Kill me gently จุมพิตอันธการ [แถงการณ์เปลี่ยนชื่อเรื่อง] P.7 [12/2/2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Kill me gently จุมพิตอันธการ [แถงการณ์เปลี่ยนชื่อเรื่อง] P.7 [12/2/2018]  (อ่าน 61600 ครั้ง)

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
บทที่ 13




คีลออกปฏิบัติการภาคสนามกับทีมในการบุกเข้าจับกุมผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งของขบวนการปล้นธนาคารซึ่งเป็นคดีหลักที่เขาทำอยู่ตอนนี้ การจับกุมในครั้งนี้ เรียกได้ว่าเป็นได้ด้วยดี ถ้าไม่นับว่าเขาคนร้ายยิงปืนเข้ากลางลำตัวของเพื่อนร่วมทีมเขาคนหนึ่งจนได้รับบาดเจ็บระหว่างการปะทะ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือเขารวบตัวผู้ต้องหามาได้ และลูกน้องของเขาก็ใส่เสื้อกันกระสุน ทำให้อาการบาดเจ็บดังกล่าวมีเพียงแค่กระดูกร้าวจากแรงปะทะเล็กน้อยเท่านั้น

แต่ถึงลิลลี่ จอร์แดนจะไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงมากนัก เขาก็ยังอดใจหายไม่ได้อยู่ดีตอนที่เห็นหญิงสาวถูกหามขึ้นรถพยาบาลด้วยสีหน้าซีดเซียว ชายหนุ่มหัวหน้าทีมกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาหล่อนตอนที่จัดการยัดคนร้ายใส่ท้ายรถตำรวจเรียบร้อย สีหน้าที่มักเรียบเฉยอยู่เป็นนิจฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด

"คุณจะทำให้ผมหัวใจวาย" เขาว่าพร้อมกับหอบเล็กน้อยเพราะเพิ่งการวิ่งไล่จับ หลบหลีกลูกกระสุน แล้วก็วิ่งกลับมาหาหญิงสาวตรงหน้า "อย่าทำแบบนี้อีก ขอร้องล่ะ"

"ขอโทษด้วยค่ะบอส" เจ้าหล่อนยกยิ้มเซียวๆ ให้เขา คีลส่ายหน้าเล็กน้อยพร้อมกับวางมือลงบนหลังมือเจ้าหล่อนแล้วบีบแรงๆ ทีหนึ่งอย่างให้กำลังใจ

"ไม่หรอก คุณปลอดภัยก็ดีแล้ว"

"จอร์แดน!" เสียงโจนาธาน ฟอร์ด ชายหนุ่มที่กำลังจีบสาวเจ้าอยู่แว่วเข้ามาให้ได้ยิน สีหน้าของเจ้าตัวซีดเผือดยิ่งกว่าคนเจ็บจริงๆ เสียอีก ฟอร์ดหันไปถามจอร์แดนอย่างห่วงใยสองสามประโยคก่อนจะหันกลับมาหาคนเป็นหัวหน้าทีม "วิลล์... ฉันอยากไปส่งหล่อนที่โรงพยาบาล"

"เรามีงานต้องสะสางตรงนี้" ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นเพื่อน และคีลจะรู้สึกเห็นใจอีกฝ่ายมากเพียงใด แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในเวลาทำงาน "ให้ทีมแพทย์จัดการต่อเถอะ"

ฟอร์ดพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ คีลหลบฉากตรงนั้นเพื่อไปโทรรายงานบอสของเขาเองถึงสถานการณ์ตอนนี้ และเมื่อหันสายตากลับมาอีกที เขาก็สังเกตเห็นว่าเพื่อนตัวดีของเขาแอบแวบเข้าไปในตัวรถหน่วยพยาบาลฉุกเฉินแล้ว และเพราะตอนนี้ในรถคันนั้นไม่มีใคร คีลจึงได้เห็นฟอร์ดก้มลงจูบคนรักของตัวเองอย่างทะนุถนอมผ่านทางบานกระจก

คีลรู้ดีว่าตามหน้าที่แล้วเขาควรจะพูดดุอีกฝ่ายหลังจากนี้ แต่ชายหนุ่มกลับเข้าใจเพื่อนร่วมทีมอย่างสุดซึ้งว่าการเห็นคนรักของตัวเองบาดเจ็บมันเป็นยังไง เขานึกถึงตอนที่ตัวเองจูบกับเทย์เลอร์ และเมื่อคิดถึงอาชญากรคนนั้นขึ้นมา ใจของเขาก็กระสับกระส่ายไม่เป็นสุข

"วิลล์... วิลล์คะ ฮัลโหล คุณยังอยู่ในสายไหม"

เสียงจากปลายสายปลุกเขาจากภวังค์ "ครับ บอส ผมยังอยู่ครับ"

"ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างก็เรียบร้อยตามคุณพูดมาใช่ไหมคะ นอกจากจอร์แดนแล้วไม่มีใครได้รับบาดเจ็บนะ"

“ครับ” เขาตอบรับสั้นๆ นิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขัดเจนนิเฟอร์ เคลลี่ที่กำลังจะวางสาย “บอสครับ เดี๋ยวก่อน ผมถามหน่อย ก่อนหน้านี้ผมคุยกับคุณฮอร์ตันไป เรื่องที่ว่าเราจะเอาตัวเอลเลียต เทย์เลอร์ออกมาช่วยเรื่องคดีได้อีกหรือเปล่า”

“อ้อ” มีเสียงแฟ้มเอกสารเปิดพลิกดังลอดมาให้ได้ยิน “ค่ะ คุณทำรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรมาแล้วนี่คะ ฉันส่งให้เบื้องบนไปแล้ว”

“แล้วมีการตอบกลับอะไรมาบ้างรึเปล่าครับ”

“เอ… เท่าที่ดูตอนนี้--” เสียงของเคลลี่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเจ้าหล่อนจะว่า “สักครู่นะคะ วิลล์ มีสายซ้อนน่ะค่ะ ขอฉันรับทางนั้นก่อน”

“ไม่มีปัญหาครับ” ตอบเสียงเรียบพร้อมกับรออย่างใจเย็น แต่เขาไม่ต้องรอนานเลยเมื่อหญิงสาวตัดสายกลับมาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“วิลล์คะ เกิดเรื่องแล้วล่ะค่ะ”

“อะไรครับ” ชายหนุ่มพูดเสียงเครียดขึ้นมาทันที

“ฉันเพิ่งได้รับการติดต่อเกี่ยวกับเรื่องของเอลเลียต เทย์เลอร์”

“ได้เรื่องว่าอะไรบ้าง”

“ฉันว่า ถ้าคุณอยากจะพบเขา คงต้องไปเจอที่โรงพยาบาลแล้วล่ะค่ะ”





สภาพของคนที่นอนป่วยอยู่บนเตียงทำเอาคีลถึงกับพูดไม่ออก 

ทันทีที่เขาทราบเรื่องมาจากหัวหน้าว่าเอลเลียตโดนแทงเข้าที่ลำตัวทั้งหมดสามแผล เจ้าตัวก็ทิ้งทุกอย่างในมือแล้วขับรถตรงมาที่โรงพยาบาลซึ่งเคลลี่บอกเขาว่าเอลเลียตรักษาตัวอยู่ในนั้น

แต่เพราะต้องขับรถข้ามมายังอีกรัฐบวกกับสภาพการจราจรแออัดบนท้องถนน คีลก็ใช้เวลาอยู่บนรถหลายชั่วโมงกว่าจะมาถึงที่โรงพยาบาลดังกล่าวได้ และเมื่อเขามาถึงเทย์เลอร์ก็ออกจากห้องผ่าตัดแล้ว ชายหนุ่มพ้นขีดอันตรายแล้วก็จริงแต่ก็อยู่ในสภาพที่แย่มาก

อันที่จริง ตอนที่คีลยังอยู่บนถนน สิ่งที่ทีมแพทย์รายงานมาคือโอกาสรอดของเอลเลียตอยู่ที่ห้าสิบห้าสิบเลยด้วยซ้ำ วินาทีนั้นชายหนุ่มแทบคลั่ง ได้แต่ทุบมือลงบนพวงมาลัยอย่างหัวเสีย โกรธตัวเองที่ทำได้แค่ติดแหงกอยู่กลางถนน แต่ในที่สุดเขาก็มาถึงที่หมายโดยได้รับการติดต่อจากเคลลี่ว่าเอลเลียตพ้นขีดอันตรายแล้วครึ่งชั่วโมงก่อนที่จะถึงตัวโรงพยาบาล

คีลทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่ลากมาไว้ข้างเตียง มองคนที่ยังนอนไม่ได้สติด้วยความรู้สึกใจหาย

นัยน์ตาสีน้ำตาลสังเกตเห็นรอยฟกช้ำที่อยู่บนใบหน้าของคนที่ครั้งหนึ่งเคยส่งยิ้มสดใสมาให้เขา มันทำให้คีลนึกโกรธกรุ่นขึ้นมาทันที มือแกร่งเอื้อมลงแตะแก้มของคนที่หลับไม่รู้เรื่องอย่างเผลอไผล ความเย็นชาในแววตาหายวับไปจนเกลี้ยง เหลือเพียงความห่วงใยให้คนที่อยู่หน้าเท่านั้น

ชายหนุ่มใช้เวลาอยู่ในห้องพักฟื้นหลังผ่าตัดโดยไม่กระดิกไปไหน เขามองร่างกายของเอลเลียตที่ตอนนี้ดูบอบบางลงกว่าที่คีลจำได้ไม่รู้กี่สิบเท่าถูกแขวนต่อไว้ด้วยสายระโยงระยางติดไว้

คีลไม่แน่ใจว่าเขาจ้องหน้าคนป่วยอยู่นานเท่าไร รู้ตัวอีกทีเขาก็กุมมือของเอลเลียตไว้แน่นราวกับต้องการส่งความรู้สึกทั้งหมดที่มีไปให้

ทุกวินาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความคิดของคนรอ แต่ในที่สุดคนบนเตียงก็ปรือตาขึ้นมาอย่างสับสนในวินาทีแรก ภาพทุกอย่างที่เห็นพร่าเลือนไปหมด แต่เมื่อสายตาเริ่มปรับโฟกัสได้ เอลเลียตก็ต้องหรี่ตาลงอีกครั้ง ความสับสนพุ่งเข้ามก่อนเป็นอย่างที่มีสติ

“...คีล?”

“เอล” ร่างสูงขยับตัวเข้าไปใกล้ทันที กุมมืออีกฝ่ายแน่นขึ้นอย่างเผลอตัว นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่สวยที่เอลเลียตเฝ้าคิดถึงมาตลอดสั่นระริกราวกับกำลังจะร้องไห้ “คุณเป็นยังไงบ้าง”

“คุณ… มาอยู่นี่ได้ไง” เสียงของคนป่วยขาดเป็นห้วงๆ เพราะยังอ่อนแรงอยู่มาก หากเขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ถูกถ่ายทอดมาทางฝ่ามือของคีล “แล้ว… ที่นี่…?”

“คุณอยู่โรงพยาบาล เทย์เลอร์” พอความตกใจเลือนไป คีลก็กลับมาเรียกอีกฝ่ายด้วยนามสกุลตามเดิม “คุณถูกแทง”

“ผม… ถูกแทง?” ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นขึ้นนิดหนึ่งเมื่อพยายามฝ่าม่านหมอกในหัวแล้วคิดตามคำพูดอีกฝ่าย และเมื่อความทรงจำทะลักเข้ามาในหัว ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วของเอลเลียตก็ยิ่งซีดลงไปอีก บ่าสองข้างเริ่มสั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่ คีลรู้สึกได้เลยว่ามันสั่นมาถึงมือของเจ้าตัว

“ไม่เป็นไรครับ เอล ไม่เป็นไร ตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว”

“คีล” เรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย มือที่ไร้เรี่ยวแรงพยายามจับมือของอีกฝ่ายตอบ “คีล… คุณมาหาผม”

“ใช่ครับ” คีลพูดพร้อมกับโน้มหน้าเข้าไปหาเอลเลียตมากขึ้นจนอีกฝ่ายรับรู้ถึงลมหายใจอุ่น “ผมมาหาคุณ”

“ผม… ผมขอโทษ คีล” แม้คำพูดจะกระท่อนกระแท่น แต่คนผมน้ำตาลก็กระอักคำพูดออกมาจนได้ “ขอโทษ… ที่พยายามจะหนี”

คีลไม่พูดอะไรตอบ เขาแค่บีบมือของเอลเลียตแน่นขึ้น หากแววตาอ่อนโยนระคนสำนึกผิดที่มองมาที่เขาทำให้คนผมน้ำตาลน้ำตารื้นขึ้นมา

“ผมเสียใจ… เสียใจจริงๆ”

“ผมก็เหมือนกัน” คีลพูดตอบ และเขาหมายความตามที่พูด “เสียใจที่ไม่เชื่อคุณแต่แรก และคุณก็เกือบจะตายจริงๆ”

“ผม… ผมรอดได้ยังไงเนี่ย” เอลเลียตว่าพร้อมกับพยายามเค้นเสียงหัวเราะฝืนๆ ออกมา “โดนไปเต็มๆ… ขนาดนั้น”

“ผมรู้ว่ามันยากสำหรับคุณ” เจ้าหน้าที่หนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงานมากขึ้น “แต่คุณได้เห็นหน้าคนร้ายรึเปล่า ระบุรูปพรรณสัณฐานให้ผมหน่อยได้ไหมครับ”

“ผม… รู้จักเขา” น้ำเสียงคนพูดกระท่อนกระแท่นจนคีลเริ่มกังวล เอลเลียตหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนขณะพูดชื่อออกมา “เบลค เรมิเรซ”

คีลไม่ถามอะไรต่อให้ยืดยาว เขากดโทรศัพท์ต่อสายโจนาธานแล้วบอกชื่อนั้นให้อีกฝ่ายก่อนจะวางสายลง

“ผมให้เพื่อนผมช่วยจัดการต่อให้แล้ว เขาเป็นนักโทษที่อยู่ในคุกเหมือนคุณใช่ไหมครับ”

เอลเลียตพยักหน้าอย่างเชื่องช้า ตาลอยๆ กับใบหน้าขาวซีดทำให้คีลต้องลุกออกจากเก้าอี้

“คุณอยากดื่มน้ำหน่อยไหม เดี๋ยวผมหยิบให้”

คนบนเตียงพยักหน้าอีกที คีลเลยเดินไปหยิบแก้วมารินน้ำใส่แล้วยื่นให้อีกฝ่าย และเมื่อเห็นว่ามือทั้งสองข้างของเอลเลียตสั่นระริกจนน้ำแทบจะกระฉอกออกมา มือหนาจึงเลื่อนไปช่วยประคองให้เอลเลียตดื่มน้ำได้ในที่สุด เขาดึงแก้วที่ว่างเปล่าออกจากมืออีกฝ่าย วางลงบนโต๊ะข้างๆ ก่อนจะหันมามองคนที่มีสีหน้าดีขึ้นมาเล็กน้อย

“อยากให้ผมเรียกหมอรึเปล่าครับ”

“ไม่ครับ” เอลเลียตส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า และเมื่อคีลค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเขา เอลเลียตก็พูดตะกุกตะกักออกมาอย่างคนพยายามเรียบเรียงเรื่องราว “เรมิเรซ… เขาเป็นรูมเมทของผม”

“ในคุกน่ะเหรอครับ”

“ใช่”

“ผมได้ยินมาว่ามีเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดไปพบคุณจมกองเลือดอยู่นอกตัวตึกโซน C” น้ำเสียงของคีลเป็นการเป็นงาน และมันเป็นโทนเสียงแบบที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาสอบปากคำ เอลเลียตรู้ดี

“ใช่ ผมไปอยู่ที่นั่น”

“ทำไมครับ”

“ผมนัดกับเรมิเรซที่นั่น” แม้จะเหนื่อยจนไม่อยากแม้แต่จะเปิดปาก แต่เอลเลียตก็พยายามบังคับตัวเองให้บอกข้อมูลแก่คนข้างตัวให้มากที่สุด “ผม… ผมขอให้เขาเอาอาวุธมาให้ผม พวกมีดสั้น มีดพก อะไรแบบนั้น”

แล้วที่เขาขอน่ะ คือขอให้เอามาให้ ไม่ใช่ให้เอามาแทงกันแบบนี้

“ทำไมคุณต้องอยากได้อาวุธ”

“ผมกำลังจะโดนฆ่า คีล” ถึงตรงนี้ น้ำเสียงของชายหนุ่มก็ดูจะเจ็บปวด หวาดกลัว และปนมาด้วยร่องรอยของการตัดพ้อคู่สนทนา “ผมรู้ตัวว่าตัวเองโดนสั่งฆ่า… คุณคิดว่าที่ผมบอกคุณเป็นเรื่องล้อเล่นเหรอ”

“ผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่น” คีลพูดสีหน้าราบเรียบ ความอ่อนโยนและความห่วงใยที่มีก่อนหน้าที่เอลเลียตจะฟื้นขึ้นมาหายไปจากใบหน้า “แต่ผมคิดว่าคุณโกหก… พวกอาชญากรน่ะยอมโกหกทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องเข้าไปอยู่ในห้องขังอยู่แล้ว”

เอลเลียตชักสีหน้าเจ็บปวดที่ทำเอาคนมองอย่างคีลใจหายวูบ

“แต่ผมไม่ได้โกหก”

“ตอนนี้ผมรู้แล้ว” เห็นสีหน้าแบบนั้น ใบหน้าคมก็ผ่อนลง มือเลื่อนไปลูบแก้มที่บวมเล็กน้อยของเอลเลียตแผ่วเบา “ผมเสียใจที่ไม่เชื่อคุณ”

“ผมเกือบจะตายอยู่แล้ว”

“ผมขอโทษ”

“ทำไมคุณถึงยอมกลับมาหาผม คีล” เอลเลียตว่าพร้อมกับมองตาอีกฝ่ายนิ่ง

คีลยังคงไม่ละมือจากแก้มของเจ้าตัว “คุณยังต้องถามอีกเหรอครับ”

“ก็คุณบอกว่าเรื่องระหว่างเรามันไม่จริง” คราวนี้คนผมน้ำตาลเอื้อมมือไปกุมมือหนาที่อยู่บนแก้มเขาอีกต่อ ราวกับต้องการทำให้มั่นใจว่าสัมผัสอบอุ่นอ่อนโยนนั่นเพื่อเขาจริงๆ “แล้วตอนนี้ล่ะ คีล นี่ก็เรื่องโกหกของเราหรือว่าของคุณอีกหรือเปล่า”

“คุณจะเชื่อไหมถ้าผมบอกว่าผมเองก็อยากให้ความรู้สึกของตัวเองที่มีให้คุณเป็นเรื่องโกหก”

“อะไรนะ” เอลเลียตถามกลับด้วยน้ำเสียงผิดหวัง สมองยังตื่นไม่เต็มตัวเพราะความอ่อนล้าทางกาย คีลจึงเขยิบเข้าใกล้คนบนเตียงแล้วประคองหน้าชายหนุ่มด้วยมือทั้งสองข้าง

“แต่มันไม่ใช่เรื่องโกหก เอลเลียต”

นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยจ้องเขาอย่างประเมิน ราวกับลจะคว้านลึกเข้ามาข้างใน

“คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าผมคลั่งแค่ไหนตอนที่ได้ยินเรื่องที่คุณถูกแทง” พูดพร้อมกับวางหน้าผากของตัวเองลงบนหน้าผากของอีกฝ่าย เอลเลียตเพิ่งรู้สึกตอนนี้เองว่ามือแกร่งทั้งสองข้างที่อยู่บนหน้าเขาสั่นเทา “ผมกลัว… กลัวมากจริงๆ ว่าจะเสียคุณไป”

“คุณพูดจริงเหรอ” ในหัว เอลเลียตรู้ดีว่าเขาอาจจะกำลังโดนหลอกอีกก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นคำพูดที่ส่งผ่านมาก็ทำให้หัวใจของเขาพองโตขึ้นมาด้วยความยินดี ขอบตาของเจ้าตัวร้อนผ่าว น้ำตาที่เอ่อขึ้ามาเล็กน้อยทำให้คีลต้องเลื่อนปลายหัวแม่โป้งไปปาดที่หางตาอีกฝ่าย

นัยน์ตาสีฟ้าที่มองมาที่เขาเหมือนเด็กที่กำลังสับสนทำให้คีลสงสารคนบนเตียงจับใจ เหมือนเอลเลียตกำลังเรียกร้องขอความจริงจากเขา และสำหรับเขาตอนนี้ก็ไม่มีอะไรให้นอกจากความรู้สึกจากด้านในจริงๆ

“ผมพูดจริง” เขาจ้องตาอีกฝ่ายนิ่งเพราะอยากให้เอลเลียตรับรู้ถึงมัน “ผมเป็นห่วงคุณ”

“ถ้าคุณจะห่วงผมแค่เพราะห่วงเรื่องคดี--”

“ไม่ เอล คุณก็รู้ว่าระหว่างเรามันมีอะไรมากกว่านั้น”

“คุณคิดว่าผมรู้เหรอ” เอลเลียตพูดเสียงดังขึ้นอย่างเจ็บปวด “ไม่ คีล ผมไม่รู้หรอก”

“งั้นผมจะบอกให้” นัยน์ตาสีน้ำตาลวาววับด้วยความมุ่งมั่นขณะยื่นหน้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น “ผมรัก--”

“ไม่ ผมไม่อยากฟัง” เอลเลียตยกนิ้วขึ้นมาปิดปากคนพูด และเมื่อถอนนิ้วออก ใบหน้าของเจ้าตัวก็แดงระเรื่อขึ้น นัยน์ตาสีฟ้าฉ่ำเยิ้มแบบที่คีลจำได้ว่าเอลเลียตทำหลังจากที่พวกเขามีเซ็กส์กัน “ผมอยากให้คุณจูบผม”

ร่างสูงทำตามความปรารถนาของคนบนเตียงทันที

คีลเอื้อมมือไปประคองหลังคออีกฝ่ายขณะประกบริมฝีปากลงไปอย่างอ่อนโยน เอลเลียตชะงักไปอย่างตั้งตัวไม่ทัน แต่อึดใจต่อมาเจ้าตัวก็เริ่มขยับลิ้นของตัวเองตอบรับสัมผัสที่ล้วงเข้ามาในโพรงปากอย่างกล้าๆ กลัวๆ รับรู้ถึงความหวานที่คนด้านบนส่งผ่านมาให้ และนั่นทำให้เอลเลียตคลายร่างกายที่เกร็งขึ้นมาเล็กน้อยลง

เอลเลียตปล่อยให้คีลทาบจูบลงมาครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยใบหน้าที่แดงขึ้นเรื่อยๆ สัมผัสอ่อนโยนพวกนั้นทำให้เขาเขินขึ้นมาอย่างประหลาด คีลใช้มือบังคับหลังคออีกฝ่ายให้หันหน้าตามจังหวะจูบที่เร็วขึ้น ได้ยินเสียงครางหวานๆ เล็ดลอดออกมาจากลำคอ นิ้วเรียวของเอลเลียตจิกลงบนบ่าเขาอย่างเงอะงะขณะที่ตวัดลิ้นตอบรับจูบของคีลอย่างเอาเป็นเอาตาย

นั่นทำให้ร่างสูงอดขำในใจหน่อยๆ ไม่ได้ ก็ก่อนหน้านี้เอลเลียตเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้ถึงขนาดที่เป็นฝ่ายดึงเขาเข้าไปจูบก่อนเองด้วยซ้ำ มาตอนนี้เจ้าตัวกลับปวกเปียกอยู่ในอ้อมแขนของเขาแทน ดูๆ แล้วก็น่าเอ็นดูไม่น้อย ยิ่งเพราะอีกฝ่ายอยู่ในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ประกอบกับใบหน้าที่แดงก่ำไปถึงหู สายตาที่ปรือขึ้นมามองเขาราวกับเด็กไร้เดียงสาทำเอาคีลใจเต้นรัวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่

เขาผละริมฝีปากออกมาแล้วประกบจูบลงไปอีกรอบอย่างหวงแหน ได้ยินเสียงอุทานในลำคอของเอลเลียตน้อยแต่คนผมน้ำตาลก็ยอมปิดเปลือกตาลงแล้วจูบตอบเขาอีกรอบแต่โดยดี คีลนึกถึงเรื่องที่เอลเลียตเคยเล่าให้ฟังเรื่องเทลออฟอดัมส์ที่เป็นแฟนเก่าของเจ้าตัว แล้วนึกถึงท่าทีเชี่ยวชาญเกินความจำเป็นของเอลเลียต นั่นทำให้ร่างสูงได้ข้อสรุปในใจว่าพ่อตัวแสบต้องผ่านมือผู้ชายมาหลายคนแล้วเป็นแน่ คิดแค่นี้เขาก็รู้สึกหึงเจ้าตัวขึ้นมา จังหวะจูบรอบนี้จึงดุเดือดรุนแรงกว่าที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาเอลเลียตที่กำลังเคลิ้มกับจูบหวานๆ สะดุ้งไปเลย

แผ่นอกของคนบนเตียงกระเพื่อมขึ้นลงเร็วขึ้นราวกับเพิ่งออกกำลังกายมาอย่างหนักหน่วงขณะที่คีลค่อยๆ ถอนจูบออก เอลเลียตหอบหายใจ สูดอากาศเข้าปอดอย่างรวดเร็วขณะที่ยกแขนขึ้นปิดปาก ใบหน้าแดงแปร๊ดจนคีลนึกอยากฟัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

คีลเอื้อมมือไปยีเส้นผมสีน้ำตาลของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู ใจเต้นขึ้นมาอีกรอบเมื่อนัยน์ตาสีฟ้าช้อนขึ้นมามองเขาอย่างรักใคร่ เขาจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เขารู้สึกชอบใครสักคนอย่างหมดหัวใจขนาดนี้คือตอนที่เขาตกหลุมรักหญิงสาวที่เรียนอยู่ในโรงเรียนตำรวจแห่งเดียวกับเขา

ไม่สิ… ครั้งนี้ความรู้สึกมันรุนแรงยิ่งกว่าสมัยยังวัยรุ่นด้วยซ้ำ

“ผมรักคุณ คีล”

“ผมพูดว่ารักคุณได้แล้วรึยัง”

เอลเลียตคลี่ยิ้มหวาน “คุณพูดผ่านจูบของเราแล้วไง”

“...” นี่เขาเป็นอยู่คนเดียว หรือว่าไอ้หมอนี่มันน่ากดจริงๆ?

“คีล ผมขอน้ำอีกแก้วได้ไหม” พอเริ่มตั้งตัวได้ คนผมน้ำตาลก็หันมาจับบทอ้อน “คอแห้งจังเลย จูบมาราธอนเมื่อกี้ทำเอาผมละลายหมดแล้ว”

“พูดดีไป” คีลดึงปลายจมูกของอีกฝ่ายมันเขี้ยว แต่ก็ยอมหยิบแก้วน้ำไปรินน้ำจากเหยือกมาเสิร์ฟให้คนป่วยอยู่ดี “ทำเป็นเด็กไม่รู้ประสีประสาไปได้ ไม่สมกับเป็นคุณเลย เอล”

“คุณยอมเรียกชื่อผม”

“ผมเรียกชื่อแฟนตัวเองผิดตรงไหน”

เอลเลียตหน้าร้อนขึ้นมาอีกวูบ หากรอยยิ้มยินดีปรากฏชัดเจน

“ไม่เอาหลอกๆ แล้วนะ”

“ถ้าคุณไม่ได้กำลังหลอกผมล่ะก็ ไม่มีการหลอกกันอีกแล้ว” พูดพร้อมกับยื่นแก้วน้ำให้ เอลเลียตรับไปถือแต่ไม่ยอมดื่ม

 “ผมจะหลอกคุณได้ไง ก็รอบนี้คุณพูดเอง”

“แล้วคุณว่ายังไงล่ะ”

นัยน์ตาสีฟ้าฉายแววสำนึกผิดยามที่ช้อนสายตาขึ้นมองเขาคราวนี้

“ผมขอโทษนะคีลที่พยายามหนีคุณ”

“ถ้ามีคราวหน้าอีกผมจะจับคุณล่ามแล้ว” ชายหนุ่มพูดทีเล่นทีจริงขณะหน่อยตัวนั่งลงบนเก้าอี้อีกรอบ หากสีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนนั่นทำให้คำพูดนั้นดูเอาจริงจนน่ากลัว แต่ไอ้นักโทษตัวแสบเขาก็ยังยิ้มเผล่อย่างไม่เกรงกลัว ซ้ำยังท้าทายสำทับ

“งั้นใส่ปลอกคอล่ามผมไว้ก่อนเลยไหมครับ ยอมให้เอาเชือกจูงด้วยเอ้า”

“ผมว่าอย่างคุณเชือกไม่น่าพอ คงต้องโซ่หนาๆ สักเส้น”

เอลเลียตหัวเราะร่วนอย่างมีความสุข เสียงหัวเราะนั่นทำให้ยิ้มตามอย่างอดไม่อยู่ นัยน์ตาสีฟ้าของเอลก้มลงมองแก้วน้ำในมือ ทำหน้าเหมือนคนเพิ่งนึกอะไรก่อนได้ ก่อนจะยิ้มจนตาหยีส่งมาให้เขา

“ผมคอแห้งจัง คีล”

“น้ำก็อยู่ในมือคุณแล้วไง”

“มือผมไม่มีแรงเลย”

ใบหน้าคมที่มักตีหน้าเฉยอยู่เป็นนิจกระตุกยิ้มรู้ทัน คว้าแก้วใบนั้นมาจากอีกฝ่าย ยกขึ้นดื่ม ก่อนจะโน้มหน้าลงไปทาบริมฝีปากของตัวเองลงบนปากอีกฝ่ายอีกรอบ และเมื่อมั่นใจว่าน้ำไหลผ่านคออีกฝ่ายไปแล้ว คีลก็ก้มลงบรรเลงบทจูบอันแสนยาวนานอีกครั้ง คราวนี้มันแย่กว่าเมื่อกี้อีกเพราะเอลเลียตเองก็เริ่มมีสติและเรี่ยวแรงมากพอจะรั้งคอเขาไม่ให้ผละหนีไปไหนง่ายๆ แล้ว

คีลผละริมฝีปากออกอย่างเชื่องช้าพร้อมกับลูบหน้าคนรักอีกรอบ ชอบที่ได้เห็นรอยยิ้มหวานๆ นั่นส่งตอบกลับมา

“แล้วไอ้ที่แก้มคุณเนี่ย อย่าบอกนะว่านี่ก็ฝีมือของรูมเมทคุณด้วย?”

“อ้อ ไม่ใช่ครับ” เอลเลียตว่า “มีคนพยายามจะปล้ำผมในห้องน้ำ”

ฉับพลัน บรรยากาศรอบตัวคีลก็หนักอึ้งขึ้นมาทันที คนผมน้ำตาลเลยต้องรีบเสริม “เออ แต่ผมไม่ได้โดนทำอะไรนะ หมายถึง ก็ฟาดปากกันแล้วก็รอดตัวมาได้”

“ทำไมไม่ระวังตัวเองเลย”

เอลเลียตยักไหล่ “ก็มันมากันสามคน ถ้าแค่คนเดียวยังไงผมก็สู้ไหวอยู่แล้ว”

“สามคนเนี่ยนะ---” เสียงของคีลขาดช่วงไปเพราะเสียงโทรศัพท์ดังขัดขึ้น เจ้าตัวยกมือขึ้นมาเป็นเชิงขอตัว กดรับสาย ฟังสิ่งที่ปลายสายพูดแล้วนัยน์ตาสีน้ำตาลนั่นก็เบิกกว้างขึ้นนิดหนึ่งก่อนมันจะสงบลงตามเดิม หากความเคร่งเครียดแผ่ออกมาจนเอลเลียตรับรู้ได้ คีลหันกลับมาหาเขาอีกครั้งหลังจากยัดโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง “เบลค เรมิเรซตายแล้ว”

“อะไรนะ” เอลเลียตอุทาน

“เขาโดนโทษประหารไปเมื่อช่วงบ่ายของวันนี้เอง บอสผมบอกว่าเมื่อสามวันก่อน อยู่ๆ เขาก็ยอมรับข้อกล่าวหาคดีฆาตกรรมที่เขาลงมือก่อนจะเข้ามาในคุก เขาบอกว่าเขาทนรับความรู้สึกผิดไม่ไหวแล้วก็เลยขอรับโทษประหาร”

คนผมน้ำตาลหน้าซีดเผือดลงอย่างรวดเร็ว นึกถึงวันแรกที่คุยกับชายผิวสีคนนั้น เบลคเคยบอกเขาว่าตัวเองต้องเข้ามาอยู่ในเรือนจำเพราะคดีฆาตกรรมจริง แต่เพราะรูปคดีและอะไรหลายๆ อย่างทำให้เขารอดโทษประหารมาได้ แต่ตอนนี้เจ้าตัวกลับขอรับโทษนั้นเสียเอง

เอลเลียตคิดตามเร็วจี๋ถึงความเป็นไปได้ว่าเพราะอะไร เขาไม่รู้คำตอบแน่ชัดหรอก แต่สิ่งที่ชัดเจนมีให้เห็นแค่อย่างเดียว

ชายหนุ่มเลื่อนมือไปกระตุกแขนเสื้อของแฟนหนุ่ม ยึดมันไว้แน่นก่อนจะว่าเสียงแผ่ว

“คีล… คุณต้องพาผมออกไปจากที่นี่”

“เอล...”

“ผมอยู่ที่นี่ไม่ได้” เมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ความตายเฉียดฉิวที่เพิ่งผ่านไป เอลเลียตก็ไม่สามารถควบคุมไม่ให้ตัวสั่นได้ “ได้โปรด คีล พาผมหนีออกไปจากที่นี่เถอะ”




----------------------------------------------------------
Talk: อ่านคอมเม้นท์ตอนก่อนหน้าแล้วแบบ เอ่อ ทุกคนคะ ใจเย็นๆ นะ เอลเป็นนายเอกนะคะ ถ้านางตาย แล้วจะเดินเรื่องต่อยังไงล่ะ ถถถถถถ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ อย่าลืมเม้นท์เป็นกำลังใจกันด้วยนะ ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-11-2017 18:00:11 โดย Airiณ »

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
จะพาหนีไปไหนได้ คีลเป็นตำรวจนี่ มีแบบทำเรื่องให้เอลอยู่ในความคุ้มครองได้ไหมคะ ไม่ปลอดภัย  :katai1:

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
 :เฮ้อ:รอดแล้ววว

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ ReiSei

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-5
สนุกโคดดดดด อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะคุณ ลุ้นมาก กลัวน้องเอลจิตายก่อน คือนิยายที่ตัวเอกตายมันก็มีถมเถ จะให้วางใจไม่ได้หรอกนะคะ  :hao5:
แค่ความสัมพันธ์ระหว่างตำรวจกับนักโทษมันก็กร๊าวใจอยู่แล้ว นี่ยังต้องเลือกระหว่างความถูกต้องกับการเอาชีวิตรอดของแฟนหนุ่ม โอโห ยิ่งตัวพ่อยังเป็นตำรวจใหญ่อีก น้องเอลจะรอดจนถึงตอนจบจริงๆเหรอ ไม่ใช่ยิ้อได้สองสามตอนแล้วต้องโบกมือลาไปนะ  :hao5:

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
พลาดไปตอนนึง ไม่ทันสังเกตว่าอัพ กลับมาอ่านย้อนหลัง ช็อค สงสารเอล
อย่ารุนแรงกะนายเอกมากสิค้าา

ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ชีวิตเอลตอนนี้คือไม่ปลอดภัยอย่างแรง :katai1:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
ลุ้นมากว่าเอลจะเป็นยังไงต่อ   :angry2: :angry2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 14




“ใจเย็นๆ ก่อนครับ เอล” คีลว่าหลังจากที่เห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของอีกฝ่าย มือหนากุมมืออีกฝ่ายแน่นขณะพูดเสียงอ่อนโยน “คุณอยู่ที่โรงพยาบาลนะตอนนี้ แล้วก็มีคนเฝ้าให้ข้างนอก”

เอลเลียตส่ายหน้า “มันไม่ช่วยผมหรอก คีล คุณไม่เห็นเหรอว่าผมเพิ่งโดนแทงมาสามรูบนท้องเนี่ย อะ โอ๊ย”

“อย่าขยับเยอะสิคุณ” พูดอย่างตกใจพร้อมกับประคองอีกฝ่าย หากปากยังมิวายอธิบายต่อ “ไม่เป็นไรหรอกครับ มันไม่เหมือนกันสักหน่อย ผมเชื่อว่าคนที่มาเฝ้าคุณคงมืออาชีพพอ”

หากคนผมน้ำตาลยังส่ายหน้า ใบหน้าที่เริ่มดีขึ้นเมื่อครู่เพราะได้คืนดีกับคีลซีดเผือดลงไปตามเดิม อาจจะแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ

“พวกตำรวจนี่แหละตัวดี”

“คุณหมายความว่ายังไง”

เอลเลียตพิงหัวลงกับหมอน สูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกสติและความเยือกเย็น “คนที่จะเก็บผมเขาใหญ่”

คีลทำความเข้าใจกับประโยคนั้นได้อย่างรวดเร็ว เขายื่นหน้าเข้าใกล้เอลเลียตมากขึ้น

“คุณต้องบอกผมว่าเขาเป็นใคร”

เอลลืมตาโพลงขึ้นมา คว้ามือของคีลหมับ จ้องตาอีกฝ่าย พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“สัญญากับผมก่อนว่าคุณห้ามบอกใคร แม้แต่บอสของคุณ เพื่อนของคุณ ลูกน้องของคุณ บอกใครไม่ได้ได้เด็ดขาด”

“แต่ถ้าผมบอกบอสไม่ได้ แล้วผมจะช่วยคุณจับไอ้คนคนนั้นได้ยังไง”

“สัญญากับผม” เอลเลียตยืนยันคำเดิม นัยน์ตาฉายแววอ้อนวอน “ได้โปรด… บอกผมสิว่าจะไม่บอกใครทั้งนั้น”

คีลเม้มริมฝีปากแน่นอย่างชั่งใจ แต่ในที่สุดเขาก็ผ่อนลมหายใจแรงแล้วตอบรับอย่างเสียไม่ได้

“ตกลงครับ เอล ผมจะไม่บอกใคร”

เอลเลียตเคลื่อนหน้าเข้าไปข้างหูอีกฝ่ายก่อนจะกระซิบ “จูเลียน ฮอร์ตัน”

คีลมองหน้าคนพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นี่คุณล้อผมเล่นใช่ไหม”

“ไม่ ผมไม่ได้ล้อเล่น”

แต่อีกฝ่ายก็ยังมีสีหน้าไม่เชื่ออยู่ เอลเลียตเริ่มขมวดคิ้วมุ่น “ผมเพิ่งเกือบโดนฆ่ามาอยู่นะ คีล ผมไม่โกหกหรอก”

“ผมรู้ครับ เพียงแต่…” คนที่เพิ่งได้รับข้อมูลยกมือขึ้นลูบหน้า สีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง หัวคิ้วแทบจะชนกันอยู่แล้ว “ทำไมเขาถึงอยากจะเก็บคุณ”

นัยน์ตาสีฟ้าเริ่มกวาดมองรอบๆ อย่างไม่ไว้ใจ ราวกับเขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรมาพูดที่นี่ แต่เขาก็รู้ดีว่าถ้าไม่พูด คีลต้องไม่เชื่อและไม่ยอมช่วยเขาแน่ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจโน้มตัวลงไปกระซิบ

“เขาคือเบื้องหลังพวกที่ปล้นธนาคารทั้งหมด”

หน้าที่ยุ่งยากลำบากใจอยู่แล้วของคีลยิ่งยุ่งเข้าไปอีก เอลเลียตเริ่มลุกลี้ลุกลนขึ้นมาจริงๆ แล้ว

“ฟังนะ คุณสายสืบ คุณคิดว่าที่พวกตำรวจหรือพวกเอฟบีไอยังกวาดล้างพวกเราได้ไม่หมดเนี่ย เพราะฝีมือพวกคุณกระจอก หรือเพราะไอ้พวกนั้นมันฉลาดกว่าพวกคุณ… อึก งั้นเหรอ? ”

ประโยคหลังๆ ของเจ้าตัวเริ่มแผ่วเพราะอาการบาดเจ็บเริ่มกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง เอลเลียตมึนหัววูบขณะทิ้งตัวลงบนหมอนอย่างอ่อนแรง ความเจ็บปวดแล่นแปลบขึ้นมาทำเอาเจ้าตัวต้องร้องคราง คีลขยับตัวเข้าไปลูบอีกฝ่ายอย่างเป็นห่วง เห็นสภาพเจ้าตัวเป็นงี้แล้วคิดว่าเขาอยากจะให้ออกจากโรงพยาบาลเหรอ

“ก็… นั่นแหละ ตามที่ผมพูด” เอลเลียตพยายามประคองสติของตัวเองไม่ให้ดับวูบลง “เขา… เป็นคนคอยหนุนหลังพวกเรา”

“เลิกใช้คำว่าพวกเราสักทีได้ไหมครับ” พูดเสียงดุเล็กน้อย “คนพวกนั้นพยายามจะฆ่าคุณนะ”

เอลเลียตยกยิ้มแม้ว่าตาแทบจะปิดเพราะความอ่อนล้าทางกายอยู่แล้วก็ตาม “ตกลงครับ ที่รัก ตามที่คุณพูดเลย”

คีลนิ่งคิดไปครู่ใหญ่ ในหัวประเมินข้อมูลที่เพิ่งได้รับมาจากคนบนเตียงอย่างเคร่งเครียด ถ้าให้พูดกันตามตรง… ถ้าหากว่าเขาวางตัวเองในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่ง เขาก็ไม่ควรเชื่อคำพูดของเอลเลียต เพราะมันไม่มีน้ำหนักเอาเสียเลย แถมเขาเพิ่งรู้จักเจ้าตัวไม่ครบเดือนดีด้วยซ้ำ แล้วยิ่งอีกฝ่ายที่เป็นคนใหญ่คนโตด้วย ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด

แต่คีลไม่ใช่คนที่ทำทุกอย่างโดยใช้สมองเพียงอย่างเดียว บ่อยครั้งที่เขาต้องใช้สัญชาตญาณในการทำงานหรือทำคดีใดๆ อันที่จริงต้องใช้บ่อยยิ่งกว่าสมองด้วยซ้ำ และยิ่งตอนนี้เอลเลียตเปลี่ยนสถานะมาเป็นคนรักของเขาเต็มตัว แถมอีกฝ่ายเพิ่งเกือบถูกฆ่า และเหมือนเจ้าตัวจะรู้ดีซะด้วยว่ากำลังจะโดนฆ่าเพราะเตือนเขามาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะงั้นก็คงไม่แปลกถ้าเจ้าตัวจะรู้ว่าใครคิดจะฆ่าตัวเองด้วย

“พาผม… ออกไปที” พูดพร้อมกับเริ่มกระตุกแขนเสื้อเขาอย่างอ่อนล้า “ได้โปรด คีล”

“เอล…” คีลพูดอย่างหนักใจ เขารู้ดีว่าทุกอย่างมันไม่ง่ายแบบนั้น ยิ่งอีกฝ่ายห้ามเขาบอกทีมหรือหัวหน้าด้วยแบบนี้แล้ว

วินาทีนั้นเองที่คีลตระหนักได้ขึ้นมาว่าเขาต้องเลือก ถ้าเขายอมที่จะปกป้อง ยอมที่จะเชื่อใจเอลเลียตจนสุดทาง อาชีพการงานของเขาจะไปแขวนอยู่บนเส้นด้ายแบบร่อแร่ทีเดียว

แต่ถ้าเขาไม่ช่วยเอล… ก็เห็นแล้วว่าชายหนุ่มเกือบจะตายมาแล้วรอบหนึ่ง และถ้าเกิดเขาเสียเอลไปจริงๆ เพราะความลังเลในตอนนี้ แค่คิด คีลก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างไม่น่าเชื่อแล้ว และเขารู้ดีว่าตัวเองไม่มีเวลามากนัก

“คีล…”

“ผมเข้าใจแล้วครับ” เขาว่าเมื่อเห็นสีหน้ากังวลของคนบนเตียง “ผมจะพาคุณออกไป แต่คุณรอผมแป๊บหนึ่งนะ ผมต้องหาทางให้คนที่เฝ้าอยู่หน้าห้องคุณติดธุระอะไรขึ้นมาสักหน่อย”

“คุณจะทำได้ไหม”

คีลยกยิ้มหวานให้อีกฝ่าย ก้มลงจูบปากเอลเลียตทีหนึ่ง “แน่นอนอยู่แล้วครับ ขอเวลาผมห้านาทีนะ”

ให้ตายเถอะ เขาชอบตอนที่คีลส่งยิ้มให้เขาแล้วก็จูบเขาแบบนี้ที่สุดเลย







ถึงพลังใจจะเต็มร้อย แต่พลังกายนี่ถึงขั้นติดลบ

“อูย…” เอลเลียตโอดครวญออกมาแผ่วเบาหลังจากที่คีลแอบตาตัวเขาออกมาจากโรงพยาบาลแห่งนั้นจนได้ และตอนนี้คนผมน้ำตาลก็กำลังนอนอยู่เบาะหลัง บิดตัวเล็กน้อยเพราะแรงสั่นสะเทือนของรถ คีลฟังเสียงหอบหายใจน้อยๆ ของคนด้านหลังก็ชักเป็นห่วง เขาพาเอลออกมาจากโรงพยาบาลโดยพลการเสียแล้ว แล้วหยูกยาอะไรก็ไม่ได้มีติดมาด้วย

“ไหวไหมครับ คุณ”

เสียงอ่อนโยนนั่นทำให้เอลเลียตฝืนยิ้มออกมาได้นิดหนึ่ง ยอมรับกับตัวเองอย่างจนใจว่าคิดถึงเสียงนี้

“ไหว… ครับ คีล”

“ผมว่าไม่นะ”

“ผมไหว…” พูดได้แค่นี้แล้วเจ้าตัวก็เริ่มกัดฟันข่มความเจ็บปวดอีกรอบ และคีลก็รู้ว่าถ้าเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง บางทีอาจเป็นตัวเขาเองนี่แหละที่ฆ่าเอลเลียตด้วยการเอาเจ้าตัวออกมาจากโรงพยาบาลแบบนี้

ก่อนอื่นเลย… เอาเจ้าตัวไปนอนพัก ยังไงคืนนี้ก็เคลื่อนไหวอะไรไม่ได้แล้ว

ชายหนุ่มคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางการเดินทางกะทันหัน จากเดิมที่คิดจะพาคนที่เบาะหลังไปนอนพักที่บ้านตากอากาศเล็กๆ ของเขาซึ่งค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมือง เจ้าตัวกลับไปหยุดรถอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านขนาดกลางแถบชานเมืองในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา

เอลเลียตปรือตาขึ้นมาด้วยสติที่เลือนราง มองร่างสูงที่ปลดเข็มขัดนิรภัยออกก่อนจะเอ่ยปากถามสะลึมสะลือ

"จะไปไหน... เหรอครับ"

"คุณรอผมนิดหนึ่ง" คีลตอบ หันมองซ้ายขวาหน้าหลังขณะเปิดประตูลงจากรถ "เดี๋ยวผมมา"

เอลเลียตกำลังจะอ้าปากห้าม แต่เสียงคีลปิดประตูไล่หลังก็ดังขึ้นมาเสียก่อน ชายหนุ่มผมน้ำตาลเลยทำได้แต่ปิดเปลือกตาลงอีกรอบ ไม่เคยรู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอขนาดนี้มาก่อนตั้งแต่เกิดมา แต่เขาก็ไม่โทษร่างกายตัวเองหรอก ในเมื่อที่ผ่านมาเขาไม่เคยโดนแทงทะลุด้วยมีดมาก่อนแบบนั้นนี่ จะยังปวดหนึบแบบนี้อยู่ก็ไม่แปลก

และเมื่อสภาวะร่างกายอ่อนแอถึงขีดสุด ความเงียบกับความมืดที่ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งรถก็เริ่มทำให้เอลเลียตหวาดกลัวขึ้นมาจับใจ อยู่ๆ เขาก็กังวลไปสารพัดว่าบางทีนี่อาจเป็นแผนการของคีลที่แค้นเขาตั้งแต่คราวก่อนเลยแกล้งเอาเขามาปล่อยไว้ในรถที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ยังไม่ทันได้ฟุ้งซ่านมากไปกว่านี้ ประตูรถก็ถูกกระชากเปิดออก ใบหน้าคมที่มีสีหน้าเรียบเฉยอยู่เป็นนิจก้าวเข้ามาประจำที่นั่งคนขับ ชายหนุ่มวางถุงพลาสติกที่เต็มไปด้วยยาและผ้าพันแผลสารพัดลงบนเบาะข้างตัว จากนั้นก็สตาร์ทเครื่องยนต์เตรียมออกรถราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หลังจากที่รถแล่นออกมาที่ถนนต่ออีกครู่หนึ่ง เอลเลียตที่เพิ่งเริ่มตั้งสติได้อีกครั้งก็เอ่ยปากถามขึ้นเสียงแหบแห้ง

“ยา… เหรอครับ? ”

“ใช่ครับ” คนขับรถตอบ หักพวงมาลัยเข้าทางมอเตอร์เวย์

“เอามาจากไหนนั่น”

“น้องสาวเพื่อนผมเป็นหมอ”

“เพื่อน…. คุณ? ” โอย รู้สึกเหมือนสติจะลอยออกจากตัวตลอดเวลา ตาเขาจะปิดตลอดเลย

“เอล ผมว่าคุณนอนเถอะครับ” น้ำเสียงของชายหนุ่มอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง “เดี๋ยวถึงที่แล้วผมจะปลุก ให้คุณนอนพักสักวันสองวันแล้วเราค่อยมาคุยกันแบบจริงจังกันเถอะ แต่ตอนนี้คุณต้องนอนก่อน”

“คุณ...จะพาผมไปไหน? ”

คีลเงียบไปครู่หนึ่ง เอลเลียตรอฟังคำตอบขณะที่สติค่อยๆ หายไปอีกครั้ง หนังตาหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ

“เชื่อใจผมไหม เอลเลียต เทย์เลอร์”

แม้ว่าภาพทุกอย่างจะเบลอไปหมด สมองแทบไม่รับรู้อะไรนอกจากความอ่อนล้าของตัวเอง เอลเลียตก็ยังได้ยินเสียงทุ้มต่ำของคีลแจ่มชัด

และคำตอบก็มีเพียงอย่างเดียว

“แน่นอน คีล” ผมเชื่อคุณ

แล้วเขาก็ปล่อยให้ความมืดฉุดตัวเองลงไปในห้วงนิทราอีกรอบ







คีลพาตัวของคนที่หลับเป็นตายขึ้นมาในตัวบ้านเดี่ยวที่ตั้งอยู่ในแถบค่อนข้างจะห่างไกลจากตัวเมืองได้ในที่สุด ชายหนุ่มประคองร่างของเอลเลียตขึ้นมาวางอย่างทะนุถนอมลงบนเตียง ผ้าปูเตียงสีขาวค่อนข้างสะอาดเนื่องจากคีลแวะมาที่บ้านตากอากาศหลังนี้ครั้งล่าสุดเมื่อสัปดาห์ก่อนเท่านั้น

เขามักจะมาขลุกอยู่กับสวนที่อยู่ในอาณาเขตตัวบ้านเวลาที่เครียดจากเรื่องงานมา หรือถ้ามีวันหยุดยาวแล้วเขาไม่มีแพลนอะไรจริงๆ เขาก็จะมาอยู่กับตัวเองในสถานที่อันร่มรื่นและเงียบสงบแห่งนี้แหละ

ร่างสูงทอดสายตาลงมองพื้นด้านนอกจากทางหน้าต่าง เนื่องจากว่าตอนนี้เป็นเวลากลางดึกเขาจึงมองอะไรแทบไม่เห็นเอาเสียเลย แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่คีลกังวล เพราะในหัวเขากำลังประเมินสถานการณ์อยู่ว่าหลังจากนี้ควรจะทำยังไง ถ้าเขาไม่วางแผนดีๆ เขาอาจกลายเป็นคนร้ายที่วางแผนช่วยเหลือนักโทษออกมาก็ได้

หลังจากที่เจ้าตัวเดินกลับไปที่รถเพื่อหยิบถุงยาสารพัดกลับเข้ามาในตัวบ้านอีกครั้ง ชายหนุ่มก็ตัดสินใจโทรหาเจนนิเฟอร์ เคลลี่ บอสสาวที่เขาขึ้นตรงโดยตรง และเจ้าหล่อนยังเป็นเพื่อนสาวคนเดียวกับที่เขาเพิ่งบอกเอลเลียตไปด้วย

เคลลี่รับสายเร็วทันใจราวกับว่าถือเครื่องรออยู่

“ฮัลโหล วิลล์ คุณทราบรึยังคะ เมื่อกี้คนที่ประจำอยู่ที่ห้องของเทย์เลอร์เขารายงานมาว่านักโทษคนนั้นหายตัวไปแล้ว”

คำพูดเป็นรถไฟด่วนนั่นทำให้คีลนิ่งไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไร เมื่อกี้เขาบุกไปที่บ้านของบอสสาวที่อาศัยอยู่กับครอบครัวของตัวเองและน้องสาวที่เป็นหมอด้วยอีกคน เจ้าหล่อนเองก็พยายามย้ำถามเขานักหนาว่าจะเอายากับผ้าพันแผลพวกนั้นไปทำไมแต่เขาก็ไม่ตอบ สุดท้ายอีกฝ่ายก็อ่อนใจเลิกซักไปเอง

และด้วยความที่คีลนิ่งเงียบไปนานพอสมควร อยู่ๆ ปลายสายก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่อยากจะเชื่อ

“วิลล์คะ… เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ฉันโทรไปบอกคุณเรื่องอาการป่วยของเทย์เลอร์ แล้วคุณก็บุกไปหาเขาที่โรงพยาบาลมา…”

“บอสครับ ฟังก่อน”

“นี่… นี่คุณอยู่กับนักโทษคนนั้นเหรอคะ”

“คือมันไม่--”

“ให้ตายสิ วิลล์ คุณปลอดภัยดีหรือเปล่า ผู้ชายคนนั้นขู่อะไรคุณใช่ไหม”

เออ ไปกันใหญ่แล้ว

“ไม่ครับ… ไม่ใช่อย่างนั้นครับบอส” ชายหนุ่มพูดขัดเจ้านายตัวเองแล้วก็เงียบไปอีกครู่หนึ่ง เขานึกถึงสัญญาที่เพิ่งให้กับเอลเลียตไปเมื่อครู่แล้วก็กลับมาคิดทบทวนถึงสิ่งที่ตัวเองต้องทำอีกครั้ง นึกถึงความไว้ใจกับภารกิจต่างๆ ที่ทำร่วมกันมากับเจ้าหล่อน ลงท้ายด้วยความที่ว่าเขาไว้ใจและเคารพอีกฝ่ายเหมือนกับพี่สาวแท้ๆ ของตัวเอง นั่นแหละคีลจึงได้กรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ “คือว่า… ผมเป็นคนพาเขาออกมาเอง”

เคลลี่นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะอุทานออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“หา คุณว่าอะไรนะคะ!? ”

คีลไม่ตอบ เขาปล่อยให้ปลายสายซึมทราบข้อมูลและใจเย็นลงด้วยตัวของตัวเอง และเคลลี่ก็ไม่ทำให้เขาผิดหวังเลยเมื่อพูดเป็นรถด่วนต่อมาว่า

“อ้อ นี่ใช่ไหมสาเหตุที่คุณขอให้น้องสาวฉันช่วยเรื่องยากับอุปกรณืการทำแผลอะไรพวกนั้น พอฉันเค้นถามคุณ คุณก็ไม่ยอมบอกว่าเกิดอะไรขึ้นหรือใครได้รับบาดเจ็บ ฉันก็นึกว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวเลยไม่อยากเข้าไปก้าวก่าย แต่นี่คุณกำลังจะบอกว่าคุณลักพาตัวนักโทษออกมาจากการควบคุมตัวของพวกเรางั้นเหรอ? ”

น้ำเสียงยัวะจัดนั่นทำเอาคีลที่ไม่ค่อเปลี่ยนสีหน้าใดๆ ถึงกับย่นหัวคิ้วขึ้นมา เอาจริงตั้งแต่ทำงานด้วยกันมาเคลลี่แทบไม่ขึ้นเสียงใส่เขาเลย นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาโดนเจ้านายโกรธ

“ฟังก่อนนะครับ บอส เรื่องนี้ผมอธิบายได้”

“อ้อ แน่นอนละค่ะ นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการที่สุดตอนนี้เลย”

คีลเล่าสถานการณ์ทุกอย่างอย่างย่นย่อ กระชับ และได้ใจความ หากตัดเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างเขากับเอลเลียตไป เขาไม่อยากให้เคลลี่ที่หัวเสียและสับสนพออยู่แล้วต้องโมโหมากไปกว่านี้อีก และเมื่อเล่าจบ หญิงสาวก็ยังไม่อยากเชื่อกับข้อมูลที่ลูกน้องคนโปรดของเธอให้มา ไม่ใช่ว่าหล่อนไม่เชื่อใจในความมืออาชีพของอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างไรเทย์เลอร์ก็ยังถือเป็นนักโทษที่ต้องคอยควบคุมตัวอยู่ดี

“คุณแน่ใจเหรอคะว่าคำพูดเขาจะเชื่อถือได้”

“เขาผ่านความตายมาครั้งหนึ่งนะครับ บอส” คีลให้เหตุผล เขาไม่แปลกใจหรอกถ้าอีกฝ่ายจะไม่เชื่อ เพราะตอนแรกเขาก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน “เขาเกือบจะตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ผมไม่คิดว่าเขาโกหกหรอก”

“แต่เขาคือนักโทษที่พยายามจะหนีมาก่อนหน้านี้แล้วนะ วิลล์ แล้วคุณก็เป็นคนจับเขาได้”

ก็ไอ้เรื่องนั้นไงล่ะที่ทำให้เอลเลียตเกือบจะตายอยู่ในเรือนจำนั่น…

“ผมเกือบจะส่งเขาเข้าไปตาย”

น้ำเสียงที่แสดงออกถึงความรู้สึกผิดทำให้ปลายสายเสียงอ่อนลงทันที

“มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลย วิลล์ คุณทำตามหน้าที่ และ… และเขาก็เป็นโจร”

“ผมทราบดีครับบอส” คีลกำโทรศัพท์ในมือแน่นขึ้น “แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่คิดว่าเขาควรจะตายอยู่ดี”

“บางทีเขาอาจจะกุเรื่อง---”

“ด้วยการให้ใครสักคนมาแทงเขาตอนอยู่ในเรือนจำงั้นเหรอครับ? ”

ถึงตรงนี้เคลลี่ก็พูดอะไรไม่ออก

“ผมคิดว่าเขาพูดจริง” คราวนี้เสียงของคนใต้บังคับบัญชามั่นคง “และผมอยากจะเชื่อเขา อีกอย่าง… ข้อมูลที่เขาเพิ่งให้มา… หรืออาจจะให้ต่อจากนี้ก็เป็นอะไรที่เราต้องการมาแต่แรกอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ”

“แต่สถานการณ์มันไม่เหมือนกัน” หญิงสาวพูดเสียงอ่อนแรง อะไรบางอย่างทำให้เคลลี่รู้ว่าคงห้ามคีลไว้ไม่ได้

“ผมรู้ครับ แต่ผมเลือกที่เชื่อเขาแล้วตอนนี้ คนที่อยู่เบื้องบนนั่นต้องการจะฆ่าเขานะครับ”

“วิลล์” เคลลี่พยายามอีกครั้ง “ฉันปลดคุณออกจากการเป็นตำรวจได้เลยนะตอนนี้ คุณรู้ตัวรึเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่”

คีลนึกถึงปืนกับตราตำรวจที่เหน็บอยูที่เอว แค่คิดว่าจะต้องเสียมันไปชายหนุ่มก็รู้สึกว่าร่างกายจะเสียบาลานซ์เพราะน้ำหนักที่หายไปของของสองสิ่งนี้แล้ว แต่เขาก็ยังตัดสินใจลงเดิมพันนี้

“ผมทราบครับ… แต่ผมรู้ว่าบอสเองก็รู้ คุณไว้ใจผมได้”

ถึงคราวที่เคลลี่จะเงียบบ้างแล้ว คีลรู้ดีว่าถึงตรงนี้เขาต้องให้เวลาอีกฝ่ายบ้าง

เขาไม่เคยทำให้หัวหน้าของเขาผิดหวังมาก่อนในเรื่องงาน สัญชาตญาณของเขาถูกต้องแม่นยำมากกว่าร้อยละเก้าสิบ อย่างน้อยก็ในความเชื่อของคนที่เคยทำงานกับชายหนุ่มมานานหลายปี และในที่สุดเคลลี่ก็ต้องถอนหายใจเฮือกอย่างยอมแพ้ หล่อนถามอีกฝ่ายกลับเสียงอ่อนใจ

“แล้วนี่… คุณคิดจะทำยังไงต่อ”

“เราจะให้เขาหายตัวไป” คีลตอบกลับ เขาคิดไว้ก่อนที่จะกดปุ่มโทรออกอยู่แล้ว “อย่างน้อยก็ให้สื่อรู้ข่าวแบบนั้น แต่เราจะเก็บเขาไว้ใกล้ตัว… ผมจะรับผิดชอบเขาเอง”

“แล้วกับฟอร์ดหรือจอร์แดนล่ะคะ”

“ผมว่าเรายังไม่ต้องบอกพวกเขาน่าจะดีกว่า ผมยังไม่อยากให้เรื่องนี้กระจายไปมากนัก”

“แต่คุณก็ยอมมาบอกฉัน? ”

“ต่อให้ผมไม่บอก อีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนี้คุณก็จะปะติดปะต่อเรื่องได้อยู่ดี อีกอย่าง… ผมเชื่อใจคุณ”

“ขอบคุณค่ะวิลล์” น้ำเสียงของหญิงสาวผ่อนคลายลงก่อนจะเริ่มพูดติดตลก “แต่ฉันชักจะไม่ไว้ใจคุณแล้วสิคะ”

ถึงตรงนี้ใบหน้าคมก็คลี่ยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกในรอบวัน มีเรื่องหนักหนาเกิดขึ้นเยอะเหลือเกิน “ขอบคุณที่ฟังผม เคลลี่”

“ถ้าฉันถามว่าคุณอยู่ไหน คุณจะบอกฉันไหม”

“ผมคงไม่ขอลงรายละเอียด แต่บอกได้ว่าผมกับเทย์เลอร์ปลอดภัยดีในบ้านพักตากอากาศของผม… แต่คุณไม่ต้องพยายามหาหรอกนะ เพราะถึงผมจะบอกว่าเป็นของผมแต่ผมไม่ได้ซื้อในชื่อของตัวเอง”

“ร้ายมาก” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“ผมว่าจะวางสายไปอาบน้ำนอนแล้ว คุณเองก็ควรจะพักผ่อนเหมือนกัน”

“ค่ะ ฝันดีนะคะวิลล์ แล้วเตรียมรับศึกหนักพรุ่งนี้เลย เพราะฉันจะไม่ให้คุณพักสบายๆ แน่”

“แน่นอนครับบอส” เขาว่าก่อนจะกดวางสาย ตาจ้องหน้าจอมือถือขณะไตร่ตรองกับตัวเองว่าเขาเลือกทางที่ถูกต้องหรือเปล่า แต่ต่อให้เขาไม่ขอความช่วยเหลือจากเคลลี่ ลำพังเขาคนเดียวก็คงไม่สามารถต่อกรกับคนระดับใหญ่โตอย่างฮอร์ตันได้แน่

คีลกลับเข้ามาในห้องที่คนป่วยนอนอยู่บนเตียงอีกครั้งในชุดเตรียมนอน เอลเลียตยังอยู่ในชุดของผู้ป่วยจากโรงพยาบาลอยู่เลย เพราะตอนที่เขาพาตัวหมอนี่ออกมามันฉุกละหุกจนไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องเสื้อผ้าอะไรทั้งนั้น

ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าค่อยจัดการเรื่องนั้น เพราะตอนนี้เขาเองก็เพลียจากเรื่องราวหนักหนาที่เจอมาวันนี้ไม่ต่างกับคนบนเตียง

แต่อย่างน้อย… เอลเลียตก็ยังอยู่กับเขา

อย่างน้อยชายหนุ่มคนนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ให้เขาได้แก้ตัวกับสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยตัดสินใจพลาดด้วยการปล่อยผ่านไป

คีลคิดขณะที่เลื่อนนิ้วไปเกลี่ยเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนที่ปรกอยู่บนหน้าผากอีกฝ่าย โน้มหน้าลงไปจูบที่ขมับขาวอย่างรักใคร่และทะนุถนอม

นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่คมมองใบหน้าที่ดูซีดเซียวกว่าปกตินั่นอยู่อีกครู่ใหญ่ จากนั้นเขาก็เดินไปทิ้งตัวนอนบนโซฟาที่อยู่ในห้องเดียวกันเพราะไม่อยากนอนเตียงเดียวกับคนป่วยเพราะอาจจะรบกวนหรือทำให้แผลสะเทือนได้ แต่จะทิ้งเอลไปนอนที่เตียงอีกห้อง เกิดคนผมน้ำตาลร้องโอดโอยขึ้นมากลางดึกแล้วเขาหลับไม่รู้เรื่อง… แค่คิดก็ทำเอาคีลหลับไม่ลงแล้ว

เพราะงั้น… อยู่ใกล้ๆ แบบนี้แหละ อย่างน้อยถ้าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ช่วยเอลเลียตได้






-----------------------------------------
Tip4 เรื่องที่ไม่ต้องรู้ก็ได้เกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้: เป็นนิยายเรื่องแรกที่เขียนให้ตัวเอกสูบบุหรี่ เพราะไม่อยากสร้างค่านิยมว่าสูบบุหรี่แล้วมันเท่ห์นะ หรืออะไรแบบนั้น เอาเป็นว่าสูบบุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพนะคะ อาจจะตายเร็วได้ ส่วนเอลเลียตกับคีล เอ่อ สองคนนี้มันมีสิทธิ์ตายไวจากอย่างอื่นอยู่แล้ว (?) ให้มันสูบๆ ไปเถอะ //ไม่ใช่ละ ถถถถถถ

ออฟไลน์ baibuabuaz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ชีวิตอยู่บนความเสี่ยงทั้งคู่

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 15



เอลเลียตหลับๆ ตื่นๆ ตลอดเป็นเวลาสามวันเต็ม คีลยังอดสงสัยไม่ได้เลยว่าตอนที่เจ้าตัวเพิ่งฟื้นมาเจอหน้าเขาแล้วพูดเป็นต่อยหอยได้ตอนนั้นนั่นปาฏิหาริย์หรือเปล่า แต่เหมือนพอหลังจากรู้ตัวว่าตัวเองปลอดภัยสบายใจแล้ว เอลเลียตก็อยู่ในสภาพคนป่วยอาการร่อแร่โดยสมบูรณ์แบบ เพิ่งจะมาได้สติมากพอที่จะรับรู้เรื่องราวรอบตัวได้ก็ปาเข้าไปวันที่สี่ ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงคีลพูดสายโทรศัพท์กับใครบางคน แต่ยังไม่ทันจับใจความอะไรได้ ร่างสูงก็กดตัดสายแล้วยัดมือถือเข้ากระเป๋ากางเกงไปก่อน

นัยน์ตาสีฟ้ามองใบหน้าคมคายที่ฉายแววเคร่งเครียดขึ้นอย่างหลงใหล คนถูกมองไม่ได้รู้ตัวเลยจนกระทั่งเอลเลียตเปิดปากทัก

"คิดอะไรอยู่เหรอครับ"

คีลไหวตัวเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกตัวแล้ว และเมื่อใบหน้าคมหันกลับมา เอลเลียตก็ได้เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววห่วงใยยิ่งกว่าครั้งใดตั้งแต่เขารู้จักผู้ชายคนนี้มา

คนผมน้ำตาลชะงักไปทันทีเมื่อมือหนาแตะลงบนข้างแก้มของเขาอย่างทะนุถนอม มันทำให้ใจในอกข้างซ้ายของเอลเลียตเต้นรัวขึ้นมาราวกับเด็กวัยรุ่นที่เพิ่งริเริ่มมีความรัก มันทำให้เอลเลียตอายตัวเองพอๆ กับที่มีความสุขมากจนคิดว่าเขาคงไม่ขออะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว แต่นั่นยังไม่หนักเท่าตอนที่คีลทาบริมฝีปากลงมาบนขมับของเขาอย่างอ่อนโยน

เฮ้ย! ให้ตายเถอะ เอาจริงๆ นะ ตั้งแต่เกิดมาในชีวิต เขาไม่คิดว่าตัวเองเคยโดนใครจูบหรือสัมผัสอย่างอ่อนหวานแบบนี้ บางทีแม่เลี้ยงของเขาอาจจะเคยทำเมื่อตอนเด็กๆ ก็ได้ แต่นาตาเลีย โจนส์มีลูกเลี้ยงซึ่งเป็นเด็กกำพร้าที่ต้องดูแลอยู่ไม่น้อย เพราะงั้นเอลเลียตก็ไม่คิดจะโทษหล่อนหรอก

คีลยกยิ้มมุมปากขึ้นนิดๆ เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของคนรักแดงระเรื่อขึ้นเพราะความอาย เขาว่าคราวก่อนที่เอลเลียตอยู่ด้วยกันกับเขาน่ารักขนาดนี้นะ

“ลุกไหวรึเปล่าครับ เอล อยากจะอาบน้ำไหม หรือให้ผมเช็ดตัวให้ดี”

ใจหนึ่งเอลเลียตคิดว่าตัวเองลุกไหว แต่อีกใจหนึ่งก็อยากให้สายสืบหนุ่มบริการให้เหมือนกัน แต่แล้วเจ้าตัวก็พูดอย่างนึกอะไรขึ้นมาได้

“แปลว่าช่วงที่ผมหลับไป… คุณก็คอยเช็ดตัวให้ผมเหรอ?”

“แน่นอนสิครับ” คนที่คอยปรนนิบัติคนป่วยแกล้งชักสีหน้าขรึม “นี่คุณจำไม่ได้เหรอ? ผมน้อยใจนะเนี่ย”

“เฮ้ๆๆๆ” เอลเลียตรู้สึกว่าหน้าของตัวเองร้อนขึ้นเรื่อยๆ “ยะ… อย่าพูดว่าน้อยใจออกมาหน้าตายแบบนั้นสิคุณ! แล้ว… คุณจะน้อยใจทำไมเล่า”

ในที่สุดคีลก็ตัดสินใจจัดการเช็ดตัวให้เอลเลียตบนเตียงเหมือนเดิมเพราะยังไม่ไว้ใจอาการบาดเจ็บของเจ้าตัว และหลังจากคะยั้นคะยอให้เอลเลียตแปรงฟันโดยเอากะละมังใบเล็กมาคอยรองให้ ในที่สุดคนป่วยก็ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันตกถึงท้อง และเมื่อจัดการข้าวเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว คีลก็จัดแจงส่งยาให้คนป่วย เอลเลียตยิ้มขันตอนที่ยาเม็ดหลากสีถูกส่งผ่านมาที่มือเขาพร้อมกับแก้วน้ำอีกใบ ช่วงเวลานี้เขารู้สึกราวกับตัวเองเป็นราชาจริงๆ

"ยิ้มอะไรน่ะคุณ" เห็นคนป่วยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ทำตัวไม่สมกับอาการร่อแร่แล้วอดถามไม่ได้ เอลเลียตถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ รอบนี้

"ขำคุณ ล่าสุดก่อนที่เราจะแยกกัน คุณโกรธผมเป็นฟืนเป็นไฟ แถมยังเตะโด่งเข้าคุกอีก" พูดขณะที่ยังนอนแผ่อยู่บนเตียงนุ่ม แม้ร่างกายเขาจะยังล้าอยู่ แต่การที่ได้มีคีลอยู่ข้างกายแบบนี้ทำให้กำลังใจล้นปรี่ "แต่ดูสภาพคุณตอนนี้สิ"

"แล้วตอนนั้นคุณว่ามันน่าโกรธไหม" คีลสาวเท้าเข้ามาประชิดข้างเตียง เชยคางพ่อตัวแสบขึ้นไปมองตา "ทำเหมือนกับรักผมเสียเต็มประดา แต่กลับตั้งท่าจะหนีตลอดเวลาแบบนั้น ไม่ให้ผมโมโหได้ยังไง"

"แต่ผมมีเรื่องที่ไม่เข้าใจนะครับ คีล" เอลเลียตที่เริ่มมีภูมิต้านทานเริ่มจะไม่ค่อยหวั่นกับนัยน์ตาสีน้ำตาลวาววับนั้นเท่าไรแล้ว "ก็ตอนนั้น คุณบอกว่าไม่ได้รักผมจริงๆ ทุกอย่างเป็นแค่เกมของเรา"

"ใช่ ผมพูดแบบนั้น"

"ถ้างั้นทำไมคุณต้องโกรธขนาดนั้นด้วยล่ะ? ผมหมายถึง... ก็คุณไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมอยู่แล้วนี่? หรือจะบอกว่าโกรธในฐานะตำรวจที่คนร้ายที่ตัวเองควบคุมอยู่พยายามจะหนี? แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้นก็ไม่น่าต้องถึงขั้นจับกด--"

"ผมไม่ได้จับคุณกด" คีลค้านขึ้นเสียงเรียบ หากเอลเลียตแอบเห็นว่านัยน์ตาคู่คมนั่นฉายแววไม่พอใจขึ้นมาเหมือนกัน "คุณเป็นคนเสนอเองเรื่องนั้น จำได้ไหม"

"แน่นอน ผมจำได้" ถึงตรงนี้ พ่ออาชญากรตัวแสบก็เริ่มยิ้มยียวน เขาชอบเสมอแหละเวลาได้เขย่าภูเขาน้ำแข็งเดินได้ก้อนนี้ "แต่คุณก็บ้าจี้เล่นตามไปด้วยไม่ใช่เหรอ ยอมรับมาเถอะน่า คีล จริงๆ แล้วคุณเองก็คิดอะไรกับผมบ้างเหมือนกันตั้งแต่ตอนนั้นใช่ไหม คุณชอบผม และคุณก็คิดว่าผมชอบคุณ คุณถึงได้ทนไม่ได้ที่เห็นผมจะหนีแบบนั้น"

แต่แทนที่น้ำแข็งก้อนโตจะอายม้วนหน้าแดงหรือพูดตะกุกตะกักอะไร คีลกลับจ้องตาเขาตรงๆ ขณะตอบเสียงเรียบ "ใช่ ผมรู้สึกกับคุณแล้วตอนนั้น และผมก็เชื่อจากใจจริงๆ ว่าคุณเองก็รักผม"

"อะ... เอ๊ะ?" ตอบตรงเกินคาดแฮะ ไม่เหมือนที่คิดไว้เลย

"เพราะงั้นตอนนั้นผมถึงมั่นใจนักว่าผมเอาคุณอยู่แน่ เพราะต่อให้คุณพยายามจะหนีแต่อย่างน้อยคุณคงไม่ไปเพราะความรู้สึกที่มีต่อผมบ้าง และพอผมเห็นว่าคุณพยายามจะหนี ผมก็เลยคิดว่าที่ผ่านมามันเป็นแค่การเล่นละครของคุณ คุณแค่อยากใช้ความรู้สึกของผมเป็นเครื่องมือ และมันทำให้ผมเจ็บ เจ็บแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และผมทนไม่ได้ถ้าจะให้คุณเห็นว่าตัวเองน่าน่าสมเพชขนาดนั้น ผมถึงต้องพยายามทำให้คุณเข้าใจว่าผมเองก็แค่แกล้งเล่นละครมาตลอดเหมือนกัน"

"เดี๋ยวนะ" กลายเป็นเอลเลียตที่หน้าแดงเถือกไปถึงหูแล้วตอนนี้ เขาทั้งอายคำพูดตรงๆ ทั้งตกใจกับข้อเท็จจริงที่ไม่เคยรับรู้มาก่อนนี้ "คุณคิดแบบนั้นเหรอ"

"ใช่ ผมเข้าใจแบบนั้น"

"โธ่ คีล" เอลเลียตกระตุกชายเสื้ออีกฝ่ายให้เขยิบเข้ามาใกล้ "ผมไม่ใช่นักแสดงฮอลลีวูดนะ เล่นละครไม่เก่งขนาดนั้นหรอก"

"ผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะครับ"

"คีล ฟังนะ" เอลเลียตพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าหนักแน่น "ผมรักคุณ รักคุณมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ไม่ได้หลอกอะไรคุณเลย"

ใบหน้าคมยกยิ้มมุมปาก นิ้วเลื่อนไปเกลี่ยข้างแก้มที่ก่อนหน้านี้บวมจากการโดนต่อย แต่ตอนนี้มันดีขึ้นจนแทบจะหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว ก่อนเสียงทุ้มจะว่า

"รู้อะไรไหมครับ เอล ช่างเรื่องพวกนั้นเถอะ ผมรู้แค่ว่าตอนนี้คุณรักผม และผมก็รักคุณ เท่านี้ก็พอแล้ว จุดเริ่มต้นจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ"

"ขอบคุณ" เขาดีใจที่คีลไม่โกรธถึงขนาดแค้นเรื่องที่เขาพยายามจะหนีตอนนั้น

"แต่ห้ามคิดหนีผมไปไหนอีก" คราวนี้คนผมดำพูดเสียงดุ เอลเลียตหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะจได้ว่าคีลพูดไปแล้วก่อนที่จะเอาตัวเขาออกมาจากโรงพยาบาล

"ก็บอกแล้วไงครับว่าถ้ากลัวนักก็ให้เอาปลอกคอมาล่าม แต่สภาพแบบนี้ผมคงไปได้ไกลแค่หน้าประตู คุณเถอะ คีลที่รัก อย่าทิ้งผมไปไหนนะ สถานะเราตอนนี้ ผมน่าจะเป็นฝ่ายกลัวเรื่องนั้นมากกว่า"

"ถ้าผมจะทิ้งคุณ ผมก็ปล่อยคุณไว้ที่โรงพยาบาลแล้ว ไม่ให้ตราผมมาเสี่ยงกับการเอาคุณออกมาจากที่นั่นหรอก"

นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยฉายแววสำนึกผิดวูบทันที "ผมทำให้คุณเดือดร้อน"

"และผมก็ทำให้คุณเกือบตาย" เสียงอ่อนโยนมาพร้อมกับสัมผัสแผ่วเบาที่ข้างแก้ม เอลเลียตเอียงคออย่างเคลิบเคลิ้มกับสัมผัสอ่อนหวานนั้น

"มันไม่ใช่ความผิดคุณเลย คีล ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคุณ แต่คุณก็ยังอุตส่าห์รู้สึกผิดเรื่องนั้น ยอมเสี่ยงที่จะช่วยผมขนาดนี้"

"คราวนี้รู้หรือยังครับว่าใครที่คุณควรจะไว้ใจ"

“ที่รักของผมไง” คราวนี้ดึงเสื้ออีกฝ่ายให้ก้มลงมาหาเพื่อจุ๊บปากทีหนึ่ง หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่กับคีลที่ทำหน้าไม่ถูก “ขอบคุณนะครับที่เชื่อผม”

คีลไม่พูดอะไรตอบ มือหนาเลื่อนไปยีหัวคนบนเตียงอีกรอบก่อนจะคะยั้นคะยอให้เอลเลียตนอนพักมากๆ






หลายวันถัดมา เมื่อคีลเห็นว่าเอลเลียตเริ่มขยับตัวออกจากเตียงได้ ชายหนุ่มจึงพยุงพาเจ้าตัวออกไปเดินเล่นที่สวนซึ่งอยู่ในอาณาเขตรั้วบ้านของเขา ชายหนุ่มเล่าให้ฟังว่าตอนที่ป้าและลุงของเขายังอาศัยอยู่ที่นี่ ที่ตรงนี้เคยปลูกผัก ปลูกผลไม้อะไรไว้บ้าง บางส่วนที่ไม่ต้องได้รับการดูแลรักษามากก็ยังอยู่ แต่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเหลือให้เห็นแล้ว เพราะตัวคีลที่ได้บ้านหลังนี้ต่อมาไม่ได้เข้ามาอยู่ดูแลบ่อยขนาดจะปลูกอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้

“ตอนเด็กๆ ผมเคยเล่นซ่อนแอบกับลูกพี่ลูกน้องที่นี่ด้วย” เสียงทุ้มต่ำพูดขึ้นขณะที่ประคองบ่าคนเจ็บไม่ปล่อย เขารู้ดีว่าการให้เอลเลียตมาเดินแบบนี้อาจทำให้แผลสะเทือน แต่จะให้คนผมน้ำตาลนอนนิ่งๆ เฉยๆ บนเตียงก็กลัวจะเฉาตายซะก่อน แถมเจ้าตัวยังบอกด้วยว่าเอาแต่นอน ไม่ออกไปบริหารร่างกายบ้างต่างหากที่จะทำให้ไม่หายสักที เขาก็ไม่คัดค้านคำพูดนั้นซะทีเดียว

แถม… ช่วงวันหลังๆ มานี้เจ้าตัวเริ่มคะยั้นคะยอให้เขาไปนอนบนเตียงด้วยในยามค่ำคืน ไอ้ตัวเขาน่ะไม่เท่าไรหรอก แต่เอลเลียตชอบมือไม้อยู่ไม่สุขแล้วมายั่วอารมณ์เขาทุกที ไม่ได้สังวรเลยว่าตัวเองเจ็บอยู่ แต่ถ้าหมอนี่ร่าเริงได้ขนาดนั้นแล้วก็คงแปลว่าการมาเดินเล่นในสวนไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรมากมาย

“คุณเล่นซ่อนแอบกับเขาด้วยเหรอ คุณเจ้าหน้าที่” เอลเลียตหัวเราะหึๆ ขณะที่ก้าวขาไปตามทางที่เจ้าของบ้านนำ อันที่จริงเขารู้ว่าตัวเองเดินคนเดียวไหวแล้ว แต่การที่มีคีลมาคอยประคองเอว ประคบประหงมราวกับเขาเป็นไข่ในหินแบบนี้ก็ให้ความรู้สึกไม่เลว

“เล่นสิคุณ ผมก็คนธรรมดานะ ตอนเด็กๆ ก็เป็นเด็กธรรมดานี่แหละ”

“จริงเหรอ ผมนึกภาพไม่ออกเลยครับ”

“แต่ผมนึกภาพคุณออกชัดเจนเลย” คีลพูดยิ้มๆ “คนคงจะซนเป็นลิงแน่ๆ แล้วพอเล่นซ่อนแอบก็คงปีนขึ้นไปแอบบนต้นไม้”

“เฮ้ย รู้ได้ไง” คนผมน้ำตาลหัวเราะ แต่พอเจ้าตัวเริ่มงอตัวเพราะเจ็บแปลบที่แผล คีลก็เอ็ดเสียงดุแม้ว่ามือจะกระชับอีกฝ่ายมากขึ้นอย่างห่วงใยก็ตาม

“อย่าฝืนนักสิคุณ”

“เปล่าฝืนนะ” พูดพร้อมกับรอยยิ้มกว้างบนหน้า “แต่คุณรู้ไหม ผมเคยปีนขึ้นไปแอบบนต้นไม้ครั้งหนึ่งจริงๆ แล้วก็ตกลงมาดังตุ้บเลย ตอนนั้นแขนหักไปข้าง ต้องเข้าเฝือกอยู่ตั้งหลายเดือน”

“ลิงชัดๆ”

“แม่ผมก็พูดงั้น” พูดถึงตรงนี้ ยิ้มสดใสของเอลเลียตก็ดูฝืดฝืนขึ้นมานิดหนึ่ง และคีลที่หูตาว่องไวเป็นทุนเดิมก็สังเกตเห็น

“แม่… ที่เป็นแม่เลี้ยงของคุณใช่ไหม”

คนผมน้ำตาลชะงักไปนิดหนึ่ง “คุณรู้ได้ยัง--”

“ผมอ่านประวัติคุณมาก่อน”

ถึงตรงนี้ เอลเลียตก็พูดอ้อเสียงยาวเลยทีเดียว “คุณมีสิทธิ์ทำแบบนั้นด้วยเหรอ”

“เป็นการค้นหาประวัติอาชญากรรมของบุคคลครับ ปกติแล้วคนที่เราจะจับกุมส่วนใหญ่มักเคยมีประวัติมาก่อนทั้งนั้น”

“แต่ผมไม่มี”

“ใช่ นั่นทำให้เรื่องยุ่งยากพอสมควรเหมือนในช่วงแรก แต่ไม่ใช่ปัญหาหรอก”

“อ้อ” เอลเลียตตอบรับแกนๆ เขาไม่คิดว่าตัวเองอยากพูดถึงการสืบเสาะของคีลที่ใช้ในการจับกุมเขา มันไม่ใช่ความทรงจำที่ดีสักเท่าไรและคีลเองก็เข้าใจ ชายหนุ่มจึงนิ่งไปครู่หนึ่ง พาคนข้างก้าวเท้าต่ออีกสามสี่ก้าวจึงเปลี่ยนเรื่องพูดใหม่

“คุณโตมาในบ้านเด็กสงเคราะห์”

“ฟังดูน่าสงสารเนอะ” พูดพร้อมกับระบายยิ้มกว้างบนใบหน้า แต่นั่นกลับทำให้คีลรู้สึกเห็นใจชายหนุ่มมากกว่าการที่เอลเลียตจะตีหน้าเศร้าจริงๆ เสียอีก

“แต่คุณออกมาอยู่เองตอนไฮสคูลนี่ครับ”

“อือ… ก็นะ ในนั้นมันแออัดน่ะ” จ้างให้ก็ไม่บอกหรอกว่าเขาโดนไล่ตะเพิดออกมาเพราะไปมีอะไรเกินเลยกับลูกชายเจ้าของบ้านรับเลี้ยงนั่น คือดูเป็นความน่าสมเพชที่ซ้ำซ้อนมาก

“ผมว่าเรากลับกันดีกว่า คุณเริ่มได้เหงื่อแล้ว” คีลว่าขณะเลื่อนนิ้วไปปาดเหงื่อเม็ดที่ว่าออกจากหน้าผากของเอล “ให้คุณเดินมากไปเดี๋ยวแผลจะไม่หายกันพอดี”



เอลเลียตหลับไปอีกครั้งในช่วงหัวค่ำด้วยความเพลีย ตื่นขึ้นมาอีกทีท้องฟ้าด้านนอกก็มืดสนิทแล้ว ชายหนุ่มพยุงตัวลุกขึ้นจากเตียง ตรงไปเข้าห้องน้ำ รู้สึกมึนหัวผสมกับงัวเงียเล็กน้อยเพราะฤทธิ์ยา

เขาเดินออกมาจากห้อง ตั้งใจจะลงไปที่ครัวชั้นล่างเพื่อหาน้ำดื่ม ทั่วทั้งบ้านปิดไฟมืด ไม่รู้ว่าคีลออกไปทำงานอีกรึเปล่า เพราะถึงหมอนั่นจะคอยดูแลเขาอยู่แต่ก็มีบ้างที่ออกไปนอกบ้าน

หากไม่ต้องเสียเวลาคาดเดานาน ขาเรียวที่กำลังก้าวไปที่ห้องครัวก็ต้องชะงักลงเมื่อเจ้าตัวได้ยินเสียงคนคุยกันดังลอดออกมาจากห้องห้องหนึ่ง เขาไม่แน่ใจว่ามันคือห้องอะไร เพราะตั้งแต่มาอยู่นี่เขาก็เอาแต่นอนซมบนเตียงตลอด ไม่เคยได้สำรวจตัวบ้านจริงๆ จังๆ สักที

แล้ว… ใครอยู่ในห้องนั้นกัน? ไหนคีลบอกว่าที่นี่ปลอดภัย ไม่มีใครรู้จักที่อยู่นี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ไง? แต่เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้เขาคิดว่าได้ยินเสียงคีล…

“...เพราะงั้น ถ้าเราดำเนินการตามแผนที่เราวางไว้แต่แรก ผมคิดว่าจอร์แดนน่าจะ--”

เสียงทุ้มต่ำเป็นการเป็นงานหายวับไปเมื่อประตูห้องทำงานที่เขาจัดโต๊ะให้เป็นห้องประชุมชั่วคราวถูกเปิดกระชากออก

นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นคนสี่คนที่พอจะคุ้นหน้าคุ้นตานั่งอยู่ในนั้น

คนแรกคือคีล คนสองคือลิลลี่ จอร์แดนกับโจนาธาน ฟอร์ดที่เขาเคยร่วมงานมาด้วย ส่วนอีกคน… ถ้าเขาจำไม่ผิด เจนนิเฟอร์ เคลลี่ หัวหน้าของทั้งสามคนนี่เลย

สีหน้าของคนทั้งหมดดูจะแปลกใจไม่น้อยที่เห็นเขายืนอยู่หน้าประตูอย่างนี้ แต่คนที่ดูจะอึ้งไปที่สุดก็หนีไม่พ้นคีล

เอลเลียตนึกไม่ออกเลยว่าเขาเคยโกรธใครขนาดนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ดังนั้นเสียงที่เล็ดลอดไรฟันจึงออกมาอย่างยากลำบาก มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น

“คีล วิลล์… ผมขอโทษที่รบกวน แต่คุณช่วยมากับผมแป๊บหนึ่งได้ไหมครับ”

ท่าทีอึ้งๆ ของคีลเมื่อครู่หายวับไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชายหนุ่มวางมาร์กเกอร์ลงบนขอบไวท์บอร์ดก่อนจะหันไปบอกขอตัวสมาชิกทั้งหมดแล้วก้าวเท้าออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่ทุกข์ร้อน หารู้ไม่ว่านั่นยิ่งกระตุ้นอารมณ์โกรธของเอลเลียตให้กระพือขึ้นไปอีก

คีลเดินตามอีกฝ่ายที่วางตัวยิ่งใหญ่กว่าเจ้าของบ้านด้วยการเน้นจังหวะลงเท้าแรงขึ้น เขานึกกลัวว่านั่นจะทำให้สะเทือนแผลเจ้าตัวมากกว่า แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ เอลเลียตก็กระชากคอเสื้อคีลลงไปกดกับผนังด้านหลังของห้องโถงสำหรับรับแขกและเป็นห้องนั่งเล่นไปในตัว แล้วไฟอะไรก็ไม่ได้เปิด มีแค่แสงจากไฟตรงบันไดเล็กน้อยเท่านั้นที่กระทบลงมาพอให้เห็นสีหน้าเกรี้ยวกราดของคนผมน้ำตาลได้บ้าง

“คุณสัญญากับผมแล้วว่าจะไม่บอกใคร”

คีลยังคงเงียบ

“คุณสัญญาแล้ว!”

“เอลเลียต ฟังผม--”

“ไม่! ผมไม่เข้าใจ คีล คุณไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมว่าคุณกำลังจะทำให้ทุกอย่างพัง” คนผมน้ำตาลพูดอย่างเดือดดาล แผลของเขาเริ่มตึงขึ้นมาอีกแล้ว แต่อะดรีนาลีนที่ไหลพล่านทำให้เขาลืมนึกถึงมันไปชั่วขณะ “คนคนนั้นอยู่กลุ่มของพวกตำรวจอย่างพวกคุณ… เขาเป็นระดับหัวหน้าโคตรพ่อโคตรแม่-- คุณรู้ไหมว่าเขามีเบอร์โทรศัพท์บ้านของประธานาธิบดีด้วยซ้ำ!”

“เอลครับ ใจเย็นๆ…”

“คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าใครเป็นพวกเขา ใครทำงานให้เขา ไม่ คุณไม่มีทางรู้เลย” เอลเลียตส่ายหน้ารัวๆ จนเส้นผมสีน้ำตาลปลิวไปตามแรง สีหน้าอ่อนแรงและสิ้นหวังของเจ้าตัวไม่ได้ทำให้คีลสะเทือนเลย เพราะร่างสูงก็ยังคงตีหน้านิ่งอยู่อย่างนั้น “แต่คุณก็ยังบอกเพื่อนในทีมของคุณ… บอกหัวหน้าคุณ ผมคิดว่าคุณจะเชื่อในสิ่งที่ผมพูดซะอีก แต่ก็ไม่เลย--”

“เอลเลียต” เสียงทุ้มพยายามอีกครั้ง คราวนี้มันอ่อนโยนลงอย่างชัดเจน แต่เอลเลียตผิดหวังมากเกินกว่าจะรับรู้ถึงมัน

“คุณไม่เคยเชื่อผมเลยจริงๆ แถมคุณยังผิดสัญญากับผม ผมนึกว่าผมจะเชื่อคุณได้ซะอีก ก็คุณสัญญาแล้วว่าจะไม่บอกใคร--”

“เอลเลียต คนดี ฟังผมก่อน” ในที่สุดคีลก็ประคองใบหน้าที่ก้มต่ำของเอลให้เงยขึ้นมาสบตาเขาได้สำเร็จ “ผมขอโทษที่ผมผิดสัญญากับคุณ โอเคไหม”

“ไม่” ถึงใจจะสั่นกับดวงตามุ่งมั่นแล้วก็ตรงไปตรงมานั่นก็เถอะ แต่เขาไม่มีทางโอเคกับเรื่องนี้ได้แน่ “คุณไม่เข้าใจเลย คีล นี่มันเรื่องความเป็นความตาย”

“เข้าใจสิ ผมเข้าใจ” คีลดึงร่างอีกฝ่ายเข้ามาแนบอก แตะหน้าผากของตัวเองลงบนหน้าผากของคนรัก “แต่ผมอยากให้คุณฟังผมหน่อย… ผมทำเรื่องนี้ด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ เอล”

เอลเลียตชะงักงันไปทันทีกับประโยคนั้น น้ำเสียงของอีกฝ่ายอ่อนโยนจนแทบจะเป็นการเว้าวอนเลยด้วยซ้ำ คีลไม่ได้ตั้งใจจะผิดสัญญากับเขา แต่ชายหนุ่มไตร่ตรองมาอย่างถี่ถ้วนแล้วว่านี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดจริงๆ

“ผมไม่มีอำนาจ ไม่มีเส้นสาย ไม่มีอะไรที่จะทัดเทียมคนที่คุณพูดถึงได้เลย แต่ผมมีทีม… มีเพื่อนที่ผมไว้ใจ ผมไว้ใจพวกเขาทุกคน และผมก็อยากให้คุณไว้ใจพวกเขาด้วยเหมือนกัน”

“ผมไม่ไว้ใจพวกตำรวจหรอก” นัยน์ตาสีฟ้าฉายแววเจ็บปวด แต่ถึงอย่างนั้นในใจก็เจ็บลึกๆ เพราะเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้คีลต้องเสี่ยงแล้วก็ดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแบบนี้ “คุณขอมากเกินไปแล้ว”

“ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร เอล” คีลยังประคองหน้าของคนในอ้อมแขนไม่ให้เบือนหน้าหนี “แต่คุณไว้ใจผมใช่ไหม ไว้ใจผมรึเปล่า ผมคิดว่าบางทีคุณอาจจะรู้อยู่แล้ว แต่ผมเสี่ยงมากกับเรื่องนี้ อาชีพของผมอาจจะจบลงเมื่อไหร่ก็ได้แล้ว แล้วมันอาจจะรวมไปถึงพวกเขาทั้งหมดที่อยู่ข้างในด้วย”

เอลเลียตเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น แน่นอนว่าเขาไว้ใจคีลยิ่งกว่าใครในตอนนี้ ชายหนุ่มร่างสูงชะลูดเป็นเสาไฟฟ้าคนนี้เป็นเพียงคนเดียวที่ยอมทำตามคำขอของเขา เป็นเพียงคนเดียวที่ช่วยเขาจากความตายที่จ่ออยู่ตรงหน้า

เขาเชื่อคีล… เชื่อขนาดที่ว่าต่อให้เขาจะต้องตายด้วยน้ำมือของผู้ชายคนนี้ เขาก็จะไม่โทษอะไรอีกฝ่ายเลย เขามอบทุกอย่างที่หลงเหลืออยู่ในคีลไปตั้งแต่วินาทีที่สายสืบหนุ่มยอมทำตามคำขอให้พาเขาออกมาจากโรงพยาบาลนั่นแล้ว

“ผมทำให้คุณเดือดร้อน คีล”

“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากได้ยิน บอกผมสิครับ ที่รัก คุณเชื่อใจผมไหม”

“ผมเชื่อใจคุณคีล”

คีลก้มหน้าลงมาจูบปิดปากเขา มันอ่อนหวานละมุนละไมกว่าที่เคย คีลไล้ริมฝีปากผ่านแก้มเขามากระซิบที่ข้างหูแผ่วเบา “ผมรักคุณนะเอล”

เอลเลียตเลื่อนมือไปกอดรัดแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้าแน่นก่อนจะพูดตอบกลับเสียงอัดอั้น

“ผมก็รักคุณ”

“เชื่อผมเถอะนะ ผมจะปกป้องคุณแน่ๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”

เอลเลียตไม่รู้มาก่อนว่าคีลเองก็พูดอะไรชวนเลี่ยนแบบนี้ได้เหมือนกัน แต่เขาก็ไม่นึกรังเกียจเลยแม้แต่น้อย

“ผมรู้ คีล คุณทำให้ผมเห็นมาก่อนแล้ว”

แล้วพ่อหัวขโมยตัวแสบก็ดึงคอเสื้อเขาลงไปขโมยจูบอีกรอบ

แต่ถ้าเป็นเอลเลียตละก็… จะโดนขโมยอีกสักกี่ครั้งเขาก็ยอม




--------------------------------------------
Talk: ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นหนาวมากเลย T_T ฮือออ//เปิดฮีทเตอร์แป๊บ

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
หวานกันซะะะ  :mew1:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 16



ลอเรน ลี ทนายสาวประจำตัวของเอลเลียตนั่งอยู่ในห้องทำงานกลางใจเมือง หญิงสาวผู้มีเชื้อสายของชาวเอเชียไหลเวียนอยู่ในตัวขมวดคิ้วมุ่น หล่อนกำลังคิดหนักเรื่องที่หนึ่งในลูกความคนสำคัญหายตัวไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ลูกความที่ถูกส่งเข้าไปอยู่ในเรือนจำด้วยข้อหาปล้นธนาคารถึงสามแห่ง ข้อตกลงที่หล่อนสามารถเจรจาให้เอลเลียตได้คือโทษจำคุก 10 ปี และมันจะน้อยกว่านั้นถ้าเขาทำตัวดีข้างในนั่น และหล่อนก็เกือบจะทำให้เขาได้ลดโทษลงไปมากกว่านั้นตอนที่เจรจาขอให้เอลเลียตเข้าร่วมทีมสืบสวนในการจับกุมแก๊งปล้นรายอื่นที่กำลังระบาดอยู่ในช่วงที่ผ่านมา

แต่เขาดันคิดพยายามจะหนี... นั่นทำให้ทุกอย่างแย่ลง มันทำให้หล่อนเสียความน่าเชื่อถือลงไปด้วย แต่นั่นยังไม่แย่เท่ากับตอนที่หล่อนได้รู้ข่าวว่าเทย์เลอร์โดนแทงสามแผลในเรือนจำ หล่อนได้มีโอกาสไปเยี่ยมชายหนุ่มครั้งหนึ่งที่โรงพยาบาลตอนที่เขายังอยู่ในห้องผ่าตัดและยังไม่ได้สติใดๆ สภาพร่อแร่แบบนั้นของเจ้าตัวทำให้ลีนึกหวั่น ยิ่งตอนที่ทีมแพทย์บอกว่าโอกาสรอดของเขามีครึ่งๆ ยิ่งทำให้หญิงสาวใจไม่ดี

หล่อนยอมรับว่าตัวเองเป็นทนายที่เรียกเงินจากลูกความค่อนข้างหนัก และเอลเลียตก็เป็นลูกค้าที่สามารถจ่ายเงินให้หล่อนได้ แต่นอกเหนือไปกว่านั้นคือความรู้สึกผูกพันและเห็นอกเห็นใจที่ก่อตัวขึ้นมากับลูกความ เป็นความรู้สึกที่ไม่ควรมี พ่อของหล่อนที่เป็นทนายเคยเตือนเรื่องนี้มาก่อนแล้ว ลอเรน ลีเป็นทนายที่เก่ง แต่ไม่ว่าลูกความจะถูกหรือจะผิด แต่ถ้าผลตัดสินจากศาลมันออกมาแล้วมันก็มีแต่ต้องเป็นไปตามนั้น เพราะงั้นความรู้สึกสงสารเห็นอกเห็นใจอะไรนั่นจะทำให้ทนายจำเลยอย่างหล่อนลำบากภายหลัง

และตอนนี้ลีก็กำลังลำบากอย่างที่ว่า กลายเป็นว่าหล่อนเป็นห่วงเทย์เลอร์ในฐานะเพื่อน ไม่ใช่ในฐานะลูกความ และนั่นทำให้หล่อนอยากจะช่วยเขาด้วยเหตุผลที่นอกเหนือจากคำว่าอยากได้เงิน

เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานดังขึ้น หล่อนกำลังรอสายนี้อยู่แล้ว ลียกหูโทรศัพท์ขึ้นกรอกเสียงลงไปอย่างง่ายๆ เพราะสายนี้มาจากเลขาที่ประจำอยู่ในหน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับของสำนักงาน

"ค่ะ"

"คุณวินเซนต์ เลสเตอร์อยู่ที่นี่แล้วค่ะ"

ลีเหลือบตามองนาฬิกาที่อยู่ตรงมุมล่างขวาของจอคอมพิวเตอร์ สิบเอ็ดโมงตรงไม่ขาดไม่เกิน หล่อนชอบคนที่ทำอะไรตรงเวลาแบบนี้จริงๆ





...

ข้อดีของการมีเจนนิเฟอร์ เคลลี่มาร่วมทีมด้วยคือการที่คีลสามารถขอร้องโจดี้ เคลลี่ผู้เป็นน้องสาวของเจนนิเฟอร์และเป็นแพทย์หญิงประจำโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งให้คอยมาช่วยดูแลอาการบาดเจ็บของเอลเลียตได้อย่างถูกวิธี แถมเจ้าตัวยังใจดีคอยเอายาที่เอลเลียตต้องใช้มาให้ไม่ขาด พร้อมกับจัดการเตรียมคอร์สที่เหมือนกับการทำกายภาพบำบัดให้เทย์เลอร์อีกด้วย

และวันนี้เคลลี่คนน้องก็มาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้คนป่วยที่สีหน้าไม่ค่อยเบิกบานเหมือนอย่างเคยเท่าไร เมื่อวานพวกเขาสองคนทะเลาะกันเพราะเอลเลียตเบื่อที่จะจับเจ่าอยู่กับบ้านเลยขอคีลที่กำลังจะขับรถออกไปซื้อของสดติดไปด้วย และแน่นอนว่าเจ้าหน้าที่หนุ่มปฏิเสธเสียงแข็งเลยทีเดียว

'คุณจะบ้าหรือไง เอล ไม่รู้สถานะของตัวเองเหรอว่าต้องกบดานอยู่น่ะ'

'แต่ผมเบื่อนี่นา' เอลเลียตพูดตรงๆ 'อยู่แต่บ้านแบบนี้มาเป็นเดือนแล้ว ผมก็อยากออกไปเดินเล่นข้างนอกบ้าง'

'อยากเดินก็ไปเดินในสวนสิครับ' ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะละแวกนี้แทบไม่มีบ้านของใครๆ อยู่ บ้านหลังที่ใกล้ที่สุดก็ต้องขับรถไปไกลกว่ายี่สิบนาที เพราะงั้นคีลจึงไม่ห่วงว่าจะมีใครมาเห็นเอลเลียตเข้า 'สวนนั่นเคยเป็นไร่เก่า แล้วมันก็กว้างจะตาย คนเดินได้ทั้งวันไม่เบื่อหรอก'

'ผมไม่อยากเดินสวน' แฟนหนุ่มของคีลเริ่มชักสีหน้างอง้ำขึ้นเรื่อยๆ 'ผมอยากไปเจอผู้คน อยากไปซื้อของ อยากเดินเที่ยว ขอทีเถอะ คุณสายสืบ คุณก็รู้ว่าผมหมายถึงอะไร'

'ผมให้คุณออกไปไม่ได้''

'ผมปลอมตัวก็ได้น่า ผมเก่งนะเรื่องนี้' พูดพร้อมกับพยายามเข้าประชิดตัวคีลที่เดินหนีไปอีกทาง เบียดตัวเข้าไปเกาะแขนอีกฝ่ายแน่นอย่างออดอ้อน แต่เหมือนคีลจะไม่ยอมใจอ่อนง่ายๆ

'ไม่ได้ครับ' ยืนยันคำเดิมเสียงราบเรียบ

'โธ่ นะครับที่รัก ได้โปรดเถอะ' เอลเลียตว่าพร้อมกับเริ่มเขย่ง ทำท่าจะขยับหน้าไปจูบอีกฝ่าย แต่ร่างสูงเบือนหน้าหนีได้ทัน 'ผมอยู่แต่ในบ้านก็เบื่อ แบบนี้ไม่ต่างอะไรจากตอนติดคุกเลย ดีกว่าหน่อยตรงที่คุณทำอาหารอร่อยก็เท่านั้นเอง'

ยัง ยังจะมีหยอดชมเอาใจ

'งั้นคุณอยากกลับไปอยู่ในคุกตอนนี้เลยไหมล่ะครับ'

'โธ่ ไม่เอาน่า คีล อย่าใจร้ายกับผมนักสิ แค่นิดเดียวเอง ไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ'

แต่คีลแกะมือเอลเลียตออกแล้วเลี่ยงหนีไปอีกทางแล้ว ที่ต้องทำแบบนั้นเพราะกลัวว่าตัวเองจะทนแรงอ้อนของคนรักเอาไว้ไม่ไหวแล้วใจอ่อน เอตเลียตพอเห็นว่าอ้อนไม่สำเร็จก้เริ่มอ้าปากค้าง เขาเกลียดเวลาที่คีลทำเมิน เดินหนีเขาไปแบบนี้ที่สุด เกลียดที่ทำได้แค่มองแผ่นหลังของอีกฝ่าย

ดังนั้นพ่อตัวแสบถึงได้เริ่มเบ้หน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงประชด

'งั้นก็จับตาดูผมไว้ให้ดีแล้วกัน คุณสายสืบ เพราะถ้าคุณเผลอเมื่อไหร่ผมจะหนีออกไปแน่'

คราวนี้แหละเป็นเรื่อง คนที่เคยโดนเอลพยายามจะหนีจากเจ้าตัวมาแล้วรอบหนึ่งตาวาวอย่างน่ากลัวทีเดียว ท่าทีคุกคามของคีลที่สาวเท้าเข้ามาทำให้เอลเลียตถอยกรูดไปติดกับผนังห้องนอน คนผมน้ำตาลสะดุ้งเบาๆ เมื่อมือหนาแตะลงบนลำคอเขาจากนั้นคีลก็พูดเสียงเย็นโดยที่ไม่ละสายตาอีกฝ่าย

'คุณอยากได้จริงๆ ใช่ไหมครับ ปลอกคอกับโซ่ล่ามน่ะ'

ถ้าเป็นเวลาปกติ เอลเลียตคงตอบเสียงกลั้วหัวเราะไปแล้วว่าเอาเลย แต่พอเห็นสายตาน่ากลัวดูเอาจริงเอาจังของคนพูดแล้ว ชายหนุ่มก็ได้แต่กลืนน้ำลายเอื๊อกลงคออย่างหวาดๆ

'ไม่... ไม่ครับ ไม่อยากได้'

'ดีครับ' คีลว่าพร้อมกับโน้มหน้าต่ำลงมาจนเอลรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่น เขาคิดว่าคีลจะจูบปากเขาอยู่แล้ว แต่เจ้าตัวก็ผ่านเลยไปกระซิบที่ข้างหูเป็นเชิงข่มขู่แทน 'คุณไม่อยากให้ผมทำตัวโหดกับคุณหรอก'

เอลเลียตอ้าปากค้าง ใบหน้าร้อนแดงขึ้นขณะที่คีลผละตัวออกแล้วเดินจากไปหน้าตาเฉย ทิ้งให้แฟนของตัวเองโวยวายอย่างหัวเสียอยู่เบื้องหลัง

'หน็อย! ไอ้ตำรวจบ้าอำนาจ! แค่ขอออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ได้! จำเอาไว้เลยนะ รอบนี้ผมโกรธคุณจริงๆ ด้วย! '

นั่นแหละ บรรยากาศระหว่างเอลเลียตกับคีลถึงได้อึมครึมมาจนถึงวันนี้ แม้แต่ตอนนอนเมื่อคืนคีลก็หนีเอลเลียตไปนอนที่อีกห้องหนึ่งเพราะกลัวจะทนลูกอ้อนของเอลเลียตไม่ไหวอีกตามเคย ส่วนคนผมน้ำตาลที่ไม่รู้เรื่องนั้นยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ กลายเป็นว่าช่วงเช้าของวันก่อนที่คีลจะออกไปทำงานเอลเลียตไม่ได้จูบหรือพูดอะไรกับเจ้าตัวสักคำเลย และคีลเองก็ไม่ว่าอะไร แค่ออกไปทำงานเงียบๆ ตามปกติ

มันน่าโมโหไหม!?

"เป็นอะไรไปคะ คุณเทย์เลอร์" โจดี้ เคลลี่ถามยิ้มๆ เมื่อเห็นคนไข้ของตัวเองตีหน้าบึ้งตลอดตั้งแต่ที่หล่อนเริ่มลงมือเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ "ตีหน้าบูดแบบนี้ไม่สมกับเป็นคุณเลยค่ะ มีเรื่องอะไรชวนให้หงุดหงิดใจหรือเปล่าคะ"

"เอ่อ ไม่ใช่ว่าผมกำลังหงุดหงิดคุณอยู่หรอกนะครับ" พอโดนทักเอลเลียตก็เริ่มรู้สึกตัว รีบร้อนบอกอีกฝ่ายเป็นพัลวัน "พอดีผมแค่เบื่อๆ น่ะ อยู่บ้านก็เซ็ง ไม่รู้จะทำอะไร"

"เบื่อก็ไปเดินเล่นในสวนสิคะ สวนตั้งกว้าง จะได้ถือเป็นการบริหารร่างกายไปในตัวด้วย" หญิงสาวบอกขณะใช้กรรไกรตัดผ้าพันแผลอย่างประณีต ใบหน้าของเอลเลียตยิ่งตึงขึ้นไปอีกเมื่อสิ่งที่หมอพูดเป็นสิ่งเดียวกับที่คีลพูด

"คุณพูดเหมือนคีลเลยคุณหมอ นี่เตี๊ยมบทพูดกันมารึเปล่าเนี่ย"

โจดี้เงยหน้าขึ้นมามองคนบนเตียง เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะหัวเราะเสียงใสอย่างคนที่เดาอะไรออกเก่ง

"ที่แท้ก็ทะเลาะกับสายสืบวิลล์มาเพราะเรื่องนี้เองเหรอคะ อดทนหน่อยเถอะค่ะ เขาคงเป็นห่วงคุณจริงๆ แล้วสภาพร่างกายคุณก็ใช่ว่าจะแข็งแรงดี"

"ผมแข็งแรงดีแล้ว" พูดแล้วอดไม่อยู่ต้องหยอดอย่างคนที่ชอบพูดจาหวานๆ เอาใจคนอื่น "เพราะได้คุณหมอคนสวยอย่างคุณมาคอยดูแลไงครับ แผลถึงได้หายวันหายคืน"

"แหม" โจดี้ยิ้ม เริ่มจัดแจงเก็บอุปกรณ์เข้าที่เพราะจัดการงานของตัวเองเสร็จแล้ว "คุณนี่ปากหวานจังนะ"

"อย่างอื่นผมก็หวานนะครับ" ได้ทีชักเอาใหญ่ สงสัยจังว่าถ้าคีลอยู่แถวนี้เขาจะโดนอะไรบ้าง

โจดี้เพียงแค่หัวเราะตอบอย่างสุภาพ เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มหัวข้อสนทนาใหม่

"คุณเทย์เลอร์คงสนิทกับคุณวิลล์พอสมควรสินะคะ"

คำถามนั้นทำให้เอลเลียตสะดุ้งนิดหนึ่ง ด้วยความที่มีชนักปักหลังเขาจึงกลัวไปก่อนล่วงหน้าว่าหญิงสาวระแคะระคายถึงความสัมพันธ์ของเขากับคีล แต่เมื่อลองคิดดูดีๆ และพินิจท่าทางน้ำเสียงของเจ้าหล่อนแล้วคงไม่ใช่ เจ้าตัวจึผ่อนคลายลงได้อย่างรวดเร็ว

"ก็ระดับหนึ่งมั้งครับ ผมอยู่กับเขาทุกวัน"

"คุณพอจะรู้ไหมคะว่าคุณวิลล์มีแฟนไหม"

อู้ว แฟนสาวน่ะไม่รู้ แต่แฟนหนุ่มนี่มีแน่นอน นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ไง

“เอ… ไม่รู้สิครับ เขาไม่ได้พูดถึงนะ”

ใช่ คีลไม่ได้พูดกับเอลเลียตเรื่องแฟนของตัวเองเพราะว่าเอลเลียตเป็นคนคนนั้นไง

“งั้นเหรอคะ”

แล้วอยู่ๆ เอลเลียตก็คิดอะไรขึ้นมาได้

“คุณชอบเขางั้นเหรอ? ”

โจดี้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง ตอบอย่างตรงไปตรงมา

“แหม เชื่อฉันเถอะค่ะว่าผู้หญิงทุกคนต้องชอบคุณสายสืบวิลล์แน่ ต่อให้ตัดเรื่องหน้าตากับส่วนสูงออกไปแต่แค่นิสัยกับบุคลิกของเขาก็เอาชนะใจผู้หญิงทุกคนได้แล้วละค่ะ”

เออ ใช่ จะบอกว่าไม่ใช่แค่ผู้หญิงหรอก ผู้ชายก็ต้องมนต์นั้นเหมือนกัน

แต่… คีลเป็นของเขาแล้ว เป็นของเอลเลียต เพราะงั้นชายหนุ่มถึงไม่ค่อยชอบใจเท่าไรที่มีคนอื่นมาบอกว่าชอบคนของเขาดื้อๆ แบบนี้

“แต่… ฉันไม่ได้พูดถึงตัวเองหรอกนะคะ ฉันหมายถึงฉันก็ชอบเขา แต่ไม่ได้ลึกซึ้งแบบนั้น”

อ้าว รอดตัวไป เอลเลียตกำลังจะหาทางพูดให้เข้าหล่อนตัดใจจากคีลอยู่เลย

“ฉันหมายถึงพี่สาวฉัน เจนนี่น่ะค่ะ” หล่อนยิ้มเมื่อพูดถึงเจนนิเฟอร์ “เจนนี่เล่าเรื่องของสายสืบวิลล์ให้ฉันฟังบ่อยมาก ฉันคิดว่าบางที--- อ๊ะ แต่อย่าไปบอกใครนะคะ”

“อ่า…” เอลเลียตนึกถึงเจ้าหน้าที่สาวคนนั้นเร็วจี๋ เส้นผมสีดำน้ำตาลรวบเป็นหางม้าด้านหลัง ท่าทางเอาจริงเอาจังเป็นการเป็นงานและดูมืออาชีพ ลองจับคีลมาคู่กับเจ้าหล่อนในความคิดดูก็ดูเข้ากันดี เป็นคนจริงจังทั้งคู่แบบนั้นคงคุยกันรู้เรื่อง แต่เอลเลียตคิดว่าคงเป็นชีวิตคู่ที่น่าเบื่อแน่นอน ดังนั้นในความคิดเขาก็คือตัวเองกับคีลเข้าคู่กันดีมากกว่า

ก็แหงล่ะ แถมเรื่องบนเตียงพวกเขาก็เข้าคู่กันดีจะตาย เอลเลียตเชื่อว่าคีลเองก็ต้องคิดแบบเดียวกันนี่แหละ ไม่งั้นจะย้อนกลับมาหาเขาแบบนี้เหรอ ขนาดพวกเขาทั้งคู่จะมีหลายๆ เรื่องไม่เข้ากันก็ตาม และต่อให้เขาทั้งคู่เพิ่งจะทะเลาะกันมาหมาดๆ เมื่อเช้า แต่เชื่อเถอะ หมอนั่นหลงเขาหัวปักหัวปำแหง

คิดแบบนั้นแล้วเอลเลียตก็อดยิ้มออกมาหน่อยๆ ไม่ได้

“ยิ้มอะไรเหรอคะ เทย์เลอร์”

“เอ่อ เปล่าครับ แต่ผมนึกว่าเจ้าหน้าที่เคลลี่แต่งงานแล้วเสียอีก”

“เคยแต่งมาก่อนน่ะค่ะ แต่หย่าแล้ว”

เอลเลียตพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ วินาทีหนึ่งเขานึกกังวลขึ้นมาเหมือนกันว่าทั้งสองคนอาจจะเข้ากันได้ดีกว่าที่คิด และถ้าเจ้าหน้าที่สาวคนนั้นนึกเล็งคีลขึ้นมาจริงๆ หล่อนอาจจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว แต่ตอนนี้คีลเป็นของเขาแล้ว และเขาก็เป็นของคีล ที่สำคัญที่สุดคือเอลเชื่อใจร่างสูงคนนั้น เพราะงั้นเขาไม่ได้กังวลเรื่องของคู่นี้เท่าไรหรอก







ถึงแม้เอลเลียตจะไม่ได้โกรธอะไรคีลแล้วด้วยเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายไม่อยากให้เขาเสี่ยงจากการโดนฝั่งตรงข้ามหาตัวเจอ แต่เจ้าตัวก็ยังมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าว่าจะวางท่าปั้นปึ่งใส่พ่อเสาไฟฟ้าเดินได้คนนั้น

ดังนั้นเมื่อคีลกลับมาถึงบ้าน เอลเลียตที่รออยู่ที่ห้องนั่งเล่นอยู่แล้วจึงไม่พูดทักทายใดๆ ทำตัวเหมือนอีกฝ่ายไม่มีตัวตน และเหมือนวันนี้คีลเองก็หงุดหงิดจากที่ทำงานอยู่แล้วจึงไม่ได้เปิดปากพูดแม้แต่คำทักทายสั้นๆ อย่างที่ทำเป็นประจำ

นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบมองนาฬิกาขณะที่คีลเดินเลี่ยงเข้าไปในครัวเพื่อนำอาหารที่ซื้อมาจากข้างนอกใส่จาน นี่มันเกือบจะสี่ทุ่มเข้าไปอยู่แล้ว ทำไมหมอนี่ถึงกลับมาช้านัก ทั้งที่พวกเขายังทะเลาะกันอยู่แท้ๆ แทนที่จะรีบกลับมาง้อ ยังจะมีหน้ากลับมาดึกกว่าทุกวันอีก

และเพราะคิดขวางแบบนั้น หลังจากที่สายสืบหนุ่มลงมือกินมื้อค่ำไปได้แค่ครึ่งเดียวเอลเลียตที่ทนรอการง้อจากคนรักไม่ไหวก็ถามขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงปั้นปึ่ง

“ทำไมวันนี้กลับบ้านช้าจังเลยครับ”

คีลกินข้าวอีกคำหนึ่งก่อนจะตอบ “ทำงานครับ”

“แล้วทำไมมาดึก”

“ก็งานมันเลิกดึก”

“แน่ใจนะว่าแค่งาน”

ใบหน้าคมละขึ้นมาจากจานข้าว นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววหงุดหงิดชัดเจนจนเอลเลียตตกใจ สายตานั่นมันบ่งบอกคำพูดออกมาเลยว่า ‘ผมทำงานกลับมาเหนื่อยๆ อยู่แล้ว ยังต้องมาเจอคุณทำตัวแบบนี้ใส่อีกเหรอ? ’

คีลไม่ได้ตอบคำถามนั้น แค่ลงมือกินข้าวเงียบๆ ต่อ เอลเลียตเองที่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวต้องผละออกจากสงครามเย็นระหว่างพวกเขาแล้วขึ้นห้องนอนไป ข้างในทั้งโกรธทั้งน้อยใจที่คีลทำตัวเหมือนเมินเขา แต่ขณะเดียวกันเอลเองก็รู้สึกผิดไม่น้อยที่ทำตัวแบบนั้นใส่คนรัก แต่เพราะเริ่มทำตัวเย็นชาใส่คีลไปเสียแล้ว เขาก็ไม่รู้จะกลับลำยังไงดีเหมือนกัน

เอลเลียตกลิ้งๆ อยู่บนเตียงอยู่ครู่หนึ่งคีลก็เข้ามาในห้อง คีลยังหงุดหงิดเขาอยู่ ต่อให้สีหน้าไม่เปลี่ยนแต่แค่เห็นแววตาเอลก็รู้แล้ว และมันทำให้อารมณ์ที่เริ่มเย็นลงของเจ้าตัวคุกรุ่นขึ้นมาใหม่

เอลเลียตบอกกับตัวเองว่าเขาจะทำตัวปั้นปึ่งใส่คีลไปจนถึงอาทิตย์หน้า จนกระทั่งร่างสูงถอดเสื้อเชิ้ตออกเผยให้เห็นผ้าพันแผลที่อยู่ใต้เนื้อผ้าเท่านั้นแหละ อารมณ์หงุดหงิดของเอลเลียตก็หายวับไปราวกับน้ำที่ระเหยเป็นไอในอากาศ คนผมน้ำตาลลุกพรวดขึ้นมาจากเตียงทันที

“คีล เกิดอะไรขึ้นครับ ผ้าพันแผลนั่น...”

คนปากหนักไม่ตอบ เอลเลียตผลุงลงจากเตียงแล้วเดินมาบีบแขนอีกฝ่าย ใบหน้าซีดเผือดลงเพราะเห็นว่าผ้าพันแผลที่ว่าอยู่บริเวณรอบอกลากยาวจนเกือบถึงหน้าท้องเลย

“เกิดอะไรขึ้น คีล คุณบาดเจ็บเหรอ”

เห็นสีหน้าตื่นๆ ของเอลแล้วคีลเองก็ใจอ่อนยวบลงมาทันทีเหมือนกัน เขาไม่ได้ชอบทำตัวเย็นชาใส่คนรักเท่าไรหรอก

“ผมปะทะกับคนร้ายนิดหน่อยครับ ดูเหมือนเพื่อนเก่าของคุณจะฉลาดๆ กันทั้งนั้น”

“แผลหนักมากไหมครับ” เอลเลียตเลื่อนมือไปประคองใบหน้าคมแผ่วเบา สายตาที่ฉายแววเป็นห่วงทำให้ความหงุเหงิดที่มีจนถึงเมื่อครู่หายวับไป แขนแกร่งเลื่อนไปโอบกอดเอลเลียตแนบอกก่อนจะพูดเสียงอ่อนโยน

“ผมไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง”

“ให้ตาย คีล ผมขอโทษ” เอลเลียตก่อนคีลแน่นขึ้น แต่ไม่กล้ากอดจนสุดแรงเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเจ็บแผล เขาไม่แน่ใจด้วยว่าคีลเจ็บหนักบริเวณไหน “ขอโทษที่ทำตัวงี่เง่าครับ ผมแค่น้อยใจที่คุณกลับบ้านดึก แต่ผมไม่รู้ว่าคุณ--”

“ไม่เป็นไรครับ เอล ผมเองก็ต้องขอโทษเหมือนกัน น่าจะอธิบายให้คุณเข้าใจดีๆ ว่าผมแค่เป็นห่วง ไม่อยากให้ใครรู้ว่าคุณอยู่ที่ไหน กลัวว่าพวกนั้นจะหาคุณเจอ”

“ผมรู้ คีล ผมรู้… ผมรู้อยู่แล้ว ผมงี่เง่าเองแหละ ขอโทษครับ”

คีลตอบรับคำพูดนั้นด้วยการก้มลงจูบปิดปากคนในอ้อมแขน ประคองหลังคอของเอลเลียตที่ตั้งตัวไม่ทันด้วยสัมผัสอ่อนโยนที่ทำให้คนผมน้ำตาลหน้าเห่อร้อนขึ้นราวกับเด็กสาวที่ไม่ประสีประสากับการจูบ หัวใจในอกข้างซ้ายเต้นแรงขึ้นขณะที่จูบนั้นเร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ

คีลจูบเขาไปผลักเขาไปด้านหลังเรื่อยๆ จนกระทั่งมือหนาเอื้อมไปปิดสวิตช์ไฟห้องได้สำเร็จ เป็นจูบท่ามกลางความมืดที่ทั้งคู่มองอะไรไม่เห็นอีกครั้ง มันดูดดื่มและลึกซึ้งชวนให้เสพติดเหมือนอย่างเคย มันดำเนินไปเรื่อยๆ และมันก็ทำให้เอลเลียตนึกถึงครั้งแรกที่พวกเขาจูบกันในรถมืดๆ มันยังทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นและตื่นตัวเหมือนครั้งนั้น แต่ความรู้สึกภายในเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนจะล้นทะลักออกมา

คีลพาเอลเลียตไปถึงเตียงอย่างทุลักทุเลเพราะต้องทำทั้งจูบคนในอ้อมแขนและคลำทางในความมืด แต่เขาก็ทำสำเร็จจนได้

เอลเลียตเหยียดแขนเหนือหัวเพื่อปล่อยให้คีลดึงเสื้อออกจากร่างเขา จากนั้นคนผมน้ำตาลก็เริ่มเปะป่ายมือเพื่อปลดเปลื้องอาภรณ์ของคนรักบ้าง และตลอดขั้นตอนทั้งหมดนั่นพวกเขาแทบไม่ผละริมฝีปากออกจากกันเลยนอกจากจะจำเป็นจริงๆ และต่อให้มันแยกออกจากกัน ไม่กี่วินาทีต่อมาทั้งคู่ก็จูบกันใหม่

เอลเลียตรับรู้ได้ถึงมือที่แตะลงบนสะโพกของเขา ลูบไล้ไปมาอย่างยั่วยวน เขาจึงเริ่มลงมือทำตามคีลบ้างด้วยการไล้มือไปตามส่วนต่างๆ บนร่างกายของร่างสูงบ้าง แม้ว่าจะทำไม่ได้มากเพราะผ้าพันแผลที่อยู่รอบตัว

“อ๊ะ” คนผมน้ำตาลบิดตัวด้วยความเสียวซ่านเมื่อคีลเริ่มขยี้ยอดอกเขาอย่างซุกซน คีลจงใจเลื่อนนิ้วออก จากนั้นก็ออกแรงบีบตุ่มไตพวกนั้นด้วยแรงที่มากขึ้นพอให้คนด้านล่างครางออกมาเหมือนแมว เขาอยากจะทำให้เอลเลียตคลั่งเขาขนาดที่ขาดกันไม่ได้ไปข้าง

เอลเลียตนอนราบลงไปกับพื้นเตียง อ้าขาให้คีลสอดส่วนแข็งแกร่งเข้ามาในโพรงด้านหลังอย่างว่าง่าย ความร้อนและความคับแน่นที่แทรกเข้ามาทำให้เอลเลียตครางออกมาด้วยความเสียวซ่านอีกระลอก และเมื่อคีลเริ่มขยับร่างควานหาจุดที่ทำให้เอลเลียตรู้สึกดีที่สุดเจอ ชายหนุ่มก็กระแทกลงบนจุดนั้นซ้ำๆ เอลเลียตคิดว่าเขาน่าจะคลั่งขึ้นมาจริงๆ จากสัมผัสที่ชวนให้ละลายพวกนั้น

คีลปล่อยให้เอลเลียตกระตุกตัวปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นออกมาก่อน เอลเลียตหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนให้ร่างสูงนอนราบลงไปบนเตียงเพื่อให้ตัวเองเป็นฝ่ายคุมเกมบ้าง ชายหนุ่มขยับตัวขึ้นคร่อมอีกฝ่าย จัดแจงสอดแก่นกลางของคีลเข้ามาในร่างตัวเองแล้วเลื่อนหน้าไปจูบอย่างอ่อนหวานสลับกับดุเดือด และเมื่อคีลถึงจุดสุดยอด เอลเลียตก็ผละร่างออกแล้วเลื้อยไปนอนข้างร่างสูงแทนอย่างเหนื่อยอ่อน ไหวตัวเล็กน้อยเมื่อมือหนาลูบลงบนศีรษะแผ่วเบา

คนผมน้ำตาลหัวเราะ มองตาอีกฝ่ายที่จ้องมาที่เขาอย่างรักใคร่ "ให้ตายสิครับ" เอลเลียตว่า "พวกเราสองคนนี่ไม่ดูสภาพตัวเองเลย คนหนึ่งโดนแทงมา อีกคนก็บาดเจ็บมา"

"ของผมแค่ฟกช้ำเล็กๆ น้อยๆ ครับ" คีลพูด "ไม่ได้หนักหนาอะไร คุณไม่ต้องห่วงหรอก"

"ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ"

คีลปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน แต่มือน่ะเลื่อนมาดึงตัวเอลเข้าไปกอด "ก็ไม่อะไรหรอกครับ แค่เราสืบจนได้ที่อยู่ของหนึ่งในเพื่อนเก่าๆ ของคุณ ผมกับทีมก็เลยวางแผนเข้าจับกุม แต่เหมือนฝั่งนั้นรู้เรื่องว่าเราที่บุกเข้าไป เหมือนเขาเตรียมตัวไว้อยู่แล้ว พอต้องปะทะกันตรงๆ เลยรับมือยากหน่อย"

"แล้วจับตัวได้รึเปล่าครับ? "

คีลส่ายหน้าทั้งที่ยังหลับตาอยู่ "เป้าหมายหนีไปได้ครับ คราวนี้คงหาตัวยากกว่าเดิม"

"ผมจะช่วยยังไงดี"

ร่างสูงส่ายหน้าอีกรอบ "คุณอยู่เงียบๆ เฉยๆ แบบนี้ก็พอแล้ว แค่ไม่ให้พวกเขาได้ตัวคุณก็พอ"

เอลเลียตนิ่งไปกับคำพูดนั้น คีลกำลังจะจมเข้าสู่ห้วงนิทราอยู่แล้วตอนที่คนในอ้อมแขนเปิดปากพูดอีกครั้ง

"เราหนีไปด้วยกันไหม คีล"

"หนีไปไหนครับ"

"ที่ไหนก็ได้ สักประเทศในยุโรป หรือไม่ก็เอเชียถ้าคุณชอบมากกว่า หนีไปจากเรื่องวุ่นวายที่นี่แล้วไปเริ่มต้นใหม่กับผม"

คีลลืมตาขึ้นมามองคนพูด "คุณรู้ตัวใช่ไหมว่ากำลังพูดกับตำรวจที่คุมตัวคุณอยู่"

"ไม่ใช่ ผมพูดกับแฟนของผมอยู่ต่างหาก คุณลองคิดดูสิคีล มันไม่คุ้มเลยที่เราต้องมาสู้กับคนที่มีอำนาจแบบนั้น คุณก็เจ็บตัว ผมก็เกือบตาย หนีกันเถอะครับ แค่ผมมีคุณ ผมก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว"

"ถ้าเราจะหนี เราต้องหนีตลอดไปนะครับ เอล"

"ไม่หรอกครับถ้าเราสลัดให้หลุด"

คีลส่ายหน้าให้คนผมน้ำตาล เขาเข้าใจดีว่าสำหรับตัวเอลเลียตเองอาจไม่มีอะไรต้องเสีย หมอนี่ยังมีโทษที่ต้องติดอยู่ในคุกอีกหลายปี ตัวเองก็โดนตามล่า แต่สำหรับคีล ต่อให้เขาจะรักคนในอ้อมแขนมาก แต่เขาก็มีอะไรหลายอย่างที่นี่ที่ทิ้งไปไม่ได้ ทั้งครอบครัวของเขา ทีมของเขา ที่สำคัญกว่านั้นคือหน้าที่การงานของเขา คีลนึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้าเขาไม่ได้เป็นตำรวจคอยไล่จับคนที่ทำผิดเข้าตาราง เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร

"ผมขอมากไปสินะ" เอลเลียตว่า พยายามกลบเกลื่อนความผิดหวังในน้ำเสียง แต่คีลก็รู้สึกได้

"ผมขอโทษ เอล ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจคุณนะ แต่การหนีไม่ใช่ทางออกที่ดีสำหรับเรื่องนี้หรอก เชื่อผมสิ"

"ผมรู้ เพียงแต่..." พูดพร้อมกับลูบผ้าพันแผลบนตัวร่างสูงไปด้วย เขารู้สึกเหมือนพาคีลมาเสี่ยงกับปัญหาตัวเอง "ผมแค่เบื่อที่ต้องอยู่แบบนี้"

“อดทนหน่อยนะครับ ผมสัญญาว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย” คีลว่าพร้อมกับหลับตาลงไปทั้งๆ อย่างนั้น ทิ้งให้เอลเลียตจ้องใบหน้าคมที่หายใจเข้าออกสม่ำเสมออย่างครุ่นคิดท่ามกลางความมืดภายในห้อง





------------------------------------------
Talk: ตอนที่แล้วทีคนแซวว่าคีลกับเอลหวานกันเกินหน้าเกินตา... นิดนึงค่ะ นิดนึง เพราะนี่เป็นนิยายหวานๆ (ที่เลือดสาดเป็นหย่อมๆ? ฮา) ทนายสองคนเริ่มเข้ามามีบทบาทแล้วล่ะค่ะ มารอดูกันนะคะว่าเขาจะคุยเรื่องอะไรกัน ^^

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ bmine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
เคยเม้นแล้ว แต่ก็จะเม้นอีกว่าชอบมากๆเลยค่ะ ชอบภาษา ชอบการดำเนินเรื่อง ความมีที่มาที่ไปของเรื่อง รออ่านทุกเรื่องทุกตอนของคุณนักเขียนนะคะ  :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ appattap

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
อ่านตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนล่าสุด คืออินมากๆๆๆๆๆๆๆๆ
อ่านไปน้ำตาไหลไป เขียนสนุก ดีทุกอย่างเลยค่ะ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
เคยเม้นแล้ว แต่ก็จะเม้นอีกว่าชอบมากๆเลยค่ะ ชอบภาษา ชอบการดำเนินเรื่อง ความมีที่มาที่ไปของเรื่อง รออ่านทุกเรื่องทุกตอนของคุณนักเขียนนะคะ  :mew1:

ขอบคุณนะคะที่เข้ามาอ่านมาเม้นท์^^ ดีใจที่ชอบค่ะ เม้นท์แล้วเม้นท์อีกได้นะคะ นี่กระหายเม้นท์มาก (ฮ่าๆๆๆ) ยังไงก็ขอฝากนิยายด้วยนะคะ//โค้ง

อ่านตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนล่าสุด คืออินมากๆๆๆๆๆๆๆๆ
อ่านไปน้ำตาไหลไป เขียนสนุก ดีทุกอย่างเลยค่ะ

แงงงงง ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ TvT ดีใจมากๆ เลยที่ชอบ ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
ร่วมฟันฝ่าสถานะที่แตกต่างกันของตัวเอกไปด้วย

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ตามจ้าตาม  o13 o13 o13

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
อดทนอีกนิ้ดด คนอ่านก็อดทนตามไปด้วยค่ะเอล ซู่ววๆ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 17




“ผมบอกคุณแล้วว่าอยากจะมาคุยเรื่องลูกความคนหนึ่งของคุณที่ชื่อเอลเลียต เทย์เลอร์” วินเซนต์ ดี. เลสเตอร์ ทนายหนุ่มผู้มีชื่อเสียงในการว่าความคดีให้ฝั่งจำเลย แน่นอนว่าลีเคยได้ยินชื่อของชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ทอง นัยน์ตาสีฟ้าเฉียบคมและท่าทีแบบผู้ดีอังกฤษที่มาพร้อมกับสำเนียงของเจ้าตัว ใบหน้าหล่อเหลาเกินความจำเป็นนั่นก็สมคำร่ำลือ แต่เลสเตอร์ตัวจริงหนุ่มกว่าที่หล่อนคิดไว้มาก ก็จากชื่อเสียงเรียงนามที่ได้ฟังมาแล้ว ส่วนมากคนที่ได้อยู่ในระดับนี้อายุน้อยๆ กันเสียที่ไหน

หล่อนเชิญให้เขานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะทำงานหลังจากที่จับมือและทักทายกันพอหอมปากหอมคอเรียบร้อยแล้ว อันที่จริงหล่อนคงรู้สึกเป็นเกียรติและตื่นเต้นยินดีที่จะได้คุยกับทนายจำเลยชั้นแนวหน้า แต่เพราะเรื่องที่เลสเตอร์ต้องการจะคุยเกี่ยวกับเทย์เลอร์ซึ่งเป็นเรื่องที่หล่อนเครียดมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้อยู่แล้ว ทำเอาลียิ่งขยับอย่างไม่สบายตัวเท่าไร

แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็เรียบเรียงคำพูดได้อย่างมืออาชีพ

“ฉันคิดว่าคุณคงได้อ่านข่าวหนังสือพิมพ์หรือในอินเทอร์เน็ตมาบ้าง” หล่อนว่า สมัยนี้ใครๆ ก็พึ่งพาโลกออนไลน์กันทั้งนั้น “และคุณก็น่าจะรู้ว่าเขาหายตัวไปจากโรงพยาบาลหลังจากที่โดนแทงจนเกือบตาย”

“แต่ในข่าวนั่นบอกว่าเขาหนีไป” เลสเตอร์ยิ้มเหยียด และในฐานะทนายที่ทำงานให้ฝั่งจำเลยเหมือนกัน ลีสามารถตีความได้ว่าเขายิ้มเหยียดพวกตำรวจหรือไม่ก็คนเขียนข่าวที่ใส่ร้ายลูกความของหล่อน และนั่นทำให้ลีรู้สึกสบายตัวมากขึ้นกับการคุยกับอีกฝ่าย

“ค่ะ คนเพิ่งโดนแทงมาสามที เข้าห้องไอซียู เข้าห้องผ่าตัด คงจะหนีไปได้ไกลมาก”

“คนพวกนั้นก็หาข้ออ้างมาได้ตลอดว่าแบบ คนร้ายคงมีแบ๊คอัพหรือมีพรรคพวกคอยช่วย”

“ไม่ได้คิดเลยว่าที่เขาเพิ่งโดนแทงมาแบบนี้ก็เพราะข้างในเรือนจำดูแลไม่ดี”

ทั้งสองคนยิ้มให้กันอย่างเข้าใจกันดี ทนายจำเลยไม่ถูกกับตำรวจ เป็นเรื่องที่รับรู้กันผ่านทางสายอาชีพอยู่แล้ว

“ก็… อย่างที่ว่าแหละค่ะ คุณเลสเตอร์” ลอเรน ลีขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้ดูเป็นมืออาชีพ หากชายหนุ่มอีกคนไม่ถือสา เขากลับพูดง่ายๆ ว่า

“เรียกผมว่าวินเถอะครับ คุณลี”

“ค่ะ งั้นเรียกฉันว่าลอเรนนะคะ อย่างที่ฉันกับคุณทราบกันดี ตอนนี้เอลเลียต เทย์เลอร์หายตัวไป ไม่ว่าเขาจะหนีไปเองอย่างที่พวกตำรวจว่า หรือจะหายไปด้วยเหตุผลอื่นอย่างที่เราเดา แต่ตอนนี้เขาก็ไม่อยู่ในที่ที่เราจะหาตัวเจอได้ เพราะงั้นถึงฉันจะเสียใจที่ต้องพูดแบบนี้ แต่ฉันไม่รู้จะช่วยคุณยังไงดีจริงๆ ค่ะ”

วินเซนต์นิ่งไปครู่หนึ่งอย่างครุ่นคิด นัยน์ตาสีฟ้ามองคู่สนทนาตลอดอย่างจับสังเกต และเขาก็รับรู้ได้ว่าลอเรนไม่ได้โกหก หล่อนไม่รู้จริงๆ ว่าเทย์เลอร์ไปอยู่ที่ไหน แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะก้าวต่อในกระดานเกมนี้

“คุณทราบไหมครับว่าทำไมผมถึงอยากคุยกับคุณเรื่องเขา”

“ให้ฉันเดานะคะ” หญิงสาวว่าอย่างคนที่ทำการบ้านมาดี “เรื่องของแจ๊ค พอร์เตอร์ใช่ไหม เทย์เลอร์เป็นคนส่งผู้ชายคนนั้นเข้าตาราง และตอนนี้เขาก็เป็นลูกความของคุณ”

“ใช่ครับ” วินว่า ไม่แปลกใจที่ลอเรนจะสืบหาข้อมูลตรงนี้มาก่อน “และจากที่ผมได้คุยอะไรหลายๆ อย่างกับเขา ผมว่าผมมีหนทางช่วยลูกความของตัวเองรวมถึงลูกความของคุณด้วย มันจะเป็นการพึ่งพาอาศัยกันแล้วก็ได้รับผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เพียงแค่เทย์เลอร์ช่วยขึ้นให้การในศาลสักหน่อยเท่านั้น”

“คุณเจออะไรมางั้นเหรอคะ”

นัยน์ตาสีฟ้าของชายหนุ่มประกายวูบอ่านยาก เหมือนเขากุมอะไรบางอย่างที่น่าตื่นเต้นเอาไว้มากๆ แต่ในขณะเดียวกันเพราะสิ่งนั้นเองก็ทำให้เขาต้องระวังมากขึ้นมาเงาตามตัว

ในที่สุดหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง วินก็พูดขึ้นมา

“แจ็ค พอร์เตอร์ ลูกความผมตัดสินใจที่จะให้รายชื่อคนภายในเพื่อขอลดโทษ”

“คนภายในแก๊งอย่างนั้นเหรอคะ? ”

“นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่เขาไม่ใช่คนในแก๊งธรรมดา เพราะเขามีตำแหน่งอยู่ในกรมตำรวจประจำเขตของคุณ”

ลอเรน ลีเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หล่อนอึ้งไปจริงๆ กับข้อมูลนี้ “คุณพูดจริงเหรอ? ”

“ผมไม่ได้พูดครับ ลูกความผมต่างหากที่พูด”

ลีลาแบบพวกทนาย ไม่ยอมรับอะไรที่อาจนำความเดือดร้อนเข้าตัวง่ายๆ ลอเรนเข้าใจดี

“ฉันไม่ได้อยากว่าร้ายลูกความนะคะ วินเซนต์ แต่คุณจะแน่ใจได้ยังไงว่าเขาไม่ได้โกหก”

“มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ผมเชื่อเขา นักสืบของผมเองก็พอจะสืบเบาะแสที่เกี่ยวโยงกับเรื่องนี้มาได้เหมือนกัน แต่มันไม่ใช่แค่นั้น ตอนนี้พอร์เตอร์ยืนยันเสียงแข็งว่าลูกความของคุณ… เอลเลียต เทย์เลอร์ หรือที่คนในกลุ่มเรียกกันว่าอายออฟไอเดนมีส่วนเกี่ยวข้องแล้วก็รู้เห็นมากที่สุดในเรื่องนี้ เขาหาหลักฐานมามัดตัวคนฝั่งนั้นได้ และคำให้การของเขาจะทำให้คำพูดของลูกความผมมีน้ำหนักมากขึ้น”

ถึงตรงนี้ลอเรนต้องระมัดระวังแล้ว แค่อ่านสีหน้าเจ้าหล่อนวินก็เดาได้ว่าลีกำลังคิดอะไร

“แต่คุณแน่ใจเหรอคะว่านั่นจะไม่ทำให้ลูกความของฉันต้องรับโทษมากขึ้น”

“ขึ้นอยู่กับวิธีการพูดของพวกเรา” เขาจงใจใช้คำว่าพวกเราเพื่อให้ลอเรนรู้สึกว่าพวกเขาลงเรือลำเดียวกันแล้ว “แต่เชื่อผมเถอะว่าชื่อนี้จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยน ทั้งลูกความของผมและลูกความของคุณจะได้ผลประโยชน์อย่างมากทีเดียว ติดอยู่แค่ว่าเพราะอีกฝั่งเป็นวงในที่ตำแหน่งค่อนข้างสูง เพราะงั้นเราต้องระวังกันพอสมควร ไม่อย่างนั้นคงกระทบหลายฝ่าย”

“คุณบอกฉันได้ไหมคะว่าคนที่ลูกความคุณกล่าวหาเป็นใคร ที่ว่าเป็นวงในของฝั่งตำรวจนั่น”

“คุณไม่อยากรู้หรอก ลอเรน”

“เรากำลังจะทำงานร่วมกันไม่ใช่เหรอคะ”

ถึงคราวที่วินต้องระมัดระวังบ้างแล้ว เขาตรึกตรองในหัวครู่หนึ่งก่อนจะถามย้อนสั้นๆ

“เทย์เลอร์ไม่เคยพูดกับคุณเรื่องนี้เลยเหรอ”

“ไม่ค่ะ ฉันถึงไม่ค่อยแน่ใจไงคะว่าลูกความของคุณพูดความจริงอยู่รึเปล่า”

วินเซนต์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างคนที่ตัดสินใจแล้ว

“จูเลียน ฮอร์ตัน”

ถึงตรงนี้ลอเรนก็ลุกขึ้นพรวดจากเก้าอี้ มองหน้าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างไม่อยากจะเชื่อ หากสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดของวินทำให้หญิงสาวรู้ว่าเขาพูดเรื่องจริง

"คุณต้องล้อฉันเล่นแน่"

"หน้าผมเหมือนคนที่กำลังล้อเล่นงั้นเหรอ แต่แน่นอนว่าต่อให้เราได้ข้อมูลตรงนี้มา แต่ถ้าไม่มีหลักฐานอะไรมามัดตัว มันก็จะเป็นแค่ลมปาก แล้วก็อย่างที่คุณรู้ว่าคำพูดจากฝั่งจำเลยไม่เคยเป็นที่น่าเชื่อถือเวลาอยู่ในศาลอยู่แล้ว แต่ผมเชื่อว่าถ้าเราเล่นให้ถูกทาง หาหลักฐานและพยานที่ชัดเจนและแน่นพอมาได้ คดีนี้จะใหญ่แบบที่สะเทือนได้ทั้งนิวยอร์ก"

"คุณก็เลยต้องการตัวเทย์เลอร์"

"ผมเชื่อว่าเขาจะช่วยลูกความผมได้ ใช่"

"แต่ฉันไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน" ลอเรนพูดขณะมองตาวินตรงๆ "ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน วิน"

วินเซนต์กลบเกลื่อนความผิดหวังของตัวเองไว้ในสีหน้าเรียบเฉยได้อย่างแนบเนียน เขารู้ว่าลอเรนไมได้โกหก แต่เขาก็ยังพยายามที่จะคว้าอะไรก็ได้ที่อาจพอมีหวัง

"คุณเป็นทนายของเขา ลอเรน" ชายหนุ่มว่าพร้อมกับผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ "ถ้าเกิดว่าเขาติดต่อคุณมา ผมอยากให้คุณคุยกับเขาเรื่องนี้ ผมเชื่อว่าที่เขาไม่ยอมพูดอะไรกับคุณเพราะความเสี่ยงมันมากเกินไป แต่ตอนนี้จะไม่ได้มีแค่เสียงเขาเสียงเดียวอีกแล้ว เพราะงั้นบางทีเขาน่าจะตอบรับข้อเสนอของผม"

"ค่ะ" ลอเรนพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด "ถ้าเขาติดต่อมา"

และเพราะใบหน้ากับน้ำเสียงนั่น วินจึงเอ่ยปากถาม "คุณคิดว่าเขายังมีชีวิตอยู่ไหม"

ลอเรนยิ้มเครียด "ตอนแรกฉันก็คิดว่าเขายังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งนั่นแหละค่ะ จนกระทั่งคุณพูดว่าฝั่งที่อยู่ตรงข้ามเขาเป็นใคร ฉันไม่แปลกใจเลยที่เขาจะไม่อยากพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นให้ฉันหรือพวกตำรวจฟัง แล้วตอนนี้คุณก็ถามว่าฉันคิดว่าเขายังมีชีวิตอยู่ไหม คุณคิดว่าฉันควรคิดยังไงล่ะคะ? "

วินไม่ตอบ แค่พยักหน้าทีหนึ่งเป็นเชิงรับรู้เท่านั้น

ทนายจำเลยทั้งสองคนรู้ดีว่าถ้าไม่ใช่ว่าเอลเลียต เทย์เลอร์ไปกบดานอยู่ที่ไหนสักแห่งละก็ ป่านนี้เขาคงโดนเก็บ และคงไม่มีโอกาสที่ใครๆ จะได้เจอศพเป็นแน่







หลังจากวันที่คีลพาเอลเลียตออกมาจากโรงพยาบาลก็ปาเข้าไปเกือบสี่เดือนแล้ว

ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลมั่นใจว่าตัวเองฟื้นตัวและแข็งแรงมากพอที่จะเคลื่อนไหว ทำอะไรต่างๆ ได้ตามปกติแล้ว ดังนั้นต่อให้คีลจะคัดค้านยังไง เอลเลียตก็ยืนยันที่จะขอเข้าร่วมการประชุมของทีมเฉพาะกิจที่แอบสืบเรื่องที่เขาเคยให้ข้อมูลไปอย่างลับๆ

"ถึงยังไงเรื่องทั้งหมดนี่มันก็เริ่มเพราะผม" เอลเลียตว่าเสียงแข็งหลังจากที่โดนคีลออกปากห้ามคืนก่อนหน้าที่จะมีการประชุม "ผมรู้ว่าคุณเป็นห่วงนะ คีล แต่คุณไม่มีสิทธิ์กันผมออกจากกลุ่ม ยิ่งหลังจากที่คุณหมอโจดี้บอกว่าผมแข็งแรงดีแล้วด้วยแบบนี้"

ใบหน้าคมยังมีสีหน้าปั้นปึ่ง ไม่พูดอะไรตอบ เอลเลียตจึงพูดด้วยสุ้มเสียงอ่อนลง

"ผมเองก็เคยทำงานกับทีมของคุณมาก่อน จำได้ไหมครับ เชื่อผมเถอะ ผมช่วยได้แน่ๆ ผมจะไม่ทำตัวเป็นภาระคุณหรอก"

"ผมคิดว่านี่ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย เอล"

"ผมรักคุณนะ คีล" เอลเลียตสบตาคนรักตรงๆ "แต่ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะคิดยังไง และคุณเองก็ควรเลิกประคบประหงมผมเกินความจำเป็นได้แล้ว ผมหายดีแล้วจริงๆ "

นั่นแหละ การประชุมช่วงหัวค่ำในวันถัดมาเอลเลียตถึงได้มานั่งหัวโด่อยู่กับทีมสืบสวนจำเป็นของเขาด้วย แถมการที่เอาเอลเลียตมาร่วมทีมด้วยก็ไม่มีใครค้าน เพราะทุกคนมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าพวกเขาต้องการคมเพิ่ม เพราะการสืบสวนที่กำลังทำอยู่นี่เป็นการทำอย่างลับๆ พวกเขาต้องทำคดีที่เป็นงานประจำควบคู่ไปด้วย แต่ละคนจึงเห็นด้วยอย่างเต็มที่ที่จะได้คนร่วมทีมเพิ่ม

คงมีแต่คีลคนเดียวเท่านั้นแหละที่อารมณ์ไม่โสภากับเรื่องนี้

"เอาล่ะครับ ขอบคุณทุกคนที่มาวันนี้ ฟอร์ด อาการป่วยของคุณเป็นไงบ้าง หวังว่าคุณคงไม่ได้ฝืนตัวเองมากเกินไปนะ"

ชายหนุ่มที่ใส่ผ้าปิดปากโบกมือขึ้นในอากาศ "ผมดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ วิลล์ ไม่ต้องเป็นห่วง"

"ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มการประชุมของวันนี้กันเลยเถอะ ใครมีอะไรอัปเดตให้ผมฟังบ้าง"

เอลเลียตหันหน้าไปมองเจนนิเฟอร์ เคลลี่ที่เริ่มพูดขึ้นมาก่อน หล่อนทำการติดตามฮอร์ตันโดยแท็คทีมกับจอร์แดนที่เก่งด้านเทคโนโลยีมากกว่า หลังจากนั้นฟอร์ดก็เริ่มรายงานสรุปสถิติเกี่ยวกับคนร้ายแก๊งที่ปล้นธนาคารที่ยังจับกุมไม่ได้

"เหมือนพวกมันไหวตัวทันตลอด หลายครั้งแล้วที่เราระบุแหล่งกบดานของพวกมันได้ แต่พอบุกไปก็ต้องปะทะกันหรือไม่ก็ไม่เจออะไรเลย"

"เพราะว่าเราจำเป็นต้องรายงานเรื่องนี้ให้เบื้องบนทราบทุกครั้งใช่ไหม และฮอร์ตันก็ต้องรู้" จอร์แดนเสนอความเห็น ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในความคิดของทุกคน

"ไม่มีทางที่เราจะบุกเข้าไปในรังโดยที่ไม่ต้องแจ้งเบื้องบนเลยเหรอครับ" ฟอร์ดหันไปถามเคลลี่ที่เป็นเจ้านายโดยตรงของตัวเอง หญิงสาวส่ายหน้า

"เราไม่รายงาน เราก็ไม่ได้รับการอนุมัติให้ใช้อุปกรณ์ต่างๆ อีกอย่างก็คือเราทำงานร่วมกับเอฟบีไอรอบนี้ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะสามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยทีมของเราเอง"

เอลเลียตฟังบทสนทนาที่ทั้งสี่คนคุยกันครู่หนึ่งก็เริ่มจับใจความได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร เขาหันไปมองคีลที่กำลังแลกเปลี่ยนความเห็นกับเจนนิเฟอร์อย่างเคร่งเครียด ไม่ค่อยชอบใจเท่าไรตอนที่หมอนั่นขอดื่มน้ำจากขวดของเจ้าหน้าที่สาวเพราะของตัวเองหมดแล้ว การดื่มน้ำจากปากขวดแบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากจูบทางอ้อม และเขาก็หึงเป็นเหมือนกันนะเว้ย

แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่จะมางอแงตอนนี้ เขาไม่อยากให้ใครรู้เรื่องความสัมพันธ์กับคีล และตอนนี้ก็มีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าต้องรับมือ

"ผมว่าผมน่าจะแฝงตัวกลับเข้าไปฝั่งนั้นอีกรอบ"

เหมือนหย่อนระเบิดลงกลางวง ทุกคนเงียบลง หันหน้ากลับมามองเขาอย่างแปลกใจในขณะที่คีลเป็นคนเดียวที่ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ชอบใจเท่าไรนัก

"คุณคิดได้แค่วิธีแฝงตัวแบบนี้หรือไง"

เอลเลียตไม่สะทกสะท้านกับเสียงเย็นๆ ของคนรัก

"ฟังนะ คีล ผมรู้ว่ามันฟังดูสิ้นคิด แต่ผมคิดมาดีแล้ว ถ้าอยากจะได้ลูกเสือก็ต้องเข้าเข้าถ้ำเสือ พวกตำรวจอย่างพวกคุณก็ถือคตินี้ไม่ใช่เหรอครับ"

"แล้วคุณจะกลับไปให้เขาฆ่าเหรอคะ" จอร์แดนถามอย่างไม่เข้าใจ "เขาพยายามจะเก็บคุณรอบหนึ่งแล้วนะ เทย์เลอร์ แล้วไม่ใช่ว่าไอ้เหตุผลที่คุณมากบดานอยู่นี่ก็เพื่อหนีจากเขาหรอกเหรอ"

"ผมไม่ได้จะกลับไปหาจูเลียน ฮอร์ตัน" เอลเลียตว่า เงียบไปจังหวะหนึ่งก่อนจะพูดพรวดออกมาอย่างอึดอัด "ผมจะกลับไปหาเทลออฟอดัมส์"

"ในที่สุดคุณก็พูดถึงชื่อนี้" เคลลี่พูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจจริงๆ "ก่อนหน้านี้เราพยายามง้างปากคุณแทบตาย แต่คุณก็ยืนยันว่าจะไม่พูดถึงเขาท่าเดียว"

ตั้งแต่ที่คีลพาเขามาที่นี่ ทั้งตัวคีลเองและคนอื่นๆ ในทีมก็พยายามถามเขาเรื่องเทลออฟอดัมส์ คีลเคยหัวเสียแบบสุดเหวี่ยงกับเขาเรื่องนี้รอบหนึ่งเพราะเอลเลียตไม่ยอมเปิดปากบอกอะไรเลย

คนผมน้ำตาลให้เหตุผลว่าอดัมส์เป็นคนที่เตือนเขาเรื่องที่จะโดนฆ่า เป็นคนที่คอยให้ความช่วยเหลือเขามาตลอด เขาไม่สามารถหักหลังอีกฝ่ายได้ เพราะงั้นต่อให้เขาจะยอมโยนไพ่ลงหมดทั้งหน้าตัก โยนจูเลียน ฮอร์ตันทิ้งให้พวกตำรวจ แต่เขาไม่สามารถสละคนที่คอยช่วยเหลือเขามาตลอดได้

แต่ตอนนี้... เอลเลียตกลับพูดถึงเทลออฟอดัมส์ขึ้นมา และมันทำให้คีลที่อารมณ์ไม่ดีอยู่ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่

"แล้วคุณจะบอกเขาว่าอะไร คุณจะแน่ใจได้ไงว่าเขาจะไม่เอาไปบอกฮอร์ตัน"

"ผมเป็นคนโปรดของเขา" เอลเลียตตอบตรงๆ ไม่ได้สนใจสีหน้าคีลที่ยับขึ้นเรื่อยๆ "ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่พยายามจะช่วยให้ผมหนีได้หรอก ผมเชื่อว่าเราต้องได้หลักฐานที่จะมัดตัวฮอร์ตันจากอดัมส์ได้แน่ เขาทำงานในส่วนของการส่งถ่ายข้อมูลแล้วก็คอยคุมเบื้องหลังแทบจะทั้งหมด ถ้าพวกคุณอยากจะจับฮอร์ตันได้เราจำเป็นต้องเข้าผ่านทางอดัมส์"

"แล้วตกลงว่าเทลออฟอดัมส์เป็นใคร" คีลถามเสียงเรียบ จ้องตาเอลด้วยสายตาเย็นชาแบบที่คนมองแทบจะแข็งตัวเป็นน้ำแข็งได้ "ผมกับทีมถามคุณมาแบบนี้ไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้วแต่คุณก็ไม่เคยบอก มาวันนี้คุณพร้อมที่จะพูดแล้วเหรอว่าใครคือเทลออฟอดัมส์"

เอลเลียตทำหน้าเหมือนลำบากใจ แต่เขาเตรียมใจไว้อยู่แล้วว่าถ้ายื่นข้อเสนอ เขาจำเป็นต้องทิ้งไพ่ใบที่แสนล้ำค่านี้ลงจากมือ

"ลีโอ ฮอร์ตัน"

เคลลี่ลุกพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้ด้วยความตกใจทันที ทั้งจอร์แดนกับฟอร์ดที่ยังนั่งอยู่ก็มีสีหน้าอึ้งๆ ไม่ต่างกัน

"ล้อเล่นน่า" เคลลี่หาเสียงตัวเองเจอก่อน "ไม่ใช่ว่าเขาทำงานเกี่ยวกับหน่วยข่าวกรองเหรอ"

"อ้อ แน่ล่ะครับ คุณผู้หญิง เขาเป็นเจ้าของบริษัทเลยด้วยซ้ำ"

เจนนิเฟอร์ล้มตัวลงไปนั่งอีกรอบเหมือนหมดแรง มือยกขึ้นมากุมขมับพร้อมกับบ่นพึมพำอย่างอ่อนใจ

"นี่เรากำลังฝากความปลอดภัยของประชาชนและความมั่นคงของชาติไว้กับอาชญากรงั้นเหรอ"

“ใจเย็นๆ ครับบอส” คีลว่าขณะเอื้อมมือไปแตะบ่าหญิงสาวอย่างปลอบประโลม

เอลเลียตถลึงตาใส่คีล แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ทันสังเกต แปลกดีที่เขารู้สึกหึงใครจริงๆ จังๆ แบบนี้ เพราะตอนที่คบกับลีโอ (ถ้านั่นเรียกว่าคบได้นะ) เขายังแทบไม่สนเลยว่าอีกฝ่ายจะไปทำอะไรกับใคร เหมือนกับที่ลีโอก็คงไม่สนเหมือนกัน แต่พอเป็นคีลแล้วเขากลับรู้สึกยอมไม่ได้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น

อาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้คุณหมอโจดี้เคยพูดทำนองว่าสองคนนี้เหมาะสมกันด้วยล่ะมั้ง เอลเลียตเลยยิ่งร้อนใจ ไม่อยากให้คีลเข้าไปใกล้อีกฝ่าย แต่เหมือนหมอนี่จะไม่ได้ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย นี่เขาหึงจริงๆ แล้วนะ

เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวต้องเคลียร์กันบนเตียง

“แล้วนี่ตกลงเราจะเอายังไงดีครับ” เอลเลียตว่า พยายามเบี่ยงความสนใจให้กลับมาที่ตัวเอง เพื่อที่คีลจะได้เลิกปลอบเคลลี่สักที “เรื่องที่ผมบอกจะแฝงตัวผ่านทางลีโอไป ทุกคนว่าไง”

“ผมไม่เห็นด้วยครับ” แน่นอนว่าคนแรกที่พูดแบบนั้นคือคีล สีหน้าเจ้าตัวราบเรียบเหมือนเคย แต่นัยน์ตาน่ะแทบจะลุกเป็นไฟ ถ้าเอลเลียตหึงคีลกับเคลลี่ คีลเองก็หึงเอลกับเทลออฟอดัมส์นั่นเหมือนกัน แต่เอลเลียตยังไม่รู้ตัวเรื่องนั้น

“คุณก็ไม่เคยเห็นด้วยกับผมสักอย่างแหละ”

“คราวก่อนคุณก็แฝงตัวเข้าไปตอนจะจับแจ็ค พอเตอร์ แล้วเป็นไงล่ะ เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด”

“แต่ผลสรุปก็คือผมช่วยคุณจับคนร้ายได้ตั้งสามสี่คน” เอลเลียตเชิดหน้าขึ้น ตอบกลับอย่างท้าทาย “แล้วเป็นไงล่ะ คุณก็ได้ผลงานเต็มๆ จากการที่ผมแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มคนพวกนั้น”

“แต่คุณแน่ใจเหรอคะว่าเทลออฟอดัมส์จะเชื่อคุณ” ลิลลี่ จอร์แดนที่นั่งคิดมาครู่หนึ่งเอ่ยปากถามอย่างไม่แน่ใจ จริงๆ หล่อนก็คิดว่าที่เอลเลียตเสนอมาก็น่าสนใจอยู่ แต่ก็ยังมีหลายอย่างให้กังวล “คนฝั่งของเขาเกือบจะฆ่าคุณได้อยู่แล้ว เขาต้องระแวงแน่ถ้าอยู่ๆ คุณจะโผล่ไปหาเขา”

“อดัมส์พยายามช่วยชีวิตผมครับ จอร์แดน” เอลเลียตว่า ข้อเท็จจริงนั้นทำให้เขาเสียใจที่ต้องหักหลังลีโอ แต่เอลเลียตเองก็คิดหาทางออกที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว “ผมคิดว่าตัวเองทำได้ที่จะไม่ทำให้เขาระแวงผม”

“เขาจะต้องถามว่าคุณออกมาจากโรงพยาบาลนั่นได้ยังไง” คีลพูดต่อ เหมือนความอดทนของเจ้าตัวก็ค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ “และถ้าเขารู้ว่าพวกตำรวจช่วยคุณออกมา เขาจะไม่ไว้ใจคุณแน่”

“ไว้ใจสิ ผมก็บอกเขาว่าผมจะหักหลังพวกคุณไง”

คนผมดำส่ายหน้าระรัว “นี่มันเสี่ยงเกินไป”

“แต่ถ้าเกิดว่าคุณคิดจะบอกเขาว่าทางตำรวจช่วยคุณไว้ และคุณก็กำลังจะหักหลังพวกเรา คุณจะเสนออะไรให้เขาได้ละคะ” เคลลี่ถามหลังจากคิดตามเรื่องทั้งหมด “ฉันหมายถึง… ถ้าคุณเอาเรื่องภายในกรมตำรวจไปเสนอให้เขา ฉันก็ไม่เห็นความจำเป็นสำหรับเขาอยู่ดี ในเมื่อเขามีข้อมูลพวกนั้นอยู่ในมืออยู่แล้ว ทั้งจากตัวจูเลียน ฮอร์ตันหรือจากตัวเขาเอง”

“เรื่องนั้นผมจะหาทางออกอีกที แต่ผมเชื่อว่าลีโอไม่ได้เห็นผมเป็นแค่ตัวหาผลประโยชน์เท่านั้นหรอก ผมเคยสนิทกับเขามากนะ”

ถึงตอนนี้หน้าของคีลก็บูดสนิทไปเรียบร้อย คนอื่นๆ อาจจะไม่ทันสังเกตแต่เอลเลียตเห็น

“ไม่รู้สิครับ ผมว่านี่มันฟังดูไม่ดีเท่าไร” ฟอร์ดที่นั่งเงียบมานานแสดงความเห็นขึ้นมาบ้าง “หลายอย่างมันดูเสี่ยงเกินไปอย่างที่จอร์แดนกับบอสว่า”

“แล้วพวกคุณเห็นทางออกที่ดีกว่านี้เหรอครับ” เอลเลียตถามขึ้นในที่สุด ทุกคนนิ่งไป เขารู้ดีว่าคนอื่นๆ เห็นด้วยกับเขาแต่ไม่อยากพูด ยิ่งเขาเป็นคนก้ำกึ่งระหว่างทั้งสองฝั่งด้วยแบบนี้ การจะปล่อยกลับไปที่ฝั่งตรงข้ามก็ดูเสี่ยงสำหรับทุกคนด้วย

เพราะงั้นแล้วเอลเลียตจึงตัดสินใจพูดเสริมเพื่อเรียกความเชื่อมั่นของคนในทีม

“ก่อนที่พวกคุณจะตัดสินใจ ขอผมพูดอะไรหน่อย หนึ่งเลย ผมน่ะ เคยจะโดนจูเลียน ฮอร์ตันฆ่าตายมาอยู่แล้ว เพราะงั้นไม่มีทางคิดจะกลับไปหาเขาหรือทำงานกับเขาอีกแน่ ไม่ว่าจะงานไหนก็ตาม สอง จูเลียนกับลีโอเป็นพ่อลูกกันทางสายเลือดก็จริง แต่ลีโอพยายามช่วยผมไม่ให้ถูกพ่อของตัวเองฆ่ามาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะงั้นแล้วผมคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรถ้าผมจะโผล่หน้าไปหาเขา ผมกับเขาไม่ได้เป็นศัตรูกัน สาม จากข้อสองที่ผมพูดไป การจะได้หลักฐานหรือเบาะแสมามัดตัวฮอร์ตันสำคัญตรงนี้ และผมรู้ว่าพวกคุณเองก็อ่านสถานการณ์นี้ออก”

“ฉันเห็นด้วยค่ะถ้าจะให้เอลไปสืบเรื่องนี่ผ่านทางเทลออฟอดัมส์” เคลลี่พูดขึ้นในที่สุด อันที่จริงหล่อนชอบหลายอย่างในตัวอาชญากรคนนี้ และจากที่ชายหนุ่มว่า เคลลี่เชื่อว่าทุกคนในที่นี้ต้องยอมรับอยู่อย่าง

ไม่มีทางไหนที่ดีไปกว่าวิธีที่เอลเลียตเสนอ… แม้ว่านั่นจะหมายถึงความเสี่ยงของตัวชายหนุ่มเองก็ตาม

“ฉันก็เห็นด้วยค่ะ” จอร์แดนพูดตามบ้าง ถึงตอนนี้เอลก็หันไปมองหน้าคนรักกับฟอร์ดเป็นเชิงถาม แน่นอนว่าคนรักของเขาส่ายหัวปฏิเสธทันที

“ผมไม่เห็นด้วยครับ”

เอลเลียตกดความไม่พอใจลงแล้วหันไปหาชายหนุ่มคนสุดท้ายในห้อง

“ฟอร์ดล่ะครับ คุณจะว่าไง? ”

“อืม…” ฟอร์ดครางในลำคออย่างลำบากใจเพราะทุกสายตาจับจ้องมาที่เขา แรงกดดันมากเป็นพิเศษจากคีลและเอล “ผม… ผมว่าเราไม่น่าจะมีทางอื่นที่ดีไปกว่าที่เทย์เลอร์แล้วเหมือนกัน”

เอลเลียตกำหมัดพร้อมกับร้อง ‘เยส! ’ อย่างสะใจ คีลถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งอย่างเบื่อหน่าย คิ้วขวาถึงกับกระตุกเมื่อเห็นเอลเลียตส่งยักคิ้ว ส่งยิ้มยียวนมาให้อย่างผู้ชนะ

เดี๋ยวเถอะ… เดี๋ยวคืนนี้ได้เคลียร์กันยาวแน่ เคลียร์กับไอ้ตัวแสบที่ชอบทำอะไรขัดคำสั่งเขาเนี่ย




-------------------------------------------------
Talk: โง้ยยย รู้สึกวันนี้ทำงานเหนื่อยกว่าทุกวันยังไงไม่รู้ค่ะ ฮือออ ขอกำลังใจจากทุกคนหน่อยเร้ววว//อ้อน

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
หืมม เค้ามีการหึงกันด้วยแหละ อยากจะบอกว่ายิ่งอ่านยิ่งชอบเอลเลียต  :mew1: //ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ กอดๆ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เอลจะเอาตัวเข้าแลกให้คีลหึงอีกไหมคะ  :hao7: // เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ สู้ๆ  :hao5:

ออฟไลน์ idee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
เพิ่งมาอ่านแบบรวดๆ เลยค่ะ
ขอบคุณนะคะที่เขียนงานดีๆ ออกมาให้อ่านกัน ภาษาสวยมากกก ค่ะ
ชอบคู่นี้ ชอบโมเมนต์ที่เอลเลียตกับคีลอยู่ต่อหน้าคนอื่นค่ะ

เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ :D

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด