เดือนที่ 13
แมสแมส ⚙
--------------------[100%]--------------------
⚙ เมืองเอก พาร์ท ⚙
“ทำไมทำหน้าบูดขนาดนั้นวะ?”
ผมเงยหน้าจากโทรศัพท์มองตามเสียงที่ดังรบกวนหู ตอนแรกก็งงนะว่ามันพูดถึงใคร แต่พอเห็นหน้าไอ้แรปแล้วถึงได้รู้ว่ามันพูดถึงผมเนี่ยล่ะ
“หมายถึงกูเหรอวะ?”
“เออดิ”
ถามซ้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ แต่ความจริงผมค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำหน้าบูดเป็นตูดหมาอย่างที่มันว่า แต่ไอ้แรปมันยังยืนยันว่าอย่างนั้น ผมเลยขมวดคิ้วเถียงมันต่อ
“กูไม่ได้ทำหน้าบูด”
“มึงทำหน้าเหมือนอยากต่อยคน”
ประโยคนี้แรปมันไม่ได้พูด แต่เป็นเบศเพื่อนผมอีกคนที่นั่งก้มหน้าก้มตาจดเนื้อหาที่อาจารย์กำลังบรรยาย ไม่รู้ว่ามันหันมามองผมตอนไหนถึงได้รู้ว่าผมทำหน้าอย่างที่มันว่า
แรปมันเดาะลิ้นดีดนิ้ว แล้วพูดว่า “ถูกต้อง” ใส่ไอ้เบศ เห็นดีเห็นงามกันไปทั้งคู่ ผมถึงได้ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วส่ายหัวให้พวกมันทั้งสองตัว
“อยากต่อยพวกมึงเนี่ยแหละ”
“หูยยย น่ากลัววววอ๊าาา”
ดูมัน ดูมันทำ ไอ้แรปมันทำหน้ายียวนกวนต้นตีนอยู่ ห้องบรรยายไล่เป็นสโลปครับ แล้วมันก็นั่งอยู่ข้างล่างผมหนึ่งแถวเล่นเอาผมอยากจะยื่นขายาวๆ ของตัวเองไปสะกิดมันซะเหลือเกิน องศามันได้
“เหี้ยเมืองเอก!”
อ้าว ขาไวกว่าความคิด ผมยกยิ้ม หัวเราะหึใส่มัน
แต่ก่อนที่ไอ้แรปมันจะโวยวายหนักกว่าเดิม เบศมันเงยหน้าละจากสมุดจดขึ้นมามองผมสองคน
“ถ้าพวกมึงยังไม่หยุดตีกันกูจะเรียก TA มาเก็บพวกมึง”
ไอ้แรปกะพริบตามอง ส่วนผมนี่แอบดีใจแล้ว ในที่สุดคุณพ่อก็ดุ ทำให้มันก็หมดโอกาสเอาคืนผมอย่างแน่นอน
“ตั้งใจเรียนหน่อยเหอะเพื่อน หรือถ้าไม่ได้ กูขอ... อยู่เงียบๆ อีก 20 นาทีก็หมดคาบแล้ว ทนๆ เอาหน่อย”
แรปมันยอมหันกลับไปบ่นงุ้งงิ้งๆ กับเพื่อนที่นั่งข้างๆ มัน เป็นอันว่าจบสงคราม ผมที่ไม่คิดจะตั้งใจตามที่ไอ้เบศมันบอกก็เลยคว้าโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะมานั่งเล่นแทน แล้วก็อดไม่ได้ที่จะ... อืม เข้าเพจ
SuperMoon paparazzi เป็นรอบที่ 5 ของวันได้แล้วมั้ง
ก็ว่าจะเข้ามาดูแบบผ่านๆ เฉยๆ ถ้าไม่ติดที่รูปที่โพสล่าสุดเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาไม่มาดึงความสนใจ..
รูปเดือนมหา’ลัย นั่งหันข้างให้กล้องใบหน้าขาวๆ กว่าครึ่งถูกปิดไว้ด้วยแมสสีดำ เพราะรูปนี้มันไม่ใช่รูปแอบถ่าย องค์ประกอบ สี มีเบลอหลังอีก ทุกอย่างๆ มันเลยดูดีไปหมด ผมมองอยู่นานก่อนจะเลื่อนกลับไปอ่านแคปชั่น
‘สายรายงานมาว่าน้องเดือนสิบเป็นหวัด’ผมเลิกคิ้ว ก็พอจะรู้เหตุผลว่าทำไมมันใส่แมส แต่ก็เริ่มสงสัยแล้วเหมือนกัน ว่าตกลงมันเป็นหวัดจริงๆ หรือเปล่าวะ? เมื่อวานก็ยังเห็นดีๆ อยู่...
“ดูอะไรอยู่เหรอวะ?”
ประโยคคำถามจากคนที่ผมคิดว่ามันจะเรียนเอาโล่ไปฝากพ่อ เออ ไอ้เบศนั่นแหละครับ ผมหันไปหาก็เห็นว่ามันกำลังสนใจโทรศัพท์ผมอยู่ ก็ไม่อะไรตอบกลับไปสั้นๆ
“เช็คเฟซ”
“เพจนี้อีกแล้วเหรอ?”
“เออ”
ตอบแบบปัดๆ ไป คงเป็นเพราะมันเห็นว่าปกติผมไม่เข้ามาดูล่ะมั้งครับ พอวันนี้มาดูถี่ๆ ก็เลยแปลกใจ แต่ก็ดีแล้วที่นอกจากอัพภาพ ข่าวเรื่องที่เดือนสิบมันโดนเมื่อวานก็ไม่มีเลย ซึ่งผมก็ขอให้มันเป็นอย่างนี้ไปได้ตลอด ดีแล้วไม่งั้นมันคงต้องมานั่งเครียดหนักกว่าเดิมอีก
พอสบายใจผมเลยเปลี่ยนไปเล่นเกม ROV แทน จบไปเกมหนึ่งก็พอดีล่ะครับ อาจารย์ปล่อย คนในห้องเริ่มทยอยขยับลุกบ้าง เก็บของบ้าง ปลุกเพื่อนที่ไปเฝ้าพระอินทร์ให้กลับมาบ้าง ผมที่ไม่ได้มีของอะไรให้เก็บก็เลยนั่งรอไอ้เบศเก็บอุปกรณ์การเรียนของมัน
“เออ วันนี้มึงจะไปไหนกันเปล่าวะ?”
เบศมันหยุดคิดยังไม่ทันได้ตอบส่วนไอ้แรปมันก็โดดดึ๋งมาเกาะขอบโต๊ะ
“กูนัดเตะบอลกับพวกพี่เฟิร์สไว้ว่ะมาไหม?”
อ้าว วันนี้ไอ้แรปไม่ไปตี้แฮะ ก็อย่างว่าออกท่องเที่ยวทุกวันมันต้องมีพักทำอย่างอื่นบ้าง
“กี่โมง”
“นัดไว้ห้าโมง แต่เดี๋ยวกูจะไปแดกข้าวก่อน”
“กูขอผ่านแล้วกัน”
ไอ้เบศมันตอบ รายนี้แม่งไม่ค่อยชอบออกแรงเยอะตัวมันถึงได้แห้งขนาดนั้น แรปมันพยักหน้าโบกไม้โบกมือให้เป็นเชิงว่าแล้วแต่มึงเลย ก่อนที่มันจะหันมานั่งจ้องหน้าเท้าคางกับโต๊ะมองผม
“แล้วมึงอะเมืองเอก สนป่ะวะ ถ้ามึงมาพี่เฟิร์สจะต้องปลื้มมากแน่ๆ”
“กูไปแล้วเกี่ยวอะไรวะ”
นั่นเป็นสิ่งที่ผมสงสัย ไอ้แรปมันยิ้มแล้วชี้นิ้วมาที่หน้าผม
“วันนี้เตะกับคณะวิทยา แล้วก็ได้ข่าวว่าเดือนคณะวิทยาจะมาเตะด้วย นอกจากนั้นแล้วถ้ามึงไปก็จะมีเดือนวิศวะเพิ่มมาอีกหนึ่ง สาวๆ ข้างสนามจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่า พี่เฟิร์สมันจะได้มีโอกาสสอยสาวๆ ข้างสนามมาสักคนไง”
อ๋อ
“งั้นกูไม่ไป”
เป็นอันว่าจบเรื่องบอล ผมผ่าน ไอ้เบศผ่าน ไอ้แรปมันก็ไม่ได้ตื๊อจะให้ไปอะไร
“แล้วมึงไม่ไปหารินเหรอ?”
คนที่เพิ่งเก็บกระเป๋าเสร็จหันมาถาม ผมถึงกับชะงักกับคำถามมัน ยังไม่ทันตอบไอ้แรปมันก็แทรกขึ้นมา
“เออ กูลืมไป มีแฟนให้ไปคอยดูแลนี่หว่า”
“วันนี้กูไม่ไป”
“อ้าว?”
ไอ้แรปเหวอ ก็ไม่แปลกเพราะปกติช่วงนี้ผมเลิกเรียนก็ไปหารินที่คณะอักษรตลอด เห็นผมตอบแบบนี้มันเลยงง ส่วนเบศมันเริ่มเดาได้เลยถามผมต่อ
“ทะเลาะกับรินเหรอวะ?”
“ไม่ได้ทะเลาะ”
ตอบพร้อมๆ กับที่มันลุกผมก็เลยลุกตาม แล้วพากันเดินออกจากห้อง แรปมันก็เดินตามเผือกอยู่ข้างหลัง
“ไม่ได้ทะเลาะอะไรล่ะ กูพูดถึงชื่อรินปุ๊บ...ดูมึงทำหน้า”
“อ๋อ ที่แท้เรื่องหน้าบูดของมึงเนี่ยเพราะทะเลาะกับรินเหรอวะ?”
ฝ่ายสนับสนุนที่แทรกหน้าเข้ามาตรงกลางระหว่างผมกับไอ้เบศว่า ผมเลยลองมาคิดๆ ดู ว่าสรุปแล้วตัวเองทำหน้าอย่างที่ไอ้แรปบอกจริงๆ เหรอวะ? ขนาดนั้นเลย? ส่วนเรื่องไอ้ทะเลาะไม่ทะเลาะอะนะ...
“กูอะไม่ได้ทะเลาะ รินต่างหากที่งอนกู ไอ้ขอโทษอะขอโทษไปแล้ว แต่ถ้ายังไม่หายกูก็ไม่ง้อแล้ว เหนื่อย”
ก็อย่างที่ผมว่าอะครับ เรื่องมันเกิดจากเมื่อวาน จำได้ไหมที่ผมทักไปขอโทษเรื่องที่ไม่ได้ไปดูรินซ้อมแล้ว หลังจากนั้นก็มีเรื่องเดือนสิบ ผมแม่งก็ยุ่งๆ เรื่องของมันไง ก็เลยไม่ได้ดูโทรศัพท์ พอจบเรื่องเดือนสิบ... ก็ยอมรับว่าลืมรินไปเลย เข้าห้องได้ก็ไปนั่งเปิดคอมฯเล่นเกม รู้ตัวอีกทีก็นั่นแหละครับ โดนโกรธ โดนงอน ว่าไม่สนใจ ว่าไม่ตอบไลน์ ไม่ตอบไอจี ผมก็ทักไปขอโทษแล้ว ไร้การตอบรับใดๆ ก็เลยรู้ว่ายังงอนอยู่
“เอาน่าเมืองเอก ผู้หญิงก็อย่างนี้แหละ มึงต้องหัดง้อเยอะๆ เอาใจเยอะๆ”
“เออ แต่ถึงมึงไปหาก็ไม่ได้อะไรอยู่แล้วป่ะ ก็รินมีซ้อมลีดฯคณะเลิกดึกตลอดนี่”
....ผมเหล่สายตามองไอ้เพื่อนสองคน คนหนึ่งบอกง้อ คนหนึ่งบอกไปหาก็ไม่ได้อะไร ขอบคุณความขัดแย้งที่ลงตัวแล้วพอดีนี้
“มึงพูดเกินไปปะวะแรป อย่างน้อยไปหาก็ยังมีเวลาอยู่ด้วยกันนะเว่ย ก่อนซ้อมหลีดก็ได้ไปกินข้าว”
“แต่ที่กูพูดมันก็จริงนะ มึงจะให้ไอ้เมืองเอกเอาแต่ไปเฝ้าเมียเหรอวะ ผู้ชายมันก็ต้องมีอิสระกันบ้าง”
ยังไม่ได้เป็นเมียครับเพื่อน มึงอย่าเปลี่ยนสถานะได้ไหมวะ
“กูก็ไม่ได้บอกให้มันไปเฝ้าตลอดเวลานี่ แค่บอกว่าให้ไปหาบ้าง”
“เมืองเอกมันก็ไปหาตลอด แค่วันนี้เปล่าวะที่มันไม่ได้ไป”
“แค่วันนี้แต่มันอยู่ในช่วงที่ผู้หญิงงอนไง ถ้าไม่รีบง้อเดี๋ยวก็เป็นเรื่องใหญ่”
“กูว่ามึงยอมผู้หญิงมากไปแล้วนะเบศ”
“อ้าว แล้วทำไมพูดเหมือนเป็นเรื่องของแฟนกู...”
“กูหมายถึงนิสัยของมึงต่างหาก”
“พวกมึงใจเย็นนะ”
ผมว่าชักไปกันใหญ่ ก่อนที่มันจะเถียงกันเรื่องของผม แล้วลากพากันไปเถียงเรื่องอื่นยาวไปมากกว่านี้ ผมเลยต้องแทรกกลางห้ามทัพ
ก็ไม่ได้ห้ามยากเท่าไหร่หรอกครับ ผมรู้ว่ามันก็เถียงกันไปงั้น ไม่ได้จริงจังขนาดจะเอาไปทะเลาะกันหรอก พอเดินลงมาจากตึกได้ไอ้แรปก็ขอแยกย้ายไปหาข้าวกินก่อนจะไปเตะบอลกับพวกพี่เฟิร์ส ถึงในใจผมจะคิดว่ากินอิ่มๆ แล้วไปเตะไม่จุกเหรอวะ? แต่ก็ปล่อยมันครับ เชื่อว่าไอ้แรปมันมีความสามารถพอ กลับมาที่พวกผมสองคนที่ยืนโง่ๆ นิ่งๆ อยู่หน้าตึก ไอ้เบศมันหันมามองผม
“แล้วตกลงมึงยังไง?”
อันนี้ผมถามมัน เพราะตัวเองก็ยังยืนยันความคิดเดิม วันนี้ผมไม่ไปหาริน เพราะงั้นว่าง...
เบศมันทำท่าครุ่นคิดอยู่แป๊บหนึ่งเเล้วตอบมา
“กู... ไปตัดผมดีกว่า”
..........
จบประโยคนั้นไอ้เบศมันก็ย้ายร่างตัวเองขึ้นมานั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้ผมแทนรินเรียบร้อย มันบ่นว่าผมเริ่มยาวแล้ว ผมก็เลยอาสาพามันไปตัดผมที่ห้างแถวนี้แหละครับ เห็นมันบอกว่ามีร้านประจำมันมาตัดบ่อย แต่พอไปถึง... โอ้โห คนอย่างเยอะ ร้านมันคงดีจริง ไม่งั้นคนไม่นั่งรอกันเยอะขนาดนี้หรอก
“เมืองเอก กูว่าอีกนานว่ะ มึงไปหาข้าวกินก่อนป่ะ”
จริงๆ ก็เห็นด้วยกับมันนะ
“แล้วคิวมึงเอาไง”
จองคิวไว้แล้วด้วย เกิดตอนนั่งกินๆ อยู่ถึงคิว เรียกไม่มาก็จบ
“รีบกินรีบมาไง แต่กูก็ว่าอีกนานอยู่ดีอะ เหลือเฟือ”
ถ้ามันว่างั้นก็ตามนั้นแหละครับ ผมกับไอ้เบศเลยย้ายจากร้านตัดผม เดินเข้ามาในร้านอาหารญี่ปุ่นแทน ก็... ไม่รู้จะกินอะไร ร้านอาหารญี่ปุ่นมันเยอะ หาง่ายดี ก็เลยเข้ามา...
“นั่งไหน?”
“กูชอบนั่งริมกระจกว่ะ”
“ตามใจมึง”
ผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว เพราะงั้นเลยเดินตามไอ้เบศไปนั่งโต๊ะริมกระจกพอสั่งเสร็จอะไรเสร็จระหว่างที่รออาหารมาไอ้เบศมันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น ส่วนผมก็จะทำงั้นนะแต่บังเอิญ... บังเอิญมากที่พอมองผ่านกระจกออกไปดูวิวนอกร้านแล้วเห็น...
ร้านขายชาไข่มุก คนเยอะเหี้ยๆ ถึงแม้แก้วหนึ่งจะราคาไม่ต่ำกว่าร้อย แต่คนก็ยังเยอะ.. ผมโคตรโชคดีที่ไม่ได้ตกเป็นทาสของไอ้เครื่องดื่มนี่...
อ... เดี๋ยวนั่นมัน
“เบศ...”
“หือ?”
“เดี๋ยวกูมา”
พอบอกเสร็จผมก็ลุกเดินออกจากร้านมา ตามองไปยังร้านชาไข่มุกร้านเดิมกับที่มองเห็นจากในร้าน แล้วผมก็เห็นคนตัวสูงคนหนึ่งยืนรอออร์เดอร์อยู่แถวๆ เคาน์เตอร์ แมสสีดำยังปิดบังใบหน้า แต่ท่าทาง รูปร่างและดวงตาคู่นั้น ทำให้ผมแน่ใจว่าเป็นคนที่ผมคิดแน่ๆ
ผมไม่ได้เดินไปหาคนๆ นั้นในทันที ถึงได้เห็นอะไรตลกๆ แก้วชาเขียวในมือถูกยกขึ้น เจ้าของมันคงตั้งใจจะดูดน้ำ แต่คงลืมไปว่าตัวเองใส่แมสอยู่ แทนที่จะดูดได้มันเลยติดแมสแทนไง พอเจ้าตัวเหมือนรู้ตัวก็มีสะดุ้งนิดๆ เอียงคอมองแก้วน้ำในมือแล้วส่ายหน้ากับตัวเอง
ผมถึงอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างหลัง เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าของแผ่นหลังนั่นหมุนตัวกลับมาพอดี
“เด๋อ”ดวงตาคู่นั้นที่มองผมกลับทำให้ผมมั่นใจว่าทักไม่ผิดคนแน่นอนอยู่แล้ว ผมยิ้ม ยกมือขึ้นไปจับสายคล้องแมสที่เกี่ยวอยู่ที่หูแล้วค่อยๆ ปลดมันออก
ให้ผมได้เห็นหน้าของคนตรงหน้าชัดๆ หน่อย
เดือนสิบ
ไม่ผิดคน ที่ข้างแก้มยังมีรอยช้ำให้ขัดใจอยู่บ้าง แต่เรื่องหวัดคงไม่ต้องเป็นห่วง สั่งชาเขียวน้ำแข็งเต็มแก้วขนาดนี้มันคงไม่ได้เป็นจริงๆ
ผมที่ยังไม่เก็บรอยยิ้มและยังคงจ้องตากับคนตรงหน้า
“เอ้า ดูดได้แล้ว”
..........
“เดี๋ยวเดือนสิบ”
ผมคว้าแขนคนที่ทำท่าจะเดินหนีออกไปไว้ก่อน ไอ้คนที่ทิ้งคำพูดแทงใจดำให้ผมเจ็บจี๊ดหันกลับมาเอียงคอมอง เออ... เมื่อกี้พูดไว้ได้เจ็บดี เดี๋ยวนี้หัดพูดต่อปากต่อคำ
แต่... ความจริงก็คือความจริง ทั้งความจริงที่ว่ามันเป็นเดือนมหา’ลัย และความจริงที่ว่าผมหล่อกว่า เหอะ
“มีอะไร?”
เอออ เพราะผมไม่ยอมพูดสักทีมันถึงได้เป็นฝ่ายถามก่อน ผมยักคิ้วข้างซ้ายส่งไปให้
“ไปกินข้าวกัน”
“...”
มันยังไม่ทันได้ตอบ ผมลดมือจากที่จับต้นแขนมันไว้เลื่อนลงไปจับที่ข้อมือแล้วลากพาเดินไป เดือนสิบไม่ได้ฝืน แล้วมันก็ไม่ได้พูดอะไรด้วย แป๊บเดียวก็เดินเข้าร้านที่มีพนักงานยิ้มแฉ่งต้อนรับอย่างดี ไอ้เบศที่เห็นผมเดินเข้ามาในร้าน ทำหน้าเหวอ ไม่ใช่เพราะอะไร ก็คงเป็นเพราะไอ้คนที่ผมลากติดมาด้วย
“เมืองเอก” เบศมันเรียกผม สลับกับมองไปที่เดือนสิบ
ผมเดินเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามไอ้เบศ แล้วบอกคนที่ยืนอยู่ให้นั่งลงข้างๆ
“นั่ง”
เดือนสิบยอมนั่งลงข้างๆ ผมแต่โดยดี เพราะเมื่อสองสามวันมานี้ผ่านอะไรด้วยกันมามากมายหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่รู้สึกว่าเดือนสิบมันเชื่องกับผมขึ้นมาก
พอนั่งกันเรียบร้อยผมถึงได้เริ่มแนะนำ
“เดือนสิบนี่เพื่อนกูชื่อเบศ เออ วันนั้นมึงก็เจอมันแล้ว จำได้เปล่าวะ?”
เดือนสิบมันพยักหน้ารับนิ่งๆ
“หวัดดีเดือนสิบ”
คนที่นั่งตรงข้ามคนเดียวยิ้มแหยๆ แล้วทักทาย เบศมันดูเกร็งๆ แต่ก็คงใช่แหละ คนมันเคยมีประเด็น แม้เรื่องมันจะผ่านมาเกือบเดือนแล้ว
เดือนสิบละสายตาออกจากเบศ หันหน้ากลับมามองผม ก็เล่นจ้องตากันสักพักหนึ่งกว่าผมจะรู้ตัว ผมส่งแมสที่ยังถือไว้อยู่ในมืออีกข้างคืนให้มัน เดือนสิบรับไว้ ตอนแรกก็ทำท่าเหมือนจะใส่ แต่ผมห้ามไว้ก่อน
“ไม่ต้องใส่แล้วก็ได้ เบศเพื่อนกูเอง มันไม่อะไรหรอก”
ผมรู้ว่าเดือนสิบมันใส่ไว้ปิดรอย ไม่ได้เป็นหวัด และมันก็คงไม่อยากให้ใครที่เห็นรอยบนหน้ามันแล้วเอาไปพูด ผมเลยพูดให้เดือนสิบสบายใจ อีกอย่างคือไอ้เบศไม่ใช่คนปากโป้งอยู่แล้ว (ถ้าไอ้แรปก็ว่าไปอย่าง...)
“สั่งอะไรไหม?”
ผมถามคนที่นั่งข้างๆ เดือนสิบส่ายหัวลูกเดียว ผมเลยมองหน้าต่อ อยากให้มันพูดอะไรอีกสักหน่อย แบบที่ไม่ต้องใช้แต่ภาษากายน่ะ
คนถูกมองรู้ตัว
“พอดีกินมาแล้ว”
เป็นอันว่าสำเร็จ
“เอ้า แล้วก็ไม่บอก”
ดันปล่อยให้ผมลากมา
คราวนี้เบศกลายเป็นฝ่ายนั่งเงียบมองพวกผมสองคนด้วยแววตาประหลาดโคตรๆ เหมือนว่ามันจะสงสัย
ถึงไอ้เบศจะพอรู้เรื่องของผมกับเดือนสิบมาบ้างว่าผมไม่อะไรกับเดือนสิบแล้ว แต่ก็ไม่ได้รู้อะไรละเอียดๆ ไปซะทุกเรื่องหรอกครับ อย่างเรื่องที่เดือนสิบเจอ ผมก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง...
เพราะงั้นก็ไม่แปลกที่จะสงสัยขนาดนี้
“ไปพาเดือนสิบมาจากไหนเนี่ย”
“เห็นยืนซื้อน้ำอยู่ที่ร้านชาไข่มุกตรงนั้น” ผมชี้ไปร้านชาไข่มุกที่นอกกระจกให้ไอ้เบศดู มันมองตามแล้วเกาหัว
“ขอโทษเดือนสิบด้วยนะ ไอ้เมืองเอกมันทำให้ลำบากหลายเรื่องเลยสิ”
เดือนสิบส่ายหน้า ถ้ามองไม่ผิดเหมือนมันจะยิ้มน้อยๆ ด้วย
เอ๊ะ เดี๋ยว...
“มึงรู้ได้ไงว่ากูทำมันลำบาก”
“แค่เห็นมึงไปลากเดือนสิบเข้ามากูก็รู้แล้ว ไอ้ฟาย”
มันลำบากเหรอ... เออ ก็คงใช่ ลืมถามเลยว่ามันมากับใคร มาทำไม มีธุระอะไรเปล่า
“แล้ว...มึงมาเที่ยวเหรอ? หรือมีธุระอะไรรึเปล่า? มึงมากับใคร?”
ผมยิงคำถามเป็นชุด เดือนสิบเลือกที่จะตอบแค่คำถามสุดท้ายที่ได้ยิน ไม่รู้ว่าตั้งใจ หรือลืมกันแน่ว่าผมถามอะไรไปแล้วบ้าง
“มากับเพื่อนแต่กลับไปแล้ว”
อ๋อ
“งั้นมึงมีธุระต่ออีกไหม?”
คนถูกถามพยักหน้าน้อยๆ ทำเอาผมรีบคิด...
“มึงรีบไหม?”
เดือนสิบมันกำลังคิด ผมที่เริ่มตัดสินใจบางอย่างได้เลยชิงพูดก่อน โดยไม่รอคำตอบมัน
“เอางี้ ถ้ามึงเสร็จแล้วโทรเข้าไลน์กูแล้วกัน เดี๋ยวกลับด้วยกัน”
“......”
“โอเคเนอะ”
ผมตกลงเออออเสร็จสับ พร้อมๆ กับที่อาหารที่สั่งไว้ทั้งของผมกับเบศมาเสิร์ฟพอดี... ผมหยิบตะเกียบข้างๆ ขึ้นเตรียมจะกินข้าว
“เดือนสิบ”
“?”
“ระวังมันหน่อยนะ ไอ้นี่มันร้าย”
เพื่อนขี้เสี้ยมตรงข้ามพูดกับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผม
ผมตวัดสายตามองไอ้เบศที่ทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วลงมือกินข้าว (ก็บอกแล้วว่าไอ้เบศไม่ใช่คนปากโป้ง ถ้าเป็นไอ้แรปมันคงเล่าน้ำไหลไฟดับเเล้ว ว่าผมเลวยังไง...)
ผมทำเสียงเข้มขู่มัน
“ไอ้เบศ”
ผิดจากที่คิด... แทนที่เดือนสิบมันจะกลัวตามคำเสี้ยมไอ้เบศ แต่ไม่ครับ ผมยังได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังจากคนข้างๆ พอหันกลับไปมองก็เห็นมันกำลังยิ้ม.. ยิ้มน้อยๆ แต่สดใสโคตรๆ
ก่อนที่จะตอบรับคำไอ้เบศในลำคอเบาๆ
“อื้ม”
เล่นเอาเพื่อนผมมันยิ้มตาม
ก็เอาเป็นว่า... เดือนสิบมันได้นั่งรถผมกลับคอนโดติดกันเป็นวันที่สาม ----------------------------TBC-------------------------
ดี๋ยวคิดถึง มาไหวก็มาค่ะ เย่
คอมเมนต์ของทุกคนๆ เป็นกำลังใจสำคัญให้เรามากๆ ขอบคุณมากนะคะ อ่านทีไรยิ้มตามทุกที หุหุ ////
(อาจจะเป็นเพราะเนื้อเรื่องช่วงนี้เริ่มเบาๆ แล้ว ใช่ค่ะ ---- เริ่มเเล้ววววว ---- ////)
ขอบคุณคนที่ติดตามด้วยนะคะ รักทุกคนค่ะ <3
#วิศวะเดือนสิบ on Twitter <3