ไข่ฟองที่ 26
เธอคนช่างตื๊อ
เดินขึ้นบันไดเลี้ยวผ่านมุมเสามาขาผมก็ชะงักเมื่อเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าห้อง ถ้าหากเป็นเวลาปกติผมคงไม่สนใจแม้ว่าเธอจะนั่งอยู่ผิดห้องก็ตาม แต่เพราะเป็นคู่กรณีที่เพิ่งมีประเด็นกันเมื่อวาน แล้ววันนี้เธอก็มานั่งอยู่หน้าห้องเรียนผม แม้ไม่อยากสนใจยังไงก็คงถูกเรียกให้ไปสนใจอยู่ดี
"เป็นไรวะ" พอผมชะงักคนข้างๆ ก็หยุดตาม ไข่ต้มหันมองหน้าผมสลับกับทางข้างหน้าแล้วทำหน้าสงสัย
"เปล่า" ผมก้าวต่อ แต่ถึงจะปฏิเสธไปก็ไม่ทำให้ไข่ต้มเลิกสงสัยอยู่ดี เมื่อเธอคนนั้นเห็นผมแล้วหันมายิ้มให้
"รู้จักเหรอ"
"ก็นิดหน่อย"
เมื่อเราเดินมาถึงหน้าห้องปุยก็ลุกมายืนขวางหน้าผมไว้ เธอยังคงยิ้ม ขณะที่ผมอยากจะเดินหนี ก่อนที่เธอจะเอ่ยประโยคชวนให้ผมลำบากใจออกมา
"ทำไมไม่รับแอดเราอะ"
ผมไม่คิดเลยว่าปุยจะเป็นคนดื้อด้านขนาดนี้ ที่ผมปฏิเสธไปเมื่อวานน่าจะทำให้เธอคิดได้แล้วว่าผมไม่อยากสานสัมพันธ์ด้วย รวมถึงที่ไม่รับแอดเฟซบุ๊กก็เช่นเดียวกัน แต่เธอกลับไม่ยอมแพ้ง่ายๆ และดูเหมือนว่าการเข้าหาของเธอจะทำให้เพื่อนสนิทผมไม่พอใจเท่าไร
"กูเข้าห้องก่อนนะ" ไข่ต้มบอกก่อนจะเดินเข้าห้องไป ทิ้งให้ผมเผชิญหน้ากับสาวห้องสี่เพียงลำพัง ทั้งที่ผมอยากให้มันอยู่ด้วยกันจะได้ฟังคำปฏิเสธของผมที่จะพูดกับเธอให้ชัดๆ แท้ๆ
"ก็เราไม่อยากรับ"
"อย่าใจร้ายนักดิ"
"เราลบคำขอเธอไปแล้ว โอเคนะ ไม่ต้องแอดมาแล้ว"
"ซอสยังไม่มีแฟนไม่ใช่เหรอ งั้นก็ให้เราจีบดิ"
"จีบไม่ติดหรอก ไม่ต้องพยายาม" พูดจบผมก็เดินเข้าห้องไม่เปิดโอกาสให้เธอได้วอแวอะไรอีก สวมบทเป็นคนใจร้ายแบบไข่ต้มมันบ้าง แต่ท่าทางคู่ต่อสู้ของผมจะไม่ใช่คนที่สามารถจัดการได้ง่ายๆ เลย
ยังดีที่ปุยไม่ได้เดินตามผมเข้ามาในห้องไม่อย่างนั้นผมคงปวดหัวแน่ๆ ไข่ต้มมันนั่งประจำที่ตัวเองแล้ว หน้านิ่งจนเกือบบึ้ง รอบตัวแผ่รังสีน่ากลัวออกมา เป็นบรรยากาศในโหมดใหม่ที่ผมเพิ่งเคยสัมผัส
เขาเรียกว่าอะไรนะ...โหมดหึงหวงใช่หรือเปล่า
ผมนั่งลงข้างไข่ต้ม ตั้งใจว่าจะยังไม่พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ เผื่อว่ามันอยากรู้แล้วถามขึ้นมาเอง แต่หลังจากสังเกตอาการมาสองสามนาทีมันกลับยังนิ่ง กลายเป็นผมเสียเองที่คันปากยิบๆ อยากอธิบาย
"เมื่อกี้มันไม่มีอะไรนะ"
ลองเกริ่นออกไปเพื่อดูปฏิกิริยา ไข่ต้มพยักหน้ารับ ไม่หันมองไม่ถามต่อ สถานการณ์เริ่มไม่ค่อยดีเท่าไร
"โกรธกูหรือเปล่า" ลองเปลี่ยนเป็นคำถามบ้าง คราวนี้มันตอบ แต่ไม่หันมามองผมอยู่ดี ทำเป็นวุ่นวายกับการจัดหนังสือใส่ใต้โต๊ะ
"ทำไมกูต้องโกรธ"
"กูขอโทษที่ไม่ได้เล่าให้มึงฟังตั้งแต่เมื่อวาน คนนั้นชื่อปุย เขามาขอไลน์กู แต่กูไม่ได้ให้นะ แอดเฟซมากูก็ไม่ได้รับ เมื่อกี้ก็ปฏิเสธไปแล้ว เชื่อกูนะ มันไม่มีอะไรจริงๆ" ผมชิงสารภาพแม้มันจะไม่ได้ถาม ถึงตอนนี้จะยังอยู่ในสถานะเพื่อนสนิทควบตำแหน่งคนคุยเราก็ไม่ควรมีอะไรปิดบังต่อกัน ผมไม่อยากให้มันคิดมาก แต่ดูเหมือนมันจะคิดไปแล้ว
"ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย"
"มึงนิ่งอะ กูใจไม่ดี"
"ก็กูไม่รู้จะพูดอะไร"
"ไม่สงสัยเหรอว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร"
"ไม่ต้องถามก็รู้แล้วเถอะ"
ไข่ต้มมันผ่านประสบการณ์แบบนี้มาเยอะ ต่างกับผมที่ประสบการณ์ยังน้อยนิด แต่ไม่ว่าใครได้ยินเธอถามผมแบบนั้นก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าเธอกำลังจีบผมอยู่
"ไม่มีอะไรจริงๆ นะ" ผมยืนยันอีกรอบ คราวนี้ไข่ต้มหันมาจ้องผม
"รู้แล้ว"
"ก็กลัวคิดมาก"
มันไม่ตอบอะไร ไม่บอกด้วยว่าคิดยังไงรู้สึกแบบไหน แต่แสดงอาการออกมาขนาดนี้อย่างน้อยก็ช่วยย้ำให้รู้ว่าผมยังสำคัญ และส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของเพื่อนสนิทคนนี้ขนาดไหน
เพิ่งจะโดนคนที่ชอบหึงเป็นครั้งแรก ถึงจะแปลกก็เถอะ แต่ผมมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
หากจะประมาณความดื้อด้านของปุย ผมให้เธอไปเลยร้อยคะแนนเต็ม เพราะไม่ว่าจะโดนปฏิเสธไปกี่ครั้งเธอก็ไม่เคยเข็ดหลาบ ขยันโผล่หน้ามาให้ผมเห็น บ้างก็เอาของมาให้ มาเซ้าซี้จะเอาไลน์ จนผมถอนหายใจใส่ไปหลายครั้ง คงไม่มีใครเหมาะกับประโยค ‘ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก’ เท่าเธออีกแล้ว แต่ตื๊อไปมันก็เท่านั้น บอกเลยว่าไร้ประโยชน์
ผมไม่ใช่คนชอบพูดจาหยาบคายใส่คนอื่น ไม่ชอบตะหวาดแรงๆ เวลาโมโห หรือใช้กำลังตัดสินเป็นปัญหา โดยเฉพาะกับผู้หญิง แต่ปุยกำลังจะทำให้ผมหมดความอดทน เพราะไม่ว่าจะปฏิเสธไปยังไงเธอก็ยังไม่ยอมถอยอยู่ดี
ข้าวกลางวันของผมเกือบจะหมดความอร่อยเมื่อเห็นปุยเดินส่งยิ้มหวานมาให้แต่ไกล ผมชักสีหน้าใส่ตั้งแต่เธอยังเดินมาไม่ถึง ไข่ต้มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเองก็ดูออก
วันที่สามแล้วที่เธอโผล่มาหาผมตอนพักกลางวัน มานั่งคุยบ้าง ซื้อขนมมาให้บ้าง แน่นอนว่าผมไม่ได้รับไว้ แต่เธอก็มักจะชิ่งหนีไปก่อนและวางขนมทั้งหลายทิ้งไว้เป็นการบังคับให้ผมรับไป หรือไม่ก็เอาไปทิ้งเองถ้าไม่อยากกิน วันนี้ก็เช่นเดียวกัน
"เราซื้อขนมมาให้" ปุยยืนอยู่หัวโต๊ะ วางเยลลี่รสผลไม้ตรงหน้าผมแล้วยิ้มหวาน
"ไม่กิน เอากลับไปเถอะ"
"ไม่ชอบเหรอ แล้วซอสชอบกินอะไรอะ ถามไม่เคยตอบ"
"ก็ไม่อยากตอบไง ไม่อยากคุย"
"แต่ตอนนี้ก็ตอบอยู่นะ"
พูดมาขนาดนี้ผมก็ทำให้ได้ เหมือนเป็นการเสนอแนะว่าควรรับมือกับคนช่างตื๊อยังไง ก็แค่ง่ายๆ คือทำเหมือนเธอไม่มีตัวตนซะ
"ไปเถอะมึง" เห็นไข่ต้มกินข้าวหมดพอดีผมก็ชวนขึ้นห้อง ลุกเดินหนีเธอออกมา ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงเรียก ขนมที่ให้ก็ไม่รับไว้ ไม่พูดไม่คุยไม่ตอบรับอะไรทั้งสิ้น
หนีคนช่างตื๊อออกมาจากโรงอาหารได้ผมก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตอนเดินผ่านโถงใต้อาคารหอประชุมได้ยินรุ่นน้องผู้หญิงพูดชื่อผมกับเพื่อนสนิทผ่านหูแว่วๆ เรื่องคนมาจีบ แต่ไม่มีเวลาจะสนใจฟัง ต้องรีบเดินออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดเผื่อเธอคนนั้นตามมาจะได้หนีทัน
ตั้งแต่ที่ปุยเริ่มเข้ามาวุ่นวายในชีวิตผมก็คอยสังเกตอาการไข่ต้มตลอด เราไม่ได้พูดคุยเรื่องเธอเป็นจริงเป็นจังอีกเลยตั้งแต่วันที่มันรู้เรื่อง มันยังคงนิ่ง ไม่แสดงอาการใดๆ ไม่หงุดหงิดใส่ ไม่เคยบอกว่าหึง ผมรู้ว่ามันพยายามเก็บอาการ ผมเองก็กำลังพยายามดันเธอออกไปจากชีวิตให้เร็วที่สุดเช่นกัน แต่ไม่รู้เมื่อไรผมจะสลัดเธอคนนี้หลุดสักที
วันนี้สีฟ้ามีแข่งวอลเลย์บอลหญิงกับสีเขียว อย่างกับเป็นสีคู่รักคู่แค้นที่ทำไมรู้ทำไมถึงได้วนเวียนมาเจอกันบ่อยนัก ผมไม่ได้ชวนไข่ต้มไปดูเหมือนทุกทีเพราะเกรงว่าจะบังเอิญเจอคนที่ไม่อยากเจอ หลังจากเลิกเรียนแล้วเลยรีบตรงกลับบ้าน แน่นอนว่าเป็นบ้านเพื่อนสนิทไม่ใช่บ้านผม
ทาวน์โฮมหลังใหญ่ในยามที่ไม่มีใครอยู่นอกจากเราสองคนเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ผมโปรดปราน เราแวะเซเว่นซื้อขนมกลับมากินด้วยกันระหว่างทำการบ้านภาษาอังกฤษ แต่ก็ทำไปเล่นไปไม่เสร็จสักที
"ขี้เกียจแล้วว่ะ" ผมเอนลงนอนหนุนตักคนที่นั่งข้างๆ วันนี้เราจับจองพื้นที่หน้าโซฟา นั่งพื้นใช้โต๊ะเล็กแทนโต๊ะเขียนหนังสือ รอบตัวเราที่เต็มไปด้วยน้ำกับขนม
"ยังไม่ถึงครึ่งเลยมึง" เจ้าของตักว่า มันหยุดเขียนก้มลงหน้ามองผม วิวดีจนไม่อยากจะลุกเลยจริงๆ
"ที่จริงอาจารย์ไม่ควรให้การบ้าน ม.หก แล้วหรือเปล่าวะ เด็กต้องเอาเวลาไปอ่านหนังสือ"
"พูดอย่างกับมึงอ่าน"
"กูอ่านนะ โคตรตั้งใจอ่านเลย"
"ทำไมกูไม่เคยเห็น"
"อยู่กับกูตลอดเวลาเหรอ"
"ก็ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้ายันสองทุ่มอะ แถมตอนสี่ทุ่มถึงเที่ยงคืนด้วย" ไข่ต้มตอบด้วยสีหน้าของผู้ชนะ
"เออว่ะ" ผมก็ลืมคิดไปเสียสนิทว่าทุกวันนี้ใช้เวลาอยู่กับเพื่อนสนิทคนนี้มากขนาดไหน เรียกว่าแทบจะตัวติดกันตลอดเวลายังได้ แต่ผมอ่านหนังสือเตรียมสอบจริงๆ นะ อย่างน้อยก็วันละครึ่งชั่วโมง
"รีบลุกขึ้นมาทำต่อเลย"
"ขอนอนอีกแป๊บนึง" ผมพลิกตัวนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาหน้าท้องเจ้าของตักแล้วยกแขนกอดเอวไว้ ไข่ต้มไม่ว่าอะไร มันเริ่มทำการบ้านต่อ ปล่อยให้ผมยึดตักเป็นหมอนได้ตามใจ
เมื่อได้อยู่เงียบๆ ผมก็เริ่มหยิบเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาคิด ซึ่งเรื่องที่กำลังกวนใจผมมากที่สุดตอนนี้ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องของผู้หญิงช่างตื๊อคนนั้น ผมอยากรู้ว่าตอนนี้ไข่ต้มมันคิดยังไง ถึงเราจะทำเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่อาการนิ่งเฉยของมันทำให้ผมคิดมากเสียทุกครั้ง
"มึง"
"หืม" เสียงครางตอบกลับมาเมื่อผมเรียก
ผมพลิกตัวนอนหงาย มองไข่ต้มที่ยังตั้งใจทำการบ้าน แต่เมื่อมันรู้ตัวว่าถูกมองมือที่กำลังเขียนยุกยิกก็หยุดลง สายตาที่มีแววสงสัยก้มมองผม
"เรียกแล้วก็เงียบ"
"มึงคิดมากเรื่องปุยอยู่มั้ย"
"ก็คิด แต่ไม่ได้มากอะไร"
ผมมองตามันสักพักหลังฟังคำตอบ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเพื่อคุยกันดีๆ ผมอยากรู้ว่ามันพูดจริงไหม ไม่ได้คิดมากอะไรจริงหรือเปล่า
"กูไม่เคยเจอคนแบบนี้เลยว่ะ หรือกูใจร้ายไม่พอวะ ทำไมไม่เลิกตื๊อสักที" จะบอกว่านี่เป็นการระบายก็คงได้ ไข่ต้มหัวเราะออกจมูก มันยิ้ม สีหน้าดูผ่อนคลาย อย่างกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมเป็นหนังตลก
"กูเองก็ไม่เคยเจอใครตื๊อเก่งแบบนี้เหมือนกัน แต่กูเข้าใจนะ มึงไม่ต้องคิดมาก มึงกังวลเรื่องอะไรกูก็รู้ กูมีคนเข้ามาจีบได้แล้วทำไมมึงจะมีบ้างไม่ได้ บอกตามตรงกูก็ไม่ค่อยชอบใจหรอก ตั้งแต่คบกันมายังไม่เคยเห็นมึงโดนจีบสักครั้ง มันเลยไม่ชินมั้ง ทุกครั้งที่เห็นคนชื่อปุยเข้าหามึงกูเลยพยายามข่มอารมณ์เอาไว้ หน้ามันเลยบึ้งไปเอง พอเจอกับตัวแบบนี้กูก็เริ่มเข้าใจความรู้สึกมึงแล้ว ที่ผ่านมามึงทนได้ไงวะที่มีคนเข้าหากูเยอะขนาดนั้น เจ็บมากไหม"
น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยที่เอ่ยถามในประโยคสุดท้ายทำเอาผมบรรยายความรู้สึกตัวเองไม่ถูก มันเหมือนมีไอแห่งความสุขลอยอบอวลอยู่รอบๆ ตัวผมตอนที่ฟังไข่ต้มพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ผมยิ้ม แต่ไม่ใช่รอยยิ้มกว้าง เป็นความสุขที่มีความทุกข์มาถ่วงเอาไว้เมื่อความทรงจำเก่าๆ และความรู้สึกเจ็บปวดในอดีตถูกดึงขึ้นมาให้นึกถึง ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มของผมก็ยังไม่จางหายไปไหน
มันคือความทุกข์ที่อบอวลไปด้วยความสุข...ประมาณนั้นล่ะมั้ง
"มันก็เจ็บนะ แต่กูก็มีความสุขที่ได้เป็นคนที่อยู่ข้างๆ มึง"
ไข่ต้มโผเข้ามากอด ซุกหน้าเข้าที่อกผมแล้วกอดไว้แน่น อยู่ๆ ก็แปลงร่างเป็นแมวขี้อ้อนจนผมเกือบตั้งตัวไม่ทัน ก็มันชอบทำตัวน่ารักแบบนี้ จะไม่ให้หลงรักได้ยังไง
"ขอบคุณที่อยู่กับกูนะ" มันบอกเสียงอู้อี้ ผมรวบตัวมันแล้วดึงขึ้นมานั่งบนตัก วางคางเกยหัวมันไว้ มีความสุขจนแทบสำลักออกมา
"ขอบคุณที่มึงยังอยู่กับกูเหมือนกัน มึงรู้มั้ย ตอนกูตัดสินใจบอกความรู้สึกออกไปแม่งโคตรกลัวเลย กลัวว่าจะเป็นเหมือนคนอื่นที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมึงแล้วก็ผ่านไป กลัวว่าจะต้องตัดขาดจากมึง"
"ตอนนี้กูก็อยู่กับมึงแล้วไง ไม่ต้องกลัวแล้ว"
"อืม"
ผมฝังจมูกที่ข้างขมับไข่ต้มเบาๆ แล้วก็ต้องคลายอ้อมกอดออกเล็กน้อยเมื่อคนบนตักขยับตัว มันเงยหน้าขึ้นสบตากับผมไม่ได้ลุกหนี ก่อนพูดเสียงอ่อยที่ชวนให้ผมอมยิ้มอีกครั้ง
"กูขอโทษนะที่ช่วงนี้ชอบทำหน้าบึ้งใส่มึง"
"เข้าใจว่าหึง ไม่ต้องคิดมาก"
"หมั่นไส้ว่ะ"
"กูยินดีให้มึงหึงนะ"
"แต่กูไม่อยากหึงเลยว่ะ มันเหนื่อย"
"งั้นแค่หวงก็ได้"
"มันต่างกันตรงไหน"
หน้ายุ่งๆ คิ้วผูกโบว์ของเพื่อนสนิทชวนให้ผมหัวเราะ เป็นโหมดเครียดแบบน่ารัก ที่อยากจะจับมาฟัดแรงๆ
"มึงไม่ต้องหึงไม่ต้องหวงกูหรอก สัญญาเลยว่าจะไม่ไปไหน ไม่ปันใจให้ใครเด็ดขาด"
คิ้วผูกโบว์หายไปเมื่อรอยยิ้มกว้างเข้ามาแทนที่ เราต่างขยับใบหน้าเข้าใกล้กันเมื่อรู้ดีว่าต่างฝ่ายต่างต้องการอะไร แค่ยังไม่ทันที่ริมฝีปากจะได้สัมผัสเสียงแจ้งเตือนจากมือถือใครสักคนก็ดังขึ้นรัวๆ แล้วเราก็สะดุ้งขยับออกห่างจากกันโดยอัตโนมัติ ผมกับมันมองมือถือสองเครื่องที่วางอยู่บนโต๊ะเพื่อหาว่าแจ้งเตือนนั้นเป็นของใคร ซึ่งหวยออกที่เครื่องของผม ไข่ต้มพยักพเยิดให้เปิดดู มันขยับไปนั่งหน้าสมุดจับปากกาทำท่าจะทำการบ้านต่อ
ใครกันช่างเข้ามาขัดได้ถูกจังหวะจริงๆ
ผมหยิบมือถือมาดู มีข้อความจากคนที่ผมไม่รู้จักรัวมาหลายข้อความ แต่เมื่อตั้งใจอ่านชื่อแล้วก็ทายถูกได้ไม่ยาก มีไม่กี่คนหรอกที่โหยหายอยากได้ช่องทางติดต่อผมช่วงนี้ แล้วก็ทำสำเร็จเสียด้วย
ผมไม่รู้ว่าเธอใช้วิธีไหนถึงได้ไลน์ผมมา แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะปิดช่องทางการติดต่อนี้กับเธอ ก็แค่ไม่คุยไม่ตอบ แล้วบล็อกไปซะก็สิ้นเรื่อง
อย่าให้รู้นะว่าเพื่อนในห้องหรือคนรู้จักคนไหนมันขายไลน์ผม ส่วนจะจัดการวิธีไหนเดี๋ยวค่อยคิดอีกที
"กูบล็อกแล้วนะ" ผมโชว์มือถือให้ไข่ต้มดู ตอนแรกมันทำหน้างงใส่ แต่หลังจากมองหน้าจอสักพักมันก็ยิ้มออกมา
ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนต้องการความชัดเจนและความสบายใจ มันไม่มีความสุขหรอกที่ต้องคอยระแวงกันตลอดเวลา และผมอยากเป็นความสบายใจของมัน
"เมื่อกี้ถึงไหนแล้วนะ"
"อะไรถึงไหน" ไข่ต้มทำหน้างง ไม่รู้แกล้งหรืองงจริงๆ แต่ผมไม่ปล่อยให้สิ่งที่โดนขัดเมื่อครู่จบลงอย่างค้างคาแน่นอน
"เหมือนเมื่อกี้จะถึงประมาณนี้ใช่ป้ะวะ" ผมขยับเข้าไปใกล้จนริมฝีปากเราเกือบแตะกัน ไข่ต้มมันผงะเล็กน้อยเพราะตกใจที่อยู่ๆ ผมก็พุ่งเข้าไปหา แต่เมื่อรู้จุดประสงค์ก็ไม่มีการต่อต้านใดๆ อีก
เป็นจูบครั้งที่เท่าไรของเราแล้วไม่รู้ ลิ้นผมได้รับรสหวาน คงจะเป็นนมข้นที่ไข่ต้มราดขนมปังกินก่อนหน้านี้ ไม่รู้มันกินยังไงถึงได้เลอะเทอะไปทั่ว จูบกี่ครั้งก็ยังหวานเหมือนเดิม
"หวาน"
"จะพูดทำไมเล่า"
"มึงกินนมเลอะ"
ไข่ต้มทำท่าจะยกมือเช็ดปากแต่ผมคว้ามือมันไว้ ไม่ปล่อยให้มันเช็ดเองหรอก
"เดี๋ยวกูเช็ดให้"
จะเช็ดให้ด้วยปากจนกว่าจะเกลี้ยงเลย
ผ่านมาสองสัปดาห์หลังจากการแข่งรอบคัดเลือกในวันนี้การแข่งรอบชิงชนะเลิศของเปตองชายก็มาถึง แต่ถึงแม้จะเป็นรอบชิงชนะเลิศคนที่มาเชียร์ก็บังซบเซาเหมือนเดิม รวมตัวนักกีฬากับเพื่อนนักกีฬาแล้วมีอยู่สิบกว่าคนเท่านั้น
รอบชิงชนะเลิศวันนี้สีฟ้าแข่งกับสีเขียว คู่รักคู่แค้นที่จับฉลากเจอกันในกีฬาเกือบทุกประเภท หรือถ้าไม่เจอรอบแรกก็มักเจอกันรอบชิง และแน่นอนว่าแข่งกับสีเขียวแม่สาวช่างตื๊ออย่างปุยต้องมาเชียร์ด้วย แต่จะเชียร์สีตัวเองหรือจะคิดกบฏนั้นผมไม่ได้สนใจ สิ่งเดียวที่ผมสนใจคือต้องคว้าชัยชนะมาให้ได้แค่นั้น
"ซอส สู้ๆ นะ" แต่ก็นั่นแหละ ถึงผมไม่สนใจเธอก็ชอบทำให้เป็นจุดสนใจอยู่ดี พวกผู้ชายเลยโห่แซวอย่างพร้อมเพรียงกัน
ผมทำเมิน ไม่มอง ไม่ตอบอะไรกลับไป เพราะผมได้รับกำลังใจมาเกินพอแล้วจากคนที่นั่งเชียร์อยู่ มากจนไม่สามารถรับกำลังจากใครได้อีก โดยเฉพาะจากเธอช่างตื๊อคนนั้น
หลักจากวอร์มเสร็จก็ได้เวลาเริ่มการแข่งขัน บรรยากาศในการแข่งค่อนข้างตึงเครียด สีเขียวได้เป็นฝ่ายเริ่มเกมก่อนจากการเสี่ยงทาย โยนลูกโลหะคุมโซนอยู่ใกล้กับลูกเป้า ไอ้เหมเป็นคนโยนคนแรกของทีม มันตีลูกของสีเขียวได้แต่ลูกของมันกลับกระเด็นออกมาและอยู่ห่างจากลูกเป้ามากกว่าสีเขียว ทำให้เราต้องเป็นฝ่ายโยนต่อ
สนามเปตองยังคงเงียบสงบไม่ว่าตะเป็นการแข่งขันรอบไหน ฝีมือการโยนของห้องสี่แม่นยำและเก่งกาจอย่างที่ใครๆ ล่ำลือ สร้างความกดดันให้กับทีมผมเป็นอย่างมาก ขนาดผู้ชมอย่างไข่ต้มยังนั่งขมวดคิ้วหน้าดำคร่ำเครียด ประเมินจากสถานการณ์ตอนนี้แล้วทีมผมมีโอกาสแพ้สูงมากทีเดียว
ในรอบชิงชนะเลิศผู้ชนะต้องทำแต้มให้ถึงสิบสามคะแนน ตอนนี้ผ่านมาแล้วเจ็ดรอบสกอร์อยู่ที่สามต่อเจ็ด โดยสีเขียวเป็นฝ่ายนำ ผมพยายามตีลูกของฝ่ายตรงข้ามให้ออกห่างจากลูกเป้าแต่ก็โดนตีโต้กลับมาได้เสมอ เป็นเกมที่รับมากยาก ทำเอาสมาชิกในทีมเครียดไปตามๆ กัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าสีเขียวมันเก่งจริงๆ
หลังจากยื้อกันอยู่ถึงสิบสี่รอในที่สุดชัยชนะก็ตกเป็นของสีเขียว ด้วยคะแนนสิบสามต่อหก สารภาพเลยว่าผมเซ็งมาก เซ็งโคตรๆ เพราะนอกจากจะคว้าเหรียญทองมาให้เพื่อนสนิทไม่ได้แล้วยังชวดของรางวัลอีกต่างหาก เลยได้แต่เดินคอตกกลับไปหา หากแต่เป็นรอยยิ้มที่อีกส่งกลับมาแทน
"เก่งแล้วมึง" ไข่ต้มพูดปลอบ ตอนแข่งมันทำหน้าเคร่งเครียดมาก ต่างกับตอนนี้อย่างสิ้นเชิง จนผมเริ่มคิดแล้วว่าหรือมันเครียดเพราะเรื่องของรางวัลที่จะให้ผมกันแน่
"เก่งตรงไหนวะ แพ้เนี่ย เซ็ง"
"ที่สองก็ดีแล้ว ไม่ต้องคิดมากหรอก"
"ต้องคิดดิ อดได้รางวัลเลยนะ"
ไข่ต้มเกือบหลุดขำ มันยังคงมองผมด้วยรอยยิ้ม เหมือนมองคนที่งอแงเวลาโดนขัดใจ
"ที่สองก็มีรางวัล"
"พูดแล้วนะ"
"เออ"
พอได้ยินแบบนี้ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
เพราะมัวแต่สนใจเพื่อนสนิทผมเลยไม่ทันสังเกตว่าปุยเข้ามาประชิดตัวตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวก็ตอนที่เธอเอ่ยเรียก ผมกับไข่ต้มหันมองพร้อมกัน แล้วก็เห็นเธอยืนส่งยิ้มหวานมาให้ผมพร้อมกับขวดน้ำในมือ
"เราซื้อน้ำมาให้" พูดจบเธอก็ยื่นขวดน้ำมาตรงหน้าผม
ผมมองซ้ายมองขวาหาตัวช่วยเพราะไม่อยากรับน้ำใจจากเธอ ก่อนจะคว้าขวดที่มีน้ำเหลืออยู่ก้นขวดจากมือไข่ต้มมาโชว์ให้เธอดู
"ไม่เป็นไร เรามีแล้ว"
"จะไปแย่งของเพื่อนทำไม"
"นี่ขวดน้ำเรา"
"แต่มันจะหมดแล้วอะ เอาของเราไปกินเถอะ"
"ไม่เป็นไรไม่อยากได้ แล้วก็เลิกยุ่งกับเราเถอะ ไปมึง" ผมรีบตัดบทแล้วชวนไข่ต้มเดินหลบออกมา แต่คนช่างตื๊ออย่างเธอไม่ยอมง่ายๆ เดินอ้อมมาขวางหน้าผมไว้ ขณะที่คนอื่นๆ เริ่มหันมาสนใจพวกเรา
"ทำไมต้องหนีเราขนาดนี้ด้วยอะ เราไม่ดีต้องไหน"
"ไม่ดีตรงที่เราไม่ได้ชอบเธอไง"
"ไม่ชอบก็ลองศึกษากันดูก่อนไม่ได้เหรอ เรามองซอสมานานแล้วนะ มั่นใจแล้วว่าไม่มีแฟนแน่ๆ ถึงได้ตัดสินใจจีบ เราชอบซอสจริงๆ" เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเธอทำหน้าเศร้า มันดูน่าสงสารก็จริงแต่ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนความรู้สึกของผมได้อยู่ดี
"ไม่มีแฟนก็ใช่ว่าไม่มีคนที่ชอบ"
"ใครที่ซอสชอบ"
"มันไม่ใช่เรื่องที่เราต้องบอก เราไม่ได้ชอบเธอ เลิกยุ่งกับเราได้แล้ว" น้ำเสียงหนักแน่นที่บอกปฏิเสธทำเสียงจ้อกแจ้กจอแจโดยรอบเงียบลง ผมไม่ได้สนใจสายตาคนอื่น เลือกที่จะหันหนีสีหน้าอันเศร้าสร้อยของผู้หญิงตรงหน้าด้วยการเดินหลบออกมา คำพูดกระทบกระทั่งต่างๆ ก็ไม่ได้สนใจฟัง ให้มันจบแบบนี้นี่แหละดีที่สุด
ไข่ต้มเดินตามมาโดยไม่พูดอะไร ผมไม่ได้อารมณ์เสีย แค่รู้สึกไม่ค่อยดีนักที่ทำให้คนอื่นต้องเจ็บปวด แม้มันจะเป็นเรื่องปกติของความรัก ผมเองก็เจ็บมาไม่ใช่น้อย จะมีสักกี่คนกันที่สมหวังไปเสียทุกอย่าง ถ้ามี...คนคนนั้นคงจะเป็นคนที่โชคดีเรื่องความรักที่สุดในโลกแล้วล่ะมั้ง
หลังแข่งเสร็จก็ต้องเรียนต่อ เป็นการเรียนที่ผมไม่มีสมาธิเลยเพราะอารมณ์ไม่คงที่ตลอดคายบ่าย แข่งแพ้ว่าเซ็งแล้ว ยิ่งไอ้ประธานเอาเรื่องที่ผมปฏิเสธปุยมาพูดในห้องยิ่งชวนให้หงุดหงิด แต่เพราะไม่อยากทะเลาะเลยทำเป็นนิ่งใส่ ไข่ต้มเองก็พยายามพูดให้ผมใจเย็น มันแอบกุมมือผมใต้โต๊ะ นับว่าเป็นวิธีที่ได้ผลพอสมควร จนกระทั่งเลิกเรียน ประโยคที่มันพูดออกมาก็ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวของผมหายไปจนหมดสิ้น
"เดี๋ยวพาไปเอารางวัลกัน"
ผมคีบเนื้อหมูร้อนๆ จากเตาจุ่มลงถ้วยน้ำจิ้มก่อนใส่ปากแล้วตามด้วยข้าวสวย มีความสุขสุดๆ เมื่อได้กินของอร่อยตอนหิวโหย ที่สำคัญคือได้กินกับคนที่ชอบ และที่สำคัญกว่านั้นคือมื้อนี้กินฟรีไม่เสียสักบาทเดียว
แข่งรอบแรกชนะได้จูบเป็นรางวัล แต่พอแพ้รอบชิงรางวัลกลับกลายเป็นข้าวเย็นหนึ่งมื้อที่ดูจะหาความเชื่อมโยงไม่ได้สักเท่าไร ไม่ใช่ว่าผมไม่พอใจนะ ไข่ต้มมันให้อะไรผมก็ดีใจทั้งนั้น เพียงแค่นึกสงสัยว่าถ้าเกิดได้ที่หนึ่งขึ้นมารางวัลที่ได้จะเป็นอะไร
"ถ้ากูชนะมึงตั้งใจจะให้อะไร" สงสัยมากจนต้องถาม ถ้าพูดถึงสัมผัสทางร่างกายการจูบคือสิ่งที่มากที่สุดสำหรับสถานะของเราตอนนี้ อีกอย่างเราจูบกันบ่อยจนผมไม่คิดว่ามันจะเป็นรางวัลที่น่าตื่นเต้นแล้ว แม้ทุกครั้งที่จูบกันผมจะตื่นเต้นและมีความสุขมากก็ตาม
"อะไรก็ได้ที่มึงอยากได้"
"อะไรก็ได้จริงดิ"
"เคยคิดไว้แบบนั้น"
"ไม่กลัวกูขออะไรที่มึงให้ไม่ได้เหรอ"
"มึงไม่ขออะไรแบบนั้นหรอก" แล้วไข่ต้มมันก็รู้ความคิดผมไปหมดเสียทุกอย่าง ถ้าถามว่าผมอยากได้อะไรจากมันที่สุดแน่นอนว่าต้องเป็นความรัก หรือไม่ก็สถานะที่ชัดเจนกว่าตอนนี้ แต่ผมรู้ดีว่ามันยังไม่พร้อมถึงไม่บอก รางวัลที่ขออาจจะเปลี่ยนเป็นข้าวสักมื้อเหมือนตอนนี้ก็ได้
"กูรอฟังคำนั้นจากมึงเสมอนะ อยากฟังเร็วๆ ด้วย"
"แล้วตอนนี้มันไม่ดีเหรอวะ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ" คำถามนี้ชวนให้รู้สึกวูบโหวง ใจผมล่วงลงไปอยู่ตาตุ่ม แต่ยังทำเป็นยิ้มสู้ ความหมายของคำถามนี้ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย
"ถ้าถามว่ามีความสุขมั้ย ตอบได้เลยว่ากูมีความสุขมาก แต่ทุกความสัมพันธ์มันต้องการความชัดเจน กูก็ต้องการความชัดเจนเหมือนกัน คำตอบของมึงน่ะกูรอได้นะ แต่บางทีคนรอมันก็เหนื่อย"
หน้าไข่ต้มเจื่อนลง ผมไม่ได้อยากทำให้เสียบรรยากาศ แต่ความจริงมันก็เป็นความผิดของเราทั้งคู่ ผมไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย
"ตอนนี้กูก็มีความสุขมากนะ กูมีบางอย่างที่กำลังตัดสินใจ กูอยากให้มันผ่านไปก่อน ไม่ได้อยากให้มึงเหนื่อยเลย"
ความคิดของมนุษย์นั้นซับซ้อน บางอย่างก็ยากที่จะเข้าใจ กับความรักก็เช่นกัน ทั้งที่มีความสุขแต่กลับให้สถานะที่ชัดเจนไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าไข่ต้มกำลังรออะไร แต่รับรู้ได้ว่าสิ่งนั้นต้องสำคัญมากสำหรับมัน
"ถ้าอยากให้กูหายเหนื่อยขอแค่กอดแน่นๆ ก็พอ" มันได้ผลเมื่อผมพยายามดึงบรรยากาศดีๆ กลับมา ไข่ต้มยิ้มออก พร้อมกับคำตอบที่ผมคิดว่ามันคือรางวัลมากกว่าข้าวฟรีมื้อนี้อีก
"ให้กอดทั้งคืนเลย"
"พูดแล้วนะ"
"เออ"
"บ้านมึงหรือบ้านกู"
"แล้วแต่มึง"
"งั้นกินเสร็จไปบ้านกูก่อน ขอเวลาเก็บเสื้อผ้าห้านาที"
คนฟังหัวเราะชอบใจ เห็นมันยิ้มได้ผมก็มีความสุขแล้ว
tbc.
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า