ไข่ฟองที่ 22
คนที่มีความสุข
ปิดเทอมนี้ไข่ต้มไม่ได้ลงเรียนภาษาจีนแต่มันมานั่งติววิชาสามัญกับผมที่เริ่มเรียนมาตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้วแทน หลังจากผ่าน ม.หกมาหนึ่งเทอมเราก็ต่างจริงจังกับเรื่องเรียนต่อ ผมมีคณะที่อยากเข้าอยู่ในใจแล้ว มีโอกาสทั้งหมดห้ารอบ ซึ่งมันต้องได้สักรอบนั่นแหละ ส่วนไข่ต้มมันยังไม่พูดถึงเรื่องนี้เท่าไร
หลังเรียนเสร็จผมก็ชวนไข่ต้มไปหาอะไรกินก่อนกลับบ้าน เป็นกิจวัตรที่ต้องทำทุกวันที่มีเรียน ตอนกลับบ้านก็แวะไปส่งแล้วหาเรื่องอยู่ด้วยกันจนเย็นย่ำค่ำมืด ไม่ดูหนังก็เล่นเกม หรือบางวันก็สลบเหมือดกันที่โซฟาห้องนั่งเล่นจนแม่ไข่ต้มมันกลับมา วันนี้ก็เช่นเดียวกัน
กลับมาถึงบ้านไข่ต้มมันก็ทิ้งตัวลงบนโซฟา กระเป๋ายังคล้องอยู่ที่แขน ถุงเท้าก็ยังไม่ถอด ผมช่วยดึงกระเป๋าออกให้แต่คนที่นอนอยู่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลุก เลยนั่งลงบนพื้นข้างโซฟามองเพื่อนสนิทที่นอนคว่ำหน้าหันเข้าหาพนักพิง
หากถามว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราพัฒนาไปถึงขั้นไหน สำหรับผมนั้นหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งการกระทำและความความรู้สึก เหลือเพียงรอให้ความรู้สึกของอีกฝ่ายเต็มเติมจนเท่ากันก็เท่านั้น
"จะนอนเลยเหรอ"
ได้ยินคำถามจากผมไข่ต้มมันก็หันหน้ามาหา ผมจงใจนั่งพิงโซฟาเพื่อทำให้ระยะห่างน้อยลง แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิดเมื่อปลายจมูกผมเกือบโดนหน้าผากคนที่นอนอยู่พอดี
ไข่ต้มไม่ได้ตกใจหรือขยับออกห่างกับความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น มันคงชินแล้วกับเหตุการณ์แบบนี้ ใกล้กันบ่อยจนกลายเป็นความคุ้นเคย
"มึงอยากทำอะไรล่ะ" ถามพลางใช้ศอกยันตัวเองไว้คล้ายกับอยากมองคู่สนทนาให้ถนัด ตามันปรอยเหมือนพร้อมจะหลับได้ทุกเวลา
"อยากอยู่กับมึง"
"ตอนนี้ก็อยู่ไง"
"ง่วงมาเหรอวะ"
"อืม"
"งั้นกูนอนกอดมึงได้มั้ย"
"ถ้ากูบอกว่าไม่ได้"
"กูก็จะกอด"
ผมดึงไข่ต้มลงมาข้างล่างเพราะบนโซฟาพื้นที่ไม่กว้างพอสำหรับผู้ชายที่ตัวไม่ได้เล็กตั้งสองคน มันไม่ได้ขัดขืน ยอมให้ผมนอนกอดก่ายเอาขาพาดเหมือนเป็นหมอนข้างบนพื้นเย็นๆ แข็งๆ ไม่ได้โรแมนติกอะไรมากนักแต่ความสุขที่มีก็มากพอ
หลังผมพิงโซฟาส่วนไข่ต้มพิงอกผมอีกที ผมหนุนหมอนส่วนมันมีแขนผมให้หนุน กดปลายจมูกลงบนกลุ่มผมที่ยังได้กลิ่นหอมของชมพูไปหนึ่งที แล้วกระชับกอดให้แน่นขึ้นกว่าเดิม
"มึง" ผมลองเรียกออกไปเพราะไม่แน่ใจว่ามันหลับไปหรือยัง
"อะไร"
"ตอนนี้ความรู้สึกของมึงเพิ่มขึ้นมากแค่ไหนแล้ววะ" อยู่ๆ ผมก็นึกอยากถาม อยากรู้ความคืบหน้า อยากรู้ผลของการแสดงออกระหว่างกันว่าในความรู้สึกมันต่างไปจากเดิมมากไหม
"ก็เพิ่มตลอด"
"ตอนนี้กี่เปอร์เซ็นต์"
"ไม่รู้ว่ะ"
"ไม่รู้ได้ไง"
"ปกติกูไม่เคยวัดความรู้สึกรักๆ ใคร่ๆ เป็นเปอร์เซ็นต์มั้ง มีแค่รู้สึกกับไม่รู้สึก"
ผมไม่แปลกใจกับคำตอบนัก ไม่รู้สึกก็ตัดทิ้ง ถ้ารู้สึกก็สานต่อ แม้คนที่ถูกจัดอยู่ในส่วนที่ไม่รู้สึกจะมีมากมายก่ายกองก็ตาม รวมถึงแฟนเก่าอย่างพี่อ๋องก็เหมือนกัน แต่สำหรับพี่อ๋องนั้นจัดอยู่ในหมวดคนพิเศษขึ้นมานิดหน่อย เพราะเป็นคนที่เคยไม่รู้สึกก่อนจะเปลี่ยนเป็นรู้สึก แล้วกลับสู่ความไม่รู้สึกอีกครั้ง
"แล้วกูล่ะ" เป็นคำตอบที่รู้อยู่ก็ยังอยากจะถามเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง
"ยอมขนาดนี้คงไม่รู้สึกมั้ง"
"แล้วรู้สึกมากพอจะเลิกเป็นเพื่อนกันได้ยัง"
ความเงียบเข้ามาแทนที่จนผมอยากเห็นนักว่าคนที่นอนหันหลังกำลังทำหน้ายังไง ขมวดคิ้วหรือยิ้ม อยากรู้เร็วๆ ว่าคำตอบจะออกมาเป็นแบบไหน เป็นแสงสว่างนำทางให้ไปต่อ หรือเป็นสายลมที่พัดแสงเทียบจนดับ
"ขอเวลาอีกนิดได้มั้ย"
"อืม" ผมทำได้เพียงตอบรับ อย่างน้อยทางข้างหน้าก็ไม่ได้มืดสนิทจนไม่ได้สามารถเดินต่อไปได้
"กูถามอะไรมึงหน่อยดิ" แล้วมันก็เป็นฝ่ายถามผมกลับบ้าง
"ยากเกินไม่ตอบ"
"มันไม่ยากหรอก"
"ว่ามา"
"มึงเริ่มชอบกูตั้งแต่เมื่อไร"
คำถามไม่ยากอย่างที่มันว่า หากวัดระดับความยากง่ายแล้วก็เหมือนเอาข้อสอบคณิตศาสตร์ของเด็ก ป.หนึ่งมาให้เด็ก ม.หกทำ มันเป็นเรื่องผมตอบได้และอยากบอกให้มันรู้มานานแล้ว
"เริ่มชอบจำไม่ได้ แต่มั่นใจว่าชอบแน่ๆ ตอน ม.สี่"
"นานแล้วนี่หว่า" คำตอบของผมชวนตกใจจนมันพลิกตัวกลับมาหา
"เออ นานแล้ว"
"กูช็อก ทำไมไม่เคยรู้ตัว"
"เพราะมึงมันโง่" ผมหลอกด่า แต่แปลกที่มันไม่ด่ากลับ เพราะมันน่าจะรู้คำตอบที่ทำให้มองไม่เห็นความรู้สึกพิเศษของผมอยู่แล้ว
"ทำไมถึงชอบวะ"
"แล้วมึงคิดว่าที่คนอื่นๆ ชอบมึงเพราะอะไร"
"หน้าตาดี"
"เออ ก็ถูก"
ถ้าเป็นคนอื่นตอบผมคงหมั่นไส้ แต่เพราะเป็นเพื่อนคนนี้เลยเถียงอะไรไม่ได้ ผมเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกใจมันที่หน้าตาเหมือนกัน
"แล้วอย่างอื่นล่ะ" ผมถามต่อให้ไข่ต้มมันลองเดา
"เอาจริงก็นึกไม่ค่อยออกมาเพราะนิสัยกูก็ไม่ได้ดีเท่าไร เพราะใกล้ชิดเหรอ"
"ก็ใช่"
"แล้วอะไรอีกอะ"
"เดามาดิ"
"ไม่รู้แล้ว" มันโวยวายทำขมวดคิ้วใส่
ความจริงข้อดีของเพื่อนผมคนนี้ไม่ได้มากมายอะไรนักหรอก คนที่ชอบมันส่วนใหญ่ก็เพราะหน้าตา ถ้าสนิทหน่อยก็ตกหลุมเพราะใกล้ชิดหรือพูดคุยกันถูกคอ แฟนเก่าของมันกับผมก็รวมอยู่ในกลุ่มหลังด้วย ซึ่งเหตุผลจริงๆ ของการชอบใครสักคนมันไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย
เพราะชอบก็คือชอบ
"ก็แค่ชอบ อยากเห็นหน้า อยากคุย อยากอยู่ใกล้ๆ รู้มั้ย มึงเป็นความสุขของกูนะ" บอกผ่านน้ำเสียง สื่อสารผ่านทางสายตา อยากให้รับรู้ว่าความรู้สึกที่มีมันมากแค่ไหน
เห็นเลือดฝาดบนแก้มคนที่นอนหนุนแขนอยู่ผมก็หลุดยิ้ม แม้ไม่มีคำพูดใดๆ กลับมาก็ทำให้ผมสุขใจมากแล้ว หากไม่รู้สึกย่อมไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมา แต่เพราะรู้สึกถึงได้มีอาการ
"แค่นี้เขิน"
"ให้กูเขินหน่อยเถอะ"
"ทำเหมือนไม่เคยโดนบอกรัก"
คราวนี้ไข่ต้มมันไม่ยอมนิ่งเฉย ประเคนมะเหงกให้ผมกลางหน้าผากเสียงดังป๊อก ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่ง ทำหน้านิ่งทั้งที่หน้ากับหูยังแดงอยู่
"ไม่นอนแล้วเหรอ"
"ไปนอนบนห้อง พื้นแข็ง" พูดจบมันก็ลุกขึ้นยืน หอบกระเป๋าเดินดุ่มๆ ตรงไปที่บันได แล้วผมจะนอนต่อไปทำไม รีบหอบกระเป๋าเดินตามไปอย่าได้เสียเวลา
จะกอดไม่ปล่อยจนกว่าแม่จะกลับมาเลยคอยดู
แรงสะดุ้งจากคนในอ้อมกอดทำผมสะดุ้งตื่น ไข่ต้มลุกขึ้นนั่ง ขยี้ตาเบาๆ ด้วยความงัวเงีย ก่อนจะลุกเดินโซเซไปที่หน้าต่างอย่างคนที่ยังไม่ตื่นเต็มตา
"แม่มาแล้ว" มันหันกลับมาบอก เงยหน้ามองนาฬิกาติดผนังที่บอกเวลาใกล้หนึ่งทุ่ม ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
พอรู้ว่าแม่กลับมาผมถึงได้ยินเสียงเครื่องยนต์ แล้วก็นึกขำที่ไข่ต้มมันยังอุตส่าห์ได้ยินอย่างกับตั้งนาฬิกาปลุกในฝันไว้ว่าแม่จะกลับมาตอนไหน หรือไม่ก็นอนหลับแบบกังวลตลอดเวลาว่าแม่จะเข้ามาเห็นฉากไม่เหมาะไม่ควร พอได้ยินเสียงรถเลยสะดุ้งตื่นทันที
"ลุกไปล้างหน้า" ออกมาจากห้องน้ำพร้อมมาขนหนูผืนเล็กในมือมันก็ชี้นิ้วสั่ง
ผมรีบลุกจากเตียงเดินเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแบบลวกๆ ออกมายังเห็นไข่ต้มมันถือผ้าขนหนูอยู่ก็เอาหน้าเข้าซับน้ำออกทั้งแบบนั้น เลยโดนมันมองตาขวางเข้าให้
"เช็ดดีๆ"
"เช็ดให้หน่อย" ยื่นหน้าไปให้ทั้งที่หยดน้ำคงหายไปหมดแล้ว แต่คนใจดีก็ยังยอมเช็ดให้
"เริ่มเยอะนะมึง" เช็ดไปก็บ่นไป
อ้อยอิ่งหลังจากตื่นนอนได้แป๊บเดียวคุณแม่ที่ถอยรถเข้าบ้านเสร็จเรียบร้อยก็ตะโกนเรียก ไข่ต้มรีบลากผมลงไปข้างล่าง ผมยกมือไหว้ตอนแม่หันมายิ้มให้เหมือนรู้อยู่แล้วว่าต้องเจอผมอยู่ที่นี่
"อยู่กินข้าวก่อนนะ แม่ซื้อเป็ดย่างเกลือมา" แม่ชูเป็ดย่างที่ซื้อมาให้ดู บอกเป็นนัยๆ ว่าห้ามผมปฏิเสธ
ช่วยกันจัดโต๊ะเสร็จเรียบร้อยพ่อก็กลับมาพอดี เราสี่คนนั่งประจำที่ บทสนทนาบนโต๊ะอาหารเป็นเรื่องสัพเพเหระทั่วไป หรือไม่ก็เกี่ยวกับการเรียนวันนี้ ซึ่งผมกับไข่ต้มก็มักจะตอบเหมือนเดิม
"เราอยากเข้าคณะอะไรนะ วิศวะใช่มั้ย"
"ใช่ครับ" ผมพยักหน้าตอบคำถามของแม่ที่ยังจำคณะที่ผมอยากเรียนได้แม้เคยบอกไว้นานแล้ว
"แบบนี้ก็ต้องแยกกันแล้วสิ"
"ให้แยกเถอะแม่ อยู่ด้วยกันมาตั้งหกปี เบื่อขี้หน้าแล้ว" ไข่ต้มมันพูดกลั้วหัวเราะติดตลก พูดจบก็หันมามองเหมือนอยากจะเช็กสีหน้าของผมว่ารู้สึกยังไงกับคำพูดของมันงั้นแหละ
"เพื่อนเสียใจแย่"
"ผมก็เบื่อมันเหมือนกันครับแม่"
พ่อกับแม่หัวเราะครื้นกับคำพูดของผม ส่วนไข่ต้มมันหันมาขยับปากว่า 'เหรอ' ใส่ ทำหน้าทำตากวนประสาทจนอยากจะหยิกแก้มแรงๆ
"แล้วลูกเลือกได้หรือยังว่าจะเรียนที่ไหน" พ่อถามไข่ต้มขึ้นมาบ้าง
"ยังเลยพ่อ หาอยู่ ดูไปเรื่อยๆ"
"อย่าให้นานนักล่ะ"
"รู้แล้วครับ"
พ่อไม่ได้ว่าอะไรแม่เลยชวนเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น กินไปคุยไปกว่าอาหารมื้อนี้จะสิ้นสุดก็ล่วงเลยมาจนสองทุ่มกว่า ผมเลยขอตัวกลับเพราะป้าสมพรเองก็โทรตาม ส่วนเจ้าของบ้านก็อาสาออกมาส่งเหมือนเคย
ครั้งนี้ไข่ต้มมันปั่นจักรยานออกมาส่ง เพราะผมบอกว่ามันดึกแล้วไม่อยากให้ออกมามันเลยเข็นจักรยานคันเก่าเก็บออกมาประชดผม มันปั่นผมซ้อน ปั่นก๊อกๆ แก๊กๆ เสียงดังเหมือนจะพังได้ตลอดเวลาแค่แป๊บเดียวก็มาถึงป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้าน มันจอดรถไว้ข้างๆ ก่อนมานั่งรอด้วยกัน
ระหว่างมื้ออาหารผมติดใจหนึ่งคำถามจากพ่อที่ถามไข่ต้มเรื่องเรียนต่อ ผมเองก็อยากรู้เรื่องนี้ มันไม่เคยพูดถึงอย่างเป็นจริงเป็นจัง แต่ผมยังอยากรู้เสมอว่าเส้นทางในอนาคตของเราจะเป็นยังไง อย่างน้อยก็อยากเตรียมใจไว้ล่วงหน้าว่าต้องห่างกันแค่ไหน
"มึงยังไม่เลือกอีกเหรอว่าจะเรียนต่อที่ไหน"
"ก็ดูไปเรื่อยๆ"
"เรื่อยๆ นี่คือยังไง หมายถึงมหา'ลัย"
"ก็ประมาณนั้น"
"แล้วคณะอะ เอกจีน?"
"อืม"
"มันก็มีหลายที่ล่ะนะ แต่มึงเลือกเป้าหมายสักที่ก็ดี กูจะได้รู้ว่าเราต้องห่างกันแค่ไหน"
"รู้แล้วครับ มึงเป็นพ่อกูอีกคนเหรอ"
"ก็ห่วงไง มึงดูเลื่อนลอยอะ"
"ติดที่ไหนก็เรียนที่นั่นแหละ"
"งั้นต้องติดที่เดียวกับกู"
"อย่างกับเลือกได้"
"ต้องเลือกได้ดิวะ"
"เออน่า รอกูมั่นใจอะไรบางอย่างแล้วก็ตัดสินใจได้เอง"
"มั่นใจอะไรวะ เรื่องกูเหรอ" ผมแกล้งถาม ไม่ได้หวังว่าคำตอบจะคือใช่ แต่สายตาของไข่ต้มตอบผมล่วงหน้าก่อนมันจะพูดออกมาเสียอีก
"เรื่องมึงนั่นแหละ"
ผมยิ้มกว้างออกมาอย่างห้ามไม่ใจ หัวใจพองโตเหมือนโดนบอกรัก แต่ถึงไม่ใช่ก็ใกล้เคียง มันรอตัดสินใจเรื่องเรียนต่อเพราะผมเชียวนะ ถึงความสมหวังกับผิดหวังจะมีความเป็นไปได้เท่ากันก็เถอะ แต่ผมก็ดีใจ
"รถมาแล้ว"
มัวแต่ซาบซึ้งใจ ยังไม่ทันได้บอกให้ไข่ต้มเลือกทางเดินที่มันต้องการจะดีกว่ารถเมล์ก็มา ผมน่ะรอคันต่อไปได้แต่เพื่อนสนิทดูเหมือนจะไม่อยากให้รอ มันกระทุ้งศอกใส่ผมแถมยังลุกขึ้นไปโบกรถให้เสร็จสรรพ บริการดีน่าประทับใจ
ก้าวขึ้นรถแล้วผมถึงได้โบกมือลาคนที่ยืนยิ้มหวานอยู่ตรงป้ายรถเมล์ เดินไปนั่งแถวหลังสุดมองไข่ต้มปั่นจักรยานกลับเข้าหมู่บ้าน แล้วความสุขของผมก็จบไปอีกหนึ่งวัน
นอกจากบ้านที่เรียนพิเศษ ห้าง แล้วก็บ้านไข่ต้มแล้ว บ้านผมก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เราอยู่ด้วยกันบ่อยๆ ช่วงปิดเทอม บางวันไข่ต้มมันแวะมาช่วยขายขนม แล้วก็ขลุกอยู่ด้วยกันจนค่ำมืด เรียกว่าไม่มีวันไหนไม่ได้เจอกันเลยก็ว่าได้
มาช่วยขายบ่อยจนชำนาญงานลูกค้าประจำก็จำมันได้บ้างแล้ว แต่จะมีอยู่หนึ่งคนที่มาซื้อขนมทีไรต้องแซวไข่ต้มมันทุกที ตามประสาคนหน้าตาดีที่ถูกตาต้องใจใครต่อใคร แม้ป้าคนนี้จะมีลูกชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมก็ตาม
"สุดหล่อของพี่มาอีกแล้ว" เดินมาหน้าร้านเห็นไข่ต้มปุ๊บป้าแกก็ยิ้มหวานมาให้ แม้จะฟังแล้วขัดหูนิดหน่อยตรงที่ป้าแกแทนตัวเองว่าพี่นี่แหละ กับผมล่ะไม่เคยมีหรอกพูดเพราะแบบนี้
"วันนี้เอาอะไรดีครับ" ส่วนพ่อค้าหน้ามนก็รู้หน้าที่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนโดนแซวแบบนี้ไข่ต้มมันคงเดินหนีเข้าไปหลบข้างในแล้ว
"เอาน้องไข่ต้มได้มั้ยจ๊ะ"
"ไม่ได้หรอกป้า"
"ฉันไม่ได้ถามแก"
เนี่ย สองมาตรฐานชัดๆ เอาจริงหน้าตาผมก็ไม่ได้แย่นะ อาจจะเป็นรองไข่ต้มมันนิดหน่อย แต่ทำไมชอบถูกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมตลอด
"ร้านขนมนะป้า ไม่ได้ให้มาเต๊าะพ่อค้า"
"ซอส แกอย่าเยอะ หยอดนิดหยอดหน่อย เพื่อนแกน่ากินกว่าขนมอีก"
"โห ป้าสมพรขึ้นเลยงี้ โมโหแล้ว ไม่ขายๆ"
"เดี๋ยวๆ ไอ้เด็กบ้านี่" ป้าแกทำท่าจะเดินเข้ามาตีผม ส่วนตัวการที่ทำให้เกิดการปะทะคารมครั้งนี้กลับนั่งขำคิกคักเสียอย่างนั้น
"ป้าจะเอาอะไรบ้างครับ" ขำเสร็จไข่ต้มมันก็เริ่มขายของ ดีแล้ว รีบๆ ขาย ป้าแกจะได้รีบๆ ไป
"อย่าเรียกป้าสิจ๊ะ พี่ก็พอ"
"อ่าครับ พี่จะเอาอะไรบ้าง ผมจะได้ตักให้"
"เนี่ยซอส ดูไว้ หัดทำตัวน่ารักเหมือนเพื่อนบ้าง พี่เอา..." ว่าผมเสร็จป้าแกก็หันไปชี้ขนมที่จะซื้อให้ไข่ต้มเป็นคนหยิบให้ ต้องได้เสียดสีผมสักนิดหน่อยแล้วขนมป้าสมพรจะอร่อยขึ้นอีกเท่าตัว
ลูกค้าขาประจำจากไปแล้วแต่พ่อค้าพาร์ทไทม์ยังอมยิ้มไม่เลิก ดูไข่ต้มมันจะอารมณ์ดีเหลือเกินกับการถูกสาวรุ่นเดียวกับแม่จีบ หรือจริงๆ แล้วสเป็กมันเป็นแบบนี้ผมเองก็ชักไม่แน่ใจ
"ยิ้มค้างเลย อย่าบอกนะว่าชอบแนวนี้"
"ก็เกินไปมั้ย รุ่นแม่เลยนะ"
"ป้าแกรวยนะ"
"มึงดูสนับสนุนจังเลยเนอะ" มันว่าแกมประชดแต่สายตากลับจริงจังจนน่าขนลุก ทำเอาผมไม่กล้าพูดเล่นต่อเลย
"ล้อเล่นครับล้อเล่น แต่มึงดูเปิดรับขึ้นเยอะเลยนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงทำหน้าบึ้งแล้วก็หนีอย่างเดียว"
"ก็เขาเป็นผู้ใหญ่มั้ยล่ะ ลูกค้ามึงด้วย จะให้หนีได้ไง"
"แสดงว่าถ้าไม่ใช่คนแก่จะทำเหมือนเดิม?"
"ไม่อะ กูว่าแบบนั้นไม่โอเค มาลองนึกย้อนกลับไปกูยังไม่ค่อยชอบตัวเองเลย"
"แล้วจะทำยังไง"
"ก็รับฟังเขาหน่อย แล้วก็บอกไปตรงๆ"
"บอกว่าอะไร"
สารภาพเลยว่าผมหลอกถาม ส่วนคนโดนหลอกก็เหมือนจะรู้ตัวเหมือนกัน ไข่ต้มมันอมยิ้มน้อยๆ ทำท่าลังเลว่าจะตอบหรือไม่ตอบดี แต่ผมคิดว่ามันคงรู้วิธีทำให้ผมหนีออกจากหลุมรักของมันไม่รอด
"บอกว่ามีคนที่อยู่ในใจแล้ว"
"กูเหรอ"
"ป้าสมพรมั้ง"
"แสดงว่ามึงชอบคนแก่จริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย เสียใจ"
เพราะใจกำลังฟูเลยเผลอเล่นใหญ่ไปหน่อย ไข่ต้มมันง้างมือเตรียมจะทุบผมแล้ว โชคดีที่มีลูกค้าเข้ามาช่วยชีวิตเสียก่อน
นั่งเฝ้าร้านตั้งแต่ช่วงบ่ายพอแดดหมดก็ได้เวลาปิดร้าน ป้าสมพรให้ค่าแรงพนักงานพาร์ทไทม์คนพิเศษเป็นขนมกล่องใหญ่ที่จัดไว้ให้ไข่ต้มเอาไปฝากที่บ้านด้วย เราไม่ต้องช่วยเก็บของเพราะแม่ผมโบกมือไล่ให้เดินไปส่งไข่ต้มก่อนฟ้าจะมืด ใจจริงผมอยากจะนั่งรถเมล์ไปส่งมันที่บ้านเลยด้วยซ้ำแต่มันไม่ยอม นึกแล้วก็อยากได้มอเตอร์ไซด์สักคัน แต่แม่ไม่ซื้อให้นี่สิ เงินเก็บที่มีก็น้อยนิดเหลือเกิน
"กลับดีๆ นะมึง ถึงแล้วบอกกูด้วย" เห็นรถมเล์กำลังจะเข้าป้ายผมเลยสั่งมันไว้ล่วงหน้า
"ไปบอกคนขับรถนู่น"
"งั้นกูต้องขึ้นไปด้วยใช่มั้ย"
"กูพลาดเอง ขอโทษ" ไข่ต้มมันทำหน้าสำนึกผิดจริงจัง
"เออ ถึงแล้วอย่าลืมบอก"
"รู้แล้ว" มันยิ้มให้จังหวะเดียวกับที่รถจอดป้ายพอดี
เราโบกมือลากัน ยิ้มให้กัน ผมยืนมองรถเมล์คันนั้นวิ่งออกจากป้ายไปจนลับตาถึงได้หันหลังกลับ ใบหน้ายามยิ้มของเพื่อนสนิทยังลอยค้างอยู่ในความทรงจำ มันคอยย้ำเตือนผมทุกครั้งว่าช่วงเวลานี้มีความสุขมากแค่ไหน
จากนี้ผมขอแค่ความสุขนี้ยังคงอยู่ต่อไปก็พอ
tbc.
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า