Chapter 27: วันครบรอบ (2)
ป้าแต้วเปิดประตูบ้านให้ภรัณยูโดยไม่แม้แต่จะซักถามสาเหตุที่เขามาในวันนี้ หญิงชราในชุดไว้ทุกข์สีดำสนิทดูมีอายุเพิ่มขึ้นหลายปีภายในเวลาไม่กี่วันที่ไม่ได้เจอกัน ร่างโปร่งก้าวขึ้นบันไดอย่างเงียบเชียบ ในบ้านที่ไม่มีแม้แต่เสียงโทรทัศน์เปิดทำให้เสียงฝีเท้าของเขาฟังดูดังกว่าความเป็นจริงเสมอ ขาของภรัณยูมาหยุดลงที่หน้าประตูห้องที่เขาคุ้นเคย ชายหนุ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะประตู
“ซัน…”
ประตูห้องของทินกรถูกเปิดออก แต่คนที่อยู่หน้าประตูกลับไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ภรัณยูต้องการจะเจอ
ร่างโปร่งที่ดูจะอายุไม่ห่างจากทินกรมากนักอยู่ในชุดสูทเข้ารูปสั่งตัดสีดำสนิท เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนตัดสั้นตามสมัยนิยม ดวงตาสีอัลมอนด์เรียวรีและริมฝีปากเรียวบางที่ขยับยิ้มมุมปากอยู่ตลอด ผิวขาวเนียนละเอียดตัดกับสีชุด ภรัณยูชะงักค้าง ไม่คาดคิดว่าตนจะเจอใครนอกจากทินกรในห้องของร่างสูง
“เอ่อ..คือ...ผม..”
“มาหาซันเหรอครับ?” ร่างโปร่งเอียงคอถามด้วยสีหน้าใคร่รู้ ใบหน้าสวยหวานราวกับไม่ใช่ผู้ชายนั้นมีแต่จะทำให้คนตรงหน้าดูใสซื่อบริสุทธิ์มากขึ้น
“...” ภรัณยูอึกอัก สมองสั่งให้เขาถามออกไปว่าคนตรงหน้าเป็นใคร และมีสิทธิอะไรมายืนอยู่ในห้องของคนรักของเขา แต่ปากของเขาทำได้เพียงอ้าปากและหุบโดยไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
“ซันอยู่ในห้องน้ำครับ เดี๋ยวผมไปเรียกให้นะครับ” คนอายุน้อยกว่าเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นภรัณยูไม่ตอบคำถามเสียที
“พี่อุ่น คุยกับใครอยู่เหรอครับ?”
อุ่น...
ภรัณยูรู้สึกเหมือนหินที่ถ่วงอยู่ในอกถูกยกขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินชื่อของลูกชายคนรองของบ้านดังมาจากในห้อง เขายังไม่เคยเจอธารธารา แต่หากภรัณยูเดินสวนกับอีกฝ่ายตามท้องถนน เขาคงเดาไม่ออกว่าคนตรงหน้ามีความสัมพันธ์อย่างไรกับคนในบ้าน ในเมื่อร่างโปร่งไม่ได้มีเศษเสี้ยวของความเป็นลูกครึ่งรัสเซียอยู่อย่างพี่น้องของตัวเองเลย
“แฟนซันรึเปล่า? เขาไม่พูดอะไรกับพี่ พี่เลยไม่แน่ใจ” ธารธาราหันกลับไปตอบน้องชาย ผลลัพธ์ที่ได้คือร่างสูงใหญ่ของทินกรที่โผล่พรวดออกมาจากด้านหลังของพี่ชายราวกับตัวเองตัวเล็กเสียเต็มประดา
“พี่ภัทร? มาทำอะไรที่นี่ครับ?”
ธารธาราขยับถอยห่างจากคนทั้งคู่อย่างรู้งาน ภรัณยูรู้สึกขอบคุณอยู่ในใจ เพราะการคุยกับทินกรนั้นยากพออยู่แล้วโดยไม่มีพี่ชายคนใดก็ตามของเด็กหนุ่มมายืนคุมอยู่ข้างๆ
“พี่รู้ว่าซันขออยู่กับตัวเองซักพัก...” ภรัณยูกัดริมฝีปากอย่างประหม่า ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาสีควันบุหรี่ที่เขารู้ว่ากำลังมองตรงมาที่เขา “แต่พี่แค่ไม่อยากให้ซันอยู่คนเดียวในวันแบบนี้..พี่... พี่โง่เองแหละ ยังไงซันก็ต้องอยู่กับพี่ๆอยู่แล้วนี่นะ พี่ไปก่อนนะ...”
“เดี๋ยวก่อนสิครับพี่ภัทร” มือใหญ่คว้าข้อมือคนที่พ่นคำพูดออกมารัวๆผิดวิสัยไว้ก่อนที่ภรัณยูจะได้เดินหนีไป “ผมมีเรื่องอยากคุยกับพี่ภัทร”
อะไรก็ตามที่ขึ้นต้นด้วยประโยคนั้นไม่เคยจบด้วยเรื่องดีๆ หากความสัมพันธ์ก่อนหน้าของภรัณยูจะสอนอะไรสักอย่างกับเขา คงจะไม่พ้นเรื่องนี้
“…พี่ภัทรทำหน้าแบบนั้นอีกแล้ว” สายตาของทินกรหม่นลงเมื่อเห็นสีหน้าของคนรัก ซึ่งภรัณยูไม่มั่นใจว่าสีหน้าของเขาในตอนนี้เป็นอย่างไร “อยู่กับผมแล้วพี่ภัทรอึดอัดใจขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
“ไม่ใช่นะซัน..”
“ผมไม่ใช่คนแบบผู้ชายคนนั้น” ทินกรตัดบทด้วยสีหน้าจริงจัง “ผมไม่มีวันเป็นแบบผู้ชายคนนั้น ผมรักพี่ภัทร แล้วถ้ามันขึ้นอยู่กับผม ผมจะประกาศในอีเมลล์บริษัทให้ทุกคนรู้ว่าพี่ภัทรเป็นแฟนผม ผมจะบอกทุกคนที่ผมรู้จักว่าผมรักพี่ภัทรแค่ไหน แล้วผมก็จะไม่มีวันทิ้งพี่ภัทรไปแต่งงานกับผู้หญิงแค่เพราะหน้าตาในสังคม เพราะพ่อผมตั้งบรรทัดซานไว้ต่ำจนผมไม่ทำอะไรก็ดูเป็นคนดีกว่าอยู่แล้ว”
เออ...มันก็จริงอยู่หรอกนะ
“แต่ผมรู้ว่าถึงพูดอะไรไป ถ้าพี่ภัทรไม่เชื่อใจผม...คำพูดของผมก็พิสูจน์อะไรไม่ได้อยู่ดี” ทินกรว่า “ผมไม่อยากอยู่ในความสัมพันธ์ที่รอวันหมดอายุ ถ้าพี่ภัทรคิดว่าไม่ว่าผมจะพยายามแค่ไหนพี่ก็มองไม่เห็นอนาคตของพี่ที่มีผมอยู่ในนั้น พี่ภัทรก็ไปเถอะครับ”
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“เพราะในทุกอนาคตของผม ผมเห็นพี่ภัทรอยู่ในนั้น”
“….” นี่เด็กคนนี้รู้ตัวบ้างมั้ยว่าตัวเองทำอะไรกับหัวใจเขาบ้าง
ทินกรยังคงยืนนิ่งรอคำตอบจากเขา ศีรษะหดเกร็งราวกับกำลังเตรียมรับแรงกระแทกที่มองไม่เห็น แม้ใจหนึ่งภรัณยูจะนึกอยากบอกให้อีกฝ่ายหนีไปให้ไกล ให้อีกฝ่ายหาคนที่ดีกว่าเขา คนที่คู่ควรกับความรักและความอดทนของทินกรมากกว่าเขามายืนเคียงข้าง
