⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 100% 19/7/63  
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ⚙☽ เ ดื อ น สิ บ . | #วิศวะเดือนสิบ ⚙☽ เดือนที่ 14 คุยกันหน่อย ⚙ 100% 19/7/63    (อ่าน 45440 ครั้ง)

ออฟไลน์ miminari

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
เดือนที่ 5
ข่าวลือของเขา☽
 


 

เจ้าของร่างกายสูงโปร่งที่ทอดกายนอนบนเตียงคิงไซส์ภายใต้ผ้าห่มนวมผ้าฝ้ายผืนหนาลืมตาตื่นขึ้นช้าๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ถูกใครหรือเสียงนาฬิกาปลุกที่ไหนปลุก แต่ร่างกายดันตื่นขึ้นเองก่อนถึงเวลาเล็กน้อย จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ตัวเขาเองควรจะชินได้เสียที มันเกิดขึ้นบ่อยจนเขาไม่จำเป็นต้องตั้งนาฬิกาปลุกอีกแล้วด้วยซ้ำ

 


“อา”

 


เสียงต่ำครางในลำคอเบาๆ หลังจากที่พยายามบังคับแขนซ้ายที่ปวดหนึบให้ขยับ พยายามทำให้ตัวเองเจ็บน้อยที่สุดแต่ก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องออกมา อย่างไรก็ตามถึงแม้แขนซ้ายข้างนั้นจะไม่ได้ขยับไปไหนแต่ความเจ็บปวดก็ยังคงอยู่อยู่ดี

 


“พี่เอสเจ็บแผลเหรอครับ?” เสียงเอ่ยถามของผู้ชายที่นอนอิงแนบอยู่ข้างกายดังเบาๆ เรียกความสนใจให้เขาหันไปหา ดวงตาสีดำคู่นั้นจ้องมองและสะท้อนไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างไม่ต้องพิจารณาดูก็รู้

 


ใบหน้าดูดีที่ใครเห็นเป็นต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหล่อแบบหาข้อติไม่ได้นั่นส่งยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนหน้าเข้าไปประทับริมฝีปากจูบหน้าผากคนที่นอนอยู่ข้างกายอย่างแผ่วเบาก่อนเอ่ยตอบคำถามด้วยความอ่อนโยน

 


“ก็นิดหน่อยน่ะ เป็นอย่างนี้จนพี่เริ่มชินแล้ว”

 


แต่เป็นสิ่งที่แสร้งทำขึ้นมารึเปล่าก็ไม่อาจทราบได้

 


 “งั้นเดี๋ยวผมลดแอร์ให้นะครับ”




ถามโดยที่ไม่รอฟังคำตอบ ร่างเปลือยเปล่าของอีกคนก็ลุกออกจากผ้าห่มเดินไปหยิบรีโมทแอร์ที่ติดไว้บนผนังขึ้นมาปรับอุณหภูมิจาก 22 องศา ให้สูงขึ้นเป็น 26 องศา ทุกกิริยาท่าทางการกระทำทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของเอสอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าของตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยปีที่ผ่านมาพิจารณามอง คนที่เดินอมยิ้มกลับขึ้นเตียงมา

 


“ดีขึ้นรึเปล่าครับ?”

 


รอยยิ้มดีกรีเดือนคณะที่ส่งให้ทำให้เอสยิ้มตามไปด้วย คำถามที่ถูกถามอย่างใส่ใจนั่นก็ทำเอาเขาอยากจะตอบว่าหายดีเป็นปลิดทิ้งแต่ไม่วายยากที่จะอดหยอกล้ออีกฝ่ายเล่นถึงได้เปลี่ยนคำตอบที่ตั้งใจจะให้ไป




“จะไปหายเร็วขนาดนั้นได้ยังไงล่ะ หืม?”

 


“เจ็บอยู่เหรอครับ? ถ้างั้นผมปิดแอร์ให้เลยดีไหม?”

 


“ไม่เอาหรอกอย่างนั้นพี่ก็ร้อนแย่สิ”

 


“เสื้อผ้าก็ไม่ได้ใส่ แอร์เพิ่งปิดไป จะมาร้อนอะไรกันล่ะครับ”

 


หลังคำตอบที่ได้รับ เอสก็หัวเราะหึๆ เบาๆ ในลำคอแล้วเอื้อมแขนข้างที่ไม่เจ็บไปยีหัวคนข้างกาย โดยที่ฝ่ายถูกกระทำก็หลับตานิ่งให้ยีหัวอยู่อย่างนั้นสักพัก ก่อนสัมผัสจากความร้อนที่มือใหญ่ๆ นั่นจะละออก


 

ร่างสูงโปร่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อลุกขึ้นจากเตียง

 


“จำได้ไหม วันนี้พี่มีงานต้องไป ม.”

 


คนถูกถามที่จ้องมองร่างของเขาพยักหน้ารับ

 


“จำได้ครับ เพราะงั้นพี่เอสให้ผมไปส่งนะ อาบน้ำด้วยกันนะครับ”




จบประโยคคนตัวเล็กกว่าก็รีบลุก โดดออกจากเตียงเข้ามาออดอ้อนออเซาะ ส่งสายตายั่วยวน และทำตัวคลอเคลียเหมือนลูกแมว แต่เหมือนสำหรับเอสแล้วนั่นจะเป็นการเกาะแกะมากเกินไป ซึ่งมันทำให้เขานึกรำคาญแต่ก็ฉลาดพอที่จะไม่แสดงท่าทีไม่พอใจออกมาตรงๆ

 


 “อะไรกันครับ เมื่อคืนยังสนุกกับร่างกายพี่ไม่พอใจอีกหรือไง”




ตั้งใจพูดติดตลก แต่คนที่เกาะแขนเขาอยู่ยังไม่ยอมปล่อยออก

 


เรื่องพยายามยั่วยวน เขาที่เจออะไรๆ มามากย่อมรู้ดี น้องคนนี้เอาอกเอาใจเก่ง และเทคแคร์คนอื่นใช้ได้




...รวมทั้งลีลาเรื่องอื่นด้วย

 


“ถ้าบอกว่ายังล่ะครับ”

 


เอสกระตุกยิ้มให้ก่อนจะกระซิบที่ข้างหู

 


“เป็นนักบริหารนักธุรกิจก็ต้องรู้ใช่ไหมครับ? ว่าบนโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี”




“ก็ไม่ได้ฟรีสักหน่อยนี่ครับ พี่เอสได้กำไร ผมก็ได้กำไร จริงไหม?”

 


ก็จริงอย่างที่น้องพูด กำไรกันทั้งสองฝ่าย ในตอนนี้น่ะนะ แต่ถ้าในอนาคตอาจจะไม่แน่ เขาจะถือว่าเป็นความผิดของน้อง ที่รู้ว่ามันมีความเสี่ยงแต่ก็ยังจะมาลงทุนกับเขา

 


“แล้วตกลงว่ายังไงล่ะครับพี่เอส?”

 



“ถ้างั้นก็ได้สิครับ”

 



เดชองส์ เดือนคณะพาณิชย์ฯ

ก็คงจะกลายเป็นเหมือนอีกหลายๆ คนที่ผ่านมา





………

 


ร่างสูงโปร่งนั่งประจำที่นั่งคนขับบนรถ BMW 320d สีดำ ป้ายเลขประมูลหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าจอดรถที่ลานจอดของมหาวิทยาลัย ทันทีที่รถนิ่งสนิท มือก็เปิดประตูลงจากรถพร้อมกับอีกคนหนึ่งที่ลงตามมา

 


“อีกสักพักกว่าจะถึงเวลานัดเดชองส์ไปนั่งที่ร้านกาแฟกับพี่ก่อนไหม พี่เข้าสตูไปตอนนี้ก็คงอีกนานกว่าจะได้ถ่าย”

เมื่อผู้มีศักดิ์เป็นพี่เอ่ยปากชวนมีหรือที่รุ่นน้องเดือนคณะพาณิชย์จะปฏิเสธ เขาฉีกยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีแล้วพยักหน้าตอบตกลงอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ

 


ร้านกาแฟชื่อดังที่ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยก็ยังเปิดให้บริการในวันเสาร์ นักศึกษาที่มาเรียนในวันนี้ก็ยังพอมี แต่เบาบางเมื่อเทียบกับในวันธรรมดา เอสเลือกที่จะพาน้องเข้ามานั่งที่โต๊ะด้านในสุดของร้านเพราะต้องการความเป็นส่วนตัวให้มากที่สุด ถึงแม้จะชินกับการตกเป็นเป้าสายตา แต่ก็ไม่เคยรู้สึกชอบใจแม้สักครั้งที่ถูกมอง หนำซ้ำวันนี้ยังมากับอีกคนที่น่าจะมีคนจับตามองพอกัน

 


 “ผมไม่เห็นรู้เลยว่าพี่เอสชอบดื่มช็อกโกแลตมากกว่าพวกกาแฟ”

 


เดชองส์มองแก้วที่ตั้งอยู่ตรงหน้าแล้วเอ่ยถามอย่างสนใจ ผิดคาดกับที่คิดเอาไว้ว่าอีกคนจะสั่งเมนูอะไร

 


คนถูกทักแค่ยิ้มๆ แล้วเลือกที่จะไม่ตอบ เพราะความจริงแล้วเขากินได้หมดไม่มีเครื่องดื่มอะไรที่ชอบเป็นพิเศษเลยต่างหาก

 


“อ้าว เอส เดชองส์ บังเอิญจังนะ”

 


“พี่ไนซ์”

 


เดชองส์ยกมือไหว้รุ่นพี่ร่วมคณะ แต่นอกจากรุ่นพี่จะไม่รับไหว้แล้วยังไม่คิดที่จะมองมาทางน้องแม้แต่หางตา ทั้งๆ ที่ทักทั้งคู่แต่สายตากลับจับจ้องอยู่แค่เพียงคนๆ เดียว

 



“วันนี้วันเสาร์ มา ม. กันด้วย?”

 


ผู้มาใหม่ที่เดชองส์เรียกว่าไนซ์ถามเสียงแข็ง ดวงตาที่จ้องตรงแหลมคมราวกับปลายลูกธนูที่พร้อมจะปักทะลุหัวใจได้ทุกเมื่อ แผลผ่าตัดดามเหล็กที่แขนซ้ายเจ็บตึงนิดๆ ขึ้นมา โดยคิดว่าสาเหตุน่าจะเป็นตัวเขาเอง เอสเผลอเกร็งกำมือแน่น ผิดกับสีหน้าเรียบเฉยที่แสดงออกมา ท่าทางที่ไม่คิดจะตอบคำถามทำให้ฝ่ายถามเริ่มหงุดหงิด




“กูถามทำไมไม่ตอบล่ะ”




“....”

 


เอสถอนหายใจมองหน้าเดชองส์ที่นั่งอยู่ตรงข้าม สลับกับหน้าของคนที่ไม่คิดว่าจะมาเจอที่นี่ในวันนี้ ไม่อยากต่อความยาวกับคนๆ นี้อีกแล้วเอสจึงเลือกที่จะปิดปากแล้วทำเป็นไม่สนใจแต่เหมือนจะไม่ง่ายขนาดนั้นเมื่อไนซ์ไม่ยอมที่จะเลิกยุ่ง  ริมฝีปากบนใบหน้านิ่งกระตุกยิ้มที่เปรียบราวกับใบมีด

 


“ยังไม่เลิกมั่วกับคนอื่นอีกเหรอเอส”

 


“เรื่องของกู---”

 


“ไม่เห็นจะเกี่ยวกับพี่ไนซ์เลย”

 


“ฮะ?”




ไนซ์เก็บรอยยิ้ม หัวคิ้วมุ่นหากันมองคนเด็กสุดในโต๊ะที่จู่ๆ ก็พูดแทรกขึ้นมา

 


เดชองส์แสร้งทำหน้านิ่งกลับบ้าง

 


 “พี่ไนซ์เกี่ยวอะไรกับพี่เอสด้วยล่ะครับ พี่เอสจะไปไหน จะทำอะไร จะคบใครมันก็เป็นสิทธิ์ของพี่เขา...-”

 


รุ่นพี่คนที่ถูกพูดถึงเค้นเสียงในลำคอ รอยยิ้มที่มุมปากที่เก็บกลับไปแทนที่ด้วยไปหน้านิ่งเฉย ดวงตาคมกริบกดลงมองรุ่นน้องที่อยู่ต่ำกว่า แล้วพูดแทรกขึ้นมาบ้าง

 


“เห๊อะ ! อย่าพูดให้ขำเลยครับน้อง ถ้าอยากรู้ว่าพี่เกี่ยวอะไรกับเอสก็ลองไปถามรุ่นพี่คนอื่นๆ ดูบ้างนะครับ พี่รหัสน้องก็ได้ เอ้อ แล้วพี่ขอแนะนำอะไรไว้อีกอย่าง...”

 


“ไนซ์”

 


เอสกดเสียงต่ำปรามผู้ชายที่หันไปเล่นจ้องตากับเดชองส์ แล้วมีหรือคนที่ถูกห้ามจะยอมหยุดพูด ไนซ์หันกลับมามองหน้าเอสแวบหนึ่งแล้วหันกลับไปฉีกยิ้มให้รุ่นน้อง




“อย่าเอาแต่ทำตัวร่านอยู่แต่กับผู้ชาย แล้วหัดตามข่าวไว้บ้างก็ดี จะได้เลิกโง่”




เดชองส์นิ่งเหมือนถูกน้ำเย็นสาดเข้าหน้า เอสเริ่มขมวดคิ้วไม่พอใจเมื่อไนซ์ขยับปากพูดอีกครั้ง




“เลิกยุ่งกับเอสเถอะน้อง ถ้าไม่อยากกลายเป็นหมาหัวเน่าทีหลัง”


 



“ไนซ์!!”


 

เอสหมดความอดทนตวาดใส่คนที่ยังไม่ยอมหยุดพูดจนชะงัก แต่ก็เพียงครู่เดียวก็ตั้งท่าจะพูดอีกรอบจนเอสต้องตัดสินใจ ลากแขนอีกฝ่ายให้ออกจากร้านมาด้วยกัน โดยไม่ลืมหันกลับไปบอกเดชองส์ที่นั่งนิ่งเงียบทำอะไรไม่ถูกอยู่ที่โต๊ะ

 


“เดชองส์จะกลับไปก่อนเลยก็ได้ เดี๋ยวพี่จะเข้าสตูเลย”

 
 
...........

 


เอสลากแขนผู้ชายที่เคยคุ้นเคยกันดีออกมาจากร้านกาแฟ ท่ามกลางสายตาคนในร้านที่เริ่มมองมายังโต๊ะเขาตั้งแต่เริ่มมีปากเสียงกัน ไนซ์ไม่ได้ขัดขืนอะไร ก็แค่เดินตามผู้ชายที่ลากตัวเองออกมาจากร้านนิ่งๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงลานจอดรถโล่งๆ ที่เพราะเป็นวันเสาร์เลยไม่ค่อยมีรถเข้ามาจอด

 


หลังจากหยุดยืนเอสก็หมุนตัวหันกลับมาประจันหน้ากับคนที่ยืนกอดอกมองหน้าเขานิ่งๆ

 


“ทำไมต้องไปว่าน้องเขาแบบนั้น”

 


“ถามว่าทำไมกูถึงไปว่าน้อง นี่เอสเป็นห่วงน้องมันด้วยเหรอ?”

 


คนถูกถามตอบ ก่อนจะถามกลับเหมือนว่าเรื่องที่เอสไปใส่ใจน้องเดชองส์มันไม่ใช่ความจริงใจ ไนซ์ยักคิ้วส่งให้ผู้ชายตัวสูงกว่าที่ใบหน้าหล่อดูดีนั่นนิ่วหน้าไม่พอใจ

 


“ที่พูดไปกูก็พูดความจริงทั้งหมด กลับกันซะอีก กูหวังดีกับน้องถึงได้เตือน”

 


จากที่ไม่พอใจเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธและหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ

 


“เรื่องของมึงกับกูมันจบไปนานแล้ว ทำไมมึงยังไม่เลิกยุ่งกับเรื่องของกูสักที”

 


“จบ...? จบแล้วเหรอ?? ถ้าจบแล้วทำไมมึงยังไม่เลิกทำตัวแบบนี้สักทีเหมือนกันล่ะเอส”

 


เอสที่ฟังคำกล่าวจากคนตรงหน้าแล้วก็ยังไม่เข้าใจที่ไนซ์พูดนั่นหมายความว่าอะไร อยากจะคิดเข้าข้างตัวเอง แต่อีกใจก็ร้องเตือนว่าเขาเชื่อใจอีกฝ่ายไม่ได้อีกแล้ว

 


คนตัวสูงกว่าถอนหายใจยาวแล้วส่ายหน้า

 


“ตอนนี้กูจะทำอะไร ทำตัวแบบไหนก็ไม่เกี่ยวอะไรกับมึงแล้วไนซ์”

 


คำพูดที่เอ่ยออกมาจากฝ่ายชายหนุ่มคณะวิศวกรรมศาสตร์ตรงหน้า ทำคนที่กำลังรับฟังชะงักไปเพียงชั่วครู่ ก่อนที่สติที่ประโยคนั้นพัดปลิวหายไปจะกลับมาด้วยเสียงสายเข้าของโทรศัพท์

 


เอสหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงระหว่างที่กำลังมองดูว่าใครโทรมาและกำลังตัดสินใจว่าจะรับสายดีหรือไม่นั้น จู่ๆ ไนซ์ก็เอื้อมมือมาคว้าโทรศัพท์เครื่องนั้นออกจากมือเขาไป

 


ดวงตาคมมองชื่อรุ่นน้องที่เพิ่งแยกจากเมื่อครู่ที่ร้านกาแฟปรากฏอยู่บนหน้าจอแล้วก็ทำเอาเส้นความอดทนตึงขึ้นมาง่ายๆ เจ้าของมือที่กำโทรศัพท์จึงถือวิสาสะตัดสายไป

 


เอสมองการกระทำนั้นนิ่งๆ เมื่อจัดการกับโทรศัพท์เสร็จไนซ์ก็หันกลับมา

 


“เรายังคุยกันไม่จบเลยนะเอส”

 


“กูกับมึงมีอะไรต้องคุยกันอีกเหรอ?”

 


คำพูดที่เหมือนตัดขาดจนไร้เยื่อใย ไนซ์มองหน้าเดือนมหา’ลัยพูดอะไรไม่ออก  ในระหว่างที่ความเงียบเข้าปกคลุม โทรศัพท์ในมือก็สั่นขึ้นมาอีกจนทำให้ไนซ์รู้สึกรำคาญยิ่งเห็นชื่อเดิมๆ ที่ปรากฏอยู่บนจอด้วยแล้ว

 


“พอได้แล้วไนซ์ เอาโทรศัพท์กูคืนมาได้แล้ว”

 


เพียงประโยคนั้นแค่ประโยคเดียวเพิ่มความหงุดหงิดไม่พอใจ ที่เอสพูดอย่างนั้นเหมือนตั้งใจจะย้ำว่าเขาไม่ใช่คนที่เอสอยากจะคุยด้วยแล้ว คนที่เอสอยากจะคุยด้วยจริงๆ คือใคร จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไอ้คนที่กำลังโทรเข้ามา




ไนซ์กัดปากทำท่าอยากจะปาโทรศัพท์มือถือที่ทั้งสั่นทั้งส่งเสียงดังน่ารำคาญนั้นลงกับพื้น แต่เหมือนตัวเองจะพยายามเรียกสติกลับคืนมาได้...




เว้นแต่ว่า...

 


“ก็เอาเลยสิ อยากจะขว้าง อยากจะปา อยากจะทำอะไรก็ทำ แขนกูมึงยังทำมาแล้ว แค่โทรศัพท์แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก” 

 


ยิ่งพูดเหมือนยิ่งยุราวกับราดน้ำมันเข้ากองไฟ ไนซ์มองตาคนที่เอ่ยท้าทาย ก่อนที่โทรศัพท์มือถือยี่ห้อแพงจะถูกโยนลงกระแทกพื้น แค่นั้นยังไม่พอ คนที่โยนมันลงยังออกแรงกระทืบซ้ำราวกับมันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจจนไม่สมควรได้รับการให้อภัย หน้าจอ 5.8 นิ้ว แตกละเอียดพอๆ กับสภาพเครื่องที่เยินจนดูไม่ได้

 


“อยากได้ก็ก้มลงมาเก็บ หรือมึงเห็นว่ามันพังจนใช้การไม่ได้แล้ว จะปล่อยมันเป็นขยะไปแบบนี้ก็ได้!”



ผิดคาดกับที่ไนซ์คิดเอาไว้ เอสย่อตัวลงก้มเก็บโทรศัพท์มือถือที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นที่ถูกเหยียบกดไว้ด้วยปลายเท้า แต่สภาพของมันไม่ควรเรียกว่าโทรศัพท์มือถืออีกต่อไป ส่วนคนที่ออกแรงเหยียบตัวเครื่องไว้ครึ่งหนึ่งคล้ายจะไม่ยอมปล่อยให้เอสเก็บมันขึ้นไปดีๆ

 


ใบหน้าดูดีที่ก้มลงเห็นแค่สันจมูกโด่งสวยได้รูปกับโครงหน้าที่เข้ากันทุกองค์ประกอบนั้นดูเรียบเฉยไร้ความรู้สึกสิ้นดี ดวงตาสีดำคู่นั้นก็ไม่ได้โฟกัสมองอะไรทั้งๆ ที่มือใหญ่กำลังดึงโทรศัพท์นั่นกลับมา

 


หลังจากคนที่มองจากที่สูงกว่าเริ่มพอใจ ปลายเท้าจึงยกออกจากตัวโทรศัพท์ จนเอสสามารถนำมันกลับมาได้ในที่สุด ถึงแม้สภาพมันจะไม่เป็นเหมือนเดิมอีกแล้วก็ตาม

 


เจ้าของร่างสูงโปร่งเกือบ 190 เซนฯ ตั้งใจจะหันหลังกลับและเดินจากไป อารมณ์ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกเสียดาย หรือเสียใจที่โทรศัพท์เครื่องนั้นถูกทำพังไป แต่สิ่งที่จุกแน่นอยู่ในอกมันยากที่จะอธิบาย สิ่งที่เสียไปไม่ใช่โทรศัพท์ แต่มันเป็นความรู้สึกหลังจากภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ได้พิสูจน์ว่าผู้ชายคนหนึ่งตรงนี้เปลี่ยนไปเป็นอีกคนที่เอสไม่เคยรู้จักอีกต่อไปแล้ว

 


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกแต่เป็นอีกครั้งที่ทำให้เอสแน่ใจ 

 


“เอส กูตอนนี้ไม่มีความสำคัญกับมึงเลยใช่ไหม?”

 


“...”



คนถูกถามตีหน้านิ่ง ก่อนจะได้ตอบ เสียงๆ นั้นก็พูดออกมาก่อน...



“ไม่สิ กูควรจะต้องถามมึงว่า กู ‘เคย’ สำคัญกับมึงบ้างไหมต่างหาก”



เอสไม่ตอบคำถามนั้นแล้วเดินออกมา ต่างจากคำตอบในใจที่ย้ำเตือนชัดเจนอยู่ในหัว...

 

 

 



ของที่สำคัญ ต่อให้มันจะพังจนใช้งานไม่ได้อีกแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเมื่อก่อนมันไม่เคยสำคัญ

 


.....



ร่างสูงโปร่งในชุดนักศึกษาตรงตามระเบียบทุกข้อตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเดินทอดน่องถอนหายใจยาวบนฟุตปาธริมถนนในมหาวิทยาลัย ไม่มีจุดหมายใดๆ ก็แค่เดินไปเรื่อยๆ คิดอะไรเรื่อยเปื่อยกับตัวเอง หลังจากเดินหนีไนซ์เขาก็ไม่ได้ติดต่อเดชองส์หรือตรงไปสตูดิโอตามนัด กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าตัวเองมีหน้าที่ต้องทำอะไรเวลาก็ล่วงเลยมามาก

 

เขาไม่รู้ว่าพี่ก็อตช่างภาพที่มาถ่ายแบบให้ในวันนี้จะยังรอถ่ายเขาอยู่ไหม แต่สิ่งเดียวในตอนนี้ที่เป็นจุดหมายก็คือการตรงไปที่สตูดิโอ





หลังจากที่ไปปรากฏตัวบนสตูดิโอ ก็ไม่แปลกที่จะถูกพี่ช่างภาพต่อว่า ตอนแรกไม่มีอารมณ์ร่วมใดๆ เลยแม้จะถูกพี่ก็อตโวยวายแค่ไหนก็ตาม เอสหงุดหงิดกับสายตาที่มองมาเหมือนปกติ แต่มีสายตาหนึ่งที่เรียกความสนใจให้เขาหันกลับไปมอง เด็กชุดนักศึกษาหน้าตาดีมากคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าฉากขาวพร้อมกับตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ตรงนั้น

 

ใบหน้านิ่งเรียบ กับดวงตาใสจ้องมองเขาไม่วางตา จำได้ว่าคนๆ นั้นคือรุ่นน้องเดือนมหา’ลัยปีนี้ชื่อเดือนสิบ ถึงแม้ว่าตอนที่เขาเห็นน้องอยู่บนเวที เดือนสิบจะไม่ได้ใส่แว่นหนาเตอะแบบนี้ก็ตาม



เขาดึงสติกลับมาได้ ถึงได้เริ่มกลับมายิ้มแย้ม ทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวให้คนอื่นสบายใจแม้มันจะเป็นการฝืนตัวเองอยู่บ้างก็ตาม



หลังจากที่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายได้ เอสก็เดินเข้าไปทางเดือนสิบ มองหน้าอย่างพิจารณา เพราะเคยเห็นน้องจากแต่ที่ไกลๆ พอมาเห็นใกล้ๆ แบบนี้แล้ว

 

ก็หล่อดี หุ่นดี ผิวดี

 

มองอยู่นานเดือนสิบก็เลิ่กลั่กขึ้นมา แล้วไหว้ทักรุ่นพี่ตรงหน้า เอสยังคงสังเกตท่าทางของน้องแล้วเอ่ยทักตามประสา ถึงอยากจะคุยเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง แต่สุดท้ายก็ถูกพี่ก็อตเรียกไปถ่ายงาน บทสนทนาจึงไม่ได้มีอะไรมากนอกจากทักทาย

 

ถ่ายไปเท่าไหร่เยอะไหมเขาก็ไม่ได้นับนักหรอก เอสเคยทำงานถ่ายแบบมาแล้ว แสง มุมกล้อง ความต้องการของช่างภาพ อะไรพวกนี้ก็เป็นของที่คุ้นเคย แม้จะห่างหายมานานถึงครึ่งปี แต่ปัญหาที่ทำให้ถ่ายเยอะขนาดนี้แล้วยังไม่ได้ภาพที่ถูกใจช่างภาพสักทีไม่ได้เป็นเพราะเขา



“เดือนสิบ พี่ว่าเราเหนื่อย ออกมาพักก่อนไหม ไม่ได้รูปเลย ทั้งๆ ที่ควรจะได้มาสักสองสามรูปแล้ว”



เอสมองรุ่นน้องที่ยืนก้มหน้ามองพื้นข้างๆ ในใจรู้สึกรำคาญหน่อยๆ เป็นเพราะเดือนสิบที่ทำให้การถ่ายแบบที่เอสคิดว่ามันง่ายแสนง่าย แค่ใช้เวลาถ่ายไม่ต้องถึง 5 นาทีก็เสร็จนั่น ต้องมาใช้เวลานานขนาดนี้... แต่จากที่ดูๆ เดือนสิบก็ไม่ได้ทำอะไรผิด หรือแย่ตรงนั้น เอสไม่ใช่ช่างภาพที่ยืนมองพวกนายแบบผ่านกล้อง ก็เลยไม่รู้ว่ารูปที่ถ่ายออกมามันแย่ขนาดไหน หรือขาดอะไร ตรงไหนที่ใช้ไม่ได้ไป



“พี่ก็อต”



ทางเดียวที่จะรู้ว่ารูปออกมาเป็นแบบไหนก็คือต้องดู



“ขอผมดูรูปที่ถ่ายหน่อย”



เอสขอไปแบบนั้น พี่ก็อตเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาส่งกล้องตัวที่ใช้ถ่ายมาให้ หนุ่มอดีตนายแบบรับมันไปเลื่อนดู ภาพของเขากับเดือนสิบที่ยืนถ่ายคู่กัน... เอสยอมรับว่ามันไม่ได้ออกมาแย่อะไรเลย แต่กลับรู้สึกเหมือนมีบางอย่างขัดๆ จากที่คิดเอาไว้



นิ้วมือกดปุ่มเลื่อนดูรูปไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงรูปของเดือนสิบที่ถ่ายเดี่ยว อาจจะเป็นตอนที่ถ่ายรอระหว่างที่เขามาสาย รูปของผู้ชายตัวสูงโปร่งในชุดนักศึกษาตามระเบียบเรียบร้อย ใบหน้าดูดีนิ่งเรียบไม่ได้ยิ้มแย้มหรือแสดงสีหน้าเศร้า แต่มันกลับทำให้ภาพนั้นดูผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติ เดือนสิบในรูปนั่งเล่นกับตุ๊กตาหมีตัวใหญ่... และก็เป็นภาพนี้ที่ทำให้เอสรู้สึกฉุกคิดขึ้นมา เขาส่งยิ้มบางราวกับกำลังยิ้มให้คนในกล้อง หลังจากมองจนพอใจแล้วก็ยื่นกล้องคืนให้พี่ก็อต แล้วเดินไปหาอีกคน



เดือนสิบที่นั่งอยู่ที่โซฟา ใบหน้าขาวพร้อมดวงตาใสเงยขึ้นมองหน้าเขา และดวงตาคู่นั้นใสวาววับเกินไปจนทำให้เอสรู้ว่านั่นเป็นเพราะน้ำตา ตอนแรกก็คิดว่าน้องกดดันจนร้องไห้เลยหรือ? แต่พอถามแล้วคำตอบที่ได้ไม่เป็นอย่างที่คิดก็ทำให้คนเป็นพี่โล่งใจ เพราะถ้าเดือนสิบร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ คนที่ปลอบใครไม่เก่งอย่างเขาคงทำอะไรไม่ถูกน่าดู



หลังจากได้พูดคุยดูสักพักถึงได้เริ่มเข้าใจ และสิ่งที่เอสแนะนำไปก็ทำไปเพราะความรู้สึกล้วนๆ รู้สึกว่าถ้าเขาไม่ทำอะไรสักอย่างงานนี้มันคงจะไม่จบง่ายๆ



“อืม... เดือนสิบ เราไม่ถนัดยิ้มตอนถ่ายรูปเหรอ? เอางี้นะไหนลองยิ้มให้พี่ดูสิ”



ลองขอให้ผู้ชายตรงหน้าลองยิ้มออกมาดู เพราะไม่เคยเห็น.. เดือนสิบยิ้มเลยสักครั้ง



ดวงตาคู่นั้นจ้องตอบกลับเอสที่คอยมองท่าทางน้องอยู่ เดือนสิบเงียบ และนิ่งไปสักพักก่อนจะค่อยๆ ระบายยิ้มออกมา ไม่มากและไม่น้อยเกินไปแต่มันกลับทำให้..



 

“อะ...”


 



...เอสชะงักขึ้นมา เอสยอมรับตั้งนานแล้วว่าน้องที่นั่งอยู่ตรงหน้า หน้าตาดีมากขนาดที่ไม่มีข้อโต้แย้งที่เดือนสิบได้เป็นเดือนมหา’ลัย ยิ่งเห็นรอยยิ้มนี้ที่อยู่บนหน้านั้นกลับรู้สึกว่าถูกแล้วที่จะเป็นคนๆ นี้





น่าเสียดายที่รอยยิ้มแบบนี้ไม่ได้เห็นได้บ่อยๆ นักหรอก เพราะเจ้าของรอยยิ้มไม่ชอบยิ้มเอาเสียเลย..



โชคดีไปหรือเปล่านะที่ได้เห็นรอยยิ้มของคนๆ นี้ใกล้ๆ แบบนี้...



เอสยิ้มส่งกลับให้บ้าง

 

...บางที เด็กคณะอื่นก็ไม่เลวนักหรอก ใช่ไหมนะ?   






---------------

ออฟไลน์ miminari

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
............

 

คนที่ตกใจภาพเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้านั้นไม่ใช่ผมแค่คนเดียวหรอกครับ คนอื่นๆ ที่อยู่ตอนนี้เองก็ตกใจเหมือนกันกับผม



รุ่นพี่หน้าหล่อที่นั่งอยู่ตรงโซฟาตรงนั้นไม่ได้แสดงท่าทีตกใจอะไรชัดเจน แต่สีหน้าที่ปกติจะนิ่งเรียบนั้นแสดงความสับสนออกมาไม่น้อยเลย ผมถึงได้คิดเอาเองว่านี่ไม่ใช่การเตี๊ยม เล่นมุก หรือทำอะไรขำๆ อำกันเล่นๆ ตามประสารุ่นพี่รุ่นน้องคณะเดียวกันแน่ๆ(ล่ะมั้ง?)



ผมก้าวขา จากที่เคยตั้งใจจะเดินไปขอบคุณพี่เอสก็ถอยหลังออกมาพอสมควร ไม่ใช่เพราะอะไรหรอกครับ คนแถวๆ นั้นบางคนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ถ้าให้เดาผมว่าถ่ายคงจะถ่ายคลิป และเพื่อความปลอดภัย ผมจะได้ไม่ไปเป็นส่วนเกินในคลิปด้วยก็เลยถอยออกมา



“พูดว่าอะไรนะ?”



พี่เอสเดือนมหา’ลัยปีที่แล้ว กับเมืองเอกเดือนวิศวะเริ่มเปิดบทสนทนา



“ผมพูดว่า ‘พี่เอส ผมชอบพี่ คบกับผมเถอะ’ ครับ”



เมืองเอกยังคงยืนยันคำตอบเดิม คนที่อยู่รอบๆ เริ่มฮือฮาขึ้นมา... ผมอยู่ห่าง แต่ก็พอได้ยินครับ แอบคิดในใจว่าผมจะไปเผือกกับการสารภาพรักคนอื่นเขามากเกินไปหรือเปล่า แต่มาคิดอีกที ใครใช้ให้เมืองเอกประกาศขอคบกันโต้งๆ แบบนั้นล่ะ(วะ)ครับ? 



เพราะงั้นผมจะฟังที่สองคนนั้นคุยกันมันก็ไม่ผิดใช่ไหมล่ะ



“ไอ้เอสฮ็อตเหมือนเดิมเลยนี่หว่า”



“..”



ผมเกือบสะดุ้ง หันมองพี่ก็อตช่างภาพที่อยู่ดีๆ มายืนดูเหตุการณ์ข้างผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เอาเถอะ ผมไม่ได้ว่าอะไรที่เขาจะมายืนดูข้างๆ ผมหันกลับไปมองตรงไปที่ทั้งเดือนสองคนนั้นอีกครั้ง



พี่เอสหลังจากได้ยินคำตอบจากเมืองเอกจู่ๆ ก็กระตุกยิ้ม สองขายาวใต้กางเกงนักศึกษาขยับขึ้นมาไขว่ห้าง แขนขวายกขึ้นมาเท้าคางเงยหน้ามองรุ่นน้องตรงหน้า



"มาขอคบกับพี่ แล้วเรื่องดาวคณะอักษรล่ะ?"



"พี่เอส เรื่องนี้กับเรื่องนั้นมันคนละเรื่องกัน"



อืม... คนละเรื่องกันเหรอครับ?



เรื่องคนที่ตัวเองกำลังคบ กับคนที่ตัวเองขอคบนี่มันคนละเรื่องกันเหรอ?



ผมงงกับคำตอบของเมืองเอก สีหน้าหมอนั่นเป็นยังไงไม่รู้ เจ้านั่นมันหันหลังให้ผมอยู่ แต่พี่เอสยังไม่ได้หยุดยิ้ม



“เมืองเอกรู้ข่าวลือของพี่ไหม?”



เรื่องข่าวลือของพี่เอสอีกแล้วเหรอ?



“รู้”



คนถูกถามตอบสั้นๆ คนที่อายุมากกว่าลุกขึ้นยืน จากความสูงตอนยืนแล้ว เมืองเอกเตี้ยกว่าพี่เอสแบบเห็นได้ชัดเลย



“ถ้างั้นก็น่าจะรู้คำตอบนี่ ว่าพี่จะตอบว่าอะไร”



“...”           



“อืม... แต่ก็ไม่แน่ เพราะพี่ว่าเด็กคณะอื่นก็น่าสนใจเหมือนกัน



คำจากปากพี่เอสทำให้เมืองเอกเงียบได้ขนาดนั้น ถ้าผมไม่ได้คิดไปเองพี่เอสมองมาทางผมจริงๆ เขายิ้มให้ และผมที่งงๆ กับคำพูดนั้นก็ทำได้แค่มองหน้ารุ่นพี่กลับ...



คนที่เคยยืนอยู่ตรงหน้าก้าวขาเดินผ่านเมืองเอกไปที่ประตูทางออกจากห้องสตูฯ แต่ยังไม่ทันเดินพ้นประตู ขายาวนั่นก็หยุดนิ่งราวกับคิดอะไรออก เขาหันกลับมาทางเมืองเอกอีกครั้ง



“เออ เมืองเอก ได้จากไอ้ตอเท่าไหร่ เอามาแบ่งกูด้วยแล้วกัน”



เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินพี่เอสพูดหยาบ ถึงแม้จะเป็นรุ่นน้องที่คณะแต่ช่วงแรกๆ พี่เขายังพูดเพราะใส่เมืองเอกอยู่เลย...



สิ่งที่ผมสงสัยในหัวก็ไม่ได้คำตอบ พี่เอสพูดแค่นั้นแล้วก็เดินจากไป ทิ้งให้พวกคนที่อยู่รอบๆ รวมทั้งผมกับพี่ก็อตยืนงงกับเรื่องตรงหน้า ส่วนเมืองเอกเหมือนว่าจะรู้ว่าพี่เอสหมายถึงอะไรเลยไม่ได้งงแบบผม มันแค่จิ๊ปากเบาๆ หัวคิ้วมุ่นลงผมเห็นเพราะเจ้าตัวหันหน้ามาทางผม อ่านปากที่ฝ่ายนั้นพึมพำเบาๆ ได้ว่า



“ไม่แบ่งหรอก...”



ผมมองตามเมืองเอกที่เดินไปทางผู้หญิงคนหนึ่ง ผมจำได้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายภาพเหตุการณ์ทั้งหมดเก็บเอาไว้ 



“จะเอาคลิปไปลงก็ตามใจ แต่รบกวนอย่าใส่สีตีไข่ไปมากเกินความจริงแล้วกัน”



 ประโยคที่ว่าของเมืองเอกไม่ได้ออกแนวต่อว่าอะไรแต่คนฟังถึงกลับเหงื่อตก ไม่ใช่อะไรหรอกครับก็สีหน้าบอกบุญไม่รับของเมืองเอกน่ะสิ เอ่อ... ก็ยังหล่อดีเหมือนปกติ ก็แค่รู้สึกว่ากำลังโกรธอยู่เท่านั้นเอง อารมณ์เสียถึงขนาดพูดกับผู้หญิงคนนั้นจบแล้วเดินปึงปังออกไปเลยครับ



หน้าเมืองเอกตอนโกรธเพิ่งเคยได้เห็นแต่ค่อนข้าง... น่ากลัวพอดูเลยล่ะครับ



รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณเลย ว่าอย่าไปทำให้อีกฝ่ายโกรธแบบนั้นจะดีกว่า...




---------------



วันเสาร์กับหน้าฝน... ผมรู้อยู่แล้วครับว่ามหา’ลัยน่ะเปิดเรียนพร้อมกับหน้าฝน ฝนจะตกก็ไม่แปลกนักหรอก แต่ไม่รู้ทำไมชอบตกตอนจะกลับบ้านให้เปียกเล่นทุกที ถึงการที่ฝนตกวันเสาร์จะเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่ดีที่วันเสาร์วันนี้ผมดันต้องออกมา ม. ยังไงล่ะครับ



ผมได้แต่นั่งเงียบๆ ตัวเกร็งมองสภาพการจราจรที่ติดขัดพร้อมห่าสายฝนที่เทลงมาอย่างบ้าคลั่ง ระหว่างม.กับคอนโดใช้เวลาไม่นาน แต่ถ้ารถติดกับฝนตกด้วยก็ไม่แน่...



15 นาทีผ่านไปยังไม่ออกจากถนนหน้า ม. เลยครับ วันนี้วันเสาร์แท้ๆ รถมาจากไหนกันนักฮะ!?   



“ฝนมาตกวันนี้โชคไม่ดีเลยนะ”



คนขับรถจำเป็นที่นั่งเงียบมองทางข้างหน้าอยู่นานเอ่ยขึ้นเบาๆ ผมที่แกล้งทำเป็นมองทางอื่นไปพลางๆ ก็เลยจำต้องหันกลับมา สนใจบทสนทนา...



รุ่นพี่หน้าตาหล่อมาก(ก.ไก่สักล้านตัว) ดูดี ไร้ที่ติ อดีตนายแบบ อดีตเดือนมหา’ลัย และตอนนี้กำลังนั่งประจำที่นั่งคนขับรถ BMW สีดำคันนี้อยู่ ถามว่าทำไมผมถึงได้มานั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้พี่เอสน่ะเหรอครับ เอ่อ เรื่องมันก็ง่ายๆ



ผมที่ออกจากสตูกำลังจะกลับคอนโดในระหว่างที่กำลังเดินไปนั่งรอรถเมล์หรือเรียกวินอะไรสักอย่าง จู่ๆ ฝนก็ดันเทลงมาซะจนแทบหาที่หลบไม่ทัน บังเอิญกว่านั้นพี่เอสที่ออกจากสตูไปนานแสนนานแล้ว กลับขับรถ BMW โคตรหรูมาจอดที่หน้าป้ายรถเมล์ที่ผมหลบฝนอยู่ ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกครับว่าใครแต่พอรถลดกระจกลงเท่านั้นแหละ... ถึงได้รู้ว่าเป็นพี่เอส

 



“เดือนสิบจะกลับด้วยกันไหม? เดี๋ยวพี่ไปส่งก็ได้นะ จะลงตรงไหนล่ะ?” 



“เอ่อ... ไม่เป็นไรหรอกครับ”



“ไม่เป็นไรได้ยังไง ฝนตกหนักเลยนะ ไปด้วยกันเถอะ ถือว่าเป็นการขอโทษที่พี่มาสายทำให้เดือนสิบเสียเวลาไง”



“...”   

 



ก็แค่นั้นล่ะครับ ตอนนี้ผมถึงได้ย้ายร่างมาประทับอยู่บนเบาะบีเอ็ม... อืม จะว่าดีก็ดีที่ได้กลับคอนโดโดยที่ไม่ต้องเปียกแต่มันก็



“เกร็งจังนะเรา คิดว่าพี่เป็นคนขับแท็กซี่ก็แล้วกัน”



พี่เอสก็ยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขับรถของเขาไป ส่วนตัวแล้วผมโคตรเกรงใจ กับรุ่นพี่ที่เพิ่งเจอกันแค่ครั้งเดียว เขาก็อุตส่าห์ขับรถพาผมมาส่งให้ ผมไม่ใช่คนคุยเก่งอะไรด้วย ตอนนี้เลยทำตัวไม่ถูกมากๆ แค่เงียบๆ ไปเหมือนปกติ



RRRRRR ~



แต่ความเงียบอยู่ได้ไม่นาน โทรศัพท์มือถือผมก็สั่นขึ้นมา พอก้มลงมองก็พบว่าเป็นสายเข้า เอ่อ สวรรค์ เอาไงดีล่ะ



ผมหันหน้ามองคนที่กำลังขับรถ เขาเองก็หันกลับมามองผมแวบนึงก่อนจะพยักหน้า



“ถ้าไม่ว่าอะไรที่พี่จะได้ยินด้วย ก็รับเถอะครับ”



ถ้าพี่เอสว่างั้นก็ได้ ผมสไลด์หน้าจอรับโทรศัพท์ก่อนที่เสียงผู้หญิงที่คุ้นเคยจะดังขึ้นมา...



[“เดือนสิบ ได้ข่าวว่าถ่ายแบบเสร็จแล้วใช่ป่ะ? ตอนนี้อยู่ไหนอ่ะ??”]



จะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากกวาง เพื่อนหญิงในกลุ่มผมเอง แล้วคำถามที่ยิงถามมานี่ ถ้าผมบอกปัดไปจะเป็นอะไรไหมนะ?



“อืม เสร็จแล้ว”



 [“หือ แล้วคุยได้ยังอะ มีเรื่องอยากคุยเยอะเลย”]



ยังไม่วายถามต่อ ผมเข้าใจ กวางคงจะโทรมาถามเรื่องวันนี้แหละครับ แต่ตอนนี้มันไม่ได้จริงๆ น่ะสิ จะบอกว่าไงดีล่ะเนี่ย



ผมเบนตามองพี่เอสดู เขาก็ไม่ได้มีท่าทีจะสนใจผมคุยโทรศัพท์อะไรหรอก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะได้ยินเสียงกวางไหม แต่เพื่อความปลอดภัยที่ไม่ค่อยได้ช่วยอะไรเท่าไหร่ ผมแทบจะแทรกตัวเองกับประตูแล้วก็กระจกรถอยู่แล้ว เอาเป็นว่าออกห่างจากคนที่นั่งขับรถให้มากที่สุด



“อยู่บนรถ”



[“รถ? รถอะไร? กำลังกลับคอนโดเหรอ?”]



พี่เอสหันมามองทำไมก็ไม่รู้



“บนรถพี่เอส”



[“....”]



กวางเงียบ เงียบไปเลย เงียบไปนานเกือบ 1 นาทีได้ นานขนาดที่ผมต้องเลื่อนโทรศัพท์กลับมาดูว่าปลายสายวางไปหรือยังถึงได้เงียบแบบนี้ แต่ต่อมาก็ได้ยินเสียงกรี๊ดเบาๆ ดังออกมา



[“ทำไม? อะไร?? ได้ไงอ่ะ??? เดือนสิบ----”]



ไม่จบง่ายๆ แน่ เหมือนที่คิดเอาไว้เลย กวางยิงคำถามใส่มาเป็นชุดและมันไม่เหมาะเลยที่จะมาคุยเรื่องของพี่เอสต่อหน้าเจ้าตัวแบบนี้



“ไว้คุยกันตอนถึงคอนโดนะ เดี๋ยวถึงแล้วจะรีบโทรหา”



ผมพูดเร็วๆ และไม่เปิดโอกาสให้กวางได้ปฏิเสธด้วย วางสายใส่ไปเลย เป็นวิธีเดียวที่จะเลี่ยงกวางตอนนี้ได้ แต่ให้ตายเถอะ พอวางสายมาแล้วก็ดันเจอพี่เอสยิ้มอยู่ข้างๆ



“แฟนเหรอ?”



คำถามนั้นออกจากปากรุ่นพี่ ส่วนผมส่ายหน้าหวือปฏิเสธ



“ไม่ใช่ครับ เพื่อนน่ะ”



“อืม ตอนแรกนึกว่าเดือนสิบจะไม่ยอมมาด้วยแล้ว แล้วก็คิดว่าจะไม่บอกเพื่อนว่าอยู่บนรถพี่ซะอีก”



พี่เอสพูดเบาๆ ในขณะที่มือทั้งสองข้างหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าคอนโด.. เผลอแป๊บเดียวถึงแล้วสิเนี่ย รถสีดำจอดนิ่งอยู่ที่หน้าตึก ส่วนผมก็ค่อยๆ เอื้อมมือมาปลดเซฟตี้เบลท์



“พี่เอสขอบคุณมากๆ นะครับ”



“กลัวเป็นข่าวกับพี่หรือเปล่า?”



“....”



ผมชะงักมือแล้วเงยหน้ามองหน้ารุ่นพี่ที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ ดวงตาคู่นั้นจ้องตอบผม ยิ่งกว่านั้นคือผมมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นอยู่นานมาก จนกระทั่งฝั่งพี่เอสกะพริบตาแล้วส่งเสียงหืมในลำคอผมถึงได้ส่ายหัว



“เปล่าครับ”



พี่เอสดูเหมือน จะคิดมากเรื่องของลือของตัวเองจริงๆ



“แล้วเชื่อข่าวลือไหม?”



อีกคำถาม... แต่คราวนี้ผมไม่กล้าตอบ เพราะคำตอบของตัวเองยังอยู่ที่ตรงกลาง



อยู่ๆ คนถามก็หัวเราะขึ้นมา จนผมแปลกใจ



“ไม่ตอบพี่ก็ไม่ว่าอะไรหรอก ไว้เจอกันนะครับ”



ฝั่งนั้นเป็นคนพูดตัดบทเอง แล้วมันก็เป็นประโยคที่ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจ ผมพยักหน้ารับคำพี่เอส ยกมือไหว้ขอบคุณอีกสักรอบแล้วเปิดประตูลงรถมา มองตามรถหรูที่ตัวเองเพิ่งนั่งมาเคลื่อนออกไป แต่ในใจตอนนี้...

 

ข่าวลือมันจะไม่มีมูลเลยก็คงไม่ใช่ แล้วตอนนี้ผมก็เริ่ม.. สนใจในข่าวลือของพี่เอสขึ้นมาแล้ว



ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรออกหาคนที่อยู่บนสุดของบันทึกรายชื่อ



“ฮัลโหลกวาง รู้เรื่องข่าวลือพี่เอสไหม?”




.............



ขึ้นคอนโดเข้าห้อง รอสายจากเพื่อนหญิงในกลุ่มตัวเองไม่นาน คนที่รออยู่ก็โทรกลับมาหา



“ฮัลโหลกวาง”



[“เดือนสิบ ได้เรื่องแล้วล่ะ”]



ผมพยักหน้ากับตัวเอง ตอนนี้ผมกำลังนอนเอนหลังอยู่บนโซฟากลางห้องพร้อมกับใส่หูฟัง สภาพเตรียมพร้อมที่จะรับฟังข้อมูลที่กวางหามามาก   



[“แล้วจะให้เริ่มเล่าจากตรงไหนดีล่ะ?”]



ผมกะพริบตามองเพดานห้องตัวเองแล้วพูดเบาๆ ตอบเสียงปลายสายไป



“ตั้งแต่แรกเลยก็ได้”



[“โอเคงั้นฟังนะ...”]



เสียงเล็กๆ ของกวางเกริ่นเริ่มเรื่อง



[“เดือนสิบรู้เรื่องข่าวลือของพี่เอสแล้วใช่ไหม เรื่องที่พี่เอส เอ่อ..”]



“เรื่องที่ไปนอนกับเด็กคณะพาณิชย์ไม่ซ้ำหน้าน่ะเหรอ?”



ผมพูดแทนกวางขึ้นมาเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใครๆ ใน ม. ทุกคนก็รู้กันอยู่แล้ว



[“ใช่ ผู้ชายหน้าตาดี ตัวท็อปของคณะพาณิชย์ส่วนใหญ่ก็เคย... กับพี่เอสมาแล้วทั้งนั้น…”]



ผมฟังกวางที่เหมือนเพื่อนผมจะไม่ค่อยกล้าพูดเรื่องนี้ด้วยคำตรงๆ เท่าไหร่ ก็ไม่แปลกสำหรับผู้หญิง จะให้พูดเรื่องนี้แบบไม่อายปากก็ยังไงๆ อยู่ ถึงแม้ผมจะคิดว่าภาพลักษณ์อย่างกวาง กับเรื่องพวกนี้ไม่น่ามาอายแท้ๆ แต่... อะ ช่างมันเถอะ ตอนนี้โฟกัสเรื่องข่าวลือพี่เอสจะดีกว่า



[“จริงๆ แล้วข่าวนี้ค่อนข้างจริง ไม่ควรเรียกว่าข่าวลือเลยเนอะ แต่ที่ลือๆ กันจริงๆ นี่ก็มีอีกสองสามข่าว..”]



ผมเงียบรอฟัง



[“ข่าวลือที่กว่าพี่เอสจะไม่ทำเรื่องแบบนี้กับผู้ชายคณะอื่นนอกจากคณะพาณิชย์ กับข่าวย่อยๆ อีกเรื่องสองเรื่อง หยิ่งบ้างล่ะ นิสัยเข้าถึงยากสุดๆ บ้าง ขี้เก๊กบ้าง แต่ที่เสียหายสุดเลยก็คือ... เขาลือกันว่าพี่เอสทำเรื่องแบบนั้น เอ่อ... ที่มหา’ลัย แล้วโดนจับได้”]



“อ่า”



ถึงผมจะคิดว่าการจะไปทำอะไรกับใครที่ไหนก็เป็นเรื่องของเขา แต่ถ้าถึงขั้นทำที่มหาวิทยาลัย... ก็ไม่เหมาะไปหน่อยล่ะมั้ง ส่วนข่าวอื่นที่ว่าผมไม่รู้ละเอียดนัก เรื่องภาพลักษณ์กับนิสัย ที่ผมเจอมาก็พูดได้แค่ว่าไม่เหมือน ก็ไม่รู้สิครับ เขาอาจจะเลือกปฏิบัติก็ได้



[“นี่ เดือนสิบคิดว่ามันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ? ทำไมถึงได้ยุ่งกับแต่คณะพาณิชย์น่ะ”]



อืม... รสนิยมส่วนตัวล่ะมั้ง



“[เขาว่ากันว่าพี่เอสตอนสมัยปี 1 แรกๆ ไม่ได้ทำตัวแบบนี้นะ แต่พอเปิดเทอมได้ไม่นานก็ได้ข่าวว่าพี่เอสเขาประสบอุบัติเหตุ แขนซ้ายหักจนต้องดามเหล็ก หายไปจาก ม. นานเลย โผล่มาอีกทีก็ตอนช่วงมิดเทอม...”] 



แขนซ้าย.. จะว่าไปวันนี้ตอนถ่ายแบบ พี่เอสก็โดนพี่ก็อตติเรื่องแขนซ้ายด้วยนี่ แล้วจากที่สังเกตพี่เอสก็ไม่ค่อยได้ขยับแขนซ้าย..



 [“เดือนสิบวันนี้ไปเจอพี่เอสมาแล้วก็คงรู้สินะว่าพี่เอสเคยเป็นนายแบบอิสระมาก่อน.. ที่หยุดถ่ายไปก็เป็นเพราะแขนซ้ายที่ดามเหล็กนี่ด้วย แล้วพอแขนเริ่มหายพฤติกรรมตามข่าวลือก็ตามมาเลย เหมือนว่าพี่เอสจะเริ่มไปยุ่งกับเด็กคณะพาณิชย์ตอนช่วงนี้ล่ะ”]



ผมขมวดคิ้วกับเรื่องที่ได้ยิน เหมือนกับว่าที่พี่เอสทำอย่างนี้ มันมีต้นตอมาจากหลังเหตุการณ์อุบัติเหตุครั้งนั้น



[“บางคนก็บอกว่าที่พี่เอสวุ่นวายแต่กับคณะพาณิชย์เพราะรุ่นพี่คนหนึ่งที่ชื่อไนซ์ ตอนนี้อยู่ปี 2 คณะพาณิชย์เหมือนกัน รู้สึกว่าพี่เอสกับพี่ไนซ์จะเคยเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่จู่ๆ ก็เลิกสนิทกันเฉยเลย แต่เหมือนใครๆ ก็จะรู้กันนะว่าพี่เอสกับพี่ไนซ์ใช่เพื่อนสนิทธรรมดาๆ กันที่ไหน”]



เห็นไหมครับ ข้อมูลออกมาถึงขนาดนี้เลย ข่าวลือน่ะน่ากลัวแค่ไหน คิดดูเอา แล้ว... ไอ้เรื่องที่เริ่มด้วย ’เขาว่ากันว่า' เนี่ยน่ากลัวที่สุดครับ เขาที่ว่า ก็เป็นเขาไหนก็ไม่รู้ ผิดถูกก็ไม่รับประกันด้วยสิ



“เรื่องก็มีประมาณนี้สินะ”



ผมเอ่ยแทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเรื่องราวมันเริ่มครบสมบูรณ์ ผู้หญิงปลายสายตอบรับธรรมดาคำเดียวว่าอืม ก่อนเสียงเล็กๆ นั่นจะดังขึ้นมาอีกครั้ง



[“ตอนนี้คนที่กำลังคบ เอ๊ะ.. จะเรียกว่าคบได้หรือเปล่านะ... อืม เดชองส์น่ะ เดือนคณะพาณิชย์ เดือนสิบก็รู้จักใช่ไหม?”]



ขอบคุณที่กวางอุตส่าห์บอกถึงขนาดนี้ แต่ว่าจริงๆ แล้วไม่ต้องก็ได้ ส่วนเดชองส์น่ะผมรู้จักครับ ก็แน่นอนประกวดเดือนบนเวทีเดียวกัน



[“งั้นคราวนี้ถึงตาทางนี้ถามบ้างแล้วนะ ฉันเห็นคลิปแล้ว! ที่เมืองเอกสารภาพรัก แล้วขอคบพี่เอสน่ะ มันเรื่องอะไรกันน่ะเดือนสิบ ตอนนั้นแกอยู่ในเหตุการณ์ด้วยไหมอ่ะ?”]



อะฮะๆ ข่าวเร็วเหมือนเดิม ผมยิ้ม กวางก็ยังคงเป็นคนที่ตื่นเต้นกับข่าวพวกนี้เหมือนเดิม



“อยู่ในเหตุการณ์แต่ไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไหร่”



[“พี่เอสปฏิเสธเมืองเอกสินะ! เห็นไหมบอกแล้วว่าพี่เขายุ่งแต่กับคณะพาณิชย์ แต่...ประโยคที่ว่าคณะอื่นก็น่าสนใจเหมือนกันนี่มันอะไรกันแน่! หรือว่าจะเป็นคู่วิศวะxวิศวะกันนะ พี่เอสเขาเริ่มมีใจสนใจผู้ชายคณะอื่นบ้างแล้วเหรอ...----”]



จากนั้นผมก็ได้แต่ฟังความพร่ำเพ้อไป ทั้งๆ ที่เรื่องที่สมควรพูดมากที่สุดไม่ใช่เรื่องที่เมืองเอกคบกับดาวคณะอักษรอยู่หรอกหรอ คบกับอีกคนแล้วไปบอกรักกับอีกคน... แบบนี้ก็ได้เหรอครับ?



 แต่ประโยคสุดท้าย ได้จากตอเท่าไหร่? อะไรแบ่งไม่แบ่ง?



[“ว่าแต่แกเถอะเดือนสิบ พี่เอสเขาถึงกับขับรถมาส่งแกหน้าคอนโด เขามีวี่แววจะจีบแกบ้างไหมอะ?”]   



เสียงกวางเรียกความสนใจ ถามคำถามที่ทำให้ผมคิดตาม...



“ไม่หรอกมั้ง เขาแค่ขับมาส่งเฉยๆ เพราะเห็นว่าฝนมันตกหนัก”



[“อย่างนั้นเหรอออ------ ฮิฮิ แกก็หน้าตาดีจะตาย เดือนมหา’ลัยด้วย ไม่แน่นะ เด็กคณะอื่นที่ว่าอาจจะเป็นแกก็ได้ ~”]



เสียงเเซวของกวางในตอนนั้น ยังคงหลอกหลอนอยู่ในหัว...





ไม่หรอกครับ...





----------------------------TBC-------------------------


สวัสดีค่ะ หายไปนานเพราะงานเยอะมาก วุ่นวายสุด
ตอนนี้ก็ตามชื่อตอนค่ะ เขาที่ว่าก็คือพี่เอส ข่าวลือพี่เอส เรื่องของพี่เอส ตอนของพี่เอส
ไม่อยากกั๊กเรื่องของเขาไว้ เพราะกลัวว่าเดี๋ยวไม่ได้เฉลย 55555
แต่งเพื่อสนองนี๊ด + รากฐานเรื่องคือละมุนไร้แก่นสาร(ซึ่งตอนนี้ความละมุนอยู่ไหนฮะ! //ผิด)
เพราะงั้นเนื้อเรื่องพล็อตเรื่องจะเป็นแบบนี้แหละค่ะ //โดดเตะ
ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่เข้ามาอ่าน เข้ามาคอมเมนต์กัน รักมากเลยค่ะ >< <3

Ps2 เจอคำผิดไม่ต้องตกใจนะคะ เราพยายามอ่านทวนแล้วแต่ก็หลุดลอดสายตา ;w;
จะพยายามให้ผิดน้อยที่สุดค่ะ! แล้วก็จะเร่งแก้ไขคำผิด ขออภัยที่ทำให้เสียอรรถรสในการอ่านนะคะ (_ _)



#วิศวะเดือนสิบ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
อ้าววว พี่เอสมาไง. แล้วเมืองเอกชอบพี่เอสตอนไหน เฮ้อออ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เดือนสิบอย่าไปยุ่งกับพี่เอสเลย.  :hao4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ...แล้วใครจะเป็นคู่ของเดือนสิบหล่ะเนี่ย?

เมืองเอกขอคบกับพี่เอส

พี่เอสสนใจเดือนสิบ

อาจเป็นได้ว่าเรื่องนี้คือคู่ของ  เอสเดือนสิบ  ใช่ป่ะ?

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 594
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
เมืองเอกโดนจ้างให้มาบอกชอบพี่เอสหรอ55555

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
ใคร บ้าง เมือง ออกมา สารภาพ รัก... มันมีเงื่อนงำ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ miminari

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
เดือนที่ 6
เสียก็ต้องซ่อมป่ะ? ☽⚙


ผมเผลอหลับไป... ตอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็สะดุ้งตื่นเพราะมีเสียงบางอย่างรบกวน ดันตัวลุกขึ้นนั่งบนโซฟาขยี้ตางัวเงียแล้วมองที่มาของเสียงรบกวน โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะเข้าคู่กับโซฟานั่นเอง แต่มันไม่ใช่เสียงสายเข้าหรือเสียงนาฬิกาปลุกหรอกนะครับ เป็นเสียงคลิปจากยูทูปที่ยังคงเล่นอยู่เพราะผมลืมปิดก่อนจะหลับไปแน่ๆ

 

แต่ว่านี่ไม่ใช่ต้นเหตุของเสียงรบกวนที่ทำให้ผมตื่น

 

“....”

 

เสียงออดดังขึ้นมาอีกครั้งและเริ่มทำให้ผมแน่ใจ ว่าผมตื่นเพราะเสียงนั้นจริงๆ หลังจากแอบเหลือบมองนาฬิกาบนผนังที่บอกเวลา 5 โมงกว่าๆ แล้ว ...ไม่ได้เผลอหลับนานอย่างที่คิด แค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น

 

ผมก็ลุกจากโซฟาเดินตรงไปที่ประตู โดยไม่ลืมหยิบแว่นที่วางไว้บนโต๊ะ เสียงออดเงียบไปแล้วคราวนี้เป็นเสียงเคาะประตูเเทน...

 

ก๊อกๆๆ



ดังเป็นจังหวะเคาะอยู่สองสามที

 

ครับๆ กำลังมาครับ



ผมตอบรับแต่เป็นตอบในใจ พลางใช้สมองครุ่นคิดว่าเป็นใครกันนะที่มาหาผม... ปกติแล้วไม่ค่อยมีใครมาหา ผมเดินมาหยุดดูที่หน้าประตูจนได้ เพราะมันไม่ปกติครั้งนี้ถึงได้ตัดสินใจส่องตาแมวดู แล้วก็พบกับ...

 

“อะ..”

 

ผมรีบเปิดประตูรับ คนที่ยืนเคาะประตูอยู่เมื่อครู่เงยหน้ามองขมวดคิ้วใส่แล้วเอ่ยพูดแทบจะในทันที

 

“ทำไมมาเปิดประตูช้าจังเลยเมืองเอก--- เอ๊ะ? เดือนสิบ???”

 

เสียงหวานใสทักแฝงความขุ่นมัวแต่พอเธอเห็นหน้าผมชัดๆ ก็ชะงักไป

 

ผมก้มหน้าต่ำลงเล็กน้อยเพราะความสูงที่ค่อนข้างต่างกันมากของตัวเองกับผู้หญิงตรงหน้า โครงหน้าเรียวสวยได้รูปดูดีทุกองค์ประกอบยิ่งถูกแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางบางๆ แล้วก็ทำให้สวยดูดีหาที่ติไม่ได้ขึ้นไปอีก เส้นผมย้อมสีทองน้ำตาลตรงยาว กับชุดนักศึกษาถูกระเบียบเรียบร้อย ถึงแม้ทุกวันที่เคยเห็นจะใส่ชุดที่สั้นและรัดรูปกว่านี้... เอ่อ อันนี้ไม่ได้ว่านะครับแต่แค่พูดตามที่เคยเห็น



“รินมีอะไรเหรอ?”

 

ผมถามดาวคณะอักษรที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี คิ้วโค้งเรียวที่เคยขมวดเป็นปมเริ่มคลายออก แต่ยังมีแววความสับสนงุนงงยังไม่ลดลงเลย ดวงตาคู่สวยกะพริบมองผม

 

“เดือนสิบนั่นแหละ ทำไมถึงอยู่ที่ห้องเมืองเอกได้ล่ะ??”

 

ผมร้อง ห้ะ? ดังๆ ในใจ แต่สมองเริ่มประมวลผล




“ไม่ใช่ห้องเมืองเอกนะ นี่ห้องเรา รินเคาะผิดห้องแล้วล่ะ ห้องเมืองเอกน่ะอยู่ตรงข้าม”

 

ผมชี้ไม้ชี้มือยังประตูที่ปิดสนิทของห้องฝั่งตรงข้าม รินเพื่อนร่วมคณะมองตาม ก่อนหันมาหัวเราะแหะๆ แล้วเสียงหวานน่าฟังก็บอกผมอีกประโยค

 

“ไม่ผิดหรอก เมืองเอกบอกเลขห้องนี้จริงๆ นะ”



เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อยืนยันคำตอบว่าผู้หญิงสวยคนนี้ไม่ได้ดูเลขห้องผิดไป ถ้าไม่ได้ดูเลขห้องผิดคนผิดมันก็มีคนเดียว



“ถ้างั้นเมืองเอกก็บอกผิด รินมาหาเมืองเอกใช่ไหมล่ะ ลองไปกดออดเรียกดูสิ”



ดาวคณะพยักหน้ารับยิ้มๆ แต่ก่อนที่เธอจะไปก็พูดขึ้น



“รินเพิ่งรู้เลยว่าห้องเมืองเอกกับเดือนสิบใกล้กันขนาดนี้”

 

“เราก็เหมือนกัน”




เพิ่งรู้ไม่นานเองว่าจะต้องมาอยู่ห้องตรงข้ามกับมันเนี่ย... 

 

“ขอบคุณนะเดือนสิบ”



“อืม”



ผมยิ้มๆ ให้ริน คนตัวเล็กหันหลังกลับไปทางห้องฝั่งตรงข้าม ผมมองตามอยู่นานจนพอรู้ตัวอีกที เจ้าของห้องก็โผล่หน้าพ้นประตูออกมา

 

“อ้าว รินมาแล้วเหรอ เร็วจังครับ ถ่ายเสร็จเร็วเหรอ?” 



เมืองเอกพูดสุภาพก็เป็นด้วยแหะ...



“ใช่ ใช้เวลาน้อยกว่าที่คิดน่ะ”



รินส่งยิ้มให้เมืองเอก ยิ้มที่สวยมากๆ ครับ ดูออกชัดเจนเลยว่ามีความสุขมากๆ เวลาได้คุยกับเมืองเอก อะ...เดี๋ยวสิ ผมมายืนดูคู่รักหวานแหววกันทำไมเนี่ย เสียมารยาทจัง ผมตั้งใจจะปิดประตูกลับเข้าห้องสักที แต่ระหว่างที่ออกแรงดึงประตูปิด ตาก็สบเข้ากับดวงตาของเดือนคณะวิศวะโดยบังเอิญ...

 

บังเอิญหรืออะไรที่เมืองเอกจ้องตอบสักพักแล้วยักคิ้วใส่ ผมกะพริบตางงกับการกระทำของมัน แต่ก็ปิดประตูเข้าห้องตัวเองมาปกติ ตอนนี้ในหัวเริ่มไม่แน่ใจว่าที่บอกเลขห้องผิดนี่จงใจหรืออะไรกันแน่ ใจหนึ่งก็ไม่อยากจะคิดอะไร... เพราะถ้าตั้งใจจะทำไปเพื่ออะไรล่ะ??

 

ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ หรือว่าจะยังไม่เลิกหาเรื่องผม?

 

คิดมากไปก็ปวดหัว ช่างมันเถอะ เรื่องแค่นี้เอง



ผมส่ายหัวกับตัวเองแล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา แขนข้างหนึ่งเอื้อมยาวๆ ไปเปิดม่านออก ข้างนอกฝนหยุดตกแล้ว แต่พื้นยังไม่แห้งสนิท...

 

จะว่าไปแล้ว รินกับเมืองเอกก็ยังรักกันดี สมกับที่เป็นแฟนกัน สงสัยเรื่องบอกรักพี่เอสเมื่อกลางวันจะเป็นเรื่องอำกันเล่นๆ อย่างที่กระเเสชาวเน็ตบอกจริงๆ ซะล่ะมั้ง

 

เผลอแวบเดียวก็คิดเรื่องเมืองเอกอีกแล้ว จะเป็นยังไงก็ช่าง ไม่เห็นเกี่ยวกับผมเลย...

หรือว่าผมติดนิสัยชาวเน็ตไปแล้วกันนะ? ฮา



RRRRRRR)))))

 

ผมเกือบสะดุ้งเพราะเสียงโทรศัพท์สั่น พอหยิบขึ้นมาดูว่าใครโทรมากลับต้องพบเจอกับเรื่องอะไรแปลกใจอีกรอบ ผมเพ่งมองเบอร์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอมือถือ ไม่ใช่เบอร์กวาง ไม่ใช่เบอร์ฟลุ๊ค ไม่ใช่เบอร์เพื่อนหรือคนรู้จักด้วย เบอร์นี้ผมไม่ได้เมมไว้



นี่เบอร์ใคร?           



แต่จะไม่รับก็ไม่ได้ ทันทีที่ผมกดรับ เสียงจากปลายสายดังขึ้นมา

 

[“ฮัลโหล นั่นเดือนสิบใช่ไหม?”]

 

ถามหาผม แต่เสียงไม่คุ้นเลย..

 

“ครับ นั่นใคร?”

 

[“เราเอง เดชองส์ เดือนคณะพาณิชย์ฯน่ะ จำได้รึเปล่า?”]

 

เดชองส์? อืม จำได้ครับ ก็ยืนประกวดเดือนบนเวทีเดียวกันนี่นา แถมวันนี้... กวางยังพูดให้ฟังอยู่เลย



“จำได้... แล้วมีอะไรรึเปล่า?”

 

[“เห็นข่าวตัวเองที่กำลังดังใน FB IG Twitter รึยัง?”]

 

ข่าวตัวเอง ข่าวผมเหรอ? ห้ะ??? วันนี้จะมีเรื่องให้ห้ะมากเกินไปแล้ว



“ข่าวอะไร?”



ผมถามซื่อๆ เลย เพราะตัวเองเพิ่งตื่นโทรศัพท์อะไรก็ยังไม่ได้เช็คดู และผมก็จำไม่ได้ว่าตัวเองไปทำอะไรเอาไว้ให้เป็นข่าว

 

[“เปิดดูสิ แป๊บเดียวนายก็เห็น หรือไม่ป่านนี้ก็ดังในไลน์กลุ่มเพื่อนตัวเองแล้วมั้ง”]



“...”

 

ผมเงียบ ที่เงียบไม่ใช่อะไรผมละหูออกจากโทรศัพท์ เปิดไลน์ที่จู่ๆ ก็มี Notice เด้งขึ้นมาเกือบ 500 ข้อความ พอเปิดไปก็พบแจ้งเตือนกว่า 400 เป็นของกรุ๊ปไลน์ใหญ่ของคณะอักษรฯ ส่วนอีกเกือบๆ 100 เป็นของกลุ่มเพื่อนผมเอง

 

ผมคิดว่าถ้าเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับผมกวางไม่น่าพลาด ผมเลยเลือกเปิดดูของกลุ่มเพื่อนตัวเองก่อน เป็นดังคาด กวางแชร์ข่าวที่ถูกทวิตลงทวิตเตอร์อันหนึ่งมาให้ และพอผมกดเข้าไปอ่าน... ก็ถึงกับร้องอ้อกับตัวเอง



ผมกลับไปหาปลายสายก่อนตอบ



“เห็นแล้ว”



[“จริงหรือเปล่าข่าวที่ว่า”]


 
“ก็จริง แต่ไม่จริงทั้งหมด”



[“อะไรที่จริง อะไรที่ไม่จริง”]

 

เสียงเดชองส์เย็นยะเยือกขึ้นมาทันที ถ้าผมกับเขายืนคุยกันอยู่ล่ะก็ ดวงตาคู่นั้นจะต้องจ้องผมเขม็งแน่ๆ



ผมกลืนน้ำลายลงคอ เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองจะกดดัน ผมตกเป็นข่าวมั่วๆ ที่คนมโนกันขึ้นมา แต่มันจะไปทำให้คนสองคนที่กำลังคบกันไม่สบายใจ จริงๆ แล้วการกระทำของผมก็มีส่วนผิด

 

“เราขึ้นรถพี่เอสจริง พี่เอสมาส่งเราที่คอนโดจริง พี่เขาบอกว่าเห็นว่าฝนตกหนักเลยอาสามาส่งให้ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”



 ไม่ใช่ว่าเขาสนใจ หรือแอบถูกใจผมอย่างที่ในข่าวมโนกันขึ้นมา



[“ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นก็ดี”] เสียงจากคนปลายสายดูสบายใจขึ้นมาก นั่นทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นด้วย




แต่แค่นั้นยังไม่จบบทสนทนา

 

[“เดือนสิบรู้ใช่ไหมว่าเราคบกับพี่เอสอยู่”]

 

แน่นอนกวางบอกมาแล้ว   

 

“รู้”



 [“เราไม่อยากเป็นเหมือนคนที่ผ่านๆ มาของพี่เอส เราจริงจัง แล้วที่ผ่านมาพี่เอสไม่เคยสนใจเด็กคณะอื่นนอกจากคณะพาณิชย์”]



ผมได้ยิน คราวนี้เป็นเสียงสูดหายใจจากอีกฝั่ง



[“วันนี้ก็มีข่าวอีกเรื่องหนึ่ง.. เรื่องคลิปที่เมืองเอกบอกชอบพี่เอส เรารู้ว่าอันนั้นแค่ขำๆ แต่เรากลัว... กลัวประโยคที่พี่เอสพูดทิ้งท้าย”]



 คำพูดที่ว่า ‘เด็กคณะอื่นก็น่าสนใจเหมือนกัน’ น่ะเหรอ...? 



 

[“เราว่าเรารู้สึกได้ เรารู้... พี่เอสไม่เคยใส่ใจคนอื่นขนาดนี้ เพราะงั้นเรามีเรื่องอยากจะขอร้อง...”]



“....”

 

[“ถ้าพี่เอสเข้ามาจีบเดือนสิบอย่าเล่นด้วยได้ไหม ขอร้องอย่าเป็นมือที่สามของความรักเราได้ไหม?”]


 
................

 


 
ผมเลื่อนแชทอ่านไลน์กลุ่มเพื่อตามดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในระหว่างที่ผมไม่ได้เปิดไลน์ และก็เป็นดังคาด ส่วนใหญ่คุยกันเรื่องของฮ็อตนิวส์ประจำวันนี้ที่มีถึงสองเรื่องด้วยกัน และหนึ่งในข่าวนั้นมีผมร่วมด้วยในเนื้อข่าว...คณะอักษรผู้หญิงเยอะ เพราะงั้นข่าวที่เกี่ยวข้องอะไรกับผู้ชายโดยเฉพาะพวกเดือนๆ ก็คงเป็นอะไรที่นำมาคุยหรือแชทได้สนุกปากสนุกมือ ผมปัดมันอ่านผ่านๆ เปิด Facebook ดูหัวข้อข่าวที่กวางแชร์มาอีกอันมาอ่านดู...

 

‘เมืองเอกบอกรักพี่เอสเหรอแก?? คู่ชิปใหม่อ่ะ พี่เอส*เมืองเอก หรือ เมืองเอก*พี่เอส? <3’

‘ดูยังไงก็ว่าอำกันขำๆ อ่ะครับ ผมว่าไม่ใช่นะ’

‘ประโยคท้ายสิน่าสนใจแก!!! พี่เอสบอกเด็กคณะอื่นก็น่าสน! พวกเราเตรียมพร้อมกันเร็วค่า โชคดีอาจได้เล่นกับพี่เอสเหมือนเด็กพาณิชย์ฯบ้าง ////’

‘คณะอื่นมีสิทธิ์แล้วสิ พี่เอสจะไม่เป็นสมบัติเฉพาะคณะพาณิชย์ฯอีกต่อไป’

‘โอกาสมาถึงแล้ว....’




ผมไม่รู้ว่าโพสนี้จะดูในระบบ Facebook ได้อีกนานเท่าไหร่ โดยเฉพาะข่าวฉาวที่เกี่ยวกับพี่เอสไม่ค่อยจะได้อยู่นาน ต่างคนต่างแสดงความคิดเห็นแบบไม่กลัวเสียภาพลักษณ์อะไรใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่ชื่อ Facebook ตัวเองโชว์หลา


 
ผมเลื่อนลงมาเจอความเห็นที่ทำให้ผมสะดุดใจเป็นครั้งแรก เพราะชื่อตัวเอง



 ‘ประเดิมด้วยเดือนมหา’ลัยรึเปล่าเห็นเป็นข่าวอยู่ #เดือนสิบ’

‘ข่าวว่าไปรับไปส่งที่คอนโดใช่ไหม เห็นแล้วจ้า เดือนสิบแน่นอน! รายต่อไป’

 





ผมเพิ่งวางสายจากเดชองส์ไปแล้วผมก็รับปากตามที่ทางนั้นขอ...

 

แค่เห็นก็เครียดแทนแล้วครับ จินตนาการไม่ถูกเลยว่าถ้าผมไปอยู่ในฐานะที่กำลังคบกับใคร แล้วเขากำลังเริ่มมองหาคนใหม่ทั้งๆ ที่มีเราอยู่ทั้งคนมันจะน่าเศร้าแค่ไหน



แต่เดชองส์รู้อยู่แล้ว... กับผู้ชายที่มีข่าวลือแบบนั้นไปทั่วอย่างพี่เอส ก็เหมือนเล่นกับไฟ หรือไม่ก็การทำธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงมากๆ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ คงจะดีถ้าผมไม่ได้เป็นหนึ่งในคนเป็นข่าว แต่ต่อให้พี่เอสไม่วุ่นวายกับผม เขาก็ไปวุ่นวายกับคนอื่นอีกอยู่ดี...



ผมเปิดดูไลน์กรุ๊ปเพื่อนกลุ่มผมอีกครั้ง 100 กว่าข้อความนอกจากกวางแชร์ลิ้งค์ข่าวก็มีแสดงความคิดเห็นนู่นนี่โดยมีคุณฟลุ๊คคอยเออออ ตอบรับ คำบ้างสองคำบ้าง แปะสติกเกอร์บ้าง เพราะไม่อยากให้กวางแชทคนเดียวในระหว่างที่ผมไม่อยู่...

 

เห็นแชทคุยระหว่างฟลุ๊คกับกวางยังเด้งมาเรื่อยๆ ผมเลยโยนระเบิดตูมเดียวแล้วแชทก็เงียบไป นับว่าได้ผล
 


ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่เวลาจะมาสนใจ รายงานเดี่ยวที่อาจารย์สั่ง ผมมั่นใจว่าเพื่อนผมยังทำมันไม่คืบหน้า นอกจากนั้นแล้ววันที่ต้องส่งคือจันทร์นี้ เหลือเวลาอีกวันกว่าๆ แน่นอนว่า copy paste ไม่ได้ ออกแนววิเคราะห์ซะส่วนใหญ่



ผมลุกเดินไปนั่งเปิดคอมที่โต๊ะ แล้วเริ่มทำรายงาน นั่งเรื่อยๆ 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมง รวบรวมข้อมูลสำหรับจะมาวิเคราะห์และเขียนเอาไว้อยู่แล้ว เลยเริ่มพิมพ์ลงหน้ากระดาษ ไปเรื่อยๆ แต่จู่ๆ...



พรึ่บ!



“!!”


 

ร้องเชี้ยหนักมาก! เมื่อจู่ๆ หน้าจอดับไปเลย! ผมก้มลงมองที่คอมฯที่นิ่งเงียบบ่งบอกว่ามันไม่ทำงานอีกต่อไปแล้ว ตอนแรกคิดว่าไฟตกคอมฯดับ ผมพยายาม... พยายามเปิดใหม่ แม้กระทั่งเช็คดูปลั๊ก แต่ไม่ได้ ผมอยากจะร้องไห้ให้น้ำตาเป็นสายเลือด ถ้าไม่ติดที่สิ่งสำคัญกว่าการร้องไห้ คือ ขอความช่วยเหลือ



ผมคว้าโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะหน้าจอ กดโทรหาคนที่คิดว่าช่วยผมได้มากที่สุด

 

“โหล” ผมทักเมื่อได้ยินอีกฝั่งลอดมา



[“ว่า?”]



 “ฟลุ๊ค คอมฯเราเป็นไรไม่รู้!”



ได้ยินเสียงคีย์บอร์ดรัวๆ จากปลายสาย ก่อนจะเงียบแล้วมาตั้งใจฟังผมพูด



[“อาการเป็นไง?”]



 “จอดับไปเลย พอจะเปิดก็เปิดไม่ติดแล้ว” 



ได้ยินเสียงตอบรับในลำคอ ก่อนที่ฟลุ๊คจะเสนอวิธีเบสิคสุดมาให้



 [“เปิดอีกรอบยัง?”]

 

 “ก็บอกว่าเปิดแล้วแต่ไม่ติดไง”

 

[“อ่า... งั้นโทษทีว่ะ กูถนัดแต่เล่น ไม่ถนัดซ่อม ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับคอมเลย”]



ความหวังที่เคยคาดหวังไว้กับเพื่อนสนิทพังทลาย...



[“แต่กูรู้ว่าควรทำยังไงนะ”]



...แต่แล้วความหวังของผมก็ถูกจุดประกายอีกครั้ง



ยังไง???



 [“เอาไปซ่อม”]



 “....”



[“....ก็นั่นเป็นสิ่งที่ควรทำไม่ใช่เหรอ?”]

 

ครับ!!



..........................

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2018 16:52:04 โดย miminari »

ออฟไลน์ miminari

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
..........................




ผมตัดสินใจดึงปลั๊ก ดึงสายที่ต่อกับจอคอมฯต่างๆ ออก แล้วยกคอมฯที่ผมคิดว่ามันน่าจะเสียนี่ออกมาจากใต้โต๊ะ เดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จัดทรงผมที่ไม่ค่อยเป็นทรงเท่าไหร่ของตัวเองให้เข้าที่ หยิบกระเป๋าเงินและโทรศัพท์เตรียมพร้อมเรียบร้อย ตามคำแนะนำของ’จารย์ฟลุ๊ค



เสียก็ต้องเอาไปซ่อมนี่สิถูกแล้ว



ผมถอนหายใจยาวๆ เป็นตอนไหนไม่เป็นมาเป็นตอนพิมพ์งาน อย่างน้อยพาส่งร้านขอให้เขาดึงข้อมูลรายงานกลับมา แล้วไปหาร้านคอมฯทำต่อก็อาจจะพอไหว คิดแล้วก็ถอนหายใจเฮือกมองนาฬิกา ทุ่มแล้ว ต้องรีบไป ร้านตามห้างน่าจะปิดราวๆ 2 ทุ่ม ถ้าหาไม่เจออาจจะต้องตระเวนแถวนี้



คิดแล้วก็เดินไปอุ้มเจ้าคอมฯเพื่อนยากที่อยู่กับผมมาตั้งแต่สมัย ม.3 ม.4 ก็ยังไม่นานนี่หว่า อย่าเพิ่งสำออยได้ไหม TT



ผมเปิดประตูออกมาด้วยความยากลำบากเพราะสองมือแบกคอมฯตัวใหญ่อยู่ แต่พอเปิดประตูออกมาก็พบกับ...



ความเดจาวูแต่ไม่มากเพราะเห็นเปิดประตูออกมาจากห้องกันสองคน



“อ้าว เดือนสิบ”



รินกับเมืองเอกที่พากันออกมาจากห้อง ผมไม่รู้จะทักอะไรเลยได้แต่พยักหน้ารับให้รินไป แล้วตั้งใจจะเดินไปทางลิฟต์ แต่ได้ยินเสียงทุ้มจากผู้ชายตัวสูงเอ่ยถามสักก่อน



“นั่นน่ะเสียเหรอ?”



ผู้ชายหน้าหล่อที่เพ่งสายตาจ้องมองของที่ผมแบกอยู่ เพื่อไม่ให้เสียมารยาทก็เลยตอบไปสั้นๆ



“อืม”



“ป่านนี้จะมีร้านซ่อมเหรอวะ?”



“ก็จะไปหาดู”



ในห้างก็น่าจะเปิดอยู่ไม่ใช่หรือไง



ในเมื่อไม่มีอะไรก็ได้เวลาพาเพื่อนยากไปหาหมอ ผมจะเดินออกมา...


 
“เดี๋ยว เดือนสิบ”



“...?”


 
ผมหยุดฝีเท้า หันกลับไปมอง ชายหญิงสองคนที่อยู่ตรงนั้น รินกะพริบตามองผม แล้วหันไปมองหน้าคนข้างตัวเธอที่เอ่ยเรียกชื่อผมเมื่อครู่ 



“กูดูให้ไหม?”   



 ผมเอียงคอ เหมือนจะเริ่มไม่เข้าใจหนักขึ้นไปอีก อะ.. หรือว่า..



“หมายถึงนี่เหรอ?”



ก้มหน้าลงมองของที่อยู่ในมือตัวเอง คนหน้าหล่อตรงนั้นพยักหน้า 



“ก็เออสิ เดี๋ยวดูให้ก่อน บางทีกูอาจจะซ่อมได้”



อ... แต่จะดีเหรอ ?



ผมลังเล และคิดว่าอีกฝ่ายก็เห็นว่าผมลังเล เมืองเอกเลยพูดอีกประโยค



“ถ้าไปซ่อมร้านอาจจะต้องรอนาน มึงรีบไหมล่ะ?”   



ผมพยักหน้า



“อย่างน้อยอยากได้ไฟล์งานออกมาก็ยังดี”



ผมตอบง่ายๆ เลย ถ้าอีกฝ่ายพูดขนาดนั้นแล้ว ผมเหนื่อยที่จะตั้งแง่ บางทีเมืองเอกเองก็คงไม่ได้อะไรกับผมแล้วเหมือนกัน



“งั้นเอาเข้าไปวางในห้องกูก่อน เดี๋ยวกูขึ้นมา ไปส่งรินข้างล่างแป๊บ”



ห้ะ?



เป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวันแล้ว ผมโดนเมืองเอกลากแขนจูงเข้าห้องของเขา ปล่อยผมทิ้งไว้ในห้องนี้ โดยที่ทิ้งประโยคไว้แค่นั้น เจ้าของห้องเดินออกจากห้องไปส่งแฟนสาวข้างนอกเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ผมที่อุ้มคอมฯยืนเคว้งในห้องคนอื่น



มันเกิดขึ้นเร็วมาก!



ผมกวาดสายตามองห้องที่ไม่คุ้นเคย ข้างในห้องไม่ต่างกันกับห้องของผมเท่าไหร่ จะมีก็แค่เฟอร์นิเจอร์ เป็นห้องเรียบๆ ไม่ค่อยมีของอะไร แต่สะดุดตาที่สุดก็คงเป็นโต๊ะคอมตัวใหญ่ ที่มีจอคอมฯสองจอวางอยู่ คีย์บอร์ดและเมาส์เป็นของมียี่ห้ออย่างแพง รวมทั้งเคสคอมฯด้วย แสงไฟสีแดงที่เปล่งออกมาให้เห็นทำให้ผมรู้ว่าคอมฯเครื่องนั้นเปิดอยู่ เก้าอี้ก็... อืม สภาพโต๊ะคอมฯเหมือนห้องนักแคสเกมส์ที่เคยเห็นเลย  นอกจากนั้นก็มีโซฟาตัวยาวอยู่หนึ่งตัว ชั้นหนังสือเรียบๆ อีกหนึ่งชั้น พัดลม แล้วก็ถังขยะ



เริ่มหนักๆ ล้าๆ เลยวางคอมฯไว้ที่พื้นข้างๆ ตัวเอง ถือวิสาสะเดินเข้าไปนั่งที่โซฟาได้ไหมนะ? หรือควรจะยืนอยู่ดี? โอ้ย ผมเริ่มคิดมากแล้ว วันนี้มันวันอะไร ตอนกลางวันโดนบังคับขึ้นรถ ตอนนี้ก็โดนบังคับให้เข้ามารอในห้องคนอื่นอีก คนไม่สนิทกันแล้วหนึ่ง ส่วนอีกคนนี่เคยมีประเด็นกัน...



“คิดมากเกินไปใช่ไหมเนี่ย”



และแล้วเวลาผ่านไปเมืองเอกก็เปิดประตูเข้าห้องมา ไม่น่าเชื่อว่าผมเองก็ยังยืนอยู่ที่เดิม หรือเพราะเจ้าของห้องลงไปแป๊บเดียวจริงๆ กันแน่ มันเดินผ่านผมเข้าไปเปิดประตูห้องอีกห้อง แล้วลากกล่องเครื่องมือออกมา



“ยืนอยู่ทำไมล่ะ ไปนั่งสิ”



ผมกะพริบตา เออ นั่งได้แล้ว เจ้าของห้องอนุญาต



เมืองเอกเดินสวนผมอีกรอบมายกคอมฯแล้วก็เดินไปทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นกลางห้องตรงหน้าโซฟาที่ผมนั่ง สองมือเปิดกล่องเครื่องมือหยิบไขควงมาไขเปิดฝาเคส



“อาการเป็นไง”



ในระหว่างที่ไข เสียงทุ้มต่ำก็เริ่มถาม และผมก็ตอบแบบเดียวกับที่เคยตอบฟลุ๊ค



“จอดับไปเอง แล้วก็เปิดไม่ติด” 



คนที่ง่วนอยู่กับฝาเคสพยักหน้ารับ ผมมองเมืองเอกแกะนู่นแกะนี่ ดูนู่นดูนี่ ใจจดจ่ออยู่กับคอมฯสุดๆ ความเงียบเข้าปกคลุม ผมไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตั้งใจทำอะไรขนาดนี้ ขอแอบๆ ชื่นชมหน่อยๆ แล้วกัน



“เดือนสิบ”



ท่ามกลางความเงียบ เสียงของคนที่นั่งอยู่บนพื้นเอ่ยเรียก ผมนิ่งมอง เมืองเอกยังไม่ละออกจากคอมฯเครื่องนั้นของผม ปากสวยๆ นั่นขยับเปล่งเสียงออกมา



“กูขอโทษเรื่องก่อนหน้านี้”



“...”



ผมยังคงเงียบ เอียงคอมองผู้ชายตรงนั้น คราวนี้ใบหน้าหล่อที่ผมเคยมองด้วยความอคติ ขอโทษผม? เรื่องก่อนหน้า หมายถึงเรื่องที่เดินมาหาเรื่องผมถึงคณะน่ะเหรอ?



“กูแค่เป็นคนพูดตรงๆ แล้วก็อยากรู้เรื่องของมึงจริงๆ แน่นอนว่ากูก็ไม่อยากยอมแพ้มึงด้วย แต่ในเมื่อผลมันออกมาเป็นอย่างนี้ก็ช่วยไม่ได้ ยอมรับว่าตอนนั้นกูปากดีไปหน่อย ...กูไม่คิดจะหาเรื่องมึงแล้ว ไม่อยากให้มึงคิดว่ากูเกลียดมึง ไม่ชอบหน้ามึง เป็นศัตรูกับมึง กูกับมึงไม่ต้องเป็นเพื่อนกัน ไม่ต้องญาติดีกันนักก็ได้ แต่กูอยากให้มึงรู้ไว้ว่ากูไม่ได้อะไรกับมึงแล้ว” 



มาไม้ไหนล่ะเนี่ย ไหนบอกเกลียดความพ่ายแพ้...



ผมหรี่ตามองหน้าอีกฝ่าย เพื่อจับโกหก



“อย่าทำหน้าไม่เชื่องั้นได้ไหมวะ กูก็โดนมาหนักเหมือนกัน พวกพี่ๆ ที่คณะน่ะ”



อ้อ... เพราะงั้นก็เลยคิดได้แล้วก็เลยมาขอโทษผมงั้นสิ อืมๆ โดนมาหนักก็สมควรอยู่ ทำตัวเองนี่



แต่ถึงขนาดอีกฝ่ายพูดขอโทษ พูดอะไรถึงขนาดนั้น ผมจะยอมเชื่อก็ได้  ผมพยักหน้ารับเมืองเอก ก็ไม่ได้จะติดใจเอาความอะไรเท่าไหร่หรอก



“ทำไมมึงต้องเย็นชาด้วยวะ”



“....”



ผมแดกจุด ตีหน้านิ่งใส่มัน



อยากจะตอบว่าผมไม่ได้เย็นชา แต่ถ้าพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดโดยไม่ระวัง ผมอาจจะโดนมันต่อย ขนาดผมไม่ได้ทำอะไร ยังโดนมันเหม็นขี้หน้าเลย



“คุยกับมึงแล้วเหมือนคุยกับรูปปั้นเลยแม่ง”



นี่คือผมโดนด่า?
 


เมืองเอกยักไหล่แล้วหันกลับไปสนใจเครื่องคอมฯบนพื้นต่อ...

 


----------------------------------------



⚙ เมืองเอก พาร์ท ⚙




ผมนั่งทำคอมฯให้มันอยู่สักพัก ไอ้เจ้าของก็นั่งเงียบมองผมไม่พูดอะไรเล้ยยยย ไม่ต่างจากตอนประกอบคอมฯ รื้อคอมฯเล่นคนเดียว อีกทางหนึ่งแม่งก็ดีแหละครับไม่กวนสมาธิดี ผมขยับเมาส์ลากข้อมูลจาก Hard disk ลงมาไว้ใน External Hard disk ของผมเอง ใช้เวลานานเหมือนกันเพราะผมเลือกจะดึงข้อมูลมาหมดเลย



ผมหันกลับมาสังเกตคนที่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟา เดือนสิบมันเป็นประเภทถ้าไม่ชวนคุยก่อน มันจะไม่ยอมเปิดปากคุยแน่ๆ ขนาดเวลาพูดด้วย ประโยคไหนมันไม่จำเป็นต้องตอบจริงๆ ก็ยังละ เรียกได้ว่าแม่งจะพูดให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยหรือไงวะ? นอกจากจะพูดน้อยแล้ว สีหน้าแม่งก็ยังไม่เปลี่ยนอีก อ่านยากมาก ผมพูดโคตรจะจากใจว่าเหมือนตัวเองคุยกับรูปปั้น.. รูปปั้นจริงๆ



ไหนวะ ไหน มันมีเสน่ห์ตรงไหน? คำถามนี่ก็ยังคงรอให้ผมค้นหาคำตอบว่ะ



“เสร็จแล้ว”



ผมพูดเบาๆ หมุนเก้าอี้คอมตัวเองกลับมาหาคนที่ยังคงรออยู่



“ซ่อมเสร็จแล้วเหรอ?” เสียงที่นานๆ ทีจะได้ยินเอ่ยถาม ดวงตาเริ่มวาววับ โอ้ ผมค้นพบธรรมชาติของเดือนสิบมันอีกข้อ อ่านดวงตาจะง่ายกว่า เพราะอย่างน้อยมันก็แสดงความรู้สึกมากกว่าสีหน้า



“เปล่า แค่เช็คเสร็จ ซ่อมตอนนี้ไม่ได้”



“....” 



“พัดลมระบายความร้อนไม่ทำงาน ที่คอมฯดับเพราะความร้อนขึ้นเกินไป แล้วที่เปิดไม่ติดเพราะเมนบอร์ดไหม้ไปแล้ว” ผมชี้มือลงไปตรงส่วนที่ผมบอกว่าเสีย คนฟังก็ฟังอย่างตั้งใจ แต่เงยหน้าขึ้นมาดูถึงได้รู้ว่ามันไม่เข้าใจหรอก ผมลอบยิ้ม ตลกว่ะ เมื่อกี้ดวงตายังวาววับอยู่เลย พอมาตอนนี้สลดเชียว



“แล้วต้องทำไง?”



“พัดลมกูพอจะมีอยู่เดี๋ยวใส่เปลี่ยนให้ ที่เหลือก็ง่ายๆ ไปซื้อมาเปลี่ยน แต่เอาจริงๆ กูแนะนำให้ซื้อใหม่หมดไปเลย”



ใช่ นั่นคือคำแนะนำที่ดีที่สุด สภาพด้านในเก่าพอตัว ถึงซื้อของใหม่มาเปลี่ยน ใช้ได้ไม่นานก็คงจะมีปัญหาที่อื่นอีก



“มีงบถอยคอมฯใหม่ไหมล่ะ?”



“ไม่มี”



“งั้นไว้ก่อนแล้วกัน”



ก็ตามนั้น... ผมเอื้อมมือไปดึง External Hard disk เมื่อกี้แล้วยื่นส่งให้ เดือนสิบรับมันไป ถึงแม้จะไม่มีคำถามแต่คราวนี้ผมเองก็ควรอธิบายสักหน่อย



“ข้อมูลจากคอมฯมึง กูดึงมาไว้ในนี้ให้ งานก็น่าจะอยู่ลองรื้อๆ ดู”



มันพยักหน้า มองคอมฯที่อยู่ในสภาพถูกรื้อไม่เรียบร้อยของตัวเอง ผมเกาหัวแกรกๆ แล้ว ลุกจากเก้าอี้คอมราคาเป็นหมื่น เดินเข้าไปหิ้วกระเป๋า Laptop ในห้องออกมา วางแปะลงบนตักมัน



“โน้ตบุ๊คกูเอง ให้ยืมใช้ก่อน เห็นบอกว่ามึงรีบนี่”



“เอ่อ... ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราว่าจะไปหาร้านทำเอา”



มันเลิ่กลั่กแลดูจะเกรงใจ แต่ยังไงผมก็ยังไม่ค่อยได้ใช้เร็วๆ นี้อยู่แล้ว ให้มันยืมแป๊บหนึ่งคงไม่เป็นไรหรอก



“พรุ่งนี้ไปซื้อของมาเปลี่ยนใส่คอมฯมึงก็ใช้ได้แล้ว อย่างมากมึงก็ยืมกูใช้แค่วันสองวัน เอาไปเหอะ จะไปหาร้านให้ยุ่งยากทำไม” 



พอผมยกเหตุผลขึ้นอ้าง เจ้าตัวก็ใช้เวลาคิดอยู่สักพัก ก่อนที่หน้าหล่อๆ แม่งจะพยักหน้ารับในท้ายที่สุด



“งั้นยืมแค่คืนนี้ จะรีบทำให้เสร็จแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้ามาคืน”



“เออ”



ผมกระตุกยิ้ม กับคำตอบ



ทุ่มสุดตัว ช่วยสุดตัวจริงๆ เห็นความดีกันบ้างนะ 55555



ผมรู้สึกและสัมผัสได้ว่ากำเเพงบางๆ ที่มันเคยสร้างมากั้นผมเอาไว้มันจะค่อยๆ จางหายไปแล้ว ตัดสินใจถูกแล้วที่พูดขอโทษมันไปเมื่อกี้ 



ผมหันกลับไปประกอบปิดฝาเคสเก็บให้เรียบร้อยในระหว่างที่กำลังประกอบอยู่ เสียงจากคนที่ผมไม่คิดว่าจะเป็นคนเริ่มบทสนทนาก็ดังขึ้นมา ครั้งแรก



“พรุ่งนี้ต้องไปซื้อของมาเปลี่ยนใช่ไหม? ถ้ารบกวนเมืองเอกมากไปเดี๋ยวเราไปเองก็ได้”



ผมหรี่ตามอง คนไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับคอมฯ ให้ไปคนเดียวจะได้เรื่องเหรอ



“ไปด้วยกันไหมล่ะ ยังไงมึงก็เป็นเจ้าของ ไปซื้อด้วยกัน จะได้รู้ราคาจริงๆ กูรู้จักร้านถูกๆ ดีๆ ด้วย”



ผมเสนอ แต่มีเหรอที่เดือนสิบจะปฏิเสธได้ ถึงแม้มันจะไม่อยากไปกับผม แต่ที่ผมพูดมาทุกอย่างมีเหตุผลหมด แถมมีประโยชน์อีกถ้าทำตามที่ผมพูด



“ได้”



หึ... เห็นไหมล่ะครับ



ว่าไปตามเรื่องตามราวผมหยิบโทรศัพท์ออกมา




“ถ้างั้น... กูขอไลน์มึงหน่อย”



“....” 



“ไลน์ไง เอาไว้ติดต่อมึง อ้อ ไม่ต้องห่วง ค่าแรงกูไม่คิดหรอก แต่อาจขอเป็นอย่างอื่นทีหลัง



ผมยิ้ม ด้วยรอยยิ้มที่ใช้ยิ้มใส่สาวๆ มองเดือนมหา’ลัยที่ทำหน้าเหมือนจะเริ่มไม่ไว้ใจผมเข้าไปมากขึ้นทุกที





อ่าว สีหน้าเปลี่ยนแล้วนี่หว่า ?


----------------------------TBC-------------------------





สวัสดีทุกคนนะคะ ขออภัยในความล่าช้าด้วยค่ะ ติดเรียน ติดงาน ติดสอบ
ถึงจะมาช้าบ้างไรบ้าง (ช้ามากช้าน้อย ;w;) แต่ก็ยังขอบคุณทุกคนที่ติดตามเราอยู่เสมอ รักนะคะ <3


ตอนนี้ไม่มีอะไรเลยจริงๆ แต่จะเป็นตอนปูเรื่องไปยังเรื่องถัดไป
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ขอบคุณทุกคนที่คลิกเข้ามาอ่าน เข้ามาให้กำลังใจ ขอบคุณค่ะ >< <3 รัก(ก.ไก่ล้านตัว)



#วิศวะเดือนสิบ

(แก้ไขคำผิดค่ะ เปลี่ยนจาก CPU เป็นคอมฯเเทน เพราะ CPU เป็นชื่อเรียกชิ้นส่วนหนึ่งของคอมฯค่ะ
ขอขอบคุณคุณPsychePie ที่บอกข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาให้ด้วยค่ะ ^^)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-11-2018 19:05:04 โดย miminari »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ยังไง?  เมืองเอกนี่ยังไง? 

หรือจะเปลี่ยนใจจากพี่เอสมาเป็นเดือนสิบแทนหว่า?

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จะเสร็จทันหรอ คืนเดียวเองนะ มั่นใจมากไปไหมเดือนสืบ  :hao3:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ใครหมู่ ใครจ่า..........ไม่รู้และ   :serius2:
แต่อยากเชียร์พี่เอส อ่ะ  :impress2:
พี่เอส  เดือนสิบ   :กอด1: :กอด1: :กอด1:

เมืองเอก ถูกพี่ตอจ้างมาให้สารภาพรักกับพี่เอส จริงๆสินะ   :hao3:   
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ร้ายที่สุด รีบมาต่ออีกน้าา

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ no.fourth

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 889
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ miminari

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
เดือนที่ 7

ไปด้วยกัน☽⚙


 

เช้าวันอาทิตย์รีบตื่นมาทำไมไม่รู้เหมือนกันแต่แน่ๆ วันนี้มีธุระที่นัดกับอีกคนเอาไว้ ว่าจะออกไปซื้อของด้วยกัน... แต่ก็ยังเช้าไปหน่อย ไอ้ที่ที่จะไปมันก็เปิดสายๆ โน้นเลย แต่ช่วยไม่ได้ ไหนๆ แม่งก็ตื่นแล้ว



ผมโยนผ้าห่มนวมสีแดงออกจากตัว ส่ายหัวไล่ความง่วงความงัวเงียทิ้งไปแล้วลุกเดินเข้าห้องน้ำ หลังเสร็จธุระก็แต่งตัวชุดสบายๆ เดินออกจากห้องนอน ยังเช้าอยู่ เวลาก็เหลืออีกตั้งเยอะแยะ สิ่งแรกที่อยากทำเลยก็คือ



ผมเบนสายตามองเครื่องคอมฯไม่คุ้นตาบนพื้น แล้วเริ่มยิ้มกรุ้มกริ่ม



ผมชอบการได้รื้อและประกอบคอมฯมาตั้งนานแล้ว โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ที่ตัวเองไม่คุ้นเคย ทิ้งตัวลงนั่งหยิบไขควงในกล่องเครื่องมือขึ้นมาถอดฝาเคสแล้วถอดพัดลมตัวที่เสียออกมา พูดง่ายๆ ก็คือผมกำลังลงมือซ่อม ซ่อมไว้ก่อน ถึงแม้ตอนนี้อุปกรณ์จะไม่ครบก็เหอะ



เออ ถ้าถามผมว่าทำไมผมถึงเลือกเข้าเรียนคณะวิศวะคอมฯน่ะเหรอ? เดาไม่ยากเนอะ ก็ในเมื่อผมชอบคอมฯ แต่! มันไม่ใช่เหตุผลหลัก ถ้าจะให้เล่าเท้าความ เรื่องมันโคตรจะยาวเลย ย้อนไปสมัยที่เพิ่งจำความได้ไม่นานผมก็พบว่าตัวเองเติบโตมากับคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว พ่อผมทำกิจการร้านซ่อมคอมฯ เพราะงั้นก็เลยได้เรียนรู้เกี่ยวกับมัน ทั้งยังได้เป็นลูกมือช่วยพ่อซ่อมคอมฯอยู่บ่อยๆ ด้วย มันก็เลยค่อยๆ ซึมซับเข้ามาในตัวผมตั้งแต่ตอนนั้น



แต่เรื่องเข้าวิศวะนี่พ่อเป็นเหตุผลใหญ่เลย เขาอยากให้เรียนเพราะเมื่อก่อนพ่อก็เคยมีความฝันอยากจะเรียนในคณะนี้ แต่ก็ไม่ได้เรียนก็เลยฝากฝังผมแทน



...แล้วเรื่องความเชื่อที่ว่าเด็กวิศวะคอมฯต้องซ่อมคอมฯเป็นน่ะ เป็นความเชื่อที่ผิดมากๆ เลย พวกคุณจำไว้ให้ดีเลยนะครับ วิศวะคอมฯไม่ได้เรียนซ่อมคอมฯนะ จะเรียนเกี่ยวกับระบบมากกว่าเพราะงั้นต่อให้คอมฯเสียไปถามเด็กวิศวะคอมฯมันก็ซ่อมไม่เป็นหรอกนะครับ บางคนถอดคอมฯประกอบคอมฯยังไม่เป็นเลย




แต่ก็นั่นแหละ ผมมันลูกร้านซ่อมคอมฯก็เลยซ่อมเป็น ง่ายๆ แค่นั้น



ผมวางไขควงเก็บเข้ากล่องไปก่อน เดินไปหาข้าวเช้ามากินดีกว่า ถ้าง่ายๆ ก็ โจ๊กคัพใส่ไข่ใส่หมู ขี้เกียจทำอะไรให้มันยาก ใส่น้ำเข้าเวฟจบ



แต่ระหว่างที่กำลังรอเวฟ เสียงออดก็ดังขึ้นมา แทบไม่ต้องเดาว่าใคร ผมรีบก้าวยาวๆ ไปเปิดประตู และคนที่คิดเอาไว้ก็ยืนอยู่หลังประตูจริงๆ ตามที่คาดไว้




“ไง”



ผมทักเบาๆ มองผู้ชายตัวสูงหน้าตาดีโคตรๆ ตรงหน้า เจ้าตัวใส่ชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสบายๆ เหมือนชุดที่ควรจะใส่อยู่บ้าน ใบหน้านิ่งเรียบเฉย ดวงตาที่กั้นไว้ด้วยเลนส์แว่นกรอบดำมองตรงมาที่ผม



...ถึงจะใส่แว่นหนาเตอะอย่างนี้ก็ไม่ได้ทำให้มันดูหล่อลดน้อยลงเลย ก็เออครับ หน้าแม่งดี




“นี่”



มัวแต่มองเพลินแต่ก็ได้สติขึ้นมาเพราะคนตรงหน้าส่งเสียงเรียก ผมเลยก้มลงมอง มือนั่นถือกระเป๋า Laptop ของผม ยื่นมาให้ตรงหน้า



ผมรับมานิ่งๆ แล้วเงยหน้ามอง




“ได้นอนไหมถามจริง”



คนถูกถามกะพริบตาแล้วยกมือลูบหน้า



“ดูออกเหรอ?”



เอ้า ชิบหา_ สรุปไม่ได้นอนจริงดิ ?



ความจริงดูไม่ออกหรอกครับ แค่ลองทักดู




“แล้ว... งานมึงเสร็จแล้วเหรอ?”



คนตรงหน้านิ่งไปเล็กน้อย ในที่สุดก็พยักช้าๆ... แต่ผมหรี่ตามอง ถ้าเสร็จจริงไหงปฏิกิริยามันช้าอย่างนี้ฟะ?



“เสร็จจริงนะ?”



ผมถามย้ำ




“เสร็จแล้ว”



และคำตอบก็ยังเหมือนเดิม อ่า ถ้าเจ้าตัวจะยืนยันอย่างนั้น ผมเชื่อก็ได้วะ ในระหว่างที่ผมกำลังจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไป เสียงคนข้างหลังเอ่ยทักสักก่อน



“แล้วเรื่องไปซื้อของ?”



“เออ ถ้าเรื่องนั้นมึงไปนอนก่อนได้เลย ไอ้ที่จะไปมันเปิดสายๆ เอาเป็นว่ามึงอยากไปตอนไหนก็ไลน์มาแล้วกัน มีไลน์กูแล้วนี่”



ผมอธิบายง่ายๆ สบายๆ แล้วหันไปยิ้ม เดือนสิบมองหน้าผมอยู่สักพัก เหมือนต้องการใช้เวลาประมวลผล ถึงค่อยพยักหน้ารับตามมา



“ขอนอนสักสองสามชั่วโมง”



“เอาที่มึงสะดวก”



คนที่คุยด้วยหัวคิ้วเลิกขึ้นนิดหน่อย ก่อนมันจะหันหลังกลับเข้าห้องตัวเองไปไม่ได้พูดอะไรอีก ผมก็เดินเข้าห้อง ไปจัดการอาหารเช้าตัวเองที่มีเสียงติ๊ดๆ ของไมโครเวฟร้องเตือนมาสักพักนั่นดีกว่า



ประมาณ 10 โมงกว่าๆ แจ้งเตือนไลน์บนหน้าจอโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะคอมฯก็เด้งขึ้นมา ดึงความสนใจจากสายตาของผมให้ออกจากหน้าจอคอมฯ เป็นเดือนสิบ ผมลากเมาส์ปิดเกม เพราะถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ผมก็คงเมินแล้วเล่นเกมต่อ



ระหว่างรอคอมฯ shutdown ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ตอบไลน์



Read 10:22 (รอเลย ขอเปลี่ยนเสื้อผ้า 5 นาที|



ส่งไปแป๊บเดียวก็ขึ้นอ่านแล้วครับ ผมลุกเดินไปเปลี่ยนเสื้อในห้อง เพราะตัวเองอาบน้ำเตรียมไว้แล้ว ก็ไม่ได้แต่งอะไรมาก แค่เสื้อกับกางเกงยีนส์ขายาว ฉีดน้ำหอมนิดหน่อยแล้วก็เดินออกมา เคาะประตูเรียกคนห้องตรงข้าม



พอไอ้แผ่นสี่เหลี่ยมที่กั้นห้องไว้เปิดออกมา ก็เจอหน้าคนที่นัดไว้



“ได้นอนไหม?”



เป็นการทักแหละ ถามไปงั้น เดือนสิบมันพยักหน้าตอบ เดินออกมาจากห้อง




เสื้อเชิ้ต ยีนส์เดฟ... ก็ปกติ สไตล์การแต่งตัวของผู้ชาย



ผมบอกเบาๆ ว่า “ไป” แล้วเดินนำเดือนสิบออกมา ผมรู้ว่ามันเดินตามมา พอเข้ามาในลิฟต์ คนที่เดินตามเงียบๆ ตลอดก็เอ่ยถามขึ้นมา



“จะไปยังไง?”



ผมหันมอง ล้วงหยิบของในกระเป๋ากางเกงตัวเองขึ้นมาแล้วควงมันเล่น



“รถกู”



เดือนสิบมันมองกุญแจรถที่ผมควงเล่นอยู่แล้วนิ่วหน้าหน่อยๆ อะ ผมมองออก



“มีปัญหาไรรึเปล่า?”



“เปล่า”



เออ ใช่สิเนอะ ปกติมีคนมารับมาส่งนี่? เมื่อวานเป็นข่าวกับพี่เอส ส่วนวันก่อนนู้น ผมเหมือนเห็นว่ามันออกจากห้อง ไปกับผู้หญิงที่น่าจะอายุมากกว่า แต่สวยมากๆ คนนึง เห็นอย่างนี้ เดือนสิบก็ร้ายเหมือนกันนะ



ผมเดินนำออกจากลิฟต์ตรงไปยังที่ลานจอดรถของคอนโด พอเห็นรถตัวเองก็กดรีโมทปลดล็อค พอผมเดินเข้าไปใกล้รถ เดือนสิบก็หยุดจังหวะเท้า มองรถผมนิดๆ หน่อยๆ ก่อนจะเดินตามมา และผมเห็น เพราะผมสังเกตครับ



ผมเปิดประตูเข้ามานั่งประจำที่คนขับสตาร์ทรถแต่พอเห็นอีกคนที่ยืนอยู่ประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับนั่นเปิดประตูรถช้าเหลือเกินก็เลยอดไม่ได้ที่จะลดกระจกฝั่งนั้นลง



“ขึ้นมาสิ”



แน่นอนว่าเจ้าตัวทำตามคำบอก ขึ้นมานั่งประจำที่ ในระหว่างที่เดือนสิบมันกำลังง่วนกับเข็มขัดนิรภัยผมก็...



“ใช่สิ ฮอนด้าหรือจะสู้บีเอ็ม”



“....”



ชะงัก...



เฮ้ย ผมไม่ได้แซะนะ



“แค่แซว”



 ผมหัวเราะแห้งกลบเกลื่อนแล้วเหยียบคันเร่ง เอารถออกดีกว่า เดี๋ยวมันเปลี่ยนใจเปิดประตูลงจากรถเอาเพราะความปากหมาของผม



------------------------------



ขับรถมาได้สักพักโดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ห้าง-ติ๊ดติ๊ด-แหล่งรวมอุปกรณ์ IT และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆ ระหว่างทางคนที่นั่งเงียบเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้ผมมันก็ยังเงียบอยู่อย่างนั้นไม่ได้พูดอะไร โชคดีที่ในรถไม่ได้เงียบมากเพราะผมเปิดเพลงฟังบ้าง เป็นเพลงสากลแบบไว้ฟังสบายๆ ให้ใจเริงรมย์เวลารถติด แต่ช่วงนี้เพลย์ลิสส่วนใหญ่จะเป็นเพลงเกาหลีจากซีรี่ย์ดังๆ มากกว่า เหตุผลที่มันเป็นแบบนั้นไม่ใช่ว่าผมดู แต่เป็นเพราะรินเอามาใส่ไว้ ผมไม่ได้ไม่ชอบ แล้วก็ไม่ได้ชอบ แค่ฟังได้...



ว่าแล้วก็หาเรื่องคุย ในระหว่างที่ผมหยุดรถจอดติดไฟแดงอยู่



“คอมฯมึงใช้มานานไหม?”



 “ประมาณ 4 ปี”



“จริงป่ะ สภาพเหมือนใช้มาเป็น 10 ปี”



คนที่ผมพูดด้วยหันขวับมามองอย่างเอาเรื่อง เฮ้ย ไม่ได้หมายความว่ามึงใช้ไม่ดีสักหน่อย ผมรีบแก้ตัว



“ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น... เออ มึงเคยพาคอมฯนี่ไปซ่อมที่อื่นไหม?”




เดือนสิบหันไปทำหน้าครุ่นคิดแล้วในที่สุดก็พยักหน้ารับ



“เหมือนเคยยกไปซ่อมครั้งหนึ่ง ประมาณต้นปีก่อน”



ถ้างั้นก็เดาไม่ยากแล้วล่ะ



ผมหักพวงมาลัยเลี้ยวกลับรถ เตรียมเข้าจุดหมายปลายทางที่อยู่อีกฟากของถนน



“ถ้างั้นก็คงโดนเล่นแล้วล่ะ ร้านพวกนี้แม่งชอบเอาอะไหล่เก่าเปลี่ยนให้ลูกค้า คงเห็นมึงไม่ค่อยรู้อะไร”



ร้านแบบนั้นไม่เจริญหรอก นี่แอบอยากตามไปเอาเรื่องแทน ถ้าไม่ติดว่าเรื่องมันนานแล้วนะ... พูดแล้วขึ้นครับ

 

“โกรธเหรอ?” คนที่นั่งข้างๆ ถามขึ้นเบาๆ ผมแปลกใจที่มันถามแบบนั้นเลยหันไปมอง แต่ได้แค่แวบเดียวเพราะต้องขับรถ



“ก็โกรธสิวะ มึงไม่โกรธหรือไง เขาหลอกมึงนะ”



“ไม่หรอก”



คำตอบที่ได้มาสั้นๆ แต่มันทำให้ผมแปลกใจคนเหี้ยอะไรโดนหลอกขนาดนั้นแล้วยังไม่โกรธ...



“ที่ไม่โกรธเพราะมันผ่านมาตั้งนานแล้ว เก็บอดีตมาโกรธก็ไม่เห็นได้อะไรขึ้นมา”



เสียงนิ่มเนิบๆ เอ่ยขึ้นช้าๆ เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินมันพูดประโยคยาวๆ ในครั้งเดียว และสิ่งที่มันพูดมาพอมาลองคิดอีกทีก็ถูกเหมือนกันนะ มันผ่านมาแล้วโกรธไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เว้นแต่ว่าจะให้มันบอกผมว่าร้านไหน ผมจะได้ไปเอาเรื่อง! เออ คิดอีกที ผ่านมาเป็นปีๆ แล้ว ป่านนี้ร้านแม่งก็คงเจ๊งไปแล้วมั้ง ทำนิสัยแบบนั้น... และถ้าไอ้นั่นมันเป็นแค่ช่างซ่อม ป่านนี้ก็คงโดนไล่ออกไปแล้ว เสียเวลาหาเปล่าๆ



ผมโคลงหัว พยักหน้าให้กับคำตอบของมัน ขับรถเข้าลานจอด หาที่ว่างๆ จะได้จอดรถแล้วลงไปซื้อของสักที




-------------------------------



☽  เดือนสิบ พาร์ท  ☽

 

 

ผมเดินตามเมืองเอกเดินเข้ามาในห้างเงียบๆ เหมือนเจ้าตัวจะรู้ดีอยู่แล้วว่าควรไปร้านไหนผมเลยก็ไม่ได้ถามอะไร เดินตามแล้วก็มองร้านนู่นร้านนี่ไปเรื่อยๆ ที่นี่... เป็นแหล่งขายอุปกรณ์ IT จริงๆ ด้วย ร้านคอมพิวเตอร์อะไรพวกนี้ก็เยอะไปหมด ถ้ามาคนเดียวผมก็คงไม่รู้หรอกว่าควรจะไปซ่อมร้านไหนหรือซื้ออุปกรณ์ที่ร้านไหนถึงจะดีและถูกที่สุด


“เดือนสิบ”



ผู้ชายตัวสูงตรงหน้าผมหยุดฝีเท้า หันกลับมาทางผม



“ถึงแล้ว ร้านนี้แหละ”



เขาชูนิ้วโป้งเข้าไปในร้านข้างๆ พอผมมองตามก็เห็นร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เหมือนร้านอื่นๆ ที่อยู่ในโซนนี้เว้นแต่... เอ่อ ร้านโคตรใหญ่เลยครับ ถ้าเทียบกับร้านที่เดินผ่านๆ มาแล้ว ร้านนี้แทบจะกินพื้นที่ไปตลอดทั้งบล็อค



ผมพยักหน้าให้ เมืองเอกถึงได้เดินนำเข้าไปในร้าน ผมก็ปล่อยให้เขาทำตามใจเลย เพราะตัวเองก็ไม่ค่อยจะรู้อะไร มองตามผู้ชายหน้าตาดีที่พาผมมาเดินไปทักทายกับพนักงานในร้านเงียบๆ ผมอยู่ห่างออกมาหน่อย แต่ก็พอได้ยิน



“พี่โอ๋สวัสดีครับ” 



“เอ้า! ไอ้เมืองเอก ไม่ได้มานานเลยนะมึง”



“นานตรงไหนวะพี่ เมื่อสองเดือนที่แล้วเพิ่งมาซื้อของกับพ่อไปเอง”



“ก็มันตั้งสองเดือนแล้วนี่หว่า แล้วเป็นไง มหา’ลัย ได้ข่าวว่าได้ดี”



“ก็ดีพี่ แต่รับน้องแม่งโคตรโหด ผ่านมาได้นี่โคตรดีใจ”



“เออ ก็งี้แหละมหา'ลัย แล้วว่าแต่ดงเดือนอะไรได้เป็นกับเขาไหม?”



“พี่โอ๋คิดว่าไง?”



“ได้.... ดิวะ?”



“ฮ่าๆ ก็ใช่แหละพี่ แต่แค่คณะนะ ไม่ใช่เดือนมหา’ลัย เนี่ยโน่นเดือนมหา’ลัยตัวจริง”



เมืองเอกที่กำลังคุยกับพี่พนักงานที่ชื่อโอ๋อย่างออกรสออกชาติคนนั้นหันกลับมาหาผม แล้วชี้มือมา พี่ผู้ชายคนนั้นหันตามแล้วมอง ผมถึงได้ยกมือไหว้คนๆ นั้นเป็นมารยาท เหมือนเมืองเอกมันจะยกยิ้มนิดหน่อยแล้วหันกลับไปคุยต่อ



“วันนี้ผมไม่ได้มาซื้อของให้พ่อ มาหาเมนบอร์ดไปเปลี่ยนให้ คอมฯมันพัง”



“อ๋อ หาให้เพื่อนนี่เอง เออๆ ได้ๆ เห็นเป็นเพื่อนมึงกูจะลดราคาให้พิเศษ”



ผมได้ยินแล้วหูผึ่งเลย...



 อย่างแรกคือเขาคิดว่าผมเป็นเพื่อนเมืองเอก ซึ่งตอนนี้ความสัมพันธ์ของเรายังไม่ได้เป็นขนาดนั้นแค่คนรู้จัก และอย่างที่สองถ้าผมเป็นเพื่อนเขาจะลดราคาให้เป็นพิเศษ งั้น... ผมไม่แย้งแล้วละกัน ยอมเป็นไปก่อน ฮะๆ



“ขอบคุณครับพี่โอ๋”



เมืองเอกไหว้พี่คนนั้น ก่อนที่เขาจะเดินออกไป คงไปหาของ จากนั้นคนที่พาผมมมาถึงร้านนี่ก็เดินกลับมาหา



“นั่งรอก่อนก็ได้ เดี๋ยวพี่เขาไปเอาของแล้วกลับมา”



ผมพยักหน้าแล้วเดินไปนั่งตามที่เมืองเอกบอก





.....





“ทำไม อารมณ์ดีขนาดนั้นเลย?”



เสียงคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหารดังขึ้นถาม ผมเลยละสายตาจากจอโทรศัพท์ที่สนใจ เงยหน้ามองเมืองเอก ซึ่งฝั่งนั้นนั่งยิ้มแล้วมองกลับมาเหมือนกัน  ในส่วนของคำถามที่ผมต้องตอบก็...



ส่ายหน้าปฏิเสธคำถาม ถึงแม้ว่าผมจะดีใจจริงๆ ก็ตาม



“หืมมมม เหรอวะ....”



เมืองเอกเลิกคิ้วสูงทำหน้าเหมือนคนไม่เชื่อแล้วจ้องตาผมกลับ ทำไมต้องขนาดนั้นล่ะเนี่ย ผมมั่นใจนะว่าตัวเองไม่ได้แสดงอาการดีใจออกนอกหน้าที่ได้ของถูกและดีขนาดนั้น (อันนี้ไม่รู้หรอกว่าดีไม่ดี แต่เมืองเอกบอกมา ผมก็เชื่อไว้ก่อนอ่ะครับ)



หรือว่าผมจะดีใจเกินไปจริงๆ ?



เออะ... บ้าน่า ไม่น่า...



เบนสายตาหลบดวงตาสีดำคู่นั้น แล้วหันไปจับหลอดในแก้วชาเขียวเย็นของตัวเองมาคนเล่น มองในร้านไปเรื่อยๆ เพราะไม่อยากจะสนใจคนตรงหน้าแล้ว อ้อ จริงสิ ตอนนี้ผมอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่งในห้างนั่นแหละครับ เมนบอร์ดที่ผมตามหาตอนนี้ได้มาแล้ว แถมยังได้ในราคาที่ผมแฮปปี้มากๆ หลังจากซื้อของเสร็จ ทางเมืองเอกก็เป็นฝ่ายชวนผมหาอะไรกินกันก่อนเอง เพราะว่าได้เวลาข้าวเที่ยงแล้ว



ด้วยความที่มันเคยบอกว่าจะไม่เอาค่าซ่อม แล้ววันนี้ก็อุตส่าห์พาผมออกมาหาร้านซื้อของด้วย ผมเลยบอกไปว่าจะเลี้ยงข้าว แต่...



“กูบอกแล้วไงว่ากูไม่เอาค่าแรง”



เออ อันนั้นผมก็จำได้ แต่เริ่มระแวง เพราะจำได้อีกว่าเมืองเอกบอกว่า อาจขอเป็นอย่างอื่นทีหลัง



แล้วอย่างอื่นที่ว่านั่นมันอะไรล่ะวะ จนถึงตอนนี้ก็คิดไม่ตกครับ กลัวเมืองเอกจะเล่นอะไรแผลงๆ อีก ตอนนี้กำลังครุ่นคิดว่าตัวเองคิดถูกไหมที่ไปติดหนี้บุญคุณคนๆ นี้เข้าให้แล้ว



“อุนางิดงบุริ* 1 ที่ได้แล้วค่ะ”

(*ข้าวหน้าปลาไหล)



เสียงพนักงานหญิงที่ยกอาหารชุดมาเสิร์ฟดังขึ้นเรียกความสนใจ เธอมองพวกผมพร้อมกับฉีกยิ้มละไมไทยแลนด์ให้จนกระทั่งเมืองเอกพยักหน้าว่าเป็นอาหารชุดของตัวเอง เด็กเสิร์ฟถึงได้วางอาหารนั้นไว้ตรงหน้า



โอเค ผมจะเล่าต่อ ว่าถึงแม้ผมจะถูกเมืองเอกบอกว่าไม่ต้องเลี้ยงข้าว แต่จุดประสงค์ที่จะหาอะไรกินกันก่อนก็ยังไม่เปลี่ยนครับ ร้านนี้เมืองเอกเป็นคนเสนอ เพราะเห็นว่าเป็นอาหารชุดเวลาจ่ายเงินจะได้แยกบิลจ่ายง่ายดี



แต่อาหารญี่ปุ่นผมก็ไม่ได้เกลียดซะด้วยสิ เลยตกลง



“เดือนสิบ มึงเรียนอักษรใช่ไหม?”



ผมที่นั่งว่างดูดน้ำชาเขียวของตัวเองเพราะข้าวยังไม่มาก็ต้องหันกลับมาสนใจคนที่เริ่มเอ่ยถามอีกครั้ง 



“อื้อ”



ก็พยักหน้ารับไปเพราะไม่อยากพูดมาก



เมืองเอกมันเลิกคิ้วอีกครั้งแล้วยังถามต่อ



“ต้องเลือกเอกที่เรียนใช่ป่ะวะ ภาษาอะไรพวกนี้” 



ไม่เข้าใจว่าทำไมมันไม่เริ่มกินข้าวของตัวเองสักที... เดี๋ยวก็เย็นหมดหรอก แต่ผมก็ต้องตอบละนะ ก็ฝั่งนั้นถามมา



“อื้ม”



“ปี 1 เขายังไม่เลือกเอกกันใช่ไหมวะ ได้ยินมาว่าเลือกตอนปี 2”



โอ้โห ข้อมูลละเอียดครับ ถือว่าทำได้ดี



ผมพยักหน้ารับอีกรอบ



“แล้วมึงจะเลือกเอกอะไร?”



“ญี่ปุ่น”



“หือ? มึงจะเลือกญี่ปุ่นเหรอวะ?”



อ่าฮะ 



มองเมืองเอกที่ตอนนี้เริ่มลงมือแกะตะเกียบออกมาแล้ว



“งั้นแสดงว่ามึงก็ต้องพูดญี่ปุ่นได้ดิ รู้ภาษาญี่ปุ่นใช่ไหม?”



“ใช่”



“เจ๋งว่ะ”



นั่นเป็นคำชมก็ถือว่าดีครับ จริงๆ ก็แอบเครียดนะ เพราะว่าเลือกเอกตอนปีสองทำให้ผมต้องเเข่งกันเข้าเอกญี่ปุ่นกับคนอื่นในคณะด้วย คนอยากเรียนญี่ปุ่นมีน้อยที่ไหน...



“แล้วนี่ มึงเรียนญี่ปุ่น แล้วชอบอาหารญี่ปุ่นด้วยเปล่า?”



อ้อ จริงๆ ไม่เกี่ยวกับเรียนไม่เรียนญี่ปุ่นหรอกครับ ชอบก็คือชอบ มันอร่อย



ก็หงึกหงักไปตอบรับไป



“งั้นเซนส์กูก็ดีสิ พามึงเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นพอดีเลย”




ก็จบแค่นั้นแล้วเมืองเอกก็เริ่มลงมือกินข้าวของตัวเอง



ช่างพูด... เป็นความรู้สึกตอนนี้ที่ผมรู้สึกกับเมืองเอก ไม่ใช่ว่ามันแปลกหรืออะไรหรอกครับ แต่เพราะว่าเราไม่ค่อยสนิทกัน แล้วผมก็ไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าเราจะได้มานั่งกินข้าวด้วยกันแล้วคุยกันแบบนี้ ถึงแม้ว่าฝั่งที่ถามจะเป็นเมืองเอกฝ่ายเดียวก็เถอะ



“สเต๊กแซลมอนย่างซีอิ๊ว 1 ที่ได้แล้วค่ะ” 



อะ... กำลังคิดถึงอยู่พอดีว่าของผมเขาไปตามหาวัตถุดิบกันถึงไหน ในที่สุดก็มาแล้ว ข้าวเที่ยง!



“อาหารที่สั่งได้ครบแล้วนะคะ”



พนักงานหญิงคนนั้นยังยืนขีดฆ่าเมนูอยู่ในบิลรายการอาหาร แต่ตาเธอไม่ได้มอง... มองมาทางผมมากกว่า อืม สงสัยอยากได้คำตอบ



“ครับ”



“ถ้าขาดเหลืออะไรเรียกได้ตลอดเลยนะคะ”



ผมพยักหน้า แล้วยิ้มให้ เธอถึงได้ฉีกยิ้มกว้างขึ้น



“ขอให้รับประทานอาหารให้อร่อยนะคะ~ ♡”   



ก็ยิ้มให้อีกครั้งก่อนที่พนักงานจะเดินออกไปแบบช้าๆ พอหันกลับมาถึงได้...



“อ...”



“เดือนสิบ”



หึ๊?



“???”



“ชอบหน้าตอนยิ้ม ต้องพูดว่าไงวะภาษาญี่ปุ่น”



ผมหยุดมือ แล้วกะพริบตามอง ชอบหน้าตอนยิ้ม?? อ้อ หรือว่าหมายถึงของพนักงานเสิร์ฟคนเมื่อกี้ จะว่าไปเธอก็ยิ้มสวยจริงๆ แหละครับ



“君の笑顔が好き(Kimi no egao ga suki)”



ประมาณนี้ล่ะมั้ง



หลังจากผมพูดจบ ใช้ตะเกียบคีบปลาแซลมอนเข้าปาก



“คิมิ โนะ เอ๊ะ กาโอะ ก๊ะ สุคิ”



เพราะเสียงนั้นพยายามจะพูดเลียนแบบ ผมถึงได้เงยหน้าขึ้นมาสนใจ... เออ รู้แล้วว่าอยากพูดแต่อย่ามาพูดใส่หน้าคนอื่นได้ไหม ไปชมพนักงานนู่น



“ไว้เดี๋ยวตอนเรียกมาเติมชาเขียวก็ลองพูดดูสิ”



“ทำไมวะ?”



เอ้า ก็จะชมพนักงานไม่ใช่เหรอ?



“ที่บอกชอบหน้าตอนยิ้มน่ะ”



“....”



“กูหมายถึงหน้ามึงต่างหาก”




ห้ะ...?



“คิมิ โนะ เอ๊ะ กาโอะ ก๊ะ สุคิ อ่ะ”



“....”



----------------------------------------55%----------------------------------------



สวัสดีทุกคนค่ะ เเวะมาลงให้ก่อน แฮร่ ขอโทษที่ลงทีละน้อย อยากเอามาลงจริ๊งๆ

ไว้ที่เหลือจะมาต่อนะคะ


君の笑顔が好き Kimi no egao ga suki ชอบใบหน้ายิ้มเเย้มของเธอ

ความหมายประมาณนี้แหละค่ะ ///// ฮิ๊ววววววววว


#วิศวะเดือนสิบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-11-2018 18:48:24 โดย miminari »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ...เมืองเอกหลงเสน่ห์เดือนสิบแล้วใช่ป่ะ?

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ทำไมคอมฯ ถึงพัง สงสัยเดือนสิบจะพิมพ์แบบนี้ชัวส์ --->  :katai4:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ตรงไปมั้ยเมืองเอก.............
 “คิมิ โนะ เอ๊ะ กาโอะ ก๊ะ สุคิ ”   :-[

เมืองเอก  เดือนสิบ   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ถ้ามาซัก เดือนละ 2-3 ตอน คงจะดีกว่านี้ ผมว่าน่าติดตามใช้ได้เลย
ขอให้ข้อสังเกตเรื่องการเรียกเคสคอม PC ว่า CPU หน่อยนะครับ
ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องคอมเลยอย่างนุ้งเดือนสิบเรียกแบบนั้นถือว่าโอเค เราไม่ว่ากัน เพราะคนไม่รู้
แต่ในกรณีเมืองเอกที่เรียนวิศวะคอมด้วย มันไม่น่าจะเรียกเคส PC ว่า CPU
เพราะ CPU เป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งของอุปกรณ์ในเคสที่ประกอบไปด้วยอุปกรณ์อื่นๆ ด้วย
เช่น Mainboard, PSU, Graphic Card, Ram, HDD
ฝากพิจารณาเพื่อความสมจริงมากขึ้นครับ

ออฟไลน์ miminari

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
ถ้ามาซัก เดือนละ 2-3 ตอน คงจะดีกว่านี้ ผมว่าน่าติดตามใช้ได้เลย
ขอให้ข้อสังเกตเรื่องการเรียกเคสคอม PC ว่า CPU หน่อยนะครับ
ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องคอมเลยอย่างนุ้งเดือนสิบเรียกแบบนั้นถือว่าโอเค เราไม่ว่ากัน เพราะคนไม่รู้
แต่ในกรณีเมืองเอกที่เรียนวิศวะคอมด้วย มันไม่น่าจะเรียกเคส PC ว่า CPU
เพราะ CPU เป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งของอุปกรณ์ในเคสที่ประกอบไปด้วยอุปกรณ์อื่นๆ ด้วย
เช่น Mainboard, PSU, Graphic Card, Ram, HDD
ฝากพิจารณาเพื่อความสมจริงมากขึ้นครับ

ขอบคุณมากนะคะ รับพิจารณาและแก้ไขเรียบร้อยแล้วค่ะ ^^

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ miminari

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
เดือนที่ 7

ไปด้วยกัน☽⚙


 

----------------------------------------100%----------------------------------------



เมื่อกี้ก็งงๆ อยู่เหมือนกันที่อยู่ดีๆ เมืองเอกก็พูดขึ้นมาว่าชอบหน้าตอนยิ้มของผม เล่นเอาชะงักไปเลยในตอนแรกที่ได้ยินอ่ะนะ แต่พอมาลองคิดดูอีกที... ก็แค่พูดว่าชอบหน้าตอนยิ้มของผมเฉยๆ เองไม่เห็นมีอะไรเลยครับ ก็คงไม่ต่างอะไรกับเวลาชมคนอื่นว่าสวย ว่าหล่อนั่นแหละ



“เฮ้อออ~” ผมถอนหายใจให้กับความคิดมากของตัวเองแล้วเบนสายตาออกไปนอกร้านอาหารซึ่งตอนนี้มีผู้ชายตัวสูง หน้าตาดีจนสาวๆ หลายคนที่เดินผ่านไปต้องแอบเหลือบสายตามอง หรือหันมองตามกันบ้าง ชายคนนั้นอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ยืนยิ้มคุยโทรศัพท์อยู่ ส่วนถ้าถามว่าคุยกับใครอยู่ ก็จะเป็นใครไปได้ล่ะครับ ก็ต้องเป็นริน แฟนของเมืองเอกอยู่แล้ว



เมื่อกี้ระหว่างที่กำลังกินข้าวกันอยู่ โทรศัพท์ของเมืองเอกก็ดังขึ้นมา จากนั้นเจ้าตัวก็บอกว่าจะขอออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกสักแป๊บหนึ่ง ผมจะไปว่าอะไรได้ล่ะครับ ก็สิทธิ์ของมัน



ผมแค่จัดการกับสเต๊กปลาแซลมอนของตัวเองต่อก็พอแล้ว~



เวลาผ่านไปจนผมกินอาหารในจานตัวเองหมดแล้ว แต่เมืองเอกที่อยู่นอกร้านก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะคุยโทรศัพท์เสร็จ ผมก็ไม่ได้รีบอะไรเท่าไหร่ รอได้



ว่างๆ อยู่แล้วก็เลยหยิบโทรศัพท์ออกมาเล่น แต่สายตากับสะดุดที่แจ้งเตือนแอพพลิเคชั่นไลน์ที่มากกว่าปกติ พอเปิดเข้าไปดูก็เห็นเป็นกลุ่มไลน์ คุยกันเยอะขนาดนั้นเลย? หรือว่าจะมีเรื่องอะไรกันอีกแล้ว??



ผมกดเข้าไปดูในกลุ่มไลน์เพื่อนตัวเองก่อน แรกๆ ก็เป็นกวางกับฟลุ๊คคุยกันเรื่องรายงาน แต่พอเลื่อนลงมาเรื่อยๆ กลับเป็น...



MydearDEER

<(เดือนสิบตอบมานี่อะไร) 12:14




ผมชะงักกับข้อความนี้ และใต้ข้อความก็มีรูปผู้ชายสองคนกำลังเดินอยู่ข้างกัน รูปนั้นเป็นรูปถ่ายจากระยะที่ค่อนข้างไกล แต่เห็นหน้าผู้ชายสองคนนั้นได้ชัดเจนเลย แล้วผมก็รู้จักดีด้วย!



MMTEMT:F

<(ไม่มีตาเหรอกวาง ก็เห็นอยู่ว่านั่นมันเดือนสิบกับเมืองเอก) 12:14




ข้อความต่อมาเป็นของคุณฟลุ๊ค และเนื้อความนั้นถูกต้องครับ ผู้ชายสองคนในรูปคือผมกับเมืองเอกมันเอง ทั้งรูปทั้งสถานที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา เพราะว่ามันเป็นรูปตอนที่ผมกำลังเดินไปซื้อของที่ร้านคอมฯ...



ผมเลื่อนข้อความอ่านต่อ



MydearDEER

<(ฉันเห็นแล้วโว้ยยยย) 12:15

<(แต่ที่อยากถามคือได้ไงอะ!!?) 12:15




เป็นข้อความจากกวาง จากนั้นก็ตามด้วยลิงก์โพส และลิงก์ที่มาของรูป รวมทั้งลิงก์ทวิตเตอร์ที่ติดแฮชแท็ก ผมไม่ได้กดลิงก์เข้าไปดูแต่พอจะเห็นเนื้อความของโพสที่ขึ้นแสดงเป็นตัวอย่างมา เหมือนทุกคนจะดู... เอ่อ แปลกใจ? ตื่นเต้น? ที่เห็นภาพผมไปเดินอยู่กับเมืองเอก....



ไล่อ่านข้อความจากกวางได้ความว่าแหล่งข่าวแรกที่อัพ รวมทั้งที่มาของรูปก็ได้มาจากเพจ SuperMoon paparazzi เพจที่สร้างมาเพื่ออัพข่าวสาร+ตามติดชีวิตเดือนรวมทั้งผู้ชายหล่อ ผู้ชายดัง ผู้ชายดีทั้งหมดในมหาวิทยาลัยของผม ข่าวที่ผ่านๆ มา เพจนี้ก็เป็นต้นข่าวมาตลอด ผมไม่มั่นใจว่าเพจนี้หาข่าวกันแบบไหน แต่ด้วยยอดการกดถูกใจเลยแสนยังไม่นับรวมยอดผู้ติดตามเพจ และการที่ทุกข่าวแอดมินจะลงเองตลอดผมก็คิดว่าลูกเพจพวกนี้นี่แหละที่เป็นคนคอยส่งข่าวให้



ข่าวแต่ละข่าวถึงได้รวดเร็วขนาดนี้ เร็วจนน่ากลัว



MMTEMT:F

<( @Octb10 ไหนบอกกูว่าจะไปซ่อมคอม) 12:33




เกือบสะดุ้งที่เห็นข้อความที่จารย์ฟลุ๊คแท็กหาผม สงสัยคงจะจับได้แล้วว่าผมซุ่มอ่านอยู่ คงเพราะเห็นจำนวน Read ที่เพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ทันที่จะพิมพ์ตอบ หน้าจอก็เปลี่ยนเป็นการโทรแบบกลุ่มแทน



[“โหลๆ เดือนสิบ อยู่ใช่ไหม?”]



“อ่า”



ตอบรับไป ในหน้าจอโปรไฟล์สว่างทุกคนเลย แสดงว่าแม้แต่คุณฟลุ๊คก็อยู่ด้วย



[“ตอบมาเลยนะว่าในรูปหมายความว่ายังไง ไหนคุณฟลุ๊คบอกว่าเดือนสิบไปซ่อมคอมฯไม่ใช่เหรอ?”]



ถ้าเรื่องนั้น...



“ก็ใช่ นี่ก็กำลังมาซื้อของไปซ่อมคอมฯ”



[“ซื้อของไปซ่อมคอมฯ?”] อันนี้เสียงคุณฟลุ๊คครับ 



[“แล้วทำไมถึงไปเดินอยู่กับเมืองเอกได้”] ส่วนอันนี้ของกวาง ซึ่งผมว่า สองคำถามนี้มันโยงกันอยู่...



“ก็คอมฯเสีย แล้วเมืองเอกบอกว่าซ่อมเป็นเลยให้ดูคอมฯให้ ก็เลยไปซื้อของเอาไปให้เมืองเอกซ่อมให้”



[“เจอเมืองเอกที่ไหนวะ?”] คุณฟลุ๊คถามเหมือนว่ามันเป็นเรื่องประหลาดมากๆ ที่เจอกัน อ... เหมือนผมจะคิดอะไรขึ้นได้



“นี่ยังไม่เคยบอกเหรอ ว่าเมืองเอกอยู่ห้องตรงข้ามกับเราที่คอนโด?”



[“....”]



[“....”]



ดูปฏิกิริยาแล้ว น่าจะยังแฮะ..



[“ไม่เคยว่ะ”]



[“แล้วๆๆ แล้วเมืองเอกหาเรื่องอะไรแกรึเปล่าน่ะเดือนสิบ ไม่ใช่ว่าเมืองเอกไม่ชอบแกอยู่เหรอ?”]



คิดตามคำกวาง แล้วก็นึกถึงคำพูดของเมืองเอกเมื่อวาน ก็ไม่มีอะไรกันแล้วจริงๆ แหละครับ กวางก็รู้ว่าหลังจากวันนั้นเมืองเอกก็ไม่ได้เข้ามายุ่งอะไรกับผมอีก อืมมม... ผมส่ายหน้ากับตัวเองแล้วตอบไป



“ไม่นะ ก็คงไม่อะไรแล้ว”



[“แน่ใจแน่นะ? หมอนั่นยิ่งเพี้ยนๆ อยู่ ระวังๆ ด้วย”]



ครับ ผมก็ยอมรับว่าฟังคำกวางบ้าง แต่ว่า...



“จริงๆ แล้วเมืองเอกก็ไม่ได้เป็นคนไม่ดีหรอก”



[“......”]



[”…...”]



จากปฏิกิริยาความเงียบของกวางกับฟลุ๊ค เหมือนกับว่าผมพูดอะไรผิดไป แต่มันก็เป็นความจริงนี่หว่า แค่ปากไม่ดีบางเวลากับกวนทีนนิดๆ หน่อยๆ



หลังจากเงียบไปสักพัก ในที่สุดคุณฟลุ๊คก็เป็นคนพูดเข้ามาอีกครั้ง



[“นี่แค่เมืองเอกมันซ่อมคอมฯให้ มึงก็โดนมันซื้อไปแล้วเหรอวะเนี่ย?”]



ไม่ได้ซ่อมให้อย่างเดียวนะ ซ่อมให้ฟรีด้วย



ถึงจะไม่รู้ก็ตามว่าของต้องแลกด้วยอะไรอย่างอื่นนอกจากค่าแรง...



ผมเงียบไม่ได้ตอบอะไรไป เข้าใจแหละว่าคุณฟลุ๊คไม่ได้หวังอะไรในคำตอบของผมอยู่แล้ว แต่อีกคนเนี่ยสิ



[“แล้วตอนนี้อยู่ไหนอ่ะ? ทำอะไรอยู่??”]



“เพิ่งกินข้าวเสร็จน่ะ เดี๋ยวก็กลับแล้ว”



ใช่ครับ เดี๋ยวก็คงกลับแล้ว รอเมืองเอกโทรศัพท์เสร็จ..



[“กลับ?”]



“กลับคอนโด ตอนนี้ยังอยู่ที่ห้างน่ะ”



[“อ... อย่าบอกนะว่ากินข้าวกับเมืองเอก!?”]



อ้อ...



“ใช่ แต่ตอนนี้เมืองเอกไม่อยู่นะ ออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอก”



พอผมยืนยันคำตอบ ได้ยินเสียงหวีดเบาๆ ลอดผ่านเข้ามา เสียงคล้ายแบบ... กรี๊ดใส่หมอน?



[“SuperMoon paparazzi พลาดช็อตนี้ไปได้ยังไง! ไหนรูปคะ~~!”]



[“หวังตรงนั้นอยู่หรอกเหรอ”]



นั่นน่ะสิ ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าเพื่อนกวาง ต้องการแบบไหนกันแน่...



แล้วขอทีเถอะ แค่นี้ผมก็รู้สึกว่าชีวิตขาดความเป็นส่วนตัวมากพอแล้วครับ ถ้ารู้ว่าการเป็นเดือนมันต้องแลกด้วยอะไรแบบนี้ผมคง... คงอะไรได้วะ? ก็โดนพี่แอ้มบังคับให้ลงเดือนคณะอยู่ดี...



.....



จบโทรกลุ่มไม่ถึง 5 นาที เมืองเอกเดินกลับเข้ามาในร้านแล้วทิ้งตัวลงนั่งที่เดิม ไม่พูดไม่จาอะไร แต่เหมือนหน้าจะตึงๆ ขึ้นนิดหน่อย คล้ายคนที่กำลังไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ แต่ไม่ได้น่ากลัวขนาดเมื่อวานตอนเรื่องพี่เอส



ผมไม่กล้าถามหรอกครับว่าเกิดอะไรขึ้น นั่งดูดชาเขียวในแก้วรีฟิลของตัวเองไปพลางเลื่อนดูอะไรไปพลาง จะว่าไปเมืองเอกรู้ข่าวรึยังนะ? ถ้าเพิ่งโทรศัพท์คุยกับแฟนเมื่อกี้มาแล้วเวลาตอนที่อยู่ด้วยกันก็ไม่ค่อยได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลยก็น่าจะยัง



ปกติเมืองเอกคิดยังไงกับข่าวพวกนี้นะ หรือว่าสาเหตุที่อารมณ์เสียจะเป็นเพราะเรื่องข่าวนี้จริงๆ ?



“เดือนสิบ”



ผมละสายตาออกจากจอมือถือแล้วเงยมอง เมืองเอกที่ยังทำหน้าเหมือนคนหงุดหงิดอะไรมา น้ำเสียงนั่นก็ด้วย ฟังแล้วขัดๆ



“?”



ผมเอียงคอมอง จากนั้นก็รอฟังว่ามันจะพูดอะไรต่อ



ไม่ใช่ว่าหงุดหงิดเรื่องที่มีข่าวกับผมอีกแล้วหรอกนะ



“จำที่กูบอกว่าอาจจะขออย่างอื่นแทนค่าแรงได้ไหม?”



โล่งใจที่ไม่ใช่



“จำได้”



“จะเป็นอะไรไหมถ้ากูจะขอเลย”



ไอ้ที่บอกจะขอเลย คืออะไร ผมคิดไม่ตก เกี่ยวกับเรื่องที่เมืองเอกกำลังนั่งเครียดอยู่แบบนี้ด้วยไหม? ถ้าทำได้ ผมก็จะทำ บางทีอาจจะมีเรื่องให้ช่วย



“ตอนเย็นกูนัดกับรินเอาไว้ว่าจะไปนั่งกินข้าวด้วยกัน”   



ริมฝีปากนั่นขยับช้าๆ เอ่ยเรียบๆ ไม่ได้รีบร้อน ใบหน้านั้นค่อยๆ คลายความหงุดหงิด



“แต่ตอนนี้รินไปกินกับกูไม่ได้แล้วว่ะ”



ถ้าไม่เหนือความคาดหมายมันคงจะเป็นเรื่อง...



“เย็นนี้ไปกินข้าวด้วยกันกับกูได้ไหม?”



ผมนิ่งมองเมืองเอก ไม่ได้เหนือความคาดหมายแต่ไม่เข้าใจ   



“ถือว่าไปนั่งเป็นเพื่อนกู”



ทำไมไม่มีคนอื่นไปนั่งเป็นเพื่อนแล้วรึไงนะ แต่ปฏิเสธไม่ได้หรอก ก็ผมติดหนี้เขาอยู่ อยากจะใช้คืนให้มันจบๆ ไปสักที..



ในที่สุดก็ตัดสินใจตอบตกลงไป ใบหน้าหล่อที่เคยตึงกลับมาประดับด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง




“งั้นเย็นๆ สัก หกโมงครึ่งเจอกัน รอที่ห้องก็ได้”



----------------------------TBC-------------------------



สวัสดีทุกคนค่ะ ในที่สุดก็ครบ 100 เเล้ว ตัดตอนฉับๆ มา แหะๆ *-*

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ที่คอยเป็นกำลังใจให้กันเสมอด้วยนะคะ เราอ่าน เราดูทุกคอมเมนต์เลยค่ะ <3

รักทุกคนนนน <3 เจอกันใหม่ตอนหน้าจ้า !



#วิศวะเดือนสิบ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ไปเลยๆ รีบๆ กิน แล้วก็รีบๆ กลับ  :hao3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด