ศิโรราบ
.
.
.
ยามบ่ายคล้อยอันแสนอบอ้าวภายในตำหนักรับรองพระราชอาคันตุกะ ปรากฏร่างองค์ยุพราชแห่งกรุงราชคฤห์นอนเอกเขนกพิงกายเข้ากับหมอนอิงปักลายดิ้นทองด้วยท่าทีองอาจสมกับเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ แม้นจะใส่เพียงผ้านุ่งผืนเดียวแต่ทว่าท่วงท่าสง่างามของเอกบุรุษวัยฉกรรจ์นั้นกลับแผ่กลิ่นอายน่าเกรงขามไปทั่วทั้งบริเวณ รอบกายมีนางกำนัลและเหล่าข้าราชบริพารที่องค์จ้าวเหนือหัวแห่งนครคีรีส่งมาคอยให้ปรนนิบัติพัดวีอยู่ไม่ห่างกาย
มือข้างหนึ่งยกจอกสุราใบงามขึ้นจรดใกล้กับริมฝีปากก่อนจะเริ่มละเลียดรับรสหอมหวานของน้ำจัณฑ์ชั้นดีเข้าไปในโพรงปากทีละน้อย ฤทธิ์ร้อนผ่าวไหลผ่านลำคอลงไปอย่างลื่นละมุนเหลือทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมนุ่มที่อบอวลอยู่บริเวณปลายลิ้น
นัยน์ตาคมกล้ากวาดมองรอบโถงกว้างอย่างพินิจพิจารณาอีกครา
ตำหนักรับรองอาคันตุกะที่ท้าวภารตาทรงรับสั่งให้เข้ามาพำนักนั้นกว้างใหญ่โอ่โถงอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว บริเวณภายนอกนั้นถูกโอบล้อมไปด้วยพรรณพืชไม้หอมนานาชนิดช่วยส่งเสริมให้บรรยากาศโดยรอบตำหนักนั้นรื่นรมย์ราวกับอยู่ในสวนพฤกษาสวรรค์ก็มิปาน
พระตำหนักแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นจากไม้สักทองเนื้อดีผิวมันวาววับ ภายในประกอบไปด้วยท้องพระโรง ห้องเสวย ห้องบรรทม และห้องสรงสำหรับพระราชอาคันตุกะโดยเฉพาะ รอบด้านมีเฉลียงใหญ่ไว้เป็นที่ประทับทอดพระเนตรทัศนียภาพอันงดงามของสวนพฤกษา ฝาผนังและเพดานโถงถูกประดับด้วยภาพแกะสลักลวดลายอ่อนช้อยงดงามวิจิตรบรรจงยิ่ง ตัวเครื่องเรือนล้วนทำมาจากทองแลประดับด้วยเพชรนิลจินดาหลากหลายชนิด
รามสูรเพลิดเพลินไปกับรสสุราและบรรยากาศโดยรอบอยู่ไม่น้อย ก่อนสายตาคมกล้าจะหันกลับมาพิศมองร่างอรชรของเหล่านางกำนัลยักษีที่หมอบกราบรอถวายการรับใช้อย่างพินิจพิจารณา ปลายนิ้วที่เคล้าคลึงอยู่รอบจอกเหล้าค่อยๆ ละเลียดไล้สัมผัสไปตามรอยสลักอ่อนช้อยบนพื้นผิวเกลี้ยงเกลา
นัยน์ตาสีทมิฬเปล่งประกายระอุด้วยฤทธิ์ของสุราชั้นดี ยิ่งได้พิศดูผิวเนื้ออ่อนของเหล่าอิสตรีด้วยแล้วประกายความปรารถนาก็เริ่มคุโชนขึ้นจนแผ่กลิ่นอายร้อนแรงอยู่รอบกายอสุราหนุ่ม สายตาหยาดเยิ้มที่ทอดมองไปยังนางกำนัลยักษ์ตนหนึ่งฉายแววชื่นชมอย่างไม่คิดที่จะปกปิดไว้แม้นเพียงกระผีก
แม้นนางยักษ์ตนอื่นจะพยายามชม้อยชม้ายชายตามองอย่างสงวนท่าทีไม่ให้เกินงาม แต่นางผู้นั้นกลับก้มหน้ามองพื้นตำหนักราวกับว่ามันน่ามองเสียหนักหนา
รูปร่างสะโอดสะองของเยาวภาแลผิวเนื้อนวลที่โผล่พ้นออกมาจากผ้าคาดอกสีแดงเข้มช่วยขับเน้นให้ผิวกายขาวผ่องนั้นน่ามองจนมิสามารถที่จะเพิกถอนสายตาออกมาได้
