FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน  (อ่าน 72314 ครั้ง)

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:L2: :pig4:

สวัสดีครับ​ ขอบคุณ​ที่ติดตามกันครับ​  o13

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 6 part1

        ถึงแม้เมื่อครู่ในใจของภูจะเปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิมเพียงใด หากแต่เมื่อต้องมานั่งชิดติดกันบนเบาะหลังของรถแท็กซี่ กลิ่นอายจากร่างกายของอีกฝ่ายและสัมผัสแห่งความใกล้ชิดอันเป็นสิ่งที่ภูแพ้ทางมาโดยตลอดก็ทำให้เขาเกิดประหม่าขึ้นมาจนตัวแข็ง เด็กหนุ่มนั่งนิ่งตัวไม่กระดิก หน้าหันออกมองนอกหน้าต่างจนคอเกร็งค้าง ในหัวพยายามงมหาซักเรื่องมาเริ่มบทสนทนาเพื่อทำลายความเงียบน่าอึดอัดที่อบอวลอยู่เต็มห้องโดยสารของรถแท๊กซี่ในขณะนี้ หากแต่กลับเป็นกรรณที่เป็นฝ่ายเริ่มขึ้นก่อนเอง

        “เรื่องเมื่อวาน ตกลงไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ย?” กรรณถามขึ้น
        “เรื่องเมื่อวาน? เรื่องอะไรครับ?” ภูสะดุ้ง ด้วยเมื่อวานนี้มีหลายเรื่องเกิดขึ้นเหลือเกิน
        “ก็เรื่องโปสเตอร์โฆษณา เห็นนายโทรมาโวยวายใหญ่โต” กรรณชี้ชัดลงไปว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร
        “อ๋อ…” ภูนึกขึ้นได้ “ก็คงไม่เป็นไรแล้วมั้งครับ เมื่อวานผมก็แค่ตกใจ ไม่ได้ตั้งใจจะโทรไปโวยวาย”
        “ก็ดีแล้ว” น้ำเสียงของกรรณมีเสียงหัวเราะกลั้วอยู่ในลำคอ “โวยวายซะพี่ตกอกตกใจหมด นึกว่าโดนใครต่อว่ามา”
        “ไม่มีอ่ะ มีแต่โดนเพื่อนล้อ” ภูบอกตามความจริง
        “ล้อเรื่องอะไร เรื่องนายแบบหน้าบูดหน้าบึ้งน่ะเหรอ?” กรรณแหย่
        “เรื่องได้ตากล้องไม่โปร ถ่ายออกมาดูแย่กว่าตัวจริง” ภูเย้าอีกฝ่ายกลับไป
        “ขนาดไม่โปร ยังมีเด็กที่ไหนไม่รู้มาบอกว่าติดตามผลงานมาตั้งแต่เริ่ม” กรรณยกเอาเรื่องเมื่อคืนมาข่มทับ

        ภูหน้าแดง เลิกต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย ที่พูดไปเมื่อครู่ก็เพียงแค่อยากจะเอาคืนที่โดนล้อ ความจริงนั้นโต้แย้งไม่ได้เลยว่าฝีมือของกรรณไม่มีข้อให้ติ ผลงานโฆษณาชิ้นแรกของเขาที่เพิ่งเปิดตัวไปได้พิสูจน์ทุกอย่างแล้ว เพราะถึงแม้สภาพอารมณ์ขณะทำงานจะไม่ได้มีความเต็มใจแม้แต่น้อย  แต่ช่างภาพหนุ่มก็สามารถหามุมเก็บภาพที่ดูแล้วเหมือนเขายินยอมพร้อมใจเต็มที่มาจนได้ แวบแรกที่เห็นภาพในโปสเตอร์นั้น เขายังคิดว่าไม่ใช่ตนเองเลยด้วยซ้ำ

        “แต่วันนั้นลูกค้าเค้าชอบนายมากเลยนะ” กรรณยังคงพูดต่อ “ถ้าจะเอาดีทางนี้ก็ไม่น่าจะยาก แค่ต้องไปหัดทำหน้าให้รับแขกซะบ้าง”
        “ขนาดนั้นเชียว…” ภูไม่อยากจะเชื่อ เพราะเท่าที่จำได้ทุกสิ่งที่เขาทำลงไปในวันนั้น ไม่น่าจะก่อเกิดความประทับใจใดๆให้กับใครทั้งสิ้น
        “ช่าย…” กรรณลากเสียง “ถ้ามีงานแบบนี้อีกจะทำมั้ยล่ะ? เพราะงานโฆษณา แคทตาล๊อก หรือพวกแฟชั่นเซ็ท บางทีถ้าพี่รู้จักกับลูกค้า พี่ก็เสนอคนมาเป็นแบบให้เค้าเองได้เลย ไม่ต้องผ่านพวกโมเดลลิ่งเอเจนซี่”
       
        ต้องชัดเจน ถึงเวลาต้องชัดเจนแล้ว ภูย้ำเตือนตัวเองเมื่อเงาแห่งความปากไม่ตรงกับใจเริ่มตั้งเค้าจะปรากฎตัวออกมา
       
        “ก็ได้” ภูตอบตกลง หากแต่เสียงที่หลุดออกจากปากนั้นเบาจนเกือบจะเป็นกระซิบ
        “ถ้าไม่อยากทำก็ไม่เป็นไรนะ” กรรณถามความสมัครใจ
       
        มากกว่านั้นอีก ต้องชัดเจนมากกว่านั้น ภูผลักดันตัวเองให้พูดในสิ่งที่คิดออกไป อาจไม่ใช่ความในใจทั้งหมด เพราะความกล้ายังไม่มากพอ แต่ก็ขอให้มันฟังดูเป็นเบาะแสให้อีกฝ่ายระแคะระคายได้

        “ถ้าพี่อยากให้ผมทำ ผมก็จะทำ” ภูกลั้นใจบอกออกไป ใจนึกสงสัยว่าตอนนี้ใบหน้าของตนกำลังแดงอยู่หรือไม่
        “งั้นเหรอ…” กรรณจ้องหน้าของเด็กหนุ่ม นัยน์ตาคมคู่นั้นคล้ายจับสังเกตบางสิ่งที่เจือปนอยู่ในน้ำเสียงอีกฝ่ายได้
        “อืม” ภูพยักหน้าสำทับ
        “ติดใจรายได้ล่ะสิ” กรรณทำหน้าเหมือนรู้ทัน “ของคราวก่อนสงสัยลงขวดหมดแล้วมั้งเนี่ย เมื่อวานถึงได้อาบเหล้าจนชุ่มมาแบบนั้น”
        “ไม่ใช่แบบนั้นนะ!! ผมหมายถึง… ” ภูอ้าปากจะปฏิเสธ หากแต่รถก็มาถึงที่หน้ามหาวิทยาลัยเสียก่อน
        “โดนรู้ทันแล้ว ไม่ต้องมาแก้ตัว รีบไปเรียนได้แล้ว” กรรณดันเร่งให้เด็กหนุ่มลงจากรถ ก่อนจะปิดประตูเขาชะโงกหน้ามาพูดทิ้งท้าย “แล้วถ้ามีเวลาว่างก็หัดยิ้มให้คล่อง งานต่อไปถ้าหน้าบึ้งอีก จะหักค่าจ้างแล้วนะ”

        ภูได้แต่ยืนมองรถแท๊กซี่สีเขียวเหลืองคันนั้นวิ่งหายไปจนลับตา ถ้อยคำที่เตรียมเอาไว้ทั้งหมดยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก ถ้าทำแล้วพี่พอใจ ผมก็จะทำ ค่าจ้างน่ะผมไม่สนหรอก… เมื่อขาดประโยคนี้ ก็ไม่แปลกที่กรรณจะเข้าใจไปว่าเขายอมรับข้อเสนอก็เพราะเงินทองมันล่อใจ ทว่าตอนนี้ก็คงช้าไปเสียแล้ว แต่ถึงกระนั้นภูก็ค่อนข้างพอใจกับความสำเร็จเล็กๆของตน อย่างน้อยวันนี้เขาก็กล้าพอจะพูดอะไรที่ตรงกับใจออกไป กล้าพอที่จะทำตัวชัดเจน แม้จะยังไม่มากพอที่จะให้อีกฝ่ายเข้าใจได้อย่างถูกต้องก็เถอะ เรื่องเข้าใจผิดเอาไว้แก้ไขกันในโอกาสหน้าก็ไม่สาย   

        เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถัดมาในวันนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น ถ้าไม่นับเรื่องการถูกหักคะแนนเก็บเนื่องจากเข้าห้องเรียนช้ากว่าเวลาไปเกือบยี่สิบนาทีแล้ว ทุกสิ่งนอกจากนั้นก็ดำเนินไปตามวิถีของชีวิตนักศึกษาอย่างที่เคยเป็นมา ภูแก้ตัวกับอาจารย์ประจำวิชาและขอต่อรองเลื่อนการส่งงานไปเป็นคาบเรียนหน้า ในขณะที่บรรดาเพื่อนร่วมคณะก็ดูจะทำตามสัญญาที่ให้เอาไว้ คือเลิกล้อเลียน ทำเหมือนภูไม่เคยปรากฏตัวอยู่บนโปสเตอร์โฆษณานั้น อาจจะมีบางคนที่เป็นพวกพูดก่อนคิดทีหลังเช่นนฤดลที่หลุดแซวออกมาบ้างแต่ก็อยู่ในระดับที่พอขำออก ไม่ได้พร่ำเพรื่อจนน่าเบื่อแบบเมื่อวาน ทั้งหมดนี้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนได้ชีวิตปกติกลับคืนมาอีกครั้ง

        “รอดตัวไปนะแก ดีนะที่อาจารย์ยอมเลื่อนกำหนดส่งให้” สาลี่พูดขณะเดินตามหลังภูลงมาจากอาคารเรียน
        “ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีเลยแกน่ะ ถ้าเมื่อวานไม่ทิ้งให้ชั้นหลับในร้านเหล้า ป่านนี้ชั้นก็มีงานมาส่งอาจารย์แล้ว ไม่ต้องมาโดนบ่นแบบนี้หรอก” ภูช่วยเตือนความจำให้เพื่อนซี้ผู้ซึ่งเหมือนจะลืมไปแล้วว่าก่อวีรกรรมอะไรไว้
        “แล้วก็เป็นชั้นอีกนั่นแหละ ที่ไปช่วยพูดกับอาจารย์อู๋จนยอมเพิ่มเวลาส่งงานให้แก” สาลี่เอาความดีความชอบมาป้องกันตัว
        “เออ แล้วแกไปพูดยังไงวะ? อาจารย์เค้าถึงยอม” ภูสงสัย เนื่องจากกิตติศัพท์ของอาจารย์อู๋เป็นที่เลื่องลือรู้กันดีว่าเด็ดขาดไม่มีการผ่อนปรน
        “ก็คนเรามันต้องมีวาทศิลป์เว้ย เวลาคุยน่ะเราต้องรู้จักอ่อนน้อม” สาลี่แสดงท่าทางประกอบด้วยการน้อมตัวลงจนคอเสื้อนักศึกษาเปิดเห็นชั้นใน “การแต่งตัวก็มีส่วนช่วยได้มาก แต่งตัวเหมาะสมกับโอกาสก็มีชัยไปกว่าครึ่ง ก่อนเข้าห้องพักอาจารย์น่ะ กระดุมเม็ดบนแกะออกซักสองเม็ด เท่านี้คุยอะไรอีกฝ่ายก็ยอมหมดแล้ว”
        “นี่มหาลัยฯนะ ไม่ใช่ซ่อง” ภูส่ายหน้าระอากับความกร้านโลกของเพื่อน
        “ผลลัพท์สำคัญกว่าวิธีการ ไม่เคยได้ยินคำนี้หรือไง?” สาลี่เอาศอกกระทุ้งแขนภู

        เมื่อเดินมาถึงชั้นล่างของตึกเรียน วันนี้คนที่จับกลุ่มกันอยู่ตามโต๊ะหินอ่อนด้านหน้าตึก นอกจากจะเป็นกลุ่มนักศึกษาหน้าเดิมที่เป็นเจ้าประจำแล้ว ภูยังเห็นนักศึกษาหญิงหน้าตาไม่คุ้นอีกจำนวนหนึ่งที่มายืนด้อมๆมองๆอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนั้น เมื่อเห็นภูเดินลงมาหนึ่งในนั้นก็รีบฉุดแขนเพื่อนอีกคนที่ยืนละล้าละลังอยู่เดินตรงเข้ามาหา

        “พี่พิภู ปีสอง สถาปัตย์ ใช่มั้ยคะ?” เด็กสาวคนที่เดินนำหน้ารัวคำถามใส่ภูทันทีที่เดินมาประชิดถึงตัว
        “คะ… ครับ” ภูดีดตัวกระเถิบถอยหลัง ตกใจจนตั้งตัวไม่ทัน
        “ออกไปเลย อย่ามาแอ๊บเขิน” เด็กสาวคนเดิมหันไปยื้อยุดฉุดกระชากให้เพื่อนที่ยืนเหนียมอายอยู่ออกมาข้างหน้า

        เมื่อสู้แรงเพื่อนไม่ไหว เด็กสาวผมยาวเค้าหน้าออกไปทางชาวแดนอาทิตย์อุทัยก็ถูกผลักดันจนออกมายืนประจันหน้ากับภู แต่เมื่อสบสายตาของหนุ่มรุ่นพี่ที่กำลังมองมาที่ตนด้วยความสงสัย เธอก็หน้าแดงก่ำด้วยความอายและก้มหน้าหลบลงไปมองพื้นอีกรอบ จนในที่สุดเพื่อนที่มากับเธอก็ดูจะเหลืออดเหลือทนเต็มทีจึงตัดสินใจเป็นฝ่ายออกหน้าดำเนินการให้เสียเอง
       
        “พี่พิภูคะ หนูชื่อส้ม แล้วนี่พิม ที่มาวันนี้ก็คือจะบอกว่า พิมเนี่ยมันปลื้มพี่มากเลยอ่ะ” เธอบอกออกมาโต้งๆ จนเจ้าตัวที่ถูกกล่าวถึงรีบยื่นมือมาปิดปากไม่ให้พูดต่อ ส้มรีบแกะมือเพื่อนออกแล้วพูดต่อ “แต่พี่ไม่ต้องคิดมากนะคะ พวกหนูไม่ได้จะมาทำให้พี่ลำบากใจอะไรหรอก แต่พวกหนูตั้งใจว่าจะเป็นแม่ยกให้พี่เองค่ะ”

        “แม่ยก? มันคืออะไรครับ?” ภูตามไม่ทันกับสิ่งที่เด็กสาวตรงหน้าพูดอยู่
        “อารมณ์ประมาณแฟนคลับ ช่วยติดตามผลงาน ช่วยโปรโมทผลงานอะไรแบบนี้น่ะค่ะ” ส้มอธิบาย   
        “อ้อ แบบนี้เอง แต่ไม่เป็นไรครับน้อง พี่คงไม่ได้มีผลงานอะไรให้น้องติดตามหรอก” ภูยิ้มแห้งๆ มือเกาหัวแก้เขิน “ไอ้ใบปิดโฆษณาที่พวกน้องเห็นกันพี่ก็แค่โดนขอให้ไปช่วยเค้าเฉยๆ”
        “เดี๋ยวก็มีค่ะ ต้องมีแน่นอน” เด็กสาวอีกคนที่ชื่อพิมพูดขึ้นบ้างหลังจากยืนรวบรวมความกล้าอยู่นาน “หนูก็เลยอยากติดตามพี่ตั้งแต่ก้าวแรกตอนนี้เลย”
        “อุ๊ยตาย… ชีวิตดารา” สาลี่ปากยื่นปากยาวมาจากข้างหลังจนภูต้องกระทุ้งศอกใส่ให้เงียบ
        “ใช่ค่ะ ขนาดงานแรกของพี่ พิมมันยังปลื้มจนเก็บโปสเตอร์ไปติดไว้ในห้องนอนเลย”

        ส้มพูดได้เท่านั้นก็โดนพิมผู้ซึ่งยามนี้ถูกความอับอายรุมเร้าจนหน้าแดงเป็นผลสตรอเบอรี่สุกบีบคอจนลิ้นจุกปาก จนเมื่อยกสองมือขึ้นเป็นสัญญาณว่ายอมจำนนแล้วนั่นละอีกฝ่ายถึงยอมปล่อย พิมสูดลมหายใจเข้าพยายามตั้งสติจนเมื่อความเขินอายสร่างซาลงบ้างแล้วจึงค่อยพูดต่อ
       
        “ไม่ต้องลำบากใจนะคะ พี่ก็ใช้ชีวิตเหมือนที่เป็นมา พวกหนูก็จะสนับสนุนพี่ในทุกการตัดสินใจค่ะ” พิมชี้ไปยังเพื่อนกลุ่มที่รออยู่ข้างหลัง ใบหน้าของเธอยังคงแดงเรื่อ
 
        เมื่ออยู่ต่อหน้าแววตาอันเปี่ยมไปด้วยความปลาบปลื้มอย่างจริงจังและแน่วแน่เช่นนั้น ภูก็จนปัญญาจะหาเหตุผลที่ฟังดูเข้าทีมาบอกปัดความปรารถนาดีที่อีกฝ่ายมอบให้ ทั้งโดยส่วนตัวแล้วเด็กหนุ่มก็เชื่อมาตลอดว่าการมีคนมาชื่นชอบหรือรักใคร่ยังไงก็ย่อมดีกว่ามีคนเกลียดชังอยู่แล้ว และอีกอย่างหากเขาไม่มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันต่อจากนี้ ไม่นานทั้งหมดก็คงจะเบื่อและเลิกรากันไปเอง ไม่จำเป็นจะต้องพูดปฏิเสธให้เกิดรู้สึกว่าหักหาญน้ำใจกัน

        “โอเค เอาเป็นว่าถ้าพวกน้องอยากทำพี่ก็ไม่ขัดข้อง” ภูยอมตกลง “แล้วพี่ต้องทำอะไรบ้าง?”
        “ไม่ยากค่ะ เริ่มแรก หนูขอแค่โซเชียลของพี่ เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม อะไรก็ได้ที่พี่ใช้อยู่นะคะ” พิมกุลีกุจอหยิบโทรศัพท์มือถือของตนออกมาจากในกระเป๋าสะพายใบเล็ก

        ภูให้ข้อมูลตามที่อีกฝ่ายขอมา พิมรีบกดค้นหาผู้ใช้และแอดทีละรายการจนกระทั่งมาถึงอินสตาแกรมของภู เธอก็เงยหน้าจากจอโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยความสงสัย “ไอจีพี่ไม่ได้ลงรูปอะไรเลยเหรอคะ?”

        “แหะๆ คือพี่ไม่ค่อยชอบถ่ายรูปน่ะ” ภูอธิบายสาเหตุแห่งความว่างเปล่าในอินสตาแกรมของตน “อีกอย่างที่ผ่านมาพี่แค่เอาไว้ติดตามส่องดูรูปจากแอคเคาท์อื่นเท่านั้นเอง”
        “ใช่ค่ะน้อง อีตานี่น่ะ นางอายชัดๆ เวลาเพื่อนถ่ายรูปกันชอบหลบไปอยู่นอกกล้อง” สาลี่ยื่นหน้ามาพูดเสริม
        “งั้นหนูจะตั้งไอจีใหม่อีกแอคเคาท์นึง เป็นของแฟนคลับ เอาไว้อัพเดทภาพหรือวีดีโอของพี่ที่พวกหนูหามากันเองแล้วกันนะคะ” พิมเสนอ “เวลาพี่มีงานหรืออัพเดทอะไร ก็บอกหนูก่อนเลยนะคะ แล้วหนูจะกระจายข่าวให้เอง”

        เมื่อความเคอะเขินเริ่มจางหายไป ความคล่องแคล่วเป็นงานที่เข้ามาแทนที่ก็ทำให้ภูอดทึ่งในตัวเด็กสาวรุ่นน้องไม่ได้ คนประเภทนี้นี่แหละที่ทำให้เขารู้สึกหลงยุคหรืออยู่ผิดที่ผิดทางได้เสมอ เพราะถึงแม้พิมจะอายุห่างกับเขาไม่น่าจะเกินสองปี แต่ความรู้ความเข้าใจในโลกสมัยใหม่ของเธอกับเขานั้นห่างกันจนแทบหาระยะไม่ได้ ภูไม่เข้าใจว่าทำไมกลุ่มแฟนคลับของดารานักร้องถึงมีชื่อเรียกแทนตัวพวกตนเป็นคำแปลกๆ ไม่เข้าใจถึงความสนุกในการไปยืนเบียดเสียดดูคอนเสิร์ทจากที่นั่งห่างไกลซึ่งมองแทบไม่เห็นตัวนักร้องบนเวที สาลี่ ตฤณ และเพื่อนคนอื่นๆมักจะล้อเลียนภูเสมอเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉายามนุษย์ถ้ำถูกตั้งขึ้นโดยรุ่นพี่เมื่อภูบอกกับทุกคนว่าไม่ได้ใช้โปรแกรมแชทที่เรียกว่าไลน์ เดือดร้อนถึงสาลี่ต้องมาสมัครเปิดใช้งานและสอนวิธีใช้ให้กับเขาทีละขั้นตอนเหมือนเด็กหัดเดิน แต่ถึงจะใช้เป็นแล้วก็น้อยครั้งที่ภูจะเปิดแอพลิเคชั่นนี้ขึ้นมาอ่านหรือพิมพ์ข้อความตอบกลับไป ด้วยรู้สึกเป็นการส่วนตัวว่าถึงยังไงการโทรคุยด้วยเสียงก็เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ยุคก่อนหน้านี้คนเราดิ้นรนจะเป็นจะตายเพื่อพ้นจากการพิมพ์หรือเขียนจดหมายซึ่งสื่อสารอารมณ์ได้ไม่ครบถ้วนไปสู่การสื่อสารระยะไกลด้วยเสียง เมื่อปัจจุบันวิวัฒนาการทางสังคมดูคล้ายจะเป็นไปอย่างย้อนศร ภูซึ่งมีความเป็นขบถต่อยุคสมัยอยู่เล็กน้อยเป็นทุนเดิมจึงค่อนข้างจะยอมรับเรื่องนี้ได้ยาก

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 6 part2

        หลังจากพูดคุยทำความเข้าใจจนหมดข้อสงสัยทุกอย่างแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนอันน่าลำบากใจอย่างเช่นการถ่ายรูปร่วมกับแฟนคลับหมาดๆของตน ภูทำตัวไม่ถูกตาจ้องกล้องเขม็งเหมือนเห็นศัตรูจนสาลี่ต้องแอบย่องเข้าข้างหลังมาหยิกเอวให้คลายสีหน้าลง หลังจากผ่านไปมากกว่าสามภาพทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูผ่อนคลายมากขึ้น อาจเป็นเพราะกลุ่มของเด็กสาวที่คอยเชียร์คอยยุ ทั้งยังไม่หัวเราะเวลาเขาทำอะไรเปิ่นๆออกไป ทำให้ภูเป็นตัวของตัวเองได้มากกว่าเมื่อตอนแรกเริ่ม เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงกิจกรรมแรกกับบรรดาแฟนคลับก็เสร็จสิ้นลง เมื่อทุกคนแยกย้ายกันไปแล้วภูจึงได้สังเกตุเห็นว่ามีร่างสูงอันแสนคุ้นตาของใครบางคนยืนหลบมุมอยู่ ในมือมีกล้องที่เห็นได้ชัดว่าเพิ่งผ่านการรัวชัตเตอร์มาชุดใหญ่

        “พี่กรรณ” ภูสะท้านเฮือกเมื่อเงาร่างนั้นโผล่พ้นซอกหลืบออกมาให้เห็นแบบเต็มตา
        “ไหน? อยู่ไหน?” สาลี่รีบมองหา ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเห็นเพราะกรรณกำลังเดินตรงเข้ามาหาทั้งสองคนพอดี

        ในช่วงเวลาแห่งการเผชิญหน้าอันไม่คาดคิดนั้น ภูนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูก ด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหนแล้ว แต่ดูจากสีหน้าอันกระหยิ่มยิ้มย่องราวกับเพิ่งเห็นอะไรดีๆมาซึ่งสว่างเรืองรองอยู่บนใบหน้าอันหล่อระยับนั้น ก็ทำให้มั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าเรื่องเมื่อครู่คงไม่อาจหลุดรอดสายตาของตากล้องหนุ่มไปได้อย่างแน่นอน กรรณเดินมาจนหยุดอยู่ตรงหน้าของสองหนุ่มสาวเพื่อนสนิทก่อนจะยิ้มออกมาอย่างขบขันเมื่อเห็นสีหน้าอันกระอักกระอ่วนของภู

        “ตายๆๆๆ สวรรค์เดินดินแท้ๆ… พี่เค้าไปกินอะไรที่เมืองนอกมาวะเนี่ย?” สาลี่ตาค้าง กระซิบพูดกับภูที่ข้างหู “นี่มันหล่อกว่าเมื่อก่อนที่ชั้นเห็นหลายเท่าเลยนะแก น่ากินมากกก”
        “พอเลย” ภูจิ๊ปากให้เพื่อนหยุดอาการบ้าผู้ชาย
        “ว่าไงพ่อดารา” กรรณเปิดฉากทักทายด้วยคำล้อเลียนตามคาด
        “พี่อ่ะอย่าล้อสิ” ภูโอดครวญก่อนจะพยายามเบี่ยงประเด็นออกให้พ้นเรื่องนี้ “ว่าแต่พี่เหอะ ทำไมมาโผล่อยู่ที่นี่ได้?”
        “เพิ่งเสร็จงานน่ะ กะว่าจะมาถ่ายรูปเล่น ก็บังเอิญเห็นคนกำลังมุงกรี้ดดาราเข้าซะก่อน” กรรณยังแซะไม่เลิก
        “พี่จำหนูได้เปล่าคะ?” สาลี่รีบเสนอหน้าเข้ามาแนะนำตัว “หนูลูกสาวเฮียร้านเช่าหนังไง”
        “หือ?” กรรณโน้มตัวลงมาจ้องหน้าสาลี่ที่ยืนยิ้มแป้นแล้นไม่สะทกสะท้านต่อสายตา พลางเพ่งพินิจคล้ายพยายามทบทวนความทรงจำ “น้องทับทิมรึเปล่า?”
        “นั่นมันพี่หนู!” สาลี่ทำท่ากระเง้ากระงอดเมื่ออีกฝ่ายตอบผิดไปเป็นคนละคน “นี่สาลี่ สวยกระโดดขนาดนี้จำผิดได้ไงเนี่ย เชื่อเค้าเลย”
        “อ๋อ น้องลี่” กรรณทุบกำปั้นลงมือ ทำท่านึกขึ้นได้ “ก็สวยขึ้นเยอะเลย ใครจะไปจำได้”
        “ใช่มะ ใครเห็นเค้าก็พูดแบบนี้กันหมดทุกคน” สาลี่รับคำชมชนิดไม่เสียเวลาถ่อมตัวแม้แต่นิดเดียว
        “แล้วเดี๋ยวนี้ไม่ได้เปิดร้านเช่าหนังแล้วเหรอ?” กรรณถามต่อ
        “อือ ไม่ได้เปิดแล้วค่ะ เดี๋ยวนี้คนไม่ดูหนังจากแผ่นกันแล้วด้วย ป๊าดันทุรังอยู่เกือบปีก็เจ๊ง พอร้านเจ๊งอาเจ๊หนูก็เลยเปลี่ยนมาทำฟาร์มเพาะหมาไซบีเรียนขายแทน” สาลี่สาธยายไทม์ไลน์ของธุรกิจบ้านตัวเองอย่างละเอียด

        ภูซึ่งบัดนี้ตกอยู่ท่ามกลางบรรยากาศแห่งการรำลึกความหลังของทั้งสองคน เมื่อมองดูกรรณกับสาลี่หยิบยกเอาเรื่องราวในวันเก่าๆออกมาคุยกันอย่างสนุกสนานแล้ว ก็เกิดความรู้สึกราวกับตัวเองค่อยๆจางหายไปในฉากหลัง ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่น่าพิสมัยเสียดแทงขึ้นมากลางอก อิจฉา… ไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียง สิ่งที่แน่นอนคือปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความคุ้นเคยที่มีมาแต่กาลก่อนของทั้งคู่ทำให้ภูรู้สึกแปลกแยกราวกับตนเองเป็นคนนอก ความรู้สึกนี้เหวี่ยงเขากลับไปเป็นเด็กหกขวบอีกครั้ง เป็นเด็กน้อยผู้อมก้อนสะอื้นเอาไว้ในปากเนื่องจากกำลังถูกแย่งของรักไปจากอก

        “วันนี้แกไม่รีบกลับไปดูละครเหรอไอ้ลี่?” ภูพยายามจะแทรกกลางขึ้นมาระหว่างคนทั้งสอง
        “ไม่เป็นไร ละครดูย้อนหลังทางยูทูปได้” สาลี่ให้เหตุผลที่ขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับการทิ้งภูกลับบ้านไปก่อนเมื่อวาน ที่เธออ้างว่ารีบกลับไปดูละคร
        “กลับบ้านช้าเดี๋ยวแฟนเป็นห่วงเอานะ” กรรณกระเซ้าแหย่เด็กสาวรุ่นน้อง
        “แฟนมีหรือไม่มี อยู่ที่ว่าพี่จะจีบรึเปล่า” สาลี่ไม่ยอมน้อยหน้า พูดท้าทายกลับไป
        “จีบได้รึเปล่าล่ะ?” กรรณโปรยกลับมา
        “เอาไงดีอ่ะภู?” สาลี่กระแซะเข้ามาถามภู “พี่เค้ารุกหนักมากเลยอ่ะ”
        “อือ” ภูทำสีหน้าไร้อารมณ์ ยิ่งเกมหมาหยอกไก่นี้ดำเนินไปนานขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเท่านั้น “พวกแกอยากทำอะไรกันก็ทำเถอะ”

        สาลี่จับความรู้สึกบางอย่างที่แตกเปรี๊ยะอยู่ในน้ำเสียงของภูได้ เป็นความรู้สึกที่ผู้หญิงแทบทุกคนต้องเคยสัมผัส เมื่อประกอบมันเข้ากับสีหน้าและภาษากายที่ภูแสดงออกมาแล้วยิ่งทำให้เธอมั่นใจ ไม่ผิดอย่างแน่นอน นี่คือความขุ่นมัวอันเกิดจากลมหึงหวง และแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องระหว่างเขากับเธอ เพราะที่ผ่านมาถึงแม้เธอจะเปิดตัวแฟนหนุ่มมากี่รอบ ภูก็ไม่เคยมีปฏิกิริยาตอบสนองไปในทิศทางนี้ สาลี่จึงฟันธงลงได้ทันที ว่าตอนนี้มันคือเรื่องระหว่างเขากับเขาอีกคนซึ่งก็คือกรรณ แวบแรกที่ตระหนักได้ถึงความจริงนี้หญิงสาวก็ตกตะลึงอยู่บ้าง ด้วยคาดไม่ถึงว่าความรักครั้งแรกของเพื่อนหนุ่มคนสนิทจะมาในรูปแบบนี้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนามากเกินกว่าจะยอมรับได้ และด้วยเหตุนั้น ตอนนี้สาลี่จึงเข้าใจดีว่าถึงเวลาที่ตนต้องเปิดทางให้เพื่อนมีเวลาส่วนตัวแล้ว   
       
        “ไม่ได้หรอกค่ะ ถึงพี่จะหล่อพรีเมี่ยมขนาดนี้ก็เถอะ แต่หนูไม่ชอบคนแก่กว่า” สาลี่ปิดฉากการยั่วเย้าอันระคายเคืองจิตใจของภูลง
        “คำว่าแก่พูดเบาๆก็เจ็บนะ” กรรณกุมมือบนอกทำท่าเหมือนจะกระอักเลือด
        “หนูต้องไปแล้ว เดี๋ยวต้องแวะเข้าบ้านเอาหมาไปส่งลูกค้าให้เจ๊ด้วย ฝากไอ้ภูมันกลับกับพี่เลยแล้วกันนะคะ” สาลี่ฉุดแขนภูที่ยืนหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ให้เข้ามาหากรรณ แล้วตั้งท่าจะชิ่งหนี
        “อ้าว ได้ไงอ่ะ นี่แกเทชั้นอีกแล้วเหรอ?” ภูหันไปโวยสาลี่
        “ไม่ได้เท ก็แกกับพี่เค้าอยู่บ้านติดกัน กลับด้วยกันจะเป็นไรไป” สาลี่ทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่แอบขยิบตาส่งสัญญาณให้กับภู ก่อนจะปลีกตัวออกไปเธอเข้ามากระซิบที่ข้างหูของเพื่อนหนุ่ม “เดี๋ยวพรุ่งนี้แกกับชั้นค่อยมาเคลียร์กันเรื่องนี้”

        สาลี่เดินแยกจากจุดที่ทั้งสามยืนอยู่ไปทางลานจอดรถ คำพูดสุดท้ายของเธอยังก้องอยู่ในหูของภู เด็กหนุ่มเข้าใจความหมายของมันดี นั่นคือบัดนี้ไม่มีความลับใดๆหลงเหลือระหว่างเพื่อนทั้งสองอีกแล้ว ถึงแม้จะโล่งใจที่ดูเหมือนเพื่อนซี้จะยอมรับเรื่องทุกอย่างได้ง่ายกว่าที่คิดโดยไม่แตกตื่นหรือเสียสติไปก่อน แต่อีกใจหนึ่งก็ยังเป็นกังวลว่าหากแม้กระทั่งสาลี่ยังมองออกแล้วกรรณเล่าจะไม่ระแคะระคายบ้างเลยหรือ เพียงแค่คิดเท่านั้นก็เกิดกระดากจนไม่อยากจะหันกลับไปเผชิญหน้า

        “พี่ไม่ต้องไปบ้าตามไอ้ลี่มันก็ได้นะ ผมกลับเองได้” ภูหาทางเลี่ยงการเผชิญหน้าให้ตนเอง
        “กลับด้วยกันนี่แหละดีแล้ว” กรรณไม่เอาด้วย
   “ไม่อ่ะ โตแล้ว กลับเองได้” เด็กหนุ่มยังไม่ยอมแพ้
   “ปล่อยกลับเองเดี๋ยวก็เถลไถลไปเมาเละเทะจนคนเค้าต้องเดือดร้อนมาเปิดประตูรับกลางดึกอีก” กรรณว่า
   “ก็บอกว่าไม่ได้เมา” ด้วยอารมณ์ที่ยังค้างมาจากเรื่องเมื่อครู่ ภูจึงเกิดน้อยใจขึ้นมานิดหน่อยกับคำว่าเดือดร้อนที่กรรณพูด “แล้วถ้ามันเดือดร้อนพี่มาก ก็ขอโทษแล้วกัน”
   
        อารมณ์พาให้ภูก้าวขาเตรียมจะเดินหนีออกจากตรงนั้น แต่ยังไม่ทันจะไปได้เกินสองก้าวแขนก็ถูกดึงรั้งเอาไว้ก่อน ความหนักแน่นในการรั้งนั้นมากจนเกือบจะเป็นกระชาก เด็กหนุ่มถึงกับเซไปตามแรงดึงนั้น จนเมื่อตั้งหลักยืนตรงได้จึงหันไปและพบว่ากรรณยืนหน้าเจื่อนอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นภูหันกลับมาเขาจึงค่อยคลายมือที่ฉุดรั้งเอาไว้ลง
   
        “มีอะไรอีกครับ” ภูยังไม่ละท่าทางปั้นปึ่ง
   “พี่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น” กรรณตั้งท่าจะอธิบาย
   “ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ ก็ใช่ว่าผมไม่รู้ตัวเองซักหน่อยว่าก่อแต่เรื่อง” ถึงแม้จะเป็นคำพูดที่มาจากอารมณ์ แต่ลึกๆเขาก็คิดแบบนั้นจริงๆ
   “ช่างมันเถอะ ผ่านไปหมดแล้ว”
   
        กรรณถอนหายใจแล้วเดินเข้ามากอดคอภู อ้อมแขนที่พาดมาโอบกระชับไหล่เด็กหนุ่มเอาไว้นั้นไม่แน่น แต่ก็ไม่หละหลวมจนจะดิ้นหลุดไปได้ ทั้งคู่ออกเดินไปตามทางเท้าเงียบๆของมหาวิทยาลัยยามพลบค่ำ ภูเดินก้มหน้านิ่งไม่พูดไม่จา ความขุ่นมัวในใจเมื่อครู่จางหายไปเกือบหมดแล้ว เขาสูดกลิ่นหอมอ่อนๆจากวงแขนของอีกฝ่าย กลิ่นของน้ำหอมปนกับกลิ่นเหงื่อจางๆ ทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นรัวได้ยิ่งกว่ายากระตุ้นประสาทแขนงใดๆในโลก ภูแอบเงยหน้าขึ้นมองดูใบหน้าชองชายผู้โอบกอดตนอยู่และพบว่าอีกฝ่ายกำลังมองกลับมาทางตนเช่นกัน เมื่อสายตาของทั้งสองสบกันเข้าด้วยความบังเอิญ ต่างฝ่ายต่างก็รีบเบือนหน้าหลบไปคนละทิศละทางราวกับเด็กมีพิรุธ
   
        “จริงๆกลับบ้านดึกก็ไม่ใช่เรื่องผิดหรอกนะ” กรรณว่า
   “ผิดสิ” ภูส่ายหน้า
   “อายุเท่านายน่ะ เถลไถลออกนอกลู่นอกทางบ้างก็เป็นเรื่องปกติ เอาตัวรอดให้ได้อย่าให้เป็นอันตรายก็พอ คนเราเป็นวัยรุ่นได้แค่ครั้งเดียวนะ”  กรรณยกมืออีกข้างขึ้นมายีผมเด็กหนุ่มเบาๆก่อนจะเปลี่ยนเป็นแบมือขอ “ไหนเอาโทรศัพท์นายมาซิ”
   “เพื่อ?” ภูไม่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย แต่เมื่อมั่นใจว่าไม่มีอะไรต้องปิดบังก็ยอมหยิบส่งให้แต่โดยดี
   
        กรรณรับโทรศัพท์ของภูมา เขาเลื่อนหารายชื่อในสมุดโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่งจึงกดโทรออกพร้อมกับเปิดโหมดลำโพงให้ภูได้ยินด้วย เสียงสัญญาณรอสายดังอยู่ไม่กี่ครั้งก็มีคนรับสาย
   
        “ฮัลโหล ภูเหรอ?” เสียงแม่ของภูดังมาจากปลายสาย
   “นี่กรรณครับคุณป้า ตอนนี้ผมอยู่กับน้อง” กรรณตอบกลับไป “วันนี้พวกผมคงกลับไปไม่ทันมื้อเย็นนะครับ ทานกันก่อนได้เลย”
   “อ้าวเหรอ ไปอยู่ด้วยกันได้ยังไงล่ะนั่น นี่ป้าเตรียมอาหารไว้เยอะเลย เสียดายจัง” เสียงของแม่ฟังดูเสียดายนิดหน่อย “เอาไว้ป้าเก็บใส่กล่องให้เราไปอุ่นกินมื้อหลังก็แล้วกันนะ”
   “ขอบคุณมากครับ ไม่ต้องห่วงภูนะครับ เดี๋ยวผมดูแลให้ แล้วจะพากลับไปส่งครับ”
   
        กรรณกดวางสายและส่งโทรศัพท์คืนให้ภู ใบหน้ามีรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก ภูมองดูรอยยิ้มนั้นด้วยความรู้สึกไม่ไว้วางใจเท่าไหร่ จนในที่สุดก็กลั้นความสงสัยไม่ไหวต้องเอ่ยปากถามออกไป “พี่จะพาผมไปไหน?”
   
        “ก็อย่างที่บอกไง…” กรรณกลับมายกแขนกอดคอภูอีกครั้ง “คนเราก็ต้องมีเถลไถลกันบ้าง”

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
แลดูมีพัฒนาการที่ดี รึเปล่า???

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
o13


 :L2: :pig4: :L2:

สวัสดีครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะครับ  o13

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:L2: :L1: :pig4:

ทักทายนะครับ ขอบคุณที่ยังติดตามกันอยู่ครับ  o13

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณนะครับ ที่ยังติดตามกันอยู่  o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
แลดูมีพัฒนาการที่ดี รึเปล่า???

ต้องติดตามดูนะครับ เรื่องยังดำเนินมาไม่ถึงครึ่งทางเลย  :katai2-1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
พี่กรรณจะรู้ไหมนั่น

ชอบแฟนคลับ  :L2: ดูมีพลัง55  :fire:

 :L2: :pig4:
รออ่านตอนต่อไปนะ

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
พี่กรรณจะรู้ไหมนั่น

ชอบแฟนคลับ  :L2: ดูมีพลัง55  :fire:

 :L2: :pig4:
รออ่านตอนต่อไปนะ

ใกล้มาแล้วครับ กำลังตรวจทานแก้ไขนิดหน่อย  o13

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 7 part1

        ในช่วงบ่ายของวันต่อมา เมื่อเสร็จจากการเรียนในช่วงเช้า ภูก็ถูกสาลี่ลากตัวกลับมาบ้านทันที เด็กสาวกระเหี้ยนกระหือรืออยากรู้เรื่องราวทั้งหมดจนใจจะขาด ซึ่งภูก็ไม่ขัดใจเพื่อนยอมเล่าให้ฟังจนหมดเปลือก เนื่องจากไม่เห็นประโยชน์ที่จะปิดบังต่อไปแล้ว ดีเสียอีก ต่อไปนี้หากเขาเกิดว้าวุ่นใจหรือคิดไม่ตก อย่างน้อยก็มีใครซักคนให้คอยรับฟังหรือเป็นที่ปรึกษาได้ ไม่ต้องแบกเอาไว้คนเดียวเหมือนที่ผ่านมา สาลี่ตั้งใจฟังทุกถ้อยคำที่ออกมาจากปากของเพื่อนซี้ราวกับกำลังเข้าคลาสเลคเชอร์ จนกระทั่งภูเล่าเสร็จจึงได้เริ่มเป็นฝ่ายพูดบ้าง
   
        “ชั้นดูไม่ผิดจริงๆ แกหลงรักเค้าเข้าเต็มเปาเลย” สาลี่เอนหลังลงพิงกับเบาะของเก้าอี้หมุนหน้าคอมพิวเตอร์
   “อาการของชั้นมันดูออกชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ?” ภูถาม
   
        สาลี่พยักหน้า ภูฟุบหน้าลงไปกับหัวหมีของพรมขนสัตว์เทียมด้วยความอับอาย
   
        “ก็นะ… ทั้งยอมถ่ายงานโฆษณาก็เพราะเค้าขอ แถมแค่เค้ามาเล่นกับชั้นนิดเดียว แกก็ทำตาเขียวปั้ดหึงเป็นฟืนเป็นไฟ ไอ้ภูเอ๊ย เด็กอนุบาลยังดูรู้เลย” สาลี่ว่า “แล้วนี่พี่เค้าไม่รู้บ้างเหรอว่าแกชอบเค้า?”
   “ไม่รู้สิ” ภูไม่อยากนึกถึงเรื่องนั้นด้วยซ้ำ “ก็ถ้าถึงขนาดเด็กอนุบาลยังรู้แบบที่แกว่า กับเค้าก็ไม่น่าจะเหลือหรอก”
   “ก็ถ้าเค้ารู้ว่าแกชอบ แล้วเค้าก็ยังไม่ตีตัวออกห่าง แถมยังโผล่มาหาแกเองที่มหาลัยด้วยซ้ำแบบเมื่อวานนี้” สาลี่ครุ่นคิดคำนวณความน่าจะเป็นจากเหตุการณ์ทั้งหมด “ชั้นว่าแกก็มีลุ้นอยู่นะ เค้าไม่ได้คบใครอยู่ใช่มั้ยล่ะ?”
   “ไม่รู้ว่ะ…” ภูส่ายหน้าอีกครั้ง
   “อะไรของแกวะ ชอบเค้าแต่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเค้าซักอย่าง บ้านก็อยู่ข้างกันแท้ๆ” สาลี่เหลืออดเหลือทนกับความทื่อมะลื่อของเพื่อน
   “ถ้าชั้นขี้เสือกได้ซักครึ่งนึงของแกนะ ชั้นคงรู้ทุกเรื่องในโลกนี้แล้วล่ะ” ภูย้อนกลับ
   “ปากดีนัก แช่งให้มันอกหักซะดีมั้ย” สาลี่ขู่ “เอาเป็นว่า ตลอดเวลาตั้งแต่แกเจอเค้าเนี่ย เค้ากลับมานอนบ้านตัวเองทุกคืน และแกก็ไม่เคยเห็นมีใครมาหาเค้าที่บ้าน แบบนั้นใช่มั้ย?”
   
        ครั้งนี้ภูพยักหน้า ในใจเขานึกย้อนกลับไปตามที่สาลี่บอก ก็พบว่าเป็นจริงตามนั้น นับตั้งแต่เริ่มเป็นเพื่อนบ้านกันมา เขาก็คอยสอดส่องดูชีวิตของอีกฝ่ายอย่างลับๆอยู่อย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งระยะหลังมานี้กรรณเองก็ใช้เวลาส่วนใหญ่หลังกลับจากทำงานที่บ้านของภู จึงพอจะช่วยยืนยันตรงจุดนี้ได้ว่าชายหนุ่มไม่เคยมีแขกมาบ้านของตัวเองและไม่ได้ไปใช้เวลาหลังเลิกงานนอนค้างอ้างแรมที่ไหน หากแต่ว่าถ้าจะให้ฟันธงไปอย่างชัดเจนว่ากรรณไม่ได้คบหาดูใจกับใครอยู่ก็ไม่อาจทำได้เช่นกัน ด้วยภูเองก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเวลาส่วนตัวของอีกฝ่ายเมื่ออยู่ตามลำพังถูกใช้ไปอย่างไรบ้าง ไหนจะเรื่องโทรศัพท์จากต่างประเทศสายนั้นที่โทรมาในคืนที่เขานอนค้างที่บ้านของกรรณอีก การที่คืนนั้นกรรณต้องหลบลงมาคุยที่ชั้นล่าง หากภูจะมองในแง่ดีก็คืออีกฝ่ายทำไปเพราะไม่อยากให้เสียงพูดคุยไปรบกวนตนเองที่กำลังหลับอยู่ แต่หากมองแบบอิงความเป็นจริงมากขึ้น มันก็คงเป็นสายส่วนตัวจากคนรักที่ไม่อยากให้เด็กกะโปโลข้างบ้านได้ยินบทสนทนา
   
        “แกว่าชั้นมีหวังเหรอ?” ภูเอนเอียงไปตามคำพูดของสาลี่
   “ก็ถ้าเค้ายังไม่มีแฟนน่ะนะ” สาลี่ตอบก่อนจะยุยงด้วยสีหน้าชั่วร้าย “แต่ถึงมีก็ไม่เห็นจะเป็นปัญหา ของแบบนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดัง ถ้าเค้าเล่นด้วยแกก็แย่งมาเลย”
   “ตบมือข้างเดียวจะดังถ้ามือแฟนเค้ามาตบลงบนหน้าชั้นไง ดูละครมากไปแล้วแกน่ะ” ภูไม่เอาด้วย
   “แกนี่มันยุไม่ขึ้นเลยจริงๆ” หญิงสาวหมดสนุก “เอาแบบจริงจังก็ได้ ก็อย่างที่ชั้นบอกไปแต่แรก แกน่ะออกอาการกระดิกหางใส่เค้าชัดขนาดนี้ แล้วเค้ายังไม่เผ่นหนี ก็ไม่เห็นจะมีอะไรน่ากังวล ลุยไปเลย”
   “ไม่กล้าอ่ะ” แค่คิดภูก็ใจฝ่อ
   “แกต้องหัดมั่นใจในตัวเองบ้างนะภู แกเองก็ไม่ได้เป็นคนขี้ริ้วขี้เหร่มาจากไหน ออกจะหน้าตาดีเกินมาตรฐานคนปกติทั่วไปด้วยซ้ำ ถ้าเค้าเป็นเกย์แล้วไม่มีแฟน ทำไมเค้าจะไม่ชอบแกวะ” สาลี่พยายามให้กำลังใจเพื่อน
   “แต่มันก็เป็นไปได้ที่เค้าจะไม่ชอบชั้นใช่มั้ยล่ะ?” ภูยังไม่เลิกกดดันตัวเอง “เค้าอาจจะไม่ชอบคนไว้ผมยาวแบบชั้นก็ได้ หรืออาจจะไม่ชอบคนแขนขาเก้งก้างแบบชั้นก็ได้”
   “ทุกอย่างมันก็เป็นไปได้สองทางหมดนั่นแหละ แต่แกต้องประเมินโดยมองจากความเป็นจริงสิ” สาลี่พยายามปลุกใจ “อย่างที่แกเล่าว่าเค้าจับมือแกในสวน กักตัวให้แกนอนค้างด้วยทั้งที่จะปล่อยให้แกปีนเข้าบ้านตัวเองไปก็ได้ แล้วไหนจะที่มาหาแกถึงมหาลัยฯเมื่อวานอีก ถ้าไม่ชอบเค้าจะทำแบบนั้นทำไม?”
   “เดี๋ยวก่อน ไอ้เรื่องจับมือน่ะชั้นบอกว่าไม่แน่ใจว่าเค้าทำจริงหรือชั้นสะลึมสะลือคิดไปเอง” ภูรีบออกตัว
   “แต่อีกสองอย่างเค้าก็ทำจริงใช่มั้ยล่ะ?” สาลี่ยังยืนยันความคิดเดิม “ก็แปลว่าโอกาสปังมีมากกว่าแป๊ก”
   “อืม ก็จริงของแก” ภูเริ่มคล้อยตาม
   “บางทีที่เค้าเอาแกไปถ่ายงาน อาจจะเพราะอยากถ่ายรูปแกก็ได้” สาลี่ยิ่งได้ใจปลุกปั่นหนักข้อขึ้น “ใจจริงเค้าอาจจะอยากถ่ายแกแบบส่วนตัวเอ็กคลูซีฟทุกซอกทุกมุม เก็บไว้ดูคนเดียวตอนเปลี่ยวๆ”
   “ไม่จริงมั้ง… แกก็พูดไป…” ถึงปากจะปฏิเสธแต่สีหน้ากับคำพูดของภูดูจะสวนทางกันอยู่พอสมควร
   
        ภูจินตนาการตามคำพูดของสาลี่จนจิตใจเตลิดเปิดเปิง สัมผัสชวนคนึงหาจากมือของกรรณเมื่อสองคืนก่อนย้อนกลับมาให้หวนระลึกถึงอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้มโนภาพพาเขาไปไกลกว่าจุดที่ความเป็นจริงเคยยืนอยู่ เมื่อกรรณไม่ยอมหยุดมืออยู่เพียงแค่แผ่นหลัง แต่กลับลูบไล้ไปทั่วร่างของเด็กหนุ่มผู้ซึ่งกำลังอ่อนระทวยเป็นขี้ผึ้งโดนไฟ ภูพยายามดิ้นรนขัดขืนแต่ก็ไม่ช่วยอะไร ในที่สุดชายหนุ่มรุ่นพี่ก็ผลักเขาลงไปนอนแผ่หราบนพื้นก่อนจะถอดเสื้อของตัวเองออกแล้วย่อตัวลงมาใช้ร่างเปลือยท่อนบนนั้นคร่อมทับเด็กหนุ่มเอาไว้
   
        “ขอโทษนะที่ต้องขัดจังหวะความคิดลามกของแก แต่ไอ้ท่อนหลังน่ะชั้นแค่พูดเล่นเฉยๆ” สาลี่ดับฝันหวานของเพื่อนลงกลางอากาศ “เช็ดน้ำลายซะ ย้อยจนจะนองเต็มพรมชั้นอยู่แล้ว”
   “พูดบ้าอะไร ไม่ได้คิดอะไรซักหน่อย!!” ภูรีบโวยวายกลบเกลื่อนจนลนลาน
   “ดูจากหน้าหื่นๆของแกก็รู้แล้วย่ะ แกน่ะเก็บอาการไม่เป็นเลย” สาลี่กลั้นขำไม่อยู่ สนุกกับการปั่นหัวเพื่อนแบบสุดๆ
   “เลิก ไม่คุยแล้ว” ภูอดรู้สึกไม่ได้จริงๆว่าวันนี้เขาคงชินชากับความอับอายในท้ายที่สุด
   “เดี๋ยวก่อน แกยังไม่เล่าเรื่องส่วนของเมื่อวานนี้เลย” สาลี่ไม่ยอมปล่อยภูไปง่ายๆ
   “เรื่องเมื่อวานน่ะเหรอ…” ภูนึกย้อนไป “จริงๆถ้าแกเปิดไอจีชั้นดู แกก็จะรู้นะ”
   
        สำหรับเรื่องของเมื่อวานนั้น หลังจากกรรณวางสายจากแม่ของภู เด็กหนุ่มผู้ซึ่งเวลานี้หมดทางเลือกจากการโดนมัดมือชกก็ถูกอีกฝ่ายกอดคอหอบหิ้วกระเตงออกมาจากมหาวิทยาลัย ความรับผิดชอบของภูสั่งให้เขาพยายามดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองหลุดจากอ้อมแขนนั้นและตรงดิ่งกลับไปบ้านเพื่อทำงานที่ต้องส่งให้เสร็จ แต่ทว่าอีกฟากหนึ่งของความรู้สึกที่ยินยอมพร้อมใจกลับมีพลังมากกว่าส่งผลให้สองขาก้าวเดินตามอีกฝ่ายต้อยๆไม่หยุด กระทั่งมาถึงด้านหน้ามหาวิทยาลัย กรรณก็โบกมือเรียกรถสามล้อที่จอดรอผู้โดยสารอยู่และดันภูให้ขึ้นไปนั่งชิดด้านในก่อนที่ตนเองจะกระโดดขึ้นตามมา
   
        “ไปข้าวสารครับ” กรรณบอกจุดหมายปลายทางกับคนขับ
   “เฮ้ย ไม่ไป ไม่เอาพี่ ไม่เมานะคืนนี้” ภูตั้งท่าจะกระโดดหนีลงจากรถแต่กรรณคว้าตัวเอาไว้ได้ทันเสียก่อน “งานผมต้องส่งเพียบเลยพี่ ไม่เริ่มทำวันนี้ส่งไม่ทันแน่”
   “พี่แค่บอกว่าจะไปข้าวสาร ยังไม่ได้บอกซักคำว่าจะไปเมา” กรรณเล่นลิ้น
   “ผมไปกับเพื่อนทีไรก็มีแต่กินเหล้าทุกที ไม่เห็นจะมีอย่างอื่นให้ทำเลย” ภูนึกไม่ออกว่ายังมีสิ่งใดให้ทำอีกในย่านบันเทิงยามราตรีแห่งนั้น   
        “ก็เพราะคิดแต่ว่าต้องกินเหล้าไง ถึงมองไม่เห็นอย่างอื่นที่ทำได้” กรรณนั่งกอดอก เอนหลังไปกับเบาะรถสามล้อ “ทำไมชอบกินจังเลยเหล้าเนี่ย? ไม่อยากมีตับไว้ใช้ตอนแก่เหรอ?”   
        “ใครว่าชอบล่ะ” ภูตอบเสียงเบื่อหน่าย ในขณะที่กรรณเลิกคิ้วเหมือนไม่เชื่อ “กินแค่พอเป็นพิธีให้เพื่อนมันเลิกคะยั้นคะยอเท่านั้นแหละ แล้วผมก็ไม่เคยเมาเละเทะแบบที่พี่กล่าวหาด้วย”
        “โอเคๆ ขอโทษที่กล่าวหา” กรรณยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้ไม่ขอเถียงสู้ “แล้วไปเที่ยวกลางคืนบ่อยๆแบบนี้ แฟนนายเค้าไม่เคืองเอาเหรอ?”

        เป็นประโยคคำถามที่เหมือนจะเป็นแค่บทสนทนาทั่วไป แต่ภูกลับรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่แอบแฝงอยู่ในนั้น การหยั่งเชิง? หรือโยนหินถามทาง? ไม่อาจชี้ชัด เป็นความรู้สึกที่สั่นไหวแผ่วเบาของความคาดหวัง อีกทั้งยังตื่นตัวระแวดระวังคล้ายกับสัตว์ที่เพิ่งโผล่หน้าออกมาจากโพรงที่หลบภัย หากสถานการณ์ภายนอกที่พบเห็นไม่น่าไว้วางใจ มันก็สามารถผลุบหายกลับเข้าไปซุกซ่อนตัวดังเดิมได้อย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มพยายามคิดหาการตอบสนองที่ดีที่สุดสำหรับคำถามนี้ เริ่มแรกด้วยความประหม่า ความปากไม่ตรงกับใจจึงดูจะมีชัยเหนือกว่า มันยุยงให้เขาพูดในสิ่งที่รู้ดีว่าจะพาให้ตนต้องมานั่งตีอกชกตัวอยู่คนเดียวในภายหลัง หากแต่เมื่อมาคิดย้อนดูถึงความตั้งใจที่ค้างคาอยู่ตั้งแต่ช่วงบ่าย ภูก็ตัดสินใจเลือกจะซื่อสัตย์กับตัวเองเพื่อสานต่อเจตนารมณ์นั้น

        “ไม่มีแฟน มีแต่เพื่อน” ภูตอบ พยายามบังคับตัวเองไม่ให้เสียงสั่นในขณะที่หัวใจเต้นระรัว
        “พ่อดารา เริ่มหัดสร้างภาพออกสื่อแล้วเหรอ?” กรรณทำเสียงขึ้นจมูกล้อเลียน
        “เนี่ย พอบอกก็ไม่เชื่อ แล้วจะถามเพื่อ?” ภูฉุนกึกเมื่อการตอบสนองของอีกฝ่ายกลับเป็นไปในทิศทางที่ไม่พึงปรารถนา
        “กลัวแล้วครับพี่ ไม่มีก็ไม่มีครับ” กรรณไม่ต่อล้อต่อเถียงก่อนจะถามขยายผลต่อ “แล้วคนที่ชอบล่ะ ต้องมีบ้างสิ”   
        “ก็มีนะ” ขณะที่ประโยคนี้เลื่อนหลุดออกมาจากปาก หัวใจของภูยังคงเต้นแรง แต่ความรู้สึกโดยรวมกลับนิ่งสงบอย่างน่าประหลาด เป็นเสี้ยววินาทีที่เหมือนทุกสิ่งจะสามารถเป็นไปได้ เด็กหนุ่มหันไปสบตากับกรรณที่นั่งอยู่ข้างๆ “ถึงจะเพิ่งเจอกันไม่นาน แต่ก็ชอบเค้ามาก และอยากให้เค้ารู้ด้วย”

        เมื่อบวกเข้ากับสายตาที่จ้องมองอีกฝ่ายขณะพูด ประโยคนี้ก็เกือบจะเป็นคำสารภาพรัก ภูยังคงไม่หลบสายตาที่อีกฝ่ายจ้องกลับมา เด็กหนุ่มรู้ดีว่านี่คือนาทีของเขา เป็นโอกาสที่อาจจะเอื้อมไปไขว่คว้าเอามาไว้ได้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นแค่อีกโอกาสหนึ่งที่หลุดลอยไป ความอึดอัดใจเริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อกรรณยังคงไม่มีท่าทีใดๆตอบสนองต่อประโยคดังกล่าว ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างปัจจุบันทันด่วนไร้การวางแผน ภูรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังกระทุ่มน้ำพยุงไม่ให้จมน้ำตาย หากแต่ก็ไม่ยอมว่ายกลับไปยืนบนฝั่งอันเป็นที่ปลอดภัย เพราะนี่คือความจริง แม้จะเป็นความจริงที่พูดออกไปเพียงนัยยะ แต่ภูก็เลือกที่จะให้โอกาสทั้งหมดที่มีกับมัน ภาวนาสุดหัวใจให้อีกฝ่ายเข้าใจสารที่ซ่อนเร้นและตอบรับ ชั่วแวบหนึ่งเกิดความเคลื่อนไหวในแววตาของกรรณ จากเดิมเปลี่ยนไปเป็นแววตาของผู้ที่พยายามซ่อนความตื่นตระหนกและทำสีหน้าให้เป็นปกติ ภูมั่นใจว่าอีกฝ่ายคงค้นพบบางสิ่งแล้วเป็นแน่แท้ บางทีอาจจะสังเกตุเห็นมันมานานแต่เพิ่งรู้แน่ชัดว่ามันคืออะไร และกระทั่งถึงขณะนี้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใด เขาก็ยังคงทำตัวไขสือ

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 7 part2

        รถสามล้อเบรกกึก จอดสนิทที่ปากทางเข้าอันแสนจอแจของถนนข้าวสาร คนขับรีบหันมาบอกกับผู้โดยสารทั้งสองว่าถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ด้วยหวังเร่งให้ลงเพื่อจะได้รับกลุ่มชาวต่างชาติที่ยืนชะเง้อคอรอรถอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลออกไปข้างหน้า ภูผู้ซึ่งบัดนี้อึดอัดเต็มทีกับสถานการณ์ลูกผีลูกคนที่กำลังเผชิญอยู่รีบคว้าเชือกช่วยชีวิตเส้นนั้นเอาไว้อย่างเร็วรี่ เด็กหนุ่มควักกระเป๋าจ่ายค่าโดยสารเองตัดหน้าอีกฝ่ายที่กำลังตั้งท่าจะหยิบกระเป๋าเงินแล้วเผ่นหนีตัดหน้าลงจากรถ ครู่หนึ่งกรรณจึงค่อยตามลงมาและรีบเดินไล่หลังตามจนทัน

        “รีบอะไรเบอร์นั้น” กรรณยกแขนขึ้นล๊อกคอภูเอาไว้ไม่ให้เดินหนีไปอีก เด็กหนุ่มลอบมองดูใบหน้าของอีกฝ่ายขณะที่พูดประโยคนี้ ก่อนจะพบว่าไม่ว่าวี่แววแห่งความรู้สึกรู้สาใดๆก็ตามที่กำลังตั้งเค้าอยู่จากบทสนทนาเมื่อครู่บนรถสามล้อ บัดนี้มันได้จางหายไปไม่เหลือ ซึ่งมันจะเป็นเช่นนี้ได้ก็มีอยู่สองทาง คืออีกฝ่ายสลัดมันทิ้งไปจนหมด หรือไม่ก็ถูกกลบเกลื่อนเอาไว้อย่างมิดชิดแล้ว

        “ก็ไม่เห็นเหรอ สามล้อเค้าจะรีบไปรับผู้โดยสารต่อ” ภูยกเอาคนขับสามล้อมาเป็นข้อแก้ตัว “แล้วตกลงว่าลากผมมาถึงนี่เพื่ออะไรไม่ทราบครับ?”
        “อย่างแรกก็ต้องหาอะไรกินซักหน่อย ยังไม่ได้กินมื้อเย็นเลยใช่มั้ยล่ะ?” กรรณถาม

        ภูพยักหน้าตอบว่าใช่ตามนั้น กรรณกำชับบอกให้เด็กหนุ่มยืนรออยู่ที่เดิมอย่าไปไหนก่อนจะแทรกตัวเดินปะปนหายไปในฝูงคน เวลาผ่านไปพักหนึ่งภูซึ่งยืนรอจนขาทั้งสองเริ่มเมื่อยล้าก็หย่อนก้นนั่งพักลงบนหัวดับเพลิงริมถนน ตาจ้องมองดูผู้คนมากมายหลายเชื้อชาติที่เดินผ่านหน้าตนไป แสงอาทิตย์สุดท้ายกำลังจะลับขอบฟ้าและถูกหักล้างแทนที่ด้วยแสงสารพัดสีของหลอดนีออนที่ร้านรวงต่างๆพร้อมใจกันติดตั้งประดับประดาเพื่อรำแพนเงาดึงดูดความสนใจเหล่านักท่องเที่ยวที่มาหาความสนุกสำราญ เยื้องออกไปไม่ไกลนักมีกลุ่มนักแสดงมายากลข้างถนน กำลังงัดทุกกลเม็ดที่ตนมีออกมาแสดงให้ผู้ชมที่ตั้งตารออยู่ได้ดู บรรยากาศของถนนข้าวสารในยามพลบค่ำนี้ดูจะเต็มไปด้วยสีสันแห่งความอัศจรรย์ใจอันลอยฟุ้งอยู่กลั้วกับทุกมวลอากาศ ภูเองก็แปลกใจที่ตนเพิ่งจะสังเกตเห็นและเพลิดเพลินไปกับมันได้ในวันนี้ ทั้งที่อดีตก็เคยมาเยือนจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว บางทีนี่อาจจะเป็นเพราะอิทธิพลที่แผ่ออกมาจากกรรณในยามที่ทั้งสองอยู่ใกล้กัน ดวงตาของชายหนุ่มผู้มองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ลึกซึ้งไปกว่าคนธรรมดาสามัญทำให้เขามีพรสวรรค์อันวิเศษในการถ่ายภาพในแบบที่ยากจะมีใครเลียนแบบได้ และมันยังส่งผลกับคนรอบข้างด้วยไม่มากก็น้อย แม้จะไม่อยากเชื่อแต่ภูก็อดรู้สึกไม่ได้จริงๆว่าตนเองเริ่มมองโลกเปลี่ยนไปจากที่เคยหลังจากได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านคนนี้  เขาเริ่มเพลิดเพลินกับความเนิบช้าของเวลาที่ค่อยๆหมุนไปอย่างไม่เร่งร้อน ผิดจากเมื่อก่อนที่มุ่งหาแต่ความรวดเร็วจนชีวิตยุ่งเหยิง ความเงียบของห้องกลับมีเสน่ห์ดึงดูดโดยไม่ต้องอาศัยสรรพเสียงดนตรีใดมาแต่งแต้มอย่างที่เคยเป็นมา บางทีอาจเป็นเพราะช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับคำว่าความสุขที่แท้จริงที่สุด ก็คือตอนที่เรารับรู้อย่างชัดเจนว่าเราอยู่ที่ไหนและเราเป็นใคร ไม่ใช่รับรู้ผ่านตาไปแค่เพียงวูบไหวฉาบฉวย

        “เหม่อคิดถึงใครอยู่?” กรรณถามพร้อมกับส่งชามโฟมใส่ผัดไทยควันฉุยให้กับภู
        “คิดถึงบ้าน หิวจะตายอยู่แล้ว” ภูรับมาและแกะตะเกียบออกจากซองพลาสติกที่ห่ออยู่ “แล้วนี่อะไรเนี่ย? ผัดไทย กินร้านแถวปากซอยบ้านก็ได้มั้ง?”
        “ผัดไทยน่ะมันแค่กับแกล้ม วันนี้เรามากินบรรยากาศ” กรรณหย่อนก้นลงนั่งที่ขอบทางเท้าข้างๆท่อหัวดับเพลิงของภู “แล้วนั่นก็ปรุงมาให้แล้ว สูตรพิเศษ รับรองไม่เคยพบเจอที่ไหนมาก่อน”
        “กินแล้วจะคุ้มค่ายามั้ยอ่ะ?” ภูมองผัดไทยในชามอย่างหวาดหวั่น แต่เมื่อลองคีบเข้าปากไปหนึ่งคำก็พบว่าไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด แน่นอนว่ามันไม่เหมือนผัดไทยแบบดั้งเดิมที่คุ้นเคย หากแต่เป็นรสชาติแบบที่ประยุกต์ให้ถูกปากชาวต่างชาติ แต่ก็ไม่ได้ผิดแผกออกไปจนรับไม่ได้ ประกอบกับด้วยบรรยากาศรอบตัวและคนที่นั่งกินด้วยอยู่ข้างๆ ทำให้ความอร่อยเพิ่มขึ้นอีกเป็นอักโขจนแทบไม่อยากให้หมดชามเลยทีเดียว

        เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นหนึ่งครั้งพร้อมกับแสงแฟลชที่สว่างวาบเข้าตา ภูตกใจจนเกือบสำลักเส้นผัดไทยที่เคี้ยวอยู่เต็มปาก เด็กหนุ่มรีบกลืนมันลงคอก่อนจะหันไปว๊ากใส่ตากล้องผู้ซึ่งกำลังชื่นชมผลงานตัวเองอย่างปลาบปลื้ม “ถ่ายทำไมเนี่ย คนกินอยู่ รูปออกมาน่าเกลียดแย่”
       
        “ไม่น่าเกลียดหรอก รูปแบบถ่ายทีเผลอ ดูเป็นธรรมชาติจะตาย” กรรณตอบพร้อมกับส่งโทรศัพท์ให้ภูดูภาพที่เพิ่งถ่ายไปเมื่อครู่

        ภูเหล่ตาดูภาพถ่ายของตนอย่ากล้าๆกลัวๆ แต่ก็พบว่าไม่มีอะไรให้ติ ฝีมือของกรรณยังคงยอดเยี่ยมเช่นเคย ในตอนนั้นเองเด็กหนุ่มนึกบางอย่างขึ้นมาได้  เขารีบหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาและเปิดระบบโอนถ่ายไฟล์

        “พี่ส่งรูปเมื่อกี้มาหน่อยสิ จะอัพลงไอจี” ภูขอ

        กรรณทำตามคำขอ เพียงไม่ถึงนาทีรูปนั้นก็มาอยู่ในเครื่องของภู เด็กหนุ่มกดอัพโหลดมันส่งขึ้นอินสตาแกรม และผลตอบรับที่ได้ก็ช่างรวดเร็วทันใจ เมื่อหลังจากอัพโหลดเสร็จเพียงไม่กี่นาที กลุ่มแฟนคลับซึ่งนำโดยพิมและส้มก็เข้ามาทำการกดไลค์และแสดงความคิดเห็นกันอย่างมืดฟ้ามัวดิน เสียงสัญญาณแจ้งเตือนที่ดังรัวไม่หยุดทำให้กรรณถึงกับต้องชะเง้อคอขึ้นมาแอบมองหน้าจอโทรศัพท์ของภูว่ากำลังเกิดเหตุโกลาหลอันใดขึ้น

        “เนื้อหอมจริงๆนะ” กรรณทำเป็นบ่นลอยๆให้ภูได้ยิน “อย่าลืมแท๊กให้เครดิตด้วยล่ะว่าใครถ่ายให้”
        “จะให้บอกว่าใครถ่ายให้ล่ะครับ?” ภูแกล้งถามกลับไป “lonelyvoyager ก็ไม่เคยเผยหน้าให้ใครเห็นซะด้วย”
        “งั้นก็เผยวันนี้เลยแล้วกัน” กรรณไม่พูดเปล่า หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดโหมดกล้องหน้าและคว้าคอภูให้ลงมานั่งที่ขอบทางเท้ากับตนพร้อมชูโทรศัพท์ขึ้นเตรียมถ่ายเซลฟี่ “พร้อมนะ หนึ่ง… สอง… สาม….”
        “เดี๋ยวดิ!” ภูปัดผมที่ปิดหน้าออก ด้วยไม่คุ้นชินกับการถ่ายรูปอีกทั้งยังประหม่าจากการที่อีกฝ่ายเข้ามาประชิดตัวจนแก้มแทบจะแนบเข้าหากัน เด็กหนุ่มจึงไม่รู้ว่าจะวางหน้าตาท่าทางของตนยังไง แต่ก็มั่นใจในฝีมือของกรรณว่าท้ายที่สุดแล้วภาพคงจะออกมาดูดีได้

        เสียงชัตเตอร์ลั่นอีกครั้ง กรรณจัดการอัพโหลดภาพที่เพิ่งถ่ายลงในอินสตาแกรมของตนพร้อมกับคำบรรยายภาพเป็นภาษาอังกฤษว่า Hangin’ with the boy next door และนี่คือครั้งแรกที่ lonelyvoyager อัพโหลดภาพที่เป็นรูปถ่ายแบบส่วนตัวไม่ใช่ผลงานลงไปในแกลเลอรี่ ถึงแม้คำบรรยายภาพจะอ่านแล้วรู้สึกแหม่งๆอยู่บ้างแต่สิ่งนี้ก็ทำให้ภูอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเป็นคนพิเศษจนตัวแทบลอย แอคเคาท์ของภูถูกแท๊กลงไปในรูป เช่นเดียวกับภูที่แท๊กแอคเคาท์ของกรรณลงไปเป็นเครดิตในรูปของตน เพียงไม่กี่นาทีต่อมาความเชื่อมโยงดังกล่าวก็ถูกสังเกตเห็นโดยเหล่าแฟนคลับตาไวทั้งหลาย รูปเซลฟี่ของกรรณและภูถูกรีโพสลงไปในแอคเคาท์แฟนคลับที่พิมเพิ่งสร้างขึ้นเพื่อให้คนอื่นๆได้เข้ามาร่วมชื่นชมด้วย เสียงแจ้งข้อความเข้าจากไลน์ดังขึ้น ภูเปิดอ่านข้อความจากตฤณซึ่งรัวส่งมาไถ่ถามด้วยความตื่นเต้น ทั้งจากการที่เพื่อนผู้แสนจะเหนียมอายยอมอัพรูปตัวเองลงอินสตาแกรมเป็นครั้งแรก และยังพ่วงด้วยการถ่ายเซลฟี่กับช่างภาพคนดังอีกต่อหนึ่ง

        “เสร็จธุระกับแฟนคลับรึยังพ่อดารา?” กรรณกระเซ้าขณะเก็บชามโฟมที่กินเสร็จแล้วไปทิ้งยังถังขยะซึ่งวางอยู่ที่โคนเสาไฟฟ้า “ถ้าเสร็จแล้วจะได้ไปกันต่อซักที”
        “เสร็จแล้วครับ พี่ตากล้องคนดัง” ภูเอาคืน แต่ดูอีกฝ่ายจะไม่ได้สะทกสะท้านกับคำแซว กลับน้อมรับอย่างยินดี

        ภูเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าและเตรียมจะยันตัวลุกขึ้นยืน ในตอนนั้นมือข้างหนึ่งของกรรณก็ยื่นมาเป็นตัวช่วยให้เด็กหนุ่มจับเพื่อพยุงตัวลุกขึ้นจากพื้น ระหว่างที่ภูกำลังสองจิตสองใจว่าจะเอาอย่างไรดีอีกฝ่ายก็กลับโน้มตัวลงมาฉวยคว้ามือของเขาเอาไว้และเป็นฝ่ายออกแรงดึงฉุดให้ลุกขึ้นมาเอง

        “แค่นี้ลุกเองได้น่า” ภูบ่นอุบพลางก้มหน้าหลบไม่ให้อีกฝ่ายเห็นว่ามันกำลังแดงเรื่อ ขณะที่มือก็ปัดเศษฝุ่นที่ติดกางเกงออก เมื่อรู้สึกได้ว่าอาการใบหน้าร้อนผ่าวเริ่มทุเลาลงแล้วจึงค่อยเงยหน้ากลับขึ้นมาเหมือนเดิม

        “รู้แล้ว ก็แค่อยากช่วย” กรรณตอบก่อนจะยื่นมือมาปัดปอยผมที่ปรกใบหน้าของภูไปทัดไว้หลังใบหู
   
        แม้ปอยผมจะถูกทัดเก็บแล้วแต่ปลายนิ้วเรียวยาวของกรรณยังคงไล้ไปตามเรือนผมของเด็กหนุ่มจนมาจรดลงที่ผิวอ่อนบางตรงต้นคอ มันค้างอยู่จุดนั้นมอบสัมผัสอันอ้อยอิ่งราวกับไม่อยากจะละทิ้งไป เช่นเดียวกับที่ภูก็ไม่อยากให้เขาเลิกทำเช่นกัน ยามนี้ดวงตาทั้งสองคู่สบกันด้วยความบังเอิญอีกครั้ง หากแต่ที่ต่างออกไปจากทุกคราคือต่างฝ่ายต่างไม่เบือนหน้าหลบสายตาของกันและกันอีกต่อไป ภูสัมผัสได้ถึงสัญญาณบางอย่างแว่วไหวในความรู้สึก นับตั้งแต่วินาทีที่ทั้งสองมาถึงที่นี่ เขาก็รู้ดีว่าบางสิ่งที่เคยเป็นมากำลังจะเปลี่ยนไป ภูรู้สึกเช่นนั้นและคาดหวังเหลือเกินว่าหลังจากวันคืนแห่งความไม่แน่นอนและความปากไม่ตรงกับใจอันยาวนานได้ผ่านพ้นไป บัดนี้ทุกอย่างคงจะดำเนินไปในทิศทางที่ควรจะเป็นเสียที

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :ling1:

ทำไมเราลุ้นด้วยย (พาร์ทแรก)
 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:ling1:

ทำไมเราลุ้นด้วยย (พาร์ทแรก)
 :L2: :pig4:

ตอนหน้ามีอะไรให้ลุ้นกว่านี้อีกครับ

ขอบคุณที่ยังติดตามกันนะครับ  o13

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณนะครับ ที่ยังติดตามกันมาตลอด  o13

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ขอบคุณนะครับที่ติดตามกันมาตลอด  o13

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:man1:


 :L1: :pig4: :L1:

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะครับ  :pig4:

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 8 part 1

        “มาถึงขนาดนี้แล้ว แกยังจะมีอะไรต้องมาปรึกษาชั้นอีกวะไอ้ภู?”

        สาลี่บึนปากใส่ภูหลังจากฟังมาจนถึงจุดนี้ ด้วยความรู้สึกส่วนตัวของเธอเห็นว่ารูปการณ์ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้มันชัดเจนจนแทบจะไม่ต้องขอรับความคิดเห็นจากใครแล้ว หากไม่ใช่ว่าทั้งสองรู้จักเป็นเพื่อนสนิทกันมานานจนรู้จักนิสัยกันดี สาลี่คงอดคิดไม่ได้ว่าการเข้ามาขอคำปรึกษาของอีกฝ่ายเป็นแค่ฉากหน้าปกปิดเจตนาที่แท้จริงคือการโอ้อวด แต่เมื่อพิจารณาดูจากสีหน้าและท่าทางอันแสนจะประดักประเดิดของภูแล้ว เธอก็มั่นใจได้ว่าเพื่อนหนุ่มไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงพรรค์นั้น หากแต่เขากำลังงมโข่งอยู่กับความไม่แน่ใจอย่างแท้จริง

        “มันยังมีอีก แกก็ฟังให้จบก่อนสิ” ภูเปิดปากจะเล่าต่อหลังจากถูกสาลี่ขัดขึ้นมากลางคันเสียก่อน

        การสัมผัสถูกเนื้อต้องตัวไม่ได้ลุกลามไปมากกว่านั้น เมื่อเด็กหนุ่มพร้อมจะออกเดินต่อ ท่าทางอันเย้ายวนและแฝงไปด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้งเมื่อครู่ก็ถูกสวมทับด้วยท่าทีสบายๆเป็นกันเองแบบพี่น้องอีกครั้ง กรรณกอดคอภูกึ่งฉุดกึ่งลากไปตามถนนอันแสนจะจอแจไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติพลางชะเง้อมองสองข้างทางราวกับกำลังมองหาบางอย่างก่อนจะเลี้ยวเข้าที่ซอยเล็กๆซึ่งเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึกเกี่ยวกับช้างและมวยไทย ทั้งสองเดินลัดเลาะตามทางเดินแคบๆจนกระทั่งมันตัดออกมายังอีกฟากหนึ่งของถนนซึ่งดูเหมือนผู้คนจะเบาบางกว่า เยื้องไปข้างหน้าไม่ไกลออกไปนักมีร้านอาหารแบบบิสโทรสไตล์ตะวันตกตั้งอยู่ กรรณพาภูไปถึงหน้าร้านก่อนจะบอกให้เด็กหนุ่มยืนรออยู่ตรงนี้ระหว่างที่เขาเข้าไปข้างใน

        ภูยืนรออยู่ข้างหน้าร้านนั้นตามที่กรรณบอกก่อนที่ในอีกไม่กี่นาทีต่อมาจะเริ่มรู้สึกประหม่าขึ้นเมื่อรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจับจ้องมายังตน ที่อีกฟากหนึ่งของถนนนั้น ชายหนุ่มชาวต่างชาติอายุน่าจะมากกว่าเขาเพียงไม่กี่ปี ผมสีทอง ร่างสูงใหญ่ราวกับรูปปั้นกรีกกำลังมองมาทางภู เป็นการจ้องมองอย่างโจ่งแจ้งไร้การปิดบังซึ่งอาจทำให้ผู้ตกเป็นเป้าสายตาเกิดความรู้สึกอึดอัดได้ไม่ยาก เด็กหนุ่มหันหน้าหลบหนีจากดวงตาคู่นั้นและมองเข้าไปในร้าน ผู้คนมาใช้บริการแน่นขนัดเต็มทุกโต๊ะ ทุกคนกำลังดื่มกิน พูดคุย พนักงานคนหนึ่งสังเกตุเห็นภูกำลังยืนมองเข้ามาข้างในจากหน้าร้านจึงส่งสัญญาณถามว่าเขาต้องการโต๊ะหรือไม่ ภูส่ายหน้า อ้อมแอ้มแสดงท่าทางด้วยภาษามือว่ากำลังรอใครอีกคนหนึ่งอยู่ และเมื่อหันกลับมายังถนนอีกครั้ง เด็กหนุ่มก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าร่างสูงใหญ่ที่เคยอยู่อีกฟากของถนน บัดนี้กลับมายืนประชิดเกือบติดกับกายของตนแล้ว
 
        โดยนิสัยส่วนตัวของภู เขาไม่ชอบการสื่อสารกับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก แต่เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มต่างชาติผู้นี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขาเริ่มทักทายและพูดคุยถามคำถามง่ายๆไร้สาระกับภูเพื่อเปิดการสนทนา เขาทำเหมือนมันเป็นสิ่งที่ง่ายดาย เหมือนเป็นการหายใจที่ทุกคนต้องทำเป็นมาแต่กำเนิด คำถามแล้วคำถามเล่าหลุดออกมาจากปาก ภูผู้ซึ่งมีความรู้ทางภาษาอังกฤษอยู่ในระดับพื้นฐานฟังคำถามเหล่านั้นรู้เรื่องและตอบกลับไปได้เพียงหนึ่งในสามของทั้งหมด แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รู้สึกว่าสิ่งนั้นเป็นปัญหาแต่อย่างใด เขาพูดอะไรบางอย่างที่ภูฟังไม่ทันก่อนจะจับมือของภูไปเกาะกุมไว้ จากนั้นก็ค่อยดึงตัวเด็กหนุ่มเข้าไปแนบชิดกับตนเอง กลิ่นเหล้าโชยออกมาผสมกับกลิ่นสาปเหงื่อเจือสารเคมีบางอย่าง หนุ่มผมทองพูดอะไรออกมาอีกสองสามประโยคพร้อมกับเสียงหัวเราะ ภูไม่อาจเข้าใจคำพูดเหล่านั้นแต่สัญชาติญาณสั่งให้เขาปฏิเสธทุกอย่าง เด็กหนุ่มส่ายหน้าและพยายามขืนตัวออกมาแต่อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยมือ ซ้ำยังยกมืออีกข้างขึ้นมาบีบนวดที่บ่าและลูบไล้ท้ายทอยของเขาราวกับกำลังพยายามปลอบประโลมให้หายตื่นตระหนก และในตอนที่ทุกอย่างดูจะเข้าขั้นวิกฤติแล้วนั่นเอง กรรณก็เปิดประตูออกมาจากร้าน เขาเดินเข้ามาแยกชายคนนั้นออกไปจากภู

        “ขอโทษนะ พอดีเค้ามากับผม” กรรณบอกกับชายคนนั้นเป็นภาษาอังกฤษ สีหน้าท่าทางยังไม่มีความก้าวร้าว มีเพียงแววตาที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งก็เหมือนว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ได้เช่นกัน หนุ่มผมทองยกมือขึ้นทำท่าขอสงบศึกและล่าถอยออกไป กรรณหันกลับมาหาภูซึ่งหน้าตายังคงแสดงออกว่าตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่หาย

        “ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?” เขาถามพลางพยายามสังเกตหากมีสิ่งใดผิดปกติเกิดขึ้นกับเด็กหนุ่ม “ขอโทษที ไม่น่าทิ้งนายไว้คนเดียวเลย”
        “ไม่ครับ ไม่ เค้าไม่ได้ทำอะไร จริงๆอาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะ เพราะเมื่อกี้ผมก็ไม่รู้ว่าเค้าพูดอะไรเหมือนกัน ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง” ภูบอกให้อีกฝ่ายคลายกังวล
        “มาเถอะ เข้าไปข้างในดีกว่า มีคนนึงที่นายต้องเจอ”

        กรรณพูดพร้อมกับใช้แขนผลักประตูกระจกของร้านให้อ้าเปิดออกและยันค้างเอาไว้อยู่แบบนั้นจนกระทั่งภูผ่านเข้าไปข้างในจึงค่อยปล่อยมือออกและเดินตามมา ชายหนุ่มเดินแซงขึ้นมาข้างหน้าเพื่อนำทางไปจนกระทั่งถึงโต๊ะที่มุมด้านในสุดของร้าน ที่นั้นมีชายวัยกลางคนแต่งตัวโฉบเฉี่ยวคนหนึ่งนั่งรออยู่ บนโต๊ะไม่มีอาหารมีเพียงเอกสารจำพวกใบเสร็จรับเงินปึกใหญ่ซึ่งมีแก้วเครื่องดื่มวางทับเอาไว้ เมื่อเห็นทั้งสองเข้ามาเขาก็รีบลุกขึ้นต้อนรับด้วยท่าทีที่เป็นมิตรอย่างที่สุด

        “ว่าไงตากล้องหนุ่มคนโปรดของพี่ ได้ข่าวว่ากลับมาที่ไทยตั้งนานแล้ว ทำไมเพิ่งจะแวะมาเอาป่านนี้?” ชายคนนั้นพูดพลางปรี่เข้ามากอดคอกรรณพาไปนั่งร่วมโต๊ะ
        “ยุ่งๆเรื่องงานศพพ่อน่ะครับ งานก็เยอะ พอดีผมฝากให้เครือข่ายของพี่เพชรเค้าช่วยหางานให้ มันก็เลยไหลมาจนทำแทบไม่ทันแบบนี้” กรรณตอบก่อนจะพยักเพยิดให้ภูที่กำลังยืนเก้ๆกังๆทำตัวไม่ถูกอยู่เข้ามาร่วมโต๊ะด้วย “พอดีวันนี้ผ่านมาแถวนี้พอดี เลยแวะมาดูว่าพี่เข้าร้านรึเปล่า เห็นเด็กบอกว่าพี่อยู่ก็เลยเข้ามา”
        “อ้าว เสียใจด้วยนะเรื่องพ่อ ฉุกละหุกแบบนี้ลำบากแย่เลยสิท่า” ชายคนนั้นหันมาทางภูที่เพิ่งเดินเข้ามานั่ง “แล้วนี่ไปลักพาตัวลูกใครเค้ามาเนี่ย เด็กที่ไหน หล่อฟุ้งเชียว”
        “นี่น้องผมครับชื่อภู” กรรณหันมาแนะนำอีกฝ่ายให้ภูรู้จัก “ภู นี่พี่ช้าง ภาธร เป็นเจ้าของร้านนี้ แล้วก็เป็นสไตลิสต์และดีไซน์เนอร์ระดับแนวหน้าของไทยด้วย นายคงรู้จักแล้วมั้ง พี่กับพี่ช้างเคยร่วมงานกันอยู่เกือบปีตอนพี่เค้าไปทำงานให้กับนิตยสารฮาร์เปอร์บาร์ซาที่นิวยอร์ค”

        ภูเขม้นตามองผ่านแสงสลัวของร้าน หลังจากปรับสายตาได้จึงค่อยเริ่มรู้สึกคุ้นเค้าหน้าของชายผู้นี้ขึ้นทีละน้อย เด็กหนุ่มจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นอีกฝ่ายในรายการโทรทัศน์ช่วงหัวค่ำที่แม่ชอบเปิดดู รายการที่พาผู้ชมไปสำรวจยังร้านรวงต่างๆตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำเพื่อค้นหาเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับที่โดดเด่นด้านดีไซน์และแนะนำวิธีการนำไปสวมใส่ให้เหมาะสมกับโอกาสและไลฟ์สไตล์ ตัวจริงที่นั่งอยู่ตรงหน้าในเวลานี้บุคลิกดูเป็นคนร่าเริงสนุกสนานน้อยกว่าในโทรทัศน์อยู่หลายระดับ แน่นอนว่านั่นคงเป็นคาแรคเตอร์ที่รายการวางเอาไว้ให้แสดงไปตามบท
       
        “สวัสดีครับพี่” ภูยกมือไหว้ตามมารยาท
        “สวัสดีจ๊ะน้องภู” พี่ช้างรับไหว้ ก่อนจะหันไปถามกรรณอย่างสนอกสนใจ “ตายจริง กรรณ น้องคนนี้หน่วยก้านดีมากเลย นี่เด็กของใคร? ของช่องไหน?”
        “ไม่ได้สังกัดใครเลยครับพี่” กรรณตอบ “น้องเพิ่งมีงานโฆษณาชิ้นเล็กๆไปชิ้นเดียว พอดีผมได้ยินมาจากพี่เพชรว่าพี่กำลังจะทำลุกส์บุ๊ค อยากได้นายแบบที่หน้ายังไม่ช้ำ ก็เลยคิดว่าน้องเค้าน่าจะโอเค”
        “ไหนดูซิ…” พี่ช้างชะโงกข้ามโต๊ะมาจ้องภูอย่างละเอียด มือข้างหนึ่งจับใบหน้าของเด็กหนุ่มให้หันซ้ายหันขวา ก้มเงยขึ้นลงจนครบทุกมุมแล้วจึงสั่งให้ยืนขึ้น “ปลดกระดุมเสื้อออกให้พี่ดูหน่อย”

        ภูสะอึกเมื่อได้ยินคำขอนั้น หน้าหันไปมองขอความช่วยเหลือจากกรรณ แต่คำตอบที่ได้รับคือการพยักหน้าแสดงท่าทียืนกรานให้เด็กหนุ่มทำตามที่สไตลิสต์คนดังบอก ภูหมดทางเลือกได้แต่มองซ้ายมองขวาจนมั่นใจว่าไม่มีใครกำลังมองมาแล้วจึงค่อยปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาที่ใส่อยู่ออกจนหมด พี่ช้างจ้องดูอย่างครุ่นคิดก่อนจะนั่งลงตามเดิม “พอแล้วล่ะน้อง ติดกระดุมเหมือนเดิมได้แล้ว”

        “ใช้ได้ไหมครับ?” กรรณถามขณะที่ภูนั่งลงและติดกระดุมกลับเข้าที่
        “โอเคนะ หน้าตาดีมีเอกลักษณ์ ไม่ใช่พวกศัลยกรรมพิมพ์เดียวบล๊อกเดียวแบบที่เป็นกันทั้งวงการตอนนี้ แล้วหน้าตาแบบนี้กล้องรักมาก ไม่มีมุมตายเลย” พี่ช้างดูมีท่าทีพอใจ “บอดี้ก็โครงสวยดีถึงจะผอมไปนิดนึงแต่ก็คงไม่มีปัญหา เพราะในเล่มก็คงไม่ได้มีรูปที่ต้องถอดเสื้ออะไรอยู่แล้ว”
        “งั้น พี่ก็ใช้น้องมันถ่ายเลยก็แล้วกันเนอะ” กรรณสรุปให้เองเสร็จสรรพ
        “เดี๋ยวนี้ผันตัวมาเป็นนักปั้นแล้วหรือไงหา?” พี่ช้างกระแซะเข้ามาหยิกแขนกรรณ “จริงๆพี่ว่าเราน่ะก็โอเคอยู่ หล่อขนาดนี้เอาแต่ทำเบื้องหลังเสียของแย่ ไม่สนใจมาอยู่หน้ากล้องบ้างหรือไง?”
        “ไม่เป็นไรครับพี่ ผมเหมาะกับเบื้องหลังมากกว่า” กรรณบอกปัด “ถ้าพี่อยากให้ผมจอยโปรเจคด้วย ก็ให้ผมเป็นตากล้องก็ได้ครับ คิดราคากันเอง พี่ๆน้องๆ”
        “ไอ้เรื่องนั้นยังไงก็ต้องเป็นเราอยู่แล้วล่ะ พี่ไม่ไว้ใจฝีมือคนอื่นหรอก ตอนแรกพี่ติดต่อช่างภาพอีกคนเอาไว้ เพราะคิดว่าเราคงไม่มีคิวให้ แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวแคนเซิลได้” พี่ช้างตกลงรับข้อเสนอ “เอาเป็นว่าตกลงตามนี้แหละ พี่จะได้ไปบอกทางนั้นให้ยกเลิกแคสต์นายแบบเลย เหลือแค่แคสต์นางแบบอย่างเดียว แล้วเดี๋ยวพี่จะแจ้งกำหนดวันถ่ายอีกที ไม่น่าเกินอาทิตย์หน้าหรอก เพราะทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว ทางสปอนเซอร์ก็เร่งมาแล้วด้วย”
        “ขอบคุณครับพี่ ยินดีที่ได้ร่วมงานครับ” กรรณยกมือไหว้แทบจะท่วมหัว
        “วันนี้ไหนๆก็มาแล้ว ดื่มอะไรก็สั่งเลย พี่เลี้ยงเอง” พี่ช้างหันมาหาภูที่ยังนั่งมึนงงตามทุกอย่างไม่ทันอยู่ “น้องภูดื่มอะไรดีจ๊ะ?”
        “เอ่อ คือ…” ภูยังไม่สามารถนึกอะไรออกได้ในขณะจิตนี้
        “น้องมันไม่กินเหล้าครับพี่” กรรณชิงตอบให้เอง “ภูจะกินอะไรก็สั่งเลยนะ ผัดไทยเมื่อกี้คงยังไม่อิ่มหรอกมั้ง”

        เมนูอาหารถูกนำมาวางตรงหน้า ภูกวาดสายตาดูตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้ายแต่ก็ไม่รู้สึกอยากอาหารจึงสั่งแค่ไอศกรีมช๊อกโกแลตเพียงหนึ่งถ้วย เด็กหนุ่มละเลียดกินทีละน้อยขณะมองดูกรรณกระดกเหล้าวอดก้าลงคอแข่งกับพี่ช้างแบบช๊อตต่อช๊อตด้วยท่าทีสบายๆราวกับเป็นน้ำเปล่า จนกระทั่งปริมาตรพร่องลงไปสองในสามของขวด พนักงานในร้านก็มาตามตัวพี่ช้างผู้เป็นเจ้าของร้านไปจัดการเรื่องการเงินที่เกิดติดขัดหน้าแคชเชียร์ เมื่อกลับมาอยู่เพียงสองต่อสองอีกครั้ง ภูจึงรีบสะสางเรื่องที่ค้างคาอยู่จากเมื่อครู่ทันที

        “พี่กรรณ ตกลงว่าเมื่อกี้มันอะไร?” ภูถามกรรณผู้ซึ่งขณะนี้ใบหน้าเริ่มแดงเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์
        “ก็เราบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอยากได้งาน” คำตอบของกรรณทำให้ภูตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายตีความคำพูดของตนเมื่อช่วงบ่ายผิดไปมากโข “พี่เค้ากำลังต้องการนายแบบที่หน้าใหม่จริงๆ นายก็ตรงตามนั้น แล้วอีกอย่างถ้านายผ่านงานกับพี่ช้างมาแล้ว ต่อไปขึ้นแท่นคิวทองแน่ๆ เดี๋ยวงานก็ไหลเข้ามาหาเอง ไม่ต้องให้พี่หาให้แล้ว”
        “แต่ผมไม่ได้อยากทำงานเพราะเรื่องนั้นนี่” ภูโอดครวญ เจ็บใจตัวเองที่ไม่ได้พูดออกไปให้ชัดเจนก่อนหน้านี้ แต่ก็เกิดฮึดขึ้นมาอีกรอบด้วยความคิดที่ว่าถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังไม่สายที่จะพูดออกไปชัดๆให้เข้าใจตรงกัน “จริงๆแล้วที่ผมพูดเมื่อตอนบ่ายน่ะ มันหมายถึงว่า…”
        “พี่มาแล้วจ้า ขอโทษที่ทำให้สะดุดกลางขวด เอ๊ย กลางคัน” ยังไม่ทันจะได้พูดจบประโยค พี่ช้างก็ผู้ซึ่งเสร็จจากธุระของร้านก็กลับมานั่งที่เดิม พร้อมเต็มที่สำหรับวอดก้าช๊อตต่อไป

        เมื่อพี่ช้างกลับมาร่วมโต๊ะ บรรยากาศแห่งการร่ำสุราก็หวนกลับมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มเหมือนถูกดีดกลับออกไปอยู่นอกวงโคจรของผู้ใหญ่วัยทำงานทั้งสอง เสียงพูดคุยอย่างสนุกสนานออกรสของทั้งคู่กลับไม่ทำให้ภูรู้สึกสนุกตามไปด้วยเลยแม้แต่น้อย ด้วยในหัวยังคงครุ่นคิดถึงอีกหนึ่งเรื่องค้างคาในใจที่ยังไม่กล้าถามออกไป แม้ภูจะพยายามคิดเอาว่าเป็นอาการมองโลกในแง่ร้ายจากอารมณ์อันไม่สงบของตน แต่เขาก็อดรู้สึกขึ้นมาไม่ได้จริงๆว่ากำลังถูกกรรณใช้เพื่อเป็นเครื่องมือเข้าหาสไตลิสต์คนดังเพื่อให้ตัวเองได้มีเครดิตในงานนี้ด้วย การที่กรรณมาหาเขาถึงที่มหาวิทยาลัย หรือกระทั่งการมัดมือชกพาเขามาที่นี่ บางทีทั้งหมดนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ถูกวางแผนเอาไว้หมดแล้ว เด็กหนุ่มรู้ดีว่านี่เป็นความคิดที่อันตรายต่อความรู้สึกเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากมองในแง่นั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองในวันนี้ก็จะกลายเป็นเพียงแค่ละครฉากหนึ่งที่จอมบงการกำกับและทำทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจว่าทุกสิ่งจะดำเนินไปในทิศทางที่ตนต้องการ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-03-2018 19:58:14 โดย lolito »

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 8 part 2

        ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เหล้าในขวดก็ยิ่งพร่องลงไปมากเท่านั้น จนกระทั่งหมดขวดที่สอง พี่ช้างที่ออกอาการว่าเริ่มประคองสติตัวเองไม่ไหวแล้วก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ขอเลิกราไปเอง ภูสะพายกระเป๋าใส่กล้องของกรรณเอาไว้เองแล้วประคองตากล้องหนุ่มออกมาจากร้าน ใบหน้าของกรรณในขณะนี้แดงก่ำจนน่ากลัวแต่เขาก็ยังพอมีสติจะประคองตนให้ลัดเลาะตามโต๊ะออกมาจนถึงหน้าร้านได้โดยไม่ล้มครืนลงไปเสียก่อน ซึ่งนั่นทำให้ภูอดทึ่งในความคอแข็งของอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะด้วยดีกรีที่สูงลิบของเหล้าวอดก้านั่นย่อมหมายถึงปริมาณแอลกอฮอล์มากมายที่รับเข้าไปในร่างกาย เด็กหนุ่มยังแอบคิดว่าสภาพของอีกฝ่ายน่าจะเมาเละเทะจนเดินไม่เป็นไปแล้วด้วยซ้ำ หากแต่ไม่เพียงจะยังเดินไหวเท่านั้น เขายังมีสติมากพอจะบอกทางให้ภูพาตนเองออกจากตรอกซอกซอยอันแสนจะคดเคี้ยวออกมายังถนนใหญ่ได้อีก

        “นี่เหล้าสองขวดทำอะไรพี่ได้เท่านี้เองเหรอ?” ภูถามกลั้วเสียงหอบหายใจหลังจากวางกรรณให้นั่งลงบนขอบทางเท้า
        “ใครว่าล่ะ…” กรรณตอบเสียงอ้อแอ้ “เครื่องจะดับอยู่แล้ว”
        “แบบนี้แล้วยังจะมีหน้ามาว่าผมว่าขี้เมา” ภูหัวร่อหึในลำคอ รู้สึกเป็นต่อขึ้นมาเมื่อคิดว่าต่อไปอีกฝ่ายจะกัดตนเรื่องนี้ไม่ได้อีกแล้ว “เดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่ก่อนนะ นั่งดีๆล่ะ”

        กรรณชูนิ้วขึ้นทำท่าว่ารับทราบก่อนจะก้มเอาหน้าซุกเข่าตัวเองโยกตัวไปมาเหมือนเด็ก ภูส่ายหน้าระอาใจด้วยไม่คิดว่าจะต้องมาเป็นคนพาอีกฝ่ายกลับบ้านในสภาพนี้ เด็กหนุ่มหันไปชะเง้อคอมองหารถแท๊กซี่บนท้องถนน ไม่นานก็มีคันหนึ่งจอดรับ ภูฉุดกระชากลากถูกรรณที่ตั้งท่าจะหลับคาทางเท้าให้ลุกขึ้นมาและยัดเข้าไปยังเบาะหลังของรถก่อนที่ตนจะตามเข้าไปนั่งข้างๆ ทันทีที่ล้อหมุนเสียงกรนเบาๆก็ดังแว่วออกมาจากลำคอของชายหนุ่มผู้ถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์เล่นงานจนอยู่หมัด ภูถอนหายใจออกมาก่อนจะชำเลืองมองดูอีกฝ่ายที่กำลังหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว มือข้างหนึ่งของกรรณวางตกลงที่ข้างลำตัว เด็กหนุ่มครุ่นคิดในใจถึงเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้ในขณะนี้ที่อีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมา เมื่อคาดคะเนแล้วว่าเกิดขึ้นได้ยากจึงรวบรวมความกล้าขยับมือกระเถิบเข้าไปเกาะเกี่ยวกุมมือข้างนั้นไว้ สัมผัสอุ่นจนเกือบร้อนแผ่ซ่านจากมือสู่มือ ภูแทบจะรู้สึกได้ถึงชีพจรที่เต้นระรัวอยู่ในเส้นเลือดใต้ผิวหนัง ความรู้สึกที่คุ้นเคยเลือนรางเริ่มกลับมาอีกครั้งหนึ่ง แม้เวลาจะผ่านไปนานเป็นสัปดาห์แล้ว ทว่าภูก็ยังมั่นใจว่านี่คือสัมผัสเดียวกับที่ตนรับรู้ยามที่สติกำลังจะปลิดปลิวไปในสวนสาธารณะวันนั้น

        ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วินาทีนั้นกลับกลายเป็นเครื่องย้ำเตือนให้เด็กหนุ่มหวนระลึกได้อีกครั้งถึงความหลงใหลที่ตนมีต่อชายผู้นี้ ความขุ่นข้องใจที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ในร้านอาหารเมื่อครู่ผ่อนปรนลงในความรู้สึก จะเป็นอะไรไป ภูคิด หากทุกสิ่งจะเป็นไปตามนั้นจริง หากกรรณวางแผนทุกอย่างนี้ขึ้น ก็ไม่เป็นไร เด็กหนุ่มเข้าใจทุกอย่าง อย่างน้อยก็พยายามเข้าใจ คนเราต้องมีหนทางในการต่อสู้เพื่อตัวเองเสมอ หากว่าตัวของเขาจะช่วยให้อีกฝ่ายได้ในสิ่งที่ต้องการ ภูก็ยินดีที่จะเป็นในทุกอย่างที่กรรณอยากให้เป็น ขอเพียงแค่ให้เขาได้อยู่ใกล้ชิดกับอีกฝ่ายต่อไปแบบนี้ คุยกันได้อย่างสนิทใจแบบที่เป็นอยู่นี้ เพียงเท่านั้นก็พอ

        เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ สาลี่ก็พอจะเข้าใจว่าสิ่งใดที่รบกวนจิตใจของภูอยู่

        “ก็คือแกคิดว่าที่เค้ามาก้อร่อก้อติกกับแกก็เพื่อจะใช้แกเป็นเครื่องมือไปสู่ความก้าวหน้าทางอาชีพงั้นสิ?” สาลี่สรุปเอาจากเท่าที่จับใจความได้ “อันนี้ชั้นว่าแกคิดมากไปเองว่ะ แกก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่าเค้ามีชื่อเสียงในแวดวงถ่ายภาพมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ขนาดพี่ช้างอะไรนั่นยังไว้ใจฝีมือ แล้วเค้าจะต้องมาใช้วิธีอะไรแบบนี้อีกทำไมวะ”
        “ก็จะไม่ให้คิดได้ไง แกลองคิดดูสิ ทางฝ่ายพี่ช้างเค้าเตรียมงานเอาไว้แล้ว แต่จู่ๆเค้าก็พาชั้นไปเสนอ แล้วก็ล๊อบบี้จนชั้นได้งาน และเค้าก็ได้งานนี้ตามไปด้วย แกไม่คิดว่ามันดูจงใจหรือไง?” ภูพยายามเพิ่มน้ำหนักให้กับความคิดของฝั่งตัวเอง
        “จงใจหรือไม่ก็เหอะ แต่แกก็พูดเองนี่ว่าถึงเค้าหลอกก็เต็มใจให้หลอก” สาลี่มองไม่เห็นความต่าง
        “ก็ใช่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้อยากเป็นมากกว่านั้นนี่นา” ภูฟุบหน้าลงไปกับหัวหมีอีกครั้ง
        “งั้นก็ไม่ต้องไปคิดอะไรให้มันซับซ้อนอินเซปชั่นมาก เดี๋ยวจะเป็นบ้าไปก่อนมีแฟนคนแรก ตอนนี้ก็ดูๆกันไปว่าจะมาอีท่าไหน แต่ถ้าถามชั้น ชั้นว่าเค้าก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ถ้าเค้าคิดอะไรกับแกจริง เดี๋ยวเค้าก็จัดการหาทางเคลมแกเองแหละ” สาลี่แนะนำ
        “เคลมนี่แกหมายถึงยังไง?” ภูถาม รู้สึกใจคอไม่ดีเมื่อได้ยินคำนี้
        “เออ เดี๋ยวโดนเคลมเมื่อไหร่แกก็รู้เองล่ะว่ามันคืออะไร” สาลี่อมพะนำไม่ยอมตอบ หน้าตาดูมีลับลมคมในสุดๆ
        “รู้อะไรแล้วก็ไม่พูด เพื่อนประสาอะไรวะ” ภูงอน ผลุดลุกขึ้นยืนพลางหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายบนบ่า
        “อ้าว แล้วนั่นแกจะไปไหนน่ะ?” สาลี่ร้องถาม
        “เบื่อ จะกลับแล้ว ง่วงด้วย เมื่อคืนนอนดึก เช้าก็ต้องรีบไปเรียน เรียนเสร็จแกก็ลากชั้นมานี่ เพลียจะตายอยู่แล้ว” ภูบ่นยาวเหยียดพร้อมกับหาวประกอบให้เพื่อนเห็นว่าง่วงจริงไม่ได้แกล้งทำ
        “เออไปเถอะ อย่าลืมทำงานส่งล่ะ” สาลี่กำชับไม่ให้ภูลืมเส้นตาย
        “อือฮึ” เด็กหนุ่มพยักหน้า
        “ไอ้ภู…” สาลี่เรียกอีกครั้ง ภูซึ่งกำลังจะเปิดประตูห้องออกไปก็หยุดกึกและหันกลับมา
        “ว่าไง?” ภูถาม มือยังค้างอยู่ที่ลูกบิดประตู
        “ไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นยังไง ชั้นก็เอาใจช่วยแกอยู่นะ” สาลี่บอกพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้แล้วพยักหน้าตาม เป็นสัญญาณส่วนตัวแสดงถึงการให้กำลังใจระหว่างเพื่อนทั้งสอง
        “ขอบใจมาก” ภูยิ้มกว้างและทำสัญญาณมือเดียวกันตอบกลับไป

        เด็กหนุ่มเปิดประตูและออกจากห้องมา เขาเดินลงไปข้างล่างและยกมือไหว้ลาพ่อของสาลี่ก่อนจะออกมาจากบ้าน หลังจากได้ระบายเรื่องราวที่เคยต้องเก็บกดเอาไว้คนเดียวให้ใครซักคนฟัง ความรู้สึกอึดอัดในอกที่เคยมีก็คลี่คลายลงไปมาก ถึงแม้ว่าคำแนะนำจากสาลี่จะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่กำลังใจจากอีกฝ่ายที่ช่วยให้ตนรู้สึกว่าไม่ได้กำลังเดินอยู่ตามลำพังนั่นเองที่ช่วยได้มากกว่าคำแนะนำใดๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความลับใดๆหลงเหลือระหว่างเพื่อนทั้งสอง ดังคำกล่าวว่าความลับคือสิ่งที่ไม่เคยสูญหายไปจากโลก ท่ามกลางเรื่องราวมากมายที่ภูเปิดอกเล่าให้สาลี่ฟังในบ่ายวันนี้ ยังมีบางเรื่องที่เด็กหนุ่มเลือกจะเก็บมันเอาไว้กับตัวเอง เหมือนฝันหวานอันน่าอายที่ไม่อาจเล่าให้ใครฟังได้

        ในคืนนั้นเมื่อแท็กซี่พาทั้งสองกลับมาถึงบ้าน ภูควักเงินจ่ายค่าโดยสายก่อนจะกึ่งดึงกึ่งลากกรรณซึ่งตอนนี้กลายสภาพเป็นตุ๊กตาขนาดเท่าคนจริงลงมาจากรถและกองข้างทางหน้าประตูรั้วบ้าน เด็กหนุ่มหันรีหันขวางด้วยไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดี หากเป็นแค่ตัวเขาคนเดียวก็คงไม่มีปัญหาเลยที่จะปีนเข้าบ้านกรรณและลัดเลาะเข้าบ้านตัวเองทางระเบียงชั้นสองแบบที่เคยเป็นมา หากแต่วันนี้เจ้าบ้านกลับมานั่งกองไม่มีสติอยู่ตรงนี้ด้วย ในที่สุดเมื่อถูกเร่งเร้าด้วยการกัดของฝูงยุงที่หิวกระหายเลือดราวกับผีร้าย ภูก็ตัดสินใจทำอะไรซักอย่างเพื่อพาทั้งเขาและกรรณไปให้พ้นจากข้างถนนหน้าบ้านนี้เสียที

        “พี่กรรณ” ภูก้มลงเรียกพร้อมเขย่าแรงๆที่ไหล่ของอีกฝ่าย “พี่กรรณตื่น อย่าเพิ่งนอน กุญแจบ้านพี่อยู่ไหน?”
        “อือ…” กรรณทำท่าเหมือนจะลืมตาตื่นขึ้นแต่แล้วก็กลับนิ่งไปอีกครั้ง
        “ช่วยไม่ได้ งั้นผมต้องค้นเอาเองแล้วนะ” ภูถือว่านี่เป็นการขออนุญาต

        เด็กหนุ่มใช้สองมือตะปบคลำตามร่างกายของอีกฝ่ายราวกับตำรวจเวลาตรวจค้นอาวุธ จนกระทั่งสัมผัสเข้ากับพวงกุญแจที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนจึงค่อยล้วงมือเข้าไปหยิบมันออกมา หากแต่ขณะที่กำลังสอดมือเข้าไปนั้น พลันใบหน้าก็แดงก่ำเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านี่เป็นสัมผัสอันเฉียดใกล้จุดอันเป็นส่วนตัวของกรรณมากที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา พวงกุญแจอยู่ห่างจากปากกระเป๋ากางเกงไปเพียงนิดเดียว  คะเนว่าใช้เพียงปลายนิ้วเกี่ยวก็เอาออกมาได้ หากแต่จิตใจที่ถูกความลามกครอบงำอย่างปัจจุบันทันด่วนทำให้ภูเหิมเกริมจนค่อยๆออกแรงสอดมืออันสั่นระริกของตนเข้าไปจนสุดทาง แน่นอนว่าการออกแบบของกางเกงไม่ได้เอื้อเฟื้อต่อการกระทำลวนลามที่กำลังดำเนินอยู่ มือของภูจึงไปไม่ถึงจุดหมาย ทำได้แค่เพียงวางนาบแนบชิดกับเนื้ออุ่นของต้นขาเท่านั้น หากแต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้เด็กหนุ่มผู้กำลังหน้ามืดเพราะความกระหายเนื้อหนังมังสารู้สึกราวกับได้รับพรจากสวรรค์ ก่อนที่ในวินาทีต่อมาความรู้สึกผิดชอบชั่วดีจะหาทางกลับมาเข้าร่างอีกครั้งจนเริ่มละอายใจและชักมือออกมาพร้อมกับพวงกุญแจ

        ประตูรั้วถูกไขออก ภูหอบร่างของกรรณเข้ามาข้างในจนกระทั่งถึงภายในตัวบ้าน เด็กหนุ่มอยากจะพาอีกฝ่ายไปให้ถึงห้องนอนบนชั้นสองหากแต่เรี่ยวแรงไม่มีเหลือมากพอจะทำเช่นนั้นแล้ว ภูวางร่างของกรรณให้นอนลงบนโซฟาตัวยาวส่วนตนเองก็นั่งลงพักเหนื่อยที่โซฟาตัวเล็กอีกตัวที่ตั้งอยู่ข้างๆ เมื่อร่างกายได้ผ่อนคลายจากการอยู่ในท่าที่เหมาะสมกับการนอนเสียงกรนเบาๆก็ดังออกมาจากลำคอของชายหนุ่มอีกครั้ง ริมฝีปากของกรรณขยับมุบมิบราวกับกำลังละเมอพูดบางอย่าง ภูอยากรู้เหลือเกินว่าสิ่งใดกันที่อีกฝ่ายกำลังเห็นอยู่ในความฝันนั้น รอยยิ้มจางๆปรากฏที่มุมปากของกรรณ เขาคงกำลังฝันดี ภูจ้องมองใบหน้ายามหลับอันน่าเอ็นดูราวกับเด็กน้อยของอีกฝ่ายอย่างหลงใหล ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ไม่ใช่ความหื่นกระหายเนื้อหนังแบบที่เกิดขึ้นนอกประตูรั้วบ้านเมื่อครู่ หากแต่เป็นอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น เด็กหนุ่มลงจากโซฟามาคุกเข่ากับพื้นและเขยิบเข้าไปใกล้ใบหน้าของกรรณมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งระยะห่างระหว่างใบหน้าทั้งสองเหลือเพียงไม่ถึงคืบ ภูยื่นมือออกไปแตะลงบนแก้มของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา ก่อนจะไล้ไปตามคาง ถูไปบนตอสากๆของหนวดเคราที่เพิ่งผ่านการโกน แล้วจึงมาจบลงตรงที่ริมฝีปากสวยได้รูปคู่นั้น

        ลมหายใจอุ่นชื้นพ่นผ่านปลายนิ้ว เด็กหนุ่มใจเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนกำลังจะทำลงไป หากแต่เสียงแห่งความต้องการในใจก็ร่ำร้อง หากไม่ใช่ตอนนี้ แล้วจะเป็นเมื่อไหร่ ภูรู้ดีว่านี่อาจไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมสักเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่มีใครจำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ ให้มันเป็นบาปอันแสนหวานที่แผดเผาอยู่กลางดวงใจของเขาคนเดียวก็พอ ภูสูดหายใจเข้าเพื่อปลุกความกล้าก่อนจะค่อยๆโน้มหน้าก้มลงไปจนกระทั่งริมฝีปากของทั้งคู่ประกบเข้าหากัน

        เป็นสัมผัสอันร้อนวูบวาบราวกับเปลวเพลิง ภูกดประทับมันลงไปแน่นิ่งเนิ่นนาน จนเมื่อรู้สึกว่าริมฝีปากของอีกฝ่ายอ้าเผยอเปิดออกจึงค่อยรุกคืบด้วยปลายลิ้นที่สอดแทรกเข้าไป กรรณตอบสนองด้วยลิ้นแข็งแรงที่สอดกลับเข้ามา กลิ่นเหล้าจางๆแผ่ซ่านเข้ามาในปากของเด็กหนุ่ม เขากลืนมันลงไปอย่างยินดี เมื่ออีกฝ่ายเริ่มใช้ฟันขบเบาๆที่ริมฝีปากล่างของเขาราวกับยั่วเย้า ภูก็หัวใจเต้นแรงราวกับจะระเบิดออกมาจากอก จนกระทั่งเกินขีดสุดที่จะทานทนไหวจึงได้ถอนปากออกมาและล้มหงายลงนั่งหอบหายใจกับพื้น กรรณยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น ขยับเพียงเล็กน้อยราวกับกระตุกแต่ไม่ถึงกับรู้สึกตัว

        ภูยันตัวลุกขึ้นยืน ขายังคงสั่นแต่ก็พยายามประคองตนไม่ให้ล้มลงไป ในอกเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิดและตื้นตันในอัตราส่วนที่ทัดเทียมกัน ด้วยใจตระหนักดีว่ากำลังฉวยโอกาสจากความเมาเอาเปรียบอีกฝ่าย หากแต่ประสบการณ์ที่ได้ก็คุ้มค่าจนยากจะลืม เด็กหนุ่มขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านและหยิบผ้าห่มมาจากในห้องนอน ก่อนจะกลับลงมาและคลุมมันลงบนร่างของกรรณที่บัดนี้นอนเหยียดยาวเต็มที่อยู่บนโซฟา เมื่อนึกถึงสัมผัสอันอุ่นชื้นจากปลายลิ้นของอีกฝ่ายก็ชวนให้ใจอยากกระทำการอุกอาจเช่นเมื่อครู่อีกรอบแต่สำนึกผิดชอบชั่วดีก็พยายามหักห้ามความต้องการอันไม่ถูกไม่ควรเอาไว้

        เส้นทางอันเป็นประตูฉุกเฉินได้ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งหลังจากว่างเว้นไปนาน ขณะที่กำลังจะปีนข้ามไปนั้น ภูนึกถึงครั้งสุดท้ายที่เขาทำเช่นนี้ ในวันที่กรรณกระชากเขาลงมานอนกองบนพื้นและจับเขาส่งตำรวจให้ประวัติอันขาวสะอาดต้องมีรอยด่างพร้อยเป็นครั้งแรกในชีวิต เด็กหนุ่มอดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อนึกถึงมัน เขาปีนกลับเข้าไปยังห้องนอนของตนเองและทิ้งตัวลงนอนฟุบหน้าลงกับหมอนทั้งที่ยังสวมชุดนักศึกษาและรองเท้ายังสวมคาอยู่  มือข้างหนึ่งยกขึ้นใช้ปลายนิ้วแตะริมฝีปากที่ยังคงรู้สึกถึงแรงบดและซี่ฟันของกรรณที่ขบลงไป แม่คงเอ็ดหากขึ้นมาเห็นเขาในสภาพนี้ แต่ช่างเถอะ ไม่เป็นไร ภูบอกกับตัวเอง คืนนี้เขาจะขอนอนหลับไปพร้อมกับองค์ประกอบของทุกอย่างที่จะกลายเป็นความทรงจำเมื่อแสงของวันใหม่มาถึง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-03-2018 20:04:16 โดย lolito »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
เรื่องนี้อ่านแล้วลุ้นทุกตอนจริงๆ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:z1:


 :L2: :pig4: :L2:

ขอบคุณนะครับ ที่ติดตามอ่าน  o13

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
เรื่องนี้อ่านแล้วลุ้นทุกตอนจริงๆ

ขอบคุณมากครับ ตอนนี้เรื่องเดินไปได้ 1/3 ของทั้งหมดแล้วครับ  :katai4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด