36.ความว่างเปล่า ที่ลึก ไร้ที่สิ้นสุด..สายตาของผมจับจ้องอยู่ที่คน ๆ เดิมตลอดพิธี จนเมื่อออกจากห้องประชุมมาถ่ายรูปกับครอบครัวแล้วก็ยังคงคอยมองเขาอยู่เรื่อย ๆ อย่างนั้น แต่คนที่เอ่ยปากเรียกและแนะนำให้เขาได้รู้จักกับพ่อ แม่ และพี่ปราย กลับเป็นพี่ปูน
เมธยกมือไหว้ พูดและตอบคำถามอย่างสุภาพกับพ่อแม่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา
ผมมองภาพนั้นเงียบ ๆ กระทั่งพี่ปูนเข้ามากระซิบบอกว่าท่าทางของเขาคล้ายกับพ่อของพวกเรามากจริง ๆ ผมถึงได้หันไปพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ดูนิสัยใช้ได้นะ” พี่ปรายเองก็ยังเห็นด้วย “แฟนปั่นเหรอ”
“ทำไมคิดงั้น” พี่ปูน
“ก็เห็นมองกันอยู่ตลอดเลย” คำตอบของพี่ปรายทำให้ผมรู้สึกอายขึ้นมา “ทำไม กลัวพ่อกับแม่ว่าเหรอ”
ผมส่ายหน้า “แม่รู้ว่าปั่นชอบผู้ชาย”
พี่ปรายพยักหน้า “พ่อก็รู้”
“งั้นเหรอ” คงมีแค่พี่ปูนที่แปลกใจ “ไม่ยักรู้ว่าพ่อรู้ด้วย”
“ภาคเล่นเดินตามต้อย ๆ ตั้งแต่มัธยมแบบนั้น..จะรู้ก็ไม่แปลก” สีหน้าพี่ปรายดูไม่ค่อยชอบใจ “ยังดีที่ไม่พากันใจแตกจนเสียการเรียน”
“ขนาดนั้นเชียว” พอพี่ปูนขัด พี่ปรายก็ทำหน้าไม่ชอบใจ “เสร็จนี่แล้วเอาไง..จะอยู่นี่..จะกลับบ้านพร้อมพ่อแม่ หรือจะไปดูร้านกับพวกพี่ก่อน”
พี่ปรายเหลือบมามองผม ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหัว “พี่อ่านหนังสือไม่ทันแล้ว ไว้ว่างเมื่อไรจะไปดูร้านเรานะ”
“อืม”
เห็นผมเข้าใจ พี่ปรายก็ยิ้ม “เดี๋ยวจะพาเพื่อนไปอุดหนุนด้วย”
พ่อ แม่ และพี่ปรายแยกย้ายกันกลับไปก่อน ส่วนพี่ปูนตามถ่ายรูปให้ผมอีกนิดหน่อยก็ขอกลับไปรอที่โรงแรมเช่นกัน เมื่อเห็นว่าพวกเพื่อนกลุ่มของเมธชวนผมให้ไปกินข้าวเย็นด้วย สมัยเรียนผมไม่ได้สนิทกับใครเป็นพิเศษ ไม่มีกลุ่มเพื่อนสนิทเป็นของตัวเอง เรียกได้ว่าแทบจะไม่ค่อยได้มีกิจกรรมร่วมกันกับเพื่อนร่วมคณะของตัวเองเลย พอถูกชวนก็ไม่นึกอยากจะไป ติดที่เมธบอกว่าอยากให้ผมไปด้วยจริง ๆ เลยไม่กล้าที่จะปฏิเสธ
“อร่อย” เมธตักปลาชิ้นใหญ่มาวางใส่จานผม “กินเยอะ ๆ นะ”
“อืม”
ผมกินข้าวไป ฟังทุกคนพูดคุยหยอกล้อกันไปจนเกือบจะอิ่ม
“แล้วมึงรีบกลับไหมเมธ อยู่เที่ยวกับพวกกูก่อนเปล่า”
เขาส่ายหน้า “พอดีนัดจะไปเที่ยวบ้านปั่น”
หลายคนหันมามอง จนทำให้ผมนั่งตัวตรงขึ้นมา
“ไม่ยักรู้ว่าสนิทกันขนาดนั้น”
ผมรู้สึกว่าคนถามเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง และยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อเขาตอบกลับไปว่า “กำลังจีบอยู่”
บางคนมีสีหน้าตกใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีทีท่าว่าแปลกใจอะไร กลับยิ้มล้อเลียนกันเสียจนผมรู้สึกเขินไปด้วย
“อย่าล้อ !”
เสียงโห่แซวดังขึ้นทันทีที่เมธพูดจบ ผมที่ตอนแรกแค่เขิน ๆ ก็กลายเป็นอายจนเผลอปล่อยช้อนร่วงจากมือ เรียกเสียงโห่ให้ดังขึ้นไปอีก
“ทำใจนะปั่น” เสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้น “เมธมันโกหกหรือพูดอ้อม ๆ ไม่ค่อยเป็นน่ะ”
เหตุการณ์พวกนี้ ทำให้หัวใจผมพองโตขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
พี่ปูนไม่ได้มีท่าทีแปลกใจที่เห็นเมธมายืนรอขึ้นรถกับพวกเราในเช้าวันรุ่งขึ้น หนำซ้ำยังช่วยจัดแจงที่นั่งด้านหลังให้อย่างดี ผมปล่อยให้พี่ชายตัวเองเป็นคนสร้างบทสนทนากับเมธ ในขณะที่ตัวเองนั่งเงียบ ๆ ฟังไปอย่างนั้นตลอดทาง
“ร้านน่ารักดีนะ”
ผมยิ้มรับ ก่อนจะบอกให้เขานั่งเดินตามขึ้นมาเก็บของข้างบน พี่ปูนเองก็แยกขึ้นไปพักที่ห้องของตัวเอง โดยบอกทิ้งท้ายแค่ว่าเย็นนี้จะขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าว
“อยากกินขนมหรือกาแฟหรืออะไรไหม เดี๋ยวเราลงไปเอามาให้”
“ไว้พรุ่งนี้ดีกว่า” เขายิ้ม “ยังมีเวลาอีกหลายวัน”
ผมพยักหน้าว่าเข้าใจ “เอาเสื้อผ้าใส่ในตู้ได้เลยนะ ผ้าเช็ดตัว แปรงสีฟันเราเตรียมไว้ให้แล้ว”
เขาเดินสำรวจทั่ว ๆ ก่อนจะถาม “ทำไมมีแปรงสีฟันวางอยู่ในแก้วสองอันล่ะ”
“ของภาคน่ะ” ผมตอบแบบไม่เต็มเสียง “อันใหม่อยู่ในตู้ชั้นบน”
“เห็นกลับมาดีกันแล้วเราก็สบายใจ” เขาพูดแบบไม่ได้คิดอะไร แต่มันกลับทำให้ผมคิดมาก “ยังไงก็เพื่อนสนิทกัน”
“เมธล้างหน้าล้างตาก่อนเลยนะ เดี๋ยวเราไปเก็บกระเป๋าเข้าตู้ให้”
ผมเปลี่ยนเรื่อง ก่อนจะรีบเดินมาหยิบกระเป๋าเขาเข้าไว้ในตู้ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเสื้อผ้าของภาคที่แขวนอยู่ในนั้นสองสามชุด
ภาคไม่ได้ติดต่อมาเลยหลังจากวันนั้น..
ผมเองก็ไม่กล้าที่จะโทรไป..
เรื่องทุกอย่างเลยยังค้างคาอยู่แบบนี้..
นี่ผมกำลังทำเรื่องบ้าอะไรอยู่กันนะ ?
“เป็นอะไรหรือเปล่า” เขาเป็นคนหนึ่งที่มักจะจับความรู้สึกของผมได้ “อึดอัดที่เรามาเหรอ”
ผมถอนหายใจ ก่อนจะรีบปฏิเสธ “เราแค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย”
“เราจะไม่เร่งรัดอะไรปั่นนะ” เขาเองก็ถอนหายใจออกมา “เราแค่อยากมีเวลาอยู่ด้วยกันบ้าง”
“เรารู้..”
ผมคิดว่าตัวเองเข้าใจเรื่องนี้ได้ดีด้วยซ้ำ..
“แต่ถ้ามันทำให้ปั่นรู้สึกไม่ดี..”
“เราไม่ได้คิดอย่างนั้น”
มันไม่ใช่ความรู้สึกที่แย่ขนาดนั้น
“ปั่น..”
“ได้มีเวลาอยู่ด้วยกันแบบนี้..เราก็คิดว่ามันดีนะ”
สุดท้าย..ผมก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างมันยากมากยิ่งขึ้นไปอีก
“ขอบคุณนะ”
“...”
“ขอบคุณจริง ๆ”
ผมสงสัย..ว่าถ้าเขารู้ว่าจริง ๆ แล้วผมเป็นคนยังไง
เขาจะยังอยากพูดคำ ๆ นี้อยู่หรือเปล่า ?
Ma-NuD_LaW
ขอโทษที่ลูกคนนี้ของคนเขียนเป็นคนไม่ดี