรือไง?” สาลี่เอาศอกกระทุ้งแขนภู

        เมื่อเดินมาถึงชั้นล่างของตึกเรียน วันนี้คนที่จับกลุ่มกันอยู่ตามโต๊ะหินอ่อนด้านหน้าตึก นอกจากจะเป็นกลุ่มนักศึกษาหน้าเดิมที่เป็นเจ้าประจำแล้ว ภูยังเห็นนักศึกษาหญิงหน้าตาไม่คุ้นอีกจำนวนหนึ่งที่มายืนด้อมๆมองๆอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนั้น เมื่อเห็นภูเดินลงมาหนึ่งในนั้นก็รีบฉุดแขนเพื่อนอีกคนที่ยืนละล้าละลังอยู่เดินตรงเข้ามาหา

        “พี่พิภู ปีสอง สถาปัตย์ ใช่มั้ยคะ?” เด็กสาวคนที่เดินนำหน้ารัวคำถามใส่ภูทันทีที่เดินมาประชิดถึงตัว
        “คะ… ครับ” ภูดีดตัวกระเถิบถอยหลัง ตกใจจนตั้งตัวไม่ทัน
        “ออกไปเลย อย่ามาแอ๊บเขิน” เด็กสาวคนเดิมหันไปยื้อยุดฉุดกระชากให้เพื่อนที่ยืนเหนียมอายอยู่ออกมาข้างหน้า

        เมื่อสู้แรงเพื่อนไม่ไหว เด็กสาวผมยาวเค้าหน้าออกไปทางชาวแดนอาทิตย์อุทัยก็ถูกผลักดันจนออกมายืนประจันหน้ากับภู แต่เมื่อสบสายตาของหนุ่มรุ่นพี่ที่กำลังมองมาที่ตนด้วยความสงสัย เธอก็หน้าแดงก่ำด้วยความอายและก้มหน้าหลบลงไปมองพื้นอีกรอบ จนในที่สุดเพื่อนที่มากับเธอก็ดูจะเหลืออดเหลือทนเต็มทีจึงตัดสินใจเป็นฝ่ายออกหน้าดำเนินการให้เสียเอง
       
        “พี่พิภูคะ หนูชื่อส้ม แล้วนี่พิม ที่มาวันนี้ก็คือจะบอกว่า พิมเนี่ยมันปลื้มพี่มากเลยอ่ะ” เธอบอกออกมาโต้งๆ จนเจ้าตัวที่ถูกกล่าวถึงรีบยื่นมือมาปิดปากไม่ให้พูดต่อ ส้มรีบแกะมือเพื่อนออกแล้วพูดต่อ “แต่พี่ไม่ต้องคิดมากนะคะ พวกหนูไม่ได้จะมาทำให้พี่ลำบากใจอะไรหรอก แต่พวกหนูตั้งใจว่าจะเป็นแม่ยกให้พี่เองค่ะ”

        “แม่ยก? มันคืออะไรครับ?” ภูตามไม่ทันกับสิ่งที่เด็กสาวตรงหน้าพูดอยู่
        “อารมณ์ประมาณแฟนคลับ ช่วยติดตามผลงาน ช่วยโปรโมทผลงานอะไรแบบนี้น่ะค่ะ” ส้มอธิบาย   
        “อ้อ แบบนี้เอง แต่ไม่เป็นไรครับน้อง พี่คงไม่ได้มีผลงานอะไรให้น้องติดตามหรอก” ภูยิ้มแห้งๆ มือเกาหัวแก้เขิน “ไอ้ใบปิดโฆษณาที่พวกน้องเห็นกันพี่ก็แค่โดนขอให้ไปช่วยเค้าเฉยๆ”
        “เดี๋ยวก็มีค่ะ ต้องมีแน่นอน” เด็กสาวอีกคนที่ชื่อพิมพูดขึ้นบ้างหลังจากยืนรวบรวมความกล้าอยู่นาน “หนูก็เลยอยากติดตามพี่ตั้งแต่ก้าวแรกตอนนี้เลย”
        “อุ๊ยตาย… ชีวิตดารา” สาลี่ปากยื่นปากยาวมาจากข้างหลังจนภูต้องกระทุ้งศอกใส่ให้เงียบ
        “ใช่ค่ะ ขนาดงานแรกของพี่ พิมมันยังปลื้มจนเก็บโปสเตอร์ไปติดไว้ในห้องนอนเลย”

        ส้มพูดได้เท่านั้นก็โดนพิมผู้ซึ่งยามนี้ถูกความอับอายรุมเร้าจนหน้าแดงเป็นผลสตรอเบอรี่สุกบีบคอจนลิ้นจุกปาก จนเมื่อยกสองมือขึ้นเป็นสัญญาณว่ายอมจำนนแล้วนั่นละอีกฝ่ายถึงยอมปล่อย พิมสูดลมหายใจเข้าพยายามตั้งสติจนเมื่อความเขินอายสร่างซาลงบ้างแล้วจึงค่อยพูดต่อ
       
        “ไม่ต้องลำบากใจนะคะ พี่ก็ใช้ชีวิตเหมือนที่เป็นมา พวกหนูก็จะสนับสนุนพี่ในทุกการตัดสินใจค่ะ” พิมชี้ไปยังเพื่อนกลุ่มที่รออยู่ข้างหลัง ใบหน้าของเธอยังคงแดงเรื่อ
 
        เมื่ออยู่ต่อหน้าแววตาอันเปี่ยมไปด้วยความปลาบปลื้มอย่างจริงจังและแน่วแน่เช่นนั้น ภูก็จนปัญญาจะหาเหตุผลที่ฟังดูเข้าทีมาบอกปัดความปรารถนาดีที่อีกฝ่ายมอบให้ ทั้งโดยส่วนตัวแล้วเด็กหนุ่มก็เชื่อมาตลอดว่าการมีคนมาชื่นชอบหรือรักใคร่ยังไงก็ย่อมดีกว่ามีคนเกลียดชังอยู่แล้ว และอีกอย่างหากเขาไม่มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันต่อจากนี้ ไม่นานทั้งหมดก็คงจะเบื่อและเลิกรากันไปเอง ไม่จำเป็นจะต้องพูดปฏิเสธให้เกิดรู้สึกว่าหักหาญน้ำใจกัน

        “โอเค เอาเป็นว่าถ้าพวกน้องอยากทำพี่ก็ไม่ขัดข้อง” ภูยอมตกลง “แล้วพี่ต้องทำอะไรบ้าง?”
        “ไม่ยากค่ะ เริ่มแรก หนูขอแค่โซเชียลของพี่ เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม อะไรก็ได้ที่พี่ใช้อยู่นะคะ” พิมกุลีกุจอหยิบโทรศัพท์มือถือของตนออกมาจากในกระเป๋าสะพายใบเล็ก

        ภูให้ข้อมูลตามที่อีกฝ่ายขอมา พิมรีบกดค้นหาผู้ใช้และแอดทีละรายการจนกระทั่งมาถึงอินสตาแกรมของภู เธอก็เงยหน้าจากจอโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยความสงสัย “ไอจีพี่ไม่ได้ลงรูปอะไรเลยเหรอคะ?”

        “แหะๆ คือพี่ไม่ค่อยชอบถ่ายรูปน่ะ” ภูอธิบายสาเหตุแห่งความว่างเปล่าในอินสตาแกรมของตน “อีกอย่างที่ผ่านมาพี่แค่เอาไว้ติดตามส่องดูรูปจากแอคเคาท์อื่นเท่านั้นเอง”
        “ใช่ค่ะน้อง อีตานี่น่ะ นางอายชัดๆ เวลาเพื่อนถ่ายรูปกันชอบหลบไปอยู่นอกกล้อง” สาลี่ยื่นหน้ามาพูดเสริม
        “งั้นหนูจะตั้งไอจีใหม่อีกแอคเคาท์นึง เป็นของแฟนคลับ เอาไว้อัพเดทภาพหรือวีดีโอของพี่ที่พวกหนูหามากันเองแล้วกันนะคะ” พิมเสนอ “เวลาพี่มีงานหรืออัพเดทอะไร ก็บอกหนูก่อนเลยนะคะ แล้วหนูจะกระจายข่าวให้เอง”

        เมื่อความเคอะเขินเริ่มจางหายไป ความคล่องแคล่วเป็นงานที่เข้ามาแทนที่ก็ทำให้ภูอดทึ่งในตัวเด็กสาวรุ่นน้องไม่ได้ คนประเภทนี้นี่แหละที่ทำให้เขารู้สึกหลงยุคหรืออยู่ผิดที่ผิดทางได้เสมอ เพราะถึงแม้พิมจะอายุห่างกับเขาไม่น่าจะเกินสองปี แต่ความรู้ความเข้าใจในโลกสมัยใหม่ของเธอกับเขานั้นห่างกันจนแทบหาระยะไม่ได้ ภูไม่เข้าใจว่าทำไมกลุ่มแฟนคลับของดารานักร้องถึงมีชื่อเรียกแทนตัวพวกตนเป็นคำแปลกๆ ไม่เข้าใจถึงความสนุกในการไปยืนเบียดเสียดดูคอนเสิร์ทจากที่นั่งห่างไกลซึ่งมองแทบไม่เห็นตัวนักร้องบนเวที สาลี่ ตฤณ และเพื่อนคนอื่นๆมักจะล้อเลียนภูเสมอเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉายามนุษย์ถ้ำถูกตั้งขึ้นโดยรุ่นพี่เมื่อภูบอกกับทุกคนว่าไม่ได้ใช้โปรแกรมแชทที่เรียกว่าไลน์ เดือดร้อนถึงสาลี่ต้องมาสมัครเปิดใช้งานและสอนวิธีใช้ให้กับเขาทีละขั้นตอนเหมือนเด็กหัดเดิน แต่ถึงจะใช้เป็นแล้วก็น้อยครั้งที่ภูจะเปิดแอพลิเคชั่นนี้ขึ้นมาอ่านหรือพิมพ์ข้อความตอบกลับไป ด้วยรู้สึกเป็นการส่วนตัวว่าถึงยังไงการโทรคุยด้วยเสียงก็เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ยุคก่อนหน้านี้คนเราดิ้นรนจะเป็นจะตายเพื่อพ้นจากการพิมพ์หรือเขียนจดหมายซึ่งสื่อสารอารมณ์ได้ไม่ครบถ้วนไปสู่การสื่อสารระยะไกลด้วยเสียง เมื่อปัจจุบันวิวัฒนาการทางสังคมดูคล้ายจะเป็นไปอย่างย้อนศร ภูซึ่งมีความเป็นขบถต่อยุคสมัยอยู่เล็กน้อยเป็นทุนเดิมจึงค่อนข้างจะยอมรับเรื่องนี้ได้ยาก
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 5 ☆ [1-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 06-03-2018 09:38:38
Episode 6 part2

        หลังจากพูดคุยทำความเข้าใจจนหมดข้อสงสัยทุกอย่างแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนอันน่าลำบากใจอย่างเช่นการถ่ายรูปร่วมกับแฟนคลับหมาดๆของตน ภูทำตัวไม่ถูกตาจ้องกล้องเขม็งเหมือนเห็นศัตรูจนสาลี่ต้องแอบย่องเข้าข้างหลังมาหยิกเอวให้คลายสีหน้าลง หลังจากผ่านไปมากกว่าสามภาพทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูผ่อนคลายมากขึ้น อาจเป็นเพราะกลุ่มของเด็กสาวที่คอยเชียร์คอยยุ ทั้งยังไม่หัวเราะเวลาเขาทำอะไรเปิ่นๆออกไป ทำให้ภูเป็นตัวของตัวเองได้มากกว่าเมื่อตอนแรกเริ่ม เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงกิจกรรมแรกกับบรรดาแฟนคลับก็เสร็จสิ้นลง เมื่อทุกคนแยกย้ายกันไปแล้วภูจึงได้สังเกตุเห็นว่ามีร่างสูงอันแสนคุ้นตาของใครบางคนยืนหลบมุมอยู่ ในมือมีกล้องที่เห็นได้ชัดว่าเพิ่งผ่านการรัวชัตเตอร์มาชุดใหญ่

        “พี่กรรณ” ภูสะท้านเฮือกเมื่อเงาร่างนั้นโผล่พ้นซอกหลืบออกมาให้เห็นแบบเต็มตา
        “ไหน? อยู่ไหน?” สาลี่รีบมองหา ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเห็นเพราะกรรณกำลังเดินตรงเข้ามาหาทั้งสองคนพอดี

        ในช่วงเวลาแห่งการเผชิญหน้าอันไม่คาดคิดนั้น ภูนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูก ด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหนแล้ว แต่ดูจากสีหน้าอันกระหยิ่มยิ้มย่องราวกับเพิ่งเห็นอะไรดีๆมาซึ่งสว่างเรืองรองอยู่บนใบหน้าอันหล่อระยับนั้น ก็ทำให้มั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าเรื่องเมื่อครู่คงไม่อาจหลุดรอดสายตาของตากล้องหนุ่มไปได้อย่างแน่นอน กรรณเดินมาจนหยุดอยู่ตรงหน้าของสองหนุ่มสาวเพื่อนสนิทก่อนจะยิ้มออกมาอย่างขบขันเมื่อเห็นสีหน้าอันกระอักกระอ่วนของภู

        “ตายๆๆๆ สวรรค์เดินดินแท้ๆ… พี่เค้าไปกินอะไรที่เมืองนอกมาวะเนี่ย?” สาลี่ตาค้าง กระซิบพูดกับภูที่ข้างหู “นี่มันหล่อกว่าเมื่อก่อนที่ชั้นเห็นหลายเท่าเลยนะแก น่ากินมากกก”
        “พอเลย” ภูจิ๊ปากให้เพื่อนหยุดอาการบ้าผู้ชาย
        “ว่าไงพ่อดารา” กรรณเปิดฉากทักทายด้วยคำล้อเลียนตามคาด
        “พี่อ่ะอย่าล้อสิ” ภูโอดครวญก่อนจะพยายามเบี่ยงประเด็นออกให้พ้นเรื่องนี้ “ว่าแต่พี่เหอะ ทำไมมาโผล่อยู่ที่นี่ได้?”
        “เพิ่งเสร็จงานน่ะ กะว่าจะมาถ่ายรูปเล่น ก็บังเอิญเห็นคนกำลังมุงกรี้ดดาราเข้าซะก่อน” กรรณยังแซะไม่เลิก
        “พี่จำหนูได้เปล่าคะ?” สาลี่รีบเสนอหน้าเข้ามาแนะนำตัว “หนูลูกสาวเฮียร้านเช่าหนังไง”
        “หือ?” กรรณโน้มตัวลงมาจ้องหน้าสาลี่ที่ยืนยิ้มแป้นแล้นไม่สะทกสะท้านต่อสายตา พลางเพ่งพินิจคล้ายพยายามทบทวนความทรงจำ “น้องทับทิมรึเปล่า?”
        “นั่นมันพี่หนู!” สาลี่ทำท่ากระเง้ากระงอดเมื่ออีกฝ่ายตอบผิดไปเป็นคนละคน “นี่สาลี่ สวยกระโดดขนาดนี้จำผิดได้ไงเนี่ย เชื่อเค้าเลย”
        “อ๋อ น้องลี่” กรรณทุบกำปั้นลงมือ ทำท่านึกขึ้นได้ “ก็สวยขึ้นเยอะเลย ใครจะไปจำได้”
        “ใช่มะ ใครเห็นเค้าก็พูดแบบนี้กันหมดทุกคน” สาลี่รับคำชมชนิดไม่เสียเวลาถ่อมตัวแม้แต่นิดเดียว
        “แล้วเดี๋ยวนี้ไม่ได้เปิดร้านเช่าหนังแล้วเหรอ?” กรรณถามต่อ
        “อือ ไม่ได้เปิดแล้วค่ะ เดี๋ยวนี้คนไม่ดูหนังจากแผ่นกันแล้วด้วย ป๊าดันทุรังอยู่เกือบปีก็เจ๊ง พอร้านเจ๊งอาเจ๊หนูก็เลยเปลี่ยนมาทำฟาร์มเพาะหมาไซบีเรียนขายแทน” สาลี่สาธยายไทม์ไลน์ของธุรกิจบ้านตัวเองอย่างละเอียด

        ภูซึ่งบัดนี้ตกอยู่ท่ามกลางบรรยากาศแห่งการรำลึกความหลังของทั้งสองคน เมื่อมองดูกรรณกับสาลี่หยิบยกเอาเรื่องราวในวันเก่าๆออกมาคุยกันอย่างสนุกสนานแล้ว ก็เกิดความรู้สึกราวกับตัวเองค่อยๆจางหายไปในฉากหลัง ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่น่าพิสมัยเสียดแทงขึ้นมากลางอก อิจฉา… ไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียง สิ่งที่แน่นอนคือปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความคุ้นเคยที่มีมาแต่กาลก่อนของทั้งคู่ทำให้ภูรู้สึกแปลกแยกราวกับตนเองเป็นคนนอก ความรู้สึกนี้เหวี่ยงเขากลับไปเป็นเด็กหกขวบอีกครั้ง เป็นเด็กน้อยผู้อมก้อนสะอื้นเอาไว้ในปากเนื่องจากกำลังถูกแย่งของรักไปจากอก

        “วันนี้แกไม่รีบกลับไปดูละครเหรอไอ้ลี่?” ภูพยายามจะแทรกกลางขึ้นมาระหว่างคนทั้งสอง
        “ไม่เป็นไร ละครดูย้อนหลังทางยูทูปได้” สาลี่ให้เหตุผลที่ขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับการทิ้งภูกลับบ้านไปก่อนเมื่อวาน ที่เธออ้างว่ารีบกลับไปดูละคร
        “กลับบ้านช้าเดี๋ยวแฟนเป็นห่วงเอานะ” กรรณกระเซ้าแหย่เด็กสาวรุ่นน้อง
        “แฟนมีหรือไม่มี อยู่ที่ว่าพี่จะจีบรึเปล่า” สาลี่ไม่ยอมน้อยหน้า พูดท้าทายกลับไป
        “จีบได้รึเปล่าล่ะ?” กรรณโปรยกลับมา
        “เอาไงดีอ่ะภู?” สาลี่กระแซะเข้ามาถามภู “พี่เค้ารุกหนักมากเลยอ่ะ”
        “อือ” ภูทำสีหน้าไร้อารมณ์ ยิ่งเกมหมาหยอกไก่นี้ดำเนินไปนานขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเท่านั้น “พวกแกอยากทำอะไรกันก็ทำเถอะ”

        สาลี่จับความรู้สึกบางอย่างที่แตกเปรี๊ยะอยู่ในน้ำเสียงของภูได้ เป็นความรู้สึกที่ผู้หญิงแทบทุกคนต้องเคยสัมผัส เมื่อประกอบมันเข้ากับสีหน้าและภาษากายที่ภูแสดงออกมาแล้วยิ่งทำให้เธอมั่นใจ ไม่ผิดอย่างแน่นอน นี่คือความขุ่นมัวอันเกิดจากลมหึงหวง และแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องระหว่างเขากับเธอ เพราะที่ผ่านมาถึงแม้เธอจะเปิดตัวแฟนหนุ่มมากี่รอบ ภูก็ไม่เคยมีปฏิกิริยาตอบสนองไปในทิศทางนี้ สาลี่จึงฟันธงลงได้ทันที ว่าตอนนี้มันคือเรื่องระหว่างเขากับเขาอีกคนซึ่งก็คือกรรณ แวบแรกที่ตระหนักได้ถึงความจริงนี้หญิงสาวก็ตกตะลึงอยู่บ้าง ด้วยคาดไม่ถึงว่าความรักครั้งแรกของเพื่อนหนุ่มคนสนิทจะมาในรูปแบบนี้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนามากเกินกว่าจะยอมรับได้ และด้วยเหตุนั้น ตอนนี้สาลี่จึงเข้าใจดีว่าถึงเวลาที่ตนต้องเปิดทางให้เพื่อนมีเวลาส่วนตัวแล้ว   
       
        “ไม่ได้หรอกค่ะ ถึงพี่จะหล่อพรีเมี่ยมขนาดนี้ก็เถอะ แต่หนูไม่ชอบคนแก่กว่า” สาลี่ปิดฉากการยั่วเย้าอันระคายเคืองจิตใจของภูลง
        “คำว่าแก่พูดเบาๆก็เจ็บนะ” กรรณกุมมือบนอกทำท่าเหมือนจะกระอักเลือด
        “หนูต้องไปแล้ว เดี๋ยวต้องแวะเข้าบ้านเอาหมาไปส่งลูกค้าให้เจ๊ด้วย ฝากไอ้ภูมันกลับกับพี่เลยแล้วกันนะคะ” สาลี่ฉุดแขนภูที่ยืนหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ให้เข้ามาหากรรณ แล้วตั้งท่าจะชิ่งหนี
        “อ้าว ได้ไงอ่ะ นี่แกเทชั้นอีกแล้วเหรอ?” ภูหันไปโวยสาลี่
        “ไม่ได้เท ก็แกกับพี่เค้าอยู่บ้านติดกัน กลับด้วยกันจะเป็นไรไป” สาลี่ทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่แอบขยิบตาส่งสัญญาณให้กับภู ก่อนจะปลีกตัวออกไปเธอเข้ามากระซิบที่ข้างหูของเพื่อนหนุ่ม “เดี๋ยวพรุ่งนี้แกกับชั้นค่อยมาเคลียร์กันเรื่องนี้”

        สาลี่เดินแยกจากจุดที่ทั้งสามยืนอยู่ไปทางลานจอดรถ คำพูดสุดท้ายของเธอยังก้องอยู่ในหูของภู เด็กหนุ่มเข้าใจความหมายของมันดี นั่นคือบัดนี้ไม่มีความลับใดๆหลงเหลือระหว่างเพื่อนทั้งสองอีกแล้ว ถึงแม้จะโล่งใจที่ดูเหมือนเพื่อนซี้จะยอมรับเรื่องทุกอย่างได้ง่ายกว่าที่คิดโดยไม่แตกตื่นหรือเสียสติไปก่อน แต่อีกใจหนึ่งก็ยังเป็นกังวลว่าหากแม้กระทั่งสาลี่ยังมองออกแล้วกรรณเล่าจะไม่ระแคะระคายบ้างเลยหรือ เพียงแค่คิดเท่านั้นก็เกิดกระดากจนไม่อยากจะหันกลับไปเผชิญหน้า

        “พี่ไม่ต้องไปบ้าตามไอ้ลี่มันก็ได้นะ ผมกลับเองได้” ภูหาทางเลี่ยงการเผชิญหน้าให้ตนเอง
        “กลับด้วยกันนี่แหละดีแล้ว” กรรณไม่เอาด้วย
   “ไม่อ่ะ โตแล้ว กลับเองได้” เด็กหนุ่มยังไม่ยอมแพ้
   “ปล่อยกลับเองเดี๋ยวก็เถลไถลไปเมาเละเทะจนคนเค้าต้องเดือดร้อนมาเปิดประตูรับกลางดึกอีก” กรรณว่า
   “ก็บอกว่าไม่ได้เมา” ด้วยอารมณ์ที่ยังค้างมาจากเรื่องเมื่อครู่ ภูจึงเกิดน้อยใจขึ้นมานิดหน่อยกับคำว่าเดือดร้อนที่กรรณพูด “แล้วถ้ามันเดือดร้อนพี่มาก ก็ขอโทษแล้วกัน”
   
        อารมณ์พาให้ภูก้าวขาเตรียมจะเดินหนีออกจากตรงนั้น แต่ยังไม่ทันจะไปได้เกินสองก้าวแขนก็ถูกดึงรั้งเอาไว้ก่อน ความหนักแน่นในการรั้งนั้นมากจนเกือบจะเป็นกระชาก เด็กหนุ่มถึงกับเซไปตามแรงดึงนั้น จนเมื่อตั้งหลักยืนตรงได้จึงหันไปและพบว่ากรรณยืนหน้าเจื่อนอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นภูหันกลับมาเขาจึงค่อยคลายมือที่ฉุดรั้งเอาไว้ลง
   
        “มีอะไรอีกครับ” ภูยังไม่ละท่าทางปั้นปึ่ง
   “พี่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น” กรรณตั้งท่าจะอธิบาย
   “ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ ก็ใช่ว่าผมไม่รู้ตัวเองซักหน่อยว่าก่อแต่เรื่อง” ถึงแม้จะเป็นคำพูดที่มาจากอารมณ์ แต่ลึกๆเขาก็คิดแบบนั้นจริงๆ
   “ช่างมันเถอะ ผ่านไปหมดแล้ว”
   
        กรรณถอนหายใจแล้วเดินเข้ามากอดคอภู อ้อมแขนที่พาดมาโอบกระชับไหล่เด็กหนุ่มเอาไว้นั้นไม่แน่น แต่ก็ไม่หละหลวมจนจะดิ้นหลุดไปได้ ทั้งคู่ออกเดินไปตามทางเท้าเงียบๆของมหาวิทยาลัยยามพลบค่ำ ภูเดินก้มหน้านิ่งไม่พูดไม่จา ความขุ่นมัวในใจเมื่อครู่จางหายไปเกือบหมดแล้ว เขาสูดกลิ่นหอมอ่อนๆจากวงแขนของอีกฝ่าย กลิ่นของน้ำหอมปนกับกลิ่นเหงื่อจางๆ ทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นรัวได้ยิ่งกว่ายากระตุ้นประสาทแขนงใดๆในโลก ภูแอบเงยหน้าขึ้นมองดูใบหน้าชองชายผู้โอบกอดตนอยู่และพบว่าอีกฝ่ายกำลังมองกลับมาทางตนเช่นกัน เมื่อสายตาของทั้งสองสบกันเข้าด้วยความบังเอิญ ต่างฝ่ายต่างก็รีบเบือนหน้าหลบไปคนละทิศละทางราวกับเด็กมีพิรุธ
   
        “จริงๆกลับบ้านดึกก็ไม่ใช่เรื่องผิดหรอกนะ” กรรณว่า
   “ผิดสิ” ภูส่ายหน้า
   “อายุเท่านายน่ะ เถลไถลออกนอกลู่นอกทางบ้างก็เป็นเรื่องปกติ เอาตัวรอดให้ได้อย่าให้เป็นอันตรายก็พอ คนเราเป็นวัยรุ่นได้แค่ครั้งเดียวนะ”  กรรณยกมืออีกข้างขึ้นมายีผมเด็กหนุ่มเบาๆก่อนจะเปลี่ยนเป็นแบมือขอ “ไหนเอาโทรศัพท์นายมาซิ”
   “เพื่อ?” ภูไม่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย แต่เมื่อมั่นใจว่าไม่มีอะไรต้องปิดบังก็ยอมหยิบส่งให้แต่โดยดี
   
        กรรณรับโทรศัพท์ของภูมา เขาเลื่อนหารายชื่อในสมุดโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่งจึงกดโทรออกพร้อมกับเปิดโหมดลำโพงให้ภูได้ยินด้วย เสียงสัญญาณรอสายดังอยู่ไม่กี่ครั้งก็มีคนรับสาย
   
        “ฮัลโหล ภูเหรอ?” เสียงแม่ของภูดังมาจากปลายสาย
   “นี่กรรณครับคุณป้า ตอนนี้ผมอยู่กับน้อง” กรรณตอบกลับไป “วันนี้พวกผมคงกลับไปไม่ทันมื้อเย็นนะครับ ทานกันก่อนได้เลย”
   “อ้าวเหรอ ไปอยู่ด้วยกันได้ยังไงล่ะนั่น นี่ป้าเตรียมอาหารไว้เยอะเลย เสียดายจัง” เสียงของแม่ฟังดูเสียดายนิดหน่อย “เอาไว้ป้าเก็บใส่กล่องให้เราไปอุ่นกินมื้อหลังก็แล้วกันนะ”
   “ขอบคุณมากครับ ไม่ต้องห่วงภูนะครับ เดี๋ยวผมดูแลให้ แล้วจะพากลับไปส่งครับ”
   
        กรรณกดวางสายและส่งโทรศัพท์คืนให้ภู ใบหน้ามีรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก ภูมองดูรอยยิ้มนั้นด้วยความรู้สึกไม่ไว้วางใจเท่าไหร่ จนในที่สุดก็กลั้นความสงสัยไม่ไหวต้องเอ่ยปากถามออกไป “พี่จะพาผมไปไหน?”
   
        “ก็อย่างที่บอกไง…” กรรณกลับมายกแขนกอดคอภูอีกครั้ง “คนเราก็ต้องมีเถลไถลกันบ้าง”
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 6 ☆ [6-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-03-2018 10:09:03
 o13


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 6 ☆ [6-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 06-03-2018 11:13:20
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 6 ☆ [6-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-03-2018 16:34:51
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 6 ☆ [6-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 06-03-2018 17:28:43
แลดูมีพัฒนาการที่ดี รึเปล่า???
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 6 ☆ [6-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 07-03-2018 08:00:07
o13


 :L2: :pig4: :L2:

สวัสดีครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะครับ  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 6 ☆ [6-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 07-03-2018 08:06:33
:L2: :L1: :pig4:

ทักทายนะครับ ขอบคุณที่ยังติดตามกันอยู่ครับ  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 6 ☆ [6-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 07-03-2018 08:07:57
:pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณนะครับ ที่ยังติดตามกันอยู่  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 6 ☆ [6-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 07-03-2018 08:10:51
แลดูมีพัฒนาการที่ดี รึเปล่า???

ต้องติดตามดูนะครับ เรื่องยังดำเนินมาไม่ถึงครึ่งทางเลย  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 6 ☆ [6-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 07-03-2018 14:43:35
พี่กรรณจะรู้ไหมนั่น

ชอบแฟนคลับ  :L2: ดูมีพลัง55  :fire:

 :L2: :pig4:
รออ่านตอนต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 6 ☆ [6-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 08-03-2018 08:48:56
พี่กรรณจะรู้ไหมนั่น

ชอบแฟนคลับ  :L2: ดูมีพลัง55  :fire:

 :L2: :pig4:
รออ่านตอนต่อไปนะ

ใกล้มาแล้วครับ กำลังตรวจทานแก้ไขนิดหน่อย  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 6 ☆ [6-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 08-03-2018 23:44:19
Episode 7 part1

        ในช่วงบ่ายของวันต่อมา เมื่อเสร็จจากการเรียนในช่วงเช้า ภูก็ถูกสาลี่ลากตัวกลับมาบ้านทันที เด็กสาวกระเหี้ยนกระหือรืออยากรู้เรื่องราวทั้งหมดจนใจจะขาด ซึ่งภูก็ไม่ขัดใจเพื่อนยอมเล่าให้ฟังจนหมดเปลือก เนื่องจากไม่เห็นประโยชน์ที่จะปิดบังต่อไปแล้ว ดีเสียอีก ต่อไปนี้หากเขาเกิดว้าวุ่นใจหรือคิดไม่ตก อย่างน้อยก็มีใครซักคนให้คอยรับฟังหรือเป็นที่ปรึกษาได้ ไม่ต้องแบกเอาไว้คนเดียวเหมือนที่ผ่านมา สาลี่ตั้งใจฟังทุกถ้อยคำที่ออกมาจากปากของเพื่อนซี้ราวกับกำลังเข้าคลาสเลคเชอร์ จนกระทั่งภูเล่าเสร็จจึงได้เริ่มเป็นฝ่ายพูดบ้าง
   
        “ชั้นดูไม่ผิดจริงๆ แกหลงรักเค้าเข้าเต็มเปาเลย” สาลี่เอนหลังลงพิงกับเบาะของเก้าอี้หมุนหน้าคอมพิวเตอร์
   “อาการของชั้นมันดูออกชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ?” ภูถาม
   
        สาลี่พยักหน้า ภูฟุบหน้าลงไปกับหัวหมีของพรมขนสัตว์เทียมด้วยความอับอาย
   
        “ก็นะ… ทั้งยอมถ่ายงานโฆษณาก็เพราะเค้าขอ แถมแค่เค้ามาเล่นกับชั้นนิดเดียว แกก็ทำตาเขียวปั้ดหึงเป็นฟืนเป็นไฟ ไอ้ภูเอ๊ย เด็กอนุบาลยังดูรู้เลย” สาลี่ว่า “แล้วนี่พี่เค้าไม่รู้บ้างเหรอว่าแกชอบเค้า?”
   “ไม่รู้สิ” ภูไม่อยากนึกถึงเรื่องนั้นด้วยซ้ำ “ก็ถ้าถึงขนาดเด็กอนุบาลยังรู้แบบที่แกว่า กับเค้าก็ไม่น่าจะเหลือหรอก”
   “ก็ถ้าเค้ารู้ว่าแกชอบ แล้วเค้าก็ยังไม่ตีตัวออกห่าง แถมยังโผล่มาหาแกเองที่มหาลัยด้วยซ้ำแบบเมื่อวานนี้” สาลี่ครุ่นคิดคำนวณความน่าจะเป็นจากเหตุการณ์ทั้งหมด “ชั้นว่าแกก็มีลุ้นอยู่นะ เค้าไม่ได้คบใครอยู่ใช่มั้ยล่ะ?”
   “ไม่รู้ว่ะ…” ภูส่ายหน้าอีกครั้ง
   “อะไรของแกวะ ชอบเค้าแต่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเค้าซักอย่าง บ้านก็อยู่ข้างกันแท้ๆ” สาลี่เหลืออดเหลือทนกับความทื่อมะลื่อของเพื่อน
   “ถ้าชั้นขี้เสือกได้ซักครึ่งนึงของแกนะ ชั้นคงรู้ทุกเรื่องในโลกนี้แล้วล่ะ” ภูย้อนกลับ
   “ปากดีนัก แช่งให้มันอกหักซะดีมั้ย” สาลี่ขู่ “เอาเป็นว่า ตลอดเวลาตั้งแต่แกเจอเค้าเนี่ย เค้ากลับมานอนบ้านตัวเองทุกคืน และแกก็ไม่เคยเห็นมีใครมาหาเค้าที่บ้าน แบบนั้นใช่มั้ย?”
   
        ครั้งนี้ภูพยักหน้า ในใจเขานึกย้อนกลับไปตามที่สาลี่บอก ก็พบว่าเป็นจริงตามนั้น นับตั้งแต่เริ่มเป็นเพื่อนบ้านกันมา เขาก็คอยสอดส่องดูชีวิตของอีกฝ่ายอย่างลับๆอยู่อย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งระยะหลังมานี้กรรณเองก็ใช้เวลาส่วนใหญ่หลังกลับจากทำงานที่บ้านของภู จึงพอจะช่วยยืนยันตรงจุดนี้ได้ว่าชายหนุ่มไม่เคยมีแขกมาบ้านของตัวเองและไม่ได้ไปใช้เวลาหลังเลิกงานนอนค้างอ้างแรมที่ไหน หากแต่ว่าถ้าจะให้ฟันธงไปอย่างชัดเจนว่ากรรณไม่ได้คบหาดูใจกับใครอยู่ก็ไม่อาจทำได้เช่นกัน ด้วยภูเองก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเวลาส่วนตัวของอีกฝ่ายเมื่ออยู่ตามลำพังถูกใช้ไปอย่างไรบ้าง ไหนจะเรื่องโทรศัพท์จากต่างประเทศสายนั้นที่โทรมาในคืนที่เขานอนค้างที่บ้านของกรรณอีก การที่คืนนั้นกรรณต้องหลบลงมาคุยที่ชั้นล่าง หากภูจะมองในแง่ดีก็คืออีกฝ่ายทำไปเพราะไม่อยากให้เสียงพูดคุยไปรบกวนตนเองที่กำลังหลับอยู่ แต่หากมองแบบอิงความเป็นจริงมากขึ้น มันก็คงเป็นสายส่วนตัวจากคนรักที่ไม่อยากให้เด็กกะโปโลข้างบ้านได้ยินบทสนทนา
   
        “แกว่าชั้นมีหวังเหรอ?” ภูเอนเอียงไปตามคำพูดของสาลี่
   “ก็ถ้าเค้ายังไม่มีแฟนน่ะนะ” สาลี่ตอบก่อนจะยุยงด้วยสีหน้าชั่วร้าย “แต่ถึงมีก็ไม่เห็นจะเป็นปัญหา ของแบบนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดัง ถ้าเค้าเล่นด้วยแกก็แย่งมาเลย”
   “ตบมือข้างเดียวจะดังถ้ามือแฟนเค้ามาตบลงบนหน้าชั้นไง ดูละครมากไปแล้วแกน่ะ” ภูไม่เอาด้วย
   “แกนี่มันยุไม่ขึ้นเลยจริงๆ” หญิงสาวหมดสนุก “เอาแบบจริงจังก็ได้ ก็อย่างที่ชั้นบอกไปแต่แรก แกน่ะออกอาการกระดิกหางใส่เค้าชัดขนาดนี้ แล้วเค้ายังไม่เผ่นหนี ก็ไม่เห็นจะมีอะไรน่ากังวล ลุยไปเลย”
   “ไม่กล้าอ่ะ” แค่คิดภูก็ใจฝ่อ
   “แกต้องหัดมั่นใจในตัวเองบ้างนะภู แกเองก็ไม่ได้เป็นคนขี้ริ้วขี้เหร่มาจากไหน ออกจะหน้าตาดีเกินมาตรฐานคนปกติทั่วไปด้วยซ้ำ ถ้าเค้าเป็นเกย์แล้วไม่มีแฟน ทำไมเค้าจะไม่ชอบแกวะ” สาลี่พยายามให้กำลังใจเพื่อน
   “แต่มันก็เป็นไปได้ที่เค้าจะไม่ชอบชั้นใช่มั้ยล่ะ?” ภูยังไม่เลิกกดดันตัวเอง “เค้าอาจจะไม่ชอบคนไว้ผมยาวแบบชั้นก็ได้ หรืออาจจะไม่ชอบคนแขนขาเก้งก้างแบบชั้นก็ได้”
   “ทุกอย่างมันก็เป็นไปได้สองทางหมดนั่นแหละ แต่แกต้องประเมินโดยมองจากความเป็นจริงสิ” สาลี่พยายามปลุกใจ “อย่างที่แกเล่าว่าเค้าจับมือแกในสวน กักตัวให้แกนอนค้างด้วยทั้งที่จะปล่อยให้แกปีนเข้าบ้านตัวเองไปก็ได้ แล้วไหนจะที่มาหาแกถึงมหาลัยฯเมื่อวานอีก ถ้าไม่ชอบเค้าจะทำแบบนั้นทำไม?”
   “เดี๋ยวก่อน ไอ้เรื่องจับมือน่ะชั้นบอกว่าไม่แน่ใจว่าเค้าทำจริงหรือชั้นสะลึมสะลือคิดไปเอง” ภูรีบออกตัว
   “แต่อีกสองอย่างเค้าก็ทำจริงใช่มั้ยล่ะ?” สาลี่ยังยืนยันความคิดเดิม “ก็แปลว่าโอกาสปังมีมากกว่าแป๊ก”
   “อืม ก็จริงของแก” ภูเริ่มคล้อยตาม
   “บางทีที่เค้าเอาแกไปถ่ายงาน อาจจะเพราะอยากถ่ายรูปแกก็ได้” สาลี่ยิ่งได้ใจปลุกปั่นหนักข้อขึ้น “ใจจริงเค้าอาจจะอยากถ่ายแกแบบส่วนตัวเอ็กคลูซีฟทุกซอกทุกมุม เก็บไว้ดูคนเดียวตอนเปลี่ยวๆ”
   “ไม่จริงมั้ง… แกก็พูดไป…” ถึงปากจะปฏิเสธแต่สีหน้ากับคำพูดของภูดูจะสวนทางกันอยู่พอสมควร
   
        ภูจินตนาการตามคำพูดของสาลี่จนจิตใจเตลิดเปิดเปิง สัมผัสชวนคนึงหาจากมือของกรรณเมื่อสองคืนก่อนย้อนกลับมาให้หวนระลึกถึงอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้มโนภาพพาเขาไปไกลกว่าจุดที่ความเป็นจริงเคยยืนอยู่ เมื่อกรรณไม่ยอมหยุดมืออยู่เพียงแค่แผ่นหลัง แต่กลับลูบไล้ไปทั่วร่างของเด็กหนุ่มผู้ซึ่งกำลังอ่อนระทวยเป็นขี้ผึ้งโดนไฟ ภูพยายามดิ้นรนขัดขืนแต่ก็ไม่ช่วยอะไร ในที่สุดชายหนุ่มรุ่นพี่ก็ผลักเขาลงไปนอนแผ่หราบนพื้นก่อนจะถอดเสื้อของตัวเองออกแล้วย่อตัวลงมาใช้ร่างเปลือยท่อนบนนั้นคร่อมทับเด็กหนุ่มเอาไว้
   
        “ขอโทษนะที่ต้องขัดจังหวะความคิดลามกของแก แต่ไอ้ท่อนหลังน่ะชั้นแค่พูดเล่นเฉยๆ” สาลี่ดับฝันหวานของเพื่อนลงกลางอากาศ “เช็ดน้ำลายซะ ย้อยจนจะนองเต็มพรมชั้นอยู่แล้ว”
   “พูดบ้าอะไร ไม่ได้คิดอะไรซักหน่อย!!” ภูรีบโวยวายกลบเกลื่อนจนลนลาน
   “ดูจากหน้าหื่นๆของแกก็รู้แล้วย่ะ แกน่ะเก็บอาการไม่เป็นเลย” สาลี่กลั้นขำไม่อยู่ สนุกกับการปั่นหัวเพื่อนแบบสุดๆ
   “เลิก ไม่คุยแล้ว” ภูอดรู้สึกไม่ได้จริงๆว่าวันนี้เขาคงชินชากับความอับอายในท้ายที่สุด
   “เดี๋ยวก่อน แกยังไม่เล่าเรื่องส่วนของเมื่อวานนี้เลย” สาลี่ไม่ยอมปล่อยภูไปง่ายๆ
   “เรื่องเมื่อวานน่ะเหรอ…” ภูนึกย้อนไป “จริงๆถ้าแกเปิดไอจีชั้นดู แกก็จะรู้นะ”
   
        สำหรับเรื่องของเมื่อวานนั้น หลังจากกรรณวางสายจากแม่ของภู เด็กหนุ่มผู้ซึ่งเวลานี้หมดทางเลือกจากการโดนมัดมือชกก็ถูกอีกฝ่ายกอดคอหอบหิ้วกระเตงออกมาจากมหาวิทยาลัย ความรับผิดชอบของภูสั่งให้เขาพยายามดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองหลุดจากอ้อมแขนนั้นและตรงดิ่งกลับไปบ้านเพื่อทำงานที่ต้องส่งให้เสร็จ แต่ทว่าอีกฟากหนึ่งของความรู้สึกที่ยินยอมพร้อมใจกลับมีพลังมากกว่าส่งผลให้สองขาก้าวเดินตามอีกฝ่ายต้อยๆไม่หยุด กระทั่งมาถึงด้านหน้ามหาวิทยาลัย กรรณก็โบกมือเรียกรถสามล้อที่จอดรอผู้โดยสารอยู่และดันภูให้ขึ้นไปนั่งชิดด้านในก่อนที่ตนเองจะกระโดดขึ้นตามมา
   
        “ไปข้าวสารครับ” กรรณบอกจุดหมายปลายทางกับคนขับ
   “เฮ้ย ไม่ไป ไม่เอาพี่ ไม่เมานะคืนนี้” ภูตั้งท่าจะกระโดดหนีลงจากรถแต่กรรณคว้าตัวเอาไว้ได้ทันเสียก่อน “งานผมต้องส่งเพียบเลยพี่ ไม่เริ่มทำวันนี้ส่งไม่ทันแน่”
   “พี่แค่บอกว่าจะไปข้าวสาร ยังไม่ได้บอกซักคำว่าจะไปเมา” กรรณเล่นลิ้น
   “ผมไปกับเพื่อนทีไรก็มีแต่กินเหล้าทุกที ไม่เห็นจะมีอย่างอื่นให้ทำเลย” ภูนึกไม่ออกว่ายังมีสิ่งใดให้ทำอีกในย่านบันเทิงยามราตรีแห่งนั้น   
        “ก็เพราะคิดแต่ว่าต้องกินเหล้าไง ถึงมองไม่เห็นอย่างอื่นที่ทำได้” กรรณนั่งกอดอก เอนหลังไปกับเบาะรถสามล้อ “ทำไมชอบกินจังเลยเหล้าเนี่ย? ไม่อยากมีตับไว้ใช้ตอนแก่เหรอ?”   
        “ใครว่าชอบล่ะ” ภูตอบเสียงเบื่อหน่าย ในขณะที่กรรณเลิกคิ้วเหมือนไม่เชื่อ “กินแค่พอเป็นพิธีให้เพื่อนมันเลิกคะยั้นคะยอเท่านั้นแหละ แล้วผมก็ไม่เคยเมาเละเทะแบบที่พี่กล่าวหาด้วย”
        “โอเคๆ ขอโทษที่กล่าวหา” กรรณยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้ไม่ขอเถียงสู้ “แล้วไปเที่ยวกลางคืนบ่อยๆแบบนี้ แฟนนายเค้าไม่เคืองเอาเหรอ?”

        เป็นประโยคคำถามที่เหมือนจะเป็นแค่บทสนทนาทั่วไป แต่ภูกลับรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่แอบแฝงอยู่ในนั้น การหยั่งเชิง? หรือโยนหินถามทาง? ไม่อาจชี้ชัด เป็นความรู้สึกที่สั่นไหวแผ่วเบาของความคาดหวัง อีกทั้งยังตื่นตัวระแวดระวังคล้ายกับสัตว์ที่เพิ่งโผล่หน้าออกมาจากโพรงที่หลบภัย หากสถานการณ์ภายนอกที่พบเห็นไม่น่าไว้วางใจ มันก็สามารถผลุบหายกลับเข้าไปซุกซ่อนตัวดังเดิมได้อย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มพยายามคิดหาการตอบสนองที่ดีที่สุดสำหรับคำถามนี้ เริ่มแรกด้วยความประหม่า ความปากไม่ตรงกับใจจึงดูจะมีชัยเหนือกว่า มันยุยงให้เขาพูดในสิ่งที่รู้ดีว่าจะพาให้ตนต้องมานั่งตีอกชกตัวอยู่คนเดียวในภายหลัง หากแต่เมื่อมาคิดย้อนดูถึงความตั้งใจที่ค้างคาอยู่ตั้งแต่ช่วงบ่าย ภูก็ตัดสินใจเลือกจะซื่อสัตย์กับตัวเองเพื่อสานต่อเจตนารมณ์นั้น

        “ไม่มีแฟน มีแต่เพื่อน” ภูตอบ พยายามบังคับตัวเองไม่ให้เสียงสั่นในขณะที่หัวใจเต้นระรัว
        “พ่อดารา เริ่มหัดสร้างภาพออกสื่อแล้วเหรอ?” กรรณทำเสียงขึ้นจมูกล้อเลียน
        “เนี่ย พอบอกก็ไม่เชื่อ แล้วจะถามเพื่อ?” ภูฉุนกึกเมื่อการตอบสนองของอีกฝ่ายกลับเป็นไปในทิศทางที่ไม่พึงปรารถนา
        “กลัวแล้วครับพี่ ไม่มีก็ไม่มีครับ” กรรณไม่ต่อล้อต่อเถียงก่อนจะถามขยายผลต่อ “แล้วคนที่ชอบล่ะ ต้องมีบ้างสิ”   
        “ก็มีนะ” ขณะที่ประโยคนี้เลื่อนหลุดออกมาจากปาก หัวใจของภูยังคงเต้นแรง แต่ความรู้สึกโดยรวมกลับนิ่งสงบอย่างน่าประหลาด เป็นเสี้ยววินาทีที่เหมือนทุกสิ่งจะสามารถเป็นไปได้ เด็กหนุ่มหันไปสบตากับกรรณที่นั่งอยู่ข้างๆ “ถึงจะเพิ่งเจอกันไม่นาน แต่ก็ชอบเค้ามาก และอยากให้เค้ารู้ด้วย”

        เมื่อบวกเข้ากับสายตาที่จ้องมองอีกฝ่ายขณะพูด ประโยคนี้ก็เกือบจะเป็นคำสารภาพรัก ภูยังคงไม่หลบสายตาที่อีกฝ่ายจ้องกลับมา เด็กหนุ่มรู้ดีว่านี่คือนาทีของเขา เป็นโอกาสที่อาจจะเอื้อมไปไขว่คว้าเอามาไว้ได้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นแค่อีกโอกาสหนึ่งที่หลุดลอยไป ความอึดอัดใจเริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อกรรณยังคงไม่มีท่าทีใดๆตอบสนองต่อประโยคดังกล่าว ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างปัจจุบันทันด่วนไร้การวางแผน ภูรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังกระทุ่มน้ำพยุงไม่ให้จมน้ำตาย หากแต่ก็ไม่ยอมว่ายกลับไปยืนบนฝั่งอันเป็นที่ปลอดภัย เพราะนี่คือความจริง แม้จะเป็นความจริงที่พูดออกไปเพียงนัยยะ แต่ภูก็เลือกที่จะให้โอกาสทั้งหมดที่มีกับมัน ภาวนาสุดหัวใจให้อีกฝ่ายเข้าใจสารที่ซ่อนเร้นและตอบรับ ชั่วแวบหนึ่งเกิดความเคลื่อนไหวในแววตาของกรรณ จากเดิมเปลี่ยนไปเป็นแววตาของผู้ที่พยายามซ่อนความตื่นตระหนกและทำสีหน้าให้เป็นปกติ ภูมั่นใจว่าอีกฝ่ายคงค้นพบบางสิ่งแล้วเป็นแน่แท้ บางทีอาจจะสังเกตุเห็นมันมานานแต่เพิ่งรู้แน่ชัดว่ามันคืออะไร และกระทั่งถึงขณะนี้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใด เขาก็ยังคงทำตัวไขสือ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 6 ☆ [6-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 08-03-2018 23:52:36
Episode 7 part2

        รถสามล้อเบรกกึก จอดสนิทที่ปากทางเข้าอันแสนจอแจของถนนข้าวสาร คนขับรีบหันมาบอกกับผู้โดยสารทั้งสองว่าถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ด้วยหวังเร่งให้ลงเพื่อจะได้รับกลุ่มชาวต่างชาติที่ยืนชะเง้อคอรอรถอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลออกไปข้างหน้า ภูผู้ซึ่งบัดนี้อึดอัดเต็มทีกับสถานการณ์ลูกผีลูกคนที่กำลังเผชิญอยู่รีบคว้าเชือกช่วยชีวิตเส้นนั้นเอาไว้อย่างเร็วรี่ เด็กหนุ่มควักกระเป๋าจ่ายค่าโดยสารเองตัดหน้าอีกฝ่ายที่กำลังตั้งท่าจะหยิบกระเป๋าเงินแล้วเผ่นหนีตัดหน้าลงจากรถ ครู่หนึ่งกรรณจึงค่อยตามลงมาและรีบเดินไล่หลังตามจนทัน

        “รีบอะไรเบอร์นั้น” กรรณยกแขนขึ้นล๊อกคอภูเอาไว้ไม่ให้เดินหนีไปอีก เด็กหนุ่มลอบมองดูใบหน้าของอีกฝ่ายขณะที่พูดประโยคนี้ ก่อนจะพบว่าไม่ว่าวี่แววแห่งความรู้สึกรู้สาใดๆก็ตามที่กำลังตั้งเค้าอยู่จากบทสนทนาเมื่อครู่บนรถสามล้อ บัดนี้มันได้จางหายไปไม่เหลือ ซึ่งมันจะเป็นเช่นนี้ได้ก็มีอยู่สองทาง คืออีกฝ่ายสลัดมันทิ้งไปจนหมด หรือไม่ก็ถูกกลบเกลื่อนเอาไว้อย่างมิดชิดแล้ว

        “ก็ไม่เห็นเหรอ สามล้อเค้าจะรีบไปรับผู้โดยสารต่อ” ภูยกเอาคนขับสามล้อมาเป็นข้อแก้ตัว “แล้วตกลงว่าลากผมมาถึงนี่เพื่ออะไรไม่ทราบครับ?”
        “อย่างแรกก็ต้องหาอะไรกินซักหน่อย ยังไม่ได้กินมื้อเย็นเลยใช่มั้ยล่ะ?” กรรณถาม

        ภูพยักหน้าตอบว่าใช่ตามนั้น กรรณกำชับบอกให้เด็กหนุ่มยืนรออยู่ที่เดิมอย่าไปไหนก่อนจะแทรกตัวเดินปะปนหายไปในฝูงคน เวลาผ่านไปพักหนึ่งภูซึ่งยืนรอจนขาทั้งสองเริ่มเมื่อยล้าก็หย่อนก้นนั่งพักลงบนหัวดับเพลิงริมถนน ตาจ้องมองดูผู้คนมากมายหลายเชื้อชาติที่เดินผ่านหน้าตนไป แสงอาทิตย์สุดท้ายกำลังจะลับขอบฟ้าและถูกหักล้างแทนที่ด้วยแสงสารพัดสีของหลอดนีออนที่ร้านรวงต่างๆพร้อมใจกันติดตั้งประดับประดาเพื่อรำแพนเงาดึงดูดความสนใจเหล่านักท่องเที่ยวที่มาหาความสนุกสำราญ เยื้องออกไปไม่ไกลนักมีกลุ่มนักแสดงมายากลข้างถนน กำลังงัดทุกกลเม็ดที่ตนมีออกมาแสดงให้ผู้ชมที่ตั้งตารออยู่ได้ดู บรรยากาศของถนนข้าวสารในยามพลบค่ำนี้ดูจะเต็มไปด้วยสีสันแห่งความอัศจรรย์ใจอันลอยฟุ้งอยู่กลั้วกับทุกมวลอากาศ ภูเองก็แปลกใจที่ตนเพิ่งจะสังเกตเห็นและเพลิดเพลินไปกับมันได้ในวันนี้ ทั้งที่อดีตก็เคยมาเยือนจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว บางทีนี่อาจจะเป็นเพราะอิทธิพลที่แผ่ออกมาจากกรรณในยามที่ทั้งสองอยู่ใกล้กัน ดวงตาของชายหนุ่มผู้มองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ลึกซึ้งไปกว่าคนธรรมดาสามัญทำให้เขามีพรสวรรค์อันวิเศษในการถ่ายภาพในแบบที่ยากจะมีใครเลียนแบบได้ และมันยังส่งผลกับคนรอบข้างด้วยไม่มากก็น้อย แม้จะไม่อยากเชื่อแต่ภูก็อดรู้สึกไม่ได้จริงๆว่าตนเองเริ่มมองโลกเปลี่ยนไปจากที่เคยหลังจากได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านคนนี้  เขาเริ่มเพลิดเพลินกับความเนิบช้าของเวลาที่ค่อยๆหมุนไปอย่างไม่เร่งร้อน ผิดจากเมื่อก่อนที่มุ่งหาแต่ความรวดเร็วจนชีวิตยุ่งเหยิง ความเงียบของห้องกลับมีเสน่ห์ดึงดูดโดยไม่ต้องอาศัยสรรพเสียงดนตรีใดมาแต่งแต้มอย่างที่เคยเป็นมา บางทีอาจเป็นเพราะช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับคำว่าความสุขที่แท้จริงที่สุด ก็คือตอนที่เรารับรู้อย่างชัดเจนว่าเราอยู่ที่ไหนและเราเป็นใคร ไม่ใช่รับรู้ผ่านตาไปแค่เพียงวูบไหวฉาบฉวย

        “เหม่อคิดถึงใครอยู่?” กรรณถามพร้อมกับส่งชามโฟมใส่ผัดไทยควันฉุยให้กับภู
        “คิดถึงบ้าน หิวจะตายอยู่แล้ว” ภูรับมาและแกะตะเกียบออกจากซองพลาสติกที่ห่ออยู่ “แล้วนี่อะไรเนี่ย? ผัดไทย กินร้านแถวปากซอยบ้านก็ได้มั้ง?”
        “ผัดไทยน่ะมันแค่กับแกล้ม วันนี้เรามากินบรรยากาศ” กรรณหย่อนก้นลงนั่งที่ขอบทางเท้าข้างๆท่อหัวดับเพลิงของภู “แล้วนั่นก็ปรุงมาให้แล้ว สูตรพิเศษ รับรองไม่เคยพบเจอที่ไหนมาก่อน”
        “กินแล้วจะคุ้มค่ายามั้ยอ่ะ?” ภูมองผัดไทยในชามอย่างหวาดหวั่น แต่เมื่อลองคีบเข้าปากไปหนึ่งคำก็พบว่าไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด แน่นอนว่ามันไม่เหมือนผัดไทยแบบดั้งเดิมที่คุ้นเคย หากแต่เป็นรสชาติแบบที่ประยุกต์ให้ถูกปากชาวต่างชาติ แต่ก็ไม่ได้ผิดแผกออกไปจนรับไม่ได้ ประกอบกับด้วยบรรยากาศรอบตัวและคนที่นั่งกินด้วยอยู่ข้างๆ ทำให้ความอร่อยเพิ่มขึ้นอีกเป็นอักโขจนแทบไม่อยากให้หมดชามเลยทีเดียว

        เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นหนึ่งครั้งพร้อมกับแสงแฟลชที่สว่างวาบเข้าตา ภูตกใจจนเกือบสำลักเส้นผัดไทยที่เคี้ยวอยู่เต็มปาก เด็กหนุ่มรีบกลืนมันลงคอก่อนจะหันไปว๊ากใส่ตากล้องผู้ซึ่งกำลังชื่นชมผลงานตัวเองอย่างปลาบปลื้ม “ถ่ายทำไมเนี่ย คนกินอยู่ รูปออกมาน่าเกลียดแย่”
       
        “ไม่น่าเกลียดหรอก รูปแบบถ่ายทีเผลอ ดูเป็นธรรมชาติจะตาย” กรรณตอบพร้อมกับส่งโทรศัพท์ให้ภูดูภาพที่เพิ่งถ่ายไปเมื่อครู่

        ภูเหล่ตาดูภาพถ่ายของตนอย่ากล้าๆกลัวๆ แต่ก็พบว่าไม่มีอะไรให้ติ ฝีมือของกรรณยังคงยอดเยี่ยมเช่นเคย ในตอนนั้นเองเด็กหนุ่มนึกบางอย่างขึ้นมาได้  เขารีบหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาและเปิดระบบโอนถ่ายไฟล์

        “พี่ส่งรูปเมื่อกี้มาหน่อยสิ จะอัพลงไอจี” ภูขอ

        กรรณทำตามคำขอ เพียงไม่ถึงนาทีรูปนั้นก็มาอยู่ในเครื่องของภู เด็กหนุ่มกดอัพโหลดมันส่งขึ้นอินสตาแกรม และผลตอบรับที่ได้ก็ช่างรวดเร็วทันใจ เมื่อหลังจากอัพโหลดเสร็จเพียงไม่กี่นาที กลุ่มแฟนคลับซึ่งนำโดยพิมและส้มก็เข้ามาทำการกดไลค์และแสดงความคิดเห็นกันอย่างมืดฟ้ามัวดิน เสียงสัญญาณแจ้งเตือนที่ดังรัวไม่หยุดทำให้กรรณถึงกับต้องชะเง้อคอขึ้นมาแอบมองหน้าจอโทรศัพท์ของภูว่ากำลังเกิดเหตุโกลาหลอันใดขึ้น

        “เนื้อหอมจริงๆนะ” กรรณทำเป็นบ่นลอยๆให้ภูได้ยิน “อย่าลืมแท๊กให้เครดิตด้วยล่ะว่าใครถ่ายให้”
        “จะให้บอกว่าใครถ่ายให้ล่ะครับ?” ภูแกล้งถามกลับไป “lonelyvoyager ก็ไม่เคยเผยหน้าให้ใครเห็นซะด้วย”
        “งั้นก็เผยวันนี้เลยแล้วกัน” กรรณไม่พูดเปล่า หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดโหมดกล้องหน้าและคว้าคอภูให้ลงมานั่งที่ขอบทางเท้ากับตนพร้อมชูโทรศัพท์ขึ้นเตรียมถ่ายเซลฟี่ “พร้อมนะ หนึ่ง… สอง… สาม….”
        “เดี๋ยวดิ!” ภูปัดผมที่ปิดหน้าออก ด้วยไม่คุ้นชินกับการถ่ายรูปอีกทั้งยังประหม่าจากการที่อีกฝ่ายเข้ามาประชิดตัวจนแก้มแทบจะแนบเข้าหากัน เด็กหนุ่มจึงไม่รู้ว่าจะวางหน้าตาท่าทางของตนยังไง แต่ก็มั่นใจในฝีมือของกรรณว่าท้ายที่สุดแล้วภาพคงจะออกมาดูดีได้

        เสียงชัตเตอร์ลั่นอีกครั้ง กรรณจัดการอัพโหลดภาพที่เพิ่งถ่ายลงในอินสตาแกรมของตนพร้อมกับคำบรรยายภาพเป็นภาษาอังกฤษว่า Hangin’ with the boy next door และนี่คือครั้งแรกที่ lonelyvoyager อัพโหลดภาพที่เป็นรูปถ่ายแบบส่วนตัวไม่ใช่ผลงานลงไปในแกลเลอรี่ ถึงแม้คำบรรยายภาพจะอ่านแล้วรู้สึกแหม่งๆอยู่บ้างแต่สิ่งนี้ก็ทำให้ภูอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเป็นคนพิเศษจนตัวแทบลอย แอคเคาท์ของภูถูกแท๊กลงไปในรูป เช่นเดียวกับภูที่แท๊กแอคเคาท์ของกรรณลงไปเป็นเครดิตในรูปของตน เพียงไม่กี่นาทีต่อมาความเชื่อมโยงดังกล่าวก็ถูกสังเกตเห็นโดยเหล่าแฟนคลับตาไวทั้งหลาย รูปเซลฟี่ของกรรณและภูถูกรีโพสลงไปในแอคเคาท์แฟนคลับที่พิมเพิ่งสร้างขึ้นเพื่อให้คนอื่นๆได้เข้ามาร่วมชื่นชมด้วย เสียงแจ้งข้อความเข้าจากไลน์ดังขึ้น ภูเปิดอ่านข้อความจากตฤณซึ่งรัวส่งมาไถ่ถามด้วยความตื่นเต้น ทั้งจากการที่เพื่อนผู้แสนจะเหนียมอายยอมอัพรูปตัวเองลงอินสตาแกรมเป็นครั้งแรก และยังพ่วงด้วยการถ่ายเซลฟี่กับช่างภาพคนดังอีกต่อหนึ่ง

        “เสร็จธุระกับแฟนคลับรึยังพ่อดารา?” กรรณกระเซ้าขณะเก็บชามโฟมที่กินเสร็จแล้วไปทิ้งยังถังขยะซึ่งวางอยู่ที่โคนเสาไฟฟ้า “ถ้าเสร็จแล้วจะได้ไปกันต่อซักที”
        “เสร็จแล้วครับ พี่ตากล้องคนดัง” ภูเอาคืน แต่ดูอีกฝ่ายจะไม่ได้สะทกสะท้านกับคำแซว กลับน้อมรับอย่างยินดี

        ภูเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าและเตรียมจะยันตัวลุกขึ้นยืน ในตอนนั้นมือข้างหนึ่งของกรรณก็ยื่นมาเป็นตัวช่วยให้เด็กหนุ่มจับเพื่อพยุงตัวลุกขึ้นจากพื้น ระหว่างที่ภูกำลังสองจิตสองใจว่าจะเอาอย่างไรดีอีกฝ่ายก็กลับโน้มตัวลงมาฉวยคว้ามือของเขาเอาไว้และเป็นฝ่ายออกแรงดึงฉุดให้ลุกขึ้นมาเอง

        “แค่นี้ลุกเองได้น่า” ภูบ่นอุบพลางก้มหน้าหลบไม่ให้อีกฝ่ายเห็นว่ามันกำลังแดงเรื่อ ขณะที่มือก็ปัดเศษฝุ่นที่ติดกางเกงออก เมื่อรู้สึกได้ว่าอาการใบหน้าร้อนผ่าวเริ่มทุเลาลงแล้วจึงค่อยเงยหน้ากลับขึ้นมาเหมือนเดิม

        “รู้แล้ว ก็แค่อยากช่วย” กรรณตอบก่อนจะยื่นมือมาปัดปอยผมที่ปรกใบหน้าของภูไปทัดไว้หลังใบหู
   
        แม้ปอยผมจะถูกทัดเก็บแล้วแต่ปลายนิ้วเรียวยาวของกรรณยังคงไล้ไปตามเรือนผมของเด็กหนุ่มจนมาจรดลงที่ผิวอ่อนบางตรงต้นคอ มันค้างอยู่จุดนั้นมอบสัมผัสอันอ้อยอิ่งราวกับไม่อยากจะละทิ้งไป เช่นเดียวกับที่ภูก็ไม่อยากให้เขาเลิกทำเช่นกัน ยามนี้ดวงตาทั้งสองคู่สบกันด้วยความบังเอิญอีกครั้ง หากแต่ที่ต่างออกไปจากทุกคราคือต่างฝ่ายต่างไม่เบือนหน้าหลบสายตาของกันและกันอีกต่อไป ภูสัมผัสได้ถึงสัญญาณบางอย่างแว่วไหวในความรู้สึก นับตั้งแต่วินาทีที่ทั้งสองมาถึงที่นี่ เขาก็รู้ดีว่าบางสิ่งที่เคยเป็นมากำลังจะเปลี่ยนไป ภูรู้สึกเช่นนั้นและคาดหวังเหลือเกินว่าหลังจากวันคืนแห่งความไม่แน่นอนและความปากไม่ตรงกับใจอันยาวนานได้ผ่านพ้นไป บัดนี้ทุกอย่างคงจะดำเนินไปในทิศทางที่ควรจะเป็นเสียที
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 7 ☆ [9-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-03-2018 00:03:53
 :ling1:

ทำไมเราลุ้นด้วยย (พาร์ทแรก)
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 7 ☆ [9-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 09-03-2018 00:43:31
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 7 ☆ [9-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 09-03-2018 17:15:09
:ling1:

ทำไมเราลุ้นด้วยย (พาร์ทแรก)
 :L2: :pig4:

ตอนหน้ามีอะไรให้ลุ้นกว่านี้อีกครับ

ขอบคุณที่ยังติดตามกันนะครับ  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 7 ☆ [9-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 09-03-2018 17:16:07
:pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณนะครับ ที่ยังติดตามกันมาตลอด  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 7 ☆ [9-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 09-03-2018 18:12:19
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 7 ☆ [9-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 10-03-2018 07:55:27
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ขอบคุณนะครับที่ติดตามกันมาตลอด  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 7 ☆ [9-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-03-2018 09:33:55
 :man1:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 7 ☆ [9-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 11-03-2018 07:40:56
:man1:


 :L1: :pig4: :L1:

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะครับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 7 ☆ [9-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 13-03-2018 19:23:12
Episode 8 part 1

        “มาถึงขนาดนี้แล้ว แกยังจะมีอะไรต้องมาปรึกษาชั้นอีกวะไอ้ภู?”

        สาลี่บึนปากใส่ภูหลังจากฟังมาจนถึงจุดนี้ ด้วยความรู้สึกส่วนตัวของเธอเห็นว่ารูปการณ์ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้มันชัดเจนจนแทบจะไม่ต้องขอรับความคิดเห็นจากใครแล้ว หากไม่ใช่ว่าทั้งสองรู้จักเป็นเพื่อนสนิทกันมานานจนรู้จักนิสัยกันดี สาลี่คงอดคิดไม่ได้ว่าการเข้ามาขอคำปรึกษาของอีกฝ่ายเป็นแค่ฉากหน้าปกปิดเจตนาที่แท้จริงคือการโอ้อวด แต่เมื่อพิจารณาดูจากสีหน้าและท่าทางอันแสนจะประดักประเดิดของภูแล้ว เธอก็มั่นใจได้ว่าเพื่อนหนุ่มไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงพรรค์นั้น หากแต่เขากำลังงมโข่งอยู่กับความไม่แน่ใจอย่างแท้จริง

        “มันยังมีอีก แกก็ฟังให้จบก่อนสิ” ภูเปิดปากจะเล่าต่อหลังจากถูกสาลี่ขัดขึ้นมากลางคันเสียก่อน

        การสัมผัสถูกเนื้อต้องตัวไม่ได้ลุกลามไปมากกว่านั้น เมื่อเด็กหนุ่มพร้อมจะออกเดินต่อ ท่าทางอันเย้ายวนและแฝงไปด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้งเมื่อครู่ก็ถูกสวมทับด้วยท่าทีสบายๆเป็นกันเองแบบพี่น้องอีกครั้ง กรรณกอดคอภูกึ่งฉุดกึ่งลากไปตามถนนอันแสนจะจอแจไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติพลางชะเง้อมองสองข้างทางราวกับกำลังมองหาบางอย่างก่อนจะเลี้ยวเข้าที่ซอยเล็กๆซึ่งเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึกเกี่ยวกับช้างและมวยไทย ทั้งสองเดินลัดเลาะตามทางเดินแคบๆจนกระทั่งมันตัดออกมายังอีกฟากหนึ่งของถนนซึ่งดูเหมือนผู้คนจะเบาบางกว่า เยื้องไปข้างหน้าไม่ไกลออกไปนักมีร้านอาหารแบบบิสโทรสไตล์ตะวันตกตั้งอยู่ กรรณพาภูไปถึงหน้าร้านก่อนจะบอกให้เด็กหนุ่มยืนรออยู่ตรงนี้ระหว่างที่เขาเข้าไปข้างใน

        ภูยืนรออยู่ข้างหน้าร้านนั้นตามที่กรรณบอกก่อนที่ในอีกไม่กี่นาทีต่อมาจะเริ่มรู้สึกประหม่าขึ้นเมื่อรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจับจ้องมายังตน ที่อีกฟากหนึ่งของถนนนั้น ชายหนุ่มชาวต่างชาติอายุน่าจะมากกว่าเขาเพียงไม่กี่ปี ผมสีทอง ร่างสูงใหญ่ราวกับรูปปั้นกรีกกำลังมองมาทางภู เป็นการจ้องมองอย่างโจ่งแจ้งไร้การปิดบังซึ่งอาจทำให้ผู้ตกเป็นเป้าสายตาเกิดความรู้สึกอึดอัดได้ไม่ยาก เด็กหนุ่มหันหน้าหลบหนีจากดวงตาคู่นั้นและมองเข้าไปในร้าน ผู้คนมาใช้บริการแน่นขนัดเต็มทุกโต๊ะ ทุกคนกำลังดื่มกิน พูดคุย พนักงานคนหนึ่งสังเกตุเห็นภูกำลังยืนมองเข้ามาข้างในจากหน้าร้านจึงส่งสัญญาณถามว่าเขาต้องการโต๊ะหรือไม่ ภูส่ายหน้า อ้อมแอ้มแสดงท่าทางด้วยภาษามือว่ากำลังรอใครอีกคนหนึ่งอยู่ และเมื่อหันกลับมายังถนนอีกครั้ง เด็กหนุ่มก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าร่างสูงใหญ่ที่เคยอยู่อีกฟากของถนน บัดนี้กลับมายืนประชิดเกือบติดกับกายของตนแล้ว
 
        โดยนิสัยส่วนตัวของภู เขาไม่ชอบการสื่อสารกับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก แต่เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มต่างชาติผู้นี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขาเริ่มทักทายและพูดคุยถามคำถามง่ายๆไร้สาระกับภูเพื่อเปิดการสนทนา เขาทำเหมือนมันเป็นสิ่งที่ง่ายดาย เหมือนเป็นการหายใจที่ทุกคนต้องทำเป็นมาแต่กำเนิด คำถามแล้วคำถามเล่าหลุดออกมาจากปาก ภูผู้ซึ่งมีความรู้ทางภาษาอังกฤษอยู่ในระดับพื้นฐานฟังคำถามเหล่านั้นรู้เรื่องและตอบกลับไปได้เพียงหนึ่งในสามของทั้งหมด แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รู้สึกว่าสิ่งนั้นเป็นปัญหาแต่อย่างใด เขาพูดอะไรบางอย่างที่ภูฟังไม่ทันก่อนจะจับมือของภูไปเกาะกุมไว้ จากนั้นก็ค่อยดึงตัวเด็กหนุ่มเข้าไปแนบชิดกับตนเอง กลิ่นเหล้าโชยออกมาผสมกับกลิ่นสาปเหงื่อเจือสารเคมีบางอย่าง หนุ่มผมทองพูดอะไรออกมาอีกสองสามประโยคพร้อมกับเสียงหัวเราะ ภูไม่อาจเข้าใจคำพูดเหล่านั้นแต่สัญชาติญาณสั่งให้เขาปฏิเสธทุกอย่าง เด็กหนุ่มส่ายหน้าและพยายามขืนตัวออกมาแต่อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยมือ ซ้ำยังยกมืออีกข้างขึ้นมาบีบนวดที่บ่าและลูบไล้ท้ายทอยของเขาราวกับกำลังพยายามปลอบประโลมให้หายตื่นตระหนก และในตอนที่ทุกอย่างดูจะเข้าขั้นวิกฤติแล้วนั่นเอง กรรณก็เปิดประตูออกมาจากร้าน เขาเดินเข้ามาแยกชายคนนั้นออกไปจากภู

        “ขอโทษนะ พอดีเค้ามากับผม” กรรณบอกกับชายคนนั้นเป็นภาษาอังกฤษ สีหน้าท่าทางยังไม่มีความก้าวร้าว มีเพียงแววตาที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งก็เหมือนว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ได้เช่นกัน หนุ่มผมทองยกมือขึ้นทำท่าขอสงบศึกและล่าถอยออกไป กรรณหันกลับมาหาภูซึ่งหน้าตายังคงแสดงออกว่าตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่หาย

        “ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?” เขาถามพลางพยายามสังเกตหากมีสิ่งใดผิดปกติเกิดขึ้นกับเด็กหนุ่ม “ขอโทษที ไม่น่าทิ้งนายไว้คนเดียวเลย”
        “ไม่ครับ ไม่ เค้าไม่ได้ทำอะไร จริงๆอาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะ เพราะเมื่อกี้ผมก็ไม่รู้ว่าเค้าพูดอะไรเหมือนกัน ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง” ภูบอกให้อีกฝ่ายคลายกังวล
        “มาเถอะ เข้าไปข้างในดีกว่า มีคนนึงที่นายต้องเจอ”

        กรรณพูดพร้อมกับใช้แขนผลักประตูกระจกของร้านให้อ้าเปิดออกและยันค้างเอาไว้อยู่แบบนั้นจนกระทั่งภูผ่านเข้าไปข้างในจึงค่อยปล่อยมือออกและเดินตามมา ชายหนุ่มเดินแซงขึ้นมาข้างหน้าเพื่อนำทางไปจนกระทั่งถึงโต๊ะที่มุมด้านในสุดของร้าน ที่นั้นมีชายวัยกลางคนแต่งตัวโฉบเฉี่ยวคนหนึ่งนั่งรออยู่ บนโต๊ะไม่มีอาหารมีเพียงเอกสารจำพวกใบเสร็จรับเงินปึกใหญ่ซึ่งมีแก้วเครื่องดื่มวางทับเอาไว้ เมื่อเห็นทั้งสองเข้ามาเขาก็รีบลุกขึ้นต้อนรับด้วยท่าทีที่เป็นมิตรอย่างที่สุด

        “ว่าไงตากล้องหนุ่มคนโปรดของพี่ ได้ข่าวว่ากลับมาที่ไทยตั้งนานแล้ว ทำไมเพิ่งจะแวะมาเอาป่านนี้?” ชายคนนั้นพูดพลางปรี่เข้ามากอดคอกรรณพาไปนั่งร่วมโต๊ะ
        “ยุ่งๆเรื่องงานศพพ่อน่ะครับ งานก็เยอะ พอดีผมฝากให้เครือข่ายของพี่เพชรเค้าช่วยหางานให้ มันก็เลยไหลมาจนทำแทบไม่ทันแบบนี้” กรรณตอบก่อนจะพยักเพยิดให้ภูที่กำลังยืนเก้ๆกังๆทำตัวไม่ถูกอยู่เข้ามาร่วมโต๊ะด้วย “พอดีวันนี้ผ่านมาแถวนี้พอดี เลยแวะมาดูว่าพี่เข้าร้านรึเปล่า เห็นเด็กบอกว่าพี่อยู่ก็เลยเข้ามา”
        “อ้าว เสียใจด้วยนะเรื่องพ่อ ฉุกละหุกแบบนี้ลำบากแย่เลยสิท่า” ชายคนนั้นหันมาทางภูที่เพิ่งเดินเข้ามานั่ง “แล้วนี่ไปลักพาตัวลูกใครเค้ามาเนี่ย เด็กที่ไหน หล่อฟุ้งเชียว”
        “นี่น้องผมครับชื่อภู” กรรณหันมาแนะนำอีกฝ่ายให้ภูรู้จัก “ภู นี่พี่ช้าง ภาธร เป็นเจ้าของร้านนี้ แล้วก็เป็นสไตลิสต์และดีไซน์เนอร์ระดับแนวหน้าของไทยด้วย นายคงรู้จักแล้วมั้ง พี่กับพี่ช้างเคยร่วมงานกันอยู่เกือบปีตอนพี่เค้าไปทำงานให้กับนิตยสารฮาร์เปอร์บาร์ซาที่นิวยอร์ค”

        ภูเขม้นตามองผ่านแสงสลัวของร้าน หลังจากปรับสายตาได้จึงค่อยเริ่มรู้สึกคุ้นเค้าหน้าของชายผู้นี้ขึ้นทีละน้อย เด็กหนุ่มจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นอีกฝ่ายในรายการโทรทัศน์ช่วงหัวค่ำที่แม่ชอบเปิดดู รายการที่พาผู้ชมไปสำรวจยังร้านรวงต่างๆตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำเพื่อค้นหาเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับที่โดดเด่นด้านดีไซน์และแนะนำวิธีการนำไปสวมใส่ให้เหมาะสมกับโอกาสและไลฟ์สไตล์ ตัวจริงที่นั่งอยู่ตรงหน้าในเวลานี้บุคลิกดูเป็นคนร่าเริงสนุกสนานน้อยกว่าในโทรทัศน์อยู่หลายระดับ แน่นอนว่านั่นคงเป็นคาแรคเตอร์ที่รายการวางเอาไว้ให้แสดงไปตามบท
       
        “สวัสดีครับพี่” ภูยกมือไหว้ตามมารยาท
        “สวัสดีจ๊ะน้องภู” พี่ช้างรับไหว้ ก่อนจะหันไปถามกรรณอย่างสนอกสนใจ “ตายจริง กรรณ น้องคนนี้หน่วยก้านดีมากเลย นี่เด็กของใคร? ของช่องไหน?”
        “ไม่ได้สังกัดใครเลยครับพี่” กรรณตอบ “น้องเพิ่งมีงานโฆษณาชิ้นเล็กๆไปชิ้นเดียว พอดีผมได้ยินมาจากพี่เพชรว่าพี่กำลังจะทำลุกส์บุ๊ค อยากได้นายแบบที่หน้ายังไม่ช้ำ ก็เลยคิดว่าน้องเค้าน่าจะโอเค”
        “ไหนดูซิ…” พี่ช้างชะโงกข้ามโต๊ะมาจ้องภูอย่างละเอียด มือข้างหนึ่งจับใบหน้าของเด็กหนุ่มให้หันซ้ายหันขวา ก้มเงยขึ้นลงจนครบทุกมุมแล้วจึงสั่งให้ยืนขึ้น “ปลดกระดุมเสื้อออกให้พี่ดูหน่อย”

        ภูสะอึกเมื่อได้ยินคำขอนั้น หน้าหันไปมองขอความช่วยเหลือจากกรรณ แต่คำตอบที่ได้รับคือการพยักหน้าแสดงท่าทียืนกรานให้เด็กหนุ่มทำตามที่สไตลิสต์คนดังบอก ภูหมดทางเลือกได้แต่มองซ้ายมองขวาจนมั่นใจว่าไม่มีใครกำลังมองมาแล้วจึงค่อยปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาที่ใส่อยู่ออกจนหมด พี่ช้างจ้องดูอย่างครุ่นคิดก่อนจะนั่งลงตามเดิม “พอแล้วล่ะน้อง ติดกระดุมเหมือนเดิมได้แล้ว”

        “ใช้ได้ไหมครับ?” กรรณถามขณะที่ภูนั่งลงและติดกระดุมกลับเข้าที่
        “โอเคนะ หน้าตาดีมีเอกลักษณ์ ไม่ใช่พวกศัลยกรรมพิมพ์เดียวบล๊อกเดียวแบบที่เป็นกันทั้งวงการตอนนี้ แล้วหน้าตาแบบนี้กล้องรักมาก ไม่มีมุมตายเลย” พี่ช้างดูมีท่าทีพอใจ “บอดี้ก็โครงสวยดีถึงจะผอมไปนิดนึงแต่ก็คงไม่มีปัญหา เพราะในเล่มก็คงไม่ได้มีรูปที่ต้องถอดเสื้ออะไรอยู่แล้ว”
        “งั้น พี่ก็ใช้น้องมันถ่ายเลยก็แล้วกันเนอะ” กรรณสรุปให้เองเสร็จสรรพ
        “เดี๋ยวนี้ผันตัวมาเป็นนักปั้นแล้วหรือไงหา?” พี่ช้างกระแซะเข้ามาหยิกแขนกรรณ “จริงๆพี่ว่าเราน่ะก็โอเคอยู่ หล่อขนาดนี้เอาแต่ทำเบื้องหลังเสียของแย่ ไม่สนใจมาอยู่หน้ากล้องบ้างหรือไง?”
        “ไม่เป็นไรครับพี่ ผมเหมาะกับเบื้องหลังมากกว่า” กรรณบอกปัด “ถ้าพี่อยากให้ผมจอยโปรเจคด้วย ก็ให้ผมเป็นตากล้องก็ได้ครับ คิดราคากันเอง พี่ๆน้องๆ”
        “ไอ้เรื่องนั้นยังไงก็ต้องเป็นเราอยู่แล้วล่ะ พี่ไม่ไว้ใจฝีมือคนอื่นหรอก ตอนแรกพี่ติดต่อช่างภาพอีกคนเอาไว้ เพราะคิดว่าเราคงไม่มีคิวให้ แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวแคนเซิลได้” พี่ช้างตกลงรับข้อเสนอ “เอาเป็นว่าตกลงตามนี้แหละ พี่จะได้ไปบอกทางนั้นให้ยกเลิกแคสต์นายแบบเลย เหลือแค่แคสต์นางแบบอย่างเดียว แล้วเดี๋ยวพี่จะแจ้งกำหนดวันถ่ายอีกที ไม่น่าเกินอาทิตย์หน้าหรอก เพราะทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว ทางสปอนเซอร์ก็เร่งมาแล้วด้วย”
        “ขอบคุณครับพี่ ยินดีที่ได้ร่วมงานครับ” กรรณยกมือไหว้แทบจะท่วมหัว
        “วันนี้ไหนๆก็มาแล้ว ดื่มอะไรก็สั่งเลย พี่เลี้ยงเอง” พี่ช้างหันมาหาภูที่ยังนั่งมึนงงตามทุกอย่างไม่ทันอยู่ “น้องภูดื่มอะไรดีจ๊ะ?”
        “เอ่อ คือ…” ภูยังไม่สามารถนึกอะไรออกได้ในขณะจิตนี้
        “น้องมันไม่กินเหล้าครับพี่” กรรณชิงตอบให้เอง “ภูจะกินอะไรก็สั่งเลยนะ ผัดไทยเมื่อกี้คงยังไม่อิ่มหรอกมั้ง”

        เมนูอาหารถูกนำมาวางตรงหน้า ภูกวาดสายตาดูตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้ายแต่ก็ไม่รู้สึกอยากอาหารจึงสั่งแค่ไอศกรีมช๊อกโกแลตเพียงหนึ่งถ้วย เด็กหนุ่มละเลียดกินทีละน้อยขณะมองดูกรรณกระดกเหล้าวอดก้าลงคอแข่งกับพี่ช้างแบบช๊อตต่อช๊อตด้วยท่าทีสบายๆราวกับเป็นน้ำเปล่า จนกระทั่งปริมาตรพร่องลงไปสองในสามของขวด พนักงานในร้านก็มาตามตัวพี่ช้างผู้เป็นเจ้าของร้านไปจัดการเรื่องการเงินที่เกิดติดขัดหน้าแคชเชียร์ เมื่อกลับมาอยู่เพียงสองต่อสองอีกครั้ง ภูจึงรีบสะสางเรื่องที่ค้างคาอยู่จากเมื่อครู่ทันที

        “พี่กรรณ ตกลงว่าเมื่อกี้มันอะไร?” ภูถามกรรณผู้ซึ่งขณะนี้ใบหน้าเริ่มแดงเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์
        “ก็เราบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอยากได้งาน” คำตอบของกรรณทำให้ภูตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายตีความคำพูดของตนเมื่อช่วงบ่ายผิดไปมากโข “พี่เค้ากำลังต้องการนายแบบที่หน้าใหม่จริงๆ นายก็ตรงตามนั้น แล้วอีกอย่างถ้านายผ่านงานกับพี่ช้างมาแล้ว ต่อไปขึ้นแท่นคิวทองแน่ๆ เดี๋ยวงานก็ไหลเข้ามาหาเอง ไม่ต้องให้พี่หาให้แล้ว”
        “แต่ผมไม่ได้อยากทำงานเพราะเรื่องนั้นนี่” ภูโอดครวญ เจ็บใจตัวเองที่ไม่ได้พูดออกไปให้ชัดเจนก่อนหน้านี้ แต่ก็เกิดฮึดขึ้นมาอีกรอบด้วยความคิดที่ว่าถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังไม่สายที่จะพูดออกไปชัดๆให้เข้าใจตรงกัน “จริงๆแล้วที่ผมพูดเมื่อตอนบ่ายน่ะ มันหมายถึงว่า…”
        “พี่มาแล้วจ้า ขอโทษที่ทำให้สะดุดกลางขวด เอ๊ย กลางคัน” ยังไม่ทันจะได้พูดจบประโยค พี่ช้างก็ผู้ซึ่งเสร็จจากธุระของร้านก็กลับมานั่งที่เดิม พร้อมเต็มที่สำหรับวอดก้าช๊อตต่อไป

        เมื่อพี่ช้างกลับมาร่วมโต๊ะ บรรยากาศแห่งการร่ำสุราก็หวนกลับมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มเหมือนถูกดีดกลับออกไปอยู่นอกวงโคจรของผู้ใหญ่วัยทำงานทั้งสอง เสียงพูดคุยอย่างสนุกสนานออกรสของทั้งคู่กลับไม่ทำให้ภูรู้สึกสนุกตามไปด้วยเลยแม้แต่น้อย ด้วยในหัวยังคงครุ่นคิดถึงอีกหนึ่งเรื่องค้างคาในใจที่ยังไม่กล้าถามออกไป แม้ภูจะพยายามคิดเอาว่าเป็นอาการมองโลกในแง่ร้ายจากอารมณ์อันไม่สงบของตน แต่เขาก็อดรู้สึกขึ้นมาไม่ได้จริงๆว่ากำลังถูกกรรณใช้เพื่อเป็นเครื่องมือเข้าหาสไตลิสต์คนดังเพื่อให้ตัวเองได้มีเครดิตในงานนี้ด้วย การที่กรรณมาหาเขาถึงที่มหาวิทยาลัย หรือกระทั่งการมัดมือชกพาเขามาที่นี่ บางทีทั้งหมดนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ถูกวางแผนเอาไว้หมดแล้ว เด็กหนุ่มรู้ดีว่านี่เป็นความคิดที่อันตรายต่อความรู้สึกเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากมองในแง่นั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองในวันนี้ก็จะกลายเป็นเพียงแค่ละครฉากหนึ่งที่จอมบงการกำกับและทำทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจว่าทุกสิ่งจะดำเนินไปในทิศทางที่ตนต้องการ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 7 ☆ [9-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 13-03-2018 19:27:20
Episode 8 part 2

        ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เหล้าในขวดก็ยิ่งพร่องลงไปมากเท่านั้น จนกระทั่งหมดขวดที่สอง พี่ช้างที่ออกอาการว่าเริ่มประคองสติตัวเองไม่ไหวแล้วก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ขอเลิกราไปเอง ภูสะพายกระเป๋าใส่กล้องของกรรณเอาไว้เองแล้วประคองตากล้องหนุ่มออกมาจากร้าน ใบหน้าของกรรณในขณะนี้แดงก่ำจนน่ากลัวแต่เขาก็ยังพอมีสติจะประคองตนให้ลัดเลาะตามโต๊ะออกมาจนถึงหน้าร้านได้โดยไม่ล้มครืนลงไปเสียก่อน ซึ่งนั่นทำให้ภูอดทึ่งในความคอแข็งของอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะด้วยดีกรีที่สูงลิบของเหล้าวอดก้านั่นย่อมหมายถึงปริมาณแอลกอฮอล์มากมายที่รับเข้าไปในร่างกาย เด็กหนุ่มยังแอบคิดว่าสภาพของอีกฝ่ายน่าจะเมาเละเทะจนเดินไม่เป็นไปแล้วด้วยซ้ำ หากแต่ไม่เพียงจะยังเดินไหวเท่านั้น เขายังมีสติมากพอจะบอกทางให้ภูพาตนเองออกจากตรอกซอกซอยอันแสนจะคดเคี้ยวออกมายังถนนใหญ่ได้อีก

        “นี่เหล้าสองขวดทำอะไรพี่ได้เท่านี้เองเหรอ?” ภูถามกลั้วเสียงหอบหายใจหลังจากวางกรรณให้นั่งลงบนขอบทางเท้า
        “ใครว่าล่ะ…” กรรณตอบเสียงอ้อแอ้ “เครื่องจะดับอยู่แล้ว”
        “แบบนี้แล้วยังจะมีหน้ามาว่าผมว่าขี้เมา” ภูหัวร่อหึในลำคอ รู้สึกเป็นต่อขึ้นมาเมื่อคิดว่าต่อไปอีกฝ่ายจะกัดตนเรื่องนี้ไม่ได้อีกแล้ว “เดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่ก่อนนะ นั่งดีๆล่ะ”

        กรรณชูนิ้วขึ้นทำท่าว่ารับทราบก่อนจะก้มเอาหน้าซุกเข่าตัวเองโยกตัวไปมาเหมือนเด็ก ภูส่ายหน้าระอาใจด้วยไม่คิดว่าจะต้องมาเป็นคนพาอีกฝ่ายกลับบ้านในสภาพนี้ เด็กหนุ่มหันไปชะเง้อคอมองหารถแท๊กซี่บนท้องถนน ไม่นานก็มีคันหนึ่งจอดรับ ภูฉุดกระชากลากถูกรรณที่ตั้งท่าจะหลับคาทางเท้าให้ลุกขึ้นมาและยัดเข้าไปยังเบาะหลังของรถก่อนที่ตนจะตามเข้าไปนั่งข้างๆ ทันทีที่ล้อหมุนเสียงกรนเบาๆก็ดังแว่วออกมาจากลำคอของชายหนุ่มผู้ถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์เล่นงานจนอยู่หมัด ภูถอนหายใจออกมาก่อนจะชำเลืองมองดูอีกฝ่ายที่กำลังหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว มือข้างหนึ่งของกรรณวางตกลงที่ข้างลำตัว เด็กหนุ่มครุ่นคิดในใจถึงเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้ในขณะนี้ที่อีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมา เมื่อคาดคะเนแล้วว่าเกิดขึ้นได้ยากจึงรวบรวมความกล้าขยับมือกระเถิบเข้าไปเกาะเกี่ยวกุมมือข้างนั้นไว้ สัมผัสอุ่นจนเกือบร้อนแผ่ซ่านจากมือสู่มือ ภูแทบจะรู้สึกได้ถึงชีพจรที่เต้นระรัวอยู่ในเส้นเลือดใต้ผิวหนัง ความรู้สึกที่คุ้นเคยเลือนรางเริ่มกลับมาอีกครั้งหนึ่ง แม้เวลาจะผ่านไปนานเป็นสัปดาห์แล้ว ทว่าภูก็ยังมั่นใจว่านี่คือสัมผัสเดียวกับที่ตนรับรู้ยามที่สติกำลังจะปลิดปลิวไปในสวนสาธารณะวันนั้น

        ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วินาทีนั้นกลับกลายเป็นเครื่องย้ำเตือนให้เด็กหนุ่มหวนระลึกได้อีกครั้งถึงความหลงใหลที่ตนมีต่อชายผู้นี้ ความขุ่นข้องใจที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ในร้านอาหารเมื่อครู่ผ่อนปรนลงในความรู้สึก จะเป็นอะไรไป ภูคิด หากทุกสิ่งจะเป็นไปตามนั้นจริง หากกรรณวางแผนทุกอย่างนี้ขึ้น ก็ไม่เป็นไร เด็กหนุ่มเข้าใจทุกอย่าง อย่างน้อยก็พยายามเข้าใจ คนเราต้องมีหนทางในการต่อสู้เพื่อตัวเองเสมอ หากว่าตัวของเขาจะช่วยให้อีกฝ่ายได้ในสิ่งที่ต้องการ ภูก็ยินดีที่จะเป็นในทุกอย่างที่กรรณอยากให้เป็น ขอเพียงแค่ให้เขาได้อยู่ใกล้ชิดกับอีกฝ่ายต่อไปแบบนี้ คุยกันได้อย่างสนิทใจแบบที่เป็นอยู่นี้ เพียงเท่านั้นก็พอ

        เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ สาลี่ก็พอจะเข้าใจว่าสิ่งใดที่รบกวนจิตใจของภูอยู่

        “ก็คือแกคิดว่าที่เค้ามาก้อร่อก้อติกกับแกก็เพื่อจะใช้แกเป็นเครื่องมือไปสู่ความก้าวหน้าทางอาชีพงั้นสิ?” สาลี่สรุปเอาจากเท่าที่จับใจความได้ “อันนี้ชั้นว่าแกคิดมากไปเองว่ะ แกก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่าเค้ามีชื่อเสียงในแวดวงถ่ายภาพมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ขนาดพี่ช้างอะไรนั่นยังไว้ใจฝีมือ แล้วเค้าจะต้องมาใช้วิธีอะไรแบบนี้อีกทำไมวะ”
        “ก็จะไม่ให้คิดได้ไง แกลองคิดดูสิ ทางฝ่ายพี่ช้างเค้าเตรียมงานเอาไว้แล้ว แต่จู่ๆเค้าก็พาชั้นไปเสนอ แล้วก็ล๊อบบี้จนชั้นได้งาน และเค้าก็ได้งานนี้ตามไปด้วย แกไม่คิดว่ามันดูจงใจหรือไง?” ภูพยายามเพิ่มน้ำหนักให้กับความคิดของฝั่งตัวเอง
        “จงใจหรือไม่ก็เหอะ แต่แกก็พูดเองนี่ว่าถึงเค้าหลอกก็เต็มใจให้หลอก” สาลี่มองไม่เห็นความต่าง
        “ก็ใช่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้อยากเป็นมากกว่านั้นนี่นา” ภูฟุบหน้าลงไปกับหัวหมีอีกครั้ง
        “งั้นก็ไม่ต้องไปคิดอะไรให้มันซับซ้อนอินเซปชั่นมาก เดี๋ยวจะเป็นบ้าไปก่อนมีแฟนคนแรก ตอนนี้ก็ดูๆกันไปว่าจะมาอีท่าไหน แต่ถ้าถามชั้น ชั้นว่าเค้าก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ถ้าเค้าคิดอะไรกับแกจริง เดี๋ยวเค้าก็จัดการหาทางเคลมแกเองแหละ” สาลี่แนะนำ
        “เคลมนี่แกหมายถึงยังไง?” ภูถาม รู้สึกใจคอไม่ดีเมื่อได้ยินคำนี้
        “เออ เดี๋ยวโดนเคลมเมื่อไหร่แกก็รู้เองล่ะว่ามันคืออะไร” สาลี่อมพะนำไม่ยอมตอบ หน้าตาดูมีลับลมคมในสุดๆ
        “รู้อะไรแล้วก็ไม่พูด เพื่อนประสาอะไรวะ” ภูงอน ผลุดลุกขึ้นยืนพลางหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายบนบ่า
        “อ้าว แล้วนั่นแกจะไปไหนน่ะ?” สาลี่ร้องถาม
        “เบื่อ จะกลับแล้ว ง่วงด้วย เมื่อคืนนอนดึก เช้าก็ต้องรีบไปเรียน เรียนเสร็จแกก็ลากชั้นมานี่ เพลียจะตายอยู่แล้ว” ภูบ่นยาวเหยียดพร้อมกับหาวประกอบให้เพื่อนเห็นว่าง่วงจริงไม่ได้แกล้งทำ
        “เออไปเถอะ อย่าลืมทำงานส่งล่ะ” สาลี่กำชับไม่ให้ภูลืมเส้นตาย
        “อือฮึ” เด็กหนุ่มพยักหน้า
        “ไอ้ภู…” สาลี่เรียกอีกครั้ง ภูซึ่งกำลังจะเปิดประตูห้องออกไปก็หยุดกึกและหันกลับมา
        “ว่าไง?” ภูถาม มือยังค้างอยู่ที่ลูกบิดประตู
        “ไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นยังไง ชั้นก็เอาใจช่วยแกอยู่นะ” สาลี่บอกพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้แล้วพยักหน้าตาม เป็นสัญญาณส่วนตัวแสดงถึงการให้กำลังใจระหว่างเพื่อนทั้งสอง
        “ขอบใจมาก” ภูยิ้มกว้างและทำสัญญาณมือเดียวกันตอบกลับไป

        เด็กหนุ่มเปิดประตูและออกจากห้องมา เขาเดินลงไปข้างล่างและยกมือไหว้ลาพ่อของสาลี่ก่อนจะออกมาจากบ้าน หลังจากได้ระบายเรื่องราวที่เคยต้องเก็บกดเอาไว้คนเดียวให้ใครซักคนฟัง ความรู้สึกอึดอัดในอกที่เคยมีก็คลี่คลายลงไปมาก ถึงแม้ว่าคำแนะนำจากสาลี่จะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่กำลังใจจากอีกฝ่ายที่ช่วยให้ตนรู้สึกว่าไม่ได้กำลังเดินอยู่ตามลำพังนั่นเองที่ช่วยได้มากกว่าคำแนะนำใดๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความลับใดๆหลงเหลือระหว่างเพื่อนทั้งสอง ดังคำกล่าวว่าความลับคือสิ่งที่ไม่เคยสูญหายไปจากโลก ท่ามกลางเรื่องราวมากมายที่ภูเปิดอกเล่าให้สาลี่ฟังในบ่ายวันนี้ ยังมีบางเรื่องที่เด็กหนุ่มเลือกจะเก็บมันเอาไว้กับตัวเอง เหมือนฝันหวานอันน่าอายที่ไม่อาจเล่าให้ใครฟังได้

        ในคืนนั้นเมื่อแท็กซี่พาทั้งสองกลับมาถึงบ้าน ภูควักเงินจ่ายค่าโดยสายก่อนจะกึ่งดึงกึ่งลากกรรณซึ่งตอนนี้กลายสภาพเป็นตุ๊กตาขนาดเท่าคนจริงลงมาจากรถและกองข้างทางหน้าประตูรั้วบ้าน เด็กหนุ่มหันรีหันขวางด้วยไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดี หากเป็นแค่ตัวเขาคนเดียวก็คงไม่มีปัญหาเลยที่จะปีนเข้าบ้านกรรณและลัดเลาะเข้าบ้านตัวเองทางระเบียงชั้นสองแบบที่เคยเป็นมา หากแต่วันนี้เจ้าบ้านกลับมานั่งกองไม่มีสติอยู่ตรงนี้ด้วย ในที่สุดเมื่อถูกเร่งเร้าด้วยการกัดของฝูงยุงที่หิวกระหายเลือดราวกับผีร้าย ภูก็ตัดสินใจทำอะไรซักอย่างเพื่อพาทั้งเขาและกรรณไปให้พ้นจากข้างถนนหน้าบ้านนี้เสียที

        “พี่กรรณ” ภูก้มลงเรียกพร้อมเขย่าแรงๆที่ไหล่ของอีกฝ่าย “พี่กรรณตื่น อย่าเพิ่งนอน กุญแจบ้านพี่อยู่ไหน?”
        “อือ…” กรรณทำท่าเหมือนจะลืมตาตื่นขึ้นแต่แล้วก็กลับนิ่งไปอีกครั้ง
        “ช่วยไม่ได้ งั้นผมต้องค้นเอาเองแล้วนะ” ภูถือว่านี่เป็นการขออนุญาต

        เด็กหนุ่มใช้สองมือตะปบคลำตามร่างกายของอีกฝ่ายราวกับตำรวจเวลาตรวจค้นอาวุธ จนกระทั่งสัมผัสเข้ากับพวงกุญแจที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนจึงค่อยล้วงมือเข้าไปหยิบมันออกมา หากแต่ขณะที่กำลังสอดมือเข้าไปนั้น พลันใบหน้าก็แดงก่ำเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านี่เป็นสัมผัสอันเฉียดใกล้จุดอันเป็นส่วนตัวของกรรณมากที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา พวงกุญแจอยู่ห่างจากปากกระเป๋ากางเกงไปเพียงนิดเดียว  คะเนว่าใช้เพียงปลายนิ้วเกี่ยวก็เอาออกมาได้ หากแต่จิตใจที่ถูกความลามกครอบงำอย่างปัจจุบันทันด่วนทำให้ภูเหิมเกริมจนค่อยๆออกแรงสอดมืออันสั่นระริกของตนเข้าไปจนสุดทาง แน่นอนว่าการออกแบบของกางเกงไม่ได้เอื้อเฟื้อต่อการกระทำลวนลามที่กำลังดำเนินอยู่ มือของภูจึงไปไม่ถึงจุดหมาย ทำได้แค่เพียงวางนาบแนบชิดกับเนื้ออุ่นของต้นขาเท่านั้น หากแต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้เด็กหนุ่มผู้กำลังหน้ามืดเพราะความกระหายเนื้อหนังมังสารู้สึกราวกับได้รับพรจากสวรรค์ ก่อนที่ในวินาทีต่อมาความรู้สึกผิดชอบชั่วดีจะหาทางกลับมาเข้าร่างอีกครั้งจนเริ่มละอายใจและชักมือออกมาพร้อมกับพวงกุญแจ

        ประตูรั้วถูกไขออก ภูหอบร่างของกรรณเข้ามาข้างในจนกระทั่งถึงภายในตัวบ้าน เด็กหนุ่มอยากจะพาอีกฝ่ายไปให้ถึงห้องนอนบนชั้นสองหากแต่เรี่ยวแรงไม่มีเหลือมากพอจะทำเช่นนั้นแล้ว ภูวางร่างของกรรณให้นอนลงบนโซฟาตัวยาวส่วนตนเองก็นั่งลงพักเหนื่อยที่โซฟาตัวเล็กอีกตัวที่ตั้งอยู่ข้างๆ เมื่อร่างกายได้ผ่อนคลายจากการอยู่ในท่าที่เหมาะสมกับการนอนเสียงกรนเบาๆก็ดังออกมาจากลำคอของชายหนุ่มอีกครั้ง ริมฝีปากของกรรณขยับมุบมิบราวกับกำลังละเมอพูดบางอย่าง ภูอยากรู้เหลือเกินว่าสิ่งใดกันที่อีกฝ่ายกำลังเห็นอยู่ในความฝันนั้น รอยยิ้มจางๆปรากฏที่มุมปากของกรรณ เขาคงกำลังฝันดี ภูจ้องมองใบหน้ายามหลับอันน่าเอ็นดูราวกับเด็กน้อยของอีกฝ่ายอย่างหลงใหล ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ไม่ใช่ความหื่นกระหายเนื้อหนังแบบที่เกิดขึ้นนอกประตูรั้วบ้านเมื่อครู่ หากแต่เป็นอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น เด็กหนุ่มลงจากโซฟามาคุกเข่ากับพื้นและเขยิบเข้าไปใกล้ใบหน้าของกรรณมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งระยะห่างระหว่างใบหน้าทั้งสองเหลือเพียงไม่ถึงคืบ ภูยื่นมือออกไปแตะลงบนแก้มของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา ก่อนจะไล้ไปตามคาง ถูไปบนตอสากๆของหนวดเคราที่เพิ่งผ่านการโกน แล้วจึงมาจบลงตรงที่ริมฝีปากสวยได้รูปคู่นั้น

        ลมหายใจอุ่นชื้นพ่นผ่านปลายนิ้ว เด็กหนุ่มใจเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนกำลังจะทำลงไป หากแต่เสียงแห่งความต้องการในใจก็ร่ำร้อง หากไม่ใช่ตอนนี้ แล้วจะเป็นเมื่อไหร่ ภูรู้ดีว่านี่อาจไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมสักเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่มีใครจำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ ให้มันเป็นบาปอันแสนหวานที่แผดเผาอยู่กลางดวงใจของเขาคนเดียวก็พอ ภูสูดหายใจเข้าเพื่อปลุกความกล้าก่อนจะค่อยๆโน้มหน้าก้มลงไปจนกระทั่งริมฝีปากของทั้งคู่ประกบเข้าหากัน

        เป็นสัมผัสอันร้อนวูบวาบราวกับเปลวเพลิง ภูกดประทับมันลงไปแน่นิ่งเนิ่นนาน จนเมื่อรู้สึกว่าริมฝีปากของอีกฝ่ายอ้าเผยอเปิดออกจึงค่อยรุกคืบด้วยปลายลิ้นที่สอดแทรกเข้าไป กรรณตอบสนองด้วยลิ้นแข็งแรงที่สอดกลับเข้ามา กลิ่นเหล้าจางๆแผ่ซ่านเข้ามาในปากของเด็กหนุ่ม เขากลืนมันลงไปอย่างยินดี เมื่ออีกฝ่ายเริ่มใช้ฟันขบเบาๆที่ริมฝีปากล่างของเขาราวกับยั่วเย้า ภูก็หัวใจเต้นแรงราวกับจะระเบิดออกมาจากอก จนกระทั่งเกินขีดสุดที่จะทานทนไหวจึงได้ถอนปากออกมาและล้มหงายลงนั่งหอบหายใจกับพื้น กรรณยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น ขยับเพียงเล็กน้อยราวกับกระตุกแต่ไม่ถึงกับรู้สึกตัว

        ภูยันตัวลุกขึ้นยืน ขายังคงสั่นแต่ก็พยายามประคองตนไม่ให้ล้มลงไป ในอกเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิดและตื้นตันในอัตราส่วนที่ทัดเทียมกัน ด้วยใจตระหนักดีว่ากำลังฉวยโอกาสจากความเมาเอาเปรียบอีกฝ่าย หากแต่ประสบการณ์ที่ได้ก็คุ้มค่าจนยากจะลืม เด็กหนุ่มขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านและหยิบผ้าห่มมาจากในห้องนอน ก่อนจะกลับลงมาและคลุมมันลงบนร่างของกรรณที่บัดนี้นอนเหยียดยาวเต็มที่อยู่บนโซฟา เมื่อนึกถึงสัมผัสอันอุ่นชื้นจากปลายลิ้นของอีกฝ่ายก็ชวนให้ใจอยากกระทำการอุกอาจเช่นเมื่อครู่อีกรอบแต่สำนึกผิดชอบชั่วดีก็พยายามหักห้ามความต้องการอันไม่ถูกไม่ควรเอาไว้

        เส้นทางอันเป็นประตูฉุกเฉินได้ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งหลังจากว่างเว้นไปนาน ขณะที่กำลังจะปีนข้ามไปนั้น ภูนึกถึงครั้งสุดท้ายที่เขาทำเช่นนี้ ในวันที่กรรณกระชากเขาลงมานอนกองบนพื้นและจับเขาส่งตำรวจให้ประวัติอันขาวสะอาดต้องมีรอยด่างพร้อยเป็นครั้งแรกในชีวิต เด็กหนุ่มอดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อนึกถึงมัน เขาปีนกลับเข้าไปยังห้องนอนของตนเองและทิ้งตัวลงนอนฟุบหน้าลงกับหมอนทั้งที่ยังสวมชุดนักศึกษาและรองเท้ายังสวมคาอยู่  มือข้างหนึ่งยกขึ้นใช้ปลายนิ้วแตะริมฝีปากที่ยังคงรู้สึกถึงแรงบดและซี่ฟันของกรรณที่ขบลงไป แม่คงเอ็ดหากขึ้นมาเห็นเขาในสภาพนี้ แต่ช่างเถอะ ไม่เป็นไร ภูบอกกับตัวเอง คืนนี้เขาจะขอนอนหลับไปพร้อมกับองค์ประกอบของทุกอย่างที่จะกลายเป็นความทรงจำเมื่อแสงของวันใหม่มาถึง
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 8 ☆ [13-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-03-2018 20:07:27
 :z1:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 8 ☆ [13-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 13-03-2018 20:23:06
เรื่องนี้อ่านแล้วลุ้นทุกตอนจริงๆ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 8 ☆ [13-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-03-2018 21:35:48
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 8 ☆ [13-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 14-03-2018 07:53:43
:z1:


 :L2: :pig4: :L2:

ขอบคุณนะครับ ที่ติดตามอ่าน  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 8 ☆ [13-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 14-03-2018 07:54:51
เรื่องนี้อ่านแล้วลุ้นทุกตอนจริงๆ

ขอบคุณมากครับ ตอนนี้เรื่องเดินไปได้ 1/3 ของทั้งหมดแล้วครับ  :katai4:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 8 ☆ [13-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 14-03-2018 07:55:41
:pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณที่ยังติดตามกันมาตลอดนะครับ  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 8 ☆ [13-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 15-03-2018 09:37:35
Episode 9 part 1

        แสงไฟจากสปอตไลท์สว่างจ้าจนภูอดไม่ได้ที่จะต้องหยีตาหลบ จนเมื่อเริ่มปรับสายตาจนสู้แสงได้แล้วเด็กหนุ่มจึงค่อยหันไปประจันหน้ากับกล้องที่จ่ออยู่ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆกระทั่งได้ยินเสียงสั่งว่าแอคชั่น จึงค่อยยกโทรศัพท์มือถือในมือขึ้นมาและพูดตามสคริปต์ที่ท่องเอาไว้

        “ถ้าเป็นเรื่องการเงิน ผมไว้ใจแค่…”
        “คัท!!! หน้าจอมือถือทำไมไม่เปิดแอปฯธนาคารไว้ล่ะนั่น โอ๊ย!! ตายกูตาย!!!” เสียงผู้กำกับตะโกนสั่งดังลั่นมาจากหลังจอมอนิเตอร์ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเอ็ดตะโรเป็นชุด “แล้วอีกอย่างนะน้องภูครับ หน้าครับ หน้าน้องอ่ะนิ่งไปมั้ย เสียงด้วย จะเนิบนาบไปไหน หล่ออย่างเดียวไม่ได้นะครับ ต้องมีแอทธิจูดด้วย นี่โฆษณาครับ น้องต้องทำให้คนดูแล้วอยากใช้บริการ ไม่ใช่อยากปิดทีวีนอน”
        “ขอโทษครับพี่” ภูยกมือไหว้ ไม่ใช่แค่ผู้กำกับ แต่ยังทีมงานทุกคน เพราะรู้ตัวดีว่าทำให้ทุกอย่างล่าช้าเกินไปมากแล้ว
        “พักกันก่อนสิบนาที กลับมาแล้วเดี๋ยวขออีกรอบนะ รอบนี้เอาให้สุดชีวิตเลยนะน้องนะ เอาให้มันได้ซักที ถือว่าพี่ขอเหอะ” ผู้กำกับส่ายหน้าแสดงความเหนื่อยหน่ายใจออกมา ก่อนจะกลับไปนั่งประจำที่ตรงหลังจอ

        ภูเดินคอตกออกมายังจุดที่ทีมงานเตรียมเอาไว้สำหรับนั่งพัก ระหว่างที่ช่างแต่งหน้าและช่างทำผมกรูกันเข้ามาปรับปรุงสภาพของเด็กหนุ่มให้พร้อมสำหรับการออกกล้องครั้งต่อไปอยู่นั้น พิมกับส้มก็รีบเข้ามาหาพร้อมกับน้ำดื่มและขนมสำหรับรองท้องเนื่องจากรู้ว่าภูยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่ช่วงเช้า ทั้งสองสาวอาศัยสิทธิพิเศษในการเป็นแอดมินกลุ่มแฟนคลับของภูติดตามมายังกองถ่ายด้วยเพื่อนำภาพและคลิปวิดีโอกลับไปเผยแพร่เป็นคอนเทนท์สุดพิเศษเฉพาะสมาชิกที่มีการลงทะเบียนอย่างเป็นทางการเท่านั้น ซึ่งจากเดิมที่แรกเริ่มมีเพียงไม่ถึงหนึ่งร้อยคนจนบัดนี้เพิ่มจำนวนขึ้นมากเป็นเกือบสองพันคนแล้ว อีกทั้งยังไม่นับรวมถึงบรรดาผู้ติดตามทางโซเชียลมีเดียของภูซึ่งทวีจำนวนมากขึ้นทุกวัน แม้จะยังไม่เท่ากรรณแต่ก็ทะยานผ่านหลักห้าแสนไปเป็นที่เรียบร้อย

        เกือบครบหกเดือนแล้วนับตั้งแต่วันที่ภูได้ร่วมงานกับพี่ช้าง ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นงานนั้นทุกอย่างก็เป็นไปตามที่กรรณได้คาดการณ์เอาไว้ เด็กหนุ่มได้ก้าวข้ามจากคำว่านายแบบโนเนมไปสู่ดาวรุ่งที่ถูกจับตามอง งานถ่ายแบบ มิวสิควีดีโอ และพรีเซนเตอร์สินค้ามากมายหลายตัวถูกทาบทามเข้ามาผ่านทางพี่ช้างผู้ซึ่งบัดนี้รับบทบาทหน้าที่ใหม่เป็นผู้จัดการส่วนตัวของภูอย่างกลายๆ ซึ่งเขาก็ใช้ประสบการณ์อันโชกโชนในวงการและวิจารณญาณที่มีคัดเลือกงานให้เด็กหนุ่มอย่างระมัดระวัง สไตลิสต์คนดังมักพร่ำพูดกรอกหูภูอยู่เสมอว่าเขาเป็นเหมือนเพชรน้ำงามที่ต้องการงานเจียรนัยอย่างประณีตจึงจะส่องประกายได้อย่างยั่งยืน หากแต่หารู้ไม่ว่าในใจภูนั้นไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย เพราะแรกเริ่มเดิมทีเด็กหนุ่มยอมทำงานในวงการนี้ก็เพื่อจะให้กรรณพอใจ และนับตั้งแต่เริ่มมีงานมากขึ้น เขากับกรรณก็เริ่มห่างกันไปด้วยภาระหน้าที่ ภูใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเรียน และเวลาส่วนที่เหลือกับงานที่พี่ช้างรับมาให้ ซึ่งส่วนมากทางผู้จ้างก็จะมีทีมงานของตนเองอยู่แล้ว จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่กรรณจะได้มามีส่วนร่วมในการทำงานของภูเหมือนเช่นเมื่อก่อน ซึ่งเด็กหนุ่มมองว่าเรื่องนี้ยังพอมีข้อดีอยู่บ้าง นั่นคือมันช่วยหักล้างความคิดในแง่ลบที่เด็กหนุ่มเคยมีเกี่ยวกับอีกฝ่ายไปจนหมดสิ้น เพราะแม้กระทั่งในขณะนี้ที่กรรณไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับงานของภูแล้ว ทุกคราวที่มีเวลาว่างมาเจอกันชายหนุ่มก็ยังคงมีท่าทีเป็นเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา ซึ่งนั่นก็รวมถึงความคลุมเครือในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่ยังคงเส้นคงวาด้วย

        “พี่โอเครึเปล่าคะ?” พิมถาม การระเบิดอารมณ์ของผู้กำกับที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ทำเอาแม้แต่เธอก็ยังตกใจตามไปด้วย
        “ไม่ไหวแล้ว จะร้องไห้อยู่แล้ว” ภูเบะปากแกล้งทำเป็นตลก แต่ในใจรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
        “จริงๆพี่เค้าก็ไม่น่าจะต้องใส่อารมณ์ขนาดนั้นเลยนะ แค่สิบสองเทคเอง” ส้มแสดงจุดยืนว่าไม่เห็นด้วยกับผู้กำกับ
        “ไม่ใช่แค่สิบสองเทค ถ้าจะให้ถูกต้องพูดว่า ตั้งสิบสองเทค ต่างหาก” ภูฟุบหน้าลงกับสองฝ่ามือแต่ก็โดนช่างแต่งหน้าเอ็ดให้เลิกทำแบบนั้นถ้าไม่อยากต้องมานั่งแต่งหน้าใหม่อีกรอบ “พี่คงไม่เหมาะกับอะไรแบบนี้จริงๆล่ะ ไม่น่ารับงานนี้เลย”
        “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่ยังใหม่กับงานแบบนี้อยู่ หนูว่าพวกเค้าก็คงเข้าใจ” พิมพยายามปลอบพร้อมกับยื่นแซนวิชที่ซื้อมาให้เด็กหนุ่มรุ่นพี่ “ส่วนตอนนี้ พี่ก็กินนี่รองท้องหน่อยเถอะ เดี๋ยวจะเป็นลมก่อนถ่ายเสร็จ”

        ภูพยักหน้าและรับแซนวิชมากัดกินไปหนึ่งคำ ด้วยความที่เป็นอาหารมื้อแรกของวันทำให้รสชาติของมันวิเศษราวกับอาหารทิพย์ เมื่อหันไปมองยังทีมงานที่กำลังวุ่นวายเตรียมงานสำหรับการถ่ายทำเทคต่อไปแล้วก็พาลให้รู้สึกอยากจะวิ่งหนีไปให้พ้นจากตรงนี้ ที่ผ่านมาเด็กหนุ่มรู้ตัวดีว่าด้วยนิสัยขี้อาย ชอบเก็บตัวและแสดงออกไม่เก่งของตนเองนั้นทำให้เขาเป็นบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับงานในวงการบันเทิง จนเมื่อจับผลัดจับผลูได้มาลงมือทำจริง ความรู้สึกอึดอัดตะขิดตะขวงใจที่เกิดขึ้นขณะปฏิบัติงานก็ยิ่งช่วยยืนยันความจริงข้อนั้นได้เป็นอย่างดี ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผลงานถ่ายแบบ โฆษณา และภาพนิ่งที่ผ่านมา ผลลัพท์ของมันที่ออกมาดีได้ก็ล้วนแล้วแต่ต้องยกเครดิตความดีความชอบให้กับกรรณผู้เป็นตากล้อง ที่สามารถใช้ทักษะพิเศษส่วนบุคคลดึงตัวตนของเด็กหนุ่มขี้อายให้ออกมาโดดเด่นได้ มาถึงขณะนี้เมื่อภูเดินทางมาอยู่ในจุดที่ไม่สามารถเลือกทำเฉพาะงานที่มีกรรณเป็นตากล้องได้อีกต่อไป นอกจากกำลังใจในการทำงานจะถดถอยลงแล้ว ก็ยังทำให้การทำงานในแต่ละครั้งยากลำบากไม่ต่างอะไรกับเข็นครกขึ้นภูเขา ต้องทุ่มเทความพยายามมากกว่าที่คนทั่วไปทำถึงสองเท่า 

        แม้กระทั่งทุกวันนี้ ภูก็ยังไม่คาดคิดว่าตนเองมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร แรกเริ่มเขายอมกะเทาะเปลือกตัวเองออกมารับงานที่ไม่ถนัดเพียงเพราะอยากเอาใจกรรณและเพื่อจะได้ใช้เวลาร่วมกันให้มากที่สุดก็เท่านั้น หากแต่หลังจากถ่ายงานกับพี่ช้าง งานต่างๆที่เริ่มหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดหย่อนทำให้ภูเริ่มเป็นกังวล ใช่ว่าเด็กหนุ่มจะไม่เคยคิดจะหยุดทุกอย่าง แต่หลังจากปรึกษากับกรรณแล้วอีกฝ่ายยืนกรานให้เขาทำต่อไปเพื่ออนาคตของตัวเอง ภูก็หมดปัญญาจะแข็งขืน ช่วงแรกที่ยังเป็นเพียงงานถ่ายแบบกับโฆษณาแบบภาพนิ่ง ภูยังไม่ค่อยรู้สึกถึงปัญหามากเท่าไหร่นัก ด้วยอาศัยทักษะที่ฝึกปรือและจดจำมาตอนทำงานกับกรรณ แต่เมื่อเริ่มรับงานโฆษณาทางโทรทัศน์นั่นเองประตูนรกจึงเริ่มเปิดแง้มออก การแสดงของเด็กหนุ่มเลวร้ายจนจัดอยู่ในขั้นหายนะ แม้พี่ช้างจะส่งเขาไปติวเข้มกับครูสอนการแสดงที่มีชื่อเสียงในวงการแล้วหลายต่อหลายคนก็ยังไม่อาจช่วยอะไรได้มาก ทุกคนต่างลงความเห็นว่าภูยังคงมีกำแพงในตัวเองที่ยังไม่สามารถก้าวข้ามหรือพังมันลงได้ 

        ผู้กำกับตะโกนบอกทีมงานทุกคนให้พร้อมสำหรับการถ่ายทำต่อ ภูสูดหายใจเข้าปอดลึกๆเพื่อปลุกใจตัวเองอีกครั้งขณะที่ช่างผมเข้ามาตรวจเช็คความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อกลับเข้ากล้องอีกครั้งแน่นอนว่าไม่มีปาฏิหาริย์หรือพรจากพระเจ้าองค์ใดเกิดขึ้นทั้งสิ้น ภูยังคงทำได้ไม่เป็นที่พอใจของผู้กำกับที่ดูเหมือนอารมณ์จะเดือดดาลขึ้นในทุกเทคที่ผ่านไป จนกระทั่งล่วงเข้าเทคที่ยี่สิบ ในที่สุดนายแบบหนุ่มก็สามารถสร้างสิ่งที่น่าพอใจออกมาได้เสียที การถ่ายทำสิ้นสุดลงเมื่อผู้กำกับสั่งเลิกกอง เด็กหนุ่มใช้ทิชชู่เปียกเช็ดล้างเครื่องสำอางบนใบหน้าออกจนหมดก่อนจะกลับออกมาหาพิมกับส้มที่รออยู่ด้านนอก เมื่อทำการถ่ายทอดสดแบบสั้นๆเพื่อทักทายผู้คนที่ติดตามในเพจเฟสบุ๊คเสร็จแล้วทั้งสองก็ขอแยกกลับไปก่อน ภูโบกมือลาเด็กสาวทั้งสองอย่างตื้นตัน วันนี้คงโหดร้ายต่อจิตใจกว่านี้มากหากไม่มีทั้งสองมาด้วย จนกระทั่งทั้งสองคนขึ้นแท็กซี่ออกไปแล้ว เขาจึงค่อยเดินเลาะไปตามทางเท้ามุ่งไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ห่างออกไปข้างหน้า 

        บนชานชาลาของสถานีรถไฟฟ้า ฝั่งตรงข้ามนั้นปรากฏภาพของภูเด่นหราอยู่บนป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ งานพรีเซนเตอร์ของเครือข่ายให้บริการโทรศัพท์มือถือ นั่นเป็นงานสุดท้ายที่ภูและกรรณได้ทำด้วยกัน นับจากวันนั้นก็ผ่านมาสองเดือนแล้ว เด็กหนุ่มเลี่ยงสายตาพยายามไม่มองไปทางป้ายนั้นด้วยเห็นครั้งใดก็อดอายตัวเองไม่ได้ แม้ว่าจะผ่านงานมาแล้วหลายต่อหลายชิ้นแต่เรื่องแบบนี้ก็ดูจะเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจทำใจให้คุ้นชินได้เสียที อีกทั้งยังไม่นับรวมถึงสายตาของผู้คนแปลกหน้ารอบข้างที่มักจะจับจ้องมองมายังตัวเขาด้วยความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาคุ้นในใบหน้าอีก ทั้งหมดนี้ทำให้ภูซึ่งโดยปกติแล้งหวงแหนความเป็นส่วนตัวยิ่งชีพเกิดอึดอัดจนแทบไม่อยากออกมาพบเจอโลกภายนอกเลยทีเดียว

        ภูกลับมาถึงบ้านเมื่อเวลาเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ประตูบ้านของเขาไม่ได้ถูกลงกลอนจากข้างในอีกต่อไป กฎเคอร์ฟิวถูกยกเลิกไปแล้วนับตั้งแต่ภูเริ่มรับงานอย่างเป็นจริงเป็นจัง ด้วยพ่อกับแม่เข้าใจว่าปัจจัยเรื่องเวลาในการทำงานไม่อาจขึ้นอยู่กับลูกชายของตนได้เพียงคนเดียว เด็กหนุ่มไขประตูเข้าบ้านและหยิบนมกล่องกับของกินอีกสองสามอย่างจากในตู้เย็นก่อนจะตรงดิ่งขึ้นไปยังห้องนอนของตนเอง อากาศที่ร้อนบวกกับเหงื่อไคลซึ่งไหลมาผสมกับแวกซ์แต่งผมบนศรีษะทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก ขณะกำลังจะมองหาผ้าเช็ดตัวเพื่อไปอาบน้ำนั้นสายตาก็เหลือบไปเจอเข้ากับกระดาษแผ่นหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ มันถูกเขียนด้วยลายมือหวัดๆอันแสนคุ้นตาของกรรณ ชายหนุ่มคงแวะมาทานอาหารเย็นที่บ้านเหมือนเช่นเคยและทิ้งข้อความเอาไว้ก่อนกลับ ภูรีบหยิบมันขึ้นมาอ่านด้วยความอยากรู้

        กลับมาแล้วโทรหาพี่ด้วย ข้อความถูกเขียนเอาไว้เพียงเท่านั้น

        ภูสองจิตสองใจว่าจะโทรหากรรณตามที่อีกฝ่ายสั่งเอาไว้ก่อนหรือจะไปอาบน้ำสระผมล้างแว๊กซ์ออกจากหัวก่อนดี ในที่สุดความคันหัวก็มีชัยเหนือการตัดสินใจของเด็กหนุ่ม เขาคุ้ยเขี่ยค้นหาผ้าเช็ดตัวที่โยนทิ้งไว้แถวเตียงนอนเมื่อช่วงเช้าจนเจอแล้วจึงรีบไปอาบน้ำ หมายใจเอาไว้ว่าเมื่อกลับมาค่อยโทรหาอีกฝ่ายก็คงไม่สายไป หากแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ใจเย็นเท่าที่คิดเอาไว้ เพราะเมื่อเด็กหนุ่มอาบน้ำเสร็จกลับมาก็พบว่ากรรณยืนจ้องเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนจากสุดปลายระเบียงทางเดินชั้นสองของบ้านตนเอง เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเจ้าของห้องกลับมาเขาก็รีบกวักมือเรียก ภูส่ายหน้าไม่ยอมทำตามเนื่องจากยังอยู่ในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว เด็กหนุ่มรีบหยิบเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นจากในตู้แล้วหลบออกจากห้องไปใส่จนเสร็จเรียบร้อยจึงค่อยกลับเข้ามาหาอีกฝ่าย

        “ว่าไงครับ?” ภูเปิดหน้าต่างออก
        “ไม่เห็นโน้ตที่ทิ้งไว้เหรอ?” กรรณถามกลับพร้อมชี้ไปที่โต๊ะ
        “เห็นแล้ว อาบน้ำก่อนสิ หัวเหนียวเหมือนโดนกาวดักหนูหกใส่มาเลย” ภูตอบ “แล้วพี่เหอะ มีธุระอะไรด่วนถึงขนาดรอไม่ได้เลย”
        “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” กรรณมองเข้ามาในห้องนอนของภูทำท่าเหมือนกำลังคิดสองจิตสองใจก่อนจะถามขึ้นมาในที่สุด “ขอเข้าไปได้มั้ย?”
       
        ภูพยักหน้าไม่ขัดข้อง ด้วยระยะหลังการไปมาหาสู่ระหว่างสองบ้านของทั้งคู่ไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มปีนขึ้นบนขอบระเบียง ตามองกะระยะอย่างระมัดระวังก่อนจะก้าวข้ามมายังฝั่งห้องนอนของภู เด็กหนุ่มหลบทางให้อีกฝ่ายเข้ามาข้างใน กรรณมองซ้ายมองขวาก่อนจะนั่งลงบนเตียงนอน ภูหยิบนมกล่องที่เอามาจากชั้นล่างขึ้นมาเจาะหลอดดูดแล้วตามมานั่งข้างๆ
       
        “วันนี้เป็นไงบ้าง?” กรรณถามหลังจากนั่งด้วยกันท่ามกลางความเงียบมาพักใหญ่
        “เหนื่อย…” ภูตอบสั้นๆ ก่อนจะเอนหัวไปพิงไหล่ของอีกฝ่ายเอาไว้
        “โดนดุมั้ย? ได้ยินว่างานนี้พี่ต้อมเป็นผู้กำกับ เท่าที่รู้มาแกนี่แหละขาวีนเลย” กรรณยกมือขึ้นมาจับหัวของเด็กหนุ่มเอาไว้แล้วลูบไปตามเรือนผมเบาๆ
        “นิดหน่อยครับ” ภูหลับตาพริ้ม สัมผัสจากนิ้วที่ไล่ไปตามเส้นผมให้ความรู้สึกผ่อนคลายราวกับถูกปลอบประโลม
        “กลับซะดึกเลย กำลังห่วงว่าจะมีปัญหาอะไรรึเปล่า” กรรณหยุดการลูบหัวและทิ้งแขนลงโอบไหล่ภูเอาไว้แทน
        “ไม่มีหรอกครับ” ภูเลือกจะไม่บอกความจริงด้วยไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเป็นกังวล “พี่ล่ะ เป็นไงบ้าง พักนี้ว่างไม่ค่อยตรงกันเลย”
        “ก็ดี งานเยอะเหมือนเดิม แต่ไม่ได้เร่งรัดอะไรมาก” กรรณตอบพลางเอนหลังลงบนเตียง
        “ไม่มีงานที่จะได้มาทำกับผมบ้างเหรอ?” ภูถาม สายตาชำเลืองมองไปยังชายหนุ่มข้างบ้านที่บัดนี้มานอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงของตน
        “เด็กทึ่มเอ๊ย มัวทำงานกับคนเดิมๆก็ไม่ได้โตซักทีน่ะสิ” กรรณพูดทั้งที่ยังไม่ลืมตา “นายมีโอกาสได้ร่วมงานกับพวกมืออาชีพเยอะๆน่ะดีแล้ว ประสบการณ์แบบนี้มันไม่ใช่ว่าใครก็สามารถมีได้นะ”
        “อือ” ภูพยักหน้า แม้ในใจจะยังคงนึกเถียงอยู่ว่าอีกฝ่ายช่างไม่เข้าใจเจตนาของตนเลย

        ภูเอนตัวลงเคียงข้างกรรณบนเตียงก่อนจะหันหน้าพลิกตะแคงข้าง แขนข้างหนึ่งเอื้อมพาดกอดร่างของกรรณเอาไว้ ก่อนที่ใบหน้าจะโน้มเข้าหาต้นแขนอีกฝ่ายและกดซุกอยู่อย่างนั้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับการถูกเนื้อต้องตัวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในห้องนี้ ความใกล้ชิดที่อธิบายรูปแบบความสัมพันธ์ให้ชัดเจนไม่ได้เริ่มก่อตัวขึ้นมานับตั้งแต่ช่วงหลายเดือนก่อน หลังจากวันแห่งความเมามายของกรรณที่ถนนข้าวสาร หลังจากจูบแรกที่ภูฉวยโอกาสขโมยมาในยามที่อีกฝ่ายไร้ซึ่งสัมปชัญญะ ทั้งสองเริ่มโทรหากันโดยไม่มีธุระบ่อยขึ้น แม้ว่าจะเป็นเพียงสายสั้นๆและต่างก็มีข้ออ้างบอกกับตัวเองว่าเป็นแค่การโทรถามสารทุกข์สุขดิบเพราะแต่ละคนต่างงานยุ่งจนไม่มีเวลาว่างเจอกัน หากแต่อย่างน้อยก็เป็นฝ่ายของภูที่ไม่ได้คิดเช่นนั้น อีกทั้งการสัมผัสเนื้อตัวกันก็ไม่เคยเกินเลยไปมากกว่าที่เกิดขึ้นในวันนี้ ดูเหมือนคล้ายจะยังมีกระจกบางๆคั่นกลางระหว่างทั้งสองคนด้วยเจตนาให้สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดยังสามารถอธิบายด้วยคำว่าเป็นแค่พี่น้องกันได้อยู่

        “พรุ่งนี้มีเรียนรึเปล่า?” กรรณถาม มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบแขนของเด็กหนุ่มที่พาดทับร่างอยู่
        “มี เรียนเช้า” ภูตอบพร้อมพยักหน้าทั้งที่จมูกยังฝังอยู่กับต้นแขนของอีกฝ่าย “บ่ายมีถ่ายงานต่อด้วย”
        “งั้นวันนี้ก็นอนได้แล้วมั้ง” ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นนั่งจนภูจำใจต้องเปลี่ยนท่านอน ปล่อยกรรณให้หลุดจากอ้อมกอดไป

        กรรณลุกขึ้นจากเตียงไปที่หน้าต่างห้อง เตรียมจะกลับออกไปยังระเบียงฝั่งบ้านตนเอง ภูยังคงนอนหงายค้างอยู่เช่นนั้นบนเตียง ใจตระหนักดีว่าเวลาแห่งความสุขของวันนี้หมดลงแล้ว แต่เด็กหนุ่มก็เลือกที่จะทำใจยอมรับและพอใจกับสิ่งที่ตนได้มา แม้มันจะไม่ใช่ในรูปแบบที่ตนต้องการร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเทียบกับความว่างเปล่าเอาแน่เอานอนไม่ได้ก่อนหน้านี้ ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว

        เมื่อกลับมาอยู่เพียงลำพังอีกครั้ง ภูจึงลุกขึ้นจากเตียงไปยังข้างหน้าต่าง ตาจ้องมองไปยังห้องนอนของกรรณที่อยู่เยื้องไปยังฝั่งตรงข้าม แสงไฟในห้องยังคงสว่างอยู่อีกครู่หนึ่งถึงดับไป แม้ภูจะพร่ำบอกตนเองให้พอใจกับสิ่งที่มีอยู่ในตอนนี้ หากแต่ก็ไม่อาจห้ามใจไม่ให้สงสัยได้ว่าเหตุผลอันใดที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ค้างเติ่งอยู่เพียงเท่านี้ การสัมผัสเนื้อตัวทั้งหลายที่ถูกจำกัดเอาไว้ให้อยู่ในขอบเขตแห่งความเป็นพี่น้อง หากแต่ความรู้สึกใดๆที่เกิดจากมันนั้นมากมายเกินกว่าจะนิยามด้วยคำนั้นไปมาก ภูเองก็มั่นใจว่ากรรณก็รู้สึกไม่ต่างกัน เขารู้ได้จากเสียงหัวใจของอีกฝ่ายที่เต้นรัวยามที่ตนเข้าไปกอดซุก จากน้ำเสียงของกรรณที่สั่นเล็กน้อยแต่พยายามปกปิดไว้ และจากความตื่นตัวทางกายภาพที่อีกฝ่ายพยายามซุกซ่อนเอาไว้โดยไม่คาดคิดว่าเขาจะล่วงรู้ จริงอยู่ที่ภูไม่เคยบอกคำว่ารักออกไปอย่างเป็นเรื่องเป็นราว หากแต่เคยมีคำกล่าวว่าการกระทำนั้นสำคัญกว่าคำพูดไม่ใช่หรือ และเด็กหนุ่มก็มั่นใจว่าการกระทำแต่ละอย่างของเขานั้นก็ชัดเจนซะจนไม่ต้องสรรหาคำพูดใดๆมาประกอบ ไม่ว่าจะเป็นที่ทำออกไปโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตามที
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 8 ☆ [13-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 15-03-2018 09:43:33
Episode 9 part2

        ยามเช้าของวันถัดมาเป็นช่วงเวลาที่ไม่น่าอภิรมย์นักสำหรับภู เด็กหนุ่มแบกสังขารอันหนักอึ้งไปด้วยความอ่อนเพลียเปลี้ยล้าลุกลงจากเตียง หลังจากพยายามประคองสติให้ตื่นอยู่นานพอจนจัดการธุระส่วนตัวเช่นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเรียบร้อยแล้วจึงได้ออกเดินทางมุ่งหน้ามายังมหาวิทยาลัย ด้วยสภาพการจราจรค่อนข้างเป็นใจในวันนี้ ทำให้ภูมาถึงก่อนเวลาเข้าเรียนถึงครึ่งชั่วโมง เขาวางกระเป๋าลงบนโต๊ะหน้าตึกเรียนอันเป็นจุดนัดพบประจำของเพื่อนร่วมชั้นปีก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์มือถือของตนออกมาโทรหาสาลี่ ผู้ซึ่งเวลานี้ก็ตกอยู่ในสถานะเดียวกับคนอื่นๆในชีวิตของภู คือมีเวลาพบเจอกันน้อยลง ระหว่างรอให้อีกฝ่ายรับสายอยู่นั้น ภูก็พยายามทำเป็นไม่รับรู้ถึงสายตาหลายต่อหลายคู่ที่จ้องมาทางตนขณะเดินผ่าน บ้างก็ชี้ชวนกันให้มองมาทางเขา สำหรับบุคคลผู้กระหายความสนอกสนใจจากคนรอบข้างนี่อาจเป็นดั่งของขวัญอันประเมินค่ามิได้ หากแต่สำหรับเด็กหนุ่มผู้ไม่ชอบการตกเป็นเป้าสายตาและหลีกหนีการเป็นจุดเด่นมาโดยตลอดนั้น นี่ก็ไม่ต่างอะไรจากบทลงทัณฑ์จากนรก อันเป็นผลที่เกิดจากการหลงผิดไปยุ่งกับเรื่องที่ตนไม่ควรข้องเกี่ยวเข้า

        “ไม่ต้องโทรแล้ว หันมามองมั่งแกน่ะ” สาลี่เดินเข้ามาเคาะที่หัวของภูเบาๆหนึ่งครั้งให้เลิกก้มหน้าก้มตา
        “อ้าว…” ภูตกใจจนหน้าเหรอหรา “กำลังโทรหาแกเลย”
        “เออ รู้แล้ว ชั้นกำลังจอดรถตอนแกโทรหา” เด็กสาวนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับภู “วันนี้ลมอะไรหอบแกมาถึงมหาลัยฯแต่เช้าได้ล่ะ?”
        “รถมันไม่ติดก็เลยถึงเร็ว” ภูตอบ
        “ก็ดีแล้วล่ะ จะได้มีเวลากับเพื่อนกับฝูงบ้าง หลังๆนี่แกมาตอนเข้าเรียนแล้วตลอด พอเรียนเสร็จก็รีบไปทำงานต่อตาลีตาเหลือกทุกวัน” สาลี่บ่น
        “พูดแบบนี้ แสดงว่าแกคิดถึงชั้นอ่ะดิ?” ภูแกล้งแหย่
        “จริงๆก็ไม่นะ” สาลี่ไม่ยอมติดกับ “ถึงตัวแกจะไม่ค่อยอยู่ แต่หน้าแกแม่งไปโผล่ทุกที่เลยว่ะ หลอนโครตๆ ขนาดเมื่อวันก่อนชั้นไปดูหนังมา ยังอุตส่าห์เจอแกก่อนหนังฉายเลย”
        “อ๋อ… ” ภูนึกออกว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงสปอตโฆษณาชิ้นหนึ่งของตนที่ผลิตมาไว้สำหรับฉายในโรงภาพยนตร์ “แล้วเป็นไง? หล่อมะ?”
        “ถึงจะไม่ค่อยอยากจะพูดให้แกเหลิง แต่ก็ต้องยอมรับน่ะนะว่าหล่อทะลุจอ หล่อจนไอ้ดลกับไอ้ตฤณมันลงความเห็นกันว่าหน้าแกเปลี่ยนไปนิดหน่อย สันนิษฐานว่าแกอาจจะไปขึ้นเขียงให้หมอโมหน้ามา” สาลี่เล่า
        “เออ มโนกันเข้าไป นี่น่ะของแท้ทั้งหน้า ไม่เชื่อมาจับดูได้” ภูท้า “ที่ดูเปลี่ยนไป อาจจะเพราะผอมลงมั้ง”
        “ก็จริง แกน่ะซูบลงไปเยอะ หาเวลาพักผ่อนบ้างก็ดี” สาลี่เห็นด้วย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเห็นร่องรอยดำคล้ำใต้ดวงตาของเพื่อนหนุ่ม อันเป็นร่องรอยที่ฟ้องถึงสภาวะร่างกายที่ขาดการพักผ่อนอย่างเต็มที่
        “รู้น่า ไม่ต้องห่วงหรอก” ภูทำท่าว่ายังไหว

        เมื่อใกล้เวลาเข้าเรียน เพื่อนคนอื่นๆก็เริ่มเข้ามาสมทบมากขึ้น ภูเริ่มรู้สึกได้ถึงการหวนกลับมาอีกครั้งของบรรยากาศการพูดคุยอันสนุกสนานเป็นกันเองที่ห่างหายไปนานแล้วจากสารบบชีวิตอันรีบเร่งของตน เมื่อได้กลับมาสัมผัสชีวิตอันเป็นปกติของตนอีกครั้งเด็กหนุ่มก็จึงได้รู้ว่าเขาคิดถึงมันมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นคำพูดล้อเลียนจากปากอันไม่มีหูรูดของนฤดล คำประชดเจ็บแสบจากตฤณ หรือเสียงหัวเราะแปดหลอดชวนแสบแก้วหูของสาลี่ เด็กหนุ่มไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตนจะคิดถึงมันได้ขนาดนี้ แม้จะเป็นเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาทีก่อนที่ทุกอย่างจะต้องกลับไปสู่รูปแบบเดิมที่มันต้องเป็นอีกครั้ง แต่มันก็ช่วยเติมพลังให้กับชีวิตอันยุ่งเหยิงที่ความสนุกสนานสมวัยกำลังเหือดแห้งลงไปในทุกขณะของเขาได้มากทีเดียว

        เที่ยงวันนั้นแม้จะยังไม่หมดเวลาสำหรับการเรียนการสอน แต่ภูก็ต้องขออนุญาตอาจารย์เพื่อออกมาก่อน เนื่องจากสถานที่ถ่ายงานในวันนี้อยู่ที่สตูดิโอย่านรัชดา ซึ่งหากรอจนเลิกเรียนตามเวลาที่กำหนดเอาไว้ย่อมไม่มีหวังจะไปถึงได้ทันตามเวลานัดหมายอย่างแน่นอน เด็กหนุ่มกระโดดขึ้นแท็กซี่คันแรกที่เรียกได้และบึ่งตรงมาถึงที่หมายทันเวลาอย่างฉิวเฉียด เมื่อเข้ามาด้านในก็พบว่าทีมงานได้สแตนบายรอเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงรอนายแบบซึ่งก็คือตัวของเขาเองและอีกคนหนึ่งที่ยังมาไม่ถึง ภูนั่งลงตรงจุดที่จัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างใจเย็น รู้สึกโล่งใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าการทำงานในวันนี้ไม่มีอะไรน่าวิตกเป็นเพียงแค่การถ่ายภาพนิ่งธรรมดา ช่างแต่งหน้าและช่างผมเข้ามาสาละวนจัดเตรียมรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มให้ตรงตามคอนเซปต์ที่วางเอาไว้ก่อนจะส่งต่อไปยังฝ่ายคอสตูม และในขณะที่ภูกำลังลองสวมชุดที่เตรียมเอาไว้ให้เพื่อตรวจสอบความพอดีและปรับแก้ให้ออกมาดูลงตัวอยู่นั้น นายแบบอีกคนที่ต้องร่วมงานกันในวันนี้ก็มาถึง ท่ามกลางเสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกของบรรดาทีมงานที่กำลังวิตกว่าอาจจะถูกเทกอง

        ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาในกองถ่ายอย่างเย็นใจไม่รีบร้อนราวกับรู้ว่าทุกคนต้องรอเขาอยู่ หมวกกันน๊อคที่ถือมาในมือถูกวางเอาไว้ข้างประตูทางเข้า ภูมองเด็กหนุ่มลูกครึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนในชุดเสื้อแจ๊กเก็ตหนังสีแดงและกางเกงหนังสีดำทรงสกินนี่ที่กำลังเดินเข้ามาด้วยท่าทีจองหองราวกับเป็นเจ้าชายที่ทุกคนต้องพินอบพิเทา ไ่อ้หมอนี่น่ะเหรอ ที่ต้องร่วมงานกันในวันนี้? ภูนึกในใจขณะที่อีกฝ่ายกำลังถอดถุงมือหนังสำหรับนักแข่งรถจักรยานยนต์และนั่งลงข้างๆตน กลิ่นน้ำหอมผู้ชายฉุนรุนแรงโชยมาเตะจมูก ความเข้มข้นของกลิ่นทำให้ภูอดสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายใช้วิธีฉีดหรืออาบมากันแน่ ช่างแต่งหน้าและช่างผมที่เพิ่งเสร็จธุระจากภูไปเมื่อครู่รีบกรูเข้ามาทำงานของตนกับนายแบบผู้มาใหม่นี้ทันที ด้วยเวลาขณะนี้ล่วงเลยจากกำหนดการณ์ที่วางไว้ไปเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว

        ภูเขม้นมองบุคคลผู้ที่กำลังจะเป็นเพื่อนร่วมงานของเขาในวันนี้อย่างพินิจพิเคราะห์ ใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยบุคลิกแห่งตัวปัญหานี้เป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างเอกลักษณ์ของชาวเอเชียและชาวตะวันตก เส้นผมสีดำมันวาวด้วยน้ำมันแต่งผมถูกจัดทรงเสยขึ้นเปิดให้เห็นหน้าผาก  คิ้วดกหนา ดวงตาคมแฝงไปด้วยแววแห่งความดื้อรั้นเอาแต่ใจ รูปร่างไม่หนาล่ำแต่ก็ไม่ได้ผอมบางเท่าภู เพียงมองด้วยสายตาก็พอรู้ได้ว่าเป็นร่างกายที่มีแข็งแรงและมีกล้ามเนื้อพอสมควร นายแบบหนุ่มนั่งไขว่ห้างผิวปากเป็นทำนองเพลงอย่างสบายอารมณ์ขณะที่ทีมงานมะรุมมะตุ้มอยู่รอบตัวเขา ปลายเท้าที่สวมไว้ด้วยรองเท้าบู๊ตหนังกลับขยับส่ายกระดิกไปมาเบาๆ เป็นการเคลื่อนไหวแบบที่ชวนให้นึกถึงหางของสุนัขเวลาอารมณ์ดี ไม่นานเมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องมอง เขาก็มองกลับมาทางภูเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีใครอีกคนอยู่ที่นี่ด้วย

        “อ่ะฮะ…” วลีสั้นๆหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่าย
        “อ่ะฮะ?” ภูทวนคำนั้นกลับไปด้วยไม่เข้าใจว่านั่นคือคำทักทายหรือแค่เสียงอุทาน
        “นี่จอสเอง” เขาแนะนำตัว “จอส วาโย”
        “โอเค จอส” ภูพยักหน้ารับทราบ
        “จริงๆนามสกุลของเราอ่านว่า เวย์-โอลต์ แต่ดูเหมือนมันจะเป็นคำที่คนไทยออกเสียงลำบาก พี่ที่โมเดลลิ่งเลยให้ใช้คำว่า วาโย แทน” จอสอธิบายที่มาของนามสกุลใหม่ของตนให้อีกฝ่ายฟังโดยไม่ต้องรอคำร้องขอราวกับว่าเป็นหน้าที่
        “อ่าฮะ” ภูพยักหน้ารับทราบอีกครั้ง
        “นายพูดเป็นรึเปล่าเนี่ย?” จอสข้องใจเมื่อไม่เห็นอีกฝ่ายทำการแนะนำตัวใดๆกลับมา
        “อ้อ เป็นสิ พูดเป็น” ภูเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าควรแนะนำตัวกลับไปตามมารยาท “ภูครับ พิภู อ่านตามนั้นเลย”
        “ภู ออกเสียงเหมือน poo ที่แปลว่าอึใช่มั้ย?” จอสสรรหาคำพ้องเสียงอันไม่น่าพิสมัยมาให้อีกฝ่ายได้แทบจะทันที
        “ใช่ เสียงเหมือนกัน แต่คนละความหมาย คนละทิศคนละทางเลย” ภูรีบกู้คืนศักดิ์ศรีให้ชื่อตัวเอง
        “เหมือนๆกันล่ะน่า” จอสทำท่าเหมือนมันไม่สลักสำคัญ ก่อนจะจ้องมองมาที่เส้นผมของภูที่ถูกช่างผมมัดเอาไว้เป็นกระจุกราวกับมันสะดุดเข้ากับสายตาของเขา “ผมนายเจ๋งดี”
        “ขอบใจ” ภูเขินนิดหน่อย ด้วยไม่บ่อยครั้งนักจะมีใครมาชมเขาตรงๆแบบนี้
        “เคยอยากไว้ผมแบบนี้ แต่ไม่ไหว ไทยแลนด์ร้อนเกิน” จอสชะโงกเข้ามาใกล้กว่าเดิม “ขอจับหน่อยได้ป่ะ?

        ภูสะดุ้งนิดหน่อยกับคำขออันสุดจะประหลาดนั้น หากแต่ก็คิดว่าไม่ได้มีอะไรเสียหายจึงยอมให้ตามคำขอ เด็กหนุ่มหันข้างให้ปอยผมที่ไม่ได้ถูกมัดออกไปหามือของอีกฝ่ายที่ยื่นเข้ามา เมื่อคว้าเอาไว้ได้จอสก็จับมันเอาไว้อย่างแผ่วเบาราวกับเป็นสิ่งที่บอบบางจนต้องระวังไม่ให้แตกหักเสียหาย อุ้งมือของเขารองรับเรือนผมเอาไว้ก่อนจะใช้นิ้วโป้งลูบถูไปมาเบาๆ เป็นสัมผัสที่นุ่มนวลอ่อนโยนจนดูขัดแย้งกับภาพลักษณ์ภายนอกของผู้กระทำอย่างสิ้นเชิง

        “พอได้แล้วมั้ง?” ภูเตือนสติเมื่อไม่เห็นทีท่าว่าอีกฝ่ายจะเลิก
        “โทษที เพลินไปหน่อย” จอสรีบปล่อยมือออก “เห็นคนไว้ผมแบบนี้ทีไร อดใจไม่ได้ซักที”

        จอสเอนหลังกลับไปพิงเก้าอี้ของตนตามเดิม ก่อนที่ทั้งสองจะต้องลุกไปในอีกไม่กี่นาทีต่อมาเพื่อให้ฝ่ายคอสตูมได้ลองชุดเป็นรอบสุดท้าย ภูมองตามหลังของอีกฝ่ายไปตลอดทาง จอสหยิบเสื้อเชิ๊ตตัวที่ต้องใส่ในการถ่ายทำขึ้นมาพลิกดูทั้งด้านหน้าด้านหลังอย่างพินิจพิจารณาก่อนจะวางมันลงและจัดการเปลื้องผ้าตัวเองจนท่อนบนเหลือเพียงผิวหนังที่เปล่าเปลือย ภูหลบสายตาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะค่อยๆชำเลืองมองกลับไปอีกครั้ง ผิวพรรณของอีกฝ่ายสะอาดหมดจด ท้องแขนมีรอยสักรูปจอห์น เลนนอนเด่นสะดุดตา แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตามากสุดก็คงหนีไม่พ้นกล้ามเนื้อหน้าอกและหน้าท้องที่ได้รูปเรียงกันเป็นลอนสวย และไรขนจากใต้สะดือที่จมหายไปในขอบเอวกางเกง เมื่อหันไปดูรอบๆภูก็พบว่าไม่ใช่เพียงแค่ตนที่กำลังต้องมนต์สะกดแห่งรูปร่างนี้ เพราะทีมงานทั้งหญิงแท้และหญิงเทียมอีกจำนวนหนึ่งก็กำลังจับจ้องมันตาแทบไม่กระพริบอยู่เช่นกัน

        การเสพอาหารตาสิ้นสุดลงเมื่อจอสสวมเสื้อเชิ้ตตัวนั้นและติดกระดุมเข้าก่อนจะหันไปให้ฝ่ายคอสตูมจัดการใช้เข็มกลัดติดที่ด้านหลังเพื่อให้เสื้อออกมาตึงเข้ารูปพอดีตัว เขาหันมาทางภูที่ยังคงยืนถือเสื้อของตัวเองและมองด้วยความสงสัยราวกับเห็นบางสิ่งที่แปลกประหลาด

        “ทำไมยังไม่เปลี่ยนเสื้อล่ะ?” จอสถามแล้วชี้ไปที่นาฬิกาดิจิตัลบนผนังของสตูดิโอ “นี่มันสายกันมากแล้วนะ ไม่รู้จักเวล่ำเวลาบ้างเลย พวกหน้าใหม่”
        “ได้ข่าวว่าที่สายเพราะบางคนมาช้าไม่ใช่เหรอ?” ภูตอกกลับไป เพราะฉุนที่ถูกหยามด้วยคำว่าพวกหน้าใหม่
        “ไม่ต้องพูดมาก เสื้อนักศึกษาน่ะถอดออกได้แล้ว จะคีพลุกส์เด็กเรียนไปถึงไหน” จอสปรี่เข้ามาตั้งท่าจะช่วยเด็กหนุ่มถอดเสื้อ โดยมีฝ่ายคอสตูมสาวยืนจ้องตาวาวราวกับเห็นฉากชวนจิ้นในหนัง
        “ไม่ต้อง!! ถอดเองได้” ภูยกมือขึ้นยันอีกฝ่ายออกสุดแขนก่อนจะหันหลังและเริ่มปลดกระดุมเสื้อตัวเองออกทีละเม็ด

        เด็กหนุ่มรีบสลัดเสื้อนักศึกษาออกและสวมเสื้อตัวที่ทีมงานเตรียมเอาไว้ให้กลับเข้าไปทันทีโดยไม่ทิ้งช่องว่างให้ใครได้จ้องมองผิวใต้ร่มผ้าของตน แต่เดิมภูเองก็ไม่ใช่พวกนิยมอวดเนื้อหนังมังสาต่อหน้าคนแปลกหน้าอยู่แล้ว มาถึงตอนนี้เมื่อมีอีกหนึ่งตัวเปรียบเทียบที่เรียกได้ว่าเหนือกว่าเขาในทุกด้านมายืนกระดิกเท้าเร่งอยู่ข้างๆ ก็ยิ่งทำให้ความมั่นใจในตนเองหดหายไปไวเสียยิ่งกว่าน้ำเหือดบ่อ เจ้าหน้าที่คอสตูมหญิงคนเดิมเข้ามากลัดเข็มกลัดเข้าที่ด้านหลังเสื้อของภูเหมือนที่ทำให้จอสเมื่อครู่ หากแต่ของเขาต้องใช้จำนวนเข็มกลัดมากกว่าเนื่องมาจากรูปร่างที่ค่อนไปทางผอมบาง

        หลังจากต่างฝ่ายต่างแยกเข้าหลังฉากกั้นไปเปลี่ยนกางเกงตัวที่ใส่อยู่เป็นตัวที่ต้องใช้ถ่ายงานในเซ็ทแรกแล้ว ทีมงานคนอื่นๆก็เข้าพร้อมประจำที่ ฝ่ายเมคอัพเข้ามาเช็คใบหน้าของนายแบบเป็นครั้งสุดท้าย ฝ่ายจัดแสงเข้ามาวัดแสงในฉากก่อนจะส่งสัญญาณให้กับตากล้องว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว ภูยังคงยืนนิ่งอยู่ข้างเซ็ทพยายามรวบรวมสมาธิที่กำลังกระจัดกระจายของตนให้กลับมาเข้าร่าง ในตอนนั้นจอสก็เดินลิ่วนำหน้าเขาไปยืนท้าทายแสงไฟอยู่หน้ากล้องอย่างไม่กลัวเกรง แม้ในใจเด็กหนุ่มจะมองเพื่อนร่วมงานคนใหม่นี้ว่าเป็นพวกตัวแสบ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกฝ่ายดูเหมือนเกิดมาเพื่อสิ่งนี้มากกว่าตนจริงๆ จอสหันหน้ามาหาภูที่ยังยืนละล้าละลังอยู่นอกเซ็ท พลางจิ๊ปากแสดงอาการไม่พอใจพร้อมกับกวักมือเร่งให้เข้ามาข้างใน เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะก้าวขาเดินเข้าไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก ด้วยใจตระหนักอย่างสุดซึ้งว่าการทำงานครั้งนี้ต้องมีเรื่องน่าปวดหัวรออยู่ข้างหน้าเป็นแน่แท้
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 9 ☆ [15-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-03-2018 12:30:44
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 9 ☆ [15-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 15-03-2018 12:31:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 9 ☆ [15-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 15-03-2018 19:42:09
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 9 ☆ [15-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 16-03-2018 18:54:43
:L2: :pig4:

ขอบคุณมากครับที่ยังติดตามเสมอ  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 9 ☆ [15-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 16-03-2018 18:55:56
:pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณมากครับ สำหรับการติดตามอย่างต่อเนื่อง  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 9 ☆ [15-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 16-03-2018 18:57:17
:L2: :pig4: :L2:

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะครับ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 9 ☆ [15-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 16-03-2018 19:51:08
ตัวละครใหม่มีบทบาทต่อไหมเนี่ย ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 9 ☆ [15-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 16-03-2018 23:43:06
รู้สึกเหนืีอยแทนภู สู้ๆนะลูก
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 9 ☆ [15-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 17-03-2018 16:06:22
ตัวละครใหม่มีบทบาทต่อไหมเนี่ย ลุ้นๆ

มีแน่นอนครับ เป็นตัวหลักของเรื่องช่วงหลัง ไม่หายไปเฉยๆแน่ :katai4:

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 9 ☆ [15-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 17-03-2018 16:08:14
รู้สึกเหนืีอยแทนภู สู้ๆนะลูก

ทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเอง มันก็จะต้องเหนื่อยแบบนี้แหละครับ  :katai1:

ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดนะครับ  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 9 ☆ [15-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 18-03-2018 22:52:31
Episode 10 part1

        หากนี่เป็นการเสี่ยงดวง ภูก็คงถูกรางวัลใหญ่ไปเป็นที่เรียบร้อย เพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน นี่เป็นงานถ่ายแบบครั้งที่น่าปวดหัวที่สุดนับตั้งแต่ภูก้าวขาเข้ามาในวงการนี้ เมื่อจอสใช้ความเก๋าเกมที่มีมากกว่าพยายามทำตัวเหมือนเป็นเจ้านายของเด็กหนุ่มอยู่ตลอดการถ่ายทำ อีกทั้งยังไม่นับการละลาบละล้วงอย่างอุกอาจเช่นการโผล่เข้ามาเร่งเขาขณะกำลังเปลี่ยนชุดหรือทำธุระส่วนตัวอยู่ในห้องน้ำ ทั้งหมดนี้ทำให้ภูแทบจะห้ามตัวเองไม่ให้ขย้ำคออีกฝ่ายให้จมเขี้ยวไว้ไม่อยู่ จนกระทั่งเมื่อเสร็จสิ้นการถ่ายทำ ภูจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและเก็บข้าวของเผ่นหนีออกจากสตูดิโอด้วยความไวราวกับพายุ ด้วยหวังว่าจะหลุดพ้นจากความน่ารำคาญที่กำลังเผชิญอยู่ได้เสียที หากแต่เหมือนชะตากรรมอันโหดร้ายจะไม่ยอมปล่อยให้เด็กหนุ่มหลุดรอดพ้นไปได้ง่ายๆ เพราะเดินออกมาได้เพียงไม่กี่เมตรภูก็ต้องย้อนกลับไปที่สตูดิโออีกครั้ง หลังจากเพิ่งรู้ตัวว่าลืมนาฬิกาข้อมือเอาไว้ข้างใน หากแต่เมื่อมาถึงภูก็รู้สึกได้ว่าการหวนกลับมาอาจไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดนัก เมื่อเห็นจอสยืนจังก้าอยู่หน้าทางเข้าสตูดิโอราวกับกำลังรออยู่

        “อ่ะฮะ” จอสร้องทักทายด้วยคำเดิมพร้อมกับชี้นิ้วมาทางภูที่พยายามจะเดินก้มหน้าก้มตาผ่านเขาไป
        “ไปเล่นทางนู้นไป พอดีไม่ว่าง” ภูบอกและพยายามจะเข้าสตูดิโอแต่อีกฝ่ายก็ขยับตัวมาขวางไว้
        “จะเข้าไปหานี่ใช่มั้ย?” นายแบบหนุ่มตัวแสบพูดพลางล้วงนาฬิกาข้อมือของภูออกมาจากกระเป๋าเสื้อแจ๊กเก็ต
        “ใช่ ขอบใจมาก” ภูพยายามจะคว้ามาแต่จอสโยกแขนหลบหลีกเร็วเป็นพัลวัน
        “เฮ้ย อะไรเนี่ย จะมาเอาไปง่ายๆได้ไง” จอสไม่ยอมส่งมอบนาฬิกาคืนให้ง่ายๆ
        “ก็ขอบคุณแล้วไง จะเอาอะไรอีก?” ภูเริ่มเหลืออด ทั้งเหนื่อย ทั้งรำคาญ
        “ทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่าย ไม่เคยได้ยินหรือไง?” จอสพูดเป็นนัยยะ “ถ้าอยากได้คืน ก็ต้องทำบางอย่างแลก”
        “จะเอาอะไรก็ว่ามา” ภูตัดรำคาญ

        จอสไม่ตอบแต่ผายมือไปทางรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์สีแดงที่จอดอยู่ไม่ห่างออกไปนัก นายแบบหนุ่มเดินไปยืนข้างๆมันแล้วลูบคลำอย่างรักใคร่ทะนุถนอม “Ducati 959 Panigale หรือชื่อเล่นว่าน้องแดง ลูกรักของจอสเอง”

        “คือนี่จำเป็นต้องรู้?” ภูไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะพาตนมาดูรถมอเตอร์ไซค์เพื่ออะไร
        “เอางี้แล้วกัน ถ้านายยอมพาน้องแดงของจอสไปวิ่งเล่นซักรอบนึง นายก็จะได้นาฬิกาคืน ดีล?” จอสยื่นข้อเสนอ
        “ทำไมเราต้องลำบากขนาดนั้นในการจะเอาของที่เป็นของเราคืนมาล่ะ?” ภูไม่ยอมรับ
        “อาจเพราะว่านายไม่มีทางเลือกมากมั้ง” จอสเอานิ้วเกี่ยวนาฬิกาข้อมือของภูไว้และควงเหวี่ยงให้เป็นวงเบาๆ

        ภูใจหายวาบเมื่อเห็นนาฬิกาอันเป็นของขวัญจากพ่อเมื่อครั้งสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เกือบจะหลุดจากนิ้วของเด็กหนุ่มตัวแสบลงไปแตกเป็นชิ้นบนพื้นต่อหน้าต่อตา หากแต่จอสก็รวบมันเก็บกลับมาไว้ในอุ้งมือได้ทัน เขายักคิ้วให้ภูราวกับจะถามอีกครั้งว่ายังคงยืนยันการตัดสินใจเดิมหรือไม่ ภูแค้นใจจนกัดปากตัวเองแน่นหากแต่ก็รู้ดีว่าทางเลือกมีไม่มากนัก

        “โอเค ไปก็ไป แป๊ปเดียวนะ” ภูยอมจำนนในท้ายที่สุด
        “เห็นมะ แต่แรกก็จบ” จอสว่าพลางกระโดดขึ้นบนรถและตบเบาะท้ายเรียกให้ภูขึ้นมาซ้อน
        “ไหนล่ะหมวกกันน๊อค?” ภูร้องขออุปกรณ์นิรภัยเมื่อปีนขึ้นมานั่งซ้อนท้ายเรียบร้อยแล้ว
        “มีใบเดียวอ่ะ ถ้ากลัวก็เกาะแน่นๆแล้วกันนะ” จอสตอบพลางสตาร์ทเครื่องและเริ่มบิดคันเร่งเคลื่อนตัวออกไปทันที

        จอส วาโย ขับรถได้อย่างน่าสยดสยองที่สุดเท่าที่ภูเคยพบพานมาในชีวิต เขาทั้งใช้ความเร็วเกินกว่าระดับที่กฎหมายกำหนด แซงซ้ายป่ายขวาชนิดไม่สนกฎจราจร และแน่นอนคำว่าไฟแดงไม่มีในพจนานุกรมของเขา เด็กหนุ่มพุ่งทะยานผ่านสี่แยกแล้วสี่แยกเล่าด้วยความเร็วราวกับรถด่วนชินคันเซ็น ภูที่เริ่มรู้สึกว่ากำลังจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้กลางถนนทำอะไรเพื่อปกป้องตัวเองไปไม่ได้มากไปกว่ากอดเอวอีกฝ่ายเอาไว้อย่างแน่นหนา ตั้งใจว่าหากต้องตายก็จะลากให้ตายตามไปด้วย เสียงเครื่องยนต์หนักแรงม้าลั่นกระหึ่มไปทั่วทุกตรอกซอกซอยที่ขับผ่าน เด็กหนุ่มมั่นใจว่าในบ้านซักหลังต้องกำลังมีคนด่าตนถึงบุพการีอยู่เป็นแน่แท้ แต่จู่ๆการซิ่งท้านรกของจอสก็หยุดลงอย่างกะทันหัน ภูชะเง้อคอขึ้นดูว่าอะไรคือสิ่งที่กีดขวางอีกฝ่ายเอาไว้และก็พบว่าเป็นเพียงแค่สุนัขสีน้ำตาลแก่ๆตัวหนึ่งที่กำลังเดินข้ามถนน

        “พุ่งใส่ทางม้าลายจนคนหนีกันกระจุยกระจาย แต่มาจอดให้หมาข้ามถนนเนี่ยนะ?” ภูไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ตาเห็น
        “จอสรักหมา” จอสตอบเสียงอู้อี้มาจากในหมวกกันน๊อค เขาเลื่อนกระจกบังตาของมันขึ้น “ถ้าเรารักอะไร เราก็จะหยุดให้สิ่งนั้นได้เสมอ”
        “สาธุ บุญของหมามันจริงๆ” ภูค่อนแคะ
        “ว่าแต่ บ้านนายไปทางไหนล่ะ?” จอสถามขณะเคลื่อนรถเข้าชิดข้างทาง
        “จะรู้ไปเพื่ออะไรไม่ทราบ? ออกสอบgat patปีนี้เหรอ?” ภูไม่ยอมตอบ
        “ทำไมเข้าใจอะไรยากจัง” จอสทำท่าว่าเหลืออดกับภู “ถ้าถามว่าว่าที่ๆนึงอยู่ที่ไหน ไปทางไหน ก็คือเราจะไปที่นั่นไง”
        “แล้วใครจะให้นายไป?” ภูฉวยโอกาสที่รถจอดสนิทริมทางเท้ารีบปีนลงมายืนกับพื้น
        “ถ้าไม่ไป แท๊กฮอยเออร์เรือนนี้จะเป็นยังไงต่อไปนะ ถ้าร่วงลงจากกระเป๋าเสื้อของจอสในขณะที่อยู่บนความเร็วร้อยสี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง” จอสหยิบเอาตัวประกันขึ้นมาขู่อีกรอบ
        “พวกเล่นสกปรก” ภูบ่นอุบอิบ
        “ไม่เห็นต้องคิดอะไรมากเลย ก็ถือซะว่าจอสไปส่งบ้านในฐานะเพื่อนใหม่ this is what friends are for เพื่อนที่มีรถก็ต้องไปส่งเพื่อนที่ไม่มีใช่เปล่า?” จอสพยายามโน้มน้าว
        “นี่เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เมื่อไหร่หา?” ภูรู้สึกเหมือนโดนโมเมมัดมือชก
        “ก็ตั้งแต่นายยอมให้เราจับผมนายไง” จอสสตาร์ทเครื่องรถอีกรอบ “ถ้าไม่ใช่เพื่อน เค้าจะทำกันแบบนั้นได้เหรอ”
        “เออ เอาเหอะ แล้วแต่พี่เลยครับ” ภูหมดปัญญาจะโต้เถียง คิดบอกตัวเองให้สบายใจว่ามีเพื่อนเพิ่มก็คงดีกว่ามีศัตรู
        “งั้นก็ขึ้นมา บอกทางด้วย” จอสเลื่อนกระจกหมวกกันน๊อคปิดลงตามเดิม
        “เดี๋ยว ถ้าบอกว่าเป็นเพื่อนกัน ก็ต้องพบกันครึ่งทาง” ภูยื่นข้อเสนอเพื่อตัวเองบ้าง “ห้ามบิดเกินหกสิบ ตลอดทาง จนกว่าเราจะลง”
        “หูยยยยย นี่ลุงบ้านไหนเนี่ย?” จอสทำหน้าเซ็งจัดจนแม้กระทั่งมีหมวกกันน๊อคบังอยู่ก็ยังรู้สึกถึงได้
        “นายมีหมวก เราไม่มี เพื่อนก็ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยของเพื่อนบ้างสิใช่มั้ย?” ภูเอาคำพูดของอีกฝ่ายมาปรับใช้ “this is what friends are for ไง”
        “โอเค๊” จอสรับปากเสียงสูง บ่งบอกว่าใจไม่ได้โอเคอย่างปาก

        เมื่อภูกลับขึ้นมาบนเบาะหลังอีกครั้งแล้ว จอสจึงค่อยบิดคันเร่งเคลื่อนตัวออกจากริมถนน นายแบบนักซิ่งรักษาสัญญาที่ให้ไว้ได้เป็นอย่างดี อาจมีบ้างที่เผลอเร่งความเร็วขึ้นแซงรถคันหน้าที่ขับช้าด้วยความหงุดหงิด แต่เมื่อโดนภูจิกนิ้วเข้าที่ท้องเตือนสติไมล์ความเร็วก็ค่อยๆลดลงจนเหลือหกสิบเท่าเดิม ด้วยความเร็วที่ไม่เสี่ยงต่ออันตรายนี้ภูจึงค่อยเริ่มเพลิดเพลินกับการเป็นผู้โดยสารขึ้นมาบ้าง สายลมที่ปะทะเข้าใบหน้าให้ความรู้สึกราวกับกำลังบินอยู่ในอากาศ เด็กหนุ่มสะบัดหัวให้เส้นผมยาวของตนที่ปรกระอยู่บนใบหน้าหลุดออกไป ก่อนจะมองเห็นผ่านทางกระจกมองหลังว่ากระจกหมวกกันน๊อคของจอสได้ถูกเลื่อนเปิดขึ้นอีกครั้ง และสายตาของเขากำลังชะเลืองมองมาทางตนผ่านกระจกบานเดียวกัน เมื่อสบตากับด้วยความบังเอิญ ภูรีบหลบตาหนี หากแต่อีกไม่กี่วินาทีต่อมาก็ถึงรู้ตัวว่าตนเป็นคนเดียวที่ทำเช่นนั้น เพราะแม้จะละสายตาไปมองถนนบ้างแต่โดยรวมแล้วจอสยังคงมองจ้องมาทางเงาสะท้อนของภูในกระจกอยู่เหมือนเดิม

        “จะมองอะไรนักหนา ขับรถเค้าให้มองถนน” ภูจิกนิ้วเข้าที่ท้องอีกฝ่ายอีกรอบ
        “ผมยาวนี่เจ๋งจริงๆด้วย” จอสยิ้มมุมปาก “พลิ้วเหมือนขนนกเลย”

        คำชมทำให้ภูตกเป็นฝ่ายปราชัยได้เสมอในเกมปะทะคารม เด็กหนุ่มก้มหน้าหลบให้เงาของตนพ้นจากกระจกมองหลังเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นว่ามันกำลังแดงเรื่อขึ้นมาทีละน้อย หากแต่ก็ไม่ลืมที่จะคอยบอกทางเป็นระยะๆเพื่อนำคนขับไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง จนเมื่อมาถึงหน้าบ้าน ภูรีบโดดลงจากรถจักรยานยนต์คันยักษ์และแบมือขอนาฬิกาข้อมือคืนจากอีกฝ่ายตามสัญญา จอสไม่บิดพลิ้ว เขาล้วงมันออกมาจากในกระเป๋าเสื้อแจ๊กเก็ตและโยนมันคืนให้เจ้าของ เด็กหนุ่มรีบถลาเข้าไปรับเพราะกลัวว่าจะพลาดตกลงกระแทกพื้นจนเสียหาย เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าจอสยังคงไม่มีทีท่าว่าจะไปไหน หากแต่สายตาของเขายามนี้มองจ้องเข้าไปในบ้านของภู จับจ้องไปยังแสงไฟที่สว่างออกมาจากหน้าต่าง เเละเงาคนที่เคลื่อนไหวไปมาอยู่ในนั้น แน่นิ่งราวกับจมจ่อมอยู่ในภวังค์บางอย่าง

        “เฮ้ นาย” ภูส่งเสียงดึงสติอีกฝ่ายกลับมา “เราจะเข้าบ้านแล้ว ไงก็ขอบใจที่มาส่งแล้วก็ ที่เก็บนาฬิกาไว้ให้”
        “อ่ะฮะ” จอสตอบรับด้วยวลีประจำตัว “แล้วเจอกัน”
        “คงยากหน่อยล่ะ” ภูหัวเราะฝืดๆในลำคอ เมื่อรู้สึกว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่โลกของเขาและจอสจะโคจรมาเจอกันได้อีกนอกจากเรื่องงาน
        “ไม่ยากหรอก” จอสสตาร์ทเครื่องรถก่อนจะหันมาทางภู “ก็เราเป็นเพื่อนกันแล้วนี่”

        จอสไม่พูดอะไรเพิ่มเติมที่จะช่วยให้ภูเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อได้มากกว่านั้น เขาขับออกไปด้วยความเร็วสูงราวกับระเบิดความเก็บกดจากการที่ต้องคุมความเร็วไว้ที่หกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงมาตลอดทางกลับบ้านของภู เด็กหนุ่มยังคงรู้สึกตะหงิดใจนิดหน่อยกับคำพูดทิ้งท้ายของอีกฝ่าย หากแต่ก็พยายามไม่เก็บมาใส่ใจให้หนักหัวด้วยคิดว่าเจตนาของจอสก็คงต้องการแค่กวนประสาทตนเล่นเหมือนทุกครั้ง

        ภูล้วงเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหากุญแจไขประตูรั้วบ้าน ก่อนจะพบว่าไม่จำเป็นต้องหาอีกต่อไปเมื่อเห็นกรรณกำลังยืนส่องออกมาจากข้างใน แวบแรกที่เห็นเด็กหนุ่มตกใจนิดหน่อยเพราะไม่คิดว่าจะมีใครอยู่ตรงนั้น หากแต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเพราะเป็นเรื่องปกติที่รู้กันดีสำหรับเวลานี้อยู่แล้วที่ว่าหากกรรณไม่ได้ติดงานก็จะมาทานมื้อเย็นและขลุกอยู่บ้านของตน ชายหนุ่มเปิดประตูรั้วออกให้ภูเดินเข้ามาข้างในโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เป็นความเงียบที่ชวนให้อึดอัดและทำให้ภูรู้สึกผิด ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรู้สึกเช่นนั้น

        “กินข้าวกันไปรึยังครับ?” ภูถามขณะเดินตามหลังอีกฝ่ายเข้ามาในบ้าน
        “กินแล้ว นี่ยังไม่ได้กินอะไรมาเหรอ?” กรรณสงสัย เพราะดูจากเวลาที่เด็กหนุ่มกลับมาถึงก็เลยมื้อเย็นไปนานแล้ว
        “ยังเลย” ภูส่ายหน้า
        “เห็นซ้อนรถใครมา นึกว่าไปกินอะไรกันมาแล้วซะอีก” กรรณพูดถึงสิ่งที่ตนเห็นเมื่อครู่ น้ำเสียงดูแฝงความไม่สบอารมณ์เอาไว้นิดหน่อย หากแต่ก็พยายามไม่แสดงมันออกมา “เอาของไปเก็บก่อนไป เดี๋ยวพี่ไปดูให้ว่ายังมีอะไรให้กินมั่ง”
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 9 ☆ [15-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 18-03-2018 22:56:35
Episode 10 part2

        ภูพยักหน้าตอบรับก่อนจะแยกตัวขึ้นเอาของไปเก็บยังห้องนอนของตนที่ชั้นบน ความอึมครึมที่กรรณแสดงออกมาเมื่อครู่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจ เพราะไม่อาจเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ หากนั่นคือความไม่พอใจ ภูก็ไม่สามารถรู้ได้อีกเช่นกันว่าสาเหตุของมันมาจากอะไร เขาทำอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ เท่าที่รู้ก็คือไม่ เด็กหนุ่มคิดไม่ตกแล้วก็พาลให้รู้สึกปวดหัว จากวันนี้ที่เหนื่อยมาทั้งวันและความวุ่นวายจากการทำงานร่วมกับจอมกวนประสาทแบบจอส ทำให้ความอยากอาหารแทบจะไม่หลงเหลือมีแต่ความอ่อนเพลียอยากจะพักผ่อนเท่านั้น หากแต่เมื่อคิดถึงว่ากรรณยังคงรออยู่ข้างล่าง ก็ทำให้เขาพยายามข่มความอยากจะกระโจนสู่เตียงและฟุบหน้าหลับให้สาสมใจเอาไว้ และเดินกลับลงไปยังชั้นล่าง เมื่อมาถึงโต๊ะกินข้าว มีอาหารวางตั้งเอาไว้หากแต่ไร้วี่แววของกรรณ ภูเดินออกไปยังห้องรับแขกและถามหากรรณจากพ่อกับแม่ที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์กันอยู่

        “กรรณเหรอ กลับไปเมื่อครู่นี้เอง ก่อนลูกลงมาแป้ปนึง” แม่ตอบขณะที่ตายังจ้องละครในทีวีชนิดที่ว่าไม่ยอมให้พลาดสายตาแม้แต่ฉากเดียว
        “อ้าว ทำไมรีบกลับจังวันนี้” ภูสงสัย เพราะโดยปกติแล้วนี่ยังไม่ใช่เวลาที่อีกฝ่ายจะกลับไปยังบ้านของตัวเอง
        “ไม่รู้สิ เห็นเค้าบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย” พ่อบอก “แต่ก่อนลูกจะมา พ่อก็ยังเห็นดีๆอยู่เลยนะ”
        “เราเองก็ไปกินข้าวเถอะ เห็นพี่เค้าอุ่นเตรียมไว้ให้ก่อนจะกลับไป ยังไม่กินอะไรมาเลยไม่ใช่เหรอ กินอาหารไม่เป็นเวลาเดี๋ยวจะเป็นโรคกระเพาะเอานะ” แม่เตือนภู 

        แล้วทั้งสองก็หันไปสนใจกับโทรทัศน์ต่อ ภูเดินเกาหัวด้วยความงุนงงกลับไปยังห้องครัวก่อนจะเริ่มลงมือจัดการกับอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่ด้วยความไม่อยากอาหารเป็นทุนเดิมบวกกับความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้นมาทำให้กินไปได้เพียงหนึ่งในสามของจานก็เกินจะฝืนยัดต่อไปได้อีก ภูเก็บส่วนที่เหลือเข้าตู้เย็นและหอบสังขารตัวเองกลับขึ้นไปยังห้องนอน ระหว่างเดินขึ้นบันใดก็เกิดนึกขึ้นได้ว่าใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยเครื่องสำอางจากการถ่ายแบบที่ไม่ได้ล้างออกเพราะมัวแต่รีบหนีจอสออกมาจากสตูดิโอ หากแต่เขาก็ไม่มีกระจิตกระใจจะใส่ใจเรื่องนั้นแล้วในเวลานี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องทำเด็กหนุ่มขอผลัดกำหนดการณ์ของมันออกไปเป็นวันพรุ่งนี้ทั้งหมด เมื่อเข้ามาถึงในห้องได้ ความหิวโหยการพักผ่อนทำให้เขาลืมทุกกฎแห่งการระวังตัวที่เคยวางเอาไว้ เด็กหนุ่มถอดเสื้อผ้าโยนลงตะกร้าเหลือเพียงบ๊อกเซอร์ตัวเดียวก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงนอนทันที

        ขณะที่ร่างกายกำลังจะเข้าสู่ภาวะหลับใหลอย่างเต็มที่นั้น พลันเสียงของขาเก้าอี้ที่อยู่หน้าโต๊ะอ่านหนังสือซึ่งเสียดครูดกับพื้นดังเอี้ยดก็ทำให้ภูสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยรู้ดีว่าตนไม่ได้อยู่เพียงลำพังในห้อง เด็กหนุ่มผลุดลุดขึ้นมานั่ง ดวงตาเขม้นมองพยายามปรับสายตาให้ชินกับความมืดจนกระทั่งเจอะเข้ากับเงาของใครบางคนที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะอ่านหนังสือ เมื่อมองไปที่หน้าต่างห้องซึ่งเปิดอ้าอยู่ ภูก็พอรู้ว่าเจ้าของเงานั้นคือใคร หากแต่ที่ยังไม่อาจรู้ได้คือเขามีเจตนาอันใด แต่อย่างไรก็ตามภูมั่นใจว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ เพราะแม้จะคุ้นเคยกันมากแค่ไหนแต่กรรณก็ไม่เคยเข้าห้องนี้จากทางหน้าต่างโดยไม่ขออนุญาตเขาก่อน

        “พี่กรรณ?” ภูร้องเรียกออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังยืนนิ่งไม่ยอมขยับ
        “จะนอนแล้วเหรอ?” กรรณยอมขยับโผล่ออกมาให้ภูเห็นชัดถนัดตา
        “ก็ใช่อ่ะ เหนื่อยมากวันนี้ แต่ยังไม่หลับหรอก พี่มีอะไรหรือเปล่า เข้ามาไม่บอก ตกใจหมดเลย” ภูถาม
        “ก็…” กรรณอ้ำอึ้ง ดูคล้ายกำลังสองจิตสองใจว่าจะถามออกไปดีหรือไม่ “เมื่อกี้นี้น่ะ กลับมากับใคร?”
        “เอ่อ ก็ จะเรียกว่าเพื่อนก็คงได้มั้ง…” ภูไม่รู้จะจำกัดความจอสด้วยคำไหนดี “ถ่ายงานด้วยกันวันนี้ เค้ามีรถก็เลยอาสามาส่ง” 
         “เพื่อนจริงเหรอ?” กรรณเขยิบเข้ามายืนชิดเตียง “หรือว่าเป็นอย่างอื่นกันแน่?”
        “อะไรของพี่เนี่ย?” ภูงง สับสนไปหมดว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากตนกันแน่ “พี่แปลกๆนะวันนี้ พ่อบอกว่าพี่ไม่สบาย เป็นอะไรรึเปล่า?”

        สีหน้าสับสนของเด็กหนุ่มทำให้กรรณเหมือนจะได้สติขึ้นมาจากเมื่อครู่ เขาส่ายหัวไปมาคล้ายจะขับไล่ความคิดบางอย่างออกไปจากสมองก่อนจะนั่งลงบนเตียงข้างๆภูเหมือนเช่นเมื่อคืนก่อน

        “พี่กรรณ…” ภูไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไปดี
        “ก็แค่เป็นห่วง ซ้อนท้ายรถแบบนั้นมันอันตรายจะตาย หมวกกันน๊อคก็ไม่ใส่” กรรณบ่นออกมา หากแต่เห็นได้ชัดว่าเป็นการเบี่ยงประเด็นไปจากเรื่องจริงที่อยู่ในใจ
        “ก็ไม่เป็นไรนี่ไง กลับมาถึงแล้ว” ภูตอบ เมื่อเห็นอีกฝ่ายผ่อนคลายท่าทีตึงเครียดลง เขาก็พลอยโล่งอกไปด้วย

        เมื่อความเครียดเริ่มจางลงไป ภูก็จึงเริ่มมีสติมากพอจะนึกขึ้นได้ว่าตนอยู่ในสภาพเกือบเปลือย เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปคว้าผ้าห่มมาคลุมตัวเอาไว้จนเหลือแค่หัวโผล่ออกมา กรรณมองอาการเหนียมอายไม่มั่นใจในร่างกายตัวเองของอีกฝ่ายแล้วก็อมยิ้มน้อยๆ คล้ายกับเอ็นดู มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาลูบหัวภูอย่างอ่อนโยน

        “พ่อบอกพี่ไม่สบาย เป็นอะไรมากรึเปล่า?” ภูถามคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบจากเมื่อครู่
        “ตอนนี้ไม่เป็นไรเท่าไหร่แล้วล่ะ” กรรณตอบ มือยังคงลูบยีหัวของเด็กหนุ่มไปมาอย่างแผ่วเบา
        “ผมเหนื่อยจัง” ภูเอนตัวเข้าหากรรณ
        “อยากนอนรึยังล่ะ?” กรรณถาม

        ภูพยักหน้าแทนคำตอบ กรรณพยักหน้าว่ารับทราบเช่นกันก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนตั้งใจจะไปส่งอีกฝ่ายที่หน้าต่างห้อง หากแต่เกิดก้าวพลาดเหยียบชายผ้าห่มที่คลุมตัวเองอยู่จนหลุดลงไปกองกับพื้นทั้งผืน กรรณชะงักนิ่งอึ้งเมื่อร่างขาวบอบบางของเด็กหนุ่มที่เมื่อครู่เห็นเพียงลางๆในความมืด บัดนี้กลับมาอยู่เบื้องหน้าทั้งยังต้องแสงจากหน้าต่างจนเห็นชัดเต็มสองตา ภูรีบก้มลงไปจะเก็บมันขึ้นมาคลุมร่างกายไว้ดังเดิมหากแต่กรรณกลับฉุดแขนของเขาเอาไว้ได้เสียก่อน และไม่เพียงเท่านั้น มืออีกข้างของชายหนุ่มยังตรงดิ่งเข้ามาคล้องจับเข้าที่เอวของภูเอาไว้ คล้ายจะรั้งไม่ให้หนีไปไหน ภูพยายามดิ้นรนให้หลุดจากการจับกุมด้วยความประหม่าขัดเขินจากการอยู่ในสภาพมีเสื้อผ้าน้อยชิ้นปกคลุมร่างกาย

        “พี่ ปล่อยก่อน ผ้าร่วงแล้ว” ภูบอกพร้อมกับชี้ไปที่ผ้าห่มบนพื้น
        “ไม่เป็นไรหรอก” กรรณยิ่งรั้งตัวภูให้เข้ามาชิดตนยิ่งกว่าเดิม “แบบนี้แหละดีแล้ว”
        “พี่ไม่เป็นแต่ผมเป็นอ่ะดิ” ภูพูดตะกุกตะกัก พยายามดิ้นหนีจนลนลาน ด้วยกลัวอีกฝ่ายจะสังเกตุเห็นถึงบางส่วนของร่างกายที่มันกำลังสำแดงอาการตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้า
 
        กรรณไม่สนใจสิ่งที่เด็กหนุ่มในอ้อมกอดของตนพยายามพูดพล่าม ชั่วแวบหนึ่งเขายังคงนิ่งเหมือนกำลังชั่งใจก่อนที่ในวินาทีต่อมาการตัดสินใจจะเกิดขึ้น ชายหนุ่มประคองหัวของภูให้แหงนหน้าขึ้นมาหาก่อนจะค่อยๆโน้มก้มลงไปและประกบริมฝีปากของตนเข้าหาอีกฝ่าย แรกเริ่มภูพยายามดิ้นด้วยความตกใจก่อนที่ความเคลิบเคลิ้มจากสัมผัสปลายลิ้นของกรรณที่วนเวียนอยู่บนริมฝีปากของเขาคล้ายจะกำลังหาทางเข้าไปจะทำให้เด็กหนุ่มยอมเผยอปากอ้ารับมัน

        ภูส่งเสียงครางออกมาเบาๆคล้ายจะหมดความอดทนแล้วจึงแตะปลายลิ้นของตนเข้ากับปลายลิ้นของเขา การตอบสนองเกิดขึ้นทันทีเหมือนกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน กรรณถอนลิ้นออกและไล้ปลายของมันไปตามริมฝีปากภูอย่างช้าๆราวกับยั่วเย้า ก่อนจะสวมประทับกลับเข้าไปอีกครั้ง ความโกลาหลปั่นป่วนเกิดขึ้นในหัวของภู เด็กหนุ่มครางเสียงต่ำก่อนจะเริ่มสอดมือล้วงเข้าไปสัมผัสร่างกายข้างใต้เสื้อที่อีกฝ่ายสวมใส่อยู่ จากนั้นจึงเลิกมันขึ้นพยายามจะถอดออก หากแต่จู่ๆกรรณก็กลับหยุดทุกอย่างเอาไว้เพียงเท่านั้น เขาจับมือทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มเอาไว้ไม่ให้กระทำการสำเร็จและจึงค่อยถอนริมฝีปากออก ภูภูพยายามรุกเข้าหาเพื่อสานต่อจากเมื่อครู่อีกครั้งหากแต่กรรณกลับพยายามหลบเลี่ยง เขาถอยไปยืนชิดริมหน้าต่าง หอบหายใจ ใบหน้าหล่อเหลายามนี้แดงก่ำด้วยเลือดที่สูบฉีดอย่างหนัก ตาจ้องมองมาที่ภูคล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่าง หากแต่ก็กลับกลืนมันลงคอไปอีกครั้ง

        “พี่ต้องไปแล้วล่ะ” กรรณพยายามคุมเสียงให้เป็นปกติ แต่กระนั้นก็ยังสั่นและกลั้วไปด้วยอาการหอบจนรู้สึกได้
        “เดี๋ยวสิ…” ภูทั้งงง ทั้งรู้สึกค้างเติ่งราวกับถูกทิ้งเอาไว้ริมหน้าผา
        “ขอโทษทีนะ” กรรณพูดเพียงเท่านั้นก็รีบปีนกลับออกไปยังทางที่ตนเข้ามา

        ภูยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ร่างกายเบาโหวงราวกับอากาศ เมื่อครู่นี้เด็กหนุ่มรู้ตัวเองดีว่ากำลังต้องการอีกฝ่ายจนใจแทบขาด หากแต่คำพูดสุดท้ายของกรรณกลับลบล้างความรู้สึกทั้งหมดลงไปได้ในพริบตาเดียว ขอโทษงั้นเหรอ? ขอโทษเรื่องอะไร? ภูไม่เข้าใจความหมายของคำขอโทษที่กรรณพูดออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว

หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 10 ☆ [18-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 19-03-2018 00:27:03
โอยย อยากจะร้องโหวกเหวกโวยวาย
นี่เป็นครั้งแรก? ที่กรรณเริ่มก่อนซินะ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 10 ☆ [18-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-03-2018 00:45:40
 :pig4: :pig4: :pig4:

ค้างคามาก  ไม่ได้ดังใจ  ชิส์
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 10 ☆ [18-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-03-2018 01:42:09
 :เฮ้อ: :z1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 10 ☆ [18-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 19-03-2018 01:48:13
ไอ่พี่กรรณ!!!!
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 10 ☆ [18-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 19-03-2018 17:50:05
โอยย อยากจะร้องโหวกเหวกโวยวาย
นี่เป็นครั้งแรก? ที่กรรณเริ่มก่อนซินะ

ลมหึง หึงจนต้องเคลม  :hao7:

ขอบคุณที่ยังติดตามกันอยู่นะครับ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 10 ☆ [18-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 19-03-2018 17:51:41
:pig4: :pig4: :pig4:

ค้างคามาก  ไม่ได้ดังใจ  ชิส์

ของแบบนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไปนะครับ   :hao3:

ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดครับ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 10 ☆ [18-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 19-03-2018 17:57:07
:เฮ้อ: :z1:

 :L2: :pig4: :L2:

ขอบคุณมากครับที่ยังติดตามกันเสมอ  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 10 ☆ [18-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 19-03-2018 17:58:40
ไอ่พี่กรรณ!!!!

นิ่งมานาน พอเห็นแววคู่แข่งมาก็ต้องขยับบ้างแล้ว  :katai3:

ขอบคุณที่ยังติดตามกันมาตลอดนะครับ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 10 ☆ [18-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-03-2018 19:20:23
 :L2: :pig4:
เซ็งเลยเพ่
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 10 ☆ [18-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 20-03-2018 00:10:27
พี่กรรณทำน้องคิดมากอีกแล้ว ยังไงคะเนี่ย คิดกับน้องแบบไหน มาจูบน้องแบบนี้ต้องรับผิดชอบนะคะ 5555
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 10 ☆ [18-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 20-03-2018 17:27:54
:L2: :pig4:
เซ็งเลยเพ่

อย่าเพิ่งเซ็งครับ เอาไว้ลุ้นต่อรอบหน้าเนอะ  :katai2-1:

ขอบตคุณที่ติดตามกันมาตลอดนะครับ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 10 ☆ [18-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 20-03-2018 17:29:29
พี่กรรณทำน้องคิดมากอีกแล้ว ยังไงคะเนี่ย คิดกับน้องแบบไหน มาจูบน้องแบบนี้ต้องรับผิดชอบนะคะ 5555

เรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบแน่ครับ คิดเหรอว่าจะปล่อยไปง่ายๆ  :hao6:

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 10 ☆ [18-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: kikilululu ที่ 21-03-2018 12:48:45
ก่อนอื่นเลยเราขอบ่นสาลี่ก่อน ขนาดเราไม่ใช่น้องภูยังรู้สึกเสียใจเวลาสาลี่เทภู กลับก่อนภูเหมือนไม่ได้ใส่ใจเลย คือเราเข้าใจแหละว่าเพื่อให้เกิดพ้อยแล้วเรื่องจะได้ดำเนินได้แต่อ่านแล้วเสียใจจังทำไมเพื่อนถึงเทภูง่ายๆงี้ไหนส่าสนิทกันมากไงงง
 คือยิ่งมาเจอพี่กรรณไม่ชัดเจนใส่ตลอดเวลาเรายิ่งเอ็นดูน้องภู เห็นน้องเหนื่อยจากการพยายามเพื่อพี่กรรณ ทำในสิ่งที่ใืนตัวเองเพื่อให้เข้าใกล้เค้าแล้วรู้สึกว่าทำไมพี่ไม่ทำอะไรให้ชัดเจนบ้าง จะเอายังไงไหนบอก
เริ่มรู้สึกไม่อยากให้น้องภูทนอีกต่อไปแล้ววววว ไปซ้อนดูคาติเรยยรู้กกก แม่แบคอัพหนุเอง :m31:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 10 ☆ [18-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 21-03-2018 18:02:37
ก่อนอื่นเลยเราขอบ่นสาลี่ก่อน ขนาดเราไม่ใช่น้องภูยังรู้สึกเสียใจเวลาสาลี่เทภู กลับก่อนภูเหมือนไม่ได้ใส่ใจเลย คือเราเข้าใจแหละว่าเพื่อให้เกิดพ้อยแล้วเรื่องจะได้ดำเนินได้แต่อ่านแล้วเสียใจจังทำไมเพื่อนถึงเทภูง่ายๆงี้ไหนส่าสนิทกันมากไงงง
 คือยิ่งมาเจอพี่กรรณไม่ชัดเจนใส่ตลอดเวลาเรายิ่งเอ็นดูน้องภู เห็นน้องเหนื่อยจากการพยายามเพื่อพี่กรรณ ทำในสิ่งที่ใืนตัวเองเพื่อให้เข้าใกล้เค้าแล้วรู้สึกว่าทำไมพี่ไม่ทำอะไรให้ชัดเจนบ้าง จะเอายังไงไหนบอก
เริ่มรู้สึกไม่อยากให้น้องภูทนอีกต่อไปแล้ววววว ไปซ้อนดูคาติเรยยรู้กกก แม่แบคอัพหนุเอง :m31:

ตัวละครสาลี่นี่ยกมาจากเพื่อนคนนึงในชีวิตจริงเลยครับ เป็นเพื่อนประเภทที่รู้จักกันมานานจนเลิกเกรงใจ เลิกกังวลว่าอีกฝ่ายจะโกรธไปแล้ว เป็นคนประเภทที่รู้ดีว่าถ้าทำแบบนี้ไปเราต้องโมโหแน่ แต่ก็ทำเพราะมันก็รู้อีกนั่นแหละว่าเดี๋ยวเราก็หายโกรธ เดี๋ยวก็ดีกันได้เหมือนเดิม เคืองกันได้ไม่เคยข้ามวัน แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ใช่ว่าไม่มีความเป็นห่วงกันนะ เวลามีปัญหาหรืออะไรก็พร้อมจะช่วยเหลือหรือรับฟังเสมอครับ คิดว่าหลายๆคนก็คงมีเพื่อนแนวๆนี้อยู่ในชีวิตจริงบ้างอย่างน้อยก็ซักคนสองคน

ส่วนเรื่องพี่กรรณ อย่าเพิ่งว่าเค้าเลย เค้ามีเหตุผลของเค้า รอดูไปก่อนครับ 555  :hao5:   

ขอบคุณที่ติดตามและมาแสดงความคิดเห็นกับเรื่องนะครับ  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 10 ☆ [18-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 21-03-2018 20:24:57
Episode 11 part1

        แม้ว่าเรื่องคืนนั้นจะทิ้งคำถามเอาไว้ในหัวของภูมากมายหลายต่อหลายข้อ หากแต่เขาก็ไม่มีโอกาสจะได้หาคำตอบของมันเลยแม้แต่ข้อเดียว กว่าหนึ่งสัปดาห์นับจากวันนั้นที่กรรณหายหน้าไปจากกิจวัตรร่วมมื้อเย็นที่บ้านของภู ตลอดเวลาเด็กหนุ่มพยายามโทรหาหากแต่อีกฝ่ายไม่ยอมรับสาย มีเพียงแค่ข้อความที่ส่งกลับมาว่าจะติดต่อกลับ แต่จนแล้วจนเล่าก็ไม่มีการติดต่อใดๆกลับมาทั้งสิ้น กรรณยังคงกลับมาบ้านทุกวันหากแต่เป็นเวลาดึกดื่นเกินเที่ยงคืนไปแล้ว ซึ่งเขามั่นใจว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็น ทว่าทุกอย่างไม่อาจรอดพ้นสายตาของภูไปได้ เพราะถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการเรียนและการทำงานในช่วงกลางวันมามากเพียงใด เด็กหนุ่มก็ยังคงถ่างตาตัวเองให้ตื่นอยู่นานพอจะเห็นไฟในห้องนอนที่เยื้องไปทางฝั่งตรงข้ามเปิดขึ้นจึงจะยอมปล่อยตัวเองให้หลับ ด้วยเหตุผลว่าแค่เพียงเรื่องเก่าที่ยังค้างคาใจก็มากเกินพอแล้ว แม้อีกฝ่ายจะพยายามหลบเลี่ยงไม่ยอมเผชิญหน้า แต่อย่างน้อยการได้เห็นกรรณกลับถึงบ้านตัวเองไม่ได้ไปค้างอ้างแรมที่ไหนก็ยังพอทำให้เขาสบายใจขึ้นมาได้บ้าง

        ภูไม่กล้าปรึกษาเรื่องที่เกิดขึ้นกับใครทั้งสิ้นแม้กระทั่งเพื่อนที่สนิทที่สุดอย่างสาลี่ ด้วยรู้สึกว่ารายละเอียดมันค่อนข้างเป็นส่วนตัวและล่อแหลมจนเกินไป ทั้งหมดเท่าที่เขาพอจะทำได้คือเก็บกดความทรมานใจเอาไว้แล้วใช้ชีวิตตามปกติ คอยเฝ้าหวังว่าทุกครั้งที่โทรศัพท์ดังขึ้นจะเป็นเบอร์ของกรรณที่ติดต่อกลับมา หากแต่สิ่งที่พบเจอก็มีแต่เพียงความว่างเปล่า ความสิ้นหวังทำให้ภูถึงขั้นเปิดหน้าต่างห้องเอาไว้ตลอดเวลาและสะดุ้งตื่นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงบางสิ่งเคลื่อนไหวแม้จะเป็นเพียงกิ่งไม้ที่เสียดสีจากแรงลมด้วยคาดหวังว่าเสียงนั้นจะเกิดจากกรรณที่เป็นผู้บุกรุก ยิ่งวันเวลาผ่านไปมากขึ้นเด็กหนุ่มก็ยิ่งกระวนกระวายใจจนแทบบ้าเมื่อได้ค้นพบความจริงจากปากของครอบครัวว่ากรรณยังคงแวะเวียนมาที่บ้านของเขาทุกเช้าเพื่อรับปิ่นโตอาหารที่แม่ของภูทำไปเก็บไว้ในตู้เย็นบ้านของตนเอง เขาใช้ข้ออ้างว่าเพราะงานยุ่งจนไม่มีเวลากลับมาร่วมมื้อค่ำจึงต้องขอเอาไปเก็บไว้ แล้วจะอุ่นทานเมื่อตอนกลับมาถึงบ้านตอนดึก นั่นยิ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามหลบหน้า นั่นทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของเด็กหนุ่มขาดผึงลง ภูตัดสินใจเลิกเฝ้ารอและเป็นฝ่ายเดินหน้าหาคำตอบเอง

        คืนนั้นภูเฝ้ารอให้กรรณกลับมาถึงบ้านตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ ทว่าแม้จิตใจจะเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นเพียงใดก็ยังพ่ายแพ้กับความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งสัปดาห์ ทั้งจากการใช้ชีวิตในแต่ละวันประกอบกับการนอนหลับไม่เต็มตื่นเพราะความวิตกกังวล เมื่อการรอคอยผ่านไปได้สองชั่วโมงเปลือกตาก็เริ่มหนักอึ้งราวกับมีหินมาถ่วงเอาไว้ เด็กหนุ่มยอมล่าถอยให้แก่ร่างกายที่เรียกร้องการพักผ่อน ตั้งใจจะพักสายตาเพียงไม่กี่นาทีเพื่อฟื้นคืนความกระปรี้กระเปร่าแล้วจึงค่อยกลับมาเฝ้าต่อ หากแต่ลืมคิดไปเสียสนิทว่าการหลับการนอนเป็นสิ่งที่ต่อรองไม่ได้สำหรับตน จากที่ตั้งใจเอาไว้เพียงไม่กี่นาทีจึงกลายเป็นหลายชั่วโมง จนกระทั่งมารู้สึกตัวอีกทีก็เกือบจะแปดโมงเช้าแล้ว ภูนึกด่าตัวเองในใจด้วยความโมโหที่ทำแผนที่วางไว้พังเสียเอง เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างห้องนอนยังฝั่งตรงข้าม ไฟในห้องนอนของกรรณปิดมืด แต่ด้วยเพราะหลับไปเสียก่อนภูจึงไม่อาจรู้ได้ว่ามันปิดเพราะอีกฝ่ายยังคงนอนอยู่หรือว่าเพราะยังไม่มีใครกลับมาบ้าน

        ภูเดินเมาขี้ตาเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาไล่ความสะลึมสะลือออกจากร่างกาย คิดบอกตัวเองว่าอย่างไรเสียวันนี้ก็ยังว่างอยู่ทั้งวัน เอาไว้ค่อยหาโอกาสเข้าไปปรับความเข้าใจกับกรรณเอาอีกทีก็ได้ บางทีอาจจะรอจนกว่าอีกฝ่ายจะเอาปิ่นโตอาหารมาคืนหรือไม่ก็อาจจะใช้ข้ออ้างเดียวกันนั้นเข้าไปหาเขาเองถึงบ้านเลยก็ยังได้ เด็กหนุ่มคิดวางแผนการเผชิญหน้าเอาไว้ในใจเป็นฉากๆขณะเดินลงบันไดมายังชั้นล่างหลังจากแต่งตัวเสร็จ

        “ตื่นเช้าจัง วันนี้ไม่มีเรียนไม่ใช่หรือไง?” พ่อร้องทักเมื่อเห็นร่างของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเดินพ้นจากบันไดออกมา
        “เมื่อวานนอนเร็วอ่ะพ่อ” ภูเปิดตู้เย็นหาอะไรดื่มให้ร่างกายสดชื่น
        “ก็ดีแล้ว พักหลังนี่นอนดึกแทบทุกวันเลยนี่” แม่บอกพร้อมกับวางถ้วยกาแฟที่เพิ่งชงเสร็จให้พ่อ “ไหนๆก็ตื่นเช้าแล้ว ออกไปเอาหนังสือพิมพ์ที่หน้าบ้านมาหน่อยไป”
        “เช้ามาก็ใช้เลย” ภูบ่นอุบอิบ ก่อนจะหยิบน้ำส้มกล่องใหญ่จากตู้เย็นติดมือออกไปด้วย
        “บอกกี่ครั้งแล้วว่าจะกินให้เทใส่แก้วไม่ใช่เอาไปกระดกทั้งกล่องแบบนั้น!!” เสียงของแม่เอ็ดตะโรไล่หลังมา

        ภูทำหูทวนลมไม่สนใจเสียงบ่นของแม่ เด็กหนุ่มเปิดกล่องแล้วยกกระดกน้ำส้มดื่มมาตลอดทางจนถึงประตูรั้วบ้าน แต่เมื่อยื่นแขนออกทางช่องของประตูรั้วไปควานหาหนังสือพิมพ์ที่ปกติแล้วควรจะอยู่ในตู้ใส่จดหมายก็กลับพบเจอแต่ความว่างเปล่า ภูส่ายหน้าอย่างระอิดระอาด้วยคิดว่าคนส่งหนังสือพิมพ์คงทำงานสับเพร่ามักง่ายด้วยการโยนทิ้งเอาไว้ข้างรั้วอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่เมื่อเปิดประตูบานเล็กออกไปมองหา สิ่งที่เจอรออยู่ข้างนอกนั่นกลับทำให้เขาตกใจจนเข่าอ่อนล้มลงก้นกระแทกพื้น

        “ฉิบหายแล้ว อะไรวะนั่น…” เด็กหนุ่มชะโงกคอดูอย่างขวัญเสีย ปากคอสั่นไปหมด

        สิ่งที่กองอยู่ข้างประตูรั้วบ้านคือร่างของใครบางคนที่ถูกคลุมอยู่ด้วยหนังสือพิมพ์ฉบับของวันนี้ที่ภูถูกแม่สั่งให้ออกมาหยิบ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขาคงทำตามคำสั่งไม่ได้แล้ว ร่างนั้นนอนแน่นิ่งไม่ขยับในท่าหลังพิงกับกำแพง ตั้งแต่หัวจรดเท้าถูกคลุมด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์จนดูไม่ออกถึงรูปพรรณสันฐาน เด็กหนุ่มรวบรวมความกล้าค่อยๆขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะฉวยเอาเศษไม้จากข้างทางมาแยงเขี่ยทดสอบว่าร่างปริศนาภายใต้หนังสือพิมพ์นั้นยังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่ ร่างกระตุกเล็กน้อยเมื่อโดนสัมผัสก่อนจะตามมาด้วยการยกแขนขึ้นปัดเหมือนกำลังไล่แมลง ภูถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่อย่างน้อยสถานการณ์เช้านี้ก็ยังไม่เลวร้ายไปถึงขั้นมีศพนิรนามมานอนตายอยู่หน้าบ้านตนเอง

        “นี่คุณครับ” ภูเอาไม้เขี่ยซ้ำอีกครั้ง “เป็นอะไรรึเปล่าน่ะ?”
        “อือ… อย่าเพิ่งวุ่นวายได้ป่ะ?” เสียงบ่นอย่างรำคาญดังลอดออกมาจากใต้หนังสือพิมพ์
        “ก็ไม่ได้อยากจะรบกวนเวลานอนนะครับ แต่นี่หน้าบ้านผม” ภูเขี่ยแรงขึ้นตั้งใจจะปลุกให้อีกฝ่ายลุกออกไปเสียที “อีกเดี๋ยวพ่อผมจะออกไปทำงานแล้ว ถ้าไม่รีบขยับรถจะทับหัวเอานะครับ”
        “อ่ะฮะ” บุรุษใต้หนังสือพิมพ์ตอบกลับมาแต่ก็ยังนิ่งไม่ยอมขยับเขยื้อน

        วลีสั้นๆที่อีกฝ่ายตอบกลับมา บวกกับเสียงที่คุ้นหูราวกับเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนนั้นทำให้ภูเริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจแบบแปลกๆขึ้นมาทีละน้อย หากแต่ก็ยังพยายามบอกกับตัวเองว่าไม่น่าจะใช่ เด็กหนุ่มค่อยๆใช้ไม้เขี่ยเปิดหนังสือพิมพ์แผ่นล่างสุดขึ้นมาเพื่อดูข้างใน ส่วนหัวของรองเท้าบู๊ตแบบหนังกลับที่ปรากฏออกมาสู่สายตายิ่งทำให้เขาใจไม่ดีขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่ภูเริ่มมั่นใจถึงตัวตนของชายปริศนาผู้นี้ว่าเป็นใครและตัดสินใจจะถอยทัพย่องกลับเข้าไปในบ้านก่อนการเผชิญหน้าอันไม่พึงปรารถนาจะเริ่มขึ้นนั้นเอง อีกฝ่ายก็เหมือนจะไหวตัวทันยื่นมือออกมาจากกองกระดาษหนังสือพิมพ์และคว้าหมับเข้าที่ข้อเท้าภูเอาไว้พอดี

        “แว๊ก!!!!” ภูร้องลั่น ขาอีกข้างที่ไม่ได้ถูกจับกระทืบเข้าไปที่มือข้างนั้นเต็มๆ
        “โอ๊ย!! เจ็บนะโว้ย!!” จอสโผล่พรวดออกมาจากกองหนังสือพิมพ์ตั้งท่าจะกระโจนเข้าหักคอเจ้าของเท้าที่กระทืบมือตน แต่เมื่อเห็นว่าเป็นภูเขาก็ลดท่าทีคุกคามลง “กระทืบทำไมเนี่ย? มือนะ ไม่ใช่แมลงสาบ”
        “ใครจะไปรู้ล่ะ เห็นโผล่มาจากกองขยะเหมือนกัน” ภูสลัดมือของอีกฝ่ายให้พ้นขา “แล้วนี่มันคืออะไร? มานอนห่มหนังสือพิมพ์อยู่หน้าบ้านชาวบ้านชาวช่องเค้า ตกใจหมดนึกว่าศพใครมาทิ้งไว้แถวนี้”
        “ก็ยุงมันเยอะนี่” จอสตอบพลางยืนขึ้นและบิดตัวไปมา
        “จริงๆที่อยากรู้น่ะคือทำไมมานอนอยู่ตรงนี้” ภูถามอีกครั้งให้ชัดเจนขึ้น
        “คืองี้…” จอสเกาหัว “เมื่อคืนเกิดปัญหากับน้องแดงนิดหน่อย”

        มาถึงตอนนี้เมื่อหายตกใจภูก็เพิ่งสังเกตเห็นสภาพภายนอกของอีกฝ่ายแบบชัดๆ รูปพรรณสัณฐานของจอสในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเรียกว่าปกติได้แม้แต่นิดเดียว กางเกงเต็มไปด้วยรอยเปื้อนจากฝุ่นดิน และรอยดำจากคราบน้ำมันเป็นปื้น เสื้อแจ๊กเก็ตตัวที่สวมอยู่มีรอยขาดเป็นทางยาวที่ข้อศอกคล้ายกับครูดกับอะไรบางอย่างมา เผยให้เห็นเนื้อข้อศอกที่ถลอกจนเป็นแผลเหวอะ เด็กหนุ่มมั่นใจว่าความเจ็บปวดที่แผลระดับนี้มอบให้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน น่าแปลกใจที่อีกฝ่ายยังคงทำตัวสบายๆเหมือนไม่รู้สึกรู้สาได้

        “จูบถนนมาล่ะสิท่า?” ภูดูออกทันที
        “ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่บอกไว้เลยนะว่าเราไม่ใช่ฝ่ายผิด” จอสรีบออกตัว “และผลก็คือน้องแดงถูกหามไปเข้าโรงพยาบาล ส่วนเราก็เดินเล่นมาเรื่อยๆ กะจะมาขอนั่งพักบ้านเพื่อนซักหน่อย”
        “นายมีเพื่อนอยู่แถวนี้ด้วยเหรอหะ?” ภูทำเป็นไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงใคร
        “นี่ไงบ้านเพื่อน” จอสชี้เข้าไปในบ้านภู “ทีนี้นายก็ควรทำหน้าที่เจ้าบ้านและเพื่อนที่ดีเชิญเราเข้าไปข้างในได้แล้ว”
        “ดี เอาน้ำไปกินก่อนเลย” ภูโยนกล่องน้ำส้มในมือใส่จอสแต่อีกฝ่ายรับเอาไว้ทันก่อนจะยกขึ้นดื่มจนหมดโชว์ให้ดูต่อหน้า

        แม้จะรู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้างกับการมาเยือนของเพื่อนที่ไม่ได้ต้องการจะสนิทชิดเชื้อคนนี้ แต่เมื่อประเมินจากสภาพร่างกายอันยับเยินของอีกฝ่ายภูก็รู้สึกว่าหากจะไล่กลับไปก็คงจะดูแล้งน้ำใจจนเกินควร อย่างน้อยแผลเหวอะหวะที่ข้อศอกนั้นก็ควรได้รับการทำความสะอาดก่อนจะเกิดอาการติดเชื้อตามมา ในตอนนั้นเองประตูรั้วเปิดเลื่อนออกแล้วตามมาด้วยพ่อของภูซึ่งขับรถออกมาในอีกไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น ขณะที่รถเคลื่อนผ่านไปพ่อก็เปิดกระจกเลื่อนลงและมองมาที่เด็กหนุ่มปริศนาตัวถลอกปอกเปิกที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างๆลูกชายของตนอย่างสงสัย จอสโบกมือทักทายพ่อของภูราวกับรู้จักมักคุ้นกันมานาน ในขณะที่ภูจำเป็นต้องโกหกไปก่อนว่าจอสเป็นเพื่อนจากมหาวิทยาลัย พ่อยังมีท่าทีสงสัยหากแต่ด้วยหน้าที่การงานอันรีบเร่งที่รออยู่ทำให้ไม่มีเวลาซักไซร้อะไรมากกว่านั้น เมื่อพ่อออกจากบ้านไปแล้ว จอสก็รีบเดินลิ่วนำหน้าภูผ่านประตูรั้วที่เปิดคาไว้อยู่เข้าไปในบ้านก่อนจะหันมาพยักหน้าเร่งให้เขาตามเข้าไปข้างใน ภูได้แต่ยืนอ้าปากค้างหมดคำจะพูดกับความถือวิสาสะของอีกฝ่ายที่ทำเหมือนที่นี่เป็นบ้านของตนเอง 

        เมื่อเข้ามาในบ้าน ภูตะโกนบอกกับแม่ว่าหนังสือพิมพ์ไม่ได้มาส่งและรีบพาจอสหลบขึ้นชั้นสองไปโดยไม่ให้แม่เห็นด้วยไม่อยากจะต้องมานั่งสรรหาคำอธิบายยาวเหยียดมาพูดให้แม่ผู้แสนจะตื่นตูมของตนเข้าใจ เมื่อขึ้นมาถึงยังห้องนอนส่วนตัวของตนเด็กหนุ่มก็รีบปิดประตูก่อนจะหันมาพบว่าอีกฝ่ายได้พาร่างอันแสนจะมอมแมมลงไปนอนแผ่หลาเต็มเตียงของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

        “เอ่อ คือ… ผ้าปูเตียงเพิ่งจะเปลี่ยนเมื่อวานเองน่ะรู้มั้ย?” ภูพยายามจะขอความเห็นใจจากแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
        “จริงดิ? มิน่าล่ะ ห๊อมมม หอม” จอสยิ่งพลิกตัวกลิ้งไปมาเหมือนจะแกล้งยั่วโมโหเจ้าของเตียง หากแต่เมื่อแผลที่แขนถูกกระทบกระเทือนมากเข้าเจ้าตัวก็ออกอาการสะดุ้งสะเทือนให้เห็นจนได้
        “รออยู่นี่แหละ เดี๋ยวจะไปหายามาให้ใส่แผล” ภูเหนื่อยใจขึ้นมาทันควัน เมื่อเห็นสภาพเตียงแล้วเกิดตระหนักได้ว่าคงต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่อีกรอบในวันนี้ 

        ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาออกจากห้อง เสียงกริ่งจากหน้าบ้านก็ดังขึ้นเสียก่อน ภูรีบวิ่งไปที่หน้าต่างห้องและชะโงกหน้าออกไปดู เป็นกรรณนั่นเองที่ยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นเด็กหนุ่มโผล่หน้าออกมาอีกฝ่ายก็โบกมือทักทายพร้อมกับส่งยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มแบบที่ภูคิดถึงและโหยหาจะได้เห็นมาตลอดทั้งสัปดาห์ และมันคงจะทำให้เขามีความสุขมากหากไม่มีตัวปัญหาที่เป็นเหมือนดั่งระเบิดเวลารอการกดสวิทช์กำลังนอนกลิ้งอยู่บนเตียงในขณะนี้ ภูหันกลับไปมองดูจอสที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม่ยอมไปไหนด้วยสายตาครุ่นคิด แน่นอนว่าจะให้กรรณเข้ามาเห็นภาพนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นอะไรๆที่กำลังดูมีท่าทีว่าจะดีขึ้นย่อมดีดกลับไปสู่ก้นหลุมแห่งความเลวร้ายที่ลึกยิ่งกว่าเดิมแน่นอน เด็กหนุ่มพยายามคิดหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อนจะตัดสินใจว่าจะลงไปรับหน้ากรรณที่ประตูรั้วก่อนจะขอให้อีกฝ่ายพาตนไปคุยปรับความเข้าใจกันที่บ้านของเขา หากแต่ก็เหมือนจะช้าไปเพียงก้าวเดียวเมื่อหูของภูพลันได้ยินเสียงประตูรั้วเปิดออก เมื่อชะโงกหน้าออกไปดูอีกครั้งก็พบว่าแม่ได้ทำลายแผนการที่วางไว้โดยเปิดรับกรรณเข้ามาข้างในเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

        “นายรออยู่บนนี้นะ ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด” ภูหันไปสั่งจอส
        “เฮ้! เดี๋ยวสิ!” จอสพยายามจะบอกบางอย่าง แต่ภูกลับทำท่าเอานิ้วจุ๊ปากสั่งให้เงียบเสียงก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องไป

        ภูรีบวิ่งลงบันไดมายังชั้นล่างและเจอเข้ากับกรรณที่กำลังจะขึ้นมาพอดี หลังจากความห่างเหินที่ดำเนินมากว่าหนึ่งสัปดาห์ผนวกกับบางสิ่งที่ยังค้างคาในใจของทั้งคู่อยู่ทำให้การเผชิญหน้าเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนเหมือนย้อนกลับไปเมื่อครั้งแรกเริ่มอีกครั้ง แต่เด็กหนุ่มพยายามข่มความรู้สึกส่วนตัวเหล่านั้นลงไปด้วยจำเป็นต้องควบคุมสถานการณ์ในตอนนี้ให้เป็นไปตามที่ตนวางแผนเอาไว้เพื่อป้องกันเหตุอันไม่พึงประสงค์

        “ไง” กรรณร้องทักทาย หากแต่ก็ยังหลบสายตาอยู่เล็กน้อย “เห็นแม่บอกว่านายตื่นแล้วอยู่ข้างบน พี่กำลังจะขึ้นไปหาเลย”
        “ผมก็กำลังจะลงมาหาพี่เหมือนกัน” ภูหันไปมองข้างบนเป็นระยะๆ ด้วยระแวงว่าจอสอาจจะดื้อไม่ยอมทำตามที่กำชับเอาไว้ ก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวาหาวี่แววของแม่ตนเอง “แล้วแม่ไปไหนแล้วครับ?”
        “เพิ่งออกไปตอนที่เปิดให้พี่เข้ามานี่แหละ เห็นบอกว่าจะออกไปตลาด” กรรณตอบ “แล้ววันนี้ไม่ได้ไปเรียนเหรอ?”
        “ไม่ได้ไปครับ” ภูตัดสินใจพาตัวเองออกจากจุดเสี่ยง “ไปนั่งคุยที่ห้องรับแขกดีกว่ามั้ย”
        “ข้างบนน่าจะคุยกันสะดวกกว่านะ” กรรณชี้ไปทางห้องนอนของภู
        “ข้างล่างก็สะดวกครับ” ภูไม่สามารถยอมทำตามคำขอนั้นได้ในขณะนี้

        ในตอนนั้นเองเสียงลากเก้าอี้ครืดคราดก็ดังลั่นออกมาจากในห้องนอน ภูรู้ทันทีว่าจอสคงเริ่มออกฤทธิ์แล้วเป็นแน่แท้ เด็กหนุ่มไม่เปิดโอกาสให้กรรณได้ทันเกิดความสงสัย เขารีบคว้าแขนอีกฝ่ายและกึ่งลากกึ่งจูงหลบมายังโซฟาในห้องรับแขก จนเมื่อพ้นสถานการณ์อันสุ้มเสี่ยงมาได้แล้ว จึงเพิ่งเกิดรู้สึกกระดากขึ้นมาที่ตนผู้ซึ่งควรจะสงวนท่าทีกลับเป็นฝ่ายเปิดฉากเข้าถึงเนื้อถึงตัวอีกฝ่ายเสียเอง ภูรีบปล่อยมือที่จับกุมแขนอีกฝ่ายเอาไว้และเชิญให้นั่งลงบนโซฟาก่อนที่ตนจะนั่งตามลงไปข้างๆ ความเงียบอันน่าอึดอัดก่อตัวขึ้นอีกครั้งเนื่องจากทั้งสองมัวแต่สงวนท่าทีรอให้ใครซักคนเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดก่อน
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 10 ☆ [18-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 21-03-2018 20:30:01
Episode 11 part2

        “ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลย” กรรณยอมเป็นฝ่ายทำลายความเงียบเอง
        “ผมต้องพูดมากกว่ามั้งคำนั้น” ภูตัดพ้อ “พี่ต่างหากที่เป็นฝ่ายหลบหน้า”
        “ขอโทษนะ” กรรณไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับเรื่องนั้น “พี่เองก็ลำบากใจเหมือนกัน”
        “ผมไม่เข้าใจเลย พี่อธิบายให้ผมฟังได้มั้ย?” เด็กหนุ่มขอร้อง เกือบจะเป็นวิงวอน “ตกลงว่าเรื่องคืนนั้น มันคืออะไร?”
        “เราไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีกได้มั้ย?” กรรณฟุบหน้าลงกับมือตัวเองเหมือนไม่อยากรับรู้ “พี่ว่ามันจะดีที่สุดถ้าเราไม่พูดถึงมันอีกแล้วกลับไปเป็นเหมือนที่เคยเป็นมาก่อนหน้านั้น”
        “ทำไมล่ะ?” ภูไม่เข้าใจว่าทำไมมาถึงขั้นนี้แล้วอีกฝ่ายถึงยังคงต้องตั้งกำแพงเอาไว้

        เด็กหนุ่มจ้องคู่สนทนาของตนเขม็ง หวังคาดคั้นเอาคำตอบที่ต้องการให้ได้หลังจากต้องอดทนรออย่างกระวนกระวายฝ่ายเดียวมาทั้งสัปดาห์  กรรณเงยหน้าขึ้นจากฝ่ามือมามองภูแวบหนึ่งก่อนจะฟุบกลับลงไปตามเดิม ในตอนนั้นเองเสียงบานประตูสับปิดดังปังที่ลั่นมาจากชั้นสองกลายเป็นเหมือนระฆังที่ช่วยชีวิตกรรณเอาไว้ได้ทัน เพราะมันทำให้ภูสะดุ้งสุดตัวและรีบวิ่งออกจากห้องรับแขกขึ้นไปยังชั้นสองเพื่อควบคุมสถานการณ์ก่อนที่จอสจะเพ่นพ่านลงมาข้างล่าง ซึ่งก็ทันอย่างฉิวเฉียดเพราะเมื่อขึ้นไปถึงก็พบกับเจ้าตัวปัญหาที่กำลังตั้งท่าจะเดินลงบันไดมาพอดี

        “ออกมาทำไม? กลับเข้าไปเดี๋ยวนี้!” ภูพูดเสียงกระซิบพลางผลักอีกฝ่ายให้กลับเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู
        “ปวดฉี่!!!” จอสตอบเสียงดังจนภูต้องเอามือไปปิดปากไว้
        “อดทนอีกแป้ปนึง โอเคมั้ย?” ภูต่อรอง “ลูกผู้ชาย แค่นี้ต้องทนได้”
        “ว้อยยย อะไรแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาขอกันได้นะ” จอสคำรามพลางแกะมือที่ปิดปากตนอยู่ออก ระบบขับถ่ายเริ่มเรียกร้องหนักขึ้นจนเขาอยู่นิ่งไม่ได้ “นายนั่นแหละ มัวทำอะไรอยู่ ขังเราไว้ในห้อง แล้วก็มัวไปคุยอะไรกับใครข้างล่างอยู่นั่นแหละ”
        “ไม่ใช่เรื่องของนาย” ภูตอบปัดไป
        “หึ… แบบนี้ชัดเลย” จอสยิ้มแบบคนที่รู้เท่าทันอีกฝ่าย “แฟนมาล่ะสิ?”
        “ก็บอกไม่ใช่เรื่องของนายไง” ภูไม่ต่อความยาวสาวความยืด “ฟังนะ นายอาจจะไม่เข้าใจ แต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะเราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรแบบนั้นจากนาย แค่รู้เอาไว้แค่เรื่องนี้มันสำคัญกับเรามากก็พอ เดี๋ยวเราจะรีบจัดการให้เรียบร้อย นายก็ช่วยอดทนรออีกแป้ปนึงเถอะ”
        “แฟนจริงๆด้วยสินะ…” จอสพูดออกมาเสียงแผ่ว ใบหน้ายังคงยิ้ม หากแต่ถ้าภูมีแก่ใจจะสังเกตเพียงนิดก็จะรู้ได้โดยไม่ยากว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายไม่ได้สดใสเท่าเมื่อครู่แล้ว “เอาเถอะ รีบๆแล้วกัน ไม่งั้นจะฉี่ใส่เตียงนี่แหละ”

        ภูพยักหน้าตกลงก่อนจะรีบกลับลงไปยังชั้นล่าง กรรณยังคงอยู่ในห้องรับแขกเหมือนเดิมและมองมาทางบันไดอย่างเป็นกังวล จนเมื่อเห็นเด็กหนุ่มกลับลงมาจึงค่อยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

        “มีอะไรรึเปล่า? เสียงเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?” กรรณถาม
        “ไม่มีอะไรครับ ผมเปิดประตูห้องเอาไว้ ลมมันแรงเลยพัดประตูปิดเสียงดัง” ภูปดไป
        “แต่พี่ได้ยินเหมือนใครอยู่บนนั้นเลย…” กรรณยังคงสงสัย
        “เมื่อกี้พี่พูดถึงไหนนะครับ?” ภูรีบดึงความสนใจของอีกฝ่ายออกจากชั้นสอง
        “อ่า… ก็… ที่พี่จะบอกก็คือ…” กรรณดูจะยังคาใจแต่ก็ยอมพูดต่อจากที่ค้างไว้เมื่อครู่ “พี่เข้าใจ ถ้านายไม่อยากกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน พี่เองก็เป็นฝ่ายผิดเองที่หลบหน้านายหลังจากทำอะไรแบบนั้นลงไป”
        “ถ้าไม่อยาก ผมจะโทรหาพี่ทำไมทั้งที่พี่ไม่ยอมรับ ทั้งที่พี่บอกจะโทรกลับแต่ก็ไม่โทร” ภูระบายสิ่งที่อัดอั้นในใจออกมา“ผมจะนั่งรอจนเห็นพี่กลับมาถึงบ้านทุกวันทำไม ทั้งที่รู้ว่าพี่ตั้งใจกลับมาดึกๆเพราะไม่อยากเจอหน้าผม”
        “พี่รู้” กรรณก้มหน้านิ่ง “แล้วพี่ก็รู้ว่านายไม่ได้ต้องการแค่นั้นด้วย แต่พี่ยังไม่พร้อม”
        “ก็แสดงว่ายังพอมีหวัง” ภูพยายามมองหาความเป็นไปได้ให้กับตัวเอง
        “ก็อาจจะ… แต่ถ้าสุดท้ายแล้ว เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้ ก็ขอให้รู้ไว้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของนายนะ” กรรณพูดคล้ายกับอยากให้เด็กหนุ่มเผื่อใจเอาไว้
        “งั้นผมก็คงไม่มีทางเลือกอะไรมากแล้วล่ะ นอกจากมีความสุขกับสิ่งที่พี่พอจะให้ผมได้ในตอนนี้” ภูทำใจยอมรับข้อเสนอที่เป็นดั่งทางแยกนั้น

        โล่งใจหรือใจหาย ภูไม่อาจแน่ใจได้ เป็นความรู้สึกที่ก้ำกึ่งกันราวกับถูกหลอมรวมจนผสมผสาน ในส่วนของความโล่งใจคือการได้รับรู้ว่ากรรณคิดเช่นไรกับตน และได้รู้ว่าความรู้สึกนั้นมันตรงกับที่ตนรู้สึกกับเขา หากแต่ความใจหายก็ตามมาจนชิดแผ่นหลังในไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น เมื่อได้ยินถ้อยคำยืนยันว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะถูกแช่แข็ง ไม่อาจเติบโตไปได้มากกว่าที่เป็น อย่างน้อยก็ในตอนนี้ อีกทั้งยังไม่มีคำอธิบายใดๆเพิ่มเติมถึงสาเหตุแห่งความไม่พร้อมที่อีกฝ่ายพูดมา แต่เด็กหนุ่มก็เลือกที่จะยืนอยู่ในสถานะแห่งความมองโลกในแง่ดี และพร่ำบอกให้ตนเองพอใจกับสิ่งที่พอจะมีได้ในขณะนี้ ส่วนที่เหลือให้เป็นเรื่องของอนาคต เพราะมันย่อมดีกว่าการต้องมานั่งทนทุกข์ทรมานอยู่ตามลำพังเหมือนเช่นตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างแน่นอน

        ถึงแม้ว่าวันนี้ภูจะว่างทั้งวัน แต่กรรณกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขายังมีคิวงานรออยู่ยาวเหยียดตั้งแต่ช่วงเช้ายันบ่าย เด็กหนุ่มเดินออกไปส่งอีกฝ่ายที่หน้าประตูรั้ว และเฝ้าดูจนกระทั่งลับสายตาจึงค่อยวิ่งกลับเข้าบ้านไปยังห้องนอนของตน ข้างในนั้นจอสนอนขดตัวงอเป็นกุ้งอยู่บนเตียง สีหน้าท่าทางบ่งบอกถึงความอดทนอย่างสุดกลั้นที่กำลังจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า เมื่อได้รับสัญญาณจากเจ้าบ้านว่าทางสะดวกแล้วเขาก็รีบกระโจนออกจากห้องนอนไปยังห้องน้ำตามทางที่ภูชี้บอกทันที ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกดน้ำของชักโครกที่ดังขึ้นทิ้งห่างจากนั้นไปไม่กี่อึดใจ

        “เกือบปล่อยเรี่ยราดแล้วมั้ยล่ะ” จอสเดินตัวปลิวกลับมาจากห้องน้ำลงมายังชั้นล่างอย่างสบายใจ
        “ขอโทษที ให้รอนานไปหน่อย” ภูหยิบอุปกรณ์ทำแผลออกมาจากตู้ใส่อุปกรณ์ปฐมพยาบาลประจำบ้าน “ทีนี้ก็ถอดเสื้อนายออกก่อน เดี๋ยวจะดูแผลตรงข้อศอกให้”
        “โอ๊ย ไม่ต้องหรอก แค่นี้อ่ะ สบายๆ” จอสทำอวดเก่ง “เราอ่ะฟื้นตัวเร็ว แป้ปเดียวก็หายแล้ว”
        “เหรอ?” ภูทดสอบด้วยการทิ่มก้านสำลีเข้าไปกลางแผล 
        “โอ๊ย!!! ทำบ้าไรเนี่ย!! ” จอสร้องลั่นบ้าน “พวกทารุณเด็ก!!” 
        “เก่งได้ไม่นานเลยนะ” ภูหัวเราะออกมา “ถอดเสื้อมา รีบทำรีบเสร็จ ปล่อยไว้เดี๋ยวแขนเน่า”
        “เออ ก็ได้ เบาๆนะ” จอสยอมแพ้

        เสื้อแจ๊กเก็ตถูกถอดออกวางพาดไว้บนโซฟา จอสตั้งท่าจะถอดเสื้อยืดตัวในออกอีกแต่ภูร้องห้ามเอาไว้ก่อน ด้วยจำได้จากตอนทำงานร่วมกันว่ารูปร่างของอีกฝ่ายส่งผลทางใจต่อผู้คนรอบข้างได้มากแค่ไหน และมันคงไม่ส่งผลดีต่อการอยู่ตามลำพังในรูปแบบนี้เป็นแน่แท้ เด็กหนุ่มจัดท่าให้อีกฝ่ายนั่งหันหลังและหันข้อศอกที่มีแผลมาทางตน ก่อนจะใช้สำลีชุบน้ำเกลือล้างแผลทำการเช็ดเอาเศษฝุ่นหรือหินที่ติดอยู่ในแผลออกจนสะอาด จากนั้นจึงล้างด้วยน้ำเกลืออีกรอบ หากทว่าถึงแม้แผลจะดูเรียบร้อยขึ้นกว่าตอนแรกพอสมควรแล้ว แต่สภาพของมันก็ยังดูร้ายแรงจนเกินกว่าจะรักษาได้ด้วยการใส่ยาและปิดพลาสเตอร์เหมือนแผลมีดบาดทั่วไป

        “คงต้องถึงมือหมอแล้วล่ะแบบนี้” ภูบอกกับอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าเกินความสามารถตนจะรับมือ
        “ไม่!” จอสส่ายหน้าลูกเดียว “ไม่มีทาง ไม่ ไม่ และไม่!”
        “แผลขนาดนี้จะไม่ไปหาหมอได้ยังไง?” ภูเริ่มหงุดหงิดกับความดื้อของจอส
        “บอกแล้วไงเดี๋ยวก็หาย ไม่ต้องไปหรอกน่า” จอสไม่มองหน้าภูขณะพูด
        “อย่าบอกนะว่า…” ภูเริ่มระแคะระคายบางอย่าง
        “เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น” จอสร้อนตัว
        “ยังไม่ทันพูดอะไรเลย” ภูเริ่มมั่นใจ
        “ไม่ว่านายจะพูดอะไรก็ไม่ใช่ทั้งนั้นแหละ” จอสรีบหยิบเสื้อมาสวมกลับคืน
        “กลัวหมอสินะ” ภูจับจุดอ่อนของจอสได้อยู่หมัด
        “พูดบ้าอะไร! ใครจะไปกลัวอะไรแบบนั้นกัน นี่จอสนะ!” จอสหันมาทำเก่งข่มใส่
        “ถ้าไม่กลัวก็ต้องไปหาหมอได้สิ ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลย ใช่มั้ย?” ภูท้าทายแล้วตามด้วยคำสบประมาทเพื่อกระตุ้นอีกฝ่าย “แต่พนันกันได้เลยว่าใจเสาะแบบนายน่ะไม่กล้าไปหรอก”
        “เอางี้ใช่มั้ย? ได้!” จอสรับคำท้า “งานนี้ต้องมีคนแพ้แน่ จะเดิมพันด้วยอะไรดี?”
        “ก็ว่ามา” ภูตอบรับ ใจคิดวางแผนไว้ว่าเพียงแค่จะเออออห่อหมกไปก่อนเพื่อให้อีกฝ่ายยอมไปให้หมอทำแผลให้ หากเดิมพันของอีกฝ่ายเกิดพิสดารจนเกินจะรับ ค่อยหาทางชิ่งหนีเอาทีหลัง
        “ถ้าเรายอมให้หมอทำแผลให้จนเสร็จ นายต้องทำตามที่เราขอทุกอย่าง” จอสยื่นเดิมพัน “ตกลงมั้ย?”
        “ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่” ภูออกจะแปลกใจเสียด้วยซ้ำกับเดิมพันที่ดูจะธรรมดาจนผิดปกติวิสัยของอีกฝ่าย

        เมื่อทำข้อตกลงกันจนเป็นที่เรียบร้อย ภูก็นำทางพาอีกฝ่ายมาจนถึงสถานพยาบาลเอกชนที่อยู่ใกล้สุดในละแวกบ้าน ซึ่งถ้าเป็นการเดินทางด้วยเท้าตามปกติจะใช้เวลาเพียงสิบนาที หากแต่วันนี้กว่าภูจะพาตัวจอสที่อยู่ในสภาพปากกล้าขาสั่นมาถึงได้ก็กินเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง ด้วยที่ว่าอีกฝ่ายเอาแต่พยายามหาเรื่องหลบเลี่ยงอยู่ตลอดทาง จนเด็กหนุ่มต้องคอยเอาเรื่องการเดิมพันมาปลุกใจเป็นระยะๆ จอสยืนมองประตูสีขาวของคลินิกที่อยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาหวาดสะพรึง แต่เมื่อหันไปเจอใบหน้าของภูที่กำลังยิ้มเยาะอยู่อย่างขบขัน เขาก็ฮึดสู้กลั้นใจผลักเปิดและก้าวขาอันสั่นเทาเดินเข้าไปข้างในเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของตนเองที่ดูคล้ายจะเหลือน้อยลงในทุกขณะ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 11 ☆ [21-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 21-03-2018 21:31:13
 :pig4:  :pig4:  :pig4:

ตัวโตซะเปล่า  ป๊อดหว่ะ  อิอิ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 11 ☆ [21-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 22-03-2018 14:37:15
:pig4:  :pig4:  :pig4:

ตัวโตซะเปล่า  ป๊อดหว่ะ  อิอิ

บอกไปใครเค้าจะเชื่อ ว่าเสือจอสจะกลัวหมอ o22

ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดนะครับ  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 11 ☆ [21-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 22-03-2018 15:32:48
 :เฮ้อ:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 11 ☆ [21-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 22-03-2018 22:27:44
เป็นการคุยกันเรืีองความรู้สึกที่ตรงดีจริงๆ ^^
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 11 ☆ [21-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 22-03-2018 23:56:31
 :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 11 ☆ [21-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 23-03-2018 17:04:53
:เฮ้อ:


 :L2: :pig4: :L2:

ถอนหายใจนี่หนักใจหรือโล่งอกครับ​  :hao3:

ขอบคุณ​ที่ติดตามกันตลอดน่ะครับ​  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 11 ☆ [21-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 23-03-2018 17:06:20
เป็นการคุยกันเรืีองความรู้สึกที่ตรงดีจริงๆ ^^

หลบหน้ากันมานาน​ มีโอกาสแล้วก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่องนะ​  :hao3:

ขอบคุณ​มากครับที่ยังติดตามกันอยู๋​  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 11 ☆ [21-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 23-03-2018 17:07:05
:hao3: :hao3:

ขอบคุณ​มากนะครับที่ยังตามอ่านตลอดเลย   o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 11 ☆ [21-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 26-03-2018 18:52:46
Episode 12 part1

        ภูไม่เคยเห็นใครที่ใบหน้าบ่งบอกถึงความกลัวได้เท่านี้มาก่อนในชีวิต อย่างน้อยก็จนกระทั่งก่อนหน้าที่หมอจะลงความเห็นว่าแผลบนข้อศอกของจอสจำเป็นต้องเย็บเพื่อให้ปากแผลปิดเข้าหากันได้เร็วขึ้น สีหน้าของหนุ่มตัวแสบที่เคยเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเองชนิดสูงลิบติดเพดาน เวลานี้กลับโดนย้อมไปด้วยความหวาดกลัวจนซีดเผือดเหมือนหมูเห็นโรงเชือด แม้จะดูแล้วน่าสงสารแต่ภูก็อดขำกับท่าทางของอีกฝ่ายไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อเห็นขาอันสั่นเทายามที่เดินตามพยาบาลไปยังห้องเย็บแผล ไม่อยากเชื่อว่าคนที่ภาพลักษณ์ภายนอกดูห้าวหาญไม่เกรงกลัวใครจะมีจุดอ่อนที่คาดไม่ถึงเช่นนี้ซุกซ่อนอยู่ ระหว่างที่พยาบาลกำลังเตรียมอุปกรณ์ จอสยังคงมีความพยายามที่จะหนีอีกหลายรอบ หากทว่าไม่เป็นผลเพราะภูรู้ทันก่อนทุกครั้ง

        “นาย จอสยอมแล้ว” จอสแทบจะยกมือไหว้ภูเมื่อแผนการหนีโดยอ้างว่าจะไปเข้าห้องน้ำโดนจับได้ “ปล่อยจอสไปเถอะ จอสทำไม่ได้จริงๆ”
        “ไหนเมื่อกี้ยังปากเก่งบอกเองว่าเรื่องนี้ต้องมีคนแพ้แน่ไง” ภูเอาคำพูดของอีกฝ่ายมาย้อน
        “ก็มีไง เราแพ้เองก็ได้” จอสยอมยกธงขาว ละทิ้งแล้วซึ่งศักดิ์ศรีที่ค้ำคอ
        “ถึงนายจะพูดแบบนั้นก็เถอะนะ แต่แผลแบบนี้ไม่เย็บไม่ได้หรอก จะปล่อยให้มันรุ่งริ่งแบบนี้ได้ไง อยากเสียแขนเหรอ?” ภูขู่ให้กลัว
        “ไม่อยาก” จอสส่ายหน้า “แต่ก็ไม่อยากโดนเย็บเหมือนกระสอบด้วย”
        “อดทนน่า” ภูดันหลังให้อีกฝ่ายเดินกลับไปที่ห้อง “อันนี้เค้าฉีดยาชาให้ก่อนเย็บ รับรองว่าเจ็บนิดเดียว เจ็บน้อยกว่าตอนรถล้มเยอะ”
        “ขอเปลี่ยนจากยาชาเป็นยาสลบแทนไปเลยได้มั้ย?” จอสยังคงต่อรองไม่เลิก
        “ฝากด้วยนะครับคุณพยาบาล” ภูส่งตัวจอสให้กับพยาบาลที่ยืนถือเข็มยาชารออยู่ก่อนที่ตนจะไปนั่งรอด้านนอกห้อง

        ภูพยายามทำหูทวนลมขณะรอ ไม่สนใจเสียงโหยหวนของจอสที่ดังออกมาจากห้องทำแผล ในหัวคิดไปถึงบทสนทนาระหว่างตนเองกับกรรณเมื่อตอนก่อนจะออกมา ถึงแม้ว่าจะบอกใจตัวเองให้ยอมรับในขอบเขตที่อีกฝ่ายมอบให้ แต่อีกฟากฝั่งแห่งความต้องการก็ยังอุทธรณ์ไม่คลายว่าตนควรได้มากกว่านั้น ในเมื่อทั้งสองคนคิดตรงกัน ทำไมจึงจะต้องหยุดอยู่เพียงแค่คำว่าพี่น้อง จูบในคืนนั้น ภูแน่ใจได้ในทุกขณะจิตว่ามันไม่ใช่การสัมผัสในรูปแบบของคนที่อยากจะหยุดอยู่แค่การเป็นพี่ชาย ไม่ว่าจะเพื่อเหตุผลใดก็ตาม เห็นได้ชัดว่ากรรณเองก็กำลังอดกลั้นข่มความรู้สึกของตนอย่างเต็มกำลังจนดูเหมือนเป็นหน้าที่ ซึ่งนั่นทำให้เด็กหนุ่มมั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรตื้นลึกหนาบางมากกว่าที่ตนเห็น หากแต่ก็จนปัญญาจะค้นหาความจริงในเมื่ออีกฝ่ายยังคงเลือกจะเก็บงำทุกอย่างเอาไว้ที่ตนเองเพียงผู้เดียว

        อย่างที่กรรณได้พูดเอาไว้อีกเช่นกัน ว่ามันไม่ใช่ความผิดของภูหากเรื่องทั้งหมดจะจบลงที่ความเป็นไปไม่ได้ แน่นอนว่าหากสุดท้ายแล้วทุกอย่างลงเอยที่จุดนั้นจริง ภูเองก็ไม่อาจจะคิดได้ว่าเป็นความผิดของตน ก็เขาไม่ใช่หรือที่ยินยอมพร้อมใจกับทุกอย่าง และก็เขาอีกนั่นล่ะที่พยายามแล้วซึ่งทุกอย่างกับความสัมพันธ์ครั้งแรกนี้ เด็กหนุ่มไม่ได้คิดว่าตนเองดีเลิศเลอหรือวิเศษวิโสมาจากไหน หากแต่ว่าถ้าจะมีใครสักคนที่คู่ควรกับการได้รับความรักตอบกลับมา จากความพยายามทั้งหมดทั้งมวลเขาเองก็น่าจะจัดอยู่ในบุคคลจำพวกนั้น ความคิดนี้ทำให้ภูเกิดปริวิตกขึ้นมาในบางประเด็นที่ไม่เคยค้นหาคำตอบให้ตัวเองมาก่อน หากเวลานั้นมาถึงเขาจะเกลียดกรรณหรือไม่ หากเป็นในตอนนี้ ด้วยสภาพจิตใจของเขาในขณะนี้ ไม่มีทางเลย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะหายหน้าไปนานแค่ไหน จะพยายามหลบหน้าอีกกี่หน เด็กหนุ่มก็พร้อมจะอ้าแขนรับเขาเสมอ แม้จะรู้ว่าจะมีแต่ความเจ็บปวดรอทิ่มแทงอยู่เบื้องหน้า เพียงเพราะความหวังยังคงเบ่งบานอยู่ในหัวใจ แต่หากวันใดที่ความหวังนั้นสิ้นสุด แล้วบรรยากาศระหว่างทั้งสองคนจะเป็นเช่นไรต่อไป   

        แน่นอนว่าต้องมีความเสียใจ ภูมั่นใจในจุดนั้น แล้วหลังจากนั้นล่ะ? เด็กหนุ่มไม่คิดว่าตนจะสามารถเป็นน้องชายที่แสนดีของกรรณอย่างที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้ได้ หลังจากความรักที่มอบให้ถูกผลักไสออกไป เขาอาจจะไม่สามารถมองอีกฝ่ายในแง่ดีได้อีกด้วยซ้ำ ถ้าวันนั้นมาถึงภูคงไม่อาจทำตัวเป็นพ่อพระผู้เสียสละร่วมยินดีในวันที่กรรณพบกับใครซักคนที่สำคัญกับเขาอย่างแท้จริง เพราะเพียงแค่คิดจินตนาการก็พาลให้ปวดในอกจนเกินจะรับแล้ว

        ความคิดฟุ้งซ่านของภูถูกขัดจังหวะด้วยเสียงของประตูห้องทำแผลที่เปิดออก พยาบาลสองคนหิ้วปีกจอสที่กำลังหมดสภาพเหมือนลูกโป่งแฟ่บๆออกมาจากข้างในและวางลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ แผลที่ข้อศอกถูกเย็บและปิดทับด้วยผ้าพันแผลเรียบร้อยแล้ว พยาบาลกำชับให้รักษาความสะอาดของแผลก่อนจะส่งต่อให้ไปรับยาและชำระเงินที่ด้านหน้า ภูสะกิดจอสที่สภาพตอนนี้เหมือนวิญญาณยังไม่กลับเข้าร่างให้ลุกขึ้น แต่อีกฝ่ายกลับฉวยโอกาสนั้นฉวยข้อมือของเขาเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

        “เฮ้ย!” ภูสะบัดเต็มแรงด้วยความตกใจ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถพาตัวเองให้เป็นอิสระออกมาได้
        “จอสชนะแล้ว” จอสแสยะยิ้มชั่วร้าย “เราผ่านนรกมาได้ และตอนนี้ถึงเวลาที่นายต้องทำตามสัญญา”
        “ชนะอะไร ยอมแพ้ไปเองตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ ที่เหลือต่อจากนั้นก็ไม่นับสิ” ภูไม่ยอมให้อีกฝ่ายโมเมเอาชนะ
        “อันนั้นมันก็ใช่” จอสแบ่งรับแบ่งสู้ “งั้นไม่มองว่าเป็นเรื่องการแพ้หรือชนะ เอาแค่ว่าเราอุตส่าห์อดทนจนผ่านมาได้แล้ว นายจะไม่ให้รางวัลอะไรเราเลยเหรอ?”
        “เปลี่ยนเป็นถามว่าทำไมเราต้องให้รางวัลอะไรนายจะดีกว่ามั้ย?” ภูสลัดมือจอสจนหลุดได้ในที่สุด “อันที่จริงมันเป็นเรื่องของสามัญสำนึกอยู่แล้วรึเปล่า? ที่คนเจ็บก็ต้องมาหาหมอ นายสิควรจะขอบคุณเราด้วยซ้ำนะที่พามา”
        “ขอบคุณค้าบ” จอสยกมือไหว้ทำท่ายียวน “เอาเป็นว่า เราไม่ขออะไรมากก็แล้วกัน วันนี้เดี๋ยวนายไปส่งเราที่บ้านหน่อย ถือว่าตอบแทนที่เราพานายมาส่งบ้านเมื่ออาทิตย์ก่อน”
        “เออ เอาเถอะ ยังไงก็แล้วแต่ก็แล้วกัน” ภูยอมรับปากตัดรำคาญ เพราะถึงอย่างไรวันนี้ตนก็ว่างทั้งวันอยู่แล้ว

        หลังจากเสร็จธุระเรื่องค่ารักษาพยาบาลและรับยาเรียบร้อยแล้ว ภูก็พาจอสกลับมาที่บ้านของตนเพื่อหาเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ยืมเปลี่ยนใส่ชั่วคราว เนื่องจากเสื้อผ้าชุดที่จอสใส่มานั้นทั้งสกปรกและเต็มไปด้วยรอยฉีกขาดจากอุบัติเหตุเมื่อคืน โชคดีที่รูปร่างของทั้งสองไม่ได้แตกต่างกันมากนักในเรื่องของความสูง จึงไม่ใช่เรื่องลำบากในการจะหาชุดที่พอดีตัวให้ หลังจากรื้ออยู่พักหนึ่งเด็กหนุ่มก็หยิบเสื้อยืดสีฟ้าอ่อนกับกางเกงยีนออกมาจากในตู้ จอสรับมันมาก่อนจะเบ้หน้าเหมือนเด็กที่เจอผักในชามข้าว

        “อะไรอีกล่ะ?” ภูถามหลังจากเห็นสีหน้าที่อีกฝ่ายใช้ขณะมองเสื้อผ้าที่ตนมอบให้
        “ไม่เอาสีฟ้าอ่อนอ่ะ มันไม่ใช่ตัวจอส” จอสส่งเสื้อยืดคืนให้
        “ใส่ๆไปเหอะ ถ้ามันเป็นตัวตนของนายจริงๆ ต่อให้ใส่อะไรสีแบบไหน ก็เปลี่ยนมันไม่ได้หรอก” ภูยัดใส่มือคืนให้
        “มันก็ใช่ แต่ความเป็นคนมีคาแรกเตอร์เนี่ยมันก็เป็นเรื่องที่ต้องรักษาไว้” จอสทำท่ามีหลักการ แต่เมื่อเห็นภูมองตาขวางกลับมาก็ยอมถอยกลับแต่โดยดี “โอเค ใส่ก็ใส่”

        จอสถอดแจ๊กเก็ตออกแล้วตามด้วยเสื้อตัวใน ภูรีบเบี่ยงสายตาจากร่างเปลิอยท่อนบนนั้นแล้วเฉมองไปทางอื่น แม้ใจจะไม่ได้คิดไปในทางอกุศล หากแต่การจ้องมองลอนกล้ามเนื้อหน้าท้องแผงงามนั้นก็เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ด้วยเหตุที่ว่ามันมักก่อให้เกิดความรู้สึกอึดอัดจนวางตัวลำบากได้ทุกที จอสยังคงรีรอไม่ยอมสวมเสื้อตัวใหม่ เขาเอาแต่จับมันทาบกับตัวแล้วนิ่วหน้าเหมือนกำลังพยายามทำใจ ถึงตอนนี้แม้จะมองแค่เพียงด้วยปลายสายตาภูเองก็ยังสังเกตเห็นถึงรอยฟกช้ำที่กระจายอยู่ทั่วตามสีข้างและแผ่นหลัง จึงได้รู้ว่าแผลที่ข้อศอกไม่ได้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่อุบัติเหตุเมื่อคืนทิ้งไว้บนร่างของจอส จ้ำสีเขียวค่อนไปทางม่วงเหล่านั้นชวนให้ภูระลึกถึงตราประทับที่กรรณมอบให้กลางแผ่นหลังในวันที่ทั้งสองเจอกันครั้งแรก ถ้าแค่จุดนั้นจุดเดียวยังทำให้เขาเจ็บปวดจนนอนหงายไม่ได้ไปหลายวัน ด้วยจำนวนที่มากมายเช่นนั้นคงไม่ต้องบรรยายถึงความเจ็บปวดที่อีกฝ่ายกำลังแบกเอาไว้ใต้ใบหน้าระรื่นนั้นเลย

        “หือ?” จอสสังเกตเห็นถึงสายตาของภูที่ลอบมองมาทางตนได้ในที่สุด รอยยิ้มชั่วร้ายกลับมาฉาบบนใบหน้าอีกครั้งพร้อมกับร้องถามด้วยโทนเสียงกระลิ้มกระเหลี่ยราวกับกำลังแทะโลม “มองใหญ่เลยนะ… ชอบล่ะสิ…”
        “มองว่าเมื่อไหร่จะใส่เสื้อซักที” ภูหน้าแดง รีบแก้ตัวก่อนจะชี้ไปที่รอยช้ำบนชายโครง “แล้วนั่นน่ะ ไม่เจ็บหรือไง?”
        “นี่อ่ะเหรอ?” จอสก้มมองตามมือของภู “นิดหน่อยอ่ะ แต่คลำดูแล้วไม่มีอะไรหักก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง เดี๋ยวก็หาย”
        “แล้วเมื่อกี้ก็ไม่ให้หมอเค้าดู” ภูหนักใจกับความดื้อของจอส “งั้นมานี่ก่อนมา…”

        ภูหยิบหลอดยาแก้ฟกช้ำของกรรณที่เหลืออยู่จากครั้งก่อนและนั่งลงบนเตียงก่อนจะกวักมือเรียกให้จอสตามมานั่งข้างๆ เด็กหนุ่มตัวแสบมองอย่างไม่ไว้วางใจแต่ก็ยอมมาแต่โดยดี เมื่อแรกที่นั่งลงบนขอบเตียงนั้นจอสหันมาประจันหน้ากับภูตรงๆ ทำให้ทุกสิ่งอันที่เด็กหนุ่มพยายามหลบเลี่ยงไม่มองเมื่อครู่กลับมาปรากฏให้เห็นชัดถนัดสองตาห่างออกไปเพียงแค่ไม่กี่นิ้ว ชัดเจนว่าแม้จะมีรอยฟกช้ำเป็นตำหนิที่เพิ่มขึ้น หากแต่พลังการทำลายล้างของมันยังสูงลิบไม่ลดลงแม้แต่น้อย และยามนี้มันยังทวีกำลังขึ้นเป็นสองเท่าด้วยใบหน้าหล่อร้ายของอีกฝ่ายที่จ่อประชิดจนแทบจะรู้สึกถึงลมหายใจที่พ่นออกมาจากปลายจมูก ริมฝีปากสวยคู่นั้นแสยะยิ้มน้อยๆราวกับกำลังยั่วยุไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตามที ก่อนที่เสน่ห์อันเย้ายวนของจอสจะควบคุมทุกอย่างได้อยู่หมัด ภูรีบกระชากสติของตัวเองกลับคืนมาและผลักให้อีกฝ่ายหันหน้าไปอีกทาง

        “หันมาแบบนี้จะทายายังไง” ภูพยายามทำเสียงให้ดูเหมือนหงุดหงิดรำคาญเพื่อกลบเกลื่อน ใจนึกสงสัยว่าก่อนจะหันไปอีกฝ่ายจะทันได้เห็นใบหน้าที่กำลังเรื่อแดงของตนหรือไม่
        “ยาอะไรอ่ะ? แสบป่ะเนี่ย?” จอสเอี้ยวคอหันกลับมาดูแต่ก็โดนภูผลักหัวให้หันกลับไป
        “ถ้าอยู่เฉยๆก็ไม่แสบ ถ้าพูดมากกว่านี้น่ะแสบแน่” ภูขู่ ก่อนจะบีบยาลงปลายนิ้วและทาลงบนรอยช้ำจุดที่ดูแล้วสาหัสที่สุดก่อนเป็นจุดแรก จอสสะดุ้งเฮือกก่อนจะค่อยๆผ่อนคลายลงเมื่อภูเริ่มใช้นิ้วและฝ่ามือนวดให้ยาซึมลงผิว
        “อือ ดี ดีมากๆ…” จอสครางอย่างพึงพอใจราวกับตาแก่ “มือนายนี่เบาดีจัง เบากว่าพวกป้าพยาบาลเมื่อกี้อีก”
        “จะให้มือหนักก็ได้นะ” ภูว่าแล้วก็แกล้งออกแรงกดหนักๆเข้าไปหนึ่งที
        “อ๊อย!! พอแล้ว อย่า!!” จอสร้องไม่เป็นภาษา หยดน้ำใสๆเอ่อออกมารอบดวงตา สีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวดแบบไร้ซึ่งความเสแสร้งแกล้งทำ
        “ฝืนตัวเองไม่เหนื่อยหรือไง?” ภูถาม ขณะที่มือเบาแรงลงแต่ก็ยังไม่หยุดนวด “สะบักสะบอมขนาดนี้ ใครเห็นเค้าก็รู้ว่าต้องเจ็บมาก แสดงออกมาบ้างก็ได้”
        “ถ้าความรู้สึกที่แท้จริงของเรามันทำให้คนที่รับรู้ต้องรู้สึกแย่ การเก็บเอาไว้กับตัวมันก็คงเป็นผลดีมากกว่า” จอสตอบ รอยยิ้มที่มุมปากของเขายังคงมองเห็นได้จากมุมที่ภูนั่งอยู่ หากแต่น้ำเสียงกลับไม่มีแววแห่งความขี้เล่นแฝงอยู่เหมือนทุกครั้ง
        “ทำเป็นพูดดี” บรรยากาศที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันทำให้ภูรู้สึกแปลกๆ
        “นี่ถามอะไรหน่อยได้มั้ย?” จอสถามขึ้นมา “คนเมื่อกี้ที่มา แฟนนายเหรอ?”
        “ก็…” ภูตกใจนิดหน่อยด้วยไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะถามขึ้นมาตรงๆ “คงเรียกแบบนั้นได้ไม่เต็มปากหรอก”
        “ทำไมล่ะ?” จอสหันกลับมาหาภู “เค้าไม่ได้ชอบนายหรือไง?”
        “ก็ไม่เชิง เค้าบอกว่ายังไม่พร้อมจะเป็นมากกว่าพี่น้องในตอนนี้” ภูตอบไปตามตรง แม้ในความเป็นจริงแล้วทั้งสองจะแทบไม่รู้จักกัน แต่บางอย่างในความรู้สึกของเด็กหนุ่มบอกกับตัวเองว่าเขาสามารถพูดทุกเรื่องได้กับคนผู้นี้
        “นายก็เลยจะรอจนกว่าเค้าจะพร้อมงั้นสิ?” จอสขมวดปมสุดท้ายให้
        “อือ…” ภูพยักหน้า “ก็คงจะอย่างนั้นแหละ”
        “น่าอิจฉาเค้าจังเลยนะ ที่มีคนอย่างนายพร้อมจะรอเค้า” จอสพูด น้ำเสียงติดสำเนียงแดกดันเล็กน้อย ซึ่งก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้สึกได้ถึงมันเช่นกัน จึงรีบปรับน้ำเสียงให้กลับเป็นปกติในคำถามถัดมา “นายชอบคนแก่กว่าเหรอ?”
        “ก็ไม่ได้มีสเป๊กอะไรกำหนดเอาไว้หรอก” ภูรู้สึกอายขึ้นมานิดหน่อยเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ “จริงๆคือเราไม่เคยคบใครมาก่อนเลย”
        “อ่ะฮะ…” จอสชี้หน้าภูทำท่ากลั้นหัวเราะด้วยคิดว่าอีกฝ่ายแกล้งพูดเล่น หากแต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังที่จ้องกลับมาก็ต้องรีบกลืนมันลงคอไป “นี่นายพูดจริงนี่หว่า…”
        “ก็จริงอ่ะสิ” ภูพยักหน้าสำทับ
        “ทำไมล่ะ นายน่ารักจะตาย” จอสไม่อยากเชื่อ “ปกติเราไม่ค่อยชมใครหรอกนะ แต่ถ้าจะให้ชมก็คงต้องเป็นนายนี่แหละ”
        “จะไปรู้เหรอเรื่องนั้น มันไม่มีก็คือไม่มี” ภูไม่รู้จะอธิบายยังไง อีกทั้งจะให้คิดก็คิดอะไรไม่ออกในตอนนี้ ด้วยกำลังรู้สึกเขินจากคำชมของอีกฝ่ายที่พูดออกมาแบบตรงๆไม่มีอ้อมค้อม “พอแล้ว ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว”
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 11 ☆ [21-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 26-03-2018 18:58:27
Episode 12 part2

        ภูรีบทายาให้จอสจนครบทุกจุดที่มีรอยช้ำแล้วจึงบอกให้อีกฝ่ายลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อจากที่ค้างไว้เมื่อครู่ จนเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มก็เอาเสื้อผ้าชุดที่จอสใส่มาแต่แรกใส่ถุงให้เจ้าตัวถือกลับไปด้วย ทั้งสองเดินลงมายังชั้นล่างของบ้าน แม่ของภูกลับมาแล้วและกำลังเตรียมตัวทำงานบ้านตามกิจวัตรประจำวัน ภูบอกกับแม่ว่าจะออกไปข้างนอกก่อนจะพาจอสออกจากบ้านมาโดยพยายามไม่สนใจสายตาสงสัยใคร่รู้ของแม่ที่มองไล่หลังชนิดไม่ยอมวางตา โชคดีที่จอสเปลี่ยนชุดจนอยู่ในสภาพที่ดูปกติแล้ว หากลงมาทั้งสภาพเหมือนโดนหมาทั้งฝูงรุมฟัดอย่างที่เป็นแต่แรกเริ่มเมื่อครั้งมาถึง ไม่แคล้วแม่คงตกใจจนสติแตกเป็นแน่

        หลังจากติดอยู่บนแท็กซี่นานเกือบหนึ่งชั่วโมง ภูก็เริ่มรู้สึกว่าการยอมมาส่งจอสตามคำขอนี้เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างรุนแรง ลำพังด้วยจุดหมายปลายทางของมันเองก็นับว่าไกลจากบ้านของภูมากจนแทบจะเรียกได้ว่าคนละมุมเมืองกันอยู่แล้ว เมื่อมาผนวกเข้ากับการจราจรที่เกือบจะเป็นอัมพาต ก็ทำให้การเดินทางครั้งนี้ยาวนานเหมือนดั่งเดินเท้าข้ามไปชมพูทวีป แต่นั่นดูจะไม่เป็นปัญหาสำหรับจอสเลยแม้แต่น้อย แม้ก่อนขึ้นรถเจ้าตัวจะบ่นกระปอดกระแปดมาตลอดทางที่เดินเท้าออกมาจากซอยบ้านของภู แต่เมื่อขึ้นรถมาเจอกับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ เขาก็ม่อยหลับไปในเวลาไม่กี่นาที ทิ้งภูให้เผชิญกับนรกบนท้องถนนนี้กับคนขับเพียงลำพัง หลังจากเกือบสองชั่วโมงแห่งความทรมานรถก็ตรงเข้ามาในซอยเล็กๆอันเป็นถนนส่วนบุคคลซึ่งสองข้างทางรายล้อมเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชะอุ่ม จนกระทั่งมาจอดหยุดยังสุดทางบริเวณหน้าอาคารคอนโดมิเนียมอันเป็นจุดหมาย ภูรีบสะกิดปลุกจอสให้ตื่นขึ้นมาเพื่อยืนยันว่าคนขับมาทั้งสองมาถูกที่หรือไม่ แม้จะยังงัวเงียตื่นไม่เต็มตาแต่เด็กหนุ่มก็ยังจำนิวาสสถานอันเป็นที่ซุกหัวนอนของตัวเองได้ เขาพยักหน้าเป็นการตอบรับก่อนจะควักกระเป๋าสตางค์ออกมาจ่ายค่าโดยสาร แต่ก็พบว่าจำนวนเงินสดที่เหลือติดตัวนั้นมีไม่มากพอ ด้วยเหตุที่ว่าเมื่อช่วงเช้าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลตนเองไปจนเกือบหมดแล้ว จอสหันมาส่งยิ้มเจื่อนให้กับภูที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นอันเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดอะไรมากกว่านั้น ภูถอนหายใจพร้อมกับจ่ายเงินค่าโดยสารส่วนที่เหลือจนครบ แล้วทั้งสองจึงค่อยลงจากรถ

        อากาศภายนอกค่อนข้างสดชื่นกว่าที่ภูคิด แม้โดยพิกัดทางแผนที่สถานที่แห่งนี้จะถือว่ายังอยู่ใจกลางเมือง หากแต่ด้วยพื้นที่กว้างขวางอันอุดมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ทำให้อากาศโดยรอบบริสุทธิ์ราวกับอยู่ต่างจังหวัด อีกทั้งยังมีความเงียบสงบอันเป็นผลจากถนนส่วนบุคคลที่ตัดเข้ามาลึกเกือบหนึ่งกิโลเมตรจากถนนใหญ่ทำให้เสียงผู้คนและรถราที่จอแจไม่อาจเข้ามาถึงจุดที่ทั้งสองยืนอยู่ในขณะนี้ได้ เด็กหนุ่มยืดตัวคลายกล้ามเนื้อที่ยึดตรึงจากการนั่งคุดคู้ในรถมาเป็นระยะเวลานาน ก่อนจะสูดอากาศเข้าไปเต็มปอด

        “เป็นไง ชอบมั้ย? บ้านจอสเอง” จอสถามพลางขยี้ตาพยายามปลุกตัวเองให้ตื่นเต็มที่
        “หมดนี่เลยเหรอ?” ภูถามพลางมองไปรอบๆตัว
        “บ้าเหรอ ไม่รวยขนาดนั้น” จอสชี้ไปยังข้างบนตึก “ต้องขึ้นไปอีกหน่อยนะ”

        จอสออกเดินนำพาภูเข้ามาในตัวอาคาร เดินผ่านล๊อบบี้ที่บรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูเหมือนจะคุ้นเคยกับจอสเป็นอย่างดี เขาทักทายทุกคนอย่างเป็นกันเองก่อนจะมาหยุดที่หน้าลิฟท์และรอจนกระทั่งประตูเปิดออก เมื่อทั้งสองเข้าไปข้างในแล้ว พนักงานประจำลิฟท์ก็กดหมายเลขชั้นสี่สิบให้โดยไม่ต้องรอจอสบอก ลิฟท์พุ่งทะยานขึ้นไปด้วยความเร็วสูงจนภูเริ่มรู้สึกหูอื้อจนกระทั่งเมื่อมาถึงชั้นอันจุดหมายประตูก็เปิดออก ภูเดินตามจอสผู้เป็นเจ้าบ้านออกไปและพบว่าทั้งชั้นนี้มีห้องสำหรับพักอาศัยเพียงยูนิตเดียวซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของชั้น

        “เพนท์เฮาส์เลยเหรอ” ภูตาโตกับความหรูหราของสถานที่
        “ตามสบายเลยนะ” จอสเดินนำภูเข้ามาข้างใน

        ด้วยเพดานที่สูงและการตกแต่งที่เน้นความทันสมัยและเรียบง่ายทำให้พื้นที่ทั้งหมดดูกว้างขวางไม่แพ้บ้านหลังใหญ่ ภูเดินผ่านเข้าบริเวณที่เป็นห้องรับแขกไปยังประตูกระจกบานใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง เมื่อเลื่อนเปิดมันออกสายลมแรงก็พุ่งเข้าปะทะใบหน้า เด็กหนุ่มเดินออกไปยังระเบียงข้างนอกและยืนมองทิวทัศน์ของเมืองหลวงที่กว้างสุดลูกหูลูกตา

        “ข้างบนนี่แดดแรงนะ นายไม่ร้อนเหรอ?” นั่งข้างในดีกว่ามั้ย?” จอสร้องถามจากข้างใน
        “อีกเดี๋ยวไป” ภูขอต่อเวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศตรงนี้อีกสักพัก

        หลังจากผ่านไปสิบนาทีคำเตือนของเจ้าบ้านก็กลายเป็นจริงเมื่อแสงแดดที่ร้อนแรงเริ่มทำให้ภูรู้สึกหน้ามืด เด็กหนุ่มหลบเข้ามาข้างในและหย่อนกายนั่งพักลงที่โซฟานุ่มตัวใหญ่ในห้องรับแขก จอสเดินออกมาจากหลังเคาท์เตอร์พร้อมกับเครื่องดื่มในมือสองขวด เขาส่งมันให้ภูขวดหนึ่งก่อนจะนั่งลงข้างๆและกระดกดื่มจากอีกขวดที่เหลือ ภูลองยกขึ้นดื่มบ้าง รสเผ็ดซ่าติดลิ้นทันทีที่ของเหลวในขวดไหลเข้าปาก เป็นรสชาติที่ไม่คุ้นเคยหากแต่ก็ไม่ได้เลวร้าย ระหว่างที่ดื่มนั้นสายตาก็มองสำรวจไปรอบๆ หากแต่ก็ไม่พบวี่แววว่าจะมีใครคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วยแม้แต่คนเดียว

        “จิงเจอร์เอล” จอสบอกชื่อของมัน “เคยกินมั้ย?”
        “ไม่เคยหรอก แปลกดี” ภูยกขึ้นดื่มอีกสองอึกก่อนจะวางขวดไว้บนโต๊ะกระจกเบื้องหน้า “พ่อแม่นายไม่อยู่เหรอ?”
        “ไม่อ่ะ” จอสตอบ
        “ไปทำงานกันทั้งคู่เลยเหรอ?” ภูถามต่อ
        “ไม่รู้อ่ะ ไม่ได้สนใจ” จอสตอบปัดๆ “พ่อเลิกกับแม่ แล้วทั้งสองคนก็ทิ้งเราไว้นี่ แม่แต่งงานใหม่ไปแล้ว ส่วนพ่อก็นานๆจะกลับมาที”
        “เอ่อ ขอโทษทีที่ถามละลาบละล้วง” ภูรู้สึกผิดที่เหมือนตนไปจี้ปมในใจของอีกฝ่าย
        “ไม่เป็นไร จอสเฉยๆ” จอสโบกมือทำเหมือนมันไม่สำคัญอะไร “จริงๆอยู่คนเดียวก็ดี สบายใจ ค่าใช้จ่ายค่ากินค่าอยู่พ่อก็ยังดูแลไม่ได้ละเลยอะไร ก็ต้องขอบคุณเค้าเรื่องนั้น”
        “ช่าย สะดวกนายเลยสิ จะพาใครมาก็ได้” ภูแกล้งตอบแบบที่คิดว่าอีกฝ่ายคงชอบเพื่อหันเหความรู้สึกออกจากเรื่องครอบครัว
        “ก็สะดวก” จอสมองมาทางภูเหมือนกำลังหยั่งเชิง “แต่ไม่กี่คนหรอกนะที่ได้ขึ้นมาที่นี่ เฉพาะคนที่พิเศษจริงๆ”

        ภูนิ่งอึ้งไปกับประโยคนั้นด้วยตระหนักว่าตนเองก็กำลังนั่งอยู่บนสถานที่ๆอีกฝ่ายพูดถึง รู้สึกได้ถึงใบหน้าที่ร้อนผ่าวขึ้นมาทุกขณะจนต้องก้มหลบด้วยกลัวอีกฝ่ายจะสังเกตุเห็น หากแต่ก็พยายามบอกกับตัวเองไม่ให้คิดอะไรฟุ้งซ่านเพราะคำว่าคนพิเศษของจอสอาจจะมีความหมายที่ไม่เหมือนกับนิยามของคนปกติทั่วไปเมื่อพิจารณาจากอุปนิสัยของเจ้าตัวแล้ว เมื่อเงยหน้ากลับขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าจอสยังคงจ้องมาทางตนอยู่ สายตาของอีกฝ่ายในยามนี้ดูราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่ขณะที่ภูกำลังจะอ้าปากถามนั้นเขาก็ส่งเสียงชู่วพร้อมยกนิ้วขึ้นจุ๊ปากห้ามเอาไว้ ก่อนจะรีบร้อนลุกออกไปจากห้องรับแขกและกลับเข้ามาพร้อมกับหวีและยางมัดผมในมือ

        “นั่นมันคืออะไร?” ภูมองอุปกรณ์ในมือของจอสอย่างหวาดระแวงต่อเจตนา
        “หวีไง” จอสชูขึ้นให้อีกฝ่ายเห็นชัดๆ “แล้วนี่ก็ยางมัดผม”
        “แล้วนายคิดจะทำอะไรกับมันไม่ทราบ?” ภูเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี
        “ก็เมื่อกี้ออกไปตากลมนอกระเบียง ผมนายยุ่งหมดแล้ว เดี๋ยวเราจะช่วยจัดทรงให้ ถือว่าตอบแทนกับที่นายทายาให้เราตอนก่อนออกมาจากบ้าน” จอสกระเถิบเข้ามาใกล้ๆ
        “มะ.. ไม่เป็นไร” ภูรีบถอยหนี “เราทำเองได้ เอาหวีมาสิ”
        “ม่ายยย” จอสส่ายหน้า “my house my rule ตอนอยู่บ้านนาย เรายังทำตามที่นายขอทุกอย่างเลยนะ”
        “เออ จะทำอะไรก็ทำ” ภูขี้เกียจเถียงต่อ ตัดใจยอมให้จบเรื่องไป
        “หันหลังมาๆ” จอสรีบกระดี๊กระด๊าเข้ามา

        นับแต่วินาทีนั้นเส้นผมบนหัวของภูก็กลายเป็นของเล่นชิ้นใหม่ของจอส เด็กหนุ่มเนรมิตสารพัดทรงผมออกมาชนิดไม่เกรงใจเจ้าของศรีษะ จนกระทั่งมาจบลงที่การหวีจนเรียบและมัดหางม้าขึ้นสูงเหมือนพวกจอมยุทธในหนังจีน จอชเอาหนังยางมัดไว้ให้อยู่ทรงก่อนจะถอยออกมาดูผลงานของตนเองอย่างภาคภูมิใจ

        “เสร็จแล้ว!!” จอสประกาศ
        “ขอบคุณที่เสร็จซักที หนังหัวจะหลุดออกมาอยู่แล้ว” การถูกก่อกวนด้วยหวีและแรงมือเป็นระยะเวลานานทำให้ภูรู้สึกปวดหนึบไปทั่วศรีษะ
        “เราจะเรียกมันว่า ทรงหางกระรอก” จอสตั้งชื่อให้เสร็จสรรพ “เพราะนายน่ะผอมๆแห้งๆเหมือนกระรอก แล้วผมนี่ก็เหมือนหางฟูๆของมัน”
        “ขอบใจ จะถือว่านั่นเป็นคำชมนะ” ภูยืดตัวอีกรอบ ความเย็นของเครื่องปรับอากาศและโซฟาที่นุ่มจนแทบจะจมลงไปได้ทั้งตัวนี้ทำให้ต่อมขี้เกียจของเขาเริ่มทำงาน เด็กหนุ่มหลุดเผลอหาวออกมาอย่างคุมตัวเองไม่ได้
        “ง่วงเหรอ?” จอสถาม เมื่อภูพยักหน้าตอบจึงค่อยเสนอ “งั้นนอนเล่นไปก่อนก็ได้ ตื่นมาเดี๋ยวเราเลี้ยงข้าวชดเชยค่าแท๊กซี่ที่นายออกไปก่อน”
        “ไม่อ่ะ เรากลับเลยดีกว่า” ภูดูนาฬิกา เกือบสี่โมงเย็นแล้ว
        “กลับตอนนี้รถกำลังติดเลยนะ รอค่ำๆค่อยกลับดีกว่า” จอสพยายามโน้มน้าว

        ประโยคนั้นได้ผลกับภูอย่างชะงัดนัก ด้วยการเดินทางขามาเป็นดุจดั่งนรกบนพื้นผิวราดยางมะตอย หากจะต้องเผชิญกับอะไรแบบนั้นอีกรอบโดยทิ้งห่างกันเพียงไม่ถึงชั่วโมงก็คงหนักหนาสาหัสเกินไป เด็กหนุ่มยอมปล่อยตัวเองให้งีบหลับพักผ่อนเอาแรงบนโซฟาตัวนั้นก่อนจะมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงจอสเรียกปลุกให้มาทานมื้อค่ำ ภูลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ ชั่วแวบหนึ่งจำไม่ได้ว่าตนอยู่ที่ไหนก่อนที่สติจะค่อยๆกลับมาเข้าร่าง เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู เวลาขณะนี้เกือบสองทุ่มแล้ว มีสายไม่ได้รับสองสายจากกรรณและแม่ และอีกสายหนึ่งจากพี่ช้าง เขารู้ทันทีว่าเมื่อครู่ตนเองคงหลับลึกมากจนไม่ได้ยินเสียงของมัน ภูกดโทรกลับหาแม่ก่อนแล้วตั้งใจว่าจะโทรหากรรณเป็นสายถัดไป หากแต่ก็พบว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเมื่อเวลานี้ทั้งสองอยู่ด้วยกันที่บ้านของภูแล้วอย่างที่เคยเป็นเช่นทุกวันก่อนหน้าที่กรรณจะหลบหน้าเขาไปถึงหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ภูบอกให้ทางบ้านทานอาหารกันไปก่อนเลยส่วนตนจะทานจากข้างนอกแล้วค่อยกลับไป แม่บ่นนิดหน่อยที่ไม่โทรมาบอกก่อนหน้านี้แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร ก่อนจะวางสายกรรณเข้ามาคุยด้วยครู่หนึ่ง เพื่อบอกถึงการนัดหมายกับพี่ช้างในวันพรุ่งนี้ซึ่งน่าจะเป็นธุระของอีกหนึ่งสายที่ไม่ได้รับจากพี่ช้างอีกทั้งยังกำชับให้เด็กหนุ่มรีบกลับบ้านอย่าให้ดึกจนเกินไป

        หลังจากวางสาย ภูหันไปมองนอกระเบียง จอสนั่งอยู่ตรงนั้นกับโต๊ะอาหารขนาดเล็กสำหรับสองที่ เขาคงจัดมันตอนที่ภูยังหลับอยู่ เด็กหนุ่มเดินตามออกไปและนั่งลงยังฝั่งตรงข้าม และเมื่อมองดูบนโต๊ะก็หลุดหัวเราะออกมา

        “พิซซ่าเหรอ?” ภูขบขันกับความไม่เข้ากันอย่างรุนแรงระหว่างบรรยากาศและอาหารบนโต๊ะ
        “ง่าย เร็ว อร่อย” จอสสรุปข้อดีให้ “สั่งแป๊ปเดียวก็ได้กินแล้ว”
        “โอเค ก็ดี ไม่ได้กินนานแล้ว” ภูไม่ทำให้เจ้าภาพเสียน้ำใจ ถึงแม้พิซซ่าจะดูเป็นอาหารที่ขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับบรรยากาศรอบตัวในขณะนี้ ทว่าเมื่อพิจารณาจากบุคลิกของจอสแล้ว หากอาหารที่เตรียมไว้ไม่ใช่พิซซ่าสิ ถึงจะเรียกว่าแปลก
        “ว่าแต่น้องแดงลูกรักนายน่ะ อาการหนักมากมั้ย?” ภูถามถึงรถมอเตอร์ไซค์ของจอส
        “อย่าพูดถึง จะร้องไห้” จอสยกมือขึ้นปิดหน้าเหมือนอยากหนีไปให้พ้นจากความจริง “เอาเป็นว่าช่วงนี้เราคงต้องพึ่งลูกคนรองไปก่อน อย่างน้อยก็เดือนนึงน่ะ”
        “ลูกเยอะเนอะ” ภูหัวเราะหึ ก่อนจะกัดพิซซ่าเข้าปากไปอีกคำ
        “ถึงลูกจะเยอะ แต่ถ้าจะหาแม่ให้มันก็หาแค่คนเดียวนะ” จอสยิ้มกระลิ้มกระเหลี่ย
        “จ้า จ้า…” ภูลุกหนีมาที่ริมระเบียง คำพูดเมื่อครู่ของอีกฝ่ายทำให้เกิดเขินขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ

        เด็กหนุ่มทอดสายตาออกไปยังทิวทัศน์เดิมกับที่เคยมองเมื่อตอนบ่าย แสงอาทิตย์สุดท้ายได้ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้วบัดนี้ถึงเวลาที่แสงสังเคราะห์จากเทคโนโลยีของมนุษย์บนพื้นโลกจะออกมาส่องสว่างแทนที่ ภูสูดอากาศเจือไอเย็นยามค่ำคืนเข้าปอดอย่างสดชื่น ปฏิเสธไม่ได้ว่าทิวทัศน์ระดับนี้เป็นสิ่งที่ไม่ได้มีมาให้ได้เชยชมบ่อยๆ เขาจึงเลือกที่จะกอบโกยมันเอาไว้ให้มากที่สุดเพื่อเก็บไว้ใช้เป็นดั่งโอเอซิสของชีวิตที่วุ่นวายจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนหาความสงบ

        ดวงตาของภูจับจ้องไปยังแสงสว่างที่เรืองรองมาจากทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นแสงจากไฟหน้าจากรถราที่สัญจรอยู่บนท้องถนนไปในทิศทางเดียวกันด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอ แสงจากอาคารสำนักงานที่ยังเต็มไปด้วยผู้คนที่ต้องอยู่ทำงานล่วงเวลา แสงจากบ้านเรือนที่เป็นดั่งสัญญาณของชีวิตที่กำลังดำเนินอยู่ในนั้น ทั้งหมดนี้ทำให้ภูรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นดั่งจุดสีเล็กๆบนผืนผ้าใบ เป็นหนึ่งในหลายสิ่งเหลือเกินที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกในขณะนี้ เด็กหนุ่มพยายามคำนวณทิศทางเพื่อหาพิกัดที่ตั้งของบ้านตนเองและมองไปยังจุดนั้น ท่ามกลางแสงจากเคหะสถานมากมายที่รวมกับเป็นกลุ่ม หนึ่งในนั้นคือบ้านของเขา เพียงแค่หลับตาภูก็นึกภาพบรรยากาศในบ้านตอนนี้ออกว่ากรรณคงกำลังนั่งดูข่าวกับพ่อของตนอยู่ อาจจะกำลังเถียงกันอย่างออกรสด้วยความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันอย่างที่มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำ แล้วกรรณล่ะ ตอนนี้เขาจะกำลังนึกสงสัยบ้างหรือไม่ว่าเด็กหนุ่มข้างบ้านที่หายตัวไปไม่มาร่วมโต๊ะอาหารมื้อค่ำ เด็กหนุ่มคนที่เอาแต่คิดเรื่องของเขาอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เวลานี้เด็กหนุ่มคนนั้นกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหนกัน…
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 12 ☆ [26-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-03-2018 19:47:38
 :pig4: :pig4: :pig4:

สุดท้าย  ใครจะเป็นพระเอกหนอ?
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 12 ☆ [26-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 27-03-2018 07:01:21
หรือจอสจะชอบภู?
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 12 ☆ [26-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cookie8009 ที่ 27-03-2018 13:18:04
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ของ ม. ไหนอ่ะครับ แถวท่าพระจันทร์?

มธ. น่าจะเรียนรังสิต หรือศิลปกร น่าจะไปทับแก้ว ไม่ใช่เหรอ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 12 ☆ [26-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 27-03-2018 15:55:19
ขอเชียร์จอนได้มั้ย ดูชัดเจนดี
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 12 ☆ [26-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 27-03-2018 17:34:22
จอสชอบภูรึป่าว
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 12 ☆ [26-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-03-2018 17:44:27
 :L2: :pig4: :L2:

หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 12 ☆ [26-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 28-03-2018 10:36:55
:pig4: :pig4: :pig4:

สุดท้าย  ใครจะเป็นพระเอกหนอ?

เดาไม่ยาก จริงๆไม่ต้องเดาเลยด้วยครับ ก็พี่กรรณนั่นแหละ แต่จอสก็เป็นตัวเอกอีกตัวหนึ่งเหมือนกัน จะมีความสำคัญในเรื่องออกจะมากกว่าพระเอกด้วยซ้ำ จากพลอตที่วางไว้ตอนอวสาน จะเป็นที่เรียกได้ว่าเป็นของจอสแบบเต็มๆเลย

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ ตอนนี้มาได้ครึ่งทางแล้ว  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 12 ☆ [26-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 28-03-2018 10:38:05
หรือจอสจะชอบภู?

ไม่ชอบก็คงไม่มายุ่ง แต่ต้องรอดูว่าจะไปในทางไหนต่อครับ  :katai4:

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ มาได้ครึ่งทางแล้ว  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 12 ☆ [26-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 28-03-2018 10:40:02
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ของ ม. ไหนอ่ะครับ แถวท่าพระจันทร์?

มธ. น่าจะเรียนรังสิต หรือศิลปกร น่าจะไปทับแก้ว ไม่ใช่เหรอ

อันนี้น้อมรับเลยว่าผิดพลาดเองแต่แรกจริงๆ แต่มารู้ทีหลังก็เลยตามเลยเพราะถ้าแก้ก็ต้องไปตามแก้เรื่องอีกหลายจุดที่เชื่อมกัน ก็เลยอนุมาณเอาว่าเป็นที่ๆแต่งขึ้นแล้วกัน ไม่อิงความเป็นจริงร้อยเปอร์เซนต์เนอะ  :hao5:

ขอบคุณที่ติดตามและบอกจุดที่ผิดพลาดนะครับ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 12 ☆ [26-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 28-03-2018 10:42:06
ขอเชียร์จอนได้มั้ย ดูชัดเจนดี

เชียร์ได้ รักได้ครับ เป็นตัวละครที่คนเขียนก็สนุกที่จะเขียนเหมือนกัน ลำเอียงถึงขนาดว่าปูให้ตนจบจะเป็นตอนที่ tribute ให้ตัวละครนี้เลยด้วยซ้ำ ออกแนวลูกรัก 555  :katai3:

ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะครับ มาได้ครึ่งทางแล้ว อยู่ด้วยกันไปจนจบนะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 12 ☆ [26-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 28-03-2018 10:43:33
จอสชอบภูรึป่าว

อาการออกซะขนาดนี้ ชอบแน่นอน แต่จะไปได้แค่ไหนก็ต้องคอยดูครับ  :katai4:

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ ตอนนี้ครึ่งทางแล้วนะ อยู่กันไปจนจบนะครับ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 12 ☆ [26-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 28-03-2018 10:44:34
:L2: :pig4: :L2:

ขอบคุณที่ติดตามมาแต่แรกเลยนะครับ แป๊ปๆก็มาได้ครึ่งทางแล้ว ติดตามไปจนจบด้วยกันนะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 12 ☆ [26-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 30-03-2018 10:40:34
Episode 13 part1

        “จอห์น กรีน หรือ มูราคามิ?” ภูถามโดยกำหนดตัวเลือกให้ตอบ
        “จอห์น กรีนสิ” จอสตอบแบบไม่ต้องคิด “มูราคามิเราเข้าไม่ถึง พยายามแล้วนะ แต่ไม่ใช่แนว”

        เวลาขณะนี้เกือบห้าทุ่มแล้ว และใช่ว่าภูจะไม่ได้รู้สึกตัวว่ากำลังอยู่จนดึกเกินกว่าที่วางแผนเอาไว้ในตอนแรก แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะบรรยากาศพาไปหรือเพราะความสนใจในตัวของเพื่อนใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาจากเปลือกอันแข็งกระด้างที่เคลือบเอาไว้ภายนอกก็ตาม เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าคืนนี้ยังไม่ควรสิ้นสุดลง โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงเริ่มสั่นเตือนถึงสายที่โทรเข้ามา ไม่ใช่ครั้งแรกแต่เป็นครั้งที่สามแล้ว และการตอบรับทั้งหมดที่ภูมีให้คือหยิบมันออกมาเพียงเพื่อจะดูชื่อผู้โทรก่อนจะยัดมันกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงตามเดิม แม้ว่าผู้ที่โทรมาในทั้งสามครั้งจะเป็นกรรณก็ตาม

        จากบทสนทนาแบบแกนๆที่ทั้งสองมีให้กันในตอนแรกเริ่มพัฒนาจนกลายเป็นการพูดคุยอย่างถูกคอ ภูยกความดีความชอบส่วนหนึ่งให้กับเครื่องดื่มสีแปลกๆที่จอสนำมาเสิร์ฟให้ถึงระเบียง กลิ่นของแอลกอฮอล์จางๆที่ผสมปนเปอยู่ท่ามกลางรสหวานบาดลิ้น แน่นอนว่าภูไม่ใช่เด็กที่จะไร้เดียงสาขนาดที่จะไม่รู้ว่าเจ้าน้ำสีหวานในแก้วใบเล็กนี้สามารถทำให้ตนเองเมาได้ หากแต่การจิบดื่มเพียงเล็กน้อยพอให้เลือดได้สูบฉีดก็ทำให้การพูดคุยเป็นไปอย่างออกรสมากยิ่งขึ้น ภูได้รู้หลายสิ่งเกี่ยวกับตัวของเพื่อนใหม่ผู้นี้ เช่นที่ว่าแม้ภายนอกจะดูไม่ใกล้ไม่คล้าย หากแต่จริงๆแล้วจอสก็เป็นหนอนหนังสือตัวยงคนหนึ่ง เขามีชั้นหนังสือขนาดใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือวรรณกรรมทั้งคลาสสิคและร่วมสมัย บนโต๊ะอ่านหนังสือในห้องเดียวกันนั้นมีแว่นสายตาวางอยู่บนหนังสือเล่มที่ยังอ่านค้างอยู่ ตอนแรกภูคิดว่าแว่นนั้นเป็นของพ่อของจอส จนกระทั่งอีกฝ่ายหยิบมันขึ้นมาสวมให้ดู พร้อมกับเผยอีกหนึ่งความลับว่าภายใต้หน้ากากเด็กแว้นตัวแสบยังมีเด็กเนิร์ดซ่อนตัวอยู่อย่างลับๆ

        เมื่อการพูดคุยถึงเรื่องรสนิยมต่างๆทั้งการอ่าน หนัง เพลง เกมส์ เริ่มมาถึงทางตัน เกมหนึ่งคำถามก็ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นการปูทางไปสู่บทสนทนาต่อๆไป เริ่มแรกคำถามก็ยังคงเป็นเรื่องทั่วไปเช่นเรื่องสถานศึกษา เรื่องวันเกิด รสนิยมความชอบต่างๆ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปจนล่วงเข้าวันใหม่ ก็เห็นได้ชัดว่าทั้งสองเริ่มกล้าจะรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของอีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ

        “แฟนคนแรก คือใคร? แล้วก็เมื่อไหร่?” ภูถามหลังจากนั่งนึกอยู่นานว่าจะถามอะไรดี
        “ตอนม.สาม” จอสตอบ หน้าตาครุ่นคิดคล้ายกำลังพยายามขุดความทรงจำในอดีตออกมา “เป็นเพื่อนร่วมห้องเรียน”
        “อืม พวกกินเพื่อนนี่เอง” ภูพยักหน้า ก่อนที่ในวินาทีต่อมาจะนึกถึงบางอย่างที่เชื่อมโยงกันขึ้นมาได้ “เดี๋ยวนะ… แฟนคนแรกของนายเป็นเพื่อนร่วมห้อง แต่ตอนที่เราถามว่านายเรียนที่ไหน โรงเรียนที่นายตอบมามันเป็นโรงเรียนชายล้วนไม่ใช่เหรอ?”
        “อ่ะฮะ” จอสพยักหน้ารับว่าใช่ตามที่ภูพูด “แล้วยังไง?”
        “งั้นหมายความว่านายก็มีแฟนเป็น…” ภูเว้นคำท้ายสุดเอาไว้
        “ใช่ ผู้ชาย” จอสตอบหน้าตาเฉย

        ภูอ้าปากค้าง นึกสงสัยว่าทำไมตนถึงไม่เฉลียวใจมาก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย

        “นี่ ขอโทษทีเถอะนาย ทั้งที่ตัวเองก็คบอยู่กับไอ้ลุงหน้าหล่อนั่นแท้ๆ ยังจะมีหน้ามาตกใจอีก” จอสพ่นลมออกจมูก รู้สึกเสียความมั่นใจนิดหน่อยกับท่าทีตกใจจนเกินกว่าเหตุของอีกฝ่าย
        “ขอโทษที ก็แค่ไม่คิดว่านายจะ..” ภูพยายามอธิบาย
        “แค่ไม่คิดว่าเราจะเป็นเหมือนนาย?” จอสต่อประโยคนั้นให้จบแล้วจึงค่อยเสริมต่อ “โลกนี้ยังมีเรื่องที่นายไม่รู้อีกเยอะ นายกระรอก”
        “เลิกเรียกด้วยชื่อนั้นได้มั้ยหา?” ภูรู้สึกรับไม่ได้กับชื่อเล่นใหม่ของตนที่อีกฝ่ายถือวิสาสะตั้งให้ตามทรงผม
        “ทำไมล่ะ น่ารักจะตาย” จอสขยับเข้ามาใกล้
        “ไอ้คำนี้ก็ไม่ต้องพูดด้วย…” ภูลุกหนีเช้ามาข้างในห้อง รู้สึกวางตัวไม่ถูกหลังจากการเปิดเผยตัวตนของจอสเมื่อครู่
        “เราคิดอะไร เราก็พูดแบบนั้น” จอสลุกตามมาไม่ยอมให้ภูหลุดรอดไปได้ “แต่ก็อย่างว่า นายคงไม่ชอบ เพราะนายชอบพวกขี้กั๊กมากกว่า”
        “ขี้กั๊กเหรอ?” ภูหันขวับ “นายว่าใคร?”
        “ก็ไอ้ลุงนั่นไง ไอ้ขี้กั๊ก” จอสตอบให้ “จะเป็นอะไรก็ไม่ยอมเป็น จะปล่อยก็ไม่ยอมปล่อย ไม่เรียกขี้กั๊กแล้วจะเรียกว่าอะไร?”
        “นี่นายแอบฟังทุกอย่างเลยงั้นเหรอเนี่ย?” ภูเพิ่งรู้ตัวว่าการปรับความเข้าใจกับกรรณเมื่อช่วงเช้าตกอยู่ในสายตาของจอสโดยตลอด “นี่เข้าใจคำว่าเรื่องส่วนตัวบ้างมั้ย ถามจริงๆเถอะ”
        “ก็เข้าใจ แล้วก็ยอมรับอ่ะว่าสอดรู้สอดเห็นเอง” จอสยอมรับ “แต่นายไม่รู้สึกตัวบ้างเหรอว่ายอมเค้ามากเกินไปแล้ว”

        คำถามนั้นเหมือนหมัดฮุคเข้ากลางอก ภูจนปัญญาจะหาคำตอบที่ฟังดูดีมาโต้อีกฝ่ายกลับไป ด้วยในใจเองลึกๆแล้วก็คิดและรู้สึกเช่นที่จอสพูดมาแบบไม่มีผิดเพี้ยน สำนวนไทยที่ว่าหวังน้ำบ่อหน้าเป็นเหมือนนิยามของความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคน เมื่อภูยอมทนกับความสัมพันธ์แบบครึ่งๆกลางๆที่มีเหตุผลเดียวคือคำว่าไม่พร้อม เพราะยังคาดหวังว่าสักวันกรรณจะพร้อมเป็นมากกว่านั้น ถึงจะไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงหรือไม่ก็เถอะ แต่ภูก็มั่นใจว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่คนนอกอย่างจอสจะมาตัดสินเอาเองได้ว่าอะไรเป็นอะไร

        “รู้สึกสิ แต่ทั้งหมดเราเต็มใจทำ ไม่มีใครบังคับ ขอบคุณที่เป็นห่วง” ภูตอบกลับไปในแบบที่ให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าทั้งหมดเป็นการตัดสินใจของตนเอง
        “แล้วนายไม่คิดเหรอว่านายควรได้มากกว่านั้น?” จอสยังขยี้ไม่เลิก
       
        คิดสิ ทำไมจะไม่คิด!!! เสียงตะโกนตอบของภูดังก้องอยู่ในหัวหากแต่ไม่ได้หลุดออกจากปากไปเป็นคำพูด ทุกคำถามของจอสเป็นเหมือนการตะโกนเรียกร้องของจิตใต้สำนึกที่ภูเผชิญหน้ากับมันตามลำพังอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หากแต่เมื่อมันมาในรูปแบบที่มีตัวตนและอารมณ์เข้ามายืนอยู่ตรงหน้า ความหนักแน่นของมันก็เพิ่มขึ้นอย่างมากจนเด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะสั่นคลอนตาม ภูอยากตบปากตัวเองที่ถามเรื่องแฟนคนแรกกับจอสจนนำพาให้บทสนทนาที่เคยสนุกสนานลุกลามมาเป็นเรื่องชวนปวดหัวนี้ได้ ภูไม่เข้าใจเลยว่าเพื่อนใหม่คนนี้มีจุดประสงค์ใดซุกซ่อนอยู่ ทำไมจึงดูมีท่าทีจริงจังนักกับเรื่องความสัมพันธ์ที่เอาจริงๆแล้วก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลยแม้แต่น้อย

        “เราพอใจกับสิ่งที่มี โอเคมั้ย?” ภูตอบ พยายามทำสีหน้าให้แสดงออกว่าคิดตามที่พูดออกไปจริงๆ
        “แต่เราอยากให้นายได้มากกว่านั้น” จอสพูดด้วยเสียงที่อ่อนลงกว่าเมื่อครู่
        “มันไม่สำคัญหรอกว่านายอยากให้มันเป็นแบบไหน” ภูส่ายหน้าก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะเป็นน้อยใจตัวเอง “เพราะนี่คือสิ่งที่มันเป็น มันเป็นแบบนี้ไปแล้ว”
        “สำคัญสิ เพราะเราเปลี่ยนมันได้” จอสเลื่อนปิดประตูระเบียง เมื่อปราศจากเสียงลมจากภายนอก ห้องนี้ก็เกือบจะเรียกได้ว่าเงียบสนิทราวกับสูญญากาศ “อยู่ที่ว่านายอยากจะเปลี่ยนมั้ย”
        “นายจะไปเปลี่ยนมันได้ยังไง ไปบีบคอเค้าให้ยอมทำตามเหรอ?” ภูยังคงจับเจตนาที่แฝงอยู่ของอีกฝ่ายไม่ได้
        “ก็ไม่ต้องให้มันเกี่ยวกับเค้าอีกต่อไปสิ” จอสเดินเข้ามาประชิดตัวภู ใกล้จนมากพอจะมั่นใจว่าถ้อยคำต่อจากนี้จะไม่หลุดรอดจากโสตประสาทอีกฝ่ายได้แม้แต่คำเดียว “ให้มันเป็นเรื่องของเราสองคนแทน”

        ความตกตะลึงทำให้สมองของภูต้องใช้เวลามากเกือบหนึ่งนาทีกว่าจะประมวลผลคำพูดประโยคนั้นและตีความหมายออกมาได้ เมื่อรู้แจ้งถึงสารที่อีกฝ่ายสื่อออกมาแล้วความตื่นตระหนกก็พุ่งเข้าเล่นงานจนขาทั้งสองข้างก้าวถอยพาร่างตนเองให้ออกห่างมาโดยอัตโนมัติ หากทว่าจอสก็เหมือนจะคาดการณ์เอาไว้แล้วจึงรีบขยับตามมาไม่ยอมให้ระยะห่างเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม ซ้ำยังใช้มือทั้งสองข้างจับกุมภูเอาไว้ที่ต้นแขนเพื่อไม่ให้ขยับหนีไปไหนได้อีก เด็กหนุ่มพยายามขืนตัวออกห่างแต่เรี่ยวแรงจากท่อนแขนคู่นั้นมีมากเกินกว่าจะต่อต้านได้ ยิ่งเขาพยายามฝืนอีกฝ่ายก็ยิ่งออกแรงมากขึ้นจนกระทั่งความเจ็บปวดเริ่มมาเยือน

        “เจ็บแล้ว พอเหอะ ปล่อยได้แล้ว” ภูเปลี่ยนจากการดิ้นรนมาเป็นขอร้องอีกฝ่ายแทน
        “ถ้าไม่เลิกหนีก็ไม่ปล่อย” จอสผ่อนแรงลงแต่ก็ไม่มากพอจะดิ้นหลุดได้ “ฟังคนเค้าพูดให้จบๆ จะเป็นไรมากมั้ย? กว่าจะรวบรวมความกล้ามาพูดได้มันยากนะ รู้ไว้ซะบ้าง”
        “ก็ว่ามาสิ” ภูยอมจำนนเพราะดูรูปการณ์ออกว่าขัดขืนไปก็คงจะไร้ประโยชน์
        “มานั่งก่อน” จอสคุมตัวภูมานั่งที่โซฟาชุดรับแขกก่อนจะนั่งลงขนาบประกบข้างไว้ “ถึงคนนั้นจะให้นายมากกว่าที่เป็นอยู่ไม่ได้ แต่เราให้ได้นะ”
        “เวรกรรม…” ภูอยากเขกกะโหลกตัวเองที่พลาดท่าหลวมตัวมาถึงจุดนี้จนได้

        ถึงแม้จะไม่เคยคบหาใครเป็นแฟนมาก่อน แต่ก็ใช่ว่าภูจะไม่คุ้นเคยกับการสารภาพรัก ด้วยที่ว่าเคยประสบกับตัวเองมาถึงสองครั้งสองครา ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อครั้งยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย เมื่อเพื่อนหญิงร่วมชั้นเรียนเกิดลุกขึ้นมาสารภาพความในใจกับเขาในวันสุดท้ายของการสอบปลายภาค ซึ่งนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดเพราะหลังจากอีกฝ่ายต้องเสียน้ำตาจากการโดนปฏิเสธไปแล้ว ทั้งสองก็ไม่เคยต้องกลับมาพบเจอหน้ากันให้ลำบากใจอีกเลย ส่วนอีกครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อตอนที่เด็กหนุ่มเพิ่งก้าวขาเข้ามาเป็นนักศึกษาป้ายแดงในรั้วมหาวิทยาลัย โดยมีคู่กรณีเป็นชายหนุ่มรุ่นพี่จากต่างคณะ ซึ่งบรรยากาศโดยรวมของครั้งนี้ดูเป็นทางการน้อยกว่าครั้งแรกมาก จึงทำให้ภูไม่รู้สึกลำบากใจเท่าไหร่กับการที่ต้องบอกปัดความรู้สึกของอีกฝ่ายไป หากทว่าคนอกหักมันมีปฏิกิริยาที่รุนแรงเสมอ เพราะถึงแม้ว่าภูจะพร่ำบอกไม่รู้กี่สิบรอบในวันนั้นว่ายังคงเป็นเพื่อนกันต่อได้ แต่หลังจากนั้นทุกครั้งที่พบเจอกันโดยบังเอิญ อีกฝ่ายก็ไม่เคยมองหน้าหรือสบตากับเขาอีกเลย

        ด้วยเหตุที่ว่าการสารภาพรักทั้งสองครั้งนำพามาซึ่งการเสียมิตรภาพอันพึงจะมี จึงทำให้ภูพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้มาโดยตลอด หากพบวี่แววว่ากำลังจะเกิดขึ้นก็ไม่รีรอที่จะตัดไฟแต่ต้นลม แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับทุกครั้ง ไม่ว่าจะด้วยอะไรบดบังตาเด็กหนุ่มก็ไม่เห็นเค้าลางของมันมาก่อนจนกระทั่งมันเกิดขึ้น เขามองจอสที่นั่งอยู่ข้างๆ สายตาของอีกฝ่ายที่มองมาทางตนไม่ต่างกันเลยกับสายตาของทั้งสองคนที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันคือความคาดหวัง ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วเมื่อมีความคาดหวังเกิดขึ้น ความผิดหวังก็มักจะเป็นสิ่งที่ตามมาอย่างช่วยไม่ได้
   
        “ถ้าเป็นเรา เราจะไม่มีคำว่าไม่พร้อมสำหรับนายเลย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม” จอสโฆษณาโน้มน้าวใจ “นายไม่คิดว่าแบบนี้จะดีกว่าเหรอ?”
        “ไม่” ภูตอบสั้นๆ “ไม่เอา”
        “ไม่เห็นต้องรีบปฏิเสธขนาดนั้นเลย ให้ตายสิ น่าเกลียดจริงๆ” จอสทำหน้าเซ็งสุดๆ “เอาแบบทดลองใช้ก่อนก็ได้ คบกับเราไปก่อน ถ้าคนนั้นเค้าพร้อมจะจริงจังกับนายเมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นถ้านายยังไม่ผูกพันกับเรา นายจะไปก็ไป แต่เชื่อเถอะ ถ้าได้เริ่มกับเราแล้ว นายเลิกไม่ลงหรอก”
        “ไปเอาความมั่นใจผิดๆแบบนั้นมาจากไหนเยอะแยะ” ภูมองบน “แล้วอีกอย่าง เรื่องแบบนี้มันทดลองกันได้ที่ไหน ความรู้สึกมันไม่ใช่ของเล่นนะ ถ้าถึงตอนนั้นที่นายว่าแล้วเรายังเลือกจะไปหาเค้าเหมือนเดิมล่ะ นายจะไม่เสียใจหรือไง”
        “ก็เสียใจ แต่คงเสียใจแทนนายมากกว่า ที่พลาดของดีไปแล้ว” จอสยกหางตัวเองเต็มพิกัด
        “ยังไงก็ไม่ ขอบคุณ” ภูตั้งท่าจะลุกหนีแต่จอสดึงให้กลับลงมานั่งตามเดิม “แล้วอีกอย่างนะ เราก็เพิ่งจะเจอกัน จะให้เชื่อได้ยังไงว่านายจะมาจริงจังอะไรกับเราแบบที่นายว่ามา”
        “เรื่องนั้นก็เป็นสิ่งที่เราต้องช่วยกันค้นหาไง” จอสยังโน้มน้าวต่อ
        “ปวดหัวจี้ดเลย” ภูกุมขมับ “พูดตรงๆเลยนะ จากที่คุยกันวันนี้ เราน่าจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ อย่าให้อะไรที่มันเกินกว่านั้นมาทำลายสิ่งที่เรามีตอนนี้เลย”
        “คือยังไงก็จะเป็นแค่เพื่อน?” จอสทำหน้าเหมือนโดนขัดใจ
        “เพื่อนดีกว่านะ แฟนยังทิ้งกันได้ แต่เพื่อนไม่ทิ้งกัน” ภูเกลี้ยกล่อม
        “งั้นตอนนี้เป็นแค่เพื่อนก็ได้” จอสยอมพบกันครึ่งทาง “แต่บอกไว้เลยนะว่าเราไม่ใช่พวกยอมแพ้อะไรง่ายๆ”
        “พยายามไปเถอะ” ภูรู้ดีว่าห้ามไปก็คงไม่ฟัง “เราเองก็ไม่ใช่พวกใจอ่อนง่ายๆเหมือนกัน”
        “งั้นตอนนี้ขออย่างนึงได้มั้ย?” จอสถามเสียงอ้อน
        “อะไรอีก?” ภูวิตกกับท่าทีมีเลศนัยของอีกฝ่าย
        “ขอจูบที” จอสพูดออกมาเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างเช่นขอจับมือ ซ้ำยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆเพื่อทำตามสิ่งที่ขอ
        “ตลกไม่เลิกนะ” ภูดันหัวอีกฝ่ายออก “เราจะกลับแล้ว พรุ่งนี้มีนัดงาน”
        “ถ้าไม่ยอมก็ไม่ต้องกลับ” จอสยืนกรานจะเอาให้ได้ “นายปฏิเสธเราแบบใจร้ายมากนะ ขอแค่จูบปลอบใจซักทีจะเป็นอะไรไป”
        “คนปกติมีใครเค้าจูบกันปลอบใจหรือไง” ภูไม่ยอมหลงคารม
        “มีสิ เพราะจูบมีหลายแบบ วันนี้เราจูบกันแบบเพื่อน” จอสทำหน้าใสซื่อ
        “มันเป็นยังไง จูบแบบเพื่อน” ภูไม่เคยได้ยินอะไรพรรค์นี้มาก่อน
        “มาใกล้ๆสิ เดี๋ยวจะรู้” จอสเชิญชวน “ไม่ต้องกลัวหรอก ไม่มีใครรู้ รับรองจอสปิดปากเงียบ”
   
        อันที่จริงแล้วภูจะลุกหนีแล้วเดินออกไปโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรก็ย่อมทำได้ หากแต่ความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นทำให้เด็กหนุ่มไม่ต้องการจะให้ครั้งนี้ต้องลงเอยด้วยการเสียมิตรภาพเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา บางครั้งบางคราวปัญหาก็ยุติได้ด้วยการยอมโอนอ่อนผ่อนตาม ถึงแม้คำขอนั้นจะแปลกและพิสดารอยู่บ้างแต่ก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัส อีกทั้งจอสเองก็ไม่ใช่คนน่ารังเกียจมาจากไหน ผู้หญิงนับร้อยคนคงยอมลดอายุตัวเองลงครึ่งหนึ่งเพื่อได้จูบกับเขาสักครั้งในชีวิต อีกทั้งที่นี่ก็มีเพียงแค่เขาสองคน หากภูไม่พูดและจอสไม่ปริปากตามที่บอกจริง เรื่องนี้ก็จะเป็นความลับไปตลอด เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วภูก็จึงค่อยพยักหน้าตอบตกลงไปแบบกล้าๆกลัวๆ จอสยิ้มร่าเหมือนเด็กได้ของขวัญถูกใจ เขารีบยื่นหน้าเข้ามาประชิดกับใบหน้าของภู
   
        “เดี๋ยว…” ภูร้องบอกถึงขอบเขต “แค่แบบเพื่อนเท่านั้นนะ”
   
        จอสพยักหน้า ภูปิดตาไม่กล้ามองเมื่ออีกฝ่ายยื่นใบหน้าหล่อบาดใจนั้นเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งถัดมาที่เด็กหนุ่มรู้สึกคือริมฝีปากของตนถูกนาบประกบด้วยสัมผัสที่นุ่มและชื้น จอสพรมจูบบนริมฝีปากของภูจนทั่วก่อนจะเม้มเข้าที่ริมฝีปากล่างและดูดดุนมันเบาๆราวกับเชิญชวน มือข้างหนึ่งของจอสยกขึ้นมาช้อนเข้าที่หลังศรีษะของภูเพื่อไม่ให้หันหนีไปไหน เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากช่องปากของอีกฝ่ายที่พ่นรวยรินออกมาและปลายลิ้นแข็งแรงที่เริ่มดุนดันไปทั่ว หากแต่ก็พยายามสะกดกลั้นตนเองไม่ให้เคลิ้มไปจนเผยอริมฝีปากเปิดรับมันเข้ามาเพื่อรักษาขอบเขตอันพึงจะมีเอาไว้ จอสยังคงพยายามจะนำพาจูบนี้ไปให้ถึงที่สุดอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนจะยอมถอดใจเลิกดึงดัน  เขาถอนริมฝีปากออก หน้าผากทั้งสองยังคงพิงชิดกัน ลมหายใจถี่กระชั้นอยู่อีกพักหนึ่งก่อนจะค่อยๆผ่อนคลายลงกลับมาอยู่ในระดับปกติ
   
        “ใจแข็งกว่าที่คิดไว้อีกนะ” จอสลูบหัวภูเบาๆ
   “ก็บอกแล้ว” ภูตอบเสียงแผ่ว ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตา
   
        ภูรีบเดินหนีไปยังประตูทางออกจากห้องก่อนจะพบว่ายังไงก็ต้องรอจอสเพราะประตูนี้ต้องใช้คีย์การ์ดเปิดจึงจะออกไปได้ เด็กหนุ่มเจ้าบ้านเดินตามมาในอีกไม่นานและใช้กระเป๋าสตางค์ของตนแนบเข้ากับประตูเพื่อเปิดล๊อค ภูก้าวขาจะเดินออกไปแต่จังหวะก็ช่างประจวบเหมาะกับจอสที่ทำสิ่งเดียวกันพอดี ทั้งสองชะงักทำตัวไม่ถูกหากแต่ก็เป็นจอสที่ดูเหมือนจะพาตัวเองกลับมาเข้ารูปเข้ารอยได้เร็วกว่า เขาขยับถอยและผายมือทำท่าเชิญให้ภูเดินออกไปก่อน จากนั้นจึงค่อยตามมาจนกระทั่งเข้าลิฟต์ลงมาถึงล๊อบบี้ชั้นล่าง จอสบอกกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้เรียกแท๊กซี่เข้ามาให้ก่อนจะตามออกไปยืนข้างภูที่ล่วงหน้าออกไปรอยังด้านหน้าของอาคารแล้ว
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 12 ☆ [26-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 30-03-2018 10:45:30
Episode 13 part2

        “ขอโทษทีนะ ถ้าไม่ได้เพิ่งจะรถล้มมาก็ว่าจะไปส่งนายเองอยู่” จอสทำท่าเสียดาย
        “ไม่เป็นไร แท็กซี่ก็ได้ รอจนดึกป่านนี้รถคงไม่ติดแล้วล่ะ” ภูล้อเลียนตัวเองที่ตอนแรกกะจะรอแค่ให้พ้นช่วงเวลารถติด แต่กลับติดลมอยู่ยาวจนดึกดื่นล่วงเข้าวันใหม่
        “แท็กซี่ดึกๆอันตรายนะ ถึงเป็นผู้ชายก็ใช่ว่าจะปลอดภัย” จอสขู่ให้กลัว
        “ยังไงก็ปลอดภัยกว่าอยู่กับนายแน่ล่ะ” ภูหัวเราะออกมา
        “ที่บอกว่าอยู่กับเราไม่ปลอดภัยเพราะกลัวจะอดใจไม่ไหวล่ะสิ?” จอสย้อน “ถ้าเมื่อกี้ยืดเยื้อกว่านั้นอีกนิดนึง ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างแล้วก็ไม่รู้”
        “พอเลย เพื่อนกัน จำได้ไหม” ภูย้ำเตือนถึงจุดยืน ไม่ใช่แค่เพียงกับจอสแต่ยังบอกกับตนเองด้วย
        “ก็ได้… ก็ได้… “ จอสยกมือยอมแพ้
   
        แท็กซี่วิ่งเข้ามาจอดยังจุดรับส่งด้านหน้าอาคาร ขณะที่ภูกำลังจะเดินไปขึ้นรถ จอสก็รีบเร่งฝีเท้าแซงขึ้นมาเปิดประตูให้ก่อนที่ภูจะเดินไปถึง อีกหนึ่งการกระทำที่เกินเพื่อน ภูบันทึกมันเอาไว้ในใจว่าครั้งหน้าต้องไม่เปิดโอกาสให้จอสทำอะไรแบบนี้ได้อีก ลำพังแค่จูบเมื่อครู่ก็เป็นสิ่งที่ยอมตามใจตัวเองจนปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามาล้ำเส้นมากเกินไปแล้ว ภูบอกกับตัวเองว่ามันเกิดขึ้นเพราะความอยากรู้ นอกจากสองจูบของกรรณ อันมีส่วนประกอบหลักในแต่ละครั้งคือความเมามายและความสับสน เด็กหนุ่มก็ไม่เคยได้ทดลองมันกับใครอีก จนกระทั่งถึงวันนี้ ภูไม่อาจบรรยายความแตกต่างของรสจูบจากทั้งสองคนได้ ไม่เชี่ยวชาญถึงเพียงนั้น หากแต่ถ้าจะให้เปรียบเทียบ จูบของกรรณให้ความรู้สึกเหมือนเหล้าที่เกาะอยู่บนก้อนน้ำแข็งก้นแก้ว หวานเมื่อแรกจิบและเหลือติดไว้แต่เพียงรสขมและความเย็นชาที่ปลายลิ้น ในขณะที่จูบของจอสมีรสชาติเหมือนเนยที่กำลังละลาย ร้อนรุ่ม หอมยั่วยวน และมีโทษแอบแฝงจึงต้องคอยหักห้ามใจไม่ให้กลืนลงคอ
   
        ระหว่างทางกลับบ้าน กรรณยังคงโทรเข้ามาอีกหลายครั้ง ภูเพียงแค่มองดูแสงสว่างจากหน้าจอกระพริบยามมีสายเรียกเข้าและรอจนกระทั่งมันดับไป หลังจากถูกอีกฝ่ายหลบหน้ามาทั้งสัปดาห์นี่คือบทลงโทษเล็กๆน้อยๆที่ภูพอจะมอบให้กรรณได้ และถ้าจะไม่มากจนเกินไป ภูก็หวังว่ามันจะทำให้กรรณพอเข้าใจได้บ้างแม้เพียงสักนิดก็ยังดีว่าการต้องเป็นฝ่ายเฝ้ารออยู่ข้างเดียวมันทรมานแค่ไหน 
   
        เมื่อจ่ายค่าโดยสารและลงมาจากรถเรียบร้อยแล้ว ภูเดินมาหยุดที่หน้าประตูรั้วพลางล้วงหากุญแจจากในกระเป๋ากางเกงเพื่อจะเข้าบ้าน ขณะนั้นเองแขนข้างหนึ่งของเขาก็ถูกกระชากอย่างแรงจากข้างหลัง และก่อนที่เด็กหนุ่มจะทันได้ส่งเสียงร้องใดๆออกมานั้น มืออีกข้างก็ยื่นมาปิดปากเอาไว้เสียก่อน

        “นี่พี่เอง อย่าร้อง มันดึกแล้วเดี๋ยวคนจะตกใจตื่นกันหมด” เสียงทุ้มๆของกรรณกระชิบมาจากด้านหลัง เมื่อภูพยักหน้าว่ารับทราบแล้วเขาจึงค่อยคลายมือที่ปิดปากอยู่ลง “มากับพี่ก่อน ขอคุยด้วยหน่อย”
        “ดึกแล้ว รอพรุ่งนี้ดีกว่าพี่ ผมอยากนอนแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าด้วย” ภูตอบกลับไปด้วยเสียงที่เบาพอๆกัน ตาเหลือบมองเข้าไปในบ้านกลัวว่าพ่อกับแม่อาจจะยังตื่นอยู่และมาเห็นเข้า
        “ไม่ได้หรอก พี่ไม่รอแล้ว” กรรณออกแรงลากตัวภูไปทางบ้านตนเอง
   
        สำหรับภูแล้วนี่ถือเป็นผลตอบรับที่ค่อนข้างเกินความคาดหมาย ตอนแรกเด็กหนุ่มคิดว่าอย่างมากอีกฝ่ายก็คงรอจนเจอกันตอนเย็นของอีกวันแล้วค่อยถามว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมจึงไม่รับสาย แต่นี่กลับถึงขั้นมาดักรอหน้าบ้าน แล้วยังจะท่าทางกระวนกระวายใจเหมือนกำลังโกรธมากนั่นอีก เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วภูก็อดคิดเสียดายไม่ได้จริงๆว่าน่าจะทำแบบนี้มาตั้งนานแล้ว

        เมื่อเข้ามาอยู่ในบ้าน กรรณรีบลงกลอนที่ประตูราวกับกลัวว่าเด็กหนุ่มที่ตนเพิ่งลากมาจะหลบหนีออกไป ภูยืนนิ่งทำตัวไม่ถูกได้แต่รอให้อีกฝ่ายพูดธุระที่ว่าออกมา ในขณะที่กรรณเดินวนไปมาอยู่ที่หน้าประตูเหมือนคิดอะไรไม่ออกก่อนจะตรงเข้ามาหาภูอีกครั้งและพาไปนั่งที่ชุดโซฟารับแขก

        “พี่มีอะไรกันแน่เนี่ย?” ภูยอมเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้นมาเอง หลังจากพิจารณาดูแล้วเห็นว่าถ้าจะรอให้อีกฝ่ายพูดก่อนก็คงต้องรอต่อไปยันสว่างคาตา
        “ก็… “ กรรณก้มหน้าแล้วสูดหายใจเข้าออกลึกๆเหมือนพยายามคุมอารมณ์ “ไปไหนมา?”
        “ก็เที่ยวไง เหมือนเมื่อก่อนนั่นแหละ นานๆจะได้มีวันว่างผมก็อยากพักผ่อนตามใจบ้าง” ภูโกหกไปเพราะความจริงเป็นสิ่งที่พูดแล้วอีกฝ่ายคงเข้าใจได้ยาก
        “เที่ยวกับใครมา?” กรรณยังซักต่อ
        “ก็เพื่อนที่มหาลัยฯ จะไปกับใครได้อีกล่ะ” ภูโกหกอีกครั้ง
        “จะไม่พูดความจริงใช่มั้ย?” กรรณเงยหน้าขึ้น แววตาดูดุกร้าวขึ้นไม่ได้อ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง
        “ก็บอกไปหมดแล้วไง ถ้ามันไม่ใช่คำตอบที่พี่อยากได้ ผมก็ไม่มีอะไรจะตอบแล้ว” ภูยังคงโกหก ด้วยถือคติว่าขึ้นหลังเสือแล้ว กลับลำกลางคันไม่ได้เด็ดขาด
        “พี่คุยกับเพื่อนนายมาหมดแล้ว ไม่มีใครรู้ว่านายไปไหนซักคน” กรรณหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และเปิดหน้าจอแสดงหมายเลขโทรออกทั้งหมดให้ภูดู เด็กหนุ่มถึงกับตาค้างเมื่อเห็นเบอร์โทรของเพื่อนในกลุ่มตนทั้งหมดถูกโทรออกเรียงยาวเป็นตับอยู่ในนั้น “ตอนแรกพี่ไปถามสาลี่ที่บ้านเค้า เค้าจะโทรหานาย แต่พี่บอกว่านายไม่รับสาย เลยให้ลองเช็คกับเพื่อนคนอื่นๆดู เค้าเลยให้เบอร์ทุกคนมาแล้วให้พี่โทรไปเช็คเอง”
        “อะไรเนี่ย… ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ…” ภูเริ่มสั่นเมื่อถูกจับโกหกได้แบบดิ้นไม่หลุด
        “เอาล่ะ ทีนี้จะพูดความจริงมาได้หรือยังว่าไปไหนกับใครมา?” กรรณจ้องหน้าเด็กหนุ่ม นัยน์ตาดุที่จ้องเขม็งมานั้นทำให้ภูกลัวจนไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายตรงๆ

        เริ่มต้นมันยังเป็นแค่ความกลัวที่ถูกจับได้ว่าโกหก แต่ไม่นานนักเมื่อภูหวนนึกย้อนไปยังทุกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและกรรณ ความรู้สึกน้อยใจในหลายสิ่งที่เก็บกดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อตอนเช้าโดยไม่โต้เถียงไป ก้มหน้ายอมรับทุกอย่างตามที่อีกฝ่ายว่ามาด้วยหวังจะรีบปรับความเข้าใจกันให้เรียบร้อยเพื่อไม่ให้ความลับเรื่องจอสแตก ตอนนี้เมื่อถูกกระแทกกระทั้นทางอารมณ์ด้วยท่าทีไม่เป็นมิตรเหมือนตำรวจเค้นคอผู้ต้องหาเช่นนี้ สิ่งที่ทนกล้ำกลืนเอาไว้ก็พลันก็ล้นเอ่อขึ้นมาอีกครั้ง ส่งผลให้ความกลัวเริ่มเปลี่ยนเป็นความโกรธจนถึงจุดที่ไม่อาจเก็บเอาไว้กับตัวได้อีกต่อไป

        “พี่จะเอาอะไรกับผมอีกล่ะ?” ภูหันไปมองหน้าอีกฝ่าย แม้จะยังรู้สึกกลัวแต่ความต้องการจะเผชิญหน้ามีมากกว่า “ทีพี่ไปไหนมาไหนคนเดียว หลบหน้าผมกลับดึกๆทุกวันเมื่ออาทิตย์ก่อน ผมยังไม่ไปเค้นคอพี่เลยว่าไปไหนมา”
        “อยากรู้ก็ถามสิ พี่ตอบได้หมดนั่นแหละ!” กรรณแทบจะตะโกนตอบกลับมา “นี่อย่ามาเบี่ยงประเด็นนะ”
        “ไม่ได้เบี่ยงประเด็น ก็แค่สงสัย ว่าเรามีสิทธิ์ในตัวกันและกันแค่ไหน?” ภูพยายามคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น “ผมยอมพี่ทุกอย่าง พี่อยากให้ทำอะไรผมก็ทำ ยอมให้พี่มีสิทธิ์ในตัวผมเต็มที่แล้ว แต่สิ่งเดียวที่พี่มีให้ผมคือคำว่าไม่พร้อม ผมไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าไม่พร้อมคืออะไร ไม่พร้อมเรื่องอะไร?”
        “สรุปก็กลับมาเป็นเรื่องนี้อีกจนได้สินะ” กรรณถอนหายใจ นั่งลงบนโซฟา “นึกว่าเมื่อเช้าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วซะอีก”
        “ก็ตอบมาสิ ไม่พร้อมคืออะไร?” เป็นตาของภูที่จะรุกไล่เอาคำตอบจากอีกฝ่ายบ้าง “ถ้าพี่ไม่ให้ผมรู้อะไรเลย ไม่ให้ผมได้เข้าถึงสิ่งที่พี่คิดเลย ผมก็ไม่รู้ว่าผมกำลังรออะไรอยู่” 
        “ทุกอย่างมันก็เพื่อตัวนายนะ” กรรณยังไม่ยอมตอบให้ตรงคำถาม “เพื่ออนาคตนาย”
        “ถามผมบ้างไหม ก่อนจะทำสิ่งที่บอกว่าทำเพื่อผม?” ภูถามย้อนกลับไป “ผมอายุเพิ่งยี่สิบเองนะพี่กรรณ ผมยังไม่ต้องการให้ใครมาทำเพื่อผม ผมไม่ต้องการให้พี่มาห่วงอนาคตผม เรื่องพวกนั้นผมมีพ่อแม่คอยทำให้แล้ว ตอนนี้ผมแค่อยากให้พี่ให้ในสิ่งที่ผมสมควรได้รับ ให้ในสิ่งที่ผมให้พี่ไปหมดแล้วตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันเลย”

        กรรณก้มหน้านิ่ง ผงกหัวเบาๆเป็นสัญญาณว่ากำลังรับฟังทุกถ้อยคำ
   
        “ถ้าพี่อยากให้เราเป็นแค่พี่น้อง พี่ก็บอกมาตรงๆ ผมยอมรับได้ เสียใจแน่ล่ะ แต่ก็จะยอมรับเพราะมันเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้” ภูลุกจากโซฟา เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะร้องไห้แต่ก็พยายามกลั้นเอาไว้ “ผมเป็นพี่น้องกับพี่ได้ แต่ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่ในแบบที่เป็นอยู่ในตอนนี้”
        “พี่ไม่เคยอยากเป็นแค่พี่น้องกับนาย ไม่เคยเลย… ” กรรณเงยหน้าขึ้นมามองภูอีกครั้ง แววตาดูสงบลงกว่าเมื่อครู่ “และอีกอย่างหนึ่งที่นายยังไม่รู้ คือก่อนหน้าที่นายจะเจอพี่ พี่มีคนที่ชอบอยู่แล้ว”
        “หมายความว่ายังไง?” ภูไม่เข้าใจกับประโยคอันแสนวกวนนั้น น้ำตาเขาไหลออกมาหนึ่งหยดแล้ว แต่ก็ใช้หลังมือปาดเอาไว้ทัน
        “ตอนเรียนม.ปลาย พี่แอบชอบรุ่นน้องคนนึง แต่เขาไม่เคยรู้ตัวว่ามีใครแอบมองเขาอยู่” กรรณหัวเราะออกมาเบาๆเหมือนขบขันตัวเอง “เขาจะรีบออกไปโรงเรียนแต่เช้า กลับมาก็ตรงดิ่งเข้าบ้าน พี่เองถึงจะคุ้นเคยกับพ่อแม่ของเขา แต่ก็ไม่เคยกล้าจะเข้าไปทำความรู้จักกับเขาโดยตรง ได้แต่ผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย จนรู้ตัวอีกที ก็ต้องไปเรียนต่อแล้ว”
   
        กรรณลุกตามมาและเดินเข้าใกล้ภูทีละน้อยราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะตกใจเตลิดหนีหายไป
   
        “พี่จะพูดอะไรกันแน่…” ภูถอยหนี ทั้งสับสนและไม่มั่นใจว่าตนตีความสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาถูกหรือไม่
        “ตั้งแต่กลับมาถึงไทย พี่ก็ตั้งใจว่าครั้งนี้จะต้องเข้าไปบอกความในใจกับเขาให้ได้” กรรณยังคงรุกคืบเข้ามามากขึ้น
        “แล้วเขาคือใครล่ะ?” ภูถามออกไป เพื่อสิ้นสุดการคาดเดาที่ไม่จบสิ้นนี้เสียที
        “เด็กทึ่มเอ๊ย…” กรรณเข้ามาประชิดและโอบเข้าที่เอวเด็กหนุ่มเอาไว้ ศรีษะก้มลงจนหน้าผากจมลงไปในเรือนผมของภู “ก็นายไง… ต้องให้พูดตรงๆใช่มั้ยถึงจะพอใจ ว่าพี่แอบชอบนายตั้งแต่ก่อนจะไปเรียนต่อแล้ว”
   
        เหมือนพลุทั้งคลังแสงระเบิดพร้อมกันอยู่ในหัว เป็นคำสารภาพที่ทำเอาภูถึงกับตาพร่าและหูอื้อไปได้ในเวลาเดียวกัน จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้กรรณจะเคยเผยออกมาแล้วว่าความรู้สึกที่เขามีให้กับภูนั้นไม่ต่างกับที่เด็กหนุ่มมอบให้เขา แต่รายละเอียดที่เพิ่มเข้ามาในครั้งนี้กลับทำให้ทุกอย่างดูลึกซึ้งจนไกลเกินกว่าที่ภูเคยคาดฝันเอาไว้ เมื่อเมื่อคำนวณถึงระยะเวลาทั้งหมดแล้วก็ทำให้ภูนึกอยากจะชกอีกฝ่ายเข้าที่หน้าแรงๆสักหนึ่งครั้ง เจ็ดปีเชียวนะ ตั้งเจ็ดปี!! ภูนึกในใจ ทุกสิ่งทุกอย่างมันควรจะเริ่มต้นตั้งแต่เจ็ดปีก่อนหากเจ้าตัวไม่มัวแต่อมพะนำเก็บงำเอาไว้แล้วหนีไปเรียนต่อยังต่างแดน หากทว่าแม้จะเกิดความยินดีขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน แต่ปัญหาที่ต้องสะสางก็ยังคงอยู่ ซึ่งภูตั้งใจแล้วว่าจะไม่ปล่อยให้มันค้างคาอีกต่อไป
   
        “ก็ถ้ามันเริ่มขึ้นตั้งนานขนาดนั้นแล้ว… พี่ยังไม่พร้อมอะไรอีกล่ะ?” ภูถาม เสียงอ่อนลงเพราะความโมโหโทโสละลายหายไปหมดแล้ว
        “พี่ช้างเขาขอเอาไว้ อย่าเพิ่งเริ่มความสัมพันธ์อะไรตอนนี้ เขาอยากให้นายโฟกัสแค่เรื่องเรียนกับงานไปก่อน เพราะแค่ทำสองอย่างนี้ไปพร้อมกันมันก็หนักมากแล้ว เขาไม่อยากให้เรื่องหัวใจมันมารบกวนจนเสียหมดทุกอย่าง” กรรณยอมคายเหตุผลออกมาในที่สุด “พี่รับปากเค้าไว้แล้วก็ต้องทำตามนั้น”
        “หมายความว่าพี่ช้างก็รู้เรื่องนี้งั้นเหรอ?” ภูตกใจนิดหน่อยเพราะที่ผ่านมาพี่ช้างไม่เคยแสดงออกว่ารู้เรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่นิดเดียว
        “ก็รู้ล่ะ ตอนพี่พานายไปฝาก เขาก็ดูออกว่าไม่ได้เป็นแค่พี่น้อง ก็ตามประสาพวกกร้านโลก” กรรณแอบแว้งกัดรุ่นพี่นิดหน่อย “เขาก็เลยโทรหาพี่วันถัดมา แล้วก็บอกว่าถ้าจะให้เขาดูแลงานให้นาย พี่ต้องยอมให้ความร่วมมือเรื่องนี้”
        “งั้นผมไม่ทำแล้ว” ภูประกาศเด็ดเดี่ยว “ที่ผ่านมาผมยอมทำงานเพราะพี่อยากให้ทำ แต่ถ้าตอนนี้ผมทำแล้วคบพี่ไม่ได้ ผมก็ไม่ทำ พอแค่นี้แหละ”
        “ไม่เอาน่า” กรรณลูบหัวเหมือนจะเกลี้ยกล่อม “มันดีต่อตัวนายเองนะ ไม่จำเป็นต้องทำไปตลอดก็ได้ แค่พอให้มีเงินทุนเก็บไว้ แล้วถึงตอนนั้นนายอยากจะออกมาทำอะไรตามใจก็ได้แล้ว”
        “งั้นพี่ก็ต้องเป็นฝ่ายยอมผมบ้างแล้วล่ะ” ภูพลิกบทบาทกลับมาเป็นผู้ยื่นข้อเสนอเสียเอง “โยนคำว่าไม่พร้อมอะไรนั่นทิ้งไปได้เลย ผมจะทำงานนี้ต่อ ก็ต่อเมื่อเราคบกันแล้วเท่านั้น”

        กรรณมองหน้าเด็กหนุ่มที่ตนโอบกอดอยู่ เมื่อเห็นใบหน้าที่ตนเฝ้าฝันถึงมาตลอดหลายปีที่อยู่ต่างแดน ผ่านรูปถ่ายใบเดียวที่ลอบถ่ายยามที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว จนกระทั่งได้กลับมาพบอีกครั้ง เด็กหนุ่มคนนั้นยังคงอยู่ที่เดิมพร้อมกับหัวใจที่ว่างเปล่าไม่มีใครในนั้น จากนั้นโชคชะตาก็นำพาให้ทุกอย่างมาถึงจุดนี้ เช่นนี้แล้วเขาจะปฏิเสธคำขอนั้นได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงพยักหน้าตกลงด้วยความรู้สึกที่ยินยอมพร้อมใจที่สุดในชีวิต
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 13 ☆ [30-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 30-03-2018 13:54:36
 :pig4: :pig4: :pig4:

ก็ไม่ได้เดาผิดหรอก  ว่าใครเป็นพระเอกอ่ะ

เพียงแต่ว่า  นุ้งจอสที่โผล่เข้ามาเนี่ย  จะมีบทบาทในด้านใด

แต่ตอนนี้เท่าที่เห้นคือ "เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา" ทำให้สองคนนั้นเลิกอมพะนำ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 13 ☆ [30-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-03-2018 15:50:56
 :katai5:

ถ้าอีพี่ยังไม่ยอมเราจะให้น้องไปดักตีหัว แล้วก็ลากเขาถ้ำไปซะ ปากแข็งจริงๆ 55
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 13 ☆ [30-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 30-03-2018 21:36:49
คนน้องชัดเจนขนาดนี้ แล้วคนพี่จะยอมชัดเจนเหมือนน้องมั้ยน้า
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 13 ☆ [30-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 30-03-2018 22:07:19
ผ่านมาตั้ง7ปีเลยนะ คบกันเถอะ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 13 ☆ [30-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 30-03-2018 23:33:27
อ่อ..ก็นึกว่ากรรณจะแบบ กั๊กอย่างที่จอสพูดเสียอีก
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 13 ☆ [30-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 31-03-2018 13:30:03
นั้นไง ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นิเอง
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 13 ☆ [30-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 31-03-2018 20:25:22
:pig4: :pig4: :pig4:

ก็ไม่ได้เดาผิดหรอก  ว่าใครเป็นพระเอกอ่ะ

เพียงแต่ว่า  นุ้งจอสที่โผล่เข้ามาเนี่ย  จะมีบทบาทในด้านใด

แต่ตอนนี้เท่าที่เห้นคือ "เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา" ทำให้สองคนนั้นเลิกอมพะนำ

ถ้าจะให้นิยามตัวละครนี้ จอสก็คงเหมือนแอปเปิลในสวนอีเดนอ่ะครับ  :hao3:

ยังไงติดตามกันดูว่าจะออกมารูปแบบไหน สองสามตอนต่อจากนี้บทจอสอาจจะน้อย แต่หลังจากนั้นมาแบบจัดเต็มยันจบแน่นอน

ขอบคุณที่ติดตามกันนะครับ  o13

 

หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 13 ☆ [30-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 31-03-2018 20:27:42
:katai5:

ถ้าอีพี่ยังไม่ยอมเราจะให้น้องไปดักตีหัว แล้วก็ลากเขาถ้ำไปซะ ปากแข็งจริงๆ 55
 :L2: :pig4:

เจอน้องลุกขึ้นมาคุมเกมเองแบบนี้ก็ต้องยอมแล้ววว   :katai1:

ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดนะครับ  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 13 ☆ [30-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 31-03-2018 20:29:25
คนน้องชัดเจนขนาดนี้ แล้วคนพี่จะยอมชัดเจนเหมือนน้องมั้ยน้า

จะน้อยหน้าเด็กได้ไง ต่อไปเป็นตาคุณพี่ต้องยอมน้องบ้างแล้ว  :hao3:

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 13 ☆ [30-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 31-03-2018 20:31:54
ผ่านมาตั้ง7ปีเลยนะ คบกันเถอะ

คบแน่แต่จะแพ้อะไรหรือเปล่า ยังมีปัญหาที่ต้องเจอด้วยกันรออยู่ครับ  :katai1:

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 13 ☆ [30-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 31-03-2018 20:33:13
อ่อ..ก็นึกว่ากรรณจะแบบ กั๊กอย่างที่จอสพูดเสียอีก

เหมือนจะกั๊ก แต่จริงๆคือโดนคุมประพฤติ  :katai1:

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 13 ☆ [30-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 31-03-2018 20:35:42
นั้นไง ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นิเอง

คนอ่านคงเดากันไม่ยากในจุดนี้ แต่ยังมีอีกหลายสิ่งที่สองคนต้องเจอครับ รอติดตามดู  :katai4:

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 13 ☆ [30-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 31-03-2018 23:46:59
กรี๊ดดดดด เขาคบกันแล้ว อิคนอ่านดีใจ ^^

เสียใจด้วยนะจอส ภูเป็นของกรรณจ้ะ ทำใจนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 13 ☆ [30-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-04-2018 00:53:52
 :mc4:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 13 ☆ [30-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 01-04-2018 17:36:42
กรี๊ดดดดด เขาคบกันแล้ว อิคนอ่านดีใจ ^^

เสียใจด้วยนะจอส ภูเป็นของกรรณจ้ะ ทำใจนะจ๊ะ

ตอนนี้ปล่อยให้ข้าวใหม่ปลามันเค้าสวีทกันไปก่อนซักตอนสองตอน เดี๋ยวอีน้องจอสค่อยกลับมา  :katai1:

ขอบคุณที่ติตดามนะครับ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 13 ☆ [30-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 01-04-2018 17:37:27
:mc4:


 :L1: :pig4: :L1:


ขอบคุณนะครับยังติดตามกันมาสม่ำเสมอตั้งแต่แรกเลย  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 13 ☆ [30-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 02-04-2018 13:29:32
Episode 14 part1


        “ขึ้นไปข้างบนดีกว่าไหม?”

        กรรณกระซิบถามข้างหูของภูขณะที่มือซึ่งโอบกอดผู้ถูกถามเอาไว้เริ่มลูบคลำสะเปะสะปะไปทั่วพื้นที่บนร่างกายเท่าที่จะเอื้อมไปถึง หากเป็นเมื่อหลายเดือนก่อน เด็กหนุ่มคงคิดว่ามันคงเป็นอีกความกำกวมชวนเข้าใจผิดที่อีกฝ่ายแสดงออกมา โดยเจตนาที่แท้จริงคือต้องการให้ขึ้นไปใช้ประตูฉุกเฉินกลับสู่บ้านตนเอง แต่ไม่ใช่สำหรับวันนี้ ในขณะนี้ หลังจากช่วงเวลาแห่งความเปิดเผยความในใจที่เพิ่งผ่านพ้นไป ภูมั่นใจ อาจจะมากที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ว่าครั้งนี้ตนเข้าใจนัยยะของมันได้อย่างถูกต้องแล้ว
   
        มือของทั้งสองเกาะกุมกันเอาไว้ไม่ปล่อยขณะที่กรรณออกเดินนำจูงมือภูขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน ตรงไปยังห้องนอนด้านในสุด เมื่อผลักประตูเปิดเข้าไปข้างใน บรรยากาศในห้องยังคงเหมือนเมื่อครั้งที่เด็กหนุ่มเคยมาเยือนเมื่อหลายเดือนก่อน จะมีเพิ่มขึ้นมาก็คือความรกของเสื้อผ้าที่วางไว้อย่างเกลื่อนกลาด รวมไปถึงอุปกรณ์การทำงานต่างๆที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโต๊ะและบริเวณโดยรอบ
   
        “โทษทีนะ รกไปหน่อย ไม่คิดว่าจะต้องพาใครขึ้นมาวันนี้” กรรณบอกพร้อมกับรีบเก็บกางเกงยีนตัวที่พาดอยู่ปลายเตียงแล้วโยนหลบไปไว้อีกมุม
   
        “ไม่เป็นไร ไม่ต่างกับห้องผมหรอก” ภูพยายามเดินเลี่ยงไม่ให้เผลอเตะกล่องอะไรบางอย่างที่วางอยู่ข้างเท้า
   
        “ปกติก็ไม่รกเท่านี้หรอก พอดีช่วงหัวค่ำมันหงุดหงิด คิดอะไรไม่ออก หยิบจับโน่นนี่ไปเรื่อย สุดท้ายก็เละไปหมด” กรรณกวาดของกระจุกกระจิกจำพวกปากกาและม้วนฟิล์มลงจากบนเตียงใส่เข้าไปในกล่องที่ภูเพิ่งเดินหลบมาเมื่อครู่
   
        “หงุดหงิดเรื่องอะไรครับ?” ภูแกล้งถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ
   
        “ยังจะมีหน้ามาถามอีก ดูเอาสิว่ากี่สายที่โทรไป” กรรณตอบเขินๆ “เป็นห่วงแทบตาย นึกว่าโดนใครเอาตัวไปแล้ว”
   
        เมื่ออีกฝ่ายพูดขึ้นมา ภูก็นึกย้อนไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น สิ่งที่ตนกำลังทำอยู่กับจอส ถึงจะพยายามบอกตัวเองด้วยเหตุผลที่ฟังดูดีแค่ไหน แต่เมื่อทุกอย่างมาลงเอยที่จุดนี้แล้วแน่นอนว่าความรู้สึกผิดย่อมเกิดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ ถึงแม้ตอนนี้จะสายเกินกลับไปแก้ไข แต่ภูก็ตั้งใจกับตนเองว่านั่นจะต้องเป็นครั้งสุดท้ายที่มันเกิดขึ้น เรื่องทั้งหมดต้องเป็นความลับตลอดไปต่อจากนี้
   
        “แล้วตกลงว่าหายไปไหนมาล่ะ?” กรรณวกกลับมาถามถึงสิ่งที่ภูยังติดค้างคำตอบตั้งแต่อยู่ชั้นล่าง
   
        “ก็…” ภูเลือกจะไม่โกหกทั้งหมด เพราะนั่นจะทำให้รู้สึกผิดเกินไป “ผมไปกับเพื่อนที่มาส่งบ้านวันนั้น”
   
        “เด็กแว้นนั่นน่ะเหรอ?” กรรณจำได้ “แล้วไปด้วยกันได้ยังไง?”
   
        “เค้ารถล้มมา ก็เลยพาไปทำแผล เย็บตั้งหลายเข็ม แล้วก็เลยไปนั่งเล่นบ้านเค้าต่อ” ภูเล่าแต่เลือกจะเว้นจุดที่อาจก่อให้เกิดปัญหาเอาไว้ “เผอิญเล่นเกมกันติดลมไปหน่อย ก็เลยกลับมาดึก”
   
        “แน่ใจนะว่าแค่เล่นเกมกัน?” กรรณเข้ามาประชิดภูและดันให้นั่งลงบนขอบเตียง
   
        “ก็แค่นั้นแหละ ที่ไม่กล้าบอกตอนแรกก็เห็นพี่กำลังโมโห เลยพูดแบบที่น่าจะเข้าใจได้ง่ายสุดไปดีกว่า” ภูละอายนิดหน่อยที่การโกหกเริ่มสมจริงขึ้นทีละน้อย
   
        “ช่างมันเถอะ ยังไงนายก็กลับมาแล้ว” กรรณก้มลงจูบเบาๆที่หน้าผากของภู “ต่อไปห้ามทำแบบนี้อีกเข้าใจรึเปล่า?”
   
        ภูพยักหน้า กรรณยิ้มออกมาอย่างพอใจกับความว่านอนสอนง่ายก่อนจะนั่งลงข้างๆเด็กหนุ่มบนขอบเตียง ช่วงเวลาแห่งความเคอะเขินกลับมาอีกครั้ง และเหมือนจะทวีความรุนแรงยิ่งกว่าที่เคยผ่านมา ด้วยครั้งนี้ทั้งสองต่างรู้อยู่เต็มอกว่าสิ่งใดกำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ แม้จะเฝ้ารอคอยมานานแต่ด้วยไร้ซึ่งประสบการณ์ภูจึงไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต่อจากจุดนี้เช่นไร เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจเริ่มจากก้าวเล็กๆที่ดูไม่กระเหี้ยนกระหือรือจนเกินไป ด้วยการค่อยๆยื่นปลายเท้าเข้าไปแตะปลายเท้าของอีกฝ่าย กรรณสะดุ้งแต่ไม่หลบ เขารั้งรอจนมั่นใจในเจตนาของสิ่งที่ภูกำลังทำอยู่แล้วจึงค่อยตอบสนองด้วยการขยับตอบเบาๆ ภูกระเถิบให้ร่างของตนและกรรณเข้าชิดใกล้กันมากกว่าเดิม จากนั้นก็ทำเหมือนเมื่อครั้งที่ยังมีกำแพงพี่น้องคั่นขวางระหว่างความสัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่ นั่นคือเอียงคอซบศรีษะลงบนไหล่ของอีกฝ่าย
   
        “เรื่องแบบนี้ เป็นเด็กเป็นเล็กอย่ามาเริ่มก่อนสิ” กรรณเสตามองไปทางอื่น ชัดเจนว่ากำลังขัดเขิน
   
        ภูไม่ตอบสนองประโยคนั้นด้วยคำพูดใดๆ เด็กหนุ่มเพียงแค่ปรับองศาของศรีษะที่เอียงซบอยู่ให้ใบหน้าหันเข้าหาต้นแขนของอีกฝ่ายก่อนจะใช้ปลายจมูกดุนสูดดมกลิ่นอายอันคุ้นเคยจากร่างกายของกรรณที่เฝ้าคิดถึงมาตลอด กลิ่นจางๆของสบู่ที่ติดอยู่บนผิวกาย กรรณสั่นสะท้านไปทั้งร่างอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆของเด็กหนุ่มที่รินรดต้นแขน เขายกแขนขึ้นโอบกอดเข้าที่เอวของภูก่อนที่ปลายนิ้วจะซอกซอนล่วงล้ำผ่านชายเสื้อที่สวมอยู่เข้าไปถึงในร่มผ้าและลูบไล้วนเวียนอยู่บนผิวหน้าท้อง สัมผัสแผ่วเบานั้นทำให้เส้นขนทั่วร่างพร้อมใจกันลุกชัน
   
        “แน่ใจแล้วเหรอว่าต้องการแบบนี้?” กรรณถาม
   
        “ครับ” ภูก้มพยักใบหน้าที่กำลังแดงก่ำ สำทับยืนยันถึงความยินยอมพร้อมใจขณะที่รู้สึกได้ว่ามือของอีกฝ่ายเริ่มไต่ระดับขึ้นสูงจนเกือบถึงแผ่นอกของตนแล้ว
   
        “หันหน้ามามองพี่สิ” กรรณสั่ง จนเมื่อเด็กหนุ่มยอมทำตามแล้วจึงเปลี่ยนจากคำสั่งมาเป็นคำขอ “จูบได้ใช่มั้ย?”
   
        ภูเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาแต่ยั้งไว้ได้ทัน ด้วยขบขันกับความคิดที่ว่าถึงขั้นนี้แล้วอีกฝ่ายจะยังต้องขออนุญาตใดๆอีก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นกรรณเองก็ดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจจะรอคำตอบมากนัก เพราะยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะได้พยักหน้าตอบ เขาก็ประคองใบหน้าอีกฝ่ายให้เชิดขึ้นและก้มลงประกบริมฝีปากของตนแนบเข้ามาแล้ว วินาทีแรกที่มันเกิดขึ้นภูยังคงไม่ทันตั้งตัว หากแต่ในวินาทีถัดมาเด็กหนุ่มก็ตอบสนองกลับด้วยการเผยอปากอ้ารับปลายลิ้นของอีกฝ่ายเข้ามาข้างในและโอบกอดต้อนรับด้วยลิ้นของตนเองอย่างดูดดื่ม กรรณออกแรงโน้มร่างกดให้ภูเอนนอนลงบนเตียงทั้งที่ปากของทั้งสองยังประกบกันแนบแน่น จนเมื่อเห็นเด็กหนุ่มลงไปนอนแผ่หราทั้งตัวแล้วเขาจึงถอนปากออกและลุกขึ้นยืนตัวตรงและถอดเสื้อที่ใส่อยู่ออก ภูจ้องมองร่างท่อนบนที่เพิ่งเผยตัวออกมาจากใต้ร่มผ้าของอีกฝ่าย มันคือร่างกายของชายหนุ่มที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว มีกล้ามเนื้อแข็งแรงพอประมาณตามแบบคนที่ออกกำลังกาย ไม่ได้วิจิตรสมบูรณ์แบบราวกับรูปปั้น หากแต่รับกันอย่างเหมาะเจาะกับใบหน้าหล่อเปี่ยมเสน่ห์นั้น
   
        กรรณโน้มตัวกลับลงมาหาภูที่นอนรออยู่บนเตียงอีกครั้ง ริมฝีปากมุ่งเข้าประกบยังที่เดิมซึ่งจากมาเมื่อครู่ ภูยกสองแขนขึ้นโอบกอดแผ่นหลังของอีกฝ่ายต้อนรับการกลับมาอย่างยินดี ริมฝีปากร้อนเร่านั้นเริ่มรุกคืบเปลี่ยนจากจุมพิตมาเป็นโลมเล้าซุกไซร้ลงมายังลำคอและไล่ต่ำลงมาเรื่อยๆ ร่างของกรรณค่อยๆขยับเดินทางอย่างเชื่องช้าจนในที่สุดก็มาหยุดที่ชายเสื้อของเด็กหนุ่ม  ก่อนที่มือข้างหนึ่งของเขาจะยกขึ้นมาเลิกเปิดมันขึ้นจนเห็นหน้าท้องแบนราบที่ถูกปกปิดเอาไว้ กรรณก้มลงจูบเบาๆเข้าที่สะดือซึ่งอยู่ตรงกึ่งกลางของมันก่อนจะใช้ปลายลิ้นลากไล้ไปตามแนวหน้าท้อง ภูสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ปากระงับเสียงครางต่ำที่หลุดรอดจากลำคอออกมาเอาไว้ไม่ทัน ใบหน้ายามนี้แดงก่ำไปด้วยเลือดที่สูบฉีดทั้งจากความเขินอายและกำหนัด กรรณดึงถอดเสื้อของภูออกโดยมีเจ้าตัวช่วยเหลือด้วยการชูแขนขึ้นจนหลุดออกไปโดยง่าย เขาโน้มตัวลงมาทับอีกครั้ง แผ่นอกร้อนแนบชิดติดกันเมื่อไร้ซึ่งอาภรณ์อันเป็นเครื่องกีดขวาง ภูรู้สึกถึงปลายจมูกโด่งสวยของอีกฝ่ายที่ไล้ไปตามแก้มลงมายังลำคอและซุกไซร้ดอมดมอยู่ใต้ไรผม เช่นเดียวกับบางสิ่งที่ตื่นตัวเต็มที่แล้วซึ่งกำลังดุนดันอยู่บนหน้าขา ภูเอื้อมแขนยื่นไปเกี่ยวขอบกางเกงของอีกฝ่ายและดึงลงจากสะโพก แต่ยังไม่ทันสำเร็จ กรรณก็หยุดทุกอย่างและลุกออกไปเสียดื้อๆ ทิ้งให้ภูนอนค้างเติ่งอยู่บนเตียง
   
        “เดี๋ยวนะ…” ภูงงว่าเกิดอะไรขึ้นอีกกันแน่ หากประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยกับเหตุการณ์เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า ครั้งนี้ก็ต้องนับว่ามันยิ่งเลวร้ายลงไปอีกขั้นเพราะอย่างน้อยคราวก่อนภูก็ยังไม่โดนปลุกเร้าจนหมดท่าเช่นนี้ “คราวนี้อะไรอีก?”
   
        “พอแค่นี้ก่อนดีกว่า” กรรณยังหอบหายใจอยู่ บ่งบอกว่าเขาก็ต้องใช้ความพยายามในการหยุดตัวเองมากพอสมควร “รีบนอนเอาแรงเถอะ พรุ่งนี้นายต้องตื่นแต่เช้า อย่าลืมสิว่าพี่ช้างนัดเอาไว้ให้เข้าไปหาที่ออฟฟิศ”
   
        “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้อ่ะ ทำแล้วค่อยนอนก็ได้” ภูแทบคลั่งด้วยอารมณ์ที่ถูกปลุกพลุ่งพล่านแต่ไม่ได้ถูกระบายออก ความอึดอัดที่ตึงเครียดไปทั่วร่างทำให้เขาแทบจะดิ้นพล่านอยู่บนเตียง
   
        “เกี่ยวสิ ถ้าขืนทำตอนนี้ พรุ่งนี้นายไม่ต้องไปไหนแน่” ชายหนุ่มพูดพลางดึงขอบเอวกางเกงให้กลับขึ้นมาอยู่เหนือสะโพกตามเดิม
   
        “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ผมตื่นไหว เรื่องอดนอนผมถนัดมาก ขนาดนั่งปั่นงานส่งอาจารย์ทั้งคืนยังไปเรียนต่อไหวเลย” ภูยังดื้อ
   
        “มันไม่ใช่แค่เรื่องอดนอนน่ะสิ” กรรณแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากคล้ายจะเก็บกวาดกลิ่นอายจากร่างกายภูที่ติดอยู่ให้หมด “มันเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บทางร่างกายด้วย”
   
        “ยังไง?” ภูยังไม่เข้าใจ
   
        “ต้องให้พูดชัดๆหรือไง นี่ก็อายเป็นนะ” กรรณอยากเขกหัวเด็กหนุ่มตรงหน้าใจจะขาด แต่เขาเลือกจะเปลี่ยนการกระทำนั้นมาเป็นการยื่นมือเข้าไปจับที่บั้นท้ายของภูแทน “ถ้ายังไม่เคยมาก่อน ตรงนี้มันจะเจ็บ”
   
        “โธ่ ไม่สนแล้ว!” ภูดิ้นปั๊ดๆ เหมือนเด็กโดนขัดใจ
   
        “เอาน่า ยังไงพรุ่งนี้ก็มีเวลาเหลือเฟือ เสร็จธุระทุกอย่างแล้วค่อยมาเริ่มกันใหม่ก็ได้” กรรณนั่งลงและยื่นมือมาลูบหัวเด็กหนุ่มที่กำลังงุ่นง่านจนหงุดหงิด การกระทำคล้ายจะปลอบโยนหากแต่สีหน้าก็แฝงด้วยเลศนัย “จะช้าจะเร็วยังไงก็ค่าเท่ากัน มาถึงขนาดนี้ยังไงนายก็ต้องเสร็จพี่อยู่แล้วล่ะ”
   
        “ไม่รู้ล่ะ ไม่ทำแล้ว” ภูหันหน้าหนี แม้จะเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายแต่ก็ยังรู้สึกเสียหน้าอยู่ดี
   
        “มาๆ นอนกันเถอะ” กรรณเอนลงนอนและสอดแขนกอดแนบร่างประกบภูจากข้างหลัง ปลายจมูกซุกลงที่ต้นคอของเด็กหนุ่มและสูดดมเบาๆ “คืนนี้ให้พี่นอนกอดให้สมกับที่รอมานานหน่อยเถอะนะ”   
   
        ภูหยุดอาการฮึดฮัดฟาดงวงฟาดงาที่กำลังเป็นอยู่ ประโยคสุดท้ายของกรรณทำให้เด็กหนุ่มระลึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายเฝ้ารอวันนี้มานานกว่าตนมาก เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็พาลให้เกิดละอายที่ทำตัวเหมือนพวกหิวโหยเนื้อหนังมังสาจนหน้ามืด ในยามนี้เมื่อเพลิงกำหนัดเริ่มมอดดับลง ประสาทรับรู้ของเด็กหนุ่มก็ตอบสนองกับสิ่งเร้ารอบกายในรูปแบบที่ต่างออกไปจากเดิม อ้อมกอดของกรรณที่โอบอยู่รอบตัวในยามนี้ไม่ได้ร้อนเร่าชวนโหยหาเหมือนเมื่ออึดใจก่อน แต่กลับอบอุ่นและพาให้รู้สึกปลอดภัย ลมหายใจอุ่นชื้นที่ไหลรดต้นคอไม่ได้ทำให้ใจเต้นแรงด้วยความพลุ่งพล่านอีกต่อไป หากแต่กลับเป็นดั่งสัญญาณให้อุ่นใจว่ายังมีใครบางคนคอยอยู่ข้างกาย ความตึงเครียดเกร็งเขม็งและความหงุดหงิดจากอารมณ์ที่ค้างเติ่งจางหายไปราวกับหมอกยามเช้าต้องแสงอาทิตย์ ภูปล่อยกายปล่อยใจนอนนิ่งทำตัวเป็นเหมือนหมอนข้างให้กรรณกอดตามคำขอ  ให้เขาได้ดื่มด่ำกับวันเวลาที่รอคอยมานานนี้จนกระทั่งต่างฝ่ายต่างก็ผล็อยหลับไป
   
        วันรุ่งขึ้นทั้งสองตื่นขึ้นมาพร้อมกันเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือของกรรณดังขึ้น สายเรียกเข้าจากพี่ช้างซึ่งถ้านับรวมกับที่โทรเข้าเครื่องของภูแต่เด็กหนุ่มไม่รู้ตัวเพราะปิดเสียงเอาไว้ด้วยก็ร่วมสิบสาย กรรณรีบทำภาษามือบุ้ยใบ้ให้ภูกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยที่บ้านของตนเองในขณะที่เขากำลังรับสายพี่ช้างและคุยถ่วงเวลาหาข้ออ้างการไปสายเอาไว้ให้ เด็กหนุ่มรีบกลับเข้าบ้านทางหน้าต่างห้องนอนและจัดการกับตัวเองแบบลวกๆจนเสร็จในเวลาเพียงสิบห้านาทีก่อนจะลงมาชั้นล่างเพื่อออกไปพบกับกรรณที่มารออยู่หน้าบ้านแล้ว
   
        “หัวก็ไม่เช็ด เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำเลย” กรรณใช้มือยีเส้นผมบนศรีษะภูที่ยังคงเปียกจนมีหยดน้ำเกาะอยู่
   
        “ก็รีบนี่นา” ภูแก้ตัว “เดี๋ยวนั่งรถไปถึงก็แห้งพอดีแหละครับ”
   
        “ก็ทำตัวให้มันดูดีหน่อยไปเจอพี่เค้าทั้งที” กรรณลูบจัดทรงผมของภูให้เรียบเข้าที่
   
        “เอาไว้วันที่ไม่รีบก็แล้วกัน” ภูทำท่าว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยอะไรไม่ได้
   
        “แต่แบบนี้ก็ดีนะ” เมื่อมองดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น กรรณก็โอบเอวภูเอาไว้ขณะเดินออกไปด้วย “ดูดีมากคนก็มองมากตาม”
   
        “หวงเหรอ?” ภูแอบยิ้ม
   
        “ก็หวงอยู่ตลอดนั่นแหละ แต่เพิ่งแสดงออกได้” กรรณโอบเอวภูแน่นกว่าเดิม ก่อนจะปล่อยมือออกเมื่อเห็นรถจักรยานยนต์ที่วิ่งสวนเข้ามาในซอย “ตอนยังไม่เป็นอะไรกัน ใครจะกล้าไปหวงออกหน้าออกตาเหมือนที่นายทำ”
   
        “หือ…” ภูมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความสงสัยว่าตนไปทำอะไรแบบนั้นตอนไหน
   
        “คนอะไรหึงกระทั่งเพื่อนตัวเอง” กรรณพูดถึงเรื่องวันที่เขาไปรับภูจากมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก
   
        “เงียบไปเลยไป” ภูเอาศอกยันถองสีข้างกรรณ เรื่องคราวนั้นเมื่อนึกขึ้นมาครั้งใดก็ยังน่าอับอายไม่น้อยลงแม้แต่นิด
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 13 ☆ [30-Mar-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 02-04-2018 13:32:56
Episode 14 part2

        กว่าที่ทั้งสองคนจะเดินทางมาถึงออฟฟิศของพี่ช้าง ก็เลยเวลานัดเดิมไปเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว สไตลิสต์คนดังผู้ซึ่งตอนนี้รับหน้าที่เสริมเป็นผู้จัดการส่วนตัวของภูยืนกอดอกหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ในห้องทำงานส่วนตัว ขณะที่ทั้งสองเปิดประตูเข้าไปลางสังหรณ์บางอย่างก็บอกกับพี่ช้างว่าวันนี้การมาสายของภูจะไม่ใช่แค่เรื่องเดียวที่จะทำให้เขาต้องอารมณ์เสียในวันนี้
   
        “กว่าจะเสด็จยุรยาตรโผล่มาถึงกันได้นะพ่อคุณ” พี่ช้างบ่นด้วยน้ำเสียงและสำเนียงการพูดอันเป็นเอกลักษณ์แบบที่ใช้ในรายการโทรทัศน์ของตน “แล้วนัดแค่คนเดียว เจ้านี่ตามมาทำไมล่ะ วันนี้ว่างงานเหรอพ่อตากล้อง”
   
        “มาเป็นเพื่อนแฟนครับ” กรรณโอบเอวภูโชว์ให้พี่ช้างดูเพื่อบอกเป็นนัยว่ากฎที่วางไว้ได้ถูกแหกไปเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อเห็นสายตาดุๆของรุ่นพี่ที่จ้องกลับมา เขาก็รีบหดมือกลับแล้วนั่งยิ้มหน้าเจื่อนยอมรับความผิด
   
        “เรียบร้อยไปแล้วสิท่า” พี่ช้างส่ายหน้าเบื่อหน่าย “อุตส่าห์ขอเอาไว้แล้วเชียวนะ”
   
        “ขอโทษครับ พอดีสถานการณ์มันพาไป” กรรณยกมือไหว้ประหลกๆ
   
        “เพราะผมเองครับ พี่กรรณเค้าทำตามที่พี่ขอไว้ทุกอย่างแล้ว ผมเป็นคนบีบให้เค้าพูดความจริงออกมาเอง” ภูแสดงความรับผิดชอบ
   
        “เออ ช่างมันเถอะ ก็แค่ต่อจากนี้มันก็อยู่ยากขึ้นนิดหน่อย” พี่ช้างโบกมือทำท่าว่าเลยตามเลย “เอาเป็นว่าก็คบกันแบบลับๆหน่อยก็แล้วกัน อย่าเพิ่งเฮี้ยนไปสวีทกันเปิดเผย สังคมบ้านเราสมัยนี้ถึงจะเปิดกว้างกว่าเมื่อก่อน แต่พวกจิตใจคับแคบก็ยังมีเยอะอยู่ดี”
   
        “คงไม่มีใครมาสนใจเรื่องผมหรอกมั้งครับ” ภูคิดเช่นนั้น “ถ้าไม่ใช่พวกกลุ่มแฟนคลับแล้ว คนส่วนมากก็แค่จำหน้าผมได้ เค้าคงไม่มาสนใจถึงขนาดว่าผมจะคบอะไรกับใครหรอก”
   
        “ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ก็คงใช่ แต่ต่อจากนี้ไปน่ะ ไม่แน่…” พี่ช้างเอี้ยวตัวไปหยิบซองเอกสารจากด้านหลังมาส่งให้ภู บนซองนั้นมีตราสัญลักษณ์ของช่องสถานีโทรทัศน์เจ้าใหญ่ของประเทศแปะหราอยู่ “ผู้ใหญ่ของทางช่องสามเค้าติดต่อมาหาพี่ อยากให้พาเธอเข้าไปคุยเรื่องเซ็นสัญญาเข้าเป็นนักแสดงในสังกัดช่อง”
   
        มือที่กำลังจะยื่นไปหยิบซองเอกสารนั้นหยุดชะงักทันที ภูรู้สึกเหมือนมีน้ำแข็งกำลังค่อยๆเกาะบนปลายเท้าและไล่ขึ้นมาตามร่างกายจนชาไปทั้งตัว สำหรับคนที่รู้ตัวเองดีว่าไร้พรสวรรค์ทางด้านการแสดงชนิดขุนไม่ขึ้นเช่นเขาแล้ว สิ่งนี้เป็นเหมือนจดหมายเชิญไปลงนรกโดยแท้ เด็กหนุ่มยกมือขึ้นทำท่าเป็นสัญญาณว่าขอเวลานอกสักครู่ ก่อนจะจูงแขนกรรณลากออกไปนอกห้องทำงานของพี่ช้างในทันที จนเมื่อหลบมาอยู่ตรงส่วนของบันไดทางหนีไฟแล้วทั้งคู่จึงค่อยเริ่มปรึกษาหาทางออกสำหรับสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะฉุกเฉินขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วนนี้
   
        “พี่กรรณ ไม่เอานะ แบบนี้ไม่เอานะ” ภูส่ายหัวยืนยันคำพูดตัวเอง “แค่จ๊อบเล็กๆน้อยๆ ถ่ายงานทั่วไป ผมพอไหว แต่ให้ไปเข้าสังกัด ให้ไปเล่นละครอะไรแบบนี้ ไม่เอานะ ไม่ไหวจริงๆ”
   
        “ยังไม่ทันลองเลย จะรู้ได้ยังไง ดูถูกตัวเองเกินไปนะ” กรรณพยายามปลุกใจ “ทางช่องเค้าก็มีทีมงานคอยดูแล มีครูเก่งๆเทรนให้ มืออาชีพทั้งนั้น ค่อยๆทำไปเดี๋ยวก็คล่องเองนั่นแหละ ของแบบนี้ไม่มีใครเป็นมาแต่เกิดหรอก”
   
        “แค่บทพูดในโฆษณาสองประโยคผมยังฟาดไปยี่สิบเทคเลย” ภูยกสถิติอันน่าอัปยศอดสูของตัวเองออกมาเป็นตัวอย่างอ้างอิง การรู้ตัวว่าเป็นต้นเหตุทำให้งานต้องล่าช้าส่งผลให้ต้องแบกรับความกดดันเกิดขึ้นอย่างมหาศาล เด็กหนุ่มไม่อยากจะต้องเจออะไรที่เป็นขั้นกว่าของมันในงานที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มีผู้ร่วมงานมากขึ้นอย่างเช่นกองถ่ายละคร “ไม่เอาอ่ะ ผมไม่ได้เกิดมาเพื่องานแบบนั้นจริงๆ ผมรู้ตัวดี”
   
        “ลองดูก่อน ลองสักตั้ง ถ้าถึงที่สุดแล้วไม่ไหวจริงๆ ถึงตอนนั้นนายจะเลิก พี่ก็ไม่ขวางแล้ว” กรรณพยายามเกลี้ยกล่อมภูให้ยอมเปิดใจให้โอกาสตัวเอง “โอกาสแบบนี้ คนอื่นดิ้นรนแทบตายยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา แต่นายอยู่เฉยๆก็ได้มันมายื่นจ่ออยู่ตรงหน้าเลยนะ แล้วจะปล่อยทิ้งไปให้เสียเปล่างั้นเหรอ?”
   
        “มันก็จริง แต่ว่า…” ภูเริ่มเอนเอียงไปกับคำพูดของกรรณ แต่อีกใจก็ยังกลัว “ยังไงก็กลัวอยู่ดีอ่ะ… ถ้าเซ็นสัญญาไปแล้วเค้าให้ทำอะไรก็ต้องทำ มันเลือกเอาแค่เราถนัดไม่ได้แล้วนะพี่กรรณ”
   
        “พวกผู้ใหญ่เค้าคงมองออกนั่นแหละ ว่าใครเหมาะกับอะไรถึงส่งไป พี่จะไม่โกหกเพื่อให้นายสบายใจแค่ตอนนี้หรอกนะว่าทุกอย่างมันจะง่ายจะดีไปหมด เพราะมันต้องยากแน่ๆอยู่แล้วกับการเข้าไปในฐานะเด็กฝึกหัดหรือพวกมือใหม่ ไม่ใช่แค่กับเรื่องนี้หรอก แต่กับทุกวงการเลย” กรรณดึงภูเข้ามากอดไว้แนบอก “แต่พี่รู้ว่านายไม่ใช่คนยอมแพ้อะไรง่ายๆ และถ้านายตั้งใจจริงๆ ไม่ว่าจะอะไรนายก็ทำสำเร็จได้ทั้งนั้น ดูอย่างเมื่อก่อนที่นายยอมเริ่มรับงานถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณาเพราะอยากให้เราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นสิ แล้วดูนายตอนนี้ จากเด็กที่โพสท่าถ่ายรูปยังไม่เป็น ตอนนี้กลายเป็นคนที่ถูกช่องทาบทามเข้าสังกัดไปแล้ว แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป เราคบกันแล้ว พี่จะไม่ใช่เป้าหมายในความพยายามของนายอีกต่อไป ครั้งนี้พี่อยากให้นายใช้ความพยายามนั้นทำเพื่ออนาคตตัวเอง มันอาจจะต้องเหนื่อยมากต่อจากนี้ แต่นายมีพี่อยู่ตรงนี้คอยเอาใจช่วย เป็นกำลังใจให้อยู่เสมอนะ”
   
        แท้จริงแล้วไม่จำเป็นเลยที่จะต้องให้กรรณพูดถึงขนาดนี้ ขอเพียงแค่อีกฝ่ายพูดมาสั้นๆว่าต้องการให้ทำ ภูก็มีแต่จะยินยอมเหมือนทุกครั้งเพื่อให้เขาพอใจ หากแต่นอกจากเรื่องนั้นแล้วการยอมตกลงในครั้งนี้ภูยังมีอีกหนึ่งความตั้งใจที่จะมอบบางสิ่งให้กับคนรักหมาดๆของตน ด้วยเหตุที่ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมากรรณเป็นฝ่ายช่วยเหลือภูในเรื่องของโอกาสในการเข้าถึงงานต่างๆ โดยเฉพาะก้าวที่ใหญ่ที่สุดอย่างเช่นการพาเขามาฝากตัวเข้าอยู่ในการดูแลของพี่ช้าง ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะไม่ได้มีความทะเยอทะยานในการเป็นคนดัง แต่ก็ต้องยอมรับว่าการได้มาอยู่ในจุดนี้ก็ช่วยให้อะไรหลายอย่างในชีวิตง่ายขึ้นมากทีเดียว และต่อจากนี้หากเขาจะได้ขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงขึ้น บางทีต่อไปเขาอาจจะเป็นฝ่ายช่วยเหลือกรรณได้บ้าง เพื่อให้อีกฝ่ายไม่ต้องโหมงานหนักอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้กับการต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาพยาบาลผู้เป็นแม่
   
        ทั้งสองกลับเข้ามาในห้องทำงานของพี่ช้างอีกครั้ง ภูตกลงรับข้อเสนอพร้อมกับนัดหมายวันที่จะเข้าไปเซ็นสัญญากับทางช่อง พี่ช้างมอบหน้าที่การถ่ายรูปทำโปรไฟล์ของภูนับจากนี้ไปให้กับกรรณ ซึ่งก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในสายตาของภูเช่นกัน เนื่องจากเด็กหนุ่มมั่นใจว่าในโลกนี้คงไม่มีใครที่จะถ่ายทอดตัวตนของเขาออกมาได้ดีเท่ากับตากล้องผู้นี้อีกแล้ว
   
        หลังจากเสร็จธุระในส่วนของภูแล้ว กรรณยังคงมีงานต้องไปทำต่อในช่วงบ่าย ซึ่งเด็กหนุ่มก็ติดสอยห้อยตามไปด้วยตามประสาข้าวใหม่ปลามันตัวห่างกันไม่ได้ งานในวันนี้เป็นการถ่ายภาพแฟชั่นเอาท์ดอร์ของนิตยสารออนไลน์ กรรณจึงให้ภูนั่งรอที่จุดสแตนบายสำหรับทีมงานในขณะที่ตนเองออกไปลุยอยู่ข้างนอก ระหว่างนั้นทีมงานหญิงคนหนึ่งซึ่งจำภูได้จากงานโฆษณาที่เคยผ่านมาก็เข้ามาทักพร้อมกับขอถ่ายรูปคู่เป็นที่ระลึก เด็กหนุ่มตกลงพร้อมกับใช้ยุทธวิธีที่ฝึกมากับส้มและพิมผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มแฟนคลับเพื่อรับมือกับสภาวะทำตัวไม่ถูกขณะโดนขอถ่ายรูปโดยเฉพาะนั่นคือการฉีกยิ้มกว้างๆเข้าไว้ เพื่อให้รูปที่ออกมาดูเป็นมิตรมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

        เมื่อมีคนหนึ่งเริ่มเป็นเหมือนหน่วยกล้าตาย ทีมงานคนอื่นที่ยังกล้าๆกลัวๆลังเลอยู่ในตอนแรกก็กรูกันเข้ามาต่อเป็นคิวถัดไป ภูฉีกยิ้มจนเหนื่อย รู้สึกเหมือนแก้มกำลังจะเป็นตะคริว ในใจนึกสงสัยว่าบรรดาคนมีชื่อเสียงคนอื่นเค้าต้องใช้ความพยายามกับเรื่องแบบนี้มากเหมือนตนหรือไม่ เพราะสำหรับภูแล้วนี่ถือเป็นภาระที่หนักหน่วงเลยทีเดียว และยังเป็นเรื่องที่ทำให้เขาเป็นกังวลกับอนาคตต่อจากนี้ด้วย จะเป็นอย่างไรในวันที่ทุกอย่างในชีวิตก้าวขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงขึ้น มีคนรู้จักมากกว่านี้ ความเป็นส่วนตัวเหมือนกำลังจะถูกลิดรอนออกไปจากชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆในทุกลมหายใจเข้าออก เช่นเดียวกับเวลาว่างที่จะใช้ชีวิตตามใจอยากซึ่งกลายเป็นของหายากและขาดแคลน ภูจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าครั้งสุดท้ายที่ได้ไปนั่งดื่มสังสรรค์ที่ร้านประจำอย่างเป็นส่วนตัวกับเพื่อนคือเมื่อไหร่ 
   
        เมื่อได้รูปที่พอใจแล้วบรรดาหญิงสาวทีมงานก็พากันแยกย้ายจากไปและอัพโหลดรูปที่เพิ่งถ่ายลงโซเชียลของตนกันทันที ภูรู้ได้จากการแจ้งเตือนการถูกแท๊กในภาพของแอพโซเชียลที่ดังขึ้นรัวๆ เมื่อกลับมาอยู่ตามลำพังอีกครั้งภูก็มองออกไปยังแฟนหนุ่มคนแรกในชีวิตของตนที่กำลังทำงานอย่างขึงขังอยู่ท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้าของยามบ่าย กรรณส่งเสียงและทำมือให้สัญญาณกับกลุ่มนางแบบที่โพสอยู่ให้ปรับเปลี่ยนท่าทางไปเรื่อยๆในขณะที่ตนรัวกดชัตเตอร์เก็บภาพ แม้สภาพอากาศจะร้อนอบอ้าวจนทำให้ใบหน้าของช่างภาพหนุ่มเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อที่ไหลย้อยบวกกับน้ำมันที่ขับออกจากผิวจนเป็นมันวาว หากทว่าสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้ลดทอนความหล่อเหลาของใบหน้านั้นลงเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่มองจากตรงนี้ภูยังแทบรู้สึกเหมือนตกอยู่ในภวังค์แห่งความหลงใหล และแน่นอนว่าไม่ใช่เพียงแค่เด็กหนุ่มที่รู้สึกเช่นนั้น เมื่อภูมองออกไปอย่างพินิจพิเคราะห์ ก็พบว่านางแบบคนหนึ่งในกลุ่มก็มีท่าทีที่แสดงออกว่ากำลังจิตใจหวั่นไหวกับตากล้องหนุ่มผู้ร่วมงานของตนอย่างชัดเจน สังเกตได้จากอาการเขินอายจนหน้าแดงและสายตาที่มองตามจนคล้อยหลังเมื่อกรรณเข้าไปจัดท่าให้แบบถึงเนื้อถึงตัวหลังจากที่แค่ตะโกนสั่งแล้วไม่ได้ดั่งใจ เมื่อได้เห็นตำตาเช่นนี้แล้วความหึงหวงก็เกิดขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ หากแต่เมื่อเห็นกรรณซึ่งมองกลับมาทางตนและโบกมือให้พร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ความยินดีจากการตระหนักได้ว่าตนเป็นคนสำคัญเพียงหนึ่งเดียวของอีกฝ่ายก็เข้ามาบดบังจนความขุ่นเคืองเมื่อครู่นั้นหายไปได้ในพริบตา 
   
        ช่วงเวลาแห่งการชื่นชมแฟนถูกขัดจังหวะโดยเสียงเรียกเข้าที่ดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ ภูหยิบออกมาและพบเบอร์ที่ไม่คุ้นตาปรากฏอยู่บนหน้าจอ เด็กหนุ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะรับดีหรือไม่ ก่อนจะตัดสินใจกดรับสาย
   
        “สวัสดีครับ” ภูทักทายอย่างเป็นทางการ เผื่อว่าปลายสายจะเป็นเรื่องงานติดต่อมา
   
        “ฮัลโหล นายกระรอก” เสียงเจื้อยแจ้วอันคุ้นหูดังตอบกลับมา พร้อมกับชื่อใหม่ของภูที่มีคนเดียวเท่านั้นที่จะเรียก แต่ทว่าเด็กหนุ่มก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นจอสด้วยคิดว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะรู้หมายเลขโทรศัพท์ของตน จนกระทั่งได้ยินประโยคถัดไปจึงช่วยยืนยันตัวตนของบุคคลปลายสายได้อย่างชัดเจน “โดนจูบแล้วหนีหายไปเลยนะ”
   
        “หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้…” ภูทำเสียงเป็นระบบตอบรับอัตโนมัติ
   
        “อ่ะฮะ สายเกินไปที่จะแหลแล้ว” จอสไม่หลงกล “นายอยู่ไหนเนี่ย จอสมาหานายที่บ้าน แม่บอกนายออกไปข้างนอกแต่เช้าแล้ว”
   
        “แล้วนายไปหาเราที่บ้านทำไมไม่ทราบ?” ภูพอจะคาดเดาได้แล้วว่าอีกฝ่ายได้เบอร์โทรของตนมาจากไหน จอสคงขอจากแม่หลังจากบุกไปหาถึงบ้านแล้วไม่เจอ “ก็บอกแล้วว่าวันนี้เรามีนัดงานตอนเช้า”
   
        “ก็นึกว่าป่านนี้น่าจะเสร็จแล้วนี่นา ว่าจะชวนไปหาอะไรกิน หิวมากเลยอ่ะ ตื่นมาตั้งแต่เที่ยงยังไม่ได้กินอะไรเลย ไปด้วยกันหน่อย จอสหิววว ” จอสทำเสียงอ้อน
   
        “ไม่ว่างน่ะสิ” ภูทำใจแข็งปฏิเสธไป ด้วยตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะต้องหยุดทุกอย่าง “ไว้วันหลังก็แล้วกัน”
   
        “วันนี้แหละ อยู่ไหนเดี๋ยวไปรับ” จอสยังตื้อไม่เลิก
   
        “ก็บอกว่าไม่ว่างไง แค่นี้ก่อนนะ” ภูรีบตัดบทเมื่อเห็นกรรณที่เพิ่งเสร็จงานกำลังเดินตรงกลับมายังจุดที่ตนนั่งอยู่ โทรศัพท์สั่นอีกหนึ่งครั้งสั้นๆ เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็พบข้อความยาวเหยียดจากจอสที่ส่งมาโวยวายหลังจากโดนตัดสายใส่
   
        “ใครโทรมาเหรอ?” กรรณถามขณะเดินกลับเข้ามาในเต็นท์ผ้าใบ
   
        “โทรผิดอ่ะครับ” ภูโกหก พร้อมกับยัดโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋ากางเกงไป
   
        งานของกรรณในวันนี้จบลงเมื่อแสงธรรมชาติหมดไปตามเวลาที่ล่วงเข้าสู่ยามเย็น ช่างภาพหนุ่มเก็บกล้องและอุปกรณ์อันเป็นของตนเข้ากระเป๋าและพาภูปลีกตัวออกมาจากกองถ่ายทำ ระหว่างทางกลับบ้านกรรณดูอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งก็เป็นอาการตอบสนองที่ไม่น่าแปลกใจหลังจากการทำงานอย่างท้าแดดท้าลมร่วมสามชั่วโมงเต็มๆในวันนี้ ความเหนื่อยทำให้ชายหนุ่มถึงกับงีบหลับไปโดยไม่รู้ตัวขณะที่การจราจรหยุดนิ่งอยู่บนถนนอันคับคั่งไปด้วยรถราตามปกติวิสัยของช่วงเวลาเลิกงาน จนกระทั่งมาตื่นอีกครั้งเมื่อถูกภูเขย่าแขนปลุกตอนที่รถแท๊กซี่วิ่งมาจอดยังหน้าบ้านแล้ว
   
        ระหว่างที่กรรณขอตัวเอาของไปเก็บและเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านของตนเองนั้น ภูก็เฝ้ารอการกลับมาของอีกฝ่ายอย่างกระวนกระวายอยู่ที่โต๊ะอาหารในบ้านขณะที่ช่วยแม่จัดอาหารขึ้นโต๊ะ เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่ทั้งสองกลับมาถึงแต่ก็ยังไร้วี่แววว่ากรรณจะเข้ามาที่นี่ เด็กหนุ่มเริ่มเป็นกังวลว่าอีกฝ่ายจะเหนื่อยเพลียเสียจนลืมสัญญาทุกอย่างที่พูดเอาไว้เมื่อคืน หรือที่เลวร้ายที่สุดก็คือไม่ลืมแต่กำลังพยายามหาทางหลบเลี่ยง แต่ในขณะที่ความฟุ้งซ่านกำลังจะสั่งการให้ภูบุกเข้าไปหากรรณที่บ้านด้วยตัวเองนั้น อีกฝ่ายก็ปรากฏตัวขึ้นพอดี กรรณเปิดประตูรั้วที่ไม่ได้ล๊อคและเดินเข้ามาในบ้านของภูด้วยสีหน้าที่สดชื่นขึ้นกว่าตอนลงจากรถราวกับเป็นคนละคน กลิ่นหอมของสบู่ที่โชยมาจากร่างกายบ่งบอกให้รู้ว่าชายหนุ่มเพิ่งผ่านการอาบน้ำชำระล้างร่างกายมาหมาดๆ ซึ่งนั่นคงเป็นสาเหตุว่าทำไมจึงใช้เวลานานนักกว่าจะมาถึง
   
        ระหว่างมื้อค่ำ ขณะที่กรรณกำลังทานอาหารพร้อมกับพูดคุยเล่าเรื่องการทำงานในวันนี้ให้ทั้งพ่อและแม่ของภูฟังอย่างสนุกสนานนั้น เด็กหนุ่มปล่อยอาหารในจานตัวเองให้เย็นชืด ภูเพียงแค่ใช้ช้อนส้อมเขี่ยพวกมันไปมาขณะที่สายตาจับจ้องดูชายผู้ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตน ใจนึกสงสัยในท่าทีอันแสนจะผ่อนคลายและดูเป็นปกติอย่างที่สุดของกรรณ พลางตั้งคำถามกับตัวเองว่าอีกฝ่ายได้ลืมสัญญาเรื่องคืนนี้ไปแล้วหรือไม่ ทว่าเพียงไม่กี่นาทีต่อจากนั้นเด็กหนุ่มก็ได้พบกับคำตอบเมื่อจู่ๆก็รู้สึกได้ถึงเท้าเปลือยอุ่นๆข้างหนึ่งที่ยื่นเข้ามาแตะเข้าที่ปลายเท้าของตน
   
        เท้านั้นเริ่มจากแตะเบาๆดั่งว่าจะหยั่งเชิง จนเมื่อรู้แน่ว่าเท้าของเด็กหนุ่มไม่หลบหลีกหนีจึงได้รุกคืบขยับทำการประเล้าประโลม ปีนป่ายถูไถไปมาเบาๆด้วยสัมผัสอันแสนจะอ่อนโยนแต่ก็แฝงไปด้วยความเย้ายวน ภูมองไปทางกรรณอีกครั้ง เขายังคงพูดคุยกับพ่อแม่ของภูราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สีหน้ายิ้มแย้มเหมือนไม่รู้สึกรู้สาถึงการปลุกเร้าอย่างซึ่งหน้าที่ตนเองกำลังกระทำต่ออีกฝ่ายอยู่ใต้โต๊ะ กระทั่งเมื่อเขาชายตามองมาทางภู กรรณเพียงแค่เผยอยิ้มที่มุมปากเพียงน้อยๆ เป็นยิ้มที่ไม่เปิดเผยมากพอจะให้คนอื่นสังเกตเห็น และมีเพียงภูเท่านั้นที่จะสามารถเข้าใจในความหมายของมัน
   
        มันคือรอยยิ้มของชายที่กำลังมองสิ่งที่ตนกำลังจะได้ครอบครองในไม่ช้า
   
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 14 ☆ [2-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-04-2018 14:26:14
 :pig4: :pig4: :pig4:

เขาจะได้กัน ๆ  แล้ว
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 14 ☆ [2-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 02-04-2018 15:13:18
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 14 ☆ [2-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 02-04-2018 16:02:05
เอาแร้ววววว
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 14 ☆ [2-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-04-2018 16:12:10
 :z1:


 :L1: :pig4: :L1:

 o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 14 ☆ [2-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 02-04-2018 18:25:52
เอ เค้าส่งซิกอะไรกันนะ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 14 ☆ [2-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 02-04-2018 21:29:38
ซายนึลโบเน ซิกแนลโบเน :hao6:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 14 ☆ [2-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 03-04-2018 00:33:01
ชอบครับ

กดโหวต +1 ให้ครับ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 14 ☆ [2-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 03-04-2018 01:06:28
น้องภูกำลังจะถูกพี่กรรณจับกินแล้ว  :hao6:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 14 ☆ [2-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 03-04-2018 06:27:26
อร๊ายย เขิน >///<
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 14 ☆ [2-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 04-04-2018 10:37:46
:pig4: :pig4: :pig4:

เขาจะได้กัน ๆ  แล้ว

ตอนหน้าไม่รอดแน่ๆ  :hao6:

ขอบคุณที่ติดตามมาตลอดนะครับ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 14 ☆ [2-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 04-04-2018 10:38:19
ขอบคุณค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 14 ☆ [2-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 04-04-2018 10:39:22
เอาแร้ววววว

ตอนหน้า ไม่รอดแน่นอน  :hao6:

ขอบคุณที่ติดตามมาตลอดนะครับ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 14 ☆ [2-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 04-04-2018 10:40:07
:z1:


 :L1: :pig4: :L1:

 o13

ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดเลยนะครับ  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 14 ☆ [2-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 04-04-2018 10:41:07
เอ เค้าส่งซิกอะไรกันนะ

สัญญาณว่ากำลังจะโดนเชือด  :hao6:

ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดนะครับ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 14 ☆ [2-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 04-04-2018 10:42:32
ซายนึลโบเน ซิกแนลโบเน :hao6:

ส่งสัญญาณให้แบบนี้ ต้องมีการทำร้ายร่างกายกันแน่นอน  :hao6:

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 14 ☆ [2-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 04-04-2018 10:43:37
ชอบครับ

กดโหวต +1 ให้ครับ

ดีใจที่ได้ยินคนอ่านบอกว่าชอบครับ   :hao5:

ขอบคุณนะครับ ที่ติดตาม  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 14 ☆ [2-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 04-04-2018 10:44:40
น้องภูกำลังจะถูกพี่กรรณจับกินแล้ว  :hao6:

จะกินพอมั้ย เนื้อไม่ค่อยเยอะด้วย  :hao6:

ขอบคุณที่ติดตามมาตลอดเลยนะครับ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 14 ☆ [2-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 04-04-2018 10:45:45
อร๊ายย เขิน >///<

ตอนหน้ามีเขินหนักกว่านี้แน่นอน  :hao6:

ขอบคุณนะครับที่ติดตามกันมาตลอดเลย  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 14 ☆ [2-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 05-04-2018 18:22:25
Episode 15 part1

        หลังจากอาหารมื้อค่ำเสร็จสิ้น เมื่อช่วยแม่ของภูเก็บล้างจานชามจนหมดแล้วกรรณก็ขอตัวกลับบ้านโดยใช้ข้ออ้างว่ายังมีงานที่ต้องรีบจัดการให้เสร็จก่อนถึงกำหนดส่งในวันพรุ่งนี้ พ่อของภูถึงแม้จะออกอาการเซ็งที่ขาดเพื่อนเชียร์ฟุตบอลในวันนี้แต่ก็ไม่ได้รั้งตัวกรรณเอาไว้ ด้วยเข้าใจว่าเรื่องภาระหน้าที่ต้องมาก่อน ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังจะออกจากบ้านไปนั้น ภูผู้ซึ่งตอนนี้ไฟราคะลุกโชนเต็มที่จากการโดนปลุกเร้ามาตลอดช่วงเวลามื้อค่ำก็พยายามสังเกตท่าทางของอีกฝ่ายพร้อมกับส่งสัญญาณบุ้ยใบ้ว่าจะให้ตนตามกลับไปด้วยหรือไม่ หากแต่กรรณก็ยังตีหน้าตายทำไม่รู้ไม่ชี้จนเด็กหนุ่มทนไม่ไหวเดินกระแทกเท้าหนีขึ้นห้องนอนของตนเองไปด้วยความโมโห ทว่ายังไม่ทันจะปิดประตูห้องเสียงสัญญาณเตือนข้อความเข้าก็ดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ ภูหยิบมันออกมาดูและพบว่าเป็นเบอร์ของกรรณที่ส่งเข้ามา เด็กหนุ่มรีบกดอ่านเนื้อหาข้างในทันที

        โมโหอะไร? 

        เป็นข้อความสั้นๆ ที่ส่อเจตนาได้อย่างชัดเจนว่าเกมไขสือยังไม่จบลงและได้ย้ายสังเวียนมาเป็นในโทรศัพท์มือถือแล้ว ครั้งนี้ภูไม่ยอมตกเป็นเหยื่อฝ่ายเดียวอีกต่อไป เด็กหนุ่มรีบพิมพ์ข้อความตอบและส่งกลับคืนไปให้กรรณ

        เปล่าครับ ง่วงแล้ว

        ข้อความตอบกลับจากกรรณส่งกลับมาในเวลาไม่ถึงนาที ภูล้มตัวลงนอนบนเตียงและเปิดอ่าน

        ง่วงหรือว่า….

        ภูเดินหน้าเกมฝั่งของตนต่อ

        ง่วงครับ นอนก่อนนะ

        ครั้งนี้ไม่มีข้อความตอบกลับมาจากกรรณ ทว่าเพียงไม่ถึงห้านาทีหลังจากนั้นภูก็ได้ยินเสียงบางอย่างกระทบเข้ากับหน้าต่างห้องนอน เด็กหนุ่มปั้นสีหน้าให้ดูงัวเงียก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปยังที่มาของเสียง อีกฝั่งของระเบียงนั้นกรรณยืนชะโงกหน้าออกมาอยู่เมื่อเห็นภูเดินมาแล้วเขาก็รีบส่งสัญญาณให้เปิดหน้าต่าง ภูแกล้งทำเป็นอิดออดก่อนจะเปิดแบบเสียไม่ได้

        “มีอะไรครับพี่ ผมง่วง จะนอนแล้ว” ภูหาวประกอบเพื่อความสมจริง

        “ยังไม่สี่ทุ่มเลย รีบนอนจัง” กรรณดูลุกลี้ลุกลนจนเห็นได้ชัด ซึ่งนั่นทำให้ภูรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายหลงกลเข้าเต็มๆ

        “ก็ง่วง วันนี้ออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้า ร้อนด้วย เหนื่อยด้วย” ภูยังเล่นต่อ เป็นการเอาคืนจากที่โดนกรรณแกล้งตอนอยู่ข้างล่าง “พี่ก็ทำงานเถอะครับ เจอกันพรุ่งนี้นะ”

        “ไม่เอา ไม่อยากทำงาน วันนี้ทำงานทั้งวันแล้ว อยากทำอย่างอื่นมากกว่า” ชายหนุ่มอ้อนเป็นลูกแมว ภูเกือบหลุดขำออกมาด้วยไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนี้มาก่อน

        “งั้นพี่อยากทำอะไรก็ทำเลยครับ ผมจะนอนแล้ว” ภูทำท่าจะปิดหน้าต่าง

        “อยากนอนก็มานอนห้องพี่นี่มาเร็วๆ เตียงนุ่ม มีแอร์ เทคแคร์ดี” กรรณเชิญชวน

        “ไม่เอาอ่ะ ห้องรก” ภูยังเล่นตัว ทั้งที่ใจอยากจะกระโจนออกนอกหน้าต่างไปเดี๋ยวนั้นแล้ว

        “วันนี้เก็บจนเรียบร้อยแล้วครับ ก็รู้ว่าจะมีคนมา” กรรณบอกก่อนจะทำทีว่าจะข้ามมายังฝั่งของภู “หรือถ้าไม่อยากมา จะให้ไปหาเองก็ได้นะ”

        “ไม่ต้องเลย รออยู่นั่นแหละ” ภูเลิกแกล้งกรรณ “ขอล๊อคห้องแป๊ปนึงครับ แม่จะได้คิดว่านอนแล้ว”

        ภูเดินไปกดล๊อคประตูห้องนอนจากข้างในก่อนจะกลับมาที่หน้าต่างและปีนออกไปยังระเบียงด้านนอก กรรณคอยประคองจับเอาไว้ตลอดเวลาขณะที่ภูข้ามมายังระเบียงฝั่งของตน จนกระทั่งเท้าของเด็กหนุ่มลงมาแตะยังพื้นทางเดินเบื้องล่างมือของอีกฝ่ายจึงค่อยปล่อยออกและเปลี่ยนเป็นจูงมือภูพาเข้าไปในตัวบ้านแทน ระหว่างที่สองเท้าก้าวเดินตามอีกฝ่ายนั้นภายในหัวของภูยังคงคิดฟุ้งซ่านไม่หยุดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่กี่อึดใจต่อจากนี้ มันจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่นหรือไม่? ในเรื่องความยินยอมพร้อมใจนั้นเด็กหนุ่มมีให้เต็มร้อย หากทว่าก็ยังอดกังวลไม่ได้ในอีกหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องความเจ็บที่กรรณเกริ่นเอาไว้เมื่อคืนวาน

        ประตูห้องนอนของกรรณถูกเปิดออก ภูรู้สึกเหมือนเห็นภาพยนตร์ที่กำลังจะเล่นต่อจากฉากที่ถูกหยุดค้างเอาไว้ บรรยากาศภายในห้องยังคงเหมือนเดิมเพียงแค่เป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นตามที่กรรณได้กล่าวอ้างเอาไว้ เด็กหนุ่มตั้งท่าจะเดินไปนั่งลงที่ขอบเตียงเหมือนที่ทำเมื่อวานแต่ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่รอให้เขาทำเช่นนั้น ทันทีที่บานประตูปิดลงกรรณก็ไม่ยอมให้เวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์แม้แต่เพียงอีกวินาทีเดียว กรรณหันกลับมาและใช้สองมือเกาะกุมเข้าที่เอวของเด็กหนุ่มก่อนจะดันร่างของอีกฝ่ายจนหลังชิดกับบานประตู ภูรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่รินรดอยู่ข้างใบหูขณะที่กรรณเริ่มซุกไซร้ใบหน้าลงข้างศรีษะของเขา ปลายจมูกโด่งสวยนั้นสูดดมกลิ่นอายจากเรือนผมไล่มาจนถึงแก้มและจบลงที่ริมฝีปาก ภูลิ้มรสกลิ่นหอมสะอาดของมินท์ที่ถูกถ่ายทอดจากปากของกรรณผ่านทางลิ้นอันอ่อนนุ่มของอีกฝ่ายที่เข้าแทรกผ่านริมฝีปากมาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของเขา กลิ่นหอมสดชื่นนั้นทำให้เด็กหนุ่มเกิดนึกขึ้นได้ว่าตนยังไม่ได้จัดการอะไรเกี่ยวกับสุขอนามัยของตัวเองเลยนับตั้งแต่กลับถึงบ้าน และความคิดนั้นก็ทำให้เขาเกิดหมดความมั่นใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน ภูใช้สองมือดันที่อกของกรรณส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายหยุดปฏิบัติการลิ้นสว่านที่กำลังดำเนินอยู่

        “มีอะไร? ไม่โอเคเหรอ?” กรรณถามหลังจากถอนริมฝีปากออกมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
       
        “คือ ผมยังไม่ได้อาบน้ำ ไม่ได้แปรงฟันเลย” ภูบอกอย่างอายๆ “ขอเวลาสิบนาทีได้มั้ยครับ?”

        “ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เอง” กรรณตั้งท่าจะเข้ามาจูบต่อ แต่ภูก็ยังผลักศรีษะของอีกฝ่ายไว้

        “ไม่เอาอ่ะ วันนี้อยู่ข้างนอกทั้งวัน เหงื่อออกหมักหมมจนเน่าหมดแล้ว” ภูส่ายหน้าเพราะรู้สึกไม่โอเคกับตัวเอง

        “เน่าเหรอ?” กรรณถาม ก่อนจะใช้สองมือดันเลิกเสื้อของเด็กหนุ่มขึ้นแล้วย่อตัวลงจูบเข้าที่หน้าท้องเบาๆ “ก็ไม่เห็นจะเน่าตรงไหนเลย… “

        “เหม็นเหงื่อจะตาย” ภูตอบเสียงสั่น สัมผัสรัญจวนใจที่ประทับลงบนผิวเนื้อนั้นมากเกินกว่าจะสะกดกลั้นความรู้สึกไหว

        “เหม็นเหงื่อด้วยเหรอ?” กรรณเลิกเสื้อของภูขึ้นสูงกว่าเดิมก่อนจะรวบแขนทั้งสองข้างของอีกฝ่ายให้ชูขึ้นและดึงถอดมันออกไป จากนั้นจึงแนบริมฝีปากเข้าที่สีข้างของเด็กหนุ่มก่อนจะใช้ปลายลิ้นไล้ลากขึ้นไปจนถึงซอกหลืบใต้วงแขน “พี่ว่าออกจะหอมด้วยซ้ำไป”

        ภูหลับตาปี๋ ร่างกายยามนี้ร้อนผ่าวไปทุกส่วนราวกับโดนเพลิงสุมเผา ยิ่งเมื่อกรรณใช้ปลายลิ้นชื้นแฉะนั้นลากไล้หยอกล้อวนเวียนอยู่ที่ปลายอกก่อนจะเม้มปากดูดดุนดึงจนส่วนยอดบนสุดผลุบหายเข้าไปในปาก เด็กหนุ่มดิ้นเร่าส่งเสียงครางหลุดรอดออกมาอย่างอดรนทนไม่ได้ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าร่างกายของตนเองจะไวต่อสัมผัสถึงเพียงนี้ เส้นขนทั่วทุกส่วนของร่างกายพร้อมใจกันลุกชัน ขาทั้งสองสั่นจนหมดกำลังจะประคองตัวให้ยืนตรงได้ กรรณเหมือนรู้เท่าทันต่อความรู้สึกของอีกฝ่าย เขาหยุดการโลมเลียเอาไว้เพียงชั่วคราวก่อนจะใช้สองแขนแข็งแรงคู่นั้นสอดอุ้มยกร่างอันอ่อนระทวยของเด็กหนุ่มและพาไปยังเตียงนอน

        ทันทีที่ร่างถูกปล่อยวางลงบนเตียง ผ้าปูที่นอนก็ซึมซับหยดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาทั่วแผ่นหลังของเด็กหนุ่มเอาไว้ กรรณเริ่มสานต่อสิ่งที่ค้างคาไว้เมื่อครู่ เขาเคลื่อนตัวต่ำลงไปกว่าเดิมจากอกลงสู่หน้าท้องและก้าวล่วงล้ำไปยังจุดที่ยังไม่เคยมีใครไปถึงมาก่อน ชายหนุ่มใช้สองมือปลดกระดุมกางเกงยีนของภูซึ่งเป็นดั่งปราการสุดท้ายที่คั่นขวางเอาไว้จนหลุดออกหมดทุกเม็ดแล้วจึงดึงถอดมันออกโดยมีเด็กหนุ่มเจ้าของกางเกงคอยยกสะโพกอำนวยความสะดวกให้ กรรณโยนกางเกงยีนที่ถอดมากับมือทิ้งไปที่ปลายเตียง เวลานี้ทั้งร่างของภูเหลือเพียงกางเกงบ๊อกเซอร์เพียงตัวเดียวที่เป็นอาภรณ์ปกปิดเอาไว้อยู่ ซึ่งกรรณก็ไม่ปล่อยให้มันอยู่รอดลอยนวลไปได้นานกว่านั้น เขายื่นมือไปจับขอบเอวของมันและค่อยๆดึงถอดลงจนในที่สุดก็หลุดออกมาจากปลายเท้าทั้งสองข้างของผู้สวม

        “ปิดไฟให้ห้องมืดกว่านี้ได้ไหมครับ?” ภูขอร้อง ร่างกายบิดเอี้ยวหลบสายตาที่จับจ้องมา แม้ว่าจะกำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์แห่งความปรารถนาอย่างลึกล้ำ ทว่าความเขินอายจากการต้องเผยร่างเปลือยเปล่าต่อหน้าผู้อื่นเป็นครั้งแรกในชีวิตกลับมีอิทธิพลต่อจิตใจได้มากกว่า

        “พี่อยากเห็นนาย” กรรณไม่ยอมทำตามคำขอของภู เขาก้มลงและกระซิบที่ข้างหูของเด็กหนุ่มที่กำลังนอนตัวสั่นเทิ้มอยู่เบื้องล่างด้วยสำเนียงที่เกือบจะเป็นการอ้อนวอน “หันมาตรงๆสิครับ”

        ภูพ่ายแพ้เสมอกับทุกคำขอของกรรณ ไม่เว้นแม้แต่ครั้งนี้ เด็กหนุ่มค่อยๆกลั้นใจคลายร่างกายที่ขดคู้จนกลับมาอยู่ในท่านอนหงายตามเดิม ใบหน้ายังคงแดงก่ำจากเลือดที่สูบฉีดอย่างรุนแรงราวกับกระแสน้ำบ้าคลั่งในฤดูน้ำหลาก มือทั้งสองยังพยายามเอื้อมไปปิดจุดอันเป็นสิ่งพึงสงวนไว้ใต้ร่มผ้าหากแต่ก็ถูกกรรณจับยกหลบออกไปให้พ้นทาง จนในที่สุดทุกส่วนในร่างกายของภูก็ปรากฎสู่สายตาของชายผู้ที่จับจ้องอยู่จากเบื้องบน กรรณทอดสายตามองดูภาพตรงหน้าแล้วยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจก่อนจะก้มจูบลงบนผิวอ่อนนุ่มบริเวณต้นขาด้านในของภู เด็กหนุ่มสะท้านเฮือกใหญ่ กายเกร็งไปทั้งร่างราวกับถูกไฟช๊อตเมื่อปลายลิ้นลากไล้เข้าไปถึงยังซอกหลืบที่ลึกลับที่สุดในร่างกาย สะโพกเผลอยกลอยขึ้นจนไม่ติดเตียง

        “พี่กรรณ อย่า ไม่เอาตรงนั้น” ภูร้องห้ามเสียงแหบพร่า

        ดวงตาคมคู่นั้นของกรรณเหลือบมองขึ้นมา คิ้วเข้มที่เรียงตัวสวยเหนือดวงตาเลิกขึ้นเล็กน้อยราวกับสงสัย หากแต่ก็ไม่ใด้ใส่ใจมากพอจะหยุด สองมือจับรั้งต้นขาที่พยายามกระถดถอยหนีของภูเอาไว้แน่นพร้อมกับผลักยกมันขึ้น เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมองสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับตน ด้วยกำลังหน้ามืดตามัวกับรสสัมผัสที่อีกฝ่ายปรนเปรอให้ เขาจึงไม่ทันได้สังเกตว่ากรรณถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกไปจนหมดตั้งแต่เมื่อไหร่  ร่างเปลือยเปล่าของกรรณโน้มตัวลงคร่อมทับภูเอาไว้ บางสิ่งที่ใหญ่โตและกำลังแข็งขันเบียดเข้ากับร่องกายช่วงล่างของเด็กหนุ่มซึ่งเปียกลื่นไปด้วยน้ำลาย บ่าของเขาถูไถกับเข่าของภูขณะที่ร่างโยกขยับจัดท่าทางให้เข้าที่ และวินาทีนั้นเองที่ภูรู้ตัวว่าทุกอย่างได้มาถึงจุดที่ไม่อาจหวนกลับ มันเกิดขึ้น ภูรู้ทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงการรุกล้ำเข้าไปที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ เนิบนาบ และนุ่มนวล แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่อาจหลีกหนีความเจ็บปวดได้ เด็กหนุ่มนิ่วหน้า ส่งเสียงร้องโอดครวญออกมา ถึงขั้นร้องขอให้อีกฝ่ายหยุด หากทว่าสายเกินไปที่จะถอยเมื่อทุกสิ่งได้ดำเนินไปจนสุดทางของมันแล้ว เสียงของกรรณที่คอยกระซิบปลอบโยนและพร่ำบอกรักอยู่ข้างหูกลั้วด้วยเสียงลมหายใจหอบกระเส่าช่วยให้ความรู้สึกโดยรวมดีขึ้น เวลานี้เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในร่างกายของตน จากเชื่องช้าค่อยๆเร่งขึ้นเรื่อยๆ ภูปล่อยให้กรรณทำทุกอย่างตามที่ต้องการจนกระทั่งมันจบลงที่ใบหน้าอันบิดเบี้ยว ร่างกายที่เกร็งกระตุก และเสียงครางที่ขาดห้วงของกรรณ ทั้งหมดปรากฎอยู่ตรงหน้าของเขา และเป็นดั่งเชื้อประทุให้ดอกไม้ไฟของเด็กหนุ่มระเบิดแสงสว่างไสวตามไปในระยะเวลาหลังจากนั้นเพียงไม่นาน
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 14 ☆ [2-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 05-04-2018 18:27:12
Episode 15 part2

        ภูยังอยู่ในอ้อมแขนของกรรณตอนที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มไม่อาจทราบได้ว่าตนหลับไปนานแค่ไหน เนื่องจากบรรยากาศภายในห้องมืดเกินกว่าจะมองเห็นเข็มนาฬิกาบนผนังอีกทั้งโทรศัพท์มือถือก็อยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนที่กรรณโยนทิ้งไปไว้ปลายเตียง แต่สังเกตจากท้องฟ้าภายนอกที่ยังคงมืดสนิทก็บ่งบอกได้ว่าวันใหม่ยังคงมาไม่ถึง ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ภูรู้สึกหนาวถึงแม้จะมีร่างอุ่นๆของกรรณกอดนาบประกบชิดอยู่ ซ้ำยังเริ่มรู้สึกอายกับการต้องเปลือยกาย เขาค่อยๆขยับตัวยกแขนของชายหนุ่มที่กกกอดตนอยู่ออกอย่างช้าๆ ตั้งใจว่าจะลุกไปหยิบเสื้อกับกางเกงบ๊อกเซอร์มาสวมโดยไม่ทำให้อีกฝ่ายตื่น แต่ทว่าเมื่อลงจากเตียงและขาทั้งสองข้างกลับมายันพื้นรับน้ำหนักตัวทั้งหมดอีกครั้ง ความเจ็บปวดก็พุ่งทะยานจากจุดเกิดเหตุขึ้นสู่สมองทันที แม้จะพยายามสะกดกลั้นแล้วแต่เสียงร้องโอดโอยก็หลุดออกมาจากปากจนได้

        “ภู… “ กรรณรู้สึกตัวตื่นขึ้นหลังจากได้ยินเสียงแห่งความเจ็บปวดนั้น “เป็นอะไรมากไหม? “
       
        “เจ็บสุดๆ เดินไม่ได้แล้ว” ภูนิ่วหน้า ร่างขดคู้อยู่ที่ขอบเตียง “พวกทำร้ายร่างกายเด็ก”

        “ก็เตือนไว้แล้ว ถึงได้ไม่ทำตั้งแต่เมื่อวาน” กรรณสงสารใจจะขาดด้วยรู้อยู่เต็มอกว่าความเจ็บปวดนี้เกิดจากฝีมือของตน “ขอโทษนะ พี่ไม่น่าทำลงไปเลย”

        “ผมก็ยอมให้พี่ทำเอง” ภูไม่ยอมให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกผิด เด็กหนุ่มพยายามฝืนยิ้ม “ถึงจะเจ็บแต่ก็แฮปปี้นะ”

        “แฮปปี้เหรอ?” กรรณไม่ค่อยเชื่อ

        “ช่าย… แฮปปี้สุดๆ” ภูลากเสียงยาว “จริงอยู่ว่าอาจจะเดินยากนั่งลำบากไปอีกหลายวัน แต่ก็ถือว่าคุ้ม”

        “ทำเป็นพูดดี มานี่มา… “ กรรณขยับเข้ามาโอบภูให้กลับลงไปนอนบนเตียงตามเดิม “แล้วเมื่อกี้จะแอบหนีไปไหน?”

        “ไปหยิบเสื้อผ้ามาใส่สิ หนาวอ่ะ อายด้วย” ภูพยายามขยับตัวปรับท่านอนให้กระทบกระเทือนจุดที่บาดเจ็บน้อยที่สุด

        “หนาวก็ไม่บอก” กรรณเอื้อมมือไปคว้ารีโมทเครื่องปรับอากาศที่วางไว้หัวเตียง ก่อนจะกดปรับเพิ่มอุณหภูมิให้อุ่นขึ้นจากที่เป็นอยู่ “แบบนี้โอเคกว่าไหม?”

        ภูพยักหน้า กรรณก้มลงจูบเบาๆที่แก้มของเด็กหนุ่มอีกครั้งก่อนจะเอนตัวลงนอนตาม ภูค่อยๆขยับตัวกระเถิบขึ้นไปจนศรีษะตะแคงหนุนอยู่บนต้นแขนของอีกฝ่าย กรรณตอบรับด้วยการยกมือขึ้นมาและลูบศรีษะของภูเบาๆ เด็กหนุ่มหลับตานิ่ง จมูกสูดกลิ่นอายจากร่างกายของชายที่ตนรักในขณะที่มือก็ไม่อยู่สุขเที่ยวลูบคลำไปตามแผงอกและลำตัวของอีกฝ่ายก่อนจะย่ามใจเอื้อมต่ำลึกลงไปจนในที่สุดก็สัมผัสเข้ากับสิ่งที่เพิ่งทำให้ตนบาดเจ็บมาหมาดๆ

        “ไปยุ่งกับมัน เดี๋ยวก็เจ็บตัวอีกรอบหรอก” กรรณขู่

        “อย่าแม้แต่จะคิด ตอนนี้ปิดบริการแล้ว” ภูปล่อยมือออกและเลื่อนขึ้นมาวางบนแผงอกของกรรณ เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่อยู่ข้างใต้นั้น “ผมถามอะไรหน่อยได้ไหม?”

        “ว่ามาสิ” กรรณยินดีตอบทุกคำถาม

        “พี่บอกว่าชอบผมตั้งแต่ก่อนไปเรียนต่อ ถ้างั้นเจ็ดปีที่ผ่านมา พี่เคยคบใครมาบ้างหรือเปล่า?” ภูอยากรู้ แม้จะตระหนักอยู่ลึกๆว่าคำตอบที่ได้อาจจะไม่ใช่คำตอบเดียวกับที่คาดหวังเอาไว้

        “อยากได้คำตอบแบบสร้างภาพเอาใจแฟน หรือคำตอบแบบตามความจริงล่ะ?” กรรณเสนอตัวเลือกให้

        “เอาความจริงสิ ไอ้แบบสร้างภาพอ่ะจินตนาการเอาเองก็ได้ไม่ต้องถามหรอก” ภูเลือกตัวเลือกที่สอง

        “ถ้าเอาตามจริง ก็มีบ้าง แต่ไม่ได้คบจริงจังอะไร ส่วนมากก็เป็นแค่คู่นอนกันเฉยๆ” กรรณตอบตามตรงอย่างที่เด็กหนุ่มร้องขอ “อยู่คนเดียวมันก็มีเหงาบ้าง ก็ต้องหาทางระบาย”

        “นอกใจกันนี่” ภูทำตาเขียวปั้ด “ไหนบอกว่าชอบผม แต่ไปนอนกับคนอื่นเนี่ยนะ?”

        “ก็คนที่ชอบตอนนั้นเค้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำมั้งว่าพี่มีตัวตน” กรรณยีผมเด็กหนุ่มแรงๆอย่างหมั่นเขี้ยว “ถ้ารู้ว่ากลับมาแล้วจะสมหวังแบบนี้ ก็ไม่ไปยุ่งกับใครหรอก จะอดทนนับวันเฝ้ารอกลับมาจัดหนักทีเดียวเลย”

        “พวกลุงหื่นกาม” ภูเขินจนหน้าแดง รีบเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นก่อนที่บทสนทนาจะพาวนเข้าเรื่องที่ชวนให้เตลิดเปิดเปิงมากกว่านี้ “แล้วหลังจากนี้ เราจะเป็นยังไงกันต่อครับ?”

        “นายหมายถึงอะไร?” กรรณไม่มั่นใจในเจตนาของคำถามนั้น

        “ก็เรื่องของเราสองคน” ภูพูดให้ชัดเจนขึ้น “หลังจากนี้มันจะเป็นยังไงต่อ?”

        ท่ามกลางความยินดีอันมากมายที่เกิดขึ้นในช่วงไม่ถึงสี่สิบแปดชั่วโมงที่ผ่านมานั้น เรื่องนี้เป็นสิ่งเดียวที่ยังคงติดค้างอยู่ในใจของภู ที่ผ่านมาเด็กหนุ่มทุ่มเทความพยายามและความสนใจทั้งหมดไปกับการไขว่คว้าความสัมพันธ์ จนกระทั่งบรรลุเป้าหมายแล้วเขาจึงกลับพบว่าตนเองกำลังลอยเคว้งคว้างอยู่หลังเส้นชัย ไม่รู้ว่าจะนำพาความรักครั้งแรกของตนไปในทิศทางไหนดี อีกทั้งยังมีปัจจัยด้านหน้าที่การงานที่เข้ามาทำให้ทุกอย่างเพิ่มความซับซ้อนขึ้นไปกว่าเดิมอีก

        “เราก็คบกัน ดูแลกันไปแบบนี้ล่ะมั้ง” กรรณตอบ น้ำเสียงบ่งบอกว่าเขาก็ยังไม่อาจนึกภาพวันข้างหน้าออกมาได้อย่างชัดเจนเช่นกัน

        “แล้วพี่โอเคไหม? กับเรื่องที่ว่าทุกอย่างระหว่างเราต้องเป็นความลับ” ภูถามความรู้สึกของอีกฝ่าย
       
        “โอเคสิ เพื่อนาย จะให้พี่ทำอะไรก็ได้” กรรณตอบอย่างไม่ลังเล “จะเปิดเผยหรือปิดบังก็ไม่สำคัญหรอก ขอแค่ให้เราสองคนยังเป็นคนสำคัญของกันและกันก็พอ”

        “พี่เป็นคนสำคัญของผมเสมอ” ภูพูดจากใจจริง

        “ให้มันจริงเถอะ” กรรณมีความสุขจนตัวลอยจากการที่ได้ยินคำพูดประโยคนั้นจากปากของภู “นายก็เป็นคนสำคัญที่สุดของพี่เหมือนกัน”

        “แล้วก็ยังมีอีกเรื่องที่ผมกังวล” ภูจ้องหน้ากรรณ

        “อะไรเหรอครับ?” กรรณตกใจเล็กน้อยกับท่าทีของภูที่ดูเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาอย่างกะทันหัน 

        “พรุ่งนี้ผมจะนั่งเรียนยังไง? ตั้งสามวิชาเลยนะ” เด็กหนุ่มพูดเสียงอ่อย

        “นั่งไม่ไหวก็ไม่ต้องไป อยู่ด้วยกันนี่แหละ” กรรณดึงภูเข้ามากอดแนบกับตัวเองแน่น “บางทีมันอาจจะเหมือนเวลาเมาเหล้าก็ได้นะ ต้องถอนถึงจะหายเมา นี่ก็ต้องโดนอีกสักทีสองที อาจจะหายเจ็บ”

        “พอเลย บ้ากาม อนาคตของชาติต้องได้รับการศึกษานะ” ภูเขินจนอยากขยับหนีแต่อาการเจ็บแปลบที่บั้นท้ายก็คอยรั้งเอาไว้จนไม่กล้ากระดิกตัวจนสุดท้ายก็หลับไปทั้งอย่างนั้น

        ภูถูกปลุกจนตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเวลาย่างเข้ารุ่งสาง ฟ้ากำลังจะสว่างในอีกไม่ช้ากรรณจึงรีบปลุกเด็กหนุ่มเพื่อจะได้กลับไปยังบ้านตัวเองได้ทันก่อนที่พ่อและแม่จะตื่น ทว่าไม่กี่นาทีหลังจากนั้นทั้งสองก็พบว่าทุกอย่างที่วางแผนเอาไว้อาจเป็นไปได้ยากกว่าที่คิด เมื่อสภาพสังขารของภูในตอนนี้ไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะปีนระเบียงข้ามฟากกลับไปยังฝั่งห้องนอนตัวเองโดยสวัสดิภาพได้อย่างแน่นอน หลังจากระดมสมองหาทางแก้ปัญหากันอยู่ครู่ใหญ่ ผลก็ลงเอยที่ว่ากรรณจะเป็นฝ่ายปีนข้ามไปยังห้องนอนของภู ปลดล๊อคประตูห้อง และหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่กลับมาให้อีกฝ่ายที่รออยู่ฝั่งนี้ เพื่อที่จะได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนกลับเข้าบ้านตัวเอง ทำเป็นเหมือนว่าเด็กหนุ่มได้ตื่นตั้งแต่เช้าและออกไปข้างนอกตั้งแต่ก่อนที่ผู้ปกครองทั้งสองจะตื่น

        ในห้องอาบน้ำ ภูยืนโน้มตัวเข้าหากำแพง แขนทั้งสองข้างยันกับผนังสีขาวปล่อยให้สายน้ำจากฝักบัวไหลรดผ่านร่างกายไปเรื่อยๆ น้ำอุ่นทำให้อาการเจ็บปวดที่เป็นอยู่ไม่เลวร้ายลงไปกว่าเดิมแต่ก็ไม่ได้ทุเลาลงมากพอจะทำการล้างทำความสะอาดได้สะดวกเหมือนในเวลาปกติ เด็กหนุ่มเม้มกัดริมฝีปากตัวเองแน่นขณะที่ความเจ็บแสบแล่นขึ้นมาตามแนวสันหลังทุกครั้งที่ขยับตัว ใจนึกกังวลว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าที่ร่างกายจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ วันนี้เขาอาจจะโดดเรียนได้ แต่งานที่รออยู่ในวันถัดไปคงสายเกินไปแล้วที่จะขอยกเลิก จริงอยู่ที่ก่อนตัดสินใจยอมให้อีกฝ่ายทำการพรากผู้เยาว์นั้นภูก็ได้ทำการค้นหาข้อมูลและเตรียมใจรับถึงผลที่จะตามมาเช่นนี้เอาไว้แล้ว แต่นั่นเทียบไม่ได้เลยกับความเป็นจริงที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ มันไม่ใช่เพียงแค่ทำให้ลำบากกายอย่างเดียว แต่ยังส่งผลให้เข็ดขยาดจนไม่อยากจะต้องพบพานกับมันอีกในครั้งถัดๆไปด้วย
   
        เสียงล๊อคที่ลูกบิดประตูถูกไขจนดีดออกทำเอาภูสะดุ้งสุดตัว เมื่อหันไปมองตามเสียงก็พบว่ากรรณถือวิสาสะในฐานะเจ้าของบ้านใช้กุญแจไขเข้ามาข้างใน แน่นอนว่าด้วยสภาพร่างกายเช่นนี้เด็กหนุ่มจึงหมดหนทางในการจะปกป้องร่างเปลือยตนเองจากสายตาของอีกฝ่ายด้วยการรีบวิ่งไปหยิบผ้าเช็ดตัวมานุ่ง ตอนนี้เท่าที่พอจะทำได้จึงเหลือเพียงแค่หยิบอะไรก็ตามที่คว้าถึงและเขวี้ยงใส่เพื่อไล่ให้อีกฝ่ายล้มเลิกความพยายามที่จะบุกรุกเข้ามา
   
        “ออกไปเลยนะ!!” ภูโยนขวดแชมพูใส่ มันตรงเป้าแต่อีกฝ่ายก็รับเอาไว้ได้ทันก่อนเกิดการปะทะ 

        “จะอายอะไร ก็เห็นกันมาทั้งคืนแล้ว” กรรณวางขวดแชมพูลงที่อ่างล้างหน้า ก่อนจะปลดผ้าเช็ดตัวที่นุ่งอยู่ออกและเดินโทงๆตรงเข้ามาหาเด็กหนุ่มที่อยู่ใต้ฝักบัว

        “เมื่อคืนก็ส่วนเมื่อคืนสิ นี่มันเวลาส่วนตัวป่ะ?” ภูเถียงคอเป็นเอ็น สิ่งที่กรรณพูดมามันก็จริงอยู่ แต่ทว่าเมื่อคืนนั้นยังมีกำหนัดเป็นตัวช่วยบดบังความอายเอาไว้ได้บ้าง ไม่เหมือนในตอนนี้ที่ไฟราคะมอดดับสนิทลงแล้ว ความกระดากอายจึงเริ่มหวนกลับมาสู่มโนสำนึก

        “ขยับตัวยังไม่ค่อยถนัดแบบนั้นจะล้างตัวให้สะอาดได้ยังไง ให้พี่ช่วยดีกว่ามาเร็วๆ” กรรณไม่รอการยินยอมจากอีกฝ่าย รีบเข้ามาแบ่งพื้นที่ใต้ฝักบัวและเทครีมอาบน้ำใส่มือทันที

        แม้จะยังอายอยู่แต่ภูก็จนปัญญาจะดิ้นรนหนี ได้แต่ปล่อยเลยตามเลยให้อีกฝ่ายได้ทำตามใจชอบ กรรณชะโลมครีมอาบน้ำลงทั่วร่างกายและแผ่นหลังของเด็กหนุ่มก่อนจะค่อยๆลูบไล้ไล่ลงมาเรื่อยๆจนกระทั่งมาสุดที่เนินบั้นท้าย เขาหยุดเหมือนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสอดปลายนิ้วเข้าไปในร่องหลืบ ซึ่งปฏิกิริยาตอบรับจากภูก็เกิดขึ้นแทบจะฉับพลันทันที เด็กหนุ่มสะดุ้งและดีดตัวหนี ใบหน้าเหยเกด้วยความแสบ

        “ทนหน่อย ถ้าไม่ล้างให้สะอาดเกิดติดเชื้อขึ้นมาจะยิ่งหายยากกว่านี้นะ” กรรณพยายามกล่อมให้ภูยอมอดทน

        “ไม่เอา แสบมาก แสบไฟลุกเลย” ภูส่ายหัวอย่างเดียว

        “อดทนสิ มันก็เหมือนเวลาเราล้างแผลทำแผลนั่นแหละ เพิ่งโดนตอนแรกมันก็แสบมากแบบนี้ ทนอีกนิดก็ชาจนไม่แสบแล้ว” ชายหนุ่มดึงแขนอีกฝ่ายให้กลับเข้ามาในฝักบัว “ถ้าไม่ให้พี่ทำ เดี๋ยวถ้าอาการหนักมากจนต้องไปถึงมือหมอ มันจะทั้งแสบทั้งอายเลยนะงานนี้”

        ภูคิดใคร่ครวญตามคำพูดของอีกฝ่ายและก็จึงหมดข้อโต้แย้ง เพราะถ้ามันจะต้องลงเอยด้วยการต้องทนแสบในทั้งสองทางเลือก การแสบโดยฝีมือของคนใกล้ชิดก็ดูจะเป็นเรื่องที่ชวนอึดอัดใจน้อยกว่าฝีมือคนแปลกหน้าเป็นอย่างมาก เด็กหนุ่มยอมกลับเข้าไปใต้ฝักบัวที่ซึ่งกรรณรออยู่พร้อมกับครีมอาบน้ำในมือที่ถูกขยี้จนเป็นฟองเรียบร้อยแล้ว ภูกัดฟันกรอดพยายามอดทนต่อความทรมานในขณะที่ชายหนุ่มเริ่มปฏิบัติการชำระล้างต่อจากที่ค้างไว้เมื่อครู่ เสียงครางหลุดรอดจากริมฝีปากมาเป็นระยะๆจนกระทั่งเมื่อรู้ตัวอีกทีเขาก็พบว่าสิ่งที่กรรณพูดเมื่อครู่นี้เป็นความจริง เพราะในขณะนี้แม้ความเจ็บปวดจากอาการบาดเจ็บจะยังคงมีอยู่และรู้สึกได้ในทุกครั้งที่มือของชายหนุ่มเผลอออกแรงมากเกินไป แต่ความแสบที่แสนจะสาหัสสากรรจ์เมื่อครู่ได้มลายหายไปจนไม่เหลือวี่แววแล้ว กรรณดึงฝักบัวลงมาและรองน้ำใส่ฝ่ามือมาลูบล้างเอาฟองสบู่ตามร่างกายภูออกไปจนหมด เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้รู้ว่ากระบวนการอันแสนจะทรมานกายได้สิ้นสุดลงแล้ว อีกทั้งเมื่อร่างกายสะอาดขึ้นก็ยังส่งผลให้เขารู้สึกสบายตัวมากกว่าเมื่อครู่นี้เป็นกองเลยทีเดียว แต่เมื่อภูหมุนตัวหันกลับไปตั้งใจจะขอบคุณอีกฝ่ายสำหรับความช่วยเหลือนั้น เขาก็พบว่าเวลานี้กรรณคงไม่ได้ต้องการแค่คำขอบคุณเสียแล้ว

        “เอ่อ… ทำไมมัน… “ ภูชี้ไปที่จุดยุทธศาสตร์ใต้สะดือของอีกฝ่าย ที่ตอนนี้กำลังออกอาการตื่นเต้นคึกคักขึ้นมาอีกรอบ

        “มันช่วยไม่ได้นี่นา… ทั้งเห็น ทั้งได้ลูบได้จับ แล้วยังเสียงครางแปลกๆที่นายทำอีก… ” กรรณยกมือขึ้นเกาหัวแก้เขิน “แต่ไม่เป็นไรหรอก พี่จัดการเองได้ นายไปแต่งตัวเถอะ”

        “แน่ใจนะ?” ภูอดรู้สึกไม่ได้ว่าตนต้องมีส่วนรับผิดชอบกับเรื่องนี้

        “จริงๆมันก็มีบางอย่างที่นายพอช่วยได้อยู่โดยไม่ต้องไปรบกวนแผลเก่า” กรรณยิ้มเขินพร้อมกับยื่นมือไปลูบริมฝีปากของเด็กหนุ่มเพื่อบอกใบ้เป็นนัยยะ “อยู่ที่ว่านายจะมีจิตเอื้ออาทรมากพอจะช่วยหรือเปล่า…”

        กว่าที่ทั้งสองจะได้ออกจากห้องน้ำก็เกือบครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น กรรณเดินตัวเบาหวิว ผิวปากอย่างสบายอารมณ์นำหน้าออกมาโดยมีภูซึ่งตอนนี้นอกจากจะเจ็บระบมช่วงล่างแล้วก็ยังมีอาการเมื่อยขากรรไกรเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างเดินตามออกมาติดๆ หลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็ยังต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่น่าอับอายอีกรอบเมื่อถูกกรรณจับทายาขี้ผึ้งแก้อักเสบ ก่อนจะแต่งตัวด้วยชุดใหม่ที่อีกฝ่ายปีนข้ามไปเอามาให้เมื่อช่วงเช้ามืด จากนั้นจึงประคองพากันเดินกลับไปส่งยังหน้าประตูรั้วบ้านตัวเอง แม่คงตื่นนอนแล้ว ภูรู้ได้จากแสงของหลอดไฟหน้าบ้านที่ถูกปิดดับลง เด็กหนุ่มหันไปมองหน้าคนรักของตนคล้ายจะขอกำลังใจพร้อมกับสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ นับจากนี้เป็นหน้าที่ของเขาเพียงคนเดียวแล้วที่จะต้องอดทนต่อความเจ็บปวดและเดินเข้าบ้านไปให้ดูเป็นปกติมากที่สุดเพื่อไม่ให้แม่เกิดความสงสัย



To be continued...
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 15 ☆ [5-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 05-04-2018 19:25:14
น่ารัก  ละมุน
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 15 ☆ [5-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-04-2018 19:37:49
 :mc4: :katai2-1: :mc4:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 15 ☆ [5-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-04-2018 19:50:12
 :pig4: :pig4: :pig4:

เรียบร้อยโรงเรียนจีน
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 15 ☆ [5-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 06-04-2018 00:38:37
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 15 ☆ [5-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 06-04-2018 04:33:33
เค้าเข้าหอกันแล้ว ดีจัง
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 15 ☆ [5-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 06-04-2018 13:35:54
อ้ากกกกกก
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 15 ☆ [5-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 07-04-2018 11:40:18
โอยๆๆๆๆ มันดีมาก ฟินมาก ดีต่อใจที่สุด
เห็นเขารักกัน อิคนอ่านก็สุขใจ ^^

ปล. เอาจอสไปเก็บ ไม่ต้องให้มีบทแล้ว!!!
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 15 ☆ [5-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 09-04-2018 12:39:43
น่ารัก  ละมุน

ตอนนี้ใช้เวลาเขียนนานมาก เพราะไม่ถนัดการเขียนฉากแนวนี้ แล้วก็พยายามจะให้มันออกมาสละสลวยที่สุดครับ



:mc4: :katai2-1: :mc4:

 :L1: :pig4: :L1:

ขอบคุณนะครับที่ติดตามกันมาตลอดเลย  o13



:pig4: :pig4: :pig4:

เรียบร้อยโรงเรียนจีน

จัดการซะให้มันรู้แล้วรู้รอดไป  :hao6:



:hao7: :hao7:

ขอบคุณนะครับที่ยังติดตามกันเสมอเลย  o13



เค้าเข้าหอกันแล้ว ดีจัง

เข้าสู่ช่วงชีวิตคู่  :hao3:



อ้ากกกกกก

เจ็บแทนน้องภูเหรอครับ  :hao6:



โอยๆๆๆๆ มันดีมาก ฟินมาก ดีต่อใจที่สุด
เห็นเขารักกัน อิคนอ่านก็สุขใจ ^^

ปล. เอาจอสไปเก็บ ไม่ต้องให้มีบทแล้ว!!!

เดี๋ยวน้องจอสก็โผล่มา ให้เวลาคู่รักเค้าหวานกันไปก่อน เดี๋ยวค่อยมาทวงแอร์ไทม์คืนทีหลัง  :hao7:



หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 15 ☆ [5-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 09-04-2018 12:48:51
Episode 16 part1


        ภูเปิดประตูเดินจ้ำอ้าวออกมาจากหอประชุมใหญ่ในตึกสำนักงานของสถานีโทรทัศน์ที่ซึ่งวันนี้ถูกจัดเพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับงานแถลงข่าวเปิดตัวนักแสดงรุ่นใหม่ที่เพิ่งเซ็นสัญญาเข้าสังกัดกับทางช่อง เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วสำหรับข้อที่ว่าการต้องเผชิญหน้ากับผู้คนจำนวนมากนั้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกอึดอัดอยู่เสมอ แต่ครั้งนี้มันยังมีปัจจัยอื่นอีกที่ทำให้เขาทนอยู่ด้านหลังเวทีของหอประชุมนั้นเพื่อรอให้ถึงเวลาแถลงข่าวตามที่ทีมงานสั่งมาไม่ได้ ปัจจัยที่ว่านั่นมีรูปร่างสูงพอๆกับเขาและมีรอยสักจอห์น เลนน่อนเด่นสะดุดตาอยู่ที่ท้องแขน

        “จะหนีไปไหน กระรอก!!” จอสพุ่งออกมาจากประตูหอประชุมไล่กวดตามภูมาติดๆ

        “จะตามมาทำไมเนี่ย?” ภูยังจ้ำเท้าหนีไม่หยุด

        “ก็ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย นายนั่นแหละหนีทำไม?” จอสเอื้อมแขนมาจะคว้าตัวภูแต่เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้าหนีได้ทัน

        เด็กหนุ่มเร่งสับขาเร็วขึ้นอีกจนเกือบจะกลายเป็นการวิ่ง เขาพาตัวเองลัดเลาะไปตามทางเดินของตึกที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปสิ้นสุดตรงไหน จนกระทั่งมาจนมุมหมดทางไปต่อเมื่อมาถึงประตูบริเวณสุดทางเดินที่ถูกล๊อคเอาไว้ จอสเดินย่างสามขุมเข้ามาอย่างใจเย็นเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายหนีไปไหนไม่รอดแล้ว

        “จนมุมแล้วกระรอกน้อย” จอสแสยะยิ้มชั่วร้ายอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว

        “บ้าเอ๊ย…” ภูสบถออกมาอย่างหงุดหงิดที่สุดท้ายแล้วก็หนีไม่พ้น

        นับตั้งแต่วันที่ตกลงคบหากับกรรณอย่างเป็นทางการจนถึงวันนี้ เวลาก็ผ่านมาร่วมหนึ่งเดือนแล้ว ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งเรื่องการเซ็นสัญญาเข้าสังกัด ทั้งเรื่องการสอบที่ผ่านไปได้ด้วยดี และเรื่องความสัมพันธ์กับกรรณที่ต้องเป็นไปแบบลับๆ ซึ่งสาลี่ก็รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครแม้แต่เพื่อนสนิทอย่างตฤณและนฤดล จะมีก็เพียงแค่เรื่องเดียวที่ยังแก้ปัญหาไม่ตกก็คือการที่จอสยังคงคอยมาป้วนเปี้ยนวนเวียนอยู่รอบตัวภูไม่ยอมเลิกรา เด็กหนุ่มแก้ปัญหาด้วยการตัดอีกฝ่ายออกจากสารบบชีวิต ไม่ยอมพบเจอ ไม่ยอมรับสาย แม้กระทั่งเมื่อจอสมาหาถึงบ้านก็ยังให้แม่โกหกไปว่าตนไม่อยู่

        “เราบอกนายแล้วไงว่านายหลบหน้าเราไปตลอดไม่ได้หรอก” จอสเดินเข้ามาชิดจนปลายเท้าของทั้งสองชนกัน “นายอาจจะไม่รับสายเราได้ หลบหน้าเราได้ แต่ยังไงวันนี้เราก็ต้องเจอกัน ซึ่งก็นะ… ถ้านายรับสายเราแต่แรก นายก็จะรู้เรื่องนี้ไปตั้งนานแล้ว”

        “เออ มันคือความซวยของเราเอง เราไม่โทษใครหรอก” ภูไม่คาดคิดจริงๆว่าจอสจะเป็นหนึ่งในกลุ่มนักแสดงใหม่ของช่องด้วย

        “แล้วนายจะบอกได้หรือยังว่าหลบหน้าเราทำไม?” จอสยื่นหน้าเข้ามาถามคล้ายกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินไม่ชัด

        “ใครหลบหน้านาย?” ภูยังไม่ยอมรับ

        “ก็นายนั่นแหละ!” จอสฟาดมือลงบนประตูด้านหลังโครมใหญ่จนเกิดเสียงดังก้องไปทั่วทั้งทางเดิน

        “โอเค ถ้าจะมาใช้อารมณ์แบบนี้ งั้นเรามาพูดกันตรงๆให้จบไปเลยดีกว่า” ภูตัดสินใจบอกความจริง เพราะเห็นแล้วว่าถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไปอาจจะยุ่งยากยิ่งกว่านี้ “ตอนนี้เรามีแฟนแล้ว และเราก็ไม่สะดวกใจจะคบกับนาย เพราะเราสองคนก็รู้กันดีว่านายไม่ได้มีเป้าหมายจะหยุดแค่การเป็นเพื่อน”

        “มีแฟนแล้วเหรอ?” จอสทวนคำพูดของภู “ใคร? มันเป็นใคร?”

        “ก็คนนั้นนั่นแหละ ที่นายเห็นที่บ้าน” ภูบอกไปตามตรง

        “ไอ้ลุงนั่นอ่ะนะ!!?” จอสทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ “นี่จอสโดนลุงแย่งแฟนเหรอเนี่ย?”

        “ก่อนอื่นเลยคือข้อแรก เค้าอายุยังไม่ถึงสามสิบ ยังไม่แก่ถึงขั้นที่นายจะเรียกว่าลุง” ภูแก้ตัวแทนกรรณ “และข้อที่สอง นายใช้คำว่าโดนแย่งแฟนไม่ได้ เพราะเรายังไม่ได้เป็นอะไรกันทั้งนั้น”

        “แต่นายยอมให้เราจูบไปแล้ว” จอสทำหน้าผิดหวัง “ให้ตายสิ ใจร้ายชะมัดยาดเลย เรื่องวันนั้นทำให้เราคิดจริงจังกับนายมากเลยรู้บ้างไหม?”

        “ไหนว่าจูบแบบเพื่อน?” ภูรู้สึกงงกับการกระทำและคำพูดที่ขัดแย้งกันของอีกฝ่าย

        “มันมีที่ไหนล่ะจูบแบบเพื่อน นายก็เชื่อไปได้” จอสยอมคายความจริงออกมาในที่สุด

        “เออ ผิดเองก็ได้วะ” ภูปวดหัวเต็มที

        “ไม่สนล่ะ นายจะมาทำให้เราอกหักแบบนี้ไม่ได้” จอสไม่ยอมท่าเดียว “เราถือว่านายก็ผิดที่ให้ความหวังเราแล้วทิ้ง นายต้องชดเชยด้วยการเป็นแฟนเราตอนที่ไม่ได้อยู่กับคนนั้น เพราะถึงยังไงเราก็ต้องเจอกันบ่อยๆเวลามาเข้าเรียนแอคติ้งอยู่แล้ว”

        “แล้วทำไมเราจะต้องหาเหาใส่หัวแบบนั้นด้วยไม่ทราบหา?” ภูรับไม่ได้กับเงื่อนไขสุดงี่เง่าแห่งปีของจอส

        “ก็เพราะว่าบ้านเรามีกล้องวงจรปิดไง” จอสตอบแบบให้อีกฝ่ายไปคิดต่อเอาเอง

        “บ้านนายมีกล้อง…” ภูพยายามหาจุดเชื่อมโยงของประโยคนี้กับเรื่องทั้งหมด ก่อนที่คำตอบจะลอยมาเข้าหน้าอย่างจัง
        “หมายความว่า… เรื่องเมื่อวันนั้น… “

        “อ่ะฮะ… ถูกบันทึกภาพไว้เรียบร้อย“ จอสยิ้มแบบผู้ชนะ “จอสดูมันซ้ำก่อนนอนทุกคืนเลยรู้เปล่า?”

        “เล่นสกปรก… “ ภูหน้าซีด ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

        “ถ้านายไม่อยากให้แฟนนายเห็นฉากชวนจิกหมอนระหว่างเราสองคนในคืนนั้น ก็ยอมตกลงซะ” จอสกดดันต่อ “เพราะถ้าเค้าเห็น ก็ไม่รู้นะว่าจะเป็นยังไงต่อไป”

        “ทำแบบนี้ไปมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกนะ สิ่งที่ได้จากการบังคับคนอื่นน่ะ นายจะมีความสุขกับมันได้จริงๆเหรอ?”ภูพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ พูดด้วยเหตุผลให้อีกฝ่ายลองคิดตาม “ที่เราหลบหน้านาย เราขอโทษก็แล้วกัน ตอนนั้นเราก็แค่คิดว่ามันคงจะดีกับทุกฝ่าย เราขอโทษที่ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกนาย เอาเป็นว่ากลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเถอะ”

        เสียงโทรศัพท์มือถือของทั้งคู่ดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน เด็กหนุ่มทั้งสองพักการเจรจาเอาไว้ชั่วคราวก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าใครโทรเข้ามา สำหรับของภูสายเรียกเข้านั้นมาจากพี่ช้าง เมื่อประกอบกับเวลาขณะนี้ที่เหลืออีกไม่กี่นาทีงานแถลงข่าวก็จะเริ่มแล้ว จึงเดาได้ไม่ยากเลยว่าบรรดาทีมงานคงกำลังค้นหาตัวทั้งสองคนที่หายไปกันให้ควั่กจนกระทั่งเดือดร้อนถึงผู้จัดการส่วนตัวของแต่ละคนต้องช่วยติดตามและเรียกตัวกลับไป เด็กหนุ่มกดรับสายและฟังเสียงแหลมๆของพี่ช้างที่เอ็ดตะโรบ่นจนหูชาถึงความเป็นคนไม่รู้จักเวล่ำเวลา พร้อมกับสั่งทิ้งท้ายว่าให้รีบกลับไปด่วนอย่าให้ต้องโทรตามอีกรอบ

        “จอส เราว่าไว้คุยกันต่อทีหลังแล้วกันนะ เค้าโทรตามแล้ว” ภูบอกกับจอสที่เพิ่งจะวางสายจากผู้จัดการของเขาเช่นกัน

        “เดินไปคุยไปก็ได้ ยังไงก็ต้องให้รู้เรื่อง ไม่งั้นเดี๋ยวนายก็หนีไปอีก” จอสเข้ามากอดคอภู

        ด้วยท่าทางการเดินนี้มองเผินๆเด็กหนุ่มทั้งสองก็อาจจะเหมือนเพื่อนที่สนิทกันมากกำลังเดินไปด้วยกัน แต่ความเป็นจริงใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วมันคือการคุมตัวนักโทษไม่ให้หนี ภูยังขืนไม่ยอมขยับจนกระทั่งจอสต้องใช้แรงจากแขนข้างที่โอบคออยู่ดันให้ตามมา

        “เมื่อกี้นายบอกว่ายังไงนะ? ให้เรากลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเหรอ?” จอสถามถึงสิ่งสุดท้ายที่ภูพูดก่อนจะถูกขัดจังหวะด้วยโทรศัพท์จากผู้จัดการ

        “ใช่ นายไม่คิดว่ามันจะดีกว่าการต้องมาบังคับให้เราเป็นแฟนนายหรือไง? อย่างน้อยถ้าเป็นเรื่องนี้ สิ่งที่นายจะได้จากเรามันก็ยังมีความจริงใจอยู่บ้าง ไม่ใช่การแสดงทั้งหมด และถ้าจะให้บอกตรงๆ เราเองไม่ใช่คนที่แสดงละครเก่งนักหรอกนะ นายคงไม่แฮปปี้หรอก” ภูชักแม่น้ำทั้งห้า

        จอสทำหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดตัดสินใจ เสี้ยววินาทีหนึ่งสีหน้านั้นคล้ายว่าจะเห็นด้วยและตกลงแต่แล้วก็เกิดเปลี่ยนใจด้วยเหตุผลทางความรู้สึกบางอย่างที่ยังรบกวนจิตใจอยู่จนไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้ง่ายๆ

        “ไม่เอา” จอสปฏิเสธ

        “หูย นี่ถอยจนไม่รู้จะถอยยังไงแล้วนะ” ภูโอดครวญขอความเห็นใจ

        “ไม่เอาอ่ะ ยังไม่เอาตอนนี้” จอสพูดต่อจากเมื่อครู่ “ถ้าเรายอมตกลง ก็เท่ากับเราอกหัก คนแบบจอสไม่ยอมอกหักแน่ๆ เพราะงั้นนายต้องยอมเราไปก่อนช่วงนี้”

        “แล้วต้องยอมไปจนถึงเมื่อไหร่ล่ะ?” ภูถามหาขอบเขตที่สิ้นสุด

        “ก็จนกว่าเราจะรู้สึกว่าโอเค เบื่อนายแล้ว ถึงตอนนั้นเราจะบอกเลิกนายเอง” จอสมองหน้าภู “นายไม่มีทางเลือกหรอกนอกจากทนไป ถือซะว่าเป็นการลงโทษข้อหาที่ชอบมาให้ความหวังคนอื่นก็แล้วกัน”

        “สรุปว่านี่คือช่วงขอเวลาทำใจ?” ภูเข้าใจได้แบบนี้

        “หุบปากน่า” จอสหันหน้าหนี “ใครจะยอมให้เกียรติประวัติเรื่องที่ไม่เคยอกหักต้องมามีรอยด่างพร้อยเพราะไอ้กระรอกซื่อบื้อแบบนายกันล่ะ”

        ภูรู้สึกโล่งใจ เป็นความโล่งใจแบบโง่ๆ โล่งใจในขณะที่ในความเป็นจริงแล้วสถานการณ์ยังไม่มีอะไรที่เรียกได้ว่าน่าวางใจได้แม้แต่น้อย แต่เด็กหนุ่มก็เลือกที่จะเชื่อในสัญชาติญาณของตัวเอง เชื่อในความรู้สึกที่จับได้จากอาการและคำพูดของอีกฝ่ายว่าจอสจะไม่มีทางทำอะไรรุนแรงอย่างที่ขู่เอาไว้ลงไปอย่างแน่นอน ทั้งหมดที่ภูต้องทำในตอนนี้ก็เพียงแค่ยอมโอนอ่อนทำตามความต้องการของอีกฝ่ายไปจนกว่าเขาจะพอใจ

        ทั้งสองแยกออกจากกันเมื่อเดินกลับมาใกล้ถึงด้านหน้าหอประชุม งานแถลงข่าวจะเริ่มในอีกสิบนาทีข้างหน้า จอสโดนผู้จัดการของเขาลากไปเตรียมความพร้อมในขั้นสุดท้าย ในขณะที่ภูก็โดนพี่ช้างดึงหูมายังจุดสแตนบายพร้อมกับบ่นกรอกหูมาตลอดทาง เมื่อมาถึงทีมงานก็เข้ามาซักซ้อมเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำและต้องพูดขณะแถลงข่าวจนเมื่อเสร็จเรียบร้อย ในตอนนั้นกรรณที่เพิ่งจะเสร็จจากงานของตัวเองก็เข้ามาถึงบริเวณงานพอดี ภูรีบชูแขนขึ้นโบกเรียกให้อีกฝ่ายที่กำลังเหลียวซ้ายแลขวามองหาตนอยู่สังเกตเห็น กรรณรีบเดินตรงเข้ามาหาทันที

        “มาช้าจัง นึกว่าจะไม่มาแล้ว” ภูบ่น ใจนึกอยากเข้าไปกอดอีกฝ่ายแต่ก็ไม่อาจทำได้ในขณะนี้

        “เสร็จงานปุ๊บก็รีบดิ่งซ้อนท้ายพี่วินมาเลย กลัวไม่ทัน” กรรณยังหอบแฮ่กหายใจไม่ทันอยู่จากการที่ต้องเดินทางอย่างรีบเร่งมาตลอดทาง “แต่ถึงยังไงก็ต้องมา ไม่มาไม่ได้ วันสำคัญของแฟน”

        “เดี๋ยวคนอื่นได้ยินหรอก” ภูระแวง ด้วยทั่วทั้งบริเวณหลังเวทีเต็มไปด้วยทีมงานทั้งของทางช่องเองและของนักแสดงแต่ละคนที่ต้องเข้าร่วมงานแถลงข่าวในวันนี้ “ขี้เกียจโดนพี่ช้างบ่นแล้วนะ เมื่อกี้ก็บ่นตลอดเลย วีนเก่งจริงๆ”

        “ป้าแกก็ตื่นเต้น เด็กดันกำลังจะขึ้นแท่น ก็เลยเจ้ากี้เจ้าการแบบนี้แหละ” กรรณเห็นสีหน้ากระเง้ากระงอดของเด็กหนุ่มแล้วก็แทบจะอดใจรอให้ถึงเวลาที่ได้กลับไปอยู่ด้วยกันสองต่อสองไม่ไหว “อีกเดี๋ยวก็จะได้เวลาแล้ว ไปเตรียมตัวเถอะ เดี๋ยวพี่จะไปรอหน้างานหาจุดเหมาะๆสำหรับถ่ายรูป”

        กรรณยกมือขึ้นลูบหัวภูเบาๆอย่างเอ็นดูก่อนจะเดินออกไป เด็กหนุ่มมองตามจนคล้อยหลังแล้วจึงค่อยหันกลับเพื่อจะไปยังจุดที่ทีมงานนัดหมายเอาไว้ ในตอนนั้นเองก็เจอเข้ากับสายตาของจอสที่มองมาอย่างไม่สบอารมณ์ เพียงเท่านั้นไม่ต้องบอกก็พอจะคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้แบบเต็มสองตาไปแล้ว จอสกวักมือเรียกให้ภูเข้าไปหา ซึ่งเด็กหนุ่มก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะยอมทำตามอย่างว่าง่าย

        “มีอะไร ยังไม่รีบไปอีก เค้าจะเริ่มกันแล้ว” ภูชี้ไปยังด้านหน้างาน

        “รักกันซะเหลือเกินนะ” จอสเหม็นกลิ่นความรัก ทนไม่ได้กับภาพบาดตาบาดใจ “เดี๋ยวตอนออกไปข้างหน้าน่ะ มาอยู่ข้างๆเรา ห้ามหลบไปที่อื่น”

        “เออ ก็ได้” ภูรับปากตัดรำคาญ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 15 ☆ [5-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 09-04-2018 12:54:46
Episode 16 part2


        งานแถลงข่าวเริ่มขึ้นตามเวลาที่กำหนดเอาไว้ บรรยากาศด้านนอกเต็มไปด้วยสื่อมวลชนสายบันเทิงทั้งจากเว็บไซต์ข่าวและหนังสือพิมพ์ อีกทั้งยังมีบรรดากลุ่มแฟนคลับและครอบครัวของเหล่านักแสดงใหม่คนอื่นๆที่มาร่วมงานเปิดตัวในวันนี้ด้วยอีก ภูออกไปนั่งยังจุดที่ถูกจัดเอาไว้ให้ด้วยความอึดอัดใจที่อัดแน่นอยู่ในอกจนเกินจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เพราะเพียงแค่ต้องออกมาพบเจอสายตาผู้คนแปลกหน้านับร้อยคู่ก็ทำให้เขารู้สึกประหม่าจนแทบทำอะไรไม่ถูกแล้ว นี่ยังมีความน่ารำคาญจากจอสที่คอยตามประกบไม่ห่างและเจ้ากี้เจ้าการสั่งให้ตนต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ตามต้องการอีก เดิมทีเมื่อออกมาในตอนแรกเด็กหนุ่มก็ยังแอบโล่งใจว่าที่นั่งของจอสถูกจัดเอาไว้ห่างจากของตน แต่ความสบายใจก็คงอยู่ได้ไม่นานเมื่อทันทีที่จอสเห็นภูนั่งลงตรงไหน เขาก็รีบเข้ามาจัดการยึดที่นั่งข้างๆโดยไม่สนใจคำทักท้วงจากผู้เป็นเจ้าของเดิม   

        “ไปนั่งตรงที่ๆเค้าจัดไว้ให้สิ!” ภูใช้ศอกกระทุ้งเตือน ตาเหลือบมองไปทางเด็กสาวที่กำลังมองมาด้วยท่าทางขอให้ช่วย

        “ไม่เอา จะนั่งตรงนี้” จอสทำมึนใส่ไม่ยอมลุก จนในที่สุดเด็กสาวผู้ซึ่งถูกแย่งที่ก็จำใจต้องไปนั่งตรงที่ของจอสแทน

        ภูบอกตัวเองให้หันเหความสนใจไปหาสิ่งที่จะทำให้ตนรู้สึกดีขึ้น เด็กหนุ่มกวาดสายตามองไปท่ามกลางผู้คนมากมายเบื้องหน้าจนในที่สุดก็พบกับกรรณที่ยืนปะปนอยู่กับกลุ่มช่างภาพสื่อมวลชนคนอื่นๆ รอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาเมื่อสายตาทั้งสองสบเข้าหากันนั้นทำให้ภูรู้สึกดีขึ้นได้แทบจะทันที และเมื่อมองไปยังอีกจุดหนึ่งทางด้านหลังเส้นที่แบ่งเอาไว้เป็นโซนที่นั่งสำหรับกลุ่มแฟนคลับและครอบครัว ภูก็ยังเห็นพ่อกับแม่และสาลี่รวมไปถึงเพื่อนคนอื่นๆในกลุ่ม อีกทั้งยังมีสองสาวพิมกับส้มที่พาแฟนคลับอีกกลุ่มใหญ่มาให้กำลังใจในวันนี้ แม้จะยังรู้สึกประหม่าและหวาดระแวงกับพฤติกรรมซุบซิบชี้มาทางตนที่สาลี่ทำกับเพื่อนคนอื่นๆ อีกทั้งยังเขินกับเสียงเชียร์และตะโกนเรียกจากกลุ่มแฟนคลับ แต่มันก็ทำให้ใจชื้นขึ้นกับการที่ไม่ต้องพบเจอเรื่องทั้งหมดนี้ตามลำพัง เมื่อหันกลับไปทางกรรณอีกครั้ง ตากล้องหนุ่มส่งสัญญาณมืออันเป็นที่รู้กันว่าให้ภูยกมือทักทายกล้อง เด็กหนุ่มตอบสนองต่อสัญญาณนั้นอย่างคุ้นเคย จริงอยู่ที่ถึงแม้ว่าเรื่องการแสดงออกต่อหน้ากล้องจะเป็นสิ่งที่ไม่ถนัดสำหรับภู แต่หากบุคคลที่อยู่หลังเลนส์นั้นเป็นกรรณ ทุกอย่างก็กลับกลายเป็นง่ายดายได้อย่างไม่น่าเชื่อ

        พิธีกรผู้ดำเนินรายการทำหน้าที่ตามสคริปต์ที่วางเอาไว้อย่างไหลลื่น จนกระทั่งมาถึงช่วงแห่งการแนะนำตัวนักแสดงใหม่ทั้งสิบสองคนแบบทีละคน ภูเฝ้ามองเก็บรายละเอียดสิ่งที่คนก่อนหน้าของตนทำเพื่อเอามาปรับใช้ยามถึงคิวของตัวเองจะได้ไม่เผลอทำอะไรผิดพลาดให้ขายหน้า จนกระทั่งพิธีกรประกาศชื่อของเขาพร้อมกับแสงไฟที่สาดเข้ามาเพื่อเน้นจุดความสนใจ เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนและทำตามสคริปต์ที่ซ้อมมาตลอดทั้งสัปดาห์กับพี่ช้าง นั่นคือการแสดงออกถึงความเป็นมิตรและสดใสแบบเกินขอบเขตที่มนุษย์ธรรมดาพึงมี  ความอายถ้าละทิ้งไปไม่ได้ก็ต้องควบคุมจนมันอยู่ในระดับที่พอเหมาะ อย่าให้มันครอบงำจนสติหลุด ซึ่งเมื่อทำได้ก็กลับกลายเป็นว่าอาการเขินอายเหล่านั้นมันได้กลายเป็นเสน่ห์เอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อมองไปทางกรรณ ตากล้องหนุ่มก็รัวกดชัตเตอร์เพื่อเก็บภาพพร้อมกับส่งสัญญาณมือด้วยการยกนิ้วโป้ง อันมีความหมายว่าทำได้ดีมากซึ่งนั่นก็ทำให้ภูสบายใจขึ้นกว่าตอนเริ่มหลายเท่าเลยทีเดียว

        หลังจากหมดช่วงเวลาสำหรับตัวเอง เด็กหนุ่มก็รีบนั่งลงกลับไปประจำที่เดิมขณะที่พิธีกรประกาศชื่อคนต่อไป ทันทีที่หย่อนก้นแตะลงบนพื้นเก้าอี้จอสก็เอี้ยวตัวหันมาหาภูและใช้มือจับปอยผมของเขาที่ปรกอยู่ข้างใบหน้าขึ้นมาทัดไว้หลังใบหูก่อนจะหยิกแก้มเบาๆก่อนจากมา ภาพนั้นก่อให้เกิดเสียงกรี้ดกร้าดดังสนั่นลั่นมาจากทางโซนของเหล่าบรรดาแฟนคลับ พิธีกรสาวก็ช่างเป็นงานไม่ปล่อยให้โมเมนต์อันแสนจะมีค่านั้นผ่านไปโดยเสียเปล่ารีบพูดแซวเด็กหนุ่มทั้งสองทันที จอสแสร้งทำเป็นเขินก่อนจะชี้นิ้วไปทางกลุ่มแฟนคลับสาววายที่กำลังแสดงออกอย่างชัดเจนว่าหยิบไม้พายเดินขึ้นเรือพร้อมออกทะเลแล้ว ในขณะที่ภูมีบางสิ่งที่ต้องห่วงมากกว่านั้น เด็กหนุ่มรีบมองไปทางกรรณและพบว่าอีกฝ่ายก็กำลังมองมาทางตนเช่นกันด้วยสายตาที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจกับภาพที่เห็น

        หลังจากจบงานและเสร็จสิ้นการให้สัมภาษณ์กับบรรดาสื่อมวลชนที่รออยู่แล้ว ภูรีบกลับเข้าไปด้านหลังเวที กรรณซึ่งรออยู่ที่นั่นตั้งแต่ก่อนหน้าที่เด็กหนุ่มจะไปถึงก็รีบเข้ามาฉวยคว้าแขนลากอีกฝ่ายไปสะสางสิ่งที่ค้างคาใจอยู่ทันที

        “เมื่อกี้นั่นอะไร?” กรรณถาม แม้จะไม่พอใจแต่ก็ยังอยากให้ภูได้อธิบายตัวเองก่อน

        “ไม่รู้ เค้าทำของเค้าเอง ผมไม่เกี่ยวนะ” ภูแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่มีส่วนรู้เห็นและเป็นแค่ผู้ถูกกระทำ

        “ไอ้นั่นมันเด็กแว้นที่มาส่งบ้านวันนั้นไม่ใช่หรือไง?” กรรณจำได้แม่น

        “ก็ใช่ ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเค้าก็เซ็นเข้าสังกัดช่องด้วย” ภูพยายามแกะมือของกรรณที่จับกุมตนเอาไว้ออก “พี่ปล่อยเถอะ คนเริ่มมองกันแล้ว”

        “มีอะไรกันสองคนนี้ มาจับมือถือแขนทำอะไรกันตรงนี้ บอกแล้วไงว่าอย่าประเจิดประเจ้อ” พี่ช้างรีบเข้ามาแยกเมื่อเห็นท่าไม่ดี

        “พี่ไม่เห็นเหรอบนเวที ว่าภูโดนไอ้เด็กจอสนั่นทำอะไร?” กรรณฟ้อง

        “จอส วาโย? เจ้าหนุ่มลูกครึ่งนั่นน่ะเหรอ?” พี่ช้างจำได้ “พี่ก็นึกว่าที่เห็นนั่นเธอกับจอสเตี๊ยมกันไว้แล้วซะอีก”

        “เปล่าครับ เค้าทำของเค้าเอง” ภูส่ายหน้าปฏิเสธ

        “งั้นนายจอสอะไรนี่ก็จัดว่ารู้งานใช้ได้เลย” พี่ช้างดูมีท่าทีพอใจ “เป็นแบบนี้ก็ดี ง่ายไปอีกหนึ่งเปลาะ”

        “ไหงงั้นอ่ะ?” ภูไม่เข้าใจว่าทำไมผู้จัดการของตนจึงดูไม่เดือดร้อนกันเรื่องนี้เลย “ที่พี่ไม่ให้ผมเปิดเผยเรื่องแฟนก็เพราะกลัวเสียภาพลักษณ์ แล้วอันนี้มันไม่เข้าข่ายทำให้เสียภาพลักษณ์เหมือนกันเหรอครับ?”

        “ไม่เสียหรอก ถ้ามันอยู่ในระดับแค่คู่จิ้น” พี่ช้างอธิบายให้ภูเข้าใจ “ดาราหน้าใหม่ๆเกิดขึ้นทุกวัน ถ้าไม่มีกระแสอะไรมาดันมาหนุนก็รุ่งยาก ถ้าเธอมีกระแสการเป็นคู่จิ้นวาย ก็จะได้แฟนคลับของทางจอสเพิ่มมาอีก กระแสทั้งสองคนก็จะหนุนไปด้วยกัน ช่องก็อาจจะป้อนงานคู่ให้ มีผลงานแจ้งเกิดได้เร็วกว่าคนอื่นๆ”

        “ผมว่าไม่จำเป็น” กรรณไม่เห็นด้วย “ที่ผ่านมาภูก็เด่นได้ด้วยตัวเค้าเองมาตลอด ไม่เห็นต้องไปหวังพึ่งไอ้เด็กนั่นเลย”

        “อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวกับเรื่องงานนะกรรณ นี่แหละ เพราะคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นอย่างงี้พี่ถึงไม่อยากให้เธอสองคนเริ่มคบกันในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้” พี่ช้างเอ็ด “แยกแยะด้วย พี่ไม่ได้บอกว่าน้องต้องไปคบอะไรกับนายจอสนั่นจริงๆ ก็แค่การแสดงในอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้นเอง แล้วอีกหน่อยพอติดลมบนก็ไม่ต้องมาทำอะไรแบบนี้แล้ว ลับหลังกล้องน้องมันก็เป็นของเธอเหมือนเดิม”

        “แต่…” กรรณพยายามหาข้อโต้แย้งแต่ก็จนปัญญา

        “ว่าไงล่ะภู เอาตามที่พี่พูดไหม? เดี๋ยวพี่จะไปคุยกับทางผู้จัดการของเด็กนั่นไว้เลย จะได้เดินหน้าไปพร้อมๆกัน” พี่ช้างหันมาถามภู

        ภูสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าตนควรจะตัดสินใจอย่างไรดี ตามองสลับไปมาระหว่างพี่ช้างที่กำลังจ้องหน้าตนรอคำตอบกับกรรณที่ยืนหัวเสียอยู่ ก่อนจะตัดสินใจว่าจะให้ความรู้สึกของคนสำคัญของตนเป็นปัจจัยแรกของการตัดสินใจในทุกเรื่อง

        “พี่กรรณ พี่ว่าไง?” ภูถามกรรณ “ถ้าพี่ไม่โอเค ผมก็ไม่ทำนะ”

        “จะบ้าตาย เบื่อจริงๆพวกคู่รัก พอมีแฟนแล้วคิดตัดสินใจอะไรเองไม่ได้เลย” พี่ช้างกุมขมับ “กรรณ คิดดีๆแล้วกันนะ จะทำเพื่อตัวเองหรือทำเพื่อน้อง เธอพาน้องมาฝากพี่ ก็ควรจะเคารพการตัดสินใจของพี่ด้วย”

        กรรณเองก็ดูสับสนไม่แพ้ภู สงครามขนาดย่อมในจิตใจกำลังสู้รบปรบมือกันอย่างดุเดือดระหว่างสองฝ่ายอันได้แก่ความถูกต้องและความต้องการ ช่วงแรกนั้นความต้องการดูเหมือนจะมีกำลังมากกว่าจากอารมณ์หึงหวง แต่ด้วยวุฒิภาวะที่เติบโตมาตามวัยวุฒิ ในที่สุดเหตุผลก็เริ่มตีตื้นขึ้นมาได้และส่งผลให้ความถูกต้องเป็นผู้กำชัยชนะในที่สุด

        “เอาเลยครับ” กรรณกลั้นใจตอบออกไป “ถ้าพี่คิดว่ามันจะดีกับภู ผมก็ไม่ขัดแล้ว”

        “พี่แน่ใจนะ?” ภูรู้สึกเป็นกังวลเพราะสีหน้าอีกฝ่ายไม่ได้แสดงออกว่ายินดีแม้แต่น้อย

        “แน่ใจสิ” กรรณพยายามปรับสีหน้าให้ดีขึ้นเพื่อให้เด็กหนุ่มคนรักคลายใจ “ก็อย่างที่เราคุยกันวันนั้นไง ทุกอย่างจะเป็นยังไงก็ไม่สำคัญ แค่สุดท้ายแล้วเราเป็นคนสำคัญที่สุดของกันและกันก็พอ”

        “เออ ก็เท่านั้นแหละย่ะ” พี่ช้างถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่เรื่องยุ่งยากนี้หาจุดจบลงได้เสียที

        พี่ช้างรับหน้าที่ประสานงานกับทางฝั่งของจอสเพื่อจะวางแผนในการปั่นกระแสให้เด็กหนุ่มทั้งสอง ในขณะที่ภูเมื่อเสร็จจากงานแล้วก็ยังต้องไปร่วมงานฉลองที่กลุ่มแฟนคลับจัดให้ เมื่อถามกรรณว่าเขาจะไปด้วยหรือไม่ อีกฝ่ายตอบมาเพียงว่าขอดูก่อนโดยอ้างว่ายังมีงานต้องจัดการอีกนิดหน่อย หากเสร็จทันก็จะตามไป ซึ่งนั่นทำให้ภูยิ่งเป็นกังวลว่าอีกฝ่ายอาจกำลังคิดมากเรื่องข้อตกลงที่เพิ่งทำไปและตนก็ยังไม่มีโอกาสได้ปรับความเข้าใจแบบเป็นส่วนตัวเลย

        ในงานเลี้ยงบรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกสนาน เว้นก็แต่เพียงเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของงานที่ตอนนี้ร่างกายหนักอึ้งไปด้วยความกลัดกลุ้มใจ เขาพยายามทำตัวให้ร่าเริงยิ้มแย้มทักทายเหล่าแฟนคลับและคุยกับกลุ่มเพื่อนเพื่อไมให้งานกร่อย จนเมื่อสบจังหวะมีโอกาส ภูก็หลบออกมานอกงานเพื่อโทรหากรรณ ทว่าไม่ว่าจะพยายามกี่ครั้งอีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับสาย เด็กหนุ่มทนฟังเสียงรอสายดังจนกระทั่งมันตัดเข้าระบบฝากข้อความซ้ำไปซ้ำมา อารมณ์เริ่มหงุดหงิดจิตใจวุ่นวายเต็มไปด้วยความคิดฟุ้งซ่าน ในตอนนั้นเองสาลี่ที่ดูเหมือนจะสังเกตเห็นความผิดปกติของเพื่อนซี้จึงแอบตามออกมาดูก็จึงค่อยปรากฎตัวขึ้นและเข้ามาถามไถ่ถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่อีกฝ่ายกำลังเผชิญ

        “แก มีอะไรรึเปล่าวะ?” เธอนั่งลงข้างๆภูที่กำโทรศัพท์เอาไว้แน่น สีหน้าเหมือนพร้อมจะร้องไห้ได้ทุกเวลา

        “ชั้นว่า ชั้นตัดสินใจผิดไปอีกแล้วว่ะ” ภูตอบเสียงเหนื่อยอ่อน “ชั้นทำให้พี่กรรณเค้าไม่สบายใจ”

        ภูเล่าเรื่องทุกอย่างให้สาลี่ฟังอย่างละเอียด ทั้งเรื่องของจอส เรื่องของข้อตกลงที่ทำในวันนี้ และท่าทีตอบสนองที่กรรณมีต่อเรื่องทั้งหมด สาลี่ฟังอย่างตั้งใจจนกระทั่งอีกฝ่ายพูดจบจึงค่อยแสดงความคิดเห็น

        “คิดมากน่ะ มันก็แค่เรื่องงาน อีกอย่างนะ พี่เค้าก็โตแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ ต้องเข้าใจเหตุผลสิ” สาลี่แตะบ่าของภู “ชั้นก็ไม่รู้นะว่าอะไรเป็นอะไร หลังๆก็ไม่ค่อยมีเวลาได้คุยกับแกเลย แต่ก็ไม่อยากให้แกคิดมากไป ทั้งที่ความจริงมันอาจจะไม่เป็นแบบที่แกคิดก็ได้”

        “แต่เค้าไม่รับสายเลยนะ” ภูกดโทรอีกรอบ แต่ผลก็ออกมาเหมือนเดิม

        “เค้าอาจจะกำลังยุ่งอยู่ก็ได้” สาลี่พยายามบอกให้ภูมองในแง่ดี “เค้าก็บอกแล้วนี่ว่าจะตามมา แกก็ทำใจให้สบายแล้วไปรอข้างในเถอะ พวกน้องๆเค้ามาเพื่อยินดีกับแกนะเว้ย ชั้นก็ด้วย วันนี้มันวันของแก แกควรจะทำตัวให้มีความสุข”

        “สุขไม่ออกแล้วแบบนี้” ภูถอนหายใจ พยายามสั่งตัวเองไม่ให้ร้องไห้

        “ชั้นว่าอีกแป๊ปนึงแกก็สุขได้แล้วล่ะ” สาลี่มองไปทางถนนด้านหน้าร้านอาหารอันเป็นสถานที่จัดงานแล้วจึงชี้ให้ภูมองตามตนไป

        ที่ริมถนนนั้น แท็กซี่คันหนึ่งเพิ่งขับออกไปหลังจากจอดส่งกรรณลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นภูที่กำลังนั่งจับเจ่าอยู่ด้านหน้าร้านชายหนุ่มก็รีบโบกมือทักทายและเดินเข้าไปหา สาลี่รีบหลบฉากออกมาปล่อยให้คู่รักได้มีเวลาส่วนตัวเพื่อปรับความเข้าใจกัน

        “ทำไมมานั่งตรงนี้ล่ะ?” กรรณถาม

        “รอพี่ไง” ภูตอบ “โทรหาเท่าไหร่พี่ก็ไม่ยอมรับสาย”

        “ขอโทษที ลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้านก่อนออกมา” กรรณล้วงกระเป๋ากางเกงให้ภูดูเพื่อยืนยันว่าเป็นดังที่พูดจริงๆ “รีบกลับไปเอาไฟล์รูปส่งให้ลูกค้า แล้วก็เอาโทรศัพท์ไปชาร์จแบตฯ พออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จตอนออกมาก็ลืม มานึกได้ตอนนั่งรถมาครึ่งทางแล้ว ก็เลยตามเลย”
 
        “ผมนึกว่าพี่โกรธ นึกว่าพี่…” เสียงของภูขาดห้วง เมื่อได้ยินคำอธิบาย ความโล่งใจก็ทำให้เขาปลดปล่อยความเครียดทั้งหมดที่อดกลั้นเอาไว้ออกมา น้ำตาหยดใหญ่ๆไหลอาบแก้ม เด็กหนุ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กๆ แม้จะรู้สึกว่ากำลังทำตัวน่าอายแต่ก็ไม่อาจอดกลั้นไว้ได้อีกต่อไปแล้ว “ผมนึกว่าพี่โกรธเรื่องที่ผมไปตกลงกับพี่ช้าง นึกว่าจะไม่อยากคุยกันแล้ว”

        “คิดอะไรแบบนั้น พี่บอกแล้วไงว่าพี่โอเค” กรรณนั่งลงข้างๆและใช้มือปาดน้ำตาออกจากแก้มของภู “พี่โอเคกับทุกอย่างตั้งแต่นายหันมาถามพี่ก่อนจะตัดสินใจแล้ว เพราะมันทำให้พี่รู้ว่านายแคร์ความรู้สึกพี่มากแค่ไหน”

        “กลับบ้านเลยได้ไหม?” ภูสูดน้ำมูกและเช็ดคราบน้ำตาที่ยังเกรอะกรังออกจากหน้า “ตาผมแดงบวมไปหมด ไม่อยากเข้าไปเจอหน้าใครแล้ว”

        “อีกเดี๋ยวก็น่าจะได้เวลาเลิกแล้ว อดทนอยู่ต่อให้จบจะดีกว่านะ ทุกคนเค้ามาเพื่อนายกันทั้งนั้น แล้วไหนจะเพื่อนๆอีก พักหลังก็ไม่ค่อยได้มีเวลาเจอกันเลยไม่ใช่เหรอ วันนี้มารวมตัวกันได้ก็ใช้เวลาด้วยกันให้เต็มที่สิ” กรรณยกมือขึ้นลูบหัวเด็กหนุ่ม แต่ก็ไม่ลืมจะมองรอบตัวอย่างระแวดระวังเพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของภูไม่ให้เสียหาย

        “รออีกแป้ปนึงค่อยกลับเข้าไปนะ ขอพักให้ตาหายแดงก่อน” ภูขอเวลานอกเพิ่มก่อนจะต้องกลับเข้าไปทำหน้าที่บุคคลสาธารณะต่อจนจบงาน

        เมื่อความกังวลที่หนักอกอยู่ได้ถูกคลี่คลายออกไปแล้ว การกลับเข้าไปทำตัวร่าเริงมีความสุขกับบรรดาแฟนคลับข้างในอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป  จนกระทั่งงานเลี้ยงมาถึงจุดสิ้นสุด ภูยืนส่งบรรดากลุ่มแฟนคลับทุกคนจนหมดถึงคนสุดท้ายแล้วจึงค่อยกลับเข้าไปหากรรณและสาลี่ที่ยังรออยู่ด้านในร้านกับเพื่อนคนอื่นๆ ภูค่อนข้างโล่งใจที่พบว่ากรรณเข้ากับกลุ่มเพื่อนของตนได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยราวกับเป็นคนวัยเดียวกัน จากตอนแรกที่คิดกังวลว่าอีกฝ่ายอาจจะต้องมานั่งเบื่อ แต่กลับกลายเป็นว่าตนเสียอีกที่กลายเป็นคนที่พูดน้อยที่สุดในวง เด็กหนุ่มใช้เวลากับเพื่อนทุกคนอย่างไม่รีบร้อน พยายามเก็บเกี่ยวความสุขและความสบายใจที่มีในตอนนี้ให้ได้มากที่สุด เพราะรู้ดีว่านับจากนี้ไปภาระหน้าที่และความรับผิดชอบต่อตารางชีวิตอันแน่นขนัดของตนจะพรากสิ่งเหล่านี้ออกไปอย่างไร้หนทางฉุดรั้ง 

        เป็นเวลาเกือบตีสองกว่าที่ทุกคนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน สาลี่เสนอตัวจะขับรถไปส่งทั้งภูและกรรณที่บ้าน ภูผล็อยหลับไประหว่างการเดินทางด้วยความอ่อนเพลียจากสิ่งที่ต้องเผชิญมาทั้งวัน กรรณมองเด็กหนุ่มคนรักของตนที่หลับตาพริ้มอยู่ข้างๆบนเบาะหลังของรถ ริมฝีปากที่เผยออ้าออกเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัวยามหลับไหลทำให้ใบหน้านั้นยิ่งทวีความน่าเอ็นดูจนเกินจะหักห้ามใจเอาไว้อยู่ อีกทั้งด้วยความที่สาลี่เองก็รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองอยู่แล้ว จึงคิดว่าไม่น่าจะเสียหายอะไรหากจะฉวยโอกาสนี้ก้มลงไปหอมแก้มภูสักฟอด จนกระทั่งได้ทำลงไปตามต้องการแล้วจึงสังเกตเห็นว่าเด็กสาวผู้รับหน้าที่สารถีคนขับกำลังลอบมองมาผ่านทางกระจกมองหลังของรถ เมื่อถูกจับได้แบบคาตาเช่นนี้กรรณก็ไม่มีอะไรที่จะทำได้มากไปกว่าการแค่นหัวเราะออกมาแก้เขิน

        “ไม่เป็นไรหรอกพี่ น่ารักดี” สาลี่อดหน้าแดงกับภาพที่เห็นไม่ได้ “ภูมันน่ารักเนอะ เวลาหลับยิ่งเหมือนเด็กเลย”

        “ใช่ น่ารักมาก” กรรณไม่มีข้อโต้แย้งสำหรับเรื่องนี้ “ถึงจะเป็นคนชักนำให้เค้ามาทำงานเอง พี่ก็ยังอดกลัวไม่ได้ว่าสักวันชีวิตในวงการจะทำให้เค้าต้องเสียความน่ารักไป”

        “ไม่หรอกค่ะพี่ หนูเชื่อว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนคนแบบไอ้ภูได้หรอก” สาลี่ยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงตัวตนของเพื่อนสนิทที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยนับตั้งแต่วันที่รู้จักกันมา “ภูมันโตมาแบบไข่ในหิน ก็เลยออกจะเด๋อๆด๋าๆไม่ค่อยประสีประสาอะไรเท่าไหร่ บางทีการได้เข้ามาอยู่ตรงนี้ มันก็อาจจะช่วยให้ภูมันโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งหนูว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่หรอกนะ”

        “สนิทกันมาแต่เด็กแบบนี้ ไม่ตกใจเหรอพอรู้ว่าเค้าไม่ได้เป็นเหมือนผู้ชายทั่วไป” กรรณถาม

        “ตอนแรกที่รู้ก็ตกใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกค่ะ จะชอบผู้ชายหรือผู้หญิง ยังไงไอ้ภูก็คือไอ้ภูคนเดิม” สาลี่ตอบตามความรู้สึกที่มี “ก็ดีจะได้หายสงสัยไปอีกเรื่อง เพราะเมื่อก่อนก็เคยมานั่งคิดว่าทำไมมันไม่มีแฟนสักที เวลาหนูมีแฟนมันก็ชอบน้อยใจ บ่นว่าเหงาที่หนูไม่มีเวลาให้มัน”

        “พอมาตอนนี้ก็กลายเป็นภูไม่มีเวลาให้ลี่แทน” กรรณนึกขำกับชีวิตที่จู่ๆก็กลับตาลปัตรของเพื่อนทั้งสอง

        “ก็ดีแล้วล่ะ ตัวติดกับมันมากก็ขายไม่ออกกันพอดี” สาลี่ทำเป็นโล่งใจทั้งที่ในความเป็นจริงเธอเองก็รู้สึกเหงาเหมือนกันที่เพื่อนซี้ต้องห่างหายออกไปจากชีวิต

        “ก็พูดไป เราเองก็ไม่ใช่ว่าจะขี้เหร่ เดี๋ยวก็เจอคนดีๆเองแหละ” กรรณให้ความหวัง

        “ผู้ชายดีๆหนีไปเป็นเกย์หมดแล้ว ดูอย่างพี่กับไอ้ภูสิ” สาลี่ถอนหายใจ “แต่หนูก็ดีใจนะ ที่ความรักครั้งแรกของภูมันสมหวัง ดีใจที่คนๆนั้นที่มันรออยู่เป็นพี่”

        “พี่ก็ดีใจ” กรรณยิ้มน้อยๆขณะมองไปยังภูซึ่งหลับสนิทจนคออ่อนปล่อยให้ศรีษะเอนมาพิงไหล่ของตนแล้ว

        “ดูแลเพื่อนหนูดีๆนะพี่ รักมันมากๆ” สาลี่หันมาบอกกับกรรณ ความรู้สึกบางอย่างเต็มตื้นอยู่ในอก “เพราะนั่นคือสิ่งเดียวที่คนดีๆแบบมันสมควรได้”

        ถึงแม้สาลี่จะไม่ออกปาก แต่เจตนาของกรรณก็ไม่ได้แตกต่างจากนั้นแม้แต่น้อย ยิ่งเมื่อได้เห็นว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาภูแคร์ความรู้สึกของตนมากเพียงใด ความตั้งใจที่จะตอบสนองกลับไปด้วยสิ่งเดียวกันก็ยิ่งมากขึ้นตาม เพราะอนาคตล้วนแล้วแต่ไม่แน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งใดจะผ่านเข้ามาในวันข้างหน้า และสิ่งที่มีจะสิ้นสุดลงตรงไหน เขาทั้งสองอาจจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป หรือถ้าหากทุกสิ่งจะต้องเหลือเพียงแค่ความทรงจำ เขาก็อยากจะให้มันเป็นความทรงจำที่สว่างไสวที่สุดในหัวใจของเด็กหนุ่มทุกครั้งที่ระลึกถึง ด้วยเหตุนี้กรรณพยักหน้ารับคำฝากฝังนั้นด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง


To be continued...
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 16 ☆ [9-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 09-04-2018 13:44:14
 :man1:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 16 ☆ [9-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 09-04-2018 15:40:58
 :pig4: :pig4: :pig4:

ทำไมมีความรู้สึกว่าจะมีการซดมาม่าเกิดขึ้นตามมาหว่า?
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 16 ☆ [9-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-04-2018 18:37:33
ทำไมได้กลิ่นมาม่าซะ

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 16 ☆ [9-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 09-04-2018 19:09:55
จอสมันร้าย เอาแต่ใจ แล้วยิ่งสร้างกระแสคู่จิ้นให้ก็ยิ่งเข้าทางจอสเลยสิ สักวันภูจะต้องทะเลาะกับพี่กรรณแน่ๆ ไม่อยากให้มาม่าเลย
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 16 ☆ [9-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 12-04-2018 21:53:32
:man1:

 :L1: :pig4: :L1:

ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดเลยนะครับ




:pig4: :pig4: :pig4:

ทำไมมีความรู้สึกว่าจะมีการซดมาม่าเกิดขึ้นตามมาหว่า?

ขอดราม่านิดนึง เนื้อเรื่องใกล้เข้าช่วงท้ายแล้วครับ  :hao5: :hao5:



ทำไมได้กลิ่นมาม่าซะ

 :L2: :pig4:

ผู้เขียนกำลังต้มมาม่าเสิร์ฟให้ครับ เรื่องใกล้เข้าช่วงท้ายแล้ว จะได้มีอะไรให้ติดตาม  :hao5: :hao5:



จอสมันร้าย เอาแต่ใจ แล้วยิ่งสร้างกระแสคู่จิ้นให้ก็ยิ่งเข้าทางจอสเลยสิ สักวันภูจะต้องทะเลาะกับพี่กรรณแน่ๆ ไม่อยากให้มาม่าเลย

ตัวร้ายที่รักเธอ แต่จริงๆอยากบอกว่าอย่าเกลียดจอส จอสน่าสงสาร เดี๋ยวอีกไม่กี่ตอนก็จะได้เข้าใจจอสแล้วครับ  :hao5:


หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 16 ☆ [9-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 12-04-2018 22:25:05
Episode 17 part1

        เสียงกรี้ดที่ดังกระหึ่มทะลุประตูออกมาจากศูนย์การค้าชื่อดังสาขาใหญ่ใจกลางกรุงเทพ บ่งบอกถึงความฟินสุดขั้วหัวใจของบรรดาแฟนคลับและสาววายที่มาร่วมงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์บำรุงผิวยี่ห้อดัง โดยมีต้นเหตุมาจากฉากแสดงความรักใคร่ของพรีเซนเตอร์ทั้งสองบนเวที อันเป็นละครโรงเล็กที่จอสบรรจงแสดงสนองความต้องการของแฟนคลับอย่างสุดฝีมือชนิดที่ว่าภูอดไม่ได้ที่จะเขินและเคลิ้มตามไปจริงๆ สายตาของพี่ช้างยังคงเฉียบแหลมเหมือนเช่นทุกครั้งสมกับที่คร่ำหวอดในวงการมานาน เมื่อแผนการปั่นกระแสสร้างคู่จิ้นบังเกิดผลสำเร็จอย่างงดงามหลังจากเริ่มต้นกระบวนการตามแผนที่วางไว้ไปได้เพียงไม่ถึงสามเดือน แม้ผลของมันจะยังไม่บรรลุถึงขั้นที่ว่าทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองได้มีผลงานการแสดงแบบเป็นเรื่องเป็นราวกับทางช่อง เพราะติดที่ว่ายังต้องผ่านระบบการเป็นนักแสดงฝึกหัดให้ได้ก่อน แต่ก็ชดเชยได้ด้วยงานพรีเซนเตอร์ และงานอีเวนท์ต่างๆที่ไหลเข้ามาจนคิวงานของทั้งคู่เต็มแน่นยาวเหยียดไปจนถึงปลายปี

        งานพรีเซนเตอร์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวยี่ห้อดังจากต่างประเทศในครั้งนี้จัดเป็นงานประเภทที่พี่ช้างต้องเขียนดอกจันกำกับเอาไว้ท้ายตารางนัดว่าสำคัญมาก เนื่องด้วยเหตุที่ว่านอกจากชิ้นงานที่สำเร็จออกมาจะใช้ในประเทศไทยแล้ว ก็ยังถูกนำไปใช้ในสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียด้วย จึงนับเป็นก้าวสำคัญของภูในการสร้างฐานแฟนคลับในต่างประเทศเพื่อเปิดโอกาสในการรับงานระดับสากลต่อไป ซึ่งก่อนหน้าจะมาถึงงานเปิดตัวในวันนี้นั้น ในส่วนของการถ่ายทำทั้งภาพยนตร์โฆษณาและภาพนิ่งสำหรับป้ายโฆษณาและบิลบอร์ดได้เสร็จสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยในส่วนของภาพนิ่งนั้นถือเป็นการหวนกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้งระหว่างภูและกรรณหลังจากต่างฝ่ายต่างแยกย้ายไปตามสายงานของตนอยู่นาน ซึ่งแน่นอนว่าการทำงานร่วมกันของคู่รักแบบลับๆในครั้งนี้นอกจากจะทำให้ภูสามารถทำงานได้อย่างราบรื่นและเปี่ยมไปด้วยความสุขแล้ว มันก็ทำให้จอสผู้ซึ่งโดยปกติไม่เคยหวั่นกับการอยู่หน้ากล้องถึงกับสะดุดจนเสียเส้นไปเลยเช่นกัน เพราะถึงแม้ว่าโดยปกติกรรณจะเป็นคนที่จริงจังในการทำงานอยู่แล้ว แต่ทว่าในวันนั้นเหมือนมีองค์พระเจ้าเสือประทับลงร่าง ช่างภาพหนุ่มทวีความดุดันและเข้มงวดของบรรยากาศในการทำงานขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว แต่ก็เฉพาะในส่วนที่มีจอสร่วมด้วยเท่านั้น ซึ่งภูก็พอเข้าใจในเหตุผลที่อีกฝ่ายเก็บกดความไม่พอใจมานานจึงปล่อยให้กรรณทำการทรมานจอสจนสาแก่ใจ เพราะฉะนั้นในวันนี้ เมื่อรู้ว่ากรรณกำลังคอยเก็บภาพของภูอยู่ในงานด้วย จอสจึงจงใจแสดงฉากชวนจิ้นกับภูแบบเล่นใหญ่ใส่ไม่ยั้งจัดหนักกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาเพื่อเป็นการเอาคืนอย่างกลายๆ

        “ภูเนี่ย เป็นพวกปัญหาเยอะครับ แต่ยกเว้นผิวเอาไว้เรื่องนึง เพราะเนียนมากกก” จอสใช้ประโยคจากโฆษณามาโยงเข้ากับสถานการณ์บนเวที ก่อนจะยื่นมือไปจับแก้มของภูและลูบเหมือนกำลังเกาคางให้แมว

        ภูหน้าแดงก่ำด้วยความอาย และนั่นยิ่งเรียกเสียงกรี้ดจากผู้ชมได้ดังมากขึ้น เด็กหนุ่มไม่อาจทำความเข้าใจกับตนเองได้ว่าทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าทั้งหมดที่เห็นเป็นแค่การแสดง แต่แล้วทำไมจึงเกิดความหวั่นไหวแบบแปลกๆนี้ขึ้นมาได้ เขาเคยลองปรึกษาเรื่องนี้กับสาลี่ดูอย่างจริงจังเพื่อหาเหตุผลที่จะหาตัวเองให้พ้นจากความรู้สึกผิดว่ากำลังวอกแวกเอาใจออกห่างกรรณ และก็ได้ข้อสรุปว่าทั้งหมดนี้น่าจะเป็นแขนงหนึ่งของอาการอุปาทานหมู่ เมื่อชีวิตประจำวันต้องตกอยู่ในสถานการณ์จำลองที่สร้างขึ้นอย่างสมจริงประกอบกับแรงยุยงสนับสนุนจากผู้คน บางครั้งก็ไม่แปลกที่ผู้แสดงจะถูกสะกดจิตจนเชื่อในเรื่องนั้นไปด้วยอย่างห้ามไม่ได้

        ด้วยความที่รู้จักนิสัยของเด็กในการดูแลของตนดีว่าเป็นพวกไร้พรสวรรค์ด้านการแสดง ดังนั้นพี่ช้างจึงมอบบทบาทให้จอสเป็นผู้กระทำการด้านเอนเตอร์เทนทั้งหมด ในขณะที่หน้าที่หลักของภูคือห้ามขัดขืนหรือแสดงออกว่าไม่พอใจ ทำได้เพียงออกอาการเขินอายอย่างเดียว อีกทั้งเด็กหนุ่มยังต้องรับหน้าที่เป็นผู้นำเสนออะไรก็ตามที่เป็นทางการกว่าเช่นการให้สัมภาษณ์หรือการพูดถึงคอนเซปต์งาน สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นพรีเซนเตอร์ โดยพิจารณาจากความถนัดในการท่องจำและนำเสนอของเขา ซึ่งภูก็ยินดีที่มันออกมาเป็นเช่นนั้น เพราะถึงแม้ว่าในใจจะไม่เคยมีสักกระผีกความคิดที่อยากจะเป็นคู่จิ้นอะไรอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ แต่ก็เหมือนเป็นโชคดีในความโชคร้ายที่เขายังสามารถอาศัยประโยชน์จากมันได้โดยการใช้เป็นข้ออ้างอธิบายให้กรรณเข้าใจในเรื่องของพฤติกรรมเสมือนเป็นคู่รักที่จอสกระทำกับตนในทุกเวลาที่อยู่ร่วมกัน

        ท่ามกลางความกังวลมากมายหลายเรื่องที่ภูต้องแบกรับเอาไว้ในชีวิตการทำงาน มีเพียงเรื่องเดียวที่หนักหนาที่สุด นั่นคือความรู้สึกของกรรณที่มีต่อเรื่องทั้งหมดตอนนี้ ถึงแม้ปากของชายหนุ่มจะบอกว่าโอเคกับทุกอย่างและเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องงาน แต่การกระทำนั้นขัดแย้งออกไปโดยสิ้นเชิง บ่อยครั้งที่กรรณออกอาการไม่พอใจอย่างชัดเจนจนลามมามึนตึงใส่ภูด้วย ซึ่งเด็กหนุ่มก็ไม่อาจโทษอีกฝ่ายได้สำหรับการแสดงออกเช่นนั้น เพราะเข้าใจดีถึงความรู้สึกหึงหวงว่ามันมีอานุภาพต่อจิตใจได้มากเพียงไหน ในเมื่อไม่อาจจะหลีกเลี่ยงความใกล้ชิดในส่วนที่เป็นเรื่องงานได้ ภูจึงตัดสินใจจะลดทอนความสนิทสนมในชีวิตส่วนตัวกับจอสลงให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้กรรณสบายใจ

        “วันนี้เสร็จแล้วไปไหนต่อกันดี?” จอสกระแซะเข้ามาถามภูหลังจากที่ทั้งคู่ลงจากเวทีและเข้ามาถึงยังห้องพักส่วนตัวที่เจ้าของงานจัดไว้เตรียมไว้ให้ “ให้นายเลือกเลย นายอยากไปไหน เราพาไปได้หมด”

        “ต่างคนต่างไป บ้านใครบ้านมัน” ภูให้คำตอบแบบชัดเจน

        “ทำตัวใจดีบ้างคงไม่ถึงกับตายหรอกมั้ง” จอสเบ้หน้าใส่

        “จะให้ใจดีกับพวกชอบแบล๊คเมล์น่ะเหรอ?” ภูถามย้อนกลับไป “อย่าให้มันเยอะนักเลย ทุกวันนี้เราก็ทำตามข้อตกลงทุกอย่างแล้วนี่ แถมยังมีเรื่องคู่จิ้นบ้าบออะไรนี่มาเพิ่มอีก เท่านี้ก็น่าจะพอใจนายได้แล้วมั้ง?”

        จอสนิ่งอึ้งไปโดยฉับพลัน ใบหน้านั้นดูสลดลงคล้ายกำลังรู้สึกผิดก่อนที่เขาจะใช้ทิฏฐิสลัดมันออกไปได้ในไม่กี่วินาทีต่อมา

        “ยังไม่พอใจหรอก มันต้องมากกว่านี้อีก” จอสไม่ยอมลดราวาศอก “วันนี้เดี๋ยวไปด้วยกันต่อ จอสอยากดูหนัง”

        “ไม่ว่าง ไม่เห็นหรือไงว่ามีคนมารอรับแล้ว” ภูหมายถึงกรรณ

        “ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องแคร์ อย่าลืมว่านายไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะมาต่อรองหรือขัดขืนได้นะ” จอสขู่

        คำขู่นั้นได้ผลชะงัด ภูนิ่งอึ้งไปเมื่อนึกได้ว่าจอสยังคงมีไพ่ตายที่รอการใช้อยู่ในมือ  ถึงแม้ในส่วนลึกของความรู้สึกเด็กหนุ่มจะเชื่อมั่นในตัวตนเบื้องลึกของอีกฝ่ายที่เคยได้สัมผัสว่าท้ายที่สุดแล้วจอสจะไม่ทำอะไรที่เลวร้ายถึงขั้นนั้นลงไป แต่สัญชาติญาณการระวังภัยก็ยังส่งสัญญาณเตือนอย่างต่อเนื่องว่าเด็กหนุ่มจอมแปรปรวนผู้เอาแน่เอานอนไม่ได้คนนี้ไม่อาจไว้วางใจได้ และนั่นเองที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสถานะที่เป็นรองอย่างหมดทางเลือก

        “แล้วเราจะบอกกับเค้ายังไง? นี่เค้าก็มารออยู่ข้างนอกแล้ว เข้าใจกันหน่อยไม่ได้เหรอ?” ภูขอความเห็นใจ

        “ไม่รู้ ไม่สน” จอสส่ายหน้าลูกเดียว “ไปบอกเค้าสิว่าทางช่องเรียกตัวด่วน ให้เค้ากลับไปรอที่บ้านก่อน”

        “อืม” ภูพยักหน้าแบบจำยอม เพราะรู้ดีว่าถึงอย่างไรมาบอกเอาตอนนี้กรรณก็ต้องเกิดความสงสัย และอาจจะไม่พอใจเป็นแน่ “รอแป้ปนึงแล้วกัน ขอออกไปคุยกับพี่เค้าก่อน”

        “เดี๋ยว…” จอสรั้งเอาไว้

        “มีอะไรอีก?” ภูหยุดแต่ไม่ได้หันกลับมา

        “ทีนี้รู้บ้างแล้วใช่ไหม? ว่าเวลาโดนคนทำตัวใจร้ายใส่มันรู้สึกยังไง?”

        หากมันจะมีความรู้สึกบางอย่างที่เกือบจะเรียกได้ว่าความน้อยเนื้อต่ำใจซึ่งเคลือบแฝงอยู่ภายใต้ประโยคที่ฟังคล้ายคำเยาะเย้ยนั้น ภูก็ไม่อาจสัมผัสถึงมันได้ในยามที่อารมณ์กำลังคุกรุ่นเช่นนี้ เด็กหนุ่มเพียงแค่พยักหน้ายอมรับความพ่ายแพ้แล้วจึงเดินออกไปหากรรณที่รออยู่ด้านนอก เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังนั่งรออยู่ ณ จุดนัดพบพลางชะเง้อคอมองหาตนอยู่เป็นระยะๆ ใจของภูก็ยิ่งรู้สึกผิดกับสิ่งที่กำลังจะทำลงไปต่อจากนี้

        “พี่กรรณ…” ภูเรียกพร้อมกับสะกิดเข้าที่ไหล่ของอีกฝ่ายที่ยังมัวชะเง้อมองไปยังอีกทางจนไม่เห็นว่าคนที่ตนรออยู่ได้มาหยุดยืนอยู่ข้างๆแล้ว

        “มาเงียบๆ พี่กำลังมองหาอยู่เลย” กรรณรีบลุกขึ้นและมองหากระเป๋าเป้กระจำตัวของภูเพื่อจะช่วยถือเหมือนทุกครั้งก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้นำมันออกมาด้วย “ยังไม่เสร็จเหรอ?”

        “งานที่นี่เสร็จแล้ว แต่วันนี้คงไม่ได้ไปตามที่นัดกันไว้แล้วล่ะ” ภูรู้สึกเหมือนกำลังอมก้อนสนิมเหล็กเอาไว้ในปาก มันขมและบาดลิ้นจนทำให้การพูดออกมาแต่ละคำนั้นแสนจะลำบากยากเย็น “พอดีทางช่องเรียกตัวด่วน ให้เข้าไปวันนี้เลย”

        “อ้าว…” กรรณตอบสนองด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่มันจะค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความผิดหวังในอึดใจต่อมา “ทำไมฉุกละหุกจังล่ะ?”

        “ไม่รู้เหมือนกันครับ คงเรื่องงานล่ะมั้ง” ภูก้มหน้าหลบไม่กล้าสบสายตาที่สะท้อนความผิดหวังออกมาคู่นั้น

        “งั้นก็ช่วยไม่ได้สินะ… ยังไงงานก็ต้องมาก่อน” กรรณถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ไหนๆวันนี้พี่ก็ว่างแล้ว จะให้ไปเป็นเพื่อนด้วยไหมล่ะ?”

        “ไม่เป็นไร พี่กลับไปพักเถอะ ผมก็ไม่รู้ว่าจะเสร็จกี่โมงเหมือนกัน” ภูรีบบอกปัดความปรารถนาดีของอีกฝ่ายที่ถึงแม้อยากจะรับไว้เพียงใดก็ไม่อาจรับได้นั้น

        “ครับ งั้นเสร็จแล้วก็รีบกลับแล้วกัน” กรรณจะยกมือขึ้นลูบศรีษะของภู แต่ก็ชะงักหยุดเอาไว้เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเวลานี้พวกเขาไม่ได้อยู่กันเพียงลำพัง “พี่รออยู่ที่บ้านนะ”

        “กลับดีๆนะครับ” ภูบอกกับอีกฝ่ายก่อนจะหันกลับออกมา

        หลังจากออกเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ความอาวรณ์ก็ดึงให้ภูเหลียวหลังกลับมามองยังที่ๆกรรณอยู่เมื่อครู่อีกครั้งและพบว่าอีกฝ่ายได้หันหลังเดินจากไปแล้ว เด็กหนุ่มจ้องมองร่างสูงนั้นเดินจากไปจนลับตา เพียงแค่มองจากด้านหลังเขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความห่อเหี่ยวทางอารมณ์ที่กรรณกำลังประสบอยู่ บางทีหากได้กอดกันสักครั้งก่อนจากก็น่าจะทำให้ความรู้สึกของอีกฝ่ายโดยรวมดีขึ้นได้บ้าง แต่ทั้งหมดที่สามารถทำได้ในเวลานี้กลับมีเพียงแค่คำพูดลาสั้นๆห้วนๆ ภูนึกขอโทษแฟนหนุ่มของตนและตั้งใจว่าจะชดเชยให้อีกฝ่ายอย่างเต็มที่ในโอกาสหน้าก่อนจะกลับเข้าไปหาจอสที่รอคำตอบอยู่ด้านในห้องพัก
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 16 ☆ [9-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 12-04-2018 22:30:15
Episode 17 part2

        “ว่าไง? เรียบร้อยไหม?” จอสถามทันทีที่เห็นภูโผล่พ้นประตูห้องเข้ามา

        “อืม…” ภูพยักหน้า ไม่มีอารมณ์อยากจะพูดอะไรทั้งสิ้น

        “งั้นก็เก็บของอะไรให้เสร็จ จะได้รีบไปกันได้แล้ว” จอสลุกขึ้นและบิดตัวไปมาเพื่อยืดเส้นยืดสาย

        ภูไม่พูดอะไร ได้แต่ทำตามที่อีกฝ่ายบอก จอสออกไปคุยกับทีมงานที่ด้านนอกระหว่างรอให้เด็กหนุ่มเปลี่ยนชุดและเก็บข้าวของส่วนตัวเข้ากระเป๋า จากนั้นจึงโทรหาพี่ช้างเพื่อรายงานว่าทุกอย่างเสร็จสิ้นไปด้วยดี เมื่อได้ยินจากปากของเด็กหนุ่มว่าไม่มีปัญหาน้ำเสียงของคู่สนทนาที่อยู่ปลายสายก็ฟังดูโล่งใจขึ้น เนื่องจากตอนแรกพี่ช้างเป็นกังวลมากที่ต้องปล่อยให้ภูมาเองโดยไม่สามารถมาควบคุมดูแลทุกอย่างในงานได้เนื่องจากติดภารกิจส่วนตัวที่เข้ามาอย่างกะทันหัน เมื่อพูดธุระจบภูจึงกดวางสายและเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าเป้เป็นอันเสร็จสิ้นทุกกระบวนการสำหรับงานนี้

        ภูทิ้งร่างอันหนักอึ้งไปด้วยความเครียดและความเหนื่อยล้านั่งลงบนเก้าอี้ ตั้งใจจะขอเวลาพักและผ่อนคลายความรู้สึกของตัวเองสักครู่ก่อนจะต้องออกไปรับบทเป็นของเล่นสร้างความบันเทิงให้กับจอสต่อ เมื่อมีโอกาสได้อยู่คนเดียวลำพัง ความรู้สึกบางอย่างที่อดกลั้นเอาไว้ตั้งแต่เมื่อครู่ก็เริ่มเอ่อท้นขึ้นมาจุกในอก ภาพใบหน้าผิดหวังของกรรณย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง ภูรู้ดีว่าอีกฝ่ายเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อให้วันนี้มาถึง ด้วยช่วงเวลาเกือบสามเดือนที่ผ่านมานอกจากวันที่ได้ทำงานด้วยกันแล้วทั้งสองก็แทบไม่มีเวลาที่จะได้อยู่กันแบบเป็นส่วนตัวเลย ภูมักจะกลับถึงบ้านดึกและเหนื่อยเพลียจนไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรนอกจากปีนขึ้นบนเตียงนอนและปล่อยให้ตัวเองหลับเหมือนตาย ส่วนกรรณเมื่อเห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนั้นก็ไม่กล้าที่จะรบกวนเวลาพักผ่อนที่มีอยู่น้อยนิด จนกระทั่งวันนี้ที่ตารางงานของภูจบลงแค่ช่วงบ่าย กรรณจึงใช้เวลาทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาจัดการเคลียร์งานทุกอย่างเพื่อทำตัวให้ว่างตรงกัน แต่แล้วทุกอย่างก็กลับกลายมาเป็นแบบนี้ เพียงแค่คิดว่าตนเป็นสาเหตุแห่งความผิดหวังที่อีกฝ่ายกำลังประสบนั้นก็ยิ่งทำให้ภูรู้สึกผิดจนตัวชา อดโทษตัวเองไม่ได้ว่าทั้งที่เป็นฝ่ายบีบบังคับให้กรรณยอมแหกกฎของพี่ช้างมาคบหากันอย่างจริงจังแท้ๆ แต่ตนกลับตอบแทนความทุ่มเทของอีกฝ่ายด้วยคำโกหกเช่นนี้  หากเป็นในสภาวะอารมณ์ปกติ เรื่องเพียงเท่านี้คงไม่อาจจะทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกอะไรได้มากไปกว่าหงุดหงิดหรือซึมเศร้า แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ความเสียใจและความกดดันมาหลอมรวมเข้าด้วยกันบนร่างกายที่เหนื่อยล้า น้ำตาก็เริ่มไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ภูรีบเช็ดมันออกด้วยไม่อยากให้ใครเข้ามาเห็นโดยเฉพาะจอส แต่ก็สายไปแล้วเพราะเมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ตรงบานประตูห้องพักที่บัดนี้เปิดแง้มอยู่นั้นมีใบหน้าของเจ้าตัวแสบจอมแบล๊คเมล์ส่องเข้ามาลอบมองทุกอย่างอยู่

        “มองอะไร?” ภูใช้หลังมือปาดน้ำตาตัวเองออก แต่ไม่ทันไรหยดใหม่ก็เอ่อท้นไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย

        “เก็บของเสร็จก็ออกมาได้แล้ว จะได้รีบๆไป” จอสสั่งแต่น้ำเสียงกลับดูอ่อนลงจากเมื่อครู่ก่อนออกไป

        ภูพยายามดึงตัวเองออกจากอาการจิตตกจนกระทั่งรู้สึกว่าสภาพอารมณ์ตัวเองเริ่มเข้าสู่เสถียรสภาพจึงค่อยตามอีกฝ่ายออกไปข้างนอก เด็กหนุ่มพร่ำบอกกับใจตัวเองให้คิดถือเอาว่าทุกสิ่งต่อจากนี้เป็นเพียงงานอันแสนยากเย็นอีกหนึ่งชิ้นที่ต้องผ่านไปให้ได้ เมื่อทั้งสองลงมาถึงอาคารจอดรถ ยานยนต์สองล้อคันงามจอดรออยู่ตรงนั้น แม้จะผ่านอุบัติเหตุจนพังยับมารอบหนึ่งแล้ว แต่ด้วยการซ่อมบำรุงอย่างดีทำให้สภาพของมันในตอนนี้เหมือนใหม่แกะกล่องไม่มีร่องรอยความเสียหายใดๆหลงเหลือแม้แต่น้อย จอสส่งหมวกกันน๊อคที่มีอยู่เพียงใบเดียวให้กับภูก่อนที่ตนเองจะขึ้นไปสตาร์ทรถ

        “แล้วนายไม่ใส่ล่ะ?” ภูยื่นมันส่งคืนให้

        “นายใส่ไปเหอะ กลัวตายไม่ใช่หรือไง?” จอสดันมันกลับไป “แล้วอีกอย่าง เราไม่อยากจะต้องบิดแค่หกสิบเป็นจักรยานคุณปู่ไปตลอดทาง น่าเบื่อ”

        “ตามใจ โดนจับเสียค่าปรับเองก็แล้วกัน” ภูไม่ขัดกับอะไรก็ตามที่จะเสริมความปลอดภัยให้ตนเอง

        เมื่อภูขึ้นมาซ้อนบนเบาะท้ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จอสก็บิดคันเร่งขับออกไปทันที ในช่วงแรกที่ความเร็วในการขับขี่ยังถูกจำกัดเอาไว้ด้วยถนนที่คับแคบขณะออกจากอาคารจอดรถทุกอย่างก็ยังดูเหมือนจะไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล แต่เมื่อทะลุออมาถึงถนนใหญ่นรกที่ภูเคยประสบมาแล้วหนหนึ่งก็ย้อนกลับเข้ามาเยี่ยมเยียนอีกครั้ง แม้จะมีหมวกกันน๊อคมาเป็นอุปกรณ์นิรภัยแต่ก็ดูเหมือนความเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินจะไม่ได้ลดทอนลงแม้แต่น้อย ฝีมือการซิ่งแบบนรกแตกของจอสยังคงเส้นคงวาได้มาตรฐานไม่เปลี่ยนแปลงจากครั้งก่อน ด้วยอุปนิสัยการขับขี่เช่นนี้ทำให้ภูอดทึ่งกับความดวงดีของอีกฝ่ายไม่ได้ที่บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยจากอุบัติเหตุล่าสุดที่ผ่านมา

        จอสพาภูขับขี่ฉวัดเฉวียนไปตามถนนหนทางอันซับซ้อน เขาหลีกเลี่ยงเส้นทางหลักที่อาจเสี่ยงต่อการโดนตำรวจเรียกจับข้อหาไม่สวมใส่หมวกกันน๊อค ในช่วงแรกของการเดินทางนั้นด้วยเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยเด็กหนุ่มจึงยังไม่อาจรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะพาตนไปที่ไหน อีกทั้งยังไม่คิดจะถามเพราะถึงรู้ไปก็ใช่ว่าจะมีสิทธิปฏิเสธ แต่เมื่อมาถึงจุดหนึ่งที่ตึกรามบ้านช่องซึ่งเรียงรายอยู่สองข้างทางเริ่มดูคุ้นตามากขึ้นทุกที ภูก็เริ่มคาดเดาได้ถึงจุดหมายปลายทางทว่าก็ยังไม่อาจฟันธงลงไปได้อย่างแน่ชัด จนกระทั่งเมื่อจอสหักเลี้ยวเข้ามาในซอยเอื้ออัมพรนั่นเองภูจึงได้คำตอบสุดท้าย

        “ลงไปได้แล้ว ถึงแล้ว” จอสหันมาสั่งหลังจากจอดรถเทียบเข้าที่หน้าประตูรั้วบ้านของภู

        “คืออะไร?” ภูไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายจึงพาตนมาส่งบ้าน

        “ก็บ้านนายไง ถึงแล้ว ลงไปได้แล้ว” จอสทำหน้าเหมือนรำคาญเต็มที “เอาหมวกคืนมาด้วย”

        “โอเค… ตามนั้นเลย ไม่มีปัญหา” ภูรีบโดดลงจากรถก่อนทีอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ “แล้วไม่ไปดูหนังแล้วหรือไง?”

        “ไม่ไปแล้ว รำคาญพวกขี้แย” จอสรับหมวกกันน๊อคคืนจากภูและสวมกลับเข้าที่ศรีษะตัวเอง “แล้วก็จำไว้ล่ะ ทีหลังอย่ามาทำตัวใจร้ายอีก ถ้าร้ายมาเราก็ร้ายกลับ แฟร์ๆ”

        จอสพูดทิ้งท้ายเอาไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะตีโค้งหันรถกลับแล้วจึงบิดคันเร่งพุ่งทะยานออกไป ภูยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนไปไหน แม้จะโล่งอกที่สถานการณ์อันน่าอึดอัดใจจบลงเร็วกว่าที่คิด ทว่าอีกใจหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดเมื่อสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่แฝงอยู่ในท่าทีไม่แยแสของอีกฝ่าย แต่เด็กหนุ่มก็พยายามบอกกับตนเองว่านั่นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะไม่ว่าใครจะเป็นคนผิดเรื่องนี้ก็ต้องจบ

        ภูเปิดกระเป๋าและหยิบกุญแจบ้านออกมาเพื่อจะไขประตูรั้วเข้าไปข้างใน ตอนนั้นเองที่แท็กซี่คันหนึ่งวิ่งเข้ามาในซอยและจอดลงที่หน้าบ้านของกรรณก่อนที่ชายหนุ่มเจ้าของบ้านจะเปิดประตูลงมาจากรถพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรังเต็มสองมือ กรรณคงจะแวะซื้อของที่ไหนสักที่หลังจากทั้งคู่แยกกันที่ศูนย์การค้า เมื่อเห็นดังนั้นภูจึงรีบเดินเข้าไปหาและแบ่งถุงเหล่านั้นมาช่วยถือ

        “อ้าว ไหนว่าที่ช่องเรียกตัว?” กรรณสงสัย

        “ไม่มีอะไรแล้วล่ะครับ แค่เรื่องผิดพลาดนิดหน่อย” ภูแก้ตัวก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อเบนความสนใจ “แล้วพี่ไปไหนมา ทำไมกลับมาถึงบ้านหลังผมอีก?”

        “ซื้อของใช้เข้าบ้านน่ะ แล้วก็ซื้อพวกของสดมา กะว่าจะทำอะไรกินคืนนี้” กรรณชูถุงในมือขึ้นให้ดู “พอดีโดนเด็กเท เดทล่ม เลยหาอะไรทำแก้เหงา”

        “ขอโทษ…” ภูเสียงอ่อย

        “พูดเล่นน่ะ ถึงยังไงตอนนี้นายก็ว่างแล้วนี่” กรรณยิ้มออกมา “เหนื่อยไหม? ถ้าไม่เหนื่อยมาช่วยพี่จัดของไหมล่ะ?”

        ภูพยักหน้าก่อนจะเดินตามหลังอีกฝ่ายเข้าไปในบ้าน ทั้งสองช่วยกันจัดวางข้าวของที่ซื้อมาเข้าตู้จนหมดเรียบร้อย จากนั้นกรรณก็เริ่มลงมือเตรียมทำมื้อค่ำ หลังจากไปรบกวนฝากท้องที่บ้านของภูมาเป็นระยะเวลาเกือบจะหนึ่งปีแล้ว วันนี้จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพเปิดบ้านให้เด็กหนุ่มมาเป็นแขกประจำโต๊ะอาหารบ้าง เมนูที่ชายหนุ่มโชว์ฝีมือการเข้าครัวนั้นเป็นเพียงอาหารง่ายๆ ไม่ได้หรูหราพิสดารมากมาย แต่ก็เป็นดั่งภาพสะท้อนให้ภูได้เห็นถึงรูปแบบการใช้ชีวิตของอีกฝ่ายยามที่อยู่ต่างแดนเพียงลำพัง

        “มาแล้วครับ มาแล้ว” กรรณเสิร์ฟจานอาหารที่ทำเสร็จแล้วลงบนโต๊ะ

        “แอบใส่ยาพิษลงไปรึเปล่าเนี่ย?” ภูแกล้งพูดแซว

        “ไม่มีหรอกยาพิษ มีแต่ความรัก” กรรณนั่งลงยังฝั่งตรงกันข้าม ก่อนจะตักข้าวใส่จานส่งให้ภู “กินเลยสิ ตั้งแต่ก่อนไปงานก็ยังไม่ได้กินข้าวเลยไม่ใช่หรือไง?”

        “ครับ หิวจะตายแล้ว” ภูรับจานมา พยายามขับไล่เศษเสี้ยวสุดท้ายของความรู้สึกแย่ๆที่ตกค้างมาจากเรื่องเมื่อช่วงเย็นให้ออกไปจนหมด เพื่อจะได้มีความสุขกับช่วงเวลาอันแสนจะหายากนี้ได้อย่างเต็มที่

        อาหารล้วนแล้วแต่ไร้ที่ติ ภูเจริญอาหารเสียจนต้องขอเติมข้าวทำเอากรรณปลื้มใจจนยิ้มแก้มแทบปริ หลังจากเสร็จสิ้นอาหารมื้อหลักก็ยังเหลือไอศครีมอีกหนึ่งถังใหญ่เป็นของหวานรอให้ภูจัดการขณะที่ชายหนุ่มเจ้าบ้านลุกออกจากโต๊ะอาหารไปเก็บล้างจานชาม เด็กหนุ่มตักไอศกรีมเข้าปากทีละช้อนขณะที่สองตาก็จับจ้องมองดูแผ่นหลังของกรรณที่กำลังง่วนกับงานเก็บล้างอยู่ที่อ่างล้างจาน ในตอนนั้นเองเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือของกรรณ ชายหนุ่มรีบล้างฟองสบู่ออกจากมือแล้วเช็ดให้แห้งก่อนจะเดินไปหยิบมันขึ้นมารับสาย เป็นสายจากร้านอาหารที่โทรเข้ามาด้วยความเข้าใจผิดว่ากรรณยังคงมีโต๊ะที่จองไว้สำหรับสองที่ในคืนนี้ เขาจึงชี้แจงกับทางร้านว่าได้ทำการยกเลิกไปตั้งแต่เมื่อช่วงเย็นก่อนจะวางสายเมื่อได้รับการยืนยันว่าเป็นความผิดพลาดจากทางพนักงานที่รับเรื่องเอง

        “พี่จองโต๊ะไว้ด้วยเหรอ?” ภูถามหลังจากแอบฟังบทสนทนาเมื่อครู่จนจบ

        “ร้านที่นายเห็นจากงานที่พี่ไปถ่ายแล้วบอกว่าชอบไง” กรรณตอบขณะกลับไปล้างจานต่อ “ปกติเค้าไม่ได้รับจองล่วงหน้า แต่พี่ขอให้คนรู้จักช่วยติดต่อให้เป็นกรณีพิเศษ”

        “แล้วผมก็ทำให้พี่จองโต๊ะเก้อ…” ความรู้สึกผิดหวนกลับมาเกาะกุมจิตใจของภูอีกครั้ง เด็กหนุ่มจะไม่รู้สึกแย่ถึงเพียงนี้เลยหากนัดในวันนี้ล่มลงด้วยเหตุผลทางด้านการงานจริงๆ ไม่ใช่เรื่องโกหกที่ปั้นแต่งขึ้นเพราะกลัวความลับสกปรกที่ปกปิดไว้จะถูกเปิดโปงเช่นนี้ “ขอโทษจริงๆครับ ทั้งที่พี่รอวันนี้มาตั้งนานแท้ๆ”

        “บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร” กรรณหันมายิ้มให้ ซึ่งนั่นทำให้อีกฝ่ายยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าทวี

        เพียงคำพูดของกรรณที่บอกว่าไม่เป็นไรนั้นไม่อาจทำให้ความรู้สึกผิดที่เกาะแน่นอยู่ในจิตใจของภูจางหายไปได้ เด็กหนุ่มรู้ดีว่าครั้งนี้ตนต้องทำบางสิ่งบางอย่างที่มากกว่าแค่คำขอโทษ ไม่ใช่แค่เพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น แต่ยังเพื่อเป็นการชดเชยความรู้สึกที่เสียไปให้กับอีกฝ่ายด้วย เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงพยายามรวบรวมความกล้า บอกกับตัวเองให้ลืมความกระดากอายไปชั่วครู่ขณะที่ลุกจากเก้าอี้และเดินไปหยุดข้างหลังของกรรณ จากนั้นจึงสอดแขนเข้าโอบกอดอีกฝ่ายจากทางด้านหลัง

        “อารมณ์ไหนเนี่ย?” กรรณตกใจนิดหน่อยเพราะโดยปกติแล้วภูไม่เคยเป็นฝ่ายรุกเข้าหาก่อนเช่นนี้

        “อยากกอดแฟนมั่งมันแปลกนักเหรอ?” ภูเขินจนหน้าแดง ไม่คุ้นชินกับการทำตัวอ้อนอย่างเปิดเผยเช่นนี้

        “ไม่แปลกหรอก… ก็แค่… ” กรรณพูดได้เท่านั้นก็ต้องสะดุดกลางคันเมื่อรู้สึกว่ามือของเด็กหนุ่มเริ่มสอดเข้ามาใต้ชายเสื้อ “เดี๋ยวสิ… ยังล้างจานไม่เสร็จเลยนะ”

        “ก็ล้างไปสิครับ” ภูทำเป็นไม่สนใจ ใบหน้านั้นซุกฝังจมูกลงบนแผ่นหลังกว้างสูดกลิ่นอายอันชวนถวิลหาจากร่างกายของกรรณ ในขณะที่มือก็ซุกซนลูบคลำเกาะก่ายไปตามผิวเนื้อใต้ร่มผ้า เริ่มจากหน้าท้องไล้โลมสูงขึ้นไปจนถึงแผงอกที่ยามนี้หัวใจซึ่งอยู่ด้านในกำลังเต้นแรงราวกับจะระเบิดออกมา “หัวใจพี่เต้นแรงจัง…”

        “ก็ทำกันซะขนาดนี้…” กรรณพยายามคุมมือไม่ให้สั่นจนเผลอปล่อยจานที่ถืออยู่หล่นลงไปแตก เขารีบวางมันลงและล้างมือก่อนจะหันกลับมาประจันหน้ากับเด็กหนุ่มเจ้าของมือซุกซนที่อยู่ข้างหลัง “ไปคึกอะไรมา? จะเอาอย่างนี้ใช่ไหม?”

        ถ้าเป็นในเวลาปกติภูคงตอบรับเพียงแค่พยักหน้าตกลงและปล่อยให้ทุกอย่างหลังจากนั้นอยู่ในการควบคุมของกรรณ แต่ครั้งนี้ด้วยความตั้งใจที่ต้องการให้ทุกอย่างแตกต่างออกไปเด็กหนุ่มจึงยกสองมือขึ้นโน้มใบหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังรอคำตอบอยู่ลงมาและประกบริมฝีปากเข้ากับตน ในวินาทีก่อนที่ริมฝีปากจะถูกประกบปิดนั้นกรรณพยายามจะพูดบางอย่างแต่ก็กลับกลืนมันลงคอไปและเปลี่ยนมาสื่อสารตอบสนองภูด้วยภาษากายแทน

        กรรณลากไล้ริมฝีปากอย่างเนิบช้าเสียดสีไปมาอย่างแผ่วเบาสร้างสัมผัสอันยวนใจ เป็นสัมผัสแบบที่ทำให้ภูรู้สึกทั้งโหยหาและรุ่มร้อนไปในเวลาเดียวกัน แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มต้องการในเวลานี้ไม่ใช่ความเชื่องช้าจากการเป็นฝ่ายถูกจูบเพียงผู้เดียว เขาต้องการที่จะมอบจูบกลับไปให้ชายผู้เป็นที่รักด้วย ภูหยุดพฤติกรรมวนเวียนเหมือนล้อเล่นบนริมฝีปากของตนด้วยการกดประทับเข้าไปแบบแนบแน่นก่อนจะสอดปลายลิ้นเข้าไปแตะกับปลายลิ้นของอีกฝ่าย ก่อนจะสอดแทรกเข้าไปเกี่ยวกระหวัดรัดแน่นเข้าด้วยกันยังส่วนลึกสุด พร้อมกันกับที่มือบอบบางนั้นสอดล้วงผ่านขอบกางเกงยีนที่กรรณสวมอยู่เข้าไปลูบคลึงบางสิ่งที่กำลังตื่นตัวอยู่ด้านใน ชายหนุ่มครางออกมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ มือแข็งแรงคู่นั้นเผลอกำขยุ้มเส้นผมของเด็กหนุ่มอย่างแรงจนเกือบจะเป็นกระชาก เป็นครั้งแรกที่ภูเห็นกรรณมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรุนแรงเช่นนี้ เพราะโดยปกติแล้วมักจะเป็นหน้าที่ของกรรณที่จะเป็นฝ่ายทำให้ภูพึงพอใจอยู่เสมอ นี่อาจเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เด็กหนุ่มพลิกบทบาทขึ้นมาเป็นฝ่ายปรนเปรอมอบความสุขให้กับอีกฝ่าย แม้จะเป็นไปอย่างกล้าๆกลัวๆเพราะด้อยประสบการณ์ แต่นั่นก็มากพอจะทำให้กรรณตื่นตัวจนร่างกายช่วงล่างปวดไปหมด

        กรรณหยุดการจูบและใช้นิ้วหัวแม่มือลากไปตามริมฝีปากบางสวยคู่นั้น ภูหอบหายใจเบาๆ ตาจ้องมองกลับมา ชายหนุ่มพินิจดูดวงหน้าหล่อเหลาทว่าแฝงไปด้วยความไร้เดียงสาของภูและรู้ตัวดีว่าหลงใหลสิ่งที่ตนเห็นอยู่จนเกินจะเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้ ยิ่งเมื่อได้รู้ว่าในดวงตาอันแวววาวไปด้วยประกายแห่งความรักของเด็กหนุ่มผู้นี้นั้นสะท้อนเพียงแค่เงาของเขาเพียงผู้เดียว หัวใจก็ยิ่งพองโตไปด้วยความสุขอันล้นปรี่ กรรณโน้มคอก้มศรีษะลงไปจูบที่ริมฝีปากของภูอีกครั้งก่อนจะถอนริมฝีปากออกและประทับมันลงไปอีกครั้งที่บนเนื้อแก้มเนียนใสนั้นแล้วจึงไล่ลงมาที่ลำคอระหง ชายหนุ่มประทับพรมจูบไปทั่วราวกับจะตีตราแสดงออกซึ่งความเป็นเจ้าของร่างกายนี้ ในขณะที่ภูได้แต่อ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายราวกับต้องมนต์สะกด ดวงตาของเด็กหนุ่มหรี่ปรือลงด้วยอาการเคลิบเคลิ้มจากแรงปรารถนา ลมหายใจอุ่นชื้นของกรรณทิ้งร่องรอยเอาไว้ในทุกจุดที่ริมฝีปากของเขาเคลื่อนผ่านไปและสื่อสัมผัสอันยั่วเย้าจนทุกปลายประสาทของภูแทบจะลุกเป็นไฟขึ้นมา จากเดิมที่ตั้งใจจะทำเรื่องทั้งหมดนี้เพื่อชดเชยให้กับอีกฝ่าย มาถึงตอนนี้กลับปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าเด็กหนุ่มกำลังเตลิดเปิดเปิงไปกับความหอมหวานอันเย้ายวนจนแทบลืมจุดประสงค์ในเริ่มแรกไปจนสิ้น

        “พี่กรรณ… ไปข้างบนไหม?” ภูกระซิบถามเสียงสั่น “ผมอยากให้พี่ทำแบบคืนนั้น…”

        “แน่ใจเหรอ?” กรรณรู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร

        นับตั้งแต่คืนแรกที่ทั้งสองมีความสัมพันธ์ทางกายกัน อาการเจ็บปวดตกค้างที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเรื้อรังเกือบหนึ่งสัปดาห์ทำให้ภูเกิดความรู้สึกเข็ดหลาบจนไม่คิดที่จะทำมันอีกเป็นครั้งที่สอง ถึงแม้กรรณจะรวบรวมความกล้าเอ่ยปากขอหลังจากเห็นว่าร่างกายของเด็กหนุ่มฟื้นตัวกลับสู่สภาพสมบูรณ์แล้วแต่ภูก็พยายามบ่ายเบี่ยงและต่อรองด้วยการทำมันในรูปแบบอื่นเพื่อเป็นการทดแทน ซึ่งเขาก็ยอมโอนอ่อนตามนั้นไม่ดึงดันด้วยไม่อยากจะฝืนความรู้สึกคนที่ตนรักในเรื่องแบบนี้

        “ถึงอาจจะไม่เท่าครั้งแรก แต่มันก็ยังเจ็บอยู่ดีนะ นายแน่ใจแล้วเหรอ?” กรรณถามย้ำอีกครั้ง

        “ผมอยากให้พี่ทำ…” ภูพยักหน้า แม้ความเจ็บในครั้งก่อนจะยังฝังอยู่ในความทรงจำ แต่ก็ตั้งมั่นว่าจะยอมอดทนเพื่อชดเชยให้กับกรรณสำหรับทุกสิ่งที่ตนได้ทำลงไปแม้อีกฝ่ายจะยังไม่ล่วงรู้ถึงมันก็ตามที “แต่วันนี้ไม่เปิดไฟแล้วนะ”

        “ครับ จะปิดให้มืดสนิทเลย” กรรณจูบเข้าที่หน้าผากของภู  เพราะรู้ดีว่าเด็กหนุ่มตัดสินใจโดยใช้ความรู้สึกของเขาเป็นที่ตั้ง

        ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องนี้ แต่กับทุกอย่างที่ผ่านมา ภูยกให้ความรู้สึกของกรรณเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเสมอในทุกครั้งของการตัดสินใจทำอะไรลงไปสักอย่าง นั่นทำให้หัวใจของชายหนุ่มพองโตไปด้วยความตื้นตัน

        “พี่มีความสุขจัง” กรรณกระซิบบอกที่ข้างหูของภู

        “พี่ก็แค่หื่น” ภูแกล้งพูดเพื่อกลบเกลื่อนความเขิน

        “ไม่จริง” กรรณส่ายหัว “พี่กำลังมีความสุขมาก”

        กรรณจ้องตาของภูขณะพูด และเพียงเท่านั้นเด็กหนุ่มก็สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ 


To be continued...
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 17 ☆ [12-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-04-2018 00:10:00
 :pig4: :pig4: :pig4:

โถๆๆๆๆๆๆๆๆ  น่าสงสารนุ้งจอสจังเลย

รักเขาเลยไม่อยากให้เขาเสียใจ  เลยต้องเลิกล้มแผนการร้าย
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 17 ☆ [12-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-04-2018 14:06:53
 :L1: :pig4: :L1:

 :z1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 17 ☆ [12-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 16-04-2018 14:27:22
อิจฉาสองคนนี้จริงๆ :heaven
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 17 ☆ [12-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 17-04-2018 00:48:08
:pig4: :pig4: :pig4:

โถๆๆๆๆๆๆๆๆ  น่าสงสารนุ้งจอสจังเลย

รักเขาเลยไม่อยากให้เขาเสียใจ  เลยต้องเลิกล้มแผนการร้าย

อย่าคิดว่าน้องจะพอแค่นี้นะ ยังมีฤทธิ์อีกเยอะ  :hao3:



:L1: :pig4: :L1:

 :z1:

ขอบพระคุณที่ติดตามกันมาตลอดเลยนะครับ  o13



อิจฉาสองคนนี้จริงๆ :heaven

คนเขียนเขียนเองยังอิจฉาเลยครับ  :ling1:


หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 17 ☆ [12-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 17-04-2018 00:53:16
Episode 18 part1

        หลังจากให้เสร็จสิ้นการทำบทสัมภาษณ์กับนิตยสารบันเทิงหัวหนึ่งที่ติดต่อเข้ามา ภูรีบออกจากสำนักงานของพี่ช้างและตรงดิ่งไปยังมหาวิทยาลัยเพื่อเข้าเรียนให้มันช่วงบ่าย นับเป็นโชคดีที่เรื่องเมื่อคืนไม่ได้ส่งผลทำให้เด็กหนุ่มถึงกับเสียสมรรถภาพทางการเดินเหมือนครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นเพราะร่างกายเริ่มปรับตัวได้หรือเพราะของเหลวเย็นๆ ลื่นๆ ที่กรรณนำมาใช้เป็นตัวช่วยในครั้งนี้ ผลที่ออกมาก็คือมันไม่เลวร้ายเท่ากับครั้งแรก แน่นอนว่าความเจ็บยังมีอยู่แต่ก็เป็นในระดับที่สามารถแสร้งทำตัวเป็นปกติได้ ตราบใดที่ไม่ได้ถูกกระทบกระแทกบริเวณนั้นแรงๆ ก็ไม่มีปัญหา

        ระหว่างการเดินทางไปมหาวิทยาลัย เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นพร้อมกับเบอร์ของกรรณที่โทรเข้ามา เด็กหนุ่มดูเวลาในขณะนี้แล้วก็คาดเดาเอาว่าอีกฝ่ายคงจะเพิ่งตื่น

        “ตื่นแล้วเหรอครับ?” ภูทักทายด้วยคำถาม

        “แอบหนีกลับไปไม่ปลุกพี่เลยนะ” เสียงบ่นกระปอดกระแปดของกรรณดังมาจากปลายสาย “ดูสิพี่หลับยาวเลย ไปสายแล้วเนี่ย”

        “ก็เห็นกำลังหลับสบายเลยไม่อยากปลุก เมื่อคืนเสียแรงไปเยอะนี่” ภูพูดไปก็เกิดเขินขึ้นมาเองเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืน “แล้วนี่ออกมาจากบ้านแล้วเหรอครับ?”

        “ใช่ กำลังจะไปสตูดิโอ ลูกค้าโทรเร่งยิกๆ แล้ว” กรรณตอบแล้วจึงถามต่อ “ว่าแต่นายเถอะ วันนี้ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม?”

        “อะไรเหรอครับ?” ภูไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องอะไร

        “ก็เรื่องนั้นน่ะ…” กรรณเองก็ดูเขินอายเกินกว่าจะพูดตรงๆ “ไม่เจ็บอะไรมากใช่ไหมคราวนี้?”

        “อ้อ…” ภูหน้าแดงก่ำเมื่อนึกขึ้นมา “ก็นิดหน่อย แต่ไม่ได้สาหัสแบบคราวก่อนแล้ว เดินไหว วิ่งไหว”

        “แล้วมัน… โอเคหรือเปล่า?” กรรณถามต่อให้ลึกลงไปอีก

        “จะให้มารีวิวอะไรตอนนี้ล่ะ” ภูกระดากปากไม่กล้าตอบ

        “ก็อยากได้ฟีดแบ๊คจากผู้ใช้งานจริง” กรรณยังตื้อจะเอาคำตอบ

        “ไม่รู้สิ… ก็โอเคมั้ง มันก็ดี” ภูตอบขณะที่ตาก็เหลือบมองไปยังโชเฟอร์แท็กซี่ ระแวงในใจว่าคนอื่นจะรู้ไหมว่าตนกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่

        “ถ้างั้น… วันนี้มันจะมีโอกาสเกิดขึ้นอีกไหมล่ะ?” กรรณยิงคำถามสุดท้าย

        “ไม่รู้… ต้องพิจารณาจากหลายๆ อย่าง” ภูตอบแบบเปิดทางหนีให้ตัวเองเอาไว้ก่อน

        “รู้หน่อยสิ… “กรรณส่งเสียงอ้อน

        “ไม่รู้ ยังไม่อยากตัดสินใจ จะไปเข้าเรียนแล้วครับ แค่นี้นะ” ภูรีบตัดบทก่อนจะพ่ายแพ้ต่อลูกอ้อน “ไว้กลับไปถึงบ้านค่อยว่ากันนะ”

        “โอเค ก็ได้” กรรณยอมให้การศึกษามาก่อน “งั้นพี่จัดห้องรอเลยแล้วกัน”

        “ระวังจัดเก้อเหมือนจองโต๊ะนะ” ภูขู่ให้ระแวงก่อนจะรีบกดวางสายไม่เปิดโอกาสให้กรรณตอบโต้

        ภูเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าและนั่งอมยิ้มอยู่กับตัวเองคนเดียว การพูดคุยออดอ้อนเย้าแหย่กันแบบนี้คงเกิดขึ้นไม่ได้หากทั้งสองยังอยู่ในความสัมพันธ์อันแสนคลุมเครือเหมือนเมื่อก่อน ภูไม่เคยรู้ว่าชายหนุ่มที่มีบุคลิกภายนอกเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วแบบกรรณจะยังคงมีมุมขี้อ้อนเหมือนเด็ก นับตั้งแต่เริ่มคบกันเป็นคู่รักอย่างเป็นทางการ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ภูเพิ่งได้รู้เกี่ยวกับแฟนหนุ่มของตน อย่างเช่นนิสัยขี้หึงที่เมื่อก่อนภูคิดว่าตนเองเป็นอยู่ฝ่ายเดียว แต่มาตอนนี้ก็กลับพบว่ากรรณนั้นอาการหนักกว่าตนหลายเท่า ซึ่งนั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มยิ่งเข้าใจว่าที่ผ่านมาอีกฝ่ายต้องเก็บกดความรู้สึกของตัวเองเอาไว้มากแค่ไหน

        เด็กหนุ่มยังรู้สึกได้ถึงสัมผัสบาดผิวจากคมฟันของกรรณที่ขบกัดฝากรักลงที่ต้นคอด้านหลัง มันเป็นผลต่อเนื่องมาจากการที่เขาเป็นฝ่ายเริ่มต้นปลุกเร้าอารมณ์อีกฝ่ายจนเตลิดเปิดเปิง เมื่อทุกอย่างกำลังจะไปถึงจุดสูงสุดกรรณก็เหมือนจะควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่และฝากรอยแผลนี้ไว้บนร่างกายของภู โชคยังดีที่สามารถปิดซ่อนร่องรอยเอาไว้ได้เบื้องหลังเส้นผมที่ยาวปรกต้นคอ แต่นั่นก็ต้องแลกกับการที่เด็กหนุ่มจะไม่สามารถรวบผมขึ้นได้เลยทั้งวันแม้อากาศจะร้อนอบอ้าวจนเหงื่อชุ่มร่างแค่ไหน ภูใช้ปลายนิ้วลูบไล้เบาๆ ไปตามแนวของรอยแผล ความรู้สึกเจ็บปนวาบหวิวยิ่งย้ำเตือนให้หวนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนพร้อมกันกับหัวใจที่เต้นรัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

        ภูหยุดความคิดทั้งหมดของตนเอาไว้ก่อนจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นพวกใจแตกมากไปกว่านี้ รถกำลังจะวิ่งไปถึงยังจุดหมายปลายทางในอีกไม่ช้า อีกทั้งในคาบเรียนที่กำลังจะเริ่มก็ยังมีการนำเสนอหน้าชั้นรออยู่ เด็กหนุ่มพยายามรวบรวมสมาธิและหยิบเอาโพยที่จดสรุปเอาไว้ออกมาท่องทบทวนเป็นครั้งสุดท้าย จนเมื่อลงจากรถก็พบสาลี่และเพื่อนคนอื่นๆ ที่อยู่ร่วมกลุ่มทำงานด้วยกันกำลังยืนรออย่างกระวนกระวายอยู่ด้านหน้าตึก ทันทีที่เห็นภูมาถึงทั้งหมดก็กรูเข้ามาพาตัวขึ้นไปยังห้องบรรยายทันที

        “มาช้าจังเลย อีกนิดเดียวก็จะเปลี่ยนตัวให้ไอ้ดลออกไปพรีเซนต์แทนแล้วนะ” สาลี่บ่นขณะอยู่ในลิฟต์

        “เออ ก็เปลี่ยนไปเลยสิทีหลังน่ะ” ภูได้โอกาส “ชีวิตชั้นยุ่งจะตายแล้ว ขอเป็นปลิงบ้างก็ดีนะ ค่างานจ่ายให้เต็มที่ขอแค่มีชื่อในกลุ่มก็พอ”

        “ไม่ได้ คนอื่นเค้าทำงานกัน มึงไม่ได้ทำด้วยก็ต้องยอมเป็นคนออกไปขึ้นเขียงหน้าห้อง” นฤดลไม่ยอม “อีกอย่าง พวกงานพรีเซนต์ งานนำเสนอ งานออกหน้าออกตานี่ถนัดอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง พ่อดาราดาวรุ่ง”

        “งานกระทืบปากคนก็ถนัดนะ อยากดูโชว์เคสไหม?” ภูย้อนกลับไป

        “พอได้แล้ว ชั้นหนวกหู” สาลี่รีบหยุดทั้งสองก่อนจะมีการวางมวยกันในลิฟต์โดยสาร

        ถึงแม้จะไม่มีเวลาในการเตรียมตัวมากมายนัก แต่ก็ต้องขอบคุณพรสวรรค์ในการท่องจำและนำเสนอของภูที่ทำให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี หลังเลิกคลาสเรียนสาลี่เสนอความคิดว่าทุกคนควรไปกินบุฟเฟต์เนื้อย่างเป็นการฉลองที่งานกลุ่มผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ภูถึงแม้จะรู้ตัวว่าเป็นพวกกินเท่าแมวดมไม่คุ้มค่าราคาต่อหัว แต่ก็ยอมตกลงไปด้วยเพราะอยากจะใช้เวลากับเพื่อนให้มากที่สุดก่อนที่จะต้องวุ่นกับงานไปอีกนานกว่าจะได้มีวันเวลาว่างเช่นนี้อีกครั้ง แต่เมื่อออกมายังด้านหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อรอให้สาลี่วนรถจากจุดที่จอดเอาไว้ออกมารับ เด็กหนุ่มก็พบว่าแผนการที่วางไว้อาจเป็นไปได้ยากสำหรับตนเสียแล้วในตอนนี้ เมื่อเห็นรถจักรยานยนต์คันยักษ์สีแดงสะดุดตาจอดอยู่ข้างทางเท้าโดยมีใบสั่งแปะคาเอาไว้อยู่เหมือนยันต์หน้ารถ

        “เวรแล้วไง…” ภูรีบเหลียวมองรอบตัวอย่างหวาดระแวงด้วยรู้ดีว่าเจ้าของรถย่อมอยู่ไม่ไกลเป็นแน่

        “หาใครวะภู?” ตฤณถามเมื่อเห็นเพื่อนเหลียวมองล่อกแล่กไปมา

        “เปล่าๆ …” ภูขี้เกียจอธิบาย “ไอ้ลี่ไปจอดรถไหนวะ? ทำไมป่านนี้ยังไม่ออกมาอีก?”

        “เดี๋ยวก็มา ใจเย็นดิ หิวมากรึไงมึงน่ะ” ตฤณหันกลับไปชะเง้อหาวี่แววรถของสาลี่ต่อที่ริมถนน

        “เปล่า แต่ถ้าไม่รีบไปตอนนี้ กูว่าอีกเดี๋ยวกูจะไม่ได้ไปกินแน่นอน” ภูรู้ชะตากรรมตัวเองดี

        “จะไปกินอะไรเหรอ?” เสียงของจอสดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง

        เมื่อหันไปยังต้นเสียง จอสยืนอยู่ข้างๆ รถจักรยานยนต์คู่ใจของตน ในมือมีใบสั่งที่ถูกขยำจนเป็นก้อน เพียงเท่านั้นภูก็รู้ทันทีว่าเวลาแห่งความสุขได้หมดลงแล้ว แต่ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังไม่ถอดใจที่จะไขว่คว้าอิสรภาพให้กับตนเอง เขารีบหันไปหาตฤณและหยิบสมุดจดออกมาทำท่าเคร่งเครียด

        “มึง กูว่าเสร็จไม่ทันแน่เลยวันนี้ ต้องไปอีกหลายที่เลยเนี่ย…” ภูพูดกับตฤณพลางขยิบตาส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรับลูก

        “อ่า…” ตฤณมองไปทางจอสก่อนจะมองกลับมาทางภู ก่อนจะตัดสินใจเล่นตามน้ำไปถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าเพื่อนของตนทำไปเพื่ออะไรก็ตาม “เออ ก็ต้องให้เสร็จอ่ะมึง ไม่มีเวลาแล้วด้วย”

        “งั้นรีบไปเหอะมึง แท็กซี่เลย ไม่รอไอ้ลี่แล้ว” ภูตั้งท่าจะโบกแท็กซี่

        “ลืมไปแล้วเหรอว่าครูเค้าคอมเมนท์การแสดงของนายว่ายังไง?” จอสมองตาขวางเหมือนจะส่งสัญญาณเตือน “การแสดงน่ะถ้ามันไม่เนียน มันดูออกนะ”

        “โอเค… กูขอตัวแป๊ปนะ” ภูบอกกับตฤณก่อนจะเดินไปหาจอส เด็กหนุ่มตัดสินใจเลิกใช้ลูกเล่นที่รังแต่จะทำให้ตัวเองเสียหน้ามากขึ้นแล้วต่อรองกับอีกฝ่ายแบบตรงๆ “มานี่ มาคุยกันหน่อย”

        เด็กหนุ่มลากตัวคู่จิ้นตัวแสบของตนออกมาให้ห่างจากตฤณจนพ้นระยะการได้ยินแล้วจึงค่อยเริ่มการเจรจา

        “มาทำไม? งานการไม่มีหรือไงวันนี้?” ภูถามหาจุดประสงค์ในการมาของจอส

        “มี ทำเสร็จแล้ว อยากไปหาอะไรกิน” จอสตอบ “เมื่อกี้พวกนายจะไปกินอะไรกัน เราไปด้วยได้ไหม?”

        “นั่นเพื่อนเรา ไม่ใช่เพื่อนนาย” ภูพยายามพูดให้อีกฝ่ายเข้าใจ “นายไปก็ไม่สนุกหรอก มีแต่พวกแปลกๆ”

        “ไม่เป็นไร เราเข้ากับคนง่าย” จอสยังดึงดัน

        “เราไม่สะดวกใจที่จะให้นายมาสุงสิงกับเพื่อนเรา ขอโทษนะ” ภูพูดออกไปตรงๆ และเตรียมใจแล้วที่จะรับผลที่ตามมาจากคำพูดนั้น “เราขัดใจนายเสร็จแล้ว เรารู้ว่านายต้องไม่พอใจ ทีนี้นายจะบังคับให้เราทำอะไรก็ว่ามา”

        “มองเราเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ?” จอสถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะทำให้ผู้ฟังเจ็บปวดตามไปด้วย “ไม่เป็นไร นายไปกับเพื่อนเถอะ เราไม่กวนนายแล้ว”

        “มาไม้ไหนอีกล่ะ?” ภูงงกับท่าทีของอีกฝ่าย “ก็นายเองไม่ใช่เหรอที่ทำให้เราต้องรู้สึกว่านายเป็นคนแบบนี้”

        “ช่างมันเถอะ” จอสส่ายหน้า ความรู้สึกบางอย่างที่ฉายอยู่บนใบหน้านั้นทำให้ภูรู้สึกผิดทั้งที่ไม่ควรแม้แต่น้อย “เราก็แค่เหงา เดี๋ยวก็หาย”

        คำพูดของจอสดึงบางอย่างที่ภูเกือบจะหลงลืมไปแล้วออกมาจากส่วนลึกของความทรงจำ เมื่อวันที่เด็กหนุ่มไปเยือนยังบ้านของอีกฝ่ายเป็นครั้งแรกและสัมผัสได้ถึงความเงียบเหงาอันเย็นเยียบซึ่งโอบล้อมอยู่ในบรรยากาศ ห้องอันโอ่โถงกว้างใหญ่แต่ไร้ซึ่งกลิ่นอายของครอบครัว จริงอยู่ที่ภูอาจจะคุ้นเคยกับความเงียบและไม่มีปัญหากับการอยู่คนเดียวด้วยนิสัยที่ชอบเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง แต่นั่นก็เป็นเพราะเด็กหนุ่มรู้ดีว่าเมื่อออกมาครั้งใดก็ยังมีพ่อและแม่รออยู่ข้างนอกหลังบานประตูนั้นเสมอ เพราะอย่างนั้นภูจึงจินตนาการไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นอย่างไรกับการที่ต้องถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียวตามลำพังโดยไม่มีใครให้พูดคุยด้วย ต้องข่มตาให้หลับไปอย่างโดดเดี่ยวและตื่นมาพบเพียงความเดียวดายในวันรุ่งขึ้น จนกระทั่งได้เห็นความรู้สึกที่ปรากฎอยู่บนใบหน้าของจอสเมื่อครู่เขาจึงได้เข้าใจและรู้ในทันทีว่ามันคงเหงาและทรมานมาก และเมื่อได้รู้เช่นนั้นแล้วเด็กหนุ่มก็ไม่อาจทำตัวให้ใจดำพอจะปล่อยอีกฝ่ายกลับไปทั้งอย่างนี้ได้

        “เดี๋ยว…” ภูเรียกให้จอสหยุดรอก่อน

        “อะไรอีกล่ะ? ก็จะไปแล้วนี่ไง ไม่กวนแล้ว” จอสทำเสียงหงุดหงิดรำคาญ

        “เราให้นายไปกับเพื่อนเราไม่ได้” ภูตัดสินใจแล้ว “แต่เดี๋ยวเราจะไปกับนายเองก็แล้วกัน”

        “ไม่ต้องหรอก ไปอยู่กับเพื่อนนายเหอะ” จอสปัดมือไล่

        “ให้เราไปกับนายเถอะ” ภูยืนกราน แต่ก็ไม่ลืมที่จะหาเหตุผลมาประกอบเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายมองว่าตนมีใจให้ “ถือว่าเป็นการขอโทษที่เราพูดไม่ดีเมื่อกี้”

        “ก็ตามใจ อย่ามาหาว่าจอสบังคับนายทีหลังก็แล้วกัน” จอสทำเหมือนไม่สนใจแต่เด็กหนุ่มมองออกถึงร่องรอยแห่งความยินดีที่ปกปิดเอาไว้ใต้ใบหน้ามึนตึงนั้น

        “ขอเราไปบอกเพื่อนก่อน” ภูบอกกับจอสก่อนจะกลับมายังกลุ่มเพื่อนที่รออยู่
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 17 ☆ [12-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 17-04-2018 00:58:03
        เด็กหนุ่มใช้ข้ออ้างเรื่องงานมาเป็นเหตุผลอธิบายกับเพื่อนคนอื่นๆ ว่าทำไมจึงต้องขอตัวกลับไปก่อนอย่างกะทันหัน ซึ่งทุกคนก็ดูจะเข้าใจและไม่ติดใจสงสัยอะไร จะมีก็แต่เพียงสาลี่ที่รู้เรื่องทั้งหมดและค่อนข้างมั่นใจในจุดนี้ว่าเพื่อนซี้ของตนไม่ได้ไปทำงานต่ออย่างที่บอกแน่นอน เด็กสาวมองไปยังจอสที่ยืนเอนตัวพิงรถจักรยานยนต์ของตนอยู่ด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ สัญชาติญาณของเธอบอกว่าการไปข้องเกี่ยวกับคนผู้นี้อาจนำเรื่องยุ่งยากมาสู่ชีวิตของภูได้

        “ไอ้ภู นี่มันยังไงกันแน่?” สาลี่ดึงภูออกมาคุยตามลำพัง “แกไม่ได้ไปทำงานต่อแน่ ชั้นรู้ แกจะไปไหน?”

        “มีธุระต้องไปทำนิดหน่อยว่ะ” ภูปิดบังความจริงเอาไว้

        “นอกจากเรื่องงานแล้ว แกมีธุระอะไรกับอีตาจอสนั่นด้วยเหรอ?” สาลี่หันไปมองทางจอส “ทำอะไรของแกเนี่ย? แล้วพี่กรรณล่ะ? ก็รู้อยู่นี่ว่าพี่เค้าไม่ชอบให้แกมาสุงสิงกับคู่จิ้นแกนอกจอ”

        “ไม่ใช่อย่างที่แกคิดนะเว้ย” ภูพยายามแก้ไขความเข้าใจผิดของสาลี่ที่กำลังคิดว่าเขานอกใจแฟนตัวเอง “มันอธิบายยาก แต่ไม่มีอะไรแบบที่แกคิดจริงๆ”

        “ให้มันจริงเถอะ” สาลี่เชื่อไม่ลง

        “ถ้าชั้นทำอะไรแบบนั้นจริง ชั้นก็ไม่มาทำให้แกเห็นหรอกไอ้ลี่” ภูยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง “เดี๋ยวชั้นจะอธิบายให้แกฟังทีหลัง อย่าบอกพี่กรรณนะ”

        “ก็ถ้าแกมีเหตุผลที่ดีพอน่ะนะ” สาลี่ไม่รับปากเต็มร้อย

        ภูไม่มีเวลามากพอจะอธิบายเรื่องทั้งหมดในตอนนี้ สิ่งเดียวที่พอจะทำได้คือพยักหน้าส่งสายตาขอความเห็นใจจากเพื่อนให้ช่วยเหยียบเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ซึ่งสาลี่ก็รับปากแบบเสียไม่ได้โดยมีข้อแม้ว่าภูจะต้องมาชี้แจงตัวเองให้ชัดเจนในภายหลัง เด็กหนุ่มยืนส่งจนกระทั่งเพื่อนทุกคนขึ้นรถของสาลี่ออกเดินทางไปกันแล้วจึงค่อยกลับมาหาจอสซึ่งติดเครื่องรถจักรยานยนต์รออยู่ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินมาเขาก็ส่งหมวกกันน๊อคให้ ขณะที่ภูกำลังยื่นมือไปรับมานั้นจอสก็ดึงหมวกกลับก่อนจะจัดการสวมมันให้อีกฝ่ายด้วยตัวเอง จังหวะที่หมวกกันน๊อคกำลังจะครอบลงบนศรีษะนั้นพลันหูของภูก็แว่วได้ยินเสียงชัตเตอร์ดังขึ้นเสียก่อน เมื่อหันไปมองตามเสียงก็พบกับส้มผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวหน้ากลุ่มแฟนคลับยุคบุกเบิกของตนกำลังยืนเล็งกล้องโทรศัพท์มือถือมายังเด็กหนุ่มทั้งสอง และยังไม่ทันที่ภูจะได้ร้องห้ามเธอก็กดถ่ายมันเข้าไปอีกหนึ่งครั้ง

        “กระทืบไลค์ งานนี้กระทืบไลค์กันเพจแตกแน่ๆ” ส้มชื่นชมผลงานชิ้นโบว์แดงของตนอย่างภาคภูมิใจ

        “ดะ… เดี๋ยว… “ภูทำอะไรไม่ถูก “น้องส้ม อย่าโพสรูปนั้นลงเพจนะ”

        “ทำไมอ่ะพี่ น่ารักจะตาย” ส้มไม่เข้าใจว่าทำไมถึงอวดภาพนี้กับคนอื่นๆ ไม่ได้ “พี่ดูสิ ไม่น่าเกลียดหรอก หนูถ่ายได้มุมพอดีเป๊ะเลย”

        “คือ มัน… “ภูพยายามนึกหาสักเหตุผลที่ฟังขึ้น

        เด็กหนุ่มจนปัญญาจะหาเหตุผลมาหยุดยั้ง แต่ยิ่งได้เห็นรูปก็ยิ่งกังวล ด้วยอารมณ์ของภาพที่ออกมานั้นไม่ต่างอะไรกับภาพพรีเวดดิ้งของคู่รักนักบิดเลยทีเดียว หากมันถูกโพสต์ลงไปกรรณที่คอยเฝ้าดูอยู่ทางเพจจะต้องมีปฏิกิริยาตอบกลับมาอย่างแน่นอน เนื่องจากอีกฝ่ายก็รู้ว่าวันนี้ตารางงานของภูไม่มีจอสมาเอี่ยวด้วย ลำพังการได้รู้ว่าทั้งสองมาพบกันเป็นการส่วนตัวนอกเวลางานก็น่าจะทำให้กรรณไม่พอใจได้มากแล้ว ซ้ำยังมีรูปถ่ายฉากรักแบบนี้มาเสริมอารมณ์เป็นเชื้อเพลิงอย่างดีอีก หากปล่อยให้รูปนี้หลุดไปสู่สายตาของกรรณได้เห็นทีไฟหึงหวงที่ภูต้องเผชิญคงรุนแรงไม่น้อยไปกว่าไฟนรกเป็นแน่แท้ ขณะที่ภูมัวแต่ยืนเป็นใบ้ทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้น จอสที่สังเกตเห็นความกระวนกระวายใจของอีกฝ่ายก็จึงตัดสินใจยื่นมือเข้ามาแทรกแซง

        “พี่ไม่ให้โพสครับ” จอสบอกกับส้ม “รูปจากงานไม่มีปัญหา แต่รูปแอบถ่ายแบบนี้ พี่ไม่โอเคครับ”

        “หูยยย” ส้มทำหน้าเซ็งก่อนจะหันมาขอให้ภูช่วย “พี่ภูอ่ะ พูดให้หนูหน่อยดิ”

        “ลบเถอะครับ ขืนโพสไปพี่ภูเค้าก็จะไม่สบายใจนะ” จอสเกลี้ยกล่อม ก่อนจะใช้สิ่งล่อใจมาโน้มน้าว “ถ้าลบรูปนั้นทิ้ง เดี๋ยวมาถ่ายคู่พี่เลย จัดให้ชุดใหญ่ ถึงพริกถึงขิง”

        “แน่นะ?” ส้มดูสนอกสนใจข้อเสนอนั้น

        “แน่นอน ลบรูปก่อนเลย” จอสยืนยันให้อีกฝ่ายมั่นใจ

        ถึงแม้จะเสียดายกับรูปเด็ดที่ตนสวมบทปาปาราสซี่แอบถ่ายมา แต่เด็กสาวก็คิดว่าคงเป็นผลดีกว่าถ้าเลือกสิ่งจะรักษาสัมพันธ์อันดีกับเหล่าบุคคลที่ตนชื่นชอบเอาไว้ เธอจึงกดลบรูปในโทรศัพท์และยื่นให้จอสดู เขารับมันมาและโยนส่งต่อให้ภูรับบทเป็นตากล้องจำเป็นในขณะที่จอสพาส้มโพสสารพัดท่าติดเรตซึ่งถอดแบบมาจากปกนิยายอีโรติก จนรูปที่ได้ออกมานั้นถูกภูลงความเห็นว่าเยาวชนอายุต่ำกว่าสิบแปดควรมีผู้ปกครองแนะนำขณะดู เด็กหนุ่มพยายามกลั้นหัวเราะจนปวดหัวในขณะที่เล็งหามุมเหมาะเจาะในการถ่ายแต่ละภาพ จนกระทั่งเมื่อได้รูปเยอะจนเป็นที่พอใจส้มก็ขอโทรศัพท์คืนก่อนจะเดินตัวลอยกลับเข้าไปในมหาวิทยาลัยอย่างมีความสุข

        “ตัวหนักไม่ใช่เล่นเลยนะนั่น ปวดแขนเลย” จอสสะบัดแขนไปมาเพื่อไล่ความปวดเมื่อยหลังจากอุตริอุ้มเด็กสาวโพสท่าเมื่อครู่

        “ขอบใจนะที่ช่วย” ภูขอบคุณจอสสำหรับความช่วยเหลือเมื่อครู่

        “อย่ามาสำคัญตัว ที่ไม่อยากให้โพสเพราะรูปนั้นเราไม่หล่อหรอก” จอสยังปากแข็งไม่ยอมรับ

        “คนมันไม่หล่อ ถ่ายไงมันก็ไม่หล่อหรอก” ภูแกล้งพูดแหย่กลับไป แต่ในใจเด็กหนุ่มรู้เจตนาดีว่าอีกฝ่ายทำไปเพื่อตน

        “พูดมาก จะไปด้วยก็ขึ้นรถมาได้แล้ว” จอสเร่งให้ภูขึ้นมานั่งซ้อนท้าย

        “ได้ข่าวว่ารถโดนใบสั่งนี่” ภูพูดพลางกระโดดขึ้นซ้อนเบาะหลัง

        “ถามสิว่าแคร์ไหม?” รอยยิ้มชั่วร้ายกลับมาปรากฏบนใบหน้าจอสอีกครั้ง และนั่นทำให้ภูทั้งโล่งใจและเป็นกังวลในเวลาเดียวกัน

        ภูลืมถามเสียสนิทว่าจอสจะพาตนไปที่ไหน แต่เมื่อขึ้นรถมาแล้วเด็กหนุ่มก็ปล่อยเลยตามเลย ด้วยตั้งใจจะทำตามใจอีกฝ่ายสักวันเพื่อตอบแทนที่อุตส่าห์ช่วยให้หลุดจากสถานการณ์อันสุ้มเสี่ยงต่อความสัมพันธ์เมื่อครู่

        ภูคาดเดาว่าจอสน่าจะกำลังพาตนไปที่บ้าน เมื่อสังเกตจากเส้นทางที่ดูคลับคล้ายคลับคราว่าเคยเดินทางผ่านมาแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน แต่หลังจากออกเดินทางไปได้เพียงครู่เดียวสายฝนก็เริ่มเทลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แรกเริ่มทั้งสองยังคิดว่าคงพอจะฝ่าไปได้แต่เมื่อมันเริ่มเทหนักขึ้นจนมองไม่เห็นทาง จอสก็จำต้องเลี้ยวรถเข้าจอดหลบฝนที่ใต้สะพาน ภูกระโดดลงจากรถและเหลียวมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวงด้วยบรรยากาศที่ค่อนข้างมืดและไร้ซึ่งผู้คนสัญจร มีเพียงแสงไฟสีส้มจากเสาไฟฟ้าริมทางเท่านั้นที่ส่องเข้ามาพอให้มองเห็นรอบตัวได้

        “อีกนิดเดียวเอง ข้ามสะพานไปอีกนิดก็ถึงแล้วแท้ๆ มาตกอะไรตอนนี้ก็ไม่รู้” จอสถอดแจ๊กเก็ตออกสะบัดน้ำ

        “ตกลงว่านี่จะไปบ้านนายเหรอ?” ภูถามเพื่อความมั่นใจขณะถอดหมวกกันน๊อคออกและวางไว้บนเบาะรถ

        “ก็ใช่สิ แล้วจะให้ไปที่ไหนล่ะ?” จอสสะบัดศรีษะจนละอองน้ำกระเซ็นไปทั่ว “ก็นายเคยบอกเองนี่ว่าไม่ชอบไปไหนที่คนเยอะๆ ไม่ชอบความวุ่นวาย”

        “เราเคยไปบอกนายตอนไหน?” ภูสงสัย ถึงแม้มันจะจริงตามนั้นแต่เด็กหนุ่มก็จำไม่ได้ว่าเคยพูดเรื่องพวกนี้กับอีกฝ่าย

        “ก็ตอนเราทั้งคู่ไปให้สัมภาษณ์รายการวิทยุเมื่อเดือนก่อน นายพูดเอง” จอสอ้างอิงถึงเมื่อครั้งที่ทั้งสองไปเป็นแขกรับเชิญให้กับรายการวิทยุเพื่อพูดคุยและแจกรางวัลในนามสินค้าที่เป็นพรีเซนเตอร์

        “อ๋อ…” ภูนึกออกทันที “ไม่คิดว่านายจะจำได้นะเนี่ย”

        “ข้อดีของการเป็นคนไม่มีเพื่อน” จอสพูดเหมือนมันเป็นเรื่องน่าอวด “เวลามีใครสักคนเกิดสำคัญกับเราขึ้นมา เราก็จะจำทุกอย่างของเค้าได้โดยไม่มีเรื่องของคนอื่นมาบดบัง”

        “บางทีนายอาจจะให้ความสำคัญผิดคนก็ได้นะ” ภูไม่อยากจะทำให้อีกฝ่ายหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

        “นั่นไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นจะมาตัดสินได้หรอกนะ” จอสหันมาหาภู แววตาบ่งบอกถึงอารมณ์ที่ขุ่นเคืองขึ้นมา “นายเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไง? ที่วันนั้นไม่ว่าเราจะพูดยังไง นายก็เลือกเค้าอยู่ดี”

        “แต่มันไม่เหมือนกัน…” ภูจนปัญญาจะอธิบาย

        เส้นผมที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนทำให้เกิดความอับชื้นไปทั่วบริเวณต้นคอ เด็กหนุ่มทนความรำคาญจากอาการคันยุบยิบที่เกิดขึ้นไม่ไหวจึงรวบผมของตนขึ้นและมัดด้วยยางเส้นเล็กที่มีติดกระเป๋าเสื้อนักศึกษาอยู่ตลอดเวลาโดยลืมไปเสียสนิทว่ามีบางสิ่งที่ต้องปกปิดจากสายตาผู้อื่นอยู่ แน่นอนว่าสายตาอันว่องไวของจอสจับสังเกตเห็นสิ่งนั้นได้แทบจะทันที และตรงปรี่เข้ามาก่อนที่ภูจะทันรู้ตัวว่าได้เผลอเปิดเผยความลับที่ตนสู้อุตส่าห์ปกปิดมาทั้งวันไปแล้วด้วยซ้ำ

        “ไอ้นี่อะไร?” จอสจับเข้าที่ต้นคอของอีกฝ่าย “รอยอะไร? ใครเป็นคนทำ?”

        “ไม่ใช่เรื่องของนาย” ภูหน้าแดงก่ำรีบปัดมือของจอสออก ทั้งตกใจและอับอายไปพร้อมๆ กัน

        “ทำกันไปแล้วสิท่า…” น้ำเสียงของจอสแสดงออกว่าไม่พอใจอย่างไม่คิดจะปกปิดแม้แต่น้อย “ชอบอะไรป่าเถื่อนแบบนี้ก็ไม่บอก เห็นวันนั้นเล่นตัว ที่แท้ก็เพราะเข้าหาผิดวิธีนี่เอง”

        “เงียบไปเลยนะ!!” ภูเหลืออดกับการโดนดูถูกซึ่งหน้าแบบนี้ น้ำเสียงที่หลุดออกไปจากปากนั้นกร้าวแข็งจนตัวเองก็ยังตกใจ

        “โอ้โห...” จอสตกตะลึง “ตกใจหมดเลย นี่ขึ้นเสียงด้วยเหรอ?”

        “ขอโทษ…” ภูอยากกัดลิ้นตัวเองที่จนถึงขนาดนี้ก็ยังยอมขอโทษอีกฝ่ายอยู่ได้ “แต่นายก็ไม่ควรพูดแบบนั้นออกมา”

        “เพราะอะไร? มันแทงใจดำเหรอ?” จอสยังไม่เลิกท่าทีชวนทะเลาะ “ยอมให้เค้าทำซะขนาดนี้แล้ว ยังจะมีอะไรต้องอายอีกล่ะ?”

        “พอได้แล้ว…” ภูส่ายหน้า พยายามอดกลั้นไม่ให้หลุดเหมือนเมื่อครู่

        “ไม่พอ!” จอสไม่สนใจคำขอนั้น “ก็ดี รู้แบบนี้จะได้เอาใจถูก วันนี้ก็คงอยากสิท่าถึงได้ยอมกระดิกหางตามมา ไอ้ลุงนั่นมันไม่ว่างทำให้ใช่ไหม? เดี๋ยวรอฝนหยุดก่อนกลับไปถึงจะจัดให้แบบหนักๆ เลย จะเอากี่แผลก็ว่ามา”

        เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น โกรธจนตัวสั่นจากการที่เจตนาดีของตนโดนดูถูกแต่ก็พยายามอดกลั้นอย่างเต็มที่ ทว่าอีกฝ่ายก็ยังคงไม่ยอมหยุดการหยามหมิ่นด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ความอดทนจึงค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ เหมือนเชือกป่านที่โดนไฟลนจนไหม้บางลงในทุกขณะก่อนจะขาดสะบั้นเมื่อมาถึงจุดที่ไม่อายทานทนได้อีกต่อไป ภูบันดาลโทสะเหวี่ยงกำปั้นซัดเข้าไปยังใบหน้าของจอสด้วยก่อนที่จะรู้ตัวในวินาทีต่อมาว่ามันพลาดเป้าและเป็นตัวของเขาเองที่กำลังจะเสียหลักล้มลงไปหน้าฟาดพื้นเสียเอง ทว่าจอสก็ฉวยรับร่างของภูเอาไว้ได้ก่อนที่จะล้มและจับผลักเข้าไปกระแทกกับเสาคอนกรีตของสะพาน แขนทั้งสองข้างตรึงไหล่บอบบางนั้นเอาไว้แน่นจนเด็กหนุ่มไม่สามารถดิ้นหลุดไปไหนได้

        “เป็นแค่กระรอก คิดจะสู้เหรอ?” จอสยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “จำเอาไว้นะว่าเริ่มก่อนเอง กล้าทำก็ต้องกล้ารับผลของมันด้วยล่ะ”

        ภูมองดูใบหน้าของจอสที่เคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ รู้อย่างแน่ชัดว่าสิ่งใดกำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เด็กหนุ่มพยายามขัดขืนด้วยการเบี่ยงศรีษะหลบแต่อีกฝ่ายก็ใช้มือแข็งแรงข้างหนึ่งยกขึ้นมาจับกุมเอาไว้ไม่ให้ขยับไปไหน เมื่อหมดจนหนทางจะช่วยเหลือตัวเองได้ภูจึงตัดสินใจอ้าปากร้องขอความช่วยเหลือจากใครสักคนที่อาจจะอยู่ใกล้ๆ แต่ยังไม่ทันที่เสียงจะได้หลุดออกไปจากลำคอ ริมฝีปากก็ถูกประกบพันธนาการเอาไว้เสียก่อน จอสกดริมฝีปากบดจูบอย่างรุนแรงไม่หลงเหลือความนุ่มนวลอย่างที่เคยได้ทำเมื่อครั้งก่อน มือข้างที่จับกุมศรีษะของภูไว้ขยำจิกเส้นผมแน่น ปลายลิ้นพยายามชอนไชเข้ามาแต่ไม่สำเร็จเมื่อเด็กหนุ่มไม่ยอมเปิดรับเขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายลงมายังริมฝีปากล่างก่อนจะใช้ฟันขบกัดเข้าไปอย่างแรง

        ความเจ็บปวดฉุดร่างของภูให้สะดุ้งเฮือก ก่อนจะตามมาด้วยรสคาวของเลือด ยิ่งพยายามดิ้นรนจอสก็ยิ่งออกแรงมากขึ้น และในจังหวะที่เด็กหนุ่มเผลอคลายการป้องกันตัวนั้น จอสก็ฉวยโอกาสสอดลิ้นเข้าไปได้สำเร็จ เสี้ยววินาทีนั้นเด็กหนุ่มรู้ตัวดีว่าหากกัดเจ้าสิ่งบุกรุกนี้เสีย ความเจ็บปวดก็อาจะทำให้อีกฝ่ายชะงักและเปิดโอกาสให้ตนหนีได้ ทว่าบางอารมณ์ที่ซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกกลับไม่ต้องการให้เขาทำเช่นนั้น หัวใจของภูเต้นแรงขึ้นมาในทุกขณะที่ปลายลิ้นของทั้งสองเกี่ยวกระหวัดรัดตัวเข้าหากัน มือที่เคยพยายามผลักร่างของอีกฝ่ายออกยามนี้กลับปล่อยวางนิ่งอยู่ข้างลำตัว เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนสติกำลังจะหลุดลอยออกจากร่าง แต่แล้วภาพใบหน้าของกรรณและเสียงของอีกฝ่ายที่พูดผ่านทางโทรศัพท์ว่ารอให้ตนกลับไปหาก็เหมือนจะเข้ามาฉุดดึงให้ภูกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้อีกครั้ง เขารวบรวมเรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดและผลักอีกฝ่ายออกไปก่อนจะเหวี่ยงหมัดชกเข้าไปที่โหนกแก้มเต็มแรง

        ร่างของจอสเซถลาจนเกือบลงไปกองกับพื้นแต่เขาก็ยังประคองตัวเอาไว้ได้ ภูไม่ยอมเสียโอกาสในการหนี เด็กหนุ่มวิ่งฝ่าสายฝนออกไปจากตรงนั้นด้วยความเร็วสุดฝีเท้า จากนั้นจึงหลบเร้นกายเข้าไปยังซอกเล็กๆ ระหว่างคันของรถเมล์ที่จอดเรียงแถวกันอยู่เพื่อหลบซ่อนตัว เสียงเครื่องยนต์ของรถจักรยานยนต์ดังไล่หลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนที่ภูจะเห็นจอสขับผ่านไปโดยเหลียวซ้ายแลขวามองหาตนอยู่ไปตลอดทาง เมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายหาตนไม่เจอแน่แล้วภูก็จึงทรุดลงนั่งกับพื้น รู้ดีว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่และทุกสิ่งที่ใส่ไว้ในกระเป๋าคงเปียกชุ่มไปด้วยน้ำหมดแล้ว หากแต่ในยามนี้เด็กหนุ่มก็ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดยั้งความเสียหายนั้นไม่ให้ลุกลาม เขาได้แต่นั่งนิ่งตากฝนอยู่เช่นนั้น ทุกข้อนิ้วของกำปั้นยังคงปวดหนึบจากการถูกใช้เพื่อชกต่อยเป็นครั้งแรกในชีวิต ในขณะที่มืออีกข้างยกขึ้นแตะไปยังบาดแผลที่จอสฝากเอาไว้บนริมฝีปากล่าง จากนั้นก็รอจนกว่าหัวใจที่เต้นแรงราวกับบ้าคลั่งนั้นจะสงบลง



To be continued...
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 18 ☆ [17-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-04-2018 01:33:00
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไบโพลาร์แน่ ๆ อีนุ้งจอสเนี่ย

หาเรื่องได้ตลอดเว

ส่วนนุ้งภู ต่อไปก็ไม่ต้องแคร์ไม่ต้องสงสารอีนุ้งจอสมันแล้วนะ  หมั่นไส้มัน
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 18 ☆ [17-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 17-04-2018 02:44:49
โอ้ยยยยย ไม่ต้องยุ่งกับจอสแล้วภู ตัดได้ก็ตัดไปเลย ไม่ก็ไปบอกพี่กรรณตรงๆไปเลย จะได้ให้พี่กรรณมาจัดการให้ หรือจะปรึกษาเพื่อน บอกสาลี่ไปก็ได้ บางทีปัญหาบางอย่างมันคิดแก้เองคนเดียวไม่ได้อ่ะ อาจจะต้องให้คนอื่นช่วยคิดช่วยแก้บ้าง
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 18 ☆ [17-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 17-04-2018 06:11:26
ที่ภูรู้สึกใช่สงสารแน่นะ?
แต่คือสงสารแล้วตัดทางรอดตัวเองนอนนิ่งมันไม่ใช่นะเห้ยยย
ถ้าไม่คิดถึงกรรณจะเป็นยังไงเนี่ย
คือมันไม่โอตั้งแต่ปิดบังแล้วก็ขี้สงสารจนยอมตามเขาไปละ
นี่คือกลัวว่าจะไม่ใช่สงสารอะ ไปหวั่นไหวงี้
ถ้ามากกว่าสงสารจะสงสารกรรณและโมโหภูมาก
เกลียดคนไม่มั่นคง
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 18 ☆ [17-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-04-2018 11:42:50
 :3125:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 18 ☆ [17-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 18-04-2018 22:50:03
:pig4: :pig4: :pig4:

ไบโพลาร์แน่ ๆ อีนุ้งจอสเนี่ย

หาเรื่องได้ตลอดเว

ส่วนนุ้งภู ต่อไปก็ไม่ต้องแคร์ไม่ต้องสงสารอีนุ้งจอสมันแล้วนะ  หมั่นไส้มัน

จอสยังหาเรื่องได้อีกเยอะครับ อยู่ที่น้องภูเราจะเข็ดหรือยัง  :hao5:



โอ้ยยยยย ไม่ต้องยุ่งกับจอสแล้วภู ตัดได้ก็ตัดไปเลย ไม่ก็ไปบอกพี่กรรณตรงๆไปเลย จะได้ให้พี่กรรณมาจัดการให้ หรือจะปรึกษาเพื่อน บอกสาลี่ไปก็ได้ บางทีปัญหาบางอย่างมันคิดแก้เองคนเดียวไม่ได้อ่ะ อาจจะต้องให้คนอื่นช่วยคิดช่วยแก้บ้าง

เดี๋ยวต้องรอดูครับว่าน้องภูจะเอายังไงกับเรื่องนี้ จอสจะลอยนวลไปได้นานแค่ไหน  :katai1:



ที่ภูรู้สึกใช่สงสารแน่นะ?
แต่คือสงสารแล้วตัดทางรอดตัวเองนอนนิ่งมันไม่ใช่นะเห้ยยย
ถ้าไม่คิดถึงกรรณจะเป็นยังไงเนี่ย
คือมันไม่โอตั้งแต่ปิดบังแล้วก็ขี้สงสารจนยอมตามเขาไปละ
นี่คือกลัวว่าจะไม่ใช่สงสารอะ ไปหวั่นไหวงี้
ถ้ามากกว่าสงสารจะสงสารกรรณและโมโหภูมาก
เกลียดคนไม่มั่นคง

เดี๋ยวตอนหน้ารู้แล้ว ว่าอะไรเป็นอะไรในส่วนของภูครับ  ใกล้จบแล้วทุกอย่างจะคลี่คลายแล้ว :hao5:



:3125:


 :3123: :pig4: :3123:

อย่าเพิ่งโกรธๆ ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดนะครับ  o13


หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 18 ☆ [17-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 18-04-2018 22:54:54
Episode 19

        ภูหยิบธนบัตรที่ยังคงเปียกชื้นอยู่จากในกระเป๋ากางเกงส่งให้กับคนขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง ฝนหยุดตกไปนานแล้วแต่ร่างกายของเด็กหนุ่มก็ยังคงไม่แห้งสนิทดี เขาควานหากุญแจบ้านจากในกระเป๋าเป้ก่อนจะไขเข้าไปข้างใน ไฟในบ้านปิดมืดสนิททำให้รู้ได้ว่าพ่อกับแม่คงเข้านอนไปแล้ว ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะภูก็ไม่อยากจะให้ทั้งสองต้องมาเห็นตนในสภาพแบบนี้เช่นกัน เขาเดินขึ้นบันไดอย่างเงียบเชียบไปยังห้องนอนของตน แสงไฟในห้องสว่างขึ้นเมื่อคลำมือผ่านความมืดไปกดเปิดสวิทช์ที่ข้างประตู โทรศัพท์มือถือเปียกน้ำที่บัดนี้ไม่มีค่าอะไรมากไปกว่าก้อนอิฐก้อนหนึ่งถูกหยิบออกมาจากกระเป๋าเป้แล้ววางเอาไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือก่อนที่เด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของจะทรุดตัวนั่งลงบนขอบเตียง

        ริมฝีปากล่างยังคงเจ็บ แม้แผลที่ได้รับจะเพียงแค่เล็กน้อยแต่มันกลับสร้างความเสียหายทางจิตใจให้กับภูได้อย่างเหลือคณานับ ความโกรธเกลียดเอ่อล้นขึ้นมาจนเกินจะสะกดกลั้นเอาไว้อยู่ แต่เป้าหมายของมันกลับไม่ใช่ผู้ที่ฝากรอยแผลนี้เอาไว้แม้แต่น้อย ไม่เกี่ยวกับจอส แต่เป็นตัวของเขาเอง เด็กหนุ่มเกลียดและชิงชังตนเองที่นอกจากจะไม่โกรธกับการล่วงละเมิดทางเพศที่จอสกระทำต่อตนแล้ว ยังทำตัวเหมือนพวกใจง่ายเกิดอารมณ์เคลิบเคลิ้มตามไปกับสัมผัสอันไม่ถูกไม่ควรเหล่านั้นอีก ภูตัวสั่นขึ้นมาเมื่อนึกถึงความจริงที่ว่าตนอาจจะเป็นจริงเหมือนอย่างที่จอสกล่าวหา เขาอาจจะชื่นชอบความรุนแรงและการถูกบีบบังคับ ยิ่งเมื่อนึกประกอบกับการที่เซ็กส์ครั้งที่สองกับกรรณที่คุมสติตัวเองไม่อยู่นั้นทำให้เขาเกิดความรู้สึกพึงพอใจได้มากกว่าครั้งแรกจนถึงขั้นเก็บมานั่งนึกถึงแล้วใจเต้นอยู่คนเดียวบนรถแท๊กซี่ ก็ยิ่งทำให้ข้อกล่าวหานั้นดูมีน้ำหนักมากขึ้นเป็นเท่าตัว

        เด็กหนุ่มผลุดลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปยังหน้าต่าง ตามองออกไปยังห้องนอนของกรรณที่อยู่เยื้องไปฝั่งตรงกันข้าม ไฟในห้องที่ปิดมืดประกอบกับเวลาขณะนี้ที่เกือบจะเที่ยงคืนแล้วทำให้ภูคิดว่าอีกฝ่ายคงรอตนกลับมาไม่ไหวและเข้านอนไปเป็นที่เรียบร้อย แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นภูก็ยังเปิดหน้าต่างห้องนอนของตนเองและปีนข้ามไปยังระเบียงฝั่งของกรรณ ใช่ว่าไม่รู้ว่าการรบกวนคนที่กำลังหลับเป็นเรื่องเสียมารยาท แต่เขาไม่อาจทนอยู่กับตัวเองเพียงลำพังได้ ไม่ใช่ในคืนนี้ ภูหยุดยืนที่หน้าประตูทางเข้าบ้านบนระเบียงชั้นสองแล้วเคาะเรียกไปสองสามครั้ง สายลมที่พัดโชยมาถ้าเป็นในเวลาปกติก็อาจจะช่วยผ่อนคลายความร้อนได้ดี แต่ในสภาพที่ร่างกายสูญเสียอุณหภูมิจากการตากฝนและปล่อยให้ตัวเองเปียกอยู่เป็นเวลานาน สายลมนั้นก็กลับกลายเป็นเหมือนมีดน้ำแข็งที่บาดผิว ภูหนาวจนฟันกรามเริ่มสั่นกระทบกัน เขาตัดสินใจเคาะประตูอีกครั้งโดยออกแรงมากกว่าเดิมหลังจากที่รออยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่มีการตอบรับจากภายใน

        แม้จะพยายามเคาะสักกี่ครั้ง หรือกระทั่งส่งเสียงเรียกก็แล้ว ทุกอย่างก็ยังนิ่งสนิท เมฆหมอกแห่งความคิดมากเริ่มก่อตัวขึ้นบนหัวของภูอย่างช้าๆ ส่งผลให้ความคิดฟุ้งซ่านสารพัดรูปแบบปรากฏขึ้นมาในหัวราวกับฉายภาพหนัง เด็กหนุ่มพยายามตัดสิ่งที่เป็นไปได้ยากและไม่อยากให้เป็นที่สุดเช่นอีกฝ่ายอาจกำลังบาดเจ็บสาหัส นอนตาย หรือโดนโจรขโมยจับมัดเอาไว้ในบ้านออกไปก่อน คงเหลือไว้แต่สิ่งที่พอจับต้องได้เมื่อประเมินจากสภาพการณ์ทั้งหมดที่เป็นในขณะนี้เช่นกรรณอาจจะหลับสนิทเพราะเหนื่อยจากงานมาทั้งวัน หรือถ้าจะให้ดูโลกสวยน้อยลงกว่านั้นอีกนิดก็คือชายหนุ่มอาจจะได้ยินตั้งแต่ภูเคาะประตูครั้งแรก แต่ทำเมินเฉยไม่รับรู้เพราะกำลังโกรธที่อีกฝ่ายหายหน้าไปไม่ยอมกลับบ้านมาเจอกันตามนัด ซ้ำยังไม่อาจติดต่อได้ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นภูก็ไม่มีสิ่งใดจะแก้ตัวกับกรรณ ทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับความผิดที่ตนทำลงไป

        เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ภูไม่อาจทราบได้ เขาเพียงแต่นั่งแน่นิ่งหลังพิงกับระแนงไม้ขอบระเบียงทางเดินคาดหวังอย่างลมๆ แล้งๆ ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้ากรรณจะเปิดประตูออกมารับเหมือนเช่นทุกครั้ง ร่างกายที่เหนื่อยล้าและประสาทที่ตึงเครียดเริ่มเรียกร้องหาการพักผ่อน เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกถึงเปลือกตาของตนที่หนักอึ้งขึ้นในทุกขณะหากทว่าก็ยังพยายามจะฝืนตัวเองให้ตื่นอยู่ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในช่วงจังหวะที่การตื่นแหละการผล็อยหลับไปเกิดขึ้นสลับกันไปมานั้น เสียงประตูรั้วบ้านที่เปิดออกก็ปลุกให้สติของเด็กหนุ่มกลับมาตื่นตัวได้อีกครั้ง ภูรีบหันไปมองตามเสียงและพบว่ากรรณกำลังล๊อคประตูรั้วกลับคืนหลังจากเข้ามาข้างใน เมื่อเห็นเด็กหนุ่มที่กำลังยันตัวลุกขึ้นยืนอยู่บนระเบียงชั้นสองเขาก็รีบจ้ำเท้าเข้าบ้านเพื่อเดินขึ้นมาหาอย่างรีบร้อน ไฟระเบียงเปิดสว่างขึ้นพร้อมๆ กับที่บานประตูตรงหน้าของภูเปิดออก

        “นึกว่าพี่นอนแล้ว…” ภูบอกกับกรรณที่เพิ่งเปิดประตูออกมายังระเบียงที่ตนยืนอยู่

        “ไปไหนมา?” กรรณถาม น้ำเสียงมีทั้งความโกรธและโล่งใจปะปนอยู่พอๆ กัน “พี่ตามหาทั่วไปหมด โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้ ปิดเครื่องทำไม?”

        “ไม่ได้ปิดเครื่อง มันโดนฝนเลยพัง” ภูอธิบาย

        “แล้วไปไหนมา? วันนี้เรียนเสร็จก็ไม่ได้ไปต่อกับเพื่อนนี่ สาลี่บอกพี่มาแล้วว่านายขอตัวกลับก่อน” กรรณถามอีกครั้ง

        “ธุระนิดหน่อยครับ” ภูไม่กล้าพูดความจริง ขณะที่ในใจก็นึกโล่งอกที่สาลี่ยอมทำตามคำขอคือปิดเรื่องที่ตนไปกับจอสไว้ไม่ให้กรรณรู้ “ขอโทษครับที่ทำให้เป็นห่วง”

        “นี่ถ้ากลับมาไม่เจออยู่ตรงนี้ พี่จะไปบอกพ่อกับแม่นายให้แจ้งตำรวจแล้วนะรู้ไหม?” กรรณถอนหายใจออกมา เป็นการถอนหายใจที่ภูไม่รู้ความหมายของมันแน่ชัดว่าเกิดขึ้นเพราะโล่งใจหรือเหนื่อยใจ

        “จะไม่ทำอีกแล้ว มันสุดวิสัยจริงๆ ผมตากฝนแล้วโทรศัพท์มันเสียก็เลยติดต่อใครไม่ได้เลย” ภูพยายามอธิบายตนเองในส่วนที่พอจะทำได้ ไม่รู้ว่าเพราะความกลัวที่ถูกดุหรือกังวลจากความผิดที่ปกปิดไว้ จึงทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกมึนหัวขึ้นมาทีละน้อย พื้นไม้ของระเบียงที่ยืนอยู่ก็คล้ายจะสูงต่ำไม่เท่ากันจนโคลงเคลงไปหมด

        “ภู?” กรรณสังเกตเห็นความผิดปกติของเด็กหนุ่ม “เป็นอะไร? ทำไมหน้าแดงแบบนั้น?”

        “แดงเหรอ?” ภูไม่รู้ตัว “ไม่รู้สิ แต่มึนหัวมากเลยครับ…”

        พูดได้เพียงเท่านั้นอาการหน้ามืดก็โถมเข้าซัดใส่เด็กหนุ่มจนเซวูบเกือบจะล้ม กรรณถลาเข้าไปรับเอาไว้ได้ทันก่อนจะพบความจริงที่ว่าร่างกายของภูในขณะนี้นั้นร้อนเหมือนถูกไฟสุมอยู่ เมื่อคิดแล้วว่าการปล่อยให้อีกฝ่ายตากลมอยู่ข้างนอกนานขึ้นกว่านี้ย่อมไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน กรรณจึงประคองพาแฟนหนุ่มรุ่นน้องของตนเข้ามาในบ้าน แต่เมื่อการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างทุลักทุเล เขาจึงตัดสินใจตัดปัญหาด้วยการอุ้มยกร่างของอีกฝ่ายไว้บนสองแขนก่อนจะพามาวางให้นอนลงบนเตียง

        “ตัวร้อนจี๋เลย” ชายหนุ่มใช้หลังมือแนบที่หน้าผากและตามคอของภู “ตากฝนกลับมาแล้วยังมาตากลมอยู่นอกบ้านอีก อยู่ที่ระเบียงมานานเท่าไหร่แล้วเนี่ย?”

        “ไม่รู้ ตอนแรกเรียกอยู่ตั้งนาน คิดว่าพี่โกรธไม่ยอมเปิดประตูรับ ก็เลยนั่งรอให้หายโกรธ” ภูสารภาพ

        “เด็กทึ่มเอ๊ย… มีอย่างที่ไหนนั่งรอให้คนอื่นเค้าหายโกรธ” แม้จะหัวเสียอยู่แต่กรรณก็อดขำกับความเป็นคนไม่รู้ประสาของภูไม่ได้ “แล้วพี่จะไปโกรธนายเรื่องอะไร? ทำไมถึงคิดว่าพี่โกรธไม่ยอมเปิดประตูให้?”

        “ก็วันนี้ผมบอกว่าเลิกเรียนแล้วจะรีบกลับมาหานี่นา…” ภูตอบ น้ำเสียงเริ่มอ้อแอ้จนฟังลำบากขึ้น “แล้วผมก็ผิดสัญญาอีกแล้ว ผมไม่เคยรักษาสัญญาที่ให้ไว้ได้เลย”

        “เรื่องแค่นี้เอง… พี่ไม่ได้โกรธหรอกนะ ที่โมโหก็เพราะเป็นห่วงที่ติดต่อไม่ได้เท่านั้นเอง” กรรณยกมือขึ้นลูบหัวปลอบโยนเด็กหนุ่มที่กำลังทรมานทั้งจากพิษไข้และความรู้สึกผิด “ถ้าพี่โทรหานายได้เหมือนทุกครั้ง แน่ใจแล้วว่าไม่ได้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับนาย นายจะเถลไถลไปไหนต่อก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก พี่เข้าใจ นายยังเด็ก ก่อนหน้าเราจะมาคบกันนายก็มีชีวิตส่วนตัวของนาย และถึงจะคบกันแล้วมันก็ยังต้องมีอยู่ต่อไป”

        สิ่งที่ได้ยินนั้นทำให้ภูรู้สึกหวานอมขมกลืน ทั้งมีความสุขและรู้สึกผิดควบคู่กันไป กรรณยื่นมือมาแกะกระดุมถอดเสื้อนักศึกษาของภูออก ก่อนจะตามด้วยกางเกง เด็กหนุ่มปิดตาไม่กล้ามองสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น จากนั้นก็ต้องละอายแก่ใจอีกรอบเมื่อพบว่าตัวเองกำลังเข้าใจบางอย่างผิดหลังจากกรรณลุกเดินหายออกไปจากห้องอยู่พักใหญ่ก่อนจะกลับมาพร้อมกับอ่างใส่น้ำอุ่นและผ้าขนหนูหนึ่งผืน ชายหนุ่มบรรจงใช้ผ้าชุบน้ำหมาดเช็ดทำความสะอาดและลดอุณหภูมิบนผิวกายของเด็กหนุ่ม แม้ภูจะพยายามปัดป้องแต่สุดท้ายทุกส่วนก็ถูกเช็ดจนทั่วไม่เว้นแม้กระทั่งเส้นผมและปลายเท้า จนเมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วกรรณจึงเอาเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้สวม ก่อนจะนั่งคุมกำกับให้คนป่วยกินยาที่เตรียมมาให้

        “กินยาเสร็จแล้วก็นอนพักได้แล้ว เรื่องงานถ้าพรุ่งนี้ยังไม่ดีขึ้นก็ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่จะติดต่อให้พี่ช้างไปคุยกับทางลูกค้าให้ว่าเลื่อนถ่ายได้ไหม” กรรณบอกให้อีกฝ่ายไม่ต้องกังวลเพื่อจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

        “พี่กรรณ…” ภูดึงชายเสื้ออีกฝ่ายไว้ขณะที่กรรณกำลังลุกออกไป “ไปไหนครับ?”

        “ว่าจะทำงานต่ออีกหน่อย เมื่อหัวค่ำออกไปตามหานายเลยยังมีงานที่ทำไม่เสร็จอีกนิดนึง” กรรณตอบ

        “อย่าเพิ่งทำได้ไหม?” ภูรู้ดีว่าทำอีกฝ่ายเสียเวลามามากแล้ว แต่ก็ยังอยากจะขอเป็นคนเห็นแก่ตัวต่ออีกสักนิดเพื่อกอบกู้สภาพจิตใจของตนเอง “นอนด้วยกันก่อน รอผมหลับค่อยไปนะครับ”

        กรรณไม่ตอบรับว่าอย่างไร เขาเพียงแต่เดินอ้อมมาขึ้นเตียงยังอีกฝั่งหนึ่งก่อนจะสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับที่คลุมตัวภูไว้แล้วคล้องลำแขนโอบกอดประกบร่างเด็กหนุ่มเอาไว้จนแนบชิด ภูรู้สึกได้ถึงปลายจมูกของอีกฝ่ายที่ไล้ดอมดมอยู่บนเรือนผมของตน ความอบอุ่นและสัมผัสที่ได้รับนั้นช่างสุดแสนจะรื่นรมย์จนทำให้ความทรมานจากพิษไข้สร่างซาลงไปแทบจะในทันที เด็กหนุ่มรู้ดีว่าตนกำลังมีความสุข เพราะความสุขมักสำแดงตัวตนของมันได้อย่างชัดเจนโดยไม่ทิ้งความกังขา และในตอนนั้นเองที่ความรู้แจ้งในบางสิ่งบางอย่างได้ส่องสว่างขึ้นในจิตใจที่กำลังสับสนของเขา แม้จะต้องใช้เวลานานเหลือเกินแต่ภูก็เข้าใจในที่สุดว่าความรู้สึกที่ตนมีให้จอสนั้นมันเป็นเพียงความตื่นเต้นเพียงชั่วขณะ ภูไม่ได้หลงรักจอสหากแต่หลงรักความอันตรายในตัวของเขา ซึ่งเป็นเหมือนแสงสีที่วูบวาบเข้ามาในชีวิตสีขาวอันแสนจะปลอดภัยของตน มันอาจทำให้สนุกสนานจนกระทั่งจิตใจสั่นไหวแต่ยังห่างไกลเกินกว่าจะเรียกว่าความสุข ไม่ต่างกับเครื่องเล่นในสวนสนุกที่อาจจะดูน่าตื่นตาตื่นใจแต่ในความเป็นจริงไม่มีใครสามารถนั่งรถไฟเหาะไปได้ทั้งชีวิต สุดท้ายแล้วเราก็ต้องกลับออกมาเพื่อค้นหาใครสักคนที่มอบความรู้สึกเหมือนเป็นบ้านอันปลอดภัยให้เราได้

        การเป็นไข้ไม่ใช่เรื่องสนุกเลยสำหรับภู ถึงแม้ว่าสุขภาพโดยรวมของเด็กหนุ่มจะไม่ได้ถูกจัดอยู่ในจำพวกขี้โรคหรือร่างกายอ่อนแอ แต่หากพลาดท่าเกิดป่วยขึ้นมาในครั้งใดก็มักจะออกอาการหนักกว่าชาวบ้านชาวช่องเขาเสมอ ภูใช้เวลาสามวันหลังจากนั้นไปกับการนอนซมอยู่บนเตียงเพื่อพักฟื้นท่ามกลางความวุ่นวายของพี่ช้างที่ต้องประสานงานกับบรรดาลูกค้าที่มีคิวงานในสามวันนั้น ซึ่งบางงานก็สามารถเลื่อนคิวได้ แต่บางงานที่เลื่อนไม่ได้อย่างเช่นอีเวนท์ก็เดือดร้อนถึงพี่ช้างต้องวิ่งหาใครสักคนเพื่อส่งไปเป็นตัวแทนภู เด็กหนุ่มออกจะแปลกใจอยู่เล็กน้อยเมื่อได้ยินจากปากของผู้จัดการส่วนตัวของตนว่าจอสยอมวิ่งรอกตั้งแต่เช้าจรดค่ำเพื่อเป็นตัวแทนของภูให้ในงานที่ไม่ตรงกับคิวของเขา แต่เมื่อมาคิดดูแล้วก็ไม่น่าแปลกใจเพราะถึงแม้จะเป็นคนเอาแต่ใจและคาดเดาอะไรได้ยากแต่สิ่งหนึ่งที่ภูรู้ดีเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานของตนคนนี้ก็คือเขามีความรับผิดชอบกับสิ่งที่ได้ทำลงไปเสมอ

        หน้าที่การดูแลคนป่วยส่วนใหญ่ตกอยู่กับแม่ของภู ในขณะที่กรรณเมื่อเสร็จจากงานก็จะรีบดิ่งกลับมารับช่วงต่อทันที ความกระตือรือร้นที่จะดูแลเอาใจใส่ของกรรณที่แสดงออกมานั้นมีมากจนออกจะเกินขอบเขตของคำว่าพี่น้องในสายตาคนทั่วไป ทั้งการขึ้นมานั่งเฝ้าอยู่บนห้องตลอดเวลา ป้อนอาหารให้แบบถึงปาก เช็ดตัวดูแลความสะอาดของร่างกาย แต่ถึงกระนั้นกรรณก็ไม่มีทีท่าว่าจะพยายามปิดบังเลยแม้แต่น้อย ยังคงทำเหมือนเป็นเรื่องปกติ จนภูต้องเป็นฝ่ายกังวลขึ้นมาเสียเองว่าพ่อแม่อาจจะผิดสังเกตกับเรื่องนี้

        “พี่ไม่คิดว่าตัวเองเล่นใหญ่ไปนิดนึงเหรอ? ผมกลัวพ่อกับแม่จะสงสัยเอานะ” ภูซึ่งเสียงยังแหบพร่าถามกรรณขึ้นมาหลังจากเพิ่งโดนจับป้อนข้าวต้มเสร็จไปหมาดๆ “

        “ไม่สงสัยหรอก” กรรณส่งถ้วยยาให้แล้วตามด้วยแก้วน้ำดื่ม “เพราะไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยแล้ว”

        “หือ…?” ภูชะงัก “หมายความว่ายังไงครับ? ไอ้ประโยคหลังน่ะ…”

        “เค้ารู้กันทั่วแล้ว” กรรณนั่งลงบนพื้นข้างเตียง เฝ้าดูให้เด็กหนุ่มกินยาจนหมด

        “รู้ได้ไง!” ภูโพล่งออกมาด้วยความตกใจ แต่ด้วยความระคายคอจึงทำให้เกิดอาการไอตามมาอีกชุดใหญ่จนกรรณต้องเข้าไปลูบหลัง

        “คุณลุงกับคุณป้าท่านระแคะระคายมาตั้งนานแล้วแต่ยังไม่แน่ใจ จนมาถามพี่ตรงๆ เมื่อตอนที่พี่อุ้มนายกลับมาบ้านตอนเช้าวันที่เป็นไข้ พี่ก็ไม่รู้จะปิดบังทำไม เพราะท่านก็บอกเองว่าท่านเข้าใจและรับได้ขอให้พูดกันตามตรง” กรรณบอก

        “แล้วไม่มีใครคิดจะบอกผมเลยเหรอว่ารู้แล้ว?” ภูไม่เข้าใจว่าทุกคนตีหน้าตายทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร

        “ก็เห็นป่วยอยู่ เดี๋ยวพอนายหายดี ท่านก็คงจะหาโอกาสคุยเรื่องนี้ด้วยเองนั่นแหละ” กรรณยักไหล่เหมือนว่าช่วยอะไรไม่ได้ “แล้วอีกอย่างก็คือถึงจะรู้ว่าคบกัน แต่คุณลุงกับคุณป้าท่านก็ยังไม่รู้หรอกนะว่าเรา… แบบว่า… ได้เสียกันแล้ว”

        “ห้ามให้รู้นะ!!!” ภูรีบสั่งห้ามเด็ดขาด

        “ไม่บอกหรอก บอกไปคุณลุงก็เล่นงานพี่ตายเลยสิ” กรรณยิ้มแหยๆ ยังเข็ดขยาดกับท่าทีดุดันที่พ่อของภูใช้ขณะพูดคุย “ขนาดแค่รู้ว่าคบกันมานานแล้ว คุณลุงยังบอกเลยว่าพลาดท่าเปิดประตูบ้านให้พี่เข้ามาขโมยลูกไปจากอกเค้าแท้ๆ”

        “แล้ว… ก็คือพ่อกับแม่ไม่ได้ว่าหรือห้ามอะไรใช่ไหมครับ?” ภูถามเพื่อความมั่นใจ

        “ใช่ ไม่ได้ห้าม แต่ต้องดูแลกันดีๆ อย่าพากันไปเสีย แล้วก็ต้องให้อยู่ในสายตาพวกท่านตลอด” กรรณบอกโดยไม่ลืมจะยกเครดิตความดีให้กับตนเอง “อาจเพราะพี่เป็นเด็กดีในสายตาคุณลุงกับคุณป้ามาตั้งแต่เด็กๆ พวกท่านก็เลยไว้ใจ ยกลูกชายให้ง่ายๆ”

        “ชมตัวเองไม่อายปากเลย” ภูแทบจะสร่างไข้จากเรื่องทั้งหมดที่ได้รู้ แม้จะโล่งใจที่ความลับถูกเปิดเผยด้วยดี แต่ก็ยังลำบากใจไม่รู้ว่าจะทำตัวเช่นไรเมื่อเจอหน้าพ่อกับแม่ในครั้งหน้า

        “แล้วคุณลุงกับคุณป้าก็ยังสั่งมาอีกสองอย่าง อย่างแรกเลยคือให้เลิกทำตัวผาดโผนปีนข้ามระเบียงบ้านไปมาได้แล้ว เดี๋ยวจะตกลงไปหลังหัก” กรรณพูดพร้อมกับโชว์กุญแจบ้านภูชุดสำรองที่เพิ่งปั๊มมาใหม่สดๆ ร้อนๆ ในมือ “แล้วก็อย่างที่สอง ให้พี่เลิกเรียกพวกท่านว่าลุงกับป้า แล้วเปลี่ยนมาเป็นพ่อกับแม่แทนได้แล้ว”

        เพียงเท่านั้นก็แทบจะเรียกได้ว่าครอบครัวของภูได้เปิดรับกรรณเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่อย่างเป็นทางการ นับจากนี้ชายหนุ่มไม่ใช่เป็นเพียงแค่เป็นแขกร่วมมื้อค่ำอีกต่อไปแต่จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของทั้งครอบครัว ที่ผ่านมาถึงแม้ภูจะพอรู้นิสัยของพ่อแม่ตนเองว่าเป็นพวกหัวสมัยใหม่ แต่ก็ไม่คิดว่าทั้งสองจะยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ง่ายถึงเพียงนี้หากไม่ผ่านการเตรียมใจมาก่อนหน้า ซึ่งนั่นทำให้เด็กหนุ่มเชื่อว่าผู้ปกครองของตนน่าจะมองออกถึงตัวตนที่แท้จริงของลูกชายมานานมากแล้ว บางทีอาจจะนานก่อนหน้าที่เขาจะรู้ตัวเองเสียอีก
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 18 ☆ [17-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 18-04-2018 22:58:48
        คืนนั้นหลังจากกรรณกลับไปยังบ้านของตนเองแล้ว แม่ของภูก็เข้ามาในห้องนอนของเด็กหนุ่มอีกครั้งเพื่อนำยาที่ต้องกินก่อนนอนมาให้ เขารับมาใส่ปากและกลืนน้ำตามขณะที่ตาก็มองดูแม่ของตนที่กำลังเก็บเสื้อผ้าที่ใช้แล้วเข้าตะกร้าเตรียมนำลงไปข้างล่างเพื่อซักตากในวันรุ่งขึ้น แม่ยังดูมีท่าทีปกติเหมือนที่ผ่านมา เป็นปกติเสียจนภูอดสงสัยไม่ได้ว่าเรื่องทั้งหมดที่ได้ยินจากกรรณเมื่อช่วงเย็นนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่

        “แม่ครับ” ภูเรียก

        “ว่าไง?” แม่ตอบรับ แต่มือยังไม่หยุดรื้อกองเสื้อผ้าที่สุมอยู่

        “แม่รู้แล้วเหรอ?” เด็กหนุ่มถามแบบลองหยั่งเชิงดูโดยไม่ระบุว่ารู้เรื่องอะไร

        “รู้เรื่องอะไร?” แม่หันกลับมาถาม

        “แม่รู้อะไรมาบ้างล่ะ?” ภูถามย้อนกลับไป

        “รู้มาหลายเรื่องเลย ทั้งรู้เอง ทั้งที่มีคนมาบอก” แม่ถอนหายใจคล้ายจะโล่งใจที่ในที่สุดลูกชายก็ยอมปริปากคุยเรื่องนี้ด้วยตัวเองเสียที ก่อนจะวางตะกร้าผ้าในมือลงและเดินมานั่งที่ขอบเตียง “ว่าแต่ภูเถอะ ไม่คิดจะบอกแม่เองเลยหรือไง?”

        “ผมกลัว… ไม่กล้าบอก… “ภูหลบสายตาของแม่

        “กลัวทำไม? คิดว่าแม่จะดุจะตีเราเพราะเรื่องนี้งั้นเหรอ?” แม่ถามกลับมา

        “เปล่าครับ” ภูรู้ดีว่าแม่ไม่มีวันโกรธเขาจากสิ่งที่เขาเป็น “แค่กลัวว่าแม่จะเสียใจ แล้วแม่เสียใจไหมล่ะครับ?”

        “โล่งใจมากกว่า” แม่ตอบพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า “กำลังห่วงว่านิสัยแบบนี้จะหาแฟนได้ไหมอยู่เลย”

        “ไม่อยากอุ้มหลานแล้วเหรอ?” ภูถามต่อ

        “ก็อยากนะ แต่ในเมื่อมันคือความสุขของลูก ลูกเลือกแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องคัดค้าน” แม่ยกมือขึ้นมาลูบศรีษะของภูอย่างอ่อนโยน “ไหนๆ ตั้งแต่เล็กจนโต ภูก็อุตส่าห์เป็นเด็กดีมาตลอด ไม่เคยทำอะไรให้กังวล เรื่องแค่นี้ทำไมจะยอมรับให้ไม่ได้”

        “ขอบคุณครับ” ภูหลับตา สัมผัสมือที่อยู่บนศรีษะทำให้รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปเป็นเด็กเล็กๆ อีกครั้ง “แล้วพ่อล่ะครับเป็นไงบ้าง?”

        “ก็โอเค ดูรับได้ไม่มีปัญหา ก็ทำตัวปกติกันไป แต่อย่าไปพูดถามอย่าไปสะกิดแผลก็พอ” แม่ถอนหายใจออกมา เมื่อนึกถึงทิฏฐิอันปล่อยวางไม่ได้ของผู้เป็นสามี “ยังไงพ่อเค้าก็เสียดายที่ลูกชายคนเดียวจะไม่ได้สืบสกุลต่อ เดี๋ยวสักระยะนึงก็ทำใจได้เอง”

        “พ่อคงโกรธมาก…” ภูพอจะเข้าใจความรู้สึกของพ่อ

        “ใช่ แต่เป้าหมายความโกรธนั่นไม่ใช่ลูกหรอกนะ แต่เป็นพ่อหนุ่มข้างบ้านของเราต่างหาก” แม่ตอบ

        “พี่กรรณโดนพ่อเฉ่งเละเลยสิท่า” ภูนึกภาพออกเลยทีเดียว

        “ไม่เหลือหรอก พ่อเรียกกรรณว่าพวกแมวขโมยปลาย่าง” แม่เล่าด้วยน้ำเสียงขบขัน “แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร บางทีถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่กรรณ พ่อคงอาจจะยอมรับได้ยากกว่านี้ด้วยซ้ำ”

        “ต่อไปนี้คงต้องปรับตัวกันอีกมาก” ภูเหนื่อยใจเมื่อนึกถึงวันข้างหน้า

        “คนเราก็ปรับตัวกันอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ” แม่วางมือลงบนหลังมือของภู “แม่ในตอนนี้ ก็ไม่ใช่แม่คนเดียวกับเมื่อสิบปีก่อน”

        “ใช่ แม่ตีนกาเยอะขึ้น” ภูหยอกแม่ตัวเอง

        “ปากเก่งได้แบบนี้ คงหายแล้วล่ะสิ” แม่เขกหัวลูกชายเบาๆ “นอนเถอะลูก เดี๋ยวพรุ่งนี้ยังหยุดอีกวันหนึ่งใช่ไหม?”

        “ใช่ครับ” ภูพยักหน้า

        แสงไฟในห้องนอนดับมืดลงเมื่อแม่กดปิดสวิทช์ก่อนจะหิ้วตะกร้าผ้าออกไปจากห้อง ภูดึงผ้าห่มขึ้นมาถึงคอ ตามองเงาของกิ่งไม้จากด้านนอกหน้าต่างที่ทาบทับอยู่บนเพดานห้อง ในหัวยังคงครุ่นคิดถึงสิ่งที่แม่พูดเกี่ยวกับความรู้สึกของพ่อ เด็กหนุ่มไม่แปลกใจเลยกับการที่พ่อของตนจะทำใจกับเรื่องนี้ได้ยากกว่าคนอื่น ในเมื่อที่ผ่านมาภูเป็นเสมือนดั่งความภาคภูมิใจของพ่อมาโดยตลอด ลูกชายคนเดียวที่ญาติทุกคนในตระกูลเอ็นดูและชื่นชมทุกครั้งที่กลับไปงานรวมญาติ ทั้งเรื่องรูปร่างหน้าตาที่ถอดแบบพ่อสมัยหนุ่มๆ มาทุกกระเบียดนิ้ว ทั้งความประพฤติที่ไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง การเรียนที่อยู่ในเกณฑ์ดีมาโดยตลอด แต่จู่ๆ วันหนึ่งโดยที่ไม่คาดฝัน กุลบุตรผู้ไร้ที่ติคนนั้นก็กลับมีตัวตนอีกด้านที่ยากจะหาคนเข้าใจและยอมรับได้ แน่นอนว่าสำหรับภูการรักใครสักคนแม้ว่าจะเป็นเพศเดียวกับตนเองนั้นมันไม่ใช่ปัญหาเลย เขาไม่เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ผิดปกติ แต่ภูก็เข้าใจหากคนอื่นจะไม่รู้สึกหรือคิดเช่นเดียวกับตน ขอเพียงยังเคารพในสิทธิและความเป็นมนุษย์ของกันและกันก็พอ

        ยาที่กินเข้าไปเมื่อครู่เริ่มออกฤทธิ์ เปลือกตาของเด็กหนุ่มเริ่มหนักขึ้นจากอาการง่วงซึมที่เกิดจากยา ในขณะที่กำลังจะปล่อยตัวเองให้หลับไปนั้นเสียงลูกบิดประตูห้องนอนก็ดังขึ้น บานประตูเปิดอ้าออกพร้อมกับร่างของพ่อที่เดินเข้ามาข้างในอย่างเงียบเชียบ ภูรีบหลับตาแกล้งทำเป็นว่าตนหลับไปแล้วหลังจากตัดสินใจกับตัวเองได้ว่ายังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับพ่อในตอนนี้ สัมผัสของที่นอนที่ยวบยุบลงบ่งบอกให้เด็กหนุ่มรู้ว่าพ่อของตนได้หย่อนกายลงนั่งอยู่ข้างๆ แล้วในเวลานี้ ก่อนที่ในวินาทีต่อมาสัมผัสเบาๆ ของมือที่ลูบลงบนศรีษะและเสียงถอนหายใจหนักๆ ที่ดังขึ้นจะช่วยยืนยันอีกทาง

        “ยังไม่หลับเหรอ?” พ่อถาม เมื่อรู้สึกได้ว่าลูกชายของตนไม่ได้หลับเหมือนอย่างที่พยายามทำให้เห็น

        “กำลังจะหลับครับ” ภูเลิกเกร็งตัวนิ่งเพราะรู้ว่าโดนจับได้แล้ว

        “แม่บอกว่าแกดีขึ้นเยอะแล้วนี่” พ่อถาม “ขอพ่อคุยด้วยหน่อยได้ไหม?”

        “ถ้าบอกว่าไม่ได้ พ่อจะรอคุยวันหลังหรือเปล่าล่ะครับ?” ภูถาม และได้รับการส่ายหน้ากับสายตาดุๆ ที่จ้องมาเป็นคำตอบแทบจะทันที “โอเค คุยก็คุย…”

        “คิดดีแล้วเหรอว่าจะเป็นแบบนี้?” พ่อถามถึงเรื่องที่เพิ่งรับรู้มา “อยากลองให้ครบทุกแบบก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกทีไหม? พ่อพาไปได้นะ ลงอ่างอะไรแบบนั้น”

        “เก็บเงินไว้เติมน้ำมันรถเหอะพ่อ อย่าหาเรื่องให้แม่องค์ลงเลย” ภูเหนื่อยใจกับความพยายามของพ่อ

        “ก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้นี่นา” พ่อถอนหายใจออกมาอีก

        “ก็มันเป็นไปแล้วอ่ะ…” ภูก็ไม่รู้จะช่วยอะไรได้มากกว่านี้ “ขอโทษที่ทำให้พ่อผิดหวังนะครับ”

        “พ่อไม่ได้ผิดหวังเลย” พ่อแก้ไขความเข้าใจของภูใหม่ให้ถูกต้อง “ก็แค่เป็นห่วง กลัวว่าสักวันอาจจะต้องเห็นลูกเสียใจ”

        “แล้วทำไมถึงคิดว่าผมจะเสียใจล่ะ?” ภูไม่เข้าใจความคิดของพ่อ

        “ก็เห็นพวกนี้ชีวิตเจอแต่ความผิดหวัง เจอแต่เรื่องเสียใจ” พ่ออธิบาย

        “นี่ไปจำมาจากในหนังในละครใช่ไหม?” ภูพอจะเดาออก “จะเกิดมาเป็นเพศไหนชีวิตก็มีโอกาสเสียใจหรือเจอความผิดหวังได้ทั้งนั้นแหละครับ”

        “ใช่ ก็ถูกของแก” พ่อเห็นด้วย

        “ผมจะไม่เสียใจกับสิ่งที่ผมเป็นหรอกครับ ในอนาคตผมอาจจะผิดหวัง อกหัก หรือเจออะไรร้ายๆ ผมอาจจะเสียใจกับเรื่องพวกนั้น แต่จะไม่มีสักวินาทีที่ผมเสียใจกับการเป็นตัวของตัวเอง” ภูยืนยันให้พ่อหายห่วง “ถ้าจะมีสักเรื่องที่ผมเสียใจในตอนนี้ ก็คือเสียใจที่พ่อจะไม่เห็นผมเป็นลูกหลังจากรู้ว่าผมเป็นแบบนี้”

        “ทำไมจะไม่เห็นล่ะ ทำออกมาเอง ยังไงลูกก็คือลูก ต่อให้โตมาจะเป็นยังไงก็ยังเป็นลูก” พ่อสูดหายใจเข้าคล้ายพยายามเรียกกำลังใจให้ตัวเอง “แล้วหาแฟนไกลๆ บ้านหน่อยไม่ได้หรือไง?”

        “ก็ชอบคนนี้” ภูตอบแบบดื้อตาใส

        “แน่ใจว่าชอบ?” พ่อถามเพิ่ม “มันไม่ได้มาล่อลวงลูกแน่นะ?”

        “พ่ออยากรู้ไหมล่ะว่าผมชอบเขาตั้งแต่ตอนไหน?” ภูเสนอจะบอกข้อมูลให้ลองพิจารณาดูเอาเอง

        “ไม่ต้อง ไม่อยากรู้ แค่นี้ก็รู้เยอะเกินไปแล้ว” พ่อรีบปฏิเสธเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่จะได้ยินต้องไม่ส่งผลดีต่ออารมณ์เป็นแน่

        “ก็จะได้เลิกว่าพี่เค้าสักทีไง” ภูแสดงจุดยืนชัดเจนว่าปกป้องแฟนตัวเอง

        “เอาเถอะ… จะเป็นอะไรก็เป็นไป จะคบใครก็คบ เอาแค่ดูแลตัวเองให้ดีๆ แล้วกัน” พ่อพูด สีหน้าเหมือนจะทำใจได้บ้างแล้วขณะที่ลุกออกไปจากเตียง

        “ครับ ทราบแล้วครับ” ภูตอบรับ

        “แล้วก็… “พ่อหยุดอยู่ที่ประตูก่อนจะพูดต่อโดยไม่ได้หันมามองหน้าภู “ถ้าไอ้แมวขโมยปลาย่างนั่นมันทำให้เสียใจ ต้องบอกให้พ่อรู้เข้าใจไหม?”

        “อื้ม… ต้องบอกอยู่แล้ว” ภูพยักหน้า แม้ไม่เห็นใบหน้าของผู้เป็นพ่อขณะพูด แต่ก็รับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่อยู่ในทุกถ้อยคำนั้น

        วันรุ่งขึ้นเป็นอีกหนึ่งวันที่เกือบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ อาการไข้ของภูหายไปจนเรียกได้ว่ากลับสู่สภาพปกติแล้ว ในขณะที่กรรณก็มีเวลาว่างโดยไม่คาดฝันเมื่องานที่วางคิวเอาไว้ในวันนี้ถูกยกเลิกอย่างกะทันหัน ชายหนุ่มผู้หวาดกลัวว่าที่พ่อตาของตนรอจนกระทั่งพ่อของภูออกไปทำงานแล้วจึงค่อยโผล่หน้ามาในช่วงสาย ก่อนที่ทั้งสองจะออกจากบ้านไปด้วยกันในช่วงบ่ายเพื่อหาซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ให้กับภูแทนเครื่องเก่าที่ตอนนี้เปียกน้ำจนพังใช้การไม่ได้ไปแล้ว เนื่องจากต้องไปในที่ชุมนุมชน ด้วยเจตนาจะถนอมความเป็นส่วนตัวเอาไว้ วันนี้เด็กหนุ่มจึงอำพรางตัวด้วยการรวบผมยาวของตนขึ้นแล้วสวมทับด้วยหมวกจากนั้นก็ใส่แว่นเพื่อลดโอกาสที่คนจะจำได้ ซึ่งก็ถือว่าประสบผลสำเร็จเพราะตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในศูนย์การค้าก็แทบจะไม่มีใครจำเขาได้เลย เว้นแต่จะเห็นในระยะประชิดจริงๆ เท่านั้นเอง

        ภูได้โทรศัพท์เครื่องใหม่ที่ถูกใจ ส่วนกรรณก็ได้มีช่วงเวลาแห่งความสุขแบบคู่รักทั่วไปอย่างที่ต้องการจนสมอยาก ไม่ว่าจะเป็นการแอบจับมือกันในโรงภาพยนตร์ แวะทานอาหารร้านที่อยากไปลองชิมมานาน การเดินเที่ยวถ่ายรูปเล่นยามเย็นด้วยกันในย่านเมืองเก่า ก่อนที่อารมณ์แห่งความรักใคร่จะสุกงอมจนลงเอยด้วยการทำตัวเหมือนเด็กๆ โดยการแอบจูบเด็กหนุ่มคนรักอย่างดูดดื่มในที่ลับตาคน

        มันเกือบจะเป็นวันที่สมบูรณ์แบบสำหรับคู่รัก

        หากเพียงแค่ว่า จูบนั้นจะไม่ได้ถูกใครบางคนบันทึกภาพเอาไว้ได้อย่างชัดเจน…



To be continued... 

5 Episodes Left...
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 19 ☆ [18-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-04-2018 23:49:18
 :pig4: :pig4: :pig4:

ปาปารัสซี่  ที่ไหนน้า?

รอบนี้นุ้งจอสอัพค่าตัวสินะ 

คุณคนแต่งเลยไม่ให้ออกอากาศ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 19 ☆ [18-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-04-2018 00:03:29
 :hao7:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 19 ☆ [18-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 19-04-2018 00:31:30
ใครมันมือดีมาแอบถ่าย น่าดักตีจริงๆ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 19 ☆ [18-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 19-04-2018 02:10:19
ใครแอบถ่าย ชีวิตภูนี่วุ่นวายจริงๆเลย ไปทำบุญบ้างนะภูเอ้ยยยย  :katai1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 19 ☆ [18-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-04-2018 11:39:55
 :ling1: อ๋าาาาาา
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 19 ☆ [18-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 19-04-2018 14:18:16
จอส วาโย นี่ได้แรงบันดาลใจมาจากไอจีของหนึ่งในพิธีกรดูมันดิรึเปล่าครับเนี่ย (หัวเราะ) วันก่อนพอดีเปิดไอจีผ่านๆแล้วเห็นชื่อก็สะดุดเลย ดูคล้ายๆ

ผมค่อนข้างชอบจอสนะครับ ไม่รู้สิ ไม่ใช่ชอบเชิงชู้สาว แต่รู้สึกว่าคาแรกเตอร์ของเขาน่าสนใจในระดับตัวละครหลัก เค้ามีเบื้องหลังและมีปมของชีวิต มีพื้นหลังและมิติของการกระทำ เป็นคาแรกเตอร์ที่ผมรู้สึกว่าค่อนข้างเรียล เลยค่อนข้างโฟกัสกับตัวละครนี้ สำหรับภูกับกรรณที่แม้จะเป็นคู่หลัก แต่ปมของสองคนนี้ไม่ซับซ้อนอะไรมาก สำหรับกรรณนี่ระดับปมธรรมดาเลย คือแอบชอบน้องมานาน พอกลับมาจากต่างประเทศแล้วเจอกับน้อง ดันใจตรงกัน ก็เลยลงเอยแฮปปี้ดี ส่วนภู ระดับปมก็พัฒนาขึ้น ผมชอบภูในโหมดที่มีการคุยกับตัวเองนะครับ อย่างที่ดันเผลอหลงไปกับสัมผัสแล้วก็ตกกระไดพลอยโจนไปกับจอสหลายครั้ง ก็เพราะว่าภูเหมือนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกลึกๆของจอส ตรงนี้สื่อให้เราเห็นว่าภูเป็นคนที่ดีจากเนื้อแท้ แล้วก็พอหลงไปหลายๆครั้ง เริ่มรู้สึกผิดหรืองงกับตัวเอง ก็มีการคุยกับตัวเองให้เคลียร์ว่ามันเพราะอะไรกันแน่ การบรรยายตรงนี้จะทำให้เราเห็นการพัฒนาทางความคิดของตัวละคร

และแม้ว่าการบรรยายในเรื่องก็ทำให้เราเห็นคาแรกเตอร์ของภูได้เด่นชัดว่าเป็นคนค่อนข้างเงียบๆ ไม่สุงสิงกับใคร แต่จากหลายๆฉากก็จะทำให้เราเห็นภูในมุมที่ลึกขึ้น เค้าแคร์คนอื่นและเค้าคิดเยอะเหมือนกัน ดังนั้นภูเลยกระอักกระอ่วนที่จะทิ้งจอส แต่พูดกันตรงๆเถอะ ผมว่านิสัยอย่างภูอยู่กับจอสไม่น่ารอดนะครับ คนนึงก็ชอบอยู่เงียบๆไม่สุงสิง อีกคนก็มีอาชีพนักแสดงสายปาร์ตี้ของสังคม แต่จากที่เห็นว่ามีงานอดิเรกหลายอย่างตรงกัน น่าจะทำให้เป็นเพื่อนกันได้ยาว

สำหรับจอส ปมเหงากับโตขึ้นมาคนเดียวของเขานี่สำคัญมาก มันส่งผลต่อการกระทำทุกอย่างของเขาแล้วมีผลเป็น Chain reaction จอสเลยติดนิสัยไม่ค่อยแคร์ใคร ทำให้มีเพื่อนน้อย แล้วพอมีคนที่ใส่ใจเขาจริงๆอย่างภู ก็เลยอยากได้ไว้ข้างตัวตลอดเวลา ไม่อยากให้หายไปไหน แต่เนื่องจากอายุคงยังน้อยแล้วก็ไม่มีพ่อแม่ให้คุยหรือปรึกษา เลยไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง (จะเห็นว่าจุดนี้ต่างจากภูเยอะมาก ภูเคลียร์ความรู้สึกตัวเองได้เร็ว) เลยคิดว่าต้องเอามาเป็นแฟนเท่านั้น จอสอยากได้คนที่ห่วงเขาอย่างใจจริงและพร้อมอยู่กับเขา ซึ่งเพื่อนแท้จริงๆก็ทำตรงนี้ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นแฟน ผมสะกิดใจนิดนึงตรงที่จอสเคยบอกว่า ภูเป็นพวกชอบรังแกเด็ก แปลว่าจอสเด็กกว่าภูรึเปล่าครับ? ถ้าเด็กกว่า ก็น่าจะไม่ยากหรอกที่จะพัฒนาความสัมพันธ์เป็นแนว brotherly love ที่คอยดูแลคล้ายๆพี่น้อง

แต่สำหรับคนที่มีปมอย่างจอส คาแรกเตอร์ของเขาถือว่าน่าสนใจและน่าประทับใจมากเลยนะครับ พอสนใจใครก็มีความพยายามที่จะเข้าหาในวงจรชีวิต มุ่งมั่นไม่ย่อท้อ แม้คำพูดคำจาบางทีจะร้ายกาจหรือเจ้าเล่ห์ไปบ้าง แต่เนื้อแท้แล้วก็เป็นคนดี  อยู่แล้วชีวิตก็มีสีสันดี (แถมรักหมาซะด้วย (หัวเราะ)) มีความรับผิดชอบในคำพูดของตัวเอง ถึงจะชอบท้าก็เถอะ ดูเป็นคาแรกเตอร์น้องชายที่พึ่งพาได้เหมือนกันครับ ถ้าจะมีคู่ ผมนึกคู่จอสไม่ออกแฮะ ถ้าให้ภูเป็นคล้ายๆพี่ชายไปแล้ว คู่คงต้องออกแนวอายุเท่ากัน แต่งงๆเด๋อๆด๋าๆคล้ายภูละมั้งครับ ให้จอสชอบแกล้ง แต่ก็ต้องเป็นคนที่แคร์จอสและเป็นครอบครัวและทำให้เขาสบายใจที่จะอยู่ด้วยได้ โทนเรื่องคงจะสนุกไม่น้อย

สำหรับฝีมือการเขียน ผมคิดว่าโดยรวมแล้วค่อนข้างโอเคนะครับ บรรยายได้ตรงและน่าสนใจดี มีมุขซ่อนในการบรรยายเรียกรอยยิ้มของคนอ่าน ใช้ภาษาไม่มีสะกดผิด แล้วก็คุมโทนเรื่องได้ดี พล็อตของคู่หลักเรื่องนี้มันอาจจะพื้นๆไปหน่อย แถมพื้นคาแรกเตอร์ของตัวหลักทั้งสองคนก็ดันไม่หวือหวาอีก เลยอาจจะทำให้รู้สึกเนือยๆ แต่พอมีจอส (ที่เป็นคาแรกเตอร์มีมิติ) มาป่วนกระแสเรื่องก็ทำให้น่าสนใจมากขึ้นครับ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 19 ☆ [18-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 23-04-2018 09:06:48
:pig4: :pig4: :pig4:

ปาปารัสซี่  ที่ไหนน้า?

รอบนี้นุ้งจอสอัพค่าตัวสินะ 

คุณคนแต่งเลยไม่ให้ออกอากาศ

พักก่อน เดี๋ยวสองตอนหน้านี่ของน้องเต็มๆเลย ก่อนจะถึงสองตอนสุดท้ายของพระเอกนายเอก เข้าโค้งสุดท้ายแล้ว อยู่กันจนจบนะครับ  :katai4:



:hao7:


 :L1: :pig4: :L1:

ขอบคุณมากครับติดตามกันมาตั้งแต่แรก จนตอนนี้เข้าช่วงสุดท้ายแล้ว อยู่กันจนจบไปเลยนะครับ  o13



ใครมันมือดีมาแอบถ่าย น่าดักตีจริงๆ

นั่นสิ จะเป็นใครกันนะ ต้องรอดูครับ  :katai4:



ใครแอบถ่าย ชีวิตภูนี่วุ่นวายจริงๆเลย ไปทำบุญบ้างนะภูเอ้ยยยย  :katai1:

ชีวิตเซเลป มีแต่งานงอกเพิ่มขึ้นทุกวัน มาดูกันครับว่าน้องจะเอาไงกับชีวิตต่อไปดี  :hao5:



:ling1: อ๋าาาาาา

ใกล้จบแล้ว อย่าเพิ่งดิ้น มาลุ้นกันว่าชีวิตน้องภูจะลงเอยอีท่าไหนครับ  :katai4:


หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 19 ☆ [18-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 23-04-2018 09:22:46
จอส วาโย นี่ได้แรงบันดาลใจมาจากไอจีของหนึ่งในพิธีกรดูมันดิรึเปล่าครับเนี่ย (หัวเราะ) วันก่อนพอดีเปิดไอจีผ่านๆแล้วเห็นชื่อก็สะดุดเลย ดูคล้ายๆ

ผมค่อนข้างชอบจอสนะครับ ไม่รู้สิ ไม่ใช่ชอบเชิงชู้สาว แต่รู้สึกว่าคาแรกเตอร์ของเขาน่าสนใจในระดับตัวละครหลัก เค้ามีเบื้องหลังและมีปมของชีวิต มีพื้นหลังและมิติของการกระทำ เป็นคาแรกเตอร์ที่ผมรู้สึกว่าค่อนข้างเรียล เลยค่อนข้างโฟกัสกับตัวละครนี้ สำหรับภูกับกรรณที่แม้จะเป็นคู่หลัก แต่ปมของสองคนนี้ไม่ซับซ้อนอะไรมาก สำหรับกรรณนี่ระดับปมธรรมดาเลย คือแอบชอบน้องมานาน พอกลับมาจากต่างประเทศแล้วเจอกับน้อง ดันใจตรงกัน ก็เลยลงเอยแฮปปี้ดี ส่วนภู ระดับปมก็พัฒนาขึ้น ผมชอบภูในโหมดที่มีการคุยกับตัวเองนะครับ อย่างที่ดันเผลอหลงไปกับสัมผัสแล้วก็ตกกระไดพลอยโจนไปกับจอสหลายครั้ง ก็เพราะว่าภูเหมือนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกลึกๆของจอส ตรงนี้สื่อให้เราเห็นว่าภูเป็นคนที่ดีจากเนื้อแท้ แล้วก็พอหลงไปหลายๆครั้ง เริ่มรู้สึกผิดหรืองงกับตัวเอง ก็มีการคุยกับตัวเองให้เคลียร์ว่ามันเพราะอะไรกันแน่ การบรรยายตรงนี้จะทำให้เราเห็นการพัฒนาทางความคิดของตัวละคร

และแม้ว่าการบรรยายในเรื่องก็ทำให้เราเห็นคาแรกเตอร์ของภูได้เด่นชัดว่าเป็นคนค่อนข้างเงียบๆ ไม่สุงสิงกับใคร แต่จากหลายๆฉากก็จะทำให้เราเห็นภูในมุมที่ลึกขึ้น เค้าแคร์คนอื่นและเค้าคิดเยอะเหมือนกัน ดังนั้นภูเลยกระอักกระอ่วนที่จะทิ้งจอส แต่พูดกันตรงๆเถอะ ผมว่านิสัยอย่างภูอยู่กับจอสไม่น่ารอดนะครับ คนนึงก็ชอบอยู่เงียบๆไม่สุงสิง อีกคนก็มีอาชีพนักแสดงสายปาร์ตี้ของสังคม แต่จากที่เห็นว่ามีงานอดิเรกหลายอย่างตรงกัน น่าจะทำให้เป็นเพื่อนกันได้ยาว

สำหรับจอส ปมเหงากับโตขึ้นมาคนเดียวของเขานี่สำคัญมาก มันส่งผลต่อการกระทำทุกอย่างของเขาแล้วมีผลเป็น Chain reaction จอสเลยติดนิสัยไม่ค่อยแคร์ใคร ทำให้มีเพื่อนน้อย แล้วพอมีคนที่ใส่ใจเขาจริงๆอย่างภู ก็เลยอยากได้ไว้ข้างตัวตลอดเวลา ไม่อยากให้หายไปไหน แต่เนื่องจากอายุคงยังน้อยแล้วก็ไม่มีพ่อแม่ให้คุยหรือปรึกษา เลยไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง (จะเห็นว่าจุดนี้ต่างจากภูเยอะมาก ภูเคลียร์ความรู้สึกตัวเองได้เร็ว) เลยคิดว่าต้องเอามาเป็นแฟนเท่านั้น จอสอยากได้คนที่ห่วงเขาอย่างใจจริงและพร้อมอยู่กับเขา ซึ่งเพื่อนแท้จริงๆก็ทำตรงนี้ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นแฟน ผมสะกิดใจนิดนึงตรงที่จอสเคยบอกว่า ภูเป็นพวกชอบรังแกเด็ก แปลว่าจอสเด็กกว่าภูรึเปล่าครับ? ถ้าเด็กกว่า ก็น่าจะไม่ยากหรอกที่จะพัฒนาความสัมพันธ์เป็นแนว brotherly love ที่คอยดูแลคล้ายๆพี่น้อง

แต่สำหรับคนที่มีปมอย่างจอส คาแรกเตอร์ของเขาถือว่าน่าสนใจและน่าประทับใจมากเลยนะครับ พอสนใจใครก็มีความพยายามที่จะเข้าหาในวงจรชีวิต มุ่งมั่นไม่ย่อท้อ แม้คำพูดคำจาบางทีจะร้ายกาจหรือเจ้าเล่ห์ไปบ้าง แต่เนื้อแท้แล้วก็เป็นคนดี  อยู่แล้วชีวิตก็มีสีสันดี (แถมรักหมาซะด้วย (หัวเราะ)) มีความรับผิดชอบในคำพูดของตัวเอง ถึงจะชอบท้าก็เถอะ ดูเป็นคาแรกเตอร์น้องชายที่พึ่งพาได้เหมือนกันครับ ถ้าจะมีคู่ ผมนึกคู่จอสไม่ออกแฮะ ถ้าให้ภูเป็นคล้ายๆพี่ชายไปแล้ว คู่คงต้องออกแนวอายุเท่ากัน แต่งงๆเด๋อๆด๋าๆคล้ายภูละมั้งครับ ให้จอสชอบแกล้ง แต่ก็ต้องเป็นคนที่แคร์จอสและเป็นครอบครัวและทำให้เขาสบายใจที่จะอยู่ด้วยได้ โทนเรื่องคงจะสนุกไม่น้อย

สำหรับฝีมือการเขียน ผมคิดว่าโดยรวมแล้วค่อนข้างโอเคนะครับ บรรยายได้ตรงและน่าสนใจดี มีมุขซ่อนในการบรรยายเรียกรอยยิ้มของคนอ่าน ใช้ภาษาไม่มีสะกดผิด แล้วก็คุมโทนเรื่องได้ดี พล็อตของคู่หลักเรื่องนี้มันอาจจะพื้นๆไปหน่อย แถมพื้นคาแรกเตอร์ของตัวหลักทั้งสองคนก็ดันไม่หวือหวาอีก เลยอาจจะทำให้รู้สึกเนือยๆ แต่พอมีจอส (ที่เป็นคาแรกเตอร์มีมิติ) มาป่วนกระแสเรื่องก็ทำให้น่าสนใจมากขึ้นครับ

อันนี้ต้องขอตอบแบบเป็นส่วนตัวนิดนึงเพราะอุตส่าห์คอมเม้นมายาวมากและที่สำคัญตีความตัวละครออกเหมือนมานั่งในหัวคนเขียนเลยครับ

อย่างที่คอมเม้นมาว่าตัวละครหลักสองตัวไม่ค่อยมีปมอะไร อันนี้เป็นสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่เริ่มวางพลอตเรื่องเลยครับ ว่าอยากให้ตัวเอกเป็นคนธรรมดาๆ ไม่ต้องมีอะไรซับซ้อนมาก ให้เป็นคนธรรมดาที่ต้องโดยสิ่งรอบข้างบังคับให้ทำตัวซับซ้อน บังคับให้ชีวิตที่ง่ายๆของเค้าต้องยากขึ้นโดยที่เค้าไม่ได้ต้องการ โดยจะโฟกัสไปที่ตัวเอกคือภู ที่เค้าต้องออกจากเซฟโซนที่เคยอยู่อย่างมีความสุขเพื่อใครสักคน ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใครสักคน และผลสุดท้ายมันจะคุ้มค่าหรือไม่ การเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคนอื่นจะให้ผลอย่างไร แน่นอนว่ามันจะมีทั้งผลดีและร้ายตามมา จนถึงบทสรุปตัวละครจะรู้ได้ว่าสิ่งไหนที่ตนควรเป็นอย่างแท้จริง

ส่วนตัวละครจอสเนี่ย แรงบันดาลใจก็ตามที่คุณว่าเลยครับ และต้องการจะทำให้ตรงกันข้ามกับภูทุกอย่าง ให้เหมือนเป็นพายุที่เข้ามาในชีวิตของภู ให้เค้าได้เจออะไรที่โลดโผน ให้เค้าได้หลงไหล หวั่นไหวไปบ้าง แต่ลงท้ายเค้าก็จะรู้เองว่าตนเหมาะกับอะไร อย่างในตอนล่าสุดที่เพิ่งผ่านไป เพราะคาแรคเตอร์ของภูจะเป็นคนที่ไม่เคนยผ่านเรื่องรักอะไรแบบนี้มาก่อน ดังนั้นมันจะมีความไม่แน่ใจเกิดขึ้นในจิตใจของเขาอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าเค้ารู้ว่าตัวเองชอบใคร แต่พอเจออะไรแปลกใหม่เข้ามาเกิดหวั่นไหวจนต้องหาคำตอบให้กับตัวเอง

จอสเป็นตัวละครที่ซับซ้อนครับ เราต้องการให้เค้าเป็นเด็กยักษ์ คือโตแต่ตัวจะว่าอย่างนั้นก็ได้ เค้าไม่ใช่คนเลวร้ายแต่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ มีความโหยหาความสัมพันธ์สูง ทั้งด้านครอบครัว เพื่อน คนรัก และยังมีปมใหญ่เกี่ยวกับเขาอีกหนึ่งปมที่ยังไม่เฉลย ซึ่งจะอธิบายทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเค้าได้ทั้งหมด ซึ่งจะได้รู้ในอีกสองตอนต่อไปนี่แหละครับ

ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามอ่านและแสดงความคิดเห้นนะครับ เป็นความคิดเห็นที่ผู้เขียนน้อมรับและยินดีอ่านมากๆ เพราะทำให้เราได้รู้ว่าผู้อ่านเข้าใจคาแรคเตอร์ที่เราสร้างขึ้นได้่ถูกต้อง การสื่อสารสัมฤทธิ์ผล และอยากให้ติดตามต่อจนจบ อีกเพียงแค่ห้าตอนครับ

หลังจากจบเนื้อเรื่องหลักนี้แล้ว อาจจะมีตอนพิเศษตามที่วางพลอตเอาไว้สี่ตอน แล้วก็ที่ตั้งใจไว้ว่าจะมีเรื่องเดี่ยวของจอสไปเลยอีกเรื่องนึง ยังไงก็รอติดตามกันนะครับ  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 19 ☆ [18-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 23-04-2018 12:32:57
รออ่าน :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 19 ☆ [18-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 23-04-2018 14:02:43
Episode 20

        จริงอยู่ที่ว่าภูอาจจะทำไปเพื่อป้องกันตัว แต่เมื่อเห็นรอยช้ำที่ตนฝากเอาไว้บนใบหน้าของจอสแล้วเขาก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ แม้ว่าจะผ่านมาเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้วแต่ร่องรอยความบาดเจ็บนั้นก็ยังมองเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า ทำให้ในวันนี้ช่างแต่งหน้าต้องใช้ความพยายามบวกกับเครื่องสำอางอีกจำนวนมากเพื่อกลบปกปิดมันเอาไว้ไม่ให้ออกสู่สายตาผู้คนที่มาร่วมงาน

        “ไปโดนอะไรมาคะเนี่ยน้อง?” ช่างแต่งหน้าสาวประเภทสองผู้มีทรงผมเหมือนนางเอกหนังฮอลลีวู้ดยุค80ถามจอสขึ้นมาระหว่างใช้ฟองน้ำเกลี่ยคอนซีลเลอร์ลงบนรอยนั้น

        “กระรอกถีบ” จอสตอบห้วนๆ น้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้

        “กระรอกบ้านน้องคงตัวใหญ่น่าดูเลยนะคะ ถีบซะหน้าแหกเลย” เธอพูดค่อนแคะก่อนจะตบแป้งลงไปซ้ำอีกชั้นหนึ่งเพื่อความเนียน

        “ตัวไม่ใหญ่เท่าไหร่หรอกครับ ผอมๆ แต่มันร้าย พิษสงมันเยอะ” จอสมองมาทางภูเขม็งขณะพูด

        เด็กหนุ่มรีบหลบสายตาพยาบาทที่จ้องมาคู่นั้นแล้วจึงพาตัวเองหลบเข้ามาในห้องน้ำเพื่อทำสมาธิก่อนจะต้องออกไปด้านหน้างานในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ด้วยเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันฝนตกที่ผ่านมานั้นทำให้การเผชิญหน้ากับจอสกลายเป็นเรื่องยาก ถึงแม้ภูอยากจะทำตัวให้สมกับเป็นผู้ถูกกระทำด้วยการโกรธเกลียดอีกฝ่ายแต่ก็ทำไม่ได้ด้วยยังเกรงไพ่ตายที่จอสยังซุกเอาไว้ในมือ แต่ครั้นจะให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั้นก็ยากเกินจะทำใจสะกดจิตตัวเองให้เชื่อได้ลง ด้วยทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นไม่เพียงแต่จะสร้างความบอบช้ำทางกายเท่านั้น แต่ยังทิ้งรอยแผลเอาไว้ในความรู้สึกจนภูไม่อาจมองจอสในแง่เดิมได้อีกต่อไป

        ประตูห้องน้ำเปิดออกพร้อมกับจอสที่เดินเข้ามาข้างใน ภูสะดุ้งเฮือก ใบหน้าถอดสี เกิดอาการลุกลี้ลุกลนทำตัวไม่ถูกเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่กรณีตามลำพังโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อพิจารณาแล้วว่าหมดทางเลี่ยงเด็กหนุ่มจึงถอยกรูดจนหลังชิดกำแพงห้องน้ำเตรียมใจพร้อมรับการโดนข่มขู่หรือทำร้ายร่างกายเป็นการเอาคืน แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าจอสเพียงแค่เดินผ่านไปเข้าห้องน้ำด้านในเหมือนมองไม่เห็นว่าตนอยู่ตรงนั้น ภูพยายามตั้งสติและหาทางลงจากเรื่องนี้ให้สวยที่สุดเมื่อคำนึงถึงแง่ที่ว่าถึงอย่างไรก็ต้องทำงานด้วยกันไปอีกนาน เด็กหนุ่มร่างคำพูดที่จะใช้เจรจากับอีกฝ่ายไว้ในหัวยาวเหยียด จนเมื่อประตูห้องน้ำด้านในเปิดออกจึงเริ่มเปิดฉากการสนทนา

        “นาย คือเรื่องวันนั้นน่ะ…” ภูพูดขณะที่จอสเดินมาล้างมือที่อ่างล้างหน้า

        และนั่นคือทั้งหมดที่ภูได้พูดออกไป สิ่งที่คิดเตรียมเอาไว้เมื่อครู่กลายเป็นสูญเปล่าเมื่อจอสไม่สนใจจะรับฟังเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่ล้างมือเสร็จเขาก็เปิดประตูเดินออกไปจากห้องน้ำ ไม่แม้แต่จะชายตามองมาทางเด็กหนุ่มผู้ที่กำลังพยายามสื่อสารกับตนเลยด้วยซ้ำ ทำเหมือนอีกฝ่ายเป็นอากาศธาตุ ซึ่งเป็นสิ่งที่ภูลงความเห็นว่าผิดปกติวิสัยอย่างรุนแรง และยิ่งทำให้เกิดความหวาดระแวงด้วยคาดเดาไม่ออกว่าจอสกำลังมาไม้ไหนกันแน่

        งานอีเวนท์ในวันนี้ซึ่งเป็นงานแรกที่ทั้งสองต้องทำร่วมกันนับตั้งแต่ภูหายป่วย แม้จะเหตุไม่คาดฝันหน้างานทำให้ต้องหาทางแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าจนขลุกขลักอยู่บ้างแต่ก็นับว่าผ่านไปได้ด้วยดี เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนระหว่างการทำงาน จอสก็ยังคงรักษาบทบาทหน้าที่ของตัวเองเอาไว้ได้อย่างดี เขายังคงหยอกล้อพูดคุย ทำตัวสนุกสนาน และบริการแฟนคลับด้วยการหมั่นสร้างฉากชวนจิ้นกับภูได้ทุกห้านาทีเหมือนที่ผ่านมา แต่ทว่าเมื่อหมดเวลางานและกลับมาอยู่แบบเป็นส่วนตัวแล้ว ท่าทีระหว่างทั้งคู่ก็กลับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ จอสเอาแต่ใส่หูฟังตลอดเวลาเพื่อจะได้ไม่ต้องรับฟังอะไรก็ตามที่ภูพยายามสื่อสารด้วยอีกทั้งยังหลีกเลี่ยงไม่ยอมมีปฏิสัมพันธ์ในทุกทางเว้นแต่จะเป็นเรื่องงานเท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้ภูเริ่มรู้สึกโมโหขึ้นมาอย่างติดหมัด เพราะจากเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดฝ่ายที่ควรจะมีท่าทีการแสดงออกเช่นนี้ควรจะเป็นเขาไม่ใช่จอส ดังนั้นเมื่อมีโอกาสได้อยู่กันตามลำพังเด็กหนุ่มจึงไม่รีรอที่จะสะสางเรื่องที่ค้างคาเอาไว้

        “รบกวนออกจากโลกส่วนตัวสักครู่เถอะ” ภูดึงหูฟังออกจากหูของจอส “ต้องการแบบนี้ใช่ไหม? ทำเหมือนเรื่องวันนั้นเราเป็นฝ่ายผิดเองแบบนี้งั้นสิ?”

        “อะไรอีกล่ะ?” จอสทำหน้ารำคาญก่อนจะยื่นมือไปแย่งหูฟังกลับมา

        “เราคิดว่าอย่างน้อยเราก็ควรได้รับคำขอโทษจากเรื่องวันนั้น” ภูเรียกร้อง “สิ่งที่นายทำมันเกินไปมาก”

        “นายสิต้องขอโทษ ทิ้งงานทิ้งการ ไม่มีความรับผิดชอบ เดือดร้อนคนอื่นต้องมาวิ่งรอกแทนให้” จอสเถียงกลับ

        “ก็ที่เราป่วยมันเพราะอะไรล่ะ!?” ภูหลุดขึ้นเสียงออกไป “ไข้เราขึ้นสูงจนน๊อคไม่ได้สติไปวันนึงเต็มๆ นายคงภูมิใจสินะ ฝีมือนายทั้งนั้น”

        “ก็…” จอสชะงัก สีหน้าเหมือนจะรู้สึกผิดขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่ก็เพียงวูบเดียวเท่านั้น “นายก็ชกเราเหมือนกัน ก็ถือว่าเจ๊ากันไปสิ”

        “ไม่เคยคิดว่าตัวเองผิดเลยสินะ” ภูส่ายหน้าระอาจนเกินทน

        “ทำตัวเป็นเด็กผู้หญิงน่ารำคาญ เรื่องผ่านไปแล้วก็เอามาพูดอยู่นั่นแหละ” จอสทำหน้าเบื่อหน่ายก่อนจะปัดมือไล่ “พอเค้าไม่ยุ่งด้วย ก็มาทำตัววุ่นวายซะเอง น่ารำคาญ ไปไหนก็ไปเลยไป๊”

        “ได้…” ภูโมโหจนเลือดขึ้นหน้าที่นอกจากอีกฝ่ายจะไม่มีสำนึกแล้วยังทำตัวหยาบคายใส่ตนอีก “งั้นสัญญามาก่อนสิ ว่าไอ้คลิปจากกล้องวงจรปิดนั่นน่ะ นายจะลบทิ้งไม่เอามาใช้เป็นเครื่องมือเล่นสกปรกอีก”

        “ไม่…” จอสตอบหน้าตาเฉย

        “นายนี่มัน…” ภูหมดคำจะด่า

        “จะลบให้ก็ได้ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน” จอสยื่นข้อเสนอ “ไปทำอะไรสนุกๆ ด้วยกันคืนนึง แล้วเช้ามาจะลบให้เลย”

        “เพราะมันจะมีคลิปใหม่มาแทนสินะ” ภูไม่หลงกลลูกไม้เดิมเป็นรอบที่สอง “ไอ้ทุเรศเอ๊ย..”

        “ครั้งนี้เรายอมให้นายเป็นคนปิดกล้องทุกตัวเองกับมือเลยก็ได้” จอสให้สิทธิ์อีกฝ่ายปกป้องตัวเองเต็มที่ “รับรองครั้งนี้ไม่มีใครรู้จริงๆ ไม่มีหลักฐานอะไรทิ้งเป็นร่องรอยให้มาตามเช็ด”

        “ที่ผ่านมาเราเคยนึกว่านายจะเป็นคนดีกว่านี้นะ” ภูจำต้องยอมรับความจริงกับตัวเองในที่สุดว่ามองอีกฝ่ายผิดไป “เราเคยนึกว่า ถึงยังไงก็คงเป็นเพื่อนกันได้ แต่เห็นได้ชัดว่าเราคิดผิด”

        “นายจะเป็นเพื่อนกับคนที่นายไม่ได้คิดด้วยแค่เพื่อนได้ยังไง?” จอสถามกลับ “สำหรับเราน่ะ ถ้าไม่รักก็เกลียดกันไปเลยจะดีกว่า”

        “นั่นสินะ” ภูพยักหน้าเข้าใจ “นายถึงต้องโดดเดี่ยวแบบนี้ไง”

        ภูไม่มีอะไรจะพูดต่อ เด็กหนุ่มเก็บข้าวของส่วนตัวลงกระเป๋าเตรียมออกมาจากที่นั่น แต่ยังไม่ทันจะได้ออกจากห้องพักจอสก็ลุกมาขวางประตูเอาไว้เสียก่อน

        “หลบ…” ภูพูดด้วยน้ำเสียงของคำสั่ง ไม่ใช่ขอร้อง

        “ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่ให้ไป” จอสยืนพิงประตูเอาไว้ “ตกลงจะเอายังไง ที่เสนอไป ดีลหรือไม่ดีล?”

        “นายจะมาฝังใจอะไรกับเรานักหนา ไปทำกับคนที่เค้าเต็มใจดีกว่าไหม? อย่างนายคงหาไม่ยากหรอก” ภูสุดจะทน

        “เราจะหายากหาง่ายอันนั้นไม่เกี่ยวกับนาย” จอสดึงกลับมาเข้าประเด็น “แค่คืนเดียว แลกกับอิสรภาพต่อจากนี้ไป นายไม่คิดว่ามันก็คุ้มค่าที่จะทำหรือไง?”

        ภูคิดใคร่ครวญตามคำพูดของจอสแล้วก็ต้องแปลกใจที่แม้แต่ตนเองก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นข้อเสนอที่ควรจะรับไว้ แต่นั่นก็ไม่ได้ลบล้างความจริงที่ว่ามันเป็นข้อเสนอที่น่ารังเกียจ ทว่าหากยอมทำสิ่งที่น่ารังเกียจเพียงหนึ่งครั้งแล้วสามารถจบทุกสิ่งทุกอย่างได้ มันก็คุ้มค่าที่จะฝืนใจตัวเองไม่ใช่หรือ? แน่นอนว่ามันจะไม่มีเรื่องของความรู้สึกมาเกี่ยวข้อง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะไม่มีคุณค่าพอให้จดจำ จะเป็นเหมือนแค่ฝันร้ายที่เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วก็จะจางหายไป

        “นายจะรักษาสัญญาแน่ใช่ไหมครั้งนี้?” ภูอยากได้ความมั่นใจ “จะไม่มีการลูกเล่นอะไรอีกแน่นะ?”

        “เราเคยไม่รักษาสัญญาหรือไง?” จอสย้อนถามกลับ “เราไม่เคยผิดสัญญากับนายเลย”

        เมื่อประกอบเข้ากับสายตาแฝงแววเศร้าสร้อยที่มองมายังภู คำพูดนั้นก็เกือบจะกลายเป็นคำวิงวอน เป็นคำขอร้องจากใครคนหนึ่งซึ่งกลายเป็นปีศาจร้ายโดยไม่เจตนาและยังอยากให้ใครบางคนจดจำได้ถึงความดีงามที่ตนมีอยู่ แม้จะรู้ดีว่ามันอาจจะไม่มีค่าในสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย

        “งั้นก็… ตกลง” ภูยอมตัดใจเจ็บครั้งเดียวเพื่อให้ทุกอย่างจบ

        “ก็เท่านั้น…” ถึงแม้อีกฝ่ายจะยอมให้ในสิ่งที่ตนต้องการ แต่สีหน้าของจอสกลับไม่แสดงออกถึงความยินดีเลย “จะไปด้วยกันเลยไหม?”

        “ขอเรากลับไปจัดการอะไรที่บ้านก่อน” ภูขอเวลาเพื่อทำใจเพิ่มอีกเพียงนิดก็ยังดี “เดี๋ยวเสร็จเรียบร้อยแล้วเราจะนั่งแท็กซี่ตามไปบ้านนายเอง”

        “รับปากแล้วอย่าคิดหนีล่ะ” จอสขู่สำทับ “ถ้าผิดสัญญา จะเกิดอะไรขึ้นก็พอรู้ใช่ไหม?”

        “อืม… เราไม่เบี้ยวแน่” ภูพยักหน้าก่อนจะจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เหมือนกำลังมองสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดเท่าที่เคยเจอมาในชีวิต “เราไม่ทิ้งโอกาสที่จะกำจัดมะเร็งแบบนายออกไปจากชีวิตเราหรอก”
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 19 ☆ [18-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 23-04-2018 14:07:52
        ระหว่างการเดินทางกลับบ้าน แม้จะตกปากรับคำยอมตกลงกับจอสไปแล้ว แต่ในใจของภูก็ยังครุ่นคิดไม่หยุดว่าการตัดสินใจของตนนั้นถูกต้องแน่แล้วหรือ เด็กหนุ่มพยายามครุ่นคิดว่ายังมีหนทางอื่นอีกไหมที่จะจบเรื่องทั้งหมดนี้ได้โดยไม่ต้องเอาตัวเข้าแลก แวบหนึ่งของความคิดภูก็อยากจะบอกเรื่องทั้งหมดนี้กับกรรณให้รู้แล้วรู้รอดเพื่อที่จอสจะได้หมดหนทางที่จะใช้แบล๊คเมล์ตนอีกต่อไป แต่ถ้าต้นไม้ถูกดึงถอนรากก็ย่อมหลุดออกมาด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกัน หากภูยอมเปิดเผยเรื่องคืนนั้นระหว่างตนเองกับจอส ก็เท่ากับกรรณจะต้องรู้โดยปริยายว่าที่ผ่านมาเขาสร้างเรื่องโกหกปิดบังความจริงเอาไว้เยอะแค่ไหน แล้วหากนำทั้งหมดนั้นมาผนวกเข้ากับอุปนิสัยขี้หึงของกรรณ เด็กหนุ่มก็พอจะคาดเดาได้ว่าผลลัพท์ของสมการนี้ย่อมไม่ส่งผลดีต่อความสัมพันธ์เป็นแน่

        เมื่อคำนวณจากระยะทางที่เหลือ อีกไม่กี่นาทีก็คงจะถึงบ้านแล้ว ภูพยายามนึกหาข้ออ้างดีๆ สักข้อที่จะใช้บอกกับกรรณเพื่อเป็นเหตุผลในการที่ตนจะไม่อยู่บ้านทั้งคืน แต่เมื่อกลับมาถึงและเข้าไปในบ้านแล้วนั้นเขาก็พบว่าข้ออ้างเหล่านั้นคงไม่จำเป็นเสียแล้วในเวลานี้ เมื่อวันนี้กรรณไม่ได้มาร่วมโต๊ะอาหารมื้อค่ำที่บ้านเหมือนเช่นทุกวัน

        “พี่กรรณล่ะครับ?” ภูถามแม่ทันทีที่เจอหน้า

        “กลับมาถึงก็ถามหาแฟนอย่างเดียวเลยนะ พ่อแม่เป็นยังไงอยู่ดีไหมไม่เคยถาม” แม่ว่าให้ก่อนจะตอบคำถามของภู “วันนี้พี่เค้าโทรมาบอกแล้วว่าจะไม่ได้กลับมานอนบ้าน เห็นว่าทางคนดูแลโทรมาแจ้งว่าคุณแม่ประสบอุบัติเหตุพลัดตกบันไดที่บ้านอาการไม่ค่อยดีตอนนี้อยู่ห้องไอซียู เค้าเลยยกเลิกงานของวันนี้หมดเลยแล้วรีบไปดูอาการแม่ที่สุโขทัย”

        “ไม่เห็นเค้าจะโทรมาบอกผมเลย” แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องฉุกละหุกแต่ภูก็อดรู้สึกน้อยใจขึ้นมาไม่ได้ที่กรรณไปโดยไม่บอกตน

        “ก็ตอนบ่ายเราทำงานอยู่ไม่ใช่หรือไง? โทรไปยังไงก็รับสายไม่ได้อยู่ดี พี่เค้าก็เลยฝากแม่ให้มาบอกแทน” แม่ช่วยเตือนความจำให้ลูกชายจอมคิดมาก “ตอนนี้สะดวกคุยแล้วก็โทรหาเค้าเองก็ได้นี่ ได้ความยังไงก็บอกแม่ด้วยล่ะ แม่ก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน”

        ภูพยักหน้าก่อนจะเลี่ยงออกจากห้องครัวขึ้นไปยังห้องนอนของตน หลังจากเก็บของและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่จนเรียบร้อยแล้วเด็กหนุ่มจึงค่อยหยิบโทรศัพท์มือถือมากดโทรหากรรณ เสียงสัญญาณรอสายดังขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียวปลายทางก็กดรับสายราวกับกำลังเฝ้ารออยู่แล้ว

        “อ่า.. ฮัลโหล” ภูตั้งตัวไม่ทันด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรับสายแบบทันทีทันควันแบบนี้

        “กำลังรออยู่เลย” เสียงทุ้มๆ ของกรรณดังออกมาจากลำโพง “เสร็จงานแล้วเหรอ?”

        “ครับ เพิ่งถึงบ้านแล้วก็เพิ่งรู้เรื่องพี่จากแม่” ภูตอบกลับไปขณะนั่งลงบนขอบเตียงนอนของตนเอง “พี่ถึงที่สุโขทัยแล้วเหรอครับ?”

        “ถึงแล้ว… ถึงแล้วล่ะ” เสียงของกรรณขาดห้วงไป จังหวะการพูดที่ผิดปกติราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้ส่งผลให้ผู้ฟังเช่นภูเกิดรู้สึกใจคอไม่ดีตามไปด้วย

        “พี่โอเคไหม? คุณแม่เป็นอะไรมากหรือเปล่า?” ภูรู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ

        “ไม่รู้สิ… ตอนนี้ยัง…” ประโยคคำตอบนั้นถูกคั่นด้วยก้อนสะอื้นลูกใหญ่ “ตอนนี้ยังไม่รู้ หมอยังไม่ออกมาเลย”

        “พี่กรรณ…” ภูไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใดออกไปดี ด้วยนิสัยส่วนตัวที่ไม่เก่งเรื่องการปลอบใจผู้คน หากทั้งสองอยู่ด้วยกันในเวลานี้เขาคงจะเพียงแค่โอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้ และเท่านั้นก็คงมากพอจะทำให้กรรณรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง “ทุกอย่างต้องโอเคครับ พี่ทำใจดีๆ เอาไว้ก่อนเถอะ”

        “อยากให้นายมาด้วยจัง” กรรณพูด ภูได้ยินเสียงสูดน้ำมูกดังปะปนมากับประโยคนั้นด้วย “อยากให้แม่ได้เจอหน้านายสักครั้ง เผื่อว่าเกิดอะไรขึ้น…”

        “พี่อย่าพูดแบบนั้น แม่พี่ไม่เป็นอะไรหรอกครับ” ภูพยายามฉุดให้กรรณเลิกจิตตก

        “มาหาพี่ได้ไหม?” กรรณถาม “เหมาแท็กซี่มาเลยก็ได้ เดี๋ยวพี่จ่ายค่ารถให้เอง”

        “ผมก็อยากไปแต่…” เมื่อได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เลวร้ายเช่นนี้ การโกหกออกไปก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ทำยากขึ้นหลายเท่าตัว “คือ…”

        “อ้อใช่ เรื่องงาน พี่ขอโทษที” กรรณเข้าใจว่าภูลำบากใจเพราะเรื่องงาน “ขอโทษที่เอาแต่ใจตัวเองไปหน่อย พี่เครียดจนไม่เป็นตัวของตัวเองเลยตอนนี้”

        “ขอโทษครับ แต่พรุ่งนี้ผมเสร็จงานแล้วจะรีบไปหาพี่เลย ผมสัญญา” ภูให้คำมั่น การที่แม้กระทั่งในเวลาที่อ่อนแอเช่นนี้กรรณก็ยังพยายามที่จะไม่ทำให้อีกฝ่ายต้องลำบากใจ ทำให้ในอกของเด็กหนุ่มจุกแน่นไปด้วยความรู้สึกผิด

        “พี่จะรอนะ” กรรณสูดหายใจเข้าคล้ายจะพยายามปลุกให้ตัวเองเข้มแข็งขึ้น “วันนี้นายพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเจอกัน”

        กรรณวางสายไปแล้ว แต่ภูยังนั่งนิ่งตาจ้องมองที่หน้าจอโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น จากการสนทนาเมื่อครู่ใช่ว่าเด็กหนุ่มจะไม่รู้ตัวว่าในฐานะคนรักเขาควรให้กำลังใจอีกฝ่ายมากกว่านี้สำหรับสถานการณ์ที่จัดได้ว่าเป็นวิกฤติทางจิตใจ แต่เขาจะเอากำลังใจจากที่ไหนมาให้กรรณได้ในเมื่อแม้กระทั่งกำลังใจสำหรับตนเองในตอนนี้มันก็ยังแห้งเหือดไปจนหมดแล้ว เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนกำลังจะต้องไปเผชิญหลังจากนี้ภูก็อยากสาปให้ตัวเองกลายเป็นหินไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด ต่อให้ต้องกลายเป็นรูปปั้นนั่งคาขอบเตียงอยู่อย่างนี้ไปจนอีกร้อยปีข้างหน้าบางทีก็อาจจะทรมานน้อยกว่าต้องเอาตัวเองไปถูกกระทำย่ำยีเป็นของเล่นโดยคนน่ารังเกียจพรรค์นั้น

        เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้นพร้อมกับเบอร์ของจอสที่สว่างวาบอยู่บนหน้าจอ ภูไม่อยากแม้กระทั่งจะได้ยินเสียงอีกฝ่ายในตอนนี้เขาจึงกดตัดสายทิ้งแล้วพิมพ์เป็นข้อความส่งกลับไปว่ากำลังจะออกจากบ้าน เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อรวบรวมเรี่ยวแรงก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงและลงไปชั้นล่าง เขาบอกเล่าสถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับแม่ของกรรณเท่าที่รู้มาให้แม่ฟังก่อนจะขอตัวออกจากบ้านโดยอ้างว่าจะไปนอนค้างบ้านเพื่อนเพื่อเร่งทำงานให้เสร็จส่งทันเส้นตายของอาจารย์

        ไม่ต้องคิดมากหรอก ตัวเราเองก็ไม่ใช่ผู้หญิงซักหน่อยจะเสียหายสักแค่ไหนกัน ปล่อยมันทำไปเดี๋ยวก็จบ… ภูพร่ำบอกกับตัวเองไปตลอดทางเพื่อเตรียมใจให้พร้อมเผชิญกับฝันร้ายที่รออยู่ในอีกไม่กี่กิโลเมตรข้างหน้า การจราจรค่อนข้างคล่องตัวเหมือนเป็นใจให้กับจอส ทำให้ภูมีเวลาสำหรับเตรียมใจเพียงไม่กี่นาทีก่อนที่รถจะวิ่งเข้ามาจอดยังหน้าอาคารคอนโดมิเนียมอันเป็นจุดหมาย เด็กหนุ่มจ่ายค่าโดยสารและลงจากรถก่อนจะเดินผ่านล๊อบบี้เข้าไปข้างใน แต่เมื่อประตูก่อนถึงทางขึ้นลิฟท์จำเป็นต้องใช้คีย์การ์ดในการเปิดเข้าไปภูก็จำใจต้องโทรเรียกให้จอสลงมารับ ทว่ายังไม่ทันจะได้กดโทรออกพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ประจำอยู่ก็สังเกตเห็นภูและรีบมากดปุ่มเปิดประตูจากด้านในให้ผ่านเข้าไปได้

        “เอ่อ คือผมจำชั้นไม่ได้” ถึงแม้จะเข้ามาข้างในได้แล้วแต่ภูก็ยังจำไม่ได้อยู่ดีว่าจอสอยู่ชั้นที่เท่าไหร่

        “ไม่มีปัญหาครับ” เจ้าหน้าที่ประจำลิฟท์บอกก่อนจะจัดการกดชั้นให้ด้วยตัวเอง

        ประตูลิฟท์เปิดออกภูเดินออกไปจนถึงประตูทางเข้าห้อง ความเงียบรอบตัวทำให้รู้สึกกดดันจนเหมือนกำลังเดินเข้าลานประหาร แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วก็คงถอยหลังกลับไม่ได้ มีแต่จะต้องจัดการให้เรื่องอันแสนจะยืดเยื้อคาราคาซังนี้จบลงเสียที แม้ในความเป็นจริงอาจจะเรียกได้ไม่เต็มปากว่าทั้งหมดนี้ทำลงไปเพื่อกรรณ แต่เด็กหนุ่มก็อยากจะให้ตัวเองเชื่อเช่นนั้นเพื่อจะได้มีกำลังใจอดทนต่อจากนี้ ภูกลั้นใจยื่นมือไปกดกริ่งที่หน้าประตูแล้วยืนรอ ไม่นานก็ได้ยินเสียงปลดโซ่ล๊อคจากด้านในก่อนที่บานประตูจะเปิดอ้าออกโดยมีจอสในสภาพเกือบเปลือยมีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวปกปิดร่างกายยืนต้อนรับอยู่

        “อ่ะฮะ” จอสทักด้วยวลีประจำตัว “มาถึงเร็วจัง ดีนะอาบน้ำเสร็จพอดี”

        “ไม่ดีหรือไงล่ะ?” ภูพยายามไม่มองกล้ามเนื้อสวยงามที่พราวไปด้วยหยดน้ำนั้น

        “ก็ดี จะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันเยอะๆ” จอสผายมือเชิญให้แขกผู้มาเยือนเข้ามาด้านใน

        ภูถอนหายใจออกมาขณะก้าวขาเดินเข้าไปในห้องอันจะกลายเป็นนรกสำหรับตนในอีกหลายชั่วโมงต่อจากนี้ บรรยากาศในห้องยังโอบล้อมไปด้วยความเงียบงันเหมือนเช่นครั้งก่อนที่มาเยือน จะต่างออกไปก็เพียงแค่ความรู้สึกที่มีต่อเจ้าบ้านที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้าไปแล้ว ภูหย่อนกายที่หนักอึ้งลงพักที่โซฟาในห้องรับแขกตัวเดิมที่ตนเคยใช้เป็นที่งีบหลับในขณะที่จอสซึ่งใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วเริ่มทำการต้อนรับแขกด้วยการเสิร์ฟวิสกี้ออนเดอะร๊อค ซึ่งภูก็รับมาด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งเพราะต่อจากนี้ยิ่งสติสัมปชัญญะของตนรางเลือนมากเพียงใด ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อจิตใจมากเท่านั้น

        “ใจเย็นๆ กระรอก” จอสทำตาโตเมื่อเห็นภูกระดกรวดเดียวหมดเหลือแต่น้ำแข็ง “คอทองแดงมาเองเลยนะเนี่ย”

        “ขออีกแก้ว” ภูส่งแก้วคืนให้ รสขมยังติดลิ้นแต่เด็กหนุ่มก็รู้ดีว่าเพียงเท่านี้ยังไม่พอจะทำให้ตนเองเมาได้ “หรือจะเอามาทั้งขวดเลยก็ได้ เดี๋ยวจัดการเอง”

        “ก็ได้ แต่ไปอาบน้ำก่อนไป” จอสรับแก้วกลับมาพร้อมกับส่งผ้าเช็ดตัวให้แทน

        “ไม่ต้องอาบหรอก” ภูไม่รับผ้านั้น “สกปรกๆ แบบนี้แหละ เหมาะกับนายดี”

        “บอกให้ทำอะไรก็ทำ อย่ามาดื้อได้ป่ะ?” จอสโยนผ้าใส่ “ถ้าไม่อาบเอง เดี๋ยวจะอาบให้ เลือกเอาเองแล้วกันว่าอยากได้แบบไหน”

        ภูหมดทางเลือกจำต้องยอมทำตามคำสั่ง เขาลุกจากโซฟาโดยแสดงอาการกระฟัดกระเฟียดแบบจงใจให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าไม่เต็มใจก่อนจะตรงไปยังห้องน้ำ ภูกดล๊อคที่ประตูขังตัวเองเอาไว้ข้างในห้องสีขาวอันเย็นเยียบนั้น แขนทั้งสองข้างยันวางบนอ่างล้างหน้า ตามองไปยังกระจกเงาบานใหญ่อันเป็นประตูของตู้ที่ติดตั้งอยู่เหนืออ่างนั้น เงาภาพของตนเองที่สะท้อนออกมานั้นดูอิดโรยและเศร้าซึม เป็นใบหน้าของผู้ที่กำลังจะผ่านการทรมานตนเพื่อไถ่บาป เด็กหนุ่มพยายามเบี่ยงเบนความสนใจตนเองออกจากความตึงเครียดโดยการกวาดสายตามองไปยังข้าวของที่วางเรียงรายอยู่หน้ากระจกก่อนจะไปสะดุดเข้ากับขวดพลาสติกสีชาใบเล็กๆ ที่วางแอบอยู่ บางอย่างกระตุ้นให้เขายื่นมือออกไปหยิบมันขึ้นมาดู

        “Fluoxetine…” ภูอ่านชื่อตัวยาที่ระบุเอาไว้บนฉลากซึ่งมีชื่อของจอสเป็นคนไข้ แม้จะรู้จักและร่วมงานกันมานาน แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ภูได้รับรู้ชื่อจริงของอีกฝ่ายแบบเต็มๆ “หัสนัยน์ โจเซฟ เวย์โอลต์”

        ไม่ใช่ชื่อเต็มของจอสที่ทำให้ภูแปลกใจ สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มติดใจสงสัยมากกว่าคือชื่อของตัวยาที่คุ้นหู เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงและพิมพ์ชื่อยาบนขวดนั้นลงค้นหาในกูเกิล ข้อมูลปรากฏขึ้นมาในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที ภูกวาดสายตาอ่านอย่างละเอียดและได้ข้อสรุปว่ามันคือยาแก้อาการโรคซึมเศร้า ลางสังหรณ์บางอย่างเกิดขึ้นในหัวของภูบอกว่ายังมีบางสิ่งที่มากกว่านี้รอให้เขาค้นพบ ความคิดนั้นสั่งให้เด็กหนุ่มยื่นมือออกไปดันเปิดประตูกระจกของตู้ที่อยู่เบื้องหน้าตน เพียงกดปลายนิ้วลงไปสปริงของบานพับก็ทำงานและดันกระจกทั้งบานให้อ้าออกอย่างช้าๆ และภาพที่ปรากฏสู่สายตาก็ทำให้เขารู้สึกเย็นเยียบตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อสิ่งที่เรียงรายอยู่เต็มทุกชั้นของตู้ใบใหญ่นั้นคือขวดยาสีชาแบบเดียวกับที่วางอยู่ข้างนอก

        ภูหยิบมันออกมาดูทีละขวดด้วยมือที่สั่นเทา ชื่อของตัวยาที่ระบุเอาไว้แตกต่างออกไปในบางขวดเช่น Lithium ซึ่งข้อมูลระบุว่าใช้ในการคงสภาวะอารมณ์ให้คงที่ และRisperidoneที่มีฤทธิ์ลดการสำแดงของอาการทางจิต แต่ที่มีจำนวนมากที่สุดก็คือFluoxetine ซึ่งข้อมูลทางแพทย์ระบุเอาไว้ว่ายาทั้งสามตัวนี้มักถูกใช้ร่วมกันเพื่อบำบัดรักษาอาการโรคอารมณ์สองขั้วหรือไบโพลาร์ ทั้งหมดถูกสั่งจ่ายจากโรงพยาบาลเดียวกันและจ่ายให้กับผู้ป่วยรายเดียวคือจอส เสียงเคาะประตูห้องน้ำดังขึ้น ภูตกใจสะดุ้งสุดตัวเผลอปล่อยขวดในมือตกลงพื้น เสียงพลาสติกกระทบกับพื้นดังก้องไปทั่วห้องน้ำ

        “นานจัง เป็นอะไรหรือเปล่า?” เสียงจอสตะโกนถามมาจากนอกประตู

        “มะ..ไม่เป็นไร เดี๋ยวออกไป” ภูรีบหยิบขวดนั้นขึ้นมาและเก็บกลับเข้าตู้ไปตามเดิม

        “อย่าถ่วงเวลามากนัก รีบออกมาได้แล้ว” จอสเร่งก่อนที่ภูจะได้ยินเสียงฝีเท้าอีกฝ่ายเดินห่างออกไป

        เด็กหนุ่มรีบถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกและเปิดฝักบัวราดน้ำพอให้ร่างกายเปียกชุ่มก่อนจะออกมาเช็ดตัวและสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่วางจัดเตรียมไว้โดยทิ้งเส้นผมให้ยังชื้นหมาดอยู่เพื่อให้อีกฝ่ายไม่ผิดสังเกต ภูไม่ลืมที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงตัวที่ถอดมาพกติดตัวไว้เผื่อจำเป็นต้องใช้ในกรณีฉุกเฉิน เพราะเมื่อรู้ว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับผู้มีอาการผิดปกติทางจิต ความรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างรุนแรงก็เกิดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

        “กว่าจะออกมาได้ นี่ว่าจะเอาหมอนเอาผ้าห่มไปให้แล้ว เผื่อจะนอนในนั้น” จอสไม่รีรอที่จะประชดประชันใส่ทันทีเมื่อเห็นภูเดินกลับเข้ามาในห้องรับแขก

        “โทษที...” ภูไม่กล้าที่จะพูดประชดประชันกลับไปเพราะกลัวจะเป็นการกระตุ้นอีกฝ่าย

        “มาแปลกแฮะ…” จอสดูแปลกใจที่ภูดูสงบปากสงบคำไม่ต่อล้อต่อเถียงเหมือนทุกครั้ง แต่ก็เหมือนจะไม่ได้ใส่ใจจะเก็บมาคิดเป็นจริงเป็นจังอะไร เขาตบเบาะโซฟาเรียกให้ภูเข้ามาหา “มานี่สิ มานั่งนี่ก่อน”

        ภูเดินเข้าไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ จอสยื่นมือมาฉุดแขนให้อีกฝ่ายนั่งลงข้างๆ ตนก่อนจะยกแขนขึ้นมาโอบกอดเอาไว้นานไม่ให้ขยับหนีไปไหน ภูนั่งนิ่งทำตัวแข็งไม่กล้ากระทำการขัดขืนใดๆ ความจริงที่เพิ่งได้รับรู้มานอกจากจะข่มขวัญเขาได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังช่วยอธิบายให้ภูเข้าใจถึงสาเหตุแห่งพฤติกรรมแบบสุดโต่งในสารพัดอารมณ์ที่จอสแสดงออกมา ทำให้ในเวลานี้นอกจากเด็กหนุ่มจะกังวลในสวัสดิภาพของตนเองแล้วอีกส่วนหนึ่งลึกๆ ก็ยังอดเป็นห่วงจอสไม่ได้ ความโกรธที่เคยมีจางหายไปจนเกือบหมดเมื่อรู้ว่าทุกความก้าวร้าวรุนแรงที่อีกฝ่ายแสดงออกมาบางทีอาจเป็นเพราะเขาบกพร่องความสามารถในการควบคุมอารมณ์ตัวเอง

        “พอเลิกพยศแล้วน่ารักกว่าเดิมเยอะเลยนะเนี่ย เวลาอยู่กับแฟนคงว่านอนสอนง่ายแบบนี้ตลอดเลยสิท่า เข้าใจแล้วว่าทำไมไอ้ลุงนั่นถึงได้หลงนักหนา” จอสกระซิบข้างหู

        “ก็… คงจะอย่างนั้นมั้ง… “ภูเออออห่อหมกไปไม่กล้าขัด ในขณะที่ตาเหลียวมองรอบระยะสายตาหาบางอย่างที่พอจะฉวยมาใช้เป็นเครื่องป้องกันตัวได้ในกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น

        “อ่ะนี่ ตามที่ขอ” จอสยื่นวิสกี้ออนเดอะร๊อคแก้วที่สองให้ แต่เมื่อภูจะยื่นมือไปคว้าไว้เขาก็ดึงมันกลับและทำท่าจะป้อนให้เสียเอง

        จอสยื่นปากแก้วมาจนจ่อชิดกับริมฝีปากของภูก่อนจะเอียงขึ้นปล่อยให้ของเหลวสีอำพันข้างในไหลออกมา เด็กหนุ่มอ้าปากรับเอาไว้และดื่มลงคอไปอย่างจำยอม เมื่อปราศจากความอยากรสขมของมันก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเป็นร้อยเท่าพันทวี จริงอยู่ที่เมื่อครู่นี้เขาอาจจะอยากเมาเพื่อจะได้ไม่มีสติรับรู้และไม่ต้องจดจำทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่ตอนนี้เมื่อสติอาจเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยเหลือให้ตนรอดพ้นจากวิกฤติเบื้องหน้าได้ แอลกอฮอล์จึงเป็นสิ่งสุดท้ายบนโลกนี้ที่ภูจะต้องการรับมันเข้าไปในร่างกาย

        หลังจากป้อนจนหมดแก้วจอสก็หยุดมือ เขาวางแก้วลงที่โต๊ะกระจกข้างหน้าก่อนจะหันมาสนใจกับภูต่อ มือข้างหนึ่งยกขึ้นปัดเส้นผมที่ปรกใบหน้าของอีกฝ่ายออกไปทัดไว้บนหลังใบหูก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใช้ปลายจมูกไล้ดมตั้งแต่ใบหูเรื่อยมาจนถึงแก้ม ในขณะที่มืออีกข้างก็ไม่อยู่เฉยมุดล้วงผ่านชายเสื้อยืดที่เด็กหนุ่มสวมใส่อยู่เข้าไปลูบไล้ผิวเนื้อเนียนละเอียดใต้ร่มผ้า ภูหลับตานิ่ง ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามต้องการหากแต่ไม่ใช่เพราะเงื่อนไขสัญญาใดๆ ที่ให้ไว้ต่อกันก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเพื่อรักษาตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัยไปถึงวันพรุ่งนี้โดยปราศจากการเสียเลือดเสียเนื้อ



To be continued...

4 Episodes left...

หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 20 ☆ [23-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 23-04-2018 14:31:42
 :pig4: :pig4: :pig4:

อ่าว...มีไบโพลาร์โผล่มาเว้ยเฮ้ย
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 20 ☆ [23-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 23-04-2018 14:52:57
น่าสงสารจอส
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 20 ☆ [23-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 23-04-2018 16:19:59
 :เฮ้อ:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 20 ☆ [23-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 23-04-2018 23:54:30
บอกตรงๆไม่เข้าใจภูเลย ยอมเอาตัวเข้าแลกเนี่ยนะ???
บางทีเราก็อดคิดไม่ได้ ว่าในใจลึกๆแล้วภูอยากลองกับจอส
จริงๆนะอยู่ดีๆความคิดนึ้ก็แว๊บเข้ามาในหัวเรา
จะบอกว่าภูเป็นเด็กที่มีจิตใจดีหรอที่เห็นใจจอส อ่ะ ถ้าจะมองแบบนี้ก็คงได้
แต่...ขนาดสาลี่เพื่อนสนิทยังสงสัยเคลือบแคลงในตัวภูเลย???
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 20 ☆ [23-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 24-04-2018 00:58:29
สงสารกรรณ กับ จอสรองลงมา
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 20 ☆ [23-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 27-04-2018 13:56:41
:pig4: :pig4: :pig4:

อ่าว...มีไบโพลาร์โผล่มาเว้ยเฮ้ย

อารมณ์สองขั้วแต่ไม่สองใจนะครับ  :katai2-1:



น่าสงสารจอส

เดี๋ยวตอนหน้าได้รู้ทุกอย่างของจอสแล้วครับ  :katai4:



:เฮ้อ:

 :3123: :pig4: :3123:

เฮ้อนี่โล่งใจหรือหนักใจเอ่ย?  :hao4:




บอกตรงๆไม่เข้าใจภูเลย ยอมเอาตัวเข้าแลกเนี่ยนะ???
บางทีเราก็อดคิดไม่ได้ ว่าในใจลึกๆแล้วภูอยากลองกับจอส
จริงๆนะอยู่ดีๆความคิดนึ้ก็แว๊บเข้ามาในหัวเรา
จะบอกว่าภูเป็นเด็กที่มีจิตใจดีหรอที่เห็นใจจอส อ่ะ ถ้าจะมองแบบนี้ก็คงได้
แต่...ขนาดสาลี่เพื่อนสนิทยังสงสัยเคลือบแคลงในตัวภูเลย???

อันนี้คนเขียนต้องการให้คนอ่านมองได้สองทิศทางอยู่แล้วครับ คือจะมองว่าเห็นใจ จำใจก็มองได้ หรือจะมองว่าภูก็อยากอยู่ก็มองได้ ให้คนอ่านเกิดความเคลือบแคลงใจก่อนจะไปได้คำตอบที่บทสรุปของเรื่อง แล้วจะรู้ว่าภูคิดยังไงอยู่กันแน่ สำหรับบทสรุปของจอสตอนหน้าก็รู้แล้วครับ ลองอ่านดูๆ  o13



สงสารกรรณ กับ จอสรองลงมา

ไม่มีใครสงสารภูเลย 555555  :hao5:



 
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 20 ☆ [23-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 27-04-2018 14:05:40
Episode 21


        ไม่น่าเลย ไม่น่าเลย ไม่น่าเลย… ภูรำพึงกับตัวเองในใจซ้ำไปซ้ำมาขณะที่ริมฝีปากถูกจูบประกบพันธนาการเอาไว้จนไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้ ลิ้นของจอสที่ชอนไชอยู่ในปากพยายามปลุกเร้าให้เด็กหนุ่มตอบสนองแต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อภูเอาแต่แน่นิ่งไม่ไหวติงเหมือนเป็นอัมพาต หลังจากพยายามอยู่ครู่ใหญ่จนกรามเริ่มเมื่อยปวดและรู้สึกว่าลิ้นกำลังจะเป็นตะคริวเขาก็หมดความอดทนและถอนปากออกมา

        “เหมือนจูบกับศพเลยอ่ะ…” จอสให้คำนิยามจูบเมื่อครู่

        “ขอบคุณที่ชม” ภูใช้หลังมือเช็ดคราบน้ำลายของจอสที่ชุ่มอยู่บนริมฝีปากของตนออก

        “ถ้ามันทำใจยากนัก นายก็หลับตาแล้วคิดว่าเราเป็นเค้าไม่ได้หรือไง?” จอสเสนอหนทางแก้ปัญหา

        “ไม่ได้อ่ะ ยังไงก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นนาย” ภูบอกตามตรง

        “พวกไร้จินตนาการ” จอสว่าก่อนจะถอดเสื้อที่สวมอยู่ออกแล้วโยนทิ้งไปหลังโซฟา “ถอดเสื้อสิ…”

        ภูอิดออดอยู่ได้เพียงไม่นานก็จำต้องทำตามที่อีกฝ่ายสั่งเพราะรู้ดีว่าไม่อยู่ในสถานะที่สามารถขัดขืนได้ แต่ด้วยความอายแม้จะถอดออกแล้วเด็กหนุ่มก็ยังพยายามใช้เสื้อมาปิดบังเนื้อหนังของตนไว้จนจอสทนรำคาญไม่ไหวแย่งเสื้อไปจากมือและโยนทิ้งให้ไปกองอยู่กับเสื้อของตนที่หลังโซฟา แม้จะไม่มีเสื้อแล้วแต่ภูก็ยังไม่ละความพยายามที่จะปกปิดร่างกาย เขายกแขนทั้งสองข้างขึ้นกอดอกตัวเองเอาไว้แต่จอสก็จัดการจับมันแยกออกในทันที เมื่อแขนทั้งสองข้างถูกตรึงกดเอาไว้เด็กหนุ่มก็หมดหนทางจะป้องกันตัว ทำได้แต่เพียงนอนนิ่งยอมรับชะตากรรม จอสค่อยๆ ก้มหน้าลงมาอีกครั้งและซุกไซร้เข้าไปยังซอกคอของภูก่อนจะลากปลายลิ้นไล้ลงมาตามลำคอ สัมผัสนั้นทำเอาร่างกายของภูถึงกับสั่นสะท้านเฮือกใหญ่ แม้จะไม่ได้มีอารมณ์ร่วมด้วยแต่ก็ไม่สามารถห้ามปฏิกิริยาตอบสนองอันเป็นไปโดยธรรมชาติได้

        อย่าหวั่นไหว อย่าเคลิ้ม อย่าคล้อยตามเด็ดขาด ภูบอกกับตัวเองขณะสูดหายใจเข้าลึกๆ เตรียมใจให้พร้อมรับมือการปลุกเร้าระลอกต่อไปของจอส แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ต่อจากนั้น จอสเพียงแค่หยุดนิ่งและแช่ใบหน้าคาเอาไว้ที่ข้างซอกคอ ก่อนที่ภูจะสังเกตเห็นว่าร่างกายของอีกฝ่ายกำลังสั่นเทา จากเริ่มแรกเพียงเล็กน้อยก่อนจะเริ่มสั่นแรงขึ้นจนตัวโยนและลงเอยด้วยการเด้งผลุดลุกขึ้นระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น

        “อะไร… อะไรกันเนี่ย?” ภูงงเป็นไก่ตาแตก แม้จะเพิ่งได้รู้ข้อมูลมาว่าอีกฝ่ายมีปัญหาทางด้านอารมณ์สองขั้ว แต่สิ่งที่พบเจอตอนนี้มันก็ออกจะพลิกผันแบบสุดขั้วเกินไป

        “โทษที ตอนแรกเรานึกว่าเราจะทำได้” จอสพยายามกลั้นหัวเราะเพื่อให้เสียงพูดออกมาฟังรู้เรื่อง “แต่พอเอาจริงๆ ทำไม่ได้ว่ะ ไม่ไหวจริงๆ นายทำหน้าโคตรตลกเลย”

        ภูฉุนกึก จริงอยู่ที่ในความเป็นจริงเรื่องนี้ควรจะทำให้เขาโล่งใจถ้ามองในแง่ที่ว่าตนไม่ได้ต้องการจะโดนอีกฝ่ายกระทำชำเรา แต่การที่ต้องลงเอยด้วยการกลับกลายจากเหยื่อเป็นตัวตลกในสถานการณ์ที่สร้างความเครียดให้กับตนอย่างมหาศาลเช่นนี้ก็ทำให้ต่อมความอดทนของภูระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ เข้าทำนองฆ่าได้หยามไม่ได้ เด็กหนุ่มไม่สนอีกต่อไปว่าอีกฝ่ายจะมีอาการทางจิตประเภทไหน เขาบันดาลโทสะยกขาขึ้นยันโครมสุดแรงเข้ากลางยอดอกของจอสจนหงายหลังตกโซฟาลงไปนอนอยู่กับพื้นเบื้องล่าง

        “ถีบทำไมเนี่ย? !” จอสผลุดลุกขึ้นมาโวยลั่น

        “ไอ้โรคจิต!” ภูว๊ากกลับไป ก่อนจะหยิบเสื้อขึ้นมาสวม

        “โกรธทำไมอ่ะ? ไม่อยากให้ทำก็ไม่ทำแล้วไง ไม่ดีเหรอ?” จอสไม่เข้าใจสาเหตุความโกรธของภู

        “ไม่ทำมันก็ดี! แต่…” ภูไม่รู้จะอธิบายความอับอายของตนยังไงดี “นายจะมาทำตลกกับความรู้สึกของคนอื่นแบบนี้ไม่ได้นะ”

        “เราไม่ได้ตลกความรู้สึกนาย เราตลกหน้านาย หน้าเหมือนกำลังจะโดนฆ่าเลย” จอสหัวเราะออกมาอีกชุดใหญ่ก่อนจะหยุดเมื่อโดนภูหยิบหมอนใบเล็กบนโซฟาเขวี้ยงใส่เข้าเต็มหน้า “เฮ้ย! หยุด!”

        “ไม่หยุดโว้ย!!” ภูหยิบหมอนขว้างออกไปอีกใบ แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายตั้งรับรอเอาไว้แล้วจึงป้องกันได้ทัน “นายไม่รู้หรอกว่าเรากลัวแค่ไหน เครียดแค่ไหนกับสิ่งที่นายกำลังบังคับให้เรายอมให้นายทำ แล้วสุดท้ายนายกลับมาทำยังกับว่านี่เป็นแค่เรื่องเล่นสนุกแล้วก็หัวเราะเยาะเหมือนเราเป็นตัวตลกในเกมงี่เง่าปัญญาอ่อนของนายเนี่ยนะ!”

        “ก็หน้ามันตลกจริงๆ นี่” จอสตั้งท่าจะขำอีกแต่ก็รีบกลั้นเอาไว้เมื่อเห็นภูคว้าแก้วเหล้าไว้ในมือ เขาพยายามทำเสียงให้จริงจังขึ้นขณะเริ่มพูดต่อ “แล้วอีกอย่าง ต่อให้นายไม่ได้ทำให้เราขำ เราก็รู้ตัวตั้งนานแล้วล่ะว่าเราทำไม่ได้แน่นอน”

        “ทำไม?” ภูถามขณะพยายามสงบสติอารมณ์ลง ในใจก็คาดหวังซึ่งคำตอบที่อาจจะฟื้นฟูความรู้สึกดีๆ ให้กับตนได้

        “ก็แค่ทำไม่ได้…” จอสยักไหล่แล้วถอนหายใจออกมาคล้ายจะบอกว่าตนก็จนปัญญาจะตอบคำถามนั้น ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มแต่จู่ๆ ก็เกิดปรากฎแววแห่งความเศร้าฉายวาบขึ้นมาจนน่าใจหาย “แค่รู้ว่านายไม่เต็มใจ เราก็ทำไม่ได้แล้ว”

        จอสหยิบโทรศัพท์มือถือของตนที่หล่นไปอยู่ในซอกโซฟาขึ้นมาและกดบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่งมาให้ภู เด็กหนุ่มรับมาดูและพบว่าบนหน้าจอมีคลิปวีดีโอจากกล้องวงจรปิดในคืนวันนั้นปรากฎอยู่พร้อมกับคำถามจากระบบที่รอคำตอบจากผู้ใช้ว่าต้องการลบไฟล์นี้ออกไปจากเครื่องหรือไม่ ภูเงยขึ้นมามองหน้าของอีกฝ่ายด้วยไม่มั่นใจว่าหากทำตามต้องการจะเกิดอะไรขึ้นตามมา ก่อนที่จะตัดสินใจกดตกลงเมื่อเห็นจอสพยักหน้ายินยอม มันถูกลบหายไปในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที ภูถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อสิ่งที่ทำให้ตนเป็นกังวลมานานหลายเดือนได้ถูกทำลายทิ้งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะไม่เหลือสิ่งที่ยังค้างคารอให้สะสางทำความเข้าใจอยู่

        “ถ้านายคิดจะลบมันทิ้งอยู่แล้ว นายจะบังคับให้เรามาทำไม?” ภูถามขณะส่งโทรศัพท์คืนให้กับเจ้าของ

        “ก็แค่อยากมีคนอยู่ด้วยสักคืน เบื่อจะอยู่คนเดียวแล้ว” จอสรับมันมาและโยนลงไปไว้ที่โซฟาเหมือนเดิม “แล้วอีกอย่างก็รู้ๆ กันดีว่าถ้าขอให้นายมา นายไม่มีทางยอมมาอยู่แล้ว ก็ต้องทำแบบนี้แหละ”

        “ก็จริง…” ภูยอมรับ

        “ที่ผ่านมาก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่ากำลังทำตัวไม่ดี แต่รู้ทั้งรู้ว่าเป็นไปไม่ได้เราก็ยังไม่พร้อมจะปล่อยนายไป ถึงจะเสียใจที่ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ นายก็ยิ่งเกลียดเรามากขึ้น แต่เราก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่าให้เค้าเกลียดอยู่ข้างๆ ก็ยังดีกว่าต้องกลับมาตัวคนเดียว” น้ำเสียงของจอสเหมือนกำลังสมเพชตัวเอง “จนกระทั่งเกิดเรื่องวันฝนตกนั่น เราก็รู้ตัวว่าเราทำแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะนายจะไม่ใช่แค่เกลียดเรา แต่เราจะเป็นอันตรายกับตัวนายด้วย”

        “เพราะนายป่วยใช่ไหม?” ภูตัดสินใจถามออกไปตรงๆ

        โกรธ โมโห โวยวาย ทำลายข้าวของ หรืออาการเกรี้ยวกราดชนิดใดก็ตามที่ภูเตรียมใจเอาไว้ว่าจะต้องพบเจอหลังเอ่ยปากถามคำถามซึ่งเป็นเหมือนมีดสะกิดแผลของอีกฝ่ายออกไปเช่นนั้น ทว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้น มีแต่เพียงความเงียบงันอันน่าอึดอัดเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในสูญญากาศ จอสยืนนิ่งอึ้งเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ถึงความผิดที่ปกปิดซ่อนเอาไว้ แววตาเต็มไปด้วยความสับสนและหวาดหวั่น ไม่ใช่ในสิ่งที่ตนกระทำลงไป แต่เป็นความหวาดหวั่นที่มีต่อสายตาของผู้ที่มองมายังตนเพราะไม่อาจรู้ว่าเขาจะเข้าใจและรับได้หรือไม่

        “นายรู้ได้ยังไง?” จอสถามออกมาด้วยเสียงอันเรียบต่ำ

        “เรา… เราเห็นขวดยาของนายในห้องน้ำ” ภูพูดตะกุกตะกัก การที่จอสตอบสนองกลับมาด้วยความเงียบและนิ่งเช่นนี้ยิ่งข่มขวัญเขาได้มากกว่าโวยวายหลายเท่า “ถ้านายไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ เราไม่พูดก็ได้ ขอโทษนะที่ถามเรื่องส่วนตัว”

        “สอดรู้สอดเห็นนักนะ…” จอสเดินย่างสามขุมตรงเข้ามาหาภู

        “ขอโทษ…” ภูถอยหนีแต่ก็ไปได้ไม่ไกลเพราะสะดุดขาตัวเองจนหงายหลังล้มลงก้นกระแทกพื้น

        เด็กหนุ่มแหงนหน้ามองอย่างหวาดผวาไปยังจอสที่กำลังเดินกำหมัดแน่นตรงเข้ามาหา ในหัวพยายามนึกหาคำพูดที่จะช่วยให้อีกฝ่ายสงบสติอารมณ์ลง ก่อนจะเลิกล้มกระบวนการนั้นเปลี่ยนมาเป็นเตรียมใจรับความเจ็บปวดแทนเมื่อเห็นจอสย่อตัวลงมาและเงื้อกำปั้นขึ้น ภูหลับตาปี๋เตรียมใจรับแรงกระแทกจากกำปั้นที่อาจจะซัดลงตรงไหนสักแห่งบนร่างกายของตน เสียงตึ๊บหนักๆ ดังขึ้นหลังจากนั้นไม่กี่วินาที ภูสะดุ้งด้วยความตกใจแต่ไม่นานนักก็เปลี่ยนเป็นประหลาดใจแทนเมื่อลืมตาขึ้นมาและพบว่าเหยื่อกำปั้นนั้นกลับเป็นหมอนที่หล่นอยู่เบื้องล่างไม่ใช่ตน

        “กลัวจริงๆ ด้วยสินะ” จอสหัวเราะหึออกมาเบาๆ ก่อนจะนั่งลงบนพื้นเหมือนกับภู “ก็ไม่แปลกใจหรอก ใครรู้เค้าก็กลัวกันหมด”

        “ขอโทษ.. ก็นายน่ากลัว” ภูรู้ดีว่าการแสดงออกของตนทำให้จอสรู้สึกแย่

        “ไม่ต้องกลัวหรอก ยากับการบำบัดมันก็ช่วยได้เยอะ ตอนนี้เราควบคุมตัวเองได้สบายมาก” จอสฉีกยิ้มพยายามแสดงสัญญาณเป็นมิตรให้อีกฝ่ายเลิกกลัว “ต้องเจอเรื่องแบบสุดติ่งกระดิ่งแมวจริงๆ แบบวันนั้นน่ะถึงจะหลุด… ดีแล้วล่ะที่นายหนีไปได้ ไม่งั้นเจ็บหนักแน่ๆ”

        “นายเป็นมานานแค่ไหนแล้ว?” ภูถาม

        “ไม่รู้สิ ตั้งแต่เรียนจบมัธยมมั้ง เราเข้าเรียนมหาลัยแล้วก็เบื่อเลยดรอปออกมา อยู่บ้านกินเที่ยวไปวันๆ นอนหลับไปแล้วก็ตื่นขึ้นมา ใช้ชีวิตเหมือนไม่มีจุดหมาย แล้วจู่ๆ วันนึงก็รู้สึกขึ้นมาว่าโลกไม่น่าอยู่อีกต่อไปแล้ว…” จอสตอบพร้อมกับชูแขนข้างที่มีรอยสักให้ภูดูสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้สีและลวดลายของน้ำหมึกนั้น มันคือรอยแผลเป็นจากการถูกสิ่งมีคมบาดนับสิบแผล “โชคดีที่แม่บ้านลืมของเลยย้อนกลับเข้ามา ไม่อย่างนั้นเราก็กลายเป็นผีสิงคอนโดไปแล้ว”

        ภูใจหายวาบ เพียงมองดูพวกมันด้วยตาก็แทบจะรู้สึกเจ็บตามไปด้วย รอยแผลเหล่านั้นนูนสูงต่ำไม่เท่ากันตามความร้ายแรงของมันเมื่อครั้งที่ถูกทำให้เกิดขึ้น พวกมันดูเด่นชัดเสียจนภูนึกสงสัยว่าทำไมตนจึงไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มยื่นมือออกไปก่อนจะหยุดและมองไปยังจอสเพื่อขออนุญาต จนเมื่อเจ้าตัวพยักหน้ายินยอมเขาจึงค่อยจรดปลายนิ้วลงแตะมันอย่างแผ่วเบาและระมัดระวังราวกับกลัวว่าความเจ็บปวดอาจจะยังคงอยู่ ปลายนิ้วไล้ลากผ่านแผลเป็นที่ใหญ่ที่สุดและสัมผัสบริเวณกลางแผลที่แข็งเป็นไตขึ้นมา

        “นั่นคือแผลที่สาหัสที่สุด” จอสบอกกับภูเมื่อเห็นท่าทีสนใจเป็นพิเศษนั้น “เราใช้ปลายมีดแทงลงไปแล้วคว้านจนโดนเส้นเลือดใหญ่ หมอยังบอกเลยว่าไม่เคยเจอใครที่มุ่งมั่นกับการทำแบบนี้เท่าเรามาก่อน”

        “นี่ไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจเลยนะ” ภูไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนที่ทำแบบนี้กับตนเองได้ “ทำลงไปทำไม?”

        “เราก็อยากจะรู้เหตุผลของตัวเองในตอนนั้นเหมือนกัน” จอสส่ายหน้า “เรารักษาตัวจนออกจากโรงพยาบาลแล้วก็เข้ารับการบำบัด หมอช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เรื่องสภาพแวดล้อมที่เราต้องอยู่คนเดียว แต่ก็แนะนำให้รับยาควบคู่ไปกับการเพ่งความสนใจไปที่กิจกรรมอะไรสักอย่างแทน ผลก็เลยได้กล้ามงามๆ พวกนี้มาไงล่ะ”

        แม้อีกฝ่ายจะพยายามพูดให้เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือหนักหนาสาหัสอะไร แต่ภูก็มองออกถึงความเจ็บปวดที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของทุกคำที่ออกมา แสงอันมืดสลัวของห้องในยามนี้ทำให้จอสยิ่งดูเปราะบางและบอบช้ำ แผลเป็นเหล่านั้นเป็นดั่งร่องรอยจารึกแห่งการเดินทางผ่านวันเวลามาอย่างโดดเดี่ยว เด็กหนุ่มพยายามนึกจินตนาการถึงชิวิตของอีกฝ่ายในรูปแบบที่ต่างออกไป หากจอสได้มีครอบครัวที่อยู่พร้อมหน้าเหมือนปกติ รอยแผลนี้คงไม่มี… หากมีใครสักคนคอยรับฟังสิ่งที่เขาอยากพูด รอยแผลนี้คงไม่เกิดขึ้น… ภูคิดขณะลากนิ้วผ่านแผลอื่นๆ บนท้องแขนนั้น และมาจบที่แผลใหญ่ที่สุดอันเป็นจุดเริ่มต้น ถ้าเพียงแต่เขาจะมีเพื่อนสักคนที่ช่วยหยุดเขาจากความคิดชั่ววูบพวกนั้น…

        “เฮ้…” ภูเรียกจอส

        “อ่ะฮะ?” จอสเงยหน้าขึ้นมาสบตาอีกฝ่าย คล้ายจะถามว่ามีอะไร

        “เลิกคุยเรื่องพวกนี้กันดีกว่า วันนี้ไหนๆ ก็มาแล้ว นายอยากทำอะไรบ้าง?” ภูตัดสินใจจะใช้เวลาที่เหลือของคืนนี้สร้างเรื่องราวดีๆ ไว้ในความทรงจำของจอสเพื่อให้อีกฝ่ายได้ใช้ระลึกถึงในวันที่ความมืดมิดเหล่านั้นกลับมาอีกครั้ง “นายรักษาสัญญาที่ให้กับเรา เราก็ไม่เบี้ยวนายหรอก วันนี้จะอยู่ด้วยจนกว่าจะเช้า”

        “อยากทำอะไรเหรอ…” จอสทำท่านึกก่อนจะส่งรอยยิ้มชั่วร้ายอันเป็นเอกลักษณ์มา “ต่อจากเมื่อกี้ดีไหมล่ะ?”

        “ไม่เลิกใช่ไหม?” ภูยิ้มเหี้ยมเกรียมเป็นสัญญาณเตือนให้อีกฝ่ายหยุดหื่น “ถ้ายังคิดเรื่องนั้นอยู่เราก็กลับเลยแล้วกัน”

        “ล้อเล่น…” จอสจ๋อยลงไปทันตา “ขอนอนกอดเฉยๆ ก็พอ สัญญาจะไม่ทำเกินกว่านั้นถ้านายไม่อนุญาต”

        “ก็ได้” ภูยอมตกลง “แต่ก่อนอื่นเลย ไปใส่เสื้อก่อน”

        “ทำไมล่ะ?” จอสทำหน้างงก่อนจะชี้ไปที่ซิกแพคของตน “ไม่ชอบเหรอ เซ็กซี่จะตาย”

        “เก็บไว้ดูคนเดียวเถอะ” ภูลุกขึ้นมาหยิบเสื้อและโยนส่งให้

        จอสไม่ยอมเสียเวลาอันมีค่าไปอีกแม้แต่วินาทีเดียว เขาสวมเสื้อกลับคืนก่อนจะจูงมือภูพาเดินเข้าไปยังห้องนอนของตน เมื่อบานประตูเปิดออกภูก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้างกับจำนวนอันมากมายของฟิกเกอร์และโมเดลของเล่นต่างๆ ที่วางเรียงรายอยู่เต็มตู้กระจกใหญ่ตลอดจนทั่วทุกอาณาบริเวณของห้อง ซึ่งเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเมื่อเห็นท่าทีสนอกสนใจที่แขกผู้มาเยือนมีต่อคอลเลคชั่นของสะสมของตนก็รีบพาเดินดูจนทั่วพร้อมกับบรรยายประวัติของแต่ละชิ้นโดยละเอียดอย่างภาคภูมิใจ

        “น่าเปิดพิพิธภัณฑ์เนอะ” ภูพูดแซวหลังจากการทัวร์อันยาวนานได้จบลง

        “ไม่อ่ะ ของส่วนตัว ไม่ชอบเอาไปอวดใคร” จอสบอกขณะนั่งลงบนขอบเตียงตามภู

        “ขนาดไม่ชอบอวดนะเนี่ย…” ภูนึกถึงการกระทำที่ขัดแย้งกับคำพูดอย่างชัดเจนของอีกฝ่าย

        “ก็ยกเว้นถ้าคนนั้นพิเศษกับเราจริงๆ เราก็อยากแชร์ทุกอย่างในชีวิตเราให้เค้ามีส่วนร่วมนะ” จอสยังไม่วาย

        “พอเลย…” ภูส่ายหน้าเพลียจิต อยากให้จอสเข้าใจเสียทีว่าการเป็นคนที่ต้องคอยปฏิเสธก็ทำให้รู้สึกเจ็บปวดได้ไม่แพ้คนโดนปฏิเสธ “ทำแบบนี้ต่อไปไม่ดีหรอกนะ”

        “แค่คืนนี้ก็พอแล้วล่ะ” จอสขอซื้อเวลาเป็นครั้งสุดท้าย “แล้วตั้งแต่พรุ่งนี้ เราจะไม่กวนใจนายอีกแล้ว”

        ภูไม่ปฏิเสธคำขอร้องนั้น ด้วยใจก็อยากจะชดเชยให้จอสในสิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิต แม้จะรู้ดีว่าด้วยเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงถัดจากนี้คงไม่อาจเติมเต็มจิตใจอันแหลกสลายเพราะถูกสนิมแห่งความโดดเดี่ยวอ้างว้างเกาะกินมานานนับปีของอีกฝ่ายได้ แต่อย่างน้อยภูก็ยังอยากจะฝากร่องรอยบางอย่างเอาไว้ เป็นร่องรอยที่เมื่อวันเวลาผ่านพ้นไป เมื่อความมืดอันน่ากลัวได้กลับมาทำให้จิตใจของชายผู้โดดเดี่ยวเกิดความรู้สึกว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่อีกครั้ง เขาจะเดินย่ำย้อนกลับมายังต้นทางแห่งร่องรอยทั้งหมดและระลึกได้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีใครบางคนอยู่กับเขาตรงนี้ มันอาจจะนานและลางเลือนจนเหมือนภาพฝัน แต่สิ่งเหล่านั้นก็เคยเกิดขึ้นจริง และหากโลกไม่ชิงแตกไปเสียก่อนมันก็จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ถ้าเคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้ว สักวันมันจะต้องเกิดขึ้นอีกครั้ง ขอเพียงเขาใช้ชีวิตที่มีให้ดีที่สุดเพื่ออดทนรอเวลาอันล้ำค่านั้น

        เป็นค่ำคืนที่มีเรื่องให้คิดมากมายเหลือเกิน มากจนเกินไป อ้อมแขนของจอสโอบกอดร่างของภูเอาไว้เหมือนเป็นหมอนข้างขณะที่เจ้าตัวเริ่มส่งเสียงกรนออกมาเบาๆ ทว่าภูกลับยังไม่อาจทำใจให้หลับลงได้ ด้วยจิตใจยังคงพะวงเป็นห่วงกรรณที่กำลังเผชิญช่วงเวลาอันยากลำบากอยู่ตามลำพังโดยที่ตนไม่อาจจะไปอยู่เคียงข้างได้ ภูรู้สึกเหมือนทุกอย่างผิดที่ผิดทางไปจากที่ควรจะเป็นทั้งหมด ชีวิตคงจะเป็นเรื่องง่ายกว่านี้มากหากเขายังคงเป็นแค่นักศึกษาธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลมากไปกว่าการเรียนอันเป็นหน้าที่หลัก และสามารถใช้เวลาของชีวิตไปกับครอบครัว เพื่อนฝูง คนรักหรือสิ่งใดๆ ที่ตนต้องการจะทำอย่างแท้จริงได้โดยไม่ต้องมาคอยคำนึงถึงปัจจัยจุกจิกมากมายอันเป็นดั่งกรงที่โอบล้อมเอาไว้และคอยบีบคั้นชีวิตจนน่าอึดอัดขึ้นเรื่อยๆ ในทุกลมหายใจเข้าออกเช่นนี้

        เวลาล่วงมาจนถึงตีห้าแล้ว แสงแห่งรุ่งอรุณของวันใหม่กำลังจะปรากฏฉายจับขอบฟ้าในอีกไม่ช้า ภูค่อยๆ ยกแขนของจอสที่พาดทับร่างกายอยู่ออกและย่องลงจากเตียงก่อนจะเปิดประตูเดินออกมายังบริเวณห้องรับแขกอย่างเงียบเชียบ เด็กหนุ่มเลื่อนเปิดประตูและก้าวออกไปยังระเบียงด้านนอก กระแสลมด้านนอกยังคงพัดตึงเหมือนเช่นเมื่อครั้งก่อน ภูเอนกายลงยืนพิงเข้ากับขอบระเบียงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดหาเบอร์ของกรรณแล้วโทรออก เสียงรอสายดังขึ้นหลายครั้งแต่ไม่มีคนรับจนเขาเริ่มคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะกำลังหลับอยู่หรือไม่สะดวกจะรับสาย แต่ในขณะที่กำลังจะถอดใจและกดวางสายนั้นเครื่องโทรศัพท์ในมือก็สั่นเตือนเบาๆ หนึ่งครั้งเป็นสัญญาณว่ามีผู้รับสายแล้ว

        “ฮัลโหล…” ภูพูดกรอกไป

        “ว่าไง โทรมาแต่เช้ามืดเลย” เสียงของกรรณที่ตอบกลับมาจากปลายสายทั้งอ่อนล้าและโรยแรง เพียงเท่านั้นภูก็พอรับรู้ได้ว่ายังคงไม่มีข่าวดีเกิดขึ้น

        “ผมเป็นห่วงพี่ ห่วงแม่พี่ด้วย” ภูบอกกับกรรณ “ตอนนี้เป็นยังไงบ้างแล้วครับ?”

        “ก็… หมอออกมาแล้วล่ะ แต่ก็ยังต้องคอยดูอาการ” กรรณตอบเสียงเศร้า “ถ้าผ่านสิบสองชั่วโมงนี้ไปได้ก็ถือว่าพ้นขีดอันตราย”

        “ต้องได้สิ” ภูพยายามให้กำลังใจ “ต้องได้อยู่แล้วล่ะ บอกท่านว่าวันนี้ผมจะไปหานะครับ”

        “จะให้บอกว่าไง ลูกสะใภ้จะมาเหรอ?” กรรณเย้ามาด้วยเสียงเศร้าๆ นั้น

        “บอกว่าแฟนก็พอ ไม่ต้องเจาะจงสถานะขนาดนั้น” ภูโล่งใจที่อย่างน้อยกำลังใจของกรรณก็ยังดีพอจะพูดเล่นได้

        “ได้ เดี๋ยวจะบอกให้” กรรณรับปาก

        “งั้นแค่นี้ก่อนนะครับ ผมจะเตรียมของเอาไว้ เสร็จงานจะได้ออกเดินทางได้เลย พี่อยู่ทางนั้นก็พักผ่อนบ้างนะ” ภูบอกขณะที่ตาเริ่มมองเห็นแสงสีทองซึ่งจับขอบฟ้าอยู่ไกลออกไป

        “แค่ได้ยินเสียงนายก็เหมือนได้พักผ่อนแล้ว รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย” กรรณพูดด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ผู้ฟังนึกออกถึงรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า “แล้วเจอกันนะครับ”

        “ครับ เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว จะรีบไปให้เร็วที่สุดครับ” ภูบอกก่อนจะวางสาย

        ภูเก็บโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋ากางเกงแล้วหันกลับมาตั้งท่ากลับเข้าใปข้างใน แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจเมื่อเจอะเข้ากับจอสที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูระเบียง เด็กหนุ่มทำตัวไม่ถูกด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ตรงนั้นมานานแค่ไหนแล้ว แต่เมื่อสังเกตจากสีหน้าอันเศร้าสร้อยนั้นภูก็พอจะคาดเดาได้ว่าคงจะนานพอที่จะได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่นี้ทั้งหมด

        “ตื่นแล้วเหรอ?” ภูถามพร้อมกับชี้แจงตนเอง “เรา.. ออกมาคุยโทรศัพท์เรื่องธุระนิดหน่อยน่ะ”

        “ตื่นมาไม่เจอ นึกว่าหนีไปแล้วซะอีก” จอสยิ้มแห้งๆ

        “ไม่หนีหรอก ก็สัญญาเอาไว้แล้ว” ภูยืนยันคำพูดตนเอง

        “แล้วนั่นน่ะ…” จอสถามถึงสิ่งที่ตนได้ยินเมื่อครู่ “มีธุระสำคัญต้องไปทำไมไม่บอกเราล่ะ ถ้าบอกกันตรงๆ เราก็ไม่รั้งนายไว้ทั้งคืนแบบนี้หรอก”

        “ถึงจะไม่ได้อยู่กับนาย ยังไงก็ยังไปไหนไม่ได้อยู่ดี วันนี้ยังมีคิวงานช่วงบ่ายของวันนี้อีกงานนึงต้องจัดการให้เสร็จก่อน” ภูอธิบายให้จอสเข้าใจจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิด

        “อีเวนท์?” จอสถามเมื่อเห็นภูพยักหน้าว่าใช่จึงค่อยเสนอตัว “เราไปแทนให้ก็ได้นะ”

        “จริงเหรอ?” ภูดีใจสุดๆ เพราะนั่นจะช่วยประหยัดเวลาไปได้มากทีเดียว หากจอสยอมไปงานแทนเขาก็จะสามารถออกเดินทางได้ตั้งแต่ช่วงเช้าและคงไปถึงสุโขทัยก่อนเวลาจะล่วงเข้าสู่ช่วงบ่ายด้วยซ้ำ

        “เพื่อนายเราทำได้อยู่แล้ว” จอสรับคำ “แต่ขออะไรบางอย่างเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนนิดหน่อย”

        “อะไรอีกอ่ะ?” ภูใจคอไม่ดี

        “ไม่ต้องทำหน้าไม่ไว้ใจแบบนั้นหรอกน่า กระรอกตื่นตูมเอ๊ย…” จอสทำหน้าเซ็งกับการถูกหวาดระแวง “แค่อยู่ดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันตรงนี้ก่อนก็พอ”

        จอสเลื่อนปิดประตูขณะเดินออกมายืนข้างๆ ภูที่ขอบระเบียง ทั้งสองยืนจ้องมองออกไปยังสุดปลายของทิวทัศน์เบื้องหน้า เฝ้ารอให้พระอาทิตย์ปรากฏขึ้นสู่สายตา ในใจรู้แจ้งแน่ชัดว่าบางสิ่งได้เปลี่ยนไปแล้ว ภูรู้สึกเช่นนั้น นับจากนี้จะไม่มีความผิดพลาดจากอดีตให้ต้องกังวล มีแต่อนาคตที่รอให้ไปพบเจอ และเหนือสิ่งอื่นใด มิตรภาพระหว่างเขาและจอสจะยังคงอยู่และอาจจะแนบแน่นยิ่งกว่าที่เคยเป็นมาด้วยซ้ำ

        “นี่ ขอบคุณมากนะ” ภูบอกกับจอสขณะที่ตาก็ยังมองไปยังนอกระเบียง

        “เรื่อง?” จอสหันมาถาม

        “สำหรับทุกอย่าง ที่เก็บนาฬิกาเอาไว้ให้ ที่ไปส่งบ้าน แล้วก็ที่ช่วยในเรื่องงานอีกไม่รู้กี่ครั้ง” ภูหันมาเช่นกัน “แล้วก็ขอโทษที่เป็นในสิ่งที่นายต้องการไม่ได้”

        “แล้วนายจะเสียดายที่ปล่อยให้เราหลุดมือไป” จอสยกหางตัวเองเต็มที่

        “ก็อาจจะ…” ภูยอมรับ “ถึงเราจะเป็นในสิ่งที่นายอยากให้เราเป็นไม่ได้ แต่เราก็มีบางสิ่งที่จะทดแทนให้”

        “มาอีกแล้ว รางวัลชมเชย” จอสพ่นลมออกจากปาก

        “ฟังให้มันจบก่อนเส่ะ!” ภูถองข้อศอกใส่ชายโครงอีกฝ่ายใส่ด้วยความโมโห

        “ก็ว่ามาเส่ะ!” จอสว๊ากกลับ “พวกซาดิสต์…”

        “ชอบทำให้เสียบรรยากาศ” ภูสูดหายใจเข้าพยายามเรียบเรียงคำพูดในหัวใหม่อีกรอบ “ถึงเราจะเป็นในสิ่งที่นายอยากให้เป็นไม่ได้ แต่เราก็มีบางอย่างจะทดแทนให้นาย”

        “คือ?” จอสถาม

        “ต่อไปนี้นายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราแล้วนะ” ภูยื่นมือไปแตะที่บ่าของอีกฝ่าย “นายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะร้ายหรือดี เราจะอยู่ข้างนายเสมอ ต่อไปนี้จะไม่มีการหลบหน้ากันอีกแล้ว เราสัญญา”

        ภูยื่นมือออกไปตั้งใจจะจับมือทำสัญญาแต่ก็ถูกอีกฝ่ายฉวยกระชากร่างเข้าไปสวมกอดไว้เสียก่อน เมื่อหายตกใจเด็กหนุ่มจึงรู้สึกได้ว่าร่างที่โอบรัดตนอยู่นั้นกำลังสั่นเทา แก้มและต้นคอด้านขวาของเขาถูกลมหายใจและน้ำตาร้อนผ่าวของจอสราดรดจนชุ่ม มือข้างหนึ่งของจอสขยุ้มเส้นผมของภูเอาไว้ในมือ ไม่มีการฟูมฟาย ไม่มีความเจ็บปวดในน้ำตาเหล่านั้น มีเพียงความตื้นตันจากการได้รับในสิ่งที่ตนปรารถนาอย่างสุดหัวใจ เป็นช่วงเวลาอันเนิ่นนานและราบเรียบราวกับนิรันดร์กาล ภูทอดสายตามองออกไปที่ปลายขอบฟ้า พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว พร้อมกันกับที่วันใหม่ของเด็กหนุ่มทั้งสองที่ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างสมบูรณ์เช่นกัน…


To be continued...

3 Episodes Left
[/i]
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 21 ☆ [27-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-04-2018 16:12:24
 :pig4: :pig4: :pig4:

น่าสงสารจอสนะ 

แค่จอสมาช้าไปหลายปีหน่อยเท่านั้นเอง

แต่อย่างน้อยจอสก็จะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปนะ 

มีมิตรแท้ที่เข้าใจย่อมดีกว่ามีคนข้างกายที่ได้มาเพราะการบังคับ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 21 ☆ [27-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 27-04-2018 19:43:24
 :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 21 ☆ [27-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-04-2018 20:21:20
 o13


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 21 ☆ [27-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cookie8009 ที่ 27-04-2018 20:35:44
เอาเถอะ ถ้าจะให้เป็นแบบนี้

ก็หวังว่า ถ้าพี่กรรณรู้ จะยอมรับฟังเหตุผลของน้อง ก็แล้วกัน
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 21 ☆ [27-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 28-04-2018 23:25:48
ทุกอย่างเริ่มคลี่คลายแล้วว
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 21 ☆ [27-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 29-04-2018 02:58:10
โชคดีเหลือเกินที่จอสได้รับการรักษาที่อยู่ในระดับดีแล้ว
แม้จะมีหลุดมาบ้าง แต่สุดท้ายภูก็ไม่ได้เป็นอันตราย
เฮัอออ น่าสงสารนะ

สำหรับภู พอไปดูตอนเก่าๆจนถึงตอนนี้ก็ เออ.. มันคงเป็นเด็กจิตใจดีคนหนึ่งจริงๆนั่นแหละ
ภูน่าจะจับอาการหลายอย่างที่จอสแสดงออกได้ว่ามันคงมีอะไรซักอย่างแหละ(มั้ง)
ภูถึงตัดจอสไม่ขาด ไม่โกรธหรือโกรธแป๊บๆก็หาย หรือให้อภัยกับการจาบจ้วงของจอสได้ง่าย

ตอนหน้าพี่กรรณจะมาแล้วใช่ไหมคะ คิดถึงแล้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
สงสัยช่วงนี้ค่าตัวแพง บทเลยน้อย 555
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 21 ☆ [27-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 29-04-2018 11:38:23
จอส เด็กดี วานหลานคนแต่งหาคู่ให้จอสซักคน เห็นว่าขาดแม่ เอาไปคู่กับลี่ไหม มีแววจะคุมจอสอยู่นะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 21 ☆ [27-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 02-05-2018 16:34:38
:pig4: :pig4: :pig4:

น่าสงสารจอสนะ 

แค่จอสมาช้าไปหลายปีหน่อยเท่านั้นเอง

แต่อย่างน้อยจอสก็จะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปนะ 

มีมิตรแท้ที่เข้าใจย่อมดีกว่ามีคนข้างกายที่ได้มาเพราะการบังคับ

ใช่เลยครับ  :katai2-1:

กว่าจะปิดเรื่องจอสลงก็หลายตอน ตอนนี้ต้องกลับไปหาพระเอกเราบ้างแล้ว  :katai4:



:mew2: :mew2: :mew2:

ไม่เศร้าเนอะ คนไม่ใช่ ยังไงก็ยังเป็นเพื่อนกันได้  :mew1:



o13


 :L2: :pig4: :L2:

อีกแค่สามตอนก็จะจบแล้วนะครับ ติดตามกันให้สุดทางไปเลย  :katai4:



เอาเถอะ ถ้าจะให้เป็นแบบนี้

ก็หวังว่า ถ้าพี่กรรณรู้ จะยอมรับฟังเหตุผลของน้อง ก็แล้วกัน

ถึงกรรณจะเข้าใจแต่ก็ไม่คงไม่ชอบใจให้สองคนนี้อยู่ใกล้กันอยู่ดีแหละครับ คนมันขี้หึง



ทุกอย่างเริ่มคลี่คลายแล้วว

ใกล้จบแล้ว ต้องคลี่คลายแล้วล่ะครับ แต่ยังมีดราม่าใหญ่สุดรออยู่นะ ไม่ต้องกลัว ซดกันอร่อยแน่  :katai4:



โชคดีเหลือเกินที่จอสได้รับการรักษาที่อยู่ในระดับดีแล้ว
แม้จะมีหลุดมาบ้าง แต่สุดท้ายภูก็ไม่ได้เป็นอันตราย
เฮัอออ น่าสงสารนะ

สำหรับภู พอไปดูตอนเก่าๆจนถึงตอนนี้ก็ เออ.. มันคงเป็นเด็กจิตใจดีคนหนึ่งจริงๆนั่นแหละ
ภูน่าจะจับอาการหลายอย่างที่จอสแสดงออกได้ว่ามันคงมีอะไรซักอย่างแหละ(มั้ง)
ภูถึงตัดจอสไม่ขาด ไม่โกรธหรือโกรธแป๊บๆก็หาย หรือให้อภัยกับการจาบจ้วงของจอสได้ง่าย

ตอนหน้าพี่กรรณจะมาแล้วใช่ไหมคะ คิดถึงแล้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
สงสัยช่วงนี้ค่าตัวแพง บทเลยน้อย 555

ภูเป็นคนที่จับความรู้สึกของคนอื่นเก่งครับ ถ้าสังเกตตามเนื้อเรื่อง เขาจะค่อนข้างมองออกว่าใครรู้สึกยังไง หรือใครมีอะไรผิดปกติ ปิดบังหรือมีอะไรซ่อนไว้ เค้าจะรู้สึกได้

สองตอนนี้ให้จอสปิดฉากตัวเองแบบสวยๆไปก่อน สามตอนสุดท้ายของพี่กรรณเต็มๆแล้วครับ ดราม่าชามใหญ่  :hao5:



จอส เด็กดี วานหลานคนแต่งหาคู่ให้จอสซักคน เห็นว่าขาดแม่ เอาไปคู่กับลี่ไหม มีแววจะคุมจอสอยู่นะ  :hao3:

ไม่ต้องห่วงครับ มีคู่แน่นอน แต่จะโผล่มาในเนื้อเรื่องส่วนของตอนพิเศษ ติดตามนะครับ หลังจบเส้นเรื่องหลักมาแน่นอน  o13


หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 21 ☆ [27-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 02-05-2018 16:39:24
Episode 22

        ถึงแม้ว่าจะเดินทางอย่างเร่งรีบที่สุดแล้วแต่ก็ยังช้าเกินการ โดยไม่ต้องพูดอะไรแม้แต่คำเดียวแค่ทันทีที่ภูเห็นหน้ากรรณซึ่งมารอรับอยู่ด้านหน้าโรงพยาบาลเด็กหนุ่มก็รู้ดีว่าความสูญเสียได้เกิดขึ้นก่อนหน้าตนจะมาถึงแล้ว กรรณในช่วงเวลาแห่งความสูญเสียดูสงบและเยือกเย็นผิดกับเมื่อขณะที่ทุกอย่างยังแขวนอยู่บนความไม่แน่นอนราวกับเป็นคนละคน อาจเป็นเพราะชายหนุ่มจำต้องเข้าใจและยอมรับให้ได้เมื่อความเป็นจริงมาถึงจุดที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีกต่อไป เขาจัดการเรื่องเกี่ยวกับงานศพตามขั้นตอนอย่างที่เคยทำเมื่อครั้งที่พ่อเสียชีวิต ทั้งสองงานทิ้งระยะห่างเพียงหนึ่งปีเศษๆ กรรณจึงยังจดจำได้หมดว่าจะต้องทำอะไรก่อนหรือหลัง

        “ตอนพ่อเสียวุ่นวายกว่านี้มาก ไหนจะต้องหาคนดูแลแม่ ไหนจะเรื่องงานศพ” กรรณเล่าให้ภูฟังขณะที่ทั้งสองไปติดต่อกับทางวัดเรื่องนำศพเข้าบำเพ็ญกุศลที่ศาลา

        “ตอนนั้นพี่จัดการเองคนเดียวหมดเลยเหรอครับ” ภูถาม

        “จะว่าอย่างนั้นก็คงได้ เพราะแม่ก็ไม่รับรู้อะไรแล้ว ยังดีที่ตอนไปรับศพกับทางโรงพยาบาลเค้าก็แนะนำมาว่าต้องทำอะไรต่อจากนั้นบ้าง” กรรณตอบขณะที่ตกลงกับเจ้าหน้าที่ของทางวัดเลือกศาลาที่มีขนาดเล็กที่สุดเพราะมั่นใจว่าจะมีแขกมาร่วมงานเพียงไม่กี่คน

        พิธีศพเป็นไปอย่างเรียบง่ายมีเพียงพ่อกับแม่ของภูและพี่ช้างที่บินด่วนจากกรุงเทพมาทันทีที่รู้ข่าวกับญาติจากฝั่งแม่ของกรรณเพียงไม่กี่คนที่มาเป็นแขกในงาน ศพถูกตั้งบำเพ็ญกุศลเพียงแค่หนึ่งคืนก่อนจะทำการฌาปนกิจในวันถัดมา ทั้งหมดเป็นไปตามความปรารถนาของผู้ตายที่ไม่อยากให้สิ้นเปลืองเงินทองโดยใช่เหตุไปกับการจัดงานศพใหญ่โต ตลอดช่วงเวลานั้นแม้สีหน้าและแววตาของกรรณจะเศร้าหมองแต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว ภูรู้ดีว่าแฟนหนุ่มของตนกำลังพยายามอย่างหนักที่จะทำตัวให้เข้มแข็งมากพอเพื่อให้การทำหน้าที่ลูกเป็นครั้งสุดท้ายผ่านไปได้ด้วยดี

        หลังเสร็จสิ้นงานศพกรรณยังคงมีอีกหลายสิ่งที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางราชการและเรื่องการนำอัฐิไปลอยอังคาร ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาอีกสองถึงสามสัปดาห์จึงจะเสร็จ ถึงแม้ว่าภูจะยอมยกเลิกคิวงานของตนเพื่อจะได้อยู่ต่อกับกรรณในช่วงเวลานั้น แต่ชายหนุ่มก็ยืนกรานที่จะให้เขากลับไปรับผิดชอบหน้าที่ของตนเอง โดยสัญญาว่าจะรีบตามกลับไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ภูเองถึงแม้ใจอยากจะดื้อเพื่อตื้อให้กรรณยอมให้ตนอยู่ต่อเพียงใด แต่เมื่อเห็นแววตาอันหนักอึ้งไปด้วยความเศร้าที่ถูกสะกดกลั้นไว้ภายในก็จำต้องยอมให้เป็นไปตามที่อีกฝ่ายต้องการ เพราะรู้ดีว่าช่วงเวลาส่วนตัวที่อีกฝ่ายร้องขอนั้นอาจจะเพื่อที่จะใช้เป็นช่วงเวลาที่จะปลดปล่อยความเศร้าซึ่งเก็บกดเอาไว้นับตั้งแต่เกิดเรื่องให้ได้ระบายออกมาเสียที

        ชีวิตการทำงานอันยุ่งเหยิงของภูเริ่มต้นขึ้นแทบจะทันทีที่เด็กหนุ่มก้าวขากลับเข้ามาเหยียบเขตกรุงเทพมหานคร เพราะนอกจากคิวงานยาวเหยียดของตนที่รอให้สะสางอยู่แล้วนั้น ตอนนี้ก็ยังมีงานอีเวนท์ในส่วนของจอสที่เขาต้องวิ่งรอกไปแทนเพิ่มขึ้นมาด้วย ในช่วงแรกนั้นภูยังคิดว่าอีกฝ่ายเพียงแค่แกล้งโดดงานเพราะอยากให้ตนเป็นฝ่ายไปแทนบ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าโดยไร้การติดต่อจนภูผิดสังเกตและไปหาที่คอนโดจึงได้รู้ว่าจอสได้เดินทางไปต่างประเทศตั้งแต่ช่วงที่ภูกลับมาจากงานศพแม่ของกรรณแล้ว จอสทิ้งทุกอย่างและลอยหายเข้ากลีบเมฆไปโดยไม่ได้บอกอะไรกับผู้จัดการและต้นสังกัดมากไปกว่าเหตุผลที่ว่าไปศึกษาต่อ แต่เรื่องงานที่ทิ้งเอาไว้ให้นั้นยังไม่รบกวนจิตใจภูเท่ากับความคิดที่ว่าการจากไปของจอสในครั้งนี้นั้นอาจมีต้นเหตุมาจากตน

        นึกว่าวันนั้นคุยจนเข้าใจกันแล้วแท้ๆ ไม่น่าเป็นแบบนี้เลย… ภูนึกในใจด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปไปทั้งใจหายและหงุดหงิด เด็กหนุ่มเข้าใจดีว่ามันอาจจะทำใจยากกับการที่ต้องเป็นเพื่อนกับคนที่เพิ่งหักอกตัวเองไป แต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ควรจะมองเห็นในความปรารถนาดีที่ตนมอบให้อย่างจริงใจบ้าง ไม่ใช่โยนทุกอย่างทิ้งและหนีหายไปคนเดียวเหมือนทุกอย่างที่เกิดขึ้นในค่ำคืนสุดท้ายที่เจอกันนั้นไม่มีความหมายเช่นนี้

        ความใจหายและหงุดหงิดได้พัฒนาจนกลายเป็นความโกรธจัดอย่างสมบูรณ์แบบหลังจากที่ภูโดนทางต้นสังกัดเรียกเข้าพบเพื่อแจ้งข่าวสำคัญ และได้รู้ว่าสิ่งที่จอสทิ้งเอาไว้ให้กับตนนั้นไม่ได้มีเพียงแต่งานอีเวนท์เท่านั้น เมื่อผลการพิจารณาคัดเลือกกลุ่มนักแสดงฝึกหัดที่จะได้มีผลงานอย่างเป็นทางการกับทางช่องเป็นชุดแรกที่แต่เดิมเป็นจอสที่ถูกวางตัวเอาไว้โดยพิจารณาจากคะแนนความนิยมที่สูงที่สุด ตอนนี้เมื่อเจ้าตัวไม่อยู่แล้วหวยจึงมาออกยังผู้ที่มีอันดับความนิยมรองลงมาเช่นภูแบบเต็มๆ เมื่อนรกซึ่งแต่เดิมคิดว่ายังอีกยาวนานกว่าจะมาถึงจู่ๆ ก็ได้มาจ่อชิดชนิดหายใจรดต้นคอแบบไม่คาดฝันเช่นนี้ ภูจึงทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าข่มอาการไม่ให้สติแตกต่อหน้าผู้ใหญ่และก้มหน้ายอมรับไปตามผลการพิจารณานั้นโดยไม่มีข้อโต้แย้ง

        เด็กหนุ่มเขม้นมองบทละครเล่มหนาในมือของตนด้วยสายตาจงเกลียดจงชังมาตลอดทางระหว่างกลับบ้าน ใจอยากจะเปิดกระจกหน้าต่างรถแล้วโยนมันทิ้งออกไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็รู้ดีว่าปัญหาใดๆ ที่ตนกำลังเผชิญอยู่ไม่อาจแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยวิธีเช่นนั้น แม้บทที่ได้รับจะไม่ใช่พระเอกแต่ก็ถือเป็นตัวละครหลักที่มีความสำคัญกับเนื้อเรื่องไม่ใช่เพียงแค่เดินผ่านฉากแล้วจบกันไป บทพูดยาวเหยียดนั้นไม่ใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อยสำหรับสมองที่มีพรสวรรค์ในการท่องจำอันเป็นเลิศของภู แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างแท้จริงคือเขาจะพูดมันออกมาอย่างไรให้เป็นธรรมชาติสมบทบาทต่างหาก ภูหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากในกระเป๋าและเลื่อนไปยังเบอร์ของจอสที่ถูกโทรออกครั้งสุดท้ายเมื่อหลายวันก่อนพลางนึกในใจว่าหากเป็นจอสคงไม่ยากเลยที่จะรับมือกับอะไรแบบนี้ ไม่ว่ามันจะมาแบบฉุกละหุกหรือปัจจุบันทันด่วนแค่ไหน ที่ผ่านมาแม้เจ้าตัวจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจอสได้กลายเป็นครูคนหนึ่งของภูไปแล้ว ด้วยทุกครั้งที่ทำงานร่วมกันภูจะคอยศึกษาวิธีการแสดงออกต่อหน้ากล้องและบรรดาผู้คนจากจอสอยู่เสมอ จนในที่สุดก็ปรับตัวจนดูเป็นธรรมชาติได้

        แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าไม่มีใครรอรับอยู่ที่ปลายสาย แต่ภูก็ยังอดไม่ได้ที่จะกดโทรออกไปเพื่อปลอบประโลมความสิ้นหวังในหัวใจของตนให้ทุเลาลงบ้าง แต่ทันทีที่สายถูกต่อจนติด การตอบรับจากปลายทางในครั้งนี้กลับไม่เหมือนเมื่อหลายวันก่อน แทนที่จะตัดเข้ากล่องฝากข้อความบัดนี้ปลายสายกลับมีสัญญาณรอสายดังขึ้น แม้จะยังไม่มีผู้รับสายแต่แค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้ภูต้องยืดหลังนั่งตัวตรงด้วยความตื่นเต้นและเฝ้ารอการตอบรับอย่างใจจดใจจ่อ เสียงสัญญาณดังอยู่พักใหญ่ก่อนจะตัดเข้ากล่องฝากข้อความเสียงหลังจากไม่มีผู้รับสาย แต่ภูยังไม่ยอมถอดใจยอมแพ้ ลางสังหรณ์บอกกับเขาว่าให้กดโทรซ้ำไปอีกจนกว่าจะมีคนรับ จนกระทั่งปาเข้าไปรอบที่สิบปลายสายจึงยอมกดรับในที่สุด

        “จะโทรมาทำไมเยอะแยะเนี่ย?” เสียงหงุดหงิดรำคาญของจอสดังมาจากปลายทาง

        “อ้าว…” ภูงงไปหมด “ทำไมรับสายได้ล่ะ?”

        “ก็ไม่เห็นจะหยุดโทรสักที รำคาญ คนเค้าเล่นเกมอยู่ จะตีป้อมก็ไม่ได้ตี!” จอสโวยวายมาตามสาย

        “นี่นายอยู่ที่ไหน?” ภูถาม

        “ไม่บอก” จอสไม่ยอมตอบ

        “แต่รับสายจากเบอร์นี้ได้ แสดงว่าไม่ได้อยู่ต่างประเทศแน่ๆ” ภูประติดประต่อเอาเอง

        “อ่ะฮะ เดาเก่ง” จอสยอมรับ

        “งั้นก็กลับมาทำงานของตัวเองเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้บ้าเอ๊ย!!” ภูว๊ากออกไปลั่นรถจนคนขับหันมามองจึงค่อยรู้สึกตัวแล้วลดเสียงลง “รู้ไหมทำชีวิตคนอื่นเค้าวุ่นวายแค่ไหน แล้วนี่ยังโดนช่องจับมายัดลงละครแทนนายอีกเนี่ย!”

        “อู้ววว เดบิวต์ ยินดีด้วย” จอสทำเสียงล้อเลียนมา “จะรอชมผลงานนะ”

        “กลับมาเดี๋ยวนี้เลย!” ภูฉุนขาด

        “กลับน่ะกลับแน่ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้” จอสยังเล่นตัว “นี่มันช่วงพักร้อนของจอส”

        “พักร้อนบ้าบออะไรอีก?” ภูปวดหัว แต่ลึกๆ ก็โล่งใจที่อีกฝ่ายยังมีอารมณ์กวนประสาทตนได้ ไม่ได้จมกับความเศร้าหรือจิตตกอย่างที่กังวลว่าจะเป็น “นึกว่าหนีหายไปไหนแล้ว ทำเอาคนเขาเป็นห่วงแทบแย่”

        “คิดถึงล่ะเซ่…” เสียงของจอสฟังดูกระหยิ่มยิ้มย่องจนออกนอกหน้า “บอกแล้วว่าขาดเราไปนายจะรู้สึก”

        “ตกลงจะยังไม่กลับมาใช่ไหม?” ภูถามย้ำอีกครั้ง

        “ขอเวลาอีกสักพักนะ” จอสตอบกลับมา น้ำเสียงเป็นจริงเป็นจังกว่าเมื่อครู่ “เรากำลังพยายามอยู่”

        “พยายาม?” ภูไม่เข้าใจ

        “ก็… พยายามทำใจให้คิดกับนายเป็นเพื่อนไง” จอสหัวเราะแหะๆ “คือเอาจริงๆ ตอนนี้ก็เป็นเพื่อนได้แล้วแหละ แต่ก็ยังกลัวตัวเองจะหึงหวงเวลาเห็นนายกับไอ้ลุงนั่น แล้วก็ยังกลัวว่าถ้าทำงานด้วยกันอาจจะเผลอคิดเลยเถิดไปอีก”

        “อ้อเหรอ...” ภูหายสงสัย “งั้นก็พยายามต่อไปแล้วกันนะ”

        “นายก็ด้วยล่ะ” จอสตอบกลับด้วยคำเดียวกัน “พยายามเข้า ขอโทษที่ทิ้งงานหนักเอาไว้ให้นาย แต่นายทำได้อยู่แล้วล่ะ”

        “แน่ใจนะว่าจะไม่กลับมาเล่นเอง?” ภูถามย้ำอีกครั้ง

        “ไม่อ่ะ” จอสยังยืนยันคำเดิมก่อนจะเพิ่มเติมด้วยเหตุผลน่าหมั่นไส้ “ถ้าจะให้จอสเล่น ต้องบทพระเอกเท่านั้น”

        “คาแรกเตอร์ไม่ตรงกับบทพระเอกนะ ถ้ามาสายตัวร้ายน่าจะรุ่งกว่า” ภูขัดคอ

        “รีบๆ วางสายไปเลยป่ะ…” จอสหมดอารมณ์จะคุยต่อ

        ภูหัวเราะชอบใจทิ้งท้ายก่อนจะกดวางสาย การได้คุยกับจอสแม้จะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่แต่ก็ช่วยได้มากทีเดียวในเรื่องของความรู้สึก เพราะอย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่ต้องคอยรู้สึกผิดและกังวลใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรหรือตกอยู่ในสภาวะทางอารมณ์แบบไหน
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 21 ☆ [27-Apr-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 02-05-2018 16:45:47
        เมื่อกลับมาถึงบ้าน พ่อกับแม่ดูจะมีความรู้สึกกับข่าวใหญ่นี้ในด้านบวกจนเหมือนลืมคำนึงถึงศักยภาพของลูกตัวเอง ภูปวดหัวขึ้นมาติดหมัดที่ทุกคนดูจะเห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้กันไปเสียหมด ทันทีที่ขึ้นมาอยู่ตามลำพังในห้องนอนของตนเอง เด็กหนุ่มก็รีบโยนบทละครที่เพิ่งได้รับมาไปไว้บนโต๊ะแล้ววางทับด้วยตำราเรียนเพื่อหลอกตัวเองว่ามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นก่อนจะเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คขึ้นเพื่อเตรียมทำการทักทายเหล่าแฟนคลับของตนตามตารางที่วางเอาไว้กับส้มและพิมผู้เป็นหัวเรือใหญ่ประจำเว็บเพจ แต่เมื่อพบว่ายังเหลือเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัดเขาจึงฆ่าเวลาด้วยการเข้าใปเยี่ยมชมในเว็บบอร์ดหลังจากที่ไม่ได้แวะเวียนเข้าไปมานาน

        ท่ามกลางกระทู้ที่ดูจะเป็นหัวข้อสนทนาปกติทั่วไปนั้น มีกระทู้หนึ่งที่เพิ่งถูกตั้งขึ้นไม่นานก่อนที่ภูจะเข้ามา หัวข้อมีเพียงเครื่องหมายคำถามสามตัวที่เรียงติดกันทำให้ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเนื้อหาข้างในเกี่ยวกับอะไร ภูเลื่อนคลิกเมาส์ผ่านมันไปแล้วรอบหนึ่งแต่ความรู้สึกแปลกๆ ที่บรรยายไม่ถูกซึ่งรบกวนจิตใจอยู่กลับไม่ยอมให้มันผ่านเลยไปง่ายๆ เมื่อคิดว่าไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจกดเข้าไปดูเพื่อจะได้ไม่ต้องมีอะไรค้างคาใจอีกต่อไป

        หากว่าหัวข้อของกระทู้นั้นดูไร้แก่นสารแล้ว เนื้อหาข้างในยิ่งเป็นขั้นกว่าของมัน ทั้งกระทู้มีเพียงลิงค์ของอินสตาแกรมวางเอาไว้ซึ่งเมื่อกดตามเข้าไปดูก็พบว่าเป็นเพียงแอคเคาท์ใหม่ที่เพิ่งเปิดขึ้นและยังไม่มีการอัพโหลดภาพหรือเนื้อหาใดๆ ลงไปเลย แต่ถึงกระนั้นบางอย่างก็ยังรบกวนจิตใจของภูจนไม่อาจจะกดปิดหน้าจอนั้นลงได้

        “ดูอะไรอยู่?” เสียงของกรรณร้องถามพร้อมๆ กับที่เจ้าตัวเข้ามาสวมกอดภูจากทางด้านหลัง

        “ปะ.. เปล่าครับ” ภูรีบกดซ่อนหน้าจอนั้นทั้งที่ไม่มีอะไรที่ต้องปิดเป็นความลับ ทั้งหมดเป็นปฏิกิริยาตอบสนองจากความตกใจล้วนๆ “พี่กลับมาแล้วเหรอ?”

        “กลับมาแล้วครับ กว่าจะได้กลับมาเหนื่อยแทบตาย” กรรณหอมแก้มเด็กหนุ่มฟอดใหญ่ก่อนจะย้ายมาฝังจมูกลงบนเส้นผมและส่ายหน้าไปมาเบาๆ “คิดถึงจังเลย”

        “คิดถึงแต่ไม่ค่อยจะโทรมาหาเลยนะ ถ้าผมไม่โทรหาเองก็คงไม่ได้คุยกันเลยล่ะมั้ง” ภูบ่นตัดพ้อกับพฤติกรรมเงียบหายของกรรณตลอดช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา

        “ยุ่งทั้งวันเลยครับ ขอโทษนะ” กรรณก้มหน้านิ่ง “บางวันกว่าจะว่างก็ดึกมากแล้ว กลัวว่าโทรมาจะรบกวนเวลาพักผ่อนนายเปล่าๆ”

        “แล้วนี่จัดการทุกอย่างเสร็จหมดแล้วเหรอครับ?” ภูเลิกงอนเพราะไม่อยากทำตัวงี่เง่าให้เสียบรรยากาศ

        “เสร็จหมดแล้ว ตอนนี้ก็เป็นเด็กกำพร้าโดยสมบูรณ์แบบ” กรรณล้อเลียนตัวเอง

        “มีใครที่ไหนเค้าทำตลกกับเรื่องแบบนี้ออกกันด้วยหรือไง?” ภูขำไม่ออก

        “หมดเวลาเศร้าแล้วล่ะ แม่ไม่อยู่แล้ว พี่สิต้องอยู่ต่อไป” กรรณสูดหายใจเข้าปลุกใจตัวเอง “จะมีเสียดายอยู่บ้างก็ตรงที่แม่ไม่ทันได้เห็นว่าลูกชายได้เมียน่ารักขนาดไหน”

        “อาจจะเป็นโชคดีของแม่พี่แล้วล่ะที่ไม่ได้เห็น” ภูอดโล่งใจไม่ได้

        “แล้วเมื่อกี้ทำอะไรอยู่ ทำไมพี่เข้ามาต้องรีบกดปิด?” กรรณถาม แต่คำถามนั้นเหมือนจะเป็นแค่การปูทางไปสู่สิ่งอื่นเพราะตอนนี้มือของผู้ถามได้ล้วงเข้าไปในเสื้อของผู้ถูกถามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

        “พี่อย่า ไม่เอา พ่อกับแม่อยู่ข้างล่าง” ภูพยายามหยุดการเล้าโลมนั้นแต่ก็ดูไม่ค่อยเข้มแข็งเท่าที่ควรเนื่องจากเกิดอ่อนระทวยขึ้นมากระทันหันเมื่อกรรณจูบเข้าที่ต้นคอเบาๆ

        “ล๊อคห้องแล้ว ไม่ต้องกลัวหรอก” กรรณเสริมความมั่นใจให้ขณะที่มือขยันก็ไม่หยุดความพยายามที่จะล้วงผ่านขอบเอวกางเกงของภูเข้าไปแม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามต่อต้านอย่างสุดชีวิต “แล้วยังไม่ตอบเลยเมื่อกี้แอบทำอะไร?”

        “เปล่าครับ…” ภูไม่รู้จะตอบอะไรซ้ำยังโดนลูบคลำจนหัวมึนตื้อคิดอะไรไม่ออก “พี่ไปหื่นมาจากไหนเนี่ย?”

        “ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ตั้งนาน ตอนนั้นที่สุโขทัยก็หนีไปนอนโรงแรมกับพ่อแม่ ไม่ยอมมานอนบ้านด้วยกัน” กรรณยิ้มออกมาหลังจากได้ยินเสียงครางอ่อยๆ ของภูดังแว่วหลุดออกมาจากปาก

        “พูดยังกับตัวเองในตอนนั้นมีอารมณ์จะทำงั้นแหละ” ภูนึกถึงสีหน้าเหมือนแบกน้ำทะเลทั้งมหาสมุทรเอาไว้บนบ่าที่ประดับอยู่บนใบหน้าของกรรณตลอดช่วงงานศพแม่

        “อย่างน้อยได้นอนกอดก็ยังดีนี่นา” กรรณใจเต้นโครมคราม อาการเหนียมอายอันเป็นจริตโดยธรรมชาติของภูทำให้เขาตื่นตัวจนแทบคลั่งได้เสมอ “เพราะงั้นวันนี้ต้องมีการชดเชยเกิดขึ้นหน่อยแล้ว…”

        “อย่าดิ ผมจะไลฟ์เพจ ได้เวลาแล้ว” ภูอ้าง ทั้งที่ความจริงยังเหลือเวลาอยู่นิดหน่อย

        “ไลฟ์เลย เค้าจะได้รู้กันสักทีว่าไอ้หน้าหวานๆ อย่างเนี้ย มีเจ้าของแล้ว” กรรณไม่หยุดแถมตั้งท่าจะแย่งการควบคุมของคอมพิวเตอร์มาให้ตนเอง

        “ไม่เอา เดี๋ยวชดเชยให้ก็ได้ แต่ดึกๆ ก่อนนะ ให้พ่อกับแม่นอนก่อน” ภูต่อรองหลังจากนึกทบทวนดูจนมั่นใจแล้วว่าพรุ่งนี้ไม่มีการเรียนหรือคิวงานรออยู่

        “ก็ได้…” กรรณยอมตกลง แต่ถึงกระนั้นก็ยังนัวเนียไม่ยอมไปไหน “บางทีก็เสียดายนะ มีแฟนน่ารักแต่อวดใครไม่ได้”

        “ตกลงมีผมไว้อวดคนอื่นเหรอ?” ภูถามน้ำเสียงเอาเรื่อง

        “ไม่ใช่อย่างนั้น จะว่าไงดีล่ะ เวลามีคนมารุมล้อมมากๆ มันก็หวงเป็นนะ บางเวลาก็อยากแสดงความเป็นเจ้าของบ้าง” กรรณยิ้มเขินกับการทำตัวเป็นเด็กจนเกินวัยของตน

        “ก็ทำสิ ใครว่าอะไรล่ะ” ภูไม่ขัด “ไม่กลัวพี่ช้างแหกอกก็เอาเลย ทำไปเลย ผมไม่ว่า”

        เมื่อได้ยินชื่อพี่ช้างกรรณก็ถึงกับหมดอารมณ์ ชายหนุ่มผละออกจากหลังเก้าอี้ไปล้มตัวลงนอนบนเตียงซึ่งอยู่ข้างๆ ขณะที่ภูเหลือบมองเวลาและพบว่าถึงกำหนดการณ์ที่นัดเอาไว้กับทางเพจพอดี เขารีบกดเปิดหน้าจอที่พับซ่อนเอาไว้ขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะพบว่าหน้าจออินสตาแกรมลึกลับที่ถูกเปิดค้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อครู่ บัดนี้มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม รูปภาพใหม่หนึ่งรูปถูกอัพโหลดเข้ามา ครั้นมองดูแวบแรกเด็กหนุ่มยังคงไม่รู้ว่ามันคือรูปอะไร จนกระทั่งกดเข้าไปดูภาพขยายใหญ่สิ่งที่เห็นก็ทำให้อุณหภูมิของร่างกายตกฮวบลงในทันที เมื่อบุคคลที่กำลังยืนจูบกันอยู่ในภาพนั้นคือเขาและกรรณ

        “อะไรกันเนี่ย…” ภูไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง แต่เด็กหนุ่มในรูปนั้นคือตนไม่ผิดแน่ ช่วงเวลาที่ถูกบันทึกภาพน่าจะเป็นวันที่ทั้งสองออกไปซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่หลังจากที่ภูหายป่วย ไม่ผิดแน่เมื่อดูจากทั้งการรวบผมที่ซ่อนเอาไว้ใต้หมวกกับแว่นที่ใส่เพื่อพรางใบหน้านั้น

        “หือ?” กรรณเริ่มผิดสังเกตกับท่าทีของภูจึงลุกจากเตียงขึ้นมาดูที่หน้าจอบ้าง และทันทีที่ได้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองของเขาก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับภูไม่มีผิดเพี้ยน “เวรแล้วไง…”

        โดยไม่รอให้ทั้งสองตั้งตัวได้ทันตั้งตัว หน้าจอรีเฟรชตัวเองอีกครั้งพร้อมกับภาพใหม่ที่ถูกอัพโหลดเพิ่มเข้ามา เป็นภาพเดิม ถ่ายจากมุมเดิม แต่ในระยะการซูมที่ใกล้มากขึ้นกว่าเก่าทำให้สามารถระบุรูปพรรณสัณฐานของบุคคลในภาพได้ง่ายยิ่งขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยภาพที่สามในอีกไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น และภาพที่สี่ จนมาจบที่ภาพสุดท้ายซึ่งระยะการซูมสูงสุดจนเห็นใบหน้าของทั้งคู่ได้อย่างชัดเจน ทันทีที่ดึงสติกลับมาเข้าตัวได้ภูรีบเลื่อนหน้าจอขึ้นไปดูจำนวนผู้ติดตามของแอคเคาท์นี้ก่อนจะต้องสะพรึงเมื่อพบว่ารูปทั้งหมดน่าจะออกสู่สายตาผู้ใช้งานอินสตาแกรมไปแล้วอย่างน้อยหกร้อยคน

        ภูรีบกลับเข้าไปในเว็บเพจเพื่อควบคุมความเสียหาย แต่ก็พบว่าช้าเกินไปเสียแล้ว เมื่อภาพเหล่านั้นถูกแชร์ออกไปในระยะเวลาไล่เลี่ยกับที่ถูกอัพโหลดขึ้นในอินสตาแกรม เสียงเตือนข้อความเข้าจากกล่องข้อความส่วนตัวในเพจดังขึ้นรัวสนั่นจนภูเสียขวัญต้องรีบกดปิดหน้าจอหนีออกไปตั้งสติ แต่ก็ใช่ว่าจะหนีพ้นเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือของภูก็ดังขึ้นตามมาในเวลาไม่กี่นาที เป็นเบอร์ของพี่ช้างที่โทรเข้ามา ภูไม่กล้ารับสายด้วยไม่รู้จะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นว่าอย่างไร เสียงเรียกเข้าดังขึ้นจนเงียบไปก่อนจะไปดังต่อที่เครื่องของกรรณ

        “สวัสดีครับพี่” กรรณตัดสินใจรับสาย เขาส่งสัญญาณให้ภูอยู่เงียบๆ เอาไว้ขณะที่ตนตอบคำถามของพี่ช้างที่ยิงกระหน่ำมาเป็นชุดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ครับ เห็นแล้วครับพี่ ใช่ครับ ผมเอง… ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครเป็นคนถ่ายครับ… น้องไม่รู้เรื่องครับ… ขอโทษครับ ไม่มีอะไรจะแก้ตัวเลยครับ”

        เป็นเวลาหลายนาทีเลยทีเดียวที่กรรณมีเพียงคำขอโทษและการก้มหน้ายอมรับสิ่งใดก็ตามที่พี่ช้างกำลังโวยวายอยู่ในสายโทรศัพท์ แต่ภูก็รู้ดีว่านี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของความวินาศสันตะโรครั้งใหญ่ที่กำลังจะตามมา ไม่ต้องห่วงเลยว่าอีกไม่นานเกินรอเขาจะต้องถูกทางช่องเรียกเข้าไปชี้แจงถึงที่มาของภาพเหล่านี้เป็นแน่ และหากเท่านั้นยังไม่มากพอ นอกจากต้นสังกัดแล้วก็ยังมีเพื่อนที่มหาวิทยาลัยอีกเป็นฝูงตลอดจนคนรู้จักและบรรดาญาติที่ภูจะต้องคอยชี้แจงตัวเองผ่านการตอบคำถามทิ่มแทงใจที่พวกนั้นจะรุมกระหน่ำถามเข้ามาอีก แต่ในขณะที่เด็กหนุ่มมัวแต่กังวลถึงปัญหาที่จะมาจากภายนอกนั้น เขาก็ลืมคิดไปว่าบางทีสิ่งที่น่าเป็นกังวลที่สุดในยามนี้อาจจะอยู่ในบ้านของตนเอง ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตรที่ห้องรับแขกชั้นล่าง

        “พ่อนายต้องไม่ชอบใจแน่…” กรรณพูดขึ้นมาอย่างหวาดหวั่นหลังจากวางสายพี่ช้างไปแล้ว

        “พ่อไม่เล่นโซเชียลครับ คงเห็นยากหน่อย ถ้าปิดดีๆ ก็พอได้ หวังแค่ให้มันไม่เป็นข่าวใหญ่ก็พอ” ภูบอกทั้งตัวเองและกรรณไปพร้อมๆ กัน

        เสียงฝีเท้าที่เดินขึ้นบันไดมาทำให้การสนทนาของทั้งคู่หยุดลงทันที ภูเงี่ยหูฟังจนกระทั่งมันมาหยุดที่หน้าห้องของตน ลูกบิดถูกหมุนแต่ติดที่กรรณลงกลอนเอาไว้จึงไม่อาจเปิดเข้ามาได้

        “ภู ล๊อคห้องทำไม?” เสียงของแม่ดังมาจากหลังประตู

        “แป๊ปนึงครับ” ภูส่งเสียงตอบก่อนจะตรวจดูสภาพของตนจนมั่นใจว่าเรียบร้อยดีจึงค่อยเดินไปเปิดประตู “แม่มีอะไรรึเปล่าครับ?”

        “มีสิ…” สีหน้าแม่ดูไม่สบายใจ สายตามองข้ามไหล่ภูเข้ามาหากรรณที่ยืนหน้าซีดอยู่ข้างใน “ลงมาข้างล่างหน่อย ทั้งคู่เลย”

        ภูพยักหน้า ใจพยายามคิดในแง่ดีว่าการเรียกพบของผู้ปกครองในครั้งนี้คงเป็นแค่จังหวะประจวบเหมาะบังเอิญพอดี ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับรูปสุดฉาวที่เพิ่งถูกปล่อยให้ออนไลน์ไปหมาดๆ เด็กหนุ่มเดินตามหลังแม่ลงไปยังห้องรับแขกชั้นล่างโดนมีกรรณตามหลังมาติดๆ สีหน้ากระวนกระวายใจของแม่บ่งบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่และเมื่อเห็นสีหน้าโกรธจัดของพ่อที่นั่งรออยู่ในห้องรับแขก ภูก็ยิ่งมั่นใจกว่าเดิมว่านอกจากจะไม่ใช่เรื่องดีแล้วมันยังต้องเลวร้ายมากอย่างแน่นอน

        “พ่อมีอะไรเหรอครับ?” ภูพยายามทำใจดีสู้เสือเผื่อว่าลางสังหรณ์ของตนจะผิดพลาด

        “มีอะไรจะอธิบายเรื่องนี้ไหม?” พ่อเข้าประเด็นทันทีไม่มีอ้อมค้อม ไม่ให้เวลาใครได้เตรียมใจทั้งสิ้น

        “เรื่องอะไรครับ?” ภูทำไขสือ

        “ก็เรื่องฉากรักบันลือโลกของแกไง ความจำเสื่อมเหรอทำอะไรลงไปถึงจำไม่ได้?” พ่อถามกลับมาเสียงเกือบจะเป็นตวาด

        “ผมขอโทษครับ ผมคิดน้อยเกินไป ไม่คิดว่าจะมีคนเห็นเข้า” กรรณรีบออกตัวรับแทน

        “เออ ง่ายดี” พ่อพูดเสียงขึ้นจมูก โมโหสุดขีด “ขอโทษแล้วมันทำให้ชื่อเสียงตระกูลชั้นมันหยุดเสียหายไหม? รู้ไหมว่าตอนนี้เค้ารู้กันทั้งโครตแล้ว ถ้าชั้นไม่ปิดมือถือ ไม่ยกหูโทรศัพท์ออก ป่านนี้ก็ยังโทรมากันไม่หยุด”

        “แล้วเค้ารู้กันได้ยังไง…?” ภูไม่เข้าใจว่าทำไมมันจึงเผยแพร่ออกไปไวและกว้างมากถึงขนาดที่ญาติของตนจะรับรู้ได้

        “ก็มันโผล่เต็มหน้าจอทีวีขนาดนั้นมันจะไม่ไปไวได้ไง แกนี่ปัญญาอ่อนรึเปล่าหา?” พ่อคำรามถามเสียงดังลั่นจนภูสะดุ้งเฮือก

        คำตอบนั้นทำให้ทั้งภูและกรรณเข้าใจในทันทีว่าพวกตนประเมินความร้ายแรงของเรื่องนี้ต่ำไปกว่าความเป็นจริงมาก ไม่ว่าเจ้าของรูปถ่ายพวกนี้จะเป็นใคร เขาไม่ได้เพียงแค่ปล่อยมันลงในอินเตอร์เน็ต แต่ยังส่งต่อให้กับสื่อและพวกนักข่าวอีกด้วย

        “ผมขอโทษครับ ทุกอย่างผมผิดเอง อย่าว่าน้องเลยครับ” กรรณรับผิดทั้งหมดด้วยตนเองเพื่อปกป้องภู

        “แกน่ะผิดแน่อยู่แล้ว!” พ่อของภูตวาดกลับมา “โตเป็นผู้ใหญ่แล้วซะเปล่า ไม่รู้จักว่าอะไรควรไม่ควร ไม่รู้จักปกป้องชื่อเสียงให้น้อง”

        “ขอโทษจริงๆ ครับ” กรรณไม่มีอะไรจะแก้ตัว

        “วันนั้นที่คุยกันชั้นก็บอกแกแล้วใช่ไหม? ถ้าแกมาทำให้ลูกชั้นเสียหายหรือเสียใจ ชั้นไม่เอาแกไว้แน่!” พ่อขู่

        “พ่อ… พอเถอะ เด็กมันก็ยอมรับผิดแล้ว เค้าก็ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้หรอกนะ” แม่พยายามเกลี้ยกล่อมอีกแรง

        “คนที่ควรจะเครียดเรื่องนี้จริงๆ น่าจะเป็นผมมากกว่านะพ่อ” ภูทนไม่ไหว “ที่เป็นอยู่ตอนนี้ พ่อก็แค่อายเท่านั้นแหละ”

        “เงียบไปเลย” พ่อหันมาชี้หน้าภู “ขึ้นไปรอบนห้อง เดี๋ยวพ่อจะไปเคลียร์กับแกทีหลัง ตอนนี้ขอจัดการไอ้เหลือขอนี่ก่อน”

        “ก็คุยตรงนี้เลยสิ!” ภูขึ้นเสียงกลับ “ผมยอมให้เค้าทำเองอ่ะ เค้าไม่ได้บังคับ ถ้าผิดก็ผิดด้วยกันนี่แหละ”

        แม่รีบดึงภูออกมาจากห้องรับแขก เด็กหนุ่มพยายามขัดขืนแต่แม่ก็พยักหน้าบอกให้ทำตามและพาขึ้นไปยังห้องนอนชั้นสอง จากบนนั้นภูยังคงได้ยินเสียงโวยวายของพ่อที่สาดอารมณ์ใส่กรรณราวกับพายุคลั่ง นี่มันไม่ยุติธรรมเลย… ภูคิดขณะที่มือทั้งสองปิดหูเอาไว้กั้นไม่ให้เสียงแห่งการทะเลาะวิวาทนั้นเล็ดลอดเข้ามาได้ เด็กหนุ่มรู้สึกแย่ที่พ่อเลือกจะโทษว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของกรรณ ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ความผิดของใครเลย พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล

        เมื่อคลายมือออก เสียงจากชั้นล่างก็เงียบไปแล้ว ภูมองออกไปยังนอกหน้าต่างห้องนอนก่อนจะพบว่าแสงไฟจากทางฝั่งของกรรณเปิดอยู่ เขาคงกลับไปยังบ้านของตนเองแล้ว ภูรู้ดีว่าตอนนี้อีกฝ่ายคงรู้สึกแย่ไม่น้อยไปกว่าตนเป็นแน่ บางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำจากการโดนต่อว่าอย่างรุนแรงจากทุกทิศทางเช่นนี้ เด็กหนุ่มเปิดหน้าต่างออกไปยังระเบียงแล้วจึงข้ามไปยังอีกฝั่งก่อนจะเคาะเบาๆ เข้าที่ประตูทางเข้าบ้านจากชั้นสอง

        “พี่กรรณ เปิดหน่อยครับ” ภูร้องเรียกเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมเปิด

        “นายกลับไปก่อนเถอะ” เสียงแผ่วเบาของกรรณตอบกลับมาจากด้านใน “ขอพี่อยู่คนเดียวสักพักนะ”

        “พี่อย่าคิดมากนะ พ่อก็แค่โกรธ เดี๋ยวหายก็ไม่มีอะไรแล้ว” ภูพยายามบอกให้กรรณไม่ต้องใส่ใจ

        “พ่อนายก็พูดถูก… พี่ทำให้นายกับครอบครัวเสื่อมเสียชื่อเสียง” กรรณยอมรับ “ขอโทษนะ พี่น่าจะคิดให้เยอะกว่านี้ก่อนทำอะไรลงไป”

        “นี่มันไม่ใช่ความผิดเราสองคนด้วยซ้ำ…” ภูหดหู่ใจที่กรรณกลับมาอยู่ในสภาวะจิตตกอีกแล้ว

        “นายกลับไปเถอะ พ่อกำลังโกรธ ถ้าขึ้นมาเจอว่านายแอบมานี่จะยิ่งไปกันใหญ่นะ” กรรณเตือน

        ในเมื่ออีกฝ่ายยังเอาแต่หลบอยู่หลังประตู ภูก็จนปัญญาจะทำให้กรรณรู้สึกดีขึ้น อีกทั้งคำเตือนที่ได้รับก็ควรค่าแก่การพิจารณา เด็กหนุ่มตัดสินใจถอยกลับไปก่อนเพื่อรอให้ความคุกรุ่นในบรรยากาศลดลงกว่านี้ ให้อารมณ์ของกรรณสงบกว่านี้แล้วจึงค่อยมาสานต่อปรับความเข้าใจกันอีกครั้ง

        ภูปีนขึ้นบนขอบรั้วไม้ของระเบียงเตรียมจะข้ามกลับไปยังฝั่งบ้านของตน มันคงราบรื่นไม่มีปัญหาเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาหากจิตใจของเด็กหนุ่มไม่ได้กำลังว้าวุ่นสับสนเช่นนี้ จะด้วยการคะเนระยะพลาดหรือเพราะใจที่ลอยห่างออกจากตัวก็ตามแต่ แต่ผลของมันก็คือร่างของภูได้หล่นวูบร่วงลงไปกระแทกกับกำแพงด้านล่าง เคราะห์ดีที่จุดปะทะเกิดขึ้นบริเวณลำแขนอาการบาดเจ็บที่ได้รับจึงไม่ถึงขั้นสาหัส แต่มันก็ร้ายแรงพอจะทำให้เขาไม่อาจจะขยับพาตัวเองออกจากตรงนั้นได้

        เสียงร้องโอดโอยของภูเรียกให้ทั้งพ่อและแม่ออกมาดู กรรณก็เช่นกัน เขารีบวิ่งลงมาหาภูที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นหญ้า จากการประเมินด้วยสายตากระดูกแขนของเด็กหนุ่มน่าจะหัก แต่ด้วยไม่มั่นใจว่ายังมีกระดูกส่วนอื่นที่หักอีกไหมเขาจึงไม่เสี่ยงที่จะเคลื่อนย้ายหรือขยับตัวคนเจ็บในตอนนี้ แม่ที่ตกใจสุดขีดรีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับน้ำตานองหน้าในขณะที่พ่อโวยวายใส่โทรศัพท์เรียกให้รถพยาบาลมารับ จนเมื่อวางสายจึงเดินตามแม่เข้ามาหาลูกชายที่นอนหอบหายใจด้วยความเจ็บอยู่บนพื้น

        “ขอโทษครับ เดี๋ยวผมจะรับผิดชอบค่ารักษาให้ทั้งหมดเอง” กรรณแสดงความรับผิดชอบ

        พ่อของภูตอบรับความปรารถนาดีนั้นด้วยฝ่ามือที่ตบเข้าข้างแก้มของกรรณอย่างแรงจนหน้าหัน ภูอ้าปากจะร้องห้ามแต่ก็เจ็บเกินกว่าจะทำอะไรไหว ได้แต่มองดูกรรณที่ยืนก้มหน้านิ่งตัวสั่นอยู่ต่อหน้าตนโดยไม่อาจช่วยอะไรได้

        “พอกันที… ต่อไปนี้แกห้ามมายุ่งกับลูกชั้นอีก” พ่อยื่นคำขาดกับกรรณ

        “พ่อ… นี่มันไม่เกี่ยวกับพี่เค้านะ มันเป็นอุบัติเหตุ” ภูพยายามอธิบาย

        “แกก็ด้วยไอ้ภู” พ่อหันมาหาภู “ถ้าแกยังคิดว่าตัวเองเป็นลูกพ่อ ต่อไปห้ามแกยุ่งกับมันอีกเด็ดขาด…”

        รถพยาบาลของหน่วยกู้ภัยมาถึงพร้อมกับเจ้าหน้าที่สองคนที่ช่วยกันปฐมพยาบาลเบื้องต้นและนำร่างของเด็กหนุ่มผู้บาดเจ็บขึ้นเปลนำไปใส่ท้ายรถเตรียมส่งโรงพยาบาล ภูไม่มีโอกาสที่จะได้พูดอะไรกับกรรณอีกแม้แต่คำเดียว ทั้งหมดที่ทำได้คือเพียงแค่จ้องมองดูอีกฝ่ายที่มายืนส่งอยู่จนกระทั่งประตูท้ายรถปิดลงกั้นทั้งสองออกจากกัน



To be continued...

2 Episodes left
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 22 ☆ [2-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 02-05-2018 17:00:31
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 22 ☆ [2-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-05-2018 20:16:08
 :เฮ้อ: :a5:  :เฮ้อ:



 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 22 ☆ [2-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 02-05-2018 21:46:36
 :monkeysad: :sad11:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 22 ☆ [2-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-05-2018 22:20:56
คำถาม ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังการปล่อยข่าว?  :katai1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 22 ☆ [2-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-05-2018 22:55:17
 :pig4: :pig4: :pig4:

ใครปล่อยภาพฟระ?

เด๋วตรูจะสั่งคนไปเก็บแม่ม  บังอาจนัก
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 22 ☆ [2-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 03-05-2018 00:09:28
ใครเป็นคนปล่อยรูปเนี่ย สงสารพี่กรรณกับน้องภู
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 22 ☆ [2-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 03-05-2018 02:15:02
นี่ถ้าไม่ดีกับจอสแล้ว จะคิดว่าเป็นจอสนะ  :m23:
จอสสสส อยู่ไส ตามเรื่องและจัดการให้เพื่อนบัดเด๋วนี้  :pigangry2:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 22 ☆ [2-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 03-05-2018 12:59:47
ตามอ่าน ..
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 22 ☆ [2-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 04-05-2018 07:40:31
สงสารกรรณกับภูมากมาย T_T
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 22 ☆ [2-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 06-05-2018 20:59:21
:katai1: :katai1: :katai1:

เครียดเลย  :katai1:



:เฮ้อ: :a5:  :เฮ้อ:



 :L2: :pig4: :L2:

ดราม่านิดนึง ใกล้จบแล้วววว  :katai4:



:monkeysad: :sad11:

อย่าร้องๆ ให้กำลังใจน้องดีกว่า



คำถาม ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังการปล่อยข่าว?  :katai1:

อย่าให้รู้นะว่าใคร  :z3:



:pig4: :pig4: :pig4:

ใครปล่อยภาพฟระ?

เด๋วตรูจะสั่งคนไปเก็บแม่ม  บังอาจนัก

กำลังจะแฮปปี้แล้วเชียวววว



ใครเป็นคนปล่อยรูปเนี่ย สงสารพี่กรรณกับน้องภู

คนบางคนก็ทำไปเพราะความสนุกของตัวเอง แต่ไม่ได้เห็นใจคนที่โดนครับ



นี่ถ้าไม่ดีกับจอสแล้ว จะคิดว่าเป็นจอสนะ  :m23:
จอสสสส อยู่ไส ตามเรื่องและจัดการให้เพื่อนบัดเด๋วนี้  :pigangry2:

อย่าโทษจอส จอสไม่เกี่ยวววว แต่เดี๋ยวมาแน่ คอยดู



สงสารกรรณกับภูมากมาย T_T

เอาใจช่วยน้องด้วยครับ ชีวิตดูลำบากลำบนเหลือเกิน



ตามอ่าน ..

ตามให้จบเลยนะครับ อีกนิดเดียวเองง  :katai4:



หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 22 ☆ [2-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 06-05-2018 21:02:44
Episode 23

        แม้จากการตรวจโดยละเอียดภูจะไม่ได้มีส่วนไหนที่บาดเจ็บร้ายแรงมากไปกว่ากระดูกแขนซ้ายที่หักจนต้องเข้าเฝือก แต่หมอก็ยืนกรานที่จะให้นอนพักอยู่โรงพยาบาลจนกว่าจะเช้าเพื่อเฝ้าดูอาการเผื่อว่าอาจมีความบอบช้ำภายในที่ยังไม่สำแดงออกมา ทั้งพ่อและแม่อยู่ที่โรงพยาบาลด้วยทั้งคืน แม่คอยอยู่เพื่อดูแลภูซึ่งไม่อาจทำอะไรได้ถนัดเมื่อเหลือแขนที่ใช้ได้เพียงข้างเดียว ในขณะที่ทางฝั่งของพ่อเหมือนจะแค่มาเฝ้าเพื่อไม่ให้กรรณแอบเข้ามาหาลูกชายของตนได้มากกว่า ภูใช้จังหวะช่วงที่พ่อลงไปซื้อกาแฟข้างล่างขอยืมโทรศัพท์มือถือของแม่เพื่อโทรหากรรณแต่ก็ต้องผิดหวังเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมรับสาย ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเท่าใดนักเมื่อคิดดูจากสิ่งที่ต้องพบเจอมาทั้งหมดในคืนนี้

        การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุไม่อาจใช้เป็นข้ออ้างในการหลีกเลี่ยงสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ ทันทีที่ออกจากโรงพยาบาลภูก็ถูกผู้ใหญ่ของทางช่องเรียกตัวเข้าพบด่วนที่สุดเท่าที่จะทำได้ในวันรุ่งขึ้นเพื่อขอคำชี้แจงเกี่ยวกับภาพที่หลุดออกไป การมีชื่อเสียงมักเป็นดาบสองคมเสมอ หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับนักแสดงฝึกหัดรุ่นเดียวกันคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มีกระแสชื่อเสียงหรือผลงานออกสู่สายตาประชาชนมากเท่ากับภู ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็คงเพียงแค่เก็บตัวเงียบและปล่อยให้ทุกอย่างจางหายไปเมื่อมีเรื่องใหม่มาให้ผู้เสพข่าวสนใจแทน แต่สำหรับในกรณีของภูนั้นนอกจากข่าวจะไม่ยอมจางหายไปง่ายๆ แล้ว ยังมีการขุดคุ้ยหาข้อมูลของอีกบุคคลหนึ่งในข่าวซึ่งก็คือกรรณออกมาเผยแพร่กันอย่างแพร่หลายชนิดที่ว่าไร้ซึ่งความเคารพในสิทธิความเป็นส่วนตัวของบุคคล

        “เผยโฉมหน้าหนุ่มลึกลับในรูปหลุดจูบสยิว ดีกรีไม่ธรรมดา ระดับช่างภาพอินเตอร์” สาลี่อ่านพาดหัวข่าวในเว็บออกเสียงให้ภูได้ยิน “เห็นหงิมๆ ที่แท้แรงตัวพ่อ งานนี้ไม่รู้ว่าหลุดจริงหรือจงใจปล่อยเรียกกระแส เพราะนายพิภูก็กำลังจะมีผลงานชิ้นแรกกับทางช่องอยู่พอดี”

        “จงใจบ้านมันสิ…” ภูปวดหัวหนึบกับความช่างโยงของผู้คน “แล้วนี่แกไม่มีอะไรอย่างอื่นจะอ่านแล้วหรือไง?”

        “นี่ถ้าชั้นไม่เห็นรูปพวกนั้นกับตา ชั้นก็คงนึกว่าอีพวกนักข่าวมันนั่งเทียนเขียนกันเอาเองนะ เพราะนึกภาพไม่ออกเลยว่าแกจะกล้าทำอะไรแบบนี้ในที่สาธารณะได้” สาลี่ยังวิพากษ์วิจารณ์ต่อ “ต้องขอชม ชั้นมองแกผิดไปจริงๆ ว่ะไอ้ภู เด็ดมาก เย้ยฟ้าท้าดินสุดๆ”

        “ตกลงว่าแกจะช่วยซ้ำเติมชั้นอีกแรงใช่มะ?” ภูเริ่มโมโหขึ้นมาจริงๆ

        หลังจากเสร็จสิ้นการเข้าไปชี้แจงตัวเองกับทางต้นสังกัด ภูเลือกที่จะแวะมาหาสาลี่ที่บ้านเพราะยังไม่อยากกลับไปเผชิญบรรยากาศอันตึงเครียดในบ้านตนเอง แต่ยิ่งอยู่ที่นี่นานขึ้นเท่าไหร่เด็กหนุ่มก็อดที่จะรู้สึกไม่ได้ว่ากำลังหนีเสือปะจระเข้ เพราะเพื่อนซี้ดูท่าจะสนุกสนานกับข่าวฉาวนี้อย่างไม่เกรงใจเจ้าตัวที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงหน้าเลยทีเดียว

        “จริงๆ แกน่าจะปลื้มมากกว่านะ ดูความคิดเห็นของพวกคนที่แชร์ข่าวสิ มีแต่คนอยากแก้ผ้าให้แฟนแกถ่ายรูปทั้งนั้นเลย” สาลี่ยังไม่หยุด “ของแกเองก็ใช่ย่อยที่ไหน ดูคอมเม้นนี้สิ บอกถ้าได้แบบน้องภูนี่จะไม่แค่จูบหรอก ต้องเลียให้ล้มเลย”

        “พอแล้วชั้นไม่อยากฟัง” ภูยกหมอนขึ้นมาปิดหู “รู้สึกเหมือนโดนลากมาข่มขืนในที่แจ้งเลยอ่ะ”

        “แล้วแฟนแกเค้าว่ายังไงบ้างกับเรื่องนี้?” สาลี่ถามไปถึงกรรณ

        “ไม่รู้สิ ยังไม่ทันจะได้คุยกันเลย โทรไปก็ไม่ยอมรับสาย” ภูส่ายหน้า หวนนึกไปถึงเรื่องระหว่างพ่อของตนกับกรรณที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้อีกครั้ง

        “ก็ไปหาเลยสิ” สาลี่แนะ

        “จะไปหายังไงล่ะ พ่อไม่ปลื้มแล้ว” ภูมืดแปดด้าน คิดในใจว่าหากบ้านของทั้งสองไม่ได้อยู่ชิดติดกันแบบนี้คงจะลักลอบพบกันได้ง่ายขึ้น “ตอนแรกยังไม่เท่าไหร่ แต่พอชั้นตกจากระเบียงมาแขนหัก เค้าก็โทษว่าเป็นเพราะพี่กรรณแล้วก็สั่งห้ามคบกันเลย”

        “พวกพ่อๆ น่ะไม่เคยปลื้มกับแฟนลูกตัวเองหรอก” สาลี่ยกตัวเองขึ้นมาเป็นตัวอย่าง “แกไม่รู้หรอกไอ้ภู ว่าชั้นเคยโดนพ่อสั่งเลิกคบผู้ชายมากี่รอบแล้ว และถามต่อสิว่าชั้นเคยทำตามที่เค้าสั่งซักรอบไหม?”

        “ไม่เคย” ภูตอบได้โดยไม่ต้องเดา

        “ถูก…” สาลี่พยักหน้า “เพราะชั้นตั้งใจเอาไว้แล้วว่าถ้าจะมีผัวชั้นต้องเลือกด้วยตัวเอง ขืนเอาแต่แคร์คำห้ามของพ่อบ้าง ของแม่บ้าง มันก็ไม่มีใครดีพอหรอก ชาตินี้ขึ้นคานกันพอดี รับฟังความคิดเห็นจากครอบครัวน่ะได้ ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ไม่ใช่ว่าเค้าบอกให้เลิกก็เลิก บอกให้คบใครก็คบ”

        “แล้วใครว่าชั้นจะยอมเลิกตามที่พ่อสั่ง… ก็แค่ตอนนี้ยังคิดไม่ออกว่าจะเอาไงต่อดีก็เท่านั้นแหละ” ข้อนี้ภูรู้อยู่เต็มอก

        “ไม่ต้องให้ซับซ้อนหรอก ถ้าไม่รับสายก็ส่งข้อความไปหา นัดให้เค้าออกมาเจอ ถ้าเค้าแคร์แกจริงเค้าก็จะไม่ปล่อยให้แกรอเก้อ” สาลี่ยุ “ชั้นไม่ได้จะบอกให้แกกบฏกับพ่อตัวเองหรอกนะ แต่เท่าที่ฟัง พ่อแกน่าจะแค่กำลังโกรธอยู่จากการที่ลูกทำงามหน้าก็เลยเป็นแบบนั้น ยิ่งพอเห็นแกเจ็บตัวเพราะปีนหาผู้ชายถึงบ้านก็เลยโกรธกว่าเดิม แต่แกเจ็บอยู่จะเอาความโกรธมาลงกับแกก็ไม่ได้ หวยก็เลยมาออกที่พี่กรรณแบบรางวัลใหญ่เลย”

        “วิเคราะห์ได้ลึกซึ้งมาก” สิ่งที่สาลี่พูดนั้นตรงกับที่ภูคิดไว้

        “ที่รู้ดีขนาดนี้เพราะเคยเจอกับตัวว่ะ” สาลี่ยอมรับ “ป๊าชั้นน่ะชอบคิดเยอะแทนลูก อะไรนิดอะไรหน่อยขัดตาขัดใจก็ไล่ตะเพิดแฟนลูกเหมือนหมูเหมือนหมา แถมพวกผู้ชายก็ชอบจิตอ่อนขวัญกระเจิงบ้าจี้หนีหายกันไปจริงๆ ชั้นถึงหาแฟนยากเย็น”

        “นี่แกไม่คิดจริงๆ เหรอว่าที่มันยากน่ะอาจเพราะตัวแกเอง” ภูเสนอความคิดในอีกมุมมอง

        “ในเวลาที่พึ่งพาใครไม่ได้แล้วแบบนี้ แกคิดจะทำลายพันธมิตรสุดท้ายที่แกมีอยู่จริงๆ เหรอไอ้ภู” สาลี่มองมาด้วยสายตาพร้อมจะฆ่า

        “โอเค แกไม่มีแฟนเพราะพ่อแกดุ โอเคเลย ตามนั้น” ภูยอมเอาตามที่เพื่อนสบายใจ

        “ดีมาก แบบนี้สิเพื่อนกัน” สาลี่หยิบปากกาเคมีขึ้นมาและตรงเข้ามาหาเฝือกของภู “เดี๋ยวขอชั้นเจิมเฝือกแกเป็นคนแรกก่อน แล้วแกก็รีบไปจัดการนัดพี่เค้ามาคุยให้รู้เรื่องได้แล้ว ไม่งั้นเกิดพ่อแกไปขู่ซ้ำจนเค้าขวัญหนีดีฝ่อหนีหายไปกู่ไม่กลับชั้นไม่รู้ด้วยแล้วนะคราวนี้”

        ภูออกจากบ้านของสาลี่มาพร้อมกับลายหัวใจสารพัดสีเต็มพื้นที่เฝือกบนแขนซ้าย เขาเลือกที่จะยังไม่กลับบ้านเพราะรู้ว่าหากเข้าไปแล้วโอกาสที่จะได้ออกมาโดยไม่ถูกพ่อสงสัยนั้นน้อยมาก เช้านี้เขาออกมาตามลำพังได้เพราะพ่อยังต้องไปเคลียร์งานในช่วงเช้า แต่ถ้าเป็นในตอนนี้ที่พ่อคงกลับมาบ้านเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าเขาจะใช้ข้ออ้างว่าไปที่ไหนพ่อก็ต้องอาสาที่จะขับรถไปส่งอย่างแน่นอน เด็กหนุ่มพยายามนึกหาสถานที่ๆ พอจะพบเจอกับกรรณได้โดยไม่ตกเป็นเป้าสายตา เมื่อนึกออกจึงขึ้นแท๊กซี่และบอกจุดหมายปลายทางที่จะไปก่อนจะพยายามพิมพ์ข้อความทางโทรศัพท์ด้วยมือข้างเดียวอย่างทุลักทุเลเพื่อส่งเป็นนัดหมายให้กรรณออกมาพบ

        ภูลงจากรถเมื่อมาถึงจุดอันเป็นสถานที่นัดหมาย สวนสาธารณะใจกลางเมืองที่ซึ่งเขากับกรรณเคยมาเยือนด้วยความบังเอิญในวันอันเป็นเสมือนเดทแรกของทั้งคู่ แม้เวลาจะผ่านมาเกือบหนึ่งปีแล้วแต่จำนวนผู้คนที่มาเยือนที่นี่ก็ยังคงบางตาไม่ผิดไปจากครั้งก่อน บรรยากาศรอบตัวนั้นเงียบสงบจนทำให้จิตใจที่กำลังว้าวุ่นของเด็กหนุ่มเริ่มสงบตามไปด้วย ภูนั่งลงบนพื้นหญ้าตรงจุดที่เขาเคยเอนกายนอนหลับไปในวันนั้น เกือบจะถึงเวลาที่นัดเอาไว้ในข้อความแล้วทว่าก็ยังไม่มีวี่แววว่ากรรณจะโผล่มา ไม่มีแม้แต่โทรศัพท์สักสายที่จะโทรมาบอกว่าเขารับรู้นัดครั้งนี้แล้ว แต่ภูก็ตัดสินใจที่จะรอต่อไปอย่างเชื่อมั่นว่าท้ายที่สุดแล้วอีกฝ่ายจะไม่ปล่อยให้ตนต้องรอเก้อ

        จิตใจที่สงบเริ่มสั่นไหวจนกระวนกระวายขึ้นทีละน้อยตามเข็มเวลาที่ล่วงเลยผ่านเวลานัดไปมากขึ้นทุกที จากครึ่งชั่วโมงจนล่วงเข้าสู่หนึ่งชั่วโมง จนกระทั่งย่างเข้าสู่ชั่วโมงที่สองแห่งการรอคอย ความอดทนของภูก็หมดลงพร้อมกับแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าไป เด็กหนุ่มยันตัวลุกขึ้นยืนและปัดเศษหญ้าออกจากกางเกงขณะที่ตาก็ชะเง้อมองหาวี่แววของกรรณอย่างสิ้นหวัง จนเมื่อตัดใจยอมรับความจริงได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมมาพบกับตนแน่แล้วจึงได้เริ่มขยับขาก้าวเดินพาร่างซึ่งบรรทุกหัวใจที่หนักอึ้งไปด้วยความเครียดของตนเองออกไปจากตรงนั้น คอยสั่งตัวเองในทุกก้าวที่ย่ำเดินลงไปไม่ให้น้ำตาไหลออกมาเมื่อคิดว่าทุกอย่างในความสัมพันธ์นี้คงมาถึงทางตันแล้ว และในตอนนั้นเองที่เสียงเรียกเข้าซึ่งถูกตั้งค่าเอาไว้เป็นเสียงเฉพาะสำหรับเบอร์โทรของกรรณก็ดังขึ้น ภูรีบหยิบมันขึ้นมาและกดรับสาย
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 22 ☆ [2-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 06-05-2018 21:12:02
        “ฮัลโหล…” แม้จะพยายามอดกลั้นอย่างเต็มที่แต่เสียงที่พูดออกไปนั้นก็ยังเจือด้วยลูกสะอื้นจนสัมผัสได้

        “ภู ยังรออยู่หรือเปล่า?” เสียงร้อนรนของกรรณถามมาจากปลายสาย “พี่เพิ่งเห็นข้อความตอนกลับมาถึงบ้านเนี่ย ไม่ได้เช็คโทรศัพท์เลยตั้งแต่ตอนทำงานเสร็จ แล้วนั่นเป็นอะไร? ร้องไห้เหรอ?”

        “ไม่อ่ะ แต่เกือบแล้ว” ภูสูดน้ำมูกที่ทำท่าจะไหลออกมา “พี่รีบมานะ ผมยังรออยู่”

        “ครับ รอแป๊ปนะ พี่จะรีบไป” กรรณบอกก่อนจะรีบวางสายไป

        กรรณมาถึงที่นั่นในอีกไม่กี่นาทีต่อมาด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่มอเตอร์ไซค์รับจ้างจะพามาได้ เขาเดินเข้าไปในสวนสาธารณะพลางชะเง้อมองซ้ายขวาหาภูอยู่ตลอดทาง จนกระทั่งเห็นอีกฝ่ายที่โบกมือเป็นสัญญาณบอกตำแหน่งตนเองอยู่จึงรีบเดินเข้าไปหา

        “นึกว่าพี่จะไม่มาแล้วซะอีก” ภูบอกกับกรรณที่เพิ่งมาถึง

        “ขอโทษนะ พี่ไม่ได้เช็คข้อความ ทำงานเสร็จก็นั่งหลับบนรถตลอดทางกลับบ้านเลย” กรรณมองไปที่เฝือกบนแขนของภู “แล้วนี่เป็นยังไงบ้าง? ยังเจ็บอยู่ไหม?”

        “นิดหน่อยครับ รำคาญเฝือกมากกว่า” ภูชูแขนอวดลวดลายบนเฝือกให้อีกฝ่ายดู “สนใจจะแสดงฝีมือบ้างไหมครับ? ยังมีที่เหลืออีกนิดนึง”

        “ขอโทษนะ เมื่อคืนพี่น่าจะออกมาพานายกลับไปส่งบ้านดีๆ” สีหน้าของกรรณบ่งบอกถึงความรู้สึกผิด “ตอนนั้นพี่คิดอะไรไม่ออกแล้ว ทุกอย่างมันรุมเข้ามาพร้อมกันหมดทุกทางเลย”

        “ผมเข้าใจ” ภูยื่นมือไปจับมืออีกฝ่าย กรรณสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะยอมให้จับเมื่อเหลียวมองรอบตัวแล้วไม่พบว่ามีใครอยู่ เด็กหนุ่มจูงมืออีกฝ่ายและพาไปนั่งลงบนม้านั่งริมน้ำ “ผมก็เจอมาหนักเหมือนกันวันนี้”

        “ทางช่องเค้าว่ายังไงบ้าง?” กรรณถามถึงปฏิกิริยาตอบรับจากต้นสังกัดของภู

        “ก็ตอนนี้ให้งดออกสื่อ ห้ามให้สัมภาษณ์กับสื่อเจ้าไหนทั้งนั้น พี่ช้างก็เลยยกเลิกคิวอีเวนท์ทั้งหมดไปเลย” ภูดูโล่งใจมากกว่าจะเสียดาย “ก็เหลือแค่ละครที่ยังต้องถ่ายอยู่ ก็จะเปิดกล้องเดือนหน้าแล้ว แต่ผมคงต้องไปตามถ่ายทีหลังเพราะแขนคงยังถอดเฝือกไม่ได้”

        “แล้ว… เพื่อนๆ นายล่ะ?” กรรณถามเพราะเท่าที่เขารู้ในบรรดาเพื่อนของภูทั้งหมดมีสาลี่เพียงคนเดียวที่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองอยู่แล้ว “ข่าวออกไปแบบนั้น เพื่อนนายรับได้กันไหม?”

        “สบายๆ” ภูทำท่าเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ “ก็มีตกใจกัน ก็แน่ล่ะใครจะไม่ตกใจกับเรื่องแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับความเป็นเพื่อนหรอกครับ”

        “แล้วพวกแฟนคลับล่ะ?” กรรณไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปอ่านกระแสตอบรับของบรรดาแฟนคลับที่มีต่อเรื่องนี้ในเว็บเพจของภูเลยด้วยซ้ำ

        “ก็ดูจะรับได้กันนะครับ แต่ก็มีบางกลุ่มที่อยากให้คนในข่าวนี้เป็นจอสมากกว่า” ภูกำลังจะหัวเราะแต่พอเห็นหน้าไม่พอใจของกรรณเมื่อได้ยินชื่อจอสก็รีบเปลี่ยนเรื่อง “พี่ล่ะครับ โอเคไหม?”

        “เรื่องไหนล่ะ?” กรรณถามกลับมา

        “ก็ทุกเรื่องนั่นแหละ” ภูบอก

        “ถ้าเรื่องโดนเอาหน้า เอาประวัติ ชื่อพ่อชื่อแม่ การศึกษา ยันบ้านเลขที่ไปลงเน็ต ก็โอเค พยายามทำเป็นมองไม่เห็นอยู่ ปิดตาตัวเองให้ไม่รับไม่รู้ซะ” กรรณยังรับไม่ได้กับการที่ต้องกลายเป็นบุคคลสาธารณะในชั่วข้ามคืน “ที่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นยากหน่อยก็สายตาคนมองกับเสียงซุบซิบนินทาแบบซึ่งหน้านี่แหละ”

        “ทีนี้เข้าใจความรู้สึกผมรึยังล่ะ ว่าการถูกคนจับตามองมันอึดอัดแค่ไหน” ภูพูดพลางยิ้มออกมาอย่างขบขันกับสีหน้าท่าทางลำบากใจของกรรณกับเรื่องนี้ ก่อนจะกลับมาจริงจังอีกครั้งกับสิ่งที่จะถามต่อไป “แล้วเรื่องพ่อผมล่ะครับ?”

        “น่ากลัว… ตบแรงมากด้วย” กรรณตอบมาประโยคเดียวแต่เท่านั้นก็ชัดเจนจนไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่ม “แต่ก็ดูแลลูกเค้าไม่ดีเอง โดนตบแบบนั้นก็สมควรแล้ว”

        “มันไม่ใช่ความผิดของพี่นะครับ…” ภูเอนศรีษะไปพิงไหล่อีกฝ่ายเอาไว้ “พ่อพูดแรงเกินไป ไม่จำเป็นต้องว่าพี่ขนาดนั้นเลย”

        “นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของพ่อนายเหมือนกัน” กรรณยกแขนขึ้นมาวางมือบนศรีษะของเด็กหนุ่มที่พิงอยู่บนไหล่ของตนก่อนจะลูบเบาๆ “ที่เป็นไปแบบนั้น ก็เพราะท่านรักนายมากนะ”

        “ก็รู้… แต่เล่นใหญ่เกินไปป่ะ” ภูทำหน้ามุ่ย “พี่ก็ไม่ต้องไปคิดมากกับคำพูดพ่อหรอกนะครับ เค้าก็โวยวายโชว์พาวไปอย่างนั้นแหละ เดี๋ยวพอหายโกรธก็ไม่มีอะไรแล้ว”

        กรรณเพียงแค่พยักหน้าว่ารับทราบแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมามากกว่านั้น ภูดูเวลาจากนาฬิกาที่ข้อมือ ตอนนี้เพิ่งจะหนึ่งทุ่มตรง และเนื่องจากเขาขอร้องให้สาลี่ช่วยโกหกกับทางบ้านว่าจะนอนค้างกับเธอที่บ้าน อีกทั้งการไปนอนค้างบ้านกรรณก็สุ้มเสี่ยงเกินไปที่พ่อจะจับได้และยิ่งโมโหหนักขึ้น ดังนั้นตอนนี้ภูจึงต้องพยายามนึกหาสักที่ๆ เขาทั้งสองจะใช้เวลาร่วมกันผ่านพ้นคืนนี้ไปได้อย่างเป็นส่วนตัว

        “ไปโรงแรมกันไหมครับ?” ภูหันไปถามกรรณ ก่อนที่ใบหน้าที่แสดงถึงความตื่นตกใจของอีกฝ่ายจะทำให้รู้ว่าคำถามนั้นฟังดูสองแง่สองง่ามจนเกินไป “ห้ามคิดลามกนะ…”

        “ไม่ให้คิดได้ไง ถามซะขนาดนี้” กรรณหัวเราะออกมาจนได้

        “ยังไงผมก็กลับบ้านไม่ได้อยู่แล้วจนกว่าจะเช้า นอนบ้านพี่ก็เสี่ยงเกินไป ก็ต้องหาที่นอนค้างอ่ะถ้าไม่อยากจะเร่ร่อนอยู่ข้างถนนกันทั้งคืน” ภูอธิบายเจตนาของตนให้ชัดเจน

        “ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องไปโรงแรมหรอก เสี่ยงให้คนเห็นเปล่าๆ” กรรณบอกพร้อมกับหยิบเอาโทรศัพท์ออกมากดโทรหาใครบางคน เขาคุยกับคนในสายอยู่พักหนึ่ง บทสนทนาปิดท้ายด้วยคำขอบคุณชุดใหญ่ก่อนจะวางสายไป “เรียบร้อยแล้วล่ะ ไปกันเถอะ”

        “ไปไหนเหรอครับ?” ภูไม่รู้ว่ากรรณกำลังจะพาตนไปไหนและเกี่ยวข้องอะไรกับคนที่เขาคุยด้วยทางโทรศัพท์เมื่อกี้นี้หรือไม่

        “ตามมาเถอะน่ะ ไม่หลอกไปฆ่าหรอก”

        คำพูดนั้นทำให้ภูยิ้มออกมาเพราะนึกถึงเดทแรกอันแสนมึนงงของทั้งสอง เดทแรกในวันนั้นจบลงที่สวนสาธารณะแห่งนี้ด้วยเหตุอันสุดวิสัย แต่สำหรับวันนี้ สวนแห่งนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น กรรณตัดสินใจเช่ารถเพราะสถานที่ๆ จะไปในวันนี้นั้นไกลจนอาจเดินทางด้วยแท็กซี่ไม่สะดวก แต่เนื่องจากเขาไม่มีใบขับขี่ของประเทศไทย ภูจึงใช้ใบขับขี่ของตัวเองเป็นชื่อผู้เช่าแทน

        “ว่าจะถามหลายรอบแล้ว” ภูหันไปถามกรรณที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย “ทำไมพี่ไม่ซื้อรถ เห็นขึ้นแต่แท็กซี่บ้าง รถไฟฟ้าบ้าง งานแบบพี่ไปไหนก็ต้องเอาของเอาอุปกรณ์ไปเยอะแยะ บางทีมีรถน่าจะสะดวกกว่านะครับ”

        “พี่ไม่ชอบขับรถน่ะ ชอบเป็นผู้โดยสารมากกว่า ความรับผิดชอบน้อยดี” เหตุผลของกรรณช่างเรียบง่าย “รถของพ่อก็มี จอดทิ้งไว้บ้านที่สุโขทัย แต่ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่ขับ เพราะไม่มีใบขับขี่ แล้วอีกอย่างก็ไปอยู่ต่างประเทศมานาน พี่เลยไม่ถนัดขับพวงมาลัยขวาแบบรถในไทย”

        “อ้าว.. แล้วไม่บอก ผมก็ขับแทนไม่ได้ด้วยนะแขนเป็นแบบนี้” ภูเริ่มห่วงสวัสดิภาพขึ้นมาหลังจากได้ยินแบบนั้น

        “ไม่เป็นไร เส้นนี้รถไม่เยอะ สบายๆ” กรรณขยิบตาให้ว่ายังไหวอยู่

        เมื่อพ้นออกจากเขตกรุงเทพมหานครได้ประมาณสองชั่วโมงกว่า กรรณก็จำต้องยอมรับความจริงว่าตนกำลังหลงทาง เขาจอดแวะที่ปั๊มน้ำมันใหญ่อันเป็นจุดสำหรับพักรถเพื่อโทรถามเส้นทางอีกรอบ ภูใช้เวลาขณะที่รอเดินเข้าร้านสะดวกซื้อเพื่อหาอะไรกินแก้ท้องว่างเพราะดูทรงแล้วคงอีกนานกว่าจะไปถึงจุดหมาย เด็กหนุ่มเดินเลือกของขบเคี้ยวที่วางเรียงรายละลานตาอยู่บนชั้นก่อนจะเบี่ยงสายตาออกมองไปยังทิศทางอื่นแทนเมื่อเจอเข้ากับยี่ห้อหนึ่งที่ตนเป็นพรีเซนเตอร์ร่วมกับจอส

        ภูมองไปยังพนักงานประจำร้านที่อยู่หน้าแคชเชียร์ หญิงสาวสองคนอายุไม่น่าจะมากหรือน้อยไปกว่าเขาสักเท่าไหร่นัก ทั้งคู่กำลังมองมาทางตนพร้อมกับกระซิบกระซาบบางอย่าง ในขณะที่อีกคนมองไปยังกรรณซึ่งกำลังยืนคุยโทรศัพท์ถามเส้นทางอยู่ด้านนอกร้านสลับกับภูที่ยืนอยู่ข้างในราวกับกำลังสงสัยไม่แน่ใจ ภูคุ้นเคยกับสายตารูปแบบนี้และรู้ดีว่าทั้งสองกำลังจำตนกับกรรณได้อีกทั้งคงกำลังพยายามประติดประต่อคาดเดาเรื่องตามข่าวที่ได้รับมา ภูถอนหายใจออกมาอย่างเพลียจิตที่แม้จะมาไกลบ้านถึงขนาดนี้แล้วแต่ก็ยังหลีกหนีสายตาที่จับจ้องได้ไม่พ้น เขารีบหยิบขนมสองสามอย่างก่อนจะตรงไปจ่ายเงินแล้วออกไปจากที่นั่นก่อนที่ใครสักคนจะหยิบกล้องหรืออุปกรณ์บันทึกภาพใดๆ ขึ้นมาสวมบทปาปาราสซี่จนได้เรื่องขึ้นมาอีก

        “พี่เสร็จรึยัง? รีบไปกันเถอะครับ” ภูเดินมาเร่งกรรณที่ยังติดสายอยู่

        “ครับ ไปถูกแล้วครับ ขอบคุณมากครับพี่” กรรณบอกขอบคุณคนที่ปลายสายก่อนจะกดวางและหันมาหาภูที่ยืนเร่งยิกๆ อยู่ “อีกนิดเดียวก็ถึงแล้วล่ะ เมื่อกี้พี่ขับเลยตรงจุดกลับรถมา เดี๋ยวย้อนไปหน่อยก็เข้าเส้นทางหลักแล้ว”

        เป็นจริงดังที่กรรณว่า หลังจากกลับมาเข้าเส้นทางหลักได้ มุ่งตรงมาอีกเพียงนิดเดียวก็ถึงทางแยกที่จะเข้าไปยังอำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ อันเป็นที่ตั้งของจุดหมายปลายทาง กรรณหักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้ามายังถนนส่วนบุคคลที่ตัดกลางทุ่งกว้างอันเป็นไร่ของพืชบางอย่างซึ่งภูไม่อาจจำแนกชนิดของมันออกได้ในความมืด จนกระทั่งมาสุดทางยังบ้านปูนทรงลอฟท์หลังหนึ่งซึ่งอยู่ท้ายไร่ ประตูรั้วถูกเลื่อนเปิดออกโดยแม่บ้านวัยกลางคนที่รีบวิ่งมาทันทีที่เห็นแสงไฟรถมาจ่อหน้าประตู

        “คุณป้อมโทรมาบอกให้จัดห้องให้แล้วค่ะ” ป้าแม่บ้านคนเดิมบอกกับกรรณที่เพิ่งลงมาจากรถพร้อมกับส่งกุญแจบ้านให้หนึ่งชุด “ป้าเปิดแอร์ในบ้านเตรียมรอไว้แล้ว ถ้ามีอะไรหรือต้องการอะไรเพิ่มเติมก็เรียกได้นะคะ ป้าอยู่ข้างๆ นี่เอง”

        “คุณป้อมนี่ใครเหรอครับ?” ภูถามกรรณขณะเดินตามหลังไปที่ประตูบ้าน

        “พี่ในวงการช่างภาพที่เคยทำโปรเจคด้วยกัน สนิทกันมาก แต่ตอนนี้เค้าไปมีครอบครัวอยู่ที่เยอรมัน” กรรณตอบพร้อมกับไขเปิดประตูเข้าไปข้างใน “บ้านนี้ก็ของเค้านั่นแหละ แต่เค้าจะมาอยู่ก็เฉพาะเวลามีธุระต้องกลับมาทำที่ไทยหรือมาพักผ่อน ปกติแล้วก็จะมีแต่แม่บ้านคนเมื่อกี้ที่คอยอยู่ประจำดูแลทำความสะอาด แต่ก่อนจะไปพี่เค้าก็บอกเอาไว้แล้วว่าถ้าจะมาใช้สถานที่ก็โทรบอกเขาได้ เขาจะจัดการให้ มาได้ทุกเวลา”

        บรรยากาศภายในมืดสนิทมีเพียงเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอยู่ ความเย็นทำให้ขนแขนของเด็กหนุ่มลุกชันในขณะที่เท้าก้าวพลาดเตะบางอย่างบนพื้นจนเกือบหัวคะมำ ภูพยายามคลำหาสวิทช์ไฟบนผนังบ้านแต่ก็ไม่เจอ จนกระทั่งกรรณปรบมือดังๆ สองครั้งหลอดไฟทุกดวงในบ้านจึงสว่างขึ้นโดยพร้อมเพียงกัน

        ถุงหิ้วซึ่งบรรจุของกินที่ภูซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อเมื่อสักครู่ถูกกรรณคว้าเอาไปวางไว้บนโต๊ะก่อนที่จะหยิบของที่จำเป็นต้องเก็บไว้ในตู้เย็นออกมาแช่ เมื่อตอนที่เห็นว่าสถานที่นี้ห่างไกลจากตัวเมืองและถนนใหญ่มากแค่ไหนภูก็อดกังวลใจไม่ได้ว่าของกินเล่นที่ซื้อมาอาจจะเป็นเสบียงทั้งหมดเท่าที่มีในคืนนี้ แต่เมื่อเห็นบรรดาอาหารกล่องที่แช่อยู่แน่นขนัดเต็มด้านในตู้เย็นขนาดใหญ่แบบสองประตูนั้นแล้ว ความกังวลที่มีก็คลี่คลายลงในทันที

        “ขึ้นไปรอชั้นบนก่อนเถอะ เดี๋ยวพี่ทำอะไรเสร็จจะตามขึ้นไป” กรรณชี้ไปทางบันได

        ภูพยักหน้าก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปตามที่อีกฝ่ายบอก ชั้นสองของบ้านหลังนี้ไม่ได้ถูกกั้นเป็นห้อง ทั้งชั้นเป็นพื้นที่โล่งๆ มีเพียงเครื่องเรือนไม่กี่ชิ้นซึ่งถูกคลุมไว้ด้วยผ้าขาวกันฝุ่นจับ กรรณตามขึ้นมาในอีกไม่กี่นาทีหลังจากนั้นพร้อมด้วยอาหารกล่องซึ่งผ่านการอุ่นเรียบร้อยแล้วในมือ เมื่อเห็นภูยังคงยืนเก้ๆ กังๆ หาที่ลงให้ตัวเองไม่ได้อยู่เขาจึงวางกล่องอาหารเหล่านั้นลงกับพื้นแล้วเดินไปเปิดตู้ลากเอาที่นอนแบบพับได้ขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างในออกมาปูวางบนพื้น

        “ทำไมพี่เหมือนรู้จักที่นี่ดีจังเลยครับ?” ภูสงสัยกับการที่กรรณดูจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับที่นี่ ตั้งแต่วิธีการเปิดไฟยันตู้เก็บที่นอน

        “เคยมากับทีมงานเพื่อติดต่อขอใช้เป็นสถานที่ถ่ายงานอยู่หลายรอบแล้วล่ะ” กรรณตอบขณะหยิบกล่องข้าวมาและนั่งลงข้างๆ ภูบนที่นอน "แล้วก็เคยมาใช้เป็นที่กบดาน ทำใจให้สงบ ตอนที่เผลอไปจับนายจูบสมัยที่ยังโดนพี่ช้างสั่งห้ามคบกันอยู่”

        “อ้อ ที่แท้ก็หลบมาอยู่ที่นี่เอง" ภูได้คำตอบที่สงสัยมานาน

        “ช่วงนั้นพี่ป้อมเค้ามาทำงานที่ไทยพอดี ก็เลยไปนั่งรอจนเค้าเลิกงานแล้วก็ขอติดรถเค้ามาด้วย ถ้ารู้ว่าต้องมาอีกวันนี้จำเส้นทางเอาไว้ซะตั้งแต่วันนั้นแล้วก็ดี จะได้ไม่หลงจนเสียฟอร์มแบบนี้” กรรณพูดติดตลก

        กรรณส่งกล่องข้าวให้กับภูหนึ่งกล่อง เด็กหนุ่มเพียงแค่มองแต่ไม่รับมาก่อนจะชูแขนข้างที่ใส่เฝือกขึ้นแทนคำอธิบาย กรรณหัวเราะออกมาหลังจากเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการให้ตนทำอะไร จากนั้นจึงค่อยเปิดกล่องข้าวและตักมาป้อนให้แบบถึงปาก

        “ค่อยๆ กินก็ได้ ไม่ต้องรีบเคี้ยวขนาดนั้นหรอก” กรรณบอกขณะที่มือก็ป้อนไม่หยุด

        “หิวครับ…” ภูตอบทั้งที่ข้าวยังเต็มปาก “ตั้งแต่กลับมาจากที่ผู้ใหญ่เรียบพบเมื่อเช้า ก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย”

        “แล้วก็ไม่บอก จะได้พากินตั้งแต่ก่อนจะออกเดินทาง” กรรณป้อนไปอีกคำใหญ่

        “ไม่เป็นไร กินที่นี่แหละดีแล้ว” ภูอ้าปากรับก่อนจะรีบเคี้ยวและกลืนลงคอ “ถ้ากินข้างนอกที่อื่นก็อ้อนให้พี่มาป้อนแบบนี้ไม่ได้น่ะสิ”

        “แขนหักแค่ข้างเดียวก็กินอะไรเองไม่ได้แล้วแบบนี้ ถ้าพี่ไม่อยู่ใครจะมาป้อนนายล่ะ?” กรรณหยุดป้อนแล้วถาม

        “พี่ก็ต้องอยู่สิ ห้ามไปไหน” ภูเอาแต่ใจตัวเองเต็มที่เหมือนทุกครั้งที่อยู่กันตามลำพังเพราะรู้ว่ากรรณต้องยอมตามใจตนอยู่เสมอ

        “พี่ก็อยากอยู่…” กรรณตอบด้วยน้ำเสียงที่ซึมเซาจนภูผิดสังเกต

        นี่ไม่ใช่สัญญาณแรกแห่งความผิดปกติที่ภูรู้สึกถึงมันได้ในค่ำคืนนี้ ตั้งแต่ตอนอยู่ที่สวนสาธารณะ เด็กหนุ่มก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่ผิดไปจากเดิม มีบางสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ในสีหน้าและแววตาของกรรณยามเมื่อจับจ้องมาทางตน แม้อีกฝ่ายจะพยายามทำท่าทีเหมือนปกติเพื่อกลบเกลื่อนมันเอาไว้แต่ภูก็ยังคงสัมผัสถึงมันได้อย่างชัดเจน แรกเริ่มภูคิดว่าคงเป็นความรู้สึกหดหู่ที่ตกค้างจากการโดนพ่อของตนต่อว่าอย่างรุนแรงเมื่อคืนก่อน แต่มาถึงตอนนี้เขามั่นใจว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้นอย่างแน่นอน

        “ข้าวติดมุมปากแน่ะ…” กรรณบอกกับภูหลังจากป้อนคำสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย

        ภูตั้งท่าจะยกมือขึ้นปาดเม็ดข้าวออกปากมุมปากตามที่กรรณบอก ทว่าอีกฝ่ายกลับจับมือของเขาเอาไว้ไม่ให้ทำตามต้องการก่อนจะขยับโน้มตัวเข้ามาใช้ริมฝีปากเล็มเก็บมันออกมาให้แทน

        “หิวมากหรือไง…” ภูหน้าแดงก่ำจากสิ่งที่กรรณทำเมื่อครู่ จริงอยู่ที่ตั้งแต่คบหากันมาการจูบก็เหมือนจะเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่การโดนกระทำโดยไม่ทันตั้งตัวก็ยังทำให้ความเขินอายเกิดขึ้นได้เสมอ

        กรรณตอบโต้คำพูดนั้นด้วยการกระทำแทน เขาโน้มตัวเข้ามาหาภูอีกครั้งและประกบริมฝีปากเข้ามาพร้อมกับใช้น้ำหนักตัวของตนโถมดันให้อีกฝ่ายเอนกายหงายลงบนที่นอนนั้น ภูมองดูทุกการเคลื่อนไหวขณะที่กรรณถอนริมฝีปากออก ยันตัวลุกขึ้นและชูแขนขึ้นถอดเสื้อยืดที่สวมใส่อยู่ออก และเพียงแค่เขาเอื้อมสุดแขนออกไปใช้ปลายนิ้วลากไล้สัมผัสไปตามร่องแนวของกล้ามเนื้อหน้าท้องที่อยู่ตรงหน้านั้น ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของมันก็ถึงกับหลุดส่งเสียงครางต่ำออกมาอย่างสุดจะกลั้น ภูรู้จักเสียงครางแบบนี้ดีจึงหลับตาเตรียมใจรับการจู่โจมระลอกถัดไปของกรรณที่จะต้องมีความรุนแรงเจือปนมาด้วยอย่างแน่นอน

        ภูรู้สึกตัวในอีกไม่กี่วินาทีต่อมาว่าการคาดการณ์ของตนนั้นผิด เมื่อฉากวาบหวิวติดเรทที่คิดเอาไว้กลับไม่เกิดขึ้น กรรณผละออกจากร่างของภูและเพียงแค่ขยับมานั่งอยู่ข้างๆ สิ่งนี้ยิ่งทำให้ภูมั่นใจว่าความรู้สึกของตนนั้นถูกต้อง มีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับกรรณ

        “พี่อย่าทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ สิครับ..” ภูยื่นมือไปแตะแผ่นหลังของกรรณ เป็นความพยายามอย่างสิ้นหวังที่จะทำทุกอย่างให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติให้ได้

        “อย่าเลย อย่า…” กรรณขยับหนี “ขอโทษนะ เมื่อกี้พี่ลืมตัวไป…”

        “ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ” ภูพยายามข่มความรู้สึกแย่ๆ ที่กำลังล้นเอ่อออกมาเอาไว้ในอก เด็กหนุ่มกำลังทุ่มเทความพยายามทั้งหมดที่มีเพื่อทำให้ลางร้ายของตนนั้นไม่กลายเป็นเรื่องจริง เขายันตัวลุกขึ้นและโอบกอดร่างของอีกฝ่ายเอาไว้จากข้างหลัง “ถ้าพี่อยากทำ พี่ก็ทำได้เลย พี่ก็รู้ว่าผมยอมให้พี่ทำอยู่แล้ว…”

        “พี่ว่า…” กรรณสูดหายใจเข้าเหมือนว่าถ้อยคำที่จะพูดต่อจากนี้ต้องใช้กำลังมากมายเหลือเกินในการจะเปล่งเสียงมันออกมา “เราอย่าเจอกันอีก… จะดีกว่านะ”

        เป็นวินาทีที่เหมือนโลกได้ล่มสลายลงตรงหน้า และเป็นวินาทีที่ภูได้รู้ซึ้งว่าลางสังหรณ์ของตนนั้นแม่นยำจนน่ากลัว…


To be continued...

1 Episode Left
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 23 ☆ [6-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-05-2018 21:49:29
 :pig4: :pig4: :pig4:

อีกตอนนึงก็จบ

แต่ทำไมยังมีปมอะไรโผล่มาอีกเนี่ย

เฮ้อ...
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 23 ☆ [6-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cookie8009 ที่ 07-05-2018 00:49:38
ภูมายืนอยู่ที่จุดนี้ก็เพราะกรรณ เพื่อทำให้กรรณพอใจ .... พอเกิดเรื่องแล้วกรรณจะอ้างเหตุผลสวยๆ ทิ้งทุ่นไปอย่างงี้ไม่ได้นะ

เหมือนหล่อ เหมือนเสียสละ แต่จริงๆขี้ขลาด และทิ้งให้ภูเผชิญปัญหาเพียงลำพัง
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 23 ☆ [6-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 07-05-2018 01:29:20
ขอแบบแฮปปี้เน้อ สงสารน้อง
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 23 ☆ [6-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-05-2018 01:44:06
ซ้อม ซ้อม หน้ามือ หลังมือ  :beat:  ซ้อม ซ้อม วิ่งงงงงง กระโดดดดดด เทคตัวขึ้น ถีบยอดหน้า  :z6:
เตรียมตัวไว้สำหรับไอ้อีตัวปล่อยข่าว
ส่วนอีพี่กรรณ รู้ว่าเรื่องนี้มันหนักมากสำหรับตัวเอง แต่ไม่คิดว่าน้องมันรับเรื่องหนักกว่าตัวเองปะ ใจปลาซิวนิ  :m16:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 23 ☆ [6-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-05-2018 07:53:16
 o18



 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 23 ☆ [6-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-05-2018 17:22:44
พี่กรรณไม่ทำแบบนี้สิ :sad4:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 23 ☆ [6-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-05-2018 22:12:04
 :เฮ้อ:


 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 23 ☆ [6-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Newtale ที่ 09-05-2018 02:14:58
เพิ่งได้อ่าน2วันที่แล้ว จนอ่านทันก่อนตอนสุดท้ายพอดีเลย พี่กรรณมีประเด็นอีกแล้วววว ขอ happy ending เถอะะะะ ใจจะขาดดด  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 23 ☆ [6-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 09-05-2018 04:04:38
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 23 ☆ [6-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 11-05-2018 08:35:31
:pig4: :pig4: :pig4:

อีกตอนนึงก็จบ

แต่ทำไมยังมีปมอะไรโผล่มาอีกเนี่ย

เฮ้อ...

จะได้มีอะไรให้ลุ้นไงครับ  :katai5:



ภูมายืนอยู่ที่จุดนี้ก็เพราะกรรณ เพื่อทำให้กรรณพอใจ .... พอเกิดเรื่องแล้วกรรณจะอ้างเหตุผลสวยๆ ทิ้งทุ่นไปอย่างงี้ไม่ได้นะ

เหมือนหล่อ เหมือนเสียสละ แต่จริงๆขี้ขลาด และทิ้งให้ภูเผชิญปัญหาเพียงลำพัง

ปัญหาของพี่คือชอบคิดแทนน้องครับ แต่ไอ้ที่น้องอยากให้ทำน่ะไม่ค่อยจะทำ  :ling3:



ขอแบบแฮปปี้เน้อ สงสารน้อง

เดี๋ยววันนี้รู้แล้ว แฮปปี้หรือไม่ รอติดตามนะครับ  :katai4: :katai4:



ซ้อม ซ้อม หน้ามือ หลังมือ  :beat:  ซ้อม ซ้อม วิ่งงงงงง กระโดดดดดด เทคตัวขึ้น ถีบยอดหน้า  :z6:
เตรียมตัวไว้สำหรับไอ้อีตัวปล่อยข่าว
ส่วนอีพี่กรรณ รู้ว่าเรื่องนี้มันหนักมากสำหรับตัวเอง แต่ไม่คิดว่าน้องมันรับเรื่องหนักกว่าตัวเองปะ ใจปลาซิวนิ  :m16:

เห็นใจพี่เค้าหน่อย โดนรุมสับจากทุกทางเลย หนักสุดก็ตรงพ่อแฟนก็หาว่าล่อลวงลูกเค้าไปเสียนี่แหละครับ  :ling3:



o18



 :L2: :pig4: :L2:

ตอนหน้าอวสานแล้ว ขอบคุณที่ติดตามกันมาแต่เริ่มเลยนะครับ



พี่กรรณไม่ทำแบบนี้สิ :sad4:

ทำลงไปแล้ว มาดูว่าผลจะเป็นยังไง  :ling1:



:เฮ้อ:


 :L2: :pig4:

อย่าเพิ่งถอนหายใจ อีกนิดเดียวก็จะจบแล้วว  :katai4:



เพิ่งได้อ่าน2วันที่แล้ว จนอ่านทันก่อนตอนสุดท้ายพอดีเลย พี่กรรณมีประเด็นอีกแล้วววว ขอ happy ending เถอะะะะ ใจจะขาดดด  :hao5: :hao5: :hao5:

เดี๋ยววันนี้รู้แล้ววว ว่าจะแฮปปี้หรือเปล่า แล้วเรื่องจะลงเอยแบบไหน



:katai2-1:

มาทันตอนจบพอดี รอติดตามนะครับ วันนี้อวสานแล้ว


หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 23 ☆ [6-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 11-05-2018 10:29:14
Episode 24 : Finale

        “แม่หวัดดี” ภูยกมือไหว้แม่ที่กำลังง่วนอยู่ในครัว ก่อนจะหันไปหาพ่อแล้วยกมือไหว้เฉยๆ โดยไม่พูดอะไร

        “กินข้าวมาหรือยัง?” แม่ถามพลางดูเวลาจากนาฬิกาบนผนัง “กลับมาซะดึกเลย แม่กับพ่อกินข้าวกันเสร็จแล้ว”

        “ไม่ค่อยหิวครับ” ภูตอบก่อนจะเปิดตู้เย็นหยิบนมกล่องออกมา

        “กินอะไรซะบ้าง จะเหลือแต่กระดูกอยู่แล้ว” แม่มองดูร่างอันบอบบางลงทุกวันของลูกชายอย่างเป็นห่วง

        “ครับ เดี๋ยวถ้าหิวจะกินนะ” ภูรับปากไปแบบส่งๆ ขณะที่เดินออกมาจากห้องครัว

        “เดี๋ยวสิ ให้แม่ทำอะไรไว้ให้กินตอนดึกๆ ไหม?” แม่ร้องถามไล่หลังมา

        ภูได้ยินคำถามของแม่แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป จนเมื่อขึ้นมาถึงห้องนอนของตนแล้วจึงปิดประตูลงกลอน นมกล่องที่ไม่ได้คิดจะกินแต่แรกอยู่แล้วถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะก่อนที่เจ้าตัวจะทิ้งตัวลงนอนฟุบหน้าลงกับหมอนบนเตียง ความเจ็บปวดในอกที่ข่มกลั้นเอาไว้โดยการแสร้งพยายามทำเป็นว่าไม่รู้สึกหวนกลับคืนมาท่วมท้นทั่วร่างอีกครั้ง เด็กหนุ่มใช้หมอนปิดกั้นเสียงสะอื้นจากการร้องไห้เอาไว้ไม่ให้เล็ดลอดออกมาให้ใครได้ยิน

        เกือบสามเดือนแล้วนับตั้งแต่วันที่กรรณขอจบความสัมพันธ์ ในคืนที่เกิดเหตุนั้นภูอดแปลกใจไม่ได้กับความสงบนิ่งของตนเอง ไม่มีความฟูมฟาย โวยวาย หรือดราม่าใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงคำถามที่ร้องขอเหตุผลว่าทำไม แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตอบเขาจึงเลิกถามและนั่งนิ่งเงียบมาตลอดทางกลับบ้านจนกระทั่งนำรถมาส่งคืนที่ศูนย์เช่ารถ กรรณกอดภูเอาไว้แน่นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะแยกไป ภูมาเข้าใจตนเองในภายหลังว่าความสงบนิ่งนั้นแท้จริงเป็นเพียงอาการชาของจิตใจที่เพิ่งบาดเจ็บอย่างหนัก เพราะเมื่อความชาเหล่านั้นจางหายไปความเจ็บปวดแบบมหาศาลก็เริ่มโถมทับเข้ามาแทนที่ ภูร้องไห้ตลอดทางนับตั้งแต่แยกจากกรรณจนกระทั่งมาถึงบ้านก็ขังตัวเองอยู่ในห้องไม่ยอมพบเจอใคร เวลาแห่งการจมกองน้ำตาผ่านไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่สาลี่จะบุกมาลากตัวเขาออกจากห้องและพยายามทำทุกอย่างให้สภาพจิตใจของเพื่อนซี้ดีขึ้น

        งานแสดงได้เปลี่ยนสถานะจากสิ่งที่ไม่พึงปรารถนามาเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจ ละครได้เปิดกล้องถ่ายตามกำหนดที่วางไว้ แต่ทุกฉากที่มีภูเข้าร่วมด้วยจะถูกเก็บเอาไว้ถ่ายทำหลังจากที่เด็กหนุ่มถอดเฝือกออกเรียบร้อยแล้ว เหมือนเป็นเรื่องตลกร้าย เมื่อภูค้นพบว่าหนทางหนึ่งในการเยียวยาความเจ็บปวดให้กับตนเองนั่นคือการสวมบทบาทเป็นคนอื่น เมื่ออยู่ต่อหน้ากล้อง ต่อหน้าผู้คน ภูลบความทรงจำทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเองออกและเปลี่ยนบุคลิกให้เป็นเด็กหนุ่มจากบทละครที่ได้รับมา เด็กหนุ่มผู้มีความสุข มีความรักที่สดใส ซึ่งนั่นทำให้ฝีมือการแสดงของภูก้าวกระโดดจากที่เคยแข็งเป็นท่อนหินท่อนไม้ไปเป็นระดับหวังรางวัลได้ชนิดที่ว่าผู้กำกับและครูสอนการแสดงต้องเอ่ยปากชม

        ภูรู้จากแม่ว่าหลังจากที่กรรณเคลียร์คิวงานที่รับไว้จนหมด เขาก็ย้ายออกจากบ้านข้างๆ และกลับไปอยู่บ้านที่สุโขทัย ซึ่งเด็กหนุ่มก็คิดว่าดีแล้วที่เป็นเช่นนั้น เพราะหากยังอยู่ใกล้กันเขาคงไม่มีวันทำใจได้เสียที ส่วนสถานการณ์ภายในครอบครัวก็อาจจะเรียกได้ว่าคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น แม้ว่าพ่อจะยังมีท่าทีมึนตึงไม่ยอมพูดยอมจา แต่ก็เหมือนจะเป็นแค่ความไม่สบอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ความโกรธอย่างจริงจังได้จางหายไปหมดนับตั้งแต่วันที่ภูร้องไห้น้ำตานองหน้ากลับมาที่บ้านเมื่อสามเดือนก่อนแล้ว

        เวลาในทุกวันหมดไปกับการเรียนและทำงาน สังสรรค์กับเพื่อนฝูงบ้างเป็นบางครั้งหากมีเวลาว่าง การร่วมโต๊ะอาหารแบบพร้อมหน้าทั้งครอบครัวเริ่มทำให้รู้สึกอึดอัดใจน้อยลงเรื่อยๆ ทว่าแม้ทุกอย่างดูเหมือนจะกำลังกลับเข้ารูปเข้ารอยอย่างที่มันควรจะเป็น แต่ความเจ็บปวดเป็นสิ่งที่ไม่เคยจางหาย แม้จะซุกซ่อนมันเอาไว้ลึกสุดของหัวใจจนบางครั้งชีวิตที่วุ่นวายในแต่ละวันก็ทำให้หลงลืมไปแล้วว่ามีมันอยู่ แต่เมื่อใดที่กลับมาอยู่ตามลำพังท่ามกลางความทรงจำซึ่งกลายเป็นอดีตอันไม่อาจหวนกลับ เมื่อนั้นมันก็พร้อมที่จะกลับมาเรียกน้ำตาให้รินไหลได้เสมอ

        เช้าวันรุ่งขึ้น ภูตื่นตามเวลาที่ตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้และรีบอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวออกไปยังกองถ่าย เสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือขณะที่เด็กหนุ่มกำลังยัดขายาวๆ ทั้งสองข้างของตนลงในกางเกงยีนบ่งบอกว่าแท็กซี่ที่เรียกผ่านทางแอพลิเคชั่นได้มาถึงจุดนัดแล้ว เขาเปิดกระเป๋าเพื่อตรวจเช็คดูอีกครั้งว่าไม่ลืมอะไรแล้วจึงค่อยออกจากห้องวิ่งลงบันไดไปยังชั้นล่าง แต่เมื่อเปิดประตูออกมานอกบ้านกลับพบว่ารถแท็กซี่ที่จอดรออยู่เมื่อกี้กลับวิ่งออกไปแล้ว

        “อะไรวะเนี่ย? คนยิ่งรีบๆ” ภูบ่นออกมาด้วยความหัวเสียพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าแอพดูว่าเกิดอะไรขึ้น “ยกเลิก… ยกเลิกกันง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ?”

        “สี่ล้อไม่รอ แต่สองล้อยังคอยนะน้อง…” เสียงอันคุ้นหูที่ไม่ได้ยินมานานดังแว่วมาจากนอกรั้วบ้าน

        ภูรู้ทันทีว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร เด็กหนุ่มเดินเลี่ยงเข้ามาหลบอยู่ข้างประตูรั้วไม่โผล่หน้าออกไปให้เจ้าของเสียงนั้นเห็นตัวก่อนจะหยิบเอาขันน้ำที่แม่วางไว้ข้างโอ่งรองน้ำฝนสำหรับใช้รดน้ำต้นไม้ขึ้นมาไว้ในมือ กะระยะอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโยนข้ามรั้วออกไป เสียงขันตกกระทบกับส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายมนุษย์ดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องโวยวายที่ดังตามมาติดๆ ภูหัวเราะออกมาอย่างสะใจในความแม่นยำของตนเองก่อนจะเปิดประตูออกไปดูความเสียหาย

        “เล่นอะไรเนี่ย?” จอสยืนถือขันรออยู่ข้างนอกนั่น หน้าตาอารมณ์เสีย

        “อ้าว คนเหรอ? นึกว่าเสียงหมา” ภูยื่นมือไปคว้าขันคืนมาและวางไว้ในข้างโอ่งในรั้วบ้านตามเดิม “นี่ต่างหากที่ต้องถามว่าเล่นอะไรของนาย? ไปบอกอะไรกับแท็กซี่ใช่ไหม? เค้าถึงไม่รอ”

        “เปล่าซักหน่อย” จอสไม่ยอมรับ “สงสัยเค้าเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระมั้ง ว่าแต่นายจะไปกองถ่ายใช่ป่ะ? เราไปส่งให้ก็ได้”

        “รู้ได้ไง?” ภูงงว่าทำไมจอสถึงรู้ว่าเขาจะต้องออกไปกองถ่ายในเวลานี้

        “ไม่ยากเกินกว่าที่จอสจะหาข้อมูลหรอก” จอสทำท่าภูมิอกภูมิใจในความสามารถในการซอกแซกหาข่าวของตน "แค่โทรหาผู้จัดการนาย แป๊ปเดียวก็ได้ตารางงานมาครบแล้ว เค้าน่ะอยากให้เรากลับมาช่วยกันทำมาหากินกับนายจะตาย”

        “แล้วที่มานี่ไม่ใช่เพราะจะมาส่งเราไปกองถ่ายอย่างเดียวแน่ บอกมาซะดีๆ ว่ามีอะไร?” ภูรู้ทัน

        “ก็ได้ข่าวว่าอกหัก เลยจะแวะมาปลอบใจ” จอสกระแซะเข้ามาหา “เผื่อจะอยากมีไหล่กว้างๆ ไว้ซับน้ำตา”

        “ไม่ว่าจะกำลังหวังอะไรอยู่ก็ตามแต่ เลิกซะนะ” ภูถอนหายใจออกมา

        “ล้อเล่นน่ะ” จอสยิ้มน้อยๆ “ที่มานี่เพราะเป็นห่วงนายจริงๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีอะไรแอบแฝงหรอก เพราะต่อให้นายจะอยากได้เรามาดามอก ตอนนี้มันก็สายเกินไปซะแล้วกระรอก…”

        “หมายความว่ายังไงสายเกินไป?” ภูคิดตามก่อนจะตีความได้ “อย่าบอกนะว่า…”

        “อ่ะฮะ” จอสพยักหน้าพร้อมกับชูแหวนเงินวงเล็กๆ ที่นิ้วนางให้ดู “ไม่โสดแล้วนะเออ…”

        “ใครคือผู้โชคร้ายคนนั้นล่ะ” ภูแกล้งพูดแหย่แต่ในใจรู้สึกยินดีด้วยจริงๆ

        “ไว้ว่างๆ จะพามาให้ดูตัว แต่วันนี้เอาเรื่องของนายก่อนดีกว่า” จอสเข้าเรื่อง “ทำไมจู่ๆ ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะรูปที่หลุดออกมาเป็นข่าว”

        “ช่างมันเถอะ เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราทำอะไรผิด” ภูไม่อยากหวนนึกถึงมันอีก “ถึงตอนนี้ก็ไม่อยากจะรู้หรือเข้าใจอะไรแล้ว ให้มันจบๆ ไปเถอะ”

        “แต่…” จอสยังไม่ยอม

        “พอเถอะนะ… เราไม่อยากนึกถึงมันอีกแล้ว” ภูขอร้อง “เอาเป็นว่าตอนนี้นายรีบพาเราไปส่งให้ทันเวลานัดดีกว่า”

        แม้จะอยากรู้เพียงใดว่าทำไมทุกอย่างจึงมาลงเอย ณ จุดนี้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าเจ็บปวดของภูที่แสดงออกมายามที่พูดถึงเรื่องนี้จอสก็ยอมข่มความอยากรู้ของตนเอาไว้เพื่อถนอมความรู้สึกของอีกฝ่าย อาจจะช้าไปหลายเดือนกว่าเขาจะได้ข่าวว่าภูเลิกกับกรรณแล้ว ต้องยกความดีความชอบให้กับความพยายามในการปิดกั้นตัวเองออกจากข่าวสารที่ดูจะประสบผลสำเร็จดีจนเกินเหตุ แต่แน่นอนว่าเขายอมทิ้งทุกอย่างเพื่อมาที่นี่ทันทีที่รู้เรื่อง ไม่ใช่เพราะหวังจะฉวยโอกาสในการสานต่อเพราะมันคงไม่ยุติธรรมกับคนที่ตนกำลังคบหาอยู่ แต่ที่มานี้เพราะเป็นห่วงสภาพจิตใจของภูอย่างแท้จริง

        ในเมื่อเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการจากไปของแท็กซี่ที่ภูเรียกมา จอสจึงต้องรับผิดชอบด้วยการพาภูไปส่งที่กองถ่ายด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้นที่กองถ่าย บรรดาทีมงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังรวมถึงผู้กำกับต่างก็ตื่นเต้นกับการกลับมาของเด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายาว่าอาร์ทตัวพ่อจากการที่จู่ๆ ก็ทิ้งทุกอย่างและหนีหายไปทั้งที่กำลังมีอนาคตรุ่งโรจน์ในวงการแบบสุดๆ ทุกคนต่างสงสัยใคร่รู้ในเหตุผลการตัดสินใจของจอสแต่ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าคำตอบนั้นยืนอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าวจากตรงนั้น จอสยังคงไม่ยอมกลับมาทำงานง่ายๆ เขาอ้างกับบรรดาทีมงานว่าที่กลับมานี้ก็มาเพียงแค่ไม่กี่วันเพราะมีเรื่องเอกสารบางอย่างที่ต้องจัดการพอเสร็จแล้วก็จะบินกลับไปทันที ซึ่งภูก็พอเข้าใจว่าเขาคงอยากให้เวลากับความรักครั้งใหม่ก่อนที่จะต้องกลับมาเป็นคนสาธารณะอีกครั้ง

        หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งหน้าเตรียมตัวเข้าฉากเสร็จเรียบร้อย ภูหยิบสคริปต์ออกมานั่งท่องอีกครั้งเพื่อความมั่นใจก่อนจะถึงเวลาถ่ายทำจริง ขณะที่กำลังพยายามยัดบทพูดยาวเหยียดลงสมองไปให้หมดพลางตีความว่าควรจะแสดงออกไปอย่างไรนั้น พลันสายตาของจอสที่นั่งจ้องตาไม่กระพริบอยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ไกลออกไปนักก็ทำให้สมาธิที่รวบรวมอยู่กระเจิดกระเจิงไปในทันที

        “ไม่รีบกลับไปหาแฟนหรือไง?” ภูวางสคริปต์ลงและถาม

        “ไม่อ่ะ บอกแฟนแล้วว่าอีกวันสองวันถึงจะกลับไป” จอสยิ้มกรุ้มกริ่ม

        “ไม่มีอะไรต้องทำแล้วก็รีบกลับไปหาเค้าซะสิ จะรอทำไมวันสองวัน” ภูเกลียดรอยยิ้มแบบนั้น เพราะต่อให้ไม่มีความรู้สึกพิศวาสในเชิงชู้สาว มันก็ทำให้ใจเต้นได้อยู่ดี “ถ้าเป็นห่วงเรื่องของเรา ก็บอกเลยนะว่าไม่เป็นอะไรแล้ว เราอยู่ได้ไม่มีปัญหา”

        “รู้จ้า รู้ว่าเก่ง อยู่ได้” จอสยังยิ้มไม่เลิก “ก็แค่อยากนั่งมองต่ออีกนิด ไม่ได้เจอกันนาน ยังน่ารักเหมือนเดิม”

        “เก็บไว้ชมแฟนตัวเองเถอะ” ภูหน้าแดงเมื่อถูกชมแบบซึ่งหน้าเช่นนั้น

        “อันนั้นน่ะชมตลอดอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก” จอสดูพึงพอใจกับการทำให้อีกฝ่ายเขินได้ เขาดูเวลาจากโทรศัพท์มือถือแล้วจึงลุกขึ้นและบิดตัวไปมายืดเส้นยืดสาย “ฟ้าจะสว่างแล้ว เดี๋ยวเราไปแล้วล่ะ มีอะไรต้องจัดการนิดหน่อย”

        “เชิญเถอะท่าน” ภูรีบไสส่ง

        “แต่ก่อนไป มีคำถามนึงที่ต้องการคำตอบ” จอสทำหน้าจริงจัง

        “ว่ามาสิ ตอบได้ก็จะตอบ” ภูยอมให้กับสีหน้าจริงจังนั้น

        “นายยังรักเค้าอยู่ไหม?” จอสถาม

        “ถามได้ดี…” เป็นคำถามที่แม้กระทั่งตัวภูก็ยังไม่อาจมั่นใจในคำตอบของมัน “ถ้าการนึกถึงเค้ายังทำให้ร้องไห้ได้เสมอ มันก็คงจะเรียกได้ว่ายังรักอยู่ล่ะมั้ง”

        “โอเค” จอสพยักหน้ารับทราบ “งั้นเดี๋ยวเราจัดการเอง”

        “จอส” ภูรีบเข้าไปฉวยคว้าแขนจอสเอาไว้ “จะทำอะไร?”

        “ทำในสิ่งที่พอจะทำได้” สีหน้าของจอสเหมือนจะบอกให้ภูรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะห้าม

        “อย่านะ จะไปยุ่งกับเค้าให้มันได้อะไรขึ้นมา” แต่ไม่ว่าอย่างไร ภูก็จำเป็นต้องห้าม “เรื่องมันจบไปแล้ว มาทำอะไรตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก ถ้าเค้ายังอยากจะคบกับเราอยู่ เค้าก็คงกลับมาตั้งนานแล้วล่ะ”

        “นายก็รู้ว่าเรามันดื้อ” จอสจับมือของภูออกจากแขนก่อนจะหันเดินออกไป

        ภูวิ่งตามออกไปนอกกองถ่ายแต่ก็ไม่ทันเมื่อจอสเร่งเครื่องรถจักรยานยนต์พุ่งทะยานออกไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงเสียงของเครื่องยนต์ที่ดังห่างออกไปทุกที แม้จะกังวลแต่ก็ยากที่จะหยุดยั้งอีกฝ่ายเอาไว้ได้แล้วในตอนนี้ แต่ถึงกระนั้นภูก็มองในแง่ดีให้ตนสบายใจว่าถึงแม้จอสจะมีความสามารถในการซอกแซกหาข้อมูลมากเพียงใด แต่การจะหาที่อยู่ของกรรณในตอนนี้เจอก็แทบจะเรียกได้ว่าเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นอีกฝ่ายคงไม่สามารถทำอะไรได้มากและคงเบื่อจนล้มเลิกความตั้งใจไปเองในที่สุด
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 23 ☆ [6-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 11-05-2018 10:33:30
        หลังการถ่ายทำทั้งหมดในส่วนของวันนี้เสร็จสิ้นลง ภูอาศัยติดรถของแมน หนึ่งในทีมนักแสดงผู้รับบทพระเอกของละครเรื่องนี้เพื่อกลับบ้านเหมือนเช่นทุกครั้ง เนื่องจากภูต้องรอถอดเฝือกที่แขนออกก่อนจึงจะมาเริ่มการถ่ายทำในส่วนของตนเองได้ กว่าเด็กหนุ่มจะได้เริ่มทำงานการถ่ายทำก็เปิดกล้องไปกว่าหนึ่งเดือนแล้วทำให้เขาแทบจะตามทุกสิ่งทุกอย่างไม่ทัน อีกทั้งยังมีปัญหาในเรื่องการปรับตัวที่ยังไม่คุ้นกับระบบการทำงานของกองถ่ายละครซึ่งแตกต่างจากงานโฆษณาที่เคยผ่านมา แต่เพราะมีแมนที่คอยช่วยเหลือให้คำแนะนำและดูแลอยู่ตลอดทำให้การปรับตัวเข้ากับงานใหม่ของภูผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

        แม้จะใกล้ชิดสนิทสนมกันมาได้ระยะหนึ่งแล้วแต่ก็เพิ่งจะไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เองที่อีกฝ่ายเริ่มจะแสดงท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่าอยากจะพัฒนาความสัมพันธ์ให้แนบแน่นขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แม้ตาของแมนจะจ้องไปที่ถนนเบื้องหน้าแต่มืออีกข้างหนึ่งซึ่งไม่ได้จับพวงมาลัยก็มาป้วนเปี้ยนอยู่บนหลังมือของภูซึ่งวางอยู่ข้างตัว เด็กหนุ่มไม่ขัดขืนแต่อย่างใดแม้จะมีตกใจอยู่บ้างในครั้งแรกที่มันเกิดขึ้นด้วยไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะคิดกับตนไปในทิศทางนี้

        “วันนี้ไม่แย่เนอะ ว่าไหม?” แมนละสายตาจากถนนหันมาถามภู

        “ก็โอเคครับ” ภูตอบก่อนจะปรับเบาะให้เอนลงอีกนิดเพื่อความผ่อนคลาย

        “วันนี้นึกว่าจะไม่ได้กลับด้วยกันแล้วซะอีก” แมนหันไปมองถนนตามเดิมแต่มือก็ยังเกาะกุมมือของภูเอาไว้ไม่ปล่อย

        “ทำไมเหรอครับ?” ภูถามกลับไป เปลือกตาทั้งสองข้างปิดลงขณะที่ในหัวพยายามขับไล่ความทรงจำบางอย่างที่คอยจะฟื้นตัวขึ้นมาจากสัมผัสอันคุ้นเคยจากมือที่กุมอยู่ให้กลับไปกองอยู่ที่ก้นบึ้งของจิตใจตามเดิม ที่ผ่านมามีกรรณเพียงคนเดียวที่เคยทำแบบนี้ และหากยังคิดถึงภาพเหล่านั้นอยู่อีกไม่ช้าน้ำตาก็คงจะไหลออกมาให้ได้อายเป็นแน่

        “ก็เห็นเมื่อเช้ามีคนมาส่ง” แมนกระชับมือที่จับไว้แน่นขึ้น “ไหนว่าเค้าไปเรียนต่อแล้วไง”

        “เห็นว่ากลับมาทำธุระน่ะครับ อีกสองสามวันก็กลับไปเหมือนเดิมแล้ว” ภูตอบด้วยข้ออ้างแบบเดียวกับที่จอสพูดเอาไว้กับบรรดาทีมงาน

        “แล้วอีกคนนึงล่ะ ไม่ได้ติดต่อกันแล้วเหรอ?” แมนถามถึงกรรณ “คนที่เป็นข่าวน่ะ”

        “ไม่ได้ติดต่อกันนานแล้วครับ” ภูตอบไปตามความจริง “ตั้งแต่หลังเกิดเรื่องได้ไม่กี่วันก็เลิกกันแล้ว”

        “ก็แน่ล่ะเนอะ ข่าวใหญ่ขนาดนั้น” แมนดูพอใจกับคำตอบที่ได้ “แต่ก็น่าตกใจนะ พี่เคยร่วมงานกับเค้าตอนถ่ายปกหนังสือ ยังไม่คิดว่าเค้าจะชอบผู้ชายด้วยกันเลย”

        “ชีวิตคนเรามันก็มีแต่เรื่องคิดไม่ถึงแบบนี้แหละครับ” ภูแค่นหัวเราะออกมา อยากจะจบบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ใจจะขาด

        “แต่ถ้าเป็นพี่นะ ไม่ต้องห่วงเรื่องจะมีข่าวแบบนี้เลย” แมนพยายามกล่อมให้เด็กหนุ่มสบายใจ “ที่ผ่านมานายก็เห็นว่าพี่ไม่เคยหลุดให้ใครรู้เรื่องพวกนี้”

        “ใช่ครับ พี่ปิดเก่ง ซ่อนเก่ง” เมื่อพูดออกไปแล้วภูจึงเพิ่งรู้สึกว่ามันเหมือนคำกระแนะกระแหนแดกดัน “ก็ดีแล้วล่ะครับ ไม่งั้นก็ต้องเจอเรื่องยุ่งยากแบบที่ผมโดน”

        “เอาน่า นายไม่ต้องคิดมากหรอก ยังไงอนาคตของเราก็สำคัญกว่า” แมนเข้าใจไปเองว่าภูเป็นฝ่ายตัดความสัมพันธ์เพื่ออนาคตในวงการของตนเอง

        “ก็พยายามไม่คิดมากอยู่ครับ” ภูปล่อยให้แมนเข้าใจไปตามนั้นเพราะความเป็นจริงจะเป็นอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับเขาอยู่แล้ว

        “พี่เคยผ่านช่วงเวลาแบบนายมาหมดแล้ว ลองคบกันคนนอกวงการ สุดท้ายก็ไปไม่รอด” แมนยังพูดต่อ “บางทีก็ต้องเป็นคนที่อยู่ในสถานะเดียวกันนะ ถึงจะเข้าใจกันในจุดนี้”

        ก็ถ้าผมไม่ได้อยากมายืนจุดนี้ตั้งแต่แรกแล้ว ที่พูดมามันก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับ ภูคิดขณะเบือนหน้าหนีออกไปมองข้างนอกหน้าต่างรถ ใจรู้ดีอยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามหว่านล้อมเพื่อนำพาไปสู่อะไร แต่ในครั้งนี้ภูกลับไม่ได้คิดจะขัดขืนหรือดิ้นรนหาทางตัดไฟแต่ต้นลมเหมือนอย่างเช่นทุกครั้ง เขากลับปล่อยมันให้เป็นไปอย่างที่แล้วแต่ลมแต่ฟ้าจะพาไป การตอบสนองนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะว่าแมนเป็นคนที่ใช่ตรงใจแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกตัวว่าปล่อยให้จิตใจจมปลักกับความรู้สึกแย่ๆ มานานจนเกินไปแล้ว บางทีหนทางการรักษาบาดแผลจากการถูกทิ้งที่ดีที่สุดก็คือการเริ่มความสัมพันธ์ใหม่กับใครสักคน อีกทั้งที่ผ่านมาภูยังเหนื่อยเหลือเกินกับการวิ่งไล่ตามคนที่ตนเองรักและลงท้ายด้วยการเจ็บหนักอยู่ตามลำพัง ดังนั้นในครั้งนี้เมื่อแมนก็มีท่าทีที่ชัดเจนว่าชอบพอในตัวเขา ภูจึงตัดสินใจจะให้โอกาสและลองเปิดใจเป็นฝ่ายถูกไล่ตามดูบ้าง

        สามเดือนมาแล้วที่ไม่มีการติดต่อใดๆ จากกรรณเลยแม้แต่ครั้งเดียว ภูไม่อาจรู้ได้จริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะเคยมีสักขณะบ้างไหมที่จะเป็นห่วงความรู้สึกของคนที่ถูกทิ้งอยู่ตรงนี้ กรรณน่าจะรู้ดีที่สุด ใช่ เขาน่าจะรู้ดีเสียยิ่งกว่าใครว่าที่ผ่านมาภูมีเขาเพียงคนเดียวเสมอ และก็เป็นเขาอีกนั่นแหละที่เป็นคนแรกของภูอย่างสมบูรณ์แบบทั้งด้านจิตใจและร่างกาย และในเมื่อเป็นเช่นนั้นหากเขาเลือกที่จะจากไปก็ย่อมสร้างรอยแผลใหญ่ชนิดที่ยากจะเยียวยาไว้ให้กับหัวใจของอีกฝ่าย แต่เขาก็ยังตัดสินใจทำลงไปในแบบที่มันเกิดขึ้น เหมือนความจริงข้อนั้นไม่ส่งผลอะไรต่อความรู้สึกของเขาเลย และเมื่อตระหนักได้เช่นนั้นภูก็รู้ดีว่าคงถึงเวลาแล้วที่จะเลิกผูกใจตัวเองไว้กับคนที่ไม่มีวันกลับมาเสียที

        “วันนี้นายมีธุระต้องไปไหนต่อรึเปล่า?” แมนหันมาถามภู มือที่ละออกไปเพื่อปรับเกียร์รถเมื่อครู่กลับมาเกาะกุมมือของภูไว้ดังเดิมแล้ว

        “อ่า… ไม่มีครับ คิดว่านะ” ภูพยายามนึกดูให้ถ้วนถี่แม้จะค่อนข้างมั่นใจเพื่อป้องกันความผิดพลาด

        “งั้นแวะไปนั่งเล่นบ้านพี่ก่อนไหมล่ะ?” แมนเอ่ยปากชวน “หรือจะค้างด้วยเลยก็ได้ พรุ่งนี้จะได้มากองพร้อมกันเลย”

        นั่นเป็นคำชวนที่ส่อเจตนาอย่างโจ่งแจ้งชนิดไม่เก็บอาการแม้แต่น้อย ภูไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาที่จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากตน แต่ก็ยังตกลงที่จะไป ความรู้สึกผิดบางอย่างก่อตัวขึ้นในใจอย่างหักห้ามไม่ได้ แต่เด็กหนุ่มก็พยายามให้เหตุผลกับตนเองว่าสิ่งที่ตนตัดสินใจลงไปนั้นไม่ได้ทำผิดต่อใครทั้งสิ้น จะผิดตรงไหนหากอยากที่จะทำตามใจตนเองบ้าง เพราะในเมื่อบุคคลเดียวที่เขาควรจะกังวลเกี่ยวกับความรู้สึกก็ได้เลือกที่จะเป็นฝ่ายทอดทิ้งเขาไปเองตั้งนานแล้ว

        เมื่อนำรถเข้าไปจอดเก็บในโรงรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แมนก็เดินมาหาภูซึ่งกำลังยืนเล่นกับสุนัขที่เลี้ยงไว้อยู่ตรงหน้าประตูบ้าน เขาไขเปิดประตูออกก่อนจะพาเด็กหนุ่มเข้าไปข้างในก่อนที่เพื่อนบ้านหรือใครก็ตามจะมาเห็นเข้า

        “ดื่มอะไรดี?” ชายหนุ่มเจ้าของบ้านชูเครื่องดื่มสองแบบในมือซึ่งล้วนแล้วแต่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมให้ภูเลือก

        “มีอะไรที่กินแล้วไม่เมาบ้างไหมครับ?” ภูร้องขอตัวเลือกเพิ่ม

        “เด็กอนามัย” แมนพูดล้อเลียนก่อนจะเปิดตู้เย็นแล้วหยิบน้ำอัดลมออกมา “มีแต่แบบชูการ์ฟรีนะ”

        ภูรับมาก่อนจะพาตัวเองไปนั่งลงที่โซฟา แต่ยังไม่ทันที่จะได้เปิดกระป๋องน้ำอัดลมออกดื่มแมนก็ตามมาหย่อนกายนั่งลงข้างๆ พร้อมกับยกแขนขึ้นโอบไหล่เขาเอาไว้ ภูรู้สึกอึดอัดขึ้นมานิดหน่อยกับการถูกเข้าถึงเนื้อถึงตัวแบบไม่ให้เวลาได้พักหายใจเช่นนี้ เด็กหนุ่มขยับตัวเพื่อจะกระเถิบออกห่างแต่อีกฝ่ายก็รั้งเอาไว้ไม่ยอมให้ไปแล้วตามด้วยการยื่นหน้าเข้ามาหอมแก้มเข้าอีกฟอดใหญ่

        “น่ารักจริงๆ เลย” มืออีกข้างหนึ่งของแมนยกขึ้นมาลูบแก้มของภูที่เพิ่งโดนตนหอมไป “ชอบนายมาตั้งแต่ตอนที่เห็นในโฆษณาแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเล่นละครด้วยกัน”

        “พี่อยู่คนเดียวเหรอครับ?” ภูพยายามเบี่ยงประเด็นออกไปคุยเรื่องอื่น

        “เปล่า อยู่กับน้องชาย แต่เค้ายังไม่กลับมาเร็วๆ นี้หรอก ไม่ต้องกลัว” แมนเข้าใจผิดไปว่าภูถามเพราะกลัวคนอื่นจะเข้ามาเจอ

        แมนพยายามดันให้เด็กหนุ่มเอนตัวลงนอน ภูแข็งขืนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมโอนอ่อนตามในที่สุด แมนคร่อมทับร่างของภูเอาไว้ขณะที่ใบหน้าย่อนลงมาประกบปากจูบ ภูกลั้นใจเปิดปากรับลิ้นของอีกฝ่ายเข้ามาและพยายามตอบสนองกลับไป แต่ทุกอย่างกลับดูขัดข้องไปเสียหมด ส่วนลึกในจิตใจของเด็กหนุ่มเอาแต่ร้องตะโกนห้ามเขาให้หยุด ในขณะที่อัตตาแห่งความต้องการเอาชนะกำลังเร่งเร้าให้เขาทำมันลงไปเพื่อจะได้ก้าวข้ามพ้นจากสภาวะอกหักนี้เสียที ภูหลับตาและพยายามทำสมองให้ว่างเปล่าแต่ก็ดูจะไร้ประโยชน์เพราะทุกสัมผัสของแมนยิ่งย้ำเตือนให้นึกถึงสิ่งที่กรรณเคยทำกับตนเอง ทุกภาพทุกความทรงจำล้นเอ่อกลับเข้ามาในสมองอีกครั้ง และเพียงเท่านั้นเองภูก็รู้ได้ในบัดดลว่าความเข้มแข็งที่กำลังฝืนแสดงอยู่ได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

        ขณะที่ริมฝีปากยังคงประกบจูบ มือของแมนก็พยายามจะถอดเสื้อที่ภูสวมออกก่อนที่ทุกการเคลื่อนไหวจะชะงักหยุดโดยฉับพลันเมื่อสายตาสังเกตเห็นบางอย่าง เขาถอนปากออกมาและนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสนเหมือนทำอะไรไม่ถูก เมื่อภาพที่ปรากฎต่อสายตาคือใบหน้าของภูในยามนี้ซึ่งเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาเป็นสาย

        “เฮ้… เป็นอะไรหรือเปล่า?” แมนพยายามปลอบให้ภูสงบลง “ไม่ต้องร้อง ไม่เป็นไร พี่ไม่ทำแล้ว”

        “ขอโทษครับ มันไม่เกี่ยวกับพี่หรอก มันเป็นเพราะผมเอง” ภูพยายามหยุดตัวเองจากการร้องไห้

        “อย่าบอกนะว่าเพราะเรื่องที่เลิกกับคนนั้น” แมนนึกหาสาเหตุ

        “อืม” ภูพยักหน้าก่อนจะปล่อยโฮออกมาอีก ในเมื่อกลั้นไม่อยู่ก็จึงตัดสินใจปล่อยมันออกมาให้หมด

        “ตอนที่เลิกกันใครเป็นคนบอกเลิก? ” แมนถามก่อนจะดูออกจากท่าทีของภูในทันที “นี่นายโดนเค้าบอกเลิกเหรอ?”

        “ก็ใช่ไง…” ภูยอมรับ เมื่อได้ร้องไห้ออกมาจนพอใจ สภาพอารมณ์ก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ

        “ในเมื่อเค้าไม่ได้รักเราแล้ว จะยังเอาแต่คร่ำครวญหาเค้าทำไมล่ะ ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก” แมนถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ เมื่อดูท่าวันนี้จะไม่เป็นไปตามที่หวังเสียแล้ว

        “ผมรู้ว่าเค้าไม่ได้อยากทำแบบนั้น” ภูมั่นใจในความรู้สึกของตน หากว่ากรรณอยากจะจบทุกอย่างจริงๆ ในวันนั้นก็เพียงแค่ไม่ต้องมาตามนัดและหนีหน้าหายไปความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็จะปิดฉากลงโดยปริยาย แต่ทุกอย่างที่อีกฝ่ายทำมันบ่งบอกชัดเจนว่าเขายังห่วงใยความรู้สึกของภูอยู่มาก และนั่นเองเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ภูยังคงคาใจสงสัยกับการถูกทิ้งครั้งนี้อยู่จนไม่อาจก้าวเดินต่อไปได้ “ใช่ เค้าบอกเลิกผม แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เคยติดต่อกลับมาหาเลยด้วยซ้ำ แต่ผมก็มั่นใจว่าเค้าไม่ได้อยากทำแบบนั้น”

        “อะไรทำให้นายมั่นใจถึงขนาดนั้น” แมนไม่คิดแบบเดียวกับภู

        “ก็แค่ความรู้สึก” ภูไม่อาจหาเหตุผลที่หนักแน่นกว่านั้นมารับรองความเชื่อของตนได้

        “ก็ถ้านายเชื่อแบบนั้น พี่ก็แค่คนนอก คงจะตัดสินอะไรไม่ได้หรอก” แมนยอมแพ้ “ถ้านายรักเค้าถึงแม้เค้าจะบอกเลิกนายไปแล้ว และถ้านายเชื่อว่าเค้าจะยังรักนายอยู่เหมือนกัน แม้ว่าเค้าจะบอกเลิกนายเองกับปาก ก็ทำไมไม่ไปหาเค้าซะล่ะ?”

        “เพราะลึกๆ แล้วผมคงกลัวอยู่เหมือนกันมั้งครับ ว่าสิ่งที่ผมเชื่อมันจะไม่เป็นความจริง” ภูยอมรับถึงความกังวลที่ซุกซ่อนอยู่

        “ไปหาเค้าซะสิ ไปถามให้รู้เรื่อง ไปยืนยันความรู้สึกของตัวเอง” แมนเปิดทางให้ “ถ้าสุดท้ายแล้วมันจะไม่เป็นไปตามที่นายคิด เราก็จะได้เริ่มต้นใหม่กันแบบไม่ต้องมีอะไรติดค้างในใจ”

        “เค้าจะยอมเจอผมเหรอ…” ภูกังวลอยู่เพราะใช่ว่าที่ผ่านมาเขาจะไม่เคยพยายามติดต่อกรรณ

        “ก็ถ้าเค้าไม่… ก็เท่ากับนายได้คำตอบแล้วไง” แมนปาดคราบน้ำตาที่ยังเลอะบนแก้มของภูออก “พี่ชอบนายนะ แต่ถ้าหัวใจนายอยู่กับคนอื่น มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะได้ตัวนายมา”

        “ผมขอโทษนะครับ…” ภูก้มหน้านิ่ง รู้สึกผิดกับการที่ใช้แมนเป็นเครื่องมือในการลืมกรรณ

        “ไม่ต้องขอโทษหรอก” แมนไม่ถือสาอะไรเพราะเข้าใจในความรู้สึกของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี “แค่สัญญาก็พอ ว่าถ้าเค้าไม่รักนายแล้ว นายจะมาเริ่มใหม่กับพี่”

        “ครับ” ภูพยักหน้าตกลง “ยังไงก็เป็นพี่เป็นน้องกันได้อยู่นะครับ”

        “น่าอิจฉาเค้านะ” แมนยิ้มเศร้าๆ รู้ดีอยู่เต็มอกว่าสิ่งที่ตนปรารถนาจะครอบครองได้หลุดลอยออกไปจากมือแล้ว “ถ้ามีใครสักคนที่รักพี่ได้แบบที่นายรักเค้าก็คงดี”

        แมนอาสาไปส่งที่บ้านแต่เพราะรู้ตัวดีว่าเพิ่งทำให้ความหวังของอีกฝ่ายพังทลายไม่เป็นท่าภูจึงปฏิเสธไปไม่ขอรบกวนเพิ่ม อีกทั้งเด็กหนุ่มยังต้องการใช้ช่วงเวลาขณะเดินทางเพื่อคิดทบทวนบางอย่างให้ถ้วนถี่ แม้จะอยากทำตามที่แมนแนะนำคือไปหากรรณเพื่อทำให้ทุกอย่างชัดเจน แต่ก็รู้ดีว่ามันคงยังเกิดขึ้นในตอนนี้ไม่ได้ พรุ่งนี้และเรื่อยไปจนถึงสัปดาห์หน้าภูยังคงมีคิวถ่ายทำสำหรับละครอยู่ และเขาก็คิดว่าการทิ้งงานไปเพื่อเรื่องส่วนตัวนั้นไม่ใช่วิสัยที่คนโตแล้วพึงกระทำ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 23 ☆ [6-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 11-05-2018 10:41:49
        ภูอาบน้ำและลงมาทานอาหารค่ำที่แม่เตรียมเอาไว้ให้แค่พอให้เกิดความสบายใจแก่ผู้ปกครองก่อนจะกลับขึ้นไปบนห้องนอนของตน บทถูกหยิบออกมาท่องทบทวนอีกรอบก่อนที่ภูจะปิดไฟเมื่อเห็นว่าเวลาสมควรแล้วแก่การเข้านอนพักผ่อน แต่เมื่อแสงไฟในห้องมืดลง ภูก็พบว่ามีบางอย่างที่ผิดไปจากที่มันควรจะเป็นเมื่อบรรยากาศในห้องกลับไม่มืดสนิทเหมือนเช่นทุกวันด้วยแสงไฟจากฝั่งตรงข้ามที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา เขารีบโดดลงจากเตียงและพุ่งไปที่หน้าต่างก่อนจะลอบมองออกไปดูด้วยหัวใจที่เต้นรัว แสงไฟจากระเบียงทางเดินชั้นสองของบ้านเปิดเอาไว้อยู่รวมถึงแสงไฟในห้องนอนที่อยู่เยื้องออกไปนิดหน่อยด้วย เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลยนอกจากกรรณจะกลับมาแล้ว

        โดยไม่มีการลังเล ภูรีบเปิดหน้าต่างและปีนออกไปเพื่อข้ามไปยังระเบียงฝั่งตรงข้าม แน่นอนว่าด้วยความระมัดระวังที่เพิ่มมากขึ้นเพราะการต้องเป็นคนแขนหักไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่าสนุกเลยแม้แต่น้อย และทันทีที่เท้าแตะลงบนพื้นไม้ของทางเดินก็ประจวบเหมาะพอดีกับที่ประตูทางเข้าบ้านจากระเบียงนั้นถูกคนข้างในดันเปิดออกมา กรรณยืนอยู่ตรงนั้น เขาดูแปลกตาผิดไปจากเมื่อหลายเดือนก่อน ใบหน้าดูหม่นซูบลงและยังดูโทรมจากหนวดเคราที่ดูจะห่างเหินจากมีดโกนมานาน อีกทั้งยังมีรอยช้ำสดๆ ใหม่ๆ เด่นหราอยู่บนดวงตาข้างซ้าย

        “อ่า…” ภูทำอะไรไม่ถูก เขายังไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่าจะพูดอะไร แต่แค่รู้ว่ากรรณอยู่ที่นี่เขาก็ต้องมา

        “ไง…” กรรณโบกมือทักทาย ใบหน้ามีรอยยิ้มเหมือนไม่กล้าสู้หน้า “ไม่เจอกันนานเลย”

        “พี่กลับมาแล้ว…” ภูไม่อยากเชื่อสายตา แต่รอยช้ำนั้นก็ดึงความสนใจเขาได้อยู่หมัด “พี่ไปโดนอะไรมาน่ะครับ?”

        “นี่น่ะเหรอ?” กรรณชี้ไปที่ตาซ้ายของตน “พลาดท่าโดนเด็กเมื่อวานซืนมันเล่นงานมา”

        “จอส…” ภูรู้ทันทีว่าเป็นฝีมือใคร “เขาไปหาพี่เหรอ?”

        “ใช่ เค้าไปพาตัวพี่มา” กรรณตอบก่อนจะเล่าต่อ “แล้วเค้าก็บอกด้วย ว่านายยังรักพี่อยู่”

        “เค้าหาพี่เจอได้ไงเนี่ย…” ภูอดทึ่งไม่ได้

        “เรื่องนั้นไว้นายไปถามเค้าเอาเองเถอะ” กรรณไม่ยอมให้ภูออกนอกประเด็น “ว่าไงล่ะ ที่เค้าบอกพี่น่ะ จริงไหม?”

        “ก็จริง…” ภูยอมรับ แต่ก็มีบางอย่างที่ต้องบอกให้กรรณรู้ด้วย “แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ผมโกรธพี่ด้วย โกรธที่พี่ทำแบบนี้กับผม”

        “ก็พอจะเข้าใจ ไม่โกรธสิแปลก…” กรรณยอมรับผิด “พี่อาจจะพูดคำนี้ช้าไปหน่อย แต่ก็ขอโทษนะ… ขอโทษจริงๆ ที่ทำแบบนั้น”

        “พี่ทิ้งผมให้อยู่คนเดียวกับเรื่องบ้าๆ นี่… ผมแขนหักยังไม่พอ ยังต้องมาอกหักอีก” ภูระบายความอัดอั้นที่เก็บกดไว้ในใจมานาน “ทั้งที่พี่เป็นคนเดียวที่ควรจะยืนอยู่ข้างผมแท้ๆ”

        “พี่คิดว่าถ้าพี่ไปจากชีวิตนาย ทุกอย่างก็จะดีขึ้น” กรรณอธิบายเหตุผลในการตัดสินใจของตนเอง “นายมีชีวิตที่ดีนะ มีครอบครัวที่รักนาย ใครๆ ก็ชอบนาย แต่พอพี่เข้ามาทุกอย่างก็วุ่นวายไปหมด”

        “พี่ชอบคิดแทนผมอ่ะ!” ภูทนไม่ไหวกับเหตุผลที่ได้รับ “ตั้งแต่ตอนเราจะคบกัน พี่ก็คิดเอาเองว่าเรายังไม่ต้องคบกันเพื่ออนาคตของผม พอตอนคบกันแล้วพี่ก็อยากเลิกเพื่อให้ชีวิตผมดีขึ้น ชีวิตคนเรามันไม่ต้องเสียสละเป็นพ่อพระขนาดนั้นก็ได้มั้ง”

        “ขอโทษ…” กรรณยกมือไหว้ประหลกๆ เมื่อเห็นภูโมโหเหมือนจะกินหัวตนได้ “แต่พอทำลงไปแล้วก็เสียใจมากเลย ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรทั้งนั้น อยากได้นายคืนมา…”

        “แล้วรออะไร? ทำไมไม่กลับมา แถมยังหนีผมไปอยู่ต่างจังหวัดอีก” ภูขอเหตุผลเพิ่มเติม

        “ก็คิดว่านายคงไม่เหลือความรู้สึกดีๆ อะไรให้พี่แล้ว” กรรณตอบ “พี่ทำนายเสียใจขนาดนั้น ใครจะคิดว่านายจะยังรักพี่ได้อยู่”

        “ผมรอพี่มาตลอดเลยรู้ไหม?” ภูพยายามไม่ร้องไห้ออกมาแต่น้ำตาเจ้ากรรมก็ยังเอ่อท้นจนเป็นเงาอยู่รอบดวงตา “พี่ไม่รู้หรอกว่าสามเดือนที่ผ่านมานี้ ไม่มีสักวันเลยที่ผมจะไม่ร้องไห้เวลาคิดถึงพี่”

        “นี่ไงครับ กลับมาแล้ว สำนึกผิดแล้ว” กรรณเข้ามาทำท่าจะกอดภู “ดีกันนะ…”

        “ไม่เอาหรอก แบบนั้นง่ายเกินไป ผมถือว่าพี่บอกเลิกผมไปแล้ว” ภูกระเถิบถอยหนีออกจากอ้อมกอดนั้น ไม่ยอมกลับไปคืนดีด้วยง่ายๆ “ถ้าอยากจะกลับมาคบกัน คราวนี้พี่ก็เป็นฝ่ายพยายามบ้างก็แล้วกัน”

        “ต้องพยายามนานไหมอ่ะ?” กรรณเสียงอ่อย

        “ไม่รู้ อยู่ที่ความสามารถพี่อ่ะ ถือซะว่าจีบกันใหม่อีกรอบก็แล้วกัน” ภูสรุปเงื่อนไขให้

        “มีเวลาจีบไม่นานน่ะสิ…” กรรณทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

        “อะไรอีก?” ภูรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายยังมีเรื่องปิดบังตนอยู่ “ทำไมถึงมีเวลาไม่นาน? รีบบอกมาเลยเดี๋ยวนี้เลยนะครับ”

        “คือว่า… ช่วงหลังจากที่เราแยกกันใหม่ๆ เพื่อนร่วมงานเก่าที่อเมริกาเค้าส่งข่าวมาให้ว่าทางสำนักข่าวของที่นั่นกำลังรับสมัครช่างภาพเจอนัลลิสต์ เค้าถือวิสาสะส่งโปรไฟล์งานของพี่ไปให้ทางนั้นเค้าพิจารณาแล้ว ผลคือเค้าสนใจจะร่วมงานด้วยเป็นอย่างมาก เหลือแค่ว่าพี่พร้อมจะตกลงเซ็นสัญญาว่าจ้างไหม” กรรณเล่าไปพลางแอบลอบมองดูปฏิกิริยาของภูไปด้วย “คือพี่ก็อยากทำงานกับเครือนี้มาตั้งนานแล้ว แบบที่นายเห็นในไอจีพี่ไง พี่ชอบถ่ายเหตุการณ์ ถ่ายผู้คน ถ่ายสถานที่ บันทึกช่วงเวลา แต่ตอนอยู่อเมริกาชีวิตก็ติดพันอยู่แต่การทำงานกับนิตยสารแฟชั่น แล้วช่วงที่เค้าติดต่อมาเราก็เหมือนจะเลิกกันอยู่… พี่ก็เลยคิดว่ามันน่าจะเป็นโอกาสที่ดี…”

        “อย่าบอกนะว่า…” ภูไม่อยากให้ตัวเองเดาถูกเลย

        “พี่ตอบตกลงกับเค้าไปแล้ว เอกสารสัญญาก็เซ็นส่งกลับไปเรียบร้อยแล้ว” กรรณยอมรับเสียงอ่อย “มีเวลาเตรียมตัวจนถึงสิ้นเดือนนี้ เดือนหน้าพี่ก็ต้องไปประจำที่นั่นแล้ว และหลังจากนั้นก็แล้วแต่ว่าเค้าจะส่งเราไปลงพื้นที่ทำข่าวที่ไหน”

        “ทำไมทำอย่างงี้อ่ะ!!!” ภูทุบเข้าให้เต็มแรงที่ต้นแขนของกรรณ

        “ก็ตอนนั้นคิดว่าคงไม่มีหวังได้กลับมาคืนดีกันแล้วนี่นา…” กรรณพยายามปกป้องตัวเองเท่าที่ทำได้ “พี่ก็อยากหาอะไรทำให้ลืมเรื่องนายไปได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังดี จะได้ไม่ต้องมานั่งเศร้าซึมกับต้นไม้ใบหญ้าที่บ้านทั้งวันแบบนี้”

        “แล้วสัญญาระยะเวลาเท่าไหร่ครับ?” ภูถาม

        “สามปีครับ” กรรณตอบพร้อมกับชูสามนิ้ว “รอไหวไหม?”

        “ตั้งสามปี กลับมาก็มีแฟนใหม่ไปแล้ว” ภูแกล้งพูดขู่

        “ก็ถ้านายเลือกแบบนั้น พี่ก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ” กรรณเชื่อจริงจัง “ตอนกลับมาที่นี่พี่ก็เตรียมใจเอาไว้แล้ว ว่าถ้านายรู้เรื่องนี้แล้วนายจะไม่อยากรอ พี่ก็จะไม่ว่าอะไร เคารพการตัดสินใจของนาย เพราะเรื่องทั้งหมดพี่ก็เป็นคนผิดเองที่ไปบอกเลิกนายก่อน”

        “จะให้รอก็ได้ แต่ต้องรับปากสัญญามาก่อน” ภูยื่นเงื่อนไข “ต่อไปนี้ห้ามทิ้งกันอีกเด็ดขาด ไม่ต้องเสียสละ ไม่ต้องคิดแทนผมแล้ว เป็นแค่แฟนก็พอ ไม่ต้องเป็นพ่อ โอเคไหมครับ?”

        “สัญญาครับ” กรรณรีบตกลง “จะไม่ให้เป็นแบบที่ผ่านมาอีกแล้ว”

        “ต่อให้พ่อมาไล่อีกก็ห้ามไป” ภูขอคำยืนยันสำทับ

        “ต่อให้เอาปืนมายิง ก็จะยอมตายตรงนี้แหละ ยังไงก็ไม่ไปครับ” กรรณรับปากหนักแน่น

        “งั้นก็รักษาสัญญาด้วยแล้วกันครับ” ภูยอมใจอ่อน “นี่เห็นว่าอีกไม่กี่วันพี่ก็ต้องไปแล้วหรอกนะ ไม่งั้นไม่ยอมง่ายๆ แบบนี้หรอก”

        กรรณอ้าแขนออกเรียกให้ภูเข้ามา เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาก่อนจะยอมเข้าไปให้กอดอย่างว่าง่าย แม้ใจของเขาจะยังอยากทำปั้นปึ่งโกรธเคืองอีกฝ่ายให้นานกว่านี้เพื่อให้สมกับที่ต้องเสียใจมาหลายเดือนแต่ภูก็ยอมตัดใจเลือกจะใช้เวลาช่วงที่ยังเหลืออยู่ด้วยกันให้มีความสุขที่สุดดีกว่า เพราะเพียงไม่กี่วันหลังจากนี้ทั้งสองก็จะต้องห่างกันไปคนละซีกโลก ถึงแม้วิทยาการสื่อสารจะก้าวหน้าจนทำให้สามารถเห็นหน้ากันได้ทุกเวลาที่ต้องการ แต่อย่างไรก็ตามความรู้สึกที่ได้จากจ้องมองอีกฝ่ายผ่านภาพหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือก็คงเทียบไม่ได้เลยกับการได้อยู่แนบชิดสนิทกายกันจริงๆ เช่นนี้

        คืนนั้นหลังจากกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ได้ผ่านพ้นไป กรรณกอดภูเอาไว้จนร่างเปลือยเปล่าของทั้งสองแนบชิดเกือบจะรวมเป็นหนึ่งเดียวขณะที่ปากก็กระซิบเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในขณะที่ทั้งสองไม่ได้อยู่ด้วยกัน จอสบุกไปหากรรณถึงสุโขทัยโดยมีพี่ช้างเป็นคนบอกข้อมูลที่อยู่ของกรรณ แม้ข้อมูลที่ได้จะไม่ได้ละเอียดมากถึงขนาดรู้บ้านเลขที่แต่เพียงเท่านั้นก็มากพอที่จะช่วยให้เด็กหนุ่มหาตัวกรรณจนเจอ รอยช้ำที่ตาของกรรณได้มาเพราะถูกอีกฝ่ายประเคนกำปั้นใส่ทันทีที่เปิดประตูบ้าน ซึ่งเมื่อตั้งตัวได้กรรณก็ทำการสอนมวยเด็กรุ่นน้องคืนไปหลายชุดกว่าที่ทั้งสองจะหมดแรงจนต้องยอมสงบศึกและมานั่งคุยกันดีๆ ได้

        ถึงแม้พ่อของภูจะหายโกรธแต่ก็ใช่ว่าจะยอมรับกรรณกลับมาได้ง่ายๆ ชายหนุ่มยังคงถูกกันออกจากอาณาเขตบ้านของภูอย่างเด็ดขาด และแน่นอนว่าในช่วงไม่กี่วันก่อนที่กรรณจะต้องออกเดินทางนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ต้องดำเนินไปแบบหลบๆ ซ่อนๆ แต่ถึงกระนั้นภูก็สังเกตเห็นว่าการแอบพบเจอกันบนระเบียงบ้านของกรรณหลายต่อหลายครั้งนั้นตกอยู่ในสายตาของพ่อที่จับจ้องอยู่แต่ก็ไม่ได้เข้ามาห้ามปรามหรือพรากทั้งคู่ออกจากกันแต่อย่างใด นั่นทำให้ภูรับรู้ได้ว่าแม้จะโดยไม่เต็มใจนัก แต่ในที่สุดพ่อก็ยอมเปิดทางให้ความรักของทั้งคู่แล้ว

        ช่วงเวลาแห่งการจากลามาถึงในเช้ามืดแห่งวันแรกของเดือนใหม่ ภูขับรถของพ่อออกมาส่งกรรณที่สนามบิน ถึงแม้ว่าใจจริงนั้นเด็กหนุ่มอยากจะไปส่งอีกฝ่ายให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้แต่ในความเป็นจริงก็ทำได้เพียงแค่บอกลากันในลานจอดรถของสนามบินเท่านั้น ด้วยคำสั่งจากทางช่องที่บังคับให้ภูยังคงต้องระมัดระวังเรื่องภาพลักษณ์อยู่ถึงแม้ว่าข่าวฉาวจากภาพหลุดจะจางหายไปจนแทบไม่มีใครจำได้แล้วก็ตาม จูบสุดท้ายที่เกิดขึ้นในรถอันแสนคับแคบนั้นอ้อยอิ่งและเนิ่นนาน แต่ถึงจะพยายามยืดเวลาเพียงใดก็ไม่อาจหลีกหนีจุดสิ้นสุดได้ กรรณจำใจผละออกจากริมฝีปากของภูเมื่อเสียงเตือนจากโทรศัพท์ดังขึ้นตามเวลาที่ตั้งไว้ เขามองหนังสือเดินทางและตั๋วเครื่องบินในมือของตน หวั่นเกรงกับช่วงเวลาแห่งการจากลาที่ไม่อยากให้มาถึง

        “อยู่ที่นี่ดูแลตัวเองดีๆ นะ” กรรณสั่งเสียด้วยความเป็นห่วง “กินเยอะๆ หาเวลาพักผ่อน ถ้ารู้ตัวว่าไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนสังขาร”

        “ผมโอเคน่า… พี่นั่นแหละที่น่าห่วง งานใหม่นี่ต้องเดินทางอยู่ตลอด รักษาสุขภาพด้วยนะครับ” ภูตอบกลับไป

        “แล้วพี่จะติดต่อมาหาเรื่อยๆ รับรองว่าจะไม่เงียบหายไป” กรรณให้สัญญา

        “ถ้าหายจะตามไปล่าตัวจนเจอ” ภูพยายามทำให้บรรยากาศไม่เศร้าจนเกินไป “อยู่ที่นั่นห้ามไปยุ่งกับใครนะ”

        “บอกตัวเองเถอะ ตั้งแต่คบกับนายพี่ไม่เคยมีใครมายุ่งด้วยเลย มีแต่นายนั่นแหละ คู่จงคู่จิ้นอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด” กรรณใช้มือผลักศรีษะของภูเบาๆ แปลกใจกับท่าทีที่ดูผ่อนคลายของอีกฝ่าย “แล้วนี่ใจคอจะไม่ร้องไห้ให้ปลอบก่อนไปเลยเหรอ?”

        “น้ำตาของผมสำหรับพี่น่ะ มันหมดไปนานแล้วครับ” ภูรีบไล่ “ไปเช็คอินได้แล้ว เดี๋ยวตกเครื่องจนได้หรอก”

        “รู้แล้วน่า” กรรณเปิดประตูลงไปและไปหยิบกระเป๋าเดินทางที่ท้ายรถก่อนจะเดินกลับมาก้มมองที่หน้าต่างข้างคนขับอีกครั้ง “เดี๋ยวไปถึงแล้วจะรีบติดต่อมาหานะ”

        “โอเคครับ” ภูพยักหน้ารับทราบก่อนจะโบกมือลา “เดินทางปลอดภัยนะครับ”

        “ยังไม่ทันไปก็คิดถึงนายแล้วเนี่ย…” กรรณโบกมือตอบกลับแล้วจึงหันหลังเดินลากกระเป๋าเดินทางออกไปจากตรงนั้น

        ภูเฝ้ามองอยู่จนกระทั่งอีกฝ่ายเดินหายลับไปจากสายตาแล้วจึงค่อยเคลื่อนรถขับออกมาจากตรงนั้นด้วยหัวใจที่เบาหวิว ท้องฟ้ายังคงไม่สว่างดีมีเพียงเส้นสีทองที่บ่งบอกว่าดวงอาทิตย์กำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้าในไม่ช้า น้ำตาที่สะกดเอาไว้ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มที่ปั้นแต่งออกมาเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องเป็นกังวลเริ่มเอ่อท้นขอบตาจนเกินจะกลั้นไว้ได้อีกต่อไป เมื่อการร้องไห้ทำให้ทัศนวิสัยในการมองทางถดถอย เด็กหนุ่มจึงจอดรถลงที่ข้างทางก่อนเพื่อความปลอดภัยแล้วปล่อยให้ตัวเองร้องไห้จนสาแก่ใจ จนกระทั่งหยุดร้องได้แล้วจึงค่อยออกรถขับต่อไปอีกครั้ง

        เมื่อกลับมาถึงบ้าน ภูจอดรถเก็บเข้าที่จากนั้นจึงนำกุญแจไปวางคืนให้พ่อยังที่เดิมที่หยิบมาก่อนจะกลับขึ้นไปพักผ่อนบนห้องนอนของตนเอง เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะโดดเรียนในช่วงเช้า เด็กหนุ่มจึงยังมีเวลาตั้งแต่ตอนนี้จนกว่าจะถึงช่วงบ่ายก่อนที่จะต้องออกไปกองถ่ายอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าไม่มีสายตาคอยแอบมองจากฝั่งตรงข้ามให้ต้องระวังอีกต่อไปภูก็ถอดเสื้อผ้าตัวเองจนเหลือแค่กางเกงบ๊อกเซอร์แล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ท้องฟ้าสว่างแล้ว ภูมองแสงแดดอ่อนๆ ของเช้าวันใหม่ที่ส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่าง เที่ยวบินของกรรณคงออกเดินทางแล้วในเวลานี้ ภูนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงรีบผลุดลุกขึ้นนั่งแล้วหยิบปฏิทินตั้งโต๊ะขนาดเล็กที่หัวเตียงออกมาก่อนจะใช้ปากกาเคมีซึ่งวางอยู่ใกล้ๆ ขีดฆ่าวันนี้ออก เป็นสัญญาณการเริ่มนับถอยหลังหนึ่งวันแรกจากหนึ่งพันกับอีกเก้าสิบห้าวันแห่งการรอคอย

        แม้กรรณจะไม่ได้อยู่ร่วมรับรู้ แต่โลกของภูก็ยังหมุนไปอย่างไม่มีวันหยุด มีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นให้ได้แปลกใจและหนักใจแทบทุกวัน ละครเรื่องแรกในชีวิตของภูถ่ายทำจนเสร็จและบทของเขาได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ชมจนแทบจะเรียกได้ว่าดังเกินหน้าเกินตาพระเอกนางเอกของเรื่อง ส่งผลให้ทางช่องรีบผลักดันภูด้วยการป้อนบทตัวเอกในซีรีย์วัยรุ่นให้เป็นผลงานชิ้นถัดไป โดยมีจอสซึ่งกลับจากการพักร้อนเรียบร้อยแล้วมารับบทสมทบในเรื่องด้วย บรรดาแฟนคลับและผู้ชมที่รู้ข่าวต่างตั้งตารอดูกันอย่างใจจดใจจ่อ แต่หนึ่งในนั้นไม่ใช่กรรณซึ่งยืนกรานหัวเด็ดตีนขาดผ่านวีดีโอคอลมาว่าจะไม่ยอมดูให้เสียสายตาแน่หากว่ามีจอสมาโผล่ในจอด้วย

        ภูยังคงสวมบทบาทคู่จิ้นในจอกับจอส ในขณะที่นอกจอทั้งสองก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอ ทว่าหลังจากกลับมามีผลงานละครกับทางช่องได้เพียงแค่สองเรื่อง จอสก็ถูกยกเลิกสัญญาเนื่องจากละเมิดข้อตกลงกับทางต้นสังกัด ซึ่งเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านใดๆ กับโทษที่ตนได้รับ เขาได้ออกมาฟอร์มวงดนตรีกับกลุ่มเพื่อนใหม่ที่สนิทกันผ่านทางแฟนที่คบหาดูใจกันอยู่ ในขณะที่ทางด้านงานในวงการเขาก็ยังคงรับงานในฐานะนักแสดงอิสระ มีผลงานประปรายเพื่อรักษากระแสชื่อเสียงของตนเอาไว้ให้เป็นประโยชน์ในการโปรโมทวงดนตรี ซึ่งหลังจากการยกเลิกสัญญาถึงแม้ภูจะถูกต้นสังกัดสั่งห้ามไม่ให้รับงานคู่กับจอสจนทั้งสองต้องห่างกันไปโดยปริยาย แต่เด็กหนุ่มก็ไม่เป็นกังวลแต่อย่างใดเพราะรู้ว่าตอนนี้จอสไม่ได้อยู่ลำพังเดียวดายอีกต่อไปแล้ว

        กรรณยังคงรักษาสัญญาที่ให้เอาไว้ว่าจะไม่เงียบหาย เขาติดต่อกลับมาบ่อยครั้งที่สุดเท่าที่จะทำได้ในทุกวิถีทางเท่าที่สถานการณ์จะเอื้ออำนวย มีครั้งหนึ่งที่ชายหนุ่มจำเป็นต้องเงียบหายไปกว่าหนึ่งเดือนเพราะต้องถูกส่งไปลงพื้นที่ซึ่งขาดแคลนทรัพยากรทางด้านการติดต่อสื่อสาร แต่เขาก็ได้บอกภูล่วงหน้าถึงเรื่องนั้นเพื่อไม่ให้เกิดความกังวล ในขณะที่สถานะทางหน้าที่การงานของกรรณก็ดูจะเป็นไปได้สวย เขามีผลงานที่โดดเด่นจนถึงขั้นได้คัดเลือกเข้าสู่รอบสุดท้ายรางวัลพูลิตเซอร์ในสาขาภาพถ่ายหลักถึงสองปีซ้อน แม้จะไม่ได้เป็นผู้ชนะแต่ก็สร้างชื่อเสียงได้มากในฐานะคนไทยเพียงไม่กี่คนที่เคยมีชื่ออยู่บนเวทีนี้จนถึงขนาดสื่อไทยต้องขุดคุ้ยประวัติจนข่าวรูปฉาวในอดีตของภูกลับมาเป็นกระแสอีกรอบ ซึ่งครั้งนี้ภูเลือกที่จะตอบสนองกับข่าวด้วยการยอมรับความจริงโดยไม่สนใจคำทัดทานของพี่ช้าง เด็กหนุ่มออกแถลงข่าวกับสื่อมวลชนยอมรับว่ากำลังคบหากับกรรณจริง และคบมาตั้งแต่ก่อนที่รูปนี้จะหลุดออกมาแล้ว อีกทั้งยังขอร้องให้ทุกฝ่ายเคารพสิทธิ์ความเป็นส่วนตัวของคนรักตนด้วยเนื่องจากอีกฝ่ายไม่ใช่บุคคลสาธารณะในวงการบันเทิงเหมือนกับตน ซึ่งผลตอบรับที่ได้กลับมานั้นเป็นอะไรที่ผิดความคาดหมาย เมื่อกระแสสังคมที่มีต่อเรื่องนี้เป็นไปในทิศทางที่ดีกว่าที่ทั้งพี่ช้างและต้นสังกัดคาดคิดเอาไว้ ภูยังคงรักษาความนิยมเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น อีกทั้งยังสามารถเพิ่มฐานแฟนคลับจากกลุ่มเพศทางเลือกได้อีก แม้จะมีกระแสวิจารณ์ในด้านลบจากพวกกลุ่มคนหัวโบราณออกมาประปราย แต่เสียงนกเสียงกาเพียงเล็กน้อยนั้นก็ไม่อาจส่งผลกระทบใดๆ ต่อการตัดสินใจของทางช่องในเมื่อเรตติ้งละครของภูที่กำลังออนแอร์นั้นช่างร้อนแรงจนไม่อาจปฏิเสธได้

        แม้จะต้องใช้ความพยายามและอุตสาหะมากกว่าคนอื่น แต่ภูก็สามารถสำเร็จการศึกษาได้ทันพร้อมๆ กับเพื่อนทุกคนในรุ่น พ่อติดต่อช่างภาพมาเพื่อบันทึกภาพความทรงจำในการรับปริญญาทั้งวันซ้อมและวันรับจริง แต่ถึงกระนั้นก็ยังแอบบ่นกับแม่ว่าคงประหยัดไปได้มากหากกรรณมารับหน้าที่นี้ด้วยตัวเอง ซึ่งนั่นทำให้ภูอดแอบยิ้มกับตัวเองไม่ได้ เพราะในที่สุดพ่อก็แสดงออกเป็นนัยยะให้รับรู้แล้วว่ายอมรับกรรณกลับเข้ามาในครอบครัวอีกครั้งหลังจากถือทิฐิทำปากแข็งบอกจะไม่สนใจใยดีอยู่เป็นปี

       
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ Episode 23 ☆ [6-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 11-05-2018 10:42:25
        ในงานเลี้ยงฉลองจบการศึกษา ขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ กำลังสนุกสนานกันอย่างสุดเหวี่ยงเพื่อเป็นการส่งท้ายชีวิตการเรียนนั้น ภูแอบหลบออกมานอกงานเพื่อวีดีโอคอลกับกรรณตามเวลาที่นัดหมายเอาไว้เมื่อสองวันก่อน ทว่าหลังจากนั่งรออยู่ครู่ใหญ่จนเลยเวลานัดแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าอีกฝ่ายจะติดต่อมา ภูถอนหายใจออกมาแต่ก็พยายามบอกตัวเองไม่ให้คิดมาก เพราะกรรณได้บอกเอาไว้แล้วว่าต้องเข้าไปทำงานในเขตที่การติดต่อสื่อสารอาจทำได้ไม่สะดวก ดังนั้นวันนี้การผิดนัดของเขาอาจเป็นเหตุสุดวิสัย เด็กหนุ่มเก็บโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋ากางเกงก่อนจะนั่งลงบนขั้นบันไดของทางหนีไฟ ตั้งใจจะพักสมองสักครู่หนึ่งก่อนจะเข้าไปเจอความวุ่นวายจากบรรดาเพื่อนที่กำลังเมาจนรั่วเหมือนเสียสติด้านในงาน

        “ไอ้ภู มานั่งทำอะไรวะ เพื่อนหาตัวกันให้ควั่ก เค้าจะถ่ายรูปรวมกันแล้ว” สาลี่โผล่หน้าเข้ามาเรียกภู

        “พักหู พักหัว ไอ้พวกนี้ยิ่งเมายิ่งแหกปาก ปวดหัวไปหมดแล้วเนี่ย” ภูให้เหตุผล

        “เออ ก็จริง ชั้นก็รำคาญ โดยเฉพาะไอ้ดล เสียงปกติแม่งก็น่ารำคาญอยู่แล้ว พอแหกปากนี่เหมือนมีงานชุมนุมผีเปรตแถวนี้เลย” สาลี่นินทาเพื่อนลับหลังก่อนจะตัดสินใจนั่งพักข้างๆ ภูด้วยอีกคน “แล้วแกไหวป่ะเนี่ย? พรุ่งนี้มีงานรึเปล่า?”

        “พรุ่งนี้มีถ่ายรายการ แต่ก็ไหวอยู่ กินไปไม่กี่แก้วหรอก” ภูรู้ขีดจำกัดของตัวเองดี “ช่วงนี้งานซาลง ละครก็ปิดกล้องไปหมดแล้ว เหลือหนังที่มีถ่ายซ่อมอีกไม่กี่ฉาก ต้องรอละครใกล้ออนแอร์กับหนังออกฉายนั่นแหละถึงจะวิ่งวุ่นเรื่องโปรโมทอีกรอบ”

        “ดังใหญ่แล้วนะแกน่ะ” สาลี่อดทึ่งไม่ได้ว่าเพื่อนสุดเงอะงะของเธอจะมาไกลได้ขนาดนี้ “แล้วไหนจะผมทรงนี้ของแกอีก ยังไงชั้นก็ไม่ชินกับมันว่ะ”

        “เปลี่ยนลุกส์บ้างไม่ดีเหรอ?” ภูยกมือขึ้นเสยผมบนศรีษะของตนซึ่งบัดนี้ถูกซอยตัดออกจนสั้น “ตอนแรกก็แค่คิดว่าต้องเปลี่ยนคาแรกเตอร์ตามบทหนัง แต่พอตัดแล้วมันก็โอเคว่ะ สบายหัวดี ไม่เสียเวลาหลังอาบน้ำมากเหมือนเมื่อก่อนด้วย”

        “แล้วแฟนแกเห็นรึยัง?” สาลี่ถามถึงกรรณ

        “เห็นแล้ว เค้าชอบแบบเก่ามากกว่า แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร” ภูตอบ พลางหลุดขำออกมาเมื่อนึกถึงสีหน้าตกตะลึงของกรรณเมื่อเห็นผมทรงนี้เป็นครั้งแรกขณะที่วีดีโอคอลกัน

        “แล้วเรื่องที่แกบอกชั้นวันนั้น แกตัดสินใจแน่แล้วเหรอ?” สาลี่ถามถึงสิ่งที่ภูปรึกษากับตนไว้เมื่อหลายวันก่อนหลังจากซ้อมรับปริญญาเสร็จ

        “ก็คงตามนั้นแหละว่ะ” ภูพยักหน้ายืนยัน “ครบห้าปี หมดสัญญาก็คงจะไม่ต่อกับทางช่องแล้ว แล้วก็คงพอซักทีกับงานในวงการ ออกมาหาอะไรที่ชอบจริงๆ ทำดีกว่า”

        “ไม่เสียดายเหรอ แกกำลังรุ่งเลยนะ” สาลี่ไม่อยากให้เพื่อนเสียใจทีหลัง

        “ผ่านมาเกือบสามปี ชั้นยังไม่รู้สึกเลยว่าชั้นเหมาะกับที่ตรงนี้” ภูบอกสิ่งที่ตนรู้สึก “มันก็เงินดีแหละ แต่ที่ผ่านมาชั้นก็เก็บเงินได้เยอะมากแล้ว กว่าจะหมดสัญญาก็คงหาเพิ่มได้อีกก้อนใหญ่ ได้เท่านั้นก็พอแล้วล่ะ อีกเดี๋ยวพี่กรรณก็จะกลับมาแล้วด้วย”

        “กลับมาแล้วไง แกก็ยังคบกับเค้าต่อได้นี่ ก็ยอมรับออกสื่อไปแล้ว คนดูแฟนคลับก็ยอมรับได้ไม่มีปัญหาอะไร” สาลี่แย้ง

        “ชั้นก็อยากได้ชีวิตสงบๆ ของตัวเองกลับมาเหมือนกันนะ แกน่าจะรู้จักชั้นดีกว่าใคร ว่าชั้นหวงชีวิตตัวเองขนาดไหน” ภูตอบกลับไป “แล้วอีกอย่าง ถ้าชั้นยังอยู่ในวงการ พี่กรรณก็หนีไม่พ้นจะต้องถูกขุดคุ้ยล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวอยู่เรื่อยๆ ชั้นน่ะยอมได้เพราะมันคืองาน แต่เค้าไม่ได้เป็นแบบชั้น เค้าไม่สมควรโดน”

        “อืม ก็แล้วแต่แกเถอะ” สาลี่ไม่ฝืนโน้มน้าวต่อ “ก็แค่เสียดายแทนแกนิดหน่อยเท่านั้นแหละ”

        “ไม่มีอะไรน่าเสียดายเลยไอ้ลี่” ภูถอนหายใจออกมาเมื่อนึกถึงชีวิตที่เปลี่ยนไปจนแทบจะจำตัวเองไม่ได้ “การต้องอยู่กับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้อยากทำ จนต้องเสียโอกาสทำสิ่งที่ตัวเองรักจริงๆ ไปต่างหากที่น่าเสียดาย”

        “ทำเป็นพูดจาหล่อ” สาลี่เบ้ปาก “จริงๆ คืออยากออกมาอยู่เงียบๆ กับแฟนก็เท่านั้นแหละแกน่ะ”

        “ก็คนมันมีแฟนให้อยู่ด้วยอ่ะนะ” ภูเกทับกลับไป

        “เหรอ รักแฟนมากสินะพ่อคุณ?” สาลี่ถามเสียงสูงด้วยความหมั่นไส้

        “แน่นอน” ภูพยักหน้า

        “ไม่กลัวโดนบอกเลิกอีกหรือไง?” สาลี่จัดการขุดแผลเก่าขึ้นมา

        “เลิกก็เลิกสิ นี่ระดับพระเอก เบอร์นี้แล้ว ไม่แคร์แล้ว” ภูทำเก่ง “เลิกก็หาใหม่ มีอะไรยาก แคร์มากก็เครียดมาก ดูวันนี้สิ ขนาดนัดว่าจะเฟสไทม์กันยังผิดนัดเลย แล้วนี่แคร์ไหม? ก็ไม่ คนคุยด้วยเยอะแยะ”

        “อ๋อเหรอ…” เสียงที่ตอบกลับมาคราวนี้ไม่ใช่เสียงของสาลี่ “งั้นหาใหม่ซะตอนนี้เลยดีไหม?”

        ภูหันไปตามเสียงก่อนจะสะดุ้งเฮือก ตกใจจนทำอะไรต่อไม่ถูกเมื่อเห็นกรรณยืนอยู่ตรงประตูของทางหนีไฟ รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมบนใบหน้านั้นบ่งบอกให้รู้ได้อย่างชัดเจนว่าเขาได้ยินบทสนทนาของเพื่อนรักทั้งสองเมื่อครู่นี้อย่างครบถ้วนทุกกระบวนความ โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายของภู เด็กหนุ่มชะงักคิดไม่ออกว่าควรจะแสดงอาการว่าดีใจต่อการปรากฎตัวที่ไม่คาดคิดนี้ก่อนดีหรือจะแก้ตัวเรื่องประโยคเมื่อครู่นี้ก่อนดี ครั้นจะหันไปเล่นงานสาลี่ เพื่อนตัวแสบก็แอบย่องวิ่งหนีลงไปชั้นล่างแล้ว

        “พะ… พี่มาได้ไงอ่ะครับ?” ภูพยายามตั้งสติ

        “ก็ขอลางานมาน่ะสิ วันสำคัญแบบนี้ จะไม่มาได้ไงล่ะ อุตส่าห์วางแผนกับสาลี่เอาไว้ว่าจะมาเซอร์ไพรส์” กรรณตอบ “แล้วอีกอย่าง ถ้าไม่มาจะรู้เหรอ ว่ามีคนจ้องจะหาแฟนใหม่อยู่”

        “พี่ก็รู้ว่าผมพูดไปอย่างนั้นแหละ… ใช่ป่ะ?” ภูทำใจดีสู้เสือ แต่สายตาข่มขู่ของกรรณก็ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดตามที่ตนพูด

        “เริ่มจะไม่ไว้ใจให้อยู่คนเดียวแล้วนะ” กรรณส่ายหน้าเหมือนระอิดระอาใจ

        “ถ้าจะนอกใจพี่ ผมก็ทำไปนานแล้วเหอะ” ภูยกเอาความดีความชอบในอดีตของตนขึ้นมาอ้าง “ขนาดโดนพี่บอกเลิก ผมยังไม่คิดจะหาคนใหม่เลย”

        “ก็ดีแล้ว” กรรณเลิกทำหน้าดุหลังจากแกล้งภูจนพอใจแล้ว “งั้นตอนนี้ก็… ยินดีด้วยนะกับบัณฑิตใหม่ ในที่สุดก็เรียนจบแล้ว”

        “ขอบคุณครับ” ภูยันตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะโผเข้าสวมกอดกรรณ “ขอบคุณที่มานะ ดีใจมากเลย”

        “คิดถึงจัง” กรรณยกแขนขึ้นกอดเด็กหนุ่มเอาไว้ ก่อนจะก้มหน้าจูบลงที่กลางศรีษะ “อยากกลับเข้าไปในงานไหม? หรือจะไปเดินเล่นกับพี่ข้างนอก?”

        เป็นคำถามที่ภูสามารถตอบได้โดยไม่ต้องคิดทีเดียว เด็กหนุ่มกลับเข้าไปในงานเพื่อถ่ายรูปรวมเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมกับบอกบรรดาเพื่อนว่าเขาต้องขอตัวกลับก่อนเนื่องจากพรุ่งนี้ยังมีงานต้องทำ จากนั้นจึงค่อยออกมาพบกับกรรณซึ่งยืนรออยู่ข้างนอก

        อากาศในค่ำคืนนี้ค่อนข้างเย็น ไม่ถึงกับหนาวอย่างที่ควรจะเป็นในช่วงเวลานี้ของปี แต่ก็ไม่ร้อนอบอ้าวจนพาให้อารมณ์หงุดหงิด ภูเดินเคียงข้างกรรณไปตามทางเท้าริมถนน ดื่มด่ำกับบรรยากาศแห่งความเงียบสงบ ตึกรามบ้านช่องสองข้างทางบัดนี้ปิดเงียบสนิทเพราะเป็นเวลาที่ผู้คนเข้านอนพักผ่อนกันแล้ว เมื่อเห็นว่าปลอดจากสายตาผู้คนที่จ้องมอง กรรณจึงยื่นมือมาเพื่อให้ภูจับขณะเดินไปด้วยกันซึ่งเด็กหนุ่มก็รีบคว้าเอาไว้อย่างยินดี

        “พี่จะอยู่ที่นี่กี่วันเหรอครับ?” ภูถาม

        “อาทิตย์หน้าก็ต้องกลับไปแล้วล่ะ” กรรณตอบ “แต่หลังจากนั้นก็เหลือเวลารออีกไม่ถึงปีเราก็จะได้กลับมาอยู่ด้วยกันแล้วนะ”

        “ห้ามไปต่อสัญญาล่ะ” ภูรีบสั่งห้ามเอาไว้ล่วงหน้า

        “ไม่ต่อหรอก แค่สัญญาที่เหลืออยู่นี่ก็อยากจะยกเลิกจะตายแล้ว” กรรณยืนยันให้ภูมั่นใจว่าจะไม่รอเก้อ

        “พี่ผอมลงไปเยอะเลยรึเปล่าครับ?” ภูจ้องดูใบหน้าของกรรณซึ่งบัดนี้ดูซูบลงจนแก้มตอบ

        “เดินทางบ่อย พักผ่อนน้อยก็แบบนี้ล่ะ” กรรณตอบขณะมองไปทรงผมของภูอย่างขัดใจ “ตกลงว่าจะไว้ทรงนี้ไปตลอดเลยเหรอ?”

        “ทำไมอ่ะ? ก็ดูแลง่ายดีออก” ภูยกมือขึ้นลูบผมบนศรีษะตัวเอง

        “พอไว้ทรงนี้แล้วนายดูเหมือนพ่อนายมากเลย” กรรณบอกเหตุผลที่ทรงผมนี้ไม่ผ่านการพิจารณาสำหรับตน “น่ากลัว…”

        ภูหัวเราะออกมาด้วยความขบขันกับการที่กรรณยังคงฝังอกฝังใจกับพ่อของตนไม่ยอมเลิกราทั้งที่เรื่องก็ผ่านมานานแล้ว

        “แล้วเมื่อกี้ที่คุยกับสาลี่ เรื่องจะออกจากวงการหลังหมดสัญญา” กรรณอายจนต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง “ตัดสินใจแน่แล้วเหรอ?”

        “ครับ ก็ตั้งใจไว้แบบนั้นล่ะ” ภูพยักหน้าตอบ “เราจะได้คบกันแบบสบายใจยังไงล่ะครับ”

        “ลองคิดดูใหม่อีกครั้งก็ได้นะ” กรรณเสนอ “ถ้านายอยากเลิกเพราะกังวลว่าพี่จะรู้สึกไม่ดีกับการถูกคนมาขุดคุ้ยชีวิตหรือกลายเป็นคนในข่าว ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ที่ผ่านมาพี่ก็เริ่มปรับตัวได้แล้ว ไม่ค่อยคิดอะไรมากเท่าเมื่อก่อน”

        “ไม่คิดมากก็คือยังคิดนั่นแหละครับ” ภูยังยืนยันความตั้งใจเดิม “อีกอย่าง ผมก็เหนื่อยกับชีวิตแบบนี้เต็มทีแล้ว ที่ผ่านมาผมถือว่าผมให้โอกาสตัวเองได้ลองแล้ว คำตอบที่เจอก็คือมันยังไม่ใช่ ขอไปค้นหาสิ่งที่อยากทำจริงๆ ดีกว่า”

        “ไม่รู้สิ พี่ก็แค่อยากให้นายลองคิดให้ถ้วนถี่” กรรณจูงมือภูพามานั่งพักบนม้านั่งริมน้ำของท่าเรือข้ามฟากซึ่งบัดนี้ไร้ซึ่งผู้คน “ถ้าเหตุผลในการตัดสินใจมันเกี่ยวกับพี่ พี่ก็อยากบอกว่านั่นไม่ใช่ปัญหา ที่ผ่านมานายเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อพี่มาเยอะแล้ว ตอนนี้ ก็ถึงทีของพี่ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อนายบ้าง”

        “ไม่ได้นะครับ” ภูห้ามน้ำเสียงจริงจัง ก่อนที่จะเอนศรีษะไปพิงกับต้นแขนของอีกฝ่ายเอาไว้เหมือนเช่นที่เคยทำทุกครั้งยามอยู่ใกล้ชิดกัน จมูกสูดดมกลิ่นอายที่คุ้นเคยจากร่างกายของกรรณอย่างถวิลหา น้ำตารื้นขึ้นมาเมื่อนึกถึงการเดินทางอันแสนจะยาวนานผ่านเรื่องราวทั้งร้ายและดีของตนจนมาสู่จุดนี้ และในตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มได้คำตอบอันจะเป็นดั่งก้าวแรกของการเริ่มต้นบทใหม่แห่งชีวิต “เป็นแบบที่เราเป็นดีกว่า อย่าเปลี่ยนอะไรอีกเลยนะครับ”

        กรรณพยักหน้า เพราะเขาเองก็อยากให้มันเป็นเช่นนั้น…


The End...
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ FINALE อวสาน ☆[11-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 11-05-2018 10:54:19
สำหรับทุกท่านที่อ่านมาจนถึงตอนจบนี้

อยากบอกว่าขอบคุณมากนะครับที่ติดตาม ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้ามาแอบอ่านเฉยๆหรือผู้ที่คอมเม้นพูดคุยให้กำลังใจ

สำหรับเรื่องนี้ตอนที่เขียนเลยคือตั้งใจอยากจะให้เป็นเรื่องราวที่อ่านแล้วมอบความรู้สึกดีๆให้กับทุกคนได้

อยากให้ทุกคนที่เข้ามาอ่าน อ่านแล้วรู้สึกอิ่มในหัวใจกลับออกไป

ตอนนี้เรื่องก็มาถึงตอนจบแล้ว แต่อย่างที่เคยเกริ่นเอาไว้ว่าอาจจะมีตอนพิเศษอีกสองถึงสามตอน

แต่ก็ต้องขอพักเอาไว้ก่อน ขอผู้เขียนไปพักสมองสักระยะ แล้วจะกลับมาสานต่อตามที่ตั้งใจไว้

ขอบคุณนะครับที่ติดตาม และหวังว่าทุกท่านจะได้ความรู้สึกที่ดีกลับออกไปหลังอ่านจบ

ขอบคุณจริงๆครับ  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ FINALE อวสาน ☆[11-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 11-05-2018 15:30:50
จบแบบหวานๆ  แต่...... แฟนจอสคือใคร ? อิอิ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ FINALE อวสาน ☆[11-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 11-05-2018 15:39:01
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ อีก 1 เรื่องนะ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ FINALE อวสาน ☆[11-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-05-2018 17:45:30
 :L2: :pig4:

ขอบคุณมาก เดี๋ยวเรามาคอมเมนท์อีกที

หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ FINALE อวสาน ☆[11-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 11-05-2018 21:49:25
ในที่สุดก็แฮปปี้ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้  รอตอนพิเศษอยู่นะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ FINALE อวสาน ☆[11-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-05-2018 23:44:13
 :pig4: :pig4: :pig4:

แทงคิ้ว   

ดูทรงแล้ว  อาจมีเรื่องของจอสโผล่มาโลดแล่นต่อ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ FINALE อวสาน ☆[11-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cookie8009 ที่ 11-05-2018 23:48:30
ความรู้สึกเมื่ออ่านตอนสุดท้ายนี้ คือ

เหมือนรวบรัด ตัดจบ มากๆ
เหมือนละครออนแอร์ กำลังพีค อีก 5-6 ตอนจะจบแล้ว มีคำสั่งฟ้าผ่า ตัดจบภายใน 1 ตอน ซะงั้น
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ FINALE อวสาน ☆[11-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lnwgreankak ที่ 12-05-2018 22:36:06
ค้างเลยครับ ใครแฟนจอสสสสสสสสสสส???
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ FINALE อวสาน ☆[11-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 13-05-2018 19:51:48
จบซะแล้ว ขอบคุณมากๆเลยค่ะ
จะรออ่านตอนพิเศษนะ
ว่าแต่ แฟนจอสคือใคร จะได้รู้ในตอนพิเศษไหมคะ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ FINALE อวสาน ☆[11-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 14-05-2018 23:31:12
กว่าจะแฮปปี้แบบนี้...ผ่านมาทุกรูปแบบเด้อ
ทั้งหมั่นไส้ความใจดี ไร้เดียงสา งี่เง่า อ่อนต่อโลกของน้อง เหนื่อยใจกับความคิดเองเออเอง ยอมแพ้ง่ายๆ ของอิพี่ ตอนนี้เข้าใจกันแล้ว ดีมากค่ะ  o13 55555555555 ขอบคุณนิยายดีๆอีกเรื่องนะคะภาษาดี เนื้อเรื่องไม่หวือหวาแต่รู้สึกได้ถึงความละเอียดอ่อน ความใส่ใจของบท ของคาแรกเตอร์ทุกตัว จะอินจนเกลียดจนไม่ชอบก็ได้ แต่ในขณะเดียวกันอีกด้านนึง ตัวละครทุกตัวล้วนมีเหตุผลของการกระทำรองรับ.... เกลียดไม่ลง 5555555555
จะไม่พูดถึงจอสก็ไม่ได้ แรกๆน่ารักนะ เคมีดูเข้ากันกับภูเลย แต่คือบั่บมาช้าไปหน่อยไง น้องเสร็จอิพี่ไปแร้ววววว เราไม่ชอบนิสัยอิจอสตอนแบล็กเมล์มากกกๆๆ คือแบบจะบังคับก็ไม่สุด นางยังมีมุมอ่อนผ่อนปรนให้อะ  :ling1: ดีใจที่ตอนนี้มีคนดูแลจอสแล้ว....และเหมือนคอมเม้นก่อนหน้าเลย อยากรู้ว่าใคร๊!? 555555555 จะเคยมีบทออกมาไหมหรือยังไงงงงงง รอตอนพิเศษนะคะะะะ  :bye2:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ FINALE อวสาน ☆[11-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 15-05-2018 07:36:50
ไอ้เราก็หาตั้งนาน ที่แท้ย้ายมาอยู่นิยายจบแล้วนี่เอง

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้ค่ะ
อ่านไปก็วิเคราะห์ตัวละคร มโนโน่นนี่นั่นไปตามเรื่องตามราว
นี่แหละเสน่ห์ของนิยาย
อ่านไปก็ผูกพันกับตัวละคร จบอย่างมีความสุข อิคนอ่านก็มีความสุขด้วย ^^
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน ☆ FINALE อวสาน ☆[11-May-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 15-05-2018 09:47:40
Extra : วันพักร้อนของจอส part1

        “รีบๆ วางสายไปเลยป่ะ...”

        หลังจากกดตัดสายจากภูซึ่งโทรมาโวยวายเรียกตัวให้เขากลับไปทำงานของตนเอง สายตาของจอสยังคงจ้องมองค้างที่หน้าจออยู่อีกครู่หนึ่ง ใบหน้าเกือบจะยิ้มออกมาจากความรู้สึกดีที่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายแต่ก็ยังถูกความหม่นหมองที่ยังค้างเติ่งอยู่ในหัวใจสกัดกั้นเอาไว้ การอกหักครั้งแรกในชีวิตไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เป็นเรื่องแปลกใหม่ที่เขายังทำใจยอมรับความรู้สึกที่เกิดจากมันไม่ค่อยได้ มันไม่ใช่ความโกรธ ไม่เชิงเศร้า หากจะใกล้เคียงที่สุดก็น่าจะเป็นความใจหาย เหมือนเป้าหมายสำคัญในชีวิตได้ดับหายไป

        เวลาเลยผ่านช่วงบ่ายย่ำเข้าสู่ช่วงเย็นแล้ว จอสรูดเปิดผ้าม่านที่ปิดเอาไว้เพื่อกันแสงแดดจากภายนอกที่สาดส่องเข้ามาในช่วงบ่าย สามวันแล้วที่เอาแต่เก็บตัวหมกอยู่ในห้องนี้ คืนนี้คงถึงเวลาต้องพยายามออกไปปรับตัวให้ชีวิตเลิกจมกับความหมองหม่นเสียที เด็กหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่างของห้องพักรีสอร์ทซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาสูงเพื่อหาสถานที่สักแห่งซึ่งเหมาะสมสำหรับใช้เวลาให้ผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไป การพักงานทั้งหมดแล้วหนีมากบดานอยู่บนเกาะแห่งนี้ดูจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะบนเกาะเล็กๆ ซึ่งมีแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นประชากรส่วนใหญ่เช่นนี้ มีโอกาสเพียงน้อยนิดที่เขาจะถูกจำได้ว่าเป็นใคร อีกทั้งด้วยรูปลักษณ์ที่เอนเอียงไปทางชาวต่างชาติตามเชื้อสายอเมริกันของผู้เป็นพ่อทำให้เพียงแค่เปลี่ยนสีผมเพียงเล็กน้อยและใส่คอนแทคเลนส์เปลี่ยนสีตาให้เป็นแบบชาวตะวันตกก็มากพอที่จะทำให้จอสดูเปลี่ยนไปแทบจะเป็นคนละคน

        เมื่อไม่อาจตัดสินใจแบบเจาะจงได้ว่าจะไปที่ไหน จอสจึงพาตัวเองออกไปตายเอาดาบหน้า เขาตั้งใจจะเดินออกจากรีสอร์ทและตระเวนดูตามแนวชายหาดให้ทั่วพื้นที่เพื่อหาสักแห่งที่ถูกใจพอจะแฮงค์เอาท์ได้ เด็กหนุ่มพยายามใช้ความระมัดระวังขณะเดินลงบันใดเล็กๆ ที่ตัดเป็นทางลัดจากรีสอร์ทสำหรับลงไปยังชายหาด ด้วยระดับความสูงที่ค่อนข้างชันซ้ำยังเต็มไปด้วยกรวดหินก้อนเล็กๆ ซึ่งอาจพาให้เท้าเหยียบพลาดและลื่นไถลตกลงไปได้อย่างง่ายดาย แต่ขึ้นชื่อว่าอุบัติเหตุ แม้จะระวังตัวมากเพียงใดมันก็อาจจะเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด ดังเช่นในครั้งนี้ที่ถึงแม้จอสจะระมัดระวังอย่างเต็มที่ แต่ท้ายที่สุดก็มีปัจจัยอื่นเข้ามาทำให้เสียกระบวนจนได้ เมื่อในขณะที่ตาทั้งสองข้างกำลังจับจ้องมองแต่ละก้าวของตนเองเบื้องหน้านั้น จู่ๆ ด้านหลังซึ่งไร้การป้องกันก็ถูกพุ่งชนอย่างแรงด้วยอะไรบางอย่างซึ่งมีขนสีทองและน้ำหนักไม่ต่ำกว่ายี่สิบกิโลกรัม

        ร่างของเด็กหนุ่มเกือบจะทะยานออกไปข้างหน้าตามแรงกระแทก แต่โชคดีที่ยังพอจะตั้งหลักรั้งตัวเองเอาไว้ได้ทัน แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะรอดพ้นจากการบาดเจ็บเมื่อเท้าซึ่งเสียการทรงตัวบนพื้นกรวดนั้นเกิดลื่นไถลจนเสียหลักล้มก้นกระแทกพื้นหินของขั้นบันไดอย่างแรง

        “อุ… อูยย” จอสเจ็บจนอุทานไม่ออก ได้แต่ส่งเสียงครวญครางออกมาเพื่อระบายความทรมาน

        “โจโฉ!” เสียงใครบางคนร้องเรียกชื่อที่เหมือนกับตัวละครในวรรณกรรมจีน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นคำอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นสิ่งที่โจโฉที่ว่านั่นได้ทำเอาไว้ “ตายห่าแล้ว… เป็นอะไรไหมครับ?”

        “อ่ะฮะ…” จอสพยักหน้า นึกในใจว่าไม่เห็นต้องถาม ก็น่าจะรู้ๆ กันอยู่

        ลิ้นแฉะๆ เลียเข้าที่แก้มของจอสหนึ่งครั้ง เมื่อหันไปดูก็พบสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่กำลังนั่งยิ้มแฉ่งอยู่ข้างที่เกิดเหตุ จอสรู้ได้ในทันทีว่าอะไรที่พุ่งชนตนจนเกือบหน้าทิ่มเมื่อครู่ เมื่อรู้ว่าคู่กรณีของตนไม่ใช่มนุษย์จอสจึงไม่คิดจะถือสาให้ตัวเองดูปัญญาอ่อน เขายันตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะปัดเอาเศษดินเศษกรวดออกจากกางเกงเบาๆ ไม่ให้กระเทือนจุดที่บอบช้ำเมื่อครู่

        “คุณไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมครับ?” เจ้าของเสียงเดิมถามมาอีกครั้งเป็นภาษาอังกฤษเมื่อเข้ามาใกล้พอจะเห็นรูปลักษณ์ซึ่งผ่านการพรางให้ดูเหมือนชาวต่างชาติของจอส “ขอโทษครับ หมามันหลุด ผมวิ่งไล่ตามมาไม่ทัน”

        “ไม่เป็นไรๆ แค่ลื่นล้ม ไม่สาหัส” จอสตอบกลับไปเป็นภาษาอังกฤษเช่นกันเพื่อความแนบเนียน

        “แน่นะครับ” เขาถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะรีบเข้ามาประคองเมื่อจอสตั้งท่าจะเสียหลักอีกรอบขณะหันกลับมา “หัวไม่กระแทกใช่ไหมครับ?”

        “น่า… ไม่เป็นไรจริง…”

        คำตอบของจอสหยุดชะงักลงกลางประโยคเมื่อเขาหันกลับมาเห็นหน้าชายผู้เป็นเจ้าของสุนัขตัวแสบ ชายคนนี้มีบางอย่างที่ทำให้จอสนึกถึงเด็กหนุ่มผู้ซึ่งเพิ่งหักอกเขาและเปลี่ยนสถานภาพมาเป็นเพื่อนใหม่ ทั้งผมที่ไว้ยาวในทรงเดียวกันอีกทั้งยังความอ่อนหวานปนไร้เดียงสาบนใบหน้านั้นอีก หากจะมีสิ่งใดที่พาสติของจอสให้แยกออกว่าทั้งสองคือคนละคนกัน นั่นก็คงเป็นรูปร่างของอีกฝ่ายที่ดูจะมีกล้ามเนื้อแข็งแรงทะมัดทะแมงมากกว่าภูซึ่งบอบบางจนแทบจะปลิวตามกระแสลมแรงได้

        “ไม่เป็นอะไรแน่นะครับ?” เขายังถามซ้ำเมื่อเห็นจอสเอาแต่จ้องหน้าตนเหมือนยังไม่ได้สติ “ฮัลโหลววว”

        นี่แหละ ใช้ได้เลย… ความคิดชั่วร้ายผุดขึ้นมาในหัวอย่างทันควัน โดยไม่ต้องลงไปถึงชายหาดตามที่คิดเอาไว้ แต่ในที่สุดจอสก็พบเจอสิ่งที่เขาอยากจะใช้เวลาในค่ำคืนนี้ด้วยแล้ว ความสนุกเล็กๆ น้อยๆ แบบชั่วข้ามคืนก็ไม่เลวนักที่จะใช้เป็นสิ่งปลอบประโลมหัวใจช้ำๆ ที่เพิ่งเจ็บมาหมาดๆ ของตน จอสหันไปมองเจ้าโจโฉด้วยสายตาขอบคุณที่ส่งเจ้านายมันมาเป็นเหยื่อสังเวยให้ถึงที่ ทั้งหมดที่เขาต้องทำต่อจากนี้คือล่อลวงและพาอีกฝ่ายไปให้ถึงขอบเตียงให้จงได้

        “เป็น… ตอนนี้เป็นแล้ว…” จอสไม่ปล่อยโอกาสที่จะทำให้ตัวเองได้เปรียบทิ้งไป เด็กหนุ่มแกล้งทำเป็นขาอ่อนแรงจนทรุด ทักษะการแสดงที่ร่ำเรียนมาถูกนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง “สงสัยจะเดินไม่สะดวกไปอีกหลายวันแน่เลย”

        “อ้าว… คนไทย?” ชายคนนั้นตกใจเมื่อจอสหลุดตอบกลับมาเป็นภาษาไทย ก่อนที่ความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาจะทำให้เขาต้องก้มลงจ้องดูใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างพินิจพิเคราะห์ “ก็ว่า… หน้าก็ดูคุ้นๆ อยู่นะ…”

        “คนไทยแล้วไง จะไม่รับผิดชอบงั้นเหรอ?” จอสโวยวาย ก่อนจะทำสีหน้าให้ดูเจ็บปวดรวดร้าวมากขึ้นกว่าเดิม

        “ยังไม่ได้พูดแบบนั้นซักคำเลยนะครับ” ชายคนนั้นรีบแก้ตัว ขณะที่ตาก็ยังจ้องหน้าจอสไม่ยอมเลิก เหมือนพยายามจะนึกให้ออกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

        “รับผิดชอบมาเลย” จอสเรียกร้อง

        “ให้ผมพาไปหาหมอก็แล้วกันครับ” ชายคนนั้นเสนอก่อนจะทำท่าเดินกลับขึ้นไป “เดี๋ยวผมขอไปเอารถแป๊ปนึงนะ รอตรงนี้แหละ”

        “ไม่! หยุด!” จอสรีบห้ามเมื่อได้ยินคำว่าหมออันเป็นจุดอ่อนหนึ่งเดียวของตน “ไม่ไปหาหมอ!”

        “อ้าว… แล้วจะให้ผมรับผิดชอบยังไง?” อีกฝ่ายเอาใจไม่ถูก

        “ชื่ออะไร?” จอสถามกลับไป

        “ดาวินทร์แต่เรียกแค่วินทร์ก็ได้ครับ เรียกเต็มๆ มันเหมือนชื่อผู้หญิง ” อีกฝ่ายตอบกลับมา “แล้วคุณล่ะ? จะให้ผมเรียกว่าอะไร?”

        “นี่จำไม่ได้จริงๆ เหรอ?” จอสแปลกใจ เพราะหากเป็นคนไทยก็ย่อมจะต้องเคยเห็นตนผ่านสื่อมาบ้างไม่มากก็น้อย

        “ก็คุ้นๆ … แต่ไม่รู้ว่าจะใช่หรือเปล่า” วินทร์ไม่แน่ใจ “ก็คนนั้นเค้าไม่ได้ตาสีนี้…”

        “อ๋อนี่เหรอ…” จอสถอดคอนแทคเลนส์ออกแล้วโยนทิ้งให้ดูต่อหน้า “ทีนี้จำได้หรือยัง?”

        “โอ้… ชัดเจน” วินทร์ตบมือผาง “เจมส์ ภาณุวัฒณ์”

        “ไม่ใช่!” จอสปรี้ดแตกที่ถูกจำสลับเป็นดาราวัยรุ่นอีกคนหนึ่งของทางช่อง “นี่จอส! จอส วาโย!”

        “เออ ใช่ นั่นแหละ” อีกฝ่ายหัวเราะร่วน รีบเออออตาม “จำผิดไปนิดเดียวเอง”

        “ไม่นิดแล้ว คนละคนกันเลย” จอสรีบดึงกลับเข้าประเด็น “ตกลงจะรับผิดชอบยังไง ไม่เอาหาหมอ”

        “ถ้าไม่หาหมอก็ไม่รู้จะรับผิดชอบยังไงแล้วล่ะครับ” วินทร์เกาหัวจนปัญญา “ให้คุณเสนอมาเองดีกว่าว่าอยากให้ชดใช้ยังไง”

        “กินอะไรรึยังล่ะ?” จอสถามกลับไป “เลี้ยงข้าวหน่อยก็แล้วกัน ไปกินด้วยกันนี่แหละ”

        “อืม แค่เลี้ยงเฉยๆ ก็ได้ แต่ผมคงไม่กินด้วยนะครับ” วินทร์ตอบกึ่งตกลง “หลังหกโมงเย็นไปแล้วผมไม่ชอบกินอะไรหนักๆ แล้ว เดี๋ยวนอนไม่หลับ”

        กินๆ ไปเหอะน่า คืนนี้ยังไงก็หลับ เพราะก่อนนอนเดี๋ยวได้เสียแรงเยอะแน่… จอสหื่นจนหน้ามืดจากอากัปกิริยาการแสดงออกของอีกฝ่ายที่ดูยั่วยวนชวนให้ข่มเหง เป็นความรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่เขาพบเจอกับภูครั้งแรกในการถ่ายแฟชั่นลงนิตยสาร จะแตกต่างอยู่บ้างก็เพียงแค่กับภูมันมีเพียงความเอ็นดู แต่กับวินทร์นอกจากเอ็นดูเขาก็อยากจะดูเอ็นด้วย เพราะอีกสิ่งหนึ่งที่วินทร์มีแต่ภูไม่มีนอกจากกล้ามเนื้อแบบนักกีฬาแล้วก็คือเสน่ห์เย้ายวนของแรงดึงดูดทางเพศซึ่งทำให้จอสใจเต้นแรงทุกครั้งได้ในทุกครั้งที่สบตา จนบางขณะเขาถึงกับต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาคู่นั้นเสียเองด้วยความประหม่า

        “แล้วจะไปกินทีไหนดีครับ?” วินทร์ถามขึ้นมาขณะนำสายจูงไปคล้องไว้กับปลอกคอของโจโฉเหมือนเดิม

        “ไม่ต้องไปไกลหรอก สั่งเอาจากรูมเซอร์วิสก็ได้” จอสเสนอทางเลือกที่ง่ายที่สุดให้

        “ผมว่า… ไปกินตามร้านจะสะดวกกว่าแล้วก็มีอะไรกินเยอะกว่านะครับ” วินทร์ดูจะไม่เห็นด้วย

        “ไม่อ่ะ เราไม่ชอบไปกินตามร้านอาหาร” จอสยืนกรานความคิดเดิม

        “อ๋อ… กลัวคนจำได้เหรอ?” วินทร์เข้าใจไปแบบนั้น

        เปล่าหรอก กินร้านข้างนอกมันก็เริ่มด้วยคาวแล้วจบด้วยหวาน แต่ถ้ากินในที่ส่วนตัวสองต่อสองเนี่ย อาจจะมีของคาวตบท้ายหลังของหวานอีกรอบนึง… จอสเก็บคำตอบที่แท้จริงเอาไว้ในใจแล้วตอบออกไปแบบที่อีกฝ่ายคิดเพื่อไม่ให้ไก่ตื่น “ใช่… เราอยากอยู่เงียบๆ”

        “ก็ได้ๆ เข้าใจครับ เป็นคนดังนี่ลำบากเนอะ” วินทร์ทำท่าเข้าอกเข้าใจโดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่ากำลังจะเดินลงกับดักที่อีกฝ่ายขุดหลุมพรางไว้

        “งั้นสองทุ่ม เจอกัน” จอสนัดเวลาเผื่อไว้ให้ตนได้จัดสถานที่รอ

        “ได้ครับ สองทุ่มจะไปหานะครับ” วินทร์รับปาก “อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ? จะได้ซื้อติดไปด้วยเลย”

        มาตัวเปล่าก็ได้ เพราะนั่นแหละที่อยากกินอยู่ตอนนี้ จอสระงับความกระหายเอาไว้ในอกขณะที่ปากก็ตอบอีกฝ่ายไปกว่าอะไรก็ได้แล้วแต่จะซื้อมา แต่ก่อนจะแยกย้ายกันไปนั้นจู่ๆ เขาก็เพิ่งจะรู้สึกผิดสังเกตกับบางอย่างที่อีกฝ่ายได้พูดออกมาเมื่อครู่

        “ไหนทวนอีกที เรานัดกันว่ายังไง?” จอสหันไปถามทวนเพื่อดูคำตอบของอีกฝ่ายอีกครั้ง

        “ก็สองทุ่มไงครับ เดี๋ยวผมไปหาที่ห้องของคุณเลย” วินทร์ตอบกลับมาเหมือนเมื่อครู่

        “แล้วรู้เหรอว่าเราอยู่หลังไหน?” จอสจับพิรุธได้ “นี่คงไม่ได้กะจะรับปากส่งๆ แล้วชิ่งเบี้ยวหนีไปหรอกนะ…”

        “แหม ลืมถามเลยครับ” วินทร์แก้ตัวน้ำขุ่นๆ “แล้วอยู่หลังไหนล่ะครับ? “

        “7A” จอสตอบ ตามองเขม็งอย่างไม่ไว้วางใจ

        “ได้เลยครับ เดี๋ยวสองทุ่มเจอกันครับ” วินทร์ตอบรับแบบสบายๆ เหมือนไม่ได้รับผลใดๆ จากสายตานั้น

        “เดี๋ยวก่อน” หลังจากเห็นเล่ห์เหลี่ยมแบบเนียนหน้ามึนเมื่อครู่ จอสรู้ดีว่าอีกฝ่ายถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูคล้ายแต่เอาเข้าจริงนายคนนี้ก็รอบจัดแสบสันต์กว่าภูหลายเท่า ดังนั้นเขาคงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อสร้างหลักประกันว่าอีกฝ่ายจะไม่เบี้ยว และเจ้าตัวขนทองที่นั่งลิ้นห้อยอยู่นี้ก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่เข้าที “หมานายน่ะ เดี๋ยวเราดูแลให้จนกว่าจะสองทุ่ม”

        “ไม่ดีมั้งครับ” วินทร์ส่ายหน้าดิก “โจโฉน่ะ ติดเจ้าของมาก มันไม่ยอมไปกับคุณหรอก”

        “แน่ใจเหรอ?” จอสถามก่อนจะผิวปากเป็นสัญญาณเรียก

        สิ้นเสียงผิวปาก โจโฉก็ดิ้นจนหลุดจากสายจูงอีกรอบและกระโจนเข้ามาหาจอสทันที มันพยายามตะกุยตะกายแต่เมื่อเด็กหนุ่มผิวปากอีกครั้งพร้อมส่งสัญญาณมือทำท่าให้นั่งลง มันก็ยอมนั่งแต่โดยดี และเมื่อผิวปากอีกครั้งพร้อมกับหมุนข้อมือไปมา มันก็ล้มตัวลงนอนและกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้น ทำเอาผู้เป็นเจ้าของอย่างดาวินทร์ถึงกับตกตะลึงอ้าปากค้าง ซ้ำยังเจือไปด้วยความรู้สึกเสียหน้าที่หมาของตนเชื่อฟังคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอมากกว่าเจ้านาย หลังจากพิสูจน์แล้วว่าทฤษฎีที่อีกฝ่ายพูดมานั้นผิด จอสเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งพร้อมกับยื่นมือไปขอสายจูงจากวินทร์ ซึ่งอีกฝ่ายก็หมดหนทางจะต่อสู้จึงจำใจต้องส่งให้

        “รีบๆ มารับหมาคืนไปล่ะ อย่าลืมนะ สองทุ่ม 7A จะมาก่อนเวลาก็ได้ ไม่ว่า” จอสยิ้มเยาะอย่างผู้มีชัยเหนือกว่า

        “ได้…” วินทร์ดูเจ็บใจที่พลาดท่าแต่ก็หมดทางจะดิ้นรนเมื่อลูกรักถูกจับเป็นตัวประกันอย่างสมยอม

        “ไปรอพ่อแกมารับกันดีกว่าโจโฉววววว” จอสคล้องสายจูงและออกวิ่งนำให้โจโฉตาม

        “ขาไม่เจ็บแล้วเหรอครับ?” วินทร์ตะโกนถามไล่หลังไป

        จอสได้ยินก็จึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่กำลังแสดงละครฉากบาดเจ็บค้างเอาไว้ เด็กหนุ่มรีบชะลอฝีเท้าลงและทำเป็นเดินกระเผลกให้อีกฝ่ายเห็น วินทร์ส่ายหน้ารู้สึกอายแทนกับการซดโป๊ะแตกชามใหญ่ของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักแสดง เขายืนมองจนกระทั่งจอสจูงโจโฉหายลับพ้นเนินเขาไปจึงค่อยถอนหายใจออกมาและทรุดนั่งลงด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากความตึงเครียดที่ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้จักตัวตนของอีกฝ่าย หัวใจยังเต้นแรงไม่หยุดเพียงแต่ครั้งนี้เขาไม่จำเป็นต้องปิดบังอาการใดๆ แล้ว แม้จะทุลักทุเลแต่วินทร์ก็ถือว่านี่เป็นความสำเร็จก้าวใหญ่ของตน

        โจโฉเป็นสุนัขที่ถูกฝึกมาอย่างดีและมีอุปนิสัยรับแขกเป็นเลิศ มันชอบเล่นกับคนแปลกหน้า จริงๆแล้วมันชอบเล่นกับทุกคนยกเว้นเจ้าของตัวเอง ดังนั้นวินทร์จึงตั้งใจจูงมันออกมาหลังจากเห็นจอสออกมาจากห้องเพื่อใช้เป็นสื่อในการเข้าหา เพราะเคยได้รับรู้ข้อมูลจากบทสัมภาษณ์ว่าอีกฝ่ายชอบสุนัขเป็นชีวิตจิตใจ แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดคือโจโฉจะเล่นแรงจนเป้าหมายเกือบจะดับอนาถคาเกาะเช่นนี้

        สามวันมาแล้วนับจากวันแรกที่จอสเชคอินเข้าพัก แม้อีกฝ่ายจะผ่านการอำพรางตัวจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมแต่เขาในฐานะเจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้รู้ดีแขกผู้มาเยือนคือใครจากเอกสารที่ใช้ประกอบการเข้าพัก หลังจากนั้นเขาก็รวบรวมความกล้าเฝ้ารอที่จะเข้าไปทำความรู้จักหลังจากได้แต่เฝ้าดูผ่านหน้าจอโทรทัศน์และปกนิตยสารมานานสองนาน แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะจอสเอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในห้องพักไม่ยอมออกมาเลยแม้แต่ก้าวเดียว จนกระทั่งวันนี้ในที่สุดโอกาสก็มาถึง แม้จะเกิดเหตุไม่คาดฝันจนเสี่ยงที่จะทำให้อีกฝ่ายต้องบาดเจ็บหนัก แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้…


To be continued...
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน[Extra วันพักร้อนของจอส part1]
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 15-05-2018 09:54:58
555 จอสจะเคลมเขา แต่เขาดันวางแผนมาแล้ว 555
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน[Extra วันพักร้อนของจอส part1]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 15-05-2018 10:10:19
จบแบบหวานๆ  แต่...... แฟนจอสคือใคร ? อิอิ

รู้ได้ในตอนพิเศษเลยครับ  :hao6:

[/hr]

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ อีก 1 เรื่องนะ

ขอบคุณเช่นกันครับที่ติดตามอ่านและเป็นกำลังใจให้จนจบเลย  o13



:L2: :pig4:

ขอบคุณมาก เดี๋ยวเรามาคอมเมนท์อีกที

ขอบคุณเช่นกันนะครับ ติดตามกันมาแต่แรกเลย และอยู่กันจนจบ  o13



ในที่สุดก็แฮปปี้ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้  รอตอนพิเศษอยู่นะคะ  :pig4:

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ ตอนพิเศษตอนแรกมาแล้ว เนื้อเรื่องตั้งใจจะให้เบาๆไม่หนักแต่เชื่อมโยงกับเนื้อเรื่องหลักนิดหน่อย ยังไงลองติดตามดูครับ  :katai4:



:pig4: :pig4: :pig4:

แทงคิ้ว   

ดูทรงแล้ว  อาจมีเรื่องของจอสโผล่มาโลดแล่นต่อ

มาแล้วว น้องเรตติ้งดีเกินหน้าตัวเอก เพราะงั้นน้องต้องมาครับ แต่มาเป็นตอนพิเศษนะ  :katai4:



ความรู้สึกเมื่ออ่านตอนสุดท้ายนี้ คือ

เหมือนรวบรัด ตัดจบ มากๆ
เหมือนละครออนแอร์ กำลังพีค อีก 5-6 ตอนจะจบแล้ว มีคำสั่งฟ้าผ่า ตัดจบภายใน 1 ตอน ซะงั้น

อาจเป็นเพราะเนื้อเรื่องของตอนสุดท้ายเป็นการรวบเอาสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสองปีมาไว้ในตอนเดียวล่ะมั้งครับ เลยทำให้รู้สึกว่ารวบรัดเกินไป แต่ก็พยายามจะทำให้เคลียร์ในทุกประเด็นนะ ผลก็เลยออกมายาวกว่าตอนปกติถึงสองเท่า

ขอบคุณมากเลยครับที่ติดตามอ่าน  :katai2-1:



ค้างเลยครับ ใครแฟนจอสสสสสสสสสสส???
 :hao7: :hao7:

เดี๋ยวรู้แล้ววว อ่านในตอนพิเศษเลย จะรู้ว่าเป็นใครและไปเจอกันอีท่าไหน บอกให้ว่ามีเซอร์ไพรส์นิดนึงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคู่นี้



จบซะแล้ว ขอบคุณมากๆเลยค่ะ
จะรออ่านตอนพิเศษนะ
ว่าแต่ แฟนจอสคือใคร จะได้รู้ในตอนพิเศษไหมคะ

ได้รู้แน่นอนครับ ที่ไม่บอกในเนื้อเรื่องหลักก็คือต้องการจะเอามาเล่าในตอนพิเศษโดยเฉพาะเลยนี่แหละ  :katai2-1:



หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน[Extra วันพักร้อนของจอส part1]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 15-05-2018 10:10:46
กว่าจะแฮปปี้แบบนี้...ผ่านมาทุกรูปแบบเด้อ
ทั้งหมั่นไส้ความใจดี ไร้เดียงสา งี่เง่า อ่อนต่อโลกของน้อง เหนื่อยใจกับความคิดเองเออเอง ยอมแพ้ง่ายๆ ของอิพี่ ตอนนี้เข้าใจกันแล้ว ดีมากค่ะ  o13 55555555555 ขอบคุณนิยายดีๆอีกเรื่องนะคะภาษาดี เนื้อเรื่องไม่หวือหวาแต่รู้สึกได้ถึงความละเอียดอ่อน ความใส่ใจของบท ของคาแรกเตอร์ทุกตัว จะอินจนเกลียดจนไม่ชอบก็ได้ แต่ในขณะเดียวกันอีกด้านนึง ตัวละครทุกตัวล้วนมีเหตุผลของการกระทำรองรับ.... เกลียดไม่ลง 5555555555
จะไม่พูดถึงจอสก็ไม่ได้ แรกๆน่ารักนะ เคมีดูเข้ากันกับภูเลย แต่คือบั่บมาช้าไปหน่อยไง น้องเสร็จอิพี่ไปแร้ววววว เราไม่ชอบนิสัยอิจอสตอนแบล็กเมล์มากกกๆๆ คือแบบจะบังคับก็ไม่สุด นางยังมีมุมอ่อนผ่อนปรนให้อะ  :ling1: ดีใจที่ตอนนี้มีคนดูแลจอสแล้ว....และเหมือนคอมเม้นก่อนหน้าเลย อยากรู้ว่าใคร๊!? 555555555 จะเคยมีบทออกมาไหมหรือยังไงงงงงง รอตอนพิเศษนะคะะะะ  :bye2:

ขอบคุณมากเลยนะครับที่ติดตามอ่านและมีความสุขไปกับนิยายเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ตั้งใจเขียนมากและดีใจที่เสียงตอบรับค่อนข้างดี เพราะตอนแรกที่ลงกังวลเหมือนกันว่าจะมีคนอ่านไหมเพราะเรื่องของเรามันไม่หวือหวา ไม่ใช่แนวแบบที่คนติดกันเยอะๆ

เท่าที่ดูจากคอมเม้น ส่วนใหญ่เค้าจะชอบจอสกันเนอะ ขนาดคนเขียนเองยังรู้สึกเลยครับว่าตัวละครนี้เขียนสนุก

ส่วนเรื่องของจอส เค้าจะลงเอยกับใคร ยังไง ที่ไหน เดี๋ยวรู้ในตอนพิเศษเลยครับ ตั้งใจแยกออกมาเล่าเป็นพิเศษเลยไม่เฉลยในเน้ือเรื่องหลัก  :katai2-1:



ไอ้เราก็หาตั้งนาน ที่แท้ย้ายมาอยู่นิยายจบแล้วนี่เอง

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้ค่ะ
อ่านไปก็วิเคราะห์ตัวละคร มโนโน่นนี่นั่นไปตามเรื่องตามราว
นี่แหละเสน่ห์ของนิยาย
อ่านไปก็ผูกพันกับตัวละคร จบอย่างมีความสุข อิคนอ่านก็มีความสุขด้วย ^^

ขอบคุณเช่นกันนะครับสำหรับการติดตามและกำลังใจที่มีมาให้กันแบบอบอุ่นตลอดตั้งแต่ต้นจนจบเลย การได้อ่านคอมเม้นของผู้อ่านที่อินไปด้วยกับเรื่องราวทำให้การเขียนเรื่องนี้มีความสุขมากครับ  o13


หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน[Extra วันพักร้อนของจอส part1]
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 15-05-2018 15:43:41
จอสโว้ยยยยยยยยยยยย เคยได้ยินไหมว่า 'เหนือฟ้ายังมีฟ้าอ่ะ'  :z1:
ใครจะเสร็จใคร 555555555555555555555555555555555555555
ขอเรื่องแยกจอสเรยดีกว่าค่ะ เอาแบบเต็มมมมมมมมมมมมมมมมๆๆๆๆ  :hao7:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน[Extra วันพักร้อนของจอส part1]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 15-05-2018 23:34:20
ไอัจอส ไอ้หื่น แกจะงาบคนที่เพิ่งเจอกันรึ!
เอ็งโดนแน่ 555
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน[Extra วันพักร้อนของจอส part1]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattarat ที่ 16-05-2018 22:13:52
ขอตอนพิเศษ ตอนพี่กรรณกลับมาอยู่กับน้องภูแบบถาวรด้วยนะค่ะ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน[Extra วันพักร้อนของจอส part1]
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 17-05-2018 17:16:58
ตอนพิเศษ แซ่บ คร้าาาา  :hao7:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน [แจ้งเรื่องนิยายเดี่ยวของจอส]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 18-05-2018 10:25:50
สำหรับตอนพิเศษของจอส ตอนนี้ผู้เขียนนำไปขยายเป็นเรื่องยาวตามคำเรียกร้องนะครับ ติดตามกันได้เลย
  :katai4:  :katai4:  :katai4:

The Heartbreak Holidays : พ่ายรักมาพักร้อน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67203.0)

ส่วนตอนพิเศษอื่นๆของเรื่องนี้ จะยังลงในกระทู้นี้ตามปกตินะครับ ยังไงก็อย่าลืมติดตามกันนะ  o13
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน [แจ้งเรื่องนิยายเดี่ยวของจอส]
เริ่มหัวข้อโดย: poo_narin ที่ 18-05-2018 15:10:35
เรียนคุณ Lolito
     ผมได้อ่านเรื่อง First Love Next Door ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน อ่านได้แค่  3 ตอน
ก็หลงรักตัวแสดงในเรื่องเข้าแล้ว จึงอยากให้ทุกตัวแสดงมีชีวิตโลดแล่นบนจอแก้ว
     ผมจึงอยากรบกวนขอเรื่องย่อของคุณส่งให้ผู้ใหญ่ที่ช่องได้อ่าน ถ้าเรื่องผ่านเราคงได้ร่วมงานกันครับ
หรือถ้ามีเรื่องแนว Y ที่สนุกชวนติดตาม ก็แจ้งมาได้ครับ
         ของคุณมากครับ....
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน [แจ้งเรื่องนิยายเดี่ยวของจอส]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 18-05-2018 16:51:57
เรียนคุณ Lolito
     ผมได้อ่านเรื่อง First Love Next Door ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน อ่านได้แค่  3 ตอน
ก็หลงรักตัวแสดงในเรื่องเข้าแล้ว จึงอยากให้ทุกตัวแสดงมีชีวิตโลดแล่นบนจอแก้ว
     ผมจึงอยากรบกวนขอเรื่องย่อของคุณส่งให้ผู้ใหญ่ที่ช่องได้อ่าน ถ้าเรื่องผ่านเราคงได้ร่วมงานกันครับ
หรือถ้ามีเรื่องแนว Y ที่สนุกชวนติดตาม ก็แจ้งมาได้ครับ
         ของคุณมากครับ....

ยินดีครับ ผมติดต่อไปทางกล่องข้อความแล้วนะครับ
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน [แจ้งเรื่องนิยายเดี่ยวของจอส]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-05-2018 03:34:32
ไอ้เราก็นึกว่ายังไม่มาต่อ เจอเรื่องของจอส เลยรู้ว่าโดนย้ายไปอยู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ผู้คุมกฏบอร์ดนี้ทำงานไวดีแท้ ขอชม ๆ
ยินดีกับชีวิตคู่จ้า และในที่สุดก็ไม่ได้รู้ตัวคนปล่อยข่าวจนได้ มันยังติดอยู่ในใจตะหงิด ๆ อ่ะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน [แจ้งเรื่องนิยายเดี่ยวของจอส]
เริ่มหัวข้อโดย: Newtale ที่ 22-05-2018 22:13:08
ชอบมากกกก เราก็อ่านมาหลายเรื่องนะ แต่เราให้เรื่องนี้เป็น top 3 ในใจเราเลย ชอบตัวละคร ชอบการใช้คำเล่าเรื่องที่สละสลวยมากๆ จะติดตามผลงานต่อๆไปนะ เป็นกำลังใจให้~
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน [แจ้งเรื่องนิยายเดี่ยวของจอส]
เริ่มหัวข้อโดย: joborcusier ที่ 09-06-2018 13:32:10
อ่านจบแล้วรู้สึกอิ่มๆกว่าจะคืนดีกันได้นะพี่กรรณนี่เป็นห่วงน้องจนไม่สนใจความรู้สึกกันและกันเลยแต่จบแบบนี้ก็มีความสุขกันทุกฝ่าย  :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 14-07-2018 14:31:36
รุ้สึกเหมือนจบแบบห้วนๆ แต่เค้าแฮปปี้เราก็แฮปปี้

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 02-09-2018 11:55:11
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 22:38:02
 :pig4:
หัวข้อ: Re: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 18-04-2020 20:11:31
คิดถึง.