แทนคำตอบ ภรัณยูก้าวเข้ามาประชิดตัวร่างสูงในชุดสูทไว้ทุกข์สีดำ แขนเรียวยกขึ้นโอบรอบคอของอีกฝ่ายแล้วรั้งให้คนตัวสูงกว่าโน้มลงมา ก่อนที่ริมฝีปากเรียวจะประทับลงบนริมฝากได้รูปของเด็กหนุ่ม มอบจุมพิตหวานล้ำที่ทำให้ทุกสิ่งนอกเหนือจากพวกเขาทั้งคู่กลายเป็นเพียงธาตุอากาศ
“พี่ขอโทษ ให้โอกาสพี่อีกครั้งนะ” ภรัณยูกระซิบเสียงพร่าหลังจากที่ทินกรยอมให้เขาผละออกมาแม้จะเพียงเล็กน้อย ร่างกายอ่อนยวบจนต้องใช้คนตัวใหญ่กว่าเป็นแหล่งพักพิงชั่วคราว
“จะอีกกี่ครั้งผมก็ให้ครับ” อ้อมแขนแกร่งกระชับกอดร่างของภรัณยูไว้ให้แน่นขึ้น ทินกรประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของคนรัก เรียกรอยยิ้มจากคนอายุมากกว่าได้เป็นอย่างดี
….เพราะเขาก็เห็นทินกรอยู่ในทุกความเป็นไปได้ของอนาคตตัวเองเช่นกัน
“อะแฮ่ม”
เสียงกระแอมกระไอจากภายในห้องทำให้ภรัณยูรีบผละออกจากเด็กหนุ่มในทันที ทินกรมีสีหน้ารำคาญใจ หันไปหาพี่ชายของตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์
“พี่อุ่น ไม่มีห้องให้กลับเหรอครับ”
จากคำพูดของคนรักทำให้ภรัณยูเพิ่งสังเกตว่านอกจากเสียงของธารธารา ยังมีเสียงของพี่ชายคนโตของบ้านอยู่ในห้องด้วย
“พี่ไม่ออกอ่ะ ก็ซันเป็นคนขอให้พี่อยู่ด้วยเองนี่นา” ธารธาราเสริมพร้อมรอยยิ้ม
“ตามสบายครับ ผมไปนอนห้องพ่อก็ได้ แบร่” ทินกรแลบลิ้นใส่พี่ชายคนรอง ท่าทางเด็กๆนั้นทำให้ภรัณยูอมยิ้มอย่างเอ็นดู เขาไม่ค่อยได้เห็นมุมเด็กๆของทินกรมากนักนอกจากเวลาที่เด็กหนุ่มอยู่กับพี่ชาย ต่อให้เป็นกับเขาการออดอ้อนของร่างสูงก็มักจะไม่ได้ใสซื่อบริสุทธิ์เท่าไหร่นัก “พี่ภัทรรอนี่นะครับ เดี๋ยวผมไปเอากุญแจจากป้าแต้วก่อน”
“อ้าว...เอ่อ...”
คนที่จู่ๆก็ถูกทิ้งให้อยู่กับพี่ชายของคนรักตามลำพังยืนนิ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก ธารธาราที่ยังคงนั่งอยู่บนเตียงของน้องชายเอียงคอมองเขาพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งมาถึงตอนนี้ภรัณยูเริ่มจะคิดแล้วว่าอีกฝ่ายทำสีหน้าอื่นไม่เป็น
“ขอบคุณนะครับ ที่ช่วยดูแลซันแทนพวกผม” นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ภรัณยูคิดว่าอีกฝ่ายจะพูดกับเขา และนั่นทำให้เขารู้สึกผิดขึ้นมากับสิ่งที่กำลังจะพูดต่อจากนี้
รอยยิ้มของธารธาราหุบลงเล็กน้อยพร้อมกับแววตาฉงนเมื่อเห็นภรัณยูเอื้อมไปผลักบานประตูปิดแล้วกดล็อก
“ซันเขายังจำได้นะครับ...” ภรัณยูเอ่ยขึ้น ธารธาราขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดไป “ที่คุณพูดกับคุณเมฆาตอนเด็กๆว่าเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณเกศราเสียชีวิต เขายังจำได้นะครับ”
เขารู้ว่ามันไม่ใช่กงการของเขาแต่ภรัณยูไม่อยากให้ทินกรต้องทนอยู่กับความทรงจำที่เจ็บปวดไปนานกว่านี้
“พี่ภัทร? พี่อุ่น?” เสียงเรียกของทินกรจากหน้าห้องเจือไปด้วยความสับสนเมื่อเห็นประตูห้องของตัวเองถูกล็อคไว้ ภรัณยูกำลังจะหันไปเปิดประตูให้เด็กหนุ่มเมื่อพี่ชายของทินกรพุ่งตัวตัดหน้าเขาไปยังประตู
“ทำอะไรกันอยู่เหรอครั...พี่อุ่น?” ทินกรกระพริบตาปริบๆอย่างประหลาดใจเมื่อถูกพี่ชายสวมกอดไว้แน่นพร้อมน้ำตานองหน้า ก่อนจะโอบกอดร่างโปร่งตอบอย่างเก้ๆกังๆ
“พี่รักซันนะ พี่กับพี่เมฆรักซันที่สุดในโลกเลยรู้มั้ย” ธารธาราเอ่ยเสียงปนสะอื้น ซุกหน้าเข้ากับไหล่ของน้องชาย ภรัณย
ทินกรหันมาหาเขาด้วยสีหน้าสับสน ภรัณยูยิ้ม กดจมูกลองบนแก้มของคนรักเบาๆก่อนเอ่ยลา
“วันนี้พี่กลับก่อนดีกว่า พรุ่งนี้พี่มารับนะ”
เขากับทินกรยังคงมีอีกหลายวันที่จะสร้างความทรงจำให้ย้อนกลับมามองในความสัมพันธ์ แต่วันนี้เป็นวันของธารธารา
ภรัณยูได้แต่หวังว่าหลังจากวันนี้ สายสัมพันธ์ของสองพี่น้องจะไม่มีความทรงจำนั้นเป็นหนามที่ยังคงทิ่มแทงใจของทินกรดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา
“นี่ๆ กูซื้อมาฝาก กินเยอะๆเลย” แทนไทยวางถุงจากมินิมาร์ทข้างๆโต๊ะหินอ่อนที่พวกเขานั่งลงกลางโต๊ะ ภายในบรรจุด้วย
ขนมขบเคี้ยวจำนวนมาก มีนาพยักหน้าขอบคุณขณะที่แว่นแบมือตรงหน้าร่างสูง เด็กหนุ่มลูกครึ่งหยิบสแตมป์ส่งให้เพื่อนรักพร้อมเสียงหัวเราะ
"มึงนี่ ตกถังข้าวสารแล้วยังงกไม่เปลี่ยนเลยนะ"
"เขาเรียกรู้จักค่าของเงิน" เด็กหนุ่มตอบเสียงเรียบ
มีนายังคงง่วนอยู่กับการทำสไลด์พรีเซ้นต์รายงานกลุ่มที่เพื่อนในคณะทั้งสองใจดีพอจะให้เขาเข้ากลุ่มด้วยไม่ได้สนใจสภาพแวดล้อมรอบกายมากนักจนกระทั่งได้ยินเสียงแสตมป์สะสมแต้มถูกฉีกแบ่งเป็นครึ่งแผงแล้วถูกยื่นมาตรงหน้าของเขา
"..." มีนาเงยหน้าขึ้นมองของในมือเขา กระพริบตาปริบๆอย่างไม่เข้าใจ
"ขอบใจที่ให้คูปองนะ" แม้น้ำเสียงของแว่นจะเรียบเฉย แต่มีนาพอจะเดาได้จากท่าทางว่าอีกฝ่ายอยากขอบคุณเขาเรื่องคูปองที่มีนาเคยให้ไปก่อนหน้านี้
"ไม่เป็นไรหรอก เราเต็มใจ" มีนารีบปฎิเสธ
"รับไปเถอะ ยังไงก็เพื่อนกัน” เด็กหนุ่มร่างเล็กยังคงดื้อดึง แต่สิ่งที่ทำให้มีนารู้สึกจุกอยู่ในอกคือคำว่าเพื่อนที่ถูกเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างง่ายดายราวกับเป็นเรื่องที่เขาควรรู้อยู่แล้ว
เพื่อน...
คำที่เขาไม่ได้ยินมานานแสนนานหากไม่ใช่จากทินกรและพายุ คำที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินจากคนในคณะหลังจากเรื่องของธารธาราและข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่วเกี่ยวกับตัวเขา
ข่าวลือที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้เต็มปากเต็มคำว่าไม่เป็นความจริง
และนั่นทำให้ขอบตาของมีนาร้อนผ่าว
"ขอบ...ขอบใจนะ" มีนารับแสตมป์มาด้วยมืออันสั่นเทา กว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หยดน้ำใสๆที่ร่วงเผาะลงบนแผงแสตมป์ที่แว่นให้มาก็ทำให้คนทั้งวงแตกตื่น
"เฮ้ย! เชี่ยแว่น มึงแกล้งไรเพื่อนเนี่ย" แทนไทยรีบโอบเพื่อนร่วมกลุ่มไว้ มือใหญ่ถูต้นแขนขาวขึ้นลงเชิงปลอบโยน
"อ้าว ทำไมกูผิดล่ะ" แว่นโวยวาย
"ก็มึงทำมีนร้องอ่ะ โอ๋ๆ" แทนไทยกอดเด็กหนุ่มโยกไปโยกมาเหมือนเก้าอี้โยกตัวใหญ่
"เปล่า..เรา...เราแค่ดีใจที่มีเพื่อน.." มีนาพยายามควบคุมน้ำเสียงของตัวเองไม่ให้สั่นเครือ “ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ"
เขารู้ว่ามันน่าสมเพช แต่เขาไม่สามารถควบคุมเสียงสะอื้นที่เล็ดลอดออกมาจากลำคอพร้อมกับน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาได้ ความเจ็บปวดที่สั่งสมมาตั้งแต่วันแรกที่เขาก้าวเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัย ตั้งแต่วันที่ได้เจอกับธีรเชษฐ์ ถูกปลดปล่อยออกมาจนมีนายังรู้สึกตกใจตัวเอง
"เฮ้ย คิดมาก เราก็เพื่อนกันหมดนั่นแหละ" แทนไทยขยี้ผมเขาอย่างเอ็นดู ส่วนแว่นก็พยักหน้าสมทบหงึกหงัก
"ทำอะไรกันอยู่เหรอ" มีนารู้สึกถึงขนอ่อนทั่วร่างที่ลุกชันเมื่อได้ยินเสียงเนิบนาบที่ดังขึ้นจากด้านหลัง ธารธาราที่เดินมาจากทางไหนก็ไม่รู้เอียงคอถามพร้อมกับรอยยิ้ม มีนารีบผละออกจากอ้อมกอดของแทนไทยแล้วยกมือไหว้ชายหนุ่มอย่างหวาด
กลัว
แค่อยู่เฉยๆโดยไม่มีคนรักของธารธาราเป็นตัวประกอบฉากยังถูกเกลียดขนาดนั้น เขาไม่อยากคิดเลยว่าในตอนนี้อีกฝ่ายจะโกรธเขาขนาดไหน
"สะ..สวัสดีครับ"
ธารธาราเพียงแต่เหลือบมอง ไม่คิดจะรับไหว้เด็กหนุ่ม ร่างโปร่งเดินไปนั่งที่อีกข้างของแทนไทย คล้องแขนและเอาคางเกยไหล่คนรักของตัวเองอย่างสนิทสนม
"กินขนมกันอยู่เหรอ?"
"ครับ พี่อุ่นกินมั้ย?" แทนไทยที่ไม่ได้รับรู้ถึงบรรยากาศมาคุหยิบซองขนมขึ้นมาฉีกให้
"ขอบใจนะ" คนสวยยิ้ม หยิบขนมชิ้นหนึ่งขึ้นมาแล้วนำไปจ่อที่ปากของเด็กหนุ่ม
"อ้าว พี่อุ่นไม่กินเหรอครับ?" แทนไทยถามงงๆ
"กิน แต่ให้แทนกินก่อน เดี๋ยวพี่กินแทนต่อ" คนหน้าเป็นยังคงยิ้มน่ารัก ขัดกับคำพูดสิบแปดบวกของตนเช่นเคย มีนาลอบถอนหายใจที่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจตนเท่าไหร่นัก "แล้วนี่ทำอะไรกันอยู่เหรอ?"
"รายงานครับ เรื่องการค้าประเวณีในนักศึกษามหาวิทยาลัย พรีเซ้นต์วันศุกร์" แทนไทยตอบ
"เหรอ.." ธารธาราพยักหน้า "มีนเป็นคนขึ้นพรีเซนต์เหรอ?"
เจ้าของชื่อสะดุ้งที่จู่ๆก็ถูกอีกฝ่ายพูดด้วย เด็กหนุ่มส่ายหน้าพรืดแทนคำตอบแล้วก้มหน้าพิมพ์งานต่อ ในใจเต้นระรัวด้วยความหวาดกลัวทุกคำพูดของลูกชายคนรองของธีรเชษฐ์
"เงียบขนาดนี้จะพรีเซนต์ได้ยังไงครับ ผมต่างหากที่พรี" แทนไทยอธิบายพร้อมรอยยิ้ม ธารธาราเอียงคอมองมีนาที่ยังคงก้มหน้าก้มตาอยู่กับคีย์บอร์ดแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสซื่อ
"เหรอ... นึกว่าจะขึ้นไปเป็นกรณีศึกษา"
ความเงียบปกคลุมรอบวงสนทนา มีนาตัดสินใจที่จะไม่เงยหน้าขึ้นจากคอมพิวเตอร์ด้วยกลัวว่าหากทำอะไรผิดไปเพียงเล็กน้อย อีกฝ่ายจะทำให้เขาเสียเพื่อนทั้งสองที่ตัวเองเพิ่งได้มาไปในวันเดียวกัน
แต่แทนไทยไม่คิดเช่นนั้น
"พี่อุ่นพูดว่าอะไรนะครับ?"
"พี่บอกว่า นึกว่าจะพรีเซนต์เรื่องกรณีศึกษา" ธารธาราว่าเสียงใสซื่อ "รู้มั้ยวิชานี้เขาเน้นการนำเสนอตัวอย่างมากเลยนะ ถ้า
เพิ่มเติมไปหน่อยพี่ว่าน่าจะช่วยดึงคะแนนได้ดีเลยล่ะ"
"อ๋อ.." เด็กหนุ่มลูกครึ่งพยักหน้าอย่างไม่ติดใจสงสัย ซึ่งมีนาก็เข้าใจดี หากไม่เคยเป็นฝ่ายรองรับอารมณ์ของธารธาราโดยตรง ก็ยากที่จะเชื่อว่านนางฟ้าของปีสี่คนนี้จะจงใจหาเรื่องเขา
"เรา...ไปห้องน้ำก่อนนะ"
มีนาลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างอึดอัด เขาไม่อยากอยู่ตรงนี้นานไปกว่านี้ อย่างน้อยที่สุดระยะห่างน่าจะทำให้จิตใจที่ปั่นป่วนของเขาสงบลงมากพอที่จะไม่เต้นตามเกมของธารธาราจนเกินไป
มีนาหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา เบอร์โทรในเครื่องของเขาเริ่มมีชื่อของคนอื่นอยู่ในรายชื่อติดต่อบ้างแล้วถึงแม้ว่าจะยังมีไม่ถึงสิบคน แต่ถึงอย่างไรรายชื่อเดียวที่ขึ้นเป็นรายการโทรด่วนของเขาก็ยังคงเป็นชื่อคนที่ซื้อโทรศัพท์เครื่องนี้มาให้เขา
มือไปไวกว่าความคิด กว่าจะรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป มือเรียวก็กดโทรออกหาคนที่เขาควรจะโทรหาแค่ไหนยามฉุกเฉินเสียแล้ว
“มีน? เป็นอะไรรึเปล่า?” แน่นอนว่าผลลัพธ์คือเสียงทุ้มจากปลายสายที่ถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“ผม…ขอโทษครับ...” เสียงหวานยังคงแหบพร่าจากการร้องไห้ก่อนหน้านี้ “ผมแค่อยากได้ยินเสียงคุณเชษฐ์...”
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ธีรเชษฐ์จะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ฉันติดงานอยู่ เสร็จแล้วจะรีบไปหา”
“มะ..ไม่เป็นไรครับ ผม...ผม...ไม่อยากรบกวน” มีนาละล่ำละลัก เช็ดน้ำตาที่ยังไม่แห้งดีของตัวเองราวกับกลัวว่าคนที่อยู่ปลายสายจะมองเห็น
“อีกไม่เกินสองชั่วโมง”
อีกฝ่ายพูดแค่นั้นก่อนจะตัดสายไป มีนาก้มมองหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง แม้ดวงตาจะยังแดงก่ำจากการร้องไห้ แต่ริมฝีปากรูปกระจับกลับมีรอยยิ้มแต่งแต้มจากความใส่ใจที่เขาไม่คิดว่าจะได้รับจากร่างสูง
มีนาเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะหันหลังเดินกลับไปยังทางที่ตนจากมา ได้แต่หวังว่าธารธาราจะไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้วตอนเขากลับไป
ธีรเชษฐ์กดตัดสายโทรศัพท์จากมีนา ก่อนจะเงยหน้ามองชายหนุ่มชาวอิตาลีที่นั่งเท้าคางมองเขาด้วยรอยยิ้มกริ่ม
“อา…ความรัก สวยงามเสมอนะครับ คุณว่าไหม?”
“เรื่องที่คุณให้ผมทำเรียบร้อยแล้ว พวกผมจะไปงานแฟชั่นโชว์นั่นตามที่คุณต้องการ” ธีรเชษฐ์เปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากให้คน
ตรงหน้าให้ความสนใจเรื่องของเขากับมีนาไปมากกว่าที่ควรจะเป็น “ผมยังไม่เข้าใจว่าทำไมคุณต้องการให้ผมพาหมอกไปด้วย เด็กคนนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้”
เลขาของเขาเป็นจุดสนใจของนิโคไลตั้งแต่วันแรก ธีรเชษฐ์รักมธุวันไม่ต่างจากลูกในไส้ หากจะให้พูดกันตรงๆ เขาคิดว่าสายสัมพันธ์ของเขากับมธุวันนั้นหยั่งลึกเกินกว่าเขากับลูกชายทั้งสามเสียด้วยซ้ำ และความคิดที่ว่ามาเฟียหนุ่มตรงหน้าจะทำอะไรเลขาของเขาทำให้ธีรเชษฐ์รู้สึกถึงสัญชาตญาณของตนที่ต้องการจะปกป้องชายหนุ่มอายุน้อยกว่า
“ผมบอกแล้วไงครับ ว่าคุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องนั้น” นิโคไลยิ้ม แต่ดวงตาสีมรกตบ่งบอกว่าตนไม่ต้องการตอบคำถามอะไรไปมากกว่านี้
“ถ้าหมอกเป็นอะไร...”
“ผมให้สัญญากับคุณไว้ตรงนี้ คุณธีรเชษฐ์” นิโคไลเอ่ยขัด ความอบอุ่นจอมปลอมในน้ำเสียงของชายหนุ่มผมบลอนด์อันตรธานหายไปครู่หนึ่ง “ผมจะปกป้องมธุวันด้วยชีวิตของผม พอใจรึยังครับ”
“….”
ธีรเชษฐ์ทำได้เพียงพยักหน้า เขาไม่ใช่คนที่รู้สึกกลัวอะไรง่ายๆ แต่อะไรบางอย่างเกี่ยวกับคนตรงหน้าทำให้เขาเลือกที่ปิดปากเงียบแม้จะไม่อยากเชื่อคำสัญญาของคนที่มีธุรกิจผิดกฎหมายในมือมากมายนับไม่ถ้วนก็ตาม
ชายหนุ่มก้มลงมองโทรศัพท์ของตัวเอง ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้
หากทุกอย่างกำลังจะมาถึงจุดจบ เขาก็อยากจะใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดในตอนนี้กับคนที่มอบชีวิตใหม่ให้กับเขา
“ผมขอตัวก่อนนะครับ พอดีมีธุระสำคัญ”
------------------
ฮึบๆๆๆๆๆ