แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]  (อ่าน 88720 ครั้ง)

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 213
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
"ถ้าเป็นเขามาตั้งแต่แรก ผมคงมีความสุขมากกว่านี้"


ก่อนอื่นขอชื่นชนคนเขียนนะคะ หนึ่งคือภาษาดีมากจริง ๆ
สองคือเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกหมั่นไส้ตัวบรรยายเรื่องแบบที่นิยายเรื่องอื่นไม่สามารถทำได้ 555

คือมันไม่เชิงว่ามอสแย่นะ จะว่าไงดี คืออ่านยังไงมันก็เห็นชัดอยู่แล้วว่าสังคมรอบข้างกร(มอส)มันแย่ แบบ นิสัยแต่ละคนชวนให้รู้สึกผิดหวังได้ง่าย ๆ ถ้าเก็บมาคิด แต่เอาเข้าจริง ๆ เราว่าทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่ที่ตัวมอสเองนั่นแหล่ะ เพราะนางเป็นคนที่ใช้สายตาด้านลบในการตัดสินคนรอบข้างด้วย สังเกตมาตั้งแต่ต้นเรื่องแล้ว อีกอย่างคือเหมือนนางจะตัดพ้อคนอื่นว่าทำไมทำแบบนั้น ทำไมทำตัวไม่ดี ทำไมถึงทำไมอย่างนี้ได้ลงคอ แต่พฤติกรรมของนางแต่ละอย่างล่ะคะ? โอ้โห อย่าให้ร่ายเลยนะ สารภาพว่าแอบเบะปากแล้วกรอกตาเวลาอ่านบ่อยพอสมควร (ฮา) แต่ก็แปลกดีที่ไม่รู้สึกว่าอยากเลิกอ่านเลยค่ะ สงสัยความย้อนแย้งนี้ของตัวเองเหมือนกัน เฮ้อ

อ่านถึงตอนล่าสุดแล้วก็ไม่โอเคเหมือนกันค่ะที่สุดท้ายแล้วมอสตกลงปลงใจกับคุณหมอ เราไม่ได้เกลียดคุณปีเตอร์นะคะ แต่รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไม่ควรออกมาในรูปแบบนี้ แม้ว่าพี่เปรมที่กำลังจะแต่งงานก็ไม่ควรมีมอสเป็นเมียน้อยเหมือนกันก็เถอะ



ออฟไลน์ net. net_n2537

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 304
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ถ้ามอสต้องกลับไปปัจจุบัน แสดงว่ากรก็ต้องตายสินะ. ทำไมรู้สึกว่าทีนที่เป็นเพื่อนในปัจจุบันไม่ใช่คุณเปรมที่กลับชาติมาเกิด เพราะตอนที่คุณเปรมเสีย ทีนก็เกิดได้ขวบ2ขวบแล้วไม่ใช่หรอ หรือในครอบครัวใครมีลูกหลานอีก ถ้างั้นคุณเปรมที่มาเกิดใหม่ก็ต้องอายุน้อยกว่ามอส? อีกอย่างดูทีนไม่น่าจะชอบมอสในเชิงนั้นด้วย คงไม่ใช่คู่กันแน่ๆ (นี่มโนล้วนๆ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-11-2017 00:22:24 โดย net. net_n2537 »

ออฟไลน์ MNIMD

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 ไปตามอ่านนิยายเด็กดีจบแล้วนะคะ ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้ให้อ่านนะคะ ชอบคำบรรยาย กลอน พล็อต ชอบทุกอย่างของคนเขียนมากๆ ฉากเปิดเรื่องก็ให้ความรู้สึกหลอนๆ

 ในสมัยก่อนความรักของชายชายไม่สามารถเปิดเผยได้สมัยนี้ สงสารคุณเปรมที่ต้องมีครอบครัว ต้องรักษาหน้าตาวงศ์ตระกูล ทำให้ความรักของคุณเปรมกับกรวิกไปด้วยกันไม่ได้ คุณเปรมก็มีแนวคิดแบบคนโบราณส่วนมอสหรือกรก็คิดแบบสมัยนี้ แต่บางคำที่คุณเปรมพูดก็ดูเห็นแก่ตัวจริงๆที่จะให้กรไปอยู่หัวเมืองถ้าคิดถึงจะไปหา จุกแทนกรมาก เหมือนตัวเองต้องเป็นน้อย อยู่อย่างเก็บๆ

 ต้องบอกเลยว่าแอบกรี๊ดคุณหมอมาก ไม่แค่แอบค่ะ ชอบเลย เป็นคนที่ดี เทคแคร์ เป็นทุกอย่างให้กรแล้ว แต่ใจคนถึงแม้หมอจะดีแค่ไหนแต่ก็ไม่ใช่คนที่รักอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือเป็นหมอปลื้มในตอนนี้ คุณหมอปลื้มเปิดใจบ้างก็ได้นะคะ อ่านแล้วแบบทำไมพี่ต้องเป็นคนดีขนาดนี้อะ จะร้องไห้ให้กับความรักของพี่หมอที่มีให้กับกร ซึ้งมาก ตอนที่กรเมาแล้วมีอะไรกับหมอคือไม่ได้นึกถึงคุณเปรมเลยอะมีแต่ความสงสารหมอ รู้ว่าเขาไม่ได้รักตัวเองอยากมีอะไรด้วยเพื่อประชดคุณเปรม พอเขาตื่นมาเขาก็หาว่ามันเป็นเรื่องไม่จริง เรื่องตลก  ความรู้สึกที่หมอมีให้กรมันเป็นความรักที่ไม่ต้องการอะไรตอบแทนนอกจากให้เขามีความสุขกับคนที่คนรักจริงๆ

 ครอบครัวของกรสมัยก่อน ก็คนจีนจริงๆที่ถือว่าผู้ชายคือช้างเท้าหน้า ผู้หญิงต้องยอมทุกอย่าง อาเจ้รักกร รักครอบครัวนะ เข้าใจอาเจ้ที่หนีไปกับผู้ชาย เหมือนคนในบ้านทุกคนไม่มีใครเข้าใจอาเจ้ อาม้า คอยกดขี่อยู่ตลอด อาเจ้โดนด่า อาม้าก็ปกป้องแต่ปกป้องไม่สุด มันก็คงเป็นปมว่าไม่มีใครรักตัวเองจริงๆพอเจอผู้ชายที่แสดงออกว่ารักตัวเอง ถึงจะเกาะเอาเงินแค่ไหน อาเจ้ก็ยอมเพราะไม่เคยได้รับความรักแบบที่ไม่เคยได้มาก่อน

 สงสารคุณเปรมในตอนสุดท้ายที่ต้องอยู่ต่อไปเรื่อยๆโดยไม่มีกรเคียงข้าง คุณเปรมรักกรมากจริงๆแต่ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ ดีใจที่ได้กลับมาเจอกลับมารักกันในชาตินี้ ขอให้ความรักของทั้งคู่ราบรื่น และได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

 เรื่องนี้มีรวมเล่มมั้ยคะอยากซื้ออยากได้เก็บไว้มากจริงๆ จะคอยติดตามเรื่องต่อๆไปนะคะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เขาทำกับผมขนาดนี้ได้ยังไง...เขาทำลงได้ยังไง

แล้วมอสล่ะ มีอะไรกับหมอได้ยังไง
คุณเปรม เห็นมอสในสภาพมีรอยเต็มคอ
จะไม่โมโหหึงได้ยังไง

แต่คุณเปรมก็คิดแก้ปัญหาแบบง่ายๆนะ
ที่จะให้มอสไปอยู่หัวเมืองไกลคนรู้จัก
คิดถึงแล้วค่อยไปหา  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
แก้แบบตัวเองไม่เสียอะไรสักอย่าง อยู่ดีมีสุขคนเดียว  :z6: :z6: :z6:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
บทที่ 22 คำลา [ครึ่งหลัง]









“ได้ข่าวว่าเปรมกำลังจะแต่งงานรึ”


น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามด้วยสำเนียงแว่วหวาน อ้อมแขนที่คลอเคลียอยู่ไม่ห่างก็อบอุ่นเหลือเกิน


อบอุ่นเกินไป เจิดจ้าเกินไป


“หมอ ถอยออกหน่อยเถอะครับ ไม่ร้อนบ้างหรืออย่างไร”


เขาไม่ตอบ แต่กลับหัวเราะคิกคักพร้อมกับขยับวงแขนให้แน่นขึ้น


“หมอ เล่นอะไรเนี่ย”


“แกล้งเด็กดื้อไง”


ไม่ว่าเปล่ายังกอดรัดผมมากกว่าเก่าจนผมต้องประท้วงโอดโอย แต่ยิ้มร้องห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เขาทั้งหัวเราะ ทั้งซุกหน้าเข้ามามากกว่าเดิม จนผมคร้านจะห้าม


ดูๆ ไปก็เหมือนคู่รักข้าวใหม่ปลามันอย่างไรอย่างนั้น


คู่รักเหรอ...


“หมอ ถามอะไรหน่อยสิ”


เขาหยุดเล่น แล้วเงี่ยหูตั้งใจฟัง


ผมรู้ว่าสิ่งที่กำลังจะพูดออกไปมันแสนจะงี่เง่า แต่ผมก็แค่...อยากรู้


“ถ้า...ถ้าให้หมอเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเรา หมอจะกล้าไหม”


แม้จะเห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านเดียว แต่มันก็มากพอที่จะทำให้เห็นว่าเขากำลังยิ้ม


ยิ้มจริงๆ ไม่ใช่การแค่นยิ้ม หรือยิ้มแบบขอไปที


“ทำไมจะไม่กล้าล่ะ”


หัวใจผมอุ่นวาบ


ทำไมประโยคนี้มันถึงไม่หลุดมาจากอีกคนกันน้า


บ้าจริงมอสเอ๊ย อย่าคิดถึงเขาสิ


“แล้วถามไปทำไมล่ะฮึ จะให้พี่ไปไหว้พ่อแม่เรารึอย่างไร”


ผมหัวเราะและฟาดมือเขาที่นัวเนียอยู่แถวเอวผมไม่ห่าง


“ผมถามไปอย่างนั้นล่ะ ขืนไปเปิดตัวอาม้า อาป๊าผมได้เป็นลมเป็นแล้งพอดี”


เขาหัวเราะร่วนรับมุกตลกของผมแล้วเอาคางแหลมๆ ของตัวเองวางเกยไว้บนไหล่ของผม


เจ็บโว้ย อยากด่าครับแต่คิดๆ แล้วก็อย่าดีกว่า วันนี้ทั้งวันผมมีแต่บทสนทนาทางลบมาเยอะแล้ว


“ถ้าได้มีกรไว้ในอ้อมกอด พี่ก็ไม่ขออะไรมากไปกว่านี้อีกแล้วล่ะ จะต้องหนีไปที่ไหน จะลำบากยังไงก็ยอม”


“น้ำเน่า”


“พูดจริงนะ”


พอเขาพูดจบพวกเราก็พร้อมใจกันเงียบก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาแทบจะพร้อมกัน


เหมือนคู่รักจริงๆ ด้วยสิน้า...รู้สึกผิดกับเขาจริงๆ ให้ตาย


“แล้วตกลงจะตอบได้หรือยังว่าตกลงเปรมกำลังจะแต่งงานรึ”


วกกลับมาจนได้สิน้า


“ครับ กำลังจะแต่ง”


สิ้นคำตอบพวกเราก็มองหน้ากันแล้วตกอยู่ในภวังค์ความเงียบอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนที่เขาจะทำลายมันลง


“แล้วกร...”


“ผมสบายดี”


ไม่ต้องรอให้ถามจนจบประโยคก็พอรู้ว่าเขากำลังจะพูดอะไร


“ผมพูดกับเขาเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ผมกับเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”


พอจะรู้ว่าเขากำลังกังวลเรื่องอะไร


“ก็ผมสัญญาแล้วอย่างไรเล่าว่าจะรัก ผมไม่ผิดคำสัญญาหรอก”


บนใบหน้าคมสันปรากฏรอยยิ้มบางเบา


“กร”


เขาเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานชวนใจเต้น


“ถ้าความรักมันเข้าใจง่ายปานนั้น ป่านนี้เราก็คงรักกันไปแล้ว”


เหมือนมีใครเอาค้อนมาทุบลงกลางอก ความรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก


มันแน่นไปหมด จุกไปหมด


“ถ้าคนเรารักกันได้ด้วยสมอง ป่านนี้เราคงรักกันไปแล้ว”


ถูก


ถูกทุกอย่าง ถูกจนไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาแย้ง


ถูกจนผมทำได้แค่นิ่งเงียบแล้วรับฟัง เขาเองก็เงียบ มันไม่ใช่ความเงียบที่สบายใจ แต่มันเป็นความเงียบที่...อึดอัด


ผมอึดอัด พระอาทิตย์ดวงนี้เจิดจ้าเกินไป สว่างเกินไป งดงามเกินไป


ผมอึดอัด


“พักนี้ เธอได้คุยกับพี่ชายบ้างไหม”


เหมือนเขาเองก็รับรู้ถึงความอึดอัดนี้ได้ จึงเลือกที่จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเสียดื้อๆ


ซึ่งก็ดีแล้ว แต่ทำไมต้องเป็นหัวข้อนี้ล่ะ


“ทำไมหรือครับ”


เขามีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย


“เธอ รู้จักท่านเจ้าคุณเอื้อหรือเปล่า”


ท่านเจ้าคุณเอื้อ...เหมือนจะเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนสักแห่ง...


อ๋อ ในไดอารี่ของคุณเปรมนั่นไง


บ้าจริง นี่ผมชินกับชีวิตที่นี่จนเกือบลืมไปแล้วว่าตัวผมมาจากไหนและมีจุดประสงค์อะไร


เกือบได้กับทวดเพื่อนแล้วไงล่ะมึง


ผมฉีกยิ้มแห้งๆ ให้กับความคิดของตัวเอง


“ก็...นิดหน่อยครับ”


เขาสบตาผมนิ่ง ดูจริงจังกว่าปกติจนผมสังหรณ์ใจชอบกล


“เธอรู้ใช่ไหมว่าพี่ชายของเธอเป็นชู้กับภรรยารองของท่านเจ้าคุณเอื้อ”


คำสบถนับล้านพรั่งพรูออกมาในสมองของผม พร้อมกับคำตอบที่ว่า...


ไม่รู้โว้ย


“ทำหน้าเช่นนี้คงไม่รู้แน่”


ถูก ถูกเลย เพิ่งจะรู้ทุกอย่างเมื่อกี้นี้เลย


เขาลูบหัวผมเบาๆ


“อย่างไรเสียก็ไปเตือนพี่ชายเธอหน่อยก็ดี ท่านเจ้าคุณเอื้อเป็นคนกว้างขวาง ซ้ำยังเป็นคนมีอิทธิพลเพราะมีบิดาเป็นคนใหญ่โต น่ากลัวว่าเขาจะใช้กำลังเข้าหักหาญเข้าสักวัน”


ช้าไปแล้วครับพี่ เฮียมันโดนซ้อมปางตายไปรอบนึงแล้ว สงสัยไม่เข็ดไม่หลาบ


เดี๋ยวนะ...หมอเขาเคยเห็นเฮียผมด้วยเหรอ


“หมอรู้จักพี่ชายผมด้วยหรือครับ”


ผมขมวดคิ้ว


“อ้าว ก็เขาเพิ่งมาถามหาเธอที่นี่เมื่อเช้านี้เอง เธอไม่รู้รึ”


อ๋อ...


“จะรู้ได้อย่างไรล่ะหมอ ในเมื่อหมอยังไม่บอกผมเลย”


เขาทำหน้าเหมือนคนจะพูดว่า ‘เอ้อ จริงด้วย’


เอากับมันสิ


ผมหัวเราะกับท่าทางแปลกๆ ของเขาแล้วเอื้อมมือไปบีบจมูกเขาเบาๆ


“ไม่ต้องตกใจหรอกครับหมอ เรื่องเล็กน้อย”


พอพูดจบผมก็พยุงตัวเองขึ้นจากพื้น


“อย่างไรเสียก็ขอบคุณมากสำหรับคำเตือนนะครับ วันนี้ผมขอกลับบ้านก่อน อยากจะไปคุยกับพี่ชายสักหน่อย”


เขาพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นยืนเคียงข้าง


“เดินทางกลับดีๆ นะ”


ฝ่ามือใหญ่นั้นลูบหัวผมแผ่วเบา


“แล้วเจอกันพรุ่งนี้”


ผมยิ้มแล้วพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไรก่อนจะเดินจากมา


ด้านนอกเป็นเวลาโพล้เพล้มากแล้ว อันที่จริงผมควรจะรีบจ้ำกลับบ้านเพราะการเดินทางตอนกลางคืนมันทั้งน่ากลัวและอันตราย แต่พอนึกขึ้นได้ว่ายังไม่มีคำแก้ตัวดีๆ ไปให้อาม้าเรื่องที่เมื่อวานไม่ได้กลับบ้าน ผมเลยเลือกที่จะเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ แทน กว่าจะมาถึงบริเวณแถวบ้านที่คุ้นเคยก็ปาไปพระอาทิตย์ตกดินจนได้


ในหัวผมกำลังคิดสะระตะไปถึงเรื่องที่ว่าควรจะพูดหรือทำสีหน้าใส่อาม้ายังไง ต่อด้วยจะเริ่มถามอาเฮียด้วยคำพูดแบบไหน แต่ทุกอย่างก็ถูกขัดขึ้นด้วยเสียงตวาดกร้าวปนเสียงร้องโหยหวนของใครบางคนในป่าละเมาะที่อยู่ไม่ไกล


“ตอนทำมึงไม่คิด พอตอนนี้มึงจะมาขอชีวิต มันไม่ช้าไปหน่อยหรือวะ”


อะไร เกิดอะไรขึ้น ใครจะมาฆ่ามาแกงกันแถวนี้


“หนอยแหน่ะ พอเห็นนายกูใจดีปล่อยไปหน่อยแล้วได้ใจใหญ่เลยนะมึง คำว่าหลาบจำเคยอยู่ในหัวมึงบ้างไหม”


“ฉันขอโทษ ปล่อยฉันไปเถิดนะ”


เสียงอ้อนวอนปนสะอื้นไห้นั้นแสนคุ้นเคย


ได้โปรด อย่าเป็นคนที่ผมคิดเลย...


ผมหันซ้ายหันขวาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี จะตามคนมาช่วยตอนนี้ก็น่ากลัวจะไม่ทัน แต่จะเข้าไปเลย มันก็โง่เกินไป


“โอ๊ย ได้โปรด อย่าทำฉันเลย อย่าฆ่าฉันได้”


คนๆ นั้นร้องโหยหวนด้วยความทรมานจนผมทนฟังไม่ได้แล้วตัดสินใจที่จะตามใครสักคนมาช่วย


แต่เหมือนจะสายเกินไป...


ชายรูปร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์ยืนอยู่ตรงหน้าผม เขาพุ่งมาจากไหนไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คือไม่ได้มาดีแน่


“มึงได้ยินทุกอย่างแล้วใช่ไหม”


ผมแสร้งทำหน้าซื่อตาใส


“พี่พูดเรื่องอะไรหรือจ้ะ”


เขายกยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม


“อย่าคิดว่าข้าจำเอ็งไม่ได้นะ มึงเป็นน้องชายของมันใช่ไหม!”


“เฮ้ย! มีอะไรวะ”


เสียงตะโกนถามจากคนในป่ายิ่งทำให้ผมใจเสียมากขึ้นกว่าเดิม คนพวกนี้ดูมาดร้ายกว่าครั้งก่อน เหมือนไม่ได้มาเพื่อสั่งสอน แต่มาเพื่อ...


“ถือว่าเป็นคราวซวยของเอ็งแล้วกันนะ”


พอพูดจบเขาก็พุ่งเข้ามาปิดปากผมแล้วลากเขาไปในป่า แม้ผมจะพยายามดิ้นสู้มากแค่ไหน แต่เพราะพละกำลังที่ต่างกันเกินไปทำให้สู้ได้ยาก ผมทั้งเตะ ทังต่อย มันก็ทั้งลาก ทั้งกระชากเข้ามาจนสำเร็จ ร่างของผมถูกเหวี่ยงลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยกรวดและดินจนแขนขาถลอกปอกเปิก แต่นั่นไม่ได้น่าสนใจเท่ากับสิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้า


อาเฮีย


อาเฮียของผมอยู่ในสภาพปางตาย ใบหน้าบวมช้ำ เลือดไหลออกจากปากปละจมูกไม่หยุด เปลือกตาสองข้างบวมเป่งจนปิดลูกตาเกือบมิด เพราะความมืดทำให้ผมไม่เห็นอะไรมากไปกว่านั้น แต่ผมแน่ใจว่ามันต้องมีรอยฟกช้ำอีกมากมายที่ซ่อนอยู่ในความมืด


โหดร้าย โหดร้ายเหลือเกิน


“เอาจริงๆ เอ็งก็ไม่เกี่ยวหรอกนะไอ้หนุ่ม แต่เพราะบังเอิญมารู้มาเห็น พวกข้าก็คงปล่อยไปไม่ได้”


ผมหอบหายใจถี่รัว หัวใจเต้นถี่เร็วด้วยความกลัว ปลายนิ้วมือนิ้วเท้าของผมชาไปหมด


ผมกำลังกลัว


กลัวเพราะผมรู้ว่าพวกเขาจะทำอะไร


ฆ่า


พวกเขากำลังจะฆ่า


ชั่วแว่บนึงที่มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว


ทำไมผู้ชายคนนี้จึงขยันหาเรื่องมาให้ผมนักนะ ขยันทำให้ผมไม่มีความสุขยังไม่พอ ยังพาผมมาหาที่ตายอีก


แม้จะคิด แต่ผมก็เลือกที่จะเก็บมันเอาไว้ในใจอย่างนั้น ไหนๆ ก็จะตายแล้ว ผมก็ขออโหสิกรรม ขอให้ทุกอย่างระหว่างผมกับเขาจบกันแต่เพียงเท่านี้ อย่าได้เจอะอย่าได้เจอกันอีกเลย


สิ้นความคิด หัวของผมก็ถูกตีด้วยของแข็งอย่างแรงจนเบลอไปหมด หลังจากนั้นความเจ็บปวดจากทุกส่วนของร่างกายก็ถาโถมเข้ามาไม่มีหยุด


เจ็บ


เจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ


ผมเห็นหน้าพ่อ แม่ ทีน อาป้า อาม้า อาเจ้ ไอ้มั่น ไอ้ไม้ หมอ และ...คุณเปรม


ผมเห็นเขา เห็นทุกความทรงจำที่มีร่วมกันอย่างแจ่มชัด ความสุข ความเศร้า ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนถูกกรอเทปกลับมาให้ดูอีกครั้ง


คำพูดแรก


จูบครั้งแรก


เพลงยาวฉบับแรก


ช่างเป็นความทรงจำที่หวานล้ำ แม้จะเจ็บปวดแต่ก็งดงามและปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความสุขในตอนนั้นเป็นของจริง หัวใจที่เต้นถี่รัวยามพบหน้านั้นก็เป็นของจริง ทุกสัมผัส ทุกคำพูดที่มีให้กันล้วนเป็นของจริง


ทุกอย่างมันสลักลึกลงในความทรงจำ แต่แล้วก็มีภาพของอีกคนโผล่ขึ้นมา


มันเป็นภาพเหตุการณ์ความทรงจำทุกอย่างเกี่ยวกับหมอ


เจอกันครั้งแรก


หอมแก้มครั้งแรก


กอดแรก


ดวงตะวันดวงนี้สดใสเหลือเกิน ในชั่วขณะที่ชีวิตของผมมืดหม่น เขาเปรียบเสมือนคนที่คอยพยุงหัวใจที่บอบช้ำขึ้นมาจากพื้น เอามาดูแล เอามารักษา คนมากเล่ห์ที่ยิ้มเก่ง คนมากเล่ห์ที่แสนอบอุ่นและอ่อนโยน เขาเจิดจ้าเกินไป อบอุ่นเกินไปจนผมอึดอัด เพราะแบบนั้นคำสัญญาจึงไม่เป็นจริงสักที


จริงสิ ผมยังไม่ได้ทำตามสัญญาเลย


แม้แต่ในยามที่ต้องลาจาก ก็ยังไม่ได้เอ่ยคำลาแม้สักคำ


ถ้าผมจะขออธิษฐาน...


อธิษฐานเหรอ


“คำอธิษฐานนั้นมีพลังมากกว่าที่เราคิดนะโยม”


คำพูดหนึ่งที่ได้ฟังมานานแสนนานแล้วดังผุดขึ้นมาในหัว เพราะแบบนั้นผมเลยเลิกที่จะอธิษฐาน


เลิกยึดติดกับทุกอย่าง


“ผมขออโหสิกรรม”


แรงอัดที่หน้าท้องทำให้ผมกระอักไอ


“และให้อโหสิกรรมทุกคน”


หมดแล้วบ่วงที่พันธนาการผมไว้ ไม่ว่าอะไรที่เป็นสาเหตุให้ผมมาที่นี่ ผมขอให้ทุกอย่างจบ ขอให้บ่วงทั้งหมดจบลงตรงนี้


แต่แล้วผมกลับนึกถึงคำสัญญา


แค่เพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่จะยอมให้ผูกมัดกันต่อไป


“ชาตินี้ผมรักคุณไม่ได้ แต่ชาติหน้าผมจะรักคุณแน่ๆ”


นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมจำได้ว่าตัวเองพูดมันออกไป ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงพร้อมกับความรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเบาหวิวราวกับขนนกที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศในฤดูร้อน











*********************************************************************************



ใกล้จบแล้วค่ะ ใกล้จบจริงๆ แล้วล่ะ


ส่วนตัวอยากตอบกลับทุกคอมเม้นต์เลย แต่เหมือนกฎของเล้าบอกว่าอย่าตอบกลับเม้นต์เยอะ ก็เลยไม่รู้จะทำตัวยังไงดี ใช้เล้าไม่ค่อยคล่องด้วย เลยขอรวบรวมคำถามสำคัญๆ มาตอบตรงช่วงทอล์คนี้ทีเดียวเลยเนอะ



ก่อนเลยต้องขอขอบคุณทุกคนมากๆ ที่เข้ามาอ่าน ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาตลอดเลยนะคะ ขอบคุณจริงๆ ที่คอยเม้นต์ คอยอ่านกันมาตลอดเลย




สำหรับนิยายเรื่องนี้ ใครจะรักจะเกลียดตัวละครของเรา เราก็แฮปปี้มากจริงๆ ค่ะ เพราะเราถือคติว่าเราอยากให้ตัวละครของเรากลมที่สุด มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด มันเป็นธรรมดาของมนุษย์เนอะ ถ้าตัวละครของเรามีแต่คนชอบก็แสดงว่าเราไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างตัวละครที่ดีเท่าไหร่ อีกอย่างเราก็ยังมือใหม่มากๆ มีอะไรตรงไหนไม่ดี ไม่เมคเซ้นต์ ติชมกันได้ตลอดเลยนะคะ ยินดีรับฟังทุกคอมเม้นต์เลย



ประเด็นต่อมาคือเรื่องรวมเล่ม อันนี้ไม่แน่ใจว่าสามารถพูดตรงนี้ได้ไหม ถ้าผิดกฎยังไงแจ้งได้เลยนะคะ เดี๋ยวจะลบข้อความส่วนนี้ออกเลย

สำหรับเรื่องนี้มีการรวมเล่มแน่นอนค่ะ โดยจะออกกับสำนักพิมพ์หนึ่ง แต่ตอนนี้รายละเอียดก็ยังไม่ได้มีอะไรมากเพราะเพิ่งจะผ่านการพิจารณามาไม่นาน ยังอยู่ในขั้นตอนเตรียมการขั้นแรกๆ อยู่เลยค่ะ ถ้ามีข่าวสารอะไรจะรีบมาอัพเดตให้นะคะ แต่ว่ายังไงก็ฝากติดตามข่าวสารทางเด็กดีเป็นหลักนะคะ เพราะปิงปองก็ยังไม่ได้มีไอดีซื้อขายกับเล้า จะแจ้งข่าวก็กลัวจะผิดกฎเลยขอให้ตามในเด็กดีดีกว่าเนอะ สะดวกกว่า




เราตามอ่านทุกคอมเม้นต์เลยค่ะ แต่ต้องเลือกมาตอบเฉพาะที่เป็นคำถามเนอะ ไม่ต้องน้อยใจน้า เราอ่านของทุกคนเลย
 ขอบคุณทุกความเห็นจริงๆ ค่ะ

 :mew1: :mew1: :mew1:




ขอบคุณจริงๆ ค่ะ





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-11-2017 17:55:52 โดย Marymo »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
หรือ ทีน คือหมอปีเตอร์ ที่มาเกิดใหม่  :hao3:
มอส จะรักทีนตอนไหนนะ  :z3:

มอส มีแต่วุ่นวาย เจ็บตัวเพราะเฮียแท้ๆ
เหมือนจะได้กลับมาภพปัจจุบัน

ครอบครัวกร คงเหลือแต่ป๊ากับม้าแล้วสินะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ net. net_n2537

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 304
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
มอสไม่น่าสัญญาเลย. แล้วถ้ากลับมาปัจจุบันล่ะ คิดว่าจะรักคุณหมอได้หรอ แอบเดาว่าคุณหมอก็น่าจะเมาเกิดเป็นหมอเหมือนเดิม แต่จะเจอกันตอนไหนนี่สิ ส่วนทีนหรอยังคิดว่าไม่น่าจะใช่คุณเปรมตามที่เคยบอกอ่ะแหละ เพราะตอนทีนเกิดคุณทวดเปรมยังไม่ตาย

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ตามมาอ่านจนถึงตอนนี้แล้วว มันดีมากกกกก
เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
ไปตามอ่านในเด้กดีมาแล้ว... เรื่องหน้าแนะนำเรื่องหน้าให้คนเขียนแต่ง ... "แห้ว 4 แผ่นดิน"

ส่วนคนที่สงสารหมอ.... สงสัยจะลืมว่า ใครได้เปิดซิงกรวิก 555

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
โลกปัจจุบันแล้ว นุ้งมอสจะรักทีนมั๊ยนร้า

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
บทที่ 23 คืนกลับ [ครึ่งแรก]











ปวด


ปวดไปทั้งตัว ปวดจนไม่อยากจะลืมตาตื่นขึ้นเลยสักนิด แต่กลิ่นฉุนจมูกที่คุ้นเคยกับแสงสว่างสีขาวแสบตาจากที่ไหนสักแห่งมันขัดขวางการนอนของผมสิ้นดี แม้จะปวดตัวจนร่างแทบแหลกและอยากนอนพักแค่ไหนก็ไม่อาจทำต่อได้ ผมจึงต้องยอมลืมตาขึ้นแต่โดยดี


การลืมตาของผมคราวนี้ยากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เปลือกตาสองข้างหนักอึ้ง พอเปิดตาขึ้นมาได้นิดหน่อยก็ต้องรีบหลับลงเพราะรู้สึกว่าแสงสีขาวนั้นเจิดจ้าเกินจะทนไหว ผมเปิดตาแล้วหลับ รอจนหายแสบแล้วเปิดตาใหม่แบบนั้นซ้ำไปซ้ำมา กว่าจะมองเห็นได้เต็มตาก็ทำเอาผมเกือบถอดใจไปหลายรอบ


แต่พอเห็นภาพตรงหน้าแล้วคิดว่าหลับลงไปเหมือนเดิมน่าจะดีกว่า


ภาพที่เห็นมีเพียงเพดานสีขาวสะอาดตาประดับด้วยหลอดไฟสีขาวจ้าชวนแสบตา แสบตาเสียจนผมต้องข่มตาลงอีกรอบแล้วรออยู่พักใหญ่จึงจะลืมตาขึ้นมาได้ ตัวของผมกำลังนอนอยู่บนเบาะนุ่มๆ ที่ผมเดาเอาเองว่าน่าจะเป็นเตียง...ในโรงพยาบาล


โรงพยาบาลไม่ใช่โรงหมอ


อากาศในห้องเย็นสบายเกินกว่าจะเป็นอากาศจริงๆ ในประเทศไทย แสงไฟแสบตาตรงหน้าก็ดูสว่างเกินกว่าจะเป็นหลอดไฟในยุครัชกาลที่หก


ผมกลับมาแล้ว


ผมคิดว่าผมกลับมาแล้ว แต่จะให้ฟันธงเลยก็ไม่กล้าเพราะรอบตัวผมนั้นว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่เลยสักคน ถ้าจะบอกว่าผมตายจากโลกในอดีตแล้ววาร์ปไปโลกอนาคตผมก็ไม่แปลกใจอีกแล้ว


พอตั้งใจจะคิดอะไรมากกว่านั้นหัวก็พลันปวดแปลบขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุจนผมต้องยอมแพ้ ในขณะที่ผมกำลังตัดสินใจว่าจะหลับไปอีกรอบหรือรอให้มีใครมาพบดี เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะความคิดเสียก่อน


ใครบางคนเดินเข้ามาใกล้เตียงที่ผมนอนอยู่ ผมเห็นจากหางตาว่าเขาใส่ชุดสีขาวสะอาดตา ไม่นานนักเขาก็เข้ามาหยุดในระยะสายตาที่ผมสามารถมองได้ถนัด


เธอเป็นผู้หญิงในชุดสีขาว ผมรวบเก็บเอาไว้ภายใต้หมวกสีขาวสะอาด ใบหน้างดงามฉีกยิ้มใจดีให้ผมแล้วเอื้อมมือไปทำอะไรบางอย่างที่หัวเตียง


อ๋อ พยาบาล...พยาบาลในชุดสีขาวสมัยใหม่คุ้นตา


ผมกลับมาแล้วจริงๆ


“ฟื้นสักทีนะคะ พ่อแม่ของคุณห่วงมากเลย คุณหมอท่านก็แทบไม่เป็นอันหลับอันนอน”


“ผม...”


เสียงที่เปล่งออกมาแหบแห้งกว่าทุกที แต่ก็มากพอที่จะทำให้เธอสนใจฟัง


ผมกลืนน้ำลายเรียกความชุ่มชื้นในลำคอแล้วเริ่มพูดต่อ


“ผมหลับไปนานแค่ไหนหรือครับ”


เธอขมวดคิ้วนึกเล็กน้อย


“ไม่นานหรอกค่ะ แค่สี่วันเท่านั้นเอง ตอนแรกคุณหมอคิดว่าจะนานกว่านี้อีกค่ะ แต่คุณฟื้นตัวเร็วมากจริงๆ”


ผมยิ้มตอบอย่างคนไม่รู้จะตอบอะไรกลับดี


ผมมีเรื่องที่อยากถาม แต่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องถามออกไปว่าอะไร ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมต้องถามใคร


กรวิกตายแล้วเหรอ ทำไมผมถึงไปอยู่ในร่างกรวิกล่ะ หมอเป็นยังไงบ้าง คุณเปรมเป็นยังไงบ้าง และคำถามที่สำคัญที่สุด...


เรื่องทั้งหมดนั้นเป็นความจริงใช่ไหม ผม...ไม่ได้คิด ไม่ได้ฝันไปเองใช่ไหม


ผมเงียบไปพักใหญ่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหนออกไป แต่จู่ๆ พยาบาลคนนั้นเธอมองหน้าผมแล้วยกยิ้มบาง


“ไม่ต้องกังวลนะคะ รถมอเตอร์ไซต์ที่ชนคุณถูกจับแล้ว ตอนนี้กำลังดำเนินคดีอยู่ ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้วค่ะ เจ้าตัวเองก็ยอมรับผิดด้วย”


อ๋อ เธอคงคิดว่าผมกำลังกังวลเรื่องอุบัติเหตุแน่ๆ แต่การที่เธอพูดถึงมันขึ้นมาก็ดี เพราะมันจะได้ย้ำเตือนใจผม


สลักเอาไว้ จำเอาไว้ให้มั่นว่าผมคือมอส นายพิทยุตม์ แซ่ตั้ง นักศึกษามหาวิทยาลัยปีสองที่แสนธรรมดาและบังเอิญโดนรถชนตอนข้ามถนนจนต้องเข้าโรงพยาบาล


ไม่ใช่กรวิก ไม่ใช่ใครทั้งนั้น


ผมหลับตาลง ภาพเหตุการณ์มากมายไหลกลับเข้ามาในหัว ความทรงจำสุดท้ายคืออาเฮียกำลังจะถูกฆ่าแล้วผมก็ถูกลูกหลงไปด้วย ตอนนั้นหัวผมถูกทุบตีอย่างแรง ร่างทั้งร่างไม่มีตรงไหนที่ไม่ถูกทำร้าย แล้วทุกอย่างก็ดับวูบ พอตื่นอีกทีก็กลายเป็นว่าผมอยู่ในโรงพยาบาลที่แสนธรรมดา ด้วยสาเหตุธรรมดาๆ อย่างการถูกรถชน


หรือผมจะอ่านไดอารี่มากไปแล้วเก็บไปคิดเป็นตุเป็นตะเอาเอง...


ใครจะรู้ล่ะ


ผมระบายลมหายใจหนักๆ ออกมาพร้อมๆ กับเสียงเปิดประตูอีกครั้ง แต่คราวนี้ต่างออกไป เสียงฝีเท้ามากมายกำลังกรูกันเข้ามาทางผม ไม่นานนักผมก็เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่แสนคุ้นเคย


พ่อ แม่ ไอ้ไม้ แล้วก็...ทีน


ผมเพิ่งจะตระหนักได้เดี๋ยวนี้เองว่าทีนดูเหมือนกับทวดของเขามากแค่ไหน พวกเขาเหมือนกันแทบทุกอย่าง ทั้งดวงตาคมเข้ม ใบหน้ารูปไข่รับกับริมฝีปากบางได้รูป ใบหน้าคมสัน รูปร่างสูงโปร่ง


คิดถึง...


บางอย่างในใจของผมมันดังขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลจนผมต้องแสร้งถอนหายใจเพื่อสลัดมันออกจากความคิด แล้วเบนไปมองหน้าคนอื่นแทน


แม่กับพ่อผมดูซูบซีดกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกัน นัยน์ตาของแม่ดูฉ่ำชื้นเหมือนกำลังจะร้องไห้ ใบหน้านั้นดูสูงวัยกว่าเก่า พ่อผมจับไหล่แม่แน่น ดวงตาอ่อนล้าใต้กรอบแว่นหนาของพ่อดูมีประกายสดใสกว่าครั้งไหนๆ ที่ผมเคยเห็น พวกท่านสองคนส่งยิ้มบางให้ผม มันดูอ่อนล้าแต่ก็เปี่ยมไปด้วยความสุข


พวกเขาดูอ่อนล้าเพราะผม และพวกเขากำลังดีใจ...เพราะผม


ความรู้สึกที่รู้ว่ายังมีคนรักเราอยู่นี่มัน...ดีจริงๆ


ผมฉีกยิ้มตอบพวกท่านแล้วเหลือบไปมองอีกคนที่คอยพยุงแม่ผมอยู่ไม่ห่าง


ไอ้ไม้


ดวงตาของมันลึกโหล่ ใบหน้าของมันดูโทรมไม่ต่างจากช่วงสอบ แต่ถึงจะดูเหนื่อยล้าแค่ไหนมันก็ยังยืนอยู่ตรงนั้น ประคองแม่ผมอยู่อย่างนั้น ฉีกยิ้มให้ผมอยู่อย่างนั้น


เพราะแบบนี้ถึงเกลียดมันไม่ลงสักที


ผมหลุดหัวเราะให้กับรอยยิ้มกว้างแก้มแทบปริของมันแล้วไล่สายตาไปหาคนสุดท้าย


ทีน...


ผมยอมรับว่าใบหน้าของเขาทำให้ผมแสลงใจ แต่อย่างไรเสียพวกเขาไม่ใช่คนเดียวกัน ผมไม่ควรใช้อคติมาตัดสินทีน...


แต่ความจริงที่ว่าเขาคือลูกหลานของคุณชื่นกับคุณเปรมก็เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกัน


แล้วทำไมผมต้องมาจริงจังกับเรื่องที่ไม่รู้ว่าจริงหรือฝันขนาดนี้ด้วยนะ


การที่เรารับรู้เรื่องราวเพียงคนเดียวแบบนี้ก็มีข้อเสียอยู่ตรงที่เราไม่มีทางรู้เลยว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ต่อให้พูดหรือถามออกไปก็คงไม่มีใครเข้าใจ เผลอๆ คงพาลคิดว่าผมเป็นบ้าไปแทน


เดี๋ยวสิ คนเดียวเหรอ...


ภาพของพระภิกษุรูปหนึ่งที่ผมเคยเจอที่วัดในตอนที่เป็นกรวิกผุดขึ้นมาในหัว


หลวงลุง...ใช่ ผมยังมีหลวงลุงอยู่อีกคนนี่นา


“ดีใจด้วยนะครับ”


เสียงปริศนาที่พูดขึ้นมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำให้หลุดจากภวังค์แล้วผมหันไปมองอย่างลืมตัว


โอ้โห คอผม หักแล้วมั้งนั่น


“โธ่ อย่าหันเร็วแบบนั้นสิครับ หมออุตส่าห์ดามคอไว้แล้วนะ”


กูก็ไม่ได้อยากหันโว้ย มึงเล๊ย มึงล้วนๆ


ผมพยายามมองหาต้นเสียง ไม่ทันจะเหลือบตาครบทุกด้าน ใบหน้าไม่คุ้นตาก็โผล่เข้ามาตรงหน้าผมพร้อมกับรอยยิ้มหวาน


เขาเป็นผู้ชายตาตี่ ใส่แว่นหนาเตอะ ผิวขาวจัดและ...


“คุณหมออย่าไปแกล้งคนไข้สิคะ”


ริมฝีปากได้รูปนั้นฉีกยิ้มกว้างแล้วหัวเราะ ก่อนจะยอมถอยหน้าออกไปโดยดี


“ก็แหม หมอเห็นคุณพิทยุตม์เขานอนกินบ้านกินเมืองมานาน เลยอยากแกล้งน่ะครับ”


ผมเห็นภาพของคนอีกคนซ้อนทับขึ้นมา


คนอีกคนที่บอกว่าตัวเองเป็นหมอ


คนอีกคนที่มีรอยยิ้มสดใสระยิบระยับราวกับพระอาทิตย์


ดูสิ มองหมอใหญ่เชียว แบบนี้อีกไม่กี่วันก็กลับบ้านได้แล้วมั้ง”


คำแซ็วนั้นทำให้ผมได้สติ แต่สติที่กลับมาก็ไม่ช่วยให้คิดอะไรออก ผมเลยเลือกที่จะพูดแซ็วเหมือนกัน


“หมอครับ ถึงผมจะขยับคอไม่ได้ แต่ผมก็รู้นะครับว่าขากับแขนผมใส่เฝือกอยู่ แถมที่หัวนี่ก็ยังมีผ้าพันแผล หมอจะปล่อยผมกลับบ้านสภาพนี้จริงเหรอ”


เขาหัวเราะร่วน ไม่รู้หัวเราะเพราะคำพูดของผมหรือหัวเราะเพราะเสียงที่แหบแห้งเหมือนเป็ดของผมกันแน่


“คุณพิทยุตม์ก็บ่นไปนั่น ของคุณนะสุดยอดของดวงเลยรู้ไหม หัวฟาดกับฟุตบาทแต่ไม่เสียหายมาก กะโหลกไม่ร้าวด้วยซ้ำ แค่แตกนิดๆ หน่อยๆ ให้เลือดออกเล่น แขนขาหักนี่ก็เป็นเรื่องปกติของการโดนรถชน ที่คอก็ไม่ได้โดนผ่าตัดอะไรแค่ใส่เฝือกอ่อนดามไว้เพราะได้รับความเสียหายที่คอนิดหน่อย ก็เลยต้องใส่ไว้เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูและลดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณนั้น อีกไม่นานก็หายดี อวัยวะภายในก็ไม่เสียหายเลยแม้แต่นิดเดียว แถมร่างกายคุณยังฟื้นตัวเร็วมากจนน่าแปลกใจ รู้ไหมว่าตั้งแต่ทำงานมา คุณดวงดีที่สุดเท่าที่หมอเคยเจอ”


เขาฉีกยิ้มกว้างให้ผม


“เทียบกับอาการบาดเจ็บ หมอว่าคุณหลับนานไปด้วยซ้ำนะ”


แหน่ะ ขี้แซะนะเราน่ะ


ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไรต่อ เขาก็ชิงหันไปพูดภาษามนุษย์ต่างดาวกับพยาบาลที่อยู่ข้างๆ...ล้อเล่นครับ จริงๆ ก็ภาษาแพทย์นี่แหละ แต่ผมฟังไม่เข้าใจ


พอพูดจบ เขาก็หันมายิ้มให้ผมอีกครั้ง


“หายไวๆ นะครับ”


พอพูดจบก็รับเอกสารบางอย่างมาจากพยาบาลแล้วเดินจากไป


พี่พยาบาลส่งยิ้มให้ผมแล้วเริ่มมายุ่งกับสายยุบยับรอบๆ เตียง ความรู้สึกเหมือนบางอย่างถูกดึงออกจากร่างมันเป็นความรู้สึกที่...แปลก แปลกที่สุดคือผมไม่รู้เลยว่าสายไหนคืออะไร และเขากำลังทำอะไรกับร่างกายผมกันแน่ แต่สุดท้ายผมก็ยอมนอนนิ่งๆ จนทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี


หลังจากจัดการกับตัวผมเสร็จเธอก็หันมายิ้มกว้างให้ผมอีกครั้ง


“เดี๋ยวจะมีพยาบาลเอาอาหารอ่อนมาให้นะคะ ทานอาหาร ทานยา จะได้หายไวๆนะคะ”


ประโยคสุดท้ายนี่คือก๊อปกันมาใช่ไหม


ผมฉีกยิ้มกว้างตอบรับคำพูดห่วงใยกึ่งสั่งนั้นเงียบๆ


แล้วเธอก็เดินจากไป ปล่อยผมไว้กับ...


“เจ้าอ้วน แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าข้ามถนนให้ระวัง แล้วดูสิโดนรถชนจนได้”


เริ่มแล้วครับ เริ่มแล้ว


“อย่าว่าพ่อขี้บ่นเลยนะไอ้ลูกชาย เตือนกี่รอบแล้วไอ้เรื่องข้ามถนนเนี่ย ตอนเด็กๆ นะ โอ๊ย อย่าให้พ่อต้องพูด”


นี่ขนาดพ่อไม่อยากพูดนะเนี่ย


แต่เราโต้ตอบอะไรไม่ได้ครับ เราเป็นผู้ต้องหา ทำได้แค่ยอมรับความผิด


หลังจากนั้นก็เป็นประโยคบ่นยืดยาวที่ผมเองก็จับใจความได้บ้าง ไม่ได้บ้างเพราะทั้งพ่อทั้งแม่พากันแย่งพูดเหมือนกลัวจะไม่ได้บ่น ผมจึงทำได้แค่ยิ้มแห้ง ยิ้มแห้งและยิ้มแห้ง


หลังจากปล่อยให้พวกท่านได้บ่นจนสาแก่ใจ  แม่ก็เดินเข้ามาข้างเตียงแล้วเอามือผมไปกุมไว้


“อย่าทำให้เป็นห่วงแบบนี้อีกนะเจ้าอ้วน”


สิ้นคำของแม่ พ่อก็เดินเข้ามาลูบหัวผมเบาๆ


ครับ หัวที่พันผ้าก๊อซนั่นแหละ


“ทำอะไรก็ห่วงตัวเองบ้าง ปล่อยให้พ่อแม่ตายก่อนเถอะ ไม่ต้องมาแย่ง เข้าใจไหมไอ้ลูกชาย”


แหม พอได้ยินว่าผมแค่หัวแตกเฉยๆ ก็ขยี้แผลใหญ่เลยนะพ่อ


ถึงจะพูดคิดติดตลกแต่ก็ใช่จะไม่เข้าใจ ความห่วงใยและความรักที่ส่งมาให้


“ขอบคุณนะครับ”


แค่นี้


แค่คำนี้จริงๆ ที่ผมนึกออก


ขอบคุณ ขอบคุณ...จริงๆ













ผมฝัน


มันเป็นความฝันที่แปลกประหลาด ภาพตรงหน้าของผมมืดสนิท แต่กลับรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่คอยกอบกุมมือทั้งสองข้าง ได้ยินเสียงร้องไห้ของใครสักคน มันฟังดูทรมานจนแทบขาดใจ ได้ยินเสียงพูดของใครสักคนหรืออาจจะหลายคน คำพูดพวกนั้นมันอู้อี้จนฟังลำบาก แต่พอลองตั้งใจฟังดีๆ มันก็ค่อยๆ ชัดขึ้น...ชัดจนผมแทบไม่เชื่อว่าตัวเองได้ยินถูกต้อง


“เจ้อาจจะไม่ใช่อาเจ้ที่ดีของลื้อ แต่ถ้ามีปัญหาอะไร อย่าลืมนึกถึงเจ้นะ”


“ให้เป็นเพื่อนที่ดีและนำมึงไปในทางที่เจริญข้าคงทำไม่ได้ สิ่งเดียวที่ข้าทำได้ก็คือไม่ฉุดมึงให้ต่ำลงไปกว่านี้และไม่ปล่อยมึงให้อยู่คนเดียวไม่ว่าสถานการณ์จะแย่แค่ไหนก็ตาม”


“อาม้าอาจจะไม่ใช่ม้าที่ดีของลื้อ แต่อั๊วก็รักลื้อนะอาโซ้ยตี๋”



มันเป็นคำพูดที่ฟังดูสับสัน ฟังๆ แล้วเหมือนไม่ได้มาจากสถานการณ์และเวลาเดียวกัน แต่คำพูดนั้นสื่อให้คนๆ เดียวกัน


สื่อถึงผม...ไม่สิ ต้องบอกว่าสื่อถึงกรวิกต่างหาก


ตลอดเวลาที่เป็นกรวิก ผมรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่านั่นไม่ใช่ผม ผมไม่ใช่กรวิกและกรวิกไม่ใช่ผม บางครั้งผมก็นึกหวั่นใจว่าความรัก ความห่วงใยทั้งหมดนั้นไม่ได้ส่งมาให้ผม ไม่ว่าจะเป็นจากอาม้า อาเจ้ ไอ้มั่น คุณเปรมหรือแม้กระทั่งหมอ บางทีความรักนั้นอาจจะมีไว้เพื่อกรวิก ไม่ใช่ผม


ไม่ใช่มอส


แต่พอมาคิดอีกที ถ้าความรู้สึกพวกนั้นก่อขึ้นหลังจากที่ผมอยู่ในร่างของกรวิก จะขอโมเมว่ามันเป็นความรู้สึกที่มีไว้เพื่อผมก็ไม่ผิดใช่ไหม...ผมแค่อยากได้คำยืนยันว่าคุณเปรมรักมอส หมอรักมอส ทุกคนรักมอส


ไม่ใช่กรวิก


‘จะแบ่งแยกไปทำไมเล่า ในเมื่อไม่ว่าจะเป็นตัวลื้อในตอนนี้หรือกรวิกก็ล้วนเป็นคนๆ เดียวกัน’


เสียงปริศนาที่ดังขึ้นมาในหัวทำให้ผมสงสัยปนหงุดหงิดใจ


นี่เป็นความฝันของผมนะ อย่าเข้ามาโดยพลการสิ


‘อั๊วรอมานานเหลือเกิน รอเพื่อจะขอโทษ ขอโทษสำหรับทุกอย่าง’


คำพูดนั้นคุ้นหู น้ำเสียงที่ได้ยินก็คุ้นเคย


ใครกันนะ


‘ขอบคุณนะโซ้ยตี๋ที่เป็นน้องที่ดีมาตลอด’


น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นฟังดูเศร้าสร้อยเหลือเกิน


‘ขอบคุณจริงๆ ที่ยกโทษให้อั๊ว ขอบคุณจริงๆ ที่อโหสิกรรมให้อั๊ว’


มันเป็นคำพูดที่จริงใจที่สุดที่ผมเคยได้ยินมา แต่มันเป็นเสียงของใครกันนะ น่าแปลกที่ไม่ว่าจะพยายามนึกยังไงก็นึกไม่ออก


‘จากนี้อั๊วคงต้องไปตามทางของอั๊วแล้วจริงๆ รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีนะ อั๊วคงดูแลลื้อไม่ได้แล้ว’


ผมรู้สึกถึงน้ำตาอุ่นๆ ที่ไหลออกมา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือฝัน แต่ความเศร้าปนดีใจที่ลอยล่องอยู่ในใจของผมเป็นของจริง


ทำไมผมถึงรู้สึกแบบนี้กันนะ


‘อั๊วหมดบ่วงกับลื้อแล้ว แต่ดอกการเวกดอกนั้นยังไม่โรยรา อั๊วขออวยพรให้ลื้อพบทางสว่างในชีวิตนะ’


นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนที่ความรู้สึกว่าร่างทั้งร่างจะถูกเขย่าจะถาโถมเข้ามาจนผมต้องลืมตาตื่น


คนแรกที่เห็นในสายตาคือไอ้ไม้ที่กำลังทำหน้าตกอกตกใจ พอเบนไปมองอีกข้างของเตียงจึงได้เห็นทีนยืนหน้าเครียดอยู่ด้วย


ดูทำหน้ากันเข้าสิ เป็นอะไรกันล่ะนั่น


“มึงไหวไหมเนี่ย ฝันร้ายเหรอ”


เป็นไอ้ไม้ที่เปิดปากพูดขึ้นมาก่อน แต่การพูดก่อนพูดหลังนั้นไม่ใช่ประเด็น สิ่งสำคัญคือมันรู้ได้ไงว่าผมฝันร้าย


คงเพราะผมแสดงออกทางสีหน้ามากไปหน่อย ไอ้ไม้ถึงได้ถอนหายใจอย่างระอาใส่ผมเฮือกใหญ่


“จะถามกูใช่ไหมว่าทำไมถึงรู้ว่ามึงฝันร้าย ก็น้ำตาไหลอาบทั้งหน้าแล้วนั่น”


ผมยกมือข้างที่ไม่ใส่เฝือกขึ้นมาลูบหน้าตัวเอง


ผม...ร้องไห้ ร้องไห้จริงๆ ด้วย นึกว่าฝันไปเสียอีก


ใช่...เมื่อครู่ผมฝัน ฝันถึงใครบางคน...ไม่สิ มันไม่เหมือนฝัน แต่มันเหมือนกับ...


