Kill me gently จุมพิตอันธการ [แถงการณ์เปลี่ยนชื่อเรื่อง] P.7 [12/2/2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Kill me gently จุมพิตอันธการ [แถงการณ์เปลี่ยนชื่อเรื่อง] P.7 [12/2/2018]  (อ่าน 61563 ครั้ง)

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
ไปๆมาๆสงสารคีลแทน
หรือคีลจะซ้อนแผนอีกที?

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
สงสารคีลอะ ตอนกลับมาไม่เจอเอล  :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เอลจะหนีรอดมั๊ย สงสารคีลจังโดนทิ้งซะแล้วววว :hao5:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
บทที่ 10




ลูกโป่งสีชมพูจากหมากฝรั่งในปากเขาแตกโผละ

เอลเลียตดึงมันกลับเข้าไปเคี้ยวใหม่ ขาเรียวยาวก้าวไปตามทางด้วยความเร็วที่มากกว่าปกติแต่กลับดูไม่เร่งรีบอย่างคนที่คิดกำลังจะหนีแม้แต่น้อย

ยามรักษาการณ์คนหนึ่งในชุดเครื่องแบบหันมามองทางเขา จากนั้นก็เบือนหน้าหันไปมองรอบตัวต่ออย่างไม่ใส่ใจ ไม่มีใครคิดว่าจะมีคนนึกอยากขโมยของจากล็อกเกอร์จากสถานีรถไฟอยู่แล้ว ยิ่งคนคนนั้นมีกุญแจมาเปิดเองด้วยแบบเขา

นัยน์ตาสีฟ้าหลังเลนส์แว่นกวาดตาไปรอบๆ เพื่อดูว่ามีใครกำลังติดตามเขาอยู่หรือไม่ แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ผู้คนยังคงเดินสวนกันขวักไขว่โดยสนใจแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น เอลเลียตหันกลับไปมองด้านหลังรอบหนึ่งเพื่อความแน่ใจ จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปยังตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ หยอดเงินลงในตู้เพื่อแลกกับตั๋วโดยสารมาใบ จากนั้นชายหนุ่มก็ตรงดิ่งไปที่ชานชาลาเพื่อขึ้นรถไฟเที่ยวต่อไป

เอลเลียตนั่งรถไฟมาอีกสามสถานีจากนั้นจึงมุ่งหน้าไปที่โรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งเขาจองเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ทันทีที่ถึงห้องพักขนาดเล็ก คนผมน้ำตาลก็โยนกระเป๋ากีฬาลงบนเตียงเล็กที่ดูคับแคบแม้จะไว้สำหรับนอนคนเดียว ไหล่ของเขาเมื่อยไปหมดจากการแบกเจ้ากระเป๋าใบนี้มาถึงนี่ แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่อยู่ด้านใน ชายหนุ่มก็คิดว่ามันคุ้มค่า

เขาเปิดซิปกระเป๋าออก หยิบธนบัตรปึกหนึ่งขึ้นมาคลี่อย่างรวดเร็วเพื่อตรวจสอบ มันเป็นของจริง ไม่ใช่เรื่องตลกที่เจคอบทำเอาไว้อำใครเล่น ชายหนุ่มเริ่มล้วงมือเข้าไป คำนวณตัวเลขคร่าวๆ ของเงินที่เขามีอยู่ในนี้ หนึ่งล้าน... ไม่สิ สองล้าน อาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ และจำนวนเงินที่มากขนาดนี้ต้องทำให้เขาเดือดร้อนแน่ ไม่แปลกใจเลยที่ไอ้บ้าโอคอนเนลถึงได้โดนเพื่อนในทีมตัวเองฆ่า

เอายังไงดี เขาควรจะแบ่งสักก้อนให้เทลออฟอดัมส์ดีไหม อย่างน้อยหมอนั่นก็มีคนคอยคุ้มกะลาหัว ไม่ได้หัวเดียวกระเทียมลีบแบบเขา อีกอย่างได้เงินฟรีๆ แบบนี้ ใครจะไม่เอา หรือบางทีเขาอาจจะขอให้หมอนั่นช่วยส่งส่วนหนึ่งให้ไอแซค พี่ชายของเขาก็ได้แต่คงต้องให้ทยอยส่ง ขืนเป็นก้อนใหญ่ๆ แบบนี้คงโดนสงสัย

ระหว่างที่กำลังชั่งใจว่าจะทำยังไงกับเงินตรงหน้าดีนั้น เสียงฝีเท้าหนักๆ ที่ดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลไม่ได้เรียกความสนใจให้เอลเลียต ชายหนุ่มกำลังหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเอง และเมื่อประตูห้องพักถูกพังเข้ามาดังโครม คนผมน้ำตาลก็สะดุ้งเฮือกสุดตัวด้วยความรู้สึกเหมือนวิญญาณจะออกจากร่าง และคนที่กำลังกระชากมันไปก็กำลังถือปืนด้วยมือทั้งสองข้างเล็งมาทางเขาด้วยแววตาไม่บ่งบอกอารมณ์

"ยกมือขึ้นวางไว้บนศีรษะ" คีลพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบขณะที่เอลเลียตอ้าปากค้าง มองผู้ที่ก้าวเข้ามาอย่างตื่นตะลึง "เดี๋ยวนี้"

คนผมน้ำตาลทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ทันทีที่มือทั้งสองขึ้นแตะบนหัว คีลก็ก้าวเข้ามาประชิดตัวพร้อมกับกดหัวเขาไปบนเตียงอย่างไร้ความปรานี เอลเลียตร้องครางเพราะแรงกดที่แผ่นหลัง ได้ยินคีลพูดข้อหาความผิดของเขารวมถึงคำเตือนมิแรนด้าที่หลุดตามมาราวกับสคริปต์อัตโนมัติ แต่หูของเขาอื้อไปหมดจนแทบจับใจความอะไรไม่ได้ ได้ยินแต่เสียงหัวใจที่เต้นรัวขึ้นด้วยความหวาดกลัวคละเคล้าไปกับงุนงงและสับสน

"คะ... คุณรู้ได้ยังไง" หลุดปากถามอย่างอดไม่อยู่ คีลเอื้อมมือไปกระชากกระเป๋าใส่เงินนั่นเปิดกว้างขึ้น ล้วงเข้าไปเปิดช่องซิปที่อยู่ด้านใน จากนั้นก็ดึงเครื่องส่งสัญญาณจีพีเอสโยนลงบนเตียงให้นักโทษตัวแสบของเขาได้เห็นกันจะจะ

เอลเลียตอ้าปากค้าง ไม่อยากจะเชื่อสถานการณ์ที่พลิกกลับตาลปัตรนี่ ส่วนคีลหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาส่งข่าวให้อีกคนในทีมรับทราบ

"ทางสะดวกแล้วครับ คัลเลน หมอนี่ไม่มีอาวุธ" ระหว่างที่พูดก็ตกกระเป๋ากางเกงกับลูบคลำตามเรือนร่างเขาเพื่อพิสูจน์คำพูดนั้นด้วย ไม่กี่วินาทีต่อมาเสียงของชายหนุ่มที่เป็นนักจิตวิทยาก็ดังขึ้นมาก่อนที่เจ้าตัวจะปรากฏตัว

"ไหนๆ ๆ ปลาเราติดเบ็ดแล้วเหรอ ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าวิธีนี้ต้องได้ผล ไหนดูซิว่าฆาตกรที่ฆ่าเจมส์ สมิธเป็น--" ทันทีที่เจ้าตัวโผล่หัวยุ่งๆ เข้ามาในห้อง เสียงแจ้วๆ นั่นก็เงียบลง แต่อึดใจต่อมาคัลเลนก็ว่าต่อเสียงกวนๆ "อ้าว ดูเหมือนเราจะได้ปลาผิดตัวนะเนี่ย"

"ฝากบอกเจ้าหน้าที่แมคแนร์ด้วยครับว่าแผนผิดพลาดไปหน่อย" คีลว่าเสียงเรียบ หากเอลเลียตรู้สึกได้ว่าแรงที่อีกฝ่ายขยำเสื้อด้านหลังเขาแรงขึ้นอย่างคับแค้นใจ และมันทำให้เข้าตัวต้องลอบกลืนน้ำลายด้วยความหวาดเสียวอึกใหญ่ "แต่ถ้าเราจับตาดูล็อกเกอร์เบอร์ 27 นั่นไว้ เราคงรู้ว่าฆาตกรตัวจริงเป็นใคร"

"ผมจะจัดการทางนั้นให้เอง แล้วเรื่องเงินคุณจะเอาไง คุณสายสืบวิลล์? "

"ผมฝากคุณเอาไปให้แมคแนร์ด้วย จัดการตามที่เห็นสมควรเลย ผมขอตัวไปจัดการกับปัญหาของผมก่อน"

'ปัญหา' ของคีลถูกกระชากคอเสื้อให้เดินไปตามโถงทางเดินของโรงแรมโดยที่มือถูกไพล่หลัง มีนักท่องเที่ยวชาวเอเชียคู่หนึ่งเดินสวนพวกเขาไป ทั้งสองมองตามมาด้วยสายตาหวาดๆ ส่วนเอลเลียตหน้าร้อนไปถึงหูด้วยความอับอาย ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองน่าสมเพชเท่านี้มาก่อน คีลใจร้ายมากที่สับกุญแจมือเขาแล้วยึดแขนข้างหนึ่งเอาไว้ บังคับให้เดินไปตามทิศทางที่ตัวเองต้องการแบบนี้

เอลเลียตเคยโดนจับกุมมาก่อนก็จริง แต่ตอนนั้นเขาโดนบังคับให้เอามือไพล่หลังและใส่กุญแจมือหลังจากที่ศาลตัดสินแล้วว่าเขามีความผิด ไม่ใช่ในที่สาธารณะที่ใครต่อใครเหลียวมองมาได้แบบนี้ เขาก็นึกอยากน้อยใจคีลเรื่องนั้นหรอก แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อเขาผิดเองจริงๆ และต่อให้ร่างสูงจะจับเขาโยนเข้าที่หลังรถแล้วตัวเองไปประจำที่นั่งคนขับ เขาก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องจะนั่งข้างๆ อีกฝ่ายอย่างที่เคยเป็นมา สถานะของเขาตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว จากกระจกที่เอาไว้ส่องด้านหลัง คีลสังเกตเห็นว่าใบหน้าของนักโทษของเขาขาวซีดเป็นกระดาษเลยทีเดียว

เอลเลียตปล่อยให้ความเงียบโรยตัวอยู่ครู่ใหญ่หลังจากที่คีลออกรถ จนกระทั่งตัวเขาเองที่ทนแรงกดดันไม่ไหว ต้องเปิดปากออกมาจนได้

"เพื่อนร่วมทีมคุณ... คัลเลนน่ะ ดูเขาแปลกใจนะที่ได้เจอผมแทนที่จะเป็นตัวคนที่ฆ่าเจมส์ สมิธที่พวกคุณกำลังตามหาอยู่"

จากกระจกบานเดียวกัน เอลเลียตเห็นสีหน้าเรียบเฉยและแววตาว่างเปล่าของคีล "ใช่ เขาคงแปลกใจ"

"แต่คุณดูไม่แปลกใจเท่าไร" คนผมน้ำตาลว่าต่อ "เหมือนคุณเดาไว้อยู่แล้วว่าผมอยู่ในห้องนั้น ตอนที่คุณจ่อปืนมาที่หัวผม"

"เรียกร้องขอความเห็นใจเหรอ" คีลพูดเสียงเหยียดอย่างที่เอลเลียตแทบเต้น "ไว้ใช้โอกาสอื่นไหมคุณ คุณเป็นคนหักหลังผมเองนะ"

"แล้วตกลงว่าทำไมคุณถึงไม่แปลกใจ"

คีลเงียบไปครู่หนึ่ง แต่เอลเลียตได้ยินเสียงสูดหายใจแรงๆ เหมือนกำลังข่มอารมณ์ของเจ้าตัว

"คุณคิดว่าผมไม่รู้จริงๆ สินะ"

"มะ... ไม่รู้อะไร"

"คุณคิดว่าผมไม่รู้จริงๆ สินะที่กุญแจล็อกเกอร์นั่นหายไป"

เอลเลียตตัวชาวาบ นึกสบถก่นด่าตัวเองในใจที่คิดอะไรตื้นๆ ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าอันที่จริงแล้วกุญแจล็อกเกอร์ดอกนั้น คีลกับเจ้าหน้าที่เอฟบีไออีกคนทำการก๊อบปี้ไว้หลายดอก โดยที่สลักเลข 27 เอาไว้ให้เหมือนกับตัวต้นแบบทุกประการเพื่อใช้ล่อคนร้ายออกมาตามแผนการที่คัลเลนเป็นคนคิด ตอนแรกคีลไม่เห็นว่าจำเป็นต้องเก็บมันไว้เพราะตัวเขาไม่ใช่เหยื่อล่อในแผนการที่ว่า แต่แมคแนร์ก็บอกว่าแค่เผื่อในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น

"แล้ว... แล้วทำไมคุณถึงไม่พูดอะไรก่อนหน้านี้" เอลเลียตถามอย่างไม่เข้าใจ "ก็คุณรู้แล้วไม่ใช่เหรอว่าผมเอากุญแจไป"

คีลไม่ตอบ และมันทำให้ชายหนุ่มผมน้ำตาลนั่งไม่ติดเบาะ

"คีล" ยื่นหน้ามาที่เบาะคนขับพร้อมกับเรียกอีกฝ่ายอย่างคาดคั้น

"ผมแค่อยากรู้ว่าคุณจะทำอะไรกับมัน"

อีกครั้งที่คำตอบทำให้คนฟังอึ้งไปอีกรอบ หากยังไม่ทันได้เซ้าซี้อะไรต่อ อีกฝ่ายก็เลี้ยวรถเข้าไปในตัวอาคาร ซึ่งก็หนีไม่พ้นอพาร์ทเม้นท์ที่พวกเขาอยู่ด้วยกันมากว่าสองอาทิตย์นั่นแหละ

คีลเดินมาเปิดประตูให้เขาด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ตามเดิม ก็ดีใจอยู่หรอกนะที่หมอนี่ไม่ใจร้ายจับเขาเข้าตารางตอนนี้ แต่ไอ้มือที่ไพล่หลังอยู่นี่สิ…

"คะ... คือ ถอดกุญแจมือให้ผมก่อนตอนนี้ได้ไหม"

ร่างสูงไม่ทำตามคำขอนั้น แต่เขาก็ถอดสูทตัวนอกของตัวเองลงมาคลุมแขนบริเวณที่เห็นกุญแจมือให้ จากนั้นก็ร่างของอีกฝ่ายแนบตัวเพื่อบังสายตาคนอื่นให้ เอลเลียตคิดว่าตัวเองเผลอใจเต้นกับความใจดีของคีล และเขาก็นึกอยากกระทืบตัวเองซ้ำ

ไอ้หมอนี่มันเป็นคนสับกุญแจมือลงบนข้อมือแกแท้ๆ ยังจะไปใจเต้นกับมันอีก เป็นเอามากนะ ไอ้โง่เอล





คีลดันร่างของนักโทษจำเป็นเข้าไปในตัวห้องอย่างไม่ไยดีทันทีที่มาถึง จากนั้นก็หันไปลงกลอนประตู เอลเลียตหันกลับมามองอีกฝ่ายอย่างทุลักทุเลเพราะพยายามจับเสื้อสูทที่อยู่ด้านหลังไม่ให้ร่วงลงไปกองกับพื้น

“เอ่อ คีล” คนผมน้ำตาลเรียกอีกฝ่ายอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะต้องสะดุ้งอีกเฮือกเมื่อคีลตวัดแววตาวาวโรจน์กลับมามองตัวเอง ดูปราดเดียวก็รู้แล้วว่าหมอนี่โกรธจริง

“คุณรู้ตัวรึเปล่าว่าทำอะไรลงไป”

“คีล… ผม” เอลเลียตก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติจนไปชนกับผนัง ตาเหลือบมองปืนที่เหน็บอยู่ที่เอวของอีกฝ่าย ไม่มีอะไรน่ากลัวกว่าคนอารมณ์เดือดที่มีอาวุธใกล้มืออีกแล้ว

หากคีลหัวเราะในลำคอเป็นเชิงเย้ยหยันเมื่อเห็นสายตาหวาดระแวงไม่เข้าท่านั่น

“ผมไม่ใช่ตำรวจอ่อนหัดนะครับ เทย์เลอร์ ไม่คว้าปืนขึ้นมายิงใครเพียงเพราะคนคนนั้นคิดจะหนีหรอก”

“อ้อ ตอนนี้ผมเป็นเทย์เลอร์แล้วเหรอ” เอลเลียตมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาเจ็บปวด “เกิดอะไรขึ้นกับเอลล่ะ? ”

“เขาหนีผมไปแล้ว” นัยน์ตาคู่คมไม่หลบสายตาเขา ตรงกันข้าม เหมือนจะท้าทายเขามากขึ้นด้วยซ้ำ “ไม่สิ เขาไม่เคยอยู่กับผมจริงๆ ด้วยซ้ำ ผมคิดว่านะ แล้วเรื่องระหว่างเราทั้งหมดก็เป็นแค่การเล่นละครของคุณ”

“แน่ใจเหรอว่าคุณมีสิทธิ์พูดแบบนั้น” เอลเลียตอยากจะกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายมาเขย่าๆ ให้รู้แล้วรู้รอด แต่เพราะสองมือถูกไพล่อยู่ด้านหลังแบบนี้จึงทำอะไรไม่ได้ “คุณเองก็พอกันนั่นแหละ คีล วิลล์ คุณรู้อยู่แล้วว่าผมได้กุญแจนั่นไปแต่ก็ไม่พูดอะไรสักคำ คุณอยากจะถีบหัวผมส่งเข้าคุกมาตั้งแต่แรกแล้ว! ”

“อย่ามาขึ้นเสียงใส่ผมนะ” มือหนาเลื่อนมาบีบบ่าเขาแน่นจนเจ็บไปหมด “คุณเองที่เป็นฝ่ายคิดจะหนี คุณเองที่หักหลังผมก่อน”

“คุณรอให้ผมทำอย่างนั้นอยู่ต่างหาก! ” คนผมน้ำตาลโวย “ที่ผ่านมาผมก็ได้แค่คิด แต่ไม่ลงมือทำอะไรเลย มันเลยทำให้คุณทำอะไรไม่ได้ล่ะสิ แต่พอผมคิดจะหนีขึ้นมาจริงๆ คุณก็ทำเฉย คุณรู้อยู่แล้วว่าจะต้องมีวันนี้ และพอผมลงมือ คุณก็จับกุมผม เพื่อที่จะได้โยนผมกลับไปอยู่หลังซี่กรงง่ายๆ ทั้งหมดนี่มันเป็นแผนของคุณมาตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม! ”

คีลสบถสั้นๆ พร้อมกับปล่อยหมัดลงมาอย่างแรง เอลเลียตหลับตาแน่นเพราะคิดว่ามันคงไม่พ้นกระแทกหน้าเขาเต็มๆ แต่ก็เปล่า หมัดนั้นมันแค่เฉียดแก้มเขาไป กระแทกกับผนังด้านหลังอย่างจัง แล้วคนผมน้ำตาลก็ต้องหน้าซีดลงเมื่ออีกฝ่ายเหมือนเส้นความอดทนขาด ตะโกนใส่หน้าเขาอย่างอัดอั้น

“แล้วผมจะรู้เหรอว่าคุณรู้ความหมายของไอ้ล็อกเกอร์นั่น! คุณไม่ควรจะรู้ด้วยซ้ำ เทย์เลอร์ คุณไม่ควรคิดถึงเรื่องหนีมาตั้งแต่แรก แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง! ผมเป็นตำรวจนะ! จะให้ผมมองข้ามกับความผิดที่คุณทำอย่างนั้นเหรอ!? ”

เขามองร่างสูงที่หอบหายใจอย่างตื่นตะลึง ในหัวเริ่มคิดตามไม่ทันแล้วว่าพวกเขาสองคนกำลังตะโกนใส่กันด้วยเรื่องอะไรกันแน่

คีลโกรธเรื่องที่เขาพยายามจะหนี ส่วนเขาโกรธคีลเรื่องที่คิดจะจับตัวเองยัดเข้าตารางหากมีจังหวะเหมาะๆ

ก็คีลบอกว่ารักเขาไม่ใช่เหรอ รักเขาก็ต้องอยากช่วยเขาให้พ้นออกมาจากนรกแห่งนั้นไม่ใช่หรือไง ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าเป็นตำรวจก็เถอะ แต่เขาเป็นคนรักของอีกฝ่ายไม่ใช่เหรอ? คีลต้องเข้าข้างเขามากกว่ากฎหมายโง่ๆ พวกนั้นไม่ใช่หรือไง

เอลเลียตเบือนหน้าที่แดงก่ำของตัวเองไปอีกทางเมื่อตระหนักได้ว่าคีลไม่มีทางทำแบบนั้นแน่เพราะว่าเขาเป็นตำรวจ ส่วนตัวเขาเองก็เป็นแค่อาชญากรที่ไม่พร้อมจะยอมรับบทลงโทษของตัวเอง

แต่มีบางอย่างที่ตงิดใจเขามากกว่านั้น บางอย่างที่บีบรัดก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายยิ่งกว่าอะไร

“คีล… ผมถามจริงๆ เถอะ”

อีกฝ่ายยังคงเงียบ

“ตอนที่คุณบอกว่ารักผม คุณหมายความตามนั้นจริงๆ หรือเปล่า”

“อะไรนะ” ร่างสูงพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่อยากจะเชื่อ เอลเลียตตวัดสายตากลับไปมองอีกฝ่ายเขม็ง

“ตอนที่ผมถามคุณว่าจริงจังกับผมไหม… ตอนที่ผมบอกว่ารักคุณแล้วคุณตอบกลับมาว่าคุณก็รักผมน่ะ นั่นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”

“คุณเป็นเด็กม.ต้นเหรอ เทย์เลอร์ คุณคิดจริงๆ เหรอว่าไอ้คำบอกรักที่เราพูดใส่กันนั่นเป็นของจริง”

ถ้าคำพูดนั้นเป็นแส้ หัวใจเขาคงเหมือนแก้วที่โดนมันฟาดยับจนแตกละเอียด

เปรียบเทียบเกินไปหรือเปล่า? แต่เอลเลียตรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเผลอจริงจังไปกับความสัมพันธ์ฉาบฉวยนี้ได้

และคนตรงหน้าเขาก็กำลังบอกว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องโกหก?

“จะทำหน้าแบบนั้นทำไม” วูบหนึ่ง เอลเลียตเห็นร่องรอยความเจ็บปวดในนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่สวยนั่น มันเหมือนกับแววตาแบบที่เขามีเลย แต่วินาทีต่อมามันก็หายไป บางทีเขาอาจจะแค่เข้าใจผิดไปเองว่าคีลคงเจ็บปวดกับเรื่องระหว่างพวกเขาบ้าง “คุณเองก็เหมือนกันนั่นแหละ ปากพูดว่ารักผม แต่ดูสิ่งที่คุณเพิ่งตัดสินใจทำลงไปวันนี้สิ แล้วคุณยังมีหน้ามาเรียกร้องอะไรจากผมอีกเหรอ”

“คุณไม่เข้าใจ” คนผมน้ำตาลครางอย่างอ่อนล้า “ผมไม่มีทางเลือก”

“คุณมี เอล คุณมี” คีลเผลอเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อ ความผิดหวังพรั่งพรูออกมาชัดเจนจนเอลเลียตเริ่มสับสนว่าอะไรคือความจริงกันแน่ “คุณทำให้มันถูกต้องได้ แต่คุณก็เลือกที่จะหักหลังผม”

“แล้วคุณจะแคร์ทำไม” ชายหนุ่มสะบัดมืออีกฝ่ายออกจากบ่า บังคับตัวเองไม่ให้ปล่อยน้ำตาให้หยดลงมา เขาไม่อยากให้คีลนึกสมเพชเขามากกว่านี้ “คุณไม่ได้รักผมอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมอยู่แล้ว อ้อ เกือบลืมไป เพราะมันจะทำให้คุณไม่มีใครไว้คอยเค้นความคืบหน้าเรื่องคดีสินะ! ไม่มีคนที่จะคอยหาเพื่อนจับพานถวายใส่ให้คุณทำผลงานอีกต่อไปแล้ว มันคงทำให้คุณแค้นแทบเต้นเลยใช่ไหม”

“พอได้แล้ว เทย์เลอร์” คีลผละตัวออกมา ยกมือขึ้นยีหัวตัวเองอย่างหัวเสีย ไม่อยากเข้าใกล้อีกฝ่ายเพราะกลัวจะเผลอใช้ความรุนแรงมากเกินความจำเป็น เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาคาบ ยกไฟแช็กขึ้นมาจุด “คุณนึกไม่ออกหรอกว่าผมโกรธคุณขนาดไหน ผมโกรธจนแทบจะฆ่าคุณได้ด้วยซ้ำ”

“คุณหลอกเรื่องที่บอกว่ารักผม” อยู่ๆ ชายหนุ่มก็ตะโกนขึ้นมาราวกับสมองเพิ่งประมวลคำพูดนั้นเสร็จ คีลหันกลับไปมองอาชญากรหนุ่มที่ทรุดลงไปนั่งพิงผนังอย่างหมดแรง อึ้งไปทีเดียวเมื่อเห็นน้ำตาไหลลงมาอาบแก้มเนียนนั่น “คุณแม่งสารเลว คีล เอาความรู้สึกของผมไปล้อเล่น”

“เทย์--”

“คุณพยายามทำให้ผมรักคุณเพื่อจะได้เค้นความจริงเอาจากผมง่ายๆ ใช่ไหม! ”

“เลิกเล่นเกมได้แล้ว! ” โดนอีกฝ่ายตอกกลับมาแบบนี้ คนผมดำเองก็ชักหัวเสียขึ้นมาจริงๆ “เราต่างก็รู้ดีว่านี่มันเป็นเกม เทย์เลอร์ ใครตกหลุมก่อนก็แพ้ และตอนนี้เกมมันก็จบแล้ว อย่าพยายามบีบน้ำตาเพื่อแสดงว่าคุณรักผมเลย เพราะมันไม่จริง ถ้าคุณรักผม คุณจะไม่พยายามหนีอย่างที่ทำวันนี้หรอก”

“คุณแม่งเหี้ย! ไอ้ตำรวจเฮงซวย! ” พอเห็นว่าสู้อีกฝ่ายไม่ได้สักทางแล้ว เอลเลียตก็ได้แต่ระบายความคับแค้นใจผ่านทางคำพูดแทน เขาพยายามกลั้นน้ำตากับเสียงสะอื้นของตัวเองไม่ให้เล็ดลอดออกมา ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยอกหักมาก่อน เขาเคยอกหักมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่อาจจะเป็นเพราะหลายปีที่ผ่านมานี้เขาสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองได้ แม้แต่ตอนที่คบกับลีโอ เขาก็ระมัดระวังไม่ให้ตัวเองรักอีกฝ่ายแบบหมดใจอย่างที่เคยทุ่มเทกับรักสมัยแรกรุ่น แต่พอเจอคีล… เจอท่าทีที่เหมือนจริงใจของอีกฝ่ายแบบนั้น ท่าทีอ่อนโยนกับการกระทำต่างๆ ที่เหมือนจะบอกว่ารักเขา… รู้ตัวอีกทีเอลเลียตก็รักอีกฝ่ายลงไปจริงๆ

แล้วผลเป็นยังไงล่ะ น่าสมเพชเป็นบ้า แค่เพราะว่าหมอนี่เป็นตำรวจ ไม่ได้หมายความว่ามันจะโกหกไม่เป็นเสียหน่อย

ไม่สิ ตรงกันข้าม พวกตำรวจนี่แหละ ตัวดีนัก คีลพิสูจน์ให้เขาเห็นแล้วว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ไว้ใจไม่ได้ยิ่งกว่าอาชญากรพวกเดียวกับเขาเสียอีก

เพราะอย่างน้อย… ถ้าต้องคลุกคลีกับคนพวกนั้น เขายังตั้งตัวรับมือได้บ้าง แต่นี่… เขาไม่ทันคิดเลยจริงๆ ว่าอีกฝ่ายเห็นความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนเป็นแค่เกม

“ให้ตายสิ” คีบอัดบุหรี่เข้าปอดอีกรอบ ไม่หันมามองทางร่างที่นั่งอยู่บนพื้น “ผมจะทำยังไงกับคุณดี บอกผมซิ เทย์เลอร์ ผมควรจะทำยังไง”

“เอาผมไหมล่ะ” เจ้าตัวยกยิ้มบนมุมปาก "เดี๋ยวผมถ่างขาให้เลย"

คีลหันขวับกลับมามองคนพูดตาวาว “คุณคิดว่านี่ตลกนักเหรอ”

“ไม่เห็นเป็นไรเลยไม่ใช่เหรอครับ? ” พูดพร้อมกับยันตัวยืนขึ้นจากพื้น แม้จะลำบากนิดหน่อยเพราะข้อมือถูกพันธนาการติดกันด้านหลัง “ไหนๆ เราก็มั่วกันมาถึงขนาดนี้แล้ว แล้วยังไงคุณก็อยากจะทำโทษผมอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

คีลสบตาคนพูดโดยที่ยังคาบบุหรี่อยู่ในปาก ควันสีเทาลอยละล่องอยู่ในอากาศ

“คุณยังคิดว่านี่มันเป็นเกมอยู่สินะ”

“ก็ไม่รู้สิครับ” ถึงแม้มือจะโดนไพล่หลัง แต่ชายหนุ่มก็ยังเดินเข้ามาเบียดตัวอย่างยั่วยวนได้อย่างไม่น่าเชื่อ “แต่ผมก็คิดว่าไหนๆ ก็ไหนๆ เราน่าสนุกกับมันให้ถึงที่สุดนะ”

คีลไม่พูดอะไรตอบ นัยน์ตาคู่คมมองไปทางอื่น จมดิ่งไปกับสารเสพติดที่อยู่ในปาก เอลเลียตคิดว่าคีลคงปฏิเสธแล้ว ดูจากท่าทีนิ่งเฉยนั่น จนกระทั่งเจ้าตัวขยี้ก้นบุหรี่ลงกับที่ดับนั่นแหละ

“แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน”

แล้วมือหนาก็กระชากร่างของเขาลงไปบนเตียง







“อะ… อึก”

ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น เอลเลียตก็ประจักษ์กับตัวเองแล้วว่าเขาคิดผิด เพราะร่างที่บดเบียดเข้ามาในกายของเขารุนแรง ร้อนรุ่ม ชวนให้เขาแทบบ้า เขาได้ยินเสียงเนื้อกายที่กระแทกลงมาครั้งแล้วครั้งเล่าในห้องนอนที่แสนเงียบสงบของคีล มันฟังดูลามกจนหน้าเขาเห่อร้อนอย่างควบคุมไม่อยู่

ข้อมือทั้งสองของเขายังถูกผูกติดกันด้วยกุญแจมือด้านหลัง และมันทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ลำบากมากๆ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็พยายามแอ่นสะโพกรับแรงกระแทกที่กระทบลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า ความเจ็บแปลบที่ปนมาพร้อมกับความเสียวซ่านทำเอาเอลเลียตน้ำตาเล็ด แต่ถ้าให้เขาเทียบเป็นสัดส่วน บอกได้เลยว่าเขาเจ็บแล้วก็จุกเสียดจากเซ็กส์ครั้งนี้มากกว่าความรู้สึกดีเป็นไหนๆ คีลรุนแรงกับเขาจริงๆ จากอารมณ์ที่คุกรุ่นมาก่อน และตอนนี้คนผมน้ำตาลรู้สึกราวกับร่างจะถูกฉีกออกเป็นสองส่วน

"อะ..." เอลเลียตพยายามกลั้นเสียงครวญครางไม่ให้เล็ดลอดออกมาริมฝีปากมากกว่านั้น ทุกส่วนของร่างกายเกร็งแน่นด้วยความหวาดกลัว และมันยิ่งทำให้เขาชายหนุ่มเจ็บเข้าไปใหญ่

เสียงครางของชายหนุ่มทั้งคู่สอดประสานกัน มือหนาของคนด้านบนแตะลงบนหน้าท้องเปลือยเปล่าของเอลเลียต ไล้วนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งอย่างหยอกเย้า ก่อนเลื่อนลงไปที่เอวของอีกฝ่ายแล้วกระแทกสะโพกเข้าไปอย่างแรงอีกระลอก เรียกเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดระคนเสียวซ่านของคนผมน้ำตาลได้ ตอนนี้คีลอยากได้ยินคำขอร้องจากปากอีกฝ่าย แต่เหมือนเอลเลียตจะไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลยเมื่อเจ้าตัวพูดพร้อมกับยิ้มขัน

"หึ... น่าเสียดายนะที่คุณล้วงความลับไปจากผมได้ไม่มากเท่าไร ทั้งที่อุตส่าห์ลดตัวลงมาทำเรื่องแบบนี้ น่าสมเพชชะมัด จะล้วงความลับจากคนร้ายเนี่ย เดี๋ยวนี้ต้องเปลืองตัวถึงขนาดนี้แล้วเหรอ"

"ผมน่ะเหรอ เปลืองตัว? " คีลเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งโดยที่ยังไม่หยุดขยับช่วงล่าง "พูดผิดพูดใหม่ได้นะ คุณเทย์เลอร์ แล้วขอบอกอะไรอีกอย่าง ไม่เคยมีอาชญากรหรือผู้ร้ายคนไหนให้ท่าผมเหมือนอย่างคุณหรอก ทุกคนเขามีหัวคิดกันทั้งนั้นแหละว่าไม่ควรเอาตัวเองไปเสี่ยงโง่ๆ แบบนั้น"

เอลเลียตกัดฟันกรอด ไอ้หน้าด้านนี่ยังมีอะไรกับเขาอยู่แท้ๆ แล้วยังมีหน้ามาด่ากันแบบนี้อีก "ไอ้แบบที่คุณกำลังข่มขืนผมอยู่นี่น่ะเหรอ ที่คุณหมายถึง"

"ข่มขืนคุณ? " ร่างสูงหยุดการกระทำของตัวเองลงทันที "ที่ผมทำอยู่นี่ก็เพื่อเติมเต็มความต้องการของคุณทั้งนั้น เทย์เลอร์ที่รัก ถ้าคุณไม่อยาก ผมหยุดตรงนี้เลยก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไร"

"ไอ้สายสืบสารเลว" พูดพร้อมกับเอาเท้าถีบบ่ากว้างของอีกฝ่าย แต่คีลก็ไม่สะเทือนใดๆ หนำซ้ำยังส่งยิ้มราวกับจะเยาะเย้ยกลับมาให้อีกต่างหาก "ผมจะฆ่าคุณ สาบานเลยว่าถ้ามีโอกาสผมจะฆ่าคุณ"

"ตกลงว่าคุณอยากให้ผมทำหรือไม่อยากให้ทำกันแน่เนี่ย" คีลว่าอย่างใจเย็น ผละร่างออกจากอีกฝ่ายพร้อมกับดึงข้อเท้าข้างที่อยู่บนบ่าของตัวเองออก "แล้วผมขอเตือนนะ อย่าพูดล้อเล่นเรื่องขู่ฆ่ากับตำรวจที่ไหนดีกว่า ยิ่งเป็นในสารรูปแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่"

"ผมเกลียดคุณ คีล" เอลเลียตว่าโดยที่ยังมีคราบน้ำตาอยู่บนแก้ม ร่างกายของเขาสั่นไม่หยุดเพราะความปรารถนาที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย ถึงแม้ที่คีลทำกับเขามันจะเจ็บ... แต่เขาก็ยังอยากให้ร่างสูงกระแทกตัวเข้ามาจนกว่าสติเฮือกสุดท้ายจะดับวูบ เผื่อว่าเขาจะได้ไม่ต้องคิดถึงความเจ็บปวดที่ตัวเองโดนอีกฝ่ายหลอกแบบโง่ๆ

"งั้นคืนนี้คงจบแค่นี้สินะครับ" พูดเสียงเรียบก่อนจะต้องยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นเอลเลียตส่ายหน้ารัวๆ ร่างสูงโน้มหน้าเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างท้าทาย น่าแปลกที่นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นยังฉ่ำเยิ้มและเต็มไปด้วยความต้องการในตัวเขา ทั้งที่ความสัมพันธ์พิลึกกึกกือของพวกเขาทั้งสองคนควรจะจบลงไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนแล้วแท้ๆ

"ผมอยากให้คุณทำต่อ"

"คราวนี้คุณพูดเองนะว่าอยาก" พูดพร้อมกับดึงต้นขาของคนที่นอนราบบนเตียงให้เขยิบเข้ามาชิดกลางลำตัวเขา เอลเลียตหน้าร้อนขึ้นอีกวูบ ครวญออกมาแผ่วๆ ขณะที่ความแข็งแกร่งนั้นสอดผ่านปากทางด้านหลังเข้ามา

"คีล" เอลเลียตเรียกคนด้านบนเสียงหวาน "จูบ... จูบผมหน่อยได้ไหม ผมอยากจูบ"

คนผมดำชะงักไปเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ จากนั้นเจ้าตัวก็แสยะยิ้ม ยกท่อนขาเรียวของคนด้านล่างขึ้นเพื่อให้กระแทกตัวลงไปได้ง่าย ก่อนจะพูดเสียงหวาน

"ถ้าคุณบอกผมว่าเทลออฟอดัมส์เป็นใคร ผมจะยอมจูบคุณก็ได้"

นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อหู ก่อนเอลเลียตจะกัดฟันกรอดอย่างนึกแค้นใจกับตัวเอง จนแล้วจนรอดคีลก็หวังแค่จะรีดเค้นข้อมูลจากเขา ไม่ได้มีความรักความหวังดีอะไรมาเกี่ยวข้องกับเซ็กส์ของพวกเขาสองคนอยู่แล้ว เขาน่าจะรู้มาตั้งแต่แรก!

แต่เอลเลียตเกลียดความพ่ายแพ้ ต่อให้ความเป็นจริงเขาจะแพ้จนหมดรูปไปแล้ว แต่เขาก็อยากจะอยู่เหนือคนที่ทำลายเขาจนพังยับแบบนี้ แม้จะในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม

ดังนั้นสิ่งต่อไปที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากคู่สวยจึงเป็นเสียงหัวเราะเยาะที่ชวนให้คนฟังคิ้วกระตุก

"คุณอยากรู้เรื่องเทลออฟอดัมส์เหรอ ได้ งั้นผมจะบอกให้ หมอนั่นเป็นแฟนเก่าผมเอง เป็นผู้ชายที่ผมรักมากเลยด้วย แล้วลีลาบนเตียงก็เด็ดสุดๆ แบบที่คุณเทียบไม่ติดเลยสักนิด" เว้นจังหวะไปนิดหนึ่งเพื่อหอบหายใจ สะใจไม่น้อยที่เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลวาวโรจน์ขึ้นมาด้วยความโกรธ "นี่ยังไม่นับเรื่องขนาดของไอ้ตรงนั้นอีกนะ บอกได้เลยว่าของคุณมันก็แค่มาตรฐานทั่วไปเท่านั้น ถ้าคุณได้เห็นตอนผมมีเซ็กส์กับหมอนั่นคุณจะรู้เลยว่า-- โอ๊ย! คีล ผมเจ็บ อย่า! "

แต่คนตรงหน้าเหมือนหูดับไปแล้ว ไม่ว่าเอลเลียตจะกรีดร้อง อ้อนวอน หรือสาปแช่งยังไง คีลก็ไม่หยุด ไม่มีอะไรน่าเจ็บใจและเสียศักดิ์ศรีเท่ากับการโดนเปรียบเทียบกับผู้ชายคนอื่นอีกแล้ว และเอลเลียตก็ไม่คิดว่าการที่เขาพูดโกหกเพื่อแกล้งยั่วให้คีลโกรธจะได้ผลดีขนาดนี้ แต่เขาจะไม่ยอมสารภาพความจริงกับอีกฝ่าย เรื่องที่ว่าความจริงแล้วคีลเป็นคู่ขาที่เข้ากับร่างกายเขาได้ดีที่สุดนั่นน่ะ ยังไงชาตินี้เขาก็จะไม่มีวันปริปากบอก

แต่... แต่ตอนนี้ชักจะเลยเถิดไปหน่อยล่ะ ถึงเขาจะชอบมีอะไรกับหมอนี่แค่ไหน แต่ถ้าเจ้าตัวรุนแรงขนาดนี้…

"อ๊ะ! คีล ได้โปรด ผมเจ็บ เบาให้--" หากร่างที่บดเบียดลงมาทำให้เอลเอลียตต้องกัดฟัน หลับตาแน่นเพื่อข่มความเจ็บปวด

เขาว่าเขาต้องเลิกจริงๆ แล้วล่ะ ไอ้นิสัยปากพล่อยพูดอะไรไม่คิดถึงผลที่จะตามมาเนี่ย

เจ็บเป็นบ้าเลย





-------------------------------------------
Talk: เพิ่งกลับมาจากค่ายค่ะ ไปเจอเพื่อนสมัยมหาลัยกับพวกรุ่นน้องมา //ยังไม่ยอมแก่ง่ายๆ หรอกค่ะ 5555555

 ป.ล. เห็นคอมเม้นท์ตอนที่แล้วมีแต่คนสงสารคีล ตอนนี้สงสารใครดีคะ ถถถถถถ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-12-2017 19:54:59 โดย Airiณ »

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ลืมไปเลยตอนที่แล้วเม้นท์ว่าอะไร 555 รู้สึกคีลคนเดิมจะกลับมาละ  :pig4:

ออฟไลน์ baibuabuaz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เราเชื่อนะที่คีลบอกว่ารัก แต่โดนเอลหักหลังขนาดนี้ก็นะ ฮือออออออ

ออฟไลน์ bmine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
คีลใจร้ายยยยย  :ling1: แต่ก็เข้าใจคีลนิดนึง เพราะนอกจากคำพูดแล้ว ในมุมของคีล ซึ่งไม่รู้คววามคิดของเอลแบบคนอ่าน เอลก็ดูไม่ได้รักคีลเหมือนกันนี่เนอะ จะเป็นยังไงต่อเนี่ยคู่นี้  :mew6:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
มีความเข้าใจทั้งคู่เลย แต่เอลดูอ่อนแอทางจิตใจและแสดงไม่เก่งเท่าคีล เจ็บมากตอนบอกว่าแค่คำบอกรักพล่อยๆเชื่อด้วยเหรอ คือเอลเชื่อไปแล้วหมดใจ สงสารนรน  :ling1:

ออฟไลน์ popuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
โอ้ยย ทั้งสงสาร ทั้งงง ทั้งหน่วง ปนกันไปหมด
อยากรู้จริงๆว่าคีลรู้สึกยังไงกันแน่

ออฟไลน์ Honyuchum

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สงสารทั้งคู่เลย แงงงงงงงงง  :sad4:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 11


คีลขับรถไปตามท้องถนนที่เต็มไปด้วยรถยนต์ การจราจรค่อนข้างหนาแน่นแต่ก็ยังขยับไปข้างหน้าได้เรื่อยๆ ชายหนุ่มใส่หูฟังแบบไร้สายเพื่อคุยกับเจ้าหน้าที่แมคแนร์กับคัลเลนเรื่องการจับกุมตัวฆาตกรที่ฆ่าเสมส์ สมิธตัวจริง ดูเหมือนจะได้ตัวคนร้ายแล้ว หลักฐานมัดตัวพร้อม ปิดไปได้อีกหนึ่งคดีย่อยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคดีปล้นธนาคารที่เขากำลังทำอยู่ และตอนนี้ชายหนุ่มก็กำลังจะเอาตัวผู้ช่วยชั่วคราวของเขาไปส่งที่เรือนจำแล้ว

เอลเลียตไม่ปริปากพูดอะไรกับเขาเลยตั้งแต่เมื่อคืนที่พวกเขาสองคนไม่ได้นอนสักกะงีบ มันเร่าร้อน ดุเดือด ซาบซ่านแต่ก็เจ็บปวดอย่างที่สุดทั้งในทางรูปธรรมและนามธรรม ร่างกายเขาน่ะเจ็บแน่ๆ เจ็บจนแทบแค่จะลุกออกจากเตียงยังทำไม่ไหว แต่ทางใจนี่สิ มันยับเยินกว่านั้นไปมาก

ตอนแรกคนผมน้ำตาลหลอกตัวเองว่าไม่ได้รักคีลอย่างที่ตัวเองเข้าใจหรอก ก็แค่ความรู้สึกหวั่นไหวชั่ววูบ แต่เมื่อเวลาผ่านไปแต่วินาที ความเป็นจริงก็กดทับลงมาหนักอึ้งในใจเขาเรื่อยๆ ในหัวเอาแต่เฝ้านึกวนเวียนเรื่องที่คีลบอกว่าคำบอกรักนั่นเป็นแค่คำลวง และเรื่องของพวกเขาสองคนก็เป็นเพียงภาพลวงตา

แต่ตอนนี้ เมื่อได้มานั่งอยู่ในรถที่กำลังจะพาเขาไปส่งที่นรกบนดิน เอลเลียตก็ต้องยอมรับกับว่าตัวเองว่าเขาถลำใจเข้าไปในความสัมพันธ์นี้ไปแล้ว เขารักคีลจริงๆ อย่างที่ปากพูด แล้วก็อาลัยอาวรณ์สายสืบหนุ่มคนนี้เสียเหลือเกิน ความเป็นจริงนี้ทำให้เขาเศร้าจนอยากจะร้องไห้ แต่แล้วเมื่อเอลเลียตนึกถึงสิ่งที่คุยกับลีโอเมื่อครั้งล่าสุด ความเศร้าพวกนั้นก็แปรเปลี่ยนความหวาดกลัวแทน แล้วก็อีกเช่นเคย เขาคิดว่าเขาจะรับมันไหวในตอนแรก แต่เมื่อตัวรถเข้าใกล้เขตเรือนจำมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเอลเลียตก็รับมือกับความกลัวสุดขั้วหัวใจของตัวเองไม่ได้

"คีล" เรียกคนขับเสียงอ่อนระโหย "คุณอย่าเอาผมเข้าคุกเลยได้ไหม"

ร่างสูงทำเสียงอย่างหนึ่งเป็นเชิงเยาะในลำคอ "พูดบ้าอะไรของคุณ"

"ผมพูดจริงๆ นะ" เอลเลียตขยับตัว โน้มหน้าลงใกล้ๆ กับใบหน้าคมที่ยังถนนเบื้องหน้านิ่ง "ผมรู้ว่าผมผิดที่พยายามจะหนี แต่ผมอยากขอโอกาส ผมช่วยคุณจับคนร้ายได้ตั้งหลายคนไม่ใช่เหรอ จำได้ไหม"

"เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น เรื่องนี้ก็ส่วนเรื่องนี้ อย่าพยายามเลยครับ เทย์เลอร์ ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอก"

"ช่วยได้สิ คุณช่วยได้" เอลเลียตว่า แทบจะเป็นการอ้อนวอน น้ำเสียงและสีหน้าซีดเผือดของเขาฉายแววหวาดกลัวอย่างชัดเจน "คุณคุยกับหัวหน้าของคุณได้ว่าผมยังจำเป็นกับทีม เก็บผมไว้เถอะ ผมทำประโยชน์ให้คุณได้นะ"

"เห็นแล้วล่ะครับว่าเป็นประโยชน์ยังไง" แม้จะสะดุดใจกับท่าทีหวาดกลัวของอีกฝ่าย แต่คีลก็ยังพูดเสียงเยาะๆ ตอกกลับไปอยู่ดี เขาสงสัยว่าเอลเลียตแกล้งเล่นละครอยู่รึเปล่า แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อีกฝ่ายก็แสดงได้แนบเนียนมาก

"ไม่ คีล... คุณไม่เข้าใจ" เอลเลียตว่า มันเป็นจังหวะเดียวกับที่คีลจอดรถหลังจากที่ผ่านป้อมยามที่ตรวจคนเข้าออกของทางเรือนจำมา "ผมขอโอกาส แค่ครั้งเดียว ได้โปรดเถอะคีล คุณเอาผมเข้าคุกทั้งๆ แบบนี้ไม่ได้ รอบนี้ผมตายจริงแน่... ตายจริงๆ แน่"

"พูดอะไรของคุณ" คนผมดำหันกลับมามองอีกฝ่ายพร้อมกับพูดเสียงหยัน "คุณเป็นโรคอะไรระยะสุดท้ายรึไง หรือว่ากลัวจะขาดเรื่องอย่างว่าแล้วแห้งเหี่ยวตายอยู่ในคุก? "

นัยน์ตาสีฟ้าวาววาบด้วยความโกรธจัด เขารู้ดีว่าคีลโกรธเรื่องที่เขาคิดจะหนี แต่ไอ้ปากเสียๆ ชวนกระโดดถีบนี่มันอะไรกัน ชักจะเกินความอดทนของเขาล่ะนะ

"แต่ผมว่าคุณไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกมั้ง เทย์เลอร์" คีลยังคงพูดต่ออย่างไม่สะทกสะท้านสายตาเย็นๆ ของอีกฝ่าย "ในนั้นมีผู้ชายตั้งเยอะแยะ ลองเลือกดูสักคนก็คงไม่ใช่งานยากอะไร หรือทำไมคุณไม่ลองหาจากพวกผู้คุมดูสักคนล่ะ เผื่อจะอ้อนให้ใครในนั้นใจดีพาออกมานอกเรือนจำได้"

"จะมากเกินไปแล้วนะ คีล วิลล์" เอลเลียตพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นขณะที่ร่างสูงเปิดประตู ก้าวลงจากฝั่งคนขับ แล้วมาเปิดประตูให้เขาแทน "ผมพลาดแค่ครั้งเดียว คนต้องทำตัวสถุลแบบนี้กับผมด้วยเหรอวะ ก็บอกแล้วไงว่าขอโทษน่ะ เราจะคุยกันดีๆ ไม่ได้เลยใช่ไหม"

"คงไม่ได้" คีลพูดเสียงราบเรียบ มือบีบต้นแขนนักโทษของตัวเองแรงขึ้นเป็นเชิงเตือนว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ในสายตาของคนนอกแล้ว เพราะงั้นอย่าพูดอะไรเกินความจำเป็น "และขอที คุณเทย์เลอร์ คุณน่ะ ได้อภิสิทธิ์พิเศษเกินใครเพื่อนแล้ว อย่ามาเรียกร้องขอความเห็นใจหรือทำตัวเป็นผู้เคราะห์ร้ายหน่อยเลย เพราะทั้งหมดนี่มันเป็นความผิดของคุณทั้งนั้น คุณไม่ได้แค่พยายามจะหนี แต่พยายามจะเอาเงินสองล้านกว่านั่นติดตัวไปด้วย คุณเข้าใจรึเปล่า"

เอลเลียตเข้าใจ แต่เขาก็ไม่พร้อมจะรับความผิดของตัวเองอยู่ดี ติดคุกเพิ่มอีกสักสองสามปีหรืออะไรเทือกนั้นน่ะ เขารับได้ แต่การโดนสั่งเก็บมันเป็นอีกเรื่อง เขายังไม่อยากตาย และเขาก็รู้ดีว่าถ้าต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำจริงๆ แล้ว หนทางรอดของเขามันยากมาก และเมื่อเห็นว่าความตายอาจกำลังเยื้องกรายเข้ามาใกล้ตัว ชายหนุ่มก็สูญเสียความเยือกเย็นของตัวเองไปชั่วขณะ

ชายหนุ่มเริ่มดิ้นตัวให้หลุดจากการเกาะกุมของผู้คุมอีกคนที่คีลส่งตัวเขาต่อให้ เอลเลียตวิ่งไปที่บริเวณที่คีลยืนกรอกเอกสารอยู่อย่างร้อนรน การกระทำนั้นของเขาส่งผลให้เจ้าหน้าที่ทุกคนบริเวณนั้นตื่นตัวขึ้นมาทันที รายหนึ่งหยิบปืนขึ้นมาจากซองบนเอว อีกคนที่ตัวโตกว่าวิ่งมาคว้าไหล่เขาแล้วลากกลับไปทางเดิม

บริเวณที่โดนจับเจ็บระบมไปหมด แต่เอลเลียตไม่สนใจ เขาตะโกนสุดเสียงพร้อมกับดิ้นสุดแรง

"คีล! ได้โปรดเถอะ! ผมยอมพูดทุกอย่างแล้ว ผมบอกคุณได้ว่าใครอยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี่ ขอร้องล่ะ คีล คุณต้องฟังผมนะ คีล! "

คนผมน้ำตาลโดนลากตัวเข้าไปหลังซี่กรงอีกรอบ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่คุมพื้นที่ตรงนั้นหันมามองหน้าคีลเป็นเชิงขอความเห็น ร่างสูงนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อคำนวณผลดีผลเสียของเรื่องนี้ ชั่งน้ำหนักในใจและตัดสินใจว่าอาชญากรหนุ่มคนนั้นควรได้รับบทเรียนบ้าง ไม่ใช่พอเห็นว่าตัวเองมีข้อต่อรองก็คิดจะใช้แล้วเรียกร้องอะไรตามใจตัวเองเมื่อไรก็ได้

ได้ข้อสรุปแบบนั้นแล้วสายสืบหนุ่มก็พยักหน้าให้เจ้าหน้าที่เพื่อพาตัวเอลเลียตไป แปลกดีที่คีลต้องใช้ความพยายามในการอดกลั้นเป็นอย่างมากเพื่อไม่ให้ใจอ่อนกับชายหนุ่มผมน้ำตาลคนนั้น

ทำไมเขาจะต้องใจสั่น… ในเมื่อที่ผ่านมามันเป็นแค่เกมกระดานหนึ่งระหว่างเขากับเอลเลียตเท่านั้น







แรงกระแทกของตัวรถที่กำลังพาเขาไปยังเรือนจำทำให้หัวของชายหนุ่มสั่นคลอน

หลังจากที่เจ้าหน้าที่ประจำเรือนจำโยนเขาใส่ห้องขังเล็กๆ แบบชั่วคราวเพื่อให้สงบสติอารมณ์ครู่ใหญ่ เอลเลียตก็โดนยึดข้าวของทั้งหมดที่มีติดตัว โดนบังคับให้เปลี่ยนเสื้อผ้า มือทั้งสองข้างถูกใส่กุญแจจากด้านหน้า ก็แค่ขั้นตอนอันแสนคุ้นเคยที่เขาเคยผ่านมาก่อน ชายหนุ่มไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลยกับเรื่องพวกนั้น

หาก… ไอ้ความรู้สึกที่เหมือนหัวใจโดนควักออกไปนี่ต่างหากที่กำลังทำให้เดือดร้อน

นัยน์ตาสีฟ้าเหม่อมองออกไปมองด้านนอกผ่านกระจกของรถที่มีซี่กรงแทรกอยู่

อกหักครั้งนี้ของเขาทำให้เอลเลียตนึกย้อนกลับไปถึงตอนที่ตัวเองอกหักครั้งแรก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าการได้ใช้เวลากับผู้ชายคนนั้นแค่ไม่กี่อาทิตย์จะเป็นอะไรที่หนักหนาได้ถึงขนาดนี้

ตอนนั้นเขายังอยู่มัธยมปลาย และรักแรกของเขาก็คือพี่ชายต่างสายเลือดที่อาศัยอยู่ใต้หลังคาเดียวกันนั่นเอง

เขาไม่ใช่ลูกที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนั้น ก็เหมือนกับเด็กอีกหลายสิบคนที่โชคดีได้เข้าไปอยู่ในบ้านรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนั้น ชีวิตวัยเด็กของเขาก็ไม่ได้เศร้าหรือชวนให้หดหู่อะไร เพราะบรรดาพี่น้องรอบตัวก็คอยสร้างสีสันและเสียงหัวเราะให้กันตลอด ต่อให้จะไม่ได้เกี่ยวพันกันทางสายเลือด แต่เอลเลียตคิดว่าความสัมพันธ์ของเขากับทุกคนในนั้นมันวิเศษกว่านั้นเสียอีก

โดยเฉพาะกับไอแซค โจนส์ ลูกชายคนโตผู้เป็นสายเลือดแท้ๆ ของเอียนและนาตาเลีย โจนส์ พ่อแม่ที่รับเขาไปเลี้ยงในบ้านหลังนั้น

แล้วความสัมพันธ์เกินเลยนั่นมันก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อไอแซคที่อายุมากกว่าเขาสองปีชวนเขาเข้าไปในห้องส่วนตัวของตัวเอง พี่ชายต่างสายเลือดคนนั้นจูบเขา พูดคำว่ารักกับเขา จากนั้นก็บอกเขาว่าไม่อยากได้เอลเลียตเป็นน้องชายอีกต่อไปแล้ว

เอลเลียตบอกกับไอแซคว่ามันผิด พ่อกับแม่ต้องไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบนั้นแน่ แต่อีกฝ่ายก็ทาบจูบลงมาอีกครั้งอย่างอ่อนโยน

‘ไม่เป็นไรหรอกน่า เอล’ ชายหนุ่มคนนั้นบอกกับเขา ไล้ริมฝีปากลงคลอเคลียบนแก้ม ‘ฉันจะช่วยพูดให้เอง ไม่ต้องห่วงนะ พ่อกับแม่ต้องเข้าใจ’

ตัวเขาในตอนนั้นยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจว่ามันคือคำโกหกที่แสนหวาน

และไม่กี่เดือนต่อจากนั้นทุกอย่างก็จบลง จบลงง่ายๆ โดยที่นาตาเลียจับได้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์เกินเลยแบบคาเตียง

หญิงสาวที่เอลเลียตยกย่องให้ว่าเป็นแม่ของตนตะเพิดเขาออกจากบ้าน ง่ายๆ แบบนั้น เขาจำได้ว่าตอนนั้นตัวเองหันหน้ากลับไปมองคนรักของตัวเองอย่างขอความช่วยเหลือ แต่ไอแซคก็ไม่เคยเงยหน้าขึ้นมาพูดอะไรเพื่อเขาเลย หรือแม้แต่ตอนที่นาตาเลียตบหน้าเขาอย่างหัวเสีย ชายหนุ่มคนนั้นก็ไม่เคยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือใดๆ

เขาทำให้แม่ผิดหวัง… มันแย่ขนาดที่ผู้หญิงคนนั้นไม่ต้องการเขาเป็นลูกเลี้ยงอีกต่อไปแล้ว

และเขาก็ทำให้ตัวเองเจ็บ มันเป็นความรู้สึกที่แย่เสมอเวลานึกถึงเรื่องนี้ ราวกับว่าตัวเขาเองไม่เคยเป็นที่ต้องการของใครๆ

พ่อแม่ที่แท้จริงของเขาทิ้งเขาไว้หน้าโบสถ์แห่งหนึ่งในตอนที่ตัวเขาอายุเพียงไม่กี่เดือน

แม่ต่างสายเลือดเขาก็เกลียดเขาถึงขนาดไล่ออกจากบ้าน

ไอแซคที่ไม่เคยรักเขาจริงอย่างที่กล่าวอ้าง

นี่ชีวิตจะรันทดไปไหน แล้วทำไมฉันถึงไม่เคยจำบทเรียนที่ได้เรียนรู้มาสักที

เอลเลียตปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน พิงศีรษะลงบนกระจกรถที่สั่นสะเทือนจนอาจทำให้สมองน้อยๆ ของเขาเละเหมือนน้ำผลไม้ปั่น

เขาคิดว่าตัวเองแกร่ง… เพราะหลังจากอกหักจากไอแซคมา เขาไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดหรือทรมานกับความรักครั้งไหนๆ อีกแล้ว

นั่นเป็นเพราะว่าที่ผ่านมาเขาคอยระวังตัว

แต่กับคีล… เขาพลาดเองที่ไม่ทันระวัง เห็นใบหน้าแบบที่ชอบแบบนั้น การกระทำที่เอาใจใส่กันและเหมือนจะจริงใจแบบนั้น

ถ้านี่เป็นเกมจริงๆ กระดานนี้เขาก็แพ้ให้อีกฝ่ายอย่างหมดรูปเลย

ถ้ามันเป็นแค่เกมจริงๆ ก็คงดี







เปล่าหรอก มันไม่ใช่เกม

คีลลอบคิดกับตัวเองอย่างหดหู่ แม้ว่ามันจะไม่ได้แสดงออกมาผ่านสีหน้าเรียบเฉยอยู่เป็นนิจของตัวเองแม้แต่น้อยก็ตาม เขาฉาบอาการ ‘อกหัก’ ของตัวเองไว้ใต้หน้ากากได้อย่างสมบูรณ์แบบ นิ้วเรียวสวยควงปากกาในมือไปมาขณะที่เอนหลังพิงกับเก้าอี้ทำงาน โจนาธานที่นั่งอยู่ประจำโต๊ะกำลังคุยกับลิลลี่ จอร์แดน เจ้าหน้าที่สาวจากแผนกอาญาที่มาอยู่ในทีมของเขาตอนนี้ ทั้งคู่กำลังหัวเราะคิกคักกับเรื่องอะไรบางอย่างที่นอกเหนือจากเรื่องงาน ทุกคนในทีมต่างก็รู้ดีว่าสองคนนี้กำลังจีบกันอยู่

บางทีคีลก็อดอิจฉาทั้งคู่ไม่ได้ที่สามารถแสดงออกถึงความสัมพันธ์ได้อย่างชัดเจน มันทำให้เขาเผลอนึกถึงตัวเองกับเอลเลียต เรื่องที่พวกเขาเป็นผู้ชายทั้งคู่อาจจะไม่เท่าไร เพราะตอนนี้โลกเปิดกว้างให้กับความสัมพันธ์ของเพศที่สามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ไอ้เรื่องที่เขาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ กับอีกคนที่เป็นนักโทษยังไม่พ้นตารางนี่สิ

แต่… แล้วตกลงว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนนี่มันยังไงกัน

ตกลงว่าที่ผ่านมาเป็นแค่เรื่องล้อเล่นอย่างนั้นเหรอ?

นัยน์ตาสีน้ำตาลหลุบต่ำลงอย่างครุ่นคิด บางทีมันอาจมีร่องรอยของความเศร้าหมองปนอยู่ในนั้น

คีลยอมรับว่าครั้งแรกที่เขามีเซ็กส์กับเอลเลียตครั้งแรกในรถแคบๆ นั่น ครั้งแรกที่อีกฝ่ายหลุดคำว่ารักออกมาง่ายๆ จากริมฝีปากน่าฟัดคู่นั้น เขายอมรับว่าตัวเองตอนนั้นแค่อยากจะตามน้ำคนผมน้ำตาลดูสักตั้งเท่านั้น เขาระแวงมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าบางทีเอลเลียตอาจคิดใช้ความรู้สึกเขาเป็นเครื่องมือ เพื่อที่วันหนึ่งเจ้าตัวจะได้หลบหนีจากเขาง่ายๆ แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ คำพูดนั้นมันกลับกลายเป็นจริงขึ้นมา

หรือบางทีมันอาจเป็นความรู้สึกของเขาจริงๆ มาตั้งแต่แรก… คีลไม่แน่ใจเหมือนกัน

เขารู้แต่ว่า พอถึงจุดจุดหนึ่ง เขาก็เข้าใจว่าเอลเลียตตกหลุมรักเขาจริงๆ และมันอาจจะทำให้เขาเผลอปล่อยใจไปกับชายหนุ่มคนนั้น

เขาคิดว่าเอลเลียตรักเขา คิดว่าพ่ออาชญากรยิ้มสวยคนนั้นคงกลับใจได้ หรืออย่างน้อย บางทีหมอนั่นอาจไม่อยากไปจากเขา

และคีลก็ค้นพบว่าตัวเองคิดผิด วินาทีที่เขารู้ว่าเอลเลียตกำลังจะหนี… เขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองงี่เง่าแค่ไหนที่เผลอปล่อยใจให้ผู้ชายคนนั้นช่วงชิงไปอย่างไม่ทันรู้ตัว

เอลเลียตคิดจะหนีมาตั้งแต่แรก… เขาน่าจะรู้อยู่แล้ว

สันดานของพวกอาชญากรก็เป็นเสียแบบนี้ หลายคนอาจจะกลับตัวกลับใจได้ แต่อีกหลายๆ คนก็ทำไม่ได้เหมือนกัน และอันที่จริง เปอร์เซ็นต์ของคนที่ทำไม่ได้ก็มีมากกว่า เขาน่าจะรู้และระวังตัวมาแต่แรก แต่เขาก็พลาดให้กับการเล่นละครอันสมจริงที่ดูเหมือนจะจริงใจของอีกฝ่ายไปจนได้

เพราะงั้นแล้ว เขาถึงได้บอกเอลเลียตไปว่าทุกอย่างที่ผ่านมาเป็นแค่เรื่องโกหก เพราะเขาไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดว่าตัวเองทำสำเร็จ มันไม่ยุติธรรมเลย เขาอุตส่าห์ไว้ใจหมอนั่น แต่สุดท้ายก็เป็นแค่คำโกหกไว้ให้เจ้าตัวใช้หลบหนีออกจากประเทศนี้ได้ง่ายขึ้นเท่านั้น

“อ้าว วิลล์” ฟอร์ดทักขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนลุกออกจากโต๊ะทำงาน “จะไปไหนน่ะ ห้องน้ำเหรอ”

“สูบบุหรี่” ตอบกลับเสียงเรียบ

“ยังไม่เลิกอีกเหรอ เห็นบอกจะเลิกตั้งแต่คราวก่อน”

คนผมดำส่ายหน้าจากนั้นก็เดินออกจากสำนักงานของตัวเองเพื่อไปยังพื้นที่สำหรับสูบบุหรี่ด้านนอก

เขากำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่เอลเลียตพูดทิ้งท้ายเอาไว้ ท่าทีตื่นกลัวกับร่างกายที่สั่นเทานั่นยังติดอยู่ในตาเขา

มันอาจจะเป็นการเล่นละครของเจ้าตัวอีกแล้วก็ได้ ในเมื่อหมอนั่นหลอกเขาเสียสนิทเรื่องที่ว่ารักเขา แล้วนับประสาอะไรกับการโกหกอะไรก็แล้วแต่เพื่อให้ตัวเองไม่ต้องเข้าไปอยู่ในคุก

จะว่าไป… เขาเคยเข้าใจว่าเอลเลียตโกหกไม่เก่งมาตลอด แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้นเลย

หมอนั่นมันชั้นเซียน… เซียนสุดยอด แนบเนียนขนาดที่ทำให้คีลหลงเชื่อจริงๆ ว่าเอลเลียตตกหลุมรักเขา

ร่างสูงนึกย้อนไปถึงตอนที่เอลเลียตขอร้องเขาในรถ

‘ผมขอโอกาส แค่ครั้งเดียว ได้โปรดเถอะคีล คุณเอาผมเข้าคุกทั้งๆ แบบนี้ไม่ได้ รอบนี้ผมตายจริงแน่... ตายจริงๆ แน่’

หมอนี่เล่นละครเก่ง

เขาก็พยายามบอกตัวเองอย่างนั้น แต่ใจเจ้ากรรมนี่สิ ดันเชื่อไปเกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้วว่าเอลเลียต เทย์เลอร์กำลังพูดความจริงกับเขา และมันทำให้สายสืบหนุ่มนึกกังวลขึ้นมา

นี่ขนาดเอลเลียตเพิ่งเข้าไปอยู่ในคุกได้ไม่ถึงสามวัน เขายังลุกลี้ลุกลนขนาดนี้

ท่าทางจะเป็นเอามากแล้วล่ะ คีล นี่นายอ่อนแอถึงขนาดให้อาชญากรแบบนั้นมาปั่นหัวเล่นแล้วเหรอ

แต่ถ้า… ถ้าที่หมอนั่นพูดเป็นความจริงล่ะ?

"สวัสดีครับ คุณสายสืบวิลล์"เสียงเรียกจากชายหนุ่มอีกคนปลุกคนผมดำให้ตื่นจากภวังค์ เขามองชายที่อยู่ในวัยห้าสิบตอนปลายซึ่งก้าวเข้ามาในพื้นที่สูบบุหรี่ รอยพับใต้ตาบ่งบอกถึงสภาพร่างกายที่โรยราไปตามกาลเวลา หากเจ้าตัวยังคงมีท่าทีภูมิฐานน่ายำเกรงสมกับที่มีห้องทำงานส่วนตัวสุดหรูที่อยู่ชั้นบนของสำนักงานแห่งนี้ "ขอโทษที่มาขัดจังหวะเวลาพักนะ แต่ผมขอแจมด้วยได้ไหม"

"ตามสบายครับ" คีลว่าอย่างสุภาพ แน่นอนล่ะว่าต้องเป็นอย่างนั้น ในเมื่อชายคนนี้เป็นหัวหน้าของหัวหน้าเขาอีกที ซึ่งนั่นก็หมายความว่าอีกฝ่ายมีตำแหน่งใหญ่กว่าเขาไม่น้อย

"ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง" ชายผมสีดอกเลาพูดเป็นเชิงชวนคุยขณะที่พ่นควันออกจากริมฝีปาก "พอเอาตัวเทย์เลอร์เข้าคุกแล้วความคืบหน้าในการสืบสวนแย่ลงไหม"

"มันก็เป็นไปตามครรลองของมันครับ คุณฮอร์ตัน" เขาว่า ไม่เรียกอีกฝ่ายด้วยยศหรือตำแหน่ง เพราะก่อนหน้านี้ที่เคยคุยกันในที่สูบบุหรี่แบบนี้ อีกฝ่ายเป็นคนออกปากให้เรียกกันแบบธรรมดาเหมือนเพื่อนร่วมงานเพื่อสร้างความสนิทสนม คีลชอบที่จะทำงานร่วมกับคนอย่างฮอร์ตัน หัวหน้าคนก่อนเขาถือเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ยิ่งกว่าผลงาน และมันทำให้เขาอึดอัดแทบบ้า "แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าตอนที่ได้ตัวเทย์เลอร์มา เราได้อะไรมาเยอะจริงๆ น่าเสียดายที่เขาคิดหนี ไม่อย่างนั้นก็คงได้เรื่องมากกว่านี้"

"ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ช่วยไม่ได้" อีกฝ่ายว่าพร้อมกับอัดบุหรี่เข้าปอดอีกรอบ "คนผิดก็ต้องได้รับโทษ เราก็แค่ทำตามกฎที่มีอยู่"

คีลพยักหน้ารับเงียบๆ ใจลอยไปถึงชายหนุ่มคนน้ำตาลคนนั้นอีกครั้ง ห้ามใจไม่ให้คิดถึงรอยยิ้มหวานๆ นั่นไม่ได้เลย ก่อนหน้านี้มันเคยทำให้เขายิ้มตาม แต่พอนึกถึงเรื่องที่เอลเลียตทรยศแล้ว ใจเขาก็เจ็บแปลบขึ้นมาทุกที ความคิดทุกอย่างจึงไปลงท้ายที่คดีที่เขากำลังตามอยู่แทน เพราะการทำแบบนั้นช่วยเบี่ยงเบนความรู้สึกโหวงๆ ให้เขาได้บ้าง

"คุณเคยได้ยินชื่อของเทลออฟอดัมส์ไหมครับ" นึกถึงเรื่องนี้แล้วก็หลุดปากถามออกมา ฮอร์ตันเลิกคิ้วข้างหนึ่งก่อนจะทำสีหน้าครุ่นคิดอีกครู่ใหญ่ จบท้ายด้วยการสั่นหัวเล็กน้อย

"ไม่ ผมไม่เคยได้ยิน"

"อายออฟไอเดนเคยพูดถึงชื่อนี้ขึ้นมา"

"คุณคิดว่ามันเกี่ยวกับขบวนการที่ทำการปล้นเป็นบ้าเป็นหลังในช่วงหลังๆ นี่งั้นเหรอ? "

"ผมก็ไม่แน่ใจหรอกครับ แต่ผมกำลังเดาว่าบางทีเขาอยู่เบื้องหลังแล้วก็มีจุดเชื่อมโยงกับการปล้นแต่ละครั้ง เหมือนเป็นตัวการสำคัญ"

"อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้น"

คีลนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อเรียบเรียงคำพูด "เพราะว่าเขามีฉายา เหมือนอย่างกรณีของเอลเลียต เทย์เลอร์ หมอนั่นก็มีฉายาว่าอายออฟไอเดน และเขาก็เปรียบเสมือนตาให้กับทีมของพวกเขา เพราะงั้นเทลออฟอดัมส์คงเป็นเหมือนหาง คอยบงการทุกอย่างอยู่ด้านหลัง และที่ผมคิดแบบนี้ก็เพราะคนอื่นๆ ในทีมที่เราจับมาได้ไม่มีฉายาแบบนี้ พวกเขาอาจจะใช้ชื่อปลอมในทีม แต่ไม่มีฉายา อาจเป็นเพราะพวกเขาเห็นว่ามันยุ่งยากหรืองี่เง่าเกินกว่าจะทำแบบนั้นก็ได้ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้มีความสำคัญกับทีมขนาดนั้น"

“ที่คุณพูดก็มีประเด็น” ผู้ที่มียศสูงกว่าพยักหน้ารับ “แล้วคุณคิดจะทำยังไงต่อ สืบหาเอาจากทางนั้นเหรอ? ”

“ผมว่าจะลองไปเจรจากับเทย์เลอร์ดูอีกครั้ง” เขาว่า นี่ก็ผ่านมาสามวันแล้ว เขาจงใจไม่ไปพบอีกฝ่ายเพราะอยากให้เจ้าตัวได้บทเรียน แต่ตอนนี้ถึงเวลาต้องเค้นเอาข้อมูลทั้งหมดที่นักโทษคนนั้นจะมีให้ เพื่อที่จะได้ทำงานต่อเสียที “ดูว่าเขาจะบอกอะไรได้บ้าง”

“ก็เป็นความคิดที่ดี”

คีลทำท่าอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่แล้วก็เปลี่ยนใจปิดปากฉับลง หากคนเป็นหัวหน้าสังเกตเห็นกิริยานั้นได้ทัน ชายสูงวัยจึงยิ้มแล้วพูดเป็นเชิงแหย่

“มีอะไรครับ สายสืบวิลล์ อยากพูดอะไรก็พูดมาเลยไม่ต้องเกรงใจ”

“คือ…” เจ้าตัวยังมีท่าทีลังเล เพราะเรื่องนี้เขาตั้งใจจะไปพูดกับหัวหน้าของเขาก่อน ไม่ใช่พูดกับคนเบื้องบนโดยตรงแบบนี้ “ผมกำลังคิดว่า บางทีเราอาจจะอยากให้เทย์เลอร์เข้ามาในทีมอีกครั้ง”

ฮอร์ตันเลิกคิ้วสูง ขยี้ก้นบุหรี่แล้วทิ้งมันลงไปด้วยท่าทีสบายๆ หากสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น “คุณอยากทำงานร่วมกับคนที่ตัวเองเพิ่งส่งเข้าคุกไปเป็นรอบที่สองงั้นเหรอ? ”

“ผมรู้ครับว่าเขาทำผิด และที่ตัวเองขอก็อาจฟังดูไร้เหตุผล” คนผมดำว่า “แต่… ไม่รู้สิครับ บางทีเราอาจต้องการเขามากกว่าคิดก็ได้ แน่นอนว่าเราสามารถทำให้คดีคืบหน้าด้วยคนในทีมของเราเอง แต่การมีคนวงในอย่างเทย์เลอร์เข้ามามันก็ช่วยให้เราทำงานได้เร็วขึ้น”

ฮอร์ตันนิ่งไปครู่หนึ่ง สีหน้าคิดหนักก่อนจะตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้

“ไม่รู้สินะ วิลล์ แต่ผมไม่ค่อยอยากปล่อยนักโทษที่เกือบจะหนีได้มาแล้วรอบหนึ่งให้ออกมาอยู่นอกเรือนจำอีกรอบเลย เพราะคราวนี้มันอาจจะไม่ใช่แค่เกือบ แต่เราอาจทำเขาหลุดมือไปเลยก็ได้”

“ผมจะระวังให้มากขึ้น” คราวนี้จะคุมเข้มแบบไม่ให้กระดิกตัวไปไหนเลย “และผมเชื่อว่าคนในทีมผมก็คงคิดเหมือนกัน”

อีกฝ่ายยังคงเงียบ สีหน้าครุ่นคิดนั่นทำให้คีลมีความหวังขึ้นนิดหนึ่ง อย่างน้อยทางผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธเขาแบบไม่คิดเลยเสียทีเดียว

“เอาไว้ผมจะลองคิดเรื่องนั้นดูแล้วกัน แล้วถ้าได้ความคืบหน้าอะไรอย่าลืมรายงานเคลลี่ด้วยล่ะ”

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นครับ ผม--”

“จูเลียน” เสียงเรียกของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นทำให้คีลต้องชะงักไป ทันทีที่อีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นมาเขาก็รู้ได้ทันทีว่าคงเป็นภรรยาของเจ้าตัว “อุ๊ย ขอโทษค่ะคุณ กำลังคุยเรื่องงานอยู่รึเปล่า”

“ไม่เป็นไรครับ ที่รัก” ฮอร์ตันว่าขณะโอบบ่าหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ทองแซมขาวที่ถูกเกล้าขึ้นเป็นมวย “พวกเราคุยกันเสร็จพอดี งั้นผมจะเอาเรื่องนั้นไปคิดดูแล้วกันนะ วิลล์ เรื่องงานก็สู้ๆ ล่ะ”

“ขอบคุณครับ” สายสืบหนุ่มรับคำ มองดูคู่สามีภรรยาที่เดินจากไปจากบริเวณนั้น แล้วเขาก็หันกลับมาอัดบุหรี่เข้าปอดต่อ

ก็ว่าจะไม่แล้วเชียวนะ แต่ก็เผลอใจอ่อนกับหมอนั่นอีกจนได้

สงสัย… เขาคงรักเอลเลียตเข้าแล้วจริงๆ นั่นแหละ





--------------------------------------------
Talk: เผยภูมิหลังของเอลกันสั้นๆ ทำไมโจรน้อยของเลาน่าสงสารแบบนี้ TvT

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
มาเริ่มกันใหม่เถอะ ต่างคนก็ได้บทเรียนกันไปแล้ว  :sad4:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เอลจะเป็นไรรึเปล่า สามวันแล้ว สงสารจังเลย  :katai1:

ออฟไลน์ baibuabuaz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สงสารทั้งคู่เลย ฮืออออออออ

ออฟไลน์ มาม่าหมูสับ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เป็นห่วงเอลจัง  :katai1:

ออฟไลน์ bmine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
omgggggggggggg จูเลียนที่เป็นพ่อของอดัมคือหัวหน้าของคีลหรอคะ!!! เอลลูกกกก โอ๊ยย ก็เข้าใจคีลแต่สงสารเอลมากกว่าาา ตัดใจจากคีลมันไปเลยค่ะหนูลูกกก

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 12




‘ยินดีต้อนรับกลับบ้าน’ คนผมน้ำตาลลอบคิดกับตัวเองในใจขณะที่ผู้คุมคนหนึ่งปลดกุญแจมือให้เขา ชายหนุ่มก้าวเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าราบเรียบ สงบ เป็นสีหน้าแบบเดียวกับที่เขาทำเมื่อครั้งก่อนยามมาเยือนที่นี่เป็นครั้งแรก

อย่าแสดงให้ใครเห็นว่ากลัว เพราะมันคือสัญญาณของความอ่อนแอ และความอ่อนแอจะเรียกคนที่แข็งแกร่งกว่าเข้ามาทำร้ายเรา

หลายคนในนั้นยังคงคุ้นหน้าคุ้นตาสำหรับเอลเลียต กลุ่มหนึ่งกำลังนั่งเล่นเกมกระดานพร้อมกับสบถไปตามเรื่องราว กลุ่มหนึ่งที่รู้จักเขาหันมาทักทายให้เหมือนเพื่อนเก่า เอลเลียตส่งยิ้มตอบ ก่อนเจ้าตัวจะต้องหุบยิ้มลงเมื่อเดินผ่านกลุ่มของดีเอโก้… พี่เบิ้มที่เคยตรงมาขู่เขาเวลาที่มีตำรวจแวะมาแถมนู่นนี่ พอเห็นคนพวกนี้แล้วเอลเลียตก็ตระหนักได้ว่าตัวเองตกที่นั่งลำบากขนาดไหน

และเพราะแบบนั้นเองทำให้เขานึกเจ็บใจไอ้บ้าคีลขึ้นมาทั้งที่วินาทีที่แล้วยังอาลัยอาวรณ์ไอ้หน้าหล่อนั่นอยู่เลย

ไอ้บ้านั่น… บังอาจเตะเขาเข้าคุกเป็นครั้งที่สอง

ครั้งที่สอง

แม่งเอ๊ย ไอ้ที่เขาร่ายมนตร์ ใส่แบบจัดหนักจัดเต็มตลอดที่มีเซ็กส์ด้วยกันนี่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสินะ หรือแม้แต่เทคนิคพิเศษตอนทำด้วยปากก็ไม่ได้ช่วยให้ไอ้สายสืบบ้างานนั่นรู้สึกติดใจกับการปรนเปรอของเขาเลย

...น่าเจ็บใจจังโว้ย!

“ไง พวก” เบลค เรมิเรซ ชายหนุ่มผู้เป็นรูมเมทในคุกของเขาทักขึ้น รู้สึกว่ากลับมารอบนี้เขาก็จะยังได้หมอนี่เป็นรูมเมทตามเคย ก็ดี จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาทำความรู้จักใครใหม่ “เป็นยังไงบ้าง ออกไปโบยบินข้างนอกมานานพอสมควรเลยนี่ คิดว่าจะไม่กลับมาอีกซะแล้ว”

“ไม่กลับมาได้ไง” เอลเลียตว่าขณะยกขาขึ้นพาดเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามคนพูด “กลัวเพื่อนคิดถึง ก็ต้องกลับมาหากันอยู่แล้ว”

“ทำเป็นพูดดีไป บอกฉันมาตรงๆ ดีกว่า” หนุ่มผิวสีพูดพร้อมกับโน้มหน้าลงมากระซิบกระซาบกับเพื่อน “ทำไมนายไม่หนีไปวะ โอกาสดีๆ แบบนี้หาไม่ได้แล้วนะเว้ย กลับเข้ามาอีกทำไมเนี่ย”

“แล้วคิดว่าฉันไม่ได้วางแผนหาทางหนีเหรอ” เอลเลียตพูดเสียงลอดไรฟัน “ก็พยายามจะชิ่งแล้วแต่โดนเตะโด่งเข้ามาอีกรอบนี่ไง”

“อะไรวะ ไม่ได้เรื่องเลย”

“หนวกหูน่า ไอ้คนที่คอยตามฉันแจเสือกหัวดี” หน้าตาก็ดี หุ่นก็ดี ลีลาก็ดี แต่แม่งใจร้ายฉิบหาย “เออ แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ เรมิเรซ นายพอจะหามีดหรืออาวุธเล็กๆ น้อยๆ ให้ฉันหน่อยได้ไหม ไม่หวังถึงขั้นปืนหรอก แค่มีดพกสักเล่มก็คงจะขอบคุณมาก”

“ทำไมวะ เทย์เลอร์” เบลคขมวดคิ้วมุ่น “ก่อนหน้านี้ไม่เห็นนายจะสนเรื่องพวกนี้”

“ฉันว่าออกไปรอบนี้ฉันได้ของแถมพ่วงมาด้วย”

“อะไร นี่นายไปทำอะไรมากันแน่”

“จะอะไรก็ไม่สำคัญหรอก” เขาขี้เกียจเล่าลงรายละเอียด “ที่สำคัญคือ… ฉันคิดว่าตัวเองกำลังโดนสั่งเก็บ ต่อให้ยังไม่โดน ก็คงโดนในอีกไม่ช้านี้อยู่ดี”

“พูดเป็นเล่นน่ะ”

“หน้าฉันเหมือนตลกคาเฟ่หรือไง นี่ ฟังนะ ถึงฉันจะรู้ว่ามันอาจมีโอกาสรอดน้อยมาก แต่ก็ไม่อยากอยู่เฉยๆ โดนเก็บง่ายๆ นายเข้าใจใช่ไหม”

“นี่นายไปทำอะไรมากันแน่เนี่ย” เบลคพูดเหมือนทึ่ง “แทนที่จะหาทางหนีเอาตัวรอด ดันโดนตำรวจเตะกลับเข้ามา แถมยังไปสร้างศัตรูมาเพิ่มอีก? ตกลงออกไปคราวนี้มีเรื่องอะไรดีบ้าง”

“เออน่า อย่าเพิ่งตอกย้ำกันนัก ว่าไง นายคิดว่าจะช่วยฉันเรื่องนั้นได้ไหม”

“ได้ ฉันพอมีคนรู้จักอยู่ แต่ไม่ถูกนะไอ้หนู”

เอลเลียตพยักหน้า รู้ดีว่าระบบที่นี่เป็นยังไง “ฉันจะจัดการเรื่องเงินให้ ฝากด้วยแล้วกัน ยิ่งเร็วยิ่งดี”

“เฮ้ เทย์เลอร์” เสียงใครอีกคนดังขึ้นเรียกให้เอลเลียตหันกลับไปมอง ก่อนจะต้องเลิกคิ้วขึ้นอยากแปลกใจเมื่อเห็นโอเว่น ซิมส์ ชายหนุ่มที่ถูกเด้งเข้ามาในคุกเพราะเขาก้าวเข้ามาทักทาย “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะพวก ว่างคุยหรือเปล่า”

เอลเลียตพูดพึมพำขอตัวกับเบลคจากนั้นจึงลุกตามเพื่อนร่วมทีมเก่าไปอย่างว่าง่าย โอเว่นพาเขามาคุยที่อีกมุมหนึ่งซึ่งไม่มีนักโทษคนอื่นๆ มาคอยกวนใจ เจ้าตัวเริ่มยกมือขึ้นกอดอก มองเอลเลียตด้วยสายตาอ่านยาก

“ตกลงว่าออกไปข้างนอกมาเป็นไง”

“นี่พวกเขาเอานายมาอยู่เขตนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” คนผมน้ำตาลถามกลับอย่างแปลกใจ เพราะตอนที่พวกเขาถูกตัดสินโทษให้มาอยู่ในเรือนจำ เขากับโอเว่นก็โดนสั่งขังแยกกันไปคนละที่ ไม่นึกว่าจะได้มาเจอหมอนี่ในคุกแบบนี้ด้วยซ้ำ

“เมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะ นี่ ไอเดน ฉันรู้เรื่องที่นายทิ้งเอเลน่า เคอร์ติสแล้ว”

อยู่ๆ เอลเลียตก็รู้สึกเสียวสันหลังวูบขึ้นมา เขานึกถึงคำเตือนที่ลีโอเคยทิ้งท้ายเอาไว้ เรื่องที่เขาโดนสั่งเก็บ จากนั้นก็เรื่องที่โอเว่นได้ย้ายมาอยู่ที่นี่

“นายไม่น่าทำแบบนั้นเลยนะ” เจ้าตัวพูดพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น ไม่ได้สนใจร่างของเอลเลียตที่เกร็งขึ้นมาเล็กน้อย “นายทิ้งฉันหรือยัยซาร่าน่ะ พอจะเข้าใจ เพราะสถานะของเรามันก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แต่เอเลน่า…” โอเว่นส่ายหน้านิดหนึ่ง “ยัยนั่นน่ะ… คนคนนั้นกำลังคั่วหล่อนอยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วนายไปโยนยัยนั่นเข้าคุก คิดอะไรอยู่กันแน่ ไอเดน หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ ”

“ฉันไม่ได้ตั้งใจทิ้งเอเลน่า”

“แต่นายก็ทิ้งหล่อนให้ตำรวจแล้ว และฉันมีข่าวร้ายจะบอกเกี่ยวกับเรื่องนั้น”

ยังมีอะไรเลวร้ายไปมากกว่านี้ได้อีกเหรอ

“ยัยนั่นตายแล้ว”

เอลเลียตขนลุกซู่ ใบหน้าซีดเผือดลงอย่างรวดเร็วจนเหมือนเขาจะล้มลงไปกองกับพื้นได้ทุกเมื่อ

“นาย… พูดอะไรของนาย” เขาพึมพำอย่างไม่เข้าใจ “ยัยนั่นแค่เข้าคุกนะ ซิมส์ ไม่ได้โดนสั่งประหาร”

“ฉันก็ได้ยินมาอีกที” โอเว่นยักไหล่ “เห็นเขาว่ากันว่าหล่อนฆ่าตัวตายเพราะทนที่ต้องอยู่ในคุกไม่ไหว”

เอลเลียตยกมือขึ้นมากุมขมับจริงๆ แล้วตอนนี้ ไอ้ความหวาดกลัวที่อัดแน่นอยู่ในอกอยู่แล้วยิ่งท่วมท้นขึ้นมาใหญ่ ไม่ต้องแปลกใจเลยถ้าเขาจะอยู่ไม่รอดถึงเช้าพรุ่งนี้

“คราวนี้นายก็เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงแค่ไหน” โอเว่นว่าต่อเมื่อเห็นว่าผู้ที่สนทนาด้วยเริ่มจะโงนเงน ยืนไม่ตรง

“นายมาบอกฉันเรื่องนี้ทำไม”

“อะไรนะ”

“คนคนนั้นส่งนายมาฆ่าฉันงั้นเหรอ”

โอเว่นอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ขอทีเถอะ เทย์เลอร์ ถ้าฉันโดนสั่งให้มาเก็บนาย ฉันจะมาพูดกับนายตรงๆ แบบนี้เหรอ”

“ฉันไม่รู้หรอก” เอลเลียตพูดตรงๆ สบตาคู่สนทนานิ่ง “ตอนนี้ฉันไว้ใจใครไม่ได้แล้ว ต่อให้เป็นนายก็เถอะ”

โอเว่นยกสองมือขึ้นเหนือหัวเป็นเชิงยอมแพ้ แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นการบอกกลายๆ ว่าตัวเขาไม่มีอาวุธ และไม่ได้คิดจะทำร้ายอีกฝ่าย

“ฉันไม่โทษนายหรอก เทย์เลอร์” ชายหนุ่มว่าอย่างเข้าใจ ปล่อยให้เทย์เลอร์เดินกลับไปที่โต๊ะตัวเดิมซึ่งเพื่อนผิวสีของเขานั่งอยู่

เอลเลียตยังไม่อยากตาย… อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในคุกนี่

เขาต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง







“ขอโทษครับ”

เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ประจำอยู่หน้าเคาน์เตอร์เงยหน้าขึ้นมา ขยับแว่นบนหน้าของตัวเองเล็กน้อยขณะที่คีลหยิบตราตำรวจของตัวเองมาให้อีกฝ่ายดูอย่างรวดเร็ว “ผมสายสืบวิลล์”

“มีธุระอะไรเหรอครับ คุณวิลล์”

“ผมอยากขอพบตัวนักโทษที่ชื่อเอลเลียต เทย์เลอร์”

ในที่สุดเจ้าตัวก็เป็นฝ่ายทนไม่ได้เสียเอง คำพูดสุดท้ายที่เอลเลียตทิ้งไว้ให้ตกตะกอนอยู่ในใจเขา เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวขอเวลาครู่หนึ่งเพื่อติดต่อประสานงานกับผู้คุมด้านใน คีลมองอีกฝ่ายยกหูโทรศัพท์อย่างมีความหวัง เขารู้ดีว่าถ้าไม่ได้แจ้งล่วงหน้าหรือสอบถามก่อน หลายๆ ครั้งก็อาจไม่สามารถพบกับนักโทษในเรือนจำได้ และเหมือนครั้งนี้โชคจะไม่เข้าข้างเขาเพราะคนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ส่ายหน้าให้หลังจากวางหูโทรศัพท์

“ขอโทษด้วยครับ คุณสายสืบ แต่ตอนนี้นักโทษออกไปบำเพ็ญประโยชน์นอกสถานที่… กว่าจะกลับก็ช่วงค่ำนู่นเลย”

“ไม่เป็นไรครับ” เขาว่า ซ่อนความผิดหวังไว้ในสีหน้าและน้ำเสียงราบเรียบของตัวเอง “ขอบคุณที่ประสานงานให้”

“คุณอยากแจ้งเรื่องขอพบแบบระบุวันและเวลาไว้ไหม”

คีลหยุดคิดครู่หนึ่ง ถ้าทำแบบนั้นเขาคงได้พบเอลเลียตแน่นอนกว่ามาแบบกะทันหันอย่างนี้ แต่ติดอยู่ที่ตารางงานไม่แน่ไม่นอนของเขานี่สิ

“ไม่เป็นไรครับ” สายสืบหนุ่มตัดสินใจ “ไว้เดี๋ยวถ้าหาเวลาได้ผมจะแวะมาใหม่ ขอบคุณมากครับ”

แล้วเจ้าตัวก็ออกจากเรือนจำแห่งนั้นไป







คนผมน้ำตาลกำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะทำยังไงให้คีลใจอ่อนยอมฟังที่เขาพูดดีๆ ได้

นี่ก็ผ่านมาห้าวันแล้วตั้งแต่ที่เอลเลียตโดนยัดมาอยู่ที่นี่

เขารู้ดีว่าหมอนั่นกำลังหัวเสียเรื่องที่เขาคิดหนี แถมมันยังเกือบจะเกิดขึ้นจริงๆ เสียด้วย เพราะงั้นคนที่หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีของตัวเองอย่างคีลจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

เอลเลียตครุ่นคิดขณะที่ปล่อยให้น้ำจากฝักบัวไหลลงมากระทบตัว เขาพยายามตัดเรื่องอารมณ์และความรู้สึกเกินเลยที่มีต่อสายสืบหนุ่มคนนั้นทิ้ง พยายามโฟกัสความคิดอยู่แค่เรื่องผลประโยชน์ที่พวกเขาสองคนอาจตักตวงให้กัน

ตอนนี้เขาต้องการความช่วยเหลือ เรื่องนั้นไม่ผิดแน่ล่ะ และคนที่จะช่วยเขาได้ ที่คิดออกคนเดียวในตอนนี้คือคีล

อย่างน้อย ถ้าหมอนั่นฟังเขาพูดสักนิด ยอมให้เขาออกจากเรือนจำแห่งนี้สักหน่อย จะให้เขาอยู่ในฐานะนักโทษก็ได้ แต่เขาต้องการคนคุ้มกันเป็นอย่างมาก อะไรก็ได้แล้วตอนนี้ที่ทำให้เขาไม่ต้องตาย

เงินสักกี่ล้านดอลลาห์ก็ไม่มีความหมายเมื่อชีวิตถูกเดิมพัน ไพ่ในมือทั้งหมดที่เขามีเขาก็ยอมที่จะสละ

ถึงยังไงตอนนี้เขาก็โดนคาดโทษด้วยความตายอยู่แล้ว มันจะต่างกันตรงไหนล่ะ

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เอลเลียตกลัวจนตัวสั่นเป็นลูกนกปีกหักได้ขนาดนี้เพราะเจ้าตัวคุ้นเคยการทำงานของจูเลียน ฮอร์ตันดี เขาเคยเห็นอีกฝ่ายสั่งฆ่าคนมาต่อหน้าต่อตาแล้วด้วยซ้ำ

ทุกอย่างช่างง่ายดายเหลือเกินสำหรับผู้มีอิทธิพลและอำนาจเหลือล้นอย่างผู้ชายคนนั้น

เอลเลียตรู้ดีว่าจูเลียนทำได้จริง และเขาก็จะทำด้วย ไอ้เรื่องสั่งเก็บผู้ชายที่ทำให้อีหนูของเขาต้องตายน่ะ ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ความผิดของเขาเลยสักนิด มันผิดที่แจ็ค พอร์เตอร์ที่พาเขาไปถึงรังของตัวเองแบบนั้น มันผิดที่เอเลน่า เคอร์ติสที่ทนแรงกดดันไม่ไหว

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น… ต้องกลายเป็นเขาที่โดนสั่งฆ่าเนี่ยนะ?

ไม่เอาด้วยหรอกโว้ย!

คีลต้องช่วยเขา… ไม่ใช่สิ เขาต้องหาทางให้คีลช่วย จะพูดยังไงดี ต้องหาทางติดต่อกับหมอนั่นแล้วก็เกลี้ยกล่อม…

“เฮ้ ว่าไง คนสวย”

และเพราะกำลังคิดหนัก หมกมุ่นอยู่กับความกังวลของตัวเองนั่นเอง เอลเลียตจึงไม่ทันรู้ตัวเลยตอนที่มีชายหนุ่มสามคนล้อมกรอบเข้ามา สองในนั้นตัวเตี้ยกว่าเขา อีกคนรูปร่างใหญ่เทอะทะและดูเคลื่อนไหวช้า

นัยน์ตาสีฟ้ากวาดมองคนทั้งหมดและประเมินคร่าวๆ ในหัวอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ ถ้าคุณเป็นผู้ชายแล้วโดนทักว่า ‘คนสวย’ ตอนอยู่ในห้องอาบน้ำรวมของเรือนจำ มันมีความหมายเพียงอย่างเดียวเท่านั้นแหละ ให้ตายเถอะ นี่เขาต้องเจอศึกสักกี่ด้านคนบนฟากฟ้าถึงจะพอใจ หา?

“อาบน้ำคนเดียวเหงารึเปล่าจ๊ะ? ”

“ไปไกลๆ เลย”

เลือกใช้คำได้เฉียบคมมาก เอล พวกนั้นคงจะฟังที่นายพูดหรอก

“นี่ รู้รึเปล่า” ไอ้คนที่ตัวเตี้ยแต่ดูล่ำกว่าเขาเอื้อมมือมาแตะที่หน้า เอลเลียตขนลุกซู่พร้อมกับปัดมืออีกฝ่ายทันที แต่เหมือนเจ้าตัวก็ไม่ได้ถือสามากมาย “มีเพื่อนเราที่ชื่อแจ็คกระซิบให้ฟังมาว่าข้างหลังนายมันเด็ดมาก”

“แจ็คเหรอ” เท่านี้ทุกอย่างก็ลงตัวโป๊ะเชะ

จะไปมีแจ็คไหนนอกจากแจ็ค พอเตอร์อีกล่ะที่เคียดแค้นเขาขนาดส่งคนมาปล้ำกันแบบนี้!

“แล้วดูไอ้รอยช้ำสีกุหลาบที่อยู่บนตัวนายสิ” คราวนี้คนที่อยู่ฝั่งซ้ายมือเป็นคนพูด แล้วไม่พูดเปล่า มันยังกวาดสายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าอย่างโลมเลีย อึ๋ย ขนลุกเป็นบ้า “นี่ไปซั่มกับใครที่ไหนมาเนี่ย บอกพวกเรามาได้ไหมว่าผู้หญิงหรือผู้ชายที่ทำรอยบนตัวนาย”

“เฮ้ ฉันถามอะไรหน่อย” เอลเลียตขัดขึ้นอย่างอดไม่อยู่ “ทำไมต้องสาม”

ดูเหมือนไอ้พวกที่ล้อมกรอบเขาจะงงขึ้นมาพร้อมกันเลยทีเดียว

“นายว่าอะไรนะ” คราวนี้คนขวามือถามเขากลับ ไอ้หมอนี่ตัวสูงสุด แต่น่าจะอ่อนสุดในกลุ่ม บางทีเขาอาจหาช่องจากมันได้

“ก็เวลาจะขู่หรือทำร้ายใครเนี่ย ชอบยกพวกกันมาสามคนทุกที” พูดพร้อมกับส่ายหน้าเหมือนเอือมระอา “ทำไมไม่ลองสองหรือสี่ดูบ้างล่ะ? ต้องมากันสามคนตลอด เลขคู่มันไม่ดีขนาดนั้นเลยรึไง”

ในที่สุดเจ้าคนตรงกลางก็รู้ว่าเอลเลียตกำลังกวนประสาทเพื่อถ่วงเวลา มันส่งสัญญาณให้อีกสองคนเข้าไปกดคนตรงหน้า แต่เอลเลียตรอจังหวะนี้อยู่แล้ว ชายหนุ่มพุ่งตัวไปกระแทกศอกลงบนหน้าท้องของไอ้คนตรงกลางก่อน ยกขาขึ้นเตะคนฝั่งขวาที่พุ่งตัวเข้ามาจะจับตัวเขา แต่หมัดของไอ้คนฝั่งซ้ายก็กระแทกลงมาบนแก้มแรงไม่น้อย เล่นเอาเอลเลียตมึนไปวูบหนึ่งเหมือนกัน สามคนดูจะตึงมือเกินไปจริงๆ นั่นแหละ แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องเอาตัวรอดไปจากตรงนี้ให้ได้

คนตรงกลางที่ดูจะอึดกว่าใครเพื่อนยกขาเตะเข่าของเอลเลียต แต่อีกฝ่ายถดตัวหนีราวกับรู้ทันก่อนจะหันไปกระแทกหมัดลงบนสีข้างของไอ้คนทางขวาอย่างแรง หากเอลเลียตก็ต้องเซไปด้วยแรงกระแทกที่ข้างลำตัวจากลูกเตะของคนฝั่งซ้ายจนเกือบจะล้มลง เขาพยายามประคองตัวไม่ให้กองไปกับพื้น สีข้างชาไปหมดจนเจ้าตัวต้องกัดฟันแน่น ฉากต่อสู้เปลือยเปล่าในห้องน้ำชายนี่มันเร้าใจจริง แต่เขาชักจะมึนหัวจากหมัดของใครสักคนที่ต่อยโครมลงมาบนหน้าแล้ว

เขาพยายามข่มความเจ็บปวดแล้วกระโจนตัวขึ้นเพื่อสวนกลับ ความเป็นจริงก็คือ ต่อให้คุณเก่งการต่อสู้แค่ไหน แต่ถ้าต้องรับมือกับคนสามคนพร้อมๆ กัน ต่อให้คนพวกนั้นกระจอกแค่ไหนก็ยังเอาชนะยากอยู่ดี เอลเลียตใช้จังหวะหนึ่งขัดขาของไอ้คนฝั่งขวาได้ และเพราะความลื่นของพื้น ไอ้หมอนั่นจึงล้มตึงหมดสภาพไปแล้วหนึ่ง แต่ยังเหลืออีกสอง และสภาพเขาตอนนี้ก็บอบช้ำไม่ใช่น้อยๆ หรอก

"เฮ้ย ทำอะไรกันน่ะ! หยุดนะ! " ในที่สุดผู้คุมก็ได้ยินเสียงแลกหมัดแลกลูกเตะกันนัวเนียนี่สักที เจ้าหน้าที่รักษาการณ์คนหนึ่งเข้ามากระชากใครสักคนที่เกือบจะกดร่างของเอลเลียตลงบนพื้นห้องน้ำได้สำเร็จ

ทันทีที่แรงกดหนักอึ้งถูกกระชากออกไปจากตัว กลิ่นเลือดคาวปร่าในลำคอก็แผลงฤทธิ์ทันที แต่เอลเลียตไม่มีเวลาหายใจหายคอนาน เพราะผู้คุมคนหนึ่งกระชากตัวเขาซึ่งถือเป็นหนึ่งในนักโทษที่ก่อความไม่สงบให้ลุกขึ้น ลากถูลู่ถูกังไปตามทางไม่ต่างจากไอ้สองสามคนที่โดนก่อนหน้าเขา

"เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นวะ ใครจะปล้ำกันในห้องน้ำ" เสียงของนักโทษที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์คนหนึ่งลอยแว่วมาให้ได้ยินขณะที่เอลเลียตถูกผลักเข้าไปในห้องแต่งตัว

"ใครจะปล้ำไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คือคนจะโดนน่ะ เทย์เลอร์โซน D"

"อ้อ ไอ้หมอนั่นน่ะเหรอ ก็สมควรหรอก หุ่นแม่งยั่วขนาดนั้น ยิ่งวันก่อนได้อาบน้ำกับแม่งนะ รอยจูบนี่เต็มตัวเลย ไม่รู้ไปโดนใครปล้ำมา"

"แต่จะเอาไอ้หมอนี่ไม่ง่ายนะ เมื่อตอนมันเข้ามาใหม่ๆ แล้วไอ้จีนส์โซน A พยายามจะฟัดมันน่ะ ไอ้โหดนั่นเตะไข่กระเด็น"

"รอบนี้พวกแม่งเลยหัวใสไปกันสามคนเลยไง แต่ดูแววแล้วน่าจะแห้วแดก... เออ หรือมันจะได้กันไปแล้ววะ"

"ตรงนั้นน่ะเงียบๆ หน่อย! " ผู้คุมคนหนึ่งตะโกนอย่างหัวเสีย และได้เสียงโห่ร้องอย่างไม่พอใจจากบรรดานักโทษราวกับคณะประสานเสียง เอลเลียตหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมลวกๆ อย่างหงุดหงิดไม่แพ้กัน จากนั้นเขาก็โดนสับกุญแจมือแล้วลากตัวไปยังห้องขังเดี่ยวอันเป็นบทลงโทษของคนที่ก่อความวุ่นวายภายใน เสียงผิวปากและเสียงตะโกนแซวลอยแว่วมาให้เขาอารมณ์เสียอีกรอบ

"ไง สวีทฮาร์ท ของไอ้พวกนั้นใหญ่ไม่เร้าใจเหรอจ๊ะ"

"ไว้คราวหน้ามาเล่นกับพี่นะ รับรองไม่ทำรุนแรงจนเลือดตกยางออกแบบนี้หรอก"

เอลเลียตอยากจะหันไปตะโกนบอกเหลือเกินว่า 'ไม่โว้ย! ' ถ้าไอ้พวกหน้าเห่ยนั่นอยากได้ตัวเขาก็ไปทำศัลยกรรมมาให้หล่อเท่ากับคีล วิลล์ก่อนเถอะ! อ้อ แล้วไอ้หุ่นก้างๆ นี่เขาก็ไม่เอานะ ต้องหุ่นดีมีซิกส์แพ็คแบบคีลเท่านั้น เทคนิคก็ต้องเด็ดแล้วก็ต้องจูบเขาเก่งแบบไอ้สายสืบคนนั้นด้วย!

"เข้าไปสงบสติอารมณ์ข้างใน" ผู้คนที่ลากแขนเขามาว่าพร้อมกับดันตัวเอลเลียตเข้าไปในห้องขัง "แล้วเย็นนี้ก็งดข้าวเย็น"

คนผมน้ำตาลได้แต่สบถออกมาอย่างหัวเสียขณะฟังเสียงฝีเท้าของผู้คุมคนนั้นไกลออกไป แต่ถ้ามองในแง่ดี อย่างน้อยไอ้ผู้คุมพวกนั้นก็ช่วยไม่ให้เขาโดนขืนใจในห้องน้ำล่ะวะ ถึงจะโผล่มาช้าไปหน่อยก็ตาม

ชายหนุ่มทิ้งตัวลงกับเตียงแข็งๆ อย่างอ่อนล้า มือแตะเลือดที่ซึมบนมุมปาก วินาทีนี้เขานึกถึงคีลขึ้นมาจับใจ เจ้าหน้าที่หนุ่มคนนั้นถึงจะดุกับเขาบ้างแต่ก็ยอมทำแผลให้ และตอนนี้เขาก็เสียผู้ชายคนนั้นไปแล้วเพราะไอ้ความพยายามที่จะหนีจากอีกฝ่าย

ก่อนหน้านี้เขาเอาแต่ตัดพ้อคีล เอาแต่ด่าตัวเองว่าโง่ที่เผลอใจให้สายสืบคนนั้น แต่ไม่เคยโทษตัวเองในเรื่องที่พยายามคิดจะหนีจากคีลเลย ทั้งที่หมอนั่นเองก็เคยขอ และเขาก็เอาแต่อ้างกับว่าตัวเองว่ามันช่วยไม่ได้ มันไม่มีทางเลือก แต่ความเป็นจริงก็คือเขาได้หักหลังชายหนุ่มคนนั้นลงไปแล้วอยู่ดี และตอนนี้เอลเลียตก็กำลังสำนึกผิดมากๆ ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะเจอหมอนั่นแล้วขอโทษตรงๆ สักครั้ง

คีลจะไม่ยกโทษให้ก็ไม่เป็นไร แต่เขาอยากจะขอโทษจริงๆ

เอลเลียตนั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้องขังเดี่ยวชั่วคราวของตัวเองอย่างคนไม่มีอะไรทำ และเมื่อผ่านพ้นช่วงหัวค่ำจนย่ำเข้ากลางดึก เจ้าตัวก็ต้องเริ่มนอนตัวงอเพราะกระเพาะอาหารแผดเสียงโครกครากอย่างน่าสงสาร ความหิวมักมาพร้อมกับความทรมานแบบนี้เสมอ แล้วไอ้ตอนกินข้าวกลางวันก็ใช่ว่าจะได้กินเยอะ

"เฮ้ เทย์เลอร์" เสียงกระซิบท่ามกลางความมืดและความเงียบสงัดของห้องพักทำให้ชายหนุ่มลุกขึ้นมาจากเตียงอย่างรวดเร็ว เบลคนั่นเองที่โผล่หน้ามาหาเขาผ่านช่องกระจกเล็กๆ ที่มีเป็นซี่กรง เอลเลียตเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยสีหน้าพิศวง

"นายมานี่ได้ไง" เพราะพื้นที่ขังเดี่ยวตรงนี้มักจะมีผู้คุมอีกขั้น อีกฝ่ายยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากเป็นเชิงให้เอลเลียตเบาเสียงลงหน่อย จากนั้นจึงส่งขนมปังก้อนหนึ่งมาให้

"ไอ้หมอนั่นมันเผลองีบ ฉันเลยแอบย่องเข้ามา โทษทีนะที่เอามาให้ได้แค่นี้"

"แค่นี้ก็ดีพอแล้ว" เอลเลียตว่าอย่างซึ้งใจ "ขอบใจนะ เรมิเรซ"

"เออ แล้วก็ของที่นายฝากให้ฉันจัดการน่ะ ได้มาแล้วนะ แต่ยังเอามาให้ตรงนี้ไม่ได้"

เอลเลียตพยักหน้าหงึก เขาจ่ายเงินให้อีกฝ่ายไปก่อนล่วงหน้าแล้ว

ชายหนุ่มผิวสีชักสีหน้าแหยๆ "ฉันว่าฉันชักเข้าใจแล้วว่าทำไมนายถึงอยากมีอะไรป้องกันตัว นายไม่เป็นไรใช่ไหม ไม่ได้โดนไอ้พวกนั้น แบบว่า ซัดไปใช่ไหม"

"ถ้านายหมายถึงเรื่องอย่างว่าล่ะก็ ฉันยังรอดปลอดภัยอยู่" ไม่ยอมให้ใครมากดทั้งๆ ที่ไม่สมยอมหรอก ถึงเขาจะง่ายแต่ก็เลือกเหมือนกันนะเว้ย

"ถ้าอย่างนั้นมาเจอกันที่เดิมช่วงเวลาฟรีก่อนมื้อเช้า ตอนนั้นนายน่าจะได้ออกมาแล้ว เจอกัน เพื่อน"

"เจอกัน" เอลเลียตว่าขณะฟังเสียงฝีเท้าที่ห่างออกไป

เดินกลับไปนั่งบนเตียงแล้วละเลียดขนมปังในมือ นึกถึงมื้อค่ำสุดหรูกับใบหน้านิ่งเฉยของคีลขึ้นมา แล้วพอนึกถึงรอยยิ้มอ่อนโยนที่อีกฝ่ายเคยส่งให้... โอย ทำเอาเขาเกือบตายด้วยความทรมานใจแล้ว







เอลเลียตมาถึงสถานที่นัดพบกับเบลคตรงเวลาเผง ช่วงเวลาฟรีก่อนข้าวเช้าที่พอจะทำอะไรลับสายตาผู้คุมได้มีไม่มาก แต่เขากับรูมเมทคนนั้นก็ใช้ช่วงเวลานี้ในตรอกมุมหนึ่งของอาคารเรือนจำในการส่งมอบอะไรก็แล้วแต่ที่ไม่สมควรมีอยู่ที่นี่ ก่อนหน้านี้เอลเลียตจะเรียกร้องหาบุหรี่ แต่วันนี้เขาเห็นว่าแล้วอาวุธไว้ใช้ป้องกันตัวมีความสำคัญกับเขามากกว่าเจ้ายาสูบพวกนั้นเป็นไหนๆ

ชายหนุ่มผมน้ำตาลยืนกระดกเท้าบนแผ่นไม้ไปมาอย่างเบื่อหน่ายระหว่างรอ แผลจากการฟัดกับไอ้สามตัวในห้องน้ำเมื่อวานยังระบมไม่หาย บางทีเขาควรจะไปห้องพยาบาลเพื่อขอยารักษา หมอหนุ่มที่ทำงานในนั้นหล่อดี น่าเสียดายที่เจ้าตัวมีลูกมีเมียแล้ว

และเพราะว่ามัวแต่ใจลอย ตามองก้อนเมฆที่ลอยเท้งเต้งอยู่บนท้องฟ้า ชายหนุ่มจึงไม่ทันรู้ตัวเลยขณะที่มีใครอีกคนก้าวมาที่ด้านหลังเขา มือแกร่งตะปบลงมาปิดปากเจ้าตัวพร้อมกับฝังคมมีดลงบนสีข้างจากทางด้านหลัง

เอลเลียตทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นอย่างเชื่องช้าตามที่คนด้านหลังคอยบังคับร่างเขาเอาไว้ ความรู้สึกเจ็บเจียนตายกระแทกลงบนตัวเขาอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายดึงมีดออกแล้วเสือกลงบนสีข้างอีกรอบในบริเวณที่ไม่ไกลกับแผลเก่า เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอู้อี้อยู่ในลำคอเพราะมือที่อุดปากเขาไว้อยู่

เอลเลียตใช้แรงเฮือกสุดท้ายในการเอี้ยวหน้าไปมองว่าใครคือคนที่แทงมีดลงมา และนัยน์ตาสีฟ้าก็ต้องเบิกกว้างขึ้นอย่างตกตะลึงเมื่อพบว่าคนคนนั้นคือรูมเมทของเขานั่นเอง

"คนคนนั้นฝากข้อความมาให้นาย" เบลคกระซิบเสียงแผ่วที่ข้างหู "คนทรยศ"

และเมื่อปลายมีดแทงผิวเนื้อเขาเข้ามาเป็นครั้งที่สาม โลกทั้งใบของเอลเลียตก็เริ่มเบลอดับ

แม่งเอ๊ย... พูดไม่ได้ดูตัวเองเลย

เป็นความคิดสุดท้ายก่อนที่สติจะหลุดออกจากร่างไป ดังนั้นแล้วชายหนุ่มจึงไม่มีโอกาสรับรู้เสียงสะอื้นและคำขอโทษพร่ำเพ้อที่มาจากปากของเบลค

"ฉันขอโทษ เทย์เลอร์ ฉันขอโทษ"

แล้วชายหนุ่มผิวสีก็จากไป ทิ้งให้เอลเลียตนอนจมกองเลือดที่เจิ่งนองจนกลายเป็นแอ่งไปทั่วบริเวณนั้น





-----------------------------------------------
Talk: kill me gently เป็นนิยายวายเลือดสาด... ทั้งความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย ถถถถถถ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
นี่ kill แบบ gently แล้วเหรอคะ ทรมานแทนน้องเอลเหลือเกินนนนน :z3:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
นี่ kill แบบ gently แล้วเหรอคะ ทรมานแทนน้องเอลเหลือเกินนนนน :z3:

ก็ไม่ค่อย gently เท่าไรหรอกค่ะ  :hao5:

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
กรี๊ดดดดด อย่าเป็นอะไรนะเอล

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
เจ็บหนัก แต่ยังไม่ตาย

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
เอลล อยากรู้ว่าคีลจะว่ายังไงจังค่ะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด