Kill me gently จุมพิตอันธการ [แถงการณ์เปลี่ยนชื่อเรื่อง] P.7 [12/2/2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Kill me gently จุมพิตอันธการ [แถงการณ์เปลี่ยนชื่อเรื่อง] P.7 [12/2/2018]  (อ่าน 61523 ครั้ง)

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เอาตรงๆเราไม่เชื่อใจคีลเลย  :ling3:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ baibuabuaz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
คีลไม่ได้หลอกเอลเลียตหรอกใช่มั้ย...

ออฟไลน์ bmine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
สนุกทุกเรื่องที่แต่งเลยค่ะ ติดมากค่ะะะ ต่อบ่อยๆนะคะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
กลัวใจคีลอะ มันดูง่ายไป  :m28: :m28:

ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
กลัวใจกับคีลจริงๆกลัวมาหลอกเอาข้อมูล :katai1:

ออฟไลน์ bmine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ทำไมคนอื่นกลัวคีล แต่เรากลัวใจเอลเลียตอ่ะ 5555 คีลจะหลอกถามอะไรในเมื่อใจก็ไม่คิดว่าต้องพึ่งเอลเลียตอยู่แล้วแต่แรก แถมหลอกถามปกติก็ได้ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ แต่เอลเลียตดูเป็นคนที่ถ้าถึงเวลาก็คงต้องเอาตัวเองรอดก่อน พร้อมหนีมากๆ สนุกมากกก จะลุ้นต่อไปค่ะะ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
บทที่ 7




คีลพาเขามาที่ห้องว่างๆ ห้องหนึ่งซึ่งมีเพียงโต๊ะเล็กๆ กับเก้าอี้สองตัวด้านใน มีเก้าอี้พับมากมายซ้อนกันอยู่ริมขอบผนังทุกด้าน เหมือนเป็นห้องเก็บของกลายๆ

ใบหน้าคมหันกลับมามองเอลเลียตทันทีที่ประตูปิดลงด้วยสายตาตำหนิทีเดียว

"คุณคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่"

นัยน์ตาสีฟ้าใสกะพริบปริบๆ "คุณพูดถึงอะไร" ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงโดนดุ

"คุณจะจ้องผมตอนที่นั่งทำงานอยู่ไปถึงเมื่อไหร่ เอล"

โอ้ว หมอนี่ยอมเรียกชื่อเล่นเขา! แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่ควรลิงโลดสินะ เล่นจ้องเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อแบบนี้

"อื๊อ? ผมจ้องคุณเหรอ? " ไม่ทันรู้ตัวเลย

"แทบจะกินหัวผมเข้าไปได้อยู่แล้ว"

"ผมจ้องแฟนตัวเองแล้วมันผิดตรงไหน"

เอลเลียตสังเกตเห็นว่าคีลหน้าแดงขึ้นมาวูบหนึ่งกับคำพูดตรงไปตรงมานั่น และมันทำให้เขาใจเต้นตาม หมอนี่บทจะน่ารักก็โคตรน่ารัก

"เอาล่ะ ฟังนะครับ" ดูเหมือนสายสืบหนุ่มจะเรียกสติของตัวเองกลับมาได้แล้ว เขายกมือขึ้นกระแอมเล็กน้อย "คุณก็รู้ว่าเรื่องที่เราคบกันเป็นความลับ ให้คนอื่นรู้ไม่ได้ อันนี้คุณเข้าใจดีใช่ไหม? "

"ไม่อ้ะ" ถือโอกาสนี้กวนประสาทอีกฝ่าย ส่ายหน้ารัวๆ ทันที "ถึงผมจะเป็นอาชญากร แต่ยังไงผมก็เป็นคนมีจิตใจนะคุณ"

"โอเค งั้นมาดูกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาจับได้ว่าผมกับคุณเป็นอะไรกัน" คนที่จริงจังไปเสียทุกเรื่องเริ่มร่ายยาว "ก่อนอื่นเลย ผมกับคุณต้องโดนแยกออกจากกันแน่ๆ คุณจะโดนโยนไปให้ทำงานกับทีมอื่น และผมก็ต้องโดนปลดออกจากคดีนี้ ยิ่งเดิมทีผมอยู่แผนกคดีฆาตกรรมด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เรื่องง่ายเข้าไปใหญ่ ส่วนทีมที่คุณจะได้ไปอยู่ ไม่รู้สิ บางทีพวกเขาอาจจะเห็นว่าโยนคุณกลับเข้าคุกไปน่าจะง่ายกว่าก็อาจจะทำอย่างนั้นก็ได้ แล้วทีนี้โอกาสในการขอลดโทษของคุณก็จะยากขึ้น--"

เอลเลียตดันร่างสูงไปชนกับผนังในองศาที่แน่ใจว่าคนด้านนอกไม่สามารถมองเห็นผ่านกระจกบานเล็กที่ติดอยู่บนประตูได้แน่ จากนั้นก็เขย่งเท้าขึ้นไปจูบปิดปากที่เอาแต่เทศนาสั่งสอนแถมยังชอบขู่เขาไม่หยุด คีลชะงักไปอึดใจหนึ่ง หากวินาทีต่อมาชายหนุ่มก็พลิกร่างของเอลให้เป็นฝ่ายไปติดกับผนังด้านหลังแทน ก้มลงจูบอีกฝ่ายอย่างร้อนแรง พอใจกับเสียงครางกับมือที่เปะป่ายไปมาบนแผ่นหลังเขาอย่างหาที่พึ่ง

สมควรแล้ว อยากซ่ากับเขาดีนัก

"คีล" เอลเลียตว่าหลังจากที่คีลผละริมฝีปากออก นัยน์ตาสีฟ้าฉ่ำเยิ้มจนเขานึกอยากกดอีกฝ่ายลงตรงนี้จริงๆ "ผมล้อเล่นนะ อย่าส่งผมไปที่อื่นเลย ผมอยากอยู่ใกล้ๆ คุณ"

"งั้นก็ช่วยทำตัวดีๆ ด้วยครับ" พูดพร้อมกับกดจูบลงมาครั้งหนึ่ง "เชื่อฟังที่ผมพูดหน่อย"

"ทำไงได้ล่ะ" เอลว่าพร้อมกับกรีดนิ้วลงบนเนกไทอีกฝ่ายอย่างยั่วยวน "ผมชอบให้คุณทำโทษมากกว่านี่"

"พูดจาแบบนี้ มันน่าจับฟาดไหม"

"งั้นก็ยิ่งเข้าทางผมเลยสิ"

คีลก้มลงไปจูบเอลเลียตอีกครั้งหนึ่งอย่างหื่นกระหาย คนผมน้ำตาลรู้สึกได้ถึงความปรารถนาที่อีกฝ่ายมีต่อเขา เขาคิดว่าคีลจะหน้ามืดขนาดทึ้งเสื้อ้ผาเขาทิ้งแล้วจับเขาปล้ำตรงนี้แล้ว เหมือนตอนที่พวกเขามีเซ็กส์กันครั้งแรก... แต่ผลสุดท้ายชายหนุ่มก็ผละจูบออกอย่างอ้อยอิ่งราวกับเสียดายขนาดหนัก เอลเลียตก็เสียดายเหมือนกัน แต่เขาก็เอื้อมมือไปจัดแจงเสื้อผ้ากับผมเผ้าของตัวเองให้เข้าที่

จุดประสงค์ที่คีลลากเขามาในห้องนี้ก็เพื่ออบรมไม่ให้เขาทำตัวมีพิรุธจนคนอื่นจับได้ว่าพวกเขาคบกันอยู่แท้ๆ แต่ดูสภาพตอนนี้สิ เหมือนเพิ่งปลุกปล้ำกันมาสดๆ ร้อนๆ (ซึ่งก็ไม่ผิดซะทีเดียว) ไปๆ มาๆ จะน่าสงสัยกว่าเดิมอีก มันใช่เรื่องไหมเนี่ย

"งั้นแปลว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วใช่ไหมครับ"

"ครับผม" อยากจะแกล้งตอบกวนๆ อีกรอบหรอกนะ แต่กลัวว่าคืนนี้จะไม่ได้นอนเพราะโดนทำโทษทั้งคืน

เหมือนคีลจะรู้ทันความคิดนั้น ชายหนุ่มเลยทาบริมฝีปากลงบนหน้าผากอีกฝ่ายเป็นของรางวัลแทน ก่อนจะพูดยิ้มๆ "เด็กดีของผม"

...หน้าระเบิดอีกรอบ

มาหาแต่ว่าเขายั่วบ้าง อ่อยบ้าง ตัวเองก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไรนักหรอก!





ผ่านไปเกือบอีกหนึ่งสัปดาห์ที่เอลเลียตไม่จำเป็นต้องออกแรงอะไรมากมายนัก เพราะงานของคีลส่วนใหญ่คือการจัดการงานเอกสารแล้วก็เตรียมหลักฐานให้ฝั่งอัยการ ซักซ้อมเรื่องการขึ้นให้ปากคำบนชั้นศาลเสียเป็นส่วนใหญ่

ซึ่งเป็นส่วนที่เอลเลียตไม่เกี่ยว

“โอ๊ย ให้ตายเถอะ พระเอกเรื่องนี้แม่งทึ่มจริงๆ ” คนผมน้ำตาลว่าขณะหยิบคุกกี้ที่อยู่บนโต๊ะข้างๆ รีโมตเข้าปาก พูดไปเคี้ยวไปอย่างไม่เกรงใจสายสืบหนุ่มที่กำลังนั่งทำงานบนโต๊ะกินข้าวตลอดช่วงเย็นหลังเลิกงานกลับมา “นี่ คีล คุณได้ดูเรื่องนี้หรือยัง นางเอกสวยเซ็กซี่มาก แต่พระเอกไม่ได้เรื่องเลย แต่เนื้อเรื่องกับฉากบู๊ก็มันใช้ได้อยู่นะ”

“คุณไม่เห็นหรือไงว่าผมทำงานอยู่”

เอลเลียตชักสีหน้าเล็กน้อยเหมือนเด็กที่ไม่ได้ดั่งใจ ก่อนเจ้าตัวจะลุกไปหาคนผมดำที่ยังจ้องจอคอมไม่เลิก คีลไหวตัวเล็กน้อยเมื่อสัมผัสบางเบาแตะลงบนคอของเขา ไล้ลงต่ำเรื่อยๆ ไปถึงแผ่นอกขณะที่เจ้าของมือโน้มหน้าต่ำลงมาทำจมูกฟุดฟิดอยู่แถวหลังคอ

มันน่าจับกดเตียงไหม หรือจะเอาบนโต๊ะตรงนี้เลยดี

“เอล” พูดเสียงขู่นิดหนึ่ง เขาต้องสรุปรายงานตัวนี้ให้เสร็จภายในเที่ยงคืนวันนี้ เพราะเขาผัดงานนี้มาสองรอบแล้ว “อย่าซนครับ”

“เปล่าสักหน่อย คุณก็ทำงานของคุณไปสิ” แล้วเจ้าตัวก็เริ่มเล่นกับร่างกายเขาต่อ เยี่ยมเลย

คีลถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากใช้เวลาร่วมกับอีกฝ่ายหรอกนะ แต่เขาไม่ได้ว่างเหมือนเอลเลียตนี่ เอาเป็นว่ารีบทำเอกสารนี่ให้เสร็จแล้วค่อยคิดบัญชีรวดเดียวเลยน่าจะดีกว่า ตอนนี้ก็ปล่อยให้คนความอดทนต่ำระรื่นไปก่อน

ก็… ว่าจะทำอย่างนั้น

แต่อะไรคือการที่ไอ้ตัวแสบมุดเข้าไปใต้โต๊ะแล้วเริ่มซนอยู่แถวๆ ท่อนล่างของเขาเนี่ย

สะกดคำว่ายางอายเป็นไหม?

“เอล” คีลพูดด้วยน้ำเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์ อาจเป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงดีมากกว่า “นี่คุณคิดจะทำอะไร”

“อ้าว” เอลเลียตแกล้งพูดอย่างแปลกใจขณะดึงเข็มขัดอีกฝ่ายออก ปลดตะขอกางเกงแล้วเลื่อนซิปลง “ผมคิดว่าคุณไม่สนใจอีกซะอีกว่าผมจะทำอะไร กำลังทำงานอยู่ไม่ใช่รึไง”

“นี่คุณงอนผมอยู่เหรอ? ”

“เปล่า” เอลเลียตว่าพร้อมกับโผล่หัวออกมาจากใต้โต๊ะแล้วส่งยิ้มให้ “ผมกำลังสนุกอยู่ต่างหาก จะบอกให้นะ ผมเป็นคนที่หาความสนุกใส่ตัวได้เสมอล่ะ”

“ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ครับ”

“งั้นก็เงียบปากแล้วทำงานไป ให้ผมหาความสนุกด้วยตัวเองต่อดีกว่า”

“...” ก็ไอ้แบบนั้นแหละที่น่ากลัวน่ะ แล้วไอ้ความสนุกของเอลนี่มันอะไร กวนเขาทำงานเหรอ ต้องใช่แน่ๆ และตอนนี้เขาก็เริ่มนึกสนุกไปกับหมอนี่แล้วสิ

ไม่ถึงห้านาทีต่อมา ของสำคัญของเขาก็เข้าไปอยู่ในโพรงปากร้อนของคนที่อยู่ใต้โต๊ะแล้วเรียบร้อย

คีลรู้สึกว่านี่เป็นโมเม้นต์ที่เอลเลียตวางแผนมานานแล้ว อาจจะก่อนหน้าที่จะได้เจอเขาด้วยซ้ำ เขาสงสัยว่าไอ้ตัวแสบได้ทำแบบนี้กับคนรักเก่าของตัวเองรึเปล่า มันจเรียกว่าอะไรล่ะ เล่นกิจกรรมทางเพศในหลากหลายรูปแบบงี้เหรอ คือไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบให้แฟนหนุ่มของตัวเองทำออรัลเซ็กส์ให้หรอกนะ แต่ต้องไม่ใช่ตอนที่เขากำลังตั้งใจทำงานอยู่แบบนี้สิ

“อือ…” และเขาก็อดใจตัวเองให้กลั้นเสียงเอาไว้ไม่ได้

ปลายนิ้วที่กดลงบนคีย์บอร์ดจนถึงเมื่อครู่หยุดลง ค้างเอาไว้ที่แป้นแบบนั้นขณะที่เอลเลียตรูดริมฝีปากเข้าออกซ้ำๆ เสียงจ๊วบจ๊าบของผิวเนื้อที่สัมผัสกันผสมกับน้ำเหนียวใสทำเอาคีลต้องยอมแพ้กับสิ่งที่อยู่ในหน้าจอแล้วก้มลงมาให้ความสนใจกับคนผมน้ำตาลที่กำลังหยอกล้อส่วนอ่อนไหวของเขาจนได้

“เอล” ชายหนุ่มเรียกชื่อคนรักเสียงแผ่วขณะไล้ปลายนิ้วไปทัดเส้นผมอ่อนนุ่มเข้ากับใบหูของเจ้าตัวอย่างรักใคร่ นัยน์ตาสีฟ้าเยิ้มฉ่ำช้อนขึ้นมามองเขาโดยที่ยังขยับปากและกวาดลิ้นร้อนด้านในอย่างช่ำชอง ใบหน้าแดงระเรื่อและร้อนไปหมด และเหมือนเจ้าตัวจะชอบใจไม่น้อยที่เบี่ยงเบนความสนใจของคีลมาเป็นของตัวเองได้

คนผมดำปล่อยให้ตัวเองครางออกมาอีกระลอกอย่างพึงพอใจขณะที่เอลเลียตเร่งจังหวะมากขึ้น เขาแหงนหน้าไปด้านหลัง ขยุ้มเส้นผมสีน้ำตาลของคนด้านล่าง กดหลังคอของเจ้าตัวแรงขึ้นขณะที่ปล่อยให้ของเหลวขุ่นทะลักภายในโพรงปากและลำคอของคนด้านล่าง

เอลเลียตหอบหายใจระรัวหลังจากที่คีลยอมคลายมือที่ยึดคอเขาเอาไว้ ริมฝีปากคู่สวยเผยอออก เผยให้เห็นน้ำกามที่คนด้านบนเพิ่งปลดปล่อยออกมาด้านใน คีลเลื่อนมือไปลูบแก้มเนียนของคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างอ่อนโยน หัวแม่โป้งเลื่อนไปปิดปากเจ้าตัวเป็นเชิงบังคับให้เอลเลียตกลืนทั้งหมดนั่นลงไป และเขาก็กลืนลงไปจริงๆ

เขาชอบเวลาที่คีลลูบหัวหรือสัมผัสตัวเขาอย่างรักใคร่ราวกับต้องการให้รางวัลหลังจากเสร็จกิจ มือหนาดึงแขนเขาให้ลุกขึ้นไปนั่งคร่อมบนตัวอีกฝ่าย คีลซุกใบหน้าลงบนแผ่นอกของคนรัก สูดกลิ่นกายของเจ้าตัวผ่านเนื้อผ้าบาง ดึงขอบกางเกงยางยืดด้านหลังให้มันดีดกลับไปกระทบผิวเนื้อของเอลแรงๆ ทีหนึ่งให้ชายหนุ่มสะดุ้งเล่น จากนั้นก็ล้วงมือลงไปคลึงก้อนเนื้อแน่นหนั่น ฟังเสียงครางหวานๆ ที่อยู่ข้างหูเขาอย่างพึงใจ

“คีล” เอลเลียตว่าก่อนจะไซร้หน้าลงบนซอกคออีกฝ่าย ยกสะโพกขึ้นเพื่อให้มือหนาเลื่อนกางเกงเขาลงต่ำได้ง่ายขึ้น “คีล ผมรักคุณ”

คนผมดำแอบสงสัยในใจเงียบๆ ว่าเอลเลียตพูดอย่างนี้กับทุกคนที่มีเซ็กส์ด้วยไหม แต่ต่อให้เป็นแบบนั้น เขาก็ยังมีความสุขกับคำบอกรักง่ายๆ นั่นอยู่ดี

เอลเลียตลงมาจูบปากเขาอย่างดูดดื่มและโหยหา คีลรู้ดีว่าอีกฝ่ายชอบจูบยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เขาเลื่อนนิ้วลงไปเบิกทางด้านหลังของเจ้าตัว สอดนิ้วลงไปสัมผัสทางแคบนุ่มอุ่นที่เขาผ่านเข้าออกมานักต่อนัก และมันก็เรียกเสียงครางในลำคอจากเอลเลียตได้อีกระลอกเหมือนเดิม

หลังจากนั้นคนที่คร่อมอยู่ด้านบนก็เป็นคนจัดการทุกอย่าง ตั้งแต่ลูบไล้แก่นกายของเขาอย่างหลงใหล สอดใส่ แล้วก็ขยับสะโพกขึ้นลงเพื่อเติมเต็มความปรารถนาทั้งของตัวเองและของคีล

เอลเลียตจูบกับคนผมดำแทบจะตลอดกิจกรรมบนเก้าอี้นั่น เขาไม่เคยหลงใหลการจูบกับใครได้เท่านี้มาก่อน ไม่รู้ว่าทำไม บางครั้งคีลไม่ได้พยายามอะไรด้วยซ้ำ มีแค่เขาที่ล่วงล้ำเข้าไปในโพรงปากของร่างสูงที่อยู่นิ่งๆ ยอมให้ลิ้นร้อนชอนไชไปตามแนวฟันกับเพดานปากราวกับนักสำรวจที่พยายามค้นหาความอัศจรรย์ภายในนั้น ก็คงเหมือนเวลาที่เขาชอบสำรวจร่างกายอีกฝ่ายนั่นแหละ ถือว่าเสมอกันใช้ได้

ร่างที่คร่อมอยู่บนตัวเขากระตุกเฮือกหนึ่งก่อนจะปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นลงบนหน้าท้อง คีลมองคนรักของตัวเองที่ยังหอบหายใจถี่ หน้าแดงระเรื่อ มือยึดบ่าของเขาแน่นระหว่างมองน้ำหนืดๆ ที่อยู่บนผิวเนื้อเพราะคีลถอดเสื้อออกไปเตรียมไว้อยู่แล้วว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ นัยน์ตาสีีน้ำตาลเหลือบมองแล็ปท็อปของตัวเองนิดหนึ่ง อีกไม่กี่บรรทัดเขาก็ส่งไฟล์งานนี่ให้บอสได้อยู่แล้ว เขาสงสัยว่าเอลจะยอมให้เขาทำงานให้เสร็จจริงๆ ไหม

“อยากทำต่อเหรอครับ” เอลเลียตมองตามสายตาของคีลไปแล้วเชยคางอีกฝ่ายให้หันมามองตัวเอง “อยากทำอันไหนต่อ? ”

“ผมเหลืออีกแค่ไม่กี่บรรทัดเอง”

“แล้วหลังจากนั้นจะเป็นเวลาของผมใช่ไหม”

คีลยกยิ้มมุมปาก “ต่อให้ไม่ใช่ คุณก็มาปล้นมันไปอยู่ดี”

“นั่นงานถนัดผมเลย”

“ขอห้านาทีได้ไหมครับ”

“คุณเพิ่งเสร็จไปรอบเดียวเองนะ ตอนที่ผมใช้ปากทำให้น่ะ”

“คืนนี้ยังอีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะรุ่งสาง”

“งั้นคุณทำธุระของคุณไป ผมจะทำธุระของตัวเอง”

สรุปก็คือไม่ว่ายังไงก็จะไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ สินะ

ต้องใช้ความพยายามไม่น้อยในการเรียบเรียงประโยคสองบรรทัดสุดท้ายนั่นให้เสร็จเพราะเอลเลียตขยับสะโพกขึ้นลงบนตัวเขาไม่หยุด แถมยังปั่นหัวกันด้วยเสียงครางกระเส่าอย่างสุขสมในอารมณ์ด้วยตัวเองแบบนั้น คือนอกจากจะต้องพิมพ์แบบทุลักทุเลแล้วยังต้องมาปวดหัวกับไอ้ตัวแสบตรงหน้าอีก

เพราะฉะนั้น ทันทีที่คีลเคาะจุดฟูลสต็อปสุดท้ายในรายงานฉบับนั้น เลื่อนเมาส์แพดกดส่งไฟล์ให้บอสเรียบร้อย เจ้าตัวก็กระชากคนบนตักไปที่โซฟาแล้วบรรเลงบทรักที่คั่งค้างไว้อยู่ราวกับอัดอั้นมานาน เอลเลียตอุทานอย่างตกใจในตอนแรก ทำท่าจะถดหนีเพราะไม่ทันตั้งตัวกับจังหวะที่เร็วและแรงขึ้นกะทันหัน แต่พอคีลก้มหน้าลงมาจูบปิดปากเขาเท่านั้นแหละ ให้ทำอะไรเขาก็ยอมแล้ว

เอลเลียตปล่อยให้คีลเสร็จในตัวเขาโดยไม่มีถุงยางรอบนี้ และมันให้ความรู้สึกวาบหวามชวนให้เสียสติสุดๆ แม้แต่ตอนที่อีกฝ่ายถอนตัวออกไป เขาดึงแขนคนด้านบนที่ทำท่าจะผละลุกขึ้นให้ล้มลงมาจูบปากเขาอีกรอบ แล้วก็อีกรอบ ตอนนี้ชักจินตนาการไม่ออกแล้วว่าถ้าขาดจูบของคีลไปเขาจะเป็นยังไง

ร่างสูงแถมจูบบนแก้มกับหน้าผากตบท้ายให้เป็นของรางวัล นั่นแหละเอลเลียตถึงได้ยอมปล่อยให้เขาลุกขึ้น และสิ่งแรกที่คีลทำหลังจากเซ็กส์แบบจานด่วนคือตรวจงานที่เขาเพิ่งส่งไปว่าเรียบร้อยดีไหม โชคดีที่หัวหน้าของเขาตอบกลับมาหลังจากที่เขาส่งงานไปไม่กี่วินาที เป็นเชิงว่ารอรายงานตัวนี้จากเขาอยู่แล้ว และอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาว่าไม่มีปัญหาอะไร ยอดเยี่ยมมาก ทีนี้เขาจะได้ไปอาบน้ำแล้วก็นอนพักให้เต็มอิ่มสักที

“คีล” ไอ้นักโทษตัวแสบตะโกนเรียกขณะที่เขาหยิบเสื้อเชิ้ตขึ้นมาจากพื้น “เราจะทำกันอีกไหม แบบว่า บนเตียงอะไรงี้”

“คุณไปกินเนื้อม้ามารึยังไง” ทำไมถึงได้คึกนัก อ้อ ใช่สิ มันไม่ต้องวิ่งเต้นงานจนสายตัวแทบขาดเหมือนเขานี่หว่า

“แค่ถามดู แต่ถ้าที่รักเหนื่อยผมยอมให้พักคืนหนึ่งก็ได้”

“นี่เรียกว่าให้พักแล้วเหรอครับ” ถามกลับยิ้มๆ เอลเลียตโผล่หัวขึ้นมาจากโซฟา เส้นผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิงที่ชี้ไปคนละทางเพราะกิจกรรมเมื่อครู่ดูน่ามองแปลกๆ

“ก็มีเซ็กส์กับคุณมันสนุกดีนี่”

“แน่นอนล่ะเรื่องนั้น” พูดพลางเดินไปโยนเสื้อผ้าใช้แล้วใส่ตะกร้า หยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมาถือ “งั้นผมไปอาบน้ำก่อนนะ คุณเองก็เตรียมอ่านแฟ้มคดีต่อไปเตรียมไว้ได้แล้ว พรุ่งนี้เราจะมีประชุมกัน”

“ครับผม รับทราบแล้วครับ ไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวค่อยออกมาคุยกัน”

เอลเลียตมองตามแผ่นหลังเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายจนคีลปิดประตูห้องน้ำ เขารอจนกระทั่งแน่ใจว่าได้ยินเสียงน้ำไหลอย่างต่อเนื่อง จากนั้นจึงเข้าไปในห้องที่ถูกกันไว้ส่วนของตัวเอง หยิบโทรศัพท์แบบใช้แล้วทิ้งเครื่องใหม่ที่เขาเพิ่งซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อช่วงบ่ายวันนี้ที่คีลวิ่งวุ่นไม่หยุด มือกำลังจะกดตัวเลขที่ท่องจำได้ขึ้นใจ เพราะหลังจากวันนั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่ได้ติดต่อลีโอเลย ไม่รู้ว่าป่านนี้หมอนั่นได้พาสปอร์ตปลอมๆ ของเขามารึยัง แต่แทนที่เขาจะเร่งรีบต่อสายหาชายคนนั้น นิ้วเรียวของเจ้าตัวกลับชะงักลงอย่างชั่งใจ

เอลเลียตเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น รู้ดีว่าตอนนี้ตัวเองกำลังสับสนเรื่องอะไร

เรื่องของคีล

เขาปล่อยตัวปล่อยใจให้ถลำลึกมากเกินไป ในเวลาไม่กี่วันเท่านั้น

ตอนแรก เขายอมรับว่าอยากจะนอนกับหมอนั่น แล้วก็พยายามบอกตัวเองว่าแค่นอนด้วยกัน ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน ต่างฝ่ายต่างก็ตักตวงความสุขจากกันและกัน คอนเซปต์แบบวันไนท์แสตนด์ หรือแม้แต่ตอนที่เขาบอกรักคีลด้วยลมปาก ชายหนุ่มก็ยังบอกกับตัวเองในใจว่ามันก็แค่คำพูดลอยๆ

เรื่องระหว่างเขาสองคนไม่มีทางเป็นจริงได้อยู่แล้ว เหมือนคนสองคนที่อยู่กันคนละโลกแล้วบังเอิญโคจรมาเจอกัน ใช้เวลาร่วมกันสั้นๆ จากนั้นก็แยกย้ายกันไป เขาคิดว่าลีโอคงมีแนวคิดแบบนี้เหมือนกัน ชอบก็เอา เบื่อก็พอ อยู่ด้วยกันแล้วลำบากก็ปล่อย เพราะแบบนี้พวกเขาถึงยังคุยกันอยู่ได้แม้ว่าจะเจอเรื่องกระทบกระทั่งมากมายระหว่างกันก็ตาม

แต่ทุกอย่างมันผิดเพี้ยนไปหมดตั้งแต่ตอนที่คีลพูดว่ารักเขาเหมือนกัน

ที่แย่ไปกว่านั้นคือ… หมอนั่นดันแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าหมายความตามนั้นจริงๆ

เอลเลียตยกโทรศัพท์ขึ้นแตะปากอย่างสับสน จากนั้นก็เริ่มกัดเล็บอย่างไม่ทันรู้ตัว

แต่ถ้าเขาไม่รีบโทรหาลีโอตอนนี้ อีกไม่กี่นาทีคีลต้องออกมาจากห้องน้ำแน่ และเนื่องจากสถานะของพวกเขาสองคนตอนนี้ทำให้เอลเลียตแทบไม่มีเวลาอยู่คนเดียวในตอนกลางคืนเลย เขาอาจจะแอบย่องออกมาตอนที่ร่างสูงหลับไปแล้วก็ได้ แต่จากที่ได้นอนด้วยกันมาหลายคืนชายหนุ่มก็รู้แล้วว่าคีลเป็นคนรู้ตัวเร็ว แค่เขาขยับเปลี่ยนท่านอนนิดเดียวก็ปลุกหมอนั่นได้แล้ว เขาไม่กล้าเสี่ยงโทรหาลีโอกลางดึกแบบนั้นหรอก

แต่… แต่ถ้าเขาโทรหาหมอนั่น ถ้าเขาจำเป็นต้องออกจากอเมริกาพร้อมกับเงินแสนห้า เขาเคยห่วงเรื่องเงินก่อนหน้านี้ แต่จริงๆ แล้วแสนห้าก็พอจะช่วยให้เขาเอาตัวรอดได้ และเขาคงหาวิธีหาเงินได้ใหม่ แม้จะเสี่ยงกับการส่งกลับมาที่ยูเอสบ้าง แต่ใช่ว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้เลย

มีแค่อย่างเดียวที่กำลังรั้งเขาไว้อยู่ที่นี่

ไม่ได้รั้งร่างกายของเขา แต่เป็นจิตใจของเขาต่างหาก

อย่างี่เง่าไปหน่อยเลย เอล เสียงหนึ่งในใจพยายามตะโกน นายไม่ได้รักหมอนั่นจริงๆ หรอก ก็แค่รู้สึกดีด้วยแบบชั่วคราว เดี๋ยวพอสถานการณ์มันบีบ นายก็ลืมไอ้ตำรวจคนนั้นได้เอง แต่ถ้านายไม่รีบหนีตอนนี้แล้วปล่อยให้ตัวเองถลำลึกลงไปล่ะก็ ถึงตอนนั้นล่ะลำบากของจริงแน่

ทำไงดี

จะทำไงดี

เอลเลียตไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะมาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่างการเอาตัวรอดกับ เอ่อ อะไรก็ตามที่ใกล้เคียงกับความรัก มั้ง?

ประเด็นคือเขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่านี่มันใช่ความรักรึเปล่า ผู้คนนิยามความรักเอาไว้แบบนี้เหรอ? แล้วยังไง ถ้าเขาต้องเอาตัวรอด แล้วถ้าเขาไม่หนีตอนนี้ เขาจะมีโอกาสอีกไหม หรืออย่างน้อย ถ้าเขาไม่โทรหาลีโอตอนนี้ เขาจะมีโอกาสหาทางเอาบาร์โค้ดโง่ๆ ออกจากข้อเท้าอีกไหม

แต่ถ้าเขาโทรหาลีโอตอนนี้แล้วจำเป็นต้องเคลื่อนไหวทุกอย่างทันที

แล้ว… คีล…

เพราะมัวแต่คิดมากเรื่องพวกนี้ ทันทีที่เสียงฝีเท้าของใครอีกคนดังขึ้นพอจะให้เขาได้ยิน มันก็ใกล้จนเกือบจะถึงห้องที่เขาอยู่แล้ว

เอลเลียตตัวชาวาบด้วยความตกใจ ก้มลงมองโทรศัพท์ในมือ เร็วเท้าความคิด ชายหนุ่มยัดมันใส่ปลอกหมอนที่อยู่บนเตียงตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็ว วินาทีที่เขายืดตัวแล้วหันกลับมา ร่างสูงที่อยู่ในอพาร์ทเม้นท์เดียวกันกับเขาก็เปิดประตูห้องเข้ามาแล้ว

คีลอยู่ในชุดเตรียมนอน ผ้าขนหนูผืนเล็กสีขาวสำหรับเช็ดผมพาดอยู่บนบ่า เส้นผมสีดำเปียกชื้นลู่ลงเล็กน้อย ถ้าเป็นเวลาปกติ เอลคงรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูดีจนโผเข้าไปกอดอย่างรวดเร็วแล้ว หากเพราะชายหนุ่มมีชนักติดหลัง แถมนัยน์ตาสีน้ำตาลที่มองมาทางเขาก็ยังดูเย็นชาแบบแปลกๆ เอลเลียตหวังว่าเขาจะแค่คิดไปเองในเรื่องนั้น แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคีลกำลังไม่ไว้ใจในสิ่งที่เขาทำอยู่แน่

“อยู่นี่เอง เอล” สายสืบหนุ่มเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาในที่สุด “ผมไปที่ห้องนั่งเล่นมาแต่เห็นคุณไม่อยู่ ไปห้องตัวเองก็ไม่เจอ” ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะปกติเอลจะไปนอนที่ห้องของคีลเป็นประจำหลังจากคืนแรกที่พวกเขานอนด้วยกัน “ที่แท้มาอยู่ห้องนี้เอง มาทำอะไรครับเนี่ย”

“เอ่อ ก็ เอาของนิดหน่อย” เจ้าตัวอึกอัก และรู้ดีว่าไม่เนียน ยิ่งมีสายตาคมๆ จ้องเขาเหมือนจะตอกย้ำแบบนั้นแล้วด้วย เอลเลียตได้แต่ยักไหล่แล้วเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า “มีเสื้อตัวหนึ่งที่นึกอยากจะใส่ขึ้นมาเฉยๆ แบบ เสื้อตัวโปรดอะไรพวกนั้น คุณไม่มีบ้างรึไง”

เขาไม่กล้าสู้หน้าอีกฝ่ายเลยเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับกระเป๋าในตู้เสื้อผ้าตัวเองแบบนั้น แล้วเอลเลียตก็ต้องสะดุ้งเมื่อคีลก้าวมาประชิดตัวแล้วกอดเขาไว้จากด้านหลัง กลิ่นแชมพูอ่อนๆ ลอยมาแตะจมูกเป็นอย่างแรก ใบหน้าคมวางลงบนบ่า เขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดลงมา เอลเลียตรู้สึกเหมือนตัวเองลืมหายใจไปชั่วจังหวะหนึ่ง

“คุณก็รู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนโกหกไม่เก่ง”

เอลเลียตหน้าร้อนขึ้นด้วยความอับอาย คีลรู้ว่าเขาโกหก แต่ยังไม่รู้ว่าอะไรคือความจริง

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณคิดจะทำอะไร บางทีคุณคงคิดที่จะหนี” พูดพลางกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น “แต่ผมขอร้องได้ไหม อย่าทำแบบนั้นเลย เรามาทำทุกอย่างให้มันถูกต้องกันเถอะ ผมรู้ว่าคุณทำได้”

ทำทุกอย่างให้มันถูกต้องเหรอ

คนผมน้ำตาลยังรู้สึกละอายเกินกว่าจะหันไปสบตากับคนด้านหลัง

ทุกอย่างมันผิดพลาดตั้งแต่ความรู้สึกของพวกเขาสองคนก่อตัวขึ้นมาแล้วล่ะ






-------------------------------------------------------

Tip1 เรื่องที่ไม่ต้องรู้เกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ก็ได้: ที่พระเอกชื่อคีลก็เพราะจะได้เข้ากับ Kill ซึ่งเป็นชื่อเรื่อง แล้วบวก me (เอลเลียต) เข้าไปอีก คือเป็นอะไรที่ก๊าวมาก ถถถถถถ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-10-2017 19:08:20 โดย Airiณ »

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

//ขอตอบเม้นรวบยอดตรงนี้เลยนะคะ นานๆ ทีก็อยากคุยกับคนอ่านบ้างอะไรบ้าง รักทุกคน ม้วฟ :mew1:


มันง่ายไปอะ เหมือนเป็นแผนเค้นความลับของคีล

เอาตรงๆเราไม่เชื่อใจคีลเลย  :ling3:

คีลไม่ได้หลอกเอลเลียตหรอกใช่มั้ย...

กลัวใจคีลอะ มันดูง่ายไป  :m28: :m28:

กลัวใจกับคีลจริงๆกลัวมาหลอกเอาข้อมูล :katai1:

เหย ใช่เหรอ คิดไปเองป่าว เค้าอาจจะรักกันจริงๆ ก็ด้ายยยย ถถถถถถ

สนุกทุกเรื่องที่แต่งเลยค่ะ ติดมากค่ะะะ ต่อบ่อยๆนะคะ  :katai2-1:

ขอบคุณมากค่าาา ฝากติดตามต่อไปด้วยนะ อิอิ  :pig4:

ทำไมคนอื่นกลัวคีล แต่เรากลัวใจเอลเลียตอ่ะ 5555 คีลจะหลอกถามอะไรในเมื่อใจก็ไม่คิดว่าต้องพึ่งเอลเลียตอยู่แล้วแต่แรก แถมหลอกถามปกติก็ได้ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ แต่เอลเลียตดูเป็นคนที่ถ้าถึงเวลาก็คงต้องเอาตัวเองรอดก่อน พร้อมหนีมากๆ สนุกมากกก จะลุ้นต่อไปค่ะะ

เนอะ มีแต่คนกลัวคีล เราว่าเอลเลียตน่ากลัวกว่า 555555 ดีใจที่ชอบนะคะ ยังไงก็ฝากติดตามต่อด้วยน้า >3<


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
เราวิเคราะห์ผิดเองสินะ ตอนแรกนึกว่าคีลจะหลอกซะอีก สรุปคีลจริงจังจริงๆใช่มั้ย

ออฟไลน์ mirage

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
ตามความคิดเราชื่อเรื่องนี่หมายความว่าหลังจากจูบหรือตื๊ดๆ ประมาณความรู้สึกที่มัดเอลไว้หรือเปล่า สุดท้ายเอลจะเป็นไรไหม เอาตามตรงไม่ไว้ใจคีลเลย เหมือนทำเพื่อการสืบสวนมากกว่า ทำนองว่ายอมทำทุกอย่างเพื่อให้งานนี้จบอย่างสวยงามหรือเปล่า ไม่ไว้ใจตั้งแต่ชื่อเรื่องละ 555

ติดตามค่ะ
ตั้งแต่แฝดนรกเลย 555 ชอบสำนวนการบรรยายมาก
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
เส้นทางจะมาบรรจบกันได้มั้ยนะ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ baibuabuaz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ขอโทษค่ะคุณคีล สรุปต้องระแวงเอลสินะ 5555555555555

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ bmine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
งงตัวเองมากๆเลยค่ะ พอมาอ่านตอนล่าสุดกลับไประแวงคีลทั้งที่ตอนก่อนหน้าระแวงเอลเลียต แถมตอนนี้เป็นเอลเลียตด้วยที่ดูไม่น่าไว้ใจ 55555 เพราะเห็นว่าเพิ่งคบกันแค่นี้ เอลเลียตก็ดูใจอ่อนซะแล้ว ถ้าปกติก็คงต้องโทรแล้วแบบไม่ลังเล นี่อาจจะเป็นแผนล่อจับอดัมของคีลรึเปล่า งือออ ไม่รู้แล้ว รออ่านต่อค่ะ 555555

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
หวังว่าคีลจะไม่หลอกนะ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
บทที่ 8



คีลเปิดประตูลงจากรถพร้อมกับก้าวเท้าผ่านทีมเก็บภาพถ่ายและหลักฐานในที่เกิดเหตุที่เดินมาถึงก่อนหน้าพวกเขา เอลเลียตที่ก้าวเท้าลงมาทีหลังลัดเลาะผ่านเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ แถมยังทะเล้นพอที่จะหันหน้าไปโบกมือทักทายสาวสวยหน้าตาจิ้มลิ้มที่มองอย่างทึ่งๆ ตอนเห็นคีลเดินผ่านไป แล้วก็ดูเหมือนจะยังทึ่งไม่หายตอนที่เห็นชายหนุ่มผมน้ำตาลไม่มีออร่าหรือท่าทางของคนเป็นตำรวจเลยแม้แต่นิดเดียวตามมาติดๆ

เอลเลียตรู้ว่าสาวน้อยคิดอะไรอยู่ในใจ คงจะกำลังคิดว่า ‘โอ้ พระเจ้า ฉันนี่โชคดีจริงๆ ที่ได้เจอหนุ่มหล่อตั้งสองคนแบบนี้’

แต่เสียใจด้วยนะแม่สาวน้อย เพราะคนแรกน่ะเป็นของเขา ส่วนตัวเขา… อยากมองเท่าไรก็มองไปเถอะ ไม่หวง แต่อย่ามองสายสืบวิลล์นานเกินความจำเป็นนักแล้วกัน เพราะเขาต้องไม่ชอบใจแน่

“สวัสดีครับ คุณสายสืบ ผมกำลังรอคุณอยู่เลย” เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งพูดกับผู้คุมจำเป็นของเขาดังขึ้นตอนที่เอลเลียตก้าวเท้าเข้าไปในตัวบ้านเดี่ยวสองชั้นซึ่งตั้งอยู่ในย่านชนชั้นกลาง ไม่รวยไม่จน ข้างในบ้านก็บ่งบอกเรื่องนั้นเหมือนกันเมื่อกวาดตาดูสิ่งของภายใน

“คีล วิลล์ครับ ดีใจที่ได้เจอคุณตัวเป็นๆ สักที ส่วนนี่… เอลเลียต เทย์เลอร์ ตามที่ผมเคยเล่าให้ฟัง”

“ไซม่อน แมคแนร์ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” พูดพร้อมกับเขย่ามือกับทั้งสองคน เอลเลียตรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่คอยประสานงานกับทีมของคีลมาตลอด เพียงแต่ผ่านทางแฟ้มคดี โทรศัพท์มือถือ แล้วก็อินเทอร์เน็ตเท่านั้น เพิ่งจะได้มาเจอกันแบบตัวต่อตัวครั้งแรกเพราะแมคแนร์ค้นพบอะไรที่สำคัญกับรูปคดีที่เขาอยู่อย่างมาก

หนึ่งในผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งที่คาดว่าอยู่ในกลุ่มปล้นธนาคารถูกฆ่าตาย

แล้วว่ากันตามตรง เอลเลียตเกลียดเลือดและศพคนตายมาก แต่ที่เขายังทำระรื่นอยู่เพราะต้องการกลบเกลื่อนความรู้สึกหวั่นๆ ที่อยู่ในอกนี่ต่างหาก

ความเป็นจริงก็คือ เขาไม่อยากมาเลย แต่คีลก็ยังดึงดันว่าเขาต้องมาเพราะนี่เป็นคดีของเขาเหมือนกัน และที่เขาได้ออกมาลั้ลลาอยู่ข้างนอกได้ก็เพราะคดีพวกนี้ เอลเลียตเองก็รู้ตัวว่าต่อให้ไม่อยากเผชิญหน้ากับคนตายแค่ไหน แต่ยังไงเขาก็ต้องมา

เอลเลียตไม่สนใจสิ่งที่แมคแนร์กับแฟนหนุ่มเขาพูดคุยกันเรื่องภูมิหลังของผู้ตาย เขาก้าวเข้าไปมองร่างที่ยังนอนคว่ำกับพื้นโดยมีเลือดจำนวนหนึ่งแข็งตัวอยู่บนพรม มีเจ้าหน้าที่อีกคนกำลังถ่ายรูปศพ ดูเหมือนว่าผู้ตายจะเสียชีวิตจากการโดนไม้กอล์ฟฟาดเข้าที่ท้ายทอย กลิ่นของร่างที่ไร้วิญญาณนั่นทำเอาเอลเลียตอยากจะอาเจียนออกมา และไม่ต้องเสียเวลาคิดหรือลังเลเลย ทันทีที่เขาได้เห็นร่างที่ตายไปแล้วเพียงเสี้ยววินาที เขาก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้คือเจคอบ โอคอนเนล อดีตหนึ่งในทีมของเขาตอนที่ลงมือปล้นครั้งที่สองไม่ผิดแน่

แล้วหมอนี่… ก็ตายแล้ว

ไอ้ฉิบหายเอ๊ย

“ผู้ตายคือเจมส์ สมิธทำอาชีพเป็นพนักงานบริษัททางด้านการมาร์เกตติ้ง การโฆษณา ผู้พบศพคือแม่บ้านที่เข้ามาทำความสะอาดที่เจ้าตัวได้จ้างเอาไว้ให้มาทุกสัปดาห์”

เสียงนั้นแว่วมาให้ได้ยินทำให้เอลเลียตรู้ว่าอีกฝ่ายปกปิดชื่อจริงเอาไว้ในฉากหน้า หรือไม่งั้นนี่ก็คือชื่อจริงของเจ้าตัว แล้วชื่อเจคอบเป็นชื่อหน้าฉากของโลกอีกฝั่ง ไม่ว่าอันไหนจะเป็นชื่อจริงก็ไม่สำคัญหรอก

เอลเลียตยกมือกัดเล็บอย่างเผลอตัวขณะคิดถึงความเป็นไปได้ว่าใครเป็นคนฆ่าเจคอบ เขาไม่ได้รู้จักผู้ชายคนนี้เป็นการส่วนตัว แม้แต่ตอนลงมือก่ออาชญากรรมด้วยกันก็อยู่กันละทีม ไม่ได้ติดต่อกันโดยตรง แต่ถ้าฟังจากข้อมูลที่เอฟบีไอว่าหมอนี่เป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญของคดีปล้นธนาคารมากกว่าสามครั้ง

โดนสั่งเก็บงั้นเหรอ… คนคนนั้นสั่งเก็บหมอนี้งั้นเหรอ

ไม่หรอก ถ้าเป็นคนคนนั้น เขาจะไม่น่าจะใช้วิธีเอาไม้กอล์ฟฟาดหัว มันยุ่งยากวุ่นวายเกินความจำเป็น และนักฆ่าที่ที่คนคนนั้นใช้คงไม่ใช้วิธีการนี้

แปลว่าฆาตกรเป็นคนอื่น… ถ้าหมอนี่เพิ่งทำงานใหญ่มาและมีเงินก้อนก็คงหนีไม่พ้นเรื่องผลประโยชน์ ก่อนอื่นก็ต้องหาเงินให้เจอ ฆาตกรอาจจะเอาไปแล้ว หรือไม่ก็ยังก็ได้

“ดูเหมือนหมอนี่น่าจะขัดแย้งเรื่องเงินกับคนในทีมนะ”

คำพูดที่เหมือนได้ยินเสียงในหัวทำให้เอลเลียตหันกลับไปมองต้นเสียงด้วยความตกใจ คนพูดเป็นชายหนุ่มที่มากับเจ้าหน้าที่แมคแนร์แต่ไม่มีลักษณะเหมือนเจ้าหน้าที่หรือตำรวจคนอื่นๆ เลย เหมือนเขาเป็นคนนอกมากกว่า เขามีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนดูยุ่งเหยิงบนหัว นัยน์ตาสีฟ้าพราวระยับที่เหมือนเห็นขันกับทุกสรรพสิ่งรอบตัวแม้ว่าจะเป็นบ้านที่มีเพิ่งมีคนตายก็ตาม

“ทำไมนายถึงคิดแบบนั้น” แมคแนร์ถามกลับอย่างฉงน ก่อนจะรีบแนะนำตัวชายคนนี้กับคีลอย่างนึกขึ้นได้ “เอ่อ ขอโทษที่เสียมารยาทครับ หมอนี่ชื่อเฟรดเดอริค คัลเลน เป็นนักจิตวิทยาของทีมผมเอง เหมือนผู้ช่วยน่ะ”

เอลเลียตได้ยินคีลตอบรับและจับมือทำความรู้จักกับชายผมน้ำตาลคนนั้น และตอนนี้คัลเลนก็กำลังชี้ไม้ชี้มือไปที่แก้วไวน์สองใบซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะของห้องรับแขกพร้อมกับอธิบายข้อสันนิษฐานของตัวเองว่าผู้ตายจะต้องนั่งดื่มกับฆาตกรก่อนที่จะโดนไม้กอล์ฟฟาดหัวแน่ และเจมส์ สมิธคงไม่นั่งดื่มกับคนที่ไม่รู้จัก

เอลเลียตไม่คิดจะฟังอะไรต่อจากนั้น ข้อเท็จจริงที่ว่าอดีตเพื่อนร่วมทีมตายไปแล้วทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้ และเขาก็เกลียดเลือดกับร่างที่ไร้วิญญาณยิ่งกว่าอะไร แม้ว่าก่อนจะก้าวเข้ามาทำงานสายนี้เขาจะเตรียมใจไว้แล้วว่าตัวเองอาจจะมีจุดจบแบบนั้นด้วยซ้ำ แต่ถึงยังไงก็ยังรู้สึกรับไม่ได้อยู่ดี

ชายหนุ่มก้าวออกมาที่นอกตัวบ้าน สูดลมหายใจของอากาศบริสุทธิ์ภายนอกเข้าไปเต็มปอด ค่อยดีขึ้นหน่อย อยู่ในนั้นรู้สึกเวียนหัวเหมือนจะอาเจียนออกมาได้ตลอดเวลา

“คุณครับ”

เสียงเรียกของชายหนุ่มในเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ตำรวจทำให้เอลเลียตไหวตัวเล็กน้อยอย่างตกใจ ปกตินอกจากคนในทีมของคีลแล้วก็ไม่ค่อยมีใครมาทักเขาหรอก

“อะไรเหรอครับ?” ชายหนุ่มถามกลับ สะดุ้งตัวนิดหนึ่งมือหนาของเจ้าหน้าที่ร่างท้วมตะปบลงมาบนบ่า จากนั้นก็พูดเสียงเบาข้างหูเขา

“อดัมส์ฝากให้ติดต่อกลับ”

คนผมน้ำตาลหน้าซีดเผือดลงอย่างรวดเร็วราวกับว่าอีกฝ่ายเพิ่งประทุษร้ายร่างกายเขา เจ้าหน้าที่ปริศนาคนนั้นยังทำท่าทีเฉยเมยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปด้านในรวมกับเจ้าหน้าที่สืบสวนคนอื่นๆ

อดัมส์ฝากให้ติดต่อกลับ

เขาปล่อยให้เวลาผ่านมาเกินไปแล้วสินะ มาคิดดูอีกที นี่ก็เกือบสองอาทิตย์ตามที่ลีโอบอกเขาเรื่องจัดหาพาสปอร์ตให้แล้ว บางทีหมอนั่นอาจจะจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย และถึงเวลาที่เขาต้องไปแล้ว

แต่ถึงขั้นเอาคนในมากระซิบบอกเขาแบบนี้…

เอลเลียตสังหรณ์ใจไม่ดีเลย เหมือนกับอีกฝ่ายกำลังร้อนรนอะไรบางอย่าง และมันชักทำให้เขาร้อนรนตามขึ้นมาแล้ว

แล้วยิ่งต้องมาในวันที่เจคอบถูกพบว่าเป็นศพแบบนี้อีก

ต้องมีเรื่องไม่ดีอะไรแน่ๆ



คีลให้โจนาธาน หนึ่งในเพื่อนร่วมทีมของเขาคราวนี้ขับรถไปส่งเอลเลียตที่อพาร์ทเม้นต์ก่อนเพราะตัวเองติดพันกับการสืบสวนกับเจ้าหน้าที่เอฟบีไอพวกนั้น

อันที่จริงเอลเลียตควรจะต้องตามไปด้วยตามเงื่อนไขที่คีลเคยอ้าง แต่รอบนี้คีลบอกว่าเขากับแมคแนร์จะมุ่งเน้นไปทางคดีฆาตกรรมมากกว่า ประกอบกับการที่เอลเลียตอ้างว่ารู้สึกปวดหัวและอยากนอนพักสักหน่อย ทุกอย่างจึงประจวบเหมาะให้อาชญากรหนุ่มผู้พ้นโทษชั่วคราวกลับมาที่ห้องพักย่านชานเมืองในเวลาราวๆ ทุ่มเศษ

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีนะ? เทย์เลอร์” โจนาธานว่าหลังจากที่พาตัวชายหนุ่มมาส่งถึงในห้องตามการไหว้วานของเพื่อน “ที่ว่าปวดหัวอาการดีขึ้นรึยัง ให้ผมลงไปซื้อยามาให้ดีกว่าไหม”

เอลเลียตวางถุงกับข้าวที่เขาขอให้โจนาธานแวะซื้อที่ร้านอาหารจีนแห่งหนึ่งซึ่งเป็นทางผ่านลงบนโต๊ะ เขาซื้อกล่องหนึ่งมาเผื่อคีลด้วย ถึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะกินก่อนกลับมารึเปล่าก็ตาม แต่ถ้าหมอนั่นไม่ได้กินแล้วกลับมาไม่มีอะไรคงน่าสงสารน่าดู จากนั้นเจ้าตัวก็โบกมือขึ้นในอากาศเป็นเชิงปฏิเสธ

“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวกินข้าวแล้วเข้านอนเลยก็คงหาย”

“งั้นพักเยอะๆ นะครับ ผมขอตัวกลับไปเคลียร์งานก่อน”

เอลเลียตบอกลาคนตรงหน้า และเมื่อเจ้าตัวเดินออกจากห้องไปชายหนุ่มก็เดินไปแกะกล่องอาหารใส่จานด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขารอจนกระทั่งแน่ใจว่าโจนาธานจากไปแล้วจริงๆ และไม่มีใครคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของเขาแบบประชิดตัวแล้วตอนนี้ เอลเลียตก็พุ่งพรวดไปที่ห้องนอนของตัวเองแล้วคว้าเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ของลีโอทันที

นัยน์ตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่างที่ตอนนี้ถูกย้อมด้วยสีดำของยามค่ำคืน เสียงการจราจรจากเบื้องล่างลอยมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ บ่งบอกให้รู้ว่าเมืองที่เขาอยู่นั้นไม่เงียบเหงา

ชายหนุ่มรู้สึกว่าอุ้งมือชื้นเหงื่อขึ้นด้วยลางสังหรณ์ในเชิงลบที่เขารู้สึกมาตั้งแต่เมื่อตอนกลางวัน

“สวัสดีครับ” ปลายสายกรอกเสียงลงมาหลังจากที่กริ่งดังเป็นครั้งที่สี่ เอลเลียตรีบเรียชื่ออีกฝ่ายทันทีด้วยความร้อนรน

“ลีโอ”

“ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกชื่อฉัน”

“นายให้ตำรวจคนนั้นมาหาฉัน”

“ใช่สิ ก็นายแม่งหายหัวไปไหนไม่รู้ ช่องทางติดต่ออะไรก็ไม่บอก”

“มันไม่เสี่ยงไปหน่อยหรือไง”

“เหอะ” ปลายสายกระแทกเสียง และมันทำให้เอลเลียตเริ่มกลัวจริงๆ ในหัวคิดเร็วจี๋ว่าเขาทำอะไรพลาดไปตรงไหนรึเปล่า “นายแม่งไม่ได้รู้ตัวอะไรเลยว่าตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากขนาดไหน เอล”

“อ้าว เราพูดชื่อกันได้แล้วเหรอ” ถึงจะใจแกว่งก็ยังมิวายจะกวนประสาท

“นายบอกว่านายจะทิ้งแจ็ค พอร์เตอร์” อีกฝ่ายพูดเสียงเครียด “แต่ไม่ได้บอกว่าจะทิ้งเอเลน่า เคอร์ติสด้วย”

“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งเอเลน่า” เอลเลียตพยายามอธิบาย อยู่ๆ เขาก็เริ่มปะติดปะต่อได้ในหัวว่าอีกฝ่ายร้อนรนเรื่องอะไร “แต่ไอ้โง่แจ็คมันพาฉันไปถึงถิ่นมันเองตอนที่ฉันพยายามล่อมัน”

“คนปกติที่ไหนเขาจะทำแบบนั้นกัน ยิ่งอาชีพอย่างพวกเราด้วยแล้ว” ลีโอพูดอย่างไม่เชื่อถือ “นายไปพูดอะไรกับมัน”

“ก็หลอกล่อปกติ… อ้อ มันพยายามจะปล้ำฉัน”

“ว่าไงนะ” เสียงไม่เชื่อหูทีเดียวก่อนจะนิ่งไปนิดแล้วว่าต่อ “อ้อ… ก็ว่า ตอนที่เราคบกันมันถึงได้มองนายตาเป็นมันนัก”

“ทำไงได้คนมันหน้าตาดี”

“ก้นก็สวยด้วย ลีลาก็เด็ด”

“อยากระลึกความหลังไหมล่ะ ที่รัก นี่เรากลับมาพูดเรื่องเดิมกันได้รึยัง”

“ฉันนึกว่านายรู้เรื่องนี้อยู่แล้วซะอีก ไอเดน” ลีโอกลับมาพูดเสียงเครียดต่อ “ไม่รู้เลยเหรอว่าตัวเองตกที่นั่งลำบากแค่ไหนแล้วตอนนี้”

เอลเลียตกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง

“แค่ไหนล่ะ”

“นายรู้รึเปล่าว่าเอเลน่ามีความสัมพันธ์ยังไงกับคนคนนั้น” 

“ไอ้เฒ่าหัวงูนั่น” คนผมน้ำตาลกัดฟันกรอด รู้สึกขยะแขยงขึ้นมาทันที “ก็เคยเห็นสองคนนั่นอยู่ด้วยกันแวบๆ หรอกนะ แต่ไม่คิดว่าจะ…”

“ขอโทษเถอะ” ลีโอพูดขัดเสียงเฉียบ “นายกำลังพูดถึงพ่อฉัน”

“ขอโทษ แต่นายดูพ่อนายเอากับผู้หญิงที่อ่อนกว่านายโดยไม่รู้สึกอะไรเลยงั้นเหรอ”

“ไม่ใช่เรื่องของฉันนี่”

“ลูกบังเกิดเกล้าแท้ๆ”

“เฮ้ ฟังนะ ไอเดน ฉันเห็นพ่อฉันนอนกับผู้หญิงคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยก็จริง แต่เขาจริงจังกับหล่อน”

“นายหมายถึงเอเลน่างั้นเหรอ”

“ฉันหมายถึงแม่ฉันเองมั้ง” เอลเลียตนึกภาพออกเลยว่าคนพูดกำลังทำหน้าตายขาดไหน “ก็ต้องหมายถึงเอเลน่า เคอร์ติสสิ เอาเป็นว่าฉันบอกนายได้เลยว่าตอนนี้เขาหัวเสียมาก ทั้งๆ ที่เขาพยายามงัดนายออกมาจากที่นั่นเพื่อให้นายไปให้พ้นหูพ้นตาแล้วแท้ๆ แต่นายดันมาโยนไพ่ทิ้งอีกตั้งหลายใบ ไอ้ใบอื่นน่ะเขาไม่สนหรอก แต่เอเลน่าน่ะเป็นอีหนูของเขา นายพลาดแล้ว เอลเลียต นายทิ้งไพ่ผิดใบแล้ว”

“เดี๋ยวก่อนนะ” คนผมน้ำตาลเดินวนเป็นวงกลมไปมาอย่างอยู่ไม่สุขแล้วตอนนี้ “นายจะบอกว่าจูเลียนเป็นคนหาทางเอาฉันออกมาจาก--”

“บอกว่าอย่าเรียกชื่อ!”

แต่มันสายไปแล้ว

“ได้! งั้นแปลว่าทั้งหมดนี่เป็นแผนของพ่อนายที่จะช่วยฉันหนี”

“นายเองก็รู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว เอล อย่ามาทำโง่หรือแกล้งทำไขสือหน่อยเลย” น้ำเสียงจากปลายสายเหยียดหยันอย่างชัดเจน “คิดจริงๆ เหรอว่าถ้าไม่มีใครคอยหนุนหลังนายอยู่นายจะออกมาจากคุกชั่วคราวแบบนี้ได้น่ะ สำคัญตัวเองผิดไปรึเปล่า”

แม่งเอ๊ย เมื่อก่อนเขาเคยนอนกับคนอย่างหมอนี่เข้าไปได้ไงวะ

“เขาคาดโทษฉันยังไง”

“อ้อ ฉันคิดว่าเขาน่าจะสั่งเก็บนายนะ” ลีโอพูดออกมาง่ายๆ เหมือนกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ และมันยิ่งทำให้เอลเลียตรู้สึกเดือดขึ้นไปอีก

“แล้วนายก็จะให้เขาเก็บฉัน!?”

“นี่มันเกินความสามารถของฉันแล้ว ที่รัก ต่อให้นายเป็นคนโปรดของฉัน ฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก”

“นายบอกจู-- นายบอกพ่อนายหรือเปล่าว่าฉันอยู่ที่ไหน”

“ฉันยังไม่โหดร้ายขนาดนั้น แต่ฉันก็ไม่รู้อยู่ดีแหละว่านายอยู่ที่ไหนน่ะนะ แต่อีกไม่นานเขาจะรู้แน่ เอล เอาล่ะ ฟังนะ นายไม่มีอะไรต้องเสียแล้ว หนีไปซะ บอกฉันว่าเราจะเจอกันได้ที่ไหน แล้วฉันจะจัดการเรื่องแถบที่ข้อเท้านายให้”

“แล้วเรื่องเงินล่ะ”

“เงินจะตามไปทีหลัง ฉันเสี่ยงถือเงินไปมากขนาดนั้นไม่ได้ พาสปอร์ตด้วย จะใส่ไปให้ด้วยกันนั่นแหละ เร็วเถอะ ไอเดน นายเองก็รอเวลานี้มานานแล้วไม่ใช่เหรอ ถึงเงินมันจะน้อยไปหน่อย แต่ฉันว่านายไม่มีทางเลือกมากแล้วล่ะ”

ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องเงิน

เอลเลียตอยากจะพูดแบบนั้นแต่ก็พูดไม่ออก เขายกมือขึ้นกุมขมับ ยกมันเสยผมขึ้นไปก่อนจะครางออกมาแผ่วเบาอย่างเหนื่อยอ่อน

เขาอยากอยู่กับคีล

ข้อเท็จจริงนั่นมันรุนแรงขนาดที่ตัวเขาเองยังตกใจ เขาไม่อยากไปจากชายหนุ่มคนนั้นเลย เขาอยากจะทำตามคำขอร้องที่อีกฝ่ายเคยพูดก่อนหน้านี้ ในอ้อมกอดที่แข็งแกร่ง อบอุ่น และเต็มไปด้วยความจริงใจนั่น

เขาอยากตอบแทนความรักและความไว้ใจที่คีลมอบให้

แต่เขาสงสัยเหลือเกินว่านั่นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดจริงๆ หรือไม่ บางทีการทำแบบนั้นมันอาจยิ่งทำให้คีลต้องมาพัวพันกับความยุ่งเหยิงในชีวิตเขาและอาจจะกลายเป็นอันตรายต่อเจ้าตัวเองด้วยซ้ำ

เขาต้องหนี

เขาต้องหนีจริงๆ ไม่มีทางไหนที่ดีไปกว่านี้แล้ว

เสียงของเอลเลียตอ่อนระโหยทีเดียวเมื่อกรอกลงในโทรศัพท์ต่อ

“นายรู้แล้วใช่ไหมว่าเจคอบ โอคอนเนลตายแล้ว”

“อะไรนะ” น้ำเสียงนั่นตกใจจริง บ่งบอกว่าเจ้าตัวยังไม่รู้เรื่องนี้

“นายไม่รู้เหรอ ก็นายบอกให้เจ้าหน้าที่คนหนึ่งมาหาฉันตอนที่กำลังตรวจศพโอคอนเนลอยู่เลยด้วยซ้ำ”

“ฉันไม่รู้หรอก ไอเดน” น้ำเสียงอีกฝ่ายยังดูตกใจไม่สร่าง “แต่… ได้ไง ก็วันก่อน…”

เอลเลียตรู้สึกสะดุดหู “วันก่อนอะไร”

“ฉันเพิ่งคุยกับหมอนั่นเรื่องเงิน”

“เงินที่ปล้นมาน่ะนะ”

“ใช่” ลีโอว่า ความเป็นจริงก็คือ ถ้าคนที่ถามไม่ใช่เอลเลียตแต่เป็นคนอื่น เขาจะไม่มีวันพูดเรื่องแบบนี้ออกมาหรอก เรื่องที่ว่าเอลเลียตเป็นคนโปรดของเขาไม่ใช่เรื่องโกหกเสียทีเดียว ถึงจะมีอะไรหลายอย่างกระทบกระทั่งกัน แต่ความรู้สึกดีๆ ที่มีให้อีกฝ่ายก็ยังมากมายอยู่

“คุยว่าอะไร”

“หมอนั่นปรึกษาฉันเรื่องที่ซ่อนเงิน”

ถึงตรงนี้เอลเลียตรู้สึกว่าใจเต้นรัวขึ้นนิดหนึ่ง ถึงเขาจะคิดว่าตัวเองไม่ได้ต้องการเงินมากขนาดนั้น แต่พอเห็นโอกาสเล็กๆ น้อย ๆ ที่เขาอาจจะได้มันมา สัญชาตญาณภายในก็ตื่นตัวขึ้นมาจนได้

แต่ก่อนจะเข้าเรื่องนั้น…

“นายคิดว่าใครฆ่าโอคอนเนล”

ลีโอเงียบไปครู่ใหญ่ เสียงนิ้วเคาะแป้นพิมพ์ดังมาให้ได้ยิน “ถ้านายกำลังสงสัยพ่อฉันอยู่นะ เอล เปล่า ฉันไม่คิดว่าเขาสั่งเก็บโอคอนเนลหรอก ไม่มีเหตุผลอะไรให้ทำแบบนั้น หมอนั่นไม่ได้เบี้ยวเรื่องจ่ายเงินแล้วก็ไม่ได้ทำตัวน่าถูกเก็บแบบนาย”

“ขอบคุณมากเลยนะที่ช่วยย้ำให้ฟัง”

“นายบอกว่านายได้ไปที่เกิดเหตุมานี่ หมอนั่นตายยังไง”

“ถูกไม้กอล์ฟฟาดที่ท้ายทอย”

“งั้นก็ไม่ใช่ฝีมือพ่อฉันอยู่แล้ว เราไม่สนใจค้นบ้านหมอนั่นเพื่อไม้กอล์ฟหรอก”

“วกกลับมาที่เรื่องเงิน หมอนั่นซ่อนไว้ที่ไหน”

“ว่าแล้วนายต้องสนใจเรื่องนี้มากกว่า” เสียงกลั้วหัวเราะทีเดียว “จริงๆ หมอนั่นกำลังคิดจะฮุบเงินก้อนโตกว่าที่ให้คนอื่นๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวกับคนคนนั้น”

“เพราะงั้นก็เลยโดนคนในทีมฆ่าเอาน่ะสิ” เอลเลียตสรุปอย่างรวดเร็ว เรื่องเงินๆ ทองๆ เป็นเรื่องละเอียดอ่อนเสมอล่ะ “แล้วไอ้คนที่ฆ่าโอคอนเนลได้เงินไปหรือยัง”

“ฉันไม่รู้เรื่องนั้นหรอกที่รัก ถ้าคนคนนั้นยังไม่ได้เงินไป ฉันก็รู้ว่าเงินอยู่ที่ไหน”

“เลิกโยกโย้แล้วบอกฉันมาสักที”

“สัญญากับฉันก่อนสิ ไม่ว่านายจะได้เงินก้อนนั้นหรือไม่ก็ตาม นายต้องไปจากที่นี่ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนี้”

เอลเลียตเงียบ เขาได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นรัวขึ้น และนั่นทำให้ลีโอย้ำขึ้นมาเสียงหงุดหงิด

“เอล อย่างี่เง่าได้ไหม นี่ฉันพยายามช่วยนายอยู่นะ ถึงฉันจะโปรดนายขนาดไหนแต่อีกฝั่งก็พ่อฉัน นายเข้าใจที่ฉันพูดรึเปล่า”

“เข้าใจแล้วล่ะน่า” เอลเลียตว่าอย่างยอมแพ้ “ตกลง ฉันสัญญา”

“เงินอยู่ในล็อกเกอร์ของสถานีรถไฟใต้ดิน” เจ้าตัวบอกชื่อสถานีพร้อมกับที่ตั้งของล็อกเกอร์ที่ว่า เอลเลียตแทบจะครางอย่างคาดไม่ถึงที่ลีโอไปบอกอีกฝ่ายให้ซ่อนเงินในที่แบบนั้น ทั้งพวกตำรวจแล้วก็ไอ้คนที่ฆ่าโอคอนเนลเองคงหัวปั่นน่าดูในการหาเงินก้อนนี้

“ทำไมนายถึงบอกให้โอคอนเนลไปซ่อนเงินที่นั่นล่ะ”

“มันงานฉันอยู่แล้วที่ต้องให้คำปรึกษาด้านนี้” ปลายสายตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ฉันคือเทลออฟอดัมส์นะ”

“ต่อให้นายรู้ว่าหมอนั่นกำลังจะงุบงิบจากทีมของตัวเองเนี่ยนะ?”

“ไม่ใช่ปัญหาของฉันสักหน่อย”

สมเป็นหมอนี่จริงๆ

“เอาล่ะ งั้นก็เตรียมมาเจอกันได้แล้ว ไอเดน อย่าทำตัวมีพิรุธล่ะ นายผละออกจากตำรวจคนนั้นสักครึ่งชั่วโมงได้ใช่ไหม”

“ได้” ชายหนุ่มว่าพร้อมกับมองตัวห้องที่ว่างเปล่า นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครอีก “ฉันจะบอกสถานที่แล้ว นายเตรียมจดนะ”

“ตกลง”

เอลเลียตรู้สึกเหมือนหัวใจของตัวเองค่อยๆ ถูกแกะออกมาจากอกอย่างช้าๆ ระหว่างที่พูดที่อยู่ที่ว่าออกไป

ผมขอโทษ คีล

เขาลอบคิดในหัว ฝากมันไปสายลม แต่ก็หวังว่าสายสืบหนุ่มคนนั้นจะไม่รู้ถึงมัน

มันคงจะดีกว่าถ้าพวกเขาทั้งคู่แค่ลืมกันไปเลย

ผมขอโทษจริงๆ





-----------------------------------------------------------
Tip2 เรื่องที่เกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ที่ไม่ต้องรู้ก็ได้: จริงๆ แล้วคีลอายุน้อยกว่าเอลเลียตอีกค่ะ น้อยกว่าลีโอด้วย สรุปคือนางเด็กสุดแต่ขรึมสุดนั่นเอง (อี๊ อีขี้เก๊---//โดดนฟาดด้วยด้ามปืน)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-10-2017 11:26:31 โดย Airiณ »

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
รู้สึกเฉบปวดด

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ไม่ว่าคีลจะรักจริงหรือหลอกๆ เอลก็หนีไปก่อนแล้วจ้าาาา ขอให้หนีรอดปลอดภัย  :mew1:

ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
มัวแต่ระแวงคีล มาอีกทีเอลจะหนีไปแล้ววว จะหนีรอดมั๊ยยยย :katai1:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ baibuabuaz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โอ๊ย ทำไมเอลทำแบบนี้ :ling1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
บทที่ 9




การติดตามทางจีพีเอสของไอ้บาร์โค้ดที่อยู่บนข้อเท้าเขาสิ้นฤทธิ์ไปแล้ว

แต่ตัวแถบรัดมันก็ยังอยู่ที่เดิมแบบนั้น และมันตัวสัญญาณจีพีเอสก็จะยังอยู่ในตำแหน่งที่เขาอยู่ต่อไปอีกหลายชั่วโมงตามที่ลีโอตั้งค่าเอาไว้ เขาไม่ค่อยสันทัดอะไรด้านนี้หรอก แต่ลีโอบอกว่าถ้ามีคนตรวจสอบเจ้าเครื่องจีพีเอสนี่ขึ้นมาตอนที่เขายังอยู่กับคีล อย่างน้อยมันก็จะยังแสดงผลว่าเขาอยู่ตรงนั้น แต่วันรุ่งขึ้นหลังสิบโมงเป็นต้นไป… ตอนนั้นแหละที่ตำแหน่งที่ตั้งของจีพีเอสตัวนี้จะไปแสดงที่อื่น อย่างเช่นสมมติว่าเขาอยู่ในอพาร์ทเม้นท์กับคีล แต่ถ้าเช็กสายรัดนี่แล้วจะเห็นว่าตัวเขาไปอยู่ที่โรงแรม โรงเรียน สวนสาธารณะหรือที่ไหนก็ตามที่พอจะหลอกล่อตำรวจให้ไปเสียตามหาเขาจากตรงนั้นได้

ขอบคุณมากเทคโนโลยี แต่เขาจะเอาตัวรอดได้จนถึงสิบโมงรึเปล่าก็ต้องมาดูกัน แล้วเขาจะหนีไปจากสายตาของคีลได้หลังสิบโมงไหม อันนี้ก็ต้องมาดูกันอีกเหมือนกัน

เสียงเปิดประตูดังขึ้นในขณะที่เอลเลียตมองหน้าจอโทรทัศน์อย่างเหม่อลอย ชายหนุ่มหันกลับไปมองตามเสียง ร่างสูงชะลูดของคีลก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ เหมือนอย่างเคย หากเอลเลียตที่ตัวติดกับชายหนุ่มมาตลอดเกือบสองสัปดาห์ที่ผ่านมาก็พอดูออกว่าชายหนุ่มกำลังล้าอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

เขาเดินไปประชิดตัวอีกฝ่ายพร้อมกับช่วยเจ้าตัวถอดสูทตัวนอกออกจากตัว

“เหนื่อยเหรอครับ คีล”

“นิดหน่อยครับ” ตอบกลับพร้อมกับก้มตัวลงจูบหน้าผากของอีกฝ่ายทีหนึ่ง เอลเลียตยิ้มได้ทันทีกับสัมผัสเล็กๆ น้อยๆ นั่น เขาชอบเวลาคีลแสดงออกแบบนี้ มันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน

“ผมทำกับข้าวไว้ให้ด้วยนะ”

คีลหันกลับมาเลิกคิ้วขึ้นขึ้างหนึ่ง มองเอลเลียตที่จัดแจงเอาสูทแขวนอย่างดี ก่อนจะถาม

“คุณทำเป็นด้วยเหรอ ปกติเห็นซื้อกินตลอด”

“แค่อะไรง่ายๆ เท่านั้นแหละครับ ตอนแรกผมไม่แน่ใจว่าคุณจะกินมาก่อนหรือเปล่าเพราะนี่มันก็ดึกแล้ว แต่พอดีผมหิว เลยทำอะไรกินรองท้องหน่อย”

“แล้วที่ปวดหัวเป็นยังไงบ้างครับ”

“ผมนอนพักไปตื่นหนึ่งแล้ว” เอลเลียตโกหกยิ้มๆ “ดีขึ้นเยอะเลยล่ะ”

“แล้วได้กินยารึเปล่า” พูดพร้อมกับเลื่อนแขนแกร่งโอบบ่าคนรักที่เดินเข้ามาประชิดตัว เอลเลียตหน้าร้อนขึ้นเพราะความรู้สึกละอายลึกๆ ในใจ เขาพยายามหลบตาอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด

“ไม่ได้กินครับ ผมไม่ได้เป็นหนักขนาดนั้น แค่นอนพักสักหน่อยก็หาย อีกอย่าง ผมไม่ชอบกินยา”

“เด็กดื้อ” พูดพร้อมกับดึงจมูกคนตัวเตี้ยกว่าเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว ถ้าเป็นตัวเขาก่อนหน้านี้… ไม่ต้องนานมาก แค่เดือนที่แล้วก็ได้ เขาคงจะหัวเราะก๊ากกับไอ้การแสดงออกถึงความรักเหมือนที่เด็กมัธยมทำกันแบบนี้ไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาพูดไม่ออก เพราะสัมผัสง่ายๆ พวกนั้นทำให้ใจเขาอุ่นซ่านขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ และพอคิดว่าเขากำลังจะทำลายมันลงทั้งหมดแล้วมันก็ปวดแปลบขึ้นมาจนถึงขั้นทรมาน

แต่เขาก็ต้องทน

แค่อกหักอีกครั้งหนึ่งมันไม่ตายหรอก เอลเลียต อย่างี่เง่าไปหน่อยเลย

หลังจากจบมื้อเย็น เอลเลียตก็จัดการเคี่ยวเข็ญให้คีลไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย ส่วนตัวเองเดินวนเป็นหนูติดจั่นอยู่ในห้องนอนของอีกฝ่าย หมกมุ่นอยู่กับความคิดและการวางแผนของการตัวเอง

เขาอยากไปเอาเงินก้อนนั้นที่สถานีรถไฟใต้ดินที่ลีโอบอกไว้ แต่ปัญหาคือการจะพังล็อกเกอร์หยอดเหรียญในที่สาธารณะคงไม่ใช่ความคิดที่ดี แถมสถานีที่ว่าก็มีคนเข้าออกตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ที่สำคัญ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโอคอนเนลเอาเงินเก็บไว้ในล็อกเกอร์เบอร์ไหน ถ้าจะงัดดูทุกอันคงเสียเวลามากเกินไป

แล้วอยู่ๆ เอลเลียตก็นึกอะไรขึ้นได้ เขาพุ่งไปที่กระเป๋าทำงานของคีล เปิดดูทุกซอกทุกมุมด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าคีลอาจจะมีลูกกุญแจของล็อกเกอร์ที่ว่านั่นก็ได้

ทำไมน่ะเหรอ เพราะหลังจากที่พวกเขาใช้เวลาอยู่ในที่เกิดเหตุนั่น คีลก็ไปสืบสวนเรื่องการตายของเจคอบต่อกับเจ้าหน้าที่เอฟบีไอคนนั้น และถ้าโอคอนเนลเก็บกุญแจไว้กับตัว พวกทีมสืบสวนก็น่าจะเก็บกุญแจที่ว่าเอาไว้เพื่อตามหาว่ามันเป็นกุญแจของอะไร

แต่คีลไม่ได้ทำหน้าที่หลักในการสืบสวนครั้งนี้ เจ้าหน้าที่แมคแนร์คนนั้นต่างหาก เพราะงั้นบางทีกุญแจที่พวกตำรวจอาจจะเก็บมาจากเจคอบได้น่าจะอยู่ที่แมคแนร์มากกว่า

หรือไม่… โชคก็เข้าข้างเขามากกว่าที่คิด

เอลเลียตแทบลืมหายใจเมื่อเขาหยิบลูกกุญแจที่สลักตัวเลข 27 เอาไว้ขึ้นมา มันอาจจะเป็นกุญแจล็อกเกอร์รองเท้าของคีลเองด้วยซ้ำ มันอาจจะเป็นกุญแจล็อกเกอร์ของที่ไหนก็ได้ แต่เอลเลียตคิดว่าเขาเดาไม่ผิดแน่ และต่อให้มันจะไม่ใช่ เขาก็จะไม่ยอมเสียโอกาสนี้โดยไม่พิสูจน์ข้อสันนิษฐานของตัวเองแน่





คีลเดินกลับเข้ามาในห้องนอนในชุดเตรียมนอนเรียบร้อย เห็นแฟนหนุ่มนั่งอยู่ที่ขอบเตียง มือเล่นรูบิคที่เจ้าตัวไปแอบซื้อมาตอนไหมไม่รู้ และเมื่อร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ เอลลเียตก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับส่งยิ้มหวานหยดแบบที่คนมองใจเต้นแรงขึ้นได้ นัยน์ตาสีฟ้าของชายหนุ่มเปล่งประกายขณะที่วางของเล่นในมือลงบนโต๊ะข้างหัวเตียงพร้อมกับเอ่ยปากถาม

“เป็นไงครับ คีล อาบน้ำแล้วสบายตัวขึ้นไหม”

คีลไม่ตอบ แต่ผลักพ่อตัวแสบลงไปนอนราบกับฟูกเตียงแทน ไซร้หน้าลงบนซอกคอของอีกฝ่ายแรงๆ หากไอ้ตัวแสบหัวเราะเสียงใสออกมาหน้าตาเฉย

"จั๊กจี้นะคุณ"

"งั้นหยุดแค่นี้ดีกว่าไหมครับ"

เอลเลียตหัวเราะหึๆ มือเลื่อนไปยึดหลังคออีกฝ่ายไปให้หนีไปไหน จากนั้นก็เลื่อนเข้าไปใต้เสื้อ ลูบไล้ไปตามแนวของกระดูกไขสันหลังอย่างอ้อยอิ่ง

"ขอปฏิเสธครับ คุณสายสืบ"

"งั้นถอดเสื้อให้ผมหน่อย"

เอลเลียตหัวเราะออกมาอีกรอบ "คุณเพิ่งจะใส่มันเข้าไปเอง" แต่เขาก็ทำตามคำขอของคนด้านบนอยู่ดี

ตลอดช่วงเวลาตั้งแต่ขั้นตอนหยอกเย้าโลมเลียจนไปถึงสอดใส่ คีลสังเกตได้ว่าคนรักของเขาดูแปลกไปในคืนนี้ ตอนแรกเจ้าตัวก็ดูคึกเกินเหตุ เริงร่าเกินคนที่เพิ่งขอกลับมาพักเพราะปวดหัวหมาดๆ และมีหลายจังหวะที่เจ้าตัวหลบตาเขาวูบเหมือนไม่ได้ตั้งใจ แต่พอนึกขึ้นได้ก็ส่งสายตาหยาดเยิ้มพร้อมกับรอยยิ้มหวานฉ่ำกลับมาให้

แปลก... หมอนี่กำลังคิดมากเรื่องอะไรอยู่รึเปล่านะ

"แฮ่ก แป๊บหนึ่งครับ คีล"เอลเลียตดันแขนร่างสูงออกในจังหวะที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มพอดี ทำเอาคีลต้องขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ "แหม อย่าทำหน้าดุแบบนั้นสิครับ ที่รัก ผมแค่อยากขึ้นมาอยู่ข้างบนเท่านั้นเอง"

พูดแล้วเจ้าตัวก็ดึงคีลลงไปนอนหนุนหมอนนุ่มแทนที่ตัวเอง ปีนขึ้นไปนั่งคร่อมอีกฝ่าย มือเลื่อนไปจับแก่นกายของคนด้านล่างขณะเคลื่อนสะโพกให้เข้าไปรับกับสิ่งนั้น กดร่างของตัวเองลงเพื่อให้มันสอดผ่านช่องแคบเข้าไปอย่างชำนาญการ เสียงครางหวานเล็ดลอดริมฝีปากคู่สวยมาให้ได้ยินอีกระลอก ช่องทางรัดที่ตอดเขาถี่ยิบทำให้คีลหลุดปากครางออกมาอย่างสุขสม มือหนายึดสะโพกมนของเจ้าตัวแล้วเริ่มกระแทกขึ้นลงเมื่อจังหวะที่เอลเลียตปรนเปรอให้ไม่ได้ดั่งใจ ร่างที่บางกว่าสะดุ้งเฮือก น้ำใสๆ ซึมขึ้นที่ขอบตา

"อะ... อื้อ คีล" คนผมน้ำตาลครางเสียงแผ่วยิ่งกระตุ้นอารมณ์ของคนด้านล่างให้พุ่งสูงขึ้น มือหนาฟาดลงบนก้นอวบอัดของอีกฝ่ายอย่างแรงให้คนด้านบนสะดุ้งอีกรอบ ตามมาด้วยเสียงครางปนมากับเสียงหอบกระเส่า เหงื่อเม็ดเล็กหยดลงบนผิวกายของคนด้านล่าง และเมื่อเอลเลียตกระแทกสะโพกลงมาด้วยจังหวะที่เร่งเร้าขึ้นอีกระลอก ชายหนุ่มก็ปล่อยให้น้ำสีขุ่นทะลักลงบนหน้าท้องของคีลและปล่อยให้อีกฝ่ายปลดปล่อยข้างในตัวเขาโดยมีถุงยางป้องกันเคลือบเอาไว้อีกชั้น 

"แฮ่ก" เอลเลียตฟุบหน้าลงไปบนบ่าของคนด้านล่าง แผ่นอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างเหนื่อยหอบ รู้สึกหวิวที่ช่องทางด้านหลังตามที่คีลดึงแกนกายของตัวเองออกไปพร้อมกับจัดแจงถอดถุงยางออก เอลเลียตหันกลับไปมองถุงยางที่อีกฝ่ายกำลังมัดส่วนปลายกันไม่ให้ของเหลวสีขุ่นทะลักออกมา แค่เห็นน้ำกามพวกนั้นเขาก็เกิดอารมณ์ขึ้นมาอีกรอบแล้ว รอบนี้อยากให้น้ำเหนียวๆ พวกนั้นมาอยู่ในตัวเขาจัง

"เสียดายจัง" ไม่ปล่อยให้อยู่ในความคิดเฉยๆ เอลเลียตยังหลุดปากพูดออกมาจนได้

"เสียดายอะไรครับ"

"น้ำของคุณไง"

นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างขึ้น มองเอลเลียตราวกับกำลังมองมนุษย์ต่างดาวที่หล่นตุ้บลงมาบนพื้นโลกโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ไอ้ตัวแสบก็ยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างน่าถีบ

"คุณไม่น่าใช้ถุงยางเลย" เจ้าตัวพูดด้วยน้ำเสียงแสนเสียดายอย่างเสแสร้ง "ผมอยากมีลูกกับคุณแท้ๆ แล้วไอ้น้ำพวกนั้นคงช่วยให้ความปรารถนาผมเป็นจริงได้"

"ตอนเรียนไฮสคูลวิชาชีววิทยา อาจารย์เขาไม่ได้สอนคุณหรือไงว่าผู้ชายมีลูกไม่ได้"

เอลเลียตหัวเราะก๊ากออกมาพร้อมกับเริ่มมุดหน้าลงกับแผ่นอกกว้าง แม้ว่าน้ำหนักตัวอีกฝ่ายจะไม่น้อยแต่คีลก็ไม่ถือ เขาปล่อยให้คนผมน้ำตาลกดน้ำหนักทับร่างเขาลงมาเต็มที่ นิ้วเรียวสวยลากลงบนบ่าเขาอย่างเผลอไผล เขาชอบเวลาที่นัยน์ตาสีฟ้าบริสุทธิ์คู่นั้นมองเขาอย่างรักใคร่แบบนี้

"เสียใจไหมที่ผมมีลูกให้คุณไม่ได้"

"เอ่อ ผมจะกล้วมากกว่านะถ้าคุณมีได้"

เอลเลียตหัวเราะออกมาอีกระลอก คราวนี้เจ้าตัวกลิ้งลงไปนอนบนเตียงดีๆ เพื่อไม่ให้คีลหนัก หากแขนก็ยังวางพาดที่หน้าท้องของอีกฝ่าย

"ก็ถูกของคุณนะ" คนผมน้ำตาลว่าเสียงกลั้วหัวเราะ แล้วสักพักก็นิ่งเงียบลง คีลมองตามสายตาของคนรักตัวเอง เขาว่ามันดูเหม่อลอยชอบกล เหมือนว่าเจ้าตัวกำลังคิดมากเรื่องอะไรอยู่จริงๆ

"เป็นอะไรรึเปล่าครับ เอล"

คนผมน้ำตาลเกร็งตัวขึ้นมานิดหนึ่ง ก่อนจะผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็วเป็นการกลบเกลื่อน "ผมอาจจะยังปวดหัวอยู่นิดหน่อยน่ะ"

"หรือว่าจะเป็นเรื่องของเจมส์ สมิธ" คีลเริ่มคาดคั้น จ้องตาอีกฝ่ายนิ่งเพื่อจับพิรุธ "ตอนที่คุณบอกพวกเราว่าไม่รู้จักเขา คุณโกหกใช่หรือเปล่า เขาเคยเป็นเพื่อนคุณมาก่อนใช่ไหม คุณถึงได้รู้สึกไม่ดีที่ต้องเห็นศพเขาแบบนั้น"

"ไม่" เอลเลียตว่า ภาวนาให้คีลจับโกหกครั้งนี้ของเขาไม่ได้ "ผมไม่เคยรู้จักคนชื่อนั้นมาก่อน"

"อ้อ แต่ไมได้หมายความว่าผู้ตายจะมีแค่ชื่อนั้นชื่อเดียวนี่ ถูกไหม เขาอาจจะมีฉายาแบบที่คุณมี?"

เบื่อจริงๆ เลยเวลาหมอนี่ทำตัวฉลาดแบบนี้

"ผมไม่เคยเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นมาก่อน" เอาสิ คราวนี้เขาพูดแบบไม่ละสายตาจากคีลด้วย และนั่นทำให้ร่างสูงดูลังเลเพราะไม่แน่ใจว่าเขาโกหกหรือพูดความจริง แต่เหมือนเจ้าตัวก็ตัดสินใจกับตัวเองได้โดยการเลือกที่จะเชื่อเขา

"ก็ได้ เอล ผมเชื่อคุณ"

คำพูดเรียบง่ายตรงไปตรงมานั่นบีบรัดก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของเอลเลียตอย่างแรง เขาอยากจะบอกความจริงทุกอย่างให้คีลรู้ อยากบอกคนตรงหน้าว่าระบบการทำงานและผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยทั้งหมดเป็นใคร อยากจะโยนไพ่ทุกใบทิ้งและเอาคนพวกนั้นใส่พานถวายให้ผู้ชายคนนี้ แต่การทำแบบนั้นก็ไม่ต่างกับเอาคอของตัวเองขึ้นพาดเขียง ดีไม่ดีอาจจะคอของคีลเองด้วย เขาไม่กล้าเอาคนรักของตัวเองมาเสี่ยงขนาดนั้น

ต่อให้ไอ้คำว่า 'คนรัก' ที่ว่ามันกำลังจะหมดอายุขัยลงในอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้ก็เถอะ

"นี่ คีล"

"อะไรครับ"

"ทำไมคุณถึงบอกว่ารักผมล่ะ"

คนผมดำเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง "นั่นเป็นคำถามด้วยเหรอ?"

"ผมหมายถึง... ก็ผมน่ะ เป็นอาชญากรไม่ใช่เหรอ เป็นคนประเภทแบบที่คุณเกลียดที่สุดแท้ๆ แถมยังทำเรื่องไม่ดีมาจนต้องเข้าคุก แล้วนี่ก็ไม่ใช่ว่าจะพ้นคุกด้วยซ้ำแท้ๆ แต่ทำไมคุณถึงกล้าชอบผมอีก"คิ้วเรียวสวยขมวดติดกันอย่างสงสัยเต็มประดา แต่แล้วมันก็คลายออกเมื่อเจ้าตัวทำหน้าเหมือนนึกคำตอบได้ "อ้อ รู้แล้ว เพราะว่าผมปล้นหัวใจคุณไปแล้วใช่ไหม!? โอ๊ย! เจ็บ!"

"ปากดีเหลือเกินนะคุณ" คีลว่าหลังจากที่ดีดหน้าผากคนพูดไปทีด้วยความหมั่นไส้ "สมควรโดนตีตายไหม"

"ถ้าตีด้วยปากคุณ ผมยอมนะ" พูดพร้อมกับจุ๊บปากคีลหนึ่งทีอย่างเอาใจ ไอ้หมอนี่ก็เป็นซะอย่างนี้ทุกที "แล้ว... ตกลงว่าทำไมคุณถึงชอบผมล่ะ อันนี้จริงจังล่ะ"

คีลทำสีหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะว่า "ไม่รู้สิครับ อาจเป็นเพราะผมเชื่อว่าคนเรากลับตัวกลับใจได้ล่ะมั้ง ต่อให้คุณจะเคยติดคุกหรือทำเรื่องไม่ดีมาก็ใช่ว่าคุณต้องเป็นแบบนั้นตลอดไปเสียหน่อย"

เอลเลียตสะอึกกับคำพูดนั้น เขาไม่น่าเริ่มเรื่องนี้ขึ้นเลย ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าตัวเองกำลังจะตีจากคนตรงหน้าไปอยู่แล้ว หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ

"เอาแต่ถามผม แล้วคุณเองล่ะ" น้ำเสียงนุ่มนวลที่มาพร้อมกับสัมผัสอ่อนโยนที่ข้างแก้มทำให้เอลเลียตอยากจะร้องไห้ คีลจริงใจกับเขาจริงๆ แต่ดูสิ่งที่เขากำลังจะตอบแทนอีกฝ่ายสิ "ทำไมถึงกล้าชอบผม คุณเป็นคนบอกชอบผมก่อนด้วยซ้ำ และถ้าให้ว่ากันตามตรง คุณควรจะกลัวมากกว่านะ"

คนผมน้ำตาลยิ้มเผล่ หัวเราะในลำคออีกรอบก่อนจะเลื่อนนิ้วไปเกลี่ยแก้มคีลแผ่วเบา

“ผมชอบเล่นกับของอันตรายน่ะ”

“ระวังปืนผมไว้ให้ดีแล้วกัน”

“พูดอะไรน่ะคุณ! ลามก!”

“...”

“แต่ผมว่าผมรักคุณเข้าจริงๆ แล้วล่ะ” เอลเลียตพูดพร้อมกับถดตัวไปกอดร่างหนาแน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหลุดลอยหายไป “ผมควรจะทำยังไงดี คีล”

“แล้วทำไมคุณจะต้องทำอะไรด้วยล่ะ”

“ก็เดี๋ยวพอคดีนี้จบ เราก็ต้องแยกกันแล้วไม่ใช่เหรอ” นัยน์ตาสีฟ้าช้อนขึ้นมามองเขา ร่องรอยของความเศร้าหมองชัดเจนจนคีลอดไม่อยู่ ต้องเลื่อนไปลูบแก้มขาวเบาๆ เป็นเชิงปลอบ “ผมก็ต้องเข้าไปอยู่ในคุกเหมือนเดิม คุณก็ใช้ชีวิตของคุณ… จากนั้นคุณก็คงจะลืมผม”

“ผมจะไปเยี่ยมบ่อยๆ นะ”

“ในคุกน่ะนะ?” เกือบจะโรแมนติกล่ะ ใจเกือบสั่นล่ะ แต่แค่นึกถึงซี่กรงก็ทำเอาอารมณ์หดหมดเลย

“คุณก็ทำตัวดีๆ สิ” พูดพร้อมกับทาบริมฝีปากลงบนหน้าผากอีกฝ่ายทีหนึ่ง “จะได้ออกมาข้างนอกได้เร็วๆ ไง ผมเคยมีคนรู้จักคนหนึ่งเขาเข้าไปอยู่ในเรือนจำ โทษสิบกว่าปีได้ แต่เพราะทำตัวดี แค่สองปีกว่าๆ ก็ได้ออกมาแล้ว”

“จริงเหรอครับ” คนถามทำตาโตเหมือนเด็กๆ และเขาก็ได้ของตอบแทนเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนจากอีกฝ่าย

“จริงสิ” คีลว่า ปิดเปลือกตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน หากแขนเลื่อนมาดึงเอลเลียตเข้าไปกอดแนบอก “เรามาพยายามไปด้วยกันเถอะนะครับ เอล”

เขาอยากตอบรับคำพูดนั้น

แต่ความเป็นจริงก็คือ เขาไม่สามารถทำตามคำขอของอีกฝ่ายมาได้แต่แรกแล้ว






หน่วยสืบสวนของคีลจับมือกับทีมของเจ้าหน้าที่ฝั่งเอฟบีไออย่างเป็นทางการในวันรุ่งขึ้น แฟนหนุ่มผู้แสนน่ารักของเขาจึงต้องไปประจำตำแหน่งกับคนพวกนั้น ส่วนตัวเขาเอง คีลส่งโจนาธานให้มาเช็กดูรอบหนึ่งเมื่อตอนเช้า และเมื่ออีกฝ่ายตรวจสัญญาณจีพีเอสที่อยู่ตรงข้อเท้าและเห็นว่าทุกอย่างยังทำงานได้ปกติ เจ้าตัวก็วางใจ ขับรถไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ แล้ว

ดีนะที่ลีโอเผื่อเวลาไว้ให้เขาแล้ว ไม่งั้นขืนโดนจับได้ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มหนีคงเป็นอะไรที่ไม่สนุกแน่ๆ

เอลเลียตจัดการแพ็คกระเป๋ายกขึ้นสะพายหลัง ก้าวเท้าฉับๆ ออกจากตัวอพาร์ทเม้นท์ที่อยู่ย่านชานเมืองซึ่งในเวลาสายๆ แบบนี้เนืองแน่นไปด้วยรถและผู้คน

ชายหนุ่มหยิบแว่นกันแดดสีชาขึ้นมาสวมเพราะแสงแดดที่แยงลงมา จากนั้นเจ้าตัวก็หยิบหมากฝรั่งโยนเข้าปาก เคี้ยวไปเรื่อยๆ ระหว่างที่ปะปนไปกับผู้คนมากหน้าหลายตาที่กำลังมุ่งหน้าไปยังจุดหมายของตัวเอง

ชายหนุ่มกระโดดขึ้นรถบัสคันหนึ่งที่จอดหน้าป้าย แค่เห็นว่าจุดหมายของมันคือสถานีที่เขาตั้งใจจะไปก็เพียงพอแล้ว เขาจะไปพิสูจน์ว่ากุญแจที่ได้จาก (การขโมย) คีลมานี่จะพาเขาไปสู่ขุมทรัพย์หลายล้านดอลลาห์ได้ไหม หรือบางทีไอ้โอคอนเนลอาจจะแค่ยัดรองเท้าเหม็นๆ หรือกระเป๋าเดินทางเก่าๆ ไว้ในล็อกเกอร์ที่สถานีนั่นก็ได้ แต่เขายอมทุ่มหมดหน้าตักแล้วตอนนี้ ไม่มีอะไรให้ต้องเสีย

เอลเลียตพลิกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา สิบโมงสองนาทีแล้ว แปลว่าไอ้สายรัดจีพีเอสที่ข้อเท้าเขาไม่ระบุตำแหน่งที่แท้จริงของเขาอีกต่อไป

แผนของเขาหลังจากนี้คือไปเอาเงินที่สถานีที่ว่าแล้วไปเจอลีโออีกครั้งเพื่อเอาเงินอีกก้อนกับพาสปอร์ต บางทีลีโออาจจะไม่ให้เงินก้อนนั้นกับเขาถ้าเขาได้ก้อนที่ใหญ่กว่ามาก แต่ถึงตอนนั้นก็ไม่สำคัญแล้ว ขอแค่เงินให้เขากับพาสปอร์ตปลอมๆ อีกเล่มก็ลาขาดกัน แล้วถึงตอนนั้นเขาก็จะไม่หันหลังกลับมาอีก

ชายหนุ่มเป่าลูกโป่งจากหมากฝรั่งของตัวเองขณะทอดสายตาออกไปมองนอกหน้าต่างเพื่อซึมซับถึงบรรยากาศที่แสนจะคุ้นเคยของเมืองแห่งนี้

เขานึกถึงคีล แต่นอกจากนั้น เขากำลังนึกถึงสาเหตุที่ทำให้เขาตัดสินใจลงมือปล้นธนาคารครั้งแรก

เขาต้องการเงิน… ใครๆ ก็ต้องการทั้งนั้น แต่เขาไม่ได้ต้องการเงินให้ตัวเอง ไม่ได้คิดอยากใช้ชีวิตหรูหราฟู่ฟ่า สุขสบายโดยไม่ต้องทำงาน แต่เงินคือสิ่งจำเป็นสำหรับเขาในตอนนั้น ตอนนี้ก็ยังจำเป็นอยู่

ถ้าในท้ายที่สุดเขาจะได้เงินแค่แสนห้าจากลีโอ ถึงตอนนั้นเขาอาจต้องคิดหนักแล้วว่าหาเงินเพิ่มยังไง แต่ถ้าเขาได้ก้อนโตจากล็อกเกอร์นั่น… นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้วล่ะ

เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น แต่ไม่ใช่เครื่องที่เป็นแบบใช้แล้วทิ้งที่เขาเอาไว้ใช้ติดต่อกับเทลออฟอดัมส์ เครื่องนี้เป็นเครื่องที่ทางตำรวจให้ไว้ตามตัวเขาต่างหาก

เอลเลียตลังเลอยู่อึดใจหนึ่ง เขาลืมนึกไปว่าควรจะโยนมันทิ้งไว้ในอพาร์ทเม้นท์นั่นแล้ว แล้วไม่รู้ว่ามันจะมีจีพีเอสติดตามตัวแบบไอ้แถบรัดข้อเท้ารึเปล่า

ฉลาดมากเลย ไอเดน สมแล้วจริงๆ ที่โดนโยนเข้าคุกไปสองปี

“ฮัลโหลครับ” ตอกย้ำความโง่ของตัวเองเสร็จ เอลเลียตก็กรอกเสียงลงไปจนได้ ตอนนี้เขากำลังเดินลงจากรถบัส ก้าวฉับๆ ไปที่ล็อกเกอร์ฝั่งตะวันออกของสถานีรถไฟใต้ดินย่านชานเมือง ผู้คนเดินสวนกันขวักไขว่ชวนให้ปวดหัวไปหมด แต่เขาก็เดินต่อไปได้โดยไม่สะดุดราวกับมีเส้นนำทางที่กันตัวเองออกจากโลกภายนอก

“เอล” เสียงของคีลดังลอดเข้ามา “ผมแค่โทรมาถามว่าคุณเป็นไงบ้าง”

“สบายดีีครับ งานคุณล่ะ?”

“ก็ยังตามตัวฆาตกรอยู่ คุณอยู่ในห้องเหรอ? ผมรู้สึกเหมือนคุณอยู่นอกห้องเลย”

“ผมออกมาซื้อของนิดหน่อย”

“อย่าออกไปนานนักล่ะ” อีกฝ่ายเตือนเสียงดุ “คนในทีมผมไม่ค่อยพอใจที่คุณทำอะไรได้ตามอำเภอใจขนาดนี้”

“ผมเคยออกนอกลู่นอกทางด้วยเหรอครับ” เอลเลียตว่าขณะกวาดสายตามองหาตู้ล็อกเกอร์ที่ว่า และไม่นานนักเขาก็เห็นป้ายที่มีสัญลักษณ์ดังกล่าว ชายหนุ่มเดินตรงไปที่นั่นอย่างมุ่งมั่น ต่อให้มีหินยักษ์มาพุ่งชนตอนนี้เขาก็จะก้าวต่อแน่ “วางใจเถอะคีล ตั้งใจทำงานของคุณเถอะ ผมไม่หนีไปไหนหรอก”

“ผมรักคุณนะเอล” ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเขากระตุกอีกแล้ว “แล้วผมจะรีบกลับไป”

“เจอกันครับที่รัก” คนผมน้ำตาลพูดทิ้งท้าย กดตัดสาย จากนั้นก็หย่อนโทรศัพท์เครื่องนั้นลงในถังขยะที่ใกล้ตัวที่สุด เพิ่มจังหวะในการก้าวเท้าเร็วขึ้น แทบจะพุ่งตัวไปที่ล็อกเกอร์ที่เรียงรายเป็นแถบพวกนั้นเลยด้วยซ้ำ จากนั้นนัยน์ตาสีฟ้าก็เริ่มกวาดหาตัวเลขที่ติดอยู่ด้านบนกุญแจที่ได้มาเมื่อคืน

27… นี่ไง เจอแล้ว ขอให้เป็นอย่างที่หวังทีเถอะ

เอลเลียตคิดว่าหัวใจตัวเองจะกระดอนออกมาอยู่แล้วตอนที่ลูกกุญแจเสียบลงล็อกพอดี เสียงคลิกเบาๆ ดังขึ้นหลังจากที่เขาหมุนเปิดมันออก กระเป๋าที่เอาไว้ใส่อุปกรณ์กีฬาใบหนึ่งโดดสู่สายตา เขาเอื้อมมือไปรูดซิปเปิดมันออกเล็กน้อย แค่แง้มดูด้านในเท่านั้น เงินสดจำนวนมากนอนอยู่ในนั้นอย่างเป็นระเบียบและสวยงาม

ลีโอไม่ได้โกหกเขาเรื่องที่โอคอลเนลมาขอคำปรึกษาเรื่องที่ซ่อนเงิน

และโอคอนเนลก็ทำตามที่ลีโอว่าเพียงเพราะอีกฝ่ายเป็นเทลออฟอดัมส์

และเงินก้อนนี้ก็กำลังจะตกเป็นของอายออฟไอเดนแล้ว ยอดเยี่ยมจริงๆ

เอลเลียตคิดพร้อมกับเลื่อนมือรูดซิปปิดอย่างสงบ ยกกระเป๋าขึ้นพาดบ่าราวกับว่าเขาเป็นเจ้าของมันจริงๆ

ก็เขาเป็นจริงๆ นี่

อย่างน้อยก็ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปน่ะนะ






-----------------------------------------------
Tip3 เรื่องเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ที่ไม่ต้องรู้ก็ได้: ที่เอลเลียตนามสกุลเทย์เลอร์เพราะว่าช่วงนี้เราติ่งเทย์เลอร์ สวิฟต์ค่ะ แล้วตอนนั้นติดเพลง 'ready for it?' ของนาง แล้วมีนท่อนหนึ่งร้องว่า 'But if I'm a thief, then he can join the heist, and We'll move to an island, And he can be my jailer, Burton to this Taylor' (แต่ถ้าฉันเป็นโจรล่ะก็ เขาก็มาเข้าร่วมการโจรกรรมได้นะ แล้วเราจะย้ายไปอยู่เกาะด้วยกัน แล้วเขาก็เป็นผู้คุมให้ฉัน คอยควบคุมเทย์เลอร์คนนี้ไงล่ะ)

นั่นแหละ ละตอนนั้นนั่งคิดพล็อตเรื่องนี้อยูด้วยไง เลยแบบ เอลเลียต นายนามสกุลเทย์เลอร์ไปนะ ชั้นอินเพลง 55555

ป.ล. ส่วนตัวชื่อเอลเลียตเองเป็นชื่อที่เอามาจากตัวโกงตัวหนึ่งในนิยายที่ชอบค่ะ ถึงตอนจบเอลเลียตที่ว่าจะตายก็เถอะ //แต่ไม่เกี่ยวกับเอลเลียตเรานะ ถถถถถ

ป.ล.ล. ใครไม่เคยฟังเพลงที่ว่า ลองไปฟังดู แล้วดูเนื้อ ดูความหมายไปด้วย มันจะอินมาก ถถถถ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-10-2017 18:35:14 โดย Airiณ »

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ถ้าคีลไม่ได้มีแผนอะไรอย่างที่เราคิดก็สงสารคีลอยู่นะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เริ่มสงสารคีล กลับมาไม่เจอเอล  :mew2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด