ตอนที่ 7 อดีตชาติของภูวรินทร์
“คุณภูไม่กลับแล้วหรือคะ”ป้าษอรเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงแปลกใจ สีหน้าของเธอดูจะเหลือเชื่อที่เขายังยืนอยู่ต่อหน้าของเธอ เขาไม่อาจรู้เลยว่าเธอแกล้งทำหรือเปล่า ทั้งที่รู้แก่ใจว่าเจ้าของบ้านหลังนี้กับเขามีความหลังกัน
“ครับ พอดีโชติมันเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย”ภูวรินทร์ตอบ เหลือบมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายอยู่เงียบ ๆ
“ตายจริง เป็นอะไรมากไหมคะ”ป้าษอรตกใจ เธอมีแววตากังวลใจอย่างเห็นได้ชัด ริ้วรอยของกาลเวลาเหมือนจะมีชัดเจนกว่าครั้งแรกที่เจอกัน เธออยู่รับใช้คนบ้านนี้มานาน แต่ไม่ทันคุณแก้ว แต่เธอยังภักดีต่อท่านเจ้าของบ้านผู้จากไปมากกว่าตัวเขาซะอีก
“ไม่ครับ ผมเลยไม่ให้มันมาแล้ว”ภูวรินทร์เอ่ย มันน่ากลัวหากว่าอุบัติเหตุนั่นเกิดขึ้นเพราะเขาต้องการที่จะหนีออกจากบ้านหลังนี้ ถ้าเป็นเรื่องจริง เขาเองก็อยากรู้ว่าทำไม ตั้งแต่เช้าเขายังไม่เห็นอินทนิลเลย เขาไม่อยากถามเอากับป้าษอรเลยออกไปเดินรอบบ้าน ‘ถ้าหากว่าคุณแก้วถูกคนอื่นฆ่าตายจริงๆล่ะ...ใครเป็นคนทำ’เขาฉุกคิดถึงฝันคืนนั้น ใจจริงเขาอยากรู้เรื่องราวในครั้งอดีตว่าเกิดอะไรขึ้น คุณแก้ว...จะบอกเขาได้หรือเปล่า
รู้ตัวอีกที ชายหนุ่มเดินมาถึงหน้าเรือนเพาะชำแล้ว ไม้ประดับวางเรียงกันอยู่ข้างๆตัวเรือน ยังคงออกดอกสวยอยู่ เขาเปิดประตูเข้าไปด้านใน ปรากฏว่าอินทนิลมานั่งกอดเข่าอยู่ตรงปากหลุม คล้ายกับงีบหลับ บริเวณรอบๆหลุดถูกล้มไว้ด้วยเส้นสีเหลืองไว้ มองแล้วไม่สบายใจ
“มาทำอะไรตรงนี้”เขาเอ่ยถาม รู้สึกเป็นห่วงอินทนิลขึ้นมา เจ้าตัวไม่ขยับไปไหน เขาแน่ใจว่าอินทนิลได้ยินเสียงของตนแน่ๆ ไม่นานนักอีกฝ่ายก็ขยับตัว
“อินน์รู้สึกหดหู่ คุณก็กำลังจากไป แล้วท่านก็เหมือนจะไม่คุยกับอินน์แล้ว”ถ้อยคำของอินทนิลทำให้เขานิ่งเงียบ รู้สึกลังเลอยู่ในใจ ความปรารถนาที่จะจากออกไปจากบ้านหลังนี้โดยเร็วเริ่มลดทอดลงไปมาก ไม่รู้ว่ามาจากสาเหตุอะไร
“หมายถึงวิญญาณของท่านเหรอ”เขาถาม แล้วเดินไปหาอีกฝ่าย อินทนิลเงยหน้ามองเขา ใบหน้านั้นเซื่องซึม นัยน์ตาสีนิลหม่นหมองลง ท่าทางเศร้าโศกราวกับสูญเสียคนในครอบครัวไป ชายหนุ่มมองเด็กหนุ่มอยู่นาน
“ร่างของท่านจากไปแล้ว เวลาของท่านก็เริ่มเหลือน้อยลงเช่นกัน”เด็กหนุ่มส่ายหน้า ร่างกายไม่ขยับไปไหน ภูวรินทร์ อยู่ๆก็รู้สึกโหวงเหวงในใจขึ้นมา
“ออกจากที่นี่เถอะ อยู่ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก”เขาบอกเสียงปราม แล้วก้าวไปหาอีกฝ่าย เอื้อมไปจับไหล่ของเจ้าตัวที่ห่อเหี่ยว อินทนิลมองเขา สายตาลังเลกัดปากเหมือนกำลังขบคิด
“คุณจะไม่จากไปใช่ไหม”อินทนิลถามขึ้นมา ชายหนุ่มถึงกับถอนหายใจ เขาไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าความต้องการอยู่อย่างสงบสุข ไม่มีฝันร้ายมากร่ำกราย
“...ฉันจะยังไม่ไปไหน”เขาบอกด้วยรอยยิ้ม อินทนิลไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาซะทีเดียว แต่บางครั้งก็ทำตัวเหมือนเด็กไม่โต เจ้าตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะปัดเศษดินออกจากกางเกง สิ่งที่ยังไม่เปลี่ยนไปคือเสื้อผ้าอาภรณ์และเท้าเปล่าเปลือยนั่น
“งั้นก็ดีสิครับ”อินทนิลพูด เหลือบตามองเขา นัยน์ตานั้นเหมือนมีประกายความหวัง ชายหนุ่มไม่ติดใจอะไร เขาเดินออกจากห้องเรือนกระจก กระถางดอกไม้เลื้อยและพันธุ์ไม้ยืนต้นเล็กๆไม่ช่วยให้เขารู้สึกดี ส่วนอินทนิลเดินตามหลังเขามา
“เธอสบายดีนะ”ภูวรินทร์หันไปถามเด็กหนุ่มเพื่อความแน่ใจ อินทนิลยิ้มออกมาแล้วส่านศีรษะ “อินน์สบายดีครับ แต่ว่า ขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหมครับ”
“อะไรล่ะ”เขาแปลกใจที่อีกฝ่ายเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากตน
“...มันอาจรบกวนคุณ แต่อินน์ต้องการความช่วยเหลือ”เขาปล่อยให้อินทนิลพูดไปเรื่อยๆ “คือว่า ช่วยอินน์ตามหา...เอ่อ...ศพทารกหน่อย”สิ้นคำของเด็กหนุ่ม ภูวรินทร์ถึงกับอึ้งไป
“ศพทารกเหรอ”เขาตกใจกับเรื่องที่ได้ยิน อินทนิลมองเขาก่อนจะหัวเราะเบาๆยกมือโบกพัลวัน
“จะว่าอย่างไงดี ระยะหลังมานี้ เหมือนว่า‘ท่าน’จะระแคะระคายเรื่องคำสาปของตระกูล ทีแรกคิดว่าคุณภู เอ่อ ท่านอาเป็นคนแช่ง แต่กลับไม่ใช่”อินทนิลเกาศีรษะ ดวงตากลมใสมองเขาอย่างสนใจ
“เธอรู้ความจริงงั้นเหรอ”เขารีบถาม เผลอตัวเข้าไปจับไหล่ของอีกฝ่ายไว้ อินทนิลเม้มปากมองเขา ร่างกายเหมือนเกร็งขึ้นมา ชายหนุ่มรู้ถึงความผิดปกตินี้ แต่ไม่ได้ปล่อยมือออก เขาเองก็แปลกใจเรื่องของอินทนิลไม่น้อย การแสดงออกทางร่างกายมันทำให้เขาสงสัย และอยากหาคำตอบ ว่ามาจากตัวของอินทนิลหรือว่ามาจากคุณแก้วกันแน่
เขาเชื่อว่าคุณแก้วรับรู้ทุกการกระทำของอินทนิล เหมือนจิตวิญญาณครึ่งหนึ่งเป็นของคุณแก้วด้วย... อีกครึ่งเป็นของอินทนิล เด็กหนุ่มผู้ซึ่งชะตาขาดไปกว่าครึ่ง แต่เขาเลือกจะยอมรับอินทนิลในฐานะมนุษย์ปกตินั่นแหละ มีเลือดมีเนื้อ และหัวใจ แต่คงเป็นหัวใจที่ไม่บริสุทธิ์
“ครับ... เหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับมณี เมียของท่านอา”อินทนิลพูดห้วนขึ้นและใส่อารมณ์ต่างจากเวลาปกติ แววตาแข็งกร้าวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เขาแทบไม่ได้นึกถึงผู้หญิงอีกคนที่เป็นตัวแปรของเรื่องในอดีตนี้ ...แล้วเกี่ยวอะไรกับศพทารกกัน... เขามองอินทนิลทันควัน เด็กหนุ่มยิ้มเย็นชาราวกับอ่านใจเขาได้
“เธอแท้งลูกของท่านอา และหล่อนก็โทษว่าเป็นความผิดของท่าน”อินทนิลย่นหน้า ริมฝีปากยกขึ้นอย่างถือดี
“...แล้วใช่เรื่องจริงไหม”เขาถาม ในใจรู้สึกหวาดหวั่น เขาไม่อยากรับรู้ว่าแท้จริงแล้วคุณแก้วเป็นคนโหดร้าย แม้ที่เคยสัมผัสรับรู้ตัวตนของคุณแก้วนั้นอันตรายและไม่น่าเข้าหานัก
“...แค่มีส่วนน่ะ แต่เรื่องนี้ต้องโทษท่านอา! เขาผิดคำพูด หนำซ้ำยังไปเอาหญิงชาวบ้านมาเป็นเมียอีกคน”ความจริงต่อมาทำให้เขาแทบไร้เรี่ยวแรง มันเหมือนถูกดึงจิตวิญญาณ เป็นเรื่องในอดีต แต่ทว่าเขากลับรู้สึกปั่นป่วนไปด้วย ลมหอบใหญ่ปะทะผ่านร่างของเขาไปทำให้ชายหนุ่มร่างกายไม่สมดุล