ในบรรดาเหล่านางกำนัลทั้งหมดทั้งมวลนั้น นางผู้นี้ดูโดดเด่นกว่าผู้ใด
ใบหน้าเรียวรีได้รูปงดงามหมดจดเกินที่จะหาสิ่งใดมาเปรียบ เส้นผมสีดำสนิทเหยียดตรงทิ้งตัวคลอเคลียถึงราวสะโพกอวบอิ่มใต้ผ้านุ่งสีเข้ม ดึงดูดสายตาของบุรุษวัยฉกรรจ์ที่ห่างร้างจากเรือนร่างของสตรีมานานได้อย่างดียิ่ง
รามสูรหยัดกายขึ้นยืนก่อนจะย่างกรายเข้าไปหานางยักษ์ที่ตนหมายตาเอาไว้
ร่างสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มค้อมกายลงก่อนฝ่ามือหยาบจะเชยคางของอีกฝ่ายขึ้นจนได้ประสบเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำตาลนวลที่ไหวสั่นระริกด้วยความตื่นกลัว แม้นองค์ยุพราชตรงหน้านางนั้นจะรูปโฉมงดงามเพียงใด แต่ถึงอย่างไรก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นฝ่ายศัตรู อีกทั้งกลิ่นอายมหาอำนาจที่แผ่กำจายอยู่รอบกายอีกฝ่ายนั้นช่างน่าหวาดหวั่นเสียจนนางมิสามารถที่จะควบคุมความหวาดกลัวเอาไว้ได้
อสุราหนุ่มมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายด้วยท่าทีที่พึงพอใจอยู่ไม่น้อย ยิ่งนางตัวสั่นหวาดกลัวราวกับลูกกวางป่าเช่นนี้ ยิ่งกระตุ้นเร้าให้สัญชาตญาณดิบในกายเขาพลุ่งพล่านเสียยิ่งกว่าเก่า ก่อนจะหมายมาดเอาไว้ว่าอย่างไรคืนนี้จะต้องเรียกนางให้มาปรนนิบัติรับใช้บนแท่นบรรทมให้จงได้
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงองค์ยุพราชแห่งแดนมหาอำนาจ
แม้นหาได้อยู่แผ่นดินมารดา แต่เมื่อตนนั้นถือเป็นแขกคนสำคัญขององค์จ้าวเหนือหัวแล้วไซร้ เพียงแค่ต้องการสตรีชั้นต่ำนางหนึ่งมาบำเรอความใคร่ มีหรือผู้ใดจะกล้าขัด?
“เจ้า” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกพร้อมกับไล้ข้อนิ้วไปตามพวงแก้มอิ่ม “มีชื่อว่าอย่างไรเล่า หืม แม่เนื้อนิ่ม”
ท่าทีถึงเนื้อถึงตัวคุกคามอย่างเปิดเผยสร้างความตื่นกลัวให้นางยิ่งกว่าเก่า ดาหลาเอียงกายหลบฝ่ามือใหญ่ที่กำลังคลอเคลียอยู่ข้างใบหน้า แต่กลับถูกเรี่ยวแรงมหาศาลของอสุราหนุ่มฉุดรั้งให้เข้าไปใกล้ ต้นแขนเรียวเล็กถูกฝ่ามือใหญ่กอบกุมเอาไว้อย่างแน่นหนา แรงบีบรัดทำให้นางต้องพยายามกดก้อนสะอื้นให้กลับลงไปในลำคออย่างอยากลำบาก
ไอร้อนระอุของบุรุษวัยฉกรรจ์แผ่กำจายอยู่รอบตัวของอีกฝ่ายอย่างเข้มข้น ท่อนบนที่เปล่าเปลือยเผยให้เห็นแผงอกกว้างกำยำและมัดกล้ามเครียดขมึงไปทั่วทั้งเรือนร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมคร้ามก้มลงมาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนระอุที่เจือไปด้วยกรุ่นกลิ่นของสุราชั้นดี
“ข้าถามเจ้า” ฝ่ามือใหญ่ออกแรงบีบที่ต้นแขนจนนางร้องเสียงหลง “ได้ยินรึไม่” น้ำเสียงทุ้มต่ำเข้มขึ้นบ่งบอกถึงคลื่นอารมณ์ที่เริ่มขุ่นมัว
“ด..ดาหลา เพคะ...”
“ดี” รามสูรยกยิ้มมุมปาก “ผู้ใดที่หาใช่ดาหลา ไสหัวออกไปเสียให้หมด หากข้าไม่เรียกหา ก็อย่าได้เสนอหน้าเข้ามาเด็ดขาด”
“เพคะ”
รามสูรปรายตากลับมามองเหล่านางกำนัลตนอื่นเชิงขับไล่ นางยักษ์ทั้งหลายจึงรีบกราบทูลลาพร้อมกับลุกออกไปจากท้องพระโรงอย่างรู้งาน
แต่บางตนนั้นก็ยังมิวายแอบลอบมองไปทางดาหลาด้วยสายตาอิจฉาริษยาอย่างปิดไว้ไม่อยู่เมื่อนางนั้นดันไปถูกตาต้องใจองค์ยุพราชเข้า
แต่ไหนแต่ไรมาดาหลานั้นเป็นนางยักษ์ที่งดงามโดดเด่นในบรรดาเหล่านางกำนัลทั้งหมดทั้งมวลยากที่จะหาผู้ใดเปรียบได้ ด้วยรูปร่างสะโอดสะองแลใบหน้างามพริ้มเพราราวกับนางฟ้านางสวรรค์นั้น
หากผู้ใดได้พานพบมีหรือที่จะไม่เหลียวหลังกลับมามอง แม้นแต่ราชองครักษ์บางตนที่พวกนางชมชอบยังแอบลอบมองนางแพศยานี่อย่างละเมอเพ้อพกอยู่หลายครั้งหลายหน จึงไม่แปลกเลยที่เหล่านางกำนัลส่วนมากจะเกลียดขี้หน้านางถึงเพียงนี้
แต่สิ่งที่ทำให้ดาหลาตกเป็นที่เกลียดชังของเหล่านางยักษีตนอื่นได้ถึงเพียงนี้ก็คงเป็นเพราะเดิมทีนางนั้นแลดูสนิทชิดเชื้อกับสองจอมทัพใหญ่จนเกินงามต่างหาก เกรงว่าทั้งท่านวศินและท่านวิรุณก็คงไม่แคล้วโดนเสน่ห์มารยาของนางหลอกล่อเข้าให้เสียกระมัง
“ดาหลา...มานี่สิ”
เมื่อห้องโถงกว้างเหลือเพียงสอง รามสูรก็ปล่อยมือออกจากอีกฝ่ายก่อนจะเดินนำกลับไปนั่งคอยอยู่บนตั่งพร้อมกับเอนกายลงพิงเข้ากับหมอนอิงอย่างเกียจคร้าน โดยที่สายตาคมกล้ายังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างของดาหลาอยู่อย่างไม่วางตา
เมื่อเห็นว่านางมีท่าทียืดเยื้อน่ารำคาญทันใดนั้นจอกเหล้าทองใบเล็กก็ถูกปาเฉียดเข้ากับปลายเท้าขาวจนเจ้าตัวสะดุ้งตัวสั่นกับการข่มขู่ของอสุราหนุ่ม
ดาหลาค่อยๆ กระเถิบเข้าไปใกล้ทีละนิด แต่กระนั้นก็ยังเว้นระยะห่างไว้อยู่มากพอควร ซึ่งท่าทางไว้เนื้อไว้ตัวของนางนั้นสร้างความรำคาญให้แก่รามสูรอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
เป็นเพียงนางกำนัลชั้นต่ำ ไฉนเลยยังกล้าเล่นตัวราวกับตนนั้นเป็นนางฟ้านางสวรรค์
สายตาโลมเลียฉายแววดูแคลนอยู่เพียงครู่ก่อนจะเอื้อมมือออกไปคว้าร่างของนางกำนัลคนงามเข้ามากักขังไว้อยู่ในอ้อมแขน ร่างบอบบางปลิดปลิวเข้าสู่อ้อมอกแข็งแกร่ง เนื้อตัวนั้นก็ต่างเกยอยู่บนหน้าตักของผู้เป็นนายอย่างหมิ่นเหม่ ท่อนแขนกำยำโอบรอบเอวเล็กพร้อมกับออกแรงรัดให้เนื้อตัวของอีกฝ่ายแนบชิดกันเสียยิ่งกว่าเก่า
“อ...องค์ยุพราช ทรงปล่อยบ่าวเถิดเพคะ”
เสียงอ่อนหวานสั่นเครือเว้าวอนได้อย่างน่าสงสาร หวังเพียงให้อสุราหนุ่มนั้นปล่อยตนออกจากอ้อมแขน แต่อีกฝ่ายกลับยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้เสียยิ่งกว่าเดิม
ริมฝีปากร้อนผ่าวซุกไซร้ลงข้างซอกคอขาวอย่างถือวิสาสะพร้อมกับสูดดมกลิ่นผิวเนื้ออ่อนอย่างอยากกระหาย กลิ่นน้ำปรุงตามผิวกายนวลลออหอมรัญจวนใจยิ่งกระตุ้นเร้าอารมณ์ดิบของอสุราหนุ่มให้โหมกระพือมากยิ่งขึ้น
ดาหลาตื่นตกใจจนเนื้อตัวแข็งทื่อ ลำพังแรงของสตรีมีหรือจะสู้พละกำลังบุรุษวัยฉกรรจ์ได้
นางพยายามดันร่างสูงใหญ่ตรงหน้าให้ออกห่างพร้อมกับออกแรงดิ้นอย่างขัดขืน แต่ทว่ากลับเสียเปล่า ซ้ำร้ายยังเปิดโอกาสให้ฝ่ามือหยาบกร้านลูบไล้ไปตามสะโพกอิ่มอย่างหยาบโลน
ลมหายใจร้อนระอุที่รินรดอยู่บริเวณลำคอเรียวระหงเรียกก้อนสะอื้นให้ตีรวนขึ้นมาอย่างเสียขวัญ นัยน์เนตรงามเจือไปด้วยหยาดน้ำใสเอ่อคลอ หากแต่เจ้าตัวยังคงฝืนรั้งไว้มิให้พวกมันไหลรินลงมาอย่างสุดความสามารถ
ฟันขาวขบกัดกลีบปากสีระเรื่ออย่างสะกดกลั้นส่งผลให้หยาดโลหิตผุดซึมออกมาตามรอยปริแตก รามสูรผละออกมามองนางอย่างไม่พอใจเท่าใดนัก อุ้งมือแข็งบีบเข้ากับสันกรามเป็นเชิงห้ามการกระทำอันแสนโง่เขลา แรงมหาศาลบีบเคล้นลงไปจนแก้มอิ่มขึ้นเป็นรอยนิ้วมือ
“รังเกียจข้าขนาดนั้นเชียวรึ” น้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงความเย้ยหยันเอ่ยกระซิบข้างใบหู พร้อมกับโน้มตัวเข้าไปใกล้เสียจนแผ่นอกกำยำแนบชิดไปกับเนินเนื้อขาวผ่อง
นัยน์ตาคมกล้ากวาดมองเรือนร่างของนางกำนัลจอมพยศอีกหน ก่อนจะยกยิ้มขึ้นอย่างพออกพอใจ
ครั้นเมื่อจำความได้หาได้มีอิสตรีหน้าไหนกล้าปฏิเสธความต้องการของเขาไม่
ด้วยรูปโฉมและอำนาจในมือไม่ว่าจะเป็นเหล่าพระธิดาผู้สูงศักดิ์หรือแม้นแต่นางกำนัลชั้นต่ำ เพียงแค่ปรายตามองกระผีกเดียวพวกนางก็แทบจะตบตีแย่งชิงกันเพื่อถวายการรับใช้ในห้องบรรทม
..หาผู้ใดที่คิดมองเมินนั้น ไม่มี..
แล้วเหตุไฉนนางผู้นี้ถึงมีท่าทีกล้ำกลืนฝืนทนนักเมื่อถูกเขาโอบกอดอย่างเชยชม
“บ่าวมิบังอาจเพคะ” ดวงหน้างดงามหลุบต่ำลงเมื่อไม่สามารถที่จะทัดทานผู้เป็นนายได้
แม้นในอุราอยากที่จะขัดขืนสักเพียงใด แต่ท้ายที่สุดก็ต้องยอมศิโรราบให้แก่อีกฝ่ายโดยดุษฎี
เป็นเพียงบ่าวไพร่ไร้ศักดินา หากผู้เป็นนายหมายมาดสิ่งใดมีหรือที่นางจะกล้าปฏิเสธ
“ดี” ปลายนิ้วไล้วนปาดหยาดน้ำอุ่นที่ไหลรินลงมาตามแก้มเนียนให้อย่างแผ่วเบา “ไม่ต้องกลัว...ข้าจะช่วยเอ็นดูเจ้าให้มาก”
รามสูรอารมณ์ดีขึ้นเมื่ออีกฝ่ายว่าง่ายเลิกคิดที่จะต่อต้านให้รู้สึกระคายใจ ฝ่ามือข้างหนึ่งลดลงไปโอบรอบเอวบางอย่างทะนุถนอมส่วนอีกข้างก็เชยคางมนให้เงยขึ้นก่อนจะก้มลงคลอเคลียอยู่ข้างแก้มนวล
ริมฝีปากอุ่นละเลียดไปตามผิวเนื้อหอมกรุ่นอย่างเพลิดเพลินพร้อมกับรวบกลุ่มผมนุ่มสลวยออกไปพาดไว้บนลาดไหล่ข้างหนึ่ง เผยให้เห็นผิวเนื้อขาวผ่องอวดสายตาอย่างเย้ายวนชวนให้หลงใหล
อสุราหนุ่มค่อยๆ บรรจงประทับจูบตั้งแต่พวงแก้มอิ่มเรื่อยลงมาถึงลำคอเพรียวระหง ริมฝีปากร้อนทิ้งรอยแดงเจือจางไว้ทุกที่ที่ไล้ลากผ่าน ลาดไหล่กลมกลึงไหวระริกเมื่อถูกฝ่ามือหยาบกร้านนวดคลึงวนอย่างเอาอกเอาใจ
เขาเคลิบเคลิ้มไปกับการลิ้มรสเยาวภายิ่งนัก ความหอมหวานของผิวเนื้อนวลนั้นเลิศรสเสียยิ่งกว่าสุราชั้นดีเป็นไหนๆ
ดาหลาหลับตาลงกลั้นก้อนสะอื้นกลับลงคออย่างขมขื่นในวาสนา เพียงปล่อยให้บุรุษหนุ่มเชยชมร่างตนอย่างอับจนปัญญา นั่งนิ่งราวกับรูปปั้นที่มีเพียงกายอุ่นหากแต่ไร้ซึ่งวิญญาณและจิตใจ
ทันใดนั้นใบหน้าของบุคคลที่อยู่ในดวงใจเสมอมาก็กระจ่างชัดขึ้นมาท่ามกลางความมืดมนน่าอดสู
..เขาผู้นั้น…ที่นางรักและเทิดทูนสุดหัวใจ
..จอมทัพใหญ่แห่งนครคีรี
…ท่านวศิน...
เมื่อนึกถึงอสุราหนุ่มที่ตนนั้นแอบเฝ้ารักมาเนิ่นนานกระบอกตาก็ยิ่งร้อนผ่าวขึ้นด้วยนึกสมเพชตนที่มิอาจฝืนโชคชะตานี้ได้
แต่แล้วสัมผัสเปียกชื้นที่คลอเคลียอยู่บริเวณเหนือเนินอกก็เรียกสติของนางให้กลับคืน ภาพที่เห็นคือองค์ยุพราชกำลังละเลียดปลายลิ้นลงไปตามเนินเนื้ออวบอิ่มของตนอย่างตะกละตะกลาม พลันใบหน้านวลก็เห่อร้อนขึ้นมาด้วยความกระดากอายและความตื่นกลัวอย่างสุดแสน
ดาหลาเริ่มออกแรงต่อต้านอีกครั้งเมื่อฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งพยายามที่จะปลดผ้าคาดอกของนางออก ยิ่งบริเวณสะโพกที่กดทับอยู่กึ่งกลางกายใหญ่สัมผัสได้ถึงไอร้อนระอุของบุรุษวัยฉกรรจ์ด้วยแล้วนางก็ยิ่งดีดดิ้นหนีเป็นพัลวัน
ทั้งหัวใจร่ำร้องต่อต้านขึ้นมาอย่างสุดแสนจะทรมาน
..ไม่…
สัมผัสหยาบโลนจากอีกฝ่ายนั้นไม่ลดละลงแม้แต่น้อย กลับยิ่งออกแรงบีบบังคับอีกครั้งเมื่อเห็นว่านางเริ่มขัดขืน
“หยุดดีดดิ้นเสีย!” เสียงทุ้มตวาดอย่างหัวเสียอยู่ไม่น้อย
คราแรกนั้นก็ว่าง่ายอยู่หรอก แต่เหตุใดนางถึงกลับพยศขึ้นมาอีกครั้งได้
ครานี้รามสูรไม่คิดออมแรง ฝ่ามือใหญ่กระชากผ้าคาดอกของนางออกจนขาดวิ่นไม่มีชิ้นดีเศษผ้ากระจุยกระจายออกไปคนละทิศ
เมื่อไร้ซึ่งอาภรณ์ปิดบังเนินเนื้อขาวผ่อง ก็เผยโฉมออกมาให้ได้ยล นัยน์ตาคมกล้าทอแสงเข้มขึ้นเมื่อจับจ้องไปยังทรวงอกอิ่มเต่งตึงพร้อมกับหมายมั่นที่จะเข้าไปตระกองกอดให้สาสมใจ
ปึง**! **
แต่ทันใดนั้นเองประตูหน้าตำหนักก็ถูกเปิดออกอย่างแรงด้วยฝีมือของทหารเอกคู่กาย
วาริทย่างก้าวเข้ามาในห้องโถงหมายที่จะรีบมากราบทูลความแก่เจ้านายโดยไม่ทันได้สังเกตว่านายของตนนั้นกำลังพะเน้าพะนอคลอเคลียกับนางกำนัลรูปงามอยู่
ครั้นเมื่อรู้สึกตนอสุราหนุ่มก็รีบเสหน้าหลบออกไปอีกทางทันที เมื่อเห็นว่าร่างอรชรที่นั่งหมิ่นเหม่อยู่บนหน้าตักของเจ้านายตนนั้นไร้อาภรณ์ปกปิดกายช่วงบน
หากแต่ช้ากว่าใครอีกคนที่กระชับอ้อมแขนกอดนางเอาไว้แนบอก พร้อมกับเบี่ยงหลบให้ช่วงตัวสูงใหญ่บดบังร่างของนางจนมิด
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ” อสุราหนุ่มค้อมตัวลงอย่างพินอบพิเทาเมื่อได้รับสายตาตำหนิจากผู้เป็นนาย
นี่หาใช่ครั้งแรกที่วาริทต้องพานพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ไม่
แต่ไหนแต่ไรมาองค์รามสูรนั้นล้วนเป็นที่โจษจันในเรื่องเจ้าชู้ประตูดินอยู่แล้ว เมาสุราเคล้านารีนี่ล่ะ ภาพลักษณ์องค์ยุพราชแห่งกรุงราชคฤห์
แต่สิ่งที่ทำให้เขานั้นนึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเลยก็คือได้เห็นนายของตนนั้นลงแรงช่วยปกป้องร่างเปลือยเปล่าของนางบำเรอทั้งๆ ที่ผ่านมาแม้นแต่ละนางจะเปิดกายอล่างฉ่างต่อหน้าเขาและเหล่าราชองครักษ์เพียงใดองค์ยุพราชก็หาได้สนพระทัยไม่
ด้วยเหตุนี้ทำให้วาริทเริ่มอยากที่จะรู้นักว่านางนั้นเป็นผู้ใด...เหตุใดจึงสามารถปลุกความเป็นสุภาพชนของเจ้านายตนออกมาได้
“มีสิ่งใดก็ว่ามา” น้ำเสียงทุ้มกังวานเอ่ยเสียงขรึมแฝงไปด้วยความไม่พอใจประมาณหนึ่ง เมื่อสังเกตเห็นว่าราชองครักษ์ของตนนั้นมองดาหลาอย่างสนอกสนใจออกนอกหน้า
“กระหม่อมตามตัวเขามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” รามสูรพยักหน้ารับ “เจ้าออกไปก่อน” เมื่อหันไปตรัสสั่ง ร่างผึ่งผายของทหารเอกก็รีบเดินออกไปจากห้องโถงทันทีอย่างรู้งาน
เมื่อไร้ซึ่งบุคคลอื่นรามสูรก็หันกลับมาสนใจนางในอ้อมกอดอีกหนพร้อมกับถอนหายใจหนักเมื่อถูกขัดอารมณ์ปรารถนา ก่อนจะจัดการหยิบผ้าแพรผืนบางมาคลุมลงบนร่างของอีกฝ่ายจนปิดบังนวลเนื้อขาวผ่องไว้จนมิด
ดาหลารีบห่อไหล่เข้าหากันทันทีเมื่อได้รับอาภรณ์คลุมกาย นางกำผ้าเนื้อลื่นไว้มั่นราวกับเกรงว่ามันจะถูกอีกฝ่ายกระชากออกไปอีกครา
“ข้ามีราชกิจที่ต้องสะสางสักหน่อย” ปลายนิ้วร้อนไล้วนข้างแก้มนวลก่อนจะประทับจูบตามลงไป “คืนนี้จงมารับใช้ข้าที่ห้องบรรทม” น้ำเสียงทุ้มนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นข่มขู่ทันควัน “อย่าได้คิดลองดี เข้าใจรึไม่” พร้อมออกแรงบีบสองข้างแก้มนวลจนนางต้องนิ่วหน้าก่อนจะพยักรับอย่างมิอาจที่จะปฏิเสธ
“เพคะ”
“ดี...ไปได้แล้ว”
เมื่อร่างเป็นอิสระดาหลาก็รีบผละตัวออกห่างจากอีกฝ่ายทันทีโดยไม่ลืมที่จะน้อมกายถวายความเคารพตามธรรมเนียมปฏิบัติ
ด้านหน้าประตูมีนายทหารสองตนยืนรักษาการอยู่ ถัดออกไปเป็นอสุราหนุ่มอีกตนที่เข้าไปทูลถวายความแก่องค์ยุพราชเมื่อครู่นี้
แต่แล้วสายตานางก็สะดุดเข้ากับร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ถัดไป และดูท่าแล้วฝ่ายนั้นก็ดูแปลกใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
แต่ด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ที่ต่าง จึงทำได้เพียงแค่ก้มหน้าอย่างเจียมตนแล้วเดินผ่านไปราวกับคนไม่รู้จักกัน
...เขาคือสามีของบุหลัน พี่สาวของนาง
กรรณมองตามหลังน้องภรรยาตนไปจนสุดสายตา ก่อนจะหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงของวาริทเรียกให้เข้าไปภายในตำหนัก
เมื่อไม่กี่ยามที่ผ่านมาระหว่างที่กำลังนั่งเคล้าสุราอยู่กับกลุ่มเกลอเก่า คนขององค์ยุพราชในเครื่องแบบทหารนครคีรีก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับแยกตัวเขาออกมาโดยทำทีแสร้งว่าองค์จ้าวเหนือหัวต้องการเรียกพบ ทันใดนั้นราวกระดูกสันหลังก็ชาวาบทันทีเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อน
..เจ้าพวกเลวชาติพวกนี้...มันยังต้องการสิ่งใดจากเขาอีก…
ครั้นเมื่อบานประตูไม้เนื้อดีถูกปิดลงภายในห้องโถงก็ตกอยู่ในความเงียบงัน
บนตั่งไม้สักทองบุคคลที่กรรณสุดแสนจะชิงชังนอนเอกเขนกทอดกายอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนราวกับกำลังชมสวนพฤกษาอยู่ก็มิปาน
พลันนัยน์ตาของอสุราหนุ่มก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานเมื่อจับจ้องไปยังศัตรูคู่แค้น เขี้ยวคมงอกเงยขึ้นมาเพื่อแสดงถึงเพลิงโทสะที่เริ่มก่อตัว ทั่วสรรพางค์กายสั่นเทิ้มไปด้วยความโกรธเมื่อเห็นอีกฝ่ายแสยะยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน
กรรณไม่แม้นแต่ที่จะประพฤติตนตามธรรมเนียมปฏิบัติต่อผู้ที่สูงศักดิ์กว่า ร่างสูงใหญ่ยืนตระหง่านจ้องหน้าองค์ยุพราชอย่างไม่ลดละ ยามเมื่อฤทธิ์ของน้ำเมามันไหลเวียนอยู่ในกระแสโลหิตเช่นนี้ ความอาจหาญมันยิ่งเพิ่มขึ้นอีกเท่าทบทวีคูณ
“เหตุใดจึงยังไม่รีบคุกเข่าลงอีก!” วาริทหันมาตวาดเสียงเข้ม เมื่อเห็นอีกฝ่ายแสดงกิริยาไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
อสุราหนุ่มเตะตัดข้อพับขาของอีกฝ่ายจนเข่าทรุดลงกระแทกกับพื้นไม้เสียงดั่งสนั่นพร้อมกับจับแขนทั้งสองข้างไพล่กดลงกลางหลังจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น
แต่เท่านี้ยังไม่สาสมกับที่อีกฝ่ายทำตัวไร้มารยาทกับนายเหนือหัวของตน มือข้างหนึ่งได้กดลำคอของอีกฝ่ายจนศีรษะหมอบต่ำลงไปกับพื้น
กรรณคำรามต่ำในลำคออย่างเคียดแค้นเหลือคณา กระบอกตาทั้งสองข้างร้อนผะผ่าวด้วยความอดสูเมื่อต้องมาหมอบกราบฝ่ายศัตรู
ในระดับสายตาปรากฏฝ่าเท้าเปล่าเปลือยเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงหน้า รามสูรเหยียดยิ้มมุมปากก่อนจะใช้บาทข้างหนึ่งช้อนเชยเข้าที่ใต้คางของนายทหารหนุ่ม
“เหตุใดอ้ายกรรณจึงแสดงท่าทีดุร้ายใส่พวกเดียวกันเช่นนี้เล่า” น้ำเสียงเย้ยหยันว่าเยาะถากถางเมื่อเห็นนัยน์ตาแดงก่ำและเขี้ยวงองุ้มของอีกฝ่าย
“สารเลว! ข้าหาใช่พวกเดียวกับเจ้าไม่-!”
อสุราหนุ่มตวาดลั่นอย่างเหลืออดกับคำพูดของอีกฝ่าย ลืมแม้นกระทั่งยศศักดิ์ไปเสียสิ้น
แต่ไม่ทันไรกลับต้องหน้าหันเมื่อโดนหลังฝ่ามือตวัดตบเข้าตรงกกหูจนซีกหน้าชาไปทั้งแถบ รสชาติเค็มปร่าของโลหิตไหลซึมออกมาข้างมุมปากเมื่อโดนแหวนนิลที่อีกฝ่ายสวมใส่กระแทกเข้าอย่างจัง
“หัดระวังปากเสียบ้าง” องค์ยุพราชว่าเสียงเย็น พร้อมกับเช็ดมือที่โดนหยาดเลือดกระเซ็นใส่เข้ากับชายผ้านุ่ง “ลืมสถานะตนแล้วหรือ”
กรรณเสหน้าหลบไปอีกทางเมื่อต้องยอมจำนนให้กับอีกฝ่าย หากแต่ประโยคต่อมานั้นทำให้เขาต้องเบิกตากว้างขึ้น พลันในอกก็สะท้อนวาบ
“มารุต มินตรา..” อีกฝ่ายแสร้งว่าเสียงขบขัน “ตั้งชื่อบุตรได้ไพเราะดีนี่”
ชื่อของแก้วตาดวงใจทั้งสองสามารถสลายไฟโทสะที่ก่อตัวขึ้นได้ราวกับลมพายุพัดเป่าเศษเถ้าผงธุลี
..เสมือนคำขู่ที่ผ่าฟาดลงมาที่กลางอก...
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ” อสุราหนุ่มกดศีรษะลงต่ำอย่างนอบน้อม แต่ในใจนั้นกลับกลัดหนองยิ่งนัก
..สิ้นแล้วซึ่งศักดิ์ศรี..
หากแต่หน้าของลูกเมียที่รอคอยอยู่เรือนนั้นกลับเด่นชัดขึ้นมาในอก แม้นตนจะแหลกเป็นผงธุลีก็คงต้องยอม
“เอาเถอะ” รามสูรโบกปัดอย่างไม่ใคร่ใส่ใจเท่าใดนัก “พวกยักษ์ป่าก็สันดานต่ำเช่นนี้ทุกชาติพันธุ์” กล่าวทิ้งท้ายไว้ให้คนฟังได้เจ็บใจ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งเท้าแขนชันเข่าอยู่บนตั่งตัวเดิม
“ที่ข้าให้วาริทไปตามตัวเจ้ามานั้นก็เพียงแค่อยากจะย้ำเตือนข้อตกลงระหว่างเรา” น้ำเสียงเกียจคร้านเอ่ยขึ้นพร้อมด้วยยกจอกสุราชั้นดีขึ้นมาละเลียดดื่มด่ำอย่างไม่รีบร้อน “หวังว่าเจ้าจะยังไม่ลืม” พร้อมกับปรายตามองไปที่ผู้ต่ำศักดิ์อย่างต้องการที่จะย้ำเตือน
“กระหม่อมทราบดี” กรรณกดเค้นเสียงสั่นเครือไว้ “ทราบดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” คิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อแรงกดที่หลังของวาริทเริ่มทำให้แขนของเขาชา
รามสูรโบกมือสั่งให้ทหารเอกปลดปล่อยร่างอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ “หากมีผู้ใดล่วงรู้แม้นเพียงเสี้ยวกระผีก” เสียงทุ้มต่ำลดระดับลงหากแต่แฝงไปด้วยแววข่มขู่เพื่อให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่าเขาเอาจริง “รู้ใช่ไหมว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับเมียและลูกของเจ้า”
“พ่ะย่ะค่ะ…” กรรณตอบรับอย่างกล้ำกลืนเต็มที
“ดี” องค์ยุพราชกล่าวชม “หลังจากนี้ข้ามีกิจเล็กน้อยที่อยากจะให้เจ้าช่วยไปสะสางให้สักหน่อย จะได้หรือไม่”
รามสูรเดินถือจอกสุราเข้าไปหาร่างที่หมอบต่ำอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก่อนจะส่งยื่นให้อีกฝ่ายได้ดื่มอย่างไม่ถือตน เมื่อทหารหนุ่มรับไปถือไว้ในมือ รามสูรจึงเริ่มกล่าวถึง'ราชกิจที่ว่า'ออกมา
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านกรรณทำได้เพียงแค่ก้มหน้าลงต่ำหลับตาฟังคำสั่งของอีกฝ่ายอย่างกล้ำกลืน
ในเพลานี้…เขานั้นนึกละอายใจจนแม้นแต่แผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอนก็ยังไม่กล้าที่จะมอง
หาใช่อยากเป็นคนคิดคดทรยศต่อผู้มีพระคุณทั้งสองไม่ หากแต่ข้อต่อรองของเหล่าศัตรูนั้นทำให้เขาต้องยอมรับในโชคชะตาของตนโดยดุษฎี
..ร่วมเป็นพยานให้ร้ายแม่ทัพใหญ่ทั้งสอง
ช่วยปิดบังซ่อนเร้นหลักฐานการตายของเหล่าแม่ทัพนายหน้าตนอื่น
สร้างหลักฐานเท็จเกี่ยวกับกลมคลังของเมืองหน้าด่าน
..เพื่อแลกกับความปลอดภัยของลูกและเมีย ที่เขารักปานแก้วตาดวงใจ…
___________
ตอนนี้สั้นนิดนึงนะคะ พอดีพันไมล์ตัดอีกครึ่งหนึ่งไปไว้ตอนหน้า
ครึ่งหลังจะอัพพรุ่งนี้เน้อ ขอขอตรวจคำผิดก่อนน้า