พิมพ์หน้านี้ - Kill me gently จุมพิตอันธการ [แถงการณ์เปลี่ยนชื่อเรื่อง] P.7 [12/2/2018]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Airiณ ที่ 11-10-2017 17:03:14

หัวข้อ: Kill me gently จุมพิตอันธการ [แถงการณ์เปลี่ยนชื่อเรื่อง] P.7 [12/2/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 11-10-2017 17:03:14
**********************************************************************

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
                                                     

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*********************************************************************

สวัสดีค่ะ Airin_and เอง ^^
เรียกไอรินก็ได้น้า

สารบัญ
บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3718267#msg3718267)・บทที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3719830#msg3719830)・บทที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3721133#msg3721133)・บทที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3721621#msg3721621)・บทที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3722160#msg3722160)・บทที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3722629#msg3722629)・บทที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3724653#msg3724653)・บทที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3725615#msg3725615)・บทที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3726687#msg3726687)・บทที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3728032#msg3728032)・บทที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3731604#msg3731604)・บทที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3734761#msg3734761)・บทที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3736156#msg3736156)・บทที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3737904#msg3737904)・บทที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3739464#msg3739464)・บทที่ 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3741278#msg3741278)・บทที่ 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3743421#msg3743421)・บทที่ 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3745131#msg3745131)・บทที่ 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3746562#msg3746562)・บทที่ 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3749133#msg3749133)・บทที่ 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3750586#msg3750586)・บทที่ 21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3752451#msg3752451)・บทที่ 22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3754593#msg3754593)・บทที่ 23 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3757651#msg3757651)・บทที่ 24 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3760494#msg3760494)・บทที่ 25 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745.msg3762256#msg3762256)

นิยายเรื่องอื่นๆ ที่ลงในเล้า
My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (จบแล้ว) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645)・ทำไงดีลูกผมเป็นเกย์ (On Air) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61530)・Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (จบแล้ว) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803)・Faded Fog หมอกเลือนรัก (On Air) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62356)

ถ้ามีอะไรผิดพลาด ยังไงก็ฝากให้คำแนะนำด้วยนะคะ

มาพูดคุยและติดตามกันได้ตามนี้เลยค่ะ
Facebook (https://www.facebook.com/airinand/)・Twitter (https://twitter.com/airin_yoku)

ขอให้สนุกกับนิยายค่ะ :)
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทนำ) P.1 [11/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 11-10-2017 17:03:57

บทนำ



เอลเลียต เทย์เลอร์กำลังนั่งอยู่ในห้องสอบปากคำที่มีประตูทางออกเพียงบานเดียว เก้าอี้ที่เขานั่งอยู่หันหน้าเข้ากระจกใสที่มองไม่เห็นอีกด้าน แต่เขารู้ดีว่าคนอีกฝั่งสามารถมองเห็นเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่มีหน้าต่างสำหรับระบายอากาศ ไม่มีอะไรที่อาจจะพอเป็นทางออกในห้องปิดทึบแห่งนี้ แต่อย่างกับว่าถ้ามีหน้าต่างแล้วเขาอยากจะเสี่ยงตายด้วยการกระโดดลงไปจากชั้น 7 ของอาคารนี้งั้นแหละ

ว่าแต่… แล้วคนพวกนี้จะปล่อยให้เขารอไปอีกนานแค่ไหนเนี่ย ไม่ใช่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องทำงานกันอย่างรวดเร็วฉับไวหรอกเหรอ นี่ปล่อยให้เขานั่งรอในห้องนี้มากว่ายี่สิบนาทีแล้วนะ

เอลเลียตก้มลงมองมือที่ประสานกันบนโต๊ะอย่างคนไม่มีอะไรทำ เหงื่อที่ชื้นขึ้นมาตอกย้ำให้รู้ว่าเจ้าของร่างกำลังเกร็งและตื่นกลัว แม้เจ้าตัวจะพยายามทำสีหน้าราบเรียบเหมือนไม่มีอะไร แต่ในใจเขากลับร้อนรนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกเชิญตัวมาที่โรงพัก

แต่… มันคงไม่มีอะไรหรอกน่า คนพวกนี้แค่อาจจะสงสัยเขา แต่ยังไงก็ไม่มีทางหาหลักฐานอะไรมามัดตัวเขาได้อยู่แล้ว

ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน นัยน์ตาสีฟ้าที่พยายามปกปิดความหวาดหวั่นในใจเอาไว้เริ่มขยับหัวแม่มือทั้งสองข้างหมุนวนไปมาโดยไม่ให้มันสัมผัสกัน

อันที่จริงแล้ว นี่ก็แค่กลยุทธ์ขั้นพื้นฐานที่พวกตำรวจใช้กัน ปล่อยให้เหยื่อจมอยู่กับความหวาดกลัว ความสิ้นหวัง แล้วจิตใจก็จะอ่อนล้าไปเอง พอถึงเวลาที่จะเค้นความจริงก็จะป้องกันตัวได้ไม่เต็มที่นัก คนที่ขึ้นโรงขึ้นศาลบ่อยๆ จะชินกับวิธีการนี้อยู่แล้ว

แต่สำหรับเอลเลียต ถึงแม้ว่าเขาจะเคยเตรียมตัวเตรียมใจกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อนแล้วตั้งแต่ลงมือก่อเหตุปล้นธนาคารครั้งแรกเมื่อห้าเดือนก่อน แต่พอได้มาอยู่ในห้องนี้จริงๆ เขาก็อดใจสั่นขึ้นมาไม่ได้

ในที่สุดการรอคอยที่แสนจะทรมานก็ยุติลง เมื่อชายหนุ่มร่างสูงเจ้าเปิดประตูเข้ามาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงใดๆ เอลเลียตเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายทันทีและได้เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของอีกฝ่ายเป็นอย่างแรก

ประเมินจากสายตาแล้วหมอนี่ต้องสูงถึงกว่าหกฟุตสองนิ้วแน่ๆ เรียกได้ว่าสูงจนน่าอิจฉาเลยก็ว่าได้ แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจกว่านั้นก็คือใบหน้าคมสันที่ดูหล่อเกินความจำเป็นสำหรับคนทำอาชีพสายนี้นี่สิ เส้นผมสีดำสนิทกับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มอ่านยากที่เหมือนจะดูดกลืนทุกอย่างเข้าไปได้นั่น คือบอกได้เลยว่าหน้าตาแบบนี้ไปเป็นซูเปอร์สตาร์ค้ำฟ้าเถอะ อย่ามาทำอาชีพผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แบบนี้เลย เสียของจริงๆ

“สวัสดีครับ คุณเทย์เลอร์” น้ำเสียงราบเรียบ สุภาพแต่ห่างเหินดังขึ้นพร้อมกับเจ้าของที่หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม วางแฟ้มคดีบางๆ ลงบนโต๊ะ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองตาเขาตรงๆ “ขอโทษที่ปล่อยให้คุณรอนาน”

“ผมไม่ยักรู้นะว่าตำรวจนี่เขาคัดหน้าตาคนเข้ามาทำงานด้วย” พอเห็นคนหน้าตาดีเข้าหน่อยความตื่นกลัวในใจก็ลดลงไปเกือบครึ่งแน่ะ แม้ว่าเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มนี่จะเย็นชาอย่างน่าขนลุกก็เถอะ “ทำไมคุณไม่ลองไปออดิชั่นหนังสักเรื่องล่ะ หรือนายแบบก็ได้ น่าจะได้เงินดีกว่านี้นะ หน้าตาแบบคุณ ไม่น่ามาเป็นตำรวจเลย เสียดายของ ”

“ผมชื่อคีล วิลล์” อีกฝ่ายแนะนำตัวราวกับไม่ได้ยินคำพูดกวนประสาทจากผู้ต้องหาตรงหน้า “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

“ผมเรียกคุณว่าคีลได้ไหม”

“แน่นอน เอาล่ะคุณเทย์เลอร์ ผมคิดว่าคุณคงได้รับทราบข้อกล่าวหาของตัวเองมาบ้างแล้ว เรื่องที่คุณวางแผน ทำการปล้นชิงทรัพย์ธนาคารมาทั้งหมดสามครั้ง ครั้งหนึ่งที่นิวเจอร์ซีย์ อีกครั้งที่แมนฮัตตัน แล้วก็ครั้งล่าสุดที่บรู๊คลิน”

“บ้าไปใหญ่แล้ว” เขาพยายามทำเสียงให้เหมือนหัวเสียเล็กน้อย แต่ดูเหมือนหางเสียงจะสั่นไปนิด “ผมจะไปทำแบบนั้นได้ยังไง ก็ในเมื่อวันเวลาที่เกิดเหตุ ผมยังนั่งทำงานในออฟฟิศหรือไม่ก็พาลูกค้าไปชมบ้านตัวอย่างอยู่เลย ไม่มีเวลาไปทำเรื่องไร้สาระแบบนั้นหรอก พวกคุณจับผิดคนแล้ว”

“ผมมีพยานเป็นเพื่อนร่วมงานของคุณ แล้วก็หลักฐานอีกสองสามชิ้นที่บอกว่าคุณไม่ได้อยู่ในที่ทำงานวันนั้นจริงๆ อย่างที่คุณอ้าง” คีลพูดพลางวางรูปถ่ายเอกสารจำนวนหนึ่งซึ่งบ่งชี้คำพูดของเขาได้

เอลเลียตรู้สึกว่าหน้าซีดลง ก่อนจะพูดเชิดหน้าขึ้นมาใหม่ ยกแขนขึ้นกอดอกแล้วจ้องตาคู่สนทนาตรงๆ

“ก็ได้ ผมยอมรับ ผมกับเพื่อนๆ สลับวันหยุดกันแบบนี้บ้างเป็นครั้งคราว แต่แล้วยังไงล่ะ บางครั้งเราก็อยากมีเวลาส่วนตัวของตัวเองแบบที่ไม่ให้เจ้านายรู้บ้าง มันอาจจะผิดกฎบริษัท แต่ไม่ได้ผิดกฎหมายอะไรสักหน่อย”

คีลเลิกคิ้วขึ้น ถามกลับด้วยน้ำเสียงประหลาดใจอย่างเสแสร้ง

“แปลว่ามันแค่เรื่องบังเอิญสินะครับ ที่คุณจะอยากไปทำเรื่องส่วนตัวในวันที่เกิดการปล้นธนาคารขึ้นถึงสามครั้ง"

เอลเลียตผายมือออกไปข้างตัว “เรื่องบังเอิญเกิดขึ้นได้เสมอ คุณไม่คิดงั้นเหรอ”

สายสืบหนุ่มไม่พูดอะไร เขาหยิบซองกระดาษที่ด้านหน้ามีสีสันหลากหลายและมีรูปเครื่องบินปรากฏอยู่ เขาหยิบตั๋วเครื่องบินที่อยู่ในซองนั้นออกมา

“คุณมีแผนบินเนเธอร์แลนด์ วันอาทิตย์หน้า?”

 เอลเลียตถอนหายใจเอื่อยๆ “คนเราก็ต้องอยากมีเวลาพักผ่อนบ้าง”

“ดูเหมือนจะเป็นตั๋วเที่ยวเดียวนะ”

“ผมแค่ยังไม่แน่ใจว่าจะกลับวันไหนเท่านั้นเอง”

คีลวางมือลงบนโต๊ะ จ้องตาอีกฝ่ายนิ่งอย่างคุกคาม เขาสัมผัสได้ถึงความตื่นกลัวของชายหนุ่มตรงหน้า และรู้ดีว่าตัวเองต้อนมาถูกทางแล้ว

“คุณรู้จักเว็บที่ให้บริการอีเมลของ merrykings ไหม”

“อะไรนะ” เขาพยายามทำเสียงให้ดูสับสนที่สุด แต่อะไรบางอย่างก็บอกว่าไม่เนียน “ไม่ ผมไม่เคยได้ยิน”

“ไม่หรอก คุณมีอีเมลแอคเค้าท์ของบริษัทนี้”

เอลเลียตปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน ว่าแล้วเชียวว่าเขาควรจะยืนยันหนักแน่นเรื่องการใช้โทรศัพท์แบบใช้แล้วทิ้งแทนที่จะเป็นจดหมายอิเล็กทรอนิกส์นี่ แต่คนในทีมเขาไม่เคยฟังเลย

“ใช่ บางทีผมคงมี ไม่รู้สิ ผมสมัครอีเมลไว้หลายที่น่ะ”

“เราติดต่อไปที่ทางบริษัทนี้แล้ว เขามีบันทึกทุกอย่างที่คุณติดต่อกับอดัมส์ โคล์ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของธนาคารล่าสุดที่โดนคุณปล้น”

“ผมไม่ได้--”

“นั่นคือวิธีการของคุณสินะ วางแผน ฟอร์มทีม หาคนวงใน ถึงรายละเอียดทั้งหมดจะไม่อยู่ในอีเมลพวกนั้น แต่มันคงเพียงพอที่จะใช้เป็นหลักฐานในการโยนตัวคุณขึ้นไปบนศาล”

“คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่รู้เรื่อง” สีหน้าของเอลเลียตซีดเป็นกระดาษอย่างน่าสงสารไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคีลอาจจะรู้สึกเห็นใจชายหนุ่มสักหน่อยก็ได้ ยิ่งอีกฝ่ายมีใบหน้าแบบที่เขาชอบ เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มยาวระต้นคอที่เข้ากับใบหน้าได้รูป นัยน์ตาสีฟ้าใสที่ดูไม่มีพิษภัยที่ขัดกับตัวตนที่แท้จริงของเจ้าของนั่นก็ด้วย แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้คีลรู้สึกสะใจกับชัยชนะที่อยู่เบื้องหน้ามากเกินไป ความเห็นใจอะไรที่ว่านั่นไม่มีเลยแม้แต่น้อย

“คุณอยากให้ผมปริ้นท์อีเมลที่คุณคุยกับโคล์มาให้ดูด้วยไหม”

เอลเลียตกำมือแน่นขึ้น จ้องหน้าคีลอย่างคับแค้นใจ พูดอะไรไม่ออก รู้สึกจุกในช่องท้องไปหมดตอนที่เห็นมุมปากของคนที่ทำหน้าขรึมมาทั้งงานยกขึ้นนิดๆ อย่างสะใจ

รอยยิ้มทำให้ใบหน้าของสายสืบหนุ่มดูดีขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ เรื่องนั้นเขาไม่เถียงแน่ แต่เอลเลียตไม่มีเวลามาชื่นชมเพราะรอยยิ้มเยาะนั่นมันมีความหมายเพียงอย่างเดียวในสถานการณ์นี้

รอยยิ้มแห่งชัยชนะ… และคนแพ้ก็คือเขา

“ผมต้องการทนาย” เอลเลียตเค้นเสียงของตัวเองออกมาได้ในที่สุด

“คุณแน่ใจนะ?” คีลเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “ถ้าคุณยอมเจรจายอมความตอนนี้กับผม เราอาจจะหาข้อเสนอดีๆ มาให้คุณได้ก็ได้”

เขาอยากจะได้… อยากจะได้ข้อเสนอที่ว่านั่นใจจะขาด แต่ถ้าทำแบบนั้น นั่นก็เท่ากับตัวเองยอมรับไปแล้วเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ว่ามีความผิดในคดีที่อีกฝ่ายว่ามาจริง

เก้าสิบเปอร์เซ็นต์งั้นเหรอ… ไม่เอาดีกว่า เขายอมที่จะเสี่ยง

“ผมต้องการทนาย ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคุณแล้ว”

รอยยิ้มบนใบหน้าของคีลกว้างมากขึ้น และมันทำให้เขารู้สึกระหว่างหวาดกลัวกับอยากจะจับอีกฝ่ายกดลงบนโต๊ะแล้วจูบปากสวยๆ นั่นให้รู้แล้วรู้รอด

“งั้นคุณก็จะได้อย่างที่ต้องการ น่าเสียดายนะ ผมนึกว่าอายออฟไอเดนจะฉลาดกว่านี้เสียอีก”

เอลเลียตตัวชา อายออฟไอเดนที่ว่านั่นเป็นฉายาในวงการของเขา นี่หมอนี่ขุดเรื่องของเขาได้ลึกถึงขนาดไหนกันแน่ อ้อ ใช่ แต่เขาก็ใช้ฉายานั่นในเมลนั่นนี่หว่า ฉิบหายเอ๊ย ต่อให้เป็นบริษัทดูแลเครือข่ายที่ซิเคียวริตีดีแค่ไหน แต่ถ้ามีตำรวจมาเอี่ยวก็จบกันสินะ

“ผมไม่รู้ว่าคุณพูดถึงอะไร” และอาจเพราะเริ่มตั้งตัวได้ คราวนี้ชายหนุ่มผมน้ำตาลถึงได้รักษาท่าทีสงบของตัวเองได้ดีกว่าที่ผ่านมา แต่นั่นกลับไม่ช่วยอะไรนอกจากทำให้คีลคลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจมากกว่าเดิมขณะที่ลุกออกจากเก้าอี้ของตัวเองแล้วตรงไปที่ประตู

“งั้นเราคงได้เจอกันในศาล” คีลว่า

“มันอาจจะไม่ไปถึงขั้นนั้นก็ได้ เฮ้ เดี๋ยวก่อนสิ คุณรู้อะไรไหม คุณสายสืบ”

คนผมดำหันกลับมามองหน้าเอลเลียตพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงถาม

“ถ้าเราเจอกันข้างนอก… ไม่ต้องไกลมากก็ได้ เอาแค่หน้าตึกนี่ ผมว่าผมคงชวนคุณไปหาอะไรทานด้วยกันแล้ว”

คีลนิ่งไปนิดหนึ่งกับคำพูดที่เหมือนพยายามจะจีบเขาของอีกฝ่าย และนั่นทำให้เอลเลียตที่ตกเป็นรองมาตลอดชักได้ใจ อย่างน้อยก็เขาให้เขารู้สึกว่าได้อยู่เหนือไอ้หมอนี่สักหน่อยเถอะ ถึงจะเป็นเรื่องแบบนี้ก็ยังดี

“งั้นก็น่าเสียนะครับ” คนผมดำพูดขึ้นในที่สุด “เพราะผมคงไม่ไปกินข้าวกับใครในคุกแน่ ไว้ชวนคนอื่นเถอะ”

“!?” ว้าก! ไอ้บ้านี่มันเอาเรื่องที่น่ากลัวที่สุดมาล้อเล่นกับเขา ใครจะเข้าไปอยู่ในคุกฟะ!?

“อ้อ แล้วก็อีกอย่าง ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ คุณเทย์เลอร์” เมื่อเห็นว่าเอลเลียตกล้าหยอดเขาขนาดนี้ คนที่ไม่ยอมใครอย่างคีลคงปล่อยไว้ไม่ได้ “เรามีเรือนจำแบบพิเศษสำหรับเพศที่สามด้วยนะ เพราะงั้นไม่ต้องกังวลเกินเหตุไปนะครับ”

“คุณ!” เอลเลียตทุบโต๊ะพร้อมกับลุกขึ้นพรวด ใบหน้าขาวแดงขึ้นเพราะอารมณ์รุนแรงด้านใน และมันยิ่งแย่เข้าไปอีกตอนที่ใบหน้าแบบที่เขาชอบนั่นหันกลับมายิ้มนิดๆ ให้ จากนั้นก็กลับไปเคร่งขรึมตามเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ไม่รู้เลยว่าจะเลือกชอบหรือเกลียดไอ้หน้าหล่อนี่ดี!





---------------------------------------

Talk: ความเรื่องใหม่งอกนี้มันอะไรกัน ถถถถถถถ ยังไงก็ฝากติดตามคีลกับเอลเลียตกันด้วยนะคะ <3
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทนำ) P.1 [11/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 11-10-2017 18:00:15
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทนำ) P.1 [11/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-10-2017 18:04:28
หนุ่มน้อยริอาจเป็นโจร น่าเอ็นดูจังเลยยยย  :hao5:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทนำ) P.1 [11/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 11-10-2017 18:23:01
อ้ากกกก ติดตามค่ะ น่าจะเผ็ชน่าดู เปิดเรื่องมานึกว่าเอลเลียตจะรับแต่พออ่านจนจบชักจะไม่ใช่ละ อยากเห็นเอลเลียตกดคุณคีล 555
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทนำ) P.1 [11/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 11-10-2017 18:54:56
มารอ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทนำ) P.1 [11/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 14-10-2017 16:59:48

บทที่ 1



คีลนั่งลงบนเก้าอี้ซึ่งมีโต๊ะสี่เหลี่ยมแสนน่าเบื่อตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเก้าอี้อีกตัวที่มีชายหนุ่มในชุดหมีสีส้มซึ่งเป็นเครื่องแบบของนักโทษตีหน้าบูดบึ้งอยู่ฝั่งตรงข้าม ละคนที่พ่ายแพ้ในศาลข้อหาวางแผนปล้นธนาคารสามแห่งก็หนีไม่พ้นเอลเลียต เทย์เลอร์เจ้าเก่า ชายหนุ่มผมน้ำตาลดูซูบผอมลงเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ดูโทรมแบบหมดอาลัยตายอยากแบบนักโทษคนอื่นๆ ที่คีลเคยเจอมา บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงเป็นคนที่ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมเก่งไม่ใช่น้อย

...เพราะแบบนั้นถึงได้ไปเป็นโจรปล้นธนาคารได้ยังไงล่ะ

คดีทั้งสามกระทงที่เอลเลียตโดนนั้น ว่ากันตามตรงแล้วถือเป็นหนึ่งในคดีที่ปิดยากที่สุดอันดับต้นๆ ของคีลเลยก็ว่าได้ เพราะคนวางแผนก่ออาชญากรรมหรือที่รู้จักกันในนาม ‘อายออฟไอเดน’ นั่นมีลูกเล่นที่แพรวพราวและไม่ซ้ำแบบกันเลยในการลงมือแต่ละรอบ นั่นทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เคยรับคดีก่อนหน้าเขาสับสนด้วยไม่รู้ว่าผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มเดียวกันหรือไม่

โดยครั้งหนึ่งอายออฟไอเดนจะลอบเข้าไปในธนาคารเป้าหมายยามวิกาลและหาวิธีเอาเงินออกมาจากตู้เซฟได้โดยแทบไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ส่วนอีกครั้งเป็นการปล้นกันต่อหน้าต่อตาตอนกลางวันแสกๆ แบบถือปืนเข้าไปในด้านในและข่มขู่เจ้าหน้าที่ที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์ด้วยวิธีการสุดคลาสสิก และครั้งที่สามที่ทำให้เขาจับเอลเลียตได้ เจ้าตัวก็เพิ่มลูกเล่นด้วยการให้หนึ่งในแก๊งสมาชิกแกล้งเป็นเหยื่อที่หวาดกลัวปะปนไปกับตัวประกันคนอื่นๆ อีกด้วย และเหยื่อปลอมๆ รายนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น อดัมส์ โคล์ หนอนบ่อนไส้ของธนาคารแห่งนั้นนั่นเอง

นี่ยังไม่นับเรื่องขนาดของธนาคารและจำนวนเงินที่ถูกขโมยไปแต่ละครั้งมีความแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวง เหมือนกับผู้ก่อเหตุระมัดระวังตัวอย่างมากที่จะลงมือแบบเดิมๆ และคีลก็ต้องยอมรับว่ามันปั่นหัวตำรวจอย่างพวกเขาได้ผล บางทีถ้าไม่ใช่เขาที่เข้ามารับคดีนี้กะทันหัน อายออฟไอเดนก็อาจจะไม่ได้รับการจับกุมตัวก็ได้

ไม่สิ เอลเลียต เทย์เลอร์คงไม่ได้รับจับกุมตัวเป็นแน่ เห็นจากตั๋วเครื่องบินเที่ยวเดียวที่อีกฝ่ายซื้อไว้ก็รู้แล้ว เรียกได้ว่าเขาเข้ามารับหน้าที่นี้ต่อได้อย่างถูกจังหวะอย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ

“สวัสดีครับ คุณเทย์เลอร์ เป็นยังไงบ้าง”

“หายหัวไปนานนี่คุณ” คนในชุดส้มพูดเสียงขุ่น หลังจากที่อีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นที่ศาลเพื่อให้ปากคำในการจับเขายัดตาราง เอลเลียตก็ไม่ได้เจอคีลอีกเลย นี่ก็ผ่านมาสามสี่เดือนได้ “แต่ก็นะ ใช่ว่าผมอยากจะเจอตำรวจที่จับผมยัดเข้าที่นี่นักหรอก ถ้าทนายของผมรู้เขาจะเอ็ดผมแหลกแน่ เขาบอกว่าห้ามคุยกับตำรวจ โดยเฉพาะคุณ”

ตอนแรกเอลเลียตไม่แน่ใจหรอกว่าใครเป็นคนรวบรวมหลักฐานและรวบตัวเขาได้ เพราะอย่างตอนที่ถูกเชิญตัวไปโรงพักก็เป็นเจ้าหน้าที่สาวอีกคนที่ขอให้เขาไปในฐานะผู้ต้องสงสัย แต่แท้จริงแล้วคนที่มีผลงานแบบเต็มๆ ที่จับเขาได้คือหมอนี่… จนถึงตอนนี้ก็ยังนึกเสียดายหน้าหล่อๆ นั่นอยู่เลย ถ้าแค่สอบปากคำเขาอาจจะยังพอรู้สึกทำใจได้ แต่พอคิดว่าคีลนี่แหละที่จัดการเขาซะดิ้นไปไหนไม่รอด… โอ๊ย อยากจะล้มโต๊ะใส่หน้า

“แต่คุณก็ยังยอมมาคุยกับผมแบบนี้นี่” คีลว่าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอ่านยาก ตอนนี้พวกเขานั่งอยู่ในห้องปิดทึบที่ไม่มีทางออกใดๆ นอกจากประตูด้านหลังคีลบานเดียวอีกแล้ว โดนล่ามโซ่ไว้ที่ขา ใส่กุญแจมือไว้แบบนี้ อย่างกับจะหนีไปไหนได้ แถมแค่ก้าวพ้นจากประตูห้องคงโดนเป่าดับแล้ว “ผมว่าจริงๆ แล้วคุณอาจจะอยากพบผมก็ได้นะ”

พูดแบบนั้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ และสีหน้าเคร่งขรึมแบบนี้… บอกเลยว่าดูไม่ออกว่าคีลตั้งใจแหย่เล่นรึเปล่า

“มีธุระอะไร”

“ผมอยากจะถามเรื่องเงินที่คุณขโมยไป”

เอลเลียตนิ่งไปนิดหนึ่ง ทางตำรวจรวบเงินของกลางได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของเงินที่พวกเขาขโมยมาเท่านั้น มันค่อนข้างน้อยเมื่อนึกถึงมูลค่าเงินทั้งหมดที่ถูกปล้นไป แต่ก็มากพอที่จะเอาผิดเขาได้นั่นเอง

แต่พวกตำรวจจะไม่มีทางรู้หรอกว่าเงินนั่นอยู่ที่ไหน หรือถ้าจะรู้ อย่างน้อยก็จะไม่มาจากเขา

“ผมขอยืนยันคำเดิมจากที่เคยตอบไปแล้วนะ ผมใช้ไปแล้ว”

“ใช้ไปกับอะไร”

คนผมน้ำตาลยักไหล่ “ก็ตอบไปแล้วอีกเหมือนกัน การพนันไง”

“คุณกำลังจะบอกผมว่า เงินกว่าสิบล้านที่หายไปนั่น คุณเอาไปจมกับการพนันหมดงั้นเหรอ”

“ผมและทีมของผม จำได้ไหม”

“ข้อแก้ตัวฟังดูไม่ขึ้นสุดๆ คุณก็รู้”

“ผมว่าผมมีสิทธิ์ที่จะไม่ตอบอะไรมากกว่านี้แล้ว” นี่เป็นสิ่งที่ทนายเขาเสี้ยมสอนมาเหมือนกัน พูดให้น้อยที่สุด… ไม่พูดเลยยิ่งดี

“ต่อให้ทางเราจะเสนอลดโทษให้?”

เอลเลียตไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้าช้าๆ “ผมบอกความจริงคุณไปหมดแล้ว”

“ผู้ร้ายปากแข็ง สงสัยจังว่าต้องใช้คีมมาง้างปากคุณให้พูดรึเปล่า”

“ฟังนะ คุณสายสืบ” เอลเลียตโน้มหน้าให้เข้าไปใกล้คีลมากขึ้น “คุณเองก็รวบตัวอีกสองคนในทีมผมมาได้จากข้อมูลที่ผมให้ไปแล้ว การลดหย่อนโทษอะไรที่ผมควรจะได้ผมก็ได้แล้ว แต่มันสิ้นสุดแค่ตรงนี้ และผมก็มีความสุขดี”

คีลยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ เหลือบมองกุญแจมือที่พันธนาการข้อมือสองข้างของเอลเลียตไว้ จากนั้นจึงมองเลยไปถึงโซ่ล่ามที่ขา มันทำให้คนที่เพิ่งเข้ามาติดอยู่ในคุกจริงๆ เพียงสามเดือนหน้าร้อนขึ้นมาด้วยความอับอาย แม้ว่าคีลจะไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำก็ตาม

“เราต่างคนต่างก็รู้ว่ายังมีคนอื่นๆ ในแผนการของคุณอีก ถูกต้องไหม” คีลว่าอย่างรู้ดี เนื่องจากเป็นคดีที่เขามาจับทีหลัง การรวบตัวผู้ก่อเหตุในการโจรกรรมครั้งสุดท้ายได้ครบเพราะคดีมันยังสดใหม่และสืบเสาะหาเบาะแสได้ง่าย แต่กับอีกสองคดีเก่านั้น เขาไม่เชื่อว่าคนร้ายจะเป็นทีมเดียวกันตามที่เอลเลียตอ้าง

“ไม่มี เรามีกันแค่นี้แหละ นั่นคุณแค่ตั้งสมมติฐานมาเอง”

"เป็นอันว่าการเจรจาของเราล้มเหลวสินะ" คีลว่าอย่างไม่ทุกข์ร้อนขณะลุกขึ้นยืน ดูเหมือนเขาจะเดาเอาไว้อยู่แล้วกับผลลัพธ์นี้ เอเลียตเองพอเห็นอีกฝ่ายล่าถอยไปอย่างง่ายดายก็เริ่มเบาใจ แต่จังหวะที่เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก คนผมดำก็จู่โจมด้วยคำพูดขึ้นมาเสียอย่างนั้น

"ไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่าอายออฟไอเดนจะมาอยู่ในสภาพแบบนี้" น้ำเสียงนั่นไม่ได้มีร่องรอยของความหมิ่นแคลน แต่มันทำเอาคนที่เคยภาคภูมิใจกับฝีมือการก่ออาชญากรรมของตัวเองมาก่อนอับอายขึ้นมาอีกรอบ ยิ่งตอนที่คีลยกยิ้มบนมุมปากน้อยๆ ขณะพูดต่อไปว่า "ผมรู้ว่านี่มันเพิ่งผ่านมาแค่สามเดือน คุณคงใช้ชีวิตสุขสบายดีในนั้น แต่มันไม่ง่ายแบบนั้นตลอดไปหรอก เทย์เลอร์ ผมเห็นมานักต่อนักแล้ว คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็มีสภาพน่าอดสูได้เพราะชีวิตของพวกเขาถูกกัดกร่อนอยู่ในนั้น คุณเองก็ไม่ต่างกันหรอก ตอนนี้คุณอาจจะทนได้ แต่สักวันคุณจะนึกถึงข้อเสนอของผม หวังว่าตอนนั้นคุณจะยังมีโอกาสได้มันอยู่นะ คุณอายออฟไอเดน"

"เลิกเรียกผมแบบนั้นได้แล้ว"

คีลไม่พูดอะไรตอบ เขาก้าวพ้นประตูพร้อมกับบอกคนเฝ้าที่อยู่หน้าห้องว่าเสร็จธุระกับเอลเลียตแล้ว จากนั้นคนผมน้ำตาลถึงได้ถูกคุมตัวกลับเข้าที่คุมขังอีกครั้งด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวกว่าก่อนที่จะออกมามากนัก ทำไมเขาต้องมาเจอเจ้าหน้าที่ตำรวจแบบไอ้คีลด้วยนะ! ตำรวจคนอื่นว่าแย่แล้วก็ไม่เห็นเคยมีใครน่าโมโหเท่าหมอนี่เลย!






"เป็นไง วิลล์" โจนาธาน ฟอร์ด หนึ่งในเพื่อนร่วมทีมผู้มีโต๊ะในออฟฟิศข้างๆ เขาถามขึ้นขณะที่คีลทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของตัวเอง "ไปเรือนจำคราวนี้มาได้อะไรดีๆ กลับมาบ้างไหม"

"ไม่ได้" ตอบเสียงเรียบ หยิบเอกสารที่หย่อนอยู่ในกล่องบนโต๊ะของตัวเองขึ้นมากวาดตาอ่าน "หมอนี่แกร่งอย่างกับหินผาเลยล่ะ ข้อเสนออะไรก็ไม่สนเลย"

"ใจเด็ดใช้ได้"

"ขอใช้คำว่าหัวดื้อดีกว่า แล้วนี่มันก็เพิ่งสามเดือน ไม่แปลกหรอกที่เขาจะยืนกรานแบบนั้น"

"นายลองรออีกซักสี่ห้าเดือนสิ ถึงตอนนั้นหมอนั่นอาจจะเริ่มคายออกมาแล้วก็ได้ อยู่ในที่แบบนั้นใครๆ ก็เหี่ยวเฉากันหมดทั้งนั้นแหละ ทนได้ไม่นานหรอก ถ้าได้ข้อเสนอลดโทษสักปีก็ยอมคายออกมาหมดแล้ว"

คีลไม่แน่ใจในเรื่องนั้น ถึงในสายตาเขาเทย์เลอร์จะดูเหยาะแหยะจากความประทับใจแรกที่เจ้าตัวนั่งหน้าซีดเป็นไก่ต้มตอนโดนเรียกมาสอบปากคำ แต่จากสภาพที่ไม่ได้ดูทรุดโทรมลงไปมากอย่างที่เขาหวัง เขาก็ชักไม่แน่ใจว่าหมอนี่จะยอมรับข้อเสนอง่ายๆ แบบที่ฟอร์ดพูดไหม

ยอมยกคนในทีมสองคนในเขาจับ แต่ไม่ยกที่เหลือให้สินะ

"ไม่ล่ะ ถึงตอนนั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่คนอื่นแล้ว ฉันจะปล่อยมือจากคดีนี้ล่ะ"

"ล้อเล่นรึเปล่า" โจนาธานทำตาโต "นี่เป็นผลงานชิ้นโบแดงของนายแล้วก็หน่วยเราเลยนะ โยนเนื้อไปให้คนอื่นเอาตอนนี้จะดีเหรอ วิลล์"

"ผมไม่สนเรื่องพวกนั้นหรอก" พูดเสียงเรียบ หยิบปากกาขึ้นมาหมุนในมือเตรียมเซ็นรับทราบในเอกสาร "อีกอย่าง คุณก็รู้ว่าผมชอบจับคดีแนวไหนมากกว่า คดีปล้นทรัพท์ ปล้นธนาคารอะไรนี่ไม่รวมอยู่ในนั้นเสียหน่อย"

"อ่า นั่นสินะ" ฟอร์ดว่า รู้ดีว่าคดีส่วนใหญ่ที่ได้รับมอบหมายและเป็นงานที่เจ้าตัวถนัดคือคดีที่มีคนตายเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ใช่ตามล่าพวกชิงทรัพย์แบบนี้ "แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ นายยัดอายออฟไอเดนเข้าตารางได้ แถมด้วยทีมหมอนั่นอีกตั้งสองคน"

"และหลักฐานอะไรอีกหลายอย่างก็บอกว่ายังไม่ครบ แต่ช่างเถอะ ผมไม่คิดจะทำต่อแล้ว มีคดีอื่นให้ต้องทำอีกเพียบ"

"บอสต้องเฉ่งนายหนักแน่" โจนาธานว่าอย่างไม่จริงจังนักด้วยรู้ดีว่าอย่างไรวิลล์ก็ไม่สน

ว่ากันตามตรง คีลเองก็นึกเสียดายโอกาสที่อาจจะได้ไปเจอนักโทษคนนั้นอีกอยู่เหมือนกัน นึกถึงเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนกับแววตาที่จ้องเขาอย่างโกรธเคืองแต่ไม่ถึงกับอาฆาตอย่างที่เขาเคยได้จากคนร้ายคนอื่นๆ บางทีอาจเป็นเพราะว่าคนร้ายส่วนมากเป็นฆาตกรไม่ใช่อาชญากรอย่างหมอนั่นก็ได้ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะตะกอนจางๆ ที่ตกค้างจากวันแรกที่พวกเขาสองคนได้คุยกัน

...ก็ว่าไปนั่น ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เขาคงไม่ได้เจอหมอนั่นอีกแล้วถ้าปล่อยมือจากคดีนี้

'หน้าตาแบบคุณน่าจะไปเป็นดาราไม่ก็นายแบบนะ ไม่น่ามาเป็นตำรวจเลย เสียดายของ'

เอลเลียต เทย์เลอร์จะรู้ไหมนะ ว่าเขาเองก็คิดแบบเดียวกันกับเจ้าตัวไม่มีผิด หน้าตาแบบนั้น ท่าทางแบบนั้น... ไม่น่าไปเป็นอาชญากรเลย เสียดายของ!






"ให้ตายสิ" เอลเลียตครางด้วยน้ำเสียงสุดแสนจะเหลืออดขณะที่มือถือไม้กวาดทางมะพร้าวเอาไว้ หน้าที่ของเขากับนักโทษคนอื่นๆ กว่าอีกสิบชีวิตวันนี้คือการกวาดเศษใบไม้หลากสีที่ร่วงเกลื่อนกลาดพื้นถนนซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ของเรือนจำแห่งนี้ "ทำไมคนเราจะต้องกวาดใบไม้ที่ร่วงลงมากต้นไปทิ้งด้วยนะ ให้มันอยู่แบบนั้นไปตามธรรมชาติก็ดีอยู่แล้วแท้ๆ"

“อย่าบ่นนักเลย เทย์เลอร์” เบลค เรมิเรซ ชายหนุ่มผิวดำที่ตัวพอๆ กับเอลเลียตว่าขึ้น เขาเป็นคนที่อยู่ร่วมห้องขังกับเจ้าตัวนั่นแหละ ห้องที่พวกเขาอยู่มีเตียงสองชั้น เอลเลียตอยู่ชั้นบน เบลคอยู่ชั้นล่าง เอลเลียตคิดว่าโชคดีของเขาเพียงอย่างเดียวที่ได้เข้ามาอยู่ในคุกนี่คือได้หมอนี่เป็นเพื่อน “แค่กวาดใบไม้นี่ก็สบายจะตายห่าอยู่แล้ว อย่าร่ำร้องหาอะไรลำบากกว่านี้ทำเลย”

“แต่นี่มันยังเช้าอยู่เลย” คนผมน้ำตาลถอนหายใจ จากนั้นก็เริ่มลงมือทำความสะอาดพื้นถนนที่ดูทอดยาวไปไกลกว่าทุกวัน

เขาได้ยินเสียงบางคนเริ่มคุยกัน หาอะไรอย่างอื่นทำระหว่างอู้งาน แม้แต่เบลคเองก็ยังผลุบๆ โผล่ๆ ไปคุยเล่นกับกลุ่มคนดำอีกกลุ่มที่พักกันอยู่อีกฟากตึกจึงไม่ได้เจอกันบ่อยนัก ส่วนผู้คุมก็คงอู้ด้วยเหมือนกันเพราะไม่เห็นโผล่มาว่าอะไร แต่เอลเลียตไม่คิดจะโทษพวกนั้นหรอก ถ้าเป็นเขา ในเช้าวันที่อากาศหน้านอนแบบนี้ เขาก็อยากจะอู้เหมือนกันนั่นแหละ

...ว่าแล้วก็หลบไปหาที่นอนเลยดีไหมนะ ใบไม้พวกนี้ก็ช่างมันเถอะ ถ้าผู้คุมมาว่าก็บอกไปว่ากวาดแล้ว แต่มันร่วงมาใหม่อีกรอบ ถึงจะดูกวนตีนไปหน่อยก็เถอะ

นัยน์ตาสีฟ้าของชายหนุ่มหลุบลงมองปลายรองเท้ามอซอของตัวเอง ก่อนจะเลื่อนหน้าขึ้นมามองตรง เป็นจังหวะเดียวกับที่ลมพัดเข้ามาทำให้เส้นผมสีน้ำตาลปลิวไสวไปตามทิศทางของมัน

ลมเย็นๆ นั่นให้ความรู้สึกสดชื่น แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เขารู้สึกเคว้งคว้างอย่างประหลาด

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เอลเลียตรู้สึกแบบนี้ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ราวปีกว่า เขาก็รู้สึกอึดอัดสลับกับว่างเปล่าแบบนี้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

เขาไม่ได้มีสภาพทรุดโทรมลงอย่างใครบางคนที่อยู่ที่นี่มากว่าห้าปี ถ้าได้จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของคนพวกนั้น เอลเลียตรับรู้เลยว่ามันช่างไร้ความหวังและว่างเปล่าอย่างแท้จริง

เขาภูมิใจที่ตัวเองเข้มแข็งพอที่จะไม่เป็นแบบนั้น แต่ขณะเดียวกันเขาก็กลัวว่าสักวันเขาจะมีแววตาแห้งผากแบบนั้นเหมือนกัน

ก็นั่นสินะ การใช้ชีวิตอยู่ในคุกแบบนี้มันน่าเบื่อ…

ไม่มีเรื่องโลดโผนใดๆ ไม่มีอะไรเข้ามาท้าทายทักษะหรือความสามารถ ไม่มีเรื่องที่สามารถทำให้ยิ้มหรือหัวเราะได้อย่างเป็นสุขจนสุดหัวใจ

โคตรจะน่าเบื่อ

“เฮ้ เทย์เลอร์”

เสียงเรียกดังมาจากด้านหลังทำให้เอลเลียตหันกลับไปมอง และเมื่อได้เห็นว่าคนสามคนที่ก้าวเข้ามาหาเขาเป็นใคร ชายหนุ่มก็นึกอยากให้ชีวิตกลับไปน่าเบื่อเหมือนเดิมทันที

พี่เบิ้มที่ก้าวเท้ามาหาเขามีร่างกายกำยำแบบที่คงหักคอคนเหมือนหักไม้จิ้มฟันได้ ส่วนอีกสองคนข้างๆ ไซส์เล็กลงมาหน่อย น่าจะมีไว้ประดับบารมีมากกว่า แต่เอลเลียตที่อยู่ที่นี่มานานและรู้ดีว่าทั้งสามคนนี่มีฝีมือในการต่อสู้จริงๆ ไม่ใช่ดีแค่ข่มขู่เหมือนบางพวก และจะเป็นเรื่องที่โง่มากถ้าเขาคิดจะสู้คนพวกนี้กลับด้วยตัวคนเดียว

ป้องกันตัวน่ะทำได้ แต่เอาชนะมันสามคนน่ะคงไม่ไหวแน่ อีกอย่าง… เขาพอจะเดาได้ด้วยว่าอีกฝ่ายมาหาเขาทำไม แค่ไม่ทำให้พวกนี้โกรธก็เป็นอันจบเรื่อง

“ว่าไง ดีเอโก้” เขาพูดด้วยท่าทีสบายๆ แต่ในใจน่ะระมัดระวังแบบสุดๆ “นายก็มากวาดใบไม้แถวนี้เหมือนกันเหรอ น่าเบื่อเนอะ อากาศดีแบบนี้ น่าจะแค่นอนอยู่บนเตียงเฉยๆ”

“ยังพูดมากเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนเลยนะ”

นั่นเป็นหนึ่งในนิสัยเสียของเขา เวลาร้อนรนทีไรจะพูดเป็นต่อยหอยทุกที มันเป็นกลไกการป้องกันตัวโดยอัตโนมัติน่ะ ราวกับจะแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาไม่กลัว… แต่จริงๆ แล้วมันให้ผลตรงข้ามมากกว่า และเขาควรจะแก้นิสัยบ้าๆ นี่ได้แล้ว

“มานี่กับพวกเราหน่อย มีเรื่องจะคุยด้วย”

“ตรงนี้ไม่ได้รึไง” อย่างน้อยในระยะสายตาก็ยังพอมีนักโทษคนอื่นๆ ให้เห็นบ้าง ส่วนผู้คุม… เวลาที่อยากให้อยู่น่ะ ไม่เคยอยู่หรอก

“ถ้าได้ ฉันจะมาเชิญชวนนายถึงที่แบบนี้รึไงวะ”

“โอ้โห ฉันนี่สำคัญจริง” นั่น ยังไม่ทันขาดคำ นิสัยเสียๆ มันก็เริ่มออกลายอีกแล้ว

“ผมทำให้มันหุบปากก่อนดีไหมครับ” ลูกกระจ๋อกใส่แว่นว่าอย่างเอือมๆ ดีเอโก้ส่ายหน้า

“ปล่อยมัน เดี๋ยวก็จบแล้ว”

เดี๋ยวๆๆ จบอะไร อะไรจบ พูดงี้มีเสียวนะโว้ย

และแล้วเอลเลียตก็ถูกเจ้าสามคนนี้รายล้อมในขณะที่หลังเขาชิดกับผนังสีขาวของตัวอาคาร

“ตำรวจคนที่มาหานายเมื่อสัปดาห์ก่อนนั่นมีธุระอะไร”

ว่าแล้วต้องไม่พ้นเรื่องนี้

ก่อนหน้าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าวจะมาหา เอลเลียตก็เหมือนถูกปล่อยลืมมานานแสนนานจนเขานึกว่าคงไม่มีเรื่องอะไรคืบหน้าจากฝั่งนั้นอีกแล้ว ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขา แม้ว่าส่วนหนึ่งในใจจะอยากเจอหน้าคนที่จับยัดเขาเข้าตารางอย่างประหลาดก็ตาม

และเมื่อสัปดาห์ก่อน เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ขอเรียกพบตัวเขา เอลเลียตก็รู้สึกลิงโลดเมื่อคิดว่าจะได้คุยกับคีลอีก และเพราะหวังไว้ พอพบว่าคนที่มาหาเขาไม่ใช่คีลแต่เป็นตำรวจคนอื่น ชายหนุ่มก็อดเซ็งไม่ได้เหมือนกัน

บางที… สาเหตุที่เขารู้สึกเบื่อๆ เมื่อครู่ อาจจะรวมถึงเรื่องนี้ด้วยก็ได้

“ก็แวะมาถามไถ่… จริงๆ ก็มีถามเรื่องเดิมบ้าง แต่ฉันก็ตอบไปเหมือนเดิม”

“แกแน่ใจนะ?”

เอลเลียตยักไหล่ “ไม่มีเหตุผลให้ต้องโกหกอยู่แล้ว ถ้าสงสัยขนาดนั้นก็โทรถามเจ้านายเลยว่ามีความเคลื่อนไหวจากฝั่งตำรวจรึเปล่า ซึ่งถ้าจะมีก็ไม่ได้มาจากฉันแล้ว แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่มี”

ได้คำตอบที่พอใจแล้ว ทั้งสามคนนั้นก็จากไปโดยไม่ลืมวางท่าข่มกับพูดขู่คนผมน้ำตาลทิ้งท้าย เอลเลียตอยากจะถอนใจยาวอย่างเหนื่อยอ่อน แต่เอาจริงตอนนี้เขารู้สึกเซ็งมากกว่า นี่ขนาดเพิ่งผ่านมาปีเดียวกับอีกสองสามเดือน เขายังเบื่อหน่ายได้มากกว่านี้

อยาก… ทำอะไรที่มันตื่นเต้นกว่านี้จัง

นี่มันไม่ยุติธรรมเลย

ชายหนุ่มได้แต่ลอบคิดกับตัวเอง แน่นอนล่ะว่าเขาไม่ได้กระหายเรื่องตื่นเต้นถึงขนาดจะทำอะไรบ้าบิ่นที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของตัวเองได้

ตอนนี้มันเป็นช่วงเวลาที่เขาต้องอดทน





หลายเดือนต่อมา

ในขณะที่คีลกำลังขับรถตรงไปที่เกิดเหตุซึ่งได้รับวิทยุแจ้งมาว่าขอให้เขาไปช่วยตรวจสอบสภาพการณ์อยู่นั้น โทรศัพท์ที่อยู่บนเบาะข้างที่นั่งคนขับก็แผดเสียงขึ้น นัยน์ตาคู่คมเหลือบไปมองแวบหนึ่งก่อนจะหยิบหูฟังแบบบลูทูธขึ้นมาเสียบหูแล้วกดรับสาย

“สวัสดีครับ”

“สวัสดี วิลล์ วันนี้คุณจะเข้ามาสำนักงานหรือเปล่า”

“ไม่แน่ใจครับ ผมมาดูคดีอีกที่หนึ่ง”

“คดีอะไรคะ”

“เจ้าหน้าที่เชอร์ริฟเจอศพโดนยิง ถูกทิ้งไว้ในรถ”

“ส่งคนอื่นไปทำแทน ฉันอยากให้คุณเข้ามาที่สำนักงานเดี๋ยวนี้”

คีลถอนหายใจออกมาเบาๆ ระวังมากพอที่จะไม่ให้ปลายสายได้ยิน “นี่มันเรื่องอะไรกันครับ”

“มีคดีที่ฉันอยากให้คุณทำ… คดีพวกแก๊งปล้นธนาคารที่ออกอาละวาดอยู่ตอนนี้ คุณก็น่าจะได้ดูข่าวแล้ว”

คราวนี้คีลถอนหายใจออกมาแบบไม่เกรงใจหัวหน้าเลยแม้แต่น้อย “บอสครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่อยากทำคดีพวกนั้น”

“คุณเป็นตำรวจนะคะ วิลล์” พูดเสียงตำหนิทีเดียว “ตำรวจดีๆ เนี่ย เขาเลือกงานกันด้วยเหรอ”

“ผมเองก็ทำหน้าที่ของผมอยู่เหมือนกันนะครับ ผมล่าความยุติธรรมให้กับเหยื่อที่ตายไปแล้วและไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้”

คราวนี้เขาได้ยินเสียงถอนหายใจของเจนนิเฟอร์ เคลลี่ เจ้านายของเขาดังมาให้ได้ยิน

“ฉันรู้ค่ะ วิลล์ ฉันก็อยากให้คุณทำแต่คดีพวกนั้น แต่นี่ทางผู้ใหญ่บีบฉันมา ฉันพยายามพูดแล้วว่าทีมของเราเน้นสืบสวนคดีฆาตกรรม แต่คุณเป็นมือหนึ่งที่ดีที่สุดของเรา และผลงานของคุณเมื่อสองปีก่อนก็ประทับใจพวกเขาเหลือเกิน”

มันผิดมาตั้งแต่เมื่อคราวก่อนแล้วสินะ

“วิลล์คะ ครั้งนี้ถือว่าฉันขอ--”

“ตกลงครับ” คีลตัดบท เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายคอยสนับสนุนเขามาตลอด แต่ด้วยความที่เป็นคนชอบทำอะไรตามใจตัวเองจึงยังอดดื้อดึงไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นผมขอเคลียร์คดีตรงนี้ก่อน แล้วผมจะรีบไปทำคดีที่คุณว่าต่อ ขอวางก่อนนะครับ บอส ผมขับรถอยู่”

ถือว่าเขากับหล่อนมาเจอกันครึ่งทางแล้วนะ





-------------------------------------------------

Talk: บทหนึ่งก็งอกจนได้ค่ะ XD ขอบคุณทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านกันนะคะ ยังไงก็อย่าลืมคอมเม้นท์เป็นกำลังใจกันหน่อยนะ >3<
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 1) P.1 [14/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 14-10-2017 17:51:01
เอลเลียตต้องติดคุกอีกกี่ปีเหรอเนี่ย
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 1) P.1 [14/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 15-10-2017 10:03:57
จะติดคุกกี่ปีเนี่ย ดูท่าเรื่องคดีคงอีกยาว  :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 1) P.1 [14/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 15-10-2017 12:36:05
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 1) P.1 [14/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 16-10-2017 17:14:03
บทที่ 2



คีลภาวนาให้คดีนี้เป็นคดีที่ยืดเยื้อและลากยาวไปให้นานแสนนาน มันผิดต่อผู้ตายกับหัวหน้าสาวของเขาก็จริงที่คิดแบบนี้ แต่เขาไม่อยากกลับไปทำคดีอาญาที่ไม่อยากทำ

“ฆ่าตัวตาย”

แต่แล้วความหวังของเขาก็ต้องดับวูบลงอย่างรวดเร็วเมื่อข้อสรุปที่ตัวเองได้ออกมาเป็นอย่างนั้น

เจ้าหน้าที่เชอร์ริฟในชุดเครื่องแบบสีน้ำตาลอ่อนเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงถามขณะที่คีลค่อยๆ เคลื่อนศพเข้ากลับตำแหน่งเดิมที่เขาขยับเล็กน้อยเพื่อตรวจสอบ แม้ว่าเจ้าหน้าที่คนที่เป็นคนเรียกเขามาจะเอ่ยห้ามเพราะอยากให้พวกทีมเก็บหลักฐานมาทำหน้าที่ให้เรียบร้อยก่อน แต่คีลก็ไม่ฟัง ชายหนุ่มก็เลยได้แต่ปล่อยให้สายสืบหนุ่มพิจารณาใบหน้าของผู้ตาย ตวัดมือเข้าจมูกราวกับต้องหากลิ่นอะไรบางอย่าง ปืนเจ้าปัญหาที่เป็นอาวุธคร่าชีวิตชายหนุ่มคนนี้ตกอยู่ที่พื้นรถ และไม่กี่วินาทีต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจคนนี้ก็พูดข้อสรุปออกมาอย่างง่ายดาย

"ง่ายๆ แบบนั้นเลยเหรอครับ? คุณวิลล์"

คีลไม่ตอบคำถามในทันที ชายหนุ่มทำมือเป็นเชิงให้อีกฝ่ายรอ จากนั้นจึงเริ่มตบตามเนื้อตัวของร่างกายที่ไร้วิญญาณและได้โทรศัพท์สมาร์ตโฟนออกมาถือในมือ เขาถอดถุงมือออกข้างหนึ่งเพื่อเลื่อนเปิดหน้าจอ โปรแกรมที่ถูกเปิดค้างไว้เต็มไปด้วยตัวอักษรแสดงความสำนึกเสียใจและความกดดันต่างๆ ที่ไม่อาจทนรับไว้ได้ เขาส่งหลักฐานชิ้นนั้นให้เจ้าหน้าที่เชอร์ริฟ

"จดหมายลาตาย"

ชายหนุ่มรับไปอ่านด้วยสีหน้าที่สลดลง "น่าเสียดาย ยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีปัญหารุมเร้าขนาดทำให้คิดสั้นแบบนี้"

"ใครๆ ก็มีปัญหาในชีวิตทั้งนั้นแหละครับ" พูดพลางถอดถุงมืออีกข้าง ไม่มีสีหน้ายินดีที่สามารถปิดเคสนี้ได้อย่างรวดเร็วเลยแม้แต่น้อย "ขึ้นอยู่กับว่าจะมากจะน้อย และใครจะแกร่งพอที่จะรับมันไว้ได้ก็เท่านั้น"

"มันก็ใช่อยู่หรอกครับ" อีกฝ่ายว่า เป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์ของคีลแผดเสียงขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มหยิบขึ้นมากดรับ สายนี้มาจากโจนาธาน เพื่อนข้างโต๊ะเขา

"เฮ้ หวัดดี วิลล์ เดาว่านายคงได้สายจากหัวหน้ามาก่อนแล้ว"

"ได้แล้ว" แค่พูดแค่นี้เขาก็เห็นลิ้นไก่อีกฝ่ายแล้ว นี่คงจะโดนบอสขอให้มากล่อมเขาอีกคนล่ะสิ

"อย่าว่างั้นว่างี้เลยนะ แต่บอสบอกว่าให้ทำยังไงก็ได้ให้ลากนายออกมาจากคดีที่ทำอยู่ตอนนี้แล้วมารับคดีปล้นธนาคารนี่แทน ต่อให้นายจะยังปิดคดีนั่นไม่ได้ก็เถอะ บอสจะส่งคนอื่นเข้าไปทำแทน"

คีลฉลาดพอที่จะไม่บอกว่าเขาปิดคดีนี้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว "แล้วถ้าผมตอบปฏิเสธล่ะ?"

"ไม่เอาน่า เพื่อน" ปลายสายเริ่มโอดโอย "นี่ฉันเองนะ คู่ซี้นายนะเว้ย นายจะใจดำปฏิเสธฉันได้ลงคอจริงๆ เหรอ"

นั่นเรียกรอยยิ้มของคีลได้จริงๆ เขากำลังจะบอกความจริงอีกฝ่ายและเตรียมตอบรับอยู่แล้ว จนกระทั่งโจนาธานพูดแทรกขึ้นมา

"เดี๋ยวฉันพาไปเลี้ยงข้าวเลยเอ้า! ร้านสเตฟานร้านโปรดนายเลย"

"วันศุกร์หลังเลิกงาน โอเคไหม"

"โอเคที่สุดเลย งั้นนายก็รีบย้ายก้นสวยๆ ของตัวเองมาที่สำนักงานตอนนี้ ตกลงตามนี้นะ?"

"ตกลง"

อีกฝ่ายตอบรับง่ายดายจนปลายสายเริ่มรู้สึกแปลกๆ "ถามจริงดิ? นี่นายยอมทิ้งคดีแลกกับการกินฟรีร้านสเตฟานเนี่ยนะ? ผีเข้ารึเปล่าเนี่ย"

"ใครบอกผมทิ้งคดี" คีลแกล้งตอบเสียงเรียบ "ผมปิดเคสนี้ได้แล้วต่างหาก แล้วมันก็ไม่ถือว่าเป็นคดีด้วยเพราะมันเป็นการฆ่าตัวตาย"

"วิลล์" ปลายสายพูดเสียงต่ำเป็นเชิงขู่ และนั่นทำให้คีลหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

"เย็นศุกร์นี้เรามีนัดกันแล้วนะ อย่าผิดสัญญาล่ะ"

"ไอ้เพื่อนบ้า จำไว้เลยนะ ฉันจะสาปแช่งนาย"

"จะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้เลยครับ อย่าลืมโทรไปจองโต๊ะของวันศุกร์ด้วยนะ ฟอร์ด"

"แค้นครั้งนี้ฉันจะไม่มีวันลืมแน่" หากน้ำเสียงกลั้วหัวเราะด้วยความขบขันของปลายสายทำให้คีลหลุดหัวเราะออกมาอีกรอบ

ค่อยรู้สึกมีแก่ใจที่จะทำคดีอาญานี่สักหน่อย






คนที่นัดพบเขาวันนี้ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาหาเขาเมื่อหลายเดือนก่อน ไม่ใช่คีล วิลล์ที่ยัดเข้าคุก แต่เป็น ลอเรน ลี ทนายสาวประจำตัวของเขาเอง หล่อนแวะมาเยี่ยมเขาครั้งล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว เอลเลียตจึงเดาไว้ว่านี่คงเป็นวันที่เจ้าหล่อนตั้งใจมาเยี่ยมเขาส่วนของปีนี้

"สวัสดีค่ะ เอลเลียต" หล่อนส่งยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตรระหว่างที่หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม "มันคงจะแปลกๆ ใช่ไหมคะถ้าฉันจะถามว่าสบายดีรึเปล่า"

เอลเลียตจับจ้องใบหน้าขาวผ่องบ่งบอกถึงความสดใสของหญิงสาว เส้นผมสีดำสนิทกับนัยน์ตาสีเดียวกันเนื่องจากสายเลือดชาวเอเชียที่ไหลวนอยู่ในตัว แค่มองตาเจ้าหล่อนเขาก็รับรู้ได้ถึงความมีชีวิตชีวาและความคาดหวังต่ออนาคตของตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม แวบหนึ่งเขานึกอิจฉาเจ้าหล่อนขึ้นมา แววตาแบบนั้นเหมือนเป็นสิ่งที่เขาทำตกหายไปตั้งแต่มาอยู่ในสถานที่แห่งนี้

"อาจจะแปลก แต่ผมไม่ถือหรอกครับถ้าคุณจะถามแบบนั้น มันเป็นคำถามทั่วไปอยู่แล้ว และผมก็จะตอบให้ก่อนล่วงหน้าเลย ผมสบายดี อาจจะเบื่อๆ นิดหน่อยแต่ก็สบายดี"

จังหวะนั้นเองที่มีเสียงโวยวายดังมาจากอีกโต๊ะที่ห่างกับพวกเขาไปไม่ใกล้ไม่ไกล เนื่องจากห้องที่เขาได้มาพูดคุยกับทนายคราวนี้ไม่ใช่ห้องแบบปิดทึบแบบตอนที่ได้เข้าไปคุยกับคีล แต่เป็นห้องรวมสำหรับนักโทษที่มีคนมาเยี่ยมนั่นเอง และตอนนี้ผู้คุมก็กำลังลากคอนักโทษชายที่ออกแรงดิ้นปัดๆ หน้าแดงด้วยความโกรธคู่สนทนาที่ดูจะอารมณ์เสียไม่แพ้กัน ไม่กี่วินาทีต่อมาชายในชุดหมีสีส้มก็โดนลากกลับเข้าไปในบริเวณที่คุมขัง และความสงบก็กลับมาอีกครั้ง

ลอเรนส่งยิ้มแหยๆ มาให้ในขณะที่เอลเลียตยักไหล่อย่างคนที่เห็นภาพพวกนี้จนชินตา "เรื่องปกติน่ะ เกิดขึ้นตลอดเช้าสายบ่ายเย็น"

"คุณคงลำบากน่าดูที่ต้องมาอยู่ในที่แบบนี้"

"ไม่ต้องพูดปลอบใจกันก็ได้ครับ" เขาว่าอย่างรู้ตัวดี เรือนจำเป็นสถานที่สำหรับคุมขังคนที่ทำผิด และเขาก็คือคนที่ทำผิดจริงๆ แต่เดาว่าเจ้าหล่อนคงหลงไปกับใบหน้าขาวคมคายที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัยของเขาอีกคน หรือไม่มันก็อาจเป็นแค่ธรรมเนียมปฏิบัติของพวกทนายจำเลยก็เป็นได้

"ฉันเอานี่มาฝากด้วยค่ะ หวังว่าคุณจะกินได้นะคะ" พูดพลางยื่นถุงกระดาษห่อเบเกอร์รี่มาให้

อย่างหนึ่งที่เขาชื่นชอบในตัวผู้หญิงคนนี้คือความเป็นมืออาชีพของเธอ หล่อนสามารถช่วยให้เขาได้รับข้อเสนอที่ดีที่สุดในการเจรจากับฝั่งตำรวจได้ อาจจะไม่ถึงกับหลุดพ้นข้อกล่าวหา แต่โทษที่เขาได้ก็ถือว่าน้อยกว่าที่ควรจะเป็นถ้าเทียบกับนักโทษคนอื่นๆ ที่ก่ออาชญากรรมในระดับใกล้เคียงกัน แต่นอกจากความเป็นมืออาชีพเรื่องนั้นแล้วหล่อนยังมืออาชีพพอที่จะรู้ด้วยว่าควรจะเอาใจลูกความของหล่อนยังไง อย่างเช่นเจ้ามัฟฟิ่นหลากรสที่อยู่ในถุงกระดาษนี่ไง สวรรค์มาโปรดของเขาจริงๆ

"ขอบคุณมากครับ ลอเรน แค่ได้กลิ่นจากถุง น้ำตาผมก็แทบจะไหลด้วยความปลาบปลื้มแล้ว"

"เกินไปค่ะ เอลเลียต ครอบครัวของคุณก็ต้องเอาอะไรที่ดีกว่านี้มาฝากตอนมาเยี่ยมบ้างแหละ"

พูดถึงครอบครัวขึ้นมาเท่านั้นแหละ รอยยิ้มบนหน้าของเอลเลียตถึงได้เริ่มจืดลง และนั่นทำให้ทนายความส่วนตัวของเขาต้องรีบกระแอมเปลี่ยนเรื่องไปอย่างรวดเร็วทันที แววตาของเจ้าหล่อนมองมาที่เขาอย่างเห็นใจมากขึ้น

แต่เขาไม่ได้อยากให้ใครมาเห็นใจสักหน่อยเฟ้ย! ก็มันช่วยไม่ได้นี่ถ้าครอบครัวที่เขาตัดขาดมานานหลายปีจะไม่อยากมาเยี่ยมเขาน่ะ

"คืออย่างนี้ค่ะ เอลเลียต วันนี้ฉันไม่ได้มาเพื่อจะถามว่าคุณสุขสบายดีไหมอย่างเดียวหรอกนะคะ"

"แล้วคุณมีธุระอะไรอย่างอื่นอีกล่ะครับ" เขาถามอย่างแปลกใจจริงๆ ไม่ได้คิดจะประชดหรืออะไร

“ฉันมาเพื่อถามว่า” พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและมั่นคง “คุณอยากจะออกไปจากที่นี่รึเปล่าคะ?”

หา?

เดี๋ยวนะ… เมื่อกี้… เหมือนว่าเขาจะหูฝาด

“อะ… อะไรนะครับ คุณลอเรน” เอลเลียตพยายามเรียบเรียงคำพูด “ออกไปจากที่นี่?”

“ค่ะ”

หา!?

“แต่แค่ชั่วคราวนะคะ”

หือ!?

อ้าว เอ๊ะ ยังไง

“หมายความว่ายังไงครับ” คนผมน้ำตาลขมวดคิ้ว “ที่ว่าออกไปจากที่นี่ชั่วคราว”

“ก็หมายความว่าฉันหาหนทางให้คุณออกไปจากที่เรือนจำนี่โดยมีข้อแลกเปลี่ยนเป็นการทำงานนิดๆ หน่อยๆ ยังไงล่ะคะ”

ก็ยังจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก

“หมายถึงงานอะไรครับ แล้วทำไมคุณถึงพูดเหมือน…” และด้วยความที่เอลเลียตไม่ใช่คนโง่ เขาอาจจะพลาดท่าเสียทีให้คีลจับเขาเข้าตารางมาได้ แต่เนื้อแท้แล้วชายหนุ่มก็คิดว่าฉลาดอยู่พอสมควร

มันต้องเกี่ยวกับข่าวคดีปล้นธนาคารที่เกิดขึ้นรัวๆ ในช่วงนี้แน่ๆ เขาจำได้ว่าเห็นผ่านตาจากในโทรทัศน์ของเรือนจำ แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้เก็บมันไปใส่ใจเท่าไรนัก ก็เขาออกไปร่วมขบวนการด้วยไม่ได้แล้วเสียหน่อย ดูไปก็เซ็งเปล่าๆ เอลเลียตจึงบ่ายหน้าหนีไปทำอย่างอื่นเสีย

แต่ตอนนี้ไอ้ข่าวผ่านตาที่เขามองข้ามไปกำลังโลดแล่นอยู่ในหัว เอลเลียตหันกลับมามองสีหน้ายิ้มๆ ของทนายความประจำตัวทันที

“คุณกำลังจะบอกว่าผมต้องไปทำงานกับพวกตำรวจงั้นเหรอ?”

“ใช่แล้วค่ะ คุณอาจจะโดนพวกเขาคุมเข้มสักหน่อย แล้วก็ต้องคอยให้ความช่วยเหลือพวกเขาอีกนิด แต่อย่างน้อยคุณก็ไม่ต้องเบื่ออยู่ที่นี่ และถึงจะเป็นแค่เวลาสั้นๆ แต่ได้ออกไปเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดีไม่ใช่เหรอคะ แถม… ที่สำคัญกว่านั้น” หล่อนโน้มหน้าลงมาด้วยสีหน้าตื่นเต้น เป็นครั้งแรกที่เอลเลียตรู้สึกเลือดสูบฉีดตาม “เรายังได้ข้อเสนอลดโทษแลกกับการทำงานครั้งนี้ของคุณมาด้วยนะคะ ฉันเชื่อว่าเราจะเจรจาต่อรองขอลดโทษได้มากกว่านี้ ว่าแต่ว่าคุณสนข้อเสนอนี้รึเปล่าล่ะ”

มีอะไรบางอย่างตะขิดตะขวงใจของเอลเลียต สิ่งนั้นมันทำให้เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ข้อเสนอที่ลอเรนร่ายมามันช่างยั่วยวนจนเขาตัดสินใจปล่อยผ่านความตะขิดตะขวงนั่นไป แต่เพื่อความชัวร์ในสวัสดิภาพของตัวเอง ลองแย้บถามดูสักหน่อยก็ไม่เสียหาย

“ว่าแต่… คุณบอกว่าพวกตำรวจจะคุมผมเข้มมาก ถูกต้องไหมครับ”

“ใช่ค่ะ” ถึงตรงนี้หล่อนมีสีหน้าเหมือนผิดหวังกับเขาด้วยขึ้นมานิดหน่อย “คุณอาจจะอึดอัดนิดหน่อย แต่ถึงยังไงฉันก็คิดว่าคุณน่าจะรับข้อเสนอนี้ไว้นะ”

ลอเรน ลีควรได้โล่ทนายจำเลยดีเด่นแห่งปี ช่างหวังดีต่อเขาอะไรขนาดนี้

“ผมรับแน่นอนครับ และคุณไม่ต้องห่วงนะ ผมทนได้ อย่างน้อยพวกตำรวจคงดีกว่าผู้คุมที่นี่แน่”

เอาล่ะ…

ได้เวลาโบยบินสู่อิสรภาพแล้วโว้ย!






ซะ เมื่อ ไหร่

เอลเลียตรู้สึกว่าคิ้วข้างขวาของตัวเองกระตุกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างสูงชะลูดก้าวเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าเขาพร้อมกับแววตาเย็นยะเยือกที่เหมือนกับเมื่อครั้งล่าสุดที่เจอกันก่อนไม่มีผิด… ไม่สิ มันเย็นชากว่านั้นอีก แถวยังพ่วงมาด้วยความโกรธกรุ่นที่เหมือนไม่พอใจที่ได้เห็นเขาอยู่ในเสื้อผ้าลำลองแบบสุภาพ แถมยังออกมายืนนอกตารางทั้งที่ตัวเองเป็นคนจับเขายัดเข้าไปด้วย

ไม่อยากจะบอกเลย… เขาเองก็ไม่ได้ดีใจที่ได้เห็นหน้าหมอนี่เหมือนกันนั่นแหละ!

“สวัสดีครับ คุณสายสืบคีล” เจ้าตัวยกยิ้มหวานอย่างเสแสร้ง แต่พอเห็นอีกฝ่ายชักสีหน้าหงุดหงิดใส่… แม้จะแค่นิดเดียว อยู่ๆ เอลเลียตก็รู้สึกคุ้มค่าที่ได้ออกมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายข้างนอกเรือนจำแล้ว “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

โอเค ก็ได้ เขาอาจจะแอบดีใจนิดหน่อยก็ได้ที่ได้เห็นหน้าหมอนี่ โดยเฉพาะได้กวนประสาทไอ้คนที่จับเขาเข้าคุกด้วยแล้ว… โอ้โห งานนี้ต้องสนุกกว่าที่เขาคิดแน่ๆ

“คุณเช็กสายที่ข้อขาเขาหรือยัง” คีลไม่ได้พูดอะไรตอบกลับเอลเลียต แต่หันกลับไปถามเจ้าหน้าที่ที่พาตัวเขามาสถานที่คุมขังแห่งใหม่ที่เคลื่อนที่ได้ “ที่เอาติดตามรอยเวลาเขาคิดจะหนีน่ะ ใช่ แน่ใจนะว่ามันทำงานได้ปกติ”

“ผมไม่หนีไปไหนหรอกน่า” พูดพลางแยกเขี้ยวใส่ “ไว้ใจกันหน่อยเถอะ คุณตำรวจ ผมสัญญาว่าจะอยู่ในโอวาททุกประการ”

“ให้ผมเชื่อคำสัญญาที่มาจากปากอาชญากรเนี่ยนะ?”

ก็พูดมีประเด็น

หลังจากสรุปเรื่องคดีและมอบหมายงานที่คีลต้องทำร่วมกับเอลเลียตอย่างคร่าวๆ แล้ว คีลก็กลายมาเป็นผู้คุมคนใหม่ของเขาอย่างเต็มตัว และดูเหมือนเจ้าตัวจะใจดีไม่บังคับให้เขาเริ่มทำงานตั้งแต่วันแรกที่ออกมาจากเรือนจำ

“เรากำลังจะไปไหนกันเหรอ” เอลเลียตถามขึ้นหลังจากที่คีลขับรถออกสู่ถนนใหญ่ได้ครู่หนึ่ง

“ไปหาข้าวเย็นกิน”

“แล้วเราจะกินอะไรกัน”

“ไม่รู้สิ”

“ผมอยากกินสเต๊กร้านสเตฟาน”

คำพูดนั้นเรียกสายตาคมๆ ให้เหลือบมามองที่เขานิดหนึ่ง เอลเลียตไม่แน่ใจว่าควรจะกลัวไหมเพราะเหมือนเขาอ่านแววตาเจ้าตัวไม่ออกเลย แต่ก็ยอมรับแหละว่าแอบหวั่นๆ เหมือนกัน

“ร้านนี้อร่อยมากเลยนะคุณ ร้านโปรดผมเลย โดยเฉพาะสเต๊กเนื้อวัวนี่ฉ่ำมาก ถ้าสั่งแบบครึ่งสุกครึ่งดิบให้พอมีเลือดไหลลงมานะ อื้อหือ… สวรรค์ชั้นเจ็ดก็ไม่ปาน ราคาโหดนิดหน่อย แต่คุ้มค่าทุกสตางค์แน่นอน ว่าไงคีล สนใจอยากลองหน่อยไหม ผมบอกทางให้ได้เลยเนี่ย วันไหนเงินเดือนออกนะ ผมไปประจำ”

ที่เอลเลียตไม่รู้ก็คือ ร้านที่เจ้าตัวว่าเองก็เป็นร้านโปรดของคีลเองเหมือนกัน และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือเมนูที่เจ้าตัวร่ายยาวมา… นั่นก็เมนูตลอดกาลของเขา

“นี่ๆ แล้วเราจะเริ่มงานกันเมื่อไหร่ คุณว่าผมจะกลับไปที่บ้านตัวเองสักครั้งได้ไหม แบบว่า เตรียมเสื้อผ้าเอาของน่ะ แล้วค่อยไปที่โรงแรมที่ทางคุณเตรียมเอาไว้ไง”

“ก็คงได้” ตอบสั้นที่สุด

“งั้นก็เยี่ยมเลย เออนี่ แล้วที่บอกว่ามีแก๊งปล้นธนาคารออกอาละวาดนี่ รวมแล้วทั้งหมดกี่ครั้งแล้วนะ มากกว่าตอนก่อนที่คุณจะจับผมได้อีกไม่ใช่เหรอ ห้าครั้งแล้วรึเปล่านะตอนนี้”

“เจ็ด”

“โห แล้วยังจับพวกมันไม่ได้สักคนอีกเหรอ นี่มันมืออาชีพเลยนะเนี่ยแบบนี้ แต่ผมจะบอกอะไรให้นะ บางทีมันอาจจะไม่ใช่แก๊งเดียวกันหมดก็ได้ เพราะมันเกิดขึ้นกระจายๆ ในแต่ละพื้นที่ด้วยไม่ใช่เหรอ และถ้าให้ผมเดานะ รูปแบบการปล้นคงจะ--”

“เอาไว้เริ่มคุยเรื่องงานกันพรุ่งนี้เถอะ”

“ได้สิถ้าคุณต้องการแบบนั้น เออ คีล ว่าแต่ตอนนี้คุณอาศัยอยู่ที่ไหนเหรอ ใจกลางเมืองนิวยอร์กรึเปล่า ถ้าคุณอยากได้บ้านสักหลัง แบบที่มีสวนหน้าบ้านกับพื้นหญ้าด้วยผมแนะนำให้ได้นะ ขายบ้านนี่อาชีพเก่าผมเอง แถมผมยังรู้กลเม็ดเคล็ดลับหมดว่าอะไรคือเรื่องจริงหรืออะไรคือเรื่องที่---”

“คุณหยุดพูดสักห้านาทีเนี่ยจะขาดใจตายหรือไง”

นั่นแหละเอลเลียตถึงได้เงียบปากลง นั่นทำให้คีลพอใจขึ้นมานิดหนึ่งแม้จะไม่แสดงออกทางสีหน้าเลยก็ตาม เขากำลังจะเอื้อมมือไปกดเปิดเครื่องเล่นซีดีที่ติดอยู่กับรถอยู่แล้ว แต่คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ตัวก็เริ่มพูดขึ้นมาอีก

“ไอ้ตัวที่อยู่ตรงข้อเท้าผมน่ะ มันทำงานด้วยระบบจีพีเอสเหรอ”

“เจ้าหน้าที่ฟิลลิปป์ก็อธิบายเรื่องนี้ไปแล้วนี่ครับ”

“ก็ใช่ แต่ผมอยากรู้ว่ามันจะมีระบบอะไรแบบปล่อยประจุไฟฟ้าออกมาถ้าผมพยายามจะดึงมันออกมาไหม เฮ้ ผมไม่ได้หมายความว่าผมจะทำแบบนั้นหรอกนะ แต่หมายถึง… ถ้าเกิดกรณีที่มีใครพยายามจะดึงมันออกอะไรแบบนี้”

“ถ้าคุณอยากรู้ ทำไมไม่ลองพิสูจน์ดูเดี๋ยวนี้เลยล่ะ… แต่ทำให้เร็วกว่าเวลาที่ผมจะชักปืนขึ้นมาก็แล้วกัน”

“...” กลัวแล้วก็ได้ครับ

กลายเป็นว่านัดเย็นวันศุกร์ระหว่างคีลกับโจนาธานเป็นอันต้องถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพราะตอนนี้สายสืบหนุ่มได้รับภาระใหม่เข้ามาแทน แถมเป็นภาระชิ้นโตที่ชวนคุยนั่นคุยนี่ไม่หยุดปากด้วยนะ

แต่ถึงจะไม่ได้มาตามนัดกับโจนาธาน ฟอร์ด คีลก็ได้มาที่ร้านนี้กับชายหนุ่มอีกคนหนึ่งแทน ดูเจ้าตัวจะตื่นเต้นกับการได้มาที่ภัตตาคารสุดหรูหลังจากห่างหายไปเป็นไม่น้อยทีเดียว

“อ่า ยอดเยี่ยม”เอลเลียตว่าหลังจากที่อาหารมื้อหลักของเขาเสิร์ฟลงตรงหน้า ชายหนุ่มจับส้อมกับมีดแล้วหั่นลงบนเนื้อในจานกระเบื้องเคลือบร้อนฉ่าอย่างประณีต เลือดสีแดงสดทะลักออกมาจากสเต๊กชิ้นนั้น เขายกมันเข้าปาก ดื่มด่ำกับความอร่อยที่ห่างหายไปนาน ได้รับการกระตุ้นอีกนิดเดียว เอลเลียตคงน้ำตาไหลด้วยความปลาบปลื้มไปแล้ว “นี่มันสุดยอดมากๆ… เยี่ยมที่สุด แบบนี้ตายก็ไม่เสียดายชีวิตแล้ว”

คีลไม่พูดอะไรตอบ เขาลงมือกินมื้อค่ำของตัวเองเงียบๆ แต่ก็ดื่มด่ำไปกับเนื้อชั้นดีไม่ต่างจากชายหนุ่มตรงหน้าเช่นกัน

นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่คมเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เขาหงุดหงิดมากตอนที่หัวหน้าอธิบายงานมาว่าเขาจะต้องร่วมมือกับหนึ่งในนักโทษที่ขึ้นชื่อว่ามีความสามารถด้านการปล้นที่สุด และคนคนนั้นก็หนีไม่พ้นเทย์เลอร์ ชายผู้ซึ่งเขาจับยัดตารางด้วยมือของตัวเอง

เขาบอกกับหญิงสาวว่านี่มันไม่ใช่ความคิดที่เข้าท่าเลย ในเมื่อเขาเป็นคนจับเอลเลียตเข้าคุกได้ นั่นหมายความว่าเขาอยู่เหนือกว่าอาชญากรผู้นี้อยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลเลยที่จะไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าตัวโดยแลกกับการยกโทษให้ แต่เจ้าหล่อนก็ยังยืนกรานว่านี่เป็นมติในที่ประชุมและการที่เขาจะได้ผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องการปล้นธนาคารมาร่วมทีมด้วยย่อมได้เปรียบมากกว่าอยู่แล้ว ถึงตรงนี้คีลก็ชักไม่แน่ใจว่าไอ้ความสามารถนี้ของเจ้าตัวกลายเป็นข้อดีไปแล้วเหรอ แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์อะไรในการขัดคำสั่งเบื้องบนอยู่ดีล่ะนะ

...นี่ล่ะ สิ่งที่เขาเกลียดเพียงอย่างเดียวในการเป็นตำรวจ

"เหม่ออะไรน่ะ คุณสายสืบ" พ่อนักโทษช่างจ้อเปิดปากขึ้นมาอีกแล้ว คีลต้องหันหน้ากลับมามองคู่สนทนาอย่างเสียไม่ได้ "ถ้าคุณไม่รีบกินมันจะหายร้อนหมดนะ แล้วเชื่อผมเถอะว่ากินแบบร้อนๆ อร่อยกว่า"

"ขอบคุณสำหรับความหวังดีครับ"

น้ำเสียงติดจะประชดนั่นทำให้เอลเลียตย่นจมูกแบบเด็กๆ นิดหนึ่ง จากนั้นเจ้าตัวก็กลับไปยิ้มร่าตามเดิมขณะจิ้มสเต๊กชั้นดีเข้าปากอีกรอบ เคี้ยวแบบละเมียดละไมเสียจนถ้าเชฟที่ทำจานนี้ได้มาเห็นคงน้ำตาปริ่มด้วยความปลื้มใจ ท่าทีมีความสุขเกินเหตุของชายหนุ่มทำให้คีลชะงักไปเล็กน้อย วินาทีนั้นเขานึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าหมอนี่เป็นอาชญากรตัวร้ายที่เคยทำให้ตำรวจทั้งกองวิ่งวุ่นได้ยังไง ก็ไอ้รอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์กว่าอายุที่แท้จริงของเจ้าตัวนั่นมันดูไร้เดียงสาเกินไป

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น คีลก็ยังสังเกตเห็นว่าแม้ว่าเจ้าตัวจะกำลังดื่มด่ำกับอาหาร หากสองแขนของเทย์เลอร์เคลื่อนมากันที่ข้างจานทั้งสองข้างของตัวเองเอาไว้ราวกับกลัวว่าใครจะมาแย่งของด้านในไป นั่นเป็นลักษณะของนักโทษหรือคนที่เคยเข้าไปอยู่ในคุกที่คีลเคยมีโอกาสได้ร่วมโต๊ะด้วย

ชีวิตในคุกของหมอนี่คงไม่สุขสบายอย่างที่เจ้าตัวพยายามแสดงออกให้เห็น

"ไม่เห็นต้องพูดเสียงเย็นใส่กันเลยก็ได้แท้ๆ ผมแค่พยายามจะเป็นมิตรด้วยเท่านั้น แต่ช่างเถอะ ผมกำลังมีความสุขกับมื้อค่ำมากเกินกว่าจะมาหงุดหงิดตามคุณ"

"ผมไม่ได้หงุดหงิด"

"อ้อ ใช่ ลืมไปว่านี่หน้าตาธรรมดาของคุณ ผมถามหน่อยเถอะ คุณเคยยิ้มบ้างไหม ไม่ใช่ยิ้มแบบเยาะๆ หรือยิ้มแบบสะใจนะ แต่ยิ้มแบบมีความสุขน่ะ คุณก็หน้าตาดีออก ถ้าขยันยิ้มอีกหน่อยรับรอง ผมว่าสาวๆ ติดกันตรึม"

"แล้วผมต้องยิ้มให้คุณด้วยหรือไง"

คำถามย้อนนั้นทำเอาเอลเลียตแทบสำลัก "คุณว่าอะไรนะ"

"คุณถามผมว่าผมเคยยิ้มไหม แน่นอนอยู่แล้วว่าผมต้องเคย แต่ไม่ใช่กับคุณก็แค่นั้น ผมก็เลยถามต่อไปไงว่าแล้วผมต้องยิ้มให้คุณด้วยเหรอ ในเมื่อผมไม่เห็นความจำเป็นอะไรเลย"

เอลเลียตวางส้อมกับมีดลงบนจาน ยกมือขึ้นสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้ "เอาเป็นว่าผมผิดเองที่ชวนคุณคุย ผมจะกินเงียบๆ แล้ว"

"ดีครับ" คีลพยักหน้ารับ จากนั้นก็เริ่มลงมือละเลียดมื้อค่ำสุดหรูของตัวเองบ้าง

เขาว่าเนื้อร้านนี้มันเคยอร่อยกว่านี้ตอนที่ไม่ต้องนั่งกินกับหมอนี่นะ…

นั่นคือความคิดของคนทั้งคู่ในค่ำวันนั้น





-----------------------------------------------------------
Talk: อุ๊ย ออกจากคุกวันแรกก็เดทกันเลยเหรอคะ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 2) P.1 [16/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 16-10-2017 19:42:42
เย็นชาจังนะคีลจ๋า
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 2) P.1 [16/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 17-10-2017 18:34:26
บทที่ 3



คีลพาเทย์เลอร์มาที่อพาร์ทเม้นท์ที่ทางกรมเช่าแบบชั่วคราวเอาไว้ให้พวกเขา เนื่องจากเขาคงไม่ยินดีที่จะเอาเจ้าหมอนี่กลับไปนอนด้วยที่บ้านแน่ๆ และการไปอยู่บ้านของอาชญากรที่ยังไม่พ้นโทษออกมาก็ไม่น่าจะเข้าท่าเหมือนกัน แต่จะปล่อยให้แยกย้ายกันไปก็ดูจะไม่เข้าทีอีก สุดท้ายการให้ทั้งคู่อยู่ใกล้ๆ กันก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และอย่างน้อยคนที่ส่งมอบคดีนี้มาให้ก็ยังไม่ใจร้ายกับคีลขนาดที่จะให้พวกเขาทั้งคู่นอนด้วยกัน ภายในอพาร์ทเม้นท์แห่งนั้นมีห้องนอนสองห้องแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน เขาล่ะอยากจะขอบคุณจริงๆ

"ที่ทำงานคุณนี่ใจร้ายเนอะ ให้คุณต้องคอยมาคุมผมแจขนาดนี้ขนาดย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน" คนผมน้ำตาลว่าราวกับอ่านใจเขาออกหลังจากเดินสำรวจที่พักแห่งใหม่ของตัวเองครบทุกห้อง ดูแล้วเฟอร์นิเจอร์มีครบครันแบบพร้อมอยู่ และแน่นอน เตียงนุ่มน่านอนกว่าหลังที่อยู่ในห้องขังเขาเป็นไหนๆ "นี่ขนาดมีโค้ดติดตามตัวที่ขาผมแล้วนะเนี่ย"

"ก็แค่หาที่ไว้ทำงานง่ายๆ ก็เท่านั้นเองครับ" คีลว่า เพราะทำเลตรงนี้ถือว่าอยู่ในจุดศูนย์กลางที่พวกเขาสองคนสามารถไปดูที่เกิดเหตุได้ใกล้กว่าสำนักงานของเขา และจะให้เทียวไปเทียวมาตลอดคงจะเสียเวลาโดยใช่เหตุ "งั้นวันนี้เราแยกย้ายกันไปนอนกันดีกว่า ขาดเหลืออะไรก็ลงไปซื้อที่ร้านชั้นล่างได้ครับ จะออกไปไหนก็มาบอกผมก่อน เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม"

"ครับผม" แทบจะตะเบ๊ะให้อยู่แล้วเนี่ย "งั้นคุณจะอาบน้ำก่อนหรือให้ผมอาบก่อน แต่คิดดูอีกที ผมขออาบก่อนได้ไหม เมื่อกี้เข้าไปดูมา อ่างใหญ่น่าแช่มากๆ นั่นมันดีกว่าที่บ้านผมซะอีก"

"เชิญ"

ได้รับคำอนุญาตแล้วเอลเลียตก็วิ่งแจ้นไปที่ห้องนอนชั่วคราวของตัวเองเพื่อเตรียมเสื้อผ้าทันที วันนี้เป็นวันดีที่สุดในรอบสองปีของเขาเลย!




คีลกำลังยืนพิงอยู่ที่ขอบระเบียงซึ่งยื่นออกไปด้านนอก ควันสีเทาลอยออกมาจากปลายมวนบุหรี่กับริมฝีปากของเขาบางเบา การจราจรติดขัดเบื้องล่างแต่งแต้มสีสันให้กับพื้นถนน

"นี่คุณสูบบุหรี่ด้วยเหรอ" เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังเรียกคีลให้หันไปมอง เทย์เลอร์เพิ่งอาบน้ำเสร็จหมาดๆ ดูจากเส้นผมสีน้ำตาลที่ลู่ลงเพราะชื้นหยดน้ำ เจ้าตัวอยู่ในเสื้อยืดสีขาวสะอาดกับกางเกงสำหรับใส่นอน เขาก้าวเข้ามาหยุดอยู่ข้างๆ คีลแล้วมองลงไปพื้นด้านล่างบ้าง "สูบบุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพรู้ไหม เดี๋ยวก็ตายเร็วหรอก"

คีลเมิน ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดนั้น

"ผมขอสักมวนได้ไหม"

แล้วไหนเพิ่งเอ็ดเขาไปหยกๆ

แต่คีลก็ส่งบุหรี่มวนหนึ่งให้คนขออย่างว่าง่าย จากนั้นตามมาด้วยไฟแช็ก เอลเลียตรับมันไปคาบไว้ในปากจากนั้นจุดไฟแล้วส่งไฟแช็กคืนให้เจ้าของ

“อ่า… สดชื่นจัง” พูดขณะพ่นควันฉุยออกมา “ไม่ได้สูบมานานเท่าไรแล้วเนี่ย”

“ไม่ต้องมาสร้างภาพกับผมหรอกครับ” สายสืบหนุ่มว่าเสียอย่างนั้น “ผมรู้ดีว่าของพวกนั้นมันไม่ได้หายากในคุกหรอก แม้แต่มีดหรือปืนก็ด้วย”

“เฮ้ๆๆ อย่าเอ็ดไปสิ คีล” เอลเลียตว่า “มันก็จริงอยู่ที่เราหาได้บ้าง แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณว่าเสียหน่อย แล้วผมก็ไม่ได้มีเส้นสายขนาดนั้น”

เป็นครั้งแรกที่คีลยกยิ้มตั้งแต่ที่พวกเขาเจอหน้ากัน แต่เป็นยิ้มแบบแฝงแววเยาะเล็กน้อยแบบที่เขาเคยเห็นเมื่อเกือบสองปีก่อนมาแล้วน่ะนะ

“ให้ตายสิ” คนผมน้ำตาลเริ่มครางเมื่อรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองทำมาตลอดหลายชั่วโมงไม่ค่อยได้ผลเท่าไร “ผมแค่พยายามจะเป็นเพื่อนกับคุณเท่านั้นเองนะ เราต้องทำงานด้วยกันอย่างน้อยก็อีกพักหนึ่ง คุณจะตั้งป้อมต่อต้านผมไปถึงไหนเนี่ย คีล วิลล์”

“ผมไม่ได้ตั้งป้อมต่อต้านอย่างที่คุณกล่าวหานะครับ” เจ้าตัวหันกลับมาตอบหน้าตาย “ผมก็เป็นคนของผมแบบนี้อยู่แล้ว แต่ผมว่าคุณก็ไม่มีสิทธิ์บ่นอยู่ดีนะถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจสักคนจะไม่อยากเป็นเพื่อนกับอาชญากรอย่างคุณ”

“แต่ก็เป็นเพื่อนร่วมงานชั่วคราว” พูดพลางเชิดหน้าขึ้นอย่างดื้อดึง “ยังไงคุณก็ปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้หรอก”

คีลทำเสียงในลำคอ พ่นควันบุหรี่ออกมาอีกระลอก “เพื่อนร่วมงานหรือตัวภาระ ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจเท่าไร”

“ดูถูกผมเกินไปรึเปล่า”

“เปล่าเลย ผมรู้ว่าคุณเก่งในสายงานตัวเองแน่ แต่ผมยังไม่แน่ใจว่าต้องการความช่วยเหลือหรือคำแนะนำจากคุณจริงๆ รึเปล่า”

“เชื่อผมเถอะ ผมให้ความร่วมมือกับคุณเต็มที่แน่ และคุณจะได้อะไรใหม่ๆ อย่างที่คุณคาดไม่ถึงทีเดียว จบงานนี้ไปคุณจะได้เทคนิคใหม่ๆ เพียบแบบที่คุณต้องตกใจตัวเองเลยล่ะ”

คีลหันกลับไปมองชายหนุ่มที่โฆษณาชวนเชื่อเต็มที่ แสงจากห้องนั่งเล่นด้านในกระทบลงบนผิวขาวละเอียดของเจ้าตัว สะท้อนให้เห็นรอยยิ้มกว้างขวางที่เลยขึ้นไปถึงนัยน์ตาสีฟ้าทั้งสองข้าง

น่าเสียดายที่หมอนี่เป็นอาชญากร… ก่อนหน้านี้เขาก็เคยคิดแบบนี้นะ แต่ตอนนี้ความคิดนั้นมันกลับแจ่มชัดมากขึ้น

“แล้วเราจะได้รู้กันครับ คุณเทย์เลอร์”

“นี่ ผมรู้แล้ว ก่อนอื่นเลย เพื่อให้ความสัมพันธ์ของเราแน่นแฟ้นมากขึ้น ทำไมคุณไม่เรียกผมว่าเอลเลียตล่ะ หรือไม่งั้นก็เทย์เลอร์เฉยๆ ก็ได้ ไม่ต้องเป็นพิธีรีตองนักหรอก”

“ไว้ผมจะลองคิดเรื่องนั้นดูนะ”

เอลเลียตยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกว่า ‘แล้วแต่คุณเลย’ จากนั้นก็ลอบถอนหายใจออกมานิดหนึ่งกับตัวเอง

ไม่นึกว่าหมอนี่จะเข้าถึงยากขนาดนี้ แต่ทำไมเขาต้องพยายามเข้าหาหมอนี่ขนาดนี้ด้วยล่ะ ในเมื่อเจ้าตัวไม่เห็นจะยินดียินร้ายอะไร

“ถ้าอย่างนั้น… ผมว่าผมเตรียมไปนอนแล้วดีกว่า พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าด้วย ฝันดีนะครับ คีล ขอบคุณมากๆ สำหรับบุหรี่”

แล้วเจ้าตัวก็เดินจากไป คีลมองแผ่นหลังของคนผมน้ำตาลก่อนจะขยี้ก้นบุหรี่ลงบนที่ดับบุหรี่แผ่วเบา

เทย์เลอร์จะเป็นเพื่อนร่วมทีมหรือว่าตัวถ่วง… คงเริ่มหาคำตอบได้พรุ่งนี้





หลังจากที่ตื่นเช้ามาดูแฟ้มคดีที่รวบรวมมาได้บางส่วน คีลก็ขับรถพานักโทษส่วนตัวของเขาไปที่สถานที่เกิดเหตุที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุด เนื่องจากทั้งคู่เห็นพ้องตรงกันว่าถ้าจะหาเบาะแสใดๆ คดีที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ จะเป็นตัวที่ช่วยให้คลำทางได้ง่ายที่สุด

ธนาคารที่โดนปล้นไปครั้งล่าสุดที่ว่านี้เป็นธนาคารเล็กๆ ที่ห่างไกลจากตัวเมือง เป็นเหตุให้การรักษาความปลอดภัยไม่เข้มงวดเท่า และถึงมันจะโดนปล้นไปเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่เนื่องจากละแวกนี้มีธนาคารอยู่เพียงแห่งเดียว ทางเจ้าหน้าที่ธนาคารจึงจำเป็นต้องเปิดให้บริการต่อ และอีกอย่างก็คือ การปล้นธนาคารที่ว่าเกิดขึ้นในยามวิกาลที่ไม่มีเจ้าหน้าที่หรือใครได้รับการข่มขู่ข่มเหงใดๆ ทุกคนจึงยังมาทำงานได้อย่างไม่วิตกจริตมากเกินไปนัก

คีลโชว์ตราของตำรวจให้กับเจ้าหน้าที่สาวคนหนึ่งที่ประจำที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ พูดแนะนำตัวเองกับเอลเลียตอย่างเรียบง่าย จากนั้นจึงขอให้เจ้าหล่อนนำทางพวกเขาไปยังที่เกิดเหตุอันเป็นห้องเซฟนิรภัยที่มีระบบซิเคียวริตี้อยู่ในระดับพื้นฐานของธนาคารทั่วไป

เอลเลียตก้าวเท้าลงบนพรมสีมอซอของพื้นห้องขณะที่กวาดสายตาสอดส่องไปทั่วเพื่อสังเกตการณ์ จินตนาการไปว่าตัวเองเป็นคนลงมือปล้นเสียเอง มีอะไรบ้างที่เขาควรจะระวังและอะไรมีอะไรบ้างที่อาจเป็นจุดบอด ตอนนี้เขาสังเกตเห็นกล้องวงจรปิดสองตัวแล้ว เห็นคีลบอกก่อนหน้านี้เหมือนกันว่าตัวเองได้รับข้อมูลพวกนั้นมาพร้อมกับแฟ้มคดีที่ทางเอฟบีไอรวบรวมมาแล้วส่งมอบให้เขา เท่ากับว่านอกจากทีมของคีลแล้วยังมีเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางมาเอี่ยวในการสืบสวนครั้งนี้ด้วย แต่เหมือนจะทำงานแยกกันแล้วอาศัยส่งมอบข้อมูลที่ได้ให้กันแทน

และว่ากันตามตรง แฟ้มคดีและหลักฐานต่างๆ ที่ได้รับการส่งมอบมาอีกทอดนั้นค่อนข้างครอบคลุมและเป็นมืออาชีพ แต่คีลก็ยังอยากมาเห็นที่เกิดเหตุสักครั้งจริงๆ ก่อนจะเริ่มลงมือวิเคราะห์สิ่งที่อยู่ในแฟ้มคดีอยู่ดี ส่วนเอลเลียตที่อยู่ในคุกมาสองปีกว่าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ถ้าเลือกได้เขาก็ไม่อยากนั่งอุดอู้อยู่ในห้องเฉยๆ หรอก

"คุณคิดว่าไง คีล" คนผมน้ำตาลเอ่ยถามขณะที่ร่างสูงเริ่มลงมือเก็บภาพด้วยกล้องดิจิทัลตัวจิ๋วในจุดต่างๆ ที่เห็นว่าอาจเป็นเบาะแส "คิดว่ารอบนี้มีวงในเข้ามาเกี่ยวด้วยไหม เพราะเท่าที่ผมฟังจากคุณฮันนาห์ให้การเมื่อกี้แล้วดูงานสะอาดเรียบร้อยมาก"

"ก็เป็นไปได้ครับ" คีลตอบกลางๆ "ยิ่งข้อที่บอกว่าฝั่งนั้นไม่ได้ทำลายตัวล็อกด้วยแล้ว นั่นหมายความว่าคนร้ายต้องรู้รหัสเซฟ "

"งั้นแปลว่าคุณคิดว่าวงในส่วนเอี่ยวด้วยชัวร์ๆ?"

"ไม่เชิงครับ เพราะในอีกแง่หนึ่ง ผมก็ไม่คิดว่าเจ้าหน้าที่ธนาคารทุกที่จะอยากร่วมมือกับคนร้ายเพื่อให้เขามาปล้นที่ทำงานตัวเองหรอก"

"ผมว่าผมอยากดูภาพในกล้องวงจรปิดสองตัวตรงนั้นแฮะ"

ทั้งคู่จึงเข้าไปอยู่ในห้องของยามรักษาความปลอดภัยที่มีหน้าจอโทรทัศน์สองถึงสามจอ ทั้งสองคนขอดูเทปของวันที่มีการขโมยเงินเกิดขึ้น แม้ว่าอันที่จริงพวกเขาจะได้ไฟล์ตัวนี้มาแล้วก็ตาม แต่คีลก็คิดว่าตอนนี้พอมีเวลา ดูที่นี่สักรอบแล้วถ้ามีอะไรค่อยย้อนไปดูที่ห้องพักต่อก็ได้

เอลเลียตเริ่มนอนเลื้อยไปกับเก้าอี้หลังจากที่วนดูวิดีโอม้วนเดิมเป็นรอบที่ห้า ส่วนคีลขอใบรายชื่อและประวัติของเจ้าหน้าที่ธนาคารทุกคนมาดูแล้ว และเมื่อคนผมน้ำตาลไม่เห็นว่าตัวเองจะได้เบาะแสใดๆ จากวิดีโอตัวนี้ เขาก็เริ่มเลื่อนไปดูวิดีโอของวันอื่นๆ อย่างคนไม่มีอะไรทำ ด้านหลังได้ยินเสียงคีลแว่วๆ ถามเบาะแสต่างๆ กับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งแล้ว

แล้วอยู่ๆ ในหัวเขาก็นึกวนไปถึงเรื่องของสายสืบหนุ่มคนนั้น อันที่จริงเองที่เขาเคยพูดหยอดชายหนุ่มตอนครั้งแรกที่เจอกัน หรือแม้แต่ความคิดที่ว่าเจ้าตัวหน้าตาดีเลยไปถึงเรื่องที่เขานึกอยากจะจูบริมฝีปากสวยๆ นั่น เขาไม่ได้ล้อเล่นเสียทีเดียว ถ้าพูดถึงรสนิยมทางเพศของเขาแล้วยังไงเขาก็รู้ตัวว่าตัวเองชอบผู้ชายมาตั้งแต่สมัยจูเนียร์ไฮสคูลแล้ว แต่กับอีกฝ่าย... เอลเลียตไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคีลมีรสนิยมทางเพศแบบไหน ถ้าหมอนั่นได้ทั้งผู้หญิงผู้ชายเขาอาจจะพอมีหวัง แต่ถ้าไม่เอาผู้ชายเลยคงเล่นด้วยยากอยู่เหมือนกัน

ว่าแต่เดี๋ยวนะ... นี่เขาคิดเป็นจริงเป็นจังเกินไปรึเปล่าเนี่ย ขืนหมอนี่รู้ว่าเขาคิดทำมิดีมิร้ายตัวเองมันไม่ยกปืนขึ้นมาเป่าเขาดับเรอะ

"เทย์เลอร์" เสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นข้างหูทำเอาเอลเลียตที่กำลังจมอยู่ในภวังค์ของตัวเองสะดุ้งจนแทบเด้งไปติดกับเพดานหันหน้าพรวดกลับมาหาคนเรียก ใบหน้าคมของอีกฝ่ายที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือดูจะอึ้งไปเล็กน้อยเหมือนกันที่ปลายจมูกพวกเขาแทบจะชนกันแบบนี้ และก่อนที่เอลเลียตจะหน้าแดงขึ้นไปมากกว่านี้ คีลก็ขยับถอยออกมาพร้อมกับชี้นิ้วไปด้านนอก "ข้าวกลางวันมาแล้วแน่ะ ผมสั่งพิซซ่ามามื้อนี้ กินเสร็จแล้วถ้าคุณยังอยากดูวิดีโอพวกนั้นต่อค่อยดูก็ได้"

"ขะ... ขอบคุณ" มันอายตรงที่ตัวเองหน้าแดงแต่หมอนี่สีหน้าแทบไม่เปลี่ยนนี่แหละ

เอลเลียตพยายามบังคับให้ใจของตัวเองสงบลง ภาวนาไม่ให้ความรู้สึกแปลกๆ ที่เขามีต่อสายสืบหนุ่มก่อตัวไปมากกว่านี้ เขาหมายถึง โอเค เขาก็รู้ตัวแหละว่าตัวเองชอบอะไรที่มันตื่นเต้น เร้าใจ และอันตราย แต่การจะไปชอบคนที่มีปืนเหน็บอยู่ข้างตัวตลอดเวลาคงไม่เข้าท่าแน่ๆ ยิ่งคิดถึงสถานะว่าเขาเป็นอาชญากรที่เจ้าตัวเป็นคนรวบตัวมาได้กับมือแล้ว... ไม่น่าจะเป็นความคิดที่ฉลาดเท่าไรนะ เอล



แต่เมื่อเห็นพิซซ่าที่อยู่ในถาดที่เปิดอ้าออกบนโต๊ะของห้องพักพนักงาน เอลเลียตก็เริ่มรู้สึกว่าบางทีเขาอาจจะกังวลเกินเหตุ เพราะตอนนี้เขาเริ่มไม่ชอบหน้าหมอนี่ขึ้นมาพิกลๆ

"ใครบอกให้คุณสั่งพิซซ่าหน้านี้มา" ว่าเสียงเขียวทีเดียว คีลหันมาเลิกคิ้วให้เอลเลียตข้างหนึ่งเหมือนงงๆ

“ผมถามพนักงานตอนที่โทรสั่งว่าหน้าไหนได้เร็วสุด ผมก็สั่งหน้านั้นแหละ”

“คุณไม่ถามอะไรผมสักคำ” น้ำเสียงกล่าวหาทีเดียว

เอาเว้ย นักโทษพ้นคุกชั่วคราวของเขาเริ่มออกฤทธิ์ออกเดชเสียแล้ว

“ผมถามจริงๆ เถอะ ตอนอยู่ในคุกนี่ผู้คุมของคุณเขาถามด้วยเหรอว่ากลางวันคุณอยากกินอะไร”

“คุณไม่เข้าใจ” เริ่มพูดเหมือนครางแล้วตอนนี้ “ผมรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าจะได้อยู่ข้างนอกนี่ไม่นาน เพราะงั้นผมถึงอยากจะกินอะไรดีๆ เท่าที่มีโอกาสไง แล้วผมก็ไม่ได้รังเกียจพิซซ่านะ แต่นี่” ผายมือไปที่หน้าพิซซ่าเจ้าปัญหา “มันมีสับปะรดอยู่ด้วย! และอันที่จริงผมก็ไม่ได้รังเกียจสับปะรดเหมือนกัน เพียงแต่มันไม่ควรจะไปอยู่บนหน้าแป้งบางกรอบแสนอร่อยของพิซซ่าสิ ถูกไหม มันเป็นผลไม้นะ! ผมล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าใครเป็นคนคิดค้นหน้าพิซซ่านี้ขึ้นมา”

“ถ้าไม่ชอบสับปะรดก็เขี่ยออกสิคุณ” พูดหน้าตายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก ยังไงก็มีรสชาติของสับปะรดติดอยู่ที่แป้งอยู่ดี” ถ้าเอลเลียตเด็กกว่านี้สักยี่สิบปีคงกระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความไม่ได้ดั่งใจแล้ว “ทำไมคุณต้องสั่งหน้านี้มาด้วย ถามผมก่อนสั่งสักคำจะตายเหรอ”

คีลตัดสินใจเมินนักโทษจำเป็นของตัวเองด้วยการหยิบพิซซ่าขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วเดินเลี่ยงไปอีกทาง ปล่อยให้คนผมน้ำตาลอ้าปากค้าง หยิบพิซซ่าขึ้นมาหนึ่งชิ้นอย่างกระฟัดกระเฟียดแล้วตรงไปที่ถังขยะเพื่อเขี่ยสับปะรด

ขอสาปแช่งคนที่คิดพิซซ่าหน้านี้ขึ้นมา….

อ้อ ใช่ สาปแช่งไอ้คนสั่งที่ไม่ถามความสมัครใจเขาสักคำเลยด้วย!



เนื่องจากความหมางเมินในช่วงมื้อกลางวัน ตกบ่ายทั้งเอลเลียตและคีลจึงพูดกันน้อยคำ ซึ่งอันที่จริงนักสืบหนุ่มไม่ค่อยลำบากเท่าไร เขาชอบเอลเลียตเวอร์ชันไม่พูดอะไรแบบนี้มากกว่าด้วยซ้ำ แถมในใจยังอดขำไม่ได้กับสีหน้าบึ้งตึง หงุดหงิดเป็นจริงเป็นจังที่มื้อกลางวันไม่ได้ดั่งใจ

หลานชายอายุเจ็ดขวบของเขายังไม่งี่เง่าได้เท่านี้เลย

ครึ่งบ่ายเป็นต้นไปคีลตัดสินใจเรียกพนักงานเข้ามาสอบปากคำทีละคนโดยแยกไปที่ห้องประชุมเล็กที่แยกไว้เป็นสัดส่วน ส่วนเอลเลียตยังคงง่วนอยู่กับการดูวิดีโอของกล้องวงจรปิดย้อนหลังที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคดีนี้ เขาพยายามสังเกตว่าพนักงานแต่ละคนมีลักษณะเป็นยังไง มีใครทำอะไรน่าสงสัยหรือไม่

แต่อันที่จริงชายหนุ่มไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรแบบนี้ แล้วการดูอะไรที่เหมือนจะเกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาทุกวันก็แสนจะน่าเบื่อ

เจ้าตัวเริ่มยกมือเปิดปากหาว เหลือบมองนาฬิกาแขวนผนัง เดาว่าคีลเองก็น่าจะใช้เวลาอีกไม่นานก่อนจะออกจากที่นี่

แต่แล้วนัยน์ตาสีฟ้าของเจ้าตัวก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่หน้าจอโทรทัศน์เข้าจนได้ เอลเลียตกดปุ่มหยุดชั่วคราวแล้วหันไปบอกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกคนที่นั่งอยู่ในห้องว่าให้ปล่อยหน้าจอที่เขาดูค้างไว้แบบนี้ก่อน และเมื่อเดินไปตามโถง เอลเลียตก็โผล่หน้ามาให้เขาเห็นพอดี

“คีล พอดีเลย” เจ้าตัวว่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดูเหมือนจะลืมๆ ไปแล้วว่าหงุดหงิดเขาเรื่องพิซซ่าก่อนหน้านี้แทบตาย “ตามมานี่สิ ผมมีของดีจะให้ดู”

สิ่งที่อยู่ในวิดีโอที่เอลเลียตภูมิใจนำเสนอเสียเหลือเกินคือชายคนหนึ่งที่อยู่ในชุดหมีสีเทา ลักษณะเหมือนช่างไฟที่กำลังตรวจสอบสัญญาณกันไฟไหม้ที่ติดอยู่ด้านบนในห้องนิรภัย ถึงตรงนี้คีลกับเอลเลียตก็หันมามองหน้ากันทันที และนั่นเป็นครั้งแรกที่คนผมน้ำตาลรู้สึกว่าสายตาของคู่หูชั่วคราวของเขาไม่ได้เย็นชาเท่าที่ผ่านมาอีกแล้ว

“ขอโทษครับ” คีลคว้าสมุดโน้ตที่เอาวไ้จดข้อมูลขึ้นมาถือทันที “คุณช่วยบอกผมได้ไหมว่าเหตุการณ์ในวิดีโอนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่”

เจ้าหน้าที่รักษาการณ์พุงพลุ้ยลุกจากเก้าอี้แล้วเดินมาดู “อืม… อ้อ ที่มีช่างมาเมนเทนแนนซ์สินะครับ อืม… รู้สึกจะก่อนหน้าวันที่ถูกปล้นสักอาทิตย์หนึ่งได้มั้งครับ เดี๋ยวผมตรวจสอบแบบละเอียดให้ ถ้าคุณอยากได้ก๊อบปี้ของวิดีโอนี้ผมก็ทำให้ได้นะ”

“เยี่ยมเลย รบกวนด้วยครับ” คีลว่า หันกลับมามองหน้าเอลเลียตก็เห็นรอยยิ้มสดใสแบบเด็กๆ ของอีกฝ่าย ดูจะภูมิใจเสียเหลือเกินที่ค้นพบเรื่องบังเอิญอย่างนี้

คีลเดินกลับไปคุยกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารแห่งนั้นและขอไปที่ห้องนิรภัยอีกครั้ง เขายืมบันไดเล็กกับเครื่องไม้เครื่องมือมาจากยามคนเดิมจากนั้นก็ปีนขึ้นไป ถอดที่ครอบสัญญาณกันไฟไหม้ออก แล้วก็ได้เจอกับกล้องวิดีโอตัวจิ๋วเข้า เอลเลียตผิวปากออกมาอย่างอารมณ์ดีทันทีขณะที่คีลหันกลับมามองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยตามเคย

“แปลว่าคนพวกนี้ได้รหัสตู้เซฟมาจากเจ้านี่” เอลเลียตว่า

“ดูจากรูปการณ์แล้วก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เราต้องเอากลับไปตรวจสอบก่อนว่ามีอะไรบันทึกอยู่ในนี้บ้าง”

“ของมันเห็นกันอยู่จะจะ”

“อย่าเพิ่งดีใจไปก่อนล่วงหน้าขนาดนั้น เทย์เลอร์”เขาว่าเสียงเรียบ “ถึงเราจะเจอเจ้ากล้องนี่ แต่ก็ใช่ว่าเราจะจับตัวคนร้ายได้ทันที เท่าที่ผมดูในกล้องวิดีโอเมื่อกี้นี่ก็จะดูเจ้าตัวจะปกปิดใบหน้าของตัวเองอยู่ไม่น้อย แล้วต่อให้ออกหมายจับ ป่านนี้ก็คงหนีไปถึงไหนต่อแล้ว”

“อย่าเพิ่งพูดแบบนั้นสิคุณ” คนที่คิดว่าจะได้รับคำชมจากอีกฝ่ายแน่ๆ เริ่มโวย “เอางี้ งั้นเรามาพนันกันดีกว่า ถ้าเกิดเราหาตัวคนร้ายได้จากเบาะแสทั้งหมดที่มีอยู่ตอนนี้โดยไม่ต้องพึ่งเรื่องออกหมายจับอะไรนั่น คุณจะให้อะไรผม”

“อยากกินพิซซ่าหน้าสับปะรดอีกไหมล่ะ”

โอ๊ย ไอ้หมอนี่ เห็นนิ่งๆ เงียบๆ แต่พูดทีก็กวนประสาทใช่ย่อย

“ไม่เอาหรอกคุณ เอาแบบนี้ดีกว่า ถ้าผมช่วยคนจับคนร้ายเคสนี้ได้ ต่อจากนี้ไปคุณต้องเรียกผมว่าเอล”

คีลมีสีหน้าฉงนกับข้อเสนอจริงๆ “คุณเป็นเด็กห้าขวบที่ต้องให้เพื่อนเรียกชื่อเล่นเหรอ เทย์เลอร์”

“โธ่ ก็ผมอยากสนิทกับคุณไง” พูดตรงๆ ไม่มีการอ้อมค้อม แต่อย่าเพิ่งให้เจ้าตัวรู้แล้วกันว่าเขาอยากสนิทไปถึงขั้นไหน “ส่วนถ้าผมทำไม่ได้ตามที่พูด… อืม ผมยอมให้คุณสั่งพิซซ่าหน้าสับปะรดมาอีกสักถาดก็ได้ แต่ผมไม่กินนะ”

เอาแต่ใจตัวเองชะมัด

“เอาเถอะ” คีลตัดบท “ถึงยังไงซะคุณก็พูดเองเออเองทั้งหมดอยู่ดี จะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับคดีผมก็ไม่ต้องทำตามที่คุณพูดก็ได้สักหน่อย จริงไหม”

“คีล!” ว้อย หมอนี่นี่ไม่ยอมลงให้กันเลย

“คุณนักสืบวิลล์ นี่ครับ วิดีโอก๊อบปี้” เจ้าหน้าที่รักษาการณ์ร่างท้วมโผล่เข้ามาขัดบทสนทนา เป็นอันจบการโต้เถียงระหว่างคีลกับเอลเลียตไปได้อย่างงงๆ




--------------------------------------------------

Talk: ที่ลงรัวๆ นี่ไม่ใช่อะไรนะคะ... มีสต็อกค่ะ คือมีความรู้สึกว่าพอลงรัวๆ แล้วตัวเองจะเขียนได้เร็วขึ้น เหมือนกดดันตัวเองไงว่าต้องเขียน
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 3) P.1 [17/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 17-10-2017 18:58:56
อย่างน้อยๆก็เรียกนามสกุลเฉยๆแล้วนะถือว่าสนิทกันไปอีกขั้น(?)ได้มั้ย  :hao7:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 3) P.1 [17/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 17-10-2017 21:06:17
มารอชอบเรื่องนี้สนุกดี
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 3) P.1 [17/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 18-10-2017 02:00:33
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 3) P.1 [17/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 18-10-2017 06:19:47
ชอบบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

คีล เย็นชากับเอลเลียตนะ
แต่คิดหรือว่าจะเมินเอล ไปได้ตลอด :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 3) P.1 [17/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 18-10-2017 07:57:14
น่าสนใจ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 3) P.1 [17/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 18-10-2017 08:26:43
สนุกจังครับ
อารมณ์ซีรีย์มาเต็ม
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 3) P.1 [17/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 18-10-2017 18:47:14

บทที่ 4



เนื่องจากระยะทางของธนาคารที่พวกเขาจากมากับตัวที่พักไกลกันค่อนข้างมาก กว่าจะกลับมาถึงเอลเลียตก็คอพับคออ่อน หลับไปหลายตื่นระหว่างอยู่ในรถ แถมยังเสียเวลาตรงที่คีลต้องแวะไปที่สำนักงานเพื่อให้คนในทีมตรวจสอบเจ้ากล้องวงจรปิดตัวจิ๋วที่ได้มา นั่นแหละถึงจะยอมกลับที่พักได้เสียที

เมื่อมาถึงห้องพักแล้วเจ้าตัวก็สะโหลสะเหลไปอาบน้ำทันที นึกสรรเสริญเจ้าหน้าที่หนุ่มที่พอถึงบ้านแล้วก็ยังเปิดแล็ปท็อปขึ้นมานั่งทำงานต่อ นี่ขนาดหมอนี่เป็นคนขับรถด้วยนะ… เหยียบคันเร่งสลับกับเบรกตั้งหลายชั่วโมง ไม่เหนื่อยบ้างหรือไงวะ พวกตำรวจนี่เป็นสายพันธุ์อึดแบบนี้กันทุกคนรึเปล่าเนี่ย

เอลเลียตออกมาจากห้องน้ำด้วยท่าทีกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น แต่สีหน้าก็ยังดูอ่อนล้าอยู่ เจ้าตัวเดินไปประชิดร่างสูงที่ยังนั่งหน้าดำคร่ำเครียดกับงาน โน้มหน้าลงไปเพื่อมองหน้าจอให้ถนัด ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าทำให้คีลชะงักไปเล็กน้อยเพราะกลิ่นแชมพูสระผมอ่อนๆ ที่ลอยมาแตะจมูก

คนผมดำขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะหันกลับไปหาคนที่ก้าวเข้ามา “นี่อย่าบอกนะครับว่าคุณเตรียมจะนอนแล้ว”

“อ้าว” คนที่เตรียมตัวพักผ่อนเต็มที่กะพริบตาปริบๆ “ก็… นี่มันเที่ยงคืนกว่าแล้วนี่ครับ เราจะไม่นอนกันเหรอ”

“จะไม่ลองพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของตัวเองหน่อยเหรอครับ”

“โอ๊ย พรุ่งนี้ก็ได้มั้งคุณ” นี่คนนะ ไม่ใช่หุ่นยนต์ จะได้ทำงานได้ยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่พอเห็นสายตาวับๆ เหมือนจะบอกว่าเขาไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรเกินความจำเป็น แถมการทำงานนี่มันก็งานหลักเขาเอลเลียตก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา จากนั้นก็ลากเก้าอี้มานั่งดูวิดีโอทั้งหมดแบบสรุปรวบยอดอีกครั้ง

ผ่านไปได้ครู่ใหญ่ หลังจากที่เพ่งมองหน้าจออยู่นาน อยู่ๆ เอลเลียตก็บอกให้คีลหยุดวิดีโอชั่วคราวแล้วชี้ไปที่ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในสองคนของทีมช่างซ่อมเก๊ มีรอยสักลวดลายบางอย่างโผล่พ้นขึ้นมาจากแขนเสื้อของชายคนนั้น จากนั้นเจ้าตัวก็ยกยิ้มอย่างผู้ชนะทันที

“ทำไมเหรอคุณ” คีลเลิกคิ้วข้างหนึ่ง

“ผมรู้จักหมอนี่”

“คุณว่าไงนะ”

“ก็ก่อนที่คุณะจับผมเข้าคุก คุณคิดว่าผมเป็นใครล่ะ ผมคืออายออฟไอเดนนะ เส้นสายผมมีเพียบ เอาจริงๆ วงการนี้มันก็ไม่ได้กว้างใหญ่อะไรมากหรอกนะคุณ”

“แปลว่าคุณเคยร่วมมือปล้นธนาคารกับเขามาก่อนงั้นเหรอ”

“ช่าย” น้ำเสียงภาคภูมิใจนั่นทำเอาคีลขมวดคิ้วมุ่น

“ผมนึกว่าคุณบอกรายชื่อคนในทีมทั้งหมดมาให้เราแล้วซะอีก”

นั่นแหละพ่ออาชญากรตัวแสบถึงได้สะดุ้งเฮือกแล้วหลบตาเขาไปอีกทาง

เผลอลดการ์ดลงตอนอยู่กับหมอนี่มากไปหน่อย… ฉิบหายล่ะไง

“ก็… ก็… แบบ พวกผู้ประสานงานไรงี้ คราวก่อนๆ เขาไม่ได้เข้าร่วมทีมด้วยจริงๆ จังๆ หรอกนะ”

“เมื่อกี้คุณบอกว่าเขาร่วมมือด้วยนี่”

โอ๊ย ให้ตาย ไอ้เอล จบงานนี้ไปจะจับปากตัวเองฟาดรัวๆ พูดนี่ไม่ได้ระวังอะไรเล้ย…

“เทย์เลอร์” เสียงเย็นเฉียบจนน้ำแข็งแทบจะเกาะตามตัวเขาได้แล้วเนี่ย

“คือ… ง่า เอาเป็นว่าผมขอโทษเรื่องนั้นแล้วกัน” ว่าพลางลุกขึ้นพรวด “แต่ตอนนี้ผมก็กำลังบอกคุณอยู่นี่ไง และเราก็กำลังจะรวบตัวเขาด้วยกันไม่ใช่เหรอ คุณอย่าดุผมนักได้ไหม แค่นี้ผมก็กลัวคุณหัวหดจะแย่แล้ว”

คีลไม่พูดอะไรตอบ อันที่จริงเขาไม่แปลกใจกับเรื่องนี้เท่าไรหรอก เป็นเรื่องธรรมดาของพวกคนร้ายอยู่แล้วที่จะไม่คายข้อมูลหรือความผิดของตัวเองออกมาทั้งหมดถ้าไม่ถูกเค้นให้ตาย เพียงแต่เขาแค่อยากทำให้หมอนี่ระแวงไปงั้นเอง

"คุณกลัวผมด้วยเหรอ" คนผมดำว่าเสียงเรียบ "เท่าที่อยู่ด้วยกันมานี่ ผมไม่เห็นรู้สึกงั้นเลย แค่ความเกรงใจยังไม่มีให้เห็น"

"พูดได้ดี" คนผมน้ำตาลพูดด้วยท่าทียียวนชนิดกินขาด "แต่อย่าถือสาผมนักเลย คุณจะว่าอะไรไหมถ้าผมขอตัวไปนอนก่อน ตาจะปิดอยู่แล้ว ในคุกนั่นเขาปิดไฟหลังสี่ทุ่มห้าทุ่มแล้วนะ ทำเอาผมกลายเป็นเด็กอนามัยไปเลย ส่วนเรื่องไอ้หมอนี่ไม่ต้องห่วง ผมมีแผนเด็ดๆ ในหัวแล้ว แต่เราจะมาคุยกันตอนผมตื่น ตกลงไหม คุณเองก็ควรไปนอนได้แล้ว ขอบตาดำไปถึงแก้มแล้วนั่น ราตรีสวัสดิ์คุณสายสืบ"

คีลได้แต่ถอนหายใจเฮือกขณะมองแผ่นหลังของคนชอบทำอะไรตามอำเภอใจผลุบหายเข้าห้องไป นี่เบื้องบนต้องไม่พอใจอะไรเขาแน่ๆ ถึงได้โยนหมอนี่มาอยู่ในการดูแลของเขาแบบนี้

หาก... ลึกๆ ลงไปในใจแล้วคีลก็ต้องยอมรับ ว่าแท้จริงแล้วเขาก็ไม่ได้เกลียดการทำงานกับเทย์เลอร์ขนาดนั้นหรอก



...

เสียงเปิดประตูแผ่วเบาดังขึ้นท่ามกลางความมืด ร่างที่นอนคุดคู้อยู่บนเตียงส่งเสียงหายใจสม่ำเสมอ ตาทั้งสองข้างหลับพริ้มอย่างคนที่จมอยู่ในห้วงนิทรา เสียงฝีเท้าของร่างสูงก้าวเข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงแผ่วเบาราวกับกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายตื่น

ความเงียบโรยตัวเข้ามาขณะที่นัยน์ตาสีน้ำตาลทอดมองใบหน้าของเทย์เลอร์ นัยน์ตาคู่นั้นยังคงอ่านยากเหมือนอย่างเคย จากนั้นเสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็ค่อยๆ ห่างออกจากเตียงไป ตามมาด้วยเสียงปิดประตูห้องที่เบาไม่แพ้กัน

เอลเลียต เทย์เลอร์ยังคงหลับตาอยู่แบบนั้นอีกครู่หนึ่งอย่างไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายยังอยู่ตรงหน้าเขาไหม และเมื่อแน่ใจว่าคีลออกไปจากห้องแล้ว นัยน์ตาสีฟ้าก็ค่อยๆ ปรือขึ้นอย่างเชื่องช้า รู้สึกว่าใบหน้าร้อนขึ้นมาจนตัวเองยังต้องตกใจ

นี่เมื่อกี้หมอนี่มองเขา? คีลเดินเข้ามาในห้อง แถมยังมาหยุดดูเขานอนบนเตียงด้วยเนี่ยนะ?

อันที่จริงเอลเลียตรอให้คีลเข้ามาเช็กเขาอยู่แล้ว เพราะเมื่อคืนก่อนเจ้าตัวจะเข้านอน สายสืบหนุ่มก็แอบเปิดประตูเข้ามาเช็กว่านักโทษของตัวเองหลับดีอยู่รึเปล่า แต่เมื่อคืนหมอนั่นแค่หยุดอยู่ที่หน้าประตู ไม่ได้ก้าวเข้ามาถึงในห้อง แล้วคืนพรุ่งนี้จะเป็นไงล่ะ จูบราตรีสวัสดิ์เขาเลยไหม

เอลเลียตใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งในการจินตนาการเพ้อเจ้อไปว่าถ้าพวกเขาสองคนจูบกันขึ้นมาจริงๆ แล้วจะเป็นอย่างไร มันคงจะดีไม่น้อย และเขาเองก็นึกอยากเห็นหน้านิ่งๆ แบบนั้นตอนที่เคลิ้มไปกับสัมผัสที่เขามอบให้... แล้วให้ตาย ตอนที่หมอนั่นยกยิ้มเยาะแม่งเป็นอะไรที่น่าขยี้มาก ระหว่างที่ยังอยู่ด้วยกันแบบนี้เขาจะมีโอกาสสักครั้งไหมนะ

หลังจากที่อารมณ์ปรารถนาเริ่มสงบลง เอลเลียตก็ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงพร้อมกับสูดหายใจเฮือกแรงๆ เพื่อดึงสติของตัวเองกลับมา เขาเข้าใจตัวเองดีว่าการไปอยู่ในคุกและไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอย่างว่าเลยคงทำให้เก็บกดไม่น้อย แต่นี่มันไม่ใช่สถานการณ์ที่จะมาคิดเรื่องแบบนั้น รวมถึงคนที่เขาต้องการก็ไม่ใช่บุคคลที่เขาควรจะถลำลึกลงไปด้วยมากถึงขนาดนั้น

เอลเลียตเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือแบบใช้แล้วทิ้งที่เขาแอบซื้อมาตอนที่คีลไม่ได้คุมแจเขา อันที่จริงเขาเองก็มีช่วงเวลาส่วนตัวของตัวเองไม่น้อยหรอก แถมไอ้แถบโค้ดที่รัดติดข้อเท้าคงทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นวางใจไม่น้อย

นิ้วเรียวเริ่มกดหมายเลขโทรศัพท์ที่เขาจำได้ขึ้นใจในหัว แนบโทรศัพท์และรอฟังสัญญาณที่ดังขึ้น ปลายสายตอบรับเขาในกริ่งที่สี่

"ฮัลโหล สวัสดีครับ"

"ไง เทลออฟอดัมส์" เขาว่าเมื่อแน่ใจว่าเสียงนั้นเป็นของคนที่เขาต้องการจะต่อถึงแน่ๆ "ไม่ได้คุยกันนานเลยนะ"

ปลายสายเงียบไปอึดใจหนึ่งราวกับกำลังประมวลผล "อายออฟไอเดน"

"คิดถึงกันบ้างรึเปล่า ที่รัก"

"อันที่จริงก็ไม่นะ" คำพูดนั้นเย็นชาไม่น้อยเมื่อคิดว่าพวกเขาสองคนเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันมาก่อน "แล้วนี่นายโทรมาจากไหน เอาโทรศัพท์อะไรโทร ปลอดภัยรึเปล่า"

"โทรศัพท์แบบใช้แล้วทิ้งน่ะ ปลอดภัยแน่ไม่ต้องห่วง"

"ฉลาดดี ทุกอย่างเป็นไงบ้าง"

"นายก็น่าจะรู้ดีว่าเป็นไง อย่ามัวเสียเวลาคุยเรื่องไร้สาระเลย บอกฉันมา ลีโอ นายปลดแถบติดตามตัวที่รัดข้อเท้านักโทษได้ไหม"

"อย่าเรียกชื่อฉัน" ปลายสายว่าเสียงขุ่นทีเดียว "ส่วนเรื่องแถบรัดข้อเท้า ถ้าได้เวลาสักครึ่งชั่วโมงก็ไม่มีปัญหา"

"เคยทำมาก่อนหรือเปล่า"

"เคย"

"ครึ่งชั่วโมงเลยเหรอ" เอลเลียตยกแตะคางอย่างคิดหนัก ถ้าเขาต้องหนีจากพวกตำรวจแล้วล่ะก็ อย่าว่าแต่ครึ่งชั่วโมงเลย นาทีเดียวก็มีค่า "เร็วกว่านั้นไม่ได้แล้วหรือไง"

"ครึ่งชั่วโมงก็เต็มที่แล้ว ไอเดน นายอย่าลืมสิว่าเราต้องสวมรอยโปรแกรมติดตามที่ว่านี่เป็นตัวล่อเข้าไปอีกต่อด้วย แล้วนี่จะเจอฉันเมื่อไหร่ ไม่นัดก่อนล่วงหน้าไม่ได้นะ"

"รู้อยู่แล้วล่ะน่า ลีโอ"

"บอกว่าอย่าเรียกชื่อไง"

"เฮ้ ฉันต้องการเงินเอาไว้หนีออกนอกประเทศ แล้วก็พาสปอร์ต นายจัดการให้ฉันได้ไหม"

"พาสปอร์ตถ้านายขอวันนี้ก็คงต้องรอสักหนึ่งถึงสองสัปดาห์ แต่จัดการให้ได้ ส่วนเรื่องเงิน คงเตรียมไว้ให้นายได้สักแสน มาเอาพร้อมตอนที่จะถอดแถบรัดเลยก็ได้"

เอลเลียตคำนวณในหัวเร็วจี๋ แปลว่าเขาต้องหาทางเกาะติดกับคีลให้ได้จนกว่าพาสปอร์ตของปลอมจะมาถึงมือลีโอ แต่ชายหนุ่มคิดว่าเขาจัดการกับเรื่องนั้นได้ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ... เขาตงิดใจกับจำนวนเงินมากกว่า

"ฉันต้องการสองแสนห้า อดัมส์"

ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง มีเสียงเคาะแป้นพิมพ์ดังลอดมาให้ได้ยินก่อนลีโอจะตอบกลับมา "เต็มที่ได้แสนห้า ไอเดน พวกเราช่วยนายได้แค่นี้จริงๆ"

"ไม่ยุติธรรมเลย" ชายหนุ่มคราง "หลังจากทั้งหมดที่ฉันทำลงไปเนี่ยนะ? ไหนจะยังสองปีที่เข้าไปอยู่ในคุกอีก"

"เสียใจด้วย เบบี๋ แต่ถ้านายอยากให้ฉันใช้ปากทำให้เป็นค่าตอบแทนก็ได้นะ"

สาบานเลยว่าถ้าไอ้หมอนี่อยู่ตรงหน้า เขาจะยกเข่ากระแทกคางมันให้หน้าหงาย

"ไม่เป็นไรหรอก ขอบใจมากนะ ลีโอ" เอลเลียตกัดฟันกรอด ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าครั้งหนึ่งเคยหลวมตัวคบกับหมอนี่เข้าไปได้ยังไง "แต่ค่าตัวนายไม่แพงขนาดนั้นหรอก เชื่อฉันเถอะ"

เทลออฟอดัมส์ไม่เอ็ดเรื่องที่เอลเลียตเรียกชื่อจริงตัวเองในครั้งนี้หากทำเสียงในลำคอเป็นเชิงเยาะเพราะคำพูดดูถูกของอีกฝ่าย

นี่ถ้าไม่ติดว่าพวกเขาต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันหลายอย่าง ป่านนี้อาจจะฆ่ากันตายไปแล้ว

"ถ้าอยากได้เงินมากกว่านี้นัก นายก็ไปหาเพิ่มสิ" ลีโอพูดขึ้นมาในที่สุด "นายคืออายออฟไอเดนนะ รู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าต้องหาเงินยังไง"

"ฉันมีตำรวจหน้าดุนี่คอยตามติดตามอยู่ทุกฝีก้าว ขอบใจมากเลยนะ มันคงจะง่ายอย่างที่นายว่าแหละ"

คราวนี้ปลายสายระเบิดเสียงหัวเราะลั่นทันที "ไม่เอาน่า ไอเดน" เจ้าตัวว่า "ดูถูกตัวเองเกินไปรึเปล่า แค่ตำรวจคนเดียวทำอะไรนายไม่ได้หรอก นายก็พิสูจน์เรื่องนั้นแล้วด้วยการโทรมาหาฉันอยู่นี่ ไม่ใช่เหรอ?"

เอลเลียตไม่อยากจะเถียงกลับไปเลย ว่าไอ้การซื้อมือถือแบบใช้แล้วทิ้งหนึ่งเครื่องกับการหาเงินให้ได้อีกแสนถึงสองแสนน่ะ มันต่างกันมากแค่ไหน

“เอาเถอะ ไว้ฉันจะลองดู แต่พาสปอร์ตไม่เกินสองอาทิตย์ใช่ไหม”

“แน่นอน ไอเดน ฉันจะติดต่อนายได้ทางไหน”

“ไม่ต้องหรอก เสี่ยงเกินไป ฉันจะติดต่อไปเอง”

“นายคิดว่าจะถ่วงเวลาอยู่ข้างนอกนี่ได้นานพอก่อนจะได้พาสปอร์ตไหม ไอ้นี่มันหลายตังค์อยู่นะ เกิดเหมือนคราวก่อนที่นายเกือบจะสลัดหลุดไปได้แต่ดันโดนจับได้เสียก่อน เดี๋ยวก็ต้องเอาไปเผาทิ้งวุ่นวายอีก แถมเล่มหนึ่งก็แพงแสนแพง”

“รู้แล้วล่ะน่า” คนผมน้ำตาลพูดพร้อมกับเริ่มกัดเล็บ ข้อเสียอีกอย่างของเขาตอนคิดไม่ตก “ฉันว่าฉันถ่วงเวลาได้ ยังไงก็เร่งให้หน่อยแล้วกัน แล้วฉันก็ต้องไปหาเงินเพิ่มอีก ที่นายจะให้มันจะไปพอยาไส้อะไร”

“ก็ดี”

“ฉันอาจจะต้องทิ้งพวกของเราบางคน” พูดพลางนึกถึงชายหนุ่มรอยสักที่อยู่ในกล้องที่เขาเห็นวันนี้ ลีโอเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะเปิดปากถามต่อ

“นายจะทิ้งใคร”

“แจ็ค พอร์เตอร์”

“หมอนั่นเหรอ” พูดด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด “อืม เป็นไพ่ครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรมาก แต่หมอนั่นอยู่ในโลกมืดเต็มตัว พวกก็คงมีไม่น้อย แน่ใจนะว่าจะทิ้งใบนี้ นายอาจจะเดือดร้อนทีหลัง โดนพวกหมอนั่นเล่นงานเอาก็ได้”

“คำนวณไว้แล้วล่ะ แต่หมอนี่พลาดเองจริงๆ ที่สำคัญ ฉันเองก็ต้องเอาตัวรอดเหมือนกัน”

“ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้โชคดี แล้วฉันจะรอการติดต่อจากนาย อายออฟไอเดน” พูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะวางหูไป ทิ้งให้นัยน์ตาสีฟ้าจ้องหน้าจอโทรศัพท์อยู่เนิ่นนาน ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง ก่อนจะยอมแพ้ล้มลงไปนอนบนเตียง

คิดมากไปก็ปวดหัว ตอนนี้เขาคิดว่าตัวเองต้องการการพักผ่อนยิ่งกว่าคุณสายสืบคนนั้นเสียอีก






ทั้งคู่ไปที่สำนักงานเพื่อประชุมกับทีมของคีลแต่เช้า ครั้งนี้โจนาธาน ฟอร์ด ชายหนุ่มที่นั่งข้างโต๊ะของคีลเองก็อยู่ได้อยู่ในทีมเฉพาะกิจครั้งนี้เช่นกัน นอกจากนั้นก็มีคนจากแผนกอาชญากรรมอีกสองคนที่คีลเคยทำงานด้วยมาก่อนคนหนึ่ง อีกคนเคยเห็นหน้าผ่านๆ ในอาคาร

คีลสรุปข้อมูลในแฟ้มที่ได้มาจากทางเอฟบีไอ สรุปเรื่องความคืบหน้าที่เขากับเทย์เลอร์ได้มาเมื่อวาน จากนั้นลิลลี่ จอร์แดน หนึ่งในคนจากฝั่งคดีอาชญากรรมที่คีลมอบหมายเรื่องกล้องวงจรปิดตัวปัญหาไว้ให้ก็ก้าวขึ้นมาพูดเรื่องที่หล่อนได้จากการดูไฟล์ที่อยู่ด้านในพร้อมกับเปิดวิดีโอบางส่วนที่กล้องจับได้มาฉายให้ดู

“นี่ไง” เอลเลียตขอให้จอร์แดนหยุดวิดีโอเพื่อชี้ตรงบริเวณที่หมุนรหัสของตู้เซฟ “จากมุมนี้คือเห็นได้ชัดมากว่ารหัสตู้เซฟเป็นเลขอะไร ถึงตอนที่เจ้าหน้าที่คนอื่นมาทำจะโดนบังจนมองไม่เห็น แต่คราวนี้ชัดมาก ทีนี้ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกนี้ถึงได้ทำได้เนี้ยบขนาดนั้น”

“เราเจาะได้ไหมว่ากล้องนี่ส่งสัญญาณไปที่ไหน” คีลหันไปถามหญิงสาวที่ทำหน้าที่เรื่องกล้องดังกล่าวไปโดยปริยาย “ใครเป็นคนได้วิดีโอพวกนี้”

“ฉันจะจัดการเรื่องนั้นให้ค่ะ” หล่อนตอบคีลที่เป็นหัวหน้าทีมอย่างขึงขัง หากเอลเลียตส่ายหัว

“เสียเวลาเปล่าครับ มันผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว ป่านนี้พวกนั้นก็ทำลายเบาะแสทิ้งไปหมดแล้ว ไม่มีทางที่พวกคุณจะสาวตามเก็บได้ทันหรอก”

เท่านั้นแหละคนผมน้ำตาลถึงได้สายตาเย็นชาปะปนมากับไม่พอใจจากเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงสามคู่พร้อมกัน โอ้โห แค่คีลคนเดียวเขาก็สยองแล้ว

“ใช้แผนผมดีกว่า ผมบอกแล้วไงว่าผมรู้จักกับผู้ชายคนนี้ หมอนี่ชื่อแจ็ค พอร์เตอร์ ผมรู้วิธีติดต่อเขา ให้ผมสวมรอยไปล้วงข้อมูลจากหมอนี่ยังง่ายกว่าเป็นไหนๆ วิธีการนี้ตรงประเด็นแล้วก็ชัดเจนที่สุดล่ะ หรือว่าพวกคุณไม่คิดงั้น?”

“แล้วเขาจะไม่แปลกใจเหรอคะว่าคุณออกมาจากคุกได้ยังไง ข่าวตอนที่คุณโดนโยนเข้าไปในนั้นน่ะ ไม่ใช่ข่าวเงียบๆ เลยนะ”

เอลเลียตตีหน้ายู่นิดหนึ่ง ไม่ชอบเลยไอ้คำว่าโดนโยนเข้าไปในคุกเนี่ย

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมก็แค่บอกเขาไปว่าตอนอยู่ในเรือนจำผมทำตัวดี ประพฤติดี ก็เลยได้ออกมาจากในนั้นเร็วก่อนกำหนดหน่อย” พูดพลางส่งยิ้มหวานให้อีกสามคนในที่ประชุม เน้นหนักที่คีลหน่อย “จะว่าไป… ก็ไม่ถือว่าเป็นการโกหกเสียทีเดียว ถูกไหมครับ”

“คุณจะติดต่อเขาได้ยังไง” คีลทำเป็นไม่สนใจรอยยิ้มหวานหยดที่จงใจส่งมาให้เขาเป็นพิเศษ

เอลเลียตลุกออกจากเก้าอี้ล้อเลื่อน เหยียดแขนขึ้นบนเพื่อยืดเส้นยืดสาย ก่อนจะว่าด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“ขอโทรศัพท์ให้ผมยืมสักเครื่องเถอะ เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการเอง”



สามวันหลังจากนั้น

เอลเลียตอยู่ในชุดลำลองกึ่งทางการที่เขาย้ำนักย้ำหนากับคีลว่าเป็นสิ่งจำเป็นในการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ และคนที่เป็นสายสืบซึ่งเคยปลอมตัวแฝงตัวเข้าไปเพื่อหาพยานหรือข้อมูลเพื่อสืบคดีมานักต่อนักอย่างเขามีหรือจะไม่รู้ เพียงแต่ไม่แน่ใจตอนที่เห็นเทย์เลอร์ดูมีความสุขเกินเหตุกับการเลือกซื้อเสื้อผ้าติดแบรนด์ก็เท่านั้น อย่างว่าล่ะนะ คนที่ห่างหายโลกข้างนอกมาตั้งสองปี อะไรๆ ก็ดูน่าตื่นตาตื่นใจไปเสียหมด

คีลขับรถมาส่งเจ้าตัวก่อนถึงที่หมายไปสองบล็อกเพื่อไม่ให้ฝั่งตรงข้ามผิดสังเกต ส่วนคนในอื่นในทีมเขาอยู่ถัดออกไปไม่ใกล้ไม่ไกลคอยเป็นกำลังเสริมเผื่อมีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น

“คุณลองพูดอะไรดูซิ” คีลว่าขณะเลื่อนมือไปขยับหูฟังแบบบลูทูธที่ิติดหูอยู่ เอลเลียเลยพูดอะไรเป็นการทดสอบออกไปสองสามคำ “อืม คงไม่มีปัญหาอะไร คุณพร้อมนะ?”

“พร้อมมากๆ” ชายหนุ่มว่า กลบเกลื่อนอาการตื่นเต้นของตัวเองด้วยการทำตัวร่าเริงเกินเหตุ และใช่ว่าคีลจะดูไม่ออก

“ทำตัวเป็นธรรมชาติหน่อยคุณ ผ่อนคลาย อีกอย่าง เขาเป็นเพื่อนคุณไม่ใช่เหรอ”

“อ้อ ใช่ และผมก็กำลังจะเอาเขาจับพานถวายใส่คุณอยู่นี่ไง เพื่อนจริงๆ”

ชายหนุ่มได้รับรางวัลเป็นรอยยิ้มจากคุณสายสืบในรอบนี้ “คุณกำลังทำเพื่อความถูกต้องต่างหาก”

“คุณว่าไงผมก็ว่างั้น เอาล่ะ ถึงเวลาไปกอบกู้โลกแล้ว” ว่าพลางเปิดประตูรถแล้วเดินปะปนไปกับฝูงชน ระหว่างนี้คีลก็เช็กความเรียบร้อยกับคนอื่นๆ ในทีมไปด้วย แต่ละคนอยู่ประจำจุดครบถ้วนดี ไม่มีปัญหาอะไร แต่ขั้นตอนสำคัญก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเขาอยู่ดี

เอลเลียตตรงดิ่งไปที่อาคารซึ่งมีประตูไม้ผุๆ เป็นทางเข้า และมีชายคนหนึ่งยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู เขาพูดอะไรกับชายคนนั้นสองสามคำก่อนอีกฝ่ายจะเปิดประตูให้เขาเข้าไปด้านใน

เสียงที่ดังผ่านหูฟังมาทำให้คีลพอจะจับได้ว่าสถานที่แห่งนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คน เสียงหัวเราะเฮฮาและเสียงเหรียญกระทบดังกริ๊งๆ ไม่ขาดสาย เสียงไม้กระทบกับลูกสนุกเกอร์ เสียงด่าทอสลับกับเสียงของเด็กเสิร์ฟที่ยื่นถาดซึ่งด้านบนเต็มไปด้วยแก้วเครื่องดื่มหลากชนิดที่ยื่นมาให้ผู้มาใหม่

“ขอบใจนะ” เอลเลียตพูดยิ้มๆ ขณะหยิบขึ้นมาถือแก้วหนึ่ง จากนั้นเจ้าตัวก็ตรงขึ้นไปบนชั้นสองอย่างชำนาญทางราวกับว่าเขาเคยมาที่นี่ไม่ต่ำกว่าสิบรอบ ซึ่งอันที่จริงนี่เป็นครั้งแรกต่างหาก และด้วยความไม่คุ้นหน้าคุ้นตา ทันทีที่ก้าวเท้าถึงหน้าประตู บอดี้การ์ดสองคนก็รีบเข้ามาขวางทางชายหนุ่มไว้

คีลที่ได้ยินแต่เสียงแข็งๆ ดังผ่านหูฟังมาเกร็งตัวนิดหนึ่ง เขาพร้อมที่จะเข้าไปคุมสถานการณ์ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นเนื่องจากเขาอยู่ใกล้กับที่ที่เอลเลียตเข้าไปมากที่สุด หากไม่กี่วินาทีต่อมาสถานการณ์ก็คลี่คลายอย่างรวดเร็วเมื่อเสียงของชายอีกคนดังแทรกเข้ามา คีลเดาได้ทันทีว่าคงเป็นเป้าหมายที่เทย์เลอร์จะไปคุยด้วยนั่นเอง

หลังจากที่พาตัวผู้มาใหม่ออกจากปัญหา แจ็ค พอร์เตอร์ก็ชวนให้เอลเลียตไปนั่งที่บาร์แล้วสั่งเครื่องดื่มให้ทั้งตัวเองและของอีกฝ่าย

“ทิ้งแก้วนั้นไปเหอะ” เจ้าตัวว่า “ก็แค่เหล้าถูกๆ กินไปก็เสียดายปาก แล้วนี่… เป็นไงมาไงถึงได้มาอยู่นี่ได้ เอลเลียต หรือว่าควรจะเรียกว่าไอเดนดี?”

“จะเรียกอะไรก็เรียก นายสบายดีรึเปล่า แจ็ค”

“ก็ดี” แจ็ค พอร์เตอร์เป็นชายหนุ่มรูปร่างผอม เส้นผมสีดำรุงรังยาวจนถึงบ่า ใบหน้าซูบตอบจนเห็นโหนกแก้ม ขอบตาคล้ำ ใบหน้าทรุดโทรม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าตัวหันกลับไปเล่นยาอีกแน่ หมอนี่พูดว่าจะเลิกๆ มาหลายครั้งก็ไม่เคยทำได้จริงๆ เสียที “แต่นายยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลย ตกลงมานี่ได้ไง ไม่ใช่ว่านายโดนจับเข้าไปอยู่ในคุกแล้วหรอกเหรอ”

“ใช่ โดนแล้ว”

“แล้วมาไง”

“ก็พ้นโทษออกมา”

แจ็คเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะหรี่ตาอย่างไม่ไว้ใจคนข้างตัว “ถ้าฉันจำไม่ผิด นายเพิ่งเข้าไปอยู่แค่… ปีกว่าเองไม่ใช่เหรอ”

“สองปี เพื่อนยาก แต่ฉันประพฤติตัวดี เลยหลุดออกมาได้เร็ว”

“แล้วตอนนี้ทำอะไร ยังไปเป็นนายหน้าขายบ้านอยู่ไหม”

“ยังหรอก เพิ่งออกมาไม่นาน” เขาว่า “ตอนแรกก็ว่าจะกลับตัวกลับใจไปทำงานดีๆ หรอกนะ แต่ใครที่ไหนจะรับคนมีประวัติแบบฉันเข้าไปทำงานง่ายๆ วะ”

“พูดอีกก็ถูกอีก” ชายหนุ่มทำเสียงในลำคอขณะหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด “คนพวกนี้แม่งซังกะบ๊วยกันหมด แล้วนายได้ติดต่อเทลออฟอดัมส์ไปรึยัง หมอนั่นน่าจะมีงานดีๆ ให้นายทำได้”

“ติดต่อแล้ว หมอนั่นช่วงนี้วุ่นๆ เลยรามือจากอะไรพวกนี้ไปบ้าง”

“อ้อ เลยนึกถึงฉันได้ล่ะสิ”

เอลเลียตผายมือออกไปข้างตัว “แล้วทำไมจะไม่ล่ะ”

“หึ ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แค่เห็นว่านายกับหมอนั่นสนิทกันถึงขั้นไปนอนอยู่ด้วยกันแทบทุกคืน เลยเดาว่ายังไงก็ต้องไปหาหมอนั่นแน่ๆ”

เอลเลียตสะดุ้ง เขารู้ดีว่าคีลจะได้ยินบทสนทนาตรงนี้ทั้งหมด แต่เขาไม่อยากให้คีลรับรู้เรื่องนี้เลย ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร

“ฉันเลิกกับหมอนั่นไปนานแล้วน่า” พูดพลางยกแก้วขึ้นจรดปาก“แล้วสรุปนายว่าไง ช่วงนี้มีอะไรให้ทำบ้างไหม รู้สึกเงินมันพร่องๆ ว่ะ ออกจากคุกมานี่เหมือนเริ่มต้นใหม่เลย ติดลบด้วยซ้ำ ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครแล้วเนี่ย”

“อืม…” แจ็คยกมือขึ้นลูบคาง สีหน้าครุ่นคิด “อันที่จริง ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเลยซะทีเดียวหรอกนะ”

เหยื่อค่อยๆ งับเบ็ดแล้ว ถึงตรงนี้เขาต้องระวังขึ้นมาหน่อยแล้วล่ะ

“จริงเหรอ แนะนำเพื่อนหน่อยสิ”

“ได้สิ อายออฟไอเดน” ชายหนุ่มว่าพร้อมกับกระแทกแก้วที่ว่างเปล่าของตัวเองลงบนโต๊ะ “ทำไมนายไม่รีบดื่มเหล้าของนายให้หมดๆ แล้วไปหาที่สงบๆ คุยกันล่ะ?”





--------------------------------------------------------

Talk: อะไรอ้ะ หนูเอล แอบร้ายนะหนู
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 4) P.1 [18/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 19-10-2017 04:02:07
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 4) P.1 [18/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 19-10-2017 16:59:16
บทที่ 5




ถึงตอนนี้ คีลก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอะไรๆ มันจะง่ายไปหมดแบบนี้

สายสืบหนุ่มกำลังขับรถไปตามท้องถนนเพื่อติดตามรถที่พอร์เตอร์ขับโดยมีเทย์เลอร์นั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับ

ตลอดทางที่อยู่บนท้องถนน คีลสังเกตได้ว่าเป้าหมายของภารกิจในครั้งนี้พยายามเอาใจนักโทษจำเป็นของเขาอย่างเกินเหตุ ซึ่งมันก็เป็นผลดีต่อทีมเขาตรงที่ว่าอีกฝ่ายสาธยายออกมาถึงสถานที่เก็บเงินซึ่งเป็นของกลาง วิธีการที่เจ้าตัวใช้ซึ่งตรงกับที่พวกเขาตั้งข้อสันนิษฐานเอาไว้ นั่นคือปลอมตัวเข้าไปเป็นช่างซ่อมไฟจากนั้นก็จัดแจงยัดกล้องถ่ายวิดีโอลงในสัญญาณเตือนไฟไหม้ ส่วนเรื่องคีย์การ์ดหรือระบบต่างๆ เหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับคนที่มีฉายาว่าเทลออฟอดัมส์ และเหมือนพอร์เตอร์เองก็ไม่สามารถลงรายละเอียดได้ลึกมากไปกว่านั้น

เทลออฟอดัมส์เหรอ

คีลไม่แน่ใจว่าเขาเคยได้ยินฉายานี้มาก่อนไหม แต่ชื่อนี้หลุดออกจากปากทั้งเทย์เลอร์และพอร์เตอร์หลายรอบแล้ว ไหนจะข้อเท็จจริงที่ว่าเทย์เลอร์เคยคบกับผู้ชายคนนี้มาก่อน เรื่องนั้นทำให้เขาหงุดหงิดใจอย่างประหลาด แต่สิ่งที่เขาต้องโฟกัสตอนนี้คือหาทางรวบทั้งขบวนการของพอร์เตอร์ให้ได้

เขาสั่งให้หนึ่งในทีมคนหนึ่งไปจัดการหาของกลางตามที่อยู่ที่พอร์เตอร์บอกให้เอเลียตฟังง่ายๆ เหมือนว่านั่นจะเป็นบ้านของญาติสักคนของเขา แต่คีลยังไม่แน่ใจว่าเจ้าของบ้านหลังนั้นเป็นหนึ่งในผู้สมคบคิดด้วยไหม ก็ต้องดูกันต่อจากนี้ไปนี่แหละ

แต่ที่สำคัญ… เขาไม่แน่ใจเลยว่าหมอนี่กำลังจะพาเทย์เลอร์ไปที่ไหน นี่ก็เข้าตัวเมืองแมนฮัตตันมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ดูเหมือนจุดหมายปลายทางจะยังไม่อยู่แถวนี้

“นี่” เสียงของเทย์เลอร์ดังมาให้ได้ยินผ่านหูฟังหลังจากที่เงียบไปอยู่นาน “แล้วนอกจากครั้งล่าสุดแล้ว นายได้ไปที่ไหนมาก่อนอีกหรือเปล่า”

คีลขมวดคิ้วเล็กน้อยกับคำถามตรงไปตรงมาของเทย์เลอร์ เขากลัวว่าเป้าหมายจะรู้ตัวว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลจริงๆ

“หืม” พอร์เตอร์ลากเสียงยาว “นายหมายถึงงานของเราน่ะเหรอ”

“จะหมายถึงอะไรได้อีกล่ะ”

“แล้วทำไมนายต้องอยากรู้เรื่องนั้น? ”

นั่นไง น้ำเสียงของอีกฝ่ายเริ่มระมัดระวังแล้ว

“ก็แค่ลองถามดู แต่มันก็งานปกติของพวกเราไม่ใช่หรือไง”

พอร์เตอร์ไม่ตอบ หากบรรยากาศระหว่างสองคนนั่นเงียบลงจนคีลรู้สึกใจคอไม่ดี ไม่รู้ทำไมถึงได้ห่วงไอ้คนผมน้ำตาลขึ้นมาจับใจเสมือนห่วงลูกน้องในทีมตัวเอง

“เฮ้ อย่าเงียบไปแบบนั้นสิ” ไอ้คนพูดมากยังไม่เลิกทำเซ้าซี้ “ทำหรือไม่ทำแล้วมันสำคัญตรงไหน ต่อให้ไม่ได้ปล้นธนาคาร ยังไงนายก็ทำอย่างอื่นฆ่าเวลาอยู่ดี อย่าปฏิเสธเลยว่าไม่จริง”

“ก็นะ แต่ฉันว่าฉันไม่จำเป็นต้องบอกนายทุกเรื่องถูกไหม”

“ก็จริง ไม่จำเป็นหรอก ฉันก็ไม่อยากรู้ขนาดนั้น”

“ดี”

“แล้วนี่นายจะพาฉันไปไหนเนี่ย นี่ก็ขับมาจะเป็นชั่วโมงอยู่แล้วนะ”

“ใจเย็นๆ สิ” คนขับว่าเสียงเรียบ “เดี๋ยวก็ถึงแล้ว”

คีลขยับไมค์ที่อยู่บนคอปกเสื้อเพื่อยืนยันว่ากำลังเสริมพร้อมสำหรับอะไรที่อาจจะเกิดขึ้นไหม เขาพอจะเดาได้ว่าตอนนี้เทย์เลอร์คงเริ่มมือชื้นเหงื่อขึ้นมาแน่ เพราะบรรยากาศระหว่างทั้งคู่เริ่มแปลกไป

ชายหนุ่มผมดำตั้งสมาธิในการฟัง เขาต้องขับรถอย่างระมัดระวังไม่ให้เข้าใกล้อีกฝ่ายมากเกินไป อันที่จริงเขาจะขับตามทิ้งระยะห่างกว่านี้ก็ได้เพราะมีเครื่องส่งสัญญาณจีพีเอสที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของเทย์เลอร์อยู่แล้ว แต่เขากลัวว่าถ้าทิ้งห่างเกินไปแล้วเกิดอะไรขึ้นมา เขาจะไปช่วยชายหนุ่มคนนั้นไม่ทันก็เท่านั้นเอง

รถของพอร์เตอร์เร่งความเร็วขึ้นเมื่อถึงจุดจุดหนึ่งบนท้องถนน คีลไม่แน่ใจว่านั่นหมายความว่าเป้าหมายเขารู้ตัวรึเปล่า เขาจึงตัดสินใจที่จะไม่เร่งตาม ประกอบกับทีรถบรรทุกคันหน้าขวางทางเขาพอดิบพอดี ถึงตรงนี้เขาก็กรอกเสียงลงบนเครื่องมือสื่อสารเพื่อบอกให้ทีมรู้ตัวแล้ว ไม่กี่อึดใจต่อมาเสียงที่ดังลอดมาทางหูฟังก็ทำให้เข้าใจสถานการณ์ได้มากขึ้น

“นี่นายพาฉันมาที่ไหนเนี่ย”

“หาเพื่อนใหม่ไง เฮ้ พวก หวัดดี ดูซิว่าฉันพาใครมา”

หืม… พามาถึงดงพวกตัวเองเลยเหรอ กำลังเสริมของเขาคงได้ทำงานเต็มที่แน่

มีเสียงพูดคุยและเสียงเฮฮาตื่นเต้นที่ได้ยินชื่ออายออฟไอเดนลอดมาให้ได้ยิน คีลเริ่มกรอกเสียงลงไปสั่งทีมของตัวเองอีกครั้งขณะที่เขาเริ่มมองหน้าจอเพื่อตามสัญญาณจีพีเอสไป แล้วสิ่งที่เขากลัวก็เกิดขึ้นจนได้เมื่อมีหนึ่งในกลุ่มถามขึ้นมาอย่างไม่ไว้ใจ

“ค้นตัวหมอนี่หรือยัง แน่ใจเหรอว่ามันไม่ได้เป็นสายให้ตำรวจ”

เกมโอเวอร์ล่ะ

คีลเหยียบคันเร่งขณะรายงานเรื่องนี้ให้คนในทีมรู้เพื่อไปถึงที่หมายให้เร็วที่สุด

“เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนสิ” เสียงของเอลเลียตดังแว่วๆ มาให้เขาได้ยิน แต่คีลไม่สนใจฟังอีกแล้ว เขาจอดรถเมื่อเห็นว่าเป้าหมายอยู่ไม่ไกลเนื่องจากไม่มีถนนให้ขับต่อไปแล้ว เขาออกแรงวิ่งสุดกำลังเพื่อตรงเข้าไปด้านในตรอกแคบๆ ที่อาคารรอบด้านผุพังและเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ

ได้ยินเสียงโวยวายดังมาให้ได้ยินจากหูฟัง ตามมาด้วยเสียงทุบหนักๆ แล้วก็เสียงครางของนักโทษของเขา

คีลควักปืนขึ้นมาถือเป็นจังหวะเดียวกับที่กำลังเสริมของเขาโผล่หน้ามาให้เห็นตามคำสั่งของเขาแล้ว ตอนนี้พวกเขาอยู่ด้านหน้าโกดังร้างที่สัญญาณจีพีเอสระบุตำแหน่งเอาไว้เรียบร้อย

“ฉันอุตส่าห์ไว้ใจแก แต่แกแม่งทำแบบนี้เหรอวะ!? ”

“ฆ่ามันเลย แจ๊ค! หนอนแบบนี้แม่งปล่อยไว้ไม่ได้”

“ฟังฉันอธิบายก่อน---”

มีเสียงขึ้นนกปืนดังขึ้น คีลส่งสัญญาณให้คนอื่นๆ ในทีมก่อนจะถีบประตูเข้าไปเต็มแรงจากนั้นก็กรูเข้าไปด้านในพร้อมกับอาวุธครบมือ

“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยกมือขึ้นเหนือหัวเดี๋ยวนี้”

มีผู้ชายวัยกลางคนอยู่ในนั้นด้วยกันห้าคน ผู้หญิงอีกหนึ่งคน ทั้งหมดดูจะอึ้งกับการโดนล้อมแบบนี้ไม่น้อย เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นแค่โจรปล้นที่ไม่เคยประมือกับผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แบบจะจะมาก่อน

นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่คมตวัดมองเอลเลียตก่อนเป็นอย่างแรก หมอนั่นยังปลอดภัยดี แค่กำลังนั่งคุกเข่ากับพื้น ชูสองมือขึ้นเหนือหัวตามคำสั่งของเขา บนแก้มข้างซ้ายมีรอยถูกต่อยให้เห็นจางๆ ทันทีที่ได้สบตากันเขาก็ได้เห็นถึงความโล่งอกระคนขอบคุณในนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยนั่น แต่คีลสัมผัสได้ว่ามันมีความหมายบางอย่างแฝงมามากกว่านั้น

เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ เริ่มกระจายตัวไปเพื่อจับกุมผู้ต้องหาแต่ละคนใส่กุญแจมือ คีลตรงไปที่ตัวแจ็ค พอร์เตอร์ที่ค่อยๆ วางปืนลงบนพื้นก่อนใคร เขากระชากตัวอีกฝ่ายให้เอามือไพล่หลังแล้วใส่กุญแจมือ ก่อนจะสาธยายข้อกล่าวหาและสิทธิมิแรนด้า*อันเป็นข้อปฏิบัติที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำเมื่อทำการจับกุม

“แจ็ค พอร์เตอร์ คุณถูกจับกุมข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับทีมในการปล้นชิงทรัพย์ธนาคาร คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด หากคุณสละสิทธิ์นี้ส่งที่คุณพูดสามารถนำไปใช้ได้ในศาล คุณมีสิทธิ์เรียกทนายและให้ทนายอยู่กับคุณในระหว่างสอบปากคำ ถ้าคุณไม่สามารถหาทนายได้ ทางรัฐจะเป็นฝ่ายจัดหาให้คุณโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย”

“เอลเลียต เทย์เลอร์! ” พอเตอร์แทบคลั่งขณะที่ถูกคีลลากออกไปด้านนอกพร้อมกับคนอื่นๆ “ฉันว่าแล้วเชียวว่าแกมันไว้ใจไม่ได้! ฉันน่าจะลากแกเข้าหลังร้านแล้วกดแกซะให้รู้แล้วรู้รอด อย่านึกว่าเป็นคนโปรดของอดัมส์แล้วแกจะรอดไปได้นะ ไอ้สารเลว! เจอกันครั้งหน้าฉันเอาแกตายแน่! ”

เอลเลียตยกมือขึ้นแตะแก้มขณะค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นโดยมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งมาช่วยพยุงเขา ตกใจไม่น้อยเรื่องที่อีกฝ่ายคิดจะกับเขาในเรื่องทางเพศแบบนั้น อาจเพราะเจ้าตัวรู้ความสัมพันธ์ของเขากับลีโอด้วยกระมัง แต่ก็นั่นแหละ ไอ้บ้านี่คิดจะปล้ำเขามาตั้งแต่ตอนที่อยู่ในร้านด้วยกันแล้วน่ะนะ? บ้ารึเปล่า!? ไม่ดูขนาดตัวเองกับขนาดตัวเขาเลย!

“อูย เจ็บชะมัด” เจ้าตัวครางขณะลูบแก้มตัวเอง และถึงเขาจะรู้ว่าถ้าสู้กันตัวๆ ยังไงเขาก็ชนะแรงของแจ็คแน่ แต่ถ้าหมอนี่มีพวก หรือมีปืนสักกระบอก เขาอาจจะต้องยอมมันก็ได้ แต่ไม่ล่ะ ถ้าแค่ปืน เขาว่าเขาเอาอยู่ แต่ถ้าพวกหลายๆ คนแล้วอาวุธครบมือก็อีกเรื่อง เออ อย่าบอกนะว่ามันคิดเรื่องนี้ตอนที่พาเขามาที่นี่ด้วย พูดเป็นเล่นน่า ก็เมื่อกี้มีเอเลน่า เคอร์ติสเป็นผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในทีมด้วยไม่ใช่เหรอ คิดจะปล้ำเขาต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นหรือ---

เดี๋ยวนะ เอเลน่า เคอร์ติสเหรอ ใช่ เมื่อกี้ต้องเป็นหล่อนไม่ผิดแน่

“คุณ”

“เฮ้ย! ” เอลเลียตแทบสะดุ้งไปติดฝาด้านบนเลยทีเดียวเมื่อหันกลับไปเจอเสาไฟฟ้าเดินได้ยืนอยู่ประชิดตัวเขา “คีล… ตกใจหมดเลย”

“มากับผม” พูดพลางคว้าแขนอีกฝ่ายแล้วกระชากไปที่รถ

“เฮ้ เดี๋ยวสิ” คนผมน้ำตาลโวยวาย “นี่ผมโดนจับกุมด้วยงั้นเหรอ มันเรื่องอะไรกันคุณถึงต้องรุนแรงแบบนี้”

แต่คีลก็ไม่ฟัง เขายัดนักโทษในการควบคุมของตัวเองเข้าไปที่นั่งข้างคนขับ เอลเลียตอ้าปากค้าง แต่พอเห็นสีหน้านิ่งๆ แต่ดวงตาฉายแววโกรธขึ้งก็ตัดสินใจไม่โวยวายอะไร แม้ใจจะเริ่มตุ้มๆ ต่อมๆ ใจคอไม่ดีกับทั้งเรื่องของแจ็ค พอร์เตอร์กับเอเลน่า เคอร์ติสที่เคยเป็นเพื่อนร่วมทีมในการโจรกรรมธนาคารของเขา

เขาไม่ได้สนิทอะไรกับคนหลัง เคยเห็นแค่ผ่านๆ เคยพูดคุยด้วยสักคำหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่เขามีลางสังหรณ์ไม่ดีกับเรื่องนี้ เขาตั้งใจจะทิ้งไพ่แค่ใบเดียวแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นสอง ส่วนคนอื่นๆ ที่เป็นพวกของแจ๊คที่เขาไม่รู้จักนั้นเขาไม่นับ หมอนั่นมันบ้าเองที่พาเขามาถึงถิ่นแบบนั้น

“เฮ้” คิดถึงเรื่องนี้แล้ว เอลเลียตก็อดเปิดปากขึ้นไม่ได้ “ผมว่าผมเพิ่งทำผลงานชิ้นโบแดงไปนะ”

คีลไม่ตอบ ท้องฟ้าภายนอกที่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีดำทำให้เขามองเห็นหน้าอีกฝ่ายได้ไม่ชัด หากแสงไฟจากข้างทางที่ส่องกระทบเข้ามาเป็นระยะๆ กลับทำให้คนข้างตัวเขาดูมีเสน่ห์ขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ

เอลเลียตพิจารณาใบหน้าคมสันนั่นอย่างถ้วนถี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ อยากลองจูบปากหมอนี่ ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วไม่รู้เหมือนกัน

บางทีเขาควรจะได้รางวัล

เขายอมทิ้งไพ่ของตัวเองไปตั้งสองใบ เขาควรจะได้อะไรตอบแทนบ้าง นอกเหนือจากการลดโทษโดยการลดระยะเวลาที่เขาต้องอยู่ในคุกแล้ว เขาสงสัยว่าเขาจะขออย่างอื่นด้วยได้ไหม

อาจจะลองเสี่ยงดูก็ได้… เขาว่าคีลเองก็แอบมองๆ เขาอยู่บ้างเหมือนกันนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นเมื่อคืนจะเข้ามาหาเขาในห้องแบบนั้นเหรอ อีกอย่าง… เอลเลียตเองก็คิดว่าตัวเองแสดงออกค่อนข้างชัดว่าสนใจอีกฝ่ายในเชิงชู้สาว และการที่คีลไม่ได้ทำท่ารังเกียจอะไรก็แปลว่า… อืม พอเป็นไปได้อยู่มั้ง?

“นี่ คุณ” เขาพยายามอีกรอบ “พูดอะไรหน่อยสิ คุณจะเจรจาลดโทษให้ผมเพิ่มใช่ไหมกับงานนี้”

“อาจจะนะครับ” คนปากหนักพูดขึ้นในที่สุด “นี่จะเป็นงานสุดท้ายของคุณแล้ว”

“อะไรนะ!? ” ถ้านี่ไม่ใช่เบาะที่ติดมากับตัวรถแต่เป็นเก้าอี้สี่ขาเข้าชุดกับโต๊ะกินข้าว ป่านนี้เขาคงหงายหลังล้มตึงไปแล้ว “แต่… ทำไมล่ะ!? ผมทำได้ไม่ดีเหรอ คุณก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือไงว่าจับผู้ต้องหาได้ตั้งหลายคน”

“ยังไงวิธีการนี้มันก็ลวกเกินไป หลักฐานก็ใช่ว่าจะมัดตัวผู้ต้องหาได้อย่างแน่นหนา”

“ไม่แน่นหนาบ้าอะไร” เอลเลียตอยากจะกระทืบเท้าเร่าๆ “ก็ตอนที่ผมพยายามล้วงความลับจากหมอนั่นไง คุณก็ได้ยินหมดแล้วไม่ใช่เหรอ แค่ที่มันพูดออกมาก็ชัดเจนจะแย่แล้ว”

“ในทางปฏิบัติมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกครับ”

“คุณมันบ้า! คีล ที่คุณกำลังพยายามทำคือแค่จะเขี่ยผมออกไปอย่างนั้นใช่ไหม ถึงได้หาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาอ้าง! ”

หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 4) P.1 [18/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 19-10-2017 16:59:54

[ต่อ]



ไอ้คนผมดำไม่ตอบ และเอลเลียตที่กำลังหวังว่าจะได้รางวัลจากอีกฝ่ายหน้าร้อนขึ้นมาด้วยความโกรธ และด้วยความหงุดหงิดนี้เองที่ทำให้เขาบ้าบิ่นพอกระโจนไปกระชากพวงมาลัยรถจนรถส่ายไปมาอย่างเสียจังหวะ เสียงบีบแตรดังขึ้นจากด้านหลังตามด้วยเสียงเอ็ดตะโรของคนขับ

คีลผลักเอลเลียตออกไปจากนั้นจึงยึดพวงมาลัยแน่นขึ้น หักเลี้ยวเข้าจอดรถข้างทาง ตวัดสายตาคมกริบกลับมาดุอีกฝ่าย

“คุณเป็นบ้าไปแล้วเหรอ ไม่อยากตายในคุกแล้วใช่ไหม ตายบนท้องถนนสภาพศพมันคงจะสวยกว่าสินะ”

“ผมไม่ยอมตายในคุกหรอก! ” พูดด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นอย่างหัวเสียเต็มที่ “คุณบอกมาดีกว่าว่าเป็นบ้าอะไรขึ้นมา อยู่ๆ ถึงได้คิดจะเตะผมเข้าตารางตามเดิมแบบนี้ ผมหมดประโยชน์แล้วใช่ไหม ผมยกเพื่อนใส่พานถวายให้คุณได้คนหนึ่งผมก็หมดประโยชน์แล้วใช่ไหม”

“คุณคิดจริงๆ รึไงว่าตัวเองมีประโยชน์มาแต่แรก”

ประโยคนั้นทำให้เอลเลียตรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าด้วยมือที่มองไม่เห็น

“ที่ผมต้องคอยเอาคุณมากระเตงๆ ด้วยเพราะคำสั่งของเบื้องบนหรอก แล้วบอกเลย ต่อให้ไม่มีคุณผมกับทีมก็จะหาทางจับตัวคนร้ายกันเองได้ คุณจำไม่ได้เหรอว่าฉลาดๆ อย่างคุณผมยังจับมาได้มาแล้ว คิดว่าผมจะทำอีกไม่ได้หรือไง”

“แล้วคุณไม่คิดบ้างหรือไงว่าผมทำให้งานคุณเร็วขึ้นแล้วก็ง่ายขึ้นน่ะ! ” เอลเลียตพูดอย่างไม่เข้าใจ เขาอุตส่าห์คิดว่าเข้าคู่ได้ดีกับหมอนี่แล้วแท้ๆ แต่แล้วเมื่อนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นหยุดลงที่รอยแผลข้างแก้มเขา เอลเลียตก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาว่าเพราะอะไร

มันทำให้เขารู้สึกดีและโกรธไปพร้อมๆ กัน

“คุณเป็นห่วงเรื่องที่ผมโดนทำร้ายนี่เหรอ? ”

คีลไม่ตอบ หากหันหน้าหนีไปอีกทางแล้วกระแทกมือลงบนพวงมาลัยเล็กน้อย เอลเลียตคาดคั้น

“คุณจะบ้าหรือไง ผมไม่ใช่ผู้หญิงแสนบอบบางที่ต้องได้รับการปกป้องตลอดเวลานะ กับอีแค่เรื่องแค่นี้”

“อ้อ เหรอ งั้นเรื่องที่คุณโดนปืนจ่อหัวนั่นก็ด้วยเหมือนกันใช่ไหม”

“แปลว่าคุณห่วงผมจริงๆ ”

คีลเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เอลเลียตคิดว่าตัวเองดีใจ แต่เขาหงุดหงิดมากกว่าที่อีกฝ่ายงี่เง่าได้ขนาดนี้

“เพราะคุณห่วงผมเลยคิดจะเขี่ยผมออกจากทีมงั้นเหรอ”

ก็ยังไม่ตอบ

“แปลว่าถ้าคุณห่วงลูกน้องในทีมคุณ คุณก็เอาพวกเขาออกด้วยสิ? ”

“ทุกคนในทีมผมเป็นมืออาชีพ”

เอลเลียตแทบเต้นกับคำตอบเชิงดูถูกกลายๆ ว่าเขาไม่ใช่มืออาชีพ

แค่พูดว่าเป็นห่วงเขาแค่นี้ ทำไมไอ้หมอนี่มันถึงได้ปากหนักแบบนี้วะ!

โดยไม่ทันรู้ตัว ชายหนุ่มก็กระชากคอเสื้อของสายสืบหนุ่มให้หันมามองหน้าเขาก่อนจะตะโกนอย่างเหลืออด

“เป็นห่วงผมก็พูดออกมาสิวะว่าเป็นห่วง มันยากเย็นตรงไหน!? คุณห่วงผมใช่ไหม! เพราะว่าคุณกลัวว่าผมจะเป็นอะไรถึงได้อยากเอาผมออกจากทีม”

“คุณไม่ได้อยู่ในทีมผมมาแต่แรก”

“อยู่! ผมอยู่ทีมเดียวกับคุณ ผมนอนอพาร์ทเม้นท์เดียวกับคุณด้วยซ้ำ! นี่คุณเป็นบ้าอะไร หา คีล วิลล์! แค่พูดว่าห่วงผมนี่มันจะทำให้คุณตายรึไง!? ”

“ผมห่วงคุณ”

“ก็บอกว่าให้พูดออกมาไงวะ! ” จากนั้นมือขาวก็ฟาดลงบนแก้มของคีลดัง เพียะ!

ใบหน้าคมหันไปตามแรงตบ เอลเลียตอ้าปากค้างอย่างอึ้งๆ สมองประมวลผลตามไม่ทัน ไม่รู้จะตกใจเรื่องไหนก่อนดีระหว่างคำพูดจากปากอีกฝ่ายกับการกระทำของตัวเอง นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววเซ็งจัด จากนั้นปิดเปลือกตาลงเหมือนไม่อยากยอมรับความรู้สึกนี้ ไอ้ที่เทย์เลอร์ตบเขาน่ะมันไม่เท่าไรหรอก แต่ไอ้ที่เขาไม่รู้สึกโกรธเจ้าตัวเลยนี่สิที่แย่กว่า

“คุณ… คุณยอมพูดแล้ว” เขาว่าเสียงสั่น ในอกพองฟูด้วยความรู้สึกยินดีอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมาเป็นนานแสนนาน

เอลเลียตเลื่อนสองมือไปประคองใบหน้าอีกฝ่ายที่หันหนีเขาไปอีกทาง และยังไม่ทันที่คีลจะตั้งตัว พ่ออาชญากรตัวแสบก็ถลาเข้ามาขโมยจูบเขาอย่างรวดเร็วและโหยหา

คีลไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจชอบได้นาน เขาผลักไหล่ของอีกฝ่ายให้กลับลงไปพิงเบาะรถตามเดิม ปลดสายเข็มขัดของตัวเองออก จากนั้นจึงยกเข่าพาดมาคร่อมที่เบาะนั่งข้างคนขับ คร่อมร่างของเทย์เลอร์ ปรับเบาะให้เอนลงไปด้านหลัง จากนั้นจึงเบียดริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากคู่สวยของอีกฝ่ายอย่างรุนแรง แทรกลิ้นเข้าผ่านโพรงปากหวานของอีกฝ่ายพร้อมๆ กับเอื้อมมือไปยึดหลังต้นคอคนด้านล่างให้ขยับรับจูบของเขาอย่างเต็มที่

เอลเลียตยกมือยึดแผ่นหลังกว้างของคนด้านบน ขยับลิ้นร้อนรับสัมผัสวาบหวามของอีกฝ่ายอย่างสมยอม จูบซาบซ่านกำลังทำให้เขาละลายและเคลิบเคลิ้มไปด้วยแรงอารมณ์ จนกระทั่งมือหนาสอดเข้าใต้สาบเสื้อ ไล่มาจนถึงยอดอกแล้วบดขยี้ด้วยแรงพอประมาณ เอลเลียตก็สะดุ้งเฮือกพร้อมกับผลักอีกฝ่ายออกด้วยความตกใจ หน้าแดงไปถึงหูเลยทีเดียวเนื่องจากไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรุกหนักขนาดนั้น

“คะ… คุณทำอะไรน่ะ”

"คุณเริ่มก่อนเองนะ" คีลย้อนกลับอย่างไม่สะทกสะท้อน หากร่องรอยความปรารถนาที่สะท้อนอยู่ในแววตาทำให้เอลเลียตใจเต้นแรงขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ "นี่ขนาดผมแค่บอกว่าห่วงคุณ คุณยังบ้าได้ถึงขนาดนี้ ถ้าผมบอกชอบ คุณไม่แก้ผ้ารอเลยเหรอ"

ราวกับจะตอบรับคำท้า เอลเลียตที่ดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็วเงยหน้าขึ้นไปจูบปากคีลอีกรอบอย่างอ่อนหวาน ขณะมือเริ่มปลดกระดุมเสื้อของตัวเอง ก่อนจะกระซิบข้างหูอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงยั่วยวน

"งั้นก็พูดเลยสิ คุณตำรวจ คำนั้นน่ะ พูดออกมาเลย"

คีลหัวเราะในลำคอ ไล้ริมฝีปากลงบนข้างขมับของเอลเลียตอย่างมันเขี้ยวขณะตอบกลับเสียงกลั้วหัวเราะ

"ถ้าผมไม่พูด คุณจะตบผมอีกรึไง"

เอลเลียตหัวเราะรับ เลื่อนแขนขึ้นไปรัดคอคนด้านบนที่โน้มหน้าลงมาฟัดลำคอขาวผ่องของเขา รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างพวกเขา

"ผมจะชิงตัดหน้าบอกก่อนต่างหาก... ผมชอบคุณ"

คีลก้มหน้าลงบดริมฝีปากอ่อนนุ่มอย่างแรงด้วยความมันเขี้ยว นิ้วเลื่อนไปเขี่ยยอดอกอีกฝ่ายอย่างซุกซน พอใจกับเสียงที่เหมือนแมวครางซึ่งเล็ดลอดออกมาจากปากคนด้านล่าง นัยน์ตาสีฟ้าฉ่ำเยิ้มที่ปรือขึ้นมามองเขาราวกับกำลังบอกว่าต้องการมากกว่านี้ ยิ่งทำเอาร่างสูงอยากปู้ยี่ปู้ยำพ่อคนช่างยั่วให้นึกเสียใจที่ท้าทายเขาอย่างนั้น

เสียงหวานครางลอดผ่านลำคอระหงเป็นห้วงๆ เอลเลียตแหงนหน้าไปด้านหลัง แอ่นอกเปลือยเปล่าของตัวเองให้อีกฝ่ายตวัดลิ้นสลับกับขบเม้มตามจุดต่างๆ อย่างเมามัน มือสากล้วงเข้าไปใต้กางเกง จงใจป่ายมือเฉียดส่วนอ่อนไหวที่เริ่มชูชันขึ้นมาผ่านเนื้อผ้าแล้ววางลงบนต้นขาอ่อนของอีกฝ่าย ลูบไล้วนไปมาเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ เอลเลียตรู้สึกว่าเสียงครางกระเส่าของตัวเองน่าอายเป็นบ้า แต่เขาควบคุมมันไม่ได้เลย

"คุณนี่ น่าเหลือเชื่อจริงๆ เลยนะ" เสียงทุ้มต่ำของคีลกระซิบข้างหูเขาอย่างนึกขัน "ชอบคนที่จับคุณยัดเข้าตารางไปตั้งสองปีลงได้ยังไง หือ"

"ว่าแต่คนอื่น" เอลเลียตทำเสียงอย่างหนึ่งในลำคอ "คุณเองก็น่าเหลือเชื่อเหมือนกันนั่นแหละ"

"ยังไงครับ"

"ก็ภายนอกออกจะดูสุภาพบุรุษ แถมยังเย็นอย่างกับภูเขาน้ำแข็งขนาดนั้น"เอลเลียตจับเนกไทของอีกฝ่ายด้วยท่าทียั่วยวน "แต่ที่จริงแล้วดิบเถื่อนสุดๆ ไปเลย"

"คุณมีปัญหากับเรื่องนั้นเหรอ"

"เปล่านี่" พูดด้วยรอยยิ้มกว้างจนถึงขั้นยียวนเลยทีเดียว "ผมชอบนะ เร้าใจดี"

“หึ” คีลดึงเนกไทของตัวเองออกจากมืออีกฝ่าย ขยับหน้าไปกัดริมฝีปากของคนปากดีทีหนึ่ง “แต่ผมเกลียดคนแบบคุณที่สุดเลย เทย์เลอร์ ทั้งอวดดี แถมยังทำตัวน่าตีตลอดเวลาอีก”

“ดีเลย” เอลเลียตยิ้มหวานอย่างไม่สะทกสะท้าน ดึงตัวอีกฝ่ายลงมาให้แนบชิดกับร่างกายของตัวเอง มีเพียงเนื้อผ้าบางเบาที่ยังติดตัวคีลอยู่เท่านั้นที่ขวางกั้นพวกเขาไว้ “งั้นก็ทำโทษผมแรงๆ หน่อย คีล เอาให้ผมไม่กล้าหือกับคุณ”

ท้าทายด้วยปากอย่างเดียวไม่พอ มือของเจ้าตัวเลื่อนไปปลดเข็มขัดของอีกฝ่ายออก มันร่วงลงอย่างรวดเร็วเพราะน้ำหนักของปืน กุญแจมือ ตราตำรวจ และอะไรก็ตามที่เหน็บอยู่บนนั้น จากนั้นเอลเลียตก็ดึงท่อนล่างทั้งหมดของอีกฝ่ายลง มือกอบกุมส่วนที่ชูชันขึ้นมาของคนตรงหน้า รูดมือขึ้นลง ครางเสียงกระเส่าในลำคอเมื่ออีกฝ่ายประกบจูบร้อนลงมาอีกครั้ง จ้วงลิ้นเข้ามาโพรงปากเขาอย่างไร้ความปรานี เหมือนตั้งใจจะทำให้เขาละลายไปทั้งๆ อย่างนั้นได้

คิดดูแล้วก็แปลกดี เขามั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่คนที่อ่อนประสบการณ์เรื่องพวกนี้ จูบกับคนที่เทคนิคเด็ดๆ ก็ทำมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่กับคีลมันต่างออกไป เอลเลียตก็ยังไม่แน่ใจว่ายังไง เพียงแต่เขารู้สึกว่าตัวเองจะต้องเสพติดมันในอีกไม่นานนี้แน่

คนผมน้ำตาลส่งเสียงขณะที่มือหนาละเลงลงบนส่วนปลายที่มีน้ำใสเอ่อซึมขึ้นมาอย่างมันมือ คีลขยับนิ้วเรียวที่ชื้นขึ้นเข้าไปที่ปากทางด้านหลัง เอลเลียตขยับหน้าลงมางับปากบนไหล่เขา ตัวสั่นเล็กน้อยเหมือนลูกหมาที่ตื่นกลัว เพราะถึงเขาจะเคยทำเรื่องพวกนี้มาขนาดไหน แต่การที่ห่างหายไปสองปีกว่าก็ทำให้เขาหวาดเสียวไม่น้อยเหมือนกัน

เอลเลียตครางเสียงกระเส่าเมื่อนิ้วแรกชำแรกเข้ามาในตัวเขา ตามมาด้วยนิ้วที่สองติดๆ น้ำใสรื้นมาที่ขอบตาของชายหนุ่มด้วยความเสียวซ่านเมื่อทั้งสองนิ้วในตัวเขาเริ่มขยับไปมาหาจุดกระสันของช่องทางด้านหลัง

นึกขอบคุณที่คีลจอดรถในที่ที่ค่อนข้างเปลี่ยว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีรถวิ่งฉิวอยู่ตามท้องถนนผ่านพวกเขาไป มันทำให้เอลเลียตตกใจระคนตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อคิดว่าอาจมีใครมองเข้ามาเห็นว่าพวกเขาสองคนทำอะไรอยู่ในรถคันนี้ ถึงแม้ว่าความเป็นจริงแล้วมันจะมืดจนมองอะไรไม่เห็น ประกอบกับที่รถคันนี้ติดฟิล์มอยู่ด้วยก็เถอะ แต่ในด้านความรู้สึกแล้ว เอลเลียตก็รู้สึกเหมือนกำลังเล่นหนังสดให้คนที่ผ่านไปมาชมอยู่ดี

คนผมน้ำตาลบิดตัวเกร็งเมื่อคีลกดนิ้วย้ำลงบนจุดนั้นซ้ำๆ เจ้าตัวเอ่ยปากห้าม แต่คีลก็ไม่ฟังอยู่ดี วินาทีต่อมาทุกอย่างก็ขาวโพลน คีลทำให้เขาเสร็จก่อนจนได้ และตอนนี้น้ำสีขาวขุ่นก็กระจายอยู่เต็มหน้าท้องของเจ้าตัวที่ยังหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน

นะ… น่าอายชะมัด นี่หมอนี่ให้เขาถึงก่อนได้ยังไงเนี่ย

“เดี๋ยว! ” เอลเลียตร้องด้วยความใจเมื่ออีกฝ่ายลากลิ้นลงบนร่างกายเขา ทำความสะอาดน้ำพวกนั้นอย่างรวดเร็ว เขาเคยคิดว่าตัวเองหน้าหนามาก่อนนะ แต่พอมาเจอหมอนี่ถึงได้รู้ว่าหน้าหนาจริงๆ น่ะเป็นยังไง

ใบหน้าขาวเนียนของชายหนุ่มแดงเถือกจนเลยไปถึงใบหู คีลเห็นแล้วอดยิ้มด้วยความสะใจระคนเอ็นดูไม่ได้ เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วยังทำเก่งอยู่เลย นี่ยังไม่ทันไรก็ดูจะพ่ายแพ้ให้แก่เขาเสียแล้ว

และเหมือนเอลเลียตจะรู้ความหมายของรอยยิ้มนั้น เจ้าตัวโอบแขนรอบคอของคีลอีกรอบก่อนจะพูดเสียงเข้มขึ้นเป็นเชิงขู่

“รีบๆ ใส่เข้ามาได้แล้ว รอผมหมดอารมณ์ก่อนรึไง”

“ผมไม่กลัวเรื่องนั้นหรอก” คนด้านบนกระซิบเสียงเจ้าเล่ห์ “ผมทำให้คุณเกิดอารมณ์ได้เสมอแหละ”

ไอ้… ไอ้ตำรวจลามก!

คีลเปิดเก๊ะหน้ารถแล้วหยิบถุงยางออกมาซองหนึ่งจากนั้นก็สวมใส่อย่างรวดเร็ว เอลเลียตกอดแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายแน่น กระตุกตัวอีกระลอกเมื่อความแข็งแกร่งแทรกผ่านตัวเขามาทีละนิด ความเจ็บปวดแทรกผ่านร่างกายมาก่อนเป็นอย่างแรก คีลจึงเลื่อนริมฝีปากไปจูบข้างขมับเพื่อให้ร่างในอ้อมแขนผ่อนคลายลง จากนั้นเขาถึงแทรกตัวผ่านเข้ามาได้ทั้งหมด

“อะ อือ…” เอลเลียตครางแผ่วเบา ฟุบหน้าลงกับบ่ากว้างเมื่อคีลใจดียอมอยู่นิ่งๆ ให้ร่างกายของเขาได้ปรับสภาพให้คุ้นชินกับสิ่งที่เพิ่งแทรกผ่านเข้าไป และเมื่อคิดว่าเอลเลียตคงไม่เป็นไรแล้ว คีลก็เลื่อนเบาะให้เอนไปด้านหลังจนสุดเพื่อให้มีพื้นที่มากขึ้นจากนั้นก็เริ่มขยับตัวเข้าออกเป็นจังหวะ เอลเลียตจิกนิ้วลงบนบ่าของอีกฝ่ายจนแทบเข้าไปถึงในเนื้ออย่างหาที่ระบายอารมณ์

เอลเลียตไม่เคยรู้สึกอายกับเสียงครางของตัวเองขนาดนี้มาก่อน รถที่วิ่งผ่านไปทำให้เขาใจเต้นระส่ำจนเหมือนจะกระเด็นหลุดออกมาจากอก เลือดสูบฉีดแรงจนเขากลัวว่าตัวเองจะเป็นอะไรหลังจากนี้ไหม

คีลก้มลงไซร้ลงบนคอเขาอีกครั้งโดยที่ยังกระแทกเข้ามาไม่หยุด แต่เอลเลียตก็ขยับสะโพกรับทุกการเคลื่อนไหวนั้นเหมือนกัน จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งที่เกือบจะไต่ถึงจุดสุดยอดอีกครั้ง เขารู้สึกโหยหามันขึ้นอีกรอบ แต่ไอ้คนด้านบนก็เอาแต่นัวเนียอยู่ที่คอเขาอยู่ได้

“คีล” เรียกเสียงแผ่ว “จูบ… จูบผมหน่อย”

นัยน์ตาคู่คมช้อนขึ้นมามองตาเขา เลิกคิ้วขึ้นหนึ่งเป็นเชิงถาม นี่ขนาดเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มยังจะกวนตีนอีกนะ ไอ้หมอนี่…

“นะ… นะครับ ที่รัก”

“นี่ผมเป็นที่รักของคุณตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”

ก็ตอนนี้แหละ มีเซ็กส์กันอยู่จะจะแบบนี้จะให้เป็นตอนไหนล่ะ

และผลสุดท้ายคีลก็ก้มหน้าลงมาจูบเขาอีกครั้งอย่างลึกซึ้งเนิ่นนาน เอลเลียตปล่อยให้ทั้งตัวเองและคนด้านบนถึงจุดสุดยอด แต่ไม่ยอมปล่อยให้ริมฝีปากคู่นั้นผละออกไปจากเขาเลย พอคีลทำท่าจะผงกหัวขึ้น แขนเขาก็รั้งอีกฝ่ายลงต่ำให้จูบลงมาอีก แต่พอเขาคิดจะเบือนหน้าหนี มือหนาก็จับให้เขาหันไปรับจูบต่ออีกจนได้

ราวกับว่ามันจะดำเนินไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนความมืดที่กลืนกินท้องฟ้าในราตรีนี้

ถ้าคำว่าไม่มีที่สิ้นสุดเกิดขึ้นได้จริงๆ ก็คงดี






-------------------------------------------

*สิทธิมิแรนด้า (Miranda rights) : เป็นสิทธิ์หรือคำเตือนที่ตำรวจของสหรัฐอเมริกาต้องแจ้งหรืออ่านให้ผู้ต้องสงสัยในคดีรับทราบและต้องได้รับการยินยอมจากผู้ต้องหาในการให้ปากคำ ด้วยสิทธิ์ตัวนี้ ผู้ต้องสงสัยสามารถเลือกที่ไม่พูดก็ได้ แต่หากสละสิทธิ์ตัวนี้และเริ่มให้ข้อมูลกับตำรวจ คำพูดหลังจากนั้นสามารถนำไปใช้ในศาลได้ [ข้อมูลจาก> https://en.wikipedia.org/wiki/Miranda_warning (https://en.wikipedia.org/wiki/Miranda_warning)]

Talk: เอลเลียต หนูไปตบคุณตำรวจทำไม ตบจูบด้วยนะ ถึงแม้ว่าคนตบกับคนจูบจะเป็นคนเดียวกันก็เถอะ 555555
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 5) P.1 [19/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 19-10-2017 17:42:22
เปลี่ยนอารมณ์เร็วมาก เป็นตอนที่เรียกเลือดจริงๆ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 5) P.1 [19/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 19-10-2017 22:15:44
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 5) P.1 [19/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 20-10-2017 14:14:55
ไม่คิดว่าจะไวขนาดนี้ เห็นวางฟอร์มกันทั้งคู่ กรี๊ด !!  :jul1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 5) P.1 [19/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 22-10-2017 15:57:34
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 5) P.1 [19/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 23-10-2017 01:02:31
 :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 5) P.1 [19/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 23-10-2017 17:33:48

บทที่ 6




ทั้งคู่กลับมาถึงห้องพักตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และแม้ว่าตอนนี้จะเลยเวลาตีหนึ่งมาแล้ว ร่างของคนทั้งสองก็ยังแนบชิดนัวเนียกันอยู่บนเตียงอย่างไม่เกรงกลัวว่ารุ่งอรุณจะมาเยือนในอีกไม่กี่ชั่วโมง คีลผละออกจากร่างของเอลเลียตแค่ครั้งเดียวตอนประมาณห้าทุ่มที่มีสายโทรเข้าจากคนในทีมและเขาจำเป็นต้องตอบ แต่หลังจากนั้นสายสืบหนุ่มก็ลากคนผมน้ำตาลเข้าไปอาบน้ำด้วย แล้วก็มาต่อที่บนเตียงจนถึงตอนนี้ เรียกได้ว่าแทบไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้หายใจหายคอเลย

"อ่า คีล" ริมฝีปากคู่สวยพูดพร้อมกับหอบระรัวที่มือหนาจับเขาพลิกคว่ำลงกับเตียงแล้วยกสะโพกให้ลอยขึ้น "ผมว่าเราน่าจะ-- อึก"

เอลเลียตเชื่อแล้วว่าพวกตำรวจนี่อึดจริงๆ ไม่สิ จะเหมารวมแบบนั้นไม่ได้เพราะเขารู้จักตำรวจจริงๆ แค่คนเดียว เอาเป็นว่าสายสืบที่ชื่อคีล วิลล์คนนี้โคตรถึกเลยแล้วกัน คนอื่นจะเป็นยังไงเขาไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คือตอนนี้เสียงเขาแหบจนครางแทบไม่ออกแล้ว

"คีล มะ... ไม่ไหว ผมไม่ไหวแล้ว ขอผมพักหน่อย ขอผมพักหน่อยนะครับ ที่รัก"

“หึ” คีลยกยิ้มเหยียด โน้มหน้าลงไปงับหูก่อนจะกระซิบเสียงยียวน “คุณเป็นคนท้าก่อนเองแท้ๆ นะ”

“!” ร่างที่บางกว่าดิ้นพล่านอีกรอบเพราะนอกจากคีลจะไม่ฟังคำขอของเขาแล้ว ไอ้ซาดิสม์นี่ยังกระแทกลงมาแรงกว่าเดิมเสียอีก คีลขยับสะโพกต่อไปอีกครู่ใหญ่ จนกระทั่งพวกเขาทั้งคู่ถึงจุดสุดยอดอีกรอบนั่นแหละ คนผมดำถึงได้ยอมผละตัวออกไปในที่สุด

เอลเลียตเอื้อมมือไปแตะของเหลวที่หน้าท้องแม้ว่าทั่วทั้งร่างจะยังสั่นเทาเพราะความปรารถนาที่ถูกรีดเค้นออกไปไม่ยั้งในไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา มันเหลือแค่น้ำใสๆ แล้วตอนนี้ เขายังแทบไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่ายังเหลืออะไรให้ออกมาอีก

เรียกได้ว่าไอ้ที่เขาเก็บกดมาเนิ่นนานในเรือนจำได้รับการปลดปล่อยไปจนเกลี้ยงในคืนเดียว อยากจะใช้คำว่าน่าพึงพอใจ น่ารื่นรมย์ สะใจ สมกับการรอคอย หรืออะไรแบบนั้นอยู่หรอกนะ แต่เขาขอใช้คำว่า 'มากเกินความจำเป็น' น่าจะเหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้มากกว่า!

ไอ้ปีศาจเอ๊ย! อย่าได้ไว้ใจท่าทีนิ่งๆ สุขุมนุ่มลึกเหมือนสุภาพบุรุษของหมอนี่เด็ดขาด ต่อจากนี้ต้องเตือนตัวเองเลย

ใครใช้ให้อัดกับคนที่ห่างหายเรื่องแบบนี้ไปสองปีกว่าไม่ยั้งแบบนั้น หา!?

"งือ คีล" แต่ถึงในใจจะสาปแช่งอีกฝ่ายยังไง เอลเลียตก็ยังเรียกอีกฝ่ายเสียงหวานอยู่ดี

แล้วดูคนที่มันทำให้เขามีสภาพเป็นแบบนี้ มันยังนั่งพิงพนักเตียงสูบบุหรี่หน้าตาเฉยอยู่เลย

เอลเลียตคลานเข้าไปนอนกอดเอวอีกฝ่ายอย่างออดอ้อน เรียกนัยน์ตาคู่คมให้ตวัดกลับมามองด้วยความขันระคนเอ็นดู มือเลื่อนไปลูบเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มอย่างเอาใจ เรียกรอยยิ้มสว่างไสวจากพ่อตัวแสบได้ไม่ยากเย็น

“เหนื่อยเหรอครับ” เหมือนจะใจดีนะที่ยังอุตส่าห์ถาม

“เหนื่อยสิคุณ” ตอบพร้อมกับทำหน้ายู่ “เล่นติดต่อกันเป็นชั่วโมงๆ แบบนั้น สะโพกผมครากไปหมดแล้ว”

“ผมให้คุณพักตั้งนานตอนเราขับรถกลับ แล้วก็ตอนรับโทรศัพท์”

“นั่นเรียกว่านานเหรอ”

คีลหัวเราะเบาๆ พ่นควันสีขาวขุ่นออกมาจากริมฝีปาก “งั้นคราวหลังไม่ต้องพักเลยดีไหม”

“อย่าทำเป็นอวดเก่งหน่อยเลย คุณไม่อึดขนาดนั้นหรอก”

“อยากพิสูจน์ไหมล่ะ”

“...” ไม่เอาดีกว่าครับ

บรรยากาศระหว่างทั้งคู่เงียบลง คีลอัดบุหรี่เข้าปอดพร้อมๆ กับลูบเส้นผมสีน้ำตาลเรื่อยๆ ส่วนเอลเลียตก็เริ่มจับมือของอีกฝ่ายให้ลดลงมาลูบแก้มเขาเล่นแล้ว จนกระทั่งเห็นว่าคีลเริ่มขยี้ส่วนปลายลงบนที่เขี่ยบุหรี่นั่นแหละ ชายหนุ่มถึงได้เปิดปากชวนคุยอีกครั้ง

"ถ้าผมถามแบบนี้จะฟังดูงี่เง่าเกินไปไหม"

"ผมยังไม่ได้ยินคำถามเลยนี่"

“คุณจริงจังกับผมรึเปล่า”

คำถามนั้นทำให้นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างขึ้นมาเล็กน้อยด้วยความคาดไม่ถึง เอลเลียตจึงรีบพูด

“เฮ้ ถ้าไม่ได้จริงจังก็ไม่เป็นไรนะ ผมแค่ลองถามดู เราเองก็โตๆ กันแล้ว”

“คุณว่ายังไงนะ” คราวนี้ความงุนงงแปรเปลี่ยนเป็นโกรธฉับเลย ไหงงั้นล่ะ

“ก็แบบ… ผมหมายถึงว่า ถ้าคุณอยากจะวันไนท์สแตนด์กับผม ผมก็โอเคไง หรืออยากทำแบบนี้จนกว่าผมจะกลับไปอยู่ในคุกต่อก็ได้ ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”

คีลยกมือขึ้นมาตีหน้าผากของตัวเองทันที นั่นยิ่งทำเอาเอลเลียตเข้าใจผิด คิดว่าเจ้าตัวรู้สึกแย่กับการมีเซ็กส์กับเขาเข้าไปใหญ่

หมอนี่จะไม่สนใจเขา เอลเลียตไม่ว่า แต่เขารับไม่ได้แน่ถ้าต้องให้คีลรู้สึกแย่กับที่พวกเขาทั้งคู่เพิ่งนอนไปด้วยกัน

“หรือถ้าคุณไม่อยากทำแล้วก็บอกได้นะ ผมบอกแล้วไงว่าไม่ซี--”

“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น”

เอลเลียตอุทานออกมาอย่างตกใจเล็กน้อยเมื่อมือหนากระชากเขาเข้าไปแนบตัว กอดร่างเขาแน่นขึ้นราวกับหวงแหน มันทำให้เอลเลียตใจเต้นขึ้นมาง่ายๆ เพราะครั้งล่าสุดที่เขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ เอ่อ ลีโอนั่นแหละ อีกฝ่ายไม่ได้ แบบว่า จริงจังกับเขาขนาดนั้นมั้ง? เหมือนคู่นอนที่แค่ไม่ได้นอนกับคนอื่นมากกว่า แต่ในด้านความรู้สึกก็ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมากมาย

แต่… แต่ที่คีลแสดงออกมามันตรงข้ามกับตอนที่คบกับลีโอเลยนี่นา (หมอนั่นเสร็จกิจแล้วก็หันหน้าหนี ตัวใครตัวใครตัวมันเลย) หรือว่านี่จะเป็นแผนการอะไรบางอย่าง แบบว่า แกล้งทำให้เขารู้สึกดีๆ ด้วยเอาไว้เค้นความลับอะไรแบบนั้น เดี๋ยวนี้ตำรวจต้องลงทุนทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอ?

“แล้ว… แล้วคุณหมายความว่ายังไง” กลั้นใจต้องถามต่อ อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปอยู่สมัยม.ต้น คุยกับคนที่ชอบเป็นครั้งแรก และมันทำให้เอลเลียตรู้สึกตัวเองงี่เง่ามากๆ

“คุณคิดว่านี่เป็นเรื่องล้อเล่นเหรอ”

“คุณว่าไงนะ”

“ที่นอนกับผมนี่ แค่ขำๆ สำหรับคุณใช่ไหม”

เอลเลียตแทบจะหลุดหัวเราะก๊ากออกมาอยู่แล้วเพราะคิดว่าอีกฝ่ายล้อเล่น แต่เปล่าเลย ใบหน้าคมยังตีหน้าขึงขังเหมือนเคย จริงจังกว่าทุกครั้งด้วยซ้ำ และนั่นยิ่งทำให้เอลเลียตใจเต้นรัวมากขึ้น ลืมหายใจไปชั่วขณะระหว่างที่ถามต่อ

“คุณ… คุณชอบผมจริงๆ เหรอ?”

“โอ๊ย ให้ตายเถอะ”

“กะ… ก็คุณไม่เห็นพูดเลย”

“แล้วที่คุณพูดว่าชอบนั่นก็ล้อเล่นใช่ไหม”

“เอ่อ ก็ออกแนวทีเล่นทีจริงนะ” ก็ไม่นึกว่าหมอนี่จะจริงจังขนาดนี้นี่หว่า เออ แต่ดูจากภายนอกปราดเดียวก็รู้อยู่แล้วล่ะนะว่าเป็นคนจริงจังกับชีวิต

“เทย์เลอร์!”

“ชู่” เอลเลียตรั้งอีกฝ่ายลงจูบปิดปาก “เรียกผมว่าเอล”

“ทำไมผมจะต้อง---”

“นะครับ คีล คนดี ถ้าจะไม่พูดว่าชอบผม อย่างน้อยก็เรียกชื่อกันหน่อยได้ไหม”

“คุณมันเอาแต่ใจตัวเอง”

“ผมรู้” ขยับตัวขึ้นมา จุ๊บปากอีกฝ่ายอีกหลายรอบอย่างมันเขี้ยว “แต่ผมเอาใจง่ายนะ เอาใจผมนิดเดียวผมยอมทำตามที่คุณบอกทุกอย่างเลย ไม่ลองพิสูจน์ดูหน่อยเหรอ?”

หมั่นไส้ความอวดดีของหมอนี่เป็นบ้า

แต่คีลก็จูบปากพ่อตัวแสบในอ้อมแขนอยู่ดี เอลเลียตหลับตาลง เคลิ้มไปกับจุมพิตที่ทำให้เขาเสพติดไปอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาว่าคีลเองก็ชอบจูบเขาเหมือนกันนั่นแหละ ถึงได้กดริมฝีปากซ้ำไปมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

แล้วไอ้อาการใจเต้นที่อกข้างซ้ายนี่มันอะไรกัน… เขาเพิ่งอยู่กับหมอนี่ได้ไม่กี่วัน ชอบคีลเข้าไปแล้วจริงๆ เหรอ เลือกเอาคนที่ทำอาชีพผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เนี่ยนะ? เลือกได้ถูกคนมากจริงๆ ไม่ได้เกรงใจปืนหรือกุญแจมือที่เหน็บอยู่บนเอวเจ้าตัวเลย

แต่ก็ช่างเถอะ เขาชอบเล่นกับของอันตรายอยู่แล้ว และมาถึงขั้นนี้ ขั้นที่อีกฝ่ายเองก็เหมือนจะคิดกับเขาเกินเพื่อนนอนด้วยแบบนี้ เขาไม่หยุดใจตัวเองแล้วดีกว่า

ขอรักเลยแล้วกัน

“ผมรักคุณ คีล”

“ผมก็รักคุณ เทย์เลอร์”

น้ำเสียงที่ดูจริงใจนั่นทำให้เอลเลียตยินดีระคนใจหายได้ในเวลาเดียวกัน หากเจ้าตัวก็กลบเกลื่อนอาการนั้นได้อย่างรวดเร็ว

“เอลต่างหาก” แตะน้ิวชี้ลงบนริมฝีปากอีกฝ่าย “ถ้าไม่เรียกชื่อผม ผมไม่ยอมให้จูบแล้วจริงๆ ด้วย”

“อย่างกับตัวคุณเองจะทนได้”

“แค่เรียกชื่อแค่นี้คุณจะตายรึไง”

“เอล”

ว้าก! เมื่อกี้ใจสะเทือนเลย แบบ เต้นแรงไปอะไรงี้ นี่หมอนี่ยอมเรียกชื่อเล่นเขาแล้วจริงๆ อ้ะ?

“หึ คุณนี่ติงต๊องชะมัด” ไม่พูดเปล่า มือเอื้อมมือดึงแก้มที่แดงซ่านขึ้นของคนตรงหน้าอย่างมันเขี้ยว “กับอีแค่เรียกชื่อแค่นี้ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่ทีเรื่องเซ็กส์นี่กลับไม่แคร์ซะงั้น”

“ก็ลองนึกถึงอาชีพคุณสิ” เอลเลียตยักไหล่ “แล้วก็สถานะผม”

“อืม ดูไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไร”

“ไม่ค่อยกินเส้นเหรอ คุณเป็นคนจับผมยัดเข้าคุกนะ”

“นั่นเพราะว่าคุณทำให้คนอื่นเดือดร้อนไม่ใช่หรือไง”

ไม่มีอะไรให้เถียง เอลเลียตนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่กับคำพูดนี้ แน่นอนว่าที่เขาลงมือปล้นธนาคารมีหลายปัจจัยรุมเร้าเข้ามาให้ต้องทำแบบนั้น แต่หนึ่งในนั้นชายหนุ่มก็ต้องยอมรับว่าเพราะเขาอยากจะทำอะไรที่มันตื่นเต้นท้าทายเอง แล้วก็เหตุผลอีกสองสามข้อที่เห็นแก่ตัว

จะว่ายังไงดี ช่วงเวลานั้นมันไม่คิดถึงเรื่องผิดถูกหรอก คิดแต่ว่าจะทำยังไงให้ตัวเองรอด แต่ไอ้ความตื่นเต้นที่เขาได้ลิ้มรสยามที่หมุนเลขของตู้เซฟตอนที่ปล้นธนาคารแห่งแรก มันทำเอาเขาเผลอไผลไปกับจังหวะการเต้นของหัวใจที่มาพร้อมกับมือที่ชื้นเหงื่อนั่นจริงๆ

การก่ออาชญากรรมมันก็คือศิลปะอย่างหนึ่งนั่นแหละ ถ้าคุณรอด มันก็จะกลายเป็นผลงานชิ้นเอก แล้วคุณก็จะเป็นศิลปินที่ผู้คนจดจำแต่จับตัวไม่ได้

เขาเองก็เกือบได้ไปถึงขั้นนั้นแล้ว ถ้าไม่ติดที่ว่าไอ้บ้านี่ยัดเขาเข้าคุกเสียก่อนน่ะนะ!

“ทำไมคุณถึงลงมือปล้นธนาคารล่ะ”

“อะไรล่ะนั่น” เอลเลียตยกยิ้มหวานขณะที่ขยับหัวไปหนุนหมอน ดึงร่างสูงที่หยิบเสื้อนอนบนพื้นขึ้นมาใส่เรียบร้อยให้ล้มตัวลงมานอนข้างๆ “สอบปากคำเหรอครับ หรือว่าสอบถามเพื่อความสนิทสนม”

“คำตอบไม่เหมือนกันเหรอครับ”

เอลเลียตหัวเราะ ขยับตัวไปกอดอีกฝ่ายแน่น ซุกหน้าลงบนแผ่นอก กลิ่นสบู่จางๆ กลิ่นเดียวกับที่เขาใช้ลอยมาแตะจมูก ความจริงก็คือ เขาเป็นคนที่ชอบสกินชิปมาก แต่ตั้งแต่เข้าไปอยู่ในนรกนั่นเขาก็แทบไม่ได้แตะตัวใครเลย ซึ่งก็เป็นเรื่องปกตินั่นแหละ เพราะเขาไม่อยากให้ใครคิดว่าเขากำลังเชิญชวนทำเรื่องอย่างว่าอยู่ ถึงจะมีหลายครั้งที่เขาถูกชวนบ่อยก็เถอะ แต่ขอโทษ… ถึงเขาจะง่ายแต่เขาก็เลือกนะเว้ย

“ถ้าคุณถามล่ะก็ ผมไม่ถือหรอก”

“ใครคือเทลออฟอดัมส์”

คีลสังเกตเห็นว่าคนถูกถามเกร็งตัวขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนเจ้าตัวจะยกมือโบกเป็นเชิงปัดคำถาม

“ผมยังไม่อยากพูดถึงหมอนั่นตอนนี้”

คงเป็นแฟนเก่า… คีลสรุปในใจ เขาอยากจะเค้นต่ออยู่หรอกเพราะมันต้องเกี่ยวกับรูปคดีแน่ แต่เขาจะยอมปล่อยไปก่อนตอนนี้

“แล้วคุณจะเล่าให้ผมฟังได้รึยังว่าทำไมคุณถึงปล้นธนาคาร”

เอลเลียตยอมผละออกจากอกแล้วเงยหน้าขึ้นมามอง นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นฉายแววครุ่นคิด

“อืม… ถ้าให้ตอบจริงๆ จังๆ คงเป็นเพราะว่าผมอยากได้เงินล่ะมั้ง”

“แล้วทำไมถึงอยากได้เงินเยอะขนาดนั้นล่ะ”

“เอาจริงดิ คุณจะสอบปากคำผมบนเตียงเลยเหรอ”

“ผมถามเพื่อกระชับความสัมพันธ์ของเราต่างหาก” ย้อนไม่พอ ยังจะส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้อีก

เอลเลียตขยับไปจูบปากอีกฝ่ายทีหนึ่งพร้อมกับหยิกแก้มคีลเป็นการเอาคืน “จะไม่เพิ่มข้อหาให้ผมใช่ไหม”

“ขึ้นอยู่กับคำตอบ ผมว่างั้นนะ”

“ทำไมโหดงี้ เราเป็นแฟนกันแล้วไม่ใช่เหรอ”

“คุณยอมเป็นของผมไหมล่ะ”

เอลเลียตหน้าร้อนวูบขึ้นมาจนคีลอดหัวเราะออกมาไม่ได้

หมอนี่ช่างมีความย้อนแย้งในตัวเองสูงจริงๆ เป็นคนบ้าบิ่นถึงขนาดเชิญชวนเขาแต่กลับอายม้วนกับคำพูดง่ายๆ แบบนี้เนี่ยนะ?

“คุณรู้ตัวรึเปล่าว่าตัวเองมีความย้อนแย้งข้างในสูงมาก” เอลเลียตว่าอย่างกับได้ยินเสียงในใจเขา “ปกติออกจะปากหนัก… แต่พอมีเซ็กส์กับใครแล้วเปลี่ยนเป็นแบบนี้ประจำเลยเหรอ”

“ให้คุณพิสูจน์เองดีกว่า”

“โอ๊ย ตายแล้ว” พูดพร้อมกับยกมือปิดหน้า “ไม่อยากจะเชื่อเลย”

“เรากลับเข้าเรื่องกันดีกว่าไหม”

“เดี๋ยวก่อน ก่อนที่เราจะเข้าสู่การสอบปากคำ” เอลเลียตเปิดโหมดจริงจัง เขาจ้องตาสายสืบหนุ่มนิ่ง “คุณจะให้ขอบเขตการคบของเราไปถึงขั้นไหน”

“อะไรนะ”

“แบบ… ห้ามมีคนอื่นระหว่างที่คบกัน--”

“อ้อ แน่นอนล่ะ ถ้าผมจับได้ว่าคุณไปมั่วกับคนอื่นล่ะก็ ผมไม่ปล่อยคุณไว้แน่”

โว้ว ใจเย็น ยังพูดไม่จบ

แต่แค่คิดว่าหมอนี่จะลงโทษเขาแบบไหน เอลเลียตก็ชักนึกสนุกขึ้นมาเหมือนกัน เจ้าตัวเลยเสือกตัวเข้าไปชิดกับคีลอีกครั้ง สอดขาข้างหนึ่งเข้าไประหว่างขาสองข้างของอีกฝ่าย ดึงมืออีกฝ่ายลงมาตะปบบนบั้นท้ายตัวเองทั้งสองข้าง คีลเลิกคิ้วขึ้นมองคนช่างยั่วที่ยังส่งยิ้มเผล่มาให้เขา

“นี่คุณเตรียมจะนอกใจผมตั้งแต่ตอนนี้เลยหรือยังไง?”

“เปล่าสักหน่อย ผมอาจจะง่ายนะคีล แต่ไม่มั่ว”

“ไม่ค่อยแน่ใจว่าสองคำนี้ต่างกันยังไงเหมือนกัน”

เอลเลียตจูบซอกคอของชายหนุ่มแล้วเลยไปที่แก้ม “ก็ง่ายกับคุณแค่คนเดียวไง”

“เราจะไม่มีวันวกกลับไปเรื่องเก่าแล้วใช่ไหม”

“คุณถามใหม่อีกรอบสิ”

คีลถอนหายใจ “ผมว่าคืนนี้เราเข้านอนเถอะ ตาผมจะปิดอยู่แล้ว”

“ไม่น่าเชื่อ คุณเหนื่อยเป็นกับเขาด้วยเหรอเนี่ย?”

“ผมก็คนนะคุณ แล้วที่ผมทายาให้บนแก้มคุณเป็นไง ดีขึ้นไหมครับ”

“ดีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ขอบคุณนะครับ ที่รัก รักที่สุดเลย” จบท้ายด้วยการหอมแก้มคีลหนึ่งฟอด

...ไอ้นักโทษของเขาคนนี้จะช่างยั่วไปไหนเนี่ย







การสอบปากคำผู้ต้องหาทั้งหมดที่คุมตัวมาได้กินเวลาไปอีกเกือบสองวัน ทางคีลสามารถคุมตัวผู้ต้องหาสามคนเอาไว้ได้ สองคนในนั้นคือแจ็ค พอร์เตอร์กับเอเลน่า เคอร์ติส ส่วนอีกคนที่ยังรวบตัวไม่ได้เพราะหลักฐานไม่แน่นหนาพอ แต่คีลเชื่อว่าอีกไม่นานทีมเขาต้องหาอะไรที่ทำให้ชายผู้นั้นดิ้นไม่หลุดแน่

"จับตาดูหมอนั่นไว้ดีๆ แล้วกัน" เอลเลียตพูดพร้อมกับเอนตัวพิงโซฟายาวที่ตั้งอยู่ในริมผนังของสำนักงานโดยมีโต๊ะทำงานของคีลตั้งอยู่ใกล้สุด ว่าพลางหยิบมันฝรั่งแผ่นเข้าปาก "พวกคุณเผลอเมื่อไหร่มันชิ่งแน่ ไม่โง่อยู่รอให้ตำรวจรวบรวมหลักฐานมาได้ครบก่อนหรอก"

"เหมือนคุณเองใช่ไหม" คีลย้อนถามคนที่นั่งบนโซฟาด้านหลังเก้าอี้เขาเสียงเรียบ โจนาธาน ฟอร์ดที่นั่งโต๊ะข้างๆ หลุดหัวเราะออกมาในขณะที่เอลเลียตหน้าร้อนขึ้นมาทันที แต่ไอ้ภูเขาน้ำแข็งยักษ์ก็ยังว่าต่อไปโดยที่ไม่ละสายตาจากคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คตรงหน้า "เตรียมตั๋วเที่ยวเดียวไปต่างประเทศอย่างดี แถมยังเงินสดอีกเป็นกระเป๋า

"นั่นมันผ่านมาแล้วน่า คีล" เอลเลียตบ่นอุบอิบ ยัดขนมกรุบกรอบเข้าปากอีกแผ่นอย่างเซ็งๆ ที่โดนคนรักดุ "ผมก็ติดคุกไปตั้งสองปีแล้ว ยังจะรื้อฟื้นให้ได้อะไรขึ้นมา"

"แต่มาคิดดูตอนนี้อีกทีก็แปลกนะ" โจนาธานว่า เลื่อนเก้าอี้หันหน้าไปทางอาชญากรที่พ้นคุกออกมาชั่วคราว สัญชาตญาณความเป็นตำรวจในตัวทำให้อดคิดจะล้วงความลับจากอีกฝ่ายไม่ได้ "เงินสดที่คุณขโมยมาตอนนั้นตั้งมากมายมันหายไปไหนตั้งมาก ถึงคุณจะอ้างว่าเอาไปใช้แล้วก็เถอะ แต่เยอะขนาดนั้น"

"ไม่เอาน่า โจนาธาน" คนผมน้ำตาลทำเสียงจุ๊ๆ นัยน์ตาสีฟ้าประกายวิบวับรู้ทัน ริมฝีปากคลี่ยิ้มสวยน่ามอง "อย่าพยายามเริ่มเลย ถึงตอนนี้เราจะทีมเดียวกัน แต่ผมรู้ตัวนะว่าถ้าหมดประโยชน์เมื่อไหร่ ผมก็ต้องเข้าไปอยู่ในซังเตเหมือนเดิม ถึงตอนนั้นเราก็อยู่ฝั่งตรงข้ามกันแล้ว ผมไม่โง่ให้คุณหาเรื่องเพิ่มข้อกล่าวหาให้ตัวเองหรอก"

"เฮ้ย ผมไม่ได้หมายความอย่างง้าน" โจนาธานยกมือโบกขึ้นกลางอากาศพัลวัน "ตรงกันข้ามเลย นี่ถ้าคุณให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับเรามากๆ เราก็พร้อมจะเจรจาลดโทษให้คุณได้อีกไง เนอะ วิลล์ นายเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกันใช่ไหม"

คนถูกโบ้ยมาไม่ตอบอะไร เพียงแค่ยกยิ้มขึ้นบนมุมปากนิดๆ เท่านั้น เอลเลียตที่หวังจะเห็นรอยยิ้มแบบนี้ของคีลมาตั้งนานสองนานจ้องใบหน้าคมไม่วางตาทีเดียว จนกระทั่งอีกฝ่ายรู้ตัว กลับไปทำหน้าเรียบตามเดิมแล้วตวัดสายตาดุๆ กลับมามองเขานั่นแหละ เอลเลียตถึงจะยอมหันหน้าหนีแล้วจัดการของว่างช่วงบ่ายของเขาต่อ แต่ก็ยังไม่วายเหลือบมองคนที่นั่งทำงานเอกสารอย่างตั้งอกตั้งใจเป็นระยะๆ อยู่ดี

ทำไมแฟนเขาคนนี้หล่อจัง คือทุกอย่างบนหน้านี่เหมาะเจาะลงตัวไปหมดทุกส่วน อย่างกับรูปปั้นแกะสลักฝีมือจิตรกรชั้นสูงอย่างไรอย่างนั้น ดวงตาสีน้ำตาลคมๆ ที่เหมือนจะเจาะทะลุเข้าไปในทุกอย่างที่มอง จมูกโด่งสวยได้รูปกับริมฝีปากน่าจูบนั่น โอย เห็นแล้วอยากกระชากเนกไทออก เสร็จแล้วก็ปลดกระดุมเม็ดบนจากนั้นก็ทำรอยที่ซอกคอให้ทุกคนบนโลกรู้ว่าคีลเป็นของเขาคนเดียว ก็หมอนี่บอกว่าจะคบกับเขาแบบจริงจังนี่! งั้นมันก็ต้องเป็นของเขาคนเดียว ถูกไหม

"เทย์เลอร์" เสียงที่เรียกชื่อเขาเหมือนคนใกล้หมดความอดทน ว่าแต่ไอ้เสาไฟฟ้าเดินได้นี่มาหยุดอยู่หน้าโซฟาเขาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย คนกำลังคิดอะไรเพลินๆ "คุณมานี่กับผมเดี๋ยวได้ไหม มีเรื่องจะคุยด้วย"

แหม ถ้าสำหรับคีลล่ะก็ นานแค่ไหนเขาก็ยินดีทั้งนั้นแหละ






---------------------------------------------------

Talk: ยี้ ทีอย่างนี้ล่ะหวานจ๋อยเชียวนะพวกแก ก่อนหน้านี้เห็นกัดกันจะตาย #ทีมโสดแล้วพาล
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 6) P.1 [23/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 23-10-2017 17:56:43
มันง่ายไปอะ เหมือนเป็นแผนเค้นความลับของคีล
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 6) P.1 [23/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 23-10-2017 18:20:58
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 6) P.1 [23/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 23-10-2017 20:39:28
เอาตรงๆเราไม่เชื่อใจคีลเลย  :ling3:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 6) P.1 [23/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 23-10-2017 21:56:14
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 6) P.1 [23/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 23-10-2017 23:04:41
คีลไม่ได้หลอกเอลเลียตหรอกใช่มั้ย...
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 6) P.1 [23/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: bmine ที่ 24-10-2017 03:19:51
สนุกทุกเรื่องที่แต่งเลยค่ะ ติดมากค่ะะะ ต่อบ่อยๆนะคะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 6) P.1 [23/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 24-10-2017 08:28:36
กลัวใจคีลอะ มันดูง่ายไป  :m28: :m28:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 6) P.1 [23/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 24-10-2017 11:46:12
กลัวใจกับคีลจริงๆกลัวมาหลอกเอาข้อมูล :katai1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 6) P.1 [23/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: bmine ที่ 25-10-2017 15:24:12
ทำไมคนอื่นกลัวคีล แต่เรากลัวใจเอลเลียตอ่ะ 5555 คีลจะหลอกถามอะไรในเมื่อใจก็ไม่คิดว่าต้องพึ่งเอลเลียตอยู่แล้วแต่แรก แถมหลอกถามปกติก็ได้ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ แต่เอลเลียตดูเป็นคนที่ถ้าถึงเวลาก็คงต้องเอาตัวเองรอดก่อน พร้อมหนีมากๆ สนุกมากกก จะลุ้นต่อไปค่ะะ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 6) P.1 [23/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 25-10-2017 16:46:04
บทที่ 7




คีลพาเขามาที่ห้องว่างๆ ห้องหนึ่งซึ่งมีเพียงโต๊ะเล็กๆ กับเก้าอี้สองตัวด้านใน มีเก้าอี้พับมากมายซ้อนกันอยู่ริมขอบผนังทุกด้าน เหมือนเป็นห้องเก็บของกลายๆ

ใบหน้าคมหันกลับมามองเอลเลียตทันทีที่ประตูปิดลงด้วยสายตาตำหนิทีเดียว

"คุณคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่"

นัยน์ตาสีฟ้าใสกะพริบปริบๆ "คุณพูดถึงอะไร" ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงโดนดุ

"คุณจะจ้องผมตอนที่นั่งทำงานอยู่ไปถึงเมื่อไหร่ เอล"

โอ้ว หมอนี่ยอมเรียกชื่อเล่นเขา! แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่ควรลิงโลดสินะ เล่นจ้องเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อแบบนี้

"อื๊อ? ผมจ้องคุณเหรอ? " ไม่ทันรู้ตัวเลย

"แทบจะกินหัวผมเข้าไปได้อยู่แล้ว"

"ผมจ้องแฟนตัวเองแล้วมันผิดตรงไหน"

เอลเลียตสังเกตเห็นว่าคีลหน้าแดงขึ้นมาวูบหนึ่งกับคำพูดตรงไปตรงมานั่น และมันทำให้เขาใจเต้นตาม หมอนี่บทจะน่ารักก็โคตรน่ารัก

"เอาล่ะ ฟังนะครับ" ดูเหมือนสายสืบหนุ่มจะเรียกสติของตัวเองกลับมาได้แล้ว เขายกมือขึ้นกระแอมเล็กน้อย "คุณก็รู้ว่าเรื่องที่เราคบกันเป็นความลับ ให้คนอื่นรู้ไม่ได้ อันนี้คุณเข้าใจดีใช่ไหม? "

"ไม่อ้ะ" ถือโอกาสนี้กวนประสาทอีกฝ่าย ส่ายหน้ารัวๆ ทันที "ถึงผมจะเป็นอาชญากร แต่ยังไงผมก็เป็นคนมีจิตใจนะคุณ"

"โอเค งั้นมาดูกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาจับได้ว่าผมกับคุณเป็นอะไรกัน" คนที่จริงจังไปเสียทุกเรื่องเริ่มร่ายยาว "ก่อนอื่นเลย ผมกับคุณต้องโดนแยกออกจากกันแน่ๆ คุณจะโดนโยนไปให้ทำงานกับทีมอื่น และผมก็ต้องโดนปลดออกจากคดีนี้ ยิ่งเดิมทีผมอยู่แผนกคดีฆาตกรรมด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เรื่องง่ายเข้าไปใหญ่ ส่วนทีมที่คุณจะได้ไปอยู่ ไม่รู้สิ บางทีพวกเขาอาจจะเห็นว่าโยนคุณกลับเข้าคุกไปน่าจะง่ายกว่าก็อาจจะทำอย่างนั้นก็ได้ แล้วทีนี้โอกาสในการขอลดโทษของคุณก็จะยากขึ้น--"

เอลเลียตดันร่างสูงไปชนกับผนังในองศาที่แน่ใจว่าคนด้านนอกไม่สามารถมองเห็นผ่านกระจกบานเล็กที่ติดอยู่บนประตูได้แน่ จากนั้นก็เขย่งเท้าขึ้นไปจูบปิดปากที่เอาแต่เทศนาสั่งสอนแถมยังชอบขู่เขาไม่หยุด คีลชะงักไปอึดใจหนึ่ง หากวินาทีต่อมาชายหนุ่มก็พลิกร่างของเอลให้เป็นฝ่ายไปติดกับผนังด้านหลังแทน ก้มลงจูบอีกฝ่ายอย่างร้อนแรง พอใจกับเสียงครางกับมือที่เปะป่ายไปมาบนแผ่นหลังเขาอย่างหาที่พึ่ง

สมควรแล้ว อยากซ่ากับเขาดีนัก

"คีล" เอลเลียตว่าหลังจากที่คีลผละริมฝีปากออก นัยน์ตาสีฟ้าฉ่ำเยิ้มจนเขานึกอยากกดอีกฝ่ายลงตรงนี้จริงๆ "ผมล้อเล่นนะ อย่าส่งผมไปที่อื่นเลย ผมอยากอยู่ใกล้ๆ คุณ"

"งั้นก็ช่วยทำตัวดีๆ ด้วยครับ" พูดพร้อมกับกดจูบลงมาครั้งหนึ่ง "เชื่อฟังที่ผมพูดหน่อย"

"ทำไงได้ล่ะ" เอลว่าพร้อมกับกรีดนิ้วลงบนเนกไทอีกฝ่ายอย่างยั่วยวน "ผมชอบให้คุณทำโทษมากกว่านี่"

"พูดจาแบบนี้ มันน่าจับฟาดไหม"

"งั้นก็ยิ่งเข้าทางผมเลยสิ"

คีลก้มลงไปจูบเอลเลียตอีกครั้งหนึ่งอย่างหื่นกระหาย คนผมน้ำตาลรู้สึกได้ถึงความปรารถนาที่อีกฝ่ายมีต่อเขา เขาคิดว่าคีลจะหน้ามืดขนาดทึ้งเสื้อ้ผาเขาทิ้งแล้วจับเขาปล้ำตรงนี้แล้ว เหมือนตอนที่พวกเขามีเซ็กส์กันครั้งแรก... แต่ผลสุดท้ายชายหนุ่มก็ผละจูบออกอย่างอ้อยอิ่งราวกับเสียดายขนาดหนัก เอลเลียตก็เสียดายเหมือนกัน แต่เขาก็เอื้อมมือไปจัดแจงเสื้อผ้ากับผมเผ้าของตัวเองให้เข้าที่

จุดประสงค์ที่คีลลากเขามาในห้องนี้ก็เพื่ออบรมไม่ให้เขาทำตัวมีพิรุธจนคนอื่นจับได้ว่าพวกเขาคบกันอยู่แท้ๆ แต่ดูสภาพตอนนี้สิ เหมือนเพิ่งปลุกปล้ำกันมาสดๆ ร้อนๆ (ซึ่งก็ไม่ผิดซะทีเดียว) ไปๆ มาๆ จะน่าสงสัยกว่าเดิมอีก มันใช่เรื่องไหมเนี่ย

"งั้นแปลว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วใช่ไหมครับ"

"ครับผม" อยากจะแกล้งตอบกวนๆ อีกรอบหรอกนะ แต่กลัวว่าคืนนี้จะไม่ได้นอนเพราะโดนทำโทษทั้งคืน

เหมือนคีลจะรู้ทันความคิดนั้น ชายหนุ่มเลยทาบริมฝีปากลงบนหน้าผากอีกฝ่ายเป็นของรางวัลแทน ก่อนจะพูดยิ้มๆ "เด็กดีของผม"

...หน้าระเบิดอีกรอบ

มาหาแต่ว่าเขายั่วบ้าง อ่อยบ้าง ตัวเองก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไรนักหรอก!





ผ่านไปเกือบอีกหนึ่งสัปดาห์ที่เอลเลียตไม่จำเป็นต้องออกแรงอะไรมากมายนัก เพราะงานของคีลส่วนใหญ่คือการจัดการงานเอกสารแล้วก็เตรียมหลักฐานให้ฝั่งอัยการ ซักซ้อมเรื่องการขึ้นให้ปากคำบนชั้นศาลเสียเป็นส่วนใหญ่

ซึ่งเป็นส่วนที่เอลเลียตไม่เกี่ยว

“โอ๊ย ให้ตายเถอะ พระเอกเรื่องนี้แม่งทึ่มจริงๆ ” คนผมน้ำตาลว่าขณะหยิบคุกกี้ที่อยู่บนโต๊ะข้างๆ รีโมตเข้าปาก พูดไปเคี้ยวไปอย่างไม่เกรงใจสายสืบหนุ่มที่กำลังนั่งทำงานบนโต๊ะกินข้าวตลอดช่วงเย็นหลังเลิกงานกลับมา “นี่ คีล คุณได้ดูเรื่องนี้หรือยัง นางเอกสวยเซ็กซี่มาก แต่พระเอกไม่ได้เรื่องเลย แต่เนื้อเรื่องกับฉากบู๊ก็มันใช้ได้อยู่นะ”

“คุณไม่เห็นหรือไงว่าผมทำงานอยู่”

เอลเลียตชักสีหน้าเล็กน้อยเหมือนเด็กที่ไม่ได้ดั่งใจ ก่อนเจ้าตัวจะลุกไปหาคนผมดำที่ยังจ้องจอคอมไม่เลิก คีลไหวตัวเล็กน้อยเมื่อสัมผัสบางเบาแตะลงบนคอของเขา ไล้ลงต่ำเรื่อยๆ ไปถึงแผ่นอกขณะที่เจ้าของมือโน้มหน้าต่ำลงมาทำจมูกฟุดฟิดอยู่แถวหลังคอ

มันน่าจับกดเตียงไหม หรือจะเอาบนโต๊ะตรงนี้เลยดี

“เอล” พูดเสียงขู่นิดหนึ่ง เขาต้องสรุปรายงานตัวนี้ให้เสร็จภายในเที่ยงคืนวันนี้ เพราะเขาผัดงานนี้มาสองรอบแล้ว “อย่าซนครับ”

“เปล่าสักหน่อย คุณก็ทำงานของคุณไปสิ” แล้วเจ้าตัวก็เริ่มเล่นกับร่างกายเขาต่อ เยี่ยมเลย

คีลถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากใช้เวลาร่วมกับอีกฝ่ายหรอกนะ แต่เขาไม่ได้ว่างเหมือนเอลเลียตนี่ เอาเป็นว่ารีบทำเอกสารนี่ให้เสร็จแล้วค่อยคิดบัญชีรวดเดียวเลยน่าจะดีกว่า ตอนนี้ก็ปล่อยให้คนความอดทนต่ำระรื่นไปก่อน

ก็… ว่าจะทำอย่างนั้น

แต่อะไรคือการที่ไอ้ตัวแสบมุดเข้าไปใต้โต๊ะแล้วเริ่มซนอยู่แถวๆ ท่อนล่างของเขาเนี่ย

สะกดคำว่ายางอายเป็นไหม?

“เอล” คีลพูดด้วยน้ำเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์ อาจเป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงดีมากกว่า “นี่คุณคิดจะทำอะไร”

“อ้าว” เอลเลียตแกล้งพูดอย่างแปลกใจขณะดึงเข็มขัดอีกฝ่ายออก ปลดตะขอกางเกงแล้วเลื่อนซิปลง “ผมคิดว่าคุณไม่สนใจอีกซะอีกว่าผมจะทำอะไร กำลังทำงานอยู่ไม่ใช่รึไง”

“นี่คุณงอนผมอยู่เหรอ? ”

“เปล่า” เอลเลียตว่าพร้อมกับโผล่หัวออกมาจากใต้โต๊ะแล้วส่งยิ้มให้ “ผมกำลังสนุกอยู่ต่างหาก จะบอกให้นะ ผมเป็นคนที่หาความสนุกใส่ตัวได้เสมอล่ะ”

“ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ครับ”

“งั้นก็เงียบปากแล้วทำงานไป ให้ผมหาความสนุกด้วยตัวเองต่อดีกว่า”

“...” ก็ไอ้แบบนั้นแหละที่น่ากลัวน่ะ แล้วไอ้ความสนุกของเอลนี่มันอะไร กวนเขาทำงานเหรอ ต้องใช่แน่ๆ และตอนนี้เขาก็เริ่มนึกสนุกไปกับหมอนี่แล้วสิ

ไม่ถึงห้านาทีต่อมา ของสำคัญของเขาก็เข้าไปอยู่ในโพรงปากร้อนของคนที่อยู่ใต้โต๊ะแล้วเรียบร้อย

คีลรู้สึกว่านี่เป็นโมเม้นต์ที่เอลเลียตวางแผนมานานแล้ว อาจจะก่อนหน้าที่จะได้เจอเขาด้วยซ้ำ เขาสงสัยว่าไอ้ตัวแสบได้ทำแบบนี้กับคนรักเก่าของตัวเองรึเปล่า มันจเรียกว่าอะไรล่ะ เล่นกิจกรรมทางเพศในหลากหลายรูปแบบงี้เหรอ คือไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบให้แฟนหนุ่มของตัวเองทำออรัลเซ็กส์ให้หรอกนะ แต่ต้องไม่ใช่ตอนที่เขากำลังตั้งใจทำงานอยู่แบบนี้สิ

“อือ…” และเขาก็อดใจตัวเองให้กลั้นเสียงเอาไว้ไม่ได้

ปลายนิ้วที่กดลงบนคีย์บอร์ดจนถึงเมื่อครู่หยุดลง ค้างเอาไว้ที่แป้นแบบนั้นขณะที่เอลเลียตรูดริมฝีปากเข้าออกซ้ำๆ เสียงจ๊วบจ๊าบของผิวเนื้อที่สัมผัสกันผสมกับน้ำเหนียวใสทำเอาคีลต้องยอมแพ้กับสิ่งที่อยู่ในหน้าจอแล้วก้มลงมาให้ความสนใจกับคนผมน้ำตาลที่กำลังหยอกล้อส่วนอ่อนไหวของเขาจนได้

“เอล” ชายหนุ่มเรียกชื่อคนรักเสียงแผ่วขณะไล้ปลายนิ้วไปทัดเส้นผมอ่อนนุ่มเข้ากับใบหูของเจ้าตัวอย่างรักใคร่ นัยน์ตาสีฟ้าเยิ้มฉ่ำช้อนขึ้นมามองเขาโดยที่ยังขยับปากและกวาดลิ้นร้อนด้านในอย่างช่ำชอง ใบหน้าแดงระเรื่อและร้อนไปหมด และเหมือนเจ้าตัวจะชอบใจไม่น้อยที่เบี่ยงเบนความสนใจของคีลมาเป็นของตัวเองได้

คนผมดำปล่อยให้ตัวเองครางออกมาอีกระลอกอย่างพึงพอใจขณะที่เอลเลียตเร่งจังหวะมากขึ้น เขาแหงนหน้าไปด้านหลัง ขยุ้มเส้นผมสีน้ำตาลของคนด้านล่าง กดหลังคอของเจ้าตัวแรงขึ้นขณะที่ปล่อยให้ของเหลวขุ่นทะลักภายในโพรงปากและลำคอของคนด้านล่าง

เอลเลียตหอบหายใจระรัวหลังจากที่คีลยอมคลายมือที่ยึดคอเขาเอาไว้ ริมฝีปากคู่สวยเผยอออก เผยให้เห็นน้ำกามที่คนด้านบนเพิ่งปลดปล่อยออกมาด้านใน คีลเลื่อนมือไปลูบแก้มเนียนของคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างอ่อนโยน หัวแม่โป้งเลื่อนไปปิดปากเจ้าตัวเป็นเชิงบังคับให้เอลเลียตกลืนทั้งหมดนั่นลงไป และเขาก็กลืนลงไปจริงๆ

เขาชอบเวลาที่คีลลูบหัวหรือสัมผัสตัวเขาอย่างรักใคร่ราวกับต้องการให้รางวัลหลังจากเสร็จกิจ มือหนาดึงแขนเขาให้ลุกขึ้นไปนั่งคร่อมบนตัวอีกฝ่าย คีลซุกใบหน้าลงบนแผ่นอกของคนรัก สูดกลิ่นกายของเจ้าตัวผ่านเนื้อผ้าบาง ดึงขอบกางเกงยางยืดด้านหลังให้มันดีดกลับไปกระทบผิวเนื้อของเอลแรงๆ ทีหนึ่งให้ชายหนุ่มสะดุ้งเล่น จากนั้นก็ล้วงมือลงไปคลึงก้อนเนื้อแน่นหนั่น ฟังเสียงครางหวานๆ ที่อยู่ข้างหูเขาอย่างพึงใจ

“คีล” เอลเลียตว่าก่อนจะไซร้หน้าลงบนซอกคออีกฝ่าย ยกสะโพกขึ้นเพื่อให้มือหนาเลื่อนกางเกงเขาลงต่ำได้ง่ายขึ้น “คีล ผมรักคุณ”

คนผมดำแอบสงสัยในใจเงียบๆ ว่าเอลเลียตพูดอย่างนี้กับทุกคนที่มีเซ็กส์ด้วยไหม แต่ต่อให้เป็นแบบนั้น เขาก็ยังมีความสุขกับคำบอกรักง่ายๆ นั่นอยู่ดี

เอลเลียตลงมาจูบปากเขาอย่างดูดดื่มและโหยหา คีลรู้ดีว่าอีกฝ่ายชอบจูบยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เขาเลื่อนนิ้วลงไปเบิกทางด้านหลังของเจ้าตัว สอดนิ้วลงไปสัมผัสทางแคบนุ่มอุ่นที่เขาผ่านเข้าออกมานักต่อนัก และมันก็เรียกเสียงครางในลำคอจากเอลเลียตได้อีกระลอกเหมือนเดิม

หลังจากนั้นคนที่คร่อมอยู่ด้านบนก็เป็นคนจัดการทุกอย่าง ตั้งแต่ลูบไล้แก่นกายของเขาอย่างหลงใหล สอดใส่ แล้วก็ขยับสะโพกขึ้นลงเพื่อเติมเต็มความปรารถนาทั้งของตัวเองและของคีล

เอลเลียตจูบกับคนผมดำแทบจะตลอดกิจกรรมบนเก้าอี้นั่น เขาไม่เคยหลงใหลการจูบกับใครได้เท่านี้มาก่อน ไม่รู้ว่าทำไม บางครั้งคีลไม่ได้พยายามอะไรด้วยซ้ำ มีแค่เขาที่ล่วงล้ำเข้าไปในโพรงปากของร่างสูงที่อยู่นิ่งๆ ยอมให้ลิ้นร้อนชอนไชไปตามแนวฟันกับเพดานปากราวกับนักสำรวจที่พยายามค้นหาความอัศจรรย์ภายในนั้น ก็คงเหมือนเวลาที่เขาชอบสำรวจร่างกายอีกฝ่ายนั่นแหละ ถือว่าเสมอกันใช้ได้

ร่างที่คร่อมอยู่บนตัวเขากระตุกเฮือกหนึ่งก่อนจะปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นลงบนหน้าท้อง คีลมองคนรักของตัวเองที่ยังหอบหายใจถี่ หน้าแดงระเรื่อ มือยึดบ่าของเขาแน่นระหว่างมองน้ำหนืดๆ ที่อยู่บนผิวเนื้อเพราะคีลถอดเสื้อออกไปเตรียมไว้อยู่แล้วว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ นัยน์ตาสีีน้ำตาลเหลือบมองแล็ปท็อปของตัวเองนิดหนึ่ง อีกไม่กี่บรรทัดเขาก็ส่งไฟล์งานนี่ให้บอสได้อยู่แล้ว เขาสงสัยว่าเอลจะยอมให้เขาทำงานให้เสร็จจริงๆ ไหม

“อยากทำต่อเหรอครับ” เอลเลียตมองตามสายตาของคีลไปแล้วเชยคางอีกฝ่ายให้หันมามองตัวเอง “อยากทำอันไหนต่อ? ”

“ผมเหลืออีกแค่ไม่กี่บรรทัดเอง”

“แล้วหลังจากนั้นจะเป็นเวลาของผมใช่ไหม”

คีลยกยิ้มมุมปาก “ต่อให้ไม่ใช่ คุณก็มาปล้นมันไปอยู่ดี”

“นั่นงานถนัดผมเลย”

“ขอห้านาทีได้ไหมครับ”

“คุณเพิ่งเสร็จไปรอบเดียวเองนะ ตอนที่ผมใช้ปากทำให้น่ะ”

“คืนนี้ยังอีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะรุ่งสาง”

“งั้นคุณทำธุระของคุณไป ผมจะทำธุระของตัวเอง”

สรุปก็คือไม่ว่ายังไงก็จะไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ สินะ

ต้องใช้ความพยายามไม่น้อยในการเรียบเรียงประโยคสองบรรทัดสุดท้ายนั่นให้เสร็จเพราะเอลเลียตขยับสะโพกขึ้นลงบนตัวเขาไม่หยุด แถมยังปั่นหัวกันด้วยเสียงครางกระเส่าอย่างสุขสมในอารมณ์ด้วยตัวเองแบบนั้น คือนอกจากจะต้องพิมพ์แบบทุลักทุเลแล้วยังต้องมาปวดหัวกับไอ้ตัวแสบตรงหน้าอีก

เพราะฉะนั้น ทันทีที่คีลเคาะจุดฟูลสต็อปสุดท้ายในรายงานฉบับนั้น เลื่อนเมาส์แพดกดส่งไฟล์ให้บอสเรียบร้อย เจ้าตัวก็กระชากคนบนตักไปที่โซฟาแล้วบรรเลงบทรักที่คั่งค้างไว้อยู่ราวกับอัดอั้นมานาน เอลเลียตอุทานอย่างตกใจในตอนแรก ทำท่าจะถดหนีเพราะไม่ทันตั้งตัวกับจังหวะที่เร็วและแรงขึ้นกะทันหัน แต่พอคีลก้มหน้าลงมาจูบปิดปากเขาเท่านั้นแหละ ให้ทำอะไรเขาก็ยอมแล้ว

เอลเลียตปล่อยให้คีลเสร็จในตัวเขาโดยไม่มีถุงยางรอบนี้ และมันให้ความรู้สึกวาบหวามชวนให้เสียสติสุดๆ แม้แต่ตอนที่อีกฝ่ายถอนตัวออกไป เขาดึงแขนคนด้านบนที่ทำท่าจะผละลุกขึ้นให้ล้มลงมาจูบปากเขาอีกรอบ แล้วก็อีกรอบ ตอนนี้ชักจินตนาการไม่ออกแล้วว่าถ้าขาดจูบของคีลไปเขาจะเป็นยังไง

ร่างสูงแถมจูบบนแก้มกับหน้าผากตบท้ายให้เป็นของรางวัล นั่นแหละเอลเลียตถึงได้ยอมปล่อยให้เขาลุกขึ้น และสิ่งแรกที่คีลทำหลังจากเซ็กส์แบบจานด่วนคือตรวจงานที่เขาเพิ่งส่งไปว่าเรียบร้อยดีไหม โชคดีที่หัวหน้าของเขาตอบกลับมาหลังจากที่เขาส่งงานไปไม่กี่วินาที เป็นเชิงว่ารอรายงานตัวนี้จากเขาอยู่แล้ว และอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาว่าไม่มีปัญหาอะไร ยอดเยี่ยมมาก ทีนี้เขาจะได้ไปอาบน้ำแล้วก็นอนพักให้เต็มอิ่มสักที

“คีล” ไอ้นักโทษตัวแสบตะโกนเรียกขณะที่เขาหยิบเสื้อเชิ้ตขึ้นมาจากพื้น “เราจะทำกันอีกไหม แบบว่า บนเตียงอะไรงี้”

“คุณไปกินเนื้อม้ามารึยังไง” ทำไมถึงได้คึกนัก อ้อ ใช่สิ มันไม่ต้องวิ่งเต้นงานจนสายตัวแทบขาดเหมือนเขานี่หว่า

“แค่ถามดู แต่ถ้าที่รักเหนื่อยผมยอมให้พักคืนหนึ่งก็ได้”

“นี่เรียกว่าให้พักแล้วเหรอครับ” ถามกลับยิ้มๆ เอลเลียตโผล่หัวขึ้นมาจากโซฟา เส้นผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิงที่ชี้ไปคนละทางเพราะกิจกรรมเมื่อครู่ดูน่ามองแปลกๆ

“ก็มีเซ็กส์กับคุณมันสนุกดีนี่”

“แน่นอนล่ะเรื่องนั้น” พูดพลางเดินไปโยนเสื้อผ้าใช้แล้วใส่ตะกร้า หยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมาถือ “งั้นผมไปอาบน้ำก่อนนะ คุณเองก็เตรียมอ่านแฟ้มคดีต่อไปเตรียมไว้ได้แล้ว พรุ่งนี้เราจะมีประชุมกัน”

“ครับผม รับทราบแล้วครับ ไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวค่อยออกมาคุยกัน”

เอลเลียตมองตามแผ่นหลังเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายจนคีลปิดประตูห้องน้ำ เขารอจนกระทั่งแน่ใจว่าได้ยินเสียงน้ำไหลอย่างต่อเนื่อง จากนั้นจึงเข้าไปในห้องที่ถูกกันไว้ส่วนของตัวเอง หยิบโทรศัพท์แบบใช้แล้วทิ้งเครื่องใหม่ที่เขาเพิ่งซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อช่วงบ่ายวันนี้ที่คีลวิ่งวุ่นไม่หยุด มือกำลังจะกดตัวเลขที่ท่องจำได้ขึ้นใจ เพราะหลังจากวันนั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่ได้ติดต่อลีโอเลย ไม่รู้ว่าป่านนี้หมอนั่นได้พาสปอร์ตปลอมๆ ของเขามารึยัง แต่แทนที่เขาจะเร่งรีบต่อสายหาชายคนนั้น นิ้วเรียวของเจ้าตัวกลับชะงักลงอย่างชั่งใจ

เอลเลียตเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น รู้ดีว่าตอนนี้ตัวเองกำลังสับสนเรื่องอะไร

เรื่องของคีล

เขาปล่อยตัวปล่อยใจให้ถลำลึกมากเกินไป ในเวลาไม่กี่วันเท่านั้น

ตอนแรก เขายอมรับว่าอยากจะนอนกับหมอนั่น แล้วก็พยายามบอกตัวเองว่าแค่นอนด้วยกัน ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน ต่างฝ่ายต่างก็ตักตวงความสุขจากกันและกัน คอนเซปต์แบบวันไนท์แสตนด์ หรือแม้แต่ตอนที่เขาบอกรักคีลด้วยลมปาก ชายหนุ่มก็ยังบอกกับตัวเองในใจว่ามันก็แค่คำพูดลอยๆ

เรื่องระหว่างเขาสองคนไม่มีทางเป็นจริงได้อยู่แล้ว เหมือนคนสองคนที่อยู่กันคนละโลกแล้วบังเอิญโคจรมาเจอกัน ใช้เวลาร่วมกันสั้นๆ จากนั้นก็แยกย้ายกันไป เขาคิดว่าลีโอคงมีแนวคิดแบบนี้เหมือนกัน ชอบก็เอา เบื่อก็พอ อยู่ด้วยกันแล้วลำบากก็ปล่อย เพราะแบบนี้พวกเขาถึงยังคุยกันอยู่ได้แม้ว่าจะเจอเรื่องกระทบกระทั่งมากมายระหว่างกันก็ตาม

แต่ทุกอย่างมันผิดเพี้ยนไปหมดตั้งแต่ตอนที่คีลพูดว่ารักเขาเหมือนกัน

ที่แย่ไปกว่านั้นคือ… หมอนั่นดันแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าหมายความตามนั้นจริงๆ

เอลเลียตยกโทรศัพท์ขึ้นแตะปากอย่างสับสน จากนั้นก็เริ่มกัดเล็บอย่างไม่ทันรู้ตัว

แต่ถ้าเขาไม่รีบโทรหาลีโอตอนนี้ อีกไม่กี่นาทีคีลต้องออกมาจากห้องน้ำแน่ และเนื่องจากสถานะของพวกเขาสองคนตอนนี้ทำให้เอลเลียตแทบไม่มีเวลาอยู่คนเดียวในตอนกลางคืนเลย เขาอาจจะแอบย่องออกมาตอนที่ร่างสูงหลับไปแล้วก็ได้ แต่จากที่ได้นอนด้วยกันมาหลายคืนชายหนุ่มก็รู้แล้วว่าคีลเป็นคนรู้ตัวเร็ว แค่เขาขยับเปลี่ยนท่านอนนิดเดียวก็ปลุกหมอนั่นได้แล้ว เขาไม่กล้าเสี่ยงโทรหาลีโอกลางดึกแบบนั้นหรอก

แต่… แต่ถ้าเขาโทรหาหมอนั่น ถ้าเขาจำเป็นต้องออกจากอเมริกาพร้อมกับเงินแสนห้า เขาเคยห่วงเรื่องเงินก่อนหน้านี้ แต่จริงๆ แล้วแสนห้าก็พอจะช่วยให้เขาเอาตัวรอดได้ และเขาคงหาวิธีหาเงินได้ใหม่ แม้จะเสี่ยงกับการส่งกลับมาที่ยูเอสบ้าง แต่ใช่ว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้เลย

มีแค่อย่างเดียวที่กำลังรั้งเขาไว้อยู่ที่นี่

ไม่ได้รั้งร่างกายของเขา แต่เป็นจิตใจของเขาต่างหาก

อย่างี่เง่าไปหน่อยเลย เอล เสียงหนึ่งในใจพยายามตะโกน นายไม่ได้รักหมอนั่นจริงๆ หรอก ก็แค่รู้สึกดีด้วยแบบชั่วคราว เดี๋ยวพอสถานการณ์มันบีบ นายก็ลืมไอ้ตำรวจคนนั้นได้เอง แต่ถ้านายไม่รีบหนีตอนนี้แล้วปล่อยให้ตัวเองถลำลึกลงไปล่ะก็ ถึงตอนนั้นล่ะลำบากของจริงแน่

ทำไงดี

จะทำไงดี

เอลเลียตไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะมาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่างการเอาตัวรอดกับ เอ่อ อะไรก็ตามที่ใกล้เคียงกับความรัก มั้ง?

ประเด็นคือเขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่านี่มันใช่ความรักรึเปล่า ผู้คนนิยามความรักเอาไว้แบบนี้เหรอ? แล้วยังไง ถ้าเขาต้องเอาตัวรอด แล้วถ้าเขาไม่หนีตอนนี้ เขาจะมีโอกาสอีกไหม หรืออย่างน้อย ถ้าเขาไม่โทรหาลีโอตอนนี้ เขาจะมีโอกาสหาทางเอาบาร์โค้ดโง่ๆ ออกจากข้อเท้าอีกไหม

แต่ถ้าเขาโทรหาลีโอตอนนี้แล้วจำเป็นต้องเคลื่อนไหวทุกอย่างทันที

แล้ว… คีล…

เพราะมัวแต่คิดมากเรื่องพวกนี้ ทันทีที่เสียงฝีเท้าของใครอีกคนดังขึ้นพอจะให้เขาได้ยิน มันก็ใกล้จนเกือบจะถึงห้องที่เขาอยู่แล้ว

เอลเลียตตัวชาวาบด้วยความตกใจ ก้มลงมองโทรศัพท์ในมือ เร็วเท้าความคิด ชายหนุ่มยัดมันใส่ปลอกหมอนที่อยู่บนเตียงตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็ว วินาทีที่เขายืดตัวแล้วหันกลับมา ร่างสูงที่อยู่ในอพาร์ทเม้นท์เดียวกันกับเขาก็เปิดประตูห้องเข้ามาแล้ว

คีลอยู่ในชุดเตรียมนอน ผ้าขนหนูผืนเล็กสีขาวสำหรับเช็ดผมพาดอยู่บนบ่า เส้นผมสีดำเปียกชื้นลู่ลงเล็กน้อย ถ้าเป็นเวลาปกติ เอลคงรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูดีจนโผเข้าไปกอดอย่างรวดเร็วแล้ว หากเพราะชายหนุ่มมีชนักติดหลัง แถมนัยน์ตาสีน้ำตาลที่มองมาทางเขาก็ยังดูเย็นชาแบบแปลกๆ เอลเลียตหวังว่าเขาจะแค่คิดไปเองในเรื่องนั้น แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคีลกำลังไม่ไว้ใจในสิ่งที่เขาทำอยู่แน่

“อยู่นี่เอง เอล” สายสืบหนุ่มเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาในที่สุด “ผมไปที่ห้องนั่งเล่นมาแต่เห็นคุณไม่อยู่ ไปห้องตัวเองก็ไม่เจอ” ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะปกติเอลจะไปนอนที่ห้องของคีลเป็นประจำหลังจากคืนแรกที่พวกเขานอนด้วยกัน “ที่แท้มาอยู่ห้องนี้เอง มาทำอะไรครับเนี่ย”

“เอ่อ ก็ เอาของนิดหน่อย” เจ้าตัวอึกอัก และรู้ดีว่าไม่เนียน ยิ่งมีสายตาคมๆ จ้องเขาเหมือนจะตอกย้ำแบบนั้นแล้วด้วย เอลเลียตได้แต่ยักไหล่แล้วเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า “มีเสื้อตัวหนึ่งที่นึกอยากจะใส่ขึ้นมาเฉยๆ แบบ เสื้อตัวโปรดอะไรพวกนั้น คุณไม่มีบ้างรึไง”

เขาไม่กล้าสู้หน้าอีกฝ่ายเลยเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับกระเป๋าในตู้เสื้อผ้าตัวเองแบบนั้น แล้วเอลเลียตก็ต้องสะดุ้งเมื่อคีลก้าวมาประชิดตัวแล้วกอดเขาไว้จากด้านหลัง กลิ่นแชมพูอ่อนๆ ลอยมาแตะจมูกเป็นอย่างแรก ใบหน้าคมวางลงบนบ่า เขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดลงมา เอลเลียตรู้สึกเหมือนตัวเองลืมหายใจไปชั่วจังหวะหนึ่ง

“คุณก็รู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนโกหกไม่เก่ง”

เอลเลียตหน้าร้อนขึ้นด้วยความอับอาย คีลรู้ว่าเขาโกหก แต่ยังไม่รู้ว่าอะไรคือความจริง

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณคิดจะทำอะไร บางทีคุณคงคิดที่จะหนี” พูดพลางกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น “แต่ผมขอร้องได้ไหม อย่าทำแบบนั้นเลย เรามาทำทุกอย่างให้มันถูกต้องกันเถอะ ผมรู้ว่าคุณทำได้”

ทำทุกอย่างให้มันถูกต้องเหรอ

คนผมน้ำตาลยังรู้สึกละอายเกินกว่าจะหันไปสบตากับคนด้านหลัง

ทุกอย่างมันผิดพลาดตั้งแต่ความรู้สึกของพวกเขาสองคนก่อตัวขึ้นมาแล้วล่ะ






-------------------------------------------------------

Tip1 เรื่องที่ไม่ต้องรู้เกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ก็ได้: ที่พระเอกชื่อคีลก็เพราะจะได้เข้ากับ Kill ซึ่งเป็นชื่อเรื่อง แล้วบวก me (เอลเลียต) เข้าไปอีก คือเป็นอะไรที่ก๊าวมาก ถถถถถถ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 7) P.1 [25/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 25-10-2017 17:46:52

//ขอตอบเม้นรวบยอดตรงนี้เลยนะคะ นานๆ ทีก็อยากคุยกับคนอ่านบ้างอะไรบ้าง รักทุกคน ม้วฟ :mew1:


มันง่ายไปอะ เหมือนเป็นแผนเค้นความลับของคีล

เอาตรงๆเราไม่เชื่อใจคีลเลย  :ling3:

คีลไม่ได้หลอกเอลเลียตหรอกใช่มั้ย...

กลัวใจคีลอะ มันดูง่ายไป  :m28: :m28:

กลัวใจกับคีลจริงๆกลัวมาหลอกเอาข้อมูล :katai1:

เหย ใช่เหรอ คิดไปเองป่าว เค้าอาจจะรักกันจริงๆ ก็ด้ายยยย ถถถถถถ

สนุกทุกเรื่องที่แต่งเลยค่ะ ติดมากค่ะะะ ต่อบ่อยๆนะคะ  :katai2-1:

ขอบคุณมากค่าาา ฝากติดตามต่อไปด้วยนะ อิอิ  :pig4:

ทำไมคนอื่นกลัวคีล แต่เรากลัวใจเอลเลียตอ่ะ 5555 คีลจะหลอกถามอะไรในเมื่อใจก็ไม่คิดว่าต้องพึ่งเอลเลียตอยู่แล้วแต่แรก แถมหลอกถามปกติก็ได้ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ แต่เอลเลียตดูเป็นคนที่ถ้าถึงเวลาก็คงต้องเอาตัวเองรอดก่อน พร้อมหนีมากๆ สนุกมากกก จะลุ้นต่อไปค่ะะ

เนอะ มีแต่คนกลัวคีล เราว่าเอลเลียตน่ากลัวกว่า 555555 ดีใจที่ชอบนะคะ ยังไงก็ฝากติดตามต่อด้วยน้า >3<

หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 7) P.1 [25/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 25-10-2017 17:50:47
เราวิเคราะห์ผิดเองสินะ ตอนแรกนึกว่าคีลจะหลอกซะอีก สรุปคีลจริงจังจริงๆใช่มั้ย
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 7) P.1 [25/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 25-10-2017 18:12:06
ตามความคิดเราชื่อเรื่องนี่หมายความว่าหลังจากจูบหรือตื๊ดๆ ประมาณความรู้สึกที่มัดเอลไว้หรือเปล่า สุดท้ายเอลจะเป็นไรไหม เอาตามตรงไม่ไว้ใจคีลเลย เหมือนทำเพื่อการสืบสวนมากกว่า ทำนองว่ายอมทำทุกอย่างเพื่อให้งานนี้จบอย่างสวยงามหรือเปล่า ไม่ไว้ใจตั้งแต่ชื่อเรื่องละ 555

ติดตามค่ะ
ตั้งแต่แฝดนรกเลย 555 ชอบสำนวนการบรรยายมาก
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 7) P.1 [25/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 25-10-2017 20:24:06
เส้นทางจะมาบรรจบกันได้มั้ยนะ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 7) P.1 [25/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 25-10-2017 20:43:48
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 7) P.1 [25/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 25-10-2017 21:16:17
ขอโทษค่ะคุณคีล สรุปต้องระแวงเอลสินะ 5555555555555
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 7) P.1 [25/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 25-10-2017 22:18:45
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 7) P.1 [25/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: bmine ที่ 25-10-2017 23:39:56
งงตัวเองมากๆเลยค่ะ พอมาอ่านตอนล่าสุดกลับไประแวงคีลทั้งที่ตอนก่อนหน้าระแวงเอลเลียต แถมตอนนี้เป็นเอลเลียตด้วยที่ดูไม่น่าไว้ใจ 55555 เพราะเห็นว่าเพิ่งคบกันแค่นี้ เอลเลียตก็ดูใจอ่อนซะแล้ว ถ้าปกติก็คงต้องโทรแล้วแบบไม่ลังเล นี่อาจจะเป็นแผนล่อจับอดัมของคีลรึเปล่า งือออ ไม่รู้แล้ว รออ่านต่อค่ะ 555555
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 7) P.1 [25/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 26-10-2017 21:52:18
หวังว่าคีลจะไม่หลอกนะ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 7) P.1 [25/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 28-10-2017 10:31:41
บทที่ 8



คีลเปิดประตูลงจากรถพร้อมกับก้าวเท้าผ่านทีมเก็บภาพถ่ายและหลักฐานในที่เกิดเหตุที่เดินมาถึงก่อนหน้าพวกเขา เอลเลียตที่ก้าวเท้าลงมาทีหลังลัดเลาะผ่านเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ แถมยังทะเล้นพอที่จะหันหน้าไปโบกมือทักทายสาวสวยหน้าตาจิ้มลิ้มที่มองอย่างทึ่งๆ ตอนเห็นคีลเดินผ่านไป แล้วก็ดูเหมือนจะยังทึ่งไม่หายตอนที่เห็นชายหนุ่มผมน้ำตาลไม่มีออร่าหรือท่าทางของคนเป็นตำรวจเลยแม้แต่นิดเดียวตามมาติดๆ

เอลเลียตรู้ว่าสาวน้อยคิดอะไรอยู่ในใจ คงจะกำลังคิดว่า ‘โอ้ พระเจ้า ฉันนี่โชคดีจริงๆ ที่ได้เจอหนุ่มหล่อตั้งสองคนแบบนี้’

แต่เสียใจด้วยนะแม่สาวน้อย เพราะคนแรกน่ะเป็นของเขา ส่วนตัวเขา… อยากมองเท่าไรก็มองไปเถอะ ไม่หวง แต่อย่ามองสายสืบวิลล์นานเกินความจำเป็นนักแล้วกัน เพราะเขาต้องไม่ชอบใจแน่

“สวัสดีครับ คุณสายสืบ ผมกำลังรอคุณอยู่เลย” เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งพูดกับผู้คุมจำเป็นของเขาดังขึ้นตอนที่เอลเลียตก้าวเท้าเข้าไปในตัวบ้านเดี่ยวสองชั้นซึ่งตั้งอยู่ในย่านชนชั้นกลาง ไม่รวยไม่จน ข้างในบ้านก็บ่งบอกเรื่องนั้นเหมือนกันเมื่อกวาดตาดูสิ่งของภายใน

“คีล วิลล์ครับ ดีใจที่ได้เจอคุณตัวเป็นๆ สักที ส่วนนี่… เอลเลียต เทย์เลอร์ ตามที่ผมเคยเล่าให้ฟัง”

“ไซม่อน แมคแนร์ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” พูดพร้อมกับเขย่ามือกับทั้งสองคน เอลเลียตรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่คอยประสานงานกับทีมของคีลมาตลอด เพียงแต่ผ่านทางแฟ้มคดี โทรศัพท์มือถือ แล้วก็อินเทอร์เน็ตเท่านั้น เพิ่งจะได้มาเจอกันแบบตัวต่อตัวครั้งแรกเพราะแมคแนร์ค้นพบอะไรที่สำคัญกับรูปคดีที่เขาอยู่อย่างมาก

หนึ่งในผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งที่คาดว่าอยู่ในกลุ่มปล้นธนาคารถูกฆ่าตาย

แล้วว่ากันตามตรง เอลเลียตเกลียดเลือดและศพคนตายมาก แต่ที่เขายังทำระรื่นอยู่เพราะต้องการกลบเกลื่อนความรู้สึกหวั่นๆ ที่อยู่ในอกนี่ต่างหาก

ความเป็นจริงก็คือ เขาไม่อยากมาเลย แต่คีลก็ยังดึงดันว่าเขาต้องมาเพราะนี่เป็นคดีของเขาเหมือนกัน และที่เขาได้ออกมาลั้ลลาอยู่ข้างนอกได้ก็เพราะคดีพวกนี้ เอลเลียตเองก็รู้ตัวว่าต่อให้ไม่อยากเผชิญหน้ากับคนตายแค่ไหน แต่ยังไงเขาก็ต้องมา

เอลเลียตไม่สนใจสิ่งที่แมคแนร์กับแฟนหนุ่มเขาพูดคุยกันเรื่องภูมิหลังของผู้ตาย เขาก้าวเข้าไปมองร่างที่ยังนอนคว่ำกับพื้นโดยมีเลือดจำนวนหนึ่งแข็งตัวอยู่บนพรม มีเจ้าหน้าที่อีกคนกำลังถ่ายรูปศพ ดูเหมือนว่าผู้ตายจะเสียชีวิตจากการโดนไม้กอล์ฟฟาดเข้าที่ท้ายทอย กลิ่นของร่างที่ไร้วิญญาณนั่นทำเอาเอลเลียตอยากจะอาเจียนออกมา และไม่ต้องเสียเวลาคิดหรือลังเลเลย ทันทีที่เขาได้เห็นร่างที่ตายไปแล้วเพียงเสี้ยววินาที เขาก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้คือเจคอบ โอคอนเนล อดีตหนึ่งในทีมของเขาตอนที่ลงมือปล้นครั้งที่สองไม่ผิดแน่

แล้วหมอนี่… ก็ตายแล้ว

ไอ้ฉิบหายเอ๊ย

“ผู้ตายคือเจมส์ สมิธทำอาชีพเป็นพนักงานบริษัททางด้านการมาร์เกตติ้ง การโฆษณา ผู้พบศพคือแม่บ้านที่เข้ามาทำความสะอาดที่เจ้าตัวได้จ้างเอาไว้ให้มาทุกสัปดาห์”

เสียงนั้นแว่วมาให้ได้ยินทำให้เอลเลียตรู้ว่าอีกฝ่ายปกปิดชื่อจริงเอาไว้ในฉากหน้า หรือไม่งั้นนี่ก็คือชื่อจริงของเจ้าตัว แล้วชื่อเจคอบเป็นชื่อหน้าฉากของโลกอีกฝั่ง ไม่ว่าอันไหนจะเป็นชื่อจริงก็ไม่สำคัญหรอก

เอลเลียตยกมือกัดเล็บอย่างเผลอตัวขณะคิดถึงความเป็นไปได้ว่าใครเป็นคนฆ่าเจคอบ เขาไม่ได้รู้จักผู้ชายคนนี้เป็นการส่วนตัว แม้แต่ตอนลงมือก่ออาชญากรรมด้วยกันก็อยู่กันละทีม ไม่ได้ติดต่อกันโดยตรง แต่ถ้าฟังจากข้อมูลที่เอฟบีไอว่าหมอนี่เป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญของคดีปล้นธนาคารมากกว่าสามครั้ง

โดนสั่งเก็บงั้นเหรอ… คนคนนั้นสั่งเก็บหมอนี้งั้นเหรอ

ไม่หรอก ถ้าเป็นคนคนนั้น เขาจะไม่น่าจะใช้วิธีเอาไม้กอล์ฟฟาดหัว มันยุ่งยากวุ่นวายเกินความจำเป็น และนักฆ่าที่ที่คนคนนั้นใช้คงไม่ใช้วิธีการนี้

แปลว่าฆาตกรเป็นคนอื่น… ถ้าหมอนี่เพิ่งทำงานใหญ่มาและมีเงินก้อนก็คงหนีไม่พ้นเรื่องผลประโยชน์ ก่อนอื่นก็ต้องหาเงินให้เจอ ฆาตกรอาจจะเอาไปแล้ว หรือไม่ก็ยังก็ได้

“ดูเหมือนหมอนี่น่าจะขัดแย้งเรื่องเงินกับคนในทีมนะ”

คำพูดที่เหมือนได้ยินเสียงในหัวทำให้เอลเลียตหันกลับไปมองต้นเสียงด้วยความตกใจ คนพูดเป็นชายหนุ่มที่มากับเจ้าหน้าที่แมคแนร์แต่ไม่มีลักษณะเหมือนเจ้าหน้าที่หรือตำรวจคนอื่นๆ เลย เหมือนเขาเป็นคนนอกมากกว่า เขามีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนดูยุ่งเหยิงบนหัว นัยน์ตาสีฟ้าพราวระยับที่เหมือนเห็นขันกับทุกสรรพสิ่งรอบตัวแม้ว่าจะเป็นบ้านที่มีเพิ่งมีคนตายก็ตาม

“ทำไมนายถึงคิดแบบนั้น” แมคแนร์ถามกลับอย่างฉงน ก่อนจะรีบแนะนำตัวชายคนนี้กับคีลอย่างนึกขึ้นได้ “เอ่อ ขอโทษที่เสียมารยาทครับ หมอนี่ชื่อเฟรดเดอริค คัลเลน เป็นนักจิตวิทยาของทีมผมเอง เหมือนผู้ช่วยน่ะ”

เอลเลียตได้ยินคีลตอบรับและจับมือทำความรู้จักกับชายผมน้ำตาลคนนั้น และตอนนี้คัลเลนก็กำลังชี้ไม้ชี้มือไปที่แก้วไวน์สองใบซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะของห้องรับแขกพร้อมกับอธิบายข้อสันนิษฐานของตัวเองว่าผู้ตายจะต้องนั่งดื่มกับฆาตกรก่อนที่จะโดนไม้กอล์ฟฟาดหัวแน่ และเจมส์ สมิธคงไม่นั่งดื่มกับคนที่ไม่รู้จัก

เอลเลียตไม่คิดจะฟังอะไรต่อจากนั้น ข้อเท็จจริงที่ว่าอดีตเพื่อนร่วมทีมตายไปแล้วทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้ และเขาก็เกลียดเลือดกับร่างที่ไร้วิญญาณยิ่งกว่าอะไร แม้ว่าก่อนจะก้าวเข้ามาทำงานสายนี้เขาจะเตรียมใจไว้แล้วว่าตัวเองอาจจะมีจุดจบแบบนั้นด้วยซ้ำ แต่ถึงยังไงก็ยังรู้สึกรับไม่ได้อยู่ดี

ชายหนุ่มก้าวออกมาที่นอกตัวบ้าน สูดลมหายใจของอากาศบริสุทธิ์ภายนอกเข้าไปเต็มปอด ค่อยดีขึ้นหน่อย อยู่ในนั้นรู้สึกเวียนหัวเหมือนจะอาเจียนออกมาได้ตลอดเวลา

“คุณครับ”

เสียงเรียกของชายหนุ่มในเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ตำรวจทำให้เอลเลียตไหวตัวเล็กน้อยอย่างตกใจ ปกตินอกจากคนในทีมของคีลแล้วก็ไม่ค่อยมีใครมาทักเขาหรอก

“อะไรเหรอครับ?” ชายหนุ่มถามกลับ สะดุ้งตัวนิดหนึ่งมือหนาของเจ้าหน้าที่ร่างท้วมตะปบลงมาบนบ่า จากนั้นก็พูดเสียงเบาข้างหูเขา

“อดัมส์ฝากให้ติดต่อกลับ”

คนผมน้ำตาลหน้าซีดเผือดลงอย่างรวดเร็วราวกับว่าอีกฝ่ายเพิ่งประทุษร้ายร่างกายเขา เจ้าหน้าที่ปริศนาคนนั้นยังทำท่าทีเฉยเมยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปด้านในรวมกับเจ้าหน้าที่สืบสวนคนอื่นๆ

อดัมส์ฝากให้ติดต่อกลับ

เขาปล่อยให้เวลาผ่านมาเกินไปแล้วสินะ มาคิดดูอีกที นี่ก็เกือบสองอาทิตย์ตามที่ลีโอบอกเขาเรื่องจัดหาพาสปอร์ตให้แล้ว บางทีหมอนั่นอาจจะจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย และถึงเวลาที่เขาต้องไปแล้ว

แต่ถึงขั้นเอาคนในมากระซิบบอกเขาแบบนี้…

เอลเลียตสังหรณ์ใจไม่ดีเลย เหมือนกับอีกฝ่ายกำลังร้อนรนอะไรบางอย่าง และมันชักทำให้เขาร้อนรนตามขึ้นมาแล้ว

แล้วยิ่งต้องมาในวันที่เจคอบถูกพบว่าเป็นศพแบบนี้อีก

ต้องมีเรื่องไม่ดีอะไรแน่ๆ



คีลให้โจนาธาน หนึ่งในเพื่อนร่วมทีมของเขาคราวนี้ขับรถไปส่งเอลเลียตที่อพาร์ทเม้นต์ก่อนเพราะตัวเองติดพันกับการสืบสวนกับเจ้าหน้าที่เอฟบีไอพวกนั้น

อันที่จริงเอลเลียตควรจะต้องตามไปด้วยตามเงื่อนไขที่คีลเคยอ้าง แต่รอบนี้คีลบอกว่าเขากับแมคแนร์จะมุ่งเน้นไปทางคดีฆาตกรรมมากกว่า ประกอบกับการที่เอลเลียตอ้างว่ารู้สึกปวดหัวและอยากนอนพักสักหน่อย ทุกอย่างจึงประจวบเหมาะให้อาชญากรหนุ่มผู้พ้นโทษชั่วคราวกลับมาที่ห้องพักย่านชานเมืองในเวลาราวๆ ทุ่มเศษ

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีนะ? เทย์เลอร์” โจนาธานว่าหลังจากที่พาตัวชายหนุ่มมาส่งถึงในห้องตามการไหว้วานของเพื่อน “ที่ว่าปวดหัวอาการดีขึ้นรึยัง ให้ผมลงไปซื้อยามาให้ดีกว่าไหม”

เอลเลียตวางถุงกับข้าวที่เขาขอให้โจนาธานแวะซื้อที่ร้านอาหารจีนแห่งหนึ่งซึ่งเป็นทางผ่านลงบนโต๊ะ เขาซื้อกล่องหนึ่งมาเผื่อคีลด้วย ถึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะกินก่อนกลับมารึเปล่าก็ตาม แต่ถ้าหมอนั่นไม่ได้กินแล้วกลับมาไม่มีอะไรคงน่าสงสารน่าดู จากนั้นเจ้าตัวก็โบกมือขึ้นในอากาศเป็นเชิงปฏิเสธ

“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวกินข้าวแล้วเข้านอนเลยก็คงหาย”

“งั้นพักเยอะๆ นะครับ ผมขอตัวกลับไปเคลียร์งานก่อน”

เอลเลียตบอกลาคนตรงหน้า และเมื่อเจ้าตัวเดินออกจากห้องไปชายหนุ่มก็เดินไปแกะกล่องอาหารใส่จานด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขารอจนกระทั่งแน่ใจว่าโจนาธานจากไปแล้วจริงๆ และไม่มีใครคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของเขาแบบประชิดตัวแล้วตอนนี้ เอลเลียตก็พุ่งพรวดไปที่ห้องนอนของตัวเองแล้วคว้าเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ของลีโอทันที

นัยน์ตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่างที่ตอนนี้ถูกย้อมด้วยสีดำของยามค่ำคืน เสียงการจราจรจากเบื้องล่างลอยมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ บ่งบอกให้รู้ว่าเมืองที่เขาอยู่นั้นไม่เงียบเหงา

ชายหนุ่มรู้สึกว่าอุ้งมือชื้นเหงื่อขึ้นด้วยลางสังหรณ์ในเชิงลบที่เขารู้สึกมาตั้งแต่เมื่อตอนกลางวัน

“สวัสดีครับ” ปลายสายกรอกเสียงลงมาหลังจากที่กริ่งดังเป็นครั้งที่สี่ เอลเลียตรีบเรียชื่ออีกฝ่ายทันทีด้วยความร้อนรน

“ลีโอ”

“ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกชื่อฉัน”

“นายให้ตำรวจคนนั้นมาหาฉัน”

“ใช่สิ ก็นายแม่งหายหัวไปไหนไม่รู้ ช่องทางติดต่ออะไรก็ไม่บอก”

“มันไม่เสี่ยงไปหน่อยหรือไง”

“เหอะ” ปลายสายกระแทกเสียง และมันทำให้เอลเลียตเริ่มกลัวจริงๆ ในหัวคิดเร็วจี๋ว่าเขาทำอะไรพลาดไปตรงไหนรึเปล่า “นายแม่งไม่ได้รู้ตัวอะไรเลยว่าตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากขนาดไหน เอล”

“อ้าว เราพูดชื่อกันได้แล้วเหรอ” ถึงจะใจแกว่งก็ยังมิวายจะกวนประสาท

“นายบอกว่านายจะทิ้งแจ็ค พอร์เตอร์” อีกฝ่ายพูดเสียงเครียด “แต่ไม่ได้บอกว่าจะทิ้งเอเลน่า เคอร์ติสด้วย”

“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งเอเลน่า” เอลเลียตพยายามอธิบาย อยู่ๆ เขาก็เริ่มปะติดปะต่อได้ในหัวว่าอีกฝ่ายร้อนรนเรื่องอะไร “แต่ไอ้โง่แจ็คมันพาฉันไปถึงถิ่นมันเองตอนที่ฉันพยายามล่อมัน”

“คนปกติที่ไหนเขาจะทำแบบนั้นกัน ยิ่งอาชีพอย่างพวกเราด้วยแล้ว” ลีโอพูดอย่างไม่เชื่อถือ “นายไปพูดอะไรกับมัน”

“ก็หลอกล่อปกติ… อ้อ มันพยายามจะปล้ำฉัน”

“ว่าไงนะ” เสียงไม่เชื่อหูทีเดียวก่อนจะนิ่งไปนิดแล้วว่าต่อ “อ้อ… ก็ว่า ตอนที่เราคบกันมันถึงได้มองนายตาเป็นมันนัก”

“ทำไงได้คนมันหน้าตาดี”

“ก้นก็สวยด้วย ลีลาก็เด็ด”

“อยากระลึกความหลังไหมล่ะ ที่รัก นี่เรากลับมาพูดเรื่องเดิมกันได้รึยัง”

“ฉันนึกว่านายรู้เรื่องนี้อยู่แล้วซะอีก ไอเดน” ลีโอกลับมาพูดเสียงเครียดต่อ “ไม่รู้เลยเหรอว่าตัวเองตกที่นั่งลำบากแค่ไหนแล้วตอนนี้”

เอลเลียตกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง

“แค่ไหนล่ะ”

“นายรู้รึเปล่าว่าเอเลน่ามีความสัมพันธ์ยังไงกับคนคนนั้น” 

“ไอ้เฒ่าหัวงูนั่น” คนผมน้ำตาลกัดฟันกรอด รู้สึกขยะแขยงขึ้นมาทันที “ก็เคยเห็นสองคนนั่นอยู่ด้วยกันแวบๆ หรอกนะ แต่ไม่คิดว่าจะ…”

“ขอโทษเถอะ” ลีโอพูดขัดเสียงเฉียบ “นายกำลังพูดถึงพ่อฉัน”

“ขอโทษ แต่นายดูพ่อนายเอากับผู้หญิงที่อ่อนกว่านายโดยไม่รู้สึกอะไรเลยงั้นเหรอ”

“ไม่ใช่เรื่องของฉันนี่”

“ลูกบังเกิดเกล้าแท้ๆ”

“เฮ้ ฟังนะ ไอเดน ฉันเห็นพ่อฉันนอนกับผู้หญิงคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยก็จริง แต่เขาจริงจังกับหล่อน”

“นายหมายถึงเอเลน่างั้นเหรอ”

“ฉันหมายถึงแม่ฉันเองมั้ง” เอลเลียตนึกภาพออกเลยว่าคนพูดกำลังทำหน้าตายขาดไหน “ก็ต้องหมายถึงเอเลน่า เคอร์ติสสิ เอาเป็นว่าฉันบอกนายได้เลยว่าตอนนี้เขาหัวเสียมาก ทั้งๆ ที่เขาพยายามงัดนายออกมาจากที่นั่นเพื่อให้นายไปให้พ้นหูพ้นตาแล้วแท้ๆ แต่นายดันมาโยนไพ่ทิ้งอีกตั้งหลายใบ ไอ้ใบอื่นน่ะเขาไม่สนหรอก แต่เอเลน่าน่ะเป็นอีหนูของเขา นายพลาดแล้ว เอลเลียต นายทิ้งไพ่ผิดใบแล้ว”

“เดี๋ยวก่อนนะ” คนผมน้ำตาลเดินวนเป็นวงกลมไปมาอย่างอยู่ไม่สุขแล้วตอนนี้ “นายจะบอกว่าจูเลียนเป็นคนหาทางเอาฉันออกมาจาก--”

“บอกว่าอย่าเรียกชื่อ!”

แต่มันสายไปแล้ว

“ได้! งั้นแปลว่าทั้งหมดนี่เป็นแผนของพ่อนายที่จะช่วยฉันหนี”

“นายเองก็รู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว เอล อย่ามาทำโง่หรือแกล้งทำไขสือหน่อยเลย” น้ำเสียงจากปลายสายเหยียดหยันอย่างชัดเจน “คิดจริงๆ เหรอว่าถ้าไม่มีใครคอยหนุนหลังนายอยู่นายจะออกมาจากคุกชั่วคราวแบบนี้ได้น่ะ สำคัญตัวเองผิดไปรึเปล่า”

แม่งเอ๊ย เมื่อก่อนเขาเคยนอนกับคนอย่างหมอนี่เข้าไปได้ไงวะ

“เขาคาดโทษฉันยังไง”

“อ้อ ฉันคิดว่าเขาน่าจะสั่งเก็บนายนะ” ลีโอพูดออกมาง่ายๆ เหมือนกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ และมันยิ่งทำให้เอลเลียตรู้สึกเดือดขึ้นไปอีก

“แล้วนายก็จะให้เขาเก็บฉัน!?”

“นี่มันเกินความสามารถของฉันแล้ว ที่รัก ต่อให้นายเป็นคนโปรดของฉัน ฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก”

“นายบอกจู-- นายบอกพ่อนายหรือเปล่าว่าฉันอยู่ที่ไหน”

“ฉันยังไม่โหดร้ายขนาดนั้น แต่ฉันก็ไม่รู้อยู่ดีแหละว่านายอยู่ที่ไหนน่ะนะ แต่อีกไม่นานเขาจะรู้แน่ เอล เอาล่ะ ฟังนะ นายไม่มีอะไรต้องเสียแล้ว หนีไปซะ บอกฉันว่าเราจะเจอกันได้ที่ไหน แล้วฉันจะจัดการเรื่องแถบที่ข้อเท้านายให้”

“แล้วเรื่องเงินล่ะ”

“เงินจะตามไปทีหลัง ฉันเสี่ยงถือเงินไปมากขนาดนั้นไม่ได้ พาสปอร์ตด้วย จะใส่ไปให้ด้วยกันนั่นแหละ เร็วเถอะ ไอเดน นายเองก็รอเวลานี้มานานแล้วไม่ใช่เหรอ ถึงเงินมันจะน้อยไปหน่อย แต่ฉันว่านายไม่มีทางเลือกมากแล้วล่ะ”

ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องเงิน

เอลเลียตอยากจะพูดแบบนั้นแต่ก็พูดไม่ออก เขายกมือขึ้นกุมขมับ ยกมันเสยผมขึ้นไปก่อนจะครางออกมาแผ่วเบาอย่างเหนื่อยอ่อน

เขาอยากอยู่กับคีล

ข้อเท็จจริงนั่นมันรุนแรงขนาดที่ตัวเขาเองยังตกใจ เขาไม่อยากไปจากชายหนุ่มคนนั้นเลย เขาอยากจะทำตามคำขอร้องที่อีกฝ่ายเคยพูดก่อนหน้านี้ ในอ้อมกอดที่แข็งแกร่ง อบอุ่น และเต็มไปด้วยความจริงใจนั่น

เขาอยากตอบแทนความรักและความไว้ใจที่คีลมอบให้

แต่เขาสงสัยเหลือเกินว่านั่นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดจริงๆ หรือไม่ บางทีการทำแบบนั้นมันอาจยิ่งทำให้คีลต้องมาพัวพันกับความยุ่งเหยิงในชีวิตเขาและอาจจะกลายเป็นอันตรายต่อเจ้าตัวเองด้วยซ้ำ

เขาต้องหนี

เขาต้องหนีจริงๆ ไม่มีทางไหนที่ดีไปกว่านี้แล้ว

เสียงของเอลเลียตอ่อนระโหยทีเดียวเมื่อกรอกลงในโทรศัพท์ต่อ

“นายรู้แล้วใช่ไหมว่าเจคอบ โอคอนเนลตายแล้ว”

“อะไรนะ” น้ำเสียงนั่นตกใจจริง บ่งบอกว่าเจ้าตัวยังไม่รู้เรื่องนี้

“นายไม่รู้เหรอ ก็นายบอกให้เจ้าหน้าที่คนหนึ่งมาหาฉันตอนที่กำลังตรวจศพโอคอนเนลอยู่เลยด้วยซ้ำ”

“ฉันไม่รู้หรอก ไอเดน” น้ำเสียงอีกฝ่ายยังดูตกใจไม่สร่าง “แต่… ได้ไง ก็วันก่อน…”

เอลเลียตรู้สึกสะดุดหู “วันก่อนอะไร”

“ฉันเพิ่งคุยกับหมอนั่นเรื่องเงิน”

“เงินที่ปล้นมาน่ะนะ”

“ใช่” ลีโอว่า ความเป็นจริงก็คือ ถ้าคนที่ถามไม่ใช่เอลเลียตแต่เป็นคนอื่น เขาจะไม่มีวันพูดเรื่องแบบนี้ออกมาหรอก เรื่องที่ว่าเอลเลียตเป็นคนโปรดของเขาไม่ใช่เรื่องโกหกเสียทีเดียว ถึงจะมีอะไรหลายอย่างกระทบกระทั่งกัน แต่ความรู้สึกดีๆ ที่มีให้อีกฝ่ายก็ยังมากมายอยู่

“คุยว่าอะไร”

“หมอนั่นปรึกษาฉันเรื่องที่ซ่อนเงิน”

ถึงตรงนี้เอลเลียตรู้สึกว่าใจเต้นรัวขึ้นนิดหนึ่ง ถึงเขาจะคิดว่าตัวเองไม่ได้ต้องการเงินมากขนาดนั้น แต่พอเห็นโอกาสเล็กๆ น้อย ๆ ที่เขาอาจจะได้มันมา สัญชาตญาณภายในก็ตื่นตัวขึ้นมาจนได้

แต่ก่อนจะเข้าเรื่องนั้น…

“นายคิดว่าใครฆ่าโอคอนเนล”

ลีโอเงียบไปครู่ใหญ่ เสียงนิ้วเคาะแป้นพิมพ์ดังมาให้ได้ยิน “ถ้านายกำลังสงสัยพ่อฉันอยู่นะ เอล เปล่า ฉันไม่คิดว่าเขาสั่งเก็บโอคอนเนลหรอก ไม่มีเหตุผลอะไรให้ทำแบบนั้น หมอนั่นไม่ได้เบี้ยวเรื่องจ่ายเงินแล้วก็ไม่ได้ทำตัวน่าถูกเก็บแบบนาย”

“ขอบคุณมากเลยนะที่ช่วยย้ำให้ฟัง”

“นายบอกว่านายได้ไปที่เกิดเหตุมานี่ หมอนั่นตายยังไง”

“ถูกไม้กอล์ฟฟาดที่ท้ายทอย”

“งั้นก็ไม่ใช่ฝีมือพ่อฉันอยู่แล้ว เราไม่สนใจค้นบ้านหมอนั่นเพื่อไม้กอล์ฟหรอก”

“วกกลับมาที่เรื่องเงิน หมอนั่นซ่อนไว้ที่ไหน”

“ว่าแล้วนายต้องสนใจเรื่องนี้มากกว่า” เสียงกลั้วหัวเราะทีเดียว “จริงๆ หมอนั่นกำลังคิดจะฮุบเงินก้อนโตกว่าที่ให้คนอื่นๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวกับคนคนนั้น”

“เพราะงั้นก็เลยโดนคนในทีมฆ่าเอาน่ะสิ” เอลเลียตสรุปอย่างรวดเร็ว เรื่องเงินๆ ทองๆ เป็นเรื่องละเอียดอ่อนเสมอล่ะ “แล้วไอ้คนที่ฆ่าโอคอนเนลได้เงินไปหรือยัง”

“ฉันไม่รู้เรื่องนั้นหรอกที่รัก ถ้าคนคนนั้นยังไม่ได้เงินไป ฉันก็รู้ว่าเงินอยู่ที่ไหน”

“เลิกโยกโย้แล้วบอกฉันมาสักที”

“สัญญากับฉันก่อนสิ ไม่ว่านายจะได้เงินก้อนนั้นหรือไม่ก็ตาม นายต้องไปจากที่นี่ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนี้”

เอลเลียตเงียบ เขาได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นรัวขึ้น และนั่นทำให้ลีโอย้ำขึ้นมาเสียงหงุดหงิด

“เอล อย่างี่เง่าได้ไหม นี่ฉันพยายามช่วยนายอยู่นะ ถึงฉันจะโปรดนายขนาดไหนแต่อีกฝั่งก็พ่อฉัน นายเข้าใจที่ฉันพูดรึเปล่า”

“เข้าใจแล้วล่ะน่า” เอลเลียตว่าอย่างยอมแพ้ “ตกลง ฉันสัญญา”

“เงินอยู่ในล็อกเกอร์ของสถานีรถไฟใต้ดิน” เจ้าตัวบอกชื่อสถานีพร้อมกับที่ตั้งของล็อกเกอร์ที่ว่า เอลเลียตแทบจะครางอย่างคาดไม่ถึงที่ลีโอไปบอกอีกฝ่ายให้ซ่อนเงินในที่แบบนั้น ทั้งพวกตำรวจแล้วก็ไอ้คนที่ฆ่าโอคอนเนลเองคงหัวปั่นน่าดูในการหาเงินก้อนนี้

“ทำไมนายถึงบอกให้โอคอนเนลไปซ่อนเงินที่นั่นล่ะ”

“มันงานฉันอยู่แล้วที่ต้องให้คำปรึกษาด้านนี้” ปลายสายตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ฉันคือเทลออฟอดัมส์นะ”

“ต่อให้นายรู้ว่าหมอนั่นกำลังจะงุบงิบจากทีมของตัวเองเนี่ยนะ?”

“ไม่ใช่ปัญหาของฉันสักหน่อย”

สมเป็นหมอนี่จริงๆ

“เอาล่ะ งั้นก็เตรียมมาเจอกันได้แล้ว ไอเดน อย่าทำตัวมีพิรุธล่ะ นายผละออกจากตำรวจคนนั้นสักครึ่งชั่วโมงได้ใช่ไหม”

“ได้” ชายหนุ่มว่าพร้อมกับมองตัวห้องที่ว่างเปล่า นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครอีก “ฉันจะบอกสถานที่แล้ว นายเตรียมจดนะ”

“ตกลง”

เอลเลียตรู้สึกเหมือนหัวใจของตัวเองค่อยๆ ถูกแกะออกมาจากอกอย่างช้าๆ ระหว่างที่พูดที่อยู่ที่ว่าออกไป

ผมขอโทษ คีล

เขาลอบคิดในหัว ฝากมันไปสายลม แต่ก็หวังว่าสายสืบหนุ่มคนนั้นจะไม่รู้ถึงมัน

มันคงจะดีกว่าถ้าพวกเขาทั้งคู่แค่ลืมกันไปเลย

ผมขอโทษจริงๆ





-----------------------------------------------------------
Tip2 เรื่องที่เกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ที่ไม่ต้องรู้ก็ได้: จริงๆ แล้วคีลอายุน้อยกว่าเอลเลียตอีกค่ะ น้อยกว่าลีโอด้วย สรุปคือนางเด็กสุดแต่ขรึมสุดนั่นเอง (อี๊ อีขี้เก๊---//โดดนฟาดด้วยด้ามปืน)
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 8) P.2 [28/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 28-10-2017 11:03:31
รู้สึกเฉบปวดด
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 8) P.2 [28/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 28-10-2017 14:09:14
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 8) P.2 [28/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 28-10-2017 15:15:06
ไม่ว่าคีลจะรักจริงหรือหลอกๆ เอลก็หนีไปก่อนแล้วจ้าาาา ขอให้หนีรอดปลอดภัย  :mew1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 8) P.2 [28/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 28-10-2017 18:37:24
มัวแต่ระแวงคีล มาอีกทีเอลจะหนีไปแล้ววว จะหนีรอดมั๊ยยยย :katai1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 8) P.2 [28/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-10-2017 22:22:34
 :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 8) P.2 [28/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 29-10-2017 11:21:51
โอ๊ย ทำไมเอลทำแบบนี้ :ling1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 8) P.2 [28/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 29-10-2017 21:10:10
 :hao7:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 8) P.2 [28/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 30-10-2017 17:46:55
บทที่ 9




การติดตามทางจีพีเอสของไอ้บาร์โค้ดที่อยู่บนข้อเท้าเขาสิ้นฤทธิ์ไปแล้ว

แต่ตัวแถบรัดมันก็ยังอยู่ที่เดิมแบบนั้น และมันตัวสัญญาณจีพีเอสก็จะยังอยู่ในตำแหน่งที่เขาอยู่ต่อไปอีกหลายชั่วโมงตามที่ลีโอตั้งค่าเอาไว้ เขาไม่ค่อยสันทัดอะไรด้านนี้หรอก แต่ลีโอบอกว่าถ้ามีคนตรวจสอบเจ้าเครื่องจีพีเอสนี่ขึ้นมาตอนที่เขายังอยู่กับคีล อย่างน้อยมันก็จะยังแสดงผลว่าเขาอยู่ตรงนั้น แต่วันรุ่งขึ้นหลังสิบโมงเป็นต้นไป… ตอนนั้นแหละที่ตำแหน่งที่ตั้งของจีพีเอสตัวนี้จะไปแสดงที่อื่น อย่างเช่นสมมติว่าเขาอยู่ในอพาร์ทเม้นท์กับคีล แต่ถ้าเช็กสายรัดนี่แล้วจะเห็นว่าตัวเขาไปอยู่ที่โรงแรม โรงเรียน สวนสาธารณะหรือที่ไหนก็ตามที่พอจะหลอกล่อตำรวจให้ไปเสียตามหาเขาจากตรงนั้นได้

ขอบคุณมากเทคโนโลยี แต่เขาจะเอาตัวรอดได้จนถึงสิบโมงรึเปล่าก็ต้องมาดูกัน แล้วเขาจะหนีไปจากสายตาของคีลได้หลังสิบโมงไหม อันนี้ก็ต้องมาดูกันอีกเหมือนกัน

เสียงเปิดประตูดังขึ้นในขณะที่เอลเลียตมองหน้าจอโทรทัศน์อย่างเหม่อลอย ชายหนุ่มหันกลับไปมองตามเสียง ร่างสูงชะลูดของคีลก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ เหมือนอย่างเคย หากเอลเลียตที่ตัวติดกับชายหนุ่มมาตลอดเกือบสองสัปดาห์ที่ผ่านมาก็พอดูออกว่าชายหนุ่มกำลังล้าอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

เขาเดินไปประชิดตัวอีกฝ่ายพร้อมกับช่วยเจ้าตัวถอดสูทตัวนอกออกจากตัว

“เหนื่อยเหรอครับ คีล”

“นิดหน่อยครับ” ตอบกลับพร้อมกับก้มตัวลงจูบหน้าผากของอีกฝ่ายทีหนึ่ง เอลเลียตยิ้มได้ทันทีกับสัมผัสเล็กๆ น้อยๆ นั่น เขาชอบเวลาคีลแสดงออกแบบนี้ มันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน

“ผมทำกับข้าวไว้ให้ด้วยนะ”

คีลหันกลับมาเลิกคิ้วขึ้นขึ้างหนึ่ง มองเอลเลียตที่จัดแจงเอาสูทแขวนอย่างดี ก่อนจะถาม

“คุณทำเป็นด้วยเหรอ ปกติเห็นซื้อกินตลอด”

“แค่อะไรง่ายๆ เท่านั้นแหละครับ ตอนแรกผมไม่แน่ใจว่าคุณจะกินมาก่อนหรือเปล่าเพราะนี่มันก็ดึกแล้ว แต่พอดีผมหิว เลยทำอะไรกินรองท้องหน่อย”

“แล้วที่ปวดหัวเป็นยังไงบ้างครับ”

“ผมนอนพักไปตื่นหนึ่งแล้ว” เอลเลียตโกหกยิ้มๆ “ดีขึ้นเยอะเลยล่ะ”

“แล้วได้กินยารึเปล่า” พูดพร้อมกับเลื่อนแขนแกร่งโอบบ่าคนรักที่เดินเข้ามาประชิดตัว เอลเลียตหน้าร้อนขึ้นเพราะความรู้สึกละอายลึกๆ ในใจ เขาพยายามหลบตาอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด

“ไม่ได้กินครับ ผมไม่ได้เป็นหนักขนาดนั้น แค่นอนพักสักหน่อยก็หาย อีกอย่าง ผมไม่ชอบกินยา”

“เด็กดื้อ” พูดพร้อมกับดึงจมูกคนตัวเตี้ยกว่าเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว ถ้าเป็นตัวเขาก่อนหน้านี้… ไม่ต้องนานมาก แค่เดือนที่แล้วก็ได้ เขาคงจะหัวเราะก๊ากกับไอ้การแสดงออกถึงความรักเหมือนที่เด็กมัธยมทำกันแบบนี้ไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาพูดไม่ออก เพราะสัมผัสง่ายๆ พวกนั้นทำให้ใจเขาอุ่นซ่านขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ และพอคิดว่าเขากำลังจะทำลายมันลงทั้งหมดแล้วมันก็ปวดแปลบขึ้นมาจนถึงขั้นทรมาน

แต่เขาก็ต้องทน

แค่อกหักอีกครั้งหนึ่งมันไม่ตายหรอก เอลเลียต อย่างี่เง่าไปหน่อยเลย

หลังจากจบมื้อเย็น เอลเลียตก็จัดการเคี่ยวเข็ญให้คีลไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย ส่วนตัวเองเดินวนเป็นหนูติดจั่นอยู่ในห้องนอนของอีกฝ่าย หมกมุ่นอยู่กับความคิดและการวางแผนของการตัวเอง

เขาอยากไปเอาเงินก้อนนั้นที่สถานีรถไฟใต้ดินที่ลีโอบอกไว้ แต่ปัญหาคือการจะพังล็อกเกอร์หยอดเหรียญในที่สาธารณะคงไม่ใช่ความคิดที่ดี แถมสถานีที่ว่าก็มีคนเข้าออกตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ที่สำคัญ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโอคอนเนลเอาเงินเก็บไว้ในล็อกเกอร์เบอร์ไหน ถ้าจะงัดดูทุกอันคงเสียเวลามากเกินไป

แล้วอยู่ๆ เอลเลียตก็นึกอะไรขึ้นได้ เขาพุ่งไปที่กระเป๋าทำงานของคีล เปิดดูทุกซอกทุกมุมด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าคีลอาจจะมีลูกกุญแจของล็อกเกอร์ที่ว่านั่นก็ได้

ทำไมน่ะเหรอ เพราะหลังจากที่พวกเขาใช้เวลาอยู่ในที่เกิดเหตุนั่น คีลก็ไปสืบสวนเรื่องการตายของเจคอบต่อกับเจ้าหน้าที่เอฟบีไอคนนั้น และถ้าโอคอนเนลเก็บกุญแจไว้กับตัว พวกทีมสืบสวนก็น่าจะเก็บกุญแจที่ว่าเอาไว้เพื่อตามหาว่ามันเป็นกุญแจของอะไร

แต่คีลไม่ได้ทำหน้าที่หลักในการสืบสวนครั้งนี้ เจ้าหน้าที่แมคแนร์คนนั้นต่างหาก เพราะงั้นบางทีกุญแจที่พวกตำรวจอาจจะเก็บมาจากเจคอบได้น่าจะอยู่ที่แมคแนร์มากกว่า

หรือไม่… โชคก็เข้าข้างเขามากกว่าที่คิด

เอลเลียตแทบลืมหายใจเมื่อเขาหยิบลูกกุญแจที่สลักตัวเลข 27 เอาไว้ขึ้นมา มันอาจจะเป็นกุญแจล็อกเกอร์รองเท้าของคีลเองด้วยซ้ำ มันอาจจะเป็นกุญแจล็อกเกอร์ของที่ไหนก็ได้ แต่เอลเลียตคิดว่าเขาเดาไม่ผิดแน่ และต่อให้มันจะไม่ใช่ เขาก็จะไม่ยอมเสียโอกาสนี้โดยไม่พิสูจน์ข้อสันนิษฐานของตัวเองแน่





คีลเดินกลับเข้ามาในห้องนอนในชุดเตรียมนอนเรียบร้อย เห็นแฟนหนุ่มนั่งอยู่ที่ขอบเตียง มือเล่นรูบิคที่เจ้าตัวไปแอบซื้อมาตอนไหมไม่รู้ และเมื่อร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ เอลลเียตก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับส่งยิ้มหวานหยดแบบที่คนมองใจเต้นแรงขึ้นได้ นัยน์ตาสีฟ้าของชายหนุ่มเปล่งประกายขณะที่วางของเล่นในมือลงบนโต๊ะข้างหัวเตียงพร้อมกับเอ่ยปากถาม

“เป็นไงครับ คีล อาบน้ำแล้วสบายตัวขึ้นไหม”

คีลไม่ตอบ แต่ผลักพ่อตัวแสบลงไปนอนราบกับฟูกเตียงแทน ไซร้หน้าลงบนซอกคอของอีกฝ่ายแรงๆ หากไอ้ตัวแสบหัวเราะเสียงใสออกมาหน้าตาเฉย

"จั๊กจี้นะคุณ"

"งั้นหยุดแค่นี้ดีกว่าไหมครับ"

เอลเลียตหัวเราะหึๆ มือเลื่อนไปยึดหลังคออีกฝ่ายไปให้หนีไปไหน จากนั้นก็เลื่อนเข้าไปใต้เสื้อ ลูบไล้ไปตามแนวของกระดูกไขสันหลังอย่างอ้อยอิ่ง

"ขอปฏิเสธครับ คุณสายสืบ"

"งั้นถอดเสื้อให้ผมหน่อย"

เอลเลียตหัวเราะออกมาอีกรอบ "คุณเพิ่งจะใส่มันเข้าไปเอง" แต่เขาก็ทำตามคำขอของคนด้านบนอยู่ดี

ตลอดช่วงเวลาตั้งแต่ขั้นตอนหยอกเย้าโลมเลียจนไปถึงสอดใส่ คีลสังเกตได้ว่าคนรักของเขาดูแปลกไปในคืนนี้ ตอนแรกเจ้าตัวก็ดูคึกเกินเหตุ เริงร่าเกินคนที่เพิ่งขอกลับมาพักเพราะปวดหัวหมาดๆ และมีหลายจังหวะที่เจ้าตัวหลบตาเขาวูบเหมือนไม่ได้ตั้งใจ แต่พอนึกขึ้นได้ก็ส่งสายตาหยาดเยิ้มพร้อมกับรอยยิ้มหวานฉ่ำกลับมาให้

แปลก... หมอนี่กำลังคิดมากเรื่องอะไรอยู่รึเปล่านะ

"แฮ่ก แป๊บหนึ่งครับ คีล"เอลเลียตดันแขนร่างสูงออกในจังหวะที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มพอดี ทำเอาคีลต้องขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ "แหม อย่าทำหน้าดุแบบนั้นสิครับ ที่รัก ผมแค่อยากขึ้นมาอยู่ข้างบนเท่านั้นเอง"

พูดแล้วเจ้าตัวก็ดึงคีลลงไปนอนหนุนหมอนนุ่มแทนที่ตัวเอง ปีนขึ้นไปนั่งคร่อมอีกฝ่าย มือเลื่อนไปจับแก่นกายของคนด้านล่างขณะเคลื่อนสะโพกให้เข้าไปรับกับสิ่งนั้น กดร่างของตัวเองลงเพื่อให้มันสอดผ่านช่องแคบเข้าไปอย่างชำนาญการ เสียงครางหวานเล็ดลอดริมฝีปากคู่สวยมาให้ได้ยินอีกระลอก ช่องทางรัดที่ตอดเขาถี่ยิบทำให้คีลหลุดปากครางออกมาอย่างสุขสม มือหนายึดสะโพกมนของเจ้าตัวแล้วเริ่มกระแทกขึ้นลงเมื่อจังหวะที่เอลเลียตปรนเปรอให้ไม่ได้ดั่งใจ ร่างที่บางกว่าสะดุ้งเฮือก น้ำใสๆ ซึมขึ้นที่ขอบตา

"อะ... อื้อ คีล" คนผมน้ำตาลครางเสียงแผ่วยิ่งกระตุ้นอารมณ์ของคนด้านล่างให้พุ่งสูงขึ้น มือหนาฟาดลงบนก้นอวบอัดของอีกฝ่ายอย่างแรงให้คนด้านบนสะดุ้งอีกรอบ ตามมาด้วยเสียงครางปนมากับเสียงหอบกระเส่า เหงื่อเม็ดเล็กหยดลงบนผิวกายของคนด้านล่าง และเมื่อเอลเลียตกระแทกสะโพกลงมาด้วยจังหวะที่เร่งเร้าขึ้นอีกระลอก ชายหนุ่มก็ปล่อยให้น้ำสีขุ่นทะลักลงบนหน้าท้องของคีลและปล่อยให้อีกฝ่ายปลดปล่อยข้างในตัวเขาโดยมีถุงยางป้องกันเคลือบเอาไว้อีกชั้น 

"แฮ่ก" เอลเลียตฟุบหน้าลงไปบนบ่าของคนด้านล่าง แผ่นอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างเหนื่อยหอบ รู้สึกหวิวที่ช่องทางด้านหลังตามที่คีลดึงแกนกายของตัวเองออกไปพร้อมกับจัดแจงถอดถุงยางออก เอลเลียตหันกลับไปมองถุงยางที่อีกฝ่ายกำลังมัดส่วนปลายกันไม่ให้ของเหลวสีขุ่นทะลักออกมา แค่เห็นน้ำกามพวกนั้นเขาก็เกิดอารมณ์ขึ้นมาอีกรอบแล้ว รอบนี้อยากให้น้ำเหนียวๆ พวกนั้นมาอยู่ในตัวเขาจัง

"เสียดายจัง" ไม่ปล่อยให้อยู่ในความคิดเฉยๆ เอลเลียตยังหลุดปากพูดออกมาจนได้

"เสียดายอะไรครับ"

"น้ำของคุณไง"

นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างขึ้น มองเอลเลียตราวกับกำลังมองมนุษย์ต่างดาวที่หล่นตุ้บลงมาบนพื้นโลกโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ไอ้ตัวแสบก็ยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างน่าถีบ

"คุณไม่น่าใช้ถุงยางเลย" เจ้าตัวพูดด้วยน้ำเสียงแสนเสียดายอย่างเสแสร้ง "ผมอยากมีลูกกับคุณแท้ๆ แล้วไอ้น้ำพวกนั้นคงช่วยให้ความปรารถนาผมเป็นจริงได้"

"ตอนเรียนไฮสคูลวิชาชีววิทยา อาจารย์เขาไม่ได้สอนคุณหรือไงว่าผู้ชายมีลูกไม่ได้"

เอลเลียตหัวเราะก๊ากออกมาพร้อมกับเริ่มมุดหน้าลงกับแผ่นอกกว้าง แม้ว่าน้ำหนักตัวอีกฝ่ายจะไม่น้อยแต่คีลก็ไม่ถือ เขาปล่อยให้คนผมน้ำตาลกดน้ำหนักทับร่างเขาลงมาเต็มที่ นิ้วเรียวสวยลากลงบนบ่าเขาอย่างเผลอไผล เขาชอบเวลาที่นัยน์ตาสีฟ้าบริสุทธิ์คู่นั้นมองเขาอย่างรักใคร่แบบนี้

"เสียใจไหมที่ผมมีลูกให้คุณไม่ได้"

"เอ่อ ผมจะกล้วมากกว่านะถ้าคุณมีได้"

เอลเลียตหัวเราะออกมาอีกระลอก คราวนี้เจ้าตัวกลิ้งลงไปนอนบนเตียงดีๆ เพื่อไม่ให้คีลหนัก หากแขนก็ยังวางพาดที่หน้าท้องของอีกฝ่าย

"ก็ถูกของคุณนะ" คนผมน้ำตาลว่าเสียงกลั้วหัวเราะ แล้วสักพักก็นิ่งเงียบลง คีลมองตามสายตาของคนรักตัวเอง เขาว่ามันดูเหม่อลอยชอบกล เหมือนว่าเจ้าตัวกำลังคิดมากเรื่องอะไรอยู่จริงๆ

"เป็นอะไรรึเปล่าครับ เอล"

คนผมน้ำตาลเกร็งตัวขึ้นมานิดหนึ่ง ก่อนจะผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็วเป็นการกลบเกลื่อน "ผมอาจจะยังปวดหัวอยู่นิดหน่อยน่ะ"

"หรือว่าจะเป็นเรื่องของเจมส์ สมิธ" คีลเริ่มคาดคั้น จ้องตาอีกฝ่ายนิ่งเพื่อจับพิรุธ "ตอนที่คุณบอกพวกเราว่าไม่รู้จักเขา คุณโกหกใช่หรือเปล่า เขาเคยเป็นเพื่อนคุณมาก่อนใช่ไหม คุณถึงได้รู้สึกไม่ดีที่ต้องเห็นศพเขาแบบนั้น"

"ไม่" เอลเลียตว่า ภาวนาให้คีลจับโกหกครั้งนี้ของเขาไม่ได้ "ผมไม่เคยรู้จักคนชื่อนั้นมาก่อน"

"อ้อ แต่ไมได้หมายความว่าผู้ตายจะมีแค่ชื่อนั้นชื่อเดียวนี่ ถูกไหม เขาอาจจะมีฉายาแบบที่คุณมี?"

เบื่อจริงๆ เลยเวลาหมอนี่ทำตัวฉลาดแบบนี้

"ผมไม่เคยเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นมาก่อน" เอาสิ คราวนี้เขาพูดแบบไม่ละสายตาจากคีลด้วย และนั่นทำให้ร่างสูงดูลังเลเพราะไม่แน่ใจว่าเขาโกหกหรือพูดความจริง แต่เหมือนเจ้าตัวก็ตัดสินใจกับตัวเองได้โดยการเลือกที่จะเชื่อเขา

"ก็ได้ เอล ผมเชื่อคุณ"

คำพูดเรียบง่ายตรงไปตรงมานั่นบีบรัดก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของเอลเลียตอย่างแรง เขาอยากจะบอกความจริงทุกอย่างให้คีลรู้ อยากบอกคนตรงหน้าว่าระบบการทำงานและผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยทั้งหมดเป็นใคร อยากจะโยนไพ่ทุกใบทิ้งและเอาคนพวกนั้นใส่พานถวายให้ผู้ชายคนนี้ แต่การทำแบบนั้นก็ไม่ต่างกับเอาคอของตัวเองขึ้นพาดเขียง ดีไม่ดีอาจจะคอของคีลเองด้วย เขาไม่กล้าเอาคนรักของตัวเองมาเสี่ยงขนาดนั้น

ต่อให้ไอ้คำว่า 'คนรัก' ที่ว่ามันกำลังจะหมดอายุขัยลงในอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้ก็เถอะ

"นี่ คีล"

"อะไรครับ"

"ทำไมคุณถึงบอกว่ารักผมล่ะ"

คนผมดำเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง "นั่นเป็นคำถามด้วยเหรอ?"

"ผมหมายถึง... ก็ผมน่ะ เป็นอาชญากรไม่ใช่เหรอ เป็นคนประเภทแบบที่คุณเกลียดที่สุดแท้ๆ แถมยังทำเรื่องไม่ดีมาจนต้องเข้าคุก แล้วนี่ก็ไม่ใช่ว่าจะพ้นคุกด้วยซ้ำแท้ๆ แต่ทำไมคุณถึงกล้าชอบผมอีก"คิ้วเรียวสวยขมวดติดกันอย่างสงสัยเต็มประดา แต่แล้วมันก็คลายออกเมื่อเจ้าตัวทำหน้าเหมือนนึกคำตอบได้ "อ้อ รู้แล้ว เพราะว่าผมปล้นหัวใจคุณไปแล้วใช่ไหม!? โอ๊ย! เจ็บ!"

"ปากดีเหลือเกินนะคุณ" คีลว่าหลังจากที่ดีดหน้าผากคนพูดไปทีด้วยความหมั่นไส้ "สมควรโดนตีตายไหม"

"ถ้าตีด้วยปากคุณ ผมยอมนะ" พูดพร้อมกับจุ๊บปากคีลหนึ่งทีอย่างเอาใจ ไอ้หมอนี่ก็เป็นซะอย่างนี้ทุกที "แล้ว... ตกลงว่าทำไมคุณถึงชอบผมล่ะ อันนี้จริงจังล่ะ"

คีลทำสีหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะว่า "ไม่รู้สิครับ อาจเป็นเพราะผมเชื่อว่าคนเรากลับตัวกลับใจได้ล่ะมั้ง ต่อให้คุณจะเคยติดคุกหรือทำเรื่องไม่ดีมาก็ใช่ว่าคุณต้องเป็นแบบนั้นตลอดไปเสียหน่อย"

เอลเลียตสะอึกกับคำพูดนั้น เขาไม่น่าเริ่มเรื่องนี้ขึ้นเลย ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าตัวเองกำลังจะตีจากคนตรงหน้าไปอยู่แล้ว หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ

"เอาแต่ถามผม แล้วคุณเองล่ะ" น้ำเสียงนุ่มนวลที่มาพร้อมกับสัมผัสอ่อนโยนที่ข้างแก้มทำให้เอลเลียตอยากจะร้องไห้ คีลจริงใจกับเขาจริงๆ แต่ดูสิ่งที่เขากำลังจะตอบแทนอีกฝ่ายสิ "ทำไมถึงกล้าชอบผม คุณเป็นคนบอกชอบผมก่อนด้วยซ้ำ และถ้าให้ว่ากันตามตรง คุณควรจะกลัวมากกว่านะ"

คนผมน้ำตาลยิ้มเผล่ หัวเราะในลำคออีกรอบก่อนจะเลื่อนนิ้วไปเกลี่ยแก้มคีลแผ่วเบา

“ผมชอบเล่นกับของอันตรายน่ะ”

“ระวังปืนผมไว้ให้ดีแล้วกัน”

“พูดอะไรน่ะคุณ! ลามก!”

“...”

“แต่ผมว่าผมรักคุณเข้าจริงๆ แล้วล่ะ” เอลเลียตพูดพร้อมกับถดตัวไปกอดร่างหนาแน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหลุดลอยหายไป “ผมควรจะทำยังไงดี คีล”

“แล้วทำไมคุณจะต้องทำอะไรด้วยล่ะ”

“ก็เดี๋ยวพอคดีนี้จบ เราก็ต้องแยกกันแล้วไม่ใช่เหรอ” นัยน์ตาสีฟ้าช้อนขึ้นมามองเขา ร่องรอยของความเศร้าหมองชัดเจนจนคีลอดไม่อยู่ ต้องเลื่อนไปลูบแก้มขาวเบาๆ เป็นเชิงปลอบ “ผมก็ต้องเข้าไปอยู่ในคุกเหมือนเดิม คุณก็ใช้ชีวิตของคุณ… จากนั้นคุณก็คงจะลืมผม”

“ผมจะไปเยี่ยมบ่อยๆ นะ”

“ในคุกน่ะนะ?” เกือบจะโรแมนติกล่ะ ใจเกือบสั่นล่ะ แต่แค่นึกถึงซี่กรงก็ทำเอาอารมณ์หดหมดเลย

“คุณก็ทำตัวดีๆ สิ” พูดพร้อมกับทาบริมฝีปากลงบนหน้าผากอีกฝ่ายทีหนึ่ง “จะได้ออกมาข้างนอกได้เร็วๆ ไง ผมเคยมีคนรู้จักคนหนึ่งเขาเข้าไปอยู่ในเรือนจำ โทษสิบกว่าปีได้ แต่เพราะทำตัวดี แค่สองปีกว่าๆ ก็ได้ออกมาแล้ว”

“จริงเหรอครับ” คนถามทำตาโตเหมือนเด็กๆ และเขาก็ได้ของตอบแทนเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนจากอีกฝ่าย

“จริงสิ” คีลว่า ปิดเปลือกตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน หากแขนเลื่อนมาดึงเอลเลียตเข้าไปกอดแนบอก “เรามาพยายามไปด้วยกันเถอะนะครับ เอล”

เขาอยากตอบรับคำพูดนั้น

แต่ความเป็นจริงก็คือ เขาไม่สามารถทำตามคำขอของอีกฝ่ายมาได้แต่แรกแล้ว






หน่วยสืบสวนของคีลจับมือกับทีมของเจ้าหน้าที่ฝั่งเอฟบีไออย่างเป็นทางการในวันรุ่งขึ้น แฟนหนุ่มผู้แสนน่ารักของเขาจึงต้องไปประจำตำแหน่งกับคนพวกนั้น ส่วนตัวเขาเอง คีลส่งโจนาธานให้มาเช็กดูรอบหนึ่งเมื่อตอนเช้า และเมื่ออีกฝ่ายตรวจสัญญาณจีพีเอสที่อยู่ตรงข้อเท้าและเห็นว่าทุกอย่างยังทำงานได้ปกติ เจ้าตัวก็วางใจ ขับรถไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ แล้ว

ดีนะที่ลีโอเผื่อเวลาไว้ให้เขาแล้ว ไม่งั้นขืนโดนจับได้ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มหนีคงเป็นอะไรที่ไม่สนุกแน่ๆ

เอลเลียตจัดการแพ็คกระเป๋ายกขึ้นสะพายหลัง ก้าวเท้าฉับๆ ออกจากตัวอพาร์ทเม้นท์ที่อยู่ย่านชานเมืองซึ่งในเวลาสายๆ แบบนี้เนืองแน่นไปด้วยรถและผู้คน

ชายหนุ่มหยิบแว่นกันแดดสีชาขึ้นมาสวมเพราะแสงแดดที่แยงลงมา จากนั้นเจ้าตัวก็หยิบหมากฝรั่งโยนเข้าปาก เคี้ยวไปเรื่อยๆ ระหว่างที่ปะปนไปกับผู้คนมากหน้าหลายตาที่กำลังมุ่งหน้าไปยังจุดหมายของตัวเอง

ชายหนุ่มกระโดดขึ้นรถบัสคันหนึ่งที่จอดหน้าป้าย แค่เห็นว่าจุดหมายของมันคือสถานีที่เขาตั้งใจจะไปก็เพียงพอแล้ว เขาจะไปพิสูจน์ว่ากุญแจที่ได้จาก (การขโมย) คีลมานี่จะพาเขาไปสู่ขุมทรัพย์หลายล้านดอลลาห์ได้ไหม หรือบางทีไอ้โอคอนเนลอาจจะแค่ยัดรองเท้าเหม็นๆ หรือกระเป๋าเดินทางเก่าๆ ไว้ในล็อกเกอร์ที่สถานีนั่นก็ได้ แต่เขายอมทุ่มหมดหน้าตักแล้วตอนนี้ ไม่มีอะไรให้ต้องเสีย

เอลเลียตพลิกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา สิบโมงสองนาทีแล้ว แปลว่าไอ้สายรัดจีพีเอสที่ข้อเท้าเขาไม่ระบุตำแหน่งที่แท้จริงของเขาอีกต่อไป

แผนของเขาหลังจากนี้คือไปเอาเงินที่สถานีที่ว่าแล้วไปเจอลีโออีกครั้งเพื่อเอาเงินอีกก้อนกับพาสปอร์ต บางทีลีโออาจจะไม่ให้เงินก้อนนั้นกับเขาถ้าเขาได้ก้อนที่ใหญ่กว่ามาก แต่ถึงตอนนั้นก็ไม่สำคัญแล้ว ขอแค่เงินให้เขากับพาสปอร์ตปลอมๆ อีกเล่มก็ลาขาดกัน แล้วถึงตอนนั้นเขาก็จะไม่หันหลังกลับมาอีก

ชายหนุ่มเป่าลูกโป่งจากหมากฝรั่งของตัวเองขณะทอดสายตาออกไปมองนอกหน้าต่างเพื่อซึมซับถึงบรรยากาศที่แสนจะคุ้นเคยของเมืองแห่งนี้

เขานึกถึงคีล แต่นอกจากนั้น เขากำลังนึกถึงสาเหตุที่ทำให้เขาตัดสินใจลงมือปล้นธนาคารครั้งแรก

เขาต้องการเงิน… ใครๆ ก็ต้องการทั้งนั้น แต่เขาไม่ได้ต้องการเงินให้ตัวเอง ไม่ได้คิดอยากใช้ชีวิตหรูหราฟู่ฟ่า สุขสบายโดยไม่ต้องทำงาน แต่เงินคือสิ่งจำเป็นสำหรับเขาในตอนนั้น ตอนนี้ก็ยังจำเป็นอยู่

ถ้าในท้ายที่สุดเขาจะได้เงินแค่แสนห้าจากลีโอ ถึงตอนนั้นเขาอาจต้องคิดหนักแล้วว่าหาเงินเพิ่มยังไง แต่ถ้าเขาได้ก้อนโตจากล็อกเกอร์นั่น… นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้วล่ะ

เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น แต่ไม่ใช่เครื่องที่เป็นแบบใช้แล้วทิ้งที่เขาเอาไว้ใช้ติดต่อกับเทลออฟอดัมส์ เครื่องนี้เป็นเครื่องที่ทางตำรวจให้ไว้ตามตัวเขาต่างหาก

เอลเลียตลังเลอยู่อึดใจหนึ่ง เขาลืมนึกไปว่าควรจะโยนมันทิ้งไว้ในอพาร์ทเม้นท์นั่นแล้ว แล้วไม่รู้ว่ามันจะมีจีพีเอสติดตามตัวแบบไอ้แถบรัดข้อเท้ารึเปล่า

ฉลาดมากเลย ไอเดน สมแล้วจริงๆ ที่โดนโยนเข้าคุกไปสองปี

“ฮัลโหลครับ” ตอกย้ำความโง่ของตัวเองเสร็จ เอลเลียตก็กรอกเสียงลงไปจนได้ ตอนนี้เขากำลังเดินลงจากรถบัส ก้าวฉับๆ ไปที่ล็อกเกอร์ฝั่งตะวันออกของสถานีรถไฟใต้ดินย่านชานเมือง ผู้คนเดินสวนกันขวักไขว่ชวนให้ปวดหัวไปหมด แต่เขาก็เดินต่อไปได้โดยไม่สะดุดราวกับมีเส้นนำทางที่กันตัวเองออกจากโลกภายนอก

“เอล” เสียงของคีลดังลอดเข้ามา “ผมแค่โทรมาถามว่าคุณเป็นไงบ้าง”

“สบายดีีครับ งานคุณล่ะ?”

“ก็ยังตามตัวฆาตกรอยู่ คุณอยู่ในห้องเหรอ? ผมรู้สึกเหมือนคุณอยู่นอกห้องเลย”

“ผมออกมาซื้อของนิดหน่อย”

“อย่าออกไปนานนักล่ะ” อีกฝ่ายเตือนเสียงดุ “คนในทีมผมไม่ค่อยพอใจที่คุณทำอะไรได้ตามอำเภอใจขนาดนี้”

“ผมเคยออกนอกลู่นอกทางด้วยเหรอครับ” เอลเลียตว่าขณะกวาดสายตามองหาตู้ล็อกเกอร์ที่ว่า และไม่นานนักเขาก็เห็นป้ายที่มีสัญลักษณ์ดังกล่าว ชายหนุ่มเดินตรงไปที่นั่นอย่างมุ่งมั่น ต่อให้มีหินยักษ์มาพุ่งชนตอนนี้เขาก็จะก้าวต่อแน่ “วางใจเถอะคีล ตั้งใจทำงานของคุณเถอะ ผมไม่หนีไปไหนหรอก”

“ผมรักคุณนะเอล” ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเขากระตุกอีกแล้ว “แล้วผมจะรีบกลับไป”

“เจอกันครับที่รัก” คนผมน้ำตาลพูดทิ้งท้าย กดตัดสาย จากนั้นก็หย่อนโทรศัพท์เครื่องนั้นลงในถังขยะที่ใกล้ตัวที่สุด เพิ่มจังหวะในการก้าวเท้าเร็วขึ้น แทบจะพุ่งตัวไปที่ล็อกเกอร์ที่เรียงรายเป็นแถบพวกนั้นเลยด้วยซ้ำ จากนั้นนัยน์ตาสีฟ้าก็เริ่มกวาดหาตัวเลขที่ติดอยู่ด้านบนกุญแจที่ได้มาเมื่อคืน

27… นี่ไง เจอแล้ว ขอให้เป็นอย่างที่หวังทีเถอะ

เอลเลียตคิดว่าหัวใจตัวเองจะกระดอนออกมาอยู่แล้วตอนที่ลูกกุญแจเสียบลงล็อกพอดี เสียงคลิกเบาๆ ดังขึ้นหลังจากที่เขาหมุนเปิดมันออก กระเป๋าที่เอาไว้ใส่อุปกรณ์กีฬาใบหนึ่งโดดสู่สายตา เขาเอื้อมมือไปรูดซิปเปิดมันออกเล็กน้อย แค่แง้มดูด้านในเท่านั้น เงินสดจำนวนมากนอนอยู่ในนั้นอย่างเป็นระเบียบและสวยงาม

ลีโอไม่ได้โกหกเขาเรื่องที่โอคอลเนลมาขอคำปรึกษาเรื่องที่ซ่อนเงิน

และโอคอนเนลก็ทำตามที่ลีโอว่าเพียงเพราะอีกฝ่ายเป็นเทลออฟอดัมส์

และเงินก้อนนี้ก็กำลังจะตกเป็นของอายออฟไอเดนแล้ว ยอดเยี่ยมจริงๆ

เอลเลียตคิดพร้อมกับเลื่อนมือรูดซิปปิดอย่างสงบ ยกกระเป๋าขึ้นพาดบ่าราวกับว่าเขาเป็นเจ้าของมันจริงๆ

ก็เขาเป็นจริงๆ นี่

อย่างน้อยก็ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปน่ะนะ






-----------------------------------------------
Tip3 เรื่องเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ที่ไม่ต้องรู้ก็ได้: ที่เอลเลียตนามสกุลเทย์เลอร์เพราะว่าช่วงนี้เราติ่งเทย์เลอร์ สวิฟต์ค่ะ แล้วตอนนั้นติดเพลง 'ready for it?' ของนาง แล้วมีนท่อนหนึ่งร้องว่า 'But if I'm a thief, then he can join the heist, and We'll move to an island, And he can be my jailer, Burton to this Taylor' (แต่ถ้าฉันเป็นโจรล่ะก็ เขาก็มาเข้าร่วมการโจรกรรมได้นะ แล้วเราจะย้ายไปอยู่เกาะด้วยกัน แล้วเขาก็เป็นผู้คุมให้ฉัน คอยควบคุมเทย์เลอร์คนนี้ไงล่ะ)

นั่นแหละ ละตอนนั้นนั่งคิดพล็อตเรื่องนี้อยูด้วยไง เลยแบบ เอลเลียต นายนามสกุลเทย์เลอร์ไปนะ ชั้นอินเพลง 55555

ป.ล. ส่วนตัวชื่อเอลเลียตเองเป็นชื่อที่เอามาจากตัวโกงตัวหนึ่งในนิยายที่ชอบค่ะ ถึงตอนจบเอลเลียตที่ว่าจะตายก็เถอะ //แต่ไม่เกี่ยวกับเอลเลียตเรานะ ถถถถถ

ป.ล.ล. ใครไม่เคยฟังเพลงที่ว่า ลองไปฟังดู แล้วดูเนื้อ ดูความหมายไปด้วย มันจะอินมาก ถถถถ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 9) P.2 [30/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 30-10-2017 18:20:10
ถ้าคีลไม่ได้มีแผนอะไรอย่างที่เราคิดก็สงสารคีลอยู่นะ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 9) P.2 [30/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 30-10-2017 19:04:46
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 9) P.2 [30/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 31-10-2017 02:36:17
เริ่มสงสารคีล กลับมาไม่เจอเอล  :mew2:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 9) P.2 [30/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 31-10-2017 03:18:10
ไปๆมาๆสงสารคีลแทน
หรือคีลจะซ้อนแผนอีกที?
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 9) P.2 [30/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 31-10-2017 07:48:07
สงสารคีลอะ ตอนกลับมาไม่เจอเอล  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 9) P.2 [30/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 31-10-2017 15:10:15
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 9) P.2 [30/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 31-10-2017 20:46:09
เอลจะหนีรอดมั๊ย สงสารคีลจังโดนทิ้งซะแล้วววว :hao5:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 9) P.2 [30/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 05-11-2017 19:35:10
บทที่ 10




ลูกโป่งสีชมพูจากหมากฝรั่งในปากเขาแตกโผละ

เอลเลียตดึงมันกลับเข้าไปเคี้ยวใหม่ ขาเรียวยาวก้าวไปตามทางด้วยความเร็วที่มากกว่าปกติแต่กลับดูไม่เร่งรีบอย่างคนที่คิดกำลังจะหนีแม้แต่น้อย

ยามรักษาการณ์คนหนึ่งในชุดเครื่องแบบหันมามองทางเขา จากนั้นก็เบือนหน้าหันไปมองรอบตัวต่ออย่างไม่ใส่ใจ ไม่มีใครคิดว่าจะมีคนนึกอยากขโมยของจากล็อกเกอร์จากสถานีรถไฟอยู่แล้ว ยิ่งคนคนนั้นมีกุญแจมาเปิดเองด้วยแบบเขา

นัยน์ตาสีฟ้าหลังเลนส์แว่นกวาดตาไปรอบๆ เพื่อดูว่ามีใครกำลังติดตามเขาอยู่หรือไม่ แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ผู้คนยังคงเดินสวนกันขวักไขว่โดยสนใจแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น เอลเลียตหันกลับไปมองด้านหลังรอบหนึ่งเพื่อความแน่ใจ จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปยังตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ หยอดเงินลงในตู้เพื่อแลกกับตั๋วโดยสารมาใบ จากนั้นชายหนุ่มก็ตรงดิ่งไปที่ชานชาลาเพื่อขึ้นรถไฟเที่ยวต่อไป

เอลเลียตนั่งรถไฟมาอีกสามสถานีจากนั้นจึงมุ่งหน้าไปที่โรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งเขาจองเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ทันทีที่ถึงห้องพักขนาดเล็ก คนผมน้ำตาลก็โยนกระเป๋ากีฬาลงบนเตียงเล็กที่ดูคับแคบแม้จะไว้สำหรับนอนคนเดียว ไหล่ของเขาเมื่อยไปหมดจากการแบกเจ้ากระเป๋าใบนี้มาถึงนี่ แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่อยู่ด้านใน ชายหนุ่มก็คิดว่ามันคุ้มค่า

เขาเปิดซิปกระเป๋าออก หยิบธนบัตรปึกหนึ่งขึ้นมาคลี่อย่างรวดเร็วเพื่อตรวจสอบ มันเป็นของจริง ไม่ใช่เรื่องตลกที่เจคอบทำเอาไว้อำใครเล่น ชายหนุ่มเริ่มล้วงมือเข้าไป คำนวณตัวเลขคร่าวๆ ของเงินที่เขามีอยู่ในนี้ หนึ่งล้าน... ไม่สิ สองล้าน อาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ และจำนวนเงินที่มากขนาดนี้ต้องทำให้เขาเดือดร้อนแน่ ไม่แปลกใจเลยที่ไอ้บ้าโอคอนเนลถึงได้โดนเพื่อนในทีมตัวเองฆ่า

เอายังไงดี เขาควรจะแบ่งสักก้อนให้เทลออฟอดัมส์ดีไหม อย่างน้อยหมอนั่นก็มีคนคอยคุ้มกะลาหัว ไม่ได้หัวเดียวกระเทียมลีบแบบเขา อีกอย่างได้เงินฟรีๆ แบบนี้ ใครจะไม่เอา หรือบางทีเขาอาจจะขอให้หมอนั่นช่วยส่งส่วนหนึ่งให้ไอแซค พี่ชายของเขาก็ได้แต่คงต้องให้ทยอยส่ง ขืนเป็นก้อนใหญ่ๆ แบบนี้คงโดนสงสัย

ระหว่างที่กำลังชั่งใจว่าจะทำยังไงกับเงินตรงหน้าดีนั้น เสียงฝีเท้าหนักๆ ที่ดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลไม่ได้เรียกความสนใจให้เอลเลียต ชายหนุ่มกำลังหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเอง และเมื่อประตูห้องพักถูกพังเข้ามาดังโครม คนผมน้ำตาลก็สะดุ้งเฮือกสุดตัวด้วยความรู้สึกเหมือนวิญญาณจะออกจากร่าง และคนที่กำลังกระชากมันไปก็กำลังถือปืนด้วยมือทั้งสองข้างเล็งมาทางเขาด้วยแววตาไม่บ่งบอกอารมณ์

"ยกมือขึ้นวางไว้บนศีรษะ" คีลพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบขณะที่เอลเลียตอ้าปากค้าง มองผู้ที่ก้าวเข้ามาอย่างตื่นตะลึง "เดี๋ยวนี้"

คนผมน้ำตาลทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ทันทีที่มือทั้งสองขึ้นแตะบนหัว คีลก็ก้าวเข้ามาประชิดตัวพร้อมกับกดหัวเขาไปบนเตียงอย่างไร้ความปรานี เอลเลียตร้องครางเพราะแรงกดที่แผ่นหลัง ได้ยินคีลพูดข้อหาความผิดของเขารวมถึงคำเตือนมิแรนด้าที่หลุดตามมาราวกับสคริปต์อัตโนมัติ แต่หูของเขาอื้อไปหมดจนแทบจับใจความอะไรไม่ได้ ได้ยินแต่เสียงหัวใจที่เต้นรัวขึ้นด้วยความหวาดกลัวคละเคล้าไปกับงุนงงและสับสน

"คะ... คุณรู้ได้ยังไง" หลุดปากถามอย่างอดไม่อยู่ คีลเอื้อมมือไปกระชากกระเป๋าใส่เงินนั่นเปิดกว้างขึ้น ล้วงเข้าไปเปิดช่องซิปที่อยู่ด้านใน จากนั้นก็ดึงเครื่องส่งสัญญาณจีพีเอสโยนลงบนเตียงให้นักโทษตัวแสบของเขาได้เห็นกันจะจะ

เอลเลียตอ้าปากค้าง ไม่อยากจะเชื่อสถานการณ์ที่พลิกกลับตาลปัตรนี่ ส่วนคีลหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาส่งข่าวให้อีกคนในทีมรับทราบ

"ทางสะดวกแล้วครับ คัลเลน หมอนี่ไม่มีอาวุธ" ระหว่างที่พูดก็ตกกระเป๋ากางเกงกับลูบคลำตามเรือนร่างเขาเพื่อพิสูจน์คำพูดนั้นด้วย ไม่กี่วินาทีต่อมาเสียงของชายหนุ่มที่เป็นนักจิตวิทยาก็ดังขึ้นมาก่อนที่เจ้าตัวจะปรากฏตัว

"ไหนๆ ๆ ปลาเราติดเบ็ดแล้วเหรอ ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าวิธีนี้ต้องได้ผล ไหนดูซิว่าฆาตกรที่ฆ่าเจมส์ สมิธเป็น--" ทันทีที่เจ้าตัวโผล่หัวยุ่งๆ เข้ามาในห้อง เสียงแจ้วๆ นั่นก็เงียบลง แต่อึดใจต่อมาคัลเลนก็ว่าต่อเสียงกวนๆ "อ้าว ดูเหมือนเราจะได้ปลาผิดตัวนะเนี่ย"

"ฝากบอกเจ้าหน้าที่แมคแนร์ด้วยครับว่าแผนผิดพลาดไปหน่อย" คีลว่าเสียงเรียบ หากเอลเลียตรู้สึกได้ว่าแรงที่อีกฝ่ายขยำเสื้อด้านหลังเขาแรงขึ้นอย่างคับแค้นใจ และมันทำให้เข้าตัวต้องลอบกลืนน้ำลายด้วยความหวาดเสียวอึกใหญ่ "แต่ถ้าเราจับตาดูล็อกเกอร์เบอร์ 27 นั่นไว้ เราคงรู้ว่าฆาตกรตัวจริงเป็นใคร"

"ผมจะจัดการทางนั้นให้เอง แล้วเรื่องเงินคุณจะเอาไง คุณสายสืบวิลล์? "

"ผมฝากคุณเอาไปให้แมคแนร์ด้วย จัดการตามที่เห็นสมควรเลย ผมขอตัวไปจัดการกับปัญหาของผมก่อน"

'ปัญหา' ของคีลถูกกระชากคอเสื้อให้เดินไปตามโถงทางเดินของโรงแรมโดยที่มือถูกไพล่หลัง มีนักท่องเที่ยวชาวเอเชียคู่หนึ่งเดินสวนพวกเขาไป ทั้งสองมองตามมาด้วยสายตาหวาดๆ ส่วนเอลเลียตหน้าร้อนไปถึงหูด้วยความอับอาย ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองน่าสมเพชเท่านี้มาก่อน คีลใจร้ายมากที่สับกุญแจมือเขาแล้วยึดแขนข้างหนึ่งเอาไว้ บังคับให้เดินไปตามทิศทางที่ตัวเองต้องการแบบนี้

เอลเลียตเคยโดนจับกุมมาก่อนก็จริง แต่ตอนนั้นเขาโดนบังคับให้เอามือไพล่หลังและใส่กุญแจมือหลังจากที่ศาลตัดสินแล้วว่าเขามีความผิด ไม่ใช่ในที่สาธารณะที่ใครต่อใครเหลียวมองมาได้แบบนี้ เขาก็นึกอยากน้อยใจคีลเรื่องนั้นหรอก แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อเขาผิดเองจริงๆ และต่อให้ร่างสูงจะจับเขาโยนเข้าที่หลังรถแล้วตัวเองไปประจำที่นั่งคนขับ เขาก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องจะนั่งข้างๆ อีกฝ่ายอย่างที่เคยเป็นมา สถานะของเขาตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว จากกระจกที่เอาไว้ส่องด้านหลัง คีลสังเกตเห็นว่าใบหน้าของนักโทษของเขาขาวซีดเป็นกระดาษเลยทีเดียว

เอลเลียตปล่อยให้ความเงียบโรยตัวอยู่ครู่ใหญ่หลังจากที่คีลออกรถ จนกระทั่งตัวเขาเองที่ทนแรงกดดันไม่ไหว ต้องเปิดปากออกมาจนได้

"เพื่อนร่วมทีมคุณ... คัลเลนน่ะ ดูเขาแปลกใจนะที่ได้เจอผมแทนที่จะเป็นตัวคนที่ฆ่าเจมส์ สมิธที่พวกคุณกำลังตามหาอยู่"

จากกระจกบานเดียวกัน เอลเลียตเห็นสีหน้าเรียบเฉยและแววตาว่างเปล่าของคีล "ใช่ เขาคงแปลกใจ"

"แต่คุณดูไม่แปลกใจเท่าไร" คนผมน้ำตาลว่าต่อ "เหมือนคุณเดาไว้อยู่แล้วว่าผมอยู่ในห้องนั้น ตอนที่คุณจ่อปืนมาที่หัวผม"

"เรียกร้องขอความเห็นใจเหรอ" คีลพูดเสียงเหยียดอย่างที่เอลเลียตแทบเต้น "ไว้ใช้โอกาสอื่นไหมคุณ คุณเป็นคนหักหลังผมเองนะ"

"แล้วตกลงว่าทำไมคุณถึงไม่แปลกใจ"

คีลเงียบไปครู่หนึ่ง แต่เอลเลียตได้ยินเสียงสูดหายใจแรงๆ เหมือนกำลังข่มอารมณ์ของเจ้าตัว

"คุณคิดว่าผมไม่รู้จริงๆ สินะ"

"มะ... ไม่รู้อะไร"

"คุณคิดว่าผมไม่รู้จริงๆ สินะที่กุญแจล็อกเกอร์นั่นหายไป"

เอลเลียตตัวชาวาบ นึกสบถก่นด่าตัวเองในใจที่คิดอะไรตื้นๆ ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าอันที่จริงแล้วกุญแจล็อกเกอร์ดอกนั้น คีลกับเจ้าหน้าที่เอฟบีไออีกคนทำการก๊อบปี้ไว้หลายดอก โดยที่สลักเลข 27 เอาไว้ให้เหมือนกับตัวต้นแบบทุกประการเพื่อใช้ล่อคนร้ายออกมาตามแผนการที่คัลเลนเป็นคนคิด ตอนแรกคีลไม่เห็นว่าจำเป็นต้องเก็บมันไว้เพราะตัวเขาไม่ใช่เหยื่อล่อในแผนการที่ว่า แต่แมคแนร์ก็บอกว่าแค่เผื่อในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น

"แล้ว... แล้วทำไมคุณถึงไม่พูดอะไรก่อนหน้านี้" เอลเลียตถามอย่างไม่เข้าใจ "ก็คุณรู้แล้วไม่ใช่เหรอว่าผมเอากุญแจไป"

คีลไม่ตอบ และมันทำให้ชายหนุ่มผมน้ำตาลนั่งไม่ติดเบาะ

"คีล" ยื่นหน้ามาที่เบาะคนขับพร้อมกับเรียกอีกฝ่ายอย่างคาดคั้น

"ผมแค่อยากรู้ว่าคุณจะทำอะไรกับมัน"

อีกครั้งที่คำตอบทำให้คนฟังอึ้งไปอีกรอบ หากยังไม่ทันได้เซ้าซี้อะไรต่อ อีกฝ่ายก็เลี้ยวรถเข้าไปในตัวอาคาร ซึ่งก็หนีไม่พ้นอพาร์ทเม้นท์ที่พวกเขาอยู่ด้วยกันมากว่าสองอาทิตย์นั่นแหละ

คีลเดินมาเปิดประตูให้เขาด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ตามเดิม ก็ดีใจอยู่หรอกนะที่หมอนี่ไม่ใจร้ายจับเขาเข้าตารางตอนนี้ แต่ไอ้มือที่ไพล่หลังอยู่นี่สิ…

"คะ... คือ ถอดกุญแจมือให้ผมก่อนตอนนี้ได้ไหม"

ร่างสูงไม่ทำตามคำขอนั้น แต่เขาก็ถอดสูทตัวนอกของตัวเองลงมาคลุมแขนบริเวณที่เห็นกุญแจมือให้ จากนั้นก็ร่างของอีกฝ่ายแนบตัวเพื่อบังสายตาคนอื่นให้ เอลเลียตคิดว่าตัวเองเผลอใจเต้นกับความใจดีของคีล และเขาก็นึกอยากกระทืบตัวเองซ้ำ

ไอ้หมอนี่มันเป็นคนสับกุญแจมือลงบนข้อมือแกแท้ๆ ยังจะไปใจเต้นกับมันอีก เป็นเอามากนะ ไอ้โง่เอล





คีลดันร่างของนักโทษจำเป็นเข้าไปในตัวห้องอย่างไม่ไยดีทันทีที่มาถึง จากนั้นก็หันไปลงกลอนประตู เอลเลียตหันกลับมามองอีกฝ่ายอย่างทุลักทุเลเพราะพยายามจับเสื้อสูทที่อยู่ด้านหลังไม่ให้ร่วงลงไปกองกับพื้น

“เอ่อ คีล” คนผมน้ำตาลเรียกอีกฝ่ายอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะต้องสะดุ้งอีกเฮือกเมื่อคีลตวัดแววตาวาวโรจน์กลับมามองตัวเอง ดูปราดเดียวก็รู้แล้วว่าหมอนี่โกรธจริง

“คุณรู้ตัวรึเปล่าว่าทำอะไรลงไป”

“คีล… ผม” เอลเลียตก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติจนไปชนกับผนัง ตาเหลือบมองปืนที่เหน็บอยู่ที่เอวของอีกฝ่าย ไม่มีอะไรน่ากลัวกว่าคนอารมณ์เดือดที่มีอาวุธใกล้มืออีกแล้ว

หากคีลหัวเราะในลำคอเป็นเชิงเย้ยหยันเมื่อเห็นสายตาหวาดระแวงไม่เข้าท่านั่น

“ผมไม่ใช่ตำรวจอ่อนหัดนะครับ เทย์เลอร์ ไม่คว้าปืนขึ้นมายิงใครเพียงเพราะคนคนนั้นคิดจะหนีหรอก”

“อ้อ ตอนนี้ผมเป็นเทย์เลอร์แล้วเหรอ” เอลเลียตมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาเจ็บปวด “เกิดอะไรขึ้นกับเอลล่ะ? ”

“เขาหนีผมไปแล้ว” นัยน์ตาคู่คมไม่หลบสายตาเขา ตรงกันข้าม เหมือนจะท้าทายเขามากขึ้นด้วยซ้ำ “ไม่สิ เขาไม่เคยอยู่กับผมจริงๆ ด้วยซ้ำ ผมคิดว่านะ แล้วเรื่องระหว่างเราทั้งหมดก็เป็นแค่การเล่นละครของคุณ”

“แน่ใจเหรอว่าคุณมีสิทธิ์พูดแบบนั้น” เอลเลียตอยากจะกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายมาเขย่าๆ ให้รู้แล้วรู้รอด แต่เพราะสองมือถูกไพล่อยู่ด้านหลังแบบนี้จึงทำอะไรไม่ได้ “คุณเองก็พอกันนั่นแหละ คีล วิลล์ คุณรู้อยู่แล้วว่าผมได้กุญแจนั่นไปแต่ก็ไม่พูดอะไรสักคำ คุณอยากจะถีบหัวผมส่งเข้าคุกมาตั้งแต่แรกแล้ว! ”

“อย่ามาขึ้นเสียงใส่ผมนะ” มือหนาเลื่อนมาบีบบ่าเขาแน่นจนเจ็บไปหมด “คุณเองที่เป็นฝ่ายคิดจะหนี คุณเองที่หักหลังผมก่อน”

“คุณรอให้ผมทำอย่างนั้นอยู่ต่างหาก! ” คนผมน้ำตาลโวย “ที่ผ่านมาผมก็ได้แค่คิด แต่ไม่ลงมือทำอะไรเลย มันเลยทำให้คุณทำอะไรไม่ได้ล่ะสิ แต่พอผมคิดจะหนีขึ้นมาจริงๆ คุณก็ทำเฉย คุณรู้อยู่แล้วว่าจะต้องมีวันนี้ และพอผมลงมือ คุณก็จับกุมผม เพื่อที่จะได้โยนผมกลับไปอยู่หลังซี่กรงง่ายๆ ทั้งหมดนี่มันเป็นแผนของคุณมาตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม! ”

คีลสบถสั้นๆ พร้อมกับปล่อยหมัดลงมาอย่างแรง เอลเลียตหลับตาแน่นเพราะคิดว่ามันคงไม่พ้นกระแทกหน้าเขาเต็มๆ แต่ก็เปล่า หมัดนั้นมันแค่เฉียดแก้มเขาไป กระแทกกับผนังด้านหลังอย่างจัง แล้วคนผมน้ำตาลก็ต้องหน้าซีดลงเมื่ออีกฝ่ายเหมือนเส้นความอดทนขาด ตะโกนใส่หน้าเขาอย่างอัดอั้น

“แล้วผมจะรู้เหรอว่าคุณรู้ความหมายของไอ้ล็อกเกอร์นั่น! คุณไม่ควรจะรู้ด้วยซ้ำ เทย์เลอร์ คุณไม่ควรคิดถึงเรื่องหนีมาตั้งแต่แรก แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง! ผมเป็นตำรวจนะ! จะให้ผมมองข้ามกับความผิดที่คุณทำอย่างนั้นเหรอ!? ”

เขามองร่างสูงที่หอบหายใจอย่างตื่นตะลึง ในหัวเริ่มคิดตามไม่ทันแล้วว่าพวกเขาสองคนกำลังตะโกนใส่กันด้วยเรื่องอะไรกันแน่

คีลโกรธเรื่องที่เขาพยายามจะหนี ส่วนเขาโกรธคีลเรื่องที่คิดจะจับตัวเองยัดเข้าตารางหากมีจังหวะเหมาะๆ

ก็คีลบอกว่ารักเขาไม่ใช่เหรอ รักเขาก็ต้องอยากช่วยเขาให้พ้นออกมาจากนรกแห่งนั้นไม่ใช่หรือไง ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าเป็นตำรวจก็เถอะ แต่เขาเป็นคนรักของอีกฝ่ายไม่ใช่เหรอ? คีลต้องเข้าข้างเขามากกว่ากฎหมายโง่ๆ พวกนั้นไม่ใช่หรือไง

เอลเลียตเบือนหน้าที่แดงก่ำของตัวเองไปอีกทางเมื่อตระหนักได้ว่าคีลไม่มีทางทำแบบนั้นแน่เพราะว่าเขาเป็นตำรวจ ส่วนตัวเขาเองก็เป็นแค่อาชญากรที่ไม่พร้อมจะยอมรับบทลงโทษของตัวเอง

แต่มีบางอย่างที่ตงิดใจเขามากกว่านั้น บางอย่างที่บีบรัดก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายยิ่งกว่าอะไร

“คีล… ผมถามจริงๆ เถอะ”

อีกฝ่ายยังคงเงียบ

“ตอนที่คุณบอกว่ารักผม คุณหมายความตามนั้นจริงๆ หรือเปล่า”

“อะไรนะ” ร่างสูงพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่อยากจะเชื่อ เอลเลียตตวัดสายตากลับไปมองอีกฝ่ายเขม็ง

“ตอนที่ผมถามคุณว่าจริงจังกับผมไหม… ตอนที่ผมบอกว่ารักคุณแล้วคุณตอบกลับมาว่าคุณก็รักผมน่ะ นั่นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”

“คุณเป็นเด็กม.ต้นเหรอ เทย์เลอร์ คุณคิดจริงๆ เหรอว่าไอ้คำบอกรักที่เราพูดใส่กันนั่นเป็นของจริง”

ถ้าคำพูดนั้นเป็นแส้ หัวใจเขาคงเหมือนแก้วที่โดนมันฟาดยับจนแตกละเอียด

เปรียบเทียบเกินไปหรือเปล่า? แต่เอลเลียตรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเผลอจริงจังไปกับความสัมพันธ์ฉาบฉวยนี้ได้

และคนตรงหน้าเขาก็กำลังบอกว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องโกหก?

“จะทำหน้าแบบนั้นทำไม” วูบหนึ่ง เอลเลียตเห็นร่องรอยความเจ็บปวดในนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่สวยนั่น มันเหมือนกับแววตาแบบที่เขามีเลย แต่วินาทีต่อมามันก็หายไป บางทีเขาอาจจะแค่เข้าใจผิดไปเองว่าคีลคงเจ็บปวดกับเรื่องระหว่างพวกเขาบ้าง “คุณเองก็เหมือนกันนั่นแหละ ปากพูดว่ารักผม แต่ดูสิ่งที่คุณเพิ่งตัดสินใจทำลงไปวันนี้สิ แล้วคุณยังมีหน้ามาเรียกร้องอะไรจากผมอีกเหรอ”

“คุณไม่เข้าใจ” คนผมน้ำตาลครางอย่างอ่อนล้า “ผมไม่มีทางเลือก”

“คุณมี เอล คุณมี” คีลเผลอเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อ ความผิดหวังพรั่งพรูออกมาชัดเจนจนเอลเลียตเริ่มสับสนว่าอะไรคือความจริงกันแน่ “คุณทำให้มันถูกต้องได้ แต่คุณก็เลือกที่จะหักหลังผม”

“แล้วคุณจะแคร์ทำไม” ชายหนุ่มสะบัดมืออีกฝ่ายออกจากบ่า บังคับตัวเองไม่ให้ปล่อยน้ำตาให้หยดลงมา เขาไม่อยากให้คีลนึกสมเพชเขามากกว่านี้ “คุณไม่ได้รักผมอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมอยู่แล้ว อ้อ เกือบลืมไป เพราะมันจะทำให้คุณไม่มีใครไว้คอยเค้นความคืบหน้าเรื่องคดีสินะ! ไม่มีคนที่จะคอยหาเพื่อนจับพานถวายใส่ให้คุณทำผลงานอีกต่อไปแล้ว มันคงทำให้คุณแค้นแทบเต้นเลยใช่ไหม”

“พอได้แล้ว เทย์เลอร์” คีลผละตัวออกมา ยกมือขึ้นยีหัวตัวเองอย่างหัวเสีย ไม่อยากเข้าใกล้อีกฝ่ายเพราะกลัวจะเผลอใช้ความรุนแรงมากเกินความจำเป็น เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาคาบ ยกไฟแช็กขึ้นมาจุด “คุณนึกไม่ออกหรอกว่าผมโกรธคุณขนาดไหน ผมโกรธจนแทบจะฆ่าคุณได้ด้วยซ้ำ”

“คุณหลอกเรื่องที่บอกว่ารักผม” อยู่ๆ ชายหนุ่มก็ตะโกนขึ้นมาราวกับสมองเพิ่งประมวลคำพูดนั้นเสร็จ คีลหันกลับไปมองอาชญากรหนุ่มที่ทรุดลงไปนั่งพิงผนังอย่างหมดแรง อึ้งไปทีเดียวเมื่อเห็นน้ำตาไหลลงมาอาบแก้มเนียนนั่น “คุณแม่งสารเลว คีล เอาความรู้สึกของผมไปล้อเล่น”

“เทย์--”

“คุณพยายามทำให้ผมรักคุณเพื่อจะได้เค้นความจริงเอาจากผมง่ายๆ ใช่ไหม! ”

“เลิกเล่นเกมได้แล้ว! ” โดนอีกฝ่ายตอกกลับมาแบบนี้ คนผมดำเองก็ชักหัวเสียขึ้นมาจริงๆ “เราต่างก็รู้ดีว่านี่มันเป็นเกม เทย์เลอร์ ใครตกหลุมก่อนก็แพ้ และตอนนี้เกมมันก็จบแล้ว อย่าพยายามบีบน้ำตาเพื่อแสดงว่าคุณรักผมเลย เพราะมันไม่จริง ถ้าคุณรักผม คุณจะไม่พยายามหนีอย่างที่ทำวันนี้หรอก”

“คุณแม่งเหี้ย! ไอ้ตำรวจเฮงซวย! ” พอเห็นว่าสู้อีกฝ่ายไม่ได้สักทางแล้ว เอลเลียตก็ได้แต่ระบายความคับแค้นใจผ่านทางคำพูดแทน เขาพยายามกลั้นน้ำตากับเสียงสะอื้นของตัวเองไม่ให้เล็ดลอดออกมา ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยอกหักมาก่อน เขาเคยอกหักมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่อาจจะเป็นเพราะหลายปีที่ผ่านมานี้เขาสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองได้ แม้แต่ตอนที่คบกับลีโอ เขาก็ระมัดระวังไม่ให้ตัวเองรักอีกฝ่ายแบบหมดใจอย่างที่เคยทุ่มเทกับรักสมัยแรกรุ่น แต่พอเจอคีล… เจอท่าทีที่เหมือนจริงใจของอีกฝ่ายแบบนั้น ท่าทีอ่อนโยนกับการกระทำต่างๆ ที่เหมือนจะบอกว่ารักเขา… รู้ตัวอีกทีเอลเลียตก็รักอีกฝ่ายลงไปจริงๆ

แล้วผลเป็นยังไงล่ะ น่าสมเพชเป็นบ้า แค่เพราะว่าหมอนี่เป็นตำรวจ ไม่ได้หมายความว่ามันจะโกหกไม่เป็นเสียหน่อย

ไม่สิ ตรงกันข้าม พวกตำรวจนี่แหละ ตัวดีนัก คีลพิสูจน์ให้เขาเห็นแล้วว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ไว้ใจไม่ได้ยิ่งกว่าอาชญากรพวกเดียวกับเขาเสียอีก

เพราะอย่างน้อย… ถ้าต้องคลุกคลีกับคนพวกนั้น เขายังตั้งตัวรับมือได้บ้าง แต่นี่… เขาไม่ทันคิดเลยจริงๆ ว่าอีกฝ่ายเห็นความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนเป็นแค่เกม

“ให้ตายสิ” คีบอัดบุหรี่เข้าปอดอีกรอบ ไม่หันมามองทางร่างที่นั่งอยู่บนพื้น “ผมจะทำยังไงกับคุณดี บอกผมซิ เทย์เลอร์ ผมควรจะทำยังไง”

“เอาผมไหมล่ะ” เจ้าตัวยกยิ้มบนมุมปาก "เดี๋ยวผมถ่างขาให้เลย"

คีลหันขวับกลับมามองคนพูดตาวาว “คุณคิดว่านี่ตลกนักเหรอ”

“ไม่เห็นเป็นไรเลยไม่ใช่เหรอครับ? ” พูดพร้อมกับยันตัวยืนขึ้นจากพื้น แม้จะลำบากนิดหน่อยเพราะข้อมือถูกพันธนาการติดกันด้านหลัง “ไหนๆ เราก็มั่วกันมาถึงขนาดนี้แล้ว แล้วยังไงคุณก็อยากจะทำโทษผมอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

คีลสบตาคนพูดโดยที่ยังคาบบุหรี่อยู่ในปาก ควันสีเทาลอยละล่องอยู่ในอากาศ

“คุณยังคิดว่านี่มันเป็นเกมอยู่สินะ”

“ก็ไม่รู้สิครับ” ถึงแม้มือจะโดนไพล่หลัง แต่ชายหนุ่มก็ยังเดินเข้ามาเบียดตัวอย่างยั่วยวนได้อย่างไม่น่าเชื่อ “แต่ผมก็คิดว่าไหนๆ ก็ไหนๆ เราน่าสนุกกับมันให้ถึงที่สุดนะ”

คีลไม่พูดอะไรตอบ นัยน์ตาคู่คมมองไปทางอื่น จมดิ่งไปกับสารเสพติดที่อยู่ในปาก เอลเลียตคิดว่าคีลคงปฏิเสธแล้ว ดูจากท่าทีนิ่งเฉยนั่น จนกระทั่งเจ้าตัวขยี้ก้นบุหรี่ลงกับที่ดับนั่นแหละ

“แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน”

แล้วมือหนาก็กระชากร่างของเขาลงไปบนเตียง







“อะ… อึก”

ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น เอลเลียตก็ประจักษ์กับตัวเองแล้วว่าเขาคิดผิด เพราะร่างที่บดเบียดเข้ามาในกายของเขารุนแรง ร้อนรุ่ม ชวนให้เขาแทบบ้า เขาได้ยินเสียงเนื้อกายที่กระแทกลงมาครั้งแล้วครั้งเล่าในห้องนอนที่แสนเงียบสงบของคีล มันฟังดูลามกจนหน้าเขาเห่อร้อนอย่างควบคุมไม่อยู่

ข้อมือทั้งสองของเขายังถูกผูกติดกันด้วยกุญแจมือด้านหลัง และมันทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ลำบากมากๆ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็พยายามแอ่นสะโพกรับแรงกระแทกที่กระทบลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า ความเจ็บแปลบที่ปนมาพร้อมกับความเสียวซ่านทำเอาเอลเลียตน้ำตาเล็ด แต่ถ้าให้เขาเทียบเป็นสัดส่วน บอกได้เลยว่าเขาเจ็บแล้วก็จุกเสียดจากเซ็กส์ครั้งนี้มากกว่าความรู้สึกดีเป็นไหนๆ คีลรุนแรงกับเขาจริงๆ จากอารมณ์ที่คุกรุ่นมาก่อน และตอนนี้คนผมน้ำตาลรู้สึกราวกับร่างจะถูกฉีกออกเป็นสองส่วน

"อะ..." เอลเลียตพยายามกลั้นเสียงครวญครางไม่ให้เล็ดลอดออกมาริมฝีปากมากกว่านั้น ทุกส่วนของร่างกายเกร็งแน่นด้วยความหวาดกลัว และมันยิ่งทำให้เขาชายหนุ่มเจ็บเข้าไปใหญ่

เสียงครางของชายหนุ่มทั้งคู่สอดประสานกัน มือหนาของคนด้านบนแตะลงบนหน้าท้องเปลือยเปล่าของเอลเลียต ไล้วนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งอย่างหยอกเย้า ก่อนเลื่อนลงไปที่เอวของอีกฝ่ายแล้วกระแทกสะโพกเข้าไปอย่างแรงอีกระลอก เรียกเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดระคนเสียวซ่านของคนผมน้ำตาลได้ ตอนนี้คีลอยากได้ยินคำขอร้องจากปากอีกฝ่าย แต่เหมือนเอลเลียตจะไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลยเมื่อเจ้าตัวพูดพร้อมกับยิ้มขัน

"หึ... น่าเสียดายนะที่คุณล้วงความลับไปจากผมได้ไม่มากเท่าไร ทั้งที่อุตส่าห์ลดตัวลงมาทำเรื่องแบบนี้ น่าสมเพชชะมัด จะล้วงความลับจากคนร้ายเนี่ย เดี๋ยวนี้ต้องเปลืองตัวถึงขนาดนี้แล้วเหรอ"

"ผมน่ะเหรอ เปลืองตัว? " คีลเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งโดยที่ยังไม่หยุดขยับช่วงล่าง "พูดผิดพูดใหม่ได้นะ คุณเทย์เลอร์ แล้วขอบอกอะไรอีกอย่าง ไม่เคยมีอาชญากรหรือผู้ร้ายคนไหนให้ท่าผมเหมือนอย่างคุณหรอก ทุกคนเขามีหัวคิดกันทั้งนั้นแหละว่าไม่ควรเอาตัวเองไปเสี่ยงโง่ๆ แบบนั้น"

เอลเลียตกัดฟันกรอด ไอ้หน้าด้านนี่ยังมีอะไรกับเขาอยู่แท้ๆ แล้วยังมีหน้ามาด่ากันแบบนี้อีก "ไอ้แบบที่คุณกำลังข่มขืนผมอยู่นี่น่ะเหรอ ที่คุณหมายถึง"

"ข่มขืนคุณ? " ร่างสูงหยุดการกระทำของตัวเองลงทันที "ที่ผมทำอยู่นี่ก็เพื่อเติมเต็มความต้องการของคุณทั้งนั้น เทย์เลอร์ที่รัก ถ้าคุณไม่อยาก ผมหยุดตรงนี้เลยก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไร"

"ไอ้สายสืบสารเลว" พูดพร้อมกับเอาเท้าถีบบ่ากว้างของอีกฝ่าย แต่คีลก็ไม่สะเทือนใดๆ หนำซ้ำยังส่งยิ้มราวกับจะเยาะเย้ยกลับมาให้อีกต่างหาก "ผมจะฆ่าคุณ สาบานเลยว่าถ้ามีโอกาสผมจะฆ่าคุณ"

"ตกลงว่าคุณอยากให้ผมทำหรือไม่อยากให้ทำกันแน่เนี่ย" คีลว่าอย่างใจเย็น ผละร่างออกจากอีกฝ่ายพร้อมกับดึงข้อเท้าข้างที่อยู่บนบ่าของตัวเองออก "แล้วผมขอเตือนนะ อย่าพูดล้อเล่นเรื่องขู่ฆ่ากับตำรวจที่ไหนดีกว่า ยิ่งเป็นในสารรูปแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่"

"ผมเกลียดคุณ คีล" เอลเลียตว่าโดยที่ยังมีคราบน้ำตาอยู่บนแก้ม ร่างกายของเขาสั่นไม่หยุดเพราะความปรารถนาที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย ถึงแม้ที่คีลทำกับเขามันจะเจ็บ... แต่เขาก็ยังอยากให้ร่างสูงกระแทกตัวเข้ามาจนกว่าสติเฮือกสุดท้ายจะดับวูบ เผื่อว่าเขาจะได้ไม่ต้องคิดถึงความเจ็บปวดที่ตัวเองโดนอีกฝ่ายหลอกแบบโง่ๆ

"งั้นคืนนี้คงจบแค่นี้สินะครับ" พูดเสียงเรียบก่อนจะต้องยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นเอลเลียตส่ายหน้ารัวๆ ร่างสูงโน้มหน้าเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างท้าทาย น่าแปลกที่นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นยังฉ่ำเยิ้มและเต็มไปด้วยความต้องการในตัวเขา ทั้งที่ความสัมพันธ์พิลึกกึกกือของพวกเขาทั้งสองคนควรจะจบลงไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนแล้วแท้ๆ

"ผมอยากให้คุณทำต่อ"

"คราวนี้คุณพูดเองนะว่าอยาก" พูดพร้อมกับดึงต้นขาของคนที่นอนราบบนเตียงให้เขยิบเข้ามาชิดกลางลำตัวเขา เอลเลียตหน้าร้อนขึ้นอีกวูบ ครวญออกมาแผ่วๆ ขณะที่ความแข็งแกร่งนั้นสอดผ่านปากทางด้านหลังเข้ามา

"คีล" เอลเลียตเรียกคนด้านบนเสียงหวาน "จูบ... จูบผมหน่อยได้ไหม ผมอยากจูบ"

คนผมดำชะงักไปเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ จากนั้นเจ้าตัวก็แสยะยิ้ม ยกท่อนขาเรียวของคนด้านล่างขึ้นเพื่อให้กระแทกตัวลงไปได้ง่าย ก่อนจะพูดเสียงหวาน

"ถ้าคุณบอกผมว่าเทลออฟอดัมส์เป็นใคร ผมจะยอมจูบคุณก็ได้"

นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อหู ก่อนเอลเลียตจะกัดฟันกรอดอย่างนึกแค้นใจกับตัวเอง จนแล้วจนรอดคีลก็หวังแค่จะรีดเค้นข้อมูลจากเขา ไม่ได้มีความรักความหวังดีอะไรมาเกี่ยวข้องกับเซ็กส์ของพวกเขาสองคนอยู่แล้ว เขาน่าจะรู้มาตั้งแต่แรก!

แต่เอลเลียตเกลียดความพ่ายแพ้ ต่อให้ความเป็นจริงเขาจะแพ้จนหมดรูปไปแล้ว แต่เขาก็อยากจะอยู่เหนือคนที่ทำลายเขาจนพังยับแบบนี้ แม้จะในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม

ดังนั้นสิ่งต่อไปที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากคู่สวยจึงเป็นเสียงหัวเราะเยาะที่ชวนให้คนฟังคิ้วกระตุก

"คุณอยากรู้เรื่องเทลออฟอดัมส์เหรอ ได้ งั้นผมจะบอกให้ หมอนั่นเป็นแฟนเก่าผมเอง เป็นผู้ชายที่ผมรักมากเลยด้วย แล้วลีลาบนเตียงก็เด็ดสุดๆ แบบที่คุณเทียบไม่ติดเลยสักนิด" เว้นจังหวะไปนิดหนึ่งเพื่อหอบหายใจ สะใจไม่น้อยที่เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลวาวโรจน์ขึ้นมาด้วยความโกรธ "นี่ยังไม่นับเรื่องขนาดของไอ้ตรงนั้นอีกนะ บอกได้เลยว่าของคุณมันก็แค่มาตรฐานทั่วไปเท่านั้น ถ้าคุณได้เห็นตอนผมมีเซ็กส์กับหมอนั่นคุณจะรู้เลยว่า-- โอ๊ย! คีล ผมเจ็บ อย่า! "

แต่คนตรงหน้าเหมือนหูดับไปแล้ว ไม่ว่าเอลเลียตจะกรีดร้อง อ้อนวอน หรือสาปแช่งยังไง คีลก็ไม่หยุด ไม่มีอะไรน่าเจ็บใจและเสียศักดิ์ศรีเท่ากับการโดนเปรียบเทียบกับผู้ชายคนอื่นอีกแล้ว และเอลเลียตก็ไม่คิดว่าการที่เขาพูดโกหกเพื่อแกล้งยั่วให้คีลโกรธจะได้ผลดีขนาดนี้ แต่เขาจะไม่ยอมสารภาพความจริงกับอีกฝ่าย เรื่องที่ว่าความจริงแล้วคีลเป็นคู่ขาที่เข้ากับร่างกายเขาได้ดีที่สุดนั่นน่ะ ยังไงชาตินี้เขาก็จะไม่มีวันปริปากบอก

แต่... แต่ตอนนี้ชักจะเลยเถิดไปหน่อยล่ะ ถึงเขาจะชอบมีอะไรกับหมอนี่แค่ไหน แต่ถ้าเจ้าตัวรุนแรงขนาดนี้…

"อ๊ะ! คีล ได้โปรด ผมเจ็บ เบาให้--" หากร่างที่บดเบียดลงมาทำให้เอลเอลียตต้องกัดฟัน หลับตาแน่นเพื่อข่มความเจ็บปวด

เขาว่าเขาต้องเลิกจริงๆ แล้วล่ะ ไอ้นิสัยปากพล่อยพูดอะไรไม่คิดถึงผลที่จะตามมาเนี่ย

เจ็บเป็นบ้าเลย





-------------------------------------------
Talk: เพิ่งกลับมาจากค่ายค่ะ ไปเจอเพื่อนสมัยมหาลัยกับพวกรุ่นน้องมา //ยังไม่ยอมแก่ง่ายๆ หรอกค่ะ 5555555

 ป.ล. เห็นคอมเม้นท์ตอนที่แล้วมีแต่คนสงสารคีล ตอนนี้สงสารใครดีคะ ถถถถถถ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 10) P.3 [5/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 05-11-2017 20:13:22
ลืมไปเลยตอนที่แล้วเม้นท์ว่าอะไร 555 รู้สึกคีลคนเดิมจะกลับมาละ  :pig4:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 10) P.3 [5/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 07-11-2017 00:25:05
เราเชื่อนะที่คีลบอกว่ารัก แต่โดนเอลหักหลังขนาดนี้ก็นะ ฮือออออออ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 10) P.3 [5/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: bmine ที่ 07-11-2017 00:29:47
คีลใจร้ายยยยย  :ling1: แต่ก็เข้าใจคีลนิดนึง เพราะนอกจากคำพูดแล้ว ในมุมของคีล ซึ่งไม่รู้คววามคิดของเอลแบบคนอ่าน เอลก็ดูไม่ได้รักคีลเหมือนกันนี่เนอะ จะเป็นยังไงต่อเนี่ยคู่นี้  :mew6:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 10) P.3 [5/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-11-2017 00:36:53
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 10) P.3 [5/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 07-11-2017 02:52:51
 :impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 10) P.3 [5/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 08-11-2017 11:52:55
มีความเข้าใจทั้งคู่เลย แต่เอลดูอ่อนแอทางจิตใจและแสดงไม่เก่งเท่าคีล เจ็บมากตอนบอกว่าแค่คำบอกรักพล่อยๆเชื่อด้วยเหรอ คือเอลเชื่อไปแล้วหมดใจ สงสารนรน  :ling1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 10) P.3 [5/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: popuri ที่ 10-11-2017 14:30:23
โอ้ยย ทั้งสงสาร ทั้งงง ทั้งหน่วง ปนกันไปหมด
อยากรู้จริงๆว่าคีลรู้สึกยังไงกันแน่
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 10) P.3 [5/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Honyuchum ที่ 11-11-2017 00:05:29
สงสารทั้งคู่เลย แงงงงงงงงง  :sad4:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 10) P.3 [5/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 11-11-2017 10:41:02

บทที่ 11


คีลขับรถไปตามท้องถนนที่เต็มไปด้วยรถยนต์ การจราจรค่อนข้างหนาแน่นแต่ก็ยังขยับไปข้างหน้าได้เรื่อยๆ ชายหนุ่มใส่หูฟังแบบไร้สายเพื่อคุยกับเจ้าหน้าที่แมคแนร์กับคัลเลนเรื่องการจับกุมตัวฆาตกรที่ฆ่าเสมส์ สมิธตัวจริง ดูเหมือนจะได้ตัวคนร้ายแล้ว หลักฐานมัดตัวพร้อม ปิดไปได้อีกหนึ่งคดีย่อยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคดีปล้นธนาคารที่เขากำลังทำอยู่ และตอนนี้ชายหนุ่มก็กำลังจะเอาตัวผู้ช่วยชั่วคราวของเขาไปส่งที่เรือนจำแล้ว

เอลเลียตไม่ปริปากพูดอะไรกับเขาเลยตั้งแต่เมื่อคืนที่พวกเขาสองคนไม่ได้นอนสักกะงีบ มันเร่าร้อน ดุเดือด ซาบซ่านแต่ก็เจ็บปวดอย่างที่สุดทั้งในทางรูปธรรมและนามธรรม ร่างกายเขาน่ะเจ็บแน่ๆ เจ็บจนแทบแค่จะลุกออกจากเตียงยังทำไม่ไหว แต่ทางใจนี่สิ มันยับเยินกว่านั้นไปมาก

ตอนแรกคนผมน้ำตาลหลอกตัวเองว่าไม่ได้รักคีลอย่างที่ตัวเองเข้าใจหรอก ก็แค่ความรู้สึกหวั่นไหวชั่ววูบ แต่เมื่อเวลาผ่านไปแต่วินาที ความเป็นจริงก็กดทับลงมาหนักอึ้งในใจเขาเรื่อยๆ ในหัวเอาแต่เฝ้านึกวนเวียนเรื่องที่คีลบอกว่าคำบอกรักนั่นเป็นแค่คำลวง และเรื่องของพวกเขาสองคนก็เป็นเพียงภาพลวงตา

แต่ตอนนี้ เมื่อได้มานั่งอยู่ในรถที่กำลังจะพาเขาไปส่งที่นรกบนดิน เอลเลียตก็ต้องยอมรับกับว่าตัวเองว่าเขาถลำใจเข้าไปในความสัมพันธ์นี้ไปแล้ว เขารักคีลจริงๆ อย่างที่ปากพูด แล้วก็อาลัยอาวรณ์สายสืบหนุ่มคนนี้เสียเหลือเกิน ความเป็นจริงนี้ทำให้เขาเศร้าจนอยากจะร้องไห้ แต่แล้วเมื่อเอลเลียตนึกถึงสิ่งที่คุยกับลีโอเมื่อครั้งล่าสุด ความเศร้าพวกนั้นก็แปรเปลี่ยนความหวาดกลัวแทน แล้วก็อีกเช่นเคย เขาคิดว่าเขาจะรับมันไหวในตอนแรก แต่เมื่อตัวรถเข้าใกล้เขตเรือนจำมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเอลเลียตก็รับมือกับความกลัวสุดขั้วหัวใจของตัวเองไม่ได้

"คีล" เรียกคนขับเสียงอ่อนระโหย "คุณอย่าเอาผมเข้าคุกเลยได้ไหม"

ร่างสูงทำเสียงอย่างหนึ่งเป็นเชิงเยาะในลำคอ "พูดบ้าอะไรของคุณ"

"ผมพูดจริงๆ นะ" เอลเลียตขยับตัว โน้มหน้าลงใกล้ๆ กับใบหน้าคมที่ยังถนนเบื้องหน้านิ่ง "ผมรู้ว่าผมผิดที่พยายามจะหนี แต่ผมอยากขอโอกาส ผมช่วยคุณจับคนร้ายได้ตั้งหลายคนไม่ใช่เหรอ จำได้ไหม"

"เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น เรื่องนี้ก็ส่วนเรื่องนี้ อย่าพยายามเลยครับ เทย์เลอร์ ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอก"

"ช่วยได้สิ คุณช่วยได้" เอลเลียตว่า แทบจะเป็นการอ้อนวอน น้ำเสียงและสีหน้าซีดเผือดของเขาฉายแววหวาดกลัวอย่างชัดเจน "คุณคุยกับหัวหน้าของคุณได้ว่าผมยังจำเป็นกับทีม เก็บผมไว้เถอะ ผมทำประโยชน์ให้คุณได้นะ"

"เห็นแล้วล่ะครับว่าเป็นประโยชน์ยังไง" แม้จะสะดุดใจกับท่าทีหวาดกลัวของอีกฝ่าย แต่คีลก็ยังพูดเสียงเยาะๆ ตอกกลับไปอยู่ดี เขาสงสัยว่าเอลเลียตแกล้งเล่นละครอยู่รึเปล่า แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อีกฝ่ายก็แสดงได้แนบเนียนมาก

"ไม่ คีล... คุณไม่เข้าใจ" เอลเลียตว่า มันเป็นจังหวะเดียวกับที่คีลจอดรถหลังจากที่ผ่านป้อมยามที่ตรวจคนเข้าออกของทางเรือนจำมา "ผมขอโอกาส แค่ครั้งเดียว ได้โปรดเถอะคีล คุณเอาผมเข้าคุกทั้งๆ แบบนี้ไม่ได้ รอบนี้ผมตายจริงแน่... ตายจริงๆ แน่"

"พูดอะไรของคุณ" คนผมดำหันกลับมามองอีกฝ่ายพร้อมกับพูดเสียงหยัน "คุณเป็นโรคอะไรระยะสุดท้ายรึไง หรือว่ากลัวจะขาดเรื่องอย่างว่าแล้วแห้งเหี่ยวตายอยู่ในคุก? "

นัยน์ตาสีฟ้าวาววาบด้วยความโกรธจัด เขารู้ดีว่าคีลโกรธเรื่องที่เขาคิดจะหนี แต่ไอ้ปากเสียๆ ชวนกระโดดถีบนี่มันอะไรกัน ชักจะเกินความอดทนของเขาล่ะนะ

"แต่ผมว่าคุณไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกมั้ง เทย์เลอร์" คีลยังคงพูดต่ออย่างไม่สะทกสะท้านสายตาเย็นๆ ของอีกฝ่าย "ในนั้นมีผู้ชายตั้งเยอะแยะ ลองเลือกดูสักคนก็คงไม่ใช่งานยากอะไร หรือทำไมคุณไม่ลองหาจากพวกผู้คุมดูสักคนล่ะ เผื่อจะอ้อนให้ใครในนั้นใจดีพาออกมานอกเรือนจำได้"

"จะมากเกินไปแล้วนะ คีล วิลล์" เอลเลียตพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นขณะที่ร่างสูงเปิดประตู ก้าวลงจากฝั่งคนขับ แล้วมาเปิดประตูให้เขาแทน "ผมพลาดแค่ครั้งเดียว คนต้องทำตัวสถุลแบบนี้กับผมด้วยเหรอวะ ก็บอกแล้วไงว่าขอโทษน่ะ เราจะคุยกันดีๆ ไม่ได้เลยใช่ไหม"

"คงไม่ได้" คีลพูดเสียงราบเรียบ มือบีบต้นแขนนักโทษของตัวเองแรงขึ้นเป็นเชิงเตือนว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ในสายตาของคนนอกแล้ว เพราะงั้นอย่าพูดอะไรเกินความจำเป็น "และขอที คุณเทย์เลอร์ คุณน่ะ ได้อภิสิทธิ์พิเศษเกินใครเพื่อนแล้ว อย่ามาเรียกร้องขอความเห็นใจหรือทำตัวเป็นผู้เคราะห์ร้ายหน่อยเลย เพราะทั้งหมดนี่มันเป็นความผิดของคุณทั้งนั้น คุณไม่ได้แค่พยายามจะหนี แต่พยายามจะเอาเงินสองล้านกว่านั่นติดตัวไปด้วย คุณเข้าใจรึเปล่า"

เอลเลียตเข้าใจ แต่เขาก็ไม่พร้อมจะรับความผิดของตัวเองอยู่ดี ติดคุกเพิ่มอีกสักสองสามปีหรืออะไรเทือกนั้นน่ะ เขารับได้ แต่การโดนสั่งเก็บมันเป็นอีกเรื่อง เขายังไม่อยากตาย และเขาก็รู้ดีว่าถ้าต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำจริงๆ แล้ว หนทางรอดของเขามันยากมาก และเมื่อเห็นว่าความตายอาจกำลังเยื้องกรายเข้ามาใกล้ตัว ชายหนุ่มก็สูญเสียความเยือกเย็นของตัวเองไปชั่วขณะ

ชายหนุ่มเริ่มดิ้นตัวให้หลุดจากการเกาะกุมของผู้คุมอีกคนที่คีลส่งตัวเขาต่อให้ เอลเลียตวิ่งไปที่บริเวณที่คีลยืนกรอกเอกสารอยู่อย่างร้อนรน การกระทำนั้นของเขาส่งผลให้เจ้าหน้าที่ทุกคนบริเวณนั้นตื่นตัวขึ้นมาทันที รายหนึ่งหยิบปืนขึ้นมาจากซองบนเอว อีกคนที่ตัวโตกว่าวิ่งมาคว้าไหล่เขาแล้วลากกลับไปทางเดิม

บริเวณที่โดนจับเจ็บระบมไปหมด แต่เอลเลียตไม่สนใจ เขาตะโกนสุดเสียงพร้อมกับดิ้นสุดแรง

"คีล! ได้โปรดเถอะ! ผมยอมพูดทุกอย่างแล้ว ผมบอกคุณได้ว่าใครอยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี่ ขอร้องล่ะ คีล คุณต้องฟังผมนะ คีล! "

คนผมน้ำตาลโดนลากตัวเข้าไปหลังซี่กรงอีกรอบ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่คุมพื้นที่ตรงนั้นหันมามองหน้าคีลเป็นเชิงขอความเห็น ร่างสูงนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อคำนวณผลดีผลเสียของเรื่องนี้ ชั่งน้ำหนักในใจและตัดสินใจว่าอาชญากรหนุ่มคนนั้นควรได้รับบทเรียนบ้าง ไม่ใช่พอเห็นว่าตัวเองมีข้อต่อรองก็คิดจะใช้แล้วเรียกร้องอะไรตามใจตัวเองเมื่อไรก็ได้

ได้ข้อสรุปแบบนั้นแล้วสายสืบหนุ่มก็พยักหน้าให้เจ้าหน้าที่เพื่อพาตัวเอลเลียตไป แปลกดีที่คีลต้องใช้ความพยายามในการอดกลั้นเป็นอย่างมากเพื่อไม่ให้ใจอ่อนกับชายหนุ่มผมน้ำตาลคนนั้น

ทำไมเขาจะต้องใจสั่น… ในเมื่อที่ผ่านมามันเป็นแค่เกมกระดานหนึ่งระหว่างเขากับเอลเลียตเท่านั้น







แรงกระแทกของตัวรถที่กำลังพาเขาไปยังเรือนจำทำให้หัวของชายหนุ่มสั่นคลอน

หลังจากที่เจ้าหน้าที่ประจำเรือนจำโยนเขาใส่ห้องขังเล็กๆ แบบชั่วคราวเพื่อให้สงบสติอารมณ์ครู่ใหญ่ เอลเลียตก็โดนยึดข้าวของทั้งหมดที่มีติดตัว โดนบังคับให้เปลี่ยนเสื้อผ้า มือทั้งสองข้างถูกใส่กุญแจจากด้านหน้า ก็แค่ขั้นตอนอันแสนคุ้นเคยที่เขาเคยผ่านมาก่อน ชายหนุ่มไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลยกับเรื่องพวกนั้น

หาก… ไอ้ความรู้สึกที่เหมือนหัวใจโดนควักออกไปนี่ต่างหากที่กำลังทำให้เดือดร้อน

นัยน์ตาสีฟ้าเหม่อมองออกไปมองด้านนอกผ่านกระจกของรถที่มีซี่กรงแทรกอยู่

อกหักครั้งนี้ของเขาทำให้เอลเลียตนึกย้อนกลับไปถึงตอนที่ตัวเองอกหักครั้งแรก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าการได้ใช้เวลากับผู้ชายคนนั้นแค่ไม่กี่อาทิตย์จะเป็นอะไรที่หนักหนาได้ถึงขนาดนี้

ตอนนั้นเขายังอยู่มัธยมปลาย และรักแรกของเขาก็คือพี่ชายต่างสายเลือดที่อาศัยอยู่ใต้หลังคาเดียวกันนั่นเอง

เขาไม่ใช่ลูกที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนั้น ก็เหมือนกับเด็กอีกหลายสิบคนที่โชคดีได้เข้าไปอยู่ในบ้านรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนั้น ชีวิตวัยเด็กของเขาก็ไม่ได้เศร้าหรือชวนให้หดหู่อะไร เพราะบรรดาพี่น้องรอบตัวก็คอยสร้างสีสันและเสียงหัวเราะให้กันตลอด ต่อให้จะไม่ได้เกี่ยวพันกันทางสายเลือด แต่เอลเลียตคิดว่าความสัมพันธ์ของเขากับทุกคนในนั้นมันวิเศษกว่านั้นเสียอีก

โดยเฉพาะกับไอแซค โจนส์ ลูกชายคนโตผู้เป็นสายเลือดแท้ๆ ของเอียนและนาตาเลีย โจนส์ พ่อแม่ที่รับเขาไปเลี้ยงในบ้านหลังนั้น

แล้วความสัมพันธ์เกินเลยนั่นมันก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อไอแซคที่อายุมากกว่าเขาสองปีชวนเขาเข้าไปในห้องส่วนตัวของตัวเอง พี่ชายต่างสายเลือดคนนั้นจูบเขา พูดคำว่ารักกับเขา จากนั้นก็บอกเขาว่าไม่อยากได้เอลเลียตเป็นน้องชายอีกต่อไปแล้ว

เอลเลียตบอกกับไอแซคว่ามันผิด พ่อกับแม่ต้องไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบนั้นแน่ แต่อีกฝ่ายก็ทาบจูบลงมาอีกครั้งอย่างอ่อนโยน

‘ไม่เป็นไรหรอกน่า เอล’ ชายหนุ่มคนนั้นบอกกับเขา ไล้ริมฝีปากลงคลอเคลียบนแก้ม ‘ฉันจะช่วยพูดให้เอง ไม่ต้องห่วงนะ พ่อกับแม่ต้องเข้าใจ’

ตัวเขาในตอนนั้นยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจว่ามันคือคำโกหกที่แสนหวาน

และไม่กี่เดือนต่อจากนั้นทุกอย่างก็จบลง จบลงง่ายๆ โดยที่นาตาเลียจับได้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์เกินเลยแบบคาเตียง

หญิงสาวที่เอลเลียตยกย่องให้ว่าเป็นแม่ของตนตะเพิดเขาออกจากบ้าน ง่ายๆ แบบนั้น เขาจำได้ว่าตอนนั้นตัวเองหันหน้ากลับไปมองคนรักของตัวเองอย่างขอความช่วยเหลือ แต่ไอแซคก็ไม่เคยเงยหน้าขึ้นมาพูดอะไรเพื่อเขาเลย หรือแม้แต่ตอนที่นาตาเลียตบหน้าเขาอย่างหัวเสีย ชายหนุ่มคนนั้นก็ไม่เคยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือใดๆ

เขาทำให้แม่ผิดหวัง… มันแย่ขนาดที่ผู้หญิงคนนั้นไม่ต้องการเขาเป็นลูกเลี้ยงอีกต่อไปแล้ว

และเขาก็ทำให้ตัวเองเจ็บ มันเป็นความรู้สึกที่แย่เสมอเวลานึกถึงเรื่องนี้ ราวกับว่าตัวเขาเองไม่เคยเป็นที่ต้องการของใครๆ

พ่อแม่ที่แท้จริงของเขาทิ้งเขาไว้หน้าโบสถ์แห่งหนึ่งในตอนที่ตัวเขาอายุเพียงไม่กี่เดือน

แม่ต่างสายเลือดเขาก็เกลียดเขาถึงขนาดไล่ออกจากบ้าน

ไอแซคที่ไม่เคยรักเขาจริงอย่างที่กล่าวอ้าง

นี่ชีวิตจะรันทดไปไหน แล้วทำไมฉันถึงไม่เคยจำบทเรียนที่ได้เรียนรู้มาสักที

เอลเลียตปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน พิงศีรษะลงบนกระจกรถที่สั่นสะเทือนจนอาจทำให้สมองน้อยๆ ของเขาเละเหมือนน้ำผลไม้ปั่น

เขาคิดว่าตัวเองแกร่ง… เพราะหลังจากอกหักจากไอแซคมา เขาไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดหรือทรมานกับความรักครั้งไหนๆ อีกแล้ว

นั่นเป็นเพราะว่าที่ผ่านมาเขาคอยระวังตัว

แต่กับคีล… เขาพลาดเองที่ไม่ทันระวัง เห็นใบหน้าแบบที่ชอบแบบนั้น การกระทำที่เอาใจใส่กันและเหมือนจะจริงใจแบบนั้น

ถ้านี่เป็นเกมจริงๆ กระดานนี้เขาก็แพ้ให้อีกฝ่ายอย่างหมดรูปเลย

ถ้ามันเป็นแค่เกมจริงๆ ก็คงดี







เปล่าหรอก มันไม่ใช่เกม

คีลลอบคิดกับตัวเองอย่างหดหู่ แม้ว่ามันจะไม่ได้แสดงออกมาผ่านสีหน้าเรียบเฉยอยู่เป็นนิจของตัวเองแม้แต่น้อยก็ตาม เขาฉาบอาการ ‘อกหัก’ ของตัวเองไว้ใต้หน้ากากได้อย่างสมบูรณ์แบบ นิ้วเรียวสวยควงปากกาในมือไปมาขณะที่เอนหลังพิงกับเก้าอี้ทำงาน โจนาธานที่นั่งอยู่ประจำโต๊ะกำลังคุยกับลิลลี่ จอร์แดน เจ้าหน้าที่สาวจากแผนกอาญาที่มาอยู่ในทีมของเขาตอนนี้ ทั้งคู่กำลังหัวเราะคิกคักกับเรื่องอะไรบางอย่างที่นอกเหนือจากเรื่องงาน ทุกคนในทีมต่างก็รู้ดีว่าสองคนนี้กำลังจีบกันอยู่

บางทีคีลก็อดอิจฉาทั้งคู่ไม่ได้ที่สามารถแสดงออกถึงความสัมพันธ์ได้อย่างชัดเจน มันทำให้เขาเผลอนึกถึงตัวเองกับเอลเลียต เรื่องที่พวกเขาเป็นผู้ชายทั้งคู่อาจจะไม่เท่าไร เพราะตอนนี้โลกเปิดกว้างให้กับความสัมพันธ์ของเพศที่สามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ไอ้เรื่องที่เขาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ กับอีกคนที่เป็นนักโทษยังไม่พ้นตารางนี่สิ

แต่… แล้วตกลงว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนนี่มันยังไงกัน

ตกลงว่าที่ผ่านมาเป็นแค่เรื่องล้อเล่นอย่างนั้นเหรอ?

นัยน์ตาสีน้ำตาลหลุบต่ำลงอย่างครุ่นคิด บางทีมันอาจมีร่องรอยของความเศร้าหมองปนอยู่ในนั้น

คีลยอมรับว่าครั้งแรกที่เขามีเซ็กส์กับเอลเลียตครั้งแรกในรถแคบๆ นั่น ครั้งแรกที่อีกฝ่ายหลุดคำว่ารักออกมาง่ายๆ จากริมฝีปากน่าฟัดคู่นั้น เขายอมรับว่าตัวเองตอนนั้นแค่อยากจะตามน้ำคนผมน้ำตาลดูสักตั้งเท่านั้น เขาระแวงมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าบางทีเอลเลียตอาจคิดใช้ความรู้สึกเขาเป็นเครื่องมือ เพื่อที่วันหนึ่งเจ้าตัวจะได้หลบหนีจากเขาง่ายๆ แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ คำพูดนั้นมันกลับกลายเป็นจริงขึ้นมา

หรือบางทีมันอาจเป็นความรู้สึกของเขาจริงๆ มาตั้งแต่แรก… คีลไม่แน่ใจเหมือนกัน

เขารู้แต่ว่า พอถึงจุดจุดหนึ่ง เขาก็เข้าใจว่าเอลเลียตตกหลุมรักเขาจริงๆ และมันอาจจะทำให้เขาเผลอปล่อยใจไปกับชายหนุ่มคนนั้น

เขาคิดว่าเอลเลียตรักเขา คิดว่าพ่ออาชญากรยิ้มสวยคนนั้นคงกลับใจได้ หรืออย่างน้อย บางทีหมอนั่นอาจไม่อยากไปจากเขา

และคีลก็ค้นพบว่าตัวเองคิดผิด วินาทีที่เขารู้ว่าเอลเลียตกำลังจะหนี… เขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองงี่เง่าแค่ไหนที่เผลอปล่อยใจให้ผู้ชายคนนั้นช่วงชิงไปอย่างไม่ทันรู้ตัว

เอลเลียตคิดจะหนีมาตั้งแต่แรก… เขาน่าจะรู้อยู่แล้ว

สันดานของพวกอาชญากรก็เป็นเสียแบบนี้ หลายคนอาจจะกลับตัวกลับใจได้ แต่อีกหลายๆ คนก็ทำไม่ได้เหมือนกัน และอันที่จริง เปอร์เซ็นต์ของคนที่ทำไม่ได้ก็มีมากกว่า เขาน่าจะรู้และระวังตัวมาแต่แรก แต่เขาก็พลาดให้กับการเล่นละครอันสมจริงที่ดูเหมือนจะจริงใจของอีกฝ่ายไปจนได้

เพราะงั้นแล้ว เขาถึงได้บอกเอลเลียตไปว่าทุกอย่างที่ผ่านมาเป็นแค่เรื่องโกหก เพราะเขาไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดว่าตัวเองทำสำเร็จ มันไม่ยุติธรรมเลย เขาอุตส่าห์ไว้ใจหมอนั่น แต่สุดท้ายก็เป็นแค่คำโกหกไว้ให้เจ้าตัวใช้หลบหนีออกจากประเทศนี้ได้ง่ายขึ้นเท่านั้น

“อ้าว วิลล์” ฟอร์ดทักขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนลุกออกจากโต๊ะทำงาน “จะไปไหนน่ะ ห้องน้ำเหรอ”

“สูบบุหรี่” ตอบกลับเสียงเรียบ

“ยังไม่เลิกอีกเหรอ เห็นบอกจะเลิกตั้งแต่คราวก่อน”

คนผมดำส่ายหน้าจากนั้นก็เดินออกจากสำนักงานของตัวเองเพื่อไปยังพื้นที่สำหรับสูบบุหรี่ด้านนอก

เขากำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่เอลเลียตพูดทิ้งท้ายเอาไว้ ท่าทีตื่นกลัวกับร่างกายที่สั่นเทานั่นยังติดอยู่ในตาเขา

มันอาจจะเป็นการเล่นละครของเจ้าตัวอีกแล้วก็ได้ ในเมื่อหมอนั่นหลอกเขาเสียสนิทเรื่องที่ว่ารักเขา แล้วนับประสาอะไรกับการโกหกอะไรก็แล้วแต่เพื่อให้ตัวเองไม่ต้องเข้าไปอยู่ในคุก

จะว่าไป… เขาเคยเข้าใจว่าเอลเลียตโกหกไม่เก่งมาตลอด แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้นเลย

หมอนั่นมันชั้นเซียน… เซียนสุดยอด แนบเนียนขนาดที่ทำให้คีลหลงเชื่อจริงๆ ว่าเอลเลียตตกหลุมรักเขา

ร่างสูงนึกย้อนไปถึงตอนที่เอลเลียตขอร้องเขาในรถ

‘ผมขอโอกาส แค่ครั้งเดียว ได้โปรดเถอะคีล คุณเอาผมเข้าคุกทั้งๆ แบบนี้ไม่ได้ รอบนี้ผมตายจริงแน่... ตายจริงๆ แน่’

หมอนี่เล่นละครเก่ง

เขาก็พยายามบอกตัวเองอย่างนั้น แต่ใจเจ้ากรรมนี่สิ ดันเชื่อไปเกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้วว่าเอลเลียต เทย์เลอร์กำลังพูดความจริงกับเขา และมันทำให้สายสืบหนุ่มนึกกังวลขึ้นมา

นี่ขนาดเอลเลียตเพิ่งเข้าไปอยู่ในคุกได้ไม่ถึงสามวัน เขายังลุกลี้ลุกลนขนาดนี้

ท่าทางจะเป็นเอามากแล้วล่ะ คีล นี่นายอ่อนแอถึงขนาดให้อาชญากรแบบนั้นมาปั่นหัวเล่นแล้วเหรอ

แต่ถ้า… ถ้าที่หมอนั่นพูดเป็นความจริงล่ะ?

"สวัสดีครับ คุณสายสืบวิลล์"เสียงเรียกจากชายหนุ่มอีกคนปลุกคนผมดำให้ตื่นจากภวังค์ เขามองชายที่อยู่ในวัยห้าสิบตอนปลายซึ่งก้าวเข้ามาในพื้นที่สูบบุหรี่ รอยพับใต้ตาบ่งบอกถึงสภาพร่างกายที่โรยราไปตามกาลเวลา หากเจ้าตัวยังคงมีท่าทีภูมิฐานน่ายำเกรงสมกับที่มีห้องทำงานส่วนตัวสุดหรูที่อยู่ชั้นบนของสำนักงานแห่งนี้ "ขอโทษที่มาขัดจังหวะเวลาพักนะ แต่ผมขอแจมด้วยได้ไหม"

"ตามสบายครับ" คีลว่าอย่างสุภาพ แน่นอนล่ะว่าต้องเป็นอย่างนั้น ในเมื่อชายคนนี้เป็นหัวหน้าของหัวหน้าเขาอีกที ซึ่งนั่นก็หมายความว่าอีกฝ่ายมีตำแหน่งใหญ่กว่าเขาไม่น้อย

"ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง" ชายผมสีดอกเลาพูดเป็นเชิงชวนคุยขณะที่พ่นควันออกจากริมฝีปาก "พอเอาตัวเทย์เลอร์เข้าคุกแล้วความคืบหน้าในการสืบสวนแย่ลงไหม"

"มันก็เป็นไปตามครรลองของมันครับ คุณฮอร์ตัน" เขาว่า ไม่เรียกอีกฝ่ายด้วยยศหรือตำแหน่ง เพราะก่อนหน้านี้ที่เคยคุยกันในที่สูบบุหรี่แบบนี้ อีกฝ่ายเป็นคนออกปากให้เรียกกันแบบธรรมดาเหมือนเพื่อนร่วมงานเพื่อสร้างความสนิทสนม คีลชอบที่จะทำงานร่วมกับคนอย่างฮอร์ตัน หัวหน้าคนก่อนเขาถือเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ยิ่งกว่าผลงาน และมันทำให้เขาอึดอัดแทบบ้า "แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าตอนที่ได้ตัวเทย์เลอร์มา เราได้อะไรมาเยอะจริงๆ น่าเสียดายที่เขาคิดหนี ไม่อย่างนั้นก็คงได้เรื่องมากกว่านี้"

"ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ช่วยไม่ได้" อีกฝ่ายว่าพร้อมกับอัดบุหรี่เข้าปอดอีกรอบ "คนผิดก็ต้องได้รับโทษ เราก็แค่ทำตามกฎที่มีอยู่"

คีลพยักหน้ารับเงียบๆ ใจลอยไปถึงชายหนุ่มคนน้ำตาลคนนั้นอีกครั้ง ห้ามใจไม่ให้คิดถึงรอยยิ้มหวานๆ นั่นไม่ได้เลย ก่อนหน้านี้มันเคยทำให้เขายิ้มตาม แต่พอนึกถึงเรื่องที่เอลเลียตทรยศแล้ว ใจเขาก็เจ็บแปลบขึ้นมาทุกที ความคิดทุกอย่างจึงไปลงท้ายที่คดีที่เขากำลังตามอยู่แทน เพราะการทำแบบนั้นช่วยเบี่ยงเบนความรู้สึกโหวงๆ ให้เขาได้บ้าง

"คุณเคยได้ยินชื่อของเทลออฟอดัมส์ไหมครับ" นึกถึงเรื่องนี้แล้วก็หลุดปากถามออกมา ฮอร์ตันเลิกคิ้วข้างหนึ่งก่อนจะทำสีหน้าครุ่นคิดอีกครู่ใหญ่ จบท้ายด้วยการสั่นหัวเล็กน้อย

"ไม่ ผมไม่เคยได้ยิน"

"อายออฟไอเดนเคยพูดถึงชื่อนี้ขึ้นมา"

"คุณคิดว่ามันเกี่ยวกับขบวนการที่ทำการปล้นเป็นบ้าเป็นหลังในช่วงหลังๆ นี่งั้นเหรอ? "

"ผมก็ไม่แน่ใจหรอกครับ แต่ผมกำลังเดาว่าบางทีเขาอยู่เบื้องหลังแล้วก็มีจุดเชื่อมโยงกับการปล้นแต่ละครั้ง เหมือนเป็นตัวการสำคัญ"

"อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้น"

คีลนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อเรียบเรียงคำพูด "เพราะว่าเขามีฉายา เหมือนอย่างกรณีของเอลเลียต เทย์เลอร์ หมอนั่นก็มีฉายาว่าอายออฟไอเดน และเขาก็เปรียบเสมือนตาให้กับทีมของพวกเขา เพราะงั้นเทลออฟอดัมส์คงเป็นเหมือนหาง คอยบงการทุกอย่างอยู่ด้านหลัง และที่ผมคิดแบบนี้ก็เพราะคนอื่นๆ ในทีมที่เราจับมาได้ไม่มีฉายาแบบนี้ พวกเขาอาจจะใช้ชื่อปลอมในทีม แต่ไม่มีฉายา อาจเป็นเพราะพวกเขาเห็นว่ามันยุ่งยากหรืองี่เง่าเกินกว่าจะทำแบบนั้นก็ได้ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้มีความสำคัญกับทีมขนาดนั้น"

“ที่คุณพูดก็มีประเด็น” ผู้ที่มียศสูงกว่าพยักหน้ารับ “แล้วคุณคิดจะทำยังไงต่อ สืบหาเอาจากทางนั้นเหรอ? ”

“ผมว่าจะลองไปเจรจากับเทย์เลอร์ดูอีกครั้ง” เขาว่า นี่ก็ผ่านมาสามวันแล้ว เขาจงใจไม่ไปพบอีกฝ่ายเพราะอยากให้เจ้าตัวได้บทเรียน แต่ตอนนี้ถึงเวลาต้องเค้นเอาข้อมูลทั้งหมดที่นักโทษคนนั้นจะมีให้ เพื่อที่จะได้ทำงานต่อเสียที “ดูว่าเขาจะบอกอะไรได้บ้าง”

“ก็เป็นความคิดที่ดี”

คีลทำท่าอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่แล้วก็เปลี่ยนใจปิดปากฉับลง หากคนเป็นหัวหน้าสังเกตเห็นกิริยานั้นได้ทัน ชายสูงวัยจึงยิ้มแล้วพูดเป็นเชิงแหย่

“มีอะไรครับ สายสืบวิลล์ อยากพูดอะไรก็พูดมาเลยไม่ต้องเกรงใจ”

“คือ…” เจ้าตัวยังมีท่าทีลังเล เพราะเรื่องนี้เขาตั้งใจจะไปพูดกับหัวหน้าของเขาก่อน ไม่ใช่พูดกับคนเบื้องบนโดยตรงแบบนี้ “ผมกำลังคิดว่า บางทีเราอาจจะอยากให้เทย์เลอร์เข้ามาในทีมอีกครั้ง”

ฮอร์ตันเลิกคิ้วสูง ขยี้ก้นบุหรี่แล้วทิ้งมันลงไปด้วยท่าทีสบายๆ หากสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น “คุณอยากทำงานร่วมกับคนที่ตัวเองเพิ่งส่งเข้าคุกไปเป็นรอบที่สองงั้นเหรอ? ”

“ผมรู้ครับว่าเขาทำผิด และที่ตัวเองขอก็อาจฟังดูไร้เหตุผล” คนผมดำว่า “แต่… ไม่รู้สิครับ บางทีเราอาจต้องการเขามากกว่าคิดก็ได้ แน่นอนว่าเราสามารถทำให้คดีคืบหน้าด้วยคนในทีมของเราเอง แต่การมีคนวงในอย่างเทย์เลอร์เข้ามามันก็ช่วยให้เราทำงานได้เร็วขึ้น”

ฮอร์ตันนิ่งไปครู่หนึ่ง สีหน้าคิดหนักก่อนจะตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้

“ไม่รู้สินะ วิลล์ แต่ผมไม่ค่อยอยากปล่อยนักโทษที่เกือบจะหนีได้มาแล้วรอบหนึ่งให้ออกมาอยู่นอกเรือนจำอีกรอบเลย เพราะคราวนี้มันอาจจะไม่ใช่แค่เกือบ แต่เราอาจทำเขาหลุดมือไปเลยก็ได้”

“ผมจะระวังให้มากขึ้น” คราวนี้จะคุมเข้มแบบไม่ให้กระดิกตัวไปไหนเลย “และผมเชื่อว่าคนในทีมผมก็คงคิดเหมือนกัน”

อีกฝ่ายยังคงเงียบ สีหน้าครุ่นคิดนั่นทำให้คีลมีความหวังขึ้นนิดหนึ่ง อย่างน้อยทางผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธเขาแบบไม่คิดเลยเสียทีเดียว

“เอาไว้ผมจะลองคิดเรื่องนั้นดูแล้วกัน แล้วถ้าได้ความคืบหน้าอะไรอย่าลืมรายงานเคลลี่ด้วยล่ะ”

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นครับ ผม--”

“จูเลียน” เสียงเรียกของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นทำให้คีลต้องชะงักไป ทันทีที่อีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นมาเขาก็รู้ได้ทันทีว่าคงเป็นภรรยาของเจ้าตัว “อุ๊ย ขอโทษค่ะคุณ กำลังคุยเรื่องงานอยู่รึเปล่า”

“ไม่เป็นไรครับ ที่รัก” ฮอร์ตันว่าขณะโอบบ่าหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ทองแซมขาวที่ถูกเกล้าขึ้นเป็นมวย “พวกเราคุยกันเสร็จพอดี งั้นผมจะเอาเรื่องนั้นไปคิดดูแล้วกันนะ วิลล์ เรื่องงานก็สู้ๆ ล่ะ”

“ขอบคุณครับ” สายสืบหนุ่มรับคำ มองดูคู่สามีภรรยาที่เดินจากไปจากบริเวณนั้น แล้วเขาก็หันกลับมาอัดบุหรี่เข้าปอดต่อ

ก็ว่าจะไม่แล้วเชียวนะ แต่ก็เผลอใจอ่อนกับหมอนั่นอีกจนได้

สงสัย… เขาคงรักเอลเลียตเข้าแล้วจริงๆ นั่นแหละ





--------------------------------------------
Talk: เผยภูมิหลังของเอลกันสั้นๆ ทำไมโจรน้อยของเลาน่าสงสารแบบนี้ TvT
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 11) P.3 [11/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 11-11-2017 11:21:59
มาเริ่มกันใหม่เถอะ ต่างคนก็ได้บทเรียนกันไปแล้ว  :sad4:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 11) P.3 [11/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-11-2017 12:17:12
เอลจะเป็นไรรึเปล่า สามวันแล้ว สงสารจังเลย  :katai1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 11) P.3 [11/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 12-11-2017 11:00:14
สงสารทั้งคู่เลย ฮืออออออออ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 11) P.3 [11/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: มาม่าหมูสับ ที่ 12-11-2017 13:59:50
เป็นห่วงเอลจัง  :katai1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 11) P.3 [11/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: bmine ที่ 12-11-2017 15:21:20
omgggggggggggg จูเลียนที่เป็นพ่อของอดัมคือหัวหน้าของคีลหรอคะ!!! เอลลูกกกก โอ๊ยย ก็เข้าใจคีลแต่สงสารเอลมากกว่าาา ตัดใจจากคีลมันไปเลยค่ะหนูลูกกก
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 11) P.3 [11/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-11-2017 15:38:53
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 11) P.3 [11/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 13-11-2017 03:09:08
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 11) P.3 [11/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 13-11-2017 17:28:59

บทที่ 12




‘ยินดีต้อนรับกลับบ้าน’ คนผมน้ำตาลลอบคิดกับตัวเองในใจขณะที่ผู้คุมคนหนึ่งปลดกุญแจมือให้เขา ชายหนุ่มก้าวเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าราบเรียบ สงบ เป็นสีหน้าแบบเดียวกับที่เขาทำเมื่อครั้งก่อนยามมาเยือนที่นี่เป็นครั้งแรก

อย่าแสดงให้ใครเห็นว่ากลัว เพราะมันคือสัญญาณของความอ่อนแอ และความอ่อนแอจะเรียกคนที่แข็งแกร่งกว่าเข้ามาทำร้ายเรา

หลายคนในนั้นยังคงคุ้นหน้าคุ้นตาสำหรับเอลเลียต กลุ่มหนึ่งกำลังนั่งเล่นเกมกระดานพร้อมกับสบถไปตามเรื่องราว กลุ่มหนึ่งที่รู้จักเขาหันมาทักทายให้เหมือนเพื่อนเก่า เอลเลียตส่งยิ้มตอบ ก่อนเจ้าตัวจะต้องหุบยิ้มลงเมื่อเดินผ่านกลุ่มของดีเอโก้… พี่เบิ้มที่เคยตรงมาขู่เขาเวลาที่มีตำรวจแวะมาแถมนู่นนี่ พอเห็นคนพวกนี้แล้วเอลเลียตก็ตระหนักได้ว่าตัวเองตกที่นั่งลำบากขนาดไหน

และเพราะแบบนั้นเองทำให้เขานึกเจ็บใจไอ้บ้าคีลขึ้นมาทั้งที่วินาทีที่แล้วยังอาลัยอาวรณ์ไอ้หน้าหล่อนั่นอยู่เลย

ไอ้บ้านั่น… บังอาจเตะเขาเข้าคุกเป็นครั้งที่สอง

ครั้งที่สอง

แม่งเอ๊ย ไอ้ที่เขาร่ายมนตร์ ใส่แบบจัดหนักจัดเต็มตลอดที่มีเซ็กส์ด้วยกันนี่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสินะ หรือแม้แต่เทคนิคพิเศษตอนทำด้วยปากก็ไม่ได้ช่วยให้ไอ้สายสืบบ้างานนั่นรู้สึกติดใจกับการปรนเปรอของเขาเลย

...น่าเจ็บใจจังโว้ย!

“ไง พวก” เบลค เรมิเรซ ชายหนุ่มผู้เป็นรูมเมทในคุกของเขาทักขึ้น รู้สึกว่ากลับมารอบนี้เขาก็จะยังได้หมอนี่เป็นรูมเมทตามเคย ก็ดี จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาทำความรู้จักใครใหม่ “เป็นยังไงบ้าง ออกไปโบยบินข้างนอกมานานพอสมควรเลยนี่ คิดว่าจะไม่กลับมาอีกซะแล้ว”

“ไม่กลับมาได้ไง” เอลเลียตว่าขณะยกขาขึ้นพาดเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามคนพูด “กลัวเพื่อนคิดถึง ก็ต้องกลับมาหากันอยู่แล้ว”

“ทำเป็นพูดดีไป บอกฉันมาตรงๆ ดีกว่า” หนุ่มผิวสีพูดพร้อมกับโน้มหน้าลงมากระซิบกระซาบกับเพื่อน “ทำไมนายไม่หนีไปวะ โอกาสดีๆ แบบนี้หาไม่ได้แล้วนะเว้ย กลับเข้ามาอีกทำไมเนี่ย”

“แล้วคิดว่าฉันไม่ได้วางแผนหาทางหนีเหรอ” เอลเลียตพูดเสียงลอดไรฟัน “ก็พยายามจะชิ่งแล้วแต่โดนเตะโด่งเข้ามาอีกรอบนี่ไง”

“อะไรวะ ไม่ได้เรื่องเลย”

“หนวกหูน่า ไอ้คนที่คอยตามฉันแจเสือกหัวดี” หน้าตาก็ดี หุ่นก็ดี ลีลาก็ดี แต่แม่งใจร้ายฉิบหาย “เออ แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ เรมิเรซ นายพอจะหามีดหรืออาวุธเล็กๆ น้อยๆ ให้ฉันหน่อยได้ไหม ไม่หวังถึงขั้นปืนหรอก แค่มีดพกสักเล่มก็คงจะขอบคุณมาก”

“ทำไมวะ เทย์เลอร์” เบลคขมวดคิ้วมุ่น “ก่อนหน้านี้ไม่เห็นนายจะสนเรื่องพวกนี้”

“ฉันว่าออกไปรอบนี้ฉันได้ของแถมพ่วงมาด้วย”

“อะไร นี่นายไปทำอะไรมากันแน่”

“จะอะไรก็ไม่สำคัญหรอก” เขาขี้เกียจเล่าลงรายละเอียด “ที่สำคัญคือ… ฉันคิดว่าตัวเองกำลังโดนสั่งเก็บ ต่อให้ยังไม่โดน ก็คงโดนในอีกไม่ช้านี้อยู่ดี”

“พูดเป็นเล่นน่ะ”

“หน้าฉันเหมือนตลกคาเฟ่หรือไง นี่ ฟังนะ ถึงฉันจะรู้ว่ามันอาจมีโอกาสรอดน้อยมาก แต่ก็ไม่อยากอยู่เฉยๆ โดนเก็บง่ายๆ นายเข้าใจใช่ไหม”

“นี่นายไปทำอะไรมากันแน่เนี่ย” เบลคพูดเหมือนทึ่ง “แทนที่จะหาทางหนีเอาตัวรอด ดันโดนตำรวจเตะกลับเข้ามา แถมยังไปสร้างศัตรูมาเพิ่มอีก? ตกลงออกไปคราวนี้มีเรื่องอะไรดีบ้าง”

“เออน่า อย่าเพิ่งตอกย้ำกันนัก ว่าไง นายคิดว่าจะช่วยฉันเรื่องนั้นได้ไหม”

“ได้ ฉันพอมีคนรู้จักอยู่ แต่ไม่ถูกนะไอ้หนู”

เอลเลียตพยักหน้า รู้ดีว่าระบบที่นี่เป็นยังไง “ฉันจะจัดการเรื่องเงินให้ ฝากด้วยแล้วกัน ยิ่งเร็วยิ่งดี”

“เฮ้ เทย์เลอร์” เสียงใครอีกคนดังขึ้นเรียกให้เอลเลียตหันกลับไปมอง ก่อนจะต้องเลิกคิ้วขึ้นอยากแปลกใจเมื่อเห็นโอเว่น ซิมส์ ชายหนุ่มที่ถูกเด้งเข้ามาในคุกเพราะเขาก้าวเข้ามาทักทาย “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะพวก ว่างคุยหรือเปล่า”

เอลเลียตพูดพึมพำขอตัวกับเบลคจากนั้นจึงลุกตามเพื่อนร่วมทีมเก่าไปอย่างว่าง่าย โอเว่นพาเขามาคุยที่อีกมุมหนึ่งซึ่งไม่มีนักโทษคนอื่นๆ มาคอยกวนใจ เจ้าตัวเริ่มยกมือขึ้นกอดอก มองเอลเลียตด้วยสายตาอ่านยาก

“ตกลงว่าออกไปข้างนอกมาเป็นไง”

“นี่พวกเขาเอานายมาอยู่เขตนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” คนผมน้ำตาลถามกลับอย่างแปลกใจ เพราะตอนที่พวกเขาถูกตัดสินโทษให้มาอยู่ในเรือนจำ เขากับโอเว่นก็โดนสั่งขังแยกกันไปคนละที่ ไม่นึกว่าจะได้มาเจอหมอนี่ในคุกแบบนี้ด้วยซ้ำ

“เมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะ นี่ ไอเดน ฉันรู้เรื่องที่นายทิ้งเอเลน่า เคอร์ติสแล้ว”

อยู่ๆ เอลเลียตก็รู้สึกเสียวสันหลังวูบขึ้นมา เขานึกถึงคำเตือนที่ลีโอเคยทิ้งท้ายเอาไว้ เรื่องที่เขาโดนสั่งเก็บ จากนั้นก็เรื่องที่โอเว่นได้ย้ายมาอยู่ที่นี่

“นายไม่น่าทำแบบนั้นเลยนะ” เจ้าตัวพูดพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น ไม่ได้สนใจร่างของเอลเลียตที่เกร็งขึ้นมาเล็กน้อย “นายทิ้งฉันหรือยัยซาร่าน่ะ พอจะเข้าใจ เพราะสถานะของเรามันก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แต่เอเลน่า…” โอเว่นส่ายหน้านิดหนึ่ง “ยัยนั่นน่ะ… คนคนนั้นกำลังคั่วหล่อนอยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วนายไปโยนยัยนั่นเข้าคุก คิดอะไรอยู่กันแน่ ไอเดน หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ ”

“ฉันไม่ได้ตั้งใจทิ้งเอเลน่า”

“แต่นายก็ทิ้งหล่อนให้ตำรวจแล้ว และฉันมีข่าวร้ายจะบอกเกี่ยวกับเรื่องนั้น”

ยังมีอะไรเลวร้ายไปมากกว่านี้ได้อีกเหรอ

“ยัยนั่นตายแล้ว”

เอลเลียตขนลุกซู่ ใบหน้าซีดเผือดลงอย่างรวดเร็วจนเหมือนเขาจะล้มลงไปกองกับพื้นได้ทุกเมื่อ

“นาย… พูดอะไรของนาย” เขาพึมพำอย่างไม่เข้าใจ “ยัยนั่นแค่เข้าคุกนะ ซิมส์ ไม่ได้โดนสั่งประหาร”

“ฉันก็ได้ยินมาอีกที” โอเว่นยักไหล่ “เห็นเขาว่ากันว่าหล่อนฆ่าตัวตายเพราะทนที่ต้องอยู่ในคุกไม่ไหว”

เอลเลียตยกมือขึ้นมากุมขมับจริงๆ แล้วตอนนี้ ไอ้ความหวาดกลัวที่อัดแน่นอยู่ในอกอยู่แล้วยิ่งท่วมท้นขึ้นมาใหญ่ ไม่ต้องแปลกใจเลยถ้าเขาจะอยู่ไม่รอดถึงเช้าพรุ่งนี้

“คราวนี้นายก็เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงแค่ไหน” โอเว่นว่าต่อเมื่อเห็นว่าผู้ที่สนทนาด้วยเริ่มจะโงนเงน ยืนไม่ตรง

“นายมาบอกฉันเรื่องนี้ทำไม”

“อะไรนะ”

“คนคนนั้นส่งนายมาฆ่าฉันงั้นเหรอ”

โอเว่นอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ขอทีเถอะ เทย์เลอร์ ถ้าฉันโดนสั่งให้มาเก็บนาย ฉันจะมาพูดกับนายตรงๆ แบบนี้เหรอ”

“ฉันไม่รู้หรอก” เอลเลียตพูดตรงๆ สบตาคู่สนทนานิ่ง “ตอนนี้ฉันไว้ใจใครไม่ได้แล้ว ต่อให้เป็นนายก็เถอะ”

โอเว่นยกสองมือขึ้นเหนือหัวเป็นเชิงยอมแพ้ แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นการบอกกลายๆ ว่าตัวเขาไม่มีอาวุธ และไม่ได้คิดจะทำร้ายอีกฝ่าย

“ฉันไม่โทษนายหรอก เทย์เลอร์” ชายหนุ่มว่าอย่างเข้าใจ ปล่อยให้เทย์เลอร์เดินกลับไปที่โต๊ะตัวเดิมซึ่งเพื่อนผิวสีของเขานั่งอยู่

เอลเลียตยังไม่อยากตาย… อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในคุกนี่

เขาต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง







“ขอโทษครับ”

เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ประจำอยู่หน้าเคาน์เตอร์เงยหน้าขึ้นมา ขยับแว่นบนหน้าของตัวเองเล็กน้อยขณะที่คีลหยิบตราตำรวจของตัวเองมาให้อีกฝ่ายดูอย่างรวดเร็ว “ผมสายสืบวิลล์”

“มีธุระอะไรเหรอครับ คุณวิลล์”

“ผมอยากขอพบตัวนักโทษที่ชื่อเอลเลียต เทย์เลอร์”

ในที่สุดเจ้าตัวก็เป็นฝ่ายทนไม่ได้เสียเอง คำพูดสุดท้ายที่เอลเลียตทิ้งไว้ให้ตกตะกอนอยู่ในใจเขา เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวขอเวลาครู่หนึ่งเพื่อติดต่อประสานงานกับผู้คุมด้านใน คีลมองอีกฝ่ายยกหูโทรศัพท์อย่างมีความหวัง เขารู้ดีว่าถ้าไม่ได้แจ้งล่วงหน้าหรือสอบถามก่อน หลายๆ ครั้งก็อาจไม่สามารถพบกับนักโทษในเรือนจำได้ และเหมือนครั้งนี้โชคจะไม่เข้าข้างเขาเพราะคนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ส่ายหน้าให้หลังจากวางหูโทรศัพท์

“ขอโทษด้วยครับ คุณสายสืบ แต่ตอนนี้นักโทษออกไปบำเพ็ญประโยชน์นอกสถานที่… กว่าจะกลับก็ช่วงค่ำนู่นเลย”

“ไม่เป็นไรครับ” เขาว่า ซ่อนความผิดหวังไว้ในสีหน้าและน้ำเสียงราบเรียบของตัวเอง “ขอบคุณที่ประสานงานให้”

“คุณอยากแจ้งเรื่องขอพบแบบระบุวันและเวลาไว้ไหม”

คีลหยุดคิดครู่หนึ่ง ถ้าทำแบบนั้นเขาคงได้พบเอลเลียตแน่นอนกว่ามาแบบกะทันหันอย่างนี้ แต่ติดอยู่ที่ตารางงานไม่แน่ไม่นอนของเขานี่สิ

“ไม่เป็นไรครับ” สายสืบหนุ่มตัดสินใจ “ไว้เดี๋ยวถ้าหาเวลาได้ผมจะแวะมาใหม่ ขอบคุณมากครับ”

แล้วเจ้าตัวก็ออกจากเรือนจำแห่งนั้นไป







คนผมน้ำตาลกำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะทำยังไงให้คีลใจอ่อนยอมฟังที่เขาพูดดีๆ ได้

นี่ก็ผ่านมาห้าวันแล้วตั้งแต่ที่เอลเลียตโดนยัดมาอยู่ที่นี่

เขารู้ดีว่าหมอนั่นกำลังหัวเสียเรื่องที่เขาคิดหนี แถมมันยังเกือบจะเกิดขึ้นจริงๆ เสียด้วย เพราะงั้นคนที่หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีของตัวเองอย่างคีลจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

เอลเลียตครุ่นคิดขณะที่ปล่อยให้น้ำจากฝักบัวไหลลงมากระทบตัว เขาพยายามตัดเรื่องอารมณ์และความรู้สึกเกินเลยที่มีต่อสายสืบหนุ่มคนนั้นทิ้ง พยายามโฟกัสความคิดอยู่แค่เรื่องผลประโยชน์ที่พวกเขาสองคนอาจตักตวงให้กัน

ตอนนี้เขาต้องการความช่วยเหลือ เรื่องนั้นไม่ผิดแน่ล่ะ และคนที่จะช่วยเขาได้ ที่คิดออกคนเดียวในตอนนี้คือคีล

อย่างน้อย ถ้าหมอนั่นฟังเขาพูดสักนิด ยอมให้เขาออกจากเรือนจำแห่งนี้สักหน่อย จะให้เขาอยู่ในฐานะนักโทษก็ได้ แต่เขาต้องการคนคุ้มกันเป็นอย่างมาก อะไรก็ได้แล้วตอนนี้ที่ทำให้เขาไม่ต้องตาย

เงินสักกี่ล้านดอลลาห์ก็ไม่มีความหมายเมื่อชีวิตถูกเดิมพัน ไพ่ในมือทั้งหมดที่เขามีเขาก็ยอมที่จะสละ

ถึงยังไงตอนนี้เขาก็โดนคาดโทษด้วยความตายอยู่แล้ว มันจะต่างกันตรงไหนล่ะ

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เอลเลียตกลัวจนตัวสั่นเป็นลูกนกปีกหักได้ขนาดนี้เพราะเจ้าตัวคุ้นเคยการทำงานของจูเลียน ฮอร์ตันดี เขาเคยเห็นอีกฝ่ายสั่งฆ่าคนมาต่อหน้าต่อตาแล้วด้วยซ้ำ

ทุกอย่างช่างง่ายดายเหลือเกินสำหรับผู้มีอิทธิพลและอำนาจเหลือล้นอย่างผู้ชายคนนั้น

เอลเลียตรู้ดีว่าจูเลียนทำได้จริง และเขาก็จะทำด้วย ไอ้เรื่องสั่งเก็บผู้ชายที่ทำให้อีหนูของเขาต้องตายน่ะ ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ความผิดของเขาเลยสักนิด มันผิดที่แจ็ค พอร์เตอร์ที่พาเขาไปถึงรังของตัวเองแบบนั้น มันผิดที่เอเลน่า เคอร์ติสที่ทนแรงกดดันไม่ไหว

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น… ต้องกลายเป็นเขาที่โดนสั่งฆ่าเนี่ยนะ?

ไม่เอาด้วยหรอกโว้ย!

คีลต้องช่วยเขา… ไม่ใช่สิ เขาต้องหาทางให้คีลช่วย จะพูดยังไงดี ต้องหาทางติดต่อกับหมอนั่นแล้วก็เกลี้ยกล่อม…

“เฮ้ ว่าไง คนสวย”

และเพราะกำลังคิดหนัก หมกมุ่นอยู่กับความกังวลของตัวเองนั่นเอง เอลเลียตจึงไม่ทันรู้ตัวเลยตอนที่มีชายหนุ่มสามคนล้อมกรอบเข้ามา สองในนั้นตัวเตี้ยกว่าเขา อีกคนรูปร่างใหญ่เทอะทะและดูเคลื่อนไหวช้า

นัยน์ตาสีฟ้ากวาดมองคนทั้งหมดและประเมินคร่าวๆ ในหัวอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ ถ้าคุณเป็นผู้ชายแล้วโดนทักว่า ‘คนสวย’ ตอนอยู่ในห้องอาบน้ำรวมของเรือนจำ มันมีความหมายเพียงอย่างเดียวเท่านั้นแหละ ให้ตายเถอะ นี่เขาต้องเจอศึกสักกี่ด้านคนบนฟากฟ้าถึงจะพอใจ หา?

“อาบน้ำคนเดียวเหงารึเปล่าจ๊ะ? ”

“ไปไกลๆ เลย”

เลือกใช้คำได้เฉียบคมมาก เอล พวกนั้นคงจะฟังที่นายพูดหรอก

“นี่ รู้รึเปล่า” ไอ้คนที่ตัวเตี้ยแต่ดูล่ำกว่าเขาเอื้อมมือมาแตะที่หน้า เอลเลียตขนลุกซู่พร้อมกับปัดมืออีกฝ่ายทันที แต่เหมือนเจ้าตัวก็ไม่ได้ถือสามากมาย “มีเพื่อนเราที่ชื่อแจ็คกระซิบให้ฟังมาว่าข้างหลังนายมันเด็ดมาก”

“แจ็คเหรอ” เท่านี้ทุกอย่างก็ลงตัวโป๊ะเชะ

จะไปมีแจ็คไหนนอกจากแจ็ค พอเตอร์อีกล่ะที่เคียดแค้นเขาขนาดส่งคนมาปล้ำกันแบบนี้!

“แล้วดูไอ้รอยช้ำสีกุหลาบที่อยู่บนตัวนายสิ” คราวนี้คนที่อยู่ฝั่งซ้ายมือเป็นคนพูด แล้วไม่พูดเปล่า มันยังกวาดสายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าอย่างโลมเลีย อึ๋ย ขนลุกเป็นบ้า “นี่ไปซั่มกับใครที่ไหนมาเนี่ย บอกพวกเรามาได้ไหมว่าผู้หญิงหรือผู้ชายที่ทำรอยบนตัวนาย”

“เฮ้ ฉันถามอะไรหน่อย” เอลเลียตขัดขึ้นอย่างอดไม่อยู่ “ทำไมต้องสาม”

ดูเหมือนไอ้พวกที่ล้อมกรอบเขาจะงงขึ้นมาพร้อมกันเลยทีเดียว

“นายว่าอะไรนะ” คราวนี้คนขวามือถามเขากลับ ไอ้หมอนี่ตัวสูงสุด แต่น่าจะอ่อนสุดในกลุ่ม บางทีเขาอาจหาช่องจากมันได้

“ก็เวลาจะขู่หรือทำร้ายใครเนี่ย ชอบยกพวกกันมาสามคนทุกที” พูดพร้อมกับส่ายหน้าเหมือนเอือมระอา “ทำไมไม่ลองสองหรือสี่ดูบ้างล่ะ? ต้องมากันสามคนตลอด เลขคู่มันไม่ดีขนาดนั้นเลยรึไง”

ในที่สุดเจ้าคนตรงกลางก็รู้ว่าเอลเลียตกำลังกวนประสาทเพื่อถ่วงเวลา มันส่งสัญญาณให้อีกสองคนเข้าไปกดคนตรงหน้า แต่เอลเลียตรอจังหวะนี้อยู่แล้ว ชายหนุ่มพุ่งตัวไปกระแทกศอกลงบนหน้าท้องของไอ้คนตรงกลางก่อน ยกขาขึ้นเตะคนฝั่งขวาที่พุ่งตัวเข้ามาจะจับตัวเขา แต่หมัดของไอ้คนฝั่งซ้ายก็กระแทกลงมาบนแก้มแรงไม่น้อย เล่นเอาเอลเลียตมึนไปวูบหนึ่งเหมือนกัน สามคนดูจะตึงมือเกินไปจริงๆ นั่นแหละ แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องเอาตัวรอดไปจากตรงนี้ให้ได้

คนตรงกลางที่ดูจะอึดกว่าใครเพื่อนยกขาเตะเข่าของเอลเลียต แต่อีกฝ่ายถดตัวหนีราวกับรู้ทันก่อนจะหันไปกระแทกหมัดลงบนสีข้างของไอ้คนทางขวาอย่างแรง หากเอลเลียตก็ต้องเซไปด้วยแรงกระแทกที่ข้างลำตัวจากลูกเตะของคนฝั่งซ้ายจนเกือบจะล้มลง เขาพยายามประคองตัวไม่ให้กองไปกับพื้น สีข้างชาไปหมดจนเจ้าตัวต้องกัดฟันแน่น ฉากต่อสู้เปลือยเปล่าในห้องน้ำชายนี่มันเร้าใจจริง แต่เขาชักจะมึนหัวจากหมัดของใครสักคนที่ต่อยโครมลงมาบนหน้าแล้ว

เขาพยายามข่มความเจ็บปวดแล้วกระโจนตัวขึ้นเพื่อสวนกลับ ความเป็นจริงก็คือ ต่อให้คุณเก่งการต่อสู้แค่ไหน แต่ถ้าต้องรับมือกับคนสามคนพร้อมๆ กัน ต่อให้คนพวกนั้นกระจอกแค่ไหนก็ยังเอาชนะยากอยู่ดี เอลเลียตใช้จังหวะหนึ่งขัดขาของไอ้คนฝั่งขวาได้ และเพราะความลื่นของพื้น ไอ้หมอนั่นจึงล้มตึงหมดสภาพไปแล้วหนึ่ง แต่ยังเหลืออีกสอง และสภาพเขาตอนนี้ก็บอบช้ำไม่ใช่น้อยๆ หรอก

"เฮ้ย ทำอะไรกันน่ะ! หยุดนะ! " ในที่สุดผู้คุมก็ได้ยินเสียงแลกหมัดแลกลูกเตะกันนัวเนียนี่สักที เจ้าหน้าที่รักษาการณ์คนหนึ่งเข้ามากระชากใครสักคนที่เกือบจะกดร่างของเอลเลียตลงบนพื้นห้องน้ำได้สำเร็จ

ทันทีที่แรงกดหนักอึ้งถูกกระชากออกไปจากตัว กลิ่นเลือดคาวปร่าในลำคอก็แผลงฤทธิ์ทันที แต่เอลเลียตไม่มีเวลาหายใจหายคอนาน เพราะผู้คุมคนหนึ่งกระชากตัวเขาซึ่งถือเป็นหนึ่งในนักโทษที่ก่อความไม่สงบให้ลุกขึ้น ลากถูลู่ถูกังไปตามทางไม่ต่างจากไอ้สองสามคนที่โดนก่อนหน้าเขา

"เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นวะ ใครจะปล้ำกันในห้องน้ำ" เสียงของนักโทษที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์คนหนึ่งลอยแว่วมาให้ได้ยินขณะที่เอลเลียตถูกผลักเข้าไปในห้องแต่งตัว

"ใครจะปล้ำไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คือคนจะโดนน่ะ เทย์เลอร์โซน D"

"อ้อ ไอ้หมอนั่นน่ะเหรอ ก็สมควรหรอก หุ่นแม่งยั่วขนาดนั้น ยิ่งวันก่อนได้อาบน้ำกับแม่งนะ รอยจูบนี่เต็มตัวเลย ไม่รู้ไปโดนใครปล้ำมา"

"แต่จะเอาไอ้หมอนี่ไม่ง่ายนะ เมื่อตอนมันเข้ามาใหม่ๆ แล้วไอ้จีนส์โซน A พยายามจะฟัดมันน่ะ ไอ้โหดนั่นเตะไข่กระเด็น"

"รอบนี้พวกแม่งเลยหัวใสไปกันสามคนเลยไง แต่ดูแววแล้วน่าจะแห้วแดก... เออ หรือมันจะได้กันไปแล้ววะ"

"ตรงนั้นน่ะเงียบๆ หน่อย! " ผู้คุมคนหนึ่งตะโกนอย่างหัวเสีย และได้เสียงโห่ร้องอย่างไม่พอใจจากบรรดานักโทษราวกับคณะประสานเสียง เอลเลียตหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมลวกๆ อย่างหงุดหงิดไม่แพ้กัน จากนั้นเขาก็โดนสับกุญแจมือแล้วลากตัวไปยังห้องขังเดี่ยวอันเป็นบทลงโทษของคนที่ก่อความวุ่นวายภายใน เสียงผิวปากและเสียงตะโกนแซวลอยแว่วมาให้เขาอารมณ์เสียอีกรอบ

"ไง สวีทฮาร์ท ของไอ้พวกนั้นใหญ่ไม่เร้าใจเหรอจ๊ะ"

"ไว้คราวหน้ามาเล่นกับพี่นะ รับรองไม่ทำรุนแรงจนเลือดตกยางออกแบบนี้หรอก"

เอลเลียตอยากจะหันไปตะโกนบอกเหลือเกินว่า 'ไม่โว้ย! ' ถ้าไอ้พวกหน้าเห่ยนั่นอยากได้ตัวเขาก็ไปทำศัลยกรรมมาให้หล่อเท่ากับคีล วิลล์ก่อนเถอะ! อ้อ แล้วไอ้หุ่นก้างๆ นี่เขาก็ไม่เอานะ ต้องหุ่นดีมีซิกส์แพ็คแบบคีลเท่านั้น เทคนิคก็ต้องเด็ดแล้วก็ต้องจูบเขาเก่งแบบไอ้สายสืบคนนั้นด้วย!

"เข้าไปสงบสติอารมณ์ข้างใน" ผู้คนที่ลากแขนเขามาว่าพร้อมกับดันตัวเอลเลียตเข้าไปในห้องขัง "แล้วเย็นนี้ก็งดข้าวเย็น"

คนผมน้ำตาลได้แต่สบถออกมาอย่างหัวเสียขณะฟังเสียงฝีเท้าของผู้คุมคนนั้นไกลออกไป แต่ถ้ามองในแง่ดี อย่างน้อยไอ้ผู้คุมพวกนั้นก็ช่วยไม่ให้เขาโดนขืนใจในห้องน้ำล่ะวะ ถึงจะโผล่มาช้าไปหน่อยก็ตาม

ชายหนุ่มทิ้งตัวลงกับเตียงแข็งๆ อย่างอ่อนล้า มือแตะเลือดที่ซึมบนมุมปาก วินาทีนี้เขานึกถึงคีลขึ้นมาจับใจ เจ้าหน้าที่หนุ่มคนนั้นถึงจะดุกับเขาบ้างแต่ก็ยอมทำแผลให้ และตอนนี้เขาก็เสียผู้ชายคนนั้นไปแล้วเพราะไอ้ความพยายามที่จะหนีจากอีกฝ่าย

ก่อนหน้านี้เขาเอาแต่ตัดพ้อคีล เอาแต่ด่าตัวเองว่าโง่ที่เผลอใจให้สายสืบคนนั้น แต่ไม่เคยโทษตัวเองในเรื่องที่พยายามคิดจะหนีจากคีลเลย ทั้งที่หมอนั่นเองก็เคยขอ และเขาก็เอาแต่อ้างกับว่าตัวเองว่ามันช่วยไม่ได้ มันไม่มีทางเลือก แต่ความเป็นจริงก็คือเขาได้หักหลังชายหนุ่มคนนั้นลงไปแล้วอยู่ดี และตอนนี้เอลเลียตก็กำลังสำนึกผิดมากๆ ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะเจอหมอนั่นแล้วขอโทษตรงๆ สักครั้ง

คีลจะไม่ยกโทษให้ก็ไม่เป็นไร แต่เขาอยากจะขอโทษจริงๆ

เอลเลียตนั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้องขังเดี่ยวชั่วคราวของตัวเองอย่างคนไม่มีอะไรทำ และเมื่อผ่านพ้นช่วงหัวค่ำจนย่ำเข้ากลางดึก เจ้าตัวก็ต้องเริ่มนอนตัวงอเพราะกระเพาะอาหารแผดเสียงโครกครากอย่างน่าสงสาร ความหิวมักมาพร้อมกับความทรมานแบบนี้เสมอ แล้วไอ้ตอนกินข้าวกลางวันก็ใช่ว่าจะได้กินเยอะ

"เฮ้ เทย์เลอร์" เสียงกระซิบท่ามกลางความมืดและความเงียบสงัดของห้องพักทำให้ชายหนุ่มลุกขึ้นมาจากเตียงอย่างรวดเร็ว เบลคนั่นเองที่โผล่หน้ามาหาเขาผ่านช่องกระจกเล็กๆ ที่มีเป็นซี่กรง เอลเลียตเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยสีหน้าพิศวง

"นายมานี่ได้ไง" เพราะพื้นที่ขังเดี่ยวตรงนี้มักจะมีผู้คุมอีกขั้น อีกฝ่ายยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากเป็นเชิงให้เอลเลียตเบาเสียงลงหน่อย จากนั้นจึงส่งขนมปังก้อนหนึ่งมาให้

"ไอ้หมอนั่นมันเผลองีบ ฉันเลยแอบย่องเข้ามา โทษทีนะที่เอามาให้ได้แค่นี้"

"แค่นี้ก็ดีพอแล้ว" เอลเลียตว่าอย่างซึ้งใจ "ขอบใจนะ เรมิเรซ"

"เออ แล้วก็ของที่นายฝากให้ฉันจัดการน่ะ ได้มาแล้วนะ แต่ยังเอามาให้ตรงนี้ไม่ได้"

เอลเลียตพยักหน้าหงึก เขาจ่ายเงินให้อีกฝ่ายไปก่อนล่วงหน้าแล้ว

ชายหนุ่มผิวสีชักสีหน้าแหยๆ "ฉันว่าฉันชักเข้าใจแล้วว่าทำไมนายถึงอยากมีอะไรป้องกันตัว นายไม่เป็นไรใช่ไหม ไม่ได้โดนไอ้พวกนั้น แบบว่า ซัดไปใช่ไหม"

"ถ้านายหมายถึงเรื่องอย่างว่าล่ะก็ ฉันยังรอดปลอดภัยอยู่" ไม่ยอมให้ใครมากดทั้งๆ ที่ไม่สมยอมหรอก ถึงเขาจะง่ายแต่ก็เลือกเหมือนกันนะเว้ย

"ถ้าอย่างนั้นมาเจอกันที่เดิมช่วงเวลาฟรีก่อนมื้อเช้า ตอนนั้นนายน่าจะได้ออกมาแล้ว เจอกัน เพื่อน"

"เจอกัน" เอลเลียตว่าขณะฟังเสียงฝีเท้าที่ห่างออกไป

เดินกลับไปนั่งบนเตียงแล้วละเลียดขนมปังในมือ นึกถึงมื้อค่ำสุดหรูกับใบหน้านิ่งเฉยของคีลขึ้นมา แล้วพอนึกถึงรอยยิ้มอ่อนโยนที่อีกฝ่ายเคยส่งให้... โอย ทำเอาเขาเกือบตายด้วยความทรมานใจแล้ว







เอลเลียตมาถึงสถานที่นัดพบกับเบลคตรงเวลาเผง ช่วงเวลาฟรีก่อนข้าวเช้าที่พอจะทำอะไรลับสายตาผู้คุมได้มีไม่มาก แต่เขากับรูมเมทคนนั้นก็ใช้ช่วงเวลานี้ในตรอกมุมหนึ่งของอาคารเรือนจำในการส่งมอบอะไรก็แล้วแต่ที่ไม่สมควรมีอยู่ที่นี่ ก่อนหน้านี้เอลเลียตจะเรียกร้องหาบุหรี่ แต่วันนี้เขาเห็นว่าแล้วอาวุธไว้ใช้ป้องกันตัวมีความสำคัญกับเขามากกว่าเจ้ายาสูบพวกนั้นเป็นไหนๆ

ชายหนุ่มผมน้ำตาลยืนกระดกเท้าบนแผ่นไม้ไปมาอย่างเบื่อหน่ายระหว่างรอ แผลจากการฟัดกับไอ้สามตัวในห้องน้ำเมื่อวานยังระบมไม่หาย บางทีเขาควรจะไปห้องพยาบาลเพื่อขอยารักษา หมอหนุ่มที่ทำงานในนั้นหล่อดี น่าเสียดายที่เจ้าตัวมีลูกมีเมียแล้ว

และเพราะว่ามัวแต่ใจลอย ตามองก้อนเมฆที่ลอยเท้งเต้งอยู่บนท้องฟ้า ชายหนุ่มจึงไม่ทันรู้ตัวเลยขณะที่มีใครอีกคนก้าวมาที่ด้านหลังเขา มือแกร่งตะปบลงมาปิดปากเจ้าตัวพร้อมกับฝังคมมีดลงบนสีข้างจากทางด้านหลัง

เอลเลียตทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นอย่างเชื่องช้าตามที่คนด้านหลังคอยบังคับร่างเขาเอาไว้ ความรู้สึกเจ็บเจียนตายกระแทกลงบนตัวเขาอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายดึงมีดออกแล้วเสือกลงบนสีข้างอีกรอบในบริเวณที่ไม่ไกลกับแผลเก่า เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอู้อี้อยู่ในลำคอเพราะมือที่อุดปากเขาไว้อยู่

เอลเลียตใช้แรงเฮือกสุดท้ายในการเอี้ยวหน้าไปมองว่าใครคือคนที่แทงมีดลงมา และนัยน์ตาสีฟ้าก็ต้องเบิกกว้างขึ้นอย่างตกตะลึงเมื่อพบว่าคนคนนั้นคือรูมเมทของเขานั่นเอง

"คนคนนั้นฝากข้อความมาให้นาย" เบลคกระซิบเสียงแผ่วที่ข้างหู "คนทรยศ"

และเมื่อปลายมีดแทงผิวเนื้อเขาเข้ามาเป็นครั้งที่สาม โลกทั้งใบของเอลเลียตก็เริ่มเบลอดับ

แม่งเอ๊ย... พูดไม่ได้ดูตัวเองเลย

เป็นความคิดสุดท้ายก่อนที่สติจะหลุดออกจากร่างไป ดังนั้นแล้วชายหนุ่มจึงไม่มีโอกาสรับรู้เสียงสะอื้นและคำขอโทษพร่ำเพ้อที่มาจากปากของเบลค

"ฉันขอโทษ เทย์เลอร์ ฉันขอโทษ"

แล้วชายหนุ่มผิวสีก็จากไป ทิ้งให้เอลเลียตนอนจมกองเลือดที่เจิ่งนองจนกลายเป็นแอ่งไปทั่วบริเวณนั้น





-----------------------------------------------
Talk: kill me gently เป็นนิยายวายเลือดสาด... ทั้งความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย ถถถถถถ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 12) P.3 [13/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 13-11-2017 17:53:53
นี่ kill แบบ gently แล้วเหรอคะ ทรมานแทนน้องเอลเหลือเกินนนนน :z3:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 12) P.3 [13/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 13-11-2017 17:58:32
นี่ kill แบบ gently แล้วเหรอคะ ทรมานแทนน้องเอลเหลือเกินนนนน :z3:

ก็ไม่ค่อย gently เท่าไรหรอกค่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 12) P.3 [13/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 13-11-2017 18:00:28
กรี๊ดดดดด อย่าเป็นอะไรนะเอล
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 12) P.3 [13/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 13-11-2017 18:46:09
เจ็บหนัก แต่ยังไม่ตาย
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 12) P.3 [13/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 14-11-2017 01:37:09
 :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 12) P.3 [13/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 14-11-2017 02:41:55
เอลล อยากรู้ว่าคีลจะว่ายังไงจังค่ะ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 12) P.3 [13/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-11-2017 15:49:40
 :m16:

 o13

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 12) P.3 [13/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 14-11-2017 23:17:40
 :mew2: :mew2: :hao5: :hao5: :mew5: :mew5:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 12) P.3 [13/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 15-11-2017 01:59:12
 :a5: :katai1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 12) P.3 [13/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 16-11-2017 16:54:31
บทที่ 13




คีลออกปฏิบัติการภาคสนามกับทีมในการบุกเข้าจับกุมผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งของขบวนการปล้นธนาคารซึ่งเป็นคดีหลักที่เขาทำอยู่ตอนนี้ การจับกุมในครั้งนี้ เรียกได้ว่าเป็นได้ด้วยดี ถ้าไม่นับว่าเขาคนร้ายยิงปืนเข้ากลางลำตัวของเพื่อนร่วมทีมเขาคนหนึ่งจนได้รับบาดเจ็บระหว่างการปะทะ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือเขารวบตัวผู้ต้องหามาได้ และลูกน้องของเขาก็ใส่เสื้อกันกระสุน ทำให้อาการบาดเจ็บดังกล่าวมีเพียงแค่กระดูกร้าวจากแรงปะทะเล็กน้อยเท่านั้น

แต่ถึงลิลลี่ จอร์แดนจะไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงมากนัก เขาก็ยังอดใจหายไม่ได้อยู่ดีตอนที่เห็นหญิงสาวถูกหามขึ้นรถพยาบาลด้วยสีหน้าซีดเซียว ชายหนุ่มหัวหน้าทีมกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาหล่อนตอนที่จัดการยัดคนร้ายใส่ท้ายรถตำรวจเรียบร้อย สีหน้าที่มักเรียบเฉยอยู่เป็นนิจฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด

"คุณจะทำให้ผมหัวใจวาย" เขาว่าพร้อมกับหอบเล็กน้อยเพราะเพิ่งการวิ่งไล่จับ หลบหลีกลูกกระสุน แล้วก็วิ่งกลับมาหาหญิงสาวตรงหน้า "อย่าทำแบบนี้อีก ขอร้องล่ะ"

"ขอโทษด้วยค่ะบอส" เจ้าหล่อนยกยิ้มเซียวๆ ให้เขา คีลส่ายหน้าเล็กน้อยพร้อมกับวางมือลงบนหลังมือเจ้าหล่อนแล้วบีบแรงๆ ทีหนึ่งอย่างให้กำลังใจ

"ไม่หรอก คุณปลอดภัยก็ดีแล้ว"

"จอร์แดน!" เสียงโจนาธาน ฟอร์ด ชายหนุ่มที่กำลังจีบสาวเจ้าอยู่แว่วเข้ามาให้ได้ยิน สีหน้าของเจ้าตัวซีดเผือดยิ่งกว่าคนเจ็บจริงๆ เสียอีก ฟอร์ดหันไปถามจอร์แดนอย่างห่วงใยสองสามประโยคก่อนจะหันกลับมาหาคนเป็นหัวหน้าทีม "วิลล์... ฉันอยากไปส่งหล่อนที่โรงพยาบาล"

"เรามีงานต้องสะสางตรงนี้" ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นเพื่อน และคีลจะรู้สึกเห็นใจอีกฝ่ายมากเพียงใด แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในเวลาทำงาน "ให้ทีมแพทย์จัดการต่อเถอะ"

ฟอร์ดพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ คีลหลบฉากตรงนั้นเพื่อไปโทรรายงานบอสของเขาเองถึงสถานการณ์ตอนนี้ และเมื่อหันสายตากลับมาอีกที เขาก็สังเกตเห็นว่าเพื่อนตัวดีของเขาแอบแวบเข้าไปในตัวรถหน่วยพยาบาลฉุกเฉินแล้ว และเพราะตอนนี้ในรถคันนั้นไม่มีใคร คีลจึงได้เห็นฟอร์ดก้มลงจูบคนรักของตัวเองอย่างทะนุถนอมผ่านทางบานกระจก

คีลรู้ดีว่าตามหน้าที่แล้วเขาควรจะพูดดุอีกฝ่ายหลังจากนี้ แต่ชายหนุ่มกลับเข้าใจเพื่อนร่วมทีมอย่างสุดซึ้งว่าการเห็นคนรักของตัวเองบาดเจ็บมันเป็นยังไง เขานึกถึงตอนที่ตัวเองจูบกับเทย์เลอร์ และเมื่อคิดถึงอาชญากรคนนั้นขึ้นมา ใจของเขาก็กระสับกระส่ายไม่เป็นสุข

"วิลล์... วิลล์คะ ฮัลโหล คุณยังอยู่ในสายไหม"

เสียงจากปลายสายปลุกเขาจากภวังค์ "ครับ บอส ผมยังอยู่ครับ"

"ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างก็เรียบร้อยตามคุณพูดมาใช่ไหมคะ นอกจากจอร์แดนแล้วไม่มีใครได้รับบาดเจ็บนะ"

“ครับ” เขาตอบรับสั้นๆ นิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขัดเจนนิเฟอร์ เคลลี่ที่กำลังจะวางสาย “บอสครับ เดี๋ยวก่อน ผมถามหน่อย ก่อนหน้านี้ผมคุยกับคุณฮอร์ตันไป เรื่องที่ว่าเราจะเอาตัวเอลเลียต เทย์เลอร์ออกมาช่วยเรื่องคดีได้อีกหรือเปล่า”

“อ้อ” มีเสียงแฟ้มเอกสารเปิดพลิกดังลอดมาให้ได้ยิน “ค่ะ คุณทำรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรมาแล้วนี่คะ ฉันส่งให้เบื้องบนไปแล้ว”

“แล้วมีการตอบกลับอะไรมาบ้างรึเปล่าครับ”

“เอ… เท่าที่ดูตอนนี้--” เสียงของเคลลี่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเจ้าหล่อนจะว่า “สักครู่นะคะ วิลล์ มีสายซ้อนน่ะค่ะ ขอฉันรับทางนั้นก่อน”

“ไม่มีปัญหาครับ” ตอบเสียงเรียบพร้อมกับรออย่างใจเย็น แต่เขาไม่ต้องรอนานเลยเมื่อหญิงสาวตัดสายกลับมาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“วิลล์คะ เกิดเรื่องแล้วล่ะค่ะ”

“อะไรครับ” ชายหนุ่มพูดเสียงเครียดขึ้นมาทันที

“ฉันเพิ่งได้รับการติดต่อเกี่ยวกับเรื่องของเอลเลียต เทย์เลอร์”

“ได้เรื่องว่าอะไรบ้าง”

“ฉันว่า ถ้าคุณอยากจะพบเขา คงต้องไปเจอที่โรงพยาบาลแล้วล่ะค่ะ”





สภาพของคนที่นอนป่วยอยู่บนเตียงทำเอาคีลถึงกับพูดไม่ออก 

ทันทีที่เขาทราบเรื่องมาจากหัวหน้าว่าเอลเลียตโดนแทงเข้าที่ลำตัวทั้งหมดสามแผล เจ้าตัวก็ทิ้งทุกอย่างในมือแล้วขับรถตรงมาที่โรงพยาบาลซึ่งเคลลี่บอกเขาว่าเอลเลียตรักษาตัวอยู่ในนั้น

แต่เพราะต้องขับรถข้ามมายังอีกรัฐบวกกับสภาพการจราจรแออัดบนท้องถนน คีลก็ใช้เวลาอยู่บนรถหลายชั่วโมงกว่าจะมาถึงที่โรงพยาบาลดังกล่าวได้ และเมื่อเขามาถึงเทย์เลอร์ก็ออกจากห้องผ่าตัดแล้ว ชายหนุ่มพ้นขีดอันตรายแล้วก็จริงแต่ก็อยู่ในสภาพที่แย่มาก

อันที่จริง ตอนที่คีลยังอยู่บนถนน สิ่งที่ทีมแพทย์รายงานมาคือโอกาสรอดของเอลเลียตอยู่ที่ห้าสิบห้าสิบเลยด้วยซ้ำ วินาทีนั้นชายหนุ่มแทบคลั่ง ได้แต่ทุบมือลงบนพวงมาลัยอย่างหัวเสีย โกรธตัวเองที่ทำได้แค่ติดแหงกอยู่กลางถนน แต่ในที่สุดเขาก็มาถึงที่หมายโดยได้รับการติดต่อจากเคลลี่ว่าเอลเลียตพ้นขีดอันตรายแล้วครึ่งชั่วโมงก่อนที่จะถึงตัวโรงพยาบาล

คีลทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่ลากมาไว้ข้างเตียง มองคนที่ยังนอนไม่ได้สติด้วยความรู้สึกใจหาย

นัยน์ตาสีน้ำตาลสังเกตเห็นรอยฟกช้ำที่อยู่บนใบหน้าของคนที่ครั้งหนึ่งเคยส่งยิ้มสดใสมาให้เขา มันทำให้คีลนึกโกรธกรุ่นขึ้นมาทันที มือแกร่งเอื้อมลงแตะแก้มของคนที่หลับไม่รู้เรื่องอย่างเผลอไผล ความเย็นชาในแววตาหายวับไปจนเกลี้ยง เหลือเพียงความห่วงใยให้คนที่อยู่หน้าเท่านั้น

ชายหนุ่มใช้เวลาอยู่ในห้องพักฟื้นหลังผ่าตัดโดยไม่กระดิกไปไหน เขามองร่างกายของเอลเลียตที่ตอนนี้ดูบอบบางลงกว่าที่คีลจำได้ไม่รู้กี่สิบเท่าถูกแขวนต่อไว้ด้วยสายระโยงระยางติดไว้

คีลไม่แน่ใจว่าเขาจ้องหน้าคนป่วยอยู่นานเท่าไร รู้ตัวอีกทีเขาก็กุมมือของเอลเลียตไว้แน่นราวกับต้องการส่งความรู้สึกทั้งหมดที่มีไปให้

ทุกวินาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความคิดของคนรอ แต่ในที่สุดคนบนเตียงก็ปรือตาขึ้นมาอย่างสับสนในวินาทีแรก ภาพทุกอย่างที่เห็นพร่าเลือนไปหมด แต่เมื่อสายตาเริ่มปรับโฟกัสได้ เอลเลียตก็ต้องหรี่ตาลงอีกครั้ง ความสับสนพุ่งเข้ามก่อนเป็นอย่างที่มีสติ

“...คีล?”

“เอล” ร่างสูงขยับตัวเข้าไปใกล้ทันที กุมมืออีกฝ่ายแน่นขึ้นอย่างเผลอตัว นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่สวยที่เอลเลียตเฝ้าคิดถึงมาตลอดสั่นระริกราวกับกำลังจะร้องไห้ “คุณเป็นยังไงบ้าง”

“คุณ… มาอยู่นี่ได้ไง” เสียงของคนป่วยขาดเป็นห้วงๆ เพราะยังอ่อนแรงอยู่มาก หากเขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ถูกถ่ายทอดมาทางฝ่ามือของคีล “แล้ว… ที่นี่…?”

“คุณอยู่โรงพยาบาล เทย์เลอร์” พอความตกใจเลือนไป คีลก็กลับมาเรียกอีกฝ่ายด้วยนามสกุลตามเดิม “คุณถูกแทง”

“ผม… ถูกแทง?” ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นขึ้นนิดหนึ่งเมื่อพยายามฝ่าม่านหมอกในหัวแล้วคิดตามคำพูดอีกฝ่าย และเมื่อความทรงจำทะลักเข้ามาในหัว ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วของเอลเลียตก็ยิ่งซีดลงไปอีก บ่าสองข้างเริ่มสั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่ คีลรู้สึกได้เลยว่ามันสั่นมาถึงมือของเจ้าตัว

“ไม่เป็นไรครับ เอล ไม่เป็นไร ตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว”

“คีล” เรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย มือที่ไร้เรี่ยวแรงพยายามจับมือของอีกฝ่ายตอบ “คีล… คุณมาหาผม”

“ใช่ครับ” คีลพูดพร้อมกับโน้มหน้าเข้าไปหาเอลเลียตมากขึ้นจนอีกฝ่ายรับรู้ถึงลมหายใจอุ่น “ผมมาหาคุณ”

“ผม… ผมขอโทษ คีล” แม้คำพูดจะกระท่อนกระแท่น แต่คนผมน้ำตาลก็กระอักคำพูดออกมาจนได้ “ขอโทษ… ที่พยายามจะหนี”

คีลไม่พูดอะไรตอบ เขาแค่บีบมือของเอลเลียตแน่นขึ้น หากแววตาอ่อนโยนระคนสำนึกผิดที่มองมาที่เขาทำให้คนผมน้ำตาลน้ำตารื้นขึ้นมา

“ผมเสียใจ… เสียใจจริงๆ”

“ผมก็เหมือนกัน” คีลพูดตอบ และเขาหมายความตามที่พูด “เสียใจที่ไม่เชื่อคุณแต่แรก และคุณก็เกือบจะตายจริงๆ”

“ผม… ผมรอดได้ยังไงเนี่ย” เอลเลียตว่าพร้อมกับพยายามเค้นเสียงหัวเราะฝืนๆ ออกมา “โดนไปเต็มๆ… ขนาดนั้น”

“ผมรู้ว่ามันยากสำหรับคุณ” เจ้าหน้าที่หนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงานมากขึ้น “แต่คุณได้เห็นหน้าคนร้ายรึเปล่า ระบุรูปพรรณสัณฐานให้ผมหน่อยได้ไหมครับ”

“ผม… รู้จักเขา” น้ำเสียงคนพูดกระท่อนกระแท่นจนคีลเริ่มกังวล เอลเลียตหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนขณะพูดชื่อออกมา “เบลค เรมิเรซ”

คีลไม่ถามอะไรต่อให้ยืดยาว เขากดโทรศัพท์ต่อสายโจนาธานแล้วบอกชื่อนั้นให้อีกฝ่ายก่อนจะวางสายลง

“ผมให้เพื่อนผมช่วยจัดการต่อให้แล้ว เขาเป็นนักโทษที่อยู่ในคุกเหมือนคุณใช่ไหมครับ”

เอลเลียตพยักหน้าอย่างเชื่องช้า ตาลอยๆ กับใบหน้าขาวซีดทำให้คีลต้องลุกออกจากเก้าอี้

“คุณอยากดื่มน้ำหน่อยไหม เดี๋ยวผมหยิบให้”

คนบนเตียงพยักหน้าอีกที คีลเลยเดินไปหยิบแก้วมารินน้ำใส่แล้วยื่นให้อีกฝ่าย และเมื่อเห็นว่ามือทั้งสองข้างของเอลเลียตสั่นระริกจนน้ำแทบจะกระฉอกออกมา มือหนาจึงเลื่อนไปช่วยประคองให้เอลเลียตดื่มน้ำได้ในที่สุด เขาดึงแก้วที่ว่างเปล่าออกจากมืออีกฝ่าย วางลงบนโต๊ะข้างๆ ก่อนจะหันมามองคนที่มีสีหน้าดีขึ้นมาเล็กน้อย

“อยากให้ผมเรียกหมอรึเปล่าครับ”

“ไม่ครับ” เอลเลียตส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า และเมื่อคีลค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเขา เอลเลียตก็พูดตะกุกตะกักออกมาอย่างคนพยายามเรียบเรียงเรื่องราว “เรมิเรซ… เขาเป็นรูมเมทของผม”

“ในคุกน่ะเหรอครับ”

“ใช่”

“ผมได้ยินมาว่ามีเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดไปพบคุณจมกองเลือดอยู่นอกตัวตึกโซน C” น้ำเสียงของคีลเป็นการเป็นงาน และมันเป็นโทนเสียงแบบที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาสอบปากคำ เอลเลียตรู้ดี

“ใช่ ผมไปอยู่ที่นั่น”

“ทำไมครับ”

“ผมนัดกับเรมิเรซที่นั่น” แม้จะเหนื่อยจนไม่อยากแม้แต่จะเปิดปาก แต่เอลเลียตก็พยายามบังคับตัวเองให้บอกข้อมูลแก่คนข้างตัวให้มากที่สุด “ผม… ผมขอให้เขาเอาอาวุธมาให้ผม พวกมีดสั้น มีดพก อะไรแบบนั้น”

แล้วที่เขาขอน่ะ คือขอให้เอามาให้ ไม่ใช่ให้เอามาแทงกันแบบนี้

“ทำไมคุณต้องอยากได้อาวุธ”

“ผมกำลังจะโดนฆ่า คีล” ถึงตรงนี้ น้ำเสียงของชายหนุ่มก็ดูจะเจ็บปวด หวาดกลัว และปนมาด้วยร่องรอยของการตัดพ้อคู่สนทนา “ผมรู้ตัวว่าตัวเองโดนสั่งฆ่า… คุณคิดว่าที่ผมบอกคุณเป็นเรื่องล้อเล่นเหรอ”

“ผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่น” คีลพูดสีหน้าราบเรียบ ความอ่อนโยนและความห่วงใยที่มีก่อนหน้าที่เอลเลียตจะฟื้นขึ้นมาหายไปจากใบหน้า “แต่ผมคิดว่าคุณโกหก… พวกอาชญากรน่ะยอมโกหกทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องเข้าไปอยู่ในห้องขังอยู่แล้ว”

เอลเลียตชักสีหน้าเจ็บปวดที่ทำเอาคนมองอย่างคีลใจหายวูบ

“แต่ผมไม่ได้โกหก”

“ตอนนี้ผมรู้แล้ว” เห็นสีหน้าแบบนั้น ใบหน้าคมก็ผ่อนลง มือเลื่อนไปลูบแก้มที่บวมเล็กน้อยของเอลเลียตแผ่วเบา “ผมเสียใจที่ไม่เชื่อคุณ”

“ผมเกือบจะตายอยู่แล้ว”

“ผมขอโทษ”

“ทำไมคุณถึงยอมกลับมาหาผม คีล” เอลเลียตว่าพร้อมกับมองตาอีกฝ่ายนิ่ง

คีลยังคงไม่ละมือจากแก้มของเจ้าตัว “คุณยังต้องถามอีกเหรอครับ”

“ก็คุณบอกว่าเรื่องระหว่างเรามันไม่จริง” คราวนี้คนผมน้ำตาลเอื้อมมือไปกุมมือหนาที่อยู่บนแก้มเขาอีกต่อ ราวกับต้องการทำให้มั่นใจว่าสัมผัสอบอุ่นอ่อนโยนนั่นเพื่อเขาจริงๆ “แล้วตอนนี้ล่ะ คีล นี่ก็เรื่องโกหกของเราหรือว่าของคุณอีกหรือเปล่า”

“คุณจะเชื่อไหมถ้าผมบอกว่าผมเองก็อยากให้ความรู้สึกของตัวเองที่มีให้คุณเป็นเรื่องโกหก”

“อะไรนะ” เอลเลียตถามกลับด้วยน้ำเสียงผิดหวัง สมองยังตื่นไม่เต็มตัวเพราะความอ่อนล้าทางกาย คีลจึงเขยิบเข้าใกล้คนบนเตียงแล้วประคองหน้าชายหนุ่มด้วยมือทั้งสองข้าง

“แต่มันไม่ใช่เรื่องโกหก เอลเลียต”

นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยจ้องเขาอย่างประเมิน ราวกับลจะคว้านลึกเข้ามาข้างใน

“คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าผมคลั่งแค่ไหนตอนที่ได้ยินเรื่องที่คุณถูกแทง” พูดพร้อมกับวางหน้าผากของตัวเองลงบนหน้าผากของอีกฝ่าย เอลเลียตเพิ่งรู้สึกตอนนี้เองว่ามือแกร่งทั้งสองข้างที่อยู่บนหน้าเขาสั่นเทา “ผมกลัว… กลัวมากจริงๆ ว่าจะเสียคุณไป”

“คุณพูดจริงเหรอ” ในหัว เอลเลียตรู้ดีว่าเขาอาจจะกำลังโดนหลอกอีกก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นคำพูดที่ส่งผ่านมาก็ทำให้หัวใจของเขาพองโตขึ้นมาด้วยความยินดี ขอบตาของเจ้าตัวร้อนผ่าว น้ำตาที่เอ่อขึ้ามาเล็กน้อยทำให้คีลต้องเลื่อนปลายหัวแม่โป้งไปปาดที่หางตาอีกฝ่าย

นัยน์ตาสีฟ้าที่มองมาที่เขาเหมือนเด็กที่กำลังสับสนทำให้คีลสงสารคนบนเตียงจับใจ เหมือนเอลเลียตกำลังเรียกร้องขอความจริงจากเขา และสำหรับเขาตอนนี้ก็ไม่มีอะไรให้นอกจากความรู้สึกจากด้านในจริงๆ

“ผมพูดจริง” เขาจ้องตาอีกฝ่ายนิ่งเพราะอยากให้เอลเลียตรับรู้ถึงมัน “ผมเป็นห่วงคุณ”

“ถ้าคุณจะห่วงผมแค่เพราะห่วงเรื่องคดี--”

“ไม่ เอล คุณก็รู้ว่าระหว่างเรามันมีอะไรมากกว่านั้น”

“คุณคิดว่าผมรู้เหรอ” เอลเลียตพูดเสียงดังขึ้นอย่างเจ็บปวด “ไม่ คีล ผมไม่รู้หรอก”

“งั้นผมจะบอกให้” นัยน์ตาสีน้ำตาลวาววับด้วยความมุ่งมั่นขณะยื่นหน้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น “ผมรัก--”

“ไม่ ผมไม่อยากฟัง” เอลเลียตยกนิ้วขึ้นมาปิดปากคนพูด และเมื่อถอนนิ้วออก ใบหน้าของเจ้าตัวก็แดงระเรื่อขึ้น นัยน์ตาสีฟ้าฉ่ำเยิ้มแบบที่คีลจำได้ว่าเอลเลียตทำหลังจากที่พวกเขามีเซ็กส์กัน “ผมอยากให้คุณจูบผม”

ร่างสูงทำตามความปรารถนาของคนบนเตียงทันที

คีลเอื้อมมือไปประคองหลังคออีกฝ่ายขณะประกบริมฝีปากลงไปอย่างอ่อนโยน เอลเลียตชะงักไปอย่างตั้งตัวไม่ทัน แต่อึดใจต่อมาเจ้าตัวก็เริ่มขยับลิ้นของตัวเองตอบรับสัมผัสที่ล้วงเข้ามาในโพรงปากอย่างกล้าๆ กลัวๆ รับรู้ถึงความหวานที่คนด้านบนส่งผ่านมาให้ และนั่นทำให้เอลเลียตคลายร่างกายที่เกร็งขึ้นมาเล็กน้อยลง

เอลเลียตปล่อยให้คีลทาบจูบลงมาครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยใบหน้าที่แดงขึ้นเรื่อยๆ สัมผัสอ่อนโยนพวกนั้นทำให้เขาเขินขึ้นมาอย่างประหลาด คีลใช้มือบังคับหลังคออีกฝ่ายให้หันหน้าตามจังหวะจูบที่เร็วขึ้น ได้ยินเสียงครางหวานๆ เล็ดลอดออกมาจากลำคอ นิ้วเรียวของเอลเลียตจิกลงบนบ่าเขาอย่างเงอะงะขณะที่ตวัดลิ้นตอบรับจูบของคีลอย่างเอาเป็นเอาตาย

นั่นทำให้ร่างสูงอดขำในใจหน่อยๆ ไม่ได้ ก็ก่อนหน้านี้เอลเลียตเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้ถึงขนาดที่เป็นฝ่ายดึงเขาเข้าไปจูบก่อนเองด้วยซ้ำ มาตอนนี้เจ้าตัวกลับปวกเปียกอยู่ในอ้อมแขนของเขาแทน ดูๆ แล้วก็น่าเอ็นดูไม่น้อย ยิ่งเพราะอีกฝ่ายอยู่ในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ประกอบกับใบหน้าที่แดงก่ำไปถึงหู สายตาที่ปรือขึ้นมามองเขาราวกับเด็กไร้เดียงสาทำเอาคีลใจเต้นรัวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่

เขาผละริมฝีปากออกมาแล้วประกบจูบลงไปอีกรอบอย่างหวงแหน ได้ยินเสียงอุทานในลำคอของเอลเลียตน้อยแต่คนผมน้ำตาลก็ยอมปิดเปลือกตาลงแล้วจูบตอบเขาอีกรอบแต่โดยดี คีลนึกถึงเรื่องที่เอลเลียตเคยเล่าให้ฟังเรื่องเทลออฟอดัมส์ที่เป็นแฟนเก่าของเจ้าตัว แล้วนึกถึงท่าทีเชี่ยวชาญเกินความจำเป็นของเอลเลียต นั่นทำให้ร่างสูงได้ข้อสรุปในใจว่าพ่อตัวแสบต้องผ่านมือผู้ชายมาหลายคนแล้วเป็นแน่ คิดแค่นี้เขาก็รู้สึกหึงเจ้าตัวขึ้นมา จังหวะจูบรอบนี้จึงดุเดือดรุนแรงกว่าที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาเอลเลียตที่กำลังเคลิ้มกับจูบหวานๆ สะดุ้งไปเลย

แผ่นอกของคนบนเตียงกระเพื่อมขึ้นลงเร็วขึ้นราวกับเพิ่งออกกำลังกายมาอย่างหนักหน่วงขณะที่คีลค่อยๆ ถอนจูบออก เอลเลียตหอบหายใจ สูดอากาศเข้าปอดอย่างรวดเร็วขณะที่ยกแขนขึ้นปิดปาก ใบหน้าแดงแปร๊ดจนคีลนึกอยากฟัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

คีลเอื้อมมือไปยีเส้นผมสีน้ำตาลของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู ใจเต้นขึ้นมาอีกรอบเมื่อนัยน์ตาสีฟ้าช้อนขึ้นมามองเขาอย่างรักใคร่ เขาจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เขารู้สึกชอบใครสักคนอย่างหมดหัวใจขนาดนี้คือตอนที่เขาตกหลุมรักหญิงสาวที่เรียนอยู่ในโรงเรียนตำรวจแห่งเดียวกับเขา

ไม่สิ… ครั้งนี้ความรู้สึกมันรุนแรงยิ่งกว่าสมัยยังวัยรุ่นด้วยซ้ำ

“ผมรักคุณ คีล”

“ผมพูดว่ารักคุณได้แล้วรึยัง”

เอลเลียตคลี่ยิ้มหวาน “คุณพูดผ่านจูบของเราแล้วไง”

“...” นี่เขาเป็นอยู่คนเดียว หรือว่าไอ้หมอนี่มันน่ากดจริงๆ?

“คีล ผมขอน้ำอีกแก้วได้ไหม” พอเริ่มตั้งตัวได้ คนผมน้ำตาลก็หันมาจับบทอ้อน “คอแห้งจังเลย จูบมาราธอนเมื่อกี้ทำเอาผมละลายหมดแล้ว”

“พูดดีไป” คีลดึงปลายจมูกของอีกฝ่ายมันเขี้ยว แต่ก็ยอมหยิบแก้วน้ำไปรินน้ำจากเหยือกมาเสิร์ฟให้คนป่วยอยู่ดี “ทำเป็นเด็กไม่รู้ประสีประสาไปได้ ไม่สมกับเป็นคุณเลย เอล”

“คุณยอมเรียกชื่อผม”

“ผมเรียกชื่อแฟนตัวเองผิดตรงไหน”

เอลเลียตหน้าร้อนขึ้นมาอีกวูบ หากรอยยิ้มยินดีปรากฏชัดเจน

“ไม่เอาหลอกๆ แล้วนะ”

“ถ้าคุณไม่ได้กำลังหลอกผมล่ะก็ ไม่มีการหลอกกันอีกแล้ว” พูดพร้อมกับยื่นแก้วน้ำให้ เอลเลียตรับไปถือแต่ไม่ยอมดื่ม

 “ผมจะหลอกคุณได้ไง ก็รอบนี้คุณพูดเอง”

“แล้วคุณว่ายังไงล่ะ”

นัยน์ตาสีฟ้าฉายแววสำนึกผิดยามที่ช้อนสายตาขึ้นมองเขาคราวนี้

“ผมขอโทษนะคีลที่พยายามหนีคุณ”

“ถ้ามีคราวหน้าอีกผมจะจับคุณล่ามแล้ว” ชายหนุ่มพูดทีเล่นทีจริงขณะหน่อยตัวนั่งลงบนเก้าอี้อีกรอบ หากสีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนนั่นทำให้คำพูดนั้นดูเอาจริงจนน่ากลัว แต่ไอ้นักโทษตัวแสบเขาก็ยังยิ้มเผล่อย่างไม่เกรงกลัว ซ้ำยังท้าทายสำทับ

“งั้นใส่ปลอกคอล่ามผมไว้ก่อนเลยไหมครับ ยอมให้เอาเชือกจูงด้วยเอ้า”

“ผมว่าอย่างคุณเชือกไม่น่าพอ คงต้องโซ่หนาๆ สักเส้น”

เอลเลียตหัวเราะร่วนอย่างมีความสุข เสียงหัวเราะนั่นทำให้ยิ้มตามอย่างอดไม่อยู่ นัยน์ตาสีฟ้าของเอลก้มลงมองแก้วน้ำในมือ ทำหน้าเหมือนคนเพิ่งนึกอะไรก่อนได้ ก่อนจะยิ้มจนตาหยีส่งมาให้เขา

“ผมคอแห้งจัง คีล”

“น้ำก็อยู่ในมือคุณแล้วไง”

“มือผมไม่มีแรงเลย”

ใบหน้าคมที่มักตีหน้าเฉยอยู่เป็นนิจกระตุกยิ้มรู้ทัน คว้าแก้วใบนั้นมาจากอีกฝ่าย ยกขึ้นดื่ม ก่อนจะโน้มหน้าลงไปทาบริมฝีปากของตัวเองลงบนปากอีกฝ่ายอีกรอบ และเมื่อมั่นใจว่าน้ำไหลผ่านคออีกฝ่ายไปแล้ว คีลก็ก้มลงบรรเลงบทจูบอันแสนยาวนานอีกครั้ง คราวนี้มันแย่กว่าเมื่อกี้อีกเพราะเอลเลียตเองก็เริ่มมีสติและเรี่ยวแรงมากพอจะรั้งคอเขาไม่ให้ผละหนีไปไหนง่ายๆ แล้ว

คีลผละริมฝีปากออกอย่างเชื่องช้าพร้อมกับลูบหน้าคนรักอีกรอบ ชอบที่ได้เห็นรอยยิ้มหวานๆ นั่นส่งตอบกลับมา

“แล้วไอ้ที่แก้มคุณเนี่ย อย่าบอกนะว่านี่ก็ฝีมือของรูมเมทคุณด้วย?”

“อ้อ ไม่ใช่ครับ” เอลเลียตว่า “มีคนพยายามจะปล้ำผมในห้องน้ำ”

ฉับพลัน บรรยากาศรอบตัวคีลก็หนักอึ้งขึ้นมาทันที คนผมน้ำตาลเลยต้องรีบเสริม “เออ แต่ผมไม่ได้โดนทำอะไรนะ หมายถึง ก็ฟาดปากกันแล้วก็รอดตัวมาได้”

“ทำไมไม่ระวังตัวเองเลย”

เอลเลียตยักไหล่ “ก็มันมากันสามคน ถ้าแค่คนเดียวยังไงผมก็สู้ไหวอยู่แล้ว”

“สามคนเนี่ยนะ---” เสียงของคีลขาดช่วงไปเพราะเสียงโทรศัพท์ดังขัดขึ้น เจ้าตัวยกมือขึ้นมาเป็นเชิงขอตัว กดรับสาย ฟังสิ่งที่ปลายสายพูดแล้วนัยน์ตาสีน้ำตาลนั่นก็เบิกกว้างขึ้นนิดหนึ่งก่อนมันจะสงบลงตามเดิม หากความเคร่งเครียดแผ่ออกมาจนเอลเลียตรับรู้ได้ คีลหันกลับมาหาเขาอีกครั้งหลังจากยัดโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง “เบลค เรมิเรซตายแล้ว”

“อะไรนะ” เอลเลียตอุทาน

“เขาโดนโทษประหารไปเมื่อช่วงบ่ายของวันนี้เอง บอสผมบอกว่าเมื่อสามวันก่อน อยู่ๆ เขาก็ยอมรับข้อกล่าวหาคดีฆาตกรรมที่เขาลงมือก่อนจะเข้ามาในคุก เขาบอกว่าเขาทนรับความรู้สึกผิดไม่ไหวแล้วก็เลยขอรับโทษประหาร”

คนผมน้ำตาลหน้าซีดเผือดลงอย่างรวดเร็ว นึกถึงวันแรกที่คุยกับชายผิวสีคนนั้น เบลคเคยบอกเขาว่าตัวเองต้องเข้ามาอยู่ในเรือนจำเพราะคดีฆาตกรรมจริง แต่เพราะรูปคดีและอะไรหลายๆ อย่างทำให้เขารอดโทษประหารมาได้ แต่ตอนนี้เจ้าตัวกลับขอรับโทษนั้นเสียเอง

เอลเลียตคิดตามเร็วจี๋ถึงความเป็นไปได้ว่าเพราะอะไร เขาไม่รู้คำตอบแน่ชัดหรอก แต่สิ่งที่ชัดเจนมีให้เห็นแค่อย่างเดียว

ชายหนุ่มเลื่อนมือไปกระตุกแขนเสื้อของแฟนหนุ่ม ยึดมันไว้แน่นก่อนจะว่าเสียงแผ่ว

“คีล… คุณต้องพาผมออกไปจากที่นี่”

“เอล...”

“ผมอยู่ที่นี่ไม่ได้” เมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ความตายเฉียดฉิวที่เพิ่งผ่านไป เอลเลียตก็ไม่สามารถควบคุมไม่ให้ตัวสั่นได้ “ได้โปรด คีล พาผมหนีออกไปจากที่นี่เถอะ”




----------------------------------------------------------
Talk: อ่านคอมเม้นท์ตอนก่อนหน้าแล้วแบบ เอ่อ ทุกคนคะ ใจเย็นๆ นะ เอลเป็นนายเอกนะคะ ถ้านางตาย แล้วจะเดินเรื่องต่อยังไงล่ะ ถถถถถถ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ อย่าลืมเม้นท์เป็นกำลังใจกันด้วยนะ ^^
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 13) P.4 [16/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-11-2017 17:45:08
จะพาหนีไปไหนได้ คีลเป็นตำรวจนี่ มีแบบทำเรื่องให้เอลอยู่ในความคุ้มครองได้ไหมคะ ไม่ปลอดภัย  :katai1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 13) P.4 [16/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 16-11-2017 18:13:35
 :เฮ้อ:รอดแล้ววว
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 13) P.4 [16/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-11-2017 18:26:31
 :hao7:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 13) P.4 [16/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 16-11-2017 20:27:54
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 13) P.4 [16/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 16-11-2017 20:33:18
สนุกโคดดดดด อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะคุณ ลุ้นมาก กลัวน้องเอลจิตายก่อน คือนิยายที่ตัวเอกตายมันก็มีถมเถ จะให้วางใจไม่ได้หรอกนะคะ  :hao5:
แค่ความสัมพันธ์ระหว่างตำรวจกับนักโทษมันก็กร๊าวใจอยู่แล้ว นี่ยังต้องเลือกระหว่างความถูกต้องกับการเอาชีวิตรอดของแฟนหนุ่ม โอโห ยิ่งตัวพ่อยังเป็นตำรวจใหญ่อีก น้องเอลจะรอดจนถึงตอนจบจริงๆเหรอ ไม่ใช่ยิ้อได้สองสามตอนแล้วต้องโบกมือลาไปนะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 13) P.4 [16/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 16-11-2017 21:55:42
พลาดไปตอนนึง ไม่ทันสังเกตว่าอัพ กลับมาอ่านย้อนหลัง ช็อค สงสารเอล
อย่ารุนแรงกะนายเอกมากสิค้าา
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 13) P.4 [16/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 17-11-2017 11:49:06
ชีวิตเอลตอนนี้คือไม่ปลอดภัยอย่างแรง :katai1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 13) P.4 [16/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 18-11-2017 13:04:27
ลุ้นมากว่าเอลจะเป็นยังไงต่อ   :angry2: :angry2:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 13) P.4 [16/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 19-11-2017 10:12:51

บทที่ 14




“ใจเย็นๆ ก่อนครับ เอล” คีลว่าหลังจากที่เห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของอีกฝ่าย มือหนากุมมืออีกฝ่ายแน่นขณะพูดเสียงอ่อนโยน “คุณอยู่ที่โรงพยาบาลนะตอนนี้ แล้วก็มีคนเฝ้าให้ข้างนอก”

เอลเลียตส่ายหน้า “มันไม่ช่วยผมหรอก คีล คุณไม่เห็นเหรอว่าผมเพิ่งโดนแทงมาสามรูบนท้องเนี่ย อะ โอ๊ย”

“อย่าขยับเยอะสิคุณ” พูดอย่างตกใจพร้อมกับประคองอีกฝ่าย หากปากยังมิวายอธิบายต่อ “ไม่เป็นไรหรอกครับ มันไม่เหมือนกันสักหน่อย ผมเชื่อว่าคนที่มาเฝ้าคุณคงมืออาชีพพอ”

หากคนผมน้ำตาลยังส่ายหน้า ใบหน้าที่เริ่มดีขึ้นเมื่อครู่เพราะได้คืนดีกับคีลซีดเผือดลงไปตามเดิม อาจจะแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ

“พวกตำรวจนี่แหละตัวดี”

“คุณหมายความว่ายังไง”

เอลเลียตพิงหัวลงกับหมอน สูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกสติและความเยือกเย็น “คนที่จะเก็บผมเขาใหญ่”

คีลทำความเข้าใจกับประโยคนั้นได้อย่างรวดเร็ว เขายื่นหน้าเข้าใกล้เอลเลียตมากขึ้น

“คุณต้องบอกผมว่าเขาเป็นใคร”

เอลลืมตาโพลงขึ้นมา คว้ามือของคีลหมับ จ้องตาอีกฝ่าย พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“สัญญากับผมก่อนว่าคุณห้ามบอกใคร แม้แต่บอสของคุณ เพื่อนของคุณ ลูกน้องของคุณ บอกใครไม่ได้ได้เด็ดขาด”

“แต่ถ้าผมบอกบอสไม่ได้ แล้วผมจะช่วยคุณจับไอ้คนคนนั้นได้ยังไง”

“สัญญากับผม” เอลเลียตยืนยันคำเดิม นัยน์ตาฉายแววอ้อนวอน “ได้โปรด… บอกผมสิว่าจะไม่บอกใครทั้งนั้น”

คีลเม้มริมฝีปากแน่นอย่างชั่งใจ แต่ในที่สุดเขาก็ผ่อนลมหายใจแรงแล้วตอบรับอย่างเสียไม่ได้

“ตกลงครับ เอล ผมจะไม่บอกใคร”

เอลเลียตเคลื่อนหน้าเข้าไปข้างหูอีกฝ่ายก่อนจะกระซิบ “จูเลียน ฮอร์ตัน”

คีลมองหน้าคนพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นี่คุณล้อผมเล่นใช่ไหม”

“ไม่ ผมไม่ได้ล้อเล่น”

แต่อีกฝ่ายก็ยังมีสีหน้าไม่เชื่ออยู่ เอลเลียตเริ่มขมวดคิ้วมุ่น “ผมเพิ่งเกือบโดนฆ่ามาอยู่นะ คีล ผมไม่โกหกหรอก”

“ผมรู้ครับ เพียงแต่…” คนที่เพิ่งได้รับข้อมูลยกมือขึ้นลูบหน้า สีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง หัวคิ้วแทบจะชนกันอยู่แล้ว “ทำไมเขาถึงอยากจะเก็บคุณ”

นัยน์ตาสีฟ้าเริ่มกวาดมองรอบๆ อย่างไม่ไว้ใจ ราวกับเขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรมาพูดที่นี่ แต่เขาก็รู้ดีว่าถ้าไม่พูด คีลต้องไม่เชื่อและไม่ยอมช่วยเขาแน่ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจโน้มตัวลงไปกระซิบ

“เขาคือเบื้องหลังพวกที่ปล้นธนาคารทั้งหมด”

หน้าที่ยุ่งยากลำบากใจอยู่แล้วของคีลยิ่งยุ่งเข้าไปอีก เอลเลียตเริ่มลุกลี้ลุกลนขึ้นมาจริงๆ แล้ว

“ฟังนะ คุณสายสืบ คุณคิดว่าที่พวกตำรวจหรือพวกเอฟบีไอยังกวาดล้างพวกเราได้ไม่หมดเนี่ย เพราะฝีมือพวกคุณกระจอก หรือเพราะไอ้พวกนั้นมันฉลาดกว่าพวกคุณ… อึก งั้นเหรอ? ”

ประโยคหลังๆ ของเจ้าตัวเริ่มแผ่วเพราะอาการบาดเจ็บเริ่มกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง เอลเลียตมึนหัววูบขณะทิ้งตัวลงบนหมอนอย่างอ่อนแรง ความเจ็บปวดแล่นแปลบขึ้นมาทำเอาเจ้าตัวต้องร้องคราง คีลขยับตัวเข้าไปลูบอีกฝ่ายอย่างเป็นห่วง เห็นสภาพเจ้าตัวเป็นงี้แล้วคิดว่าเขาอยากจะให้ออกจากโรงพยาบาลเหรอ

“ก็… นั่นแหละ ตามที่ผมพูด” เอลเลียตพยายามประคองสติของตัวเองไม่ให้ดับวูบลง “เขา… เป็นคนคอยหนุนหลังพวกเรา”

“เลิกใช้คำว่าพวกเราสักทีได้ไหมครับ” พูดเสียงดุเล็กน้อย “คนพวกนั้นพยายามจะฆ่าคุณนะ”

เอลเลียตยกยิ้มแม้ว่าตาแทบจะปิดเพราะความอ่อนล้าทางกายอยู่แล้วก็ตาม “ตกลงครับ ที่รัก ตามที่คุณพูดเลย”

คีลนิ่งคิดไปครู่ใหญ่ ในหัวประเมินข้อมูลที่เพิ่งได้รับมาจากคนบนเตียงอย่างเคร่งเครียด ถ้าให้พูดกันตามตรง… ถ้าหากว่าเขาวางตัวเองในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่ง เขาก็ไม่ควรเชื่อคำพูดของเอลเลียต เพราะมันไม่มีน้ำหนักเอาเสียเลย แถมเขาเพิ่งรู้จักเจ้าตัวไม่ครบเดือนดีด้วยซ้ำ แล้วยิ่งอีกฝ่ายที่เป็นคนใหญ่คนโตด้วย ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด

แต่คีลไม่ใช่คนที่ทำทุกอย่างโดยใช้สมองเพียงอย่างเดียว บ่อยครั้งที่เขาต้องใช้สัญชาตญาณในการทำงานหรือทำคดีใดๆ อันที่จริงต้องใช้บ่อยยิ่งกว่าสมองด้วยซ้ำ และยิ่งตอนนี้เอลเลียตเปลี่ยนสถานะมาเป็นคนรักของเขาเต็มตัว แถมอีกฝ่ายเพิ่งเกือบถูกฆ่า และเหมือนเจ้าตัวจะรู้ดีซะด้วยว่ากำลังจะโดนฆ่าเพราะเตือนเขามาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะงั้นก็คงไม่แปลกถ้าเจ้าตัวจะรู้ว่าใครคิดจะฆ่าตัวเองด้วย

“พาผม… ออกไปที” พูดพร้อมกับเริ่มกระตุกแขนเสื้อเขาอย่างอ่อนล้า “ได้โปรด คีล”

“เอล…” คีลพูดอย่างหนักใจ เขารู้ดีว่าทุกอย่างมันไม่ง่ายแบบนั้น ยิ่งอีกฝ่ายห้ามเขาบอกทีมหรือหัวหน้าด้วยแบบนี้แล้ว

วินาทีนั้นเองที่คีลตระหนักได้ขึ้นมาว่าเขาต้องเลือก ถ้าเขายอมที่จะปกป้อง ยอมที่จะเชื่อใจเอลเลียตจนสุดทาง อาชีพการงานของเขาจะไปแขวนอยู่บนเส้นด้ายแบบร่อแร่ทีเดียว

แต่ถ้าเขาไม่ช่วยเอล… ก็เห็นแล้วว่าชายหนุ่มเกือบจะตายมาแล้วรอบหนึ่ง และถ้าเกิดเขาเสียเอลไปจริงๆ เพราะความลังเลในตอนนี้ แค่คิด คีลก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างไม่น่าเชื่อแล้ว และเขารู้ดีว่าตัวเองไม่มีเวลามากนัก

“คีล…”

“ผมเข้าใจแล้วครับ” เขาว่าเมื่อเห็นสีหน้ากังวลของคนบนเตียง “ผมจะพาคุณออกไป แต่คุณรอผมแป๊บหนึ่งนะ ผมต้องหาทางให้คนที่เฝ้าอยู่หน้าห้องคุณติดธุระอะไรขึ้นมาสักหน่อย”

“คุณจะทำได้ไหม”

คีลยกยิ้มหวานให้อีกฝ่าย ก้มลงจูบปากเอลเลียตทีหนึ่ง “แน่นอนอยู่แล้วครับ ขอเวลาผมห้านาทีนะ”

ให้ตายเถอะ เขาชอบตอนที่คีลส่งยิ้มให้เขาแล้วก็จูบเขาแบบนี้ที่สุดเลย







ถึงพลังใจจะเต็มร้อย แต่พลังกายนี่ถึงขั้นติดลบ

“อูย…” เอลเลียตโอดครวญออกมาแผ่วเบาหลังจากที่คีลแอบตาตัวเขาออกมาจากโรงพยาบาลแห่งนั้นจนได้ และตอนนี้คนผมน้ำตาลก็กำลังนอนอยู่เบาะหลัง บิดตัวเล็กน้อยเพราะแรงสั่นสะเทือนของรถ คีลฟังเสียงหอบหายใจน้อยๆ ของคนด้านหลังก็ชักเป็นห่วง เขาพาเอลออกมาจากโรงพยาบาลโดยพลการเสียแล้ว แล้วหยูกยาอะไรก็ไม่ได้มีติดมาด้วย

“ไหวไหมครับ คุณ”

เสียงอ่อนโยนนั่นทำให้เอลเลียตฝืนยิ้มออกมาได้นิดหนึ่ง ยอมรับกับตัวเองอย่างจนใจว่าคิดถึงเสียงนี้

“ไหว… ครับ คีล”

“ผมว่าไม่นะ”

“ผมไหว…” พูดได้แค่นี้แล้วเจ้าตัวก็เริ่มกัดฟันข่มความเจ็บปวดอีกรอบ และคีลก็รู้ว่าถ้าเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง บางทีอาจเป็นตัวเขาเองนี่แหละที่ฆ่าเอลเลียตด้วยการเอาเจ้าตัวออกมาจากโรงพยาบาลแบบนี้

ก่อนอื่นเลย… เอาเจ้าตัวไปนอนพัก ยังไงคืนนี้ก็เคลื่อนไหวอะไรไม่ได้แล้ว

ชายหนุ่มคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางการเดินทางกะทันหัน จากเดิมที่คิดจะพาคนที่เบาะหลังไปนอนพักที่บ้านตากอากาศเล็กๆ ของเขาซึ่งค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมือง เจ้าตัวกลับไปหยุดรถอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านขนาดกลางแถบชานเมืองในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา

เอลเลียตปรือตาขึ้นมาด้วยสติที่เลือนราง มองร่างสูงที่ปลดเข็มขัดนิรภัยออกก่อนจะเอ่ยปากถามสะลึมสะลือ

"จะไปไหน... เหรอครับ"

"คุณรอผมนิดหนึ่ง" คีลตอบ หันมองซ้ายขวาหน้าหลังขณะเปิดประตูลงจากรถ "เดี๋ยวผมมา"

เอลเลียตกำลังจะอ้าปากห้าม แต่เสียงคีลปิดประตูไล่หลังก็ดังขึ้นมาเสียก่อน ชายหนุ่มผมน้ำตาลเลยทำได้แต่ปิดเปลือกตาลงอีกรอบ ไม่เคยรู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอขนาดนี้มาก่อนตั้งแต่เกิดมา แต่เขาก็ไม่โทษร่างกายตัวเองหรอก ในเมื่อที่ผ่านมาเขาไม่เคยโดนแทงทะลุด้วยมีดมาก่อนแบบนั้นนี่ จะยังปวดหนึบแบบนี้อยู่ก็ไม่แปลก

และเมื่อสภาวะร่างกายอ่อนแอถึงขีดสุด ความเงียบกับความมืดที่ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งรถก็เริ่มทำให้เอลเลียตหวาดกลัวขึ้นมาจับใจ อยู่ๆ เขาก็กังวลไปสารพัดว่าบางทีนี่อาจเป็นแผนการของคีลที่แค้นเขาตั้งแต่คราวก่อนเลยแกล้งเอาเขามาปล่อยไว้ในรถที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ยังไม่ทันได้ฟุ้งซ่านมากไปกว่านี้ ประตูรถก็ถูกกระชากเปิดออก ใบหน้าคมที่มีสีหน้าเรียบเฉยอยู่เป็นนิจก้าวเข้ามาประจำที่นั่งคนขับ ชายหนุ่มวางถุงพลาสติกที่เต็มไปด้วยยาและผ้าพันแผลสารพัดลงบนเบาะข้างตัว จากนั้นก็สตาร์ทเครื่องยนต์เตรียมออกรถราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หลังจากที่รถแล่นออกมาที่ถนนต่ออีกครู่หนึ่ง เอลเลียตที่เพิ่งเริ่มตั้งสติได้อีกครั้งก็เอ่ยปากถามขึ้นเสียงแหบแห้ง

“ยา… เหรอครับ? ”

“ใช่ครับ” คนขับรถตอบ หักพวงมาลัยเข้าทางมอเตอร์เวย์

“เอามาจากไหนนั่น”

“น้องสาวเพื่อนผมเป็นหมอ”

“เพื่อน…. คุณ? ” โอย รู้สึกเหมือนสติจะลอยออกจากตัวตลอดเวลา ตาเขาจะปิดตลอดเลย

“เอล ผมว่าคุณนอนเถอะครับ” น้ำเสียงของชายหนุ่มอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง “เดี๋ยวถึงที่แล้วผมจะปลุก ให้คุณนอนพักสักวันสองวันแล้วเราค่อยมาคุยกันแบบจริงจังกันเถอะ แต่ตอนนี้คุณต้องนอนก่อน”

“คุณ...จะพาผมไปไหน? ”

คีลเงียบไปครู่หนึ่ง เอลเลียตรอฟังคำตอบขณะที่สติค่อยๆ หายไปอีกครั้ง หนังตาหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ

“เชื่อใจผมไหม เอลเลียต เทย์เลอร์”

แม้ว่าภาพทุกอย่างจะเบลอไปหมด สมองแทบไม่รับรู้อะไรนอกจากความอ่อนล้าของตัวเอง เอลเลียตก็ยังได้ยินเสียงทุ้มต่ำของคีลแจ่มชัด

และคำตอบก็มีเพียงอย่างเดียว

“แน่นอน คีล” ผมเชื่อคุณ

แล้วเขาก็ปล่อยให้ความมืดฉุดตัวเองลงไปในห้วงนิทราอีกรอบ







คีลพาตัวของคนที่หลับเป็นตายขึ้นมาในตัวบ้านเดี่ยวที่ตั้งอยู่ในแถบค่อนข้างจะห่างไกลจากตัวเมืองได้ในที่สุด ชายหนุ่มประคองร่างของเอลเลียตขึ้นมาวางอย่างทะนุถนอมลงบนเตียง ผ้าปูเตียงสีขาวค่อนข้างสะอาดเนื่องจากคีลแวะมาที่บ้านตากอากาศหลังนี้ครั้งล่าสุดเมื่อสัปดาห์ก่อนเท่านั้น

เขามักจะมาขลุกอยู่กับสวนที่อยู่ในอาณาเขตตัวบ้านเวลาที่เครียดจากเรื่องงานมา หรือถ้ามีวันหยุดยาวแล้วเขาไม่มีแพลนอะไรจริงๆ เขาก็จะมาอยู่กับตัวเองในสถานที่อันร่มรื่นและเงียบสงบแห่งนี้แหละ

ร่างสูงทอดสายตาลงมองพื้นด้านนอกจากทางหน้าต่าง เนื่องจากว่าตอนนี้เป็นเวลากลางดึกเขาจึงมองอะไรแทบไม่เห็นเอาเสียเลย แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่คีลกังวล เพราะในหัวเขากำลังประเมินสถานการณ์อยู่ว่าหลังจากนี้ควรจะทำยังไง ถ้าเขาไม่วางแผนดีๆ เขาอาจกลายเป็นคนร้ายที่วางแผนช่วยเหลือนักโทษออกมาก็ได้

หลังจากที่เจ้าตัวเดินกลับไปที่รถเพื่อหยิบถุงยาสารพัดกลับเข้ามาในตัวบ้านอีกครั้ง ชายหนุ่มก็ตัดสินใจโทรหาเจนนิเฟอร์ เคลลี่ บอสสาวที่เขาขึ้นตรงโดยตรง และเจ้าหล่อนยังเป็นเพื่อนสาวคนเดียวกับที่เขาเพิ่งบอกเอลเลียตไปด้วย

เคลลี่รับสายเร็วทันใจราวกับว่าถือเครื่องรออยู่

“ฮัลโหล วิลล์ คุณทราบรึยังคะ เมื่อกี้คนที่ประจำอยู่ที่ห้องของเทย์เลอร์เขารายงานมาว่านักโทษคนนั้นหายตัวไปแล้ว”

คำพูดเป็นรถไฟด่วนนั่นทำให้คีลนิ่งไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไร เมื่อกี้เขาบุกไปที่บ้านของบอสสาวที่อาศัยอยู่กับครอบครัวของตัวเองและน้องสาวที่เป็นหมอด้วยอีกคน เจ้าหล่อนเองก็พยายามย้ำถามเขานักหนาว่าจะเอายากับผ้าพันแผลพวกนั้นไปทำไมแต่เขาก็ไม่ตอบ สุดท้ายอีกฝ่ายก็อ่อนใจเลิกซักไปเอง

และด้วยความที่คีลนิ่งเงียบไปนานพอสมควร อยู่ๆ ปลายสายก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่อยากจะเชื่อ

“วิลล์คะ… เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ฉันโทรไปบอกคุณเรื่องอาการป่วยของเทย์เลอร์ แล้วคุณก็บุกไปหาเขาที่โรงพยาบาลมา…”

“บอสครับ ฟังก่อน”

“นี่… นี่คุณอยู่กับนักโทษคนนั้นเหรอคะ”

“คือมันไม่--”

“ให้ตายสิ วิลล์ คุณปลอดภัยดีหรือเปล่า ผู้ชายคนนั้นขู่อะไรคุณใช่ไหม”

เออ ไปกันใหญ่แล้ว

“ไม่ครับ… ไม่ใช่อย่างนั้นครับบอส” ชายหนุ่มพูดขัดเจ้านายตัวเองแล้วก็เงียบไปอีกครู่หนึ่ง เขานึกถึงสัญญาที่เพิ่งให้กับเอลเลียตไปเมื่อครู่แล้วก็กลับมาคิดทบทวนถึงสิ่งที่ตัวเองต้องทำอีกครั้ง นึกถึงความไว้ใจกับภารกิจต่างๆ ที่ทำร่วมกันมากับเจ้าหล่อน ลงท้ายด้วยความที่ว่าเขาไว้ใจและเคารพอีกฝ่ายเหมือนกับพี่สาวแท้ๆ ของตัวเอง นั่นแหละคีลจึงได้กรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ “คือว่า… ผมเป็นคนพาเขาออกมาเอง”

เคลลี่นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะอุทานออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“หา คุณว่าอะไรนะคะ!? ”

คีลไม่ตอบ เขาปล่อยให้ปลายสายซึมทราบข้อมูลและใจเย็นลงด้วยตัวของตัวเอง และเคลลี่ก็ไม่ทำให้เขาผิดหวังเลยเมื่อพูดเป็นรถด่วนต่อมาว่า

“อ้อ นี่ใช่ไหมสาเหตุที่คุณขอให้น้องสาวฉันช่วยเรื่องยากับอุปกรณืการทำแผลอะไรพวกนั้น พอฉันเค้นถามคุณ คุณก็ไม่ยอมบอกว่าเกิดอะไรขึ้นหรือใครได้รับบาดเจ็บ ฉันก็นึกว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวเลยไม่อยากเข้าไปก้าวก่าย แต่นี่คุณกำลังจะบอกว่าคุณลักพาตัวนักโทษออกมาจากการควบคุมตัวของพวกเรางั้นเหรอ? ”

น้ำเสียงยัวะจัดนั่นทำเอาคีลที่ไม่ค่อเปลี่ยนสีหน้าใดๆ ถึงกับย่นหัวคิ้วขึ้นมา เอาจริงตั้งแต่ทำงานด้วยกันมาเคลลี่แทบไม่ขึ้นเสียงใส่เขาเลย นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาโดนเจ้านายโกรธ

“ฟังก่อนนะครับ บอส เรื่องนี้ผมอธิบายได้”

“อ้อ แน่นอนละค่ะ นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการที่สุดตอนนี้เลย”

คีลเล่าสถานการณ์ทุกอย่างอย่างย่นย่อ กระชับ และได้ใจความ หากตัดเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างเขากับเอลเลียตไป เขาไม่อยากให้เคลลี่ที่หัวเสียและสับสนพออยู่แล้วต้องโมโหมากไปกว่านี้อีก และเมื่อเล่าจบ หญิงสาวก็ยังไม่อยากเชื่อกับข้อมูลที่ลูกน้องคนโปรดของเธอให้มา ไม่ใช่ว่าหล่อนไม่เชื่อใจในความมืออาชีพของอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างไรเทย์เลอร์ก็ยังถือเป็นนักโทษที่ต้องคอยควบคุมตัวอยู่ดี

“คุณแน่ใจเหรอคะว่าคำพูดเขาจะเชื่อถือได้”

“เขาผ่านความตายมาครั้งหนึ่งนะครับ บอส” คีลให้เหตุผล เขาไม่แปลกใจหรอกถ้าอีกฝ่ายจะไม่เชื่อ เพราะตอนแรกเขาก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน “เขาเกือบจะตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ผมไม่คิดว่าเขาโกหกหรอก”

“แต่เขาคือนักโทษที่พยายามจะหนีมาก่อนหน้านี้แล้วนะ วิลล์ แล้วคุณก็เป็นคนจับเขาได้”

ก็ไอ้เรื่องนั้นไงล่ะที่ทำให้เอลเลียตเกือบจะตายอยู่ในเรือนจำนั่น…

“ผมเกือบจะส่งเขาเข้าไปตาย”

น้ำเสียงที่แสดงออกถึงความรู้สึกผิดทำให้ปลายสายเสียงอ่อนลงทันที

“มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลย วิลล์ คุณทำตามหน้าที่ และ… และเขาก็เป็นโจร”

“ผมทราบดีครับบอส” คีลกำโทรศัพท์ในมือแน่นขึ้น “แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่คิดว่าเขาควรจะตายอยู่ดี”

“บางทีเขาอาจจะกุเรื่อง---”

“ด้วยการให้ใครสักคนมาแทงเขาตอนอยู่ในเรือนจำงั้นเหรอครับ? ”

ถึงตรงนี้เคลลี่ก็พูดอะไรไม่ออก

“ผมคิดว่าเขาพูดจริง” คราวนี้เสียงของคนใต้บังคับบัญชามั่นคง “และผมอยากจะเชื่อเขา อีกอย่าง… ข้อมูลที่เขาเพิ่งให้มา… หรืออาจจะให้ต่อจากนี้ก็เป็นอะไรที่เราต้องการมาแต่แรกอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ”

“แต่สถานการณ์มันไม่เหมือนกัน” หญิงสาวพูดเสียงอ่อนแรง อะไรบางอย่างทำให้เคลลี่รู้ว่าคงห้ามคีลไว้ไม่ได้

“ผมรู้ครับ แต่ผมเลือกที่เชื่อเขาแล้วตอนนี้ คนที่อยู่เบื้องบนนั่นต้องการจะฆ่าเขานะครับ”

“วิลล์” เคลลี่พยายามอีกครั้ง “ฉันปลดคุณออกจากการเป็นตำรวจได้เลยนะตอนนี้ คุณรู้ตัวรึเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่”

คีลนึกถึงปืนกับตราตำรวจที่เหน็บอยูที่เอว แค่คิดว่าจะต้องเสียมันไปชายหนุ่มก็รู้สึกว่าร่างกายจะเสียบาลานซ์เพราะน้ำหนักที่หายไปของของสองสิ่งนี้แล้ว แต่เขาก็ยังตัดสินใจลงเดิมพันนี้

“ผมทราบครับ… แต่ผมรู้ว่าบอสเองก็รู้ คุณไว้ใจผมได้”

ถึงคราวที่เคลลี่จะเงียบบ้างแล้ว คีลรู้ดีว่าถึงตรงนี้เขาต้องให้เวลาอีกฝ่ายบ้าง

เขาไม่เคยทำให้หัวหน้าของเขาผิดหวังมาก่อนในเรื่องงาน สัญชาตญาณของเขาถูกต้องแม่นยำมากกว่าร้อยละเก้าสิบ อย่างน้อยก็ในความเชื่อของคนที่เคยทำงานกับชายหนุ่มมานานหลายปี และในที่สุดเคลลี่ก็ต้องถอนหายใจเฮือกอย่างยอมแพ้ หล่อนถามอีกฝ่ายกลับเสียงอ่อนใจ

“แล้วนี่… คุณคิดจะทำยังไงต่อ”

“เราจะให้เขาหายตัวไป” คีลตอบกลับ เขาคิดไว้ก่อนที่จะกดปุ่มโทรออกอยู่แล้ว “อย่างน้อยก็ให้สื่อรู้ข่าวแบบนั้น แต่เราจะเก็บเขาไว้ใกล้ตัว… ผมจะรับผิดชอบเขาเอง”

“แล้วกับฟอร์ดหรือจอร์แดนล่ะคะ”

“ผมว่าเรายังไม่ต้องบอกพวกเขาน่าจะดีกว่า ผมยังไม่อยากให้เรื่องนี้กระจายไปมากนัก”

“แต่คุณก็ยอมมาบอกฉัน? ”

“ต่อให้ผมไม่บอก อีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนี้คุณก็จะปะติดปะต่อเรื่องได้อยู่ดี อีกอย่าง… ผมเชื่อใจคุณ”

“ขอบคุณค่ะวิลล์” น้ำเสียงของหญิงสาวผ่อนคลายลงก่อนจะเริ่มพูดติดตลก “แต่ฉันชักจะไม่ไว้ใจคุณแล้วสิคะ”

ถึงตรงนี้ใบหน้าคมก็คลี่ยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกในรอบวัน มีเรื่องหนักหนาเกิดขึ้นเยอะเหลือเกิน “ขอบคุณที่ฟังผม เคลลี่”

“ถ้าฉันถามว่าคุณอยู่ไหน คุณจะบอกฉันไหม”

“ผมคงไม่ขอลงรายละเอียด แต่บอกได้ว่าผมกับเทย์เลอร์ปลอดภัยดีในบ้านพักตากอากาศของผม… แต่คุณไม่ต้องพยายามหาหรอกนะ เพราะถึงผมจะบอกว่าเป็นของผมแต่ผมไม่ได้ซื้อในชื่อของตัวเอง”

“ร้ายมาก” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“ผมว่าจะวางสายไปอาบน้ำนอนแล้ว คุณเองก็ควรจะพักผ่อนเหมือนกัน”

“ค่ะ ฝันดีนะคะวิลล์ แล้วเตรียมรับศึกหนักพรุ่งนี้เลย เพราะฉันจะไม่ให้คุณพักสบายๆ แน่”

“แน่นอนครับบอส” เขาว่าก่อนจะกดวางสาย ตาจ้องหน้าจอมือถือขณะไตร่ตรองกับตัวเองว่าเขาเลือกทางที่ถูกต้องหรือเปล่า แต่ต่อให้เขาไม่ขอความช่วยเหลือจากเคลลี่ ลำพังเขาคนเดียวก็คงไม่สามารถต่อกรกับคนระดับใหญ่โตอย่างฮอร์ตันได้แน่

คีลกลับเข้ามาในห้องที่คนป่วยนอนอยู่บนเตียงอีกครั้งในชุดเตรียมนอน เอลเลียตยังอยู่ในชุดของผู้ป่วยจากโรงพยาบาลอยู่เลย เพราะตอนที่เขาพาตัวหมอนี่ออกมามันฉุกละหุกจนไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องเสื้อผ้าอะไรทั้งนั้น

ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าค่อยจัดการเรื่องนั้น เพราะตอนนี้เขาเองก็เพลียจากเรื่องราวหนักหนาที่เจอมาวันนี้ไม่ต่างกับคนบนเตียง

แต่อย่างน้อย… เอลเลียตก็ยังอยู่กับเขา

อย่างน้อยชายหนุ่มคนนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ให้เขาได้แก้ตัวกับสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยตัดสินใจพลาดด้วยการปล่อยผ่านไป

คีลคิดขณะที่เลื่อนนิ้วไปเกลี่ยเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนที่ปรกอยู่บนหน้าผากอีกฝ่าย โน้มหน้าลงไปจูบที่ขมับขาวอย่างรักใคร่และทะนุถนอม

นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่คมมองใบหน้าที่ดูซีดเซียวกว่าปกตินั่นอยู่อีกครู่ใหญ่ จากนั้นเขาก็เดินไปทิ้งตัวนอนบนโซฟาที่อยู่ในห้องเดียวกันเพราะไม่อยากนอนเตียงเดียวกับคนป่วยเพราะอาจจะรบกวนหรือทำให้แผลสะเทือนได้ แต่จะทิ้งเอลไปนอนที่เตียงอีกห้อง เกิดคนผมน้ำตาลร้องโอดโอยขึ้นมากลางดึกแล้วเขาหลับไม่รู้เรื่อง… แค่คิดก็ทำเอาคีลหลับไม่ลงแล้ว

เพราะงั้น… อยู่ใกล้ๆ แบบนี้แหละ อย่างน้อยถ้าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ช่วยเอลเลียตได้






-----------------------------------------
Tip4 เรื่องที่ไม่ต้องรู้ก็ได้เกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้: เป็นนิยายเรื่องแรกที่เขียนให้ตัวเอกสูบบุหรี่ เพราะไม่อยากสร้างค่านิยมว่าสูบบุหรี่แล้วมันเท่ห์นะ หรืออะไรแบบนั้น เอาเป็นว่าสูบบุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพนะคะ อาจจะตายเร็วได้ ส่วนเอลเลียตกับคีล เอ่อ สองคนนี้มันมีสิทธิ์ตายไวจากอย่างอื่นอยู่แล้ว (?) ให้มันสูบๆ ไปเถอะ //ไม่ใช่ละ ถถถถถถ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 13) P.4 [16/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 19-11-2017 12:55:54
ชีวิตอยู่บนความเสี่ยงทั้งคู่
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 13) P.4 [16/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 19-11-2017 16:22:48
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 13) P.4 [16/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 19-11-2017 18:55:51
 :impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 13) P.4 [16/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 22-11-2017 16:34:34

บทที่ 15



เอลเลียตหลับๆ ตื่นๆ ตลอดเป็นเวลาสามวันเต็ม คีลยังอดสงสัยไม่ได้เลยว่าตอนที่เจ้าตัวเพิ่งฟื้นมาเจอหน้าเขาแล้วพูดเป็นต่อยหอยได้ตอนนั้นนั่นปาฏิหาริย์หรือเปล่า แต่เหมือนพอหลังจากรู้ตัวว่าตัวเองปลอดภัยสบายใจแล้ว เอลเลียตก็อยู่ในสภาพคนป่วยอาการร่อแร่โดยสมบูรณ์แบบ เพิ่งจะมาได้สติมากพอที่จะรับรู้เรื่องราวรอบตัวได้ก็ปาเข้าไปวันที่สี่ ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงคีลพูดสายโทรศัพท์กับใครบางคน แต่ยังไม่ทันจับใจความอะไรได้ ร่างสูงก็กดตัดสายแล้วยัดมือถือเข้ากระเป๋ากางเกงไปก่อน

นัยน์ตาสีฟ้ามองใบหน้าคมคายที่ฉายแววเคร่งเครียดขึ้นอย่างหลงใหล คนถูกมองไม่ได้รู้ตัวเลยจนกระทั่งเอลเลียตเปิดปากทัก

"คิดอะไรอยู่เหรอครับ"

คีลไหวตัวเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกตัวแล้ว และเมื่อใบหน้าคมหันกลับมา เอลเลียตก็ได้เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววห่วงใยยิ่งกว่าครั้งใดตั้งแต่เขารู้จักผู้ชายคนนี้มา

คนผมน้ำตาลชะงักไปทันทีเมื่อมือหนาแตะลงบนข้างแก้มของเขาอย่างทะนุถนอม มันทำให้ใจในอกข้างซ้ายของเอลเลียตเต้นรัวขึ้นมาราวกับเด็กวัยรุ่นที่เพิ่งริเริ่มมีความรัก มันทำให้เอลเลียตอายตัวเองพอๆ กับที่มีความสุขมากจนคิดว่าเขาคงไม่ขออะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว แต่นั่นยังไม่หนักเท่าตอนที่คีลทาบริมฝีปากลงมาบนขมับของเขาอย่างอ่อนโยน

เฮ้ย! ให้ตายเถอะ เอาจริงๆ นะ ตั้งแต่เกิดมาในชีวิต เขาไม่คิดว่าตัวเองเคยโดนใครจูบหรือสัมผัสอย่างอ่อนหวานแบบนี้ บางทีแม่เลี้ยงของเขาอาจจะเคยทำเมื่อตอนเด็กๆ ก็ได้ แต่นาตาเลีย โจนส์มีลูกเลี้ยงซึ่งเป็นเด็กกำพร้าที่ต้องดูแลอยู่ไม่น้อย เพราะงั้นเอลเลียตก็ไม่คิดจะโทษหล่อนหรอก

คีลยกยิ้มมุมปากขึ้นนิดๆ เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของคนรักแดงระเรื่อขึ้นเพราะความอาย เขาว่าคราวก่อนที่เอลเลียตอยู่ด้วยกันกับเขาน่ารักขนาดนี้นะ

“ลุกไหวรึเปล่าครับ เอล อยากจะอาบน้ำไหม หรือให้ผมเช็ดตัวให้ดี”

ใจหนึ่งเอลเลียตคิดว่าตัวเองลุกไหว แต่อีกใจหนึ่งก็อยากให้สายสืบหนุ่มบริการให้เหมือนกัน แต่แล้วเจ้าตัวก็พูดอย่างนึกอะไรขึ้นมาได้

“แปลว่าช่วงที่ผมหลับไป… คุณก็คอยเช็ดตัวให้ผมเหรอ?”

“แน่นอนสิครับ” คนที่คอยปรนนิบัติคนป่วยแกล้งชักสีหน้าขรึม “นี่คุณจำไม่ได้เหรอ? ผมน้อยใจนะเนี่ย”

“เฮ้ๆๆๆ” เอลเลียตรู้สึกว่าหน้าของตัวเองร้อนขึ้นเรื่อยๆ “ยะ… อย่าพูดว่าน้อยใจออกมาหน้าตายแบบนั้นสิคุณ! แล้ว… คุณจะน้อยใจทำไมเล่า”

ในที่สุดคีลก็ตัดสินใจจัดการเช็ดตัวให้เอลเลียตบนเตียงเหมือนเดิมเพราะยังไม่ไว้ใจอาการบาดเจ็บของเจ้าตัว และหลังจากคะยั้นคะยอให้เอลเลียตแปรงฟันโดยเอากะละมังใบเล็กมาคอยรองให้ ในที่สุดคนป่วยก็ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันตกถึงท้อง และเมื่อจัดการข้าวเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว คีลก็จัดแจงส่งยาให้คนป่วย เอลเลียตยิ้มขันตอนที่ยาเม็ดหลากสีถูกส่งผ่านมาที่มือเขาพร้อมกับแก้วน้ำอีกใบ ช่วงเวลานี้เขารู้สึกราวกับตัวเองเป็นราชาจริงๆ

"ยิ้มอะไรน่ะคุณ" เห็นคนป่วยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ทำตัวไม่สมกับอาการร่อแร่แล้วอดถามไม่ได้ เอลเลียตถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ รอบนี้

"ขำคุณ ล่าสุดก่อนที่เราจะแยกกัน คุณโกรธผมเป็นฟืนเป็นไฟ แถมยังเตะโด่งเข้าคุกอีก" พูดขณะที่ยังนอนแผ่อยู่บนเตียงนุ่ม แม้ร่างกายเขาจะยังล้าอยู่ แต่การที่ได้มีคีลอยู่ข้างกายแบบนี้ทำให้กำลังใจล้นปรี่ "แต่ดูสภาพคุณตอนนี้สิ"

"แล้วตอนนั้นคุณว่ามันน่าโกรธไหม" คีลสาวเท้าเข้ามาประชิดข้างเตียง เชยคางพ่อตัวแสบขึ้นไปมองตา "ทำเหมือนกับรักผมเสียเต็มประดา แต่กลับตั้งท่าจะหนีตลอดเวลาแบบนั้น ไม่ให้ผมโมโหได้ยังไง"

"แต่ผมมีเรื่องที่ไม่เข้าใจนะครับ คีล" เอลเลียตที่เริ่มมีภูมิต้านทานเริ่มจะไม่ค่อยหวั่นกับนัยน์ตาสีน้ำตาลวาววับนั้นเท่าไรแล้ว "ก็ตอนนั้น คุณบอกว่าไม่ได้รักผมจริงๆ ทุกอย่างเป็นแค่เกมของเรา"

"ใช่ ผมพูดแบบนั้น"

"ถ้างั้นทำไมคุณต้องโกรธขนาดนั้นด้วยล่ะ? ผมหมายถึง... ก็คุณไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมอยู่แล้วนี่? หรือจะบอกว่าโกรธในฐานะตำรวจที่คนร้ายที่ตัวเองควบคุมอยู่พยายามจะหนี? แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้นก็ไม่น่าต้องถึงขั้นจับกด--"

"ผมไม่ได้จับคุณกด" คีลค้านขึ้นเสียงเรียบ หากเอลเลียตแอบเห็นว่านัยน์ตาคู่คมนั่นฉายแววไม่พอใจขึ้นมาเหมือนกัน "คุณเป็นคนเสนอเองเรื่องนั้น จำได้ไหม"

"แน่นอน ผมจำได้" ถึงตรงนี้ พ่ออาชญากรตัวแสบก็เริ่มยิ้มยียวน เขาชอบเสมอแหละเวลาได้เขย่าภูเขาน้ำแข็งเดินได้ก้อนนี้ "แต่คุณก็บ้าจี้เล่นตามไปด้วยไม่ใช่เหรอ ยอมรับมาเถอะน่า คีล จริงๆ แล้วคุณเองก็คิดอะไรกับผมบ้างเหมือนกันตั้งแต่ตอนนั้นใช่ไหม คุณชอบผม และคุณก็คิดว่าผมชอบคุณ คุณถึงได้ทนไม่ได้ที่เห็นผมจะหนีแบบนั้น"

แต่แทนที่น้ำแข็งก้อนโตจะอายม้วนหน้าแดงหรือพูดตะกุกตะกักอะไร คีลกลับจ้องตาเขาตรงๆ ขณะตอบเสียงเรียบ "ใช่ ผมรู้สึกกับคุณแล้วตอนนั้น และผมก็เชื่อจากใจจริงๆ ว่าคุณเองก็รักผม"

"อะ... เอ๊ะ?" ตอบตรงเกินคาดแฮะ ไม่เหมือนที่คิดไว้เลย

"เพราะงั้นตอนนั้นผมถึงมั่นใจนักว่าผมเอาคุณอยู่แน่ เพราะต่อให้คุณพยายามจะหนีแต่อย่างน้อยคุณคงไม่ไปเพราะความรู้สึกที่มีต่อผมบ้าง และพอผมเห็นว่าคุณพยายามจะหนี ผมก็เลยคิดว่าที่ผ่านมามันเป็นแค่การเล่นละครของคุณ คุณแค่อยากใช้ความรู้สึกของผมเป็นเครื่องมือ และมันทำให้ผมเจ็บ เจ็บแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และผมทนไม่ได้ถ้าจะให้คุณเห็นว่าตัวเองน่าน่าสมเพชขนาดนั้น ผมถึงต้องพยายามทำให้คุณเข้าใจว่าผมเองก็แค่แกล้งเล่นละครมาตลอดเหมือนกัน"

"เดี๋ยวนะ" กลายเป็นเอลเลียตที่หน้าแดงเถือกไปถึงหูแล้วตอนนี้ เขาทั้งอายคำพูดตรงๆ ทั้งตกใจกับข้อเท็จจริงที่ไม่เคยรับรู้มาก่อนนี้ "คุณคิดแบบนั้นเหรอ"

"ใช่ ผมเข้าใจแบบนั้น"

"โธ่ คีล" เอลเลียตกระตุกชายเสื้ออีกฝ่ายให้เขยิบเข้ามาใกล้ "ผมไม่ใช่นักแสดงฮอลลีวูดนะ เล่นละครไม่เก่งขนาดนั้นหรอก"

"ผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะครับ"

"คีล ฟังนะ" เอลเลียตพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าหนักแน่น "ผมรักคุณ รักคุณมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ไม่ได้หลอกอะไรคุณเลย"

ใบหน้าคมยกยิ้มมุมปาก นิ้วเลื่อนไปเกลี่ยข้างแก้มที่ก่อนหน้านี้บวมจากการโดนต่อย แต่ตอนนี้มันดีขึ้นจนแทบจะหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว ก่อนเสียงทุ้มจะว่า

"รู้อะไรไหมครับ เอล ช่างเรื่องพวกนั้นเถอะ ผมรู้แค่ว่าตอนนี้คุณรักผม และผมก็รักคุณ เท่านี้ก็พอแล้ว จุดเริ่มต้นจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ"

"ขอบคุณ" เขาดีใจที่คีลไม่โกรธถึงขนาดแค้นเรื่องที่เขาพยายามจะหนีตอนนั้น

"แต่ห้ามคิดหนีผมไปไหนอีก" คราวนี้คนผมดำพูดเสียงดุ เอลเลียตหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะจได้ว่าคีลพูดไปแล้วก่อนที่จะเอาตัวเขาออกมาจากโรงพยาบาล

"ก็บอกแล้วไงครับว่าถ้ากลัวนักก็ให้เอาปลอกคอมาล่าม แต่สภาพแบบนี้ผมคงไปได้ไกลแค่หน้าประตู คุณเถอะ คีลที่รัก อย่าทิ้งผมไปไหนนะ สถานะเราตอนนี้ ผมน่าจะเป็นฝ่ายกลัวเรื่องนั้นมากกว่า"

"ถ้าผมจะทิ้งคุณ ผมก็ปล่อยคุณไว้ที่โรงพยาบาลแล้ว ไม่ให้ตราผมมาเสี่ยงกับการเอาคุณออกมาจากที่นั่นหรอก"

นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยฉายแววสำนึกผิดวูบทันที "ผมทำให้คุณเดือดร้อน"

"และผมก็ทำให้คุณเกือบตาย" เสียงอ่อนโยนมาพร้อมกับสัมผัสแผ่วเบาที่ข้างแก้ม เอลเลียตเอียงคออย่างเคลิบเคลิ้มกับสัมผัสอ่อนหวานนั้น

"มันไม่ใช่ความผิดคุณเลย คีล ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคุณ แต่คุณก็ยังอุตส่าห์รู้สึกผิดเรื่องนั้น ยอมเสี่ยงที่จะช่วยผมขนาดนี้"

"คราวนี้รู้หรือยังครับว่าใครที่คุณควรจะไว้ใจ"

“ที่รักของผมไง” คราวนี้ดึงเสื้ออีกฝ่ายให้ก้มลงมาหาเพื่อจุ๊บปากทีหนึ่ง หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่กับคีลที่ทำหน้าไม่ถูก “ขอบคุณนะครับที่เชื่อผม”

คีลไม่พูดอะไรตอบ มือหนาเลื่อนไปยีหัวคนบนเตียงอีกรอบก่อนจะคะยั้นคะยอให้เอลเลียตนอนพักมากๆ






หลายวันถัดมา เมื่อคีลเห็นว่าเอลเลียตเริ่มขยับตัวออกจากเตียงได้ ชายหนุ่มจึงพยุงพาเจ้าตัวออกไปเดินเล่นที่สวนซึ่งอยู่ในอาณาเขตรั้วบ้านของเขา ชายหนุ่มเล่าให้ฟังว่าตอนที่ป้าและลุงของเขายังอาศัยอยู่ที่นี่ ที่ตรงนี้เคยปลูกผัก ปลูกผลไม้อะไรไว้บ้าง บางส่วนที่ไม่ต้องได้รับการดูแลรักษามากก็ยังอยู่ แต่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเหลือให้เห็นแล้ว เพราะตัวคีลที่ได้บ้านหลังนี้ต่อมาไม่ได้เข้ามาอยู่ดูแลบ่อยขนาดจะปลูกอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้

“ตอนเด็กๆ ผมเคยเล่นซ่อนแอบกับลูกพี่ลูกน้องที่นี่ด้วย” เสียงทุ้มต่ำพูดขึ้นขณะที่ประคองบ่าคนเจ็บไม่ปล่อย เขารู้ดีว่าการให้เอลเลียตมาเดินแบบนี้อาจทำให้แผลสะเทือน แต่จะให้คนผมน้ำตาลนอนนิ่งๆ เฉยๆ บนเตียงก็กลัวจะเฉาตายซะก่อน แถมเจ้าตัวยังบอกด้วยว่าเอาแต่นอน ไม่ออกไปบริหารร่างกายบ้างต่างหากที่จะทำให้ไม่หายสักที เขาก็ไม่คัดค้านคำพูดนั้นซะทีเดียว

แถม… ช่วงวันหลังๆ มานี้เจ้าตัวเริ่มคะยั้นคะยอให้เขาไปนอนบนเตียงด้วยในยามค่ำคืน ไอ้ตัวเขาน่ะไม่เท่าไรหรอก แต่เอลเลียตชอบมือไม้อยู่ไม่สุขแล้วมายั่วอารมณ์เขาทุกที ไม่ได้สังวรเลยว่าตัวเองเจ็บอยู่ แต่ถ้าหมอนี่ร่าเริงได้ขนาดนั้นแล้วก็คงแปลว่าการมาเดินเล่นในสวนไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรมากมาย

“คุณเล่นซ่อนแอบกับเขาด้วยเหรอ คุณเจ้าหน้าที่” เอลเลียตหัวเราะหึๆ ขณะที่ก้าวขาไปตามทางที่เจ้าของบ้านนำ อันที่จริงเขารู้ว่าตัวเองเดินคนเดียวไหวแล้ว แต่การที่มีคีลมาคอยประคองเอว ประคบประหงมราวกับเขาเป็นไข่ในหินแบบนี้ก็ให้ความรู้สึกไม่เลว

“เล่นสิคุณ ผมก็คนธรรมดานะ ตอนเด็กๆ ก็เป็นเด็กธรรมดานี่แหละ”

“จริงเหรอ ผมนึกภาพไม่ออกเลยครับ”

“แต่ผมนึกภาพคุณออกชัดเจนเลย” คีลพูดยิ้มๆ “คนคงจะซนเป็นลิงแน่ๆ แล้วพอเล่นซ่อนแอบก็คงปีนขึ้นไปแอบบนต้นไม้”

“เฮ้ย รู้ได้ไง” คนผมน้ำตาลหัวเราะ แต่พอเจ้าตัวเริ่มงอตัวเพราะเจ็บแปลบที่แผล คีลก็เอ็ดเสียงดุแม้ว่ามือจะกระชับอีกฝ่ายมากขึ้นอย่างห่วงใยก็ตาม

“อย่าฝืนนักสิคุณ”

“เปล่าฝืนนะ” พูดพร้อมกับรอยยิ้มกว้างบนหน้า “แต่คุณรู้ไหม ผมเคยปีนขึ้นไปแอบบนต้นไม้ครั้งหนึ่งจริงๆ แล้วก็ตกลงมาดังตุ้บเลย ตอนนั้นแขนหักไปข้าง ต้องเข้าเฝือกอยู่ตั้งหลายเดือน”

“ลิงชัดๆ”

“แม่ผมก็พูดงั้น” พูดถึงตรงนี้ ยิ้มสดใสของเอลเลียตก็ดูฝืดฝืนขึ้นมานิดหนึ่ง และคีลที่หูตาว่องไวเป็นทุนเดิมก็สังเกตเห็น

“แม่… ที่เป็นแม่เลี้ยงของคุณใช่ไหม”

คนผมน้ำตาลชะงักไปนิดหนึ่ง “คุณรู้ได้ยัง--”

“ผมอ่านประวัติคุณมาก่อน”

ถึงตรงนี้ เอลเลียตก็พูดอ้อเสียงยาวเลยทีเดียว “คุณมีสิทธิ์ทำแบบนั้นด้วยเหรอ”

“เป็นการค้นหาประวัติอาชญากรรมของบุคคลครับ ปกติแล้วคนที่เราจะจับกุมส่วนใหญ่มักเคยมีประวัติมาก่อนทั้งนั้น”

“แต่ผมไม่มี”

“ใช่ นั่นทำให้เรื่องยุ่งยากพอสมควรเหมือนในช่วงแรก แต่ไม่ใช่ปัญหาหรอก”

“อ้อ” เอลเลียตตอบรับแกนๆ เขาไม่คิดว่าตัวเองอยากพูดถึงการสืบเสาะของคีลที่ใช้ในการจับกุมเขา มันไม่ใช่ความทรงจำที่ดีสักเท่าไรและคีลเองก็เข้าใจ ชายหนุ่มจึงนิ่งไปครู่หนึ่ง พาคนข้างก้าวเท้าต่ออีกสามสี่ก้าวจึงเปลี่ยนเรื่องพูดใหม่

“คุณโตมาในบ้านเด็กสงเคราะห์”

“ฟังดูน่าสงสารเนอะ” พูดพร้อมกับระบายยิ้มกว้างบนใบหน้า แต่นั่นกลับทำให้คีลรู้สึกเห็นใจชายหนุ่มมากกว่าการที่เอลเลียตจะตีหน้าเศร้าจริงๆ เสียอีก

“แต่คุณออกมาอยู่เองตอนไฮสคูลนี่ครับ”

“อือ… ก็นะ ในนั้นมันแออัดน่ะ” จ้างให้ก็ไม่บอกหรอกว่าเขาโดนไล่ตะเพิดออกมาเพราะไปมีอะไรเกินเลยกับลูกชายเจ้าของบ้านรับเลี้ยงนั่น คือดูเป็นความน่าสมเพชที่ซ้ำซ้อนมาก

“ผมว่าเรากลับกันดีกว่า คุณเริ่มได้เหงื่อแล้ว” คีลว่าขณะเลื่อนนิ้วไปปาดเหงื่อเม็ดที่ว่าออกจากหน้าผากของเอล “ให้คุณเดินมากไปเดี๋ยวแผลจะไม่หายกันพอดี”



เอลเลียตหลับไปอีกครั้งในช่วงหัวค่ำด้วยความเพลีย ตื่นขึ้นมาอีกทีท้องฟ้าด้านนอกก็มืดสนิทแล้ว ชายหนุ่มพยุงตัวลุกขึ้นจากเตียง ตรงไปเข้าห้องน้ำ รู้สึกมึนหัวผสมกับงัวเงียเล็กน้อยเพราะฤทธิ์ยา

เขาเดินออกมาจากห้อง ตั้งใจจะลงไปที่ครัวชั้นล่างเพื่อหาน้ำดื่ม ทั่วทั้งบ้านปิดไฟมืด ไม่รู้ว่าคีลออกไปทำงานอีกรึเปล่า เพราะถึงหมอนั่นจะคอยดูแลเขาอยู่แต่ก็มีบ้างที่ออกไปนอกบ้าน

หากไม่ต้องเสียเวลาคาดเดานาน ขาเรียวที่กำลังก้าวไปที่ห้องครัวก็ต้องชะงักลงเมื่อเจ้าตัวได้ยินเสียงคนคุยกันดังลอดออกมาจากห้องห้องหนึ่ง เขาไม่แน่ใจว่ามันคือห้องอะไร เพราะตั้งแต่มาอยู่นี่เขาก็เอาแต่นอนซมบนเตียงตลอด ไม่เคยได้สำรวจตัวบ้านจริงๆ จังๆ สักที

แล้ว… ใครอยู่ในห้องนั้นกัน? ไหนคีลบอกว่าที่นี่ปลอดภัย ไม่มีใครรู้จักที่อยู่นี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ไง? แต่เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้เขาคิดว่าได้ยินเสียงคีล…

“...เพราะงั้น ถ้าเราดำเนินการตามแผนที่เราวางไว้แต่แรก ผมคิดว่าจอร์แดนน่าจะ--”

เสียงทุ้มต่ำเป็นการเป็นงานหายวับไปเมื่อประตูห้องทำงานที่เขาจัดโต๊ะให้เป็นห้องประชุมชั่วคราวถูกเปิดกระชากออก

นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นคนสี่คนที่พอจะคุ้นหน้าคุ้นตานั่งอยู่ในนั้น

คนแรกคือคีล คนสองคือลิลลี่ จอร์แดนกับโจนาธาน ฟอร์ดที่เขาเคยร่วมงานมาด้วย ส่วนอีกคน… ถ้าเขาจำไม่ผิด เจนนิเฟอร์ เคลลี่ หัวหน้าของทั้งสามคนนี่เลย

สีหน้าของคนทั้งหมดดูจะแปลกใจไม่น้อยที่เห็นเขายืนอยู่หน้าประตูอย่างนี้ แต่คนที่ดูจะอึ้งไปที่สุดก็หนีไม่พ้นคีล

เอลเลียตนึกไม่ออกเลยว่าเขาเคยโกรธใครขนาดนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ดังนั้นเสียงที่เล็ดลอดไรฟันจึงออกมาอย่างยากลำบาก มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น

“คีล วิลล์… ผมขอโทษที่รบกวน แต่คุณช่วยมากับผมแป๊บหนึ่งได้ไหมครับ”

ท่าทีอึ้งๆ ของคีลเมื่อครู่หายวับไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชายหนุ่มวางมาร์กเกอร์ลงบนขอบไวท์บอร์ดก่อนจะหันไปบอกขอตัวสมาชิกทั้งหมดแล้วก้าวเท้าออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่ทุกข์ร้อน หารู้ไม่ว่านั่นยิ่งกระตุ้นอารมณ์โกรธของเอลเลียตให้กระพือขึ้นไปอีก

คีลเดินตามอีกฝ่ายที่วางตัวยิ่งใหญ่กว่าเจ้าของบ้านด้วยการเน้นจังหวะลงเท้าแรงขึ้น เขานึกกลัวว่านั่นจะทำให้สะเทือนแผลเจ้าตัวมากกว่า แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ เอลเลียตก็กระชากคอเสื้อคีลลงไปกดกับผนังด้านหลังของห้องโถงสำหรับรับแขกและเป็นห้องนั่งเล่นไปในตัว แล้วไฟอะไรก็ไม่ได้เปิด มีแค่แสงจากไฟตรงบันไดเล็กน้อยเท่านั้นที่กระทบลงมาพอให้เห็นสีหน้าเกรี้ยวกราดของคนผมน้ำตาลได้บ้าง

“คุณสัญญากับผมแล้วว่าจะไม่บอกใคร”

คีลยังคงเงียบ

“คุณสัญญาแล้ว!”

“เอลเลียต ฟังผม--”

“ไม่! ผมไม่เข้าใจ คีล คุณไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมว่าคุณกำลังจะทำให้ทุกอย่างพัง” คนผมน้ำตาลพูดอย่างเดือดดาล แผลของเขาเริ่มตึงขึ้นมาอีกแล้ว แต่อะดรีนาลีนที่ไหลพล่านทำให้เขาลืมนึกถึงมันไปชั่วขณะ “คนคนนั้นอยู่กลุ่มของพวกตำรวจอย่างพวกคุณ… เขาเป็นระดับหัวหน้าโคตรพ่อโคตรแม่-- คุณรู้ไหมว่าเขามีเบอร์โทรศัพท์บ้านของประธานาธิบดีด้วยซ้ำ!”

“เอลครับ ใจเย็นๆ…”

“คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าใครเป็นพวกเขา ใครทำงานให้เขา ไม่ คุณไม่มีทางรู้เลย” เอลเลียตส่ายหน้ารัวๆ จนเส้นผมสีน้ำตาลปลิวไปตามแรง สีหน้าอ่อนแรงและสิ้นหวังของเจ้าตัวไม่ได้ทำให้คีลสะเทือนเลย เพราะร่างสูงก็ยังคงตีหน้านิ่งอยู่อย่างนั้น “แต่คุณก็ยังบอกเพื่อนในทีมของคุณ… บอกหัวหน้าคุณ ผมคิดว่าคุณจะเชื่อในสิ่งที่ผมพูดซะอีก แต่ก็ไม่เลย--”

“เอลเลียต” เสียงทุ้มพยายามอีกครั้ง คราวนี้มันอ่อนโยนลงอย่างชัดเจน แต่เอลเลียตผิดหวังมากเกินกว่าจะรับรู้ถึงมัน

“คุณไม่เคยเชื่อผมเลยจริงๆ แถมคุณยังผิดสัญญากับผม ผมนึกว่าผมจะเชื่อคุณได้ซะอีก ก็คุณสัญญาแล้วว่าจะไม่บอกใคร--”

“เอลเลียต คนดี ฟังผมก่อน” ในที่สุดคีลก็ประคองใบหน้าที่ก้มต่ำของเอลให้เงยขึ้นมาสบตาเขาได้สำเร็จ “ผมขอโทษที่ผมผิดสัญญากับคุณ โอเคไหม”

“ไม่” ถึงใจจะสั่นกับดวงตามุ่งมั่นแล้วก็ตรงไปตรงมานั่นก็เถอะ แต่เขาไม่มีทางโอเคกับเรื่องนี้ได้แน่ “คุณไม่เข้าใจเลย คีล นี่มันเรื่องความเป็นความตาย”

“เข้าใจสิ ผมเข้าใจ” คีลดึงร่างอีกฝ่ายเข้ามาแนบอก แตะหน้าผากของตัวเองลงบนหน้าผากของคนรัก “แต่ผมอยากให้คุณฟังผมหน่อย… ผมทำเรื่องนี้ด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ เอล”

เอลเลียตชะงักงันไปทันทีกับประโยคนั้น น้ำเสียงของอีกฝ่ายอ่อนโยนจนแทบจะเป็นการเว้าวอนเลยด้วยซ้ำ คีลไม่ได้ตั้งใจจะผิดสัญญากับเขา แต่ชายหนุ่มไตร่ตรองมาอย่างถี่ถ้วนแล้วว่านี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดจริงๆ

“ผมไม่มีอำนาจ ไม่มีเส้นสาย ไม่มีอะไรที่จะทัดเทียมคนที่คุณพูดถึงได้เลย แต่ผมมีทีม… มีเพื่อนที่ผมไว้ใจ ผมไว้ใจพวกเขาทุกคน และผมก็อยากให้คุณไว้ใจพวกเขาด้วยเหมือนกัน”

“ผมไม่ไว้ใจพวกตำรวจหรอก” นัยน์ตาสีฟ้าฉายแววเจ็บปวด แต่ถึงอย่างนั้นในใจก็เจ็บลึกๆ เพราะเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้คีลต้องเสี่ยงแล้วก็ดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแบบนี้ “คุณขอมากเกินไปแล้ว”

“ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร เอล” คีลยังประคองหน้าของคนในอ้อมแขนไม่ให้เบือนหน้าหนี “แต่คุณไว้ใจผมใช่ไหม ไว้ใจผมรึเปล่า ผมคิดว่าบางทีคุณอาจจะรู้อยู่แล้ว แต่ผมเสี่ยงมากกับเรื่องนี้ อาชีพของผมอาจจะจบลงเมื่อไหร่ก็ได้แล้ว แล้วมันอาจจะรวมไปถึงพวกเขาทั้งหมดที่อยู่ข้างในด้วย”

เอลเลียตเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น แน่นอนว่าเขาไว้ใจคีลยิ่งกว่าใครในตอนนี้ ชายหนุ่มร่างสูงชะลูดเป็นเสาไฟฟ้าคนนี้เป็นเพียงคนเดียวที่ยอมทำตามคำขอของเขา เป็นเพียงคนเดียวที่ช่วยเขาจากความตายที่จ่ออยู่ตรงหน้า

เขาเชื่อคีล… เชื่อขนาดที่ว่าต่อให้เขาจะต้องตายด้วยน้ำมือของผู้ชายคนนี้ เขาก็จะไม่โทษอะไรอีกฝ่ายเลย เขามอบทุกอย่างที่หลงเหลืออยู่ในคีลไปตั้งแต่วินาทีที่สายสืบหนุ่มยอมทำตามคำขอให้พาเขาออกมาจากโรงพยาบาลนั่นแล้ว

“ผมทำให้คุณเดือดร้อน คีล”

“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากได้ยิน บอกผมสิครับ ที่รัก คุณเชื่อใจผมไหม”

“ผมเชื่อใจคุณคีล”

คีลก้มหน้าลงมาจูบปิดปากเขา มันอ่อนหวานละมุนละไมกว่าที่เคย คีลไล้ริมฝีปากผ่านแก้มเขามากระซิบที่ข้างหูแผ่วเบา “ผมรักคุณนะเอล”

เอลเลียตเลื่อนมือไปกอดรัดแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้าแน่นก่อนจะพูดตอบกลับเสียงอัดอั้น

“ผมก็รักคุณ”

“เชื่อผมเถอะนะ ผมจะปกป้องคุณแน่ๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”

เอลเลียตไม่รู้มาก่อนว่าคีลเองก็พูดอะไรชวนเลี่ยนแบบนี้ได้เหมือนกัน แต่เขาก็ไม่นึกรังเกียจเลยแม้แต่น้อย

“ผมรู้ คีล คุณทำให้ผมเห็นมาก่อนแล้ว”

แล้วพ่อหัวขโมยตัวแสบก็ดึงคอเสื้อเขาลงไปขโมยจูบอีกรอบ

แต่ถ้าเป็นเอลเลียตละก็… จะโดนขโมยอีกสักกี่ครั้งเขาก็ยอม




--------------------------------------------
Talk: ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นหนาวมากเลย T_T ฮือออ//เปิดฮีทเตอร์แป๊บ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 15) P.4 [22/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 22-11-2017 17:10:13
หวานกันซะะะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 15) P.4 [22/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 22-11-2017 19:34:05
 :mew1: :mew1: :mew1: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 15) P.4 [22/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 26-11-2017 10:06:30

บทที่ 16



ลอเรน ลี ทนายสาวประจำตัวของเอลเลียตนั่งอยู่ในห้องทำงานกลางใจเมือง หญิงสาวผู้มีเชื้อสายของชาวเอเชียไหลเวียนอยู่ในตัวขมวดคิ้วมุ่น หล่อนกำลังคิดหนักเรื่องที่หนึ่งในลูกความคนสำคัญหายตัวไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ลูกความที่ถูกส่งเข้าไปอยู่ในเรือนจำด้วยข้อหาปล้นธนาคารถึงสามแห่ง ข้อตกลงที่หล่อนสามารถเจรจาให้เอลเลียตได้คือโทษจำคุก 10 ปี และมันจะน้อยกว่านั้นถ้าเขาทำตัวดีข้างในนั่น และหล่อนก็เกือบจะทำให้เขาได้ลดโทษลงไปมากกว่านั้นตอนที่เจรจาขอให้เอลเลียตเข้าร่วมทีมสืบสวนในการจับกุมแก๊งปล้นรายอื่นที่กำลังระบาดอยู่ในช่วงที่ผ่านมา

แต่เขาดันคิดพยายามจะหนี... นั่นทำให้ทุกอย่างแย่ลง มันทำให้หล่อนเสียความน่าเชื่อถือลงไปด้วย แต่นั่นยังไม่แย่เท่ากับตอนที่หล่อนได้รู้ข่าวว่าเทย์เลอร์โดนแทงสามแผลในเรือนจำ หล่อนได้มีโอกาสไปเยี่ยมชายหนุ่มครั้งหนึ่งที่โรงพยาบาลตอนที่เขายังอยู่ในห้องผ่าตัดและยังไม่ได้สติใดๆ สภาพร่อแร่แบบนั้นของเจ้าตัวทำให้ลีนึกหวั่น ยิ่งตอนที่ทีมแพทย์บอกว่าโอกาสรอดของเขามีครึ่งๆ ยิ่งทำให้หญิงสาวใจไม่ดี

หล่อนยอมรับว่าตัวเองเป็นทนายที่เรียกเงินจากลูกความค่อนข้างหนัก และเอลเลียตก็เป็นลูกค้าที่สามารถจ่ายเงินให้หล่อนได้ แต่นอกเหนือไปกว่านั้นคือความรู้สึกผูกพันและเห็นอกเห็นใจที่ก่อตัวขึ้นมากับลูกความ เป็นความรู้สึกที่ไม่ควรมี พ่อของหล่อนที่เป็นทนายเคยเตือนเรื่องนี้มาก่อนแล้ว ลอเรน ลีเป็นทนายที่เก่ง แต่ไม่ว่าลูกความจะถูกหรือจะผิด แต่ถ้าผลตัดสินจากศาลมันออกมาแล้วมันก็มีแต่ต้องเป็นไปตามนั้น เพราะงั้นความรู้สึกสงสารเห็นอกเห็นใจอะไรนั่นจะทำให้ทนายจำเลยอย่างหล่อนลำบากภายหลัง

และตอนนี้ลีก็กำลังลำบากอย่างที่ว่า กลายเป็นว่าหล่อนเป็นห่วงเทย์เลอร์ในฐานะเพื่อน ไม่ใช่ในฐานะลูกความ และนั่นทำให้หล่อนอยากจะช่วยเขาด้วยเหตุผลที่นอกเหนือจากคำว่าอยากได้เงิน

เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานดังขึ้น หล่อนกำลังรอสายนี้อยู่แล้ว ลียกหูโทรศัพท์ขึ้นกรอกเสียงลงไปอย่างง่ายๆ เพราะสายนี้มาจากเลขาที่ประจำอยู่ในหน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับของสำนักงาน

"ค่ะ"

"คุณวินเซนต์ เลสเตอร์อยู่ที่นี่แล้วค่ะ"

ลีเหลือบตามองนาฬิกาที่อยู่ตรงมุมล่างขวาของจอคอมพิวเตอร์ สิบเอ็ดโมงตรงไม่ขาดไม่เกิน หล่อนชอบคนที่ทำอะไรตรงเวลาแบบนี้จริงๆ





...

ข้อดีของการมีเจนนิเฟอร์ เคลลี่มาร่วมทีมด้วยคือการที่คีลสามารถขอร้องโจดี้ เคลลี่ผู้เป็นน้องสาวของเจนนิเฟอร์และเป็นแพทย์หญิงประจำโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งให้คอยมาช่วยดูแลอาการบาดเจ็บของเอลเลียตได้อย่างถูกวิธี แถมเจ้าตัวยังใจดีคอยเอายาที่เอลเลียตต้องใช้มาให้ไม่ขาด พร้อมกับจัดการเตรียมคอร์สที่เหมือนกับการทำกายภาพบำบัดให้เทย์เลอร์อีกด้วย

และวันนี้เคลลี่คนน้องก็มาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้คนป่วยที่สีหน้าไม่ค่อยเบิกบานเหมือนอย่างเคยเท่าไร เมื่อวานพวกเขาสองคนทะเลาะกันเพราะเอลเลียตเบื่อที่จะจับเจ่าอยู่กับบ้านเลยขอคีลที่กำลังจะขับรถออกไปซื้อของสดติดไปด้วย และแน่นอนว่าเจ้าหน้าที่หนุ่มปฏิเสธเสียงแข็งเลยทีเดียว

'คุณจะบ้าหรือไง เอล ไม่รู้สถานะของตัวเองเหรอว่าต้องกบดานอยู่น่ะ'

'แต่ผมเบื่อนี่นา' เอลเลียตพูดตรงๆ 'อยู่แต่บ้านแบบนี้มาเป็นเดือนแล้ว ผมก็อยากออกไปเดินเล่นข้างนอกบ้าง'

'อยากเดินก็ไปเดินในสวนสิครับ' ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะละแวกนี้แทบไม่มีบ้านของใครๆ อยู่ บ้านหลังที่ใกล้ที่สุดก็ต้องขับรถไปไกลกว่ายี่สิบนาที เพราะงั้นคีลจึงไม่ห่วงว่าจะมีใครมาเห็นเอลเลียตเข้า 'สวนนั่นเคยเป็นไร่เก่า แล้วมันก็กว้างจะตาย คนเดินได้ทั้งวันไม่เบื่อหรอก'

'ผมไม่อยากเดินสวน' แฟนหนุ่มของคีลเริ่มชักสีหน้างอง้ำขึ้นเรื่อยๆ 'ผมอยากไปเจอผู้คน อยากไปซื้อของ อยากเดินเที่ยว ขอทีเถอะ คุณสายสืบ คุณก็รู้ว่าผมหมายถึงอะไร'

'ผมให้คุณออกไปไม่ได้''

'ผมปลอมตัวก็ได้น่า ผมเก่งนะเรื่องนี้' พูดพร้อมกับพยายามเข้าประชิดตัวคีลที่เดินหนีไปอีกทาง เบียดตัวเข้าไปเกาะแขนอีกฝ่ายแน่นอย่างออดอ้อน แต่เหมือนคีลจะไม่ยอมใจอ่อนง่ายๆ

'ไม่ได้ครับ' ยืนยันคำเดิมเสียงราบเรียบ

'โธ่ นะครับที่รัก ได้โปรดเถอะ' เอลเลียตว่าพร้อมกับเริ่มเขย่ง ทำท่าจะขยับหน้าไปจูบอีกฝ่าย แต่ร่างสูงเบือนหน้าหนีได้ทัน 'ผมอยู่แต่ในบ้านก็เบื่อ แบบนี้ไม่ต่างอะไรจากตอนติดคุกเลย ดีกว่าหน่อยตรงที่คุณทำอาหารอร่อยก็เท่านั้นเอง'

ยัง ยังจะมีหยอดชมเอาใจ

'งั้นคุณอยากกลับไปอยู่ในคุกตอนนี้เลยไหมล่ะครับ'

'โธ่ ไม่เอาน่า คีล อย่าใจร้ายกับผมนักสิ แค่นิดเดียวเอง ไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ'

แต่คีลแกะมือเอลเลียตออกแล้วเลี่ยงหนีไปอีกทางแล้ว ที่ต้องทำแบบนั้นเพราะกลัวว่าตัวเองจะทนแรงอ้อนของคนรักเอาไว้ไม่ไหวแล้วใจอ่อน เอตเลียตพอเห็นว่าอ้อนไม่สำเร็จก้เริ่มอ้าปากค้าง เขาเกลียดเวลาที่คีลทำเมิน เดินหนีเขาไปแบบนี้ที่สุด เกลียดที่ทำได้แค่มองแผ่นหลังของอีกฝ่าย

ดังนั้นพ่อตัวแสบถึงได้เริ่มเบ้หน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงประชด

'งั้นก็จับตาดูผมไว้ให้ดีแล้วกัน คุณสายสืบ เพราะถ้าคุณเผลอเมื่อไหร่ผมจะหนีออกไปแน่'

คราวนี้แหละเป็นเรื่อง คนที่เคยโดนเอลพยายามจะหนีจากเจ้าตัวมาแล้วรอบหนึ่งตาวาวอย่างน่ากลัวทีเดียว ท่าทีคุกคามของคีลที่สาวเท้าเข้ามาทำให้เอลเลียตถอยกรูดไปติดกับผนังห้องนอน คนผมน้ำตาลสะดุ้งเบาๆ เมื่อมือหนาแตะลงบนลำคอเขาจากนั้นคีลก็พูดเสียงเย็นโดยที่ไม่ละสายตาอีกฝ่าย

'คุณอยากได้จริงๆ ใช่ไหมครับ ปลอกคอกับโซ่ล่ามน่ะ'

ถ้าเป็นเวลาปกติ เอลเลียตคงตอบเสียงกลั้วหัวเราะไปแล้วว่าเอาเลย แต่พอเห็นสายตาน่ากลัวดูเอาจริงเอาจังของคนพูดแล้ว ชายหนุ่มก็ได้แต่กลืนน้ำลายเอื๊อกลงคออย่างหวาดๆ

'ไม่... ไม่ครับ ไม่อยากได้'

'ดีครับ' คีลว่าพร้อมกับโน้มหน้าต่ำลงมาจนเอลรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่น เขาคิดว่าคีลจะจูบปากเขาอยู่แล้ว แต่เจ้าตัวก็ผ่านเลยไปกระซิบที่ข้างหูเป็นเชิงข่มขู่แทน 'คุณไม่อยากให้ผมทำตัวโหดกับคุณหรอก'

เอลเลียตอ้าปากค้าง ใบหน้าร้อนแดงขึ้นขณะที่คีลผละตัวออกแล้วเดินจากไปหน้าตาเฉย ทิ้งให้แฟนของตัวเองโวยวายอย่างหัวเสียอยู่เบื้องหลัง

'หน็อย! ไอ้ตำรวจบ้าอำนาจ! แค่ขอออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ได้! จำเอาไว้เลยนะ รอบนี้ผมโกรธคุณจริงๆ ด้วย! '

นั่นแหละ บรรยากาศระหว่างเอลเลียตกับคีลถึงได้อึมครึมมาจนถึงวันนี้ แม้แต่ตอนนอนเมื่อคืนคีลก็หนีเอลเลียตไปนอนที่อีกห้องหนึ่งเพราะกลัวจะทนลูกอ้อนของเอลเลียตไม่ไหวอีกตามเคย ส่วนคนผมน้ำตาลที่ไม่รู้เรื่องนั้นยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ กลายเป็นว่าช่วงเช้าของวันก่อนที่คีลจะออกไปทำงานเอลเลียตไม่ได้จูบหรือพูดอะไรกับเจ้าตัวสักคำเลย และคีลเองก็ไม่ว่าอะไร แค่ออกไปทำงานเงียบๆ ตามปกติ

มันน่าโมโหไหม!?

"เป็นอะไรไปคะ คุณเทย์เลอร์" โจดี้ เคลลี่ถามยิ้มๆ เมื่อเห็นคนไข้ของตัวเองตีหน้าบึ้งตลอดตั้งแต่ที่หล่อนเริ่มลงมือเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ "ตีหน้าบูดแบบนี้ไม่สมกับเป็นคุณเลยค่ะ มีเรื่องอะไรชวนให้หงุดหงิดใจหรือเปล่าคะ"

"เอ่อ ไม่ใช่ว่าผมกำลังหงุดหงิดคุณอยู่หรอกนะครับ" พอโดนทักเอลเลียตก็เริ่มรู้สึกตัว รีบร้อนบอกอีกฝ่ายเป็นพัลวัน "พอดีผมแค่เบื่อๆ น่ะ อยู่บ้านก็เซ็ง ไม่รู้จะทำอะไร"

"เบื่อก็ไปเดินเล่นในสวนสิคะ สวนตั้งกว้าง จะได้ถือเป็นการบริหารร่างกายไปในตัวด้วย" หญิงสาวบอกขณะใช้กรรไกรตัดผ้าพันแผลอย่างประณีต ใบหน้าของเอลเลียตยิ่งตึงขึ้นไปอีกเมื่อสิ่งที่หมอพูดเป็นสิ่งเดียวกับที่คีลพูด

"คุณพูดเหมือนคีลเลยคุณหมอ นี่เตี๊ยมบทพูดกันมารึเปล่าเนี่ย"

โจดี้เงยหน้าขึ้นมามองคนบนเตียง เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะหัวเราะเสียงใสอย่างคนที่เดาอะไรออกเก่ง

"ที่แท้ก็ทะเลาะกับสายสืบวิลล์มาเพราะเรื่องนี้เองเหรอคะ อดทนหน่อยเถอะค่ะ เขาคงเป็นห่วงคุณจริงๆ แล้วสภาพร่างกายคุณก็ใช่ว่าจะแข็งแรงดี"

"ผมแข็งแรงดีแล้ว" พูดแล้วอดไม่อยู่ต้องหยอดอย่างคนที่ชอบพูดจาหวานๆ เอาใจคนอื่น "เพราะได้คุณหมอคนสวยอย่างคุณมาคอยดูแลไงครับ แผลถึงได้หายวันหายคืน"

"แหม" โจดี้ยิ้ม เริ่มจัดแจงเก็บอุปกรณ์เข้าที่เพราะจัดการงานของตัวเองเสร็จแล้ว "คุณนี่ปากหวานจังนะ"

"อย่างอื่นผมก็หวานนะครับ" ได้ทีชักเอาใหญ่ สงสัยจังว่าถ้าคีลอยู่แถวนี้เขาจะโดนอะไรบ้าง

โจดี้เพียงแค่หัวเราะตอบอย่างสุภาพ เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มหัวข้อสนทนาใหม่

"คุณเทย์เลอร์คงสนิทกับคุณวิลล์พอสมควรสินะคะ"

คำถามนั้นทำให้เอลเลียตสะดุ้งนิดหนึ่ง ด้วยความที่มีชนักปักหลังเขาจึงกลัวไปก่อนล่วงหน้าว่าหญิงสาวระแคะระคายถึงความสัมพันธ์ของเขากับคีล แต่เมื่อลองคิดดูดีๆ และพินิจท่าทางน้ำเสียงของเจ้าหล่อนแล้วคงไม่ใช่ เจ้าตัวจึผ่อนคลายลงได้อย่างรวดเร็ว

"ก็ระดับหนึ่งมั้งครับ ผมอยู่กับเขาทุกวัน"

"คุณพอจะรู้ไหมคะว่าคุณวิลล์มีแฟนไหม"

อู้ว แฟนสาวน่ะไม่รู้ แต่แฟนหนุ่มนี่มีแน่นอน นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ไง

“เอ… ไม่รู้สิครับ เขาไม่ได้พูดถึงนะ”

ใช่ คีลไม่ได้พูดกับเอลเลียตเรื่องแฟนของตัวเองเพราะว่าเอลเลียตเป็นคนคนนั้นไง

“งั้นเหรอคะ”

แล้วอยู่ๆ เอลเลียตก็คิดอะไรขึ้นมาได้

“คุณชอบเขางั้นเหรอ? ”

โจดี้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง ตอบอย่างตรงไปตรงมา

“แหม เชื่อฉันเถอะค่ะว่าผู้หญิงทุกคนต้องชอบคุณสายสืบวิลล์แน่ ต่อให้ตัดเรื่องหน้าตากับส่วนสูงออกไปแต่แค่นิสัยกับบุคลิกของเขาก็เอาชนะใจผู้หญิงทุกคนได้แล้วละค่ะ”

เออ ใช่ จะบอกว่าไม่ใช่แค่ผู้หญิงหรอก ผู้ชายก็ต้องมนต์นั้นเหมือนกัน

แต่… คีลเป็นของเขาแล้ว เป็นของเอลเลียต เพราะงั้นชายหนุ่มถึงไม่ค่อยชอบใจเท่าไรที่มีคนอื่นมาบอกว่าชอบคนของเขาดื้อๆ แบบนี้

“แต่… ฉันไม่ได้พูดถึงตัวเองหรอกนะคะ ฉันหมายถึงฉันก็ชอบเขา แต่ไม่ได้ลึกซึ้งแบบนั้น”

อ้าว รอดตัวไป เอลเลียตกำลังจะหาทางพูดให้เข้าหล่อนตัดใจจากคีลอยู่เลย

“ฉันหมายถึงพี่สาวฉัน เจนนี่น่ะค่ะ” หล่อนยิ้มเมื่อพูดถึงเจนนิเฟอร์ “เจนนี่เล่าเรื่องของสายสืบวิลล์ให้ฉันฟังบ่อยมาก ฉันคิดว่าบางที--- อ๊ะ แต่อย่าไปบอกใครนะคะ”

“อ่า…” เอลเลียตนึกถึงเจ้าหน้าที่สาวคนนั้นเร็วจี๋ เส้นผมสีดำน้ำตาลรวบเป็นหางม้าด้านหลัง ท่าทางเอาจริงเอาจังเป็นการเป็นงานและดูมืออาชีพ ลองจับคีลมาคู่กับเจ้าหล่อนในความคิดดูก็ดูเข้ากันดี เป็นคนจริงจังทั้งคู่แบบนั้นคงคุยกันรู้เรื่อง แต่เอลเลียตคิดว่าคงเป็นชีวิตคู่ที่น่าเบื่อแน่นอน ดังนั้นในความคิดเขาก็คือตัวเองกับคีลเข้าคู่กันดีมากกว่า

ก็แหงล่ะ แถมเรื่องบนเตียงพวกเขาก็เข้าคู่กันดีจะตาย เอลเลียตเชื่อว่าคีลเองก็ต้องคิดแบบเดียวกันนี่แหละ ไม่งั้นจะย้อนกลับมาหาเขาแบบนี้เหรอ ขนาดพวกเขาทั้งคู่จะมีหลายๆ เรื่องไม่เข้ากันก็ตาม และต่อให้เขาทั้งคู่เพิ่งจะทะเลาะกันมาหมาดๆ เมื่อเช้า แต่เชื่อเถอะ หมอนั่นหลงเขาหัวปักหัวปำแหง

คิดแบบนั้นแล้วเอลเลียตก็อดยิ้มออกมาหน่อยๆ ไม่ได้

“ยิ้มอะไรเหรอคะ เทย์เลอร์”

“เอ่อ เปล่าครับ แต่ผมนึกว่าเจ้าหน้าที่เคลลี่แต่งงานแล้วเสียอีก”

“เคยแต่งมาก่อนน่ะค่ะ แต่หย่าแล้ว”

เอลเลียตพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ วินาทีหนึ่งเขานึกกังวลขึ้นมาเหมือนกันว่าทั้งสองคนอาจจะเข้ากันได้ดีกว่าที่คิด และถ้าเจ้าหน้าที่สาวคนนั้นนึกเล็งคีลขึ้นมาจริงๆ หล่อนอาจจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว แต่ตอนนี้คีลเป็นของเขาแล้ว และเขาก็เป็นของคีล ที่สำคัญที่สุดคือเอลเชื่อใจร่างสูงคนนั้น เพราะงั้นเขาไม่ได้กังวลเรื่องของคู่นี้เท่าไรหรอก







ถึงแม้เอลเลียตจะไม่ได้โกรธอะไรคีลแล้วด้วยเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายไม่อยากให้เขาเสี่ยงจากการโดนฝั่งตรงข้ามหาตัวเจอ แต่เจ้าตัวก็ยังมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าว่าจะวางท่าปั้นปึ่งใส่พ่อเสาไฟฟ้าเดินได้คนนั้น

ดังนั้นเมื่อคีลกลับมาถึงบ้าน เอลเลียตที่รออยู่ที่ห้องนั่งเล่นอยู่แล้วจึงไม่พูดทักทายใดๆ ทำตัวเหมือนอีกฝ่ายไม่มีตัวตน และเหมือนวันนี้คีลเองก็หงุดหงิดจากที่ทำงานอยู่แล้วจึงไม่ได้เปิดปากพูดแม้แต่คำทักทายสั้นๆ อย่างที่ทำเป็นประจำ

นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบมองนาฬิกาขณะที่คีลเดินเลี่ยงเข้าไปในครัวเพื่อนำอาหารที่ซื้อมาจากข้างนอกใส่จาน นี่มันเกือบจะสี่ทุ่มเข้าไปอยู่แล้ว ทำไมหมอนี่ถึงกลับมาช้านัก ทั้งที่พวกเขายังทะเลาะกันอยู่แท้ๆ แทนที่จะรีบกลับมาง้อ ยังจะมีหน้ากลับมาดึกกว่าทุกวันอีก

และเพราะคิดขวางแบบนั้น หลังจากที่สายสืบหนุ่มลงมือกินมื้อค่ำไปได้แค่ครึ่งเดียวเอลเลียตที่ทนรอการง้อจากคนรักไม่ไหวก็ถามขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงปั้นปึ่ง

“ทำไมวันนี้กลับบ้านช้าจังเลยครับ”

คีลกินข้าวอีกคำหนึ่งก่อนจะตอบ “ทำงานครับ”

“แล้วทำไมมาดึก”

“ก็งานมันเลิกดึก”

“แน่ใจนะว่าแค่งาน”

ใบหน้าคมละขึ้นมาจากจานข้าว นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววหงุดหงิดชัดเจนจนเอลเลียตตกใจ สายตานั่นมันบ่งบอกคำพูดออกมาเลยว่า ‘ผมทำงานกลับมาเหนื่อยๆ อยู่แล้ว ยังต้องมาเจอคุณทำตัวแบบนี้ใส่อีกเหรอ? ’

คีลไม่ได้ตอบคำถามนั้น แค่ลงมือกินข้าวเงียบๆ ต่อ เอลเลียตเองที่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวต้องผละออกจากสงครามเย็นระหว่างพวกเขาแล้วขึ้นห้องนอนไป ข้างในทั้งโกรธทั้งน้อยใจที่คีลทำตัวเหมือนเมินเขา แต่ขณะเดียวกันเอลเองก็รู้สึกผิดไม่น้อยที่ทำตัวแบบนั้นใส่คนรัก แต่เพราะเริ่มทำตัวเย็นชาใส่คีลไปเสียแล้ว เขาก็ไม่รู้จะกลับลำยังไงดีเหมือนกัน

เอลเลียตกลิ้งๆ อยู่บนเตียงอยู่ครู่หนึ่งคีลก็เข้ามาในห้อง คีลยังหงุดหงิดเขาอยู่ ต่อให้สีหน้าไม่เปลี่ยนแต่แค่เห็นแววตาเอลก็รู้แล้ว และมันทำให้อารมณ์ที่เริ่มเย็นลงของเจ้าตัวคุกรุ่นขึ้นมาใหม่

เอลเลียตบอกกับตัวเองว่าเขาจะทำตัวปั้นปึ่งใส่คีลไปจนถึงอาทิตย์หน้า จนกระทั่งร่างสูงถอดเสื้อเชิ้ตออกเผยให้เห็นผ้าพันแผลที่อยู่ใต้เนื้อผ้าเท่านั้นแหละ อารมณ์หงุดหงิดของเอลเลียตก็หายวับไปราวกับน้ำที่ระเหยเป็นไอในอากาศ คนผมน้ำตาลลุกพรวดขึ้นมาจากเตียงทันที

“คีล เกิดอะไรขึ้นครับ ผ้าพันแผลนั่น...”

คนปากหนักไม่ตอบ เอลเลียตผลุงลงจากเตียงแล้วเดินมาบีบแขนอีกฝ่าย ใบหน้าซีดเผือดลงเพราะเห็นว่าผ้าพันแผลที่ว่าอยู่บริเวณรอบอกลากยาวจนเกือบถึงหน้าท้องเลย

“เกิดอะไรขึ้น คีล คุณบาดเจ็บเหรอ”

เห็นสีหน้าตื่นๆ ของเอลแล้วคีลเองก็ใจอ่อนยวบลงมาทันทีเหมือนกัน เขาไม่ได้ชอบทำตัวเย็นชาใส่คนรักเท่าไรหรอก

“ผมปะทะกับคนร้ายนิดหน่อยครับ ดูเหมือนเพื่อนเก่าของคุณจะฉลาดๆ กันทั้งนั้น”

“แผลหนักมากไหมครับ” เอลเลียตเลื่อนมือไปประคองใบหน้าคมแผ่วเบา สายตาที่ฉายแววเป็นห่วงทำให้ความหงุเหงิดที่มีจนถึงเมื่อครู่หายวับไป แขนแกร่งเลื่อนไปโอบกอดเอลเลียตแนบอกก่อนจะพูดเสียงอ่อนโยน

“ผมไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง”

“ให้ตาย คีล ผมขอโทษ” เอลเลียตก่อนคีลแน่นขึ้น แต่ไม่กล้ากอดจนสุดแรงเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเจ็บแผล เขาไม่แน่ใจด้วยว่าคีลเจ็บหนักบริเวณไหน “ขอโทษที่ทำตัวงี่เง่าครับ ผมแค่น้อยใจที่คุณกลับบ้านดึก แต่ผมไม่รู้ว่าคุณ--”

“ไม่เป็นไรครับ เอล ผมเองก็ต้องขอโทษเหมือนกัน น่าจะอธิบายให้คุณเข้าใจดีๆ ว่าผมแค่เป็นห่วง ไม่อยากให้ใครรู้ว่าคุณอยู่ที่ไหน กลัวว่าพวกนั้นจะหาคุณเจอ”

“ผมรู้ คีล ผมรู้… ผมรู้อยู่แล้ว ผมงี่เง่าเองแหละ ขอโทษครับ”

คีลตอบรับคำพูดนั้นด้วยการก้มลงจูบปิดปากคนในอ้อมแขน ประคองหลังคอของเอลเลียตที่ตั้งตัวไม่ทันด้วยสัมผัสอ่อนโยนที่ทำให้คนผมน้ำตาลหน้าเห่อร้อนขึ้นราวกับเด็กสาวที่ไม่ประสีประสากับการจูบ หัวใจในอกข้างซ้ายเต้นแรงขึ้นขณะที่จูบนั้นเร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ

คีลจูบเขาไปผลักเขาไปด้านหลังเรื่อยๆ จนกระทั่งมือหนาเอื้อมไปปิดสวิตช์ไฟห้องได้สำเร็จ เป็นจูบท่ามกลางความมืดที่ทั้งคู่มองอะไรไม่เห็นอีกครั้ง มันดูดดื่มและลึกซึ้งชวนให้เสพติดเหมือนอย่างเคย มันดำเนินไปเรื่อยๆ และมันก็ทำให้เอลเลียตนึกถึงครั้งแรกที่พวกเขาจูบกันในรถมืดๆ มันยังทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นและตื่นตัวเหมือนครั้งนั้น แต่ความรู้สึกภายในเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนจะล้นทะลักออกมา

คีลพาเอลเลียตไปถึงเตียงอย่างทุลักทุเลเพราะต้องทำทั้งจูบคนในอ้อมแขนและคลำทางในความมืด แต่เขาก็ทำสำเร็จจนได้

เอลเลียตเหยียดแขนเหนือหัวเพื่อปล่อยให้คีลดึงเสื้อออกจากร่างเขา จากนั้นคนผมน้ำตาลก็เริ่มเปะป่ายมือเพื่อปลดเปลื้องอาภรณ์ของคนรักบ้าง และตลอดขั้นตอนทั้งหมดนั่นพวกเขาแทบไม่ผละริมฝีปากออกจากกันเลยนอกจากจะจำเป็นจริงๆ และต่อให้มันแยกออกจากกัน ไม่กี่วินาทีต่อมาทั้งคู่ก็จูบกันใหม่

เอลเลียตรับรู้ได้ถึงมือที่แตะลงบนสะโพกของเขา ลูบไล้ไปมาอย่างยั่วยวน เขาจึงเริ่มลงมือทำตามคีลบ้างด้วยการไล้มือไปตามส่วนต่างๆ บนร่างกายของร่างสูงบ้าง แม้ว่าจะทำไม่ได้มากเพราะผ้าพันแผลที่อยู่รอบตัว

“อ๊ะ” คนผมน้ำตาลบิดตัวด้วยความเสียวซ่านเมื่อคีลเริ่มขยี้ยอดอกเขาอย่างซุกซน คีลจงใจเลื่อนนิ้วออก จากนั้นก็ออกแรงบีบตุ่มไตพวกนั้นด้วยแรงที่มากขึ้นพอให้คนด้านล่างครางออกมาเหมือนแมว เขาอยากจะทำให้เอลเลียตคลั่งเขาขนาดที่ขาดกันไม่ได้ไปข้าง

เอลเลียตนอนราบลงไปกับพื้นเตียง อ้าขาให้คีลสอดส่วนแข็งแกร่งเข้ามาในโพรงด้านหลังอย่างว่าง่าย ความร้อนและความคับแน่นที่แทรกเข้ามาทำให้เอลเลียตครางออกมาด้วยความเสียวซ่านอีกระลอก และเมื่อคีลเริ่มขยับร่างควานหาจุดที่ทำให้เอลเลียตรู้สึกดีที่สุดเจอ ชายหนุ่มก็กระแทกลงบนจุดนั้นซ้ำๆ เอลเลียตคิดว่าเขาน่าจะคลั่งขึ้นมาจริงๆ จากสัมผัสที่ชวนให้ละลายพวกนั้น

คีลปล่อยให้เอลเลียตกระตุกตัวปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นออกมาก่อน เอลเลียตหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนให้ร่างสูงนอนราบลงไปบนเตียงเพื่อให้ตัวเองเป็นฝ่ายคุมเกมบ้าง ชายหนุ่มขยับตัวขึ้นคร่อมอีกฝ่าย จัดแจงสอดแก่นกลางของคีลเข้ามาในร่างตัวเองแล้วเลื่อนหน้าไปจูบอย่างอ่อนหวานสลับกับดุเดือด และเมื่อคีลถึงจุดสุดยอด เอลเลียตก็ผละร่างออกแล้วเลื้อยไปนอนข้างร่างสูงแทนอย่างเหนื่อยอ่อน ไหวตัวเล็กน้อยเมื่อมือหนาลูบลงบนศีรษะแผ่วเบา

คนผมน้ำตาลหัวเราะ มองตาอีกฝ่ายที่จ้องมาที่เขาอย่างรักใคร่ "ให้ตายสิครับ" เอลเลียตว่า "พวกเราสองคนนี่ไม่ดูสภาพตัวเองเลย คนหนึ่งโดนแทงมา อีกคนก็บาดเจ็บมา"

"ของผมแค่ฟกช้ำเล็กๆ น้อยๆ ครับ" คีลพูด "ไม่ได้หนักหนาอะไร คุณไม่ต้องห่วงหรอก"

"ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ"

คีลปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน แต่มือน่ะเลื่อนมาดึงตัวเอลเข้าไปกอด "ก็ไม่อะไรหรอกครับ แค่เราสืบจนได้ที่อยู่ของหนึ่งในเพื่อนเก่าๆ ของคุณ ผมกับทีมก็เลยวางแผนเข้าจับกุม แต่เหมือนฝั่งนั้นรู้เรื่องว่าเราที่บุกเข้าไป เหมือนเขาเตรียมตัวไว้อยู่แล้ว พอต้องปะทะกันตรงๆ เลยรับมือยากหน่อย"

"แล้วจับตัวได้รึเปล่าครับ? "

คีลส่ายหน้าทั้งที่ยังหลับตาอยู่ "เป้าหมายหนีไปได้ครับ คราวนี้คงหาตัวยากกว่าเดิม"

"ผมจะช่วยยังไงดี"

ร่างสูงส่ายหน้าอีกรอบ "คุณอยู่เงียบๆ เฉยๆ แบบนี้ก็พอแล้ว แค่ไม่ให้พวกเขาได้ตัวคุณก็พอ"

เอลเลียตนิ่งไปกับคำพูดนั้น คีลกำลังจะจมเข้าสู่ห้วงนิทราอยู่แล้วตอนที่คนในอ้อมแขนเปิดปากพูดอีกครั้ง

"เราหนีไปด้วยกันไหม คีล"

"หนีไปไหนครับ"

"ที่ไหนก็ได้ สักประเทศในยุโรป หรือไม่ก็เอเชียถ้าคุณชอบมากกว่า หนีไปจากเรื่องวุ่นวายที่นี่แล้วไปเริ่มต้นใหม่กับผม"

คีลลืมตาขึ้นมามองคนพูด "คุณรู้ตัวใช่ไหมว่ากำลังพูดกับตำรวจที่คุมตัวคุณอยู่"

"ไม่ใช่ ผมพูดกับแฟนของผมอยู่ต่างหาก คุณลองคิดดูสิคีล มันไม่คุ้มเลยที่เราต้องมาสู้กับคนที่มีอำนาจแบบนั้น คุณก็เจ็บตัว ผมก็เกือบตาย หนีกันเถอะครับ แค่ผมมีคุณ ผมก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว"

"ถ้าเราจะหนี เราต้องหนีตลอดไปนะครับ เอล"

"ไม่หรอกครับถ้าเราสลัดให้หลุด"

คีลส่ายหน้าให้คนผมน้ำตาล เขาเข้าใจดีว่าสำหรับตัวเอลเลียตเองอาจไม่มีอะไรต้องเสีย หมอนี่ยังมีโทษที่ต้องติดอยู่ในคุกอีกหลายปี ตัวเองก็โดนตามล่า แต่สำหรับคีล ต่อให้เขาจะรักคนในอ้อมแขนมาก แต่เขาก็มีอะไรหลายอย่างที่นี่ที่ทิ้งไปไม่ได้ ทั้งครอบครัวของเขา ทีมของเขา ที่สำคัญกว่านั้นคือหน้าที่การงานของเขา คีลนึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้าเขาไม่ได้เป็นตำรวจคอยไล่จับคนที่ทำผิดเข้าตาราง เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร

"ผมขอมากไปสินะ" เอลเลียตว่า พยายามกลบเกลื่อนความผิดหวังในน้ำเสียง แต่คีลก็รู้สึกได้

"ผมขอโทษ เอล ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจคุณนะ แต่การหนีไม่ใช่ทางออกที่ดีสำหรับเรื่องนี้หรอก เชื่อผมสิ"

"ผมรู้ เพียงแต่..." พูดพร้อมกับลูบผ้าพันแผลบนตัวร่างสูงไปด้วย เขารู้สึกเหมือนพาคีลมาเสี่ยงกับปัญหาตัวเอง "ผมแค่เบื่อที่ต้องอยู่แบบนี้"

“อดทนหน่อยนะครับ ผมสัญญาว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย” คีลว่าพร้อมกับหลับตาลงไปทั้งๆ อย่างนั้น ทิ้งให้เอลเลียตจ้องใบหน้าคมที่หายใจเข้าออกสม่ำเสมออย่างครุ่นคิดท่ามกลางความมืดภายในห้อง





------------------------------------------
Talk: ตอนที่แล้วทีคนแซวว่าคีลกับเอลหวานกันเกินหน้าเกินตา... นิดนึงค่ะ นิดนึง เพราะนี่เป็นนิยายหวานๆ (ที่เลือดสาดเป็นหย่อมๆ? ฮา) ทนายสองคนเริ่มเข้ามามีบทบาทแล้วล่ะค่ะ มารอดูกันนะคะว่าเขาจะคุยเรื่องอะไรกัน ^^
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 16) P.4 [26/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 26-11-2017 18:15:35
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 16) P.4 [26/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: bmine ที่ 26-11-2017 22:52:22
เคยเม้นแล้ว แต่ก็จะเม้นอีกว่าชอบมากๆเลยค่ะ ชอบภาษา ชอบการดำเนินเรื่อง ความมีที่มาที่ไปของเรื่อง รออ่านทุกเรื่องทุกตอนของคุณนักเขียนนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 16) P.4 [26/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 26-11-2017 23:35:48
อ่านตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนล่าสุด คืออินมากๆๆๆๆๆๆๆๆ
อ่านไปน้ำตาไหลไป เขียนสนุก ดีทุกอย่างเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 16) P.4 [26/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 27-11-2017 15:51:22
เคยเม้นแล้ว แต่ก็จะเม้นอีกว่าชอบมากๆเลยค่ะ ชอบภาษา ชอบการดำเนินเรื่อง ความมีที่มาที่ไปของเรื่อง รออ่านทุกเรื่องทุกตอนของคุณนักเขียนนะคะ  :mew1:

ขอบคุณนะคะที่เข้ามาอ่านมาเม้นท์^^ ดีใจที่ชอบค่ะ เม้นท์แล้วเม้นท์อีกได้นะคะ นี่กระหายเม้นท์มาก (ฮ่าๆๆๆ) ยังไงก็ขอฝากนิยายด้วยนะคะ//โค้ง

อ่านตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนล่าสุด คืออินมากๆๆๆๆๆๆๆๆ
อ่านไปน้ำตาไหลไป เขียนสนุก ดีทุกอย่างเลยค่ะ

แงงงงง ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ TvT ดีใจมากๆ เลยที่ชอบ ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 16) P.4 [26/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 27-11-2017 17:14:18
ร่วมฟันฝ่าสถานะที่แตกต่างกันของตัวเอกไปด้วย
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 16) P.4 [26/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 27-11-2017 17:41:41
ตามจ้าตาม  o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 16) P.4 [26/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 27-11-2017 20:18:46
อดทนอีกนิ้ดด คนอ่านก็อดทนตามไปด้วยค่ะเอล ซู่ววๆ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 16) P.4 [26/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 29-11-2017 16:07:33

บทที่ 17




“ผมบอกคุณแล้วว่าอยากจะมาคุยเรื่องลูกความคนหนึ่งของคุณที่ชื่อเอลเลียต เทย์เลอร์” วินเซนต์ ดี. เลสเตอร์ ทนายหนุ่มผู้มีชื่อเสียงในการว่าความคดีให้ฝั่งจำเลย แน่นอนว่าลีเคยได้ยินชื่อของชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ทอง นัยน์ตาสีฟ้าเฉียบคมและท่าทีแบบผู้ดีอังกฤษที่มาพร้อมกับสำเนียงของเจ้าตัว ใบหน้าหล่อเหลาเกินความจำเป็นนั่นก็สมคำร่ำลือ แต่เลสเตอร์ตัวจริงหนุ่มกว่าที่หล่อนคิดไว้มาก ก็จากชื่อเสียงเรียงนามที่ได้ฟังมาแล้ว ส่วนมากคนที่ได้อยู่ในระดับนี้อายุน้อยๆ กันเสียที่ไหน

หล่อนเชิญให้เขานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะทำงานหลังจากที่จับมือและทักทายกันพอหอมปากหอมคอเรียบร้อยแล้ว อันที่จริงหล่อนคงรู้สึกเป็นเกียรติและตื่นเต้นยินดีที่จะได้คุยกับทนายจำเลยชั้นแนวหน้า แต่เพราะเรื่องที่เลสเตอร์ต้องการจะคุยเกี่ยวกับเทย์เลอร์ซึ่งเป็นเรื่องที่หล่อนเครียดมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้อยู่แล้ว ทำเอาลียิ่งขยับอย่างไม่สบายตัวเท่าไร

แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็เรียบเรียงคำพูดได้อย่างมืออาชีพ

“ฉันคิดว่าคุณคงได้อ่านข่าวหนังสือพิมพ์หรือในอินเทอร์เน็ตมาบ้าง” หล่อนว่า สมัยนี้ใครๆ ก็พึ่งพาโลกออนไลน์กันทั้งนั้น “และคุณก็น่าจะรู้ว่าเขาหายตัวไปจากโรงพยาบาลหลังจากที่โดนแทงจนเกือบตาย”

“แต่ในข่าวนั่นบอกว่าเขาหนีไป” เลสเตอร์ยิ้มเหยียด และในฐานะทนายที่ทำงานให้ฝั่งจำเลยเหมือนกัน ลีสามารถตีความได้ว่าเขายิ้มเหยียดพวกตำรวจหรือไม่ก็คนเขียนข่าวที่ใส่ร้ายลูกความของหล่อน และนั่นทำให้ลีรู้สึกสบายตัวมากขึ้นกับการคุยกับอีกฝ่าย

“ค่ะ คนเพิ่งโดนแทงมาสามที เข้าห้องไอซียู เข้าห้องผ่าตัด คงจะหนีไปได้ไกลมาก”

“คนพวกนั้นก็หาข้ออ้างมาได้ตลอดว่าแบบ คนร้ายคงมีแบ๊คอัพหรือมีพรรคพวกคอยช่วย”

“ไม่ได้คิดเลยว่าที่เขาเพิ่งโดนแทงมาแบบนี้ก็เพราะข้างในเรือนจำดูแลไม่ดี”

ทั้งสองคนยิ้มให้กันอย่างเข้าใจกันดี ทนายจำเลยไม่ถูกกับตำรวจ เป็นเรื่องที่รับรู้กันผ่านทางสายอาชีพอยู่แล้ว

“ก็… อย่างที่ว่าแหละค่ะ คุณเลสเตอร์” ลอเรน ลีขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้ดูเป็นมืออาชีพ หากชายหนุ่มอีกคนไม่ถือสา เขากลับพูดง่ายๆ ว่า

“เรียกผมว่าวินเถอะครับ คุณลี”

“ค่ะ งั้นเรียกฉันว่าลอเรนนะคะ อย่างที่ฉันกับคุณทราบกันดี ตอนนี้เอลเลียต เทย์เลอร์หายตัวไป ไม่ว่าเขาจะหนีไปเองอย่างที่พวกตำรวจว่า หรือจะหายไปด้วยเหตุผลอื่นอย่างที่เราเดา แต่ตอนนี้เขาก็ไม่อยู่ในที่ที่เราจะหาตัวเจอได้ เพราะงั้นถึงฉันจะเสียใจที่ต้องพูดแบบนี้ แต่ฉันไม่รู้จะช่วยคุณยังไงดีจริงๆ ค่ะ”

วินเซนต์นิ่งไปครู่หนึ่งอย่างครุ่นคิด นัยน์ตาสีฟ้ามองคู่สนทนาตลอดอย่างจับสังเกต และเขาก็รับรู้ได้ว่าลอเรนไม่ได้โกหก หล่อนไม่รู้จริงๆ ว่าเทย์เลอร์ไปอยู่ที่ไหน แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะก้าวต่อในกระดานเกมนี้

“คุณทราบไหมครับว่าทำไมผมถึงอยากคุยกับคุณเรื่องเขา”

“ให้ฉันเดานะคะ” หญิงสาวว่าอย่างคนที่ทำการบ้านมาดี “เรื่องของแจ๊ค พอร์เตอร์ใช่ไหม เทย์เลอร์เป็นคนส่งผู้ชายคนนั้นเข้าตาราง และตอนนี้เขาก็เป็นลูกความของคุณ”

“ใช่ครับ” วินว่า ไม่แปลกใจที่ลอเรนจะสืบหาข้อมูลตรงนี้มาก่อน “และจากที่ผมได้คุยอะไรหลายๆ อย่างกับเขา ผมว่าผมมีหนทางช่วยลูกความของตัวเองรวมถึงลูกความของคุณด้วย มันจะเป็นการพึ่งพาอาศัยกันแล้วก็ได้รับผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เพียงแค่เทย์เลอร์ช่วยขึ้นให้การในศาลสักหน่อยเท่านั้น”

“คุณเจออะไรมางั้นเหรอคะ”

นัยน์ตาสีฟ้าของชายหนุ่มประกายวูบอ่านยาก เหมือนเขากุมอะไรบางอย่างที่น่าตื่นเต้นเอาไว้มากๆ แต่ในขณะเดียวกันเพราะสิ่งนั้นเองก็ทำให้เขาต้องระวังมากขึ้นมาเงาตามตัว

ในที่สุดหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง วินก็พูดขึ้นมา

“แจ็ค พอร์เตอร์ ลูกความผมตัดสินใจที่จะให้รายชื่อคนภายในเพื่อขอลดโทษ”

“คนภายในแก๊งอย่างนั้นเหรอคะ? ”

“นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่เขาไม่ใช่คนในแก๊งธรรมดา เพราะเขามีตำแหน่งอยู่ในกรมตำรวจประจำเขตของคุณ”

ลอเรน ลีเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หล่อนอึ้งไปจริงๆ กับข้อมูลนี้ “คุณพูดจริงเหรอ? ”

“ผมไม่ได้พูดครับ ลูกความผมต่างหากที่พูด”

ลีลาแบบพวกทนาย ไม่ยอมรับอะไรที่อาจนำความเดือดร้อนเข้าตัวง่ายๆ ลอเรนเข้าใจดี

“ฉันไม่ได้อยากว่าร้ายลูกความนะคะ วินเซนต์ แต่คุณจะแน่ใจได้ยังไงว่าเขาไม่ได้โกหก”

“มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ผมเชื่อเขา นักสืบของผมเองก็พอจะสืบเบาะแสที่เกี่ยวโยงกับเรื่องนี้มาได้เหมือนกัน แต่มันไม่ใช่แค่นั้น ตอนนี้พอร์เตอร์ยืนยันเสียงแข็งว่าลูกความของคุณ… เอลเลียต เทย์เลอร์ หรือที่คนในกลุ่มเรียกกันว่าอายออฟไอเดนมีส่วนเกี่ยวข้องแล้วก็รู้เห็นมากที่สุดในเรื่องนี้ เขาหาหลักฐานมามัดตัวคนฝั่งนั้นได้ และคำให้การของเขาจะทำให้คำพูดของลูกความผมมีน้ำหนักมากขึ้น”

ถึงตรงนี้ลอเรนต้องระมัดระวังแล้ว แค่อ่านสีหน้าเจ้าหล่อนวินก็เดาได้ว่าลีกำลังคิดอะไร

“แต่คุณแน่ใจเหรอคะว่านั่นจะไม่ทำให้ลูกความของฉันต้องรับโทษมากขึ้น”

“ขึ้นอยู่กับวิธีการพูดของพวกเรา” เขาจงใจใช้คำว่าพวกเราเพื่อให้ลอเรนรู้สึกว่าพวกเขาลงเรือลำเดียวกันแล้ว “แต่เชื่อผมเถอะว่าชื่อนี้จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยน ทั้งลูกความของผมและลูกความของคุณจะได้ผลประโยชน์อย่างมากทีเดียว ติดอยู่แค่ว่าเพราะอีกฝั่งเป็นวงในที่ตำแหน่งค่อนข้างสูง เพราะงั้นเราต้องระวังกันพอสมควร ไม่อย่างนั้นคงกระทบหลายฝ่าย”

“คุณบอกฉันได้ไหมคะว่าคนที่ลูกความคุณกล่าวหาเป็นใคร ที่ว่าเป็นวงในของฝั่งตำรวจนั่น”

“คุณไม่อยากรู้หรอก ลอเรน”

“เรากำลังจะทำงานร่วมกันไม่ใช่เหรอคะ”

ถึงคราวที่วินต้องระมัดระวังบ้างแล้ว เขาตรึกตรองในหัวครู่หนึ่งก่อนจะถามย้อนสั้นๆ

“เทย์เลอร์ไม่เคยพูดกับคุณเรื่องนี้เลยเหรอ”

“ไม่ค่ะ ฉันถึงไม่ค่อยแน่ใจไงคะว่าลูกความของคุณพูดความจริงอยู่รึเปล่า”

วินเซนต์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างคนที่ตัดสินใจแล้ว

“จูเลียน ฮอร์ตัน”

ถึงตรงนี้ลอเรนก็ลุกขึ้นพรวดจากเก้าอี้ มองหน้าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างไม่อยากจะเชื่อ หากสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดของวินทำให้หญิงสาวรู้ว่าเขาพูดเรื่องจริง

"คุณต้องล้อฉันเล่นแน่"

"หน้าผมเหมือนคนที่กำลังล้อเล่นงั้นเหรอ แต่แน่นอนว่าต่อให้เราได้ข้อมูลตรงนี้มา แต่ถ้าไม่มีหลักฐานอะไรมามัดตัว มันก็จะเป็นแค่ลมปาก แล้วก็อย่างที่คุณรู้ว่าคำพูดจากฝั่งจำเลยไม่เคยเป็นที่น่าเชื่อถือเวลาอยู่ในศาลอยู่แล้ว แต่ผมเชื่อว่าถ้าเราเล่นให้ถูกทาง หาหลักฐานและพยานที่ชัดเจนและแน่นพอมาได้ คดีนี้จะใหญ่แบบที่สะเทือนได้ทั้งนิวยอร์ก"

"คุณก็เลยต้องการตัวเทย์เลอร์"

"ผมเชื่อว่าเขาจะช่วยลูกความผมได้ ใช่"

"แต่ฉันไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน" ลอเรนพูดขณะมองตาวินตรงๆ "ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน วิน"

วินเซนต์กลบเกลื่อนความผิดหวังของตัวเองไว้ในสีหน้าเรียบเฉยได้อย่างแนบเนียน เขารู้ว่าลอเรนไมได้โกหก แต่เขาก็ยังพยายามที่จะคว้าอะไรก็ได้ที่อาจพอมีหวัง

"คุณเป็นทนายของเขา ลอเรน" ชายหนุ่มว่าพร้อมกับผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ "ถ้าเกิดว่าเขาติดต่อคุณมา ผมอยากให้คุณคุยกับเขาเรื่องนี้ ผมเชื่อว่าที่เขาไม่ยอมพูดอะไรกับคุณเพราะความเสี่ยงมันมากเกินไป แต่ตอนนี้จะไม่ได้มีแค่เสียงเขาเสียงเดียวอีกแล้ว เพราะงั้นบางทีเขาน่าจะตอบรับข้อเสนอของผม"

"ค่ะ" ลอเรนพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด "ถ้าเขาติดต่อมา"

และเพราะใบหน้ากับน้ำเสียงนั่น วินจึงเอ่ยปากถาม "คุณคิดว่าเขายังมีชีวิตอยู่ไหม"

ลอเรนยิ้มเครียด "ตอนแรกฉันก็คิดว่าเขายังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งนั่นแหละค่ะ จนกระทั่งคุณพูดว่าฝั่งที่อยู่ตรงข้ามเขาเป็นใคร ฉันไม่แปลกใจเลยที่เขาจะไม่อยากพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นให้ฉันหรือพวกตำรวจฟัง แล้วตอนนี้คุณก็ถามว่าฉันคิดว่าเขายังมีชีวิตอยู่ไหม คุณคิดว่าฉันควรคิดยังไงล่ะคะ? "

วินไม่ตอบ แค่พยักหน้าทีหนึ่งเป็นเชิงรับรู้เท่านั้น

ทนายจำเลยทั้งสองคนรู้ดีว่าถ้าไม่ใช่ว่าเอลเลียต เทย์เลอร์ไปกบดานอยู่ที่ไหนสักแห่งละก็ ป่านนี้เขาคงโดนเก็บ และคงไม่มีโอกาสที่ใครๆ จะได้เจอศพเป็นแน่







หลังจากวันที่คีลพาเอลเลียตออกมาจากโรงพยาบาลก็ปาเข้าไปเกือบสี่เดือนแล้ว

ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลมั่นใจว่าตัวเองฟื้นตัวและแข็งแรงมากพอที่จะเคลื่อนไหว ทำอะไรต่างๆ ได้ตามปกติแล้ว ดังนั้นต่อให้คีลจะคัดค้านยังไง เอลเลียตก็ยืนยันที่จะขอเข้าร่วมการประชุมของทีมเฉพาะกิจที่แอบสืบเรื่องที่เขาเคยให้ข้อมูลไปอย่างลับๆ

"ถึงยังไงเรื่องทั้งหมดนี่มันก็เริ่มเพราะผม" เอลเลียตว่าเสียงแข็งหลังจากที่โดนคีลออกปากห้ามคืนก่อนหน้าที่จะมีการประชุม "ผมรู้ว่าคุณเป็นห่วงนะ คีล แต่คุณไม่มีสิทธิ์กันผมออกจากกลุ่ม ยิ่งหลังจากที่คุณหมอโจดี้บอกว่าผมแข็งแรงดีแล้วด้วยแบบนี้"

ใบหน้าคมยังมีสีหน้าปั้นปึ่ง ไม่พูดอะไรตอบ เอลเลียตจึงพูดด้วยสุ้มเสียงอ่อนลง

"ผมเองก็เคยทำงานกับทีมของคุณมาก่อน จำได้ไหมครับ เชื่อผมเถอะ ผมช่วยได้แน่ๆ ผมจะไม่ทำตัวเป็นภาระคุณหรอก"

"ผมคิดว่านี่ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย เอล"

"ผมรักคุณนะ คีล" เอลเลียตสบตาคนรักตรงๆ "แต่ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะคิดยังไง และคุณเองก็ควรเลิกประคบประหงมผมเกินความจำเป็นได้แล้ว ผมหายดีแล้วจริงๆ "

นั่นแหละ การประชุมช่วงหัวค่ำในวันถัดมาเอลเลียตถึงได้มานั่งหัวโด่อยู่กับทีมสืบสวนจำเป็นของเขาด้วย แถมการที่เอาเอลเลียตมาร่วมทีมด้วยก็ไม่มีใครค้าน เพราะทุกคนมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าพวกเขาต้องการคมเพิ่ม เพราะการสืบสวนที่กำลังทำอยู่นี่เป็นการทำอย่างลับๆ พวกเขาต้องทำคดีที่เป็นงานประจำควบคู่ไปด้วย แต่ละคนจึงเห็นด้วยอย่างเต็มที่ที่จะได้คนร่วมทีมเพิ่ม

คงมีแต่คีลคนเดียวเท่านั้นแหละที่อารมณ์ไม่โสภากับเรื่องนี้

"เอาล่ะครับ ขอบคุณทุกคนที่มาวันนี้ ฟอร์ด อาการป่วยของคุณเป็นไงบ้าง หวังว่าคุณคงไม่ได้ฝืนตัวเองมากเกินไปนะ"

ชายหนุ่มที่ใส่ผ้าปิดปากโบกมือขึ้นในอากาศ "ผมดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ วิลล์ ไม่ต้องเป็นห่วง"

"ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มการประชุมของวันนี้กันเลยเถอะ ใครมีอะไรอัปเดตให้ผมฟังบ้าง"

เอลเลียตหันหน้าไปมองเจนนิเฟอร์ เคลลี่ที่เริ่มพูดขึ้นมาก่อน หล่อนทำการติดตามฮอร์ตันโดยแท็คทีมกับจอร์แดนที่เก่งด้านเทคโนโลยีมากกว่า หลังจากนั้นฟอร์ดก็เริ่มรายงานสรุปสถิติเกี่ยวกับคนร้ายแก๊งที่ปล้นธนาคารที่ยังจับกุมไม่ได้

"เหมือนพวกมันไหวตัวทันตลอด หลายครั้งแล้วที่เราระบุแหล่งกบดานของพวกมันได้ แต่พอบุกไปก็ต้องปะทะกันหรือไม่ก็ไม่เจออะไรเลย"

"เพราะว่าเราจำเป็นต้องรายงานเรื่องนี้ให้เบื้องบนทราบทุกครั้งใช่ไหม และฮอร์ตันก็ต้องรู้" จอร์แดนเสนอความเห็น ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในความคิดของทุกคน

"ไม่มีทางที่เราจะบุกเข้าไปในรังโดยที่ไม่ต้องแจ้งเบื้องบนเลยเหรอครับ" ฟอร์ดหันไปถามเคลลี่ที่เป็นเจ้านายโดยตรงของตัวเอง หญิงสาวส่ายหน้า

"เราไม่รายงาน เราก็ไม่ได้รับการอนุมัติให้ใช้อุปกรณ์ต่างๆ อีกอย่างก็คือเราทำงานร่วมกับเอฟบีไอรอบนี้ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะสามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยทีมของเราเอง"

เอลเลียตฟังบทสนทนาที่ทั้งสี่คนคุยกันครู่หนึ่งก็เริ่มจับใจความได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร เขาหันไปมองคีลที่กำลังแลกเปลี่ยนความเห็นกับเจนนิเฟอร์อย่างเคร่งเครียด ไม่ค่อยชอบใจเท่าไรตอนที่หมอนั่นขอดื่มน้ำจากขวดของเจ้าหน้าที่สาวเพราะของตัวเองหมดแล้ว การดื่มน้ำจากปากขวดแบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากจูบทางอ้อม และเขาก็หึงเป็นเหมือนกันนะเว้ย

แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่จะมางอแงตอนนี้ เขาไม่อยากให้ใครรู้เรื่องความสัมพันธ์กับคีล และตอนนี้ก็มีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าต้องรับมือ

"ผมว่าผมน่าจะแฝงตัวกลับเข้าไปฝั่งนั้นอีกรอบ"

เหมือนหย่อนระเบิดลงกลางวง ทุกคนเงียบลง หันหน้ากลับมามองเขาอย่างแปลกใจในขณะที่คีลเป็นคนเดียวที่ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ชอบใจเท่าไรนัก

"คุณคิดได้แค่วิธีแฝงตัวแบบนี้หรือไง"

เอลเลียตไม่สะทกสะท้านกับเสียงเย็นๆ ของคนรัก

"ฟังนะ คีล ผมรู้ว่ามันฟังดูสิ้นคิด แต่ผมคิดมาดีแล้ว ถ้าอยากจะได้ลูกเสือก็ต้องเข้าเข้าถ้ำเสือ พวกตำรวจอย่างพวกคุณก็ถือคตินี้ไม่ใช่เหรอครับ"

"แล้วคุณจะกลับไปให้เขาฆ่าเหรอคะ" จอร์แดนถามอย่างไม่เข้าใจ "เขาพยายามจะเก็บคุณรอบหนึ่งแล้วนะ เทย์เลอร์ แล้วไม่ใช่ว่าไอ้เหตุผลที่คุณมากบดานอยู่นี่ก็เพื่อหนีจากเขาหรอกเหรอ"

"ผมไม่ได้จะกลับไปหาจูเลียน ฮอร์ตัน" เอลเลียตว่า เงียบไปจังหวะหนึ่งก่อนจะพูดพรวดออกมาอย่างอึดอัด "ผมจะกลับไปหาเทลออฟอดัมส์"

"ในที่สุดคุณก็พูดถึงชื่อนี้" เคลลี่พูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจจริงๆ "ก่อนหน้านี้เราพยายามง้างปากคุณแทบตาย แต่คุณก็ยืนยันว่าจะไม่พูดถึงเขาท่าเดียว"

ตั้งแต่ที่คีลพาเขามาที่นี่ ทั้งตัวคีลเองและคนอื่นๆ ในทีมก็พยายามถามเขาเรื่องเทลออฟอดัมส์ คีลเคยหัวเสียแบบสุดเหวี่ยงกับเขาเรื่องนี้รอบหนึ่งเพราะเอลเลียตไม่ยอมเปิดปากบอกอะไรเลย

คนผมน้ำตาลให้เหตุผลว่าอดัมส์เป็นคนที่เตือนเขาเรื่องที่จะโดนฆ่า เป็นคนที่คอยให้ความช่วยเหลือเขามาตลอด เขาไม่สามารถหักหลังอีกฝ่ายได้ เพราะงั้นต่อให้เขาจะยอมโยนไพ่ลงหมดทั้งหน้าตัก โยนจูเลียน ฮอร์ตันทิ้งให้พวกตำรวจ แต่เขาไม่สามารถสละคนที่คอยช่วยเหลือเขามาตลอดได้

แต่ตอนนี้... เอลเลียตกลับพูดถึงเทลออฟอดัมส์ขึ้นมา และมันทำให้คีลที่อารมณ์ไม่ดีอยู่ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่

"แล้วคุณจะบอกเขาว่าอะไร คุณจะแน่ใจได้ไงว่าเขาจะไม่เอาไปบอกฮอร์ตัน"

"ผมเป็นคนโปรดของเขา" เอลเลียตตอบตรงๆ ไม่ได้สนใจสีหน้าคีลที่ยับขึ้นเรื่อยๆ "ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่พยายามจะช่วยให้ผมหนีได้หรอก ผมเชื่อว่าเราต้องได้หลักฐานที่จะมัดตัวฮอร์ตันจากอดัมส์ได้แน่ เขาทำงานในส่วนของการส่งถ่ายข้อมูลแล้วก็คอยคุมเบื้องหลังแทบจะทั้งหมด ถ้าพวกคุณอยากจะจับฮอร์ตันได้เราจำเป็นต้องเข้าผ่านทางอดัมส์"

"แล้วตกลงว่าเทลออฟอดัมส์เป็นใคร" คีลถามเสียงเรียบ จ้องตาเอลด้วยสายตาเย็นชาแบบที่คนมองแทบจะแข็งตัวเป็นน้ำแข็งได้ "ผมกับทีมถามคุณมาแบบนี้ไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้วแต่คุณก็ไม่เคยบอก มาวันนี้คุณพร้อมที่จะพูดแล้วเหรอว่าใครคือเทลออฟอดัมส์"

เอลเลียตทำหน้าเหมือนลำบากใจ แต่เขาเตรียมใจไว้อยู่แล้วว่าถ้ายื่นข้อเสนอ เขาจำเป็นต้องทิ้งไพ่ใบที่แสนล้ำค่านี้ลงจากมือ

"ลีโอ ฮอร์ตัน"

เคลลี่ลุกพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้ด้วยความตกใจทันที ทั้งจอร์แดนกับฟอร์ดที่ยังนั่งอยู่ก็มีสีหน้าอึ้งๆ ไม่ต่างกัน

"ล้อเล่นน่า" เคลลี่หาเสียงตัวเองเจอก่อน "ไม่ใช่ว่าเขาทำงานเกี่ยวกับหน่วยข่าวกรองเหรอ"

"อ้อ แน่ล่ะครับ คุณผู้หญิง เขาเป็นเจ้าของบริษัทเลยด้วยซ้ำ"

เจนนิเฟอร์ล้มตัวลงไปนั่งอีกรอบเหมือนหมดแรง มือยกขึ้นมากุมขมับพร้อมกับบ่นพึมพำอย่างอ่อนใจ

"นี่เรากำลังฝากความปลอดภัยของประชาชนและความมั่นคงของชาติไว้กับอาชญากรงั้นเหรอ"

“ใจเย็นๆ ครับบอส” คีลว่าขณะเอื้อมมือไปแตะบ่าหญิงสาวอย่างปลอบประโลม

เอลเลียตถลึงตาใส่คีล แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ทันสังเกต แปลกดีที่เขารู้สึกหึงใครจริงๆ จังๆ แบบนี้ เพราะตอนที่คบกับลีโอ (ถ้านั่นเรียกว่าคบได้นะ) เขายังแทบไม่สนเลยว่าอีกฝ่ายจะไปทำอะไรกับใคร เหมือนกับที่ลีโอก็คงไม่สนเหมือนกัน แต่พอเป็นคีลแล้วเขากลับรู้สึกยอมไม่ได้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น

อาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้คุณหมอโจดี้เคยพูดทำนองว่าสองคนนี้เหมาะสมกันด้วยล่ะมั้ง เอลเลียตเลยยิ่งร้อนใจ ไม่อยากให้คีลเข้าไปใกล้อีกฝ่าย แต่เหมือนหมอนี่จะไม่ได้ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย นี่เขาหึงจริงๆ แล้วนะ

เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวต้องเคลียร์กันบนเตียง

“แล้วนี่ตกลงเราจะเอายังไงดีครับ” เอลเลียตว่า พยายามเบี่ยงความสนใจให้กลับมาที่ตัวเอง เพื่อที่คีลจะได้เลิกปลอบเคลลี่สักที “เรื่องที่ผมบอกจะแฝงตัวผ่านทางลีโอไป ทุกคนว่าไง”

“ผมไม่เห็นด้วยครับ” แน่นอนว่าคนแรกที่พูดแบบนั้นคือคีล สีหน้าเจ้าตัวราบเรียบเหมือนเคย แต่นัยน์ตาน่ะแทบจะลุกเป็นไฟ ถ้าเอลเลียตหึงคีลกับเคลลี่ คีลเองก็หึงเอลกับเทลออฟอดัมส์นั่นเหมือนกัน แต่เอลเลียตยังไม่รู้ตัวเรื่องนั้น

“คุณก็ไม่เคยเห็นด้วยกับผมสักอย่างแหละ”

“คราวก่อนคุณก็แฝงตัวเข้าไปตอนจะจับแจ็ค พอเตอร์ แล้วเป็นไงล่ะ เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด”

“แต่ผลสรุปก็คือผมช่วยคุณจับคนร้ายได้ตั้งสามสี่คน” เอลเลียตเชิดหน้าขึ้น ตอบกลับอย่างท้าทาย “แล้วเป็นไงล่ะ คุณก็ได้ผลงานเต็มๆ จากการที่ผมแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มคนพวกนั้น”

“แต่คุณแน่ใจเหรอคะว่าเทลออฟอดัมส์จะเชื่อคุณ” ลิลลี่ จอร์แดนที่นั่งคิดมาครู่หนึ่งเอ่ยปากถามอย่างไม่แน่ใจ จริงๆ หล่อนก็คิดว่าที่เอลเลียตเสนอมาก็น่าสนใจอยู่ แต่ก็ยังมีหลายอย่างให้กังวล “คนฝั่งของเขาเกือบจะฆ่าคุณได้อยู่แล้ว เขาต้องระแวงแน่ถ้าอยู่ๆ คุณจะโผล่ไปหาเขา”

“อดัมส์พยายามช่วยชีวิตผมครับ จอร์แดน” เอลเลียตว่า ข้อเท็จจริงนั้นทำให้เขาเสียใจที่ต้องหักหลังลีโอ แต่เอลเลียตเองก็คิดหาทางออกที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว “ผมคิดว่าตัวเองทำได้ที่จะไม่ทำให้เขาระแวงผม”

“เขาจะต้องถามว่าคุณออกมาจากโรงพยาบาลนั่นได้ยังไง” คีลพูดต่อ เหมือนความอดทนของเจ้าตัวก็ค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ “และถ้าเขารู้ว่าพวกตำรวจช่วยคุณออกมา เขาจะไม่ไว้ใจคุณแน่”

“ไว้ใจสิ ผมก็บอกเขาว่าผมจะหักหลังพวกคุณไง”

คนผมดำส่ายหน้าระรัว “นี่มันเสี่ยงเกินไป”

“แต่ถ้าเกิดว่าคุณคิดจะบอกเขาว่าทางตำรวจช่วยคุณไว้ และคุณก็กำลังจะหักหลังพวกเรา คุณจะเสนออะไรให้เขาได้ละคะ” เคลลี่ถามหลังจากคิดตามเรื่องทั้งหมด “ฉันหมายถึง… ถ้าคุณเอาเรื่องภายในกรมตำรวจไปเสนอให้เขา ฉันก็ไม่เห็นความจำเป็นสำหรับเขาอยู่ดี ในเมื่อเขามีข้อมูลพวกนั้นอยู่ในมืออยู่แล้ว ทั้งจากตัวจูเลียน ฮอร์ตันหรือจากตัวเขาเอง”

“เรื่องนั้นผมจะหาทางออกอีกที แต่ผมเชื่อว่าลีโอไม่ได้เห็นผมเป็นแค่ตัวหาผลประโยชน์เท่านั้นหรอก ผมเคยสนิทกับเขามากนะ”

ถึงตอนนี้หน้าของคีลก็บูดสนิทไปเรียบร้อย คนอื่นๆ อาจจะไม่ทันสังเกตแต่เอลเลียตเห็น

“ไม่รู้สิครับ ผมว่านี่มันฟังดูไม่ดีเท่าไร” ฟอร์ดที่นั่งเงียบมานานแสดงความเห็นขึ้นมาบ้าง “หลายอย่างมันดูเสี่ยงเกินไปอย่างที่จอร์แดนกับบอสว่า”

“แล้วพวกคุณเห็นทางออกที่ดีกว่านี้เหรอครับ” เอลเลียตถามขึ้นในที่สุด ทุกคนนิ่งไป เขารู้ดีว่าคนอื่นๆ เห็นด้วยกับเขาแต่ไม่อยากพูด ยิ่งเขาเป็นคนก้ำกึ่งระหว่างทั้งสองฝั่งด้วยแบบนี้ การจะปล่อยกลับไปที่ฝั่งตรงข้ามก็ดูเสี่ยงสำหรับทุกคนด้วย

เพราะงั้นแล้วเอลเลียตจึงตัดสินใจพูดเสริมเพื่อเรียกความเชื่อมั่นของคนในทีม

“ก่อนที่พวกคุณจะตัดสินใจ ขอผมพูดอะไรหน่อย หนึ่งเลย ผมน่ะ เคยจะโดนจูเลียน ฮอร์ตันฆ่าตายมาอยู่แล้ว เพราะงั้นไม่มีทางคิดจะกลับไปหาเขาหรือทำงานกับเขาอีกแน่ ไม่ว่าจะงานไหนก็ตาม สอง จูเลียนกับลีโอเป็นพ่อลูกกันทางสายเลือดก็จริง แต่ลีโอพยายามช่วยผมไม่ให้ถูกพ่อของตัวเองฆ่ามาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะงั้นแล้วผมคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรถ้าผมจะโผล่หน้าไปหาเขา ผมกับเขาไม่ได้เป็นศัตรูกัน สาม จากข้อสองที่ผมพูดไป การจะได้หลักฐานหรือเบาะแสมามัดตัวฮอร์ตันสำคัญตรงนี้ และผมรู้ว่าพวกคุณเองก็อ่านสถานการณ์นี้ออก”

“ฉันเห็นด้วยค่ะถ้าจะให้เอลไปสืบเรื่องนี่ผ่านทางเทลออฟอดัมส์” เคลลี่พูดขึ้นในที่สุด อันที่จริงหล่อนชอบหลายอย่างในตัวอาชญากรคนนี้ และจากที่ชายหนุ่มว่า เคลลี่เชื่อว่าทุกคนในที่นี้ต้องยอมรับอยู่อย่าง

ไม่มีทางไหนที่ดีไปกว่าวิธีที่เอลเลียตเสนอ… แม้ว่านั่นจะหมายถึงความเสี่ยงของตัวชายหนุ่มเองก็ตาม

“ฉันก็เห็นด้วยค่ะ” จอร์แดนพูดตามบ้าง ถึงตอนนี้เอลก็หันไปมองหน้าคนรักกับฟอร์ดเป็นเชิงถาม แน่นอนว่าคนรักของเขาส่ายหัวปฏิเสธทันที

“ผมไม่เห็นด้วยครับ”

เอลเลียตกดความไม่พอใจลงแล้วหันไปหาชายหนุ่มคนสุดท้ายในห้อง

“ฟอร์ดล่ะครับ คุณจะว่าไง? ”

“อืม…” ฟอร์ดครางในลำคออย่างลำบากใจเพราะทุกสายตาจับจ้องมาที่เขา แรงกดดันมากเป็นพิเศษจากคีลและเอล “ผม… ผมว่าเราไม่น่าจะมีทางอื่นที่ดีไปกว่าที่เทย์เลอร์แล้วเหมือนกัน”

เอลเลียตกำหมัดพร้อมกับร้อง ‘เยส! ’ อย่างสะใจ คีลถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งอย่างเบื่อหน่าย คิ้วขวาถึงกับกระตุกเมื่อเห็นเอลเลียตส่งยักคิ้ว ส่งยิ้มยียวนมาให้อย่างผู้ชนะ

เดี๋ยวเถอะ… เดี๋ยวคืนนี้ได้เคลียร์กันยาวแน่ เคลียร์กับไอ้ตัวแสบที่ชอบทำอะไรขัดคำสั่งเขาเนี่ย




-------------------------------------------------
Talk: โง้ยยย รู้สึกวันนี้ทำงานเหนื่อยกว่าทุกวันยังไงไม่รู้ค่ะ ฮือออ ขอกำลังใจจากทุกคนหน่อยเร้ววว//อ้อน
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 17) P.4 [29/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 29-11-2017 16:47:27
หืมม เค้ามีการหึงกันด้วยแหละ อยากจะบอกว่ายิ่งอ่านยิ่งชอบเอลเลียต  :mew1: //ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ กอดๆ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 17) P.4 [29/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 29-11-2017 20:31:02
เอลจะเอาตัวเข้าแลกให้คีลหึงอีกไหมคะ  :hao7: // เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ สู้ๆ  :hao5:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 17) P.4 [29/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: idee ที่ 29-11-2017 20:42:09
เพิ่งมาอ่านแบบรวดๆ เลยค่ะ
ขอบคุณนะคะที่เขียนงานดีๆ ออกมาให้อ่านกัน ภาษาสวยมากกก ค่ะ
ชอบคู่นี้ ชอบโมเมนต์ที่เอลเลียตกับคีลอยู่ต่อหน้าคนอื่นค่ะ

เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ :D
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 17) P.4 [29/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 30-11-2017 05:07:29
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 17) P.4 [29/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 30-11-2017 13:39:49
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 17) P.4 [29/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 30-11-2017 16:58:09
ขอให้แผนนี้สำเร็จนะ ลุ้นมากกกก :call:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 17) P.4 [29/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 30-11-2017 19:40:16
 :hao7:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 17) P.4 [29/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 02-12-2017 10:02:44

บทที่ 18




เอลเลียตทาบโทรศัพท์ลงบนใบหู นัยน์ตาสีฟ้าทอดมองทิวทัศน์จากยอดผาเลนส์สีชาของแว่นตากันแดดที่อยู่บนหน้า เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนปลิวไปตามแรงที่พัดเข้ามา ชายหนุ่มฟังเสียงกริ่งรอสายที่ดังเป็นจังหวะอย่างใจเย็น

"สวัสดีครับ" ปลายสายรับโทรศัพท์จากเขาในที่สุด ลมแรงๆ ที่พัดโชยเอากลิ่นอ่อนๆ จากทะเลขึ้นมาด้วยกระทบเข้าใบหน้า เอลเลียตเชื่อว่าปลายสายน่าจะได้ยินเสียงหวีดหวิวของแรงลมนี่ด้วย

"ไง ลีโอ"

ใช้เวลาไม่น้อยกว่าที่คู่สนทนาของเขาจะตั้งตัวได้ทัน "ไอเดน!?" และด้วยความตกใจ รอบนี้ชายหนุ่มจึงไม่ได้ดูเรื่องที่เอลเลียตเรียกชื่อเขา "นายยังมีชีวิตอยู่อีกเหรอเนี่ย? นายอยู่ที่ไหน เกิดอะไรขึ้น"

"โว้ ใจเย็นที่รัก ทีละคำถาม" ระหว่างตอบ เขาหันไปมองร่างสูงชะลูดที่ยืนกอดอก พิงต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ คีลขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจทันทีที่ได้ยินคำว่า 'ที่รัก' จากปากเอลเลียต และนั่นทำให้คนผมน้ำตาลอมยิ้ม ก็นี่แหละประเด็นที่เขาจงใจเรียกแฟนเก่าว่าที่รัก จะมีอะไรสนุกไปกว่าการเห็นภูเขาน้ำแข็งอย่างหมอนี่หัวปั่นเพราะเขาอีกล่ะ "เอาคำถามแรกก่อนแล้วกัน ใช่ ฉันยังมีชีวิตอยู่ ไม่งั้นคงโทรมาหานายไม่ได้หรอก"

"เกิดอะไรขึ้น ฉันได้ยินมาว่านายถูกแทง"

"อ้อ ใช่ ฉันถูกแทงจริงๆ เป็นรูสวยๆ ตั้งสามรูด้วยนะ ต้องขอบคุณพ่อนายมากเลยที่ช่วยให้ร่างกายฉันมีจุดขายที่ดี"

"ขอทีเถอะน่า ไอเดน ฉันเตือนนายก่อนหน้าที่เขาจะลงมือแล้ว นายพลาดเองที่หนีไม่พ้นตอนนั้น และจะบอกอะไรให้ ฉันเผาพาสปอร์ตปลอมของนายทิ้งไปแล้ว"

"เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก ฉันไม่ต้องการมันอีกแล้วล่ะ"

ดูปลายสายจะแปลกใจกับข้อมูลนี่ไม่น้อย "ทำไมล่ะ ไอเดน นายแน่ใจเหรอ"

"แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ ลีโอ"

"อย่าเรียกชื่อ"

"พูดแบบนี้ค่อยสมเป็นนายหน่อย"

"ตกลงว่านายจะเล่าให้ฉันฟังได้หรือยังว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่"

"เรื่องมันยาวน่ะ" เขาว่า เงยหน้าขึ้นไปสบตาคีลนิดหนึ่ง อีกฝ่ายพยักหน้าให้เขาราวกับจะเสริมสร้างความมั่นใจให้ เอลเลียตจึงว่าตามแผนที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงกับทุกคนในทีมเมื่อครั้งประชุมล่าสุด "แต่ถ้าให้สรุปง่ายๆ ก็คือมีคนช่วยฉันไว้... มีคนช่วยฉันออกมาจากโรงพยาบาลนั่น อันที่จริงเราเจอกันตั้งแต่ตอนที่ฉันออกมาจากคุกใหม่ๆ แล้ว แบบว่า... เขาค่อนข้างชอบฉันน่ะ"

“อ้อ” ลีโอลากเสียงยาว “แล้วนายแน่ใจว่าเขาจะปกป้องนายได้งั้นเหรอ?”

“คือ… เขาค่อนข้างมีอิทธิพลน่ะ” นี่ก็เรื่องที่เตี๊ยมไว้แล้ว เสียงอ้อจากปลายสายดังยาวมาอีกรอบ

“สรุปก็คือนายกลายเป็นอีหนูของคนใหญ่คนโตอีกคนเพื่อที่เขาจะได้คุ้มกะลาหัวจากผู้มีอิทธิพลอีกคนได้สินะ”

อีหนูเหรอ

“ก็นะ นายจะว่าแบบนั้นก็ได้ อย่างน้อยเขาก็ช่วยฉันได้จริงๆ แล้วกัน ไม่งั้นฉันจะรอดมาได้ตั้งหลายเดือนแบบนี้เหรอ”

ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ซึ่งเอลเลียตไม่ค่อยชอบเอาเสียเลย

“แล้ว… ถ้านายสุขสบายดีนายจะโทรมาหาฉันทำไม ไอเดน”

“อ้าว” เขาแกล้งทำเสียงแปลกใจอย่างสุดความสามารถ “ก็โทรมาเพื่อบอกนายไงว่าฉันสบายดี ยังมีชีวิตอยู่เพื่อที่นายจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงไง อีกอย่าง… ฉันเองก็คิดถึงนายด้วย ฉันยังไม่ลืมช่วงเวลาดีๆ ของเราหรอกนะที่รัก”

จากหางตา เอลเห็นคีลกลอกตาขึ้นมองฟ้าแล้วตอนนี้ ใบหน้าคมยับยู่ยี่ขึ้นเรื่อยๆ จนเอลเลียตลอบยิ้มออกมาอีกรอบ หลังจากจบสายนี้แล้วเขาจะจูบหมอนั่นให้หนำใจไปเลย

“เห…” ปลายสายลากเสียง แต่เอลบอกได้เลยว่าลีโอเองก็พอใจกับคำพูดเขาไม่น้อย “จะดีเหรอที่มาพูดอ่อยฉันแบบนี้ ไม่ใช่ว่ามีเสี่ยเลี้ยงอยู่แล้วรึไง”

“ฉันบอกว่าคิดถึงนาย แต่ไม่ได้หมายความว่าอยากจะกลับไปนอนกับนายสักหน่อย”

“ก็จริงของนาย” ลีโอหยุดพูดนิดหนึ่ง “ว่าแต่นี่ใช้โทรศัพท์--”

“แบบใช้แล้วทิ้ง ไม่ต้องห่วงหรอกน่า อดัมส์ ถึงฉันจะปลอดภัยแล้วแต่ก็ไม่เคยลืมมาตรการเก่าๆ ของเราหรอก”

“แล้วนายโทรจากที่ไหน”

“นายอยากรู้เหรอว่าฉันอยู่ที่ไหน”

“ถ้านายไม่อยากบอก ฉันก็จะไม่บังคับหรอก”

เอลเลียตเงียบไปครู่หนึ่งให้เหมือนกำลังชั่งใจ “นายจะไม่บอกเรื่องนี้ให้พ่อนายรู้ใช่ไหม”

“ขอที ที่รัก ฉันเป็นคนเตือนนายมาแต่แรก หาทางช่วยนายมาแต่แรก… อีกอย่าง ถึงตอนนี้ฉันจะมีคู่ขาคนใหม่แล้ว แต่นายก็ยังเป็นคนโปรดของฉันเสมอ”

“รู้สึกเป็นเกียรติมาก”

“ตกลงว่านายจะไม่บอกสินะว่าอยู่ที่ไหน”

“ฉันอยู่ฟลอริด้า”

เป็นฝ่ายลีโอที่จะเงียบลงไปบ้าง ก่อนเจ้าตัวจะพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจระคนขบขัน “นายพูดจริงสิ?”

“จะโกหกทำไมล่ะครับ”

“ฉันก็อยู่ฟลอริด้า”

อ่าฮะ แปลว่าที่ทีมของคีลไปสืบมาได้เรื่อง ข้อมูลตรงเผงราวกับจับวาง

“ว้าว”

“ว้าวเหรอ?”

“ไม่ใช่ว่าสำนักงานใหญ่นายอยู่ในนิวยอร์ครึไง”

“ฉันฝากงานให้ลูกน้องทำน่ะ นายก็รู้ว่าฉันทำงานยังไง” ถึงตรงนี้ มีเสียงผู้ชายอีกคนแทรกเข้ามา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคู่ขาคนใหม่ที่ลีโอพูดถึงแน่นอน “เอาล่ะ นายสบายดีก็ดีแล้ว ไอเดน ยังไงก็ระวังอย่าทำอะไรเตะตานักแล้วกัน พ่อฉันเขาไม่หายแค้นนายง่ายๆ หรอกที่ทำอีหนูเขาตาย”

“ยัยนั่นฆ่าตัวตายเองไม่ใช่เรอะ”

“ก็ความผิดนายอยู่ดี”

โลกช่างไม่ยุติธรรม

“นายว่าเราจะมีโอกาสมาเจอกันได้ไหม”

ลีโอนิ่งไปครู่ใหญ่ ถึงตรงนี้เอลก็ชักใจคอไม่ดีขึ้นมาจริงๆ เหงื่อนี่ชุ่มเต็มมือเขาไปหมด เมื่อกี้เขาพูดโพล่งไปหน่อยรึเปล่านะ หมอนี่จะสงสัยหรือเปล่า…

“ก็อาจจะได้นะ ไอเดน”

นี่แหละ! สิ่งที่รอคอย

“แต่นายจะอยากเจอฉันไปทำไม นายไม่ต้องการพาสปอร์ต เงินก็คงไม่จำเป็นแล้ว หรือว่ายังอยากจะทำงานด้วยกันอีก? ฉันว่าไม่ดีหรอก เสี่ยงเกินไป ถึงฉันจะไม่ได้สนิทกับพ่อแต่ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ถ้านายกลับมา”

“ก็แค่คิดว่าบางทีอาจจะเจอเพื่อนเก่าได้บ้าง” เอลเลียตพูดบทที่ซ้อมมากับคีล “แบบว่า… ฉันต้องหลบๆ ซ่อนๆ ตลอด จะไปเจอใครใหม่ๆ แฟนฉันเขาก็ไม่ยอม อยู่แบบไปไหนไม่ได้ เจอใครไม่ได้แบบนี้ บางทีก็เหงา”

“ไม่ต่างจากติดคุกเลยสิ?”

“ดีกว่าหน่อย ฉันไม่ต้องคอยหลบใครๆ ที่จะมาวิ่งไล่ปล้ำในห้องน้ำ”

“ฟังดูเข้าที นายมีช่องทางติดต่ออะไรให้ฉันได้บ้างล่ะ เผื่อว่ามีเวลาเหมาะๆ แล้วฉันจะติดต่อไป”

เหยื่อติดเบ็ดแล้ว แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าลีโอหรือตัวเขาเองที่เป็นเหยื่อ

เอลเลียตให้เบอร์โทรศัพท์ตามที่ได้เตรียมเอาไว้กับทีมของคีลอีกเช่นกัน จากนั้นเจ้าตัวจึงกดวางสาย หันหน้ากลับไปยิ้มหวานให้คีลที่ยืนคุมอยู่ไม่ห่าง ตอนนี้ร่างสูงจุดบุหรี่สูบเรียบร้อยแล้ว เหมือนจะรอเอลเลียตจนเบื่อ สีหน้าซังกะตายนั่นทำให้คนผมน้ำตาลหลุดหัวเราะออกมา เจ้าตัวสาวเท้าเข้าไปประชิดร่างสูงแล้วเขย่งหอมแก้มอีกฝ่ายฟอดหนึ่ง

“อย่ารุ่มร่ามน่ะคุณ” พูดเสียงดุ “เรายังอยู่ข้างนอกนะ ถ้ามีใครมาเห็นเข้าจะทำยังไงครับ”

“ไม่มีใครสักหน่อย” เอลเลียตทำหน้ายู่ แถวนี้อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่นกสักตัวยังไม่โผล่มาให้เห็น หน้าผาตรงนี้ที่พวกเขาอยู่เป็นที่ที่คีลเลือกในการโทรหาเทลออฟอดัมส์ เผื่อว่าอีกฝ่ายนึกอยากตามรอยสายโทรศัพท์ขึ้นมาจะได้ไม่เจอแหล่งรวมพลของพวกเขาเข้าแทน รอบคอบจนเอลเลียตอดนึกชื่นชมไม่ได้ “น่า… คีล ให้รางวัลผมด้วยการจูบสักทีจะเป็นไรไป ผมว่าผมทำได้ดีมากเลยนะที่คุยเมื่อกี้”

คีลไม่ตอบ เจ้าตัวสอดส่ายสายไปรอบทิศทาง และเมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นนอกจากพวกเขา มือหนาก็ดึงเอลเลียตเข้าไปติดต้นไม้ด้านหลัง คนผมน้ำตาลเกร็งตัวเล็กน้อยเมื่อคีลเคลื่อนหน้าเข้ามา เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงจูบเขาแน่ แต่แล้วเจ้าตัวก็ต้องชะงักไปเพราะร่างสูงไม่ได้จูบ หากมือเลื่อนไปหยิบของบางอย่างขึ้นมาจากกระเป๋าด้านในของสูทตัวนอก

นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นว่ามันคือสร้อยที่มีปลอกกระสุนห้อยเป็นจี้อยู่ เขารับมันมาดูเมื่อคีลส่งให้ ปลอกกระสุนนั่นถูกสลักเป็นข้อความสั้นๆ ว่า ‘Kiel’s’ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น แต่แค่นั้นก็ทำเอาคนผมน้ำตาลหน้าร้อนเห่อขึ้นมาได้

คีลคลี่ยิ้มขณะยกสร้อยเส้นนั้นทาบคออีกฝ่าย “ผมไม่รู้นะว่าคุณจะชอบไหม แต่ผมยัดเยียดให้คุณ”

ชอบสิ… ชอบมากๆ ชอบจนหัวใจในอกข้างซ้ายจะระเบิดโผละเป็นแตงโมถูกไม้ฟาดได้อยู่แล้ว

“ปลอกกระสุนเหรอครับ?” เอลเลียตพยายามกลบเกลื่อนหน้าแดงๆ กับเสียงสั่นๆ ด้วยความปลาบปลื้มด้วยการตั้งคำถามเฉไฉ ใจเต้นรัวขึ้นมาไม่น้อยเมื่อเห็นคนยิ้มยากคลี่ยิ้มกว้างจนสุดขณะตอบ

“ครับ พ่วงมาพร้อมกับปลอกคอของคุณ จะได้หนีผมไปไหนไม่ได้อีก”

“แล้วทำไมต้องปลอกกระสุนด้วยครับ”

“เผื่อคุณคิดจะหนีขึ้นมาไง พอเห็นปลอกกระสุนอันนี้คุณจะได้รู้สึกตัวขึ้นมาว่าอาจโดนผมเป่าดับได้ เพราะงั้นอย่าคิดลองดีกว่า”

ถึงตรงนี้เอลเลียตก็หัวเราะร่วนออกมาจริงๆ แขนเลื่อนโอบรอบคอร่างสูงให้โน้มหน้าต่ำลงมาอย่างยั่วยวน

“คุณคิดว่าผมจะกลัวโดนคุณฆ่างั้นเหรอ? ไม่รู้ตัวเลยสินะว่าจริงๆ คุณน่ะ ฆ่าผมไปตั้งหลายรอบแล้ว”

“เหรอครับ” คีลเคลื่อนหน้าเข้าใกล้อีกฝ่ายเรื่อยๆ ริมฝีปากเริ่มสัมผัสกัน “ผมฆ่าคุณตอนไหนกัน คุณหัวขโมย”

เอลเลียตดึงคีลให้ก้มลงมาจูบเขาแผ่วเบาทีหนึ่งก่อนจะกระซิบตอบ

“ก็ตอนที่คุณจูบผมไง”

คีลเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เอลหลุดหัวเราะออกมาอีกรอบแล้วดึงให้ชายหนุ่มก้มลงมาจูบอีกครั้งอย่างอ่อนหวาน และเมื่อริมฝีปากผละออก คนผมน้ำตาลก็อธิบายต่อ

“คุณไม่รู้ตัวเหรอ คีล คุณฆ่าผมทุกครั้งแหละเวลาที่เราจูบกัน”

“คุณจะตายได้ไง” มือหนาเข่าใต้หว่างขาของคนตรงหน้า เอลเลียตยกขาพาดสะโพกคีลอย่างรู้หน้าที่ขณะที่ร่างสูงเบียดตัวเข้ามาชิด มือยึดต้นขาข้างที่พาดบนเอว ยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนรักมากขึ้นขณะพูด “ผมจูบคุณเบาจะตาย แค่นั้นไม่ทำให้คุณตายง่ายๆ หรอก”

“ตรงกันข้ามเลย คุณตำรวจ” เอลว่า ยกมือไปลูบแก้มคีลอย่างเผลอไผล “ยิ่งคุณจูบเบา ผมก็ยิ่งตายเร็วขึ้น”

“งั้นแรงๆ ดีกว่าใช่ไหมครับ”

“ครับ” เอลเลียตเหยียดยิ้มกว้าง “แรงที่สุดเท่าที่คุณทำได้เลย”

“เบื่อคนขี้ยั่วอย่างคุณจริงๆ”

“แต่ก็รักผมใช่ไหมล่ะ”

คีลกดจูบลงไปอย่างร้อนแรงตามที่อีกฝ่ายขอ มันลึกซึ้งเนิ่นนานจนเอลเลียตเริ่มหอบหายใจเมื่อคีลไม่ยอมเว้นจังหวะให้เขาเสียที

ในที่สุดเสียงทุ้มก็กระซิบที่ข้างหู

“ถ้าผมไม่รัก… คุณก็ไม่มีทางได้ปลอกกระสุนนั่นจากผมหรอก เอล”

ริมฝีปากคู่สวยยกยิ้มอีกครั้ง

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยครับ คุณสายสืบ”

เอ… ถ้าขอคีลพากลับโรงแรมเลยตอนนี้จะเป็นอะไรไหมนะ?






เอลเลียตมายืนอยู่ที่หน้าประตูห้องของโรงแรมแห่งหนึ่งที่ลีโอให้ไว้ เขาอยู่ในชุดลำลองสบายๆ ที่มีเพียงเสื้อเชิ้ตแขนยาวกับกางเกงยีนอีกตัว หากทั้งสองชิ้นเป็นของมีราคาที่ทำเอาคีลซึ่งต้องรับหน้าที่ควักเงินจ่ายกุมขมับไปนานสองนาน แต่เขาก็เห็นด้วยกับเอลที่บอกว่าจำเป็นต้องทำตัวให้เนียนกับสิ่งที่พูดให้ลีโอฟังไป ซึ่งการใช้ของเรียบง่าย น้อยชิ้น แต่ราคาแพงหู่ฉี่นี่แหละที่จะทำให้เขาดูเป็นเด็กของเสี่ยใหญ่ขึ้นมาได้

คีลไม่มีปัญหาอะไรกับเรื่องหยุมหยิมพวกนั้น แต่ที่เขาไม่สบายใจสุดๆ เลยคือการที่เอลเลียตยืนยันว่าจะไม่ให้ทางเขาใส่เครื่องดักฟังอะไรไป

'ขืนลีโอจับได้ละก็ หมอนั่นเป่าผมดับตรงนั้นแน่ แล้วไม่ใช่ว่าผมจะดูถูกเรื่องเทคโนโลยีของฝั่งคุณหรืออะไร แต่หมอนี่เชี่ยวชาญมากด้านนี้ ต่อให้เป็นเครื่องดักฟังอัจฉริยะขนาดไหน แต่เขาต้องจับได้แน่ถ้ามันอยู่ในตัวผม เชื่อผมเถอะ คีล ให้ผมจัดการเรื่องนี้เอง ที่เราต้องทำคือทำให้เขาไว้ใจผมเต็มที่ก่อน หลังจากนั้นงานของเราจะง่ายขึ้นเยอะเลย'

ร่างสูงอยากจะค้าน แต่ทุกคนในทีมเขากลับเห็นด้วยกับสิ่งที่เอลเลียตพูด อันที่จริงเขาก็เห็นด้วยนั่นแหละ แต่ก็ยังอดห่วงอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดี

และตอนนี้คนผมน้ำตาลก็ต้องทำเรื่องนี้ด้วยตัวคนเดียว เขาเองก็นึกหวั่นอยู่ภายในไม่น้อยหรอก แต่เขารับปากกับคีลแล้วว่าจะทำให้ได้ คิดแบบนั้นเจ้าตัวก็กดกริ่งที่อยู่หน้าห้องโรงแรมสุดหรูที่เขาเดาว่าค่าเช่าคืนหนึ่งอาจกินเงินเดือนตอนทำงานขายบ้านไปทั้งเดือน หรูขนาดมีกริ่งให้กดหน้าห้องละกัน เอลเลียตเองก็นึกอยากนอนโรงแรมหรูๆ แบบนี้ดูบ้างสักคืน

แต่แน่นอนว่าไม่ใช่กับคนที่อยู่ในห้องตอนนี้นะ กับคนรักของเขาต่างหาก

คนที่ไม่ใช่คนปัจจุบันของเอลเลียตเปิดประตูออกมาอย่างเชื่องช้า ลีโอ ฮอร์ตัน หรือที่ทุกคนเรียกกันว่าเทลออฟอดัมส์มีลักษณะแบบที่ถ้าใครได้เห็นชายหนุ่มเป็นครั้งแรก จะให้คำจำกัดความแก่เขาได้เลยว่า 'ผู้ดี'

ชายหนุ่มตรงหน้าเขามีรูปร่างโปร่ง สูงพอๆ กับเอลเลียต เส้นผมสีบลอนด์หม่นถูกจัดแต่งเป็นอย่างดี  นัยน์ตาสีฟ้าดูสุขุมเยือกเย็นและอ่านยากนั่นครั้งหนึ่งเคยทำเอาเอลเลียตคลั่งไคล้พอๆ กับใบหน้าหล่อเหลาที่ติดไปทางหนุ่มเจ้าสำอาง แตกต่างกับความหล่อแบบคมเข้ม ดิบเถื่อนแบบแฟนเขาคนปัจจุบัน

แน่นอนว่าถ้าถามเอลเลียตตอนนี้ เจ้าตัวจะตอบได้เต็มปากว่าคีลของเขาหล่อกว่า แต่ระดับอย่างลีโอก็เรียกว่าขี้เหร่ไม่ได้เลย

ลีโอคลี่ยิ้มระบายบนใบหน้า เอลเลียตส่งยิ้มคืนให้แต่ก็ยังไม่วางใจอีกฝ่ายร้อยเปอร์เซ็นต์ตามประสาคนมีชนักติดหลัง อีกอย่าง ต่อให้หมอนี่จะยิ้มแค่ไหน แต่ตาของเจ้าตัวก็ยังอ่านยากเหมือนอย่างที่เคยเป็นอยู่ดี

"ไง ไอเดน" ลีโอเขยิบตัวให้เขาก้าวเข้าไปในห้อง และประตูปิดลง เอลเลียตก็เลื่อนหน้าไปแตะริมฝีปากลงกับแก้มอีกฝ่าย แต่หมอนี่ก็ไม่พอใจแค่นั้นอยู่ดี เจ้าตัวก้มลงมาจูบเขาทีหนึ่ง เอลเผลอเกร็งตัวขึ้นเล็กน้อยเพราะตั้งรับไม่ทัน ใจนี่นึกกลัวไปแล้วว่าถ้าคีลรู้เรื่องนี้เขาจะโดนทำโทษยังไง

แต่... คิดอีกทีแล้วเขาก็นึกอยากโดนหมอนั่นทำโทษอยู่เหมือนกัน

"นายดูสบายดีนะ" ลีโอพูดพร้อมกับก้าวนำเข้าไปในห้องพักสุดหรูของตัวเองก่อน เจ้าตัวชี้มือไปที่เก้าอี้ซึ่งอยู่คู่กับโต๊ะวางกลมที่ติดกับเคาน์เตอร์ครัวซึ่งทำจากหินอ่อน เอลเลียตมองตามร่างโปร่งที่เดินเข้าไปหยิบว้อดก้าออกมาพร้อมกับแก้วและน้ำแข็งก้อนโต "ผสมอะไรไหม?"

"มีมะนาวรึเปล่า?"

"ยังกินอะไรเหมือนเดิม"

"คนเราไม่ต้องเปลี่ยนแม้แต่เครื่องดื่มที่ชอบก็ได้นี่"

เสียงกรุ๊งกริ๊งของน้ำแข็งกระทบลงกับก้นแก้วชวนให้เอลนึกถึงวันเก่าๆ ที่เขาเคยคบกับคนตรงหน้าอยู่เหมือนกัน หมอนี่ผสมเหล้าอร่อย ไม่ว่าจะแก้วไหนก็ถูกปากเขาไปหมด

“ว่าแต่เสี่ยของนายนี่เป็นใคร ไอเดน”

“โทษทีนะ บอกเรื่องนั้นกับนายไม่ได้หรอก” เอลเลียตดักคออย่างรู้ทัน “ก็เหมือนกับตอนที่เขาถามฉันว่าเพื่อนฉันเป็นใครนั่นแหละ ฉันก็บอกเขาว่าฉันบอกไม่ได้เหมือนกัน แต่เหมือนเขาจะเข้าใจ และนายก็ควรจะเข้าใจด้วย”

“ก็ยุติธรรมดี”

กลิ่นแอลกอฮอล์เข้มๆ ลอยมาแตะจมูกเมื่อลีโอส่งแก้วมาให้ เขานึกถึงเรื่องที่หมอสั่งห้ามเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเต็มที่จากแผลที่ยังปวดแปลบเป็นพักๆ เวลาที่เขาออกแรงหนัก แต่ความคิดนั้นก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อเขายกแก้วชนกับของลีโอเบาๆ เอลเลียตยกเหล้าขึ้นจิบ ลำคอของเขาร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีตามประสาคนที่ไม่ได้แตะของมึนเมามานาน

ไม่เกินแก้วที่สามคงเมา... แต่อย่างน้อยเขาต้องประคองสติของตัวเองให้รู้ตัวตลอดเวลา

ในที่สุดลีโอก็เปิดปากขึ้นมาก่อนหลังจากจิบเหล้าไปสองอึก "ฉันไม่อยากจะทำตัวเสียมารยาทกับนายนะ ไอเดน แต่ฉันอยากให้นายถอดเสื้อออก"

เอลเลียตชะงักไปนิดหนึ่ง จากนั้นจึงวางแก้วลงบนโต๊ะพร้อมกับทำตามที่อีกฝ่ายสั่งอย่างว่าง่าย ลีโอมองเรือนร่างเปลือยเปล่าของอดีตคู่ขาด้วยสายตาอ่านยาก เอลเลียตยังมีผ้าปิดแผลที่บริเวณที่เคยโดนแทงมาก่อน และเมื่อรู้สึกตัวว่าลีโอจ้องอยู่ตรงนั้นนานเป็นพิเศษ คนผมน้ำตาลก็ว่า

"จริงๆ มันก็ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ แค่รู้สึกไม่ดีเฉยๆ ถ้าไม่หาอะไรมาปิดไว้หน่อย"

อีกฝ่ายพยักหน้าก่อนจะรับเสื้อจากเอลเลียตมาถือไว้ในมือ ตรวจดูว่ามีอะไรน่าสงสัยติดอยู่หรือไม่ และเมื่อลีโอตรวจสอบกระดุมเม็ดสุดท้ายเสร็จ ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ไล้มือลงบนกางเกงยีนรัดรูปที่เอลเลียตใส่อยู่เป็นอันดับต่อไป

คนผมน้ำตาลแกล้งพูดขณะยกสองมือเหนือศีรษะให้ลีโอตรวจสอบร่างกายเขาง่ายๆ

"ไม่ไว้ใจกันเลยแบบนี้มันเจ็บปวดนะ"

"ก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อน"

"ตามสบายเลย ลีโอ แต่ฉันบอกได้นายคำเดียวว่าไม่ได้ทำงานให้ใครทั้งนั้น แค่คิดถึงนายก็เลยอยากมาเจอ มันก็แค่นั้นจริงๆ"

เอลเลียตปิดเปลือกตาลงเมื่อรู้สึกได้ว่าฝ่ามืออุ่นของอีกฝ่ายทำมากกว่าแค่จะสำรวจตัวเขา สัมผัสบางเบาที่ลากผ่านหว่างขาไปอย่างจงใจทำให้ร่างกายของเขาตื่นตัว คีลต้องฆ่าเขาแน่ถ้ารู้ว่าเขากำลังมีอารมณ์กับแฟนเก่า แต่ไอ้หมอนี่มันจงใจเองนะ เขาห้ามร่างกายตัวเองไม่ได้สักหน่อย!

และเพราะห้ามร่างกายตัวเองไม่ได้ เอลเลียตจึงออกปากห้ามอีกฝ่ายแทน

"ลีโอ ไม่เอาน่า นายมีคู่ขาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอตอนนี้"

ลีโอยืดตัวขึ้นมายืนตรง คนผมบลอนด์มีท่าทีแปลกใจไม่น้อยที่ไม่เจอเครื่องดักฟังหรืออะไรเทือกนั้นเลย

"นายไม่ได้ทำงานให้ใคร"

"ฉันบอกนายไปแล้ว"

"ก็เห็นอยู่ว่าฉันไม่เชื่อ"

เอลเลียตยักไหล่ "นั่นเป็นปัญหาของนาย"

ลีโอหรี่ตาลงอย่างจับผิด "ที่นายพูดมันขัดแย้งกัน"

"หมายความว่าไง"

"นายบอกว่านายคิดถึงฉันเลยอยากมาเจอ"

"อ่าฮะ"

"แต่นายไม่ได้อยากนอนกับฉัน ตั้งแต่ตอนที่เข้ามาแล้ว นายเกร็งตอนที่ฉันจูบ แล้วก็เมื่อกี้นายยังห้ามฉันอีก นายไม่ได้อยากนอนกับฉัน"

"ไม่ ฉันไม่ได้อยากนอนกับนาย" เอลเลียตพูดตรงๆ

"แล้วนายอยากจะเจอฉันทำไม"

คนผมน้ำตาลมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่อยากจะเชื่อ "ให้ตายเถอะ ลีโอ ในหัวนายคิดแต่เรื่องอย่างว่ารึไง ที่ฉันว่าคิดถึงนายก็เพราะฉันอยากจะเจอนาย อยากคุยกับนาย เราเป็นเพื่อนกันแบบธรรมดาๆ ไม่ได้รึไง"

"กับคนอื่นคงได้" พูดพร้อมกับโน้มหน้าลงต่ำ เป่าลมหายใจรดที่ข้างแก้ม มือไล้ลงบนแผ่นอกขาวอย่างอ้อยอิ่ง "แต่กับนาย... ถ้าเป็นฉันกับนาย ฉันคิดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องอย่างว่าไม่ออกเลย"

"ลีโอ... ไม่เอา" เอลพยายามห้าม แต่เขาไม่อยากทำเกินกว่าเหตุเพราะกลัวเรื่องจะเสีย

อันที่จริงไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจลีโอ ตรงกันข้าม เขากลับเข้าใจดี ถ้าเขาเป็นอีกฝ่าย เขาก็คงคิดแบบเดียวกัน ดีไม่ดีลีโออาจจะกำลังคิดว่าเขาเล่นตัวเพื่อเรียกร้องความสนใจด้วยซ้ำ ถ้าเป็นตัวเขาก่อนเจอคีลน่ะอาจจะเป็นไปได้ แต่ตอนนี้เขามีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วไง แถมแฟนเขาก็ขี้หึงขั้นสุด ทีนี้เอลก็ต้องหาทางไม่ให้แตกหักกับลีโอแต่ก็ต้องไม่เสียตัวให้ไอ้หมอนี่ด้วย

เอาไงดีล่ะคราวนี้

“อดัมส์”

ราวกับคนบนฟ้าได้ยินคำขอ เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับร่างของใครบางคนที่ก้าวเข้ามา เอลหันกลับไปมองตามเจ้าของเสียง ชายหนุ่มร่างบางที่เตี้ยกว่าเขาไปพอสมควรก้าวเข้ามาในห้อง เนื้อตัวมีเพียงเสื้อเชิ้ตปกปิดท่อนบนและบังเอิญว่ามันใหญ่พอจะคลุมปิดส่วนลับของเจ้าตัวได้

คู่นอนของลีโอน่ะเอง แล้วรสนิยมของหมอนี่ก็เหลือเกินจริงๆ…

“นี่ใครน่ะ” ผู้ที่ก้าวมาใหม่หันมามองเอลเลียตด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ขอบตาลึกโหลกับใบหน้าที่ดูค่อนข้างทรุดโทรมทำให้เอลเดาได้เลยว่าชายคนนี้คงติดสารเสพติดสักตัวหรือมากกว่านั้น

“แฟนเก่าน่ะ ชื่อไอเดน ไอเดน นี่เกล ถ้านายมาหาฉันคงได้เจอเขาบ่อยๆ”

“อ้อ แฟนเก่านี่เอง” เกลว่าขณะกวาดตามองเอลเลียตตั้งแต่หัวยันปลายเท้า “หวัดดี ไอเดน”

“ไง” ไม่รู้จะพูดอะไรได้มากกว่านี้เหมือนกัน

“สนใจมาร่วมวงกับเราไหม”

“วงอะไร”

“สามพี”

เอลเลียตหันไปมองหน้าลีโอด้วยสีหน้าพิศวง “นี่เขาพูดจริงเหรอ?”

“ทำไมจะไม่ล่ะ?”

“ขอผ่านล่ะ ฉันไม่มั่วขนาดนั้น”

“ตรงนั้นของนายแหละที่น่าเบื่อ”

“มิน่าถึงได้โดนอดัมส์ทิ้ง” เกลว่าเสียงกลั้วหัวเราะ ถลาเข้ามากอดร่างสูง ทำท่าจะปีนหลังอีกฝ่ายด้วยท่าทีฉอเลาะ หมอนี่คงเด็กกว่าเขากับลีโอไปมากทีเดียว “ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้นายไม่พอใจนะ ไอเดน แค่พูดไปตามเนื้อผ้า”

“ไม่ถือสาอยู่แล้ว” อย่างกับเขาจะอยากได้ลีโอเหลือเกินนี่

“อดัมส์ ผมขอขนมหน่อย” เกลว่าหลังจากที่ลีโอช่วยพยุงจนเจ้าตัวขึ้นมาขี่หลังตัวเองได้สำเร็จ “ได้ไหม ได้ไหม”

“เอาสิ”

เอลเลียตมองตามลีโอที่ยื่นสารเสพติดบางอย่างให้อีกฝ่าย เกลส่งยิ้มหวานอย่างยินดีขณะที่ลงจากหลังจากลีโออย่างว่าง่าย และเมื่อได้ของที่ต้องการเจ้าตัวก็วิ่งแจ้นออกจากห้องไป เอลเลียตหันกลับไปมองคนที่เขาเคยคบด้วยสายตารังเกียจ ลีโอทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ขณะหยิบไฟแช็กขึ้นมาจุดบุหรี่

“เขาอายุ 18 หรือยัง?”

“หึ” ลีโอแค่นเสียง ตัวตนของหมอนี่ช่างแตกต่างจากเสื้อผ้าราคาแพงและท่าทีผู้ดีนั่นจริงๆ “ห่วงเรื่องนั้นด้วยเหรอ เป็นคนดีกันจังเลยนะ เราเนี่ย”

“นายกำลังพรากผู้เยาว์นะ ลีโอ”

“อย่าเอ็ดไปน่า อีกไม่กี่เดือนหมอนั่นก็ 18 แล้ว แต่พูดจริงๆ นะ ไอ้นิสัยบางอย่างของนายนี่น่าเบื่อไม่เปลี่ยนจริงๆ ฉันนึกออกแล้วสิว่าทำไมเราถึงเลิกกัน”

“นายเลี้ยงเขาด้วยยาเสพติดพวกนั้นเหรอ”

“เขาไม่ค่อยฉลาดเท่าไรน่ะ” ลีโอพูดพร้อมกับเหม่อมองประตูที่เกลวิ่งกลับเข้าไป เอลเลียตนึกสงสัยว่าหมอนี่พูดถึงเขาแบบนี้ตอนคุยกับคนอื่นด้วยหรือเปล่า “บุหรี่สักมวนไหม?”

“ไม่ล่ะ ฉันว่าฉันเตรียมกลับแล้วดีกว่า ไม่อยากรบกวนเวลาของนายกับเด็กคนนั้น”

“หมอนั่นไม่ถือหรอกถ้าฉันจะนอนกับคนอื่นทั้งที่คบกัน ไม่เหมือนกับนาย”

ชัดเลย รู้ชัดเลยว่าทำไมพวกเขาถึงเลิกกัน

“แล้วมาอีกนะ ไอเดน” ลีโอว่าขณะที่เดินไปส่งคนรักเก่าถึงหน้าประตูห้อง “ฉันจะรอจนกว่านายจะอยากรื้อฟื้นความหลัง”

“งั้นนายคงต้องรออีกนานเลยล่ะ อดัมส์”

แล้วเอลเลียตก็จ้ำเท้าพรวดๆ ตรงไปยังลิฟต์ของโรงแรม




------------------------------------------
Talk: เห็นมีคนร่ำร้องอยากเจออดัมส์เหรอคะ? เอามาให้เจอแล้วนะ ถถถถถถถ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 18) P.5 [2/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 02-12-2017 11:10:52
โหหหนึกว่าเอลจะต้องเปลืองตัว แต่รอดมาได้ ทำไมลีโอดูเท่กว่าที่คิดอีกคะ ฮื่ออ ชอบเขา  :hao5:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 18) P.5 [2/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 02-12-2017 13:25:13
ชอบที่คีลหึง อยากเห็นเอลโดนลงโทษ  :jul1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 18) P.5 [2/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ทันฌะ ที่ 02-12-2017 17:46:49
ฮืออออ เขินคีลลล รักรุนแรงเหลือเกินน ส่วนลีโอคือนางเลวได้ใจจริงๆ555555 :jul1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 18) P.5 [2/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-12-2017 19:11:35
 :hao7:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 18) P.5 [2/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 02-12-2017 22:51:03
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 18) P.5 [2/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: bmine ที่ 03-12-2017 00:29:14
ลีโอฮอตตตตต แอบเผลอคิดว่า เอาเลยเอลด้วยค่ะ สารภาพว่าเป็นคนอ่านใจง่าย 555
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 18) P.5 [2/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 06-12-2017 18:23:23

บทที่ 19




“หมอนั่นมันน่ารังเกียจ” เอลเลียตพูดด้วยน้ำเสียงขยะแขยงขณะที่คีลเดินเข้ามาประชิดตัว วางผ้าเช็ดผมลงบนหัวของเอลเลียตที่ยังชื้นเพราะเพิ่งอาบน้ำสระผมเสร็จมาหมาดๆ เอลหันขวับกลับไปมองคนรักก่อนจะว่าต่ออย่างแค้นเคืองไม่หาย “จริงๆ นะครับ คีล หมอนั่นมีอะไรกับเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะยังไม่พอ ยังเอายาเสพติดไปคอยป้อนให้แบบนั้น ล่มจมกันหมดพอดี… คีล นี่คุณฟังผมอยู่รึเปล่า คุณเป็นตำรวจประเภทไหนถึงได้ไม่สะเทือนกับสิ่งที่ผมเล่าให้ฟังอยู่เนี่ย หา!? ”

มือหนายกผ้าขึ้นยีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนของเอลเลียตเผื่อให้ผมเจ้าตัวแห้งเร็วขึ้นก่อนจะพูดเสียงเรียบ

“แต่ถึงเขาจะสถุลยังไงคุณก็เคยคบกับเขามานี่? ”

“ก็นั่นน่ะสิ ผมแทบไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลย” พูดแล้วยังแค้นใจไม่หาย “ผมเคยนอนกับคนทุเรศแบบนั้นไปได้ยังไง”

“ผมว่าคนต้องเลิกพูดเรื่องนั้นได้แล้วนะ”

“เรื่องไหนครับ”

“เรื่องที่คุณกับเขาเคยมีเซ็กส์กัน” คีลพูดพร้อมกับดึงหน้าอีกฝ่ายให้หันกลับมาสบตาเขาตรงๆ “มันทำให้ผมหึงนะ รู้ตัวรึเปล่า”

เอลเลียตเบิกตากว้างขึ้นนิดหนึ่ง รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นผิดไปหนึ่งจังหวะ แต่แล้วพ่ออาชญากรตัวแสบก็ยิ้มหวานออกมา

“รู้สิครับ”

ใบหน้าคมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่า ‘รู้แล้วทำไมยังพูดถึงอีก’ เอลเลียตเลยหัวเราะออกมาเบาๆ นิ้วไล้ลงบนแผ่นอกของอีกฝ่ายที่อยู่ในชุดเตรียมนอนเช่นเดียวกับตัวเขา

“ก็เพราะผมจงใจให้คุณหึงไง”

“หา” คีลแกล้งพูดพร้อมกับโอบรอบคอคนที่ตัวเตี้ยกว่าเขาด้วยท่าที่เหมือนจะล็อกคออีกฝ่ายด้วยความมันเขี้ยว เอลเลียตหัวเราะร่วนพร้อมกับเลื่อนมือไปแตะแขนคนด้านหลัง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น ยิ้มจนตาหยีส่งให้คีลแล้วเขย่งตัวไปจูบปากเจ้าตัวเร็วๆ ทีหนึ่ง

“ผมดีใจนะที่คุณหึงผม คีล”

“คุณมันแสบที่สุด”

“ไม่แสบแล้วคุณจะรักเหรอ”

“ก็เป็นคำถามที่น่าขบคิด”

เอลเลียตหลุดหัวเราะออกมาอีกรอบ คีลเดินไปหยิบไดร์เป่าผมออกมา เสียบกับปลั๊กไฟที่อยู่ใกล้โต๊ะซึ่งเอลเลียตนั่งอยู่จากนั้นก็ลงมือเป่าผมให้อีกฝ่ายโดยที่เอลไม่ต้องร้องขอ

“ผมไม่เข้าใจอยู่อย่างครับ เอล” คีลว่าหลังจากที่ลงมือจัดการเส้นผมอีกฝ่ายให้แห้งไปกว่าครึ่ง

“อะไรครับ”

“คุณบอกว่าเทลออฟอดัมส์ไม่สนิทกับจูเลียน ฮอร์ตัน พ่อของตัวเองเท่าไร”

“ครับ ใช่”

“แต่พวกเขาสองคนก็ทำงานนี้ด้วยกันไม่ใช่เหรอครับ หรือว่าเพื่อเงิน? อะไรๆ ก็ไม่เกี่ยง”

เอลเลียตเอียงคอ ทำสีหน้าครุ่นคิดนิดหนึ่ง

“อืม… จะว่ายังไงดีล่ะ เท่าที่ผมรู้สึกนะ ตัวจูเลียน ฮอร์ตันเองน่ะอยากได้เงินแน่ๆ และงานของเขาคือการใช้อำนาจและข้อมูลของกรมตำรวจที่ตัวเองมีให้เป็นประโยชน์” ก่อนหน้านี้เอลเลียตเล่าให้คีลและคนในทีมคนอื่นๆ ฟังว่าที่จูเลียนคอยคุ้มกะลาหัวให้แก๊งปล้นธนาคารเพื่อรับส่วนแบ่งก้อนโตจากเงินที่ได้มาแต่ละครั้ง และนั่นก็ตอบคำถามที่คีลเคยถามเอลเลียตเมื่อหลายปีก่อนได้ว่าเงินกว่าครึ่งนั่นหายไปไหน ตอนนั้นเอลเลียตตอบว่าเอาไปจมกับการพนัน แต่ความจริงก็คือมันเป็นส่วนแบ่งของจูเลียนนั่นแหละ “แต่สำหรับตัวลีโอเอง ผมว่าเขาไม่สนเรื่องเงินหรอก เขาทำเพราะมันสนุกมากกว่า อย่างน้อยผมก็เข้าใจว่าแบบนั้นนะ”

“แล้วเขาก็ใช้อิทธิพลของพ่อเพื่อเรื่องสนุกที่ว่างั้นสิ? ”

เอลยักไหล่ ผมของเขาแห้งสนิทแล้วตอนนี้ คีลเลยจัดการเป่าผมตัวเองต่อ

“ก็ประมาณนั้นครับ ออกแนวพึ่งพาอาศัยกันน่ะนะ แต่ให้ตายสิ ตอนแรกผมไม่อยากให้คุณหมายหัวลีโอไว้ด้วยเลยเพราะถึงยังไงเขาก็ช่วยผมมาตั้งเยอะ แต่พอมาเจอหมอนั่นแบบนี้แล้วผมชักรู้สึกไม่โอเคแล้วสิ”

“แต่คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอครับว่าเทลออฟอดัมส์เป็นคนยังไงก่อนที่จะคบกับเขา”

“ก็… ก็พอรู้” ตอบเสียงอ้อมแอ้ม “อย่างเรื่องยาเสพติดหรือเรื่องที่ไม่เห็นหัวใคร ไม่สนใจใครนอกจากตัวเอง… แต่ถึงขั้นเอาเด็กมาพัวพันแบบนี้มันเกินไป”

“หืม” คีลลากเสียงยาว หลังจากที่ได้รู้จักเอลเลียตมาหลายเดือน แทบจะเรียกได้ว่าอยู่กินด้วยกัน เขาก็สัมผัสได้ว่าเนื้อแท้ของชายหนุ่มผมน้ำตาลอ่อนไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร สิ่งเลวร้ายที่สุดที่เขาทำในชีวิตคือการวางแผนปล้นเงินที่อยู่ในธนาคารเท่านั้น และเหมือนเจ้าตัวก็รู้สึกผิดกับเรื่องนั้นอยู่เหมือนกัน เขาเคยถามเอลเลียตว่าอยากได้เงินไปทำไมตั้งมากมายขนาดนั้น อีกฝ่ายก็ไม่เคยตอบคำถามเขาตรงๆ เสียที เอาแต่พูดว่า ‘ใครๆ ก็อยากได้เงินทั้งนั้น’ อยู่นั่น แต่คีลรู้สึกได้ว่าที่มันมีเหตุผลเบื้องลึกมากกว่านั้น

“เอ้อ จริงสิ” เอลพูดอย่างนึกขึ้นได้ เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาซึ่งกำลังกระตุกสายไฟของไดร์เป่าผม “คราวหน้าผมจะไปเจอกับลีโอสักอีกสองอาทิตย์ให้หลังนะ”

“เอาเรื่องนั้นไปบอกที่ประชุมสิครับ”

“รู้แล้ว บอกคุณก่อนไง ไม่ต้องทำตัวเย็นชากับผมนนักก็ได้น่า ที่รัก ยังโกรธที่ผมเกือบโดนลีโอปล้ำอยู่อีกเหรอ”

คีลส่ายหน้า บางทีเขาก็ไม่เข้าใจตรรกะของเอลเลียตเลยว่าสามารถพูดเรื่องที่ตัวเองจะโดนปล้ำออกมาหน้าตาเฉยแบบนั้นได้ยังไง ทั้งเรื่องพวกของแจ็ค พอร์เตอร์ที่ส่งคนเข้าไปแก้แค้นเอลเลียตนั่นเหมือนกัน แล้วโลกนี้มันเป็นอะไรกันไปหมด การจะข่มขืนผู้ชายนี่เป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้วเหรอ?

“ผมไม่เป็นไรหรอก เห็นแบบนี้ผมก็มีฝีมือพอตัวนะ ตอนโดนพวกของพอร์เตอร์รุมสามคนนั่นยังรอดมาได้เลย”

“แต่ก็หน้าบวมไปแถบไม่ใช่เหรอครับ”

“แล้วก็ฟกช้ำนิดหน่อย แต่ลีโอไม่เก่งเรื่องการต่อสู้เท่าพวกนั้นหรอก ถ้าหมอนั่นไม่งัดปืนขึ้นมาก็โอเคน่ะนะ”

คีลขมวดคิ้วมุ่นขึ้นทันที “เขามีปืนด้วยงั้นเหรอ? ”

เอลเลียตไหวตัวนิดหนึ่ง เพิ่งรู้ตัวว่าทำให้คนรักเป็นห่วงไม่เข้าท่า “ก็อาจจะ… ผมก็ไม่แน่ใจหรอก เขาอาจจะไม่มีก็ได้ แต่ถ้าเขามีผมก็ไม่แปลกใจหรอก”

“แล้วคุณก็กำลังไปล้วงความลับจากเขาเนี่ยนะ? ”

“ผมไม่เป็นไรหรอกน่า” เอลว่า “ตอนนี้เขาอาจจะระแวงนิดหน่อย แต่เจอกันอีกไม่กี่ครั้ง เขาน่าจะไว้ใจผมเหมือนเดิม”

คีลยังมีสีหน้าไม่สบอารมณ์เหมือนเดิม เอาจริงๆ ถ้าไม่ได้สนิทกับร่างสูงมากคงจะดูไม่ออกแน่ว่าคีลกำลังอารมณ์เสีย เพราะสีหน้าเจ้าตัวแทบไม่เปลี่ยน แต่เอลเลียตสนิทกับอีกฝ่ายมาก… มากแบบคุ้นเคยทุกซอกทุกมุมน่ะ เพราะงั้นแค่คีลอารมณ์เสีย มีเหรอเขาจะไม่รู้

เอลเลียตเอื้อมมือไปประคองหน้าอีกฝ่ายให้หันกลับมามองตัวเอง ส่งยิ้มหวานสดใสโดยที่รู้ดีว่าคีลชอบ และนั่นทำให้ร่างสูงใจเต้นสะดุดไปจังหวะหนึ่งจริงๆ

“ผมจะทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่นะคีล แล้วก็จะคอยระวังตัวเองด้วย ไว้ใจผมนะ? ”

คีลเกือบจะตอบรับกับคำพูดนั้นอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่ว่านัยน์ตาคู่คมจะเหลือบไปเห็นรอยช้ำที่อยู่บริเวณซอกคอของเอลที่เขาแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนทำแน่ แล้วเมื่อกี้นี้อาบน้ำด้วยกันทำไมเขาไม่ทันสังเกต…

เอลเลียตรู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบตัวเย็นลงฮวบฮาบเขาเลยเงยหน้าขึ้นไปมองคนรักอย่างงงๆ แต่พอเห็นสายตาคมกริบจ้องมาที่ซอกคอ เอลเลียตที่มองไม่เห็นจุดนั้นถนัดตาจึงเดินไปที่กระจกเพื่อดูว่าคีลเห็นอะไร แล้วใบหน้าของชายหนุ่มก็ซีดลงทันที

“เอ่อ คือ แหะๆ ” คนผมน้ำตาลหัวเราะแห้งๆ ขณะเลื่อนมือไปปิดบริเวณที่เป็นรอยช้ำ แต่นั่นไม่ได้ช่วยให้แววตาของคีลน่ากลัวน้อยลงเลย “แบบว่า… ตอนนั้นผมไม่ทันตั้งตัวน่ะ”

“คุณยอมให้เขาทำรอยนั่นบนตัวคุณเหรอ? ”

“เฮ้ เราไม่ได้มีอะไรกันนะ ผมสาบานได้ แค่ไอ้รอยนี่…” เอลเลียตอึกอัก เขากลัวว่าคีลจะเข้าใจผิดว่าเขาทำตัวง่าย ยอมนอนกับคนอื่นทั้งที่คบกับอีกฝ่าย และคีลไม่ใช่คนประเภทลีโอที่จะไม่ถือสาเรื่องพวกนั้น ตรงกัมข้าม มันเป็นสิ่งที่คนผมดำจะไม่มีวันให้อภัยแน่

“คุณแน่ใจนะว่าแค่รอยนั่น” ร่างสูงพูดเสียงเย็นขณะดันตัวเอลเลียตไปติดฝาผนังด้านหลัง ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมายัน ล็อกตัวอีกฝ่ายไม่ให้คิดหนีไปไหน เอลเลียตคิดว่าถ้าเขาเป็นผู้หญิงคงกรี๊ดแตกไปแล้ว ถ้าหมอนี่จะทำน่ากลัวใส่เขาขนาดนี้… “บอกผมมาให้หมด เอล ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ เขาทำอะไรคุณบ้างนอกจากรอยนี่”

ก็ไม่เคยคิดว่าคีลล้อเล่นอยู่แล้วล่ะ… ว่าแต่หมอนี่ล้อเล่นเป็นกับเขาด้วยเหรอ?

“คือ… เอ่อ ผมโดนจูบ”

“ที่ไหน? ”

“ที่… ที่ปาก”

ใบหน้าคมขบฟันแน่นขึ้นจนเอลเลียตได้ยินเสียง แว้ก อย่าฆ่าเขาเลย เขาไม่ได้ตั้งใจ

“ผม… ผมขอโทษครับ คีล แต่คุณต้องเข้าใจสิว่าเราสองคนเคยคบกันมาก่อน แล้วทั้งผมกับเขาก็เป็นคนประเภทแบบ… เอ่อ มันก็แค่จูบเอง? อะไรแบบนั้น”

“แค่จูบเอง อะไรแบบนั้น? ” สีหน้าคีลเหมือนจะระเบิดสมองเขาด้วยสายตานั่นอยู่แล้ว

ยิ่งพูดยิ่งแย่โว้ย!

“ผมขอโทษคีล! ผมไม่ได้อยากจะจูบกับไอ้ทุเรศนั่นหรอกนะ แต่ผมหลบเขาไม่ทัน”

“แล้วถ้าผมเกิดโดนใครสักคนจูบเพราะตั้งตัวไม่ทัน หรือว่าผมจูบกับแฟนเก่าของตัวเอง คุณจะรู้สึกยังไงล่ะ”

เอลเลียตเกือบจะอ้าปากพูดไปว่า ‘ไม่เห็นเป็นไร’ อยู่แล้ว แต่พอคิดว่าถ้าประชดไปแบบนั้นแล้วคีลไปจูบกับใครคนอื่นเข้าจริงๆ … วินาทีหนึ่ง เอลเลียตนึกภาพอีกฝ่ายจูบกับเจนนิเฟอร์ เคลลี่ซึ่งเป็นบอสของตัวเอง สองคนที่ทำงานด้วยกันมานาน เชื่อใจซึ่งกันและกัน แถมมองจากคนนอกก็ยังดูเหมาะกันสุดๆ แบบนั้น… ไม่นะ แค่คิดหัวใจเขาก็เจ็บแปลบแล้ว

และเพราะคิดแบบนั้น เอลเลียตจึงตัดสินใจว่าประชดกันไปมาไม่ใช่เรื่องดี ยังไงเรื่องนี้เขาก็ผิด

“ผม… ผมคงเสียใจ แล้วก็คงโกรธคุณมาก”

“อืม ใช่ คุณก็เข้าใจความรู้สึกผมนี่”

“ผมขอโทษครับ” ถ้าเอลเลียตมีหูหมาอยู่บนหัว ป่านนี้มันคงลู่ตกลงทั้งสองข้างอย่างหงอยๆ แล้ว แต่คีลก็ไม่ใจอ่อนง่ายๆ อยู่ดี ไอ้รอยช้ำที่อยู่บนซอกคอของเอลมันตำตาเขา แค่คิดว่ามันไม่ใช่รอยที่เขาทำแล้วก็… โว้ย!

“ผมไม่ยกโทษให้หรอกครับ”

คำพูดตรงๆ นั่นทำเอาเอลใจเสีย ถ้าเกิดคีลทิ้งเขาไป คราวนี้คงเขาตั้งหลักอีกไม่ไหวแน่ๆ เขาเจอกับความผิดหวังและเรื่องหนักหนามามากเกินไปแล้ว เรื่องพวกนั้นอาจทำให้เขาแกร่งขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะพร้อมรับมือกับมันอีกกี่ครั้งก็ได้นี่

หากยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ เอลเลียตก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือหนารวบข้อมือเขาขึ้นไปแนบกับผนังด้านหลัง แรงบีบนั่นทำเอาคนผมน้ำตาลนึกเสียวว่าข้อมือเขาอาจจะหักเพราะฝีมือของคีลก็ได้ ร่างสูงก้มลงมาขบริมฝีปากลงบนรอยที่ลีโอทำเอาไว้อย่างแรง ขยี้ลงตรงนั้นซ้ำๆ จนเอลเลียตร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวด เขาคิดว่าคีลคงกัดเนื้อตรงนั้นของเขาให้หลุดออกไปแน่ถ้าทำได้

“อึก… คีล” เอลพยายามเรียกอีกฝ่ายเสียงหวาน หวังว่าร่างสูงจะเห็นใจเขาบ้าง แต่ก็เปล่า คีลยังโกรธเขากรุ่นเหมือนเดิมแม้ว่าจะผละริมฝีปากออกมาแล้วก็ตาม สงสัยเขาจะเจอศึกหนักอีกแล้วคืนนี้ “เอ่อ ผมขอโทษจริงๆ ”

“ถอดกางเกง”

เอลเลียตเบิกตากว้างขึ้น มองคนสั่งอย่างสับสน

“เร็วๆ สิครับ”

“ตรงนี้เลยเหรอ? ”

คือเตียงมันก็อยู่ห่างจากพวกเขาไปแค่ไม่กี่ก้าวเองนะ

“จะขัดคำสั่งผม? ”

เอลเลียตทำปากขมุบขมิบขณะก้มลงไปถกกางเกงลง “ใครจะไปกล้าขัดคุณกันล่ะ คุณสายสืบหน้าดุ”

“ผมได้ยินนะ”

คราวนี้คนผมน้ำตาลที่เริ่มตั้งตัวได้หันกลับไปยิ้มหวานให้อีกฝ่าย

“ก็จงใจพูดให้ได้ยินไงครับ”

คีลเงียบ บ่งบอกให้รู้ว่าไม่เล่นด้วยแน่ๆ เอลเลียตเลยได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ให้อีกฝ่าย ก้มลงมองบริเวณรอยที่คีลเพิ่งทำทับไว้แต่ก็มองไม่เห็นอยู่ดี แต่จะหันกลับไปดูที่กระจกตอนนี้ก็ใช่ที่

“หันหลังไปครับ” คีลออกคำสั่งอีกรอบ เอลเลียตที่อยู่ในสภาพเปลือยท่อนล่างเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงถาม แต่ร่างสูงก็ยังสั่งต่อ “หันหลังแล้วเอามือยันกำแพงไว้”

อ้อ แบบนี้นี่เอง หมอนี่กำลังจะลงโทษเขานี่เอง

คนผมน้ำตาลทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ชายหนุ่มโน้มตัวลงต่ำ เหยียดแขนทั้งสองข้างยันกับผนัง ใบหน้าร้อนผะผ่าวขึ้นมาเพราะเขาเห็นสายตาคมกริบของคนด้านหลังมองเรือนร่างของเขาอย่างโลมเลียผ่านทางบานกระจกที่อยู่ในระยะสายตา แล้วหน้าเขาก็โคตรแดงแบบที่เห็นแล้วต้องอายหนักขึ้นไปอีก แถมมันยังร้อนฉ่าจนเหมือนจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่ออีกด้วย

นี่มันไม่สมกับเป็นเขาเลย เขาไม่ชอบเป็นรองคีลเรื่องนี้

“จะทำโทษผมเหรอครับ” เจ้าตัวหันกลับไปยิ้มหวานอย่างท้าทาย ไม่ได้เจียมตัวเลยว่าหน้าแดงๆ นั่นปรากฏชัดต่อสายตาคีลด้วยเช่นกัน “คุณจะทำแรงพอให้ผมสำนึกผิดไหวเหรอ? ”

“ปากดี”

มือหนาฟาดลงบนแก้มก้นกลมกลึงของอีกฝ่ายไปหนึ่งป้าบทำเอาคนปากดีสะดุ้งเฮือก ใบหน้าที่ร้อนอยู่แล้วยิ่งร้อนเข้าไปอีกเมื่อสัมผัสจากฝ่ายมือนั้นไล้วนไปทั่วบริเวณสะโพก บั้นท้าย ไถลไปที่หว่างขาแล้วรูดกลับมาที่ปากโพรงด้านหลัง

น่าอาย… น่าอายเป็นบ้า ยิ่งในห้องเปิดไฟสว่างโร่แบบนี้

“คีลครับ” เรียกอีกฝ่ายเสียงสั่น

“ว่าไงครับ”

“เรา… เราปิดไฟกันก่อนดีไหม? ”

“ไม่ล่ะ” เจ้าหน้าที่หนุ่มยกยิ้ม เอลเลียตเห็นผ่านกระจก มันเป็นยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์และสะใจมากๆ “ผมชอบเห็นสีหน้าทำอะไรไม่ถูกแบบนี้ของคุณผ่านกระจกนั่น คุณน่าจะมองตัวเองไปด้วยนะ จะได้รู้ว่าเวลามีเซ็กส์ตัวเองมีสีหน้ายั่วยังไง”

“ระ… เราจะทำกันตรงนี้เลยเหรอครับ” เขาถาม และได้รับคำตอบเป็นสัมผัสจากปลายนิ้วอีกฝ่ายที่สะกิดปากทางเข้าด้านหลังให้เอลสะดุ้งตัวอีกเฮือก เขารู้สึกว่าขาของตัวเองเริ่มสั่น “ผม… ผมอายนะคีล อย่างน้อยก็ปิดไฟ--”

“คุณอยากให้ผมทำให้คุณสำนึกผิดไม่ใช่เหรอ”

“! ” แง แบบนี้ไม่เรียกว่าสำนึกผิด แบบนี้เรียกว่าอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี!

“อ๊ะ อื้อ” เสียงหวานเริ่มเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากคู่สวยเมื่อคีลเบียดส่วนกลางของร่างกายลงกับบั้นท้ายของเขาผ่านเนื้อผ้า โน้มตัวลงมาไล้ฝ่ามือลงบนส่วนอ่อนไหวทั่วร่างกายของคีล ขยี้ยอดอกของอีกฝ่ายพร้อมกับกอบกุมแก่นกลางของเอลเลียตไปด้วย ไม่สนว่าแขนที่เหยียดตึงของเจ้าตัวจะเริ่มสั่นระริกเพราะสัมผัสวาบหวามเหล่านั้น

มือหนาลงที่หว่างขา อ้าขาทั้งสองข้างออกมากขึ้น มือเริ่มดึงกางเกงลง งัดส่วนนั้นออกมาถูไถลงตรงง่ามก้นของอีกฝ่ายที่สะดุ้งตัวอีกเฮือก คีลสังเกตเห็นว่านัยน์ตาสีฟ้าฉ่ำเยิ้มคู่นั้นเหลือบมองเขาผ่านกระจกเป็นระยะๆ และมันทำให้ใบหน้าเจ้าตัวแดงยิ่งขึ้น

น่ารัก… ยิ่งเห็นคีลก็ยิ่งอยากจะฟัด อยากทำให้หมอนี่เป็นของเขาโดยสมบูรณ์แบบ แบบที่ถ้าขาดเขาไปร่างกายจะต้องทุรนทุรายด้วยความปรารถนา

เอลเลียตอุทานออกมาเมื่อคนด้านหลังสอดส่วนนั้นผ่านปากโพรงเข้ามาอย่างดุดัน นิ้วเรียวจิกลงบนวอลล์เปเปอร์ขณะที่ทิ้งน้ำหนักลงบนขาทั้งสองข้างอย่างเต็มที่

วันนี้หมอนี่รุนแรงชะมัด… ถุงยางก็ไม่ได้ใช้ ถึงปกติคีลจะใช้บ้างไม่ใช้บ้างสลับกันอยู่แล้วก็เถอะ แต่ปกติเจ้าตัวมักจะถามเขาก่อนว่าโอเคหรือเปล่าถ้าไม่ใส่… นี่คงกะลงโทษเขาให้หลาบจำจริงๆ สินะ

“อ๊ะ คีล… เบา--”

เอลเลียตพยายามร้องขอความเห็นใจจากคนรัก แต่แรงที่คีลกระแทกสะโพกเข้ามาทำให้เขาพูดไม่จบประโยค คนผมน้ำตาลได้ยินเสียงครางของตัวเองดังก้องในหู สัมผัสที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กำลังทำให้เขาคลั่ง รู้สึกได้ถึงน้ำอุ่นๆ ที่คลอขึ้นมาบนขอบตาด้วยความเสียวซ่านคละเคล้ามากับความเจ็บปวด

เข็ดแล้วครับที่รัก คราวหลังจะไม่ยอมให้ใครมาทำรอยบนตัวได้ง่ายๆ อีกแล้ว ถ้ามันจะทำให้คีลคลั่งขนาดนี้

“คะ… คีล! มะ ไม่ไหว! หยุดก่อนครับ ผม---! ”

เอลเลียตครางออกมาอีกระลอกเมื่อคนด้านหลังส่งเขาถึงจุดสุดยอดรอบหนึ่ง หากคีลก็ทำให้เอลเลียตแทบคลั่งด้วยการไม่หยุดกระแทกร่่างลงมาซ้ำๆ แม้แต่ตอนที่น้ำสีขาวขุ่นทะลักออกมา

เป็นเซ็กส์ที่โคตรเจิ่งนอง ขาของเขาเปียกไปหมดแล้วตอนนี้

แล้วเอลก็ต้องครางออกมาอย่างต่อเนื่องเมื่อคีลเร่งจังหวะมากขึ้น โน้มตัวลงมาเบียดแผ่นหลังเขา มือประคองที่แผ่นอกพร้อมกับขยำมันไปด้วย เสียงเนื้อกระทบกันบดเบียดรุนแรงราวกับโกรธกันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วทำเอาเอลเลียตน้ำตาเล็ด เขาได้ยินเสียงกระซิบข้างหูที่ฟังดูดุดันและพร่ำเพ้อไปพร้อมๆ กัน

“คุณเป็นของผม เอล… ผมจะทำให้ร่างกายคุณรู้”

...เขาก็รู้อยู่แล้วล่ะน่า ไม่ต้องรุนแรงขนาดนี้ก็ได้!

เอลอุทานออกมารอบเมื่อมือหนาที่ยึดสะโพกเขาไว้อยู่กดเข้าหาลำตัวของคีลอย่างแรง สัมผัสอุ่นซ่านจากน้ำกามที่ทะลักเข้ามาในตัวทำให้เอลเลียตต้องบิดตัวเล็กน้อยด้วยความเสียวซ่าน คีลค่อยๆ ผละตัวออกหากมือยังคงเปะป่ายบนร่างกายเขาพร้อมกับประทับจูบลงบนที่ต่างๆ ไม่ว่าจะป็นหัวไหล่ แผ่นหลัง และตอนนี้มือหนาก็กำลังลูบคลำสร้อยคอที่เจ้าตัวให้เขาเอาไว้ เอลเลียตหันหน้ากลับไปหาคีล จากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็จูบกันเป็นครั้งแรกของค่ำคืนนี้ เอลคิดว่าคีลจะทำโทษเขาด้วยการไม่ยอมให้จูบเสียแล้ว แต่เหมือนร่างสูงจะยังไม่ใจร้ายขนาดนั้น

“ผมเป็นของคุณ คีล” เอลเลียตว่าขณะผละจูบออก มองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลของอีกฝ่ายเพื่อบอกคนตรงหน้าเข้าใจ “เป็นของคุณทุกอย่างเลย ทั้งตัวและหัวใจ เพราะงั้นไม่ต้องห่วงหรอกว่าผมจะไปมีใคร”

“เหรอครับ แล้วรอยนั่นล่ะ? ”

เอลเลียตคว่ำปากลง “ก็ขอโทษแล้วไงครับ ที่รัก คุณเองก็ทำโทษผมเรื่องนั้นไปแล้วไม่ใช่เหรอ? อย่างอแงนักสิ”

“อ้อ ผมผิดที่งอแงงั้นเหรอครับ? ”

เฮ้ย… หมอนี่มันยอมรับว่าตัวเองงอแงด้วย? อ๊าก โคตรน่ารัก!

“เปล่า ผมผิดเองที่ไม่ระวังตัวดีๆ ” เอลเลียตว่าพร้อมกับเลื่อนมือไปประคองหน้าของอีกฝ่าย ส่งยิ้มหวานเอาใจสำทับด้วยอีกที “คราวหน้าผมจะระวังนะครับ เพราะงั้นยกโทษให้ผมเถอะ”

คีลนิ่วหน้าเล็กน้อย แต่ก็ยอมก้มหน้าลงไปวางหน้าผากของตัวเองลงบนหน้าผากของอีกฝ่าย เอลเลียตเริ่มจับทางได้ว่าเมื่อไรที่คีลทำแบบนี้แปลว่าคีลกำลังอ้อนเขา และนั่นทำให้เจ้าตัวคลี่ยิ้มกว้างมากขึ้น หอมแก้มอีกฝ่ายฟอดใหญ่ มือจับปลอกกระสุนที่ติดอยู่กับสร้อยบนคอยกขึ้น

“นี่ไง คุณสวมปลอกคอให้ผมแล้วไม่ใช่เหรอครับ ผมมีเจ้าของแล้ว แถมถ้าผมไม่ระลึกถึงเรื่องนั้นดีๆ ผมก็มีปลอกกระสุนนี่คอยเตือนความอยู่นี่ไง ว่าถ้าผมออกนอกลู่นอกทางเมื่อไหร่ผมโดนคุณเป่าดับแน่”

“แต่คุณก็รู้อยู่แล้วว่าผมทำแบบนั้นไม่ได้” เป็นครั้งแรกที่เอลได้ยินคีลพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนน้อยใจ แถมเจ้าตัวยังดึงตัวเขาไปกอดแนบอกอย่างหวงแหนที่ชวนให้ใจเต้นตึกตักแบบสาวน้อยวัยมัธยม “คุณก็รู้ว่าผมรักคุณ แล้วผมจะทำร้ายคุณได้ยังไง”

“อ้อ เอ่อ ผมว่าคุณทำได้นะ”

“เอล” เรียกเสียงขู่ต่ำ เอลเลียตหัวเราะร่วนออกมา กอดแผ่นหลังกว้างตอบ รับรู้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายอีกฝ่ายอย่างเต็มเปี่ยม

“ผมก็รักคุณ คีล รักคุณมาก เพราะงั้นผมจะไม่ทำให้คุณเสียใจหรอก”

คีลกอดอีกฝ่ายกลับ จากนั้นก็พาคนในอ้อมแขนไปจบที่เตียง ขยี้ริมฝีปากของเอลเลียตด้วยจูบร้อนแรงอีกรอบ คราวนี้ร่างสูงยอมปิดไฟห้องลงแต่โดยดี ปล่อยให้ความมืดปกคลุมพวกเขาทั้งคู่ที่ปลุกปล้ำกันอยู่บนเตียง จูบของคีลกำลังฆ่าเอลเลียตอีกครั้ง เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้

และคนผมน้ำตาลก็ได้รับรู้ว่าบทลงโทษของเขายังไม่จบ…







หลังจากที่เอลเลียตกลับไปตีซี้กับเทลออฟอดัมส์ได้อีกครั้ง เจ้าตัวก็ได้ข้อมูลการวางแผนปล้นธนาคารผ่านทางลีโอมาได้อย่างฟลุ๊คๆ และแน่นอนว่าจากข้อมูลตรงนั้น ทีมของคีลสามารถหยุดยั้งการโจรกรรมที่เกือบจะเกิดขึ้นไว้ได้โดยการวางแผนล่วงหน้าก่อนวันลงมือจริงอย่างดิบดี ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้ทางตำรวจได้รับความดีความชอบไปอย่างล้นหลาม แต่ร่างสูงที่ปนะจำตำแหน่งทีมเฉพาะกิจนี้กลับไม่ค่อยยินดีกับเรื่องนี้สักเท่าไรนัก

“งั้น… วันนี้ผมไปก่อนนะครับ” เอลเลียตว่าหลังจากที่คีลพาเขามาส่งที่สถานีรถไฟ หลังจากนี้เจ้าตัวจะไปพบกับเทลออฟอดัมส์ที่อื่นด้วยตัวคนเดียว ไม่มีเครื่องติดตามหรือเครื่องดักฟังเหมือนอย่างเคย เขาไม่สบายใจทุกครั้งที่ต้องปล่อยเอลไปเผชิญหน้ากับผู้ชายคนนั้นเพียงลำพัง “แล้วเดี๋ยวเสร็จทุกอย่างแล้วจะติดต่อไป แต่คงจะเย็นๆ เหมือนเคยนั่นแหละ เห็นรอบนี้ลีโอบอกว่าอยากพาผมกับเกลไปที่กาสิโน”

“ดูรอบตัวให้ดีๆ นะครับ เอล ถ้าเห็นอะไรไม่น่าไว้ใจให้รีบติดต่อผมกับทีม”

“ผมรู้แล้วครับ” เอลเลียตว่าพร้อมกับยิ้มกว้าง เขาดีใจที่ตัวเองทำประโยชน์ให้ร่างสูงได้จริงๆ เพราะช่วงแรกๆ เขากังวลเหมือนกันว่าจะทำให้ลีโอเชื่อใจได้ไหม แล้วถ้าเขาไม่นอนกับหมอนั่นแล้ว ไอ้บ้านั่นจะยอมให้เขาไปป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ทั้งที่ไม่ได้ทำอาชญากรรมร่วมกันอีกหรือเปล่า

แต่เหมือนว่าความสัมพันธ์เก่าๆ ของไอเดนกับอดัมส์จะช่วยเขาไว้ได้มากทีเดียว เอลเลียตรู้ใจอีกฝ่ายมากพอๆ กับที่อดัมส์ชื่นชอบช่วงเวลาที่ได้อยู่กับเอล ดังนั้นต่อให้ไม่ได้ทำงานเดิมร่วมกันหรือมีเรื่องอย่างว่าเข้ามาเกี่ยว พวกเขาสองคนก็ยังพอจะเกี่ยวพันได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และเกมการพนันก็เป็นอะไรที่ลีโอโปรดปรานเป็นพิเศษ และเอลเลียตก็มีฝีมือทางด้านนี้ที่จะพอจะช่วยเอนเตอร์เทนให้ลีโอได้

คีลบีบมือคนรักลับๆ ของตัวเองแน่นอีกครั้งก่อนจะยอมปล่อย มองเอลเลียตโบกมือหย็อยๆ ให้ก่อนจะผลุบหายเข้าสถานีรถไฟไป

หลายครั้งที่เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีหายเขาไปทั้งๆ แบบนั้น หรือไม่บางทีเอลเลียตอาจจะโดนลีโอจับได้แล้วเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นกับเจ้าตัว

คีลมีสารพัดอย่างเกี่ยวกับคนผมน้ำตาลให้กังวล แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเชื่อใจอีกฝ่าย แล้วก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

เสียงโทรศัพท์ที่อยู่กระเป๋ากางเกงดังขึ้น เขายกมันขึ้นมาดูชื่อคนโทรเข้าก่อนจะกดรับสาย กรอกเสียงสั้นๆ ลงไป ปลายสายตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงตื่นทีเดียว

“เฮ้ วิลล์ นายต้องไม่เชื่อแน่ว่าเราเจอสิ่งที่น่าสนใจ”

“ว่าไงครับ ฟอร์ด” สิ่งหนึ่งที่คีลเกลียดมากที่สุดคือการพูดไม่ตรงประเด็น และเพื่อนร่วมทีมเขาคงรู้ถึงได้รีบว่า

“ผมเพิ่งมีโอกาสได้คุยกับทนายของเอลเลียต เทย์เลอร์ หล่อนชื่อลอเรน ลี คุณจำหล่อนได้ไหม ที่ฟาดฟันกับทางเราน่าดูในศาลน่ะ”

คีลจำหญิงสาวผู้มีเชื้อสายอเมริกัน-เอเชียคนนั้นได้

“ครับ ผมจำได้ ทำไม? ”

“ตอนนี้นายส่งเทย์เลอร์เสร็จแล้วรึเปล่า? แวะเข้ามาที่สำนักงานหน่อยได้ไหม ฉันว่านายน่าจะอยากได้ยินจากปากหล่อนตรงๆ มากกว่า”

คีลหวังว่าสิ่งที่ฟอร์ดอยากให้เขารับรู้จะคุ้มกับค่าน้ำมันนะ





-------------------------------------------
Talk: เรื่องนี้เราจะได้ตีพิมพ์กับสนพ. รักคุณนะคะ หลายคนอาจจะรู้แล้ว หลายคนอาจจะยังไม่รู้ มาบอกไว้ก่อนให้เตรียมเงินล่วงหน้า 55555 น่าจะเปิดจองช่วงก.พ. ปีหน้าค่ะ ยังไงก็ฝากคีลเอลไว้ด้วยนะคะ >3< 
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 19) P.5 [6/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 06-12-2017 19:26:55
โหววทำโทษกันได้ดุเดือดเลือดไหลมาก นานๆจะเห็นคีลสั่งเอล ตั้งแต่มาอยู่ด้วยกันก็จะเอลครับๆ 555 ทำไมชอบคำว่าปากดีของคีล  :hao7: ชอบที่ไม่งี่เง่าปากแข็งใส่กันเรื่องไหนไม่ชอบก็บอกกันตรงๆ แปลกใจนิดที่เอลเลียตนางอายที่จะทำอะไรๆตอนเปิดไฟสว่างๆก็เห็นเฮี้ยวซะขนาดนั้น น่ารักดี 555 รอเปย์ค่ะๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 19) P.5 [6/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 06-12-2017 20:05:22
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 19) P.5 [6/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 06-12-2017 20:58:10
กลัวใจคนเขียน ทรมานทรกรรมนายเอกอีก
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 19) P.5 [6/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ทันฌะ ที่ 06-12-2017 22:12:18
โอ้ยยยยย อ่านตอนนี้ละตายไปเล๊ยย เขินเหมือนตัวเองเป็นเอลอ่ะ55555 คีลนี่เวลาพูดแต่ละทีคือเหมือนเด็ธช็อต  :hao7: :jul1: เขินเด้ออ // เตรียมตังค์ๆๆๆเปย์แน่ๆ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 19) P.5 [6/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 06-12-2017 22:17:30
ตายไปแล้วกับฉากลงโทษค่ะ  :jul1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 19) P.5 [6/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 08-12-2017 08:22:09
อย่างกับซีรี่ย์ฝรั่งอะ ชอบบบบบ เรานึกไม่ออกเลยว่าจะจัดการกับฮอร์ตันคนพ่อกับคนลูกยังไง ต้องนองเลือดกันอีกแน่เลย
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 19) P.5 [6/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: GiGiTTF ที่ 09-12-2017 05:45:47
หนังสือที่ควรค่าแก่การเปย์ เอลก็ทำตัวน่าขยี้ แต่แอบสงสารอดัมพิกล5555555
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 19) P.5 [6/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 09-12-2017 09:23:56

บทที่ 20



เอลเลียตมองไพ่ที่อยู่ในมือตัวเองอย่าพิจารณา ตอนนี้เจ้ามือกำลังแจกไพ่ให้กับผู้เล่นอีกรายที่อยู่บนโต๊ะเดียวกับเขาช่วยให้เจ้าตัวมีเวลาได้พิจารณาตัดสินใจว่าควรจะเรียกไพ่ใบต่อไปมาดีไหม

เขามองหน้าของผู้เล่นอีกคนก่อนจะตัดสินใจเรียกไพ่มาอีกใบ และเหมือนครั้งนี้โชคจะเข้าข้างเขาเมื่อตัวเลขทั้งหมดในมือรวมกันได้ 21 พอดี และเมื่อเกมจบ เหรียญทั้งหมดก็มากองอยู่ตรงหน้าเขาราวกับภูเขาขนาดย่อม

ผู้เล่นคนอื่นๆ มองชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาล แต่งกายด้วยชุดลำลองสุภาพแต่ไม่ฉูดฉาดด้วยสายตาอิจฉา ช่วงแรกๆ ที่เริ่มเล่นพนันใหม่ๆ เอลเลียตก็สนุกกับเกมพวกนี้อยู่หรอก เลือดในกายมันสูบฉีดดีเวลาลุ้นว่าไพ่ใบต่อไปจะออกมาเป็นอะไร แต่สำหรับตัวเขาที่มาบ่อนแห่งนี้ด้วยจุดประสงค์อื่น ชัยชนะเหล่านี้ชักจะทำให้เขาเบื่อ

นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบมองคนที่ลากเขากับเกลมาอย่างเบื่อหน่ายนิดหนึ่ง ตอนนี้เจ้าตัวกำลังเมามันกับการเล่นสนุกเกอร์โดยมีเกลตามติดแจอยู่ข้างตัวไม่ห่าง เขารวบชิปทั้งหมดตรงหน้าแล้วเดินไปหาคนผมบลอนด์ เอ่ยปากถามเสียงเนือย

"นี่ใจคอจะเล่นไปถึงกี่โมงเนี่ย อดัมส์ ไม่ใช่ว่าป่านนี้เราต้องขับรถกลับฟลอริด้าแล้วเหรอ เดี๋ยวก็มืดค่ำพอดีหรอก"

"ใจเย็นสิครับ ไอเดน" ลีโอว่าขณะที่มองผู้เล่นคนอื่นเล็งลูกกลมๆ บนโต๊ะพรมเขียว เขายกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา "เออ แต่ก็จริงของนายแฮะ สงสัยวันนี้คงกลับไม่ทัน"

"นายว่าไงนะ" ถามกลับอย่างไม่อยากจะเชื่อหู "พูดบ้าอะไรของนาย ถ้านายเลิกตานี้ยังไงก็กลับไปทัน แค่อาจจะค่ำหน่อยแต่ยังไงก็ไม่ดึกเกินไปแน่"

"ฉันว่าจะพาเกลไปทะเลสาบหลังจากจบเกมนี้" เจ้าตัวพูดหน้าตาเฉย หันไปยิ้มให้เด็กหนุ่มอีกคนที่ส่งยิ้มแป้นกลับมาให้ "สัญญาไว้แล้วตั้งแต่ก่อนจะมาน่ะ"

"ช่าย ที่รักสัญญาแล้ว"

เอลเลียตรู้สึกมึนหัวตึ้บขึ้นมาทันที "ไม่เห็นนายบอกก่อนสักคำ"

"ก็ว่าจะบอกตอนนี้แหละ" พูดพร้อมกับทำมือเป็นเชิงขอตัวแล้วเดินไปจัดการกับลูกสนุกเกอร์บนโต๊ะ ลีลาเจ้าตัวเหลือรับ และฝีมือแม่นราวกับจับวางนั่นเรียกเสียงโห่ฮาจากคนอื่นๆ ที่เล่นอยู่ในเกมเดียวกันได้ และเมื่อลีโอเดินกลับมา เกลก็เขย่งตัวขึ้นไปหอมแก้มร่างสูงฟอดหนึ่งเพื่อให้รางวัล เอลเลียตจำได้ว่าเขาเองก็เคยทำแบบนั้นเหมือนกันเพราะลีโอชอบ อีกฝ่ายแกล้งหันหน้ามาให้เขาสีหน้ายิ้มๆ "ว่าไง ไอเดน ไหนรางวัลฉัน? "

"เอารองเท้าฉันไปกินเถอะ ลี-- อดัมส์ นี่ฉันไม่ได้บอกแฟนฉันก่อนนะโว้ยว่าวันนี้จะไม่กลับน่ะ" เจ้าตัวโวยวาย ในใจเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาว่านี่เป็นแผนอะไรของอีกฝ่ายรึเปล่า ถึงแม้ว่าช่วงเวลาสองเดือนที่เขาแวะเวียนมาหาหมอนี่จะไม่มีวี่แววอะไรน่าเป็นห่วงก็ตาม แต่เขาก็อดหวาดเสียวไม่ได้ตามประสาคนที่มีชนักติดหลัง หากคนผมบลอนด์ก็ยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างน่าตบ

"จะไปยากตรงไหน ที่รัก นายก็โทรไปบอกเสี่ยนายสิว่าวันนี้จะค้างคืนกับเพื่อน ยังไงเขาก็ไว้ใจนายขนาดให้มาหาฉันเรื่อยๆ อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ แค่ค้างด้วยกันสักคืนแค่นี้จะเป็นอะไรไป"

"มันไม่เหมือนกันรึเปล่าวะ" เอลเลียตทำทีเป็นหัวเสียเพื่อกลบเกลื่อนอาการหวาดระแวง "มาหาตอนกลางวันกับค้างคืนด้วยกัน... เขาจะคิดว่าฉันนอกใจเอาน่ะสิ"

ถึงตรงนี้ลีโอก็หัวเราะออกมาอย่างไม่ปิดบัง เลื่อนแขนมาโอบรอบคอของเอลเลียตก่อนจะกระซิบกับเจ้าตัวด้วยน้ำเสียงแฝงความนัย

"นายก็รู้ว่าเรื่องนั้นมันไม่สำคัญ ไอเดน ถ้าเราคิดจะมีอะไรกัน เรามีกันที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ จำได้ไหมตอนนั้นที่เรามีเซ็กส์กันในห้องน้ำที่ร้านอาหารแถวๆ เซ็นทรัล--"

"หุบปากได้แล้ว ลีโอ" เอลเลียตยกมืออุดปากคนพูดอย่างหัวเสีย "ให้ตายเถอะ ฉันอุตส่าห์ลืมเรื่องพวกนั้นไปหมดแล้วนะ อย่ารื้อฟื้นได้ไหม"

"ยอมรับเถอะว่านอนกับฉันเด็ดกว่านอนกับคนใหม่ของนาย เอล ขอฉันเดานะว่าหน้าตาของคู่ขาของนายคงไม่เลว และลีลาก็คงพอได้ แต่ยอมรับเถอะว่าไม่ร้อนแรงเท่านอนกับฉัน ที่เรามีกันนั่นเป็นเซ็กส์ที่ดุเดือดที่สุดเท่าที่จะมีได้ เราทั้งคู่ต่างก็รู้เรื่องนี้กันดีอยู่แล้ว"

นี่แหละ ลีโอ ฮอร์ตันของแท้เลย

"พอเถอะ ลีโอ" เอลเลียตว่า พยายามไม่ทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายออกมา "มันไม่ใช่แค่เรื่องลีลาหรือหน้าตาสักหน่อย"

แต่อยู่ที่หุ่น... อ้อ นั่นก็ไม่ใช่เหมือนกันสินะ

"เอาจริงสิ? " ลีโอทำตาโต ก่อนจะหรี่เล็กลง "นายจะพูดถึงเรื่องของความรักอะไรแบบนั้นงั้นเหรอ ไม่เอาน่า เอลเลียตคนดี ถ้านายพูดแบบนั้นจริงๆ มันจะทำให้นายหมดเสน่ห์ลงไปเยอะเลย"

นี่เมื่อก่อนเขานอนกกกับไอ้หมอนี่ได้เป็นเดือนๆ จริงดิ?

“หนวกหูน่า”

แต่คนผมน้ำตาลต้องยอมรับอยู่อย่าง ตัวเขาในตอนนี้แตกต่างกับสมัยที่คบกับลีโอจริงๆ ถ้าเป็นตัวเขาเมื่อก่อนก็อาจจะเป็นแบบที่ลีโอว่าก็ได้ เอลไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นหรือว่าแย่ลง แต่เขาก็ไม่ได้เกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้หรอกนะ

หลังจากนั้นเกลก็เข้ามาขัดจังหวะพวกเขาสองคนเพราะอยากได้รับความสนใจจากลีโอบ้าง เอลเลียตเลยถือโอกาสหลบเข้าห้องน้ำไปโทรศัพท์หาที่รักตัวจริงของตัวเองบ้าง

คีลรับสายเร็วทันใจ และเอลเลียตก็เล่าสถานการณ์ของตัวเองให้อีกฝ่ายฟังอย่างรวบรัดได้ใจความ คีลเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดด้วยเสียงเคร่งเครียด

“เอลครับ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน ให้ผมส่งใครไปคอยเฝ้าคุณไว้ดีไหม”

เอลเลียตลังเลกับข้อเสนอนั้น เขาค่อนข้างมั่นใจว่าตอนนี้ลีโอไว้ใจเขาเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว ถ้าเกิดว่าคนของคีลมาทำให้หมอนี่ระแคะระคายขึ้นมา สิ่งที่ทำมาทั้งหมดอาจจะสูญเปล่าได้

แต่ในขณะเดียวกัน คนผมน้ำตาลเองก็หวั่นใจไม่น้อยกับสถานการณ์แบบนี้เหมือนกัน เขาไม่เคยต้องอยู่กับลีโอแบบค้างคืนในสถานการณ์แบบนี้มาก่อน สถานการณ์ที่แบบ… เขาตั้งใจจะแทงข้างหลัง ล้วงข้อมูลจากอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุดน่ะ

เออ แต่พอคิดอีกที มันอาจจะเป็นโอกาสดีก็ได้นะ ถ้าไม่ติดที่ว่าร่างกายของเขาอ่อนแอลงฮวบฮาบตั้งแต่ที่โดนแทงเมื่อหลายเดือนก่อนนั่น ถึงเขาจะได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลซึ่งคุณหมอจำเป็นของเขาหาทางพาเขาเข้าไปรักษาและเข้ารับการผ่าตัดอย่างลับๆ และทำการบำบัดรักษามาตลอด แต่ยังไงร่างกายเขาก็ไม่มีทางกลับไปแข็งแรงสมบูรณ์ได้เหมือนเดิมอยู่ดี

เอลเลียตชั่งใจอยู่ครู่ ยังไงเสียกันไว้ก่อนก็ดีกว่าแก้ และเขากลัวว่าถ้าพลาด เขาอาจไม่มีชีวิตอยู่ให้แก้ตัวได้อีก คนผมน้ำตาลจึงยอมบอกที่อยู่โดยสังเขป และโชคดีที่ตอนนี้เจนนิเฟอร์ เคลลี่ไปประชุมสัมนาในเขตพื้นที่นั้นพอดี จบงานนั่นก็คงตามประกบเอลเลียตให้คีลได้

“ไม่ต้องห่วงนะครับ เอล เคลลี่เป็นมือหนึ่งด้านการสะกดรอยตามเลย ไม่ถูกจับได้แน่ แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นหล่อนก็บุกเข้าไปช่วยคุณได้ทันท่วงทีด้วย”

เอลเลียตไม่ได้อยากจะหึงหรอกนะ แต่พอได้ยินน้ำเสียงชื่นชมของคีลที่มีต่อผู้หญิงคนนั้นแล้วมันก็แบบ…

“คุณนี่เอาแต่ชมบอสตัวเองนะ”

"ผมไม่ได้ชมมั่วๆ นะครับ หล่อนเก่งจริงๆ " คีลที่คิดว่าอีกฝ่ายไม่มั่นใจในฝีมือของหญิงสาวยืนยัน "ไม่อย่างนั้นคงไต่เต้ามาถึงระดับนี้ด้วยอายุเท่านี้ไม่ได้หรอก"

ดูมัน มันยังไม่รู้ตัว

"อ้อ เหรอครับ ถ้าหล่อนเก่งขนาดนั้น ทำไมคุณไม่ไปคบกับหล่อนให้รู้แล้วรู้รอดเลยล่ะ" เอลเลียตพูดเสียงประชด และปลายสายเข้าใจทันทีว่าคนรักกำลังเป็นอะไร ก็เอลเลียตไม่ได้คิดจะปกปิดความรู้สึกตัวเองเลยนี่

และถึงแม้จะรู้ว่าเอลเป็นอะไร ร่างสูงก็ยังอดถามกลับน้ำเสียงกลั้วหัวเราะไม่ได้อยู่ดี "นี่คุณหึงอยู่งั้นเหรอครับ เอล"

"อ้อ คงเปล่ามั้งครับ ไม่ได้หึงเล้ย พูดขนาดนี้แล้วเนี่ย"

"หึงไม่รู้จักเวล่ำเวลา" น้ำเสียงอีกฝ่ายยังกลั้วหัวเราะ บ่งบอกให้รู้ว่าแค่แซวเล่นมากกว่า เอลจึงเริ่มหลุดยิ้มออกมา

"พูดไม่ดูตัวเองเลย คุณสายสืบ คราวก่อนใครกันที่ทำเอาผมแทบทรุดเพราะหึงไม่เข้าท่า"

"ไอ้ที่คุณเป็นรอยที่คอน่ะเหรอ? คุณจะบอกว่าผมไม่ควรหึงด้วยเรื่องนั้นรึไงครับ แล้วถ้าคอผมมีรอยที่คนอื่นทำบ้างล่ะ คุณจะไม่หึงเลยงั้นสิ? "

"ผมเอาคุณตายแน่" เอลเลียตโวยวาย แค่คิดตามที่คีลว่าเขาก็จี๊ดแล้ว "แล้วก็จะฆ่าไอ้คนที่ทำรอยนั่นด้วย"

"งั้นคุณก็น่าจะดีใจนะที่ผมไม่เอาคุณตาย"

อุ้ย ลืมไปว่ามีเรื่องนี้เป็นชนักติดหลังอยู่

"จะยังไงก็แล้วแต่ครับ" น้ำเสียงของคีลกลับมาเอาจริงเอาจังเหมือนเคยเพื่อบอกว่าหมดเวลาล้อเล่นแล้ว "ถ้าคุณเห็นมีอะไรไม่ชอบมาพากล กดปุ่มโทรออกฉุกเฉินได้เลย ผมจะให้เคลลี่แอบตามพวกคุณจากจีพีเอสที่ติดอยู่กับโทรศัพท์ อย่าประมาทนะ เอล คราวนี้มันแปลกๆ ไม่เหมือนกับครั้งก่อนๆ ที่คุณเจอหมอนั่น และผมรู้สึกไม่ดีเลย"

"ผมจะระวังตัวครับ" เอลเลียตรับคำ เขารู้ว่าวันนี้คีลต้องไปบุกบ้านผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งซึ่งเสี่ยงอันตรายมากพออยู่แล้ว ไม่อยากให้ร่างสูงต้องมากังวลเรื่องเขาอีก "คุณเองก็เหมือนกัน ระวังตัวด้วยนะ แล้วถ้ามีอะไรคืบหน้ากว่านี้ผมจะติดต่อไป"

ลีโอขับรถพาเขากับเกลไปที่ทะเลสาบแห่งหนึ่งหลังจากที่ออกจากบ่อนแห่งนั้นตามที่พูดไว้ เกลดูจะมีความสุขกับการวิ่งเหยาะๆ ไปตามแนวของลำน้ำ สนุกกับการดึงตัวลีโอเข้าไปถ่ายรูปเซลฟี่กับตัวเองหลายต่อหลายมุม เอลเลียตมองตามทั้งสองคนด้วยความรู้สึกประหลาด แค่คิดว่าครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยฉอเลาะกับลีโอแบบนั้นแล้วก็รู้สึกสะท้อนใจอย่างไรชอบกล เขามองคนผมบลอนด์ที่ก้มลงจูบเด็กหนุ่มร่างเล็กในอ้อมแขน ตรงนั้นมันเคยเป็นที่ของเขา ไม่ใช่ว่าเอลเลียตอาลัยอาวรณ์และอยากจะกลับไปอยู่ตรงจุดนั้นหรอกนะ เพียงแต่มันให้ความรู้สึกที่แปลกมากๆ ก็เท่านั้น

ค่ำนั้น พวกเขาทั้งสามคนก็ต้องมาจบอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งลีโอขับรถเจอเป็นที่แรก เอลเลียตอยากจะขอบคุณเหลือเกินที่ลีโอยังใจดีขอสองห้อง ถึงแม้ว่ามันจะเชื่อมกันด้วยประตูตรงกลาง แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องดูหนังสดของคนผมทองกับเกลแบบต่อหน้าต่อตา ดังนั้นแล้วแค่เสียงครวญครางที่ดังลอดมาให้ได้นี่ยินถือว่าจิ๊บจ๊อยมาก

หลังจากที่จัดการอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมเข้านอนเรียบร้อย เอลเลียตก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะโทรหาคีลดีไหม แต่ฟังจากเสียงหนังสดข้างห้องแล้วรู้เลยว่าผนังกั้นนี่มันบางมากๆ เกิดลีโอได้ยินที่เขาพูดกับคีลแล้วความลับแตกขึ้นมาน่าจะเสียหายหลายแสน เอาเป็นว่าไว้ค่อยว่ากันพรุ่งนี้ดีกว่า แค่นี้ตาเขาก็แทบจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่อยู่แล้ว

ตอนแรกเอลเลียตก็คิดจะหาทางล้วงความลับหรือข้อมูลจากเทลออฟอดัมส์ให้ได้มากกว่านี้ในยามค่ำคืน แต่เพราะร่างกายที่อ่อนแอลงของเขา แค่ด้วยกิจกรรมที่ทำมาทั้งวันก็ทำเอาเขาอ่อนเพลียจนยกเปลือกตาไม่ขึ้นทันทีที่หัวถึงหมอน ชายหนุ่มผมน้ำตาลผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว ไม่แน่ใจเหมือนกันว่านอนไปนานแค่ไหน แต่สัญชาตญาณในตัวเขายังคงทำงานดีอย่างไร้ที่ติเมื่อตอนที่เสียงเปิดประตูตรงกลางที่เชื่อมทั้งสองห้องเอาไว้ดังขึ้น

เสียงน้ำหนักฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาทำให้เอลเลียตรู้ว่านั่นคือลีโอ ไม่ใช่เกล หรือถ้าไม่ใช่ลีโอก็ต้องเป็นคนที่มีน้ำหนักและส่วนสูงไล่เลี่ยกัน และถ้านี่ไม่ใช่ลีโอจริงๆ ก็น่ากลัวแล้ว

คนผมน้ำตาลที่ยังแกล้งหลับเริ่มกระวนกระวายในใจ กลัวไปสารพัดว่าหมอนี่อาจจะจับไต๋เขาได้และกำลังจะมาจัดการเขา หรือถ้าแย่ไปกว่านั้นก็อาจส่งใครมาก็ได้

แต่ยังไม่ทันได้วิตกจริตไปมากกว่านี้ สัมผัสแผ่วเบาก็แตะลงบนแก้มเขา ไล้มาถึงที่ลำคอ สร้อยที่คีลให้เขามาถูกเลื่อนไปมา จากนั้นลมหายใจอุ่นก็รดลงบนข้างแก้ม สันจมูกที่ถูกกดลงมาทำให้เอลเลียตไหวตัวอย่างตกใจ เขาเผลอเปิดเปลือกตาขึ้นมาวูบหนึ่งจากนั้นจึงปิดกลับลงไปแทบไม่ทัน

คนที่กำลังคลอเคลียอยู่แถวซอกคอเขาตอนนี้คือลีโอจริงๆ เขาควรจะเลิกแกล้งหลับแล้วลุกไปผลักไอ้หมอนี่ออกดีกว่าไหม ไอ้บ้านี่มันกะจะลักหลับเขาแบบนี้จริงดิ? แล้วมันมีอาวุธอะไรติดมือมารึเปล่า

"เอลเลียต" เสียงกระซิบที่อัดแน่นไปด้วยแรงปรารถนานั่นทำให้เขานึกกลัว หวังว่าไอ้บ้านี่คงไม่ได้กำลังถกกางเกงแล้วช่วยตัวเองไปทั้งๆ แบบนี้นะ ไม่งั้นเขาต้องลุกไปถีบลีโอลงจากเตียงแน่ แล้วไอ้หมอนี่มันจะคึกอะไรนัก เพิ่งจะซัดกับไอ้เด็กนั่นมาหยกๆ ไม่ใช่รึไง!?

แต่ลีโอก็ไม่ได้ทำอะไรอย่างที่เอลเลียตนึกกลัว หมอนั่นผละหน้าออกไปแม้ว่าฝ่ามือจะยังลูบอยู่บนเส้นผมสีน้ำตาลนุ่ม เสียงกระซิบจากอีกฝ่ายลอยแผ่วมาให้เขาได้ยิน

"ทำไมนายถึงไม่ยอมเป็นของฉัน เอลเลียต เทย์เลอร์"

ลีโอพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น เอลเลียตได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายเดินกลับเข้าไปในห้อง เสียงปิดประตูเบาๆ ไล่หลังมา

ทำไมเขาถึงไม่ยอมเป็นของลีโออย่างนั้นเหรอ? หมอนั่นช่างกล้ามากที่พูดแบบนี้ออกมา ในเมื่อตอนนั้นเมื่อไม่กี่ปีก่อน ลีโอเคยได้เขาไปครอบครองแล้ว และก็เป็นหมอนั่นเองอีกนั่นแหละที่ออกปากว่าไม่ได้อยากได้เขา

แรกเริ่มเดิมทีที่พวกเขาคบกัน มันก็เป็นเหมือนความสัมพันธ์เล่นๆ ที่เอาจริงเอาจังเฉพาะเรื่องบนเตียง และพอเวลาผ่านไป เอลเลียตก็ถามอีกฝ่ายว่าอยากให้ทุกอย่างมันจริงจังกว่านี้ไหม แบบที่เขาก็จะไม่มีใครคนอื่น แล้วลีโอเองก็จะมีแค่เขา แล้วไอ้หมอนั่นก็ตอบปฏิเสธคำถามนั้นอย่างไม่ไยดี

และว่ากันตามตรง เขาก็ไม่แปลกใจกับคำตอบนั้นเท่าไรหรอกเพราะเดานิสัยอีกฝ่ายได้อยู่แล้ว เอลเลียตเองก็ไม่ได้เจ็บช้ำอะไรจากเรื่องนี้ แต่ประเด็นของเรื่องนี้ที่เขาอยากจะพูดก็คือ เขาเคยให้โอกาสหมอนั่นแล้ว แค่นั้นเอง แต่เดี๋ยวมันก็ผ่านไป เขาไม่คิดว่าลีโอจะผูกติดอะไรกับมากขนาดนั้น

แน่นอนว่าความสัมพันธ์ระหว่างอายออฟไอเดนกับเทลออฟอดัมส์แน่นแฟ้นและลึกซึ้งกว่านั้น ลีโอเป็นคนที่มอบฉายานี้ให้เขาตอนที่พวกเขาสองคนกระโจนเข้าไปในขบวนการก่ออาชญากรรมอย่างเต็มตัว หมอนั่นเองนั่นแหละที่เป็นคนออกปากชวนเขาทำอะไรบ้าบิ่นแบบนั้นหลังจากที่ทั้งคู่ทำความรู้จักกันได้ไม่นาน

นัยน์ตาสีฟ้าเหม่อมองเพดานของห้อง เอลเลียตยอมรับว่าช่วงเวลาระหว่างเทลออฟอดัมส์กับอายออฟไอเดนมีค่า เหมือนว่าพวกเขาทั้งคู่ได้ฟันฝ่าอะไรมาด้วยกันมากมาย แต่เขากลับไม่เชื่อในตัวลีโอ ฮอร์ตัน ไม่เชื่อว่าหมอนั่นจะรักเขาได้อย่างที่เจ้าตัวแสดงออกมาเมื่อครู่ ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงสิบนาทีที่เจ้าตัวก้าวเข้ามาในห้องนี้

หมอนั่นน่าจะรู้ว่าเขาตื่นอยู่… ต้องรู้อยู่แล้วเพราะมันชัดเจน งั้นแปลว่าเมื่อกี้นั่นเป็นละครงั้นเหรอ? เป็นสิ่งที่ลีโออยากให้เขาเห็นงั้นเหรอ หรือว่ามาจากใจจริงๆ ของเจ้าตัวแล้วก็อยากให้เขาเห็น?

ไม่… ไม่มีทาง ถ้านั่นมาจากใจจริงของหมอนั่นละก็ ลีโอไม่มีทางอยากให้เขาเห็นหรอก

หรือเปล่า?

คนผมน้ำตาลปิดตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน เขาปล่อยให้ความงุนงงเหล่านั้นลอยอยู่ในอากาศ มือของเจ้าตัวเอื้อมไปจับจี้ที่เป็นปลอกกระสุนที่คีลให้ไว้อย่างไม่รู้ตัว จากนั้นก็จมเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

ไม่ว่าลีโอจะรู้สึกยังไงกับเขาตอนนี้ก็ช่าง ตอนนี้เขามีปลอกคอกับปลอกกระสุนนี่แล้ว และเขาก็จะไม่มีวันทรยศความเชื่อใจของคีลอีกเด็ดขาด







ร่างสูงอยู่ในเสื้อกั๊กแขนกุดซึ่งเป็นเกราะกันกระสุน มันเป็นมาตรการอย่างหนึ่งเวลาที่จะเข้าไปบุกพื้นที่ที่มีผู้ต้องสงสัยอยู่ เพราะไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าคนพวกนี้มีอาวุธอะไรอยู่ในมือบ้าง

ครั้งหนึ่งคีลเคยบุกเข้าไปค้นบ้านชายคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีฆาตกรรม เขาโดนกระสุนพุ่งเฉียดหน้าไปแค่ไม่กี่เซนฯ เพราะพยายามจะรวบตัวผู้ต้องหาโดยที่ไม่ทันระวังว่ามีพวกของมันแอบซุ่มอยู่ อันที่จริงเขาก็เคยมีเรื่องเฉียดตายหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาคิดว่าครั้งนั้นน่าจะน่าหวาดเสียวที่สุดแล้ว

“ทีม A ประจำจุด ตรงนี้ทางสะดวก”

เสียงจากเครื่องมือสารที่เหน็บอยู่ที่เอวดังขึ้น คีลที่เป็นหัวหน้าในการบุกครั้งนี้จึงหยิบมันขึ้นมากดปุ่มค้างแล้วกรอกเสียงลงไปเพื่อบอกให้อีกฝั่งรู้ว่าเขารับทราบ จากนั้นก็หันไปคุยกับคนในทีมฝั่งตัวเองอีกสองคนซึ่งเป็นคนที่เขาไม่เคยทำงานด้วยมาก่อน แต่ขอกำลังเสริมมาจากแผนกอื่น

ส่วนคนในทีมเขาจริงๆ คีลขอให้ไปทำงานอย่างอื่นในตอนนี้ และงานที่ว่าก็เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ลอเรน ลี… ทนายสาวของเอลเลียตมาคุยกับเขาก่อนหน้านี้

หล่อนไม่ได้พูดอะไรกับเขามาก หล่อนไม่รู้ว่าเอลเลียตอยู่ที่ไหน แต่ทนายจำเลยคนนั้นบอกว่าพวกตำรวจต้องรับผิดชอบกับการหายตัวไปของเขา หล่อนบอกพวกเขาว่าเอลเลียตจะเป็นกุญแจสำคัญในคดีที่อาจจะใหญ่สะเทือนได้ทั้งรัฐ แต่หล่อนก็ไม่ได้บอกกับพวกเขาตรงๆ ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน แค่สำทับนักหนาว่าทางตำรวจต้องไปหาตัวเขามาให้เจอให้ได้ แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้คีลและโจนาธาน ฟอร์ดที่นั่งอยู่ตรงนั้นมองตากันอย่างรู้ความหมายดี

แต่เพราะไม่รู้ว่าใครคือคนที่ประสงค์ดีหรือประสงค์ร้าย ทางคีลเองก็ต้องทำให้มั่นใจก่อน เขาจึงส่งทั้งฟอร์ดและจอร์แดนไปสืบหาข้อมูลมาว่าเพราะอะไรคือสิ่งที่ลอเรนรู้แน่ๆ และหล่อนไปรู้มาจากไหน ที่สำคัญที่สุด หล่อนเป็นพวกของใคร เพราะถึงหล่อนจะเป็นทนายของเอลเลียต แต่ถ้าฝั่งตรงข้ามเขาใหญ่ขนาดจูเลียน ฮอร์ตันละก็… ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ และเขาจะไม่ประมาทเชื่อใจใครง่ายๆ เด็ดขาด

แต่นอกเหนือจากเรื่องที่เขาตามสืบลับๆ นี่แล้ว เขายังต้องทำงานหลักของตัวเองไปด้วยเพื่อไม่ให้เบื้องบนสงสัย และตอนนี้ทีมของเขาก็ประจำที่ครบทุกจุดแล้วล่ะ

“มาเถอะครับ” เขาว่าขณะกระชับปืนในมือให้มั่นคงขึ้น “จัดการเรื่องนี้ให้จบกันดีกว่า”







ลีโอ ฮอร์ตันยังคงนั่งอยู่หน้าจอคอม แว่นกรองแสงกรอบสีดำประดับอยู่บนหน้าของเจ้าตัว ภายในห้องมืดสนิทเพราะเลยเวลาเข้านอนของคนทั่วไปมามากแล้ว

เด็กหนุ่มที่อยู่ในสถานะคู่ขาคนปัจจุบันของเขาหายใจอย่างสม่ำเสมอขณะพลิกตัวไปมาบนเตียง ส่วนเอลเลียต เทย์เลอร์… คู่ขาคนก่อนของเขานอนอยู่อีกห้องหนึ่งที่เขาสามารถเปิดประตูเข้าไปหาเจ้าตัวเมื่อไหร่ก็ได้ ส่วนเอลเลียตจะหลับสนิทไหมนั้น… ตอนนี้เขาไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าตอนที่เขาเปิดประตูเข้าไปหาหมอนั่น ซุกไซร้ริมฝีปากลงบนซอกคอขาวที่แสนคุ้นเคย เจ้าตัวยังลืมตาตื่นขึ้นมามองเขาอย่างตกใจอยู่เลย

หมอนั่นไม่ได้อยากจะนอนกับเขาจริงๆ …

เรื่องนั้นเห็นได้ชัดเจนมากแล้ว แม้ว่าที่ผ่านมาลีโอจะไม่มั่นใจว่าเอลเลียตเล่นตัวเพราะอยากเรียกร้องความสนใจจากเขาหรือเปล่าก็ตาม แต่ตอนนี้ก็เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าชายหนุ่มที่เคยเป็นอิสระคนนั้นถูกใครบางคนตรวนพันธนาการเข้าไว้เสียแล้ว

หมอนั่นถูกสวมปลอกคอไปแล้ว แล้วก็กลายเป็นแมวเชื่องๆ ที่ยินยอมให้เจ้าของของตัวเองจับ สัมผัส ลูบคลำได้เพียงคนเดียว

กลายเป็นคนน่าเบื่อไปซะได้… น่าเสียดายของเป็นบ้า

บางทีนั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาทั้งคู่เลิกนอนด้วยกัน ตอนที่เอลเลียตเสนอมาว่าน่าจะพาให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนไปไกลมากขึ้นโดยการที่ต่างคนต่างมีแค่เพียงกันและกันนั่น ลีโอคิดว่าคู่ขาคนโปรดของเขาเสียสติไปแล้วด้วยซ้ำ หรืออย่างน้อยหมอนั่นก็แค่นึกอยากแบบอารมณ์ชั่ววูบ

การมีอะไรกับใครได้แค่คนเดียวมันเป็นเรื่องน่าเบื่อจะตาย อย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่เขาคิด และเขาเคยคิดว่าเอลเลียตจะคิดเหมือนกัน แต่มาวันนี้ทุกอย่างมันชัดเจนแล้วว่าเอลเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ

หมอนั่นไม่ใช่เอลของเขาอีกต่อไปแล้ว หรืออาจจะไม่ใช่มาแต่แรก แต่เรื่องนั้นก็ไม่สำคัญอีกนั่นแหละ

นัยน์ตาสีฟ้ากวาดมองสิ่งที่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของเขาหาข้อมูลมาได้ แสงสะท้อนจากหน้าจอกระทบลงบนเลนส์แว่น

สิ่งที่ยังไม่ลงล็อกในเรื่องนี้มีเพียงอย่างเดียวสำหรับลีโอ

เอลเลียตยอมกลับมาคลุกคลีกับเขาทั้งที่พ่อของเขาเกือบจะเอาหมอนั่นตาย แถมไม่ได้กลับมาด้วยเรื่องบนเตียง ไม่ใช่ด้วยเรื่องยา (ถึงหมอนั่นจะไม่เคยติดยาจริงๆ ก็เถอะ แต่พวกเขาสองคนก็เคยเสพด้วยกันมาก่อนแบบขำๆ ล่ะนะ) ไม่ใช่เรื่องเงิน ไม่ใช่เรื่องพาสปอร์ต แต่ในตัวหมอนี่ก็ไม่มีเครื่องดักฟังหรืออุปกรณ์อะไรน่าสงสัยที่จะวกกลับมาทำร้ายเขาได้ทีหลัง

คำถามคือ ทำไม? ทุกอย่างย่อมต้องมีเหตุและผลอยู่ในทุกๆ การกระทำของคนเรา

เอลเลียตบอกว่าคิดถึงเขา อยากใช้เวลาว่างๆ ที่แสนน่าเบื่ออยู่กับเขา แต่ไม่ใช่ด้วยเรื่องบนเตียง

เขาเชื่อคำพูดนั่นครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งหนึ่ง ลีโอรับรู้ได้ว่ามันเป็นคำโกหก

ตอนแรกชายหนุ่มนึกไปถึงเรื่องการแก้แค้น บางทีเอลเลียตอาจจะแค้นพ่อเขาที่เกือบจะฆ่าตัวเองได้สำเร็จเลยพยายามหาทางทำอะไรสักอย่างเพื่อเอาคืนโดยผ่านจากเขา

แต่ตอนนี้… เมื่อลีโอได้พิจารณาข้อความที่สลักอยู่บนปลอกกระสุนที่ติดอยู่กับสร้อยซึ่งเปรียบเสมือนปลอกคอของอีกฝ่าย เขาก็เริ่มจะตระหนักได้ว่าความคิดแรกสุดที่เขานึกระแวงเอลเลียตนั้น ไม่ได้ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว

เอลเลียตกำลังทำงานให้ใครบางคน

และเมื่อคิดถึงช่วงเวลาตอนที่เจ้าตัวได้รับสิทธิพิเศษในการออกจากคุก คนที่เอลเลียตน่าจะคลุกคลีด้วยมากที่สุด ยังไงก็หนีไม่พ้นพวกคนจากในกรมตำรวจที่ต้องคอยตามติดความประพฤติของเจ้าตัวแจนั่นแหละ

มันจะมีเวลาไปเจอคนใหญ่คนโตที่อยู่ในฝั่งมืดที่ไหนได้… เขาเองก็โง่หลงเชื่อมันมาตั้งนาน

“อืม” คนผมบลอนด์ทองครางออกมาเบาๆ พิงหลังไปกับพนักเก้าอี้ บนหน้าจอของเขามีข้อมูลโดยสังเขปของเจ้าหน้าที่คนหนึ่งถูกเปิดค้างไว้อยู่ นี่เป็นเว็บไซต์ของกรมตำรวจ และมันก็ไม่ยากเลยที่เขาจะได้ชื่อของคนที่คอยคุมเอลเลียตโดยตรงมาไว้ในมือ

และมันก็บังเอิญ… เป็นชื่อเดียวกับที่สลักอยู่บนปลอกกระสุนที่เอลเลียตห้อยไว้บนคอเสียด้วย

“คีล วิลล์? ” ชายหนุ่มอ่านออกเสียงอย่างไม่แน่ใจ เพราะชื่อต้นสามารถอ่านได้ทั้งคีลและไคล์ แต่ไม่ว่าจะอ่านออกเสียงแบบไหนก็ไม่ผิดแน่ คนที่ใส่ปลอกคอให้เอลต้องเป็นไอ้หมอนี่อย่างแน่นอน “สายสืบงั้นเหรอ เจ๋งดีนี่หว่า”

มาดูกันซิว่าเขาจะพลิกเกมกระดานนี้ยังไงดี




----------------------------------------------
Talk: อุ๊บส์ ความแตกแล้ว เอลจ๋า ตื่นไหมคะลูกสาว 555555 
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 20) P.5 [9/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 09-12-2017 13:23:05
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 20) P.5 [9/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 09-12-2017 13:36:07
ลีโอฉลาดจัง เอลแย่แล้วว
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 20) P.5 [9/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-12-2017 14:43:42
คีลคือใครอ่ะคะ ชอบลีโอ หล่อ รวย สปอร์ต ฟลอริด้า มากกกก  :mew1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 20) P.5 [9/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: cocoaharry ที่ 09-12-2017 17:25:28
ความแตกแล้วจ้าาา
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 20) P.5 [9/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 10-12-2017 06:10:07
ลีโอรู้ตัวแล้วจ้าาา เอลจะโดนอะไรมั๊ยเนี้ยยย :katai1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 20) P.5 [9/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 12-12-2017 16:05:35

บทที่ 21




คีลก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองเป็นครั้งที่ห้าในช่วงเวลาสิบนาทีที่ผ่านมา

เอลเลียตไม่ติดต่อเขามาหลายชั่วโมงจนชายหนุ่มนึกกังวล ทีแรกคีลก็นึกว่าอีกฝ่ายจะโทรมาหาช่วงดึกๆ เมื่อคืน แต่พอเห็นว่าไม่มีการติดต่อ เจ้าหน้าที่หนุ่มก็พยายามทำใจเย็น บอกกับตัวเองว่าเอลเลียตคงไม่อยากทำตัวมีพิรุธให้เทลออฟอดัมส์จับได้ แต่นี่มันก็ปาไปเกือบครึ่งวันของวันถัดมาแล้ว ทำไมเอลยังไม่ติดต่อเขามาอีก ไม่รู้ว่าเพราะต้องอยู่กับลีโอตลอดหรือเพราะมีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น

แต่เมื่อกี้คีลก็โทรไปถามทางเคลลี่แล้ว หล่อนก็บอกว่าทั้งสามคนนั้นยังอยู่ในโรงแรมที่เข้าพักตั้งแต่เมื่อคืน รถที่อดัมส์ขับมาก็ยังอยู่ที่เดิม

คีลนั่งครุ่นคิดอยู่บนโต๊ะทำงานของตัวเองครู่หนึ่ง ไม่ใช่ว่าเขาไม่ไว้ใจเคลลี่ แต่เขาเป็นห่วงเอลเลียตมากเกินกว่าจะนั่งติดอยู่กับที่ได้ ในที่สุดเจ้าตัวก็ตัดสินใจเดินไปบอกคนในทีมเฉพาะกิจอีกคนว่าคดีที่ค้างตั้งแต่เมื่อวาน ฝากให้อีกฝ่ายช่วยดูต่อด้วย จากนั้นเขาก็ติดต่อบอสของตัวเองให้ส่งที่อยู่มาเพื่อที่เขาจะได้ไปสมทบต่อ

“มันจะดีเหรอคะถ้าคุณมานี่” เคลลี่พูดอย่างไม่แน่ใจ หล่อนเปิดถุงที่ซื้อข้าวเช้าง่ายๆ มาจากร้านสะดวกซื้อไปพร้อมกัน “งานฝั่งนั้นเราไม่มีใครเหลืออยู่เลย เดี๋ยวมันจะมีพิรุธมากไปรึเปล่าคะ”

“เดี๋ยวผมไปถึงแล้วคุณตีรถกลับเลย บอส อีกอย่างจอร์แดนกับฟอร์ดก็น่าจะเข้าไปประจำที่สำนักงานเร็วๆ นี้ด้วยแล้ว เดี๋ยวเรื่องเทย์เลอร์ผมจัดการต่อเอง”

“ดูคุณเป็นห่วงเขาจังเลยนะคะ”

ก็ต้องเป็นห่วงสิ จะไม่ให้เขาห่วงได้ยังไง ในเมื่อพ่อคนหัวดื้อนั่นเข้าไปนอนอยู่ในถ้ำเสือกับเสือแบบนั้น

“ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อฝีมือคุณหรอกนะครับ” คีลรีบพูด กลัวอีกฝ่ายจะตีความหมายผิด “แต่ยังไงอีกฝั่งก็เป็นคนที่มีอิทธิพลไม่น้อย ผมไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกนั้นรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของเอลเลียต”

ปลายสายนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างจับผิด

“ว้าว คุณเรียกเขาด้วยชื่อต้นด้วยเหรอคะ”

ฉิบหายล่ะ… เผลอไป

“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ วิลล์ ฉันเข้าใจว่าคุณหมายความว่ายังไง เอาเป็นว่าฉันจะรอดูสถานการณ์ตรงนี้นะคะ เผื่อว่าถ้าทางฝั่งนั้นเคลื่อนไหวจะได้ตามดูได้ทัน เอาเป็นว่าคุณรีบมาแล้วกัน”

ไม่ต้องให้เคลลี่บอก คีลก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว







เอลเลียตลืมตาขึ้นอีกทีในช่วงสายของวัน เขาเคาะประตู เปิดเข้าไปทักทายเพื่อนร่วมห้องจำเป็นอีกสองคนที่ยังอยู่บนเตียง ลีโอที่ยังอยู่ในสภาพงัวเงียไล่เขากลับไปอย่างไม่ไยดี แต่ก็ยังมีแก่ใจจะบอกให้เขาจัดการหาอาหารเช้าเองได้เลยไม่ต้องรอ

คนผมน้ำตาลเลยจัดการทำธุระตอนเช้าแล้วลงไปที่ห้องอาหารเพื่อรับประทานอาหารเช้า เนื่องจากที่นี่เป็นโรงแรมที่ค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมืองจึงมีผู้คนไม่มากเท่าไรนัก

กลับขึ้นมาที่ห้องอีกทีชายหนุ่มก็ตั้งใจจะต่อสายหาคนรักของตัวเอง ป่านนี้คีลคงเป็นห่วงเขาแย่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างที่ใจนึก เอลเลียตก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

บางที… ช่วงเวลานี้อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เขาจะได้หาหลักฐานหรือข้อมูลดีๆ ไปฝากคนในทีมสักหน่อย เพราะที่ผ่านมาเขาต้องคอยเลียบๆ เคียงๆ ถามเอาจากปากลีโอเองตลอด และนั่นก็ต้องใช้ความพยายามและความระมัดระวังสูงมาก แถมยังเป็นอะไรที่เสียเวลาสุดๆ

เพราะงั้นเมื่อสบโอกาสดีๆ แบบนี้ เอลเลียตจึงไม่รอช้าที่จะคว้าเอาไว้ ชายหนุ่มแนบหูลงกับบานประตูเพื่อฟังเสียง เงียบฉี่เลยทีเดียว แต่ไม่เป็นไร ต่อให้ลีโอหรือเกลตื่นอยู่ ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรถ้าเขาจะเข้าไปอยู่แล้ว

ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่ในห้องตอนที่เอลเลียตก้าวเข้ามา

ไม่สิ เขาได้ยินเสียงน้ำไหลจากฝั่งห้องน้ำ ไม่ลีโอก็เกลคงกำลังอาบน้ำอยู่ หรือไม่ก็อาจจะทั้งสองคน

นัยน์ตาสีฟ้ากวาดมองไปรอบๆ เพื่อดูว่ามีใครอยู่ในห้องหรือไม่ และเมื่อเห็นว่าทางสะดวก เจ้าตัวก็รีบตรงไปที่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของลีโอที่เปิดทิ้งไว้

นิ้วเรียวเคาะปุ่มเอนเตอร์เพื่อให้หน้าจอสว่างขึ้นมา ช่องสี่เหลี่ยมแนวยาวปรากฏขึ้นมาตรงกลางหน้าจอ เอลเลียตใส่สิ่งที่น่าจะเป็นพาสเวิร์ดของลีโอเข้าไปอย่างรวดเร็ว ครั้งแรกไม่ได้ แต่ครั้งที่สองได้ แปลว่าหมอนี่เปลี่ยนพาสเวิร์ดหลังจากที่พวกเขาเลิกกันไปมาอย่างน้อยหนึ่งครั้ง แต่เอลก็ยังจับทางได้อยู่ดี

หน้าจอตั้งต้นว่างเปล่า ไม่มีโฟลเดอร์อะไรเกะกะขวางตา

เอลเลียตกดดูที่แถบด้านล่างแล้วเรียกแอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อกับอีเมลของลีโอขึ้นมา มันมีการป้องกันอยู่บ้างแต่ด้วยความที่เขาคุ้นเคยกับคอมพิวเตอร์ของอดัมส์ดี ไม่กี่อึดใจต่อมาชายหนุ่มก็สามาถเข้าไปดูเนื้อหาด้านในได้

ความคุ้นเคยแบบเดิมๆ กลับมา สถานการณ์บีบคั้นเร่งร้อนแบบนี้ทำให้เอลเลียตใจเต้น รู้สึกเหมือนตอนที่ตัวเองกำลังหมุนรหัสเพื่อเปิดตู้เซฟของธนาคาร อะดรีนาลีนสูบฉีดไปทั่วทั้งร่าง อย่างหนึ่งที่เขาคีลให้ตัวเองได้เข้าร่วมทีมด้วยก็เพื่อเหตุนี้นี่แหละ ความรู้สึกตื่นเต้นที่ปนมาด้วยความระแวงหน่อยๆ นี่ช่างน่าโหยหาเหลือเกิน แปลกดีกับแค่การที่เขาจะแอบอ่านอีเมลใครจะทำให้ตื่นเต้นได้ถึงขนาดนี้

แต่เอลเลียตรู้ดีว่าทุกอย่างในนี้คุ้มค่า เขาเห็นหลักฐานหลายอย่างในหน้าจอนั่นที่จะสามารถปรักปรำได้ทั้งลีโอและจูเลียน มันชัดเจนอยู่ในนี้แล้ว เขาเดาว่าที่ลีโอยังต้องเก็บมันไว้เพราะอีกฝ่ายก็จำเป็นต้องเอาไว้เป็นหลักประกันอะไรบางอย่างเหมือนกัน

นี่เป็นเรื่องของวงใน เอลเลียตเคยเข้าไปอยู่จุดนั้นจึงพอจะรู้ว่าทั้งหมดนี่ทำงานยังไง

เขามั่นใจว่าตัวเองเจอแหล่งขุมทรัพย์ให้คีลแล้ว ทีนี้ก็แค่หาทางทำยังไงก็ได้ให้หลักฐานทั้งหมดนี่อยู่ในมือคนรักของเขา

แต่แล้วอารมณ์ตื่นเต้นระคนดีใจของเอลเลียตก็ค่อยๆ จางหายไปเมื่อนัยน์ตาสีฟ้าสังเกตเห็นข้อมูลบางอย่างที่เกี่ยวกับการส่งมอบเงินให้เทรีส เรมิเรซ เอลเลียตจำได้ทันทีว่ามันเป็นชื่อของภรรยาของเบลค เรมิเรซ อดีตเพื่อนร่วมห้องขังที่ลงมือแทงข้างหลังเขาอย่างเลือดเย็น

อ้อ แล้วไอ้ที่ว่าแทงข้างหลังนี่ก็ไม่ได้อุปมาอุปไมยด้วยนะ แม่งแทงข้างหลังเขาด้วยมีดจริงๆ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นในตอนนี้ ประเด็นสำคัญก็คือ หลักฐานเบื้องหน้าที่กำลังชี้ว่าลีโอส่งเงินก้อนโตให้ครอบครัวของเบลคที่ตายไปแล้วต่างหาก

คนผมน้ำตาลมึนหัววูบ เขาทำงานอยู่ในแวดวงนี้มาเป็นปี มีหรือจะไม่สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้เอง ชายหนุ่มฝืนตัวเองไม่ให้ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้เพราะรู้ดีว่านี่มันไม่ใช่เวลามาทำแบบนั้น

ตรงกันข้าม เอลเลียตเริ่มเปิดลิ้นชักใต้โต๊ะ เดินไปเปิดดูที่ลิ้นชักตรงหัวเตียง ไม่มีของที่เขากำลังหา เดินไปที่กระเป๋าแล้วเปิดดูของด้านใน นอกจากยาเสพติดประเภทหนึ่งที่ซุกซ่อนอยู่แล้วก็ไม่เจออะไร แต่คนผมน้ำตาลก็ยังไม่ละความพยายาม

เอลเลียตถลาตัวไปกระชากตู้เสื้อผ้าออก มีเสื้อของลีโอแขวนอยู่สองสามตัวด้านใน ชายหนุ่มตบลงที่กระเป๋าเสื้อของแต่ละตัว และในที่สุดเขาก็เจอปืนพกกระบอกเล็ก เอลเลียตจำมันได้ดีเพราะลีโอมีตั้งแต่สมัยที่พวกเขาทั้งคู่ยังคบกัน

เสียงน้ำจากฝักบัวในห้องน้ำหยุดไหลแล้ว เป็นจังหวะเดียวกับที่เอลเลียตตรวจสอบรังเพลิง และเขาแทบจะร้องออกมาอย่างมีชัยเมื่อเห็นกระสุนบรรจุอยู่เต็มภายใน เขารู้สึกถึงความโกรธกรุ่นที่คับแน่นอยู่ในอกยามนึกถึงตอนที่เบลคเสือกมีดเข้ามาบนร่างเขา และตอนนี้ตัวการที่สั่งให้ชายหนุ่มผิวสีทำแบบนั้นก็อยู่ห่างจากเขาไปแค่ไม่กี่ก้าวนี้!

ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ทองก้าวออกมาจากห้องน้ำโดยมีผ้าเช็ดตัวเพียงผืนเดียวปกคลุมท่อนล่าง ลีโอชะงักงันไปทันทีอย่างคาดไม่ถึงเมื่อเห็นอดีตคู่ขาของตัวเองหันปากกระบอกปืนมาที่เขา นัยน์ตาสีฟ้าวาวโรจน์อย่างโกรธจัด เหมือนพร้อมจะฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ และนั่นไม่ใช่การเล่นละคร

โอ๊ะโอ ดูเหมือนว่าเขาจะประมาทหมอนี่ไปหน่อยแฮะ

แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น ลีโอก็ตัดสินใจเล่นบทไม่รู้ไม่ชี้ต่อขณะยกคิ้วขึ้นขมวด

"เป็นบ้าอะไรของนาย เอลเลียต"

"นายเป็นคนสั่งให้เรมิเรซฆ่าฉัน" เอลเลียตพูดเข้าประเด็น เขานึกถึงตอนที่ตัวเองรู้สึกผิดเพราะจำเป็นต้องหักหลังลีโอแล้วอยากจะเรียกความรู้สึกเหล่านั้นคืน "นายยื่นข้อเสนอ... จะให้เงินกับครอบครัวหมอนั่นแลกกับให้เขามาฆ่าฉัน"

ลีโอประมวลผลในสมองอย่างรวดเร็ว เอลเลียตเข้ามาดูคอมเขาสินะ แล้วการที่หมอนี่เดือดจัดขนาดยกอาวุธขึ้นมาจ่อหน้าขนาดนี้... เอาเป็นว่าเขาต้องหาทางถ่วงเวลาไว้ก่อน

"ฟังนะ เอล" เจ้าตัวพูดเสียงเรียบ "เรมิเรซน่ะรู้ตัวอยู่แล้วว่ายังไงซะเขาก็ไม่มีทางรอดโทษประหาร มันแค่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น"

"นายก็เลยส่งเสริมเขาด้วยการให้มาฆ่าฉันน่ะเหรอ? "

"พ่อฉันต่างหากที่เป็นคนทำ" ลีโอว่าอย่างใจเย็น ยกสองมือขึ้นเหนือศีรษะเมื่อเอลเลียตขยับทั้งตัวและปืนเข้ามาใกล้เขามากขึ้น "ฟังนะ ที่รัก ฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ ฉันเตือนนายมาแต่แรกแล้วว่าให้หนีไป จำได้ไหม"

"ใช่ ลีโอ นายเป็นคนเดียวที่คอยช่วยเหลือฉัน เตือนฉันให้หนีไปกบดานซะ แต่ในขณะเดียวกันนายก็จ้างคนมาฆ่าฉันด้วย" เอลเลียตรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจากน้ำเสียงของเขา "นายทำได้ยังไง ลีโอ ทำเหมือนว่าเป็นห่วงฉันนักหนาแล้วก็คิดจะฆ่าฉันไปพร้อมๆ กัน นายทำได้ยังไง"

"เอลเลียตครับ ใจเย็นๆ ก่อน" พูดพลางชำเลืองมองนิ้วที่พร้อมจะเหนี่ยวไกได้ทุกเมื่อของอีกฝ่าย แล้วระยะนี้ก็ใช่ว่าเขาจะหลบได้พ้น "ฉันบอกแล้วไงว่าพ่อของฉันเป็นคนจัดการเรื่องนี้ ฉันไม่เคยคิดจะฆ่านายเลย"

"นายจะพูดอะไร ลีโอ" เขากระชับปืนในมือ ใจหนึ่งก็อยากจะเหนี่ยวไกใจจะขาด แต่มโนธรรมในตัวยังทำให้ไม่อยากพลั้งมือฆ่าใครขึ้นมาจริงๆ "พ่อนายขอให้นายจัดการเรื่องกำจัดฉันทิ้ง แล้วนายก็ทำงานให้เขางี้น่ะเหรอ? ทุเรศบัดซบที่สุด นายต้องไม่เชื่อแน่ว่าฉันอยากจะฆ่านายขนาดไหน"

คนผมทองนิ่งเงียบ วูบหนึ่งที่นัยน์ตาของเจ้าตัวฉายแววลิงโลดอย่างคนที่กำลังจะได้รับชัยชนะ เอลเลียตแทบไม่อยากเชื่อสายตาตอนที่เห็นอีกฝ่ายกระตุกยิ้มอย่างเลือดเย็น

"ใช่ นายพูดถูก ไอเดน"

จากนั้นอะไรแข็งๆ ก็กระแทกลงบนหลังคอเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาได้ยินเสียงตัวเองล้มโครมไปกองกับพื้นพร้อมกับเสียงพูดอย่างสะใจของชายหนุ่มอีกคน

"ฉันต้องไม่อยากเชื่อมากแน่ๆ "







คีลกดรับสายจากเจนนิเฟอร์ เคลลี่อย่างรวดเร็ว เชื่อว่าสัญญาณรอสายของเจ้าหล่อนยังดังไม่พ้นกริ่งแรกดีด้วยซ้ำ เขากรอกเสียงลงไปห้วนๆ ในใจนึกกังวลว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น เพราะล่าสุดที่หญิงสาวติดต่อเขามา หล่อนบอกว่าตัวเองกำลังขับรถตามรถของลีโอที่มุ่งหน้าออกจากโรงแรมไปยังตัวเมือง ซึ่งเป็นทิศทางเดิมที่ทั้งสามคนจากมา

อันที่จริงเคลลี่บอกให้คีลตีรถกลับไปเหมือนกัน แต่สายสืบหนุ่มร้อนใจเกินกว่าจะทำอย่างนั้นได้ สัญญาณจีพีเอสจากโทรศัพท์ของเอลเลียตถูกตัดขาดไปด้วยเหตุผลบางอย่าง อาจเป็นเพราะแบตหมดหรืออยู่นอกเขตสัญญาณหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่เรื่องนั้นทำให้คนผมดำใจคอไม่ดีเป็นอย่างมาก

เขารู้ดีว่าการขัดคำสั่งหัวหน้าหรือทำตัวกังวลเกินเหตุแบบนี้เป็นอะไรที่ไม่มืออาชีพเอาเสียเลย หนำซ้ำสิ่งที่เขายังทำอยู่นี่ก็เหมือนไม่เชื่อใจบอสของตัวเองอีกต่างหาก แต่เขาจะไม่มีทางกลับเข้านิวยอร์คจนกว่าจะได้เห็นว่าเอลเลียตปลอดภัยแน่ๆ แล้วด้วยตาของตัวเอง

ความร้อนใจที่คีลเป็นอยู่ทำให้เจ้าตัวนึกเสียใจที่ยอมให้เอลเลียตทำตามแผนการนี้ เห็นได้ชัดมาแต่แรกอยู่แล้วว่ามันเสี่ยงมาก ต่อให้เอลกับลีโอจะเคยรักกันดูดดื่มมาก่อนมากแค่ไหน และต่อให้เอลเลียตจะยืนยันว่าลีโอไม่ได้ถูกกับจูเลียน ฮอร์ตันมากเท่าไร แต่ถึงอย่างไรทั้งสองคนนั่นก็เป็นพ่อลูกกันอยู่ดี

"วิลล์คะ" ปลายสายพูดขึ้นมาเสียงเครียด "ฉันคิดว่าเรามีปัญหาแล้วละค่ะ ดูเหมือนว่าฉันจะโดนหลอก"

คิ้วเรียวที่ขมวดมุ่นอยู่แล้วยิ่งขมวดมากขึ้นไปอีกกับประโยคบอกเล่านั้น "คุณว่าอะไรนะ" เขาถามกลับเสียงเครียด

เคลลี่สรุปเหตุการณ์ให้ฟังง่ายๆ ว่าคนที่อยู่ในรถของลีโอซึ่งขับออกมาจากโรงแรมไม่ใช่สามคนนั่น หรือสรุปง่ายๆ ก็คือรถนั่นเป็นเพียงนกต่อเท่านั้น เคลลี่รู้สึกตัวเมื่อตอนที่มองเข้าไปในรถคันดังกล่าวเมื่อหาที่ช่วงที่เข้าใกล้ได้โดยไม่ให้ดูน่าสงสัย ถึงตรงนี้คีลก็แทบอยากจะบีบแตรรถให้ลั่นถนนเพื่อระบายอารมณ์แล้ว แต่เขาก็ทำแค่ทุบแรงๆ ลงบนพวงมาลัยอย่างหัวเสีย

เขาพลาดแล้ว ฝั่งนั้นรู้ตัวจนได้ว่าเอลเลียตเข้าหาโดยมีจุดประสงค์แอบแฝง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางหานกต่อมาล่อให้เสียเวลาแบบนี้ ชายหนุ่มวิเคราะห์สถานการณ์ในหัวอย่างรวดเร็วเมื่อหญิงสาวปลายสายถามเขากลับว่าควรจะทำยังไงกันต่อ ในที่สุดประสบการณ์และสัญชาตญาณที่สั่งสมมาก็ให้คำตอบแก่เขา

"เอาอย่างนี้ครับ คุณกลับไปสำนักงานก่อน รวมตัวกับฟอร์ดแล้วก็จอร์แดน พยายามหาทางดูว่าจะมีทางไหนช่วยเราระบุที่อยู่ของเทย์เลอร์ได้บ้าง ผมจะวกกลับไปหาเบาะแสที่โรงแรมนั่น"

"ตกลงค่ะ" หญิงสาวที่ยกตำแหน่งหัวหน้าทีมให้คีลในคดีนี้รับคำอย่างว่าง่ายก่อนจะกดวางสายไป

คีลไปถึงที่โรงแรมดังกล่าวในครึ่งชั่วโมงต่อมา เรียกได้ว่าเหยียบคันเร่งมามิดเลยตลอดทาง จอดรถเรียบร้อยชายหนุ่มก็พุ่งตัวไปที่เคาน์เตอร์ต้อนรับของทางโรงแรมทันที มันไม่ใช่โรงแรมที่หรูหราอะไรมาก แต่ก็ดูดีกว่าโรงแรมทั่วไปที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองขนาดนี้

เขาหยิบตราตำรวจขึ้นมาเปิดให้พนักงานสาว ใบหน้ายิ้มแย้มต้อนรับของเจ้าหล่อนเปลี่ยนเป็นแตกตื่นทันที ชายหนุ่มจึงต้องรีบเปิดปาก อธิบายสั้นๆ แต่ได้ใจความ

"ผมได้รับรายงานว่าผู้ต้องหารายหนึ่งเข้าพักที่โรงแรมนี้เมื่อคืนที่ห้อง 2407กับห้องที่เชื่อมกันข้างๆ " หมายเลขห้องนี้เคลลี่เป็นคนบอกเขามา พนักงานสาวคนเดิมร้องอ้อออกมาทันที

"คุณผู้ชายคนนั้นนั่นเอง เอ เหมือนว่าเพิ่งจะเช็กเอาท์ออกไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนเองนะคะ"

แปลว่าเรื่องรถอะไรนั่นเป็นเหยื่อล่อจริงๆ ... แต่ถ้าลีโอเพิ่งออกไปจากที่นี่ได้แค่สามสิบนาทีแบบนี้แปลว่าคงยังไปได้ไม่ไกล

"ตอนเขามาเช็กเอาท์ มีผู้ชายอีกสองคนอยู่ด้วยหรือเปล่าครับ แล้วพวกเขาดูเป็นยังไง"

หล่อนหันไปถามความเห็นเพื่อนพนักงานที่อยู่ตรงนั้นทั้งหมด ดูเหมือนว่าทุกคนจะเห็นแค่ชายหนุ่มผมทองเท่านั้นที่มาคืนกุญแจห้องทั้งสองห้อง มันชัดเจนสำหรับคีลแล้วว่าเอลเลียตกำลังตกที่นั่งลำบากแน่ เขาต้องหาให้เจอว่าไอ้เทลออฟอดัมส์เอาแฟนของเขาไปไหน

"ผมขอเข้าไปสำรวจห้องหน่อยได้ไหมครับ" อันที่จริงแล้วขั้นตอนนี้ต้องยื่นคำร้องจากศาล ถ้าให้มันถูกต้องตามกระบวนการเป๊ะๆ น่ะนะ แต่ในหลายๆ สถานการณ์แล้ว ถ้าอีกฝั่งให้ความร่วมมือดี หรือไม่รู้กฎหมายตรงนี้ ส่วนมากแล้วเขาก็เข้าไปตรวจสอบสถานที่นั้นๆ ได้เลย

หล่อนหันไปปรึกษาเพื่อนอยู่ครู่หนึ่ง หันกลับไปกดโทรศัพท์ต่อสายหัวหน้าเพื่อสอบถามว่าควรทำอย่างไร ระหว่างนี้คีลก็แกล้งทำเป็นขมวดคิ้วมุ่นขึ้นเรื่อยๆ อย่างอดทน แสร้งทำเป็นยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเพื่อเร่งเจ้าหล่อนกลายๆ และแน่นอนว่าไม่มีใครอยากมีปัญหากับผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อยู่แล้ว ในที่สุดพนักงานสาวก็หยิบกุญแจห้องมาถือในมือหลังจากวางสายโทรศัพท์

"มาเถอะ คุณสายสืบวิลล์ เดี๋ยวฉันจะพาคุณไปที่ห้องนะคะ"







แรงกระแทกของขาเก้าอี้ที่เกลใช้ฟาดเขาไม่ได้แรงขนาดที่จะทำให้เขาสลบเหมือดไปสามวันแปดวันอะไรแบบนั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้คนผมน้ำตาลเบลอไปได้ไม่น้อย

เอลเลียตมารู้สึกตัวอีกทีตอนที่อยู่ในรถแล้ว เขานอนขดอยู่บนเบาะหลังโดยที่สองมือและสองขาถูกมัดไว้ด้วยเชือกอย่างแน่นหนา รู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดจางๆ บริเวณจมูก เดาว่าเลือดกำเดาคงไหลตอนที่โดนฟาดก่อนจะสลบไป เรื่องที่ขอบคุณสำหรับตอนนี้ก็คือ อย่างน้อยลีโอก็ไม่ใจร้ายยัดเขาไว้ที่ท้ายกระโปรงรถ ไม่อย่างนั้นแรงกระแทกกับบรรยากาศอับๆ คงทำให้เขาปวดหัวมากกว่านี้แน่ๆ

เพราะโดนเก้าอี้ฟาดหลังคอเข้าไป ประกอบกับการที่ร่างกายเขาอ่อนแออยู่แล้วเป็นทุนเดิม เอลเลียตรู้สึกว่าตัวเองไข้ขึ้นทันที เพราะงั้นทุกอย่างจึงพร่าเลือนไปหมด เสียงหัวเราะแว่วๆ ของเกลลอยมากระทบโสตประสาท แต่เขาจับใจความในเรื่องที่ทั้งสองคนนั้นพูดกันไม่ค่อยได้เท่าไร เหมือนว่าลีโอจะกำลังชมอีกฝ่ายที่โผล่มาช่วยตัวเองได้ทันพอดิบพอดี

อ้อ ใช่ ก็ตอนนั้นเขายังเล็งปืนไปที่ไอ้บ้านั่นอยู่เลย แล้วอยู่ๆ ก็โดนฟาดเข้าที่ด้านหลังอย่างจัง แล้วมันจะเป็นฝีมือใครไปได้นอกจากไอ้เด็กติดยานี่ บ้าชะมัด เห็นตัวเล็กๆ แขนผอมๆ ไม่นึกว่าจะแรงเยอะขนาดนั้น หรือเพราะโด๊ปยาเข้าไปวะเลยทำให้มีแรงขนาดนั้นได้

เหมือนรู้ตัวว่าถูกมอง เกลหันมามองคนที่นอนอยู่บนเบาะหลัง และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตื่นอยู่ เจ้าตัวก็ชักสีหน้าดูแคลนใส่ทันที

"อดัมส์ครับ ไอ้คนทรยศนี่ฟื้นแล้ว"

"โอ๊ย" เห็นไอ้เด็กนี่หันไปฟ้องลีโอแล้วอดไม่ได้ ต้องทำตัวกวนประสาทใส่ "ว่ากันแบบนี้เจ็บจังเลยว่ะ"

"ดูมันยังจะกวนตีน" เกลหน้าร้อนขึ้นด้วยความโกรธ ทำเอาคนยั่วยิ่งอยากจะกวนโมโหเข้าไปใหญ่

"อยากต่อยฉันเหรอ ทำไมไม่ลอบกัดแบบที่พวกหมาๆ เขาทำกันอีกล่ะ"

"ไอ้ทุเรศ! " เกลทำท่าจะกระโจนมาต่อยเขาจากเบาะหน้าจริงๆ หากลีโอออกปากห้ามไว้ก่อนอย่างรู้นิสัยปากมากของเอลเลียตดี

"ช่างมันเถอะน่า เกล"

"คนที่ลอบกัด ทำตัวแบบหมาๆ ก่อนคือมันต่างหาก! ผมไม่เห็นจะเข้าใจเลยว่าอดัมส์จะเก็บมันไว้ทำไม"

“อ้อ ไม่ต้องห่วงหรอกเรื่องนั้น” ลีโอว่าพร้อมกับเลื่อนมือมาโยกหัวเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับ “เราจะเก็บเขาไว้ไม่นานหรอก”

…นั่นฟังดูไม่ดีเท่าไรเลยจริงๆ

“ให้ตายเถอะวะ ลีโอ” เขาว่า รู้สึกหนังตาหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะความอ่อนเพลียของร่างกาย “นาย… คิดจะฆ่าฉันจริงๆ ”

ไม่มีคำตอบ อาจเป็นเพราะว่านั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม

เอลเลียตเห็นเกลหันกลับมามองเขาที่เบาะหลัง แลบลิ้นใส่ทีหนึ่งแล้วพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาปวดหัวจี๊ดจนจับใจความอะไรไม่ได้

ให้มันได้แบบนี้สิ

หวังว่าตื่นมา เขาคงไม่พบว่าร่างของตัวเองโดนลีโอเอาไปโยนลงแม่น้ำหรือทะเลสาบที่ไหนนะ

ให้ตายเถอะ คีล คุณอยู่ที่ไหนเนี่ย ขอร้องล่ะ มาช่วยผมที







สภาพห้องพักค่อนข้างรถและยุ่งเหยิง บางคนอาจจะบอกว่าเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาที่แม่บ้านจะเข้ามาทำความสะอาดเพื่อเตรียมรับแขกชุดถัดไป แต่สภาพห้องที่รกเละเทะราวกับพายุเฮอร์ริเคนเพิ่งผ่านเข้ามานี่ก็ออกจะมากไปหน่อย

คีลเดินสำรวจไปรอบๆ ทั้งสองห้องที่ถูกเชื่อมติดกัน สายสืบหนุ่มเดาได้ว่าแฟนหนุ่มของเขาคงนอนห้องที่ดูเรียบร้อยกว่าเพราะว่าพักคนเดียว

ไม่มีอะไรที่พอจะเป็นเบาะแสได้ในห้องที่เอลเลียตน่าจะนอน แม้แต่ขยะที่อยู่ในถังยังแทบไม่มีให้เห็น ก็อย่างว่า มันเป็นการเข้าพักแบบฉุกละหุก ก็คงไม่น่าแปลกใจหรอกถ้าเจ้าตัวจะไม่ได้ใช้ห้องอะไรมากมายนอกจากซุกหัวนอน

อีกห้องที่คีลเดาว่าเป็นห้องพักของลีโอกับเกลอาจจะเรียกได้ว่ายุ่งเหยิง โดยเฉพาะในส่วนของเตียง ผ้าห่มที่อยู่บนเตียงถูกเลิกขึ้นจนไปกองอยู่กับพื้นเกือบครึ่ง

เก้าอี้ตัวหนึ่งถูกปล่อยเอาไว้ให้นอนกองกับพื้น แต่นอกจากนั้นแล้วเฟอร์นิเจอร์และข้าวของอื่นๆ ภายในห้องก็ยังอยู่ในที่ทางของมันดี

คีลเดินไปยกเก้าอี้ตัวนั้นขึ้นสำรวจ แต่แล้วคิ้วเรียวก็ต้องขมวดมุ่นเข้าหากันเมื่อเห็นรอยเลือดหยดเล็กๆ ที่อยู่ใต้เก้าอี้นั่น ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงความกลัวที่แล่นวาบเข้ามาในอก ก้อนเนื้อด้านซ้ายเต้นรัวด้วยความหวาดหวั่น

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่นี่ก็ตาม แต่เขาคิดว่าเอลเลียตตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแล้วล่ะ

...บ้าชะมัด

เขาไม่น่ายอมให้เอลเลียตเอาตัวไปเสี่ยงโง่ๆ กับอะไรพวกนี้เลย





----------------------------------------------
Talk: อ้าว ลีโอ ทำไมทำแบบนี้  :hao5:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 21) P.5 [12/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: GiGiTTF ที่ 12-12-2017 16:47:14
ลุ้นสุดใจ แต่ก็แอบสงสารลีโอเล็กๆ5555555555 หล่อเลวดี5555
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 21) P.5 [12/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ทันฌะ ที่ 12-12-2017 19:33:40
โหยยยย ลีโอแม่งเชี่ยจริงๆ :fire:  :angry2: ตอนนี้มีความลุ้นน คีลช่วยให้ทันนะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 21) P.5 [12/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 16-12-2017 10:04:02

บทที่ 22



สิ่งที่ทำให้เอลเลียตรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งหลังจากหมดสติไปอีกหลายชั่วโมงคือเสียงครางกระเส่าของเกลที่ไม่ต้องบอก เอลเลียตก็รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นกำลังทำกิจกรรมอะไรกับชายหนุ่มผมทองอีกคนอย่างแน่นอน

ไม่เอานะ ฉันไม่อยากดูหนังสดของไอ้สองตัวนี้ ไม่นะ…

แต่ถึงในหัวจะคิดแบบนั้น เอลเลียตก็เปิดเปลือกตาขึ้นมาตามสัญชาตญาณ และภาพแรกที่เขาได้เห็นร่างของเกลที่เปลือยท่อนล่าง นั่งคร่อมอยู่บนร่างของชายอีกคนที่เหยียดตัวนอนอยู่บนโซฟา เห็นแล้วนี่แทบอยากจะสลบไปอีกรอบให้รู้แล้วรู้รอด

แม้จะยังมึนๆ อยู่ เอลเลียตก็เปิดปากพูดออกมาจนได้

“ขอที… ฉันไม่มีอะไรเหลือในท้องขย้อนออกมานะ”

ทั้งสองคนที่กำลังร่วมรักกันบนโซฟาเก่าๆ หันขวับมา ใบหน้าเกลแดงเถือกขึ้นในขณะที่ลีโอชักสีหน้าเซ็งจัดให้ได้เห็น

“ขัดจังหวะเป็นบ้า” แฟนเก่าของเอลเลียตว่าก่อนจะกระแทกเอวของเกลให้ฝังลึกลงมากลางตัวเขา เรียกเสียงครางจากเด็กหนุ่มอีกรอบ ก่อนที่ลีโอจะยันตัวลุกขึ้นมานั่ง แตะริมฝีปากลงบนหน้าผากเกล ไซ้ลงบนซอกคอขาวของเจ้าตัวเพื่อตบท้าย ปากก็ขยับโต้ตอบกับอีกคนที่ถูกมัดมือไพล่หลังติดกับหลังเสา “รอฉันแป๊บหนึ่งนะ เอลที่รัก ขอเสร็จกิจตรงนี้ก่อน”

ใจนี่อยากจะบอกลีโอเหลือเกินว่าช่วยหมกมุ่นกับกิจของตัวเองยาวๆ เลย ไม่ต้องมายุ่งกับเขาได้ยิ่งดี

เอลเลียตใช้จังหวะนี้เบือนหน้าไปมองรอบๆ แทนแม้จะยังมีเสียงครางกระเส่าดังมาให้ได้ยินก็ตาม ตอนนี้เหมือนพวกเขาอยู่ในโกดังเก่าๆ ที่ถูกปล่อยทิ้งรกร้างมานาน ถ้าเทียบกับโรงแรมที่เขาไปเจอลีโอครั้งแรกซึ่งอยู่ในระดับห้าดาว โรงแรมที่เพิ่งออกมาอยู่ในระดับสักสองดาว ที่นี่ก็คงอยู่ในระดับติดลบได้เลย

แต่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่แบบไหนก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับลีโออยู่ดี เรื่องนั้นเอลเลียตรู้มานานแล้ว

คราวนี้นัยน์ตาสีฟ้าเบือนกลับมามองสภาพตัวเองต่อ เขานั่งอยู่กับพื้นคอนกรีตเย็นๆ ที่เต็มไปด้วยฝุ่น ขาเหยียดยาวทั้งสองข้าง มือถูกมัดอยู่ด้านหลังเสา บริเวณที่โดนฟาดปวดระบมไปหมด อาการปวดหัวที่ตกค้างอยู่ก็ทำให้ภาพเบลอๆ แล้วจะให้เขามาคิดหาทางเอาตัวรอดในสภาพแบบนี้เนี่ยนะ

ลีโอจัดการเด็กหนุ่มในอ้อมแขนเสร็จแล้ว เขาวางร่างบางที่หอบหายใจจนตัวโยนลงบนโซฟาขาดๆ วิ่นๆ ร่างโปร่งลุกขึ้นมาจัดแจงเครื่องแต่งกายของตัวเองให้เข้าที่ หยิบบุหรี่กับไฟแช็กขึ้นมาจุดก่อนจะค่อยๆ ย่างสามขุมมาที่เอลเลียตด้วยท่าทีสบายๆ อย่างน่าถีบ

เอลเลียตรู้แล้วว่าอีกฝ่ายมีปืน อาจจะในกระเป๋าเสื้อตัวนอก ลีโอคงไม่โง่ทิ้งอาวุธไว้ไกลมือในสถานการณ์แบบนี้ แต่ไม่ว่ายังไง เอลเลียตก็ทำอะไรกับเรื่องนั้นไม่ได้อยู่ดี เขาเข้าตาจนของจริงแล้ว อีกไม่นานหมอนี่ก็คงจะฆ่าเขา ก็เขาไม่มีประโยชน์อะไรเหลือให้มันแล้ว

คนผมทองนั่งยองลงตรง พ่นควันบุหรี่ใส่หน้าเขาเต็มๆ มุมปากยกยิ้มที่เอลเลียตเห็นแล้วอยากจะถีบหน้าสักที เขาควรจะรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าคนอย่างลีโอไว้ใจไม่ได้

ความอัดอั้นที่จวนเจียนจะระเบิดในอกทำให้คนผมน้ำตาลพูดออกไปอย่างเกรี้ยวกราด

“นายแม่งขยะว่ะ อดัมส์”

“พูดมาได้ไม่ดูตัวเอง นายเป็นสายให้ตำรวจสารเลวพวกนั้น”

เอลเลียตไม่สะอึกอะไรกับคำกล่าวหานั้น “ฉันว่ามันก็ยุติธรรมดีไม่ใช่เหรอ นายส่งเรมิเรซไปฆ่าฉัน”

“ก็ยุติธรรมดี ใช่”

“ฉันรู้สึกผิดแทบตายตอนที่ตัดสินใจบอกเรื่องนายให้พวกตำรวจรู้” เอลเลียตว่า “อยากจะเรียกเอาความรู้สึกพวกนั้นกลับมาเป็นบ้า”

“เหรอ” ลีโอพ่นควันออกมาอีกรอบ ยกยิ้มหวานระคนสะใจ ส่วนปลายของบุหรี่ค่อยๆ กลายเป็นขี้เถ้า เขาจงใจเคาะเบาๆ ให้ขี้เถ้านั่นหล่นลงบนหน้าท้องของเอลเลียตที่มีเพียงเสื้อบางๆ ปกปิดผิวเนื้อไว้อยู่ “งั้นฉันก็รู้สึกผิดเหมือนกันตอนที่สั่งให้ไอ้ดำนั่นไปฆ่านาย”

เอลเลียตกัดฟัน ข่มอาการแสบร้อนจากเถ้าบุหรี่นั่น ความเจ็บนี้มันเล็กนิดเดียวเมื่อนึกถึงสิ่งที่คนตรงหน้าทำเอาไว้กับเขา

“นายอยากจะฆ่าฉันมาแต่แรก”

“กล่าวหากันเกินไปหน่อยแล้ว ไอเดนที่รัก ถ้าฉันอยากให้นายตายจริงๆ ฉันจะเตือนให้นายรู้ตัวเรื่องพ่อฉันหรือว่าช่วยนายทำไมตั้งมาก”

“คงสนุกดีมั้งที่ได้เห็นฉันวิ่งวนไปรอบๆ แบบคนบ้า”

“อือ จริงด้วย ก็สนุกดีนะ แต่ตอนแรกฉันไม่ได้อยากให้นายตายจริงๆ หรอก มันแบบ… สองจิตสองใจน่ะ”

“ไอ้เลว”

“ฟังให้จบก่อนสิ เอล นายชอบพูดมากแบบนี้ตลอด นั่นล่ะ ส่วนที่น่ารำคาญของนาย”

“ไปตายซะเหอะวะ ลีโอ”

นัยน์ตาสีฟ้าของคนผมทองว่างเปล่า เขาสบตาเอลเลียตตรงๆ แววตาของคนผมน้ำตาลฉายแววโกรธแค้นอย่างเห็นได้ชัด เขาอัดบุหรี่เข้าปอดอีกรอบก่อนว่า

“บางทีนะ ไอเดน ถ้านายเชื่องกว่านี้อีกสักนิด ฉันอาจจะคิดอยากเก็บนายไว้จริงๆ ก็ได้”

“หมายความว่ายังไง”

“นายมันเก่ง” ลีโอพูดตรงๆ “ฉลาด พลิกแพลงเก่ง เอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์ นี่ขนาดยังไม่พูดเรื่องลีลาบนเตียงนะ แค่นี้นายก็เป็นคนที่ฉันอยากจะเก็บไว้ข้างตัวแล้ว แต่ข้อดีของนายก็เป็นข้อเสียเหมือนเงาตามตัว นายพร้อมจะทำยังไงก็ได้ หักหลังใครก็ได้เพื่อเอาตัวเองให้รอด”

เอลเลียตเถียงไม่ออก แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าลีโอเองก็เข้าข่ายคนประเภทนี้เหมือนกัน แต่การต้องยอมรับว่าเขากับลีโอเหมือนกันนั้นเป็นอะไรที่ชวนให้รู้สึกแย่เป็นบ้า

“นายพยศ หัวดื้อ เอาแต่ใจ จริงๆ แล้วฉันชอบก็ชอบที่นายเป็นแบบนั้นนะ แต่การที่นายไม่ยอมเป็นของฉันมันทำให้ฉันไว้ใจนายไม่ได้”

“เป็นของนายที่ว่าคือการที่ฉันต้องมีนายคนเดียว แต่นายจะไปมีใครต่อใครคนอื่นก็ได้งี้น่ะเหรอ”

“ใช่”

“ไปตายซะเหอะวะ”

“นายไม่ยอมให้ฉันใส่ปลอกคอให้นาย” พูดพร้อมกับจับจี้ปลอกกระสุนที่อยู่บนคอของเอลเลียตขึ้นมาดู “แต่นายยอมเป็นสัตว์เลี้ยงให้คนอื่น”

“ฉันเคยพูดกับนายเรื่องนี้แล้ว ลีโอ นายเองที่ไม่ชอบใจกับเรื่องของเรา”

“ก็นายมันเรื่องมากนี่หว่า นายจะขออะไรฉัน ฉันก็ยอมให้หมดทุกอย่างแท้ๆ แต่นายกลับขอให้ฉันมีแค่นายคนเดียวเนี่ยนะ? ” พูดพร้อมกับส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยใจ “ทำตัวเป็นสาวน้อยบริสุทธิ์ไปได้ ไม่เข้ากับนายเลย ไอเดน”

เอลเลียตไม่พูดอะไรโต้ตอบ เขาตระหนักได้ว่าความต้องการของตัวเองกับลีโอแตกต่างกันเกินไป ตั้งแต่เด็กจนโต เขาก็แค่คนคนหนึ่งที่เรียกร้องหาความรักจากใครสักคน เหมือนว่านั่นเป็นสิ่งที่เขาขาด เขาเชื่อว่าลีโอเองคล้ายกับเขามาก หมอนี่ก็ขาดความรักเหมือนกัน แต่ความปรารถนาของเจ้าตัวคือความรักจากใครหลายๆ คนซึ่งตรงข้ามจากเขา เรื่องของพวกเขาสองคนไม่มีทางมาบรรจบกันได้แต่แรกแล้ว

“แต่… ก็นั่นแหละ สรุปก็คือเพราะว่านายฉลาด เอาตัวรอดเก่ง ทำได้ทุกอย่างเพื่อตัวเอง เพราะงั้นการปล่อยให้นายรอดไปได้ โดยเฉพาะในคุกที่มีตำรวจคอยเทียวมาเรื่อยๆ เนี่ย เป็นอะไรไม่ปลอดภัยสำหรับฉันแล้วก็พ่อสักเท่าไร เพราะงั้นตอนที่พ่อฉันบอกให้หาทางกำจัดนายซะ ก็ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งในใจก็เห็นด้วยกับเขาเหมือนกัน”

เอลเลียตไม่พูดด่าคนตรงหน้าแล้วเพราะเหนื่อยเกินกว่าจะทำแบบนั้น เขารู้สึกเหมือนตัวเองโดนคนที่ไว้ใจทรยศ ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วเขาเองก็ตั้งใจจะทรยศอีกฝ่ายก็ตาม แต่หมอนี่น่ะ ตั้งใจจะฆ่าเขาเลยนะ? แถมยังดูไม่มีความรู้สึกผิดใดๆ แสดงออกมาให้เห็นเลยด้วยซ้ำ

ทำไมชีวิตเขาต้องเจอแต่กับคนประเภทที่พร้อมจะเขี่ยเขาทิ้งได้ตลอดเวลาด้วยนะ

“แล้วนายมัวรออะไรอยู่ อดัมส์”

ลีโอเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงถาม

“นายอยากจะฆ่าฉันไม่ใช่เหรอ แล้วนายมัวทำอะไรอยู่”

“อ้าว ดิ้นมาได้ตั้งนาน เพิ่งจะมานึกอยากตายได้ตอนนี้เหรอ”

เอลเลียตเม้มปากแน่นอย่างเจ็บใจ เขาไม่ได้อยากตายอยู่แล้ว แต่อยู่ในกำมือหมอนี่แบบนี้ เขาจะยังมีหวังอีกเหรอ? หรือที่ลีโอยังเก็บเขาไว้เพราะตั้งใจจะเจรจาอะไรกับพวกตำรวจ

“อืม นั่นสินะ แต่จะฆ่านายให้ตายง่ายๆ เลยก็น่าเสียดายไปหน่อย” ลีโอว่า เริ่มจับสร้อยคอของเขาอีกแล้ว เอลเลียตไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง แต่บางทีลีโออาจจะไม่พอใจที่เขาเป็นของคีลก็ได้ หมอนี่เหมือนเด็กเอาแต่ใจที่อยากให้เขามีแค่มันคนเดียว เหมือนเด็กหวงของเล่น “ว่าแต่สายสืบคนนี้ของนายเป็นคนยังไง เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ”

“เขาเป็นคนดีกว่านายล้านเท่าละกัน”

“นายไม่ได้ชอบคนดี เอลเลียต” ลีโอยกยิ้มอย่างรู้ทัน “นี่ รู้อะไรไหม ฉันมีความลับอีกอย่างจะเล่าให้นายฟัง”

“นายอยากเล่าอะไรก็ว่ามาเลย ฉันปิดปากนายหรือปิดหูตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว”

“ที่จริงแล้วน่ะ เอเลน่า เคอร์ติสเนี่ย ไม่ได้ฆ่าตัวตายหรอกนะ”

เอลเลียตชะงักไปทันที “นายว่าไงนะ”

“ฉันเป็นคนสั่งเก็บยัยนั่นเอง แต่ให้ทางนั้นอำพรางให้เหมือนฆ่าตัวตายน่ะ” พูดพร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นหมุนวนกลางอากาศเป็นเชิงอธิบาย “แบบว่า นายก็รู้ว่าเวลามีการตายในคุกน่ะ คนพวกนั้นไม่ค่อยสนใจสืบหาสาเหตุการตายจริงๆ เท่าไร เพราะยังไงพวกนักโทษก็เป็นคนผิดอยู่แล้ว แค่กลบเกลื่อนนิดๆ หน่อยๆ ก็ทำให้ดูเหมือนฆ่าตัวตายได้ไม่ยาก”

“นาย… สั่งฆ่าเอเลน่างั้นเหรอ” เอลเลียตได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังและรัวขึ้นด้วยความหวาดหวั่น “ทำไม? ”

“ทำไมงั้นเหรอ” ลีโอขมวดคิ้วฉับ แววตาฉายแววเกลียดชังออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน “แล้วทำไมฉันจะต้องไว้ชีวิตผู้หญิงที่ทำให้แม่ของฉันจมอยู่กับความทุกข์ทรมานแบบนั้นด้วยล่ะ? ทำไมฉันต้องคอยทนเห็นพ่อของตัวเองพร่ำเพ้อหานังนั่นโดยที่ไม่สนว่าฉันหรือแม่จะเป็นยังไงด้วย”

เอลเลียตใจหายวาบ ความกลัวที่มีต่อชายตรงหน้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นับวันลีโอชักจะยิ่งเหมือนจูเลียน พ่อของตัวเองเข้าไปทุกที หมอนี่สั่งฆ่าคนด้วยเจตนารมณ์ของตัวเองได้แล้ว ต่อจากนี้ไปมันจะฆ่าเขาเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว

“นาย… แค่เพราะเหตุผลนั้น นายถึงกับต้องสั่งฆ่าเอเลน่าด้วยเหรอ”

“สำหรับนายมันคงดูเป็นเรื่องเล็กๆ สินะ”

“ก็… ก็จูเลียนเองก็เคยมีผู้หญิงคนอื่นมาตั้งหลายคน”

“ฉันบอกแล้วไงว่าพ่อน่ะให้ความสำคัญกับนังนั่นมากเกินไป” คนผมทองว่าพร้อมกับถอนหายใจยาวอย่างเบื่อหน่าย ยืดตัวลุกขึ้นก่อนจะบิดขี้เกียจทีหนึ่ง “อืม… ว่าแต่ฉันจะทำยังไงกับนายดีนะ ไอเดน นายอยากมีเซ็กส์กับฉันสักรอบสองรอบไหม? ”

“หลังจากที่นายเล่นหนังสดกับเกลให้ฉันดูมาเนี่ยนะ? ไม่เอาดีกว่า ขอบคุณ”

“อืม” ลีโอลากเสียงยาว สีหน้าครุ่นคิด “หรือว่าฉันจะขืนใจนายดี”

เอลเลียตเกร็งตัวขึ้นมาทันที พยายามไม่แสดงความหวั่นวิตกออกมามากนักเมื่อพูด “นายไม่อยากทำแบบนั้นหรอก”

“ก็จริง ข่มขืนไม่ใช่สไตล์ฉันเท่าไร”

พูดแบบนั้นหลังจากสารภาพว่าสั่งฆ่าผู้หญิงบริสุทธิ์มาคนหนึ่ง สั่งให้รูมเมทมาฆ่าเขา มอมเมาเยาวชนที่ยังอายุไม่ถึงสิบแปดด้วยยาเสพติดแล้วก็เอามาเป็นคู่ขาของตัวเองเนี่ยนะ? ยอดเยี่ยมมาก ลีโอ นายดูเป็นคนดีขึ้นมากเลย

“ว่าแต่ โทรศัพท์ของนาย ขอฉันยืมหน่อยนะ ที่รัก” คนผมทองพูดพร้อมกับชูโทรศัพท์ที่เขาเอาไว้ติดต่อคีลขึ้นมาโบกไปมาอย่างกวนประสาท “ไว้ให้ฉันคิดหาทางกำจัดทั้งนายและที่รักของนายได้ก่อน แล้วจะล่อเขาออกมา”

คำพูดนั่นทำเอาเอลเลียตตัวชาวาบ แม้จะรู้ดีว่าคีลเป็นมืออาชีพ คงไม่ตายอะไรง่ายๆ แต่บทหมอนั่นคิดจะหัวดื้อหรือทำอะไรมุทะลุขึ้นมาก็น่าหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย อย่างตอนที่เจ้าตัวยอมเอาเขาออกมาจากโรงพยาบาลก็เหมือนกัน ทั้งๆ ที่นั่นมันเสี่ยงจะทำให้คีลเสียตราตำรวจไปแต่หมอนั่นก็ยอมทำเพื่อเขา และเอลเลียตไม่อยากให้คีลเป็นอะไรเพราะเขาขึ้นมาจริงๆ

แต่แม้ใจจะกังวล ปากกลับตอกกลับไปอย่างถือดี

“คีลไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก นายเองเถอะ อดัมส์ ระวังตัวเอาไว้ ถ้านายเปิดเครื่องแล้วโทรหาหมอนั่นเมื่อไร คราวนี้แหละตำรวจทั้งกรมจะรู้ที่อยู่ของนาย”

“อ้อ สรุปว่าชื่อหมอนั่นอ่านว่าคีลจริงๆ สินะ” รอยยิ้มของลีโอกว้างขึ้น “ขอบคุณที่บอกนะที่รัก ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวไปจัดการธุระของตัวเองต่อล่ะ แล้วเดี๋ยวจะแวะมาเล่นด้วยใหม่”

“...! ”

ให้ตายสิ นี่เมื่อก่อนเขาเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับไอ้ปีศาจนี่มาก่อนจริงๆ เหรอเนี่ย ขอย้อนเวลากลับไปตบหัวตัวเองหน่อยได้ไหม!?







คีลกลับมาอยู่ที่สำนักงานเพื่อรวมกลุ่มกับคนในทีมที่เหลือ แต่อยู่ได้ไม่กี่ชั่วโมง เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรคืบหน้าเขาก็ขับรถออกมาอีกอย่างคนร้อนใจ เบาะแสอย่างเดียวที่เขาได้คือคราบเลือดที่อยู่บนพื้นใต้เก้าอี้ที่ล้มระเนระนาดอยู่ในห้อง

เอลเลียตคงโดนลีโอจับได้เรื่องที่ว่าเจ้าตัวเป็นสายให้ตำรวจ ไม่ว่าจะด้วยทางไหนก็แล้วแต่ แล้วก็คงมีการปะทะกันเกิดขึ้นในห้องนั้น แต่ไม่มีอะไรพอจะบอกเขาได้เลยว่าลีโอเอาตัวเอลเลียตไปที่ไหน

แล้วเวลาแต่ละวินาทีที่ลดลงไปนี่… ไม่ใช่ว่าป่านนี้หมอนั่นฆ่าเอลเลียตแล้วเอาศพไปทิ้งไว้ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้หรอกเหรอ? โธ่เว้ย ให้ตายสิ นี่เขาทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วรึไงนะ ทำไมเขาต้องคอยภาวนาให้เอลเลียตปลอดภัยแบบนี้ตลอด ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วเขาควรจะปกป้องคุ้มครองหมอนั่นแท้ๆ เขาเองก็เคยสัญญากับเอลเลียตไว้แบบนั้น

เขาไม่เคยทำได้เลย…

ความคิดนั้นทำให้คีลเจ็บใจตัวเอง น้อยใจเอลเลียตด้วยที่ไม่เคยฟังคำพูดของเขา เอาแต่ยืนกรานว่าจะต้องทำตามแผนนี้เพื่อหาทางรวบรวมหลักฐานแล้วเอามามัดตัวจูเลียน ฮอร์ตันให้ได้

อันที่จริงแล้ว คนที่พยายามจะทำแบบนั้นไม่ได้มีแค่คีลและทีมของเขาอีกต่อไปแล้ว

เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ตอนที่เขากลับไปรวมตัวกับทีม คีลได้รู้จากจอร์แดนและฟอร์ดมาว่าที่ลอเรน ลี ทนายของเอลเลียตมากดดันให้พวกเขาหาตัวเอลเลียตให้เจอก็เพราะว่าเจ้าหล่อนได้ติดต่อกับวินเซนต์ เลสเตอร์ผู้เป็นทนายของแจ็ค พอร์เตอร์อีกที แจ็คสามารถขึ้นให้ปากคำเรื่องของจูเลียน ฮอร์ตันได้ และเอลเลียตเองก็เช่นกัน นอกจากนี้จอร์แดนกับฟอร์ดยังสืบมาได้อีกว่าทางวินเซนต์สามารถหาหลักฐานที่มัดตัวจูเลียนได้ ดังนั้นแล้วสิ่งที่คีลควรทำมากที่สุดคือการเอาเอลเลียตกลับไปหารือกับคนพวกนั้นเพื่อหาแนวทางรวบตัวฮอร์ตัน แต่กลายเป็นว่าตอนนี้เขาต้องมานั่งห่วงแทนว่าเอลเลียตยังมีชีวิตอยู่ไหม

...ถ้าเกิดเอลเลียตเป็นอะไรไปละก็ เขาจะไม่มีวันยกโทษให้ตัวเองไปตลอดชีวิตแน่

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น คีลคิดว่าหนึ่งในทีมของเขาคงโทรมา แต่ก็เปล่า ทันทีที่เห็นชื่อของเอลเลียตปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอชายหนุ่มก็รีบกดรับทันทีโดยที่หัวไม่ต้องประมวลผลใดๆ

“ฮัลโหล”

“สวัสดีครับ คุณเจ้าหน้าที่วิลล์”

เสียงที่เขาไม่คุ้นเคยของผู้ชายคนหนึ่งตอบกลับมา คีลเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่ต้องบอกเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องเป็นลีโออย่างแน่นอน

“คุณคงเป็นเทลออฟอดัมส์”

“ว้าว ดีใจจัง คุณรู้จักผมด้วย” ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “เดาว่าไอเดนคงเล่าให้ฟังล่ะสิ”

“เอลเลียตอยู่ไหน”

“ไม่ต้องรีบร้อนนักก็ได้ครับ คุณเจ้าหน้าที่” ลีโอว่า “คุณเป็นห่วงเขางั้นเหรอ เขาเป็นอาชญากรนะ? ”

“คุณทำอะไรกับเขา”

เสียงหัวเราะแช่มชื่นดังมาตามสาย “คุณเป็นห่วงเขาจริงๆ ด้วย ให้ตายสิ ความรักระหว่างตำรวจกับโจรอย่างนั้นเหรอ โรแมนติกเสียไม่มี เหมือนพล็อตตามหน้านิยายลดราคา”

คีลกำโทรศัพท์แน่นขึ้น สาบานว่าถ้าหมอนี่อยู่ต่อหน้า เขาจะเข้าไปต่อยหน้ามันหนักๆ สักรอบสองรอบ

“เอลเลียตอยู่ที่ไหน”

“ใจเย็นๆ คุณสายสืบ เขายังมีชีวิตอยู่” คำพูดนั้นทำให้คีลหายใจทั่วท้องได้มากขึ้น จนกระทั่งประโยคต่อมานี่แหละ “แต่อาจจะอีกไม่นานก็ได้ มันขึ้นอยู่กับคุณ คุณอยากจะเจอเขาอีกรึเปล่าล่ะ”

“คุณต้องการอะไร”

ลีโอไม่ตอบในทันที ช่วงที่ปลายสายเงียบไปทำให้คีลนึกร้อนใจขึ้นมาจริงๆ จังๆ อีกรอบ

“อดัมส์”

“ผมยังอยู่ๆ ผมเพิ่งส่งโลเคชันให้ทางโทรศัพท์แน่ะ ทำไมคุณไม่แวะมาหาหน่อยล่ะ เผื่อว่าเอลเลียตสุดที่รักของคุณจะอยู่ที่นั่น อ้อ แล้วไม่ต้องทำตัวอวดฉลาดโทรไปเรียกเพื่อนๆ ในทีมของคุณมาด้วยล่ะ ถ้าผมรู้ว่าคุณทำแบบนั้นละก็ ศพที่รักของคุณต้องไม่สวยแน่”

ลีโอรู้ว่าเขากับเอลเลียตเป็นแฟนกัน… แปลว่าหมอนั่นเห็นจี้ของเอลเลียตแน่ๆ

“บอกผมมาเลย อดัมส์ คุณต้องการอะไร อยากจะเจรจาเหรอ ผมเข้าไปคุยกับคุณ---”

“เจรจา? ” เสียงในสายโทรศัพท์เย็นเยียบอย่างน่ากลัว “เข้าใจผิดแล้วล่ะ คุณสายสืบ คุณต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายอยากเจรจากับผม ผมมีเอลเลียตอยู่ในมือตอนนี้ และผมจะเป่าหัวเขาดับเมื่อไหร่ก็ได้”

คีลพยายามระงับความพลุ่งพล่านของตัวเอง เขาไม่ใช่ตำรวจอ่อนหัดสักหน่อย การจะเจรจากับคนร้ายที่มีตัวประกันก็ใช่ว่าไม่เคยทำ

“ตกลงครับ ตกลง ผมขอเจรจากับคุณ แค่ไปตามที่อยู่ที่คุณให้มาก็พอใช่ไหม”

ลีโอยกยิ้มขึ้นโดยที่คีลไม่มีโอกาสได้เห็น

“เริ่มเล่นเกมเป็นแล้วสินะ คุณตำรวจ ท่าทางไอเดนจะฝึกมาดี ผมให้เวลาคุณชั่วโมงหนึ่ง ช้ากว่านั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเอลเลียตจะเป็นยังไง แต่ศพเขาคงไม่สวยเท่าไรหรอก”

“ผมขอพูดสายกับเขา”

ลีโอทำเสียงในลำคอนิดหนึ่งเป็นเชิงครุ่นคิด จากนั้นคีลก็ได้ยินเสียงเหมือนลากเท้ายาวๆ อึดใจต่อมาเสียงของเอลเลียตก็ดังลอดเข้ามาผ่านหู

“ครับ”

“เอล” เสียงราบเรียบติดจะเย็นชาของคีลอ่อนยวบลงทันที “คุณโอเครึเปล่า”

“ผมโอเค”

“ผมกำลังไปหาคุณ”

เสียงถอนหายใจอย่างอ่อนล้าของเจ้าตัวดังมาให้ได้ยิน แต่ก่อนที่คีลจะได้พูดอะไรมากไปกว่านั้นลีโอก็ดึงโทรศัพท์กลับมาเสียก่อน

“เอาเป็นว่าคุณรู้แล้วนะว่าเขายังอยู่ดี แล้วผมจะรอเจอคุณ”

จากนั้นสายก็ถูกตัดไปโดยไม่เปิดโอกาสให้คีลได้ต่อรองอะไร หากร่างสูงรู้ดีว่านี่คือกับดัก… กับดักโง่ๆ ที่เขาเองจำเป็นต้องโง่เดินไปตก เพราะไม่ว่ายังไง เขาก็ต้องช่วยเอลเลียตออกมาให้ได้

ร่างสูงกดเปิดโลเคชั่นที่ลีโอส่งมาให้ผ่านโทรศัพท์มือถือของเอลเลียต จากนั้นก็เข้าเกียร์ เหยียบคันเร่งไปตามทางที่สัญญาณนั้นบอก







เอลเลียตยกหัวขึ้นพิงกับเสาด้านหลังด้วยความเมื่อยขบ ลีโอพาเกลไปอยู่ที่ไหนแล้วไม่รู้ อาจจะเป็นห้องอื่นที่อาคารแห่งนี้จะมี เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าที่นี่กว้างสักแค่ไหนหรือมีกี่ชั้น ที่เขารู้ตอนนี้คือตั้งแต่ลีโอเดินเอาโทรศัพท์มาให้เขาคุยกับคีล ใจของเอลเลียตก็ไม่สงบเอาเสียเลย

เขาน่าจะออกปากห้ามอีกฝ่ายไม่ให้มาตามกับดักของลีโอ แต่จริงๆ เอลเลียตเชื่อว่าคีลก็รู้อยู่แล้วว่านี่เป็นกับดัก แฟนของเขาไม่ได้โง่ขนาดดูเรื่องแค่นี้ไม่ออก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ เขาเชื่อว่าลีโอจะต้องหาทางเอาคนของตัวเองมาสมทบด้วยแน่แม้ว่าเขาจะไม่มีโอกาสได้เห็นด้วยตาตัวเองก็ตาม แต่ลีโอไม่มีทางพร้อมชนกับเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบด้วยตัวคนเดียว

และถ้าลีโอได้คนที่มีอาวุธครบมือมาแล้วคราวนี้คีลของเขาจะเป็นยังไงล่ะ เท่าที่เขาอ่านสถานการณ์ได้ตอนนี้คือถ้าคีลตาย ยังไงเขาก็ไม่มีทางรอด เพราะแผนของลีโอจริงๆ ก็คือการกำจัดพวกเขาสองคนไปพร้อมๆ กันเท่านั้นเอง

สู้ให้คีลโยนเขาทิ้งซะ แล้วไปหาทางจัดการลีโอกับจูเลียน ฮอร์ตันให้รู้เรื่องไปเสียยังจะดีกว่า

แต่เขารู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางห้ามคีลไม่ให้มาช่วยตัวเองได้แน่ ดีไม่ดีจะโดนหมอนั่นโกรธเอาอีก เอลเลียตจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากภาวนาให้หมอนั่นรอดออกไปหลังจากนี้

หรือถ้าให้ดีที่สุด ไม่ต้องโผล่หน้ามาถึงนี่ได้เลยก็จะดีมาก






----------------------------------------------
Talk: ขอพื้นที่โฆษณานิยายที่กำลังเปิดจองของเราตอนนี้นิดนึงนะคะ >w<
เรื่อง: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (ไซม่อนxออสติน) ราคา 420 บาท 
ลิงค์ตามนี้เลย>> จิ้ม (http://diamondystore.lnwshop.com/)
เรื่องนี้ถือเป็นจักวารเดียวกับคีลเอลด้วยน้า~ ตัวละครจะผลุบๆ โผล่ๆ ให้เห็นนิดหน่อย XD
ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ!
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 22) P.5 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ทันฌะ ที่ 16-12-2017 10:57:07
หมั่นไส้ลีโอจริงๆ555555 น่าถีบสุดๆ  :katai1:  :z6:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 22) P.5 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 16-12-2017 20:02:03
เหลืออีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้วว รักฝ่าดงกระสุนจริงๆคู่นี้ ได้รู้เบื้องหลังความเลวของลีโอเพิ่มอีก สู้ๆนะคุณเจ้าหน้าที่ ❤
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 22) P.5 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 16-12-2017 20:08:45
เอลเป็นนายเอกที่น่าสงสารจริงๆ ระบมไปหมด ฮือออออ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 22) P.5 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-12-2017 20:19:30
หมันไส้ลีโอด้วยคน แต่ทำไมดูเป็นคนมีเสน่ห์แบบแปลกๆคะ 555555555
เป็นกำลังใจให้คีล ฉากมาช่วยนี่แหล่ะจะทำให้ดูเป็นพระเอกขึ้น  :hao7:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 22) P.5 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 21-12-2017 16:17:39
บทที่ 23



คีลมาถึงสถานที่ที่ลีโอส่งมาให้ในอีกสี่สิบนาทีต่อมา

อันที่จริงต้องบอกว่าเขามาจอดรถอยู่ใกล้ๆ กับสถานที่ที่ว่า จากนั้นจึงลงจากรถมาเดินเท้าต่อ แผนโง่ๆ สำหรับการติดกับดักโง่ๆ ในครั้งนี้ของเขาคือแอบลอบเข้าไปในสถานที่นั้น เพราะถ้าเขาขับรถเข้าไปละก็ ไม่มีทางที่ลีโอจะไม่รู้ตัวว่าเขามาถึงแล้ว

กว่าจะถึงจุดหมาย คีลต้องเดินฝ่าป่ากับพงหญ้ารกๆ ที่สูงเกือบถึงบ่า ชายหนุ่มเปิดโทรศัพท์ค้างเอาไว้เพื่อดูเส้นทางที่ต้องฝ่าไปให้ถึง และเมื่อถึงบริเวณหนึ่งที่ปลูกต้นไม้ประเภทเดียวกันเรียงยาวเป็นแถบ คีลคงไม่เห็นว่ามันเป็นปัญหาอะไรถ้าไม่ใช่เพราะพื้นด้านล่างของมันเป็นโคลนที่ลึกลงไปพอสมควร แถมมันยังลากยาวตลอดไปทั้งแถบ ราวกับว่าสถานที่ที่เขาต้องไปถูกล้อมกรอบไว้ด้วยพื้นโคลนพวกนี้

สายสืบหนุ่มพยายามตรวจสอบพื้นที่บริเวณนั้นผ่านหน้าจอมือถือ มีทางเข้าแค่ทางเดียวที่เป็นถนนเรียบไม่ใช่พื้นโคลนแบบตรงนี้ และทางเข้าที่ว่าก็เป็นทางประตูหน้าที่คีลตั้งใจจะเลี่ยงแต่แรก ร่างสูงถอนหายใจก่อนจะหย่อนเท้าลงไปในโคลนนั่นอย่างไม่มีทางเลือก ขาของเขาจมโคลนลงไปครึ่งน่อง และเมื่อเขาก้าวไปเรื่อยๆ มันก็จมลึกลงไปจนถึงเข่า ไม่ต้องนึกถึงราคาของสูทชุดนี้ที่เขาสั่งตัดมาเลย ตอนนี้มันคงติดลบแล้วแน่นอน ถ้าช่างตัดคนประจำของคีลรู้ว่าเขาเอาสูทชุดสวยนี่มาย่ำโคลนเล่นคงน้ำตาไหลเป็นแน่ เห็นเจ้าตัวเคยบอกว่ามันเป็นผ้านำเข้าจากอิตาลีอะไรสักอย่าง แต่อย่างกับเขาจะสนใจเรื่องพวกนั้น

คีลไม่ใช่คนเจ้าสำอาง เพราะงั้นเขาจึงไม่สนใจที่จะต้องมาลุยอะไรแบบนี้ และเขาก็มั่นใจว่าตัวเองเป็นคนแข็งแรง แต่การที่ต้องยกขาที่ถูกถ่วงน้ำหนักด้วยกางเกงเนื้อดีซึ่งชุ่มไปด้วยโคลนก็เรียกเหงื่อให้เจ้าตัวได้ไม่น้อย บรรยากาศรอบตัวที่มืดสนิทชวนให้ขนลุกแบบแปลกๆ เขาจินตนาการไปว่าอาจมีใครสักคนซุ่มยิงเขาอยู่ใต้ต้นไม้สักต้นที่อยู่รอบตัว และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเขาก็ไม่มีทางรู้หรือเอาตัวรอดได้เลย

คีลใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีกว่าจะฝ่าดงโคลนมาได้ มันทำให้เขาหอบหายใจหนักพอควร ยิ่งช่วงห้านาทีสุดท้ายที่เขาเร่งฝีเท้ามากขึ้นเพราะกลัวจะเกินเวลาตามที่ลีโอระบุมาให้ ซึ่งอันที่จริงคีลก็เหลือเวลาไม่มากแล้ว เขาไม่มีทางให้ถอย ไม่มีทีมแบ็คอัพ เรื่องพวกนั้นชวนให้ชายหนุ่มหวาดหวั่นนิดหน่อย แต่เพราะประสบการณ์ในอาชีพที่บีบให้คีลต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มานักต่อนักแล้ว นี่ก็แค่อีกสถานการณ์หนึ่งเท่านั้น

ไม่สิ... มันอาจจะหนักกว่านั้นนิดหน่อย เพราะครั้งนี้มีชีวิตของเอลเลียตมาเกี่ยวข้องด้วย

คีลลอบคิดขณะพยายามปัดโคลนออกจากกางเกงและบางส่วนที่กระเด็นมาโดนเสื้อผ้า จากนั้นเขาก็มองตรงไปยังสิ่งก่อสร้างเบื้องหน้าซึ่งเป็นสถานที่ที่ลีโอนัดให้เขามา







เอลเลียตไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว แต่เขารู้สึกกระวนกระวายใจและอยู่ไม่เป็นสุขเลย แรงกดดันที่ทับลงมาบนบ่าทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหนักอึ้ง เขาถูกปล่อยเอาไว้ให้อยู่ในห้องเดิมมาหลายชั่วโมงจนร่างกายล้าไปหมด เขาเห็นลีโอเดินผ่านไปมาตรงประตูที่ถูกแง้มเอาไว้อยู่ จากนั้นก็มีผู้ชายที่อยู่ในเครื่องแบบเต็มยศ แบบที่ติดอาวุธด้วยน่ะ เอลเลียตหวังแค่ว่าคนพวกนั้นคงไม่ใช่หรือไม่ได้เคยเป็นคู่ขาของลีโอมาก่อนนะ ไม่งั้นแทนที่จะได้ตั้งฐานลับจะได้กลายเป็นแหล่งมั่วเซ็กส์แทน

ยัง… ยังจะตลก เข้าตาจนแล้วยังจะทำเป็นเล่น

คนผมน้ำตาลลืมหายใจไปครู่หนึ่งขณะที่ลีโอก้าวเท้าเข้ามาในห้องที่เขาอยู่พร้อมกับผู้ชายอีกคนที่มีอาวุธครบมือที่เอลเลียตเห็นแวบๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว แต่เขาแน่ใจว่าไอ้พวกติดอาวุธพวกนี้คงไม่ได้มีแค่คนเดียว

“ฝากนายเฝ้าหมอนี่ไว้หน่อยนะ” ลีโอหันไปพูดกับอีกฝ่ายเสียงเรียบ คนที่ได้รับคำสั่งตอบรับอย่างแข็งขันราวกับพวกทหาร และนั่นยิ่งทำให้คนผมน้ำตาลขวัญหนีดีฝ่อไปใหญ่

ลีโอตั้งใจจะล่อคีลมาที่นี่จริงๆ สุดท้ายแล้วยังไงก็คงกะจะฆ่าพวกเขาทิ้งทั้งคู่ หวังว่าคีลคงไม่โง่บุกมาที่นี่คนเดียวนะ เขาหมายถึง… ยังไงเสียคีลก็มีทีมที่ตัวเองไว้ใจมากอยู่ไม่ใช่เหรอ หมอนั่นต้องขอให้คนในทีมมาช่วยหนุนหลังอยู่แล้วใช่ไหม อย่าโง่มาคนเดียวนะคีล

“ทำไม” เอลเลียตตัดสินใจเปิดปากก่อนที่ลีโอจะก้าวเท้าออกจากห้องนั้น คนผมทองหันมามองเขาพร้อมกับเลิกคิ้วข้างหนึ่ง “ทำไมนายต้องอยากล่อคีลมาด้วย”

ลีโอเงียบ เอลเลียตเลยถามย้ำต่อ

“นายคิดจะฆ่าฉันอยู่แล้ว ไอ้เรื่องเจรจาต่อรองอะไรนั่น นายไม่คิดจะทำมาแต่แรก แล้วนายจะเอาหมอนั่นมาเอี่ยวด้วยทำไม นายอยากจะฆ่าเขางั้นเหรอ”

“ฉันเหรอ? ไม่หรอก” ถึงตรงนี้คนผมทองก็ยกยิ้มสะใจขึ้น “นายต่างหากที่จะฆ่าเขาเอล”

“ฉันไม่มีทาง---! ”

“ชู่ ฟังฉันพูดให้จบก่อนได้ไหม ถึงได้บอกไงว่าไอ้นิสัยพูดมากของนายแม่งน่ารำคาญ” ลีโอขมวดคิ้วมุ่น เอลเลียตกำลังจะอ้าปากพูดโต้ตอบไปอย่างไม่เกรงกลัวเหมือนเคย แต่พอเห็นคนข้างตัวอดัมส์ที่ทำท่าจะหยิบอาวุธออกมาเจ้าตัวถึงได้รีบปิดปากลงไปฉับ

“ขอบใจ เอล ฉันกำลังจะบอกว่า นายจะเป็นคนฆ่าไอ้ตำรวจนั่น จากนั้นนายก็จะหนีไปในที่ที่ไกลแสนไกลแบบที่ไม่มีใครตามหาตัวเจอ นั่นแหละคือสิ่งที่จะถูกเขียนลงในข่าว”

เอลเลียตใช้เวลาประมวลผลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ

“นาย… คิดจะฆ่าฉันกับคีล แล้วก็โยนขี้มาให้ฉันว่าฉันเป็นคนฆ่าหมอนั่นอย่างนั้นเหรอ”

“ทำไมล่ะ? ก็ดูสมเหตุสมผลดีออกไม่ใช่เหรอ? ” ลีโอตอบกลับยิ้มๆ ไม่สะทกสะท้านกับสายตาอาฆาตแค้นของคนที่นั่งอยู่บนพื้นแม้แต่น้อย “โจรที่หลบหนีออกมาจากคุกพยายามฆ่าตำรวจที่มาตามล่าตัวเองกลับเข้าไป ก็แค่เรื่องเดิมๆ ที่เห็นได้ดาษดื่น”

“ไปตายซะเหอะวะ ลีโอ”

“เบื่อพวกดีแต่ปากว่ะ” คนผมบลอนด์ทองพูดพร้อมกับหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี ยิ่งได้ยินคำสบถด่าจากเอลเลียตที่ตามมาเป็นพรวนแล้วด้วย จากนั้นเจ้าตัวถึงได้เดินทอดน่องจากคนผมน้ำตาลไป

สาบานเลย… ถ้าเขามีโอกาสละก็ เขาต้องฆ่ามันทิ้งแน่

เอลเลียตคิดอย่างเจ็บใจ ก่อนจะต้องสลดลงอีกทีเมื่อคิดได้ถึงสถานะของตัวเอง

อย่าว่าแต่จะฆ่าลีโอเลย เขาเองนี่แหละที่จะเป็นฝ่ายโดนหมอนี่ฆ่า แล้วจะเก็บกันอย่างเดียวไม่พอ ยังจะทำให้เขากลายเป็นคนที่ฆ่าคีลทั้งที่มันไม่จริงอีก

ได้โปรดเถอะ คีล ไม่ต้องช่วยผมออกไปก็ได้ แต่ได้โปรด มีชีวิตรอดออกไปเพื่อผมที







เขาก้าวเข้ามาในตัวสิ่งก่อสร้างที่ก้ำกึ่งระหว่างบ้านร้างหรือโรงเก็บของเก่าๆ แต่สิ่งที่แน่ใจได้คือสภาพของมันผุพังราวกับจะพังแหล่มิพังแหล่

คีลหยิบจอมือถือขึ้นมาดูเพื่อให้แน่ใจว่าเขาตั้งเป็นระบบปิดเสียงและปิดการสั่นแล้ว เขาไม่อยากให้เสียงพวกนั้นแผดลั่นขึ้นในระหว่างที่ตัวเองกำลังหลบเข้าไปในถิ่นของศัตรู

ชายหนุ่มกระชับปืนในมือทั้งสองข้าง ก้าวตัวเข้าไปในความมืดของห้องอย่างมืออาชีพ นัยน์ตาสีน้ำตาลกวาดมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง เขาปล่อยให้สัญชาตญาณในตัวทำงานอย่างเต็มที่

เขาอยากจะพลิกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา แต่คีลรู้ดีว่านี่มัดมืดเกินกว่าจะมองเห็นอะไรได้ แต่เขาไม่ได้กลัวความมืดเท่าไร อย่างน้อยการที่เขามองอะไรไม่ค่อยเห็นก็แปลว่าอีกฝ่ายเองก็ตกอยู่ในสถานะเดียวกัน

ร่างสูงก้าวเท้าไปในความมืดอย่างเงียบงัน คีลขยับตัวหลบหลังเสาต้นหนึ่งทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังสวนขึ้นมา ชายหนุ่มรออยู่เงียบๆ แบบนั้นอย่างใจเย็น และเมื่อแน่ใจว่าแล้วว่าเสียงฝีเท้าที่ว่าหายไปแล้วเขาก็เริ่มก้าวเดินต่อเพื่อสำรวจพื้นที่รอบๆ

คีลตัดสินใจเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบนสุด ไม่ว่ามันจะไปสิ้นสุดลงที่ไหน แต่เขาเชื่อว่าการมองลงจากที่สูงย่อมทำให้เห็นอะไรต่างๆ ได้ชัดเจนดีกว่า และเมื่อเดินสำรวจที่ชั้นสามจนแน่ใจแล้วว่าที่นี่ไม่มีใครนอกจากเขา จู่ๆ ในหัวคีลก็นึกแผนอะไรขึ้นมาได้

เขารู้มาแต่แรกแล้วว่าลีโอ ฮอร์ตันตั้งใจจะปั่นประสาทเขา รู้ดีว่านี่เป็นกับดัก แล้วก็รู้ดีกว่าใครว่าเขาอาจจะต้องตายที่นี่ และในเมื่อเขายอมให้เดิมพันมันสูงถึงขนาดนี้แล้ว คีลก็คิดว่าเขาไม่มีอะไรต้องเสียอีก

ถึงเวลาต้องปั่นประสาทกันคืนสักหน่อย…

ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเบอร์ของผู้บังคับบัญชาที่เหนือกว่าบอสของเขาขึ้นไป จูเลียน ฮอร์ตันรับสายเขาในกริ่งที่สาม เสียงที่ดังแทรกเข้ามาเป็นดนตรีอ่อนหวานขับกล่อมให้ผู้ฟังผ่อนคลาย บ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดใดๆ อย่างแน่นอน

เพราะงั้นเขาจะเป็นคนจุดชนวนเอง

“สวัสดีครับ คุณฮอร์ตัน ผมโทรมาแจ้งข่าวร้ายอะไรนิดหน่อยน่ะครับ”

“วิลล์เหรอ” น้ำเสียงของปลายสายแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด “มีเรื่องอะไรกันครับเนี่ย นี่มันก็ดึกมากแล้ว”

“ทางทีมของผมรวบรวมพยานหลักฐานบางอย่างมาได้เกี่ยวกับลีโอ ฮอร์ตัน ลูกชายของคุณ”

คราวนี้แหละฮอร์ตันคนพ่อถึงกับนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ คีลรออย่างใจเย็นจนกระทั่งอีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เดาอารมณ์ไม่ถูก

“เรื่องอะไรครับ”

“เขาพัวพันในคดีของแก๊งปล้นธนาคารในระยะหลังนี้ อันที่แล้วเขาเป็นตัวการสำคัญด้วยซ้ำ”

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน”

คีลพยายามจับน้ำเสียงของปลายสาย และเขาก็รู้ได้ทันทีว่าฮอร์ตันกำลังร้อนรน แม้ว่าจะพยายามทำเป็นสับสนแบบสุดๆ ไปเลยก็ตาม

หมอนี่เองก็เป็นหนึ่งในตัวการเหมือนกัน… คราวนี้มาดูกันสิว่าพ่อลูกคู่นี้ใครจะโยนขี้ให้ใครได้เก่งกว่ากัน

“คุณล้อผมเล่นใช่ไหม วิลล์ คุณคิดว่านี่มันตลกนักเหรอ ฮะ”

“ถ้าผมคิดว่ามันตลก ผมคงไม่โทรมาเตือนคุณหรอกครับ”

“หมายความว่ายังไง”

คีลแกล้งทำเสียงถอนหายใจยาวเหมือนคนคิดหนัก “จะว่ายังไงดีล่ะครับ คือทางทีมผมได้หลักฐานแล้วก็พยานมาแล้วก็จริง แต่ก็อย่างที่คุณพูดว่านี่มันดึกมากแล้วนั่นแหละ เพราะงั้นพวกเราก็เลยยังไม่มีโอกาสได้ไปขอรับการอนุญาตจากผู้พิพากษาให้เซ็นหมายศาลในการจับกุมให้เลย เพราะงั้น… เห็นแก่ความสัมพันธ์ดีๆ ที่เรามีกันมา ผมเลยคิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะเตือนคุณ--”

“เดี๋ยวก่อนนะ คุณสายสืบวิลล์” น้ำเสียงของจูเลียนฟังดูสับสนไม่น้อย นั่นแหละสิ่งที่คีลต้องการล่ะ “คุณบอกว่าคุณได้พยานหลักฐานเรื่องลูกชายผมมา แล้วทีมของคุณไปสืบกันตอนไหน ทำไมผมถึงม่รู้เรื่องนี้เลย”

คีลตอบกลับไปอย่างฉะฉานอย่างคนที่คิดเรื่องราวอะไรได้เร็ว เขาอ้างกับฮอร์ตันว่าทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น เนื่องจากทีมของเขากำลังกวาดล้างแก๊งปล้นธนาคารอยู่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนั้นฮอร์ตันเองก็รู้ ที่เหลือเขาก็แค่ผสมนั่นนิด ใส่ไข่เรื่องนั้นอีกหน่อย เรื่องโกหกของเขาก็ฟังดูสมจริงขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ

“ไม่… ผมว่าผมต้องวางแล้ว วิลล์” ในที่สุดจูเลียนก็พูดขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อน “ที่คุณกำลังปรักปรำลูกชายผมอยู่นี่มันหนักเกินไป”

“ผมไม่ได้กำลังปรัก--”

“โอเค ตกลง ผมจะไม่เถียงเรื่องนี้กับคุณ แต่ผมขอวางก่อนได้ไหม ผมอยากโทรไปคุยกับเขา”

เหยื่อติดเบ็ดแล้ว

“ก็ได้ครับ ท่าน แต่อย่างที่ผมบอกไป เรื่องนี้เราพยายามเก็บเงียบเอาไว้ก่อนที่เราจะได้ลายเซ็นจากผู้พิพากษา เอาเป็นว่าถือว่าผมโทรมาเตือนก็แล้วกัน แล้วเราค่อยมาคุยกันให้ละเอียดอีกทีพรุ่งนี้”

จากนั้นสายก็ถูกตัดไป คีลเริ่มก้าวเท้าเดินต่อในความมืด หากสายตาที่เริ่มปรับจนชินช่วยให้เขาเห็นอะไรต่างๆ ได้ง่ายขึ้น

ร่างสูงเดินกลับลงไปที่ชั้นสอง ตัดสินใจเดินไปที่อีกฟากของตัวอาคารเมื่อเห็นว่าแถวนี้ไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า และไม่นานคีลก็ค้นพบกับพื้นที่โล่งของชั้นล่าง จากตรงนี้ก็เป็นแค่ระเบียงเลาะขอบผนังไป แสงไฟสลัวๆ บ่งบอกให้รู้ว่ามีคนอยู่ที่นั่น เขาย่อตัวลงแล้วมองลงไป ในที่สุดเขาก็ได้เห็นชายคนหนึ่งที่มีอาวุธครบมือ เยื้องเจ้าตัวไปมีร่างที่นั่งคุดคู้อยู่บนพื้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นคือคนที่เขากำลังตามหาอยู่แน่

คีลกระชับปืนในมือพร้อมกับเล็งไปที่ชายคนนั้นเพื่อกะระยะ เขาไม่อยากฆ่าใครถ้าไม่จำเป็น ดังนั้นชายหนุ่มจึงหันปากกระบอกปืนไปยังบริเวณลำตัวของอีกฝ่ายในจุดที่มั่นใจว่าจะทำให้ร่างนั้นล้มลง อาจจะอาการสาหัสหรือว่าถึงตาย หรืออาจจะรอดก็ได้ แต่เขาไม่มีทางเสี่ยงให้อีกฝ่ายหันกลับมาฆ่าเขาหรือเอลเลียตแทนเสียก่อน

แต่คีลไม่จำเป็นต้องลั่นไก เพราะก่อนหน้าที่เขาจะขยับนิ้ว ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าร้อนรน ตอนแรกร่างสูงคิดว่านั่นคือลีโอ แต่ประเมินจากใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์กับรูปร่างผอมบางของเจ้าตัวแล้ว นั่นคงเป็นเกล แฟนคนปัจจุบันของลีโอที่เอลเลียตเคยเล่าให้เขาฟัง เด็กหนุ่มมาตามให้ชายติดอาวุธคนนั้นไปรวมตัวกับลีโอและคนอื่นๆ ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น คีลไม่สงสัยเลย ก็เขาเองที่เป็นคนจุดชนวนนั่นขึ้นมา



[มีต่อ]
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 22) P.5 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 21-12-2017 16:18:12

[ต่อ]

ชายหนุ่มรอจนกระทั่งทั้งสองคนนั้นออกไปแล้วจึงตัดสินใจหย่อนตัวลงไปชั้นล่างที่เอลเลียตอยู่เพราะไม่อยากเสียเวลาย้อนกลับไปทางเดิมเพื่อเดินลงบันได เสียงน้ำหนักตัวที่คีลพยายามบังคับให้เบาที่สุดกระแทกลงบนพื้น คนผมน้ำตาลหันขวับมาด้วยท่าทีระแวดระวัง เอลเลียตไม่รู้ว่าผู้มาใหม่คือใครเพราะความมืด แต่แล้วนัยน์ตาสีฟ้าก็ต้องเบิกกว้างขึ้นอย่างตื่นตะลึงเมื่อเพ่งมองร่างสูงดีๆ และพบว่านั่นคือคีล

คีลยกนิ้วแตะริมฝีปากเป็นเชิงบอกให้เอลเงียบ ซึ่งต่อให้ไม่ทำแบบนั้น เอลเลียตก็รู้ดีอยู่แล้ว คีลหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดฟังก์ชันไฟฉายเพื่อสำรวจเชือกที่ไพล่หลังเอลเลียตไว้อยู่ เขาหยิบมีดพกขึ้นมาตัดมันออกอย่างง่ายดาย

เอลเลียตเปิดปากกระซิบถามคนตรงหน้าอย่างอดไม่อยู่ "นี่คุณมาได้ไง"

"เดินมาครับ"

"..." เออ ก็ถูกของมัน

แต่นี่มันใช่เวลามากวนประสาทกันไหม!

แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลามาโวยวายหรือคาดคั้นใดๆ เช่นกัน มือหนากระชากแขนของเอลเลียตไปที่ประตูฝั่งตรงข้ามกับที่เกลและชายอีกคนเพิ่งก้าวออกไป จากนั้นก็ก้าวเท้ายาวๆ อย่างเร่งรีบแต่เงียบเชียบไปตามทางเดิน มือกุมมือของเอลไว้มั่น เอลเลียตรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนขึ้นจากการกระทำนั้นของร่างสูง แม้ว่านี่จะผิดเวลามากสุดๆ ก็ตามที

คีลยอมเสี่ยงมาช่วยเขา... ถึงแม้ว่าในหลายชั่วโมงที่ผ่านมาเขาจะเอาแต่ภาวนาให้หมอนี่ไม่โผล่หน้ามาเลยก็ตาม แต่พอคีลมาช่วยเขา แม้ว่าจะยังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่เอลเลียตก็รู้สึกยินดีเหลือเกินที่อีกฝ่ายมาช่วยเขา ตื้นตันแบบที่เขาบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก คีลพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขามีความสำคัญต่อร่างสูงมากขนาดนั้นจริงๆ

ทั้งคู่มาถึงในบริเวณที่น่าจะเคยเป็นครัวมาก่อน ทันใดนั้นคีลก็สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของใครบางคน เขากระชับปืนในมือข้างหนึ่งทันที เอลเลียตชะงักไปด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆ มือหนาก็ผลักเขาลงกับพื้นพร้อมกับตะโกนเสียงเฉียบ

"หมอบ! "

เอลเลียตทิ้งน้ำหนักตัวลงไปบนพื้นทันที เขาได้ยินเสียงกระสุนลั่นนัดหนึ่ง จากนั้นก็ตามมาด้วยอีกนัด นัดหลังนี่น่าจะมาจากคีลเพราะเสียงใกล้กว่ามาก เอลเลียตหวังให้มันโดนใครก็ตามที่ยิงกระสุนนัดแรกมาสุดใจเลย

นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่คมตวัดไปมองที่ช่องว่างของประตูที่ถูกแง้มที่ซึ่งเขาเห็นคนร้ายครั้งแรกก่อนที่เสียงปืนจะลั่น เขายิง สวนตามไปอีกสามนัด ไม่มีการยิงโต้ตอบกลับมาในครั้งนี้ แต่มีเสียงกระจกแตกและไม้ที่หักกระจายดังกลับมา จากนั้นก็ตามด้วยเสียงฝีเท้าที่ทิ้งห่างออกไป

คนคนนั้นอาจจะไปเรียกกำลังเสริมหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่คีลไม่สนใจหาคำตอบในเรื่องนั้น เขาฉุดร่างของเอลเลียตให้กลับขึ้นมายืนแล้วพุ่งตัวไปยังประตูทางออก ทันทีที่ก้าวออกมาด้านนอก สายลมของยามเย็นก็ปะทะเข้ากับใบหน้าทำให้ชาไปหมด

เสียงกระสุนปืนดังลั่นขึ้นมาอีกรอบจากด้านหลัง เอลเลียตสะดุ้งสุดตัวขณะที่คีลกระชากแขนของอีกฝ่ายให้ออกวิ่งไปพร้อมๆ กับเขา

ให้ตายเถอะโว้ย อะไรกันนักกันหนาเนี่ย!

คนผมน้ำตาลได้แต่กรีดร้องในใจขณะวิ่งตามคีลซึ่งหันไปมองตามทิศทางที่ลูกกระสุนถูกยิงมา คนยิงอยู่ที่ชั้นสอง ยิงลงมาจากทางหน้าต่าง เขาอาจจะพยายามโต้ตอบด้วยการยิงสวนกลับขึ้นไปก็ได้ แต่ปืนที่เขามีอาจจะไม่ได้ระยะขนาดนั้น เพราะงั้นสิ่งที่ควรทำตอนนี้คือออกไปจากให้นี่แล้วเรียกกำลังเสริมให้มาช่วย

เสียงฝีเท้าของผู้ชายอีกคนดังมาจากด้านหลัง ตามมาด้วยกระสุนนัดหนึ่งที่มาจากระยะตรง ไม่ใช่เฉียงลงล่างแบบที่ลงมาจากชั้นบนแบบเมื่อกี้ มันเฉี่ยวใบหน้าของร่างสูงไปนิดเดียว จากนั้นก็ตามมาด้วยนัดที่สองและสาม คีลสบถอย่างหงุดหงิด แต่พวกเขาทั้งคู่ใกล้จะถึงป่าที่ล้อมรอบพื้นที่แห่งนี้แล้ว ถ้าเข้าไปได้ โอกาสหนีรอดก็จะเพิ่มมากขึ้น

“เดี๋ยว คีล” เอลเลียตร้องอย่างเสียขวัญเมื่อเห็นบ่อโคลนด้านหน้า “อย่าบอกนะครับว่าเราจะ---”

คีลไม่สนใจคำครวญของคนรัก เขาผลักเจ้าตัวนำลงไปก่อน จากนั้นก็หันไปยิงใส่คนด้านหลังเพื่อชะลอความเร็วของเจ้าตัวบ้าง

แน่นอนว่าการย่ำลงไปในโคลนนี้อีกครั้งทำให้ความเร็วของพวกเขาทั้งคู่ตกลง แต่อย่างน้อยการมีต้นไม้มาช่วยอำพรางก็ทำให้คีลได้เปรียบมากขึ้นทีเดียว

ชายหนุ่มพยายามกดโทรศัพท์ เขามีปุ่มลัดฉุกเฉินสำหรับเอาไว้ติดต่อกับเคลลี่ และเมื่อจัดการตรงนั้นเสร็จเขาก็พาเอลเลียตขึ้นจากบ่อโคลนได้ในอีกเกือบสิบนาทีต่อมา ดูเหมือนความกว้างของบ่อนี่จะแคบกว่าอีกทางตอนที่เขาบุกไปช่วยเอลออกมาจากบ้านหลังนั้น

เอลเลียตปัดโคลนที่อยู่บนขากางเกงออกขณะที่หอบหายใจไปด้วยน้อยๆ อย่างเหนื่อยอ่อน และเมื่อชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมากำลังจะบ่นกับคนรัก คนผมน้ำตาลก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นเลือดที่ไหลไม่หยุดจากบ่าซ้ายของคีล

“คีล” เอลเลียตพูดด้วยน้ำเสียงละล่ำลัก “คุณโดนยิงเหรอ? ”

คีลไม่ตอบ สีหน้าของเขาเรียบเฉยก็จริง แต่เอลเลียตดูออกว่าร่างสูงแค่พยายามกลบเกลื่อนความเจ็บปวดเอาไว้เท่านั้น เชื่อว่าตอนที่เขาไม่มอง สีหน้าของคีลก็คงทรมานไม่ต่างจากคนทั่วไปที่ได้รับบาดเจ็บหรอก คิดแบบนั้นแล้วเอลเลียตก็ประคองใบหน้าของอีกฝ่ายให้หันกลับมามองตัวเอง

“คีล คุณ---”

“ไม่ใช่ตอนนี้ครับ เอล” เขาดึงมืออีกฝ่ายออกแล้วบีบแน่น “เราต้องหนีจากตรงนี้ก่อน”

“แต่เราน่าจะ--” สลัดพ้นมาแล้ว เอลเลียตตั้งใจจะพูดแบบนั้น หากเสียงไหวๆ ที่ดังตามมาจากด้านหลังบริเวณป่าที่พวกเขาเพิ่งจากมาทำให้คนผมน้ำตาลต้องหุบปากฉับลง

คีลฉุดอีกฝ่ายให้เดินตามเขาไป ไหล่ข้างที่ถูกยิงห่อลงเล็กน้อยแต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นอุปสรรคอะไรนักสำหรับเจ้าตัว กลับเป็นเอลเลียตเสียอีกที่ใจหายวาบ เขาเป็นห่วงคนข้างตัวสุดหัวใจ แต่ก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์จะมาพูดปลอบหรือแสดงความห่วงใยอะไร ถึงคีลจะแสดงให้เห็นแล้วว่าไอ้ที่โดนยิงมานี่ไม่ร้ายแรงถึงตาย แต่เขาก็ยังรู้สึกเป็นห่วงมากอยู่ดี

คีลพาเขาลงมาที่ท่อระบายน้ำแห่งหนึ่งที่บังเอิญเจอทางเข้าโดยบังเอิญ เจ้าตัวพาเอลเลียตเดินลุยน้ำข้ามไปที่ทางเดินอีกฟากเพื่อกลบเกลื่อนโคลนที่เปื้อนไปทั้งขา

เอลเลียตนึกชื่นชมในความฉลาดของคนรักเป็นอย่างยิ่ง คือวิ่งหนีลูกปืนมาตั้งไกล ตัวเองโดนยิง เหนื่อยจนแทบจะล้มไปกองกับพื้น แถมยังต้องคอยกระเตงเขาเข้าเอวแบบนี้ ยังจะมีเวลาคิดระวังไม่ให้คนร้ายตามมาได้อีก คือแบ่งสมองยังไงถามจริง สำหรับเขาแค่คิดจะวิ่งเพื่อเอาตัวให้รอดอย่างเดียวก็เต็มหัวหมดแล้ว

เอลเลียตก้าวเท้าไปตามคีลที่ยังไม่ปล่อยมือเขาเงียบๆ แม้ความจริงแล้วอยากจะพูดนั่นพูดนี่ใจแทบขาด คนผมน้ำตาลเริ่มสะดุดใจเมื่อเห็นว่าความเร็วในการเดินของคีลเริ่มลดลง นัยน์ตาสีฟ้าใสมองคนรักอย่างเป็นกังวล และเมื่อบ่าที่เคยตรงแน่วของคีลเริ่มลดต่ำลง ในที่สุดเอลเลียตก็ตัดสินใจดึงตัวร่างสูงเข้าไปในซอกแคบๆ จุดหนึ่งของทางระบายน้ำนี่

คีลทำท่าจะเปิดปากค้าน แต่คนผมน้ำตาลส่ายหัวและบังคับให้ร่างสูงทรุดตัวนั่งลงกับพื้น คีลทำตามที่เอลเลียตว่าด้วยสีหน้าเหมือนไม่เต็มใจ แต่ความจริงก็คือเขาเหนื่อยและล้ามากเกินกว่าจะก้าวเดินต่อ ที่พยายามฝืนอดทนข่มกลั้นความเจ็บมาตลอดเหมือนจะถึงขีดจำกัดแล้ว

ทั้งสองคนอยู่เงียบๆ ในมุมนั้นอยู่ครู่ใหญ่ มีเสียงฝีเท้าของใครบางคนสะท้อนมากับผนังของท่อระบายน้ำ คงเป็นคนเดียวกับที่ตามพวกเขาทั้งคู่มาตลอด ชายคนนั้นส่งเสียงสบถออกมาด้วยความเจ็บใจเพราะรอยโคลนที่เขาตามมาตลอดได้หายไปกับสายน้ำเสียแล้ว

เอลเลียตกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดหวั่น ดึงปืนมาจากมือของคีลอย่างถือวิสาสะ แต่ขณะเดียวกันก็คอยเอาตัวบังร่างสูงที่นั่งอยู่บนพื้นไว้ราวกับจะคอยกันให้

แต่พวกเขาก็รอดจากการปะทะมาได้อีกครั้งเมื่อชายคนนั้นวิ่งไปตามทางตรงอย่างต่อเนื่อง เสียงฝีเท้าที่ห่างออกไปเรื่อยๆ สะท้อนไปมาราวกับจะย้ำให้เอลเลียตและคีลมั่นใจว่าภยันตรายได้จากไปแล้ว

คีลควักโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาบอสของตัวเอง ระบุเส้นทางที่ทางตำรวจจะต้องสกัดเพื่อรวบตัวลีโอและพวกให้ทัน ชายหนุ่มระบุเส้นทาง สายถนน และจุดที่ควรสกัดโดยละเอียด เอลเลียตฟังแล้วถึงกับต้องเบิกตาโตกับความบ้างานของอีกฝ่าย นี่ขนาดเพิ่งโดนยิงมาเลือดหยดติ๋งๆ แบบนี้ ยังจะมีแก่ใจมาสั่งงานสั่งการอีก ตายไม่เป็นจริงๆ โว้ย!

ในที่สุดคีลก็เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงหลังจากระบุสถานที่ที่ตัวเองและเอลเลียตอยู่ เขาถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งยาวๆ ด้วยท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น เอลเลียตเอ่ยปากแซว

“อะไรกันครับ แค่นี้ก็หมดสภาพแล้วเหรอ ทีเมื่อกี้ยังทำเป็น-- คีล! ” ชายหนุ่มร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นคนรักของตัวเองก้มหน้าลงต่ำ คางชิดกับอก มือเลื่อนไปกุมบาดแผลที่ถูกยิงราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าร่างกายกำลังเจ็บปวดเจียนตายที่บริเวณนั้น

เอลเลียตไม่เคยเห็นคีลเป็นแบบนี้ ชายหนุ่มทรุดตัวลงไปนั่งตรงหน้าอีกฝ่ายด้วยใบหน้าซีดเผือด ใจเขาเต้นรัวด้วยความกลัวว่าคีลจะเป็นอะไร

“คีล… คีลครับ มองหน้าผม อยู่กับผมก่อน อย่าเพิ่งหลับนะ”

ร่างสูงไม่พูดอะไรตอบ ซ้ำยังมีท่าทีนิ่งผิดปกติจนเอลเลียตเริ่มร้อนรนขึ้นมาจริงๆ เขาคิดว่ากรอบตาตัวเองร้อนขึ้นมาด้วยซ้ำ เหมือนกำลังจะร้องไห้ ชายหนุ่มเลื่อนมือไปประคองใบหน้าคมอย่างเบามือ

“คีล คุณเป็นอะไร เจ็บแผลมากเหรอครับ อดทนหน่อยนะ ทุกคนกำลังมาแล้ว เขาจะพาคุณไปรักษานะ”

“...เอล” เจ้าหน้าที่หนุ่มพูดขึ้นมาจนได้หลังจากเงียบไปนาน คนถูกเรียกรีบขานรับอย่างกระตือรือร้นทันที

“ครับ ว่ายังไง คีล ผมอยู่ตรงนี้”

“...ผมอยากให้คุณจูบผม”

เอลเลียตอ้าปากค้างไปกับคำขอนั้น คีลเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาด้วยความรู้สึกลึกล้ำแบบที่เขาไม่เคยได้จากผู้ชายคนไหนหรือใครมาก่อน

ท่ามกลางความมืดและความเงียบสงัดของสถานที่แห่งนั้น เอลเลียตรู้สึกได้ถึงความรักที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจ เหมือนมันจะล้นทะลักออกมาและอาจทำให้เขาสำลักตายถ้ายังปล่อยให้มันล้นปรี่อยู่แบบนี้

เอลเลียตประคองใบหน้าหล่อเหลาที่ทำให้เขาลุ่มหลงตั้งแต่ที่ได้เห็นเป็นครั้งแรกขึ้นอย่างทะนุถนอม ใบหน้าของคีลซีดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตอนปกติ แต่นัยน์ตาสีน้ำตาลที่มองตรงเข้ามาในตาเขามันเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนและความรักใคร่

คนผมน้ำตาลประกบริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากของร่างสูงอย่างนุ่มนวลในจังหวะแรก ปล่อยให้ความอ่อนหวานละมุนละไมแผ่ซ่านอยู่ด้านในโพรงปากของพวกเขาทั้งคู่ มันเป็นจูบที่คละเคล้ามาด้วยกลิ่นคาวเลือดจากบ่าของคีล เสียงน้ำไหลเอื่อยๆ ของท่อระบายน้ำ ความมืดมิดที่ทำเอาแทบมองอะไรไม่เห็นของสถานที่แห่งนั้น ไม่มีอะไรเรียกได้ว่าโรแมนติกเลยสักอย่าง แต่มันกลับเป็นจูบที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เอลเลียตจะมีได้

ชายหนุ่มเอียงหน้าเมื่อเร่งจังหวะการจูบ ลิ้นร้อนสอดเข้าไปในโพรงปากของคีลที่เผยอรอรับสัมผัสจากเขาอยู่แล้ว พอคิดดูดีๆ นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่คีลเป็นฝ่ายขอให้เขาจูบ เพราะที่ผ่านมาเขาเป็นคนขอตลอด หรือไม่อย่างนั้นร่างสูงก็แค่ดึงเขาไปจูบเลย ไม่เคยเอ่ยปากขออย่างที่เพิ่งทำเมื่อครู่

เอลเลียตวางมือลงบนบ่าข้างที่ไม่ได้ถูกยิงของคีลแล้วสอดลิ้นของตัวเองเข้าไปให้ลึกมากขึ้น คีลเองก็กำลังสำรวจโพรงปากของเขาด้วยวิธีเดียวกัน ลิ้นที่เกี่ยวตวัดกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใครทำให้เอลเลียตแทบคลั่ง แต่เขาไม่รู้หรอกว่าคีลเองก็รู้สึกแบบนั้นอยู่เหมือนกัน

คีลใช้มือขวาที่ยังขยับได้ปกติดึงร่างบางของเอลเลียตเข้ามาไว้ในอ้อมแขนโดยที่ไม่ผละริมฝีปากออก จูบเจ้าตัวอยู่แบบนั้นอย่างเนิ่นนานราวกับว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขามีโอกาสได้ทำแบบนั้น

เอลเลียตไม่ขัดร่างสูงเลย เขาปล่อยให้คีลจูบเขาจนพอใจ ตักตวงความหอมหวานและความรุ่มร้อนจากจูบที่เหมือนไม่มีที่สิ้นสุดนั้น คีลดึงตัวเขาไปกอดแนบอก ซุกหน้าลงบนบ่าของชายหนุ่มที่เขาเพิ่งช่วยเอาไว้ได้ เอลเลียตคงไม่มีทางรู้ว่าคีลดีใจแค่ไหนที่เขาช่วยเจ้าตัวได้สำเร็จ

คีลอยากบอกให้คนในอ้อมกอดรู้… อยากบอกให้เอลเลียตรู้ว่าเขารักอีกฝ่ายมากเพียงใด แต่ความรู้สึกนี่มันมากเกินไป มากเกินกว่าจะกลั่นออกมาเป็นคำพูดได้

สุดท้าย สายสืบหนุ่มก็ทำเพียงกระซิบข้างหูเอลเลียตอย่างแผ่วเบาแต่มั่นคง

“คุณเป็นของผม เอล”

เอลเลียตกระชับแขนที่กอดคีลตอบไว้แน่นขึ้น

“ผมรู้ คีล ผมเป็นของคุณ ผมยกทุกอย่างให้คุณ”

จากนั้นพวกเขาก็จูบกันอีกรอบ





---------------------------------------
Talk: อิจฉาา ทำไมเลาไม่มีคีลแบบเอลบ้าง ฮือออออ //แต่คิดอีกทีก็อยากมีเอลแบบคีลเหมือนกัน... ขอคู่เลยได้ไหมอะ ถถถถถ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 23) P.6 [21/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 21-12-2017 19:13:05
บู๊มากแต่ก็ยังหวานกันได้อีกนะ คีลเอล 555
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 23) P.6 [21/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 21-12-2017 20:18:18
สบักสบอมกันทั้งพระทั้งนาย  :katai5:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 23) P.6 [21/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ทันฌะ ที่ 21-12-2017 20:22:56
 :jul1: :-[ :m25:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 23) P.6 [21/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 25-12-2017 20:48:27
 :hao7: o13 :hao7:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 23) P.6 [21/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 26-12-2017 16:50:38

บทที่ 24




ข่าวเกี่ยวกับการมีส่วนเกี่ยวข้องในคดีปล้นธนาคารไม่ต่ำกว่าเจ็ดครั้งในรอบครึ่งปีที่ผ่านมาของจูเลียน ฮอร์ตันถูกแพร่กระจายเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว

แน่นอนว่าในกระแสข่าวนั้น มีการหยิบยกเรื่องของลีโอ ฮอร์ตัน ลูกชายของเจ้าตัวมากระพือให้ข่าวดังกล่าวโหมกระหน่ำหนักขึ้นไปอีก เรียกได้ว่าช่าวนี้สร้างความโกรธแค้นแก่ประชาชนเป็นจำนวนมาก บางกลุ่มออกมารวมตัวกันประท้วงและด่าทอถึงการทำงานของวงในอย่างดุเดือด

"พวกเขาช่วยกันปกปิดความผิดให้คนมีเงินและอำนาจแบบนั้น มันยุติธรรมแล้วเหรอ ผมหวังว่าสองพ่อลูกนั่นจะได้รับบทลงโทษที่สาสมกับสิ่งที่ตัวเองทำกับทุกคนเอาไว้"

"ฉันเห็นข่าวนั่นกี่ทีก็ยังรู้สึกเหลือเชื่ออยู่เลย นี่โลกเราเป็นอะไรกันไปหมดแล้ว ถ้าได้คนแบบนั้นมาคอยคุ้มครองประชาชนอย่างพวกเราจริงๆ ฉันว่าเราคงไม่ต้องการตำรวจสักเท่าไรหรอกค่ะ"

"ไปตายซะ ฮอร์ตัน! น้ำหน้าอย่างนายมีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้ได้ไงวะ!? "

และอีกสารพัดเสียงจากผู้คนทั่วทั้งนิวยอร์คที่วิพากษ์วิจารณ์กันเป็นว่าเล่น

เอลเลียตขึ้นไปให้ปากคำตามที่ทนายสาวของเขาได้ทำข้อตกลงกับทนายของแจ็ค พอร์เตอร์ที่ถึงแม้ว่าครั้งหนึ่งพวกเขาทั้งคู่จะมีเรื่องแบบที่เรียกได้ว่าเกือบฆ่ากันตายด้วยความอาฆาตแล้ว แต่พอเป็นเรื่องที่จะได้ผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งคู่ก็ให้ความช่วยเหลือกันดีแบบที่คีลยังต้องส่ายหน้าให้กับความกลับกลอกของเจ้าอาชญากรพวกนี้ แต่เอลเลียตก็มาอ้อนเจ้าตัวพร้อมกับชี้ให้เห็นว่าแบบนี้มันช่วยลดโทษให้เขาได้มากโขเลยทีเดียว นั่นแหละร่างสูงจึงไม่ค้านอะไร

ข่าวของลีโอไม่เป็นที่ฮือฮาของชาวเมืองเท่ากับเรื่องของพ่อของเจ้าตัวก็จริง แต่สำหรับเอลเลียตแล้วเขาแค้นชายหนุ่มคนนี้ยิ่งกว่าจูเลียนหลายเท่า และเขาก็รู้สึกเลยว่าแฟนเก่าของเขาร้ายกว่าพ่อของตัวเองไม่รู้เท่าไร เพราะนอกจากหมอนี่จะหลอกเขา หลอกคนในทีม หลอกคนทั้งโลก มันยังหลอกพ่อตัวเองเรื่องเอเลน่า เคอร์ติสอีก เอลเลียตคิดว่าสิ่งที่ลีโอทำลงไปเลือดเย็นมาก หมอนั่นสั่งฆ่าผู้หญิงคนนั้นที่... ถึงแม้ว่ามันจะฟังดูทุเรศ แต่ก็เป็นคนที่จูเลียนรัก จากนั้นก็โยนความผิดมาให้เขาเพื่อให้จูเลียนหาทางมาเก็บเขาต่อ

เอาเป็นว่าทุเรศบัดซบเหลือคำจะกล่าว ดังนั้นเอลเลียตจึงสะใจไม่น้อยเมื่อได้เห็นลีโออยู่ในหมีสีส้มอันเป็นเครื่องแบบของนักโทษที่เขาเคยใส่เมื่อหลายเดือนก่อน แม้ว่าสีหน้าหยิ่งๆ แบบลูกผู้ดีจะยังมีความมั่นใจในตัวเองสูง เอลเลียตก็ไม่แคร์ แค่ได้เห็นหมอนั่นโดนสับกุญแจมือแล้วโดนเตะโด่งเข้าคุกก็ถือว่าความโกรธแค้นของเขาได้รับการปลดปล่อยแล้ว

เอลเลียตมาดูการควบคุมตัวของลีโอในชุดไปรเวทใส่สบายๆ เสื้อเชิ้ตสีอ่อนแขนยาว กางเกงขายาวสีน้ำตาลเข้มกับแว่นตาเรย์แบนที่ห้อยอยู่ตรงคอปกเสื้อ ชายหนุ่มผมน้ำตาลยกยิ้มยียวนบนมุมปากขณะที่ลีโอนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยมีผู้คุมยืนอยู่ข้างๆ เขาหันไปบอกให้เจ้าหน้าที่ตัวโตออกไปรอข้างนอกห้องก่อน อีกฝ่ายพยักหน้าให้พร้อมกับกำชับเอลเลียตว่าถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลให้ตะโกนเรียกตัวเองหรือคีลที่ยืนรออยู่ด้านหน้า ซึ่งคนหลังนี่กว่าเอลเลียตจะเกลี้ยกล่อมให้รออยู่ข้างนอกเฉยๆ ได้นี่ก็ใช้เวลาไปตั้งหลายนาที

คนผมน้ำตาลทรุดตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับลีโอที่เลิกคิ้วให้เขาข้างหนึ่งอย่างสนเท่ห์ ว่ากันตามตรง นอกจากชุดนักโทษที่เจ้าตัวใส่อยู่ตอนนี้แล้ว ลีโอไม่มีอะไรบ่งบอกว่าตัวเองกำลังจะเข้าไปอยู่หลังซี่กรงได้เลย หมอนี่ไม่มีแววตาหวาดหวั่นไม่มั่นใจหรือแม้แต่เสี้ยวของความวิตกกังวล แม้แต่เอลเลียตที่แม้จะทำเฉยได้อย่างน่าชื่นชมแต่เขาก็ยังแววตาไม่มั่นใจแฝงอยู่ตอนก่อนจะเข้าห้องขัง แต่หมอนี่ไม่มีอะไรแบบนั้นเลยสักนิด

ไว้เขาจะรอดู… รอให้ผ่านปีแรกไปก่อน ไอ้บ้านี่จะยังมีท่าทีเฉยชาแบบนี้ได้อยู่ไหม

เอลเลียตยกมือขึ้นมาประสานบนโต๊ะ

“ฉันจะไม่รบกวนเวลานายมากหรอก”

ลีโอนิ่งเงียบ สบตากับอีกฝ่ายตรงๆ

“ชุดนั้นเหมาะกับนายดีนะ อดัมส์”

“ไม่เหมาะเท่ากับตอนที่นายใส่หรอก เอล” ลีโอตอกกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “แล้วอันที่จริง อีกไม่นานนายก็ต้องโดนยัดกลับเข้าไปอยู่ในคุกเหมือนเดิมนั่นแหละ ไม่ต้องรีบมาเยาะเย้ยกันเร็วนักก็ได้ เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าหัวเราะทีหลังดังกว่านะครับ ที่รัก”

เอลเลียตหุบยิ้มลงไปทันที เขาไม่เคยสู้สงครามประสาทของลีโอได้เลยไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือตอนไหน แต่ถึงอย่างไรสถานการณ์ที่ดีกว่าของตัวเองก็ทำให้ชายหนุ่มยิ้มออกมาได้อีกครั้ง

“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ ลีโอ แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก เพราะถึงยังไงฉันก็ไม่ได้ไปอยู่เรือนจำแย่ๆ ที่เดียวกับนายอยู่แล้ว ไปอยู่นั่นยังไงก็ระวังตัวให้มากๆ นะ พวกคนในคุกน่ะไม่ค่อยสนใจหรอกว่านายเคยเป็นใครมาก่อน”

ถึงทีที่คนผมทองจะหน้าตึงขึ้นมาบ้าง เอลเลียตนับหนึ่งแต้มให้ตัวเองในใจอย่างภาคภูมิ แม้ว่าจะไม่ใช่ชัยชนะที่สมบูรณ์แบบก็ตาม

“แล้วนายมีธุระอะไร” ในที่สุดลีโอก็พาเข้าเรื่อง “แค่แวะมาทักทายกันอย่างนั้นเหรอ? ”

“ใช่ ก็แค่แวะมาคุยด้วยเฉยๆ ทักทายๆ ”

“รู้สึกเป็นเกียรติจัง”

“แล้วนี่นายได้คุยกับจูเลียน พ่อของนายบ้างหรือยัง”

ลีโอยิ้มเย็นเมื่อเอลเลียตเอ่ยชื่อผู้ชายคนนั้นให้ได้ยิน ล่าสุดที่คนทั้งประเทศได้รับรู้เกี่ยวกับจูเลียน ฮอร์ตันก็คือเขากำลังต่อสู้กับคดีและข้อกล่าวหาที่เอลเลียตและทีมของคีลยัดเยียดให้อย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ดูจากวี่แววแล้วคงไม่แคล้วมาลงเอยเหมือนลูกชายในอีกไม่นานนี้เป็นแน่

“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับเขา”

“แล้วเขารู้หรือยังว่านายเป็นคนสั่งฆ่าเอเลน่า ไม่ใช่เพราะฉัน แล้วก็ไม่ใช่เพราะหล่อนฆ่าตัวตายเอง แต่นายสั่งฆ่ายัยนั่น”

“ไม่รู้สิ แต่เขาจะรู้หรือไม่รู้ ฉันก็ไม่สนใจอยู่ดี”

“เย็นชาจัง”

“ไม่เห็นน่าแปลกใจเลยไม่ใช่เหรอ” ลีโอประสานมือไว้บนโต๊ะบ้าง แม้มันจะผูกติดกันด้วยกุญแจมือก็ตาม “ขนาดพ่อแม่หรือพี่ชายของนายยังไม่อยากคุยหรือติดต่อกับนายเลยนี่ มันก็แบบเดียวกันนั่นแหละ”

คนผมทองตีได้ถูกจุด ทำเอาเอลเลียตนิ่งเงียบไปนานพอควรเลยทีเดียว จนกระทั่งลีโอเริ่มหัวเราะหึๆ ออกมาด้วยความสะใจนั่นแหละ คนผมน้ำตาลถึงดึงสติกลับมาได้ เจ้าตัวแสร้งยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา

“เอาล่ะ ลีโอ ฉันว่าฉันคงต้องไปแล้ว คุยกับนายสนุกมากเลย ทำให้นึกถึงวันเก่าๆ ดี ขอให้นายอยู่รอดปลอดภัยในคุกนั่น ส่วนฉันก็จะกลับออกมาเจออิสรภาพอีกครั้งไม่อีกสามปีต่อจากนี้”

ใช่แล้ว ลอเรน ลี ทนายมือฉกาจของเขาเสนอข้อต่อรองของเอลเลียตจนได้ข้อสรุปเป็นตัวเลขสุดท้ายนี้มา และหล่อนเชื่อว่าเอลเลียตจะได้ออกมาเร็วกว่านั้นถ้าทำตัวดี แม้ว่าสำหรับตัวเอลเลียตเองที่ยอมเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อรวบรวมหลักฐานที่ได้มาจากฝั่งลีโอจนแน่นหนาพอที่จะรวบคนได้ทั้งแก๊งและหัวโจกอย่างลีโอและจูเลียนได้ การที่ต้องถูกส่งกลับเข้าไปอยู่ในคุกจะเป็นเรื่องที่หนักหนาเกินไปหน่อยก็เถอะ แต่เขาก็ยอมรับโดยดุษฎี เพราะโทษก่อนที่เขาทำมามันร้ายแรงไม่ใช่เล่นจริงๆ

เอลเลียตเดินกลับออกมาหาคีลที่ยืนอยู่ที่หน้าห้อง และเมื่อก้าวเดินไปตามโถงทางเดิน เอลเลียตก็มีโอกาสได้เจอเกลที่โดนคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่อีกคนเข้าพอดี

ชายหนุ่มไม่ได้ถูกตรวนที่ข้อมือเหมือนลีโอเพราะยังไม่บรรลุนิติภาวะ และเมื่อเขาหันมาเห็นเอลเจ้าตัวก็รีบกระโจนเข้ามากระชากคอเสื้อ ก่นด่าอีกฝ่ายอย่างเดือดพล่านโดยที่เจ้าหน้าที่คนอื่นไม่ทันตั้งตัว

“แก! ไอ้สารเลว! ทุกอย่างมันเป็นเพราะแกคนเดียว! แกทำแบบนี้กับอดัมส์ได้ยังไง ทำได้ยังไง! ”

เอลเลียตมองเด็กหนุ่มที่ตัวเตี้ยกว่าเขาไปพอควรด้วยสายตาเย็นชา แกะมือนั้นออกอย่างง่ายดาย

“หมอนั่นทำให้นายเดือดร้อนขนาดนี้แล้ว ยังจะเสียเวลาไปห่วงมันอีกเหรอ”

“ที่เขาเป็นแบบนี้ก็เพราะแก! ” เกลกรีดเสียงตะโกนขณะที่ร้างถูกผู้คุมอีกคนลากตัวกลับไปแล้ว เอลเลียตเดินเข้าไปประจันหน้ากับเด็กหนุ่มคนนั้นตรงๆ ขณะที่เกลยังดิ้นพล่านทั้งที่โดนล็อกตัวเอาไว้

มีหลายอย่างในตัวของเกลที่ทำให้เอลเลียตนึกถึงตัวเอง บางทีถ้าเขาไม่เข้มแข็งพอ หรือถ้าเขาเล่นยาแบบที่หมอนี่ทำ เขาอาจจะมีสภาพไม่ต่างจากเจ้าตัวเท่าไรนักก็ได้ในตอนนี้ เหมือนตุ๊กตาแก้วเก่าๆ ที่โดนโยนทิ้งลงกับพื้น ถ้ามองเข้าไปในตาของเกลตอนนี้ เขาคงรู้สึกเหมือนตุ๊กตาแก้วที่ว่าแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปแล้ว

“เขาไม่ได้รักนายหรอก เกล ลึกๆ แล้วนายเองก็รู้ดี”

“หุบปาก! ”

“ลืมหมอนั่นไปเถอะ” เอลเลียตพูดสั้นๆ เขามีปัญญาทำได้แค่นั้น “ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะมานั่งเสียใจให้คนที่ไม่ได้รักนาย”

แต่เกลก็ยังสบถด่าสาปแช่งต่อไป เอลเลียตเดินกลับไปอีกทางพร้อมกับคีล เขาหวังว่าสักวันเด็กหนุ่มคนนั้นจะเข้าใจความหวังดีของเขาในวันนี้





คีลขอลางานหนึ่งอาทิตย์โดยอ้างกับเคลลี่ว่าเขาต้องการพักรักษาตัวแผลที่ถูกยิงตรงหัวไหล่ แต่อันที่จริงแล้วเขาต้องการมาใช้เวลาอยู่กับคนรักที่จะต้องกลับเข้าไปอยู่ในเรือนจำหนึ่งสัปดาห์่ต่อจากนี้ เพราะความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนเป็นความลับจากคนในทีม

ส่วนเอลเลียต… แน่นอนว่าชายหนุ่มโดนติดสัญญาณติดตามตัวที่ข้อเท้าเหมือนเคย ตอนแรกทางเบื้องบนก็ถกเถียงกันว่าควรปล่อยตัวเอลเลียตไปไหมเพราะชายหนุ่มเคยพยายามจะหนีมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เอลเลียตก็โต้กลับไปได้อย่างสวยงามว่า ถึงยังไงเขาก็ไม่มีลีโอคอยช่วยเรื่องปลดสัญญาณตัวที่ว่าอยู่แล้ว แถมที่เขาช่วยเหลือทางตำรวจมากขนาดนี้ก็น่าจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้มากพอแล้วว่าตัวเขาเชื่อถือได้ นั่นแหละเอลเลียตเลยได้ลอยลำมาเป็นสารถีชั่วคราว ขับรถให้คีลที่บาดเจ็บที่บ่าอยู่นั่ง

และตอนนี้พวกเขาสองคนกำลังถกเถียงกันว่าควรจะไปเที่ยวที่ไหนกันดี

“ไปเที่ยวก็ต้องไปทะเลสิครับ หาดทรายขาวๆ อาหารทะเลเลิศๆ ไวน์แดงแกล้มอีกหน่อย โอ๊ย จะมีที่ไหนโรแมนติกไปกว่าบรรยากาศริมทะเลอีก”

“ผมอยากไปภูเขามากกว่า” คีลพูดเสียงเรียบแต่จริงจัง

ทะเลกับภูเขาเหรอ จะมีอะไรชวนโลกแตกไปมากกว่านี้อีก ถามจริง?

เอลเลียตทำเสียงโอดครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มส่งเสียงอ้อนทั้งที่มือยังยึดพวงมาลัย

“อีกไม่นานผมก็ต้องเข้าไปอยู่ในคุกแล้วน้า” เสียงออดอ้อนนั่นทำเอาคนผมดำใจอ่อนยวบ “ตามใจผมหน่อยนะครับ คีล ที่รัก คุณเจ้าหน้าที่ นะครับ”

เขายอมตั้งแต่นะครับแรกแล้วล่ะ ทำไมเวลาหมอนี่อ้อนถึงได้น่ารักขนาดนี้นะ

เอลเลียตพาคีลไปกินอาหารทะเลที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งซึ่งเขาเคยมา เอลเลียตรู้จักร้านอาหารดีๆ หลายที่ และชายหนุ่มผมน้ำตาลก็พูดจ้อเรื่องอาหารขึ้นชื่อของร้านนั้นร้านนี้อย่างสนุกปาก

คีลคิดว่าเขาเคยรำคาญความพูดมากของเจ้าตัว แต่ตอนนี้ ยามที่ได้เห็นอีกฝ่ายหั่นกุ้งล็อบสเตอร์อบชีสอย่างมีความสุขพร้อมกับพูดจ้อยๆ ไปด้วยแล้ว สายสืบหนุ่มก็อดยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูคนตรงหน้าไม่ได้

เอลเลียตชะงักไปกับรอยยิ้มนั้นของคีลเช่นกัน แม้ว่าเขาจะคบหากับคีลในฐานะแฟน แต่เขาก็ได้เห็นรอยยิ้มของเจ้าตัวน้อยครั้งมาก แต่ถึงอย่างนั้นเอลเลียตก็รู้ว่าเขาได้เห็นยิ้มของคีลเยอะกว่าคนอื่นๆ มากหลายเท่าแล้ว แต่ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากให้คีลยิ้มให้เขาอีกเยอะๆ

คิดแบบนั้นแล้วคนผมน้ำตาลก็ส่งยิ้มอ่อนหวานคืนให้แฟนหนุ่มทันที

“ผมชอบเวลาคุณยิ้มจังครับ คีล”

ร่างสูงชะงักกึก รู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล แค่เขายิ้มแค่นี้ก็ดูเอลเลียตจะมีความสุขขึ้นมาเหลือเกินแล้ว

เอลเลียตใช้ส้อมจิ้มเนื้อกุ้งที่หั่นไว้แล้วมาตรงหน้าคีล ใบหน้าคมชะงักไปเล็กน้อยอย่างตั้งตัวไม่ทัน แต่ก็ยอมเปิดปาก ยอมให้เอลเอากุ้งชิ้นนั้นเข้าปาก

ดูเหมือนนั่นจะยิ่งทำให้คนผมน้ำตาลมีความสุขมากขึ้นไปอีก

หมอนี่น่ารักเป็นบ้า…

“อร่อยไหมครับ ที่รัก”

“อร่อยครับ” คีลพูดยิ้มๆ ทำเอาเอลเลียตยิ้มแก้มแทบปริไปทั้งมื้ออาหารทีเดียว โดยเฉพาะตอนที่อีกฝ่ายเอื้อมมือมาปาดซอสที่เปื้อนมุมปากเขา เป็นครั้งแรกที่เอลเลียตรู้สึกว่าคีลไม่สนใจคนรอบข้าง ไม่สนใจว่าใครจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคน และมันทำให้คนผมน้ำตาลมีความสุขจริงๆ

คีลพาเอลเลียตไปเช่าม้าขี่ ปล่อยให้มันควบเหยาะๆ ไปตามแนวของหาดทรายสีขาวตามความต้องการของเจ้าตัว เขาชอบเวลาได้ยินเสียงหัวเราะของอีกฝ่าย และเอลเลียตก็เติมเต็มเรื่องนั้นได้เป็นอย่างดี

“ทะเลที่นี่สวยชะมัด” เอลเลียตว่าขณะปล่อยให้เท้าเปลือยเปล่าจมลงไปในทราย “คิดถูกจริงๆ ที่มาทะเล เนอะ คีล คุณเองก็คิดแบบนั้นใช่ไหม”

“ครับ” เขาพูดเอาใจอีกฝ่ายยิ้มๆ เอลเลียตตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ คีลเลยหัวเราะออกมากับท่าทางนั้น “ทำหน้าอะไรของคุณน่ะ ผมก็คิดแบบคุณไง ดีจังที่มาทะเล”

“ทำไมวันนี้คุณใจดีแปลกๆ จัง” เอลว่า ดึงแขนร่างสูงขึ้นมาโอบบ่าตัวเอง คีลเลยให้ของแถมด้วยการลูบหัวอีกฝ่าย เอลเลียตหน้าแดงขึ้นด้วยความพึงพอใจ “ให้ตาย คีล ผีอะไรเข้าสิงคุณรึเปล่าเนี่ย ทำตัวน่ารักขนาดนี้ผมชักกลัวแล้วนะ”

“ชอบให้ผมเล่นบทโหดมากกว่าเหรอครับ? ”

“อืม…” เอลแกล้งลากเสียงยาว สีหน้าครุ่นคิด “จริงๆ ผมก็ชอบทั้งสองแบบนะ”

“ปากดีเอ๊ย” คีลว่าพร้อมกับหัวเราะร่วน เขาดึงตัวเอลเลียตเข้ามาแนบตัว หอมแก้มอีกฝ่ายฟอดหนึ่ง“ปากดีเอ๊ย” คีลว่าพร้อมกับหัวเราะร่วน เขาดึงตัวเอลเลียตเข้ามาแนบตัว หอมแก้มอีกฝ่ายฟอดหนึ่งเรียกเสียงหัวเราะให้คนผมน้ำตาลอีกระลอก "ไม่ต้องห่วงครับ อายออฟไอเดน เดี๋ยวคืนนี้ผมจะทำตัวโหดกับคุณหนักๆ เลย"





คีลทำตามที่พูดไว้ไม่ผิดเพี้ยน ทั้งคู่ร่วมรักกันในบ้านพักที่คีลเช่าไว้แทนที่จะเป็นห้องสวีตของโรงแรม เขาแค่รู้สึกว่าบ้านแบบนี้มันได้บรรยากาศดีกว่าก็เท่านั้น

"อ๊ะ..." เอลเลียตอุทานออกมาเบาๆ เมื่อคนด้านบนกระแทกตัวเข้ามาอย่างแรง ความวาบหวามที่ไต่จนถึงจุดสูงสุดทำให้ชายหนุ่มบิดตัวเกร็งแน่นก่อนจะกระตุกเฮือก ตามมาด้วยหอบหายใจถี่ๆ ด้วยความเหนื่อยอ่อน

คีลก้มลงมาจูบปิดปากคนบนเตียง เอลเลียตเกี่ยวขาขึ้นตวัดข้างตัวของอีกฝ่ายอย่างยั่วยวน มือลูบผ้าพันแผลที่บ่าซ้ายของร่างสูง ตั้งแต่ที่คีลโดนยิงมาก็ผ่านมาเกือบเดือนแล้ว ก่อนหน้าที่จะได้มาพักผ่อนกันอย่างนี้ทั้งคู่วุ่นวายกับเรื่องคดีจนแทบไม่มีเวลาได้ทำอะไร โดยเฉพาะคีลที่ต้องคอยรักษาตัวเพราะแผลที่ถูกยิงนี่ด้วย แต่เหมือนเจ้าตัวจะฟื้นตัวได้เร็วมาก เหมือนกับว่ามันเป็นแค่แผลหกล้มด้วยซ้ำ

"อื้ม คีล" เสียงหวานเริ่มครางออกมาอีกครั้งเมื่อคนด้านบนซุกใบหน้าลงบนซอกคอ ไล้สันจมูกลงตรงไหปลาร้า เลื่อนต่ำลงมาจนถึงแผ่นอก จบลงที่ครอบปากลงบนตุ่มไตที่ชูชันขึ้นมาจากแรงกระตุ้น

ใบหน้าเอลเลียตแดงระเรื่อขึ้นเมื่อลิ้นร้อนเริ่มวนเป็นวงกลมอยู่ตรงนั้น คีลเคลื่อนมืออีกข้างมาใช้หัวแม่โป้งบดยอดอกอีกข้างเพื่อปรนเปรอให้คนด้านล่างที่เริ่มบิดตัวน้อยๆ ด้วยความเสียวซ่าน แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องชะงักเมื่อเอลเลียตยกมือขึ้นมาดันหน้าเขาเป็นเชิงห้าม

คีลช้อนนัยน์ตาสีน้ำตาลคมดุขึ้นมามองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจทันที เอลเลียตดันร่างสูงให้ล้มตัวลงไปนอนราบกับเตียงแทนที่ตัวเองพร้อมกับขึ้นคร่อมอย่างรวดเร็ว

"เดี๋ยวผมออนท็อปให้เอง"

"..." ให้ตายสิ ดูหมอนี่พูดแต่ละอย่าง มันน่าจับฟาดปากไหม

เอลเลียตดันแก่นกลางร่างกายของคีลสอดเข้ามาผ่านปากโพรงด้านหลังของเขาอย่างรู้งาน เสียงหอบหายใจของคนทั้งคู่ประสานกันเมื่อคนผมน้ำตาลเริ่มขยับสะโพกขึ้นลงด้วยจังหวะที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ คีลมองนัยน์ตาสีฟ้าฉ่ำเยิ้มที่มองลงมาที่เขาด้วยความปรารถนา แม้จะอยู่ในระหว่างการมีเซ็กส์ หมอนี่ก็ยังอยากจะได้ตัวเขาอยู่ คีลเลยจัดการสนองให้ด้วยการจับเอวของคนด้านบนกระแทกลงอย่างแรงรอบหนึ่งให้เอลเลียตสะดุ้งเฮือก

น้ำสีขุ่นหยดลงบนหน้าท้องแกร่งที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ บ่าของเอลเลียตสั่นเล็กน้อยขณะที่ด้านในรู้สึกถึงของเหลวอุ่นที่ถูกฉีดเข้ามาในตัว เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่พอใจที่คีลจับสะโพกเขากระแทกลงในจังหวะท้ายสุด เขาอุตส่าห์จะบริการเสียหน่อย หมอนี่นี่ความอดทนต่ำชะมัด แค่นอนรอรับการปรนเปรอจากเขาเฉยๆ ยังทำไม่ได้!

แต่ถึงจะหงุดหงิดเล็กน้อย เอลเลียตก็โน้มตัวลงไปจูบอีกฝ่ายอย่างอ่อนหวานอยู่ดี ก่อนจะตัดพ้อขณะที่คลอเคลียข้างหู

"คุณมันขี้โกง"

"ขี้โกงตรงไหนครับ"

"ก็ผมอุตส่าห์ขออยู่ข้างบนแล้ว ก็หมายความว่าผมต้องเป็นคนคุมด้วยสิ"

"ผมยอมให้คุณออนท็อป" นิ้วเรียวเกี่ยวสร้อยคอที่จี้เป็นปลอกกระสุนบนลำคออีกฝ่ายขึ้นมาราวกับต้องการทวนความจำให้ไอ้ตัวแสบด้านบน "แต่ไม่เคยพูดว่ายอมให้คุณเป็นคนคุมเลย"

"ร้ายกาจที่สุด"

"ผมรู้คุณชอบแบบนั้น"

เอลเลียตคลี่ยิ้มหวานหยดมาให้ "รู้ใจผมดีจัง"

มือหนาบีบแก้มของคนผมน้ำตาลด้วยความหมั่นไส้ "ทำไมคุณถึงได้ปากดีแบบนี้นะ เอล"

เอลเลียตหัวเราะรับคำถามนั้น ซุกหน้าลงไปบนแผ่นอกหนาอ้อนๆ คีลดึงตัวอีกฝ่ายมานอนข้างกายพร้อมกับกอดอย่างทะนุถนอม ฝ่ามืออุ่นไล้ลงบนเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนของเจ้าตัวอย่างอ่อนโยนและต่อเนื่องเรียกให้นัยน์ตาสีฟ้าช้อนขึ้นไปมองคนลูบ ชายหนุ่มส่งยิ้มซุกซนให้อีกฝ่ายก่อนจะเปิดปากเรื่องที่พวกเขาสองคนหลีกเลี่ยงไม่พูดกันมาทั้งวัน

"คีล ถ้าผมกลับไปอยู่ในคุกแล้ว คุณจะคิดถึงผมไหม"

"คิดถึงสิครับ" ตอบกลับมาด้วยเสียงอ่อนโยน "คงจะคิดถึงมากๆ "

"แล้วคุณจะทนได้ไหม"

"ผมมีทางเลือกอย่างอื่นด้วยเหรอ"

"คุณจะมีคนอื่นหรือเปล่า"

คำถามนั้นทำให้ใบหน้าคมขมวดคิ้วฉับทีเดียว เอลเลียตรู้ตัวทันทีว่าคนผมดำไม่พอใจเขาจึงได้แค่พูดเสียงอ่อย

"ผมหมายถึง... ยังไงผมก็อาจจะต้องอยู่ในนั้นอีกหลายปี แถมคุณก็มีโอกาสได้เจอคนดีๆ อีกตั้งมาก ผมไม่อยากเสียคุณไปหรอกนะคีล แต่ผมก็ไม่อยากปิดโอกาสคุณเหมือนกัน"

"เอล ถ้าคุณพูดอะไรทำนองนี้อีกล่ะก็ ผมจะโกรธจริงๆ แล้วนะ ถ้าคุณไม่มั่นใจในตัวผม อย่างน้อยก็มั่นใจในตัวเองบ้าง คุณไม่ใช่คนที่ไม่มีค่าหรือไม่มีใครต้องการสักหน่อย และที่สำคัญไปกว่านั้น ผมรักคุณจริงๆ ผมไม่ได้เสี่ยงชีวิตไปช่วยคุณเพื่อทิ้งคุณแล้วไปหาคนใหม่หรอกนะ"

เอลเลียตรู้สึกว่าขอบตารื้นขึ้นมาขณะแตะมือลงบนใบหน้าอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา

"ให้ตายเถอะ คีล" ชายหนุ่มรำพัน "นี่ผมทำอะไรมาถึงได้คุณมาครอบครองแบบนี้กัน"

คีลดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดแนบอกอีกครั้ง รู้สึกได้ถึงแขนของเอลเลียตที่โอบกอดแผ่นหลังเขาตอบ

"นั่นมันคำพูดของผมต่างหากล่ะครับ"







คีลพาเอลเลียตไปยังสถานที่ต่างๆ ที่เจ้าตัวอยากไปให้หนำใจ ไม่ว่าจะเป็นที่กิน ที่เที่ยว ที่ช้อป เอลเลียตก็มักมีเสียงหัวเราะและรอยยิ้มสดใสระบายบนใบหน้าให้ร่างสูงชื่นใจ มื้อค่ำสุดท้ายของพวกเขาสองคน คีลตัดสินใจพาเจ้าตัวมาที่ร้านสเตฟานซึ่งเป็นร้านแรกที่พวกเขารับประทานมื้อค่ำด้วยกันเมื่อตอนที่คีลต้องรับหน้าที่ดูแลควบคุมเอลเลียตใหม่ๆ

คนผมน้ำตาลถูมือด้วยความตื่นเต้นเมื่อสเต๊กชิ้นโตของเขาถูกเสิร์ฟลงบนจานเคลือบกระเบื้องอย่างดี ความร้อนจากชิ้นเนื้อก้อนนั้นส่งเสียงฉ่าพร้อมควันหอมฉุยที่ลอยออกมาเมื่อเอลเลียตจิ้มส้อมลงไปเป็นครั้งแรก ทันทีที่ลงมือหั่นและเอาเนื้อชั้นดีเข้าปาก เจ้าตัวก็ทำสีหน้ามีความสุขเสียเต็มประดา

"สวรรค์ชัดๆ " ชายหนุ่มว่า ในขณะที่คีลยกยิ้มมุมปาก รินไวน์แดงใส่แก้วให้คนตรงหน้าและตัวเอง เอลเลียตจับก้านของแก้วไวน์ขึ้นมาชนแก้วกับคีลทันทีอย่างรู้หน้าที่ แม้ว่าในปากจะยังเคี้ยวตุ้ยๆ อยู่ก็ตาม

คีลจิบไวน์ของตัวเองก่อนจะพูดเสียงล้อเลียน "คุณนี่ทำอะไรข้ามขั้นตอนจริง"

"เอาน่า ถึงยังไงมันก็ลงไปอยู่ในท้องหมดอยู่ดี" เอลเลียตว่าพร้อมกับยกแก้วในมือขึ้นดื่มอึกๆ ก่อนนัยน์ตาสีฟ้าจะเบิกกว้างขึ้นอย่างตื่นเต้น พูดด้วยน้ำเสียงลิงโลด "อร่อย! "

ว่าแล้วเจ้าตัวก็เริ่มหยิบขวดไวน์ขึ้นมาสำรวจ พลิกดูที่ฉลาก ยี่ห้อ ปีที่ผลิตแล้ว เอลเลียตก็รู้เลยว่าราคาของมันไม่ใช่ถูกๆ เลย เขาเงยหน้าขึ้นไปมองคีลที่เริ่มลงมือกินสเต๊กของตัวเองอย่างตื้นตัน

"ไวน์ของฝรั่งเศสครับ" คีลพูดยิ้มๆ เมื่อเห็นท่าทีตื่นเต้นของเอลเลียต "ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องไวน์เท่าไรเลยขอให้เขาเอาขวดที่ดีที่สุดของร้านมาให้ หวังว่าคุณจะชอบนะ"

"ผมชอบมาก" พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นก่อนจะมีท่าทีไม่แน่ใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมา "แต่... คุณจะไม่เป็นไรแน่เหรอ ซื้อไวน์แพงขนาดนี้"

"นานๆ ทีก็ไม่เป็นไรหรอกครับ"

เอลเลียตมองอีกฝ่ายตรงๆ ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาคีลเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทุกอย่างให้เขา ทั้งค่ากิน ค่าเที่ยว ค่าโรงแรม ถึงเขาจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้จนกรอบอะไรก็เถอะ แต่เงินเดือนตำรวจมันจะมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ เขาไม่สบายใจเลย

"ไม่ต้องกังวลอะไรไม่เข้าท่าหรอกน่า เอล" คีลพูดเสียงนุ่ม "ผมไม่ได้ใช้เงินเยอะอะไร เงินเก็บก็มีพอสมควร อีกอย่างคุณต้องเข้าไปอยู่ในนั้นอีกตั้งนาน ผมอยากให้คุณมีหนึ่งสัปดาห์ที่ดีที่สุด"

เอลเลียตก้มหน้างุดขณะพูดเสียงเบาอย่างอายๆ

"แค่มีคุณอยู่ด้วยก็วิเศษที่สุดแล้ว คีล"

"..." ว่าแล้วเชียวว่าหมอนี่มันช่างยั่ว





คืนสุดท้ายของทั้งคู่ คีลกับเอลเลียตไม่ได้ทำอะไรนอกจากนอนกอดก่ายกันไปมา ต่างคนต่างผลัดกันจูบอย่างบ้าคลั่งราวกับชีวิตนี้ไม่เคยจูบใครมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น

คีลเริ่มต้นด้วยการจูบอย่างแผ่วเบาอ่อนหวานก่อนในตอนแรก จากนั้นก็เพิ่มจังหวะขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เอลเลียตเลื่อนแขนมาโอบรอบคอไม่ให้คีลถอยหนีไปไหน และเมื่อจูบกันจนพอใจแล้วทั้งคู่ก็ผละหน้าออกจากกัน กอดกันเงียบๆ ภายใต้ความมืดของห้อง เอลเลียตมองไม่เห็นใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายก็จริง แต่ลมหายใจร้อนที่เป่ารดหัวก็ทำให้เขารู้ว่าคีลอยู่ตรงนี้ กอดเขาไว้แน่นราวกับจะไม่มีทางปล่อยเขาไปไหน

แล้วอยู่ๆ คนผมน้ำตาลก็กลัวขึ้นมาว่าเขาจะไม่มีทางได้กลับมาอยู่ในอ้อมกอดนี้อีก

"คีล" พูดพร้อมกับซุกหน้าลงบนแผ่นอกของอีกฝ่าย "ผม... ผมไม่อยากเข้าไปอยู่ในนั้นเลย"

คีลกอดเอลเลียตแน่นขึ้นราวกับต้องการจะปลอบ เขารู้ดีว่าคนผมน้ำตาลอดทนมาตลอดทั้งสัปดาห์ที่จะไม่พูดประโยคนี้

แต่นี่เป็นเรื่องที่เขาช่วยอะไรไม่ได้

"เข้มแข็งหน่อยนะครับ เอล" เขาทำได้เพียงกอดคนในอ้อมแขนแน่นขึ้น "ผมสัญญาว่าจะรอ คุณจะผ่านมันไปได้เหมือนที่คุณเคยผ่านมาแล้ว มันไม่ยากไปกว่านั้นหรอก"

เอลเลียตพยักหน้าแกนๆ โดยไม่ผงกหัวขึ้นมา ไม่อยากจะบอกคีลเลยว่ามันยากกว่าตอนนั้นเพราะตอนนี้ใจเขาผูกติดอยู่ที่ร่างสูงหมดแล้ว ไม่เหมือนกับตอนนั้นที่เขาไม่มีพันธะใดๆ

แต่ถึงมันจะทรมาน เอลเลียตก็เชื่อว่าในขณะเดียวกันมันจะเป็นแรงผลักดันให้เขาก้าวต่อไปข้างหน้าด้วย

เอลเลียตเคลื่อนหน้าไปจูบร่างสูงอีกครั้ง แล้วก็อีกครั้ง ถ้าคีลสามารถฆ่าเขาได้ด้วยจูบจริงๆ ล่ะก็ ป่านนี้เขาคงตายไปเป็นล้านรอบ แล้วก็คงเป็นการตายแบบที่เขาสมยอมให้อีกฝ่ายง่ายๆ ด้วยอย่างแน่นอน




--------------------------------------------------------------------
Talk: ตอนหน้าก็จบแล้วค่ะ แล้วหลังจากนั้นก็จะมีบทส่งท้ายอีกตอน โฮๆๆ แค่คิดก็เหงาขึ้นมาเลย ToT ไม่อยากให้คีลเอลจบเลยอ่าาา ฮืออออ //กอดคีลแน่น
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 24) P.6 [26/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 26-12-2017 18:11:34
ใกล้จบแล้ว เราจะคิดถึงขุ่นคีลล  :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 24) P.6 [26/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 26-12-2017 19:22:09
 :man1:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 24) P.6 [26/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ทันฌะ ที่ 26-12-2017 21:26:05
ฮืออ รักเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 24) P.6 [26/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 29-12-2017 18:18:01

บทที่ 25




เอลเลียตกระเด็นเข้าไปอยู่ในเรือนจำเดิมที่เขาคุ้นเคยหลังจากที่ห่างจากมันมาหลายเดือน

หลายคนที่คุ้นหน้าเขาเข้ามาทักทายแถมยังเอ่ยแซวเรื่องที่เอลเลียตโกงความตายแต่ก็ต้องกลับมาอยู่ในสถานที่ที่เกือบทำให้ตัวเองตายอยู่ดี ซึ่งคนผมน้ำตาลเองก็ไม่ถือสา แถมรอบนี้ห้องขังที่เขาได้ไปอยู่ก็ไม่มีคนอื่น แปลว่าจนกว่าจะมีนักโทษคนใหม่เพิ่มเข้ามา เอลเลียตก็จะได้ครอบครองห้องอยู่คนเดียว และเขาก็ไม่ต้องมาคอยระวังว่าไอ้คนนั้นจะเอามีดมาจิ้มพุงเขาเมื่อไหร่ด้วย

คีลเป็นคนมาส่งเขาที่เรือนจำรอบนี้ แม้จะไม่ได้จูบลาเพราะความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นความลับ (เอลเลียตว่าขืนทำแบบนั้นมีหวังคีลคงโดนเรียกไปสอบสวนจริงๆ จังๆ แน่) แต่คนผมน้ำตาลก็ดีใจไม่น้อยที่ได้เห็นร่างสูงจนนาทีสุดท้ายก่อนที่เขาจะต้องกลับมาใช้ชีวิตหลังลูกกรงต่อ

การใช้ชีวิตอยู่ในนี้ไม่ได้ยากเย็นไปกว่าก่อนหน้าที่เขาเข้ามาอย่างที่คีลบอกจริงๆ แต่เอลเลียตพยายามมากขึ้นที่จะหางานหรืออะไรก็ตามที่มีสิทธิ์จะช่วยลดโทษให้เขา งานหนักบ้างเบาบ้างแต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรทำ

ในวันที่เงียบเหงาหรือคืนที่หดหู่มากๆ เอลเลียตก็จะหยิบปลอกกระสุนที่เป็นจี้ห้อยคอซึ่งเขาแอบเอาเข้ามา (เพราะเขาไม่แน่ใจว่าถ้าโดนตรวจเจอจะโดนยึดไปไหม) ขึ้นมาพลิกดู ปล่อยใจให้ลอยไปหาร่างสูงคนนั้นแล้วดึงความทรงจำเก่าที่อยู่ในหัวออกมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

เอลเลียตไม่รับรู้ข่าวคราวของใครๆ ล่าสุดที่เขาได้ยินมาคือจูเลียนถูกส่งไปอยู่ในเรือนจำแห่งหนึ่งในซานฟรานซิสโก ส่วนเรื่องของลีโอก็เงียบหายไปเลย คงจะอยู่อย่างสุขสบายเหมือนเดิมในคุก แต่เขาก็ไม่นึกอยากรู้เรื่องของสองพ่อลูกนั่นสักเท่าไรหรอก

สิ่งที่ทำให้เอลเลียตกระตือรือร้นขึ้นมาได้คือตอนที่คีลมาเยี่ยมเขานี่แหละ ร่างสูงพยายามมาหาเขาอย่างสม่ำเสมอเท่าที่เวลาจะอำนวย อย่างเดียวที่เอลเลียตเสียดายเวลาที่คีลมาหาคือเขาจูบหมอนี่ไม่ได้นี่แหละ

คีลมักจะเอาของกินอร่อยๆ มาฝากเขา แต่ห้องที่พวกเขาเจอกันได้เป็นห้องรวมที่เอาไว้ให้นักโทษเจอกับญาติๆ หรือใครก็ตามที่มาเยี่ยมตน และแนะนอนว่าเขาจะทำตัวประเจิดประเจ้อจูบกับตำรวจท่ามกลางสายตาผู้คนได้ไง แล้วใบหน้าหล่อเหลา ท่าทีภูมิฐานที่ดูเหมือนจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เจอหน้ากันนี่คืออะไร เจอคีลทีไรเหมือนเอลต้องเล่นเกมข่มความอดทน คือถ้าเขาฟิวส์ขาดขึ้นมาคงกระชากคอเสื้อมันลงมาจูบแน่ และผลที่ตามมาของเรื่องนั้นคงไม่ใช่เล่นๆ

“นี่ครับ เอล” คีลว่าพร้อมกับยื่นถุงกระดาษที่ใส่ขนมมาให้ “ผมเอามาฝาก คุณสบายดีนะ? ”

เอลเลียตแง้มถุงดู มีเบเกอร์รีหลากชนิดและขนมปังหน้าพิซซ่า กลิ่นลอยมาแตะจมูก หิวติดหมัดขึ้นมาทันที

“สบายดีครับ คีล ขอบคุณนะ” ตอบพร้อมกับยิ้มกว้างขวางกลับไปให้ คีลยิ้มตอบ ได้เห็นแค่นั้นก็ต่อชีวิตพ่อโจรตัวน้อยไปได้อีกหลายอาทิตย์แล้ว

ทั้งสองคนคุยกันเรื่องสัพเพเหระอยู่ครู่ใหญ่ เอลเลียตกำลังสาธยายว่าเขาไปทำคุณประโยชน์อะไรมาบ้างและจะลดโทษได้เขาเท่าไร คีลที่พูดน้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้วพยักหน้ารับเป็นส่วนใหญ่ แต่เหมือนวันนี้หมอนี่จะเงียบผิดปกติ เอลเลียตที่คุ้นเคยกับคีลดีรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว

“มีอะไรรึเปล่าครับ คีล” ชายหนุ่มเอ่ยถาม นี่ก็ใกล้จะหมดเวลาเยี่ยมแล้ว “ดูคุณเงียบๆ ไปนะวันนี้ มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า”

“อ่า” ร่างสูงเปิดปาก พูดด้วยสีหน้าลำบากใจ “คือ… ผมกำลังจะบอกคุณว่าอาทิตย์หน้าผมมาหาไม่ได้น่ะ”

ใบหน้าของเอลเลียตดูเจื่อนลงไปทันที แต่เจ้าตัวก็ยังฝืนยิ้ม

“งั้นเหรอครับ”

“ผมต้องไปช่วยงานที่ต่างรัฐนิดหน่อย”

“ผมเข้าใจ” พูดพลางกลืนน้ำลายอึก พยายามไม่แสดงความผิดหวังออกมามากนัก “งานคุณยุ่งนี่ ทำไงได้”

“ผมขอโทษนะครับ”

“เฮ้ย ไม่เป็นไร” คนผมน้ำตาลรีบว่า “คุณก็มาหาผมบ่อยอยู่แล้ว ไปทำงานก็ระวังตัวด้วยนะครับ แล้วผมจะรอนะ”

เอลเลียตใช้ชีวิตอยู่ในตารางไปเรื่อยๆ ตลอดปีกว่าที่ผ่านมา คีลก็แวะมาหาอย่างสม่ำเสมอ แต่ครึ่งปีหลังมานี่เหมือนชายหนุ่มจะยุ่งขึ้นจนจำนวนครั้งที่มาเริ่มลดน้อยถอยลง

คนผมน้ำตาลไม่ค่อยสบายใจเท่าไร ยิ่งวันไหนที่ไม่มีงานทำแล้วเขาต้องนั่งๆ นอนๆ อยู่หลังซี่กรงตลอด เขายิ่งจิตตก และพอจิตตก ในหัวของเขาก็เริ่มคิดไปถึงเรื่องที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้

คีลอาจจะมีคนใหม่… ถึงเขาจะเผื่อใจสำหรับเรื่องนี้ไว้อยู่แล้วแต่อดเจ็บแปลบขึ้นมาไม่ได้

ก็นั่นสินะ มีชีวิตอยู่ที่โลกข้างนอกนั่น เจอผู้คนใหม่ๆ ยังไงมันก็มีโอกาสเป็นไปได้อยู่แล้ว อีกอย่างเขาเองก็เหมือนของมีตำหนิ มีประวัติติดตัวมาอย่างที่ล้างยังไงก็ไม่มีทางหมด เทียบกับคีลที่เป็นตำรวจ ประวัติใสสะอาด อนาคตไกล… คือแม่งไม่คู่ควรกับเขาเลยจริงๆ ถ้าเขาเป็นคีลเอง เขาก็คงไม่มาปักใจอยู่กับอดีตอาชญากรแบบตัวเองแน่ล่ะ

เอลเลียตพยายามบอกตัวเองว่าคิดมาก เพราะตอนที่คีลมาเยี่ยม ชายหนุ่มก็ดูปกติ ไม่ได้ห่างเหินหรือมีอะไรเปลี่ยน แต่ความถี่ที่คีลมาเยี่ยมเขาซึ่งลดถอยลงทำให้เอลเลียตอดคิดไม่ได้จริงๆ

บางที… ถ้าเขาจูบหมอนี่ได้ ทุกอย่างอาจจะไม่แย่ขนาดนี้ แต่ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ ชายหนุ่มก็ได้แต่ทำตัวหงอยลงๆ อย่างควบคุมไม่อยู่





แต่แล้วทุกอย่างก็ดีขึ้นเมื่อโทษของเขาได้สิ้นสุดลงหลังจากที่อยู่ในเรือนจำมาหนึ่งปีกับอีกเก้าเดือนเศษ

เอลเลียตได้รับการปล่อยตัวด้วยระยะเวลาการจำคุกที่ลดลง ชายหนุ่มเฝ้านั่งนับวันที่จะได้ออกไปสูดอากาศข้างนอกอย่างใจจดใจจ่อ

แล้วในที่สุดเขาก็ได้ออกมา!

คีลมาแสดงความยินดีเรื่องนี้กับเขาแล้วเมื่อสองสัปดาห์ก่อน แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้รับการติดต่อใดๆ จากร่างสูงเลย แม้แต่ตอนที่โทรไปหาเจ้าตัวจากในคุก คีลก็ยังตัดบทเขาบอกว่าทำงานอยู่ เอลเลียตเลยได้แต่ใจแป้ว วางสายโทรศัพท์ไปอย่างเสียไม่ได้

หรือว่าคีลจะมีคนอื่นแล้วจริงๆ …? แต่ไม่หรอก! หมอนั่นมันเป็นประเภทเถรตรงเป็นไม้บรรทัด ถ้าเกิดคิดจะมีใหม่ล่ะก็ น่าจะมาบอกเลิกเขาตรงๆ ก่อน ไม่น่าแอบไปคบหรือไปคุยกับคนอื่นทั้งที่ยังคบกับเขาอยู่แบบนี้

ใช่ ถึงยังไงซะหมอนั่นก็แค่ยุ่ง ตอนที่ได้อยู่กับคีล เอลเลียตก็เห็นแล้วว่าชายหนุ่มคนนั้นบ้างานแค่ไหน ชนิดที่เวลานอนไม่มีก็ไม่เป็นไร ขอให้คดีตัวเองคืบหน้า

เขาต้องไว้ใจคีลสิ ขนาดคีลยังไว้ใจเขาตลอดที่ผ่านมา แล้วทำไมเขาจะทำแบบเดียวกันไม่ได้

คิดแบบนั้นแล้วเอลเลียตก็พยายามเมินความผิดหวังแรกที่คีลไม่มารับเขาที่เรือนจำ แม้แต่ลอเรน ลี ทนายสาวของเขายังมาแสดงความยินดีด้วยเลย แต่ไม่เป็นไร ถ้าคีลยุ่งกับงานนัก เขาจะเป็นฝ่ายไปหาเจ้าตัวก็ได้

ยังไงเสียคีลก็เป็นฝ่ายมาหาเขาตลอดในช่วงเกือบสองปีที่ผ่านมา ถึงตาที่เขาต้องดิ้นรนไปหาร่างสูงเองบ้างแล้ว

เอลเลียตหาช่องทางติดต่อกับคนในทีมของคีลได้จนได้ ฟอร์ดบอกสถานที่ที่คีลไปทำคดีอยู่ให้เอลเลียตรู้ และคนผมน้ำตาลก็ไม่รอช้าที่จะตรงดิ่งไปยังสถานที่แห่งนั้น ต่อให้มันจะไกลจากเรือนจำที่เขาเพิ่งออกมาจนต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางหลายชั่วโมงก็ตาม

เอลเลียตเริ่มต้นการเดินทางด้วยรถไฟ จากนั้นก็ต่อด้วยรถเมล์ ลงท้ายด้วยรถแท๊กซี่

เขาหยิบโทรศัพท์ราคาถูกที่เพิ่งซื้อมาสดๆ ร้อนๆ ขึ้นมาดู ว่าจะโทรหาคีลตอนแรก แต่คิดอีกทีไปเซอร์ไพรส์หมอนั่นถึงที่เลยน่าจะสนุกกว่า ดังนั้นสิ่งที่เอลเลียตคิดถึงรองลงมาจึงเป็นคนในครอบครัวของเขา

หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือคนในครอบครัวเก่าของเขา แม้ว่าฝั่งนั้นจะไม่เห็นเขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแล้ว แต่เอลเลียตก็ไม่เคยลืมเลยว่าครั้งหนึ่งครอบครัวโจนส์ที่รับเขาไปเลี้ยงมีบุญคุณกับเขามากแค่ไหน และตอนนั้นเขามีความสุขมากเพียงใด

เขาตัดสินใจกดเบอร์โทรที่จำได้ขึ้นใจ ใจเต้นรัวขึ้นเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณดัง ถ้าคนที่มารับสายคือเอียน โจนส์ เอลเลียตจะกดตัดสายทิ้งแล้วทำเหมือนโทรผิด แต่คนที่รับสายครั้งนี้คือไอแซค

“สวัสดีครับ บ้านโจนส์ครับ”

“ไอแซค” เอลเลียตพยายามควบคุมเสียงให้เป็นปกติ “นี่ผมเองนะ”

“เอลเลียตเหรอ? ” น้ำเสียงนั่นแปลกใจไม่น้อย “นายเองเหรอเนี่ย”

เอลเลียตคิดว่าถ้าเขาไม่รีบเข้าเรื่อง บทสนทนาอาจจบลงแค่นั้น

“ใช่ พี่สบายดีไหม แล้วแม่เป็นยังไงบ้าง อาการดีขึ้นหรือยัง”

“ตอนนี้ก็เริ่มทรงตัวแล้ว” แม้จะแปลกใจ แต่ไอแซคก็ยังพูดคุยกับเขาตามปกติ “เอ้อ ฉันกับพ่อเห็นข่าวของนายแล้วนะ ที่ไปช่วยตำรวจจับฮอร์ตันน่ะ”

“นั่นมันผ่านมาสองปีแล้ว”

“แต่ก็ถือว่าเจ๋งไปเลยไม่ใช่เหรอ พ่อภูมิใจในตัวนายนะ”

เอลเลียตกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตาที่รื้นขึ้นมา “ไอแซค ผมว่าผมต้องวางแล้ว”

“เฮ้” น้ำเสียงของปลายสายอ่อนลง มันปนมาด้วยความกระอักกระอ่วนใจเพราะไอแซครู้ดีว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาและครอบครัวไม่เคยไปเยี่ยมเอลเลียตในเรือนจำเลย “นายน่าจะแวะมานะ รู้ไหม ตอนนี้แม่มีสติมากพอจะพูดได้แล้ว บางทีนายอาจจะอยากคุย--”

“ไม่ ไม่ดีกว่า ไอแซค ผมยุ่งๆ น่ะ”

ปลายสายเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะว่า “ฉันซาบซึ้งกับสิ่งที่นายทำเพื่อเรามากนะ เอล”

“ผมรู้” เขาพูดได้แค่นั้น “แต่พี่ไม่ได้บอกพ่อกับแม่เรื่องผมใช่ไหม”

“ใช่ ฉันหมายถึง… ฉันไม่ควรบอกใช่ไหม”

“ใช่ ดีแล้ว ผมโทรมาถามสารทุกข์สุกดิบเฉยๆ รักษาตัวนะครับ” แล้วเจ้าตัวก็วางสายไปโดยไม่รอฟังอะไรต่อจากนั้น เขารู้ดีว่าไอแซครู้สึกผิดมาเสมอเรื่องของเขา แต่สำหรับเอลเลียต เขาปล่อยวางเรื่องในอดีตพวกนั้นไปหมดแล้ว มันก็แค่สิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่บางทีเขาอาจจะชอบเรื่องที่ไอแซคยังรู้สึกผิดจนถึงตอนนี้อยู่ก็ได้

เอลเลียตไปถึงสถานที่ที่ฟอร์ดบอกเขามาจนได้ ตอนนี้เป็นเวลาค่ำที่ท้องฟ้ามืดสนิท หากแสงไฟในอาคารที่มีลักษณะกึ่งบ้านกึ่งสำนักงานก็ให้ความสว่างไสวพอให้ชายหนุ่มมองเห็นรอบตัวอย่างชัดเจน ไฟในนั้นไม่ได้สว่างจ้า แต่ออกไปทางสลัวๆ ซ้ำยังมีหลากสีวิ่งชนกันไปมาบนผนังอีกต่างหาก บรรยากาศที่เหมือนในผับทำให้เอลเลียตเข้าใจว่าที่นี่คงมีงานเลี้ยง... นั่นไง ชัดเลย มีบาเทนเดอร์เดินเสิร์ฟน้ำไปมารอบๆ ด้วยแบบนี้ เขาไปฉกค็อกเทลนั่นมาสักแก้วดีไหมนะ เหมือนร่างกายไม่ได้รับแอลกอฮอล์มานาน

หากยังไม่ทันได้ทำอย่างที่ใจคิด เอลเลียตก็ต้องชะงักอยู่กับที่เมื่อเห็นร่างสูงตระหง่านของคนที่เขาตั้งใจมาหายืนเคียงข้างกับผู้หญิงอีกคน และผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นเลย เจนนิเฟอร์ เคลลี่ คนที่เป็นหัวหน้าของคีลเอง ทั้งคู่อยู่ในชุดที่ใช้สำหรับใส่ออกงาน แม้แต่ตัวเอลเลียตที่ไม่ได้ชอบผู้หญิงเป็นพิเศษยังรู้สึกว่าเจ้าหล่อนดูสวยสง่าเลย

ชายหนุ่มหลบเข้าไปอยู่หลังเสาเพื่อแอบดูคนทั้งคู่โดยไม่ทันรู้ตัว แค่เห็นคีลโอบไหล่ของหญิงสาวข้างตัว ใจเขาก็ปวดหนึบไปหมดแล้ว นี่ยังไม่รวมตอนที่ไอ้หมอนั่นโฉบไปมาในงานเพื่อแนะนำเจนนิเฟอร์ด้วยนะ

แบบนี้มันชัดเจนเกินไป... คือมันเลยชอบเขตของคำว่าเขาคิดมากไปเองแล้ว ยิ่งได้เห็นแหวนที่ประดับอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของทั้งคู่ เอลเลียตยื่งเข่าอ่อน ต้องพิงตัวลงกับผนังที่มุมหนึ่งของห้องโถงนั้น

คีลทำแบบนี้กับเขาได้ไงวะ เขานึกว่าหมอนั่นจะแมนมากกว่านี้ซะอีก ถ้าจะไปหมั้นหรือแต่งงานกับคนอื่นก็ควรจะมาบอกเลิกเขาให้มันชัดเจนก่อนไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ให้เขามาโดนความจริงตีกลางแสกหน้าแบบนี้

และเพราะมัวแต่หน้ามืด ตั้งสติไม่ทัน เอลเลียตจึงไม่ทันรู้ตัวเลยเมื่อมีชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวเท้ามาประชิดอยู่ข้างตัวเขาพร้อมกับแก้วเหล้าในมือ มาไหวตัวก็ตอนที่อีกฝ่ายเปิดปากชวนคุยนั่นแหละ

"งานเลี้ยงไม่สนุกเหรอครับ คุณ มายืนทำอะไรคนเดียวแบบนี้"

"ก็... เฉยๆ มั้งครับ" แม้จะยังเบลอๆ แต่เอลเลียตที่คุ้นเคยกับการจู่โจมแบบนี้ก็ไหลไปตามธรรมชาติ เจ้าตัวรับแก้วที่ชายหนุ่มดูภูมิฐานข้างตัวส่งมาให้ "ขอบคุณ"

"ผมชื่อกิลเบิร์ต ไมล์" เขาเริ่มแนะนำตัว เอลเลียตยกแก้วเหล้ากรอกปากรวดเดียว ใบหน้าแดงขึ้นทันที

"เอลเลียต เทย์เลอร์"

"คุณมางานเลี้ยงของครอบครัวฟินช์บ่อยเหรอ คุณเทย์เลอร์"

ครอบครัวฟินช์ไหนวะ

แต่ตอนพูด เอลเลียตก็แถไปว่า "อืม... ไม่เชิงครับ อันที่จริงนี่ก็เพิ่งครั้งแรก"

"เหมือนผมเลย" เจ้าตัวว่าพร้อมกับหัวเราะร่วน "พอดีเพื่อนชวนมาอีกทีน่ะ รายนั้นรู้จักคนนู้นคนนี้ไปเรื่อย ผมเลยได้ติดสอยห้อยตามมา แต่อย่างว่า จะไปเที่ยวปาร์ตี้บ้านไฮโซ แค่มีเส้นสายก็โผล่หน้ามาได้แล้วเนอะ"

"ครับ" เอลเลียตตัดบทเพราะไม่นึกอยากเสวนาด้วย ตอนนี้เขากำลังเจ็บช้ำกับความจริงที่ว่าคีลมีคนอื่นอยู่ ในหัวเลยไม่ได้ประมวลผลอะไรเพราะมัวแต่คิดวนเวียนเรื่องของคนร่างสูงด้วยความเจ็บใจเท่านั้น

หากไมล์ยังไม่ละความพยายามที่จะชวนเขาคุยไปเรื่อยๆ เอลเลียตก็ตอบรับไปตามเรื่องตามราว ชายหนุ่มส่งค็อกเทลแก้วต่อไปมาให้ เอลก็ยกมันขึ้นกรอกปากโดยไม่คิดอะไร ตายังคงจับจ้องคีลกับเคลลี่ที่อยู่อีกฟากของห้องจัดงาน รู้สึกซังกะตายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

นี่มันควรจะเป็นเวลาที่เขาได้เฉลิมฉลองที่พ้นโทษออกมา แต่ตอนนี้เอลเลียตนึกอยากกลับไปอยู่ในคุกตามเดิม อยู่กับฝันลมๆ แล้งๆ แล้วก็รอคอยอย่างมีความหวัง ต่อให้มันเป็นเรื่องโกหก แต่เขาก็มีความสุขดี ถึงจะไม่สุขมากแต่ก็สุขกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้แน่

และเมื่อแอลกอฮอล์ในแก้วค็อกเทลใบที่เจ็ดไหลลงคอ โลกก็เริ่มหมุน จริงๆ แล้วเขาไม่ใช่คนคออ่อน แต่เพราะยังช็อกกับเรื่องคีลและอยู่ในคุกมานานทำให้ไม่ค่อยได้แตะเครื่องดื่มพวกนี้ก็ทำเอาเขาเปลี้ยไปเหมือนกัน

ไมล์ที่อยู่ข้างๆ เลื่อนมือมาประคองไม่ให้เอลเลียตล้ม ถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย หากสัมผัสที่แตะลงบนตัวเอลเลียตแฝงด้วยความหมายบางอย่าง

"เป็นอะไรรึเปล่าครับ คุณ"

เอลเลียตที่รู้แนวทางเกมแบบนี้รีบพยุงตัวลุกขึ้นด้วยตัวเอง ถ้าเขาอยากเล่นด้วยล่ะก็ เขาคงโอนอ่อนให้อีกฝ่ายลากเขาเข้าโรงแรมไปแล้ว แต่นี่เขาไม่มีอารมณ์แม้แต่จะเล่นกับใคร

"ไม่ ผมไม่เป็นไร"

แล้วอยู่ๆ ก็มีแรงกระชากไหล่เขาไปด้านหลังอย่างแรง เอลเลียตหันกลับไปมองก่อนจะต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นสีหน้าเหมือนจะฆ่าคนได้ของคีล

"ขอโทษที่ขัดจังหวะนะครับ" พูดเสียงเย็นเยียบทีเดียว "แต่ผมคงต้องขอรบกวนเวลาสักหน่อย พอดีว่ามีเรื่องที่ต้องพูดกับแขกคนนี้ของผม"

แล้วเอลเลียตก็โดนร่างสูงลากขึ้นไปบนชั้นสองที่มีลักณะเหมือนบ้านทั่วไปคือแบ่งเป็นห้องนอนหลายห้อง คีลดันเขาเข้าไปในห้องหนึ่ง ภายในห้องมืดสนิทจนแทบมองอะไรไม่เห็น มีเพียงแสงจากภายนอกที่สาดส่องเข้ามาพอให้เอลเห็นสีหน้าถมึงทึงของอีกฝ่ายที่ดันเขาไปติดผนังห้อง ยันแขนเอาไว้ด้านบนราวกับจะล็อกไว้ไม่ให้เอลหนีไปไหน

นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้เห็นคีลทำหน้าโกรธขนาดนี้ ครั้งสุดท้ายที่คีลสีแววตาเกรี้ยวกราดขนาดนี้คงเป็นตอนที่อีกฝ่ายจับได้ว่าเขาพยายามจะหนีนั่นแหละ

“คีล” เอลเลียตอ้าปากเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างเผลอตัว แม้จะน้อยใจที่คนตรงหน้าแอบไปมีคนอื่น แต่ความคิดถึงที่สั่งสมมาก็ทำให้เขาอดดีใจไม่ได้ “คุณ--”

คีลสบถออกมาสั้นๆ ปิดปากคู่นั้นด้วยจูบร้อนแรงที่ทาบลงไปอย่างรวดเร็ว เอลเลียตสะดุ้งเฮือก ความสับสนถาโถมเข้ามา เขานึกถึงตอนที่คีลโอบบ่าของหญิงสาวอีกคนเมื่อครู่แล้วความโกรธก็กลับมาอีกครั้ง เอลเลียตผลักบ่าหนาออกด้วยแรงทั้งหมดที่มี และเมื่อเห็นคีลมองเขามาด้วยสีหน้าตกใจระคนขุ่นเคือง เอลเลียตก็แทบจะถึงจุดเดือด

หมอนี่มีสิทธิ์อะไรมาโกรธเขาวะ… ในเมื่อตัวเองแอบไปมีคนอื่นโดยไม่บอกให้เขารู้

“คุณทำบ้าอะไรของคุณ” คีลถามกลับอย่างงุนงง

“ผมต่างหากที่ต้องถามแบบนั้น” เอลเลียตย้อนกลับด้วยน้ำเสียงเดือดจัด “คุณทำบ้าอะไรของคุณ คิดจะทำร้ายกันไปถึงเมื่อไหร่”

“ผมผิดตรงไหนที่จะโกรธถ้าเห็นแฟนตัวเองไปยืนจู๋จี๋กับผู้ชายคนอื่นแบบนั้น”

“แล้วทีคุณล่ะ! แอบไปมีผู้หญิงคนอื่นลับหลังผมนี่ผิดน้อยมากเลยใช่ไหม”

นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างขึ้นอย่างสับสน “เอลเลียต คุณพูดอะไรของคุณ”

“อย่ามาทำไขสือ! ” เอลเลียตแทบจะกระทืบเท้าเร่าๆ อยู่แล้ว “ผมเห็นนะที่คุณควงกับบอสของคุณในงานน่ะ แล้วไหนจะยังแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายนั่นอีก คุณคิดว่าผมโง่นักรึไงที่จะไม่รู้ความหมายของอะไรพื้นๆ แบบนี้ คุณคิดจะหลอกผมไปจนถึงเมื่อไหร่ คีล คุณปล่อยให้ผมมีความหวังอยู่ในคุกนั่นแต่กลับทรยศกันอย่างเลือดเย็นแบบนี้งั้นเหรอ จิตใจคุณแม่งทำด้วยอะไรวะ!? ”

ในที่สุดคีลก็รู้แล้วว่าเรื่องมันไปผิดพลาดตรงไหน ชายหนุ่มรีบแก้ความเข้าใจด้วยการรวบตัวคนผมน้ำตาลที่โกรธจนหน้าแดงมากอด

“เอล คุณเข้าใจผิด”

“เข้าใจผิดบ้าอะ---! ”

“ชู่ คนดี มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ที่คุณเห็นนั่นมันเป็นแค่การแสดงละคร”

ถึงตรงนี้ เอลเลียตก็ชะงักกึก ถึงมันอาจจะเป็นแค่คำโกหก แต่หัวใจเขากลับเชื่อคำพูดของชายหนุ่มตรงหน้าไปหมดใจแล้ว

“คุณ… คุณว่าไงนะ? ”

“ผมกับเคลลี่ เราไม่ได้มีอะไรกัน” คีลพูดย้ำ สบตาเอลเลียตนิ่ง “นี่เป็นแค่การจัดฉากของทีมผมเท่านั้น เราพยายามหาตัวคนร้ายที่บุกปล้นงานจิตรกรรมแล้วก็ภาพรูปวาดราคาแพงอยู่ แต่รายละเอียดปลีกย่อยน่ะช่างมันเถอะครับ เอาเป็นว่าที่ผมกับเคลลี่เล่นเป็นสามีภรรยากันก็แค่บทที่เตี๊ยมกันไว้เท่านั้น”

“สามีภรรยาเลยเหรอ? ”

คีลทำหน้าหน่าย “คุณได้ฟังที่ผมพูดไหมว่าแค่เล่นละครน่ะ”

“แล้วผมจะรู้ได้ไงว่าคุณพูดจริง”

คีลแสร้งถอนหายใจ ส่ายหน้าเหมือนเอือมระอา จากนั้นก็ดึงแหวนที่อยู่บนนิ้วออก โยนมันไปอีกทาง เอลเลียตมองตามก่อนจะสะดุ้งอีกรอบเมื่ออีกฝ่ายประกบริมฝีปากลงมาอย่างดุดันและโหยหา คีลกดจูบซ้ำลงมาเรื่อยๆ ราวกับจะบดริมฝีปากเขาให้แหลกเป็นจุณ

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดยังไงให้คุณเชื่อดี” เสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหูขณะที่เอลเลียตสูดอากาศหายใจเข้าปอดอย่างเร่งด่วน “ให้ร่างกายผมตอบคำถามคุณเองแล้วกัน”

เอลเลียตไม่มีแม้แต่จังหวะจะเปิดปากบอกให้คีลหยุด ร่างสูงกระชากตัวเขาไปบนเตียงที่ผ้าปูและผ้าห่มต่างๆ เรียบสนิท จากนั้นก็โถมตัวขึ้นคร่อมเอลเลียต กระชากเสื้อผ้าของคนด้านล่างออกอย่างบ้าคลั่ง

คนผมน้ำตาลรับจูบที่กดทับลงมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอทำท่าจะเบือนหน้าหนีเพื่อพูดอะไร มือหนาก็ดึงหน้าเขากลับมาประกบปิดปากต่ออีก ลิ้นร้อนที่จาบจ้วงเข้ามาหาความหวานทำให้เอลเลียตตัวสั่น อารมณ์ความรู้สึกหลากหลายที่สั่งสมมานานเหมือนจะปะทุออกได้ทุกเมื่อ

รู้ตัวอีกทีเขาก็กำลังถอดเสื้อของอีกฝ่ายออกอย่างเร่งร้อนเหมือนกัน จังหวะที่คีลเบียดกลางร่างลงมาบนต้นขา เอลเลียตรับรู้ถึงความร้อนและแรงแข็งขืนของส่วนนั้น มันทำให้หน้าเขาร้อนวูบ เหมือนคีลจะอยากให้เขารับรู้ว่าตัวเองต้องอดกลั้นมามากแค่ไหนในระยะเวลาเกือบสองปีที่ผ่านมานี่ และตอนนี้เขาก็ต้องชดใช้ที่ปล่อยให้ร่างสูงรอแล้ว

กางเกงถูกกระชากออกไปกองบนพื้น แก่นกลางที่ถูกสอดใส่เข้ามาอย่างแรงทำให้ร่างที่บางกว่ากระตุก เมื่อความเจ็บแรกผ่านไป ความเสียวซ่านก็เข้ามาแทนที่

เอลเลียตเอื้อมมือไปจิกนิ้วลงบนแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายจนเล็บกินเนื้อเข้าไป เขาครวญครางในลำคอเพราะคีลคอยแต่จะประกบจูบลงมาปิดปากเขาอยู่เรื่อย เหงื่อของเขาที่ผุดขึ้นมาทั่วลำตัวปนไปกับหยาดเหงื่อของอีกฝ่ายที่เคลื่อนร่างเข้ามาจนผิวเนื้อแนบชิด

มันเป็นการร่วมรักที่เร่าร้อนและเร่งรีบ มันเกือบทำให้คนผมน้ำตาลคลั่งตอนที่คีลโหมสะโพกกระแทกลงมาโดยไม่ฟังเสียงค้านของเขา

และเมื่อถึงฝั่งกันได้คนละรอบ ในที่สุดคีลก็ยอมผละร่างออกจากตัวของเอลเลียตแล้วหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่อย่างรีบร้อน เอลเลียตทำแบบเดียวกันพร้อมกับหายใจระรัวไปด้วย

“ให้ตายเถอะครับ เอล” ในที่สุดคนที่ยังอยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ก็ครางออกมาเหมือนเหนื่อยอ่อนหลังจากที่จัดแจงใส่เสื้อผ้าให้ตัวเองได้เกือบเสร็จ “ผมกำลังปลอมตัวให้คนร้ายตายใจอยู่แท้ๆ เชียว คุณไม่น่าทำเสียเรื่องเลย”

“ผมเหรอ? ” เอลเลียตทำตาโต “ขอโทษเถอะ เป็นคุณต่างหากที่ฉุดผมขึ้นเตียงเมื่อกี้”

“ก็คุณทำให้ผมตบะแตก” พูดพร้อมกับเริ่มจัดทรงผมของตัวเองให้เข้าที่ “ไม่นึกว่าคุณจะบุกมาถึงที่นี่ ผมตั้งใจว่าจบงานนี้จะรีบกลับไปหาคุณที่อัลไพน์แท้ๆ ”

“ก็คุณแม่ง… เล่นไม่ติดต่ออะไรมาเลย” เอลเลียตพูดน้ำเสียงน้อยใจ “แถมพอผมมาถึงก็เจอคุณหนุงหนิงกับเคลลี่อีก เป็นผมรึเปล่าที่ต้องตบะแตกน่ะ หือ? ”

“ก็เลยไปอ่อยไอ้ผู้ชายคนเมื่อกี้หรือไงครับ”

“ผมเปล่าอ่อย! ” แค่มันส่งเหล้ามาให้เท่าไรๆ ก็ดื่ม “แค่กำลังเสียใจเพราะนึกว่าโดนคุณหลอก ผมเกือบจะร้องไห้ด้วยนะตอนที่เห็นแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายคุณ”

คีลดึงตัวคนรักเข้ามาจูบขมับราวกับต้องการจะปลอบ

“ขอโทษครับ คนดี ผมไม่ได้ตั้งใจให้คุณเสียใจเลย ยกโทษให้ผมนะ”

“ก็ได้ครับ” เขามันใจง่ายมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วนี่ “แต่คุณต้องจูบผมก่อน”

คีลยกยิ้มมุมปากก่อนจะก้มหน้า ทำตามคำขอของเอลเลียตอย่างว่าง่าย และตอนที่ร่างสูงรับรู้ถึงความอ่อนนุ่มของริมฝีปากอีกฝ่าย เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงอุทานอย่างตกใจของบอสของเขาทันที

“ว้าย! ตายแล้ว อะไรกันคะเนี่ย!? ”

ทั้งคู่ผละออกจากกันแทบไม่ทัน และเมื่อหันกลับมา ทั้งสามคนก็มีสีหน้าอีหลักอีเหลื่อพอๆ กัน

“ให้ตายเถอะ วิลล์” หญิงสาวหน้าแดงขึ้นด้วยความอายระคนโกรธ “ทีแรกฉันก็ว่าจะด่าคุณเรื่องที่เกือบจะทำแผนเราพัง แต่ฉันเปลี่ยนใจแล้ว อธิบายมาเดี๋ยวนี้นะคะว่านี่มันเรื่องอะไรกัน”

ถึงตรงนี้เอลเลียตก็หน้าแดงไปถึงหลังหู คีลไม่ได้ล็อกประตูไว้หรอกเหรอ… แล้วถ้าเคลลี่หรือใครคนอื่นเปิดมาเจอพวกเขาตอนกำลังดุเดือดกันอยู่บนเตียงเมื่อกี้...

โอ๊ย ไม่อยากจะคิด!




-------------------------------------------------------
Talk: จบแล้วค่า >w< ยังเหลือบทส่งท้ายอีกบทเนอะ เดี๋ยวเอามาลงให้วันสิ้นปีนะคะ จะได้ปิดท้ายปีกันสวยๆ (?) แฮ่ๆๆ ฝากติดตามกันถึงตัวอักษรสุดท้ายเลยนะ! XD
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 25) P.6 [29/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 29-12-2017 18:41:37
เจนนิเฟอร์เปิดมาเจอแล้วไงต่ออ่า ค้างง ไรท์ขาขอต่ออีกนิดด // ขอบคุณนะคะที่เขียนนิยายสนุกๆให้อ่าน
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 25) P.6 [29/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 29-12-2017 19:10:01
555 มีเขวระหว่างงาน
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 25) P.6 [29/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ทันฌะ ที่ 29-12-2017 23:48:46
โอยยยยยยย  :m25: :jul1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทที่ 25) P.6 [29/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 31-12-2017 21:24:32

บทส่งท้าย




คนผมน้ำตาลกำลังยืนอยู่ที่ยอดผาแห่งเดิม ที่เดียวกับที่คีลได้มอบปลอกคออันแสนล้ำค่าที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปจากบทหนึ่งไปสู่อีกบทหนึ่ง อย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่เขารู้สึก

เอลเลียตหันกลับไปมองอีกฝ่ายที่เดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับน้ำอัดลมกระป๋องที่ไปเอามาจากรถ ส่งให้เขากระป๋องหนึ่ง ของตัวเองกระป๋องหนึ่ง

ชายหนุ่มเขย่งเท้าขึ้นไปหอมแก้มร่างสูงเป็นเชิงขอบคุณ เปิดกระป๋องแล้วยกขึ้นดื่มอึกใหญ่ คีลลงมือเปิดกระป๋องของตัวเองเงียบๆ ขณะที่เอลเลียตร้องฮ้าออกมาอย่างชื่นใจจากสิ่งที่เพิ่งได้ดื่ม

“ลมเย็นดีจังเลย คุณว่าไหม” พูดพร้อมกับหันไปยิ้มหวานให้คนข้างตัว

“ก็ดีครับ”

“นี่ ไม่เอาน่า คีล ทำไมขรึมงั้นล่ะครับ ที่รัก” เอลเลียตว่าพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิกแก้มใบหน้าคมทีหนึ่งอย่างมันเขี้ยว

เรื่องของเรื่องก็คือ หลังจากที่โดนเคลลี่จับได้วันก่อน คีลก็โดนเรียกไปสวดยับโทษฐานที่ทำอะไรม่สมควรระหว่างปฏิบติหน้าที่ เอลเลียตคิดว่าเจ้าหล่อนคงดุเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนด้วย แต่คีลก็ไม่ได้เล่าให้เขาฟังละเอียดตามประสาคนปากหนัก และจบท้ายเรื่องทุกอย่างด้วยการที่เจ้าตัวโดนพักงานไปสองอาทิตย์

เลยพาเขามาเที่ยวได้แบบนี้ไงล่ะ ฮ่าๆ ๆ

“ว่าแต่คนพวกนั้นขอให้คุณพักงาน แล้วเขาจะจับตัวคนร้ายได้เหรอ ไม่ใช่ว่ากำลังไปได้สวยจากการเล่นละครของคุณกับของเคลลี่อยู่หรือไง? ”

“ครับ เราได้เบาะแสกับหลักฐานหลายอย่างมาแล้ว เหลือแค่รวบตัวเท่านั้น”

เอลเลียตเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งกับท่าทีสบายๆ ของอีกฝ่าย “ดูคุณไม่เดือดร้อนเท่าไรนะ? ”

“จะเดือดร้อนทำไมล่ะ ทีมผมเขาก็มืออาชีพกันทุกคน” พูดพร้อมกับเลื่อนมือไปกุมมือขอเอล “อีกอย่าง… ได้เวลาหยุดมาเที่ยวกับคุณแบบนี้ก็ได้จังหวะดี ผมว่ามันก็ไม่เลวนักหรอกครับ”

“ดีใจจังที่ได้ยินคนบ้างานแบบคุณพูดแบบนั้นบ้าง” เอลเลียตว่าพร้อมกับหัวเราะร่วน ไหวตัวเล็กน้อยเมื่อมือหนาดึงตัวเขาไปกอดแน่นแนบอก คนผมน้ำตาลหน้าเห่อร้อนขึ้นมาทันที ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจตัวเองประสานไปกับจังหวะหัวใจของอีกฝ่าย คีลก้มหน้าลงมาบนบ่าเขาจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น

“ผมคิดถึงคุณ เอล”

เอลเลียตคลี่ยิ้มทั้งที่หน้ายังแดง มือลูบหัวอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู

“ผมก็อยู่นี่แล้วไงครับ”

“คุณไม่เคยเล่าให้ผมฟังเลยว่าที่อยากได้เงินเยอะขนาดนั้นเพราะอยากจะช่วยแม่ของคุณ”

เอลเลียตชะงักไปด้วยความตกใจ คีลเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา

“แล้วคุณก็อยากช่วยไม่ให้บ้านสงเคราะห์นั่นต้องหายไปด้วยใช่ไหม ที่นั่นมีปัญหาทางด้านการเงินหนักมากจนแทบจะปิดตัวลง แถมนาตาเลีย โจนส์ก็ล้มป่วยอย่างหนักแล้วต้องใช้เงินรักษาตั้งไม่รู้เท่าไร”

“ผม… ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร” เขารู้สึกว่าเลือดตัวเองเย็นเฉียบ ไม่ต้องการให้คนในครอบครัวนั้นมาเกี่ยวข้องกับคดีของเขาเอง “คุณเข้าใจผิด--”

“ผมสืบมาหมดแล้ว เอล คุณเอาเงินก้อนที่ได้ทั้งหมดจากที่ปล้นธนาคารในส่วนของตัวเองไปให้ไอแซค โจนส์ใช่ไหม คุณทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือครอบครัวนั้นพร้อมๆ กับทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้มีใครรู้ว่าเงินนั่นมาจากการปล้นธนาคาร”

“ทุกคนไม่รู้เรื่อง--”

“ผมรู้ เอล ผมจะไม่ทำอะไรกับเรื่องนั้นหรอก คุณชดใช้ทุกอย่างไปแล้ว ถึงเวลาที่คุณต้องเป็นอิสระแล้วมีความสุขเสียที คุณผ่านเรื่องหนักๆ มามากพอแล้ว”

นัยน์ตาสีฟ้าช้อนขึ้นมามองคนพูดด้วยความรู้สึกหลากหลาย หางตาเริ่มแดงจนคีลต้องไล้ปลายหัวแม่โป้งไปสัมผัสแผ่วเบา

“คุณสืบเรื่องของผมมา”

นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม

“ผมรู้ ผมขอโทษ เอล แต่ผมทนไม่ได้ที่คุณไม่ยอมเล่าอะไรให้ผมฟังเลย ผมเป็นแฟนคุณ ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจหรืออยากจะจับผิด ผมก็แค่อยากรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณเท่านั้น ขอโทษนะครับถ้ามันทำให้คุณรู้สึกอึดอัด”

“งั้น… คุณก็รู้สาเหตุที่ทำให้ผมโดนเตะโด่งออกจากบ้านสงเคราะห์นั่นแล้ว? ”

คีลไม่ตอบ แต่เอลเลียตรู้คำตอบดี เขาเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายหากแขนแกร่งยังโอบรัดรอบตัวเขาแน่น

“พระเจ้า คีล” เสียงของคนในอ้อมแขนสั่นเครือ “ผมหวังว่าคุณจะไม่รู้เรื่องนั้น ทำไมคุณต้องไปสืบหาด้วยนะ”

ร่างสูงเงียบไป เขาเห็นบ่าที่เริ่มสั่นของเอลเลียตจากด้านหลัง

“คุณอายเหรอ เอล”

เอลเลียตส่ายหน้า “ผมว่ามันน่าสมเพช”

“มันไม่ใช่ความผิดคุณคนเดียวสักหน่อย”

“คุณนึกไม่ออกหรอกว่ามันเป็นยังไง” แม้จะมองไม่เห็น แต่คีลก็รับรู้ได้ว่าเอลเลียตกำลังร้องไห้ คนผมน้ำตาลส่ายหน้ารัวๆ “ผมเป็นเด็กที่โดนพ่อแม่ทิ้งตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ แล้วยังโดนครอบครัวที่เคยยอมรับผมเข้าไปอยู่ด้วยทิ้งอีก”

คีลดึงเอลเลียตเข้ามากอดแนบอกอีกครั้ง หันหน้าอีกฝ่ายกลับมาเพื่อปาดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน คนผมน้ำตาลเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น

“มันเหมือน… ไม่รู้สิ เหมือนไม่มีใครต้องการคุณ แล้ววันหนึ่งคุณก็ค้นพบด้วยว่าตัวเองก็ไม่ต้องการใครเหมือนกัน”

“ผมต้องการคุณ เอล” พูดพร้อมกับจูบปากอีกฝ่ายเบาๆ ดึงตัวเอลเลียตเข้าไปกอดแนบอกอีกครั้ง “ผมต้องการคุณจริงๆ คุณมีค่าสำหรับผมมากนะ”

เอลเลียตไม่พูดอะไรตอบ ไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่า เขาเลยทำแค่กอดอีกฝ่ายตอบแรงขึ้น

“ผมไม่เข้าใจจริงๆ ” เอลเลียตพูดออกมาหลังจากที่เงียบกันไปนาน “ผมทำดีอะไรมาถึงได้คุณมาเหรอ คีล”

คีลหัวเราะเบาๆ ไม่พูดอะไรตอบ

ร่างสูงคลายอ้อมแขนเพื่อได้มองหน้าเอลเลียตชัดๆ ยกนิ้วเลื่อนปอยผมสีน้ำตาลที่ปรกหน้าอยู่ออก น้ำตาเหือดไปจากหน้าของเอลแล้วแต่ยังมีคราบจางๆ ให้เห็น เขาเคลื่อนใบหน้าต่ำลงเพื่อจูบอีกฝ่ายอีกครั้ง

“คุณกำลังฆ่าผมอีกแล้วนะ” เอลเลียตว่ายิ้มๆ ขณะปิดเปลือกตาลง ที่ร้องไห้ออกมาไม่ทันตั้งตัวเมื่อกี้ทำเอาปวดตาหมด

“ผมรู้ว่าคุณชอบให้ผมทำแบบนั้น”

“ฆ่ากันเบาๆ หน่อยก็ได้นะครับ”

“แบบที่คุณต้องการเลย เอล”

คีลประทับจูบลงมาอีกครั้งอย่างแผ่วเบา


- Fin -





-------------------------------------------
Talk: สุขสันต์วันสิ้นปีและสุขสันต์วันปีใหม่ล่วงหน้าค่ะทุกคน XD

เอาบทส่งท้ายมาส่งท้ายปีสวยๆ 

ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตามคีลเอลมาตลอดนะคะ เรื่องนี้จะออกกับสนพ. รักคุณในช่วงงานหนังสือเดือนมี.ค. ค่ะ ถ้ารายละเอียดชัดเจนกว่านี้จะมาแแจ้งให้ทราบนะคะ

ท้ายสุดนี้ขอฝากนิยายเรื่องที่เรากำลังเขียนค้างอยู่ >>Faded Fog หมอกเลือนรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62356.0), Love Simulator เกมรักทดลองใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63557.0)

โดยเรื่องหมอกเลือนรักเป็นซีรี่ย์เดียวกับจุมพิตอันธการกับที่รักพรางใจค่ะ ส่วนเกมรักทดลองใจเป็นเรื่องแรกที่เราเขียนแนวฟีลกู้ด ถ้าใครสนใจก็ลองเข้าไปอ่านกันได้ค่ะ

ขอให้ทุกคนมีวันสิ้นปี/ปีใหม่ที่ดีนะคะ ^^ แล้วเจอกันปีหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทส่งท้าย) P.6 [31/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 31-12-2017 22:42:23
 :pig4: :pig4: :กอด1: :กอด1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทส่งท้าย) P.6 [31/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 31-12-2017 23:29:13
ใจหายเลยตอนคีลมีแหวนที่นิ้ง ถึงจะคิดไว้แล้วว่ามีอะไรผิดพลาด นึกว่าจะได้รักกันแบบหนีตำรวจโดนล่าสุดขอบฟ้าอะไรแบบนี้ 5555555 ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆอีกเรื่องนะคะ และสวัสดีปีใหม่ด้วยค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทส่งท้าย) P.6 [31/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-01-2018 15:41:21
 :katai2-1: o13 :katai2-1:


 :กอด1: :L2: :L1: :pig4: :L1: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทส่งท้าย) P.6 [31/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 06-01-2018 00:41:23
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :pig4: :pig4: :pig4: :3123: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทส่งท้าย) P.6 [31/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: idee ที่ 06-01-2018 10:28:16

เพิ่งมาตามอ่านตอนหลังๆ แต่ก็ติดหนุบหนับ ชอบภาษา ชอบการบรรยาย ชอบเอล <3
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทส่งท้าย) P.6 [31/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Premo1492 ที่ 23-01-2018 16:11:49
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทส่งท้าย) P.6 [31/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: pitiatah_hp ที่ 24-01-2018 07:45:21
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆ นะคะ ชอบมากเลย  :-[
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทส่งท้าย) P.6 [31/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 24-01-2018 20:35:21
สนุกมากกกค่ะ เรื่องนี้เรียลมาก ลุ้นเหมือนตัวเองอยู่ในฉากทุกตอนเลย ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทส่งท้าย) P.6 [31/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: pp.ll.ee ที่ 31-01-2018 21:31:38
คือดี ชอบเอล ชอบคีล ชอบทุกตัวละคร ชอบเนื้อเรื่อง ชอบทุกอย่างงงงงง
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆให้นักอ่าน อ่านกันนะคะ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทส่งท้าย) P.6 [31/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 02-02-2018 08:57:40
ฮื้ออออ จบแล้ว ของเค้าดีจริงๆนะเรื่องนี้ พูดได้เต็มปากว่าเป็นนิยายวายคุณภาพที่สุดเรื่องนึงเลย ดี๊ดีอะะะ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทส่งท้าย) P.6 [31/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 02-02-2018 22:45:30
อ่านแล้วติดอ่ะ ชอบบบบบ   :m1:
 :L2: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทส่งท้าย) P.6 [31/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 05-02-2018 07:40:53
สนุกมากค่ะ ชอบเอลมาก
เคะราชินีที่แท้จริง สตรองสุดๆ
ชอบโมเม้นท์ที่อยู่กับลีโอ
เป็นคู่ที่เคมีเข้ากันมากๆ
ชอบลีโอ ป้ายไฟลีโอรัวๆ
อยากให้มีเรื่องของลีโอบ้าง
เป็นตัวร้ายที่เกลียดไม่ลงจริงๆ
หวังว่าคนเขียนจะเห็นใจตัวละครนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทส่งท้าย) P.6 [31/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: FullFong ที่ 06-02-2018 20:18:46
ชอบ อ่านๆไปรู้สึกเหมือนตอนดูซีรีย์สืบสวนสอบสวนของฝรั่ง ต่างก็ตรงที่วาย พระ/นายละมุนมาก ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ เป็นกำลังใจให้ในการแต่งนิยายดีๆเรื่องต่อๆไปนะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทส่งท้าย) P.6 [31/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 09-02-2018 22:24:41
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ (บทส่งท้าย) P.6 [31/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 12-02-2018 19:23:26
สวัสดีค่ะทุกคน! ไอรินเองนะคะ >w<

เหมือนจะไม่ได้เข้ามาในนิยายเรื่องนี้พักหนึ่งเลย คิดถึงคีลเอลจัง //คิดถึงทุกคนด้วยน้า >3<

วันนี้เรามีเรื่อง (ใหญ่มาก) จะมาแจ้งให้ทุกคนทราบ อย่างที่ได้จั่วหัวไปแล้วว่าจะมีการเปลี่ยนชื่อเรื่องการเกิดขึ้น! เนื่องจากทางเรากับทางสนพ.รักคุณ ได้คุยกันแล้วและเห็นพ้องตรงกันว่าชื่อเรื่องเดิม (Kill me gently จุมพิตอันธการ) ไม่สอดคล้องกับตัวเนื้อเรื่องเท่าที่ควร แถมทั้งภาษาไทยกับภาษาอังกฤษก็ไม่ไปในทิศทางเดียวกันอีก! เราเลยมีมติเดียวกันว่าจะเปลี่ยนชื่อเรื่องนิยายเรื่องนี้เป็น "Catch me gently วายร้ายจารกรรมรัก"

(ขอขอบคุณทางสนพ. ที่กรุณาเสนอชื่อเรื่องมาให้ ณ ที่นี้//กราบ)

และนอกจากชื่อเรื่องแล้ว วันนี้เราก็เอาอัพเดทรูปที่จะทำเป็นที่คั่นแม็กเน็ตที่จะแถมกับหนังสือรอบพรีออเดอร์วันที่ 5-15 มี.ค. นี้ด้วย! แฮ่~ คีลกับเอลเลียตสุดที่รักของเรา >////< น่ารักน่าบีบมาก

(https://i.imgur.com/G9vwEIi.jpg)

ใครอยากได้ไปครองต้องห้ามพลาดรอบพรีออเดอร์นี้เลยนะ!
เดี๋ยวพอเริ่มเปิดพรีจริงๆ ไอรินจะแวะมาเตือนทุกคนค่า >3<

หรือใครอยากติดตามข้อมูลข่าวสารก่อนใคร! ก็แวะมากดไลค์เพจหรือติดตามทวิตเตอร์ของเราได้ตามนี้เลย

Facebook: facebook.com/airinand/ (https://www.facebook.com/airinand/)
Twitter: twitter.com/airin_yoku (https://twitter.com/airin_yoku)

หรือช่องทางของสำนักพิมพ์รักคุณ
Facebook: facebook.com/RakKunPublishing/ (https://www.facebook.com/RakKunPublishing/)
Twitter: twitter.com/RakKunBooks (https://twitter.com/RakKunBooks)


ขอบคุณที่เอ็นดูคุณตำรวจและน้องโจรมาตลอดนะคะ >3< ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวกับรูปเล่มด้วยค่า <3

หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ [แถงการณ์เปลี่ยนชื่อเรื่อง] P.7 [12/2/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 25-02-2018 00:55:13
แอบนึกถึงหนังเรื่อง catch me if you can ในช่วง 2-3 ตอนแรก

อ่านด้วยความหวาดระแวงตลอดทั้งเรื่อง เพราะไม่กล้าไว้ใจตัวละคร 555

อ่านจบแล้วยังครุ่นคิด คีลกับเอลจะคบกันยังไงหนอ ตำรวจกับอดีตโจร สังคมน่าจะไม่ค่อยยอมรับ แล้วเอลจะโดนหมายหัวจากคนในวงการไหม ไปทำเครือข่ายเขาแตกขนาดนั้น /เอล: แช่งผมทำม๊ายยยย

ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ [แถงการณ์เปลี่ยนชื่อเรื่อง] P.7 [12/2/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-03-2018 10:34:10
  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ [แถงการณ์เปลี่ยนชื่อเรื่อง] P.7 [12/2/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 09-04-2018 10:25:08
 :pig4: :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ [แถงการณ์เปลี่ยนชื่อเรื่อง] P.7 [12/2/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: yin ที่ 11-04-2018 18:43:27
แต่งดีมาก กระชับ ฉากอัศจรรย์ก็เร้าใจมาก ชอบม๊ากก
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ [แถงการณ์เปลี่ยนชื่อเรื่อง] P.7 [12/2/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 17-04-2020 00:12:26
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ [แถงการณ์เปลี่ยนชื่อเรื่อง] P.7 [12/2/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 25-01-2021 11:30:58
เชร้ดดดสนุกกกมากกก อาชญากรปล้นกับตำรวจสายสืบหน้าหล่อ มันกร๊าวใจจริงโว้ยย มันส์มาก เหมือนดูซีรีย์ฝรั่งอย่างที่หลายคนพูดเลย สนุกจนวางไม่ลง ชอบๆ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ [แถงการณ์เปลี่ยนชื่อเรื่อง] P.7 [12/2/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 27-01-2021 16:05:11
สนุกมากกกก มีครบทุกรสเลยทีเดียว มีเรื่องให้ลุ้นได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนจะจบ ที่เอลไปเจอคีลทำงานอยู่กับเคลลี่ ปวดใจแทนเอลเลยพอเห็นอย่างนั้น ดีที่ว่าเป็นแค่แผน จบแบบแฮปปี้ค่อยยิ้มได้ ขอบคุณมากค่ะสำหรับนิยายดีๆนะคะ :pig4: o13
หัวข้อ: Re: Kill me gently จุมพิตอันธการ [แถงการณ์เปลี่ยนชื่อเรื่อง] P.7 [12/2/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 15-04-2021 20:04:43
เพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้
เนื้อเรื่องสนุกมากเลยค่ะ
อ่านเพลินมาก ไม่อยากให้จบเลย