“ไอ้ไม้ มึงเคยเล่ากูใช่ไหมว่าย่ามึงที่เสียไปแล้วเคยมาเข้าฝันบอกหวยแม่มึง”


มันขมวดคิ้วให้กับคำถามของผมแต่ก็ยอมพยักหน้าโดยดี


“แล้วแม่มึงได้เล่าไหมว่าย่ามึงมาบอกยังไง”


“ถามเหี้ยไรเนี่ย เพื่อนกูไปแล้ว เพือนกูเป็นบ้าแล้ว”


“ไปไหนเล่า กูก็ยังนอนอืดอยู่เนี่ย เล่ามาเร็วๆ”


ไอ้ไม้ยังทำหน้าเหมือนคนที่สับสนว่าเพื่อนเป็นบ้าหรือเพื่อนแค่เพ้อไข้จนผมรำคาญจนต้องเบนสายตาไปถามอีกคนแทน


โอ๊ย เห็นหน้ามันแล้วแสลงใจฃ


“แล้วทีนอะ เคยรู้บ้างปะว่าเวลาผีเข้าฝันมันเป็นยังไง”


คนถูกถามขมวดคิ้วนึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะร้องอ๋อออกมา


“เคยนะ พ่อเล่าให้ฟังว่าคุณทวดชายเคยมาเข้าฝัน”


ทวดชาย...คุณเปรมเหรอ


เขาทำท่านึก


“จริงๆ ก็จำไม่ค่อยได้หรอกนะ มันนานแล้วน่ะ คือเราเคยเล่าว่าพ่อเราเป็นลูกคนสุดท้องใช่มะ เออ นั่นล่ะ คือพ่อก็มีพี่ชายอีกคน พี่สาวอีกคน ตอนนั้นรู้สึกว่าจะเป็นตอนที่คุณทวดเสียใหม่ๆ เราเด็กมากเลยอะ แบบมากๆ สักขวบหนึ่งได้ ก็มีคนเล่าให้ฟังว่าคุณทวดไปเข้าฝันพ่อเราว่าตอนแบ่งสมบัติให้เอาอะไรสักอย่างให้คุณลุงด้วย หลังจากแบ่งมรดกได้ไม่นาน คุณลุงก็ไปบวชกลายเป็นหลวงลุงเลย”


ผมขมวดคิ้วยุ่ง แต่ยังไม่ทันถาม ไอ้ตัวยุ่งอีกคนก็ดันชิงถามก่อนผม


“นี่มึงแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าพูดภาษาไทย เล่าไรเนี่ย ฟังไม่รู้เรื่องเลย”


เออ ขอบใจมากเพื่อนที่พูดแทน


ทีนถอยหายใจแรงๆ


“ก็บอกแล้วไงว่ามันนานแล้ว ลืมบ้างได้ไหมล่ะ”


“เอ้าๆ ไม่เถียงกัน เดี๋ยวเทพมอสจะเล่าใหม่ให้ฟังเอง ฟังนะเพื่อนไม้”


ไอ้ไม้เบ้ปากตอนผมพูดถึงตัวเอง แต่ก็ยอมฟังแต่โดยดี


“คือพ่อของทีนมีพี่ชายกับพี่สาวใช่ไหม”


ทีนพยักหน้า ผมจึงหันกลับไปมองหน้าไอ้ไม้ต่อ


“แล้วคราวนี้ทวดของทีนก็เสีย แล้วก็มาเข้าฝันพ่อทีนว่าให้เอาสมบัติอะไรสักอย่างของคุณทวดไปให้คุณลุงของทีนด้วย หลังจากนั้นไม่นานลุงแกก็ไปบวช จบไหมเพื่อน”


ไอ้ไม้ยังขมวดคิ้วจนผมเริ่มจะเหนื่อยแทน รอบแรกยอมรับว่าทีนมันเล่าไม่รู้เรื่อง แต่รอบนี้คือที่สุดของการเรียบเรียงแล้วนะ นี่เพื่อนโง่หรือเพื่อนโง่หืม


“นี่มึงยังไม่เข้าใจอีกเหรอ”


มันมองหน้าผม


“ก็เข้าใจนะ แต่กูไม่เข้าใจว่าแก่นของเรื่องมันอยู่ตรงไหน”


“แล้วมึงจะไปสงสัยเรื่องแก่นของเรื่องทำขนมเปี๊ยะมึงเหรอ”


“เอ้า ก็อาจารย์บอกว่าเราต้องสามารถจับใจความทุกเรื่องที่เราฟังได้ไง”


โอเคครับ เพื่อนผมไม่ได้โง่ มันเป็นบ้า


“นี่ถ้าไม่ติดว่ากูดามคอกับใส่เฝือกทั้งตัวอยู่นะ กูจะกระโดดตบหัวมึง”


สิ้นคำพูดของผม ไอ้สองคนนั้นก็พร้อมใจกันหัวเราะร่า


“แหม พ่อคนเก่ง มึงลุกไปเข้าห้องน้ำเองยังลำบากเลย ทำมาเป็นจะกระโดดตบกู เก่งจังเลย”


“เออ กูเก่ง กราบกูสิ”


สิ้นคำพูดของผมพวกมันก็พากันหัวเราะอีกรอบ ให้ตายสิไอ้พวกนี้...


อยู่ด้วยแล้วรู้สึกดีชะมัด


“แล้วทำไมจู่ๆ มึงถึงถามเรื่องผีเข้าฝันล่ะ อย่าบอกนะว่ามึง...”


 “ไม้ปากพล่อย”


ไอ้ไม้เอ่ยปากถามขึ้นมาตามประสาคนสนใจเรื่องชาวบ้านชาวช่องเป็นพิเศษ แล้วก็ลูบแขนประกอบคำพูดตัวเองในช่วงท้ายประโยค แต่ยังไม่ทันที่ผมจะตอบ คนอีกคนก็ชิงสวนขึ้นมาเสียก่อน


ความกลัวผีของทีนนี่ไม่รู้จะขำหรือสงสารดี


“หวาย กลัวผีเหรอจ้ะน้องทีน โอ๋นะ”


ไอ้ไม้พูดแซ็วพลางหัวเราะร่วนอย่างสะใจ ในขณะที่อีกคนแทบจะกระโดดถีบยอดหน้ามันอยู่แล้ว


มอสปวดกบาลกับไอ้พวกนี้จริงๆ


“ว่าแต่มึงน่ะ ตอบมาเลย ทำไมถึงถามขึ้นมา”


ผมหันไปมองหน้ามันแล้วยักไหล่


“กูก็แค่ถามไหม ถามไม่ได้รึไง”


มันหรี่ตามองผมอย่างระแวง


“ไม่จริงอะ คนอย่างมึงไม่มีทางถามขึ้นมาเฉยๆ”


“เออ ย่ามึงมาเข้าฝันบอกหวยกูเองแหละ”


“ไอ้เหี้ย”


ไม่พูดเปล่า มันยังออกแรงเขย่าเตียงผมให้ด้วย


ไอ้เพื่อนเวร


ผมบ่นด่ามันออกไปสองสามคำแล้วไล่ให้พวกมันไปหาเก้าอี้มานั่งข้างเตียงให้เรียบร้อย ในระหว่างนั้นผมก็นั่งคิดอะไรเงียบๆ กับตัวเอง


สิ่งที่ผมเจอคงเรียกอย่างง่ายว่าผีเข้าฝัน เรียกอย่างยากว่าการรับรู้ประสบการณ์ทางวิญญาณ


อะ ก็จะตลกไป


ถ้าผมจำไม่ผิด เสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงของผู้ชาย แถมยังแทนตัวเองว่าอั๊วลื้อ สำคัญคือเสียงนั้นฟังดูหนุ่มแน่นเกินกว่าจะเป็นเสียงของอาป๊า เพราะแบบนั้นผมจึงค่อนข้างมั่นใจว่าคนที่มาหาผมคือใคร


อาเฮีย


จากคำพูดที่เขามาบอก ทำให้ผมพอจะเดาได้ว่าเขานั่นล่ะคือตัวการสำคัญที่ทำให้ผมกลับไปเห็นอดีตตัวเอง


จากคำพูดที่เขาบอก ทำให้ผมมั่นใจว่าเรื่องราวทั้งหมดที่ผมรับรู้...คือเรื่องจริง


เขาพาผมกลับไปที่นั่นเพื่อรับรู้ทุกอย่างและ...ให้อภัยเขา ผมไม่รู้ว่าหรอกว่าเขารอคอยการให้อภัยมานานแค่ไหน แต่หลังจากนี้พวกเราก็คงไม่ติดค้างกันอีกแล้ว


หมดแล้วซึ่งบ่วงที่ผูกกันเอาไว้


อย่างไรก็ตาม ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินมันชวนให้แคลงใจ


‘อั๊วหมดบ่วงกับลื้อแล้ว แต่ดอกการเวกดอกนั้นยังไม่โรยรา อั๊วขออวยพรให้ลื้อพบทางสว่างในชีวิตนะ’


เขาคือคนที่บังคับให้โจรพวกนั้นเอาดอกการเวกมาให้ผมไม่ผิดแน่


แต่เพราะอะไรกันล่ะ?


เขาไม่รู้เรื่องผมกับคุณเปรมด้วยซ้ำ หรือผีจะติดต่อสื่อสารกันในทำนองที่ว่า ‘ฝากเอาไปให้หน่อยสิ’ รึเปล่า


ในขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ เตียงก็เกิดการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงจนผมร้องเสียงหลง


“แหม กรี๊ดเป็นตุ๊ดเลยนะมึง”


ไอ้ไม้เจ้าเก่าเจ้าเดิม เพิ่มเติมคือมันไขเตียงผมขึ้นโดยไม่บอกครับ น่ากระโดดตบให้กะโหลกแตก


ไอ้ไม้ไขเตียงให้ผมอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน ในขณะที่ทีนก็เดินไปหยิบเก้าอี้มาสองตัวให้ตัวเองกับไอ้ไม้ พวกมันสองคนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เตียง


“มึงหลับไปตั้งสี่วัน ในฐานะที่กูเป็นเพื่อนที่ดี เดี๋ยวกูจะเล่าเหตุการณ์ย้อนหลังให้ฟังเอง”


พอพูดจบ ไอ้ไม้ก็เริ่มร่ายมหากาพย์การนินทาชาวบ้านให้ผมฟัง โดยมีทีนคอยเป็นคนเสริมรายละเอียดเหตุการณ์ สองคนนี้เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย พวกมันผลัดกันทำให้ผมหัวเราะบ้าง ดึงเช็งเรื่องที่จะเล่าบ้าง


แม้จะวุ่นวาย แต่ผมก็รักช่วงเวลาแสนสงบแบบนี้เหลือเกิน


ไม่รู้ว่าพวกเราใช้เวลาพูดคุยกันไปนานแค่ไหน กว่าจะรู้ตัวอีกทีพ่อกับแม่ก็กลับมาแล้ว จำได้ว่าก่อนจะหลับไปพ่อกับแม่บอกว่าจะออกไปซื้อของ เลยทิ้งไม้กับทีนให้เฝ้าผม ไอ้สองคนนี้ก็บังเอิญไม่มีเรียนพอดิบพอดี ทีนลงทุนยกเลิกงานทั้งหมดของวันเพื่อมานั่งเป็นเพื่อนไม้เฝ้าผม ส่วนไอ้ไม้นี่ไม่ต้องห่วงเรื่องงาน รายนี้มันพวกว่างการว่างงานไม่ต่างจากผมสักเท่าไหร่


“อ้วน เมื่อตอนแม่ออกไปข้างนอกมีเพื่อนโทรมาถามอาการด้วยน่ะลูก”


คำพูดของแม่ทำให้พวกผมหันมองหน้ากัน


นอกจากไอ้สองคนนี้แล้วยังมีคนคบผมอีกเหรอ มหัศจรรย์ใจมากๆ


“ใครเหรอแม่”


“ชื่อปืนจ้ะ เขาบอกว่าเรื่องงานสอนพิเศษไม่ต้องห่วง เขาจะดูแลให้ก่อน เดี๋ยวหายแล้วจะหางานใหม่ให้ แม่ก็บอกขอบคุณเขาไปให้แล้วล่ะ”


อ๋อ เจ๊ปืนนี่เอง น่ารักจริงๆ เลยเจ๊ผมเนี่ย


“แล้วคนที่ชื่อหวานเขาก็บอกว่าเงินหนึ่งร้อยที่ติดเขาไว้เขาจะมาคิดดอกเบี้ยด้วยนะ”


พอพูดจบแม่ก็หัวเราะคิกคักชอบใจ


เออ ไปกันได้


พอนึกได้ว่ายังไม่ได้คืนเงินหวานก็เลยนึกถึงกระเป๋าของผมในวันที่ถูกรถชนขึ้นมาได้


“แม่ แล้วของๆ ผมในวันที่ถูกรถชนอะ”


“ทีนเอามาให้แม่แล้ว อยู่ไหนน้า”


ไม่ว่าเปล่า แม่ยังอุตส่าห์ควานหาให้ในกองของรกๆ ตรงโซฟา หลังจากนั้นไม่นานแม่ก็ชูกระเป๋าสะพายข้างสีน้ำตาลขึ้นมาให้ดู


จากเดิมที่ผมก็ไม่ค่อยจะได้ซักจนมันดูสกปรกอยู่แล้ว พอมาเปื้อนคราบเลือดก็ยิ่งดูสกปรกเข้าไปใหญ่


 “ของยังอยู่ดีใช่ไหมแม่”


แม่พยักหน้าน้อยๆ


“มือถือกับกระเป๋าเงินยังอยู่นะ อันอื่นต้องไปดูเองแล้วล่ะ”


พอพูดจบแม่ก็เดินถือกระเป๋ามาให้ผมแล้วกลับไปง่วนกับอะไรบางอย่างแถวโซฟาต่อ


ผมเปิดกระเป๋าแล้วเช็คลวกๆ ทุกอย่างยังอยู่ครบ ทั้งมือถือ กระเป๋าเงิน ชีทสอนพิเศษ สมุดจด และ...สมุดบันทึก


ผมแอบเหลือบมองหน้าทีนเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลานั้นไม่มีปฏิกิริยาอะไรกับการค้นกระเป๋าของผมเลยสักนิด นิ่งสนิทจนผมไม่แน่ใจว่าเขาได้เช็คของในกระเป๋าให้ผมจริงๆ รึเปล่า


เขาไม่เห็นสมุดบันทึกนี่จริงๆ เหรอ


“ทีนได้เช็คของให้เราแล้วใช่ไหม”


เขาพยักหน้า


“แต่ก็ไม่ได้ดูมากอะ พอรู้ว่ากระเป๋าตังค์กับมือถือยังอยู่ก็เก็บไว้เหมือนเดิม เพราะไม่รู้ว่ามอสเอาอะไรไปบ้าง”


“อ๋อ”


โล่งไป เพราะผมเองก็คร้านจะตอบคำถามว่าทำไมหลวงลุงถึงยกสมุดบันทึกเล่มนั้นให้กับผม


ต้องบอกว่าขี้เกียจแถถึงจะถูก


ผมก้มมองสมุดบันทึกที่นอนสงบอยู่ในกระเป๋าอีกครั้งแล้วตัดสินใจเงียบๆ ว่าผมต้องหาความจริงได้แล้ว เรื่องราวพวกนี้มันควรจะจบสักที ที่สำคัญที่สุดคือผมยังจำมันได้ดี


ผมยังจำคำสัญญาสุดท้ายได้ดี


‘ชาตินี้ผมรักคุณไม่ได้ แต่ชาติหน้าผมจะรักคุณแน่ๆ’


ผมจะทำให้มันเป็นจริงได้ไหมนะ...







**********************************************************************************








ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
[เกร็ดความรู้]




5 อันดับสกุลแซ่ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในประเทศไทย คือ

1.แซ่ตั้ง(เฉิน)

2.แซ่ลิ้ม(หลิน)

3.แซ่หลี(หลี่)

4.แซ่อึ๊ง(หวง)

5.แซ่โง้ว(อู๋)

สถิติล่าสุดของสำนักทะเบียนราษฎร์ กรมการปกครอง พบว่ามีสกุลแซ่ที่คนไทยเชื้อสายจีนใช้อยู่มากถึง 4,700 แซ่ แต่มีผู้ที่ยังใช้แซ่ขึ้นต้นสกุลทั่วประเทศ จำนวน 773,117 คน



ที่มา: 5 อันดับสกุลแซ่ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในประเทศไทย



สาเหตุที่มอสนามสกุลแซ่ตั้ง เพราะปิงปองเองอยากให้ได้บรรยากาศว่ามอสเองก็เกิดในตระกูลคนไทยเชื้อสายจีน และการเลือกแซ่ตั้งก็เพราะเป็นแซ่ที่มีคนใช้มากที่สุดในประเทศไทย จะได้ไม่ดูเจาะจงตระกูลใด ตระกูลหนึ่งจนเกินไป

ในตระกูลของปิงปองเองก็มีเรื่องเล่าว่าแซ่ต่างๆ ไม่ได้มาจากชื่อตระกูลใดตระกูลหนึ่งเป็นพิเศษ แต่มาจากชื่อหมู่บ้านที่คนเล่านั้นอพยพมา ซึ่งก็หมายความว่าคนแซ่ตั้งก็ไม่ได้เป็นตระกูลเดียวกันเสียทีเดียว เพียงแต่อพยพมาจากหมู่บ้านเดียวกันเท่านั้น อันนี้เป็นเรื่องเล่าจากบรรพบุรุษเนอะ จริงเท็จอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ก็เอามาเล่าสู่กันฟังเนอะ






[นามสกุลของคนไทย]

"ตั้งแต่โบราณมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ คนไทยเราไม่มีนามสกุลใช้  มีแต่ชื่อโดดๆ ทั้งชื่อก็ยังซ้ำกันมาก อย่าง อิน จัน  มั่น  คง  แดง ดำ ขาว เขียว เลยไม่รู้ว่าแดงไหน ดำไหน ด้วยเหตุนี้ ในรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ประกาศพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้นในวันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๕ บังคับใช้เป็นกฎหมายตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ เป็นต้นไป"



พูดอย่างง่ายคือคนไทยถูกบังคับให้มีนามสกุลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2456 เป็นต้นมา



ที่มา: นามสกุลแรกของกรุงสยาม


ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
บทที่ 23 คืนกลับ [ครึ่งหลัง]








กว่าผมจะรู้สึกตัวก็ถึงตอนที่แสงแดดสีส้มลอดผ่านกระจกใสเข้ามากระทบกับเปลือกตา จำได้ว่าหลังจากนั่งคุยกับไอ้ไม้และทีนไปได้พักหนึ่ง พยาบาลก็เอายามาให้กิน พอกินแล้วก็รู้สึกง่วงๆ เลยของีบแป๊ปหนึ่ง พอลืมตาขึ้นมาอีกทีห้องทั้งห้องก็ว่างเปล่า เหลือแต่เพียงผมกับแสงสีส้มแยงตา


ผมกระพริบตาสองสามทีเพื่อปรับสภาพดวงตาแล้วนอนมองแสงสีส้มอยู่อย่างนั้น ไม่ได้มีความคิดอยากขยับตัวไปไหน ผมแค่อยากนอนมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างเงียบๆ ปล่อยให้หัวสมองว่างเปล่า ไม่ต้องคิดอะไรสักพัก


“แดดรอนรอน เมื่อทินกรจะลับเหลี่ยมเมฆา”


จู่ๆ ผมก็พลันนึกถึงเพลงที่ตัวเองคุ้นเคย


“แดดรอนรอน เมื่อทินกรจะลาโลกไปไกล ยามนี้จำต้องพรากจากดวงใจ ไกลแสนไกลสุดห่วงยอดดวงตา”


จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ผมร้องเพลงนี้...ผมคิดถึงแม่


ใช่ ผมนึกถึงเรื่องของแม่กับตัวผมในวัยเด็ก


“โอ้ยามเย็น จวบยามนี้เป็นเวลาสุดอาวรณ์ ยามไร้ความสว่างห่างทินกร ยามรักจำจะจรจากกันไปไป”


ในตอนนั้นผมกำลังสับสนกับเรื่องราวมากมายแล้วก็พลันนึกถึงแม่ขึ้นมา คงเป็นอย่างที่เขาพูดกันว่าในยามที่เราทุกข์ใจที่สุด เราก็จะนึกถึงคนที่รักเรามากที่สุก


“’Tis sundown. The golden sunlight tints the blue sea.”


ผมชอบท่อนภาษาอังกฤษ เพราะมันทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวของครอบครัวในวัยเด็ก


“Paints the hill and gilds the palm tree, happy be, my love, at sundown.”


และอีกเหตุผลที่ทำให้ผมชอบท่อนภาษาอังกฤษก็คือ...หมอ


“เสียงเธอเพราะจัง”


ผมจำได้ว่าเขาชมผมไว้แบบนั้น


“หมอรออีกสักยี่สิบเก้าปีเดี๋ยวก็ได้ฟังเองล่ะครับ”


จำได้ว่าตัวเองตอบเขากลับไปแบบนั้น


จริงสิ ชีวิตหลังจากนั้นของหมอจะเป็นยังไงกันนะ


หลังจากผมตาย หมอใช้ชีวิตอยู่ยังไงกันนะ ในช่วงสงครามโลกเขายังอยู่ที่ไทยไหมนะ


หลังจากผมตาย คุณเปรมใช้ชีวิตอยู่ยังไงกันนะ ในช่วงสงคราม คุณเปรมลำบากไหมนะ


หลังจากผมตาย ทุกคนใช้ชีวิตอยู่ยังไงกันนะ


ในขณะที่ผมกำลังนอนคิดอะไรเพลินๆ จู่ๆ ก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้น ผมขยับตัวเพื่อมองคนที่เข้ามาใหม่ ตอนแรกเผลอนึกไปเองว่าอาจจะเป็นพ่อหรือแม่ ไม่ก็พวกสองคนนั้น แต่ดันไม่ใช่เลยสักคน


ดันเป็นเขาเสียได้


“สวัสดีครับหมอ”


ผมยกมือไหว้ร่างที่เดินเอื่อยๆ เข้ามาหา ดวงตาภายใต้กรอบแว่นนั้นจดจ่ออยู่กับเอกสารในมือ เขาเหลือบขึ้นมายกยิ้มให้ผมนิดนึงตอนได้ยินเสียเอ่ยทักก่อนจะก้มหน้าลงไปอ่านเอกสารต่อ


ก็เอาจริงเอาจังกับเขาได้เหมือนกันนี่นา


“คุณพิทยุตม์...อาการตอนนี้ไม่น่าเป็นห่วงแล้วนะครับ ตอนคุณหลับไปก็มีพยาบาลเข้ามาเช็คไปแล้วรอบนึง”


เขาเว้นจังหวะพูดแล้วพลิกเอกสารในมือไปมา


“คิดว่าอีกสองวันก็น่าจะกลับบ้านได้ เดี๋ยวยังไงหมอขอให้นอนต่ออีกสักสองคืนแล้วกันนะครับ ถ้าไม่มีปัญหาหรืออาการแทรกซ้อนอะไรก็จะให้กลับบ้านได้เลย”


ผมจ้องใบหน้าเอาจริงเอาจังนั้นเงียบๆ เขาพูดอะไรต่อไปอีกนิดหน่อย แต่ผมไม่ได้ตั้งใจฟังนักหรอก เพราะผมกำลัง...สงสัย


จะใช่หมอไหมนะ...ไม่น่าเป็นไปได้ คนเจ้าเล่ห์แสนกลพรรคนั้น บทจะมาเจอกันอีก คงไม่มาเจอกันง่ายๆ แบบนี้แน่ สำคัญที่สุดคือความรู้สึกของผมเอง


บรรยากาศของหมอคนนี้ไม่เหมือนกับไอ้คนเจ้าเล่ห์นั่นเลยสักนิด


“คุณพิทยุตม์ครับ”


เสียงเรียกของเขาทำให้ผมหลุดจากภวังค์


“คะ ครับ”


“เหม่อขนาดนี้ ได้ยินหมอพูดบ้างไหมครับเนี่ย”


ผมยกยิ้มกว้างหวังทำตัวตลกกลบเกลื่อนความผิด


งานถนัดผมล่ะ


“แหม หมอล่ะก็นี่ใครครับ นี่มอสเลยนะ ไม่มีทางไม่ได้ยินครับ รับรองว่าฟังทุกคำไม่มีขาดตกบกพร่อง”


“ถ้าอย่างนั้น หมอนัดถอดเฝือกวันไหนจำได้ไหมครับ”


เชี่ย พูดตอนไหนวะ


ผมมองหน้าเขาอยู่อึดใจก่อนจะ...


ยิ้มแห้งสิครับรออะไร


ตาตี่ๆ นั้นหลับลงแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย


“นี่ถ้าคุณเป็นน้องหมอนะ จะฟาดให้เลยจริงๆ ด้วย”


“หมอนะหมอ จะฟาดผมลงจริงๆ เหรอครับ นี่น้องมอสไง”


เขามองหน้าผมแล้วฉีกยิ้มจนตาปิด


“อย่าว่าแต่ฟาดเลยครับ ปากระทะใส่ก็ทำได้ครับ”


พอพูดจบก็ดันหัวเราะกับคำพูดของตัวเองจนตัวโยน


เอ้อ เป็นคนแปลกๆ นะเราน่ะ


แต่ก็น่าแปลก ตัวผมเองกลับรู้สึกอุ่นใจตอนที่เขาพูดคำว่า ‘น้องชาย’ อย่างไม่มีเหตุผล


หรือเพราะผมเป็นลูกคนเดียวกันนะ


“หมอมีน้องชายเหรอครับ”


ไม่รู้เพราะอะไรผมถึงถามแบบนั้นออกไป


เขาเงยหน้าขึ้นจากกระดาษในมือแล้วอมยิ้ม


“ไม่มีหรอก แต่ถ้ามี หมอก็อยากมีน้องอย่างเรานะ”


“โห พูดแบบนี้รับผมเข้าตระกูลเลยสิหมอ แต่ขอสมบัติห้าสิบเปอร์เซ็นต์นะ”


เขาหัวเราะร่วน


“ไม่เอาล่ะ ทุกวันนี้หมอก็ไม่มีจะกินแล้ว”


พูดไปพลาง ขำไปพลาง เขียนเอกสารในมือไปพลาง อยากจะถามว่าเหนื่อยไหม


บทสนทนาของพวกเราจบลงที่ตรงนั้น ผมเองก็ไม่มีความคิดที่จะชวนคุยต่อเมื่อเห็นอีกคนกำลังทำงานหน้าดำคร่ำเครียด


แต่จู่ๆ เขากลับเริ่มบทสนทนาขึ้นมาอีกครั้ง


“หมอน่ะอยากมีน้องชายนะ เพราะถ้ามีน้องสาวก็คงเข้ากันไม่ค่อยได้”


ผมไม่ได้ตอบอะไร ปล่อยให้เขาเล่าไปเรื่อยๆ


“ถ้ามีน้องชายก็คงจะพอหายเหงาได้บ้าง”


เขาพูดประโยคพวกนั้นโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากเอกสารในมือเลยสักนิด แต่เพราะอย่างนั้นผมจึงสบายใจที่จะพูดต่อ


ผมไม่ชอบสบตาคนตอนพูดสักเท่าไหร่


“หมอก็มีพ่อมีแม่ไง ถ้าเหงาก็ชวนพ่อแม่ไปเที่ยวสิ”


เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ริมฝีปากนั้นทำเพียงแค่ยกยิ้มบาง


เหงาและเศร้าสร้อย


“หมอไม่มีพ่อมีแม่หรอก เป็นเด็กกำพร้านะรู้ไหม”


เชี่ย


“แต่พอดีว่าเรียนเก่ง อาจารย์ก็เลยช่วยหาทุนให้ตลอด ได้เรียนหมอก็เพราะได้ทุนนี่แหละ หมอทำงานไปเรียนไปนะรู้ไหม”


เชี่ยยกกำลังสอง เรียนหมอก็แทบไม่ได้นอนแล้ว นี่เรียนหมอไปทำงานไป รอดมาได้ไงเนี่ย


ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นมา แต่นัยน์ตานั้นไม่ได้มองมาที่ผม เขามองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนความคิดเขาล่องลอยไปไกลแสนไกล


ความเหงาและโดดเดี่ยวของเขาที่สะท้อนผ่านแววตาทำให้ผมหวนนึกถึงใครบางคนที่มีแววตาเดียวกันอยู่ตลอดเวลา


...อาเจ้....


“สงสัยชาติที่แล้วหมอทิ้งพ่อทิ้งแม่ล่ะมั้ง มาชาตินี้ก็เลยถูกทิ้งบ้าง”


ผมกลืนก้อนบางอย่างลงคอ ความรู้สึกจุกอกนี้มันอะไรกันนะ


“ถ้าหมอมีใครสักคนให้เรียกว่าครอบครัว ก็คงดีเนอะ”


“ผมนี่ไง”


ใบหน้ากลมแป้นนั้นหันขวับมามองผมแทบจะทันทีที่พูดจบ เผลอๆ หันมาก่อนจะพูดจบด้วยซ้ำ นัยน์ตาเล็กเรียวนั้นมีแววตื่นตระหนกแต่ในขณะเดียวกันมันก็ดู...ตื่นเต้น


“แหน่ะ ทำหน้าไม่เชื่อกันอีก หมอจะนับผมเป็นน้องชายก็ได้นะ จะเป็นน้อง เป็นลุง เป็นอา ก็แล้วแต่หมอเลย นับเป็นครอบครัวของหมอไปเลยก็ได้ แต่สมบัติไม่ได้แบ่งมาหรอก เดี๋ยวไว้ผมแต่งงานกับคนรวยๆ แล้วค่อยเกาะเขากินก็ได้”


พูดเอง ปล่อยมุกเอง ตบมุกเอง ขำมุกตัวเอง มอสนี่มันมอสจริงๆ


“ได้จริงๆ เหรอ”


ใบหน้านั้นยังคงตื่นตระหนกแต่มันกลับมีความยินดีมากกว่า


“อื้อ ได้สิ นี่ใคร นี่น้องมอสแหลมสิงห์ไงครับ พูดแล้วไม่คืนคำนะเออ”


 ทันทีที่ผมพูดจบ ร่างผอมๆ นั้นก็โถมเข้ามากอดผมทั้งตัว แต่โชคดีที่ไม่ได้โถมแรงลงมาด้วย ไม่งั้นน้องแขนในเฝือกของผมคงแหลกและร้าวระบม


ว่าแต่ คนเรามันเป็นพี่น้องกันง่ายขนาดนี้เลยเหรอวะ


เขาถอนกอดออกไปแล้วกลับไปยืนนิ่งตามเดิม สองมือง่วนอยู่กับการจัดเสื้อกาวน์เล็กน้อย


“จริงๆ ที่ทำเมื่อกี้ก็ผิดจรรยาบรรณแพทย์ไปเยอะเลยนะ”


“มีร้อยข้อน่าจะผิดไปแล้วเก้าสิบเก้าอะหมอ”


ผมแกล้งแซ็วเล่นแล้วหัวเราะ ไอ้ตัวผมเองก็เคยได้ยินเรื่องจรรยาบรรณหมอที่ว่า อย่าสนิทสนมกับคนไข้มากเกินไป อย่าร้องไห้ให้คนไข้เห็น อย่าพูดคำว่าขอโทษถ้ายื้อชีวิตคนไข้ไว้ไม่ได้เพราะเราทำเต็มที่ที่สุดแล้ว อะไรทำนองนั้นมาบ้าง แต่สำหรับตัวผมเองผมไม่ได้ถือสากับเรื่องพวกนี้มากนัก ถ้าจะสนิทสนมกันมากหน่อย ผมก็ไม่มีปัญหาอะไร


เขาหน้าเจื่อนลงจนผมต้องเอ่ยปลอบใจ


“อย่าคิดมาน่ะหมอ ผมไม่บอกใครหรอก นี่ก็ไม่มีใครเห็นด้วย หมอไม่โดนดุหรอกน้า”


เขาสบตาผมเล็กน้อยแล้วเบนหลบ


“เอาเถอะ ทำไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ ยังไงหมอก็ขอโทษเรื่องเมื่อกี้ด้วยละกันนะ”


“คร้าบ”


ผมรับคำพลางหัวเราะร่วน


คราวนี้เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมนิ่งไม่ได้หลบไปไหน ก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มกว้าง


“แต่ที่พูดเมื่อกี้ห้ามคืนคำนะ”


ผมสบตาเขาแล้วยิ้มตอบ


“ไม่คืนหรอกครับพี่....”


