ไข่ฟองที่ 17
คนที่โกรธแค้น
สร้อยข้อมือคู่แทนคำขอบคุณ ของขวัญที่เพื่อนสนิทมอบให้แก่กัน ขึ้นชื่อว่าสร้อยข้อมือคู่ แต่กลับกลายเป็นผมที่ใส่มันเพียงคนเดียว เหตุเพราะคิดเอาเองนั่นแหละว่ามันคือสร้อยข้อมือคู่
ผมทอดถอนหายใจเมื่อมองข้อมือทั้งข้างของไข่ต้มที่มีเพียงนาฬิกาเรือนโปรดเท่านั้นที่มันใส่มา ก่อนก้มมองข้อมือตัวเองที่มีสร้อยข้อมือสีน้ำตาลร้อยอักษรตัว S ใส่อยู่ ผมยังจำสีหน้าของเพื่อนสนิทตอนเห็นเจ้าสร้อยข้อมือตอนเช้าได้ดี รอยยิ้มกว้างกับท่าทางดีใจเหมือนเด็กๆ แต่เมื่อย้อนถามกลับไปว่าทำไมมันถึงไม่ใส่มา กลับได้คำตอบสั้นๆ ว่า 'ลืม'
มันน่าน้อยใจจริงๆ
หลังจากได้หยุดพักทำใจสองวันอาการไข่ต้มก็ดีขึ้นตามลำดับ แม้ก่อนหน้านี้อาการมันจะไม่ได้แย่อะไรนักก็ตาม ดีเกินไปจนได้ยินคำด่าว่าเสียๆ หายๆ ลอยมาเข้าหู แต่คนโดนมันไม่ค่อยได้สนใจเท่าไร ผิดกับผมที่อยากรู้นักว่าใครมันเป็นคนพูด
'ไม่เห็นจะเสียใจเลย'
'เป็นฝ่ายทิ้งพี่อ๋องนี่นะ'
'หน้าด้านหน้าทน'
'ทำคนอื่นเสียใจยังทำตัวร่าเริงอยู่ได้'
มันน่าโมโหตรงที่คนพวกนี้พูดออกมาโดยที่ไม่รู้ความจริงอะไรเลย เพราะเลิกรากับเงียบๆ ไม่ได้แถลงข่าวแบบพวกคนดังให้คนอื่นๆ รู้เลยทำให้หลายคนคิดว่าคนที่เสียใจมากกว่าคือคนที่เจ็บกว่า แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เพื่อนผมอยากป่าวประกาศบอกใครต่อใครอยู่ดี
"เหม่ออะไร"
ผมเห็นไข่ต้มมันเอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่าง มองวิวเดิมๆ ที่ไม่มีอะไรน่าสนใจนัก แต่ผมก็มักทำแบบมันเวลาที่อยากคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
"ไม่ได้เหม่อ"
"คิดอะไรอยู่"
"เรื่อยๆ"
"ไม่ได้คิดถึงคนนั้นใช่มั้ย"
"ไม่มีอะไรให้คิดถึงแล้ว"
ผมชะโงกหน้าไปมอง ตั้งใจจะจับผิด แต่ไข่ต้มมันดันหันกลับมาจนต้องรีบขยับออกห่าง ไม่อย่างนั้นได้เกิดฉากโรแมนติกขึ้นแน่ๆ ซึ่งผมคิดว่ามันคงยังไม่พร้อมสำหรับอะไรแบบนั้นกับเพื่อนสนิทหรอก
"อะไรของมึง" มันขมวดคิ้วถาม
"เปล่า"
"ถ้าโดนด่ากูไม่เกี่ยวนะ"
"องอาจเห็นที่ไหน"
แน่นอนว่าทุกคำพูดของพวกเราคือการกระซิบ ผมมองอาจารย์คณิตที่กำลังจดยุกยิกบนกระดานพร้อมกับพูดไปด้วย เสียงของแกดังพอที่จะกลบเสียงของพวกเราได้ อีกอย่างไม่ใช่แค่ผมกับไข่ต้มที่กำลังเมินการสอนของอาจารย์อยู่ตอนนี้ ไอ้คนที่นั่งหน้าห้องนั่นแหละตัวดี สัปหงกกันไปแล้ว
ผมกำลังจะอ้าปากพูดต่ออาจารย์ก็หันกลับมา เลยต้องรีบทำตัวเป็นเด็กตั้งใจเรียน ตามองกระดานฟังสิ่งที่อาจารย์กำลังพูด ทั้งที่ความจริงแล้วความรู้ที่ไหลเข้าหัวมีเพียงห้าสิบเปอร์เซ็นต์เห็นจะได้
ไข่ต้มมันยิ้มขำตอนเห็นผมทำเป็นตั้งใจเรียน หันมายักคิ้วให้ ทำหน้าทำตาน่ามันเขี้ยวจนอยากหยิกแก้มแรงๆ ไม่รู้ทำไมหลังจากเป็นอิสระจากพี่อ๋องผมถึงได้รู้สึกว่ามันน่ารักขึ้นมากขนาดนี้ ไม่ใช่ที่หน้าตา แต่เป็นที่การกระทำ
มองรอยยิ้มของมันแล้วก็ได้แต่คิดในใจว่าหยุดทำตัวน่ารักสักทีจะได้ไหม เพราะแค่นี้ก็หนีออกจากหลุมที่เผลอตกลงไปเองไม่ได้อยู่แล้ว
"มองกระดานดิ มองกูทำไม"
"ก็มึงน่ารัก"
แล้วสุดท้ายก็หลุดพูดออกไปจนได้
ไข่ต้มมองแล้วกะพริบตาปริบๆ ส่วนผมยังทำใจสู้ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เหมือนคำชมที่พูดออกไปเมื่อกี้นี้เป็นคำธรรมดาทั่วไปที่เราคุ้นเคยกัน ทั้งที่ปกติผมไม่เคยพูดกับมันแบบนี้สักครั้งเดียว
"อยู่ดีๆ ก็ชม" ไข่ต้มมันบ่นก่อนหันกลับไปมองอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่หน้าห้อง นับว่าปฏิกิริยาตอบกลับที่ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก มันคงแปลกใจ แต่ผมไม่คิดจะอธิบายอะไรเพิ่มเติมอยู่ดี
แม้สิ่งที่อาจารย์สอนจะไม่ค่อยเข้าหัวนัก แต่ผมกลับมีความสุขกับคาบเรียนคณิตศาสตร์พื้นฐานมากกว่าครั้งไหน อารมณ์หงุดหงิดกับคำพูดที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้หายไปจนหมดสิ้น เพราะมีใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มของคนข้างๆ เข้ามาแทนที่ เพียงแค่นี้ก็ทำให้โลกของผมสดใสขึ้นได้แล้ว
ก่อนหน้านี้ผมเคยสัญญากับตัวเองว่าหากพี่อ๋องทำไข่ต้มเสียใจเมื่อไรผมจะแย่งหัวใจของมันกลับมา แม้ระหว่างทางจะสับสนกับความรู้สึกของตัวเองอยู่หลายครั้ง ทั้งลังเล ทั้งกลัว แต่ตอนนี้ผมตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำยังไงต่อไปกับความรู้สึกที่มีอยู่ตอนนี้
นับจากนี้ผมจะจีบเพื่อนสนิท จีบแบบเปิดเผยตัวแสดงความรู้สึกให้อีกฝ่ายรู้ สารภาพออกไปเมื่อสร้างความมั่นใจให้ตัวเองจนเต็มเปี่ยม และเตรียมใจยอมรับคำตอบที่จะได้กลับมา
ไม่ว่าสุขหรือเศร้าผมก็จะยอมรับมัน
มีคนชอบมาก คนที่ไม่ชอบก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดา ตั้งแต่ไข่ต้มเลิกกับพี่อ๋องคนที่อยากลองกะเทาะเปลือกไข่ก็มีเข้ามาเรื่อยๆ เหมือนเดิม รวมถึงคนที่เข้ามากวนประสาทก็มีมากเช่นกัน แต่มีผมอยู่ด้วยทั้งคนไอ้พวกคิดไม่ดีทั้งหลายจะไม่มีวันได้เข้าใกล้ไข่ต้มเด็ดขาด ซึ่งจริงๆ แล้ว คนที่เข้ามาดีผมก็ไม่ยอมให้เข้ามาเช่นกัน
หวงมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นร้อยเป็นพันเท่าบอกไว้ตรงนี้
"พี่ไข่ต้มครับ"
แล้วก็นั่นแหละ โสดยังไม่ถึงสัปดาห์ก็มีคนเข้ามาหาเสียแล้ว
เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงเรียก ไข่ต้มไม่ได้มีท่าทีกีดกันหรือจ้องจะปิดประตูใส่เหมือนแต่ก่อน มันทำเพียงรอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร แต่คนที่ตั้งกำแพงใส่กลับกลายเป็นผมเสียอย่างนั้น
"ครับ" ผมตอบรับแทนคนถูกเรียก แต่คนเรียกก็ดูไม่ได้สนใจอะไรนัก
"ผมชื่อแม็กนะครับ อยู่ ม.สี่ ถ้าอยากจะทำความรู้จักกับพี่ได้มั้ยครับ"
"ไม่ได้ครับ" คนตอบเป็นผมไม่ใช่คนถูกถาม
ไข่ต้มมันหันขวับมามองรวมถึงน้องแม็กอะไรนี่ด้วย หน้าตาดูงงงวยว่าผมเป็นใครทำไมถึงกล้ามาปฏิเสธแทนเจ้าตัวที่ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่บอกไว้ตรงนี้เลยว่าผมไม่สนใจ
"ผมถามพี่ไข่ต้มครับ"
"พี่ก็ตอบแทนแล้วไงครับ ตอนนี้มันยังไม่พร้อมเปิดรับใคร ขอเวลาให้มันได้ทำใจบ้างเถอะน้อง คนเพิ่งเลิกกับแฟนได้ไม่ถึงอาทิตย์ ตอนนี้มันเร็วไป"
"ผมนี้ไงครับจะช่วยทำให้พี่ไข่ต้มดีขึ้นเอง"
"หน้าที่นั้นปล่อยให้เป็นของพี่เองครับ เพื่อนพี่ พี่ดูแลเองได้"
น้องแม็กหันไปทำหน้าขอความเห็นจากไข่ต้มหลังจากเถียงกับผมไม่สำเร็จ รอบนี้ผมไม่ได้เตี๊ยมกับเพื่อนรักไว้เลยไม่รู้ว่ามันจะเล่นด้วยหรือเปล่า แต่เห็นหน้านิ่งๆ แบบนี้ ผมดูออกนะว่ามันกำลังกลั้นขำอยู่
หลังจากอกหักครั้งแรกในชีวิตดูเหมือนว่ามันจะเปลี่ยนไปเยอะเลย
"ก็ตามนั้นครับน้อง"
แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือมันยังปฏิเสธคนที่พยายามเข้าหาอยู่ดี
"ขอตัวนะครับ" ผมรีบตัดจบ คว้าแขนไข่ต้มเดินหนีออกจากโรงเรียนเพราะเราโดนดักไว้ตอนกำลังจะกลับบ้านพอดี
ผมปล่อยแขนไข่ต้มตอนออกมาถึงป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียน มันอมยิ้มเหมือนไม่ใช่คนเก่าที่มักทำหน้าบึ้งเวลามีคนเข้าหา กลับกลายเป็นผมที่หน้าบึ้งแทน
"หวงเก่ง" มันว่า
"ก็มึงไม่เห็นหวงตัวเองเหมือนแต่ก่อน"
"น้องเขายังไม่ทันทำอะไรเลย"
"ปกติยังไม่ทันทำอะไรมึงก็เตรียมหนีแล้วเถอะ"
"ขนาดนั้นเลย"
"เออ"
ไข่ต้มยิ้มจนตาหยีเหมือนชอบใจที่โดนผมว่า ทำเหมือนกับไม่รู้ตัวว่าเมื่อก่อนตัวเองเป็นยังไง แต่ผมรู้ว่ามันแค่แกล้งไขสือเฉยๆ
"ก็แค่อยากลองเปลี่ยนตัวเองดู มองอะไรให้มันกว้างขึ้น ใช้เวลาตัดสินอะไรให้นานขึ้น เผื่ออะไรๆ มันจะดีขึ้นบ้าง"
"หมายถึงอะไรที่มึงอยากให้ดีขึ้น"
"สิ่งรอบตัว บางทีมันอาจจะมีสิ่งดีๆ ที่กูเผลอมองข้ามไปก็ได้"
‘รวมถึงตัวกูด้วยใช่มั้ย’ ผมอยากจะถามออกไปแบบนี้ แต่เพราะไม่รู้ว่าประโยคที่คิดจะถูกเพื่อนสนิทตีความไปแบบไหน เลยทำได้แค่เก็บมันไว้ในใจ และถามถึงสิ่งที่ไม่เจาะจงออกไปแทน
"แล้วเจอหรือยังสิ่งที่มึงคิดว่ามองข้ามไป"
"สักวันคงได้เจอ"
ผมไม่ถามอะไรต่อ พยักหน้ารับแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเรื่องอื่น
ถูกคนมองเป็นเรื่องปกติของไข่ต้ม ถูกใครต่อใครเข้าหาก็เป็นเรื่องปกติของมันเหมือนกัน แต่นานๆ ทีจะเห็นคนที่เกลียดมันออกมาแสดงตัว
ไข่ต้มคิดมากไหมไม่รู้เพราะมันไม่เคยพูดอะไรให้ผมฟังเกี่ยวกับคนประเภทนี้ เป็นความเข้าใจโดยธรรมชาติว่ามีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด เวลาเห็นคนที่แสดงความเห็นไม่ดีก็เลยมักจะปล่อยผ่าน แล้วเรื่องทุกอย่างก็จะผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนที่ผ่านมา
"ยังไม่เลิกอ่านอีก" ผมแทบจะดึงโทรศัพท์ออกจากมือไข่ต้มเพราะเห็นมันยังอ่านคอมเมนต์แย่ๆ ใต้โพสต์ในไอจีไม่เลิก
"ก็ดูมันไล่เมนต์ทุกอันเลย เหมือนโกรธแค้นกูมาจากไหน"
"ลบไปดิ"
"ช่างมัน"
"รอให้แฟนคลับมึงมาถล่มมันเหรอ"
"งั้นมั้ง"
"ร้าย"
ไข่ต้มหัวเราะ ผมรู้ว่ามันพูดเล่นไม่ได้คิดจริงจัง เอาเข้าจริงขนาดบรรดาคนที่ชอบมันยังไม่ค่อยมาคอมเมนต์อะไรเลย มีแต่ยอดไลค์ที่เกือบแตะหลักพัน ผมหมายถึงแอคเคาต์ที่มันเปิดสาธารณะที่นานทีปีหนมันจะลงรูปสักที ส่วนแอคเคาต์ส่วนตัวมีแต่เพื่อนๆ เท่านั้นที่ติดตาม
"อิ่มยัง เดี๋ยวเอาจานไปเก็บให้" เห็นมันยังเอาแต่สนใจโทรศัพท์ผมเลยดึงจานข้าวที่กินหมดแล้วมาซ้อนกับของตัวเอง ตั้งใจจะทำคะแนนนิดๆ หน่อยๆ
"เดี๋ยวกูเก็บเอง" แล้วมันก็ทำท่าจะดึงกลับไป
"ไปรอข้างหน้าไป" พูดจบผมโบกมือไล่ไข่ต้มก่อนลุกขึ้นเอาจานไปเก็บ
เหลือเวลาอีกสิบห้านาที่จะหมดเวลาพักเที่ยง วันนี้อาจารย์ปล่อยช้าห้านาที กว่าจะลงมาถึงโรงอาหาร กว่าจะหาโต๊ะได้ก็กินเวลาไปหลายนาที แถมไข่ต้มมันยังหมกมุ่นอยู่กับแอคเคาต์ของใครไม่รู้ที่คอมมเนต์ป่วนมันตั้งแต่เช้า เวลาที่ใช้ในโรงอาหารเลยมากกว่าทุกวัน
จากโรงอาหารเราเดินตัดผ่านอาคารหอประชุมเพื่อขึ้นตึกเรียน ใต้อาคารนั้นถูกจัดเป็นมุมพักผ่อน โต๊ะไม้ทุกตัวถูกจับจองโดยกลุ่มที่มีสมาชิกเยอะๆ ซื้อของมานั่งกินพูดคุยกันเสียงดัง และเมื่อเราเดินผ่าน เสียงจากใครสักคนในนั้นก็ดังขึ้นมา
"คิดว่าหน้าตาดีนักหรือไงวะ"
ถึงไม่อยากใส่ใจแต่ก็อดไม่ได้ต้องหันไปมอง ผมจะไม่ติดใจอะไรเลยถ้าประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่ไม่เหมือนกับคอมเมนต์แย่ๆ ใต้โพสต์ไอจีของไข่ต้มมัน แล้วก็คงไม่มีใครเสียสติพอจะตะโกนขึ้นมาเหมือนอยากจะบอกให้คนทั้งโรงเรียนได้ยินแบบนี้
"มึง"
ไข่ต้มมันเรียกเมื่อผมยังมองหาตัวการไม่เลิก กล้าตะโกนแต่ไม่กล้าเปิดเผยตัวแบบนี้ไม่แน่จริงนี่หว่า
"ไปมึง"
มันบอกอีกครั้งพร้อมกับเข้ามาคว้าแขนผมให้รีบเดินไปด้วยกัน ไข่ต้มมันไม่อยากมีเรื่องผมรู้ดี แต่อยู่ดีๆ ก็โดนด่าแบบนี้มันเลยอดโมโหไม่ได้
ผมหงุดหงิด แสดงออกทางสีหน้าให้คนข้างๆ รู้เลยว่าหงุดหงิดแค่ไหน จนเราเดินเข้าตัวอาคารไข่ต้มมันถึงได้หันมาขมวดคิ้วใส่ผม
"มึงไม่ต้องไปสนใจพวกมันหรอก"
"แต่มันด่ามึงนะ"
"ช่างมัน"
"ไม่ได้ดิ กูอยากรู้ว่ามันเป็นใคร ปากดีแต่ไม่กล้าแสดงตัว"
"ปล่อยมัน กูไม่เล่นด้วยเดี๋ยวแม่งก็เลิกเอง"
ที่ผ่านมาวิธีแบบนี้มักได้ผลเสมอ สำหรับคนที่เข้าหาหมายจะสานความสัมพันธ์คือการปฏิเสธแบบเด็ดขาด ส่วนคนส่วนน้อยที่เข้าหาด้วยเจตนาไม่ดีจะถูกทำเหมือนคนเหล่านั้นไม่มีตัวตน และสุดท้ายคนพวกนั้นจะหายไปเอง ทว่าครั้งนี้ผมกลับรู้สึกต่างไปจากที่ผ่านมา มันอาจจะเป็นลางบอกเหตุหรือตัวผมเองที่คิดมาก ผมกลัว กลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ
อย่างน้อยก็อยากรู้ว่าคนที่กำลังคิดไม่ดีอยู่ตอนนี้มันเป็นใคร
สายเรียกเข้าจากเพื่อนสนิทดังขึ้นหลังจากแยกกันได้ชั่วโมงกว่า ผมทิ้งการบ้านวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐานที่ทำอยู่ คว้ามือถือขึ้นมากดรับทันที
"ไงมึง"
[ถึงบ้านแล้วเหรอ]
"ก็เออดิ"
[เหรอ...อืม]
"มึงเป็นอะไรป้ะเนี่ย"
แปลก แปลกมาก แปลกแบบสุดๆ อยู่ๆ โทรมาทำเสียงหงอยๆ ซึมๆ ใส่ผม แบบนี้มันไม่ปกติ
[ก็นิดหน่อย]
"ใครทำอะไรมึง" ผมหยิบสมอลทอล์กมาเสียบ จะได้เปิดเข้าไอจีดูว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับมันหรือเปล่า
[ก็นิดหน่อย]
"แล้วไอ้นิดหน่อยของมึงนี่คืออะไร" ผมชักจะหงุดหงิดเลยเผลอขึ้นเสียง กดเข้าไอจีแอคเคาต์ที่ไม่ได้ล็อกซึ่งโดนก่อกวนอยู่ช่วงนี้เห็นว่ายังปกติดีเลยเข้าแอคเคาต์ส่วนตัวอีกอัน ไข่ต้มมันไม่ได้โพสต์อะไรใหม่ ยกเว้นสตอรี่ไอจี
[มึงออกจากบ้านตอนนี้ได้มั้ย] มันถามตอนผมกดเข้าไปดูสตอรี่ไอจีของมันพอดี แล้วสิ่งที่เห็นก็ทำให้ทุกอย่างกระจ่าง พร้อมกับอารมณ์เดือดดาลของผม
"มึงอยู่ไหน"
[ป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้าน]
"นั่งรอกูอยู่ตรงนั้นห้ามไปไหน"
[อืม]
"แม่ง" ผมสบถใส่มือถือก่อนกดวางสาย หยิบกระเป๋าสตางค์ยัดใส่กระเป๋ากางเกงก่อนรีบออกจากห้อง
แล้วลางสังหรณ์ไม่ดีของผมมันก็เกิดขึ้นจริงจนได้
จากบ้านผมถึงบ้านไข่ต้มใช้เวลาไม่กี่นาที ผมโบกวินหน้าปากซอย ความหงุดหงิดไม่ได้ลดน้อยลงเลยจนกระทั่งมาถึง ไข่ต้มมันยังนั่งรอตรงที่เดิมตามที่บอก เพิ่มเติมคือรอยฟกช้ำบนใบหน้าที่ทำให้ผมอารมณ์เสียมากกว่าเดิม
"ใครทำอะไรมึง"
ภาพรอยช้ำที่ข้อมือ กับข้อความที่บอกว่า ‘พอใจแล้วใช่มั้ย’ ทำให้ผมเดาเหตุการณ์ได้ไม่ยากนัก ไข่ต้มโดนใครบางคนทำร้าย แต่ที่ผมคิดไม่ถึงคือหน้าตามันจะเป็นแบบนี้ด้วย
"คนเมื่อตอนกลางวัน" มันตอบเสียงเรียบ ดูไม่ทุกข์ร้อนเหมือนผมเลยสักนิด
"ใคร"
"กูเคลียร์แล้ว แค่เรียกมึงมาทำแผลให้เฉยๆ กลับบ้านสภาพนี้แม่ด่ากูแน่"
"กูก็จะด่ามึงด้วย"
"ทำแผลให้ก่อนแล้วค่อยด่า"
ผมยืนนิ่งไม่พูดอะไร โกรธจนอยากไปลากคอไอ้คนทำมาซัดกันอีกสักยก แต่ต้องระงับสติอารมณ์เอาไว้เพราะยังไม่รู้ที่มาที่ไปว่าสรุปเรื่องราวเป็นยังไงกันแน่
"เดี๋ยวเล่าให้ฟังน่า ไม่ต้องห่วง"
ผมไปซื้ออุปกรณ์ทำแผลที่ร้านยาซอยข้างๆ ก่อนลากไข่ต้มกลับบ้านมันหลังจากโทรเช็กเรียบร้อยแล้วว่าพ่อกับแม่ไม่น่าจะถึงบ้านในเวลาอันใกล้นี้ เพราะไม่เคยมีเรื่องชกต่อยกับใครผมเลยไม่รู้วิธีทำแผลที่ถูกต้องนัก เปิดเน็ตดูไปพลาง ปากก็บ่นไปพลาง กลายเป็นว่าทั้งบ้านมีเสียงผมพูดอยู่คนเดียว เพราะคนเจ็บเอาแต่นั่งเงียบไม่ร้องสักแอะจนผมชักสงสัยว่าแผลพวกนี้มันของจริงหรือเปล่า
บนหน้าไข่ต้มมีแผลทั้งหมดสองจุด คือรอยช้ำที่มุมปากกับโหนกแก้ม ส่วนข้อมือนั้นเป็นรอยแดงเหมือนถูกบีบอย่างแรง มันเป็นคนขาวรอยพวกนี้เลยเห็นได้ชัด ผมรู้สึกไม่ดีเลยที่มันต้องมาเจออะไรแบบนี้
"จะเล่าให้กูฟังได้ยัง" ทำแผลเสร็จผมก็ทวงทันที
"เจ็บปาก"
"อย่ามาลีลา"
"ขอเรียบเรียงแป๊บนึง"
"อย่าลีลา" ผมย้ำอีกครั้งด้วยเสียงจริงจัง อยากให้มันรู้ว่าห่วงจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว
"ก็อย่างที่บอกก่อนหน้านี้นั่นแหละ กูไม่รู้ว่ามันตามกูมา ดักรออยู่ หรือว่ายังไง แต่ตอนลงรถกำลังจะเดินเข้าหมู่บ้านมันก็มาขวางกูไว้บอกมีเรื่องจะคุย..."
"แล้วมึงก็ไปกับมัน"
"เออ"
"โง่หรือโง่วะ" ผมอดไม่ได้ที่จะด่า ถึงไข่ต้มมันจะไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่ก่อกวนมันช่วงนี้ แต่โดนดักหน้าไว้ขนาดนั้นแถมยังอยู่ตัวคนเดียวมันสมควรที่ไหน ทั้งที่เมื่อก่อนถ้าเกิดเรื่องแบบนี้มันต้องเดินหนีแล้วด้วยซ้ำ
"จะด่าหรือจะฟัง"
"ก็มึงมันน่าด่า"
"มึงด่ากูไปตั้งเยอะแล้วไง"
"ปกติมึงไม่ชอบวุ่นวายกับคนไม่รู้จักไม่ใช่เหรอวะ แล้วทำไมครั้งนี้ไม่เดินหนี"
"กูอยากรู้ว่ามันจะเอายังไง"
"ไหนบอกช่างมันไง"
"ขอโทษ พลาดไปแล้ว" พอมันบอกเสียงอ่อยผมก็หมดคำจะด่า ยิ่งเห็นรอยช้ำกับแววตาสำนึกผิดของมันยิ่งโกรธไม่ลง
ก็เป็นแบบนี้ทุกที
"แล้วไงต่อ"
"ก็ต่อยกัน"
"ต่อยกัน?"
"มันพากูไปซอยข้างบ้านหลังใหญ่ๆ ที่มันเงียบๆ อะ มันด่ากูเหมือนที่แม่งเมนต์ในไอจีกับตะโกนด่านั่นแหละ แต่กูเงียบใส่ มันเลยเข้ามาต่อย แต่กูสู้นะ แลกกันไปหลายหมัดอยู่ สภาพเลยออกมาไม่ต่างกัน หน้ามันก็มีแผลเหมือนกูนี่แหละ"
"แล้วสรุปว่ามันเป็นบ้าอะไร โกรธอะไร มึงได้ถามมั้ย"
"กูไม่บอกได้มั้ย คือมันไม่มีอะไรแล้วจริงๆ บอกไปมึงก็คิดเยอะอีก"
"เล่ามาขนาดนี้แล้วกูไม่คิดเลยดิ" ผมประชด ไข่ต้มมันเลยยิ้มแหย
"แต่ตอนนี้กูเคลียร์จบแล้วนะ ต่างคนต่างอยู่ ถ้ากูบอกมึงห้ามไปหาเรื่องใครอีก ได้มั้ย"
ผมล่ะเกลียดแววตาตอนขอร้องที่เหมือนลูกแมวของมันชะมัด
"อืม"
เอ่ยรับปากไปแล้วแต่ไข่ต้มมันยังดูลังเลที่จะบอก ความจริงผมมีคำตอบไว้ในใจแต่ยังไม่กล้าปักใจเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ จากคอมเมนต์หลายๆ อันกับคำที่มันตะโกนด่า เหมือนโกรธแค้นแทนใครมากกว่าจะเป็นตัวเอง
"น้องมันอยู่ ม.ห้า เป็นหลานพี่อ๋อง"
นั่นไง ผมว่าแล้ว
"แต่มึงห้ามไปหาเรื่องพี่อ๋องนะเว้ย"
"เห็นกูเป็นคนชอบมีเรื่องขนาดนั้นเลยเหรอ"
"ก็มึงดูโกรธ"
"ก็ต้องโกรธมั้ยวะ เพื่อนโดนต่อย แต่ที่กูโกรธเพราะเป็นห่วงมึงนั่นแหละ ตัวแค่นี้จะไปสู้ใครได้"
"ตัวกูไม่ได้เล็กนะ ทำไมกูจะสู้ไม่ได้"
"ถ้าสู้ได้หน้าจะเป็นแบบนี้เหรอ" ผมจิ้มที่รอยช้ำตรงมุมปากจนมันสะดุ้ง
"อย่าจิ้มเด้"
"หงุดหงิดมึงอะ"
"กูขอโทษ แต่จบแล้วจริงๆ ไม่มีอีกแล้ว" ไข่ต้มบอกตาละห้อย แสดงสีหน้าเก่งจริงๆ เวลาอยู่กับผมเนี่ย
ผมหมดคำจะด่า หมดคำจะบ่นมันแล้ว เลิกมองหน้ามันแล้วเก็บยาต่างๆ ใส่ถุงมัดปากเอาไว้ แต่คนห่วงก็คือห่วง เป็นแบบนี้แล้วจะบอกพ่อกับแม่ว่ายังไง
"แล้วมึงจะบอกพ่อกับแม่ว่าไง"
"บอกว่ามีเรื่องชกต่อย พ่อแม่กูต้องภูมิใจแน่ๆ มีลูกเป็นนักสู้"
"ตลกเหรอ"
"งั้นมึงช่วยกูคิดหน่อย"
"ชนโต๊ะ ชนตู้ ชนขอบเตียง"
"มึงเห็นกูเตี้ยขนาดนั้นเลยเหรอ เขาคงไม่เชื่อหรอก"
สถานการณ์เริ่มตึงเครียดเมื่อคิดห้าข้ออ้างดีๆ ไม่ออก รอยบนหน้าไข่ต้มดูยังไงก็รู้ว่าไปมีเรื่องมา ยกเว้นจะปกปิดรอยด้วยการแต่งหน้า แต่บอกเลยว่าผมไม่มีความรู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
"งั้นก็บอกไปตามความจริง" ในเมื่อคิดไม่ออกทางที่เหลือคือพูดความจริง แต่ไม่ใช่ความจริงทั้งหมดที่ต้องพูดออกไป
"จะดีเหรอวะ"
"กูจะอยู่กับมึงเอง ไม่ต้องห่วง"
ไข่ต้มยังดูลังเล ครั้งแรกกับความผิดที่ไม่เคยก่อย่อมกลัวว่าจะทำให้คนที่รักผิดหวัง แน่นอนว่าการพูดความจริงต้องดีกว่าการโกหก เรื่องชกต่อยก็เป็นหนึ่งในการแก้ปัญหาของเด็กผู้ชายที่ผมคิดว่าผู้ใหญ่น่าจะเข้าใจ
"กูจะโดนแม่ตีมั้ยวะ"
"มึงห่วงแค่นี้เองเหรอ" สีหน้าเคร่งเครียดของเพื่อนสนิทเกือบทำผมหลุดขำ เป็นเด็กประถมหรือไงถึงได้กลัวโดนแม่ตีเวลาทำผิด
"ก็เปล่า แต่กูไม่อยากเจ็บอีกรอบ"
"ถึงมึงโดนตีกูก็จะคอยเป็นกำลังใจเอง"
"ขอบคุณ ช่วยได้มาก"
ผมหลุดขำกับการประชดชันทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของมัน
ทุกคำพูดทุกการกระทำที่แสดงออกมาจากความรู้สึกในใจล้วนๆ แต่ผมไม่รู้ว่าการกระทำที่ไข่ต้มคุ้นเคยดีจะทำให้มันรู้สึกถึงสิ่งที่เปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่า บางอย่างในสายตาของผมจะทำให้ตัวมันที่พยายามมองสิ่งรอบตัวให้กว้างขึ้นมองเห็นบ้างไหม
ถ้ามันรู้สึกตัวขึ้นมาบ้างก็คงจะดี
tbc.
วิถีลูกผู้ชาย?
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า