ขณะที่กำลังเลือกดูตู้เย็นกันก็มีพนักงานคนหนึ่งมายืนเฝ้า คอยเชียร์ให้ซื้ออยู่ยี่ห้อเดียวจนน่ารำคาญ
รวินท์เริ่มทำตาขวาง ทว่าจู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เขาจึงหยิบขึ้นมากดรับสายก่อน “ว่าไงวะเต้”
“กินข้าวยังวะ”
“ยังว่ะ มาซื้อของอยู่”
“หือ ซื้ออะไร ที่ไหนวะ”
“อยู่โฮมโปร...” ทันตแพทย์หนุ่มหันไปมองคนที่มาด้วยกัน อีกฝ่ายดูจะหงุดหงิดกับพนักงานที่พูดมากไม่หยุด
“ผมขอดูก่อนนะพี่ ยังไม่แน่ใจว่าจะซื้อ...”
“ก็ตัดสินใจไปเลยสิน้อง ตอนนี้จัดรายการ ลดราคาพิเศษอยู่” พนักงานคนนั้นพูดไปเรื่อย พอเห็นภูพิงค์ไม่ใส่ใจก็เบ้ปากพึมพำ “ไม่มีเงินซื้อก็บอก”
“ไอ้วิน ไอ้วิน! ทำไมเงียบไปวะ”
“โทษที เดี๋ยวแป๊บนะ” รวินท์ตะโกนบอกเด็กหนุ่มที่กำลังเดินห่างออกไปด้วยท่าทางหงุดหงิดงุ่นง่าน “พิงค์ ออกมานี่ก่อนเหอะ ผมคุยโทรศัพท์แป๊บ” พออีกฝ่ายหันมาพยักหน้า เขาจึงคุยต่อ “คนขายแม่งกวนประสาท”
“มึงอยู่กับใครวะ”
“อยู่กับ...เพื่อนสิวะ”
“เพื่อนไหน ใครวะ ทำไมกูไม่เคยได้ยิน ผู้ชายหรือผู้หญิง”
“ผู้ชายโว้ย เพิ่งรู้จักกันตอนไปดูวิดวะขึ้นดอยอ่ะ”
“มึงไม่เคยเล่าให้กูฟังเลยอ่ะ แล้วไปรู้จักกันได้ไง ไว้ใจได้รึเปล่าวะ”
รวินท์ชักจะหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง ไอ้เพื่อนเวรนี่ก็เสือกจะมาซักถามอะไรตอนนี้นักไม่รู้ ส่วนไอ้น้องเวรนั่นก็กำลังจะแดกหัวพนักงานขายอยู่แล้ว “ไอ้ห่า เดี๋ยวค่อยถามได้มะ ข้างหน้ากูนี่จะนองเลือดกันแล้วโว้ย”
“เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้นวะ! มึงรอเดี๋ยว!” เตชิตรีบกดวางสาย แล้วโทรใหม่เป็นวิดีโอคอล
“โว้ย! มึงเป็นบ้าอะไรวะเนี่ย! จะคอลมาทำม้าย~” ทันตแพทย์หนุ่มโวยวาย
“ถ้านองเลือดกูจะได้เป็นพยานให้มึงได้ไง ไหน หมุนกล้องไปที่เกิดเหตุซิ กูจะดู...” เตชิตยังพูดไม่จบ เพื่อนรักที่ปลายสายก็ตะโกนเสียงหลง
“เฮ้ย! พิงค์! ใจเย็นเว้ย~ คุณจะแดกหัวเขาไม่ได้นะ!”
ภูพิงค์กระชากคอเสื้อพนักงานพูดมากเข้าหาตัว พร้อมกับทำหน้าเหี้ยมแบบพี่ว้ากที่ได้ฝึกปรือมาใส่ “ผมบอกว่าจะดูก่อน ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเรอะ ทำตัวมีปัญหาแบบนี้ อยากให้ลากคอไปหาผู้จัดการป่ะวะ!”
รวินท์ถลาเข้าไปดึงตัวเด็กหนุ่มออก “จะไปขายใครก็ไปเลยคุณ พวกผมยังไม่ตัดสินใจ เข้าใจมะ” จากนั้นก็ลากภูพิงค์ออกมาจากแผนกตู้เย็น
“ไปทะเลาะกับเขาให้เสียเวลาทำไม!” ทันตแพทย์หนุ่มพูดเสียงเข้ม
“ก็ไอ้ห่านั่น... หือ? เสียงใครวะพี่” คนอ่อนวัยกว่าขมวดคิ้ว
“เออ! เพื่อนผมยังอยู่ในสาย” รวินท์ยกโทรศัพท์ขึ้น “โทษทีว่ะเต้”
“ไหนวะเลือด มีใครตายมั้ย กูต้องเรียกตำรวจกับรถโรงบาลรึเปล่า!”
“ไอ้ห่า ไม่มีโว้ย เอ้า นี่พิงค์ คนที่มาด้วยกัน รู้จักกันไว้ซะ” ทันตแพทย์หนุ่มเดินไปยืนข้างภูพิงค์แล้วยกโทรศัพท์ขึ้นให้เห็นพวกเขาสองคนชัดๆ
เตชิตสบสายตากับเด็กหนุ่ม พลางถอนหายใจอย่างโล่งอก “สวัสดีครับคุณพิงค์”
“ไอ้นี่ชื่อเต้ เพื่อนผมเอง เป็นหมออีกคนที่คลินิกที่ผมเคยพูดถึงน่ะแหละ”
ภูพิงค์ยกมือไหว้อย่างงงๆ ทำไมต้องมาแนะนำตัวกันกลางโฮมโปรแบบนี้เขาก็ไม่เข้าใจ “สวัสดีครับพี่เต้”
เตชิตยิ้มกว้าง อย่างน้อยมีไอ้เด็กหน้าเถื่อนนี่อยู่ข้างๆ รวินท์ เขาก็สบายใจได้ว่าจะไม่มีใครเข้ามาวุ่นวายกับเพื่อนรักของเขาแน่ ปลอดภัยหายห่วง “ผมฝากดูแลไอ้วินหน่อยนะ ไอ้นี่พอมันออกนอกคลินิกแล้วจะสติไม่ค่อยดี ป้ำๆ เป๋อๆ เอ๋อๆ สักหน่อย ฝากเตือนมันให้กินข้าวด้วย แล้วอย่าปล่อยให้เดินโง่ไปหลงที่ไหน เดี๋ยวคนอื่นจะเป็นอันตราย”
“โห ผมเข้าใจ... โอ๊ย พี่วิน!” เด็กหนุ่มยกมือขึ้นกุมศีรษะตรงที่ถูกทุบ พร้อมกับหันไปหาอีกฝ่าย
รวินท์ต่อว่าใส่โทรศัพท์ “พอแล้วเว้ย ห้างปิดพอดี ดูเด๊ะ ตู้เย็นก็ไม่ได้ซื้อ กูจะไปดูแอร์แล้วโว้ย!”
“เออๆ พรุ่งนี้อย่าลืมมารับด้วยนะ”
“ไม่ลืมหรอกน่ะ สามทุ่มครึ่งใช่มะ” ทันตแพทย์หนุ่มส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจ
พอเตชิตกดวางสายไป ภูพิงค์ก็พูดโพล่งขึ้น “เมื่อกี้นี่เพื่อนหรือพ่อ...” แล้วรีบยกมือขึ้นปิดปาก เขาปากหมาอีกแล้ว เวรกรรม!
“เพื่อนที่บางทีก็เป็นพ่อไง มันเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วแหละ เราไปดูแอร์กันเถอะ”
หลังจากนั้นพวกเขาก็ไปเดินดูแอร์กันต่อ แต่ห้างใกล้ปิดแล้ว เด็กหนุ่มจึงสรุปว่ายังไม่ซื้อจะดีกว่า
รวินท์เสียใจนิดหน่อย อยากซื้อให้เสร็จๆ ไป เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่มาช่วยเลือกให้เขาอีก “จริงๆ ซื้อให้มันเรียบร้อยไปเลยก็ได้ รีบๆ ซื้อน่าจะทัน”
“พรุ่งนี้พี่เลิกงานเวลาเดียวกันกับวันนี้เปล่า เอาไว้เราไปดูที่เซนทรัลกันก่อนดีกว่า”
“คุณว่างเหรอ”
“อือ เดี๋ยวผมจะรีบทำการบ้าน ซักผ้าตากผ้าให้เสร็จ แล้วจะไปหาที่คลินิก”
ทันตแพทย์หนุ่มยิ้มกว้าง “โห ใจดีโคตรๆ ขอบใจนะ งั้นผมว่าเราไปหาอะไรกินกันดีกว่า ผมหิวแล้วอ่ะ กินแม็กกันมั้ย”
“ไปตลาดโต้รุ่งมั้ยพี่ ของกินเจ๋งๆ เพียบ”
“เฮ้ย ไป!” เรื่องกินขอให้บอก รวินท์สู้ตาย
เมื่อตกลงกันได้ รถออดี้สปอร์ตก็เคลื่อนออกจากที่จอดรถในโฮมโปร มุ่งหน้าสู่ตลาดโต้รุ่งช้างเผือกที่อยู่ใกล้ๆ พอได้ที่จอดรถสองหนุ่มก็พุ่งตรงเข้าไปในตลาดซึ่งละลานตาไปด้วยร้านอาหารแผงลอย
ภูพิงค์ยกมือขึ้นเกาปลายจมูก “มื้อนี้ให้ผมเลี้ยงบ้างนะ ถือเป็นการขอโทษละกัน ค่าปากหมาไปหลายที”
“ไม่ต้องหรอก คุณอุตส่าห์เสียเวลามาช่วยผมเลือกซื้อของ ผมจะให้คุณเลี้ยงได้ไง”
“พี่ก็ช่วยให้สัมฯ ผมไง”
“นั่นมันเรื่องเล็กน้อย เอาไว้คราวหน้าจะให้เลี้ยงละกัน ไปๆ กินไรดี เจ้าถิ่นแนะนำหน่อย”
หลังจากเดินวนกันอยู่สองสามรอบ พวกเขาก็นั่งลงกินสุกี้เจ้าดังกัน ตามด้วยลูกชิ้นปิ้งจานใหญ่ แล้วไปปิดท้ายที่ขนมบัวลอย
“อร่อยกว่าที่แถวคลินิกอีก” รวินท์ก้มหน้าก้มตากินมันทุกอย่างที่เด็กหนุ่มแนะนำ พอยัดลงท้องไปจนหนำใจเขาจึงลดสปีดในการกินลง แล้วเปลี่ยนมาพูดคุยกันบ้าง
“บ้านคุณอยู่กรุงเทพฯ เหมือนกันใช่มั้ย”
“ครับ แต่จริงๆ ชื่อภูพิงค์เนี่ย ฟังดูเหนือใช่มั้ยล่ะ เพราะพ่อแม่ผมเป็นคนเหนือ ผมเคยอยู่ที่นี่ตอนเด็กๆ”
“อ่อ ถึงว่า ผมก็สงสัยอยู่ว่าทำไมเลือกมาเรียนซะไกลบ้านเลย”
“ว่าแต่ผม พี่ก็เลือกมาใช้ทุนซะไกลบ้านเหมือนกันป่ะวะ อุดมการณ์แรงกล้าโคตรๆ”
รวินท์ชะงักกึก สีหน้าเปลี่ยนทันควัน พาลทำให้เด็กหนุ่มเบรกเอี๊ยดไปด้วย
ภูพิงค์ยกมือขึ้นกุมศีรษะ “ผมพูดอะไรไม่ดีอีกแล้วแน่ๆ อะ!”
ทันตแพทย์หนุ่มถอนหายใจ พลางหลุบตาลงต่ำ “ผมเป็นหมอที่แย่ว่ะ... ที่จริงผมไม่ได้มีอุดมการณ์อะไรหรอก ผมเลือกจังหวัดมาใช้ทุนเอามั่วๆ กะว่าให้ใกล้ผู้หญิงคนนึง... ก็เท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจเลือกมาที่นี่หรอก”
น่าจะหมายถึงผู้หญิงที่ชื่อขวัญข้าว ที่พี่วินครางหงิงๆ ถึงเมื่อคืนสินะ
เด็กหนุ่มอ้ำอึ้ง เนื่องจากไม่ได้มีประสบการณ์เรื่องความรักมานาน เขาเคยมีแฟนเหมือนกันนะ สมัยอยู่มอปลายกางเกงน้ำเงิน แต่มันก็หลายปีมาแล้ว ส่วนตอนนี้ก็เถื่อนอย่างกับจะไปแย่งที่คนงานในไร่อ้อย เขาคงไม่ใช่ที่ปรึกษาที่ดีในเรื่องความรักนัก
“ตอนแรกผมไม่คิดว่าจะใช้ทุนด้วยซ้ำ ห่วงแต่ความสุข ความสบายของตัวเอง”
คนอ่อนวัยกว่าพอจะประติดประต่อเรื่องราวได้ ตอนนั้นพี่วินคงตั้งใจจะตามแฟนเก่าไปทำงานใกล้ๆ กันเท่านั้น ใจจดจ่ออยู่กับเธอ เพราะงั้นถึงไม่ได้ใส่ใจจะซื้อของเข้าห้องพัก ไม่ได้ใส่ใจตัวเองมาจนถึงตอนนี้ เด็กหนุ่มรู้สึกผิดหนักเข้าไปอีก เขาพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ หลุบตาลงต่ำ ก่อนจะพูดขึ้น
“ผมว่า นิยามคำว่าหมอที่แย่ คือหมอที่ไม่มีความรับผิดชอบกับคนไข้มากกว่านะ... ผมไม่คิดว่าพี่เป็นหมอที่แย่ คือแบบ จริงอยู่ที่เมื่อคืนพี่เมาแล้วยังเสือกจะตรวจฟันผม ผมก็ด่าในใจไปเยอะเหมือนกัน แต่พอมาคิดๆ ดูอีกที ผมว่านั่นเป็นจิตใต้สำนึกของพี่มากกว่า พี่ห่วงคนไข้เพราะพี่เห็นว่ามันฉุกเฉิน แล้วผมกับเพื่อนก็เล่นใหญ่ซะขนาดนั้น ทั้งที่จริงตอนที่พวกผมไปถึง คลินิกปิดไปแล้ว พี่จะไล่ผมให้ไปทำที่อื่นก็ได้ แต่พี่ก็ไม่ทำ” ภูพิงค์หัวเราะเจื่อนๆ เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นประสานสายตากับคนที่นั่งข้างกัน ใจจริงอยากจะบอกด้วยว่าปกติถ้าไม่ใช่ในประชุมเชียร์ก็ไม่เคยพูดอะไรมีสาระกับใครขนาดนี้ “และผมก็มั่นใจว่าพี่รับผิดชอบคนไข้ ใส่ใจกับคนไข้ของพี่อย่างดี ไม่อย่างนั้นเมื่อเช้า พี่คงไม่ลากผมเข้าไปตรวจฟันอีกรอบ”
เด็กหนุ่มเอื้อมมือออกไปตบไหล่รวินท์เบาๆ “จากที่เคยใส่ใจแค่กับคนไข้ของพี่ พี่ก็ค่อยๆ มองออกไปรอบตัวบ้างทีละเล็กละน้อยสิ อย่างวันนี้พี่ก็คิดเรื่องจะทำห้องพักของพี่ให้มันเป็นที่อยู่คนมากขึ้นแล้ว ผมว่ามันเป็นการเริ่มต้นที่ดีออกนะ”
ทันตแพทย์หนุ่มยิ้มบาง เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าต้องมานั่งฟังเด็กสอน คงมีแค่อายุของเขาที่แก่กว่า ส่วนใบหน้ากับความคิดของเขาอ่อนวัยกว่าเด็กหนุ่มมากมาย “ขอบใจ”
“พูดดีๆ แบบนี้ไม่ชินเลยว่ะ”
“เออ ผมก็ไม่ชินหูเหมือนกัน”
พวกเขาหัวเราะร่วน รวินท์รู้สึกถูกชะตาและประทับใจในตัวเด็กหนุ่มเอามากๆ เขารู้สึกสบายใจชอบกล ทั้งที่อกหักอย่างแรงมาหมาดๆ ช่างน่าแปลก
ภูพิงค์ยืดแขนออกบิดขี้เกียจ “โอย อิ่มฉิบหาย กลับกันมั้ยพี่”
หากพอคนอ่อนวัยกว่าชวนกลับ หัวใจกลับไหววูบ เขายังไม่พร้อมที่จะอยู่คนเดียว ไม่อยากคิดย้อนกลับไปเรื่องของเขากับขวัญข้าวอีกแล้ว รวินท์ส่ายหน้าไปมา “ยังไม่กลับได้มั้ยอ่ะ”
“หือ? ยังไม่อิ่มอีกเหรอเนี่ย!”
“ไม่ใช่เว้ย คือ... ผมยังไม่อยากกลับอ่ะ เดินเล่นกันต่อเหอะ”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว พลางแสกนดูสีหน้าอีกฝ่าย เขาคว้าแขนชายหนุ่มให้ลุกขึ้น “งั้นผมจะพาไปที่ดีๆ”
*TBC*โห อย่างยาวเลยเนอะตอนนี้ (หรือว่าฮัสกี้คิดไปเอง 555555)
สองหนุ่มสานสัมพันธ์กันแล้ว น้องพิงค์ได้สอนอะไรพี่วินหลายๆ อย่างด้วย น้องน่ารักจนพี่ลืมเฮิร์ตเลยเน้อออ
ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล อิอิ
แต่... อาทิตย์หน้าฮัสกี้ของดอัปนิยายนะคะ
พบกันใหม่หลังงานพิธีค่ะ
ขอบคุณนักอ่านทุกคนมากค่า พบกันตอนหน้า ฮัสกี้จะพาสองหนุ่มมาปะทะคารมกันต่อน้า~ 