♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 23
หลังจากดูฝนดาวตกด้วยกันในคืนนั้น พวกเราก็มีโอกาสได้ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับคนไข้ผู้ล่วงลับ จากนั้นผมก็ไม่ได้เจอหน้าพี่เนย์อีกเลย จนกระทั่งเปิดเรียน เนื่องจากอีกฝ่ายต้องเตรียมงานสัมมนาเกี่ยวกับโรคทางจิตเวช ซึ่งเป็นกิจกรรมของทางโรงพยาบาล จึงส่งผลให้พี่เขาไม่ทราบข่าวดีบางอย่างของผม
เพราะทุกครั้งที่เราคุยโทรศัพท์กัน ผมมักจะทำตัวเหมือนปกติดังนั้นการเปิดเรียนในคราวนี้ นอกจากผมจะกลายเป็นรุ่นพี่ชั้นปีที่สามแล้ว ผมยังกลับมาพร้อมกับความแปลกใหม่อีกอย่าง ที่ทำให้ทั้งเพื่อน รุ่นพี่ และรุ่นน้อง ต่างพากันตื่นเต้นเสียยกใหญ่ แต่กลุ่มคนที่ออกอาการมากที่สุด ก็เห็นจะหนีไม่พ้นพวกไอ้หมอก ไอ้คิน ไอ้มอส ไอ้เชษฐ์ และสามสาวจากคณะบัญชี รวมไปถึงสายรหัสของผม และสายรหัสของเพื่อนทั้งสองคน ที่เฝ้ามองพัฒนาการของผมมาเนิ่นนาน
จนในที่สุด ความพยายามมันก็ส่งผลเป็นความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจ“เจอกันที่ห้องเว้ย” ผมวาดขาลงจากรถจักรยานของไอ้หมอก เมื่อมันจอดเทียบท่าตรงหน้าคาเฟ่ อันเป็นที่นัดหมายของผมกับพี่เนย์ที่วันนี้แวะมาทำเรื่องจบการศึกษา พลางบอกกล่าวไอ้เพื่อนซี้ตัวดีทั้งสอง ที่มีแพลนจะไปเดินเล่นที่ตลาดนัดในมอ ก่อนจะไปนั่งจับกลุ่มตรงสนามหญ้าหน้าหอพยาบาล อันเป็นกิจกรรมที่พวกผมกับสามสาวจากคณะบัญชีชอบทำ ในวันสุดท้ายของการเรียนในสัปดาห์นั้น
“เออๆ แต่ถ้ามึงเปลี่ยนใจจะตามมา มึงก็ลองโทรหากูก่อนนะเว้ย” ไอ้คินพูดเตือนอย่างไม่มั่นใจนัก เพราะในแต่ละอาทิตย์ แพลนเตร็ดเตร่ของพวกเรา ก็จะไม่เหมือนกันซะทีเดียว
“โอเค” ผมตอบพลางทำมือเป็นสัญลักษณ์ที่ทราบกันดีตามคำพูดที่ผมเพิ่งจะพูดออกไป จากนั้นผมก็ก้าวเดินเข้าไปภายในร้าน ที่ตอนนี้มีการขยายต่อเติมออกไปเยอะมาก
“รอนานมั้ยครับ?” เมื่อมองหาอีกฝ่ายจนพบ ผมก็รีบเดินเข้าไปหา พลางถามและยกยิ้มให้อีกคนที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับด้านจิตวิทยาเงียบๆ พร้อมกับถอดกระเป๋าสะพายข้าง วางไว้บนโต๊ะ และทิ้งตัวลงนั่งทางฝั่งตรงข้าม ที่มีแก้วบลูเลม่อน ที่น้ำแข็งยังไม่ทันจะละลายวางเสิร์ฟอยู่ บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า นักจิตบำบัดตรงหน้า เขากะเวลาในการมาถึงของผมได้ดีแค่ไหน
“ไม่หรอก” พี่เขาตอบพลางปิดหนังสือเล่มดังกล่าว
“เดี๋ยวนี้พี่ดื่มกาแฟแบบนี้ด้วยเหรอครับ?” ผมถามด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นบนโต๊ะมีที่ชงกาแฟประเภทหนึ่งวางตั้งอยู่ ซึ่งด้านบนของที่ชงกาแฟชนิดนี้ จะเป็นโถบรรจุน้ำแข็งและน้ำเย็น ขณะที่ส่วนกลางจะเป็นกระบอกสำหรับใส่กาแฟบด ส่วนด้านล่างคือเหยือกสำหรับใส่กาแฟที่ผ่านการสกัดมาเป็นระยะเวลายาวนานหลายชั่วโมง
“กูไม่ได้สั่งกาแฟ นี่มันชาอาร์ติโชคแบบ cold drip พอดีทางร้านเขาแนะนำ กูก็เลยลองดู แก้เบื่อดี” ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความสงสัย ว่ามันแก้เบื่อได้ยังไง
“ก็เวลาที่กูอ่านหนังสือเบื่อๆ พอลองเปลี่ยนมานั่งมองชาค่อยๆหยดลงในเหยือกทีละหยดสองหยด มันก็เพลินดีออก กูว่าตอนมึงอ่านหนังสือเตรียมสอบ มึงจะลองดูก็ได้นะ มันน่าจะเป็นการพักผ่อนสมองที่โอเคอยู่” ผมอมยิ้ม พลางนั่งจ้องหยดน้ำสีน้ำตาลอ่อน ที่ค่อยๆตกกระทบลงสู่เบื้องล่าง จนเกิดการสะท้อนของผิวน้ำในวงกว้าง ขณะที่ปากก็คาบหลอดสีขาวเพื่อดูดน้ำสีฟ้าสดอยู่หลายอึก
“เอ้อ ผมว่าจะถามพี่ แต่ก็ลืมไปเลย” พอผมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ก็พบว่าพี่เขากำลังมองมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว
“ว่า?” พี่เนย์เลิกคิ้วถาม พลางยกแก้วชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง
“เพื่อนพี่กลับกันหมดแล้วเหรอครับ?”
“อืม” พี่เนย์พยักหน้าพลางส่งเสียงตอบรับในลำคอ จากนั้นอีกฝ่ายก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือของตัวเองต่อ ผมเลยนั่งมองน้ำชาค่อยๆหยดลงในเหยือกต่อไปเรื่อยๆ จนผมเริ่มจะเห็นด้วยกับคำพูดของพี่เนย์แล้วว่า การนั่งมองเรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้ มันกลับเพลิดเพลินจนทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้มากกว่าที่คิด
“อ้าวเฮ้ย! ไอ้รัน! มานี่หน่อย” ผมหันไปมองทางต้นเสียง พบว่าเป็นไอ้มอสที่เข้ามาซื้อเครื่องดื่ม พร้อมกับเพื่อนคนหนึ่งที่ผมมองหน้าไม่ชัด และถ้าหากจำไม่ผิด ครั้งล่าสุดที่ผมเจอมัน ก็คือที่โรงอาหารกลางตอนช่วงเปิดเทอมอาทิตย์แรกๆ มันเลยได้มีโอกาสทราบความเปลี่ยนแปลงของผมด้วย จากนั้นก็ได้มันนี่แหละ ที่เป็นคนคาบข่าวไปบอกไอ้เชษฐ์ที่หายหัวไปไม่บอกไม่กล่าว
“อ้าว ไอ้เชษฐ์! ทำไมมึงหายหน้าหายตาไปเลยวะ?” ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ไอ้เชษฐ์ พลางถามไถ่ด้วยความยินดี เพราะหลังจากวันที่มันส่งแชทมาแสดงความยินดี เราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย
“เรียนหนักว่ะมึง กูเลยแวะมาหาเพื่อนแก้เครียด” ไอ้มนุษย์ผู้หลงใหลแมววิเชียรมาศ เอ่ยพร้อมกับยิ้มบางๆอย่างเหนื่อยอ่อน
“พอกันเลยว่ะ กูก็ใกล้จะแย่ละ นี่ขนาดแค่เพิ่งเริ่มเรียนภาษามือด้านการแพทย์ไปนะมึง กูยังเกือบตาย” ผมบ่นอุบ ทำเอาไอ้หมอตัวจริงถึงกับกลั้นขำไม่อยู่ เพราะมันคงเข้าใจดีว่า ภาษาทางการแพทย์แม่งโคตรของโคตรงานหินจริงๆ
“แล้วนี่มึงจะกลับมอวันไหน?”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้กูก็กลับแล้ว” พอมันไขข้อข้องใจจบ ผมก็พยักหน้ารับ พลางหันไปมองคนตรงหน้า
“เออ แล้วนี่มึงยังต้องเรียนคหกรรมอยู่ป่ะ?” ไอ้มอสเอ่ยถามขึ้นบ้าง ท่าทางมันจะติดใจกิจกรรมขายของในคาบคหกรรมของผมจริงๆ เพราะถ้าให้พูดตรงๆ ก็มันนี่แหละ ที่มีส่วนช่วยในการขายของ ยิ่งคาบไหนต้องไปขายที่ตึกนิเทศ คาบนั้นผมแทบจะนั่งเอ้อระเหยเลยก็ได้ เพราะไอ้นี่แม่งรู้จักคนเยอะจริงๆ ไม่ว่าใครจะเดินผ่านไปผ่านมา กี่คนต่อกี่คน ไอ้มอสแม่งก็เรียกเขามาเสียเงินกันหมด
แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ งานคหกรรมของกลุ่มผม แม่งก็ขายดีจนเกลี้ยงถาดเลย “ไม่มีแล้ว ตอนนี้เหลือแต่ตัวหินๆของกูทั้งนั้นแหละ”
“กูก็ด้วยเว้ย ช่วงนี้เข้าห้องอัดเสียง เข้าสตูเป็นว่าเล่น มึงดูตากู หมีแพนด้าถามหาไหมล่ะ สาดดดด เวลานอนนี่กูแทบจะนับชั่วโมงได้เลยเว้ย” ไอ้มอสว่า พลางชี้ใต้ตาอันดำคล้ำของตัวเอง
“แต่กูว่าถึงมึงจะนอนจนเต็มอิ่ม มึงก็ยังเหมือนหมีแพนด้าอยู่ดีนะเว้ย” ผมพูดพลางหันไปมองหน้ากับไอ้เชษฐ์อย่างรู้กันดี ว่าไอ้เพื่อนต่างคณะ มันมีใต้ตาอันดำคล้ำเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
“ไอ้รัน มึงนี่แม่งเล่นกูแล้วไง” ไอ้มอสบ่นอุบ เพราะมันมักจะถูกเพื่อนเรียกด้วยฉายาหมีแพนด้าบ่อยๆ ซึ่งมันไม่ค่อยชอบ บ่นแต่ว่าฉายาเชี่ยไร ไม่เท่ ไม่เร้าใจ สักนิด
สงสัยมันจะทำงานจนเป็นบ้านะผมว่า“ขอโทษคร๊าบบบ” ผมแกล้งโน้มตัวจนเกือบจะชิดโต๊ะ พลางลากเสียงยานคางใส่พวกมัน
“กูบอกแล้วว่าไอ้นี่มันร้าย” ไอ้เชษฐ์แกล้งป้องปากคุยกับไอ้มอส คล้ายกับผมจะไม่มีทางได้ยินในสิ่งที่มันพูด
“เออ กูเชื่อ” ด้วยความที่สนิทกันมากขึ้นแล้ว ผมเลยกล้าเอาเท้าเตะหน้าแข้งของมันสองคนโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรให้มากความ
“ถึงคิวกูแล้วว่ะ แยกย้ายๆ ไว้เจอกันเมื่อบังเอิญแล้วกันมึง” ไอ้มอสมันว่า พร้อมกับคว้าเครื่องเรียกคิวขึ้นมาชูตรงหน้าผม จากนั้นมันก็เดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ ผมจึงลุกเปิดทางให้ไอ้เชษฐ์ ก่อนจะร่ำลากันเล็กน้อย ถึงค่อยกลับมานั่งที่โต๊ะกับพี่เนย์ตามเดิม
“เป็นอะไรครับ?” ผมถามพลางยกยิ้มแป้นใส่คนที่กำลังมองจ้องผมไม่วางตา
“มึง..”
“ครับ?” ผมแกล้งเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง คล้ายกับไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าพี่เขากำลังตกใจในเรื่องอะไร
“เมื่อกี้มึงพูดกับเพื่อนด้วยน้ำเสียงปกติเลยรัน แถมมึงยังไม่พูดติดๆขัดๆเหมือนกับตอนช่วงปิดเทอมแล้วด้วย นี่มึง.. หายแล้ว?” พี่เนย์เอื้อมมาจับมือผมที่วางอยู่บนโต๊ะ พลางยกยิ้มแบบตลกๆ จนผมยังอดจะขำไม่ได้
“ผมทำมันสำเร็จตอนที่พี่ติดสัมมนานั่นแหละครับ แต่ที่พี่ไม่รู้ เพราะผมตั้งใจไว้ว่า ผมจะบอกข่าวดีกับพี่ด้วยตัวเอง” ผมยกยิ้มจนตากลายเป็นเส้นตรงจำนวนสองเส้น พลางไล้ปลายนิ้วโป้งกับหลังมือของอีกฝ่ายเบาๆ เพราะดูท่าทางพี่เนย์จะยังเซอร์ไพร์สไม่หาย
“พี่ไม่โกรธใช่มั้ยครับ ที่ผมไม่ได้บอกพี่เป็นคนแรก?” ผมย้อนถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“กูจะโกรธมึงทำบ้าอะไร พูดเหมือนไม่รู้จักนิสัยกู” พี่เนย์เลื่อนมือออกจากการกอบกุม จากนั้นอีกฝ่ายก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นดีดตรงหน้าผากของผม จนเสียงดังลั่นเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำ เวลาที่ผมชอบพูดอะไรไม่เข้าท่า
“เพราะรู้ ถึงได้ถามไงครับ” ผมย่นจมูกพลางยกยิ้ม พร้อมกับลูบหน้าผากตรงบริเวณที่บาดเจ็บไปด้วย
“หึ ไปคอนโดกูมั้ย เดี๋ยววันอาทิตย์กูมาส่ง” พี่เนย์ท้าวคางพลางมองมาที่ผม ก่อนจะหลุดขำออกมาเพียงครู่ แล้วจู่ๆอีกฝ่ายก็ถือโอกาสชักชวนผมไปที่คอนโดของตัวเองเฉย
“นึกยังไงถึงได้ชวนผมไปครับ?” ผมย้อนถามด้วยความสงสัย เพราะตั้งแต่เปิดเรียนมา อีกฝ่ายไม่เคยชวนผมไปที่คอนโดสักครั้ง
“เพราะมึงทำสำเร็จมั้ง กูเลยคิดว่ามันคงถึงเวลาแล้ว” อีกฝ่ายพูดขึ้น พลางอมยิ้มในลักษณะที่เข้าใจอยู่คนเดียว เพราะการที่ผมกลับมาพูดได้จนเป็นปกติ มันมาเกี่ยวข้องกับการถูกเชิญไปที่คอนโดในครั้งนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้
“ยิ่งพูดยิ่งงงนะครับ” ผมพูดพลางหัวเราะ จากนั้นพี่เนย์ก็ออกปากให้รีบเตรียมตัว จะได้ไปถึงที่คอนโดไม่ดึกมากนัก ผมเลยถือโอกาสไปเข้าห้องน้ำ และโทรบอกเพื่อนสนิทด้วยว่า..
วันนี้ผมถูกว่าที่บัณฑิตเขาลักพาตัวไปกรุงเทพ ในระหว่างการเดินทาง ด้วยความที่แอร์มันเย็นฉ่ำ อีกทั้งสารถีเจ้าประจำ ยังเปิดเพลงเบาๆคลอไปด้วย ผู้ร่วมเดินทางอย่างผม จึงนั่งสัปหงกซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนบางครั้งก็เผลอเอาหัวไปโขกกระจก จนเรียกเสียงหัวเราะจากพี่อาคเนย์ได้เป็นอย่างดี ผมเลยต้องขยับหัวมาพิงเบาะด้วยสภาพเอียงกระเท่เร่จนปวดคอ
“เหนื่อยเหรอวะ มึงหลับได้หมดสภาพมาก” พี่เนย์ลงจากรถพร้อมกับเดินอ้อมมาปลุกผม ที่ถึงแม้จะตื่นแล้ว แต่ก็ยังงัวเงียจนจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ก็นิดหน่อยครับ” ผมตอบพลางลูบหน้าลูบตาจนบิดเบี้ยว
“งั้นมาล้างหน้าก่อน” พี่เนย์เดินไปเปิดประตูด้านหลัง พร้อมกับหยิบขวดน้ำมายื่นให้
“พี่ล้างให้หน่อย” ผมถือโอกาสอ้อนอีกฝ่าย ทำเอาพี่เขายกยิ้มพร้อมกับส่ายหัว ก่อนจะย่อตัวลงนั่งยองๆ ตรงปากประตูด้านที่ผมนั่ง ผมจึงค่อยๆโน้มตัวออกไปด้านนอกรถ ไม่นานสัมผัสเย็นๆ ของน้ำ ก็ปกคลุมไปทั่วใบหน้า พร้อมๆ กับความอบอุ่นจากฝ่ามือของพี่เนย์
“พี่เนย์” ผมร้องเรียกอีกฝ่าย พลางลุกออกมาจากตัวรถ และยืนมองพี่เขากำลังมุดตัวเอาขวดน้ำเข้าไปเก็บที่เบาะหลังตามเดิม
“ว่า?” เจ้าของรถเขาปิดประตู พลางล็อครถอย่างแน่นหนา พร้อมกับเดินเข้ามากอดคอ เพื่อพาผมเข้าไปยังตัวคอนโด ที่ดูแล้วระบบรักษาความปลอดภัย ท่าทางจะแน่นหนา
“ผมอยากกินซาซิมิแซลม่อน”
“อะไรมึง เป็นเด็กชอบเรียกร้องของรางวัลเหรอ?” พี่เขาย้อนถามพลางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ผมจึงพยักหน้าตอบ แต่อีกฝ่ายก็ยังไร้ปฏิกิริยาตอบโต้ แถมยังเอาแต่ลากคอผมให้เปลี่ยนทิศทางการเดิน โดยมุ่งตรงไปยังเซเว่นใต้คอนโดตรงด้านซ้ายมือ
“เวลาตั้งปีนึง กับแซลม่อนซาซิมิเองครับ ผมสืบมาแล้ว ที่กรุงเทพมีส่งเดลิเวอรี่ด้วย มันสะดวกสบายไม่ต่างกับสั่งเคเอฟซีเลย”
“หึ รู้ดี แต่กูก็ยังไม่ได้พูดสักคำว่าไม่ตกลง แค่กำลังคิดว่า เราควรจะซื้ออะไรไปดื่มนิดหน่อย ไหนๆก็จะฉลองกันแล้วไม่ใช่หรือไง?” พี่เนย์ว่าพลางเดินตรงไปยังตู้เครื่องดื่ม จากนั้นก็หยิบเบียร์และฟูลมูนออกมาอย่างคล่องแคล่ว พร้อมกับจ่ายเงินเองเสร็จสรรพ
“หารกันดีไหมครับ?” ผมถาม ขณะเดินตรงไปยังลิฟต์ ตามที่อีกฝ่ายนำทาง
“ถ้าหารกัน แล้วมันจะเรียกว่ากูเลี้ยงมึงได้ยังไง? อีกอย่างเวลาปีนึงกับราคาอาหารมื้อนี้มันเทียบกันไม่ได้เลยรัน หลังจากนี้กูประหยัดๆหน่อยก็ได้ อีกอย่างกูวางแพลนไว้แล้ว ว่าจะทำงานพิเศษที่คลินิกเกี่ยวกับปัญหาด้านสุขภาพจิตนี่แหละ” ผมมองจ้องตัวเลขที่ค่อยๆทะยานขึ้นด้านบนอย่างใจจดใจจ่อ หากแต่ในหัว กลับคิดถึงข้อความแอบแฝงที่อีกฝ่ายต้องการจะบอก
กระทั่งพบว่า งานพิเศษนั่น อาจจะทำให้เราไม่ได้เจอกันมากขึ้น ผมก็อดใจหายไม่ได้“เดี๋ยวกูขอแม่ให้ แต่มึงต้องหาวิธีนั่งรถมาเองนะรัน” เสียงลิฟต์ดังขึ้นในชั้นที่หก จากนั้นเจ้าของห้องเขาก็เดินนำหน้า พร้อมกับหยิบยื่นข้อเสนอที่มันอาจเป็นไปได้ยาก แต่ครั้งหนึ่งมันก็เคยเป็นไปแล้ว ผมจึงเริ่มวางใจ เพราะถ้าหากพี่เนย์เป็นคนพูด พ่อกับแม่ต้องไว้วางใจ และยอมปล่อยให้ผมเดินทางมาหาพี่เนย์ เหมือนกับตอนนั้น ที่ผมกำลังจะหมดเรี่ยวแรงในการต่อสู้กับปัญหา
“ครับ”
สิ่งแรกที่เห็น เมื่อเปิดประตูเข้ามายังคอนโดของพี่เนย์ ก็คือชั้นวางรองเท้าแบบบิวท์อินขนาดใหญ่ทางฝั่งขวามือ ผมจึงถอดรองเท้าหนังสีดำ วางคู่กับรองเท้าหนังสีเดียวกันของพี่เนย์ ส่วนฝั่งซ้ายมือคือห้องครัวอันกว้างขวาง จากนั้นผมก็เดินตามอีกฝ่ายไปยังมุมรับแขก ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากระเบียงห้องนัก จึงทำให้เห็นมุมมองของการตกแต่งได้ว่า มันเป็นไปในโทนขาวดำ โดยวอลเปเปอร์เป็นสีดำสลับขาว ส่วนผ้าม่านชั้นแรกเป็นผ้าสีขาวบางๆ ขณะที่ชั้นที่สองเป็นสีดำสนิท โดยผูกปมไว้ตรงมุมข้างด้วยความเรียบร้อย ส่วนเฟอร์นิเจอร์ก็มีทั้งสีขาว และสีออกดำเทาปะปนกัน
“เดี๋ยวกูเข้าไปเปลี่ยนชุดก่อน มึงโทรสั่งเองเลยแล้วกัน” พี่เนย์พูดอย่างให้อิสระ จากนั้นเจ้าตัวก็เดินหายไปทางด้านขวามือ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นห้องนอน รวมไปถึงห้องแต่งตัวด้วย ส่วนห้องน้ำ ผมคิดว่าน่าจะอยู่ในห้องนอน หรือไม่ก็น่าจะเป็นห้องที่อยู่ติดกับชั้นวางรองเท้าก็เป็นได้ และเมื่อทั้งห้องเงียบสนิท ผมก็ถือโอกาสเสิร์จหาเบอร์โทรของร้านซาซิมิแบบเดลิเวอรี่จากมือถือของตัวเอง จากนั้นก็ตั้งท่าจะกดเบอร์และโทรออกด้วยโทรศัพท์มือถือของอีกฝ่าย ที่เจ้าตัวเขาทิ้งเอาไว้ให้ แต่ก็ต้องล้มเลิกไป เพราะผมไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับคอนโดของพี่เนย์เลย
ก๊อก ก๊อก
ผมตัดสินใจลุกขึ้นยืน และเดินไปยังห้องที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นห้องนอนของอีกฝ่าย จากนั้นก็เคาะประตู จนกระทั่งได้ยินเสียงอนุญาต ผมถึงเปิดเข้าไป ซึ่งก็พอดีกับจังหวะที่พี่เนย์กำลังสวมเสื้อยืดสีขาวจนเรียบร้อย
“ผมไม่รู้ทางมาคอนโด” ผมเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย พลางยื่นโทรศัพท์ไปให้
“เออ กูก็ลืมไป งั้นมึงไปเอาเครื่องดื่มที่กูวางไว้บนโต๊ะไปแช่เย็นให้หน่อย” ผมพยักหน้า ก่อนจะเดินออกไปจากห้องนอนของพี่เนย์ เพื่อมุ่งตรงไปยังโซนรับแขก จากนั้นผมก็หิ้วถุงเครื่องดื่มเดินตรงมายังโซนห้องครัว ที่มีการตกแต่งแบบครบครัน หากแต่ความสดใหม่ ก็สามารถบ่งบอกได้ว่า เจ้าของห้องเขามีโอกาสใช้อุปกรณ์ในโซนนี้ ไม่มากนัก
ตู้เย็นของพี่เนย์เต็มไปด้วยน้ำเปล่า กับขนมขบเคี้ยวบ้างเล็กน้อย อาจเพราะมีเซเว่นอยู่ใต้คอนโด พี่เขาก็เลยไม่ได้ซื้ออะไรมาตุนไว้มากมายนัก เหมือนกับตอนที่ยังอยู่หอ
“ทำอะไรครับ?” รอบนี้ผมถือโอกาสเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของพี่เนย์อีกครั้ง จึงพบว่าเจ้าของห้องเขายังคงวุ่นวายอยู่ตรงหน้าตู้เสื้อผ้าแบบบิวท์อินอยู่ดี
“หาเสื้อให้มึงใส่” ผมอมยิ้ม โดยไม่คิดจะถามอะไรต่อ จากนั้นผมก็เดินเข้าไปยืนเอนตัว พิงกำแพงสีขาวสะอาด ข้างๆตู้เสื้อผ้าของอีกฝ่าย กระทั่งเห็นตู้เลี้ยงเจ้าเขี้ยวกุด ผมเลยเดินเข้าไปหา จึงพบว่าภายในตู้เต็มไปด้วยหมอกควันคละคลุ้ง ราวกับว่าเจ้าของห้องเขาเพิ่งจะเปิดเครื่องทำความชื้นเมื่อครู่นี้
“ไงเขี้ยวกุด ไม่เจอกันนานเลย” ผมก้มลงไปทักทายเจ้าเขี้ยวกุดที่กำลังเงยหน้ามองมาทางผม คล้ายกับมันกำลังสงสัยว่าไอ้ผู้ชายคนนี้ ทำไมมันหายหน้าหายตาไปตั้งนาน แล้วจู่ๆก็โผล่หัวมาหากันเฉย
“ลืมกันแล้วมั้ง” ผมเอานิ้วจิ้มๆกระจก พลางหัวเราะกับตัวเอง ที่นอกจากจะพูดกับแมวได้เป็นตุเป็นตะ ผมยังสามารถพูดกับเรดอายสกิ้งค์ได้อีกด้วย
“ทำไมหาให้ผมหลายตัวจังครับ?” ผมยืนพิงตู้สีขาวสำหรับวางที่อยู่เจ้าเขี้ยวกุด พลางกอดอกถามอีกฝ่ายที่กำลังรื้อค้นเสื้อผ้า โดยที่ตัวไหนเหมาะกับผม พี่เนย์เขาก็จะโยนกองไว้บนเตียง
“มึงจะได้ไม่ต้องแบกเสื้อไปๆมาๆให้ลำบากไง” อีกฝ่ายเขาว่าอย่างนั้น โดยที่ยังคงก้มหน้าก้มตาหาเสื้อกับกางเกงที่ตัวเองใส่ไม่ได้ แต่ผมยังสามารถใส่ได้ต่อไปเรื่อยๆ โดยที่ผมได้แต่มองไปยังแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาว กับกางเกงผ้ายืดสีเทา
“ห้องนี้ท่าทางจะแพงนะครับ” ผมพูดขึ้น พลางเดินไปพับเสื้อที่พี่เนย์เป็นคนเลือกมาโยนๆไว้บนเตียงนอนสีเทาอันเรียบง่าย
“อืม”
“เพราะแบบนี้ พี่เลยต้องทำงานมากขึ้น?” ผมย้อนถาม พลางพับเสื้อและกางเกงให้แยกกองกัน
“ก็ประมาณนั้น เพราะคอนโดนี้ กูตั้งเป้าหมายไว้ว่า มันจะเป็นทรัพย์สินของเราสองคน จากนั้นเราก็ค่อยขยับขยายไปเรื่อยๆ จะได้ไม่ลำบากตอนแก่” ทันทีที่ฟังเหตุผลของอีกฝ่ายจบ ผมก็อดจะหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้ เพราะสิ่งที่พี่เขาพูด มันเป็นแผนการอันยาวไกลมากจริงๆ
“ขำอะไรรัน กูจริงจังนะเว้ย เพราะอนาคตเราจะมีกันแค่นี้ ไหนจะยังมีพ่อแม่ที่เราต้องดูแลอีก กูเริ่มทำงานแล้ว กูก็ต้องคิดไว้บ้าง เดี๋ยวถ้ามึงเดินไปถึงเส้นชัยเมื่อไหร่ มึงก็ต้องคิดแบบกูนั่นแหละ”
“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”
“แต่มึงหัวเราะ” พี่เนย์พูด พลางเหวี่ยงเสื้อมาทางนี้ จนมันหล่นแหมะลงบนหัวผมได้อย่างพอดิบพอดี คล้ายกับคนโยนเขาเพ่งเล็งเอาไว้นานแล้ว
“ตอนนี้ผมอาจจะยังมองอนาคตที่พี่คาดหวังเป็นเรื่องไกลตัว แต่ผมก็เชื่อนะครับ ว่าสิ่งที่พี่คิด ที่พี่วางแผนไว้ มันจะต้องดีกับเราสองคนแน่ๆ” ผมเดินเข้าไปกอดเอวของอีกฝ่าย พลางฝังหน้าลงบนแผ่นหลังกว้างหอมๆ ที่ตัวเองไม่ค่อยได้ใกล้ชิดมากนัก
“ช่วงที่กูฝึกงาน พ่อกับแม่ยกยอดค่าคอนโดให้ เพราะพวกท่านเห็นด้วยกับความคิดของกู แล้วท่านก็เอ็นดูมึงด้วย ต่อจากนี้กูถึงต้องก้าวเดินอย่างระมัดระวังมากขึ้น เพราะกูไม่อยากไปรบกวนท่านอีก ในเมื่อที่ผ่านมา กูก็รบกวนท่านมามากเกินพอแล้ว”
“…”
“อีกอย่างกูไม่รู้หรอกนะ ว่ามึงจะมาทำงานที่กรุงเทพมั้ย แต่กูก็อยากวางแผนเผื่อไว้ก่อน เพราะถ้ามึงเรียนจบ กูกะจะไปพูดกับพ่อและแม่ของมึงอย่างจริงๆจังๆเกี่ยวกับเรื่องของเราสักที”
“อือ อันที่จริงเป้าหมายของผม คือล่ามภาษามือ ที่อยู่ในโทรทัศน์น่ะครับ ยังไงก็คงต้องเข้ามาทำงานที่กรุงเทพ”
“แต่ก่อนหน้านี้ ผมลองเกริ่นๆกับแม่ช่วงปิดเทอมไปบ้างแล้ว ท่านก็เงียบๆ ไม่ได้ว่าอะไร ผมเลยยังไม่แน่ใจว่าท่านจะเห็นด้วยมั้ย แต่ผมเชื่อว่าถ้าหากผมมาอยู่กับพี่เนย์ ท่านจะต้องเบาใจขึ้น”
“เอาไว้เดี๋ยวมึงไปไหนมาไหนได้เอง เดี๋ยวท่านก็วางใจในตัวมึงเองนั่นแหละ แต่ก่อนอื่น กูต้องหาวิธีพูดโน้มน้าวให้สำเร็จก่อน เพราะรอบนั้นที่ท่านปล่อยมึงมา มันคือเหตุจำเป็น แต่รอบนี้มันไม่เหมือนกัน” พี่เนย์พูด พลางหันหน้าเข้าหา จึงทำให้ผมต้องคลายอ้อมกอดของตัวเองลง
“ครับ แต่ถ้าผมมาอยู่ด้วย เราต้องหารค่าใช้จ่ายกันนะ”
“อืม กูรู้ กูยังจำข้อตกลงของเราได้” พี่เนย์คว้าผมเข้าไปกอด พลางหอมศีรษะของผมที่วางแนบอยู่บนเนินไหล่ของอีกฝ่ายพอดิบพอดี จนทำเอาผมนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
“พี่ครับ ขอบคุณที่เป็นส่วนหนึ่งของแรงผลักดัน ที่ทำให้ผมกลับมาพูดได้อีกครั้งนะครับ วันแรกที่ผมทำสำเร็จพ่อกับแม่ดีใจมากกว่าที่ผมคาดคิดเอาไว้เสียอีก วันนั้นผมเลยรู้สึกดีใจ แล้วก็ภูมิใจมากๆเลยครับ ที่ผมทำให้พวกท่านยิ้มได้ ในแบบที่ไม่เคยยิ้มได้มากเท่านี้มาก่อน” ผมกอดพี่เนย์แน่นขึ้น พลางเปลี่ยนมาฝังใบหน้าลงกับซอกคอของอีกฝ่าย
“มึงเก่งมาก” พี่เขากระซิบพลางลูบศีรษะของผมครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับกอดรอบเอวให้แน่นขึ้น จนผมหลุดหัวเราะ เพราะคำชื่นชมจากพี่เนย์ มันทำเอาหัวใจของผมรู้สึกพองโตอย่างบอกไม่ถูก
คล้ายกับว่า ในเวลานี้ คือเวลาอันสมควรแล้ว ที่ผมจะรับฟังคำกล่าวชมนั้นอย่างเต็มภาคภูมิ“ที่กูพูด ไม่ได้เพื่อเอาใจมึงนะ แต่กูพูดเพราะกูรู้สึกแบบนั้นจริงๆ มึงเก่งมากในสายตาของกูมานานแล้ว แถมยังเก่งกว่ากูซะอีก” พี่เนย์งัดใบหน้าของผมขึ้นมาสบกัน พร้อมกับพูดประโยคหนึ่งอย่างช้าๆชัดๆ จนทำเอาผมใจเต้นแรง บวกกับนัยน์ตาคมกริบของอีกฝ่าย กำลังสะท้อนภาพใบหน้าของผม ที่กำลังยกยิ้มจนตาปิด เพราะกำลังดีใจที่ได้รับคำชมนั้นอย่างจริงใจ
“ขอบคุณที่อยู่ข้างๆผมนะครับ เพราะการที่มีใครสักคนยืนอยู่ตรงนั้น มันทำให้ผมอุ่นใจมากจริงๆ” ผมมองเข้าไปนัยน์ตาของอีกฝ่าย พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่บังคับไม่ให้สั่น พร้อมกับยกยิ้มในแบบที่ชอบทำ
“ถ้าไม่มีพี่เนย์ ผมคงไม่มีวันก้าวเดินไปข้างหน้าได้แน่ๆ เพราะถึงผมจะมีเพื่อน แต่บางครั้ง เพื่อนก็ไม่สามารถเติมเต็มอะไรบางอย่างได้เหมือนกับความรักในรูปแบบของคนรัก และอะไรบางอย่างของความรักในแบบคนรัก ก็ไม่สามารถทดแทนมิตรภาพของเพื่อนได้ หรือแม้แต่ความรักของพ่อกับแม่ก็ด้วย มันต่างกันหมดเลยครับ”
“…”
“แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็เคยคิดเอาไว้อีกอย่างนึงนะครับ ว่าถ้าหากผมสามารถก้าวเดินไปข้างหน้าโดยไม่มีพี่เนย์ได้ ผมจะยังสามารถเดินไปจนถึงเส้นชัยได้หรือเปล่า เพราะหลายๆสิ่งที่ผมเจอ มันทำให้ผมท้อแท้ใจ และคิดอยากจะยอมแพ้อยู่หลายครั้ง แต่เพราะในความเป็นจริง คำพูดของพี่เนย์ มันคอยทำให้ผมกลับมาหยัดยืนได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้นคำตอบของคำถามที่ผมคิด มันก็แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่เลย ผมไม่มีทางทำสำเร็จ ถ้าหากไม่มีพี่คอยยืนอยู่ข้างๆ” ผมยิ้มขณะที่พี่เนย์กำลังลูบหน้าลูบตาของผมอย่าวแผ่วเบา พร้อมกับอมยิ้มตรงมุมปากตลอดการรับฟังความในใจจากผม ที่ไม่เคยได้บอกใคร นอกจากอีกฝ่าย
“กูเองก็โชคดี ที่มีมึงอยู่ข้างๆเหมือนกัน” พี่เนย์พูดเพียงแค่นั้น แล้วโฟกัสทางสายตาของผมก็เริ่มพร่าเลือน เมื่อริมฝีปากของเรากำลังเกาะเกี่ยวแนบชิดกัน ก่อนจะเล็มไล้ตักตวงความหอมหวานซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้เบื่อ และกว่าจะรู้ตัวอีกที แผ่นหลังของผมก็สัมผัสลงบนผิวที่นอนนุ่ม ที่เต็มไปด้วยกองเสื้อผ้า ทั้งจากที่พับแล้ว และยังไม่ได้พับ
ติ้งต่อง~
“ฮ่าๆ” ผมหลุดหัวเราะออกมาอย่างสุดจะกลั้น เมื่อเราสองคนกำลังจะเริ่มสานต่อความสัมพันธ์กันอีกครั้ง แต่ปรากฏว่าซาซิมิแซลม่อนดันมาส่งได้ถูกเวลาซะนี่ ผมกับพี่เนย์เลยต้องดีดตัวออกจากกัน โดยที่คนนึงเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ พร้อมกับเดินออกจากห้องนอนเพื่อไปจ่ายค่าเสียหาย ส่วนผมก็ลุกขึ้นมานั่ง พร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆเตียง ที่ในตอนนี้ ผ้าที่พับไว้เป็นกองๆ ดันเละเทะจนไม่เหลือสภาพเดิม
“รันมึงออกมากินข้างนอกเร็วๆ” พี่เนย์ตะโกนเรียกจากด้านนอก ผมจึงรีบขานรับ พร้อมกับลุกเดินออกจากห้องนอน และไม่ลืมจะปิดประตูให้สนิท
เพราะการฉลองในวันนี้ มันคงจะอีกยาวไกล-----------------------------------
[edit 26/12/2017 แก้คำตกหล่น]
กลับมาแล้วค่ะ เพิ่งแจ้งไปเองว่าคอมโกงความตาย สุดท้ายมันก็ต้องเอามันไปซ่อมจริงๆ กว่าจะกลับมาจับจุดเขียนต่อได้ ยากเหมือนกัน
Cold Drip Coffee คือ วิธีการชงกาแฟด้วยน้ำเย็นแทนที่การชงด้วยน้ำร้อนในแบบเดิมๆ ทำให้ได้กาแฟที่มีรสชาติดีกลมกล่อม หอม และหวานละมุนนุ่มกว่าเดิมเป็นพิเศษ โดยวิธีการชง Cold Drip Coffee มีขั้นตอนและวิธีการชงโดยผ่านเครื่องชงแบบเย็น โดยมีลักษณะส่วนบนเป็นโถใส่น้ำแข็งซึ่งมีวาวล์อยู่ด้านล่าง ส่วนตรงกลางเป็นกระบอกสำหรับใส่กาแฟบด ที่มีฟิลเตอร์สำหรับกรองน้ำ ลงมาในเหยือกที่รองรับน้ำกาแฟที่จะหยดลงมา โดยเวลาชงนั้นเป็นการเติมน้ำเย็นลงไป ใส่กาแฟบดลงไปในกระบอก แล้วปรับวาล์วให้น้ำเย็นค่อยๆ หยดลงมา ซึ่งในการชงกาแฟสกัดเย็นนั้นจะใช้เวลานานมาก เนื่องจากต้องค่อย ๆ ปล่อยให้กาแฟหยดลงมาอย่างช้าๆ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลานาน 12 – 14 ชั่วโมง กว่าจะได้กาแฟ 1 แก้วไว้รับประทาน
ที่มา :
http://suzuki-coffee.com/cold-drip-coffee/ปล. ในเรื่องเป็นชานะคะ แต่ใช้วิธีชงแบบกาแฟ ถ้าใครสนใจดูรูปเครื่องชงกับต้นอาร์ติโชคและอื่นๆ สามารถดูได้ที่เด็กดีค่ะ
https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1716971&chapter=53