(ต่อนะคะ)
หลังจากนั้นผมก็เดินนำลูก้าเข้าไปในป่าและหยุดดพักกางเต้นท์บริเวณชายป่าซึ่งอยู่ไม่ไกลกับแอ่งน้ำจืดขนาดใหญ่นัก วันพรุ่งนี้ผมจะไปสำรวจฝั่งที่เป็นน้ำจืดบ้างว่ามีสัตว์อะไรอยู่ เกาะนี้อาจดูเหมมือนใหญ่แต่ถ้าเดินเลาะตามขอบแค่สองสามวันก็น่าจะวนรอบแล้ว ผิดจากด้านในป่าที่ทั้งรกทึบและชื้นแฉะ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้หนาที่ไม่ผ่านการบุกรุกจากมนุษย์มาก่อน
อาหารเย็นเป็นของง่ายๆ ที่เอาพวกอาหารกระป๋องมาต้มในหม้อโดยมีไฟจากการนำเศษไม้ใบหญ้ามากองรวมกัน ต้นไม้หนาขนาดนี้ตกดึกคงหนาวเทียบเท่าฤดูหนาวเลยทีเดียว
“ดับไฟหน่อยลูก้า” ผมบอกก่อนจะเปิดเต้นท์เข้าไปด้านใน
“ทำไมไม่จุดไว้ล่ะ เคยได้ยินว่าพวกสัตว์จะกลัวไฟนี่”
“ก็ใช่ แต่ผมไม่อยากจะรบกวนสัตว์ที่อยู่ที่นี่หรอก” แค่นี้ก็เข้ามาบุกรุกมากพอแล้ว อีกอย่างต่อให้ไม่มีไฟก็เชื่อเถอะว่าด้วยประสาทสัมผัสของลูก้าสามารถรับรู้ได้
“เข้าใจแล้ว”
เมื่อดับไฟเสร็จลูก้าก็เข้ามาในเต้นท์ที่มีทั้งถุงนอนและผ้าห่มวางเตรียมไว้ ด้วยความที่เป็นป่าทำให้ตอนกลางคืนมืดสนิทจนดวงตาของมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดนัก ผมเองตอนี้ยังควานหาโทรศัพท์ที่น่าจะอยู่แถวนี้ไม่เจอเลย
“ขยับไปทางซ้ายอีกสาม”
“ตรงนี้?” ผมขยับมือไปตามเสียงของลูก้า
“ซ้ายอีกนิด”
“อ๊ะ เจอแล้ว ขอบคุณลูก้า” ผมพูดขอบคุณก่อนจะเปิดโทรศัพท์เพื่อบันทึกสิ่งที่เจอวันนี้ลงไปในโน้ต
“ไม่เป็นไร”
“นอนก่อนเลย ผมขออีก5นาที” แม้จะเห็นไม่ชัดแต่ใช่ว่าจะไม่เห็นเลย ผมเห็นลูก้าที่ยังนั่งไม่ยอมนอนอยู่ข้างๆ
“รอได้”
“ควรพักนะ เหนื่อยกับการว่ายน้ำมานี่” ว่ายเกือบ3ชั่วโมงได้มั้ง
“ผมไม่เคยเหนื่อยกับการว่ายน้ำ”
“...นั่นสิ ก็เป็นไดโนเสาร์น้ำนี่นะ” สัตว์น้ำบางชนิดเองก็มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการเคลื่อนไหว ถ้าหยุดขยับมันก็จะตาย
“ให้ช่วยไหม”
“ไม่เป็นไร...เสร็จพอดีเลย เอ้า นอนๆ” ผมปิดโทรศัพท์ยัดใส่กระเป๋าก่อนจะมุดตัวเข้าไปอยู่ในถุงนอนโดยที่มีผ้าห่มคลุมอยู่อีกชั้น
“ผมไม่ชอบถุงนอนเลย มันแปลกๆ ”
“ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องเข้าไป นอนบนถุงเลยก็ได้” ผมตอบกลับ ยังไงก็มีผ้าห่มให้อยู่แล้ว
“แบบนั้นก็หนาวสิ”
“ขี้หนาวเหรอลูก้า”
“อืม...เพราะงั้น ขอขยับไปนอนใกล้ๆ ได้ไหม” คำขอนั่นทำให้ผมยกคิ้วขึ้น
“นี่ยังไม่ใกล้เหรอ” ผมว่ามันชิดแล้วนะ
“ยัง...อยากใกล้แบบนี้” พูดจบถุงนอนที่มีผมอยู่ด้านในก็ถูกลูก้าดึงเข้าไปกอดพร้อมผ้าห่มที่ถูกคลุมอีกชั้น
“...มากไปมั้ง” ผมพึมพำแต่ไม่ได้ขัดขืนสัมผัสของการกอดนั่น ยังไงเราก็แฟนกันแล้ว แค่นอนกอดมันเป็นเรื่องปกติ ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ลูก้าก็กอดผมนอนมาตั้งนานแล้ว
อากาศหนาวเย็นจากป่าไม่ส่งผลกับผมมากเพราะได้ไออุ่นจากลูก้าช่วยบรรเทา ยิ่งบรรยากาศเงียบเท่าไหร่ก็ยิ่งได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นสอดประสานกันมากเท่านั้น เสียงนั่นดังเป็นจังหวะคลับกล่อมจนเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ซุ่บ! ซุ่บ!
พรึ่บ!
เสียงการเคลื่อนไหวแปลกๆ จากด้านนอกนั้นทำให้ผมที่หลับอยู่เด้งตัวขึ้นมานั่งก่อนจะหันไปมองตามเสียงที่ได้ยิน เงาแปลกๆ หลายเงาปรากฏขึ้นผ่านผ้าของเต้นท์ปรากฏเป็นรูปสัตว์สองเท้าที่มีจงอยปากเหมือนสัตว์ปีก
“สาม” เสียงเรียกจากด้านหลังดังขึ้นเบาๆ ระหว่างร่างผมถูกรวบไปกอดไว้หลวมๆ
“ใช่เวลามากอดไหมลูก้า” ผมหันไปถามแล้วพยายามแกะมือที่กอดเอวอยู่ในหลุดออก สถานการณ์ตอนนี้ผมไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดีเพราะยังไม่ทราบถึงสายพันธุ์ของสัตว์ด้านนอกนั่นแต่ดูจากแสงสว่างที่รอดเข้ามาแปลว่าอยู่ในช่วงพระอาทิตย์กำลังขึ้น
มีสองขากับจงอยปากคล้ายนก หรือว่า...
“ขนาดมันเล็ก ไม่น่าจะอันตราย...”
“ถ้าพูดแบบนั้นแปลว่าไม่เคยเจอกาสโตร์นิสล่ะสิ”
“กาสโตร์นิส?”
“จากลักษณะที่เห็นน่าจะใช่” ต้องออกไปดูให้เห็นชัดๆ ถึงจะสามารถบอกได้เต็มปากว่าใช่ไหม
“อันตราย?”
“ก็ไม่เชิง เรียกว่าไม่แน่ใจดีกว่า”
“ไม่แน่ใจหมายถึงอะไร” ลูก้าถามต่อ
“การ์โตร์นิสเป็นสัตว์จำพวกนกที่ไม่สามารถบินได้เนื่องจากพวกมันมีส่วนขาอันแข็งแกร่งและมีโครงสร้างร่างกายหนักกว่านกปกติ สิ่งที่ทำให้ไม่แน่ใจคือในปัจจุบันยังไม่เคยมีการคืนชีพมันขึ้นมาก่อนเลยไม่สามารถรู้ได้ว่ามันเป็นสัตว์กินพืชหรือกินเนื้อกันแน่” จากข้อมูลที่อ่านมากาสโตร์นิสถูกถกเถียงกันในหมู่นักวิทยาศาสตร์ว่ามันกินพืชหรือกินเนื้อกันแน่เพราะดูจากจงอยปากของมันไม่น่าจะทรงพลังถึงขนาดฉีกขาดเนื้อได้
“สามจะออกไปดู”
“อืม” ผมพยักหน้าส่งไป
“ไม่กลัวเหรอ ถ้าพวกมันกินเนื้อขึ้นมาจะทำยังไง”
“ถึงตอนนั้นค่อยหาวิธี อีกอย่างพวกกาสโตร์นิสเป็นพวกที่สัมผัสไวพวกมันคงรู้แล้วว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่ถึงได้เดินวนอยู่รอบๆ เต้นท์ไง” ดูจากเงาที่เดินวนไปมาก็พอจะเดาได้ว่าเป็นพวกช่างสงสัย ไม่แน่อาจไม่ใช่สงสัยแต่กำลังหาเหยื่อก็ได้
ผมขยับตัวไปหยิบของที่จำเป็นพร้อมอาวุธก่อนจะเคลื่อนตัวไปยังทางออกก่อนเต้นท์แต่ก่อนที่ผมจะเปิดออกไปลูก้ากลับห้ามไว้ก่อนจะเป็นคนออกไปด้านนอกก่อน
เป็นห่วงกนเกินไปแล้วลูก้า
เขาคงกลัวว่าผมจะถูกโจมตีละมั้ง
กรรรรร~
และก็เป็นอีกครั้งที่ผมและลูก้าถูกทักทายด้วยเสียงคำรามจากเหล่าสิ่งมีชีวิตของเกาะนี้ เพียงแต่ครั้งนี้เสียงคำรามนั่นดังมาจากฝูงกาสโตร์นิสกว่า10ตัวที่อ้าจงอยปากที่เหลืองออกกว้างจนเห็นฟันซี่เล็กๆ อยู่ข้างใน
“...แบบนั้นไม่ใช่สัตว์กินพืชแล้ว” ผมพึมพำเมื่อได้สังเกตกาสโตร์นิสตรงๆ จงอยปากขนาดใหญ่กับส่วนกรามที่มีความยืดหยุ่นสูงนั่นไม่ใช่ของสัตว์กินพืชแต่เป็นกินเนื้อ ถึงจะพูดแบบนั้นแต่มันอาจเป็นเพียงการวิวัฒนาการของสัตว์บนเกาะนี้ก็ได้ อาจเพราะพืชที่กินไม่เพียงพอเลยจำเป็นต้องล่าสัตว์อื่นเพื่อมีชีวิตรอด แต่ไม่ว่าทางไหนก็เหมือนจะงานเข้าแล้วสิ
“เอาไงสาม” ลูก้าถามพลางมองไปยังกาสโตร์นิสรอบๆ ที่ใช้ดวงตาคมสีแดงสดจับจ้องมา
“ไม่ควรกลับร่าง ถ้าจะสู้คงต้องในร่างนี้” ผมตอบกลับ บริเวณชายป่านี่เต็มไปด้วยต้นไม้ถ้ากลับร่างมีแต่จะทำให้ผิวหนังของลูก้าถูกถากเท่านั้น อีกอย่างในร่างขนาดใหญ่คงสู้ความเร็วของกาสโตร์นิสบนบกไม่ได้
“...เราอาจไม่ต้องสู้ก็ได้นะ” ลูก้าพึมพำหลังจากนิ่งไปสักพัก ท่าทางนั่นเหมือนสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
“หมายถึงอะไรลูก้า...”
กรรรรรรรร~
ไม่ทันได้ถามจบประโยคเสียงขู่คำรามก็ดังกกก้องพร้อมร่างขนาดใหญ่อันปราดเปรียวกว่า4เมตรกระโดดเข้ามาขวางหน้าพวกเรากับฝูงกาสโตร์นิส เส้นขนสีน้ำตาลฟูฟ่อง ร่างกานอันกำยำและใหญ่โต คมเขี้ยมอันแหลมคมจนได้ชื่อว่าเป็นนักล่าที่ติดอันดับอันตรายแห่งยุคแคมเบียม
“แอนดรูซาร์คัส” ผมรียกชื่อสัตว์ตรงหน้าอย่างมึนงง
ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้
กรรรรรรร!
เสียงคำรามอีกรอบของแอนดรูซาร์คัสทำเอาสโตร์นิสกว่า10ตัวถึงกับชะงักก่อนพวกมันจะเริ่มส่งเสียงครวญครางแล้วหนีกระจายกันออกไปราวกับกลัวที่จะถูกล่า ดวงตาสีดำขลับของแอนดรูซาร์คัสหันกลับมาจ้องผมนิ่งเหมือนกำลังจะสื่อบางอย่างออกมาทว่าด้วยความที่เป็นมนุษย์จึงไม่อาจรับรู้ถึงการสื่อสารนั้นได้ทั้งหมด
ที่รู้คือแอนดรูซาร์คัสไม่ได้เป็นศัตรูแล้ว
“ลูก้า...เขาว่าอะไร” ผมหันไปถามลูก้าที่ยืนอยู่ข้างๆ
“...บอกว่ามาใช้หนี้น่ะ”
“ใช้หนี้?” หมายถึง?
“อืม เห็นว่าเรื่องตอนแอมบูโลซีตัส” คำพูดของลูก้าทำให้ผมนึกออกว่าอาจเป็นที่ผมบอกพวกแอมบูโลซีตัสไม่ให้เข้ามารุมตอนที่แอนดรูซาร์คัสติดอยู่ในฤทธิ์ของยาชา เพราะสาเหตุนั้นเลยมาช่วยคืนงั้นเหรอ
สมกับเป็นสัตว์ที่ถือเป็นเครือญาติของสุนัขในปัจจุบัน
“ขอบคุณนะแอนดรูซาร์คัส” ผมเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม
กรรร~
เสียงครางต่ำนั่นราวกับจะบอกว่าไม่จำเป็น
“คิก...” น่ารักไปอีกแบบแฮะ
หลังจากจบเรื่องกาสโตร์นิสผมและลูก้าพ่วงด้วยแอนดรูซาร์คัสที่ตามอยู่ห่างๆ ก็เดินมาสำรวจยังบริเวณแอ่งน้ำจืดขนาดใหญ่ ต้นไทรปัสเองก็ขึ้นอยู่กระจายตัวตามฝืนน้ำนั่นเป็นหย่อมๆ ภาพตรงหน้าให้ความรู้สึกสงบและสบายตามาก
เป็นภาพที่อาจหาได้ยากในปัจจุบัน ธรรมชาติเป็นสิ่งที่งดงามที่สุดแล้วในความคิดผม เหล่าสัตว์ทั้งน้ำจืด น้ำเค็มและสัตว์บก สัตว์ปีก รวมถึงพืชพรรณต่างๆ ถูกเก็บรวบรวมข้อมูลไว้แม้จะไม่ครบถ้วนแต่ก็มากมายจนหัวผมรู้สึกล้าๆ
แต่ถึงจะไม่ครบถ้วนก็คงไม่เป็นปัญหาเพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าผมไม่ใช่พวกเก่งด้านการสำรวจขนาดนั้น ยังไงเดี๋ยวก็ต้องมีคณะสำรวจมานี่อีกครั้งอยู่ดี ตอนนี้แค่ผมยืนยันสถานการณ์ว่าไม่มีอันตรายอะไรมากก็คงเพียงพอแล้วสำหรับภารกิจครั้งนี้
......................................................
สวัสดีค่า
มาอัพช้าไปนิก(ความจริงก็ไม่นิด 555)
สำหรับตอนนี้เป็นตอนต่อจากครั้งที่แล้ว เรียกว่าเป็นตอนสำรวจเกาะก็ว่าได้
หลายคนแอบหวังว่าสามอาจโดนลูก้ากิน ขออภัยที่สามยังคงรอดปลอดภัยนะคะะะ
ถึงเราจะแต่งฉากncได้แต่ก็แต่งไม่เก่งนัก แต่จะไม่มีเลยตลอดทั้งเรื่องก็สงสารลูก้า
เอาเป็นว่ามารอลุ้นวันที่สามจะตกเป็นขอลูก้ากันเถอะ
ขอบคุณทุกคนสำหรับคอมเม้นท์และกำลังใจนะคะ
เพราะได้รับกำลังใจจากทุกคนเราถึงได้สามารถแต่งนิยายมาได้ถึงตอนนี้
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ
บ๊ายบาย
-------มุมให้ความรู้เรื่องไดโนเสาร์-------
วันนี้ขอนำเสนอกาสโตร์นิส

กาสโตร์นิส (Gastornis) เป็นสายพันธุ์ที่สูญพันธุ์ของ นก ขนาดใหญ่ มันนกที่มีขนาดใหญ่มากและได้รับการพิจารณาว่าเป็นสัตว์กินนมขนาดเล็ก อย่างไรก็ตามหลายบรรทัดของหลักฐานรวมทั้งการขาดกรงเล็บที่ติดยาเสพติดในรอยเท้าของ Gastornis ที่ รู้จักกันดีและการศึกษาโครงสร้างของ ปลอกคอ ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถแปล reinterpret นกเหล่านี้ว่าเป็นสัตว์กินพืชที่กินอาหารที่มีเมล็ดพืชและเมล็ดยาก
ซากดึกดำบรรพ์ของ Gastornis เป็นที่รู้จักจากทั่วยุโรปตะวันตกตะวันตกของสหรัฐฯและจีนตอนกลาง ซากดึกดำบรรพ์ที่เก่าแก่ที่สุด (Paleocene) ทั้งหมดมาจากยุโรปและมีแนวโน้มว่าสกุลนั้นมีต้นกำเนิดมาจากที่นั่น ยุโรปในยุคนี้เป็นทวีปเกาะและ Gastornis เป็น tetrapod บกที่ใหญ่ที่สุดของทวีป ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับ นกช้างที่มี มาดากัสการ์เป็น นก กินพืชที่คล้ายสัตว์บกที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่ม ประเทศมาดากัสการ์ที่ แยกจากกันแม้ว่าจะมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ก็ตาม
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก :
http://www.bbc.co.uk และ wikipedia
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