แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แว่วเสียงการเวก || ฝันร้าย [ตอนพิเศษปีใหม่]  (อ่าน 82818 ครั้ง)

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เหนื่อยกับครอบครัวน้องมากค่ะ มอสสู้ๆนะ อยากโอนตังให้สักสองร้อย  :ling1:

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
ครอบครัวคนจีนส่วนใหญ่ก็ยังรัก เทิดทูน ลูกชายคนโตนะ นุ้งมอสทำไมน่ารักยังงี้ ขอจับฟัดให้หายมันเขี้ยวหน่อยซิ เศร้าๆ ก็คิดเรื่องเรื่องตลกได้ คิดบวกจริงเชียว

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
อำนาจก็ถ่ายกันมาตามขั้นตอน    ป๊า ---->  ม้า ---->  เฮีย   
แต่เจ้  กร   ไม่มีอำนาจอะไรเลย    ต้องยอมเพราะเป็นกฎของตระกูล

คนเป็นใหญ่ก็ไม่รู้ว่าอำนาจนั่นก็แค่แสดงอำนาจ
ไม่ได้แสดงความรัก ความผูกพันกันเลย   :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
บางทีก็ไม่เข้าใจครอบครัวแบบนี้

กร กตัญญู เหน็ดเหนื่อย ทำงานหาเงินไปใช้หนี้แทนพี่ชาย
เฮียก็แค่ถูกกักบริเวณ ไม่ได้ช่วยหาเงินใช้หนี้ที่ตัวเองก่อเลยสักสตางค์เดียว
ถูกกลุ่มคนมาทุบตีข่มเหง คนในบ้านทำอะไรไม่ได้
ได้แต่ทุบตีคนที่ด้อยกว่าในบ้านเท่านั้น

ม้า ก็ยังไม่เข้าใจ ทำไมเจ้ ถึงหนี  พอกรเฉลย ก็โกรธ จนตบหน้ากร
ถ้าเหลือแค่ ป๊า ----  ม้า ----  เฮีย   คิดว่าก็ยังคงไม่เข้าใจไปจนตาย
ทำไมเจ้ กร ถึงไม่อยากอยู่ด้วย
 
แล้วคุณเปรม ก็สมใจ  ได้กร ไปทำงานบ้านแทนเจ้ ได้อยู่ใกล้ๆกร
พอกรพูดเรื่องจดหมาย ว่ากลอนเพราะ ตาคุณเปรมก็วิบวับเลย  หมั่นไส้ซะจริงๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
     

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
บทที่ 20 ความเจ็บปวด [ครึ่งแรก]







ผมจำได้ว่าเมื่อเช้าตัวเองตื่นเช้ากว่าปกติ รอบด้านยังคงมืดสนิท พระอาทิตย์ยังไม่โผล่มายิ้มแฉ่งที่ขอบฟ้าด้วยซ้ำ บ้านทั้งบ้านตกอยู่ในความเงียบ


เงียบ...สงัด


เงียบจนผมได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง


...ก็ดีแล้ว...


ผมรีบจัดการตัวเองก่อนจะเดินออกจากบ้านก่อนที่ใครจะตื่นขึ้นมาเจอ


ถ้าจะให้พูด สถานการณ์ในบ้านตอนนี้แย่ลงกว่าเดิมจนผมไม่อยากจะเจอหน้าใครทั้งนั้น ถึงแม้ว่าปกติแล้วผมจะเข้าหน้าใครไม่ติดอยู่แล้วก็เถอะ แต่พอมีเรื่องเกิดขึ้น แค่หน้ามดในบ้านผมก็ไม่อยากเห็น


มันแสลงใจไปหมด


“ไอ้หนุ่ม น้ำเชื่อมเสร็จหรือยัง”


เสียงร้องทักที่ตะโกนมาจากอีกฝากของอาคารเป็นสิ่งย้ำเตือนว่าผมควรให้ความสำคัญกับอะไร


ใช่ ผมควรให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า


“เสร็จแล้วจ้ะ มาเอาได้เลย”


สิ้นคำของผม หญิงสูงวัยร่างท้วมคนหนึ่งก็เดินมายกหม้อลงจากเตาถ่านแล้วกวักมือเรียกผมเข้าไปใกล้ๆ


“เอ็งทำขนมเป็นไหม”


ผมฉีกยิ้มแห้งเผื่อสวรรค์จะเมตตา ไอ้ตัวผมเองมันก็พอจะทำได้อยู่หรอก แต่ก็คงไม่อร่อยสู้อาม้ากับอาเจ้แน่นอน ขืนทำไปน่ากลัวว่าจากคนติดรสมือจะกลายเป็นแขยงกันไปหมด


ไม่เก่งแล้วยังเสนอหน้าอีกนะผมเนี่ย


“ข้าก็ว่าอยู่แล้ว”


แทนที่จะดุด่า หญิงชราคนนั้นกลับฉีกยิ้มบางอย่างเอ็นดู


...ทำไมล่ะ...


“พี่สาวของเอ็งพูดถึงเอ็งบ่อยมากเลยรู้ไหม”


ใจของผมเต้นรัว


“ไอ้กรดีอย่างนั้น ไอ้กรดีอย่างนี้ เห็นมันนิสัยเช่นนั้นแต่มันก็รักเอ็งนะ ข้ายังจำได้อยู่เลย ตอนวันเกิดท่านเจ้าคุณ พี่สาวเอ็งนี่หาเรื่องไปทำงานในเรือนแจเลย ก็เพราะมันอยากจะไปดูเอ็งเล่นดนตรีน่ะสิ อู๊ย ข้านี่เหนื่อยใจจะบ่น”


 จริงเหรอ เรื่องมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เหรอ


“มันน่ะ ระริกระรี้จะไปดูเอ็งสีซอเสียให้ได้ พลางโอ้ชมเอ็งกับคนในโรงครัวยกใหญ่ว่าเอ็งน่ะเสียงดี พวกบ่าวมันก็เลยพากันไปฟัง อุบ๊ะ เสียงเอ็งนี่ใสอย่างกับนกการเวกอย่างไรอย่างนั้น เป็นเด็กผู้ชายแท้ๆ”


ผมยิ้มรับคำชมนั้นเล็กน้อย ในหัวยังมีแต่เรื่องของอาเจ้วนเวียนอยู่เต็มไปหมด


เจ้ห่วงผมจริงๆ เหรอ เจ้รักผมจริงๆ ใช่ไหม


...ผมสามารถพูดว่าพวกเราเป็นพี่น้องที่รักกันได้...ใช่ไหม...


เสียงถอนหายใจจากคนตรงหน้าดึงผมออกจากภวังค์


“แต่ไอ้เรื่องหนีไปกับผู้ชายนี่นะ ข้าเองก็ห้ามมันแล้ว แต่มันก็เอาแต่พูดว่าหากพ่อแม่มันรู้ มันก็คงไม่ได้แต่งกับชายคนนี้แน่ ข้าเองก็อยู่บนโลกนี้มานาน มองปราดเดียวก็รู้ว่าไอ้หนุ่มคนนั้นมันเป็นแมงดา เกาะผู้หญิงกิน ตอนทำงานอยู่ที่นี่ก็โดนรีดไถไปตั้งเท่าไหร่ แต่ก็อย่างว่าล่ะเอ็ง หญิงชายหากเข้าสู่อารมณ์พิศวาส เอาอะไรไปขวางมันก็ไม่ฟังหรอก”


เพราะแบบนี้สินะ ตอนผมมาพูดเรื่องเงินด้วย อาเจ้ถึงได้ดูฉุนเฉียวนัก


“ป้าพอจะรู้ไหมจ้ะว่าพี่ฉันหนีไปที่ไหน”


เธอสบตาผมแว่บหนึ่งแล้วเสหลบไป


“มันขอเอาไว้ว่าไม่ให้ข้าบอกใคร...”


เธอนิ่งเงียบไปอึดใจ


“แต่ข้าว่าเอ็งควรจะรู้ไว้นะ”


ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกระบายออกมาจากหญิงชราตรงหน้า


“มันบอกว่าจะไปอยู่ด้วยกันแถวปากน้ำโพ”


ปากน้ำโพ...นครสวรรค์เหรอ แล้วผมจะไปตามพี่ได้ยังไงกันล่ะ


...ไม่มีทางเลย คิดไม่ออกเลย...


แล้วผมก็พลันสบเข้ากับนัยน์ตาฝ้าฟาง แววตาที่ทอดส่งมาให้นั้นแสนอาทร


“ข้าว่าเอ็งตัดใจเสียเถอะ อย่างไรเสียพี่เอ็งก็ไปแล้ว จะไปตามกลับมาคงเป็นไปไม่ได้ดอก”


เหมือนมีบางอย่างทุบลงกลางอก ความรู้สึกของการรับรู้ความจริงมันเป็นอย่างนี้นี่เอง อันที่จริงผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปตามหาหรือตามตัวอาเจ้กลับมาแล้ว แต่มีอย่างหนึ่งที่ยังติดค้าง...


ผมอยากขอโทษ


...อยากพูดคำว่าขอโทษสักครั้ง...


“เอ้าๆ เลิกพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว รีบมาทำงานเร็วเข้า จะได้รีบจัดสำรับให้ทันมื้อเช้า”


คนตรงหน้าผมเปลี่ยนเรื่องพูดไปเสียดื้อๆ เมื่อเขาตั้งใจที่จะไม่พูดถึง ผมก็ควรจะสนอง พวกเราสองคนพากันทำงานต่อราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หญิงชราชี้นิ้วให้ผมหยิบนู้นหยิบนี่ ปากก็พร่ำสอนเรื่องการทำขนมไทยไปด้วย


การทำงานในตอนเช้านั้นวุ่นวาย แต่พอพ้นช่วงสำรับเช้าไปได้โรงครัวก็สงบลง เหลือเพียงกิจวัตรเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นการดองผลไม้ ไม่ก็จัดเตรียมวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารมื้อถัดไป ช่วงเวลาที่สงบนี้เองที่เราจะได้แอบพักงาน


เออ อู้นั่นแหละ


ผมปลีกตัวออกมาจากโรงครัวหลังจากไม่มีอะไรให้ทำ บ้านของท่านเจ้าคุณอธิปนั้นมีอาณาเขตกว้างขวาง พื้นที่ด้านหนึ่งติดกับคลองเล็กๆ ซึ่งผมเองก็จนปัญญาจะบอกว่าเป็นคลองอะไร รู้แต่เพียงว่ามีท่าน้ำและเรือให้ใช้สัญจรไปมาได้


พื้นที่ตรงนี้เงียบสงบและร่มรื่นกว่าทุกที่ที่เดินผ่านมา เพราะแบบนั้นผมเลยทิ้งตัวลงนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ริมคลองต้นหนึ่ง ในทีแรกผมก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจว่ามันเป็นต้นอะไรจนกระทั่งดอกไม้ดอกหนึ่งหลุดร่วงลงมาจากกิ่ง


...ดอกการเวก...


ผมหัวเราะสมเพชตัวเองเบาๆ


ทำไมชีวิตของผมต้องมาเกี่ยวพันก็ดอกไม้บ้านี่อยู่เรื่อยเลยนะ





หากเจ้าเป็นมาลีพี่เป็นผึ้ง

ใช่ทะลึ่งมีแต่รักมากมหันต์

หากเจ้าเป็นโลกนี้พี่เป็นจันทร์

อยู่คู่กันตลอดไปด้วยรักเอย





บทกลอนที่ผุดขึ้นมาในหัวทำให้ผมต้องส่ายหัวแรงๆ เพื่อไล่มันออกไป


บทกลอนนั้นแว่วหวานชวนให้ใจเต้น ทุกครั้งที่กลับเข้าไปในห้อง ผมก็อดไม่ได้ที่จะหยิบมันขึ้นมาอ่าน


อ่านแล้วก็เก็บ เก็บแล้วก็เอาขึ้นมาอ่านใหม่


ซ้ำไปซ้ำมา วนเวียนอยู่อย่างนั้น


รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรรัก รู้ทั้งรู้ว่าควรตัดใจ


ทำไมถึงเอาแต่อ่านจดหมายรักของเขาอยู่ได้นะ แย่จริงๆ


ผมนี่มันแย่จริงๆ


“อ้าว คุณนั่นเอง”


 เสียงใสหวานที่ดังขึ้นไม่ห่างจากตัวนักทำให้ผมสะดุ้งโหยงจนหัวโขกกับต้นไม้ที่นั่งพิงอยู่


เจ็บโว้ย


ผมลูบหัวตัวเองปอยๆ พลางมองหน้าคนมาใหม่


...อ้อ...นึกว่าใคร...


“มีกระไรจะเรียกใช้ผมหรือครับคุณชื่น”


ดวงตากลมหวานนั้นหรี่ลงเนื่องด้วยรอยยิ้ม เธอยังคงงดงามเหมือนกับวันแรกที่เราพบกัน ใบหน้าสวยหวาน เสื้อผ้าสีสดใสดูสะอาดเรียบร้อย วันนี้เธออยู่ในชุดผ้าลูกไม้แขนสั้นรับกับผ้าซิ่นพื้นชมพูทอลายสวย ในมือมีหนังสืออยู่สองสามเล่มดูเป็นผู้คงแก่เรียน


สงสัยจะมาหาที่นั่งอ่านหนังสือล่ะมั้ง


“เปล่าหรอกค่ะ ชื่นแค่คุ้นหน้าเลยมาถามดู”


น่ารักจริงๆ ให้ตายสิ


ความน่ารักของเธอยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิด...ผิดมากกว่าเดิมเป็นร้อยเป็นพันเท่า


ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรตอบออกไป สิ่งที่คิดออกก็คือ...


นั่งเงียบโง่ๆ แบบนี้แหละดีแล้ว


“คุณเป็นน้องชายของพลอยหรือคะ”


คำถามนั้นทำให้ผมต้องหันขวับไปมอง ถ้าจะพูดกันตามความเป็นจริงแล้ว เจ้านายน้อยคนที่จะจำชื่อบ่าวที่ไม่สนิทได้ การที่คุณชื่นจำชื่ออาเจ้รวมไปถึงกล้าที่จะถามออกมาได้ แสดงว่าพวกเขาต้องสนิทกันพอควร


ไปสนิทกันได้ยังไงนะ


“ครับ”


ผมมองหน้าเธอด้วยแววตาที่คิดไปเองว่าไร้เดียงสาที่สุด


“แล้วไม่ทราบว่าคุณชื่นรู้จักพี่สาวผมได้อย่างไรหรือครับ”


เธอระบายลมหายใจออกมาเล็กน้อย สายตาอ่อนหวานนั้นทอดมองไปไกลแสนไกล


“พลอยเป็นบ่าวคนเดียวในเรือนนี้ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉัน อย่างน้อยการคุยกับเขาก็ทำให้หายคิดถึงบ้านได้บ้าง”


น้ำเสียงของเธอสั่นเล็กน้อย มันฟังดูโหยหาและโศกเศร้าอยู่ในที


แม้จะสงสัย แต่ผมกลับรู้สึกอยากพูดบางอย่าง


อยากปลอบโยนให้เธอหายเศร้า


“คุณชื่นคงจะเหงามากที่จากบ้านมาไกล แต่อย่างไรเสียเมื่อคุณชื่น...”


ผมพยายามระงับความรู้สึกบางอย่างที่พวยพุ่งขึ้นมาในอก


“...แต่งงาน ก็ต้องย้ายมาอยู่กับคุณเปรมอยู่ดีมิใช่หรือครับ”


ผมกลืนก้อนบางอย่างลงไปในคอ


“แม้ว่าตอนนี้อาจจะเหงาอยู่บ้าง แต่เมื่อออกเรือนแล้วมีลูก...”


หัวใจของผมเจ็บแปลบ


“ก็คงจะหายเหงา...นะครับ”


เธอมองผมด้วยแววตาที่อ่านไม่ออกก่อนจะเบนสายตาทอดมองน้ำในคลองที่ไหลเอื่อย


ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเธอ...น่าสงสาร เด็กสาวตรงหน้าผมดูหงอยเหงาและไร้สุข ทั้งที่ใบหน้าสวยหวานนั้นไม่เหมาะกับความเศร้าเลยแท้ๆ


หรือเธอจะไม่อยากแต่งงานกับคุณเปรม?


ผมเองก็ไม่รู้ แต่ผมภาวนาให้มันไม่เป็นเช่นนั้น แค่แต่งงานกับผู้ชายที่ไม่ได้รักตัวเองก็แย่พออยู่แล้ว ถ้าต้องแต่งทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้รัก มันคงจะแย่ไปใหญ่


คงจะแย่และน่าสงสารทีเดียว


ความรักนี่น่าเบื่อจริงๆ ...ไม่เคยได้ดั่งใจเอาเสียเลย

 











คุณชื่นจากไปแล้ว หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือผมเองที่เลือกจะจากมา


ประการแรก ชายหญิงไม่ควรอยู่ด้วยกันตามลำพัง ยิ่งคุณชื่นเป็นหญิงสูงศักดิ์ยิ่งไม่ควร


ประการที่สอง ผมไม่มีเรื่องอะไรจะพูดกับเธออีกแล้ว


ประการที่สาม การเห็นหน้าเธอ...มันทำให้ผมเจ็บใจพิลึก


เจ็บใจ แต่ก็ไม่ได้โกรธ


ไม่โกรธ เพราะรู้สึกว่าเธอน่าสงสาร


คุณชื่นเป็นคนน่าสงสาร เป็นคนอ่อนหวานที่ซ่อนความเศร้าอย่างล้ำลึกไว้ภายใน


เกิดเป็นคนมียศมีศักดิ์ก็ลำบากเหมือนกันนะ


“กร”


ผมสะดุ้งโหยงกับเสียงเรื่องชื่อที่ดังขึ้นไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย


วันนี้กูสะดุ้งไปกี่ทีแล้วถามจริง ถ้าหัวใจวายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบน่ะเฮ้ย


ผมหันไปตามทิศของเสียงเรียก หวังในใจว่าถ้าเป็นบ่าวในโรงครัวพ่อจะด่าให้ยับ


...น่าเสียดายที่ไม่ใช่...


“คุณเปรม”


เขายกยิ้มบางรับคำเรียกชื่อจากผม


“ไปหาสมุนไพรด้วยกันหน่อยสิ”


แหน่ะ หาสมุนไพร verb to หาสมุนไพรงี้


อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้วว่าหื่น


“ไม่ล่ะครับ ผมมีงานมีการต้องทำ”


ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมกล้าจะปากดีใส่เขา ซ้ำร้ายยังกล้าที่จะเถียงด้วย


แถวบ้านเรียกมีพัฒนาการ


“กร”


น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นกดลงเล็กน้อย


ใครสนล่ะ


ผมหันหลังกลับทำท่าจะเดินจากไป


“ถ้าเดินไปก็หาเงินยี่สิบบาทมาจ่ายภายในพรุ่งนี้เสีย”


เท่านั้นล่ะครับ หมุนตัวกลับมาแทบไม่ทัน


คนนิสัยไม่ดีฉีกยิ้มกว้างแล้วเอามือไพล่หลัง


เอ้อ หล่อมาก ผู้ดีมากว่างั้น


“เป็นเด็กดีแต่แรกก็จบแล้ว”


พอพูดจบก็ออกเดินนำไปโดยไม่รอให้ผมประท้วงอะไรสักคำ แต่ก็ดี...


ผมจะได้กรอกตาใส่ได้ถนัดๆ หน่อย


เขาพาผมมาจนถึงกระท่อมหลังหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในสวนลึกเกือบติดรั้วอีกด้านของบริเวณบ้าน ด้านหน้ากระท่อมมีชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่บนแคร่ คุณเปรมเดินเข้าไปพูดอะไรกับเขาสองสามคำก่อนที่จะเดินกลับมาหาผม


“เข้าไปหาสมุนไพรสิ เราจะรออยู่ด้านนอก”


นั่น ดูมันครับดูมัน น่าหมั่นไส้สุดๆ


ผมถอนหายใจใส่เข้าไปหนึ่งทีแล้วเดินตามชายชราที่กำลังเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในกระท่อม


ด้านในนี้ทั้งมืด ทั้งอับเหมือนกระท่อมเก็บสมุนไพรที่บ้านครูบุญไม่มีผิด ผมเหลือบมองคุณลุงข้างๆ เล็กน้อย เขาดูงกๆ เงิ่นๆ ชอบกลจนผมพลั้งปากถามออกไป


“ลุง...ปวดหลังหรือจ๊ะ”


ชายชราหันมาหาผมเล็กน้อยแล้วเริ่มเอ่ยปาก


“โอ๊ย มันก็ไปตามสังขารนั่นล่ะ นี่รู้ไหมว่าข้าเป็นบ่าวบ้านนี้อยู่กี่ปีแล้ว ชั่วชีวิตเลยล่ะไอ้หนุ่ม สมุนไพรใดๆ ถามไอ้ดำคนนี้ได้หมด แต่ทุกวันนี้นะ ยาฝาหรั่งมันก็เข้ามาในพระนครมากมายจนข้าจนปัญญาแล้ว จำไม่ได้เลยว่าอะไรเป็นอะไร พูดก็พูดเถิดนะ....”


หลังจากนั้นลุงก็พร่ำบ่นอีกยาวเหยียดไปตามประสาคนแก่ทั่วไป หัวข้อส่วนใหญ่ที่พูดออกมามักจะเป็นเรื่องของความเหนื่อยหน่ายกับคนหนุ่มสาวสมัยใหม่บ้าง เรื่องสังคมที่เปลี่ยนเร็วเกินไปบ้าง เรื่องคนต่างชาติล้นเมืองบ้าง ทุกคำที่ลุงพูดออกมาล้วนยึดติดกับอดีต เหมือนตัวตนของเขาไม่พร้อมจะอยู่ในยุคสมัยนี้ แต่ใช่ว่าผมจะไม่เข้าใจความรู้สึกพวกนั้นหรอกนะ


ยังไงซะสักวันหนึ่งผมก็ต้องแก่ สักวันหนึ่งผมก็ต้องโหยหาอดีต สักช่วงหนึ่งของชีวิตผมคงมีความคิดทำนองว่า โลกสมัยก่อนเคยดีกว่านี้


สักวันหนึ่งผมก็คงเป็นเหมือนคุณลุง...เป็นคนที่ไม่เข้าใจโลกและอยากให้โลกเข้าใจเราบ้าง


แต่คนอย่างผมนี่จะได้อยู่จนแก่ตายไหมนะ แล้วผมจะแก่ตายที่นี่จริงๆ เหรอ


...


...จะกลับไปได้ไหมนะ...


“เอ้า ไอ้หนุ่ม”


“คะ ครับ”


ผมหลุดจากภวังค์แล้วรีบหันไปตามเสียงเรียก


“ข้าจะไปต้มยาให้คุณหญิงท่าน เอ็งก็ปิดกระท่อมให้เรียบร้อยเสียล่ะ ปิดประตูไว้ก่อนก็ได้ เดี๋ยวข้ากลับมาขันกุญแจเอง”


ผมพยักหน้ารับคำสั่งนั้นอย่างว่าง่ายแล้วทอดสายตามองชายชราที่เดินกระโผลกกระเผลกออกไป


...แล้วอีกคนก็เดินเข้ามา...


เขาไม่ได้เข้ามาเปล่า มือสองข้างนั้นปิดบานประตูไว้เสียด้วย








ออฟไลน์ pigarea

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ลึกๆ แล้วเจ้ก็รัก

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คุณเปรม จะทำอะไรๆ กับกรใช่ไหม  :hao3: :hao3: :hao3:

คุณชื่น เหมือนรู้เรื่องระหว่างคุณเปรมกับกร
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
บางการกระทำของคุณเปรมมันก็น่าหมั่นไส้นะจนบางทีก็ไม่อยากเชียร์เลยจริงๆ

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
อดีต ทำไมนุ้งมอสเจ็บปวดได้เพียงนี้ โลกปัจจุบันดีนะที่มีทีนดูแล

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ net. net_n2537

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :mew6: มอสเอ๊ยยยยย ช่างน่าสงสารเสียนี่กระไร

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
บทที่ 20 ความเจ็บปวด [ครึ่งหลัง]








ผมถอยหลังกรูจนติดผนังกระท่อม


“อย่าเข้ามานะคุณเปรม ไม่เช่นนั้นผมจะร้องจริงๆ ด้วย”


เขาหัวเราะ


“คิดว่าเราจะทำอะไรรึ”


“ทำอะไรก็ไม่รู้ล่ะ แต่ไม่ไว้ใจ”


เขาฉีกยิ้มกว้าง


“ทำตัวอย่างกับพวกแมว”


แม้แสงด้านในจะสลัวแต่ผมก็พอมองออกว่าเขากำลังมองหน้าผมด้วยรอยยิ้มกว้าง


“หรือจะเป็นปักษาสวรรค์ดีนะ จะได้พ้องกับชื่อกรวิกอย่างไรเล่า”


ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่คิดจะตอบรับคำพูดหวานเลี่ยนนั้นแม้แต่น้อย


“นกการเวก ว่ากันว่าเป็นปักษาสวรรค์ ใครที่ได้ยินเสียงนกการเวกเป็นอันต้องตกบ่วงมนตราหยุดฟังไปเสียทุกครา สงสัยว่าพี่เองก็จะตกบ่วงมนตรานกการเวกตนนี้เสียแล้วกระมัง”


ผมเกลียดเวลาเขาพูดแบบนี้


เกลียดเวลาเขาเกี้ยวพาราสีผมเหมือนไม่มีพันธะอะไร


เกลียดที่เขาพูดแบบนี้กับผมทั้งที่มีคุณชื่นนั่งเศร้าอยู่ข้างนอกนั้น


...เหนือสิ่งอื่นใดคือผมเกลียดตัวเองที่ชื่นชอบคำพูดแบบนั้นของเขา...


“ผมไม่ชอบให้คุณพูดแบบนั้นเลย”


แม้จะมองไม่เห็น แต่ผมเชื่อว่าเขาจะสัมผัสได้ว่าผมจ้องมองเขาอยู่


“คุณมีคุณชื่นอยู่แล้วนะ”


ร่างสูงใหญ่นั้นก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ


“อย่าเข้ามานะคุณเป...”


“พี่ชอบกร”


ผมนิ่งค้าง ความรู้สึกในอกมันทั้งเต็มตื้นและเจ็บปวด


ผมกำลังทำเรื่องผิดบาป


“พี่ชอบจนรัก”


แขนใหญ่สองข้างดึงผมเข้าสู่อ้อมกอดอุ่น


“พี่ชอบเจ้า ชอบเหลือเกิน”


ยิ่งเข้าบอกว่าเขาชอบผมมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งเกลียดตัวเองมากขึ้นเท่านั้น


...เกลียดตัวเองที่เผลอยกมือขึ้นกอดตอบ...


“พี่ไม่กลัวว่าใครจะรู้เรื่องของเราหรือ”


ทำไมผมถึงถามไปแบบนั้นล่ะ ทำไมผมถึงทำตัวร้ายกาจได้ขนาดนี้


เขาดันตัวออกเล็กน้อยแล้วเอามือลูบหน้าผมแผ่วเบา


“ไยต้องกลัวคนรู้เล่า ความรัก ใช่สิ่งผิดรึ”


นุ่มนวลและอ่อนหวาน


หวานจนเสียดแทงไปทั้งใจ


“ความรักไม่ใช่เรื่องผิด แต่พี่อาจจะกำลังรักคนผิด ผม...ผมอาจไม่ใช่คนที่พี่ควรรัก”


เขาเลือกที่จะเงียบแล้วปล่อยให้ผมพูดต่อไป


“พี่สูงค่าเกินกว่าจะมารักคนอย่างผม”


คุณชื่นรออยู่ข้างนอกนั่น คุณชื่นคือคนที่น่ารัก


...น่ารักและควรรัก...


“เราเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าความรักเขาวัดกันที่ยศถาบรรดาศักดิ์ เผลอเข้าใจผิดว่าวัดกันที่ใจมาเสียเนิ่นนาน”


เขาเอ่ยติดตลกหวังแล้วลูบศีรษะผมแผ่วเบา


“อย่ากังวลไปเลยดวงใจพี่ รักก็คือรัก จะต่ำจะสูงอย่างไร พี่ก็จะรักปักษาสวรรค์ตัวนี้อยู่ร่ำไป”


ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่ความรัก ความรักต้องทำให้ทุกคนมีความสุขสิ ความรักที่เราสุขแต่คนอื่นต้องมาทุกข์


...ผมไม่ต้องการ....


เพราะแบบนั้นผมจึงเลือกที่จะดันตัวเองออกจากอ้อมกอดกว้าง


แม้จะเสียดายไออุ่นที่ห่างออกไป แต่สิ่งที่ถูกต้องก็คือสิ่งที่ควรทำอยู่ยังวันยังค่ำ


บางครั้งสิ่งที่เราต้องการกับสิ่งที่ควรทำก็อาจจะสวนทางกัน และผมคือคนที่เลือกจะทำสิ่งที่ถูก


“คุณชื่นอยู่ข้างนอกนั่น ไปหาเธอเถอะครับ”


พอพูดจบผมก็ผละออกมาหวังเดินจากไปให้พ้นๆ เสียที ติดอยู่ที่เขาคว้าแขนผมเอาไว้ได้เสียก่อน


“แต่พี่มีความรักให้น้องโดยบริสุทธิ์ใจเสมอมา”


เขาบีบแขนผมแน่นขึ้นอีก


“คนที่พี่รักคือน้อง ไม่ใช่แม่ชื่น”


ผมสบหน้าตาเขานิ่ง แม้จะมองเห็นไม่ถนัดแต่ผมมั่นใจว่าเขารับรู้ได้


“ปล่อยผมไปถอะครับคุณเปรม เส้นทางของเราไม่มีวันบรรจบกันหรอก”


เพียงเท่านั้น แรงที่จับแขนอยู่ก็ผ่อนลงจนผมสามารถดึงแขนออกมาได้อย่างง่ายดาย


หลังจากนั้นทุกอย่างก็ผ่านไปได้อย่างง่ายได้


ผมผลักประตูออกมาโดยไม่มีเสียงคัดค้านตามหลัง


ผมเดินจ้ำไปได้ไกลโดยไม่มีใครสั่งให้หยุด


ผมแกว่งแขนได้อย่างอิสระ


แต่หัวใจของผมกลับเจ็บจนปวดไปหมด


เจ็บจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ


เจ็บจนภาพตรงหน้าพร่ามัวไปหมด


เจ็บจนอยากวิ่งหนีไปให้ไกลๆ แต่ก็ทำไม่ได้


ยากจังเลย...ความรักนี่มันยากจังเลย

 











กว่าผมจะทำงานที่โรงหมอเสร็จก็ปาไปเย็นมากแล้ว พอกลับมาถึงบ้าน บริเวณรอบด้านจึงมืดสนิท เหลือเพียงแสงสลัวจากตะเกียงดวงน้อยที่คอยนำทาง ประตูหน้าบ้านถูกปิดสนิทแต่แสงนวลๆ ที่ลอดออกมาตามจากใต้ประตูทำให้ผมรู้ว่าด้านในนั้นยังมีคนอยู่ อีกฝากของประตูคงเป็นใครสักคนที่ผมไม่อยากเจอ ไม่ว่าจะเป็นอาป๊า อาเฮียหรือแม้กระทั่งอาม้า ผมก็ไม่อยากเจอทั้งนั้น


แต่ชีวิตคนเราใช่ว่าจะมีทางเลือกมากนัก


ผมสูดลมหายใจเข้าเรียกกำลังใจให้ตัวเองแล้วออกแรงผลักประตูเบาๆ บานประตูไม้เปิดอ้าออกทีละน้อย ค่อยๆ เผยภาพด้านในให้เห็น แล้วผมก็ได้เห็นสิ่งที่ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็น...


อาเฮียนั่งอยู่ตรงนั้น นั่งอยู่บนพื้นข้างตะเกียงดวงน้อยที่ทอแสงนวลอร่ามตา


เขาเหมือนหลุดเพิ่งจากภวังค์ นัยน์ตาเลื่อนลอยนั้นเหลือบมองผมแล้วเบนหลบ


“กว่าจะกลับมาได้นะ”


เขาพูดแค่นั้นแล้วก็ยันตัวลุกขึ้นพร้อมกับหยิบตะเกียงมาส่งให้ผม


“ม้าบอกให้อั๊วรอลื้อกลับบ้านแล้วค่อยปิดประตู ข้าวอยู่บนโต๊ะ กินแล้วก็เก็บล้างเสียด้วย”


เขาว่าเพียงเท่านั้นแล้วเดินผ่านผมไปล็อคประตูด้วยท่าทีเรียบเฉยเหมือนปกติ


...ปกติจนน่าแปลกใจ...


ในความรู้สึกของผม บรรยากาศระหว่างพวกเราพี่น้องมันแสนแปลกประหลาด มันก่ำกึ่งอยู่ระหว่างความกระอักกระอ่วนและเรียบเฉย จะว่าเจอหน้ากันแล้วทำตัวไม่ถูกก็ไม่ใช่ รู้สึกเฉยๆ ก็ไม่เชิง


ผมไม่ชอบเอาเสียเลย


“ได้ข่าวว่าไปทำงานแทนพลอยที่บ้านคุณเปมทัตรึ”


ผมแปลกใจกับคำถามที่ขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่ก็ยอมตอบกลับไปแต่โดยดี


“ครับ”


บรรยากาศระหว่างพวกเราทวีความแปลกประหลาดมากขึ้นกว่าเก่า มันเป็นความเงียบที่แปลกประหลาด จะว่าอึดอัดก็ไม่ใช่ ชอบใจก็ไม่เชิง


แปลก แปลกไปหมด


“เช่นนั้นหรือ...”


เขาทอดเสียงเหมือนกำลังดำดิ่งอยู่ในห้วงความคิดบางอย่าง


“ได้ข่าวมาว่าเขาจะแต่งงาน เป็นผู้หญิงลูกเจ้านายที่ไหนรึ”


ผมขมวดคิ้วแล้วเลือกที่จะหันไปมองหน้าเขาตรงๆ


“เฮียถามทำไม”


เขายังคงหันหลังให้ผม เผชิญใบหน้ากับบานประตูไม้ผุเก่า มือสองข้างขยับเหมือนกำลังขันกุญแจ


ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกไปว่าเขากำลังเสแสร้งแกล้งทำ


“ก็แค่อยากรู้”


เขาตอบมาแค่นั้น ไม่มีการขยายความอะไรเพิ่มเติม ฟังดูมีพิรุธชอบกล


ถึงจะแปลกใจแต่ผมก็ไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องร้ายแรงอะไรที่จะตอบออกไป


“เธอชื่อคุณชื่น เป็นลูกสาวของคุณพระมิ่ง”


เพียงเท่านั้น เขาก็หันหน้าขวับมามองผมแทบจะทันที แม้แสงจะสลัวแต่ก็สว่างพอที่จะมองเห็นว่านัยน์ตาคู่นั้นเบิกโพล่งอย่างคนตกใจสุดขีด


ทำไมถึงตกใจขนาดนั้น


“มีอะไรรึเปล่าเฮีย”


เหมือนเขาเพิ่งได้สติ ใบหน้าหยาบกร้านจากการทำงานหนักนั้นสั่นรัว


“ไม่มีกระไร ลื้อไปนอนได้แล้ว”


เขาพูดแค่นั้น แล้วก็ยืนค้างอยู่อย่างนั้น


น่าสงสัย


“เฮียไม่ได้ไปก่อเรื่องอะไรอีกใช่ไหม”


เขาทำเพียงปรายตามามองผมเล็กน้อยแล้วหันกลับไปตามเดิม


“ไม่ใช่กงการของลื้อ”


เฮอะ ไม่ใช่กงการของผมงั้นเหรอ เวลาตัวเองก่อเรื่องใครล่ะที่คอยตามเช็ดตามล้าง มอสไง เฮลโหล่


ช่างเถอะ คร้านจะใส่ใจแล้ว


ผมสะบัดหน้าใส่เขาแล้วเดินเข้าห้องมาในที่สุด ถ้าเขาอยากจะยืนอยู่ตรงนั้นจนถึงเช้ามันก็เรื่องของเขา ขอแค่อย่าก่อเรื่องให้ผมเพิ่มมากกว่านี้ก็พอ






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
เฮียชาติกับคุณชื่นรักชอบกันรึ เดาหนะ

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
บทที่ 21 พลาด [ครึ่งแรก]











ผมกำลังเสียศูนย์


ภาพตรงหน้าผมพร่าเลือนไปหมด ผมไม่สามารถบอกได้เลยว่าตัวหนังสือที่เขียนอยู่บนกระดาษแต่ละแผ่นมันแปลว่าอะไร ผมบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามือผมกระตุกไปกี่ครั้งเพื่อไม่ให้หยดน้ำจากตาเปื้อนเอกสารสำคัญตรงหน้า


ผมหยุดตัวเองไม่ได้เลย


...คำพูดพวกนั้นมันวนเวียนอยู่ในหัวไม่ยอมหยุด...


ผมจำได้ว่าเมื่อเย็นมีบ่าวหนุ่มคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในโรงครัวแล้วเอ่ยปากถามพวกเราด้วยน้ำเสียงกึ่งตื่นเต้นกึ่งดีใจ


“พวกเอ็งรู้เรื่องที่คุณเปรมจะแต่งงานหรือยัง”


“โอ๊ย เขารู้กันไปทั้งบางแล้วกระมัง”


ผมจำได้ว่ามีคนหนึ่งตะโกนตอบกลับไป แต่ก็ไม่ได้หันไปใส่ใจมากนัก


ผมคงกำลังตกใจ


“ไม่ใช่เยี่ยงนั้นจ้ะแม่อิ่ม ข้าหมายถึงเรื่องที่ท่านเจ้าคุณไปหาฤกษ์มาได้ว่าคุณเปรมต้องแต่งงานในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่างหากล่ะจ้ะ”


“หนึ่งสัปดาห์! เร็วปานนั้นเชียวรึ”


“ได้ข่าวว่าคุณหญิงท่านยื่นคำขาดเร่งงานแต่ง เพราะคุณชื่นท่านก็มาอยู่ที่นี่นานแล้ว เกรงจะไม่งาม”


“ก็จริงอย่างที่คุณหญิงท่านว่า คุณชื่นเธอก็มาอยู่ที่นี่เกือบจะเดือนหนึ่งแล้ว ร่ำเรียนวิชาการบ้านการเรือนไปหมดแล้ว ตบแต่งเสียให้เรียบร้อยจะได้ไม่เป็นขี้ปากคน”



ถูก ทุกอย่างที่ทุกคนพูดออกมาล้วนเป็นเรื่องที่ถูก ทั้งเรื่องที่คุณชื่นควรแต่งงานเสียที จะได้ไม่เป็นขี้ปากคน รวมไปถึงเรื่องที่ว่าหนึ่งสัปดาห์ก็เป็นเวลาเตรียมตัวที่น้อยเกินไปก็ด้วย


ถูก ถูกทุกอย่างเลย ถ้าจะหาสักอย่างที่ผิด...


...ก็คงเป็นผมเอง...


ถ้าจำไม่ผิด ตอนนั้นผมขอตัวออกมาแทบจะทันที อ้างว่าต้องรีบไปทำงานใช้หนี้ คงเป็นเพราะผมก็ไม่ใช่คนที่มีประโยชน์อยู่แล้ว ทุกคนเลยปล่อยผ่านไป


ปล่อยให้ผมเดินออกมาโดยง่าย


ดีแล้ว ถ้ามีใครสักคนรั้งผมไว้อีกนิดเดียว ผมคงขาดใจตายตรงนั้น ในอกมันหน่วงไปหมด เจ็บไปหมด พอรู้ตัวอีกทีก็เดินมาจนถึงโรงหมอเสียแล้ว


ผมเดินทางมาไกลขนาดนี้โดยไม่รู้ตัวได้ยังไงกันนะ


คงเพราะพระเจ้าเห็นใจผมอีกครั้ง จู่ๆ หมอก็มีเคสด่วนต้องออกไปรักษานอกสถานที่ เลยกลายเป็นว่าผมสามารถใช้โรงหมอแห่งนี้เป็นที่ซ่อนตัวได้โดยปริยาย


ซ่อนทั้งตัว ซ่อนทั้งความรู้สึก ขอให้ทุกอย่างจบลงที่นี่ ขอให้น้ำตาหยดสุดท้ายหยดลงตรงนี้ ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี


...ขอให้ผมมีความสุขเสียที...


“ไม่เป็นไรนะเด็กดี”


ก่อนที่ผมจะตั้งตัวได้ร่างทั้งร่างก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมแขนแกร่ง


...อุ่นจัง...


“ร้องออกมานะ ไม่เป็นไรแล้ว”


มือใหญ่ๆ ที่ลูบหัวอยู่มันอุ่นจังเลย


“ผมอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างๆ กรนี่ไง”


สิ้นคำพูดนั้น ผมก็รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบถล่มลงมาทับ


ผมร้องไห้ ร้องไห้เหมือนจะตาย ร้องไห้ให้กับคำที่ผมเฝ้ารอมาตลอด


‘อยู่ข้างๆ กรนี่ไง’


แค่ประโยคนี้เท่านั้นที่ต้องการ ผมอยากได้ยินมันจากใครสักคนมาตลอด ใครก็ได้ที่ทำให้ผมมั่นใจว่าเขาจะไม่ไปไหน


...ใครก็ได้ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว...


คุณเปรมเคยเป็นคนนั้น เขาเป็นคนแรกที่กอดผม จูบผม บอกว่ารักผม บอกว่าผมจะไม่เป็นไรถ้ารักเขา


แล้วยังไงล่ะ? สุดท้ายผมก็เหลือตัวคนเดียว


...เหลือตัวคนเดียวอยู่ดี...


อาม้า อาป๊า อาเฮีย อาเจ้ เคยมีใครสักคนที่จะยื่นมือเข้ามาหาผมจริงๆ บ้าง สุดท้ายทุกคนก็คิดถึงแต่ตัวเอง


...สุดท้ายผมก็คิดถึงแต่ตัวเอง...


ผมรู้ว่าผมเป็นคนไม่ดี แล้วคนอื่นล่ะ คนอื่นก็ทำเหมือนกันไม่ใช่เหรอ


อ้อมแขนที่โอบล้อมรอบตัวผมขยับแน่นขึ้นอีก


ความคิดในหัวผมตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด ความผิดหวังจากเรื่องของคุณเปรมจุดชนวนให้เรื่องอื่นๆ ถูกขุดขึ้นมาทั้งหมด ทั้งเรื่องอาม้าที่ไม่ยอมเข้าใจอะไรสักอย่าง เรื่องไอ้มั่นที่หายหัวไปในยามที่ผมต้องการมันที่สุด เรื่องอาเจ้ที่ผมรู้ดีว่าทุกคนมีส่วนผิด แต่เธอก็ผิดที่เลือกจะหนีปัญหา เรื่องอาเฮียที่ไม่เคยคิดจะทำเรื่องดีๆ ให้ครอบครัวเลยสักครั้ง


เรื่องที่ว่าทำไมผมต้องมาเจอเรื่องเฮงซวยพวกนี้ด้วย ผมผิดอะไร ผมคือมอสไม่ใช่กรวิก ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ใช้ชีวิตอย่างปกติ ผมก็แค่คนปกติ แค่คนธรรมดาที่มีดีบ้าง แย่บ้าง แล้วทำไมผมต้องมาเจอเรื่องพวกนี้ด้วย


ไม่เห็นจะเข้าใจเลย


ความเสียใจเปลี่ยนเป็นความไม่เข้าใจ


ความไม่เข้าใจกำลังเปลี่ยนเป็นความโกรธ


“หมอ”


ผมดันตัวเองออกจากแผงอกแกร่ง


“ร่ำสุรากันไหม”


เขาขมวดคิ้วพลางอ้าปากทำท่าจะห้าม ติดที่ผมพูดสวนขึ้นเสียก่อน


“หมอไม่ดื่มผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ ประเดี๋ยวผมไปคนเดียวก็ได้”


เพียงเท่านั้นเขาก็นิ่งไป


...นิ่งอยู่อึดใจ...


“เช่นนั้นเดี๋ยวเราดื่มเป็นเพื่อน พอดีเพิ่งจะได้บรั่นดีชั้นดีมาจากสหายเก่าที่ล่องเรือมาเมื่อวาน ถือว่าฉลองเสียเลยดีไหม”


ฉลอง? ฉลองอะไร ฉลองให้ความเสียใจเหมือนในเพลงอกหักงี้เหรอ


“ฉลองให้กับความเศร้าอย่างไรเล่า”


นั่นไง เดาอะไรเคยผิดซะที่ไหน สำคัญคือเสี่ยวสุดๆ


แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมหัวเราะ


“หัวเราะอะไร”


เขาถามเสียงเข้ม แต่ใบหน้านั้นกลับเจือด้วยรอยยิ้มกว้าง


...อบอุ่นและใจดีเหมือนอย่างเคย...


ผมค่อยๆ เอื้อมมือไปกุมมือเขาไว้


“หมอ”


เขาเบิกตาโตพลางจ้องผมนิ่งอย่างตั้งใจฟัง


...ตลกเป็นบ้า...


ผมหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้งแล้วสบตาเขาทั้งๆ ที่ยังไม่หุบยิ้ม


...ยิ้ม ทั้งๆ ที่ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา...


“อย่าเปลี่ยนไปนะ”


ผมบีบมือเขาแน่นขึ้นอีกหน่อย


“ถ้าหมอเปลี่ยนไปอีกคน...”


คิดเพียงเท่านั้น ร่างทั้งร่างก็พลันอ่อนแรง


“ผมคงต้องตายแน่ๆ เลย”


เพียงเท่านั้นผมก็ถูกดึงเข้าไปกอดอีกครั้ง


อ้อมแขนนั้นอบอุ่น อุ่นจนอยากจะฝังตัวไว้ในอ้อมกอดนี้ตลอดไป


ถ้ามีคนๆ นี้อยู่ข้างๆ ไปตลอดก็คงจะดี แต่ผมไม่อยากคาดหวังอะไรอีกแล้ว


...ไม่อยากอีกแล้ว...

 











หลังจากอารมณ์ผมเริ่มกลับมาคงที่ ขวดแอลกอฮอล์มากหน้าหลายตาก็ถูกลำเลียงออกมาวางไม่ขาดสาย


“ขวดนี้เป็นไวน์จาก France บ่มมาได้เกือบร้อยปีแล้ว นับว่าเป็นไวน์ชั้นยอด ไม่รักกันจริงอย่าหวังว่าจะได้ลอง”


“แบบนี้ก็แปลว่าหมอรักผมอย่างนั้นหรือครับ”


เขาชะงักแล้วหันมาสบตาผมนิ่ง ริมฝีปากที่ประดับด้วยรอยยิ้มหุบลง เหลือไว้เพียงใบหน้าจริงจัง


จริงจังเสียจนผมรู้ว่าเขาจะพูดอะไรต่อ


“ถ้าบอกว่าระ...”


“ผมว่าเรามาดื่มกันเลยดีไหมครับ อยากลองชิมจะแย่แล้ว”


แม้จะรู้ว่าการพูดขัดจังหวะขึ้นมากลางคันเป็นเรื่องเสียมารยาทแต่ผมก็ยอม


...ยอมเสียมารยาทดีกว่าเสียความรู้สึก...


ผมยังรักคุณเปรม ทั้งรักทั้งเกลียด ส่วนหมอ...ผมเองก็บอกไม่ได้ว่าเขาอยู่ในสถานะไหน ความสัมพันธ์ของเราแน่นแฟ้นกว่าเจ้านายลูกน้องทั่วไป จะบอกว่าเป็นเพื่อนก็ไม่ใช่ บอกว่าเป็นคนรักยิ่งผิดไปกันใหญ่ มันเป็นเพียงความสัมพันธ์ที่ยากจะระบุสถานะ เป็นความสัมพันธ์ที่ก่ำกึ่งระหว่างความรักแบบเพื่อนกับความรักแบบแฟน มันอยู่ระหว่างกลางมาตั้งแต่แรกและผมเองก็บอกไม่ได้ว่าอยากให้มันเอนไปทางไหน


เขาสำคัญกับผม...นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมคิดออก


ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่คนรัก แต่เป็นคนสำคัญ เป็นคนที่ถ้าขาดหายไป...


...ชีวิตผมคงแย่...


ถ้าเขาขอเลื่อนสถานะขึ้นมาเป็นคนรัก ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะทำให้เขาได้ไหม


...หนึ่งเพราะไม่เคยคิดกับเขาในแง่นั้น...


...สองเพราะผมยังลืมคุณเปรมไม่ได้...


คุณเปรมยังมีอิทธิพลกับหัวใจของผมมากเกินไป ถ้าเกิดผมต้องตอบรับความรู้สึกของหมอทั้งๆ ที่ผมยังมีใจให้คุณเปรม ผมคงได้กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวเข้าจริงๆ


“ดื่มเยอะขนาดนั้นเดี๋ยวก็เมาเข้าจริงๆ หรอก”


เสียงร้องเตือนจากคนที่นั่งใกล้ๆ ทำให้ผมต้องหันไปมอง


แค่เพียงสะบัดหัวนิดหน่อย โลกทั้งโลกก็เหมือนโดนเขย่าอย่างรุนแรง มือที่ค้ำยันตัวเองไว้กับพื้นถูกยกขึ้นเพื่อกุมหัวที่ปวดหนึบ ทำให้ร่างทั้งร่างของผมหล่นวูบลงไปกองกับพื้นดังปั้ก


เจ็บโว้ย


“ดูสินั่น สภาพดูได้เสียที่ไหน”


ฝ่ามือใหญ่ช่วยพยุงให้ผมลุกขึ้นนั่งได้ตรงเหมือนเดิม แต่ผมกลับรู้สึกว่าโลกมันหมุนไปหมุนมาแปลกๆ


ทำไมกันน้า


...หรือผมกำลังฝันอยู่?...


“นี่ นั่งดีๆ สิ อย่าโยกไปโยกมา”


ใครโยกไปโยกมา ไม่มี๊ ไอ้หมอนี่ท่าจะเมานะเนี่ย


...หรือผมจะฝันไปจริงๆ?...


“กร นั่งดีๆ”


พูดมากจริงๆ


“กร อย่าเอียงไปเอียงมะ...”


มือของผมคว้าหมับเข้าที่ปากของอีกฝ่ายแล้วบีบไว้แน่น


“หมอ...”


ทำไมเสียงของผมมันยานค้างแปลกๆ


ใช่ ต้องเป็นฝันแน่ๆ


“พูดมาก น่ารามคาน”


ผมได้ยินเสียงเขาหัวเราะ ใบหน้าของคนที่ถูกบีบปากแยกออกเป็นสองสามหน้าซ้อนทับกันไปมา


ท่าทางจะฝันแล้วจริงๆ


แต่ทำไมเขาถึงดูมีความสุขขนาดนั้นนะ นี่ฝันของผมนะ ผมต้องมีความสุขคนเดียวสิ


“ยิ้มอาราย”


เขายังคงยิ้มอยู่เหมือนเดิมแล้วไม่ตอบอะไร


“ยิ้มอยู่ด้าย ไม่ยอมตอบซ้ากที”


ผมได้ยินเสียงหัวเราะอีกครั้ง แต่คราวนี้มันมาพร้อมกับมือใหญ่ๆ ที่ดึงมือผมออกมาจากปากของอีกฝ่าย


“ก็กรปิดปากผมอยู่ จะพูดได้อย่างไรเล่า”


เอ้อ จริงๆ


ผมยอมเอามือออกจากปากของอีกฝ่ายตามการชักนำของฝ่ามืออุ่น แต่ผมยังไม่ได้ละสายตาไปจากใบหน้าคมสันที่แสนคุ้นเคย


หล่อจังเลยน้า


“หมอหล่อดีเนอะ”


เขาหัวเราะจนตัวโยน


“ถ้ารู้ว่าเมาแล้วน่ารักขนาดนี้ ผมมอมเหล้าไปเสียตั้งนานแล้ว”


อะไร ใครน่ารัก ใครเมากัน


สงสัยจะฝันจริงๆ เสียแล้วล่ะ


สายตาของผมยังคงจดจ่ออยู่กับใบหน้าหล่อเหลาและ...ริมฝีปากอิ่มได้รูป


เพียงแค่มองริมฝีปาก ผมก็ดันเห็นภาพของอีกคนทับซ้อนขึ้นมา


ริมฝีปากอิ่มคู่นั้น มันเคยเป็นของผม แต่ตอนนี้มันกำลังจะกลายเป็นของคนอื่น...


...เป็นของคุณชื่น...


จู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงความพลุ่งพล่านบางอย่างที่พวยพุ่งขึ้นมาในอก เสียงหนึ่งในใจได้ห้ามปรามความรู้สึกนั้นเอาไว้ แต่อีกเสียงหนึ่งกลับบอกว่า...


...ก็เป็นแค่ฝันนี่นา...


ถ้าเป็นแค่ฝัน งั้นผมก็ทำอะไรที่ผมอยากทำเลยน่ะสิ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ถ้าได้ประชดคุณเปรมออกไปบ้างผมคงมีความสุขขึ้น


“หมอ”


ผมเรียกชื่อเขาออกไป


“อยากจูบ”


ใจหนึ่งคืออยากประชดคนใจร้าย แต่อีกใจมันกลับ...อยากจูบขึ้นมาจริงๆ...


...โชคดีที่เป็นแค่ฝัน...


“มาจูบหน่อย”


ไม่ต้องรอให้ขออีกเป็นรอบที่สอง คนตัวโตก็พุ่งเข้ามาทาบทับความหยุ่นร้อนนั่นกับริมฝีปากของผม


หวานจริงๆ ด้วย


รู้สึกดีอย่างที่คิดเอาไว้เลย


ฝันนี่ดีจริงๆ










ออฟไลน์ pigarea

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
กรเอ๋ยยยยย ทำอะไร​ไป

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
กรกับหมอ ดีมากคร้า เค้าจะทำไรกานนร้า อยากให้กรมีความสุข ในยุคอดีตกับหมอ

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
บทที่ 21 พลาด [ครึ่งหลัง]








พวกเราจูบกัน เขาไล่ต้อนบ้าง ผมรุกไล่บ้าง จูบอยู่อย่างนั้นราวกับกลัวว่าถ้าละจูบออกไปจะต้องพ่ายแพ้ให้กับอีกฝ่าย


ผมขบริมฝีปากเขา เขาขบริมฝีปากผมกลับ


ปลายลิ้นของผมหยอกล้อกับปลายลิ้นของเขา ตัวเขาเองเลยทำไม่ต่างกัน


จูบของเรามันหวาน มันหอม จนยากจะหยุด


แต่แล้วจู่ๆ เขาก็หยุด


พวกเราสองคนหอบหายใจจนตัวโยนจากการจูบมาราธอนเมื่อครู่


“พอเถอะกร”


เขาผลักผมออกจากตัว


“ก่อนที่อะไรจะเกินเลยมากไปกว่านี้”


เขาเงยหน้าขึ้นสบตาผม


“ใจของเธอไม่ใช่ของผม ต่อให้ได้ตัวไปก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี”


ประโยคนั้นของเขาทำให้ผมสะอึก


ใจร้าย ไอ้หมอใจร้าย นี่ความฝันของผมนะ มีสิทธิอะไรมาพูดจาแบบนี้กัน


“แล้วยังไงล่ะ”


ผมตอบกลับด้วยความฉุนเฉียว แต่น้ำเสียงกลับฟังอู้อี้พิกล


“คนที่ผมให้ใจไปยังไงเขาก็ไม่สนอยู่ดี”


ทำไมตาของผมมันร้อนขนาดนี้นะ


ยังไม่ทันที่ผมจะได้หาข้อสรุป ร่างทั้งร่างก็ถูกดึงเข้าสู่อ้อมอกอุ่น


อุ่นเหมือนจริงเลย


“เธอจะมีความสัมพันธ์กับเราเพื่อประชดเปรมหรือ”


พอฟังคำถามจบผมก็นิ่งไป


ถ้าตอบว่าใช่ เขาจะเกลียดผมไหม


ไม่ได้หรอก ต่อให้เป็นความฝันก็พูดออกไปไม่ได้หรอก


“ผมไม่เคยคิดทำอะไรต่ำตมแบบนั้นหรอก”


ผมดันหน้าออกจากอกของเขาแล้วเงยหน้าสบตา


“นี่ร่างกายผมนะ อยากจะมีอะไรกับใครผมก็ต้องเต็มใจเองสิ”


ผมโกหก


มอสเป็นคนขี้โกหก แม้แต่ในฝันก็ยังขี้โกหก


ดวงตาสีฟ้าเข้มนั้นจ้องผมนิ่ง


“แล้วอยากจะมีสัมพันธ์กับเรา...เพราะอะไร”


ผมเอื้อมมือไปจับแก้มของเขาแล้วค่อยๆ ไล้ไปตามโครงหน้าคมสันอย่างชาวตะวันตก แต่ในใจดันพาลคิดถึงคนอีกคนที่มีใบหน้าคมสันอย่างชาวตะวันออก


ป่านนี้คนๆ นั้นจะทำอะไรอยู่นะ


“เพราะจมูกโด่งๆ นี่...”


จมูกโด่งๆ ที่เคยคลอเคลียกับผม


“เพราะปากที่ช่างพูดนี่”


ปากสวยได้รูปที่ขยันหาคำมาดุด่าผมได้ตลอดเวลา


“แล้วก็...”


ผมสบตาเขานิ่ง


“เพราะเป็นหมอล่ะมั้ง”


มีเพียงประโยคนี้เท่านั้นที่ผมสื่อถึงคนที่ผมกำลังพูดด้วย และผมหมายความอย่างนั้นจริงๆ


แม้นี่จะเป็นเพียงการมีอะไรกันเพื่อลบภาพของอีกคนไปจากใจ แต่ถ้าไม่ใช่เขา...ถ้าไม่ใช่หมอ ผมก็ไม่เอาด้วยเหมือนกัน


มีเพียงตะวันดวงนี้เท่านั้นที่จะลบทุกสิ่งทุกอย่างออกไปจากใจของผมได้


สิ้นคำพูดผม ร่างทั้งร่างก็ถูกรวบกอดแล้วกดตรึงไว้กับพื้นไม้เย็นแข็ง


“ตัดสินใจแล้วนะ”


ในหัวของผมปวดตุบจนคิดอะไรไม่ออก จึงทำได้แค่พยักหน้าไปเบาๆ


หลังจากนั้นเขาก็พาผมก็ดื่มด่ำกับความฝันแสนหวานครั้งแล้วครั้งเล่า


...เป็นฝันที่ดีจริงๆ...

 









ปวดหัว


ปวดหัวจนจะระเบิดอยู่แล้ว


ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นทีละน้อยเพราะแสงแดดที่ลอดผ่านรอยแตกตรงหน้าต่างมันแยงตาจนแสบไปหมด กว่าจะลืมตาได้เต็มที่ก็ผลาญเวลาไปหลายนาที ผมหลับตาลงอีกครั้งแล้วดันตัวเองขึ้นนั่งก่อนจะสะบัดหัวไล่ความปวดหนึบ


ตื่นสายป่านนี้ พวกคนในโรงครัวคงด่าบุพการีผมกันสนุกปากแล้วมั้ง


...เดี๋ยวนะ!...


ผมลืมตาโพล่งขึ้นอย่างคนเพิ่งนึกอะไรออกแล้วกวาดตามองไปรอบตัว


เครื่องเรือนเครื่องใช้ดูมีราคาค่างวดแตกต่างจากห้องนอนซอมซ่อที่คุ้นเคย เตียงสี่เสาที่ผมนั่งอยู่ก็ดูไม่คุ้นตา ไหนจะกลิ่นหอมสะอาดที่ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องนี่อีก


ฉิบหาย ห้องใครวะเนี่ย


...เดี๋ยวนะ...


ผมก้มมองสภาพของตัวเองแล้วยิ่งตกใจมากกว่าเก่า ตัวของผมเปลือยเปล่า แย่ไปกว่านั้นคือบริเวณแผงอกไล่ขึ้นไปถึงคอมีแต่รอยจ้ำเต็มไปหมด ที่ร้ายที่สุดก็คือ...


พอผมพยุงตัวเองลงจากเตียง ทันทีที่ยืนขึ้นของเหลวแปลกปลอมเหนียวขุ่นก็ไหลอาบต้นขาจนเหนอะนะ


...ชัดเลย...


กูไปมีอะไรกับใครเนี่ย!


ผมพยายามทบทวนความทรงจำล่าสุดของตัวเอง จำได้ว่านั่งดื่มเหล้าอยู่กับไอ้หมอ จากนั้นก็...


เวรกรรม จำไม่ได้เลย


โอ๊ย เพราะแบบนี้ไงผมเลยไม่ชอบเมา เวลาไปกินเหล้ากับไอ้ไม้ก็พยายามจะดื่มอย่างรู้ลิมิตตัวเอง สงสัยเมื่อวานคงเสียศูนย์จากคุณเปรมไปหน่อยเลยซัดเข้าไปจนปลิ้นขนาดนี้ ไอ้หมอนะไอ้หมอ แทนที่จะช่วยดูแลกันยามยาก ดันปล่อยให้ผมไปบะบะโอบะบะกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ อย่าให้เจอนะ พ่อจะด่าให้สำนึกไม่ทันเลย


“อ้าวกร ตื่นแล้วรึ”


น้ำเสียงคุ้นเคยที่เอ่ยทักทำให้ผมต้องรีบเงยหน้ามอง


...ไอ้หมอ...


ใจนึกอยากด่าครับ แต่ยางอายต้องมาก่อน ผมคว้าเอาผ้าห่มบนเตียงมาห่อตัวพอให้ไม่อุจาดตาแล้วกอดอกเตรียมตี


“ไปอาบน้ำล้างตัวก่อนนะ เดี๋ยวจะทำอะไรให้กะ...”


“ไอ้หมอ!”


เขาสะดุ้ง


มึงสะดุ้งทำไม กูนี่ต้องสะดุ้ง


“หมอปล่อยให้ผมไปมีความสัมพันธ์กับใครได้อย่างไร แล้วนี่ผมมาอยู่ที่ห้องของหมอได้อย่างไร แล้วทำไมหมอไม่ห้ามผมตอนที่เห็นว่าผมเมาเล่า แล้วทำไม...”


“ใจคอไม่คิดว่าเธอจะมีสัมพันธ์กับผมบ้างรึ”


คำพูดของเขาทำให้ผมหยุดชะงัก


ดวงตาสีฟ้าสบกับผมนิ่ง ไม่มีรอยยิ้มประดับหน้า ไม่มีแววตาขบขันล้อเล่น


เอาซะกูหายแฮงค์เลย


“หมอ...อย่าล้อเล่นแบบนี้สิ”


เขายังคงนิ่ง...นิ่งอยู่อย่างนั้น


“หมอ...ผมไม่ตลกนะ”


“แล้วคิดว่าที่เรามีความสัมพันธ์กันเมื่อคืนมันเป็นเรื่องตลกรึ!”


เสียงตวาดของเขาทำให้ผมสะดุ้ง


เขาไม่เคยเป็นแบบนี้ เขาไม่เคยตวาดผมแบบนี้ อย่าว่าแต่ตะคอกเลย ผมยังไม่เคยเห็นเขาขึ้นเสียงใส่ใครด้วยซ้ำ


ผมทำเขาโกรธจริงๆ เสียแล้ว


“เธอคิดว่าเรื่องเมื่อคืนของเรามันคืออะไร”


เขาก้าวเข้ามาหาผมช้าๆ


“เธอจะอ้างว่าเมาแล้วให้มันจบกันไปเช่นนั้นรึ”


เขาคว้าแขนสองข้างของผมเอาไว้แล้วบีบแน่น


น่ากลัว


“นี่ยังไม่นับเรื่องที่เมื่อคืนเธอเรียกชื่อเปรมออกมาด้วยนะ”


ฮะ!


“เธอเรียกชื่อเปรมทั้งๆ ที่เรากำลังมีสัมพันธ์กัน...”


จากน้ำเสียงโกรธเคืองฉุนเฉียวเมื่อครู่กลายเป็นน้ำเสียงตัดพ้อและเสียใจอย่างล้ำลึก


“เธอทำได้ยังไง กรบอกพี่สิว่ากรทำได้ยังไง”


พอพูดจบเขาก็ซบหน้าลงตรงไหล่ของผม ตัวเขาสั่นระริก มือสองข้างของเขาปล่อยแขนผมให้เป็นอิสระแล้วเปลี่ยนเป็นรวบตัวผมเข้าไปในอ้อมกอดแทน


ผมไม่รู้สึกถึงอะไรเลยนอกจากความเปียกชื้นที่หัวไหล่


เขา...กำลังร้องไห้


“ในตอนที่พี่กำลังรักกร กรรักใคร”


เสียงของเขาสั่นเครือ


“กรรักพี่ไม่ได้เลยหรือ”


อ้อมกอดของเขากระชับแน่นขึ้น


“ถ้าได้แต่ตัวแล้วต้องปล่อยใจกรไปให้ใคร พี่ไม่เอา”


เขาซุกหน้าเข้ากับลำคอของผม


“จะเอาทั้งตัว จะเอาทั้งใจ”


ใจของผมสั่นไหวอย่างรุนแรง


หนึ่ง คือความรู้สึกผิด


หนึ่ง คือความหวามไหวที่เกิดขึ้นในใจ


ความรู้สึกที่ผมจัดการไม่ได้กำลังเอ่อล้น ใจหนึ่งผมรักคุณเปรม แต่อีกส่วนหนึ่งกำลังหวั่นไหวอย่างรุนแรง


ผมควรทำยังไงดี


พอคิดคำตอบไม่ได้ ผมเลยเลือกที่จะโอบกอดเขาเอาไว้เป็นหลักยึด


“คนละโมบ”


ผมพูดออกไปแค่นั้น แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือเสียงหัวเราะแปร่งๆ


เขาดันตัวเองออกมาสบตาผม ใบหน้าหล่อเหลานั้นเปรอเปื้อนไปด้วยความเปียกชื้นไม่น่ามอง


...หยาดน้ำตาที่ตัวผมเป็นต้นเหตุ...


พอคิดได้แบบนั้น ผมจึงค่อยๆ ไล้มือบนหน้าเขา บรรจงเช็ดทุกหยาดหยดออกจากใบหน้าคมสันที่เหมาะกับรอยยิ้มอบอุ่นมากกว่า


ใช่ เขาเหมาะที่จะยิ้มมากกว่า


“พี่รู้ว่าพี่เห็นแก่ตัว”


ผมส่ายหน้า


“ผมต่างหากที่เห็นแก่ตัว”


ผมลูบหัวเขาเบาๆ เป็นการปลอบใจ


“พูดชื่อคนอื่นออกมาแบบนั้น...ผมทำได้ยังไงกันนะ”


ผมทำร้ายเขามากมายขนาดนั้นได้ยังไงกัน


เขาปล่อยผมออกจากอ้อมกอด แล้วเปลี่ยนมาทาบมือเขาทั้งสองข้างลงบนหลังมือผมที่อยู่บนหน้าเขา


เหมือนบังคับให้ผมจับหน้าเขาไปกลายๆ


“มาเริ่มใหม่กันได้ไหม”


แววตานั้นเว้าวอน


“ลืมเขาไปให้หมด ปล่อยเขาไป แล้วเรามาเริ่มใหม่กันนะ”


ถ้อยคำอ้อนวอนนั้นอ่อนหวานจนเผลอหลงใหลไปชั่วขณะ


แต่ผมรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ จู่ๆ จะให้รักคนนู้นทีมารักคนนี้ที มันทำได้ซะที่ไหน


ความรัก มันเปลี่ยนกันได้ง่ายขนาดนั้นเสียที่ไหน


“ผม...ยังทำไม่ได้”


เพียงเท่านั้นใบหน้าหล่อเหลาก็ฉายแววสิ้นหวังออกมาอย่างชัดเจน ร่างสูงใหญ่เหมือนคนหมดแรงที่จะทรุดลงกองกับพื้นจนผมต้องรีบเข้าประคอง


มอสเอ๊ย มึงทำร้ายคนที่ดีกับมึงขนาดนี้ได้ยังไงวะ


แต่ถึงจะรู้สึกผิดยังไง ผมก็ไม่อยากหลอกเขาอยู่ดี


...ไม่อยากหลอกตัวเองด้วย...


“หมอ...”


เขาเงยหน้าสบตาผมตามเสียงเรียก แม้แววตานั้นมันจะดูอ่อนล้าจนใจผมกระตุกก็ตาม


แต่ผมต้องพูด ในสิ่งที่เป็นความจริง


“ตอนนี้ผมยังรักหมอไม่ได้เพราะผมยังรักเขา”


ใช่ ผมยังรักคุณเปรม


“แต่สักวันหนึ่ง ผมอาจจะ...”


“อย่าให้ความหวังถ้าสิ่งนั้นมันจะไม่มีวันเกิดขึ้นจริง”


เขาพูดตัดบท แล้วสบตาผมนิ่ง


สมแล้วที่เป็นเขา เขารู้จักตัวผมดีกว่าที่ผมรู้จักตัวเองเสียอีก


แต่มีอย่างหนึ่งที่เขายังไม่รู้...


“ผมเป็นคนรักษาสัญญานะหมอ”


เขาขมวดคิ้วงงงวยกับคำพูดของผม


“ถ้าผมสัญญาแล้วสักวันจะลืม ผมก็จะลืม...”


ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอเพื่อเป็นการย้ำเตือนตัวเองว่า...ผมตัดสินใจแล้ว


“ถ้าผมสัญญาว่าจะรัก ผมก็จะรัก”


นัยน์ตาสีฟ้านั้นเบิกโพล่งฉายแววตกตะลึงอย่างเด่นชัด


ดูๆ ไปก็น่ารักดี


“เมื่อคืนนี้ผมถือว่าพลาด...”


ผมกระตุกยิ้มให้กับท่าทางเหลอหลานั้นเล็กน้อย


“แต่คราวนี้...ผมเอาจริง”


พอพูดจบผมก็เขย่งปลายเท้าขึ้นประทับจูบลงบนริมฝีปากอิ่มได้รูป


“มัดจำไว้ก่อนนะ ที่เหลือไว้ค่อยเอา”


สิ้นคำพูดผม ใบหน้าหล่อเหลานั้นก็ถูกประดับด้วยรอยยิ้มกว้างกว่าครั้งไหนๆ ที่ผมเคยเห็น


เขารวบผมเข้าไปกอด


เขาประทับจูบผมครั้งแล้วครั้งเล่า


เพียงแค่นั้น ไม่มีอะไรเกิดเลย


ทำไมผมถึงไม่รักคนๆ นี้ตั้งแต่แรกนะ ถ้าเป็นเขามาตั้งแต่แรก ผมคงไม่ต้องเจ็บปวดขนาดนี้


ถ้าเป็นเขามาตั้งแต่แรก ผมคงมีความสุขมากกว่านี้






************************************************************************************************

 


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ pigarea

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เราไม่โอเค ขอเราไปพักก่อนนะ ขอตั้งสติก่อน

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
มีความสุขกับกร&หมอ ขอให้คุณเปรมมีความสุขกับคุณชื่น (ตอนนี้หมอมีความสุขอยู่คนเดียว)

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3
เริ่มต้นใหม่แล้ววว
ครั้งแรกของกรวิกเป็นของหมอออ
รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ถถถถถถ  มอส เสียใจ......ดื่มเหล้า
อกหัก......ดื่มเหล้า
ว่าไม่คิดอะไรกับหมอ
แต่มอส ก็มีเซ็กส์กับหมอ  เพราะเมา  :z3: :z3: :z3:
ผิดหวังกับมอสเลย
มาอดีต เพราะคุณเปรม
แต่มาแล้วมีเซ็กส์กับหมอ งงงงงงงง  :really2: :really2: :really2:
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
 

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
บทที่ 22 คำลา [ครึ่งแรก]









หลังจากเหตุการณ์...วุ่นวาย ทำให้ชีวิตของผมยุ่งเหยิงมากขึ้นกว่าเก่า จากความเคยชินเก่าที่ต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อออกจากบ้านไปทำงานโรงครัว กลับต้องเป็น...


“แน่ใจหรือว่าจะไม่กินอะไรก่อน เป็นลมเป็นแล้งไปจะยุ่งนะ”


น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นเจือไปด้วยความห่วงใยที่เอ่อล้น


มากเกินไปด้วยซ้ำ...


ผมฉีกยิ้มให้เขาแล้วส่ายหัวเบาๆ


“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวค่อยไปกินที่โรงครัวทีเดียว”


“เช่นนั้นรึ...”


เขาพยักหน้าเข้าใจแล้วขยับเข้ามาใกล้อีกหน่อย


“เดินทางปลอดภัยนะ”


ไม่พูดเปล่า ยังประทับริมฝีปากอุ่นชื้นนั้นลงบนหน้าผากของผมอย่างแผ่วเบา


อึดอัดจังเลยน้า...


ผมฉีกยิ้มให้เขาแล้วเดินจากมาไม่ได้พูดอะไร


ทั้งๆ ที่เป็นคนสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะรัก แต่พอต้องทำจริงๆ กลับไม่ง่ายเลย...ยาก จนผมเผลอถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ชาตินี้ผมจะรักเขาได้จริงๆ รึเปล่า


คำตอบก็คือ...ผมเองก็ไม่รู้


ยากจริงๆ ด้วยสิ


หลังจากตื่นขึ้นมาพร้อมกับความตื่นตระหนกและความปวดร้าวบริเวณสะโพก ผมก็ทำได้เพียงคลี่คลายสถานการณ์เฉพาะหน้าแล้วรีบบึ่งไปโรงครัวให้เร็วที่สุด ตะวันสายโด่งป่านนี้แล้ว ไม่รู้ว่าจะโดนก่นด่าไปมากแค่ไหน สำคัญที่สุดคือเมื่อคืนผมไม่ได้กลับบ้าน ไม่รู้ว่าอาม้าจะเป็นห่วงรึเปล่า


...


ก็คงไม่หรอก


ผมเร่งฝีเท้าขึ้นอีกหน่อย ไม่นานนักรั้วบ้านคุ้นตาก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ผมรีบทักทายทุกคนแล้ววิ่งปรี่ไปโรงครัวให้เร็วที่สุด แน่นอนว่าคำแรกที่ต้องได้ยินก็คือ...


“ไอ้กร มาเอาป่านนี้ เอ็งไม่มาเอาชาติหน้าเลยล่ะ”


โดนแล้ว กูโดนแล้ว


แน่นอนว่าสิ่งเดียวที่ผมทำได้ก็คือ...


“ขอโทษจ้ะน้าอิ่ม พอดีมันเกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อย”


แก้ตัวสิโว้ย อย่าไปยอมให้เขาด่าเราอยู่ฝ่ายเดียว แม้มันจะเป็นความจริงก็ตาม


หญิงวัยกลางคนปรายตามองผมแล้วเบ้ปาก


“แหม ปัญหาเรื่องผู้หญิงสิเอ็ง ลายพร้อยมาทั้งคอเชียวนะ”


สิ้นคำพูดของน้าอิ่มทุกคนในโรงครัวก็หัวเราะครืน แต่ผมนี่สิ...


อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้วโว้ย


“แม่อิ่มก็อย่าไปแซ็วมันมาก เพิ่งจะแตกเนื้อหนุ่มก็แบบนี้แหละ”


สิ้นคำของบ่าวอีกคน ทุกคนก็พากันหัวเราะขึ้นมาอีกระลอกจนผมไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหนจึงทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ แล้วเดินเข้าไปทำงานเนียนๆ


“ไม่ต้องเข้ามาแล้วโว้ย ไม่มีงานอะไรให้ทำแล้ว จะไปไหนก็ไป ไป๊”


คำขับไล่ไสส่งด้วยน้ำเสียงเอ็นดูเกินกว่าจะตำหนิของน้าอิ่มทำให้ผมยิ้มรับแล้วเผ่นแน่บออกมา


แหม ขืนอยู่ต่อไม่รู้ว่าจะโดนแซ็วว่าอะไรอีกบ้าง


ยังไงก็มีงานส่วนของตอนเย็นที่ต้องไปช่วยทำอยู่แล้ว ออกมาอู้นิดๆ หน่อยๆ ก็คงไม่เป็นไร ตำแหน่งงานที่ผมทำอยู่ตอนนี้จะบอกว่ามีประโยชน์ก็ไม่ใช่ ไร้ประโยชน์ก็ไม่เชิง เพราะสมัยที่อาเจ้ยังอยู่ ตำแหน่งของเจ้คือคนทำขนมซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญ แต่พอผมเข้ามาแทน ตำแหน่งนั้นก็ถูกโยกย้ายไปให้บ่าวคนอื่นทำแทน ทำให้ผมไม่มีหน้าที่อะไรมากนักนอกจากงานใช้แรงงานโง่ๆ อย่างปอกเปลือกผลไม้ แบกหามข้าวของ ไม่ก็ปรุงอาหารง่ายๆ เช่น คนน้ำแกงในหม้อไปเรื่อยๆ


หน้าตาผมคงดูเหมือนคนทำอาหารไม่เป็นล่ะมั้ง...ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงด้วย


วิชาคหกรรมก็คือวิชาคหกรรมไง มันเหมือนกับการทำอาหารจริงๆ ตรงไหนกันเล่า ยิ่งเป็นอาหารไทย ขนมไทยยิ่งแล้วใหญ่ ก็แหม ตอนเรียนวิชาคหกรรม ผมเรียนทำเบเกอรี่นี่นา


อนาถแท้ๆ


พอคิดถึงตรงนี้ผมก็หลุดขำออกมาซะอย่างนั้น


ได้คิดอะไรไร้สาระเสียบ้างก็รู้สึกดีเหมือนกัน


“หัวเราะอะไรหรือคะ”


เสียงร้องทักที่ดังขึ้นไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำให้ผมสะดุ้งโหยง เคราะห์ดีที่ยังไม่หลุดคำอุทานที่เป็นสิงสาราสัตว์ออกไป


คนที่ทักผมด้วยคำพูดแบบนี้ ไม่ต้องหันไปมองหน้ายังรู้เลยว่าใคร...


“คุณชื่นมาอ่านหนังสือในสวนอีกแล้วหรือครับ”


เธออมยิ้ม


“ค่ะ พอดีคุณพ่อท่านเพิ่งได้หนังสือมาใหม่จึงส่งมาให้สองสามเล่ม”


ผมเหลือบมองหนังสือเล่มหนาในมือเธอ มันเป็นหนังสือปกแข็งสีแดงเลือดหมู ความหนาชนิดฟาดหัวหมาแตก แถมดูแล้วไม่น่าจะใช่ภาษาไทย...


“คุณชื่นอ่านภาษาอังกฤษได้ด้วยหรือครับ”


เธอเอียงคอเล็กน้อย บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มแปลกใจ


“ทำไมคุณถึงรู้ว่านี่คือภาษาอังกฤษหรือคะ”


วันนี้ขอเสนอคำว่า ‘ขุดหลุมฝังตัวเอง’


ผมยิ้มแห้ง


“พอดีว่า...ผมทำงานให้กับหมอฝาหรั่งน่ะครับ เลยพอจะเห็นผ่านตามาบ้าง”


เธอพยักหน้าเข้าใจ


“ค่ะ ชื่นอ่านหนังสือภาษาอังกฤษบ้าง ฝรั่งเศสบ้าง คุณพ่อท่านสอนให้ค่ะ ท่านบอกว่าความรู้จะช่วยพอกพูนคุณค่าในตัวเรา”


ทัศนคติดี เอาไปสิบคะแนน


ให้ตายสิ ยิ่งคุย ยิ่งรู้จักกับเธอมากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างเรามากขึ้นเท่านั้น


เธอดีกว่าผมตั้งเท่าไหร่ เธอเหมาะสมกับเขามากแค่ไหน


ทำไมผมจะไม่รู้


แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่มีสิทธิ์จะเอาความน้อยใจของตัวเองไปทำร้ายใครอยู่ดี


“คุณไปทำอะไรมาหรือคะ”


คำถามที่ขึ้นต้นมาดื้อๆ ทำให้ผมต้องจ้องหน้าเธอเขม็ง


หมายความว่ายังไงกันนะ


“ก็...คอของคุณ มีรอยเต็มไปหมด ราวกับโดนแมลงกัดอย่างไรอย่างนั้น”


โอ้โห บันเทิงไหมล่ะมึง


ผมคว้าหมับเข้าที่คอตัวเองหวังให้หลังมือช่วยปกปิดร่องรอยพวกนั้นสักนิดก็ยังดี


“ใช่แล้วครับ ผมถูกแมลงกัด ตัวลิ้นนี่กัดเจ็บนักเชียว”


ตามน้ำไปครับ ลอยไปเรื่อยๆ จนกว่าปลายทางจะเป็นน้ำตกแล้วตกลงไปตาย


เป็นบุญของผมอีกครั้งที่คุณชื่นเข้าใจโดยง่าย เธอเพียงพยักหน้ารับแล้วเตือนให้ไปหาหยูกยามาทา


แต่เดี๋ยวนะ...แบบนี้ก็หมายความว่าคุณชื่นไม่เคยมี...


เออ แต่ในยุคนี้ใครเขาจะไปมีอะไรกับใครก่อนแต่งกันล่ะ ได้โดนตราหน้าแย่


เมื่อหัวข้อสนทนาหมดลง ผมจึงเลิกที่จะบอกลา


“คุณชื่นมาคุยกับผมตามลำพังเช่นนี้เกรงว่าจะไม่งาม เช่นนั้นผมเห็นว่าผมควรรีบไปเสียดีกว่า เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นเข้า จะเอาไปพูดไม่ดี”


ริมฝีปากบางนั้นอ้าออกจากกันเหมือนต้องการพูดอะไรบางอย่าง หากถูกใครบางคนขัดขึ้นเสียก่อน


“แม่ชื่นไม่ได้มาคนเดียว”


พวกเราสองคนหันขวับไปมองคนมาใหม่แทบจะพร้อมกัน คุณชื่นไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษ ต่างกับผมที่พอได้เห็นหน้าชัดๆ แล้วก็อดค่อนแขวะไม่ได้


เฮอะ จะแต่งแล้วนิ ตามมาเฝ้า มาประคบประหงมกันแจเลยนะ


...


แขวะเอง เจ็บเอง ท่าจะบ้าแล้วมอสเอ๊ย


เขาเดินมายืนข้างๆ คุณชื่นแล้วเอามือไพล่หลัง


“อ๋อ คุณชื่นมากับคุณเปรมนี่เอง เช่นนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”


“จะรีบไปไหนล่ะ”


เสียงที่ดังขัดขึ้นนั้นทั้งทุ้ม ทั้งต่ำ แถมบรรยากาศก็ต่างจากปกติ


มันฟังดู...โกรธเกรี้ยวพิกล


สายตาของเขาจับจ้องที่ใบหน้าของผมก่อนจะผละไปมองบริเวณคอแค่แว่บเดียวแล้วกลับมาสบตาผมใหม่


อ๋อ อย่างนี้นี่เอง


ดี รู้สึกเสียบ้างก็ดี


“พอดีต้องไปช่วยงานในโรงครัวน่ะครับ”


นัยน์ตาดำขลับนั้นนิ่งสงบกว่าทุกที


ดี หึงเสียบ้างก็ดี


ให้ตายสิ...ผมนี่มันร้ายกาจเป็นบ้า


“งานในครัวเอาไว้ก่อนเถิด...”


เขามองหน้าผมแล้วกระตุกยิ้มเย็น


“ไปช่วยเรากับแม่ชื่นเก็บดอกไม้ในสวนหน่อยแล้วกัน”


ใจร้าย เขาใจร้ายกับผมขนาดนี้ได้ยังไงกัน


“เก็บดอกไม้หรือคะ?”


ใบหน้าน่ารักหันไปถามคนข้างกาย


ผมคาดหวัง...หวังให้เขาพูดคำว่า ‘พี่ล้อเจ้าเล่นน่ะแม่ชื่น’ ไม่ก็บอกว่าอยากไปกับคุณชื่นแค่สองคนหรืออะไรทำนองนั้นก็ได้


แล้วผมก็ผิดหวัง...


“ใช่แล้วจ้ะแม่ชื่น พี่จำได้ว่าน้องชอบดอกการเวกมิใช่รึ”


ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ พยายามบังคับมือไม่ให้สั่น


“พี่เห็นว่าการเวกในสวนมันออกดอก เลยอยากพาน้องไปเก็บ พี่เห็นน้องเหงาเลยอยากพามาเดินเล่น”


เขาทำกับผมขนาดนี้ได้ยังไง...เขาทำลงได้ยังไง


ใบหน้าคมสันนั้นหันมาหาผมแล้วฉีกยิ้มเย็น


“ยืนนิ่งอยู่ทำไมเล่า ไปหยิบตะกร้ามาสิ”


มือผมเย็นเฉียบ ใจนึกอยากวิ่งหนีไปเสียให้พ้นๆ


แต่ก็ทำไม่ได้...


“ผมไม่ทราบว่าตะกร้าอยู่ไหนครับ”


เขาส่งเสีย ‘ฮึ’ อย่างดูแคลน


“ต้องรอให้เจ้านายบอกรึจึงจะหามาได้”


อ๋อ อย่างนี้นี่เอง


ผมสบตาเขานิ่ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหนออกไป รู้แต่เพียงว่าอยากมองหน้าคนใจร้ายแล้วสลักมันลงลึกในหัวใจ


ตอกความเสียใจนี้ลงไป ย้ำความเจ็บปวดนี้ลงไป


แล้วเลิกรักเขาเสียที


“ครับ รอผมสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมจะไปหาตะกร้ามาให้”


เขาฟังผมแล้วกระตุกยิ้มเย็น ไม่มีคำปลอบโยน ไม่มีรอยยิ้มปลอบประโลมใดๆ


แค่ยิ้มแล้วมองด้วยแววตาแข็งกร้าวแค่นั้น...แค่นั้นจริงๆ

 













ความรู้สึกเจ็บจนชามันเป็นแบบนี้นี่เอง


ภาพตรงหน้าของผมคือชายหญิงที่เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกกำลังเดินเคียงข้างกันด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข


ไม่หรอก ก็ไม่ได้เปี่ยมสุขเสียทีเดียว


คุณชื่นดูมีความสุข แต่ไม่สุด คุณเปรมเองก็ดูพยายามมาก...มากจนไม่เป็นธรรมชาติ ใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มของทั้งคู่ดูฝืดฝืนไปหมด คุณชื่นพยายามจะพยักหน้าและตอบทุกคำถามที่คุณเปรมตอบ แต่ดูเหมือนว่านั่นจะไม่ใช่นิสัยของเธอ จากการได้พูดคุยกันโดยบังเอิญอยู่หลายครั้งทำให้ผมพบว่าเธอเป็นคนช่างซักช่างถาม ฉลาดเฉลียวและมีความคิดล้ำลึก แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่คนช่างตอบ หลายๆ ครั้งที่ผมถามเธอก็มักจะเงียบไปเสียเฉยๆ การต้องมาอยู่ในฐานะผู้ตอบคงทำให้เธออึดอัดไม่น้อย


คุณเปรมเองก็ไม่ต่างกัน คนๆ นั้นเป็นคนพูดเก่ง ขี้เล่นและมีฝีปากเป็นเลิศ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนหัวโบราณที่ยังเชื่อว่าลูกผู้ชายต้องนำความดีงามมาสู่ตระกูล ลูกผู้ชายต้องเป็นผู้นำในทุกสถานการณ์ เพราะแบบนั้นเขาจึงไม่เปิดโอกาสให้คุณชื่นได้แสดงความเฉลียวฉลาดของตัวเองออกมา


เพราะแบบนี้เขาเลยไม่เปิดโอกาสให้คุณชื่นถามออกมามากนัก แถมท้ายด้วยการทำหน้าที่เป็นคนนำบทสนทนาอยู่ตลอดเวลา


เขากำลังใช้เพศสภาพและความเชื่อตัวเองกดให้ผู้หญิงฉลาดอย่างคุณชื่นอยู่ใต้เงา แต่คุณชื่นก็ดูไม่ใช่คนที่มีนิสัยยอมอยู่ใต้เงาของใคร


น่าสงสาร


นั่นเป็นคำเดียวที่ผมคิดออก พวกเขาทั้งสองคนดูเผินๆ แล้วเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก แต่ภายในแล้วคนสองคนนี้ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง คนหนึ่งหัวโบราณและยึดติดกับเพศสภาพของตน อีกคนหัวก้าวหน้าและพยายามไขว้คว้าหาจุดยืนของตน


พวกเขาจะมีความสุขในชีวิตคู่ได้ยังไงกันนะ


“แม่ชื่นชอบอ่านหนังสือรึ”


ผมหลุดจากภวังค์เมื่อได้ยินคำถามที่เหมือนตัวเองเคยถามออกไปเมื่อไม่นานมานี้


คุณชื่นมีสีหน้าสดใสขึ้นเล็กน้อย


“ค่ะ คุณพ่อท่านสอนให้ชื่นเขียนอ่าน บอกว่าความรู้จักพอกพูนคุณค่าในตัวคน”


“เช่นนั้นรึ”


เขารับคำ


“แต่พี่เห็นว่าน้องเป็นหญิง การเขียนอ่านคงไม่จำเป็นขนาดนั้นกระมัง”


พูดเพียงแค่นั้นแล้วเบนหน้าหนีจนคุณชื่นหน้าเจื่อนลง


เธอคงรู้สึกแย่...แย่พอๆ กับผม


ทำไมกัน ทั้งๆ ที่เขาเคยชมผมว่าฉลาด เคยชื่นชมในความรู้ความสามารถของผม แล้วทำไมกับคุณชื่น...แค่เพราะเป็นผู้หญิงเหรอ


เขาดูถูกคุณชื่นเพียงเพราะเธอเป็นผู้หญิงเหรอ


ให้ตายสิ ผมรักคนน่ารังเกียจแบบนี้ไปได้ยังไงกัน


“แต่ผมไม่คิดเช่นนั้นนะครับคุณเปรม”


เพราะความคิดน้อยที่ว่าผมควรทำอะไรสักอย่างทำให้คนทั้งสองหันมามองผมเป็นตาเดียว


คุณชื่นมีสีหน้าฉงน ส่วนคุณเปรมมีสีหน้าไม่พอใจ


ใครสนมันล่ะ


“การที่คุณชื่นมีความรู้ก็หมายความว่าคุณชื่นจะช่วยเหลือคุณเปรมได้ในอนาคต การมีภรรยาผู้เปี่ยมปัญญาย่อมดีกว่ามีภรรยาที่โง่เขลามิใช่หรือครับ”


เขาขมวดคิ้วยุ่งกว่าเก่า ในขณะที่บนใบหน้าน่ารักของคุณชื่นนั้นปรากฏรอยยิ้มบาง


เธอเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่าจริงๆ ด้วย


ผมกำลังจะอารมณ์ดีอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดที่ว่า...


“มิมีใครสั่งใครสอนรึว่าอย่าสอดเรื่องเจ้านาย”


เอ้า ไอ้เหี้ยนี่ มึงเป็นเหี้ยอะไร ตัวๆ กับกูไหม อย่าคิดว่ารักกันชอบกันจะต่อยกันไม่ได้นะเฮ้ย อ๋อ ลืมไป...


เขาไม่ได้รักผมแล้วนี่นา


คนรักกันเขาไม่ทำร้ายกันแบบนี้หรอก คนรักกัน...เขาไม่ทำในสิ่งที่คนที่เขารักไม่ชอบหรอก


ผมกัดฟันทนคำแขวะแล้วฉีกยิ้มกว้างให้เขา


“สอนครับ คุณหมอที่ผมไปทำงานด้วยสอนมาดีทีเดียว แต่ติดที่ว่าผมเป็นคนไม่ดีเอง ขออภัยคุณเปรมด้วยนะครับ”


ผมจงใจพูดเหน็บแหนมให้เขารู้สึกรู้สาเสียบ้างว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่มีสิทธิ์ทำคนอื่นเสียใจ


และก็ได้ผลดีทีเดียว...


“อ๋อ เช่นนั้นเองรึ”


เขาตอบรับแค่นั้น แต่ผมแอบเห็นตาเขากระตุกพร้อมกับแววตามาดร้ายที่ส่งมาให้


โกรธอะไรล่ะพ่อคุณ มีสิทธิ์โกรธด้วยเหรอเราน่ะ


เขามองผมด้วยแววตาเยียบเย็นแล้วหันไปมองคุณชื่นด้วยสีหน้าอ่อนโยน


“แม่ชื่นกลับไปรอพี่ที่เรือนก่อนนะ ประเดี๋ยวพี่จะใช้เจ้ากรไปทำงานที่เรือนเก็บสมุนไพรหน่อย”


ใบหน้าอ่อนหวานนั้นกดลงเล็กน้อยแล้วเดินจากไปพร้อมกับหนังสือในอ้อมแขน ไม่แม้แต่จะชายตามองตะกร้าดอกไม้ในมือผมแม้แต่น้อย


มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าเธอไม่ได้พอใจกับการเดินเล่นครั้งนี้เลย


น่าสงสารจริงๆ


“มองตามตาละห้อยเชียวนะ อยากได้รึ”


ผมหันขวับมามองคนถาม


“คุณพูดคำพูดแบบนั้นออกมาได้ยังไงกันคุณเปรม”


ผมมองเขาอย่างดูแคลน


“น่าสมเพชเกินไปแล้ว”


สิ้นคำพูดของผมร่างสูงใหญ่นั้นก็พุ่งเข้ามาราวกับสัตว์ร้าย ตรึงผมไว้กับต้นไม้ใหญ่ กดแน่นจนแผ่นหลังของผมแนบสนิทไปกับเปลือกไม้แข็งจนรู้สึกเจ็บแสบ


“คุณเปรม ผมเจ็บ!”


“เจ็บสิดี จะได้รู้เสียบ้างว่าคนอื่นเขารู้สึกอย่างไร”


ถ้าเป็นการ์ตูน ภาพของผมตอนนี้คงเป็นตัวละครที่หน้าแดงก่ำและกำลังมาควันพุ่งออกจากหู


ใช่ ผมโกรธเบอร์นั้นแหละ


“เป็นบ้าเหรอเปรม”


ความสุภาพมักแปรผกผันกับความโกรธ


“ผมไม่ยักจะจำได้ว่าคุณเคยเจ็บปวดกับเขาด้วย”


เขาบีบแขนผมแน่นขึ้นอีก แน่นเสียจนรู้สึกเหมือนกระดูกจะแหลก แต่ยังแน่นไม่พอที่จะทำให้ผมร้องขอให้ปล่อย


เอาให้ข้อมือหักกันไปข้างนึงนี่แหละดี


“ไม่เคยเจ็บปวดหรือ...”


เขาเหลือบมองคอของผมแล้วเบนกลับมาสบตาตามเดิม


“ต้องทนเห็นคนที่ตนพึงใจนอกกาย คงไม่เจ็บปวดเลยกระมัง”


ใจผมกระตุกวาบกับคำพูดนั้น


‘คนที่ตนพึงใจ’ ฟังกี่ทีก็อดใจเต้นไม่ได้เลยสิให้ตาย


แต่ผมไม่ได้นอกกายเขาสักนิด จะนอกกายได้อย่างไร ในเมื่อพวกเรา...ไม่ได้เป็นอะไรกันเสียหน่อย


“ผมนอกกายคุณตอนไหนหรือครับ”


“เช่นนั้นรอยนี้มันคืออะไร”


ผมแค่นหัวเราะ


“จะรอยอะไร เกิดจากใครมันก็ไม่เกี่ยวกับคุณไม่ใช่เหรอครับ”


ผมหมายความตามที่พูด


เขาไม่เกี่ยว เราไม่เกี่ยวกัน แต่เหมือนเจ้าตัวจะยังไม่เข้าใจ


“กร อย่าท้าทายพี่”


แรงบีบที่ข้อมือผมแรงมากขึ้นอีก...แรงจนรู้สึกเหมือนกระดูกจะแหลกในไม่ช้า


แต่ผมเป็นพวกยิ่งห้ามยิ่งพยศเสียด้วยสิ


“ผมไม่ได้ท้าทายคุณเลยคุณเปรม ผมแค่พูดความจริง”


ไม่ว่าเปล่า ยังยกยิ้มท้าทายออกไปด้วย คงเพราะแบบนั้นอีกฝ่ายเลยเลือดขึ้นหน้ามากกว่าเดิม


“ได้...”


เขาสบตาผมนิ่ง ในแววตาดำขลับนั้นลุกโชนไปด้วยเพลิงโทสะ


“เช่นนั้นพี่จะลบรอยทั้งหมดเอง”


ทันทีที่พูดจบเขาก็ทำท่าเหมือนจะซุกหน้าลงมาทำอย่างที่ปากว่าจริงๆ แต่ผมเองก็ยังเป็นคนธรรมดาที่มีสติรู้ผิดชอบชั่วดีว่านี่มัน...


กลางแจ้งเว้ย!


ยังไม่ทันที่เขาจะได้จรดริมฝีปากลงบนผิว เข่าของผมก็พลันแทรกเข้าตรงกล่องดวงใจเขาเต็มแรงจนเจ้าตัวทรุดลงไปกองกับพื้น


ผมมองสภาพอเนจอนาถนั้นแล้วแค่นยิ้ม


“คุณบังคับผมเองนะครับคุณเปรม”


ใบหน้าหล่อเหลาช้อนตามองผม


“ใจร้าย”


“ไม่เท่าคุณหรอกครับ”


เขาแสยะยิ้ม


“อย่างน้อยพี่ก็ไม่เคยไปมีอะไรกับคนอื่น”


“แต่กำลังจะมี”


เขาอ้าปากจะเถียง แต่ผมสวนขึ้นเสียก่อน


“หรือคุณไม่คิดจะมีลูกหรือครับ”


สิ้นคำพูดของผมเขาก็ยอมหุบปากลงแต่โดยดี


เห็นไหมล่ะ เขาเองก็คิดจะนอกกายผมเหมือนกัน เพียงแต่เขามีเหตุผลที่ชอบธรรมกว่าที่จะเอามาอ้างก็เท่านั้น


“เรื่องของเราให้มันจบเถอะครับ”


ผมก้มหน้าลงสบตาเขา


“มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”


“ไม่มีทาง!”


“หรือคุณจะยอมบอกทุกคนว่าคุณไม่ชอบผู้หญิงล่ะครับ!”


ผมพยายามจะถ่ายทอดความโกรธเคืองด้วยเสียงที่เบาที่สุด อย่างไรเสียพวกเราก็อยู่ในที่โล่งแจ้ง จะมาพูดตามใจคงไม่เหมาะ ขืนมีคนมาได้ยินคงไม่ดีต่อตัวพวกเราทั้งคู่


เขานิ่งเงียบไป ผมจึงได้โอกาสพูดต่อ


“ฟังนะคุณเปรม ตราบใดที่ผมยังไม่ใช่ที่หนึ่งของคุณ ตราบใดที่ความรักของเรายังเป็นเรื่องไร้สาระที่คุณเลือกจะตัดทิ้ง”


ผมสูดหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติ


“เราก็ไม่มีวันรักกันได้ราบรื่นหรอก”


พวกเราสบตากันนิ่ง


“ความรักที่แหวกประเพณีมันยากนะคุณเปรม ถ้าใจไม่กล้าพอก็จบเถอะ รั้งกันไว้...”


ดวงตาของเขาฉายแววเจ็บปวดเหลือเกิน...เจ็บปวดเกินกว่าจะเสแสร้ง


“ก็เจ็บเปล่าๆ”


พวกเราทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ผมไม่ขยับตัว เขาเองก็ไม่ได้ขยับไปไหน ไม่แม้แต่จะพยุงตัวขึ้นจากพื้น จนในที่สุดเขาก็ค่อยๆ ดันตัวเองขึ้นมา


“ไปอยู่หัวเมืองเถิด”


ฮะ?


ผมมองเขาอย่างไม่เข้าใจ


“พี่จะยกเรือนให้น้องเรือนหนึ่งที่หัวเมือง น้องจะอยู่ที่นั่นอย่างสุขสบาย เมื่อพี่คิดถึงจะไปหา”


ถ้อยคำแต่ละคำที่เขาเอ่ยออกมาเหมือนมีดที่ค่อยๆ กรีดลงบนหัวใจของผม


ทีละนิด ทีละนิด


จนในที่สุดก็เป็นแผลเหวอะหวะ เขามองผมเป็นคนยังไงกัน แค่ได้เงิน ได้ทรัพย์สิน ก็จะยอมเป็น...เมียน้อย


ยอมที่จะทำลายชีวิตครอบครัวคนอื่นเชียวหรือ


ให้ตายสิ ผม...ผิดหวังในตัวเขาเป็นบ้า


เขาขยับตัวเข้ามาใกล้ผมอีกหน่อย


“พี่สัญญาว่าน้องจะอยู่อย่างสุขสบาย”


เขาวาดมือออกมาหวังจะดึงผมเข้าไปในอ้อมกอด แต่ผมพูดสวนขึ้นเสียก่อน


“และไร้ศักดิ์ศรี”


เขาชะงักแขน นัยน์ตาดำขลับปรากฏแววงุนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว


“แล้วต้องได้แค่ไหนน้องจึงจะพอใจ นี่พี่ก็ยอมให้น้องที่สุดแล้ว จะเอาอะไรอี...”


ผมทาบมือลงบนหน้าอกของเขา


“จะเอาแค่ตรงนี้”


ออกแรงกดลงไปอีกเล็กน้อย


“จะเอาความจริงใจ จะเอาหัวใจ จะเอาตรงนี้”


ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่


“แต่คงไม่มีวันได้ เพราะถ้าคุณคิดจะจริงใจกับผม คุณจะไม่พูดคำพวกนั้นออกมา”


เขาระบายลมหายใจหนักๆ


“แล้วจะเอาอย่างไร ในเมื่อทั้งน้องทั้งพี่ก็รู้ว่าเรื่องที่เรากำลังทำมันผิดศีลธรรมจรรยาที่ดีงาม พี่ให้เจ้าได้เท่านี้ก็ดีถมเถแล้ว”


ผิดศีลธรรมจรรยาที่ดีงามเหรอ...


“ถ้ารู้ว่าผิดแต่แรก แล้วคุณจะเข้ามาหาผมทำไม”


เขาชะงัก


“ทีตอนที่อยู่อังกฤษไม่เห็นจะสนใจศีลธรรมจรรยา พอกลับไทยมีหน้ามีตาเลยต้องหลบซ่อนหรือครับ”


“ใครเล่าน้องเรื่องนี้!”


“จะสนใจทำไมว่าใครเล่า!”


ผมหอบหายใจหวังระงับอารมณ์


“สิ่งสำคัญคือคุณ ตัวคุณนั่นล่ะคุณเปรมที่ไม่กล้าจะยอมรับอะไรสักอย่าง แต่ผมก็เข้าใจนะ คุณมีหน้ามีตาที่นี่ มีพ่อมีแม่ต้องรักษาเกียรติ มีครอบครัว มีวงศ์ตระกูลที่ต้องเชิดชู คุณเลือกทำตามประเพณีน่ะดีแล้ว เพราะคุณจะได้ทุกอย่าง ทุกอย่างเลยคุณเปรม ทุกอย่างที่อยากได้ทั้งคำชื่นชม เกียรติยศ ศักดิ์ศรี”


ผมอมยิ้มบาง


“คุณแค่ไม่ได้ผมเท่านั้นเอง”


ผมเห็นเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ดวงตาฉายแววตกตะลึงปนเศร้าหมอง แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ผมต้องหยุดพูด


“คุณจะบอกว่าผมเห็นแก่ตัวก็ได้นะคุณเปรม แต่บางคราวคุณก็ต้องลองถามตัวเองว่าผมจำเป็นต้องยอมคุณขนาดนั้นจริงหรือ แค่ผมไม่โวยวาย ไม่ต่อรองเรื่องคุณชื่นก็น่าจะมากพอแล้ว”


แววตาเขาสั่นระริก


“คุณลองคิดดูนะคุณเปรม ถ้าวันหนึ่งคนที่คุณรักกำลังจะแต่งงานกับคนอื่นแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือคุณ รั้งคุณเอาไว้แล้วบอกให้คุณมาเป็นน้อยเขา ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องยอมเลยสักนิด ความจริงแล้วคุณสามารถด่าสาดเสียเทเสียใส่คนๆ นั้นได้ตั้งแต่เขารั้งคุณไว้ด้วยซ้ำ แต่ทำไมผมจึงไม่ทำล่ะ”


ผมเอามือกดลงไปบนอกเขา


“เพราะผมรักคุณไง”


ผมรู้สึกว่าเสียงตัวเองเริ่มสั่นมากขึ้นทุกที


“ตั้งแต่วันแรกที่เราพบกัน ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ร่วมกี่เดือนมาแล้วคุณเปรม คุณไม่พูด ไม่อธิบาย ไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง คุณหึงผม คุณหวงผม คุณทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของผม แต่แค่นั้นมันไม่พอสำหรับความรัก คนจะรักกัน เขาต้องนึกถึงกันให้มากๆ ไม่ใช่สักแต่ชอบ สักแต่หวง อย่างเมื่อครู่ก็เหมือนกัน ดูก็รู้ว่าคุณหึงผมเพราะรอยที่คอนี่ แต่ดูสิ่งที่คุณทำสิ ทำให้ผมเจ็บปวด ทำเพื่อความสะใจ บางคราวผมก็สงสัยจริงๆ ว่าตกลงคุณรักผมแน่รึเปล่า”


ผมยืนหอบเงียบๆ ส่วนเขาก็ไม่พูดอะไร ยิ่งเงียบ สถานการณ์ยิ่งกระอักกระอ่วนกว่าเก่า ผมเลยเลือกที่จะเดินจากมา ถ้าไม่ติดว่ามีแขนแกร่งรั้งผมเข้าไปแนบอกเสียก่อน


“พี่ขอโทษ”


น้ำเสียงนั้นอ่อนล้าแทบขาดใจ


“แต่พี่ไม่รู้ว่าพี่ควรทำอย่างไร เวลาหวง เวลาหึง พี่ก็ไม่รู้ว่าจะระบายออกมาอย่างไรดี”


เขาซุกหน้าลงที่ซอกคอของผม


“พี่อาจเห็นแก่ตัวที่ไม่ยอมบอกอะไรน้องเลย แต่น้องก็รู้ใช่ไหมว่าพี่รักน้องมากแค่ไหน พี่ทนเสียน้องไปไม่ได้”


ผมหลับตาลง


“คนรักกันเขาต้องปรารถนาให้คนที่เขารักมีความสุข พี่ก็รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเหมือนรักสามเส้า ถ้าพี่รักผมจริง พี่ก็ควรปล่อยผมไป”


พอพูดจบเขาก็ยิ่งซุกหน้ามากขึ้นไปอีก


“ใจเจ้า มิมีพี่อยู่ในนั้นแล้วรึ”


น้ำเสียงนั้นอ่อนระโหยโรยแรง เหมือนเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เขาพยายามจะรั้งมันเอาไว้


รั้ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้


ผมทาบฝ่ามือตัวเองลงบนหลังมือที่เกาะเกี่ยวเอวผมไว้แน่น


“จบกันด้วยดีเถอะคุณเปรม”


จบเถอะ


เราสองคนต่างกันเกินไป สำหรับเขาหน้าที่ เกียรติยศ ครอบครัวคือที่หนึ่ง สำหรับผมความสุขของตนสำคัญกว่าสิ่งใด อะไรที่ทำแล้วเจ็บ ผมไม่ทำ ใครที่รักแล้วต้องทน ผมก็ไม่รักเหมือนกัน


แต่ถึงจะพูดไปแบบนั้น ตัวผมเองก็รู้ดีแก่ใจว่ามันไม่ได้ง่าย


ความรักไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างมีตรรกะและเหตุผล บทจะรัก ต่อให้เลว ต่อให้ร้าย ก็รัก บทจะไม่รัก ต่อให้ดีแสนดี อย่างไรก็ไม่รัก


ถ้าเรารักใครสักคนได้ด้วยเหตุผลก็คงดี


ถ้าผมรักหมอได้เท่าที่รักคุณเปรมก็คงดี







*****************************************************************************



นิยายเรื่องนี้ จะ - จบ - แล้ว แหละ เย้!


ขอบคุณทุกคนจริงๆ ที่ตามอ่านกันมาจนถึงตอนนี้ ชอบไม่ชอบยังไงสามารถติชมได้ตลอดเลยนะคะ


เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เรามาจับงานเขียนเรื่องยาวอย่างจริงจัง แถมเป็นแนววายเรื่องแรกที่เริ่มเขียนด้วย ก่อนหน้านี้เราเขียนแต่เรื่องสั้น งานติสจ๋า งานแนวปรัชญาชีวิตใดๆ มาตลอด พอมาจับงานเขียนแนวธรรมดาเลยอาจจะมีอะไรที่ผิดพลาดไปบ้าง ไม่สนุกไปบ้าง (TwT) อ่านเข้าใจยากไปบ้าง ก็ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ สุดท้ายก็ขอฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ในอ้อมใจด้วยน้า อยู่ด้วยกันไปจนถึงตอนจบเลยเน้อ


:pig4: :man1: :man1: :pig4:






ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
ตอนจบ กร ควรจะได้กลับอนาคต, และได้กับทิม.

ส่วนสองคนนี้ ก็ปล่อยไว้ในอดีต.

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
นุ่งมอสเข้มแข็งมาก ทีนรออยู่ในโลกปัจจุบันนร้า

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3
รักกันจริงหรือเปล่าที่ตรงมาก
รอต่อไป

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ pigarea

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
อ่านแล้วเครียดมาก ทางออก​อยู่​ตรง​ไหน​

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด