Chapter 37: แสดงความเป็นเจ้าของ
“มา พี่ถ่ายรูปให้” ธัชนนท์เอ่ยขึ้นหลังจากที่พวกเขามาถึงจุดท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ รูปปั้นเมอร์ไลอ้อนที่กำลังพ่นน้ำออกมาจากปากตัวเองอย่างพอดิบพอดี เด็กหนุ่มที่กำลังตื่นตาตื่นใจกับการได้เห็นของจริงในระยะใกล้หันไปปฏิเสธร่างสูงอย่างเกรงใจ
“ไม่เป็นไรครับ...”
“น่า มาต่างประเทศครั้งแรกทั้งที ถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึกหน่อยสิ” ธัชชนนท์ดึงมือถือสมาร์ทโฟนยี่ห้อยอดฮิตติดตลาดออกมาจากมือเด็กหนุ่ม ชี้ให้อีกฝ่ายไปยืนหน้าเมอร์ไลอ้อนพร้อมกับยกมือถือขึ้นเตรียมถ่ายรูป เมื่อเห็นมีนายังคงละล้าละหลังจึง
เอ่ยขู่ด้วยชื่อของคนที่เขารู้ว่าจะทำให้มีนากลัวที่สุด “เก็บไว้ให้คุณเชษฐ์เป็นหลักฐานไง เดี๋ยวเขาหาว่าเธอไม่ยอมมาเที่ยวก็โดนดุหรอก”
ได้ผลทันตา เด็กหนุ่มรีบยิ้มให้กล้องทันที แม้จะเป็นรอยยิ้มที่ประหม่าเขินอายก็ตาม
จริงอยู่ที่มีนาไม่คิดว่าธีรเชษฐ์จะสนใจว่าเขาทำอะไรในเวลาว่าง ไม่ต้องพูดถึงการไล่เช็ครูปภาพว่าเขาได้ไปเที่ยวจริงหรือไม่ แต่การมีหลักฐานยืนยันที่อยู่มักเป็นเรื่องดีกว่าเสมอ
ทั้งสองเดินเที่ยวไปเรื่อยเปื่อย แม้ว่าธัชนนท์จะเสนอตัวพามีนาไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวอื่นที่อยู่ห่างออกไป แต่เด็กหนุ่มปฏิเสธอย่างสุภาพโดยให้เหตุผลว่าอยากจะรีบกลับโรงแรมให้ทันก่อนที่ธีรเชษฐ์จะประชุมเสร็จ
ถึงแม้ว่าเหตุผลที่แท้จริงของมีนานั้น จะเป็นเพียงความคิดเด็กๆที่ว่าเขาอยากจะเห็นที่อื่นๆเป็นครั้งแรกพร้อมกับคนที่กำลัง
ติดอยู่ในห้องประชุมตอนนี้ก็ตาม
ธัชนนท์เลี้ยวเข้าไปในร้านขายอาหารว่างที่มีแซนด์วิชทำเสร็จวางเรียงรายอยู่ในตู้กระจก ชายหนุ่มมักจะทำแบบนี้ระหว่างทริปเล็กๆของพวกเขา ซื้อของกินมาแบ่งมีนาที่แทบจะไม่ยอมซื้ออะไรตลอดการเดินทางโดยใช้ข้ออ้างเดิมๆที่รู้ว่ามีนาไม่มีทางปฏิเสธ
“มีน พี่กินไม่หมด ช่วยพี่กินหน่อยได้มั้ย”
ร่างเล็กก้มลงทานแซนวิชอีกครึ่งที่ร่างโปร่งแบ่งให้แต่โดยดี ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างขอบคุณ
“จริงสิ มีนเมมเบอร์พี่ไว้แล้วกัน เผื่ออยู่ที่ไทยมีปัญหาอะไรก็โทรหาพี่ได้นะ” ธัชนนท์เสนอ ร่างบางก้มมองโทรศัพท์มือถือในมือของตัวเองด้วยสีหน้าลำบากใจ
“ผมทำไม่เป็นน่ะครับ”
“อ่า งั้นเหรอ มาๆเดี๋ยวพี่สอนให้” อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ โน้มตัวเข้ามาสอนเมื่อเห็นว่ามีนายังคงไม่เข้าใจวิธีการทำงานของเครื่องมือสื่อสารในมือของตัวเอง ธีรเชษฐ์ซื้อโทรศัพท์เครื่องนี้ให้เขา แต่มีนาไม่มีความกล้ามากพอที่จะบอกร่างสูงว่าโทรศัพท์แบบเดียวที่เขาเคยใช้คือโทรศัพท์สาธารณะ ร่างเล็กต้องใช้วิธีการแอบดูทินกรกับพายุใช้โทรศัพท์ของตัวเองแล้วอ่านคู่มือที่มากับมือถือซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรเขามากนัก
“เรียบร้อย อ๊ะ สองคนนั้นประชุมเสร็จแล้ว เรากลับกันดีกว่า” ธัชนนท์ว่าเมื่อเห็นข้อความเด้งขึ้นมาในโทรศัพท์ตัวเอง มีนาพยักหน้า รู้ดีว่าตัวเองมีรอยยิ้มกว้างอยู่บนหน้าแต่ไม่คิดจะปิดบังคนที่ดีกับเขามาตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อธัชนนท์มีรอยยิ้มแบบเดียวกับเขาประดับอยู่บนริมฝีปากแบบนี้
“สนุกกันใหญ่เลย”
วีรภัทรเอ่ยเสียงกลัวหัวเราะขณะก้มลงอ่านข้อความที่คนรักส่งมาในช่วงพักเบรกก่อนเข้าช่วงสุดท้ายของการประชุม ยื่นมือถือของตัวเองให้ธีรเชษฐ์ดูภาพของมีนาที่งับคัพเค้กสีหวานคำโตจนแก้้มป่อง ปลายจมูกมีครีมฟรอสติ้งสีชมพูหวานติดอยู่เช่นเดียวกับแก้มใสชวนให้คนมองอยากจะใช้นิ้วปาดครีมที่เลอะอยู่ออกแล้วส่งเข้าปากของตัวเอง ตบท้ายด้วยการดึงคนตัวเล็กเข้ามาชิมความหวานของขนมเค้กที่อีกฝ่ายกินเข้าไป
ธีรเชษฐ์เหลือบมองโทรศัพท์ของตัวเองที่ปิดโหมดห้ามรบกวนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทว่ายังคงไม่มีข้อความจากคนในรูปถ่ายเมื่อครู่ส่งมาหาตัวเอง
“ไปดูรูปปั้นกันมาเหรอ...กินอีกแล้ว? สรุปนี่เทสต์ลากเด็กมึงไปช่วยแบ่งเบาความอ้วนในทริปกินใช่มั้ยเนี่ย?” วีรภัทรยิ้ม มือพิมพ์ตอบคนรักอย่างไม่หยุดพัก แววตาของเพื่อนสนิทยามที่คุยกับคนรักผ่านทางข้อความนั้นเป็นสิ่งที่ธีรเชษฐ์ไม่เคยเห็นมาก่อนในช่วงเวลายี่สิบกว่าปีที่เป็นเพื่อนกันมา วีรภัทรในตอนนี้เหมือนมีแสงสว่างแผ่ออกมาจากทุกอณูของร่างกาย ใบหน้าคมเข้มตามประสาชายไทยฉาบไล้ไปด้วยความสุขเปี่ยมล้นชนิดที่ใครมองก็ต้องรู้สึกอิจฉา
ธีรเชษฐ์ก้มมองโทรศัพท์ของตัวเองอีกครั้ง ยังคงไม่มีข้อความจากมีนา
“เทสต์บอกกำลังพามีนกลับมา น่าจะถึงตอนเราประชุมเสร็จพอดี” วีนภัทรหันไปบอกเพื่อนสนิท ชาหนุ่มชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นเพื่อนอายุมากกว่าพยักหน้าด้วยสีหน้าเหมือนไปโกรธใครมาชาติเศษ “เฮ้ยเชษฐ์ เป็นไรวะ?”
“เปล่า” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ดวงตาสีควันบุหรี่ยังคงจับจ้องอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองไม่วางตา วีรภัทรเลิกคิ้ว ไม่เคยเห็นมุมนี้ของเพื่อน
“อะไร? มึงงอนเด็กเหรอ?”
“งอนเชี่ยไรล่ะ เด็กนั่นต่างหากที่งอนกู” ธีรเชษฐ์เถียงเสียงห้วน “เป็นอะไรไม่รู้มาตั้งแต่เช้าแล้ว กูบอกให้ใส่เสื้อหนาวก็ไม่ยอมใส่ ตัวเองขี้หนาวจนตัวสั่นงกๆก็ยังดื้อ พอกูบอกให้ใส่เสื้อก็ทำเหมือนกูไปบังคับฝืนใจอะไรตัวเอง”
“เขาใส่ไม่สบายรึเปล่า”
“เหอะ เสื้อหนาวแคชเมียร์ตัวที่หมอกซื้อให้กูน่ะนะจะใส่ไม่สบาย” ร่างสูงกอดอก เสื้อตัวนั้นนับว่าเป็นตัวที่เป็นผู้เป็นคนที่สุดของเขาแล้ว เพราะเสื้อตัวอื่นที่ธีรเชษฐ์ซื้อเองนั้นร่างสูงไม่ใช่คนใส่ใจกับรายละเอียดของสินค้ามากพอที่จะดูอะไรนอกจากว่ามันอุ่นพอหรือไม่
“ของรักของหวงมึงอ่ะนะ? ไรวะ ทีกูยืมมึงไม่ให้ใช้” วีรภัทรโวย มีที่ไหนยอมให้เด็กในสังกัดยืมของแต่หวงกับเพื่อนฝูง
แต่แววตาของธีรเชษฐ์กลับทำให้คนที่กำลังโวยวายเริ่มฉุกคิด...หรือว่าเด็กคนนั้นจะเป็นมากกว่านั้น?
ชิ้นส่วนของปริศนาค่อยๆประกอบตัวเองเป็นรูปเป็นร่างในหัวของวีรภัทร ชายหนุ่มถามเพื่อนของตัวเองที่ยังคงหน้านิ่วคิ้วขมวดจ้องโทรศัพท์ไม่วางตา นึกอยากพิสูจน์สมมติฐานที่มีในตอนนี้ขึ้นมา
“เชษฐ์...มึงได้บอกเขารึเปล่าว่าเลขามึงเป็นคนซื้อเสื้อตัวนั้นให้”
“บอก แล้วไง?” ธีรเชษฐ์ตอบตามความจริง นึกสงสัยว่าเรื่องนั้นมาเกี่ยวอะไรกับสิ่งที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่เมื่อครู่
วีรภัทรเกาศีรษะแกรกๆอย่างเหนื่อยใจกับความซื่อบื้อของเพื่อนสนิท บางทีเขาก็รู้สึกว่าที่เขา ธีรเชษฐ์ และคเชนทร์สนิทกันมาได้จนอายุปูนนี้เป็นเพราะความซื่อบื้อด้านอารมณ์ความรู้สึกที่ยึดเหนี่ยวพวกเขาไว้ด้วยกัน
แน่นอน หากเทียบจากเรื่องนั้น วีรภัทรในตอนนี้น่าจะเป็นคนที่ดูเป็นผู้เป็นคนที่สุดในบรรดาเพื่อนทั้งสาม เพราะคุณหมอคเชนทร์ของพวกเขานั้นดูไม่มีวี่แววจะได้ลงจากหิ้งบูชาเสียที
วีรภัทรมักจะแซวอาจารย์หมอรูปหล่ออยู่หลายครั้งว่าไม่มีคนไข้มาขายขนมจีบบ้างเลยหรือ แต่แววตาเย็นเยียบภายใต้กรอบ
แว่นของคเชนทร์นั้นดูจะเป็นคำตอบในตัวของมันเองได้เป็นอย่างดี
“มึงบอกเด็กน้อยของมึงว่าเสื้อตัวนั้น เป็นเสื้อที่มึงได้มาเป็นของขวัญจากเลขาที่มึงชื่นชมบูชาทะนุถนอมอย่างกับไข่ในหิน แถมยังเป็นคนที่มีข่าวลือว่าเป็นสนมเอกในฮาเร็มของมึงมาไม่รู้กี่ปี แถมยังบังคับให้เขาใส่ของที่เป็นเหมือนเครื่องแทนใจ
ของมึงกับเลขาคนสวย...แต่มึงไม่รู้ว่าเขางอนอะไรมึงเนี่ยนะ?”
“….”
วีรภัทรไม่รอช้า ยกโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมาถ่ายรูปเพื่อนสนิทที่มีสีหน้าเหมือนกวางเดินตัดหน้ารถสิบล้อเก็บไว้เป็นภาพประทับใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงขบขัน
“มึงก็ไปคิดดูเอาแล้วกัน ป่ะ รีบๆประชุมให้เสร็จ กูคิดถึงอีหนูของกูจะแย่อยู่แล้ว” วีรภัทรตบบ่าเพื่อนสนิทก่อนจะลุกจากม้านั่งกลับเข้าไปในห้องประชุม
คิดว่าหลังจากนั้นมีเนื้อหาการประชุมผ่านเข้าหูของธีรเชษฐ์บ้างมั้ย?
“ประชุมเหนื่อยมั้ยครับ”
ทันทีที่พวกเขาก้าวออกมาจากลิฟต์ คนรักของวีรภัทรที่นั่งรออยู่กับมีนาแทบจะกระโจนใส่เพื่อนสนิท วีรภัทรโอบเอวอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ส่วนธัชนนท์ก็ยกแขนขึ้นโอบรอบคอของคนรักพร้อมรอยยิ้ม ได้รับรางวัลเป็นหอมฟอดใหญ่จากวีรภัทร
ในขณะที่มีนาเพียงแค่ลุกจากที่นั่งแล้วยืนนิ่งอยู่หลังคนทั้งคู่ ไม่มีวี่แววจะเดินเข้ามาหาธีรเชษฐ์ด้วยตัวเอง
“แค่เห็นหน้าเธอก็หายเหนื่อยแล้ว” วีรภัทรป้อ ร่างโปร่งทุบไหล่คนรักอย่างเขินอายด้วยแรงไม่เบานักจนชายหนุ่มถึงกับกุมไหล่ร้องโอดโอย ธีรเชษฐ์ส่ายหน้าด้วยความรู้สึกสมเพชเวทนา หันไปหาเด็กน้อยของตัวเองที่ในที่สุดก็ยอมเดินมาหาเขา ในมือมีขวดน้ำแร่เย็นขวดหนึ่ง มีนารู้ว่าเขามักจะรู้สึกเจ็บคอทุกครั้งหลังการประชุม และมักจะเตรียมน้ำดื่มและน้ำผึ้งมะนาวอุ่นๆไว้ให้เขาเสมอหลังจากกลับมาถึงคอนโด แต่แปลกที่แบบนี้คงจะไปหาส่วนผสมมาชงน้ำผึ้งมะนาวเองก็คงยากอยู่
“น้ำครับคุณเชษฐ์” มีนายื่นขวดน้ำพร้อมหลอดให้กับเขา ธีรเชษฐ์สังเกตว่าอีกฝ่ายยังคงใส่ชุดกันหนาวที่เขาให้ แม้ว่ารอยยับเป็นเส้นตรงที่บ่งบอกถึงการถูกพับเก็บใส่กระเป๋าและภาพถ่ายของมีนาในร้านเค้กที่ไม่มีชุดตัวที่ว่าอยู่จะทำให้ธีรเชษฐ์รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใส่ชุดนี้เลยตลอดทั้งวันก็ตาม
หากเป็นเมื่อเช้า ธีรเชษฐ์คงจะดุอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วงว่าคนตัวเล็กจะล้มป่วยกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่หลังจากคุยกับเพื่อนสนิทเมื่อครู่ ประกอบกับท่าทีอึดอัดอย่างเห็นได้ชัดของมีนาทำให้เขาเริ่มจะพิจารณาคำพูดของวีรภัทรอย่างเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา…
บ้าน่า นี่คือมีนานะ! เด็กนี่รู้จักทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของใครเป็นเสียที่ไหนกัน ไม่ต้องพูดถึงการหึงหวงอย่างที่วีรภัทรว่าเลย
แต่ถึงอย่างนั้น ส่วนลึกในจิตใจของธีรเชษฐ์กลับอดยืดอกเล็กๆอย่างภูมิใจไม่ได้ที่เขาเป็นสิ่งของสิ่งแรกที่มีนาเรียนรู้ที่จะหวง
ดูท่าเขาจะเป็นเอามากแล้วจริงๆ
“ป้อน” เสียงทุ้มสั่งห้วนสั้น กลบเกลื่อนความเขินอายที่ผู้ชายวัยสี่สิบสองตัวเท่าตึกไม่ควรรู้สึก โดยเฉพาะกับเด็กน้อยตาใสตรงหน้า
มีนก้มลงบิดเปิดฝาขวดน้ำแล้วเสียบหลอดลงไปอย่างว่าง่าย ด้วยความสูงที่ต่างกันจนน่ากลัว เด็กหนุ่มต้องยกขวดขึ้นเกือบสุดแขนเพื่อให้ร่างสูงดูดน้ำ ซึ่งธีรเชษฐ์ก็ไม่ได้คิดจะช่วยก้มลงมาอำนวยความสะดวกให้อีกฝ่ายแม้แต่น้อย
เพราะเขาชอบสีหน้าตั้งอกตั้งใจของคนที่พยายามทำตามคำสั่งไร้สาระของเขาอย่างไม่เกี่ยงงอนมากที่สุด
ก็บอกแล้วว่าถ้าหากเป็นเรื่องของมีนา ชายหนุ่มรู้ว่าตัวเองนั้นเป็นเอามากจริงๆ
ธีรเชษฐ์ไม่ได้สนใจว่าเพื่อนสนิทกับคนรักหายหัวไปตอนไหน สิ่งเดียวที่เขาสนใจ คือเด็กหนุ่มร่างเล็กที่เมื่อเขาดื่มน้ำเสร็จก็ก้มหน้างุดมองพื้นนิ่งราวกับว่าฝุ่นละอองบนพื้นนั้นน่าสนใจกว่าเขานักหนา
“ตามมา”
“เอ๊ะ? เราจะไปไหนกันเหรอครับคุณเชษฐ์?”
ขาสั้นๆก้าวตามเขามาเมื่อเห็นว่าธีรเชษฐ์ไม่คิดจะตอบ ร่างสูงกดลิฟท์แล้วใช้มือขวางประตูลิฟท์ไว้ให้เด็กหนุ่มตามเข้ามา มีนาเหลือบมองใบหน้าคมเข้มไม่บ่งบอกอารมณ์เป็นระยะ พยายามจะคาดคะเนความคิดของเจ้าชีวิต แต่ธีรเชษฐ์เพียงแค่กดชั้นที่เป็นส่วนของห้างสรรพสินค้าแล้วก้าวนำร่างเล็กออกไป
ร้านเแล้วร้านเล่า ชายหนุ่มพาเขาเดินเข้าออกร้านเสื้อผ้าติดแบรนด์ราคาสูง เลือกดูเสื้อผ้าแต่ละตัวอย่างตั้งใจ เหลือบมองมีนาเป็นระยะก่อนจะส่ายหน้าแล้วเดินต่อไป เด็กหนุ่มเดินตามอีกฝ่ายเงียบๆ จนกระทั่งธีรเชษฐ์มาหยุดอยู่ตรงหน้าร้านขายเสื้อผ้าแบรนด์เนมที่พนักงานทุกคนในร้านแต่งตัวดีกว่าลูกค้าที่เดินผ่านไปมาเสียอีก ดวงตาคมจดจ้องอยู่กับหุ่นโชว์หน้าร้านที่สวมเสื้อคลุมตัวยาวสีน้ำตาลเรียบเข้ารูปบริเวณเอวที่ใครมองมาก็รู้ว่าเป็นของมีราคา มีนาพิจารณาเสื้อคลุมตัวนั้นเช่นเดียวกับร่างสูง นึกชอบสไตล์การตัดเย็บของชุดที่เก็บเนียนเรียบราวกับออกมาจากแม่พิมพ์แบบนั้น
“สวยมั้ย?” เสียงทุ้มเอ่ยถามคนที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิด มีนาสะดุ้งเล็กน้อยที่จู่ๆอีกฝ่ายก็ตัดสินใจหันมาพูดกับเขา เด็กหนุ่มพยักหน้า นึกสงสัยว่าใครกันที่ธีรเชษฐ์ดั้นด้นตามหาเสื้อผ้าให้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแบบนี้
ก็คงไม่พ้นเลขาคนสำคัญของอีกฝ่ายนั่นล่ะนะ
“ครับ สวยมาก”
ธีรเชษฐ์ก้าวไปยังประตูกระจกบานเขื่องที่พนักงานในชุดสูทเปิดให้ร่างสูงทันทีด้วยท่วงท่านอบน้อม มีนาเดินตามชายหนุ่มเข้าไป รู้สึกเกร็งกับบรรยากาศที่แตกต่างจากภายนอกอย่างเห็นได้ชัด
ธีรเชษฐ์ก้าวเข้าไปหาพนักงานสาวที่ยืนอยู่หลังเคาท์เตอร์ พูดอะไรสักอย่างกับอีกฝ่ายแล้วชี้มายังมีนา เด็กหนุ่มเอียงคอ ก้าวตามไปยืนร่างสูงด้วยสีหน้างุนงง
“ถอดนี่ออกก่อน” ธีรเชษฐ์ดึงเบาๆที่เสื้อคลุมตัวหลวมโพรกที่มีนาใส่อยู่ ก่อนจะรับชุดตัวลองที่พนักงานสาวนำมาให้สวมแทนที่
“เอ๊ะ?” เด็กหนุ่มกระพริบตา ยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ชอบมั้ย?” มือใหญ่คว้าข้อมือของคนที่กำลังจะตบไปตามตัวหาป้ายราคา “มีน ฉันถามว่าเธอชอบมั้ย?”
มีนาเงยหน้ามองคนพูด ดวงตาคมจ้องตรงมาที่เขา คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างรอคอยคำตอบ
“ชะ…ชอบครับ” มีนาตอบไม่เต็มเสียง
จริงอยู่ที่เขาชอบเสื้อตัวนี้ ทั้งสไตล์การตัดเย็บ ความเรียบลืนสบายผิวของเนื้อผ้าและวิธีที่เสื้อคลุมตัวนี้โอบกอดรูปร่างของเขาอย่างพอดิบพอดีราวกับสั่งตัด แต่เขาก็รู้เช่นกันว่าราคาของสินค้ามาใหม่ในร้านระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขายินดีจะได้รับ
“ดี…เพราะฉันเลือกให้เธอ” ธีรเชษฐ์หันไปส่งบัตรเครดิตของตัวเองให้พนักงานสาว มีนาจ้องอีกฝ่ายด้วยสีหน้าสับสน
“ผมไม่เข้าใจ…”
“เสื้อตัวนี้ฉันตั้งใจเลือกให้เธอ มันเป็นของของเธอแค่คนเดียว” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ ลูบศีรษะของเด็กน้อยของตนเบาๆ “รักษามันไว้ให้ดีๆล่ะ”
ดวงหน้าขาวสว่างไสวขึ้นกับคำพูดนั้น ธีรเชษฐ์ไม่รู้ว่ามีนาเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อมากน้อยแค่ไหน แต่รอยยิ้มเปี่ยมสุขเมื่อร่างเล็กก้มมองเสื้อคลุมตัวใหม่ของตัวเองทำให้ธีรเชษฐ์รู้สึกว่าเงินที่จ่ายไปนั้นคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์
ดวงตากลมโตเหลือบมองบางสิ่งที่เคาท์เตอร์โชว์สินค้าไม่ไกล ก่อนจะหันไปหาธีรเชษฐ์ด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ
“ข้อตกลงของเรา…ยังมีอยู่มั้ยครับ?”
ทีแรก ร่างสูงเข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายความถึงข้อตกลงของพวกเขาที่ใกล้จะถึงกำหนดวาระตัดสินใจในไม่ช้า แต่เมื่อเห็นคนตัวเล็กเล่นกับบัตรเครดิตสีดำในมืออย่างประหม่า ธีรเชษฐ์ถึงได้เขัาใจ
“อยู่ ทำไม?มีของที่อยากได้เหรอ?”
ธีรเชษฐ์ยอมรับว่าเขาประหลาดใจกับคำถาม ร่างสูงให้บัตรเครดิตกับอีกฝ่ายเพราะอยากให้มีนาได้ซื้อของที่อยากได้ แต่เขาที่รู้นิสัยของอีกฝ่ายดีก็คาดการณ์ไว้แล้วเช่นกันว่ามีนาจะไม่ยอมใช้มันซื้ออะไร
“ครับ…”
มีนาหันไปมองตู้โชว์นั้นอีกครั้ง ธีรเชษฐ์เลิกคิ้วเมื่อเห็นเข็มขัดหนังสีดำเรียบวางเรียงราย หัวเข็มขัดเป็นโลโก้ของแบรนด์ในรูปแบบต่างๆให้ลูกค้าเลือกสรร
“ก็ไม่ได้จะว่าอะไรหรอกนะ” ชายหนุ่มเปรย “แต่ฉันไม่คิดเลยนะว่าเธอจะชอบใช้อะไรแบบนี้”
“…ต่างหากครับ”
“หืม?” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ก้มลงเงี่ยหูฟังคนที่พึมพำไม่ได้ศัพท์ใต้ลมหายใจ
“ผมอยากซื้อให้คุณเชษฐ์ต่างหากครับ” มีนาเอ่ยซ้ำด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ดังเพิ่มขึ้นมากนัก แต่ก็มากพอที่ธีรเชษฐ์จะได้ยิน
อย่างชัดเจน
ร่างสูงยิ้มมุมปาก นิ้วเรียวยาวเชยคางมนขึ้นในสบกับดวงตาสีควันบุหรี่ฉายแววขบขัน
“ไม่คิดเลยนะว่าเธอจะเป็นคนแบบนี้”
“…” มีนาหน้าเสียกับคำพูดของอีกฝ่าย ความกล้าที่รวบรวมได้เมื่อครู่สลายหายไปกับตา
“ฉันอุตส่าห์ให้อิสระเธอซื้อของที่อยากได้” ธีรเชษฐ์แสร้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงผิดหวัง “แต่เธอดันเอาเงินของฉันไปซื้อของให้ผู้ชายเนี่ยนะ”
คนโดนแกล้งทำหน้ามุ่ย อยากจะเถียงว่าผู้ชายคนที่เขาอยากซื้อให้ก็คนเดียวกับผู้ชายที่ให้เงินเขา แต่บางอย่างในแววตาของธีรษฐ์ทำให้คำพูดของเด็กหนุ่มออกมาเป็นเสียงตะกุกตะกักด้วยความเขินอาย
“มะ…ไม่เอาก็ได้ครับ…”
“อะไรกัน ฉันเสียใจนะ” คนพูดไม่ได้มีสีหน้าเสียใจสักนิด ตรงกันข้าม ธีรเชษฐ์ดูสนุกสนานเสียด้วยซ้ำกับการได้แกล้งเด็กน้อยตรงหน้า “ไม่อยากเลือกเข็มขัดให้ผู้ชายของเธอเหรอมีน”
“คุณเชษฐ์ใจร้าย...” คนที่โดนแกล้งจนหน้าแดงก่ำน้ำตาคลอหน่วยด้วยความอับอายตัดพ้อ
“ฉันใจร้ายตรงไหน...”คนขี้แกล้งยังคงลอยหน้าลอยตา “เธอไม่ใช่เหรอที่บอกว่าจะซื้อของให้ฉันแล้วเปลี่ยนใจน่ะ”
มีนาตัดสินใจเลิกต่อล้อต่อเถียงกับคนแก่ใจร้ายแล้วหันไปสนใจการเลือกเข็มขัดหน้ามุ่ย ไม่ได้รู้เลยว่าสีหน้าที่ตัวเองทำอยู่นั้นถูกใจคนมองมากแค่ไหน
ธีรเชษฐ์ลอบยิ้มกับตัวเอง แม้เขาอยากจะให้มีนาเอาแต่ใจตัวเองมากกว่านี้ เชื่อใจเขามากพอที่จะดื้อกับเขามากกว่านี้ แต่แค่นี้ก็คุ้มค่ากับการมาถึงที่นี่แล้ว
“เส้นนี้สวยดีนะครับ” มีนาเอ่ยขึ้นในที่สุด ชี้ไปที่เข็มขัดที่ดำเรียบที่มีสัญลักษณ์ตัวอักษรย่อของแบรนด์ไขว้กันสีเงินวาว ธีรเชษฐ์พยักหน้า หันไปบอกพนักงานที่ยืนรอว่าจะเอาเข็มขัดเส้นนั้น ไม่นานนักหญิงสาวก็กลับมาพร้อมกับถุงกระดาษบรรจุกล่องใส่สินค้า ธีรเชษฐ์ยื่นมือไปรับพร้อมรอยยิ้มขอบคุณ ทั้งสองก้าวออกมาจากร้านได้ไม่นานนักเมื่อธีรเชษฐ์เอ่ยขึ้น
“ขอบใจนะ”
“ครับ?”
มีนาหยุดอยู่กับที่ หันขวับกลับไปหาคนพูดอย่างไม่มั่นใจว่าตนได้ยินถูกต้องหรือไม่ ธีรเชษฐ์มองถุงกระดาษประทับตราในมือ ก่อนจะเสริมพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ฉันรอไม่ไหวแล้วที่จะได้เห็นมันรอบข้อมือเธอ”
“เอ๊ะ…”
มีนาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อความหมายของสิ่งที่อีกฝ่ายพูดกระจ่างแจ้งในหัว เด็กหนุ่มหมุนตัวก้าวหนีคนขายาวโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะไม่รู้ทาง ไม่แม้แต่จะหยุดตกใจกับร่างสูงที่หัวเราะออกมาเสียงดังกับท่าทีของเขาโดยไม่สนใจคนที่เดินผ่านไปมาซึ่งเหลียวกลับมามองตามเสียงอย่างตกใจ
------------