บทที่ 23 คืนกลับ [ครึ่งแรก]
ปวด
ปวดไปทั้งตัว ปวดจนไม่อยากจะลืมตาตื่นขึ้นเลยสักนิด แต่กลิ่นฉุนจมูกที่คุ้นเคยกับแสงสว่างสีขาวแสบตาจากที่ไหนสักแห่งมันขัดขวางการนอนของผมสิ้นดี แม้จะปวดตัวจนร่างแทบแหลกและอยากนอนพักแค่ไหนก็ไม่อาจทำต่อได้ ผมจึงต้องยอมลืมตาขึ้นแต่โดยดี
การลืมตาของผมคราวนี้ยากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เปลือกตาสองข้างหนักอึ้ง พอเปิดตาขึ้นมาได้นิดหน่อยก็ต้องรีบหลับลงเพราะรู้สึกว่าแสงสีขาวนั้นเจิดจ้าเกินจะทนไหว ผมเปิดตาแล้วหลับ รอจนหายแสบแล้วเปิดตาใหม่แบบนั้นซ้ำไปซ้ำมา กว่าจะมองเห็นได้เต็มตาก็ทำเอาผมเกือบถอดใจไปหลายรอบ
แต่พอเห็นภาพตรงหน้าแล้วคิดว่าหลับลงไปเหมือนเดิมน่าจะดีกว่า
ภาพที่เห็นมีเพียงเพดานสีขาวสะอาดตาประดับด้วยหลอดไฟสีขาวจ้าชวนแสบตา แสบตาเสียจนผมต้องข่มตาลงอีกรอบแล้วรออยู่พักใหญ่จึงจะลืมตาขึ้นมาได้ ตัวของผมกำลังนอนอยู่บนเบาะนุ่มๆ ที่ผมเดาเอาเองว่าน่าจะเป็นเตียง...ในโรงพยาบาล
โรงพยาบาลไม่ใช่โรงหมอ
อากาศในห้องเย็นสบายเกินกว่าจะเป็นอากาศจริงๆ ในประเทศไทย แสงไฟแสบตาตรงหน้าก็ดูสว่างเกินกว่าจะเป็นหลอดไฟในยุครัชกาลที่หก
ผมกลับมาแล้ว
ผมคิดว่าผมกลับมาแล้ว แต่จะให้ฟันธงเลยก็ไม่กล้าเพราะรอบตัวผมนั้นว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่เลยสักคน ถ้าจะบอกว่าผมตายจากโลกในอดีตแล้ววาร์ปไปโลกอนาคตผมก็ไม่แปลกใจอีกแล้ว
พอตั้งใจจะคิดอะไรมากกว่านั้นหัวก็พลันปวดแปลบขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุจนผมต้องยอมแพ้ ในขณะที่ผมกำลังตัดสินใจว่าจะหลับไปอีกรอบหรือรอให้มีใครมาพบดี เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะความคิดเสียก่อน
ใครบางคนเดินเข้ามาใกล้เตียงที่ผมนอนอยู่ ผมเห็นจากหางตาว่าเขาใส่ชุดสีขาวสะอาดตา ไม่นานนักเขาก็เข้ามาหยุดในระยะสายตาที่ผมสามารถมองได้ถนัด
เธอเป็นผู้หญิงในชุดสีขาว ผมรวบเก็บเอาไว้ภายใต้หมวกสีขาวสะอาด ใบหน้างดงามฉีกยิ้มใจดีให้ผมแล้วเอื้อมมือไปทำอะไรบางอย่างที่หัวเตียง
อ๋อ พยาบาล...พยาบาลในชุดสีขาวสมัยใหม่คุ้นตา
ผมกลับมาแล้วจริงๆ
“ฟื้นสักทีนะคะ พ่อแม่ของคุณห่วงมากเลย คุณหมอท่านก็แทบไม่เป็นอันหลับอันนอน”
“ผม...”
เสียงที่เปล่งออกมาแหบแห้งกว่าทุกที แต่ก็มากพอที่จะทำให้เธอสนใจฟัง
ผมกลืนน้ำลายเรียกความชุ่มชื้นในลำคอแล้วเริ่มพูดต่อ
“ผมหลับไปนานแค่ไหนหรือครับ”
เธอขมวดคิ้วนึกเล็กน้อย
“ไม่นานหรอกค่ะ แค่สี่วันเท่านั้นเอง ตอนแรกคุณหมอคิดว่าจะนานกว่านี้อีกค่ะ แต่คุณฟื้นตัวเร็วมากจริงๆ”
ผมยิ้มตอบอย่างคนไม่รู้จะตอบอะไรกลับดี
ผมมีเรื่องที่อยากถาม แต่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องถามออกไปว่าอะไร ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมต้องถามใคร
กรวิกตายแล้วเหรอ ทำไมผมถึงไปอยู่ในร่างกรวิกล่ะ หมอเป็นยังไงบ้าง คุณเปรมเป็นยังไงบ้าง และคำถามที่สำคัญที่สุด...
เรื่องทั้งหมดนั้นเป็นความจริงใช่ไหม ผม...ไม่ได้คิด ไม่ได้ฝันไปเองใช่ไหม
ผมเงียบไปพักใหญ่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหนออกไป แต่จู่ๆ พยาบาลคนนั้นเธอมองหน้าผมแล้วยกยิ้มบาง
“ไม่ต้องกังวลนะคะ รถมอเตอร์ไซต์ที่ชนคุณถูกจับแล้ว ตอนนี้กำลังดำเนินคดีอยู่ ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้วค่ะ เจ้าตัวเองก็ยอมรับผิดด้วย”
อ๋อ เธอคงคิดว่าผมกำลังกังวลเรื่องอุบัติเหตุแน่ๆ แต่การที่เธอพูดถึงมันขึ้นมาก็ดี เพราะมันจะได้ย้ำเตือนใจผม
สลักเอาไว้ จำเอาไว้ให้มั่นว่าผมคือมอส นายพิทยุตม์ แซ่ตั้ง นักศึกษามหาวิทยาลัยปีสองที่แสนธรรมดาและบังเอิญโดนรถชนตอนข้ามถนนจนต้องเข้าโรงพยาบาล
ไม่ใช่กรวิก ไม่ใช่ใครทั้งนั้น
ผมหลับตาลง ภาพเหตุการณ์มากมายไหลกลับเข้ามาในหัว ความทรงจำสุดท้ายคืออาเฮียกำลังจะถูกฆ่าแล้วผมก็ถูกลูกหลงไปด้วย ตอนนั้นหัวผมถูกทุบตีอย่างแรง ร่างทั้งร่างไม่มีตรงไหนที่ไม่ถูกทำร้าย แล้วทุกอย่างก็ดับวูบ พอตื่นอีกทีก็กลายเป็นว่าผมอยู่ในโรงพยาบาลที่แสนธรรมดา ด้วยสาเหตุธรรมดาๆ อย่างการถูกรถชน
หรือผมจะอ่านไดอารี่มากไปแล้วเก็บไปคิดเป็นตุเป็นตะเอาเอง...
ใครจะรู้ล่ะ
ผมระบายลมหายใจหนักๆ ออกมาพร้อมๆ กับเสียงเปิดประตูอีกครั้ง แต่คราวนี้ต่างออกไป เสียงฝีเท้ามากมายกำลังกรูกันเข้ามาทางผม ไม่นานนักผมก็เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่แสนคุ้นเคย
พ่อ แม่ ไอ้ไม้ แล้วก็...ทีน
ผมเพิ่งจะตระหนักได้เดี๋ยวนี้เองว่าทีนดูเหมือนกับทวดของเขามากแค่ไหน พวกเขาเหมือนกันแทบทุกอย่าง ทั้งดวงตาคมเข้ม ใบหน้ารูปไข่รับกับริมฝีปากบางได้รูป ใบหน้าคมสัน รูปร่างสูงโปร่ง
คิดถึง...
บางอย่างในใจของผมมันดังขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลจนผมต้องแสร้งถอนหายใจเพื่อสลัดมันออกจากความคิด แล้วเบนไปมองหน้าคนอื่นแทน
แม่กับพ่อผมดูซูบซีดกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกัน นัยน์ตาของแม่ดูฉ่ำชื้นเหมือนกำลังจะร้องไห้ ใบหน้านั้นดูสูงวัยกว่าเก่า พ่อผมจับไหล่แม่แน่น ดวงตาอ่อนล้าใต้กรอบแว่นหนาของพ่อดูมีประกายสดใสกว่าครั้งไหนๆ ที่ผมเคยเห็น พวกท่านสองคนส่งยิ้มบางให้ผม มันดูอ่อนล้าแต่ก็เปี่ยมไปด้วยความสุข
พวกเขาดูอ่อนล้าเพราะผม และพวกเขากำลังดีใจ...เพราะผม
ความรู้สึกที่รู้ว่ายังมีคนรักเราอยู่นี่มัน...ดีจริงๆ
ผมฉีกยิ้มตอบพวกท่านแล้วเหลือบไปมองอีกคนที่คอยพยุงแม่ผมอยู่ไม่ห่าง
ไอ้ไม้
ดวงตาของมันลึกโหล่ ใบหน้าของมันดูโทรมไม่ต่างจากช่วงสอบ แต่ถึงจะดูเหนื่อยล้าแค่ไหนมันก็ยังยืนอยู่ตรงนั้น ประคองแม่ผมอยู่อย่างนั้น ฉีกยิ้มให้ผมอยู่อย่างนั้น
เพราะแบบนี้ถึงเกลียดมันไม่ลงสักที
ผมหลุดหัวเราะให้กับรอยยิ้มกว้างแก้มแทบปริของมันแล้วไล่สายตาไปหาคนสุดท้าย
ทีน...
ผมยอมรับว่าใบหน้าของเขาทำให้ผมแสลงใจ แต่อย่างไรเสียพวกเขาไม่ใช่คนเดียวกัน ผมไม่ควรใช้อคติมาตัดสินทีน...
แต่ความจริงที่ว่าเขาคือลูกหลานของคุณชื่นกับคุณเปรมก็เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกัน
แล้วทำไมผมต้องมาจริงจังกับเรื่องที่ไม่รู้ว่าจริงหรือฝันขนาดนี้ด้วยนะ
การที่เรารับรู้เรื่องราวเพียงคนเดียวแบบนี้ก็มีข้อเสียอยู่ตรงที่เราไม่มีทางรู้เลยว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ต่อให้พูดหรือถามออกไปก็คงไม่มีใครเข้าใจ เผลอๆ คงพาลคิดว่าผมเป็นบ้าไปแทน
เดี๋ยวสิ คนเดียวเหรอ...
ภาพของพระภิกษุรูปหนึ่งที่ผมเคยเจอที่วัดในตอนที่เป็นกรวิกผุดขึ้นมาในหัว
หลวงลุง...ใช่ ผมยังมีหลวงลุงอยู่อีกคนนี่นา
“ดีใจด้วยนะครับ”
เสียงปริศนาที่พูดขึ้นมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำให้หลุดจากภวังค์แล้วผมหันไปมองอย่างลืมตัว
โอ้โห คอผม หักแล้วมั้งนั่น
“โธ่ อย่าหันเร็วแบบนั้นสิครับ หมออุตส่าห์ดามคอไว้แล้วนะ”
กูก็ไม่ได้อยากหันโว้ย มึงเล๊ย มึงล้วนๆ
ผมพยายามมองหาต้นเสียง ไม่ทันจะเหลือบตาครบทุกด้าน ใบหน้าไม่คุ้นตาก็โผล่เข้ามาตรงหน้าผมพร้อมกับรอยยิ้มหวาน
เขาเป็นผู้ชายตาตี่ ใส่แว่นหนาเตอะ ผิวขาวจัดและ...
“คุณหมออย่าไปแกล้งคนไข้สิคะ”
ริมฝีปากได้รูปนั้นฉีกยิ้มกว้างแล้วหัวเราะ ก่อนจะยอมถอยหน้าออกไปโดยดี
“ก็แหม หมอเห็นคุณพิทยุตม์เขานอนกินบ้านกินเมืองมานาน เลยอยากแกล้งน่ะครับ”
ผมเห็นภาพของคนอีกคนซ้อนทับขึ้นมา
คนอีกคนที่บอกว่าตัวเองเป็นหมอ
คนอีกคนที่มีรอยยิ้มสดใสระยิบระยับราวกับพระอาทิตย์
ดูสิ มองหมอใหญ่เชียว แบบนี้อีกไม่กี่วันก็กลับบ้านได้แล้วมั้ง”
คำแซ็วนั้นทำให้ผมได้สติ แต่สติที่กลับมาก็ไม่ช่วยให้คิดอะไรออก ผมเลยเลือกที่จะพูดแซ็วเหมือนกัน
“หมอครับ ถึงผมจะขยับคอไม่ได้ แต่ผมก็รู้นะครับว่าขากับแขนผมใส่เฝือกอยู่ แถมที่หัวนี่ก็ยังมีผ้าพันแผล หมอจะปล่อยผมกลับบ้านสภาพนี้จริงเหรอ”
เขาหัวเราะร่วน ไม่รู้หัวเราะเพราะคำพูดของผมหรือหัวเราะเพราะเสียงที่แหบแห้งเหมือนเป็ดของผมกันแน่
“คุณพิทยุตม์ก็บ่นไปนั่น ของคุณนะสุดยอดของดวงเลยรู้ไหม หัวฟาดกับฟุตบาทแต่ไม่เสียหายมาก กะโหลกไม่ร้าวด้วยซ้ำ แค่แตกนิดๆ หน่อยๆ ให้เลือดออกเล่น แขนขาหักนี่ก็เป็นเรื่องปกติของการโดนรถชน ที่คอก็ไม่ได้โดนผ่าตัดอะไรแค่ใส่เฝือกอ่อนดามไว้เพราะได้รับความเสียหายที่คอนิดหน่อย ก็เลยต้องใส่ไว้เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูและลดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณนั้น อีกไม่นานก็หายดี อวัยวะภายในก็ไม่เสียหายเลยแม้แต่นิดเดียว แถมร่างกายคุณยังฟื้นตัวเร็วมากจนน่าแปลกใจ รู้ไหมว่าตั้งแต่ทำงานมา คุณดวงดีที่สุดเท่าที่หมอเคยเจอ”
เขาฉีกยิ้มกว้างให้ผม
“เทียบกับอาการบาดเจ็บ หมอว่าคุณหลับนานไปด้วยซ้ำนะ”
แหน่ะ ขี้แซะนะเราน่ะ
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไรต่อ เขาก็ชิงหันไปพูดภาษามนุษย์ต่างดาวกับพยาบาลที่อยู่ข้างๆ...ล้อเล่นครับ จริงๆ ก็ภาษาแพทย์นี่แหละ แต่ผมฟังไม่เข้าใจ
พอพูดจบ เขาก็หันมายิ้มให้ผมอีกครั้ง
“หายไวๆ นะครับ”
พอพูดจบก็รับเอกสารบางอย่างมาจากพยาบาลแล้วเดินจากไป
พี่พยาบาลส่งยิ้มให้ผมแล้วเริ่มมายุ่งกับสายยุบยับรอบๆ เตียง ความรู้สึกเหมือนบางอย่างถูกดึงออกจากร่างมันเป็นความรู้สึกที่...แปลก แปลกที่สุดคือผมไม่รู้เลยว่าสายไหนคืออะไร และเขากำลังทำอะไรกับร่างกายผมกันแน่ แต่สุดท้ายผมก็ยอมนอนนิ่งๆ จนทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี
หลังจากจัดการกับตัวผมเสร็จเธอก็หันมายิ้มกว้างให้ผมอีกครั้ง
“เดี๋ยวจะมีพยาบาลเอาอาหารอ่อนมาให้นะคะ ทานอาหาร ทานยา จะได้หายไวๆนะคะ”
ประโยคสุดท้ายนี่คือก๊อปกันมาใช่ไหม
ผมฉีกยิ้มกว้างตอบรับคำพูดห่วงใยกึ่งสั่งนั้นเงียบๆ
แล้วเธอก็เดินจากไป ปล่อยผมไว้กับ...
“เจ้าอ้วน แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าข้ามถนนให้ระวัง แล้วดูสิโดนรถชนจนได้”
เริ่มแล้วครับ เริ่มแล้ว
“อย่าว่าพ่อขี้บ่นเลยนะไอ้ลูกชาย เตือนกี่รอบแล้วไอ้เรื่องข้ามถนนเนี่ย ตอนเด็กๆ นะ โอ๊ย อย่าให้พ่อต้องพูด”
นี่ขนาดพ่อไม่อยากพูดนะเนี่ย
แต่เราโต้ตอบอะไรไม่ได้ครับ เราเป็นผู้ต้องหา ทำได้แค่ยอมรับความผิด
หลังจากนั้นก็เป็นประโยคบ่นยืดยาวที่ผมเองก็จับใจความได้บ้าง ไม่ได้บ้างเพราะทั้งพ่อทั้งแม่พากันแย่งพูดเหมือนกลัวจะไม่ได้บ่น ผมจึงทำได้แค่ยิ้มแห้ง ยิ้มแห้งและยิ้มแห้ง
หลังจากปล่อยให้พวกท่านได้บ่นจนสาแก่ใจ แม่ก็เดินเข้ามาข้างเตียงแล้วเอามือผมไปกุมไว้
“อย่าทำให้เป็นห่วงแบบนี้อีกนะเจ้าอ้วน”
สิ้นคำของแม่ พ่อก็เดินเข้ามาลูบหัวผมเบาๆ
ครับ หัวที่พันผ้าก๊อซนั่นแหละ
“ทำอะไรก็ห่วงตัวเองบ้าง ปล่อยให้พ่อแม่ตายก่อนเถอะ ไม่ต้องมาแย่ง เข้าใจไหมไอ้ลูกชาย”
แหม พอได้ยินว่าผมแค่หัวแตกเฉยๆ ก็ขยี้แผลใหญ่เลยนะพ่อ
ถึงจะพูดคิดติดตลกแต่ก็ใช่จะไม่เข้าใจ ความห่วงใยและความรักที่ส่งมาให้
“ขอบคุณนะครับ”
แค่นี้
แค่คำนี้จริงๆ ที่ผมนึกออก
ขอบคุณ ขอบคุณ...จริงๆ
ผมฝัน
มันเป็นความฝันที่แปลกประหลาด ภาพตรงหน้าของผมมืดสนิท แต่กลับรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่คอยกอบกุมมือทั้งสองข้าง ได้ยินเสียงร้องไห้ของใครสักคน มันฟังดูทรมานจนแทบขาดใจ ได้ยินเสียงพูดของใครสักคนหรืออาจจะหลายคน คำพูดพวกนั้นมันอู้อี้จนฟังลำบาก แต่พอลองตั้งใจฟังดีๆ มันก็ค่อยๆ ชัดขึ้น...ชัดจนผมแทบไม่เชื่อว่าตัวเองได้ยินถูกต้อง
“เจ้อาจจะไม่ใช่อาเจ้ที่ดีของลื้อ แต่ถ้ามีปัญหาอะไร อย่าลืมนึกถึงเจ้นะ”
“ให้เป็นเพื่อนที่ดีและนำมึงไปในทางที่เจริญข้าคงทำไม่ได้ สิ่งเดียวที่ข้าทำได้ก็คือไม่ฉุดมึงให้ต่ำลงไปกว่านี้และไม่ปล่อยมึงให้อยู่คนเดียวไม่ว่าสถานการณ์จะแย่แค่ไหนก็ตาม”
“อาม้าอาจจะไม่ใช่ม้าที่ดีของลื้อ แต่อั๊วก็รักลื้อนะอาโซ้ยตี๋”มันเป็นคำพูดที่ฟังดูสับสัน ฟังๆ แล้วเหมือนไม่ได้มาจากสถานการณ์และเวลาเดียวกัน แต่คำพูดนั้นสื่อให้คนๆ เดียวกัน
สื่อถึงผม...ไม่สิ ต้องบอกว่าสื่อถึงกรวิกต่างหาก
ตลอดเวลาที่เป็นกรวิก ผมรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่านั่นไม่ใช่ผม ผมไม่ใช่กรวิกและกรวิกไม่ใช่ผม บางครั้งผมก็นึกหวั่นใจว่าความรัก ความห่วงใยทั้งหมดนั้นไม่ได้ส่งมาให้ผม ไม่ว่าจะเป็นจากอาม้า อาเจ้ ไอ้มั่น คุณเปรมหรือแม้กระทั่งหมอ บางทีความรักนั้นอาจจะมีไว้เพื่อกรวิก ไม่ใช่ผม
ไม่ใช่มอส
แต่พอมาคิดอีกที ถ้าความรู้สึกพวกนั้นก่อขึ้นหลังจากที่ผมอยู่ในร่างของกรวิก จะขอโมเมว่ามันเป็นความรู้สึกที่มีไว้เพื่อผมก็ไม่ผิดใช่ไหม...ผมแค่อยากได้คำยืนยันว่าคุณเปรมรักมอส หมอรักมอส ทุกคนรักมอส
ไม่ใช่กรวิก
‘จะแบ่งแยกไปทำไมเล่า ในเมื่อไม่ว่าจะเป็นตัวลื้อในตอนนี้หรือกรวิกก็ล้วนเป็นคนๆ เดียวกัน’เสียงปริศนาที่ดังขึ้นมาในหัวทำให้ผมสงสัยปนหงุดหงิดใจ
นี่เป็นความฝันของผมนะ อย่าเข้ามาโดยพลการสิ
‘อั๊วรอมานานเหลือเกิน รอเพื่อจะขอโทษ ขอโทษสำหรับทุกอย่าง’คำพูดนั้นคุ้นหู น้ำเสียงที่ได้ยินก็คุ้นเคย
ใครกันนะ
‘ขอบคุณนะโซ้ยตี๋ที่เป็นน้องที่ดีมาตลอด’น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นฟังดูเศร้าสร้อยเหลือเกิน
‘ขอบคุณจริงๆ ที่ยกโทษให้อั๊ว ขอบคุณจริงๆ ที่อโหสิกรรมให้อั๊ว’มันเป็นคำพูดที่จริงใจที่สุดที่ผมเคยได้ยินมา แต่มันเป็นเสียงของใครกันนะ น่าแปลกที่ไม่ว่าจะพยายามนึกยังไงก็นึกไม่ออก
‘จากนี้อั๊วคงต้องไปตามทางของอั๊วแล้วจริงๆ รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีนะ อั๊วคงดูแลลื้อไม่ได้แล้ว’ผมรู้สึกถึงน้ำตาอุ่นๆ ที่ไหลออกมา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือฝัน แต่ความเศร้าปนดีใจที่ลอยล่องอยู่ในใจของผมเป็นของจริง
ทำไมผมถึงรู้สึกแบบนี้กันนะ
‘อั๊วหมดบ่วงกับลื้อแล้ว แต่ดอกการเวกดอกนั้นยังไม่โรยรา อั๊วขออวยพรให้ลื้อพบทางสว่างในชีวิตนะ’นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนที่ความรู้สึกว่าร่างทั้งร่างจะถูกเขย่าจะถาโถมเข้ามาจนผมต้องลืมตาตื่น
คนแรกที่เห็นในสายตาคือไอ้ไม้ที่กำลังทำหน้าตกอกตกใจ พอเบนไปมองอีกข้างของเตียงจึงได้เห็นทีนยืนหน้าเครียดอยู่ด้วย
ดูทำหน้ากันเข้าสิ เป็นอะไรกันล่ะนั่น
“มึงไหวไหมเนี่ย ฝันร้ายเหรอ”
เป็นไอ้ไม้ที่เปิดปากพูดขึ้นมาก่อน แต่การพูดก่อนพูดหลังนั้นไม่ใช่ประเด็น สิ่งสำคัญคือมันรู้ได้ไงว่าผมฝันร้าย
คงเพราะผมแสดงออกทางสีหน้ามากไปหน่อย ไอ้ไม้ถึงได้ถอนหายใจอย่างระอาใส่ผมเฮือกใหญ่
“จะถามกูใช่ไหมว่าทำไมถึงรู้ว่ามึงฝันร้าย ก็น้ำตาไหลอาบทั้งหน้าแล้วนั่น”
ผมยกมือข้างที่ไม่ใส่เฝือกขึ้นมาลูบหน้าตัวเอง
ผม...ร้องไห้ ร้องไห้จริงๆ ด้วย นึกว่าฝันไปเสียอีก
ใช่...เมื่อครู่ผมฝัน ฝันถึงใครบางคน...ไม่สิ มันไม่เหมือนฝัน แต่มันเหมือนกับ...
“ไอ้ไม้ มึงเคยเล่ากูใช่ไหมว่าย่ามึงที่เสียไปแล้วเคยมาเข้าฝันบอกหวยแม่มึง”
มันขมวดคิ้วให้กับคำถามของผมแต่ก็ยอมพยักหน้าโดยดี
“แล้วแม่มึงได้เล่าไหมว่าย่ามึงมาบอกยังไง”
“ถามเหี้ยไรเนี่ย เพื่อนกูไปแล้ว เพือนกูเป็นบ้าแล้ว”
“ไปไหนเล่า กูก็ยังนอนอืดอยู่เนี่ย เล่ามาเร็วๆ”
ไอ้ไม้ยังทำหน้าเหมือนคนที่สับสนว่าเพื่อนเป็นบ้าหรือเพื่อนแค่เพ้อไข้จนผมรำคาญจนต้องเบนสายตาไปถามอีกคนแทน
โอ๊ย เห็นหน้ามันแล้วแสลงใจฃ
“แล้วทีนอะ เคยรู้บ้างปะว่าเวลาผีเข้าฝันมันเป็นยังไง”
คนถูกถามขมวดคิ้วนึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะร้องอ๋อออกมา
“เคยนะ พ่อเล่าให้ฟังว่าคุณทวดชายเคยมาเข้าฝัน”
ทวดชาย...คุณเปรมเหรอ
เขาทำท่านึก
“จริงๆ ก็จำไม่ค่อยได้หรอกนะ มันนานแล้วน่ะ คือเราเคยเล่าว่าพ่อเราเป็นลูกคนสุดท้องใช่มะ เออ นั่นล่ะ คือพ่อก็มีพี่ชายอีกคน พี่สาวอีกคน ตอนนั้นรู้สึกว่าจะเป็นตอนที่คุณทวดเสียใหม่ๆ เราเด็กมากเลยอะ แบบมากๆ สักขวบหนึ่งได้ ก็มีคนเล่าให้ฟังว่าคุณทวดไปเข้าฝันพ่อเราว่าตอนแบ่งสมบัติให้เอาอะไรสักอย่างให้คุณลุงด้วย หลังจากแบ่งมรดกได้ไม่นาน คุณลุงก็ไปบวชกลายเป็นหลวงลุงเลย”
ผมขมวดคิ้วยุ่ง แต่ยังไม่ทันถาม ไอ้ตัวยุ่งอีกคนก็ดันชิงถามก่อนผม
“นี่มึงแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าพูดภาษาไทย เล่าไรเนี่ย ฟังไม่รู้เรื่องเลย”
เออ ขอบใจมากเพื่อนที่พูดแทน
ทีนถอยหายใจแรงๆ
“ก็บอกแล้วไงว่ามันนานแล้ว ลืมบ้างได้ไหมล่ะ”
“เอ้าๆ ไม่เถียงกัน เดี๋ยวเทพมอสจะเล่าใหม่ให้ฟังเอง ฟังนะเพื่อนไม้”
ไอ้ไม้เบ้ปากตอนผมพูดถึงตัวเอง แต่ก็ยอมฟังแต่โดยดี
“คือพ่อของทีนมีพี่ชายกับพี่สาวใช่ไหม”
ทีนพยักหน้า ผมจึงหันกลับไปมองหน้าไอ้ไม้ต่อ
“แล้วคราวนี้ทวดของทีนก็เสีย แล้วก็มาเข้าฝันพ่อทีนว่าให้เอาสมบัติอะไรสักอย่างของคุณทวดไปให้คุณลุงของทีนด้วย หลังจากนั้นไม่นานลุงแกก็ไปบวช จบไหมเพื่อน”
ไอ้ไม้ยังขมวดคิ้วจนผมเริ่มจะเหนื่อยแทน รอบแรกยอมรับว่าทีนมันเล่าไม่รู้เรื่อง แต่รอบนี้คือที่สุดของการเรียบเรียงแล้วนะ นี่เพื่อนโง่หรือเพื่อนโง่หืม
“นี่มึงยังไม่เข้าใจอีกเหรอ”
มันมองหน้าผม
“ก็เข้าใจนะ แต่กูไม่เข้าใจว่าแก่นของเรื่องมันอยู่ตรงไหน”
“แล้วมึงจะไปสงสัยเรื่องแก่นของเรื่องทำขนมเปี๊ยะมึงเหรอ”
“เอ้า ก็อาจารย์บอกว่าเราต้องสามารถจับใจความทุกเรื่องที่เราฟังได้ไง”
โอเคครับ เพื่อนผมไม่ได้โง่ มันเป็นบ้า
“นี่ถ้าไม่ติดว่ากูดามคอกับใส่เฝือกทั้งตัวอยู่นะ กูจะกระโดดตบหัวมึง”
สิ้นคำพูดของผม ไอ้สองคนนั้นก็พร้อมใจกันหัวเราะร่า
“แหม พ่อคนเก่ง มึงลุกไปเข้าห้องน้ำเองยังลำบากเลย ทำมาเป็นจะกระโดดตบกู เก่งจังเลย”
“เออ กูเก่ง กราบกูสิ”
สิ้นคำพูดของผมพวกมันก็พากันหัวเราะอีกรอบ ให้ตายสิไอ้พวกนี้...
อยู่ด้วยแล้วรู้สึกดีชะมัด
“แล้วทำไมจู่ๆ มึงถึงถามเรื่องผีเข้าฝันล่ะ อย่าบอกนะว่ามึง...”
“ไม้ปากพล่อย”
ไอ้ไม้เอ่ยปากถามขึ้นมาตามประสาคนสนใจเรื่องชาวบ้านชาวช่องเป็นพิเศษ แล้วก็ลูบแขนประกอบคำพูดตัวเองในช่วงท้ายประโยค แต่ยังไม่ทันที่ผมจะตอบ คนอีกคนก็ชิงสวนขึ้นมาเสียก่อน
ความกลัวผีของทีนนี่ไม่รู้จะขำหรือสงสารดี
“หวาย กลัวผีเหรอจ้ะน้องทีน โอ๋นะ”
ไอ้ไม้พูดแซ็วพลางหัวเราะร่วนอย่างสะใจ ในขณะที่อีกคนแทบจะกระโดดถีบยอดหน้ามันอยู่แล้ว
มอสปวดกบาลกับไอ้พวกนี้จริงๆ
“ว่าแต่มึงน่ะ ตอบมาเลย ทำไมถึงถามขึ้นมา”
ผมหันไปมองหน้ามันแล้วยักไหล่
“กูก็แค่ถามไหม ถามไม่ได้รึไง”
มันหรี่ตามองผมอย่างระแวง
“ไม่จริงอะ คนอย่างมึงไม่มีทางถามขึ้นมาเฉยๆ”
“เออ ย่ามึงมาเข้าฝันบอกหวยกูเองแหละ”
“ไอ้เหี้ย”
ไม่พูดเปล่า มันยังออกแรงเขย่าเตียงผมให้ด้วย
ไอ้เพื่อนเวร
ผมบ่นด่ามันออกไปสองสามคำแล้วไล่ให้พวกมันไปหาเก้าอี้มานั่งข้างเตียงให้เรียบร้อย ในระหว่างนั้นผมก็นั่งคิดอะไรเงียบๆ กับตัวเอง
สิ่งที่ผมเจอคงเรียกอย่างง่ายว่าผีเข้าฝัน เรียกอย่างยากว่าการรับรู้ประสบการณ์ทางวิญญาณ
อะ ก็จะตลกไป
ถ้าผมจำไม่ผิด เสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงของผู้ชาย แถมยังแทนตัวเองว่าอั๊วลื้อ สำคัญคือเสียงนั้นฟังดูหนุ่มแน่นเกินกว่าจะเป็นเสียงของอาป๊า เพราะแบบนั้นผมจึงค่อนข้างมั่นใจว่าคนที่มาหาผมคือใคร
อาเฮีย
จากคำพูดที่เขามาบอก ทำให้ผมพอจะเดาได้ว่าเขานั่นล่ะคือตัวการสำคัญที่ทำให้ผมกลับไปเห็นอดีตตัวเอง
จากคำพูดที่เขาบอก ทำให้ผมมั่นใจว่าเรื่องราวทั้งหมดที่ผมรับรู้...คือเรื่องจริง
เขาพาผมกลับไปที่นั่นเพื่อรับรู้ทุกอย่างและ...ให้อภัยเขา ผมไม่รู้ว่าหรอกว่าเขารอคอยการให้อภัยมานานแค่ไหน แต่หลังจากนี้พวกเราก็คงไม่ติดค้างกันอีกแล้ว
หมดแล้วซึ่งบ่วงที่ผูกกันเอาไว้
อย่างไรก็ตาม ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินมันชวนให้แคลงใจ
‘อั๊วหมดบ่วงกับลื้อแล้ว แต่ดอกการเวกดอกนั้นยังไม่โรยรา อั๊วขออวยพรให้ลื้อพบทางสว่างในชีวิตนะ’เขาคือคนที่บังคับให้โจรพวกนั้นเอาดอกการเวกมาให้ผมไม่ผิดแน่
แต่เพราะอะไรกันล่ะ?
เขาไม่รู้เรื่องผมกับคุณเปรมด้วยซ้ำ หรือผีจะติดต่อสื่อสารกันในทำนองที่ว่า ‘ฝากเอาไปให้หน่อยสิ’ รึเปล่า
ในขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ เตียงก็เกิดการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงจนผมร้องเสียงหลง
“แหม กรี๊ดเป็นตุ๊ดเลยนะมึง”
ไอ้ไม้เจ้าเก่าเจ้าเดิม เพิ่มเติมคือมันไขเตียงผมขึ้นโดยไม่บอกครับ น่ากระโดดตบให้กะโหลกแตก
ไอ้ไม้ไขเตียงให้ผมอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน ในขณะที่ทีนก็เดินไปหยิบเก้าอี้มาสองตัวให้ตัวเองกับไอ้ไม้ พวกมันสองคนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เตียง
“มึงหลับไปตั้งสี่วัน ในฐานะที่กูเป็นเพื่อนที่ดี เดี๋ยวกูจะเล่าเหตุการณ์ย้อนหลังให้ฟังเอง”
พอพูดจบ ไอ้ไม้ก็เริ่มร่ายมหากาพย์การนินทาชาวบ้านให้ผมฟัง โดยมีทีนคอยเป็นคนเสริมรายละเอียดเหตุการณ์ สองคนนี้เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย พวกมันผลัดกันทำให้ผมหัวเราะบ้าง ดึงเช็งเรื่องที่จะเล่าบ้าง
แม้จะวุ่นวาย แต่ผมก็รักช่วงเวลาแสนสงบแบบนี้เหลือเกิน
ไม่รู้ว่าพวกเราใช้เวลาพูดคุยกันไปนานแค่ไหน กว่าจะรู้ตัวอีกทีพ่อกับแม่ก็กลับมาแล้ว จำได้ว่าก่อนจะหลับไปพ่อกับแม่บอกว่าจะออกไปซื้อของ เลยทิ้งไม้กับทีนให้เฝ้าผม ไอ้สองคนนี้ก็บังเอิญไม่มีเรียนพอดิบพอดี ทีนลงทุนยกเลิกงานทั้งหมดของวันเพื่อมานั่งเป็นเพื่อนไม้เฝ้าผม ส่วนไอ้ไม้นี่ไม่ต้องห่วงเรื่องงาน รายนี้มันพวกว่างการว่างงานไม่ต่างจากผมสักเท่าไหร่
“อ้วน เมื่อตอนแม่ออกไปข้างนอกมีเพื่อนโทรมาถามอาการด้วยน่ะลูก”
คำพูดของแม่ทำให้พวกผมหันมองหน้ากัน
นอกจากไอ้สองคนนี้แล้วยังมีคนคบผมอีกเหรอ มหัศจรรย์ใจมากๆ
“ใครเหรอแม่”
“ชื่อปืนจ้ะ เขาบอกว่าเรื่องงานสอนพิเศษไม่ต้องห่วง เขาจะดูแลให้ก่อน เดี๋ยวหายแล้วจะหางานใหม่ให้ แม่ก็บอกขอบคุณเขาไปให้แล้วล่ะ”
อ๋อ เจ๊ปืนนี่เอง น่ารักจริงๆ เลยเจ๊ผมเนี่ย
“แล้วคนที่ชื่อหวานเขาก็บอกว่าเงินหนึ่งร้อยที่ติดเขาไว้เขาจะมาคิดดอกเบี้ยด้วยนะ”
พอพูดจบแม่ก็หัวเราะคิกคักชอบใจ
เออ ไปกันได้
พอนึกได้ว่ายังไม่ได้คืนเงินหวานก็เลยนึกถึงกระเป๋าของผมในวันที่ถูกรถชนขึ้นมาได้
“แม่ แล้วของๆ ผมในวันที่ถูกรถชนอะ”
“ทีนเอามาให้แม่แล้ว อยู่ไหนน้า”
ไม่ว่าเปล่า แม่ยังอุตส่าห์ควานหาให้ในกองของรกๆ ตรงโซฟา หลังจากนั้นไม่นานแม่ก็ชูกระเป๋าสะพายข้างสีน้ำตาลขึ้นมาให้ดู
จากเดิมที่ผมก็ไม่ค่อยจะได้ซักจนมันดูสกปรกอยู่แล้ว พอมาเปื้อนคราบเลือดก็ยิ่งดูสกปรกเข้าไปใหญ่
“ของยังอยู่ดีใช่ไหมแม่”
แม่พยักหน้าน้อยๆ
“มือถือกับกระเป๋าเงินยังอยู่นะ อันอื่นต้องไปดูเองแล้วล่ะ”
พอพูดจบแม่ก็เดินถือกระเป๋ามาให้ผมแล้วกลับไปง่วนกับอะไรบางอย่างแถวโซฟาต่อ
ผมเปิดกระเป๋าแล้วเช็คลวกๆ ทุกอย่างยังอยู่ครบ ทั้งมือถือ กระเป๋าเงิน ชีทสอนพิเศษ สมุดจด และ...สมุดบันทึก
ผมแอบเหลือบมองหน้าทีนเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลานั้นไม่มีปฏิกิริยาอะไรกับการค้นกระเป๋าของผมเลยสักนิด นิ่งสนิทจนผมไม่แน่ใจว่าเขาได้เช็คของในกระเป๋าให้ผมจริงๆ รึเปล่า
เขาไม่เห็นสมุดบันทึกนี่จริงๆ เหรอ
“ทีนได้เช็คของให้เราแล้วใช่ไหม”
เขาพยักหน้า
“แต่ก็ไม่ได้ดูมากอะ พอรู้ว่ากระเป๋าตังค์กับมือถือยังอยู่ก็เก็บไว้เหมือนเดิม เพราะไม่รู้ว่ามอสเอาอะไรไปบ้าง”
“อ๋อ”
โล่งไป เพราะผมเองก็คร้านจะตอบคำถามว่าทำไมหลวงลุงถึงยกสมุดบันทึกเล่มนั้นให้กับผม
ต้องบอกว่าขี้เกียจแถถึงจะถูก
ผมก้มมองสมุดบันทึกที่นอนสงบอยู่ในกระเป๋าอีกครั้งแล้วตัดสินใจเงียบๆ ว่าผมต้องหาความจริงได้แล้ว เรื่องราวพวกนี้มันควรจะจบสักที ที่สำคัญที่สุดคือผมยังจำมันได้ดี
ผมยังจำคำสัญญาสุดท้ายได้ดี
‘ชาตินี้ผมรักคุณไม่ได้ แต่ชาติหน้าผมจะรักคุณแน่ๆ’ผมจะทำให้มันเป็นจริงได้ไหมนะ...
**********************************************************************************