“คุณภู! เป็นอะไรครับ”อินทนิลทำหน้าตกใจรีบเข้ามาประคองร่างของเขาไว้เต็มแขน ร่างกายของเด็กหนุ่มแข็งแรงน้อยกว่าไม่สามารถพยุงนำหนักตัวของเขาได้ดีพอ ทั้งคู่เซล้มไปด้วยกัน
ภูวรินทร์รู้สึกเวียนหัว โลกทั้งใบหมุนไปหมด เป็นความรู้สึกที่ไม่ดีจริงๆ ร่างกายเย็นวาบไปชั่วขณะ มองเห็นอินทนิลกอดร่างของตนไว้ด้วยอาการผวาเกินกว่าเหตุ ในหัวเหมือนได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มร้องเรียกชื่อของตัวเองและของคุณแก้ว ปกติอินทนิลจะเรียกอีกฝ่ายว่าท่านเสมอมา
สติของชายหนุ่มดับวูบ มืดดำไปหมด เขาคิดว่าตนเองเป็นลมไป แต่คงไม่ใช่ ไม่อย่างนั้นตนเองคงไม่สามารถรู้สึกนึกคิดขึ้นมาได้แบบนี้ อาการคลื่นไส้เวียนหัวเริ่มหายไป แต่ความปั่นป่วน หนาวเย็นไปทั้งร่างยังคงอยู่ ไม่อาจรู้ได้ว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับอะไร
‘แก้ว’
เป็นเสียงของหมื่นนรินทร์ เสียงเรียกคล้ายกับกำลังโกรธเคือง เขาได้ยินเช่นนั้น แต่สองตามองไม่เห็นเหมือนติดอยู่ในหลุมดำที่พันธนาการโอบล้อมทั้งร่างไว้
‘เหตุใดต้องใช้น้ำเสียงเช่นนั้นใส่เราด้วย”สุ้มเสียงของแก้วโต้ตอบกลับมา น้ำเสียงที่ต่างจากอินทนิล มีความถือดีปรากฏชัด
‘คิดว่าฉันไม่รู้จริงๆหรือว่าเธอทำอะไรลงไป”เสียงที่คล้ายคลึงกับภูวรินทร์เอ่ยโต้ตอบกลับมา มีความขุ่นเคืองอยู่ในนั้น
‘ความผิดของเรางั้นหรือ ถือว่าเราสงสารหล่อนซะมากกว่า ที่มีสามีผิดครรลองคลองธรรม ไม่ผิดที่หล่อนจะโศกเศร้าซะจนแท้งลูก’แก้วเอ่ยด้วยความเย้ยหยัน
‘พูดความจริงมาเดี๋ยวนี้!”เหมือนผู้เป็นอาโกรธจัด ตวาดดังลั่น ไม่มีวี่แววของความอบอุ่น เวลานี้คงหมดสิ้นความรักไปซะแล้ว
‘เราพูดไปหมดแล้ว ท่านอาไม่เชื่อ ก็อับจนถ้อยคำ”แก้วยังคงไม่ยอมลงให้
ท่ามกลางความมืดมิด ภูวรินทร์มองไม่เห็นร่างของใครทั้งสิ้น สองหูเพียงได้ยินเสียงโต้ตอบไปมาของคนทั้งคู่ เรื่องราวในอดีต นี่ไม่ใช่ความทรงจำ อาจเป็นฝันร้ายมากกว่า ชายหนุ่มเชื่อเช่นนี้ ทุกสิ่งที่เจอและได้ยินเกี่ยวกับเรื่องเมื่อแปดสิบปีก่อนนั้นเขาไม่เคยได้สัมผัสมันจริงๆ มันมาในรูปของฝันทั้งสิ้น
‘คิดว่าฉันไม่กล้าทำอะไรเธอหรือไงแก้ว’หมื่นนรินทร์ข่มขู่
‘เปล่า ท่านทำได้ทุกอย่างเสมอ บ้านทั้งหลังยังเอาไปได้ นับประสาอะไรกับชีวิตของหลานโง่เขลาคนนี้’ถ้อยคำนี้เหมือนเป็นการพูดถากถางตัวเองอีกครั้ง
‘เธอคิดว่าเพียงเท่านี้จะหยุดฉันได้หรือ คิดว่าฆ่าลูกมณีไปแล้ว เราจะกลับมาเป็นเหมือนก่อนรึไง ไม่มีทาง ฉันอยากมีลูก และคนตระกูลภิรมย์สุขต้องมีลูกของฉันสืบสกุล ไม่ใช่จากพี่น้องของเธอ’หมื่นนรินทร์พ่นความจริงนี้ออกมาด้วยโทสะ ทั้งเห็นแก่ตัว ไร้สำนึก
‘ลูกของพี่กิ่งและพี่ไกร ไม่ใช่เลือดของภิรมย์สุขหรือ’แก้วถามกลับมาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
‘อย่าหาเรื่องเฉไฉ ไม่อย่างนั้นฉันจะส่งเธอไปเข้าตารางเสีย’
‘หากท่านอาไปกับเรา เราก็ยินดี’คุณแก้วเอ่ย น้ำเสียงไม่มีความกังวลหรือการประชดใดๆ แต่นั่นเหมือนเป็นการราดน้ำมันใส่กองไฟให้ลุกโหมหนักกว่าเก่า
‘แก้ว! พอเสียที!’
‘ผู้ใดควรพอ คิดว่าเราไม่รู้เห็นหรือว่า ท่านไปทำผิดผีกับลูกสาวชาวบ้านข้างล่างนั่น...ไม่คิดว่าคนที่เรารักจะทำเรื่องบัดสีได้ วันหน้าตระกูลเราเสื่อมเสียเพราะท่านอา’
‘ไม่ใช่เพราะเธอรึไง มณีไม่ต้องการมีทายาทให้ฉันอีกต่อไป ฉันก็ต้องหาทางอื่นมันก็ถูกแล้ว’
‘เราไม่ได้ทำร้ายลูกของมณี...’แก้วยืนยัน
‘ฉันให้หมอฝรั่งมาตรวจ มณีแท้งลูกเพราะพิษ ในบ้านนี้มีใครใช้พิษงั้นหรือ นอกจากเธอที่มีพืชพิษอยู่ในเรือนเพาะนั่น และมันก็ตรงกันเสียด้วย คำแก้ตัวไม่ได้เรื่องเช่นนี้ คิดว่าฉันโง่หรือไง’หมื่นนรินทร์ไม่ปักใจเชื่อ ยังคงยกเหตุผลมาสู้
‘...อ้อ อย่างกับว่าเรือนเพาะของเราใส่โซ่ตรวนไว้แน่นหนา ใครๆก็เข้าออกได้ คิดว่าเราอยากให้ลูกของท่านตายงั้นหรือ ท่านไม่น่ามาใส่ร้ายเราแบบนี้ ถึงจะไม่พอใจที่ท่านอาหมางเมินต่อกัน แต่เราไม่ได้โหดเหี้ยมเพียงนั้นหรอก’แก้วพูดช้าๆ ดูเหมือนว่าหมดแรงจะพูดต่อจากที่เคยโต้เถียง โทสะ และความหลงผิดบดบังทัศนะของท่านอาโดยแท้
‘ต่อไปนี้อย่าก้าวขาออกมาในบ้านของฉันอีก ...บัว! คอยเฝ้าแก้วไว้ให้ดี อย่าให้ไปไหนเด็ดขาด!’ท่านอาสั่งคนรับใช้ของคนสนิทของแก้ว
‘ค่ะ ท่านหมื่น’
‘อา...ไม่ต้อง ฉันจะลงโทษคุณแก้วเสียหน่อย ให้ไอ้หวั่นเอาโซ่มาล่ามแก้วไว้’หมื่นนรินทร์ประกาศกร้าว
‘ท่านหมื่น...!’หล่อนดูตกใจจนโพล่งออกมา
‘อย่าคิดแม้แต่จะช่วยนายของตัวเองล่ะ ไม่อย่างนั้น แม่บัวจะเงาหัวไม่มี’หมื่นนรินทร์พูดสำทับน้ำเสียงไร้เยื่อใย
สมองของภูวรินทร์ว่างเปล่า เขามองไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพียงสัมผัสได้จากความรู้สึกรุนแรงของทั้งสองฝ่าย ทั้งคุณแก้วและท่านอา ฝ่ายคุณแก้ว นอกจากความแค้นเคืองในตอนหลังก็มีเพียงความรู้สึกผิดหวัง เสียใจซะมากกว่า มันหนักหน่วงจนชายหนุ่มรับรู้ความรู้สึกเช่นนั้นได้แบบเต็มอก
ส่วนท่านอา นอกจากโกรธแค้นแล้ว...ไม่มีความรู้สึกใดเลยที่บ่งบอกว่ายังหลงเหลือเยื่อใยให้คุณแก้ว เพราะอะไรกัน เหตุใดท่านอานรินทร์ถึงหมดรักในตัวคุณแก้ว หรือไม่ได้รักมาแต่ต้นงั้นเหรอ? จากจดหมายที่ตนอ่าน ฉบับแรกๆที่เขียนถึงกัน ถ้อยคำที่ใช้ส่งถึงยังอ่อนหวาน รักใคร่คุณแก้วดีๆอยู่ ในใจอันบิดเบี้ยวของท่านอาไม่หลงเหลือความห่วงใยต่อแก้วแล้ว ในฐานะหลานชายก็ไม่อาจเหลือถึงสองในสี่ส่วน มันน้อยนัก ทั้งยังถือศักดิ์ศรีเหนือสิ่งอื่นใด และขาดสติ
ไม่คิดว่าท่านอาจะอยากมีลูกไว้สืบสกุลถึงขนาดต้องไปเอาหญิงชาวบ้านมาเป็นเมีย เรื่องนี้คุณมณีรับรู้ด้วยไหม คำสาปแช่งของมณี แท้จริงแล้วเป็นมายังไง ศพทารกนั่น....หมายถึงตอนแท้งลูกในครั้งนั้นน่ะเหรอ
ทันใดนั้นเอง ราวกับว่าเขาตกอยู่ในกลุ่มสายหมอก ความหนาวเหน็บย่ามกรายเข้ามาหา ร่างที่เคยไร้น้ำหนักเหมือนกับว่าทรงตัวอยู่บนพื้นหญ้าเย็นๆ ภูวรินทร์รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตนเองนั่งคุกเข่าอยู่ใกล้กับต้นแก้วใหญ่ มองไปแล้วคล้ายกับในสวนหน้าเรือนปั้นหยา ชายหนุ่มผงะตกใจ ฝันงั้นหรือ...
เสียงกริ๊งๆของกำไลข้อเท้าทีเคยได้ยินมาก่อน เสียงย่ำเท้าเดินมาใกล้ เขาเห็นฝ่าเท้าขาวเปลือยเปล่าขยับมาหา พร้อมกับกลุ่มหมอกสีขาวเข้ามารวมเป็นรูปร่างมนุษย์
...แก้ว เพราะอะไรกัน ภูวรินทร์รู้สึกเศร้ากับอีกฝ่ายจริงๆ บางทีคนทีร้ายที่สุดอาจไม่ใช่คุณแก้ว หรือมณี อาจเป็นเพราะหมื่นนรินทร์ทั้งสิ้น
“ทำไมคุณไม่ปล่อยวางไปซะล่ะ ในเมื่อมันไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีก พวกเขาก็ตายจากไปหมดแล้ว”ชายหนุ่มพึมพำกับร่างนั้นที่ประกอบกลายเป็นใบหน้า กายเนื้อของคุณแก้วในลักษณะเดิม เขาไม่รู้ว่ากำลังตกอยู่ในห้วงเวลาไหน ความฝันมืดมิดที่กักขังเขาไว้แบบนี้
“...ปล่อยวางหรือ เราทำไม่ได้ คิดว่าชีวิตหลังความตายเป็นเช่นไร เราวนเวียนอยู่ที่เดิม ติดอยู่ในเรือนหลังนั้นมาเกือบแปดสิบปี ผ่านเรื่องราวซ้ำซาก เพียงคิดว่าขอเจอคุณอีกสักครั้งคงดี...เราหรือที่มีความแค้น ก็ไม่ถึงเพียงนั้น เราโกรธท่านในอดีตที่หลอกใช้ความรักของเรา”น้ำเสียงเยียบเย็นเอ่ยออกมา ทำให้ภูวรินทร์ตื่นตัว มองร่างในสายหมอกอย่างถนัดถนี่ขึ้น
“ตอนนี้ก็เจอแล้วไม่ใช่เหรอ”เขาพูด
“ใช่ เจอคุณ ยิ่งตอกย้ำว่าคุณคือท่านอาไม่ผิดแน่... อินน์คงบอกคุณไปแล้วว่าเราใกล้จะหมดเวลาในภพนี้ไปทุกที เราไม่สามารถจากไปได้หากว่าสิ่งที่ปรารถนาไม่สามารถลุล่วงไปได้”คุณแก้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา เดินมานั่งข้างๆเขา นัยน์ตาวาววับคู่นี้จ้องมองเขา ใบหน้านี้น่าจดจำกว่าในฝันครั้งอื่น
“อะไรล่ะครับ”ชายหนุ่มถาม ใจหนึ่งอยากรู้ อกใจกลับหวั่นความจริงนี้เช่นกัน คุณแก้วยิ้ม
“มันไม่ใช่สิ่งที่ได้มาโดยง่าย...”คุณแก้วเอ่ยน้ำเสียงคลุมเครือ แววตาหลุบต่ำ จากนั้นก็ยื่นมือมากุมมือภูวรินทร์ไว้ เขาชักมือกลับมาแต่อีกฝ่ายไม่ปล่อย มือนี้เย็นไม่ต่างกัน แต่ถ้อยคำถัดมาทำให้เขาถึงกับพูดไม่ออก “เรายังเหมือนเดิม รักคุณเหมือนเดิม สิ่งที่เราต้องการคือรักของคุณ อะไรที่สามารถรั้งให้คุณอยู่ที่นี่ต่อเราก็ทำ”
ภูวรินทร์บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร เขามองแววตาของคุณแก้ว อีกฝ่ายดูสิ้นหวังเป็นแววตาที่เขาไม่เคยเห็นจากครั้งก่อนๆ แต่แล้วเขาฉุกคิดไปตามคำพูดของอีกฝ่าย
“...โดยใช้อินน์น่ะเหรอ”เขาเอ่ย พอมาคิดไตร่ตรองเรื่องอินทนิลที่คอยตามติดเขาแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าคุณแก้วกำลังบรรลุผลหรือไม่ เขาส่ายหน้า ไม่อยากให้ตนเองหรือใครอื่นเป็นเครื่องมือของอีกฝ่ายเลย คุณแก้วเม้มปากแน่น ก่อนจะคลายมือออกจากเขา ไหล่ทั้งสองข้างตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรง รอยยิ้มขมขื่นผุดเผยออกมาแทน
“...เด็กคนนี้ไม่ต่างจากลูกหลานของเราไม่ใช่หรือ อินทนิลมีสายเลือดทางฝั่งพี่กิ่ง พี่สาวของเราเอง...แต่กลับชะตาสั้น เราเห็นโอกาส เลยถือว่าช่วยเด็กคนนี้เอาไว้ เราไม่สนผิดหรือถูกหรอก ไม่คิดว่าจะสามารถต่อชีวิตครึ่งๆกลางๆของตนเองและอินน์ได้นานขนาดนี้... ในทีแรกเราคิดว่าเป็นเพราะคำสาปแช่งของเราทั้งสองคนเอง... แต่มันกลับไม่ใช่ เหมือนเราเพิ่งจดจำเรื่องราวในครั้งก่อนได้มากขึ้น”
“หมายความว่าไง”
“เราเป็นเพียงจิตที่ไม่ละกิเลส จิตนั้นยังคงเดิม รูปลักษณ์ ความรู้สึกและปรารถนา แต่ไม่ได้มีความทรงจำในตอนมีชีวิตมากถึงเพียงนั้น เจ็ดสิบกว่าปีเชียวนะ”คุณแก้วเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ แววตาดำสนิทไม่กระพริบหลบไปจากเขา ที่เจ้าตัวพูดนั้นไม่ใช่คำโกหก
ภูวรินทร์ไร้คำพูด เขาคิ้วขมวด รู้สึกก้ำกึ่ง ในเวลานี้เขามองเห็นเพียงคุณแก้วที่ยึดติดกับอดีต ไม่รู้สึกถึงความรักของอีกฝ่าย มันส่งไม่ถึงเขา แม้ในโลกจริง เขายังไม่เคยเห็นคุณแก้วโดยผ่านร่างอินทนิลมีความรักใคร่ในตัวเขานัก อีกฝ่ายแค่อยากแก้แค้นเขา ไม่สิ ท่านอาให้เจ็บปวดบ้างก็เท่านั้นเอง ให้เขาได้รู้สึกถึงการหมดหนทางสู้ล่ะมั้ง อีกฝ่ายเห็นเขาไม่ตอบอะไร เลยเอ่ยต่อไปอีก
“มณีน่ะ หล่อนเป็นผู้ดีจากบางกอก เกลียดเราอย่างกับอะไร ยิ่งมารู้เรื่องของเรากับท่านอาอีก เธอรับไม่ได้ และไม่ยอมมีลูกอีก ท่านอาโทษเรา กลับไม่โทษตัวเองเลยสักคราเดียว”
“...มณีแช่งเรา เอ่อ ตระกูลภิรมย์สุขเหรอ”ภูวรินทร์เผลอถามออกไป คุณแก้วมองเขาสายตาคมกริบ
“เป็นเพียงการคาดเดา... เพราะเราตายก่อนหล่อนนี่นา เราไม่รู้ว่าหล่อนตายยังไง คงต้องหาบันทึกของท่านอา และร่องรอยสาปแช่งของหล่อน ตอนหล่อนแท้งลูก เห็นว่าเธอฟูมฟายนัก ไม่ยอมให้เอาศพไปฝัง”
“...แล้วคุณได้ทำอะไรมณีหรือเปล่า”คุณแก้วมองหน้าเขาด้วยสายโกรธเคือง “เราคิดอยากฆ่าหล่อนเองกับมือ แต่ไม่ใช่ด้วยทางสกปรกเช่นนั้น ไม่คิดว่าจะต้องมาตอบคำถามนี้อีก”
“แล้วคิดว่าจะเจองั้นเหรอ ผ่านมานานขนาดนี้ ศพทารกคงเป็นปุ๋ยไปแล้ว”เขาพูด
“อินน์อาจมีคำตอบให้คุณ...”คุณแก้วกระซิบบอก พออีกฝ่ายเอ่ยถึงอินทนิล เขารู้สึกไม่พอใจ เขาอยากถามอีกฝ่ายให้แน่ใจ
“คุณจงใจให้อินน์ตายหรือเปล่า”คุณแก้วหัวเราะ
“วิญญาณเช่นเราทำอะไรได้ อินน์ต้องตายแต่ยังเด็กซะด้วยซ้ำ แต่รอดมาได้เพราะเรา”ชายหนุ่มมองร่างขาวสะอาดของคุณแก้วด้วยหลากหลายความรู้สึก ไม่ชิงชังแต่ก็ไม่รักใคร่ แต่อาจมีเยื่อใยบางๆ
“...คุณต้องการอะไรจากอินน์ จากผม”ชายหนุ่มรู้สึกโกรธ เขากำมือแน่น คุณแก้วหัวเราะออกมา
“เรื่องของคุณ เราบอกไปแล้ว ส่วนอินน์... เราเป็นฝ่ายมอบชีวิตให้ไม่ใช่หรือ”เจ้าตัวไม่ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
“คุณคิดจะใช้ร่างของอินน์ใช่ไหม”เขาดึงดันถามต่อ เป็นอีกเรื่องที่เขากังวล กลัวว่าอินทนิลจะกลายไปเป็นอย่างอื่น คุณแก้วมองเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง
“คิดสิ ยิ่งมีคุณใกล้ๆยิ่งดี...แต่เราทำไม่ได้ ไม่สามารถควบคุมอินทนิลได้ทั้งหมด ถึงเวลากลางคืนจะเป็นเราที่อยู่กับคุณ แต่มันก็ยังเป็นอินทนิล เหมือนว่าเด็กนั่นกับเราจะเกื้อกูลกันซะมากกว่า”
“ตอนคุณเสีย มันเกิดขึ้นอย่างไง”ภูวรินทร์ถาม คุณแก้วใบหน้านิ่งขึงไร้รอยยิ้ม “เคยได้ยินเรื่องหมองูตายเพราะงูไหม”ภูวรินทร์เงียบ คุณแก้วยิ้มจางๆ แววตาหรี่ลง ซุ้มเสียงเหมือนเย้ยหยันตัวเอง
“มันคล้ายกันนะ เราตายเพราะพืชพิษของตัวเอง...แต่จากมือคนอื่น”
“มณีเหรอ”เขาพึมพำ คุณแก้วนิ่งงัน
“ใกล้หมดเวลาของเราแล้ว ร่างของเราถูกฝังมานาน เราเองก็ไม่รู้มาก่อน คิดว่าถูกเผาไปแล้วซะอีก...”อีกฝ่ายเอ่ยอย่างเศร้าใจ เขาเงียบ
“ตอบมาสิ ว่าคุณจะไม่จากเราไป”คุณแก้วถาม นัยน์ตากลับมาสงบนิ่ง น้ำเสียงพูดราบเรียบจนเขาหวั่นกลัว ชายหนุ่มไม่คิดว่าตนเองจะออกจากหนทางนี้ได้ง่ายๆ
“...ผมไปไม่ได้อยู่แล้วนี่ จะถามไปทำไมกัน”
“ขอโทษนะ แต่เราก็ทรมานไม่ต่างกัน เพราะฉะนั้น ได้โปรด ทำดีกับเรา”สิ้นเสียงนั้น สายหมกสีขาวก็พลันเข้ามาปกคลุมไปทั่วบริเวณ เขามองไม่เห็นร่างของคุณแก้วอีกต่อไป วินาทีต่อมา ทั้งสวนแห่งนี้มีเพียงเขากับต้นแก้วที่บานสะพรั่ง เขากำมือแน่น รู้สึกอัดแน่นไปหมด ตกลงแล้วคุณแก้วและอินทนิลไม่อาจแยกกันได้ และท่านอามีหญิงอื่น...แถมยังเอามาไว้สืบสกุลอีก มณีคงสาปแช่งหนักกว่าเดิม
กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้งร่างกายของภูวรินทร์ถูกพยุงเข้าไปด้านในบ้านโดยอินทนิลกับลุงชม สติเลือนรางก่อนที่จะดับวูบไป
“ตามหมอมาดูอาการดีไหม ตาชม เผื่อว่าคุณเค้าจะเป็นอะไรหนัก”เสียงพูดคุยเคร่งเครียดของป้าษอรแว่วเข้ามาในหู ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกับตนเองยังเบลอๆตื่นไม่เต็มที่ เสียงฝีเท้าเดินไปมาในห้อง ร่างกายของเขากำลังนอนเหยียดอยู่บนบางสิ่งที่นุ่มนิ่ม
“คุณภูไม่เป็นอะไรมากหรอกน่า ใช่ไหมอินน์”ลุงชมเอ่ยขึ้น เจ้าของชื่อส่งเสียงอือออกลับไป เขารับสัมผัสอุ่นจากฝ่ามือของเจ้าตัวที่กำลังลูบใบหน้าของเขาไปมา มันทำให้ภูวรินทร์คิ้วขมวดทันที
“คุณภูรู้สึกตัวแล้ว”อินทนิลส่งเสียงดีใจดังใกล้ๆ เขาค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นมองภาพตรงหน้า เหนือศีรษะของเขาเป็นใบหน้าโล่งอกของเด็กหนุ่ม อินทนิลยิ้มกว้าง
“รู้สึกยังไงบ้างครับ”อีกฝ่ายถามก่อนจะถอยลงไปนั่งข้างๆ ชายหนุ่มเลื่อนความสนใจไปความเคลื่อนไหวรอบข้าง เป็นป้าษอรกับลุงชมที่ยืนมองเขาอยู่ ทั้งสองคนส่งยิ้มใบหน้าผ่อนคลาย คล้ายกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรมาก พอมองรอบกายแล้วพบว่าเขานอนอยู่บนโซฟาที่โถงรับแขก
“นี่ผมเป็นลมหรือไงเนี่ย”เขาพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อนัก อินทนิลเงียบ มองเขาด้วยแววตาห่วงใย “คุณปกติก็ดีแล้ว อยู่ๆก็ล้มพับไป ดีนะที่อินน์เข้าไปจับทัน”อินทนิลรีบพูด เขาแค่พยายามยิ้มให้ทุกคนสบายใจ
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกน่า... ป้าษอรครับ ผมขอชาสักแก้วหน่อยครับ”เขาเอ่ยกับป้าษอร เธอพยักหน้าก่อนจะรีบเดินเข้าไปในครัวพร้อมกับลุงชม ในตอนนี้อยากได้อะไรร้อนๆมากลบความหนักหน่วงในใจ เขายังจำคำพูดของคุณแก้วได้...ให้ทำดีด้วยงั้นเหรอ อับจนหนทางถึงขนาดมาขอร้องเขางั้นเหรอ คิดแล้วก็อยากหัวเราะออกมา ภูวรินทร์ขยับตัวลุกขึ้นมานั่งแทน ส่วนอินทนิลขยับมานั่งข้างกายเขาทันที พร้อมจ้องมองเขาอยู่ไม่ห่าง
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”อินทนิลเอ่ยถาม น้ำเสียงห่วงใย มันปรากฏชัดที่แววตาด้วย เขายิ้มออกมาให้อีกฝ่ายสบายใจ
“ฉันฝันไป ไม่รู้สิ อาจเห็นนิมิตประหลาด แล้วก็ได้คุยกับคุณแก้ว”ภูวรินทร์เล่ากับอินทนิล เด็กหนุ่มทำตาวาวก่อนจะขยับมาใกล้ด้วยความสนใจ
“ท่านว่าอะไรบ้าง”อีกฝ่ายถาม
“คุณแก้วบอกว่าเธออาจช่วยได้เรื่องหาศพทารก...แต่ฉันไม่คิดว่าจะเหลือร่องรอยอะไรไว้หรอก...ตอนนี้คงไม่เหลืออะไรแล้ว”เขาบอก ไม่รู้ว่าทารกนั่นมีอายุกี่เดือนตอนที่มณีแท้ง อินทนิลพยักหน้าก่อนจะกระซิบกับเขา
“อ้อ ว่ากันว่าสมัยก่อนมีการดองศพแล้วนะครับ”
“เธอคิดแบบนั้นเหรอ”ฟังอินทนิลพูดแล้วเขาไม่แน่ใจนัก แต่ลึกๆก็เชื่อคำพูดของคุณแก้วได้ อินทนิลพยักหน้ารับ
“ครับ เป็นไปได้ การใช้ทารกมาเป็นเครื่องสังเวยคำแช่งว่ากันตามตรงแล้วถือว่าได้ผล แต่ต้องดูให้แน่ใจว่าหล่อนได้ทำจริงหรือเปล่า”เด็กหนุ่มพูด แววตาหรี่ลงอย่างไม่นึกชอบ
“คิดเหรอว่านั่นคือทางแก้ปัญหา หมายถึง นั่นสามารถลบล้างคำสาปของคนบ้านนี้ได้เหรอ”ชายหนุ่มไม่มั่นใจเลยแม้แต่น้อย อยากออกจากวังวนแห่งความแค้นความรักพวกนี้โดยเร็ววัน หากทำได้ล่ะก็นะ... เด็กหนุ่มถอนหายใจยาว ปัดเส้นผมที่ปกลงมาข้างแก้มออกลวกๆ แล้วมองเขาแน่วแน่
“...ไม่รู้สิครับ แต่อย่างน้อยก็ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน”
พออินทนิลพูดจบ ระหว่างนั้นป้าษอรก็เดินมาเสิร์ฟชาให้เขาพอดี เธอไม่ได้พูดอะไร แค่รินน้ำชาใส่แก้วไว้สองใบ สำหรับเขาและหลานชาย “มีอะไรก็เรียกป้ากับตาชมได้นะคะ”เธอทิ้งไว้แล้วมองไปทางอินทนิลด้วยความกังวลใจก่อนจะรีบเดินกลับไปทางห้องครัว ภูวรินทร์ยกถ้วยชามาจิบ เลื่อนถ้วยน้ำชาร้อนๆอีกหนึ่งใบไปให้อินทนิล เจ้าตัวส่ายหน้าไม่รับน้ำชา
“...คุณแก้วกำลังหลอกใช้เธออยู่”เขาบอก หลังจากวางถ้วยชาลง อินทนิลทำหน้าไม่เข้าใจ
“ทำไมล่ะครับ”เจ้าตัวถามทันที แววตาสีนิลวาววับขึ้นมา
“ก็เพื่อให้ฉันอยู่ที่นี่ไง”ชายหนุ่มตอบ ก่อนจะเหลียวมองไปทางหน้าต่างใกล้กัน ลานน้ำพุยังคงสวยงาม ดอกเทียนหยดมองไกลๆแล้วส่งเสริมให้บ่อน้ำพุมีชีวิตชีวาขึ้นมา เขาหันกลับมามองเด็กหนุ่มอีกครั้ง ชั่งใจอยู่นานว่าตนเองรู้สึกผูกพันกับอีกฝ่ายไม่น้อย แม้จะไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากมาย
“แล้วทำไมคุณต้องอยู่เพราะอินน์ด้วยล่ะ”คำถามของอินทนิลทำให้เขาแทบหัวเราะออกมา ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะทำเป็นไร้เดียงสา ไม่รู้เหตุผล
“...นั่นมัน...เฮ้อ เธอแกล้งไม่เข้าใจใช่ไหม”เขาเอ่ยอย่างขุ่นเคือง เด็กหนุ่มรีบส่ายศีรษะทันที
“แต่คุณก็ไม่คิดจะอยู่ไม่ใช่หรือ ...อินน์ก็อยากให้คุณอยู่ที่นี่ต่อไป ด้วยเจตนาของอินน์เอง”อินทนิลเอ่ย นัยน์ตามองเขาอย่างชัดแจ้ง ประกายของความสุขปรากฏอยู่ในนั้น ภูวรินทร์อึดอัดใจขึ้นมา
“...ทำไมล่ะ”เขาถาม
“อินน์ไม่ได้คุยกับคนอื่นมานาน คุณเป็นคนแรกที่อยู่กับอินน์”เด็กหนุ่มให้เหตุผล เขาเงียบ “แล้วป้าษอรล่ะ”ชายหนุ่มสงสัย อินทนิลมองเขาด้วยแววตาอ่อนโยนมากกว่าเดิม
“อินน์หมายถึงความสัมพันธ์แบบอื่น ไม่ใช่จากญาติพี่น้องน่ะ”อีกฝ่ายพูดทำเอาตนเองพูดไม่ออก แม้จะดูออกว่าอินทนิลดูสนใจในตัวเขาอยู่ก็ตาม แต่เขาเลือกจะมองไม่เห็น
“...แต่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”ภูวรินทร์พูดอย่างไม่เข้าใจนัก ไม่เข้าใจว่าทำไมอินทนิลถึงได้ปักใจต่อเขาขนาดนี้ อยากให้เขาอยู่ที่นี่ต่อ ทั้งๆที่รู้ว่ามันส่งผลร้ายต่อเขามากแท้ๆ
“ไม่สำคัญหรอกครับ คุณภูไม่เชื่อเรื่องชะตาลิขิตเหรอ”อินทนิลมองเขาด้วยดวงตากลมใส นัยน์ตาสีนิลไม่หลบหลีกจากตน
“ไม่รู้สิ”ภูวรินทร์ไม่ตอบ เพราะไม่รู้จริงๆว่าตอนนี้จะเชื่ออะไรได้บ้าง อินทนิลหลุบตาต่ำลง สองมือกำแน่นอย่างผิดหวัง เขาเลื่อนสายตามองสองเท้าเปลือยเปล่าที่มีรอยเปื้อนฝุ่นดินให้เห็น มองเห็นกำไลสีทองเหลืองข้างซ้ายสวมอยู่เช่นเดิม แต่ยังไม่เคยถามว่าอีกฝ่ายไปเอากำไลข้อเท้ามาจากไหน เพราะจากหลุมฝังร่างของคุณแก้วก็ยังมีกำไลข้อเท้าอยู่
“ถ้าหากว่าฝันร้าย คำแช่งมาจากมณีจริงๆล่ะก็...เป็นตัวคุณเองที่ต้องรับผลนั้น”เด็กหนุ่มเอ่ยต่อด้วยความกังวล คิ้วเข้มย่นเข้าหากัน