พิมพ์หน้านี้ - ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 100% 19/7/63  

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: miminari ที่ 08-01-2018 23:13:19

หัวข้อ: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 100% 19/7/63  
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 08-01-2018 23:13:19
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
⚙☽  เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽

ว่าด้วยเรื่องเดือนมหา'ลัย

ก็ต้อง ' คณะวิศวะ '
 
คณะที่เต็มไปด้วยทรัพยากรชายทรงคุณภาพ
 
คณะที่ครองเเชมป์เดือนมหา'ลัยมายาวนานถึง 4 สมัย

และไม่น่าเชื่อว่าปีนี้...

 “ฮะ!? อะไรนะ คณะอักษรได้เป็นเดือนมหา'ลัย!!?”

 -----------------
 
#วิศวะเดือนสิบ

 -----------------

TALK :
สวัสดีค่ะ นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่ไม่มีดราม่า และอาจจะไม่ฮา
เป็นนิยายเรียบๆ แนวมหา'ลัยที่ไว้อ่านสบายๆ ค่ะ
ไม่กล้ารับปากว่ามันจะละมุนเเละสามารถฮีลลิ่ง ยังไงก็ขอฝากนิยายนี้ด้วยนะคะ >< <3 

 
-สารบัญ-

บทนำ : เริ่มต้นนับเดือน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65182.msg3768336#msg3768336)
เดือนที่ 1 ถ้าเงียบแปลว่าตกลงนะ? ☽⚙ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65182.msg3768376#msg3768376)
เดือนที่ 2 โคจรมาเจอ ⚙☽ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65182.msg3768942#msg3768942)
เดือนที่ 3 มีแผนไหม? ☽⚙ [---30%---] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65182.msg3811876#msg3811876)
เดือนที่ 3 มีแผนไหม? ☽⚙ [---100%---] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65182.msg3831926#msg3831926)
เดือนที่ 4 มาช้าดีกว่าไม่มา ☽ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65182.msg3872310#msg3872310)
เดือนที่ 5 ข่าวลือของเขา ☽ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65182.msg3887915#msg3887915)
เดือนที่ 6 เสียก็ต้องซ่อมป่ะ? ☽⚙ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65182.msg3900612#msg3900612)
เดือนที่ 7 ไปด้วยกัน ☽⚙  [---55%---] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65182.msg3908634#msg3908634)
เดือนที่ 7 ไปด้วยกัน ☽⚙  [---100%---] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65182.msg3909097#msg3909097) 
เดือนที่ 8 กลับด้วยกัน ☽⚙ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65182.msg3922012#msg3922012)
เดือนที่ 9 คลาย ⚙☽ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65182.msg3943513#msg3943513)
เดือนที่ 10 เคยรับปาก ☽ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65182.msg3951525#msg3951525)
เดือนที่ 11 พูดไปแล้ว ⚙️☽ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65182.msg3964401#msg3964401)
เดือนที่ 12 ไม่เหงาเหรอวะ ⚙️ [---10%---] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65182.msg4006908#msg4006908)
เดือนที่ 12 ไม่เหงาเหรอวะ ⚙️ [---100%---] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65182.msg4014195#msg4014195)
เดือนที่ 13 เเมสเเมส ☽ [---50%---] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65182.msg4017800#msg4017800)
เดือนที่ 13 เเมสเเมส ☽ [---100%---] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65182.msg4019192#msg4019192)
เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙☽ [---40%---] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65182.msg4033959#msg4033959)
เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙☽ [---100%---] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65182.msg4045297#msg4045297)


หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ บทนำ : เริ่มต้นนับเดือน 8/1/2561 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 08-01-2018 23:13:39
บทนำ : เริ่มต้นนับเดือน


ว่าด้วยเรื่องเดือนมหา'ลัย

ก็ต้อง ' คณะวิศวะ '

คณะที่เต็มไปด้วยทรัพยากรชายทรงคุณภาพ

คณะที่ครองเเชมป์เดือนมหา'ลัยมายาวนานถึง 4 สมัย

และไม่น่าเชื่อว่าปีนี้...


 “ฮะ!? อะไรนะ คณะอักษรได้เป็นเดือนมหา'ลัย!!?” เสียงโวยวายแปดหลอดของโฟล์ครุ่นพี่ปี 2 คณะวิศวกรรมศาสตร์สาขาคอมพิวเตอร์ที่ไม่กี่วินาทีที่ผ่านมายังดูดน้ำเป๊บซี่ นั่งฟังเรื่องงานประกวดดาวเดือนมหา’ลัยประจำปีที่เพิ่งจะผ่านพ้นไปเมื่อวานสบายใจเฉิบ โดยผ่านการเล่าจากปากน้องรหัสตัวดีที่สามารถเล่าได้ออกมาเป็นฉากๆ จนทำให้โฟล์คคิดว่าตัวเองเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในบรรยากาศงานเมื่อวานที่เขาไม่ได้เข้าร่วมเพราะติดนัด


และมันคงจะดีกว่านี้ถ้าสิ่งที่ได้ยินจากปากรุ่นน้องไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เขาต้องแหกปากโวยวาย เกือบจะสำลักน้ำเป๊บซี่ที่กำลังดูดอยู่


“โอย ใช่สิพี่ แล้วพี่จะตื่นเต้นเสียงดังโวยวายทำไมขนาดนั้นเล่า”

น้องมันยืนยันคำเดิม พร้อมบ่นกระปอดกระแปดหาว่าเขาเสียงดัง


ถึงแม้ว่าจะยืนยันไปแล้ว แต่ผู้อาวุโสกว่าก็ดูทำสีหน้าไม่อยากจะเชื่อเหมือนเดิม เล่นเอาอยากจะยืนยันซ้ำอีกรอบว่าข้อมูลที่น้องถ่ายทอดมันถูกต้องแบบเป๊ะๆ 


โฟล์คมุ่นคิ้วใช้ความคิด ทำหน้าราวกับกำลังเข้าภวังค์ เอาเข้าจริงไอ้เรื่องดาวเดือนมหา’ลัย เขาก็ไม่ค่อยจะสนใจเท่าไรอยู่แล้ว ผลลัพธ์มันจะออกมาในแนวไหนก็ไม่ได้เกี่ยวกับเขา แต่ที่มันผิดคาดเพราะตัวเต็งอย่าง ‘เมืองเอก’ ตัวแทนเดือนจากคณะวิศวะที่ฟาดฟันห้ำหั่นกับผู้ชายหล่อในคณะอีกนับร้อย ได้ยืนอยู่ในจุดสูงสุด และถูกส่งเป็นตัวแทนเดือนคณะ


คุณสมบัติมันดีทุกอย่างไม่ว่าจะหน้าตา รูปร่าง บุคลิก หรือความสามารถ ฐานแฟนคลับมันก็เยอะ ใครๆ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ปีนี้ตำแหน่งเดือนมหา’ลัยก็ต้องตกเป็นของคณะวิศวะ และนั่นก็จะเป็นการครองแชมป์สมัยที่ 5


“กูไม่อยากจะเชื่อเลย ตำนานเดือนมหา’ลัย 4 ปีซ้อนนี่จะต้องมาจบลงที่ปีนี้”


“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วพี่ คนแม่งรู้กันทั้ง ม. แล้ว เหลือแต่พี่คนเดียวมั้งเนี่ย โคตรหลังเขา”


ไม่วายโดนรุ่นน้องแซะ จนโฟล์คทำท่าจะโบกกะโหลก น้องมันเลยรีบยกมือไหว้ขอโทษ


“แล้วนี่ไอ้เมืองเอกมันไปไหนแล้ว?”


ตั้งแต่เช้า ยังไม่เห็นหน้ามันแม้สักแวบ เลยแอบสงสัยขึ้นมา ทั้งๆ ที่ควรนั่งประจำที่โต๊ะสาขา แอบคิดไม่ได้ว่ามันจะเสียใจมากหรือเปล่าที่ไม่ได้เป็นเดือนมหา’ลัย


“ไปคณะอักษร”


คำตอบที่ได้รับทำคนเป็นพี่เลิกคิ้วสูงมองหน้าคนตอบอย่างสังสัย 


“ไปทำไมวะ?”


 “ไปหาเดือนมหา’ลัยไงพี่”


-------------------------------------


“ไอ้เมืองเอก ตกลงมึงจะไปจริงๆ เหรอวะ” เสียงงุ้งงิ้งๆ ของเพื่อนสนิทร่วมคณะที่มีนามว่าเบศเอ่ยถามไม่หยุดปากมาตั้งแต่เดินออกมาจากคณะวิศวะจนตอนนี้ทั้งเมืองเอกทั้งเพื่อนข้างตัวเกือบจะเดินกันถึงคณะอักษรกันอยู่แล้ว


“กูตอบมึงรอบที่ 30 แล้วมั้งไอ้เบศ”


เมืองเอกหันกลับมาตอบเพื่อน แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น เขาก็หันกลับไปจ้ำอ้าวเดินหน้าตรงไปยังคณะอักษรตามเป้าหมายเดิม จนเพื่อนที่ตัวเตี้ยกว่าเกือบจะก้าวตามไม่ทัน เบศเร่งฝีเท้าขึ้นอีกนิด ก่อนจะตัดสินใจเดินไปแซงหน้าเพื่อนสนิทเอาไว้


“เดี๋ยวๆ มึง ที่กูถามมึงซ้ำๆ นี่เผื่อคำตอบมึงจะเปลี่ยน เผื่อมึงจะเปลี่ยนใจไงเพื่อน”


ดูเหมือนจะไม่ตัดใจง่ายๆ เมืองเอกหรี่ตามองเบศที่พยายามห้ามเขาเต็มที่ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม


แต่เสียงเข้มๆ ที่ดังออกมาจากปากเพื่อนก็ยังคงเป็นคำตอบเดิม


“กูจะไป”


“มึงจะไปทำไม หน้าก็เห็นกันแล้ว มึงอยู่บนเวทีเดียวกันนะเว่ย”


“ก็อยู่บนเวทีเดียวกันไงวะ แต่ตอนแรกกูไม่ได้สนใจเปล่าวะ ตอนแม่งได้เป็นเดือน กูก็ยืนอยู่ข้างหลัง”


เบศคิดตามคำอธิบายของเพื่อนแล้วเริ่มจะยอมรับได้ ก็จริงอย่างที่มันว่า ไอ้เมืองเอกมันมั่นใจว่าตัวเองจะได้ตำแหน่งมาก แม้กระทั่งคู่แข่งต่างคณะมันก็ไม่สนใจเลยแม้แต่คนเดียว พอตัวเองไม่ได้เป็นเดือนก็...


คงรู้สึกสนใจไอ้คนที่มาแย่งตำแหน่งเดือนมหา’ลัยของมัน(?)ไปแค่นั้นเอง.... ล่ะมั้ง


“เลิกห้ามกูได้ยัง กูไม่ได้จะไปต่อยหน้ามันสักหน่อย”


เบศเกาหน้าตัวเอง ก่อนที่จะได้พูดอะไรต่อ เพื่อนก็เดินผ่านเขาไปแล้ว


“ตกลงมึงจะไปไหม”


เมืองเอกหันมาตะโกนถามเพื่อนที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ พอได้ยินเสียงเรียกเจ้าตัวก็ตั้งสติวิ่งตามเขามาทันที


“เดี๋ยว เฮ้ย รอกูด้วยยย” 



...



 และแล้วก็มาหยุดอยู่หน้าคณะอักษร ตึกสีขาวสูงหลายชั้นตั้งอยู่ตรงหน้า แต่ก่อนจะได้เดินเข้าไป


“ไอ้เบศ”


เสียงทุ้มต่ำของเมืองเอกเอ่ยถามเพื่อนข้างตัว แต่ไม่ได้หันหน้ามามอง ดวงตาคู่นั้นยังมองตรงไปยังตึกด้านหน้า


“ว่า...?”


“มึงว่ากูหล่อไหมวะ?”


พอจบคำถามเบศก็หันขวับกลับมามองเพื่อน พิจารณาไอ้คนผู้ชายตัวสูงเป็นเปรตที่ยืนอยู่ข้างตัว มองขึ้นๆ ลงอยู่สักพักก่อนตอบ


“มาก”


เมืองเอกเลิกคิ้วมอง


“มากแค่ไหน”


คำถามต่อมานั่นทำให้เบศเริ่มปวดหัว ก็ในเมื่อคนอย่างไอ้เมืองเอกเฟรชชี่คณะวิศวะที่มั่นหน้ามั่นโหนก มีความมั่นอกมั่นใจ ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นรองใครมาตั้งแต่เจอมันครั้งแรกตอนรับน้องจะมาถามคำถามอะไรแบบนี้กับเขา ไม่ต้องให้เดาว่าสาเหตุมันเป็นเพราะอะไร 


เบศส่ายหน้า ถอนหายใจก่อนจะตอบคำถามเพื่อนตัวเองอย่างใจเย็น


“มากขนาดที่สาวๆ ทั้ง ม. ยอมมาสยบแทบเท้ามึงอะ”


“ไอเหี้ยเวอร์”


“จริ๊งๆ ถ้าเทียบเป็นเกรดกูให้มึง A+++”


เมืองเอกยกยิ้มมองเพื่อนตัวเอง แต่สุดท้ายก็เก็บรอยยิ้มกลับ


“ถ้ากูหล่อขนาดนั้น แล้วทำไมกูไม่ได้เป็นเดือนวะ”


“ไอ้เมืองเอก คนที่หล่อมันก็ไม่ได้มีมึงคนเดียวเปล่าวะ”


“งั้นแล้วระหว่างกูกับไอ้เดือนมหา’ลัยนั่นใครหล่อกว่ากัน”


ไม่คิดว่าเพื่อนตัวเองจะเป็นเอามากขนาดนี้


เบศมองสายตาที่ไอ้เพื่อนสุดหล่อคนนี้มันมองมาด้วยความหวังแล้วเขาก็เริ่มตะโกนอย่างหัวเสีย ไม่รู้ว่าเพื่อนตัวเองหวังคำตอบแบบไหน แต่เขาก็พยายามจะตอบในสิ่งที่สมองน้อยๆ ของเบศจะคิดออก และแน่นอนว่านั่นต้องไม่ให้ท้ายเพื่อนเกินไป


“มันก็คนละแบบอ่ะ... ไอ้เหี้ย หล่อไม่ได้มีแบบเดียวสักหน่อย ถ้ามันมีแบบเดียว คนที่หล่อทุกคนก็ต้องหน้าเหมือนมึงสิวะ”


“อ้าว กูไม่เข้าใจ แล้วกูสู้มันไม่ได้ตรงไหน ใช้เกณฑ์ห่าไรตัดสินวะ”


“กูไม่รู้โว้ย กูไม่ได้เป็นกรรมการ”


ไปถึงมึงก็ไปหาคำตอบเอาเองแล้วกัน 


เบศคิดในใจเงียบๆ สองขาตั้งใจจะเดินเข้าไปในตึกคณะอักษรถ้าไม่ติดที่เสียงเพื่อนด้านหลังเรียกเอาไว้


“เดี๋ยวไอ้เบศ”


“อะไรอีก”


เบศหันหน้าไปมองเพื่อนตัวเองที่ยังไม่เดินมาสักทีนิ่งๆ 


“กูขอคำถามสุดท้าย”


“???”


“เดือนมหา’ลัยชื่ออะไรวะ?”


คำถามที่ได้ยินจากปากเพื่อนคราวนี้แทบทำให้เบศเกือบเลื่อนล้มหัวฟาดพื้น หันไปโวยวายใส่เพื่อนที่แม้กระทั่งชื่อของคนที่แย่งตำแหน่งเดือนมหา’ลัยไปจากตัวเองก็ยังไม่รู้


“นี่มึงไม่รู้ชื่อเดือนมหา’ลัยเนี่ยนะ ไอ้เมืองเอก มึงอยู่บนเวทีเดียวกันจริงๆ เปล่าวะเนี่ย”


เบศมองเพื่อนหน้าหล่อที่ส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจมาให้ แน่นอนว่าคงไม่รู้จริงๆ นั่นแหละ


เขาถอนหายใจรอบที่ล้านแปด แล้วเอ่ยตอบคำถามเพื่อน

 
 

 

“เดือนมหา’ลัยชื่อ....”


 



“เ ดื อ น สิ บ”



----------------------------TBC-------------------------
หัวข้อ: ⚙☽เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ⚙☽ เดือนที่ 1 ถ้าเงียบแปลว่าตกลงนะ? UP! 09/01
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 09-01-2018 00:04:40
เดือนที่ 1

ถ้าเงียบแปลว่าตกลงนะ? ☽⚙


“ผู้ที่ได้ตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยไปครองในปีนี้ได้แก่...”


ในที่สุดก็ถึงช่วงที่สำคัญที่สุดของงานในครั้งนี้ พิธีกรเริ่มก้มหน้าเปิดซองในมือแล้วยิ้มมองคนดูก่อนที่จะได้ประกาศผล ก็เว้นจังหวะเล็กน้อย ส่งให้ผู้คนด้านล่างเวทีส่งเสียงเชียร์ผู้ชายในดวงใจ หรือคณะที่ตัวเองอวย ทั้งยังโบกป้ายไฟที่ทำมาอย่างอลังการงานสร้างเพื่ออวยผู้ตัวเอง


จากที่ผมไล่ๆ ดูคร่าวๆ ป้ายไฟสุดแสนอลังการนั่นจะเป็นชื่อของ ‘เมืองเอก’ เดือนคณะวิศวะซะส่วนใหญ่ ก็พอจะเดาๆ ได้อยู่หรอกครับ ตำแหน่งเดือนปีนี้ก็มีแววจะตกเป็นของคณะวิศวะเหมือนปีที่ผ่านมา


เพราะงั้นอย่าลีลานักสิ รีบๆ ประกาศเถอะ ผมจะได้ไปพักสักที...     


เพียงครู่เดียวเสียงตะโกนเชียร์ทั้งหมดก็ค่อยๆ เงียบกริบลง ราวกับเป็นสัญญาณ พิธีกรอ้าปาก กรอกเสียงพูดลงไปในไมโครโฟน


“นายตุลา รัตนจันทร์ หรือน้องเดือนสิบ ตัวแทนเดือนจากคณะอักษรศาสตร์ครับ!!”


หลังจบประโยคหูของผมก็อื้ออึงไปด้วยเสียงเฮแสดงความยินดีจากคนดูด้านล่างเวที โดยเฉพาะแถวๆ โซนของกองเชียร์คณะอักษร ที่นำทีมโดยพี่แอ้มรุ่นพี่ปีสองที่ยกพวกมาเชียร์เป็นหน้าม้า เสียงกรี๊ดนี่ดังลั่นยิ่งกว่าคนถูกหวยรางวัลที่หนึ่งอีก


ส่วนผมยืนนิ่งตัวแข็งทื่อ คิดว่าตัวเองหูฝาดหรือเข้าใจผิด พิธีกรประกาศชื่อผม จริงๆ นะ?


“น้องเดือนสิบรบกวนก้าวขึ้นมาข้างหน้าหน่อยครับ”


พี่แกหันมาเรียกผมที่ยังไม่ยอมเดินออกไปจากแถวข้างหน้าสักที ผมเลยมั่นใจได้ทันทีว่าไม่ได้หูฝาด พิธีกรยังยิ้มหน้าแป้นแล้นมองผม แล้วยื่นไมค์อีกตัวที่อยู่ดีๆ โผล่มาจากไหนไม่รู้ส่งให้


“อยากจะพูดความในใจหรือความรู้สึกตอนนี้หน่อยไหมครับน้องเดือนสิบ?”


“เอ่อ...”


ถ้าให้ผมพูดความในใจตอนนี้จริงๆ มันก็...


ชิบหาย ทำไมเดือนมหา’ลัยถึงเป็นผมว่ะเนี่ย!!


-----------------


“ลั้นลาลันลั้นลา♪”


เสียงฮัมเพลงเบาๆ จากปากผู้หญิงผมยาวปลายผมดัดลอนที่เดินอยู่ข้างๆ อารมณ์ดีซะผิดวิสัยมาตั้งแต่ในคาบวิชาบรรยายที่ปกติเพื่อนผมคนนี้จะนั่งไถมือถือด้วยใบหน้าเหนื่อยใจทั้งคาบ แต่มาวันนี้กลับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ถึงจะยังนั่งไถมือถือยี่ห้อดังเหมือนเดิมก็เถอะ แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วยังฮัมเพลง จ้องหน้าผมสลับกับเล่นมือถือซะจนผมที่ถูกจ้องมองเกือบสองชั่วโมงเต็มรู้สึกแปลกๆ


ผมอยากจะถามนะว่าไปอารมณ์ดีที่ไหนมา แต่ยังไม่ทันได้พูด ฟลุ๊คเพื่อนชายอีกคนมันก็ถามแทนผมก่อน


“อารมณ์ดีอะไรนักหนาฮะกวาง เห็นเป็นงี้ตั้งแต่เช้า”


“แกไม่เข้าใจเหรอฟลุ๊ค แกดูนี่ นี่”


กวางหันขวับกลับมาตอบแล้วชี้นิ้วมาทางผม ที่ยังงงๆ อยู่ว่าผมไปเกี่ยวอะไรด้วย แต่ก็ถึงบางอ้อเมื่อเพื่อนสาวเริ่มอธิบาย


“แกมีเพื่อนหล่อขนาดนี้ แถมยังเป็นเดือนมหาลัยอีก โอ้ย! คนทั้ง ม. อิจฉาฉันจะตายแล้ว มีความสุขอะ ฮะๆ” ว่าแล้วกวางมันก็หัวเราะคิกคักเดินเนียนเข้ามาคว้าแขนผมอย่างอารมณ์ดี ไม่สนใจฟลุ๊คที่ยังส่ายหน้าเหนื่อยหน่ายใจให้เพื่อนสาวของตัวเอง 


“ไปกันเถอะค่ะเพื่อนรัก ป่านนี้พี่ๆ คงรอต้อนรับกันให้พรึ่บ”   


.....


พรึ่บ พรึ่บจริงๆ อย่างที่กวางบอก


ผมหรี่ตาที่เจ็บๆ มาตั้งแต่เช้าแล้วมองฝูงชนที่คับแน่นเต็มใต้ตึก แต่แปลกใจตรงที่คนพวกนั้น(ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง)ไปออรวมกันเป็นวงกลม ราวกับกำลังมุงดูอะไรอยู่ และนั่นก็กระตุ้นต่อมเผือกให้เพื่อนหญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมชะโงกชะเง้อหน้า ยืดคอยาวเป็นยีราฟเพื่อที่จะพยายามมอง แน่นอนว่าไม่ได้ผลอะไรหรอกครับ คนเล่นมุงซะมิดขนาดนั้น ซ้ำผมที่สูงกว่ากวางตั้งหลายสิบเซนยังมองไม่เห็นเลย แล้วเพื่อนกวางสูงแค่นั้นจะไปมองเห็นอะไรได้


“เดือบสิบ เขามุงอะไรกันอะ โอปป้ามาเหรอแก”


ก็ว่าไปนั่น โอปป้าจะมาอยู่นี่ได้ไงกันล่ะวะ แล้วมาถามผมที่เพิ่งลงมาพร้อมกันแล้วผมจะไปรู้ไหม...


ผมอยากจะตอบแบบนั้นแต่รู้สึกเหมือนตาตัวเองกระตุกยังไงชอบกล


อา... แสบตาชะมัด รู้สึกเหมือนตาจะแห้งๆ


ผมกะพริบตาถี่ๆ หลายครั้ง เพื่อเรียกน้ำตาให้มาหล่อเลี้ยงตาที่เริ่มแสบๆ นี่บ้าง อยากจะหยิบน้ำยาหยอดตาออกมาหยอด แต่คิดไปคิดมาอีกที สงสัยจะเป็นเพราะคอนแทคเลนส์แบบแข็งที่เพิ่งเปลี่ยนมาใส่เมื่อเช้าจะไม่เข้ากับตาผม


“ฟลุ๊ค กวาง ไม่ไหวแล้วว่ะ แสบตา เดี๋ยวไปห้องน้ำแป๊บนึงนะ”


ผมร้องบอกเพื่อนสองคนเบาๆ ฟลุ๊คหันมาพยักหน้าให้ผมแบบไม่ใส่ใจเป็นเชิงว่าไปเถอะ ส่วนกวางผมมั่นใจว่าไม่ได้ยินผม แต่ไม่เป็นไร ฟลุ๊ครู้แล้วว่าผมจะไปไหน  ก็เลยเดินแยกออกมา เป็นจังหวะที่เพื่อนสาวที่ยืนชะเง้ออยู่ได้สักพักเริ่มทนความเผือกของตัวเองไม่ไหว วิ่งรี่เข้าไปหาฝูงชนโดยมิวายลากฟลุ๊คเข้าไปด้วย

 
ผมส่ายหน้า เมื่อกี้ยังสนใจผมอยู่เลย พอมีเรื่องให้เผือกใหม่ก็เมินกันซะงั้น แต่ก็ช่างเถอะครับ ผมเริ่มชินกับนิสัยข้อนี้ของเพื่อนสาวคนนี้แล้ว


ห้องน้ำอยู่ใกล้ๆ บันไดขึ้นตึก ผมเดินกะพริบตาถี่ๆ ไล่น้ำตาให้ไหลออกมาเหมือนเดิม แสบแบบมากๆ อา... ผมจะจำไว้ว่าตัวเองจะไม่ใส่คอนแทคเลนส์แบบแข็งอีกแล้ว ถึงแม้คอนแทคเลนส์แบบอ่อนยี่ห้อที่ผมใส่มันจะขายหมดเกลี้ยงเลยก็ตาม


รอบหน้าเอาเป็นว่าไว้ใส่แว่นมาดีกว่า ผมคิดแล้วถอนหายใจหน่ายๆ


จากที่กวาดสายตามอง ห้องน้ำชายที่ผมเข้านี่ไม่มีใครสักคนเลยครับ เอาจริงๆ คณะผมผู้ชายก็น้อยแสนน้อยอยู่แล้ว พวกเราอยู่รวมกันโดยที่ห้อมล้อมไปด้วยดอกไม้งามมากมายในคณะอักษรศาสตร์ จะว่าดีก็ดีหรอกครับ เป็นชนกลุ่มน้อยจะทำอะไรก็สะดวก ไม่ต้องแย่งอะไรกับคนอื่น...


ก็เดินคิดอะไรเพลินๆ มาหยุดอยู่ที่โซนอ่างล้างหน้า วางกระเป๋าเป้ลงแถวนั้นแล้วรูดซิบหยิบกล่องคอนแทคเลนส์ลายโดราเอม่อนออกมา พร้อมทั้งน้ำยาล้างคอนแทคฯที่พกเอาไว้เป็นขวดเล็กๆ


ผมกะพริบตาไล่ความแสบแล้วพยายามใจเย็นๆ หยดน้ำยาลงบนหลอดเตรียมไว้ เปิดก๊อกน้ำล้างมือ.... ขั้นตอนต่อไปจะเป็นขั้นตอนการถอดคอนแทคเลนส์ครับ เอาจริงๆ การใส่มันแทนใส่แว่นนี่เป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับผมมากเลยนะครับ ไหนจะต้องพกน้ำยามาหยอดกันตาแห้ง ไหนจะต้องมานั่งถอด นั่งเปลี่ยน ระวังนู่นนี่เยอะแยะ ถ้าไม่ติดว่าห่วงภาพลักษณ์ที่พี่แอ้มบังคับให้เปลี่ยนมาใส่คอนแทคฯแทนแว่นล่ะก็...


ผมว่าใส่แว่นอ่ะง่ายสุดแล้ว ถ้าใส่จนชินก็จะไม่รำคาญ...   


ผมทำการแหวกหนังตาทั้งบนและล่างให้เปิดออกกว้างขึ้นนิดหน่อยแล้วใช้ปลายนิ้วแตะเบาๆ ที่เลนส์ใส แล้วใช้นิ้วโป้งขึ้นมาช่วยคีบด้วยเพียงแค่นั้นมันก็หลุดติดนิ้วมาอย่างง่ายดาย ในขณะที่กำลังจะทำเหมือนเดิมกับตาอีกข้าง


“อะ...”


เวรล่ะ คอนแทคเลนส์ใสๆ อีกข้างที่เหลือที่เพิ่งถอดนั่นลื่นหล่นจากนิ้วลงสู่พื้นห้องน้ำ ผมมองต่ำลงไป แต่ว่าสายตาดันแย่เกินไปมองอะไรไม่ชัดเลย ยิ่งเป็นอะไรเล็กๆ ใสๆ ด้วยแล้ว เลยตัดสินใจเดินไปควานหากล่องแว่นตาในกระเป๋า


ชิบ....หนักกว่าเก่า วันนี้ดันลืมเอาแว่นตามา!


เล่นเอาผมอยากถอนหายใจให้ยาวไปถึงประจวบฯเลยครับ แต่ตอนนี้ทำได้เพียงลดเข่านั่งย่อลงแล้วพยายามหรี่ตาที่ยังแสบไม่หายมองหาเจ้าคอนแทคเลนส์น้อยๆ ที่ไม่รู้หล่นไปตรงไหนแล้ว





รู้สึกเหมือนเห็นเงาคนอยู่แถวๆ หน้าประตูห้องน้ำ ผมเลยเงยหน้า หรี่ตามองผู้ชายตัวสูง... ที่กำลังเดินเข้ามาในบริเวณที่ผมคิดว่าของๆ ผมน่าจะตกอยู่แถวนั้น  ก่อนที่เขาจะได้ก้าวเข้ามามากกว่านี้ ผมรีบลุกยึ้นยืนแล้วยกมือห้ามเอาไว้


“ขอโทษครับ อย่าเพิ่งเดินเข้ามาได้ไหม ผมทำคอนแทคเลนส์ตกน่ะ”


“....”


คนที่ผมห้ามหยุดกึกทันที ผมมองเห็นไม่ชัดเลยไม่รู้ว่าเขาทำหน้าแบบไหนอยู่....


เอาไงดีว้า ไม่หาดีไหม ยังไงๆ ก็ไม่คิดจะใส่ต่ออยู่แล้ว แถมยังตกพื้นห้องน้ำอีก ถึงแม้ห้องน้ำมันจะสะอาด แล้วผมก็มีน้ำยาล้างแต่ว่า...


“เดือนสิบ...?”


ผมชะงัก ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองดังมาจากผู้ชายตัวสูงที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ผมเอียงคอมองเขา ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นคนรู้จักผมหรือเปล่า... จะว่าไปอีกฝ่ายจะรู้จักผมก็ไม่ผิดนักหรอก กลายเป็นเดือนมหา’ลัยแล้วนี่หว่า ถึงจะไม่อยากยอมรับก็เถอะ


“เอ่อ... ขอโทษที พอดีตาผมแย่มากตอนนี้มองไม่ค่อยเห็นเลย”


ผมพยายามอธิบายเหตุผลแล้วย่อตัวหาคอนแทคเลนส์อีกรอบ ผู้ชายที่พูดด้วยเขาไม่ได้ตอบอะไร แต่ไม่นานอีกฝ่ายก็ย่อตัวลงมาช่วยหาด้วย เพียงแป๊บเดียวเท่านั้น


“ตกอยู่นี่ไง”


เสียงทุ้มต่ำแบบให้ความรู้สึกสุขุมแปลกๆ เอ่ยเบาๆ แล้วชี้นิ้วลงตรงพื้นใกล้ๆ กับเท้าเขา ผมผงกหัวรับเป็นเชิงขอบคุณที่ช่วยหา แล้วเอื้อมแขนไปจากนั้นก็เก็บเลนส์เล็กๆ ที่ตกนั่นขึ้นมาใส่มันลงในหลอด ในระหว่างนั้นก็รู้สึกเหมือนผู้ชายคนที่ว่าเดินเข้ามาใกล้ผม


“ไม่ใส่เหรอ?”


ผู้ชายคนนั้นถามอย่างสงสัยในขณะที่ผมส่ายหน้าให้ แต่ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่ม


“ขอบคุณที่ช่วยหาคอนแทคเลนส์นะครับ” ผมขอบคุณสั้นๆ ตามมารยาทแล้วเก็บของทุกอย่างลงกระเป๋า เดินออกมาจากห้องน้ำ แต่ยังไม่ทันที่จะออกมาดีๆ คนๆ นั้นก็เรียกผมไว้


“จะออกไปทั้งๆ อย่างนั้นเหรอ สายตาแย่ไม่ใช่หรือไง”


อ่า... มันก็จริงอย่างที่เขาพูด ผมไม่มีแว่น แถมคอนแทคเลนส์แบบแข็งก็ใส่แล้วเจ็บตา นอกจากนั้นยังทำตกพื้นอีก


“เอางี้ไหม มึงจะไปไหนเดี๋ยวกูพาไปส่ง”


เสียงเขาดังขึ้นมา ผมที่มองเห็นไม่ชัดก็เลยไม่เห็นสีหน้าเขาอยู่ดีแต่ว่า...


รู้สึกตงิดๆ ใจผู้ชายที่ใช้มึงกูครั้งแรกกับคนที่เพิ่งเคยเจอกัน



หรือว่าเราจะเคยเจอกันแล้ววะ?


-------------------------------------


⚙ เมืองเอก พาร์ท ⚙


หลังจากก้าวขาเข้ามาเหยียบตึกคณะ ผมกับไอ้เบศก็มองหน้ากันสักพัก ตอนแรกก็ไม่อะไรหรอกครับ กะว่าจะเดินไปหารุ่นพี่คณะนี้สักคนถามหาเดือนมหา’ลัยสุดฮ็อตที่แม่งแย่งตำแหน่งผมไปเมื่อวานแบบไม่ยอมให้ผมตั้งตัว แม้แต่หน้าค่าตา ผมยังจำมันไม่ได้เลยครับ


“แล้วพวกเราจะถามใครดีวะ?”


เสียงไอ้เบศที่ยืนใกล้ๆ เริ่มเอ่ยถาม ผมก็เลยชี้ไปมั่วๆ ที่ผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่โต๊ะตรงนั้น


“เอาเป็นคนนั้นแล้วกัน”


“เออๆ”


เพื่อนมันตอบรับผมแบบขอไปที พอๆ กับความชี้มั่วของผมนั่นแหละ แต่ก่อนจะได้เดินตรงไปหาเป้าหมายที่ตั้งใจจะเดินเข้าไปสอบถาม


“อ้าว? นั่นน้องเมืองเอก เดือนคณะวิศวะไม่ใช่เหรอ?”


เสียงพี่ผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังนั่งดูดน้ำอยู่ที่โต๊ะที่ห่างออกไป พูดเบาๆ กับเพื่อนแต่มันดันได้ยินมาถึงผม


“เห้ย เมืองเอกเหรอ?? มาทำอะไรคณะเราอะแก”


ก่อนที่เพื่อนคนนั้นจะหันมาหาผมพร้อมโวยวายเสียงดังทำอย่างกับผมเป็นโอปป้า แปลกมากเหรอที่ผมมาปรากฏตัวที่คณะนี้


“มึงๆ เมืองเอกมาอ่ะมึง เดือนคณะวิศวะมา มึ๊งงงงง--------”


หลังจากเสียงตะโกนแปดหลอดของคุณเธอ ผู้หญิงแทบจะทุกคนที่นั่งอยู่ก็หันมาให้ความสนใจ พร้อมๆ กับความวุ่นวายที่เริ่มเกิดขึ้น


“ชิบหายแล้วไอ้เมือง----”


ผมได้ยินเสียงเพื่อนข้างตัวพึมพำก่อนจะได้สติ พวกเธอแม่งก็กรูกันเข้ามาทำเหมือนว่าผมแม่งยืนแจกตั๋วแดกบุฟเฟต์ฟรี


“พี่เมืองเอก เมื่อวานน้องคอยเชียร์อยู่นะคะ”


มาพงมาพี่อะไรวะ กูปีหนึ่ง


“เมืองเอก น้องมาทำอะไรที่คณะพี่คะเนี่ย”


เอ่อ.. พอดีมาหาเดือน


“หรือว่า หรือว่า น้องแอบมาส่องสาวคณะพี่ นางคนนั้นเป็นใครคะ?”


เฮ้ย ไปกันใหญ่แล้ว ผมไม่ได้มาส่องสาว


“พี่เมืองเอกมีผู้หญิงที่ชอบแล้วเหรอคะ ? หรือว่าแอบคบกัน”


บอกแล้วไงว่ากูปีหนึ่ง


ต่อให้เธอปีหนึ่ง เธอก็อายุเท่าผม ไหนจะเรื่องที่มโนไปไกลอีก คำถามที่ยิงมาก็เร็วรัวซะจนผมปฏิเสธไม่ทัน


“คือว่า... ไม่ใช่---”


“อร๊ายยย หรือว่าพี่เมืองเอกจะเล็งดาวคณะเราไว้คะ รินดาวคณะ !”


เฮ้ย ใครวะริน..?


แล้วที่สำคัญผมไม่ได้มาหาดาวคณะ ผมมาหาเดือน...


“รินดาวคณะเราเหรอ!? ใช่เหรอ?? น้องเมืองเอกกิ๊กกับดาวคณะเราเหรอ แก มันต้องเป็นข่าวใหญ่!”


หลังจากนั้นก็มีประโยคต่างๆ นาๆ มากมาย ซะจนผมเริ่มปวดหัว ผู้หญิงล้อมหน้าล้อมหลัง เป็นอะไรที่ผมแม่งไม่เคยจะชินได้สักทีไม่ว่าจะโดนแบบนี้กี่รอบ (ก็อย่างว่าคณะผมมันมีผู้หญิงเยอะขนาดนี้ที่ไหน ถึงแม้ผู้หญิงคณะอื่น จะชอบมานั่งกินข้าวคณะผมอยู่บ่อยๆ ก็เถอะ แต่ที่ผ่านๆ มาก็ทำได้แต่มอง ไม่ได้มาจู่โจมเหมือนตอนนี้...)


ผมลดตัวลง ดึงเพื่อนที่อยู่ข้างตัวให้ขยับเข้ามา ไอ้เบศก็อ๊องผู้หญิงไม่ต่างจากผมหรอกครับ


“เหี้ยเบศ กูฝากหาข่าวด้วยนะ เดี๋ยวกูมาปวดฉี่มากๆ”


พอกระซิบจบ ผมก็รีบชิ่งออกมาจากฝูงชนแบบทุลักทุเลปล่อยให้ไอ้เบศรับมือกับฝูงผีเสื้อพวกนั้นไป โดยไม่สนใจแม้เพื่อนสนิทจะตะโกนไล่หลังมาว่า


“ไอ้เพื่อนชั่ว!!”


…..


ผมเดินมาเรื่อยๆ จนมาเจอกับห้องน้ำประจำตึก ถึงจะเพิ่งเคยมาคณะอักษรครั้งแรก แต่แปลนตึกแม่งก็คล้ายๆ กับตึกวิศวะแหละครับ หาไม่ยากหรอก  พอตั้งใจจะเดินเข้าไป ผมก็เจอผู้ชายคนหนึ่งนั่งย่อๆ อยู่แถวอ่างล้างหน้า


ดวงตาสีดำที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาใสๆ นั่นหันมามองผม ก่อนที่มันจะลุกขึ้นเร็วๆ แล้วส่งเสียงห้าม


“ขอโทษครับ อย่าเพิ่งเดินเข้ามาได้ไหม ผมทำคอนแทคเลนส์ตกน่ะ”


เสียงเนิบๆ นิ่มๆ นั่นร้องเตือนอย่างร้อนรน ผมเลยหยุดฝีเท้าที่จะก้าวเดินแล้วหยุดยืนอยู่นิ่งๆ มองไอ้คนตรงหน้า ถ้าจากที่บอก... ไอ้นี่คงไม่ได้ร้องไห้อยู่ใช่ไหมวะ?


จะว่าไปแล้วพอมองดีๆ ไอ้ผู้ชายตรงหน้านี่หน้าตาดีสุดๆ เลยนี่หว่า ตัวก็สูง รูปร่างก็ดี ถึงจะออกผอมๆ ไปสักหน่อย เส้นผมสีดำถูกเซ็ตเป็นทรงอย่างดี ผมหน้าปัดข้างเล็กน้อยพอให้เรียบร้อย โครงหน้าก็ดูดี คิ้วเข้ม ไหนจะจมูกโด่งๆ ที่ไม่ได้โด่งจนน่าเกลียด ปากสีชมพู ทาลิปเหรอวะ? ไม่น่าใช่ น่าจะชมพูธรรมชาติมากกว่า... ผมมองไล่ลงมาจนถึงต้นคอแล้วมองต่ำลงไปอีกเล็กน้อย เพราะเจ้าตัวไม่ได้ติดกระดุมสองเม็ดบน


ผิวขาวสัตว์ๆ ขาวกว่าผมเยอะ พูดเลย อย่างกับลูกคนจีน (แต่ตาไม่ได้ตี่เนี่ยสิ) 


เหี้ย.. ไอ้นี่ใช่เลย น้อยครั้งที่ผมจะชมผู้ชายด้วยกันขนาดนี้ แล้วถ้าผมชมขนาดนี้ได้ ไอ้ผู้ชายตรงหน้านี่ต้องเป็น...



เดือน!!




“เดือนสิบ...?”


ผมเผลอพูดชื่ออีกฝ่ายออกไป แต่คนที่ผมคิดว่าเป็นเจ้าของชื่อเอียงคอหรี่ตามองผมเงียบๆ ไม่ได้ตอบว่าตัวเองใช่หรือไม่ใช่ จนกระทั่ง


“เอ่อ... ขอโทษที พอดีตาผมแย่มากตอนนี้มองไม่ค่อยเห็นเลย”


ไม่ได้ปฏิเสธก็แสดงว่าใช่ เหมือนจะเริ่มคุ้นๆ ว่าตัวเองเคยเห็นหน้าไอ้หมอนี่มาแล้ว แบบผ่านๆ แหละ ผมมองคนที่สูง... อืม คิดว่าน่าจะพอๆ กับผม  ที่ตอนนี้กำลังย่อตัวพยายามหาคอนแทคเลนส์บนพื้นซะท่าทางจริงจัง เหมือนว่าตาแม่งจะแย่อย่างที่พูดจริงๆ เอาวะ ช่วยหาด้วยก็ได้ ผมเป็นคนดีอะ พอสมควร


ผมย่อตัวลงช่วยมันหา แล้วไม่ต้องมองไปไหนไกล


“ตกอยู่นี่ไง”


ผมชี้นิ้วลงตรงพื้นใกล้เท้าตัวเอง ไม่กล้าหยิบส่งให้ว่ะ กลัวจับแรงไป ผมคิดว่าตัวเองไม่น่าจะถูกกับอะไรที่มันดูบอบบางแบบไอ้เลนส์นิ่มๆ เล็กๆ นั่น


เดือนสิบช้อนสายตาที่ยังปริ่มๆ ไปด้วยหยาดน้ำ แต่หน้าไม่เหมือนคนกำลังร้องไห้นั่นมองไปตามที่ผมชี้ ก่อนจะผงกหัวแล้วเอื้อมแขนมาทางผม ซึ่งค่อนข้างอยู่ไกลพอสมควร พอเดือนสิบพยายามจะเอื้อมแขนมา หัวแม่งก็โยกมาด้วย คิดว่ามันคงไม่ได้จงใจหรืออะไร หัวมันห่างจากหน้าผมแค่ไม่ถึงสามคืบ ใกล้จนได้กลิ่นแชมพูหอมๆ อ่อนๆ ที่ติดอยู่ที่เส้นผม


ผมแม่งก็บ้า ไม่ยอมถอยหนีมัน


เมื่อมันเก็บคอนแทคเลนส์ได้ก็จะโยกตัวกลับ ไอ้คนที่ก็หล่อดี แต่ผมว่ายังไงแม่งก็หล่อน้อยกว่าผมลุกขึ้นยืนเดินไปล้างคอนแทคฯที่โซนอ่างน้ำ พอผมตั้งสติได้ก็เลยเดินไปใกล้ๆ


“ไม่ใส่เหรอ?”


จะว่าผมเสือกก็ได้ แต่ว่าสงสัย ว่าทำไมมันถึงเก็บเลนส์นั่นกลับเข้ากล่อง


เดือนสิบส่ายหัว ไม่ได้ตอบอะไรผม ซึ่งอันนั้นผมก็ไม่ว่า เป็นสิทธิ์ของมัน...


“ขอบคุณที่ช่วยหาคอนแทคเลนส์นะครับ”


เสียงนิ่มๆ เนิบๆ นั่นกล่าวขอบคุณผมอย่างสุภาพ ก่อนที่มือนั่นจะกวาดเอาขวดอะไรสักอย่างลงกระเป๋าตัวเอง พร้อมทั้งตั้งใจจะเดินออกไปจากห้องน้ำ


ทั้งๆ ที่ไม่ใส่คอนแทคเลนส์ ไม่ใส่แว่นเนี่ยนะ? ไหนบอกว่าสายตาแย่ไม่ใช่เหรอวะ???


“จะออกไปทั้งๆ อย่างนั้นเหรอ สายตาแย่ไม่ใช่หรือไง”


เออ... จะว่ากูเสือกอีกก็ได้ แต่พลั้งปากพูดไปแล้วว่ะ


แล้วก็ได้ผลด้วย เดือนสิบหันหน้าหล่อๆ นั่นกลับมามองผม  แต่สีหน้าแม่งเรียบเฉยเหมือนปกตินั่นแหละ ผมเลยไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ แต่ก็ช่าง...

 
“เอางี้ไหม มึงจะไปไหนเดี๋ยวกูพาไปส่ง”

 
เดือนสิบยังไม่เปลี่ยนสีหน้า นอกจากนั้นยังไม่ตอบปฏิเสธ ผมที่ค่อนข้างใจร้อน พูดอะไรแล้วทำจริงก็เลยตัดสินใจเดินเข้าไปหามันแล้วคว้าข้อมือเอาไว้ ไม่มีทางเลือกนี่หว่า จะนำทางคนสายตาสั้นมันก็ต้องแบบนี้แหละ


“เป็นอันว่าตกลงนะ สรุปมึงจะไปไหน??”

----------------------------TBC-------------------------
หัวข้อ: Re: ⚙☽เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ⚙☽ เดือนที่ 1 ถ้าเงียบแปลว่าตกลงนะ? UP! 09/01
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 09-01-2018 00:07:48
รอตอนต่อไปปปปปปปปปปปปปปปปป :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ⚙☽เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ⚙☽ เดือนที่ 1 ถ้าเงียบแปลว่าตกลงนะ? UP! 09/01
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 09-01-2018 01:15:35
ตกลงไปหาเดือนสิบนี้ต้องการอะไร พอเจอเดือนสิบแล้วจะพาเดือนสิบไปไหน  :hao4:
หัวข้อ: Re: ⚙☽เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ⚙☽ เดือนที่ 1 ถ้าเงียบแปลว่าตกลงนะ? UP! 09/01
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-01-2018 01:21:21
รออีกๆ
หัวข้อ: Re: ⚙☽เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ⚙☽ เดือนที่ 1 ถ้าเงียบแปลว่าตกลงนะ? UP! 09/01
เริ่มหัวข้อโดย: เปลว แว๊บแว๊บ ที่ 09-01-2018 02:47:22
นอตอนต่อไปจ้าาา ฮืออสนุกมากๆเลย
หัวข้อ: Re: ⚙☽เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ⚙☽ เดือนที่ 1 ถ้าเงียบแปลว่าตกลงนะ? UP! 09/01
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 09-01-2018 05:41:24
 o13
หัวข้อ: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 2 โคจรมาเจอ UP!! 10/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 10-01-2018 01:19:44
เดือนที่ 2

โคจรมาเจอ ⚙☽


“สวัสดีค่ะเพื่อนๆ พี่ๆ วันนี้กวางมาเปิดไลฟ์ เพราะมีเรื่องที่น่าจะเป็นทอร์ค ออฟ เดอะ ยูนิเวอร์ซิตี้ค่ะ ทุกคนคะ อยากจะรู้แล้วใช่ไหมคะว่าเป็นเรื่องอะไร เอาเป็นว่าถ้าอยากรู้ และไม่อยากให้เพื่อนๆ พี่ๆ ของคุณตกข่าวล่ะก็ รบกวนแชร์กันไปให้รู้ถึงทั่วกันด้วยนะคะ”


เสียงแหลมๆ ของผู้หญิงเพื่อนของเดือนสิบที่ผมเพิ่งรู้ชื่อว่าชื่อกวางกำลังพูดกับโทรศัพท์มือถือยี่ห้อดังที่ตอนนี้ผมคิดว่าเธอคงจะกำลังไลฟ์สดในเฟซบุ๊กของเธออย่างขยันขันแข็ง


“ถ้าทุกคนอยากรู้แล้วก็ดูนี่ได้เลยค่ะ”


แล้วจู่ๆ ก็สลับหน้ากล้องของตัวเอง ยื่นโทรศัพท์มาโฟกัสหน้าผมกับหน้าเดือนสิบพร้อมพูดต่อ


“เดือนมหา’ลัย เดือนสิบ กับ เมืองเอก เดือนคณะวิศวะตอนนี้มาป๊ะกันแล้วค่ะ!”


ถึงไลฟ์ของเธอที่กำลังถ่ายทอดสดจะถ่ายทั้งผมทั้งไอ้เดือนสิบ แถมยังพูดพล่ามอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่ถึงอย่างนั้นแต่ผมก็ไม่ได้ติดใจเอาความหรืออะไรหรอกครับ จะถ่ายก็ถ่ายไป ถ้าเดือนสิบไม่เดือดร้อน ผมเองก็ไม่เดือดร้อนอะไรด้วยเหมือนกัน


“ส่วนเหตุผลที่ทั้งสองคนนั่งอยู่ตรงนี้น่ะเหรอ?? กวางเองก็ไม่ทราบหรอกค่ะ รบกวนเชิญหาคำตอบไปพร้อมๆ กับกวางได้เลยค่ะ กวางจะทำหน้าที่ไลฟ์ให้ทุกคนดูเอง"


ว่าจบผู้หญิงที่จัดว่าสวยมากคนนั้นก็ยิ้มแป้นมองหน้าผม โดยที่ในมือยังถือโทรศัพท์เครื่องนั้นไว้


ไอ้เบศที่นั่งอยู่ข้างๆ แอบยกมือขึ้นสะกิดแขนผม...


“จะไม่เป็นไรเหรอวะมึง?”


มันพูดเบาๆ ราวกับเสียงกระซิบ ส่วนผมก็เลิกคิ้ว จะเป็นอะไรได้วะ?


เหมือนไอ้เบศมันจะไม่ค่อยไว้วางใจ มันกวาดสายตามองรอบๆ ตัว พวกผู้หญิงคณะอักษรที่เคยกรูเข้ามาเมื่อกี้ ตอนนี้ไม่ได้มารุมล้อมพวกผมแล้ว แต่นั่งเงียบๆ คอยสังเกตการณ์อยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ รอดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อ... บางคนที่นั่งอยู่ไกลหน่อยก็ก้มหน้ามองจอมือถือตัวเอง


ถ้าให้ผมเดา ผมว่ากำลังดูไลฟ์กันแหง


ผมเลิกสนใจแล้วเริ่มเล่นจ้องตามองหน้าคนหน้าตาดีมีดีกรีเป็นถึงเดือนมหา’ลัยที่นั่งตีหน้านิ่งเรียบไม่แสดงสีหน้าใดๆ อยู่ฝั่งตรงข้ามผม พร้อมด้วยเพื่อนที่นั่งขนาบข้างอีกสองคนของมัน เป็นผู้ชายหนึ่งคน ที่ผมยังไม่รู้จักชื่อ  และผู้หญิงที่กำลังทำหน้าที่ไลฟ์สด กวาง


ฝั่งผมมีแค่ตัวผมเองกับไอ้เบศที่นั่งเหงื่อตก รอสังเกตการณ์ทั้งฝั่งผมและฝั่งตรงข้าม มันคงเดาไม่ออกว่าผมจะทำอะไรต่อ ส่วนเรื่องที่ผมกับเดือนสิบมานั่งโต๊ะเดียวกัน จ้องหน้ากันอย่างนี้ได้ยังไงน่ะเหรอ? ก็...


ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ ทั้งๆ ที่ยังจับข้อมือไอ้ผู้ชายข้างหลังลากให้มาด้วยกันนี่แหละครับ หลังจากทึกทักเอาเองว่ามันตกลง แล้วเจ้าตัวก็ไม่ได้ปฏิเสธแถมบอกอีกว่าเพื่อนน่าจะรออยู่ที่โต๊ะใต้ตึก ผมก็เออออพาไป


เดือนสิบมันเจอเพื่อนทั้งสองคน พร้อมกับไอ้เบศที่ไปอยู่ด้วยกันได้ไงก็ไม่รู้


พอผมประกาศว่าตัวเองมาหา ‘เดือนมหา’ลัย’ คนที่กรูๆ กันก็เริ่มถอยไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วก็มาเป็นอย่างที่เห็น


“นายคือเมืองเอก?”


ในที่สุดเดือนสิบที่นั่งเงียบมองหน้าผมมานานมันก็เริ่มพูด ผมยิ้มแล้วตอบรับไป ถึงจะรู้สึกตงิดๆ กับสรรพนาม ‘นาย’ ที่มันใช้เรียกผม จะว่าไปแม่งก็สุภาพตลอดเลยนี่หว่า หรือว่ามันจะไม่พูดคำหยาบ?


“แล้วที่มานี่... มีอะไรเหรอ?”


แล้วเดือนสิบก็ถามต่อ และคำถามนั้นก็เป็นคำถามในใจใครหลายๆ คน กวางเงยหน้าขึ้นมาจากการก้มหน้ามองจอโทรศัพท์มามองผม รอคำตอบ ผมก็ไม่ได้ไร ยักไหล่ตอบไป 


 “กูมาหาเดือนมหา’ลัยไง อยากเห็นหน้า


เดือนสิบเอียงคอมอง เหมือนจะถามประมาณว่า แล้วไงต่อ?


“กูแค่สงสัยว่ามึงมีอะไรดีถึงได้เป็นเดือนมหา’ลัย จากที่ดูจากหน้าตา... ก็ว่าไม่น่าใช่ กูหล่อกว่าตั้งเยอะ” 


ผมพูดออกไปในสิ่งที่ตัวเองคิดตรงๆ จนไอ้เบศแทบจะถลนตามองผม พร้อมๆ กับเพื่อนไอ้เดือนสิบสองคนที่จ้องหน้าผมไม่ต่างกัน


“อะๆ นั่นแหละค่ะทุกคน เดือนวิศวะเขาว่างั้นแล้วทุกคนล่ะคะว่ายังไง?” ก่อนที่กวางจะตั้งสติได้ แล้วเริ่มพูดกับคนที่ดูไลฟ์อีกครั้ง


ไม่ต้องมาว่าว่าผมมั่นหน้า ผมรู้ตัว แล้วก็รู้ตัวด้วยว่าตัวเองหล่อกว่ามัน


เอาเป็นว่าไม่ต้องสนใจไลฟ์สดกับเสียงของกวาง เราหันมาโฟกัสที่เดือนสิบกันดีกว่า เจ้าตัวยังคงมองผมนิ่งๆ ด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออก ไม่ได้ว่าผม ไม่ได้ท้วง ไม่ได้เถียง เพียงแต่เงียบ เหมือนเจ้าตัวจะรอว่าผมจะพูดอะไรต่ออีกหรือเปล่า พอผมเงียบไปนาน ปากสีชมพูของผู้ชายตรงหน้าผมก็เปิดปากพูด


“แค่นี้เหรอ?”


“ใครๆ เขาก็พูดกันว่าคนที่สมควรได้ตำแหน่งเดือนมหา’ลัยควรเป็นกูมากกว่ามึง”   






ตึง! !





เดือนสิบลุกขึ้นยืน มือสองข้างนั่นกระแทกแรงๆ บนโต๊ะ เสียงดังจนเพื่อนทั้งสองคนรวมถึงไอ้เบศสะดุ้ง ส่วนผมน่ะเปล่า แค่เงยหน้าขึ้นนิดหน่อยมองคนที่ยืนจ้องตาผม


“ฟลุ๊ค ไปกันเถอะ”


 “หะ? ไปไหน???” ผู้ชายที่นั่งข้างมัน ซึ่งผมรู้ได้จากประโยคเมื่อกี้ว่าชื่อฟลุ๊ค ทำหน้าเหลอหลามองเพื่อนตัวเองอย่างสงสัย


“พาไปห้องหน่อยจะไปเอาแว่น”   


ผมได้ยินเพื่อนมันบ่นแว่วๆ ว่า “ขี้เกียจอะ” แต่สุดท้ายก็ยอมลุกตามไป




เสียแรงเปล่าที่ผมอุตส่าห์คิดว่าของมันจะขึ้น...


“เดือนสิบ..”


ผมเรียก แต่เจ้าของชื่อไม่ได้หันกลับมาหาผม เพียงแต่รู้ว่าได้ยินแน่ๆ ก็มันหยุดยืนรอว่าผมจะพูดอะไร ผมก็เลยยกยิ้มแล้วพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดต่อ


“กูอ่ะ เกลียดความพ่ายแพ้สุดๆ เลยว่ะ”


พอผมพูดจบประโยคขายาวๆ นั่นก็ก้าวฉับๆ จากไป พร้อมๆ กับเพื่อนอีกคน


ผมได้ยินเพื่อนข้างตัวตัวเองร้อง “อูวววว....” ยาวๆ


ไอ้เบศมันคงรู้ ว่าจะมีวอร์เกิดขึ้น ถึงจะไม่ใช่ไอ้เดือนสิบเริ่มก็เหอะ 


-------------------------------------


☽  เดือนสิบ พาร์ท  ☽


ผมโคตรหงุดหงิด หงุดหงิด!!


หงุดหงิดไอ้นั่น ไอ้เมืองเอก ตอนแรกเพราะผมสายตาแย่มากก็เลยไม่รู้ว่าไอ้หมอนั่นเป็นใครหรอก ยอมเดินตามมาเพราะฝ่ายนั้นเออออเองว่าจะไปส่งผม จนกระทั่งมารู้ ว่าผู้ชายตัวสูงคนนั้นชื่อ ‘เมืองเอก’ ถามว่าผมรู้จักไหมเหรอ? แน่นอนสิครับ ก็ที่ผ่านๆ มาเห็นหน้ากันตลอดตอนประกวดเดือนมหา’ลัย นอกนั้นอีกฝ่ายก็ยังเป็นคนดังด้วย จะไม่ให้รู้จักได้ยังไงล่ะ


ตอนแรกที่อีกฝ่ายบอกว่ามาที่นี่เพราะอยากมาหาเดือน มาหาผม ผมก็สงสัยแหละว่ามีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า ?? แต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็น... อะไรที่ผมอยากจะสบถหยาบคายใส่มันแบบตรงๆ แต่ผมทำไม่ได้ เลยได้แต่ด่าในใจเนี่ยล่ะครับ


เมืองเอกเกลียดผมเพราะผมแย่งตำแหน่งเดือน ทำให้เมืองเอกถูกตราหน้าว่าทำให้สถิติเดือนมหา'ลัย 4 ปีซ้อนของคณะวิศวะถูกทำลาย


ใช่... ผมรู้ว่าผมโดนเกลียด โดนมองเป็นศัตรู ตกเป็นเป้าหมายของอีกฝ่ายทั้งๆ ที่ตัวเองยังไม่ได้ทำอะไรผิด


แล้วนอกจากไอ้บ้าเมืองเอกนั่นจะหลงตัวเองแล้ว ยังเป็นคนแพ้แล้วพาล


“ใครๆ เขาก็พูดกันว่าคนที่สมควรได้ตำแหน่งเดือนมหา’ลัยควรเป็นกูมากกว่ามึง”   


เพราะโยคนั้นเป็นประโยคที่ทำให้ผมที่ทนมานานทนไม่ไหวอีกต่อไป อยากด่าตอกหน้ากลับไปว่าถ้ามึงแน่จริงทำไมไม่ได้เป็นเดือนวะ หมาที่กัดไม่เก่งชอบเห่าเสียงดัง!!


แน่นอนว่าผมไม่ได้พูด ผมไม่ได้อยากจะมีเรื่องกับมัน ผมเลยพอ ชวนฟลุ๊คเดินออกมาจากตรงนั้น โดยอ้างเรื่องเเว่น


แต่ดีแค่ไหนแล้วที่เมื่อกี้ไม่ได้ใส่แว่นหรือใส่คอนแทคฯ ถ้าผมใส่... ถ้าผมได้มองหน้าไอ้นั่นชัดๆ ล่ะก็ มีหวังฟิวขาดต่อยหน้ามันไปแล้ว


แล้วไอ้ที่ว่าเกลียดความพ่ายแพ้สุดๆ นั่นคืออะไร? จะหาเรื่องผม? ทำให้ผมถูกถอดออกจากตำแหน่งเดือนมหา'ลัยเหรอ???


เรื่องแบบนั้นน่ะมีที่ไหนกัน ตั้งแต่มหา'ลัยนี้มีประกวดดาวเดือนมา ผมไม่เห็นเคยได้ยินว่ามีคนที่รับตำแหน่งดาวเดือนมหา'ลัยไปแล้วถูกถอดออกจากตำแหน่ง ขนาดพี่เอส เดือนมหา'ลัยปีที่แล้ว ที่มีข่าวเสียๆ หายๆ มาตลอดจนเขารู้กันไปทั้ง ม. ยังไม่เห็นโดนถอดออกจากตำแหน่งเลยครับ เพราะงั้นประเด็นนี้เป็นอันว่าตกไป


นอกเสียจากว่าคนเเรกในประวัติศาสตร์ดาวเดือนที่ถูกถอนตำแหน่งจะเป็นผม...


ไม่มั้ง ผมน่ะคิดมากไปแล้ว ต่อให้ไอ้บ้าเมืองเอกนั่นอยากจะแย่งตำแหน่งกลับคืนไปก็คงทำไม่ได้หรอกครับ


“เดือนสิบ มึงโอเคเปล่า?”


ผมพยายามห้ามหัวที่กำลังร้อนของตัวเองให้เย็นลง แล้วหันหน้ากลับไปมองเพื่อนข้างตัวที่เดินอยู่เงียบๆ มานาน


“โอเค”


ผมตอบไปอย่างนั้น ถึงแม้ในใจจะไม่โอเค ก็ไม่ค่อยอยากให้คนข้างตัวเป็นห่วงนัก แต่เหมือนจะผิดคาด


“กูรู้มึงไม่โอเคเดือนสิบ”


อ้าว... ถ้ารู้แล้วจะแล้วจะถามทำไม? อันนี้ผมไม่ได้หงุดหงิดนะแค่สงสัย


“ทำไมกูจะไม่รู้ล่ะ เดือนสิบ กูกับมึงคบกันมานานแค่ไหนแล้ว”


ผมสะดุ้งเมื่อเหมือนถูกเพื่อนข้างๆ อ่านใจได้ คบกันมานานแค่ไหนแล้วเหรอ? จะว่าไปก็นาน(?)แล้วนะ เจอกันตอนรับน้องประมาณเดือนก่อนมั้ง...


...เดือนเดียวนี่เรียกนานเเล้วเหรอครับฟลุ๊ค ?? อ้อ เจ้าตัวอาจจะหมายถึงถามว่านานแค่ไหน


“มึงไม่ต้องไปใส่ใจกับคำพูดไอ้นั่นมากนักหรอก”


ผมพยักหน้ารับเพื่อนสนิท ตอนนี้ผมเริ่มใจเย็นลง จริงๆ ผมรู้ มันแค่เห่า แต่ก็อดหงุดหงิดกับคำพูดของเมืองเอกไม่ได้ ให้ตายสิ คนแบบนั้นทำไมถึงได้มีแฟนคลับเยอะนักนะ ถามจริงเหอะ แฟนๆ เมืองเอกนี่รู้รึเปล่าว่าเจ้าตัวแม่งนิสัยอย่างนี้... หึ แต่จะรู้หรือไม่รู้ตอนนี้ทุกคนก็ได้รู้แล้ว เล่นพูดต่อหน้ากล้อง ทั้งๆ ที่รู้ว่ากวางถ่ายไลฟ์อยู่ ผมจะแช่ง แช่งให้มันโดนแอนตี้! 


“เดือนสิบ”


เพื่อนผมเรียกอีกครั้งในขณะที่ผมคิดอะไรเพลินๆ ผมหยุดเดินก่อนจะหันไปหา


“มึงจะไปห้องไม่ใช่เหรอ รถกูจอดทางนี้”


ไม่ว่าเปล่า ฟลุ๊คชี้มือไปทางตึกข้างๆ ที่ตรงนั้นผมเห็นลางๆ ว่ามีรถจอดอยู่ ถ้าจำไม่ผิดฟลุ๊คบอกว่าจะออกรถ New Honda city 2017 สีดำ... รึว่านั่นจะเป็น!!


ผมยิ้มละไมแล้วสรรเสริญเพื่อนข้างตัวในใจ


โคตร’จารย์ฟลุ๊ค!!



....



แล้วคุณฟลุ๊คก็ขับรถคนนั้นไปส่งผมถึงที่คอนโดจริงๆ ครับ แบบถึงที่เลย ถึงแม้ว่ารถจะติดจนผมคิดว่าเดินจากมหาวิทยาลัยไปยังจะเร็วกว่า แต่ก็นั่นแหละ แดดเวลานี้ร้อนครับ ถึงรถจะติดแต่ก็ยังได้อยู่ในแอร์ มันก็ดีกว่า(รึเปล่า?)ถ้าเทียบระหว่างเดิน หรือนั่งวินมอเตอร์ไซค์


ระหว่างทางเราไม่ได้พูดอะไรมาก ฟลุ๊คที่นั่งเคาะนิ้วกับพวงมาลัยทอดสายตาจ้องตูดรถคันข้างหน้าแล้วบ่นพึมพำเบาๆ ว่า "ก็ติดเหมือนทุกที"


เล่นเอาความรู้สึกผิดนี่ถาโถมเข้าใส่ เพราะผมเป็นคนชวนเพื่อนคนนี้ออกมาเจอรถติดเอง แต่ก็นั่นแหละครับ ผมไม่รบกวนเพื่อนคนนี้ฟรีๆ หรอก


พอมาถึงที่จอดรถของคอนโด ผมก็รีบวิ่งคลำทางขึ้นลิฟต์ไปห้องตัวเอง พอหยิบเเว่นมาใส่เสร็จก็รีบลงมาหาเพื่อนที่จอดรถรออยู่ข้างล่าง


"ไม่ได้ใส่แว่นนานแล้วนะ เห็นแล้วแปลกๆ ดี"


คุณฟลุ๊คเอ่ยทัก ในขณะที่ผมพยักหน้ารับเบาๆ ไม่ลืมขอบคุณที่อุตส่าห์ขับรถพาผมมาเอาแว่น นอกจากนั้นเเล้วผมก็สัญญาว่าจะเลี้ยงซูชิเพื่อนเป็นการตอบเเทน


พวกเรามีเรียนคาบบ่ายครับ ผมกับฟลุ๊คก็เลยจำต้องขับรถกลับเข้ามาใน ม. อย่างช่วยไม่ได้ แหงล่ะครับ ถ้าไม่ใช่ว่าเพราะมีเรียนต่อ ผมไม่ถ่อไปเอาเเว่นถึงห้องแล้วกลับมาหรอก


พอกลับมาก็เจอกวางนั่งหน้ามุ่ยอยู่ที่โต๊ะใต้ตึกพร้อมกับเพื่อนร่วมเซคที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดีอีก 3-4 คน ส่วนสาเหตุที่เพื่อนสาวงอนอย่างนี้ก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เพราะผมกับฟลุ๊คดันทิ้งกวางไว้แล้วเดินหนีไป


"ขอโทษนะกวาง"


ผมรีบขอโทษ ส่วนกวางก็ดูเหมือนจะไม่ได้โกรธอะไรมาก ยอมยกโทษให้แต่โดยดี


"ก็พอเข้าใจเเหละว่าเป็นเพราะอะไร"


ใช่ ทั้งหมดมันเป็นเพราะไอ้... อะ.. พูดแล้วเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกแล้ว ดีแค่ไหนแล้วที่ผมกลับมาแล้วไม่ได้เจอเมืองเอกอีก สงสัยจะไสหน้าที่ตัวเองบอกนักบอกหนาว่าหล่อกว่าผมกลับคณะวิศวะไปเรียบร้อยแล้วล่ะครับ ชิ


"เอ้อ เเล้วก็ไม่ต้องห่วงนะเดือนสิบ เพื่อนๆ กับคนส่วนใหญ่น่ะอยู่ทีมแกนะ!"


ผมเอียงคอมองกวาง เริ่มไม่เข้าใจว่ากวางพูดถึงอะไร จนกระทั่งเธอเริ่มอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้


“ก็เพราะไลฟ์เมื่อกี้น่ะสิ เรื่องที่อีตาปากไม่ดีเมืองเอกนั่นพูดเขาก็เลยรู้กันหมดแล้ว แล้วตอนนี้เสียงก็แตกเป็นหลายฝ่าย หลายทีมเลย ทั้ง #ทีมเดือนสิบ #ทีมเมืองเอก แล้วนอกจากนั้นก็มีทีมคณะอื่นๆ ที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับทีมเมืองเอกด้วย ท่าทางเมืองเอกเหมือนจะไปหยามๆ เดือนคณะพวกนั้นด้วยล่ะมั้ง ก็เล่นไม่มองเดือนคณะอื่นอยู่ในสายตาเลยนี่นา.....”


เหมือนผมจะเริ่มเข้าใจคร่าวๆ หลังจากนั้นกวางก็เล่าฉากดุเด็ดเผ็ดมันที่คนในไลฟ์คอมเมนต์ตอบโต้กันราวกับจะทำสงคราม แถมจากคำบอกเล่าของกวาง เมืองเอกดูจะไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ตัวเองพูดไปทำให้คนลุกฮือกันมากแค่ไหน


ก็นั่นล่ะครับ ทำอะไรเอาไว้ก็ต้องเตรียมรับผลที่ตามมาด้วย


ส่วนผม ไม่อยากจะยุ่งวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้ ขออยู่เงียบๆ ของผมแบบนี้ดีกว่า


หลังจากกวางเปิดเรื่องเมืองเอกฝอยกับเพื่อนคนอื่นๆ ไม่นานก็กลับมาเป็นเรื่อง


“เดือนสิบ วันนี้พวกรุ่นพี่เขามีนัดเลี้ยงฉลองให้น่ะ ที่ร้านเดิม”


กวางหันมาทำตาวิ้งๆ ใส่ผมโดยที่ฟลุ๊คที่นั่งอยู่ข้างๆ ค้านว่าตัวเองจะไม่ไป.. อ่า ผมเองก็


“ไม่---...”


“ไม่ได้ ถ้าเดือนสิบไม่ไป แล้วงานเลี้ยงฉลองจะมีความหมายอะไรล่ะ พี่ๆ เขาเลี้ยงฉลองให้นะ เหมาร้านฉลองให้เลยนะ!”


ผมรีบปิดปากแทบไม่ทัน กวางจัดการพูดเสร็จสรรพ สรุปได้เองไปเลยว่ายังไงผมก็ต้องไป ถึงจะเห็นด้วยนิดๆ เรื่องที่ถ้าผมไม่ไปก็ไม่มีความหมาย ว่าแต่ขี้เกียจจังแหะ


“คนมาเยอะไหม?” ผมลองเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ตรงข้าม ซึ่งเธอตอบแทบจะในทันที


“จะเหลือเหรอ พอพี่เขาได้ข่าวว่าแกโสดก็ยกกันมาทั้งคณะแล้ว!”


อ่า... ทั้งคณะเลยเหรอ? อาจจะโอเวอร์ไปสักหน่อย


จะว่าไปแล้ว... ผมเคยบอกเหรอว่าตัวเองโสด-- อะ... เหมือนบนเวทีประกวดจะถูกพิธีกรจี้ให้ตอบคำถามข้อนี้นี่เนอะ อืม พอจำได้ลางๆ แล้วว่าตัวเองพูดจริงๆ


“รับรองว่าวันนี้อิ่มขนมจีบแน่นอนค่ะเพื่อน”


กวางยกนิ้วให้ ส่วนคุณฟลุ๊คที่นั่งฟังเงียบๆ มาตลอดอยู่ดีๆ ก็พูดขึ้นมา...









“ อ้างว้างชีวิต ” 



พลางมองตรงไปข้างหน้าราวกับกำลังล่องลอยและถอนหายใจเฮือกใหญ่



ผมกับเพื่อนร่วมโต๊ะคนอื่นถึงกลับหลุดขำพรืด ยกให้คำๆ นั้นเป็นคำคมแห่งวัน...



..........



เยอะ.. คนเยอะจริงๆ ครับ มีตั้งแต่พี่บัณฑิตของคณะที่จบไปนานแล้ว ไปจนถึงเพื่อนๆ รุ่นเดียวกับผม มากันเยอะมากๆ ไม่แน่ใจเหมือนว่าเป็นเพราะงานเลี้ยงนี้ทั้งอาหาร เครื่องดื่มฟรีตลอดงานหรือเปล่า


ส่วนคุณฟลุ๊คไม่ได้มางานตามที่เจ้าตัวบอกนั่นแหละ รายนั้นเป็นโรคโฮมซิกตลอดเวลา แล้วก็รักบ้านยิ่งชีพครับ


ผมเลยมาแค่กับกวางแล้วก็มีเพื่อนตามที่บอกว่าคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่อีกเยอะแยะ รุ่นพี่ก็ขยันเข้ามาทัก มาชวนกิน ชวนดื่ม แต่ผมไม่ดื่มอยู่แล้วก็เลยทำได้แต่ซดน้ำเป๊บซี่ทั้งงาน นอกจากนั้นก็มีแวะมาถามข่าวคราวเรื่องที่เป็นฮ็อตนิวส์อยู่ตอนนี้


หนีไม่พ้นเรื่อง... เมืองเอก


ผมก็ได้แต่ครับๆ ตามความเห็นพวกพี่ๆ เขาไป แล้วก็บอกเขาว่าผมตั้งใจจะอยู่นิ่งๆ เงียบๆ ของผม


กว่าจะได้กลับจากงานเลี้ยงก็ประมาณ 4 ทุ่มครับ ถึงผมจะว่ามันไม่ได้ดึกมาก แต่ก็เป็นเพราะพวกพี่ๆ เขายังดื่มกินกันต่อ ส่วนผมขอออกมาก่อน ประมาณว่าไปปรากฏตัวในงานพอเป็นพิธี


ผมลากสังขารตัวเองกลับมาคอนโดได้สำเร็จ หลังจากตอนแรกตั้งใจจะอาบน้ำเข้านอนเลย แต่ดันเพิ่งมาคิดขึ้นได้ ว่าตัวเองลืมซื้อครีมล้างหน้ากับสบู่ที่เพิ่งหมดไปเมื่อเช้า ก็เลยได้เรื่องลงไปเซเว่นข้างล่างอีกรอบ จังหวะที่ผมเปิดประตูห้องออกไป...


อะ....


“ไง”


ทำไมซวยอย่างนี้วะ


ไอ้เมืองเอกมันหันมาพร้อมรอยยิ้มที่มันคิดว่าตัวเองหล่อมากมั้ง แล้วส่งเสียงทักเหมือนว่าผมกับมันเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน ทั้งๆ ที่เอาจริงๆ มันไม่ต้องทักผมก็ได้ ถึงแม้ว่าผมกับมันจะรู้จักกันแล้ว... แต่แค่มองหน้ากันนิดหน่อย  แล้วเดินผ่านหน้าไปก็พอไม่ใช่เหรอ..


“.....”


ผมไม่ได้พูดอะไร หรือทักมันกลับหรอกนะครับตั้งใจจะจบบนสนทนาแล้วเดินผ่านไปแต่ว่าเสียงทุ้มๆ นั่นเอ่ยถามขึ้นมาก่อน







“เออ มึงอยู่คอนโดนี้เหรอวะ?”



----------------------------TBC-------------------------


สวัสดียามดึกค่ะ //ถึงจะไม่ดึกเท่าไหร่ก็เถอะ
ยังคงคอนเซ็ปความไม่มีอะไรของนิยายเรื่องนี้ 5555
แอบเผยคาร์ของตัวเองทั้งคู่ออกมานิดๆ แล้วนะคะ

เดือนสิบ
นี่จะเป็นแนวๆ เงียบๆ ไม่ค่อยพูดอะไรมาก ซึ่งตรงข้ามกับความคิด
ถ้าอ่านพาร์ทเดือนสิบก็จะรู้สึกได้เลย ภายนอกไม่ทุกข์ร้อนแต่ในใจนี่เดือด...
(เป็นพวกเก็บสีหน้าเก่ง)

เมืองเอก
จะเป็นประเภทมั่นใจในตัวเองค่ะ แบบมากๆ คิดอะไรก็พูดตรงๆ 
ถึงจะปากร้ายไปหน่อยก็เถอะ  จริงๆ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ //แหะๆ

แล้วก็ขอบคุณทุกคอมเมนต์ทุกการติดตามด้วยนะคะ
ไว้พบกันไหมตอนหน้า รักทุกคนค่ะ >< <3



#วิศวะเดือนสิบ
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 2 โคจรมาเจอ UP!! 10/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-01-2018 01:29:33
ถ้าเดือนสิบไม่ชนะตัวเอง ก็คงไม่เห็นเดือนสิบอยู่ในสายตาซินะเมืองเอก  :hao4:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 2 โคจรมาเจอ UP!! 10/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-01-2018 02:37:54
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 2 โคจรมาเจอ UP!! 10/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-01-2018 04:13:58
เมืองเอก แปลกมากกกกกกกก  o22 o22 o22
คนอะไร มั่นหน้าซะขนาดนี้ ว่าตัวเองหล่อที่สุดในมอ  :really2:
ไม่ยอมแพ้ ในเรื่องที่เป็นมติของกรรมการ ของเพื่อนในมอ
ไอ้เกลียดความพ่ายแพ้ ใครๆก็เกลียดกันทั้งนั้น
แต่เขาก็ไม่ไปประกาศกันให้เอิกเกริกแบบนี้  :fire:
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 2 โคจรมาเจอ UP!! 10/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 10-01-2018 07:59:33
ออกตัวแรงจังนะเมืองเอก (แต่สงสัยจริง ๆ ว่าอะไรทำให้เดือนสิบได้เป็นเดือนม. ขนาดเจ้าตัวยังคิดไม่ถึง ฮา)
ว่าแต่... เมืองเอกจ๊ะ พลาดตำแหน่งเดือนมหา'ลัย สนใจเป็นแฟนเดือนไหม (ถ้าเขาจะเอานายอ่ะนะ ฮุฮุ)
หัวข้อ: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 3 มีแผนไหม? [30%] UP!! 01/04/61
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 01-04-2018 01:22:55
เดือนที่ 3
มีแผนไหม? ☽
 

“เออ มึงอยู่คอนโดนี้เหรอวะ?”


ผู้ชายที่ผมไม่คิดว่าจะเจอยืนอยู่ตรงหน้าเอ่ยขึ้นเรียบๆ ด้วยเนื้อความของประโยคคำถามที่ว่าทำให้ผมฉุกคิด...



เออ แล้วผมอยู่คอนโดนี้เหรอวะ..---



เฮ้ย! ไม่สิ ผมต่างหากที่ควรจะถามทางนั้นว่าอยู่คอนโดนี้ด้วยเหรอ? แล้วที่สำคัญเมื่อกี้เมืองเอกเพิ่งจะไขกุญแจเสียบคีย์การ์ดเข้าห้องฝั่งตรงข้ามห้องของผมด้วยซ้ำ แต่... ผมอยู่คอนโดนี้มาตั้งแต่ช่วงก่อนเปิดเทอม ไม่เคยเห็นเขาสักครั้ง ยิ่งถ้าอยู่ห้องตรงข้ามด้วยแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เคยเจอ


หลังจากใช้เวลาคิดเรื่องนั้นอยู่สักพักผมก็ตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ตอบคำถามกลับไปสั้นๆ ตามมารยาททั้งๆ ที่ในใจผมไม่ได้อยากจะคุยอะไรด้วย


“อืม”


หลังจากที่ตอบคำถามหน้าหล่อๆ ที่เคยเห็นมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้สังเกตและเห็นแบบชัดๆ ในระยะที่ใกล้ขนาดที่ห่างกันไม่กี่ก้าวขนาดนี้มาก่อนก็เริ่มประดับด้วยรอยยิ้ม ที่ไม่รู้ผมอคติไปเองหรือเปล่า ผมกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นโคตรมีลับลมคมใน แต่ก็อย่างว่า เมืองเอกหน้าตาดีมากๆ จริงๆ ไม่ว่าจะยิ้มแบบไหนก็ส่งให้เขาดูดีขึ้นทั้งนั้น ถึงแม้ผมจะมองด้วยความอคติแล้วก็เถอะ


ช่างเรื่องของเมืองเอกหน้าหล่อแต่ปากสุนัขคนนี้ไปเถอะครับ ผมไม่อยากเสวนาด้วยมากกว่านี้ เลยตั้งใจจะเดินจากไปแต่แทนที่จะได้ทำอย่างที่ตัวเองคิด คนตรงหน้าก็ส่งเสียงขึ้นอีกประโยค


“หืม... บังเอิญจังเลยว่ะ กูก็เพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ ตกใจเหมือนกันที่ห้องตรงข้ามดันมาเป็นห้องของเดือนมหา’ลัยซะได้ ดวงกูกับมึงนี่สมพงศ์กันดีนะ” 


“...”


ผมเงียบไม่ได้พูดอะไรตอบ หันกลับไปมองหน้าเมืองเอกที่ยังคงยิ้ม สายตาที่มองมากับน้ำเสียงที่เน้นหนักตรงคำว่า ‘เดือนมหา’ลัย’ นั่นก็ทำให้ผมรู้ได้ไม่ยากเลย


สมพงศ์บ้าบออะไร ! ผมเพิ่งโดนอีกฝ่ายไม่ชอบหน้าและทำท่าเหมือนจะมาหาเรื่องเมื่อตอนกลางวันนี้ แล้วต้องมารับรู้ความจริงว่าต้องอยู่ห้องตรงข้ามกันอีก...


ปวดหัวจังครับ ต่อให้ผมอยากจะเป็นฝ่ายย้ายหนีก็ทำไม่ได้หรอกครับ เพราะงั้นทางที่ดีที่สุด ต่างคนต่างอยู่ไปนะ



….



ต่างคนต่างอยู่ดีที่สุด


เมื่อคืนหลังนั้นผมก็เดินหนีออกมา ลงไปซื้อของข้างล่างสำเร็จเสร็จสับตามที่ตั้งใจ โดยไม่ได้มีการพูดคุยใดๆ เพิ่มเติมนอกจากประโยคที่พูดเมื่อคืน พอขึ้นมาบนห้องก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ


เอาจริงผมก็คิดว่ามันไม่ได้แย่อย่างที่คิดเอาไว้ตอนแรก ถ้าเราต่างคนต่างอยู่กันแบบนี้ ผมก็ใช้ชีวิตของผม เมืองเอกก็ใช้ชีวิตของเขาไป ถ้าไม่ชอบกันก็ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกัน ถ้าไม่ใช่เพราะอยากเข้ามายุ่งเพราะอยากหาเรื่องล่ะก็นะ


ผมตื่นเช้าขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว ใส่ชุดนิสิตเรียบร้อยก็เตรียมออกจากห้องไปม.ในเวลาประมาณ 7 โมงกว่าๆ เพราะวันนี้ผมมีเรียนเช้า แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องบังเอิญหรืออะไรดลใจทำให้คนแรกที่ผมเจอในเช้าวันนี้...


“.....”


...เป็นเมืองเอก


“มีเรียนเช้าเหมือนกันเหรอ?”


“อืม” 


เขาถามและผมก็ตอบ สั้นๆ ผมไม่หวังให้เราคุยยาวกันมากกว่านี้หรอกครับ ไม่รู้จะรับมือยังไงด้วย ยิ่งต้องเข้าลิฟต์ด้วยกัน เดินออกจากคอนโดพร้อมกัน หรือไม่อาจจะไป ม. พร้อมกันเลยก็ได้


จะว่าไป...


ผมแวะเซเว่นซื้ออะไรกินเป็นข้าวเช้าหน่อยดีกว่า


พอประตูลิฟต์เปิดผมก็ก้าวขาเดินออกจากตัวลิฟต์จุดหมายปลายทางอยู่ที่เซเว่นสาขาประจำ แต่ระหว่างเดินก็รู้สึกว่ามีคนเดินตามหลังมา พอหันกลับไปถึงได้รู้..


“อะไร? กูจะแวะเซเว่นเหมือนกันหรอก”


ผู้ชายตัวสูงที่จากที่ดูๆ แล้วเหมือนจะสูงกว่าผมนิดหน่อยพูดขึ้นทันทีที่ผมหันกลับไปมอง หัวคิ้วเข้มๆ หนาๆ นั่นยกขึ้นเล็กน้อยด้วยท่าทางกวนๆ จนผมเริ่มหมั่นไส้อยู่ในใจ


“กูไม่ได้จะเดินตามมึงสักหน่อย”


ยัง... ยังเสริมอีกประโยค ไม่รู้จะเชื่อคำที่เจ้าตัวบอกดีไหม แต่ช่างแล้วกัน


ผมเดินเข้ามาในเซเว่น ทันทีที่เข้าร้าน พนักงานแคชเชียร์หน้าเคาน์เตอร์ก็ตะโกนยินดีต้อนรับเสียงดัง จนผมต้องเผลอหันไปมองตลอด ทั้งๆ ที่จริงๆ ควรจะชินกับพนักงานสาขานี้ได้แล้ว


พอหันไปก็เจอรอยยิ้มหวานหยดที่ไม่ต้องเดาก็รู้ ผมพอรู้ว่าพนักงานผู้หญิงที่นี่แอบปลื้มๆ หน้าตาผมอยู่บ้าง แต่ครั้งนี้ต่างไปสักหน่อย ไม่ใช่แค่ยิ้มให้ผม แต่สายตาหวานหยดนั่น ยังมองเลยไปยังผู้ชายข้างหลังที่เดินตามผมเข้ามาด้วย


ใช่ครับ เมืองเอก...


ผมแยกออกไป เดินไปหาดูแซนวิชไม่ก็ขนมปังแบบที่กินได้เลยไม่ต้องเข้าไมโครเวฟเพราะไม่อยากเสียเวลา ยิ่งเป็นเซเว่นสาขานี้ ซื้อทีไรหาเรื่องทำนานๆ ให้ผมต้องยืนรอตลอด หลังๆ รู้แกวครับก็เลยหาวิธีทีที่เร็วที่สุด จากนั้นก็เดินไปหยิบนมกล่องมาอีกหนึ่ง


แต่พอจะเดินไปคิดเงินที่เคาน์เตอร์ก็ต้องเจอกับแผ่นหลังของผู้ชายในเสื้อช็อปวิศวะสีเข้ม ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับคนเดิมแหละ เช้าๆ แบบนี้แปลกที่ไม่ค่อยจะมีคนเข้าใช้ทั้งๆ ที่เป็นช่วงเวลาเร่งด่วนแล้วก็เป็นย่านที่พักแท้ๆ

 
พนักงานก็คิดเงินอ้อยอิ่งแบบรู้จุดประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นพยายามหยิบของช้าหรือสแกนบาร์โค้ดเอื่อยๆ หรือแม้กระทั่ง


“รับขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มไหมคะ?” พนักงานหญิงช้อนสายตามองเมืองเอกตาแทบไม่กะพริบ แต่คนตรงหน้าผมที่ยังคิดเงินไม่เสร็จง่ายสักทีตีหน้านิ่งๆ แล้วปฏิเสธแข็งๆ ไป แต่ยังคงรักษามารยาท


“ไม่ครับ”


“สินค้าตัวนี้เป็นสินค้าตัวใหม่นะคะ มีโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 นะคะ หรือว่าจะเป็นสินค้าตรงนี้ ลดราคาจากปกติห่อละ 25 บาท ถ้าซื้อ 2 ห่อ ลดเหลือ 35 บาทนะคะ สนใจรับไหมคะ?”


จากนั้นพนักงานก็ร่ายออกมายาวเป็นประโยคเสนอขายของเต็มที่ ถึงแม้จะไม่สามารถทำให้เมืองเอกซื้อของที่พวกเธออุตส่าห์เสนอได้ แต่ก็ถือว่าคุ้มถ้าแลกกับเวลาที่จะได้มองหน้าคนหน้าตาดีนานขึ้นไปอีก อืม... ผมว่าผมเข้าใจนะ


“ไม่เอาครับ”


เมืองเอกปฏิเสธกลับไปอีกรอบ เธอถึงได้เลิกตื้อแล้วจัดแจงเอาของที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ใส่ถุงเตรียมจะคิดเงิน ซึ่งควรจะเสร็จได้ตั้งนานแล้ว ผมจะได้จ่ายๆ เงินบ้างสักที แต่ยังไม่ทันที่เมืองเอกจะได้หยิบเงินขึ้นมาจ่าย อยู่ดีๆ เขาก็หันกลับมามองผม ใช่ครับ มองผมที่ต่อแถวอยู่ข้างหลังเขาเนี่ย


มองทำไม? มีอะไร?..


ผมไม่ได้เอ่ยถาม แค่กระพริบตามองเขาตอบ


ก่อนที่จะได้ตั้งตัว มือใหญ่ๆ ก็แย่งขนมปังที่ผมถืออยู่พร้อมกับนมกล่องของผมไป


“จ่ายรวมนี่ด้วยครับ”


หลังจากแย่งได้ เขาก็วางของของผมลงบนเคาน์เตอร์แล้วพูดขึ้นอีกประโยค ในขณะที่ผมงงเป็นไก่ตาแตกแต่เก็บอาการ พอคิดเงินเรียบร้อยเขาก็เรียกให้ผมเดินตามออกไปพร้อมล้วงมือเข้าไปในถุงเซเว่น


“เอ้า นี่ของมึง ” 


แทนที่จะให้มาเป็นของแต่เมืองเอกกลับหยิบของของตัวเองออกจากถุงแล้วยื่นทั้งถุงเซเว่นส่งให้ผมแทน ผมก็รับมานะ แล้วก็ไม่ลืมหยิบเงินค่าของส่งให้ด้วย


“ถ้าแยกกันคิดเงินกว่ามึงจะคิดเงินเสร็จโดนยื้ออีกหลายนาทีแน่”


เจ้าตัวบ่นเบาๆ แต่ตั้งใจพูดให้ผมได้ยินด้วยแน่นอน ซึ่งผมก็เห็นด้วยในข้อนี้ ผมก็เลยพยักหน้ารับช้าๆ ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากคำว่าขอบคุณ ก็ตามมารยาทอีกนั่นแหละครับ สองขาก็เริ่มก้าวเดินอีกครั้ง คราวนี้มีจุดหมายอยู่ที่ป้ายรถเมล์ เหมือนเดิม เมืองเอกก็ยังคงเดินตามมาทั้งยังบ่นไม่หยุดอีก


“เออ พนักงานที่นี่แม่งรับมือยากชิบหาย”


อืมอันนี้เห็นด้วยอีกเหมือนกัน แต่ก็ยังนับว่ามีมารยาทนะ เพราะอย่างน้อยก็ไม่ได้จู่โจมถามอะไรแบบโต้งๆ


“ตอนมึงมาโดนแบบนี้บ่อยไหม?”


อันนี้เหมือนผมจะโดนเมืองเอกถาม ผมหันหน้าไปหาคนที่เดินตามอยู่ข้างหลัง ยังไม่ทันได้ตอบ คนหน้าตาดีเหมือนปากก็พูดเรื่องชวนน่าหงุดหงิดขึ้นมาก่อน


“ก็คงโดนบ่อยสินะ เผลอๆ โดนมากกว่ากูอีกหรือเปล่า ก็ดีกรีเดือนมหา’ลัยนี่?


“....”


นั่น... เอาอีกแล้ว   


ตอนแรกนึกว่าเช้านี้เมืองเอกจะไม่พูดอะไรแนวๆ ทำนองนี้ แต่ผมก็คิดผิด เจ้าตัวยังไม่เลิกแขวะผมเรื่องเดือนมหา’ลัยสักทีจนตอนนี้ผมต้องยอมรับว่าตัวเองเริ่มหงุดหงิด เรื่องเดิมๆ ที่แม่งไม่ยอมหยุดพูด


ก่อนจะได้หัวร้อนเพราะคำพูดของอีกฝ่ายไปมากกว่านี้ผมเลยตัดสินใจ ไม่ขึ้นแล้วรถเมล์ เดินไปขึ้นวินแม่งเลย จะได้ไม่ต้องทนใช้เวลาอยู่กับคนที่ไม่ชอบหน้าผมอีก


..........
 
ผมนั่งวินมอเตอร์ไซค์เข้า ม. มา พี่วินแกมาส่งถึงหน้าคณะเลยครับ พอจ่ายเงินเรียบร้อยก็เดินเข้าไปนั่งกับฟลุ๊คที่ผมกวาดสายตามองแวบเดียวก็เห็นอีกฝ่ายก้มหน้าเล่นโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะใต้ตึก


หลังจากเอ่ยทักกันนิดหน่อยผมก็ลงมือแกะขนมปังในถุงเซเว่น หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูนาฬิกาเหลือเวลาอีกร่วมๆ ครึ่งชั่วโมงกว่าจะได้เวลาเรียนเพราะฉะนั้นไม่ต้องรีบร้อน เลยค่อยๆ กินอาหารเช้าของตัวเองไป เปิดไลน์เช็คข้อความไป จนกระทั่งเลื่อนมาเจอข้อความที่ทำให้ผมอยากจะถอนหายใจยาวๆ 


“มีไรวะ ทำไมทำหน้างั้น?” ฟลุ๊คละสายตาจากจอโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมามองหน้าผม ก่อนเอ่ยถาม ผมรู้ว่าผมไม่ได้ทำสีหน้าแปลกๆ อยู่หรอกครับ หน้านิ่งเหมือนปกตินั่นแหละ แต่ไม่รู้ทำไมโคตร’จารย์ฟลุ๊คถึงได้จับได้อยู่บ่อยๆ


“พี่แอ้มไลน์มาบอกว่ามีงานเข้าแล้วน่ะ วันเสาร์นี้ต้องไปถ่ายรูปทำโปสเตอร์กับลงนิตยสาร ม.”


ผมค่อยๆ อธิบายในขณะที่คุณฟลุ๊คพยักหน้าเข้าใจ แล้วพูดเป็นเชิงว่าโชคดีนะ จนผมอยากจะถอนหายใจยาวๆ กับวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผมจะต้องมาเสียไป ด้วยสาเหตุที่ตัวเองได้รับตำแหน่งเดือนมหา’ลัย


เคยถามตัวเองเหมือนกันว่าถ้ารู้ว่าตัวเองจะได้เป็นเดือนมหา’ลัยในตอนนี้ ตอนนั้นจะยอมลงเป็นเดือนคณะอักษรให้พี่แอ้มไหมนะ?


อ่า... มันเริ่มวุ่นวายตั้งแต่บนเวทีแล้วล่ะครับตอนนั้น ใครใช้ให้คณะวิศวะได้ตำแหน่งเดือนมหา’ลัยยาวนานถึง 4 ปีซ้อน แล้วใครใช้ให้ต้องเป็นผมที่มาล้มสถิตินั้นกันเนี่ย


ยิ่งโดนเดือนคณะวิศวะอย่างเมืองเอกหมายหัวไว้แล้วยิ่ง...


ยิ่งคิดก็ยิ่งพาลให้ขนมปังรสชาติแย่ไปด้วย


แต่ก็ยังทนๆ กินมันจดหมด พร้อมๆ กับค่อยๆ ตอบไลน์รุ่นพี่ไปด้วย


“เดือนสิบบบบบบบ-----”


เรียกเล็กๆ ดังขึ้นเรียกให้ผมที่เป็นคนเจ้าของชื่อและคนที่นั่งอยู่แถวๆ นี้พากันมองตามที่มาของเสียงกันหมด ก็เล่นตะโกนโวยวายไม่เกรงใจใคร โชคยังดีที่ยังเช้าอยู่ คนแทบจะไม่ค่อยมี ที่มาๆ ส่วนใหญ่ก็ปีหนึ่งด้วยล่ะครับ


ส่วนเจ้าของเสียงนั่นไม่ใช่ใครที่ไหนไกล กวางเดินเร็วๆ เข้ามาที่โต๊ะ


“ไง เมื่อคืนงานเลี้ยงเป็นไงบ้าง?” คุณฟลุ๊คเอ่ยถามกวางที่เพิ่งทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามผม


“เลิศมาก อาหารฟรี เครื่องดื่มฟรี ลากยาวไปยันตี 1 ตี 2 แต่! จะเลิศกว่านี้มากถ้าพระเอกของงานอยู่นานกว่านี้หน่อย ไม่ได้รีบกลับไปตั้งแต่ 4 ทุ่ม”


ผมเริ่มอยากยิ้มแห้งส่งให้


“เดือนสิบรู้ไหม พอแกกลับไปนี่มีแต่พวกพี่ๆ เรียกหา เดือนสิบๆ ๆ ๆ เดือนสิบอยู่ไหน กันทั้งงาน...”


กวางร่ายยาวในขณะที่จ้องมองผมเขม็ง เหมือนเธอจะลำบากต้องคอยตอบคำถามและรับมือกับพวกรุ่นพี่ที่เอาแต่จะเรียกหาผม ผมเลยผงกหัวให้กวางเบาๆ เป็นเชิงขอโทษสำหรับเรื่องนี้ ซึ่งเธอก็ได้แต่โบกมือบัดแล้วส่ายหน้าบอกไม่เป็นไร


“เรื่องงานนั่นน่ะช่างมันก่อนเถอะ นี่ ได้ข่าวมาจากพี่แอ้มว่าแกมีงานถ่ายรูปวันเสาร์นี้ใช่ไหมอ่ะ?”


ผมกระพริบตามองกวาง ข่าวไวดีแท้ ทั้งๆ ที่ผมก็เพิ่งรู้เมื่อกี้นี้เอง


ผมพยักหน้าตอบในขณะที่กวางเริ่มร้องกรี๊ด จนฟลุ๊คถึงกับหรี่ตามองท่าทางของเพื่อนสาวที่แปลกๆ เกินหน้าเกินตา


“แล้วรู้ไหมเดือนสิบว่าแกจะได้ถ่ายงานคู่ใคร รู้ไหมๆ !”


ผมเอียงคอส่ายหน้า ดูท่ากวางจะรู้รายละเอียดงานมากกว่าผมอีก


“ถ้าไม่รู้เดี๋ยวฉันจะบอกให้ แกจะได้ถ่ายงานกับคนดังของคณะวิศวะ!


อ... นั่นทำผมคิ้วกระตุก คนดังคณะวิศวะนี่ อย่าบอกนะว่า.....


“....”


“เงียบทำไมอ่ะ ไม่รู้เหรอ เดาสิๆ” กวางยิ้มและดูท่าจะกระตือรือร้นมากเสียจนผมเริ่มสังหรณ์ใจ คนดังคณะวิศวะคนที่ว่านี่ในหัวผมดันมีแค่ชื่อเดียวโผล่ขึ้นมาซะด้วย


“เมืองเอก?”     


ใช่ ชื่อนั้นแหละ ใช่เลย! แต่ผมไม่ได้เป็นคนพูดนะครับ คุณฟลุ๊คที่นั่งเงียบอยู่นานเปิดปากถาม แต่ผิดคาดที่กวางกลับส่ายหน้าแล้วจุ๊ปาก


“โนๆ ไม่ใช่จ้า”


“อ้าว แล้วใครวะ?”


เป็นคำถามที่ผมอยากถามแต่ฟลุ๊คถามให้แล้ว ผมแค่เงียบและรอฟังกวางที่ฉีกยิ้มกว้างอยู่ตรงหน้า


“คนดังของคณะวิศวะที่ว่า...”


กวางเว้นระยะให้ผมกับเพื่อนอีกคนได้ลุ้น หลังจากเงียบหายไปไม่นานริมฝีปากสีชมพูก็ขยับเอ่ยคำพูดออกมา


“....ก็คือพี่เอสไงล่ะ!”


พี่เอส....


ผมพึมพำชื่อนั้นในใจ เอสนั่นคงจะหนีไม่พ้น


พี่เอส เดือนคณะวิศวะที่ได้ตำแหน่งเดือนมหา’ลัยปีที่แล้ว นอกจากความหล่อหน้าตาดีและความรวยแล้วยังมีอีกเรื่องที่ทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ แทบจะทุกคนใน ม. จะต้องคิดถึงเรื่องนี้.... ข่าวไม่ค่อยดีเท่าไรเกี่ยวกับพี่เขา


แล้วคุณฟลุ๊คพูดขึ้นเรียบๆ ว่า



 

“ จบละ ”

 
--------30%---------


สวัสดียามดึกเช่นเคยค่ะ ขอโทษที่หายไปนาน
ไม่มีอะไรจะแก้ตัวค่ะ แถมยังมาลงแค่ 30%
//งอแง มันช่างน้อยนิด (ที่เหลือกำลังจะตามมาค่ะ TTvTT)

เอาเป็นว่าขอบคุณทุกท่านที่ติดตามและคอมเมนต์เป็นกำลังใจนะคะ
รักทุกคน----------
 :hao7:

#วิศวะเดือนสิบ
(แก้ไขคำผิดค่ะ 15/01/2561)

หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 3 มีแผนไหม? [30%] UP!! 01/04/61
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-04-2018 02:15:41
มันข่าวไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องอะไรหรอ อยากรู้ ๆ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 3 มีแผนไหม? [30%] UP!! 01/04/61
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 01-04-2018 10:38:38
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 3 มีแผนไหม? [30%] UP!! 01/04/61
เริ่มหัวข้อโดย: fsbeentaken ที่ 01-04-2018 22:12:17
คุณเมืองเอกมีความไม่มีเหตุผล แถมยังกร่างไปอี๊กกกกก

เห้ออออ

 :z6:
หัวข้อ: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 3 มีแผนไหม? [100%] UP!! 16/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 16-05-2018 01:17:50
เดือนที่ 3
มีแผนไหม? ☽⚙
 


 

--------------------[100%]--------------------





⚙ เมืองเอก พาร์ท ⚙





“เมืองเอกนี่มึงทำอะไรลงไปรู้ตัวบ้างไหมเนี่ย!!?”





เสียงโวยวายจากเพื่อนที่เดินอยู่ข้างๆ ผมดังหนวกหูตลอดตั้งแต่ผมเดินออกมาจากตึกคณะอักษรแล้วล่ะครับ แต่ผมไม่ได้สนใจมันหรอก มันโวยวายเวอร์เกินเหตุ ไอ้เรื่องที่มันบ่นๆ ตอนนี้ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่อย่างที่พูดเลย





ก็กูยังไม่ได้ทำอะไรเลยนี่หว่า...





พอเดินเข้ามาถึงก็เจอกลุ่มเพื่อนๆ ปี 1 ผู้ร่วมทุกข์ ร่วมสุข ร่วมโศกกับการรับน้องทรหดที่กว่าจะผ่านมาได้ก็แทบช่วยกันห้ามเพื่อนไม่ให้ไปยื่นใบลาออกกันมาหลายรอบ กับพวกรุ่นพี่สายชิล ที่ถ้าจะให้ผมพูด ผมว่าคณะวิศวะมหา’ลัยของผมเป็นคณะวิศวะที่ชิลที่สุดในสยามประเทศแล้วล่ะครับ ซึ่งตอนนี้ตามแต่ละโต๊ะมีทุกการละเล่นไม่ว่าจะกลุ่มพี่เฟิร์สที่กำลังนั่งเล่นหมากรุก กลุ่มพี่กุ๊กที่กำลังเล่น ROV ตีป้อมกันอย่างฮ็อตเฮด กลุ่มพี่อัดกางกระดานเปิดตี้บอร์ดเกม และที่หนักๆ หน่อยก็กลุ่มพี่ตอที่กำลังระบำไพ่โดยไม่เกรงใจใครหน้าไหนทั้งนั้นทั้งๆ ที่ยังอยู่ในคณะ





ถ้าเดินเข้ามาครั้งแรกก็คงจะตกใจว่าที่นี่ใช่คณะวิศวะแน่เหรอวะ?





เอาจริงพวกผมก็เคยตกใจกันมาแล้วรอบหนึ่งหลังรับน้องจบ รับเกียร์ รับรุ่น เฉลยสายรหัสอะไรกันเรียบร้อยแล้ว พวกพี่ๆ ที่เคยตึง นั่งเก๊ก ยืนเก๊ก เดินเก๊ก หรือแม้แต่จะเข้าห้องน้ำไปฉี่ก็ยังต้องเก๊ก เพราะกลัวหลุดฟอร์ม ก็เปลี่ยนอารมณ์กันเร็วมากๆ คลายความตึงก่อนหน้านี้ไปเลย  แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะคลายเกินไปจนหย่อนยานอย่างที่เห็น





“พี่โฟล์ค นั่นไอ้เมืองเอก!”





ผมหันขวับก็เห็นไอ้แรปตบโต๊ะดังป้าบแล้วชี้ไม้ชี้มือมาทางผม พร้อมทั้งตะโกนเสียงดังจนคนอื่นหันมามองหน้าผมกันเป็นแถว





“ไอ้เมืองเอกมานี่”






ผมขมวดคิ้วมองพี่โฟล์คที่ทำเสียงเข้มเก๊กหน้า จนผมแปลกใจ ปกติพี่แกไม่เก๊กขนาดนี้ตั้งแต่หลังรับรุ่นจบพี่โฟล์คแม่งก็กลายเป็นหนึ่งในรุ่นพี่สายชิลตามคนอื่นๆ เขาไปแล้ว เพราะงั้นการที่เขาทำแบบนี้อีกครั้ง ทำให้ผมสังหรณ์ใจแปลกๆ





พี่แกกลับมาสวมมาดเฮดว๊ากสุดโหดอีกแล้วเหรอวะ





ก็คิดในใจเงียบๆ แล้วเดินเข้าไปหาตามคำสั่งของคนที่เคยสวมบทบาทเฮดว๊าก ไอเบศก็เดินตามมาข้างหลังด้วย





รอบๆ ตัวดูเงียบๆ แปลกๆ ตั้งแต่รู้ว่าผมมาถึงคณะ






“นั่งลง” เสียงที่ทำเข้มสั่งผม รวมทั้งไอ้เบศที่ยืนอยู่ข้างหลัง ผมเลยจำต้องทิ้งตัวลงนั่ง แต่ที่ที่ผมนั่งนั้นไม่ใช่บนเก้าอี้เข้าชุดกับโต๊ะม้าหินที่พวกไอ้แรปกับพี่โฟล์คนั่ง แต่เป็นที่พื้นหน้าโต๊ะพี่เขาแทน



 

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไง พี่โฟล์คอยู่สูงกว่าผม ไม่ว่าจะเป็นสถานภาพ หรือตำแหน่งที่นั่งอยู่ (ก็เล่นนั่งบนเก้าอี้ ในขณะที่ผมกับไอ้เบศต้องนั่งพื้น)





 ทุกคนในโต๊ะเงียบไปสักพักแต่เพียงครู่เดียวพี่มันก็กดสายตาต่ำลงมองหน้าผมแล้วเริ่มพูด เสียงเข้มกดต่ำจนน่ากลัว ชวนเอาผมนึกถึงตอนรับน้องที่โดนพวกกลุ่มพี่ว๊ากกดดันตอนพาเข้าห้องดำ



“มึงไปทำอะไรเอาไว้ไอ้เมืองเอก?”





“คืองี้นะพี่โฟล์ค เมืองเอกมัน..--------”






“มึงเงียบไปไอ้เบศ กูไม่ได้ถามมึง!!”





พี่มันตวาดลั่นจนคนทั้งโต๊ะสะดุ้ง เบศมันตกใจกลัวพี่โฟล์คหัวหดและไม่กล้าเปิดปากพูดอะไรอีก ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นการดีกว่า พวกเราถูกฝึกให้กลัวรุ่นพี่จากเหตุการณ์และประสบการณ์ที่ได้จากในห้องว๊ากที่เจออยู่ทุกวันในช่วงรับน้อง ตอนนี้จะยังกลัวอยู่ก็ไม่แปลก ถึงแม้จะรู้ว่ามาดดุๆ นั่นเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาก็เถอะ โดยเฉพาะพี่โฟล์คที่เป็นเฮดว๊ากด้วยแล้ว..





“เมืองเอกตอบกูได้รึยังว่ามึงไปทำอะไรเอาไว้”





พี่โฟล์คหันกลับมามองหน้าผมอีกครั้ง และคำถามนั่นก็ทำให้ผมขมวดคิ้วอีกรอบ





กูไปทำอะไรเอาไว้วะ? เอาเถอะ...





“ผมยังไม่ได้ทำอะไร”





ก็ตอบไปเรียบๆ ตามความจริง ถึงแม้จะโดนสายตากดดันจากรอบๆ จะว่าไปพอลองมองรอบๆ พวกกลุ่มโต๊ะอื่นๆ ก็หยุดการทำกิจกรรมต่างๆ แล้วมองมาทางโต๊ะพี่โฟล์คกันเงียบๆ





“มึงยังพูดว่ามึงไม่ได้ทำอะไรอีกเหรอวะ มึงดูนี่”




พี่โฟล์คกระชากเสียงแข็งแล้วส่งโทรศัพท์เครื่องหนึ่งโยนมาตรงหน้าผม พอก้มลงมองก็เห็นคลิปวิดีโอไลฟ์ในเฟสบุ๊คคลิปหนึ่ง ไม่ต้องกดเข้าไปดูก็รู้ว่ามันเป็นคลิปผม





ผมเงยหน้ามองตอบพี่โฟล์ค





“อะไรวะพี่ เรื่องแค่นี้เอง...”




“มึงพูดว่าแค่นี้เหรอวะไอ้เมือง!”






พี่โฟล์คว๊ากอีกรอบ พาคนอื่นสูดหายใจด้วยความกดดัน เบศยังคงนั่งก้มหน้าอยู่ข้างๆ ส่วนผม...





 หงุดหงิดครับ ผมไม่ชอบให้ใครมาเรียกชื่อผมสั้นๆ แค่พยางค์เดียว ไม่ว่าจะเป็น ‘เมือง’ หรือ ‘เอก’ ก็ไม่ชอบ พี่มันก็รู้ว่าผมไม่ชอบแต่ก็ยังจงใจเรียก





ในขณะที่ผมตัดสินใจจะเปิดปากพูดบ้าง พี่ก็ตวาดกลับ





“เงียบไอ้เมือง ฟังกูพูด”





พี่มันยังไม่หยุดเรียกชื่อผมด้วยพยางค์เดียว ถึงแม้จะหงุดหงิด ถึงแม้จะขัดใจ แต่สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้คือฟังที่พี่มันจะพูด





“ไอ้เรื่องที่มึงทำลงไปมึงได้คิดบ้างไหม ก่อนจะพูดอะไรน่ะ มึงต้องคิดให้ดี กูเคยเตือนเรื่องปากมึงหลายรอบแล้ว ตอนนี้คนทั้ง ม. ด่ามึง และไอ้ที่เขาด่าๆ กันน่ะไม่ใช่แค่มึงคนเดียว...”





พี่โฟล์คเว้นระยะแล้วพูดต่อ






“นี่ พวกกูที่โดน เพื่อนๆ มึง รุ่นพี่มึง คณะมึง”






พี่โฟล์คตบลงมาแรงๆ ที่อกของตัวเอง ก่อนจะไล่ชี้หน้าคนอื่นๆ ที่นั่งมองกันอยู่ที่โต๊ะของตัวเอง และสุดท้าย... พี่มันก็เอื้อมมือมากระชากสร้อยที่คอของผม ไม่แรงมากแต่ไม่เบาเลย ผมเลยต้องเลื่อนหน้าเข้าใกล้ จ้องตาพี่โฟล์คที่มองมานิ่งๆ จนเห็นเงาของตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตานั้น





“เกียร์ที่มึงห้อยคออยู่เนี่ย ไม่มีความหมายอะไรกับมึงเลยใช่ไหม?” พอพี่พูดจบ กลับเป็นผมที่ตอนนี้หลบสายตา ผมรู้ที่พี่โฟล์คพูดมาทั้งหมดนี่ไม่ใช่เพราะเป็นห่วงผมที่จะโดนด่า แต่เป็นห่วงคณะวิศวะที่จะโดนเหมาด่าเพราะผมมากกว่า ผมไม่ได้น้อยใจหรอกนะครับ ผมรู้ตัว รู้ลำดับความสำคัญดีว่าระหว่างตัวผมเองแค่คนเดียวจะไปสำคัญกว่าเพื่อนและรุ่นพี่ทั้งคณะได้ยังไง






“หลบตากูนี่คือมึงสำนึกผิดแล้วใช่ไหม?”





ผมเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้า ถ้าพวกพี่ พวกเพื่อนที่คณะจะต้องมาโดนด่าด้วยเพราะผม ผมก็สมควรที่จะพูด...





“ขอโทษครับ”






 “เออ ดี!”





พี่โฟล์คร้องออกมา ยกยิ้มก่อนจะตบไหล่ผมเบาๆ ความตึงเครียดหายไปราวกับกดปุ่มปิดสวิตซ์ คนที่นั่งอยู่โต๊ะรอบๆ ก็พากันถอนหายใจโล่งอกที่เรื่องจบลงด้วยดี ก็หันกันกลับไปเล่นอะไรกันต่อ





ผมเองก็คิดว่าจะจบแค่นี้แต่...





“ไอ้เมืองเอก...”





ครับ?





ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียง





“....?”





“มึงอาจจะคิดว่าเรื่องที่มึงทำน่ะเรื่องเล็ก กูจะมาพูดเล่นใหญ่รัชดาลัยเธียเตอร์ทำไม... แต่ความจริงกูอยากจะบอกให้มึงรู้ ว่าคนอย่างมึงน่ะ...”






พี่โฟล์คเฮดว๊ากโน้มลงมาจับที่สร้อยคอที่ห้อยเกียร์ของผมอีกครั้ง





“คนอย่างมึงถ้าไม่รีบเตือนตั้งแต่ยังเป็นเรื่องเล็กๆ รับรองได้ว่าเดี๋ยวแม่งต้องมีเรื่องใหญ่ตามมา เพื่อเป็นการเตือนสติมึง”





พี่อดีตเฮดว๊ากมาดเข้มยกยิ้มก่อนจะกระชากสร้อยเชือกบนคอผม โดยไม่ทันตั้งตัว ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่หันกลับมาสนใจอีกครั้ง...





เกียร์นี่กูจะขอยึดไว้สักพัก จนกว่าจะแน่ใจว่ามึงจะไม่ก่อเรื่องอีก”





สร้อยพร้อมเกียร์ขาดออกและตอนนี้ตกไปอยู่ในมือของไอ้พี่โฟล์คเรียบร้อยแล้ว





ไอเหี้ยพี่!






เกียร์... ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ และถือว่าเป็นหัวใจสำหรับผมด้วย  เพราะกว่าจะได้ไอ้ฟันเฟืองอันเล็กๆ นั่นมา เลือดตาแทบกระเด็น!!





..........





หลังจากโวยวายอยากได้เกียร์คืนจากพี่โฟล์คอยู่พักใหญ่ๆ พี่แม่งก็ยังไม่ใจอ่อนคืนให้จนไอ้เบศกับไอ้แรปต้องบอกให้ผมตัดใจยอมฝากเกียร์ไว้ที่ไอ้พี่โฟล์คสักพัก





“ไอ้เหี้ย คิดไปคิดมาเหมือนตอนนี้ก็ฝากหัวใจไว้ที่ไอ้พี่โฟล์คเลยว่ะ”





ผมที่ตอนนี้กำลังแนบหน้าตัวเองลงกับโต๊ะในห้องบรรยายแอร์เย็นเฉียบที่มีเสียงอาจารย์ที่กำลังบรรยายอยู่ทำหน้าที่คล้ายๆ เพลงกล่อมเด็กบ่นงืมงำเบาๆ ก่อนจะทอดสายตามองเพื่อนอีกสองคนที่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนต่างจากผม... แต่พอได้ยินประโยคที่ผมพูดไอ้เบศก็ทำหน้ายี๋ใส่ ส่วนไอ้แรปก็โก่งคอทำท่าจะอ้วก





“คิดมากไป ไอ้เมืองเอกกูว่ามึงปลงๆ บ้างเหอะ แค่เกียร์...--- กูรู้ว่ามันสำคัญกับมึงมาก แต่ฝากไว้ที่พี่โฟล์คสักพักคงไม่เสียหายหรอกเนอะ”






แรปมันพูด และแทบกลับคำไม่ทัน เพราะผมส่งสายตาอาฆาตใส่มัน เกียร์สำคัญกับผมมากจริงๆ แต่ตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้แล้ว





“เฮ้ออออออออออออ...” ผมถอนหายใจกับตัวเองยาวๆ อีกรอบ





จะว่าไปนอกจากเรื่องโดนยึดเกียร์ พี่แม่งก็ห้ามไม่ให้ผมไปหาเรื่องเดือนสิบที่คณะอักษรอีก พูดง่ายๆ ก็คืออย่าไปคณะอักษร ถ้าไม่ได้มีธุระจริงๆ เอาไงดีวะ... ฮะ? อะไรนะ ทำไมผมยังไม่คิดจะเลิกยุ่งกับเดือนสิบอีกน่ะเหรอครับ เรื่องนั้นน่ะคงไม่ ที่ผมพูดว่าอยากจะรู้ว่ามันมีอะไรดีถึงได้เดือนมหา’ลัยไปได้นั่นน่ะผมเอาจริง





แต่จะให้เข้าไปยุ่งโต้งๆ แบบวันนี้คงจะทำไม่ได้แล้ว เพราะงั้น...






“ไอ้เบศ... มึงมีแผนไหมวะ?”



เพื่อนเจ้าของชื่อหันขวับกลับมามองหน้าก่อนจะเบิกตากว้างใส่ ไม่รู้ว่ามันเข้าใจถูกไหมในประโยคที่ผมถามเมื่อกี้อ่ะ แต่มันยังไม่ทันได้ตอบผมหรอกครับ จู่ๆ ผมก็ปิ๊งไอเดียอะไรดีๆ ขึ้นมาได้





ผมลอบยิ้มบางอย่างชั่วร้ายในสายตาไอ้เบศและไอ้แรป พอบอกแผนการที่ผมเพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อกี้ไปปุ๊บ ไอ้เบศก็เกือบแหกปากโวยวายถ้าไม่ติดที่โดนแรปมันตะครุบปากไว้ก่อนเพราะเดี๋ยวจะโดนคนทั้งห้องบรรยายมองแรง...





หลังจากแรปมันปล่อยมือ ปากเบศมันเป็นอิสระก็ไม่วายก้มหน้าลงมากระซิบข้างหูผม





“ไอ้เหี้ยเมืองเอก!”






โอเค ถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน   






….





วันนี้หลังจากผมเลิกเรียน พวกพี่ๆ โฟล์คจู่ๆ ก็โผล่มาอีกรอบครับ จากนั้นก็ลากพวกผมเข้าร้านเหล้าตั้งแต่หัววันโดยไม่สนหรือแม้แต่จะเอ่ยถามว่าผมมีธุระอะไรรึเปล่า แม้กระทั่งชุดนักศึกษาพี่แกยังไม่ให้กลับไปเปลี่ยนเลยครับ อ้างว่าวันนี้จะเลี้ยงผม ไม่รู้ว่าจะเรียกเลี้ยงปลอบใจได้ไหม เอาจริงๆ พี่โฟล์คแม่งก็เป็นห่วงผมนั่นล่ะครับ กลัวผมจะคิดมาเรื่องไม่ได้เป็นเดือน(ถึงจะคิดจริงๆ ก็เถอะ...)





“เอ้า! ไอ้เมืองเอก ดื่มกินกันให้เต็มที่นา มื้อนี้เฮียเลี้ยงเอง ฮ่าๆ”





พี่ตอผู้กร้านโลกเปิดฉากชูแก้วเหล้าในมือพร้อมตะโกนลั่น ก่อนจะกระดกของเหลวในแก้วเข้าปากอึกๆ ราวกับคนที่เดินหลงอยู่ในทะเลทรายประมาณ 3 เดือนแล้วค้นพบโอเอซิส ทำเอาพี่โฟล์คเพื่อนซี้ ถึงกับส่ายหน้าระอา กับความไม่ไว้มาดของพี่ตอ





“เลี้ยงตัวเองไห้รอดก่อนเหอะมึง”






ไม่วายหันไปแซะเบาๆ ใส่เพื่อน แต่ถึงแม้จะโดนแซะพี่แม่งก็ยังนั่งยิ้มร่าเหมือนคนบ้าอยู่อย่างนั้น





“หึ วันนี้เปิดขวดไหนก็เปิดเหอะ กูอุตส่าห์ขอเหมาร้านพี่เวเลี้ยงน้องทั้งที อิพี่มันก็บอกว่าวันนี้โอเค”






ก็เหมือนจะตามที่พี่ตอพูดครับ ร้านอาหารกึ่งร้านเหล้านี้เป็นร้านของพี่เว รุ่นพี่ที่คณะที่เพิ่งจบมหา’ลัยไปเมื่อปีก่อนและที่สำคัญ พี่เวคนนี้เป็นเดือนมหา’ลัยครับ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ พี่เวเป็นคนแรกที่เปิดตำนานเดือนมหา’ลัย 4 ปีซ้อนของคณะวิศวะ ส่วนผมก็เป็นฝ่ายปิดตำนาน...





“ทำหน้าเศร้าหาอะไรไอ้เมืองเอก เหล้าฟรีทำหน้าให้มันร่าเริงๆ หน่อย”   





ผมมองพี่ตอที่ตอนนี้ยื่นแก้วมาตรงหน้าแล้วยิ้มให้ เอาก็เอาวะ เลิกคิดเรื่องนั้นมันก่อน ตอนนี้รุ่นพี่อุตส่าห์เลี้ยงทั้งที จะมานั่งหน้าหงอยให้ได้อะไร..





หลังจากคิดได้ ผมก็เลยยกแก้วของตัวเองขึ้นชนกับแก้วที่พี่เขายื่นมาข้างหน้า





“ชน!!”





ตะโกนลั่นอีกรอบก่อนที่คนอื่นๆ จะยกแก้วขึ้นคัมไปเหมือนพี่มันด้วย ผมกับไอ้เบศนั่งดื่มกันเงียบๆ ฟังพี่เขาคุยโน่นคุยนี่ ส่วนไอ้แรป... รายนั้นเป็นหน่วยข่าวสาร หน่วยข่าวกรอง เดี๋ยวก็ไปคุยกับคนโน้นทีคนนี้ที ผมตามมันไม่ทันหรอกครับ ปล่อยแม่งไป





“ว่าแต่วันนี้อิพี่คนหล่อมันหายไปไหนวะ ไม่มาดูร้านเหรอ?” หลังจากยกแก้วดื่มต่อไปอยู่นานพี่ตอถามอีกประโยคหนึ่งออกมา ซึ่งเป็นคำถามที่ผมเองฟังแล้วก็คิดตาม เวลาประมาณนี้ปกติเห็นอยู่ดูร้านตลอด.. หลังจากถามจบพี่ตอก็หันไปหากลุ่มเพื่อนคนอื่นๆ ซึ่งต่างพากันส่ายหน้าปฏิเสธกันเป็นแถวเป็นเชิงว่าไม่รู้ ส่วนพี่โฟล์คหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็ค และ...





“พูดถึงก็มาเลยพี่ นั่นไงพี่เว!” ไอแรปวางแก้วในมือ แล้วชี้ผู้ชายหน้าตาหล่อขาวตี๋ที่สังเกตเห็นได้ชัดตั้งแต่ไกลๆ กำลังเดินควงกุญแจรถเข้าร้านมา พอเหยียบย่างเข้ามาในร้านได้ พวกที่เฮฮาปาร์ตี้กันก็หยุดชะงัก วางแก้วน้ำเมาแล้วยกมือขึ้นไหว้พี่เวกันอย่างพร้อมเพรียง ไม่เว้นแม้แต่พวกปี 1 อย่างพวกผม





“เออๆ หวัดดีๆ” พี่แกรับไหว้อย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะเลือกเดินเข้ามาหาผม





“ไงไอ้เมืองเอก”





ในเมื่อทักผมโดยตรง เออ สวัสดีอีกรอบก็ได้วะ





“หวัดดีครับพี่เว”





หนึ่งในผู้ชายที่ผมยอมรับว่าหน้าตาโคตรดีก็พี่แกเนี่ยแหละ





หลังจากฟังผมทักอีกรอบพี่เวก็เลิกคิ้วใส่ก่อนจะเอ่ยอีกประโยค





“ได้ข่าวว่าไปก่อเรื่องจนโดนไอ้โฟล์คยึดเกียร์?”





เป็นประโยคคำถามที่เล่นเอาร้อง ‘เชี้ยข่าวเร็ว!’ เบาๆ ในใจ.. ผมมุ่ยหน้าแล้วคิ้วกระตุก โดยมีพี่โฟล์คซ้ำเติมเบาๆ





“เด็กมันแสบ”





“ฮะๆ ให้มันได้อย่างนี้สิ”





พี่เวหัวเราะร่า จนตาตี่ๆ นั่นแทบปิด ก่อนจะเอื้อมมือมาคว้าแก้วของผมที่ตั้งอยู่บนโต๊ะไปดื่มเฉย อยากตะโกนบอกว่านั่นแก้วผม แต่ช่างเหอะ เหล้าพี่เวมันนี่กว่า ไว้เอาใหม่ก็ได้





“แล้วเอาไง ไม่มีเกียร์เอาไปให้ใครแล้วนี่อย่างงี้ไปจีบใครได้เหรอ?”





พี่หน้าขาวตี๋คนนี้มองผม ระหว่างที่กำลังยกแก้วผมขึ้นซด ก็ยักคิ้วให้เป็นเชิงถามว่าเอาไง ซึ่งจากประโยคที่พี่เขาถาม ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย





ผมยิ้มให้อดีตเดือนมหา’ลัยเมื่อ 4 ปีก่อน



 

“ทำไมจะจีบไม่ได้ล่ะพี่”





...อย่างผมเนี่ยนะจะจีบคนอื่นไม่ได้แค่เพราะไม่มีเกียร์วิศวะ ?





“เอาให้มันได้สักคนเถอะ กูก็เห็นว่ามึงยังโสด ทำมาปากดี”






ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะเว้ยพี่





“ว่าแต่พี่เวเหอะ เมื่อไหร่เกียร์บนคอพี่จะไปอยู่กับคนอื่นถาวรสักที เห็นพี่กลับมาห้อยตั้งนานแล้ว”





ย้อนกลับไปสักนิดให้พี่เวก็แค่เจ็บๆ คันๆ ซึ่งนั่นทำเอาผมเกือบจะโดนแก้วเบียร์ทุบหัว แต่พี่เวตั้งสติได้ทันก่อน ห้ามมือตัวเองสำเร็จ ฮ่าๆ รอดไปกู...





“คนที่กูให้เขาคืนกูมาแล้วนี่... ช่วยไม่ได้”






พี่แกยักไหล่ วางแก้วผมคืนบนโต๊ะ ก่อนจะโดนไปสั่งอะไรไม่รู้กับพนักงานที่เคาน์เตอร์เป็นอันว่าศึกครั้งนี้ผมชนะ เพราะทำให้พี่เวล่าถอยไปเองได้





ผมส่งแก้วให้พี่โฟล์คเติมให้ก่อนระหว่างรอ...





“มึงมันปากดี”





โดนไอ้เบศว่าแล้วมันก็ทำนิ่งดื่มน้ำเมาต่อ ส่วนผมก็.. ถือว่าเป็นคำชมอีกรอบแล้วกัน






......





ผมคอแข็งโคตรดื่มเหล้าเมายาก.. กว่าจะเลิกกันก็ไม่รู้ป่านไหน เออ.. พรุ่งนี้ผมมีเรียนเช้าด้วย ผมก็เลยขอกลับก่อน ปีหนึ่งส่วนใหญ่เรียนรวม เช้าก็เช้าด้วยกัน เล่นกลับกันพร้อมผมหมด ที่ร้านก็เลยเหลือแต่กลุ่มพี่ๆ ที่ยังเฮฮากันต่อ ก็ดีออกก่อน ขี้เกียจเก็บกวาด (ไม่ว่าจะเป็นช่วงพยุงรุ่นพี่ที่เมาเหมือนหมากลับหอ หรือเช็ดอ้วกไอ้พี่ตอก็ตาม)





ดึกแล้ว ถ้าอยู่บ้านป่านนี้โดนพ่อเฉ่ง ดีนะที่ผมย้ายมาอยู่คอนโดแล้ว ผมเดินมากดลิฟต์ขึ้นพอถึงชั้นก็เดินไปจะไปเสียบคีย์การ์ดไขกุญแจเข้าห้องถ้าไม่ติดที่ไอ้คนห้องข้างๆ เปิดประตูออกมาเรียกความสนใจให้ผมต้องหันไปมอง...





เอ้า! เจอคนที่ไม่คิดว่าจะเจอ ยืนอยู่นี่เอง





“ไง”





ผมหันไปแล้วยิ้มให้ แต่อีกคนมันดันเงียบ ไม่แม้กระทั่งเอ่ยทักผมตอบ ได้มองหน้าชัดๆ อีกครั้งในระยะไม่ห่างเกิน 3 เมตร แต่แปลกตาดีครับ หน้าหล่อๆ ที่เห็นเมื่อตอนกลางวันตอนนี้ถูกบังด้วยแว่นสีดำกรอบหนาไปเยอะ แต่ก็... เหมือนเปลี่ยนลุคเจ้าตัวได้ง่ายๆ ทั้งๆ ที่แค่ใส่แว่น... เรื่องขนาดตัว มันน่าจะผอมกว่าสักหน่อย ส่วนสูงพอๆ กันแต่ดูๆ แล้วเดือนสิบจะเตี้ยกว่าผม ไม่กี่เซน





“....”





ยังคงเงียบแล้วทำท่าจะเดินจากไป ผมเลยตัดสินใจ





“เออ มึงอยู่คอนโดนี้เหรอวะ?”





ไม่รู้ว่าเดือนสิบจะตอบไหม แต่ได้ผลแหะ เจ้าคนที่ผมถามหันมาตอบแต่แค่คำสั้นๆ ว่า





“อืม”   






แค่คำๆ เดียวแต่ก็ลัคกี้!





----------------------------TBC-------------------------



แถมจ้า!

 

เสียงเคาะคีย์บอร์ดและคลิกเมาส์ดังต่อเนื่องกันหลายนาทีท่ามกลางห้องมืดที่มีเพียงแสงสว่างจากจอสี่เหลี่ยมบนโต๊ะ เก้าอี้สำหรับนั่งเล่นคอมพิวเตอร์ถูกปรับให้อยู่ในองศาอย่างดี ทำให้คนที่นั่งเล่นเกมอยู่ ณ ตอนนี้ เอนหลังพิงเล่นเกมก็ยังได้ สายตาใต้กรอบแว่นไม่ละจากหน้าจอคอมฯเลยแม้สักนิด มีเพียงลูกนัยน์ตาสีดำที่กลอกตาไปมา มองตามตัวละครในเกม...





แต่เสียงรัวคลิกเมาส์ก็หยุดลงเมื่อจู่ๆ ก็มีคน ถือวิสาสะเปิดประตูเข้าห้องมาโดยไม่แม้แต่จะเคาะประตู พร้อมกับไฟจากหลอดไฟนีออนบนเพดานเปิดสว่างจ้า เล่นเอาคนที่ชินกับความมืดอยู่แล้วต้องหรี่ตา





ฟลุ๊ควางมือจากเมาส์ หมุนเก้าอี้หันมาหาผู้มาใหม่





“จะเข้าห้องทำไมไม่เคาะประตูก่อน”





“แล้วพี่เข้าไม่ได้เหรอ ห้องพี่เองแท้ๆ”





ฟลุ๊คอยากจะถอนหายใจให้กับพี่ชายตรงหน้า ถูกของเขาที่นี่เป็นห้องของพี่ แต่หลังจากที่อีกฝ่ายย้ายออกไปอยู่หอแถวมหาวิทยาลัยที่เรียน ห้องๆ นี้ก็ตกเป็นของฟลุ๊คมาได้สักพักแล้ว แต่คนเป็นน้องไม่อยากเถียงให้มากความ เพราะยังไงก็ไม่ชนะ...





“แล้วนี่ดึกแล้วยังเล่นเกมอยู่อีก พรุ่งนี้มีเรียนเช้าไม่ใช่หรือไง”





คราวนี้ฝ่ายถูกถามเลี่ยงที่จะตอบ หันกลับไปหาหน้าจออีกครั้ง เพราะนั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุด นอกจากนั้นแล้ว 





“แล้วจะกลับบ้านทำไมไม่บอก”





ถ้าถามย้อนกลับจะเป็นอะไรที่ได้ผลมากที่สุด แต่เสียดายที่คราวนี้พี่ชายเองก็ไม่ได้ตอบ





“ฟลุ๊ค พี่มีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อย”





ไม่ได้หันหน้ากลับมาหาพี่ชาย สายตายังคงจดจ่ออยู่กับเกม แต่ก็อดขมวดคิ้วสงสัยไม่ได้





“เรื่องอะไร?” 





“ช่วยดูเมืองเอกมันให้หน่อย ถ้ามันเข้าไปวุ่นวายที่คณะหรือกับเดือนสิบ”   





“จะให้เค้าช่วยห้ามเมืองเอกเหรอ? ไม่ไหวมั้ง”





ฟลุ๊คตอบกลับแทบจะทันทีที่ได้ยิน แต่ฝ่ายพี่ชายพูดเสริมอีก





“ไม่ได้ให้ห้าม พี่ให้ช่วยดูแล้วรายงาน ทำได้ไหม?”





“ได้อะไร?”





“หืม?”





“ถ้าทำแล้วเค้าจะได้อะไร?”





ฝ่ายน้องชายหันกลับมาหา พร้อมมองตาคั้นจะเอาคำตอบ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด





“IphoneX เครื่องหนึ่งเอาไหม?”





ฟลุ๊คมองของที่อยู่ในมือพี่ชายด้วยสายตาที่เอ่อ... ตอนออกรถใหม่เขาก็แถมโทรศัพท์อยู่แล้ว พอจะได้เครื่องใหม่ก็รู้สึก...





“เปลี่ยนเป็นเงินแทนได้ไหมพี่โฟล์ค”





“เรื่องมาก หรือจะไม่เอา?”





โฟล์คคิ้วกระตุก ทำท่าจะเก็บของกลับเข้ากระเป๋าแต่ดีที่ในที่สุดน้องก็ยอมตกลง คว้าโทรศัพท์เครื่องนั้นไปจากมือ





“เอาสิ”





“เออ ถ้างั้นดีเลย ถ้าเมืองเอกมันไปวนเวียนก็อย่าลืมรายงานมาล่ะ”





「了解!」( Ryoukai = “รับทราบ”)





อีกฝ่ายตอบรับเป็นภาษาญี่ปุ่น เล่นเอาโฟร์คเกาหน้า แล้วคิดในใจว่า





‘เออ น้องกูนี่มันเด็กอักษรจริงๆ ว่ะ’





แต่อย่างน้อย ก็ต้องขอบคุณที่เขาเองก็มีประสบการณ์ดีๆ กับภาษานี้อยู่บ้าง ถึงได้ฟังน้องมันพูดรู้เรื่องว่าหมายถึงอะไร...

 


----------แถมจบจ้า-----------



100% แล้วค่ะ แอ้--------



 ////// ฟลุ๊คเป็นตัวละครที่เเทนตัวเองหลายแบบมากค่ะ 5555 แต่กับพี่ชายจะใช้ ’เค้า’

(อ้างอิงมาจากเพื่อนคนหนึ่ง)

 

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามและคอมเมนต์เป็นกำลังใจนะคะ

รักทุกคน----------

 
 

#วิศวะเดือนสิบ

(แก้ไขคำผิดค่ะ 16/05/2561)
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 3 มีแผนไหม? [100%] UP!! 16/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-05-2018 01:57:32
มีความสงสัยในตัวอีพี่โฟร์ค เกี่ยวกับเดือนสิบ-เมืองเอก  :confuse:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 3 มีแผนไหม? [100%] UP!! 16/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 16-05-2018 09:07:28
รอจ้า
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 3 มีแผนไหม? [100%] UP!! 16/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 16-05-2018 09:49:39
โห 4 ปีซ้อน งานนี้คงได้ลุ้นยาวๆ จะรักกันได้ยังไงยังนึกไม่ออกเลย
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 3 มีแผนไหม? [100%] UP!! 16/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 16-05-2018 15:30:25
วุ่นวายมากแน่ ๆ งานนี้ แต่แอบสงสัย พี่เอสทำไมเหรอ หรือเพราะพี่เอสมีความหลังอะไรกับเดือนสิบ แล้วพี่โฟล์คก็เลยฝากฟลุ๊กดูเรื่องเมืองเอกเข้าใกล้เดือนสิบด้วย
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 3 มีแผนไหม? [100%] UP!! 16/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 16-05-2018 21:41:42
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 3 มีแผนไหม? [100%] UP!! 16/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-05-2018 00:23:25
 :pig4: :pig4: :pig4:

มั่นมากจริง ๆ หนอ

กรรมการเขาก็แค่แบ่ง ๆ ไปให้คณะอื่นบ้าง  เด๋วจะไม่มีใครอยากส่งประกวดอีกต่อไป เพราะเล่นเหมาครองคณะเดียว

เข้าใจป่ะ  เรื่องการเมือง  เรื่องของผู้ใหญ่ อ่ะ
หัวข้อ: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 4 มาช้าดีกว่าไม่มา ☽ 10/08/61 UP
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 10-08-2018 00:35:38
เดือนที่ 4
มาช้าดีกว่าไม่มา☽
 


 

7:00 AM

 

ผมลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือที่ตัวผมเองเป็นคนตั้งเวลาปลุกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน หลังจากกดปิดเสียงปลุกที่น่ารำคาญก็ลุกแล้วนั่งงัวเงียอยู่หลายนาที ก่อนจะตั้งสติได้ว่าผมตื่นมาทำอะไรในเช้าวันเสาร์ที่ไม่มีเรียน...

 

งานถ่ายรูปลงนิตยสาร ม. ที่นัดกับพวกพี่ๆ เอาไว้


 

ใช่ครับ ก็งานนั้นนั่นแหละ เมื่อคืนก็บ่นลงในกรุ๊ปไลน์ไปทีหนึ่งเรื่องต้องตื่นเช้าออกจากคอนโดในวันหยุด ซึ่งปกติแล้วหาได้ยากที่ผมจะตื่นเช้าขนาดนี้ ปกติก็ตื่นประมาณ 9 โมง 10 โมง แล้วหาของกินกับนั่งดูโดราเอม่อนไปชิลๆ แค่นั้นเอง

 

ส่วนเพื่อนในไลน์อย่างคุณฟลุ๊คก็ได้แต่ส่งคำปลอบกลับมาว่า “โชคดีนะ ขอให้ทำงานให้สนุก เดี๋ยวจะเล่นเกมเผื่อ” อะไรทำนองนี้มา


 
กวางที่ตอนแรกที่รู้จนกระทั่งเมื่อคืนนี้ก็ยังบ่นว่าอยากพาผมมาด้วย อยากมาเป็นเพื่อน อยากมาเจอหน้าพี่เอส บลาๆ แต่สรุปสุดท้ายก็มาไม่ได้เหมือนเดิมเพราะบังเอิญว่านัดไปเที่ยวกับเพื่อนกลุ่มผู้หญิงตรงกันพอดี ผมก็เลยเป็นคนเดียว... ที่มีชะตากรรมแบบนี้

 

ผมส่ายหัวกับตัวเองจะคิดมากให้ปวดหัวให้ห่อเหี่ยวใจทำไม ก็ในเมื่อมันเป็นหน้าที่ที่ผมได้รับแล้วก็ต้องรับผิดชอบให้ดี การคิดอะไรๆ ในแง่บวกเข้าไว้ มันก็ดีเหมือนกันครับ อย่างน้อยก็ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นเยอะ

 

หลังจากอาบน้ำ เปลี่ยนชุด แต่งตัว กินข้าวอะไรเรียบร้อยแล้ว ผมก็เตรียมพร้อมสำหรับออกไป ม. ระหว่างที่เปิดประตูห้องเดินออกมา มันก็เป็นเรื่องที่แน่นอนที่จะต้องเห็นประตูห้องตรงข้าม แล้วผมก็ดีใจมากที่มันนิ่งและปิดสนิทอยู่อย่างนั้น

 

ผ่านมาหลายวันแล้วหลังจากที่เกิดเรื่อง เมืองเอกก็ไม่ได้มายุ่งกับผมอีกเลยครับ ขนาดอยู่ห้องตรงข้ามกันยังไม่เจอกันเลยครับ แต่จะว่าไม่ได้เจอกันเลยก็ไม่ใช่ เพราะตลอดเกือบหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาผมเห็นเมืองเอก ที่คณะแทบจะทุกวัน ส่วนใหญ่จะเจอที่โรงอาหาร

 

ตอนแรกผมก็สงสัยนะครับว่าทำไมมันต้องมานั่งกินข้าวที่โรงอาหารคณะอักษรตลอดเลยด้วยวะ คณะมันก็มีโรงอาหารนี่ ติดแอร์ด้วยซ้ำ... แต่พอได้รับคำตอบจากเพื่อนสาวในกลุ่มก็พอจะเข้าใจได้

 

“อ้าว นี่แกไม่รู้เหรอ ว่าเมืองเอกเดือนคณะวิศวะอะคบดาวคณะเราอยู่”

 

“...มันมีแฟนด้วยเหรอ?”


 

แถมที่สำคัญ แฟนเป็นดาวคณะผมอีก แต่ไม่น่าแปลกเท่าไรมั้ง คนหน้าตาดีอย่างเมืองเอกที่จะมีแฟนเป็นระดับดาวคณะ

 

“จะเหลือเหรอแก หล่อขนาดนั้น”

 

นั่นสินะ

 

“ถ้าจะยังไม่มีก็ช่างเลือกสุดๆ เหมือนแกไง เลือกมาก มีสาวๆ เดินเข้ามาตั้งมากมาย ทำไมไม่คว้าไว้สักคนล่ะ”

 

จนถึงตอนนั้นก็วนกลับมาพูดเรื่องผมต่อ ผมส่ายหน้าให้เพื่อนผู้หญิงที่มองผมตาปริบๆ ไอ้มีก็มีอย่างที่กวางว่าจริงๆ ครับ แต่ที่ผมยังไม่มีแฟนก็เพราะยังไม่ได้ตั้งใจจะหาใครเข้ามาอยู่ในสถานะนั้นด้วย ที่คุยๆ กันอยู่ก็มีบ้าง

 

วันนั้นก็จบหัวข้อคุยนี้ไปด้วยคำที่ผมตอบว่า

 

“ไม่รีบ”

 

จนกวางถึงกับจิ๊ปากหมั่นไส้

 

เรื่องเมืองเอกก็ผ่านมานานแล้ว ทุกวันนี้ผมก็ไม่ได้เห็นหน้าแล้วหัวร้อนเหมือนตอนเกิดเรื่องใหม่ๆ แต่ทางที่ดีไม่ขอเกี่ยวข้องกันเลยดีกว่า

 

ผมก้มลงดูนาฬิกา เวลานัดคือ 10 โมง  ตอนนี้เพิ่งจะแค่ 9 โมงนิดๆ ผมไม่ต้องรีบก็ได้ ม. อยู่ใกล้แค่นี้เอง ก็เดินทางชิลๆ เข้า ม. ไปอย่างไม่รีบร้อน ใช้เวลาเพิ่มอีกนิดหน่อยในการเดินขึ้นตึกนิเทศ ข้างบนตึกมีสตูดิโอครับ ไว้สำหรับพวกเรียนถ่ายภาพ หรือถ่ายแบบทำนู่นทำนี่ได้ตามต้องการ ก็เลยไม่ต้องออกไปหาสตูดิโอนอก ม.

 

พอลิฟต์เปิดผมก็เดินตามทางเข้าไปยังสตูที่ใช้ถ่าย เห็นพวกพี่ๆ ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่บ้างตอนถ่ายรูปโปรโมทระหว่างประกวดเดือนมหา’ลัย เดินเตรียมของกันนู่นนี่ พอรู้ว่าวันนี้ไม่ได้มาถ่ายแค่ผมกับพี่เอสสองคน คงมีงานอื่นด้วย

 

“อ้าว เดือนสิบมาแล้ว”

 

พี่แอ้มที่ยืนคุยอะไรกับผู้ชายตัวสูงใหญ่ใส่เสื้อดำกางเกงยีนส์ขายาวหันมาหาผม โบกมือทักทาย ผมก็เลยไหว้สวัสดีพี่ๆ ทุกคน รวมทั้งผู้ชายข้างๆ พี่เขาที่ผมไม่รู้จักด้วย

 

“สวัสดีครับ”

 

ผู้ชายตัวสูงคนนั้นกอดอกแล้วเดินเข้ามามองผม.. อ่ะ เขาสูงจริงๆ ครับ น่าจะสูงกว่าผมหลายเซนฯเห็นจะได้ ทั้งๆ ที่ผมเองก็มั่นใจในเรื่องความสูงของตัวเอง

 

“คนนี้เหรอเดือนมหา’ลัยปีนี้?”

 

“ใช่ค่ะพี่ก็อต นี่น้องเดือนสิบ เดือนคณะหนูปีนี้ เป็นไงบ้างคะ งานดีใช่ไหมล่ะ”
พี่แอ้มว่าพร้อมเดินเข้ามาควงแขนผมพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ คนแปลกหน้าตรงหน้าผมกระตุกยิ้มก่อนเอ่ยตอบ

 

“ก็ดี ปล่อยกูเบื่อหน้าพวกคณะวิศวะมาตั้งนาน เปลี่ยนคณะบ้างก็ดี”

 

“แต่ก็ไม่พ้นต้องถ่ายรูปเอสอยู่ดีนี่คะ”

 

“เออ ไม่เจอมันมาเกือบๆ ครึ่งปี มันยังดูแลตัวเองดีเหมือนเดิมไหมเนี่ย เดี๋ยวออร่าน้องกลบหมด”

 

“ไว้รอดูเองเถอะค่ะพี่ก็อต”



ก็ฟังพี่ทั้งสองคนคุยกันไปได้สักพัก พี่แอ้มที่รู้สึกเหมือนตัวเองจะลืมอะไรไปบางอย่างแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ก็เลยรีบพูดขึ้นมา

 

“เอ้อ เดือนสิบพี่ลืมแนะนำไป นี่พี่ก็อตเป็นช่างภาพมาถ่ายรูปให้เราวันนี้ พี่เขาจบนิเทศที่นี่นี่แหละ”



ผมพยักหน้ารับ ที่แท้พี่ก็อตคนนี้ก็เป็นช่างภาพวันนี้

 

“พี่ก็อตว่าหน้าเดือนสิบแต่งเพิ่มอีกไหมคะ? ถ้าคิดว่ายังไม่โอหนูว่าจะพาไปแต่งเพิ่มสักหน่อย”



แล้วพี่แอ้มก็เริ่มการสนทนาใหม่โดยหัวข้อสนทนาเป็นผมอีกแล้ว พี่ก็อตคนสูงจับคางจ้องหน้าผมจนเล่นเอาอดรู้สึกประหม่าไม่ได้

 

“ไม่ต้องหรอก แค่นี้แหละ ผิวน้องดี ขาวอยู่แล้ว เนียนด้วย ทาอะไรไปก็ไม่ช่วยให้ดีขึ้นหรอก สีปากก็โอเคอยู่แล้ว ทาลิปมาเหรอ?”


ผมกะพริบตามองคนที่เริ่มพูดกับผม ดีใจที่มีคนชมนะ แต่จะมัวมาดีใจไม่ได้ต้องตอบคำถามก่อน

 

“เปล่าครับ ไม่ได้ทา”

 

คิ้วหนายกขึ้นสูงเมื่อผมตอบคำถาม

 

“ถอดแว่นได้ไหมเวลาถ่าย?”

 

“ได้ครับ... แต่ผมจะมองอะไรไม่ค่อยเห็น”

 

“ถ้าตาไม่โฟกัสกล้องคงไม่ดี แต่ไม่มีทางเลือก ลองถอดแว่นแล้วมองมาทางพี่สิ มโนว่าตัวเองหล่อที่สุดในโลกอะไรแบบนี้”

 

ผมมองพี่ก็อตที่เดินถอยหลังออกไปในระยะหนึ่งก่อนจะทำตามที่พี่เขาบอก ถอดแว่นตัวเองแล้วมองตรงไปยังผู้ชายข้างหน้า ไม่ผิดจากที่คิดภาพตรงหน้าเบลอมากจนผมหงุดหงิด ถ้าเป็นเวลาปกติจะตั้งใจจะมองอะไรตอนไม่ใส่แว่นจริงๆ ก็คงจะหรี่ตาจนตาแทบปิด แต่ครั้งนี้...

 

มโนว่าภาพตรงหน้ามันชัดก็ได้วะ ! เอ้า..

 

มองไปยังภาพพี่ก็อตที่ยังเบลอ ไม่รู้ว่าต้องมองนานแค่ไหนถึงจะโอเค ผมก็ทำได้แค่ทำตามที่พี่เขาบอก จู่ๆ เงาของคนเบลอๆ ก็เคลื่อนไหว ผมเอียงคอมองตามโดยไม่ได้ตั้งใจก่อนจะได้ยินเสียงดัง

 

แชะ!

 

เสียงชัตเตอร์กล้องดังหนึ่งครั้งก่อนจะตามด้วยเสียงของพี่ก็อต

 

“เป๊ะเวอร์ไอ้แอ้ม”

 

“เนอะพี่” รุ่นพี่สาวคณะเดียวกับผมเดินผ่านเข้าไปหา คนที่ออกคำสั่งผมเมื่อครู่เขาก็สั่งผมอีกรอบว่าให้ใส่แว่นได้แล้ว ผมเลยเอาแว่นที่ถืออยู่ในมือขึ้นมาใส่ แล้วถึงได้เห็นกล้องถ่ายรูปสีดำที่อยู่ในมือพี่ก็อต เหมือนจะถ่ายรูปผมช็อตเมื่อกี้ไปครั้งนึง

 

พี่แอ้มคุยกับอะไรกับเขาสักพักแล้วเดินมาบอกผมให้ไปนั่งรอที่ห้องแต่งตัว รอคน รอเตรียมของเตรียมนู่นนี่อะไรให้เรียบร้อยก่อนแล้วจะเรียกผมอีกที

 

ผมก็เออออพยักหน้ารับแล้วเดินตรงมายังห้องแต่งตัวพร้อมดูนาฬิกา อ่า... จะว่าเหลือเวลาไม่มากก็ได้ แต่ผมยังไม่เห็นวี่แววพี่เอสเลย..

 

“...!”

 

พอละสายตาจากนาฬิกาข้อมือเงยหน้าขึ้นมองกลับต้องตกใจ เมื่อผมดันเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่นอนหลับนิ่งๆ อยู่บนโซฟากำมะหยี่สีแดง ใบหน้าหล่อดูดีนิ่งเรียบ ดวงตาคู่นั้นปิดสนิท ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ พร้อมกับเสื้อช็อปสีเข้มที่ถูกถอดมาคลุมนอนเป็นผ้าห่มอยู่บนตัว

 

นี่มันอะไรกันเนี่ย ไหงเมืองเอกถึงได้นอนมานอนหลับอยู่ที่นี่ได้.. หรือว่ามาถ่ายแบบเหมือนกัน?

 

ช่างเรื่องนั้นไปเถอะ ถึงผมจะสงสัยนิดหน่อยแต่ก็ไม่เกี่ยวกับผมอยู่ดี ก็เลยเลือกที่จะเดินผ่านไอ้คนที่นอนอยู่แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะกระจกที่ใช้สำหรับแต่งหน้าดีกว่า แน่นอนว่าแบบเงียบๆ แบบที่จะไม่ทำให้คนที่หลับอยู่ตื่นขึ้นมา...

 

ระหว่างที่เดินผ่านผมได้กลิ่นแอลกอฮอล์หน่อยๆ มาจากเมืองเอก เดาไม่ยากเลยว่าทำไมถึงมาหลับสภาพนี้ได้ เมื่อคืนคงดื่มหนัก แล้วมานอนที่นี่? สังเกตจากเสื้อช็อปเอาอะครับ

 

แต่... ถ้าเมาหลับแล้วหล่อขนาดนี้ได้ก็โอเค ยอมครับว่ายังอคติหน่อยๆ ที่เจ้าของใบหน้าดูดีแบบนี้มันมั่นเกินไป  แต่ก็เถียงไม่ออกเพราะว่าก็หล่อจริงๆ อย่างที่ว่า...

 

เวลาที่รอเฉยๆ ก็นั่งเล่นโทรศัพท์ไปนิดหน่อย สักพักก็มีคนโน้นคนนี้เดินเข้ามาทักเข้ามาถามบ้าง แต่ไม่นานทุกคนก็ต้องออกไปเตรียมงานเตรียมอะไรต่อ คนที่หลับอยู่ยังคงหลับอยู่อย่างนั้น แล้วก็ไม่ได้มีใครทักถามถึง เหมือนเมืองเอกเดือนคณะวิศวะที่นอนอยู่ตรงนั้นไม่มีตัวตน

 

ละหน้าจากจอโทรศัพท์เมื่อผมเห็นเวลาบนจอนั้นแสดงตัวเลขที่ว่าอีก 15 นาทีถึงเวลานัดถ่ายแบบ แต่ดูท่าจะยังไม่มีใครมาตามให้ผมเตรียมตัวทำอะไรเลย ผมเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าตั้งใจจะเดินออกไปดูสักหน่อยว่าข้างนอกพร้อมกันหรือยัง นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาถ่ายแล้ว ถ้ายังมีอะไรไม่เสร็จผมอาจจะอาสาขอไปช่วยบ้าง

 

พอเดินออกไปก็เจอพี่แอ้มกับพี่ๆ คนอื่นๆ ไม่ค่อยวุ่นวายเหมือนตอนที่ผมมาถึง ทุกคนแค่ยืนประจำที่กันนิ่งๆ แล้วทันทีที่เห็นผมเดินออกมารุ่นพี่สาวก็เอ่ยทัก


“อ้าว เดือนสิบ เอ่อ... นี่ก็ใกล้เวลาแล้วเนอะ เรามาสแตนด์บายก่อนก็ได้” พี่แอ้มว่าอย่างนั้น แต่ผมกับสังเกตเห็นว่าหัวคิ้วเรียวขมวดผูกกันเป็นปมทั้งๆ ที่พี่เขาก็ยิ้มๆ ผมถึงได้แปลกใจ แล้วตัดสินใจถามไปว่าตกลงมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า?

 

“หน้าแบบนั้น พี่แอ้มมีอะไรหรือเปล่าครับ?”

 

เธอสะดุ้งแล้วเอามือแตะแก้มตัวเอง

 

“ทำไม หน้าพี่ทำไมเหรอ?” 

 

“เปล่าไม่ใช่ครับ เห็นพี่ขมวดคิ้ว ผมเลยคิดว่าน่าจะมีปัญหาอะไร”

 

ริมฝีปากสวยแต่งแต้มด้วยลิปสีชมพูอ่อนเผยปาก ใบหน้าเรียวสวยของรุ่นพี่สาวพยักขึ้นลง เสียงที่เปล่งออกมาจะเจือปนความร้อนใจ

 

“นี่ก็ใกล้เวลาแล้วแต่พี่ยังติดต่อเอสไม่ได้เลยน่ะสิ ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน เมื่อวานโทรคอนเฟิร์ม โทรไปตามแล้ว ก็เห็นตอบรับดี แต่ว่าตอนนี้...”

 

พี่แอ้มหยุดพูดไว้แค่นั้นเมื่อระหว่างที่กำลังเล่าถึงสถานการณ์พี่ก็อตก็เดินหน้าตึงเข้ามา

 

“ติดต่อไอ้เอสไม่ได้?”

 

“เอ่อ.. ไม่ใช่หรอกค่ะพี่ก็อตนี่ก็ยังไม่ถึงเวลา...”


“ถ้าถึงเวลาตามนัดมันยังไม่มากูไม่เอามันแล้วนะไอ้แอ้ม”

 

คราวนี้พี่ก็อตเริ่มหัวเสีย จนพี่แอ้มถึงกับเหวอแล้วรีบร้อนร้องห้าม

 

“ไม่ได้นะพี่ก็อต ทางม.ระบุตัวแล้วว่าอยากได้ใครลงนิตยสาร ต้องตามคำสั่งนะพี่”

 

“กูไม่ชอบคนไม่เป็นโปรฯ ไม่รักษาเวลา ทั้งๆ ที่มันเคยทำงานถ่ายแบบมาก่อน”

 

 ผมที่ไม่รู้จะทำยังไงเลยได้แต่ยืนมองสถานการณ์เงียบๆ แบบรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์สิ้นดี ทั้งสองเถียงนั่นเถียงนี่กันอยู่สักพัก สุดท้ายพี่ก็อตก็โวยวายออกมาเป็นประโยคสุดท้ายก่อนจะแยกกับพี่แอ้มแล้วเดินมาทางผม แต่ประโยคสุดท้ายที่ว่าทำผมต้องเบิกตากว้าง


“ไม่ใช้เอสก็ใช้ไอ้วิศวะที่นอนอยู่คนนั้นถ่ายแทนด้วยก็ได้ เป็นเดือนวิศวะไม่ใช่เหรอ หน้าตาดีจะตายไม่เห็นจะมีปัญหาเลย”

 

ถ่ายกับเมืองเอก!?

 

เฮ้ย! ไม่เอาน่าพี่ก็อต อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ อย่าเพิ่งคิดสั้นเลย ให้โอกาสพี่เอสหน่อยเถอะครับ อย่างน้อยก็ควรจะรอให้ถึงเวลานัดแล้วค่อยว่ากัน คนที่เมาหลับอยู่อย่างนั้นจะปลุกมาถ่ายแบบได้ยังไง...

 

“เดือนสิบ”

 

พี่ก็อตที่อยู่ตรงหน้าเอ่ยเรียก ผมถึงได้เลิกตีกับความคิดตัวเองในหัวแล้วหันไปมองพี่ก็อต

 

“เคยทำงานถ่ายแบบมาก่อนรึเปล่า?”

 

เคยแค่ถ่ายรูปธรรมดา ตอนโปรโมทเดือนคณะ แต่อันนั้นแค่ไปยืนทำหน้าที่คิดว่าตัวเองหล่อที่สุดแล้วกดชัตเตอร์กิ๊กเดียวก็ผ่านแล้ว ไม่เรียกว่าถ่ายแบบ เพราะงั้นคำตอบของผมที่ตอบพี่ก็อตไปก็คือ...

 

“ไม่ครับ” 

 

“ไม่มีประสบการณ์เลย?”

 

ผมพยักหน้า  แล้วพี่ช่างภาพก็ถามต่ออีกประโยค

 

“แปลก หล่อขนาดนี้ รูปร่างดีขนาดนี้ไม่เคยมีใครมาทาบทามหรือไง หืม?”

 

ผมนิ่ง... เงียบไปสักพัก กับคำถามของพี่ก็อต ซึ่งพี่เขาดูฉลาดมากที่เหมือนเขาจะพอรู้คำตอบของผม

 

“อ่อ พี่พอเข้าใจแล้ว งั้น... ไหนๆ อุปกรณ์ก็เตรียมพร้อมแล้ว เรามาลองเทสหน้ากล้องกันดีกว่า”

 

จากนั้นพี่ก็อตก็ไม่ถามต่อให้ผมรู้สึกอึดอัด แล้วเปลี่ยนมาเป็นเริ่มงานกันแทน เขาสั่งให้ผมไปยืนหน้าฉากขาว สั่งนู่นสั่งนี่อยู่สักพัก บอกผมจัดท่า ขยับซ้ายนิดซ้ายหน่อย ท่าทางก็ไม่ได้มีอะไรมาก เพราะไม่ได้ต้องใช้ท่ายากๆ แค่เอาไปลงนิตยสาร ม.

 

เวลาผ่านไปนานพอสมควร พี่เขายังถ่ายผมอยู่ แต่เหมือนคราวนี้จะเป็นถ่ายอะไรที่นอกเหนือจากงานจริงๆ เพราะพี่ก็อตดึงเอาพร็อพนู่นนี่มาวาง ให้ผมนั่ง ให้ผมถือ ให้ผมถอดแว่นบ้าง ใส่แว่นบ้าง ที่หนักสุดเลยคือ พี่ชายช่างภาพคนนี้สั่งให้พวกลูกน้องไปลากตุ๊กตาหมีตัวใหญ่มาก.. ย้ำว่าใหญ่มาก มานั่งถ่ายคู่กับผม

 

ได้ยินคนขนบ่นว่าตุ๊กตาตัวนี้หนักประมาณ 7 กิโลฯ ถ้าให้มันยืน หมีตัวนี้ก็สูงพอๆ กับผมที่สูง 182

 

ต่อมาพี่เขาก็หยุด บอกให้ผมพักก่อน ถ่ายนานเกินไปเดี๋ยวจะถ่ายต่ออีกไม่ไหว ผมก็เลยนั่งเล่นตุ๊กตาหมีตัวนี้ไปพลางๆ อยู่ได้อีกสักพัก

 

“แอ้ม กูถ่ายเดือนสิบจนจะทำโฟโต้บุ๊คน้องขายได้อยู่แล้ว ไอ้เอสอยู่ไหน?”

 

ได้ยินเสียงดุดังแว่วๆ จนผมอดผวาแทนพี่แอ้มไม่ได้ พี่ก็อต ตอนดุน่ากลัว..

 

ฝ่ายพี่แอ้มที่โดนถามทำหน้าเลิ่กลั่กพยายามหาเหตุผลร้อยแปด แต่สุดท้ายความจริงก็คือความจริง ความจริงที่ว่ายังติดต่อพี่เอสไม่ได้ ความจริงที่ว่า...

 

“แอ้ม ไปปลุกเด็กวิศวะที่นอนอยู่มาได้แล้ว เอาคนนั้นถ่ายแทน”

 

ฮะ...!?

 

“ด... เดี๋ยวพี่คะ จะเอาเมืองเอกจริงเหรอพี่ก็อต”

 

ใช่! พี่ก็อตเอาเมืองเอกจริงเหรอ เหล้าก็หึ่งเลยนะ น้ำยังไม่อาบเลยมั้งครับ... ชุดก็..


ผมค้านในใจเต็มที่ หยิบเอาเหตุผลร้อยแปดมาอ้างบ้าง แต่ก็ทำได้แค่นั้น พี่ก็อตส่งสายตาดุๆ จนพี่แอ้มต้องลุกเดินไปทางห้องแต่งตัว  ก็ทำได้แค่ค้านและร้อนรนอยู่ในใจ เอาจริงผมแค่เงียบและต้องยอมทำตามที่คนอื่นว่า

 

ถ่ายกับเมืองเอก ไม่ได้มีอะไรแย่หรอกครับ ก็อย่างที่บอกผมเห็นหน้าเมืองเอกแล้วผมเฉยๆ แล้ว มีอคตินิดหน่อยที่ทำให้ไม่อยากเข้าไปยุ่งกับคนที่หาเรื่องผมก่อน แล้วก็เผลอไปคิดถึงเรื่องพี่เอสขึ้นมา อา.. ถ่ายกับใครก็คงมีค่าไม่ต่างกัน ผมจะคิดมากไปทำไม ไม่กี่ช็อตก็เสร็จแล้ว

 

ระหว่างที่กำลังทำใจ ว่าจะต้องถ่ายคู่กับเมืองเอกจริงๆ ก็มีเสียงที่เปรียบเสมือนเสียงสวรรค์ช่วยไว้...




“เจ้ เฮียก็อต เอสมาแล้ว!” 

 

ทั้งคนถูกเรียก คนไม่ถูกเรียก รวมทั้งผมหันมองตามผู้หญิงเสื้อดำคนนั้น ก่อนที่จะเลยผ่านไปยังผู้ชายตัวสูงโปร่งที่เดินตามมา

 

คนๆ นั้นอยู่ในชุดเสื้อนักศึกษาสีขาว กางเกงสีดำ พร้อมด้วยผูกเนคไทแล้วก็เข็มขัด เรียกได้ว่าถูกต้องตามระเบียบมหาวิทยาลัยเป๊ะ เว้นก็แต่ใบหน้าหล่อได้รูปที่จัดเรียงองค์ประกอบทุกส่วนอย่างลงตัวไม่ว่าจะเป็นคิ้ว จมูก ปาก ตา เอาเป็นว่าสมบูรณ์แบบทุกส่วนซะจนน่าอิจฉา.. เหมือนนายแบบหลุดออกมาจากนิตยสาร และนี่คือพี่เอส เดือนมหา’ลัยปีที่แล้วอย่างไม่ต้องสงสัย

 

แต่จะพูดอย่างนั้นก็ถูกแล้ว เพราะผมได้ยินพี่ก็อตพูดว่าเขาเคยทำงานถ่ายแบบ จะหน้าเป๊ะ หุ่นเป๊ะขนาดนี้ก็ไม่แปลก...

 

สีหน้าของคนๆ นั้นเรียบเฉยไม่สนใจใครหน้าไหน ไม่แม้กระทั่งจะสนใจพี่ก็อตที่เดินเข้ามาโวยวายใส่



สังเกตเห็นความหยิ่งทะนงที่แฝงอยู่ในดวงตา เพราะผมจ้องเขานานไป หรือเพราะอะไรก็ไม่รู้ พี่เอสชำเลืองมองผมแว๊บนึง ในที่สุดก็หันกลับไปสนใจช่างภาพตัวสูงที่กำลังเกรี้ยวกราด

 

“เอส ได้ยินที่กูพูดไหม มึงทำคนอื่นเขารอ”


ริมฝีปากเจ้าของชื่อเรียกกระตุกยิ้มบาง กลบมาดไม่แคร์โลกเมื่อครู่ให้ปลิวหาย แทนที่ด้วยรอยยิ้มราวกับเทพบุตร ผมอธิบายเวอร์ไปไหม แต่พี่เขาหล่อจริงๆ หล่อแบบที่ว่า ไอ้ที่กวางเข้ามาบ่นให้ผมฟัง สาธยายให้ผมฟัง หรือแม้แต่ในรูปที่กวางเคยเอามาเปิดให้ดู ก็เทียบพี่เขาตอนนี้ไม่ติด.. 

 

“ขอโทษทีพี่ก็อต พอดีรถมันติด เกิดเรื่องนิดหน่อย แล้วมือถือผมก็...”

 

คนถูกต่อว่าส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ ก่อนจะล้วงโทรศัพท์มือถือยี่ห้อดังออกมาจากกระเป๋ากางเกงชูให้คนอื่นดู สภาพโทรศัพท์หน้าจอแตกแหลกละเอียดยิบจนมองอะไรแทบไม่เห็นเลย ตัวเครื่องก็ช้ำและสะบักสะบอม พอเห็นสภาพโทรศัพท์แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่ามันไปเจอกับเรื่องอะไรและสภาพไหนมา...

 

“ข้อแก้ตัวกูไม่อยากฟัง”

 

เป็นข้อแก้ตัวที่มีน้ำหนักเพราะสภาพโทรศัพท์ แต่ยังไงความผิดก็คือความผิด

 

“แต่กูจะยอมให้ ไปเข้าฉากได้แล้ว เลทเวลามาตั้งมาก รีบๆ เข้าล่ะ”

 

“ครับๆ”

 

ยิ้มแบบกวนๆ แล้วส่งเสียงขานรับสองรอบนั่นส่งให้พี่ก็อตหงุดหงิดหนักเข้าไปใหญ่ แต่ผมว่าพี่เขาคงเลือกจะทนมากกว่า เพราะหันกลับไปยืนอยู่หลังกล้องแทน

 

ทุกคนถอนหายใจกันเฮือกใหญ่เมื่อเรื่องเริ่มเข้าที่แล้วกลับไปจัดเตรียมการกันต่อ

 

พี่เอสเดินมาทางผม พร้อมมองหน้า มองแบบที่รู้เลยว่าเขาสังเกตและพิจารณาผมไปทั่ว กว่าจะรู้ตัวและคิดได้ว่าผมควรทำอะไรก็เล่นเอานานอยู่เหมือนกัน

 

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้พูดสั้นๆ พี่เอสไม่ได้ยกมือมารับไหว้แต่ยังจ้องหน้าผมจากที่สูงกว่า เพราะตอนนี้ผมนั่งอยู่กับตุ๊กตาหมีตัวใหญ่เลยตัดสินใจยันตัวลุก พร้อมๆ กับพี่ๆ ชุดเดิมเข้ามาลากหมีหนัก 7 โลฯนั่นกลับไป

 

“ชื่อเดือนสิบใช่ไหม? พี่เห็นเราจากบนเวทีแล้ว”

 

ไม่รู้จะตอบกลับว่าอะไรดี เลยพยักหน้ารับ



พี่เอสทำท่าจะเอ่ยปากพูดกับผมอีกครั้งแต่ก็ถูกหยุดไว้ด้วยเสียงจากผู้ชายที่ยืนอยู่หลังกล้อง



“เอส เดือนสิบ จะเริ่มถ่ายแล้ว”

 

พี่เอสหันกลับไปทางกล้องรวมทั้งผมด้วย พี่แอ้มเดินเข้ามาบอกผมให้ถอดแว่นที่ใส่อยู่ ผมก็เลยถอดส่งให้รุ่นพี่ๆ ฝากเอาไว้ในระหว่างถ่าย

 

ถ่ายกันไปได้หลายรูป กดชัตเตอร์ไปได้หลายครั้ง มีเสียงพี่ก็อตที่แนะนำทั้งการจัดท่าทาง การยืน  การแสดงสีหน้าพี่เขาก็คอยบอกอยู่เป็นระยะๆ แต่ว่า...

 

“พอก่อนครับ เดือนสิบ ทำไมเราถึงแข็งแบบนั้น ไม่เหมือนถ่ายเมื่อกี้เลย มันไม่เป็นธรรมชาติ เหมือนโดนบังคับมาถ่าย”

 

พี่ก็อตละหน้าออกจากหลังกล้องถ่ายรูป ขึ้นมาขมวดคิ้วมองผมที่หงอลงเยอะเพราะโดนดุ จนพี่แอ้มต้องเดินออกมากระซิบว่าอย่าดุน้องมาก รวมทั้งให้กำลังใจผมด้วย

 

“ลองใหม่อีกหน่อยแล้วกัน เมื่อกี้ยังถ่ายได้ดีไม่มีปัญหานี่”

 

โอเค ผมพยายามทำสมาธิแล้วตั้งใจจะถ่ายและทำให้ดีแบบเดิม

 

........
หัวข้อ: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 4 มาช้าดีกว่าไม่มา ☽ 10/08/61 UP
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 10-08-2018 00:36:43
............

 

แต่ว่า...

 

“เดือนสิบ พี่ว่าเราเหนื่อย ออกมาพักก่อนไหม ไม่ได้รูปเลย ทั้งๆ ที่ควรจะได้มาสักสองสามรูปแล้ว”

 

ผมก้มหน้า ไม่กล้าเงยมองพี่ก็อตที่เดินเข้ามาบ่น ผมก็ทำแบบเดิมทุกอย่าง แต่ทำไมพี่ก็อตถึงบอกว่ามันไม่เหมือนเดิม... เกร็งไปเหรอ? ไม่ใช่หรอก เกิดอะไรขึ้นเนี่ย หรือล้าจากการถ่ายติดต่อมาเป็นเวลานานพอสมควร

 

“พี่ก็อต”

 

เสียงผู้ชายที่ยืนอยู่ดังขึ้นเรียกคนข้างหน้าให้หันไปหา 

 

“ขอผมดูรูปที่ถ่ายหน่อย”

 

“เออ ได้ จะดูก็ดู เดือนสิบเราไปนั่งพักตรงนู้นก่อนไป”

 

ช่างภาพว่าแล้วชี้ไปที่โซฟาตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ ผมเดินห่อเหี่ยวตามภาพโซฟาเบลอๆ ที่เห็นจากที่ไกลๆแล้วทิ้งตัวลงนั่งพัก ไม่นานก็เหมือนใครบางคนเดินตามเข้ามานั่งด้วย ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าใครเพราะผมไม่ได้ใส่แว่นภาพมันเบลอ แต่พอเข้าใกล้ก็รู้เลย ทันที

 

“ร้องไห้แล้วเหรอเรา?”

 

ผมกะพริบตามองคนตรงหน้า ประโยคคำถามที่ได้รับทำเอาผมรีบส่ายหน้า

 

“ไม่ใช่ครับ พอดีไม่ใส่แว่นแล้วเพ่งนานๆ จะแสบตา น้ำตาก็เลยไหล”

 

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง”

 

พี่เอสตอบรับแค่นั้น ก่อนจะเงียบไปสักพักแล้วถึงพูดออกมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าผมไม่ยอมเริ่มเปิดประโยคสนทนาสักที

 

 

“ตอนถ่ายรูปเรากลัวพี่เหรอ”

 

“...”

 

ผมเงียบ พี่เขาใช้อะไรคิดว่าผมจะกลัวพี่เขากันนะ บ้าเหรอ มีแต่ความรู้สึกประหม่า

 

“หรือว่าจะเป็นเพราะข่าวลือที่เขาลือกันเกี่ยวกับพี่?”

 

ไม่ใช่ จะเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว อะ ต้องตอบคำถามๆ จะได้เคลียร์ๆ

 

“เปล่าครับ ไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย แค่ไม่เคยถ่ายคู่กับใคร”

 

พี่เอสหันข้างมามองหน้าผม แล้วลากเสียงหืมยาวๆ ในลำคออย่างกับไม่เชื่อที่ผมพูด แต่สุดท้ายก็ตอบรับคำ

 

“อา... พอเข้าใจแล้ว”

 

“??”

 

ผมเอียงคอมอง พี่เอสพูดว่าเข้าใจ ส่วนผมไม่เข้าใจว่าที่พี่เอสเดือนมหา’ลัยปีที่แล้วเข้าใจมันคืออะไร

 

“เมื่อกี้พี่ไปขอดูรูปที่ถ่ายเรา ได้ขนาดนั้นทั้งๆ ที่ไม่เคยถ่ายแบบมาก่อนก็เก่งมากแล้ว เดือนสิบไม่ได้ทำอะไรแย่ แค่มาถ่ายสองคนแล้วมันไม่ลงตัว พี่ก็อตก็เลยบ่นว่าทำได้ไม่ดีเหมือนตอนถ่ายเดี่ยว...”

 

ผมรอต่อฟังเพราะเหมือนพี่เอสจะยังพูดไม่จบ

 

“เพราะพี่มากไป แต่เดือนสิบน้อยไป มันเลยไม่ลงตัว” 

 

“....”

 

เพราะอย่างนั้นเองสินะ พอมาถ่ายคู่พี่เอสถึงใช้ไม่ได้ แต่ถ่ายเดี่ยวที่ไม่ต้องไปบาลานซ์กับใครถึงได้ไม่เหมือนกัน

 

“อืมม... เดือนสิบ เราไม่ถนัดยิ้มตอนถ่ายรูปเหรอ? เอางี้นะ ไหนลองยิ้มให้พี่ดูสิ”

 

น้ำเสียงที่ฟังแล้วรู้สึกสบายๆ ของพี่เอส และรอยยิ้มของพี่เขา ทำให้ผมคิดว่าพี่เอสไม่เห็นจะเป็นเหมือนในข่าวลือเลย ไม่ได้แย่อย่างที่เคยคิดด้วย  แล้วผมก็ค่อยๆ ยิ้มตามคำแนะนำของพี่เขา ค่อยๆ ระบายยิ้มออกมาทีละนิด ในหัวนึกถึงแต่เรื่องดีๆ เรื่องที่ทำให้รู้สึกแฮปปี้

 

“อะ...”

พี่เอสเหมือนจะชะงักเล็กน้อย ไม่รู้ทำไม ผมเก็บรอยยิ้มแล้วเอียงคอมอง สงสัยเหมือนกันเพราะพี่เขาจู่ๆ ก็ท่าทางแปลกไป แต่เพียงไม่นานหรอกครับ รอยยิ้มเผยบนใบหน้าพี่เขาอีกครั้ง

 

“พี่พอจะรู้แล้วว่าทำไมเราถึงได้เป็นเดือนมหา’ลัย ลุกกันเถอะ ตอนถ่ายขอยิ้มแบบเมื่อกี้ได้ใช่ไหมครับ?” 

 

.............

 

กลับมาหาพี่ก็อตแล้วถ่ายกันอีกครั้ง

 

“เริ่มถ่ายแล้วนะ เดือนสิบขยับออกไปทางขวามือนิดนึง อย่างนั้นอีกนิดๆ เอสอย่าทำแขนห้อยแบบนั้น แล้วอย่าให้น้องบังแขนซ้าย ขยับออกมาอีก นั่นแหละ”

 

แชะ !

 

“รูปเมื่อกี้ดีมาก โอเคผ่าน พอได้ ขอบคุณมากๆ  ทั้งเดือนสิบแล้วก็เอสด้วย”

 

พอพี่ก็อตพูดอย่างนั้นผมถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก พี่เอสเดินออกไปนั่งที่โซฟาตัวเดิม พอๆ กับที่พี่แอ้มเดินเข้ามาร้องวู้ๆ ดีใจที่ถ่ายเสร็จไปได้อย่างสวยงาม แล้วส่งแว่นให้ผมใส่ อา... เหมือนได้โลกใบใหม่ สว่างสดใส ไม่เบลอแล้ว

 

“เก่งมากเลยเดือนสิบ”

 

“ไม่หรอกครับ เพราะพี่เอสแท้ๆ”

ผมส่ายหน้าแล้วพูดความจริง ผมถ่ายช็อตนั้นได้สำเร็จเพราะพี่เขา อา จริงสิ ต้องไปขอบคุณสักหน่อย

 

ผมเดินเข้าไปหา... พี่เอสที่นั่งอยู่ตรงนั้น แต่ก่อนจะได้ส่งเสียงทักก็โดนผู้ชายอีกคน ปาดหน้าผมไปก่อน

 

“พี่---”

 

“พี่เอส…”

 

เสียงเรียกจากผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า พร้อมด้วยเสื้อช็อปสีเข้มที่หิ้วอยู่ในมือ พร้อมทั้งรูปร่างแบบนี้ที่ผมจำได้ว่าเป็นใคร...

 

“หืม?”

 

พี่เอสส่งเสียงถามในลำคอ ผมรู้สึกเลยว่าคนในสตูมองมาทางนี้ คนที่เคยหลับอยู่ที่โซฟาในห้องแต่งตัว ซึ่งตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และตอนนี้ยืนอยู่ตรงหน้าพี่เอส

 

เมืองเอก...

 

เพราะเขาหันหลังอยู่ผมถึงไม่เห็นสีหน้าของเมืองเอก เขายืนนิ่งอยู่สักพักแล้วสูดลมหายใจเข้า ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้คนทั้งสตูดิโอตกตะลึง

 

“พี่เอส ผมชอบพี่ คบกับผมเถอะ”

 

“.....”

 

หะ!!??

 



อยู่ดีๆ ผมก็มาเป็นตัวประกอบในฉากสารภาพรักของคนอื่น...



----------------------------TBC-------------------------



สวัสดีค่ะ หายไปนานเลย ทักทายทุกคนนะคะ ทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ *-*


ว่าด้วยเรื่องเนื้อหาตอนนี้ ไม่มีอะไรมากเลยค่ะ
เปิดตัวพี่เอสเฉยๆ เเถมโดนตัดจบตรงนี้อีก ฮา


ไว้พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ ขอบคุณทุกคอมเมนต์
ทุกกำลังใจ ทุกคนที่คอยติดตาม รักมากเลยค่ะ ^^ <3



#วิศวะเดือนสิบ
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 4 มาช้าดีกว่าไม่มา ☽ 10/08/61 UP
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-08-2018 01:58:32
หนูเดือนไมใช่ตัวประกอบหรอก แต่หนูโดนขโมยซีนมากกว่า  :hao3:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 4 มาช้าดีกว่าไม่มา ☽ 10/08/61 UP
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-08-2018 09:05:59
 :pig4: :pig4: :pig4:


อ้าววววว  ยังไงเนี่ย

หรือว่านี่คือ "แผน"  ที่เมืองเอกคิดไว้



หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 4 มาช้าดีกว่าไม่มา ☽ 10/08/61 UP
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 11-08-2018 21:47:37
เมืองเอกจะทำอะไร555555555 งงใจกับคนอย่างแก
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 4 มาช้าดีกว่าไม่มา ☽ 10/08/61 UP
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 12-08-2018 00:15:44
 :katai2-1:
หัวข้อ: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 5 ข่าวลือของเขา ☽ 16/09/61 UP
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 16-09-2018 20:10:39
เดือนที่ 5
ข่าวลือของเขา☽
 


 

เจ้าของร่างกายสูงโปร่งที่ทอดกายนอนบนเตียงคิงไซส์ภายใต้ผ้าห่มนวมผ้าฝ้ายผืนหนาลืมตาตื่นขึ้นช้าๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ถูกใครหรือเสียงนาฬิกาปลุกที่ไหนปลุก แต่ร่างกายดันตื่นขึ้นเองก่อนถึงเวลาเล็กน้อย จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ตัวเขาเองควรจะชินได้เสียที มันเกิดขึ้นบ่อยจนเขาไม่จำเป็นต้องตั้งนาฬิกาปลุกอีกแล้วด้วยซ้ำ

 


“อา”

 


เสียงต่ำครางในลำคอเบาๆ หลังจากที่พยายามบังคับแขนซ้ายที่ปวดหนึบให้ขยับ พยายามทำให้ตัวเองเจ็บน้อยที่สุดแต่ก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องออกมา อย่างไรก็ตามถึงแม้แขนซ้ายข้างนั้นจะไม่ได้ขยับไปไหนแต่ความเจ็บปวดก็ยังคงอยู่อยู่ดี

 


“พี่เอสเจ็บแผลเหรอครับ?” เสียงเอ่ยถามของผู้ชายที่นอนอิงแนบอยู่ข้างกายดังเบาๆ เรียกความสนใจให้เขาหันไปหา ดวงตาสีดำคู่นั้นจ้องมองและสะท้อนไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างไม่ต้องพิจารณาดูก็รู้

 


ใบหน้าดูดีที่ใครเห็นเป็นต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหล่อแบบหาข้อติไม่ได้นั่นส่งยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนหน้าเข้าไปประทับริมฝีปากจูบหน้าผากคนที่นอนอยู่ข้างกายอย่างแผ่วเบาก่อนเอ่ยตอบคำถามด้วยความอ่อนโยน

 


“ก็นิดหน่อยน่ะ เป็นอย่างนี้จนพี่เริ่มชินแล้ว”

 


แต่เป็นสิ่งที่แสร้งทำขึ้นมารึเปล่าก็ไม่อาจทราบได้

 


 “งั้นเดี๋ยวผมลดแอร์ให้นะครับ”




ถามโดยที่ไม่รอฟังคำตอบ ร่างเปลือยเปล่าของอีกคนก็ลุกออกจากผ้าห่มเดินไปหยิบรีโมทแอร์ที่ติดไว้บนผนังขึ้นมาปรับอุณหภูมิจาก 22 องศา ให้สูงขึ้นเป็น 26 องศา ทุกกิริยาท่าทางการกระทำทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของเอสอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าของตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยปีที่ผ่านมาพิจารณามอง คนที่เดินอมยิ้มกลับขึ้นเตียงมา

 


“ดีขึ้นรึเปล่าครับ?”

 


รอยยิ้มดีกรีเดือนคณะที่ส่งให้ทำให้เอสยิ้มตามไปด้วย คำถามที่ถูกถามอย่างใส่ใจนั่นก็ทำเอาเขาอยากจะตอบว่าหายดีเป็นปลิดทิ้งแต่ไม่วายยากที่จะอดหยอกล้ออีกฝ่ายเล่นถึงได้เปลี่ยนคำตอบที่ตั้งใจจะให้ไป




“จะไปหายเร็วขนาดนั้นได้ยังไงล่ะ หืม?”

 


“เจ็บอยู่เหรอครับ? ถ้างั้นผมปิดแอร์ให้เลยดีไหม?”

 


“ไม่เอาหรอกอย่างนั้นพี่ก็ร้อนแย่สิ”

 


“เสื้อผ้าก็ไม่ได้ใส่ แอร์เพิ่งปิดไป จะมาร้อนอะไรกันล่ะครับ”

 


หลังคำตอบที่ได้รับ เอสก็หัวเราะหึๆ เบาๆ ในลำคอแล้วเอื้อมแขนข้างที่ไม่เจ็บไปยีหัวคนข้างกาย โดยที่ฝ่ายถูกกระทำก็หลับตานิ่งให้ยีหัวอยู่อย่างนั้นสักพัก ก่อนสัมผัสจากความร้อนที่มือใหญ่ๆ นั่นจะละออก


 

ร่างสูงโปร่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อลุกขึ้นจากเตียง

 


“จำได้ไหม วันนี้พี่มีงานต้องไป ม.”

 


คนถูกถามที่จ้องมองร่างของเขาพยักหน้ารับ

 


“จำได้ครับ เพราะงั้นพี่เอสให้ผมไปส่งนะ อาบน้ำด้วยกันนะครับ”




จบประโยคคนตัวเล็กกว่าก็รีบลุก โดดออกจากเตียงเข้ามาออดอ้อนออเซาะ ส่งสายตายั่วยวน และทำตัวคลอเคลียเหมือนลูกแมว แต่เหมือนสำหรับเอสแล้วนั่นจะเป็นการเกาะแกะมากเกินไป ซึ่งมันทำให้เขานึกรำคาญแต่ก็ฉลาดพอที่จะไม่แสดงท่าทีไม่พอใจออกมาตรงๆ

 


 “อะไรกันครับ เมื่อคืนยังสนุกกับร่างกายพี่ไม่พอใจอีกหรือไง”




ตั้งใจพูดติดตลก แต่คนที่เกาะแขนเขาอยู่ยังไม่ยอมปล่อยออก

 


เรื่องพยายามยั่วยวน เขาที่เจออะไรๆ มามากย่อมรู้ดี น้องคนนี้เอาอกเอาใจเก่ง และเทคแคร์คนอื่นใช้ได้




...รวมทั้งลีลาเรื่องอื่นด้วย

 


“ถ้าบอกว่ายังล่ะครับ”

 


เอสกระตุกยิ้มให้ก่อนจะกระซิบที่ข้างหู

 


“เป็นนักบริหารนักธุรกิจก็ต้องรู้ใช่ไหมครับ? ว่าบนโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี”




“ก็ไม่ได้ฟรีสักหน่อยนี่ครับ พี่เอสได้กำไร ผมก็ได้กำไร จริงไหม?”

 


ก็จริงอย่างที่น้องพูด กำไรกันทั้งสองฝ่าย ในตอนนี้น่ะนะ แต่ถ้าในอนาคตอาจจะไม่แน่ เขาจะถือว่าเป็นความผิดของน้อง ที่รู้ว่ามันมีความเสี่ยงแต่ก็ยังจะมาลงทุนกับเขา

 


“แล้วตกลงว่ายังไงล่ะครับพี่เอส?”

 



“ถ้างั้นก็ได้สิครับ”

 



เดชองส์ เดือนคณะพาณิชย์ฯ

ก็คงจะกลายเป็นเหมือนอีกหลายๆ คนที่ผ่านมา





………

 


ร่างสูงโปร่งนั่งประจำที่นั่งคนขับบนรถ BMW 320d สีดำ ป้ายเลขประมูลหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าจอดรถที่ลานจอดของมหาวิทยาลัย ทันทีที่รถนิ่งสนิท มือก็เปิดประตูลงจากรถพร้อมกับอีกคนหนึ่งที่ลงตามมา

 


“อีกสักพักกว่าจะถึงเวลานัดเดชองส์ไปนั่งที่ร้านกาแฟกับพี่ก่อนไหม พี่เข้าสตูไปตอนนี้ก็คงอีกนานกว่าจะได้ถ่าย”

เมื่อผู้มีศักดิ์เป็นพี่เอ่ยปากชวนมีหรือที่รุ่นน้องเดือนคณะพาณิชย์จะปฏิเสธ เขาฉีกยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีแล้วพยักหน้าตอบตกลงอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ

 


ร้านกาแฟชื่อดังที่ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยก็ยังเปิดให้บริการในวันเสาร์ นักศึกษาที่มาเรียนในวันนี้ก็ยังพอมี แต่เบาบางเมื่อเทียบกับในวันธรรมดา เอสเลือกที่จะพาน้องเข้ามานั่งที่โต๊ะด้านในสุดของร้านเพราะต้องการความเป็นส่วนตัวให้มากที่สุด ถึงแม้จะชินกับการตกเป็นเป้าสายตา แต่ก็ไม่เคยรู้สึกชอบใจแม้สักครั้งที่ถูกมอง หนำซ้ำวันนี้ยังมากับอีกคนที่น่าจะมีคนจับตามองพอกัน

 


 “ผมไม่เห็นรู้เลยว่าพี่เอสชอบดื่มช็อกโกแลตมากกว่าพวกกาแฟ”

 


เดชองส์มองแก้วที่ตั้งอยู่ตรงหน้าแล้วเอ่ยถามอย่างสนใจ ผิดคาดกับที่คิดเอาไว้ว่าอีกคนจะสั่งเมนูอะไร

 


คนถูกทักแค่ยิ้มๆ แล้วเลือกที่จะไม่ตอบ เพราะความจริงแล้วเขากินได้หมดไม่มีเครื่องดื่มอะไรที่ชอบเป็นพิเศษเลยต่างหาก

 


“อ้าว เอส เดชองส์ บังเอิญจังนะ”

 


“พี่ไนซ์”

 


เดชองส์ยกมือไหว้รุ่นพี่ร่วมคณะ แต่นอกจากรุ่นพี่จะไม่รับไหว้แล้วยังไม่คิดที่จะมองมาทางน้องแม้แต่หางตา ทั้งๆ ที่ทักทั้งคู่แต่สายตากลับจับจ้องอยู่แค่เพียงคนๆ เดียว

 



“วันนี้วันเสาร์ มา ม. กันด้วย?”

 


ผู้มาใหม่ที่เดชองส์เรียกว่าไนซ์ถามเสียงแข็ง ดวงตาที่จ้องตรงแหลมคมราวกับปลายลูกธนูที่พร้อมจะปักทะลุหัวใจได้ทุกเมื่อ แผลผ่าตัดดามเหล็กที่แขนซ้ายเจ็บตึงนิดๆ ขึ้นมา โดยคิดว่าสาเหตุน่าจะเป็นตัวเขาเอง เอสเผลอเกร็งกำมือแน่น ผิดกับสีหน้าเรียบเฉยที่แสดงออกมา ท่าทางที่ไม่คิดจะตอบคำถามทำให้ฝ่ายถามเริ่มหงุดหงิด




“กูถามทำไมไม่ตอบล่ะ”




“....”

 


เอสถอนหายใจมองหน้าเดชองส์ที่นั่งอยู่ตรงข้าม สลับกับหน้าของคนที่ไม่คิดว่าจะมาเจอที่นี่ในวันนี้ ไม่อยากต่อความยาวกับคนๆ นี้อีกแล้วเอสจึงเลือกที่จะปิดปากแล้วทำเป็นไม่สนใจแต่เหมือนจะไม่ง่ายขนาดนั้นเมื่อไนซ์ไม่ยอมที่จะเลิกยุ่ง  ริมฝีปากบนใบหน้านิ่งกระตุกยิ้มที่เปรียบราวกับใบมีด

 


“ยังไม่เลิกมั่วกับคนอื่นอีกเหรอเอส”

 


“เรื่องของกู---”

 


“ไม่เห็นจะเกี่ยวกับพี่ไนซ์เลย”

 


“ฮะ?”




ไนซ์เก็บรอยยิ้ม หัวคิ้วมุ่นหากันมองคนเด็กสุดในโต๊ะที่จู่ๆ ก็พูดแทรกขึ้นมา

 


เดชองส์แสร้งทำหน้านิ่งกลับบ้าง

 


 “พี่ไนซ์เกี่ยวอะไรกับพี่เอสด้วยล่ะครับ พี่เอสจะไปไหน จะทำอะไร จะคบใครมันก็เป็นสิทธิ์ของพี่เขา...-”

 


รุ่นพี่คนที่ถูกพูดถึงเค้นเสียงในลำคอ รอยยิ้มที่มุมปากที่เก็บกลับไปแทนที่ด้วยไปหน้านิ่งเฉย ดวงตาคมกริบกดลงมองรุ่นน้องที่อยู่ต่ำกว่า แล้วพูดแทรกขึ้นมาบ้าง

 


“เห๊อะ ! อย่าพูดให้ขำเลยครับน้อง ถ้าอยากรู้ว่าพี่เกี่ยวอะไรกับเอสก็ลองไปถามรุ่นพี่คนอื่นๆ ดูบ้างนะครับ พี่รหัสน้องก็ได้ เอ้อ แล้วพี่ขอแนะนำอะไรไว้อีกอย่าง...”

 


“ไนซ์”

 


เอสกดเสียงต่ำปรามผู้ชายที่หันไปเล่นจ้องตากับเดชองส์ แล้วมีหรือคนที่ถูกห้ามจะยอมหยุดพูด ไนซ์หันกลับมามองหน้าเอสแวบหนึ่งแล้วหันกลับไปฉีกยิ้มให้รุ่นน้อง




“อย่าเอาแต่ทำตัวร่านอยู่แต่กับผู้ชาย แล้วหัดตามข่าวไว้บ้างก็ดี จะได้เลิกโง่”




เดชองส์นิ่งเหมือนถูกน้ำเย็นสาดเข้าหน้า เอสเริ่มขมวดคิ้วไม่พอใจเมื่อไนซ์ขยับปากพูดอีกครั้ง




“เลิกยุ่งกับเอสเถอะน้อง ถ้าไม่อยากกลายเป็นหมาหัวเน่าทีหลัง”


 



“ไนซ์!!”


 

เอสหมดความอดทนตวาดใส่คนที่ยังไม่ยอมหยุดพูดจนชะงัก แต่ก็เพียงครู่เดียวก็ตั้งท่าจะพูดอีกรอบจนเอสต้องตัดสินใจ ลากแขนอีกฝ่ายให้ออกจากร้านมาด้วยกัน โดยไม่ลืมหันกลับไปบอกเดชองส์ที่นั่งนิ่งเงียบทำอะไรไม่ถูกอยู่ที่โต๊ะ

 


“เดชองส์จะกลับไปก่อนเลยก็ได้ เดี๋ยวพี่จะเข้าสตูเลย”

 
 
...........

 


เอสลากแขนผู้ชายที่เคยคุ้นเคยกันดีออกมาจากร้านกาแฟ ท่ามกลางสายตาคนในร้านที่เริ่มมองมายังโต๊ะเขาตั้งแต่เริ่มมีปากเสียงกัน ไนซ์ไม่ได้ขัดขืนอะไร ก็แค่เดินตามผู้ชายที่ลากตัวเองออกมาจากร้านนิ่งๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงลานจอดรถโล่งๆ ที่เพราะเป็นวันเสาร์เลยไม่ค่อยมีรถเข้ามาจอด

 


หลังจากหยุดยืนเอสก็หมุนตัวหันกลับมาประจันหน้ากับคนที่ยืนกอดอกมองหน้าเขานิ่งๆ

 


“ทำไมต้องไปว่าน้องเขาแบบนั้น”

 


“ถามว่าทำไมกูถึงไปว่าน้อง นี่เอสเป็นห่วงน้องมันด้วยเหรอ?”

 


คนถูกถามตอบ ก่อนจะถามกลับเหมือนว่าเรื่องที่เอสไปใส่ใจน้องเดชองส์มันไม่ใช่ความจริงใจ ไนซ์ยักคิ้วส่งให้ผู้ชายตัวสูงกว่าที่ใบหน้าหล่อดูดีนั่นนิ่วหน้าไม่พอใจ

 


“ที่พูดไปกูก็พูดความจริงทั้งหมด กลับกันซะอีก กูหวังดีกับน้องถึงได้เตือน”

 


จากที่ไม่พอใจเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธและหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ

 


“เรื่องของมึงกับกูมันจบไปนานแล้ว ทำไมมึงยังไม่เลิกยุ่งกับเรื่องของกูสักที”

 


“จบ...? จบแล้วเหรอ?? ถ้าจบแล้วทำไมมึงยังไม่เลิกทำตัวแบบนี้สักทีเหมือนกันล่ะเอส”

 


เอสที่ฟังคำกล่าวจากคนตรงหน้าแล้วก็ยังไม่เข้าใจที่ไนซ์พูดนั่นหมายความว่าอะไร อยากจะคิดเข้าข้างตัวเอง แต่อีกใจก็ร้องเตือนว่าเขาเชื่อใจอีกฝ่ายไม่ได้อีกแล้ว

 


คนตัวสูงกว่าถอนหายใจยาวแล้วส่ายหน้า

 


“ตอนนี้กูจะทำอะไร ทำตัวแบบไหนก็ไม่เกี่ยวอะไรกับมึงแล้วไนซ์”

 


คำพูดที่เอ่ยออกมาจากฝ่ายชายหนุ่มคณะวิศวกรรมศาสตร์ตรงหน้า ทำคนที่กำลังรับฟังชะงักไปเพียงชั่วครู่ ก่อนที่สติที่ประโยคนั้นพัดปลิวหายไปจะกลับมาด้วยเสียงสายเข้าของโทรศัพท์

 


เอสหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงระหว่างที่กำลังมองดูว่าใครโทรมาและกำลังตัดสินใจว่าจะรับสายดีหรือไม่นั้น จู่ๆ ไนซ์ก็เอื้อมมือมาคว้าโทรศัพท์เครื่องนั้นออกจากมือเขาไป

 


ดวงตาคมมองชื่อรุ่นน้องที่เพิ่งแยกจากเมื่อครู่ที่ร้านกาแฟปรากฏอยู่บนหน้าจอแล้วก็ทำเอาเส้นความอดทนตึงขึ้นมาง่ายๆ เจ้าของมือที่กำโทรศัพท์จึงถือวิสาสะตัดสายไป

 


เอสมองการกระทำนั้นนิ่งๆ เมื่อจัดการกับโทรศัพท์เสร็จไนซ์ก็หันกลับมา

 


“เรายังคุยกันไม่จบเลยนะเอส”

 


“กูกับมึงมีอะไรต้องคุยกันอีกเหรอ?”

 


คำพูดที่เหมือนตัดขาดจนไร้เยื่อใย ไนซ์มองหน้าเดือนมหา’ลัยพูดอะไรไม่ออก  ในระหว่างที่ความเงียบเข้าปกคลุม โทรศัพท์ในมือก็สั่นขึ้นมาอีกจนทำให้ไนซ์รู้สึกรำคาญยิ่งเห็นชื่อเดิมๆ ที่ปรากฏอยู่บนจอด้วยแล้ว

 


“พอได้แล้วไนซ์ เอาโทรศัพท์กูคืนมาได้แล้ว”

 


เพียงประโยคนั้นแค่ประโยคเดียวเพิ่มความหงุดหงิดไม่พอใจ ที่เอสพูดอย่างนั้นเหมือนตั้งใจจะย้ำว่าเขาไม่ใช่คนที่เอสอยากจะคุยด้วยแล้ว คนที่เอสอยากจะคุยด้วยจริงๆ คือใคร จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไอ้คนที่กำลังโทรเข้ามา




ไนซ์กัดปากทำท่าอยากจะปาโทรศัพท์มือถือที่ทั้งสั่นทั้งส่งเสียงดังน่ารำคาญนั้นลงกับพื้น แต่เหมือนตัวเองจะพยายามเรียกสติกลับคืนมาได้...




เว้นแต่ว่า...

 


“ก็เอาเลยสิ อยากจะขว้าง อยากจะปา อยากจะทำอะไรก็ทำ แขนกูมึงยังทำมาแล้ว แค่โทรศัพท์แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก” 

 


ยิ่งพูดเหมือนยิ่งยุราวกับราดน้ำมันเข้ากองไฟ ไนซ์มองตาคนที่เอ่ยท้าทาย ก่อนที่โทรศัพท์มือถือยี่ห้อแพงจะถูกโยนลงกระแทกพื้น แค่นั้นยังไม่พอ คนที่โยนมันลงยังออกแรงกระทืบซ้ำราวกับมันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจจนไม่สมควรได้รับการให้อภัย หน้าจอ 5.8 นิ้ว แตกละเอียดพอๆ กับสภาพเครื่องที่เยินจนดูไม่ได้

 


“อยากได้ก็ก้มลงมาเก็บ หรือมึงเห็นว่ามันพังจนใช้การไม่ได้แล้ว จะปล่อยมันเป็นขยะไปแบบนี้ก็ได้!”



ผิดคาดกับที่ไนซ์คิดเอาไว้ เอสย่อตัวลงก้มเก็บโทรศัพท์มือถือที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นที่ถูกเหยียบกดไว้ด้วยปลายเท้า แต่สภาพของมันไม่ควรเรียกว่าโทรศัพท์มือถืออีกต่อไป ส่วนคนที่ออกแรงเหยียบตัวเครื่องไว้ครึ่งหนึ่งคล้ายจะไม่ยอมปล่อยให้เอสเก็บมันขึ้นไปดีๆ

 


ใบหน้าดูดีที่ก้มลงเห็นแค่สันจมูกโด่งสวยได้รูปกับโครงหน้าที่เข้ากันทุกองค์ประกอบนั้นดูเรียบเฉยไร้ความรู้สึกสิ้นดี ดวงตาสีดำคู่นั้นก็ไม่ได้โฟกัสมองอะไรทั้งๆ ที่มือใหญ่กำลังดึงโทรศัพท์นั่นกลับมา

 


หลังจากคนที่มองจากที่สูงกว่าเริ่มพอใจ ปลายเท้าจึงยกออกจากตัวโทรศัพท์ จนเอสสามารถนำมันกลับมาได้ในที่สุด ถึงแม้สภาพมันจะไม่เป็นเหมือนเดิมอีกแล้วก็ตาม

 


เจ้าของร่างสูงโปร่งเกือบ 190 เซนฯ ตั้งใจจะหันหลังกลับและเดินจากไป อารมณ์ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกเสียดาย หรือเสียใจที่โทรศัพท์เครื่องนั้นถูกทำพังไป แต่สิ่งที่จุกแน่นอยู่ในอกมันยากที่จะอธิบาย สิ่งที่เสียไปไม่ใช่โทรศัพท์ แต่มันเป็นความรู้สึกหลังจากภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ได้พิสูจน์ว่าผู้ชายคนหนึ่งตรงนี้เปลี่ยนไปเป็นอีกคนที่เอสไม่เคยรู้จักอีกต่อไปแล้ว

 


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกแต่เป็นอีกครั้งที่ทำให้เอสแน่ใจ 

 


“เอส กูตอนนี้ไม่มีความสำคัญกับมึงเลยใช่ไหม?”

 


“...”



คนถูกถามตีหน้านิ่ง ก่อนจะได้ตอบ เสียงๆ นั้นก็พูดออกมาก่อน...



“ไม่สิ กูควรจะต้องถามมึงว่า กู ‘เคย’ สำคัญกับมึงบ้างไหมต่างหาก”



เอสไม่ตอบคำถามนั้นแล้วเดินออกมา ต่างจากคำตอบในใจที่ย้ำเตือนชัดเจนอยู่ในหัว...

 

 

 



ของที่สำคัญ ต่อให้มันจะพังจนใช้งานไม่ได้อีกแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเมื่อก่อนมันไม่เคยสำคัญ

 


.....



ร่างสูงโปร่งในชุดนักศึกษาตรงตามระเบียบทุกข้อตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเดินทอดน่องถอนหายใจยาวบนฟุตปาธริมถนนในมหาวิทยาลัย ไม่มีจุดหมายใดๆ ก็แค่เดินไปเรื่อยๆ คิดอะไรเรื่อยเปื่อยกับตัวเอง หลังจากเดินหนีไนซ์เขาก็ไม่ได้ติดต่อเดชองส์หรือตรงไปสตูดิโอตามนัด กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าตัวเองมีหน้าที่ต้องทำอะไรเวลาก็ล่วงเลยมามาก

 

เขาไม่รู้ว่าพี่ก็อตช่างภาพที่มาถ่ายแบบให้ในวันนี้จะยังรอถ่ายเขาอยู่ไหม แต่สิ่งเดียวในตอนนี้ที่เป็นจุดหมายก็คือการตรงไปที่สตูดิโอ





หลังจากที่ไปปรากฏตัวบนสตูดิโอ ก็ไม่แปลกที่จะถูกพี่ช่างภาพต่อว่า ตอนแรกไม่มีอารมณ์ร่วมใดๆ เลยแม้จะถูกพี่ก็อตโวยวายแค่ไหนก็ตาม เอสหงุดหงิดกับสายตาที่มองมาเหมือนปกติ แต่มีสายตาหนึ่งที่เรียกความสนใจให้เขาหันกลับไปมอง เด็กชุดนักศึกษาหน้าตาดีมากคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าฉากขาวพร้อมกับตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ตรงนั้น

 

ใบหน้านิ่งเรียบ กับดวงตาใสจ้องมองเขาไม่วางตา จำได้ว่าคนๆ นั้นคือรุ่นน้องเดือนมหา’ลัยปีนี้ชื่อเดือนสิบ ถึงแม้ว่าตอนที่เขาเห็นน้องอยู่บนเวที เดือนสิบจะไม่ได้ใส่แว่นหนาเตอะแบบนี้ก็ตาม



เขาดึงสติกลับมาได้ ถึงได้เริ่มกลับมายิ้มแย้ม ทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวให้คนอื่นสบายใจแม้มันจะเป็นการฝืนตัวเองอยู่บ้างก็ตาม



หลังจากที่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายได้ เอสก็เดินเข้าไปทางเดือนสิบ มองหน้าอย่างพิจารณา เพราะเคยเห็นน้องจากแต่ที่ไกลๆ พอมาเห็นใกล้ๆ แบบนี้แล้ว

 

ก็หล่อดี หุ่นดี ผิวดี

 

มองอยู่นานเดือนสิบก็เลิ่กลั่กขึ้นมา แล้วไหว้ทักรุ่นพี่ตรงหน้า เอสยังคงสังเกตท่าทางของน้องแล้วเอ่ยทักตามประสา ถึงอยากจะคุยเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง แต่สุดท้ายก็ถูกพี่ก็อตเรียกไปถ่ายงาน บทสนทนาจึงไม่ได้มีอะไรมากนอกจากทักทาย

 

ถ่ายไปเท่าไหร่เยอะไหมเขาก็ไม่ได้นับนักหรอก เอสเคยทำงานถ่ายแบบมาแล้ว แสง มุมกล้อง ความต้องการของช่างภาพ อะไรพวกนี้ก็เป็นของที่คุ้นเคย แม้จะห่างหายมานานถึงครึ่งปี แต่ปัญหาที่ทำให้ถ่ายเยอะขนาดนี้แล้วยังไม่ได้ภาพที่ถูกใจช่างภาพสักทีไม่ได้เป็นเพราะเขา



“เดือนสิบ พี่ว่าเราเหนื่อย ออกมาพักก่อนไหม ไม่ได้รูปเลย ทั้งๆ ที่ควรจะได้มาสักสองสามรูปแล้ว”



เอสมองรุ่นน้องที่ยืนก้มหน้ามองพื้นข้างๆ ในใจรู้สึกรำคาญหน่อยๆ เป็นเพราะเดือนสิบที่ทำให้การถ่ายแบบที่เอสคิดว่ามันง่ายแสนง่าย แค่ใช้เวลาถ่ายไม่ต้องถึง 5 นาทีก็เสร็จนั่น ต้องมาใช้เวลานานขนาดนี้... แต่จากที่ดูๆ เดือนสิบก็ไม่ได้ทำอะไรผิด หรือแย่ตรงนั้น เอสไม่ใช่ช่างภาพที่ยืนมองพวกนายแบบผ่านกล้อง ก็เลยไม่รู้ว่ารูปที่ถ่ายออกมามันแย่ขนาดไหน หรือขาดอะไร ตรงไหนที่ใช้ไม่ได้ไป



“พี่ก็อต”



ทางเดียวที่จะรู้ว่ารูปออกมาเป็นแบบไหนก็คือต้องดู



“ขอผมดูรูปที่ถ่ายหน่อย”



เอสขอไปแบบนั้น พี่ก็อตเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาส่งกล้องตัวที่ใช้ถ่ายมาให้ หนุ่มอดีตนายแบบรับมันไปเลื่อนดู ภาพของเขากับเดือนสิบที่ยืนถ่ายคู่กัน... เอสยอมรับว่ามันไม่ได้ออกมาแย่อะไรเลย แต่กลับรู้สึกเหมือนมีบางอย่างขัดๆ จากที่คิดเอาไว้



นิ้วมือกดปุ่มเลื่อนดูรูปไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงรูปของเดือนสิบที่ถ่ายเดี่ยว อาจจะเป็นตอนที่ถ่ายรอระหว่างที่เขามาสาย รูปของผู้ชายตัวสูงโปร่งในชุดนักศึกษาตามระเบียบเรียบร้อย ใบหน้าดูดีนิ่งเรียบไม่ได้ยิ้มแย้มหรือแสดงสีหน้าเศร้า แต่มันกลับทำให้ภาพนั้นดูผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติ เดือนสิบในรูปนั่งเล่นกับตุ๊กตาหมีตัวใหญ่... และก็เป็นภาพนี้ที่ทำให้เอสรู้สึกฉุกคิดขึ้นมา เขาส่งยิ้มบางราวกับกำลังยิ้มให้คนในกล้อง หลังจากมองจนพอใจแล้วก็ยื่นกล้องคืนให้พี่ก็อต แล้วเดินไปหาอีกคน



เดือนสิบที่นั่งอยู่ที่โซฟา ใบหน้าขาวพร้อมดวงตาใสเงยขึ้นมองหน้าเขา และดวงตาคู่นั้นใสวาววับเกินไปจนทำให้เอสรู้ว่านั่นเป็นเพราะน้ำตา ตอนแรกก็คิดว่าน้องกดดันจนร้องไห้เลยหรือ? แต่พอถามแล้วคำตอบที่ได้ไม่เป็นอย่างที่คิดก็ทำให้คนเป็นพี่โล่งใจ เพราะถ้าเดือนสิบร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ คนที่ปลอบใครไม่เก่งอย่างเขาคงทำอะไรไม่ถูกน่าดู



หลังจากได้พูดคุยดูสักพักถึงได้เริ่มเข้าใจ และสิ่งที่เอสแนะนำไปก็ทำไปเพราะความรู้สึกล้วนๆ รู้สึกว่าถ้าเขาไม่ทำอะไรสักอย่างงานนี้มันคงจะไม่จบง่ายๆ



“อืม... เดือนสิบ เราไม่ถนัดยิ้มตอนถ่ายรูปเหรอ? เอางี้นะไหนลองยิ้มให้พี่ดูสิ”



ลองขอให้ผู้ชายตรงหน้าลองยิ้มออกมาดู เพราะไม่เคยเห็น.. เดือนสิบยิ้มเลยสักครั้ง



ดวงตาคู่นั้นจ้องตอบกลับเอสที่คอยมองท่าทางน้องอยู่ เดือนสิบเงียบ และนิ่งไปสักพักก่อนจะค่อยๆ ระบายยิ้มออกมา ไม่มากและไม่น้อยเกินไปแต่มันกลับทำให้..



 

“อะ...”


 



...เอสชะงักขึ้นมา เอสยอมรับตั้งนานแล้วว่าน้องที่นั่งอยู่ตรงหน้า หน้าตาดีมากขนาดที่ไม่มีข้อโต้แย้งที่เดือนสิบได้เป็นเดือนมหา’ลัย ยิ่งเห็นรอยยิ้มนี้ที่อยู่บนหน้านั้นกลับรู้สึกว่าถูกแล้วที่จะเป็นคนๆ นี้





น่าเสียดายที่รอยยิ้มแบบนี้ไม่ได้เห็นได้บ่อยๆ นักหรอก เพราะเจ้าของรอยยิ้มไม่ชอบยิ้มเอาเสียเลย..



โชคดีไปหรือเปล่านะที่ได้เห็นรอยยิ้มของคนๆ นี้ใกล้ๆ แบบนี้...



เอสยิ้มส่งกลับให้บ้าง

 

...บางที เด็กคณะอื่นก็ไม่เลวนักหรอก ใช่ไหมนะ?   






---------------
หัวข้อ: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 5 ข่าวลือของเขา ☽ 16/09/61 UP
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 16-09-2018 20:10:57
............

 

คนที่ตกใจภาพเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้านั้นไม่ใช่ผมแค่คนเดียวหรอกครับ คนอื่นๆ ที่อยู่ตอนนี้เองก็ตกใจเหมือนกันกับผม



รุ่นพี่หน้าหล่อที่นั่งอยู่ตรงโซฟาตรงนั้นไม่ได้แสดงท่าทีตกใจอะไรชัดเจน แต่สีหน้าที่ปกติจะนิ่งเรียบนั้นแสดงความสับสนออกมาไม่น้อยเลย ผมถึงได้คิดเอาเองว่านี่ไม่ใช่การเตี๊ยม เล่นมุก หรือทำอะไรขำๆ อำกันเล่นๆ ตามประสารุ่นพี่รุ่นน้องคณะเดียวกันแน่ๆ(ล่ะมั้ง?)



ผมก้าวขา จากที่เคยตั้งใจจะเดินไปขอบคุณพี่เอสก็ถอยหลังออกมาพอสมควร ไม่ใช่เพราะอะไรหรอกครับ คนแถวๆ นั้นบางคนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ถ้าให้เดาผมว่าถ่ายคงจะถ่ายคลิป และเพื่อความปลอดภัย ผมจะได้ไม่ไปเป็นส่วนเกินในคลิปด้วยก็เลยถอยออกมา



“พูดว่าอะไรนะ?”



พี่เอสเดือนมหา’ลัยปีที่แล้ว กับเมืองเอกเดือนวิศวะเริ่มเปิดบทสนทนา



“ผมพูดว่า ‘พี่เอส ผมชอบพี่ คบกับผมเถอะ’ ครับ”



เมืองเอกยังคงยืนยันคำตอบเดิม คนที่อยู่รอบๆ เริ่มฮือฮาขึ้นมา... ผมอยู่ห่าง แต่ก็พอได้ยินครับ แอบคิดในใจว่าผมจะไปเผือกกับการสารภาพรักคนอื่นเขามากเกินไปหรือเปล่า แต่มาคิดอีกที ใครใช้ให้เมืองเอกประกาศขอคบกันโต้งๆ แบบนั้นล่ะ(วะ)ครับ? 



เพราะงั้นผมจะฟังที่สองคนนั้นคุยกันมันก็ไม่ผิดใช่ไหมล่ะ



“ไอ้เอสฮ็อตเหมือนเดิมเลยนี่หว่า”



“..”



ผมเกือบสะดุ้ง หันมองพี่ก็อตช่างภาพที่อยู่ดีๆ มายืนดูเหตุการณ์ข้างผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เอาเถอะ ผมไม่ได้ว่าอะไรที่เขาจะมายืนดูข้างๆ ผมหันกลับไปมองตรงไปที่ทั้งเดือนสองคนนั้นอีกครั้ง



พี่เอสหลังจากได้ยินคำตอบจากเมืองเอกจู่ๆ ก็กระตุกยิ้ม สองขายาวใต้กางเกงนักศึกษาขยับขึ้นมาไขว่ห้าง แขนขวายกขึ้นมาเท้าคางเงยหน้ามองรุ่นน้องตรงหน้า



"มาขอคบกับพี่ แล้วเรื่องดาวคณะอักษรล่ะ?"



"พี่เอส เรื่องนี้กับเรื่องนั้นมันคนละเรื่องกัน"



อืม... คนละเรื่องกันเหรอครับ?



เรื่องคนที่ตัวเองกำลังคบ กับคนที่ตัวเองขอคบนี่มันคนละเรื่องกันเหรอ?



ผมงงกับคำตอบของเมืองเอก สีหน้าหมอนั่นเป็นยังไงไม่รู้ เจ้านั่นมันหันหลังให้ผมอยู่ แต่พี่เอสยังไม่ได้หยุดยิ้ม



“เมืองเอกรู้ข่าวลือของพี่ไหม?”



เรื่องข่าวลือของพี่เอสอีกแล้วเหรอ?



“รู้”



คนถูกถามตอบสั้นๆ คนที่อายุมากกว่าลุกขึ้นยืน จากความสูงตอนยืนแล้ว เมืองเอกเตี้ยกว่าพี่เอสแบบเห็นได้ชัดเลย



“ถ้างั้นก็น่าจะรู้คำตอบนี่ ว่าพี่จะตอบว่าอะไร”



“...”           



“อืม... แต่ก็ไม่แน่ เพราะพี่ว่าเด็กคณะอื่นก็น่าสนใจเหมือนกัน



คำจากปากพี่เอสทำให้เมืองเอกเงียบได้ขนาดนั้น ถ้าผมไม่ได้คิดไปเองพี่เอสมองมาทางผมจริงๆ เขายิ้มให้ และผมที่งงๆ กับคำพูดนั้นก็ทำได้แค่มองหน้ารุ่นพี่กลับ...



คนที่เคยยืนอยู่ตรงหน้าก้าวขาเดินผ่านเมืองเอกไปที่ประตูทางออกจากห้องสตูฯ แต่ยังไม่ทันเดินพ้นประตู ขายาวนั่นก็หยุดนิ่งราวกับคิดอะไรออก เขาหันกลับมาทางเมืองเอกอีกครั้ง



“เออ เมืองเอก ได้จากไอ้ตอเท่าไหร่ เอามาแบ่งกูด้วยแล้วกัน”



เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินพี่เอสพูดหยาบ ถึงแม้จะเป็นรุ่นน้องที่คณะแต่ช่วงแรกๆ พี่เขายังพูดเพราะใส่เมืองเอกอยู่เลย...



สิ่งที่ผมสงสัยในหัวก็ไม่ได้คำตอบ พี่เอสพูดแค่นั้นแล้วก็เดินจากไป ทิ้งให้พวกคนที่อยู่รอบๆ รวมทั้งผมกับพี่ก็อตยืนงงกับเรื่องตรงหน้า ส่วนเมืองเอกเหมือนว่าจะรู้ว่าพี่เอสหมายถึงอะไรเลยไม่ได้งงแบบผม มันแค่จิ๊ปากเบาๆ หัวคิ้วมุ่นลงผมเห็นเพราะเจ้าตัวหันหน้ามาทางผม อ่านปากที่ฝ่ายนั้นพึมพำเบาๆ ได้ว่า



“ไม่แบ่งหรอก...”



ผมมองตามเมืองเอกที่เดินไปทางผู้หญิงคนหนึ่ง ผมจำได้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายภาพเหตุการณ์ทั้งหมดเก็บเอาไว้ 



“จะเอาคลิปไปลงก็ตามใจ แต่รบกวนอย่าใส่สีตีไข่ไปมากเกินความจริงแล้วกัน”



 ประโยคที่ว่าของเมืองเอกไม่ได้ออกแนวต่อว่าอะไรแต่คนฟังถึงกลับเหงื่อตก ไม่ใช่อะไรหรอกครับก็สีหน้าบอกบุญไม่รับของเมืองเอกน่ะสิ เอ่อ... ก็ยังหล่อดีเหมือนปกติ ก็แค่รู้สึกว่ากำลังโกรธอยู่เท่านั้นเอง อารมณ์เสียถึงขนาดพูดกับผู้หญิงคนนั้นจบแล้วเดินปึงปังออกไปเลยครับ



หน้าเมืองเอกตอนโกรธเพิ่งเคยได้เห็นแต่ค่อนข้าง... น่ากลัวพอดูเลยล่ะครับ



รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณเลย ว่าอย่าไปทำให้อีกฝ่ายโกรธแบบนั้นจะดีกว่า...




---------------



วันเสาร์กับหน้าฝน... ผมรู้อยู่แล้วครับว่ามหา’ลัยน่ะเปิดเรียนพร้อมกับหน้าฝน ฝนจะตกก็ไม่แปลกนักหรอก แต่ไม่รู้ทำไมชอบตกตอนจะกลับบ้านให้เปียกเล่นทุกที ถึงการที่ฝนตกวันเสาร์จะเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่ดีที่วันเสาร์วันนี้ผมดันต้องออกมา ม. ยังไงล่ะครับ



ผมได้แต่นั่งเงียบๆ ตัวเกร็งมองสภาพการจราจรที่ติดขัดพร้อมห่าสายฝนที่เทลงมาอย่างบ้าคลั่ง ระหว่างม.กับคอนโดใช้เวลาไม่นาน แต่ถ้ารถติดกับฝนตกด้วยก็ไม่แน่...



15 นาทีผ่านไปยังไม่ออกจากถนนหน้า ม. เลยครับ วันนี้วันเสาร์แท้ๆ รถมาจากไหนกันนักฮะ!?   



“ฝนมาตกวันนี้โชคไม่ดีเลยนะ”



คนขับรถจำเป็นที่นั่งเงียบมองทางข้างหน้าอยู่นานเอ่ยขึ้นเบาๆ ผมที่แกล้งทำเป็นมองทางอื่นไปพลางๆ ก็เลยจำต้องหันกลับมา สนใจบทสนทนา...



รุ่นพี่หน้าตาหล่อมาก(ก.ไก่สักล้านตัว) ดูดี ไร้ที่ติ อดีตนายแบบ อดีตเดือนมหา’ลัย และตอนนี้กำลังนั่งประจำที่นั่งคนขับรถ BMW สีดำคันนี้อยู่ ถามว่าทำไมผมถึงได้มานั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้พี่เอสน่ะเหรอครับ เอ่อ เรื่องมันก็ง่ายๆ



ผมที่ออกจากสตูกำลังจะกลับคอนโดในระหว่างที่กำลังเดินไปนั่งรอรถเมล์หรือเรียกวินอะไรสักอย่าง จู่ๆ ฝนก็ดันเทลงมาซะจนแทบหาที่หลบไม่ทัน บังเอิญกว่านั้นพี่เอสที่ออกจากสตูไปนานแสนนานแล้ว กลับขับรถ BMW โคตรหรูมาจอดที่หน้าป้ายรถเมล์ที่ผมหลบฝนอยู่ ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกครับว่าใครแต่พอรถลดกระจกลงเท่านั้นแหละ... ถึงได้รู้ว่าเป็นพี่เอส

 



“เดือนสิบจะกลับด้วยกันไหม? เดี๋ยวพี่ไปส่งก็ได้นะ จะลงตรงไหนล่ะ?” 



“เอ่อ... ไม่เป็นไรหรอกครับ”



“ไม่เป็นไรได้ยังไง ฝนตกหนักเลยนะ ไปด้วยกันเถอะ ถือว่าเป็นการขอโทษที่พี่มาสายทำให้เดือนสิบเสียเวลาไง”



“...”   

 



ก็แค่นั้นล่ะครับ ตอนนี้ผมถึงได้ย้ายร่างมาประทับอยู่บนเบาะบีเอ็ม... อืม จะว่าดีก็ดีที่ได้กลับคอนโดโดยที่ไม่ต้องเปียกแต่มันก็



“เกร็งจังนะเรา คิดว่าพี่เป็นคนขับแท็กซี่ก็แล้วกัน”



พี่เอสก็ยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขับรถของเขาไป ส่วนตัวแล้วผมโคตรเกรงใจ กับรุ่นพี่ที่เพิ่งเจอกันแค่ครั้งเดียว เขาก็อุตส่าห์ขับรถพาผมมาส่งให้ ผมไม่ใช่คนคุยเก่งอะไรด้วย ตอนนี้เลยทำตัวไม่ถูกมากๆ แค่เงียบๆ ไปเหมือนปกติ



RRRRRR ~



แต่ความเงียบอยู่ได้ไม่นาน โทรศัพท์มือถือผมก็สั่นขึ้นมา พอก้มลงมองก็พบว่าเป็นสายเข้า เอ่อ สวรรค์ เอาไงดีล่ะ



ผมหันหน้ามองคนที่กำลังขับรถ เขาเองก็หันกลับมามองผมแวบนึงก่อนจะพยักหน้า



“ถ้าไม่ว่าอะไรที่พี่จะได้ยินด้วย ก็รับเถอะครับ”



ถ้าพี่เอสว่างั้นก็ได้ ผมสไลด์หน้าจอรับโทรศัพท์ก่อนที่เสียงผู้หญิงที่คุ้นเคยจะดังขึ้นมา...



[“เดือนสิบ ได้ข่าวว่าถ่ายแบบเสร็จแล้วใช่ป่ะ? ตอนนี้อยู่ไหนอ่ะ??”]



จะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากกวาง เพื่อนหญิงในกลุ่มผมเอง แล้วคำถามที่ยิงถามมานี่ ถ้าผมบอกปัดไปจะเป็นอะไรไหมนะ?



“อืม เสร็จแล้ว”



 [“หือ แล้วคุยได้ยังอะ มีเรื่องอยากคุยเยอะเลย”]



ยังไม่วายถามต่อ ผมเข้าใจ กวางคงจะโทรมาถามเรื่องวันนี้แหละครับ แต่ตอนนี้มันไม่ได้จริงๆ น่ะสิ จะบอกว่าไงดีล่ะเนี่ย



ผมเบนตามองพี่เอสดู เขาก็ไม่ได้มีท่าทีจะสนใจผมคุยโทรศัพท์อะไรหรอก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะได้ยินเสียงกวางไหม แต่เพื่อความปลอดภัยที่ไม่ค่อยได้ช่วยอะไรเท่าไหร่ ผมแทบจะแทรกตัวเองกับประตูแล้วก็กระจกรถอยู่แล้ว เอาเป็นว่าออกห่างจากคนที่นั่งขับรถให้มากที่สุด



“อยู่บนรถ”



[“รถ? รถอะไร? กำลังกลับคอนโดเหรอ?”]



พี่เอสหันมามองทำไมก็ไม่รู้



“บนรถพี่เอส”



[“....”]



กวางเงียบ เงียบไปเลย เงียบไปนานเกือบ 1 นาทีได้ นานขนาดที่ผมต้องเลื่อนโทรศัพท์กลับมาดูว่าปลายสายวางไปหรือยังถึงได้เงียบแบบนี้ แต่ต่อมาก็ได้ยินเสียงกรี๊ดเบาๆ ดังออกมา



[“ทำไม? อะไร?? ได้ไงอ่ะ??? เดือนสิบ----”]



ไม่จบง่ายๆ แน่ เหมือนที่คิดเอาไว้เลย กวางยิงคำถามใส่มาเป็นชุดและมันไม่เหมาะเลยที่จะมาคุยเรื่องของพี่เอสต่อหน้าเจ้าตัวแบบนี้



“ไว้คุยกันตอนถึงคอนโดนะ เดี๋ยวถึงแล้วจะรีบโทรหา”



ผมพูดเร็วๆ และไม่เปิดโอกาสให้กวางได้ปฏิเสธด้วย วางสายใส่ไปเลย เป็นวิธีเดียวที่จะเลี่ยงกวางตอนนี้ได้ แต่ให้ตายเถอะ พอวางสายมาแล้วก็ดันเจอพี่เอสยิ้มอยู่ข้างๆ



“แฟนเหรอ?”



คำถามนั้นออกจากปากรุ่นพี่ ส่วนผมส่ายหน้าหวือปฏิเสธ



“ไม่ใช่ครับ เพื่อนน่ะ”



“อืม ตอนแรกนึกว่าเดือนสิบจะไม่ยอมมาด้วยแล้ว แล้วก็คิดว่าจะไม่บอกเพื่อนว่าอยู่บนรถพี่ซะอีก”



พี่เอสพูดเบาๆ ในขณะที่มือทั้งสองข้างหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าคอนโด.. เผลอแป๊บเดียวถึงแล้วสิเนี่ย รถสีดำจอดนิ่งอยู่ที่หน้าตึก ส่วนผมก็ค่อยๆ เอื้อมมือมาปลดเซฟตี้เบลท์



“พี่เอสขอบคุณมากๆ นะครับ”



“กลัวเป็นข่าวกับพี่หรือเปล่า?”



“....”



ผมชะงักมือแล้วเงยหน้ามองหน้ารุ่นพี่ที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ ดวงตาคู่นั้นจ้องตอบผม ยิ่งกว่านั้นคือผมมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นอยู่นานมาก จนกระทั่งฝั่งพี่เอสกะพริบตาแล้วส่งเสียงหืมในลำคอผมถึงได้ส่ายหัว



“เปล่าครับ”



พี่เอสดูเหมือน จะคิดมากเรื่องของลือของตัวเองจริงๆ



“แล้วเชื่อข่าวลือไหม?”



อีกคำถาม... แต่คราวนี้ผมไม่กล้าตอบ เพราะคำตอบของตัวเองยังอยู่ที่ตรงกลาง



อยู่ๆ คนถามก็หัวเราะขึ้นมา จนผมแปลกใจ



“ไม่ตอบพี่ก็ไม่ว่าอะไรหรอก ไว้เจอกันนะครับ”



ฝั่งนั้นเป็นคนพูดตัดบทเอง แล้วมันก็เป็นประโยคที่ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจ ผมพยักหน้ารับคำพี่เอส ยกมือไหว้ขอบคุณอีกสักรอบแล้วเปิดประตูลงรถมา มองตามรถหรูที่ตัวเองเพิ่งนั่งมาเคลื่อนออกไป แต่ในใจตอนนี้...

 

ข่าวลือมันจะไม่มีมูลเลยก็คงไม่ใช่ แล้วตอนนี้ผมก็เริ่ม.. สนใจในข่าวลือของพี่เอสขึ้นมาแล้ว



ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรออกหาคนที่อยู่บนสุดของบันทึกรายชื่อ



“ฮัลโหลกวาง รู้เรื่องข่าวลือพี่เอสไหม?”




.............



ขึ้นคอนโดเข้าห้อง รอสายจากเพื่อนหญิงในกลุ่มตัวเองไม่นาน คนที่รออยู่ก็โทรกลับมาหา



“ฮัลโหลกวาง”



[“เดือนสิบ ได้เรื่องแล้วล่ะ”]



ผมพยักหน้ากับตัวเอง ตอนนี้ผมกำลังนอนเอนหลังอยู่บนโซฟากลางห้องพร้อมกับใส่หูฟัง สภาพเตรียมพร้อมที่จะรับฟังข้อมูลที่กวางหามามาก   



[“แล้วจะให้เริ่มเล่าจากตรงไหนดีล่ะ?”]



ผมกะพริบตามองเพดานห้องตัวเองแล้วพูดเบาๆ ตอบเสียงปลายสายไป



“ตั้งแต่แรกเลยก็ได้”



[“โอเคงั้นฟังนะ...”]



เสียงเล็กๆ ของกวางเกริ่นเริ่มเรื่อง



[“เดือนสิบรู้เรื่องข่าวลือของพี่เอสแล้วใช่ไหม เรื่องที่พี่เอส เอ่อ..”]



“เรื่องที่ไปนอนกับเด็กคณะพาณิชย์ไม่ซ้ำหน้าน่ะเหรอ?”



ผมพูดแทนกวางขึ้นมาเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใครๆ ใน ม. ทุกคนก็รู้กันอยู่แล้ว



[“ใช่ ผู้ชายหน้าตาดี ตัวท็อปของคณะพาณิชย์ส่วนใหญ่ก็เคย... กับพี่เอสมาแล้วทั้งนั้น…”]



ผมฟังกวางที่เหมือนเพื่อนผมจะไม่ค่อยกล้าพูดเรื่องนี้ด้วยคำตรงๆ เท่าไหร่ ก็ไม่แปลกสำหรับผู้หญิง จะให้พูดเรื่องนี้แบบไม่อายปากก็ยังไงๆ อยู่ ถึงแม้ผมจะคิดว่าภาพลักษณ์อย่างกวาง กับเรื่องพวกนี้ไม่น่ามาอายแท้ๆ แต่... อะ ช่างมันเถอะ ตอนนี้โฟกัสเรื่องข่าวลือพี่เอสจะดีกว่า



[“จริงๆ แล้วข่าวนี้ค่อนข้างจริง ไม่ควรเรียกว่าข่าวลือเลยเนอะ แต่ที่ลือๆ กันจริงๆ นี่ก็มีอีกสองสามข่าว..”]



ผมเงียบรอฟัง



[“ข่าวลือที่กว่าพี่เอสจะไม่ทำเรื่องแบบนี้กับผู้ชายคณะอื่นนอกจากคณะพาณิชย์ กับข่าวย่อยๆ อีกเรื่องสองเรื่อง หยิ่งบ้างล่ะ นิสัยเข้าถึงยากสุดๆ บ้าง ขี้เก๊กบ้าง แต่ที่เสียหายสุดเลยก็คือ... เขาลือกันว่าพี่เอสทำเรื่องแบบนั้น เอ่อ... ที่มหา’ลัย แล้วโดนจับได้”]



“อ่า”



ถึงผมจะคิดว่าการจะไปทำอะไรกับใครที่ไหนก็เป็นเรื่องของเขา แต่ถ้าถึงขั้นทำที่มหาวิทยาลัย... ก็ไม่เหมาะไปหน่อยล่ะมั้ง ส่วนข่าวอื่นที่ว่าผมไม่รู้ละเอียดนัก เรื่องภาพลักษณ์กับนิสัย ที่ผมเจอมาก็พูดได้แค่ว่าไม่เหมือน ก็ไม่รู้สิครับ เขาอาจจะเลือกปฏิบัติก็ได้



[“นี่ เดือนสิบคิดว่ามันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ? ทำไมถึงได้ยุ่งกับแต่คณะพาณิชย์น่ะ”]



อืม... รสนิยมส่วนตัวล่ะมั้ง



“[เขาว่ากันว่าพี่เอสตอนสมัยปี 1 แรกๆ ไม่ได้ทำตัวแบบนี้นะ แต่พอเปิดเทอมได้ไม่นานก็ได้ข่าวว่าพี่เอสเขาประสบอุบัติเหตุ แขนซ้ายหักจนต้องดามเหล็ก หายไปจาก ม. นานเลย โผล่มาอีกทีก็ตอนช่วงมิดเทอม...”] 



แขนซ้าย.. จะว่าไปวันนี้ตอนถ่ายแบบ พี่เอสก็โดนพี่ก็อตติเรื่องแขนซ้ายด้วยนี่ แล้วจากที่สังเกตพี่เอสก็ไม่ค่อยได้ขยับแขนซ้าย..



 [“เดือนสิบวันนี้ไปเจอพี่เอสมาแล้วก็คงรู้สินะว่าพี่เอสเคยเป็นนายแบบอิสระมาก่อน.. ที่หยุดถ่ายไปก็เป็นเพราะแขนซ้ายที่ดามเหล็กนี่ด้วย แล้วพอแขนเริ่มหายพฤติกรรมตามข่าวลือก็ตามมาเลย เหมือนว่าพี่เอสจะเริ่มไปยุ่งกับเด็กคณะพาณิชย์ตอนช่วงนี้ล่ะ”]



ผมขมวดคิ้วกับเรื่องที่ได้ยิน เหมือนกับว่าที่พี่เอสทำอย่างนี้ มันมีต้นตอมาจากหลังเหตุการณ์อุบัติเหตุครั้งนั้น



[“บางคนก็บอกว่าที่พี่เอสวุ่นวายแต่กับคณะพาณิชย์เพราะรุ่นพี่คนหนึ่งที่ชื่อไนซ์ ตอนนี้อยู่ปี 2 คณะพาณิชย์เหมือนกัน รู้สึกว่าพี่เอสกับพี่ไนซ์จะเคยเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่จู่ๆ ก็เลิกสนิทกันเฉยเลย แต่เหมือนใครๆ ก็จะรู้กันนะว่าพี่เอสกับพี่ไนซ์ใช่เพื่อนสนิทธรรมดาๆ กันที่ไหน”]



เห็นไหมครับ ข้อมูลออกมาถึงขนาดนี้เลย ข่าวลือน่ะน่ากลัวแค่ไหน คิดดูเอา แล้ว... ไอ้เรื่องที่เริ่มด้วย ’เขาว่ากันว่า' เนี่ยน่ากลัวที่สุดครับ เขาที่ว่า ก็เป็นเขาไหนก็ไม่รู้ ผิดถูกก็ไม่รับประกันด้วยสิ



“เรื่องก็มีประมาณนี้สินะ”



ผมเอ่ยแทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเรื่องราวมันเริ่มครบสมบูรณ์ ผู้หญิงปลายสายตอบรับธรรมดาคำเดียวว่าอืม ก่อนเสียงเล็กๆ นั่นจะดังขึ้นมาอีกครั้ง



[“ตอนนี้คนที่กำลังคบ เอ๊ะ.. จะเรียกว่าคบได้หรือเปล่านะ... อืม เดชองส์น่ะ เดือนคณะพาณิชย์ เดือนสิบก็รู้จักใช่ไหม?”]



ขอบคุณที่กวางอุตส่าห์บอกถึงขนาดนี้ แต่ว่าจริงๆ แล้วไม่ต้องก็ได้ ส่วนเดชองส์น่ะผมรู้จักครับ ก็แน่นอนประกวดเดือนบนเวทีเดียวกัน



[“งั้นคราวนี้ถึงตาทางนี้ถามบ้างแล้วนะ ฉันเห็นคลิปแล้ว! ที่เมืองเอกสารภาพรัก แล้วขอคบพี่เอสน่ะ มันเรื่องอะไรกันน่ะเดือนสิบ ตอนนั้นแกอยู่ในเหตุการณ์ด้วยไหมอ่ะ?”]



อะฮะๆ ข่าวเร็วเหมือนเดิม ผมยิ้ม กวางก็ยังคงเป็นคนที่ตื่นเต้นกับข่าวพวกนี้เหมือนเดิม



“อยู่ในเหตุการณ์แต่ไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไหร่”



[“พี่เอสปฏิเสธเมืองเอกสินะ! เห็นไหมบอกแล้วว่าพี่เขายุ่งแต่กับคณะพาณิชย์ แต่...ประโยคที่ว่าคณะอื่นก็น่าสนใจเหมือนกันนี่มันอะไรกันแน่! หรือว่าจะเป็นคู่วิศวะxวิศวะกันนะ พี่เอสเขาเริ่มมีใจสนใจผู้ชายคณะอื่นบ้างแล้วเหรอ...----”]



จากนั้นผมก็ได้แต่ฟังความพร่ำเพ้อไป ทั้งๆ ที่เรื่องที่สมควรพูดมากที่สุดไม่ใช่เรื่องที่เมืองเอกคบกับดาวคณะอักษรอยู่หรอกหรอ คบกับอีกคนแล้วไปบอกรักกับอีกคน... แบบนี้ก็ได้เหรอครับ?



 แต่ประโยคสุดท้าย ได้จากตอเท่าไหร่? อะไรแบ่งไม่แบ่ง?



[“ว่าแต่แกเถอะเดือนสิบ พี่เอสเขาถึงกับขับรถมาส่งแกหน้าคอนโด เขามีวี่แววจะจีบแกบ้างไหมอะ?”]   



เสียงกวางเรียกความสนใจ ถามคำถามที่ทำให้ผมคิดตาม...



“ไม่หรอกมั้ง เขาแค่ขับมาส่งเฉยๆ เพราะเห็นว่าฝนมันตกหนัก”



[“อย่างนั้นเหรอออ------ ฮิฮิ แกก็หน้าตาดีจะตาย เดือนมหา’ลัยด้วย ไม่แน่นะ เด็กคณะอื่นที่ว่าอาจจะเป็นแกก็ได้ ~”]



เสียงเเซวของกวางในตอนนั้น ยังคงหลอกหลอนอยู่ในหัว...





ไม่หรอกครับ...





----------------------------TBC-------------------------


สวัสดีค่ะ หายไปนานเพราะงานเยอะมาก วุ่นวายสุด
ตอนนี้ก็ตามชื่อตอนค่ะ เขาที่ว่าก็คือพี่เอส ข่าวลือพี่เอส เรื่องของพี่เอส ตอนของพี่เอส
ไม่อยากกั๊กเรื่องของเขาไว้ เพราะกลัวว่าเดี๋ยวไม่ได้เฉลย 55555
แต่งเพื่อสนองนี๊ด + รากฐานเรื่องคือละมุนไร้แก่นสาร(ซึ่งตอนนี้ความละมุนอยู่ไหนฮะ! //ผิด)
เพราะงั้นเนื้อเรื่องพล็อตเรื่องจะเป็นแบบนี้แหละค่ะ //โดดเตะ
ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่เข้ามาอ่าน เข้ามาคอมเมนต์กัน รักมากเลยค่ะ >< <3

Ps2 เจอคำผิดไม่ต้องตกใจนะคะ เราพยายามอ่านทวนแล้วแต่ก็หลุดลอดสายตา ;w;
จะพยายามให้ผิดน้อยที่สุดค่ะ! แล้วก็จะเร่งแก้ไขคำผิด ขออภัยที่ทำให้เสียอรรถรสในการอ่านนะคะ (_ _)



#วิศวะเดือนสิบ
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 5 ข่าวลือของเขา ☽ 16/09/61 UP
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 16-09-2018 20:30:51
อ้าววว พี่เอสมาไง. แล้วเมืองเอกชอบพี่เอสตอนไหน เฮ้อออ
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 5 ข่าวลือของเขา ☽ 16/09/61 UP
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-09-2018 20:44:09
เดือนสิบอย่าไปยุ่งกับพี่เอสเลย.  :hao4:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 5 ข่าวลือของเขา ☽ 16/09/61 UP
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-09-2018 21:34:53
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ...แล้วใครจะเป็นคู่ของเดือนสิบหล่ะเนี่ย?

เมืองเอกขอคบกับพี่เอส

พี่เอสสนใจเดือนสิบ

อาจเป็นได้ว่าเรื่องนี้คือคู่ของ  เอสเดือนสิบ  ใช่ป่ะ?
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 5 ข่าวลือของเขา ☽ 16/09/61 UP
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 17-09-2018 08:45:50
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 5 ข่าวลือของเขา ☽ 16/09/61 UP
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 17-09-2018 19:06:37
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 5 ข่าวลือของเขา ☽ 16/09/61 UP
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 17-09-2018 19:31:17
เมืองเอกโดนจ้างให้มาบอกชอบพี่เอสหรอ55555
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 5 ข่าวลือของเขา ☽ 16/09/61 UP
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 18-09-2018 12:49:01
ใคร บ้าง เมือง ออกมา สารภาพ รัก... มันมีเงื่อนงำ
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 5 ข่าวลือของเขา ☽ 16/09/61 UP
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 28-09-2018 19:55:55
ลองตามๆ
หัวข้อ: ⚙☽เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ⚙☽ เดือนที่ 6 เสียก็ต้องซ่อมป่ะ? ☽⚙ 15/10/61UP
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 15-10-2018 21:48:30
เดือนที่ 6
เสียก็ต้องซ่อมป่ะ? ☽⚙


ผมเผลอหลับไป... ตอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็สะดุ้งตื่นเพราะมีเสียงบางอย่างรบกวน ดันตัวลุกขึ้นนั่งบนโซฟาขยี้ตางัวเงียแล้วมองที่มาของเสียงรบกวน โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะเข้าคู่กับโซฟานั่นเอง แต่มันไม่ใช่เสียงสายเข้าหรือเสียงนาฬิกาปลุกหรอกนะครับ เป็นเสียงคลิปจากยูทูปที่ยังคงเล่นอยู่เพราะผมลืมปิดก่อนจะหลับไปแน่ๆ

 

แต่ว่านี่ไม่ใช่ต้นเหตุของเสียงรบกวนที่ทำให้ผมตื่น

 

“....”

 

เสียงออดดังขึ้นมาอีกครั้งและเริ่มทำให้ผมแน่ใจ ว่าผมตื่นเพราะเสียงนั้นจริงๆ หลังจากแอบเหลือบมองนาฬิกาบนผนังที่บอกเวลา 5 โมงกว่าๆ แล้ว ...ไม่ได้เผลอหลับนานอย่างที่คิด แค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น

 

ผมก็ลุกจากโซฟาเดินตรงไปที่ประตู โดยไม่ลืมหยิบแว่นที่วางไว้บนโต๊ะ เสียงออดเงียบไปแล้วคราวนี้เป็นเสียงเคาะประตูเเทน...

 

ก๊อกๆๆ



ดังเป็นจังหวะเคาะอยู่สองสามที

 

ครับๆ กำลังมาครับ



ผมตอบรับแต่เป็นตอบในใจ พลางใช้สมองครุ่นคิดว่าเป็นใครกันนะที่มาหาผม... ปกติแล้วไม่ค่อยมีใครมาหา ผมเดินมาหยุดดูที่หน้าประตูจนได้ เพราะมันไม่ปกติครั้งนี้ถึงได้ตัดสินใจส่องตาแมวดู แล้วก็พบกับ...

 

“อะ..”

 

ผมรีบเปิดประตูรับ คนที่ยืนเคาะประตูอยู่เมื่อครู่เงยหน้ามองขมวดคิ้วใส่แล้วเอ่ยพูดแทบจะในทันที

 

“ทำไมมาเปิดประตูช้าจังเลยเมืองเอก--- เอ๊ะ? เดือนสิบ???”

 

เสียงหวานใสทักแฝงความขุ่นมัวแต่พอเธอเห็นหน้าผมชัดๆ ก็ชะงักไป

 

ผมก้มหน้าต่ำลงเล็กน้อยเพราะความสูงที่ค่อนข้างต่างกันมากของตัวเองกับผู้หญิงตรงหน้า โครงหน้าเรียวสวยได้รูปดูดีทุกองค์ประกอบยิ่งถูกแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางบางๆ แล้วก็ทำให้สวยดูดีหาที่ติไม่ได้ขึ้นไปอีก เส้นผมย้อมสีทองน้ำตาลตรงยาว กับชุดนักศึกษาถูกระเบียบเรียบร้อย ถึงแม้ทุกวันที่เคยเห็นจะใส่ชุดที่สั้นและรัดรูปกว่านี้... เอ่อ อันนี้ไม่ได้ว่านะครับแต่แค่พูดตามที่เคยเห็น



“รินมีอะไรเหรอ?”

 

ผมถามดาวคณะอักษรที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี คิ้วโค้งเรียวที่เคยขมวดเป็นปมเริ่มคลายออก แต่ยังมีแววความสับสนงุนงงยังไม่ลดลงเลย ดวงตาคู่สวยกะพริบมองผม

 

“เดือนสิบนั่นแหละ ทำไมถึงอยู่ที่ห้องเมืองเอกได้ล่ะ??”

 

ผมร้อง ห้ะ? ดังๆ ในใจ แต่สมองเริ่มประมวลผล




“ไม่ใช่ห้องเมืองเอกนะ นี่ห้องเรา รินเคาะผิดห้องแล้วล่ะ ห้องเมืองเอกน่ะอยู่ตรงข้าม”

 

ผมชี้ไม้ชี้มือยังประตูที่ปิดสนิทของห้องฝั่งตรงข้าม รินเพื่อนร่วมคณะมองตาม ก่อนหันมาหัวเราะแหะๆ แล้วเสียงหวานน่าฟังก็บอกผมอีกประโยค

 

“ไม่ผิดหรอก เมืองเอกบอกเลขห้องนี้จริงๆ นะ”



เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อยืนยันคำตอบว่าผู้หญิงสวยคนนี้ไม่ได้ดูเลขห้องผิดไป ถ้าไม่ได้ดูเลขห้องผิดคนผิดมันก็มีคนเดียว



“ถ้างั้นเมืองเอกก็บอกผิด รินมาหาเมืองเอกใช่ไหมล่ะ ลองไปกดออดเรียกดูสิ”



ดาวคณะพยักหน้ารับยิ้มๆ แต่ก่อนที่เธอจะไปก็พูดขึ้น



“รินเพิ่งรู้เลยว่าห้องเมืองเอกกับเดือนสิบใกล้กันขนาดนี้”

 

“เราก็เหมือนกัน”




เพิ่งรู้ไม่นานเองว่าจะต้องมาอยู่ห้องตรงข้ามกับมันเนี่ย... 

 

“ขอบคุณนะเดือนสิบ”



“อืม”



ผมยิ้มๆ ให้ริน คนตัวเล็กหันหลังกลับไปทางห้องฝั่งตรงข้าม ผมมองตามอยู่นานจนพอรู้ตัวอีกที เจ้าของห้องก็โผล่หน้าพ้นประตูออกมา

 

“อ้าว รินมาแล้วเหรอ เร็วจังครับ ถ่ายเสร็จเร็วเหรอ?” 



เมืองเอกพูดสุภาพก็เป็นด้วยแหะ...



“ใช่ ใช้เวลาน้อยกว่าที่คิดน่ะ”



รินส่งยิ้มให้เมืองเอก ยิ้มที่สวยมากๆ ครับ ดูออกชัดเจนเลยว่ามีความสุขมากๆ เวลาได้คุยกับเมืองเอก อะ...เดี๋ยวสิ ผมมายืนดูคู่รักหวานแหววกันทำไมเนี่ย เสียมารยาทจัง ผมตั้งใจจะปิดประตูกลับเข้าห้องสักที แต่ระหว่างที่ออกแรงดึงประตูปิด ตาก็สบเข้ากับดวงตาของเดือนคณะวิศวะโดยบังเอิญ...

 

บังเอิญหรืออะไรที่เมืองเอกจ้องตอบสักพักแล้วยักคิ้วใส่ ผมกะพริบตางงกับการกระทำของมัน แต่ก็ปิดประตูเข้าห้องตัวเองมาปกติ ตอนนี้ในหัวเริ่มไม่แน่ใจว่าที่บอกเลขห้องผิดนี่จงใจหรืออะไรกันแน่ ใจหนึ่งก็ไม่อยากจะคิดอะไร... เพราะถ้าตั้งใจจะทำไปเพื่ออะไรล่ะ??

 

ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ หรือว่าจะยังไม่เลิกหาเรื่องผม?

 

คิดมากไปก็ปวดหัว ช่างมันเถอะ เรื่องแค่นี้เอง



ผมส่ายหัวกับตัวเองแล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา แขนข้างหนึ่งเอื้อมยาวๆ ไปเปิดม่านออก ข้างนอกฝนหยุดตกแล้ว แต่พื้นยังไม่แห้งสนิท...

 

จะว่าไปแล้ว รินกับเมืองเอกก็ยังรักกันดี สมกับที่เป็นแฟนกัน สงสัยเรื่องบอกรักพี่เอสเมื่อกลางวันจะเป็นเรื่องอำกันเล่นๆ อย่างที่กระเเสชาวเน็ตบอกจริงๆ ซะล่ะมั้ง

 

เผลอแวบเดียวก็คิดเรื่องเมืองเอกอีกแล้ว จะเป็นยังไงก็ช่าง ไม่เห็นเกี่ยวกับผมเลย...

หรือว่าผมติดนิสัยชาวเน็ตไปแล้วกันนะ? ฮา



RRRRRRR)))))

 

ผมเกือบสะดุ้งเพราะเสียงโทรศัพท์สั่น พอหยิบขึ้นมาดูว่าใครโทรมากลับต้องพบเจอกับเรื่องอะไรแปลกใจอีกรอบ ผมเพ่งมองเบอร์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอมือถือ ไม่ใช่เบอร์กวาง ไม่ใช่เบอร์ฟลุ๊ค ไม่ใช่เบอร์เพื่อนหรือคนรู้จักด้วย เบอร์นี้ผมไม่ได้เมมไว้



นี่เบอร์ใคร?           



แต่จะไม่รับก็ไม่ได้ ทันทีที่ผมกดรับ เสียงจากปลายสายดังขึ้นมา

 

[“ฮัลโหล นั่นเดือนสิบใช่ไหม?”]

 

ถามหาผม แต่เสียงไม่คุ้นเลย..

 

“ครับ นั่นใคร?”

 

[“เราเอง เดชองส์ เดือนคณะพาณิชย์ฯน่ะ จำได้รึเปล่า?”]

 

เดชองส์? อืม จำได้ครับ ก็ยืนประกวดเดือนบนเวทีเดียวกันนี่นา แถมวันนี้... กวางยังพูดให้ฟังอยู่เลย



“จำได้... แล้วมีอะไรรึเปล่า?”

 

[“เห็นข่าวตัวเองที่กำลังดังใน FB IG Twitter รึยัง?”]

 

ข่าวตัวเอง ข่าวผมเหรอ? ห้ะ??? วันนี้จะมีเรื่องให้ห้ะมากเกินไปแล้ว



“ข่าวอะไร?”



ผมถามซื่อๆ เลย เพราะตัวเองเพิ่งตื่นโทรศัพท์อะไรก็ยังไม่ได้เช็คดู และผมก็จำไม่ได้ว่าตัวเองไปทำอะไรเอาไว้ให้เป็นข่าว

 

[“เปิดดูสิ แป๊บเดียวนายก็เห็น หรือไม่ป่านนี้ก็ดังในไลน์กลุ่มเพื่อนตัวเองแล้วมั้ง”]



“...”

 

ผมเงียบ ที่เงียบไม่ใช่อะไรผมละหูออกจากโทรศัพท์ เปิดไลน์ที่จู่ๆ ก็มี Notice เด้งขึ้นมาเกือบ 500 ข้อความ พอเปิดไปก็พบแจ้งเตือนกว่า 400 เป็นของกรุ๊ปไลน์ใหญ่ของคณะอักษรฯ ส่วนอีกเกือบๆ 100 เป็นของกลุ่มเพื่อนผมเอง

 

ผมคิดว่าถ้าเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับผมกวางไม่น่าพลาด ผมเลยเลือกเปิดดูของกลุ่มเพื่อนตัวเองก่อน เป็นดังคาด กวางแชร์ข่าวที่ถูกทวิตลงทวิตเตอร์อันหนึ่งมาให้ และพอผมกดเข้าไปอ่าน... ก็ถึงกับร้องอ้อกับตัวเอง



ผมกลับไปหาปลายสายก่อนตอบ



“เห็นแล้ว”



[“จริงหรือเปล่าข่าวที่ว่า”]


 
“ก็จริง แต่ไม่จริงทั้งหมด”



[“อะไรที่จริง อะไรที่ไม่จริง”]

 

เสียงเดชองส์เย็นยะเยือกขึ้นมาทันที ถ้าผมกับเขายืนคุยกันอยู่ล่ะก็ ดวงตาคู่นั้นจะต้องจ้องผมเขม็งแน่ๆ



ผมกลืนน้ำลายลงคอ เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองจะกดดัน ผมตกเป็นข่าวมั่วๆ ที่คนมโนกันขึ้นมา แต่มันจะไปทำให้คนสองคนที่กำลังคบกันไม่สบายใจ จริงๆ แล้วการกระทำของผมก็มีส่วนผิด

 

“เราขึ้นรถพี่เอสจริง พี่เอสมาส่งเราที่คอนโดจริง พี่เขาบอกว่าเห็นว่าฝนตกหนักเลยอาสามาส่งให้ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”



 ไม่ใช่ว่าเขาสนใจ หรือแอบถูกใจผมอย่างที่ในข่าวมโนกันขึ้นมา



[“ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นก็ดี”] เสียงจากคนปลายสายดูสบายใจขึ้นมาก นั่นทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นด้วย




แต่แค่นั้นยังไม่จบบทสนทนา

 

[“เดือนสิบรู้ใช่ไหมว่าเราคบกับพี่เอสอยู่”]

 

แน่นอนกวางบอกมาแล้ว   

 

“รู้”



 [“เราไม่อยากเป็นเหมือนคนที่ผ่านๆ มาของพี่เอส เราจริงจัง แล้วที่ผ่านมาพี่เอสไม่เคยสนใจเด็กคณะอื่นนอกจากคณะพาณิชย์”]



ผมได้ยิน คราวนี้เป็นเสียงสูดหายใจจากอีกฝั่ง



[“วันนี้ก็มีข่าวอีกเรื่องหนึ่ง.. เรื่องคลิปที่เมืองเอกบอกชอบพี่เอส เรารู้ว่าอันนั้นแค่ขำๆ แต่เรากลัว... กลัวประโยคที่พี่เอสพูดทิ้งท้าย”]



 คำพูดที่ว่า ‘เด็กคณะอื่นก็น่าสนใจเหมือนกัน’ น่ะเหรอ...? 



 

[“เราว่าเรารู้สึกได้ เรารู้... พี่เอสไม่เคยใส่ใจคนอื่นขนาดนี้ เพราะงั้นเรามีเรื่องอยากจะขอร้อง...”]



“....”

 

[“ถ้าพี่เอสเข้ามาจีบเดือนสิบอย่าเล่นด้วยได้ไหม ขอร้องอย่าเป็นมือที่สามของความรักเราได้ไหม?”]


 
................

 


 
ผมเลื่อนแชทอ่านไลน์กลุ่มเพื่อตามดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในระหว่างที่ผมไม่ได้เปิดไลน์ และก็เป็นดังคาด ส่วนใหญ่คุยกันเรื่องของฮ็อตนิวส์ประจำวันนี้ที่มีถึงสองเรื่องด้วยกัน และหนึ่งในข่าวนั้นมีผมร่วมด้วยในเนื้อข่าว...คณะอักษรผู้หญิงเยอะ เพราะงั้นข่าวที่เกี่ยวข้องอะไรกับผู้ชายโดยเฉพาะพวกเดือนๆ ก็คงเป็นอะไรที่นำมาคุยหรือแชทได้สนุกปากสนุกมือ ผมปัดมันอ่านผ่านๆ เปิด Facebook ดูหัวข้อข่าวที่กวางแชร์มาอีกอันมาอ่านดู...

 

‘เมืองเอกบอกรักพี่เอสเหรอแก?? คู่ชิปใหม่อ่ะ พี่เอส*เมืองเอก หรือ เมืองเอก*พี่เอส? <3’

‘ดูยังไงก็ว่าอำกันขำๆ อ่ะครับ ผมว่าไม่ใช่นะ’

‘ประโยคท้ายสิน่าสนใจแก!!! พี่เอสบอกเด็กคณะอื่นก็น่าสน! พวกเราเตรียมพร้อมกันเร็วค่า โชคดีอาจได้เล่นกับพี่เอสเหมือนเด็กพาณิชย์ฯบ้าง ////’

‘คณะอื่นมีสิทธิ์แล้วสิ พี่เอสจะไม่เป็นสมบัติเฉพาะคณะพาณิชย์ฯอีกต่อไป’

‘โอกาสมาถึงแล้ว....’




ผมไม่รู้ว่าโพสนี้จะดูในระบบ Facebook ได้อีกนานเท่าไหร่ โดยเฉพาะข่าวฉาวที่เกี่ยวกับพี่เอสไม่ค่อยจะได้อยู่นาน ต่างคนต่างแสดงความคิดเห็นแบบไม่กลัวเสียภาพลักษณ์อะไรใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่ชื่อ Facebook ตัวเองโชว์หลา


 
ผมเลื่อนลงมาเจอความเห็นที่ทำให้ผมสะดุดใจเป็นครั้งแรก เพราะชื่อตัวเอง



 ‘ประเดิมด้วยเดือนมหา’ลัยรึเปล่าเห็นเป็นข่าวอยู่ #เดือนสิบ’

‘ข่าวว่าไปรับไปส่งที่คอนโดใช่ไหม เห็นแล้วจ้า เดือนสิบแน่นอน! รายต่อไป’

 





ผมเพิ่งวางสายจากเดชองส์ไปแล้วผมก็รับปากตามที่ทางนั้นขอ...

 

แค่เห็นก็เครียดแทนแล้วครับ จินตนาการไม่ถูกเลยว่าถ้าผมไปอยู่ในฐานะที่กำลังคบกับใคร แล้วเขากำลังเริ่มมองหาคนใหม่ทั้งๆ ที่มีเราอยู่ทั้งคนมันจะน่าเศร้าแค่ไหน



แต่เดชองส์รู้อยู่แล้ว... กับผู้ชายที่มีข่าวลือแบบนั้นไปทั่วอย่างพี่เอส ก็เหมือนเล่นกับไฟ หรือไม่ก็การทำธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงมากๆ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ คงจะดีถ้าผมไม่ได้เป็นหนึ่งในคนเป็นข่าว แต่ต่อให้พี่เอสไม่วุ่นวายกับผม เขาก็ไปวุ่นวายกับคนอื่นอีกอยู่ดี...



ผมเปิดดูไลน์กรุ๊ปเพื่อนกลุ่มผมอีกครั้ง 100 กว่าข้อความนอกจากกวางแชร์ลิ้งค์ข่าวก็มีแสดงความคิดเห็นนู่นนี่โดยมีคุณฟลุ๊คคอยเออออ ตอบรับ คำบ้างสองคำบ้าง แปะสติกเกอร์บ้าง เพราะไม่อยากให้กวางแชทคนเดียวในระหว่างที่ผมไม่อยู่...

 

เห็นแชทคุยระหว่างฟลุ๊คกับกวางยังเด้งมาเรื่อยๆ ผมเลยโยนระเบิดตูมเดียวแล้วแชทก็เงียบไป นับว่าได้ผล
 


ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่เวลาจะมาสนใจ รายงานเดี่ยวที่อาจารย์สั่ง ผมมั่นใจว่าเพื่อนผมยังทำมันไม่คืบหน้า นอกจากนั้นแล้ววันที่ต้องส่งคือจันทร์นี้ เหลือเวลาอีกวันกว่าๆ แน่นอนว่า copy paste ไม่ได้ ออกแนววิเคราะห์ซะส่วนใหญ่



ผมลุกเดินไปนั่งเปิดคอมที่โต๊ะ แล้วเริ่มทำรายงาน นั่งเรื่อยๆ 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมง รวบรวมข้อมูลสำหรับจะมาวิเคราะห์และเขียนเอาไว้อยู่แล้ว เลยเริ่มพิมพ์ลงหน้ากระดาษ ไปเรื่อยๆ แต่จู่ๆ...



พรึ่บ!



“!!”


 

ร้องเชี้ยหนักมาก! เมื่อจู่ๆ หน้าจอดับไปเลย! ผมก้มลงมองที่คอมฯที่นิ่งเงียบบ่งบอกว่ามันไม่ทำงานอีกต่อไปแล้ว ตอนแรกคิดว่าไฟตกคอมฯดับ ผมพยายาม... พยายามเปิดใหม่ แม้กระทั่งเช็คดูปลั๊ก แต่ไม่ได้ ผมอยากจะร้องไห้ให้น้ำตาเป็นสายเลือด ถ้าไม่ติดที่สิ่งสำคัญกว่าการร้องไห้ คือ ขอความช่วยเหลือ



ผมคว้าโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะหน้าจอ กดโทรหาคนที่คิดว่าช่วยผมได้มากที่สุด

 

“โหล” ผมทักเมื่อได้ยินอีกฝั่งลอดมา



[“ว่า?”]



 “ฟลุ๊ค คอมฯเราเป็นไรไม่รู้!”



ได้ยินเสียงคีย์บอร์ดรัวๆ จากปลายสาย ก่อนจะเงียบแล้วมาตั้งใจฟังผมพูด



[“อาการเป็นไง?”]



 “จอดับไปเลย พอจะเปิดก็เปิดไม่ติดแล้ว” 



ได้ยินเสียงตอบรับในลำคอ ก่อนที่ฟลุ๊คจะเสนอวิธีเบสิคสุดมาให้



 [“เปิดอีกรอบยัง?”]

 

 “ก็บอกว่าเปิดแล้วแต่ไม่ติดไง”

 

[“อ่า... งั้นโทษทีว่ะ กูถนัดแต่เล่น ไม่ถนัดซ่อม ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับคอมเลย”]



ความหวังที่เคยคาดหวังไว้กับเพื่อนสนิทพังทลาย...



[“แต่กูรู้ว่าควรทำยังไงนะ”]



...แต่แล้วความหวังของผมก็ถูกจุดประกายอีกครั้ง



ยังไง???



 [“เอาไปซ่อม”]



 “....”



[“....ก็นั่นเป็นสิ่งที่ควรทำไม่ใช่เหรอ?”]

 

ครับ!!



..........................

หัวข้อ: ⚙☽เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ⚙☽ เดือนที่ 6 เสียก็ต้องซ่อมป่ะ? ☽⚙ 15/10/61UP
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 15-10-2018 21:49:24
..........................




ผมตัดสินใจดึงปลั๊ก ดึงสายที่ต่อกับจอคอมฯต่างๆ ออก แล้วยกคอมฯที่ผมคิดว่ามันน่าจะเสียนี่ออกมาจากใต้โต๊ะ เดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จัดทรงผมที่ไม่ค่อยเป็นทรงเท่าไหร่ของตัวเองให้เข้าที่ หยิบกระเป๋าเงินและโทรศัพท์เตรียมพร้อมเรียบร้อย ตามคำแนะนำของ’จารย์ฟลุ๊ค



เสียก็ต้องเอาไปซ่อมนี่สิถูกแล้ว



ผมถอนหายใจยาวๆ เป็นตอนไหนไม่เป็นมาเป็นตอนพิมพ์งาน อย่างน้อยพาส่งร้านขอให้เขาดึงข้อมูลรายงานกลับมา แล้วไปหาร้านคอมฯทำต่อก็อาจจะพอไหว คิดแล้วก็ถอนหายใจเฮือกมองนาฬิกา ทุ่มแล้ว ต้องรีบไป ร้านตามห้างน่าจะปิดราวๆ 2 ทุ่ม ถ้าหาไม่เจออาจจะต้องตระเวนแถวนี้



คิดแล้วก็เดินไปอุ้มเจ้าคอมฯเพื่อนยากที่อยู่กับผมมาตั้งแต่สมัย ม.3 ม.4 ก็ยังไม่นานนี่หว่า อย่าเพิ่งสำออยได้ไหม TT



ผมเปิดประตูออกมาด้วยความยากลำบากเพราะสองมือแบกคอมฯตัวใหญ่อยู่ แต่พอเปิดประตูออกมาก็พบกับ...



ความเดจาวูแต่ไม่มากเพราะเห็นเปิดประตูออกมาจากห้องกันสองคน



“อ้าว เดือนสิบ”



รินกับเมืองเอกที่พากันออกมาจากห้อง ผมไม่รู้จะทักอะไรเลยได้แต่พยักหน้ารับให้รินไป แล้วตั้งใจจะเดินไปทางลิฟต์ แต่ได้ยินเสียงทุ้มจากผู้ชายตัวสูงเอ่ยถามสักก่อน



“นั่นน่ะเสียเหรอ?”



ผู้ชายหน้าหล่อที่เพ่งสายตาจ้องมองของที่ผมแบกอยู่ เพื่อไม่ให้เสียมารยาทก็เลยตอบไปสั้นๆ



“อืม”



“ป่านนี้จะมีร้านซ่อมเหรอวะ?”



“ก็จะไปหาดู”



ในห้างก็น่าจะเปิดอยู่ไม่ใช่หรือไง



ในเมื่อไม่มีอะไรก็ได้เวลาพาเพื่อนยากไปหาหมอ ผมจะเดินออกมา...


 
“เดี๋ยว เดือนสิบ”



“...?”


 
ผมหยุดฝีเท้า หันกลับไปมอง ชายหญิงสองคนที่อยู่ตรงนั้น รินกะพริบตามองผม แล้วหันไปมองหน้าคนข้างตัวเธอที่เอ่ยเรียกชื่อผมเมื่อครู่ 



“กูดูให้ไหม?”   



 ผมเอียงคอ เหมือนจะเริ่มไม่เข้าใจหนักขึ้นไปอีก อะ.. หรือว่า..



“หมายถึงนี่เหรอ?”



ก้มหน้าลงมองของที่อยู่ในมือตัวเอง คนหน้าหล่อตรงนั้นพยักหน้า 



“ก็เออสิ เดี๋ยวดูให้ก่อน บางทีกูอาจจะซ่อมได้”



อ... แต่จะดีเหรอ ?



ผมลังเล และคิดว่าอีกฝ่ายก็เห็นว่าผมลังเล เมืองเอกเลยพูดอีกประโยค



“ถ้าไปซ่อมร้านอาจจะต้องรอนาน มึงรีบไหมล่ะ?”   



ผมพยักหน้า



“อย่างน้อยอยากได้ไฟล์งานออกมาก็ยังดี”



ผมตอบง่ายๆ เลย ถ้าอีกฝ่ายพูดขนาดนั้นแล้ว ผมเหนื่อยที่จะตั้งแง่ บางทีเมืองเอกเองก็คงไม่ได้อะไรกับผมแล้วเหมือนกัน



“งั้นเอาเข้าไปวางในห้องกูก่อน เดี๋ยวกูขึ้นมา ไปส่งรินข้างล่างแป๊บ”



ห้ะ?



เป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวันแล้ว ผมโดนเมืองเอกลากแขนจูงเข้าห้องของเขา ปล่อยผมทิ้งไว้ในห้องนี้ โดยที่ทิ้งประโยคไว้แค่นั้น เจ้าของห้องเดินออกจากห้องไปส่งแฟนสาวข้างนอกเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ผมที่อุ้มคอมฯยืนเคว้งในห้องคนอื่น



มันเกิดขึ้นเร็วมาก!



ผมกวาดสายตามองห้องที่ไม่คุ้นเคย ข้างในห้องไม่ต่างกันกับห้องของผมเท่าไหร่ จะมีก็แค่เฟอร์นิเจอร์ เป็นห้องเรียบๆ ไม่ค่อยมีของอะไร แต่สะดุดตาที่สุดก็คงเป็นโต๊ะคอมตัวใหญ่ ที่มีจอคอมฯสองจอวางอยู่ คีย์บอร์ดและเมาส์เป็นของมียี่ห้ออย่างแพง รวมทั้งเคสคอมฯด้วย แสงไฟสีแดงที่เปล่งออกมาให้เห็นทำให้ผมรู้ว่าคอมฯเครื่องนั้นเปิดอยู่ เก้าอี้ก็... อืม สภาพโต๊ะคอมฯเหมือนห้องนักแคสเกมส์ที่เคยเห็นเลย  นอกจากนั้นก็มีโซฟาตัวยาวอยู่หนึ่งตัว ชั้นหนังสือเรียบๆ อีกหนึ่งชั้น พัดลม แล้วก็ถังขยะ



เริ่มหนักๆ ล้าๆ เลยวางคอมฯไว้ที่พื้นข้างๆ ตัวเอง ถือวิสาสะเดินเข้าไปนั่งที่โซฟาได้ไหมนะ? หรือควรจะยืนอยู่ดี? โอ้ย ผมเริ่มคิดมากแล้ว วันนี้มันวันอะไร ตอนกลางวันโดนบังคับขึ้นรถ ตอนนี้ก็โดนบังคับให้เข้ามารอในห้องคนอื่นอีก คนไม่สนิทกันแล้วหนึ่ง ส่วนอีกคนนี่เคยมีประเด็นกัน...



“คิดมากเกินไปใช่ไหมเนี่ย”



และแล้วเวลาผ่านไปเมืองเอกก็เปิดประตูเข้าห้องมา ไม่น่าเชื่อว่าผมเองก็ยังยืนอยู่ที่เดิม หรือเพราะเจ้าของห้องลงไปแป๊บเดียวจริงๆ กันแน่ มันเดินผ่านผมเข้าไปเปิดประตูห้องอีกห้อง แล้วลากกล่องเครื่องมือออกมา



“ยืนอยู่ทำไมล่ะ ไปนั่งสิ”



ผมกะพริบตา เออ นั่งได้แล้ว เจ้าของห้องอนุญาต



เมืองเอกเดินสวนผมอีกรอบมายกคอมฯแล้วก็เดินไปทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นกลางห้องตรงหน้าโซฟาที่ผมนั่ง สองมือเปิดกล่องเครื่องมือหยิบไขควงมาไขเปิดฝาเคส



“อาการเป็นไง”



ในระหว่างที่ไข เสียงทุ้มต่ำก็เริ่มถาม และผมก็ตอบแบบเดียวกับที่เคยตอบฟลุ๊ค



“จอดับไปเอง แล้วก็เปิดไม่ติด” 



คนที่ง่วนอยู่กับฝาเคสพยักหน้ารับ ผมมองเมืองเอกแกะนู่นแกะนี่ ดูนู่นดูนี่ ใจจดจ่ออยู่กับคอมฯสุดๆ ความเงียบเข้าปกคลุม ผมไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตั้งใจทำอะไรขนาดนี้ ขอแอบๆ ชื่นชมหน่อยๆ แล้วกัน



“เดือนสิบ”



ท่ามกลางความเงียบ เสียงของคนที่นั่งอยู่บนพื้นเอ่ยเรียก ผมนิ่งมอง เมืองเอกยังไม่ละออกจากคอมฯเครื่องนั้นของผม ปากสวยๆ นั่นขยับเปล่งเสียงออกมา



“กูขอโทษเรื่องก่อนหน้านี้”



“...”



ผมยังคงเงียบ เอียงคอมองผู้ชายตรงนั้น คราวนี้ใบหน้าหล่อที่ผมเคยมองด้วยความอคติ ขอโทษผม? เรื่องก่อนหน้า หมายถึงเรื่องที่เดินมาหาเรื่องผมถึงคณะน่ะเหรอ?



“กูแค่เป็นคนพูดตรงๆ แล้วก็อยากรู้เรื่องของมึงจริงๆ แน่นอนว่ากูก็ไม่อยากยอมแพ้มึงด้วย แต่ในเมื่อผลมันออกมาเป็นอย่างนี้ก็ช่วยไม่ได้ ยอมรับว่าตอนนั้นกูปากดีไปหน่อย ...กูไม่คิดจะหาเรื่องมึงแล้ว ไม่อยากให้มึงคิดว่ากูเกลียดมึง ไม่ชอบหน้ามึง เป็นศัตรูกับมึง กูกับมึงไม่ต้องเป็นเพื่อนกัน ไม่ต้องญาติดีกันนักก็ได้ แต่กูอยากให้มึงรู้ไว้ว่ากูไม่ได้อะไรกับมึงแล้ว” 



มาไม้ไหนล่ะเนี่ย ไหนบอกเกลียดความพ่ายแพ้...



ผมหรี่ตามองหน้าอีกฝ่าย เพื่อจับโกหก



“อย่าทำหน้าไม่เชื่องั้นได้ไหมวะ กูก็โดนมาหนักเหมือนกัน พวกพี่ๆ ที่คณะน่ะ”



อ้อ... เพราะงั้นก็เลยคิดได้แล้วก็เลยมาขอโทษผมงั้นสิ อืมๆ โดนมาหนักก็สมควรอยู่ ทำตัวเองนี่



แต่ถึงขนาดอีกฝ่ายพูดขอโทษ พูดอะไรถึงขนาดนั้น ผมจะยอมเชื่อก็ได้  ผมพยักหน้ารับเมืองเอก ก็ไม่ได้จะติดใจเอาความอะไรเท่าไหร่หรอก



“ทำไมมึงต้องเย็นชาด้วยวะ”



“....”



ผมแดกจุด ตีหน้านิ่งใส่มัน



อยากจะตอบว่าผมไม่ได้เย็นชา แต่ถ้าพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดโดยไม่ระวัง ผมอาจจะโดนมันต่อย ขนาดผมไม่ได้ทำอะไร ยังโดนมันเหม็นขี้หน้าเลย



“คุยกับมึงแล้วเหมือนคุยกับรูปปั้นเลยแม่ง”



นี่คือผมโดนด่า?
 


เมืองเอกยักไหล่แล้วหันกลับไปสนใจเครื่องคอมฯบนพื้นต่อ...

 


----------------------------------------



⚙ เมืองเอก พาร์ท ⚙




ผมนั่งทำคอมฯให้มันอยู่สักพัก ไอ้เจ้าของก็นั่งเงียบมองผมไม่พูดอะไรเล้ยยยย ไม่ต่างจากตอนประกอบคอมฯ รื้อคอมฯเล่นคนเดียว อีกทางหนึ่งแม่งก็ดีแหละครับไม่กวนสมาธิดี ผมขยับเมาส์ลากข้อมูลจาก Hard disk ลงมาไว้ใน External Hard disk ของผมเอง ใช้เวลานานเหมือนกันเพราะผมเลือกจะดึงข้อมูลมาหมดเลย



ผมหันกลับมาสังเกตคนที่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟา เดือนสิบมันเป็นประเภทถ้าไม่ชวนคุยก่อน มันจะไม่ยอมเปิดปากคุยแน่ๆ ขนาดเวลาพูดด้วย ประโยคไหนมันไม่จำเป็นต้องตอบจริงๆ ก็ยังละ เรียกได้ว่าแม่งจะพูดให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยหรือไงวะ? นอกจากจะพูดน้อยแล้ว สีหน้าแม่งก็ยังไม่เปลี่ยนอีก อ่านยากมาก ผมพูดโคตรจะจากใจว่าเหมือนตัวเองคุยกับรูปปั้น.. รูปปั้นจริงๆ



ไหนวะ ไหน มันมีเสน่ห์ตรงไหน? คำถามนี่ก็ยังคงรอให้ผมค้นหาคำตอบว่ะ



“เสร็จแล้ว”



ผมพูดเบาๆ หมุนเก้าอี้คอมตัวเองกลับมาหาคนที่ยังคงรออยู่



“ซ่อมเสร็จแล้วเหรอ?” เสียงที่นานๆ ทีจะได้ยินเอ่ยถาม ดวงตาเริ่มวาววับ โอ้ ผมค้นพบธรรมชาติของเดือนสิบมันอีกข้อ อ่านดวงตาจะง่ายกว่า เพราะอย่างน้อยมันก็แสดงความรู้สึกมากกว่าสีหน้า



“เปล่า แค่เช็คเสร็จ ซ่อมตอนนี้ไม่ได้”



“....” 



“พัดลมระบายความร้อนไม่ทำงาน ที่คอมฯดับเพราะความร้อนขึ้นเกินไป แล้วที่เปิดไม่ติดเพราะเมนบอร์ดไหม้ไปแล้ว” ผมชี้มือลงไปตรงส่วนที่ผมบอกว่าเสีย คนฟังก็ฟังอย่างตั้งใจ แต่เงยหน้าขึ้นมาดูถึงได้รู้ว่ามันไม่เข้าใจหรอก ผมลอบยิ้ม ตลกว่ะ เมื่อกี้ดวงตายังวาววับอยู่เลย พอมาตอนนี้สลดเชียว



“แล้วต้องทำไง?”



“พัดลมกูพอจะมีอยู่เดี๋ยวใส่เปลี่ยนให้ ที่เหลือก็ง่ายๆ ไปซื้อมาเปลี่ยน แต่เอาจริงๆ กูแนะนำให้ซื้อใหม่หมดไปเลย”



ใช่ นั่นคือคำแนะนำที่ดีที่สุด สภาพด้านในเก่าพอตัว ถึงซื้อของใหม่มาเปลี่ยน ใช้ได้ไม่นานก็คงจะมีปัญหาที่อื่นอีก



“มีงบถอยคอมฯใหม่ไหมล่ะ?”



“ไม่มี”



“งั้นไว้ก่อนแล้วกัน”



ก็ตามนั้น... ผมเอื้อมมือไปดึง External Hard disk เมื่อกี้แล้วยื่นส่งให้ เดือนสิบรับมันไป ถึงแม้จะไม่มีคำถามแต่คราวนี้ผมเองก็ควรอธิบายสักหน่อย



“ข้อมูลจากคอมฯมึง กูดึงมาไว้ในนี้ให้ งานก็น่าจะอยู่ลองรื้อๆ ดู”



มันพยักหน้า มองคอมฯที่อยู่ในสภาพถูกรื้อไม่เรียบร้อยของตัวเอง ผมเกาหัวแกรกๆ แล้ว ลุกจากเก้าอี้คอมราคาเป็นหมื่น เดินเข้าไปหิ้วกระเป๋า Laptop ในห้องออกมา วางแปะลงบนตักมัน



“โน้ตบุ๊คกูเอง ให้ยืมใช้ก่อน เห็นบอกว่ามึงรีบนี่”



“เอ่อ... ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราว่าจะไปหาร้านทำเอา”



มันเลิ่กลั่กแลดูจะเกรงใจ แต่ยังไงผมก็ยังไม่ค่อยได้ใช้เร็วๆ นี้อยู่แล้ว ให้มันยืมแป๊บหนึ่งคงไม่เป็นไรหรอก



“พรุ่งนี้ไปซื้อของมาเปลี่ยนใส่คอมฯมึงก็ใช้ได้แล้ว อย่างมากมึงก็ยืมกูใช้แค่วันสองวัน เอาไปเหอะ จะไปหาร้านให้ยุ่งยากทำไม” 



พอผมยกเหตุผลขึ้นอ้าง เจ้าตัวก็ใช้เวลาคิดอยู่สักพัก ก่อนที่หน้าหล่อๆ แม่งจะพยักหน้ารับในท้ายที่สุด



“งั้นยืมแค่คืนนี้ จะรีบทำให้เสร็จแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้ามาคืน”



“เออ”



ผมกระตุกยิ้ม กับคำตอบ



ทุ่มสุดตัว ช่วยสุดตัวจริงๆ เห็นความดีกันบ้างนะ 55555



ผมรู้สึกและสัมผัสได้ว่ากำเเพงบางๆ ที่มันเคยสร้างมากั้นผมเอาไว้มันจะค่อยๆ จางหายไปแล้ว ตัดสินใจถูกแล้วที่พูดขอโทษมันไปเมื่อกี้ 



ผมหันกลับไปประกอบปิดฝาเคสเก็บให้เรียบร้อยในระหว่างที่กำลังประกอบอยู่ เสียงจากคนที่ผมไม่คิดว่าจะเป็นคนเริ่มบทสนทนาก็ดังขึ้นมา ครั้งแรก



“พรุ่งนี้ต้องไปซื้อของมาเปลี่ยนใช่ไหม? ถ้ารบกวนเมืองเอกมากไปเดี๋ยวเราไปเองก็ได้”



ผมหรี่ตามอง คนไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับคอมฯ ให้ไปคนเดียวจะได้เรื่องเหรอ



“ไปด้วยกันไหมล่ะ ยังไงมึงก็เป็นเจ้าของ ไปซื้อด้วยกัน จะได้รู้ราคาจริงๆ กูรู้จักร้านถูกๆ ดีๆ ด้วย”



ผมเสนอ แต่มีเหรอที่เดือนสิบจะปฏิเสธได้ ถึงแม้มันจะไม่อยากไปกับผม แต่ที่ผมพูดมาทุกอย่างมีเหตุผลหมด แถมมีประโยชน์อีกถ้าทำตามที่ผมพูด



“ได้”



หึ... เห็นไหมล่ะครับ



ว่าไปตามเรื่องตามราวผมหยิบโทรศัพท์ออกมา




“ถ้างั้น... กูขอไลน์มึงหน่อย”



“....” 



“ไลน์ไง เอาไว้ติดต่อมึง อ้อ ไม่ต้องห่วง ค่าแรงกูไม่คิดหรอก แต่อาจขอเป็นอย่างอื่นทีหลัง



ผมยิ้ม ด้วยรอยยิ้มที่ใช้ยิ้มใส่สาวๆ มองเดือนมหา’ลัยที่ทำหน้าเหมือนจะเริ่มไม่ไว้ใจผมเข้าไปมากขึ้นทุกที





อ่าว สีหน้าเปลี่ยนแล้วนี่หว่า ?


----------------------------TBC-------------------------





สวัสดีทุกคนนะคะ ขออภัยในความล่าช้าด้วยค่ะ ติดเรียน ติดงาน ติดสอบ
ถึงจะมาช้าบ้างไรบ้าง (ช้ามากช้าน้อย ;w;) แต่ก็ยังขอบคุณทุกคนที่ติดตามเราอยู่เสมอ รักนะคะ <3


ตอนนี้ไม่มีอะไรเลยจริงๆ แต่จะเป็นตอนปูเรื่องไปยังเรื่องถัดไป
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ขอบคุณทุกคนที่คลิกเข้ามาอ่าน เข้ามาให้กำลังใจ ขอบคุณค่ะ >< <3 รัก(ก.ไก่ล้านตัว)



#วิศวะเดือนสิบ

(แก้ไขคำผิดค่ะ เปลี่ยนจาก CPU เป็นคอมฯเเทน เพราะ CPU เป็นชื่อเรียกชิ้นส่วนหนึ่งของคอมฯค่ะ
ขอขอบคุณคุณPsychePie ที่บอกข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาให้ด้วยค่ะ ^^)

หัวข้อ: Re: ⚙☽เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ⚙☽ เดือนที่ 6 เสียก็ต้องซ่อมป่ะ? ☽⚙ 15/10/61UP
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-10-2018 01:14:17
 :pig4: :pig4: :pig4:

ยังไง?  เมืองเอกนี่ยังไง? 

หรือจะเปลี่ยนใจจากพี่เอสมาเป็นเดือนสิบแทนหว่า?
หัวข้อ: Re: ⚙☽เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ⚙☽ เดือนที่ 6 เสียก็ต้องซ่อมป่ะ? ☽⚙ 15/10/61UP
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-10-2018 01:51:17
จะเสร็จทันหรอ คืนเดียวเองนะ มั่นใจมากไปไหมเดือนสืบ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ⚙☽เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ⚙☽ เดือนที่ 6 เสียก็ต้องซ่อมป่ะ? ☽⚙ 15/10/61UP
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-10-2018 10:36:43
ใครหมู่ ใครจ่า..........ไม่รู้และ   :serius2:
แต่อยากเชียร์พี่เอส อ่ะ  :impress2:
พี่เอส  เดือนสิบ   :กอด1: :กอด1: :กอด1:

เมืองเอก ถูกพี่ตอจ้างมาให้สารภาพรักกับพี่เอส จริงๆสินะ   :hao3:   
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ⚙☽เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ⚙☽ เดือนที่ 6 เสียก็ต้องซ่อมป่ะ? ☽⚙ 15/10/61UP
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 16-10-2018 15:28:47
ยังไงกันเนี่ยยย
หัวข้อ: Re: ⚙☽เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ⚙☽ เดือนที่ 6 เสียก็ต้องซ่อมป่ะ? ☽⚙ 15/10/61UP
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 16-10-2018 17:50:56
ร้ายที่สุด รีบมาต่ออีกน้าา
หัวข้อ: Re: ⚙☽เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ⚙☽ เดือนที่ 6 เสียก็ต้องซ่อมป่ะ? ☽⚙ 15/10/61UP
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 16-10-2018 19:19:00
เจ้าเล่ห์นะเรา  :laugh:
หัวข้อ: Re: ⚙☽เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ⚙☽ เดือนที่ 6 เสียก็ต้องซ่อมป่ะ? ☽⚙ 15/10/61UP
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 16-10-2018 23:58:51
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ⚙☽เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ⚙☽ เดือนที่ 6 เสียก็ต้องซ่อมป่ะ? ☽⚙ 15/10/61UP
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 19-10-2018 23:06:18
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: ⚙☽เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ⚙☽ เดือนที่ 7 ไปด้วยกัน 55% ⚙☽ UP 07/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 07-11-2018 00:27:28
เดือนที่ 7

ไปด้วยกัน☽⚙


 

เช้าวันอาทิตย์รีบตื่นมาทำไมไม่รู้เหมือนกันแต่แน่ๆ วันนี้มีธุระที่นัดกับอีกคนเอาไว้ ว่าจะออกไปซื้อของด้วยกัน... แต่ก็ยังเช้าไปหน่อย ไอ้ที่ที่จะไปมันก็เปิดสายๆ โน้นเลย แต่ช่วยไม่ได้ ไหนๆ แม่งก็ตื่นแล้ว



ผมโยนผ้าห่มนวมสีแดงออกจากตัว ส่ายหัวไล่ความง่วงความงัวเงียทิ้งไปแล้วลุกเดินเข้าห้องน้ำ หลังเสร็จธุระก็แต่งตัวชุดสบายๆ เดินออกจากห้องนอน ยังเช้าอยู่ เวลาก็เหลืออีกตั้งเยอะแยะ สิ่งแรกที่อยากทำเลยก็คือ



ผมเบนสายตามองเครื่องคอมฯไม่คุ้นตาบนพื้น แล้วเริ่มยิ้มกรุ้มกริ่ม



ผมชอบการได้รื้อและประกอบคอมฯมาตั้งนานแล้ว โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ที่ตัวเองไม่คุ้นเคย ทิ้งตัวลงนั่งหยิบไขควงในกล่องเครื่องมือขึ้นมาถอดฝาเคสแล้วถอดพัดลมตัวที่เสียออกมา พูดง่ายๆ ก็คือผมกำลังลงมือซ่อม ซ่อมไว้ก่อน ถึงแม้ตอนนี้อุปกรณ์จะไม่ครบก็เหอะ



เออ ถ้าถามผมว่าทำไมผมถึงเลือกเข้าเรียนคณะวิศวะคอมฯน่ะเหรอ? เดาไม่ยากเนอะ ก็ในเมื่อผมชอบคอมฯ แต่! มันไม่ใช่เหตุผลหลัก ถ้าจะให้เล่าเท้าความ เรื่องมันโคตรจะยาวเลย ย้อนไปสมัยที่เพิ่งจำความได้ไม่นานผมก็พบว่าตัวเองเติบโตมากับคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว พ่อผมทำกิจการร้านซ่อมคอมฯ เพราะงั้นก็เลยได้เรียนรู้เกี่ยวกับมัน ทั้งยังได้เป็นลูกมือช่วยพ่อซ่อมคอมฯอยู่บ่อยๆ ด้วย มันก็เลยค่อยๆ ซึมซับเข้ามาในตัวผมตั้งแต่ตอนนั้น



แต่เรื่องเข้าวิศวะนี่พ่อเป็นเหตุผลใหญ่เลย เขาอยากให้เรียนเพราะเมื่อก่อนพ่อก็เคยมีความฝันอยากจะเรียนในคณะนี้ แต่ก็ไม่ได้เรียนก็เลยฝากฝังผมแทน



...แล้วเรื่องความเชื่อที่ว่าเด็กวิศวะคอมฯต้องซ่อมคอมฯเป็นน่ะ เป็นความเชื่อที่ผิดมากๆ เลย พวกคุณจำไว้ให้ดีเลยนะครับ วิศวะคอมฯไม่ได้เรียนซ่อมคอมฯนะ จะเรียนเกี่ยวกับระบบมากกว่าเพราะงั้นต่อให้คอมฯเสียไปถามเด็กวิศวะคอมฯมันก็ซ่อมไม่เป็นหรอกนะครับ บางคนถอดคอมฯประกอบคอมฯยังไม่เป็นเลย




แต่ก็นั่นแหละ ผมมันลูกร้านซ่อมคอมฯก็เลยซ่อมเป็น ง่ายๆ แค่นั้น



ผมวางไขควงเก็บเข้ากล่องไปก่อน เดินไปหาข้าวเช้ามากินดีกว่า ถ้าง่ายๆ ก็ โจ๊กคัพใส่ไข่ใส่หมู ขี้เกียจทำอะไรให้มันยาก ใส่น้ำเข้าเวฟจบ



แต่ระหว่างที่กำลังรอเวฟ เสียงออดก็ดังขึ้นมา แทบไม่ต้องเดาว่าใคร ผมรีบก้าวยาวๆ ไปเปิดประตู และคนที่คิดเอาไว้ก็ยืนอยู่หลังประตูจริงๆ ตามที่คาดไว้




“ไง”



ผมทักเบาๆ มองผู้ชายตัวสูงหน้าตาดีโคตรๆ ตรงหน้า เจ้าตัวใส่ชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสบายๆ เหมือนชุดที่ควรจะใส่อยู่บ้าน ใบหน้านิ่งเรียบเฉย ดวงตาที่กั้นไว้ด้วยเลนส์แว่นกรอบดำมองตรงมาที่ผม



...ถึงจะใส่แว่นหนาเตอะอย่างนี้ก็ไม่ได้ทำให้มันดูหล่อลดน้อยลงเลย ก็เออครับ หน้าแม่งดี




“นี่”



มัวแต่มองเพลินแต่ก็ได้สติขึ้นมาเพราะคนตรงหน้าส่งเสียงเรียก ผมเลยก้มลงมอง มือนั่นถือกระเป๋า Laptop ของผม ยื่นมาให้ตรงหน้า



ผมรับมานิ่งๆ แล้วเงยหน้ามอง




“ได้นอนไหมถามจริง”



คนถูกถามกะพริบตาแล้วยกมือลูบหน้า



“ดูออกเหรอ?”



เอ้า ชิบหา_ สรุปไม่ได้นอนจริงดิ ?



ความจริงดูไม่ออกหรอกครับ แค่ลองทักดู




“แล้ว... งานมึงเสร็จแล้วเหรอ?”



คนตรงหน้านิ่งไปเล็กน้อย ในที่สุดก็พยักช้าๆ... แต่ผมหรี่ตามอง ถ้าเสร็จจริงไหงปฏิกิริยามันช้าอย่างนี้ฟะ?



“เสร็จจริงนะ?”



ผมถามย้ำ




“เสร็จแล้ว”



และคำตอบก็ยังเหมือนเดิม อ่า ถ้าเจ้าตัวจะยืนยันอย่างนั้น ผมเชื่อก็ได้วะ ในระหว่างที่ผมกำลังจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไป เสียงคนข้างหลังเอ่ยทักสักก่อน



“แล้วเรื่องไปซื้อของ?”



“เออ ถ้าเรื่องนั้นมึงไปนอนก่อนได้เลย ไอ้ที่จะไปมันเปิดสายๆ เอาเป็นว่ามึงอยากไปตอนไหนก็ไลน์มาแล้วกัน มีไลน์กูแล้วนี่”



ผมอธิบายง่ายๆ สบายๆ แล้วหันไปยิ้ม เดือนสิบมองหน้าผมอยู่สักพัก เหมือนต้องการใช้เวลาประมวลผล ถึงค่อยพยักหน้ารับตามมา



“ขอนอนสักสองสามชั่วโมง”



“เอาที่มึงสะดวก”



คนที่คุยด้วยหัวคิ้วเลิกขึ้นนิดหน่อย ก่อนมันจะหันหลังกลับเข้าห้องตัวเองไปไม่ได้พูดอะไรอีก ผมก็เดินเข้าห้อง ไปจัดการอาหารเช้าตัวเองที่มีเสียงติ๊ดๆ ของไมโครเวฟร้องเตือนมาสักพักนั่นดีกว่า



ประมาณ 10 โมงกว่าๆ แจ้งเตือนไลน์บนหน้าจอโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะคอมฯก็เด้งขึ้นมา ดึงความสนใจจากสายตาของผมให้ออกจากหน้าจอคอมฯ เป็นเดือนสิบ ผมลากเมาส์ปิดเกม เพราะถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ผมก็คงเมินแล้วเล่นเกมต่อ



ระหว่างรอคอมฯ shutdown ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ตอบไลน์



Read 10:22 (รอเลย ขอเปลี่ยนเสื้อผ้า 5 นาที|



ส่งไปแป๊บเดียวก็ขึ้นอ่านแล้วครับ ผมลุกเดินไปเปลี่ยนเสื้อในห้อง เพราะตัวเองอาบน้ำเตรียมไว้แล้ว ก็ไม่ได้แต่งอะไรมาก แค่เสื้อกับกางเกงยีนส์ขายาว ฉีดน้ำหอมนิดหน่อยแล้วก็เดินออกมา เคาะประตูเรียกคนห้องตรงข้าม



พอไอ้แผ่นสี่เหลี่ยมที่กั้นห้องไว้เปิดออกมา ก็เจอหน้าคนที่นัดไว้



“ได้นอนไหม?”



เป็นการทักแหละ ถามไปงั้น เดือนสิบมันพยักหน้าตอบ เดินออกมาจากห้อง




เสื้อเชิ้ต ยีนส์เดฟ... ก็ปกติ สไตล์การแต่งตัวของผู้ชาย



ผมบอกเบาๆ ว่า “ไป” แล้วเดินนำเดือนสิบออกมา ผมรู้ว่ามันเดินตามมา พอเข้ามาในลิฟต์ คนที่เดินตามเงียบๆ ตลอดก็เอ่ยถามขึ้นมา



“จะไปยังไง?”



ผมหันมอง ล้วงหยิบของในกระเป๋ากางเกงตัวเองขึ้นมาแล้วควงมันเล่น



“รถกู”



เดือนสิบมันมองกุญแจรถที่ผมควงเล่นอยู่แล้วนิ่วหน้าหน่อยๆ อะ ผมมองออก



“มีปัญหาไรรึเปล่า?”



“เปล่า”



เออ ใช่สิเนอะ ปกติมีคนมารับมาส่งนี่? เมื่อวานเป็นข่าวกับพี่เอส ส่วนวันก่อนนู้น ผมเหมือนเห็นว่ามันออกจากห้อง ไปกับผู้หญิงที่น่าจะอายุมากกว่า แต่สวยมากๆ คนนึง เห็นอย่างนี้ เดือนสิบก็ร้ายเหมือนกันนะ



ผมเดินนำออกจากลิฟต์ตรงไปยังที่ลานจอดรถของคอนโด พอเห็นรถตัวเองก็กดรีโมทปลดล็อค พอผมเดินเข้าไปใกล้รถ เดือนสิบก็หยุดจังหวะเท้า มองรถผมนิดๆ หน่อยๆ ก่อนจะเดินตามมา และผมเห็น เพราะผมสังเกตครับ



ผมเปิดประตูเข้ามานั่งประจำที่คนขับสตาร์ทรถแต่พอเห็นอีกคนที่ยืนอยู่ประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับนั่นเปิดประตูรถช้าเหลือเกินก็เลยอดไม่ได้ที่จะลดกระจกฝั่งนั้นลง



“ขึ้นมาสิ”



แน่นอนว่าเจ้าตัวทำตามคำบอก ขึ้นมานั่งประจำที่ ในระหว่างที่เดือนสิบมันกำลังง่วนกับเข็มขัดนิรภัยผมก็...



“ใช่สิ ฮอนด้าหรือจะสู้บีเอ็ม”



“....”



ชะงัก...



เฮ้ย ผมไม่ได้แซะนะ



“แค่แซว”



 ผมหัวเราะแห้งกลบเกลื่อนแล้วเหยียบคันเร่ง เอารถออกดีกว่า เดี๋ยวมันเปลี่ยนใจเปิดประตูลงจากรถเอาเพราะความปากหมาของผม



------------------------------



ขับรถมาได้สักพักโดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ห้าง-ติ๊ดติ๊ด-แหล่งรวมอุปกรณ์ IT และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆ ระหว่างทางคนที่นั่งเงียบเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้ผมมันก็ยังเงียบอยู่อย่างนั้นไม่ได้พูดอะไร โชคดีที่ในรถไม่ได้เงียบมากเพราะผมเปิดเพลงฟังบ้าง เป็นเพลงสากลแบบไว้ฟังสบายๆ ให้ใจเริงรมย์เวลารถติด แต่ช่วงนี้เพลย์ลิสส่วนใหญ่จะเป็นเพลงเกาหลีจากซีรี่ย์ดังๆ มากกว่า เหตุผลที่มันเป็นแบบนั้นไม่ใช่ว่าผมดู แต่เป็นเพราะรินเอามาใส่ไว้ ผมไม่ได้ไม่ชอบ แล้วก็ไม่ได้ชอบ แค่ฟังได้...



ว่าแล้วก็หาเรื่องคุย ในระหว่างที่ผมหยุดรถจอดติดไฟแดงอยู่



“คอมฯมึงใช้มานานไหม?”



 “ประมาณ 4 ปี”



“จริงป่ะ สภาพเหมือนใช้มาเป็น 10 ปี”



คนที่ผมพูดด้วยหันขวับมามองอย่างเอาเรื่อง เฮ้ย ไม่ได้หมายความว่ามึงใช้ไม่ดีสักหน่อย ผมรีบแก้ตัว



“ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น... เออ มึงเคยพาคอมฯนี่ไปซ่อมที่อื่นไหม?”




เดือนสิบหันไปทำหน้าครุ่นคิดแล้วในที่สุดก็พยักหน้ารับ



“เหมือนเคยยกไปซ่อมครั้งหนึ่ง ประมาณต้นปีก่อน”



ถ้างั้นก็เดาไม่ยากแล้วล่ะ



ผมหักพวงมาลัยเลี้ยวกลับรถ เตรียมเข้าจุดหมายปลายทางที่อยู่อีกฟากของถนน



“ถ้างั้นก็คงโดนเล่นแล้วล่ะ ร้านพวกนี้แม่งชอบเอาอะไหล่เก่าเปลี่ยนให้ลูกค้า คงเห็นมึงไม่ค่อยรู้อะไร”



ร้านแบบนั้นไม่เจริญหรอก นี่แอบอยากตามไปเอาเรื่องแทน ถ้าไม่ติดว่าเรื่องมันนานแล้วนะ... พูดแล้วขึ้นครับ

 

“โกรธเหรอ?” คนที่นั่งข้างๆ ถามขึ้นเบาๆ ผมแปลกใจที่มันถามแบบนั้นเลยหันไปมอง แต่ได้แค่แวบเดียวเพราะต้องขับรถ



“ก็โกรธสิวะ มึงไม่โกรธหรือไง เขาหลอกมึงนะ”



“ไม่หรอก”



คำตอบที่ได้มาสั้นๆ แต่มันทำให้ผมแปลกใจคนเหี้ยอะไรโดนหลอกขนาดนั้นแล้วยังไม่โกรธ...



“ที่ไม่โกรธเพราะมันผ่านมาตั้งนานแล้ว เก็บอดีตมาโกรธก็ไม่เห็นได้อะไรขึ้นมา”



เสียงนิ่มเนิบๆ เอ่ยขึ้นช้าๆ เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินมันพูดประโยคยาวๆ ในครั้งเดียว และสิ่งที่มันพูดมาพอมาลองคิดอีกทีก็ถูกเหมือนกันนะ มันผ่านมาแล้วโกรธไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เว้นแต่ว่าจะให้มันบอกผมว่าร้านไหน ผมจะได้ไปเอาเรื่อง! เออ คิดอีกที ผ่านมาเป็นปีๆ แล้ว ป่านนี้ร้านแม่งก็คงเจ๊งไปแล้วมั้ง ทำนิสัยแบบนั้น... และถ้าไอ้นั่นมันเป็นแค่ช่างซ่อม ป่านนี้ก็คงโดนไล่ออกไปแล้ว เสียเวลาหาเปล่าๆ



ผมโคลงหัว พยักหน้าให้กับคำตอบของมัน ขับรถเข้าลานจอด หาที่ว่างๆ จะได้จอดรถแล้วลงไปซื้อของสักที




-------------------------------



☽  เดือนสิบ พาร์ท  ☽

 

 

ผมเดินตามเมืองเอกเดินเข้ามาในห้างเงียบๆ เหมือนเจ้าตัวจะรู้ดีอยู่แล้วว่าควรไปร้านไหนผมเลยก็ไม่ได้ถามอะไร เดินตามแล้วก็มองร้านนู่นร้านนี่ไปเรื่อยๆ ที่นี่... เป็นแหล่งขายอุปกรณ์ IT จริงๆ ด้วย ร้านคอมพิวเตอร์อะไรพวกนี้ก็เยอะไปหมด ถ้ามาคนเดียวผมก็คงไม่รู้หรอกว่าควรจะไปซ่อมร้านไหนหรือซื้ออุปกรณ์ที่ร้านไหนถึงจะดีและถูกที่สุด


“เดือนสิบ”



ผู้ชายตัวสูงตรงหน้าผมหยุดฝีเท้า หันกลับมาทางผม



“ถึงแล้ว ร้านนี้แหละ”



เขาชูนิ้วโป้งเข้าไปในร้านข้างๆ พอผมมองตามก็เห็นร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เหมือนร้านอื่นๆ ที่อยู่ในโซนนี้เว้นแต่... เอ่อ ร้านโคตรใหญ่เลยครับ ถ้าเทียบกับร้านที่เดินผ่านๆ มาแล้ว ร้านนี้แทบจะกินพื้นที่ไปตลอดทั้งบล็อค



ผมพยักหน้าให้ เมืองเอกถึงได้เดินนำเข้าไปในร้าน ผมก็ปล่อยให้เขาทำตามใจเลย เพราะตัวเองก็ไม่ค่อยจะรู้อะไร มองตามผู้ชายหน้าตาดีที่พาผมมาเดินไปทักทายกับพนักงานในร้านเงียบๆ ผมอยู่ห่างออกมาหน่อย แต่ก็พอได้ยิน



“พี่โอ๋สวัสดีครับ” 



“เอ้า! ไอ้เมืองเอก ไม่ได้มานานเลยนะมึง”



“นานตรงไหนวะพี่ เมื่อสองเดือนที่แล้วเพิ่งมาซื้อของกับพ่อไปเอง”



“ก็มันตั้งสองเดือนแล้วนี่หว่า แล้วเป็นไง มหา’ลัย ได้ข่าวว่าได้ดี”



“ก็ดีพี่ แต่รับน้องแม่งโคตรโหด ผ่านมาได้นี่โคตรดีใจ”



“เออ ก็งี้แหละมหา'ลัย แล้วว่าแต่ดงเดือนอะไรได้เป็นกับเขาไหม?”



“พี่โอ๋คิดว่าไง?”



“ได้.... ดิวะ?”



“ฮ่าๆ ก็ใช่แหละพี่ แต่แค่คณะนะ ไม่ใช่เดือนมหา’ลัย เนี่ยโน่นเดือนมหา’ลัยตัวจริง”



เมืองเอกที่กำลังคุยกับพี่พนักงานที่ชื่อโอ๋อย่างออกรสออกชาติคนนั้นหันกลับมาหาผม แล้วชี้มือมา พี่ผู้ชายคนนั้นหันตามแล้วมอง ผมถึงได้ยกมือไหว้คนๆ นั้นเป็นมารยาท เหมือนเมืองเอกมันจะยกยิ้มนิดหน่อยแล้วหันกลับไปคุยต่อ



“วันนี้ผมไม่ได้มาซื้อของให้พ่อ มาหาเมนบอร์ดไปเปลี่ยนให้ คอมฯมันพัง”



“อ๋อ หาให้เพื่อนนี่เอง เออๆ ได้ๆ เห็นเป็นเพื่อนมึงกูจะลดราคาให้พิเศษ”



ผมได้ยินแล้วหูผึ่งเลย...



 อย่างแรกคือเขาคิดว่าผมเป็นเพื่อนเมืองเอก ซึ่งตอนนี้ความสัมพันธ์ของเรายังไม่ได้เป็นขนาดนั้นแค่คนรู้จัก และอย่างที่สองถ้าผมเป็นเพื่อนเขาจะลดราคาให้เป็นพิเศษ งั้น... ผมไม่แย้งแล้วละกัน ยอมเป็นไปก่อน ฮะๆ



“ขอบคุณครับพี่โอ๋”



เมืองเอกไหว้พี่คนนั้น ก่อนที่เขาจะเดินออกไป คงไปหาของ จากนั้นคนที่พาผมมมาถึงร้านนี่ก็เดินกลับมาหา



“นั่งรอก่อนก็ได้ เดี๋ยวพี่เขาไปเอาของแล้วกลับมา”



ผมพยักหน้าแล้วเดินไปนั่งตามที่เมืองเอกบอก





.....





“ทำไม อารมณ์ดีขนาดนั้นเลย?”



เสียงคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหารดังขึ้นถาม ผมเลยละสายตาจากจอโทรศัพท์ที่สนใจ เงยหน้ามองเมืองเอก ซึ่งฝั่งนั้นนั่งยิ้มแล้วมองกลับมาเหมือนกัน  ในส่วนของคำถามที่ผมต้องตอบก็...



ส่ายหน้าปฏิเสธคำถาม ถึงแม้ว่าผมจะดีใจจริงๆ ก็ตาม



“หืมมมม เหรอวะ....”



เมืองเอกเลิกคิ้วสูงทำหน้าเหมือนคนไม่เชื่อแล้วจ้องตาผมกลับ ทำไมต้องขนาดนั้นล่ะเนี่ย ผมมั่นใจนะว่าตัวเองไม่ได้แสดงอาการดีใจออกนอกหน้าที่ได้ของถูกและดีขนาดนั้น (อันนี้ไม่รู้หรอกว่าดีไม่ดี แต่เมืองเอกบอกมา ผมก็เชื่อไว้ก่อนอ่ะครับ)



หรือว่าผมจะดีใจเกินไปจริงๆ ?



เออะ... บ้าน่า ไม่น่า...



เบนสายตาหลบดวงตาสีดำคู่นั้น แล้วหันไปจับหลอดในแก้วชาเขียวเย็นของตัวเองมาคนเล่น มองในร้านไปเรื่อยๆ เพราะไม่อยากจะสนใจคนตรงหน้าแล้ว อ้อ จริงสิ ตอนนี้ผมอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่งในห้างนั่นแหละครับ เมนบอร์ดที่ผมตามหาตอนนี้ได้มาแล้ว แถมยังได้ในราคาที่ผมแฮปปี้มากๆ หลังจากซื้อของเสร็จ ทางเมืองเอกก็เป็นฝ่ายชวนผมหาอะไรกินกันก่อนเอง เพราะว่าได้เวลาข้าวเที่ยงแล้ว



ด้วยความที่มันเคยบอกว่าจะไม่เอาค่าซ่อม แล้ววันนี้ก็อุตส่าห์พาผมออกมาหาร้านซื้อของด้วย ผมเลยบอกไปว่าจะเลี้ยงข้าว แต่...



“กูบอกแล้วไงว่ากูไม่เอาค่าแรง”



เออ อันนั้นผมก็จำได้ แต่เริ่มระแวง เพราะจำได้อีกว่าเมืองเอกบอกว่า อาจขอเป็นอย่างอื่นทีหลัง



แล้วอย่างอื่นที่ว่านั่นมันอะไรล่ะวะ จนถึงตอนนี้ก็คิดไม่ตกครับ กลัวเมืองเอกจะเล่นอะไรแผลงๆ อีก ตอนนี้กำลังครุ่นคิดว่าตัวเองคิดถูกไหมที่ไปติดหนี้บุญคุณคนๆ นี้เข้าให้แล้ว



“อุนางิดงบุริ* 1 ที่ได้แล้วค่ะ”

(*ข้าวหน้าปลาไหล)



เสียงพนักงานหญิงที่ยกอาหารชุดมาเสิร์ฟดังขึ้นเรียกความสนใจ เธอมองพวกผมพร้อมกับฉีกยิ้มละไมไทยแลนด์ให้จนกระทั่งเมืองเอกพยักหน้าว่าเป็นอาหารชุดของตัวเอง เด็กเสิร์ฟถึงได้วางอาหารนั้นไว้ตรงหน้า



โอเค ผมจะเล่าต่อ ว่าถึงแม้ผมจะถูกเมืองเอกบอกว่าไม่ต้องเลี้ยงข้าว แต่จุดประสงค์ที่จะหาอะไรกินกันก่อนก็ยังไม่เปลี่ยนครับ ร้านนี้เมืองเอกเป็นคนเสนอ เพราะเห็นว่าเป็นอาหารชุดเวลาจ่ายเงินจะได้แยกบิลจ่ายง่ายดี



แต่อาหารญี่ปุ่นผมก็ไม่ได้เกลียดซะด้วยสิ เลยตกลง



“เดือนสิบ มึงเรียนอักษรใช่ไหม?”



ผมที่นั่งว่างดูดน้ำชาเขียวของตัวเองเพราะข้าวยังไม่มาก็ต้องหันกลับมาสนใจคนที่เริ่มเอ่ยถามอีกครั้ง 



“อื้อ”



ก็พยักหน้ารับไปเพราะไม่อยากพูดมาก



เมืองเอกมันเลิกคิ้วอีกครั้งแล้วยังถามต่อ



“ต้องเลือกเอกที่เรียนใช่ป่ะวะ ภาษาอะไรพวกนี้” 



ไม่เข้าใจว่าทำไมมันไม่เริ่มกินข้าวของตัวเองสักที... เดี๋ยวก็เย็นหมดหรอก แต่ผมก็ต้องตอบละนะ ก็ฝั่งนั้นถามมา



“อื้ม”



“ปี 1 เขายังไม่เลือกเอกกันใช่ไหมวะ ได้ยินมาว่าเลือกตอนปี 2”



โอ้โห ข้อมูลละเอียดครับ ถือว่าทำได้ดี



ผมพยักหน้ารับอีกรอบ



“แล้วมึงจะเลือกเอกอะไร?”



“ญี่ปุ่น”



“หือ? มึงจะเลือกญี่ปุ่นเหรอวะ?”



อ่าฮะ 



มองเมืองเอกที่ตอนนี้เริ่มลงมือแกะตะเกียบออกมาแล้ว



“งั้นแสดงว่ามึงก็ต้องพูดญี่ปุ่นได้ดิ รู้ภาษาญี่ปุ่นใช่ไหม?”



“ใช่”



“เจ๋งว่ะ”



นั่นเป็นคำชมก็ถือว่าดีครับ จริงๆ ก็แอบเครียดนะ เพราะว่าเลือกเอกตอนปีสองทำให้ผมต้องเเข่งกันเข้าเอกญี่ปุ่นกับคนอื่นในคณะด้วย คนอยากเรียนญี่ปุ่นมีน้อยที่ไหน...



“แล้วนี่ มึงเรียนญี่ปุ่น แล้วชอบอาหารญี่ปุ่นด้วยเปล่า?”



อ้อ จริงๆ ไม่เกี่ยวกับเรียนไม่เรียนญี่ปุ่นหรอกครับ ชอบก็คือชอบ มันอร่อย



ก็หงึกหงักไปตอบรับไป



“งั้นเซนส์กูก็ดีสิ พามึงเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นพอดีเลย”




ก็จบแค่นั้นแล้วเมืองเอกก็เริ่มลงมือกินข้าวของตัวเอง



ช่างพูด... เป็นความรู้สึกตอนนี้ที่ผมรู้สึกกับเมืองเอก ไม่ใช่ว่ามันแปลกหรืออะไรหรอกครับ แต่เพราะว่าเราไม่ค่อยสนิทกัน แล้วผมก็ไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าเราจะได้มานั่งกินข้าวด้วยกันแล้วคุยกันแบบนี้ ถึงแม้ว่าฝั่งที่ถามจะเป็นเมืองเอกฝ่ายเดียวก็เถอะ



“สเต๊กแซลมอนย่างซีอิ๊ว 1 ที่ได้แล้วค่ะ” 



อะ... กำลังคิดถึงอยู่พอดีว่าของผมเขาไปตามหาวัตถุดิบกันถึงไหน ในที่สุดก็มาแล้ว ข้าวเที่ยง!



“อาหารที่สั่งได้ครบแล้วนะคะ”



พนักงานหญิงคนนั้นยังยืนขีดฆ่าเมนูอยู่ในบิลรายการอาหาร แต่ตาเธอไม่ได้มอง... มองมาทางผมมากกว่า อืม สงสัยอยากได้คำตอบ



“ครับ”



“ถ้าขาดเหลืออะไรเรียกได้ตลอดเลยนะคะ”



ผมพยักหน้า แล้วยิ้มให้ เธอถึงได้ฉีกยิ้มกว้างขึ้น



“ขอให้รับประทานอาหารให้อร่อยนะคะ~ ♡”   



ก็ยิ้มให้อีกครั้งก่อนที่พนักงานจะเดินออกไปแบบช้าๆ พอหันกลับมาถึงได้...



“อ...”



“เดือนสิบ”



หึ๊?



“???”



“ชอบหน้าตอนยิ้ม ต้องพูดว่าไงวะภาษาญี่ปุ่น”



ผมหยุดมือ แล้วกะพริบตามอง ชอบหน้าตอนยิ้ม?? อ้อ หรือว่าหมายถึงของพนักงานเสิร์ฟคนเมื่อกี้ จะว่าไปเธอก็ยิ้มสวยจริงๆ แหละครับ



“君の笑顔が好き(Kimi no egao ga suki)”



ประมาณนี้ล่ะมั้ง



หลังจากผมพูดจบ ใช้ตะเกียบคีบปลาแซลมอนเข้าปาก



“คิมิ โนะ เอ๊ะ กาโอะ ก๊ะ สุคิ”



เพราะเสียงนั้นพยายามจะพูดเลียนแบบ ผมถึงได้เงยหน้าขึ้นมาสนใจ... เออ รู้แล้วว่าอยากพูดแต่อย่ามาพูดใส่หน้าคนอื่นได้ไหม ไปชมพนักงานนู่น



“ไว้เดี๋ยวตอนเรียกมาเติมชาเขียวก็ลองพูดดูสิ”



“ทำไมวะ?”



เอ้า ก็จะชมพนักงานไม่ใช่เหรอ?



“ที่บอกชอบหน้าตอนยิ้มน่ะ”



“....”



“กูหมายถึงหน้ามึงต่างหาก”




ห้ะ...?



“คิมิ โนะ เอ๊ะ กาโอะ ก๊ะ สุคิ อ่ะ”



“....”



----------------------------------------55%----------------------------------------



สวัสดีทุกคนค่ะ เเวะมาลงให้ก่อน แฮร่ ขอโทษที่ลงทีละน้อย อยากเอามาลงจริ๊งๆ

ไว้ที่เหลือจะมาต่อนะคะ


君の笑顔が好き Kimi no egao ga suki ชอบใบหน้ายิ้มเเย้มของเธอ

ความหมายประมาณนี้แหละค่ะ ///// ฮิ๊ววววววววว


#วิศวะเดือนสิบ
หัวข้อ: Re: ⚙☽เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ⚙☽ เดือนที่ 7 ไปด้วยกัน 55% ⚙☽ UP 07/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-11-2018 01:11:06
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ...เมืองเอกหลงเสน่ห์เดือนสิบแล้วใช่ป่ะ?
หัวข้อ: Re: ⚙☽เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ⚙☽ เดือนที่ 7 ไปด้วยกัน 55% ⚙☽ UP 07/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-11-2018 04:09:16
ทำไมคอมฯ ถึงพัง สงสัยเดือนสิบจะพิมพ์แบบนี้ชัวส์ --->  :katai4:
หัวข้อ: Re: ⚙☽เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ⚙☽ เดือนที่ 7 ไปด้วยกัน 55% ⚙☽ UP 07/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 07-11-2018 09:44:58
เขามีหยอดอ่ะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ⚙☽เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ⚙☽ เดือนที่ 7 ไปด้วยกัน 55% ⚙☽ UP 07/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-11-2018 13:53:35
ตรงไปมั้ยเมืองเอก.............
 “คิมิ โนะ เอ๊ะ กาโอะ ก๊ะ สุคิ ”   :-[

เมืองเอก  เดือนสิบ   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ⚙☽เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ⚙☽ เดือนที่ 7 ไปด้วยกัน 55% ⚙☽ UP 07/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 07-11-2018 14:36:07
ถ้ามาซัก เดือนละ 2-3 ตอน คงจะดีกว่านี้ ผมว่าน่าติดตามใช้ได้เลย
ขอให้ข้อสังเกตเรื่องการเรียกเคสคอม PC ว่า CPU หน่อยนะครับ
ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องคอมเลยอย่างนุ้งเดือนสิบเรียกแบบนั้นถือว่าโอเค เราไม่ว่ากัน เพราะคนไม่รู้
แต่ในกรณีเมืองเอกที่เรียนวิศวะคอมด้วย มันไม่น่าจะเรียกเคส PC ว่า CPU
เพราะ CPU เป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งของอุปกรณ์ในเคสที่ประกอบไปด้วยอุปกรณ์อื่นๆ ด้วย
เช่น Mainboard, PSU, Graphic Card, Ram, HDD
ฝากพิจารณาเพื่อความสมจริงมากขึ้นครับ
หัวข้อ: Re: ⚙☽เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ⚙☽ เดือนที่ 7 ไปด้วยกัน 55% ⚙☽ UP 07/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 07-11-2018 19:06:04
ถ้ามาซัก เดือนละ 2-3 ตอน คงจะดีกว่านี้ ผมว่าน่าติดตามใช้ได้เลย
ขอให้ข้อสังเกตเรื่องการเรียกเคสคอม PC ว่า CPU หน่อยนะครับ
ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องคอมเลยอย่างนุ้งเดือนสิบเรียกแบบนั้นถือว่าโอเค เราไม่ว่ากัน เพราะคนไม่รู้
แต่ในกรณีเมืองเอกที่เรียนวิศวะคอมด้วย มันไม่น่าจะเรียกเคส PC ว่า CPU
เพราะ CPU เป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งของอุปกรณ์ในเคสที่ประกอบไปด้วยอุปกรณ์อื่นๆ ด้วย
เช่น Mainboard, PSU, Graphic Card, Ram, HDD
ฝากพิจารณาเพื่อความสมจริงมากขึ้นครับ

ขอบคุณมากนะคะ รับพิจารณาและแก้ไขเรียบร้อยแล้วค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: ⚙☽เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ⚙☽ เดือนที่ 7 ไปด้วยกัน 55% ⚙☽ UP 07/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 07-11-2018 22:32:53
จร้าราาา
หัวข้อ: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 7 ไปด้วยกัน ⚙☽ 100%! UP 8/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 08-11-2018 16:45:58
เดือนที่ 7

ไปด้วยกัน☽⚙


 

----------------------------------------100%----------------------------------------



เมื่อกี้ก็งงๆ อยู่เหมือนกันที่อยู่ดีๆ เมืองเอกก็พูดขึ้นมาว่าชอบหน้าตอนยิ้มของผม เล่นเอาชะงักไปเลยในตอนแรกที่ได้ยินอ่ะนะ แต่พอมาลองคิดดูอีกที... ก็แค่พูดว่าชอบหน้าตอนยิ้มของผมเฉยๆ เองไม่เห็นมีอะไรเลยครับ ก็คงไม่ต่างอะไรกับเวลาชมคนอื่นว่าสวย ว่าหล่อนั่นแหละ



“เฮ้อออ~” ผมถอนหายใจให้กับความคิดมากของตัวเองแล้วเบนสายตาออกไปนอกร้านอาหารซึ่งตอนนี้มีผู้ชายตัวสูง หน้าตาดีจนสาวๆ หลายคนที่เดินผ่านไปต้องแอบเหลือบสายตามอง หรือหันมองตามกันบ้าง ชายคนนั้นอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ยืนยิ้มคุยโทรศัพท์อยู่ ส่วนถ้าถามว่าคุยกับใครอยู่ ก็จะเป็นใครไปได้ล่ะครับ ก็ต้องเป็นริน แฟนของเมืองเอกอยู่แล้ว



เมื่อกี้ระหว่างที่กำลังกินข้าวกันอยู่ โทรศัพท์ของเมืองเอกก็ดังขึ้นมา จากนั้นเจ้าตัวก็บอกว่าจะขอออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกสักแป๊บหนึ่ง ผมจะไปว่าอะไรได้ล่ะครับ ก็สิทธิ์ของมัน



ผมแค่จัดการกับสเต๊กปลาแซลมอนของตัวเองต่อก็พอแล้ว~



เวลาผ่านไปจนผมกินอาหารในจานตัวเองหมดแล้ว แต่เมืองเอกที่อยู่นอกร้านก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะคุยโทรศัพท์เสร็จ ผมก็ไม่ได้รีบอะไรเท่าไหร่ รอได้



ว่างๆ อยู่แล้วก็เลยหยิบโทรศัพท์ออกมาเล่น แต่สายตากับสะดุดที่แจ้งเตือนแอพพลิเคชั่นไลน์ที่มากกว่าปกติ พอเปิดเข้าไปดูก็เห็นเป็นกลุ่มไลน์ คุยกันเยอะขนาดนั้นเลย? หรือว่าจะมีเรื่องอะไรกันอีกแล้ว??



ผมกดเข้าไปดูในกลุ่มไลน์เพื่อนตัวเองก่อน แรกๆ ก็เป็นกวางกับฟลุ๊คคุยกันเรื่องรายงาน แต่พอเลื่อนลงมาเรื่อยๆ กลับเป็น...



MydearDEER

<(เดือนสิบตอบมานี่อะไร) 12:14




ผมชะงักกับข้อความนี้ และใต้ข้อความก็มีรูปผู้ชายสองคนกำลังเดินอยู่ข้างกัน รูปนั้นเป็นรูปถ่ายจากระยะที่ค่อนข้างไกล แต่เห็นหน้าผู้ชายสองคนนั้นได้ชัดเจนเลย แล้วผมก็รู้จักดีด้วย!



MMTEMT:F

<(ไม่มีตาเหรอกวาง ก็เห็นอยู่ว่านั่นมันเดือนสิบกับเมืองเอก) 12:14




ข้อความต่อมาเป็นของคุณฟลุ๊ค และเนื้อความนั้นถูกต้องครับ ผู้ชายสองคนในรูปคือผมกับเมืองเอกมันเอง ทั้งรูปทั้งสถานที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา เพราะว่ามันเป็นรูปตอนที่ผมกำลังเดินไปซื้อของที่ร้านคอมฯ...



ผมเลื่อนข้อความอ่านต่อ



MydearDEER

<(ฉันเห็นแล้วโว้ยยยย) 12:15

<(แต่ที่อยากถามคือได้ไงอะ!!?) 12:15




เป็นข้อความจากกวาง จากนั้นก็ตามด้วยลิงก์โพส และลิงก์ที่มาของรูป รวมทั้งลิงก์ทวิตเตอร์ที่ติดแฮชแท็ก ผมไม่ได้กดลิงก์เข้าไปดูแต่พอจะเห็นเนื้อความของโพสที่ขึ้นแสดงเป็นตัวอย่างมา เหมือนทุกคนจะดู... เอ่อ แปลกใจ? ตื่นเต้น? ที่เห็นภาพผมไปเดินอยู่กับเมืองเอก....



ไล่อ่านข้อความจากกวางได้ความว่าแหล่งข่าวแรกที่อัพ รวมทั้งที่มาของรูปก็ได้มาจากเพจ SuperMoon paparazzi เพจที่สร้างมาเพื่ออัพข่าวสาร+ตามติดชีวิตเดือนรวมทั้งผู้ชายหล่อ ผู้ชายดัง ผู้ชายดีทั้งหมดในมหาวิทยาลัยของผม ข่าวที่ผ่านๆ มา เพจนี้ก็เป็นต้นข่าวมาตลอด ผมไม่มั่นใจว่าเพจนี้หาข่าวกันแบบไหน แต่ด้วยยอดการกดถูกใจเลยแสนยังไม่นับรวมยอดผู้ติดตามเพจ และการที่ทุกข่าวแอดมินจะลงเองตลอดผมก็คิดว่าลูกเพจพวกนี้นี่แหละที่เป็นคนคอยส่งข่าวให้



ข่าวแต่ละข่าวถึงได้รวดเร็วขนาดนี้ เร็วจนน่ากลัว



MMTEMT:F

<( @Octb10 ไหนบอกกูว่าจะไปซ่อมคอม) 12:33




เกือบสะดุ้งที่เห็นข้อความที่จารย์ฟลุ๊คแท็กหาผม สงสัยคงจะจับได้แล้วว่าผมซุ่มอ่านอยู่ คงเพราะเห็นจำนวน Read ที่เพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ทันที่จะพิมพ์ตอบ หน้าจอก็เปลี่ยนเป็นการโทรแบบกลุ่มแทน



[“โหลๆ เดือนสิบ อยู่ใช่ไหม?”]



“อ่า”



ตอบรับไป ในหน้าจอโปรไฟล์สว่างทุกคนเลย แสดงว่าแม้แต่คุณฟลุ๊คก็อยู่ด้วย



[“ตอบมาเลยนะว่าในรูปหมายความว่ายังไง ไหนคุณฟลุ๊คบอกว่าเดือนสิบไปซ่อมคอมฯไม่ใช่เหรอ?”]



ถ้าเรื่องนั้น...



“ก็ใช่ นี่ก็กำลังมาซื้อของไปซ่อมคอมฯ”



[“ซื้อของไปซ่อมคอมฯ?”] อันนี้เสียงคุณฟลุ๊คครับ 



[“แล้วทำไมถึงไปเดินอยู่กับเมืองเอกได้”] ส่วนอันนี้ของกวาง ซึ่งผมว่า สองคำถามนี้มันโยงกันอยู่...



“ก็คอมฯเสีย แล้วเมืองเอกบอกว่าซ่อมเป็นเลยให้ดูคอมฯให้ ก็เลยไปซื้อของเอาไปให้เมืองเอกซ่อมให้”



[“เจอเมืองเอกที่ไหนวะ?”] คุณฟลุ๊คถามเหมือนว่ามันเป็นเรื่องประหลาดมากๆ ที่เจอกัน อ... เหมือนผมจะคิดอะไรขึ้นได้



“นี่ยังไม่เคยบอกเหรอ ว่าเมืองเอกอยู่ห้องตรงข้ามกับเราที่คอนโด?”



[“....”]



[“....”]



ดูปฏิกิริยาแล้ว น่าจะยังแฮะ..



[“ไม่เคยว่ะ”]



[“แล้วๆๆ แล้วเมืองเอกหาเรื่องอะไรแกรึเปล่าน่ะเดือนสิบ ไม่ใช่ว่าเมืองเอกไม่ชอบแกอยู่เหรอ?”]



คิดตามคำกวาง แล้วก็นึกถึงคำพูดของเมืองเอกเมื่อวาน ก็ไม่มีอะไรกันแล้วจริงๆ แหละครับ กวางก็รู้ว่าหลังจากวันนั้นเมืองเอกก็ไม่ได้เข้ามายุ่งอะไรกับผมอีก อืมมม... ผมส่ายหน้ากับตัวเองแล้วตอบไป



“ไม่นะ ก็คงไม่อะไรแล้ว”



[“แน่ใจแน่นะ? หมอนั่นยิ่งเพี้ยนๆ อยู่ ระวังๆ ด้วย”]



ครับ ผมก็ยอมรับว่าฟังคำกวางบ้าง แต่ว่า...



“จริงๆ แล้วเมืองเอกก็ไม่ได้เป็นคนไม่ดีหรอก”



[“......”]



[”…...”]



จากปฏิกิริยาความเงียบของกวางกับฟลุ๊ค เหมือนกับว่าผมพูดอะไรผิดไป แต่มันก็เป็นความจริงนี่หว่า แค่ปากไม่ดีบางเวลากับกวนทีนนิดๆ หน่อยๆ



หลังจากเงียบไปสักพัก ในที่สุดคุณฟลุ๊คก็เป็นคนพูดเข้ามาอีกครั้ง



[“นี่แค่เมืองเอกมันซ่อมคอมฯให้ มึงก็โดนมันซื้อไปแล้วเหรอวะเนี่ย?”]



ไม่ได้ซ่อมให้อย่างเดียวนะ ซ่อมให้ฟรีด้วย



ถึงจะไม่รู้ก็ตามว่าของต้องแลกด้วยอะไรอย่างอื่นนอกจากค่าแรง...



ผมเงียบไม่ได้ตอบอะไรไป เข้าใจแหละว่าคุณฟลุ๊คไม่ได้หวังอะไรในคำตอบของผมอยู่แล้ว แต่อีกคนเนี่ยสิ



[“แล้วตอนนี้อยู่ไหนอ่ะ? ทำอะไรอยู่??”]



“เพิ่งกินข้าวเสร็จน่ะ เดี๋ยวก็กลับแล้ว”



ใช่ครับ เดี๋ยวก็คงกลับแล้ว รอเมืองเอกโทรศัพท์เสร็จ..



[“กลับ?”]



“กลับคอนโด ตอนนี้ยังอยู่ที่ห้างน่ะ”



[“อ... อย่าบอกนะว่ากินข้าวกับเมืองเอก!?”]



อ้อ...



“ใช่ แต่ตอนนี้เมืองเอกไม่อยู่นะ ออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอก”



พอผมยืนยันคำตอบ ได้ยินเสียงหวีดเบาๆ ลอดผ่านเข้ามา เสียงคล้ายแบบ... กรี๊ดใส่หมอน?



[“SuperMoon paparazzi พลาดช็อตนี้ไปได้ยังไง! ไหนรูปคะ~~!”]



[“หวังตรงนั้นอยู่หรอกเหรอ”]



นั่นน่ะสิ ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าเพื่อนกวาง ต้องการแบบไหนกันแน่...



แล้วขอทีเถอะ แค่นี้ผมก็รู้สึกว่าชีวิตขาดความเป็นส่วนตัวมากพอแล้วครับ ถ้ารู้ว่าการเป็นเดือนมันต้องแลกด้วยอะไรแบบนี้ผมคง... คงอะไรได้วะ? ก็โดนพี่แอ้มบังคับให้ลงเดือนคณะอยู่ดี...



.....



จบโทรกลุ่มไม่ถึง 5 นาที เมืองเอกเดินกลับเข้ามาในร้านแล้วทิ้งตัวลงนั่งที่เดิม ไม่พูดไม่จาอะไร แต่เหมือนหน้าจะตึงๆ ขึ้นนิดหน่อย คล้ายคนที่กำลังไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ แต่ไม่ได้น่ากลัวขนาดเมื่อวานตอนเรื่องพี่เอส



ผมไม่กล้าถามหรอกครับว่าเกิดอะไรขึ้น นั่งดูดชาเขียวในแก้วรีฟิลของตัวเองไปพลางเลื่อนดูอะไรไปพลาง จะว่าไปเมืองเอกรู้ข่าวรึยังนะ? ถ้าเพิ่งโทรศัพท์คุยกับแฟนเมื่อกี้มาแล้วเวลาตอนที่อยู่ด้วยกันก็ไม่ค่อยได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลยก็น่าจะยัง



ปกติเมืองเอกคิดยังไงกับข่าวพวกนี้นะ หรือว่าสาเหตุที่อารมณ์เสียจะเป็นเพราะเรื่องข่าวนี้จริงๆ ?



“เดือนสิบ”



ผมละสายตาออกจากจอมือถือแล้วเงยมอง เมืองเอกที่ยังทำหน้าเหมือนคนหงุดหงิดอะไรมา น้ำเสียงนั่นก็ด้วย ฟังแล้วขัดๆ



“?”



ผมเอียงคอมอง จากนั้นก็รอฟังว่ามันจะพูดอะไรต่อ



ไม่ใช่ว่าหงุดหงิดเรื่องที่มีข่าวกับผมอีกแล้วหรอกนะ



“จำที่กูบอกว่าอาจจะขออย่างอื่นแทนค่าแรงได้ไหม?”



โล่งใจที่ไม่ใช่



“จำได้”



“จะเป็นอะไรไหมถ้ากูจะขอเลย”



ไอ้ที่บอกจะขอเลย คืออะไร ผมคิดไม่ตก เกี่ยวกับเรื่องที่เมืองเอกกำลังนั่งเครียดอยู่แบบนี้ด้วยไหม? ถ้าทำได้ ผมก็จะทำ บางทีอาจจะมีเรื่องให้ช่วย



“ตอนเย็นกูนัดกับรินเอาไว้ว่าจะไปนั่งกินข้าวด้วยกัน”   



ริมฝีปากนั่นขยับช้าๆ เอ่ยเรียบๆ ไม่ได้รีบร้อน ใบหน้านั้นค่อยๆ คลายความหงุดหงิด



“แต่ตอนนี้รินไปกินกับกูไม่ได้แล้วว่ะ”



ถ้าไม่เหนือความคาดหมายมันคงจะเป็นเรื่อง...



“เย็นนี้ไปกินข้าวด้วยกันกับกูได้ไหม?”



ผมนิ่งมองเมืองเอก ไม่ได้เหนือความคาดหมายแต่ไม่เข้าใจ   



“ถือว่าไปนั่งเป็นเพื่อนกู”



ทำไมไม่มีคนอื่นไปนั่งเป็นเพื่อนแล้วรึไงนะ แต่ปฏิเสธไม่ได้หรอก ก็ผมติดหนี้เขาอยู่ อยากจะใช้คืนให้มันจบๆ ไปสักที..



ในที่สุดก็ตัดสินใจตอบตกลงไป ใบหน้าหล่อที่เคยตึงกลับมาประดับด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง




“งั้นเย็นๆ สัก หกโมงครึ่งเจอกัน รอที่ห้องก็ได้”



----------------------------TBC-------------------------



สวัสดีทุกคนค่ะ ในที่สุดก็ครบ 100 เเล้ว ตัดตอนฉับๆ มา แหะๆ *-*

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ที่คอยเป็นกำลังใจให้กันเสมอด้วยนะคะ เราอ่าน เราดูทุกคอมเมนต์เลยค่ะ <3

รักทุกคนนนน <3 เจอกันใหม่ตอนหน้าจ้า !



#วิศวะเดือนสิบ
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 7 ไปด้วยกัน ⚙☽ 100% UP!! 8/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-11-2018 18:31:58
ไปเลยๆ รีบๆ กิน แล้วก็รีบๆ กลับ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 7 ไปด้วยกัน ⚙☽ 100% UP!! 8/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-11-2018 18:51:17
ยังไง ๆ  :really2: :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 7 ไปด้วยกัน ⚙☽ 100% UP!! 8/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 08-11-2018 20:40:38
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 7 ไปด้วยกัน ⚙☽ 100% UP!! 8/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-11-2018 21:41:27
 :pig4: :pig4: :pig4:

มันชักจะยังไงอยู่นะ  มันแหม่ง ๆ 

ว่าไงจ๊ะเมืองเอก หนูคิดอะไรอยู่?
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 7 ไปด้วยกัน ⚙☽ 100% UP!! 8/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 08-11-2018 22:12:51
สรุปเมืองเอกหรือจะเป็นพี่เอส
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 7 ไปด้วยกัน ⚙☽ 100% UP!! 8/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 08-11-2018 22:54:32
มีกลิ่นๆ พูดเลย
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 7 ไปด้วยกัน ⚙☽ 100% UP!! 8/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 09-11-2018 09:13:22
ยังไงนะยังไง
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 7 ไปด้วยกัน ⚙☽ 100% UP!! 8/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: KS.F ที่ 22-11-2018 20:33:13
รู้สึกงงใครพระเอก555555
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 7 ไปด้วยกัน ⚙☽ 100% UP!! 8/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 22-11-2018 21:02:43
อยากให้นุ้งเดือนสิบเป็นพระเอก หมั่นไส้เมืองเอกยังไงชอบกล
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 7 ไปด้วยกัน ⚙☽ 100% UP!! 8/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 23-11-2018 23:48:59
เมืองเอกคิดจะทำอะไรกันแน่เนี่ยะ ชอบไม่ชอบวางแผนอะไรไว้ น่าระแวงจริงๆ
หัวข้อ: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 8 กลับด้วยกัน ☽⚙ UP!! 10/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 10-12-2018 23:45:48
เดือนที่ 8

กลับด้วยกัน ☽⚙


เมื่อกลางวันเพิ่งตกลงสัญญาว่าจะไปกินข้าวเย็นเป็นเพื่อนเมืองเอกเพื่อตอบแทนที่เจ้าตัวซ่อมคอมฯให้ผม ถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลหน่อยก็เถอะ สาเหตุน่ะพอรู้จากที่เจ้าตัวเองบอกว่าทำไมถึงอยากได้เพื่อนไปกินข้าวเย็นด้วย แต่ที่ไม่เข้าใจน่ะ คือ ทำไมเพื่อนกินข้าวด้วยที่ว่าถึงต้องเป็นผม?


ถึงจะสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถาม ผมไม่อยากจะเข้าไปถามโน่นถามนี่ให้มากความ อีกอย่างคือผมอยากให้บุญคุณที่ติดค้างกันหมดลงเร็วๆ เพราะงั้นตอนนี้


“มึงอยากฟังเพลงอะไรรึเปล่า? เปิดฟังได้เลยนะ” เสียงเข้มของคนที่นั่งขับรถข้างๆ หันมาพูดกับผม แล้วยื่นโทรศัพท์ที่ต่อสาย USB เอาไว้กับเครื่องเสียงติดรถยนต์ ที่หน้าจอโทรศัพท์เปิดแอพฯ Youtube เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว


ผมส่ายหัวปฏิเสธ ไม่รู้เหมือนกันว่าเมืองเอกที่ใจจดจ่ออยู่กับการขับรถอยู่จะรู้คำตอบผมไหม แต่เอาเป็นว่าผมให้ความเงียบเป็นอีกหนึ่งคำตอบ


เพลงที่เมืองเอกเปิดผมฟังได้ แต่ต่อให้มีเพลงที่ผมอยากฟัง ก็ไม่อยากทำอะไรให้มันวุ่นวายยุ่งยาก


ผมเบนหัวมองวิวข้างทางที่ไหลผ่านไปช้าๆ ถึงแม้มันจะมืดมากเเละวิวก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่ให้สนใจ ผมนั่งอยู่บนรถเมืองเอกได้สักพักเเล้วครับ ไม่รู้เหมือนกันว่ากินข้าวที่เขาว่าเขาจะพาไปกินที่ไหน แต่ที่แน่ๆ ผมไม่น่าจะรู้จัก แล้วมันก็ค่อนข้างไกล จากเเถวๆ คอนโดหรือ ม. ของผม เขาขับรถออกนอกเมือง ไม่ใช่เข้าเมือง


...เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมถึง ค่อยดูกันอีกทีว่าจะเป็นร้านแบบไหน



...



“...สิบ”


อืม


“...สิบ”


...เรียกเหรอ?


“.....อย่า”


อย่าเรียกพยางค์เดียว ไม่ชอบ...


“เดือนสิบ”


“!”


ผมลืมตามองทันทีที่ตัวเองพอจะมีสติ ภาพตรงหน้าเป็นกระจกรถ พอหันไปก็เจอกับ


“เมืองเอก”


ผู้ชายที่นั่งบนเบาะคนขับ ดวงตาคู่นั้นจ้องผม พร้อมกับมือข้างซ้ายที่ยังยกค้างไว้อยู่


“ฮะๆ กูขอโทษที่ปลุกมึงแล้วกัน แค่จะบอกว่าถึงแล้ว”


คนตรงหน้าชักมือกลับไป หันหน้ากลับไปมองตรงๆ แล้วหัวเราะเบาๆ ไม่รู้มีอะไรให้น่าขำกัน อะ... หรือว่าผมจะเผลองัวเงียพูดอะไรออกไปตอนถูกปลุก? ไม่หรอกมั้ง ผมไม่ได้งัวเงียขนาดจะจำอะไรไม่ได้ แต่ว่าไอ้เรื่องที่ผมหลับบนรถคนอื่นนี่มัน... วันนี้นอนน้อยไปจริงๆ เหตุผลอื่นก็คงเป็นนั่งว่างๆ รถเปิดเพลงคลอๆ ไป แถมไม่ได้คุยอะไรเพราะเมืองเอกไม่ได้ชวนคุยอีก


ผมส่ายหัวไล่ความง่วง ล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงยีนส์ขึ้นมาดูเวลา ก็ยังโอเคที่ผมเองไม่ได้หลับไปนานขนาดนั้น พอเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์คนที่เคยนั่งประจำเบาะคนขับก็เปิดประตูลงจากรถไปเรียบร้อยแล้ว ผมถึงได้รีบเปิดประตูลงตามไปด้วย


พอลงจากรถได้ก็ถูกคนที่มาด้วยกันบอกให้เดินเข้าร้านเร็วๆ ดีกว่าเพราะว่าเจ้าตัวเริ่มหิว ผมก้าวตามขายาวๆ นั่นเดินออกจากลานจานรถกลางแจ้งนี่ตรงเข้าไปยังร้านอาหาร


พอลองดูทั้งร้านแล้วก็รอบๆ เป็นร้านอาหารติดถนนที่ค่อนข้างใหญ่มากๆ ครับ รถจอดเยอะมากๆ แต่แสงไฟในร้านน้อยไปหน่อย เน้นบรรยากาศมืดๆ แสงสลัวๆ เป็นร้านที่มองจากคนที่เคยมาครั้งแรกแบบผมคงตัดสินไปเองว่าเป็นร้านของพวกสายเที่ยวกลางคืนและนักดื่ม


ที่บอกจะพามากินข้าวเนี่ย ร้านแบบนี้เหรอ?


ผมมองแผ่นหลังของคนที่เดินนำ พอถึงหน้าทางเข้าที่มีชื่อร้านตกแต่งด้วยแสงไฟสีน้ำเงินวิบวับว่า BLUE ZEE พนักงานคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาพวกผม


“ยินดีต้อนรับครับ ไม่ทราบว่ามากี่ท่านครับ?”


“คิว A08 ที่จองเอาไว้”


เมืองเอกตอบเรียบๆ โดยผมก็ยังยืนฟังเงียบๆ เช่นกัน


“A08 คุณเมืองเอกสินะครับ เชิญทางนี้เลยครับ”


พนักงานเดินนำไป ผมกับเมืองเอกถึงได้เริ่มเดินกันอีกครั้ง เหมือนเมืองเอกจะชินกับที่นี่พอสมควรต่างจากผมที่กำลังมองนู่นมองนี่ไปเรื่อย ไม่ว่าจะเป็นการประดับตกแต่งร้านที่เน้นไปทางไฟสีน้ำเงิน ตัวร้านอาหารที่เป็นแบบทรงกลม ตรงกลางมีบ่อน้ำใหญ่กับน้ำพุประดับไฟ ผมมองตามมาเรื่อยๆ ผ่าน Floor ที่มีดีเจเปิดเพลงเสียงดัง กับพื้นที่ให้ขาแดนซ์ แล้วก็โซนบาร์ที่มีคนนั่งดื่มกันเงียบๆ เรียกได้ว่าครบทุกอย่างจริงๆ ร้านนี้ เดินมาจะได้เกือบรอบวงกลมของร้านพนักงานก็พาผมกับเมืองเอกเดินขึ้นมาบนชั้นลอย มานั่งที่โต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ริมระเบียง มองเห็นบาร์ด้านล่างกับบ่อน้ำ รวมทั้งวิวเกือบจะรอบร้าน เอ่อ... ที่นั่งตรงนี้จะดีไปแล้วแฮะ


“จะยกอาหารที่สั่งมาเสิร์ฟทันทีครับ กรุณารอสักครู่”


ว่าอย่างนั้นแล้วพนักงานคนนั้นก็เดินจากไป  ทิ้งผมกับเมืองเอกที่เป็นแขกนั่งกันตามสบาย โดยมีพนักงานอีกชุดยกเครื่องดื่มมาให้ก่อน และเหมือนผมจะสังเกตอย่างอื่นมากไปหน่อย คนที่มาด้วยกันเลยเรียกขึ้นมา


“บรรยากาศดีอะดิ จริงๆ กูก็ตั้งใจเลือกไว้จะมากินกับรินนั่นแหละ”


ผมหันมอง ไอ้คนหน้าหล่อที่เริ่มหยิบน้ำขึ้นมาดูดหลังพูดจบ


ไอ้เรื่องนั้นผมก็รู้แล้วโว้ย ก็เพราะรินมาไม่ได้ก็เลยเป็นผมนี่ไง ใช่ไหมล่ะ!


ก็เก็บไว้ในใจ แต่เงียบมองหน้ามัน แล้วก็มองได้ไม่นานเพราะอาหารมาเสิร์ฟ ผมเลยจำต้องหันไปมองอาหารแทน โอ้โห ส่วนใหญ่เป็นของทะเล ดูท่า... จะแพง


“เอาแต่มองทำไมเล่า กินดิ หรือว่าไม่ชอบอาหารทะเล?”


“เปล่า”


“ก็ดีแล้ว แต่ถ้าไม่ชอบของทะเล เดี๋ยวมีพวกหมู ไก่ เนื้ออะไรด้วย สั่งได้อีก”


ผมส่ายหัวแค่นี้ก็เต็มโต๊ะ จนไม่มีที่จะวางแล้ว ไอ้ที่สั่งเพิ่มนี่ขอผ่าน  แต่พอจะตักกินเมืองเอกก็ยกมือห้ามขึ้นมา ผมหันมองหน้า มองคนที่เมื่อกี้บอกให้กินแต่การกระทำตอนนี้มันตรงข้าม เมืองเอกฉีกยิ้มบางบนใบหน้าดูดีนั่น ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา


“โทษที ลืมเจิม”


ตอนแรกก็งงๆ ในประโยคคำพูดนั้น แต่การกระทำต่อมาถึงทำให้ผมเริ่มเข้าใจ เมืองเอกขยับมือซ้ายบ้างขวาบ้าง คงจะหามุมกับแสงสวยๆ ถ่ายรูปอาหาร วิถีคนดังมีคนตามเยอะก็งี้แหละครับ คงจะหารูปอัพลงโซเชียลบ้างอะไรบ้าง


ไม่นานเกินรอ เมืองเอกก็ให้สัญญาณว่ากินได้อีกครั้ง พร้อมกับที่ตัวเองจิ้มหอยเชลล์ย่างเนยตัวหนึ่งเข้าปาก ส่วนมือและตาก็มองไปยังหน้าจอสมาร์ทโฟน


เริ่มลงมือกินบ้างดีกว่า ผมตักหมึกไข่นึ่งมะนาวมากินหนึ่งคำ ระหว่างที่กำลังเคี้ยว คนตรงหน้าก็เอ่ยถามขึ้นมา


“เดือนสิบกูแท็กมึงได้ไหม?”


 หือ?


“แท็กมึงในไอจี”


ไม่ว่าเปล่า เจ้าตัวหันจอโทรศัพท์ในมือมาหาผม ในจอเป็นรูปอาหาร และมีแขนผมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามติดมานิดหน่อย...


ผมเงียบ คิดอยู่พักใหญ่ก่อนส่ายหน้า


ถ้าแท็ก..เดี๋ยวก็เป็นข่าวขึ้นมาอีกหรอก ผมว่าอย่าเลยดีกว่า


“ขี้งกว่ะ มื้อนี้กูเลี้ยงแท้ๆ ขอค่าข้าวเป็นแท็กหน่อยก็ไม่ได้เหรอ?”


ผมขมวดคิ้วมองหน้าคนที่พูดทีเล่นทีจริง ในมือข้างหนึ่งของเมืองเอกยังถือโทรศัพท์ที่ขึ้นหน้าจอเดิมอยู่ ผมไม่ได้กำลังหงุดหงิดกับประโยคนั้นของเมืองเอก แค่ไม่เข้าใจว่าฝั่งนั้นพูดเล่นๆ หรือเอาจริงกันแน่


“เปล่า แต่ว่าข่าว...--”


“กูไม่ได้กลัวเป็นข่าว”


“....”


“กูไม่ได้อะไรที่คนอื่นจะจิ้นกูกับใคร” 


มันไม่... แล้วผมล่ะ?


ผมส่ายหน้าช้าๆ อีกรอบ...


“กูเข้าใจแล้วเดือนสิบ แค่โพสเฉยๆ ไม่แท็กมึง โอเคใช่ไหม?”


ถ้าไม่ได้แท็กผม แล้วทำไมยังต้องถามอีกเล่า สิทธิ์ของเขาไม่ใช่เหรอวะ นอกจากคำพูดแล้วสิ่งที่ทำให้ผมสงสัยกว่าเดิมก็เพิ่มขึ้นเมื่อเมืองเอกยื่นโทรศัพท์ของตัวเองส่งมาให้ ตัวผมเองก็รับไปแบบงงๆ แต่ก็ยังก้มลงมองจอ


MuangAke มีคนเบี้ยวไม่มาตามนัดเลยพาคนอื่นมาแทน  :-P   

 (แต่คนที่มาแทนไม่ยอมให้แท็ก :-| )



…และโพสนี้ถูกโพสไปแล้ว



เมืองเอก!!


..........


ผมกินข้าวเสร็จเช็คบิล ซึ่งในตอนแรกผมบอกว่าผมจะช่วยเขาออกค่าอาหารด้วย แบบหาร2อะไรทำนองนั้น แต่เมืองเอกก็ปฏิเสธลูกเดียวว่าไม่ต้อง เขาจะเลี้ยง แถมยังอธิบายเหตุผลซะยืดยาวจนทำให้ผมได้รู้ รู้ว่าเรื่องก่อนหน้าที่เมืองเอกไปสารภาพกับพี่เอสเหตุผลมันเป็นเพราะอะไร


“วันก่อนไปดื่มกับไอ้พี่ตอ... เอ่อ รุ่นพี่ที่คณะอ่ะ ก็ตามประสาเกมในวงเหล้า Truth or Dare กูโดนท้าให้ไปบอกชอบพี่เอส ตอนแรกก็กะว่าจะไม่ทำ คิดไปคิดมา... เสียดายเงินพนัน อ้อ พอดีลงเงินไว้ ไม่ทำก็เสีย ถ้าทำก็ได้เงินคนอื่นด้วย คิดไปคิดมาก็คุ้มดี”


คนเล่า เล่าไปอารมณ์ดีไป ก็ตามนั้นครับ รู้สึกว่าจะได้มาเยอะซะด้วย ผมก็เลยยอม ปล่อยให้เมืองเอกเลี้ยงไป แต่หลังจากเสร็จแทนที่จะได้กลับตามที่ผมคิดเอาไว้แต่ยังครับ ตอนนี้เรานั่งอยู่ที่บาร์ หรือจะเรียกว่าเคาน์เตอร์? เอาเป็นว่าตรงหน้าพวกผมมีบาร์เทนเดอร์ยืนเขย่าของเหลวอยู่


เมืองเอกบอกว่าจะขอดื่มสักหน่อยแต่..


“ไม่ดื่มนะ”


ผมพูดเบาๆ พาเอาคนที่กำลังหันไปสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์ชะงักกึก เมืองเอกหันมาทางผมแล้วเลิกคิ้ว


“คลีนเหรอ?”


ผมพยักหน้า


แปลกมากรึไงนะ...


“งั้นเปลี่ยนเป็นม็อกเทลแทนแล้วกันเนอะไม่มีแอลกอฮอล์”


เมืองเอกหันไปหาบาร์เทนเดอร์แล้วสั่งเครื่องดื่มตามที่เขาว่า แต่เป็นม็อกเทลแบบไหนผมก็ไม่รู้หรอก


“แก้วนี้กูเลี้ยงเอง ชิมดูดิ อร่อยนะ”


ผมมองแก้วม็อกเทลสีฟ้าสวยเข้ากับชื่อร้านและบรรยากาศสุดๆ ตรงหน้า แปลกใจที่เมืองเอกไม่ได้ดื้อดึงจะดื่มแต่กลับเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นม็อกเทลแบบง่ายสุดๆ แต่ก็ดีแล้วครับ ถ้าไม่มีแอลกอฮอล์ผมก็ไม่ได้ขัดอะไร


ลองดื่มดู..


“อร่อยไหม?”


เจ้าของเสียงที่เป็นคนสั่งน้ำแก้วนี้ให้ผมเองถาม สายตาและรอยยิ้มนั่นคาดหวังกับคำตอบสุดๆ


“อืม อร่อยดี”


เปรี้ยวๆ ซ่าๆ


หลังจากได้รับคำตอบที่น่าพอใจ เมืองเอกก็หันไปสั่งของตัวเองบ้าง 


แต่ระหว่างที่กำลังดื่มกันเงียบๆ ผู้ชายข้างๆ ก็ลุกขึ้น จนผมต้องมองตาม


“จะกลับแล้วเหรอ?”


หรือจะไปเข้าห้องน้ำ? ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เห็นรีบลุกทั้งๆ ที่แก้วเมืองเอกก็ยังไม่หมดเลยสงสัย


คนที่ยืนอยู่หันไปมองทางด้านข้าง นิ่งๆ ดวงตาคมหรี่มองไปทางนั้นจนผมต้องเบนสายตามองตาม ทางนั้นไม่มีอะไรเป็นทางเดินเข้าบาร์ ถ้าจะให้คิดว่าเมืองเอกจะมองอะไรก็คงเป็น ผู้ชายคนหนึ่งรูปร่างค่อนข้างผอมที่กำลังเดินเข้ามา


“ไอ้แรป...”


คนรู้จักเหรอ?


ก่อนจะได้ถามอะไรเมืองเอกก็ทิ้งประโยคหนึ่งไว้แล้วเดินไปหาผู้ชายคนนั้นเรียบร้อยแล้ว



“นั่งไปก่อนนะ เดี๋ยวกูมาแป๊บหนึ่ง เจอเพื่อน”


ได้แต่มองตามคนที่ทิ้งผมไปถึงไหนต่อไหนเรียบร้อยแล้ว ไอ้แป๊บหนึ่งที่ว่าเนี่ย ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะนานแค่ไหน เหมือนคราวที่แล้วตอนที่เมืองเอกออกไปคุยโทรศัพท์กับรินเมื่อกลางวันหรือเปล่า... เอ่อ ไม่รู้สิครับ เดจาวูเหมือนกันนะ ไอ้คำว่าแป๊บหนึ่งเนี่ย


 ผมนั่งดื่มเงียบๆ ของผมไปจนไอ้ม็อกเทลแก้วนี้หมด จริงๆ มันไม่ได้เยอะมากอะไรเท่าไหร่หรอกครับ ไอ้ผมจะสั่งเพิ่มก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร บอกบาร์เทนเดอร์ว่าเอาเหมือนเดิมจะได้ไหมนะ? หรือจะลองม็อกเทลรสอื่นดี? 


“สวัสดีค่ะ มาคนเดียวเหรอคะ?”


เสียงแหลมของผู้หญิงเอ่ยทักขึ้นมา ผมหันหน้ามองตาม ผู้หญิงที่ผมคิดว่า... น่าจะอายุมากกว่าผมเดินเข้ามาใกล้กับเก้าอี้ผมมากขึ้นอีก ชุดเดรสสั้นสีแดงตัดกับผิวขาวที่เผยพ้นเสื้อผ้า ยอมรับเลยผู้หญิงคนนี้... สวย


“มากับเพื่อนครับ” ผมยิ้มบางๆ ส่งให้ ก่อนตอบคำถามก่อนหน้า


“อ้าวแล้วเพื่อนไปไหนแล้วล่ะคะ?” 


ผู้หญิงตรงหน้ายกมือขึ้นเสยผมตรงยาวที่เลื่อนมาปรกหน้าขึ้น ลดหน้าต่ำลงเล็กน้อย ช้อนสายตามอง ผมหันไปมองทางโต๊ะที่เมืองเอกนั่งอยู่อีกครั้ง แน่นอนว่าเจ้านั่นยังเฮฮาปาร์ตี้อยู่ที่โต๊ะเพื่อน และนั่นก็แทนคำตอบที่เธอถาม


“อ้า... ถ้างั้นก็นั่งด้วยได้ใช่ไหมคะ?”


ดูเหมือนจะไม่กลับมาง่ายๆ นะคนนั้นอ่ะ ผมลอบถอนหายใจแล้วพูดเบาๆ


“เชิญครับ”


เธอยกยิ้มยั่วยวน มองออกง่ายจะตายจุดประสงค์แต่ผมก็ยังรับมือไม่ถูกอยู่ดี ก่อนที่เธอจะทิ้งตัวลงนั่ง ผมก็รู้สึกเหมือน... มีใครมายืนอยู่ด้านหลัง...


“ขอโทษนะครับ พอดีน้องคนนี้คนรู้จักผม ขอผมนั่งกับน้องเขาได้ไหม?”


“เอ๊ะ?”


ผู้หญิงที่กำลังจะทิ้งตัวลงนั่งกลับต้องชะงัก เธอเงยหน้ามองผู้ชายที่อยู่ข้างหลังผมตาไม่กะพริบ


เสียงคนๆ นี้คุ้นหูมากๆ ผมหันไปมอง...


เจ้าของรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อดูดีของอดีตนายแบบ ควบตำแหน่งเดือนมหา’ลัยปีที่แล้ว


“พี่เอส?”


-----------------------------------------------------



⚙ เมืองเอก พาร์ท ⚙


ผมละออกมาจากบาร์แล้วเดินไปหาคนที่ไม่คิดว่าจะมาเจอกันที่นี่ ตอนแรกที่เห็นก็คิดว่าแค่คนหน้าเหมือน แต่พอดูไปดูมา แม่งใช่เลย ไอ้แรปชัดๆ


“แรป! กูเอง”


ผมเดินตรงเข้าไป ก่อนจะเข้าใกล้ตัว ก็โบกมือเรียกให้เจ้าของชื่อหันมา


“อ้าว ไอ้เมืองเอกมึงมาตั้งแต่ตอนไหนวะ?”


ตอนแรกที่เห็นก็คิดว่ามันจงใจหรือเป็นเรื่องบังเอิญกันแน่ที่เจอมันอยู่ที่ร้านนี่ แต่เพราะประโยคที่มันถามพร้อมใบหน้างงๆ ของแรปทำให้ผมแน่ใจ มันคงยังไม่เห็นที่ผมโพสไอจี


“สักพักแล้ว”


“ทำไมตอนแรกกูเข้าร้านมาไม่เห็น?”


มันถามพร้อมทั้งจ้องหน้าผม ถ้าถามอย่างนี้แสดงว่ามันคงเข้าร้านมานานแล้วสินะ ไม่ใช่ว่าผมเพิ่งเห็นมันเดินเข้ามา เอ่อ เกือบลืมตอบคำถามแม่ง


“อ๋อ พอดีกูนั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ตรงนั้นว่ะ”


ผมชูนิ้วโป้งไปด้านหลังตัวเอง ไอ้แรปเลยมองตามทางที่ผมบอก ก่อนที่มันจะกะพริบตาสองสามทีแล้วเบิกตากว้าง


“นั่นมันเดือนสิบใช่ไหมวะ?”


มันชี้นิ้วไปทางนั้น ทางที่เดือนสิบมันนั่งอยู่


“ถูกต้อง”


ผมตอบด้วยความมั่นใจก่อนจะยกมือกอดอกมองหน้าที่... เอ่อ ผมอธิบายหน้าไอ้แรปตอนนี้ไม่ถูกว่ะครับ เหวอ?


“เหี้ย! ได้ไง!?”


“อย่างกูซะอย่าง ไม่พลาดๆ”


ผมอวยตัวเอง ซะจนรู้สึกว่าไอ้แรปอยากจะยกมือตีแสกหน้าผม แต่แน่นอนมันไม่กล้าทำหรอกครับ ดูจากความสูงผมก็ชนะขาดแล้ว สิ่งที่ทำได้ตอนนี้มันเลยเป็นทำปากยื่นปากยาวล้อผมแทน


“ตอนกลางวันเห็นข่าวว่าไปเดินห้างด้วยกัน ไอ้มึงก็บอกกูมาแล้วว่าจะไปหาของซ่อมคอมฯให้เดือนสิบ แต่ไม่เห็นยักรู้ว่าแพลนดินเนอร์กับแฟนสาวดาวคณะอักษรจะมาเปลี่ยนตัวเป็นมากับเดือนมหา’ลัยแทน.. เขาเรียกว่าขั้นอัพเดทเปล่าวะ จากดาวคณะ เป็นเดือนมหา’ลัย”


ดูมันพูด... ผมอยากจะเป็นฝ่ายยกเท้าแสกหน้ามันมากกว่าแล้วตอนนี้


“ช่วยไม่ได้นี่หว่า รินติดธุระมากับกูได้ซะที่ไหน”


“แล้วกูล่ะวะเพื่อน อยากเลี้ยงสาวแต่โดนเทก็เปลี่ยนมาเลี้ยงกูก็ได้นะ”


ผมมองไอ้แรปที่เดินขยับมาใกล้ๆ แล้วยกมือขึ้นคล้องคอ โว๊ะ ไอ้นี่ ตัวก็เตี้ยยังไม่เจียมอีก ผมปัดมือมันออกจากคอแล้วมองดูมันหัวเราะร่าที่ได้หยอกผมสำเร็จ


“ไปให้พี่โฟล์ค พี่รหัสมึงเลี้ยงมึงนู่น”


“ก็รายนั้นเลี้ยงกูจนล้มละลายแล้วไง”


“นี่มึง... แดกหรือสูบ”


“สูบบบบ~ ก็... เอากำไรคืนจากรับน้องไง ไม่เห็นแปลก ฮะๆ”


แรปมันหัวเราะ ผมรู้ว่าไอ้นี่มันร้าย นอกจากสกิลการปอกลอก มันอาจจะเล่นไสยศาสตร์มนต์ดำอะไรใส่พวกพี่ๆ หรือเปล่า ไม่รู้ทำไมทุกทริป ทุกเที่ยว ทุกดื่ม หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ทุกคืนไม่มีวันไหนที่ไอ้แรปมันจะไม่ไปเสนอหน้า ไม่ว่าจะกลุ่มพี่กลุ่มไหน ก็สามารถเจอมันลอยหน้าลอยตาอยู่ได้ตลอด เหมือนมันเคยกระซิบบอกว่าเที่ยวฟรีทุกมื้อด้วยครับ


เอ้อ จะว่าไปแล้ว พอพูดถึงพี่ๆ แกแล้วนึกขึ้นได้


“ว่าแต่มึงเหอะมาคนเดียวเหรอวะ?”


ผมถาม เพราะเห็นมันอยู่คนเดียว แต่ไม่น่า อย่างไอ้แรปไม่น่าได้มาคนเดียว


แล้วก็เป็นตามคาด มันยิ้มแป้นตอบ


“เปล่า กูมากับพวกพี่ตอ... นั่นไงพูดถึงก็มาเลย”


เหมือนจะตายยาก เพราะทันที่ที่เอ่ยชื่อ ไอ้พวกพี่แม่งก็เดินเข้ามาเป็นกลุ่มบอยแบนด์ ไม่สิ ต้องเรียกว่าแก๊งโจรจะเหมาะกว่าซะล่ะมั้ง...


ผมยิ้มแห้งหันขวับไปหา ตัวหัวโจก พี่ตอผู้กร้านโลก...


“พวกพี่สวัสดีครับ”


“อ้าว ไอ้เมืองเอก ก็ว่าไลน์ไปไม่ตอบที่แท้มารอร้านก่อนแล้วนี่เอง”


คำทักของพี่ตอทำผมสะดุ้ง ผมกวาดสายตามองหาเป้าหมายคนกลุ่มเพื่อนพี่เขา ไล่สแกนหน้าไปทีละคนๆ ส่วนใหญ่เป็นรุ่นพี่หน้าเดิมๆ ขาประจำ แต่วันนี้ที่มีมาเพิ่มเป็นปีหนึ่งกลุ่มที่ผมไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่มาด้วย แต่คนที่ผมหา ผมยังไม่เห็นว่ะ..


“เอ่อ พี่ตอ พี่โฟล์คมาเปล่าอะ?”


ผมถามซื่อเพราะไม่เห็นจริงๆ


“หึ๊ ไอ้โฟล์คเร๊อะ วันนี้ไม่มาหรอก”


เป็นคำตอบที่... เฮ้อ พาผมถอนหายใจโล่งอก ก็แล้วไป


“พี่กูมันมาไม่ได้หรอกมึง เพิ่งเสียไพ่ให้พี่ตอไปเมื่อกลางวัน”


แรปที่หัวเราะยิ้มเยาะอยู่ข้างๆ ราวกับสะใจที่พี่รหัสมันเสียไพ่จนหมดตัว...มาด้วยไม่ได้ แต่ก็ถือเป็นการดีกับผมมากกว่า ~


“เออ ถ้างั้นก็หายห่วง”


บทสนทนาควรจบกันตรงนั้น แล้วผมก็แยกย้ายกับพวกพี่ตอแล้วกลับไปหาเดือนสิบ แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นเมื่อถูกรุ่นพี่ชวน บอกให้ไปนั่งร่วมโต๊ะกันสักแป๊บดื่มอะไรนิดอะไรหน่อย ใจจริงผมรู้ ว่าพวกพี่แม่งอยากให้ผมเอาเงินที่ได้จากพนันมาเลี้ยงเหล้าพวกแกมากกว่า เพราะงั้นแม้แต่ไอ้แรปเลยเห็นดีเห็นงาม ลากผมเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะด้วย


สุดท้ายเลยมานั่งจ่อมที่โต๊ะของพวกรุ่นพี่ โดยมีไอ้แรปนั่งกวาดสายตาเลือกเมนูอยู่ข้างๆ ผมที่ยังไม่ลืมว่าตัวเองมากับใคร ตอนนี้นั่งจิ้มไลน์ส่งไปหาไอ้เดือนสิบ แต่จู่ๆ ก็มีแก้วน้ำเมายื่นมาให้ตรงหน้าผม เอ้อ นิดๆ หน่อยๆ ก็ได้วะ ผมหยิบแก้วนั้นขึ้นดื่มแล้วหันไปชวนไอ้เเรปที่ใจจดจ่อกับเมนูอาหารแต่มันยังสามารถแยกประสาทหูมาฟังและมาตอบคำถามผมได้


“เบศอะ?”


“กูชวนแล้วมันไม่มา บอกพรุ่งนี้มีเรียนเช้า BLUE ZEE มันไกล แล้วก็ไม่อยากดื่ม”


“เช้าก็เช้ากันหมด ขนาดมึงยังมาเลย”


ผมรอฟังคำตอบแล้วก้มลงมอง แรปมันปิดเมนู หันไปสั่งอาหารกับพนักงานแล้วค่อยกลับมาสนใจผม 


“เรื่องแบบนี้กูเคยพลาดที่ไหน แต่วันนี้กูก็ว่าจะไม่ดื่มเหมือนกัน มากินอย่างเดียว อะ เอาไป”


เพื่อนผมมันว่างั้น พร้อมทั้งแก้วอีกแก้วหนึ่งที่ควรจะเป็นของมัน ส่งมาทางผม นี่เห็นกูเป็นอะไรเนี่ย? ผมส่ายหัว แต่ไม่อยากขัดศรัทธายกแก้วใหม่ขึ้นดื่ม ดวงตาเบนไปมองทางเคาน์เตอร์ที่ตัวผมเองเดินจากมา ไว้หมดแก้วนี่จะไปแล้ว


ดีกว่า... ว่าแต่เดี๋ยวนะ


ตึง!


ผมวางแก้วลงกระแทกโต๊ะเสียงดังจนแรปที่คุยกับรุ่นพี่เฮฮาในตอนแรกหันมามอง


“อะไรของมึง”


“นั่นมันไอ้มอร์เปล่าวะน่ะ?”


“ฮะ?”


“เพื่อนคณะเราไงเพื่อน ที่ประกาศว่าเป็นอะ”


แรปพูดในขณะที่สายตามันยังไม่ละจากทางนั้น ในมือก็ถือแก้วน้ำเป๊บซี่ซดซะเหมือนกำลังกระดกเบียร์... เสียอย่างเดียวแม่งเป๊บซี่อ่ะ ไม่ใช่น้ำเมา เอ่อ กลับมาเรื่องไอ้ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างเดือนสิบก่อน ตอนแรกผมยังจำชื่อกับหน้าและตัวตนของไอ้มอร์อะไรนั่นไม่ได้จนกระทั่งแรปมันเสริมอีกประโยค


“ถ้าจำไม่ผิด มันเคยจีบมึงแต่มึงไม่เล่นด้วยไม่ใช่เหรอ?”


เออ ความทรงจำแม่งเด้งกลับมาเลย ว่าแต่...


“แล้ว... มึงรู้ได้ไงวะ?”


เรื่องสมัยพระเจ้าเหา สมัยวันรับน้องใหม่ๆ


แรปมันกระตุกยิ้ม ตามสไตล์มันแล้วยกคิ้ว


“หน่วยข่าวกรองกูดี”


“เอาดีๆ”


“เบศบอกกูมาอีกที”


อ้อ


ผมหยิบแก้วตัวเองขึ้นมาดื่มอีกครั้งแล้วตั้งใจจะมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าเงียบๆ ถ้าไม่ติดที่... ไอ้แรปโวยวายขึ้นมา


“เมืองเอก มึงไม่คิดจะทำอะไรหน่อยเหรอวะ?”


ผมเบนหน้ามองคนข้างตัว


“ทำอะไร???”


“ง่าว ก็เห็นๆ อยู่ว่าไอ้มอร์แม่งเล็งเดือนสิบ มึงจะให้มันหิ้วเดือนสิบไปเหรอ”


“ก็ถ้าเดือนสิบมันอยากไปด้วย กูจะทำอะไรได้วะ ก็สิทธิ์ของมันไหม?”


“กูว่าไม่ใช่ มึงรับผิดชอบหน่อยเหอะ สภาพมันดูไม่ดีเลย” 


หืม... เดี๋ยวนะ


“....”


“กูว่าเมาแล้วล้านเปอร์เซ็นต์”


ผมลุกจากโต๊ะพรวดพราดจนคนทั้งโต๊ะหันมามอง แต่ผมไม่ได้สนใจ ก้าวขาฉับๆ เดินตรงเข้าไปหาคนที่เป็นบทสนทนาของผมกับไอ้แรปมาตั้งแต่เมื่อครู่ จริงอย่างที่แรปมันบอก สภาพเดือนสิบมันดูไม่ดีเลย ใบหน้าสีขาวนั่นแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด ตาใต้กรอบแว่นเป็นประกายวิบวับเพราะน้ำใสๆ ในดวงตา แต่เปลือกตากลับเหมือนจะปิดลงไปมากกว่าครึ่งแล้ว ริมฝีปากสีสดฉีกยิ้มหวานแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน แถมยังหอบหายใจหนัก...


เดือนสิบ... มันเมาแน่ๆ บอกเองว่าตัวมันไม่กินเหล้า แต่ที่เป็นขนาดนี้ได้จะเพราะใคร...


“มอร์”


ผมเอ่ยเรียกผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างเดือนสิบ มันหันมาหาแล้วเลิกคิ้วเหมือนจะถามว่ามีอะไร


“กูมาพามันกลับ”


ผมที่ตอนนี้ยืนมองอยู่พูดอย่างใจเย็น แล้วเหมือนมอร์ก็จะใจเย็นเหมือนกัน ถึงได้ถามผมกลับ


“ทำไม?”


ทำไม... ทำไมอะไรของมึงวะ กูก็บอกอยู่ว่ากูจะพามันกลับ


ผมเล่นจ้องตากับผู้ชายที่หน้าค่อนข้างจะดีคนนี้ แต่ด้วยรอยยิ้มที่ยกเหยียดเหมือนจะเย้ยหยันนั่นทำผมหงุดหงิดหน่อยๆ แต่พยายามควบคุมสติอยู่...


“กูเป็นคนพามันมา กูก็ต้องพามันกลับ”


“ตอแหลเปล่าวะ? มึงกับเดือนสิบทะเลาะกันอยู่ไม่ใช่รึไง??”


“ข่าวเก่าแล้วไปดูมาใหม่”


ผมว่าเรียบๆ ตั้งใจจะเดินไปเข้าไปลากเดือนสิบออกมาแต่สิ่งที่มอร์มันทำกลับตรงกันข้ามกับที่ผมคาดเอาไว้ มือใหญ่


เลื่อนไปโอบรอบเอวเดือนสิบแล้วดึงให้ขยับเข้าใกล้ ในขณะที่คนถูกกระทำไม่ได้ขัดขืนอะไร นอกจากนั้นยังเอนหัวซบลงที่คอไอ้มอร์อีก


ริมฝีปากขยับขึ้นลง แต่เสียงที่ออกเป็นแค่เสียงครางอือๆ ในลำคอ...


“งั้นถามก่อนดิว่าเขาอยากกลับไหม”


ถามห่าอะไรวะ แม่งเมาขนาดนั้น


“มอร์ ไม่เอาอย่ายุ่ง นั่นเพื่อนใหม่กู”


ผมปรามมัน ในขณะที่มอร์ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด...


“เพื่อนใหม่มึง? แล้วทำไมกูจะยุ่งไม่ได้วะ เพื่อนไม่ใช่เมียมึงสักหน่อย”


“สัดมอร์เอามือออก!!”



ผมตวาดลั่นจนคนแถวนั้นรวมทั้งบาร์เทนเดอร์หันมาสนใจ ผมจับข้อมือไอ้มอร์ที่กำลังล้วงเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตของเดือนสิบออก แล้วดึงให้เดือนสิบลุกขึ้นยืน ด้วยสภาพแบบนั้นไม่ง่ายที่จะยืนได้ด้วยตัวเอง ตอนนี้เดือนสิบเลยทำได้แค่ยืนซบโดยใช้ผมเป็นที่พึ่งพิง..


“หวงห่าไรวะ ของมึงก็ไม่ใช่”


ผมจ้องมันตาเขม็ง แม่งไม่สำนึก


พนักงานที่เห็นท่าไม่ดีเลยจะเดินเข้ามาเคลียร์สถานการณ์ พอดีเลย


 “ไปหาคนใหม่ไป ไอ้แรปก็ได้”


“ไม่เอาหรอก ไม่สเป็คกูเลย”


สเป็คมึงต้องผู้ชายตัวเท่าควายแบบกูกับไอ้เดือนสิบใช่ไหมวะ ไอ้ชิบหาย!! พูดแล้วหงุดหงิดที่ผมก็เลือกจะเดินออกมา การต่อปากต่อคำผมจบแค่ตรงนั้น แต่ในระหว่างที่ผมกำลังจะส่งเดือนสิบให้พนักงานที่เข้ามาช่วยพยุงไปส่งก็สังเกตเห็น...


“มอร์...”


“หึ อะไรของมึงอีก”


มันหัวเราะในลำคอแล้วเลิกคิ้วกวนใส่ผม       


“ที่คอ”   


ผมถามเสียงเย็น ปราดสายตามองคนที่ยังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม


“กูไม่ได้ทำ”


คนถูกถามให้คำตอบแบบนั้นแต่มันก็ยากที่จะเชื่อ ผมกระตุกยิ้ม แล้วเดินออกไป


“กูก็ขอให้มันจริงอย่างที่มึงพูด”




เพราะถ้าไอ้มอร์ไม่ได้ทำ แล้วรอยจูบเป็นจ้ำสีแดงที่ต้นคอเดือนสิบนี่ใครมันทำกันวะ...




รอยแดงตัดกับผิวขาวๆ ที่ต้นคอแบบเห็นได้ชัด



----------------------------TBC-------------------------


สวัสดีค่ะ ลงให้แล้วนะ ขอโทษที่สายด้วยค่ะ
ช่วงที่ห่างหายไปนาน ติดโปรเจคกับไฟนอลค่ะ อาทิตย์นี้ก็เริ่มสอบแล้ว ถ้าปิดเร็วๆ ก็คงจะดี~~

ขอบคุณทุกคอมเมนต์มากๆ นะคะ รักทุ๊กคนนนน <3
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า ~~



#วิศวะเดือนสิบ

หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 8 กลับด้วยกัน ☽⚙ UP!! 10/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-12-2018 00:27:51
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ๋.....อิพี่เอสหายไปไหน? 

คนทำรอยต้องเป็นอิพี่เอสแน่ ๆ หล่ะ
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 8 กลับด้วยกัน ☽⚙ UP!! 10/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 11-12-2018 01:12:38
เดือนสิบโดนมอม หุหุ แย่แล้ววววววว
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 8 กลับด้วยกัน ☽⚙ UP!! 10/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 11-12-2018 04:19:15
เป็นแมวภาษาอะไร ย่างปลาทิ้งไว้แล้วไม่เฝ้า  :hao3:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 8 กลับด้วยกัน ☽⚙ UP!! 10/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 11-12-2018 07:12:49
ใครทำเดือนสิบ
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 8 กลับด้วยกัน ☽⚙ UP!! 10/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 11-12-2018 07:30:56
ใครลวนลามลูกช้านนนน พี่เอสหรอ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 8 กลับด้วยกัน ☽⚙ UP!! 10/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-12-2018 09:20:50
พี่เอส ทำไมทิ้งเดือนสิบ........
ปล่อยให้เดือนสิบอยู่กับมอร์
ต้องโทษเมืองเอกแหละ  :angry2:
ที่ทิ้งเดือนสิบ......... ไปแป๊บ  แป๊บน้ำที่ยาวเป็นกิโลปะ  :m16:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 8 กลับด้วยกัน ☽⚙ UP!! 10/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 11-12-2018 15:59:52
แล้วพี่เอสไปไหน????????
โอ๊ยพี่  :katai1:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 8 กลับด้วยกัน ☽⚙ UP!! 10/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: fsbeentaken ที่ 11-12-2018 19:25:37
โอ้ยยย อีพี่เอสแน่ๆ

แล้วนังเมืองเอก พาเค้ามาแต่ไม่ดูไม่แลเค้า ปล่อยให้เหลือบไรมาตอดเดือนสิบทำม้ายยยย

เป็นพระเอกที่เข้าขั้นห่วยได้เรื่อง

 :fire:
หัวข้อ: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 9 คลาย ⚙☽ UP!! 10/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 10-02-2019 04:32:43
เดือนที่ 9
คลาย ⚙☽
 


 

“ขอบคุณครับ” ผมกล่าวขอบคุณพนักงานของร้านที่ช่วยหิ้วเดือนสิบมาส่งถึงรถ จากนั้นก็ล้วงกระเป๋าหยิบแบงค์ส่งให้เป็นทิปตามธรรมเนียม



ผมเดินกลับมาฝั่งข้างที่นั่งคนขับแล้วปรับเบาะให้เอนลงคนที่หมดสภาพตอนนี้จะได้นอนได้สะดวกๆ เอ้อ ไม่ลืมคาดเข็มขัดนิรภัยให้ด้วยเพื่อความปลอดภัย



เดือนสิบ..



ผมมองสภาพคนที่นอนหลับตาอยู่บนเบาะตรงหน้า ขยับตัวไปมาขยุกขยิกเหมือนคนนอนไม่สบาย แว่นที่อยู่บนใบหน้านั่นทำให้ผมรู้สึกรำคาญทั้งๆ ที่มันก็อยู่เฉยๆ ที่เดิมของมัน



ก็ช่วยไม่ได้นี่หว่า ใครที่ไหนแม่งนอนทั้งๆ ใส่แว่นบ้าง แค่เห็นแล้วยังรำคาญ



...ผมก็เลยตัดสินใจยกมือขึ้นจัดการถอดแว่นเก็บออกมาให้



“เดือนสิบมึงไหวไหมเนี่ย?”



ลองส่งเสียงเอ่ยถามเพื่อเช็คสภาพของอีกฝ่าย เจ้าของชื่อยังมีแรงตอบสนองอยู่บ้าง เดือนสิบส่งเสียงอือตอบกลับในลำคอ แปลว่ายังโอเค ผมผงกหัวรับคำตอบแล้วถอนหายใจ



พาแม่งมาโดนมอม มันตื่นมาจะโดนโกรธเปล่าวะ? แถมยังโดนใครที่ไหนไม่รู้ดูดคออีก แม่ง...



คิดแล้วเหงื่อตก เอาเป็นว่าเรื่องนั้นค่อยว่ากันตอนมันตื่นก็แล้วกัน ผมผละตัวออกจากที่นั่งข้างคนขับแล้วกลับมานั่งประจำที่สตาร์ทรถขับออกจากร้าน มีเด็กดูรถออกมาโบกรถให้เหมือนทุกครั้งที่มา



ขับรถมุ่งหน้ากลับเข้าเมือง ตอนนี้ค่อนข้างดึกแล้วรถบนถนนก็เลยน้อย ถนนโล่งมาก ขับรถโคตรสบายเลย แดดก็ไม่ร้อน การขับรถตอนกลางคืนที่ถนนโล่งๆ รถไม่ติดนี่เป็นอะไรที่ผมโคตรชอบเลยครับ แต่ก็ไม่ได้ขับเร็วอะไรนะ อยู่ในขอบเขตที่เขากำหนดแหละ เพื่อความปลอดภัย



จะว่าไป แม่งเงียบแปลกๆ อ้อ ที่ไหนได้ ผมลืมเปิดเพลง ในระหว่างที่หันกลับไปจะเอาโทรศัพท์เสียบสาย USB ต่อเข้ารถผมก็เห็น... คนที่นอนเอนหลังอยู่บนเบาะข้างคนขับลืมตาแป๋วมองผม



เชี่ย! ตกใจหมด ตื่นตั้งแต่ตอนไหนวะ?



แล้วมองผมแบบนี้มาตั้งแต่ตอนไหนแล้ว...



“มึง...”



“....”



เสียงเรียกจากอีกคนทำผมชะงัก หันหน้าไปมองมันแว๊บหนึ่งแล้วต้องหันกลับมาขับรถต่อ สรรพนามที่มันใช้เรียกคือ ‘มึง’ มึงที่ว่าคือกูใช่ไหมวะ? จำไม่ได้ว่ามันเคยหยาบขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่...



“กูเรียกมึงนั่นแหละ เมืองเอก”



...เมาแล้วหยาบเหรอวะ ปกติไม่เคยเห็นใช้คำหยาบเลย แต่อย่างน้อยมันก็ยังจำผมได้อยู่นะ ไม่ได้ถึงกับเมาไม่รู้เรื่อง



“เมืองเอก...”



เดือนสิบมันส่งเสียงเรียกผมที่ตั้งใจขับรถอยู่อีกครั้ง ดูเหมือนจะไม่หยุดเรียกด้วยถ้าผมไม่ตอบรับมันอะ



“เออ?”



เลยตอบรับคำเรียกไปสั้นๆ รอฟังว่าไอ้คนเรียกมันจะพูดอะไร แต่ประโยคต่อมาทำให้ผมต้องฉงน



“เมาแล้วขับเหรอ?”



“ฮะ?”



“มึงเมาแล้วขับใช่ไหมกูเห็นมึงดื่ม”



อ้อ ที่แท้ก็ดื่มแล้วขับใช่ไหม? ยอมรับว่ากูดื่มจริง แต่ก็ไม่ได้เมา...



“เปล่า กูไม่ได้เมา”



“คนเมามักจะพูดว่าตัวเองไม่ได้เมา”



“งั้นแล้วมึงอ่ะเมาไหม?”



“กูไม่รู้... แต่กูคิดว่ากูเมา... ปวดหัว...”



อะไรของมึงวะเนี่ย  ไม่รู้จะตอบคนที่บอกว่าตัวเองเมายังไง ไม่รู้มันต้องการอะไรด้วย ก็เลยทำได้แต่ขับรถต่อไปเงียบๆ จนกระทั่งคนที่เคยพูดน้อย สงบปากสงบคำ ไม่พูดถ้าไม่จำเป็นหรือถ้าผมไม่ชวนคุยอย่างเดือนสิบจะเริ่มพูดอีกครั้ง



“เมืองเอก”



“ว่า”



เออ จะพูดอะไรก็พูดมา นับเป็นเรื่องแปลกที่ฝ่ายเดือนสิบเป็นคนชวนคุยก่อน



“ที่มึงบอกว่าชอบหน้าตอนยิ้มกู...”



อ่าฮะ ตอนนั้นผมพูด รอฟังอยู่...



“ชอบแค่ตอนยิ้มเหรอ?”




ประโยคต่อมาทำผมชะงักอีกรอบ ไม่คิดว่ามันจะถามอะไรแบบนี้ เมาแล้วเปลี่ยนคนจริงๆ



“หน้าปกติมึงไม่ชอบเหรอ? แค่ตอนยิ้มเท่านั้นเหรอ?”



ผมหันไปมองคนที่เริ่มพูดงืมงำไปเรื่อยๆ แขนขาวที่โผล่พ้นเสื้อแขนยาวที่ถูกพับเเขนเสื้อยกขึ้นบังหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์



สติดูไม่อยู่กับตัว แต่ผมก็อยากจะตอบคำถามของมันอยู่ดี



“ไม่ใช่ว่ากูไม่ชอบหน้าปกติของมึง กูแค่ชอบหน้าเวลามึงยิ้มมากกว่าหน้าปกติ แค่นั้นเอง”



ไม่รู้ว่ามันจะฟังรู้เรื่อง ฟังเข้าใจไหมเหมือนกัน แต่เดือนสิบเงียบไป เงียบไปนานจนผมคิดว่ามันหลับ แต่ว่าสักพักริมฝีปากสีแดงนั่นก็เริ่มขยับอีกครั้ง



“มึงโกหก เมืองเอก มึงไม่ชอบหน้ากูใช่ไหม? มึงเกลียดกูใช่ไหม? กูขอโทษที่แย่งตำแหน่งเดือนมหา’ลัยมึงมา กูไม่ได้ตั้งใจ...”



“....”



ประโยคยาวๆ หลุดออกจากปากคนที่เคยพูดน้อยจนแทบนับคำได้ เสียงสั่นเครือฟังดูเป็นพึมพำไปเมื่อเทียบกับเวลาปกติที่พูด... แต่ก็ยังฟังได้รู้เรื่องดี ส่วนเนื้อความที่ได้ยินนั้น... ผมส่ายหน้ากับตัวเอง ไม่คิดว่าจะเป็นขนาดนี้



“กูบอกแล้วไงว่ากูไม่ได้เกลียดมึงแล้ว เลิกคิดอย่างนั้นได้แล้ว”



“ถ้างั้น... ที่มึงมาช่วยกู มายุ่งกับกู ชวนกูมากินข้าวด้วยเพราะอะไร?? มึง... ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่???”



คนที่นอนเอนหลังพิงเบาะอยู่ข้างๆ ค่อยๆ ดันตัวเองลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก คงเพราะมันมึนหัว แล้วก็เพราะเมาเลยควบคุมอะไรไม่ค่อยได้ดั่งใจ



ใบหน้าขาวแดงระเรื่อขยับเข้ามาใกล้ จ้องมองผมที่กำลังตั้งใจขับรถ ไม่ได้ตอบคำถามเมื่อกี้ของมัน แต่เจ้าตัวเองก็ไม่ได้คั้นจะเอาคำตอบ เดือนสิบถอยหน้ากลับไป แล้วยกมือขึ้นกุมหัว



“กู... ไม่รู้ว่ามึงคิดอะไร แต่ว่า... แต่ว่าถ้ามึง... กูขอ.. ปล่อยกูไปเถอะนะ”



เดือนสิบเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง แต่ผมพอจะจับใจความได้ แม้ประโยคมันจะไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ ผมคิดว่าเดือนสิบคงตั้งใจจะบอกผมว่า ถ้าผมหวังไม่ดีกับมัน หรือวางแผนอะไรไว้ ให้ผมเลิกซะตอนนี้ แล้วปล่อยมันไป... ใช่ไหมนะ?



“อย่ามายุ่งกับกูเลย”



“....”



หึ



ผมกระตุกยิ้มมุมปาก



“ถ้ากูบอกว่าอยากเป็นเพื่อนกับมึงล่ะ”




เดือนสิบเงียบไปสักพัก แล้วทวนคำผม



“เพื่อน...?”



“อืม เพื่อน เป็นเพื่อนกับกูไหม?”



ผมหันกลับมา มองไปทางเดือนสิบ ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้างขึ้นกว่าปกติ เหมือนคนกำลังอึ้งๆ ผมก็เลยส่งยิ้มกลับไปให้



“หรือว่าไม่อยากแม้แต่จะเป็นเพื่อนกับกูเหรอ? ฝ่ายที่เกลียดกู เป็นมึงมากกว่าหรือเปล่าเดือนสิบ”



ผมหันกลับมามองถนนตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่เก็บรอยยิ้มกลับไป ก็อยากยิ้มให้ดู อยากจะพูดออกไปให้รู้ว่าจริงใจนะเว้ย ถึงแม้จะไม่ผิดเลย ถ้าเดือนสิบจะเกลียดผม ก็เล่นไป... หาเรื่องมันก่อน



“....”



แอบใช้หางตามองคนที่ยังจ้องผมอยู่ตรงนั้น ริมฝีปากแดงก่ำเม้มแน่น ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก แต่เอาเป็นว่า



“ถ้าเงียบแปลว่าตกลงนะ”



ตาใสๆ กะพริบมอง...



ก็ไม่ได้ปฏิเสธนี่นา~



“อืม”



เห็นไหมล่ะ



..........



จอดรถที่ลานจอดรถของคอนโดอย่างปลอดภัย ผมดับเครื่องปลดเข็มขัดตัวเองออกเพราะถึงที่หมายแล้ว จากนั้นก็หันมองไอ้ผู้ชายตำแหน่งเดือนมหา’ลัยที่นอนหลับอยู่บนเบาะข้างคนขับ หลับนิ่งไม่รู้เรื่อง ตอนไปถึงร้านแม่งก็หลับแบบนี้ นี่เป็นครั้งที่สองของวันที่ผมต้องปลุกมัน



“เดือนสิบถึงแล้ว”



ผมเรียก และเจ้าของชื่อไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบกลับมา



“เดือนสิบ”



เรียกอีกครั้ง แต่คราวนี้เอื้อมแขนไปปลดเข็มขัดนิรภัยให้ด้วย แน่นอนว่าอยู่ใกล้มันมากขึ้น อย่างน้อยต้องได้ยินกูเรียกบ้างเหอะ



“....”



แต่ก็ยังคงเงียบ



“เดือนสิบ ...สิบ สิบๆ ๆ ๆ ๆ ตื่นได้แล้ว!!”



คราวนี้เรียกดังกว่าเดิม ผมแถมบริการเขย่าแขนให้ด้วยเลยเอ้า!  แล้วก็ได้ผลครับ เมื่อเปลือกตาทั้งสองข้างลืมขึ้นมา หัวคิ้วของมันขมวดเป็นปม ทำตาดุ มองค้อนเหมือนคนหงุดหงิด



แต่ยังดีที่ตื่น เพราะถ้าไม่ตื่นก็ไม่รู้จะปลุกไงแล้ว ให้ลากหรืออุ้มขึ้นไปจะไหวเปล่าวะ? ถ้าตัวพอๆ กับไอ้เบศค่อยไม่น่ากังวลหน่อย จะทิ้งไว้ให้นอนในรถก็ไม่ได้..



“เมื่อกี้เรียกว่าอะไรนะ?”



เสียงนิ่งๆ เอ่ยประโยคที่ทำให้ผมต้องกลับไปสนใจคนที่เพิ่งปลุกอีกครั้ง



เรียก?... เรียกว่าอะไร...เมื่อกี้เหรอวะ?



“ก็.... ‘สิบ’ ไง”



“อย่าเรียกชื่อพยางค์เดียว”



“หืม?”



“กูไม่ชอบ”



ยังไม่สร่างอีกเหรอวะ???



ผมมองคนที่ทิ้งประโยคไว้แล้วก้มหน้างุดๆ กวาดสายตามองหาอะไรสักอย่าง จนกระทั่งมือนั่นหยิบแว่นที่วางไว้แถวๆ คอนโซลรถขึ้นมาใส่



แต่...  ไอ้เรื่องที่ไม่ชอบให้เรียกชื่อพยางค์เดียวเนี่ย ผมกับมัน...



“หึ เหมือนกันเลย กูก็ไม่ชอบให้เรียกชื่อพยางค์เดียวเหมือนกัน”



ดูท่า ‘เ ร า’ จะมีอะไรคล้ายๆ กันขึ้นมาบ้างแล้ว



-------------------------------------



☽ เดือนสิบ พาร์ท ☽



“อือ...”



ผมส่งเสียงอือในลำคอ ขยับตัวพลิกจากการนอนตะแคงข้างมาเป็นนอนหงายแทน แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าส่องมาที่ตาผมพอดีเป๊ะจนทำให้ตัวเองที่ยังง่วง ยังอยากนอนอยู่จำต้องลืมตาขึ้นมามอง ภาพที่ปรากฏคือฝ้าเพดานสีขาวของห้องนอนที่ผมเห็นประจำอยู่ทุกวัน



กะพริบตาซ้ำๆ ไล่ความง่วงแล้วก็ช่วยทำให้ตาผมสว่างมากขึ้นด้วย ผมอ้าปากหาว แล้วยันตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง เลื่อนมือไปคลำๆ หาแว่นที่คิดว่ามันน่าจะวางอยู่บนหัวเตียงที่ประจำ พอเจอก็หยิบมันขึ้นมาใส่



เอ๊ะ? แต่เดี๋ยวนะ...



ผมก้มลงมอง สีผ้าห่มและสีผ้าปูที่นอนไม่ใช่สีเทาเหมือนที่เคยเป็น แต่เป็นสีแดง



“....”



ผมกวาดสายตามองไปรอบห้อง เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ตู้เสื้อผ้า แล้วมาหยุดอยู่ที่... ผู้ชายที่นอนตะแคงข้างหันหลังให้ผม



ใคร?



แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ห้องผมชัวร์ๆ ผมกำลังพยายามนึก พยายามเค้นความทรงจำเมื่อวานที่ขาดหายไป พยายามนึกให้ออกว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น เท่าที่จำได้...



เมื่อวานผมไปกินข้าวกับเมืองเอกที่ร้าน BLUE ZEE พอกินเสร็จก็เดินมานั่งหาเครื่องดื่มที่บาร์ จากนั้นเมืองเอกก็ขอออกไปหาเพื่อนที่บังเอิญเจอกันในร้าน มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาขอนั่งข้างๆ แต่ผมเจอพี่เอส เราเลยนั่งด้วยกันแทน จากนั้นพี่เอสก็เลี้ยงเครื่องดื่มผม แล้ว...... หลังจากนั้นล่ะ?



นึกไม่ออก นึกไม่ออกแล้วโว้ยยย ปวดหัว ! แต่ความทรงจำผมหยุดลงที่พี่เอส เพราะงั้นคนที่นอนอยู่ข้างนี่ก็ควรจะเป็น...



“พี่เอส?”



“เสียใจ กูเอง”



“...!”



ผมตกใจเกือบสะดุ้ง เมื่อจู่ๆ คนที่นอนหลับอยู่ข้างตัวก็พูดขึ้นมา พอมองตามถึงได้เห็น หน้าของเดือนคณะวิศวะคนเดิมเพิ่มเติมคือหันกลับมายกยิ้มยียวนใส่ผม ร่างที่สวมชุดนอนลายทางยันตัวลุกขึ้นนั่ง



“ ’รุณหวัด”  เมืองเอกส่งเสียงทักทาย ยกมือขึ้นขยี้หัวยุ่งเหยิงไม่ได้จัดเป็นทรงเหมือนทุกทีของตัวเอง แต่บอกเลยว่าขนาดหัวฟูๆ ยุ่งๆ ไม่เป็นทรง ก็ไม่ได้ทำให้เมืองเอกดูแย่ลงเลยแม้แต่น้อย คนเบ้าหน้าดีก็งี้...



จนถึงตอนนี้ผมก็ยังงงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นวะ ทำไมผมถึงมานอนอยู่ห้องเมืองเอกได้ ??



เพราะต้องการคำตอบ หรือคำอธิบายอะไรเพิ่มเติมสักนิดหนึ่ง ผมถึงได้ทำหน้างงใส่มัน



“ไม่ต้องมาทำหน้างง อยากรู้อะไรก็พูดสิวะ ทีเมื่อคืนยังพูดไม่หยุดจนกว่ากูจะได้นอน ปาไปตี2”



ฮะ???



“อะไร จำไม่ได้เลยเหรอ?”



ผมพยักหน้า เหอะ... ไม่มีในสารบบเลย



“เมื่อคืนมึงเมา กูก็พามึงกลับมานอน แค่นั้น”



ผมเมา? อ่า... ไม่ต้องถามหาสาเหตุเลยว่าทำไม ต้นเหตุเป็นไอ้เครื่องดื่มแก้วนั้นที่พี่เอสเลี้ยงผมแน่ๆ ที่รับมาดื่มเพราะผมคิดว่ามันเป็นม็อกเทลแบบเดียวกับที่เมืองเอกเลี้ยงก่อนหน้า



แต่... ทำไมเมืองเอกไม่พาผมกลับห้อง



ผมหันกลับไป มองคนที่นั่งตาแป๋วจ้องอยู่ข้างๆ และเอ่ยปากถามในสิ่งที่อยากรู้ที่สุดไป



"ทำไมไม่พากลับห้อง"



“กูหากุญแจกับคีย์การ์ดห้องมึงไม่เจอ”



ผมขมวดคิ้วมองเมืองเอก คีย์การ์ดมันจะหายไปไหนได้ไง ก็ในเมื่อมันต้องอยู่ในกระเป๋าเงินสิ หลังจากคิดแบบนั้นแล้ว ผมก็เลยรีบตัดสินใจคลำหากระเป๋าเงินที่มันควรจะอยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ (คือ...  เมื่อวานผมนอนทั้งกางเกงยีนส์..) แต่มันกลับไม่อยู่



หายเหรอ? บ้าน่า ถ้าหายนี่ผมชิบหายของจริงเลยนะ



“ไม่มี...”



"อาจจะตกในรถกูก็ได้ เมื่อวานกูคงหาไม่ดีเอง ไว้เดี๋ยวค่อยลงไปดูกันใหม่"



ผมเงียบ เงียบใส่เมืองเอกที่พยายามจะพูดให้ผมสบายใจเต็มที่ ทั้งๆ ที่ตอนนี้ผมเองก็คิดถึงกรณีที่หาไม่เจอ...



"เดือนสิบ ไม่เอาดิ อย่าทำหน้าอย่างนั้น"



หน้า... สีหน้าผมดูออกขนาดนั้นเลยเหรอ? ...แต่จะไม่ให้เครียดได้ยังไงก็ในเมื่อกระเป๋าเงินผมหาย หายไปทั้งกระเป๋าเลยนะ ทั้งบัตร เงิน กุญแจ ไหนจะพวกบัตรนิสิต บัตรประชาชน



"ไว้เดี๋ยวช่วยหา ไม่เป็นไรๆ แต่ก่อนอื่น วันนี้กูมีเรียนเช้า"



วันจันทร์  ผมเองก็มีเรียนเช้าเหมือนกัน



"มึงก็ด้วยใช่ไหม?"



ผมพยักหน้าตอบคำถาม เจ้าตัวถึงได้หมุนตัวหันหลัง เดินไปรื้อๆ ค้นๆ ในตู้เสื้อผ้าของตัวเอง แล้วเดินกลับมาหาผมที่ยังคงนั่งบื้ออยู่บนเตียง



"อ่ะนี่ ชุด"



"หือ?"



มองชุดนักศึกษาทั้งชุดที่ถูกยื่นให้ตรงหน้า เหมือนผมเป็นคนโง่ที่ส่งเสียงถามออกไป



ก็ในเมื่อคำตอบมันชัดเจนอยู่แล้ว แม้เมืองเอกจะไม่พูดประโยคต่อไปก็เถอะ



"ลุกไปอาบน้ำได้แล้วกูให้ยืมก่อน ไว้มึงค่อยเอามาคืนทีหลังก็ได้"



"ขอบคุณ"



ผมรับชุดนักศึกษาจากมือเมืองเอกมากอดไว้ กำลังจะลุกจากเตียงเเต่ว่า



"อันนี้กางเกงใน ...ของใหม่ กูซื้อมาเผื่อไว้ เอาไปเลยอันนี้กูให้"



"...."



มองดูกางเกงในชายที่อยู่ในเเพ็กเกจจิ้งเรียบร้อยดีตรงหน้า แล้วรับมา แต่เหมือนจะยังไม่จบแค่นั้นเมื่อเมืองเอกทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรอีก ผมเลยไม่ไปไหนแล้วหยุดรอฟังว่าจะมีอะไรอีกไหม



"เเปรงสีฟันใหม่อยู่ในตู้ซ้ายตรงอ่างล้างมือ ยาสีฟัน สบู่ โฟมล้างหน้า ของอะไรพวกนั้นใช้ได้เลยไม่ต้องเกรงใจ เอ่อ... แล้วก็.."



แล้วก็...



"???"



"ขอโทษหลายๆ เรื่องด้วย เพราะอยู่กับกูมึงเลยเจอเรื่องอะไรซวยๆ หลายๆ อย่างเลย"




เมืองเอกเก็บรอยยิ้มลงไปแล้ว ดวงตาคู่นั้นจ้องตอบผมอย่างจริงจัง ผมไม่คิดว่าเขาจะเสเเสร้งหรือแกล้งพูด น้ำเสียงกับคำขอโทษของเมืองเอกตอนนี้มันเป็นของจริง



ถึงแม้แท้จริงแล้วมันจะจริงหรือไม่ก็ตาม อย่างน้อยผมก็คิดว่าอย่างนั้น



ผมส่ายหน้า ไม่ใช่ว่าจะเจอแต่เรื่องซวยๆ... ไม่สิ ถึงจะเจอเรื่องพวกนั้นจริงๆ มันก็ไม่ใช่ความผิดของเมืองเอกไปซะหมด



"เดือนสิบ..."



อีกครั้งที่เมืองเอกเริ่มประโยคขึ้นมา



"เรื่องเมื่อคืนมึงอาจจะจำไม่ได้ ไม่ว่าเพราะมึงเมา หรือเพราะอะไร กูไม่ได้ถือโอกาสเพราะเชื่อว่าสิ่งที่มึงพูดตอนนั้นเป็นความจริง"



ผมเอียงคอมองคนตรงหน้า ใจเริ่มกลัวว่าเมื่อวานตอนผมเมาเผลอทำอะไร เผลอพูดอะไรออกไปบ้าง ผมไม่เคยดื่ม เลยไม่เคยรู้เลยว่าสภาพตัวเองในตอนนั้นเป็นยังไง...



"เพราะงั้น กูจะบอกมึงไว้ตรงนี้ ว่าเมื่อคืน มึงกับกู...."



ฮะ...? เดี๋ยวๆ นี่เริ่มพูดเรื่องอะไร??? ทำไมประโยคมันส่อขนาดนี้ ผมไม่ได้ไปทำอะไรมันใช่ไหม ???? คงไม่ได้เมาขนาดหน้ามืดตามัว... ไม่สิ กรณีอย่างนี้มันก็มีให้เห็นทั่วไปไม่ใช่เหรอวะ... ไม่ๆ เดือนสิบ! เชื่อมั่นหน่อยไหมว่าตัวเองจะไม่ได้ไปทำอะไรแปลกๆ เข้า



"เป็นเพื่อนกันเเล้ว"




หึ๊?



"มึงกับกูเป็นเพื่อนกันเเล้วไง เพราะงั้นมีอะไรอยากพูด ก็พูดออกมาได้เลย มึงพูดน้อยเกินไปจนเวลากูจะคุยกับมึง ต้องใช้สกิลในการเดาเลเวล99เเล้ว อย่างน้อย มึงคิดอะไร อยากได้อะไร ขัดใจอะไรก็ขอให้พูดออกมาบ้าง"



อ่อ... เอ่อ ใช่สิ เป็นเพื่อน... เป็นเพื่อนกันเเล้ว จะเป็นอะไรไปได้มากกว่านี้ล่ะเนอะ เเค่นี้ก็หรูแล้ว



ส่วนเนื้อความในประโยคที่เมืองเอกบอกก็... อยากให้ผมพูดเยอะกว่านี้ใช่ไหม? พูดในสิ่งที่ตัวผมเองคิดอยู่ในใจตลอดนี่มาบ้าง อืม ถ้างั้นเริ่มจาก



"อยากไปอาบน้ำแล้ว"



ผมมองหน้าคนหน้าตาดีตรงหน้า เมืองเอกยิ้มนิดๆ แล้วผายมือไปทางประตูห้องน้ำ



"เชิญครับ"



เออะ... พออยู่ๆ มาพูดสุภาพแบบจงใจใส่ผมทำให้รู้สึกแปลกนิดๆ เลย ผมลุกขึ้นจากเตียง แต่เหมือนจะรีบลุกเกินไป หรืออาจจะเป็นเพราะมึนหัว เมาค้างจากเมื่อวาน สูญเสียการทรงตัว ผมคุมตัวเองไม่อยู่



"...!"



"เดือนสิบ!"



เซเกือบล้มหน้าทิ่มพื้น ถ้าเมืองเอกไม่เอื้อมมือมาดึงต้นเเขนช่วยพยุงไว้ก่อนล่ะก็...



"ขอบคุณ"



"ไหวไหม?"



ผมพยักหน้า แต่เมืองเอกยังไม่ยอมปล่อยมือจากต้นเเขนผมสักที เอ่อ... ให้ผมพูดบ้างใช่ไหม? งั้น…



"ไม่เป็นไร แค่ลุกเร็วไปหน่อย แล้วก็มึนหัว... นิดหน่อย"



"เมาค้าง? กินยาไหม?"



ผมส่ายหน้า



"ไม่เป็นไร ไปอาบน้ำนะ"



เพราะพูดถึงตรงนี้ เมืองเอกถึงยอมปล่อยผมไปอาบน้ำแต่โดยดี ก่อนที่จะได้เปิดประตูก้าวเข้าห้องน้ำ ผมก็นึกเรื่องที่อยากจะพูดเรื่องหนึ่งได้ก่อนพอดี



ผมหันกลับไป มองผู้ชายตัวสูงในชุดนอนลายทางที่ยืนส่องกระจกลูบผมฟูๆ ชี้ๆ ไม่เป็นทรงของตัวเอง เหมือนจะเห็นเงาผมผ่านกระจก เมืองเอกหันกลับมามอง ยักคิ้วข้างหนึ่งถามว่าผมมีอะไรหรือเปล่า



ผมกระชับชุดนักศึกษาที่กอดไว้กับตัว ยิ้มส่งให้แล้วพูดเบาๆ  โดยที่ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะได้ยินไหม




“ขอบคุณนะที่ช่วยหลายๆ เรื่อง อยู่กับเมืองเอกไม่ได้เจอแต่เรื่องซวยๆ หรอก”




เมืองเอกยกยิ้มกลับมา



“พัฒนาเร็ว”




หมายถึงเรื่องพูดเหรอ? เอาเถอะ ผมหนีเข้าห้องน้ำมาเรียบร้อยแล้ว



----------------------------TBC-------------------------



สวัสดีค่ะ เย่ จบไปอีกตอนแล้ว ยังงานยุ่ง ติดเรียน การบ้าน (+อู้บ่อยๆ //ผิด)
แต่ขอบคุณทุกๆ คนที่ยังรออยู่เสมอนะคะ ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ด้วย
รักเหมือนเดิม รักทุกคนค่ะ <3 ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ >< !



#วิศวะเดือนสิบ


(แก้ไขคำผิดค่ะ 11/03/2562)
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 9 คลาย ⚙☽ UP!! 10/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-02-2019 09:27:05
 :pig4: :pig4: :pig4:

กลับมาแล้ว  หลังจากหายไปนานเลย

อิพี่เอสนี่  ต้องเป็นคนดูดคอแน่ ๆ อ่ะ

ก็น้ำเปลี่ยนนิสัยไง  จากปกติไม่พูด เจอน้ำนี้เข้าไป  กลายเป็นพูดมากเลย  555
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 9 คลาย ⚙☽ UP!! 10/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-02-2019 14:05:59
:pig4: :pig4: :pig4:

กลับมาแล้ว  หลังจากหายไปนานเลย

อิพี่เอสนี่  ต้องเป็นคนดูดคอแน่ ๆ อ่ะ

ก็น้ำเปลี่ยนนิสัยไง  จากปกติไม่พูด เจอน้ำนี้เข้าไป  กลายเป็นพูดมากเลย  555

เห็นด้วย..........
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 9 คลาย ⚙☽ UP!! 10/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 10-02-2019 16:56:05
อีพี่เอสสสส
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 9 คลาย ⚙☽ UP!! 10/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-02-2019 19:40:25
ต่อไปจะหนับหนุนให้เดือนสิบเมาดีไหมนะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 9 คลาย ⚙☽ UP!! 10/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 10-02-2019 21:35:59
หายไปนานกลับมาอ่าน มึนๆหน่อยๆ นึกเรื่องไม่ออก 555
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 9 คลาย ⚙☽ UP!! 10/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: fsbeentaken ที่ 10-02-2019 22:23:42
เดือนสิบไม่ระวังตัวเลยรู้กกกก เมืองเอกก็ช่วยปกป้องน้นอนทีนะะะะ

พัฒนาไปอีกขั้นแล้วนะเนี่ยยย

รอออออ นะค้าาาา
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 9 คลาย ⚙☽ UP!! 10/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 10-02-2019 23:20:56
หรือว่าพอเดือนสิบเมาปุ๊บ บุคลิกที่ 2 จะออกมาแทน
แล้วจับเมืองเอกกิน 55555555
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 9 คลาย ⚙☽ UP!! 10/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 11-02-2019 07:13:14
อ่อยน้ออออเ
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 9 คลาย ⚙☽ UP!! 10/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 18-02-2019 12:04:50
แล้วเดือนสิบอยากเป็นอะไรกับเขาาาาาาา  :ling1:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 9 คลาย ⚙☽ UP!! 10/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 02-03-2019 11:27:07
ยังงงใจว่า เมืองเอกจะมาแบบไหน จะจริงใจหรือหลอกลวง

เดือนสิบก็มีความงง และความเด๋อมาก
อยากพูดก็จะพูดเอง ไม่อยากพูดก็อย่าถามบ่อย 5555

เป็นเพื่อนกันแล้วนะ เมืองเอกคงไม่คิดทำอะไรแปลกๆ อีกนะ

เอสต้องการอะไร ชอบจริงหรืออยากลอง หรือเอาคืนใคร
หัวข้อ: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 10 เคยรับปาก ☽ UP!! 05/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 05-03-2019 15:19:59
เดือนที่ 10
เคยรับปาก ☽
 

 


"เดือนสิบกูขอโทษจริงๆ” เมืองเอกที่ทำหน้าที่เป็นคนขับรถอยู่ข้างๆ พูดออกมาเบาๆ แต่ผมที่กำลังให้ความสนใจแต่โทรศัพท์ก็ไม่ได้ใส่ใจ... อืม จะว่าไปก็ไม่เชิง ผมแค่เงียบไม่ได้พูดอะไรตอบรับเมืองเอกเท่านั้นเอง



อ้อ ส่วนเหตุผลที่เมืองเอกขอโทษผมนั้น จริงๆ ก็มีเรื่องใหญ่ๆ อยู่สองเรื่องครับ เรื่องแรกที่อยากจะพูดก็คือเรื่องกระเป๋าเงินที่ผมไม่รู้ว่ามันไปอยู่ที่ไหน พูดง่ายๆ ก็คือหาย.. ถือว่าโชคยังดีที่โทรศัพท์ไม่ได้หายไปด้วย 



หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเตรียมตัวกันเสร็จ ผมกับเมืองเอกก็ลงมาหากระเป๋าเงินกันใหม่อีกรอบในรถของเมืองเอก แต่คราวนี้โชคร้ายที่มันไม่มี ผมก็เตรียมใจเอาไว้แล้วว่าของที่หายไปก็คงไม่หาเจอกันง่ายๆ ขนาดนั้น ก็เลยยังพอรับเรื่องนี้ได้อยู่ ส่วนเรื่องที่สองก็คือ.....



“....”



ผมเบนสายตาละออกจากโทรศัพท์ไปมองหน้าผู้ชายที่กำลังตั้งใจขับรถฝ่าฟันรถติดเพื่อไปมหา’ลัยแล้วแอบหงุดหงิดในใจ เพราะถึงแม้เรื่องนี้เมืองเอกจะไม่ได้ผิดเต็มๆ แต่ผมก็ยังโทษเขาอยู่ดี



เล่าเท้าความถึงช่วงที่เข้าไปอาบน้ำ ไอ้ขาถอดเสื้อผ้าน่ะก็ไม่อะไรหรอกครับ ปกติดีทุกอย่าง จะติดใจก็ตอนที่กำลังใส่เสื้อนักศึกษา ผมที่มองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกตรงอ่างล้างหน้าต้องชะงัก ถลึงตามองภาพตรงหน้าให้ดีๆ แล้วเดินเข้าไปใกล้กระจกมากขึ้นจนกระทั่งเห็น...



รอยแดงๆ ที่คอ เห็นชัดมากเพราะว่าผมผิวขาว
เอ่อ... ผมโดนอะไรกัดมารึเปล่าครับ? มด ยุง หรือว่าแมลง? แต่ว่าไม่คันนะ ไม่เป็นตุ่ม หรือบวมด้วย



ในระหว่างที่กำลังสงสัยอยู่นั่นเอง ความคิดที่ไม่คิดว่าจะโผล่ในหัวก็แล่นเข้ามา



ปึง!




ผมปึงปังออกมาจากห้องน้ำ ทั้งๆ ที่ยังติดกระดุมเสื้อไม่เสร็จ



“เมืองเอก”



“ฮะ?”



“นี่รอยอะไร?”



จริงๆ ก็ไม่ควรจะถามเมืองเอกหรอกครับ นี่ร่างกายผม เขาจะไปรู้อะไร เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นคนทำเสียเอง... ไม่ๆ คงไม่ใช่อย่างนั้นหรอก แค่บางทีก็ต้องหวังพึ่ง เพราะเมื่อคืนเมาจนผมเองจำอะไรไม่ได้เลย เมืองเอกอาจจะรู้อะไรก็ได้



ฝ่ายคนถูกถามมองมาที่ต้นคอของผม แล้วยักคิ้วข้างเดียวส่งให้ ตีหน้าซื่อตอบกลับมา



“กูจะไปรู้เหรอ”



ผมจ้องเมืองเอก เค้นจะเอาคำตอบ ถึงแม้ว่าจะได้คำตอบจากประโยคก่อนหน้ามาแล้วก็เถอะ



“เอ่อ...” เหมือนจะสัมฤทธิ์ผล เมื่อเมืองเอกที่โดนจ้องเกริ่นขึ้นมา



“เมื่อเช้ามึงพูดถึงพี่เอส



"..."



ชื่อของบุคคลที่สามที่ปรากฏเข้ามาในหัวข้อสนทนา ทำให้ผมคิดถึงเรื่องที่ผมเกือบจะลืมไปแล้ว เมื่อคืนความทรงจำสุดท้ายที่ผมพอจะจำได้ก็คือพี่เอสแท้ๆ ทำไมผมถึงลืมได้ล่ะเนี่ย ควรจะเป็นคนแรกๆ ที่นึกออก



พอคิดได้แบบนั้น... ผมก็เริ่มกลุ้มครับ ไม่คิดว่าพี่เขาจะมาทำกับผมแบบนี้...



“ทำไมเมื่อเช้าถึงคิดว่ากูเป็นพี่เอสล่ะวะ? มึงมีอะไรกับพี่เอสรึเปล่า?”



เมืองเอกที่ยังอยู่ในชุดนอนลายทางสีน้ำเงินพื้นขาวถามขึ้น ทำให้ผมที่ยังจมอยู่ในความคิดตัวเองดึงสติกลับมา มองหน้าคนหน้าตาหล่อที่ทำหน้าอยากรู้สุดๆ ตรงหน้า



ที่ถามแบบนั้นก็แสดงว่าเมืองเอกไม่รู้ว่าพี่เอสเข้ามานั่งกับผม แล้วเขาก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเมา แล้วระหว่างที่ผมเมาก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดรอยนี่ที่คอ ถึงจะไม่แน่ใจว่าพี่เอสทำจริงๆ หรือเปล่า แต่ก็ไม่น่าจะเป็นคนอื่น...



อะ... เหมือนจะคิดขึ้นได้ว่าผมปล่อยให้เมืองเอกรอคำตอบนานแล้ว ก็เลยต้องรีบตอบ พร้อมๆ กับติดกระดุมเสื้อนักศึกษาที่ยังค้างๆ คาๆ ให้เสร็จด้วย



“เมื่อคืนเจอพี่เอสมาขอนั่งด้วย”



“ก็เลยคิดว่ากูเป็นพี่เอส?”



ผมพยักหน้า



“งั้นคนที่ทำมึงเมาก็คือพี่เอส? คนที่ทำ... เอ่อ ตรงคอมึงก็อาจจะเป็นพี่มันด้วย?”



ถึงจะช้าไปบ้าง แต่ในที่สุดผมก็พยักหน้า



“ถ้าเป็นพี่เอส กูว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ก็คงไม่แปลกแล้วล่ะ”



ถ้าเป็นพี่เอสคนนั้น ขนาดรุ่นน้องในคณะอย่างเมืองเอกยังพูดแบบนั้น ผมก็จะไม่แปลกใจอะไรแล้วล่ะครับ แต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่าพี่เขาจะ... มาอะไรกับผม



มาคิดดูดีๆ อีกที เมืองเอกมีส่วนกับเรื่องทั้งหมดเลยนี่หว่า! ถ้าเขาไม่แอบแวบไปหาเพื่อนตัวเองแล้วยังนั่งอยู่กับผม ผมอาจจะไม่โดนมอมจนเมา จะไม่ถูกใครทำอะไรแบบนี้ แล้วกระเป๋าเงินก็อาจจะไม่หายด้วย… ตั้งแต่เริ่มต้นเมืองเอกเป็นคนที่เสนอตัวขอดูคอมฯให้ผม เป็นคนชวนผมไปกินข้าวด้วยกัน



‘อยู่กับเมืองเอกไม่ได้เจอแต่เรื่องซวยๆ หรอก’



อา ผมขอถอนคำพูดที่ตัวเองเพิ่งพูดไปเมื่อกี้ได้ไหมนะ?

 

“กูไปอาบน้ำบ้างแล้วนะ เดี๋ยวเสร็จจะได้ออกไปหากระเป๋าเงินมึงในรถเลย”



ผมมองค้อนใส่เด็กวิศวะที่กำลังลุกออกจากเตียงเตรียมของเข้าไปอาบน้ำบ้าง



และหลังจากนั้นผมก็เงียบ เงียบมาตลอดตั้งแต่ตอนนั้น จนเมืองเอกอาบน้ำแต่งตัวใส่เสื้อช็อปออกมา บอกให้ลงไปหากระเป๋าเงินด้วยกันในรถผมก็ยังเงียบ เขาชวนคุยอะไรก็ไม่ได้ตอบ แค่ทำตาม อย่างเรื่องชวนไป ม. ด้วยกันเลยก็เหมือนกัน



กลับมาที่ปัจจุบัน ผมที่ยังคงอยู่ในรถของเมืองเอก แล้วก็ได้แต่เงียบนั่งจิ้มโทรศัพท์ไปอย่างนั้น และเหมือนเมืองเอกจะเริ่มรู้สึกตัวก็เลยเริ่มขอโทษ



“เรื่องกระเป๋าเงิน เดี๋ยวกูลองโทรฯไปถามที่ร้านดู พนักงานอาจจะเก็บไว้ให้ หรือบางทีอาจจะมีลูกค้าเก็บไปให้พนักงาน”



“....”



“มึงไม่มีเงินติดตัวเลยใช่ไหม? ยืมกูก่อนก็ได้นะ”



“...ไม่ต้องหรอก”



เดี๋ยวยืมเงินคุณฟลุ๊คไปก่อน ดูท่ากระเป๋าเงินจะหายจริงๆ ต้องไปแจ้งความ แจ้งอายัดบัตร แล้วไปทำบัตรใหม่...



“แล้วเรื่องเข้าห้อง เรียกช่างมาไขไหม?” 



นั่นสินะ คีย์การ์ดกับกุญแจก็หายไปด้วย ก็คงจะต้องทำอย่างนั้น



“มีเบอร์หรือเปล่า? กูพอมีเบอร์อยู่เอาไหม?”



ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบ จังหวะที่เผลอหันหน้าไปมองคนที่นั่งข้างๆ ก็หันกลับมามองผมพอดี เมืองเอกกะพริบตามอง แล้วก็เป็นฝ่ายผมที่เบนหลบสายตานั่นมามองทางตรงเหมือนเดิม วิวทิวทัศน์ที่ปรากฏตรงหน้า ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่รถเลี้ยวเข้ามาในมหา’ลัยแล้ว



“ลงตรงนี้ก็ได้”



ผมพูดเบาๆ บอกคนที่กำลังขับรถ ถึงม.แล้ว ไม่อยากให้เขาขับเข้าไปส่งในคณะเท่าไหร่ แต่ว่าเมืองเอกยักไหล่ ไม่ได้ชะลอความเร็วลง ขับตรงไปตามทาง ทางที่ผมคุ้นเคยดีมากๆ เพราะมันเป็นถนนเส้นที่ไปคณะอักษรศาสตร์



ผมไม่ห้าม แค่เงียบแล้วปล่อยเขาขับไป



“มึงพูดน้อยอีกแล้ว”



“....”



“เงียบใส่กูอีกแล้วนะ โกรธเรื่องรอยที่คอใช่ไหม? ขอโทษที่ปล่อยมึงไว้”



ก็ไม่เชิงว่าโกรธ



“อย่างที่บอกไง พูดหน่อยก็ได้ ไม่งั้นกูไม่รู้จะสื่อสารกับมึงยังไง ที่ลากๆ เข้าเรื่องได้นี่เดาล้วนๆ”



ผมหันไปหาเมืองเอกอีกครั้ง พอดีกับที่รถเริ่มชะลอแล้วจอดเทียบริมฟุตปาธ เสียงทุ้มที่ได้ยินบ่อยในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ยังคงพูดเรื่องที่อยากให้ผมพูดเยอะๆ ผมก็เลยถามในสิ่งที่ติดค้างในใจออกมาหน่อยก็ได้



“เมื่อวาน ตอนเมืองเอกพาเรากลับ เราอยู่ในสภาพไหน?”



“ก็เมาอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์ กูให้พนักงานช่วยหิ้วขึ้นรถ”



หน้าของเมืองเอกที่ผมมองเห็นเป็นมุมด้านข้างทำให้เห็นโครงหน้าได้รูปชัดเจน คิ้ว ดวงตา สันจมูก ริมฝีปาก คาง ไม่รู้เพราะอะไร เหมือนความทรงจำลางๆ จะกลับมา



“หลังจากนั้นมึงก็เมาหลับในรถ แต่พอปลุกให้ลงจากรถขึ้นห้องได้ มึงก็พูดไม่หยุดเลย ต่างกับตอนนี้โคตรๆ”



ผมพูดไม่หยุด? เป็นเรื่องที่ตัวเองก็ไม่เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน ที่สำคัญกว่านั้น



“เราพูดอะไรออกไปบ้าง?”



กลัวเหมือนกันว่าตัวเองอาจจะเผลอพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องออกไป แต่คนถูกถามหันมายิ้ม



“มีแต่เรื่องไร้สาระ อย่างเรื่องเถียงกันว่าเมาหรือไม่เมา เรื่องกดลิฟต์ เรื่องจะนอนเตียงด้านซ้ายหรือขวา เออ ...ตอนมึงเมาแล้วมึงใช้ ‘กู มึง’ คุยกับกูด้วยนะ”



พอได้ฟังผมเองก็อยากยกมือขึ้นมากุมขมับเลย แน่นอนว่าผมนึกไม่ออกว่าตัวเองไปพูดอะไรแบบนั้นไว้ 



“จริงๆ คุยกับมึงเรื่องเป็นเพื่อนกันไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่พอตื่นมาดูเหมือนมึงจะจำอะไรไม่ได้เลยก็เลยพูดอีกรอบ”



“อืม”



เรื่องเป็นเพื่อนกันน่ะไม่เป็นไรหรอก   



“แล้วปกติไม่ค่อยใช้คำหยาบกับคนอื่นเหรอวะ?”



อีกคำถามที่เดือนวิศวะยิงถามผม เหมือนไม่อยากจบบทสนทนา แต่ผมพยักหน้ารับๆ ไปแทนคำตอบ



“ขอบคุณมากนะ”



กล่าวสั้นๆ ก่อนจะลงจากรถมา ก่อนที่รถยนต์จะแล่นออกจากหน้าตึกคณะ เมืองเอกลดกระจกลงแล้วพูดทิ้งท้าย



“เรื่องกระเป๋าเงิน ได้ข่าวว่ายังไง เดี๋ยวไลน์ไปหามึงอีกที กูไปก่อนนะ”



ผมพยักหน้ารับอีกรอบ มองฮอนด้าสีแดงที่ขับออกไปจนลับตา   



แล้ว... จะให้โกรธเขาที่ช่วยผมไว้ตั้งหลายเรื่องได้ยังไง



“เดือนสิบ”



เสียงใครอีกคนที่จู่ๆ ก็เรียกชื่อขึ้นมาทำให้ผมเกือบสะดุ้ง แต่ก็แค่เกือบ พอหันกลับไปมองก็ถึงได้รู้ ว่าเป็นฟลุ๊ค ใบหน้านิ่งเรียบผิดกับดวงตาที่จ้องมองมาที่ผมเต็มๆ ทำให้ผมต้องเอียงคอมองงงๆ เหมือนอยากจะถามอะไร 



"มีอะไรรึเปล่า?”



“มากับเมืองเอกเหรอ?”



ผมพยักหน้าแทนคำตอบ เริ่มก้าวเท้าเดินเข้าไปในตัวตึกพร้อมๆ กับคุณฟลุ๊ค



“เดี๋ยวก็ได้เป็นข่าวอีกหรอก”



...ไม่หรอกมั้ง แค่เมื่อวานก็เล่นกันพอแล้ว เอาเป็นว่าผมหวังว่าอย่างนั้นแล้วกัน ลิฟต์ที่กดเรียกไปมาพอดี ผมกับคุณฟลุ๊คเลยเดินเข้าลิฟต์กดชั้น 4 จุดหมายเป็นห้องบรรยาย ในระหว่างที่อยู่ในลิฟต์ก็นึกขึ้นได้



 “เอ่อ คุณฟลุ๊ค พอดีเมื่อวานกระเป๋าเงินหายน่ะ วันนี้เลยไม่มีเงินติดตัวเลย ว่าจะขอยืมคุณฟลุ๊คก่อนได้ไหมนะ ?



“กระเป๋าเงินหาย?? เจอแต่เรื่องซวยๆ นะเนี่ย ดวงหมดรึไง?” พูดไปเหมือนจะบ่นๆ ปนสงสารแต่สุดท้ายก็ล้วงแบงค์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงตัวเอง



“เอาเท่าไหร่?”



“สัก 500”



แบงค์ม่วง 1 ใบ ถูกส่งมาให้ผม เราสองคนเดินเข้ามาในห้องบรรยายที่เปิดแอร์เย็นมากๆ จนต้องสรรหาที่นั่งใต้แอร์เพื่อหวังให้อากาศอบอุ่นขึ้นมาบ้าง ในห้องมีนักศึกษานั่งอยู่บ้างแต่ยังไม่เยอะมากเพราะยังเช้าอยู่



พอได้ที่นั่งผมก็เลยเล่าให้คุณฟลุ๊คฟังอีกว่าไม่ใช่แค่กระเป๋าเงินอย่างเดียวที่หาย คีย์การ์ด กับกุญแจห้องก็หายไปด้วย เพราะงั้นผมก็เลยเข้าห้องไม่ได้



“ยังดีที่มึงฝากกวางปริ้นท์รายงานแล้ว ไม่งั้นลำบากแน่ๆ”



นั่นสินะ หลังจากคุยกันจบเรียบร้อย คุณฟลุ๊คก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ แล้วดันกระเป๋าตัวเองทั้งกระเป๋ามาให้



“ไว้คาบนี้เอาของกูไปจดแทนแล้วกัน จะนอนในคาบสักหน่อย” 



สงสัยจะเป็นห่วงกลัวผมที่ไม่มีอุปกรณ์อะไรมาเรียนเลยจะว่างสินะ แต่ถึงผมจะเอาของของตัวเองมา คุณฟลุ๊คก็ไม่จดอยู่ดี คาบบรรยายจะทำอยู่ 2-3 อย่าง ไม่นั่งเหม่อก็นอนหลับ หรือไม่ก็หยิบโทรศัพท์มาอ่านการ์ตูน อ่านนิยายอะไรของเขาไป



หลังจากเข้ามาในห้องบรรยายได้สักพักกวางก็เดินเข้ามาด้วยสายตาเป็นประกาย แต่ก่อนจะได้พูดอะไร รายงานทั้งสามเล่มก็วางกระแทกลงบนโต๊ะ จนคุณฟลุ๊คที่ฟุบหลับอยู่ต้องเงยหน้าขึ้นมาดูสถานการณ์ 



“เมื่อคืนเป็นยังไงคะ ดินเนอร์กับเมืองเอกน่ะ”



เอะ? กวางรู้เหรอ? แต่ว่ามันไม่ได้...



“อย่ามาทำไขสือหน่อยเลยเดือนสิบ หุหุ ไม่เบานะเนี่ย” ไม่ว่าเปล่ากวางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดๆ จิ้มๆ อยู่พักหนึ่งแล้วส่งให้ผมดู ถึงได้รู้ว่าทำไมกวางถึงรู้



เพราะรูปในไอจีของเมืองเอก ที่ถึงแม้จะไม่ได้แท็กผม ไม่แม้แต่ถ่ายติดหน้า แต่แค่ถ่ายติดแขนผมอยู่ในรูป เอ่อ อย่าบอกนะว่า...



“กวางจำแขนเราได้เหรอ?”



เพื่อนสาวพยักหน้าหงึก พร้อมด้วยรอยยิ้ม



“แน่นอนอยู่แล้ว”



จากนั้นคนตัวเล็กน่ารักในชุดนักศึกษาก็นั่งลงสักทีหลังจากที่ยืนอยู่นาน พอนั่งปุ๊บก็ถามผมนู่นนี่เรื่องเมืองเอกไปเรื่อย โดยมีคุณฟลุ๊คเล่าเรื่องเสริมให้กวางฟัง เรื่องที่ผมทำกระเป๋าเงินหาย แล้วก็เข้าห้องไม่ได้ แล้วก็...



“ค้างกับเมืองเอ--!!”



ก่อนที่กวางจะโวยวายลั่นห้องบรรยาย เรียกความสนใจของคนอื่นที่เริ่มมากขึ้นเพราะใกล้เวลาเรียน ผมกับคุณฟลุ๊คก็ช่วยเบรกเอาไว้ก่อน จนกวางเริ่มตั้งสติได้ ใบหน้าเล็กรูปไข่พยักหน้าขึ้นลง ก่อนจะกดเสียงเบาถามผม



“งั้นชุดนักศึกษาชุดนี้ก็ของเมืองเอกเหรอ?”



ผมพยักหน้าแทนคำตอบ พร้อมๆ กับที่เพื่อนผู้ชายที่นั่งข้างผมเริ่มฟ้อง



“เมื่อเช้าเมืองเอกขับรถมาส่งเดือนสิบด้วย”



“ว้าย” มือเล็กๆ ของกวางข้างหนึ่งยกมือขึ้นแตะริมฝีปากร้องเสียงเบา ส่วนอีกข้างก็ยกมือขึ้นมาแล้วชูนิ้วโป้งให้ผม สักพักหนึ่งก็ลดมือลงแล้วถามอีกประโยค



“แล้วตกลง เดือนสิบกับเมืองเอกตอนนี้เป็นอะไรกัน คนรู้จักเหรอ?”



ผมส่ายหน้า แล้วพูดเบาๆ 



 “เพื่อน”



อะ... อาจารย์มาพอดีเลย 



----------------------------
 
(ต่อข้างล่าง)
หัวข้อ: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 10 เคยรับปาก ☽ UP!! 05/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 05-03-2019 15:20:26
----------------------------



คาบบรรยายเกือบสองชั่วโมงจบลง พร้อมๆ กับศพของนิสิตเริ่มฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เหมือนเช่นผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านขวาผมตอนนี้ ฟลุ๊คเงยหน้าที่เคยฟุบกับโต๊ะขึ้นมา ส่วนกวางที่เล่นโทรศัพท์อยู่ตลอดก็ละมือจากหน้าจอ ชูเเขนขึ้นยืดเส้นยืดสาย



“รอดแล้ววว~~” เสียงกวางดูสดใสขึ้นมาทันที



“แล้วเป็นไงจดได้เยอะไหม?”



ฝ่ายฟลุ๊คที่เพิ่งฟื้นคืนชีพหันมาถามผมที่กำลังเก็บสมุดคืนให้ ผมพยักหน้ารับ แต่ในระหว่างที่กำลังส่งของคืนให้ มือของใครสักคนก็จับหมับเข้าที่ไหล่ ไม่แปลกใจที่หันกลับไปมองก็พบว่าเจ้าของมือเล็กเรียวที่จับไหล่ผมอยู่เป็นกวาง



“เดือนสิบ”



เสียงหวานนิ่งเรียบเกินไปจนผมสงสัย พอมองตามสายตาที่เธอกำลังจ้องมาถึงได้รู้ ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตมองมาที่คอของผม พอนึกได้ว่าน่าจะเป็นเพราะอะไร ผมก็รีบกระชับปกเสื้อขึ้น



“รอยอะไรเนี่ย?”



เสียงที่กวางถามผมไม่ได้ดังมาก แต่ก็ไม่ได้เบาถึงขนาดที่ฟลุ๊คจะไม่ได้ยิน แล้ว... จะเหลือเหรอครับ เพื่อนถึงได้หันมาถามอีกคน



“มีอะไรเหรอวะ?”



“เดือนสิบ มีเรื่องที่ยังไม่บอกพวกเรารึเปล่าอะ!”



“หือ?” คุณฟลุ๊คดูจะยังงงและไม่เข้าใจสถานการณ์



เหมือนกวางจะอยากรู้ให้ได้ถึงได้รุกถามหนักขึ้น แต่ว่าไม่อยากเล่านี่นา ...ไอ้รอยนี่มายังไง ความจริงตัวผมเองก็ยังไม่รู้เลยแท้ๆ เพราะฉะนั้นถึงได้หาวิธีเลี่ยง



พอหมดคาบ ห้องบรรยายที่นิสิตทยอยกันออกหมดแล้วก็ว่างเปล่า แต่ก็ไม่ได้แปลว่าห้องจะว่าง คาบต่อไปก็จะมีคนมาเรียน เพราะงั้น...



“เราออกจากห้องกันก่อนดีกว่าไหม?”



ผมเบี่ยงประเด็น หยิบกองรายงานทั้งสามเล่มที่ยังคงวางไว้อยู่บนโต๊ะขึ้นมาถือไว้ คิ้วเรียวที่ถูกเขียนอย่างดีขมวดมองผม ชิบ.. ผมว่ากวางมาท่าทีแบบนี้มีหวังไม่เลิกถามแน่ๆ ถ้าแผนเปลี่ยนเรื่องคุยไม่ได้ผลล่ะก็...



“เดี๋ยวเราเอารายงานไปส่งให้ กวางกับคุณฟลุ๊คไปรอข้างล่างก่อนเลยแล้วกัน”



ผมทิ้งท้ายแล้วเดินหนีออกมาเลยโดยไม่รอให้ทั้งสองได้ยื้อหรือปฏิเสธ ถึงแม้จะได้ยินเสียงคุณฟลุ๊คพูดเบาๆ ไล่หลังว่า “ทำไมไม่ไปพร้อมกันเลยล่ะวะ?” ก็เถอะ



....
...
.



หลังจากเดินไปส่งรายงานเสร็จเรียบร้อยผมก็กำลังจะเดินไปหาพวกกวางตามที่นัดกันไว้ แต่จู่ๆ โทรศัพท์ที่ตั้งสั่นไว้ก็สั่นเตือนสายเข้า พอหยิบออกมาดูก็เป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเคยอีกแล้ว แต่คราวนี้ไม่ใช่เบอร์ของเดชองส์เหมือนคราวที่แล้วแน่ๆ เพราะผมบันทึกเบอร์ของเขาเอาไว้แล้ว เมืองเอกเหรอ? ไม่สิ รายนั้นยังไม่มีเบอร์ผม มีเเค่ไลน์



ถึงแม้จะแปลกใจว่าคราวนี้เป็นเบอร์ใคร แต่ในที่สุดผมก็รับสาย



“ครับ”



[“สวัสดีครับ นี่เบอร์เดือนสิบใช่ไหม?”]



ทันทีที่กดรับสาย เสียงของผู้ชายที่ผมมั่นใจว่าผมรู้จักเสียงนี้แน่ๆ ก็ดังออกมาจากปลายสาย ถึงตอนแรกจะยังนึกไม่ออกว่าเป็นใคร แต่ประโยคถัดมาของฝั่งนั้นก็ทำให้ผมได้รู้คำตอบ



[“พี่เอสเองนะครับ”]



เป็นพี่เอส... แล้วเขามีธุระอะไรกับผมรึเปล่า?



เรื่องเบอร์ของผมไปเอามาจากไหนกัน เดชองส์ก็คนหนึ่งแล้ว คราวนี้เป็นพี่เอส เบอร์ผมมันหาได้ง่ายขนาดนั้นเลยรึไงนะ? แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาสงสัยว่าพี่เอสเอาเบอร์ผมมาได้ยังไง สิ่งที่ควรรู้ที่สุดก็คือ..



“พี่เอสมีอะไรกับผมรึเปล่าครับ?”



[“มีน่ะ มีแน่ครับ ก่อนอื่นเลยพี่ต้องขอโทษเราด้วยนะ เรื่องเมื่อวาน พอดีพี่หยิบกระเป๋าเงินเดือนสิบติดมาด้วย”]



ถ้าฟังไม่ผิด.. กระเป๋าเงินเดือนสิบ? กระเป๋าเงินของผมอยู่ที่พี่เอส!



“จริงเหรอครับ!?”



พอเริ่มประมวลผลได้ ผมก็ร้องถามอีกฝ่ายไป



[“ครับ บังเอิญพอดีที่เดือนสิบใช้กระเป๋าเงินแบรนด์เดียวกับพี่ เมื่อวานที่เรานั่งด้วยกันพี่ก็เลยเผลอหยิบติดกลับไป”]



ผมพยักหน้าแรงๆ ถึงแม้ปลายสายจะไม่ได้เห็นก็ตาม ตอนนี้ในใจกำลังเริงร่ามากครับ ไม่คิดว่ากระเป๋าที่หายไปจะยังอยู่ดีปลอดภัย และดูเหมือนผมจะกำลังได้มันกลับคืนมาเร็วๆ นี้



[“เรื่องจะเอากระเป๋าเงินคืนให้เรา เดือนสิบสะดวกเวลาไหนครับ?”]



“ผมมีเรียนตอนบ่าย ถึงประมาณบ่าย 2 ครึ่ง”



[“พี่มีเรียนตอนบ่ายถึง 4 โมง”]



อา... หมายความว่าเวลาเลิกจะไม่ตรงกันสินะ



[“เอางี้ไหมครับ”]



เสียงปลายสายที่ดังขึ้นมาอีกครั้งเรียกผมที่กำลังใช้ความคิดให้หันกลับไปสนใจ ผมเงียบรอฟังว่าพี่เอสจะพูดอะไรต่อ



[“เดือนสิบรอพี่สักแป๊บหนึ่งได้ไหมครับ พี่เลิกเรียนแล้วจะไปรับเรา”]   



รับ?? รับผมเหรอ? ทำไมล่ะ?



“ครับ?”



[“พี่อยากเลี้ยงข้าวเราเป็นการขอโทษน่ะ ออกไปหาอะไรทานด้วยกันไหมครับ”]



“...”



ผมกินจุดอยู่สักพัก กำลังประมวลผลข้อความที่ได้รับอยู่ ถึงแม้จะประมวลผลให้ตายแค่ไหน สมองผมมันก็ยังตีความว่าพี่เอสกำลังชวนผมไปกินข้าวด้วยอยู่ดีแต่ว่าผมไม่เห็นความจำเป็นที่พี่เขาจะต้องทำแบบนั้นเลยแท้ ๆ



“เอ่อ... ไม่ต้องหรอกครับ”



[“แต่พี่หยิบกระเป๋าเรามา ทำให้เราลำบากนะ ในกระเป๋ามีคีย์การ์ดคอนโดเดือนสิบด้วยใช่ไหม? พี่ขอโทษที่เผลอเปิดกระเป๋าเงินดูนะ ตอนแรกคิดว่าเป็นกระเป๋าเงินตัวเองน่ะ”]



“ไม่เป็นไรหรอกครับ”



เรื่องแบบนั้นผมไม่ค่อยถืออะไรเท่าไหร่ เผลอๆ ถ้าไม่เปิดประเป๋าเงินดูจะไปรู้ได้ยังไงว่าเป็นกระเป๋าของใคร



[“แล้วตกลงเรื่องทานข้าวเราว่ายังไง?”]



“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ แค่คืนเฉยๆ ก็พอ”



เป็นการปฏิเสธครั้งที่สอง มันจะไม่มีครั้งที่สามเมื่อพี่เอสเริ่มยอมผมแล้ว 



[“ถ้างั้นไม่เลี้ยงข้าวแล้วก็ได้ครับ”]



 เขาละความคิดที่จะเลี้ยงข้าวไปแล้ว ส่วนเรื่องเวลาและสถานที่..



[“เจอกันที่ร้านกาแฟตรงคณะอักษรแล้วกันนะ พี่เรียนเสร็จแล้วจะขับรถออกไปเลย อาจจะเลทๆ 4 โมงนิดๆ เดือนสิบโอเครึเปล่าครับ?”]



“ครับ” 



....
...
.



วิชาสุดท้ายของวันจันทร์จบลงในเวลาบ่ายสอง 40 นาที โดยอาจารย์ประจำวิชาปล่อยเลทเกินเวลาพวกผมไปนิดหน่อย ผมไม่ได้รีบอะไร แต่คนอื่นๆ ที่มีแพลนเวลากระชั้นชิดไว้อยู่แล้วน่ะต่างกัน พอปล่อยปุ๊บก็รีบกลับไปปั๊บอย่างคุณฟลุ๊ค เห็นบอกว่าถ้าไม่รีบกลับจะโดนแม่ดุเอา รายนี้วันนี้โดนที่บ้านเรียกตัวไปช่วยขับรถพาไปซื้อของเข้าบ้าน ส่วนกวางทิ้งผม หนีไปเที่ยวเดินห้างช็อปเครื่องสำอางกับเพื่อนๆ กลุ่มผู้หญิงอีกกลุ่ม



พวกเพื่อนๆ ผม หรือก็คือพวกปีหนึ่งส่วนใหญ่ก็เลิกพร้อมๆ กันทั้งนั้น ตอนนี้ก็เลยไม่มีใครอยู่กันแล้ว เหลือแค่ผมนั่งไถโทรศัพท์เล่นอยู่คนเดียว กับรุ่นพี่ปีอื่นที่ผมไม่ค่อยรู้จัก



ก็นั่งเล่นรอเวลานัดไป คิดว่าอีกไม่นานก็สี่โมงแล้ว แต่ก็ว่างมากๆ จนกระทั่งมีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามา ยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะที่ผมนั่ง เป็นโต๊ะที่ผมนั่งอยู่คนเดียวผมถึงได้แปลกใจว่าเขามายืนอยู่ตรงนี้ทำไม พอเงยหน้าขึ้นมาจากจอมือถือตัวเองถึงได้รู้



ผู้ชายหน้าตาดีอีกหนึ่งคน โครงหน้าลูกเสี้ยวเชื้อฝรั่งเศสเดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ดวงตาสีดำจ้องผมด้วยสายตาที่ผมอธิบายไม่ถูก ผม.. รู้สึกไปเองนิดหน่อยว่าไม่ค่อยโอเคที่ถูกจ้องแบบนั้น



“เดชองส์”



ผมพึมพำชื่อของผู้ชายตรงหน้าเบาๆ เดือนคณะพาณิชย์เลิกคิ้ว ก่อนริมฝีปากสีชมพูอ่อนจะเอ่ยปากพูด 



“เดือนสิบเรามีเรื่องจะคุยด้วย ช่วยตามมาหน่อยได้ไหม?”



ผมไม่ได้ตอบ แต่เก็บโทรศัพท์ตัวเองลงกระเป๋ากางเกงนักศึกษา แล้วลุกเดินตามผู้ชายคนนั้นไป เขาพาผมเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างตึกเรียนคณะอักษร เป็นถนนที่มีที่จอดรถนิดหน่อย กับม้าหินอ่อนไว้นั่ง แต่ไม่ค่อยมีคนจะมานั่งตรงนี้เท่าไหร่ เพราะใบไม้จากต้นไม้ตรงนี้บังแสงอะไรไม่ค่อยได้   



เดชองส์หยุดฝีเท้าแล้วหันมาหา เขาตัวเล็กกว่าผมนิดหน่อยจากที่มอง รูปร่างดูบางกว่า อะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมามองอีกฝ่ายสิ เดชองส์มีเรื่องอะไรกับผมกันแน่



ไม่ปล่อยให้ผมรอนานนัก เขาก็หยิบโทรศัพท์ตัวเองแล้วส่งมันมาให้ผม



“ดูสิ”



ผมรับมันมา แล้วดูสิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ มันเป็นคลิป...



“.....”   



...คลิปที่ทำให้ผมต้องเงียบ แต่ในหัวใจกระตุกโหวง สิ่งที่อยู่ในคลิปนั้นคือผู้ชายสองคนนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ คลิปเป็นมุมมองที่ถ่ายจากข้างหลัง แต่เพราะคนสองคนนั่งข้างๆ กัน เวลาจะคุยหน้าก็จะหันข้างเข้าหากันพอดี และมันคงดีกว่านี้ถ้าแค่เป็นการคุยกันของผู้ชายสองคนธรรมดาๆ แต่ว่ามันไม่ใช่



ผู้ชายฝั่งหนึ่งเป็นฝ่ายเริ่มขยับหน้าเข้าใกล้ก่อน จนในที่สุดริมฝีปากของทั้งสองคนก็ประกบแนบชิด และแปรเปลี่ยนกลายเป็นจูบที่เริ่มดูดดื่มเร่าร้อนขึ้น ลิ้นสีสดแลบออกสอดประสาน แขนขาวๆ จากผู้ชายคนนั้นที่ตอนแรกเป็นคนถูกจู่โจม กลับยกขึ้นคล้องคออีกฝ่าย เหมือนไม่อยากให้ละห่าง จูบตอบแลกลิ้นกันแบบไม่เกรงใจสายตาใครในร้าน ราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติ คลิปยังเล่นต่อไปเรื่อยๆ ในที่สุดทั้งสองคนก็ละริมฝีปากออกจากกัน แต่ไม่จบแค่นั้น เมื่อผู้ชายที่เป็นฝ่ายเริ่มเริ่มเลื่อนหน้าลงต่ำ วุ่นวายอยู่บริเวณต้นคอขาว ซุกไซร้อยู่พักหนึ่งก่อนจะละออก แล้วก็เป็นเวลาเดียวกับที่คลิปจบ



ทำไมผมต้องมานั่งบรรยายว่าเป็นผู้ชายคนนั้น ผู้ชายคนนี้ ก็ในเมื่อผู้ชายในคลิป...



ก็คือผมเอง   



“คนในคลิปเดือนสิบกับพี่เอสใช่ไหม?”



ถึงผมจะไม่มีความทรงจำใดๆ ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ในคลิปนั่นเลยก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่ใช่ผม



ผมพยักหน้ารับช้าๆ กำลังจะเปล่งเสียงพูดคำว่า ‘ใช่’ ออกมาแต่ว่า...



เพี๊ยะ!!




“!”



เสียงที่ดังจากการที่ฝ่ามือกระทบลงบนแก้ม เดชองส์ตบแรงจนหน้าผมหันไปอีกทาง ทั้งยังรู้สึกเจ็บบริเวณที่ถูกตบ ที่แย่กว่านั้นคือตอนนี้สมองผม เหมือนจะไม่รู้แล้วว่าตอนนี้ตัวเองต้องทำอะไร...



“เราน่าจะรู้ตั้งแต่เห็นรอยบนคอเดือนสิบแล้ว”



ผมมองหน้าเดชองส์ ดวงตาสีดำคู่นั้นวาววับเหมือนคนที่กำลังจะร้องไห้ ต่างตรงที่ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความโกรธ



“ที่เคยรับปากไว้จำไม่ได้แล้วเหรอ? หรือว่าอยากได้มากถึงขนาดไม่สนใจว่าตัวเองเคยรับปากอะไรไว้แล้ว?”



ผมอยากส่ายหน้า อยากปฏิเสธ อยากบอกว่าผมไม่ได้ตั้งใจ อยากพูดออกไปว่าผมเสียใจ แต่ว่าร่างกายกลับแข็งทื่อไปหมด ยังดีที่ตรงแก้มยังมีความรู้สึกเจ็บจนชาอยู่บ้าง... 



“หน้าด้าน”




ริมฝีปากนั่นเอ่ยขยับเบาๆ ก่อนที่มือจะเอื้อมมาคว้าโทรศัพท์ที่ผมถืออยู่กลับไป



“ไม่รู้ว่าถ้าคลิปนี้หลุดออกไป เดือนสิบจะอยู่ในสภาพไหน”



“.....”



“ต้องขอบคุณที่เราได้คลิปมาก่อน แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าเราจะปล่อยคลิป เราไม่ทำร้ายเดือนสิบหรอก ถึงแม้เดือนสิบจะทำร้ายเราก็เถอะ



คำพูดของเดชองส์กรีดลึกเข้ามาในจิตใจ เดือนคณะพาณิชย์ทำท่าเหมือนจะหมุนตัวเดินจากไปแล้วทิ้งผมไว้ให้ยืนอยู่ตรงนี้



“แต่จำไว้ให้ดีล่ะ ว่าถ้าคลิปนี้มันจะหลุด มันก็ไม่ได้หลุดจากเรา”



เขาทิ้งไว้ตรงนั้น ทิ้งมันเหมือนโอกาสที่ผมควรจะพูดมันออกไปให้เร็วกว่านี้



“ขอโทษ”



ทำได้แค่พูดเบาๆ ไล่หลังคนที่เดินห่างออกไป



----------------------------TBC-------------------------



สวัสดีค่ะ มาลงต่อแล้ววว ตอนอาจจะสั้นไปสักหน่อย
ตอนแรกกะจะใส่พาร์ทเมืองเอกมาด้วย แต่ไม่ทันเเล้วค่ะ TTwTT

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ที่เป็นกำลังใจเสมอมาค่ะ ทุกคนที่ติดตามด้วยนะคะ
รัก <3



#วิศวะเดือนสิบ
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 10 เคยรับปาก ☽ UP!! 05/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-03-2019 20:45:51
 :pig4: :pig4: :pig4:

นั่นหล่ะ  อิพี่เอสจริงด้วย

แต่ ๆๆๆๆๆ .....

เดือนสิบก็สมยอม(เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์)นะ  จากบรรยายภาพที่กล่าวมา

สงสัยมีเสริฟมาม่า ด้วยเหตุการณ์คลิปหลุดแน่ ๆ เลย
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 10 เคยรับปาก ☽ UP!! 05/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-03-2019 23:10:00
เหมือนเดือนสิบจะยังงง ๆ อยู่ คนอ่านก็ยังงง ๆ อยู่เหมือนกัน  :really2:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 10 เคยรับปาก ☽ UP!! 05/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 06-03-2019 09:35:43
เอ้า งง
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 10 เคยรับปาก ☽ UP!! 05/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 06-03-2019 14:09:35
ไม่ไปตบคนของเธอล่าาาาาาาาาาา  :m16:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 10 เคยรับปาก ☽ UP!! 05/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 06-03-2019 14:25:38
  อย่าอ้างว่าเมาแล้วไม่รู้ตัว

อย่ามาแอ๊บใสทั้งๆที่ไปดูดปากกับรุ่นพี่ที่เพิ่งรู้จัก

เดือนสิบไม่ใสอย่างใจเราหวัง

ถีบอิเมืองเอกพาเจาไปแล้วนายทิ้งให้เขาเจอกับพวกสวะลามก

แล้วนายยังจะอยากได้ความเป็นเพื่อนเขา

ถ้าเป็นเราคนแบบนายนี่แหละเราจะไม่คบ

ส่วนไอ้เอส รุ่นพี่ขี้กามนอกจากจะมอมเหล้ารุ่นน้อง

แล้วลวนลามนายยังแอบขโมยกระเป๋าเขาไปอีก

ยังมีหน้ามาอ้างว่าหยิบผิดอีกเลวมากๆ

เพื่อนฟลุ๊คเพื่อนกวางดูแลเดือนสิบด้วย

โดนลากไปตบอ่ะรู้ยัง
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 10 เคยรับปาก ☽ UP!! 05/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-03-2019 16:49:54
ตอนนั้นเดือนสิบเมาไม่ใช่หรือ   :really2:
แล้วพี่เอส เป็นแฟนเดชองส์หรือไง ถึงได้มาตามเอาเรื่องเดือนสิบ  :angry2:
เดชองส์เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ไปคุยกับพี่เอสให้รู้สถานะตัวเองก่อนดีไหม  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 10 เคยรับปาก ☽ UP!! 05/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 06-03-2019 18:49:42
สองผัวเมียละเหี่ยใจ เดชองส์กับพี่เอสนี่มันจริงๆ เลย กลับไปคุยกันเองให้รู้เรื่องเหอะ
บุคลิกนุ้งเดือนสิบมันดู muscular มากๆ (โดยเฉพาะตอนเมา) ไม่เหมาะแก่การเป็นเมียใคร 5555555
สมควรจับทั้งพี่เอส เดชองส์เย็บให้หลาบจำ
ปล. เดือนสิบจะ 10' สมชื่อไหมครับ  :laugh:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 10 เคยรับปาก ☽ UP!! 05/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 06-03-2019 21:52:17
ต้องมีคลิปหลุดแน่นอน เรามั่นใจ ตั้งน้ำรอได้เลยมาม่ามาแน่
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 10 เคยรับปาก ☽ UP!! 05/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 09-04-2019 06:18:26
เอิ่มมม เอสต้องการอะไร แกล้งหรือจริงจัง
อื้อหือ เดชองส์สะบัดมือที เจ็บแทน
เดือนสิบไม่ผิดหรอก แต่คนไม่เคยลอง ไม่รู้ทันคนเจ้าเล่ห์
เมืองเอกก็ดันมาทิ้งไปคุยกับเพื่อนซะนาน เป็นเรื่องเลย

สงสารเดือนสิบ ใช้ชีวิตสงบมาตลอด งานเข้าซะงั้น
เจอเอสอีก จะเป็นไงอีกนะ
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 10 เคยรับปาก ☽ UP!! 05/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-04-2019 07:09:27
สองผัวเมียละเหี่ยใจ เดชองส์กับพี่เอสนี่มันจริงๆ เลย กลับไปคุยกันเองให้รู้เรื่องเหอะ
บุคลิกนุ้งเดือนสิบมันดู muscular มากๆ (โดยเฉพาะตอนเมา) ไม่เหมาะแก่การเป็นเมียใคร 5555555
สมควรจับทั้งพี่เอส เดชองส์เย็บให้หลาบจำ
ปล. เดือนสิบจะ 10' สมชื่อไหมครับ  :laugh:

ถูกใจ..........  :z3: :z3: :z3:
ว่าแต่ใครจะเย็บพี่เอส   o22
ใครจะเย็บเดชองส์ ล่ะ  :katai3:
หัวข้อ: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 11 พูดไปแล้ว ⚙️☽ UP13/04/62!
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 13-04-2019 20:31:09
เดือนที่ 11

พูดไปแล้ว ⚙☽


"เมื่อคืนทานข้าวอร่อยไหม?" เสียงหวานๆ ของแฟนสาวดาวคณะอักษรศาสตร์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมเอ่ยถามขึ้นมาในขณะที่มือเรียวๆ บางๆ นั่นกำลังจับส้อมและมีดหั่นสเต๊กปลาในจานตรงหน้า ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ผมตอบไปตามความจริง 



"ก็อร่อยดีนะ เสียดายที่รินไปไม่ได้"



รินเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนจะละสายตาจากอาหารในจานตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นมามองผม



"ก็ไปอีกไม่ได้เหรอ?" ดวงตากลมโตสีน้ำตาลช้อนมอง กะพริบตาใสแป๋วจ้องผมราวกับลูกแมวกำลังอ้อนให้เล่นด้วย เห็นแล้วผมก็อดไม่ได้ที่จะวางมีดกับส้อมลงแล้วยื่นมือไปยีเส้นผมสีสว่างนั่นอย่างหมั่นเขี้ยว



"ทำไมจะไปไม่ได้ล่ะครับ ไว้รินว่างวันไหนก็บอกแล้วกัน คราวนี้จะได้พาไปเลย"



คนที่ถูกผมยีหัวเล่นหัวเราะคิกคัก ก่อนจะปัดมือที่เล่นหัวตัวเองออก ยกมือขึ้นจัดผมที่เริ่มยุ่งของตัวเองให้เข้าที่ ไม่ได้เลยครับคนนี้ ต้องสวยตลอดเวลา หึ



พอได้รับคำตอบจากผมรินก็ยิ้มหวานพยักหน้ารับ แล้วจัดการอาหารในจานของเธอต่อ ก็กินไปด้วยคุยกันไปด้วย เรื่องนั่นเรื่องนี่ รวมทั้งเรื่องที่ผมพาคนอื่นไปกินข้าวแทนรินด้วย



"ว่าเเต่เมืองเอกไปกับใครมาเหรอ? รินเห็นเมืองเอกลงรูปใน IG"



"อ้อ พอดีไปกับเดือนสิบมันน่ะ ตอนนั้นอยู่ด้วยกันพอดีไง ที่พามันไปซื้อคอมฯ"



"งั้นก็เเสดงว่าเดือนสิบก็ไม่อะไรกับเมืองเอกเเล้วใช่ไหม?"



รินถามเพราะเรื่องที่ตอนนั้นผมไปพูดไม่ดีกับเดือนสิบเธอก็รู้ จริงๆ ผมก็เคยบอกไปแล้วนะว่าผมไม่อะไรกับเดือนสิบมันเเล้ว เมื่อวานซืนก็ขอโทษไปแล้ว เรื่องเรียบร้อยดีไม่มีอะไรน่ากังวล 



"อืม"



"ดีเเล้วล่ะ รักๆ กันไว้น่ะดีแล้ว"



รินฉีกยิ้มให้ผมอีกครั้ง แล้วหันไปสนใจของในจานต่อ



พอพูดถึงเดือนสิบมันแล้ว เรื่องที่ผมบอกมันไปเมื่อเช้าว่าจะถามที่ร้านให้เรื่องกระเป๋าเงินของมัน ผมก็โทรไปถามมาเรียบร้อยแล้วครับ น่าเสียดายที่ร้านบอกว่าไม่เจอเลย ทั้งพนักงาน ทั้งลูกค้าไม่มีใครเห็นกระเป๋าเงินมันเลย คิดเเล้วก็เป็นห่วงมันว่ะครับ ไม่รู้ตอนนี้เป็นไงบ้าง เงินมันก็ไม่ได้ยืมผม  แต่ผมคิดว่าเดือนสิบอาจจะยืมเพื่อนมันเอา... ห้องมันก็ยังเข้าไม่ได้ อืม ยังไม่ได้ไลน์บอกมันเลยนี่นา



ผมที่กินของตัวเองเสร็จไปนานแล้ว หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเพราะคิดได้เรื่องไลน์ ตั้งใจจะไลน์ไปหาเดือนสิบมัน เเต่ว่ารินพูดขึ้นมาก่อน



"เมืองเอกรินอิ่มแล้ว คิดเงินเลยไหม?"



ผมพยักหน้า เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าเหมือนเดิมแล้วยกมือเรียกพนักงานมาคิดเงิน



.

.

.



ผมขับรถมาส่งคุณผู้หญิงที่คณะอักษรศาสตร์ตามที่ตกลงกัน ก็รับไปกินข้าว แล้วก็พากลับมาส่งที่คณะ ที่ไม่ไปส่งที่หอรินไม่ใช่เพราะอะไรหรอกครับ รินลงเป็นลีดฯให้คณะอักษร ก็เลยต้องอยู่ซ้อมทุกเย็น ปกติผมไม่ค่อยได้มานั่งเฝ้ารอแฟนตัวเองซ้อมเสร็จเท่าไหร่หรอก รินไม่ได้ว่าอะไรที่ผมจะไม่รอ แต่ก็มีบางครั้งที่อยู่ดูซ้อมลีดบ้าง



"ขอบคุณมากเลยนะ ว่าเเต่เมืองเอกจะลงไปดูรินซ้อมไหม?"



รินหันมาถามในขณะที่ปลดเข็มขัดนิรภัย ผมเลยให้เวลาตัวเองคิดนิดหน่อยว่าจะเอายังไง หลังจากนี้ผมไม่ได้มีธุระอะไร ไอ้เบศก็กลับไปนานแล้ว แรปมันหายหัวไปกับพวกไอ้พี่ตอ ว่ากันตามตรงก็ว่างจริงๆ  งั้น...



"งั้นเดี๋ยวเราลงไปอยู่เป็นเพื่อนสักพักเเล้วกัน รินลงไปก่อนเลย เดี๋ยวขอไปหาที่จอดรถหน่อย"



"โอเคค่ะ"



เธอตอบตกลง พอรินลงไปผมก็ขับไปหาที่จอด ตั้งเเต่เป็นแฟนกับริน ผมก็มาแถวคณะอักษรบ่อย เรื่องที่จอดรถ ตรงไหนจอดได้ จอดไม่ได้ผมรู้หมดเเล้วครับ ผมเลี้ยวรถเข้ามาข้างตึกเรียน ตรงนั้นมีที่จอดรถอยู่ น่าจะทำไว้ให้พวกอาจารย์จอด แต่มันว่างผมก็เลยเข้าไปเสียบได้...



คณะอักษรที่จอดว่างกว่าคณะผมเยอะเลยครับ บางวันที่ผมขี้เกียจเอารถตัวเองไปก็เพราะว่าหาที่จอดแถวคณะยาก ยิ่งวันที่ผมเรียนบ่ายนะ แม่งไม่ต้องพูดถึง อย่าหวังว่าจะได้จอดที่คณะ



ระหว่างที่กำลังถอยรถเข้าจอดผมก็คิดอะไรไปเรื่อย จนกระทั่งไปสะดุดตากับผู้ชายตัวสูงที่เดินเอื่อยๆ ออกมาจากข้างตึก ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวคือคุ้นชิบหาย ผมหรี่ตามองดีๆ เออ... จะไม่ให้คุ้นได้ไงก็นั่นมันเดือนสิบนี่หว่า เข้าไปทำอะไรตรงนั้นวะ?



ผมไม่ปล่อยให้ตัวเองมองมันอยู่บนรถนานกว่านี้ รีบเปิดประตูลงไป เดินเร็วๆ เข้าไปใกล้ ผู้ชายตัวสูงที่ก้าวเท้าแต่ละครั้งแม่งช้าเหลือเกิน



“เดือนสิบ”



ใช้เวลาไม่นานผมก็เดินเข้าไปถึงตัวมันได้ ก็เลยส่งเสียงเรียกแล้วถือวิสาสะยกมือขึ้นมาจับไหล่มันจากข้างหลัง คนถูกเรียกสะดุ้งนิดหน่อย ก่อนที่หน้าขาวๆ นั่นจะหันมา เดือนสิบเห็นว่าเป็นผมแต่มันยังไม่ได้พูดอะไร



“เรื่องกระเป๋าเงิน---...มึง...”



ผมเบิกตากว้าง มองหน้าเดือนสิบ ความคิดที่จะบอกเรื่องกระเป๋าเงินลอยหายไปในอากาศ ความสนใจทั้งหมดมาหยุดอยู่ที่หน้านั่น...  ใบหน้านิ่งเรียบไม่แสดงสีหน้าอะไรเหมือนปกติ แต่ว่าที่ไม่ปกติคือริ้วรอยแดงเหมือนรอยนิ้วที่เห็นได้ชัดบนแก้มข้างขวา



ดวงตาหลังเลนส์แว่นใสรื้นน้ำ เหมือนครั้งแรกที่เจอกันที่ห้องน้ำ ตอนนั้นมันน้ำตาไหล แต่คงไม่ใช่เพราะจะร้องไห้ เป็นเพราะคอนแทคเลนส์ แต่ครั้งนี้ล่ะ?



“....”



เหมือนผมจะจ้องเดือนสิบมันนานเกินไป คนที่ถูกจ้องรู้ตัว แล้วก็รู้ด้วยว่าผมจ้องอะไร เดือนสิบยกมือขึ้นมาแตะแก้มของตัวเองเบาๆ ริมฝีปากสีสดเม้มแน่นก่อนจะพูดออกมา



“เรื่องกระเป๋าเงินใช่ไหม? พอดี... เจอแล้ว ขอบคุณนะที่ช่วยหาให้”



พูดแค่นั้นจริงๆ เดือนสิบหันหลังกลับให้ผม ตั้งใจจะเดินออกไปอีกครั้ง ผมที่ไม่ได้สนใจประโยคที่มันบอกอยู่แล้ว ก็เลยเรียก แล้วก็รั้งมันไว้



“หน้าไปโดนอะไรมา?”



 “....”



ได้ผล ที่เดือนสิบมันหยุด



“ใครทำอะไรมึง?”



ผมยังคงมองรอยตบบนใบหน้าเดือนสิบที่หันกลับมามองผมตอบ สิ่งที่ได้ตอบกลับมาจะเป็นความเงียบ  ผมคงจะยุ่งเรื่องของมันมากไป มันไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องบอกผม แม้ว่าตอนนี้เราจะเป็นเพื่อนกัน คงเป็นอย่างนั้น



“มึงเจอกระเป๋าเงินก็ดีแล้ว”



ทุกอย่าง ถ้ามันอยากจะพูด เดี๋ยวก็คงพูดออกมาเอง ดวงตาคู่นั้นสั่นระริกไม่เหมือนสีหน้าที่นิ่งเรียบของมันเลย ต่อให้เดือนสิบมันไม่พูดว่าตอนนี้ตัวเองไม่โอเค ใครๆ ก็รู้ เป็นผมที่หลบตามันก่อน แต่ก่อนจะได้เดินออกห่างมา เสียงจากคนที่ผมอยากได้ยินมันพูดที่สุดก็ดังขึ้นมา




“ถ้าริน... ไม่สิ ถ้าแฟนของเมืองเอกไปจูบกับคนอื่น เมืองเอกจะโกรธไหม?"
 


ประโยคที่เดือนสิบถาม ผมค่อนข้างตกใจ เพราะถ้ามันพูดเรื่องแบบนี้ตอนนี้ก็คงเป็นเรื่องต้นเหตุที่ทำให้หน้าของเดือนมหา’ลัยเป็นแบบนี้แน่ๆ ถึงประโยคจะมีการหยิบเอาชื่อแฟนของผมเข้ามาเกี่ยวก็เถอะ แต่ผมมั่นใจเว้ยว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับรินจริงๆ หรอกแค่ยกตัวอย่าง ตอนนี้ผมที่ยังไม่รู้เรื่องราวอะไรมาก ก็เลยตอบตามความจริงไป



“โกรธดิวะ ถ้าแฟนไปทำอย่างนั้นกับคนอื่นอะ ถ้าไม่โกรธ ก็แสดงว่าไม่ได้รักแล้วมั้ง”



เดือนสิบที่ได้คำตอบก้มหน้าต่ำมองพื้นด้านล่าง เงียบไปแป๊บหนึ่ง



“ก็นั่นสินะ เป็นแฟนกัน รักกัน เป็นใครก็ต้องโกรธแหละเนอะ”



ใบหน้านั้นปรากฏรอยยิ้มจางๆ มันไม่เข้ากันเลย ถึงแม้ผมจะเคยบอกว่าชอบหน้ามันตอนยิ้ม แต่หน้ามันตอนนี้ไม่เหมาะกับยิ้มแบบนี้เลยสักนิด



“เดือนสิบ ไม่โอเคก็อย่าฝืนยิ้มสิวะ”



“......”



เดือนมหา’ลัยเงยหน้าขึ้นมามองแล้วเก็บรอยยิ้มกลับไป



“มีอะไรก็ระบายออกมาได้นะ กูอยู่ตรงนี้แล้วไง”



หนึ่งหยดน้ำตา ไหลออกมาจากดวงตาวาววับคู่นั้นจนได้ ริมฝีปากเม้มแน่นก่อนจะเอ่ยเรียกชื่อผมด้วยเสียงสั่นเครือ



“เมืองเอก...”



.

.

.



ผมลากเดือนมหา’ลัยที่ตกลงเป็นเพื่อนกันเมื่อคืน และตกลงเป็นเพื่อนอย่างเป็นทางการเมื่อเช้าให้มานั่งเล่าทุกอย่างให้ผมฟังบนรถที่สตาร์ทเปิดแอร์จอดอยู่ตรงที่จอดเดิมนั่นแหละครับ เหตุผลคือในรถจะเก็บเสียง ฟิล์มรถผมดำ แถมยังมีแอร์เย็นอีก ก่อนหน้านั้นผมก็ไลน์ไปบอกรินว่าจะไม่ลงไปดูซ้อมลีดแล้วด้วย



ตอนนี้ก็เลยนั่งฟังเดือนสิบมัน คนที่นั่งอยู่ที่นั่งข้างๆ เล่าช้าๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ



“ทำไมมึงไม่บอกเดชองส์ไปวะว่ามันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด มึงเมา ไม่ได้สติ แถมไอ้พี่เอสต่างหากที่เป็นคนฉวยโอกาส” แอบสะกิดใจนิดหน่อยตรงนี้ เดือนสิบมันไม่อธิบายให้เดชองส์ฟัง มันยอมให้โดนตบโดยไม่พูดอะไรเลย? ได้ไงวะ...



“อ้างไม่ได้หรอกเมืองเอก ในเมื่อเราไปจูบกับพี่เอสจริงๆ ต่อให้มีสติหรือไม่มีสติ...”



แต่พอเดือนสิบมันพูดอย่างนั้น ผมกลับพอเข้าใจมันขึ้นมานิดหน่อย แต่ว่า...



“สิ่งที่มึงต้องกลัวที่สุดไม่ใช่เรื่องของสองคนนั้นหรอก กลัวเรื่องคลิปมากกว่า... ถ้ามันหลุดขึ้นมา...”



อ... ชิบหายละ กูมาพูดอะไรตอนนี้วะเนี่ย



ผมแม่งโคตรอยากตีปากตัวเองเลยว่ะ เดือนสิบที่มันเป็นอย่างงี้ ผมก็ว่าเพราะมันห่วงเรื่องนี้นี่แหละ มันเป็นเดือนมหา’ลัย พี่เอสแม่งก็มีข่าวแบบนี้เยอะ ถ้าเกิดหลุดขึ้นมาเป็นเรื่องแน่นอน  แต่ก็ไม่สมควรมาพูดให้มันเครียดอยู่ดีโว้ย



ผมมองหน้าเดือนสิบที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ นั่งเงียบๆ เหมือนใช้ความคิด แล้ว... มันร้องไห้นะ แต่ไม่หนักขนาดสะอื้น ไม่มีเสียงร้องด้วยซ้ำ แค่น้ำตาไหลเงียบๆ เห็นแล้วโคตรสงสารเลย ผมไม่ค่อยชอบเห็นใครร้องไห้ด้วย อดไม่ได้ที่จะยกมือไปลูบหัวมันแล้วปลอบว่าไม่เป็นไรนะเว่ย หยิบกล่องทิชชู่เบาะหลังส่งให้มันอีก



“เรื่องคลิปอาจจะต้องลองไปติดต่อเดชองส์ดูว่าได้มาจากไหน จะได้ไปคุยถูกว่าอย่าปล่อย ส่วนพี่เอส กูว่ามึงอย่าไปยุ่งกับพี่มันเลยดีกว่า ยุ่งกับพี่มันเหมือนเล่นกับไฟ ยิ่งเกิดเรื่องแบบนี้ด้วยแล้ว กูว่าพี่มันอาจจะสนใจมึงอยู่”



ผมเสนอคำอธิบายแล้วก็พูดความคิดของตัวเองด้วย คนที่หยิบทิชชู่ซับน้ำตาอยู่ข้างๆ ก็ได้แต่พยักหน้ารับเห็นด้วยกับผม



จะว่าไปพี่เอสกับพวกพี่ตอก็ไม่ค่อยญาติดีกันเท่าไหร่ เรียกได้ว่าอยู่กันคนละโลกเลยก็ว่าได้ ถ้าสนิทกันสักหน่อย ไม่แน่ผมอาจจะไปช่วยพูดให้ได้... (คราวที่แล้วผมก็โดนอิพี่มันสั่งให้ไปสารภาพกับพี่เอส ซึ่งสาเหตุเกิดจากการหมั่นไส้ของอิพี่ตอมันล้วนๆ เลยครับ)



“อะ...!”



อยู่ดีๆ เดือนสิบที่นั่งเงียบๆ ก็ร้องขึ้นมา เรียกความสนใจให้ผมหันหน้าไปมอง เดือนสิบที่หันมามองหน้าผมเหมือนกัน ริมฝีปากนั่นขยับเบาๆ เป็นประโยค



“มีนัดกับพี่เอสไว้เรื่องกระเป๋าเงิน...”



“....”



หา? อย่าบอกนะว่า เรื่องกระเป๋าเงินมันหายนี่ พี่แม่งก็เข้ามาเกี่ยวด้วยอีกแล้ว?



-------------------------------

 

☽  เดือนสิบ พาร์ท  ☽



พอได้ระบายให้เมืองเอกฟังบ้างผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ เรื่องคลิป ตอนแรกผมกลัว ผมแพนิคแทบตาย กลัวว่ามันจะหลุด กลัวว่ามันจะเป็นเรื่องขึ้นมา จนถึงเมื่อกี้ผมก็นั่งไถโทรศัพท์ตัวเองเป็นบ้าเป็นหลัง เช็คดูเพจ เช็คดูทวิตเตอร์ ว่าจะมีข่าวเรื่องคลิปนั่นหลุดออกมาไหม แต่ก็โล่งใจที่มันไม่มี ตอนนี้ผมก็เริ่มสงบสติตัวเองได้สักนิด เรื่องคลิป เรื่องข่าวช่างมันก่อน สิ่งที่ต้องเตรียมพร้อมตอนนี้ก็เรื่องพี่เอสมากกว่า



“กูรอตรงนี้นะ”



เสียงต่ำบอกเบาๆ ผมได้แต่ตอบรับอืมในลำคอแล้วเปิดประตูลงจากรถเข้าไปในร้านกาแฟตามที่นัดกันไว้กับพี่เอส ไม่ใช่ผมอยากจะเจอเขา ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากเลี่ยง แต่ที่ต้องมาเพราะผมเองก็ต้องการจะจบเรื่องแบบนี้เหมือนกัน



ผมใส่แมสสีดำปิดไว้ครึ่งหน้า ไม่ใช่เพราะกลัวฝุ่นกรุงเทพฯ หรือเป็นหวัด แต่ใส่เพราะต้องการปิดรอย หึ คงจะรู้ว่ารอยอะไร



ผมกวาดสายตามองไปทั่วร้าน ยังไม่เห็นวี่แววของรุ่นพี่อดีตเดือนมหา’ลัย ก็เลยเดินไปสั่งน้ำแล้วเลือกนั่งรอตรงมุมร้าน ไม่นาน เสียงกริ่งที่แขวนไว้ที่ประตูร้านกาแฟก็ดังอีกครั้ง เรียกความสนใจของผมให้หันมอง อดีตเดือนมหา’ลัย รูปร่างดี ดีกรีนายแบบ ออร่าส่องประกายซะจนพนักงานในร้านมองเพลิน



ดวงตาคมคู่นั้นกวาดสายตามองไปรอบร้าน ก่อนที่จะสังเกตเห็นผม ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพี่เขาจำได้ หรือเพราะในร้านไม่มีใครคนอื่นแล้ว หรือเปล่า เขาถึงรู้แล้วเดินเข้ามาหาทันที



“เดือนสิบ พี่ขอโทษที่ให้เรารอนะ”



ผมส่ายหัว ไม่นานหรอกครับ แค่แป๊บเดียวเท่านั้น พี่เอสนั่งลงที่ที่นั่งฝั่งตรงข้าม ดูเหมือนพี่เขาออกจะสนอกสนใจแมสผม แต่ไม่ได้ถามอะไร แสดงว่าพี่เอสคงยังไม่รู้เรื่องเดชองส์ หลังจากที่ดวงตาคู่นั้นจ้องมองแมสบนหน้าผมอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ละสายตา แล้วหันมามองแก้วกาแฟที่อยู่บนโต๊ะผมแทน



“ค่าน้ำนี้ออกไปรึยังครับ? ให้พี่เลี้ยงนะ”



ผมส่ายหัวปฏิเสธอีกครั้ง ไม่ได้จะมาให้เขาเลี้ยงอยู่แล้ว แค่อยากได้กระเป๋าเงินคืน แล้วก็... เหมือนเขาจะอ่านผมออกว่าผมต้องการอะไร พี่เอสหยิบกระเป๋าเงินของผมขึ้นมาวางคืนให้บนโต๊ะ ผมไม่รอช้าที่จะคว้ามันไว้แต่ว่า... มือของเขามาวางทับไว้ลงกระเป๋าเงินนั่นก่อน



เขาหยิบกระเป๋าเงินอีกใบขึ้นมา มันเป็นแบรนด์เดียวกับกระเป๋าเงินของผม รุ่นเดียวกัน สีเดียวกัน ก็ไม่แปลกถ้าพี่เขาจะสับสนแล้วหยิบกลับไปอย่างที่เขาบอกจริงๆ



"ใช้แบรนด์เดียวกันด้วยนะครับ"



คงคิดว่าปกติผมใช้ของแพงๆ แบบนี้ แต่ไม่ใช่หรอกครับ



"เปล่าหรอกครับ"



"มีคนซื้อให้ใช่ไหม?"



ผมพยักหน้า แล้วตอบเบาๆ



"ครับ"



เขาเอามือออกจากกระเป๋าแล้ว หยิบมันส่งมาให้ ผมรับมันไว้ ไม่ได้เปิดเช็คตรงนี้หรอกครับ เดี๋ยวมันเสียมารยาท ความจริง ถ้าแค่นัดมาเอากระเป๋าเงิน ผมก็กลับได้ทันที แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่ ผมช้อนสายตามองหน้าพี่เอส เขายกยิ้มอย่างมีเสน่ห์มองมาหาแต่ว่าผมไม่อิน



ผมเลื่อนมือไปปลดแมสปิดปากของตัวเองออกแล้วกำเอาไว้ในมือ อยากให้เขาเห็นหน้าผมชัดๆ อยากให้เห็นรอยบนหน้านี้ ผมไม่รู้ว่าพี่เอสทำหน้ายังไงตอนนี้อยู่เพราะผมหลบสายตาไม่กล้ามอง แต่ว่า..



“เดือนสิบถูกใครทำอะไรมา?”



เสียงเขาดูอ่อนโยนและเป็นห่วง ปนตกใจนิดๆ หน่อยๆ ด้วย แล้วผมก็สะดุ้ง เมื่อสัมผัสจากปลายนิ้วเย็นๆ ของอีกคนแตะลงบนแก้มข้างที่เป็นรอยอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมปัดมือพี่เอสออกเบาๆ แล้วตอบเขาไป



“ใครจะทำอะไรไม่สำคัญหรอกครับ ผมไม่ได้จะมาฟ้องเรื่องนี้กับพี่”



ผมแค่อยาก..



“เดชองส์ใช่ไหม?”



....



พี่เอสถอนหายใจแล้วมองหน้าผม   



“เดชองส์ก็เหมือนทุกคนที่ผ่านมา เดี๋ยวพี่ก็เลิก ไม่ได้มีสิทธิ์อะไรจะมาหึงหวงพี่ด้วยซ้ำ”



นี่ล่ะ ก็สิ่งที่พี่เอสพูดออกมา ไม่ผิดจากข่าวลือ ทุกคนที่เข้ามามีความสัมพันธ์กับคนๆ นี้ ทำได้แค่มีความสัมพันธ์ทางกาย ไม่ใช่ทางใจ...



“งั้นต่อไปจะเป็นผมเหรอ?”




พี่เอสเงียบ พอได้ยินผมพูดแบบนั้น



“ถ้าต่อไปจะเป็นผม ถ้าอย่างนั้นพี่เอสอย่ามายุ่งกับผมเลย ผมไม่อยากยุ่งกับพี่”



ผมพูดออกไปแบบนั้น พูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูดที่สุดออกไป



ถ้าพี่เอสไม่คิดจะจริงจังกับใครสักคน ทำไมถึงต้องทำร้ายคนอื่นด้วย ในเมื่ออีกฝ่ายเขาคิดอะไรกับพี่มากเกินกว่าที่พี่คิด ไม่รู้สิ หรือคนที่เป็นฝ่ายผิดจะเป็นฝ่ายที่หลงพี่เขามากกว่ารึเปล่า... ?



แต่เรื่องนั้นก็ไม่ใช่เรื่องของผมอีกแล้ว ผมตั้งใจจะลุก ถ้าไม่ติดที่พี่เอสที่นั่งอยู่อีกฝั่งไม่พูดอะไรออกมาสักก่อน



“พี่ชอบจูบของเดือนสิบนะ หวานมากจนพี่หลงเลย”



ดวงตาของผมเบิกกว้าง ไม่คิดว่าพี่เขาจะเอาเรื่องนั้นมาพูดตอนนี้..



“แล้วเดือนสิบ ไม่ติดใจจูบของพี่บ้างเหรอ?”



“...ผมจำไม่ได้”



ผมเม้มปาก บอกตามตรง



“งั้นมาทวนความจำกันหน่อยไหม?”



มองคนที่ยิ้มร้ายตรงนั้น พูดออกมาได้หน้าไม่อาย...



“พี่เอสพอได้แล้ว ผมไม่ใช่เกย์”



“หืม? เหรอครับ แต่รักแรกของเดือนสิบก็ไม่ใช่ผู้หญิงนี่ครับ?”



เหมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็นจัด หน้าผมชา ทุกสิ่งในหัวเริ่มรวน รวมทั้งภาพพี่เอสตรงหน้าก็พร่าเลือนไปหมด ผมรวบรวมสติ บังคับมือตัวเองหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง กดโทรออกเบอร์เบอร์หนึ่ง...



พอแล้ว...   



“พี่.. รู้ถึงขนาดไหน...?”



“อดีตสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”



ผมไม่ไหวแล้ว



“TIME OUT”



ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียง ร่างของผู้ชายในชุดนิสิตยืนทำหน้าหล่ออยู่ข้างโต๊ะ ดวงตาคู่นั้นหันมามองผม ที่เหมือนถูกดึงสติกลับมา



“ได้ของคืนแล้วก็กลับ 'หวัดดีพี่”



ผมพยักหน้าให้เมืองเอก แล้วลุกตามออกไปจากร้านโดยไม่ได้หันมองพี่เอสแม้แต่นิดเดียว



.

.

.

.



เอสมองตามสองคนที่เดินออกไปจากร้านจนลับตาแล้วจึงหันกลับมามองภาพตรงหน้า ที่นั่งฝั่งตรงข้ามที่เคยมีรุ่นน้องเดือนมหา’ลัยนั่งอยู่ตรงนั้น แก้วไอซ์คอฟฟี่ที่เริ่มละลายของอีกฝ่ายก็ถูกทิ้งไว้บนโต๊ะ



เอสยกยิ้ม แล้วยกมือขึ้นแตะริมฝีปาก แล้วหวนนึกถึงรสจูบเมื่อคืนขึ้นมา...



“ของชล.. ได้ยากอย่างนี้ค่อยน่าสนุกหน่อย”




----------------------------TBC-------------------------


สวัสดีทุกคนค่ะ สุขสันต์วันสงกรานต์ เทศกาลวันหยุด
ขอให้มีความสุขรับเทศกาลกันเยอะๆ นะคะ เย่ >< <3

รักทุกคนค่ะ ขอบคุณที่ติดตามกันเสมอมาา
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ !

ปล.ตอนนี้สั้นจังเลย? //แอ้ ~~~~~



#วิศวะเดือนสิบ

หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 11 พูดไปแล้ว ⚙️☽ UP13/04/62!
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 13-04-2019 21:20:44
ไปลงนรกซะไอ้เอส

ทั้งมึงทั้งเมียมึงอ่ะ

ไปตายซะ

เดือนสิบง่อยกินเหรอ

ทำไมไม่ตอบโต้พวกมัน
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 11 พูดไปแล้ว ⚙️☽ UP13/04/62!
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-04-2019 21:53:41
 :pig4: :pig4: :pig4:

ชล...ไหน อะไร ยังไง?

นานเกินจนลืมตัวละครอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 11 พูดไปแล้ว ⚙️☽ UP13/04/62!
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-04-2019 22:20:59
ชล แฟนคนแรกของเดือนสิบเหรอ  :really2:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 11 พูดไปแล้ว ⚙️☽ UP13/04/62!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 13-04-2019 22:27:12
นังเอส ปาก..... เด็กๆ มีใครว่างไหม วานเก็บเด็กให้หน่อย  :katai1:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 11 พูดไปแล้ว ⚙️☽ UP13/04/62!
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 14-04-2019 02:13:33
อะไรกันนายคนนี้  :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 11 พูดไปแล้ว ⚙️☽ UP13/04/62!
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 14-04-2019 09:24:00
เลวดีเนาะ
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 11 พูดไปแล้ว ⚙️☽ UP13/04/62!
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 16-04-2019 08:26:00
อะไรวะเนี่ยะ เลวจิง
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 11 พูดไปแล้ว ⚙️☽ UP13/04/62!
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 06-05-2019 20:34:13
อะไรของเอส ต้องการอะไร เดือนสิบทำไรให้ถึงต้องมาวุ่นวาย
แล้วชลเป็นใคร ทำไรให้เอสไว้ ถึงต้องมาเอาคืนกับคนอื่นแบบนี้

เมืองเอกเป็นพระเอกเต็มตัวเลยจ้า ตอนมาเจอเดือนสิบ
และอยู่กับเดือนสิบตอนที่เฟลหนักมาก

หวังว่าคลิปจะไม่หลุดนะ แค่นี้ก็สงสารเดือนสิบมากแล้ว
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 11 พูดไปแล้ว ⚙️☽ UP13/04/62!
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-08-2019 21:58:52
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 11 พูดไปแล้ว ⚙️☽ UP13/04/62!
เริ่มหัวข้อโดย: memozy ที่ 29-08-2019 16:28:48
มาต่อเร็วๆนะ

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 11 พูดไปแล้ว ⚙️☽ UP13/04/62!
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-10-2019 22:57:18
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 12 ไม่เหงาเหรอวะ? 10%ก่อนนะ   
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 07-10-2019 21:31:46
เดือนที่ 12

ไม่เหงาเหรอวะ? ⚙


หลังจากที่รู้ว่าเดือนสิบจะต้องไปเจอกับพี่เอสเพราะนัดกันไว้เรื่องกระเป๋าเงิน ผมก็เลยเสนอตัวเอง... เออ ไม่สิ จริงๆ ก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้นหรอก แค่ผมถามลองเชิงดูเฉยๆ


“มึงจะเอายังไง จากนี้ก็ต้องไปเจอกับพี่มัน ให้กูอยู่รอเป็นเพื่อนไหม?”



ผมมองหน้าเดือนสิบที่ยังไม่เปลี่ยนสีหน้าจากเดิม แต่ไม่นานมันก็พยักหน้ารับตกลง ผิดกับที่ผมเดาไว้ ตอนแรกก็คิดว่าเดือนสิบคงไม่อยากให้ใครมายุ่งเรื่องนี้ แต่การที่ยืนยันให้ผมไปด้วยแบบนี้... มันคงไม่อยากจะเผชิญเรื่องนี้คนเดียวแล้วล่ะมั้ง


แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะโผล่หัวไปให้พี่เอสมันเห็นเป็นบุคคลที่สามที่นั่งหัวโด่ตรงกลางระหว่างการสนทนา ยังคงไม่ต่างจากตอนแรกเท่าไหร่ เดือนสิบยังไปเจอกับพี่เอสสองคน เพราะไอ้เรื่องที่ตั้งใจจะคุยกันน่ะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของทั้งคู่อยู่ดี ผมก็เลยลงเอย มาเป็นคนรอแทน


ถามว่าตัวเองมีประโยชน์อะไรไหมวะ? อืม มีดิ มารอเผื่อไว้อุ่นใจกว่า...


“กูรอตรงนี้นะ”



ผมบอกคนที่กำลังจะเปิดประตูรถจากรถ เจ้าตัวแค่ตอบอืมรับเบาๆ ในลำคอ แล้วก็ลงไป ปล่อยผมมองตามเจ้าของร่างสูงๆ ที่เดินหายเข้าไปในร้านกาแฟฝั่งตรงข้าม


ไม่รู้จะคุยกันนานแค่ไหน ผมเลยทำได้แค่ปรับเบาะ เอนหลังนิดหน่อย มานั่งๆ คิด ไอ้เรื่องกระเป๋าเงินที่พี่เอสอ้างว่าหยิบผิดไป ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ หรือพี่แม่งจงใจกันแน่ ผมยังไม่กล้าฟันธง


พอเริ่มว่างไม่มีอะไรทำก็เลยหยิบมือถือขึ้นมาเลื่อนดูอะไรไปเรื่อย จนไปเจอรินอัพสตอรี่ในไอจี ถ่ายสถานที่ซ้อมลีดฯแถวนั้น แล้วใส่อีโมจิตัวเล็กๆ เป็นรูปนก พอเห็นหัวคิ้วผมก็เผลอกระตุก ถึงเมื่อกี้ผมจะไลน์ไปบอกกับรินแบบชัดเจนแล้วว่าไม่อยู่รอดูรินซ้อมแล้วนะ  แล้วรินเองก็ไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจอะไร ตอบรับดีๆ แท้ๆ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าที่ลงแบบนี้ไปจะหมายถึงเรื่องผมรึเปล่า ผมเลยตัดสินใจพิมพ์ว่า ‘ขอโทษจริงๆ นะค้าบ’ ส่งให้ไป เผื่อรินจะพอใจที่ผมแสดงความรู้สึกผิดบ้าง


เหมือนจะเห็นรินกำลังพิมพ์ข้อความตอบกลับมา แต่ยังไม่ทันที่จะได้อ่าน โทรศัพท์ก็สั่นเตือนสายเข้า


“.....”


เมื่อเห็นชื่อคนที่โทรมา เร็วเท่ากับความคิด ผมกดรับ แล้วเปิดประตูลงจากรถข้ามถนนเล็กๆ เดินตรงไปร้านกาแฟ คนโทรเข้าเป็นเดือนสิบ ผมไม่แน่ใจว่าทำไม เราไม่ได้ตกลงสัญญาณ SOS อะไรกันเอาไว้ แต่รับรู้ได้ ผมรู้ว่าเดือนสิบอยู่ที่ไหน เดือนสิบก็รู้ว่าผมรออยู่ที่ไหน จะมีเหตุผลอะไรที่จะโทรเข้าหาผม ถ้าไม่ใช่ต้องการ... ความช่วยเหลือ...


ปลายสายไม่ได้เงียบไปซะทีเดียว แต่มีเสียงเบาๆ แทรกเข้ามา ฟังได้เป็นคำๆ ผมพยายามฟัง เเต่ก็ไม่ได้หยุดฝีเท้าตัวเอง


ไม่นานผมก็ถึงหน้าร้าน ไม่รอช้าผลักประตูกระจกเดินเข้าไป ในร้านมีแค่พนักงานที่หันมาสนใจผม ผู้ชายสองคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านในไม่ได้รับรู้ถึงผมที่กำลังเดินเข้าไปหาเลย


"อดีตสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอครับ?"


คำพูดจากที่ออกมาจากอดีตเดือนมหา'ลัยดังพอที่จะทำให้ผมได้ยิน แต่ก็ไม่รู้ว่าทั้งสองคนกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่


จากการสังเกตสีหน้าเดือนสิบมันตอนนี้ ผมถึงได้ตัดสินใจ พูดแทรกกลางระหว่างการสนทนาของทั้งคู่


"TIME OUT"


เดือนสิบหันกลับมามองผม ไม่รู้คิดไปเองหรือเพราะอะไร ผมรู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นที่มองมาเป็นประกายน้อยๆ พร้อมกับริมฝีปากที่ยกขึ้นนิดหน่อย เหมือนว่าเดือนสิบมันกำลังดีใจที่เห็นผม


ทำหน้าเหมือนคนที่รู้ว่าตัวเองรอดตายแล้วแบบนี้... จะไม่ให้คิดได้ไงวะ ว่าพี่เอสมันพูดหรือทำอะไรไม่ดีใส่เดือนสิบอีกแล้ว


ผมมองกระเป๋าเงินในมือเดินสิบ ก่อนจะตวัดสายตามองคนที่มีศักดิ์เป็นรุ่นพี่คณะ


"ได้ของคืนแล้วก็กลับ 'หวัดดีพี่"


พูดไปแค่นั้น ไม่ได้ยกมือไหว้พี่มันด้วยซ้ำ พอเห็นเดือนสิบมันพยักหน้ารับ ผมถึงได้เดินนำมันออกจากร้าน


----------------------------10%----------------------------


สวัสดีค่ะ หายไปนานแล้วยังมาต่อให้เเค่นิดเดียวอีก
ขอโทษนะคะ หมดเวลาไปกับการเรียนหมดเลย ฮือๆ
แต่จะพยายามมาต่อให้นะคะ TT ขออัพขัดดอกกันโดนลบก่อนน้าาา

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ <3 :pig4: :L1:


#วิศวะเดือนสิบ
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 12 ไม่เหงาเหรอวะ? 10% UP!     
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 07-10-2019 22:57:41
ยังไงกันล่ะ  :ruready
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 12 ไม่เหงาเหรอวะ? 10% UP!     
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-10-2019 23:16:55
เกือบไปแล้วนะเดือนสิบ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 12 ไม่เหงาเหรอวะ? 10% UP!     
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-10-2019 00:39:10
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 12 ไม่เหงาเหรอวะ? 10% UP!     
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-10-2019 21:49:30
ดีใจ  ไรท์มาต่อ  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 12 ไม่เหงาเหรอวะ? ⚙ 100%   
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 22-11-2019 01:20:46
เดือนที่ 12
ไม่เหงาเหรอวะ? ⚙
 


 

--------------------[100%]--------------------



ผมเดินนำเดือนสิบออกมา ระหว่างทางมันก็ยังเงียบไม่ได้พูดอะไร ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันโอเคไหม ผมไม่ได้ถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เป็นห่วง แค่คิดว่าบางทีถ้ามันอยากเล่าก็คงเล่าเอง แต่... ถ้ามันไม่พูดอะไรแล้วเก็บไปเครียดคนเดียวมันจะดีเหรอวะ?



ผมควรถามดีไหม? เผื่อมันจะได้ระบายอะไรบ้าง...



แต่กว่าจะได้ตัดสินใจว่าจะถามดีหรือไม่ถามดี ผมกับเดือนสิบก็เดินมาถึงรถแล้ว



ผมหันกลับไปหาคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง



“มึงจะกลับห้องเลยไหม?”



พอฟังคำถามเสร็จเดือนสิบก็พยักหน้าช้าๆ ให้ผม ยกแมสปิดปากที่มันถือไว้ขึ้นมาใส่ แล้วโบกมือลาทำท่าเหมือนจะเดินออกไป ถ้าไม่ติดว่าผมเรียกไว้



“เดี๋ยวเดือนสิบ”



คนถูกเรียกหยุดกึกแล้ว ใบหน้าที่ถูกปิดด้วยแมสสีดำไปครึ่งหน้าหันมามองพร้อมเอียงคอ เหมือนจะสื่อว่ามีอะไรอีกเหรอ ผมถึงได้รีบๆ พูด



“มึงจะกลับห้องใช่ไหม?”



เดือนสิบพยักหน้าอีกรอบ แต่เห็นผมไม่ยอมพูดต่อสักทีเลยตอบมาอีกคำ



“ใช่”



“งั้นก็ขึ้นรถ กูจะกลับเหมือนกัน ไปด้วยกัน”



อธิบายเสร็จสับผมก็เดินไปเปิดประตูคนขับแล้วเข้าไปนั่ง เออ... ผมค่อนข้างพอใจที่เดือนสิบมันก็เดินมาเปิดประตูขึ้นรถมาเหมือนกัน



ระหว่างที่ขับรถผมก็แอบสังเกตท่าทางมันไปด้วย เดือนสิบนั่งรถผมได้เป็นธรรมชาติมากกว่าเมื่อวาน ไม่รู้สึกถึงอาการเกร็ง ทำตัวไม่ถูกหรืออะไรอีก  อาจจะคงเพราะมันเริ่มชินแล้วล่ะมั้ง เสียอย่างเดียวที่มันยังคงเงียบไม่ปริปากอะไรเลย ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าปกติดีได้ไหม.....



โอ้ย ทนไม่ไหวแล้วโว้ย ผมตัดสินใจแล้วว่าจะถาม



พอตัวเองตัดสินใจได้ ก็ตั้งใจจะเปิดปากพูด แต่ว่า



“เดือนสิบ---”



“เมืองเอก”



“.....”



 ผมกะพริบตา มองหน้าที่ถูกแมสบังนิ่งๆ เหมือนมันอยากจะพูดอะไรผมก็เลยเงียบรอฟัง



“ไฟเขียว”



หือ?



คำที่ได้ยินทำให้ผมต้องรีบกลับไปมองทางตรงก่อนที่จะได้ยินเสียงบีบแตรจากรถคันข้างหลังขึ้นมา ก็รู้ว่าผมผิดนะ แต่บีบแตรอย่างกับกูไปขับรถเสยตูดมัน หัวเสียดิครับ ผมรีบเหยียบคันเร่งขับตามรถคันข้างหน้าที่ออกตัวได้ห่างไปเยอะแล้ว



ตอนแรกว่าจะด่าในใจ แต่ปากเผลอขยับปากบ่นพึมพำไป ไม่รู้ว่าเดือนสิบมันได้ยินไหมแต่ที่ผมได้ยินอะ เสียงหัวเราะคิกในลำคอของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ



“มึงขำอะไร?”



เบนหางตามองมัน พร้อมๆ กับยักคิ้วข้างหนึ่งถามไป



“เปล่า”



“ไม่ต้องมาบอกเปล่า กูได้ยิน”



“หูฝาด”



ก็ไม่คิดว่าเดือนสิบมันจะต่อปากต่อคำแบบนี้เป็นและด้วยความหมั่นไส้ผมเลยละมือซ้ายออกจากพวงมาลัยเลื่อนเข้าไปหาคนที่นั่งข้างๆ แล้วดึงแมสที่ปิดหน้ามันไว้ออก คนที่โดนแกล้งตกใจนิดหน่อยที่จู่ๆ มือผมก็เข้าไปใกล้หน้า แต่คนที่ตกใจกว่ากลับเป็นผม



“....”



ใบหน้าขาวๆ ที่เคยถูกบังด้วยแมสทำให้ผมไม่เห็นว่ามันทำหน้าแบบไหนอยู่แต่ว่าตอนนี้ ไม่มีอะไรปิดบังใบหน้านั่นเอาไว้แล้ว ผมก็เลยได้เห็นใบหน้าที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นในตอนนี้



ใบหน้าของเดือนมหา’ลัยแม้จะมีรอยแดงๆ ที่แก้มให้ขัดใจแต่ก็ไม่มีผลอะไรกับความหล่อนั่นเท่าไหร่... และริมฝีปากสีอ่อนนั่นก็ประดับเป็นรอยยิ้มเล็กๆ ไม่ได้มากมายอะไรแต่ผมก็มั่นใจว่ารอยยิ้มแบบนี้ไม่ได้หาดูได้บ่อยๆ



แอบมองนานไหมผมก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เดือนสิบพูดขึ้นมา



“ชอบไหม?”



ฮะ????



ผมทำหน้างงเหมือนจะไม่ค่อยเก็ทกับคำถาม เมื่อกี้กูได้ยินว่าอะไรนะ?



เดือนสิบยังคงยิ้ม



“ก็... หน้าตอนยิ้ม”



อ๋อ มาไม้นี้เหรอ



ผมกระตุกยิ้ม ก่อนจะตอบเบาๆ แต่แน่นอนว่าในรถเงียบๆ คนที่นั่งข้างๆ ก็ต้องได้ยินอยู่แล้ว



“ชอบดิ ชอบมาก”



เดือนสิบถึงกลับเก็บรอยยิ้มกลับแล้วหยิบแมสขึ้นมาใส่ใหม่อีกรอบ ทั้งๆ ที่จริงๆ อยู่กันแค่สองคนไม่จำเป็นต้องใส่แล้วก็ได้



และได้ยินคนข้างๆ พูดงืมงำ จับใจความได้ว่า



“ตั้งใจขับรถไป”




หึ





ผมแยกกับเดือนสิบหลังจากที่ถึงคอนโด โดยที่ผมไม่มีโอกาสถามว่าตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นในร้านกาแฟ แต่หลังจากที่คิดหนักอยู่นานว่าจะถามดีหรือไม่ สุดท้ายผมก็ตัดสินใจว่าจะถามเรื่องไอ้พี่เอส เผื่อว่ามีอะไรไม่ดี ผมคงพอจะช่วยอะไรมันได้บ้าง



ไอ้ประโยคที่พี่เอสพูด เกี่ยวกับอดีตอะไรนั่นมันยังค้างคาอยู่ในหัวผม



และผมคงไม่มีโอกาสจะไปถาม ถ้าต่อจากนี้ผมไม่มีเหตุผลอะไรดีๆ ที่จะต้องไปเจอเดือนสิบ แต่โชคดียังอยู่กับผม ผมลงมือเปลี่ยนเมนบอร์ดที่ซื้อมาใหม่ ซ่อมคอมฯให้เดือนสิบใช้เวลาไม่นานก็เรียบร้อย



ส่วนตอนนี้... ผมก็ยืนอุ้มคอมฯรอเจ้าของมาเปิดประตูห้องให้อยู่ด้านหน้า ในที่สุดประตูที่นิ่งสนิทก็เปิดออก เจ้าของห้องที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงขาสั้นยืนพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้ผมเข้าไปในห้อง



ทันทีที่เท้าก้าวเข้ามาในห้อง ตามสัญชาตญาณคนขี้เผือก--- เอ้ย คนช่างสังเกตผมก็มองไปทั่ว แต่พยายามทำให้ไม่โจ่งแจ้งมาก เดี๋ยวเจ้าของห้องจับได้



ห้องเดือนสิบถ้าเทียบกับห้องผมแล้ว ห้องผมไม่ค่อยมีของหรือเฟอร์นิเจอร์อะไรมาก มีแค่อย่างที่สำคัญๆ หลักๆ เช่น โต๊ะคอมฯกับโซฟา แต่ของเดือนสิบนี่จะมีครบ ทั้งโซฟา โต๊ะรับแขกที่เข้าชุดกับโซฟา โต๊ะคอมฯ ชั้นหนังสือ ทีวี ตู้ และอีกเยอะแยะ แต่ถึงของจะเยอะแต่ก็ไม่ได้รก



ผมหยุดที่หน้าโต๊ะคอมฯ แล้วเริ่มลงมือต่อสายคอมฯกับหน้าจอ แบบไม่ได้เร่งมืออะไร เจ้าของห้องก็เดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาดูผมต่อคอมฯไป และนี่ถือเป็นโอกาส



“เดือนสิบกูขอถามอะไรหน่อยได้ไหมวะ?”



ผมพูดขึ้นมา ไม่รู้เหมือนกันว่าคนข้างหลังมีท่าทียังไงเพราะไม่ได้หันไปมอง แล้วก็ใช้เวลาสักพักกว่าเดือนสิบจะตอบกลับมา



“เรื่องอะไร?”



“พี่เอส ตกลงได้บอกปฏิเสธพี่มันไปรึยัง?”



ผมถาม คราวนี้เอี้ยวตัวหันกลับไปมองคนที่นั่งเท้าคางกอดหมอนอิงอยู่ตรงนั้น



 “อืม”



“พูดชัดเจน?”



“ชัด”



“แล้วคิดว่าไง?”



“...?”



เดือนสิบเอียงคอมอง คราวนี้ไม่เข้าใจคำถาม ผมเลยต้องอธิบายเพิ่มไป   



“ผลลัพธ์คิดว่าเป็นยังไง? คิดว่าอย่างพี่เอสมันจะยอมถอยง่ายๆ ไหม?”



“ไม่รู้”



เป็นคำตอบสั้นๆ ที่ได้จากเดือนมหา’ลัย ซึ่งผมเองก็เห็นด้วยกับคำตอบนี้ คนอย่างพี่เอส ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่มันจะยอมทำตามที่เดือนสิบขอรึเปล่า



อยากถอนหายใจแทนเดือนสิบ ไม่รู้ว่าทำไมมันต้องซวยขนาดนี้ ซวยหนึ่งก็เรื่องผมละอันนี้เข้าใจ ผมผิดเอง ซวยสองเรื่องพี่เอส...



สุดท้ายผมได้แค่ถามแบบอ้อมๆ เท่านั้น ผมคิดว่าไม่ควรไปก้าวก่ายอะไรมากกว่านี้แล้ว เออ มีอีกเรื่อง



“แล้วเรื่องคลิปมึงได้โทรไปคุยกับเดชองส์รึยัง?”



“เมื่อกี้โทรไปคุยแล้ว คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร เดชองส์ไม่ใช่คนไม่ดีอะไรหรอก”



“คนดีที่มาตบหน้าคนอื่นเขาเนี่ยนะ?”



เอ่อ... ชิบ เผลอหลุดสิ่งที่ตัวเองคิดออกไป.. ผมละจากคอมฯ หันไปมองคู่สนทนา แต่พอเห็นเจ้าตัวไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าอะไรมาก ยังคงเรียบเฉยแล้วตอบกลับมาเรียบๆ



“อันนั้นเราสมควรโดนแล้ว”



ผมเงียบ ถ้ามันคิดแบบนั้นก็ปล่อยมันไป ผมหมดคำถามแล้ว เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผมต่อคอมฯเสร็จพอดี พอลองเปิดดูไม่ได้มีปัญหาอะไร



ผมก็ยันตัวเองลุกขึ้น ก็คงจะขอกลับห้องตรงนี้ถ้าไม่ติดที่ดวงบังเอิญไปมองกรอบรูปไม่ใหญ่มากที่ตั้งอยู่ข้างๆ จอคอม ในรูปเป็นผู้ชายสองคนยืนยิ้มให้กล้อง หนึ่งในคนนั้นก็คือเดือนสิบถึงแม้ในรูปผมจะสั้นกว่าตอนนี้อยู่มาก แต่หน้าหล่อๆ นั่นไม่มีทางเป็นคนอื่นไปได้หรอกครับ เดือนสิบที่อยู่ในรูปกำลังยิ้ม รอยยิ้มแบบนั้นเป็นแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน สดใสมากๆ ส่วนผู้ชายอีกคน หน้าตาดีไม่แพ้กัน... อะ...



“พี่ชล”



ผมพึมพำเบาๆ เดือนสิบที่นั่งอยู่ข้างหลังจู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืน เรียกความสนใจให้ผมหันไปหา ดวงตาเบิกกว้างขึ้นนิดหน่อยแล้วรีบพูดขึ้นมา



“เมืองเอกรู้จักเหรอ?”




สีหน้าไม่ค่อยเปลี่ยนไปจากเดิม แต่แววตาที่จ้องมาผมรู้สึกได้ว่ามันอยากรู้และอยากได้คำตอบมากๆ ผมเลยหันกลับไปมองรูปอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ พอดูจนมั่นใจมากๆ ว่าใช่ก็เลยหันกลับมา



“เออ โลกกลมเนอะ พี่ชลเขาติวข้อสอบให้กูตอนจะเข้าวิศวะ”




หลังจากที่เดือนสิบได้คำตอบแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยก็ยังคงไม่หายไป เหมือนอยากให้ผมอธิบายอะไรเพิ่มหน่อย ผมก็เลยพูดต่อ



“ก็พี่แกเรียนวิศวะของม.นี้ใช่ไหมล่ะ กูอ่ะอยากเข้าวิศวะของม.นี้มาก แล้วพอดีมีเพื่อนรู้จักกับพี่ชล มันเลยแนะนำให้กูไปติวกับพี่เขา”



ผมพูดหยุดแค่ตรงนี้ เดือนสิบมองหน้าผมนิ่งๆ อยู่แป๊บหนึ่งแล้วเป็นฝ่ายถามผมต่อ



“สนิทกัน?”



“ตอนนั้นก็ใช่มั้ง เรียกได้ว่าแบบรุ่นพี่รุ่นน้อง ช่วงจะสอบเข้ามีอะไรกูก็ปรึกษาพี่ชลตลอดอ่ะ แต่ถ้าพูดถึงช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้คุยกันแล้ว พี่เขาอยู่ต่างประเทศนี่”



เออ พอคิดๆ ดูช่วงนี้ไม่ได้ติดต่ออะไรพี่ชลเลย แต่ก็พอรู้ว่าเขาอยู่ต่างประเทศ แต่จำไม่ได้ว่าประเทศอะไร



“ญี่ปุ่น”



ในระหว่างที่ผมหยุดไปคิด เดือนสิบกลับตอบกลับมาทันทีจนผมต้องหันไปหาคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เริ่มสงสัยว่าสองคนนี้มีความสัมพันธ์กันยังไง คงไม่เสียมารยาทเกินไปรึเปล่าวะ ที่ผมอยากจะถามลองเชิงดู แต่ยังไม่ทันถาม เดือนมหา’ลัยก็เอ่ยปากชวน ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่โซฟา



“นั่งไหม”



ไม่ต้องพูดอะไรมากก็รู้ว่ามันอยากคุยต่อ เรื่องพี่คนนี้...



ผมเดินตามไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตรงข้ามกับตัวที่เดือนสิบนั่งอยู่ ถือเป็นโอกาส เพราะไม่บ่อยที่จะเห็นเดือนสิบมันกระตือรือร้นอยากคุยขนาดนี้



“เคยได้ยินจากชลว่าช่วงนั้นติวให้เด็ก ไม่คิดว่าจะเป็นเมืองเอก”



เดือนสิบมันเคยได้ยินเรื่องผมจากพี่เขา? แถมเรียกพี่ชล แค่ชลเฉยๆ?? +10 ความสงสัย ตกลงสอนคนนี้เป็นอะไรกัน



“แน่ใจนะว่าพี่เขาพูดถึงกูอะ ไม่ใช่พูดถึงรุ่นน้องคนอื่นนะ?”



เดือนสิบมันส่ายหน้าช้าๆ แล้วพูดต่อ



“คิดว่าเป็นเมืองเอก ตอนนั้นชลยอมติวให้แค่คนเดียว ปกติก็ไม่เคยติวให้ใครอยู่แล้ว”



อ้อ ผมเริ่มจะเข้าใจขึ้นมา แต่ยังไม่จบ เดือนสิบยังพูดต่อ



“แล้วชลบอกว่าเด็กที่มาเรียนด้วยหน้าตาดีมาก”



“....”



เอ่อ... กูชักจะเขินๆ



“ดื้อ สอนยาก ชอบเถียงด้วย”



“....”



เริ่มไม่เขินแล้วครับ ตกลงจะชมหรือจะบ่นวะ? จะให้โกรธก็ไม่ได้ เพราะผมเองก็รู้ตัวว่าตัวก็เป็นคนแบบนั้นแหละ ฮะๆ อยากจะหัวเราะประชด เออ เพิ่งนึกขึ้นได้ ผมจ้องตาคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม สงสัยจะจ้องแบบจริงจังไปหน่อย เดือนสิบมันนิ่งจ้องตอบ



“เดือนสิบ”



“....?”



ก่อนที่มันจะเริ่มเอียงคอน้อยๆ เหมือนเป็นสัญชาตญาณของมัน



หน้าตาดีจังวะ ไม่สิ...



“มึงเป็นอะไรกับพี่ชล?”



พอได้ยินคำถาม เดือนสิบไม่ได้ลังเลที่จะตอบเลยสักนิด ปากขยับพูดออกมาหนึ่งคำอย่างเป็นธรรมชาติ



“พี่น้อง”



ผมตอบไม่ได้ว่าตรงหรือเหนือกว่าที่คิดไหม เพราะตัวเองไม่ได้เดาอะไรไว้ตั้งแต่แรก



“อ้อ”



ผมส่งเสียงตอบรับไปเป็นเชิงเข้าใจ แต่ก็อดคิดไม่ได้พี่ชลกับเดือนสิบถึงทั้งคู่จะหน้าตาดีมาก แต่กลับเป็นคนละแบบ ถ้าไม่บอกว่าพี่น้องก็คงไม่มีใครคิดหรอกครับ



“ทำหน้าเหมือนไม่ค่อยเชื่อ”



“หน้ามึงสองคนไม่เหมือนกันนี่หว่า ใครจะไปรู้ล่ะ”



พอผมตอบอย่างนั้น ไม่รู้เพราะอะไรเดือนสิบมันกลับอมยิ้มขึ้นมา แต่ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม ดวงตาคู่นั้นเลิกจ้องผม แล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง ผมไม่รู้เหตุผลที่มันทำแบบนั้นก็เลยลองมองตาม



“ห้องมีอะไรเหรอวะ?”



เดือนสิบหันกลับมา



“ห้องนี้ก็ของชล”



อ่า... เดือนสิบยังคงยิ้ม ทุกครั้งที่มันยิ้ม บรรยายกาศรอบตัวมันจะเปลี่ยนไปนิดหน่อย ดูสบาย อบอุ่น และทำให้คนที่มองรอยยิ้มนั้นรู้สึกมีความสุข เหมือนผมในตอนนี้ ทำเอาเผลอยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว



“อยู่ด้วยกันเหรอวะ?”



“เปล่า”



สั้นเกินกว่าที่ผมตีความอะไรได้เข้าใจ ถ้ามันไม่พูดต่อล่ะก็นะ



“ก่อนหน้านี้ไม่ได้อยู่ที่ห้องนี้หรอก แต่เพราะชลไปญี่ปุ่นแล้วเราเข้าม.นี้ก็เลยมาอยู่ สักพักแล้ว”



จากที่มันเล่า...



“งั้นตอนนี้มึงเลยอยู่คนเดียว?”



คนถูกถามพยักหน้าช้าๆ



“ไม่เหงาเหรอวะ?”



เดือนสิบชะงักไป รอยยิ้มบนใบหน้านั้นค่อยๆ จางลง ก่อนที่จะได้ยินแค่เสียงตอบรับในลำคอเบาๆ



“อืม”

 


"....."










อืม ที่มึงตอบกูตอนนี้ เป็นความหมายไหนกันแน่?


แต่ถ้าจะให้ตีความจากท่าทางมึงตอนนี้ กูจะขอตีว่ามึงเหงาก็แล้วกัน





 ----------------------------TBC-------------------------




สวัสดีค่ะ แงงง ค้างไว้ซะนานขอโทษด้วยค่ะ TTwTT //เพิ่งว่างมาต่อ แง

ตอนนี้ตอนแรกกะจะให้ยากกว่านี้อีกสัก 20% แต่ถ้าอยากให้จบที่ตรงนี้เลยตัดจบค่ะ (ฮา)



ขอบคุุณทุกคนที่ยังติดตามยังรอกันเสมอมานะคะ โดยเฉพาะคนที่คอมเมนต์

รักมากเลยค่ะ <3



แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ^^
 
 

#วิศวะเดือนสิบ
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 12 ไม่เหงาเหรอวะ? ⚙ 22/11/62   
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 22-11-2019 02:07:19
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ   พี่น้องจริง ๆ หรือพี่น้องแบบมโน  เพราะก้าวไปมากกว่านั้นไม่ได้?
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 12 ไม่เหงาเหรอวะ? ⚙ 22/11/62   
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-11-2019 13:47:05
มาช้า ยังดีกว่าไม่มา  :mew1: :mew1: :mew1:
แย้มมาทีละนิดๆ   :z3:
เมืองเอก รุกมากๆหน่อย  :impress2:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 12 ไม่เหงาเหรอวะ? ⚙ 22/11/62   
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 22-11-2019 14:10:38
 :pig4:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 12 ไม่เหงาเหรอวะ? ⚙ 22/11/62   
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 22-11-2019 23:09:01
เป็นอะไรกับชลกันแน่นะ
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 12 ไม่เหงาเหรอวะ? ⚙ 22/11/62   
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 23-11-2019 00:57:00
ชลคือใคร  :undecided:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 12 ไม่เหงาเหรอวะ? ⚙ 22/11/62   
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 23-11-2019 16:24:16
ดีใจที่มาต่อ มาต่ออีกนะรออยู่ :3123:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 12 ไม่เหงาเหรอวะ? ⚙ 22/11/62   
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 25-11-2019 23:11:26
ยังไงสิ
หัวข้อ: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 13 แมสแมส ☽ 50% 15.12.62 
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 15-12-2019 22:30:27
เดือนที่ 13

แมสแมส ☽

 
 

ผมหันหน้าเข้าห้องเดินกลับมาทิ้งตัวนอนลงบนโซฟาเหมือนคนที่ไม่มีแรงจะยืน จริงๆ ก็ไม่ได้เป็นอะไรขนาดนั้นหรอกครับแต่วันนี้เจอเรื่องอะไรหลายๆ อย่างมา และคิดว่าเรื่องมันค่อนข้างหนักพอสมควร



ทั้งโดนตบ ทั้งร้องไห้ ทั้งเครียด เรื่องพี่เอส เรื่องคลิป และผมไม่มั่นใจว่าเรื่องที่ผมเจอในวันนี้จะผ่านไปได้ด้วยดีถ้าผมต้องเผชิญหน้ากับมันคนเดียว ต้องขอบคุณคนที่มาเยือนห้องผมเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา เมืองเอกกลับไปแล้วครับ หลังจากจัดการเรื่องคอมฯเรียบร้อยแล้ว  ห้องก็ตกสู่ความเงียบอีกครั้ง



ผมกวาดสายตา มองรอบห้องของตัวเอง อันที่จริงก็พูดได้ไม่เต็มปากว่ามันคือห้องของผม ของทุกอย่างที่เห็นอยู่ห้องนี้ นอกจากของใช้ส่วนตัวกับคอมพิวเตอร์จริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรเป็นของผมเลย



“...ชล”



ปากเผลอพึมพำชื่อของคนที่อย่าว่าแต่เจอหน้า แค่เสียง หรือแม้แต่ชื่อก็ชลเอง ผมก็ไม่ได้ยินใครเรียกมาสักพักแล้ว ถ้าวันนี้ไม่ได้ไปเจอพี่เอส ก็คงไม่ได้ยินไปอีกนานด้วยซ้ำ เหนือความคาดหมายไปอีกเรื่องก็คือเมืองเอกดันรู้จักชล แล้วมันก็ทำให้ผมเริ่มคิดจริงๆ ว่าโลกแคบเกินไป



“.....”



ผมกัดริมฝีปากตัวเอง พอนึกขึ้นได้แล้วดันรู้สึกโหวงแปลกๆ ในอก พยายามเบี่ยงเบนความสนใจตัวเองเลิกคิดถึงเรื่องเขาจะดีกว่า ผมจ้องโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขกเข้าคู่กับโซฟาที่ผมนอนอยู่



ก่อนหน้าเมืองเอกจะมา ผมเพิ่งใช้มันโทรไปหาเดชองส์ แล้วมันก็จบลงด้วยดี เดชองส์ย้ำกับผมอีกรอบว่าเขาจะไม่ปล่อยคลิป ถึงแม้น้ำเสียงเดชองส์จะไม่พอใจที่ผมโทรมาหาอีก แต่ผมรู้ว่าผมสามารถเชื่อคำพูดเขาได้ เป็นอันว่าตอนนี้ผมพอสบายใจได้เรื่องคลิป



ผมหยิบโทรศัพท์มือถือตัวเอง เปิดเข้าไปในกลุ่มไลน์ ฟลุ๊คกับกวางเมื่อไม่นานมานี้ยังคุยกันเรื่องทั่วไปเป็นปกติ ผมถึงได้แน่ใจว่าทั้งสองคนยังไม่รู้เรื่องอะไร ก็ไม่แปลกอะไร ผมเช็คเพจข่าวดูก็ไม่มีข่าวเกี่ยวกับผมอัพเดท ผมภาวนาขอให้มันเป็นแบบนี้ไปตลอด เรื่องวันนี้ไม่อยากให้เป็นข่าวขึ้นมาจริงๆ



Octb10

18:51 (ฟลุ๊ค กวาง อยู่รึเปล่า?)>



ผมจิ้มโทรศัพท์ พิมพ์ลงไปในกลุ่ม และข้อความนั้นก็ถูกอ่านอย่างรวดเร็วพร้อมการตอบกลับ



MMTEMT:F

<(อยู่) 18:51



ผมไม่แปลกใจที่คุณฟลุ๊คจะเปิดไลน์อ่านเร็วและตอบเร็วขนาดนี้ มันเป็นนิสัยของเจ้าตัวครับ เป็นพวกรำคาญการแจ้งเตือน ถ้าเห็นเด้งจะตอบกลับทันที และ... คุณฟลุ๊คไม่ค่อยห่างจากหน้าคอมฯ รวมทั้งโทรศัพท์มือถือด้วย



MydearDEER

<(อยู่ค่า เนี่ยถึงห้องแล้ว) 18:52




ไม่นานสมาชิกอีกคนหนึ่งก็เข้ามาตอบ ผมยิ้มน้อยๆ ให้ตัวเอง เป็นการเรียกกำลังใจ และตัดสินใจพิมพ์ข้อความลงไปอีกประโยค



Octb10

18:52 (พอดีมีเรื่องอยากจะคุยด้วย กับทั้งสองคน ตอนนี้ว่างคุยไหม?)>


MydearDEER

<(หืมมม เรื่องอะไรอะ คุยได้สิ) 18:52

MMTEMT:F

<(ตอนนี้คุยได้) 18:52

Octb10

18:53 (งั้นโทรไลน์นะ)>

18:53 (เข้ามาได้เลย ทั้งสองคน)>
 




...........

......



ผมเล่าเรื่องวันนี้ให้กวางกับฟลุ๊คฟัง เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ทั้งสองคนนิ่งเงียบไปสักพักได้เลย ก่อนที่กวางจะโวยวายขอเปิดกล้อง เปลี่ยนเป็นวิดิโอคอลแทน รู้ว่ากวางเป็นห่วง ผมไม่ได้เกี่ยงอะไรก็เลยยอมเปิดกล้องคุยกับกวาง พอเห็นหน้าผมกวางก็โกรธมากครับ โกรธแทนผมหมดแล้ว เป็นผมกับคุณฟลุ๊คที่ต้องเคยบอกให้ใจเย็นๆ แทน



“ไม่เป็นไรแล้ว จริงๆ”



[“แน่นะเดือนสิบ?”]



ผมมองกวางที่ยื่นหน้าเข้าใกล้กล้องมากขึ้นเหมือนอยากจะดูแววตาผมว่าผมโกหกรึเปล่า ผมเลยยิ้มให้ บอกไปหลายครั้งแล้วว่าเรื่องจบแล้ว ด้วยดี ไม่อยากให้กวางไปมีเรื่องแทนผม ทั้งกับเดชองส์หรือพี่เอส หรือแม้แต่เมืองเอกที่กวางบอกว่าเขาพาผมไปซวย



[“เดือนสิบแค่มาเล่าให้ฟังเฉยๆ ไม่ได้อยากให้ไปเอาเรื่องหรอก”]



[“ฟลุ๊ค แกโอเคเหรอฮะ ที่เพื่อนโดนตบน่ะ”]



[“โอเคก็บ้าแล้ว แต่เรื่องมันก็จบแล้ว อย่างที่บอกเดือนไม่ได้อยากให้พวกเราไปเอาเรื่องอะไร”]



[“ฉันรู้ แต่ว่า... โอ้ยย โกรธอะ”]



[“แต่ถ้าให้พูดตามความจริง กูว่าเรื่องนี้เดือนสิบมันก็ผิดด้วย”]



[“ฟลุ๊คจะบอกว่าเดือนสิบสมควรโดนเหรอ??”]



[“เปล่า กูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แค่บอกว่าก็ผิดด้วยกันทั้งสามฝ่าย หรือสี่?”]



[“คุณฟลุ๊คคนทรยศ!”]



[“ฟังกูบ้างไหมฮะ”]



[“ไม่”]



ผมนั่งดูเพื่อนสองคนเถียงกันในวิดิโอคอล ถึงแม้คุณฟลุ๊คจะไม่เปิดกล้อง ผมเห็นแค่กวางแต่ก็มั่นใจว่าตอนนี้ฟลุ๊คต้องกำลังขมวดคิ้วเถียงกับกวางอยู่แน่ ผมยิ้มมองเพื่อนทั้งสองคน ไม่ได้ติดใจเรื่องคำพูดคุณฟลุ๊คหรอกครับ ผมก็คิดแบบเดียวกัน



[“เดือนสิบโอ๋ๆ นะ เจ็บไหม”]



ผมกลับมาสนใจเสียงกวางอีกครั้ง ผมส่ายหน้าช้าๆ กวางที่เห็นอยู่ในหน้าจอโทรศัพท์ยกมือขึ้นโบกมือไปมาเหมือนพยายามจะลูบหัวผมผ่านวิดิโอคอล



[“ถ้าต่อจากนี้ใครมาทำอะไรบอกนะ กวางคนนี้จะปกป้องเพื่อนเอง!”]



คราวนี้ผมพยักหน้ารับ ก่อนที่กวางจะบอกให้คุณฟลุ๊คตกลงแบบเดียวกัน รู้สึกดีใจที่เห็นเพื่อนโกรธแทน เจ็บแทน โอ๋ผม แล้วก็เป็นห่วงผมด้วยทั้งสองคน เออ เกือบลืมนึกไป



“เหมือนเรื่องยังไม่เป็นข่าว เราไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้”



พอผมที่นั่งเงียบอยู่นานกลับมาเปิดปากพูดกวางกับฟลุ๊คก็เงียบตั้งใจฟังที่ผมพูดอีกรอบ



“พรุ่งนี้จะใส่แมสไป”



ผมยกแมสสีดำที่ซื้อมาเผื่ออยู่ในซองยังไม่ได้แกะขึ้นมา เรื่องพรุ่งนี้ถ้าใครถามผมจะบอกว่าเป็นหวัด



“รบกวนทั้งสองคนช่วยปิดด้วยนะ”



[“ได้!”]



[“อืม โอเค”]



ทั้งสองคนตอบรับกันอย่างดี จะว่าไปผมก็ลืมบอกเมืองเอกเรื่องให้ช่วงปิดเหมือนกัน ไม่ค่อยแน่ใจเรื่องนิสัยของเขา เพราะผมก็ไม่ได้รู้จักเขาขนาดนั้น แต่ก็ไม่คิดว่า... เมืองเอกจะเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครต่อใครฟัง



อ้อ จริงสิ



“คุณฟลุ๊ค เราได้กระเป๋าเงินคืนแล้วนะ เงิน 500 เดี๋ยวโอนคืนให้เลย”



[“อ่า”]



“ขอบคุณมากนะ ...แล้วพรุ่งนี้ไปกินซูชิกันไหม?”



[“หืม?”]



คุณฟลุ๊คส่งเสียงถามในลำคอ เหมือนว่าเขาจะลืม ผมเคยบอกฟลุ๊คเมื่อนานมาแล้ว ว่าจะเลี้ยงซูชิ ตั้งแต่คราวที่เขาขับรถพาผมกลับไปเอาแว่นที่คอนโดเมื่อตอนนู้น



“ที่เคยบอกจะเลี้ยงไง ที่ขับพาไปเอาแว่น”



[“อ้อ”]



พอเริ่มอธิบายก็เหมือนจะนึกขึ้นได้  แล้วเสียงของกวางที่นั่งตาแป๋วจ้องผมอยู่นานแล้วดังขึ้นมาอีกคน



[“แล้วตัวเค้าล่ะคะเดือนสิบ?”]



[“เลี้ยงตัวเอง”]



เสียงของอีกคนที่แทรกขึ้นมาแทนคำตอบของผม ผมขำเบาๆ ในขณะที่กวางเริ่มโวยวายอีกครั้ง



--------------------------



SuperMoon paparazzi

วันนี้น้องเดือนสิบเดือนมหาลัยเปลี่ยนลุคค่าาาาา แมสดำตัดกับผิวหน้าขาวๆ มากๆ นี่ขนาดโดนบังไปครึ่งหน้าออร่าความหล่อยังเอ่อล้นท้วมท้นมาก ปังๆ มากค่ะ //////

แฮร่ๆ แต่จริงๆ แล้วสายรายงานมาว่าน้องเดือนสิบเป็นหวัดนะคะ :’-(

พักผ่อนเยอะ ๆ หายไวๆ นะคะคนหล่อดูดีศรีมหาลัย /////////

ป.ล.รูปวันนี้สวยใช่ไหม? ชั่ยยยย เพราะไม่ได้แอบถ่าย เพื่อนคณะน้องถ่ายมาให้ค่า ขอตัวไปเสพ---- **

 


“ก็ว่าทำไมวันนี้เช็คบ่อย นึกขึ้นได้แล้ว”



ผมหันมองเจ้าของเสียงทุ้มโทนปกติของผู้ชายที่นั่งอยู่บนเบาะคนขับข้างๆ รถติดไฟแดงอยู่ครับฟลุ๊คถึงได้หันมาดูได้ว่าผมดูอะไรอยู่ในโทรศัพท์ ที่นั่งมองรูปที่ตัวเองถูกถ่ายจากมุมหันข้างให้กล้องอยู่นี่ไม่ใช่อะไรหรอกครับ แค่ยังกังวลเรื่องเมื่อวาน ว่าจะมีข่าวไหม เลยเปิดเพจเช็คบ่อยๆ แต่โล่งใจที่ไม่มีอะไร



“ว่าแต่รูปนี้สวยนะ ใครถ่าย กวางเหรอ?”



คนข้างๆ ถามขึ้นมา ยังไม่ทันจะตอบผู้หญิงที่ตอนแรกนั่งไถโทรศัพท์ก็เงยหน้าขึ้นมา เกาะหลังเบาะคนขับแล้วส่ายหน้า



“เปล่าๆ รู้สึกจะเป็นเฟรนที่ถ่ายนะ ใช่ไหมรูปนี้?”



กวางหันกลับมามองผมเพื่อยืนยันคำตอบ ผมเลยพยักหน้ารับว่าใช่แล้ว เฟรน เพื่อนผู้ชายอีกคนที่เรียนร่วมคณะกัน



“แต่ตกใจ เฟรนมาถ่ายผู้ชายเล่นด้วย นึกว่าจะไม่ถ่ายอย่างอื่นนอกจากพริตตี้ คิกๆ”



กวางว่าพลางหัวเราะเบาๆ ฟลุ๊คที่กำลังขับรถดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจ เพื่อนที่นั่งคนเดียวบนเบาะหลังถึงได้อธิบายเพิ่ม



“แกไม่ค่อยเล่น IG คงไม่รู้สินะฟลุ๊ค IG เฟรนรูปพริตตี้เป็นร้อยเลยแหละ อ๊ะๆ ตาวาวๆ”



ส่วนประโยคหลังคงแค่แกล้งแหย่ฟลุ๊คเล่น



“น่าสนใจ”



“วรั้ย!”



“ล้อเล่น”



ผมมองเพื่อนสองคนที่หยอกเล่นกันนิดหน่อยก่อนที่ฟลุ๊คจะกลับเข้าโหมดขับรถจริงจังเพราะไฟเขียว กวางก็กลับไปนั่งจิ้มโทรศัพท์เหมือนเดิม ตอนนี้พวกเรากำลังมุ่งไปห้างใจกลางเมืองกรุงครับ กินซูชิตามที่คุยกันไว้เมื่อวาน แล้วก็ถือโอกาสเดินเที่ยวเล่นกันด้วยเลย



ผมที่ไม่มีอะไรทำระหว่างนั่งก็เลยเลื่อนอ่านคอมเมนต์ในเพจนั้นเล่น ส่วนใหญ่ไม่มีอะไร ก็เป็นพวกหวีด อวยพรขอให้หายไวๆ แล้วก็แท็กเพื่อนกัน แต่... มีหนึ่งคอมเมนต์ที่สะดุดใจผมจนขมวดคิ้วแน่น



RARA OLIVUAAA : ที่แก้มเหมือนเห็นมีรอยอะไรรึเปล่านะ?



ผมเลื่อนกลับขึ้นไปดูรูป ถ้าไม่มองหาจริงๆ คนไม่เห็นเพราะมันนิดเดียวเอง แมสผมปิดเกือบหมด ขนาดวันนี้เพื่อนที่อยู่ด้วยกันในคณะยังไม่มีใครทักเลยครับ... น่ากลัวจริงๆ ดีนะที่เมนต์นี้ไม่มีใครเห็นไม่มีใครสนใจ เพราะถูกเมนต์อื่นๆ ดันจนตกลงมา



ผมถอนหายใจ และเพื่อนที่นั่งอยู่ในรถคนเดียวกันอีกสองคนได้ยิน ผมก็เลยส่ายหน้าไป เรื่องแค่นี้เอง คงไม่มีอะไร



เพราะห้างค่อนข้างใกล้กับมหา’ลัย พวกผมถึงได้มาถึงเร็ว แต่ก็ยังต้องใช้เวลาสักพักในการหาที่จอดและบวกกับเวลาเย็นคนเริ่มทยอยมากินข้าว ร้านซูชิแบบสายพานชื่อดังถึงได้มีคนต่อรอคิวอยู่พอสมควร แต่ไม่ใช่อุปสรรคอะไรใหญ่โต



ผมกับเพื่อนอีกสองคนเลือกโต๊ะ นั่งรอหยิบซูชิที่สั่งไปบนสายพาน ผมก็ไม่ได้สินใจอะไรจนกระทั่งกวางทักขึ้นมา



“ฟลุ๊คแกมองอะไรอะ?”



ไม่ถามเปล่า กวางกับผมก็หันไปมองตามทางที่ฟลุ๊คจ้อง และทางนั้นมีโต๊ะที่นั่งได้สองคนอยู่ คนที่โต๊ะนั้นเป็นผู้ชายใส่ชุดนักศึกษาม.เดียวกับผม ตรงข้ามกันก็เป็นผู้หญิงผมตรงยาวสวยเชียว แต่ไม่เห็นหน้าครับเพราะนั่งหันหลังให้ ว่าแต่... โต๊ะนั้นมีอะไรเหรอ?




“คนรู้จัก?”



พอผมพูดบ้างฟลุ๊คก็เลิกมอง หันมาหยิบซูชิปลาแซลม่อนบนสายพานที่ผ่านมา แล้วส่ายหัวเบาๆ



“พี่ชายกูเอง”



อ้อ ที่แท้ก็พี่ชาย



“อ้าว ฟลุ๊คมีพี่เรียนอยู่ที่ม.เราด้วยเหรอ ไม่เห็นบอกเลย คณะอะไร? ปีไหน?”



อันนี้ผมเห็นด้วยกับกวางครับ เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก เรื่องพี่เขา ฟลุ๊คเทโชยุใส่ถ้วยน้ำจิ้ม แล้วคีบซูชิแซลม่อนสีส้มขึ้นมา



“อยู่วิศวะปี 2”



กวางพยักหน้าหงึกหงักพร้อมกินบ้าง



“ยืมเงินกูไป 1000 ยังไม่คืน มาแดกซูชิกับสาวหน้าตาเฉย”



ก็ว่า...



“ก็ว่าทำไมจ้องเหมือนจะเดินเข้าไปเด็ดหัวพี่เขามาจิ้มโชยุกินแทนแซลม่อน”



กวางพูดแทนหมดแล้วครับ ผมเริ่มกินบ้างดีกว่า ฮะๆ



.............



ก็ใช้เวลากินไม่นานเท่าเวลาที่เขาจำกัดไว้หรอกครับ เพราะพวกผมกินเร็วอิ่มเร็ว เกรงใจไม่อยากนั่งแช่ด้วย นอกร้านมีคนรออีกหลายคนก็เลยพากันออกมา เดินเล่นดูของนั่นนี่ แต่จริงๆ แล้วก็มีเป้าหมายอยู่ที่ร้านหนังสือใหญ่



“ดูนิยายเหรอ?”



ผมเอ่ยถามคุณฟลุ๊คที่เดินดุ่มๆ เข้าไปในร้าน คนถูกถามพยักหน้าแล้วตอบกลับมา



“มาดูว่าเข้ารึยัง ถ้ายังจะได้สั่งเลย”



ผมโคลงหัวตอบรับไป เดินไปดูหนังสือบ้างเผื่อมีอะไรน่าสนใจ ส่วนกวาง... รายนั้นเข้าโซน*มังงะ BL ไปแล้ว

(*หนังสือการ์ตูน)



ผม กวาง แล้วก็ฟลุ๊คจะเรียนเอกภาษาญี่ปุ่นด้วยกันทั้งสามคนครับ เราสามคนมีพื้นฐาน ตอนคุยๆ กันแล้วรู้ รวมทั้งเรื่องความชอบด้วย ก็เลยเกาะกลุ่มได้เร็ว ถึงปีหนึ่งจะยังไม่เรียนแยกไปตามแต่ละเอก ทั้งยังไม่แน่ใจกันหมดว่าจะสามารถเข้าเอกภาษาญี่ปุ่นตามที่หวังกันได้ไหม



อย่างที่บอกคนก็อยากจะเข้าเยอะกลัวโดนเบียดตกออกมาเหมือนกัน



ถ้าไม่ได้เรียนก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง... ภาษาญี่ปุ่น...  ชลตอนนี้ก็อยู่ที่นั่นนี่นะ เป็นยังไงบ้างนะ



“เดือนสิบ”



ผมสะดุ้ง เผลอเหม่อไปหน่อย หันไปมองทั้งกวางและฟลุ๊คที่ยืนอยู่ข้างๆ



“เอาไรไหม จะได้ไปจ่ายเงินทีเดียว”



ผมส่ายหน้าตอบแล้วเดินตามเพื่อนไปที่เคาน์เตอร์



พอออกจากร้านหนังสือ พวกผมก็ตัดสินใจแยกย้ายกันกลับบ้านครับ หนึ่งคือเริ่มมืดฟลุ๊คอย่างที่บอกรักบ้านยิ่งชีพ นานๆ ทีจะออกมาเที่ยวอะไรแบบนี้กับเพื่อน เขาไม่อยากกลับดึก ตอนแรกเลยว่าจะขอกลับก่อนถ้าผมกับกวางยังอยากเที่ยวอยู่ แต่ไปๆ มาๆ ก็กลับกันหมด แต่ขากลับไม่ต้องกลับด้วยกันแล้วก็ได้ เพราะห้างติดรถไฟฟ้าคอนโดผมขึ้นรถไฟฟ้าก็ถึง กวางก็เหมือนกันแต่พอดีเป็นทางผ่านทางกลับบ้านของฟลุ๊คพอดีเลยไปด้วยกัน



แยกกันแล้วเหลือผม ตอนแรกจะกลับแต่ลืมไปว่าตัวเองมีของที่ต้องซื้อเลยเดินต่อ มองนู่นมองนี่ไปเรื่อย แล้วผมก็รู้สึกว่าตัวเองมีคนมองเยอะ แปลกใจเหมือนกัน ถ้าเป็นปกติมาเดินห้างหรือไปไหนผมค่อนข้างถูกคนมองบ่อยๆ คิดว่าเป็นเพราะหน้าตา แต่นี่ใส่แมสอยู่ ก็ไม่คิด... ว่าทำไมคนถึงยังมองกันไม่ต่างจากตอนถอดแมสเท่าไหร่



อ้อ... นอกจากมองแล้ว ถ้ามากันเป็นกลุ่มเพื่อน ส่วนใหญ่จะหันมองแล้วไปซุบซิบๆ หัวเราะคิกคักกันกับเพื่อน โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงวัยรุ่น ผมไม่ได้ยินบ้าง ได้ยินบ้าง แต่ทุกครั้งที่ได้ยินก็จะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินนะ เหมือนตอนนี้



“หูยยย แกเห็นนั้นป่ะ สูงจัง ขาวด้วย”



“ขนาดปิดหน้ายังรู้ว่าต้องหล่อมากแน่ๆ” 



“ยังไม่ทันเห็นหน้าเลยมโนไกลแล้ว”



อันนี้กดถูกใจให้ได้ผมกดให้เลยครับ



“ไม่ๆ ไม่ต้องเห็นทั้งหน้าก็รู้อะว่างานดี ไม่เชื่อดู”



ดูอะไรครับ



“มัทฉะลาเต้ค่ะ”



พนักงานผู้หญิงยิ้มให้ผม กว้างแบบมากๆ พร้อมถามต่อ



“เจาะเลยไหมคะ?”



ผมหงกหัวลงเบาๆ จะยิ้มกลับแต่ลืมว่าปิดแมสอยู่ ไม่ดีกว่า ผมเห็นตอบตกลงพนักงานก็ดึงหลอดเจาะให้ผมอย่างคล่องแคล่วเสียอย่างเดียว เจาะส่งให้ผมแล้วยังยิ้มจ้องหน้าไม่เบนสายตามองไปไหน ทั้งๆ ที่ลูกค้าหน้าร้านที่รอออร์เดอร์อยู่ก็เยอะแยะ



“ดูนะๆ”



เสียงจากผู้หญิงกลุ่มเดิมดังแว่วๆ เข้ามา แต่ผมเลิกใส่ใจแล้ว กำลังจะดูดชาเขียวในมือถ้าไม่ติดที่...



...หลอดพลาสติกแตะไม่โดนปาก...



“....”



ผมยืนนิ่งขำในใจกับความโง่ของตัวเองอยู่พักหนึ่ง ไม่ใช่อะไร เขินด้วย พนักงานที่จ้องอยู่ยังยิ้มขำเลย ผมส่ายหัวอีกรอบ ตัดสินใจหมุนตัว จะเดินออกจากร้านแล้วเพราะไม่อยากเปิดแมสตรงนี้ อาย



แต่ว่า...



“เด๋อ”



คำสั้นๆ คำเดียวที่พูดใส่หน้าตอนผมหมุนตัวกลับทำให้ตัวเองเผลอจ้องตาคนพูด ไม่แปลกใจว่าใครเป็นคนพูด แต่แปลกใจว่าทำไมเจอกันอีกแล้ว ยังไม่ทันได้คิดอะไรมากกว่านี้ คนตรงหน้าก็ยกมือขึ้นมาดึงแมสสีดำของผมออกโดยไม่ขออนุญาต



“เอ้า ดูดได้แล้ว”



“....”

 



“ไอพิ๊มมมมม เชี้ย แม่---------  โคตรหล่อ”



“อยากงับสันจมูก ------------ ”



“คนไหนดี”



“ทั้งสอง!”




 

...อื้อ ไม่ต้องพูดให้ผมได้ยินทุกประโยคก็ได้

 

 



“ผมหล่อกว่า”


 





คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าหันกลับไปมองผู้หญิงกลุ่มนั้น แล้วยิ้มหว่านเสน่ห์ซะจนพวกเธอชะงัก ไม่รู้เพราะเมืองเอกมันหล่อ หรือเพราะตกใจที่คนที่ตัวเองหวีดอยู่ได้ยินกันแน่

 

คำสั้นๆ แต่เล่นเอาผมคิ้วกระตุก ...ขี้เกียจจะทำอะไรก็เลยยกแก้วมัทฉะขึ้นมาดูดนิ่งๆ แล้วมองหน้าไอ้คนที่บอกว่าตัวเองหล่อกว่า อยู่ๆ ในหัวก็เกิดคิดอะไรขึ้นได้ ผมละปากออกจากหลอดสีดำ แล้วหันหน้ามองกลุ่มผู้หญิงกลุ่มนั้นที่ยังไม่เลิกมองมา



“แต่...”



ผมพูดออกมา เรียกความสนใจจากผู้ชายข้างตัวมาได้เหมือนกัน ผู้หญิงกลุ่มนั้นเหมือนเห็นผมมองไปพวกเธอเลยให้ความสนใจ ว่าผมจะพูดอะไรต่อ



“คะ?”



“ผมเป็นเดือนมหา’ลัย”



พูดเรียบๆ พลางชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง



ไม่รู้คนข้างตัวจะแย่งน้ำในมือผมมาสาดผมไหมรีบชิ่งก่อนดีกว่า




----------------------------50%----------------------------





"พิมปล่อยกูววววว กูจะตามเขาไป แล้วบอกกับเขาว่าแต่งค่ะ!"

----------

#วิศวะเดือนสิบ
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 13 แมสแมส ☽ 50% 15.12.62   
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 15-12-2019 23:11:23
อย่าไปแยกคู่เขาเลย ชะนีน้อย  :z1:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 13 แมสแมส ☽ 50% 15.12.62   
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 15-12-2019 23:32:15
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 13 แมสแมส ☽ 50% 15.12.62   
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 15-12-2019 23:40:03
จ้ะ เดะก้อได้กันเนาะ
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 13 แมสแมส ☽ 50% 15.12.62   
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 16-12-2019 22:42:45
 :m26: สุ้บสิ้บๆๆ
หัวข้อ: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 13 แมสแมส ☽ 100% 26.12.62
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 26-12-2019 20:39:35
เดือนที่ 13
แมสแมส ⚙
 


 

--------------------[100%]--------------------



⚙ เมืองเอก พาร์ท ⚙





“ทำไมทำหน้าบูดขนาดนั้นวะ?”





ผมเงยหน้าจากโทรศัพท์มองตามเสียงที่ดังรบกวนหู ตอนแรกก็งงนะว่ามันพูดถึงใคร แต่พอเห็นหน้าไอ้แรปแล้วถึงได้รู้ว่ามันพูดถึงผมเนี่ยล่ะ





“หมายถึงกูเหรอวะ?”





 “เออดิ”





ถามซ้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ แต่ความจริงผมค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำหน้าบูดเป็นตูดหมาอย่างที่มันว่า แต่ไอ้แรปมันยังยืนยันว่าอย่างนั้น ผมเลยขมวดคิ้วเถียงมันต่อ





“กูไม่ได้ทำหน้าบูด”





“มึงทำหน้าเหมือนอยากต่อยคน”





ประโยคนี้แรปมันไม่ได้พูด แต่เป็นเบศเพื่อนผมอีกคนที่นั่งก้มหน้าก้มตาจดเนื้อหาที่อาจารย์กำลังบรรยาย ไม่รู้ว่ามันหันมามองผมตอนไหนถึงได้รู้ว่าผมทำหน้าอย่างที่มันว่า





แรปมันเดาะลิ้นดีดนิ้ว แล้วพูดว่า “ถูกต้อง” ใส่ไอ้เบศ เห็นดีเห็นงามกันไปทั้งคู่ ผมถึงได้ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วส่ายหัวให้พวกมันทั้งสองตัว





“อยากต่อยพวกมึงเนี่ยแหละ”





“หูยยย น่ากลัววววอ๊าาา”





ดูมัน ดูมันทำ ไอ้แรปมันทำหน้ายียวนกวนต้นตีนอยู่ ห้องบรรยายไล่เป็นสโลปครับ แล้วมันก็นั่งอยู่ข้างล่างผมหนึ่งแถวเล่นเอาผมอยากจะยื่นขายาวๆ ของตัวเองไปสะกิดมันซะเหลือเกิน องศามันได้





“เหี้ยเมืองเอก!” 





อ้าว ขาไวกว่าความคิด ผมยกยิ้ม หัวเราะหึใส่มัน





แต่ก่อนที่ไอ้แรปมันจะโวยวายหนักกว่าเดิม เบศมันเงยหน้าละจากสมุดจดขึ้นมามองผมสองคน





“ถ้าพวกมึงยังไม่หยุดตีกันกูจะเรียก TA มาเก็บพวกมึง”



 

ไอ้แรปกะพริบตามอง ส่วนผมนี่แอบดีใจแล้ว ในที่สุดคุณพ่อก็ดุ ทำให้มันก็หมดโอกาสเอาคืนผมอย่างแน่นอน





“ตั้งใจเรียนหน่อยเหอะเพื่อน หรือถ้าไม่ได้ กูขอ... อยู่เงียบๆ อีก 20 นาทีก็หมดคาบแล้ว ทนๆ เอาหน่อย”





แรปมันยอมหันกลับไปบ่นงุ้งงิ้งๆ กับเพื่อนที่นั่งข้างๆ มัน เป็นอันว่าจบสงคราม ผมที่ไม่คิดจะตั้งใจตามที่ไอ้เบศมันบอกก็เลยคว้าโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะมานั่งเล่นแทน แล้วก็อดไม่ได้ที่จะ... อืม เข้าเพจ SuperMoon paparazzi เป็นรอบที่ 5 ของวันได้แล้วมั้ง





ก็ว่าจะเข้ามาดูแบบผ่านๆ เฉยๆ ถ้าไม่ติดที่รูปที่โพสล่าสุดเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาไม่มาดึงความสนใจ..





รูปเดือนมหา’ลัย นั่งหันข้างให้กล้องใบหน้าขาวๆ กว่าครึ่งถูกปิดไว้ด้วยแมสสีดำ เพราะรูปนี้มันไม่ใช่รูปแอบถ่าย องค์ประกอบ สี มีเบลอหลังอีก ทุกอย่างๆ มันเลยดูดีไปหมด ผมมองอยู่นานก่อนจะเลื่อนกลับไปอ่านแคปชั่น





‘สายรายงานมาว่าน้องเดือนสิบเป็นหวัด’






ผมเลิกคิ้ว ก็พอจะรู้เหตุผลว่าทำไมมันใส่แมส แต่ก็เริ่มสงสัยแล้วเหมือนกัน ว่าตกลงมันเป็นหวัดจริงๆ หรือเปล่าวะ? เมื่อวานก็ยังเห็นดีๆ อยู่...





“ดูอะไรอยู่เหรอวะ?”





ประโยคคำถามจากคนที่ผมคิดว่ามันจะเรียนเอาโล่ไปฝากพ่อ เออ ไอ้เบศนั่นแหละครับ ผมหันไปหาก็เห็นว่ามันกำลังสนใจโทรศัพท์ผมอยู่ ก็ไม่อะไรตอบกลับไปสั้นๆ





“เช็คเฟซ”





“เพจนี้อีกแล้วเหรอ?”





“เออ”





ตอบแบบปัดๆ ไป คงเป็นเพราะมันเห็นว่าปกติผมไม่เข้ามาดูล่ะมั้งครับ พอวันนี้มาดูถี่ๆ ก็เลยแปลกใจ แต่ก็ดีแล้วที่นอกจากอัพภาพ ข่าวเรื่องที่เดือนสิบมันโดนเมื่อวานก็ไม่มีเลย ซึ่งผมก็ขอให้มันเป็นอย่างนี้ไปได้ตลอด ดีแล้วไม่งั้นมันคงต้องมานั่งเครียดหนักกว่าเดิมอีก



 

พอสบายใจผมเลยเปลี่ยนไปเล่นเกม ROV แทน จบไปเกมหนึ่งก็พอดีล่ะครับ อาจารย์ปล่อย คนในห้องเริ่มทยอยขยับลุกบ้าง เก็บของบ้าง ปลุกเพื่อนที่ไปเฝ้าพระอินทร์ให้กลับมาบ้าง ผมที่ไม่ได้มีของอะไรให้เก็บก็เลยนั่งรอไอ้เบศเก็บอุปกรณ์การเรียนของมัน





“เออ วันนี้มึงจะไปไหนกันเปล่าวะ?”





เบศมันหยุดคิดยังไม่ทันได้ตอบส่วนไอ้แรปมันก็โดดดึ๋งมาเกาะขอบโต๊ะ





“กูนัดเตะบอลกับพวกพี่เฟิร์สไว้ว่ะมาไหม?”





อ้าว วันนี้ไอ้แรปไม่ไปตี้แฮะ ก็อย่างว่าออกท่องเที่ยวทุกวันมันต้องมีพักทำอย่างอื่นบ้าง





“กี่โมง”





“นัดไว้ห้าโมง แต่เดี๋ยวกูจะไปแดกข้าวก่อน”





“กูขอผ่านแล้วกัน”





ไอ้เบศมันตอบ รายนี้แม่งไม่ค่อยชอบออกแรงเยอะตัวมันถึงได้แห้งขนาดนั้น แรปมันพยักหน้าโบกไม้โบกมือให้เป็นเชิงว่าแล้วแต่มึงเลย ก่อนที่มันจะหันมานั่งจ้องหน้าเท้าคางกับโต๊ะมองผม





“แล้วมึงอะเมืองเอก สนป่ะวะ ถ้ามึงมาพี่เฟิร์สจะต้องปลื้มมากแน่ๆ”





“กูไปแล้วเกี่ยวอะไรวะ”





นั่นเป็นสิ่งที่ผมสงสัย ไอ้แรปมันยิ้มแล้วชี้นิ้วมาที่หน้าผม





“วันนี้เตะกับคณะวิทยา แล้วก็ได้ข่าวว่าเดือนคณะวิทยาจะมาเตะด้วย นอกจากนั้นแล้วถ้ามึงไปก็จะมีเดือนวิศวะเพิ่มมาอีกหนึ่ง สาวๆ ข้างสนามจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่า พี่เฟิร์สมันจะได้มีโอกาสสอยสาวๆ ข้างสนามมาสักคนไง”





อ๋อ





“งั้นกูไม่ไป”





เป็นอันว่าจบเรื่องบอล ผมผ่าน ไอ้เบศผ่าน ไอ้แรปมันก็ไม่ได้ตื๊อจะให้ไปอะไร





“แล้วมึงไม่ไปหารินเหรอ?”





คนที่เพิ่งเก็บกระเป๋าเสร็จหันมาถาม ผมถึงกับชะงักกับคำถามมัน ยังไม่ทันตอบไอ้แรปมันก็แทรกขึ้นมา





“เออ กูลืมไป มีแฟนให้ไปคอยดูแลนี่หว่า”





“วันนี้กูไม่ไป”





“อ้าว?”





ไอ้แรปเหวอ ก็ไม่แปลกเพราะปกติช่วงนี้ผมเลิกเรียนก็ไปหารินที่คณะอักษรตลอด เห็นผมตอบแบบนี้มันเลยงง ส่วนเบศมันเริ่มเดาได้เลยถามผมต่อ





“ทะเลาะกับรินเหรอวะ?”





“ไม่ได้ทะเลาะ”





ตอบพร้อมๆ กับที่มันลุกผมก็เลยลุกตาม แล้วพากันเดินออกจากห้อง แรปมันก็เดินตามเผือกอยู่ข้างหลัง





“ไม่ได้ทะเลาะอะไรล่ะ กูพูดถึงชื่อรินปุ๊บ...ดูมึงทำหน้า”





“อ๋อ ที่แท้เรื่องหน้าบูดของมึงเนี่ยเพราะทะเลาะกับรินเหรอวะ?”





ฝ่ายสนับสนุนที่แทรกหน้าเข้ามาตรงกลางระหว่างผมกับไอ้เบศว่า ผมเลยลองมาคิดๆ ดู ว่าสรุปแล้วตัวเองทำหน้าอย่างที่ไอ้แรปบอกจริงๆ เหรอวะ? ขนาดนั้นเลย? ส่วนเรื่องไอ้ทะเลาะไม่ทะเลาะอะนะ...   





“กูอะไม่ได้ทะเลาะ รินต่างหากที่งอนกู ไอ้ขอโทษอะขอโทษไปแล้ว แต่ถ้ายังไม่หายกูก็ไม่ง้อแล้ว เหนื่อย”





ก็อย่างที่ผมว่าอะครับ เรื่องมันเกิดจากเมื่อวาน จำได้ไหมที่ผมทักไปขอโทษเรื่องที่ไม่ได้ไปดูรินซ้อมแล้ว หลังจากนั้นก็มีเรื่องเดือนสิบ ผมแม่งก็ยุ่งๆ เรื่องของมันไง ก็เลยไม่ได้ดูโทรศัพท์ พอจบเรื่องเดือนสิบ... ก็ยอมรับว่าลืมรินไปเลย เข้าห้องได้ก็ไปนั่งเปิดคอมฯเล่นเกม รู้ตัวอีกทีก็นั่นแหละครับ โดนโกรธ โดนงอน ว่าไม่สนใจ ว่าไม่ตอบไลน์ ไม่ตอบไอจี ผมก็ทักไปขอโทษแล้ว ไร้การตอบรับใดๆ ก็เลยรู้ว่ายังงอนอยู่





“เอาน่าเมืองเอก ผู้หญิงก็อย่างนี้แหละ มึงต้องหัดง้อเยอะๆ เอาใจเยอะๆ”





“เออ แต่ถึงมึงไปหาก็ไม่ได้อะไรอยู่แล้วป่ะ ก็รินมีซ้อมลีดฯคณะเลิกดึกตลอดนี่”





....ผมเหล่สายตามองไอ้เพื่อนสองคน คนหนึ่งบอกง้อ คนหนึ่งบอกไปหาก็ไม่ได้อะไร ขอบคุณความขัดแย้งที่ลงตัวแล้วพอดีนี้





“มึงพูดเกินไปปะวะแรป อย่างน้อยไปหาก็ยังมีเวลาอยู่ด้วยกันนะเว่ย ก่อนซ้อมหลีดก็ได้ไปกินข้าว”





“แต่ที่กูพูดมันก็จริงนะ มึงจะให้ไอ้เมืองเอกเอาแต่ไปเฝ้าเมียเหรอวะ ผู้ชายมันก็ต้องมีอิสระกันบ้าง”





ยังไม่ได้เป็นเมียครับเพื่อน มึงอย่าเปลี่ยนสถานะได้ไหมวะ





“กูก็ไม่ได้บอกให้มันไปเฝ้าตลอดเวลานี่ แค่บอกว่าให้ไปหาบ้าง”





“เมืองเอกมันก็ไปหาตลอด แค่วันนี้เปล่าวะที่มันไม่ได้ไป”





“แค่วันนี้แต่มันอยู่ในช่วงที่ผู้หญิงงอนไง ถ้าไม่รีบง้อเดี๋ยวก็เป็นเรื่องใหญ่”





“กูว่ามึงยอมผู้หญิงมากไปแล้วนะเบศ”





“อ้าว แล้วทำไมพูดเหมือนเป็นเรื่องของแฟนกู...”





“กูหมายถึงนิสัยของมึงต่างหาก”





“พวกมึงใจเย็นนะ”





ผมว่าชักไปกันใหญ่ ก่อนที่มันจะเถียงกันเรื่องของผม แล้วลากพากันไปเถียงเรื่องอื่นยาวไปมากกว่านี้ ผมเลยต้องแทรกกลางห้ามทัพ





ก็ไม่ได้ห้ามยากเท่าไหร่หรอกครับ ผมรู้ว่ามันก็เถียงกันไปงั้น ไม่ได้จริงจังขนาดจะเอาไปทะเลาะกันหรอก พอเดินลงมาจากตึกได้ไอ้แรปก็ขอแยกย้ายไปหาข้าวกินก่อนจะไปเตะบอลกับพวกพี่เฟิร์ส ถึงในใจผมจะคิดว่ากินอิ่มๆ แล้วไปเตะไม่จุกเหรอวะ? แต่ก็ปล่อยมันครับ เชื่อว่าไอ้แรปมันมีความสามารถพอ กลับมาที่พวกผมสองคนที่ยืนโง่ๆ นิ่งๆ อยู่หน้าตึก ไอ้เบศมันหันมามองผม





“แล้วตกลงมึงยังไง?”





อันนี้ผมถามมัน เพราะตัวเองก็ยังยืนยันความคิดเดิม วันนี้ผมไม่ไปหาริน เพราะงั้นว่าง...





เบศมันทำท่าครุ่นคิดอยู่แป๊บหนึ่งเเล้วตอบมา





“กู...  ไปตัดผมดีกว่า”





..........





จบประโยคนั้นไอ้เบศมันก็ย้ายร่างตัวเองขึ้นมานั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้ผมแทนรินเรียบร้อย มันบ่นว่าผมเริ่มยาวแล้ว ผมก็เลยอาสาพามันไปตัดผมที่ห้างแถวนี้แหละครับ เห็นมันบอกว่ามีร้านประจำมันมาตัดบ่อย แต่พอไปถึง... โอ้โห คนอย่างเยอะ ร้านมันคงดีจริง ไม่งั้นคนไม่นั่งรอกันเยอะขนาดนี้หรอก





“เมืองเอก กูว่าอีกนานว่ะ มึงไปหาข้าวกินก่อนป่ะ”





จริงๆ ก็เห็นด้วยกับมันนะ





“แล้วคิวมึงเอาไง”





จองคิวไว้แล้วด้วย เกิดตอนนั่งกินๆ อยู่ถึงคิว เรียกไม่มาก็จบ





“รีบกินรีบมาไง แต่กูก็ว่าอีกนานอยู่ดีอะ เหลือเฟือ”





ถ้ามันว่างั้นก็ตามนั้นแหละครับ ผมกับไอ้เบศเลยย้ายจากร้านตัดผม เดินเข้ามาในร้านอาหารญี่ปุ่นแทน ก็... ไม่รู้จะกินอะไร ร้านอาหารญี่ปุ่นมันเยอะ หาง่ายดี ก็เลยเข้ามา...





“นั่งไหน?”





“กูชอบนั่งริมกระจกว่ะ”





“ตามใจมึง”





ผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว เพราะงั้นเลยเดินตามไอ้เบศไปนั่งโต๊ะริมกระจกพอสั่งเสร็จอะไรเสร็จระหว่างที่รออาหารมาไอ้เบศมันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น ส่วนผมก็จะทำงั้นนะแต่บังเอิญ... บังเอิญมากที่พอมองผ่านกระจกออกไปดูวิวนอกร้านแล้วเห็น...





ร้านขายชาไข่มุก คนเยอะเหี้ยๆ ถึงแม้แก้วหนึ่งจะราคาไม่ต่ำกว่าร้อย แต่คนก็ยังเยอะ.. ผมโคตรโชคดีที่ไม่ได้ตกเป็นทาสของไอ้เครื่องดื่มนี่... 





อ... เดี๋ยวนั่นมัน





“เบศ...” 





“หือ?”





“เดี๋ยวกูมา”





พอบอกเสร็จผมก็ลุกเดินออกจากร้านมา ตามองไปยังร้านชาไข่มุกร้านเดิมกับที่มองเห็นจากในร้าน แล้วผมก็เห็นคนตัวสูงคนหนึ่งยืนรอออร์เดอร์อยู่แถวๆ เคาน์เตอร์ แมสสีดำยังปิดบังใบหน้า แต่ท่าทาง รูปร่างและดวงตาคู่นั้น ทำให้ผมแน่ใจว่าเป็นคนที่ผมคิดแน่ๆ





ผมไม่ได้เดินไปหาคนๆ นั้นในทันที ถึงได้เห็นอะไรตลกๆ แก้วชาเขียวในมือถูกยกขึ้น เจ้าของมันคงตั้งใจจะดูดน้ำ แต่คงลืมไปว่าตัวเองใส่แมสอยู่ แทนที่จะดูดได้มันเลยติดแมสแทนไง พอเจ้าตัวเหมือนรู้ตัวก็มีสะดุ้งนิดๆ เอียงคอมองแก้วน้ำในมือแล้วส่ายหน้ากับตัวเอง





ผมถึงอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างหลัง เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าของแผ่นหลังนั่นหมุนตัวกลับมาพอดี





“เด๋อ”





ดวงตาคู่นั้นที่มองผมกลับทำให้ผมมั่นใจว่าทักไม่ผิดคนแน่นอนอยู่แล้ว ผมยิ้ม ยกมือขึ้นไปจับสายคล้องแมสที่เกี่ยวอยู่ที่หูแล้วค่อยๆ ปลดมันออก





ให้ผมได้เห็นหน้าของคนตรงหน้าชัดๆ หน่อย





เดือนสิบ





ไม่ผิดคน ที่ข้างแก้มยังมีรอยช้ำให้ขัดใจอยู่บ้าง แต่เรื่องหวัดคงไม่ต้องเป็นห่วง สั่งชาเขียวน้ำแข็งเต็มแก้วขนาดนี้มันคงไม่ได้เป็นจริงๆ





ผมที่ยังไม่เก็บรอยยิ้มและยังคงจ้องตากับคนตรงหน้า





“เอ้า ดูดได้แล้ว”





..........





“เดี๋ยวเดือนสิบ”





ผมคว้าแขนคนที่ทำท่าจะเดินหนีออกไปไว้ก่อน ไอ้คนที่ทิ้งคำพูดแทงใจดำให้ผมเจ็บจี๊ดหันกลับมาเอียงคอมอง เออ... เมื่อกี้พูดไว้ได้เจ็บดี เดี๋ยวนี้หัดพูดต่อปากต่อคำ





แต่... ความจริงก็คือความจริง ทั้งความจริงที่ว่ามันเป็นเดือนมหา’ลัย และความจริงที่ว่าผมหล่อกว่า เหอะ





“มีอะไร?”





เอออ เพราะผมไม่ยอมพูดสักทีมันถึงได้เป็นฝ่ายถามก่อน ผมยักคิ้วข้างซ้ายส่งไปให้





“ไปกินข้าวกัน”





“...”





มันยังไม่ทันได้ตอบ ผมลดมือจากที่จับต้นแขนมันไว้เลื่อนลงไปจับที่ข้อมือแล้วลากพาเดินไป เดือนสิบไม่ได้ฝืน แล้วมันก็ไม่ได้พูดอะไรด้วย แป๊บเดียวก็เดินเข้าร้านที่มีพนักงานยิ้มแฉ่งต้อนรับอย่างดี ไอ้เบศที่เห็นผมเดินเข้ามาในร้าน ทำหน้าเหวอ ไม่ใช่เพราะอะไร ก็คงเป็นเพราะไอ้คนที่ผมลากติดมาด้วย





“เมืองเอก” เบศมันเรียกผม สลับกับมองไปที่เดือนสิบ





ผมเดินเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามไอ้เบศ แล้วบอกคนที่ยืนอยู่ให้นั่งลงข้างๆ





“นั่ง”





เดือนสิบยอมนั่งลงข้างๆ ผมแต่โดยดี เพราะเมื่อสองสามวันมานี้ผ่านอะไรด้วยกันมามากมายหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่รู้สึกว่าเดือนสิบมันเชื่องกับผมขึ้นมาก





พอนั่งกันเรียบร้อยผมถึงได้เริ่มแนะนำ





“เดือนสิบนี่เพื่อนกูชื่อเบศ เออ วันนั้นมึงก็เจอมันแล้ว จำได้เปล่าวะ?”





เดือนสิบมันพยักหน้ารับนิ่งๆ





“หวัดดีเดือนสิบ”





คนที่นั่งตรงข้ามคนเดียวยิ้มแหยๆ แล้วทักทาย เบศมันดูเกร็งๆ แต่ก็คงใช่แหละ คนมันเคยมีประเด็น แม้เรื่องมันจะผ่านมาเกือบเดือนแล้ว





เดือนสิบละสายตาออกจากเบศ หันหน้ากลับมามองผม ก็เล่นจ้องตากันสักพักหนึ่งกว่าผมจะรู้ตัว ผมส่งแมสที่ยังถือไว้อยู่ในมืออีกข้างคืนให้มัน เดือนสิบรับไว้ ตอนแรกก็ทำท่าเหมือนจะใส่ แต่ผมห้ามไว้ก่อน





“ไม่ต้องใส่แล้วก็ได้ เบศเพื่อนกูเอง มันไม่อะไรหรอก”





ผมรู้ว่าเดือนสิบมันใส่ไว้ปิดรอย ไม่ได้เป็นหวัด และมันก็คงไม่อยากให้ใครที่เห็นรอยบนหน้ามันแล้วเอาไปพูด ผมเลยพูดให้เดือนสิบสบายใจ อีกอย่างคือไอ้เบศไม่ใช่คนปากโป้งอยู่แล้ว (ถ้าไอ้แรปก็ว่าไปอย่าง...)





“สั่งอะไรไหม?”





ผมถามคนที่นั่งข้างๆ เดือนสิบส่ายหัวลูกเดียว ผมเลยมองหน้าต่อ อยากให้มันพูดอะไรอีกสักหน่อย แบบที่ไม่ต้องใช้แต่ภาษากายน่ะ

คนถูกมองรู้ตัว





“พอดีกินมาแล้ว”





เป็นอันว่าสำเร็จ





“เอ้า แล้วก็ไม่บอก”





ดันปล่อยให้ผมลากมา





คราวนี้เบศกลายเป็นฝ่ายนั่งเงียบมองพวกผมสองคนด้วยแววตาประหลาดโคตรๆ เหมือนว่ามันจะสงสัย





ถึงไอ้เบศจะพอรู้เรื่องของผมกับเดือนสิบมาบ้างว่าผมไม่อะไรกับเดือนสิบแล้ว แต่ก็ไม่ได้รู้อะไรละเอียดๆ ไปซะทุกเรื่องหรอกครับ อย่างเรื่องที่เดือนสิบเจอ ผมก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง...





เพราะงั้นก็ไม่แปลกที่จะสงสัยขนาดนี้





“ไปพาเดือนสิบมาจากไหนเนี่ย”





“เห็นยืนซื้อน้ำอยู่ที่ร้านชาไข่มุกตรงนั้น” ผมชี้ไปร้านชาไข่มุกที่นอกกระจกให้ไอ้เบศดู มันมองตามแล้วเกาหัว





“ขอโทษเดือนสิบด้วยนะ ไอ้เมืองเอกมันทำให้ลำบากหลายเรื่องเลยสิ”





เดือนสิบส่ายหน้า ถ้ามองไม่ผิดเหมือนมันจะยิ้มน้อยๆ ด้วย





เอ๊ะ เดี๋ยว...





“มึงรู้ได้ไงว่ากูทำมันลำบาก”





“แค่เห็นมึงไปลากเดือนสิบเข้ามากูก็รู้แล้ว ไอ้ฟาย”





มันลำบากเหรอ... เออ ก็คงใช่ ลืมถามเลยว่ามันมากับใคร มาทำไม มีธุระอะไรเปล่า





“แล้ว...มึงมาเที่ยวเหรอ? หรือมีธุระอะไรรึเปล่า? มึงมากับใคร?” 





ผมยิงคำถามเป็นชุด เดือนสิบเลือกที่จะตอบแค่คำถามสุดท้ายที่ได้ยิน ไม่รู้ว่าตั้งใจ หรือลืมกันแน่ว่าผมถามอะไรไปแล้วบ้าง





“มากับเพื่อนแต่กลับไปแล้ว”





อ๋อ





“งั้นมึงมีธุระต่ออีกไหม?”





คนถูกถามพยักหน้าน้อยๆ ทำเอาผมรีบคิด...





“มึงรีบไหม?”





เดือนสิบมันกำลังคิด ผมที่เริ่มตัดสินใจบางอย่างได้เลยชิงพูดก่อน โดยไม่รอคำตอบมัน





“เอางี้ ถ้ามึงเสร็จแล้วโทรเข้าไลน์กูแล้วกัน เดี๋ยวกลับด้วยกัน”





“......”





“โอเคเนอะ”





ผมตกลงเออออเสร็จสับ พร้อมๆ กับที่อาหารที่สั่งไว้ทั้งของผมกับเบศมาเสิร์ฟพอดี... ผมหยิบตะเกียบข้างๆ ขึ้นเตรียมจะกินข้าว





“เดือนสิบ”





“?”





“ระวังมันหน่อยนะ ไอ้นี่มันร้าย”





เพื่อนขี้เสี้ยมตรงข้ามพูดกับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผม





ผมตวัดสายตามองไอ้เบศที่ทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วลงมือกินข้าว (ก็บอกแล้วว่าไอ้เบศไม่ใช่คนปากโป้ง ถ้าเป็นไอ้แรปมันคงเล่าน้ำไหลไฟดับเเล้ว ว่าผมเลวยังไง...)





ผมทำเสียงเข้มขู่มัน





“ไอ้เบศ” 





ผิดจากที่คิด... แทนที่เดือนสิบมันจะกลัวตามคำเสี้ยมไอ้เบศ แต่ไม่ครับ ผมยังได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังจากคนข้างๆ พอหันกลับไปมองก็เห็นมันกำลังยิ้ม.. ยิ้มน้อยๆ แต่สดใสโคตรๆ





ก่อนที่จะตอบรับคำไอ้เบศในลำคอเบาๆ





“อื้ม”





เล่นเอาเพื่อนผมมันยิ้มตาม





 

 

ก็เอาเป็นว่า... เดือนสิบมันได้นั่งรถผมกลับคอนโดติดกันเป็นวันที่สาม





 ----------------------------TBC-------------------------




ดี๋ยวคิดถึง มาไหวก็มาค่ะ เย่
คอมเมนต์ของทุกคนๆ เป็นกำลังใจสำคัญให้เรามากๆ ขอบคุณมากนะคะ อ่านทีไรยิ้มตามทุกที หุหุ ////
(อาจจะเป็นเพราะเนื้อเรื่องช่วงนี้เริ่มเบาๆ แล้ว ใช่ค่ะ ---- เริ่มเเล้ววววว ---- ////)

ขอบคุณคนที่ติดตามด้วยนะคะ รักทุกคนค่ะ <3 




 #วิศวะเดือนสิบ on Twitter <3
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 13 แมสแมส ☽ 100% 26.12.62!!  
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-12-2019 21:32:26
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 13 แมสแมส ☽ 100% 26.12.62!!  
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 26-12-2019 21:52:55
แหมหวานกันเบาๆซึนๆกันไปเนอะ
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 13 แมสแมส ☽ 100% 26.12.62!!  
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-12-2019 23:17:38
พอเป็นเดือนสิบเนี่ย ทั้งหู ทั้งตานี่ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเนอะ เมืองเอก  :hao3:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 13 แมสแมส ☽ 100% 26.12.62!!  
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 26-12-2019 23:34:36
เดือนสิบ(นิ้ว)นี่มันร้ายแบบนิ่งๆ นะ
น่ารัก
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 13 แมสแมส ☽ 100% 26.12.62!!  
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-12-2019 22:19:44
มาให้หายคิดถึง....นิ้ดดด นึง  :z3:
เมืองเอก ถึงหู.....ถึงหน้าเลยนะ  :impress2:
ริน จงงอน จนลืมเมืองเอกไปเลย   :m20: :laugh:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 13 แมสแมส ☽ 100% 26.12.62!!  
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 28-12-2019 02:38:52
ยังไงๆๆ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 13 แมสแมส ☽ 100% 26.12.62!!  
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 04-01-2020 01:16:45
น่ารักอะ
หัวข้อ: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 40% 19/04/63
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 20-04-2020 03:38:11
เดือนที่ 14
 คุยกันหน่อย ⚙
 





ร้านตัดผมชื่อดังในห้างใหญ่ใจกลางเมือง ภายในร้านก็กว้างกว่าร้านตัดผมทั่วๆ ไปอยู่เยอะเหมือนกัน เก้าอี้ตัดผมตั้งเรียงกันเกือบสิบตัว แต่ทุกตัวก็มีลูกค้านั่งใช้บริการกันหมด ไหนจะลูกค้าคนอื่นๆ ที่นั่งรอคิวบนโซฟาบุกำมะหยี่สีแดง บางคนก็อ่านนิตยสารแฟชั่นที่มีวางให้หยิบอ่านในร้านบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะนั่งก้มหน้าเล่นโทรศัพท์กันมากกว่า ก็ไม่แปลกหรอกครับ ใครๆ ก็เล่นกัน



พอมองไปอีกทางก็เห็นพวกช่างตัดผมทำงานกันแบบ... เอ่อ... คำไทยๆ โบราณๆ หน่อยเขาเรียกว่าอะไรนะ...




 อ.. ใช่ มือเป็นระวิง




แล้วที่ผมมานั่งบรรยายภาพในร้านตัดผมนี่ก็ไม่ใช่อะไรหรอกนะครับ รอไอ้เบศ ที่มันนั่งประจำที่เก้าอี้ตัดผมอยู่ตรงหน้าผมเนี่ยแหละ




อีกคนที่แยกออกไปทำธุระของมันก็ยังไม่ได้มีการติดต่ออะไรมาอย่างที่รับปากเอาไว้ แต่ผมไม่คิดว่าเดือนสิบมันจะหนีกลับไปก่อนโดยที่ไม่ได้บอกอะไร สองสามวันมานี้คลุกคลีอยู่กับมันมาพอสมควร ผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่ามันเป็นคนรักษาสัญญา ที่ยังไม่ติดต่อมาคงยังไม่เสร็จธุระ




เพราะว่างก็เลยหาอะไรทำไปเรื่อย ว่าจะเปิดเกมโทรศัพท์เล่นแก้เซ็ง ตอนแรกมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นอยู่ล่ะครับ แต่ว่า...




“อ้าว เจ้ยีนส์สวัสดีค่ะ ไหนว่าวันนี้เจ้บอกว่าจะไม่เข้ามาดูร้าน?”




ช่างตัดผมคนหนึ่งร้องทักขึ้นมาเรียกความสนใจให้ผมต้องละสายตาออกไปมองด้วยนิสัยขี้สงสัยของตัวเองเป็นทุนเดิม




“ตอนแรกฉันก็ว่าจะไม่เข้ามาหรอกย่ะ แต่พอดีแวะมาทานข้าวแถวนี้เลยเข้ามาดูสักหน่อย”




คนที่ถูกทักตอบเดินเข้ามาในร้าน เอ่อ... เป็นคนที่แต่งตัวสวย ผิวสีน้ำผึ้ง ตัวสูง แต่งหน้าจัด แล้วก็ไม่ต้องสงสัย เมื่อฟังจากเสียงเจ้ยีนส์คนที่ว่าเป็นสาวสองแน่นอน




พอผมเลิกสนใจแล้วหันกลับมามองตรงหน้า ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่เห็นเงาไอ้เบศที่สะท้อนอยู่บนกระจกทำตาโตเหมือนตกใจอะไรอยู่แว๊บหนึ่งก่อนจะกลับเป็นปกติ ไม่รู้เป็นของมัน




ได้ยินเสียงเจ้คนเดิมคุยอะไรกับช่างตัดผมอยู่สักพัก ก่อนจะ...




“อุ๊ยตาย!!”




เสียงเจ้แกอุทานใกล้มากจนผมตกใจแต่ยังเก็บมาดอยู่ พอเงยหน้ามองถึงได้รู้ว่าเจ้คนนั้นเดินอยู่ตรงหน้าผม ดวงตาที่ผมเดาว่าน่าจะติดขนตาปลอมกะพริบมองผมนิ่งๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะถือวิสาสะทิ้งตัวลงมานั่ง ไม่เรียกว่าข้างๆ อะครับ เรียกว่านั่งเบียดผมเลยทีเดียว




“พ่อรูปหล่อมารอตัดผมเหรอคะ?” เจ้แกยิ้มให้ผมแบบตาแทบปิด พลางขยับเข้ามาเบียดผมอีกนิดหน่อย ก็เอาสิครับ ผมไม่ขยับหนีด้วย จะเบียดก็เบียดมาเลย




“เปล่าครับ พอดีมารอเพื่อนตัดผม”




พอเริ่มตั้งสติได้ ผมก็ยิ้มตอบคำถามของเจ้ยีนส์ เจ้แกดูค่อนข้างพอใจกับรอยยิ้มของผม เอาจริงๆ คือต้องบอกว่าพอใจมาก เพราะอยู่ๆ รู้ตัวอีกทีมือก็เลื่อนขึ้นมาวางอยู่บนขาผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้




“โอ้ยยย เจ้ชอบคนยิ้มเก่ง”




“ผมก็เหมือนกัน”




สงสัยปฏิกิริยาตอบกลับผมดีเกินไปจนเจ้แกยิ้มไม่หุบ ผมลืมตัว มัวแต่เล่นมากลืมคิดทางหนีทีไล่ เผื่อถูกใจเจ้ยีนส์เข้าจริงๆ ผมจะออกยังไงวะเนี่ย?




ระหว่างที่กำลังใช้ความคิดสาว(?)ที่นั่งลูบขาผมอยู่ก็เหมือนจะรุกต่อ แต่ติดที่ไอ้เบศเพื่อนรักหลุดออกจากพันธนาการได้พอดี มันยืนขึ้นแล้วหันมาทางผม




“เจ้ยีนส์สวัสดีครับ”




“อ้าว! น้องเบศ”




เอ่อ... รู้จักกันเหรอ?




ผมส่งสายตาถามไอ้เบศ ขอให้มันเข้าใจว่าผมต้องการอะไร มันก็มองตอบนะแต่ไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยผมคาดเดาเอาเอง ไอ้เรื่องรู้จักไม่รู้มันเดาไม่ยากหรอกครับ แต่แค่สงสัยว่าสถานการณ์อะไรวะ ทำให้ไอ้เบศมันดูจริงจังซีเรียสขนาดนี้




“โทษทีจ้ะ พอดีเจ้ไม่ทันสังเกตเห็นเราเลย”




“ไม่เป็นไรหรอกครับ”




เบศมันยิ้มตอบ




“เอ้อ เจ้ นี่เพื่อนผม ชื่อเมืองเอก เมืองเอก นี่เจ้ยีนส์เป็นช่างตัดผม แล้วก็เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนร้านนี้ด้วย” 




ผมยกมือไหว้หลังจากทำความรู้จักเรียบร้อย เจ้ยีนส์มองผมสลับกับเบศอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นนิดหน่อย ก่อนที่ใบหน้าแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางจะปรากฏรอยยิ้ม




 “น้องเบศไม่เคยบอกเจ้เลยว่ามีเพื่อนหน้าตาดีขนาดนี้!”




“อ้อ ครับ เมืองเอกมันเป็นเดือนคณะผมเอง เพิ่งเจอกันตอนรับน้องเนี่ยแหละ”




เบศมันยิ้มแหยๆ เกาหัวพลางอธิบาย ผมที่ไม่รู้จะพูดอะไรดีเลยได้แต่พยักหน้ารับ เออ ก็ตามนั้น ตามที่ไอ้เบศมันพูดนั่นแหละครับ




“เข้าใจเลือกคบเพื่อนนะเนี่ย เบศ”




เจ้หันหน้ากลับมามองผม ยกมือขึ้นแตะไหล่ของผมได้อย่างเป็นธรรมชาติ... หรือพูดง่ายๆ คือเนียนมาก




ส่วนผมหลังจากจ้องตากับเจ้ได้สักพักก็หันไปมองเพื่อนตัวเองที่ยืนอยู่ แล้วยักคิ้วข้างเดียวใส่มันไปสองที




“ต้องบอกว่าผมเลือกคบมันเป็นเพื่อน ไม่ใช่มันเลือกคบผมมากกว่านะครับ”




“อุ๊ยตาย! ร้ายนะเรา คิกๆ”




แล้วเราก็หัวเราะไปพร้อมๆ กัน เบศนิ่วหน้า มันปล่อยผมให้อยู่กับเจ้ยีนส์ส่วนตัวเองเดินออกไปจ่ายเงินค่าตัดผมที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ เจ้ยีนส์แกก็ชวนผมคุยนู่นนี่ รวมทั้งเรื่องตัดผม บอกว่าจะให้ผมตัดฟรีถ้ายอมให้เขาถ่ายรูปผมลงโปรโมทในไอจีร้าน แต่ผมปฏิเสธไปเพราะยังไม่มีแพลนจะหั่นผมทรงนี้ ยังหล่อดูดีขนาดนี้ ยังไม่ตัดหรอกครับ เพราะงั้นเลยได้แค่แลกไลน์กันไป บอกว่าถ้าคิดจะตัดผมให้ติดต่อมา




“เบศ เพื่อนเธอทำไมอ้อยเก่ง”




“ไม่ใช่อ้อยอย่างเดียว อย่างอื่นมันก็เก่งด้วยเจ้”




“อุ้ย อะไรเก่งคะ?”




“ปากเก่ง”




ส่งสายตาอาฆาตให้ไอ้เบศเหมือนมันจะเอาคืนเมื่อกี้  ถ้าไม่ติดว่าผู้ใหญ่อยู่ด้วยผมคงไล่เตะมันไปนานแล้ว ก่อนที่ทั้งเบศทั้งผมจะได้จ้อกับเจ้มากไปกว่านี้ โทรศัพท์ที่ผมถืออยู่ในมือก็สั่นเตือนขึ้นมา พอก้มลงไปดูก็เผลอยิ้มออกมาแบบอัตโนมัติ เป็นข้อความไลน์จากคนที่ผมนั่งรออยู่




“เจ้สักครู่นะครับ”




ผมผงกหัวบอกเจ้ที่นั่งอยู่ข้างๆ จากนั้นก็ลุกเดินออกมานอกร้าน พลางกดโทรออกหาคนที่เพิ่งไลน์มาไปด้วย เสียงรอสายจากไลน์ดังอยู่แค่แป๊บเดียวปลายสายก็กดรับ




“เสร็จแล้วเหรอ?”




[“อืม”]




คนปลายสายตอบสั้นๆ ตามที่ผมคิด
 



“ทางกูก็เสร็จแล้วเหมือนกัน”




ผมก็ตอบกลับไปเรียบๆ  ก่อนจะมองเข้าไปในร้านตัดผมเห็นไอ้เบศมันคุยกับเจ้ด้วยใบหน้าเจื่อนๆ ไม่รู้หรอกว่าคุยเรื่องอะไร แต่พอจะเดาได้จากสีหน้ามันว่าคงไม่ค่อยอยากจะคุยด้วยเท่าไหร่




[“แล้วเมืองเอกอยู่ที่ไหน?”]




เสียงปลายสายดังขึ้นอีกรอบเรียกให้ผมต้องกลับมาสนใจ ผมหันหลังเดินห่างออกมาจากร้านตัดผม เดินไปเท้าแขนพิงราวกั้นตรงส่วนตรงกลางของห้าง ตอบคำถามพร้อมถามกลับไป ตาก็มองช็อป มองคนเดิน นู่นนี่ไปด้วย เป็นความเคยชินเวลาคุยโทรศัพท์




“อยู่ร้านตัดผมชั้น 4 มึงจะมาหาเหรอ?”




สิ้นคำถามปลายสายก็ตอบมาแทบในทันที




[“อืม เดี๋ยวไปหา”]




ผมกระตุกยิ้มมาก็ดีจะได้เจอกันง่ายๆ.... อ... แต่เดี๋ยว...




“เดี๋ยวๆ เดือนสิบ มึงไม่ต้องมาหา เดี๋ยวกูไปหาเองดีกว่า มึงอยู่ตรงไหนแล้ว?”




ผมรีบถามมัน แล้วก็ไม่ปล่อยให้มันได้เถียงกลับด้วยครับ ถึงเอาจริงๆ เดือนสิบมันไม่คิดจะเถียงผมอยู่แล้วก็เถอะ ปลายสายตอบกลับมาเรียบๆ ว่า “เอางั้นเหรอ?” แค่นั้นแล้วก็ยอมบอกมาดีๆ ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน



พอตกลงกันเสร็จว่าผมเป็นฝ่ายไปหา ผมก็กดวางโทรศัพท์หมุนตัวกลับ เดินเข้าไปในร้านตัดผมอีกรอบ




เบศมันยังคุยกับเจ้อยู่ด้วยสีหน้าเหมือนเดิม พอมันเห็นผมเดินเข้ามา สายตาที่เพื่อนมองมาเหมือนมันพยายามจะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือให้ผม เออ ได้ดิเพื่อน




ผมพยักหน้ารับไอ้เบศ ปั้นหน้ายิ้มการค้าหันไปคุยกับเจ้แก




“เจ้ครับ พอดีพวกผมนัดเพื่อนอีกคนเอาไว้น่ะครับ คงต้องขอตัวก่อนนะครับ”




ว่าพลางไม่ลืมยกมือไหว้ให้รู้ไปเลยว่าผมกับไอ้เบศจะไปแล้วจริงๆ เจ้ยีนส์แกเหมือนอยากจะรั้งไว้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ ปล่อยพวกผมออกมาจากร้านตัดผมได้สำเร็จโดยไม่ลืมย้ำกับผมอีกครั้งว่าถ้าอยากตัดผมอย่าลืมมาร้านล่ะ




พอเดินออกนอกร้านมาสักระยะไอ้เบศมันก็ถอยหายใจ ก่อนบ่นงืมงำๆ ของมัน 




“รอดแล้วว่ะ”




ผมยักคิ้วใส่มัน ที่ไม่ให้เดือนสิบมันมาหาไม่ใช่อะไรหรอกครับ เกิดเจ้แกเห็นมันเข้าเดี๋ยวได้คุยกันยาวอีกนั่นแหละ




“ร้านมึงมาตัดเอง ถ้าไม่อยากเจอจะตัดทำไมวะ?”




ผมถามเพื่อนที่เดินอยู่ข้างตัว ไอ้เบศมันมองหน้าผม



 
“ปกติเจ้ยีนส์แกไม่เข้าร้านวันธรรมดากูก็เลยมา”



ผมร้องอ้อ ระหว่างที่ผมกำลังเดินนำมันมานิดหน่อย พาเดินไปทางบันไดเลื่อน จะลงไปชั้นล่าง ชั้นที่เดือนสิบมันรออยู่ ผมก็ถามไอ้เบศเรื่องที่ผมสงสัยมาตั้งแต่เมื่อกี้




“มึงไปรู้จักเจ้แกได้ไงวะ? แล้วเจ้แกแย่ขนาดนั้นเหรอ? ทำไมมึงทำหน้างั้น??”




เบศมันเร่งฝีเท้าก้าวขาเหยียบบนบันไดเลื่อนลงก่อนผมหนึ่งขั้นแล้วเงยหน้าหันกลับมามองผมที่อยู่ขั้นสูงกว่ามัน ทำหน้าเจื่อนแบบที่มันทำเวลาคุยกับเจ้




“คนรู้จักแม่กูเอง แม่กูชอบพามาตัดร้านนี้ ส่วนเรื่องแย่ไม่แย่... ก็เปล่าอะ เจ้แกไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้นหรอกมั้งกูว่า...”




ผมเค้นเสียงในลำคอหัวเราะหึ




“ดูมึงทำหน้า”



 
“ก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรกูก็แค่ไม่ถนัด...”




ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เหมือนมันยังพูดไม่จบเลยรอฟัง




“ก็แบบ.... แบบเวลาเจอเจ้แกชอบคุยยาว แล้วก็... แบบ... สกินชิพ”




ผมร้องอ้อออกมา 




“มึงก็โดนไม่ใช่เหรอ?”




“เออ”




พอได้ยินคำตอบผม มันถึงกับตาโต หันมามองหน้าแบบอึ้งๆ




“มึงจะไม่อะไรหน่อยเหรอวะ! นั่นมัน.. ลวนลาม Sexual harassment เลยนะเว้ย!”




“ก็... กูคิดว่ากูไม่นะ”




“ไม่สักนิด? ไม่แม้แต่รู้สึกสยิวกิ้ว?”




สยิวกิ้ว??? ดูมันใช้คำ




แต่ผมก็ยังตอบคำเดิม




“ไม่เลย”




มีแต่ความคิดว่าจะทำยังไงถ้าโดนตื๊อขึ้นมาจริงๆ




“โอ้ย ไอ้ตายด้าน”




มันหันมาโวยวายเพราะไม่ได้คำตอบอื่นจากผมนอกจากคำว่า ไม่ ท้ายที่สุดไอ้เบศเลยยอมแพ้ไป แล้วเปลี่ยนคำถามแทน 




“มึงโดนบ่อยสิ? ชินแล้ว??”




ผมพยักหน้าใส่มันไปที




“ก็คงงั้น”




พอเห็นท่าทางผมมันทำหน้าหมั่นไส้ใส่ก่อนจะหันไปตั้งหน้าตั้งตาเดินแทน




ไอ้เรื่องตัวผมเองโดนอะ ผมไม่อะไรอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ชอบใจถ้าเห็นคนอื่นโดนนะครับ




ผมที่เดินตามคิดอะไรไปเรื่อยจนกระทั่งสะดุดกับความคิดหนึ่งของตัวเอง




“เบศ”




“ว่ามาดิ” 




“ลูบหัวถือเป็น Sexual harassment ไหม?”




“เป็น”




ผมมุ่นคิ้ว ร้อง ‘เหี้ยไรวะเนี่ย’ ในใจให้กับคำตอบของมัน  แล้วมาเปลี่ยนมาพูดเรื่องของอีกคนที่นัดไว้แทน




“กูนัดกับเดือนสิบ”




“อืม กูรู้”   




“มึงติดรถกูไปก็ได้นะเบศ เดี๋ยวก็ไปจอดส่งที่BTS มึงจะได้ไม่ต้องเดิน”




“โอเคมึง”




หลังจากตกลงกันเสร็จ เราสองคนเดินลงบันไดเลื่อนอีกชั้นมาหาเดือนสิบที่หน้าร้านที่นัดกับมันไว้น่ะครับ นี่ก็ใกล้ถึงที่นัดแล้ว เออแทบไม่ต้องมองหามันเลย แม่งสูงแล้วก็เด่นมากๆ แม้จะมองจากระยะไกลๆ ไม่มีทางทักผิดคน




คนที่ใส่แมสก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือมันหิ้วถุงที่ให้ผมเดาคงเป็นถุงเสื้อผ้าอยู่อีกสองสามถุง ผมกับไอ้เบศเดินตรงเข้าไปหาแล้วเรียกชื่อให้มันรู้ว่าผมมาถึงแล้ว




“เดือนสิบ”




ดวงตาจากหน้าที่โผล่พ้นแมสช้อนขึ้นมามอง มันกะพริบตามองอยู่สักพัก แต่มันไม่ได้มองผมหรอกนะครับ




“ดูดีนะ”




เสียงจากอีกฝ่ายเอ่ยชม ใช่ครับ เดือนสิบที่ผมคิดมาตลอดว่ามันเป็นคนไม่ชอบชวนใครคุยตอนนี้กำลังชมไอ้เบศ ส่วนเพื่อนผมที่ยืนเอ๋อๆ กว่าจะได้สติว่าพูดถึงมันนี่เล่นเวลาผ่านไปสักพัก




“ทรงผมเหรอ?”




เบศถามกลับแล้วยกมือชี้นิ้วเข้าหน้าตัวเอง ส่วนอีกมือก็เกาท้ายทอยแก้เขิน ดูมันทำหน้า อย่างกับมีผู้หญิงมาบอกชอบ


 

คนถูกถามพยักหน้ารับเงียบๆ แม้มันจะใส่แมสปิดปากอยู่ แต่ทำไมไม่รู้ผมถึงได้รู้สึกว่ามันยิ้มให้ไอ้เบศ 




ทรงผมไอ้เบศมันจริงๆ ก็ไม่ค่อยต่างจากทรงเดิมเท่าไหร่ เพียงแค่ถูกตัดให้สั้นแล้วก็เป็นทรงขึ้น ผมก็ยอมรับว่ามันดูดีแหละ เหมาะกับมันเพียงแต่ผมแค่ยังไม่ได้เอ่ยปากชม




“ใช่ ตัดร้านไหน?”




ก่อนที่สองคนนั้นจะคุยกันต่อ ผมเลยบอกให้มันเดินตามมาจะไปรถเลยจะได้ไม่เสียเวลา แล้วคราวนี้กลายเป็นผมเดินนำ ส่วนเดือนสิบกับไอ้เบศเดินตามแล้วคุยกันเรื่องร้านตัดผมอยู่ข้างหลัง




เออ ดูมัน ทำไมทีกับผมมันไม่เห็นชวนคุยอย่างนี้เลยวะ?




พอถึงรถ ไอ้สองคนข้างหลังก็ยังคีบบทสนทนากันต่อไป




“นั่งหน้าไหม?”




“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูลงตรงBTSแล้ว เดือนสิบนั่งหน้ากับเมืองเอกเถอะ”




เดือนสิบพยักหน้า เปิดประตูเข้ามานั่งประจำที่นั่งข้างคนขับ ตามด้วยเบศที่ไปนั่งเบาะหลังเรียบร้อยดี ผมเลยหันไปดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาด ได้ยินเสียงถุงกระดาษดีไซน์แพงขยับ เลยหันไปดู




“เอาถุงมา”




ผมพูดนิ่งๆ แต่ถือวิสาสะรวบสายหิ้วถุงกระดาษพวกนั้นมาจากมือคนข้างๆ เอี้ยวตัวนิดหน่อยเอาไปไว้วางเบาะหลังข้างๆ ไอ้เบศ เดือนสิบมันจะได้นั่งถนัดๆ สักที




“จะได้นั่งดีๆ”




"...."




มันก็เงียบไม่ได้ว่าอะไร




ผมสตาร์ทรถแล้วขับออกมา เออ จริงสิ...




“ทีกับไอ้เบศยังชวนคุยเลย กับกูทำไมไม่คุยบ้างวะ?”




เหมือนพูดลอยๆ นะ เพราะสายตาผมมองทางตรงอย่างเดียว แต่กูตั้งใจ ไม่มีหรอกครับ คำว่าเมืองเอกพูดลับหลัง ไม่มี มีแต่พูดต่อหน้า




คนข้างตัวที่ถูกพูดถึง พอจบประโยคแม่งหันกลับมามองผมเลย ส่วนไอ้เบศที่นั่งเบาะหลังมันก็จ้องตอบผมจากกระจกมองหลังเนี่ย




มันยกยิ้มทำปากยื่นปากยาวใส่ผมก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ผมอยากจะเหยียบเบรกแรงๆ ให้หัวมันชนเบาะหน้าไปเลย




“ก็ไม่ยาก ถ้ามึงทำตัวน่าคุยเดี๋ยวเขาก็คุยกับมึงเองแหละ--- เหี้ย! เมืองเอกมึงขับรถดีๆ ดิ๊ กูยังไม่อยากตายนะโว้ย”




ก็นั่นแหละครับ เถียงกลับก็ไม่ได้ เพราะมันก็เป็นจริงตามที่เบศพูด...




 --------------------------------40%-----------------------------

อยากให้ใครคุยกับเราก็ทำตัวน่าคุยๆ ไว้นะครับ








สวัสดีค่ะ ขอมาต่อสั้นๆ ก่อนน้า แม้ครึ่งเเรกจะไม่มีซีน
ไว้ลุ้นครึ่งหลังแล้วกันเนาะ 555



ขอบคุณคนที่ติดตามด้วยนะคะ รักทุกคนค่ะ <3 
รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะทุกคนนน



 #วิศวะเดือนสิบ on Twitter <3
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 40% 19/4/63  
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 20-04-2020 19:07:13
เห้ยยยย น้องเดือนสิบนิ้วคืนชีพ
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 40% 19/4/63  
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-04-2020 22:10:44
 :pig4: :pig4: :pig4:

ตอนใหม่มาแล้ว  แม้จะมาน้อยแต่ก็ยังดีกว่าไม่มาเลย
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 40% 19/4/63  
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-04-2020 00:54:18
เห็นด้วยตามที่เดือนสิบบอกเปะเลย  o13
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 40% 19/4/63  
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 22-04-2020 01:42:55
กวนนะนายคนนี้
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 40% 19/4/63  
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 22-04-2020 21:28:00
 o13
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 40% 19/4/63  
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 26-04-2020 23:15:14
55555
หัวข้อ: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 100% 19/7/63  
เริ่มหัวข้อโดย: miminari ที่ 19-07-2020 15:40:47
เดือนที่ 14
คุยกันหน่อย ☽
 


 

--------------------[100%]--------------------



⚙ เดือนสิบ พาร์ท ⚙





  ☽  เดือนสิบ พาร์ท  ☽





ผม... ตอนนี้กำลังเดินเลือกเสื้ออยู่ในช็อปของร้านเสื้อผ้าแบรนด์ดังในห้างสรรพสินค้าใหญ่ใจกลางเมืองกรุง ที่มือซ้ายหิ้วถุงกระดาษของอีกแบรนด์ไว้อยู่ แม้จะยอมรับว่ามันค่อนข้างเกะกะน่ารำคาญ แต่ผมก็เลือกที่จะปฏิเสธพนักงานสาวในร้านที่เสนอตัวเข้ามาบอกว่าจะช่วยนำถุงที่ผมหิ้วไปวางให้เพื่อให้ผมเลือกซื้อเสื้อผ้าได้สะดวกยิ่งขึ้น เหตุผลที่ปฏิเสธไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมขี้เกียจน่ะ ถือๆ ไปไม่ได้หนักอะไรเท่าไหร่ เพียงแค่เกะกะนิดหน่อย





และนอกจากจะปฏิเสธเรื่องฝากของไปวางกับพนักงานแล้วยังพูดเพิ่มไปว่า “ขอผมลองเดินดูก่อน” หลังจากที่พนักงาน ตั้งจะเดินเข้ามาให้บริการผมเต็มที่





ผมรู้ครับว่ามันเป็นหน้าที่ พนักงานทุกร้านให้บริการผมดีมาก (บางทีดีเกินไปด้วยซ้ำ ฮะๆ) แต่ผมก็ชอบที่จะเดินดูคนเดียว แบบไม่มีใครมากดดันมากกว่า    ซึ่งพี่พนักงานเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ ก็เลยถอยออกไปคอยมองผมอยู่ห่างๆ





ตลอดเวลา...





ผมยกมือขึ้นขยับแมสที่ปิดบังใบหน้าของตัวเองขึ้นนิดหน่อย เมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองผมอยู่ ไม่ใช่ของพี่พนักงานแต่เป็นลูกค้าผู้หญิงอีกคนภายในร้าน เท่าที่ผมเห็นเธอแต่งตัวดูดี และเป็นผู้หญิงที่จัดว่าสวยมากๆ คนหนึ่ง แม้ผู้หญิงคนนั้นจะมองผมอยู่ตลอด แต่ผมก็พยายามไม่ใส่ใจ แล้วเลือกเสื้อของผมไป จนกระทั่ง..





“ขอโทษนะคะ”





เสียงหวานๆ ดังใกล้ๆ อยู่ข้างตัว ผมจำต้องหันไปตามเสียงเรียก ลดสายตาลงนิดหน่อยเพื่อที่จะได้มองผู้หญิงที่ยังตัวเล็กกว่าผมอยู่แม้จะเธอจะใส่ส้นสูงแล้วก็ตาม





“ครับ?”





ผมพูดตอบรับออกไป เธอเลยยิ้มออกมาแล้วขยับเข้ามาใกล้ผมอีกนิด มองผมที่ยังคงไม่รู้ว่าเธอต้องการอะไร สักพักเธอก็เบนสายตาไปยังเสื้อคลุมสีดำที่อยู่ตรงหน้าผมแทน ก่อนจะหยิบมันออกมาจากราวแขวนหนึ่งตัว





“มีเรื่องจะให้น้องช่วยหน่อยได้รึเปล่าคะ?”





ผมกะพริบตามอง เธอชูเสื้อขึ้นเล็กน้อย แล้วโปรยยิ้มส่งให้ผม ยังไม่ทันจะได้ถามว่าเรื่องอะไรผู้หญิงตรงหน้าก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน





“พอดีใกล้ถึงวันเกิดน้องชายเพื่อนพี่แล้วน่ะค่ะ พี่ก็เลยอยากจะมาลองเลือกเสื้อซื้อให้น้องชายเพื่อนเป็นของขวัญวันเกิด แต่ไม่ค่อยแน่ใจไซส์เท่าไหร่เลย แล้ว... พี่คิดว่าน้องน่าจะตัวพอๆ กับน้องชายเพื่อนพี่  พี่ขอรบกวนเราสักครู่ได้ไหมคะ?”





เลือกเสื้อให้น้องชายเพื่อน... สินะ





“ครับ”





ผมตอบรับเพราะเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรก็เลยตกลงไป จากนั้นผมก็แปรสภาพตัวเองเป็นหุ่นลองเสื้อให้อีกฝ่ายไปสักพัก โชคยังดีที่เธอเลือกที่จะซื้อเป็นเสื้อคลุม เพราะงั้นแค่สวมทับก็โอเค แม้ผมจะรู้ว่าเจตนาเธอไม่ได้มีแค่นั้นแน่ๆ หลายครั้งที่เธอจงใจโดนตัวผมโดยไม่จำเป็นโดยใช้เรื่องลองเสื้อมากลบเกลื่อน





ลองๆ ถอดๆ ทั้งสีดำ สีน้ำตาล สีเทา ไม่เข้าใจว่าทำไมตอนแรกที่จะให้ผมลองดูแค่ไซส์ทำไมมันลามไปยันสีเสื้อ ชักจะงงๆ ว่าตกลงซื้อให้น้องชายเพื่อนพี่เขาใส่ หรือผมใส่กันเเน่... หลังจากใช้เวลาจนผมเริ่มลำบากใจ แต่ไม่กล้าเอ่ยตรงๆ เลยเลือกส่งสายตาให้พี่พนักงานในร้านที่เฝ้ามองเหตุการณ์อยู่นานแล้ว แต่คงไม่กล้าเข้ามาแทรกเพราะยังไงพวกผมก็คือลูกค้า





หลังจากขอความช่วยเหลือผ่านการส่งสายตา พนักงานก็เดินเข้ามาอาสาจะช่วยเลือกเสื้อให้แทน ผมเลยได้ปลีกตัวออกมาในที่สุด





ผมลอบถอนหายใจหลังจากสามารถหลุดออกมาจากคนๆ นั้นได้สักที ยังยืนยันคำเดิมว่าผมรับมือกับสถานการณ์ประมาณนี้ไม่เก่งเลย ไม่ชอบเลยจริงๆ ให้ตาย นี่ขนาดใส่แมสปิดหน้าไปแล้วครึ่งหนึ่งนะ อ... ผมเริ่มจะคิดแล้ว ว่าหรือจะเป็นเพราะแมสที่ผมใส่อยู่ หรือว่าการการปิดหน้าครึ่งหนึ่งจะดูน่าค้นหากว่า…?





ผมลอบขำในใจ





ไม่หรอกมั้ง





.....................






ผมเพิ่งออกจากร้านแว่นสายตาหลังจากได้ทำการสอยเจ้าคอนแทคเลนส์ ซึ่งเป็นธุระที่แท้จริงที่ผมบอกกับเมืองเอกว่าจะต้องไปทำต่อ... ส่วนถุงเสื้อผ้าที่เต็มสองมือเป็นผลพลอยได้ครับ เพราะอะไรผมถึงตัดสินใจซื้อของเยอะขนาดนี้น่ะเหรอ?? ก็จะอะไรเสียอีกล่ะครับ จู่ๆ ก็มีคนมาขับรถไปส่งให้ถึงคอนโด ไหนๆ ก็ไหนๆ ผมไม่ต้องมาขนของขึ้นBTSกลับ ก็เลยถือโอกาสสักหน่อย





เมืองเอกก็คงไม่ติดใจอะไรล่ะมั้งครับ





ผมโทรหาอีกคนตามที่ตกลงกันไว้ จังหวะเหมาะกับที่ทางนั้นก็เสร็จธุระพอดี ก็เลยนัดหมายจะกลับกัน





ผมยืนรอตามสถานที่นัดไม่นานไอ้คนตัวสูงหน้าตาหล่อจนสาวๆ ที่เดินผ่านต้องหันมามอง แล้วชี้ให้กลุ่มเพื่อนมองตามก็เดินตรงเข้ามาหาผมที่ยืนคอยอยู่แล้ว พอมองเลยผ่านไปก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกแตกต่างออกไปจากเพื่อนที่เมืองเอกพามาด้วย





เบศ... ผมมอง ทรงผมใหม่เหมาะมากครับ เบศไม่ใช่ผู้ชายหน้าตาไม่ดีอะไรเลย จัดว่าดีด้วยซ้ำ แต่เพราะมาอยู่กับคนอย่างเมืองเอกก็เลยโดนมองข้ามล่ะมั้งครับ กว่าจะรู้ตัวผมก็เผลอเอ่ยปากชมเบศไปแล้ว ครั้งนี้ผมเป็นคนเริ่มบทสนทนาก่อน และเบศที่เป็นคนคุยง่ายก็เลยต่อ พวกผมก็เลยคุยกันยาวเพราะเรื่องร้านตัดผม ซึ่งเบศบอกว่าเป็นร้านประจำ แล้วเขาก็เป็นลูกค้าประจำ





ผมเริ่มสนใจ เห็นออกมาดีขนาดนี้ก็น่าเข้าไปใช้บริการ แล้วก็ได้คำแนะนำจากเบศมาด้วยว่าให้ผมมาวันธรรมดาจะดีกว่า เบศไม่ได้บอกนะครับว่าทำไม สงสัยเสาาร์-อาทิตย์ลูกค้าจะเยอะล่ะมั้งครับ





...แล้วใครจะรู้ว่าทำไม เมืองเอกถึงต้องพูดเหน็บผมอีกแล้ววะ? อยากหาเรื่องกันมากใช่ไหมเนี่ย?? 





.....................





“กูไปแล้วนะ พรุ่งนี้เจอกันมึง”





เบศที่กำลังจะเปิดประตูลงจากรถพูดขึ้น เมืองเอกยักคิ้วข้างหนึ่งก่อนจะตอบรับสั้นๆ ในลำคอไปแบบไม่ใส่ใจว่า “เออ” เบศก็เลยเปลี่ยนเป้าหมายมาหาผมแทน





ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งใจจะกวนเมืองเอกรึเปล่า (ฮา) 





“บ๊ายบายนะเดือนสิบ”






ผมหันไปยิ้มให้แม้ตัวเองจะใส่แมส พร้อมด้วยพยักหน้ารับให้อีกฝ่ายได้รับรู้ เบศยิ้มให้ผมกลับก่อนจะลงจากรถไป เสียงประตูรถปิดลงพร้อมๆ กับรถที่เคลื่อนออกไป





ภายในรถตกสู่ความเงียบอีกครั้งหลังจากที่ไม่มีเพื่อนให้คนขับได้ชวนคุย ผมที่ในมือถือโทรศัพท์มาเปิดเล่นตั้งนานแล้วก็ก้มลงเล่นโทรศัพท์ต่อ ช่วงเย็นวันธรรดารถเยอะครับ เพราะคนเลิกงานกัน จริงๆ ก็คงจะเร็วกว่าหากเลือกที่จะขึ้นBTSกลับคอนโด แต่ถ้าเป็นความสะดวกสบายยังไงก็คงจะต้องเป็นรถส่วนตัวนี่แหละ





ผมพยายามบอกตัวเองว่าอย่าชินกับความสบายมากเกินไป เกิดติดขึ้นมาจะแย่เอา..





“เปิดเพลงนะ”





เสียงคนที่นั่งอยู่บนเบาะคนขับดังขึ้นเบาๆ ผมแปลกใจที่ทำไมเมืองเอกมันต้องขออนุญาตด้วยทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นเจ้าของรถ อย่างวันที่ผ่านมาอยากเปิดก็เปิดเลยแท้ๆ





รถค่อยๆ เคลื่อนตัวไปหยุดนิ่งอยู่ที่หน้าไฟแดง หลังจากนั้นแขนยาวๆ ที่แขนจับพวงมาลัยก็เปลี่ยนมาเป็นคว้าโทรศัพท์มือถือมากดเลื่อนดูเพลง แต่ไม่ทันไร





((((((         ))))))





โทรศัพท์ในมือเมืองเอกสั่นขึ้นมาคล้ายจะมีสายเรียกเข้า แต่ว่าเจ้าของโทรศัพท์กลับทำเพียงวางมันลงไปที่เดิมทันทีเมื่อเห็นว่าใครโทรมา และละทิ้งความตั้งใจที่จะเปิดเพลงฟัง





 ผมไม่ได้ตั้งใจจะไปยุ่งแต่ตอนที่เมืองเอกวางเครื่องมือสื่อสารที่สั่นรัวๆ นั่นลงก็เผลอไปเห็น ชื่อแฟนสาวของเจ้าของเครื่อง





‘RIN’





ไฟแดง 121 วินาที นับถอยหลัง โทรศัพท์มือถือนั่นก็สั่นตลอดทั้ง 121 วินาทีเช่นกัน และถึงแม้ไฟแดงจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว โทรศัพท์เครื่องนั้นก็ยังไม่หยุดสั่น เมืองเอกไม่ได้คิดจะปิดมัน หรือกดรับตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ปล่อยให้มันสั่นอย่างนั้นจนผมอดไม่ได้ที่จะ...





“ไม่รับเหรอ?”





“กูขับรถอยู่”





หืม...





ผมกะพริบตา เบนสายตาน้อยๆ มองหน้าจอที่ยังสว่างวาบขึ้นชื่อริน คำตอบที่เมืองเอกให้ดูเหมือนจะเป็นแค่ข้ออ้างไปเลย เพราะท่าทีไม่คิดจะสนใจแม้สักนิด ก็จริงที่รับโทรศัพท์ตอนขับรถมันอันตราย แต่ว่า... เมื่อกี้รถจอดติดไฟแดงก็ไม่เห็นคิดจะรับ





“เดี๋ยวเรารับให้ไหม? แล้วเดี๋ยวบอกรินให้ว่าเมืองเอกกำลังขับรถอยู่”



 

ผมเสนอ และไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกัน





“ไม่เป็นไร”





“รินโทรหาหลายสายแล้ว บางทีอาจจะมีเรื่องอะไร”





ตัวเองทำอะไรอยู่วะ





“ไม่ต้องหรอก”





โคตรทำตัววุุ่นวาย





“ทะเลาะกันอยู่เหรอ?”





“กูเปล่า”





เรื่องของมันนี่...





“ถ้าเปล่าก็รับสิ”





คนปลายสายที่โทรขนาดนี้ แล้วรออยู่อยู่ขนาดนี้จะรู้สึกยังไง เรื่องแค่นี้ไม่เข้าใจเหรอ?






“เดือนสิบ ตามึง...”





“......”





ผมเอียงคอ ทำทีเป็นไม่เข้าใจว่าเมืองเอกพูดเรื่องอะไร  แต่อดไม่ได้ที่จะไม่ยกมือขึ้นมาถอดเเว่นออกเเล้วใช้นิ้วนวดเปลือกตาทั้งสองข้างของตัวเองเบาๆ





คนที่นั่งหน้าหันหน้ามองตรงตั้งใจขับรถอยู่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม ทั้งยังตัดบท





“...เปล่า ส่วนริน เดี๋ยวกูโทรกลับ ตอนนี้ขับรถอยู่จริงๆ นี่ อันตราย”





พอดีกับที่โทรศัพท์เงียบลง รินคงละความพยายามที่จะโทรหาแล้ว ผมหันกลับมามองตรง แม้จะแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้อยากเข้าไปก้าวก่าย แต่คงไม่ทันแล้วมั้งครับ เล่นไปพูดขนาดนั้นแล้ว อา... ความเงียบที่เพิ่งเริ่มได้ไม่นานถูกทำลายลงอีกครั้งจากผู้ชายที่นั่งข้างๆ ผมอีกคน





“กูไม่ใช่ผู้ชายที่แย่ขนาดนั้นหรอกนะเดือนสิบ”





“....”





คนพูดไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรเป็นพิเศษนอกจากความมั่นใจที่ปรากฏในดวงตาคู่นั้น... เจ้าตัวเคลมตัวเองอย่างนั้นแล้วผมมีสิทธิ์อะไรจะไปค้านว่าไม่เชื่อโว้ย...





“แล้วมึงอะ โดนมาหนักเหรอ?”





ผมชะงักขมวดคิ้ว หันมองคนที่กำลังขับรถ ไม่ได้ตอบคำถามของเมืองเอก ซึ่งมันเหมือนไม่ได้อยากได้คำตอบเท่าไหร่





“กลัวอะไรอีกวะ มึงร้องไห้กับกูมาแล้วนี่?”





พูดอะไรไม่เข้าใจ... แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดเสริมให้คนข้างๆ ได้รับรู้อีกสักประโยค





“ถ้าทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกันก็คุยกันหน่อย





“ครับๆ”





คนที่รับคำนั่นยักคิ้ว รอยยิ้มแต้มอยู่บนใบหน้า ดูไม่มีความน่าเชื่อถือเลยสักนิด







คุยกันในตอนที่ยังคุยกันได้ อย่าปล่อยให้มันสายเกินไป







“กูบอกแล้วไงว่ากูไม่ใช่ผู้ชายที่แย่ขนาดนั้น แล้วก็ห้ามไม่เชื่อด้วย เพราะถ้าไม่เชื่อ มึงคงต้องพิสูจน์แล้วว่ะ”





ผมหรี่ตา มองคนที่ทำหน้าที่ขับ ซึ่งพูดเคลมตัวเองถึงสองครั้งเเล้ว





「チャラ男の言葉っぽい、信じるわけない」





“ฮะ??? เมื่อกี้มึงพูดว่าอะไรนะ?”





“เปล่า”



 ----------------------------TBC-------------------------


แถมจ้า!



@แชทกลุ่ม (3 คน)




เมืองเอก  : ไอ้เบศ ไอ้แรป เมื่อกี้ในรถเดือนสิบแม่งพูดภาษาญี่ปุ่นใส่กูด้วย



เบศ : พูดว่าอะไร?



เมืองเอก : กูจำไม่ได้ว่ะ มันยาว แต่เหมือนมีอะไรโป้ยๆ ไน่ๆ



เเรป : แล้ววววววก่อนหน้านี้มึงไปพูดใส่เขาว่าอะไรล่ะ



เมืองเอก : กูบอกว่ากูไม่ใช่ผู้ชายที่แย่ขนาดนั้น แล้วก็ห้ามมันไม่เชื่อ เพราะถ้าไม่เชื่อ มันต้องพิสูจน์ ประมาณนั้น



เบศ : .....กูพอจะรู้เเล้ว



เเรป : งั้นคงพูดใส่มึงว่า "คำพูดเหมือนผู้ชายขี้หลี จะไปเชื่อได้ยังไง" เเน่ๆ !!



เบศ : กูว่าใช่เเน่ๆ



เมืองเอก : .........................................................









"ถ้ามึงบอกกูอย่างนั้นจริง... งั้นมึงต้องพิสูจน์แล้วมั้งเดือนสิบ"




----------จบจ้า-----------




สวัสดีค่ะ มาต่อแล้วค่ะ ~~
ตอนเเรกคิดว่าจะยาวกว่านี้เเต่... มันน่าตัดที่ตรงนี้จริงๆ 555
ขอพูดเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่ มันจะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปนะคะ
ใครที่ชอบสไตล์เร็วๆ โช๊ะช๊ะ เสียใจด้วยค่ะ TTwTT 


แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม และคอมเมนต์ กดหัวใจให่เราเสมอมาค่ะ
รักทุกคนเลยค่ะ <3





#วิศวะเดือนสิบ
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 100% 19/7/63  
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-07-2020 19:38:28
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 100% 19/7/63  
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 19-07-2020 21:04:58
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 100% 19/7/63  
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 19-07-2020 21:59:52
ยังไง
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 100% 19/7/63  
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-07-2020 22:57:03
เรียน ท่านผู้ชำนาญภาษาญี่ปุ่น ทราบ
ว่าที่ท่านได้แปลไปนั้น  ถูกต้องแล้วแม่นก้อ หรือ ท่านมั่วคะ
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 100% 19/7/63  
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 22-07-2020 13:05:29
เมืองเอก รุกต่อไป
 :hao7:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 100% 19/7/63  
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 27-07-2020 21:49:20
คู่นี้จะชอบกันยังไงงงงงง
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 100% 19/7/63  
เริ่มหัวข้อโดย: cy17 ที่ 15-01-2022 10:33:51
ยังรอนะคะ 555
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 100% 19/7/63  
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 16-01-2022 17:30:06
ติดตามครับ
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 100% 19/7/63  
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 19-01-2022 06:55:15
 :-[ :impress2: :man1:
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 100% 19/7/63  
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 11-03-2022 11:48:43
รอครับ
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 100% 19/7/63  
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 11-04-2022 10:51:17
แวะมาส่อง
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 100% 19/7/63  
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 07-06-2022 22:21:56
รอให้มาต่อครับ
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 100% 19/7/63  
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 09-07-2022 17:06:27
รอๆ
หัวข้อ: Re: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 100% 19/7/63  
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 06-09-2022 00:01:29
แวะมาส่องครับ