เขยช่างไฟสะใภ้ช่างยนต์
{21}
12.30 น.
“เป็นไร ทำหน้าเหมือนหมาโดนเจ้าของทิ้ง” พอร์ชถามพลางใช้หลังมือวัดไข้บริเวณหน้าผากและลำคอ
ของคนรักอย่างโซ่ที่เดินลงมาหย่อนก้นนั่งข้างกัน
“เปล่า” บอกปัดเสร็จก็ซบหน้าลงนอนหนุนแขนตัวเองทันที
“กินให้หมดแล้วอย่าลืมกินยานะ กูต้องไปเรียนแล้ว” พอร์ชบอกพลางคว้าชามเกี๊ยวน้ำที่ฝากแวนซื้อมา
พร้อมกับข้าวของบุญล้อมส่งให้กับโซ่ เพราะถึงเวลาเข้าเรียนของตนแล้ว
“มึงล่ะ?” เงยหน้าขึ้นมาถามตาลอยๆ เพราะเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ได้หมดไปกับการสอบก่อนหน้าแล้ว
“กูกินแล้ว” พอร์ชเอื้อมมือเข้าจัดเส้นผมที่กระจัดกระจายไม่เป็นทรงของคนรักให้เข้าที่
“กินด้วยกัน กูกินไม่หมด” กระตุกชายเสื้อที่หลุดลุ่ยออกมานอกกางเกงของพอร์ชเป็นสัญญาณบอกให้
พอร์ชนั่งลง เมื่อเจ้าตัวทำท่าลุกหนีไปเข้าเรียนตาที่ปากพูดจริงๆ
“ครับๆอยู่กินข้าวกับที่รักก่อนเนอะ” คนที่เผลออ้อนไปโดยไม่รู้ตัวอย่างโซ่ฉีกยิ้มกว้างจนตาหยี
เมื่อพอร์ชยอมนั่งลงตรงที่เดิมแล้วอ้าปากรอให้ตนป้อนอาหาร…ถ้าน้องโซ่จะน่ารักขนาดนี้ พี่ยอมใช้โควตา
สิบห้านาทีที่เข้าสายได้ให้คุ้มเลยก็แล้วกัน
“มึงว่ากูควรจะแซวมันสองคนดีไหม” แวนกระซิบถามเป้ที่นั่งอยู่ข้างกัน เมื่อหันไปเห็นคนป่วย
อย่างโซ่นั่งป้อนเกี๊ยวน้ำให้พอร์ชเหมือนกับว่าเพื่อนรักของเขาเป็นฝ่ายไม่สบายแทนเสียอย่างนั้น และ
ถ้าพอร์ชยืนยันที่จะอยู่ทานมื้อกลางวันกับโซ่ต่อ พวกเขาสองคนก็ทำอะไรไปไม่ได้ นอกจากนั่งรอ จน
กว่าพอร์ชจะพร้อมเข้าเรียน เพราะสิบห้านาทีแรกครูปล่อยฟรีอยู่แล้ว
“ถ้าไม่อยากมีแผลพลุพองเพราะโดนน้ำซุปร้อนๆในชามเกี๊ยวน้ำที่อยู่ตรงหน้าคุณโซ่ลวกก็อย่า
ได้อ้าปากเชียวครับ เพราะตอนที่คุณโซ่ไม่สบายอย่างนี้ อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าผู้หญิงเป็นประจำเดือน
ซะอีก…ถ้าไม่เชื่อที่ผมบอก คุณแวนจะลองดูก็ได้นะครับ” บุญล้อมที่นั่งทานข้าวอยู่ตรงข้ามกับแวน เอ่ย
เตือนขึ้นมาเบาๆ เพราะรู้นิสัยของเพื่อนรักอย่างโซ่ดี ว่าอารมณ์ไหนเป็นยังไง จากประสบการณ์ที่ได้เห็น
และสัมผัสมาตั้งแต่เด็กจนโต
“เลิกขู่กูสักทีเถอะไอ้หมา! กูละสยองแทนไอ้พอร์ชจริงๆที่มีเมียอย่างไอ้โซ่” แวนยักไหล่บอก
ด้วยท่าทางสยดสยอง ก่อนที่เป้เพื่อนรักจะพูดสวนออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า…
“กูก็สงสารไอ้มหาเหมือนกันที่เสือกหลงผิดเอามึงทำเมีย” คำพูดที่ออกมาจากเพื่อนรักทำเอา
แวนอ้าปากค้าง เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“มะ…มึง…พูดเรื่องเหี้ยอะไรออกมาไอ้ห่าเป้!” แวนตะกุกตะกักถามออกมาแบบมีพิรุธอย่างเห็น
ได้ชัด ต่างจากบุญล้อมนั่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อน แต่ถ้ามองดูชัดๆจะเห็นว่ามุมปากทั้งสองข้างของท่านมหา
ผู้ที่ทรงศีลในสายตาคนนอกนั้นกำลังยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กๆ
“ก็พูดเรื่องจริงไงห่า…มึงคิดว่าพนังห้องที่บ้านพักมันเก็บเสียงนักรึไง ทั้งมึงทั้งไอ้โซ่ทำเมียกู
นอนผวาทั้งคืน” แวนหมายถึงคืนที่พวกเขาพากันไปเที่ยวงานเทศกาลดนตรีเมื่อวันหยุดที่ผ่านมา ซึ่ง
เจ้าตัวกับคนรักอย่างซีนอนพักอยู่ในห้องกลาง ห้องบุญล้อมกับแวนอยู่ทางด้านขวาติดทางขึ้นลงบันได
ส่วนพอร์ชกับโซ่พักอยู่ห้องทางซ้ายด้านในสุด และก็ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของเขาที่กลับมาก่อน
คู่ของคนอื่น แต่พอปฏิบัติภารกิจตามประสาคนรักเสร็จ แต่พอเตรียมพร้อมที่จะนอนเท่านั้นแหละ เสียงร้อง
ครางของแวนกับโซ่ที่ขนาบอยู่สองข้างซ้ายขวาก็ดังขึ้นมาเป็นระยะๆ กว่าจะสิ้นสุดได้ก็เกือบเช้า ทำเอา
คนรักของเขาอย่างซีงอแงมาตลอดทางกลับบ้าน เพราะนอกจากจะเจ็บตัวแล้ว เจ้าตัวยังหงุดหงิดที่นอนไม่พออีกด้วย
“ไม่แวะครับ ไม่สบายจะกินน้ำแข็งได้ยังไง” พอร์ชปฏิเสธทั้งไม่ได้หันกลับไปมอง ไม่ต้องให้โซ่
พูดเขาก็รู้ว่าการที่รักกระตุกเสื้อจากทางด้านหลังตอนกำลังจะขี่รถผ่านร้านน้ำปั่นเจ้าประจำของเจ้าตัวทำไม
เพราะปกติแล้วเขาจะแวะจอดซื้อให้ทุกวัน เพียงแต่วันนี้ตามใจไม่ได้จริงๆ เพราะอาการไข้ของเจ้าตัวยังไม่หายดี
ตอนแรกพอร์ชกะว่าถ้าอากาศยังไม่หายหนาวเขาคงจะขอยืมรถแม่มาใช้รับส่งคนป่วยก่อน แต่พอ
สายๆเท่านั้นแหละ ร้อนตับแทบแลบ เขาจึงเอาไอ้แมนลูกรักออกมาซิ่งเหมือนเดิม
“อยากกินยำมะม่วงหน้าบึง” คนป่วยซบหน้าลงบนแผ่นหลังแกร่งของคนรัก พูดอ้อนออกไปอย่างไม่รู้ตัว
“กลับไปเปลี่ยนชุดก่อน เดี๋ยวจะพาไปซื้อ” พอถูกอ้อนมากๆเข้า พอร์ชก็ไม่อยากจะขัดใจคนป่วย
มากนัก เพราะยำมะม่วงปลากรอบร้านนี้เป็นอีกหนึ่งเมนูที่เจ้าตัวโปรดปราณ แต่ลองมานับๆ ดูแล้ว เขาก็เห็น
โซ่ชอบกินทุกอย่างนั่นแหละ ขอแค่อร่อย รสชาติถูกปาก
“ไปบ้านพ่อด้วยนะ จะไปคุยกับอาทนายเรื่องตึก” เพราะเป็นทางเดียวกันกับทางไปบ้านบิดาผู้ให้
กำเนิดของตัวเอง โซ่เลยอาศัยทางผ่านนี้เข้าไปคุยกับทนายของพ่อเรื่องการปรับปรุงตึกแถวที่พ่อเคยเปิด
เป็นคลินิกเมื่อครั้งอดีต กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ปล่อยให้กลายเป็นตึกร้างมานานหลายปี
“พี่พอร์ชสุดหล่อกลับมาแล้วครับคุณนายปลื้มจิตสุดสวยแอนด์เสี่ยใหญ่ผู้ที่หล่อน้อยกว่าพี่…โฮ๊ะ!
โฮ๊ะ!” พอถึงบ้าน พอร์ชก็รีบจูงโซ่วิ่งขึ้นบันได แวะชั้นสอง เปิดประตูห้องทำงานใหญ่เข้าไปทักทายพ่อแม่
ด้วยท่าทางร่าเริงจนหน้าหมั่นไส้
“สวัสดีครับแม่…ป๋า” โซ่ชะโงกหัวลอดวงแขนพอร์ชที่กางเก้งก้างขวางประตูไว้เข้าไปยกมือไหว้
สวัสดีทักทายพ่อแม่ของคนรักที่กลายมาเป็นพ่อแม่ของตนเองด้วยแล้ว ตามมารยาทลูกที่ดี ไม่ทะลึ่งทะเล้น
เหมือนลูกแท้ๆอย่างพอร์ชที่ยังคงหัวเราะชอบใจเสียงดังไม่หยุด เพราะสะใจที่แกล้งแหย่ให้คนเป็นพ่อโมโหได้
ก๊อก ก๊อก
“มีคนมาหาน้องโซ่ค่ะ” คุยเล่นกันได้ไม่นาน ฤดีแม่บ้านก็มาเคาะประตูขัดขึ้นเสียก่อน
“ใครครับ” โซ่ถาม
“เห็นเขาบอกว่าชื่อทนายหรือเป็นทนายอะไรนี่แหละค่ะ พี่เองก็ฟังไม่ถนัด” เธอบอก
“อ่อครับ…อาทนายเป็นคนดูแลพ่อฮะ” โซ่พยักหน้ารับรู้ แล้วหันไปคลายความสงสัยให้กับพ่อแม่
ของพอร์ชที่แสดงอาการสงสัยออกมาทางสีหน้าอย่างชัดเจน ก่อนที่ผงกศีรษะเป็นเชิงขอตัว แล้วเดินตาม
แม่บ้านลงไปชั้นล่าง
“พอร์ชรู้เรื่องนี้รึเปล่าลูก เขาไว้ใจได้รึเปล่า” เพราะได้คำเฉลยที่ไม่ชัดเจนจากโซ่ คุณนายปลื้มจิต
จึงหันมาต้อนหาคำตอบจากลูกชายแทน เลยเป็นห่วง เกรงว่าโซ่จะถูกหลอกเอา
“แม่ไม่ต้องห่วงหรอก ลูกชายสุดที่รักของแม่มันไม่โง่ให้ใครหลอกได้หรอก ฉลาดเป็นกรดเสีย
ขนาดนั้น” เพราะได้ใช้ชีวิตเรียนรู้อยู่ด้วยแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงมานานนับเดือน พอร์ชจึงได้รู้ว่าคนรักไม่ใช่
ไอ้นิ่งคนทึ่มแบบที่ตนคิดไว้ในคราแรก เพราะโซ่เป็นคนที่ชอบวางแผนการดำเนินชีวิตของตัวเองไว้ล่วงหน้า
อยู่เสมอ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องใด จะเล็กหรือจะใหญ่แค่ไหนก็ตาม
“ไปๆ ถ้าห่วงนักก็ลงไปดูหน่อย” เสี่ยใหญ่เองก็พอจะมองออกว่าโซ่เป็นเด็กมีความคิด ไม่น่า
เป็นห่วงเท่าไหร่ แต่เพื่อความสบายใจของภรรยา เขาจึงจำต้องไล่ต้อนให้ลูกและภรรยาเดินตามโซ่ลง
ไปชั้นล่าง ไม่อย่างนั้นคืนนี้คงได้มีคนนอนไม่หลับเพราะมัวแต่เป็นห่วงลูกสะใภ้อย่างแน่นอน
“โธ่…พิภพ! ป้าละห่วงแทบแย่ กลัวจะมีคนมาหลอกน้องโซ่ ที่ไหนได้ เรานั่นเอง” พอได้เห็น
แขกของลูกสะใภ้คุณนายปลื้มจิตก็ถอนหายใจออกมาอย่างหมดห่วง เมื่อเห็นว่าเป็นเด็กที่คุณหมอพ่อ
ของโซ่ส่งเสียเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบมัธยม แต่ก็ห่างหายจากสายตาไปตั้งแต่พ่อของโซ่เสียเช่นเดียวกัน
“เป็นไงมาไงล่ะ หายหน้าหายตาไปเลยนะ” เสี่ยใหญ่เอ่ยทักบ้าง หลังจากที่ปล่อยให้ภรรยา
โวยวายใส่อีกฝ่ายอยู่พักใหญ่
“ครับ พอดีผมไปรับตำแหน่งที่อื่นมา เพิ่งจะได้ย้ายกลับบ้านเมื่อต้นปีนี้เอง” เขาบอกด้วยท่าทางอ่อนน้อม
ถ่อมตนไม่ต่างไปจากเดิม แม้ว่าตำแหน่งหน้าที่การงานของเขาอยู่ในจุดที่สูงจนมีคนเคารพนับถือมากมายแล้วก็ตาม
“แล้วมาถึงนี่มีธุระเร่งด่วนอะไรรึเปล่าล่ะ” เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก พ่อของพอร์ชจึงเป็น
ฝ่ายถามออกมาอีก
“อาม่าท่านจะต้องการคุยกับคุณหนูครับ” เขาบอกพลางยื่นโทรศัพท์ของตัวเองที่ถืออยู่เขาบอก
พลางยื่นโทรศัพท์ โซ่เองก็รับมากดโทรออกทันที
‘ว่าไงอาทนาย’ เสียงรับสายด้วยสำเนียงแปร่งๆที่บ่งบอกถึงเชื้อสายดังลอดออกมาให้ได้ยินกัน
ครบทุกคนเพราะโซ่เปิดลำโพงให้พอร์ชที่นั่งอยู่ข้างกันได้ยินไปด้วย
“ผมเอง…ม่า” โซ่กรอกเสียงกลับไปให้ฝ่ายนั้นรู้ตัวว่าตอนนี้คนที่คุยอยู่คือตนไม่ใช่เจ้าของเครื่องอย่างที่เข้าใจ
‘ไอ๊หยา! อาโซ่เองหรอ ลื้อทำม่าตกกะใจหมดน่า…’ หญิงชราที่อยู่ปลายสายอุทานเสียงดังด้วย
ความประหลาดใจ ต่างจากทางคนทางนี้ที่พากันกลั้นหัวเราะจนตัวงอ เพราะรู้สึกเอ็นดูความน่ารักเล็กของ
หญิงชราที่ส่งผ่านเสียงตามสายมา
“ม่าโทรหาผมมีอะไรรึเปล่า” โซ่ไม่ได้รำคาญ แต่รู้สึกเกรงใจคุณทนาย ถ้าหากรบกวนเวลาของ
เจ้าตัวไปมากกว่านี้ เลยถามเข้าประเด็นเสียเลยจะได้จบๆไป
‘วันศุกร์นี้อาโซ่ขึ้นรถมาหาม่านา…มาให้เจ้าพ่อเจ้าแม่ เหล่ากงก็คิดถึง’ เพียงแค่ต้องการให้หลานชาย
กลับไปหา หญิงชราถึงกับต้องยกทุกอย่างที่อยู่รอบตัวขึ้นมาอ้าง
“เดี๋ยวไปครับ…แค่นี้นะ” พูดจบก็รีบตัดสายทิ้งแล้วก็ส่งโทรศัพท์คืนเจ้าของทันที ไม่รอฟังคำตอบจาก
ทางฝั่งนั้นสักนิดว่ามีธุระอะไรอีกรึเปล่า
“ตัดสายทิ้งเฉย เสียมารยาทฉิบหาย” พอร์ชที่นั่งอยู่ข้างกันอดที่จะบ่นออกมาไม่ได้ เมื่อคนรักทำตัว
ไม่น่ารักกับญาติผู้ใหญ่ ทั้งที่ปกติแล้วโซ่จะเป็นคนที่วางตัวดีมากแท้ๆ
“ไม่เสือกสิ…ขอบคุณนะครับ ส่วนเรื่องแปลนตึก ถ้าร่างเสร็จแล้ว ผมจะเอาไปให้ที่บ้านนะครับ” แยก
เขี้ยวใส่พอร์ชเสร็จ ก็หันไปพูดกับคุณทนายอีกนิดหน่อยก่อนที่จะหันหลังเดินหนีขึ้นบ้านไป นั่นเป็นอะไรที่พอร์ช
กับพ่อแม่ของพอร์ชแปลกใจเป็นอย่างมาก
“ขอโทษแทนไอ้โซ่มันด้วยนะครับ สงสัยไข้จะขึ้น” กลับเป็นพอร์ชเสียเองที่ต้องออกหน้าขอโทษ
แทนคนรักที่ดูเหมือนจะจงใจทำตัวเสียมารยาทออกมาอย่างชัดเจน
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณโซ่ดี…ขอตัวกลับก่อนนะครับ” ทนายหนุ่มฝืนระบาย
ยิ้มพูดบอกออกมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“เจ้าโซ่มันเป็นอะไรของมัน” เสี่ยใหญ่เป็นคนเอ่ยออกมาคนแรก
“นั่นสิ หรือว่าไข้จะขึ้นอย่างที่พอร์ชบอกจริงๆ” ตามมาด้วยคุณนายปลื้มจิตผู้ที่ขี้สงสัย
“เป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่ทำแบบนี้ไม่น่ารักเลย” พอร์ชว่าพลางหันหลัง วิ่งขึ้นบันไดตามคนรักไปอย่างรวดเร็ว เพราะไม่ชอบเลยจริงๆที่โซ่เป็นแบบนี้ กับคนรุ่นเดียวกันจะยังไงก็ได้ พอร์ชไม่แคร์หรอก แต่การทำตัวเสียมารยาทกับผู้ใหญ่หรือคนที่โตกว่าอย่างนี้พอร์ชรับไม่ได้จริงๆ
ปึง!
“มึงเป็นอะไรโซ่ ทำไมทำตัวเสียมารยาทแบบนั้นห้ะ! ไม่น่ารักเลยนะรู้ไหม!” พอร์ชกะชากแขน
โซ่ที่นอนคว่ำอยู่บนเตียงนอนให้ลุกขึ้นมาคุยกันดีๆ แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะพลาดไปตั้งแต่เขาคุมอารมณ์
ตัวเองไม่ได้แล้ว ถึงได้เผลอตวาดเสียงดังใส่หน้าคนรักแบบนั้น
“กูแค่ไม่อยากเห็นหน้าเขา ไม่อยากยุ่งกับเขาถ้าไม่จำเป็น” กลับเป็นโซ่เสียเองที่ตอบกลับมา
ด้วยเสียงนิ่งเรียบ แต่ใบหน้าเลอะไปด้วยหยาดน้ำตา
“มะ..มึงเป็นอะไร…ร้องไห้ทำไม” ละล่ำละลักถามด้วยตกใจ อารมณ์หงุดหงิดเมื่อครู่นี้หายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตาของคนรัก
“เขาไม่ใช่ลูกเลี้ยงพ่อกู ได้ยินไหมพอร์ชว่าเขาไม่ใช่ลูก! แต่เขาเป็นเมียใหม่ของพ่อกู!” คำตอบ
จากความเป็นจริงที่ออกมาจากปากโซ่ไม่ได้สร้างความตกใจให้กับพอร์ชเพียงแค่คนเดียว แต่รวมไปถึงเสี่ย
ใหญ่กับคุณนายปลื้มจิตที่หวังว่าจะตามมาห้ามไม่ให้คนลูกชายอารมณ์ร้อนใส่ลูกสะใภ้จนเป็นเหตุให้ทะเลาะกันอีกด้วย
“มึงพูดบ้าอะไรโซ่ อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้” พอร์ชภาวนาให้หูของตนเพี้ยนจนฟังผิดไป
เพราะถ้าเป็นอย่างที่โซ่บอกจริงๆ เขาละไม่รู้จะนิยามคำว่าน่าสงสารให้กับคนรักยังไงดี ถึงจะสาสมกับสิ่ง
ที่เจ้าตัวเผชิญมาตลอดเวลา กว่าที่จะเติบโตมาได้อย่างทุกวันนี้
“ไม่! ถูกแล้ว…กูเข้าใจถูกแล้ว กูเห็นมากับสองตาตัวเอง ตอนที่เขาสองกำลังมีอะไรกัน เขาเป็น
เมียพ่อกูมึงเข้าใจไหมพอร์ชว่าเขาเป็นเมียพ่อกู! ไม่ใช่ลูกบุญธรรมอย่างที่ใครเข้าใจ” สะอื้นฮักแทบขาดใจ
อยู่ในอ้อมอกของคนรักอย่างพอร์ชซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้ายที่ตนมีในตอนนี้
“โซ่” พอร์ชเองก็ได้แต่กระชับอ้อมแขนที่โอบกอดคนรักไว้ให้แน่นขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่รู้จะพูดอะไร
ออกมาจริงๆกับความรู้สึกในตอนนี้ เพียงแต่เขาอยากจะให้โซ่รับรู้ไว้แค่ที่ตรงนี้ยังมีเขา และข้างตัวโซ่ในตอนนี้
ไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
“โธ่…น้องโซ่ของแม่” คุณนายปลื้มจิตปาดน้ำตาของตัวเองทิ้งแล้วเดินเข้าไปกอดโซ่ ก่อนที่เสี่ยใหญ่
ผู้ที่เป็นหัวหน้าครอบครัวจะเดินเข้ามากางแขนรั้งทุกคนเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของตัวเองเป็นชั้นสุดท้าย
พอร์ชที่รับรู้ถึงแรงบีบเบาๆบริเวณหัวไหล่ทั้งสองข้างจากฝีมือของคนเป็นพ่อที่ยืนซ้อนอยู่ทางหลัง
ของแม่หลับตาลงแน่น ภาวนาให้ความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงที่จมอยู่ในจิตใจ คอยกัดกินให้ชีวิตของโซ่มืดมน
ได้หมดไป และก็ขอให้ความรักความหวังดีที่ตนและคนในครอบครัวมีเข้าไปรักษาเยียวยาหัวใจของโซ่ให้กลับ
มาเข้มแข็ง เป็นสีแดงสดใสดั่งทารกแรกเริ่มที่ไม่เคยพบพานในความทุกข์ระทมเหมือนที่ผ่านมา
TBC.
ช่วงน้องโซ่ไม่สบายอารมณ์ของนางก็จะสวิงนิดนึง ตามประสาคนไม่สบายตัว เช่นเดียวกับจิตใจที่ไม่ได้
แข็งแรงอย่างที่แสดงออกมาตั้งแต่แรก...อย่าได้ถือสา
ส่วนรายละเอียดเรื่องที่โซ่หลุดพูดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพ่อและคุณทนายนั้น เดี๋ยวเราได้รู้กันแน่
#โปรดติดตามกันต่อไป #ด้วยรัก
Ps. นักอ่านท่านใดมีธุระหรืออยากพูดคุยกับคนเขียนแบบส่วนตัวสามามารถติดต่อคนเขียนได้ที่ Facebook - เขียน'สือ
ได้ตลอดเวลาเลยนะคะ เพราะกว่าที่คนเขียนจะเห็นข้อความที่หลายคนทิ้งไว้ให้ในเล้าก็ผ่านไปหลายวันแล้ว