019
เช้ามา ผมเตรียมของกินและน้ำดื่มให้จำนวนหนึ่ง ไม่มากเท่าวันก่อน เพราะพวกจอมว่าวันนี้ถ่ายทำสถานที่ในเมือง จะแวะหาข้าวกลางวันกันเอาเอง เมื่อสะสางอะไรส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว จึงส่งข้อความบอกให้น้าปานช่วยเดินมาหา
เมื่อคืนผมวานเอกส่งฝ้ายกลับบ้าน พร้อมทั้งเล่าเรื่องให้น้าปานฟังทางโทรศัพท์ไปแล้วส่วนหนึ่ง เพียงแต่เว้นเรื่องของพวกดิวไว้ ผมตั้งใจจะเล่าให้ทั้งน้าทั้งสองฟังทุกอย่าง แค่ยังไม่อยากให้ฝ้ายรู้ จึงไหว้วานให้ผู้ใหญ่มาพูดคุยเช้านี้
คนที่มาเยือนไม่ได้มีแค่น้าปาน น้าชัยก็มาด้วย ผมเชิญทั้งสองเข้าบ้าน รินน้ำท่าให้ดื่ม ก่อนเข้าเรื่องโดยไม่ให้เสียเวลา เล่าความเป็นมาเป็นไปทั้งหมดอีกครั้ง คราวนี้รวมถึงต้นสายปลายเหตุที่เกี่ยวพันกับฝ้ายด้วย
“เดี๋ยวน้าไปโรงพยาบาลเอง แล้วเรื่องนี้ไม่ต้องบอกฝ้าย” น้าชัยฟังเรื่องราวแล้วเคร่งสีหน้า “ช่วงนี่แม่ก็อย่าให้ฝ้ายขี่รถเครื่องไปไหนมาไหนเอง บอกว่าให้คนงานยืมไปก็ได้ ถ้าจะไปไหนให้แตงขับรถเล็กไปรับไปส่ง”
น้าปานเห็นดีด้วย
ดังนั้นผมจึงขับรถโฟร์วีลของน้าชัย พากันไปยังโรงพยาบาล พอไปถึงก็พบว่าดิวย้ายไปอยู่ห้องธรรมดาแล้ว เตียงอยู่มุมในสุด รวมห้องกับผู้ป่วยคนอื่นซึ่งมีอยู่ไม่มากนัก แขนขวาที่หักถูกเข้าเฝือกไว้ มีสายน้ำเกลือเสียบติดหลังมือ ท่าทางอิดโรยเหมือนไม่ได้นอน แมนสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นพวกเรา รีบยกมือไหว้
น้าชัยมองดิวแล้วแค่นเสียงหนึ่ง ถามห้วนๆ
“พ่อแม่ไปไหน ไปเรียกมาคุยซิ”
ดิวพยายามใช้มือเดียวตั้งไหว้
“ผมขอโทษครับ มีอะไรก็ต่อว่าผมคนเดียวเถอะครับ แมนก็ไม่เกี่ยว ผมลากมันมาเอง”
“กูไม่อยากพูดกับเด็ก โทรเรียกพ่อมึงมา” น้ำเสียงดุดันเค้นลอดไรฟัน แม้เตียงข้างๆ จะว่างแต่ผู้ป่วยอื่นในห้องยังมีอยู่ จึงต้องระมัดระวังเรื่องระดับเสียง
“น้าครับ” แมนยกมือไหว้ท่วมหัว “พ่อดิวไม่มาหรอกครับ ผมโทรหาทั้งคืนเพิ่งเจอตัวตอนเช้า เขาบอกว่าไม่มาครับ แม่มันก็หย่ากับพ่อนานแล้วครับ”
ผมเห็นดิวหน้าซีดเผือด ไม่แก้ตัวอะไรอีก
“เออ ถ้างั้นมึงฟัง ต่อแต่นี้มึงสองตัวอย่าเข้าใกล้ฝ้ายอีก ถ้ากูเห็น มึงโดนหนักกว่านี้แน่” น้าชัยผิวคล้ำรูปร่างล่ำสัน หน้าตาขึงขังน่ายำเกรง เด็กสองคนเหมือนจะหงอจนฝ่อไปหมดแล้ว
“พวกผมไม่กล้าแล้วครับ ไม่ได้คิดร้ายกับน้องครับ ผิดไปแล้วจริงๆ จะไม่เข้าใกล้ฝ้ายอีกครับ” แมนช่วยพูดให้ดิว ยังมีการสะกิดให้อีกฝ่ายพูดตาม
“ครับ ผมไม่ยุ่งกับน้องฝ้ายอีกแล้วครับ”
น้าชัยจ้องหน้าเด็กทั้งสองเขม็ง ก่อนหมุนตัวออกไปเลย ผมหยุดพิจารณาดูสภาพคนเจ็บบนเตียงและข้าวของเครื่องใช้ที่ดูออกว่าเพิ่งไปซื้อมาลวกๆ แถวนี้แล้ว คิดว่าอีกฝ่ายคงพูดจริง ทั้งเรื่องที่ไม่มีผู้ปกครองมารับผิดชอบ และเรื่องที่จะไม่มาวุ่นวายอะไรอีก
ผมเดินขึ้นหน้าไปหยุดอยู่ที่ข้างเตียงดิว ลดเสียงลง
“มึงแค้นกูมั้ย ที่กูหักแขนมึง”
ทั้งดิวทั้งแมนนิ่งงัน มองผมด้วยสายตาทั้งกลัวทั้งระแวง
“ผมไม่โกรธครับพี่” ดิวก้มหน้าลง “ถ้าพี่ไม่ทำผมคงถูกส่งไปดัดสันดานแล้ว”
ถ้าดิวทำร้ายผมหรือจอมได้จริง คนที่ถูกพ่อแม่เพิกเฉยอย่างมันคงต้องเข้าสถานพินิจ ถูกไล่ออกจากโรงเรียน สุดท้ายคงไม่พ้นต้องกลายเป็นอันธพาลปลายแถว มีแต่จะตกต่ำไม่รู้จบ
เมื่อพอใจในคำตอบที่ได้รับ ผมจึงถอยออกมาเล็กน้อย แล้วถามเรื่องค่ารักษาพยาบาล เพราะกรณีนี้จะเรียกประกันหรือใช้สิทธิ์รักษาอื่นคงอธิบายเหตุผลที่แขนหักได้ยาก
แมนลังเล แต่ก็ตอบตามจริง
“ดิวมีบัตรที่พ่อมันให้ไว้กดเงินครับ” มันอึกอักครู่หนึ่งก่อนพูดเสริม “พ่อมันไม่มา แต่เรื่องเงินก็…พอมีครับ”
ผมพยักหน้าเนือยๆ คิดจะเดินจากไป ทว่าคนเจ็บกลับพยายามลุก เอ่ยตะกุกตะกัก ขอร้องผมด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“พี่ครับ ผม…ผมรู้ว่าผมผิดเอง แต่ขอร้องได้มั้ยครับ อย่าบอกฝ้าย…ได้มั้ยครับพี่”
ผมเงียบอยู่ครู่หนึ่ง มองแขนเก้งก้างอย่างเด็กวัยรุ่นของอีกฝ่ายที่เหลือดีข้างเดียว แล้วถอนใจเบาๆ
“ไม่บอกก็ได้ ถ้าพวกมึงจะไม่ยุ่งกับฝ้ายอีกจริงๆ”
“ครับๆ ขอบคุณครับพี่” ดิวรีบรับปาก ผมจึงวางเงินไว้จำนวนหนึ่ง แล้วเดินกลับออกมาโดยไม่ให้มันปฏิเสธ
ไม่ใช่เพราะผมใจอ่อนหรือมีเมตตา แต่เพราะเข้าใจในหลักการ ‘ไล่หมา อย่าไล่ให้จนตรอก’ ผมยังมีญาติอยู่ที่นี่ ฝ้ายก็ยังต้องเรียนอยู่ที่เดียวกัน ผมไม่อยากบ่มเพาะความแค้นให้คนอื่นต้องมาพลอยเดือดร้อนไม่จบไม่สิ้น
และถึงดิวไม่ขอร้อง ผมก็ไม่มีทางบอกฝ้าย แม้ว่าเนื้อแท้ของมันอาจไม่ใช่คนที่เลวร้ายจนเกินเยียวยานัก หรืออาจชอบฝ้ายด้วยใจจริง แต่สิ่งที่มันทำไว้ ไม่มีทางที่ผมหรือญาติผู้ใหญ่จะยอมรับ คนที่ชื่อดิวจะไม่ได้เฉียดกรายเข้ามาเป็นแม้ส่วนเสี้ยวในชีวิตของน้องผมตลอดไป
การถูกมองข้ามเหมือนไร้ตัวตน เลวร้ายยิ่งกว่าถูกเกลียด
ดีแล้วที่เด็กนั่นยังไม่โตพอจะเข้าใจเรื่องนี้...
…
ผมใช้เวลาช่วงสายพาผู้ใหญ่ไปมอบของขวัญและกล่าวคำขอบคุณคุณลุงตั้มกับทนายของท่านอีกครั้ง ค่อยรู้สึกโล่งอกได้เต็มที่เสียที เมื่อกลับถึงบ้านผมไม่ลืมที่จะโทรไปรายงานให้พ่อกับแม่ฟัง ท่านจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง
ตอนกลางวัน ผมแวะไปกินข้าวที่บ้านน้าปานเพื่อถือโอกาสดูฝ้าย ปรากฎว่านอกจากจะไม่ขวัญเสียยังปลื้มในวีรกรรมของผมเสียยกใหญ่ จึงได้แต่ปรามว่าอย่าไปบอกใครเพราะอาจเสียถึงผู้ใหญ่ที่ออกหน้าช่วย กับสำทับว่ารอบตัวทุกวันนี้อันตราย อย่าไปไหนมาไหนคนเดียว ให้ใช้พี่คนงานขับรถให้ ดูน้องผมก็รับปากเชื่อฟังโดยดี
ส่วนความจริงบางเรื่อง เก็บเอาไว้ก็ดีแล้ว...
บ้านที่จอแจตลอดสองวันที่ผ่านมา พออยู่คนเดียวก็รู้สึกเงียบเหงาไปสักหน่อย ผมเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านสบายๆ แล้วเริ่มเก็บของบางส่วน เพราะคืนนี้ต้องเดินทางกลับกันแล้ว จึงใช้โอกาสปลอดคนอันดีงามนี้ ดึงผ้าปูเตียงกับเสื้อที่ถูกขยุ้มไว้มุมหนึ่งออกไปซักตรงรอยเปื้อนด้วยมือในห้องน้ำ ตัวเสื้อซักตากรับแดดไว้ ส่วนผ้าปูเตียงถูกโยนเข้าเครื่องซักผ้าต่อ
ของใช้ส่วนตัวถูกทยอยเก็บลงกระเป๋า ผมช่วยจัดของกองไว้ให้จอม แต่รอมันมาแพ็คเอง มาไม่กี่วันข้าวของมีไม่มาก เก็บแป๊บเดียวก็เสร็จ รู้สึกเบื่อๆ ประกอบกับเริ่มระบมที่แขน เลยเอนหลังนอนพัก ก่ายมือซ้ายสะเปะสะปะควานหาหลอดยามาทาบรรเทาปวด รอยแดงเมื่อคืนเริ่มคล้ำม่วงดูน่ากลัวกว่าเก่าแม้ความจริงจะไม่รู้สึกเจ็บขนาดนั้น อาจเพราะผมผิวขาวด้วยมั้ง
เมื่อคืน…ผมไม่ได้คิดจะสารภาพเลยแท้ๆ
อันที่จริงผมจะโกหกจอม เหมือนที่โกหกทุกคนก็ได้ แต่พอถูกมันพูดแทงใจดำแบบนั้น มันทำให้ผมรู้สึก...ประหลาดใจ
เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะอ่านใจผมออก
ผมอาจชอบความเรียบง่าย โดยปกติจึงแสดงออกอย่างนั้น ทว่าในใจผมรู้ดีถึงความซับซ้อนของตัวเอง ผมเกลียดความวุ่นวาย ไม่ชอบแหวกกฎเกณฑ์ หรือปล่อยให้อารมณ์มาครอบงำ ดังนั้นผมจึงเรียนรู้ที่จะควบคุมตนเองมาตั้งแต่เด็ก น้อยครั้งมากที่ผมจะโกรธ หรือแสดงอารมณ์รุนแรง
แต่นั่นก็หมายความว่า น้อยครั้งมากที่ใจผมจะหวั่นไหว
ในแง่หนึ่งที่ทุกคนอาจเห็นว่าผมสุภาพ ใจเย็น มีสติ มักเอาน้ำขุ่นไว้ในน้ำใสไว้นอก ทำในสิ่งที่ถูกที่ควรเสมอ ยังมีอีกแง่ที่เก็บงำความคิดความรู้สึก ไม่ค่อยยินดียินร้าย ไม่ยึดติดผูกพันกับใครหรืออะไรมากนัก ไม่มีความฝัน ขาดความเร่าร้อนในจิตใจ
อาจเพราะผมมักได้อะไรมาโดยไม่ยากเย็น ทั้งเรื่องเรียน เล่น กีฬา ขอแค่ตั้งใจสักเล็กน้อยก็ประสบความสำเร็จ ไม่เคยต้องขวนขวายถึงขั้นเอาเป็นเอาตาย ครอบครัวหรือก็สมบูรณ์ ไม่เคยขาดความรัก มีทั้งพ่อที่น่านับถือ แม่ที่ใจดี พี่น้องที่ต่างเก่งต่างดีไปคนละด้าน ตัวผมเองก็พอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่มาก
แต่ชีวิตที่ราบรื่นและง่ายดายเช่นนี้ บางครั้งจึงกลับรู้สึก…ชืดชา ไร้รสชาติ
ตัวตนของจอม จึงเป็นข้อยกเว้นเดียวสำหรับทุกสิ่งในโลกอันไร้คลื่นลมของผม
หากจะให้อธิบาย คงบอกได้เพียงว่า จอมคือแสงสว่างในใจผม คือดวงอาทิตย์อันเจิดจ้า ส่วนผมพอรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นหนึ่งในดาวมากมายที่โคจรรอบตัวมันแล้ว ไม่ว่ามันจะทำอะไร อยู่ตรงไหน ท่ามกลางผู้คนอีกสักกี่คน ความสนใจของผมก็คอยแต่จะถูกดึงให้ผูกติดอยู่กับมันเพียงผู้เดียว
คนที่มีพร้อมทุกอย่างแต่ยังคงใช้ชีวิตอย่างซื่อตรง และมุ่งไปยังความฝันของตัวเองโดยไม่มีลังเลอย่างนั้น ช่างสดใสจนผมตาพร่า ทั้งน่าอิจฉาและน่าชื่นชม
เมื่อได้พบกับจอม ความว้าวุ่น ไม่อาจควบคุม ไม่อาจหักห้าม หลงใหลใฝ่ฝัน หัวใจเต้นแรง ทุกความรู้สึกที่ผมไม่อยากให้เกิด กลับรุมเร้าอยู่ในใจอย่างไม่อาจปฏิเสธ เป็นจุดอ่อนพราวสีสันในโลกสมบูรณ์แบบสีจืดจางของผม ที่ผมยินดีรับไว้ด้วยความเต็มใจ
และไม่รู้ว่าผมโชคดีถึงเพียงไหน ถึงได้แสงสว่างที่เคยหวังแค่อยากเฝ้ามองไม่แตะต้องดวงนั้นมาครอบครอง
ผมจึงชอบตามอกตามใจ โอนอ่อนให้มันเสมอ อยากให้แต่สิ่งที่คิดว่าดีที่สุด อยากทำให้มันมีความสุข จนบางครั้งแม้ต้องเสียสละบ้าง หรือปิดบังความจริงบ้าง ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นอะไร
แต่จอมไม่เคยละเลยความรู้สึกของผม มันไม่ได้เข้ามาใกล้ชิดแค่เพียงกาย หากยังใช้หัวใจเรียนรู้กันอย่างค่อยเป็นค่อยไป ความคิดบางอย่างที่ตั้งใจเก็บงำซ่อนไว้ กลับถูกอ่านออกเข้าจนได้
ไม่รู้เหมือนกันว่านี่เป็นเรื่องดีหรือร้าย ใช่ว่าผมอยากมีความลับกับจอม แต่เมื่อเกราะกำบังที่เคยอยู่ติดตัวเสมอถูกทลายลงทีละน้อย ผมก็ไม่แน่ใจว่า…เมื่อเปิดใจจนหมดสิ้นแล้ว จอมจะผิดหวังหรือไม่ ยังจะชอบ จะยอมรับกับทั้งด้านบวกและลบในตัวผมอยู่หรือเปล่า
และหากไม่ยอมรับ หัวใจที่ไร้การป้องกัน จะอยู่ต่อไปในสภาพไหน
ยิ่งจอมสำคัญกับผมมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่นมากเท่านั้น แต่แรงผลักดันบางอย่าง ทำให้ผมพูดออกไปในที่สุด ใจหนึ่งก็ใคร่รู้ แต่อีกใจ ถ้าบอกว่าไม่กลัว ไม่กังวล ก็โกหกแล้ว
ทว่าจอมมักทำในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงเสมอ มันไม่ได้แค่ยอมรับ แต่กลับบอกว่าชอบที่ผมเป็นแบบนี้ แววตามองตรง รอยยิ้มเปิดเผย มือที่อบอุ่นและอ่อนโยน แม้จะพูดจากระเซ้าหยอกล้อ ไม่อ่อนหวาน แต่ผมกลับรู้สึกตื้นตันยิ่งกว่าถูกบอกรักด้วยถ้อยคำหวานซึ้งเสียอีก
จอมคงยังไม่รู้หรอกว่า ผมรักมันมากกว่าที่แสดงออกตั้งไม่รู้กี่เท่า ความรู้สึกที่เก็บมาเนิ่นนานในใจนี้ ถือเสียว่าเป็นอีกหนึ่งปราการสุดท้าย ที่สักวันหนึ่ง หากเราจับมือกันไว้เนิ่นนานเพียงพอ ผมอาจจะยอมบอกให้มันฟัง
ส่วนตอนนี้ หรือต่อไปในวันข้างหน้า ผมอาจยังมีเรื่องที่เก็บไว้ มีความในใจที่ไม่ได้เปิดเผย มีเรื่องที่อาจต้องปิดบัง หรือไม่บอกให้มันรับรู้
แต่ขอแค่มันเชื่อใจ เข้าใจ รักและยอมรับ ผมก็จะมอบให้ทั้งหมดที่มี ทำทุกสิ่งที่ดีเพื่อมัน
…
Jom's
บ้านไม้เรือนเก่าท่ามกลางแสงยามเย็นดูเงียบสงบชวนให้รำลึกถึงอดีต ผมแปลกใจที่ตัวบ้านมืดครึ้มไร้แสงไฟ ธีอาจจะยังไม่เสร็จธุระล่ะมั้ง
คิดแบบนั้นแต่พอไล่เปิดไฟไปจนถึงห้องนอนก็เจอร่างโปร่งนอนห่มผ้าถึงแค่ช่วงอกอย่างลวกๆ เผยท่อนขาเนียนขาวที่ชวนน้ำลายหก ธีไม่ค่อยมีขนเลยแฮะ…อืม…
สลัดความคิดอกุศลออกไปก่อน ผมแตะหลังมือตรงหน้าผากมันเบาๆ เทียบกับตัวเองเพื่อวัดไข้ อุณหภูมิที่ได้ดูเหมือนจะปกติดี
“กลับมาแล้วเหรอ” ธีรู้สึกตัวทันทีที่ถูกสัมผัส มันปรือตาขึ้นมอง “งานเป็นไงบ้าง”
“ไม่มีปัญหา นี่กลับช้าเพราะมัวแต่แวะซื้อของกิน จะเอากลับกรุงเทพกัน ของเยอะจนต้องหาลังมาใส่แล้วมั้ง แล้วนี่แขนเป็นไง” ว่าแล้วก็ค่อยจับแขนข้างที่เจ็บมาดูอย่างระมัดระวัง รอยม่วงๆ แดงๆ ดูแย่กว่าเมื่อวานเสียอีก
“ไม่เจ็บเท่าไหร่ มันช้ำก็เป็นแบบนี้แหละ”
ผมหรี่ตาไม่ค่อยวางใจ มนุษย์ความอดทนสูงอย่างธีจะอะไรก็คงว่าเบาไว้ก่อน
“พูดจริง” อีกฝ่ายคลี่ยิ้ม “นี่เก็บของไว้ให้หน่อยแล้ว มึงมาเช็คเองอีกทีละกัน แล้วก็…เอ่อ…มีเสื้อตากอยู่หน้าห้องน้ำตัวนึง ไม่รู้แห้งยัง”
ประโยคหลังมาพร้อมเสียงกระแอมเก้อเขิน ผมถึงค่อยนึกออกว่าเป็นเสื้อตัวไหน เลยยิ้มร้ายใส่มัน เท้าแขนคร่อมกักตัวคนที่กำลังขยับลุกให้เอนหลังกลับลงไปเหมือนเดิม
“คิดทะลึ่งอะไรอีกละ” ธีทำหน้าดุ แต่ขอโทษที โคตรยั่วว่ะ
“อยู่กับมึง กูคิดดีไม่ได้เลยอ่ะ”
“ไม่กลัวกูหักแขนมึงเนอะ”
“เชี่ย! อย่าขู่ดิวะ หดหมด”
คนข้างล่างหัวเราะเสียงใส ขยุ้มคอเสื้อผมดึงไปจูบเบาๆ
“กลับกรุงเทพค่อยต่อ”
ข้อเสนอใช้ได้ เลยขอจูบมัดจำอีกครั้ง เรื่องหักกระดูกคนไม่สู้ แต่ดูดปากให้เจ่อนี่อย่าท้า
“พอ ไปเก็บของไป เดี๋ยวจะลงไปดูในครัวหน่อย” ริมฝีปากแดงฉ่ำเผยอหอบหายใจน้อยๆ ดันอกผมเป็นเชิงบอกให้ลุก
เพราะด้านนอกยังได้ยินเสียงคุยเสียงคนเก็บของเดินไปเดินมา ผมก็ไม่มีปัญญาทำอะไรมากไปกว่านี้เหมือนกัน จำยอมให้มันผละออกไป ผมหยิบกองเสื้อผ้าที่พับเรียบร้อยแล้วมาวางบนเตียง เทของในเป้ออกจัดใหม่ โทรศัพท์มือถือเลยกลิ้งไหลออกมาพร้อมของอย่างอื่น
ช่วงพักกลางวันผมพิมพ์เล่าเหตุการณ์เรื่องที่เกิดให้ทศอ่าน เป็นข้อตกลงระหว่างเรา ถ้าผมต้องการให้มันรายงานเรื่องธี เวลาพี่มันมีเรื่องอะไรสำคัญก็ต้องเล่าให้มันฟังด้วย ยื่นหมูยื่นแมว เท่าที่ผ่านมาผมว่าเด็กนี่เชื่อใจได้และห่วงพี่มันมาก เลยบอกเป็นนัยๆ ไปด้วยว่าธีคงตั้งใจหักแขนดิว
จะว่าไปก็เพราะทศนี่แหละ ก็มันดูใส่ใจคอยปกป้องพี่มันอย่างกับบอดี้การ์ด ผมเลยพลอยติดอิมเมจว่าธีไร้พิษสง ต้องการให้ดูแล ซึ่งความจริงตรงกันข้ามเลย ไม่รู้ทศมันกลัวอะไรกันแน่
ตอนนั้นมันไม่ได้อ่าน คงยุ่งอยู่ ผมก็พิมพ์ทิ้งไว้แล้วทำงานตลอดวัน ไม่ได้สนใจอะไรอีก คิดแล้วจึงหยิบมาเปิดดูไลน์เสียหน่อย เห็นมันตอบกลับมาประโยคหนึ่ง
[อีกแล้วเหรอ]
“…”
อีกแล้วคืออะไร ทศ มึงช่วยอธิบายมากกว่านี้หน่อย มึงอยากได้พี่เขยพิการเหรอ ทศ!
***
TBC
ขออภัยที่ช้า ช่วงนี้งานยุ่งยาวๆ น่าจะอีกสัก 2 เดือนเลยมั้งคะ อาจจะหายไปบ้าง คงไม่ถึงขั้นหายเป็นเดือนนะคะ แต่เผื่อไว้ว่าช้า ยังไงถ้าหาเวลาแต่งได้ก็จะมาต่อแน่นอนค่า