“พจน์”


“ครับ?”


เขายกยิ้ม


“พี่ชื่อพจน์”


พจน์...พลอย ก็เป็นชื่อที่ฟังแล้วชวนให้คิดถึงดีเหมือนกัน


ในตอนแรกมันก็รู้สึแปลกใจตัวเองที่จู่ๆ ก็พูดไปว่าจะเป็นน้องชายเขา และมันก็ยิ่งทวีความแปลกตรงที่เขาเองก็ดูไม่เอะใจอะไรเลย แถมยอมรับง่ายๆ เสียอย่างนั้น หรือจะพูดให้ถูก ทุกอย่างมันแปลกตั้งแต่เขาเริ่มเล่าเรื่องชีวิตตัวเองให้คนไข้อย่างผมฟังแล้ว แต่พอมานึกดูดีๆ เรื่องบางเรื่อง คนบางคนก็จัดเป็นข้อยกเว้น ความรู้สึกบางอย่างที่ลอยคลุ้งอยู่ในใจคงเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราทั้งสองกลายเป็นข้อยกเว้นของกันและกัน


ความรู้สึกที่ต่างฝ่ายต่างติดค้างกันมาตั้งแต่ในอดีต


ผมยังจำได้ดีว่าอาเจ้ชอบพูดว่าถ้าเธอไม่ใช่ผู้หญิงก็คงจะดีบ้างล่ะ อยากเกิดเป็นผู้ชายบ้างล่ะ ไม่อยากเชื่อเลยว่าพอมาเจอกันอีกที เธอจะได้เป็นอย่างที่เธออยากเป็นจริงๆ


อาเจ้ คราวที่แล้วอั๊วผิดสัญญากับลื้อเอาไว้มาก ทั้งๆ ที่สัญญาว่าจะไปเยี่ยมบ่อยๆ แต่ก็แทบไม่ได้ไปหา คราวนี้อั๊วขอแก้ตัวนะ


“หลังจากนี้หมอเตรียมตัวไว้ได้เลย ผมจะมาเยี่ยมหมอทุกวัน ให้หมอเลี้ยงข้าวจนอยากตัดผมออกจากตระกูลเลยล่ะ”


คนที่มีใบหน้ากลมแป้น ดวงตาตี่เล็กและใส่แว่นหน้าเตอะไม่ตอบอะไร เขาแค่หัวเราะร่วนอยู่อย่างนั้น


หัวเราะร่วนด้วยสีหน้าที่เป็นสุขมากเสียจนผมอดยิ้มตามไม่ได้เลย


 






********************************************************************************************



ฮั่นแน่  มีใครทายเรื่องพี่หมอพจน์ผิดไปบ้างรึเปล่า หรือมีใครทายถูกบ้างไหมคะ แสดงตัวกันได้น้า >w<


ส่วนพี่หมอของเราต้องรออีกหน่อยค่ะ ชาติก่อนน้องมอสทำเขาไว้เยอะ มาคราวนี้พี่เขาขอเล่นตัวนิดนึง ส่วนคุณเปรมไม่ต้องห่วงค่ะ เขามาแน่นอน ขอเผยนิดๆ ด้วยว่างานนี้ไม่ใช่แค่คุณเปรม แต่คนอื่นๆ ที่ผูกพันธ์กับน้องกรของเราก็ยกขบวนแห่กันมาหมด แต่จะได้เจอกันตอนไหนฝากติดตามด้วยนะคะ อีกไม่นานเกินรอแล้ว ^^



ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
อ่านจบแล้ว น้ำตาแตกให้กับคุณหมอในโลกปัจจุบันอีกล่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายที่ให้ความบันเทิง สุข เศร้า เคล้าน้ำตา และ ที่อัศจรรย์ที่สุด ทำให้รู้ว่าหลวงลุงเป็นโลกปัจจุบันของคุณชื่นนี่ล่ะ

ออฟไลน์ pigarea

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
โอ๊ยยย​ทำไม​เรา​เดาทางผิดหมด

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
บทที่ 24 ความจริง [ครึ่งแรก]









หลังจากนั้นสองวัน ผมก็ได้ออกจากโรงพยาบาลสมใจ ชีวิตในช่วงแรกของผมเป็นไปอย่างทุลักทุเล


ขาใส่เฝือกทั้งสองข้าง แขนขวาก็ใส่เฝือก ส่วนแขนซ้ายไม่มีปัญหาด้านกระดูกแต่ก็มีปัญหาข้อมือซ้น สำคัญที่สุดคือคอก็ถูกใส่เฝือกอ่อนเอาไว้


บอกตามตรงว่าสภาพของผมโคตรจะคล้ายคลึงกับมัมมี่สุดๆ ไปเลย


ในตอนแรกผมตั้งใจจะดรอปเรียนเทอมนี้อยู่แล้ว แต่ไม้กับทีนกลับเสนอให้ผมเรียนวิชาที่ไม่เปิดในช่วงซัมเมอร์ในเทอมนี้ ส่วนวิชาไหนตามเก็บช่วงซัมเมอร์ได้ก็ไปถอนออกเพื่อจะได้ไม่เป็นภาระมากเกินไป ไปๆ มาๆ เลยกลายเป็นว่าผมเหลือวิชาที่ต้องเรียนอยู่แค่สามตัวซึ่งเป็นวิชาคณะทั้งหมด


หลังจากไปดีลกับอาจารย์โดยใช้ลูกอ้อนลูกตื้อเล็กน้อย อาจารย์ทั้งสามวิชาก็เห็นชอบกันให้ผมไม่ต้องเข้าเรียน แต่ต้องอ่านหนังสือและส่งงานเหมือนคนอื่นๆ ถ้ามีควิซก็ต้องมาสอบ ซึ่งแน่นอนว่ามันสบายกว่าต้องไปเข้าเรียนทุกคาบมากๆ แต่ก็ต้องแลกมากับความเสี่ยงของการไม่เข้าใจเนื้อหาและติดเอฟ แต่ผมก็โชคดีที่ยังมีไอ้ไม้ รายนี้ปกติก็ทำตัวติดกับผมเป็นตังเม สิงผมได้คงสิงไปแล้วแล้ว แน่นอนว่าเรื่องเรียนมันก็ไม่พลาดที่จะสิงผมเหมือนเดิม จากเมื่อก่อนที่ผมเป็นสายขยันส่วนมันเป็นสายเรียนๆ เล่นๆ พอมาตอนนี้มันกลับต้องกลายมาเป็นหัวเรือหลักจดเลคเชอร์ อัดเสียงอาจารย์และตั้งใจเรียนเพื่อลากผมผ่านเอฟไปด้วยกัน


เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้มันเต็มๆ จากคนเรียนๆ เล่นๆ ต้องเปลี่ยนมาเป็นเด็กหน้าห้องคงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่สำคัญคือมันไม่จำเป็นต้องทำให้ผมขนาดนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่มันก็ยังทำ


เพราะแบบนั้นผมเลยรู้สึกขอบคุณมันมากขึ้นไปอีก


บางทีผมก็อดแอบคิดไม่ได้ว่า ไม้อาจจะเป็นไอ้มั่นในชาติที่แล้วที่สำนึกได้ว่าตัวมันปล่อยปละละเลยผมจนกระทั่งถึงวันที่ผมถูกฆ่าก็แทบไม่ได้เจอหน้ากัน มาชาตินี้เจ้าตัวก็คงตั้งมั่นไว้ว่าอยากแก้ตัว ไอ้ไม้ก็เลยเกาะผมเป็นหมากฝรั่งเคี้ยวแล้วไม่เว้นแต่ละวัน


“คำอธิษฐานนั้นมีพลังมากกว่าที่เราคิดนะโยม”


ผมยังจำประโยคนี้ของหลวงลุงได้ดี


คำอธิษฐานก็คือคำขอ คำขอที่เกิดจากความปรารถนาอย่างแรงกล้าภายใน


เฮีย ทำให้ผมรับรู้ทุกอย่างเพราะอยากให้ผมให้อภัย


อาเจ้ กลับมาเป็นผู้ชายเพราะเธออยากเป็นผู้ชายมาตลอด


ไอ้มั่น กลับมาเกาะผมเป็นตังเมอาจจะเพราะมันอยากจะชดเชยในสิ่งที่มันไม่ได้ให้ผม


ทุกคนมีความปรารถนาและกลับมาเพื่อทำให้มันเป็นจริง


ชีวิตของคนเราก็ง่ายแค่นี้เอง วนลูปซ้ำไปซ้ำมาไม่มีจบเพื่อแก้บ่วงอธิษฐานไปทีละบ่วง


เท่านั้นเอง ชีวิตคนเราก็เท่านี้เอง


ตัวผมเองก็ยังมีบ่วงที่แก้ไม่ตกเหมือนกัน


หลังจากออกจากโรงพยาบาล ผมก็เทียวมาเทียวไประหว่างโรงพยาบาล หอพักและมหาวิทยาลัยโดยมีไม้และทีนอยู่ข้างตัวไม่ห่าง กว่าจะรู้ตัว ผม ไอ้ไม้ ทีนและพี่หมอพจน์ก็กลายเป็นเดอะแก๊งค์ไปไหนไปกันเสียแล้ว ถ้าวันไหนที่พวกผมว่างและพี่เขาว่าง พวกเราก็มักจะออกไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ


ตอนนี้ตัวผมเองก็เรียกเขาว่าพี่พจน์ ส่วนเขาก็เรียกผมว่าน้องมอส ดูไปดูมาก็เหมือนคู่พี่น้องกันจริงๆ จนหลังๆ พ่อกับแม่ก็เริ่มจะรับรู้เรื่องราวของพี่เขาแล้วชวนไปเที่ยวบ้านอยู่บ่อยๆ ผมจำได้แม่นว่าในวันตัดเฝือกพี่หมอยังอุตส่าห์เดินข้ามตึกมาให้กำลังใจผมทำกายภาพบำบัดขาที่ไม่ได้ใช้มาร่วมสองเดือนทั้งๆ ที่ตัวเองก็งานล้นมือแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน


ทุกอย่างที่เขาทำ พาลทำให้ผมนึกถึงคำที่ป้าอิ่มเคยเล่าให้ผมฟัง




“พี่สาวของเอ็งพูดถึงเอ็งบ่อยมากเลยรู้ไหม”

“ไอ้กรดีอย่างนั้น ไอ้กรดีอย่างนี้ เห็นมันนิสัยเช่นนั้นแต่มันก็รักเอ็งนะ ข้ายังจำได้อยู่เลย ตอนวันเกิดท่านเจ้าคุณ พี่สาวเอ็งนี่หาเรื่องไปทำงานในเรือนแจเลย ก็เพราะมันอยากจะไปดูเอ็งเล่นดนตรีน่ะสิ อู๊ย ข้านี่เหนื่อยใจจะบ่น”

“มันน่ะ ระริกระรี้จะไปดูเอ็งสีซอเสียให้ได้ พลางโอ้ชมเอ็งกับคนในโรงครัวยกใหญ่ว่าเอ็งน่ะเสียงดี พวกบ่าวมันก็เลยพากันไปฟัง อุบ๊ะ เสียงเอ็งนี่ใสอย่างกับนกการเวกอย่างไรอย่างนั้น เป็นเด็กผู้ชายแท้ๆ”





พี่พจน์เป็นคนพูดไม่เก่ง แต่ก็มักจะอวยผม ห่วงผมออกนอกหน้า


ชาติก่อนเป็นยังไง ชาตินี้ก็ยังเหมือนเดิม แม้จะไม่มีหลักฐานมายืนยันแต่ใจผมมันก็เชื่อไปแล้ว ต่อให้เขาไม่ใช่อาเจ้ของผมจริง แต่การรับเขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรเสียใจ ออกจะน่ายินดีด้วยซ้ำไป


เอาเข้าจริงผมก็คงต้องขอบคุณเฮียที่ทำให้ผมได้รับรู้เรื่องราวในอดีต เพราะไม่อย่างนั้นผมคงใช้ชีวิตในตอนนี้ไปวันๆ โดยไม่คิดอะไรเลย


....


เดี๋ยวนะ...มันมีบางอย่างแปลกๆ


....


จริงสิ ถ้าเฮียเป็นคนทำให้ผมระลึกถึงอดีต ทำไมเสียงที่ผมได้ยินได้ช่วงแรกๆ ถึงเป็นเสียงของคุณเปรมล่ะ


บ้าจริง ทำไมผมถึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้นะ


ตลอดเวลาสองเดือนที่ผ่านมา ชีวิตของผมวุ่นวายอยู่กับการเรียนและสุขภาพจนไม่มีเวลาว่างได้มานั่งคิดทบทวนอะไรเลย กว่าจะนึกขึ้นได้เวลาก็ผ่านไปมากโข


ผมดึงลิ้นชักใต้โต๊ะออกมาแล้วหยิบสมุดปกหนังขึ้นมาวางบนโต๊ะ


บอกตามตรงว่าผมไม่กล้าอ่าน


ตาของผมจับจ้องมันอยู่อย่างนั้นหลายนาทีทีเดียวกว่าผมจะกล้าเปิดมันขึ้นมา ผมไล่เปิดมันทีละหน้า กวาดตาผ่านหน้าที่เคยอ่านมาแล้วไปผ่านๆ ตั้งใจว่าจะเริ่มอ่านตั้งแต่หน้าสุดท้ายที่อ่านค้างไว้เป็นต้นไป แต่พอเปิดไปถึงจริงๆ กลับพบว่าวันที่บันทึกกระโดดข้ามไปอย่างน่าแปลก


ผมจำได้ว่าหน้าสุดท้ายที่ผมอ่านบันทึกไว้ว่าเป็นวันที่ 3 มีนาคม 2460 ซึ่งเป็นวันที่กรวิกตกน้ำ


เป็นวันที่ผมได้ไปที่นั่นเป็นครั้งแรก


มาถึงตรงนี้ก็เพิ่งจะคิดอะไรบางอย่างได้


ทำไมเฮียต้องพาผมกลับไปในวันนั้นด้วยล่ะ ทำไมถึงไม่พาผมย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยเด็กๆ เผลอๆ ถ้าผมได้เห็นภาพพวกเรารักใคร่กันฉันพี่น้อง ผมอาจจะให้อภัยเขาไปก่อนหน้านี้แล้วก็ได้


แปลก แปลกจริงๆ


ผมเลิกคิดแล้วกลับมาให้ความสนใจกับวันที่ในบันทึกต่อ


หลังจากวันที่ 3 มีนาคม 2460 หน้าถัดมากลับกระโดดข้ามมาที่เดือนพฤษภาคมเสียอย่างนั้น





วันนี้เป็นวันเกิดของคุณพ่อ มีแขกเหรื่อแวะมาแสดงความยินดีกันคับคั่ง แต่ก็มีเพียงเรากับคุณพ่อเท่านั้นที่คอยรับหน้า พักนี้อาการคุณแม่แย่ลงกว่าเก่า หมอทุกคนต่างพากันบอกว่าท่านคงอยู่ได้อีกไม่นาน ด้วยเหตุนี้เราจึงอยากให้ท่านได้สมความปรารถนาก่อนสิ้นใจ เมื่อท่านหาคู่มาให้เราจึงมิได้คัดค้านอะไร อย่างไรเสียเราเองก็มีหน้าที่ในการสืบต่อวงศ์ตระกูลและเป็นเสาหลักของบ้านสืบไปอยู่แล้ว แม้จะไม่ได้แต่งงานกับคนที่พึงใจก็คงไม่เป็นไร เพราะเขาเองก็มิได้จากไปไหนไกล เจ้านกการเวกน้อยของเรายังคงบินวนอยู่ใกล้ๆ ยังคงขับขานบทเพลง พูดจาเจื้อยแจ้วให้ฟังไม่ห่างหายไปไหน เพียงเท่านี้ใจเราก็สุขมากเกินพอแล้ว



 

วันที่ ๑๑ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖o






เหมือนมีบางอย่างมาจุกอยู่ในอก


‘เจ้านกการเวกน้อยของเรา’


คำๆ นี้ช่างเสียดแทงใจผมเหลือเกิน


ผมค่อยๆ พลิกหน้ากระดาษเพื่ออ่านต่อ





เรามิรู้จะเขียนพรรณนาความรู้สึกในอกเราออกมาอย่างไรดี ความรู้สึกร้อนรุ่มแลอึดอัดนี้คืออะไรกันหนอ เจ้าดอกการเวกของพี่ เหตุใดเจ้าจึงพูดจาเยี่ยงนั้นออกมา สายสวาทที่เราเคยมีต่อกันขาดสะบั้นไปแล้วหรือ เหตุใดใบหน้าเจ้าจึงทุกข์ระทมถึงเพียงนั้น แม้อยากจะเข้าไปกอดปลอบเจ้าเพียงใด แต่ตัวพี่เป็นใคร ตัวเจ้าเป็นใคร พวกเราเป็นใครใยจักไม่ตระหนักถึง ความรักของเราหากจะกล่าวว่าเป็นไปไม่ได้ก็คงไม่ผิด หากพี่ขอแค่ให้เจ้าอยู่ใกล้ๆ มิบินจากไปไหนไม่ได้เลยหรือ บุญกุศลที่ได้ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันในวันนี้ หากสามารถนำพาให้เรามาเจอกันแลรักกันอย่างปกติสุขในชาติภพหน้าได้ก็คงเป็นเรื่องน่ายินดี



วันที่ ๑๗ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖o






ผมดีใจ


ผมดีใจที่อย่างน้อยเขาก็ยังคิดถึงผมบ้าง คุณเปรมที่ผมรู้จักไม่ใช่คนช่างอธิบาย เขาแทบไม่ปริปากถึงสิ่งที่คิดออกมาให้ผมฟังเลยสักนิด จนหลายครั้งที่ผมเผลอ...ไม่เชื่อ...ไม่เชื่อในคำว่ารักของเขาว่ามันจะเป็นของจริง


แต่ตอนนี้ผมพอใจแล้ว แค่รู้ว่าเขารักผมจากใจจริงก็พอแล้ว


ผมพลิกกระดาษเพื่ออ่านหน้าต่อไป







ความรักของเรานั้นจบสิ้นลงแล้ว เขาบอกลาเราแล้ว เจ้านกน้อยบินจากอ้อมอกเราไปแล้ว ดอกการเวกในมือเราเหี่ยวเฉาลงเสียแล้ว หัวใจของเรา...แหลกสลายเสียแล้ว



วันที่ ๔ เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๖o







บันทึกหน้านี้เป็นเพียงประโยคสั้นๆ แต่เมื่ออ่านจบหัวใจผมกลับปวดร้าวเหลือเกิน


รัก


ผมรักเขาจริงๆ ด้วย


ผมรักใครไม่ได้แล้วจริงๆ ด้วย


มือสั่นเทาของผมทาบปิดใบหน้าของตัวเอง ผมรู้ดีว่าตัวเองกำลังร้องไห้ ในวันนั้นคงเป็นวันที่ผมบอกลาเขา คงเป็นวันที่เขาเจ็บที่สุด


คงเป็นวันที่หัวใจของพวกเราบาดเจ็บที่สุด


ผมหยุดให้ตัวเองได้ตั้งสติอีกครั้ง เมื่อหยาดน้ำตาเริ่มแห้งเหือดผมจึงพลิกหน้าต่อไป


พลิกไปทั้งๆ ที่รู้ว่าวันพรุ่งนี้เขาจะเขียนว่าอะไร


สิ่งแรกที่ผมรู้สึกกับบันทึกหน้านี้ไม่ใช่ข้อความที่สะดุดตา แต่เป็นร่องรอยบางอย่างบนกระดาษ กระดาษเก่าๆ หน้านี้มีร่องรอยเหมือนเคยโดนความชื้นมาก่อน ที่สำคัญรอยพวกนั้นไม่ได้กระจายไปทั้งหน้า แต่มันมีลักษณะเป็นหยดๆ เหมือน...


“น้ำตา”


ผมพึมพำกับตัวเอง


พูดกับตัวเองเพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่สัมผัสได้คือของจริง


เขาร้องไห้....คุณเปรมร้องไห้


เพราะแบบนั้นผมจึงต้องรีบอ่านข้อความ





หัวใจเราเจ็บราวกับจะแหลกสลายในคราที่เจ้านกน้อยบอกลา แต่ในยามนี้หัวใจเราเหมือนมีใครมาทุบทำลาย บดขยี้แล้วเอาไปทาเกลืออย่างไรอย่างนั้น เมื่อยามที่ได้ทราบข่าวว่าเจ้าดอกการเวกของพี่ถูกทำร้ายสาหัสปางตาย พี่รีบรุดไปแล้ว ไปยังโรงหมอของปีเตอร์ที่เคยสาบานกับตนเองไว้ว่าจักไม่ไปเยือน แต่พี่ยอมตระบัดสัตย์เพื่อดวงใจของพี่ ครั้นพอไปถึง ที่นั่นก็มีคนอยู่มากมาย ทั้งมั่น พ่อแม่ของน้อง รวมไปถึงปีเตอร์ด้วย มั่นเล่าให้พี่ฟังว่าพี่ชายของน้องก็ถูกทำร้ายเช่นกัน แต่เสียชีวิตไปก่อนหน้าแล้ว ส่วนน้องนั้น ปีเตอร์บอกว่ามีภาวะติดเชื้อในโลหิต มั่นอาจจักไม่เข้าใจ แต่พี่เข้าใจดี น้องจักไม่คืนกลับมาหาพี่อีกแล้ว เพราะเหตุใดเล่าเจ้าจึงไม่อยู่ต่ออีกสักนิด อยู่ให้พี่ได้ขอโทษ อยู่ให้พี่ได้ตระกองกอดเจ้าไว้ในอ้อมแขน พี่เพียงอยากบอกว่ารักเจ้าอีกสักครั้งเท่านั้น แม้แต่วาระสุดท้ายของเจ้าพี่ก็ไม่อาจเข้าไปกุมมือได้ บางคราพี่ก็นึกอิจฉาปีเตอร์เหลือเกิน อิจฉาที่เขาสามารถรักเจ้าได้อย่างเปิดเผย ภาพที่เขานั่งกุมมือเจ้าอยู่ข้างเตียงแลร่ำไห้ปานจะขาดใจนั้นยังตราตรึงอยู่ในใจของพี่มิรู้ลืม



ตัวพี่เองก็อยากทำเยี่ยงนั้นไม่ต่างกัน แต่พี่จักทำได้อย่างไร ฐานะของพี่ ตระกูลของพี่ ทุกสิ่งที่พี่แบกไว้บนบ่าทำให้พี่ทำได้แค่มองเจ้าค่อยๆ สิ้นลม ไม่อาจแม้แต่จะเดินเข้าไปกุมมือ ทำได้เพียงจิกเล็บเข้าไปในมือตนเอง จิกจนกว่าเลือดจะไหลหมดกาย เพื่อห้ามตัวเองไม่ให้พุ่งเข้าไปตระกองกอดเจ้าไว้ในอ้อมแขน



อภัยให้พี่เถิดดวงใจพี่ พี่ขอโทษ พี่รักเจ้าเหลือเกิน อีกไม่นาน จักตามไปหา ถึงครานั้น คำแรกที่พี่จักพูดเมื่อเราได้พบกันคือคำว่าขอโทษ พี่จักขอโทษดวงใจพี่จนกว่าเจ้าจะให้อภัย แม้จะต้องใช้เวลาอีกกี่ร้อยกี่พันชาติพี่ก็ไม่หวั่น ขอเพียงได้พบเจ้า ได้รักเจ้า ได้ขอโทษเจ้าอีกสักครา แค่นั้นก็มากเกินพอแล้ว





วันที่ ๕ เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๖o







ทันทีที่อ่านจบผมก็ร้องไห้ออกมาเหมือนจะขาดใจ


ผมไม่สนอีกแล้ว ต่อให้ทีนจะกลับมาเห็นตอนนี้ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่ได้ระบายความรู้สึกที่อัดอั้นนี้ออกมาก็พอ


ผมรักเขา ผมรักเขาจริงๆ ด้วย


ตัวผมร้องไห้ไปนานแค่ไหนไม่รู้ กว่าจะรู้ตัวอีกที ตาทั้งสองข้างก็บวมแดงเกินกว่าจะมีน้ำตาไหลออกมาได้อีก ผมถอนหายใจยาวๆ เพื่อพยายามระงับอารมณ์แล้วรวมรวบสติที่กระเจิดกระเจิงไปกลับมา


มือสั่นเทาค่อยๆ พลิกหน้ากระดาษต่อจากนั้นแล้วก็ต้องแปลกใจที่มันไม่มีอะไรต่อจากนั้นเลย


ไม่มีบันทึกต่อ


ไม่มีอะไรเขียนไว้


ไม่มีอะไรเลย ...จนกระทั่งหน้าสุดท้าย


ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอแล้วไล้มือบนหน้ากระดาษอย่างเหม่อลอย


เพลงยาวบทนี้มันแสนจะ...คุ้นเคย


...เพลงยาวที่เขาแต่งให้ผม....






กลอนเพลงยาวร้อยหัวใจอันสุขี

ด้วยคะนึงถึงยอดมารตี

ขอน้องนี้รับรักด้วยเมตตา

 

เสียงเจ้าหวานปานนกการเวก

ความปัจเจกเอกลักษณ์คือหรรษา

หวังนอนฟังหากเจ้ากรุณา

เพียงพบหน้าพาใจได้ภิรมย์

 

เจ้าเป็นจีนงามหมวยสวยบาดจิต

หากน้องฝากชีวิตคงสุขสม

ต่างเชื้อชาติใช่ต่างรักต่างนิยม

พี่สัญญาจักชื่นชมเจ้านิรันดร์

 

หากเจ้าเป็นมาลีพี่เป็นผึ้ง

ใช่ทะลึ่งมีแต่รักมากมหันต์

หากเจ้าเป็นโลกนี้พี่เป็นจันทร์

อยู่คู่กันตลอดไปด้วยรักเอย

                                                       


                                                                                       

ตรงท้ายกลอนมีข้อความสั้นๆ เขียนไว้สองสามบรรทัด




ในที่สุดพี่ก็ตามหาตัวคนที่ทำร้ายดวงใจพี่จนเจอ แต่กว่าจะพบความจริง คนผู้นั้นก็สิ้นชีพไปเสียก่อนแล้ว เขายังไม่ได้ชดใช้ให้น้องด้วยซ้ำ สิ่งที่พี่ทำได้คือทำลายทุกอย่างที่เขาเหลืออยู่บนโลกใบนี้ เขาว่ากันว่าเมื่อคนเราสิ้นไป สิ่งที่เหลืออยู่คือความดีงาม แต่พี่จักทำให้มันไม่เหลืออะไรเลย เหมือนกับที่มันทำให้ชีวิตของพี่สิ้นไร้แสงสว่างในวันนั้น





จากที่อ่าน คุณเปรมคงรู้แล้วว่าทั้งหมดคือฝีมือของท่านเจ้าคุณเอื้อ ผมไม่รู้ว่าสุดท้ายเขาทำอะไร แต่อย่างน้อยเขาก็ทำมันเพื่อผมและผมก็มั่นใจว่าคนอย่างเขาย่อมไม่ใช้วิธีสกปรกแน่


ชายคนนี้มีอุดมการณ์เป็นของตัวเอง ขนาดตอนผมจะตาย เขายังรักษาอุดมการณ์ไว้ไม่สั่นคลอน เขายอมที่จะมองผมตายโดยไม่ได้เข้ามากอด ดีกว่าสูญเสียจุดยืนของตัวเองไป


คนแบบนี้นี่....มันเหลือเกินจริงๆ


ผมหัวเราะฝืดๆ ให้กับคำปรามาสเขาของตัวเองแล้วไล่สายตาไปมองที่ปกสมุดจึงเห็นกระดาษแผ่นน้อยแนบอยู่...




พฤษภกาสร           อีกกุญชรอันปลดปลง

โททนต์เสน่งคง      สำคัญหมายในกายมี

นรชาติวางวาย      มลายสิ้นทั้งอินทรีย์

สถิตทั่วแต่ชั่วดี       ประดับไว้ในโลกา





...กฤษณาสอนน้องคำฉันท์...


ผมเคยได้ยินกลอนบทนี้ตอนไปหาหลวงลุงที่วัดกับทีน และจำได้แม่นว่าหลวงลุงบอกผมว่านี่เป็นกลอนที่คุณทวดของทีนชอบ แต่ผมมั่นใจว่านี่ไม่ใช่ลายมือคุณเปรม ฉันท์นี้ถูกเขียนขึ้นด้วยลายมือที่บรรจงกว่า ประณีตกว่าและอ่อนช้อยกว่า ดูๆ ไปแล้วก็เหมือน...


...ลายมือผู้หญิง...


...คุณชื่น...นั่นเป็นชื่อเดียวที่ผมนึกออก


ถ้าคุณชื่นเป็นคนเขียนจริง แสดงว่าเธอต้องได้อ่านข้อความทั้งหมดที่ถูกบันทึกเอาไว้ในนี้


เธอทนได้เหรอ เธอจะรู้สึกยังไงกันนะ เธอจะรู้รึเปล่าว่าคนที่คุณเปรมกล่าวถึงคือผม


ปริศนามากมายถาโถมเข้ามาในหัวเสียจนผมนั่งไม่ติด


ไม่ได้แล้ว ผมต้องทำอะไรสักอย่าง


ผมเงยหน้ามองนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนังห้องแล้วเริ่มไล่เรียงตารางชีวิต

ตอนนี้ผมเดินเหินได้สะดวกเหมือนเก่า สำคัญที่สุดคือสอบเสร็จแล้ว เพราะฉะนั้นชีวิตผมตอนนี้จึงอยู่ในโหมดว่างถึงว่างที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็กลับบ้านไม่ได้เพราะต้องรอเรียนซัมเมอร์ต่อ ทีนก็ไปทำงาน ไอ้ไม้ก็มีสอบ


ทางสะดวกสุดยอด


พอคิดได้แบบนั้นผมเลยกุลีกุจอเก็บของลงกระเป๋าแล้วบึ่งออกไปจากหอสู่จุดหมายปลายทางที่ผมมั่นใจว่าปริศนาทั้งหมดจะคลี่คลาย


หลวงลุงเท่านั้นที่จะช่วยผมได้



********************************************************************





ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4
 :serius2: สงสารทุกคนเลยยย

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ที่แท้คนที่ทำให้มอสไปอดีตคือเฮีย เพื่อให้ มอสอโหสิกรรม  :z3:
แล้วมอส ก็รู้ว่าคงรักได้แต่คุณเปรม
แต่ที่เฮียพูดเรื่องดอกการะเวกนี่มันยังไงๆนะ
ทีน จะรู้ใจตัวเองว่าชอบมอสหรือเปล่า  :mew1:

อาเจ้ มาเกิดใหม่เป็นหมอพจน์  :hao3:
แล้วดีใจที่ได้มอสเป็นน้องชายซะหมดมาดหมอเลย  :ling1:
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
บทที่ 24 ความจริง [ครึ่งหลัง]










วัดที่แสนคุ้นตายังร่มรื่นไม่ต่างจากหลายเดือนที่แล้ว ผู้คนมากหน้าหลายตาหลั่งไหลเข้ามาทำบุญไม่ขาดสายเหมือนเดิม เด็กๆ วิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวกันอยู่แถวร้านอาหารเหมือนเดิม อากาศเมืองไทยยังร้อนเหมือนเดิม ทุกอย่างดูปกติสุขเหมือนเดิม


ผมเองก็มาที่นี่ด้วยความกังวลใจเหมือนเดิม


แต่ที่แย่กว่าเดิมคือผมไม่รู้ว่าผมจะหาหลวงลุงได้ที่ไหนนี่สิ ชื่อของท่านผมก็ไม่รู้ กุฏิท่านอยู่ตรงไหนยิ่งไม่ต้องพูดถึง


แย่จริงๆ


หลังจากเดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจที่จะลองเดินไปยังศาลาริมน้ำที่ผมเคยพบท่านเมื่อนานมาแล้ว สถานที่แห่งนั้นยังคงสงบร่มเย็นเหมือนเมื่อครั้งก่อน แต่น่าแปลกที่คราวนี้กลับไม่มีใครอยู่ละแวกนี้เลยสักคน


ไม่มีเลยสักคน


หลังจากหันซ้ายหันขวาดูหลายรอบจนแน่ใจแล้วก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้


ต้องทำยังไงถึงจะได้เจอท่านนะ จะให้ไปถามพระรูปอื่นในวัดก็ไม่รู้ว่าจะถามยังไงดี ชื่อก็บอกไม่ได้ ลักษณะก็อธิบายยากเกินไป


เมื่อทำใจแล้วว่ายังไงเสียวันนี้ก็ต้องถอดใจ ผมจึงค่อยๆ พาตัวเองเดินไปนั่งรับลมในศาลาแทนการยืนอยู่กลางลานร้อนอบอ้าว


เหมือนภาพเหตุการณ์ในวันเก่ายังไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำ ผมยังจำได้ดีว่าในวันนั้น...ในวันที่ผมมาที่วัดนี้เมื่อหลายเดือนก่อน ผมได้ยินเสียงตัวเองร้องเพลงลาวดวงเดือน ผมได้ยินเสียงของ...


จริงสิ ทำไมผมถึงเพิ่งนึกได้นะ


ถ้าจำไม่ผิด ในวันนั้นผมได้ยินเสียงคนร้องเพลงลาวดวงเดือนแต่ไม่รู้ว่าเป็นเสียงของใคร เลยเดาเอาว่าน่าจะเป็นเสียงอย่างที่ได้ยินทุกที พอได้ยินเสียงคนท่องกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ก็เลยพาลนึกไปว่าน่าจะเป็นคนเดียวกัน แต่พอกลับมานึกดูดีๆ เสียงที่ได้ยินในตอนนั้นมัน...ไม่เหมือนเสียงของคุณเปรมเท่าไหร่ เสียงนั้นใสกระจ่างกว่า แหลมกว่า เหมือนเสียงของผู้หญิง


เหมือนเสียงของคุณชะ...


“อ้าว โยมมอสไม่ใช่รึ”


ผมสะดุ้งโหยงกับเสียงร้องทักที่ดังแทรกเข้ามาในห้วงภวังค์ก่อนจะหันขวับไปมองทันทีที่ตั้งสติได้


ร่างสูงวัยคุ้นตาในชุดภิกษุทำให้ผมผลุดลุกขึ้นยืนแทบไม่ทัน


“นมัสการครับหลวงลุง ผมตามหาหลวงลุงแทบพลิกวัดเลยครับ”


ท่านไม่ได้ตอบอะไร ใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นเพียงฉีกยิ้มบางแล้วค่อยๆ หย่อนตัวลงบนม้านั่งปูนในศาลา เมื่อเห็นดั่งนั้นผมจึงย่อตัวลงนั่งกับพื้นบ้าง


สงสัยงานนี้คงคุยกันยาว


เมื่อเห็นว่าหลวงลุงไม่มีท่าทีจะเริ่มบทสนทนาผมจึงพนมมือขึ้นบริเวณอกแล้วเริ่มพูด


“หลวงลุงครับ ผมมีหลายเรื่องที่อยากจะถามหลวงลุงครับ คือว่า...”


“ถ้าหากจะถามว่า พี่ชายของโยมในชาติที่แล้วคือต้นเหตุให้โยมกลับไปเห็นอดีตจริงหรือไม่ อาตมาขอตอบว่าจริง แต่หากจะถามว่าโยมได้ย้อนกลับไปในอดีตหรือไม่ อาตมาก็ขอตอบว่าไม่จริง”


คำตอบนั้นช่างเสียดแทงใจ


หลวงลุงยังเหมือนเดิม ท่านหยั่งรู้ทุกอย่างเสียจนผมนึกกลัว แต่อีกใจมันก็อยากรู้


อยากรู้จนยอมเผชิญหน้ากับความกลัวในใจ


“แล้วที่ผมเห็นมันคืออะไรหรือครับ”


ท่านก้มมองหน้าผมนิดนึงก่อนจะหันไปทอดมองแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลเอื่อยอยู่ไม่ไกล


“หากจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือนิมิตนั่นล่ะโยม”


ผมส่ายหน้ารัว


“ไม่จริงหรอกครับ ถ้าเป็นนิมิต ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนตัวเองไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นล่ะครับ ถ้าเป็นนิมิตผมควรที่จะเป็นผู้ดู ผมควรที่จะ...”


“โยมมอส”


เสียงอ่อนโยนนั้นหยุดคำพูดทั้งหมดของผมแล้วเรียกความสนใจให้สบเข้าไปในดวงตาฝ้าฟาง


นัยน์ตานั้นอ่อนโยนเหลือเกิน อ่อนโยนเสียจนผมรับรู้ได้ถึงความสงสารและเห็นใจ


“โลกใบนี้ก็มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่อาจจะเข้าใจหรือพิสูจน์ได้ สิ่งที่โยมเจอ อาตมาก็สุดจะสรรหาคำมาอธิบาย”


ท่านสบตาผมนิ่ง


“สิ่งที่โยมเผชิญมาคือสภาวะหนึ่งของจิตที่ถูกนำพาไปให้เห็นเหตุการณ์ที่ผู้นำพาอยากให้เห็น แต่เพราะเหตุใดโยมจึงรู้สึกเหมือนกลับไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น หรือทำไมโยมจึงได้ยินเสียงของคุณเปรมแทนเสียงของพี่ชาย หรือแม้กระทั่งเหตุผลว่าทำไมเหตุการณ์ที่โยมเห็นจึงเริ่มต้นหลังจากกรวิกตกน้ำ อาตมาเองก็สุดรู้”


ท่านเว้นจังหวะอยู่อึดใจแล้วเบนสายตากลับไปทอดมองแม่น้ำใหญ่


“ชีวิตคนเราก็เหมือนสายน้ำนั่นล่ะโยม กว่าจะมาถึงที่ๆ อยู่ตอนนี้ก็ผ่านอะไรมามากมาย จะให้จำ จะให้รู้ ทุกสิ่งทุกอย่างคงเป็นไปไม่ได้หรอก”


แล้วท่านก็กลับมาสบตาผม


“สิ่งสำคัญคือเราต้องรู้ว่าเราได้อะไรมาบ้างระหว่างทาง ต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าตลอดเส้นทางที่ผ่านมาแก่นแท้ของมันคืออะไร ปลาในน้ำมันคงไม่จำหรอกว่าเส้นทางที่ว่ายผ่านมามีกรวดอยู่กี่ก้อน มีหญ้าช้องอยู่กี่กอ แต่มันรู้ว่ามันมีจุดหมายให้ไป มีหน้าที่ต้องสืบทอดเผ่าพันธุ์ ต้องมีชีวิตอยู่”


ความรู้สึกบางอย่างตีขึ้นมาจนจุกอก


“แล้วโยมล่ะ ตอบตัวเองได้ไหมว่าจากเหตุการณ์ที่ไปรับไปรู้มา โยมได้อะไร แก่นแท้ของมันคืออะไร คนๆ นั้นให้โยมกลับไปรับรู้อดีตเพื่ออะไร”


ผมรู้สึกว่าร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มจนผมต้องหยุดสูดหายใจเข้าสองสามครั้งจึงสงบลง ในหัวค่อยๆ คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ อยู่พักใหญ่จึงค่อยเงยหน้าขึ้นตอบ


“เขา...อยากให้ผมให้อภัย”


ใบหน้าสูงวัยประดับยิ้มกว้าง


“แล้วโยมว่าอย่างไรเล่า”


“ผมกับเขา เราจบสิ้นกันแล้ว ไม่มีอะไรค้างคา ไม่ว่าจะทุกข์จะสุข ผมตัดหมดแล้ว”


ผมเห็นท่านพยักหน้าน้อยๆ พร้อมกับรอยยิ้มบาง


นั่นคงเป็นทุกอย่างที่ท่านอยากจะบอก แต่นั่นยังไม่พอ


ผมยังมีเรื่องที่อยากรู้


“แล้วเรื่องของคุณเปรมกับหมอปีเตอร์ล่ะครับ”


ท่านหันมามองผมแล้วอมยิ้มเงียบๆ


ไม่พูด ไม่ถามจนน่าแปลก แต่เพราะแบบนั้นผมจึงได้พูดต่อ


“ผมจำได้ว่าตัวเองช่วยทำซีพีอาร์ให้แม่เด็กที่ตกน้ำ ผมจำได้ว่าผมโดนหมอปีเตอร์จับผิดครั้งแล้วครั้งเล่าเรื่องที่ผมมีความรู้ผิดลูกชาวบ้านทั่วไป เรื่องพวกนั้นมัน...”


“โยมจำคราวที่เราเจอกันในวัดในนิมิตโยมได้ไหม”


ผมนิ่งคิด


ภาพเหตุการณ์ที่ผมเจอท่านที่วัดคราวนั้นผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ





“การรับรู้ของคนเรา เกิดขึ้นจากการรับรู้ของจิต ถ้าจิตรับรู้เรื่องในอดีต เราก็จะคิดไปว่าเราย้อนอดีต”


“พูดให้ง่าย สิ่งที่โยมรับรู้อยู่ตอนนี้ ทั้งหมดล้วนเกิดจากจิตของโยมเอง จิตของโยมกำลังรับรู้เรื่องในอดีต เพราะมีใครบางคนอยากให้โยมรับรู้มัน”


“จำไว้นะโยมมอส จิตของเราปรุงแต่งทุกอย่างที่เรารับรู้ ตอนนี้จิตใหม่ของโยมกำลังรับรู้เรื่องราวในชาติเก่า”


“ทุกสิ่งที่รับรู้ได้ในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด”


“แต่ความรู้สึกอันเป็นแก่นแท้นั้นเป็นของจริง”





ผมเงยหน้าสบตาท่าน


“หลวงลุงหมายความว่าเรื่องพวกนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริงเหรอครับ”


ท่านยิ้มน้อยๆ


“ถูกและไม่ถูกในคราวเดียวกัน”


ท่านส่งยิ้มให้ผมเล็กน้อย


“โยมคิดว่าถ้าโยมกับพ่อของโยมกินข้าวเช้าจานเดียวกันกับโยม พ่อของโยมจะทำทุกอย่างเหมือนอย่างที่โยมทำไหม”


ผมขมวดคิ้วยุ่ง


อะไรเนี่ย งงไปหมดแล้ว


“ก็...สมมุติว่าโยมกินอาหารจานเดียวกับพ่อของโยม โยมคิดว่าปริมาณพริกน้ำปลาหรือลักษณะท่าทางการกินของพ่อกับตัวโยมเองจะเหมือนกันไหม”


ผมส่ายหน้าช้าๆ


“มันก็เหมือนกันล่ะโยม โยมกินข้าวจานเดียวกับกรวิก ไปเจอเหตุการณ์เดียวกับกรวิก แต่คนกินคือโยม ไม่ใช่กรวิก กรวิกอาจจะไม่เติมพริกไทยลงในข้าว แต่โยมอาจจะเหยาะลงไปนิดหน่อย แล้วรสชาติอาหารมันจะไปเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วได้อย่างไร”


พอพูดจบท่านก็อมยิ้ม


“แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหมว่ามันคืออาหารจานเดียวกัน”


ผมพยักหน้าช้าๆ ในหัวพยายามประมวลผลคำพูดพวกนั้น


อะ ยอมรับว่าโง่ มอสงง มอสไม่เข้าใจ


ผมได้ยินเสียงหัวเราะขำๆ จากพระภิกษุตรงหน้า


“ที่อาตมาบอกว่าถูกคือเหตุการณ์ที่โยมเห็น มันไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมดอย่างที่โยมคิดน่ะถูกแล้ว แต่ที่บอกว่าผิดก็เพราะเหตุการณ์พวกนั้นเคยเกิดขึ้นจริงๆ โยมไม่ได้นึกไปเอง เพียงแต่รายละเอียดอาจไม่ได้เป็นอย่างที่โยมรับรู้”


ผมมองหน้าท่านด้วยสายตาสงบนิ่งแล้ว...


ยิ้มแห้งสิครับรออะไร มอสโง่ มอสไม่เก็ทอะไรทั้งนั้น


ผมได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ


โอ้โห หลวงลุงด่าผมว่าโง่เถอะครับ


แต่โชคดีที่ท่านไม่ได้ทำแบบนั้น ภิกษุชราทำเพียงอมยิ้มแล้วชี้มือข้างหนึ่งของท่านไปที่นกตัวหนึ่งที่เกาะอยู่บนต้นไม้ไม่ไกลนัก


“โยมมอสเห็นนกตัวนั้นไหม”


ผมพยักหน้า


“สิ่งที่โยมเห็นเกี่ยวกับนกตัวนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”


ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจ แต่ก็ยอมตอบแต่โดยดี


“มันเป็นนก...นกพิราบตัวเล็ก ที่กำลัง...เกาะอยู่บนกิ่งไม้เฉยๆ...ครับ”


ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะตอบอะไรออกไป แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นท่านก็ฉีกยิ้มกว้างให้กับคำตอบของผม


“หากอาตมาจะบอกว่านกตัวนั้นกำลังนอนหลับอยู่ โยมว่าเหตุการณ์ที่เราเห็นมันจะเปลี่ยนไปไหม”


ผมนิ่งคิดแล้วส่ายหน้า


“แล้วถ้าหากสมมุติว่าเจ้านกนั้นพูดได้แล้วบอกพวกเราว่าเขาไม่ได้หลับ เขาไม่ได้เกาะอยู่เฉยๆ แต่กำลังรอลูกๆ กลับรัง โยมว่าเหตุการณ์ที่เราเห็น สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นมันจะเปลี่ยนไปไหม”


ผมนิ่งคิดอยู่อึดใจแล้วค่อยๆ ส่ายหัว ในใจเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง


“เหตุการณ์เดียวกัน ต่างมุมมอง ใช่ว่าเหตุการณ์นั้นจะไม่เคยเกิด รายละเอียดอาจจะไม่เหมือนเดิมเพราะคนที่มอง ไม่ใช่คนเดียวกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นยังเป็นสิ่งเดียวกัน”


ผมถึงบางอ้อแทบจะทันที


สิ่งที่ผมเห็นทั้งหมด เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นั่นล้วนเกิดขึ้นจริง รายละเอียดอาจจะไม่เหมือนกันแต่ทุกสิ่งเคยเกิดขึ้นจริง


ผมเคยช่วยหมอดูแลผู้หญิงตกน้ำคนนั้นจริง แต่อาจจะไม่ใช่ด้วยวิธีซีพีอาร์


ผมเคยทำงานกับหมอจริง แต่อาจจะเป็นงานแบบอื่นหรือกรวิกอาจจะมีความรู้ภาษาอังกฤษเหมือนกับผมก็ไม่อาจจะรู้ได้


แย่จริง ถึงจะรู้เรื่องราวเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังมีเรื่องที่ไม่รู้อีกเป็นตัน


แต่เดี๋ยวสิ มันมีเหตุการณ์หนึ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้นี่นา...


“แต่หลวงลุงครับ ผมเคยร้องเพลงยามเย็นที่นั่นแล้วก็โดนหมอปีเตอร์ทักว่าทำไมถึงร้องเพลงนี้ได้ เพลงนี้คือเพลงอะไร ผมเลยตอบไปว่าให้รอฟังอีกยี่สิบเก้าปี เหตุการณ์นี้มันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ แล้วทำไม...”


“โยมมีอะไรฝังใจกับเพลงยามเย็นรึ”


แทนที่จะตอบคำถาม ท่านกลับเลือกที่จะถามกลับ แถมเป็นประโยคเดียวแต่ทิ่มกลางใจจนทะลุเสียด้วย


สมแล้วที่เป็นหลวงลุง


เมื่อเห็นว่าปิดไปก็ไม่มีประโยชน์ ผมจึงค่อยๆ เปิดปากเล่า


“มัน...เป็นเพลงที่ทำให้ผมรู้สึก...มีค่า”


ผมหยุดเรียบเรียงคำพูดเล็กน้อย


“ผมเคยใช้เพลงนี้ซ้อมลีลาศในชมรมเล็กๆ ที่โรงเรียน ที่นั่นผมมีเพื่อนหลายคน ผมได้คุยกับคนหลายคน ทุกคนต้องการผมเพราะผมเป็นผู้ชายซึ่งเป็นของหายากในชมรม ปกติผมเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อนครับ สมัยมัธยมผมไม่มีเพื่อนสนิทด้วยซ้ำไป พอขึ้นมหาวิทยาลัยก็มีเพื่อนคบอยู่สี่ห้าคน แต่ละคนก็แปลกๆ ทั้งนั้นเลย”


พอพูดจบผมก็หัวเราะ


“แถมเนื้อเพลงที่ฟังก็ทำให้ผมนึกถึงตอนเด็กๆ ที่แม่ชอบพาผมไปเที่ยวทะเล มัน...เป็นช่วงเวลาที่มีคนอยู่ข้างๆ ผม เห็นคุณค่าของผม ผมก็เลย...รู้สึกดีเวลาได้ยิน ทุกครั้งที่รู้สึกแย่ผมก็จะชอบร้องเพลงนี้ เพราะผมจะได้รู้สึกว่าตัวผมยังมีคนที่ต้องการให้ผมไปหา”


ผมหันไปหาคู่สนทนาตรงหน้า


“แล้ว...หลวงลุงถามผมทำไมหรือครับ”


ท่านฉีกยิ้มกว้าง...กว้างกว่าครั้งไหนที่เคยเห็น


“อาตมาก็แค่สงสัยว่าทำไมโยมจึงเลือกเพลงยามเย็นก็เท่านั้น บทเพลงมีเป็นร้อยเป็นพัน การที่เราจะเลือกเพลงสักเพลงขึ้นมาร้องมันย่อมต้องมีเหตุอยู่เสมอ”


ผมนิ่งเงียบแล้วพยายามคิดตาม เอาเข้าจริงผมก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับหลวงลุงสักเท่าไหร่ เวลาคนเราจะร้องเพลงออกไปแตะขอบฟ้าของพี่ตูนมันต้องมีเหตุผลอะไรมากกว่าความอยากร้องด้วยเหรอ


ช่างเถอะ ถึงจะสงสัยแต่ก็ไม่กล้าพอที่จะถามออกไปอยู่ดี


“ความจริงแล้วมันก็มีมากกว่าความอยากรู้ของอาตมาเองอยู่เหมือนกัน”


คำพูดเนิบนาบที่หลุดออกมาทำให้ผมตะโกนลั่นในใจ


นั่นไง มอสเคยสงสัยอะไรแล้วผิดที่ไหนกัน


ภิกษุชรามองหน้าผมแล้วทำท่าครุ่นคิด


“เมื่อหลายวันก่อน อาตมาได้มีโอกาสเจอคนๆ หนึ่งที่ชอบเพลงยามเย็นเหมือนกับโยม แต่เขาไม่มีเหตุผล เขาบอกว่าเขาชอบเพราะเขาชอบ อาตมาเลยอยากรู้”


อ๋อ อย่างนี้นี่เอง


แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักของบทสนทนา


“แล้วตกลงว่าเหตุการณ์นั้นมัน...”


“โยมมอส”


น้ำเสียงที่เรียกชื่อผมนั้นฟังดูทั้งระอาทั้งเอ็นดู


“อาตมาบอกว่าอย่างไรจำได้ไหม เหตุการณ์ทั้งหมดเคยเกิดขึ้นจริง แต่โยมกับกรวิก แม้จะเป็นคนๆ เดียวกัน แต่ชาติภพใหม่ ดวงจิตก็ย่อมแปรสภาพไปไม่คงเดิม การที่โยมไปรับรู้เหตุการณ์ในครั้งเก่าก่อนด้วยดวงจิตใหม่ เหตุการณ์ที่โยมเห็นย่อมขึ้นอยู่กับความนึกคิดของจิตโยมเอง แล้วมันจะไปเหมือนเดิมทุกสิ่งได้อย่างไรกัน ในเมื่อจิตโยมไม่ได้เหมือนเดิม”


“หลวงลุงหมายความว่าเหตุการณ์ในวันนั้นเกิดขึ้นจริง แต่กรวิกอาจจะร้องเพลงอื่น หรืออาจจะทำอย่างอื่น แต่เขาอยู่ตรงนั้น กินข้าวกับหมอที่นั่นเหมือนอย่างที่ผมทำ อย่างนั้นหรือครับ”


ท่านคลี่ยิ้มแล้วพยักหน้าลงเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ


อ๋อ อย่างนี้นี่เอง


เดี๋ยวสิ...


“แล้วถ้ารายละเอียดเหตุการณ์มันเปลี่ยนไป มันจะไม่ส่งผลกระทบต่อเหตุการณ์จนเปลี่ยนไปหมดหรือครับ”


นัยน์ตานั้นทอดมองผมอย่างเอ็นดู


“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ต่อให้โยมพยายามจะเปลี่ยนมันอย่างไร มันก็ไม่เปลี่ยนหรอกนะ”


ท่านหลับตาลง


“คนเราเปลี่ยนอดีตไม่ได้หรอกนะโยม”


กระจ่างกันเลยทีเดียว


แต่คราวนี้ดันมีปัญหาใหม่ขึ้นมา....


แล้วผมจะรู้ได้ยังไงกันล่ะว่าคำพูดไหนเกิดขึ้นจริง คำพูดไหนเป็นเพียงสิ่งที่จิตใหม่ของผมคิดขึ้นเอง เอาเข้าจริงผมว่าเฮียก็คงไม่ได้คิดถึงเรื่องจิตใหม่ จิตเก่ามากนักหรอก เขาก็แค่พาผมกลับไปเพื่อให้ผมรับรู้ทุกอย่างแล้วกล่าวให้อภัยเขาเสีย แต่ขนาดทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์ยังไม่วายไม่วางทำให้ชีวิตผมยุ่งเหยิงขึ้นกว่าเดิม


ผมนึกขำๆ กับตัวเอง คนๆ นั้นขยันหาเรื่องให้ผมไม่หยุดไม่หย่อน พอนึกได้ว่าจากนี้ไม่ต้องข้องเกี่ยวกันแล้ว ผมนี่แทบลุกขึ้นจุดพลุ


แล้วคำสัญญานั้นล่ะ ผมจะทำยังไงกับมันดี


“หลวงลุงครับ”


ท่านมองผมนิ่ง นัยน์ตาแฝงไว้ซึ่งประกายบางอย่าง


ผมเอะใจ แต่ก็ไม่หยุดถาม


“ผม...ตัวผมในอดีตเคยสัญญา...สัญญาอะไรกับใครไว้ไหมครับ”


ริมฝีปากยับย่นระบายยิ้ม


“ตัวโยมกับกรวิกมีนิสัยไม่ต่างกันนักหรอก...จะเรียกว่าเหมือนก็คงไม่ผิด”


หลวงลุงพูดเพียงเท่านั้น พอพูดจบท่านก็หลับตาลงเงียบๆ แต่นั่นก็มากเกินพอ


คำพูดนั้นมันบ่งบอกคำว่า ‘ใช่’ ออกมามากเกินพอแล้ว


แล้วถ้าเกิดเราไม่ได้เจอกันล่ะ ถ้าเกิด....ถ้าเกิดผมรักเขาไม่ได้ล่ะ


เอาเถอะ ยังไงซะนั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต สิ่งสำคัญคือปัจจุบันต่างหาก


ผมพยายามนั่งนึกคำถามที่อยากถามต่อ ไหนๆ ก็มาแล้วก็อยากให้ทุกอย่างกระจ่างชัดไปเลยทีเดียว


อ่า จริงสิ เรื่องนั้นไง...


“หลวงลุงรู้เรื่องที่สูตรขนมประจำตระกูลมาจากคุณทวดชาย...คุณเปรมใช่ไหมครับ”


ท่านพยักหน้าช้าๆ


“คุณทวดเขาเอาสูตรมาจากกรวิกหรือเปล่าครับ ทำไมผมถึงไม่เห็นเหตุการณ์นี้เลย”


นัยน์ตาของพระภิกษุตรงหน้าลืมขึ้นช้าๆ แววตาเหมือนตกอยู่ในห้วงภวังค์ก่อนจะเปลี่ยนกลับมาเป็นเหมือนเดิม


เมื่อกี้นี้มัน...อะไรกัน


“พี่สาวในชาติที่แล้วของโยมเคยบอกสูตรพวกแม่ครัวไว้ พอกรวิกเสีย คุณเปรมท่านก็ไปถามสูตรแล้วจดไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อไม่ให้สูญหาย ‘จะได้มีไว้รำลึกถึงนกน้อยของเรา’ ท่านว่าไว้แบบนั้น”


น้ำเสียงแหบแห้งมีโทนเสียงที่แปลกไป จากเนิบนาบอ่อนโยนกลับเหมือน...


เหมือนถูกอะไรเข้าสิงแล้วพูดออกมาอย่างไรอย่างนั้น คำพูดคำจาก็แปลก หลวงลุงพูดราวกับว่าตัวเองเป็นคนที่ได้รับฟังประโยคนั้นจากปากคุณเปรมอย่างไรอย่างนั้น


แปลก แปลกจริงๆ


แต่เรื่องที่ผมอยากรู้ก็มีอยู่มากมายเสียจนไม่อาจหยุดถามได้


 “หลวงลุงครับ”


ท่านหันมามองตามคำเรียกแล้วอมยิ้มเหมือนจะถามว่า ‘มีอะไรรึโยม’


พอเห็นแบบนั้นผมจึงกล้าถามต่อ


“จะเป็นไปได้ไหมครับที่ทีนจะเป็น...คุณเปรม”


ผมสงสัยเรื่องนี้มานานมากแล้ว จะเป็นไปได้ไหมที่เขาจะเป็น....


“ทีนรึ”


พระชราหัวเราะออกมาเบาๆ


“อะไรทำให้โยมคิดอย่างนั้นล่ะ”


ผมนิ่งคิด


“ก็...เขาชอบทำท่าทางเหมือนชอบผมน่ะครับ”


พอได้ยินดังนั้นท่านก็ยิ่งหัวเราะมากขึ้นไปอีก


“ตอนทีนอายุสี่เดือน คุณเปรมยังไม่เสียด้วยซ้ำไป ดังนั้นอาตมาขอยืนยันว่าทีนไม่ใช่คุณเปรมแน่นอน เรื่องความชอบพึงพอใจกัน ใช่ว่ามันจะต้องมาจากอดีตชาติแต่เพียงอย่างเดียวนะโยม”


ท่านส่งยิ้มให้ผม


“ก่อนที่เราจะเกี่ยวพันกับใคร เรากับเขาก็ต้องเคยเป็นคนแปลกหน้ากันมาก่อน ถ้าในหนึ่งภพหนึ่งชาติของเราจะเจอทั้งคนใหม่คนเก่า ก็ไม่แปลกไม่ใช่รึโยม”


ภิกษุตรงหน้าอมยิ้มแล้วเบนสายตาไปทอดมองแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกล


“ในหนึ่งชีวิตคนเรา คนที่เคยมีบ่วงต่อกันก็ต้องเจอ คนที่เพิ่งมาเจอกันแล้วเกี่ยวพันกันเพราะโชคชะตาก็ต้องเจอ ความจริงแล้วอาตมากับโยมเองก็เคยเกื้อหนุนกันมาก่อนเช่นกัน หรือจะพูดให้ถูก โยมเคยเกื้อหนุนอาตมามาก่อน พอมาชาติภพนี้ อาตมาเลยมาเกื้อหนุนโยมบ้าง”


ผมอ้าปากค้างกับคำพูดเนิบนาบนั้น


มันจะอะเมซซิ่งเกินหน้าเกินตาไปแล้วนะครับหลวงลุง


“ผมกับหลวงลุงก็เคยเจอกันเหรอครับ”


ท่านพยักหน้าเล็กน้อยแต่ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าท่านเคยเป็นใคร เมื่อเห็นว่าท่านไม่อยากบอกผมก็ไม่ดันทุรังที่จะถาม แค่นี้ก็มากพอแล้ว


ผมรู้มากเกินพอแล้ว


...จริงสิ ยังมีอีกอย่างที่ผมสงสัย...


“หลวงลุงครับ แล้วทำไมเฮียต้องให้พวกโจรเอาดอกการเวกมาให้ผมล่ะครับ หรือเขาจะติดต่อกับคุณเปรมแล้ว...”


ท่านส่ายหน้าเบาๆ


“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกโยม ชื่อเก่าของโยมคือกรวิก แปลว่านกการเวก ดอกการเวกก็พอจะแทนชื่อโยมได้ เขาก็คงคิดเพียงเท่านั้นล่ะ คุณเปรมกับหมอปีเตอร์เขาก็ไปเกิดตามทางของเขาแล้วล่ะ”


อ๋อ อย่างนี้นี่เอง


ผมนั่งนิ่งคิดว่ายังมีอะไรที่คาใจอีกไหม


...อ๋อใช่ เรื่องนั้นไง...


“หลวงลุงรู้เรื่องเกี่ยวกับคุณชื่นบ้างไหมครับ”


เมื่อเห็นท่านขมวดคิ้วเล็กน้อย ผมจึงถือโอกาสอธิบายเพิ่ม


“ในนิมิต ผมเคยบอกเฮียไปว่าคุณเปรมจะแต่งงานกับคุณชื่น แล้วเฮียก็ทำหน้าตกใจ ผมไม่รู้ว่าคำพูดพวกนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่จริง แต่ผมแค่...”


“อยากรู้ว่าทำไมพี่ชายของโยมจึงตกใจใช่ไหม”


ผมพยักหน้า ในขณะที่หลวงลุงมีสีหน้าหม่นหมองลง


“พี่ชายของกรวิกเป็นชู้กับภรรยาท่านเจ้าคุณเอื้อจึงได้รับรู้ข่าวสารในแวดวงข้าราชการมาบ้าง เขาก็คงรู้มาบ้างว่าท่านเจ้าคุณเอื้ออยากได้คุณชื่นไปเป็นภรรยารอง ทั้งพยายามบีบคุณพระมิ่ง บิดาของคุณชื่นให้คืนหนี้ที่ยืมบ้าง ส่งคนไปดักที่บ้านบ้าง ยิ่งช่วงที่คุณชื่นจะแต่งเข้าบ้านคุณเปรมยิ่งหนักข้อเข้าทุกที แต่โชคดีที่คุณพระมิ่งท่านเป็นคนอดทนอดกลั้น ท่านทนจนถึงที่สุดเพื่อให้ลูกสาวของท่านได้ตบแต่งเข้าบ้านคุณปรม หลังจากพิธีสมรส ท่านเจ้าคุณเอื้อจึงได้ยอมวางมือไป”


หลวงลุงเว้นจังหวะพูดไปเล็กน้อย


“ท่านเจ้าคุณเอื้อเป็นคนบารมีสูง เกิดมาในตระกูลดี แต่ทำตัวเองให้ต่ำลง จนในที่สุดก็สูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งความดีก็ไม่เหลือไว้ให้คนนึกถึง”


ผมนิ่งฟังเรื่องราวที่หลวงลุงเล่าออกมาพลางคิดสงสารท่านเจ้าคุณเอื้ออยู่ไม่น้อย


...สงสารที่ไม่เคยมีใครอบรมสั่งสอนจนเติบโตมาเป็นคนแบบนี้...


ต้องถูกเลี้ยงดูมาแบบไหนถึงโตมาเป็นคนแบบนี้ได้นะ


ช่างเถอะ ยังไงซะก็หมดเวรหมดกรรมกันไปแล้ว


...เรื่องทุกอย่างที่อยากรู้ก็กระจ่างชัดหมดแล้วด้วย...


ความรู้สึกของผมตอนนี้เหมือนคนที่ออกมาพบแสงสว่างหลังจากหลงอยู่ในวังวนของความมืดที่เรียกว่าความไม่รู้อยู่นานแสนนาน มันทั้งโล่ง ทั้งสบายใจอย่างบอกไม่ถูก แม้เรื่องบางเรื่องจะไม่เป็นอย่างที่คิด แต่อย่างน้อยผมก็เข้าใจ รู้เหตุของมัน แค่นั้นก็เกินพอแล้ว


...แค่นั้นก็ทำให้ผมสบายใจมากพอแล้ว...


เมื่อลองทบทวนแล้วพบว่าตัวเองไม่มีอะไรจะถามอีก ผมจึงเลือกที่จะบอกลาหลวงลุงเพื่อให้ท่านได้ไปพักผ่อน ท่านกล่าวอวยพรผมสองสามคำ จากนั้นผมก็ก้มลงกราบนมัสการลาแล้วลุกขึ้นยืน


ผมเกือบจะเดินพ้นศาลาอยู่แล้วแต่ดันนึกเรื่องนึงขึ้นมาได้เสียก่อน


“หลวงลุงครับ”


ท่านหันมามองหน้าผมตามเสียงเรียก


“ทำไมหลวงลุงถึงเรียกคุณเปรมว่าคุณเปรมล่ะครับ หลวงลุงต้องเรียกว่าคุณปู่ไม่ใช่เหรอครับ”


ท่านไม่ตอบอะไร ใบหน้าแก่ชรามีเพียงรอยยิ้มบางแล้วหันไปทอดมองสายน้ำในเจ้าพระยาที่ไหลเอื่อย


แล้วจู่ๆ ภาพๆ หนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว


ภาพความทรงจำจางๆ ของเด็กสาวคนหนึ่งที่มีใบหน้าสะสวย กริยาเรียบร้อยงดงามและฉลาดเฉลียวกำลังทอดมองคลองที่ไหลเอื่อยผ่านสวนในบ้านของคุณเปรม


...คุณชื่น...


ท่านนิ่งเงียบเสียจนผมไม่กล้าถาม ตัวท่านเองก็ดูไม่อยากเอ่ยปากบอก ผมจึงทำได้เพียงเก็บงำความสงสัยแล้วหมุนตัวกลับเพื่อเดินจากไป ถ้าไม่ติดที่ว่า...


“โยมมอส”


เสียงเรียกนั้นทำให้ผมต้องหันกลับไปมอง


พระภิกษุชรายังนั่งอยู่ที่เดิม ใบหน้ามีริ้วรอยนั้นยังคงฉีกยิ้มบางเหมือนเดิม แต่บางอย่างในนัยน์ตาฝ้าฟางคู่นั้นแปลกไป


...เหมือนผมกำลังสบตากับใครบางคนที่ผมคุ้นเคย...


“อาตมาชอบกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ เพราะมันเป็นบทกลอนที่ดีเอาไว้เตือนใจคนว่าแม้ในยามที่เราตาย ก็มีเพียงความชั่วดีเท่านั้นที่ยังคงอยู่ แต่การจะรู้ว่าอะไรดีหรือชั่วมันก็ต้องมาจากการได้รับการสั่งสอน ได้รับความรู้ จำไว้นะโยม...”


ท่านค่อยๆ หันมาสบตาผมอย่างเชื่องช้า


“ความรู้ที่ได้จากการศึกษาจักพอกพูนคุณค่าในตัวคน”


...แล้วคำถามในใจของผมก็ได้รับคำตอบ....






*******************************************************************************************************




มีใครเดาถูกมาแต่แรกไหมเอ่ยว่าหลวงลุงคือใคร ถ้าเดาไม่ถูกจะดีใจมากเลยค่ะ เพราะตั้งใจให้นึกไม่ถึงอยู่แล้ว แต่ถ้าเดาถูกแสดงว่าเก่งมากๆ เลย XD



ตอนหน้าเป็นตอนสุดท้ายแล้วค่ะ ขอบคุณจริงๆ ที่ติดตามนิยายเรื่องนี้มาตลอด ขอบคุณทุกยอดวิว ทุกยอดคอมเม้นต์ จากนักอ่านใจดีทุกๆ ท่าน ปิงปองไม่ใช่นักเขียนที่เก่ง ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องพัฒนา แต่ทุกคนก็ยังอุตส่าห์มาอ่าน มาคอมเม้นต์ให้กำลังใจปิงปองอยู่เสมอๆ อยู่ข้างกันไม่ทิ้งไปไหน ขอขอบคุณจากใจจริงเลยค่ะ


อีกนิดเดียวก็จะจบแล้ว ฝากติดตามกันไปจนถึงตอนสุดท้ายด้วยนะคะ ^^




*******************************************************************************************************


ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
[เกร็ดความรู้]




ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด


"ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด หรือ Septicemia  Sir William Osler แพทย์ชาวแคนาดา  เป็นคนแรกที่ค้นพบว่า บางครั้งสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไม่ได้เป็นผลมาจากเชื้อโรคโดยตรง แต่มาจากปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายที่มีต่อเชื้อโรค ต่อมาในปีพ.ศ. 2457 Schottmueller แพทยชาวเยอรมันได้ ให้ นิยามคำว่า Septicemia คือการที่เชื้อโรคลุกลามเข้าสู่กระแสเลือดและทำให้เกิดอาการต่างๆ"



พูดอย่างง่ายก็คือภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดถูกค้นพบก่อนปีพ.ศ. 2457 แต่มีการให้นิยามอาการอย่างจริงจังขึ้นในปีพ.ศ. 2457 เผื่อหลายๆ คนงงว่าเอ...ในสมัยที่น้องกรเสียชีวิต เราจะรู้จักภาวะนี้กันแล้วจริงๆ รึเปล่า จึงขอตอบว่าความรู้เรื่องภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดถูกค้นพบก่อนปีที่น้องกรจะเสียชีวิต ในเรื่องน้องกรเสียชีวิตตอนพ.ศ.2460 ซึ่งก็คือ 3 ปีให้หลังจากการบัญญัตินิยามอย่างจริงจังของอาการนี้ ปิงปองเลยคิดว่าในปีที่น้องกรเสียชีวิต ความรู้เรื่องภาวะนี้ก็น่าจะเป็นที่แพร่หลายออกไปพอสมควร และด้วยความที่ทั้งคุณเปรมและหมอปีเตอร์ล้วนเคยอยู่ในวัฒนธรรมต่างชาติกันมาก่อน ปิงปองเลยขออนุมานเอาว่าทั้งสองมีความรู้ในเรื่องนี้อยู่พอสมควรเนอะ



ที่มา: ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด

ออฟไลน์ Marchyn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เดี๋ยวนะครับ หลวงลุงเป็นคุณชื่น ชาติที่แล้วเหรอครับ แสดงว่าคุณชื่นต้องเสียไปก่อนคุณเปรมนานมากๆ ถึงจะเกิดมาเป็นหลานได้โตจนเป็นลุงของทีนที่เกิดในตอนที่คุณเปรมยังไม่เสีย ใช่มะ

ออฟไลน์ net. net_n2537

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 304
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
รอวันที่มอสจะได้เจอหมอกับคุณเปรม  :call:

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
ความรัก [บทส่งท้าย] (2/12/60)








หลังจากวันที่ผมไปถามหลวงลุงก็ผ่านล่วงเลยมาสองเดือนแล้ว


ทุกอย่างในชีวิตของผมยังดำเนินไปตามปกติ ผมยังคงใช้ชีวิตเหมือนเด็กนักศึกษาทั่วไปตามปกติ ทั้งตามเก็บซัมเมอร์อย่างขะมักเขม้นจนจบคอร์สมาจนได้ ทั้งจัดการเก็บกิจกรรมต่างๆ นาๆ ชดเชยช่วงที่หยุดเรียนจนเรียบร้อยตามประสาเด็กเรียนทั่วๆ ไป แม้จะเหงาไปบ้างที่ต้องเรียนซัมเมอร์ตามลำพัง เพราะทั้งไม้ทั้งทีนก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้านกันหมด แต่เพราะผมมักจะหาโอกาสไปเยี่ยมหลวงลุงบ้าง ไปหาพี่หมอพจน์ที่โรงพยาบาลบ้าง ก็เลยพอจะคลายเหงาไปได้บ้าง


ทุกอย่างดูธรรมดาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


แต่ผมรู้อยู่แก่ใจดี ว่าใจของผมมันไม่เหมือนเดิม


ผมกำลังเฝ้ารอ...รอพวกเขาทั้งสองคนอย่างใจจดใจจ่อ เรื่องของพวกเรามันคาราคาซังมาเนิ่นนานเกินไปจนผมตัดสินใจว่า เป็นตายร้ายดียังไง เรื่องทั้งหมดก็ต้องจบลงในชาตินี้ แต่ไม่ว่าจะเฝ้ารออย่างตั้งใจแค่ไหนผู้คนรอบข้างผมก็ยังเป็นคนหน้าเก่าๆ เหมือนเดิม


....ไม่มีวี่แววของหมอหรือคุณเปรมเลย....


คำสัญญาที่ผมพูดออกไป ถ้าผมทำไม่ได้หมอจะโกรธผมไหมนะ


เมื่อไหร่เราจะได้เจอกันนะ...


“อ้วน พี่หมอมาแล้วลูก”


เสียงตะโกนเรียกจากชั้นล่างของแม่ทำให้หลุดจากภวังค์ ผมกุลีกุจอกวาดของทั้งหมดบนโต๊ะลงกระเป๋าสะพายใบโปรดแล้ววิ่งลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว


“ผมไปก่อนนะครับแม่ เดี๋ยวค่ำๆ กลับมานะ”


“จ้า บอกพี่หมอขับรถระวังๆ ด้วยนะ”


“คร้าบ”


พอพูดจบผมก็ถีบตัววิ่งไปหาคนที่ยืนรออยู่หน้าบ้าน


รถเก๋งสีขาวคุ้นตากับร่างสมส่วนที่ยืนโบกมือหยอยๆ ให้ผมอยู่หน้าบ้านในเสื้อลายดอกกับกางเกงขาสั้นสีขาว


ดูอีกกี่ทีก็ตลกเหมือนเดิม


ผมหลุดขำให้กับการแต่งกายที่เหมือนลืมส่องกระจกออกจากบ้านของอีกฝ่ายแล้วยกมือไหว้


“สวัสดีครับพี่หมอ”


“ขำขนาดนี้ไม่ต้องเรียกพี่แล้วมั้ง”


“อะ พูดเองนะพจน์”


“เอ้อ ไอ้นี่ก็ยุง่ายเนอะ”


พอพูดจบพวกเราก็ปล่อยหัวเราะออกมาพร้อมกัน


พี่หมอพจน์เป็นคนสบายๆ ไม่ต่างกับอาเจ้ในอดีต ผมสามารถพูดหยอกล้อกับเขาได้อย่างเป็นธรรมชาติ พอๆ กับที่เขาเองก็ดูจะขี้อวยผมในหลายๆ ด้านเหมือนอาเจ้ไม่มีผิด ทุกครั้งที่ไปหาเขาที่โรงพยาบาล คนขี้อวดก็จะหนีบคอผมแล้วเดินบอกคนในวอร์ดไปทั่วว่าผมเป็นน้องชายของเขา


พอนึกถึงเรื่องในอดีต ผมก็พาลนึกไปถึงหลวงลุงไปด้วย


หลวงลุงคือคุณชื่น แม้ท่านจะไม่เคยพูดยืนยันความคิดของผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ทุกอย่างที่ผมสัมผัสได้มันแจ่มชัดยิ่งกว่าคำพูดใดในโลกหล้า บรรยากาศที่โอบล้อมรอบตัวของหลวงลุงไม่ต่างจากคุณชื่นเลย


ความอบอุ่น อ่อนหวาน อ่อนโยนและเฉลียวฉลาด ความรู้สึกที่มองแล้วรู้สึกว่าคนๆ นี้แตกต่างจากทุกคนที่เคยเจอ ความรู้สึกของคนที่มองแล้วรู้สึกน่าเคารพ ทุกอย่างที่ผมสัมผัสได้จากหลวงลุงคือทุกอย่างที่ผมเคยสัมผัสได้จากคุณชื่น


เหมือนท่านเองก็รู้ว่าผมรับรู้ตัวตนของท่านในแง่ไหน ท่านจึงเลือกที่จะเรียกคุณเปรมว่าคุณเปรมโดยไม่คิดจะปิดบัง


ผมยังจำเรื่องเล่าของท่านในครั้งล่าสุดที่ผมไปเยี่ยมท่านได้ดี





‘คุณเปรมท่านรักกรวิกมาก...มากเสียจนอาตมายังไม่แน่ใจเลยว่าจะรักใครแบบนั้นได้ไหม หลังจากกรวิกตาย ท่านก็เอาแต่ทำงานตามหาฆาตกรจนเจอ ท่านสั่งให้แม่อิ่มปรุงขนมไทยสูตรของบ้านกรวิกรับประทานทุกวัน อีกทั้งยังช่วยใช้หนี้ให้บ้านกรวิกจนหมด หลังจากมีลูกกับคุณชื่นได้คนหนึ่ง ท่านก็ไม่แตะต้องคุณชื่นอีกเลย อีกทั้งยังคอยดูแลคุณชื่นไม่เคยขาด แต่คุณชื่นเป็นคนบุญน้อย อายุเพียงสี่สิบปีก็สิ้นใจด้วยอาการป่วย ในขณะที่คุณเปรมนั้นอายุยืนยาวถึงเก้าสิบเก้าปี ตอนที่คุณชื่นเสีย คุณเปรมอายุสักสี่สิบแปดปีได้ โยมมอสเชื่อไหม ห้าสิบเอ็ดปีที่เหลือหลังจากคุณชื่นเสีย คุณเปรมไม่เคยมีใครอีกเลย ทุกคนต่างเข้าใจกันว่าคุณเปรมรักคุณชื่นมากเสียจนไม่อาจมีใครใหม่ได้ แต่อาตมารู้ดี ท่านรักกรวิกต่างหาก เพราะกรวิกต่างหากท่านจึงครองตัวเป็นโสดจนถึงวันสิ้นลม’





หัวใจผมสั่นไหวกับเรื่องเล่านั้นอย่างรุนแรง


รุนแรงมากพอที่จะทำให้ผมตกหลุมรักเขาได้อีกครั้ง




‘ส่วนหมอปีเตอร์นี่ อาตมาก็สุดรู้ แต่แว่วข่าวว่าเขาย้ายออกจากพระนครไป หากให้อาตมาคาดเดา คงเป็นเพราะเขาก็คงไม่สามารถใช้ชีวิตในเมืองที่เต็มไปด้วยความทรงจำระหว่างเขากับกรวิกได้ คุณเปรมบอกว่านอกจากคุณเปรมแล้วก็มีหมอปีเตอร์นี่ล่ะที่รัก ‘เจ้านกน้อย’ พอๆ กับท่าน’




ผมจำได้ว่าแววตาของหลวงลุงเหมือนทอดมองกลับไปยังสถานที่ที่ไกลแสนไกล



‘คุณเปรมเป็นสามีที่ดี เป็นลูกที่ดี เป็นข้าราชการที่ดี เป็นคนดี แต่เป็นคนรักที่ไม่ดีเอาเสียเลย แต่เขาก็ยอม...ยอมจะสละความรักเพื่อรักษาทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ ในขณะที่หมอปีเตอร์เองก็เป็นคนดี เป็นหมอที่ดี เป็นคนรักที่ดี และทุ่มเทให้กับความรักยิ่งกว่าสิ่งใด เพราะเขาไม่มีอะไรให้ต้องรักษา เขามีเพียงความรักที่ต้องดูแล ในขณะที่คุณเปรมท่านมีหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกินที่แบกไว้บนบ่า พอเป็นแบบนี้จะให้มาบอกว่าใครดีกว่าใครคงไม่ได้หรอก ต้องถามใจเรามากกว่าว่าชอบคนแบบไหนมากกว่ากัน’




สายตาฝ้าฟางนั้นจับจ้องอยู่ที่ผม



‘แต่สุดท้ายแล้วความรักมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมากะเกณฑ์กันได้เลย เรื่องจิตใจนั้นยากจะคาดเดาเหลือเกิน ดูอย่างคุณชื่นและคุณเปรมนั่นสิ ต่างฝ่ายต่างเป็นคนดี ต่างฝ่ายต่างเหมาะสมกัน แต่สิ่งที่พวกเขามีให้กัน กลับมีเพียงความเป็นห่วงเป็นใยฉันท์เพื่อนที่ดี คุณชื่นไม่เคยรักคุณเปรมแบบคนรัก ในขณะที่คุณเปรมก็ไม่เคย’



ใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นหันไปทางแม่น้ำสายใหญ่



‘ความรักมันก็เข้าใจยากแบบนี้ล่ะโยม’



ประโยคนั้นมันตรึงใจผมไม่รู้ลืม


ความรักมันก็เข้าใจยากแบบนี้เอง...ยากเกินไปด้วยซ้ำ


“เอ้าๆ ถึงแล้ว”


เสียงร้องเตือนจากสารถีทำให้ผมสะดุ้งเบาๆ เพราะกลัวเขาจะจับสังเกตได้ผมจึงรีบหัวเราะกลบเกลื่อน


“แหม ขับเร็วจังเลยนะครับ ยังกับวิน ดีเซล”


“วิน ดีเซลอะไร ขับมาสี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงเนี่ย เหม่อไปไหนนะเราน่ะ”


ไม่ว่าเปล่ายังเอามือมาเขกหัวผมไปหนึ่งที ผมแสร้งทำเป็นลูบหัวปอยๆ แล้วเดินงอนๆ ลงจากรถจนพี่พจน์ต้องกระโดดมาคว้าคอไปยีหัวเล่นจนผมร้องห้ามแทบไม่ทัน


แหม นี่มันสถานที่สาธารณะนะครับ ต้องรักษามารยาทนิดนึง


ถ้าให้ท้าวความอย่างสั้นถึงสาเหตุที่พี่หมอมาอยู่ที่นี่ก็คือ หลังจากที่ผมเรียนซัมเมอร์จบแล้วกลับมานอนอืดอยู่ที่บ้านได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ พี่หมอพจน์ก็โทรมาบอกว่าอยากมาเทียวจังหวัดบ้านเกิดผม แน่นอนว่าเจ้าบ้านที่ดีย่อมต้องบริการให้ถึงใจ ตอนแรกกะจะให้เขามาพักที่บ้านผมด้วยซ้ำ แต่ด้วยความขี้เกรงใจของเจ้าตัว เขาเลยแอบหนีไปจองโรงแรมเงียบๆ คนเดียวแล้วให้ผมเป็นคนนำเที่ยวอย่างเดียว โดยมีค่าจ้างเป็นการเลี้ยงอาหารอร่อยๆ หลายต่อหลายมื้อ ไอ้ผมมันก็คนนิสัยดีมีความเกรงใจเหมือนกัน เป็นเจ้าบ้านทั้งทีจะให้แขกมาเลี้ยงอยู่ตลอดก็น่าเกลียด ผมเลยถือโอกาสพาเขามาเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่ก่อนกลับแทน


ร้านที่ผมตัดสินใจพาพี่พจน์มาเลี้ยงมื้อใหญ่ในวันนี้เป็นร้านประจำของครอบครัวผมมาตั้งแต่จำความได้ ตัวร้านเป็นอาคารไม้เก่าแก่ติดริมทะเล แว่วๆ มาว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่หก ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งด้วยซ้ำ แต่ก็ผุพังไปตามกาลเวลา เลยมีการต่อเติมนิด ขยับขยายหน่อยจนเป็นอาคารอย่างที่เห็นในปัจจุบัน


พวกเรามาถึงก่อนเวลาจองราวครึ่งชั่วโมง ทำให้ยังไม่มีโต๊ะรองรับ ผมจึงชวนเขาไปเดินเล่นที่ชายหาดด้านหลังร้าน บรรยากาศของท้องทะเลในยามเย็นชวนให้รู้สึกดี แสงแดดสีส้มสาดส่องกระทบผืนทรายสีขาวและผืนน้ำสีคราม ใบสนทะเลที่พลิ้วไหวล้อไปกับสายลมกับแสงแดดนั้นช่างเป็นภาพที่น่ามอง


ผมนึกถึงเพลงนั้นขึ้นมาอีกแล้ว



- กริ้ง กริ้ง -



ยังไม่ทันที่จะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น เสียงบางอย่างก็ดังแทรกขึ้นมาในห้วงความคิด


คนข้างผมยกมือเป็นเชิงขอตัวแล้วเดินห่างออกไปรับโทรศัพท์ที่แผดเสียงดังไม่หยุดหย่อน


เมื่ออยู่คนเดียว ผมจึงเลือกที่จะหย่อนตัวลงนั่งแล้วปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับเกลียวคลื่นและสายลม


ชายหาดนี้เป็นหาดที่แม่ชอบพาผมมาตอนเด็กๆ มันทั้งเงียบสงบและสวยงาม เพราะความสงบนั้นเองที่ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงอิสระ


ผมอยากร้องเพลง


“แดดรอนรอน เมื่อทินกรจะลับเหลี่ยมเมฆา”


พระอาทิตย์สาดแสงสว่างเสียจนแสบตา


“แดดรอนรอน เมื่อทินกรจะลาโลกไปไกล ยามนี้จำต้องพรากจากดวงใจ ไกลแสนไกลสุดห่วงยอดดวงตา”


คนที่ผมรอคอย เขาจะสบายดีไหมนะ


“โอ้ยามเย็น จวบยามนี้เป็นเวลาสุดอาวรณ์ ยามไร้ความสว่างห่างทินกร ยามรักจำจะจรจากกันไปไป”


พวกเราจะได้กลับมาพบเจอกันไหมนะ


“'Tis sundown. The golden sunlight tints the blue sea.”


ท้องทะเลสีคราม ช่วยฟังคำขอของผมที


“Paints the hill and gilds the palm tree, happy be, my love, at sundown.”


พาพวกเขากลับมาที ส่งเสียงของผมไปให้ถึงพวกเขาที


บอกพวกเขาทีว่ารีบกลับมา...กลับมาทำให้เรื่องราวของเรามันจบสักที


“เสียงคุณเพราะจังเลยนะครับ”


คำพูดที่ดังขึ้นมาไม่ให้สุ้มให้เสียงทำให้ผมต้องหันขวับไปมอง


เขาเป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อคมอย่างคนไทย ผิวสีแทน ผมสีดำสนิทเหมือนดวงตาคมที่กำลังมองมาที่ผมอย่างอ่อนโยน


สถานการณ์แบบนี้ มันคุ้นๆ ยังไงไม่รู้


“ขอบคุณครับ”


แต่คราวนี้คำตอบของผมต่างออกไป


ไม่มีแล้วที่ต้องปิดบัง ผมคือมอสและนี่คือโลกที่ผมอยู่


โลกที่ผมจะเป็นตัวของผมเอง ไม่ใช่กรวิก ไม่ใช่ใครทั้งนั้น


“คุณ...มาทานอาหารที่ร้านนี้เหรอครับ”


“ครับ ผมมากับพี่ชาย”


ผมว่าพลางชี้ไปทางพี่หมอที่ยังยืนคุยโทรศัพท์หน้าตาเคร่งเครียด


เขาหันไปมองตามแล้วพยักหน้าเข้าใจ ผมจึงได้โอกาสถามกลับ


“แล้วคุณล่ะครับ มาทานที่นี่ครั้งแรกหรือครับ”


เขายิ้ม


ยิ้มทั้งปาก ยิ้มทั้งตา


มันเป็นลักษณะการยิ้มที่คุ้นตาผมเหลือเกิน


“ครับ เพิ่งมาครั้งแรก แต่ยังไม่ถึงรอบที่จองไว้ก็เลยมาเดินเล่นก่อน ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคนร้องเพลงที่ผมชอบ”


ผมเลิกคิ้ว


บนโลกนี้ยังมีคนชอบเพลงยามเย็นอย่างจริงจังเหมือนกับผมอยู่ด้วยเหรอ


“คุณชอบเพลงยามเย็นเหรอครับ...คือผมหมายถึงใครๆ ก็ชอบเพลงนี้ แต่ทุกคนก็แค่ชอบแบบฟังได้ แต่คุณชอบแบบชอบรึเปล่าครับ”


เขาหัวเราะร่วนทันทีที่ผมพูดจบ


โอเค ก็ยอมรับว่าเป็นคนพูดไม่รู้เรื่องอยู่ประมาณนึง


....


อะ จริงๆ ก็พูดไม่รู้เรื่องมากๆ นั่นล่ะ


“ชอบครับ ชอบมาก ไม่รู้ทำไมถึงชอบมากขนาดนี้”


เขาฉีกยิ้มกว้าง


กว้างเสียจนดูสดใสกว่าพระอาทิตย์เสียอีก


“คราวก่อนไปทำบุญที่วัดระฆัง ผมก็ฮัมเพลงนี้จนพระท่านถามเลยว่าทำไมถึงชอบเพลงนี้ ผมก็เลยตอบไปว่าก็ไม่รู้เหมือนกัน”


พอพูดจบ เขาก็หัวเราะร่าเสียจนผมต้องหัวเราะตาม


ทำไมถึงสดใสได้ขนาดนี้กันนะ


เดี๋ยวนะ...วัดระฆังเหรอ...


...อ๋อ...คนๆ นี้นี่เองที่หลวงลุงพูดถึง...


“อย่างนั้นเหรอครับ”


ผมรับคำแค่นั้นแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเองก็เช่นกัน


แม้บรรยากาศที่โอบล้อมรอบพวกเราคือความเงียบ แต่นั่นเป็นความเงียบที่...สบายใจ


สายตาอบอุ่นที่ทอดมองมาที่ผมนั้นไม่ได้ทำให้อึดอัดเลยสักนิด


หลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันทำให้ผมเริ่มมั่นใจว่าเขาเป็นใคร


แต่ยังหรอก ผมยังอยากพิสูจน์อีกอย่าง...


ผมแสร้งทำเป็นหันหน้ามองออกไปทางทะเล


“ผมเคยสัญญากับคนๆ หนึ่งไว้ว่าผมจะรักเขา แต่ถ้าผมทำไม่ได้ คุณว่าเขาจะโกรธผมไหมครับ”


เขาเงียบไป แต่ผมก็เลือกที่จะจ้องมองท้องทะเลอยู่แบบนั้น


ผมขี้ขลาดเกินกว่าจะหันไปสบตาเขา ถ้าได้เห็นแววตาเจ็บปวดของคนๆ นี้ ผมคงรู้สึกผิดไปจนตาย


“ผมก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง เพราะฉะนั้นคงตอบแทนไม่ได้”


เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย


“แต่ถ้าเป็นผม ผมไม่โกรธหรอกนะ เพราะผมเข้าใจดีว่าความรัก...มันบังคับกันไม่ได้”


น้ำเสียงอ่อนล้านั้นบังคับให้ผมต้องหันกลับไปสบตาเขา


นัยน์ตาสีดำสนิทนั้นดูเหนื่อยล้าแต่มันกลับถ่ายส่งความอ่อนโยนมาให้ผมมากมายเหลือเกิน


“ถ้าความรักมันใช้สมองได้ ป่านนี้คนเราก็คงรักคนดีกันหมดแล้ว”


ความรู้สึกบางอย่างตีขึ้นมาจนจุกอก


จะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก จะร้องไห้ก็ร้องไห้ไม่ออก


เขาสบตาผมนิ่ง


“ความรักไม่ใช่เรื่องที่จะมากะเกณฑ์กันได้เลย รักก็คือรัก แค่นั้นเอง”


ผมพยายามควบคุมสีหน้าให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ ความรู้สึกเห่อร้อนที่ปลายจมูกและดวงตาทำให้ผมต้องแสร้งทำเป็นเบนหน้าไปมองทะเล


รีบหันหนีเสียก่อนที่น้ำตาจะไหลลงมา


ผมไม่ได้พูดอะไร เขาเองก็ไม่ได้พูดอะไร พวกเรายืนข้างกันเงียบๆ อย่างนั้นจนกระทั่งพี่หมอพจน์เดินกลับมา ทีแรกที่เห็นพี่หมอเดินเข้ามา ผมกะจะรีบชวนเขากลับเข้าไปในร้านเพื่อหนีจากคนข้างๆ เสียที แต่โชคชะตามักจะเล่นตลกกับเราเสมอ...


“อ้าว ไอ้ปลื้ม มาได้ยังไงล่ะ”


...ปลื้มเหรอ...


เดี๋ยวสิ พวกเขารู้จักกันเหรอ!


ผมมองอีกคนตาค้าง ในขณะที่เขาหันมายิ้มบางๆ ให้ผมอย่างคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่


“เอ้อมึง ขอแนะนำให้รู้จักไว้ นี่น้องกู ชื่อมอส”


ใบหน้าคมสันหันไปหาคนพูดสลับกับมองหน้าผม


“เออ ก็หน้าเหมือนกันอยู่นะ แต่น้องมึงเอาตามาเยอะกว่ามึงเย๊อะ”


“ไอ้เวรนี่”


ยังไม่ทันพูดจบประโยค มือของพี่แกก็ฟาดหัวของอีกคนไม่เบานัก พี่พจน์แกเป็นคนมือปากไปไวครับ พูดจริง โบกจริง ไม่มีออมแรง แต่ดูเหมือนอีกคนก็ไม่ได้มีปัญหากับนิสัยนี้ของพี่แกมากนัก


ใบหน้าคมเข้มนั้นยังคงระบายยิ้มกว้าง


...ยิ้มกว้างๆ เหมือนหมอไม่มีผิด...


“มอส นี่ไอ้ปลื้ม เพื่อนพี่เอง เรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยม เข้าหมอจบหมอมาด้วยกัน”


ผมยกมือไหว้อีกฝ่ายตามมารยาทที่ดี เขาหยักหน้าลงน้อยๆ แล้วทอดสายตาอ่อนโยนมาหาผมอย่างไม่คิดปิดบัง


ผม...คิดถึงสายตาแบบนี้จังเลย


“ตอนที่มอสมาถึงโรงพยาบาลใหม่ๆ ก็ได้ไอ้ปลื้มนี่แหละที่เป็นคนดูแลรักษาก่อนจะโอนเคสมาให้พี่ เพราะมันต้องไปรับเคสผ่าตัดด่วนที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง ไม่ได้มันนี่เราตายไปแล้วนะเนี่ย”


พี่หมอว่าพลางตบไหล่อีกคนเบาๆ


“คืนนั้นพี่จำได้แม่นเลยว่าไอ้ปลื้มมันออกเวรแล้ว จริงๆ มันไม่ต้องรับเคสเราด้วยซ้ำ แต่มันก็ยอมเดินกลับเข้าไปในห้องฉุกเฉิน จำได้ว่าคืนนั้นมันร้องไห้ด้วย พอถามว่าร้องทำไมมันก็บอกว่า ‘กูสงสารน้องเขา’ รักษาคนอื่นมาเป็นหกเจ็ดปี มึงก็ไม่สงสารเขาเลยเนอะ”


คนหน้ากลมแป้นนั้นพูดแซ็วกลั้วหัวเราะ ริมฝีปากนั้นฉีกยิ้มเสียจนตาปิด แต่ผมไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่ผมอยากรู้...


“พี่ร้องไห้ทำไมเหรอครับ”



‘บางคราพี่ก็นึกอิจฉาปีเตอร์เหลือเกิน อิจฉาที่เขาสามารถรักเจ้าได้อย่างเปิดเผย ภาพที่เขานั่งกุมมือเจ้าอยู่ข้างเตียงแลร่ำไห้ปานจะขาดใจนั้นยังตราตรึงอยู่ในใจของพี่มิรู้ลืม’



เหมือนมีใครบางคนพูดประโยคในสมุดบันทึกของคุณเปรมขึ้นมาให้ผมฟัง


หมอปีเตอร์เคยเสียใจตอนที่กรวิกตายเสียจนอยู่ในพระนครต่อไม่ได้นั้นเป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่ทำไมคนที่ไม่รู้จักกันต้องมาร้องไห้เสียใจให้กันด้วยล่ะ เขาเองก็เป็นหมอแท้ๆ เรื่องเกิดดับของชีวิตน่าจะเป็นเรื่องที่เขาคุ้นชินแท้ๆ


ทำไมกันล่ะ


ผมกำลังคาดหวังคำตอบบางอย่างจากเขา


นัยน์ตาสีดำสนิทนั้นจ้องลึกเข้ามาในตาของผมด้วยแววตาบางอย่าง


แววตากึ่งคะนึงหา กึ่งโศกเศร้า


“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่ตอนนั้นรู้สึกว่าถ้าต้องเห็นเราตายไปต่อหน้าต่อตา พี่คง...ให้อภัยตัวเองไม่ได้แน่”


น้ำเสียงนั้นฟังดูสับสน


“แต่พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม”


เขาสบตาผมด้วยแววตาสับสน แต่ในความสับสนนั้นมันมีประกายบางอย่าง


ดูๆ ไปก็คล้ายความคิดถึง


บางอย่างในใจกู่ร้องบอกว่าใช่แล้ว...คนๆ นื้คือคนที่รอคอยแน่แล้ว


สายตาอบอุ่นที่ทอดมอง


รอยยิ้มกว้างอบอุ่นอ่อนโยนราวกับพระอาทิตย์ในยามเย็น


บรรยากาศคุ้นเคยที่โอบล้อมรอบตัว


...คิดถึง...


ความรู้สึกปลื้มปริ่มฟองฟูในอกเมื่อได้รับรู้ถึงการกลับมาของ...คนสำคัญในชีวิตที่แสนดี


...หมอครับ หมอว่าชาตินี้ผมจะรักหมอได้ไหมนะ...


“นี่คือจะยืนมองกันจนกว่าน้ำทะเลจะลากลงไปถูกไหม”


คำถามกึ่งแซ็วของพี่พจน์ทำให้ผมต้องหันไปหัวเราะหน่ายๆ ใส่ แต่เหมือนอีกคนยังไม่ยี่หระ


“อะ นี่ก็มองน้องกูจัง อยากได้รึไง”


คำถามที่โพล่งออกมาทำให้ใจผมกระตุกวาบ


ถ้าเขาตอบว่าอยากล่ะ ผมควรจะทำยังไงดี เพราะผม...ไม่สามารถคิดกับเขาในแง่นั้นได้เลย ชาติที่แล้วผมเคยรู้สึกกับเขายังไง ชาตินี้ก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง


เขายังสำคัญกับผมเหมือนเดิม แต่ผมก็ไม่อาจคิดเกินเลยกับเขาได้เหมือนเดิม


ได้โปรดเถอะหมอ อย่ารักผมเลย


อย่า...


“ถ้าบอกว่าอยาก มึงจะยกให้กูรึไง”


“ฝันเหอะมึง น้องกู กูหวง”


ผมได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำคลอไปกับเสียงเกลียวคลื่นจากท้องทะเล


“ต่อให้มึงให้หรือไม่ให้ กูก็อยากได้อยู่ดี”


นัยน์ตาคู่นั้นอ่อนโยนเหลือเกิน


“อยากดูแลไปตลอดอยู่ดี”


“ดีมาก สมกับเป็นเพื่อนสนิทกู น้องกูก็เหมือนน้องมึงจำไว้ มึงจำได้ไหม...”


เหมือนหูของผมดับไปแล้ว ผมจับใจความคำพูดของพี่พจน์ต่อจากนั้นไม่ได้อีกเลย สิ่งที่รับรู้ได้มีเพียงแววตาอ่อนโยนกึ่งเศร้าที่ทอดมองมา


แววตาของคนที่รักแต่รู้ว่ารักไม่ได้


ผมรู้สึกถึงหยาดน้ำอุ่นๆ ก็ไหลร่วงลงจากตา


หนึ่งหยด


สองหยด


จนไหลหลากออกมาเป็นสาย


“เฮ้ยๆ มอสเป็นไร ใครทำอะไรบอกพี่สิ”


พี่พจน์เดินเข้ามาโอบไหล่ผมอย่างเป็นห่วงเป็นใย แต่ผมไม่อาจละสายตาจากคนตรงหน้าได้เลย


ใบหน้าหล่อเหลาคลี่ยิ้มอ่อนล้าชวนสะท้อนใจ


ผมทำเขาเจ็บมามากมายเหลือเกิน ทำตามสัญญาก็ไม่ได้ ดูแลเขาก็ไม่ได้ ทำไมเขาถึงยังให้อภัยผมอยู่ร่ำไป


...ทำไมเขาถึงยังรักผมอยู่อีกนะ...


“ไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับพี่พจน์”


ผมสบตากับคนตรงหน้า


“แค่ทรายเข้าตาเท่านั้นเอง”


“โถๆ ไปๆ ไปล้างตาที่ห้องน้ำไหม”


“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่”


ผมมองหน้าคนที่ยังยืมยิ้มเศร้า แววตาเขาสั่นระริกเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมาพร้อมกับผมอย่างไรอย่างนั้น แต่ดีแล้วที่เขาไม่ร้องออกมา เพราะถ้าเขาร้องออกมา...


...ผมคงรู้สึกผิดจนไม่อาจมองหน้าเขาได้อีกแล้ว...


“ผมเสียอีกที่ต้องขอโทษ”


“ฮะ?”


ผมหันไปสบตาพี่พจน์แล้วเบนกลับมามองเขาตามเดิม


“ขอโทษคุณทรายที่ไม่เคยทำอะไรให้เขาได้เลย ทำได้แค่มอง แค่ใช้ประโยชน์จากเขา แต่ทำอะไรให้เขาไม่ได้เลย ให้เขามาเข้าตาทำผมเจ็บบ้างก็ดีเหมือนกัน เพราะผมไม่อยากให้เขาต้องเจ็บคนเดียวอีกแล้ว”


สิ้นคำพูดของผม หยาดน้ำตาก็ไหลลงมาจากดวงตาคม แต่ก่อนที่พี่พจน์จะสังเกตเขาก็รีบหันหน้าหนีเสียก่อน


ฝ่ามือใหญ่ทำท่าควานหาอะไรบางอย่างในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูแล้วก้มหัวเป็นการขอตัวจากไป


เขาเดินจากไปแล้ว ทิ้งผมไว้ท่ามกลางหาดทรายสีขาวกับแสงพระอาทิตย์สีส้มในยามเย็น


ผมพอจะรู้แล้วว่าทำไมวันนั้นในนิมิตผมจึงเลือกที่จะร้องเพลงยามเย็น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผมคิดถึงแม่ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผมรำลึกถึงอดีต แต่ยังมีอีกส่วนที่สำคัญที่สุดที่ผมไม่เคยนึกถึงเลยสักครั้ง


‘มัน...เป็นเพลงที่ทำให้ผมรู้สึก...มีค่า’


จำได้ว่าผมตอบหลวงลุงไปแบบนั้น


ใช่ มันเป็นเพลงที่ทำให้ผมรู้สึกมีค่า ทุกครั้งที่คิดถึงคนที่ให้ทำให้ผมรู้สึกมีค่า เพลงนี้จะดังขึ้นมาในหัว วันนั้นที่ผมนึกถึงเพลงนี้ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะเขา


เป็นเพราะหมอ...คนที่ทำให้ผมรู้สึกมีค่า รู้สึกถึงการถูกรัก รู้สึกถึงการเป็นที่รักของใครสักคน


เพลงยามเย็นสำหรับผม แต่เดิมคือส่วนประกอบของแม่และเพื่อนที่รักผม หลังจากนี้คงจะเป็นส่วนประกอบของแม่ เพื่อนที่รักผมและหมอ


...ขอบคุณ...


ผมอยากบอกเขาว่าขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ขอบคุณที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผม ขอบคุณที่รักกัน


...ขอบคุณ...


“มอส”


เสียงเรียกนั้นทำให้ผมหันไปมอง เจ้าของใบหน้าแป้นแล้นนั้นเหมือนมีคำถามติดอยู่ที่ริมฝีปากมากมาย แต่เมื่อเห็นหน้าผม เจ้าตัวก็เลือกที่จะเงียบแล้วถอนหายใจเบาๆ


“ไปที่ร้านกันเถอะ ได้เวลาแล้ว”


ผมตอบรับคำชวนนั้นด้วยรอยยิ้มบาง มือของเรากุมเข้าหากัน ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาจากอีกคนทำให้ผมรู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้


เราอยู่ด้วยกันตรงนี้...ไม่เหมือนในอดีต


เราจะไม่ทิ้งกันเหมือนในอดีตอีกแล้ว


จริงสิ นี่คือปัจจุบัน เรื่องราวต่างๆ ยังไม่ถูกเขียน ผมต่างหากที่เป็นคนลิขิตมัน


หากอยากให้หมอมีความสุข ผมก็ต้องเป็นคนปลดปล่อยเขา



ต้องทำให้เขามีความสุขเสียที


“พี่พจน์ครับ เดี๋ยวพี่เข้าไปในร้านก่อนเลยนะ เดี๋ยวมอสขอไปหาป้าขายขนมตรงนู้นหน่อย ไม่รู้ว่าเขายังขายอยู่รึเปล่า”


“ให้พี่ไปด้วยไหม”


“ไปกับผมร้านแคนเซิลโต๊ะไม่รู้ด้วยนะพี่”


“เออจริง”


ผมหัวเราะแล้วดันหลังอีกคนไปทางร้าน เหมือนพี่พจน์เองก็รู้งาน เขาหันมากำชับให้ผมรีบตามไปแล้วยอมเดินจากไปแต่โดยดีผิดวิสัยช่างซักไซ้ของเจ้าตัว


...ดีแล้ว...




[ต่อโพสต์ล่าง]


ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
ผมมองร่างสูงคุ้นตาที่ยืนมองทะเลเงียบๆ อยู่ไกลๆ บรรยากาศรอบตัวเขาดูโศกเศร้าขัดกับแสงอาทิตย์อบอุ่นที่สาดส่องกระทบตัว


เท้าสองข้างของผมเดินย่ำไปบนผืนทรายละเอียด ไม่นานนักพวกเราก็อยู่ใกล้กันแค่เพียงช่วงแขนเดียว


เขารับรู้ถึงการมาของผมแล้ว แต่ก็เลือกที่จะไม่หันมามอง


...ดีแล้ว...อย่าให้ผมเห็นดวงตาโศกเศร้านั้นเลย


“หมอครับ”


ผมเลือกทีจะใช้คำเรียกเดิมเหมือนอย่างในอดีต ไม่รู้ว่าเพราะอะไร บางทีผมอาจจะแค่อยากพูดกับเขา...อยากพูดกับพี่หมอที่ผมคุ้นเคยอีกครั้ง


“ผมกับพี่เราไม่มีทางรักกันได้เลย”


ผมไม่รู้หรอกว่าเขาเข้าใจคำพูดผมในฐานะหมอปลื้มหรือหมอปีเตอร์ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขารู้สึกถึงความพิเศษในตัวผมได้ไหม


ผมก็แค่พูดสิ่งที่ต้องพูด


เขาไม่ได้ตอบอะไรออกมาเลยสักคำ ร่างสูงใหญ่นิ่งงันไปพักใหญ่แล้วตัวเขาก็ค่อยๆ สั่น


ตัวเขาสั่นเทิ้มเสียจนผมต้องเข้าไปเอามือหน้าข้างหนึ่งมากุมไว้


“ผมไม่รู้ว่าพี่จะเชื่อในสิ่งที่ผมกำลังจะพูดไหม แต่ผมต้องพูด เป็นตายยังไงผมก็ต้องพูด”


ผมบีบมือเขาแน่นขึ้นหน่อย


“ครั้งหนึ่งผมเคยสาบานกับตัวเองว่าจะรักพี่ พี่เป็นบ่วงเดียวที่ผมยอมเอามาผูกตัวเอง แต่ผม...”


“พี่เชื่อ”


ในที่สุดเขาก็ยอมหันใบหน้าเปียกชื้นนั้นมามองผม


เขาร้องไห้หนักขนาดนี้เชียวเหรอ


“พี่เชื่อเพราะอะไรรู้ไหม”


ผมไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับเอาปลายนิ้วก็เอื้อมไปเกลี่ยน้ำตาให้เขาแทน


มือใหญ่สองข้างย้ายมาซ้อนทับเข้ากับหลังมือของผมแล้วกดมันแนบเข้ากับหน้าของเขาเอง


“ตั้งแต่อายุยี่สิบเป็นต้นมา ก็ไม่มีคืนไหนเลยที่พี่ไม่ฝันถึงเรา”


ลมหายใจผมสะดุด


“ยิ่งเห็นก็ยิ่งชอบ ยิ่งชอบก็ยิ่งรัก”


เขาดึงมือผมเข้าไปจูบ


“รักจนไม่รู้จะรักยังไงแล้ว”


เพียงเท่านั้นร่างทั้งร่างผมก็เหมือนไร้เรี่ยวแรง แต่ผมยังทรุดไม่ได้ ผมอ่อนแอมามากเกินพอแล้ว


ผมต้องพูดในสิ่งที่ควรพูด


“ผม...ผมอยากให้พี่เลิก...”


“เลิกรักเหรอ”


เขายิ้มด้วยแววตาเศร้าสร้อยลึกล้ำ


“พี่ทำไม่ได้หรอก”


ผมบีบมือของอีกคนแน่นขึ้นอีกหน่อย


“แต่ผม...ผมไม่อยากให้พี่รออย่างไรจุดหมายแบบนี้เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าจะรักพี่ได้เมื่อไหร่”


พวกเราสบตากัน


“ผมพยายามแล้วจริงๆ ผมพยายะ...”


“น้องไม่ต้องพยายามอะไรเลย”


เขาพูดตัดบทแล้วขยับเข้ามาใกล้อีกหน่อย


“ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องบอกให้พี่เลิกรัก ไม่ต้องพยายามมารักพี่เลย ขอแค่อย่า...”


เขาดึงผมเข้าไปในอ้อมกอด


“อย่าบอกให้พี่เลิกรักก็พอ”


ผมรู้สึกถึงความแสบร้อนที่ปลายจมูก


“แต่ผมอยากให้พี่มีความสุข”


ความอบอุ่นที่คุ้นเคยประทับลงที่หัวแล้วไล้ลงเบาๆ


เชื่องช้าและอ่อนโยนไม่เคยเปลี่ยน


“พี่มีความสุขแล้ว พี่มีความสุขแล้วจริงๆ”


สิ้นคำพูดนั้น ผมก็ไม่อาจควบคุมอารมณ์ตัวเองได้อีกต่อไป


ร่างทั้งร่างโถมเข้าใส่คนตรงหน้า ผมกอดเขา ฝังใบหน้าลงกับหน้าอกของเขา


ผมยอมรับกับตัวเองแล้วว่าไม่มีใครแทนที่หมอได้จริงๆ เขาคือคนสำคัญ เป็นคนสำคัญที่ผมทำอะไรให้เขาไม่ได้เลย


“น้องไม่ต้องทำอะไรเลย แค่อยู่ให้พี่รัก ยิ้มให้พี่เห็นก็พอแล้ว ต่อให้น้องไม่รักพี่ แต่พี่ก็จะขอตกหลุมรักน้องแบบนี้ทุกภพทุกชาติไปอยู่ดี”


ผมไม่เข้าใจเลย ทำไมผมถึงรักคนๆ นี้ไม่ได้นะ


ผมเกลียดตัวเอง...เกลียดตัวเองเหลือเกิน


“ไม่ต้องโทษตัวเอง ไม่ต้องเกลียดตัวเองนะ”


เขากระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นอีกหน่อย


“ไปรักคนที่อยากรัก ไปใช้ชีวิตอย่างที่อยากทำ น้องไม่ต้องห่วงพี่หรอก เพราะต่อให้น้องไม่รักพี่ไปจนชั่วนิรันดร์ พี่ก็จะรักน้องเหมือนเดิมอยู่ดี”


เขาลูบหัวผมเบาๆ


“คำสัญญาที่เคยมีต่อกันมา ลืมมันไปเถอะนะ อย่าได้เอาคำสัญญาพวกนั้นมาผูกมัดตัวน้องเอาไว้อีกเลย”


ขอบคุณ...ขอบคุณจริงๆ


แค่คำนี้เท่านั้นที่ผมนึกออก


แค่นี้จริงๆ












กว่าผมจะหยุดร้องไห้แล้วพาตัวเองกลับเข้ามาในร้านได้ก็ผ่านไปหลายสิบนาที


พี่พจน์บ่นจนอิ่มแล้วมั้งนั่น


ผมคิดขำๆ ในใจไปพลาง ล้างหน้าไปพลาง ภาพสะท้อนของคนในกระจกตอนนี้ดูไม่ได้เลยสักนิด ตาบวมช้ำจากการร้องไห้อย่างหนัก ปลายจมูกก็ขึ้นสีแดงจัดเหมือนไปวิ่งชนอะไรมาสักอย่าง


แต่นี่เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่อีกคนต้องเผชิญ


น้ำตาแค่นี้ทดแทนความเจ็บปวดของเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ


ผมมองตัวเองในกระจกแล้วถอนหายใจเบาๆ แล้วนึกย้อนไปถึงประโยคที่เพิ่งได้ยินมาเมื่อครู่


‘ไปรักคนที่อยากรัก ไปใช้ชีวิตอย่างที่อยากทำ น้องไม่ต้องห่วงพี่หรอก เพราะต่อให้น้องไม่รักพี่ไปจนชั่วนิรันดร์ พี่ก็จะรักน้องเหมือนเดิมอยู่ดี’


ความรักที่ไม่ได้ครอบครองมันจะรู้สึกเจ็บปวดขนาดไหนกันนะ


ในตอนแรกผมเคยตั้งข้อสงสัยกับตัวเองว่าความรักที่ไม่ได้ครอบครองมันจะยืนยาวได้แค่ไหนกันนะ ผมถึงขั้นเคยมั่นใจด้วยซ้ำว่าสักวันหนึ่งพี่หมอต้องเลิกรักผมแน่ แต่วันนี้เขากลับพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความรักมันเข้าใจยากกว่าที่เราคิดมากนัก


เพื่อนๆ ผมมักจะพูดว่าเวลาจะเยียวยาทุกอย่าง ต่อให้รักแฟนเก่ามากแค่ไหน แต่เมื่อห่างกันไปนานๆ สักวันความรู้สึกมันก็จะจางลง แต่คำพูดนั้นคงใช้กับเขาไม่ได้เลย


‘น้องไม่ต้องทำอะไรเลย แค่อยู่ให้พี่รัก ยิ้มให้พี่เห็นก็พอแล้ว ต่อน้องไม่รักพี่ แต่พี่ก็จะขอตกหลุมรักน้องแบบนี้ทุกภพทุกชาติไปอยู่ดี’


เขาเป็นคนที่ต่างกับผมเหลือเกิน สำหรับผมแล้ว หากรักไม่ได้ ผมก็จะไม่รัก เหมือนอย่างที่ผมเลิกรักคุณเปรมในอดีต...


...


...เปล่าเลย ผมไม่เคยเลิกรักคุณเปรมเลย...


...


อ๋อ...มันเป็นอย่างนี้นี่เอง


ความรู้สึกที่ว่าต่อให้อีกคนไม่รักหรือรักไม่ได้ แต่ก็ยังดันทุรังจะรัก มันเป็นแบบนี้นี่เอง


ในที่สุดผมก็เข้าใจเขาเสียที


ผมคิดพลางหัวเราะกับความคิดตัวเองเบาๆ หากนัยน์ตาผมยังสบนิ่งกับเงาสะท้อนในกระจก


“นี่”


ผมเอ่ยทักภาพที่สะท้อนกลับมา


“ความรักนี่...เข้าใจยากจังเลยนะ”


ไม่มีเสียงตอบรับจากภาพในกระจก


มันก็แน่อยู่แล้ว...มอสเอ๊ย ต้องมาคุยกับภาพสะท้อนตัวเองในกระจกแบบนี้ ท่าจะเป็นเอามากแล้วมั้ง


ผมหลับตาตั้งสติกับตัวเองอีกอึดใจแล้วฉีกยิ้มให้เงาสะท้อนในกระจก


“ยิ้มไว้ไอ้มอส อย่าทำให้พี่หมอหมดสนุกเชียว”


พอพูดจบผมก็หมุนตัวเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่ยังไม่ทันที่จะพ้นประตูดีก็ดันมีอีกคนโผล่พรวดพราดเข้ามาชนจนผมเสียหลักเกือบล้มไปจับกบที่พื้น โชคดีที่เขาคว้าตัวผมไว้ทัน


อันที่จริงต้องบอกว่าคว้าเอวเอาไว้ทัน เพราะตอนนี้ตัวผมอยู่ในอ้อมแขนของเขาไปเรียบร้อยแล้ว


หัวใจผมเต้นถี่รัวเหมือนจะหลุดออกมาจากอก


ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกันนะ...


...ผมคิดถึงอ้อมกอดนี้จัง...


บ้าแล้วมอส เราจะไปคิดถึงอ้อมกอดใครก็ไม่รู้ได้ยังไงกัน


นัยน์ตาของเราสบกันอย่างตื่นตระหนก ก่อนที่อีกคนจะได้สติแล้วปล่อยผมให้เป็นอิสระ


ใบหน้าหล่อเหลานั้นเลิ่กลั่กไปมา มือไม้สองข้างดูเกะกะจนเจ้าตัวต้องเอามันลูบเสื้อผ้าไปมา เขาเป็นผู้ชายที่จัดอยู่ในเกณฑ์หน้าตาดี มีผิวขาวเหลือง ใบหน้ารูปไข่ไม่คมเข้มแต่ก็ไม่ได้ค่อนไปทางคนไทยเชื้อสายจีนนัก รูปร่างสูงโปร่งสมส่วน ไม่หนาไม่บางจนเกินไป


นายแบบรึเปล่านะ


หลังจากต่างฝ่ายต่างยืนเงียบกันไปชั่วอึดใจ เขาก็เป็นฝ่ายเริ่มเปิดปากก่อน


“ขอโทษครับ”


ผมคลี่ยิ้มบางๆ


“ไม่เป็นไรครับ”


ประโยคสนทนามันควรจะจบลงแค่นั้น ถ้าไม่ติดที่ว่าอีกคนยังดูเลิ่กๆ ลั่กๆ ชอบกล เขามองหน้าผมแล้วหลบตา เงยหน้ามองแล้วหลบตา ซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้นจนผมเริ่มทนไม่ไหว


“มีอะไรรึเปล่าครับ”


เขาอ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็นิ่งไปแล้วส่ายหัวช้าๆ


“ไม่ครับ...ไม่มี”


“ถ้างั้นขอทางด้วยครับ”


“ทาง...อะ อ๋อ ครับ ขอโทษครับ ขอโทษที”


ท่าทางตลกนั้นทำให้ผมเผลอหลุดขำจนเขาหันมามองแต่ไม่ได้พูดอะไร ผมจึงเลือกที่จะส่งยิ้มให้เขาน้อยๆ แล้วเดินจากมา


น่ารัก น่าดึงดูดแปลกๆ จังเลยให้ตายสิ


ฟุ้งซ่านแล้วมอสเอ๊ย


“นี่ไปซื้อขนมถึงปราจีนเลยถูกมะ รอจนอิ่มแล้วเนี่ย”


ยังไม่ทันหย่อนก้นลงนั่งคำบ่นก็ถูกร่ายยาวมาเป็นชุดจนผมต้องใช้สกิลอ้อนขั้นเทพ


“พี่หมออ่า”


ไม่ว่าเปล่ายังเอาตัวเองไปนั่งฝั่งเดียวกับอีกคนแล้วคล้องแขนไว้แน่น


“น้องเพลินไปหน่อย น้องขอโทษ”


ผมได้ยินเขาหัวเราะก่อนที่หัวของผมจะถูกผลักอย่างแรง


เจ็บครับ แต่กำลังง้ออยู่ มอสจะไม่บ่น


“ทำมาเป็น”


เขาสะบัดแขนผมออกไปพลางหัวเราะไปพลาง


เอ้อ ง้อง่ายดี ชอบๆ


“แล้วนี่...”


เขาสบตาผมอย่างมีเล่ห์นัย


“ไอ้ปลื้มไปไหนแล้วล่ะ”


ผมพยายามเก็บสีหน้าแล้วส่ายหัวเบาๆ อย่างเป็นธรรมชาติ


“ไม่รู้สิครับ ผมไม่ได้ไปกับเขาสักหน่อย”


แววตาที่ส่งมาดูจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าไม่เชื่อ แต่ถึงจะไม่เชื่อยังไงพี่เขาก็เลือกที่จะไม่ถามต่อแล้วเปลี่ยนหัวข้อไปเสียเฉยๆ


เหมือนเขาเองก็รู้ว่าผมไม่อยากเล่า


เรื่องที่ถูกหยิบมาพูดบนโต๊ะอาหารอาหารเป็นเพียงหัวข้อธรรมดาทั่วไป บ้างก็เป็นการเล่าเรื่องของเขา บ้างก็เป็นการเล่าเรื่องของผม บ้างก็เป็นการพูดคุยถึงหัวข้อที่เราต่างสนใจด้วยกันทั้งคู่


มันเป็นบทสนทนาที่เรียบง่ายและสนุกสนาน


ผมเกือบจะลืมเรื่องราวเมื่อตอนเย็นไปแล้วถ้าสายตาเจ้ากรรมไปดันเหลือบไปเห็นอีกคนเสียก่อน


...หมอปลื้ม...


เขานั่งไกลออกไปจากผมประมาณสามโต๊ะ ใบหน้าอ่อนโยนนั้นฉีกยิ้มนิ่มนวลให้ผม


ใจดีเสียจนผมแสลงใจ แต่พอหลบตาไปอีกด้านก็ดันสบตาเข้ากับผู้ชายที่บังเอิญเจอในห้องน้ำ เขาสบตาผมด้วยแววตาที่แสนคุ้นเคย


...ดวงตาวิบวับราวกับดวงดาวบนฟากฟ้า...


“สวัสดีครับแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน”


เสียงจากไมโครโฟนบนเวทีเล็กๆ กลางร้านดึงความสนใจของผมให้หันไปมอง ชายรูปร่างท้วมคุ้นหน้าคุ้นตายืนฉีกยิ้มอยู่บนนั้น ใบหน้าจ้ำม่ำดูโอบอ้อมอารี ถ้าจำไม่ผิดเขาคือลูกชายของเจ้าของร้านคนปัจจุบัน ผมเห็นเขามาตั้งแต่เด็กๆ เมื่อก่อนเขาเป็นยังไง เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอย่างงั้น


“ทางร้านของเรายินดีเป็นอย่างยิ่งเลยครับที่ได้ต้อนรับ...”


เขาพูดขอบคุณลูกค้าอย่างนอบน้อมและเป็นธรรมชาติ


ตามธรรมเนียมของร้าน ทุกวันเสาร์สุดท้ายของเดือน จะมีการสุ่มแขกในร้านขึ้นมาโดยการจับฉลากแล้วให้แขกแสดงการแสดงเล็กๆ น้อยๆ บนเวที แล้วทางร้านก็จะมอบของขวัญตอบแทนเป็นอาหารฟรีหนึ่งมื้อ พูดง่ายๆ ก็คือสุ่มคนที่จะได้กินข้าวฟรีนั่นล่ะ


ผมชอบร้านนี้ก็เพราะธรรมเนียมนี้นี่แหละ


“และสำหรับวันนี้ ผู้โชคดีก็คือ...”


ผมจำได้ว่าตั้งแต่มากินข้าวที่ร้านนี้ร่วมสิบปี บ้านผมได้รับรางวัลแค่สามครั้งเห็นจะได้


เป็นบ้านคนอับโชคน่ะครับ


ถ้าครั้งนี้หวยออกโต๊ะผมคงตลกน่าดู...


“โต๊ะที่สองครับ!”


ผมอ้าปากค้างพร้อมๆ กันกับพี่หมอ เสียงปรบมือดังขึ้นจากทั่วบริเวณเหมือนเป็นการกดดันกลายๆ


ฉิบหายล่ะงานนี้


“ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าอยากร้องเพลงอะไรดีครับ หรือจะเป็นเล่นดนตรีดี”


โอ้โห ช้อยยากมาก ยากถึงยากที่สุด


ผมสบตากับพี่หมอเหมือนต่างฝ่ายต่างรู้ความนัยน์โดยไม่ต้องพูด พี่พจน์ส่ายหน้ารัวๆ จนผมต้องปลงใจ


เอ้า กูก็กูวะ


“ผมจะร้องเพลง...”


ในขณะที่คิดชื่อเพลงสายตาของผมก็ดันเหลือบไปเห็นหมอปลื้มจนเกือบจะพูดคำว่า ‘ยามเย็น’ ออกไปอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดที่ว่าผมดันบังเอิญไปสบตาเข้ากับคนอีกคน


ชายที่ผมไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ แต่ในใจกลับคะนึงหาอย่างไม่มีเหตุผล


ไม่มีเหตุผลเลย


“ลาวดวงเดือนครับ”


“ฮะ?”


เสียงตกใจของคนถือไมค์ทำให้ผมต้องย้ำคำตอบอีกครั้ง


“ลาวดวงเดือนครับ”


“น้องเป็นคนแรกเลยนะที่เลือกเพลงแนวนี้”


เขาแซ็วขำๆ ก่อนจะผายมือเชิญผมขึ้นไปบนเวที


เครื่องดนตรีในวงไม่มีเครื่องดนตรีไทยเลยสักชิ้น แต่เมื่อพี่นักดนตรีบอกว่าเล่นได้ ผมก็จะเชื่อตามนั้น...


“เดี๋ยวๆ รอเดี๋ยว”


พี่ลูกเจ้าของร้านวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับขลุ่ยในมือ


“ไหนๆ วันนี้ก็เป็นแนวเพลงพิเศษทั้งที ผมก็ขอร่วมด้วยแล้วกันนะครับ”


สิ้นคำพูดของเขา เสียงปรบมือก็ดังขึ้นอีกครั้งแต่เพียงไม่นานก็เงียบลง เสียงดนตรีบรรเลงดังขึ้นมาแทนที ทำนองนั้นคุ้นหู อาจจำต่างไปหน่อยเนื่องจากเครื่องดนตรีที่ใช้แต่ทำนองที่ได้ยินก็มากพอที่จะเรียกความทรงจำทั้งหมดกลับมา


“โอ้ละหนอดวงเดือนเอย พี่มาเว้ารักเจ้าสาวคำดวง”


ผมเริ่มเปล่งเสียงร้อง


ทุกสายตาจับจ้องมาที่ผมเหมือนอย่างในวันนั้นไม่มีผิด


วันที่มีระนาดเอกบรรเลงอยู่ด้านหลัง วันที่ซอสามสายยังอยู่ในมือคู่นี้ของผม


“พี่นี้รักเจ้าหนอขวัญตาเรียม จะหาไหนมาเทียมโอ้เจ้าดวงเดือนเอย”


ผมสบตาเข้ากับชายคนนั้นโดยบังเอิญอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมกลับไม่สามารถดึงสายตาตัวเองกลับมาได้เลย นัยน์ตาสีดำลึกล้ำคู่นั้นเหมือนมีมนต์สะกด


มันพราวระยับราวกับดวงดาว อบอุ่นราวกับแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ


“หอมกลิ่นเกสร เกสรดอก ไม้ หอมกลิ่นคล้ายคล้ายเจ้าสูเรียมเอย”


ใบหน้าหล่อเหลานั้นค่อยๆ คลี่ยิ้มให้ผมทีละนิด


“หอมกลิ่นกรุ่นครัน หอมนั้นยังบ่เลย เนื้อหอมทรามเชยเอ๋ยเราละหนอ”


สิ้นเนื้อเพลงท่อนสุดท้าย เขาก็ยกมือขึ้นมาในระดับหน้าไม่ให้ผิดสังเกตแล้วคลี่มือออกทีละน้อยจนเห็นสิ่งที่อยู่บนฝ่ามือ


...ดอกการเวก...


หัวใจของผมสั่นรัวเสียจนไม่สามารถร้องต่อได้ ทุกคนจับจ้องมาที่ผมอย่างงุนงง แต่โชคดีที่พี่ลูกเจ้าของร้านมีไหวพริบดีพอที่จะตัดจบเพลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี


เขาเดินมาตบบ่าผมแล้วพูดปลอบใจด้วยรอยยิ้มใจดีเหมือนอย่างเคยของเจ้าตัว ในทีแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไรจนกระทั่งนึกได้ว่าฝีมือขลุ่ยของเขาดีเหลือเกิน แถมเทคนิคการเล่นก็ฟังคลับคล้ายคลับคลาคล้ายผมเคยได้มาก่อนหน้านี้ชอบกล แต่ไม่ว่าจะนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ผมจึงเลือกที่จะปล่อยให้ความคิดนั้นผ่านไปแล้วหันไปสนใจกับคนที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมแทน


“ดอกการเวกนี้...พี่ให้”


ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอแต่ยังสบตาเขานิ่ง


“ทำไมเหรอครับ”


ดวงตาคู่นั้นทอดมองผมอย่างไม่คิดปิดบังความในใจ ถ่ายทอดความเสน่หา ความรักใคร่ทั้งหมดมาอย่างไม่คิดปิดบัง


“พี่ว่าเราไปคุยกันข้างนอกดีไหม”


ผมสาดสายตามองรอบตัวจึงเพิ่งรู้ว่าตัวผมเป็นจุดเด่นพอสมควร...


จริงๆ ก็มากอยู่


ในตอนที่หันไปมองรอบๆ นั้นเองที่เผลอไปสบตาเข้ากับดวงตาคู่หนึ่งที่ทอดมองมาอย่างอ่อนโยนและเศร้าหมอง


...หมอ...


ผมเห็นเขาพยักหน้าลงเบาๆ เหมือนเป็นการบอกความนัยบางอย่าง


...เหมือนเป็นการบอกว่าไม่ต้องห่วงเขา...


ผมละสายตาจากเขาแล้วสูดหายใจเข้าออกสงบสติอยู่อึดใจ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้คนตรงหน้า แล้วเดินนำออกไปอย่างรวดเร็ว


ทันทีที่เท้าผมก้าวออกนอกร้านร่างทั้งร่างก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดอุ่น ผมกะจะร้องด่าอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าอ้อมกอดนี้มันคุ้นเคยเหลือเกิน...


ถ้าไม่ติดที่ว่า...


“คิดถึงเหลือเกิน”


คำพูดเพียงคำพูดเดียวที่ทำให้คำด่าทั้งหมดถูกกลืนลงคอ


ทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาใช่...ใช่คุณเปรมหรือเปล่า แต่หัวใจเจ้ากรรมก็ดันเต้นรัวกับคำพูดนั้นไปเสียแล้ว


ใจง่ายจริงๆ เลยมะ...


“ปักษาสวรรค์ของพี่”


ผมเบิกตาโพล่งนิ่งค้างด้วยความตกใจสุดชีวิต


คำพูดนั้น...ทำไม...ทำไมกัน


ทันทีที่ได้สติผมก็รีบหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับเขา


“ทำไมคุณ...”


“ในคราแรกพี่ไม่มั่นใจว่าใช่น้องแน่หรือไม่ แต่เมื่อได้ยินเสียงเมื่อครู่ก็แน่ใจแล้ว”


“ไม่ ไม่ใช่เรื่องนั้น”


ผมสบตาเขาด้วยแววตาสั่นไหว


“ทำไมคุณถึงจำได้”


เขาเอื้อมมือมาลูบหัวผมช้าๆ


“คงเพราะพี่เฝ้าอธิษฐานทุกวันกระมัง”


ผมรู้สึกเหมือนโดนอัญมณีสีนิลนั้นดูดให้จมลึกลงไปในห้วงความรู้สึกที่แสนล้ำลึก


“ขอให้จำได้ ขอให้ได้รักกัน ขอให้เจอกันอีกครั้ง ขออย่าให้ลืมอย่าให้เลือน”


ปลายจมูกโด่งได้รูปเลื่อนเข้ามาแตะกับปลายจมูกของผม


“พี่เสียเวลามามากเกินพอแล้ว พี่จะไม่ยอมเสียมันไปอีกแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว”


ลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดลงบนริมฝีปากบังคับให้ผมหลับตาลง


“จะไม่ยอมเสียเวลาที่จะได้รักน้องไปอีกแล้ว”


เขาประทับความอุ่นชื้นลงบนริมฝีปากแล้วถอนออก


“จะไม่ยอมปล่อยปักษาตัวนี้ไปไหนอีกแล้ว”


นัยน์ตาของเขาจ้องลึกเข้ามาในดวงตาผมด้วยแววตาเศร้าสร้อย


“จะไม่ยอมปล่อยให้เจ้าต้องตายอย่างเดียวดายอีกแล้ว”


สิ้นคำพูดของเขาร่างทั้งร่างของผมก็ถูกดึงเข้าไปกอดพร้อมกับน้ำตาที่ร่วงหล่นลงมาเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าครั้งนี้มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความเศร้าเหมือนอย่างทุกที


...ผมมีความสุขเหลือเกิน...


“แล้วทำไมเราถึงจำได้ล่ะ”


เสียงทุ้มนั้นถามไปพลางลูบหัวผมไปพลาง


ผมซุกหน้ากับหน้าอกแกร่งแล้วยกยิ้มกว้าง


“ไม่บอก”


เขากันตัวผมออกห่างเล็กน้อยแล้วเอื้อมมือมาบีบจมูกเบาๆ


“ทะเล้นนักนะ”


พวกเราสบตากันนิ่งอยู่อึดใจก่อนจะปล่อยระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมกัน


...ผมเฝ้ารอสิ่งนี้มานานแค่ไหนกันนะ...


เขากอดผม


เราสบตากัน


หัวเราะด้วยกัน ยิ้มด้วยกัน


ขอแค่มีคนๆ นี้อยู่ข้างๆ ผมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว


ขอแค่เราได้รักกัน ผมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว


ความรักของพวกเรามันแปลกแสนแปลก


คนๆ หนึ่งยอมอดทนที่จะรักแม้รู้ว่าไม่มีวันได้ความรักตอบ


คนๆ หนึ่งยอมรอมานานแสนนานเพียงเพื่อจะได้รัก


แล้วผมล่ะ...ความรักทำให้ผมเป็นคนยังไงกันนะ


ริมฝีปากนุ่มหยุ่นที่ประทับลงบนแก้มทำให้ผมได้คำตอบ


ความรักทำให้ผมกลายเป็นคน...สอดรู้สอดเห็นล่ะมั้ง


ผมขำความคิดตัวเองเบาๆ


“หัวเราะอะไร”


ผมหัวเราะแล้วซบหน้าลงกับไหล่กว้าง


“กำลังคิดว่าความรักทำให้ผมกลายเป็นคนสอดรู้สอดเห็น”


พอได้ยินเขาก็หัวเราะตาม


“ไม่ใช่ความรักหรอกที่ทำ เป็นอยู่แล้วต่างหาก”


“คุณเปรม!”


ชื่อเรียกชินปากที่หลุดออกไปทำให้ผมชะงักไปนิดหน่อยแต่อีกคนกลับยิ้มกริ่ม


“แล้วตกลงว่าทำไมถึงรู้เรื่องในอดีตได้ล่ะ”


“พี่ชายมาเข้าฝันน่ะครับ”


เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ


“รู้ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องเสียเวลาจีบนาน”


“คุณเปรม!”


เขาหัวเราะร่วน


“พี่ลงทุนถึงขนาดใช้ชื่อเดิมเชียวนะ จะได้ไม่ต้องจำเยอะอย่างไรเล่า”


ผมเบ้ปาก


“ขี้เกียจคิดใหม่ก็บอกเถอะครับ”


เขาบีบจมูกผมไม่เบานัก


“ลามปาม”


แล้วพวกเราก็หยุดมองหน้ากันเสี้ยวสินาทีก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน


ทั้งๆ ที่เขาทำกับผมไว้เยอะขนาดนั้น


ทั้งๆ ที่ผมทำกับเขาไว้เยอะขนาดนั้น ทำไมสุดท้ายเราถึงยังรักกันนะ พอคิดให้ดีจึงรู้ว่าความรักนี้เข้าใจยากจริงๆ


“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ขอแต่งงานเลยดีไหม เดี๋ยวไอ้หมอมันมาแย่งอีก คราวนี้ไม่ยอมแล้วจริงๆ ด้วย”


ถ้าเขาจำเรื่องราวในอดีตได้ แสดงว่าเขาก็จำเรื่องนั้นได้สินะ


...เรื่องราวที่ผมพลาดพลั้งนอกกายเขาไป...


“คุณเปรม เรื่องนั้น...โกรธผมไหม”


เขาทำสีหน้าดุดัน


“โกรธ”


ผมหลุบตาลงต่ำอย่างรู้ตัว


...ไม่โกรธสิแปลก...


“แต่อดีตก็คืออดีต”


เขาเอามือมาช้อนคางผมขึ้น


“โกรธแล้วยังไง เพราะต่อให้โกรธไปก็เลิกรักไม่ได้อยู่ดี”


เขาขยับข้ามาใกล้จนรับรู้ถึงลมหายใจที่เป่ารดแก้ม


“น้องเองก็เคยโกรธพี่ แต่น้องก็ยังรักพี่ไม่ใช่รึ”


นัยน์ตาคู่นั้นทอประกายวิบวับเหมือนครั้งแรกที่เจอ


...เหมือนครั้งแรกที่ตกหลุมรักกัน...


“สุดท้าย เราก็เลิกรักกันไม่ได้อยู่ดี”


สิ้นคำพูด ริมฝีปากนุ่มก็โจนจ้วงเข้ามาช่วงชิงลมหายใจผมอย่างอ่อนหวานนุ่มนวลเสียจนรู้สึกเหมือนร่างกายล่องลอยอยู่ในอากาศ


ความรักนี่...เข้าใจยากจริงๆ ด้วย







กลอนเพลงยาวร้อยหัวใจอันสุขี

ด้วยคะนึงถึงยอดมารตี

ขอน้องนี้รับรักด้วยเมตตา

 

เสียงเจ้าหวานปานนกการเวก

ความปัจเจกเอกลักษณ์คือหรรษา

หวังนอนฟังหากเจ้ากรุณา

เพียงพบหน้าพาใจได้ภิรมย์

 

เจ้าเป็นจีนงามหมวยสวยบาดจิต

หากน้องฝากชีวิตคงสุขสม

ต่างเชื้อชาติใช่ต่างรักต่างนิยม

พี่สัญญาจักชื่นชมเจ้านิรันดร์

 

หากเจ้าเป็นมาลีพี่เป็นผึ้ง

ใช่ทะลึ่งมีแต่รักมากมหันต์

หากเจ้าเป็นโลกนี้พี่เป็นจันทร์

อยู่คู่กันตลอดไปด้วยรักเอย






ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
!!จบแล้ววว จุดพลุฉลอง!!





ตอนแรกปิงปองลังเลกับตอนจบมากก มากแบบมากจริงๆ ว่าเอ...จะให้น้องมอสเขาลงเอยกับใครดี จนได้กลับมานั่งคิดอย่างจริงจังว่า ความรักมันไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจกันได้ง่ายๆ ประกอบกับได้ฟังประสบการณ์ความรักจากหลายๆ คนรอบตัวแล้วพบว่า บางครั้ง เราไม่ได้รักคนที่ดีกว่า รักก็คือรัก มันเป็นเรื่องของความรู้สึกล้วนๆ ปิงปองเชื่อว่าถ้าเราชอบอะไรสักอย่างจริงๆ เราจะไม่ต้องมานั่งคิดหาเหตุผลว่าทำไมถึงชอบ ชอบเพราะอะไรแน่ๆ





ชอบก็คือชอบ รักก็คือรัก มันเป็นคำที่มีความหมายสมบูรณ์ในตัวของมันอยู่แล้ว





เพื่อนของปิงปองคนหนึ่งเคยพูดว่า



"ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าอาหารคลีนดีต่อสุขภาพมากกว่าหมูกรอบ แต่ทำไมคนเรายังเลือกกินหมูกรอบอยู่ล่ะ ก็เพราะชอบไง อาหารคลีนก็อร่อย แต่ความอร่อยที่ได้จากอาหารคลีน ยังไงก็ไม่มีวันเหมือนความอร่อยจากหมูกรอบแน่นอน แล้วเราก็บังเอิญชอบความอร่อยของหมูกรอบมากกว่าก็แค่นั้นเอง"





อย่างหมอเองเขาเป็นคนดีมากคนหนึ่ง ในขณะที่คุณเปรมเองก็ใช่จะเป็นคนเลวร้ายอะไร สุดท้ายมันก็ขึ้นอยู่กับมอสว่าเขาชอบอาหารคลีนหรือหมูกรอบก็เท่านั้นเองเนอะ





...แล้วนักอ่านของปิงปองชอบอะไรมากกว่ากันน้า...


^w^




ปล. ในตอนนี้ปิงปองยังไม่มีแผนจะแต่งตอนพิเศษลงเว็บนะคะ แต่ถ้าแต่งก็คิดว่าจะเป็นกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ให้นักอ่านเข้ามามีส่วนร่วมว่าอยากให้ลงเรื่องของใคร ในพาร์ทอดีตหรือปัจจุบัน แต่ว่าคงยังไม่ใช่เร็วๆ นี้ค่ะ ยังไงก็ฝากติดตามข่าวกันเรื่อยๆ ด้วยน้า








ขอบคุณจริงๆ ที่ติดตามกันมาตลอดนะคะ

-ปิงปองโต้คลื่น-




ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0


สงสารหมอ

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ


ออฟไลน์ pigarea

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
โอ๊ย.... เจ็บ​จน​ตอนสุดท้าย
แต่​ความ​รัก​มันบังคับ​กัน​ไม่ได้​จริงๆ​

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด