FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน  (อ่าน 72394 ครั้ง)

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณที่ยังติดตามกันมาตลอดนะครับ  o13

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 9 part 1

        แสงไฟจากสปอตไลท์สว่างจ้าจนภูอดไม่ได้ที่จะต้องหยีตาหลบ จนเมื่อเริ่มปรับสายตาจนสู้แสงได้แล้วเด็กหนุ่มจึงค่อยหันไปประจันหน้ากับกล้องที่จ่ออยู่ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆกระทั่งได้ยินเสียงสั่งว่าแอคชั่น จึงค่อยยกโทรศัพท์มือถือในมือขึ้นมาและพูดตามสคริปต์ที่ท่องเอาไว้

        “ถ้าเป็นเรื่องการเงิน ผมไว้ใจแค่…”
        “คัท!!! หน้าจอมือถือทำไมไม่เปิดแอปฯธนาคารไว้ล่ะนั่น โอ๊ย!! ตายกูตาย!!!” เสียงผู้กำกับตะโกนสั่งดังลั่นมาจากหลังจอมอนิเตอร์ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเอ็ดตะโรเป็นชุด “แล้วอีกอย่างนะน้องภูครับ หน้าครับ หน้าน้องอ่ะนิ่งไปมั้ย เสียงด้วย จะเนิบนาบไปไหน หล่ออย่างเดียวไม่ได้นะครับ ต้องมีแอทธิจูดด้วย นี่โฆษณาครับ น้องต้องทำให้คนดูแล้วอยากใช้บริการ ไม่ใช่อยากปิดทีวีนอน”
        “ขอโทษครับพี่” ภูยกมือไหว้ ไม่ใช่แค่ผู้กำกับ แต่ยังทีมงานทุกคน เพราะรู้ตัวดีว่าทำให้ทุกอย่างล่าช้าเกินไปมากแล้ว
        “พักกันก่อนสิบนาที กลับมาแล้วเดี๋ยวขออีกรอบนะ รอบนี้เอาให้สุดชีวิตเลยนะน้องนะ เอาให้มันได้ซักที ถือว่าพี่ขอเหอะ” ผู้กำกับส่ายหน้าแสดงความเหนื่อยหน่ายใจออกมา ก่อนจะกลับไปนั่งประจำที่ตรงหลังจอ

        ภูเดินคอตกออกมายังจุดที่ทีมงานเตรียมเอาไว้สำหรับนั่งพัก ระหว่างที่ช่างแต่งหน้าและช่างทำผมกรูกันเข้ามาปรับปรุงสภาพของเด็กหนุ่มให้พร้อมสำหรับการออกกล้องครั้งต่อไปอยู่นั้น พิมกับส้มก็รีบเข้ามาหาพร้อมกับน้ำดื่มและขนมสำหรับรองท้องเนื่องจากรู้ว่าภูยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่ช่วงเช้า ทั้งสองสาวอาศัยสิทธิพิเศษในการเป็นแอดมินกลุ่มแฟนคลับของภูติดตามมายังกองถ่ายด้วยเพื่อนำภาพและคลิปวิดีโอกลับไปเผยแพร่เป็นคอนเทนท์สุดพิเศษเฉพาะสมาชิกที่มีการลงทะเบียนอย่างเป็นทางการเท่านั้น ซึ่งจากเดิมที่แรกเริ่มมีเพียงไม่ถึงหนึ่งร้อยคนจนบัดนี้เพิ่มจำนวนขึ้นมากเป็นเกือบสองพันคนแล้ว อีกทั้งยังไม่นับรวมถึงบรรดาผู้ติดตามทางโซเชียลมีเดียของภูซึ่งทวีจำนวนมากขึ้นทุกวัน แม้จะยังไม่เท่ากรรณแต่ก็ทะยานผ่านหลักห้าแสนไปเป็นที่เรียบร้อย

        เกือบครบหกเดือนแล้วนับตั้งแต่วันที่ภูได้ร่วมงานกับพี่ช้าง ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นงานนั้นทุกอย่างก็เป็นไปตามที่กรรณได้คาดการณ์เอาไว้ เด็กหนุ่มได้ก้าวข้ามจากคำว่านายแบบโนเนมไปสู่ดาวรุ่งที่ถูกจับตามอง งานถ่ายแบบ มิวสิควีดีโอ และพรีเซนเตอร์สินค้ามากมายหลายตัวถูกทาบทามเข้ามาผ่านทางพี่ช้างผู้ซึ่งบัดนี้รับบทบาทหน้าที่ใหม่เป็นผู้จัดการส่วนตัวของภูอย่างกลายๆ ซึ่งเขาก็ใช้ประสบการณ์อันโชกโชนในวงการและวิจารณญาณที่มีคัดเลือกงานให้เด็กหนุ่มอย่างระมัดระวัง สไตลิสต์คนดังมักพร่ำพูดกรอกหูภูอยู่เสมอว่าเขาเป็นเหมือนเพชรน้ำงามที่ต้องการงานเจียรนัยอย่างประณีตจึงจะส่องประกายได้อย่างยั่งยืน หากแต่หารู้ไม่ว่าในใจภูนั้นไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย เพราะแรกเริ่มเดิมทีเด็กหนุ่มยอมทำงานในวงการนี้ก็เพื่อจะให้กรรณพอใจ และนับตั้งแต่เริ่มมีงานมากขึ้น เขากับกรรณก็เริ่มห่างกันไปด้วยภาระหน้าที่ ภูใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเรียน และเวลาส่วนที่เหลือกับงานที่พี่ช้างรับมาให้ ซึ่งส่วนมากทางผู้จ้างก็จะมีทีมงานของตนเองอยู่แล้ว จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่กรรณจะได้มามีส่วนร่วมในการทำงานของภูเหมือนเช่นเมื่อก่อน ซึ่งเด็กหนุ่มมองว่าเรื่องนี้ยังพอมีข้อดีอยู่บ้าง นั่นคือมันช่วยหักล้างความคิดในแง่ลบที่เด็กหนุ่มเคยมีเกี่ยวกับอีกฝ่ายไปจนหมดสิ้น เพราะแม้กระทั่งในขณะนี้ที่กรรณไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับงานของภูแล้ว ทุกคราวที่มีเวลาว่างมาเจอกันชายหนุ่มก็ยังคงมีท่าทีเป็นเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา ซึ่งนั่นก็รวมถึงความคลุมเครือในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่ยังคงเส้นคงวาด้วย

        “พี่โอเครึเปล่าคะ?” พิมถาม การระเบิดอารมณ์ของผู้กำกับที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ทำเอาแม้แต่เธอก็ยังตกใจตามไปด้วย
        “ไม่ไหวแล้ว จะร้องไห้อยู่แล้ว” ภูเบะปากแกล้งทำเป็นตลก แต่ในใจรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
        “จริงๆพี่เค้าก็ไม่น่าจะต้องใส่อารมณ์ขนาดนั้นเลยนะ แค่สิบสองเทคเอง” ส้มแสดงจุดยืนว่าไม่เห็นด้วยกับผู้กำกับ
        “ไม่ใช่แค่สิบสองเทค ถ้าจะให้ถูกต้องพูดว่า ตั้งสิบสองเทค ต่างหาก” ภูฟุบหน้าลงกับสองฝ่ามือแต่ก็โดนช่างแต่งหน้าเอ็ดให้เลิกทำแบบนั้นถ้าไม่อยากต้องมานั่งแต่งหน้าใหม่อีกรอบ “พี่คงไม่เหมาะกับอะไรแบบนี้จริงๆล่ะ ไม่น่ารับงานนี้เลย”
        “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่ยังใหม่กับงานแบบนี้อยู่ หนูว่าพวกเค้าก็คงเข้าใจ” พิมพยายามปลอบพร้อมกับยื่นแซนวิชที่ซื้อมาให้เด็กหนุ่มรุ่นพี่ “ส่วนตอนนี้ พี่ก็กินนี่รองท้องหน่อยเถอะ เดี๋ยวจะเป็นลมก่อนถ่ายเสร็จ”

        ภูพยักหน้าและรับแซนวิชมากัดกินไปหนึ่งคำ ด้วยความที่เป็นอาหารมื้อแรกของวันทำให้รสชาติของมันวิเศษราวกับอาหารทิพย์ เมื่อหันไปมองยังทีมงานที่กำลังวุ่นวายเตรียมงานสำหรับการถ่ายทำเทคต่อไปแล้วก็พาลให้รู้สึกอยากจะวิ่งหนีไปให้พ้นจากตรงนี้ ที่ผ่านมาเด็กหนุ่มรู้ตัวดีว่าด้วยนิสัยขี้อาย ชอบเก็บตัวและแสดงออกไม่เก่งของตนเองนั้นทำให้เขาเป็นบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับงานในวงการบันเทิง จนเมื่อจับผลัดจับผลูได้มาลงมือทำจริง ความรู้สึกอึดอัดตะขิดตะขวงใจที่เกิดขึ้นขณะปฏิบัติงานก็ยิ่งช่วยยืนยันความจริงข้อนั้นได้เป็นอย่างดี ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผลงานถ่ายแบบ โฆษณา และภาพนิ่งที่ผ่านมา ผลลัพท์ของมันที่ออกมาดีได้ก็ล้วนแล้วแต่ต้องยกเครดิตความดีความชอบให้กับกรรณผู้เป็นตากล้อง ที่สามารถใช้ทักษะพิเศษส่วนบุคคลดึงตัวตนของเด็กหนุ่มขี้อายให้ออกมาโดดเด่นได้ มาถึงขณะนี้เมื่อภูเดินทางมาอยู่ในจุดที่ไม่สามารถเลือกทำเฉพาะงานที่มีกรรณเป็นตากล้องได้อีกต่อไป นอกจากกำลังใจในการทำงานจะถดถอยลงแล้ว ก็ยังทำให้การทำงานในแต่ละครั้งยากลำบากไม่ต่างอะไรกับเข็นครกขึ้นภูเขา ต้องทุ่มเทความพยายามมากกว่าที่คนทั่วไปทำถึงสองเท่า 

        แม้กระทั่งทุกวันนี้ ภูก็ยังไม่คาดคิดว่าตนเองมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร แรกเริ่มเขายอมกะเทาะเปลือกตัวเองออกมารับงานที่ไม่ถนัดเพียงเพราะอยากเอาใจกรรณและเพื่อจะได้ใช้เวลาร่วมกันให้มากที่สุดก็เท่านั้น หากแต่หลังจากถ่ายงานกับพี่ช้าง งานต่างๆที่เริ่มหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดหย่อนทำให้ภูเริ่มเป็นกังวล ใช่ว่าเด็กหนุ่มจะไม่เคยคิดจะหยุดทุกอย่าง แต่หลังจากปรึกษากับกรรณแล้วอีกฝ่ายยืนกรานให้เขาทำต่อไปเพื่ออนาคตของตัวเอง ภูก็หมดปัญญาจะแข็งขืน ช่วงแรกที่ยังเป็นเพียงงานถ่ายแบบกับโฆษณาแบบภาพนิ่ง ภูยังไม่ค่อยรู้สึกถึงปัญหามากเท่าไหร่นัก ด้วยอาศัยทักษะที่ฝึกปรือและจดจำมาตอนทำงานกับกรรณ แต่เมื่อเริ่มรับงานโฆษณาทางโทรทัศน์นั่นเองประตูนรกจึงเริ่มเปิดแง้มออก การแสดงของเด็กหนุ่มเลวร้ายจนจัดอยู่ในขั้นหายนะ แม้พี่ช้างจะส่งเขาไปติวเข้มกับครูสอนการแสดงที่มีชื่อเสียงในวงการแล้วหลายต่อหลายคนก็ยังไม่อาจช่วยอะไรได้มาก ทุกคนต่างลงความเห็นว่าภูยังคงมีกำแพงในตัวเองที่ยังไม่สามารถก้าวข้ามหรือพังมันลงได้ 

        ผู้กำกับตะโกนบอกทีมงานทุกคนให้พร้อมสำหรับการถ่ายทำต่อ ภูสูดหายใจเข้าปอดลึกๆเพื่อปลุกใจตัวเองอีกครั้งขณะที่ช่างผมเข้ามาตรวจเช็คความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อกลับเข้ากล้องอีกครั้งแน่นอนว่าไม่มีปาฏิหาริย์หรือพรจากพระเจ้าองค์ใดเกิดขึ้นทั้งสิ้น ภูยังคงทำได้ไม่เป็นที่พอใจของผู้กำกับที่ดูเหมือนอารมณ์จะเดือดดาลขึ้นในทุกเทคที่ผ่านไป จนกระทั่งล่วงเข้าเทคที่ยี่สิบ ในที่สุดนายแบบหนุ่มก็สามารถสร้างสิ่งที่น่าพอใจออกมาได้เสียที การถ่ายทำสิ้นสุดลงเมื่อผู้กำกับสั่งเลิกกอง เด็กหนุ่มใช้ทิชชู่เปียกเช็ดล้างเครื่องสำอางบนใบหน้าออกจนหมดก่อนจะกลับออกมาหาพิมกับส้มที่รออยู่ด้านนอก เมื่อทำการถ่ายทอดสดแบบสั้นๆเพื่อทักทายผู้คนที่ติดตามในเพจเฟสบุ๊คเสร็จแล้วทั้งสองก็ขอแยกกลับไปก่อน ภูโบกมือลาเด็กสาวทั้งสองอย่างตื้นตัน วันนี้คงโหดร้ายต่อจิตใจกว่านี้มากหากไม่มีทั้งสองมาด้วย จนกระทั่งทั้งสองคนขึ้นแท็กซี่ออกไปแล้ว เขาจึงค่อยเดินเลาะไปตามทางเท้ามุ่งไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ห่างออกไปข้างหน้า 

        บนชานชาลาของสถานีรถไฟฟ้า ฝั่งตรงข้ามนั้นปรากฏภาพของภูเด่นหราอยู่บนป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ งานพรีเซนเตอร์ของเครือข่ายให้บริการโทรศัพท์มือถือ นั่นเป็นงานสุดท้ายที่ภูและกรรณได้ทำด้วยกัน นับจากวันนั้นก็ผ่านมาสองเดือนแล้ว เด็กหนุ่มเลี่ยงสายตาพยายามไม่มองไปทางป้ายนั้นด้วยเห็นครั้งใดก็อดอายตัวเองไม่ได้ แม้ว่าจะผ่านงานมาแล้วหลายต่อหลายชิ้นแต่เรื่องแบบนี้ก็ดูจะเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจทำใจให้คุ้นชินได้เสียที อีกทั้งยังไม่นับรวมถึงสายตาของผู้คนแปลกหน้ารอบข้างที่มักจะจับจ้องมองมายังตัวเขาด้วยความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาคุ้นในใบหน้าอีก ทั้งหมดนี้ทำให้ภูซึ่งโดยปกติแล้งหวงแหนความเป็นส่วนตัวยิ่งชีพเกิดอึดอัดจนแทบไม่อยากออกมาพบเจอโลกภายนอกเลยทีเดียว

        ภูกลับมาถึงบ้านเมื่อเวลาเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ประตูบ้านของเขาไม่ได้ถูกลงกลอนจากข้างในอีกต่อไป กฎเคอร์ฟิวถูกยกเลิกไปแล้วนับตั้งแต่ภูเริ่มรับงานอย่างเป็นจริงเป็นจัง ด้วยพ่อกับแม่เข้าใจว่าปัจจัยเรื่องเวลาในการทำงานไม่อาจขึ้นอยู่กับลูกชายของตนได้เพียงคนเดียว เด็กหนุ่มไขประตูเข้าบ้านและหยิบนมกล่องกับของกินอีกสองสามอย่างจากในตู้เย็นก่อนจะตรงดิ่งขึ้นไปยังห้องนอนของตนเอง อากาศที่ร้อนบวกกับเหงื่อไคลซึ่งไหลมาผสมกับแวกซ์แต่งผมบนศรีษะทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก ขณะกำลังจะมองหาผ้าเช็ดตัวเพื่อไปอาบน้ำนั้นสายตาก็เหลือบไปเจอเข้ากับกระดาษแผ่นหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ มันถูกเขียนด้วยลายมือหวัดๆอันแสนคุ้นตาของกรรณ ชายหนุ่มคงแวะมาทานอาหารเย็นที่บ้านเหมือนเช่นเคยและทิ้งข้อความเอาไว้ก่อนกลับ ภูรีบหยิบมันขึ้นมาอ่านด้วยความอยากรู้

        กลับมาแล้วโทรหาพี่ด้วย ข้อความถูกเขียนเอาไว้เพียงเท่านั้น

        ภูสองจิตสองใจว่าจะโทรหากรรณตามที่อีกฝ่ายสั่งเอาไว้ก่อนหรือจะไปอาบน้ำสระผมล้างแว๊กซ์ออกจากหัวก่อนดี ในที่สุดความคันหัวก็มีชัยเหนือการตัดสินใจของเด็กหนุ่ม เขาคุ้ยเขี่ยค้นหาผ้าเช็ดตัวที่โยนทิ้งไว้แถวเตียงนอนเมื่อช่วงเช้าจนเจอแล้วจึงรีบไปอาบน้ำ หมายใจเอาไว้ว่าเมื่อกลับมาค่อยโทรหาอีกฝ่ายก็คงไม่สายไป หากแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ใจเย็นเท่าที่คิดเอาไว้ เพราะเมื่อเด็กหนุ่มอาบน้ำเสร็จกลับมาก็พบว่ากรรณยืนจ้องเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนจากสุดปลายระเบียงทางเดินชั้นสองของบ้านตนเอง เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเจ้าของห้องกลับมาเขาก็รีบกวักมือเรียก ภูส่ายหน้าไม่ยอมทำตามเนื่องจากยังอยู่ในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว เด็กหนุ่มรีบหยิบเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นจากในตู้แล้วหลบออกจากห้องไปใส่จนเสร็จเรียบร้อยจึงค่อยกลับเข้ามาหาอีกฝ่าย

        “ว่าไงครับ?” ภูเปิดหน้าต่างออก
        “ไม่เห็นโน้ตที่ทิ้งไว้เหรอ?” กรรณถามกลับพร้อมชี้ไปที่โต๊ะ
        “เห็นแล้ว อาบน้ำก่อนสิ หัวเหนียวเหมือนโดนกาวดักหนูหกใส่มาเลย” ภูตอบ “แล้วพี่เหอะ มีธุระอะไรด่วนถึงขนาดรอไม่ได้เลย”
        “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” กรรณมองเข้ามาในห้องนอนของภูทำท่าเหมือนกำลังคิดสองจิตสองใจก่อนจะถามขึ้นมาในที่สุด “ขอเข้าไปได้มั้ย?”
       
        ภูพยักหน้าไม่ขัดข้อง ด้วยระยะหลังการไปมาหาสู่ระหว่างสองบ้านของทั้งคู่ไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มปีนขึ้นบนขอบระเบียง ตามองกะระยะอย่างระมัดระวังก่อนจะก้าวข้ามมายังฝั่งห้องนอนของภู เด็กหนุ่มหลบทางให้อีกฝ่ายเข้ามาข้างใน กรรณมองซ้ายมองขวาก่อนจะนั่งลงบนเตียงนอน ภูหยิบนมกล่องที่เอามาจากชั้นล่างขึ้นมาเจาะหลอดดูดแล้วตามมานั่งข้างๆ
       
        “วันนี้เป็นไงบ้าง?” กรรณถามหลังจากนั่งด้วยกันท่ามกลางความเงียบมาพักใหญ่
        “เหนื่อย…” ภูตอบสั้นๆ ก่อนจะเอนหัวไปพิงไหล่ของอีกฝ่ายเอาไว้
        “โดนดุมั้ย? ได้ยินว่างานนี้พี่ต้อมเป็นผู้กำกับ เท่าที่รู้มาแกนี่แหละขาวีนเลย” กรรณยกมือขึ้นมาจับหัวของเด็กหนุ่มเอาไว้แล้วลูบไปตามเรือนผมเบาๆ
        “นิดหน่อยครับ” ภูหลับตาพริ้ม สัมผัสจากนิ้วที่ไล่ไปตามเส้นผมให้ความรู้สึกผ่อนคลายราวกับถูกปลอบประโลม
        “กลับซะดึกเลย กำลังห่วงว่าจะมีปัญหาอะไรรึเปล่า” กรรณหยุดการลูบหัวและทิ้งแขนลงโอบไหล่ภูเอาไว้แทน
        “ไม่มีหรอกครับ” ภูเลือกจะไม่บอกความจริงด้วยไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเป็นกังวล “พี่ล่ะ เป็นไงบ้าง พักนี้ว่างไม่ค่อยตรงกันเลย”
        “ก็ดี งานเยอะเหมือนเดิม แต่ไม่ได้เร่งรัดอะไรมาก” กรรณตอบพลางเอนหลังลงบนเตียง
        “ไม่มีงานที่จะได้มาทำกับผมบ้างเหรอ?” ภูถาม สายตาชำเลืองมองไปยังชายหนุ่มข้างบ้านที่บัดนี้มานอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงของตน
        “เด็กทึ่มเอ๊ย มัวทำงานกับคนเดิมๆก็ไม่ได้โตซักทีน่ะสิ” กรรณพูดทั้งที่ยังไม่ลืมตา “นายมีโอกาสได้ร่วมงานกับพวกมืออาชีพเยอะๆน่ะดีแล้ว ประสบการณ์แบบนี้มันไม่ใช่ว่าใครก็สามารถมีได้นะ”
        “อือ” ภูพยักหน้า แม้ในใจจะยังคงนึกเถียงอยู่ว่าอีกฝ่ายช่างไม่เข้าใจเจตนาของตนเลย

        ภูเอนตัวลงเคียงข้างกรรณบนเตียงก่อนจะหันหน้าพลิกตะแคงข้าง แขนข้างหนึ่งเอื้อมพาดกอดร่างของกรรณเอาไว้ ก่อนที่ใบหน้าจะโน้มเข้าหาต้นแขนอีกฝ่ายและกดซุกอยู่อย่างนั้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับการถูกเนื้อต้องตัวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในห้องนี้ ความใกล้ชิดที่อธิบายรูปแบบความสัมพันธ์ให้ชัดเจนไม่ได้เริ่มก่อตัวขึ้นมานับตั้งแต่ช่วงหลายเดือนก่อน หลังจากวันแห่งความเมามายของกรรณที่ถนนข้าวสาร หลังจากจูบแรกที่ภูฉวยโอกาสขโมยมาในยามที่อีกฝ่ายไร้ซึ่งสัมปชัญญะ ทั้งสองเริ่มโทรหากันโดยไม่มีธุระบ่อยขึ้น แม้ว่าจะเป็นเพียงสายสั้นๆและต่างก็มีข้ออ้างบอกกับตัวเองว่าเป็นแค่การโทรถามสารทุกข์สุขดิบเพราะแต่ละคนต่างงานยุ่งจนไม่มีเวลาว่างเจอกัน หากแต่อย่างน้อยก็เป็นฝ่ายของภูที่ไม่ได้คิดเช่นนั้น อีกทั้งการสัมผัสเนื้อตัวกันก็ไม่เคยเกินเลยไปมากกว่าที่เกิดขึ้นในวันนี้ ดูเหมือนคล้ายจะยังมีกระจกบางๆคั่นกลางระหว่างทั้งสองคนด้วยเจตนาให้สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดยังสามารถอธิบายด้วยคำว่าเป็นแค่พี่น้องกันได้อยู่

        “พรุ่งนี้มีเรียนรึเปล่า?” กรรณถาม มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบแขนของเด็กหนุ่มที่พาดทับร่างอยู่
        “มี เรียนเช้า” ภูตอบพร้อมพยักหน้าทั้งที่จมูกยังฝังอยู่กับต้นแขนของอีกฝ่าย “บ่ายมีถ่ายงานต่อด้วย”
        “งั้นวันนี้ก็นอนได้แล้วมั้ง” ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นนั่งจนภูจำใจต้องเปลี่ยนท่านอน ปล่อยกรรณให้หลุดจากอ้อมกอดไป

        กรรณลุกขึ้นจากเตียงไปที่หน้าต่างห้อง เตรียมจะกลับออกไปยังระเบียงฝั่งบ้านตนเอง ภูยังคงนอนหงายค้างอยู่เช่นนั้นบนเตียง ใจตระหนักดีว่าเวลาแห่งความสุขของวันนี้หมดลงแล้ว แต่เด็กหนุ่มก็เลือกที่จะทำใจยอมรับและพอใจกับสิ่งที่ตนได้มา แม้มันจะไม่ใช่ในรูปแบบที่ตนต้องการร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเทียบกับความว่างเปล่าเอาแน่เอานอนไม่ได้ก่อนหน้านี้ ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว

        เมื่อกลับมาอยู่เพียงลำพังอีกครั้ง ภูจึงลุกขึ้นจากเตียงไปยังข้างหน้าต่าง ตาจ้องมองไปยังห้องนอนของกรรณที่อยู่เยื้องไปยังฝั่งตรงข้าม แสงไฟในห้องยังคงสว่างอยู่อีกครู่หนึ่งถึงดับไป แม้ภูจะพร่ำบอกตนเองให้พอใจกับสิ่งที่มีอยู่ในตอนนี้ หากแต่ก็ไม่อาจห้ามใจไม่ให้สงสัยได้ว่าเหตุผลอันใดที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ค้างเติ่งอยู่เพียงเท่านี้ การสัมผัสเนื้อตัวทั้งหลายที่ถูกจำกัดเอาไว้ให้อยู่ในขอบเขตแห่งความเป็นพี่น้อง หากแต่ความรู้สึกใดๆที่เกิดจากมันนั้นมากมายเกินกว่าจะนิยามด้วยคำนั้นไปมาก ภูเองก็มั่นใจว่ากรรณก็รู้สึกไม่ต่างกัน เขารู้ได้จากเสียงหัวใจของอีกฝ่ายที่เต้นรัวยามที่ตนเข้าไปกอดซุก จากน้ำเสียงของกรรณที่สั่นเล็กน้อยแต่พยายามปกปิดไว้ และจากความตื่นตัวทางกายภาพที่อีกฝ่ายพยายามซุกซ่อนเอาไว้โดยไม่คาดคิดว่าเขาจะล่วงรู้ จริงอยู่ที่ภูไม่เคยบอกคำว่ารักออกไปอย่างเป็นเรื่องเป็นราว หากแต่เคยมีคำกล่าวว่าการกระทำนั้นสำคัญกว่าคำพูดไม่ใช่หรือ และเด็กหนุ่มก็มั่นใจว่าการกระทำแต่ละอย่างของเขานั้นก็ชัดเจนซะจนไม่ต้องสรรหาคำพูดใดๆมาประกอบ ไม่ว่าจะเป็นที่ทำออกไปโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตามที

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 9 part2

        ยามเช้าของวันถัดมาเป็นช่วงเวลาที่ไม่น่าอภิรมย์นักสำหรับภู เด็กหนุ่มแบกสังขารอันหนักอึ้งไปด้วยความอ่อนเพลียเปลี้ยล้าลุกลงจากเตียง หลังจากพยายามประคองสติให้ตื่นอยู่นานพอจนจัดการธุระส่วนตัวเช่นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเรียบร้อยแล้วจึงได้ออกเดินทางมุ่งหน้ามายังมหาวิทยาลัย ด้วยสภาพการจราจรค่อนข้างเป็นใจในวันนี้ ทำให้ภูมาถึงก่อนเวลาเข้าเรียนถึงครึ่งชั่วโมง เขาวางกระเป๋าลงบนโต๊ะหน้าตึกเรียนอันเป็นจุดนัดพบประจำของเพื่อนร่วมชั้นปีก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์มือถือของตนออกมาโทรหาสาลี่ ผู้ซึ่งเวลานี้ก็ตกอยู่ในสถานะเดียวกับคนอื่นๆในชีวิตของภู คือมีเวลาพบเจอกันน้อยลง ระหว่างรอให้อีกฝ่ายรับสายอยู่นั้น ภูก็พยายามทำเป็นไม่รับรู้ถึงสายตาหลายต่อหลายคู่ที่จ้องมาทางตนขณะเดินผ่าน บ้างก็ชี้ชวนกันให้มองมาทางเขา สำหรับบุคคลผู้กระหายความสนอกสนใจจากคนรอบข้างนี่อาจเป็นดั่งของขวัญอันประเมินค่ามิได้ หากแต่สำหรับเด็กหนุ่มผู้ไม่ชอบการตกเป็นเป้าสายตาและหลีกหนีการเป็นจุดเด่นมาโดยตลอดนั้น นี่ก็ไม่ต่างอะไรจากบทลงทัณฑ์จากนรก อันเป็นผลที่เกิดจากการหลงผิดไปยุ่งกับเรื่องที่ตนไม่ควรข้องเกี่ยวเข้า

        “ไม่ต้องโทรแล้ว หันมามองมั่งแกน่ะ” สาลี่เดินเข้ามาเคาะที่หัวของภูเบาๆหนึ่งครั้งให้เลิกก้มหน้าก้มตา
        “อ้าว…” ภูตกใจจนหน้าเหรอหรา “กำลังโทรหาแกเลย”
        “เออ รู้แล้ว ชั้นกำลังจอดรถตอนแกโทรหา” เด็กสาวนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับภู “วันนี้ลมอะไรหอบแกมาถึงมหาลัยฯแต่เช้าได้ล่ะ?”
        “รถมันไม่ติดก็เลยถึงเร็ว” ภูตอบ
        “ก็ดีแล้วล่ะ จะได้มีเวลากับเพื่อนกับฝูงบ้าง หลังๆนี่แกมาตอนเข้าเรียนแล้วตลอด พอเรียนเสร็จก็รีบไปทำงานต่อตาลีตาเหลือกทุกวัน” สาลี่บ่น
        “พูดแบบนี้ แสดงว่าแกคิดถึงชั้นอ่ะดิ?” ภูแกล้งแหย่
        “จริงๆก็ไม่นะ” สาลี่ไม่ยอมติดกับ “ถึงตัวแกจะไม่ค่อยอยู่ แต่หน้าแกแม่งไปโผล่ทุกที่เลยว่ะ หลอนโครตๆ ขนาดเมื่อวันก่อนชั้นไปดูหนังมา ยังอุตส่าห์เจอแกก่อนหนังฉายเลย”
        “อ๋อ… ” ภูนึกออกว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงสปอตโฆษณาชิ้นหนึ่งของตนที่ผลิตมาไว้สำหรับฉายในโรงภาพยนตร์ “แล้วเป็นไง? หล่อมะ?”
        “ถึงจะไม่ค่อยอยากจะพูดให้แกเหลิง แต่ก็ต้องยอมรับน่ะนะว่าหล่อทะลุจอ หล่อจนไอ้ดลกับไอ้ตฤณมันลงความเห็นกันว่าหน้าแกเปลี่ยนไปนิดหน่อย สันนิษฐานว่าแกอาจจะไปขึ้นเขียงให้หมอโมหน้ามา” สาลี่เล่า
        “เออ มโนกันเข้าไป นี่น่ะของแท้ทั้งหน้า ไม่เชื่อมาจับดูได้” ภูท้า “ที่ดูเปลี่ยนไป อาจจะเพราะผอมลงมั้ง”
        “ก็จริง แกน่ะซูบลงไปเยอะ หาเวลาพักผ่อนบ้างก็ดี” สาลี่เห็นด้วย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเห็นร่องรอยดำคล้ำใต้ดวงตาของเพื่อนหนุ่ม อันเป็นร่องรอยที่ฟ้องถึงสภาวะร่างกายที่ขาดการพักผ่อนอย่างเต็มที่
        “รู้น่า ไม่ต้องห่วงหรอก” ภูทำท่าว่ายังไหว

        เมื่อใกล้เวลาเข้าเรียน เพื่อนคนอื่นๆก็เริ่มเข้ามาสมทบมากขึ้น ภูเริ่มรู้สึกได้ถึงการหวนกลับมาอีกครั้งของบรรยากาศการพูดคุยอันสนุกสนานเป็นกันเองที่ห่างหายไปนานแล้วจากสารบบชีวิตอันรีบเร่งของตน เมื่อได้กลับมาสัมผัสชีวิตอันเป็นปกติของตนอีกครั้งเด็กหนุ่มก็จึงได้รู้ว่าเขาคิดถึงมันมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นคำพูดล้อเลียนจากปากอันไม่มีหูรูดของนฤดล คำประชดเจ็บแสบจากตฤณ หรือเสียงหัวเราะแปดหลอดชวนแสบแก้วหูของสาลี่ เด็กหนุ่มไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตนจะคิดถึงมันได้ขนาดนี้ แม้จะเป็นเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาทีก่อนที่ทุกอย่างจะต้องกลับไปสู่รูปแบบเดิมที่มันต้องเป็นอีกครั้ง แต่มันก็ช่วยเติมพลังให้กับชีวิตอันยุ่งเหยิงที่ความสนุกสนานสมวัยกำลังเหือดแห้งลงไปในทุกขณะของเขาได้มากทีเดียว

        เที่ยงวันนั้นแม้จะยังไม่หมดเวลาสำหรับการเรียนการสอน แต่ภูก็ต้องขออนุญาตอาจารย์เพื่อออกมาก่อน เนื่องจากสถานที่ถ่ายงานในวันนี้อยู่ที่สตูดิโอย่านรัชดา ซึ่งหากรอจนเลิกเรียนตามเวลาที่กำหนดเอาไว้ย่อมไม่มีหวังจะไปถึงได้ทันตามเวลานัดหมายอย่างแน่นอน เด็กหนุ่มกระโดดขึ้นแท็กซี่คันแรกที่เรียกได้และบึ่งตรงมาถึงที่หมายทันเวลาอย่างฉิวเฉียด เมื่อเข้ามาด้านในก็พบว่าทีมงานได้สแตนบายรอเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงรอนายแบบซึ่งก็คือตัวของเขาเองและอีกคนหนึ่งที่ยังมาไม่ถึง ภูนั่งลงตรงจุดที่จัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างใจเย็น รู้สึกโล่งใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าการทำงานในวันนี้ไม่มีอะไรน่าวิตกเป็นเพียงแค่การถ่ายภาพนิ่งธรรมดา ช่างแต่งหน้าและช่างผมเข้ามาสาละวนจัดเตรียมรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มให้ตรงตามคอนเซปต์ที่วางเอาไว้ก่อนจะส่งต่อไปยังฝ่ายคอสตูม และในขณะที่ภูกำลังลองสวมชุดที่เตรียมเอาไว้ให้เพื่อตรวจสอบความพอดีและปรับแก้ให้ออกมาดูลงตัวอยู่นั้น นายแบบอีกคนที่ต้องร่วมงานกันในวันนี้ก็มาถึง ท่ามกลางเสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกของบรรดาทีมงานที่กำลังวิตกว่าอาจจะถูกเทกอง

        ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาในกองถ่ายอย่างเย็นใจไม่รีบร้อนราวกับรู้ว่าทุกคนต้องรอเขาอยู่ หมวกกันน๊อคที่ถือมาในมือถูกวางเอาไว้ข้างประตูทางเข้า ภูมองเด็กหนุ่มลูกครึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนในชุดเสื้อแจ๊กเก็ตหนังสีแดงและกางเกงหนังสีดำทรงสกินนี่ที่กำลังเดินเข้ามาด้วยท่าทีจองหองราวกับเป็นเจ้าชายที่ทุกคนต้องพินอบพิเทา ไ่อ้หมอนี่น่ะเหรอ ที่ต้องร่วมงานกันในวันนี้? ภูนึกในใจขณะที่อีกฝ่ายกำลังถอดถุงมือหนังสำหรับนักแข่งรถจักรยานยนต์และนั่งลงข้างๆตน กลิ่นน้ำหอมผู้ชายฉุนรุนแรงโชยมาเตะจมูก ความเข้มข้นของกลิ่นทำให้ภูอดสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายใช้วิธีฉีดหรืออาบมากันแน่ ช่างแต่งหน้าและช่างผมที่เพิ่งเสร็จธุระจากภูไปเมื่อครู่รีบกรูเข้ามาทำงานของตนกับนายแบบผู้มาใหม่นี้ทันที ด้วยเวลาขณะนี้ล่วงเลยจากกำหนดการณ์ที่วางไว้ไปเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว

        ภูเขม้นมองบุคคลผู้ที่กำลังจะเป็นเพื่อนร่วมงานของเขาในวันนี้อย่างพินิจพิเคราะห์ ใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยบุคลิกแห่งตัวปัญหานี้เป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างเอกลักษณ์ของชาวเอเชียและชาวตะวันตก เส้นผมสีดำมันวาวด้วยน้ำมันแต่งผมถูกจัดทรงเสยขึ้นเปิดให้เห็นหน้าผาก  คิ้วดกหนา ดวงตาคมแฝงไปด้วยแววแห่งความดื้อรั้นเอาแต่ใจ รูปร่างไม่หนาล่ำแต่ก็ไม่ได้ผอมบางเท่าภู เพียงมองด้วยสายตาก็พอรู้ได้ว่าเป็นร่างกายที่มีแข็งแรงและมีกล้ามเนื้อพอสมควร นายแบบหนุ่มนั่งไขว่ห้างผิวปากเป็นทำนองเพลงอย่างสบายอารมณ์ขณะที่ทีมงานมะรุมมะตุ้มอยู่รอบตัวเขา ปลายเท้าที่สวมไว้ด้วยรองเท้าบู๊ตหนังกลับขยับส่ายกระดิกไปมาเบาๆ เป็นการเคลื่อนไหวแบบที่ชวนให้นึกถึงหางของสุนัขเวลาอารมณ์ดี ไม่นานเมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องมอง เขาก็มองกลับมาทางภูเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีใครอีกคนอยู่ที่นี่ด้วย

        “อ่ะฮะ…” วลีสั้นๆหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่าย
        “อ่ะฮะ?” ภูทวนคำนั้นกลับไปด้วยไม่เข้าใจว่านั่นคือคำทักทายหรือแค่เสียงอุทาน
        “นี่จอสเอง” เขาแนะนำตัว “จอส วาโย”
        “โอเค จอส” ภูพยักหน้ารับทราบ
        “จริงๆนามสกุลของเราอ่านว่า เวย์-โอลต์ แต่ดูเหมือนมันจะเป็นคำที่คนไทยออกเสียงลำบาก พี่ที่โมเดลลิ่งเลยให้ใช้คำว่า วาโย แทน” จอสอธิบายที่มาของนามสกุลใหม่ของตนให้อีกฝ่ายฟังโดยไม่ต้องรอคำร้องขอราวกับว่าเป็นหน้าที่
        “อ่าฮะ” ภูพยักหน้ารับทราบอีกครั้ง
        “นายพูดเป็นรึเปล่าเนี่ย?” จอสข้องใจเมื่อไม่เห็นอีกฝ่ายทำการแนะนำตัวใดๆกลับมา
        “อ้อ เป็นสิ พูดเป็น” ภูเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าควรแนะนำตัวกลับไปตามมารยาท “ภูครับ พิภู อ่านตามนั้นเลย”
        “ภู ออกเสียงเหมือน poo ที่แปลว่าอึใช่มั้ย?” จอสสรรหาคำพ้องเสียงอันไม่น่าพิสมัยมาให้อีกฝ่ายได้แทบจะทันที
        “ใช่ เสียงเหมือนกัน แต่คนละความหมาย คนละทิศคนละทางเลย” ภูรีบกู้คืนศักดิ์ศรีให้ชื่อตัวเอง
        “เหมือนๆกันล่ะน่า” จอสทำท่าเหมือนมันไม่สลักสำคัญ ก่อนจะจ้องมองมาที่เส้นผมของภูที่ถูกช่างผมมัดเอาไว้เป็นกระจุกราวกับมันสะดุดเข้ากับสายตาของเขา “ผมนายเจ๋งดี”
        “ขอบใจ” ภูเขินนิดหน่อย ด้วยไม่บ่อยครั้งนักจะมีใครมาชมเขาตรงๆแบบนี้
        “เคยอยากไว้ผมแบบนี้ แต่ไม่ไหว ไทยแลนด์ร้อนเกิน” จอสชะโงกเข้ามาใกล้กว่าเดิม “ขอจับหน่อยได้ป่ะ?

        ภูสะดุ้งนิดหน่อยกับคำขออันสุดจะประหลาดนั้น หากแต่ก็คิดว่าไม่ได้มีอะไรเสียหายจึงยอมให้ตามคำขอ เด็กหนุ่มหันข้างให้ปอยผมที่ไม่ได้ถูกมัดออกไปหามือของอีกฝ่ายที่ยื่นเข้ามา เมื่อคว้าเอาไว้ได้จอสก็จับมันเอาไว้อย่างแผ่วเบาราวกับเป็นสิ่งที่บอบบางจนต้องระวังไม่ให้แตกหักเสียหาย อุ้งมือของเขารองรับเรือนผมเอาไว้ก่อนจะใช้นิ้วโป้งลูบถูไปมาเบาๆ เป็นสัมผัสที่นุ่มนวลอ่อนโยนจนดูขัดแย้งกับภาพลักษณ์ภายนอกของผู้กระทำอย่างสิ้นเชิง

        “พอได้แล้วมั้ง?” ภูเตือนสติเมื่อไม่เห็นทีท่าว่าอีกฝ่ายจะเลิก
        “โทษที เพลินไปหน่อย” จอสรีบปล่อยมือออก “เห็นคนไว้ผมแบบนี้ทีไร อดใจไม่ได้ซักที”

        จอสเอนหลังกลับไปพิงเก้าอี้ของตนตามเดิม ก่อนที่ทั้งสองจะต้องลุกไปในอีกไม่กี่นาทีต่อมาเพื่อให้ฝ่ายคอสตูมได้ลองชุดเป็นรอบสุดท้าย ภูมองตามหลังของอีกฝ่ายไปตลอดทาง จอสหยิบเสื้อเชิ๊ตตัวที่ต้องใส่ในการถ่ายทำขึ้นมาพลิกดูทั้งด้านหน้าด้านหลังอย่างพินิจพิจารณาก่อนจะวางมันลงและจัดการเปลื้องผ้าตัวเองจนท่อนบนเหลือเพียงผิวหนังที่เปล่าเปลือย ภูหลบสายตาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะค่อยๆชำเลืองมองกลับไปอีกครั้ง ผิวพรรณของอีกฝ่ายสะอาดหมดจด ท้องแขนมีรอยสักรูปจอห์น เลนนอนเด่นสะดุดตา แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตามากสุดก็คงหนีไม่พ้นกล้ามเนื้อหน้าอกและหน้าท้องที่ได้รูปเรียงกันเป็นลอนสวย และไรขนจากใต้สะดือที่จมหายไปในขอบเอวกางเกง เมื่อหันไปดูรอบๆภูก็พบว่าไม่ใช่เพียงแค่ตนที่กำลังต้องมนต์สะกดแห่งรูปร่างนี้ เพราะทีมงานทั้งหญิงแท้และหญิงเทียมอีกจำนวนหนึ่งก็กำลังจับจ้องมันตาแทบไม่กระพริบอยู่เช่นกัน

        การเสพอาหารตาสิ้นสุดลงเมื่อจอสสวมเสื้อเชิ้ตตัวนั้นและติดกระดุมเข้าก่อนจะหันไปให้ฝ่ายคอสตูมจัดการใช้เข็มกลัดติดที่ด้านหลังเพื่อให้เสื้อออกมาตึงเข้ารูปพอดีตัว เขาหันมาทางภูที่ยังคงยืนถือเสื้อของตัวเองและมองด้วยความสงสัยราวกับเห็นบางสิ่งที่แปลกประหลาด

        “ทำไมยังไม่เปลี่ยนเสื้อล่ะ?” จอสถามแล้วชี้ไปที่นาฬิกาดิจิตัลบนผนังของสตูดิโอ “นี่มันสายกันมากแล้วนะ ไม่รู้จักเวล่ำเวลาบ้างเลย พวกหน้าใหม่”
        “ได้ข่าวว่าที่สายเพราะบางคนมาช้าไม่ใช่เหรอ?” ภูตอกกลับไป เพราะฉุนที่ถูกหยามด้วยคำว่าพวกหน้าใหม่
        “ไม่ต้องพูดมาก เสื้อนักศึกษาน่ะถอดออกได้แล้ว จะคีพลุกส์เด็กเรียนไปถึงไหน” จอสปรี่เข้ามาตั้งท่าจะช่วยเด็กหนุ่มถอดเสื้อ โดยมีฝ่ายคอสตูมสาวยืนจ้องตาวาวราวกับเห็นฉากชวนจิ้นในหนัง
        “ไม่ต้อง!! ถอดเองได้” ภูยกมือขึ้นยันอีกฝ่ายออกสุดแขนก่อนจะหันหลังและเริ่มปลดกระดุมเสื้อตัวเองออกทีละเม็ด

        เด็กหนุ่มรีบสลัดเสื้อนักศึกษาออกและสวมเสื้อตัวที่ทีมงานเตรียมเอาไว้ให้กลับเข้าไปทันทีโดยไม่ทิ้งช่องว่างให้ใครได้จ้องมองผิวใต้ร่มผ้าของตน แต่เดิมภูเองก็ไม่ใช่พวกนิยมอวดเนื้อหนังมังสาต่อหน้าคนแปลกหน้าอยู่แล้ว มาถึงตอนนี้เมื่อมีอีกหนึ่งตัวเปรียบเทียบที่เรียกได้ว่าเหนือกว่าเขาในทุกด้านมายืนกระดิกเท้าเร่งอยู่ข้างๆ ก็ยิ่งทำให้ความมั่นใจในตนเองหดหายไปไวเสียยิ่งกว่าน้ำเหือดบ่อ เจ้าหน้าที่คอสตูมหญิงคนเดิมเข้ามากลัดเข็มกลัดเข้าที่ด้านหลังเสื้อของภูเหมือนที่ทำให้จอสเมื่อครู่ หากแต่ของเขาต้องใช้จำนวนเข็มกลัดมากกว่าเนื่องมาจากรูปร่างที่ค่อนไปทางผอมบาง

        หลังจากต่างฝ่ายต่างแยกเข้าหลังฉากกั้นไปเปลี่ยนกางเกงตัวที่ใส่อยู่เป็นตัวที่ต้องใช้ถ่ายงานในเซ็ทแรกแล้ว ทีมงานคนอื่นๆก็เข้าพร้อมประจำที่ ฝ่ายเมคอัพเข้ามาเช็คใบหน้าของนายแบบเป็นครั้งสุดท้าย ฝ่ายจัดแสงเข้ามาวัดแสงในฉากก่อนจะส่งสัญญาณให้กับตากล้องว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว ภูยังคงยืนนิ่งอยู่ข้างเซ็ทพยายามรวบรวมสมาธิที่กำลังกระจัดกระจายของตนให้กลับมาเข้าร่าง ในตอนนั้นจอสก็เดินลิ่วนำหน้าเขาไปยืนท้าทายแสงไฟอยู่หน้ากล้องอย่างไม่กลัวเกรง แม้ในใจเด็กหนุ่มจะมองเพื่อนร่วมงานคนใหม่นี้ว่าเป็นพวกตัวแสบ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกฝ่ายดูเหมือนเกิดมาเพื่อสิ่งนี้มากกว่าตนจริงๆ จอสหันหน้ามาหาภูที่ยังยืนละล้าละลังอยู่นอกเซ็ท พลางจิ๊ปากแสดงอาการไม่พอใจพร้อมกับกวักมือเร่งให้เข้ามาข้างใน เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะก้าวขาเดินเข้าไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก ด้วยใจตระหนักอย่างสุดซึ้งว่าการทำงานครั้งนี้ต้องมีเรื่องน่าปวดหัวรออยู่ข้างหน้าเป็นแน่แท้

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:L2: :pig4:

ขอบคุณมากครับที่ยังติดตามเสมอ  o13

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณมากครับ สำหรับการติดตามอย่างต่อเนื่อง  o13

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:L2: :pig4: :L2:

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะครับ  :katai2-1:

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ตัวละครใหม่มีบทบาทต่อไหมเนี่ย ลุ้นๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
รู้สึกเหนืีอยแทนภู สู้ๆนะลูก

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
ตัวละครใหม่มีบทบาทต่อไหมเนี่ย ลุ้นๆ

มีแน่นอนครับ เป็นตัวหลักของเรื่องช่วงหลัง ไม่หายไปเฉยๆแน่ :katai4:

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ  o13

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
รู้สึกเหนืีอยแทนภู สู้ๆนะลูก

ทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเอง มันก็จะต้องเหนื่อยแบบนี้แหละครับ  :katai1:

ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดนะครับ  o13

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 10 part1

        หากนี่เป็นการเสี่ยงดวง ภูก็คงถูกรางวัลใหญ่ไปเป็นที่เรียบร้อย เพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน นี่เป็นงานถ่ายแบบครั้งที่น่าปวดหัวที่สุดนับตั้งแต่ภูก้าวขาเข้ามาในวงการนี้ เมื่อจอสใช้ความเก๋าเกมที่มีมากกว่าพยายามทำตัวเหมือนเป็นเจ้านายของเด็กหนุ่มอยู่ตลอดการถ่ายทำ อีกทั้งยังไม่นับการละลาบละล้วงอย่างอุกอาจเช่นการโผล่เข้ามาเร่งเขาขณะกำลังเปลี่ยนชุดหรือทำธุระส่วนตัวอยู่ในห้องน้ำ ทั้งหมดนี้ทำให้ภูแทบจะห้ามตัวเองไม่ให้ขย้ำคออีกฝ่ายให้จมเขี้ยวไว้ไม่อยู่ จนกระทั่งเมื่อเสร็จสิ้นการถ่ายทำ ภูจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและเก็บข้าวของเผ่นหนีออกจากสตูดิโอด้วยความไวราวกับพายุ ด้วยหวังว่าจะหลุดพ้นจากความน่ารำคาญที่กำลังเผชิญอยู่ได้เสียที หากแต่เหมือนชะตากรรมอันโหดร้ายจะไม่ยอมปล่อยให้เด็กหนุ่มหลุดรอดพ้นไปได้ง่ายๆ เพราะเดินออกมาได้เพียงไม่กี่เมตรภูก็ต้องย้อนกลับไปที่สตูดิโออีกครั้ง หลังจากเพิ่งรู้ตัวว่าลืมนาฬิกาข้อมือเอาไว้ข้างใน หากแต่เมื่อมาถึงภูก็รู้สึกได้ว่าการหวนกลับมาอาจไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดนัก เมื่อเห็นจอสยืนจังก้าอยู่หน้าทางเข้าสตูดิโอราวกับกำลังรออยู่

        “อ่ะฮะ” จอสร้องทักทายด้วยคำเดิมพร้อมกับชี้นิ้วมาทางภูที่พยายามจะเดินก้มหน้าก้มตาผ่านเขาไป
        “ไปเล่นทางนู้นไป พอดีไม่ว่าง” ภูบอกและพยายามจะเข้าสตูดิโอแต่อีกฝ่ายก็ขยับตัวมาขวางไว้
        “จะเข้าไปหานี่ใช่มั้ย?” นายแบบหนุ่มตัวแสบพูดพลางล้วงนาฬิกาข้อมือของภูออกมาจากกระเป๋าเสื้อแจ๊กเก็ต
        “ใช่ ขอบใจมาก” ภูพยายามจะคว้ามาแต่จอสโยกแขนหลบหลีกเร็วเป็นพัลวัน
        “เฮ้ย อะไรเนี่ย จะมาเอาไปง่ายๆได้ไง” จอสไม่ยอมส่งมอบนาฬิกาคืนให้ง่ายๆ
        “ก็ขอบคุณแล้วไง จะเอาอะไรอีก?” ภูเริ่มเหลืออด ทั้งเหนื่อย ทั้งรำคาญ
        “ทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่าย ไม่เคยได้ยินหรือไง?” จอสพูดเป็นนัยยะ “ถ้าอยากได้คืน ก็ต้องทำบางอย่างแลก”
        “จะเอาอะไรก็ว่ามา” ภูตัดรำคาญ

        จอสไม่ตอบแต่ผายมือไปทางรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์สีแดงที่จอดอยู่ไม่ห่างออกไปนัก นายแบบหนุ่มเดินไปยืนข้างๆมันแล้วลูบคลำอย่างรักใคร่ทะนุถนอม “Ducati 959 Panigale หรือชื่อเล่นว่าน้องแดง ลูกรักของจอสเอง”

        “คือนี่จำเป็นต้องรู้?” ภูไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะพาตนมาดูรถมอเตอร์ไซค์เพื่ออะไร
        “เอางี้แล้วกัน ถ้านายยอมพาน้องแดงของจอสไปวิ่งเล่นซักรอบนึง นายก็จะได้นาฬิกาคืน ดีล?” จอสยื่นข้อเสนอ
        “ทำไมเราต้องลำบากขนาดนั้นในการจะเอาของที่เป็นของเราคืนมาล่ะ?” ภูไม่ยอมรับ
        “อาจเพราะว่านายไม่มีทางเลือกมากมั้ง” จอสเอานิ้วเกี่ยวนาฬิกาข้อมือของภูไว้และควงเหวี่ยงให้เป็นวงเบาๆ

        ภูใจหายวาบเมื่อเห็นนาฬิกาอันเป็นของขวัญจากพ่อเมื่อครั้งสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เกือบจะหลุดจากนิ้วของเด็กหนุ่มตัวแสบลงไปแตกเป็นชิ้นบนพื้นต่อหน้าต่อตา หากแต่จอสก็รวบมันเก็บกลับมาไว้ในอุ้งมือได้ทัน เขายักคิ้วให้ภูราวกับจะถามอีกครั้งว่ายังคงยืนยันการตัดสินใจเดิมหรือไม่ ภูแค้นใจจนกัดปากตัวเองแน่นหากแต่ก็รู้ดีว่าทางเลือกมีไม่มากนัก

        “โอเค ไปก็ไป แป๊ปเดียวนะ” ภูยอมจำนนในท้ายที่สุด
        “เห็นมะ แต่แรกก็จบ” จอสว่าพลางกระโดดขึ้นบนรถและตบเบาะท้ายเรียกให้ภูขึ้นมาซ้อน
        “ไหนล่ะหมวกกันน๊อค?” ภูร้องขออุปกรณ์นิรภัยเมื่อปีนขึ้นมานั่งซ้อนท้ายเรียบร้อยแล้ว
        “มีใบเดียวอ่ะ ถ้ากลัวก็เกาะแน่นๆแล้วกันนะ” จอสตอบพลางสตาร์ทเครื่องและเริ่มบิดคันเร่งเคลื่อนตัวออกไปทันที

        จอส วาโย ขับรถได้อย่างน่าสยดสยองที่สุดเท่าที่ภูเคยพบพานมาในชีวิต เขาทั้งใช้ความเร็วเกินกว่าระดับที่กฎหมายกำหนด แซงซ้ายป่ายขวาชนิดไม่สนกฎจราจร และแน่นอนคำว่าไฟแดงไม่มีในพจนานุกรมของเขา เด็กหนุ่มพุ่งทะยานผ่านสี่แยกแล้วสี่แยกเล่าด้วยความเร็วราวกับรถด่วนชินคันเซ็น ภูที่เริ่มรู้สึกว่ากำลังจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้กลางถนนทำอะไรเพื่อปกป้องตัวเองไปไม่ได้มากไปกว่ากอดเอวอีกฝ่ายเอาไว้อย่างแน่นหนา ตั้งใจว่าหากต้องตายก็จะลากให้ตายตามไปด้วย เสียงเครื่องยนต์หนักแรงม้าลั่นกระหึ่มไปทั่วทุกตรอกซอกซอยที่ขับผ่าน เด็กหนุ่มมั่นใจว่าในบ้านซักหลังต้องกำลังมีคนด่าตนถึงบุพการีอยู่เป็นแน่แท้ แต่จู่ๆการซิ่งท้านรกของจอสก็หยุดลงอย่างกะทันหัน ภูชะเง้อคอขึ้นดูว่าอะไรคือสิ่งที่กีดขวางอีกฝ่ายเอาไว้และก็พบว่าเป็นเพียงแค่สุนัขสีน้ำตาลแก่ๆตัวหนึ่งที่กำลังเดินข้ามถนน

        “พุ่งใส่ทางม้าลายจนคนหนีกันกระจุยกระจาย แต่มาจอดให้หมาข้ามถนนเนี่ยนะ?” ภูไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ตาเห็น
        “จอสรักหมา” จอสตอบเสียงอู้อี้มาจากในหมวกกันน๊อค เขาเลื่อนกระจกบังตาของมันขึ้น “ถ้าเรารักอะไร เราก็จะหยุดให้สิ่งนั้นได้เสมอ”
        “สาธุ บุญของหมามันจริงๆ” ภูค่อนแคะ
        “ว่าแต่ บ้านนายไปทางไหนล่ะ?” จอสถามขณะเคลื่อนรถเข้าชิดข้างทาง
        “จะรู้ไปเพื่ออะไรไม่ทราบ? ออกสอบgat patปีนี้เหรอ?” ภูไม่ยอมตอบ
        “ทำไมเข้าใจอะไรยากจัง” จอสทำท่าว่าเหลืออดกับภู “ถ้าถามว่าว่าที่ๆนึงอยู่ที่ไหน ไปทางไหน ก็คือเราจะไปที่นั่นไง”
        “แล้วใครจะให้นายไป?” ภูฉวยโอกาสที่รถจอดสนิทริมทางเท้ารีบปีนลงมายืนกับพื้น
        “ถ้าไม่ไป แท๊กฮอยเออร์เรือนนี้จะเป็นยังไงต่อไปนะ ถ้าร่วงลงจากกระเป๋าเสื้อของจอสในขณะที่อยู่บนความเร็วร้อยสี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง” จอสหยิบเอาตัวประกันขึ้นมาขู่อีกรอบ
        “พวกเล่นสกปรก” ภูบ่นอุบอิบ
        “ไม่เห็นต้องคิดอะไรมากเลย ก็ถือซะว่าจอสไปส่งบ้านในฐานะเพื่อนใหม่ this is what friends are for เพื่อนที่มีรถก็ต้องไปส่งเพื่อนที่ไม่มีใช่เปล่า?” จอสพยายามโน้มน้าว
        “นี่เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เมื่อไหร่หา?” ภูรู้สึกเหมือนโดนโมเมมัดมือชก
        “ก็ตั้งแต่นายยอมให้เราจับผมนายไง” จอสสตาร์ทเครื่องรถอีกรอบ “ถ้าไม่ใช่เพื่อน เค้าจะทำกันแบบนั้นได้เหรอ”
        “เออ เอาเหอะ แล้วแต่พี่เลยครับ” ภูหมดปัญญาจะโต้เถียง คิดบอกตัวเองให้สบายใจว่ามีเพื่อนเพิ่มก็คงดีกว่ามีศัตรู
        “งั้นก็ขึ้นมา บอกทางด้วย” จอสเลื่อนกระจกหมวกกันน๊อคปิดลงตามเดิม
        “เดี๋ยว ถ้าบอกว่าเป็นเพื่อนกัน ก็ต้องพบกันครึ่งทาง” ภูยื่นข้อเสนอเพื่อตัวเองบ้าง “ห้ามบิดเกินหกสิบ ตลอดทาง จนกว่าเราจะลง”
        “หูยยยยย นี่ลุงบ้านไหนเนี่ย?” จอสทำหน้าเซ็งจัดจนแม้กระทั่งมีหมวกกันน๊อคบังอยู่ก็ยังรู้สึกถึงได้
        “นายมีหมวก เราไม่มี เพื่อนก็ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยของเพื่อนบ้างสิใช่มั้ย?” ภูเอาคำพูดของอีกฝ่ายมาปรับใช้ “this is what friends are for ไง”
        “โอเค๊” จอสรับปากเสียงสูง บ่งบอกว่าใจไม่ได้โอเคอย่างปาก

        เมื่อภูกลับขึ้นมาบนเบาะหลังอีกครั้งแล้ว จอสจึงค่อยบิดคันเร่งเคลื่อนตัวออกจากริมถนน นายแบบนักซิ่งรักษาสัญญาที่ให้ไว้ได้เป็นอย่างดี อาจมีบ้างที่เผลอเร่งความเร็วขึ้นแซงรถคันหน้าที่ขับช้าด้วยความหงุดหงิด แต่เมื่อโดนภูจิกนิ้วเข้าที่ท้องเตือนสติไมล์ความเร็วก็ค่อยๆลดลงจนเหลือหกสิบเท่าเดิม ด้วยความเร็วที่ไม่เสี่ยงต่ออันตรายนี้ภูจึงค่อยเริ่มเพลิดเพลินกับการเป็นผู้โดยสารขึ้นมาบ้าง สายลมที่ปะทะเข้าใบหน้าให้ความรู้สึกราวกับกำลังบินอยู่ในอากาศ เด็กหนุ่มสะบัดหัวให้เส้นผมยาวของตนที่ปรกระอยู่บนใบหน้าหลุดออกไป ก่อนจะมองเห็นผ่านทางกระจกมองหลังว่ากระจกหมวกกันน๊อคของจอสได้ถูกเลื่อนเปิดขึ้นอีกครั้ง และสายตาของเขากำลังชะเลืองมองมาทางตนผ่านกระจกบานเดียวกัน เมื่อสบตากับด้วยความบังเอิญ ภูรีบหลบตาหนี หากแต่อีกไม่กี่วินาทีต่อมาก็ถึงรู้ตัวว่าตนเป็นคนเดียวที่ทำเช่นนั้น เพราะแม้จะละสายตาไปมองถนนบ้างแต่โดยรวมแล้วจอสยังคงมองจ้องมาทางเงาสะท้อนของภูในกระจกอยู่เหมือนเดิม

        “จะมองอะไรนักหนา ขับรถเค้าให้มองถนน” ภูจิกนิ้วเข้าที่ท้องอีกฝ่ายอีกรอบ
        “ผมยาวนี่เจ๋งจริงๆด้วย” จอสยิ้มมุมปาก “พลิ้วเหมือนขนนกเลย”

        คำชมทำให้ภูตกเป็นฝ่ายปราชัยได้เสมอในเกมปะทะคารม เด็กหนุ่มก้มหน้าหลบให้เงาของตนพ้นจากกระจกมองหลังเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นว่ามันกำลังแดงเรื่อขึ้นมาทีละน้อย หากแต่ก็ไม่ลืมที่จะคอยบอกทางเป็นระยะๆเพื่อนำคนขับไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง จนเมื่อมาถึงหน้าบ้าน ภูรีบโดดลงจากรถจักรยานยนต์คันยักษ์และแบมือขอนาฬิกาข้อมือคืนจากอีกฝ่ายตามสัญญา จอสไม่บิดพลิ้ว เขาล้วงมันออกมาจากในกระเป๋าเสื้อแจ๊กเก็ตและโยนมันคืนให้เจ้าของ เด็กหนุ่มรีบถลาเข้าไปรับเพราะกลัวว่าจะพลาดตกลงกระแทกพื้นจนเสียหาย เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าจอสยังคงไม่มีทีท่าว่าจะไปไหน หากแต่สายตาของเขายามนี้มองจ้องเข้าไปในบ้านของภู จับจ้องไปยังแสงไฟที่สว่างออกมาจากหน้าต่าง เเละเงาคนที่เคลื่อนไหวไปมาอยู่ในนั้น แน่นิ่งราวกับจมจ่อมอยู่ในภวังค์บางอย่าง

        “เฮ้ นาย” ภูส่งเสียงดึงสติอีกฝ่ายกลับมา “เราจะเข้าบ้านแล้ว ไงก็ขอบใจที่มาส่งแล้วก็ ที่เก็บนาฬิกาไว้ให้”
        “อ่ะฮะ” จอสตอบรับด้วยวลีประจำตัว “แล้วเจอกัน”
        “คงยากหน่อยล่ะ” ภูหัวเราะฝืดๆในลำคอ เมื่อรู้สึกว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่โลกของเขาและจอสจะโคจรมาเจอกันได้อีกนอกจากเรื่องงาน
        “ไม่ยากหรอก” จอสสตาร์ทเครื่องรถก่อนจะหันมาทางภู “ก็เราเป็นเพื่อนกันแล้วนี่”

        จอสไม่พูดอะไรเพิ่มเติมที่จะช่วยให้ภูเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อได้มากกว่านั้น เขาขับออกไปด้วยความเร็วสูงราวกับระเบิดความเก็บกดจากการที่ต้องคุมความเร็วไว้ที่หกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงมาตลอดทางกลับบ้านของภู เด็กหนุ่มยังคงรู้สึกตะหงิดใจนิดหน่อยกับคำพูดทิ้งท้ายของอีกฝ่าย หากแต่ก็พยายามไม่เก็บมาใส่ใจให้หนักหัวด้วยคิดว่าเจตนาของจอสก็คงต้องการแค่กวนประสาทตนเล่นเหมือนทุกครั้ง

        ภูล้วงเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหากุญแจไขประตูรั้วบ้าน ก่อนจะพบว่าไม่จำเป็นต้องหาอีกต่อไปเมื่อเห็นกรรณกำลังยืนส่องออกมาจากข้างใน แวบแรกที่เห็นเด็กหนุ่มตกใจนิดหน่อยเพราะไม่คิดว่าจะมีใครอยู่ตรงนั้น หากแต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเพราะเป็นเรื่องปกติที่รู้กันดีสำหรับเวลานี้อยู่แล้วที่ว่าหากกรรณไม่ได้ติดงานก็จะมาทานมื้อเย็นและขลุกอยู่บ้านของตน ชายหนุ่มเปิดประตูรั้วออกให้ภูเดินเข้ามาข้างในโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เป็นความเงียบที่ชวนให้อึดอัดและทำให้ภูรู้สึกผิด ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรู้สึกเช่นนั้น

        “กินข้าวกันไปรึยังครับ?” ภูถามขณะเดินตามหลังอีกฝ่ายเข้ามาในบ้าน
        “กินแล้ว นี่ยังไม่ได้กินอะไรมาเหรอ?” กรรณสงสัย เพราะดูจากเวลาที่เด็กหนุ่มกลับมาถึงก็เลยมื้อเย็นไปนานแล้ว
        “ยังเลย” ภูส่ายหน้า
        “เห็นซ้อนรถใครมา นึกว่าไปกินอะไรกันมาแล้วซะอีก” กรรณพูดถึงสิ่งที่ตนเห็นเมื่อครู่ น้ำเสียงดูแฝงความไม่สบอารมณ์เอาไว้นิดหน่อย หากแต่ก็พยายามไม่แสดงมันออกมา “เอาของไปเก็บก่อนไป เดี๋ยวพี่ไปดูให้ว่ายังมีอะไรให้กินมั่ง”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-03-2018 10:42:51 โดย lolito »

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 10 part2

        ภูพยักหน้าตอบรับก่อนจะแยกตัวขึ้นเอาของไปเก็บยังห้องนอนของตนที่ชั้นบน ความอึมครึมที่กรรณแสดงออกมาเมื่อครู่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจ เพราะไม่อาจเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ หากนั่นคือความไม่พอใจ ภูก็ไม่สามารถรู้ได้อีกเช่นกันว่าสาเหตุของมันมาจากอะไร เขาทำอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ เท่าที่รู้ก็คือไม่ เด็กหนุ่มคิดไม่ตกแล้วก็พาลให้รู้สึกปวดหัว จากวันนี้ที่เหนื่อยมาทั้งวันและความวุ่นวายจากการทำงานร่วมกับจอมกวนประสาทแบบจอส ทำให้ความอยากอาหารแทบจะไม่หลงเหลือมีแต่ความอ่อนเพลียอยากจะพักผ่อนเท่านั้น หากแต่เมื่อคิดถึงว่ากรรณยังคงรออยู่ข้างล่าง ก็ทำให้เขาพยายามข่มความอยากจะกระโจนสู่เตียงและฟุบหน้าหลับให้สาสมใจเอาไว้ และเดินกลับลงไปยังชั้นล่าง เมื่อมาถึงโต๊ะกินข้าว มีอาหารวางตั้งเอาไว้หากแต่ไร้วี่แววของกรรณ ภูเดินออกไปยังห้องรับแขกและถามหากรรณจากพ่อกับแม่ที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์กันอยู่

        “กรรณเหรอ กลับไปเมื่อครู่นี้เอง ก่อนลูกลงมาแป้ปนึง” แม่ตอบขณะที่ตายังจ้องละครในทีวีชนิดที่ว่าไม่ยอมให้พลาดสายตาแม้แต่ฉากเดียว
        “อ้าว ทำไมรีบกลับจังวันนี้” ภูสงสัย เพราะโดยปกติแล้วนี่ยังไม่ใช่เวลาที่อีกฝ่ายจะกลับไปยังบ้านของตัวเอง
        “ไม่รู้สิ เห็นเค้าบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย” พ่อบอก “แต่ก่อนลูกจะมา พ่อก็ยังเห็นดีๆอยู่เลยนะ”
        “เราเองก็ไปกินข้าวเถอะ เห็นพี่เค้าอุ่นเตรียมไว้ให้ก่อนจะกลับไป ยังไม่กินอะไรมาเลยไม่ใช่เหรอ กินอาหารไม่เป็นเวลาเดี๋ยวจะเป็นโรคกระเพาะเอานะ” แม่เตือนภู 

        แล้วทั้งสองก็หันไปสนใจกับโทรทัศน์ต่อ ภูเดินเกาหัวด้วยความงุนงงกลับไปยังห้องครัวก่อนจะเริ่มลงมือจัดการกับอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่ด้วยความไม่อยากอาหารเป็นทุนเดิมบวกกับความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้นมาทำให้กินไปได้เพียงหนึ่งในสามของจานก็เกินจะฝืนยัดต่อไปได้อีก ภูเก็บส่วนที่เหลือเข้าตู้เย็นและหอบสังขารตัวเองกลับขึ้นไปยังห้องนอน ระหว่างเดินขึ้นบันใดก็เกิดนึกขึ้นได้ว่าใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยเครื่องสำอางจากการถ่ายแบบที่ไม่ได้ล้างออกเพราะมัวแต่รีบหนีจอสออกมาจากสตูดิโอ หากแต่เขาก็ไม่มีกระจิตกระใจจะใส่ใจเรื่องนั้นแล้วในเวลานี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องทำเด็กหนุ่มขอผลัดกำหนดการณ์ของมันออกไปเป็นวันพรุ่งนี้ทั้งหมด เมื่อเข้ามาถึงในห้องได้ ความหิวโหยการพักผ่อนทำให้เขาลืมทุกกฎแห่งการระวังตัวที่เคยวางเอาไว้ เด็กหนุ่มถอดเสื้อผ้าโยนลงตะกร้าเหลือเพียงบ๊อกเซอร์ตัวเดียวก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงนอนทันที

        ขณะที่ร่างกายกำลังจะเข้าสู่ภาวะหลับใหลอย่างเต็มที่นั้น พลันเสียงของขาเก้าอี้ที่อยู่หน้าโต๊ะอ่านหนังสือซึ่งเสียดครูดกับพื้นดังเอี้ยดก็ทำให้ภูสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยรู้ดีว่าตนไม่ได้อยู่เพียงลำพังในห้อง เด็กหนุ่มผลุดลุดขึ้นมานั่ง ดวงตาเขม้นมองพยายามปรับสายตาให้ชินกับความมืดจนกระทั่งเจอะเข้ากับเงาของใครบางคนที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะอ่านหนังสือ เมื่อมองไปที่หน้าต่างห้องซึ่งเปิดอ้าอยู่ ภูก็พอรู้ว่าเจ้าของเงานั้นคือใคร หากแต่ที่ยังไม่อาจรู้ได้คือเขามีเจตนาอันใด แต่อย่างไรก็ตามภูมั่นใจว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ เพราะแม้จะคุ้นเคยกันมากแค่ไหนแต่กรรณก็ไม่เคยเข้าห้องนี้จากทางหน้าต่างโดยไม่ขออนุญาตเขาก่อน

        “พี่กรรณ?” ภูร้องเรียกออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังยืนนิ่งไม่ยอมขยับ
        “จะนอนแล้วเหรอ?” กรรณยอมขยับโผล่ออกมาให้ภูเห็นชัดถนัดตา
        “ก็ใช่อ่ะ เหนื่อยมากวันนี้ แต่ยังไม่หลับหรอก พี่มีอะไรหรือเปล่า เข้ามาไม่บอก ตกใจหมดเลย” ภูถาม
        “ก็…” กรรณอ้ำอึ้ง ดูคล้ายกำลังสองจิตสองใจว่าจะถามออกไปดีหรือไม่ “เมื่อกี้นี้น่ะ กลับมากับใคร?”
        “เอ่อ ก็ จะเรียกว่าเพื่อนก็คงได้มั้ง…” ภูไม่รู้จะจำกัดความจอสด้วยคำไหนดี “ถ่ายงานด้วยกันวันนี้ เค้ามีรถก็เลยอาสามาส่ง” 
         “เพื่อนจริงเหรอ?” กรรณเขยิบเข้ามายืนชิดเตียง “หรือว่าเป็นอย่างอื่นกันแน่?”
        “อะไรของพี่เนี่ย?” ภูงง สับสนไปหมดว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากตนกันแน่ “พี่แปลกๆนะวันนี้ พ่อบอกว่าพี่ไม่สบาย เป็นอะไรรึเปล่า?”

        สีหน้าสับสนของเด็กหนุ่มทำให้กรรณเหมือนจะได้สติขึ้นมาจากเมื่อครู่ เขาส่ายหัวไปมาคล้ายจะขับไล่ความคิดบางอย่างออกไปจากสมองก่อนจะนั่งลงบนเตียงข้างๆภูเหมือนเช่นเมื่อคืนก่อน

        “พี่กรรณ…” ภูไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไปดี
        “ก็แค่เป็นห่วง ซ้อนท้ายรถแบบนั้นมันอันตรายจะตาย หมวกกันน๊อคก็ไม่ใส่” กรรณบ่นออกมา หากแต่เห็นได้ชัดว่าเป็นการเบี่ยงประเด็นไปจากเรื่องจริงที่อยู่ในใจ
        “ก็ไม่เป็นไรนี่ไง กลับมาถึงแล้ว” ภูตอบ เมื่อเห็นอีกฝ่ายผ่อนคลายท่าทีตึงเครียดลง เขาก็พลอยโล่งอกไปด้วย

        เมื่อความเครียดเริ่มจางลงไป ภูก็จึงเริ่มมีสติมากพอจะนึกขึ้นได้ว่าตนอยู่ในสภาพเกือบเปลือย เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปคว้าผ้าห่มมาคลุมตัวเอาไว้จนเหลือแค่หัวโผล่ออกมา กรรณมองอาการเหนียมอายไม่มั่นใจในร่างกายตัวเองของอีกฝ่ายแล้วก็อมยิ้มน้อยๆ คล้ายกับเอ็นดู มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาลูบหัวภูอย่างอ่อนโยน

        “พ่อบอกพี่ไม่สบาย เป็นอะไรมากรึเปล่า?” ภูถามคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบจากเมื่อครู่
        “ตอนนี้ไม่เป็นไรเท่าไหร่แล้วล่ะ” กรรณตอบ มือยังคงลูบยีหัวของเด็กหนุ่มไปมาอย่างแผ่วเบา
        “ผมเหนื่อยจัง” ภูเอนตัวเข้าหากรรณ
        “อยากนอนรึยังล่ะ?” กรรณถาม

        ภูพยักหน้าแทนคำตอบ กรรณพยักหน้าว่ารับทราบเช่นกันก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนตั้งใจจะไปส่งอีกฝ่ายที่หน้าต่างห้อง หากแต่เกิดก้าวพลาดเหยียบชายผ้าห่มที่คลุมตัวเองอยู่จนหลุดลงไปกองกับพื้นทั้งผืน กรรณชะงักนิ่งอึ้งเมื่อร่างขาวบอบบางของเด็กหนุ่มที่เมื่อครู่เห็นเพียงลางๆในความมืด บัดนี้กลับมาอยู่เบื้องหน้าทั้งยังต้องแสงจากหน้าต่างจนเห็นชัดเต็มสองตา ภูรีบก้มลงไปจะเก็บมันขึ้นมาคลุมร่างกายไว้ดังเดิมหากแต่กรรณกลับฉุดแขนของเขาเอาไว้ได้เสียก่อน และไม่เพียงเท่านั้น มืออีกข้างของชายหนุ่มยังตรงดิ่งเข้ามาคล้องจับเข้าที่เอวของภูเอาไว้ คล้ายจะรั้งไม่ให้หนีไปไหน ภูพยายามดิ้นรนให้หลุดจากการจับกุมด้วยความประหม่าขัดเขินจากการอยู่ในสภาพมีเสื้อผ้าน้อยชิ้นปกคลุมร่างกาย

        “พี่ ปล่อยก่อน ผ้าร่วงแล้ว” ภูบอกพร้อมกับชี้ไปที่ผ้าห่มบนพื้น
        “ไม่เป็นไรหรอก” กรรณยิ่งรั้งตัวภูให้เข้ามาชิดตนยิ่งกว่าเดิม “แบบนี้แหละดีแล้ว”
        “พี่ไม่เป็นแต่ผมเป็นอ่ะดิ” ภูพูดตะกุกตะกัก พยายามดิ้นหนีจนลนลาน ด้วยกลัวอีกฝ่ายจะสังเกตุเห็นถึงบางส่วนของร่างกายที่มันกำลังสำแดงอาการตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้า
 
        กรรณไม่สนใจสิ่งที่เด็กหนุ่มในอ้อมกอดของตนพยายามพูดพล่าม ชั่วแวบหนึ่งเขายังคงนิ่งเหมือนกำลังชั่งใจก่อนที่ในวินาทีต่อมาการตัดสินใจจะเกิดขึ้น ชายหนุ่มประคองหัวของภูให้แหงนหน้าขึ้นมาหาก่อนจะค่อยๆโน้มก้มลงไปและประกบริมฝีปากของตนเข้าหาอีกฝ่าย แรกเริ่มภูพยายามดิ้นด้วยความตกใจก่อนที่ความเคลิบเคลิ้มจากสัมผัสปลายลิ้นของกรรณที่วนเวียนอยู่บนริมฝีปากของเขาคล้ายจะกำลังหาทางเข้าไปจะทำให้เด็กหนุ่มยอมเผยอปากอ้ารับมัน

        ภูส่งเสียงครางออกมาเบาๆคล้ายจะหมดความอดทนแล้วจึงแตะปลายลิ้นของตนเข้ากับปลายลิ้นของเขา การตอบสนองเกิดขึ้นทันทีเหมือนกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน กรรณถอนลิ้นออกและไล้ปลายของมันไปตามริมฝีปากภูอย่างช้าๆราวกับยั่วเย้า ก่อนจะสวมประทับกลับเข้าไปอีกครั้ง ความโกลาหลปั่นป่วนเกิดขึ้นในหัวของภู เด็กหนุ่มครางเสียงต่ำก่อนจะเริ่มสอดมือล้วงเข้าไปสัมผัสร่างกายข้างใต้เสื้อที่อีกฝ่ายสวมใส่อยู่ จากนั้นจึงเลิกมันขึ้นพยายามจะถอดออก หากแต่จู่ๆกรรณก็กลับหยุดทุกอย่างเอาไว้เพียงเท่านั้น เขาจับมือทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มเอาไว้ไม่ให้กระทำการสำเร็จและจึงค่อยถอนริมฝีปากออก ภูภูพยายามรุกเข้าหาเพื่อสานต่อจากเมื่อครู่อีกครั้งหากแต่กรรณกลับพยายามหลบเลี่ยง เขาถอยไปยืนชิดริมหน้าต่าง หอบหายใจ ใบหน้าหล่อเหลายามนี้แดงก่ำด้วยเลือดที่สูบฉีดอย่างหนัก ตาจ้องมองมาที่ภูคล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่าง หากแต่ก็กลับกลืนมันลงคอไปอีกครั้ง

        “พี่ต้องไปแล้วล่ะ” กรรณพยายามคุมเสียงให้เป็นปกติ แต่กระนั้นก็ยังสั่นและกลั้วไปด้วยอาการหอบจนรู้สึกได้
        “เดี๋ยวสิ…” ภูทั้งงง ทั้งรู้สึกค้างเติ่งราวกับถูกทิ้งเอาไว้ริมหน้าผา
        “ขอโทษทีนะ” กรรณพูดเพียงเท่านั้นก็รีบปีนกลับออกไปยังทางที่ตนเข้ามา

        ภูยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ร่างกายเบาโหวงราวกับอากาศ เมื่อครู่นี้เด็กหนุ่มรู้ตัวเองดีว่ากำลังต้องการอีกฝ่ายจนใจแทบขาด หากแต่คำพูดสุดท้ายของกรรณกลับลบล้างความรู้สึกทั้งหมดลงไปได้ในพริบตาเดียว ขอโทษงั้นเหรอ? ขอโทษเรื่องอะไร? ภูไม่เข้าใจความหมายของคำขอโทษที่กรรณพูดออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว


ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
โอยย อยากจะร้องโหวกเหวกโวยวาย
นี่เป็นครั้งแรก? ที่กรรณเริ่มก่อนซินะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ค้างคามาก  ไม่ได้ดังใจ  ชิส์

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
โอยย อยากจะร้องโหวกเหวกโวยวาย
นี่เป็นครั้งแรก? ที่กรรณเริ่มก่อนซินะ

ลมหึง หึงจนต้องเคลม  :hao7:

ขอบคุณที่ยังติดตามกันอยู่นะครับ  :katai2-1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-03-2018 17:59:34 โดย lolito »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:pig4: :pig4: :pig4:

ค้างคามาก  ไม่ได้ดังใจ  ชิส์

ของแบบนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไปนะครับ   :hao3:

ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดครับ  :katai2-1:

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:เฮ้อ: :z1:

 :L2: :pig4: :L2:

ขอบคุณมากครับที่ยังติดตามกันเสมอ  o13

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
ไอ่พี่กรรณ!!!!

นิ่งมานาน พอเห็นแววคู่แข่งมาก็ต้องขยับบ้างแล้ว  :katai3:

ขอบคุณที่ยังติดตามกันมาตลอดนะครับ  :katai2-1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พี่กรรณทำน้องคิดมากอีกแล้ว ยังไงคะเนี่ย คิดกับน้องแบบไหน มาจูบน้องแบบนี้ต้องรับผิดชอบนะคะ 5555

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:L2: :pig4:
เซ็งเลยเพ่

อย่าเพิ่งเซ็งครับ เอาไว้ลุ้นต่อรอบหน้าเนอะ  :katai2-1:

ขอบตคุณที่ติดตามกันมาตลอดนะครับ

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
พี่กรรณทำน้องคิดมากอีกแล้ว ยังไงคะเนี่ย คิดกับน้องแบบไหน มาจูบน้องแบบนี้ต้องรับผิดชอบนะคะ 5555

เรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบแน่ครับ คิดเหรอว่าจะปล่อยไปง่ายๆ  :hao6:

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ  :katai2-1:

ออฟไลน์ kikilululu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ก่อนอื่นเลยเราขอบ่นสาลี่ก่อน ขนาดเราไม่ใช่น้องภูยังรู้สึกเสียใจเวลาสาลี่เทภู กลับก่อนภูเหมือนไม่ได้ใส่ใจเลย คือเราเข้าใจแหละว่าเพื่อให้เกิดพ้อยแล้วเรื่องจะได้ดำเนินได้แต่อ่านแล้วเสียใจจังทำไมเพื่อนถึงเทภูง่ายๆงี้ไหนส่าสนิทกันมากไงงง
 คือยิ่งมาเจอพี่กรรณไม่ชัดเจนใส่ตลอดเวลาเรายิ่งเอ็นดูน้องภู เห็นน้องเหนื่อยจากการพยายามเพื่อพี่กรรณ ทำในสิ่งที่ใืนตัวเองเพื่อให้เข้าใกล้เค้าแล้วรู้สึกว่าทำไมพี่ไม่ทำอะไรให้ชัดเจนบ้าง จะเอายังไงไหนบอก
เริ่มรู้สึกไม่อยากให้น้องภูทนอีกต่อไปแล้ววววว ไปซ้อนดูคาติเรยยรู้กกก แม่แบคอัพหนุเอง :m31:

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
ก่อนอื่นเลยเราขอบ่นสาลี่ก่อน ขนาดเราไม่ใช่น้องภูยังรู้สึกเสียใจเวลาสาลี่เทภู กลับก่อนภูเหมือนไม่ได้ใส่ใจเลย คือเราเข้าใจแหละว่าเพื่อให้เกิดพ้อยแล้วเรื่องจะได้ดำเนินได้แต่อ่านแล้วเสียใจจังทำไมเพื่อนถึงเทภูง่ายๆงี้ไหนส่าสนิทกันมากไงงง
 คือยิ่งมาเจอพี่กรรณไม่ชัดเจนใส่ตลอดเวลาเรายิ่งเอ็นดูน้องภู เห็นน้องเหนื่อยจากการพยายามเพื่อพี่กรรณ ทำในสิ่งที่ใืนตัวเองเพื่อให้เข้าใกล้เค้าแล้วรู้สึกว่าทำไมพี่ไม่ทำอะไรให้ชัดเจนบ้าง จะเอายังไงไหนบอก
เริ่มรู้สึกไม่อยากให้น้องภูทนอีกต่อไปแล้ววววว ไปซ้อนดูคาติเรยยรู้กกก แม่แบคอัพหนุเอง :m31:

ตัวละครสาลี่นี่ยกมาจากเพื่อนคนนึงในชีวิตจริงเลยครับ เป็นเพื่อนประเภทที่รู้จักกันมานานจนเลิกเกรงใจ เลิกกังวลว่าอีกฝ่ายจะโกรธไปแล้ว เป็นคนประเภทที่รู้ดีว่าถ้าทำแบบนี้ไปเราต้องโมโหแน่ แต่ก็ทำเพราะมันก็รู้อีกนั่นแหละว่าเดี๋ยวเราก็หายโกรธ เดี๋ยวก็ดีกันได้เหมือนเดิม เคืองกันได้ไม่เคยข้ามวัน แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ใช่ว่าไม่มีความเป็นห่วงกันนะ เวลามีปัญหาหรืออะไรก็พร้อมจะช่วยเหลือหรือรับฟังเสมอครับ คิดว่าหลายๆคนก็คงมีเพื่อนแนวๆนี้อยู่ในชีวิตจริงบ้างอย่างน้อยก็ซักคนสองคน

ส่วนเรื่องพี่กรรณ อย่าเพิ่งว่าเค้าเลย เค้ามีเหตุผลของเค้า รอดูไปก่อนครับ 555  :hao5:   

ขอบคุณที่ติดตามและมาแสดงความคิดเห็นกับเรื่องนะครับ  o13

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 11 part1

        แม้ว่าเรื่องคืนนั้นจะทิ้งคำถามเอาไว้ในหัวของภูมากมายหลายต่อหลายข้อ หากแต่เขาก็ไม่มีโอกาสจะได้หาคำตอบของมันเลยแม้แต่ข้อเดียว กว่าหนึ่งสัปดาห์นับจากวันนั้นที่กรรณหายหน้าไปจากกิจวัตรร่วมมื้อเย็นที่บ้านของภู ตลอดเวลาเด็กหนุ่มพยายามโทรหาหากแต่อีกฝ่ายไม่ยอมรับสาย มีเพียงแค่ข้อความที่ส่งกลับมาว่าจะติดต่อกลับ แต่จนแล้วจนเล่าก็ไม่มีการติดต่อใดๆกลับมาทั้งสิ้น กรรณยังคงกลับมาบ้านทุกวันหากแต่เป็นเวลาดึกดื่นเกินเที่ยงคืนไปแล้ว ซึ่งเขามั่นใจว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็น ทว่าทุกอย่างไม่อาจรอดพ้นสายตาของภูไปได้ เพราะถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการเรียนและการทำงานในช่วงกลางวันมามากเพียงใด เด็กหนุ่มก็ยังคงถ่างตาตัวเองให้ตื่นอยู่นานพอจะเห็นไฟในห้องนอนที่เยื้องไปทางฝั่งตรงข้ามเปิดขึ้นจึงจะยอมปล่อยตัวเองให้หลับ ด้วยเหตุผลว่าแค่เพียงเรื่องเก่าที่ยังค้างคาใจก็มากเกินพอแล้ว แม้อีกฝ่ายจะพยายามหลบเลี่ยงไม่ยอมเผชิญหน้า แต่อย่างน้อยการได้เห็นกรรณกลับถึงบ้านตัวเองไม่ได้ไปค้างอ้างแรมที่ไหนก็ยังพอทำให้เขาสบายใจขึ้นมาได้บ้าง

        ภูไม่กล้าปรึกษาเรื่องที่เกิดขึ้นกับใครทั้งสิ้นแม้กระทั่งเพื่อนที่สนิทที่สุดอย่างสาลี่ ด้วยรู้สึกว่ารายละเอียดมันค่อนข้างเป็นส่วนตัวและล่อแหลมจนเกินไป ทั้งหมดเท่าที่เขาพอจะทำได้คือเก็บกดความทรมานใจเอาไว้แล้วใช้ชีวิตตามปกติ คอยเฝ้าหวังว่าทุกครั้งที่โทรศัพท์ดังขึ้นจะเป็นเบอร์ของกรรณที่ติดต่อกลับมา หากแต่สิ่งที่พบเจอก็มีแต่เพียงความว่างเปล่า ความสิ้นหวังทำให้ภูถึงขั้นเปิดหน้าต่างห้องเอาไว้ตลอดเวลาและสะดุ้งตื่นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงบางสิ่งเคลื่อนไหวแม้จะเป็นเพียงกิ่งไม้ที่เสียดสีจากแรงลมด้วยคาดหวังว่าเสียงนั้นจะเกิดจากกรรณที่เป็นผู้บุกรุก ยิ่งวันเวลาผ่านไปมากขึ้นเด็กหนุ่มก็ยิ่งกระวนกระวายใจจนแทบบ้าเมื่อได้ค้นพบความจริงจากปากของครอบครัวว่ากรรณยังคงแวะเวียนมาที่บ้านของเขาทุกเช้าเพื่อรับปิ่นโตอาหารที่แม่ของภูทำไปเก็บไว้ในตู้เย็นบ้านของตนเอง เขาใช้ข้ออ้างว่าเพราะงานยุ่งจนไม่มีเวลากลับมาร่วมมื้อค่ำจึงต้องขอเอาไปเก็บไว้ แล้วจะอุ่นทานเมื่อตอนกลับมาถึงบ้านตอนดึก นั่นยิ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามหลบหน้า นั่นทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของเด็กหนุ่มขาดผึงลง ภูตัดสินใจเลิกเฝ้ารอและเป็นฝ่ายเดินหน้าหาคำตอบเอง

        คืนนั้นภูเฝ้ารอให้กรรณกลับมาถึงบ้านตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ ทว่าแม้จิตใจจะเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นเพียงใดก็ยังพ่ายแพ้กับความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งสัปดาห์ ทั้งจากการใช้ชีวิตในแต่ละวันประกอบกับการนอนหลับไม่เต็มตื่นเพราะความวิตกกังวล เมื่อการรอคอยผ่านไปได้สองชั่วโมงเปลือกตาก็เริ่มหนักอึ้งราวกับมีหินมาถ่วงเอาไว้ เด็กหนุ่มยอมล่าถอยให้แก่ร่างกายที่เรียกร้องการพักผ่อน ตั้งใจจะพักสายตาเพียงไม่กี่นาทีเพื่อฟื้นคืนความกระปรี้กระเปร่าแล้วจึงค่อยกลับมาเฝ้าต่อ หากแต่ลืมคิดไปเสียสนิทว่าการหลับการนอนเป็นสิ่งที่ต่อรองไม่ได้สำหรับตน จากที่ตั้งใจเอาไว้เพียงไม่กี่นาทีจึงกลายเป็นหลายชั่วโมง จนกระทั่งมารู้สึกตัวอีกทีก็เกือบจะแปดโมงเช้าแล้ว ภูนึกด่าตัวเองในใจด้วยความโมโหที่ทำแผนที่วางไว้พังเสียเอง เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างห้องนอนยังฝั่งตรงข้าม ไฟในห้องนอนของกรรณปิดมืด แต่ด้วยเพราะหลับไปเสียก่อนภูจึงไม่อาจรู้ได้ว่ามันปิดเพราะอีกฝ่ายยังคงนอนอยู่หรือว่าเพราะยังไม่มีใครกลับมาบ้าน

        ภูเดินเมาขี้ตาเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาไล่ความสะลึมสะลือออกจากร่างกาย คิดบอกตัวเองว่าอย่างไรเสียวันนี้ก็ยังว่างอยู่ทั้งวัน เอาไว้ค่อยหาโอกาสเข้าไปปรับความเข้าใจกับกรรณเอาอีกทีก็ได้ บางทีอาจจะรอจนกว่าอีกฝ่ายจะเอาปิ่นโตอาหารมาคืนหรือไม่ก็อาจจะใช้ข้ออ้างเดียวกันนั้นเข้าไปหาเขาเองถึงบ้านเลยก็ยังได้ เด็กหนุ่มคิดวางแผนการเผชิญหน้าเอาไว้ในใจเป็นฉากๆขณะเดินลงบันไดมายังชั้นล่างหลังจากแต่งตัวเสร็จ

        “ตื่นเช้าจัง วันนี้ไม่มีเรียนไม่ใช่หรือไง?” พ่อร้องทักเมื่อเห็นร่างของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเดินพ้นจากบันไดออกมา
        “เมื่อวานนอนเร็วอ่ะพ่อ” ภูเปิดตู้เย็นหาอะไรดื่มให้ร่างกายสดชื่น
        “ก็ดีแล้ว พักหลังนี่นอนดึกแทบทุกวันเลยนี่” แม่บอกพร้อมกับวางถ้วยกาแฟที่เพิ่งชงเสร็จให้พ่อ “ไหนๆก็ตื่นเช้าแล้ว ออกไปเอาหนังสือพิมพ์ที่หน้าบ้านมาหน่อยไป”
        “เช้ามาก็ใช้เลย” ภูบ่นอุบอิบ ก่อนจะหยิบน้ำส้มกล่องใหญ่จากตู้เย็นติดมือออกไปด้วย
        “บอกกี่ครั้งแล้วว่าจะกินให้เทใส่แก้วไม่ใช่เอาไปกระดกทั้งกล่องแบบนั้น!!” เสียงของแม่เอ็ดตะโรไล่หลังมา

        ภูทำหูทวนลมไม่สนใจเสียงบ่นของแม่ เด็กหนุ่มเปิดกล่องแล้วยกกระดกน้ำส้มดื่มมาตลอดทางจนถึงประตูรั้วบ้าน แต่เมื่อยื่นแขนออกทางช่องของประตูรั้วไปควานหาหนังสือพิมพ์ที่ปกติแล้วควรจะอยู่ในตู้ใส่จดหมายก็กลับพบเจอแต่ความว่างเปล่า ภูส่ายหน้าอย่างระอิดระอาด้วยคิดว่าคนส่งหนังสือพิมพ์คงทำงานสับเพร่ามักง่ายด้วยการโยนทิ้งเอาไว้ข้างรั้วอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่เมื่อเปิดประตูบานเล็กออกไปมองหา สิ่งที่เจอรออยู่ข้างนอกนั่นกลับทำให้เขาตกใจจนเข่าอ่อนล้มลงก้นกระแทกพื้น

        “ฉิบหายแล้ว อะไรวะนั่น…” เด็กหนุ่มชะโงกคอดูอย่างขวัญเสีย ปากคอสั่นไปหมด

        สิ่งที่กองอยู่ข้างประตูรั้วบ้านคือร่างของใครบางคนที่ถูกคลุมอยู่ด้วยหนังสือพิมพ์ฉบับของวันนี้ที่ภูถูกแม่สั่งให้ออกมาหยิบ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขาคงทำตามคำสั่งไม่ได้แล้ว ร่างนั้นนอนแน่นิ่งไม่ขยับในท่าหลังพิงกับกำแพง ตั้งแต่หัวจรดเท้าถูกคลุมด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์จนดูไม่ออกถึงรูปพรรณสันฐาน เด็กหนุ่มรวบรวมความกล้าค่อยๆขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะฉวยเอาเศษไม้จากข้างทางมาแยงเขี่ยทดสอบว่าร่างปริศนาภายใต้หนังสือพิมพ์นั้นยังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่ ร่างกระตุกเล็กน้อยเมื่อโดนสัมผัสก่อนจะตามมาด้วยการยกแขนขึ้นปัดเหมือนกำลังไล่แมลง ภูถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่อย่างน้อยสถานการณ์เช้านี้ก็ยังไม่เลวร้ายไปถึงขั้นมีศพนิรนามมานอนตายอยู่หน้าบ้านตนเอง

        “นี่คุณครับ” ภูเอาไม้เขี่ยซ้ำอีกครั้ง “เป็นอะไรรึเปล่าน่ะ?”
        “อือ… อย่าเพิ่งวุ่นวายได้ป่ะ?” เสียงบ่นอย่างรำคาญดังลอดออกมาจากใต้หนังสือพิมพ์
        “ก็ไม่ได้อยากจะรบกวนเวลานอนนะครับ แต่นี่หน้าบ้านผม” ภูเขี่ยแรงขึ้นตั้งใจจะปลุกให้อีกฝ่ายลุกออกไปเสียที “อีกเดี๋ยวพ่อผมจะออกไปทำงานแล้ว ถ้าไม่รีบขยับรถจะทับหัวเอานะครับ”
        “อ่ะฮะ” บุรุษใต้หนังสือพิมพ์ตอบกลับมาแต่ก็ยังนิ่งไม่ยอมขยับเขยื้อน

        วลีสั้นๆที่อีกฝ่ายตอบกลับมา บวกกับเสียงที่คุ้นหูราวกับเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนนั้นทำให้ภูเริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจแบบแปลกๆขึ้นมาทีละน้อย หากแต่ก็ยังพยายามบอกกับตัวเองว่าไม่น่าจะใช่ เด็กหนุ่มค่อยๆใช้ไม้เขี่ยเปิดหนังสือพิมพ์แผ่นล่างสุดขึ้นมาเพื่อดูข้างใน ส่วนหัวของรองเท้าบู๊ตแบบหนังกลับที่ปรากฏออกมาสู่สายตายิ่งทำให้เขาใจไม่ดีขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่ภูเริ่มมั่นใจถึงตัวตนของชายปริศนาผู้นี้ว่าเป็นใครและตัดสินใจจะถอยทัพย่องกลับเข้าไปในบ้านก่อนการเผชิญหน้าอันไม่พึงปรารถนาจะเริ่มขึ้นนั้นเอง อีกฝ่ายก็เหมือนจะไหวตัวทันยื่นมือออกมาจากกองกระดาษหนังสือพิมพ์และคว้าหมับเข้าที่ข้อเท้าภูเอาไว้พอดี

        “แว๊ก!!!!” ภูร้องลั่น ขาอีกข้างที่ไม่ได้ถูกจับกระทืบเข้าไปที่มือข้างนั้นเต็มๆ
        “โอ๊ย!! เจ็บนะโว้ย!!” จอสโผล่พรวดออกมาจากกองหนังสือพิมพ์ตั้งท่าจะกระโจนเข้าหักคอเจ้าของเท้าที่กระทืบมือตน แต่เมื่อเห็นว่าเป็นภูเขาก็ลดท่าทีคุกคามลง “กระทืบทำไมเนี่ย? มือนะ ไม่ใช่แมลงสาบ”
        “ใครจะไปรู้ล่ะ เห็นโผล่มาจากกองขยะเหมือนกัน” ภูสลัดมือของอีกฝ่ายให้พ้นขา “แล้วนี่มันคืออะไร? มานอนห่มหนังสือพิมพ์อยู่หน้าบ้านชาวบ้านชาวช่องเค้า ตกใจหมดนึกว่าศพใครมาทิ้งไว้แถวนี้”
        “ก็ยุงมันเยอะนี่” จอสตอบพลางยืนขึ้นและบิดตัวไปมา
        “จริงๆที่อยากรู้น่ะคือทำไมมานอนอยู่ตรงนี้” ภูถามอีกครั้งให้ชัดเจนขึ้น
        “คืองี้…” จอสเกาหัว “เมื่อคืนเกิดปัญหากับน้องแดงนิดหน่อย”

        มาถึงตอนนี้เมื่อหายตกใจภูก็เพิ่งสังเกตเห็นสภาพภายนอกของอีกฝ่ายแบบชัดๆ รูปพรรณสัณฐานของจอสในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเรียกว่าปกติได้แม้แต่นิดเดียว กางเกงเต็มไปด้วยรอยเปื้อนจากฝุ่นดิน และรอยดำจากคราบน้ำมันเป็นปื้น เสื้อแจ๊กเก็ตตัวที่สวมอยู่มีรอยขาดเป็นทางยาวที่ข้อศอกคล้ายกับครูดกับอะไรบางอย่างมา เผยให้เห็นเนื้อข้อศอกที่ถลอกจนเป็นแผลเหวอะ เด็กหนุ่มมั่นใจว่าความเจ็บปวดที่แผลระดับนี้มอบให้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน น่าแปลกใจที่อีกฝ่ายยังคงทำตัวสบายๆเหมือนไม่รู้สึกรู้สาได้

        “จูบถนนมาล่ะสิท่า?” ภูดูออกทันที
        “ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่บอกไว้เลยนะว่าเราไม่ใช่ฝ่ายผิด” จอสรีบออกตัว “และผลก็คือน้องแดงถูกหามไปเข้าโรงพยาบาล ส่วนเราก็เดินเล่นมาเรื่อยๆ กะจะมาขอนั่งพักบ้านเพื่อนซักหน่อย”
        “นายมีเพื่อนอยู่แถวนี้ด้วยเหรอหะ?” ภูทำเป็นไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงใคร
        “นี่ไงบ้านเพื่อน” จอสชี้เข้าไปในบ้านภู “ทีนี้นายก็ควรทำหน้าที่เจ้าบ้านและเพื่อนที่ดีเชิญเราเข้าไปข้างในได้แล้ว”
        “ดี เอาน้ำไปกินก่อนเลย” ภูโยนกล่องน้ำส้มในมือใส่จอสแต่อีกฝ่ายรับเอาไว้ทันก่อนจะยกขึ้นดื่มจนหมดโชว์ให้ดูต่อหน้า

        แม้จะรู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้างกับการมาเยือนของเพื่อนที่ไม่ได้ต้องการจะสนิทชิดเชื้อคนนี้ แต่เมื่อประเมินจากสภาพร่างกายอันยับเยินของอีกฝ่ายภูก็รู้สึกว่าหากจะไล่กลับไปก็คงจะดูแล้งน้ำใจจนเกินควร อย่างน้อยแผลเหวอะหวะที่ข้อศอกนั้นก็ควรได้รับการทำความสะอาดก่อนจะเกิดอาการติดเชื้อตามมา ในตอนนั้นเองประตูรั้วเปิดเลื่อนออกแล้วตามมาด้วยพ่อของภูซึ่งขับรถออกมาในอีกไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น ขณะที่รถเคลื่อนผ่านไปพ่อก็เปิดกระจกเลื่อนลงและมองมาที่เด็กหนุ่มปริศนาตัวถลอกปอกเปิกที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างๆลูกชายของตนอย่างสงสัย จอสโบกมือทักทายพ่อของภูราวกับรู้จักมักคุ้นกันมานาน ในขณะที่ภูจำเป็นต้องโกหกไปก่อนว่าจอสเป็นเพื่อนจากมหาวิทยาลัย พ่อยังมีท่าทีสงสัยหากแต่ด้วยหน้าที่การงานอันรีบเร่งที่รออยู่ทำให้ไม่มีเวลาซักไซร้อะไรมากกว่านั้น เมื่อพ่อออกจากบ้านไปแล้ว จอสก็รีบเดินลิ่วนำหน้าภูผ่านประตูรั้วที่เปิดคาไว้อยู่เข้าไปในบ้านก่อนจะหันมาพยักหน้าเร่งให้เขาตามเข้าไปข้างใน ภูได้แต่ยืนอ้าปากค้างหมดคำจะพูดกับความถือวิสาสะของอีกฝ่ายที่ทำเหมือนที่นี่เป็นบ้านของตนเอง 

        เมื่อเข้ามาในบ้าน ภูตะโกนบอกกับแม่ว่าหนังสือพิมพ์ไม่ได้มาส่งและรีบพาจอสหลบขึ้นชั้นสองไปโดยไม่ให้แม่เห็นด้วยไม่อยากจะต้องมานั่งสรรหาคำอธิบายยาวเหยียดมาพูดให้แม่ผู้แสนจะตื่นตูมของตนเข้าใจ เมื่อขึ้นมาถึงยังห้องนอนส่วนตัวของตนเด็กหนุ่มก็รีบปิดประตูก่อนจะหันมาพบว่าอีกฝ่ายได้พาร่างอันแสนจะมอมแมมลงไปนอนแผ่หลาเต็มเตียงของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

        “เอ่อ คือ… ผ้าปูเตียงเพิ่งจะเปลี่ยนเมื่อวานเองน่ะรู้มั้ย?” ภูพยายามจะขอความเห็นใจจากแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
        “จริงดิ? มิน่าล่ะ ห๊อมมม หอม” จอสยิ่งพลิกตัวกลิ้งไปมาเหมือนจะแกล้งยั่วโมโหเจ้าของเตียง หากแต่เมื่อแผลที่แขนถูกกระทบกระเทือนมากเข้าเจ้าตัวก็ออกอาการสะดุ้งสะเทือนให้เห็นจนได้
        “รออยู่นี่แหละ เดี๋ยวจะไปหายามาให้ใส่แผล” ภูเหนื่อยใจขึ้นมาทันควัน เมื่อเห็นสภาพเตียงแล้วเกิดตระหนักได้ว่าคงต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่อีกรอบในวันนี้ 

        ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาออกจากห้อง เสียงกริ่งจากหน้าบ้านก็ดังขึ้นเสียก่อน ภูรีบวิ่งไปที่หน้าต่างห้องและชะโงกหน้าออกไปดู เป็นกรรณนั่นเองที่ยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นเด็กหนุ่มโผล่หน้าออกมาอีกฝ่ายก็โบกมือทักทายพร้อมกับส่งยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มแบบที่ภูคิดถึงและโหยหาจะได้เห็นมาตลอดทั้งสัปดาห์ และมันคงจะทำให้เขามีความสุขมากหากไม่มีตัวปัญหาที่เป็นเหมือนดั่งระเบิดเวลารอการกดสวิทช์กำลังนอนกลิ้งอยู่บนเตียงในขณะนี้ ภูหันกลับไปมองดูจอสที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม่ยอมไปไหนด้วยสายตาครุ่นคิด แน่นอนว่าจะให้กรรณเข้ามาเห็นภาพนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นอะไรๆที่กำลังดูมีท่าทีว่าจะดีขึ้นย่อมดีดกลับไปสู่ก้นหลุมแห่งความเลวร้ายที่ลึกยิ่งกว่าเดิมแน่นอน เด็กหนุ่มพยายามคิดหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อนจะตัดสินใจว่าจะลงไปรับหน้ากรรณที่ประตูรั้วก่อนจะขอให้อีกฝ่ายพาตนไปคุยปรับความเข้าใจกันที่บ้านของเขา หากแต่ก็เหมือนจะช้าไปเพียงก้าวเดียวเมื่อหูของภูพลันได้ยินเสียงประตูรั้วเปิดออก เมื่อชะโงกหน้าออกไปดูอีกครั้งก็พบว่าแม่ได้ทำลายแผนการที่วางไว้โดยเปิดรับกรรณเข้ามาข้างในเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

        “นายรออยู่บนนี้นะ ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด” ภูหันไปสั่งจอส
        “เฮ้! เดี๋ยวสิ!” จอสพยายามจะบอกบางอย่าง แต่ภูกลับทำท่าเอานิ้วจุ๊ปากสั่งให้เงียบเสียงก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องไป

        ภูรีบวิ่งลงบันไดมายังชั้นล่างและเจอเข้ากับกรรณที่กำลังจะขึ้นมาพอดี หลังจากความห่างเหินที่ดำเนินมากว่าหนึ่งสัปดาห์ผนวกกับบางสิ่งที่ยังค้างคาในใจของทั้งคู่อยู่ทำให้การเผชิญหน้าเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนเหมือนย้อนกลับไปเมื่อครั้งแรกเริ่มอีกครั้ง แต่เด็กหนุ่มพยายามข่มความรู้สึกส่วนตัวเหล่านั้นลงไปด้วยจำเป็นต้องควบคุมสถานการณ์ในตอนนี้ให้เป็นไปตามที่ตนวางแผนเอาไว้เพื่อป้องกันเหตุอันไม่พึงประสงค์

        “ไง” กรรณร้องทักทาย หากแต่ก็ยังหลบสายตาอยู่เล็กน้อย “เห็นแม่บอกว่านายตื่นแล้วอยู่ข้างบน พี่กำลังจะขึ้นไปหาเลย”
        “ผมก็กำลังจะลงมาหาพี่เหมือนกัน” ภูหันไปมองข้างบนเป็นระยะๆ ด้วยระแวงว่าจอสอาจจะดื้อไม่ยอมทำตามที่กำชับเอาไว้ ก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวาหาวี่แววของแม่ตนเอง “แล้วแม่ไปไหนแล้วครับ?”
        “เพิ่งออกไปตอนที่เปิดให้พี่เข้ามานี่แหละ เห็นบอกว่าจะออกไปตลาด” กรรณตอบ “แล้ววันนี้ไม่ได้ไปเรียนเหรอ?”
        “ไม่ได้ไปครับ” ภูตัดสินใจพาตัวเองออกจากจุดเสี่ยง “ไปนั่งคุยที่ห้องรับแขกดีกว่ามั้ย”
        “ข้างบนน่าจะคุยกันสะดวกกว่านะ” กรรณชี้ไปทางห้องนอนของภู
        “ข้างล่างก็สะดวกครับ” ภูไม่สามารถยอมทำตามคำขอนั้นได้ในขณะนี้

        ในตอนนั้นเองเสียงลากเก้าอี้ครืดคราดก็ดังลั่นออกมาจากในห้องนอน ภูรู้ทันทีว่าจอสคงเริ่มออกฤทธิ์แล้วเป็นแน่แท้ เด็กหนุ่มไม่เปิดโอกาสให้กรรณได้ทันเกิดความสงสัย เขารีบคว้าแขนอีกฝ่ายและกึ่งลากกึ่งจูงหลบมายังโซฟาในห้องรับแขก จนเมื่อพ้นสถานการณ์อันสุ้มเสี่ยงมาได้แล้ว จึงเพิ่งเกิดรู้สึกกระดากขึ้นมาที่ตนผู้ซึ่งควรจะสงวนท่าทีกลับเป็นฝ่ายเปิดฉากเข้าถึงเนื้อถึงตัวอีกฝ่ายเสียเอง ภูรีบปล่อยมือที่จับกุมแขนอีกฝ่ายเอาไว้และเชิญให้นั่งลงบนโซฟาก่อนที่ตนจะนั่งตามลงไปข้างๆ ความเงียบอันน่าอึดอัดก่อตัวขึ้นอีกครั้งเนื่องจากทั้งสองมัวแต่สงวนท่าทีรอให้ใครซักคนเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดก่อน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-03-2018 21:09:20 โดย lolito »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด