FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน  (อ่าน 72231 ครั้ง)

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

FIRST LOVE NEXT DOOR เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน

ภู หนุ่มหน้าใสวัย 19 ขวบปี เป็นถึงขวัญใจสาวๆทั้งมหาวิทยาลัย
แต่ถ้าถามถึงคนที่ใช่กลับหาไม่เจอซักที
 ครองโสดมานานจนคิดว่าตัวเองตายด้าน
 แต่จู่ๆฟ้าก็ส่ง กรรณ หนุ่มหล่อรุ่นพี่มาอยู่ชิดติดขอบรั้ว
เมื่อเคมีมันใช่ ก็ถึงเวลาเปิดซิงหัวใจให้กับความรักครั้งแรก
 จะลงเอยอย่างไรก็คงต้องเสี่ยง เพราะคนที่ใช่มีไว้พุ่งชน!!


เป็นผลงานแนววายครั้งแรกในชีวิตเลยครับ ยังไงก็ขอฝากเอาไว้ให้พิจารณา
เรื่องทั้งหมดถูกแต่งขึ้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลใดทั้งสิ้น

จบแล้วจ้า  :bye2:
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-06-2018 14:40:05 โดย lolito »

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
EPISODE 1 part1   

        วันนี้เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว คุณกำลังทำอะไรอยู่?

        ภูก็อาจจะเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ เขาจำไม่ได้ว่าวันนี้เมื่อปีที่ผ่านมาเขากำลังทำอะไรอยู่

        แต่ถ้ามีใครถามคำถามนี้กับเขาในอีกหนึ่งปีข้างหน้า เขาคงตอบได้แบบไม่ต้องเสียเวลาคิดนานเลย

        เพราะวันนี้คือวันที่เขาโดนตำรวจจับเป็นครั้งแรกในชีวิต…


        ก่อนหน้าที่เหตุการณ์อันน่าอัปยศซึ่งจะต้องถูกจารึกเป็นตราบาปในจิตใจของเขาไปตลอดกาลจะเริ่มขึ้น ภูเองก็เป็นเพียงแค่นักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นปีที่สองคนหนึ่ง เด็กหนุ่มอายุสิบเก้าปีเศษคนนี้รู้ตัวเองว่าจัดอยู่ในจำพวกคนหน้าตาดี ซึ่งมีหลักฐานอ้างอิงว่าไม่ได้คิดไปเองได้จากการสังเกตท่าทีของบรรดารุ่นพี่รุ่นน้องทั้งสาวแท้สาวเทียมในมหาวิทยาลัยที่พากันแสดงออกว่าปลาบปลื้มเขาจนออกนอกหน้า ไม่เว้นแม้กระทั่งในคืนนี้ ณ ร้านคาราโอเกะสำหรับชาวเกย์และสาวประเภทสองย่านสีลม ที่ซึ่งถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานวันเกิดของพี่หญิงใหญ่ เจ้าของฉายาสตรีมีกล้าม เทพีลูกกระเดือกงาม ดาวเด่นของคณะสถาปัตยกรรม ภูยอมแหกเคอร์ฟิวของที่บ้านมางานนี้เพราะ สาลี่ เพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาลชวนให้มาเป็นเพื่อน แต่ดูๆ ไปแล้ว สถานการณ์โดยรวมกลับออกมาเหมือนว่าเขาถูกหลอกมาเป็นของบรรณาการให้เจ้าของวันเกิดเสียมากกว่า แถมตอนนี้ยัยเพื่อนตัวแสบผู้เป็นตัวตั้งตัวตีชวนเขามาก็ไม่รู้หายหัวไปไหน

        “น้องภูนี่หน้าเหมือนพ่อหรือแม่อ่ะคะ?” พี่หญิงใหญ่ รุ่นพี่ปีสี่ ผู้มีเพศสภาพไม่ตรงกับชื่อ เอ่ยถามขึ้นมาพร้อมกับส่งสายตาหวานเยิ้มให้

        “เหมือนพ่อครับ” ภูตอบแบบไม่ต้องคิดนาน บรรดาญาติหรือใครที่ใกล้ชิดกับครอบครัวของเขา ก็มักจะบอกเสมอว่าภูได้หน้าตาทางพ่อมามากกว่าแม่ หากว่าจะมีสิ่งใดที่ได้แม่มามากกว่าพ่อ ก็คงเป็นผิวพรรณที่เนียนขาวดูสะอาดตาตามแบบคนเหนือ

        “งั้นคุณพ่อต้องหล่อมากแน่เลยอ่ะ ลูกถึงออกมาหน้าเป๊ะขนาดนี้” รุ่นพี่คนเดิมไม่พูดเปล่า ยังยื่นมือมาหยิกแก้มเนียนใสของเขาด้วย “อยากให้คุณพี่ไปเป็นแม่เลี้ยงรึเปล่าคะ? คุณพี่เทคแคร์ดี มีเวลาให้นะ เอามะ?”

        “ไม่เป็นไรครับพี่หญิง แม่ผมยังใช้การได้ครับ ยังไม่ต้องเปลี่ยน” ภูโปรยยิ้มหวานตอบกลับไป เป็นรอยยิ้มแบบที่ทำให้พวกสาวๆ แทบจะหยุดหายใจได้ทุกครั้งที่เห็น

        “ไม่เป็นไร เป็นแม่ไม่ได้ เป็นลูกสะไภ้ของคุณแม่แทนก็แล้วกัน” คราวนี้พี่หญิงใหญ่โผเข้ามากอดภูไว้แน่น จนเด็กหนุ่มแทบจะขาดอากาศหายใจตายคาสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าหน้าอกหรือกล้ามอกของเธอดี

        หลังจากดิ้นรนจนหลุดจากอ้อมกอดมรณะของพี่หญิงใหญ่มาได้ ภูก็ลุกจากโต๊ะแล้วเดินออกมายังนอกร้านเพื่อหาจุดที่เสียงรอบตัวเงียบพอจะใช้โทรศัพท์ได้ เขาเลื่อนนิ้วไปบนหน้าจอเพื่อค้นหาเบอร์โทรในสมุดรายชื่อ จนมาหยุดที่ชื่อ “ลี่” แล้วจึงกดโทรออก เสียงสัญญาณรอสายดังขึ้นแต่ไม่มีใครรับสายจนกระทั่งสายตัดไป ภูไม่ยอมแพ้ เขากดโทรใหม่อีกครั้ง คราวนี้จึงมีคนรับ

        “ไอ้ลี่ แกอยู่ไหนวะ?” ภูยิงคำถามใส่โดยไม่เสียเวลาทักทาย “ไหนบอกไปซื้อของเซเว่นแป๊ปเดียวไง”

        “เฮ้ยยยย ภู ใจเย็นก่อน ชั้นอธิบายได้เว้ย” ปลายสายตอบกลับมา น้ำเสียงเจื่อนสนิทบ่งบอกได้ว่าขณะนี้หน้าตาของผู้พูดคงหดเหลือเพียงสองนิ้ว

        “แกไม่ต้องมาบอกให้ชั้นใจเย็นเลยนะ เย็นบ้าเย็นบออะไร แกชวนชั้นมาเองนะงานนี้ แล้วแกหายไปไหนเนี่ย ปล่อยชั้นไว้กับพี่หญิงจนจะได้กันเป็นผัวเมียอยู่แล้ว” ภูโวยวายใส่โทรศัพท์

        “คืออออ แก…” สาลี่ลากเสียงยาวแล้วหยุดพูดกลางคัน มีเสียงคล้ายกำลังสูดหายใจรวบรวมความกล้าเพื่อจะสารภาพบาปดังมาจากปลายสาย “แบบว่า ตอนนี้ชั้นกลับมาบ้านแล้วว่ะ คืองี้ แบบชั้นเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องมารอกดบัตรคอนเสิร์ตอ่ะแก EXO เลยนะเว้ย ไม่รีบกดบัตรหมดแน่นอน”

        “สรุป นี่แกเทชั้นใช่มั้ยเนี่ย” ภูส่ายหน้าด้วยความระอาใจ “แล้วดึกป่านนี้ชั้นจะกลับบ้านยังไงอ่ะ ไหนว่างานนี้มาด้วยกันกลับด้วยกัน แกไปส่งชั้นที่บ้านไง”

        “แกก็นั่งแท็กซี่สิวะ อูเบอร์ แกรบ เยอะแยะเลยเว้ย เดี๋ยวเจอกันที่มหาลัยชั้นเอาค่ารถคืนให้” ลี่เสนอหนทางเยียวยาให้

        “เอาเหอะ จำไว้เลยนะ ทิ้งกันได้” ภูกดตัดสายทิ้งด้วยความหงุดหงิดเมื่อรู้ความจริงว่ามิตรภาพตั้งแต่สมัยอนุบาลมีค่าน้อยกว่าวงบอยแบนด์

        เขายกแขนขึ้นดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือที่สวมอยู่ ขณะนี้ล่วงเข้าวันใหม่จนเกือบจะตีหนึ่งแล้ว พ่อกับแม่คงล๊อกประตูบ้านตามกฎเคอร์ฟิวไปเรียบร้อย ณ เวลานี้ภูมีทางเลือกสำหรับคืนนี้อยู่สองทาง หนึ่งคือไปนอนค้างบ้านของพี่หญิงใหญ่ซึ่งมีอัตราความเสี่ยงต่อการเสียอธิปไตยทางร่างกายถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซนต์ กับสอง คือนั่งแท็กซี่กลับเองแล้วปีนเข้าบ้านทางประตูฉุกเฉิน ซึ่งเมื่อประเมินดูอย่างถ้วนถี่แล้ว ทางที่สองดูจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและปลอดภัยต่อพรหมจรรย์กว่ามาก

        ภูกลับเข้าไปในร้านเพื่อลาพี่หญิงใหญ่เจ้าภาพวันเกิดและบรรดารุ่นพี่คนอื่นๆ ที่มาร่วมงาน จากนั้นจึงออกมาเรียกแท็กซี่ที่ถนนใหญ่ด้านหน้า เมื่อรถวิ่งเข้ามาเกือบจะสุดซอยซึ่งเป็นที่หมาย เด็กหนุ่มก็บอกให้คนขับจอดก่อนจะถึงบ้านตัวเอง เขาจ่ายเงินค่าโดยสารและลงจากรถ รอจนกระทั่งแท๊กซี่คันที่นั่งมาขับออกจากซอยจนพ้นสายตาไปแล้วจึงค่อยกลับหลังหันเดินตรงไปยังประตูฉุกเฉิน

        ประตูฉุกเฉินที่ว่านั้นคือบ้านไม้สภาพกลางเก่ากลางใหม่ซึ่งตั้งอยู่แทบจะชิดติดกับบ้านของภู มีเพียงกำแพงเล็กๆ ที่คั่นเป็นพรมแดนระหว่างทั้งสองหลัง จากความสนิทสนมของทั้งสองครอบครัว ทำให้เจ้าของบ้านหลังนี้ยินยอมให้ทางครอบครัวของเด็กหนุ่มต่อเติมบ้านล้ำอาณาเขตรั้วเพื่อทำระเบียงสำหรับห้องนอน และผลลัพท์ของมันนั้นก็ทำให้บริเวณนี้กลายเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างทั้งสองบ้านไปโดยปริยาย ซึ่งด้วยระยะห่างระหว่างสุดทางเดินบนระเบียงชั้นสองกับระเบียงห้องนอนของภูที่กว้างเพียงแค่สามคืบ จึงไม่ยากเลยสำหรับคนตัวสูงแขนขายาวอย่างเขาที่จะปีนข้ามฝั่งจากระเบียงทางเดินไปยังระเบียงห้องนอนของตน จากนั้นก็ดึงเปิดหน้าต่างที่ปลดล๊อคเตรียมเอาไว้แล้วเข้าไปข้างใน แน่นอนว่าเป็นการกระทำที่เสี่ยงต่อการตกลงมาขาแข้งหักหรือถูกใครเข้าใจผิดว่าเป็นพวกย่องเบามาก แต่เด็กหนุ่มไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว พ่อกับแม่ของเขาเคร่งครัดมากเรื่องเวลาในการกลับถึงบ้านของลูก ทั้งสองมีความคิดที่ตรงกันว่าเยาวชนอายุไม่ถึงยี่สิบปีไม่ควรจะเตร็ดเตร่อยู่นอกบ้านหลังพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว และจะไม่มีวันสนับสนุนการกลับบ้านดึกของบุตรหลานด้วยการรอเปิดประตูบ้านให้อย่างแน่นอน ดังนั้นหากภูกลับมาไม่ทันกำหนดเส้นตายก็เท่ากับคืนนั้นต้องหาที่ซุกหัวนอนเอาเองหรือไม่ก็นอนตบยุงอยู่หน้าบ้านจนเช้า ซึ่งกำหนดเส้นตายที่ว่านั้นไม่มีระบุเวลาไว้แน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าละครหลังข่าวจบตอนไหน

        แรกเริ่มเดิมทีหลังจากที่ครอบครัวประกาศใช้นโยบายนี้ ภูรับมือกับมันด้วยการเช่าห้องพักรายวันนอนรอจนเช้าแล้วค่อยกลับบ้าน จนกระทั่งเมื่อเงินค่าขนมรายเดือนที่พ่อกับแม่ให้เริ่มไม่พอต่อการใช้จ่าย เขาจึงต้องปรับเปลี่ยนหนทางแก้ปัญหาไปเป็นการอาศัยค้างคืนที่บ้านของเพื่อนสนิทอย่างสาลี่ซึ่งอยู่ถัดออกไปสองซอยแทน ทว่าหลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มมีข่าวลือหนาหูแพร่สะพัดไปทั่วมหาวิทยาลัยว่าทั้งสองแอบคบหาอยู่กินกันฉันผัวเมีย วิธีนี้จึงต้องล้มพับไปเพื่อรักษาชื่อเสียงทางสังคมให้ครอบครัวเพื่อน และก็ตั้งแต่ตอนนั้นเองที่ประตูฉุกเฉินเริ่มถูกนำมาใช้งาน

        สำหรับบ้านหลังนี้นั้น ครอบครัวที่เคยอาศัยอยู่ได้ย้ายออกไปตั้งแต่ภูยังเรียนไม่จบมัธยมปลาย แม้ว่าผู้ใหญ่ของทั้งสองบ้านจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันแต่ในมุมของเด็กอย่างภูเองนั้นก็ไม่ได้มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับพวกเขามากมายนัก เท่าที่จำได้คือครอบครัวนี้มีลูกชายหนึ่งคนที่อายุน่าจะมากกว่าเขาพอสมควร ผู้ซึ่งไปเรียนต่อที่ต่างประเทศก่อนที่ทั้งครอบครัวจะย้ายออกไปเพียงไม่กี่ปี และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บ้านหลังนี้ก็ถูกปล่อยว่างไม่มีใครมาอาศัยอยู่ มีเพียงแม่บ้านจากบริษัทรับจ้างทำความสะอาดที่จะเข้ามาดูแลเพียงเดือนละหนึ่งครั้งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ภูจึงไม่มีอะไรต้องกังวลเลยในขณะที่พาตัวเองปีนป่ายข้ามประตูรั้วเข้ามาในบริเวณบ้าน ขึ้นบันไดที่อยู่นอกตัวบ้านไปยังชั้นสอง แล้วเดินเลาะไปตามทางเดินของระเบียงนอกชานซึ่งทอดยาวไปสุดยังระเบียงหน้าต่างห้องนอนของตัวเอง

        แต่ภูไม่ได้เอะใจเลยแม้แต่น้อย ว่าคืนนี้อาจไม่เหมือนกับทุกคืนที่ผ่านมา…

        เด็กหนุ่มชะล่าใจจนไม่ทันได้สังเกตเห็นด้วยซ้ำว่าหลอดไฟที่นอกระเบียงเปิดอยู่ และไม่ได้เอะใจกับเสียงเพลงที่แว่วออกมาเข้าหูจากในตัวบ้าน เขาปฏิบัติการอย่างใจเย็น จริงอยู่ที่ระยะห่างระหว่างระเบียงของบ้านทั้งสองหลังนั้นไม่ได้กว้างมาก แต่หากรีบร้อนก็อาจพลาดตกลงไปจูบพื้นได้ง่ายๆ ภูเอื้อมมือขึ้นไปจับยังราวไม้ด้านบน จากนั้นจึงเหวี่ยงตัวปีนขึ้นบนระแนงรั้วไม้ของระเบียงเตรียมจะก้าวข้ามไปอีกฝั่ง ทันใดนั้นเองคอเสื้อนักศึกษาที่สวมใส่อยู่ก็ถูกกระชากอย่างแรงจากด้านหลังจนร่างของเขาหงายท้องร่วงลงมาจากขอบรั้วที่กำลังปีน วินาทีที่แผ่นหลังกระแทกพื้นนั้นเขารู้สึกเหมือนในหัวมีแสงไฟกระพริบวูบวาบพร้อมเสียงไซเรนดังก้องสะท้อนไปมาในแก้วหู ในตอนนี้แม้จะยังไม่อาจทราบได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เด็กหนุ่มก็พอจะรับรู้ได้จากสัญชาติญาณว่าความบรรลัยกำลังจะบังเกิดขึ้นแล้ว ถึงเวลาต้องเอาตัวรอดโดยด่วน ดังนั้นแม้จะยังจุกไม่หายจากแรงกระแทกเมื่อครู่แต่ภูก็พยายามยันตัวลุกขึ้นเตรียมใส่เกียร์หมาวิ่งหนีลงบันใดไปชั้นล่าง ทว่ายังไม่ทันจะตั้งหลักยืนตรงได้ก็โดนจู่โจมซ้ำด้วยศอกอีกชุดซัดเข้ากลางแผ่นหลังอย่างแรงจนต้องทรุดกลับลงไปกองที่เดิม

        “หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะไอ้โจรกระจอก ไม่งั้นโดนอีกแน่” เจ้าของศอกที่ซัดภูจนหมอบกระแตชี้หน้าขู่เสียงเหี้ยมเกรียมก่อนจะหันไปพูดใส่โทรศัพท์มือถือ “แจ้งเหตุครับ มีพวกย่องเบาบุกรุกเข้ามา บ้านเลขที่101ครับ หลังสุดท้ายก่อนถึงท้ายซอยเอื้ออัมพร ใช่ครับ… ตอนนี้จับตัวคนร้ายไว้แล้วครับ”

        “พี่ครับ ไม่นะ ไม่ใช่แบบที่พี่กำลังคิดอยู่นะ” ภูรีบระล่ำระลักแก้ตัว เพราะเท่าที่ได้ยินจากบทสนทนาเมื่อครู่ ไม่ว่าชายคนนี้จะเป็นใคร เขากำลังคิดว่าภูเป็นโจรย่องเบาและกำลังจะส่งมอบตัวสู่เงื้อมมือกฎหมาย เด็กหนุ่มผู้กำลังดวงตกอย่างหนักรีบชี้ไปทางหน้าต่างห้องนอนตัวเองพร้อมกับอธิบายตามความจริง “นี่บ้านผมเองครับ ผมกำลังจะเข้าบ้านตัวเอง แค่อาศัยบ้านนี้เป็นทางผ่านเฉยๆ”

        “บ้านตัวเองแล้วทำไมต้องมาทำลับๆ ล่อๆ แบบนี้?” ชายคนนั้นหันกลับมาถามหลังจากวางสายจากตำรวจ

        “ก็…” ภูอึกอัก เนื่องจากตระหนักขึ้นมาได้ว่าในสภาพการณ์เช่นนี้ ต่อให้พูดความจริงออกไปทั้งหมด มันก็ยังฟังดูไม่น่าเชื่อถือเลยแม้แต่น้อย

        “ถามไม่ได้ยินหรือไง?” เขาทำเสียงดุ เค้นจะเอาคำตอบให้ได้

        “ก็บ้านผมอ่ะ! ผมจะเข้าทางไหนมันก็เรื่องของผม!” ภูสติหลุดเถียงกลับไปแบบข้างๆ คูๆ ด้วยความโมโหจากการถูกกระทำดุจเป็นอาชญากร

        นั่นเป็นประโยคสุดท้ายระหว่างการสนทนาของทั้งคู่ เพราะอีกสิบนาทีหลังจากนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาถึง ภูก็ถูกจับกุมทันทีและไม่มีโอกาสได้ชี้แจงอะไรอีกต่อไป ระหว่างทางขณะที่นั่งอยู่ข้างกรวยจราจรบนท้ายกระบะรถสายตรวจ เด็กหนุ่มก้มลงมองข้อมือตัวเองที่โดนสวมด้วยกุญแจมือสีเงินวาววับอยู่แล้วอดนึกขึ้นมาไม่ได้ว่าถ้าภาพนี้ถูกอัพโหลดลงเฟสบุ๊ค เพื่อนๆ จะฮือฮากันขนาดไหน และพ่อกับแม่จะรู้สึกเช่นไรที่นโยบายของทั้งคู่พาลูกตัวเองมาถึงจุดนี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-03-2018 18:22:39 โดย lolito »

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
EPISODE 1 part2   
   
        เมื่อมาถึงโรงพัก ภูพยายามติดต่อพ่อกับแม่ด้วยโทรศัพท์มือถือเพื่อจะได้ยืนยันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตามคำกล่าวอ้างว่ากำลังจะปีนเข้าบ้านตัวเองจริงๆ แต่ผลลัพท์ก็คือไม่มีใครรับสายแม้แต่คนเดียว ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากที่คาดการณ์เอาไว้ซักเท่าไหร่นัก เพราะเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ทั้งสองจะปิดเสียงโทรศัพท์ก่อนเข้านอนเพื่อป้องกันลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกระหน่ำโทรมาปลุกกลางดึกเพื่ออ้อนวอนให้เปิดประตูบ้านให้อย่างที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งประกาศใช้นโยบายช่วงแรกๆ ดังนั้นคืนนี้สิ่งสุดท้ายที่เขาพอจะทำได้ก็เหลือแค่เพียงนอนตบยุงในมุ้งสายบัวรอจนกว่าจะเช้า

        “เด็กสมัยนี้นี่จริงๆ เลยนะ หน้าตาก็ดี ใฝ่ต่ำคิดริเป็นโจรซะได้” เจ้าหน้าที่ตำรวจบ่นอย่างเหนื่อยหน่ายใจขณะดันตัวภูเข้าประตูไปยังหลังลูกกรง

        “โจรบ้าอะไรล่ะ! นั่นน่ะบ้านผม!” ภูหันกลับมาว๊ากใส่

        “พิสูจน์สิ” คุณตำรวจท้าทายกลับมาพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยันชวนเจ็บใจ “โกหกอะไรก็ให้มันเนียนๆ หน่อยไอ้น้อง ดูบัตรประชาชน ที่อยู่ก็ไม่ตรงกับบ้านนั้น แถมที่บอกว่าจะโทรหาคนนั้นคนนี้ ก็ติดต่อไม่ได้ซักคน ใครมันจะไปบ้าเชื่อได้ลง”

        “ไม่ต้องเชื่อหรอก แต่เดี๋ยวพอเช้าได้รู้แน่ รู้กันเลย”

        ภูเดินกระฟัดกระเฟียดไปนั่งกอดเข่าอยู่มุมห้อง เมื่อความเดือดดาลลดลง เขาก็เพิ่งจะได้ทันเห็นสภาพแวดล้อมอันน่าสยดสยองที่รายล้อมรอบตัวอยู่ นี่มันไม่เหมือนห้องขังในหนังฝรั่งที่เคยดูเลยแม้แต่นิดเดียว ข้างซ้ายของเขาเป็นผู้ชายผมเผ้ารุงรังเนื้อตัวมอมแมมเต็มไปด้วยฝุ่น ส่วนทางขวาเป็นคนเมาที่ฉี่ราดกางเกงและกำลังนั่งร้องไห้ไม่หยุด กลิ่นฉี่โชยมาเข้าจมูก เด็กหนุ่มพยายามพาตัวเองออกจากความเป็นจริงอันโหดร้าย เขาจินตนาการว่าตัวเองอยู่ในช่วงวันหยุดพักผ่อนในประเทศทางตอนใต้ของอเมริกา และกำลังโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นจับกุมตัวในข้อหาอันแสนจะน่าขบขัน ทั้งหมดนี่จะเป็นแค่การผจญภัยในวันหยุดอันแสนสนุกสนานซึ่งจะเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ ได้ทุกครั้งที่นำมาเล่า แต่พอเกือบจะทำสำเร็จเมื่อใด กลิ่นฉี่ก็พาเขากลับมาสู่ความเป็นจริงอันน่าสะพรึงตรงหน้าได้ทุกครั้ง

        ขณะที่ภูเริ่มทำใจรับสภาพได้และเตรียมจะเอนหลังลงนอนบนพื้นเย็นๆ ของห้องขัง ตั้งใจจะพยายามข่มตานอนให้หลับเพื่อรอจนกว่าจะถึงเวลาเช้านั้นเอง เหมือนเกิดมีปาฏิหาริย์บันดาลให้ เมื่อจู่ๆ พ่อกับแม่ของเขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่โรงพัก หากแต่ความดีใจที่กำลังมีอยู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นประหลาดใจแทน เมื่อพบว่าบุคคลที่พาทั้งสองมานั้นไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่เป็นชายลึกลับข้างบ้านผู้ซึ่งเพิ่งจับเขาส่งตำรวจหมาดๆ เมื่อครู่นี้เอง ทั้งสามคนคุยกับตำรวจอยู่พักหนึ่งก่อนที่เจ้าหน้าที่คนเดิมที่พาภูมาที่นี่เมื่อครู่จะถือกุญแจมาไขประตูห้องขัง

        “ตกลงว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันใช่ไหมครับ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถามขณะไขกุญแจปล่อยตัวภูออกจากห้องกรง

        “ใช่ค่ะ นี่ลูกชายดิฉันเอง แกเข้าบ้านไม่ได้ก็เลยปีนเข้าทางบ้านข้างๆ” แม่ของภูอธิบาย

        “เห็นมั้ย บอกแล้วไงเดี๋ยวรู้เลย” ภูหันไปมองคุณตำรวจแล้วทำหน้าตายียวนจนโดนพ่อถองด้วยข้อศอกไปหนึ่งที

        “แต่ถึงยังไงก็ยังเหลือข้อหาบุกรุกในยามวิกาลอยู่ดี” คุณตำรวจยังไม่ยอมเลิกรา เขาหันไปถามชายข้างบ้านผู้เป็นเจ้าทุกข์ “จะยังดำเนินคดีข้อหานี้ไหมครับ”

        “ไม่เป็นไรครับ ถ้ารู้ว่าเป็นเพื่อนบ้านผมก็คงไม่แจ้งตำรวจตั้งแต่แรกแล้วล่ะ” เขาคนนั้นตอบพร้อมกับเหลือบมองมาทางภูแวบหนึ่ง

        ท่ามกลางแสงไฟอันสว่างจ้าของสถานีตำรวจ ภูเพิ่งจะได้เห็นใบหน้าและรูปพรรณสันฐานของชายข้างบ้านคนนี้อย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก เขาตัวสูง เท่าที่ประมาณด้วยสายตาก็น่าจะสูงกว่าภูพอสมควร จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมถึงเล่นงานเด็กหนุ่มจนหมอบได้ ผิวเป็นสีแทนจางๆ แบบที่พอมองออกว่าเกิดจากการตากแดดไม่ใช่สีผิวธรรมชาติตามพันธุกรรม ภูลอบมองผิวในร่มผ้าของอีกฝ่ายขณะเขายกมือขึ้นไหว้ขอโทษพ่อกับแม่ เนื้อกายที่เผยออกมานั้นเป็นสีขาวและดูอ่อนนุ่ม เด็กหนุ่มจับจ้องดูชายผู้เป็นคู่กรณีของตนอย่างไม่วางตา เหมือนต้องมนต์สะกดบางอย่าง เพียงได้เห็นใบหน้านั้น ความขุ่นเคืองทั้งหลายดูจะจางลงไปแทบหมดสิ้น และเมื่อสายตาของทั้งคู่หันมาสบประสานกันโดยบังเอิญ แม้จะเพียงครู่เดียว เพียงเท่านั้นก็มากพอที่จะทำให้เลือดลมทั่วร่างปั่นป่วน เกิดวูบวาบในท้องขึ้นมาราวกับมีผีเสื้อทั้งฝูงเข้าไปบินวนอยู่อย่างหาสาเหตุไม่ได้

        “ภู ขอโทษพี่เค้า แล้วจะได้กลับบ้านกันซักที” พ่อหันมาสั่งภู โดยมีแม่ผู้ซึ่งยังไม่แกะโรลม้วนผมออกจากหัวยืนทำหน้าทำตาเห็นสมควรด้วยอยู่ข้างๆ

        “พ่อว่าไงนะ?” ภูทนไม่ได้ รู้สึกเหมือนถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม “จะให้ผมขอโทษเรื่องอะไร เรื่องที่พยายามเข้าบ้านตัวเองแล้วโดนเค้าซ้อมก่อนจับส่งตำรวจน่ะเหรอ?”

        “ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ทางผมเองก็ยอมรับว่าทำเกินกว่าเหตุไปนิด” ชายคนนั้นรีบบอกปัดว่าไม่ถือสาหาความใดๆ

        “นิดเหรอ? ไม่นิดแล้วมั้ง ดูนี่สิ…” ภูถอดเสื้อออกโชว์รอยช้ำจากการโดนประเคนศอกลงบนแผ่นหลังให้พ่อกับแม่ดู พร้อมกับพยายามปั้นสีหน้าให้ดูน่าสงสารที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อเรียกคะแนนสงสาร “ดูสิแม่ เจ็บอ่ะ”

        “โดนซะมั่งก็ดี ใครใช้ให้กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ แถมยังไปปีนบ้านคนอื่นเค้าล่ะ” แม่ตอบอย่างไร้วี่แววความเมตตา

        แม้ว่าคำตอบของแม่จะแสดงให้เห็นว่าที่ลงทุนเล่นใหญ่รัชดาลัยไปเมื่อครู่ไม่มีผลอะไรแม้แต่น้อย แต่ในเวลาเดียวกันนั้นก็เหมือนมันยังส่งผลกับใครบางคนอยู่ ภูแอบสังเกตุเห็นสายตาที่ชายคนนั้นมองมาที่เขา แววตาที่จรดลงบนร่างท่อนบนอันเปลือยเปล่า ก่อนจะรีบละสายตามองออกไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว ภูรู้จักแววตาแบบนั้น หากแต่ไม่อาจมั่นใจได้ถึงความหมายของมัน มันเป็นสายตาที่ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างความประหม่ากับระอิดระอาอีกทั้งยังกลั้วไปด้วยความรู้สึกผิดจางๆ

        “หูยแม่อ่ะ! ไหงงั้นอ่ะ! นี่ลูกนะ!” ภูโวยวายเป็นเด็กถูกขัดใจลั่นโรงพัก รู้สึกเหมือนโดนหักหลังโดยครอบครัวตัวเอง

        “นี่พี่เค้าไม่เอาเรื่องก็บุญหัวแล้วนะ ใส่เสื้อให้เรียบร้อยแล้วขอโทษเค้าซะ จะได้กลับบ้านกันซักที” พ่อโยนเสื้อให้พร้อมกับส่งเสียงดุมาสำทับ

        เมื่อมาถึงจุดนี้ก็ดูเหมือนทางเลือกอื่นใดจะไม่มีอีกแล้ว ภูส่ายหน้าแล้วหยิบเสื้อกลับมาสวมพลางแอบเหล่สายตามองไปยังใบหน้าของคู่กรณีอีกครั้ง หล่อเหลา คำนี้คงฟังดูน้ำเน่าเกินกว่าจะใช้ในศตวรรษที่ยี่สิบแล้ว แต่สำหรับใบหน้าของชายคนนี้ หากไม่ใช่คำนี้ก็ไม่รู้ว่าจะใช้คำไหนมาแทนที่ เขามีหน้าตาแบบที่ชวนให้นึกถึงกระดูกภายใต้ผิวหนัง ภูเชื่อจริงๆ ว่าต่อให้เหลือแต่กะโหลกเขาคนนี้ก็จะยังดูหล่อได้อยู่ จมูกโด่งเป็นสัน ปลายจมูกเป็นมันเล็กน้อย เค้าหน้าคมเข้มคล้ายเสือ คิ้วเรียวยาว ริมฝีปากได้รูปพอเหมาะพอเจาะราวกับเคาะออกมาจากแม่พิมพ์ ใต้ตามีรอยคล้ำจางๆ อาจเกิดจากภูมิแพ้หรือการอดหลับอดนอน สีหน้าบูดบึ้งยังคงถูกฉาบเอาไว้บนใบหน้าเหมือนเดิมเมื่อครั้งแรกเห็น หมอนี่ยิ้มเป็นไหมนะ ไหนบอกเองว่าแค่เรื่องเข้าใจผิดไง ไม่เห็นจะต้องหงุดหงิดขนาดนั้นเลย ภูคิดในใจ มันอาจฟังดูผิดที่ผิดเวลาไปนิด แต่ภูอยากเห็นเขายิ้มซักครั้ง

        “ผมขอโทษครับ” ภูพูดพร้อมกับบรรจงไหว้แบบที่สวยสุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่สายตาลอบชำเลืองมองดูท่าทีตอบสนองของอีกฝ่าย

        “ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” เขาตอบกลับมาน้ำเสียงราบเรียบ แต่ใบหน้ายังตึงเครียดคงเส้นคงวา

        จ้า ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่จับอีกฝ่ายส่งตำรวจ ภูนึกในใจหากแต่ไม่ได้พูดออกเสียง รู้สึกผิดหวังนิดหน่อยที่แม้จะยอมขอโทษแล้วแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่วางท่าทีปั้นปึ่งลงแม้แต่น้อย

        เมื่อเสร็จธุระเรื่องคดีความของตัวเองแล้ว ภูผู้ซึ่งเหม็นเบื่อโรงพักเต็มทีก็ขอตัวแยกออกมารอที่รถก่อน ในขณะที่พ่อกับแม่ยังคงคุยอะไรบางอย่างกับชายข้างบ้านคนนั้นอยู่อีกครู่หนึ่งจึงค่อยตามมาสมทบ และเป็นไปตามคาด เมื่อระหว่างทางกลับบ้านภูก็โดนแม่เป็นเจ้าภาพเดี่ยวจัดเทศนากัณฑ์ใหญ่กรอกหูมาตลอดทางจนหูชา เนื้อหาหลักๆ โดยรวมคือการพร่ำพรรณนาว่าแม่อับอายแค่ไหนกับการที่ต้องมารับลูกชายจากโรงพักกลางดึกด้วยข้อหาแบบนี้ โครตเหง้าศักราชของเราไม่เคยฉาวโฉ่ขนาดนี้มาก่อน และภูจะเป็นรอยด่างพร้อยแห่งวงศ์ตระกูลที่ซักไม่ออกเหมือนคราบน้ำยาขนมจีนบนเสื้อขาว ส่วนพ่อไม่พูดอะไรเลย

        “ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าจู่ๆ บ้านนั้นจะมีคนมาอยู่” ภูพยายามอธิบายแต่ก็เหมือนจะไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เขาจึงเบี่ยงประเด็นไปคุยเรื่องอื่นซึ่งตนเองก็กำลังสนใจใคร่รู้อยู่เช่นกัน “ว่าแต่ผู้ชายคนนั้นน่ะ ใครกันครับ?”

        “พี่เค้าชื่อกรรณ เป็นลูกชายของครอบครัวที่เคยอยู่บ้านหลังนั้นไง แกคงจำเค้าไม่ได้หรอกมั้ง เพราะเค้าไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่แกยังหัวเกรียนอยู่เลย แล้วพอเรียนจบก็ทำงานอยู่ที่นั่นซะตั้งหลายปี ตอนนี้เห็นว่าคุณพ่อเค้าเสียเลยกลับมาจัดการงานศพ แล้วก็ถือโอกาสกลับมาอยู่บ้านเดิมด้วยเลย “พ่อผู้ซึ่งนั่งเงียบมาตลอดทางยอมเปิดปากตอบคำถามของภู แต่ก็ไม่วายแว้งกัดลูกชายตัวเอง “น่าคิดนะ อยู่บ้านข้างกันแท้ๆ แต่อนาคตต่างกันลิบลับ ลูกเค้าเรียนจบเมืองนอกเมืองนา ส่วนลูกเราสิ ฉายแววเป็นตีนแมวย่องเบา”

        “พ่อตั้งใจขับรถต่อเถอะครับ เดี๋ยวชนหมา” ภูรีบตัดบทก่อนจะโดนบ่นยาว ตัดสินใจแล้วว่าการนั่งเงียบๆ ไม่พูดอะไรอีกเลยจนกว่าจะถึงบ้านน่าจะเป็นตัวเลือกที่ฉลาดกว่า

        เมื่อกลับมาถึงบ้าน ภูพาร่างอันกระปรกกระเปรี้ยของตัวเองขึ้นไปยังห้องนอน นาฬิกาที่หัวเตียงบ่งบอกว่าเวลาขณะนี้เกือบจะตีสามแล้ว นี่เป็นค่ำคืนที่ยาวนานและน่าหงุดหงิดที่สุดในชีวิตนับตั้งแต่เขาจำความได้ เด็กหนุ่มถอดเสื้อกับกางเกงออกแล้วโยนลงตะกร้าข้างเตียง เตรียมตัวเข้านอนในกางเกงบ๊อกเซอร์ลายทางตัวเดียวเหมือนเช่นทุกวัน ในตอนนั้นเองที่เขานึกขึ้นมาได้ว่าบ้านข้างๆ ไม่ได้ว่างไร้คนอยู่เหมือนที่ผ่านมาแล้ว ภูจึงลุกจากเตียงเดินไปที่หน้าต่างเพื่อปิดม่าน เมื่อมองออกไปทางห้องซึ่งอยู่เยื้องออกไปยังฝั่งตรงกันข้ามนั้น ก็พบว่าห้องที่เคยปิดไฟมืดมานานนับปี บัดนี้มีแสงไฟเปิดสว่างอยู่

        “กลับมาถึงก่อนอีกแฮะ…” ภูพึมพำกับตัวเอง

        ขณะที่ภูกำลังจะรูดผ้าม่านปิดนั้น พลันเด็กหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวบางอย่างจากอีกฟากหนึ่ง เสียงบานประตูอ้าออกและงับปิดดังแว่วออกมาจากห้องนั้น ชายข้างบ้านคนนั้น คนที่ภูเพิ่งได้รู้จากพ่อว่าเขาชื่อกรรณเดินเข้ามาข้างในห้องในสภาพเกือบเปลือยเหลือเพียงผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนเดียวที่ห่อหุ้มร่างกายอยู่ เนื้อตัวและเรือนผมเปียกชุ่มไปด้วยหยดน้ำ เขาคงเพิ่งจะอาบน้ำมาเสร็จหมาดๆ ภูหยุดมือตัวเองชะงักเอาไว้แค่นั้นก่อนจะตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองด้วยการขยับตัวปรับหามุมที่มองเห็นภาพในห้องนั้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

        ในห้องนั้น กรรณกำลังก้มหน้าก้มตารื้อค้นหาบางอย่างจากกองสัมภาระของตนเอง ทุกการเคลื่อนไหวของเขาในขณะนี้ไร้ซึ่งความระมัดระวังตัว ด้วยคงไม่คาดคิดว่าจะมีใครบางคนเฝ้ามองอยู่จากฝั่งตรงข้าม ทุกครั้งที่เขาลุกขึ้นยืนหรือก้มลง เนื้อหนังในร่มผ้าส่วนที่ถูกปกปิดในเวลาปกติก็กลับเผยพ้นเงาผ้าออกมาโดยไม่รู้ตัว แม้จะไม่อยากยอมรับซักเท่าใดนัก แต่ภูก็รู้ตัวเองดีว่ากำลังทำพฤติกรรมเป็นพวกถ้ำมองอยู่ ทุกอิริยาบถของชายหนุ่มข้างบ้านในสภาพกึ่งเปลือยที่ผ่านสายตานั้นยิ่งทำให้ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวมากขึ้นเรื่อยๆ

        นี่มันช่างน่าละอายและขายขี้หน้า ภูด่าตัวเองในใจ ไม่อาจรู้ได้ว่าศักดิ์ศรีที่เคยมีตอนนี้หนีหายไปอยู่ที่ไหนหมด ทั้งที่ถ้ามองจากเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น การพบกันครั้งแรกอันไม่น่าประทับใจนี้ควรจะส่งผลทางอารมณ์ในด้านลบจนแทบไม่อยากมองหน้าอีกฝ่ายด้วยซ้ำ แต่นี่กลับตรงกันข้ามกัน เขากลับมายืนส่องดูอีกฝ่ายนุ่งผ้าเช็ดตัวเผยผิวกายวับๆ แวมๆ มองไปใจก็เต้นโครมครามไปไม่ต่างอะไรกับพวกโรคจิต ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสายตาของภูเรียกร้องหากรรณอยู่ตลอดนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นอีกฝ่ายชัดเจนเต็มสองตาในสถานีตำรวจ ความโกรธขึ้งหายไป เหลือเพียงความหงุดหงิดอันเกิดจากท่าทีปั้นปึ่งของอีกฝ่ายเท่านั้น เป็นความไม่พอใจอันมีรากเหง้าจากการที่ไม่อาจทำให้อีกฝ่ายพอใจได้ ด้วยเหตุนั้นภูถึงกับยอมลดทิฏฐิขอโทษแม้ใจจะคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ว่าไม่ได้ทำผิด ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีวันจะเกิดขึ้นในเวลาปกติ ทั้งหมดนี้ก็เพื่ออยากให้กรรณเลิกวางท่าไม่เป็นมิตรเสียที แต่เปล่าประโยชน์ ในเมื่ออีกฝ่ายดูจะไม่เห็นความสำคัญของคำขอโทษที่เค้นออกมาอย่างยากลำบากเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย

        หลังจากสาละวนรื้อค้นอยู่พักใหญ่ กรรณก็หยิบเอาเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงนอนออกมาจากในกระเป๋าเดินทาง ก่อนจะหันกลับเดินมาปิดม่านที่หน้าต่าง สายตาของทั้งสองเกือบจะสบกันเข้าพอดีในเวลานั้น ภูรีบเร้นกายหลบเข้ายังมุมอับสายตาด้วยระแวงว่าอีกฝ่ายจะทันสังเกตุเห็น คืนนี้แค่โดนตราหน้าว่าเป็นตีนแมวก็เป็นตราบาปแก่ชีวิตของเขามากพอแล้ว อย่าให้มีข้อหาถ้ำมองมาแปะหน้าผากอีกกระทงเลย ภูแอบนิ่งอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งแสงไฟจากฝั่งตรงข้ามดับลงจึงค่อยออกจากที่กำบัง เวลานี้สรรพเสียงรอบตัวเงียบสงัดราวกับเวลาหยุดนิ่ง เหลือเพียงแต่เสียงหัวใจของเด็กหนุ่มที่ยังคงเต้นโครมครามจนแทบจะหลุดออกมานอกอก ไม่ว่าจะพยายามเอาธรรมะเข้าข่มเพียงใดมันก็ยังไม่ยอมแผ่วเบาลงเลยแม้แต่น้อย ภาพล่อแหลมของชายหนุ่มรุ่นพี่ที่ได้เห็นเมื่อครู่นี้ยังคงติดตรึงในดวงตาพาให้อารมณ์พลุ่งพล่าน ภูพยายามทำใจให้สงบขณะทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ทันทีที่แผ่นหลังสัมผัสกับที่นอนความเจ็บปวดจากรอยช้ำที่ยังคงสดใหม่ก็พุ่งจี๊ดตรงขึ้นมายังสมอง ความฟุ้งซ่านที่กำลังคลุ้งตลบอยู่จางหายไปแทบจะในทันที ภูครางโอดโอยเหมือนคนแก่สะโพกเคลื่อนอยู่พักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจและหลับตาลง ความเหนื่อยล้าเริ่มกลับมามีชัยเหนือร่างกายอีกครั้ง เด็กหนุ่มพลิกตัวลงนอนคว่ำหน้าลงกับหมอนก่อนจะผล็อยหลับไปในอีกไม่กี่นาทีต่อมา


To be continued...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-03-2018 18:27:42 โดย lolito »

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 2 part1

        ถึงแม้ว่าเมื่อคืนกว่าจะได้เข้านอนก็เกือบจะฟ้าสางแล้ว แต่วันรุ่งขึ้นภูก็ต้องถูกปลุกขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่โดยพ่อกับแม่ผู้มุ่งมั่นจะนำพาลูกไปสู่เส้นทางแห่งบุญกุศลที่มีชื่อว่าทริปทำบุญเก้าวัดประจำปีของสมาคมแม่บ้านชุมชนซอยเอื้ออัมพร ภูเคยหลวมตัวไปร่วมทริปนี้ครั้งหนึ่ง เด็กหนุ่มให้คำจำกัดความมันว่าฝันร้ายของวัยรุ่น ผู้ร่วมเดินทางล้วนแล้วแต่มีอายุมากกว่าเขาสองถึงสามรอบขึ้นไปทั้งสิ้น ทุกคนคุยกันเรื่องเบาหวานและโรคเกาต์ กลิ่นยาหม่องฟุ้งไปทั่วรถ แต่แค่นั้นยังไม่อาจเรียกได้ว่าเลวร้ายถึงขีดสุด นรกของจริงเริ่มขึ้นเมื่อคุณป้าที่เบาะข้างๆ เขาเกิดอาการเมารถขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แกคลื่นไส้อาเจียนอย่างหนักจนลงเอยด้วยการขย้อนเอามื้อเช้าออกมาเต็มหน้าตักของเด็กหนุ่ม หลังจากเหตุการณ์นั้นภูไม่เคยอยากกินผัดถั่วงอกอีกเลย

        ด้วยเหตุนี้ภูจึงรีบเผ่นหนีออกมาขลุกอยู่ที่บ้านของสาลี่ตั้งแต่เช้า โดยอ้างพ่อกับแม่ว่าจะมาอ่านหนังสือเตรียมสอบ ทั้งคู่ดูมีท่าทีไม่เชื่อแต่ก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร เด็กหนุ่มหยิบตำราเรียนและสมุดเลคเชอร์ติดมือมาด้วยสองสามเล่มเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ และตอนนี้ทั้งหมดนั้นวางกองอยู่บนพื้นในขณะที่เขานอนกลิ้งไปมาบนพรมขนสัตว์เทียมที่ทำเลียนแบบซากหมีขั้วโลกที่โดนถลกหนัง ภูชอบพรมผืนนี้ สาลี่สั่งมันมาจากต่างประเทศเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้กับแฟนเก่า ก่อนที่จะพบคาหนังคาเขาว่าแฟนหนุ่มสุดที่รักกำลังนอนทับบางอย่างที่นุ่มและมีส่วนเว้าส่วนโค้งมากกว่าพรม เธอจึงใช้ถังดับเพลิงทุบไฟหน้ารถเขาและหอบพรมผืนนี้กลับมาใช้เอง ภูเคยเอ่ยปากขอซื้อมันต่อแต่สาลี่ปฏิเสธ เธอต้องการจะเก็บมันไว้เป็นอนุสรณ์เตือนใจถึงพวกผู้ชายขี้เอา

        “ก็สรุปว่า… แกเข้าปิ้งฟรีๆ แถมยังต้องขอโทษเค้าด้วยเหรอ?” สาลี่ถามขึ้นมาหลังจากนั่งฟังภูเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ฟังจนจบ

        “เออสิ ดูเอาแล้วกันว่าการที่แกเทชั้น ชิ่งหนีกลับบ้านไปก่อนน่ะมันทำให้เกิดความฉิบหายอะไรขึ้นได้บ้าง” ภูโยนความผิดทุกอย่างใส่หัวเพื่อน

        “ต่อให้ชั้นไปส่งแกตามที่คุยกันไว้ แกก็ต้องปีนเข้าบ้านเหมือนเดิมอยู่ดี ต่างกันตรงไหนวะ” สาลี่ไม่ยอมรับข้อกล่าวหาที่เพื่อนซี้ยัดเยียดให้ “แล้วตกลงพี่กรรณอะไรนี่ก็คือพี่ข้างบ้านที่เคยอยู่ที่นั่นเมื่อหลายปีก่อนใช่ป่ะ?”

        “อืม… เห็นพ่อว่างั้นนะ” ภูพยักหน้าตอบ “แต่ไม่เห็นจะคุ้นหน้าเลย”

        “ถ้าเป็นคนนั้นจริง ชั้นคุ้นนะ ชั้นรู้จัก” ลี่พูดแต่ตายังไม่ละจากจอคอมพิวเตอร์ ตอนนี้เลยดูเหมือนคู่สนทนาของเธอเป็นหน้าจอมากกว่าจะเป็นภูที่กำลังนอนแผ่มองเพดานอยู่บนพื้นข้างหลัง

        “แล้วแกไปสาระแนรู้จักเค้าได้ไง?” ภูผลุดลุกขึ้นนั่ง “ชั้นอยู่บ้านข้างๆ ยังไม่รู้จักเลย”

        “อันที่จริงไม่เชิงว่ารู้จักหรอก แค่เคยเห็นเวลาพี่เค้าเอาหนังมาคืนร้านตอนนั่งเฝ้าแทนป๊าอ่ะ” ลี่ขยายความเพิ่ม “ตัวสูงๆ เข้มๆ หล่อดี”

        “เรื่องผู้ชายนี่ไม่เคยจะพลาดสายตา” ภูหยิบตุ๊กตาขว้างใส่ แต่สาลี่เอียงหัวหลบได้แบบสบายๆ

        “ว่าแต่… พี่กรรณเค้ากลับมาอยู่บ้านแล้วแบบนี้ ต่อไปแกก็กลับดึกไม่ได้แล้วสิ ไม่มีประตูฉุกเฉินแล้ว” สาลี่ถามพลางโยนตุ๊กตาตัวเมื่อครู่กลับมาหาภู

        “กลับดึกได้ แต่ต้องหาที่ซุกหัวนอนเอาเอง” ภูยักไหล่ทำท่าเหมือนไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร “ดิ้นรนไม่ยากเท่าไหร่ ถ้าจนปัญญาจริงๆ ก็แค่มาสิงบ้านแกเหมือนเมื่อก่อน”

        เหมือนได้ยินเรื่องคอขาดบาดตาย สาลี่หยุดทุกสิ่งที่กำลังกระทำ วางมือจากแป้นพิมพ์ของคอมพิวเตอร์แล้วหันมาหาภูด้วยสีหน้าจริงจัง “หยุดความคิดนั้นบัดเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้ภู”

        “หยุดอะไร?” ภูงง เมื่อจู่ๆ บรรยากาศในการสนทนาก็ตึงเครียดขึ้นมาอย่างกะทันหัน

        “แกมานอนค้างบ้านชั้นไม่ได้อีกแล้ว” สาลี่ยกแขนขึ้นไขว้กันเป็นรูปกากบาท “ถึงการโดนเข้าใจผิดจากคนทั้งมหาวิทยาลัยว่าแกเป็นผัวชั้นเนี่ยจะมีข้อดีตรงที่ทำให้ชั้นรู้สึกว่าตัวเองสวยมาก จากการเป็นที่อิจฉาของบรรดาไก่แก่แม่ปลาช่อนที่จ้องจะเคลมแกอยู่ แต่พิษภัยของมันร้ายแรงพอๆ กับยาบ้าเลยนะเว้ย มันทำให้ชั้นกลายเป็นสุภาพสตรีที่มีผัวแต่เพียงในนาม ตกเป็นข่าวกับแกแบบนี้ผู้ชายที่ไหนมันจะกล้ามาจีบชั้นวะ”

        “แกไม่คิดบ้างเหรอว่าที่ไม่มีใครมาจีบทุกวันนี้มันอาจจะเพราะตัวแกเอง” ภูนำเสนอความเป็นไปได้ในอีกมุมมองนึง

        “ไม่รู้ ไม่สน” สาลี่ทำท่ากากบาทอีกรอบ “แต่ชั้นยืนยันคำเดิม ไม่ได้ก็คือไม่ได้เว้ย”

        “งั้นชั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากทำตัวเป็นเด็กดี กลับบ้านแต่หัววันไปก่อนนั่นแหละ” ภูฟุบหน้าลงกับหัวหมีของพรม ถอนหายใจเมื่อนึกถึงสารพัดงานปาร์ตี้ที่นับจากนี้คงไม่ได้ไปเยือนอีกแล้ว

        “ทำไมแกไม่หาแฟนซักคนวะภู?” อยู่ๆ สาลี่ก็ถามขึ้นมาโต้งๆ

        “เพื่อ?” ภูตั้งตัวไม่ทันกับคำถามนี้

        “ก็ถ้าแกมีแฟน แกก็นอนค้างบ้านแฟนแกได้ ไม่ต้องมารบกวนชาวบ้านชาวช่องเค้าหรือปีนบ้านใครให้ติดคุกอีกไง” สาลี่ร่ายยาวถึงประโยชน์ของการมีแฟนสำหรับภู “แล้วอีกอย่างเราน่ะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก แล้วชั้นก็ใช่ว่าจะไม่เห็นว่าตั้งแต่แกโตเป็นหนุ่มมา แกยังไม่เคยมีแฟนเลยซักคน ทั้งที่ถ้าจะหาจริงๆ ก็ไม่น่ายาก”

        “เพราะชั้นหล่อใช่มั้ยล่ะ?” ภูไม่พลาดโอกาสในการยกหางตัวเอง

        “หน้าหวานๆ ตัวขาวๆ ก็คงหล่อสำหรับแม่พวกผู้หญิงจิตอ่อนพวกนั้นน่ะนะ แต่สำหรับชั้นที่เห็นไส้เห็นพุงแกมาหลายปี บอกเลยว่ามันเลยจุดที่คิดว่าแกหล่อไปแล้วล่ะว่ะ” สาลี่ตอบกลับมาอย่างอิดหนาระอาใจในความหลงตัวเองของเพื่อน

        “เออน่ะ ชมกันมั่งก็ไม่ได้” ภูจิ๊ปาก แสดงอาการว่าไม่ได้ดั่งใจ “แล้วอีกอย่าง ใจคอแกจะให้ชั้นมีแฟนแค่เพื่อจะได้มีที่นอนงั้นเหรอ จิตใจทำด้วยอะไร ทำไมเหี้ยมเกรียมขนาดนี้”

        “จะมีเพื่ออะไรก็เรื่องของแกเถอะ ชั้นก็แค่อยากจะเห็นซักทีว่าแฟนแกจะหน้าตาเป็นยังไง” สาลี่อยากจะหักคอเพื่อนซี้จอมบ่ายเบี่ยงของเธอใจจะขาด “สรุปว่าเมื่อไหร่จะมีซักทีล่ะ?”

        “เดี๋ยวถ้ามันจะมีก็มีเองแหละ” ภูตอบไปเหมือนทุกครั้งที่มีคนถามคำถามนี้

        “หรือแกเป็นเกย์?” สาลี่ตีเข้าตรงจุดพอดี

        “ไม่มั้ง หรืออาจจะเป็นก็ได้ กำลังตัดสินใจอยู่” ภูสะดุ้งนิดหน่อย แต่ก็แกล้งตอบไปแบบติดตลก

        “ทำกะล่อนไปเรื่อย เอาเหอะ จะเป็นอะไรก็เป็นไป ชั้นขี้เกียจเซ้าซี้กับแกแล้ว” สาลี่ทำหน้าตาเหนื่อยหน่ายแล้วหันกลับไปสนใจจอคอมพิวเตอร์ดังเดิม

        คำตอบเมื่อครู่แม้ว่าจะฟังดูเหมือนพูดเล่นเอาสนุก แต่แท้จริงแล้วมันคือสมรภูมิทางอารมณ์ที่ภูกำลังเผชิญอยู่เพียงลำพังเงียบๆ นับตั้งแต่เริ่มเป็นวัยรุ่นเขาก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องความสัมพันธ์พวกนี้มาก่อน เขาไม่เคยพบเจอผู้หญิงคนไหนที่น่าสนใจพอจะคบหาลึกซึ้งมากกว่าเพื่อน แต่ก็ไม่เคยมีความคิดว่าอยากจะมีคนรักเป็นผู้ชาย บางครั้งเขาคิดว่าตัวเองเป็นพวกตายด้านด้วยซ้ำ จนกระทั่งถึงเมื่อคืนที่ผ่านมา การได้พบกับกรรณเป็นเสมือนบานประตูสู่โลกใหม่ที่เพิ่งเปิดออก แม้จะผ่านเลยมาจนอีกวันแล้ว แต่เพียงแค่หวนคิดถึงเพียงนิดเดียว ภาพทั้งหมดทั้งมวลที่เฝ้าแอบมองจากหน้าต่างห้องนอนก็กลับมาสว่างจ้าเต็มสองตาของเด็กหนุ่มอีกครั้ง ทั้งยังคงชัดเจนสดใหม่เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นหมาดๆ ความถวิลหาอย่างรุนแรงจนน่าละอายบังเกิดขึ้น เหมือนเปลวไฟประทุบนดินปืน สำหรับภูแล้วความปรารถนาในตัวใครคนใดคนหนึ่งถือเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่ ทั้งเย้ายวนและชวนให้หวาดหวั่น มันทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผีเสื้อตัวน้อยที่เพิ่งออกจากดักแด้ เจ้าผีเสื้อรู้ว่าโลกกว้างใหญ่และมีอะไรมากมาย แต่กลับไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นค้นหาอย่างไรดี

        เสียงสัญญาณเตือนของโทรศัพท์มือถือดังขึ้น แจ้งว่ามีการอัพเดทเนื้อหาจากอินสตาแกรมที่เขาติดตามอยู่ ภูรีบกดเข้าไปดูอย่างสนใจ หลังจากไม่มีความเคลื่อนไหวมาเกือบจะสองสัปดาห์ กลับมาครั้งนี้LonelyVoyager ช่างภาพชื่อดังในอินสตาแกรมได้อัพโหลดผลงานใหม่รวดเดียวนับสิบรูป และที่น่าตื่นเต้นสำหรับภูก็คือ ทั้งหมดเป็นรูปที่ถ่ายในกรุงเทพมหานครเมืองฟ้าอมรแห่งนี้นี่เอง รูปทั้งหมดถูกเรียงเป็นไทม์ไลน์ไล่ตามการเดินทาง นับตั้งแต่สนามบินสุวรรณภูมิจนกระทั่งมาถึงในตัวเมือง ภูติดตามอินสตาแกรมของเขามาตั้งแต่ยังมีคนติดตามไม่ถึงสองหมื่นจนตอนนี้เพิ่มขึ้นจนเกือบจะเก้าแสนคนแล้ว ซึ่งเมื่อดูจากคุณภาพของผลงานแล้วก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่ยอดคนติดตามจะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมื่อภูได้มองดูกรุงเทพอันเป็นบ้านเกิดของตัวเองผ่านภาพถ่ายของเขา ก็ดูราวกับเมืองทั้งเมืองถูกเนรมิตขึ้นมาใหม่โดยอาศัยมุมมองส่วนบุคคล ท้องถนนตลอดจนตึกระฟ้าที่เคยผ่านตาจนคุ้นชินก็กลับกลายเป็นแปลกตาน่าค้นหา ภาพของบ้านไม้เก่าคร่ำคร่าที่ใครหลายคนอาจเดินผ่านเลยมันไปโดยไม่แม้แต่จะหยุดมอง เขาก็กลับทำให้มันแสดงพลังแห่งอดีตอันเรืองรองของยุคสมัยออกมาได้ ซึ่งความพิเศษอันหาได้ยากจากภาพถ่ายทั่วไปเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ภูติดตามเขามาตั้งแต่เริ่มแรก เพราะบางครั้งเมื่อโลกที่โอบล้อมอยู่รอบตัวมันแคบและจำเจเสียจนน่าอึดอัด การได้รับรู้สิ่งแปลกใหม่ผ่านสายตาคนอื่นเสียบ้างก็ช่วยเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้นได้มาก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-04-2018 10:12:41 โดย lolito »

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 2 part2


        ภูกลับจากบ้านของสาลี่ตอนช่วงเที่ยงวัน เป็นเวลาที่ปลอดภัยที่สุดเพราะพ่อกับแม่คงออกจากบ้านไปไกลเกินกว่าจะย้อนกลับมาแล้ว เขาแวะซื้อนมอัดเม็ดกับชารสพีชของโปรดจากร้านสะดวกซื้อก่อนจะเข้าบ้าน เมื่อไปถึงก็พบว่าแม่ได้เตรียมอาหารสำหรับทั้งวันไว้ให้แล้ว ทั้งหมดที่ต้องทำก็มีแค่ตักข้าวใส่จานและนำกับข้าวไปอุ่นในไมโครเวฟเท่านั้นเอง ขณะที่ภูกำลังนั่งจ้องดูเลขบนหน้าปัดของเตาไมโครเวฟนับถอยหลังจนถึงศูนย์อย่างใจจดใจจ่ออยู่นั้น เสียงออดจากหน้าประตูรั้วก็ดังขึ้นมาขัดเป็นมารคอหอยเสียกลางคัน เด็กหนุ่มผู้ซึ่งกำลังหิวจนแสบท้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะรีบเดินออกไปดูยังหน้าบ้านว่าใครมา ถ้าเป็นบุรุษไปรษณีย์หรือพวกขายของก็จะได้รีบจัดการให้เสร็จๆ จะได้มากินข้าวเสียที แต่ทันทีที่เปิดประตูบ้านออกไปภาพที่ได้เห็นก็ทำให้เขาต้องรีบปิดกลับเข้ามาแทบไม่ทัน กรรณยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับชะเง้อคอมองข้ามประตูรั้วเข้ามาดูความเคลื่อนไหวที่เห็นแวบๆ เมื่อครู่ก่อนจะกดออดเรียกซ้ำอีกครั้ง ภูพยายามตั้งสติให้มั่น สูดหายใจรับอากาศเข้าเต็มปอดพลางพยายามลบเรื่องลามกในหัวอันเกิดจากภาพเมื่อคืนออกไปให้หมดจด หลังจากปั้นสีหน้าให้ดูปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วจึงค่อยเปิดประตูบ้านออกไปอีกรอบ

        “มีอะไรครับพี่?” ภูถามโดยตั้งใจทำเสียงให้ฟังดูกระด้างเล็กน้อย

        “ไปไหนมาน่ะ?” กรรณย้อนถามกลับมา “พี่แวะมาดูตั้งหลายรอบไม่เจอใครเลย”

        “ธุระ” ภูตอบห้วนๆ ในใจนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายมีเรื่องอะไรถึงต้องการพบเจอตนขนาดนี้

        “ธุระอะไร? นี่วันอาทิตย์นะ” กรรณยังไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับ

        “ธุระส่วนตัว” ภูเน้นเสียงตรงคำว่าส่วนตัวเป็นพิเศษ “ว่าแต่พี่เถอะครับ มีธุระอะไรหรือเปล่า?”

        “มาก็ต้องมีสิ ไม่มีก็ไม่มาหรอก” เขาหยิบถุงกระดาษของร้านขายยาออกมาจากกระเป๋าหลังของกางเกง “เอายาแก้ฟกช้ำมาให้ เดี๋ยวจะหาว่าพี่ทำนายเจ็บตัวแล้วไม่รับผิดชอบ”

        กรรณสอดห่อยาเข้ามาทางช่องของประตูรั้ว ภูรับมาแล้วเปิดดู ข้างในมีหลอดยาสำหรับทาหนึ่งหลอดและยากินอีกแผงหนึ่ง

        “ขอบคุณครับ” ภูบอกขอบคุณเสียงอ้อมแอ้มไม่เต็มปาก

        แม้ว่าจะเสร็จสิ้นธุระตามที่บอกเอาไว้ข้างต้นแล้วแต่กรรณก็ยังคงยืนอยู่หน้าประตูรั้วไม่ยอมไปไหน แสงแดดที่สาดส่องยามเที่ยงวันทำให้ภูมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้ชัดเจนกว่าเมื่อคืน เด็กหนุ่มไล่สายตามองดูอีกฝ่ายเพื่อเก็บรายละเอียดให้มากที่สุด เส้นผมเกือบตรงที่หยักศกตรงปลายเพียงเล็กน้อยของกรรณนั้นยามนี้ถูกเสยรวบขึ้นไปข้างบน สีดำขลับของมันส่องประกายสะท้อนกับแสงอาทิตย์ แนวคิ้วหนาเข้มสอดรับกับนัยน์ตาคมที่ประดับประดาด้วยแผงขนตาหนา จมูกโด่งมีปลายงุ้มลงจรดทำองศาพอดิบพอดีกับริมฝีปากได้รูปพอเหมาะพอเจาะราวกับปั้นแต่งมา ใครคนใดคนหนึ่งในต้นตระกูลของกรรณคงจะมีเชื้อสายตะวันตก เขาถึงได้มรดกตกทอดทางพันธุกรรมมาเป็นโครงหน้าที่โดดเด่นชวนมองเช่นนี้

        “มองอะไรนัก?” กรรณถามขึ้นมาหลังจากไม่เห็นท่าทีว่าเด็กหนุ่มจะเลิกจ้องหน้าตนในระยะเวลาอันสั้น

        ภูสะดุ้งเฮือกเหมือนโดนสะกิดปลุกให้ตื่นจากอาการละเมอ เพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองกำลังจ้องหน้าผู้ชายด้วยกันอย่างไม่ลดละสายตา ความอายพุ่งเข้าโจมตีอย่างหนักจนเด็กหนุ่มคิดอะไรไม่ออก เลือดสูบฉีดทั่วใบหน้าจนร้อนผ่าว ภูรู้สึกได้ชัดเจนว่าตอนนี้มันคงจะแดงจนอีกฝ่ายสังเกตุเห็นแน่ๆ

        “จะไม่ชวนพี่เข้าไปหน่อยเหรอ?” กรรณถามอีกครั้งด้วยคำถามใหม่

        “หือ?” ภูไม่อยากเชื่อหูตัวเอง “พี่ว่าไงนะครับ?”

        “เข้าไปได้มั้ย?” กรรณชี้เข้าไปในบ้าน

        ช่างเป็นคำถามสั้นๆ แบบปลายเปิดที่ทำให้ผู้ฟังคิดจินตนาการต่อไปได้ล้านแปด ด้วยไม่อาจล่วงรู้เจตนาของอีกฝ่ายว่าต้องการอะไรกันแน่ ภูจึงเกิดสับสนว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธดี หากแต่เพียงไม่นานจิตใต้สำนึกอันแสนจะแก่แดดก็ได้เร่งเร้าจนเขายอมพยักหน้าตกลง ประตูรั้วเปิดอ้าออกและร่างสูงของกรรณเดินลอดผ่านเข้ามาข้างใน ขณะที่แขกผู้มาเยือนเดินผ่านหน้าไปภูยังคงยืนอยู่ตรงที่เดิม มองแผ่นหลังและไหล่กว้างในเสื้อยืดนั้น พลางกลืนน้ำลายลงสู่ลำคออันแสนจะฝืดเคือง ในสมองพยายามคิดรับมือกับสถานการณ์อันไม่ทันตั้งตัวนี้ กรรณเดินไปหยุดรอตรงหน้าประตูบ้าน หมอนี่ควรจะแค่เอายามาให้แล้วก็รีบกลับไปไม่ใช่หรือไง? ภูนึกสงสัยในใจขณะที่รีบจ้ำเท้าเดินตามอีกฝ่ายจนทัน เมื่อเข้ามาข้างในตัวบ้านเด็กหนุ่มพยายามทำตัวเป็นเจ้าของบ้านที่ดีด้วยการพาเขาไปนั่งยังห้องรับแขกและต้อนรับด้วยน้ำดื่มแต่ดูเหมือนกรรณจะไม่ได้มาที่นี่เพื่อนั่งเล่นหรือดื่มน้ำ ภูดูออกโดยไม่ต้องใช้ความพยายามสังเกตุเลยว่าเขามีจุดประสงค์บางอย่างในการมาที่ชัดเจนอยู่แล้ว

        “ขึ้นไปข้างบนได้มั้ย?” กรรณชี้ไปที่บันใดทางขึ้นชั้นสองของบ้าน “พี่อยากดูห้องนอนนายหน่อย”

        คำถามนี้ทำให้ใจภูยิ่งเต้นแรงกว่าเดิม จริงอยู่ที่เขาอาจจะไม่เคยมีแฟนหรือพบเจอประสบการณ์เชิงสังวาสมาก่อน แต่ก็เคยผ่านตาผ่านหูเรื่องทำนองนี้มาบ้าง จึงพอจะรู้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้มันคือพล๊อตเรื่องของหนังผู้ใหญ่ชัดๆ ชายข้างบ้านจอมวางแผนกับเด็กหนุ่มไร้เดียงสาที่กำลังจะโดนพรากพรหมจรรย์ นี่คือสัญญาณการเสียตัว ไม่มีอะไรจะชัดไปกว่านี้อีกแล้ว ถ้านี่คือเหยื่อล่อ ภูก็เป็นปลาที่งับเหยื่อเข้าเต็มเปา ใจคิดว่าไม่มีอะไรเสียหาย ถ้าจะต้องมีอะไรกับใครซักคนเป็นครั้งแรก กรรณเองก็ถือเป็นตัวเลือกที่น่าประทับใจไม่น้อย การตัดสินใจถูกครอบงำด้วยสัญชาติญาณการสืบพันธุ์ไปเป็นที่เรียบร้อย เด็กหนุ่มยังลังเลอยู่นิดหน่อยกับการมีแขกขึ้นไปเยือนยังห้องของตนที่รกหาความเป็นระเบียบไม่เจอแถมตะกร้าก็เต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซัก แต่ก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายก็เป็นผู้ชายเหมือนกันคงไม่มานั่งสนใจเรื่องจุกจิกพรรค์นั้นหรอก เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็จึงพยักหน้าตกลงและออกเดินนำหน้าพากรรณขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน

        “รกหน่อยนะครับ” ภูบอกกับกรรณก่อนจะเปิดประตูห้องนอนของตัวเอง

        กรรณเดินเข้ามาในห้องนอนของภูและมองไปรอบๆ เด็กหนุ่มรีบตามเข้ามาแล้วเอาเท้าเขี่ยกางเกงบ๊อกเซอร์ตัวที่เพิ่งถอดทิ้งไว้บนพื้นเมื่อเช้าเข้าไปซ่อนใต้เตียง ชายหนุ่มรุ่นพี่ยังคงยืนนิ่งอยู่กลางห้องในขณะที่ภูทำตัวไม่ถูก ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวทำอะไรเพราะเกรงว่าจะถูกตีความเป็นการให้ท่า จริงอยู่ที่การยอมให้อีกฝ่ายขึ้นมาถึงห้องนอนนั้นสามารถมองเป็นการทอดสะพานสมยอมไปเสียครึ่งตัวแล้ว แต่มันก็คงจะดีกว่าถ้าเรื่องทั้งหมดต่อจากนี้เขาจะปล่อยให้กรรณที่เป็นผู้ใหญกว่าเป็นคนเริ่มเอง อย่างน้อยถ้าใครรู้เข้าก็จะได้ไม่ถูกมองว่าทำตัวง่ายเกินไปนัก เด็กหนุ่มยืนนิ่งเป็นรูปปั้นรออะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้น อาจจะเป็นการกอด จูบ ลูบคลำ แต่ยิ่งเวลาผ่านพ้นไปมากนาทีขึ้น ภูก็ตระหนักว่ามันช่างเป็นความตื่นเต้นที่เสียเปล่า ไม่มีวี่แววว่าอะไรจะเกิดขึ้นทั้งนั้น กรรณแค่ยืนนิ่งมองไปที่นอกหน้าต่างราวกับกำลังพินิจพิเคราะห์บางอย่างอยู่ จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่งจึงหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาเข้าโหมดกล้องและตั้งค่าอยู่ประมาณสองสามนาทีจากนั้นจึงค่อยกดถ่าย เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นสองครั้งก่อนที่เขาจะเก็บโทรศัพท์กลับที่เดิมแล้วหันมาหาภูซึ่งกำลังยืนงงเป็นไก่ตาแตก

        “เสร็จแล้ว ขอบใจมาก” กรรณตบไหล่เด็กหนุ่มจนตัวโคลง

        “นะ … นี่มันอะไรกันครับ?” ภูมึนงงสับสนไปหมด รู้สึกเหมือนเป็นชาวพื้นเมืองที่ขึ้นเรือพร้อมความหวังจะไปสู่ดินแดนใหม่ ก่อนจะรู้ตัวอีกทีว่ากำลังลอยเคว้งคว้างไร้ทิศทางอยู่กลางมหาสมุทร “ตกลงว่าพี่ขึ้นมาห้องผมเพื่ออะไรเนี่ย?”

        “ถ่ายรูปไง” อีกฝ่ายตอบหน้าตาเฉยเหมือนการขึ้นมาถ่ายรูปบนห้องนอนคนอื่นเป็นเรื่องปกติสามัญที่ใครก็ทำกัน

        “ถ่ายรูปเหรอ?” ภูยังต้องการคำอธิบายมากกว่านี้ “พี่ขึ้นมาถึงนี่เพื่อจะถ่ายรูปเนี่ยนะ?”

        “ใช่” กรรณพยักหน้า เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดอัลบั้มภาพที่เพิ่งถ่ายเมื่อครู่แล้วยื่นให้เด็กหนุ่มดู มันคือภาพของทางเดินระเบียงชั้นสองของบ้านข้างๆ ที่ซึ่งภูเคยใช้เป็นทางผ่านเข้าห้องตัวเองมาหลายครั้งหลายครา “นี่ไง พอใช้มุมมองจากหน้าต่างห้องนายมันได้องค์ประกอบภาพลงตัวกว่าเดิมเยอะเลย”

        “เหอะ” ภูทำเสียงขึ้นจมูก รู้สึกทั้งผิดหวังและเสียหน้าไปพร้อมๆ กัน ด้วยไม่คาดคิดว่าจะมีคนประเภทนี้อยู่บนโลก คนประเภทที่ขอเข้าบ้านคนอื่นเพื่อจะมาถ่ายรูปบ้านตัวเองในอีกมุม เด็กหนุ่มนึกสงสัยว่าจะมีกี่คนแล้วนะที่ตกเป็นเหยื่อการกระทำชวนเข้าใจผิดของกรรณแบบนี้ นับว่ายังพอโชคดีอยู่บ้างที่ภูยังสงวนท่าทีไม่ยอมเป็นฝ่ายเปิดฉากเริ่มก่อน ไม่เช่นนั้นคงไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ตรงไหน

        “ทำไม? นายคิดว่าพี่จะขึ้นมาทำอะไร?” กรรณถามกลับ น้ำเสียงเย้าแหย่ คล้ายจะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร

        “สาแก่ใจแล้ว หมดธุระแล้วก็เชิญลงครับ” ภูผายมือไปทางประตูห้อง

        กรรณหัวเราะชอบใจก่อนจะเดินนำลงไปยังชั้นล่าง ภูรีบเก็บเศษหน้าตัวเองแล้วเดินตามลงไป เมื่อลงไปถึงก็พบว่าอีกฝ่ายหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องครัว

        “กำลังจะกินข้าวเหรอ?” เขาชี้ไปยังมื้อเที่ยงที่วางค้างไว้บนโต๊ะกินข้าว

        “อือฮึ” ภูพยักหน้าตอบ ไม่มีอารมณ์จะเสวนาด้วย

        “จะไม่ชวนแขกทานข้าวด้วยหน่อยหรือไง เป็นเจ้าบ้านประสาอะไร” กรรณยังแซะอีก

        “จะอยู่รับประทานอาหารเที่ยงก่อนไหมครับท่าน?” ภูถามประชดด้วยน้ำเสียงแบบบริกรพูดกับลูกค้า

        “ไม่ล่ะ พี่มีงานตอนบ่าย ไว้คราวหน้านะ” เขาตอบทันควันราวกับเตรียมคำตอบเอาไว้แล้ว “ไม่ต้องไปส่งก็ได้ เดี๋ยวปิดประตูรั้วให้ นายกินข้าวเถอะ”

        กรรณพูดเพียงเท่านั้นเดินออกไปจากตัวบ้าน ทิ้งภูไว้ลำพังกับความรู้สึกอันค้างเติ่งที่ยากจะบรรยาย ใจหนึ่งโมโหและขายขี้หน้าอย่างสุดซึ้ง แต่อีกใจหนึ่งก็โล่งอก ถึงแม้จะหน้าแตกชนิดที่หมอไม่รับเย็บและตกเป็นตัวตลกสำหรับเรื่องนี้ แต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มขบขันของกรรณเมื่อครู่ก็ช่วยได้มากทีเดียว อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะยังคงเกลียดตนอยู่จากเรื่องเมื่อคืนนี้แล้ว ตอนนี้เด็กหนุ่มรู้สึกเป็นอิสระเสียยิ่งกว่านกบนท้องฟ้า ประตูสู่ทุกความเป็นไปได้เปิดอ้าออก และแม้ว่าบานแรกที่เลือกเดินเข้าไปจะเจอกับความน่าอับอายรออยู่ในนั้น แต่ก็ยังมีอีกหลายบานให้เสี่ยงดวง

        หลังจากจัดการกับมื้อเที่ยงเสร็จ ภูกลับขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเอง ลากเก้าอี้จากโต๊ะอ่านหนังสือไปยังริมหน้าต่าง ห้องฝั่งตรงข้ามเงียบสนิทไร้ความเคลื่อนไหว คงไม่มีใครอยู่บ้าน กรรณมีงานตอนช่วงบ่ายเขาว่าอย่างนั้น เด็กหนุ่มนั่งเอนหลังและยกขาขึ้นพาดไปยังขอบหน้าต่างพลางนึกทบทวนความรู้สึกอันแปลกใหม่ที่ตนเพิ่งได้เรียนรู้ในช่วงสิบสองชั่วโมงที่ผ่านมาดูอีกครั้ง สำหรับในมุมของตัวเองนั้นไม่มีอะไรต้องสงสัยเลย ถ้ามองจากการที่เอาตัวเองใส่พานถวายให้เขาจนหน้าแตกไปเมื่อครู่ ภูมั่นใจว่าในโลกนี้คงไม่มีใครต้องการกรรณอย่างไม่อายฟ้าอายดินได้มากไปกว่าตนอีกแล้ว รักแรกพบ มันก็เป็นแค่อีกหนึ่งคำน้ำเน่าต่อจากหล่อเหลา แต่ทั้งสองคำนี้ล้วนเป็นคำบรรยายความรู้สึกที่ภูมีต่อกรรณ ยังไม่รวมถึงตัณหาและราคะ ซึ่งนั่นน่าละอายเกินกว่าจะนำมารวมไว้ในความคิดเดียวกัน คนอื่นๆ อาจจะมีวิธีการแสดงออกต่อความรู้สึกเช่นนี้ในรูปแบบเฉพาะของตน แต่สำหรับภูเขาเลือกที่จะกลบเกลื่อนปกปิดเอาไว้ ได้แต่เก็บกรรณเอาไว้ในสายตาอย่างมิดชิด อย่างน้อยก็ในตอนนี้

        แต่สำหรับกรรณล่ะ เด็กหนุ่มมืดแปดด้านไม่อาจรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไรกับตนกันแน่ การคาดหวังว่าคนสองคนจะคิดตรงกันนั้นก็เป็นเรื่องเพ้อฝันและไร้เดียงสาเกินไปหน่อย ถึงแม้ว่าภูจะยังใหม่กับเรื่องความสัมพันธ์แต่เขาก็ไม่ได้เป็นพวกยึดติดกับความหวังลมๆ แล้งๆ เด็กหนุ่มเลือกจะใช้ชีวิตอยู่กับความเป็นจริงแม้จะตระหนักดีว่าความเป็นจริงมักโหดร้ายต่อใจเสมอ อาทิเช่นความเป็นจริงที่ว่ากรรณอาจจะมีแฟนอยู่แล้ว ใช่สิ เขาก็อายุตั้งยี่สิบกว่าแล้ว โอกาสที่จะยังเป็นโสดอยู่ก็คงน้อยลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น หรืออีกความเป็นจริงที่น่าจะเป็นไปได้คือเขาอาจจะยังโสดอยู่ไม่ได้มีความสนใจในตัวของภูเลยแม้แต่น้อย อาจจะเห็นเขาเป็นแค่เด็กข้างบ้านตัวแสบ นักย่องเบาตัวฉกาจ หรืออะไรอีกมากมายแต่ไม่ใช่คนรัก ซึ่งนั่นน่าช้ำยิ่งกว่า เด็กหนุ่มลดความคาดหวังลงชั่วคราว แน่นอนว่าที่สุดแล้วภูอยากให้กรรณชอบตนเหมือนที่ตนชอบเขา หากแต่ถ้ามันจะเป็นไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอแค่ได้เก็บเขาไว้ใกล้สายตาแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็พอ เพราะเดิมทีทั้งภูและกรรณต่างก็เป็นแค่คนแปลกหน้า แต่เพราะเรื่องเมื่อคืนที่ทำให้เกิดต้องมาข้องเกี่ยวกัน ภูเข้าใจดี จะคาดหวังความสัมพันธ์ลึกซึ้งกินใจอะไรให้งอกเงยได้จากเหตุการณ์อันไม่น่าอภิรมย์แบบนี้ แค่ไม่เกลียดกันก็ดีถมถืดแล้ว

        ภูแกะห่อนมอัดเม็ดที่ซื้อมา ละเลียดอมทีละเม็ดให้ค่อยๆ ละลายในปากอย่างใจเย็นแม้ว่าภายในใจจะร้อนรุ่มเหมือนไฟเผา ตาจับจ้องที่หน้าต่างห้องฝั่งตรงข้ามเฝ้ารอที่จะเห็นแสงไฟเปิดหรือความเคลื่อนไหวใดๆ กระทั่งเวลาคล้อยจากบ่ายเข้าสู่ยามเย็น นมอัดเม็ดหมดไปนานแล้ว ชารสพีชที่ซื้อมาก็ไม่มีเหลือ หากแต่ก็ยังไม่มีวี่แววการปรากฏตัวของชายหนุ่มข้างบ้าน ภูส่ายหัวยอมแพ้ ตัดสินใจแล้วว่าไม่อยากคิดอะไรต่อให้ใจฟุ้งซ่านเพิ่มขึ้นอีก เด็กหนุ่มลุกจากเก้าอี้ตรงไปที่เตียง ทิ้งตัวลงนอนคว่ำหน้าฟุบกับหมอนแล้วส่งเสียงโวยวายอยู่ในลำคอเพื่อระบายความอัดอั้นที่แน่นอยู่ในอกก่อนจะผล็อยหลับไป

        ความรู้สึกร้อนวูบวาบและสัมผัสแผ่วเบาบนแผ่นหลังปลุกภูให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากหมอนแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าภายนอกมืดแล้ว เขาคงเผลอหลับไปนานทีเดียว เด็กหนุ่มยังคงสะลึมสะลือตอนที่รู้สึกตัวว่าด้านหลังเสื้อของตนถูกถลกเปิดขึ้น และมือของใครบางคนกำลังเคลื่อนไหวอยู่บนแผ่นหลังเปล่าเปลือยนั้น มันเกือบจะเหมือนว่าเป็นความฝันแต่ชัดเจนกว่านั้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัมผัสอันเปียกชื้น ลื่น และอุ่นจนถึงร้อนวูบวาบ เขาพยายามรวบรวมสติสัมปชัญญะเพื่อหมุนพลิกตัวหงายจากท่านอนคว่ำขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง และเมื่อทำสำเร็จภาพที่ได้เห็นก็ทำให้ถึงกับตาสว่างหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง

        “พี่กรรณ!!!” ภูร้องลั่น รีบดึงเสื้อซึ่งถูกถลกขึ้นจนเกือบถึงคอลงมาปิดเนื้อหนังมังสาตัวเองตามเดิม “ทำบ้าอะไรของพี่เนี่ย?!”

        “ทายาไง” กรรณตอบพร้อมกับชูหลอดยาแก้ฟกช้ำที่ให้ภูไว้เมื่อตอนกลางวัน “ช้ำจนม่วงแล้ว ไม่ได้ทาเลยสิท่า”

        “แล้วเข้ามาในบ้านคนอื่นตามใจชอบได้ไงเนี่ย! ทำไมอุกอาจแบบนี้” ภูถอยกรูดจนหลังชิดหัวเตียง พลางก้มลงตรวจสภาพตัวเองว่ามีร่องรอยถูกกระทำใดๆ อีกหรือไม่ จริงอยู่ที่เมื่อตอนกลางวันเขาอาจจะอยากเสียตัวให้อีกฝ่ายใจจะขาด แต่ถ้ามันเกิดขึ้นในรูปแบบการฉวยโอกาสขณะไม่มีสติรับรู้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับได้

        “ทีตัวเองยังปีนบ้านชาวบ้านเค้าได้” กรรณพ่นลมออกจากปาก “แล้วนี่ก็ไม่ได้แอบเข้ามาซักหน่อย พี่ซื้อขนมมาฝาก คุณลุงกับคุณป้าบอกว่านายนอนหลับอยู่ข้างบน เลยวานพี่ขึ้นมาปลุกให้ลงไปกินข้าวกินปลาได้แล้ว”

        ภูพยายามประติดประต่อเรื่องราวจากคำบอกเล่าทั้งหมด เขาคงจะเผลอหลับไปนานมากจนกระทั่งพ่อกับแม่กลับจากทริปทำบุญแล้วก็ยังไม่ตื่น เด็กหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาที่หัวเตียง สามทุ่มกว่าแล้ว ไม่น่าสงสัยเลย…

        “แล้วปลุกแบบธรรมดาอย่างที่คนปกติเค้าทำกันไม่ได้หรือไง” ภูหน้าแดงเมื่อนึกถึงสัมผัสบนแผ่นหลังเมื่อครู่

        “ก็ปลุกแล้ว ไม่ตื่น แล้วก็เห็นหลอดยาหล่นข้างเตียง อยู่ดีไม่บุบสลาย สงสัยจะลืมทาก็เลยทาให้ ไหนๆ ก็นอนคว่ำอยู่พอดี” ชายหนุ่มแก้ตัวแล้วเสริมต่อ “หลับลึกนะเราน่ะ ไวต่อความรู้สึกอีกต่างหาก โดนลูบหลังก็ครางอือๆ อาๆ ดีนะไม่ใช่ผู้หญิง ไม่งั้นขายไม่ออกไปแล้ว”

        “ปลุกเสร็จแล้วก็ลงไปเลย!” ภูขู่ฟ่อใส่ อับอายเหมือนโดนจับแก้ผ้ากลางสี่แยก

        กรรณยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้ก่อนจะเดินถอยหลังออกจากห้องไป ภูตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกจากเตียงแล้วตามลงมาสมทบกับพ่อและแม่ซึ่งนั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ เด็กหนุ่มมองค้นหาไปรอบๆ แต่ก็ไม่เจอกรรณ หรือว่าเมื่อครู่นี้มันจะเป็นแค่ความฝัน ภูคิด ก่อนที่พ่อผู้ซึ่งเห็นลูกชายตัวเองเหลียวมองรอบตัวไม่หยุดจนทนรำคาญไม่ไหวจะพูดขึ้นมา “พี่เค้ากลับไปแล้ว”

        “อ้าวเหรอ” ภูโล่งใจ เพราะถ้ายังอยู่ก็ไม่รู้จะกล้ามองหน้าเขามั้ย “แล้วพ่อกับแม่ปล่อยให้เค้าขึ้นไปห้องผมได้ไงอ่ะ”

        “ไม่เห็นเป็นไรนี่ ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน เค้าก็เห็นแกมาตั้งแต่เล็กๆ” พ่อตอบ “ทำไม เค้าทำอะไรแกเหรอ?”

        “เปล่า” ภูตอบห้วนๆ พยายามไม่นึกถึงสัมผัสวูบวาบบนแผ่นหลังที่เกิดขึ้นบนห้องนอน

        “เค้าฝากของไว้ให้น่ะ” แม่ชี้ไปที่ถุงกระดาษใบใหญ่บนโต๊ะ “ตื่นมาแล้วก็ไปกินข้าวกินปลาซะ นอนซะยังกับโลกจะไม่มีพรุ่งนี้แล้วอย่างงั้นล่ะ”

        “ทราบแล้วคร้าบบบ” ภูตอบเสียงยานคางขณะลุกไปหยิบถุงกระดาษใบนั้นมาเปิดดู

        ข้างในถุงมีกล่องขนมทาร์ตยี่ห้อดังจากต่างประเทศ บนกล่องมีการ์ดใบหนึ่งพับอยู่ ในแวบแรกที่เห็นภูไม่ได้ให้ความสนใจมากเพราะเห็นว่าเป็นบัตรสะสมแต้มของทางร้าน แต่เมื่อจ้องดูดีๆ ก็พบว่าข้างในมีข้อความถูกเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ซ่อนอยู่ เด็กหนุ่มสอดมือเข้าไปล้วงหยิบมันออกมาเปิดอ่าน

        พรุ่งนี้ถ้าว่าง ไปด้วยกันหน่อย เจอกันตอนสิบโมงเช้า

        ทันทีที่อ่านจบ ภูก็รู้ตัวทันทีว่าคืนนี้คงจะข่มใจให้หลับลงยากเสียแล้ว…


To be continued...

   

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-04-2018 10:21:08 โดย lolito »

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 3 part1

 
        คืนนั้นทั้งคืน เวลาที่ควรจะใช้ไปกับการนอนหลับพักผ่อนของภูได้หมดไปกับการเปิดและปิดตู้เสื้อผ้า เครื่องแต่งกายตั้งแต่หัวจรดเท้าชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกนำออกมาลองและเก็บกลับเข้าไปดังเดิม เด็กหนุ่มนึกแปลกใจกับตนเองที่ไม่อาจพึงพอใจกับเสื้อผ้าที่มีอยู่ได้แม้แต่ชุดใดชุดหนึ่ง ทั้งที่ตอนซื้อมาเขาก็คัดแล้วคัดอีก เลือกจนมั่นใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าถูกใจทั้งสิ้น แต่พอมาถึงตอนนี้กลายเป็นว่าชุดนั้นก็ดูเยอะไป ชุดนี้ก็ดูทางการเกินไป ข้อติมากมายผุดขึ้นมาไม่หยุดหย่อนราวกับน้ำผุดจากตาน้ำพุ จนกระทั่งย่างเข้ารุ่งสางฟ้าสว่างคาตา ภูโยนเสื้อตัวสุดท้ายที่หยิบออกมาจากในตู้ทิ้งไปยังเบื้องหลังพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยอมแพ้กับความอ่อนเพลียทั้งร่างกายและสมอง ตั้งใจจะพักสายตาสักครู่ค่อยเริ่มใหม่ พลันหูก็แว่วได้ยินเสียงใครบางคนเรียกจากนอกหน้าต่าง เด็กหนุ่มแหงนหน้าชะเง้อมองออกไปและพบกับกรรณที่ยืนจ้องเข้ามาจากระเบียงอีกฝั่ง หล่อเหลาเหมือนประติมากรรมเช่นเคย แถมยังดูสดชื่นเหมือนคนพักผ่อนเต็มที่ ความสดใสที่แผ่ออกมายิ่งทำให้ภูรู้สึกว่าตัวเองทรุดโทรมเหมือนป้ายรถเมล์เก่าๆ

        “ตื่นเช้าเหมือนกันนี่” กรรณร้องทักเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสังเกตเห็นตนแล้ว

        “อือ” ภูพยักหน้าตอบ คิดเอาเองว่าให้กรรณเข้าใจไปแบบนั้นน่าจะดีกว่ารู้ความจริงว่าตนมัวแต่ตื่นเต้นจนไม่ได้นอนทั้งคืน

        “ตกลงวันนี้ว่างหรือเปล่า?” กรรณถาม ก่อนจะขยายความคำถามอีกครั้งเมื่อไม่มีการตอบสนองจากเด็กหนุ่มผู้ที่สมองกำลังมึนงงจากการอดหลับอดนอน “ได้อ่านข้อความที่ฝากให้ไว้ในถุงแล้วใช่มั้ย?”

        “อ๋อ สิบโมง” ภูแสร้งทำเหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วนี่คือเรื่องเดียวที่วนเวียนอยู่ในจิตใต้สำนึกมาตลอดทั้งคืน

        “ใช่ สิบโมง อย่าลืมล่ะ มารอหน้าบ้านพี่เลยก็ได้”

        “แล้วพี่จะพาผมไปไหนอ่ะ?” ภูถาม คาดหวังว่าคำตอบที่ได้คงจะช่วยให้ตัดสินใจเรื่องการแต่งตัวได้ง่ายขึ้น

        “เดี๋ยวรู้เองน่ะ” กรรณอมพะนำไม่ยอมบอก “ไม่ได้พาไปฆ่าหรอก”

        “ใครจะไปรู้ จับส่งตำรวจก็ทำมาแล้วนี่” ภูบ่นพึมพำ สุดท้ายก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี

        กรรณแค่นหัวเราะฝืดๆ ทำเป็นขำกับคำเสียดสีของเด็กหนุ่ม ก่อนจะเดินหายกลับเข้าไปในตัวบ้าน ภูมองนาฬิกา เหลืออีกแค่สามชั่วโมงก็จะถึงเวลานัด หากงีบหลับตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่ามันจะไม่ยาวไปยันบ่ายสาม คงเป็นการดีกว่าถ้าจะหาอะไรทำฆ่าเวลาจนกว่าจะถึงสิบโมง อาจจะเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือ หรืออาบน้ำให้ตาสว่าง นั่นเป็นความคิดที่ดี เด็กหนุ่มหยิบผ้าเช็ดตัวและตรงดิ่งเข้าห้องน้ำ สายน้ำเย็นจากฝักบัวช่วยได้มากในเรื่องการปลุกประสาทสัมผัสให้ร่างกายกระปรี้กระเปล่าขึ้น แต่ยังไม่เต็มร้อย หลังอาบน้ำเสร็จเขาตัดสินใจพึ่งตัวช่วยอย่างเช่นคาเฟอีน แม่ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตกที่เห็นลูกชายผู้มีลิ้นอ่อนไหวต่อรสขม กินไม่ได้แม้กระทั่งชาเขียว ที่บัดนี้กำลังนั่งซดกาแฟดำเหมือนน้ำเปล่าอยู่ในครัว สีหน้าดูทรมานแต่มุ่งมั่น

        “ผีอะไรเข้าสิงล่ะเนี่ย ตื่นแต่เช้าเองได้ไม่ต้องให้ใครปลุกก็ว่าแปลกแล้วนะ นี่ยังมานั่งกินกาแฟอีก” แม่ถาม

        “โตแล้วไงครับ คนเราต้องมีการเปลี่ยนแปลงนะแม่” ภูวางท่าใหญ่โตเหมือนผู้บรรลุแล้วซึ่งสัจธรรม

        “โตซะมั่งก็ดี กลัวจะโตแต่ตัวน่ะสิ” แม่พ่นลมออกจากปาก สีหน้าดูขบขัน “แล้ววันนี้ไม่มีเรียนหรือไง?”

        “อ่า… ไม่มีครับ” ภูอ้อมแอ้มโกหกไป ทั้งที่ความจริงตารางเรียนแน่นตั้งแต่เช้าจรดค่ำ

        แม่ไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียงอะไรต่อ ภูรีบหลบกลับขึ้นมาบนห้องนอนของตัวเองก่อนที่จะโดนจับพิรุธได้ ในสองชั่วโมงที่เหลือนั้นเด็กหนุ่มตะลึงพรึงเพลิดไปกับฤทธิ์เดชของคาเฟอีนเข้มข้นที่กำลังไหลเวียนในกระแสเลือด เหมือนมีพลุระเบิดอยู่ในหัว ร่างกายตื่นตัวจนอยู่ไม่สุข งานบ้านต่างๆ ซึ่งไม่เคยหยิบจับในยามปกติถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือฆ่าเวลา ตั้งแต่เก็บกวาดข้าวของที่รกเต็มห้องจนเป็นระเบียบ ซ้ำยังปัดฝุ่นเช็ดถูซะเรี่ยม ภูมองดูผลงานของตัวเองอย่างปลาบปลื้ม ห้องไม่เคยสะอาดแบบนี้มาหลายปีแล้วนับตั้งแต่แม่โยนหน้าที่การทำความสะอาดห้องมาให้เขารับผิดชอบเอง แต่ถึงกระนั้นพลังแห่งกาแฟดำยังไม่เจือจางลงเลยแม้แต่น้อย หากไม่ติดว่าเหลืออีกเพียงสิบห้านาทีก็จะถึงเวลานัด ห้องพ่อกับแม่คงจะสะอาดเอี่ยมเป็นที่ถัดไป

        ด้วยมัวแต่เพลิดเพลินกับการทำงานบ้านจนลืมเสียสนิทว่ายังหาชุดใส่สำหรับวันนี้ไม่ได้ หลังอาบน้ำเสร็จภูจึงตัดสินใจแต่งตัวด้วยเครื่องแบบอันเป็นที่ยอมรับจากสากลโลก เข้ากันได้กับทุกที่ทุกโอกาส ชุดนักศึกษานั่นเอง เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวพอดีตัวถูกหยิบออกมาสวมใส่คู่กับกางเกงยีนสีอ่อนขาเดฟ เขาพับแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความคล่องตัวและลดความเป็นทางการลง หลังจากเช็คภาพตัวเองที่เห็นในกระจกจนมั่นใจว่าทุกอย่างดูดีแล้วจึงค่อยออกจากบ้าน ทางสะดวกปลอดคนเหมือนรู้เห็นเป็นใจให้เด็กหนุ่มหนีเที่ยว พ่อออกไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้วส่วนแม่กำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ในครัว ภูส่งเสียงบอกให้ผู้ปกครองรู้ว่าตนกำลังจะออกไปข้างนอกก่อนจะสวมรองเท้าผ้าใบแล้วรีบเผ่นออกจากบ้านมาโดยไม่รอฟังคำอนุญาต

        แสงแดดยามสายเสียดแทงดวงตาอันเหนื่อยล้าจากการอดนอน ภูหรี่ตาหลบแสงจนแทบปิดขณะเดินออกจากบ้านและพาตัวเองมุ่งไปยังที่อันเป็นจุดนัดพบ กรรณยืนรออยู่ตรงนั้นแล้ว ร่างสูงเด่นเป็นสง่าสวมเสื้อยืดสีขาวแล้วทับด้วยแจ๊กเก็ตหนังกลับสีน้ำตาลเข้ม กางเกงยีนแบบเข้ารูปยิ่งทำให้ขายาวสมส่วนของเขาดูดีขึ้นอีกหลายเท่า ทั้งหมดทั้งมวลเป็นภาพที่ดูแล้วลงตัวไปหมดทุกอย่างราวกับถูกออกแบบจัดวางมาแล้ว แสงแดดไม่อาจบดบังรัศมีอันดึงดูดสายตาที่เจิดจ้าออกมาจากตัวของเขาได้เลย ตรงเวลาเป็นบ้า... ภูคิดในใจขณะเร่งฝีเท้าเดินตรงเข้าไปหาอีกฝ่าย

        “มาสายนะ” กรรณบ่นพร้อมกับชี้ที่นาฬิกาข้อมือ

        “โห ห้านาทีเองเหอะ” ภูโอด

        “แล้วนี่เป็นอะไร เดินตาปิดมาเชียว”

        ไม่พูดเปล่า กรรณยื่นมือมาปัดเส้นผมที่ปรกหน้าของภูอยู่ออกแล้วก้มลงมาเพื่อจะดูให้ชัดๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับดวงตา ภูซึ่งตั้งตัวไม่ทันผงะถอยออกด้วยความตกใจ ปฏิกิริยานั้นทำให้อีกฝ่ายคล้ายจะชะงักไปครู่หนึ่ง

        “ไม่เป็นไรครับ แดดมันแรง ผมแสบตา” ภูบอกพลางหันหน้าหนีด้วยไม่มั่นใจว่าที่ใบหน้าร้อนขึ้นมาวูบวาบมันเพราะเปลวแดดหรือเลือดในกายมันสูบฉีดจากการเผลอสบตาอีกฝ่ายในระยะประชิด

        “ไม่ค่อยออกมาเจอแดดล่ะสิท่า พวกคุณหนูตัวขาวอมชมพู” กรรณพูดน้ำเสียงล้อเลียน “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว รีบไปกันเถอะ”

        ภูพยักหน้าตกลงตามนั้น กรรณหยิบของที่วางหลบแดดเอาไว้ข้างประตูรั้วออกมาและส่งให้ภู มันเป็นกระเป๋าใส่ขาตั้งกล้องและอุปกรณ์ถ่ายภาพอื่นๆ ส่วนตัวเขาเองสะพายกระเป๋าใส่กล้องใบใหญ่ไว้ข้างกาย แรกเริ่มภูยังคงมึนงงทั้งจากการอดหลับอดนอนและความเร่งรีบจนไม่อาจประติดประต่อทุกอย่างได้ทัน ได้แต่หิ้วของพะรุงพะรังตามหลังอีกฝ่ายขึ้นแท๊กซี่ไป จนกระทั่งทั้งสองเดินทางมาจนถึงอาคารสำนักงานของบริษัทผู้ผลิตอาหารรายใหญ่เจ้าหนึ่งของประเทศไทย กรรณพาภูขึ้นลิฟท์มายังชั้นยี่สิบซึ่งทั้งชั้นเป็นห้องสตูดิโอโล่งๆ เมื่อเข้ามาข้างในเขาก็แยกตัวเดินไปคุยกับกลุ่มคนที่นั่งรออยู่ก่อนหน้าแล้ว พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งกรรณก็ผายมือชี้มาทางภูซึ่งนั่งรออยู่ แล้วคนที่เหลือก็พยักหน้าคล้ายกับพึงพอใจ

        “นี่เรามาทำอะไรที่นี่อ่ะครับ?” ภูทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวรีบถามออกไปทันทีที่อีกฝ่ายเดินกลับมา เนื่องด้วยสถานการณ์ตอนนี้ดูละม้ายคล้ายว่าตนกำลังตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์

        “คืออย่างนี้… พอดีนายแบบที่ทางทีมงานติดต่อมาถ่ายงานในวันนี้เกิดอุบัติเหตุจนต้องขอยกเลิกงานกะทันหัน” กรรณเริ่มอธิบาย

        “แล้ว?” ภูยังไม่เข้าใจ

        “ทางลูกค้าเค้าก็เลยถามมาว่าพี่พอจะมีนายแบบมาถ่ายงานแทนมั้ย” ชายหนุ่มอธิบายต่อ “พี่ก็เลยพานายมา”

        “ไม่ถงไม่ถามสุขภาพกันซักคำ” ภูบ่นอุบ “ไม่เอาอ่ะพี่ ผมไม่เคยทำ ทำไม่ได้หรอก”

        “ไม่ยากหรอกน่า นั่งรอตรงนี้นะ เดี๋ยวพี่บอกให้ทำอะไรก็ทำ” เขาสั่งขณะรับกระเป๋าใส่อุปกรณ์คืนจากภู

        กรรณสาละวนจัดแสงและปรับตั้งค่ากล้องอยู่ไม่นานก็กวักมือเรียกภูให้เข้าไปด้านใน เด็กหนุ่มอิดออดในตอนแรกด้วยไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าดุใส่ก็จำใจต้องทำตามคำสั่ง เขาเดินเข้าไปนั่งยังเก้าอี้ที่จัดเอาไว้ตรงกลางเซ็ทไฟ บรรดาทีมงานคนอื่นๆ กรูกันเข้ามาจัดแจงผมเผ้าและใบหน้าให้ ด้วยผิวหน้าที่หมดจดอยู่แล้วการแต่งหน้าจึงไม่ต้องการความปกปิดอะไรมาก เพียงแค่ให้รับกับแสงที่จัดเอาไว้สำหรับการถ่ายทำ ผมยาวระต้นคอของภูถูกจัดทรงให้ดูมีสไตล์มากขึ้น ส่วนเรื่องเสื้อผ้า ทุกคนมีความเห็นตรงกันว่าชุดนักศึกษาที่ใส่มานั้นโอเคแล้ว ตรงกับคอนเซปต์ หลังจากกระบวนการเตรียมตัวนายแบบเสร็จสิ้น กรรณก็ส่งเครื่องดื่มอันเป็นสินค้าที่จะใช้ถ่ายในงานนี้ให้หนึ่งขวด

        “นั่งจิบไปเรื่อยๆ ไม่ต้องสนใจพี่ คิดซะว่ากำลังนั่งอยู่คนเดียวในบ้าน แต่พยายามให้ด้านหน้าของโปรดักส์หันมาทางกล้องตลอดนะ” กรรณบอกแล้วเดินไปยืนรออยู่หลังกล้อง

        “ผมไม่ค่อยหิว” ภูกินอะไรไม่ลงเมื่อต้องนั่งอยู่ท่ามกลางแสงไฟ โดนกล้องจ่อประชิด แถมยังมีคนแปลกหน้าอีกฝูงใหญ่นั่งจ้องอยู่ห่างๆ แบบนี้

        “กินไปเหอะน่า แค่น้ำอัดลม ไม่ได้วางยาหรอก หรือจะให้เข้าไปป้อน” กรรณตั้งท่าจะเดินเข้ามาทำตามที่พูด

        ได้อย่างนั้นก็ดีสิ... ภูนึกในใจ และพลันตระหนักได้ว่ามาถึงขนาดนี้แล้วถึงจะขัดขืนดึงดันไปก็คงไม่มีประโยชน์ รีบทำรีบเสร็จดีกว่าจะได้รีบไปให้พ้นๆจากสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนนี่เสียที เด็กหนุ่มยกขวดขึ้นมามองสำรวจผ่านปากขวดก่อนจะยกขึ้นจิบไปหนึ่งอึก รสชาติไม่เลวร้าย แถมความรู้สึกซาบซ่าที่ลิ้นยังช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้น เสียงรัวชัตเตอร์ดังมาเข้าหูให้วอกแวกเป็นระยะๆ แต่นายแบบจำเป็นก็ทำตามคำแนะนำที่ได้รับมาคือไม่สนใจความเคลื่อนไหวใดๆ รอบตัว จินตนาการว่ากำลังนั่งอยู่คนเดียวในห้อง มือยกขวดสินค้าขึ้นลงอย่างประดักประเดิดตามที่ตากล้องสั่งกำกับ เพียงไม่นานทุกอย่างก็เสร็จสิ้น ตากล้องหนุ่มหยุดถ่ายแล้วเดินมาบอกให้ภูกลับไปนั่งรอที่เดิมตรงมุมห้อง ทีมงานอีกคนนำเอกสารบางอย่างมาให้ภูเซ็นชื่อก่อนจะนำกลับไปโดยที่เขายังไม่ทันได้อ่านเนื้อหาข้างใน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-04-2018 18:49:48 โดย lolito »

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 3 part2


       เหตุการณ์ต่อจากนั้นคือกรรณเดินหายออกไปพร้อมกับคนกลุ่มนั้น ปล่อยให้ภูนั่งรออยู่คนเดียวในสตูดิโอ การรอคอยเพิ่มระยะเวลายาวนานขึ้นเรื่อยๆ จากนาทีเป็นชั่วโมง จนย่างเข้าสองชั่วโมง เด็กหนุ่มกระสับกระส่ายที่ถูกปล่อยทิ้งไว้คนเดียว คอยแต่ชะเง้อมองหาอยู่ตลอด จนเมื่อเริ่มทำใจได้ว่าวันนี้คงจะต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดทั้งวันเสียแล้ว กรรณก็เดินยิ้มร่ากลับเข้ามาและจัดการเก็บอุปกรณ์ทั้งหลายที่นำมากลับเข้ากระเป๋า

       “อยากกลับไวก็มาช่วยกันเก็บหน่อยสิ” กรรณหันไปบอกกับเด็กหนุ่มผู้กำลังนั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตรงมุมห้อง

       “สรุปว่านี่เหรอคือทั้งหมดของวันนี้?” ภูถามเสียงเบื่อหน่าย

       “สำหรับเรื่องงานก็เท่านี้แหละ ต่อไปก็ว่างแล้ว เดี๋ยวไปหาอะไรกินกัน พี่เลี้ยงเอง” กรรณตอบพร้อมกับยักคิ้วให้

       แหงล่ะ ลองไม่เลี้ยงสิ พวกใช้แรงงานเด็ก… ภูนึกในใจ ยังโมโหไม่หายที่ถูกทำให้หลงคิดไปเองว่านัดวันนี้จะเป็นเดทแรกในชีวิต อุตส่าห์อดหลับอดนอนเลือกเสื้อผ้าทั้งคืน ซดกาแฟจนใจสั่น สุดท้ายกลับกลายเป็นโดนหลอกมาใช้งานเสียอย่างนั้น กรรณใช้เวลาไม่นานก็เก็บของเสร็จ เขาโยนกระเป๋าใบเดิมให้ภูถือ เด็กหนุ่มถลาเข้ามารับจนเกือบล้ม พยายามสะกดกลั้นตัวเองอย่างเต็มที่ไม่ให้โผเข้าขย้ำคออีกฝ่าย ด้วยเหลือทนกับพฤติกรรมขยันทำตัวชวนให้เข้าใจผิดแบบนี้ เรื่องขอขึ้นห้องนอนก็ทีหนึ่ง ผ่านไปไม่ทันจะครบยี่สิบสี่ชั่วโมงก็เอาอีกรอบแล้ว ไหนจะท่าทีเป็นทองไม่รู้ร้อน เหมือนไม่รู้ตัวว่าได้ทำเรื่องร้ายแรงต่อความรู้สึกชาวบ้านเขาลงไปแบบนี้อีก

       ต้องขอบคุณรถไฟฟ้ามหานครที่ทำให้ทั้งสองมีหนทางหนีการจราจรที่ติดขัดย่านสุขุมวิทจนมาถึงศูนย์การค้าใหญ่ที่ใกล้ที่สุดได้ในเวลาไม่กี่นาที เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายคำว่าเลี้ยงข้าว แน่นอนสิ่งแรกที่ภูนึกถึงคือร้านอาหารดีๆ ทั้งหลาย ซูชิ สุกี้ ชาบู เนื้อย่าง และสารพันบุฟเฟต์ต่างๆ ผุดขึ้นมาเต็มหัว ภารกิจล้มทับให้หมดตัวเพื่อชำระแค้นถูกแพลนขึ้นมาเป็นฉากๆ แต่นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ความผิดหวังมาเยือน เมื่อหลังจากถูกพาเดินเตร่ในห้างอยู่พักใหญ่ สิ่งที่พบเจอในเวลาต่อมาคือกรรณยื่นถุงกระดาษใส่แฮมเบอร์เกอร์ของแมคโดนัลด์ให้

       “แค่เนี้ย!” ภูโวยลั่น

       “มีเฟรนช์ฟรายด้วยนะ” กรรณตอบหน้าตาเฉย

       “เอาผมมาถ่ายงาน ค่าตัวแค่เบอร์เกอร์กับเฟรนช์ฟรายเนี่ยเหรอ?” ภูชูถุงใส่หน้าอีกฝ่าย โดนหลอกมาทำงานยังไม่น่าช้ำใจเท่ารู้ว่าค่าตัวตัวเองเท่ากับอาหารขยะ “ไหนเค้าบอกว่างานพวกนี้รายได้ดีไง”

       “นายแบบหน้าตาบูดบึ้งน่ะเรียกร้องค่าตัวมากไม่ได้หรอกนะ” กรรณยู่หน้าจนย่นล้อเลียนภู “ถ่ายไปร้อยกว่ารูป มีใช้ได้อยู่หยิบมือเดียว นอกนั้นหน้าตาเหมือนเด็กโดนแม่จับได้ว่าสอบตก”

       ภูหน้าแดง ส่วนนึงเพราะอายที่โดนล้อ และอีกส่วนหนึ่งคือการได้เห็นกับตาว่าหนุ่มรุ่นพี่คนนี้ไม่ว่าจะพยายามทำหน้าตาให้ตลกหรือกวนโมโหแค่ไหนก็ยังดูดีได้อยู่ ถัดจากนั้นไม่กี่นาที ภูก็เริ่มรู้สึกวิงเวียนศรีษะขึ้นมานิดหน่อย เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงความอ่อนเพลียที่คืบคลานกลับเข้ามาปกคลุมร่างกายอีกครั้ง อาจจะเพราะคาเฟอีนที่โด๊ปมาเมื่อเช้าเริ่มหมดฤทธิ์ เขาเซไปวูบหนึ่งจนต้องพาตัวเองเข้าหาข้างทางเพื่อหลักยึดเกาะ

       “เป็นอะไร หน้ามืดเหรอ?” กรรณสังเกตเห็นความผิดปกติ เขารีบเดินเข้ามาพยุงแขนเอาไว้และคว้ากระเป๋าอุปกรณ์ที่ภูสะพายอยู่มาถือไว้เอง

       “ครับ” ภูพยักหน้า เดิมทีอาการหน้ามืดก็หนักหนาพอแล้ว นี่ยังต้องมาใจเต้นรัวจากไออุ่นและกลิ่นน้ำหอมที่โชยมาจากร่างกายของอีกฝ่ายที่เข้ามาแนบชิดอีก อานุภาพมันรุนแรงจนทำให้ขาทั้งสองข้างแทบจะหมดแรงทรงตัวเลยทีเดียว

       “พี่พานายออกไปข้างนอกดีกว่า ในนี้คนเยอะ อากาศก็ไม่ค่อยถ่ายเท”

       กรรณพยุงภูพาเดินออกไปข้างนอก ภูได้แต่ปล่อยตัวเองให้ไหลไปตามการนำของอีกฝ่ายอย่างไร้แรงต้านทาน เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะพาตนไปที่ไหน ทั้งยังไม่สนใจที่จะรู้ เด็กหนุ่มรับรู้ว่าตนออกจากห้างสรรพสินค้าแล้วเมื่อสัมผัสได้ว่าความเย็นจากเครื่องปรับอากาศหายไป และมีลมเบาๆ โชยมาแทน ยิ่งก้าวเดินต่อเสียงรถราและผู้คนก็ยิ่งฟังดูคล้ายอยู่ห่างออกไปเรื่อยๆ เมื่อได้มาอยู่ในที่เปิดโล่งและอากาศปลอดโปร่ง อาการโดยรวมก็เหมือนจะดีขึ้นมาก จะเหลือก็เพียงแค่หัวใจที่ยังคงเต้นรัวไม่หยุดเมื่อรับรู้ได้ว่าอ้อมแขนของอีกฝ่ายยังคงเกาะกุมประคองตัวเขาไว้ไม่ยอมปล่อยจนกระทั่งทิ้งตัวเอนหลังลงสัมผัสกับพื้นหญ้า ไอเย็นลอยตามสายลมมาปะทะใบหน้า ภูปรือตาขึ้นมองบรรยากาศที่โอบล้อมอยู่รอบตัว ทั้งสองอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ริมบึงน้ำ คงเป็นสวนสาธารณะข้างๆ ห้างที่เดินผ่านตอนลงจากรถไฟฟ้าสินะ… เขาคิด ในที่สุดแม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่กรรณก็ทำอะไรที่ใกล้เคียงกับการเดทเสียที

       “ดีขึ้นไหม?” กรรณซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ โน้มตัวก้มลงมาถามเสียงเกือบจะกระซิบ

       ภูพยักหน้าแทนคำตอบ เลือดสูบฉีดขึ้นหน้าอีกครั้งเมื่อเห็นใบหน้าอีกฝ่ายมาจ่อประชิดจนจมูกแทบจะชนกัน

       “หน้ายังแดงอยู่เลย เดี๋ยวรอตรงนี้ พี่ไปหาซื้อยาดมให้” กรรณตั้งท่าจะลุกออกไป แต่ภูยกแขนขึ้นฉวยข้อมือเอาไว้

       “ไม่เป็นไรแล้วครับ ผมดีขึ้นเยอะแล้ว” ภูตอบ ใจนึกอยากให้ความคิดของตัวเองมีเสียง กรรณจะได้รู้เสียทีว่าอาการหน้าแดงนี้เกิดจากอะไร และมันคงรักษาไม่ได้ด้วยยาดม

       “ไม่เป็นไรแล้วแน่นะ?” กรรณถามย้ำเพื่อความมั่นใจ

       “อืม แค่อยู่ตรงนี้ไปก่อนก็พอ”

       เมื่อได้มานั่งอยู่ตามลำพังสองต่อสอง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูแตกต่างออกไป ความวุ่นวายและเรื่องน่าหงุดหงิดต่างๆ ที่พบเจอมาตั้งแต่ช่วงเช้าดูริบหรี่เลือนรางราวกับไม่เคยเกิดขึ้น ความกังวลสารพัดอันเกาะกุมใจอยู่ได้คลี่คลายออก ภูหลับตาและสูดอากาศบริสุทธิ์อันเจือไปด้วยละอองน้ำเย็นชื้นที่ลมพัดพามาเข้าไปเต็มปอด เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นหนึ่งครั้ง กรรณหยิบกล้องออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบและตอนนี้เขากำลังใช้มันถ่ายภาพบึงน้ำของสวนสาธารณะที่อยู่เบื้องหน้า

       “พี่เป็นช่างภาพเหรอ?” ภูถามเพื่อความแน่ใจ แม้ทุกสิ่งที่ได้เห็นจะยืนยันคำตอบได้อยู่แล้ว

       “มืออาชีพเลยล่ะ” กรรณตอบก่อนจะวางกล้องลงแล้วเอนตัวลงนอนตะแคงหันมาทางภู เด็กหนุ่มต้องใช้ความพยายามอย่างมากทีเดียวที่จะสะกดกลั้นไม่ให้ตัวเองหน้าแดงขึ้นมาอีกรอบ

       “ทำมานานเท่าไหร่แล้ว?” ภูถามต่อ

       “ก็เริ่มมาตั้งแต่มัธยม เป็นงานอดิเรก ถ่ายส่งประกวดไปเรื่อย จนโชคดีชนะได้ทุนไปเรียนต่อสาขาศิลปะการถ่ายภาพที่อเมริกา แล้วก็ได้ใช้วิชาที่เรียนมาแบบจริงจังตอนไปฝึกงานกับนิตยสาร พอเรียนจบก็ทำงานเป็นช่างภาพที่นั่นต่อจนกระทั่งกลับมานี่แหละ”

       ภูฟังเส้นทางชีวิตของอีกฝ่ายแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกเทียบกับของตัวเอง กรรณวางแผนอนาคตตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆ เขารู้ว่าตัวเองชอบอะไรและไม่รีรอพาตัวเองไปให้ถึงจุดสูงสุดของเส้นทางนั้น ในขณะที่ภูนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองชอบหรือสนใจอะไร เขาเข้าเรียนคณะสถาปัตย์กรรมก็เพราะสาลี่ชวน จริงอยู่ที่การสอบผ่านเข้ามาเรียนได้ก็อาจจัดเป็นหลักฐานยืนยันว่าเขาพอมีฝีมือทางด้านงานศิลปะอยู่บ้าง แต่ก็ยังห่างไกลกับคำว่าพรสวรรค์ อีกทั้งผลงานที่สร้างสรรค์ออกมาก็ดูธรรมดาสามัญเกินกว่าจะใช้ชูโรงทำมาหากิน

       กรรณยกกล้องขึ้นถ่ายอีกครั้งเมื่อเห็นแมวสีเทากระโดดขึ้นเกาะปีนต้นไม้ เมื่อลั่นชัตเตอร์เสร็จก็ส่งให้ภูดูผลงาน สมกับราคาคุยที่ว่าเป็นมืออาชีพ ขนาดว่าถ่ายโดยไม่ได้จัดแสงภาพที่ได้ยังออกมาดูดี เป็นภาพถ่ายที่เปี่ยมไปด้วยมุมมองอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจนเด็กหนุ่มอดรู้สึกขึ้นมาไม่ได้ว่าเคยผ่านตาผลงานแบบนี้มาจากที่ไหนสักที่ หากแต่สมองที่ล้าจากการอดหลับอดนอนไม่มีศักยภาพพอจะระลึกย้อนไปถึงได้

       “ที่นี่ไม่ค่อยมีคนเข้ามาเลยเนอะ” ภูพูดขึ้นหลังจากสังเกตเห็นว่าเขาและกรรณแทบจะเป็นแขกผู้มาเยือนเพียงกลุ่มเดียวของสวนสาธารณะแห่งนี้

       “นั่นสินะ” กรรณเห็นด้วย

       “ทั้งที่อยู่กลางเมือง อยู่ติดกับศูนย์การค้าที่มีคนพลุกพล่านแท้ๆ”

       “คนสมัยนี้ติดการอยู่ห้องแอร์ซะจนคิดว่าอากาศข้างนอกร้อนเกินไป” กรรณแสดงความคิดเห็น “เพราะงั้นพวกเขาจะมาเดินในสวนให้เหงื่อออกทำไม ในเมื่อมีห้างติดแอร์ให้เดิน”

       “แล้วพี่ไม่ชอบเดินห้างหรือไง?” ภูย้อนถามกลับ

       “ไม่นะ ถ้าจะไปคือต้องมีธุระ” กรรณตอบ “อย่างวันนี้ที่มาก็เพราะพานายมาเฉยๆ”

       “ผมก็ไม่ชอบเดินห้าง” ภูพูดถึงตัวเองบ้าง

       “ทำไมล่ะ เด็กวัยรุ่นแบบนายส่วนมากเค้าชอบกันไม่ใช่เหรอ?”

       “ไม่ใช่ผมคนนึงล่ะ” ภูส่ายหน้า “แบบนี้ดีกว่าเยอะเลย”

       “เด็กประหลาด” กรรณยิ้มน้อยๆ “แล้วจะนอนอยู่แบบนั้นหรือไง? เดี๋ยวเสื้อนักศึกษาก็เลอะหมดหรอก”

       “ไม่เป็นไรหรอกครับ” ภูหลับตา “อยู่กันแบบนี้อีกสักพักเถอะ”

       กรรณไม่ตอบรับหรือพูดอะไรต่อ เขาเพียงแค่เอนหลังลงนอนราบกับพื้นตามภู เด็กหนุ่มเอียงคอหันไปมองและพบว่าอีกฝ่ายกำลังหลับตาอยู่ มือของเขาหงายแบลงบนผิวหญ้า จะเป็นอะไรไหมนะถ้าเขายื่นมือออกไปจับมันเอาไว้ ภูเขยิบมือเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนปลายนิ้วสัมผัสโดนมือข้างนั้น จงใจให้ดูคล้ายเป็นความบังเอิญพลางหยุดดูท่าที กรรณยังคงนิ่งไม่ขยับหลีกหนี นัยน์ตาคู่นั้นยังปิดอยู่เหมือนเดิมราวกับไม่รับรู้ถึงการถูกเนื้อต้องตัว ได้คืบต้องเอาศอก จากเพียงแตะเมื่อครู่ คราวนี้ภูใช้นิ้วเรียวยาวของตนขยับขึ้นเกาะกุมฝ่ามือชายหนุ่มเอาไว้ ในแวบแรกมันเหมือนเป็นการกระทำเพียงฝ่ายเดียว แต่เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา นิ้วของกรรณก็ตอบสนองต่อสัมผัสด้วยการขยับเข้าโอบกระชับมือของเขาเอาไว้ มือทั้งสองข้างโอบกอดกันแนบสนิท ไม่แน่นจนน่าอึดอัดแต่ก็ไม่หละหลวมจนดูไม่เจตนา แรงกระชับเกิดขึ้นเป็นจังหวะคล้ายการบีบนวด เป็นสัมผัสที่พอดีและน่าพึงใจ ชวนให้เด็กหนุ่มผู้ซึ่งไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ทางกายกับใครเช่นภูเพลิดเพลินไปกับมันด้วยได้อย่างง่ายดาย

       ไม่มีอะไรมากเกินไปกว่านั้น มือของทั้งสองยังคงเกาะกุมกันไว้ในท่าเดิมจนกระทั่งอารมณ์อันแสนจะพลุ่งพล่านในตอนแรกของภูเริ่มสงบลงตามบรรยากาศรอบข้าง หูของเด็กหนุ่มเพลิดเพลินไปกับเสียงลมพัดใบไม้ไหวในขณะที่สองตาจับจ้องมองดูก้อนเมฆสีขาวที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่บนท้องฟ้า เป็นความนิ่งสงบอันเนิบนาบและเนิ่นนาน ภูซึ่งฝืนสังขารอดหลับอดนอนมาจนถึงขีดสุดได้ปล่อยตัวเองให้ผ่อนคลายจนเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น กว่าจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกที ก็ย่างเข้าสู่ช่วงเย็นจนเกือบจะพลบค่ำแล้ว เขารีบหันไปดูข้างตัว บรรดาสัมภาระเครื่องมือทำงานของกรรณยังอยู่ที่เดิมหากแต่ชายผู้เป็นเจ้าของได้เปลี่ยนอิริยาบถจากนอนเป็นนั่ง ภูก้มลงมองดูที่มือของตัวเองแล้วรู้สึกไม่แน่ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มือของทั้งคู่ที่เกาะกุมกัน มันเกิดขึ้นจริงหรือเป็นแค่ละอองแห่งความฝันอันเกิดจากสัมปชัญญะที่กำลังจะหลุดลอย

       “นอนกินบ้านกินเมือง” กรรณว่าเข้าให้เมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมตื่นขึ้นมาเสียที

       “คำทักทายเวลาคนอื่นเค้าเพิ่งตื่นมันควรเป็นอรุณสวัสดิ์ไม่ใช่เหรอ?” ภูบิดขี้เกียจแก้เก้อพลางจัดผมเผ้าให้เข้าที่

       “นี่มันสายัณห์แล้วมั่งเถอะ” กรรณชี้ไปบนฟ้า “ดาวจะโผล่มาทิ่มหัวอยู่แล้ว”

       “แล้วทำไมไม่ปลุก?” ภูยิ้มแหย รู้สึกอายขึ้นมา

       “เห็นกรนซะลั่นสวน ท่าทางจะเพลียมาก ก็เลยปล่อยให้นอนดีกว่า” กรรณบอก “อีกอย่างวันนี้ก็ไม่มีเรื่องต้องไปไหนต่ออยู่แล้ว อยู่นี่ก็ดี อย่างน้อยก็ถ่ายรูปเล่นฆ่าเวลาได้”

       “เบื่อแย่” เด็กหนุ่มรู้สึกผิดขึ้นมาที่เผลอหลับไปจนทำให้อีกฝ่ายต้องรอจนเกือบครึ่งค่อนวัน

       “ตอนแรกก็เบื่อ แต่พอมีคนเริ่มละเมอ ก็หายเบื่อแล้ว” กรรณแกล้งพูดยั่ว

       “ละเมออะไร?” ภูหันขวับ “ผมละเมอด้วยเหรอ?”

       กรรณผงกหัวตอบรับ หน้าตาอมยิ้มเจ้าเล่ห์

       “ละเมอว่าอะไร?” ภูอยากรู้

       “ไม่บอกหรอก เก็บไว้ขำคนเดียวดีกว่า” กรรณไม่ยอมปริปาก ยิ่งยั่วให้อีกฝ่ายอยากรู้มากขึ้น

       “บอกมา!” ภูดึงดันจะเอาคำตอบให้ได้

       “พูดขอร้องเพราะๆ สิ แล้วจะบอก” กรรณยื่นเงื่อนไข

       “ฝันไปเถอะ ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก เก็บเอาไว้จนตายก็เอาใส่โลงไปด้วยเลยแล้วกัน” ภูเลิกตื้อ ถนอมศักดิ์ศรีตัวเองเอาไว้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็แอบกลัวเช่นกันว่าหากได้รู้แล้วจะอายยิ่งกว่าเดิม

       “อยากกลับรึยัง?” กรรณถามแล้วส่งมือมาให้ภูจับเป็นหลักพยุงตัวลุกขึ้น

       ภูลังเลอยู่ที่จะจับมือนั้น ด้วยไม่อยากให้สัมผัสที่จะเกิดขึ้นมากลายเป็นสิ่งยืนยันว่าความทรงจำอันเลือนรางก่อนจะผล็อยหลับไปเมื่อตอนกลางวันมันเป็นความจริงหรือมโนภาพ บางครั้งการอยู่กับความไม่แน่ใจก็ทำให้เป็นสุขยิ่งกว่า เหมือนความคลุมเครืออันแสนหวาน อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังมีสิทธิ์เลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ว่ามันเกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องถูกตรึงกับความเป็นจริงอย่างหนึ่งอย่างใดด้วยจำนนต่อสัมผัสพยาน

       เด็กหนุ่มยันตัวลุกขึ้นเอง กรรณเลิกคิ้วใส่เหมือนประหลาดใจแต่แล้วก็หันไปเก็บกระเป๋าอุปกรณ์ทั้งหลายของตนขึ้นจากพื้น เขาสะพายแบกมันทั้งหมดเอาไว้เองด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะยังไม่แข็งแรงพอจะหิ้วของหนัก อีกทั้งยังยืนกรานจะใช้บริการแท๊กซี่เดินทางกลับบ้าน โดยให้เหตุผลว่าไม่อยากให้ภูต้องไปแย่งอากาศหายใจกับคนอื่นบนขบวนรถไฟฟ้าที่ตอนนี้คงแน่นขนัดจากผู้คนที่เพิ่งเลิกงาน การจราจรติดขัดราวกับไฟแดงค้าง กว่าทั้งคู่จะมาถึงบ้านก็เกือบสามทุ่มแล้ว ถึงตอนนี้ภูเพิ่งนึกขึนได้ว่าตัวเองกำลังหิวโซ เนื่องจากตั้งแต่เช้านอกจากเครื่องดื่มที่ใช้ในการถ่ายงานแล้ว ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันตกถึงท้องเลย

       “อย่าลืมนี่สิ เอากลับไปด้วย คนเค้าอุตส่าห์เลี้ยงทั้งที” กรรณส่งถุงแฮมเบอร์เกอร์ที่ภูเกิดเป็นลมขึ้นมาก่อนจะได้กินเมื่อตอนกลางวันให้เมื่อทั้งสองลงมาจากรถเรียบร้อยแล้ว

       “ยังจะเก็บมาอีก เหี่ยวหมดแล้วมั้ง” ภูรับมาด้วยความเสียดาย

       “อย่าลืมกินล่ะ ข้างในมีเซอร์ไพรส์ด้วย” กรรณย้ำพร้อมกับขยิบตาให้ก่อนจะแยกเดินไปเข้าบ้านตัวเอง

       ภูไขประตูกลับเข้ามาในบ้าน ไฟในบ้านปิดมืด แม่คงออกไปหาอะไรกินข้างนอกกับพ่อเพราะเห็นว่าเขาไม่อยู่บ้าน เด็กหนุ่มรื้อค้นตู้เย็นจนทั่วก็ไม่เจออะไรที่พอจะประทังความหิวได้และเขาก็เหนื่อยเพลียจนเกินกว่าจะออกไปร้านสะดวกซื้อแล้ว ตอนนั้นเองที่ถุงใส่แฮมเบอร์เกอร์เย็นชืดดูมีคุณค่าขึ้นมาราวกับทองคำ เขาแกะถุงกระดาษแล้วล้วงเอาของที่อยู่ข้างในออกมาวางบนโต๊ะ จึงได้พบว่านอกจากแฮมเบอร์เกอร์กับมันฝรั่งทอดที่ตอนนี้สภาพเหมือนหญ้าเหี่ยวๆ แล้ว ในนั้นยังมีซองกระดาษอยู่อีกหนึ่งซอง เขารีบเปิดออกดู ภายในมีธนบัตรใบละหนึ่งพันบาทอยู่ปึกหนึ่ง ภูหยิบมันออกมานับทั้งหมดได้สามหมื่นห้าพันบาทพอดิบพอดี นอกจากนั้นยังมีกระดาษอีกหนึ่งแผ่นซึ่งมีลายมือหวัดๆ อันแสนคุ้นตาขีดเขียนอยู่ เด็กหนุ่มรีบคลี่มันออกอ่านด้วยความตื่นเต้น

       ค่าตัวสำหรับงานแรกในชีวิตของนายแบบหน้าบึ้ง ถ้ายิ้มซะมั่งลูกค้าคงให้เยอะกว่านี้ไปแล้ว

       ภูตกใจกับจำนวนเงินที่ได้รับ แน่นอนว่าเขาเคยได้ยินได้ฟังมาว่างานประเภทนี้นั้นรายได้ดี แต่ไม่คาดคิดว่าจะดีถึงขนาดนี้ เด็กหนุ่มพับเงินเก็บเข้ากระเป๋าสตางค์อย่างทะนุถนอม ขณะนั้นเสียงน้ำย่อยในท้องโครกครากราวกับเด็กน้อยร้องขออาหารก็ช่วยดึงสติให้หลุดจากความตื่นเต้นมาจดจ่อยังความหิวที่กำลังเผชิญ ภูก้มหน้าลงมองดูมันฝรั่งทอดสภาพเหมือนวัชพืชยืนต้นตายแล้วถอนหายใจ ก่อนจะกลั้นใจหยิบเข้าปากไปหนึ่งชิ้นหวังประทังความหิว รสเค็มของเกลือเจือกับความมันและกลิ่นดิบของมันฝรั่งแผ่ซ่านไปทั่วปาก อาจเพราะความหิวที่รุนแรงจึงทำให้อาหารอันเย็นชืดรสชาติไม่เลวร้ายเท่าที่คิด หลังจากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นสำหรับอาหารส่วนที่เหลือที่จะทยอยตามลงกระเพาะไปจนหมด

To be continued...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-04-2018 18:57:57 โดย lolito »

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
ตามจ้าาา

ขอบคุณครับที่ติดตาม ตอนต่อไปอีกไม่นานครับ กำลังตรวจทานอยู่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ขอบคุณที่ร่วมติดตามนะครับ  :impress2:

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 4 part1

     นับตั้งแต่วันที่กลับมาจากสวนสาธารณะ เวลาก็ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว เป็นหนึ่งสัปดาห์ที่ชีวิตของภูมีอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นหลายอย่างทีเดียว อย่างเช่นสมาชิกใหม่ของครอบครัว เมื่อกรรณกลายมาเป็นแขกประจำร่วมโต๊ะอาหารมื้อเย็นของบ้านเขา ตามคำเชิญของพ่อกับแม่ที่ดูจะหลงใหลได้ปลื้มกับเพื่อนบ้านหนุ่มคนนี้อย่างออกนอกหน้าจนลูกแท้ๆแบบภูแทบจะตกกระป๋อง ซึ่งเมื่อภูมาลองคิดดูแล้วก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะหากกรรณสามารถสร้างความประทับใจให้เขาได้ตั้งแต่แรกเจอ กับคนอื่นมันก็คงไม่ต่างกัน

     “ถามจริงเหอะแม่ ทำไมต้องให้เค้ามากินข้าวบ้านเราทุกวันด้วย?” ภูถามขึ้นในคืนหนึ่งหลังจากที่กรรณเพิ่งกลับบ้านตัวเองไป
     “ก็เค้าน่าสงสารออก อยู่ตัวคนเดียว ไม่ได้มีคนหาข้าวปลาให้กินแบบเธอนี่” แม่ตอบ ยามอารมณ์ดีบางครั้งแม่จะแทนตัวภูว่าเธอในการสนทนา “แล้วเค้าก็ชมด้วยว่าแม่ทำอาหารเก่ง”
     “ประจบสอพลอ” ภูเบ้ปาก มั่นใจมากว่าเหตุผลในการตัดสินใจของแม่ที่แท้จริงคือประโยคท้ายสุด “แล้วพ่อกับแม่เค้าไปไหนแล้วล่ะครับ”
     “พ่อเค้ารู้สึกจะเพิ่งเสียไปไม่กี่เดือน ก็นี่แหละสาเหตุที่เค้าย้ายกลับมาอยู่ไทย คงเพราะไม่มีใครดูแลแม่แล้ว”
     “แล้วตอนนี้แม่เค้าอยู่ที่ไหนล่ะ?” ภูถามต่อด้วยสงสัยว่าหากกรรณกลับมาดูแลแม่ แล้วทำไมเขาถึงอยู่บ้านนี้เพียงคนเดียว
     “ไม่รู้สิ แม่ไม่อยากถามเค้าเท่าไหร่ ไม่อยากยุ่ง” แม่ทำหน้าจริงจัง “เราก็อย่าไปถามพี่เค้าล่ะ เรื่องนี้มันค่อนข้างละเอียดอ่อนพอสมควร”
     “ละเอียดอ่อนยังไง?” ภูยิ่งสงสัยหนักขึ้นกับประวัติครอบครัวที่ดูจะลึกลับขึ้นในทุกขณะ
     “คุณแม่ของกรรณเค้าเป็นอัลไซเมอร์ ตอนนั้นที่เค้ากับสามีย้ายบ้านออกไปนั่นก็อาการหนักมากจนแทบจะจำอะไรไม่ได้แล้ว เห็นว่าย้ายไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดแต่แม่ก็ไม่รู้หรอกว่าจังหวัดไหน พี่เค้าเองกลับมาก็อยากจะไปดูแลแม่เอง แต่ก็ต้องจ้างพยาบาลทำแทนเพราะตัวเค้าต้องอยู่กรุงเทพทำงานหาเงิน ค่ายาแต่ละเดือนของแม่ก็ไม่ใช่น้อยๆ รายจ่ายรวมๆแล้วหนักเอาการ ความจริงทำงานอยู่ที่อเมริกาก็รายได้ดีกว่า แต่อยู่ไทยยังไงก็อุ่นใจกว่าว่าถ้ามีอะไรฉุกเฉินก็จะได้ไปถึงได้ทันท่วงที”
     “แม่รู้มาขนาดนี้แล้วยังกล้าพูดนะว่าไม่อยากยุ่งเรื่องเค้า” ภูกระเซ้าแม่ตัวเองถึงข้อมูลอันแน่นยิ่งกว่าแฟ้มข่าว
     “อันนี้เค้าเล่าให้ฟังเองหรอก เด็กบ้านี่” แม่ฟาดเข้าที่แขนลูกชายตัวแสบดังเพี๊ยะก่อนจะพูดต่อ “ก็นี่แหละ แม่ก็เลยชวนให้เขามาทานข้าวบ้านเรา พี่เค้ามีเรื่องเครียดเยอะนะ พ่อกับแม่เองก็เห็นเค้ามาแต่เด็ก จะนิ่งเฉยก็ทำไม่ลงหรอก”

     ภูพยักหน้าว่ารับทราบและเข้าใจ อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ต่อต้านความคิดนี้ชองพ่อแม่ เพราะการมีกรรณร่วมโต๊ะอาหารก็นับว่ามีข้อดีหลายอย่าง ถ้าไม่นับข้อที่ว่าภูสามารถมีเขาอยู่ในสายตาได้ทุกวัน หรือสัมผัสอันชวนใจเต้นเมื่อเท้าของทั้งสองบังเอิญเขยิบมาโดนกันใต้โต๊ะ ก็ยังมีข้อที่ว่าพ่อของภูได้มีเพื่อนอยู่เชียร์ฟุตบอลรอบดึก หรือแม่ผู้ชอบทำอาหารก็ได้มีใครซักคนมาเป็นหนูทดลองสูตรใหม่ๆของเธอ มีครั้งหนึ่งที่แม่ของภูทดลองทำคัพเค้กตามสูตรจากในโทรทัศน์ แน่นอนกรรณได้สิทธิ์ในการทดลองชิมเป็นคนแรกเพราะสามีและลูกชายของเธอขอสละสิทธิ์นั้น ซึ่งหลังจากการกินรวดเดียวจนหมดชิ้นอันเป็นเรื่องที่น่าพึงพอใจสำหรับแม่ของภูมากแล้ว เขายังแถมโบนัสส่งท้ายให้ด้วยการดูดกินเศษของมันที่ติดอยู่ตามนิ้วอีก ทำเอาหล่อนแทบจะตัวลอยด้วยความปลาบปลื้ม

     หากจะมีสิ่งใดที่เป็นปัญหาสำหรับเรื่องนี้ ก็คงจะมีแค่ตัวของภูเองที่มักจะเกร็งและทำตัวไม่ถูกจนน่าอึดอัดอยู่เสมอเมื่อต้องมาอยู่ร่วมชายคากับกรรณ เมื่ออยู่ในระยะสายตาของอีกฝ่ายเด็กหนุ่มก็ไม่สามารถทำตัวตามสบายได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว ลืมเรื่องการนุ่งกางเกงบ๊อกเซอร์ตัวเดียวนอนในห้องตัวเองไปได้เลย หลังจากการโดนลอบเข้ามาทายาที่หลังตอนหลับในวันนั้นซึ่งทำให้ได้รู้ว่าพ่อกับแม่ให้สิทธิ์ในการเข้านอกออกในบ้านนี้กับกรรณมากแค่ไหน ทำให้การนอนทุกครั้งต่อจากนั้นไม่ว่าจะแค่งีบพักสายตาตอนกลางวันหรือหลับยาวพักผ่อนยามค่ำคืนเขาก็ต้องเปลี่ยนมาใส่ชุดนอนที่มิดชิดแทนเพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้เห็นตนในสภาพไม่ชวนมอง หนำซ้ำเด็กหนุ่มต้องคอยปั้นสีหน้าเก็บท่าทางการแสดงออกไม่ให้ใครสังเกตเห็นได้ถึงความหลงไหลที่มีอยู่แน่นอก ทั้งนี้ความอึดอัดทั้งหลายทั้งปวงนั้นล้วนมีมูลเหตุมาจากความคลุมเครือในเรื่องความรู้สึก สำหรับภูนั้นมันชัดเจนไม่มีอะไรต้องสงสัย เขาหลงรักเพื่อนบ้านหนุ่มคนนี้แบบหัวปักหัวปำ หากแต่อีกฝ่ายล่ะแท้จริงคิดเช่นไรอยู่ ไหนจะเรื่องการนอนจับมือกันในสวนสาธารณะในวันนั้นที่อาจจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ก็ได้ ซึ่งหากมันเกิดขึ้นจริง(ซึ่งภูก็อยากให้เป็นเช่นนั้น)มันจะเป็นการกระทำในฐานะอะไร มันอาจเป็นสัมผัสแบบพี่น้อง เป็นการปลอบโยนคนป่วย หรือการหยอกเย้าเล่นเหมือนกับการขยับเท้ามาเบียดกันใต้โต๊ะอาหารที่เกิดขึ้นอยู่แทบทุกเย็น ภูอยากรู้ใจจะขาดว่าในขณะที่สิ่งเหล่านี้รบกวนใจเขาจนแทบบ้า สำหรับกรรณมันมีความหมายอะไรบ้างหรือไม่ หากแต่ก็ไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ เพราะถึงแม้ว่ากรรณจะมาฝากท้องกับมื้อเย็นและใช้เวลาช่วงหลังกลับจากทำงานที่บ้านของภูตลอด แต่ทั้งสองก็ไม่ได้อยู่กันลำพังเป็นการส่วนตัวเลย เด็กหนุ่มมักจะหนีขึ้นห้องนอนตัวเองเมื่อทานอาหารเสร็จในขณะที่กรรณอยู่ข้างล่างช่วยแม่ของภูล้างจาน หรือไม่ก็ดูข่าวในโทรทัศน์กับพ่อของภูและผลัดกันวิพากษ์วิจารณ์ถึงสถานการณ์บ้านเมืองอย่างออกรส

     อีกหนึ่งสิ่งใหม่ๆที่เกิดขึ้นในสัปดาห์คือการได้ครอบครองหมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัวของกรรณ ภูได้มันมาด้วยการอ้างว่าจะเอาไว้โทรถามเผื่อว่าเขาจะกลับมาไม่ทันมื้อเย็น จะได้รู้ว่าต้องจัดโต๊ะเตรียมเผื่อหรือไม่ ซึ่งเป็นข้ออ้างที่สมเหตุสมผลและไม่ส่อไปถึงเจตนาอื่นๆอันแอบแฝงอยู่ ซึ่งการได้ครอบครองมันก็มาพร้อกับภาระอันหนักหนาที่ภูต้องพยายามหักห้ามใจไม่ให้กดเบอร์โทรไปหาอีกฝ่ายโดยไม่จำเป็น ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากและฝืนความรู้สึกพอดู ไม่มีใครรู้ได้ว่ากี่สิบกี่ร้อยครั้งแล้วที่เบอร์ของกรรณถูกเด็กหนุ่มผู้ใจคะนองกดโทรออกแล้ววินาทีต่อมาเกิดใจหดเหลือเท่ามดจนรีบตัดสายวางทันทีก่อนที่ต่อติด ด้วยไม่กล้าและไม่รู้ว่าถ้าอีกฝ่ายรับสายจะพูดอะไรต่อจากนั้น

     เสียงนาฬิกาปลุกสั่งให้เด็กหนุ่มจำต้องลุกจากเตียงอย่างไม่เต็มใจนัก เขากดปิดเสียงมันอย่างแรงจนเกือบจะเป็นการทุบก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืนโงนเงน มือลูบสะเปะสะปะไปตามผนังขณะเดินไปยังห้องอาบน้ำ น้ำเย็นจัดจากฝักบัวทำให้ความง่วงมึนสร่างหายไปแต่ความเพลียยังฝังแน่นอยู่กับร่างกายที่ขาดแคลนการพักผ่อน ผลจากการลนลานนั่งปั่นงานส่งจนดึก ด้วยวันจันทร์ที่แล้วโดดเรียนไปกับกรรณ ภูจึงไม่รู้ว่าในทั้งสามคาบเรียนนั้นอาจารย์แต่ละวิชาได้สั่งงานมาคนละอย่าง และสาลี่เองก็ไม่ได้บอกจนกระทั่งถึงเมื่อวานนี้ แน่นอนว่าด้วยเวลาเพียงคืนเดียวจะให้ทำทั้งหมดคงไม่ทัน แต่ด้วยแรงอุตสาหะอันเกิดจากสภาวะไฟลนก้น อย่างน้อยวันนี้เขาก็มีชิ้นงานสำหรับวิชาการออกแบบสถาปัตยกรรมซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องความโหดของอาจารย์ผู้สอนไปส่ง

     เมื่อมาถึงมหาวิทยาลัย ยังเหลือเวลามากกว่าที่คาดเอาไว้ก่อนที่คาบเรียนแรกจะเริ่ม ภูตัดสินใจเติมกระเพาะที่ว่างเปล่าของตนด้วยอะไรบางอย่างที่ง่ายและสามารถจัดการให้หมดได้ในเวลาอันรวดเร็ว นมซักขวดก็ถือเป็นความคิดที่เข้าท่า เด็กหนุ่มคว้านมช๊อกโกแลตหนึ่งขวดแล้วส่งเงินให้กับคนขายก่อนจะบิดเปิดฝาเกลียวของมันแล้วยกขึ้นกระดกดื่ม ขณะนั้นสายตาพลันเหลือบไปเห็นโปสเตอร์โฆษณาเล็กๆที่เพิ่งถูกนำมาติดตั้งด้านหน้าร้านสะดวกซื้อ ในโปสเตอร์นั้นมีภาพของใครบางคนที่แสนจะคุ้นหน้าคุ้นตานั่งเต๊ะท่าอยู่ ภูแทบจะสำลักนมที่กำลังกระเดือกลงคอเมื่อสังเกตจนพบว่ามันคือตัวของเขาเอง

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 4 part2

     ภูเดินเข้าไปดูใกล้ๆและสำรวจมันอย่างถ้วนถี่ก่อนจะลงมติได้อย่างเป็นเอกฉันท์ ไม่ต้องสงสัยเลย นี่คือผลงานที่จะทำให้เพื่อนๆและรุ่นพี่ทุกคนในคณะล้อเลียนอย่างสนุกปากไปได้อีกตลอดทั้งปีการศึกษา ทางที่ดีคือต้องกำจัดมันโดยด่วน เขามองซ้ายมองขวาเมื่อเห็นว่าปลอดคนก็รีบปลดดึงเอาโปสเตอร์นั้นออกแล้วขยำโยนทิ้งถังขยะ ก่อนจะพบว่าช่างเป็นการกระทำที่เสียแรงเปล่า เมื่อแผ่นที่ถูกขยำทิ้งไปเมื่อครู่นั้นเป็นเพียงแค่หนึ่งในนับสิบๆแผ่นที่กระจายอยู่ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยและบริเวณโดยรอบ ทุกเสียงในหัวกรีดร้องพร้อมกันว่าบรรลัยแล้ว ต้องมีใครซักคนให้คำตอบกับเรื่องนี้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ภูรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาค้นหาเบอร์ของกรรณแล้วกดโทรออก เสียงสัญญาณรอสายดังขึ้น หากไม่ได้กำลังลนลานเพราะความโมโหอยู่ ภูคงนึกขึ้นมาได้ว่านี่คือครั้งแรกที่เขาโทรหากรรณอย่างเป็นทางการ

     “สวัสดีครับ” เสียงจากปลายทางพูดขึ้นหลังจากกดรับสาย
     “พี่ นี่มันอะไรกันอ่ะ!!?” ภูโวยวายเหมือนเพิ่งถูกโจรปล้นบ้าน
     “นั่นใครพูดน่ะ? ภูเหรอ?” กรรณถามเพื่อความแน่ใจเพราะไม่คุ้นตากับหมายเลขที่โทรมา
     “ก็ใช่ดิ จะใครล่ะ” ภูตอบกลับไป
     “แล้วมีอะไร ให้เบอร์ไปตั้งนานก็ไม่เคยโทรมา พอโทรมาก็โวยวายเลย” กรรณบ่น
     “ก็รูปที่พี่ถ่ายผมไว้อาทิตย์ก่อนอ่ะ ทำไมพี่ไม่บอกว่ามันจะแปะหราทั่วบ้านทั่วเมืองแบบนี้!” ภูระล่ำระลักพูดพลางดึงโปสเตอร์ทุกแผ่นที่เดินผ่าน
     “อ้าว ก็บอกไปแล้วนี่ว่าถ่ายงาน ค่าจ้างก็เอาไปแล้ว ตอนเซ็นเอกสารไม่ได้อ่านหรือไง เรตค่าจ้างนั้นมันสำหรับนำภาพไปใช้ในงานโฆษณา ตั้งแต่ไวนิลยันบิลบอร์ดเลยนะ” เขาตอบ น้ำเสียงดูขบขันกับอาการตื่นตระหนกของอีกฝ่าย “นี่คงไม่คิดว่าบริษัทเค้าจะจ่ายเงินเป็นสองสามหมื่นเพื่อถ่ายรูปเราเล่นๆหรอกใช่มั้ย?”
     “โห ถ้ารู้แบบนี้ไม่เอาด้วยหรอก!!” ภูรู้สถานะของตัวเองทันทีว่างานนี้พลาดเองโทษใครไม่ได้แล้ว

     เสียงหัวเราะของกรรณดังลั่นออกมาจากหูโทรศัพท์ ชายหนุ่มยังพูดอะไรอีกสองสามประโยคแต่ภูไม่ได้รอฟัง เขากดวางสายและกวาดตามองหารอบตัวว่ายังมีโปสเตอร์หลงเหลืออยู่ที่ไหนอีกบ้าง ในตอนนั้นเองไหล่ข้างหนึ่งก็ถูกสะกิดโดยนิ้วมือใครบางคน เด็กหนุ่มรีบหันไปมองและพบกลุ่มเพื่อนร่วมชั้นปีเกือบสิบคนที่ยืนยิ้มอย่างน่าสยดสยองอยู่ข้างหลัง

     “คุณพิภูครับ หาอะไรอยู่เอ่ย?” หนุ่มตี๋ใส่แว่นผู้ดูเหมือนจะเป็นแกนนำเอ่ยปากถามขึ้น ก่อนจะชูบางสิ่งที่ซ่อนไว้ข้างหลังออกมา “หาไอ้นี่ใช่มั้ย ไอ้นายแบบ”

     ภูขนลุกตั้งแต่หัวจรดเท้า สำหรับตัวของเขาที่แสดงจุดยืนว่าไม่สนใจงานประเภทนี้มาโดยตลอด คราวนี้นับเป็นการกลืนน้ำลายตัวเองอึกใหญ่เลยทีเดียว
     
     “เดี๋ยวนะทุกคน ไม่ใช่อย่างที่พวกแกคิดนะเว้ย” ภูพูดพลางยกมือขึ้นคล้ายจะร้องขอความเมตตา
     “คุณพิภูผู้แอนตี้งานอันฉาบฉวยของวงการบันเทิง ผู้ซึ่งประกาศกร้าวว่ายอมอดตายดีกว่าต้องไปยืนทำตามคำสั่งเหมือนหมาที่ถูกฝึกมาอยู่หน้ากล้อง” หนุ่มแว่นยื่นโปสเตอร์เข้ามาจ่อเกือบติดหน้าผาก สิ่งที่ภูกลัวที่สุดได้เริ่มขึ้นแล้ว “ทำไมวันนี้คุณมานั่งหล่ออยู่ในโฆษณาได้ครับ”

     ภูเถียงไม่ออก หมดปัญญาจะสู้รบปรบมือ ได้แต่ทำให้พวกเพื่อนๆสาแก่ใจด้วยการยอมแพ้อย่างหมดรูปโดยวิ่งหนีไปหลบในห้องน้ำจนกว่าจะได้เวลาเข้าเรียน แต่ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นลอยนวลไปได้ง่ายๆ เมื่อแม้กระทั่งในคาบเรียนอาจารย์ก็ยังหยิบยกเอาเรื่องนี้มากัดแซะอย่างสนุกปาก วันนั้นทั้งวันภูรู้สึกแปลกแยกเหมือนตัวเองเป็นเด็กประถมที่ใส่ชุดลูกเสือมาในวันธรรมดาเพราะจำวันผิด การแซวหยอกเย้าทำเป็นเรื่องตลกขบขันเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด ทุกเรื่องทุกประเด็นที่พูดคุยสุดท้ายโยงเข้ามาหาโปสเตอร์แผ่นนั้นได้หมด เด็กหนุ่มนึกโมโหความปากไวของตัวเอง หากย้อนเวลาไปได้จะไม่มีวันพูดประโยคนั้นออกมาอีกเด็ดขาด 

     “เออ สนุกกันพอรึยัง เอาแค่หอมปากหอมคอพอประมาณดีป่ะ ใจคอวันนี้จะไม่พูดไม่คุยเรื่องอื่นกันเลยหรือไง” ภูเบรกเพื่อนหลังจากโดนกัดเรื่องโปสเตอร์เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่ทราบของวันนี้
     “ก็ไม่มีอะไรน่าคุยเท่าเรื่องนี้แล้วนี่หว่า คุณพิภูของพวกเราอุตส่าห์ตะกายไปเป็นดาวโดดเด่นบนฟากฟ้าทั้งที นี่ถ้ามีเงินกูจ่ายหนังสือพิมพ์ให้เอาลงหน้าหนึ่งไปแล้วนะเนี่ย” นฤดล หนุ่มแว่นหน้าตี๋ พูดแล้วหัวเราะจนตาหยีเป็นสระอิ
     “เก็บไว้ลงข่าวงานศพแม่มึงเถอะ” ภูย้อนกลับไป พลางหลบก้อนน้ำแข็งที่นฤดลเขวี้ยงใส่เป็นค่าตอบแทนสำหรับการเล่นลามปามถึงบุพการี
     “แหมไอ้ภู เพื่อนๆเค้าก็แค่แปลกใจ ที่จู่ๆผีตัวไหนมาดลใจแกให้ไปทำอะไรแบบนี้ได้ เมื่อก่อนรุ่นพี่มาลากมาดึง ขอร้องอ้อนวอนให้ไปช่วยงานละครเวทีก็ไม่ไป ขนาดมีเจ๊ดันมาถึงที่บอกให้ไปแคสต์หน้ากล้องที่นั่นที่นี่ การันตีว่าได้งานแน่นอน ก็ไม่เห็นจะยอมไปซักครั้ง” สาลี่แสดงออกชัดเจนว่างานนี้ไม่ได้ยืนข้างเดียวกับเพื่อนซี้

     ไม่ใช่ผีหรอกที่ดลใจ คนนี่แหละ ออกไปทางเทพบุตรเลยด้วยซ้ำ ภูนึกในใจ

     “ไปครั้งแรกแล้วได้งานแบบนี้เลย แสดงว่าแบคต้องดี มึงสารภาพมาไอ้ภู มึงเอาตัวเข้าแลกใช่มั้ย?” ตฤณ หนุ่มเซอร์ผมยาว เปิดประเด็นให้บานปลายต่อไปอีก
     “กูหล่อไง จบมะ แล้วผมกูก็จัดทรงง่ายกว่ามึงด้วย เค้าเลยเลือกกู” ภูสรุปให้

     เป็นบทสรุปที่เรียกเสียงโห่จากกลุ่มเพื่อนได้อย่างพร้อมเพรียงกัน ภูถอยหนีหลบฉากออกมายังซุ้มบริการรับถ่ายเอกสาร เขาส่งสมุดเลคเชอร์ที่ยืมเพื่อนมาให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อทำสำเนาทั้งเล่มเอาไว้อ่านเตรียมสอบ ระหว่างรอดำเนินการนั้นสาลี่ก็เดินมายืนข้างๆและยกศอกขึ้นพาดบนไหล่ของเขา ทำท่าเหมือนกำลังยืนเท้าคางโดยมีภูเป็นหลักยัน

     “พวกมันก็แค่แซวเล่น แกก็อย่าไปโมโหเลย” เธอพูดขึ้น ด้วยมองออกถึงอาการไม่สะดวกสบายใจของภูที่มีต่อเรื่องนี้
     “ไม่ได้โมโห ชั้นอาย” ภูแก้ไขให้ถูกต้อง “ชั้นเองก็โดนมัดมือชกเหมือนกัน ถ้ารู้ว่าจะโดนพาไปถ่ายอะไรแบบนี้ ชั้นไม่ไปด้วยหรอก”
     “ใครพาแกไปวะ?” สาลี่สงสัย “อย่าบอกนะที่โดดเรียนเมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะ…”
     “อือ” ภูพยักหน้า “ไปกับพี่กรรณ”
     “พี่กรรณ? พี่ข้างบ้านที่คิดว่าแกเป็นตีนแมวเลยจับส่งตำรวจน่ะนะ?” สาลี่นึกออก “แล้วอีท่าไหนถึงไปด้วยกันได้ ชั้นนึกว่าพอเกิดเรื่องแบบนั้นแล้วแกจะไม่กินเส้นกับเค้าซะอีก”
     “มันก็แค่เรื่องเข้าใจผิดที่บานปลาย ไม่รู้จะโกรธกันไปทำไม ใช่ว่าเค้าตั้งใจซะเมื่อไหร่ล่ะ”
     “แล้วนึกยังไงไปกับเค้า” สาลี่ยังซักต่อ
     “ก็เค้าชวน ตอนแรกที่ชวนน่ะไม่ได้บอกว่าจะไปไหน เพิ่งมารู้ตอนไปถึงแล้วนี่แหละ” ภูบอกตามความจริง
     “เค้าชวนไปไหนก็ไม่รู้แต่ก็ไปกับเค้า แถมยังยอมโดดเรียนไปด้วยอีกต่างหาก” สาลี่ทำเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
     “อือ” ภูพยักหน้า ไม่รู้จะพูดอะไร ในเมื่อมันก็จริงตามที่เพื่อนว่ามา
     “ปกติถึงแกจะไม่ได้ขยันอะไรนักหนา มาเรียนสายก็บ่อย แต่แกไม่เคยโดดเรียนเลยนะ วันนั้นที่แกไม่มาชั้นยังนึกว่าแกไม่สบายกะจะไปเยี่ยมด้วยซ้ำ” สาลี่ทำหน้าตาสงสัย “นี่ถ้าพี่กรรณอะไรนั่นเค้าเป็นผู้หญิง ชั้นคงฟันธงได้ไปแล้วนะเนี่ยว่าแกต้องแอบชอบเค้าอยู่แน่ๆ”
     “บ้าแล้ว คิดอะไรประสาทๆแบบนั้นวะ” ภูรีบเฉไฉกลบเกลื่อน
     “อ้าวไม่รู้หรือไง คนเราน่ะ จะยอมแหกกฎของตัวเอง ทำอะไรที่ไม่เคยหรือไม่ชอบทำ ก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นมีคนที่ชอบมาเกี่ยวข้องด้วยเท่านั้นแหละ” สาลี่อธิบายดั่งเป็นกูรูเรื่องความรัก
     “พอเลย เพ้อเจ้อใหญ่แล้วแก” ภูตัดบท ไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย ด้วยหวั่นเกรงจะถูกล่วงรู้ว่าปิดบังบางอย่างเอาไว้

     งานถ่ายเอกสารที่กำลังทำอยู่เสร็จพอดี ภูรับปึกกระดาษกลับมาพร้อมกับสมุดเลคเชอร์แล้วรีบเดินหนีออกมาก่อนจะโดนสาลี่พูดต้อนให้จนมุมมากกว่านั้น ใช่ว่าจะต้องการเก็บงำเป็นความลับจากเพื่อนสนิทแต่อย่างใด หากภูจะมีใครซักคนเข้ามาในชีวิตจริงๆ สาลี่ก็อยู่ในรายชื่อของบุคคลกลุ่มแรกๆที่จะได้รับรู้ ถ้าเขาสามารถเปิดปากคุยเรื่องนี้กับสาลี่ได้อย่างสนิทใจ และหากอีกฝ่ายรับรู้แล้วไม่สติแตกไปเสียก่อน คำแนะนำหรือชี้แนะใดๆที่เธอจะให้ในฐานะผู้ที่ผ่านประสบการณ์ความรักมาก่อนก็คงช่วยให้อะไรๆง่ายขึ้นมาก หากแต่เขายังคงต้องการเวลา แม้แต่อีกเพียงนิดก็ยังดี ด้วยเหตุที่ว่าตอนนี้แม้จะอยากพูดอยากบอก แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มยังไง 

     ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า บรรยากาศรอบตัวในมหาวิทยาลัยตอนนี้เกือบจะเงียบสนิท ด้วยใกล้ช่วงการสอบทำให้งานกิจกรรมต่างๆเริ่มสร่างซาลง คงจะเหลือเพียงแต่กลุ่มเพื่อนๆของภูเท่านั้นที่ยังคงสรวลเสเฮฮากันราวกับไม่รู้ร้อนรู้หนาว เมื่อทั้งสองกลับมาถึงโต๊ะหน้าคณะอันเป็นจุดชุมนุมก็พบว่าบรรดาเพื่อนกลุ่มที่รออยู่ได้ลงมติสำหรับกิจกรรมที่จะทำหลังจากนี้เอาไว้แล้ว

     “แดกเหล้าอีกแล้วเหรอ? วันนี่วันจันทร์นะเว้ย พรุ่งนี้ก็มีเรียน” ภูคัดค้าน
     “แต่วันนี้มันโอกาสพิเศษ เพื่อนเป็นดารา เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ต้องฉลองเว้ย” ตฤณไม่ยอมให้มตินี้ตกไปง่ายๆ
     “เออ แบบนี้แหละกูจะยิ่งไม่ไป” ภูเริ่มโมโหขึ้นมา
     “โอ๋ๆๆ ไม่เอา ไม่โกรธ เอางี้ ถ้าวันนี้มึงไปด้วย พวกกูสัญญา นับแต่พรุ่งนี้ไป พวกกูจะทำเหมือนมึงไม่เคยปรากฏตัวอยู่บนโปสเตอร์นั่นมาก่อนเลย โอเคป่ะ?” หนุ่มผมยาวยื่นข้อเสนอล่อใจในขณะที่คนอื่นที่เหลือพยักหน้าเหมือนตกลงร่วมด้วย
     “แน่นะ” ภูเลิกคิ้วมองหน้าเพื่อนแบบไม่มั่นใจในสัจจะ “อีกอย่าง ถ้ากูไป กูกลับดึกมากไม่ได้นะ”
     “เออ มึงก็ไม่ต้องกลับดึก เดี๋ยวสี่ทุ่มกูจับมึงยัดขึ้นแท็กซี่เองเลย” ตฤณรับปาก
     “สี่ทุ่ม ไม่เกินนั้นเด็ดขาดนะเว้ย” ภูยืนกราน
     “เออ ตามนั้น!!” ทุกคนรับปากหนักแน่น

     ในช่วงเวลาถัดจากนั้นที่บาร์เหล้าย่านถนนพระอาทิตย์ ภูดื่มแต่น้อยเพื่อประคองสติไม่ให้เผลอเมาจนปล่อยตัวสนุกเลยเถิดจนเกินเวลาเคอร์ฟิว หากแต่เขาลืมไปว่าสิ่งที่น่ากังวลจริงๆนั้นไม่ใช่ความมึนเมา แต่เป็นความง่วงเพลียที่แอบเร้นอยู่ใต้การรับรู้ของประสาท เขาไม่ระแคะระคายเลยแม้แต่น้อยว่าร่างกายที่เบาหวิวไร้เรี่ยวแรงและสายตาที่เริ่มเบลอจนเห็นภาพแยกเป็นสองจอนั้นเกิดจากความล้าไม่ใช่ฤทธิ์แอลกอฮอล์ เสียงบางอย่างกระทบกระแทกกันตามด้วยของเหลวสัมผัสอุ่นวูบวาบที่สาดรดลงบนเสื้อนักศึกษาจนเปียกชุ่ม คำขอโทษแว่วมาเข้าหูแต่ภูกลับรู้สึกว่ามันเลื่อนลอยและห่างไกลเกินกว่าจะสนใจ ท่วงทำนองจากวงดนตรีสดที่เล่นเพลงอะคูสติกยิ่งเป็นบทบรรเลงขับกล่อมชั้นเยี่ยม สิ่งสุดท้ายที่ภูจำได้คือนาฬิกาดิจิตอลบนผนังบอกเวลาสามทุ่มสี่สิบห้านาที แล้วทุกอย่างก็ดับวูบไป

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
เอาแล้ววววว จะโดนหิ้วไหมม

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
เอาแล้ววววว จะโดนหิ้วไหมม

.
.

ต้องติดตามดูครับ  :hao3:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ขอบคุณที่ยังติดตามนะครับ​  :-[

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:pig4: :pig4: :pig4:

ขอบ​คุ​ณที่​ยัง​ติดตา​มนะครับ​  :impress2:

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 5 part1

     สมัยเรียนชั้นประถม ภูเคยแอบปีนต้นไม้หลังโรงเรียนเพียงเพื่อจะเก็บลูกขนไก่ของเพื่อนที่ขึ้นไปค้างอยู่บนนั้น เท้าเล็กๆของเขาค่อยๆเหยียบกิ่งที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเหลือระยะห่างอีกเพียงแค่เอื้อมมือก็จะคว้าลูกขนไก่อันเป็นเป้าหมายได้ แต่แล้วกิ่งไม้อันแสนบอบบางที่รองอยู่ใต้ฝ่าเท้าก็เกิดหักเสียงลั่นดังเปรี๊ยะ และสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้นก็เป็นไปตามกฎแห่งแรงโน้มถ่วง ร่างเล็กๆของเด็กชายร่วงตรงดิ่งย้อนกลับลงไปยังทิศทางที่ขึ้นมา ในขณะที่ร่างกายฝ่าอากาศลงไปนั้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นช่างน่าพิศวง มันไม่นานพอจะก่อให้เกิดความกลัว เป็นเพียงความรู้สึกที่ว่าบางสิ่งอันไม่ถูกไม่ควรได้เกิดขึ้นแล้ว และเขาไม่อาจจะควบคุมหรือหยุดยั้งมันได้เลย
 
     บัดนี้ความรู้สึกนั้นได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง เมื่อภูพบว่าตนเองตื่นขึ้นมาในบาร์เหล้าที่เดิม เพื่อนในกลุ่มยังคงอยู่ล้อมรอบไม่ห่าง หากแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาดิจิตอลบนผนังร้านซึ่งเปลี่ยนจากสามทุ่มสี่สิบห้านาทีมาเป็นตีหนึ่งพอดิบพอดี

     “ตื่นแล้วเหรอวะ เสียงดังขนาดนี้มึงนี่ก็นอนไปได้เนอะ” ตฤณร้องทักเมื่อเห็นภูลืมตาขึ้นมานั่งทำหน้างัวเงียอยู่
     “มึงไม่ปลุกกูวะ บอกแล้วไงว่ากลับดึกไม่ได้” ภูสะบัดหัวไล่ความง่วงที่ยังตกค้างอยู่ออกไป
     “กูบอกไอ้ลี่ว่าถ้ามันจะกลับให้ปลุกเอามึงกลับไปด้วย” ตฤณโบ้ยความผิดไปให้สาลี่
     “แล้วมันไปไหนแล้วล่ะ?” ภูหันมองหารอบๆตัวแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่วี่แวว “เทกูอีกแล้วสิเนี่ย”
     “คาดว่าจะเป็นเช่นนั้น” ตฤณยกแก้วขึ้นซดของเหลวสีเหลืองที่เหลือติดอยู่ก้นแก้วจนหมดก่อนจะเอ่ยปากเชิญชวน “ไหนๆก็ดึกแล้ว มึงก็เอาให้สุดเลยดีมั้ยเพื่อน?”
     “ไม่เอาอ่ะ กูกลับเลยดีกว่า งานกูยังค้างส่งอีกสองวิชาเนี่ย”

     ตฤณยักไหล่ไม่รั้งตัวเพื่อนไว้ต่อ ภูรีบออกจากร้านแล้วนั่งแท็กซี่ตรงดิ่งจากท่าพระอาทิตย์กลับไปถึงบ้าน เขาลองเสี่ยงดวงด้วยการใช้กุญแจที่พกติดตัวอยู่ไขประตู แต่ถึงจะปลดล๊อกได้ก็พบว่ามันยังถูกลงกลอนจากด้านในอยู่ดี เป็นไปตามที่คาดคะเนเอาไว้แบบไม่มีผิดเพี้ยน ภูถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่กับวันนี้ที่ทุกอย่างดูจะขัดใจตนไปเสียหมด ตามองไปยังชั้นสองของบ้านหลังข้างๆ ไฟยังคงเปิดอยู่ กรรณคงยังไม่หลับ ลืมเรื่องคิดจะแอบปีนเข้าไปใช้ประตูฉุกเฉินได้เลย ครั้งสุดท้ายที่ทำผลของมันพาเขาไปถึงโรงพัก ครั้งนี้คงต้องยอมแบกหน้าไปใช้วิธีเจรจาขอผ่านทางแต่โดยดี โดยคิดบอกกับตัวเองให้กำลังใจชุ่มชื้นขึ้นว่าครั้งนี้เขากับอีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันแล้ว คงไม่มีปัญหาอะไร อย่างมากก็คงโดนบ่นเรื่องมารบกวนในยามวิกาล ซึ่งนับว่าจิ๊บจ๊อยมากหากเทียบกับการนอนตากยุงรออยู่หน้าบ้านจนเช้า

     เด็กหนุ่มพาร่างตัวเองไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูรั้วของบ้านข้างๆ พลางมองปุ่มกดของกริ่งสัญญาณที่ประตูรั้วอย่างกล้าๆกลัวๆ ก่อนจะกลั้นใจกดลงไปหนึ่งครั้ง ในยามดึกที่เงียบสงัดเช่นนี้เสียงออดฟังดูดังกว่าปกติหลายเท่า ภูชะโงกหน้ารอการตอบสนองจากข้างในอย่างกระวนกระวาย ตาเหลือบมองซ้ายขวาเป็นระยะกลัวว่าจะมีบางสิ่งซุ่มจู่โจมอยู่ เป็นอาการวิตกจริตอันเกิดจากมายาคติเกี่ยวกับยามค่ำคืน ที่ระเบียงชั้นสองของบ้านมีความเคลื่อนไหว ร่างสูงของชายหนุ่มเจ้าของบ้านโผล่ออกมาชะโงกดูก่อนจะกลับเข้าไป ไม่กี่วินาทีต่อมาแสงไฟในบ้านชั้นล่างก็สว่างขึ้นแทบจะพร้อมๆกับที่ประตูหน้าบ้านเปิดออก

     กรรณเดินตรงดิ่งมาที่ประตูรั้ว หากแต่ยังรีรอไม่ยอมเปิดออกรับ ภูไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายด้วยละอายกับเหตุผลแห่งการมาเยือนของตน อีกทั้งยังเจือไปด้วยความประหม่าอันเกิดขึ้นเป็นธรรมดายามเมื่อทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันในระยะสายตา ภูลอบมองดูชายหนุ่มเจ้าของบ้านผ่านทางช่องของประตูรั้ว กรรณในเวลานี้แต่งตัวเหมือนพร้อมจะเข้านอนได้ทุกเมื่อ เสื้อยืดสีขาวเนื้อผ้าบาง กับกางเกงวอร์มแบบเนื้อผ้าบางสีเทา ผมบนศรีษะปรกลงตามธรรมชาติเมื่อไม่ได้ถูกจัดทรงเหมือนยามปกติ สีหน้าไม่มีร่องรอยแห่งความงัวเงีย เขาคงยังไม่ได้หลับตอนที่ภูกดออดเรียก ความเคร่งเครียดทีฉาบเอาไว้บนใบหน้ามากพอให้สังเกตเห็นว่ากำลังพบเจอเรื่องไม่สบอารมณ์ อาจจะฟังดูไร้สำนึก หากแต่เด็กหนุ่มอดหวามไหวใจสั่นไปกับภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ได้จริงๆ

     “ไปไหนมา?” กรรณถามขึ้นหลังจากยืนมองภูก้มหน้าก้มตาทำกระมิดกระเมี้ยนไม่ยอมพูดอะไรเสียที
     “ทำงานที่บ้านเพื่อน” ภูปด
     “โกหก ยืนตรงนี้ยังได้กลิ่นเหล้าเลย” กรรณย่นจมูก

     กลิ่นเหล้า…  ภูนึกประหลาดใจ กลิ่นเหล้าที่รุนแรงนี้มาจากไหน ในเมื่อเขาเองก็ดื่มไปเพียงสองแก้วก่อนจะหลับไป แถมยังเป็นสองแก้วที่ผสมด้วยน้ำอัดลมจนรสแอลกอฮอล์เบาบางลงมากสุดเท่าที่จะทำได้ ภูพยายามนึกย้อนไปก่อนที่ตนจะหลับ ภาพความทรงจำเริ่มประติดประต่อเข้าด้วยกันทีละชิ้นเหมือนจิ๊กซอว์ ภาพของนฤดลที่ถือขวดเหล้าอยู่ข้างๆ พยายามแสดงบางอย่างโชว์สาวๆในร้าน เสียงโลหะกับแก้วกระทบกัน ขวดหลุดจากมือของเพื่อนหน้าตี๋ก่อนที่ของเหลวสีอำพันข้างในจะเทกระฉอกออกมาราดรดเสื้อนักศึกษาของภู

     “ไงล่ะขี้เมา จะพูดความจริงมั้ย?” กรรณทำหน้าเหมือนเบื่อหน่ายจนเหลือจะทน
     “ก็ไปกินเหล้ากับเพื่อนมา” ภูยอมสารภาพด้วยจำนนต่อหลักฐานแวดล้อม “แต่กินแค่สองแก้วเอง ไอ้ที่เหม็นหึ่งนี่เพื่อนทำหกใส่เสื้อ”
     “แล้วมากดออดบ้านพี่ดึกๆดื่นๆจะเอาอะไร? ที่นี่ไม่มียาแก้เมาค้างขายนะ” กรรณแสร้งทำไม่รู้เจตนาของเด็กหนุ่ม
     “ขอผ่านทางเข้าบ้านหน่อยครับ” ภูขออนุญาต

     กรรณถอนหายใจก่อนจะเปิดประตูรั้วให้ภูเข้ามาข้างใน เด็กหนุ่มรีบเดินไปยังบันไดไม้ที่อยู่นอกตัวบ้านซึ่งเมื่อก่อนเคยใช้เป็นเส้นทางประจำในการขึ้นไปยังระเบียงทางเดินชั้นสอง แต่กลับถูกกรรณดึงแขนลากให้เข้ามาในบ้านแทน

     “ผมขึ้นทางนั้นก็ได้ ไม่กวนพี่แล้ว” ภูชี้ไปนอกบ้าน
     “ตรงนั้นมันมืด หลอดไฟเสีย พี่ยังไม่ได้เปลี่ยน เมาแอ๋แบบนี้เดี๋ยวก็เดินพลาดกลิ้งตกลงมาคอหัก” กรรณไม่ยอม “ขึ้นบันใดในบ้านนี่แหละ ทำตัวให้ไม่เหมือนโจรบ้าง”
     “ไม่ได้เมาซักหน่อย แล้วโจรที่ไหนจะมาขออนุญาตเข้าบ้านคนอื่น” ภูเถียงแต่ก็ต้องรีบหุบปากเงียบเมื่อเห็นหน้าดุๆของอีกฝ่ายจ้องเขม็งมา
     “คนเมาน่ะไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองเมา” กรรณพูดพลางเดินไปหยิบกระป๋องบางอย่างออกมาจากในตู้เย็นแล้วโยนให้ภู เด็กหนุ่มรับพลาด มันกระเด็นตกไปกลิ้งอยู่กับพื้นด้านหลัง กรรณส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่าย “เห็นมั้ย แค่นี้ยังรับไม่ได้เลย”
     “ก็จู่ๆก็โยนมา ไม่ทันตั้งตัวเลยนี่นา” ภูบ่นอุบขณะลุกไปหยิบกระป๋องบนพื้นขึ้นมาประคองไว้ในมือ
     “เปิดกินซะ พรุ่งนี้ตื่นมาจะได้ไม่ปวดหัว นั่งกินให้หมดตรงนี้แหละเดี๋ยวพี่มา” กรรณสั่งก่อนจะเดินหายขึ้นไปชั้นบน
     “ก็บอกว่าไม่ได้เมา”

     ภูบ่นมุบมิบกับตัวเองขณะดึงเปิดฝากระป๋องนั้นออก กลิ่นหวานฟุ้งพุ่งทะยานขึ้นมาเตะจมูกจนน้ำลายสอ เขายกกระป๋องขึ้นอ่านรายละเอียดก่อนดื่มเพื่อป้องกันการบริโภคสิ่งอันไม่พึงประสงค์ลงท้อง แต่เท่าที่เห็นก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ก็แค่น้ำผลไม้ผสมวิตามินรวมเท่านั้น เด็กหนุ่มยกขึ้นจิบพลางเหลียวมองรอบตัว หลังจากที่เคยลัดเลาะผ่านระเบียงชั้นสองมาไม่รู้กี่ครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้ามาข้างในบ้านหลังนี้ บรรยากาศภายในค่อนข้างโปร่งโล่งไม่มีเครื่องเรือนอื่นๆนอกจากชุดรับแขก กรรณคงยังไม่ได้เริ่มทำการตกแต่งหรืออาจจะไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลยก็เป็นได้ เมื่อประกอบเข้ากับความเงียบของยามค่ำคืนแล้ว กลิ่นอายแห่งชีวิตอันโดดเดี่ยวก็ลอยละล่องอยู่ในทุกอณูอากาศ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 5 part2

     น้ำผลไม้พร่องไปได้เพียงครึ่งกระป๋องเมื่อตอนที่กรรณกลับลงมายังชั้นล่างอีกครั้ง ภูวางกระป๋องลงบนโต๊ะและลุกขึ้นเตรียมตัวจะขอขึ้นไปยังระเบียงชั้นบนเพื่อกลับเข้าบ้านตัวเอง แต่ทว่ายังไม่ทันจะได้เอ่ยปากพูดอะไร กรรณก็โยนผ้าเช็ดตัวสีขาวมาให้เสียก่อน ครั้งนี้ภูรับได้ทัน ภาพในคืนนั้นย้อนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง รวดเร็วดุจรอจะปรากฏตัวมาเนิ่นนาน ไม่ผิดแน่ หากชายคนนี้ไม่ได้มีผ้าแบบนี้หลายผืน นี่ก็ต้องเป็นผืนที่ภูเห็นเขาใช้ในคืนนั้น

     “ถอดเสื้อออกแล้วไปอาบน้ำไป” กรรณสั่ง “ผ้าเช็ดตัวพี่ไม่มีสำรอง ใช้ของพี่ไปก่อนก็ได้ เพิ่งซักเมื่อเช้า ใช้ไปรอบเดียวเมื่อตอนหัวค่ำ นี่ก็แห้งแล้วล่ะ”
     “ไม่เอาอ่ะ ผมอาบบ้านตัวเองดีกว่า” ภูเกือบจะเผลอตัวยกผ้าในมือขึ้นดมเมื่อได้ยินว่าเป็นผ้าที่เพิ่งผ่านการใช้จากอีกฝ่ายมาหมาดๆ ยังดีที่ยั้งตัวเองไว้ทันก่อนภาพอันไม่น่ามองจะออกสู่สายตา
     “ไม่ได้หรอก เมาแบบนี้จะไปปีนระเบียงได้ยังไง เป็นอะไรขึ้นมาพี่ซวยอีก” กรรณไม่ยอม
     “บอกว่าไม่ได้เมา… แล้วผมก็ปีนมาหลายครั้งแล้ว ไม่เป็นไรหรอกเชื่อสิ” ภูอุทธรณ์
     “ไม่ ก็คือ ไม่” กรรณไม่ใจอ่อน “อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ แล้วนอนค้างที่นี่แหละ เช้าค่อยกลับบ้าน”
     “ผมไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน” เด็กหนุ่มยังพยายามหาทางหลีกเลี่ยง
     “พี่มีให้ ห้องน้ำใช้ชั้นบนแล้วกันข้างล่างมันไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น” กรรณบอกพร้อมกับเดินนำขึ้นไปชั้นสอง

     ภูหมดทางเลือกจำใจต้องเดินตามขึ้นไป ไม่ใช่ว่าเขารังเกียจรังงอนที่จะต้องนอนค้างร่วมชายคากับเพื่อนบ้านสุดเสน่หาคนนี้ หากแต่เป็นความกังวลเสียมากกว่าที่รุมเร้าจิตใจอยู่ กรรณแสดงออกชัดเจนเหลือเกินว่าไม่พอใจกับการมาเยือนยามดึกของเขาในวันนี้ เพราะอย่างนั้นเขาถึงกลัวเหลือเกินว่าจะเผลอหลุดทำอะไรที่ดูไม่ดีหรือไม่เข้าท่าให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกแย่กับตนมากขึ้นไปกว่าที่เป็นอยู่  อีกทั้งยังตระหนักดีว่าหากต้องค้างคืนที่นี่ คงลืมเรื่องการพักผ่อนนอนหลับไปได้เลย เขาจะไปหลับลงได้อย่างไรในเมื่อรับรู้ว่ากรรณอยู่ใกล้ๆ ไม่แคล้วคงต้องนอนตาค้างจนฟ้าสางนั่นแหละ

     เมื่อขึ้นมาถึงยังชั้นสองของบ้านกรรณก็หยิบเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นที่เตรียมไว้มาส่งให้ เด็กหนุ่มรับมาแล้วแต่อีกฝ่ายก็ยังยืนนิ่งไม่ยอมขยับไปไหน

     “ผมอาบน้ำก่อนนะ” ภูชี้ไปทางห้องน้ำที่เปิดไฟรอไว้แล้ว
     “ถอดเสื้อสิ” กรรณบอก “พี่จะเอาไปใส่เครื่องซัก”
     “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกลับบ้านไปซักเอง” ภูอิดออด

     เมื่อเห็นสายตาคมกริบที่จ้องเขม็งมา ภูก็หมดกำลังจะต่อต้าน ได้แต่กระมิดกระเมี้ยนเหนียมอายค่อยๆปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาออกทีละเม็ดแล้วถอดมันส่งให้อีกฝ่ายที่ยืนรอรับอยู่ ในขณะที่กำลังจะหันหลังกลับเพื่อเดินเข้าไปในห้องน้ำนั้น พลันข้อมือก็ถูกคว้าดึงเอาไว้ก่อน ภูหัวใจเกือบจะหยุดเต้นเมื่อถูกอีกฝ่ายเข้าถึงเนื้อตัวแบบไม่คาดฝัน ได้แต่หลับตาปี๋ไม่กล้าและไม่อยากรับรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

     “ปล่อยดิ ผมจะไปอาบน้ำแล้วไง” เด็กหนุ่มร้องขอ

     กรรณไม่ปล่อยมือหากแต่กลับขยับเข้ามาใกล้จนตัวแทบจะชิดกัน ภูสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างกายของอีกฝ่ายที่แผ่ออกมา กลิ่นหอมจางๆ โลชั่นหรือสบู่ ไม่อาจรู้ได้ เมื่อจิตใจกระเจิงไปกับสัมผัสที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา มือของกรรณอีกข้างที่ไม่ได้เกาะกุมข้อมือของภูไว้เริ่มลูบคลำบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเขาอย่างแผ่วเบา

     “พี่กรรณอย่า…” ภูวิงวอนทั้งที่ตายังปิดแน่น
     “ไม่เคยเลยใช่มั้ย” กรรณถามเสียงเกือบจะเป็นกระซิบ

     ไม่เคย ไม่เคยอะไร? คำถามระเบิดขึ้นในสมองของภู เด็กหนุ่มรู้ตัวว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้มันเกินจะทานทนไหว อีกไม่นานสติของเขาคงกระเจิดกระเจิง ประสบการณ์แบบผู้ใหญ่ครั้งแรกในชีวิต คืนนี้ ที่นี่ กับเขาคนนี้อย่างนั้นเหรอ? เสียงในใจภูร้องโหวกเหวกถามอย่างตื่นเต้นระคนตื่นตระหนก ด้วยประสบการณ์ที่เป็นศูนย์ทำให้เขาไม่มั่นใจว่าตนพร้อมหรือยังสำหรับเรื่องพรรค์นี้ แต่ถ้าถามถึงความเต็มใจ แน่นอน ถ้าเป็นกับชายคนนี้ ยิ่งกว่าเต็มใจเสียอีก เด็กหนุ่มพยายามบังคับตัวเองไม่ให้เสียงสั่นตอนถามออกไป “พี่พูดเรื่องอะไรครับ?”

     “ยังจะมาถามอีก” กรรณไม่ยอมตอบคำถามนั้นตรงๆ ในขณะที่มือก็ยังคงป้วนเปี้ยนอยู่บนแผ่นหลังของภูไม่เลิก

     ภูค่อยๆลืมตาขึ้นมองดูใบหน้าของอีกฝ่าย เมื่อสายตาสบกันเข้าพอดี กรรณชะงักไปคล้ายได้สติและกลับเป็นฝ่ายหลบตาเด็กหนุ่มเสียเอง รวมถึงสัมผัสแผ่วเบาบนแผ่นหลังที่หยุดลงด้วยเช่นกัน
     
     “ยาที่ให้ไปน่ะไม่เคยทาเลยใช่มั้ย?” กรรณถามอีกครั้งด้วยคำถามที่ชัดเจนขึ้น
     “ยา?” ภูเบิกตาโพลง เริ่มงงว่าอีกฝ่ายพูดถึงอะไรกันแน่
     “ก็ยาแก้ฟกช้ำไง ไม่เคยทาเลยล่ะสิถึงยังเขียวเป็นจ้ำขนาดนี้ ถ้าทาทุกวันป่านนี้หายไปหมดแล้ว” กรรณปล่อยมือให้ภูเป็นอิสระ
     “เหรอ ไม่บอกไม่รู้เลยนะเนี่ย”

     ภูปิดประตูห้องน้ำดังลั่น โมโหจนเกือบจะกลายเป็นเคียดแค้น รู้สึกเหมือนถูกจับแก้ผ้าประจานซ้ำแล้วซ้ำเล่า มาอีกแล้วพฤติกรรมชวนเข้าใจผิด มีใครที่ไหนถามเรื่องทายาด้วยน้ำเสียงแบบนั้น ด้วยสัมผัสมือปลุกเร้าแบบนั้นกันบ้าง ภูระเบิดความเกรี้ยวกราดอยู่เงียบๆคนเดียวในห้องน้ำขณะปล่อยให้สายน้ำจากเครื่องทำน้ำอุ่นไหลรดดับความรุ่มร้อนที่คั่งค้างอยู่ทั่วร่าง เขาเอนหลังพิงเข้ากับผนังกระเบื้องของห้องน้ำ ความเดือดดาลลดทอนลงทีละน้อยเหลือเพียงความหวาดหวั่นและไม่เข้าใจว่าสิ่งที่โยงใยทั้งคู่อยู่ในตอนนี้คืออะไรกันแน่ ภูรู้สึกเหมือนตกอยู่ในเกมชักเย่อทางอารมณ์ วินาทีนึงเหมือนความสุขสมหวังจะโน้มเอียงมาทางเขา แต่ไม่เลย ในเมื่ออีกวินาทีต่อมาอีกฝ่ายก็พร้อมจะกระชากเขากลับออกมาสู่ความโหดร้ายที่เรียกว่าความเป็นจริงได้เสมอ

     หลังจากเสร็จสิ้นการชำระล้างร่างกายและสงบสติอารมณ์ ภูเช็ดตัวแบบลวกๆแล้วสวมเสื้อผ้าที่กรรณให้มา มันใหญ่กว่าตัวเขาไปมากหากแต่ถ้ามองว่าเป็นชุดนอนก็ไม่ถือเป็นข้อเสีย เขาเปิดประตูกลับออกมาจากห้องน้ำ สุดทางเดินมีห้องที่เปิดประตูแง้มเอาไว้อยู่ คงจะเป็นห้องนั้นสินะ เขานึกในใจขณะเดินไปผลักบานประตูที่แง้มอยู่ให้อ้ากว้างออก มันคือห้องที่ภูเห็นจากหน้าต่างห้องตัวเอง สังเกตได้จากบานหน้าต่างและกองสัมภาระที่วางสุมอยู่ หากแต่เมื่อมาอยู่ตรงนี้เขาจึงได้เห็นว่ายังมีมุมที่ไม่อาจมองเห็นได้จากหน้าต่างห้องนอนตนอีก เช่นเตียงนอนที่ตั้งอยู่ชิดกับมุมห้อง ชุดเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอชและอุปกรณ์การทำภาพกราฟฟิก ตลอดจนภาพถ่ายที่กรรณติดประดับไว้บนกำแพงห้อง ภูถือวิสาสะเข้าไปดูใกล้ๆทีละภาพอย่างสนใจ ส่วนใหญ่เป็นภาพถ่ายทิวทัศน์ของเมืองในต่างประเทศ หากแต่มีบางภาพที่ภูรู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก หากแต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน จนกระทั่งสายตาเลื่อนมาเจอเข้ากับภาพของบ้านไม้เก่าๆที่ถูกขนาบด้วยตึกสถาปัตยกรรมสมัยใหม่นั่นเอง เขาจึงได้คำตอบ

     “Lonelyvoyager” ภูรำพึงชื่อนั้นออกมาเบาๆน้ำเสียงคล้ายไม่อยากจะเชื่อ

     เพื่อความแน่ใจ ภูหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาและเข้าอินสตาแกรมของ Lonelyvoyager เพื่อนำมาเปรียบเทียบกันแบบภาพต่อภาพ ผลที่ได้ไม่ผิดเป็นแน่แท้ เพราะนอกจากภาพของบ้านไม้ที่ว่าแล้ว ยังมีอีกหลายภาพทีเดียวที่ตรงกัน

     “กว่าจะอาบเสร็จ นึกว่าจะนอนในนั้นซะแล้ว” กรรณเปิดประตูกลับเข้ามาในห้อง ในมือถือถ้วยกาแฟใบใหญ่
     “พี่กรรณ…” ภูชูโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอเปิดอินสตาแกรมค้างอยู่ให้อีกฝ่ายดู “พี่คือเค้าเหรอ?”
     “อืม ทำไมเหรอ?” กรรณพยักหน้ารับ
     “ผมติดตามพี่อยู่ ติดตามมาตั้งนานแล้ว” ภูระล่ำระลักบอก ไม่คิดว่าจะได้เจอไอดอลของตัวเองอยู่ตรงหน้า
     “จริงเหรอ” กรรณเลิกคิ้วเหมือนไม่อยากเชื่อ
     “จริงสิ ติดตามตั้งแต่พี่มีคนฟอลโลว์แค่ไม่กี่หมื่นเลย” ภูคุยฟุ้ง
     “แฟนพันธุ์แท้เลยนะนั่น” กรรณอมยิ้ม “แต่ตอนนี้แฟนพันธุ์แท้ต้องนอนได้แล้วล่ะ”

     ภูหุบยิ้ม ผิดหวังกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย เขาคิดว่ากรรณจะตกใจ ประหลาดใจ หรือดีใจมากกว่านี้เสียอีก หากแต่เมื่อคิดดูในอีกมุมหนึ่ง คนที่มีผู้ติดตามเฉียดล้านคน คงไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับการบังเอิญมาเจอผู้ติดตามคนหนึ่งของตัวเองในโลกความเป็นจริง

     “นอนบนเตียงพี่ไปนั่นแหละ” กรรณชี้ไปทางเตียงเดี่ยวที่อยู่มุมห้อง
     “แล้วพี่จะนอนไหนล่ะครับ?” ภูสงสัย
     “คงไม่ได้นอนน่ะ คืนนี้งานเร่ง ต้องอีดิตภาพส่งให้ลูกค้า เส้นตายมาจ่อคอหอยแล้ว” กรรณยกกาแฟในมือขึ้นซดเข้าไปอึกใหญ่

     ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าบ้านกดปิดสวิทช์ไฟเหลือไว้เพียงโคมไฟตั้งโต๊ะข้างเครื่องคอมพิวเตอร์ ภูนั่งลงบนเตียง บอกไม่ถูกว่าโล่งใจหรือเสียดายที่สถานการณ์อันถูกคาดการณ์เอาไว้ได้กลายเป็นอื่น เขาเอนตัวลงนอนบนที่นอนนุ่ม หมอนใบใหญ่ให้สัมผัสที่สบายราวกับศรีษะจมลงไปในปุยเมฆ แต่สิ่งที่วิเศษยิ่งกว่านั้นคือกลิ่นอายของกรรณที่แฝงอยู่ในเครื่องนอนทุกชิ้น กลิ่นแชมพูจากเรือนผมที่ติดบนหมอน กลิ่นเหงื่ออ่อนๆที่ติดในผ้าห่ม ภูสูดดมมันเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รังเกียจ รู้สึกดีจนเกินจะบรรยายเมื่อได้รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งในโลกส่วนตัวของกรรณ

     “ผมชอบรูปของพี่มากเลยรู้มั้ย?” ภูบอกกรรณที่กำลังสาละวนตกแต่งภาพมือเป็นระวิงอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์
     “ขอบคุณมาก” กรรณตอบ
     “บังเอิญจังเนอะ ใครจะไปรู้ว่าพี่จะเป็นคนๆเดียวกันกับเค้า”
     “บังเอิญเหรอ ไม่หรอก มีอีกคำที่ใกล้เคียงกว่า” ครั้งนี้กรรณหันหน้ากลับมา “คำว่าพรหมลิขิต”

     ภูแค่นหัวเราะออกมาด้วยคิดว่าอีกฝ่ายแกล้งพูดให้เป็นมุกตลก หากแต่วินาทีต่อมาเขาจึงสังเกตรู้ได้ ไม่มีเค้าแววแห่งการล้อเล่นในดวงตาคู่นั้น มีแต่ทะเลแห่งความรู้สึกอันกว้างใหญ่ที่เขาไม่อาจหยั่งถึง ทั้งสองจ้องตากันอยู่อย่างนั้น น่าแปลกที่ครั้งนี้ความตื่นตูมที่ภูเคยมีเหมือนได้จางหายไปหมด ในอกของเขาที่แม้หัวใจจะเต้นโครมครามอยู่แต่อารมณ์กลับสงบจนน่าประหลาด กรรณหยุดนิ่งไม่พูดอะไรต่อ สายตายังอ้อยอิ่งมองมาทางเด็กหนุ่มคล้ายรอคอยการตอบสนอง หากแต่เมื่อไม่เห็นวี่แววเขาก็ยิ้มออกมาน้อยๆที่มุมปาก และเป็นฝ่ายตัดบทเสียเอง “นอนได้แล้วล่ะ พี่จะทำงานต่อแล้ว”

     ภูพยักหน้า เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดจนเกือบจะคลุมโปง หัวใจยังคงเต้นรัวไม่หยุด สองตาที่โผล่พ้นผ้าออกมาลอบมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ บางสิ่งที่คล้ายกับความหวังได้เบ่งบานขึ้นมากลางใจ คำว่าพรหมลิขิตที่กรรณพูดเมื่อครู่ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท เวลาที่เหลือในค่ำคืนนั้น ภูจับจ้องดูกรรณทำงานอย่างตั้งใจ เฝ้ารออย่างคาดหวังว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเขาอาจจะปิดหน้าจอและเดินกลับมาพักผ่อนที่เตียง แต่จนกระทั่งย่ำรุ่งก็ยังไม่มีวี่แววที่ว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้น ภูจึงได้ยอมแพ้และปล่อยตัวเองให้หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

     ภูลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงแสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา เกือบสิบเอ็ดโมงเช้าแล้ว เด็กหนุ่มรีบลงจากเตียงเตรียมตัวจะกลับไปบ้านตัวเองเพื่อไปเรียนต่อในช่วงบ่าย เมื่อหันมองไปรอบๆ กรรณไม่อยู่ในห้อง เสื้อนักศึกษาที่ถูกซักและทำให้แห้งเรียบร้อยกับกางเกงยีนของเขาแขวนอยู่ที่ลูกบิดประตู ภูจัดแจงใช้โอกาสที่ไม่มีใครอยู่ในห้องนั้นเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมาใส่ชุดนักศึกษาตามเดิมก่อนจะลงมายังชั้นล่าง ที่ห้องรับแขก กรรณหลับอยู่ที่โซฟา ขาเหยียดยาวจนพ้นขอบออกมา ข้างกายมีโทรศัพท์มือถือที่วางหมิ่นเหม่พร้อมจะร่วงสู่พื้นได้ทุกเวลา ภูนึกสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมาหลับอยู่ตรงนี้ บางทีกรรณอาจจะลงมาคุยโทรศัพท์แล้วเผลอหลับไป แต่จะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งภูเลือกจะเชื่อว่าเป็นเรื่องงานเพื่อสุขภาพจิตของตนเอง แน่นอนว่าเขาไม่ได้กำลังคิดทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของชายหนุ่มข้างบ้านผู้ซึ่งไม่เคยแสดงท่าทีอะไรให้ชัดเจนสักอย่างคนนี้ แต่การจินตนาการว่ากรรณกำลังคุยกับใครซักคนที่ทำให้เขายิ้มได้ บทสนทนาออดอ้อนออเซาะหวานเลี่ยนในยามค่ำคืน มันก็เป็นเรื่องที่ชวนปวดใจอย่างมาก

     Lonelyvoyager นักเดินทางผู้โดดเดี่ยว… ภูนึกถึงความหมายของชื่ออินสตาแกรมของกรรณ พลางนึกหาแรงจูงใจในการตั้งชื่อนี้ ซึ่งก็คาดเดาไม่ยาก คงเนื่องมาจากการที่กรรณต้องไปใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังในต่างประเทศตั้งแต่เพิ่งพ้นจากวัยมัธยม เด็กหนุ่มรู้สึกเศร้าใจแทนอีกฝ่ายเมื่อนึกขึ้นได้ว่าแม้กระทั่งในยามนี้ที่กรรณกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอนแล้ว ความโดดเดี่ยวแห่งชีวิตลำพังก็ยังไม่ยอมจางหายไปจากชีวิตของเขาเสียที อัลไซเมอร์ โรคร้ายที่ไม่ได้บั่นทอนแค่ร่างกายของผู้ป่วยเพียงอย่างเดียว แต่ยังบั่นทอนจิตใจของผู้คนที่อยู่รอบข้างด้วย ภูได้ลองจินตนาการโดยนำตนเองไปแทนที่ในจุดที่กรรณยืนอยู่ มันจะน่าเจ็บปวดแค่ไหนนะ เมื่อต้องมารับรู้ว่าคนที่รักเรามากที่สุด คนที่ดูแลอุ้มชูเรามาตั้งแต่เด็ก ครอบครัวที่เหลืออยู่คนสุดท้ายในชีวิต บัดนี้จำเราไม่ได้แล้ว ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นแม้รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเรื่องสมมุติ แต่ก็ยังเจ็บปวดจนเกินจะรับ ด้วยเหตุนี้ภูจึงไม่นึกโทษกรรณเลยที่เขาเลือกมาทำงานและใช้ชีวิตคนเดียวที่กรุงเทพและปล่อยหน้าที่การดูแลแม่ให้เป็นของพยาบาลพิเศษ เพราะเข้าใจดีว่ามันเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสเอาการต่อสภาพจิตใจ กับการที่ต้องเห็นผู้หญิงที่รักที่สุดในชีวิตจ้องมองมายังตนด้วยสายตาว่างเปล่าดุจคนแปลกหน้า

     เด็กหนุ่มเดินเข้าไปใกล้จนเกือบประชิดกับโซฟาที่กรรณนอนเหยียดยาวอยู่ เขายังคงหลับตานิ่งสนิทไม่รู้สึกรู้สาถึงการมาของภู ปลายนิ้วเท้าที่ยื่นออกมาจากโซฟากระดิกเล็กน้อย การกระตุกของกล้ามเนื้อ เขาอาจจะกำลังฝัน ภูมองดูร่างที่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้าด้วยความรู้สึกหวามไหวเกินจะบรรยาย หลงใหลอย่างบ้าคลั่งต่อทุกสิ่งอันที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวตนของกรรณ นิ้วเท้า ข้อเท้า กับหัวเข่านั้น แผ่นอกกว้างในเสื้อยืด และริมฝีปากที่เผยออ้าน้อยๆยามไร้ซึ่งสัมปชัญญะ ภูมั่นใจเหลือเกินว่าเขาจะจูบและสัมผัสมันได้อย่างไม่มีวันเบื่อ เปลือกตาทั้งสองของกรรณยังคงปิดสนิทอยู่ ชายหนุ่มจะไม่มีวันรู้ว่าถูกเขาจ้องมองด้วยสายตาอันหิวกระหายจากตรงนี้ เช่นเดียวกับที่ภูไม่มีวันล่วงรู้ถึงภาพฝันของกรรณที่ฉายอยู่ใต้เปลือกตาคู่นั้น
พรหมลิขิต ภูนึกถึงคำที่กรรณพูดเอาไว้เมื่อคืน หลังจากตัวตนอีกด้านของเขาถูกล่วงรู้ นั่นคือสัญญาณของอะไรบางอย่างหรือเปล่า ภูไม่อยากเข้าข้างตัวเองเพราะกลัวที่จะต้องเจ็บแบบกล่าวโทษใครไม่ได้ แต่หากคำนั้นใช่สัญญาณที่กรรณส่งมาจริง บางทีอาจเป็นตัวของภูเองที่ไม่ชัดเจนพอถึงทิศทางของเรื่องทั้งหมดนี้ ต่อหน้ากรรณภูสวมหน้ากากแห่งความเมินเฉยเพื่อปิดบังความเครียดและกระดากอาย หากแต่เมื่อความใกล้ชิดเริ่มมากขึ้นจนถึงการสัมผัส หน้ากากนั้นก็แตกเป็นผุยผง เพียงปล่อยให้กรรณแตะเนื้อต้องตัวเพียงบางจุด ภูก็อ่อนปวกเปียกเหมือนก้อนขี้ผึ้งกลางเปลวแดด หากแต่ภูไม่อาจปล่อยใจแสดงความปรารถนาออกไปให้อีกฝ่ายได้รับรู้ อาจเป็นเพราะอับอายเกินกว่าจะยอมรับและหวาดกลัวถึงผลที่จะตามมา กรรณอาจจะเมินเฉยต่อความรู้สึกที่ภูมีให้ด้วยข้ออ้างว่าเขาเด็กเกินไป หรืออาจหัวเราะเยาะด้วยคิดว่าเขาเป็นพวกแก่แดด หรือร้ายที่สุดคืออาจจะบอกเล่าเรื่องนี้แก่ผู้อืนในทิศทางแห่งเรื่องตลกขบขัน

     ภูมองนาฬิกาที่ผนังบ้าน เกือบเที่ยงวันแล้ว ถึงเวลาต้องกลับบ้านหากยังคิดจะไปเรียนให้ทันช่วงบ่าย ติดอยู่ตรงที่เด็กหนุ่มยังลังเลใจอยู่ว่าจะแอบกลับออกไปแบบเงียบๆ หรือจะปลุกอีกฝ่ายขึ้นมาขอบคุณที่(บังคับ)ให้พักค้างอ้างแรม

     “พี่กรรณ” ภูตัดสินใจลองเรียกปลุกอีกฝ่ายดู
     “หือ…” กรรณตอบสนองด้วยการขยับตัวและค่อยๆลืมตาขึ้น เขากระพริบตาถี่ๆราวกับยังมึนงงอยู่ “ว่าไง?”
     “ผมกลับแล้วนะ มีเรียนตอนบ่าย ขอบคุณที่ให้นอนค้างครับ” ภูยกมือไหว้ ตั้งใจสร้างภาพจำที่ดีเกี่ยวกับตนเองให้กรรณเห็นบ้าง หลังจากที่ผ่านมาเหมือนจะมีแต่มุมแย่ๆเจ้าปัญหามาตลอด “แล้วทำไมพี่มานอนอยู่นี่ล่ะ?”
     “ลงมาคุยโทรศัพท์น่ะ สายจากต่างประเทศ คุยเสร็จกะจะพักสายตาซักแป๊ปนึง เผลอหลับยาวเลย” กรรณยิ้มเจื่อนๆ
     “แล้วงานทำเสร็จหมดแล้วเหรอ?” ภูจำได้ว่าเมื่อคืนกรรณบอกว่ากำลังเร่งมือทำงานให้ทันกำหนดเส้นตาย
     “เหลือนิดนึง” เขาเหลือบมองนาฬิกา “น่าจะทันแบบเส้นยาแดงผ่าแปด”
     “งั้นผมไม่กวนพี่แล้ว พี่ทำงานต่อเถอะครับ”
     “ออกไปเองได้ใช่มั้ย พี่คงไม่ได้ออกไปส่งนะ”

     เด็กหนุ่มพยักหน้า กรรณลุกขึ้นจากโซฟาแล้วบิดตัวไปมาเพื่อคลายเส้นที่ยึดก่อนจะเดินขึ้นบันไดกลับไปยังชั้นสอง ภูยืนมองอีกฝ่ายจนพ้นสายตาจึงค่อยออกมา เมื่อกลับมาถึงบ้านของตัวเองก็พบกับแม่ที่กำลังโมโหสุดๆยืนรอต้อนรับอยู่ แต่ด้วยเวลาที่มีจำกัดภูจึงไม่มีเวลาพอจะอยู่ฟังแม่บ่นจนจบ หลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนชุดนักศึกษาเป็นชุดใหม่แล้ว เขาก็ต้องรีบออกจากบ้านอีกครั้งเพื่อไปเรียนให้ทันบ่ายโมง ภูดูเวลาจากนาฬิกาที่ข้อมือขณะออกจากบ้าน ไม่ทันแน่ เขาคิด จากเวลาที่เหลืออีกเพียงสิบห้านาที ยังไงคลาสนี้คงไม่แคล้วต้องโดนอาจารย์หักคะแนนเก็บจากการเข้าสาย ภูเดินคอตกพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างท้อแท้ งานที่ต้องส่งก็ยังไม่มี แถมยังไปเรียนไม่ทัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวันนี้คงเป็นอีกวันที่ไม่ใช่วันของเขา จนเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบกรรณที่กำลังหอบหิ้วแฟ้มงานเตรียมจะออกจากบ้านของตนพอดี 

     “อ้าว พี่นึกว่าออกไปเรียนแล้วซะอีก” กรรณร้องทักเมื่อเห็นภูที่กำลังเดินหน้ามุ่ยอยู่
     “กำลังไปครับ แม่มัวแต่บ่นอ่ะ สายแล้วเนี่ย” ภูถอนหายใจอีก
     “มหาลัยฯเราอยู่แถวไหนล่ะ?” กรรณถามขณะที่มือก็ล๊อกกุญแจประตูรั้วไปด้วย
     “ท่าพระจันทร์ครับ” ภูตอบ
     “งั้นเดี๋ยวนั่งรถไปกับพี่ก็ได้ พี่ต้องไปส่งงานแล้วก็วางบิลใกล้ๆแถวนั้นพอดี” กรรณเสนอ

     เป็นคำเชื้อเชิญที่มีอานุภาพเหลือร้าย ความรู้สึกเกิดแบ่งออกเป็นสองฟากสองฝ่ายในจิตใจของภู เป็นสองความรู้สึกที่ผูกสนิทแนบแน่นกับตัวเขามานับตั้งแต่ได้พบกับกรรณ ความกลัวและความหวัง และตอนนี้พวกมันทั้งสองก็กำลังเฝ้าดูการตัดสินใจของเขา ความกลัวคอยข่มขู่ให้รักษาระยะห่างกับชายผู้นี้ มันคอยย้ำเตือนกับภูถึงโอกาสแห่งความเป็นไปได้ที่ภูจะผิดหวังในทุกวิถีทาง ในขณะที่ความหวังคอยยุยงให้เดินหน้า เลิกวิตกจริตและซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตนเองเสียที จริงแท้อย่างที่สุด หากเมื่อตอนที่ยืนจับจ้องกรรณขณะกำลังหลับใหล ตอนนั้นภูตระหนักได้ว่าที่ผ่านมาอาจเป็นตนที่ไม่ได้แสดงท่าทีออกไปให้อีกฝ่ายรับรู้อย่างชัดเจน แล้วเมื่อไหร่ล่ะ? หากเขายังเอาแต่หลบเลี่ยง ปิดบัง ทำตัวปากไม่ตรงกับใจแบบนี้ เมื่อไหร่กันที่ความชัดเจนระหว่างทั้งสองจะเกิดขึ้น ความชัดเจนว่าท้ายที่สุดแล้วเขากับกรรณจะเป็นได้มากแค่ไหน ทุกอย่างบนโลกนี้ตั้งอยู่บนความเสี่ยงทั้งสิ้น ไม่สมหวังก็ผิดหวัง หากแต่ครั้งนี้ความหวังชนะความกลัว ภูหันไปสบตากรรณ แล้วพยักหน้าตอบตกลง


ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
ชอบเรืีองนี้อ่ะ ติดตามๆ ^^

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
กรรณ!!!!!  ออกตัวแรงนะ

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
ชอบเรืีองนี้อ่ะ ติดตามๆ ^^


ขอบคุณที่ติดตามครับ ดีใจมีคนชอบ ตอนแรกแอบกัลวลเพราะคิดว่าสำนวนเราไม่ค่อยถูกใจนักอ่าน

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณที่นยังติดตามกันตลอดนะครับ  o13

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
กรรณ!!!!!  ออกตัวแรงนะ

ีมันต้องมีกันมั่ง หุหุหุ

ขอบคุณที่ยังติดตามกันเสมอนะครับ  o13

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:o8:

ขอบคุณที่ติดตามกันน่ะครับ​  :impress2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด